Chapter 35: [Then] ความจริง
“เมฆจะไปไหนแต่เช้าเหรอ?”
วงแขนเรียวของคนที่อยู่ในเสื้อกล้ามกับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวสั้นโอบรอบเอวหนาของคนรักที่ยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกพร้อมศีรษะที่เอนซบแผ่นหลังกว้างอย่างออดอ้อน เมฆาอมยิ้มกับท่าทีของคนรักที่วันนี้คลอเคลียเขาอย่างผิดวิสัย ร่างสูงจับข้อมือผอมทั้งสองข้างดึงออกจากเอวของตนแล้วหมุนตัวกลับมาหาอีกฝ่าย มือใหญ่วางบนสะโพกมนแล้วดึงให้ร่างโปร่งเข้ามาแนบชิด
“ไปหาแม่ที่โรงพยาบาลครับ เมื่อวานแม่บอกว่าอยากให้ไปหา”
“อ๋อ…ถ้าอย่างนั้นอย่าลืมซื้อของบำรุงไปฝากท่านด้วยนะ” มธุวันเอื้อมมือขึ้นจัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าของคนรักเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทางเมื่อได้ยินดังนั้น เมฆาพยักหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ตาราวกับคนอดนอนของคนตรงหน้า
“เป็นอะไรรึเปล่า? วันนี้หน้าตาดูไม่สดชื่นเลย” ร่างสูงถามด้วยความเป็นห่วง มธุวันส่ายหน้า
“เปล่าหรอก หมอกแค่...ฝันร้ายนิดหน่อย”
“หืม? ฝันว่าอะไรครับ?” เมฆาถามด้วยสีหน้าจริงจังจนมธุวันหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย “ใครทำให้หมอกฝันร้าย? เดี๋ยวเมฆไปจัดการให้”
“มีกันอยู่สองคนยังจะหาคนผิดอีกเหรอ?” ร่างโปร่งโอบรอบคอให้คนรักโน้มลงมาหาตัวเองอย่างรู้งาน “ปลอบหมอกเดี๋ยวนี้เลย”
“อ้าว แบบนี้เมฆต้องรู้ก่อนสิว่าเมฆทำอะไรผิด”
คนผิดเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อขาเรียวข้างหนึ่งตวัดเกี่ยวสะโพกสอบไว้ แขนแกร่งขยับช้อนใต้ก้อนเนื้อกลมกลึงทั้งสองเพื่อพยุงคนที่ทำตัวเป็นลูกลิงติดแม่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เมฆทิ้งหมอก...” คนที่ออดอ้อนจนผิดวิสัยพึมพำตอบหน้ามุ่ย เมฆาหลุดหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อได้ยินว่าความฝันที่ทำให้คนรักถึงกับไม่ได้พักผ่อนคืออะไร
“หมอก...ต่อให้หมอกเป็นฝ่ายที่อยากทิ้งเมฆไป เมฆก็ไม่ยอมปล่อยหมอกไปไหนหรอกนะ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเจือไปด้วยความขบขัน แต่ดวงตาสีควันบุหรี่สื่อชัดว่าหมายความตามที่พูดทุกคำ “บอกแล้วไงว่าเมฆเป็นของหมอก
หมอกเป็นของเมฆแล้ว ถึงคิดจะเปลี่ยนใจตอนนี้เมฆก็จะล่ามโซ่ขังหมอกไว้ในห้องนี่แหละ”
“...คนซาดิสม์” มธุวันพยายามทำเสียงค้อน แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากของตัวเองได้ “ปลอบหมอกแล้วรีบไปหาแม่ได้แล้ว”
“ยินดีครับ”
เมฆาดันร่างในเครื่องแต่งกายที่แสนจะยินยอมพร้อมใจให้เขาปลอบชิดผนังกำแพงแล้วเริ่มชดใช้ความผิดที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ในความฝันของอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ
เมฆาเคาะประตูห้องพักคนไข้เบาๆพอเป็นพิธีก่อนจะเปิดประตูเข้าไป แม้จะรู้ว่าจะต้องเจอกับเกศราในสภาพแบบไหน ร่างสูงก็ยังคงสะอึกกับภาพของมารดาที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ซึ่งเป็นเหมือนภาพชินตาของทุกคนในบ้านไปเสียแล้ว
เขาน่าจะเป็นคนเดียวในบรรดาสามพี่น้องที่ยังพอจะจำได้ว่าเกศราในช่วงที่ยังคงแข็งแรงดีเป็นอย่างไร และนั่นคงเป็นสาเหตุให้เขารู้สึกว่าตนปรับตัวกับการป่วยของมารดาได้ยากกว่าน้องชายทั้งสอง
“มาแล้วเหรอจ๊ะ ขอโทษนะที่แม่ให้มาหาซะเช้าขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อาการของแม่เป็นยังไงบ้างครับ? คุณหมอว่ายังไงบ้าง?”
เมฆาเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงของมารดา หางตาของร่างสูงสังเกตเห็นดอกหทัยหยาดทิพย์ที่เขารู้ว่ามารดาชอบ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรด้วยคิดว่าน่าจะเป็นของที่บิดาให้คนมาส่งให้ตามเคย
“ก็เหมือนเดิมนั่นแหละจ้ะ ไม่มีอะไรใหม่หรอก” เกศราตอบพร้อมรอยยิ้มอิดโรย มือเรียวเล็กที่ซูบผอมจากร่างกายที่อ่อนแอลงทุกวันเอื้อมไปหาลูกชายคนโต เมฆารีบคว้ามือของมารดาไว้ เอียงใบหน้าแนบกับมือของเกศราอย่างคะนึงหาความอบอุ่นจากอ้อมกอดของหญิงสาว “เมฆของแม่โตเป็นหนุ่มแล้ว...”
เมฆารู้สึกหนักอึ้งในจิตใจอย่างประหลาดกับคำพูดของมารดา แต่ร่างสูงเพียงแค่เงยหน้าสบดวงตาสีน้ำตาลอัลมอนด์ที่มีเพียงน้องชายคนรองของเขาที่ได้รับอย่างกังวลใจ
“หมอกสบายดีมั้ยจ๊ะ?”
“ครับ สบายดี”เมฆาเริ่มยิ้มออกเมื่อเกศราเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมฆอยากให้แม่เจอกับหมอกจังเลยครับ แม่จะต้องชอบหมอกมากแน่ๆ”
“จริงๆ แม่เคยเจอหมอกมาแล้วล่ะจ้ะ” คำตอบที่ไม่คาดคิดของมารดาทำให้เมฆาอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะรีบถามเมื่อได้สติ
“เมื่อไหร่ครับ?”
“ถ้าเร็วๆนี้ก็ตอนที่หมอกเขาป่วยแล้วมาหาหมอที่นี่....” เกศราหลับตาลงเพื่อข่มความประหม่าในใจ “แต่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ แม่เคยเจอหมอกตอนที่เขาเกิดไม่กี่เดือน....”
“อะ…อะไรนะครับ?” เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
มธุวันเป็นเด็กกำพร้า เด็กกำพร้าที่ไม่มีใครเคยออกตามหาหรือแสดงตัวว่าเด็กคนนี้ยังมีใครรอคอยอยู่หรือไม่
แล้วเด็กที่ไม่มีใครรู้จักแบบนั้น...มารดาของเขาจะเคยพบได้อย่างไรกัน?
“เมฆ…ฟังสิ่งที่แม่พูดดีๆ เพราะมันเกี่ยวข้องกับทั้งเมฆแล้วก็หมอก” สีหน้าของเกศราจริงจังขึ้นมาทันที บุตรชายคนโตที่ยังคงไม่เข้าใจคำพูดก่อนหน้านี้ของมารดาเพียงแค่พยักหน้ารับปากทั้งที่ดวงตายังเบิกกว้าง
“ตอนที่หมอกเกิดมา ชื่อของเขาคือ มิคาเอล กรรณวัชร อัลฟอนโซ่...” เกศราเกริ่น จับตาดูปฏิกิริยาตอบรับของลูกชายอย่างเป็นกังวล “เป็นลูกชายคนที่สองของคาร์ลอส อัลฟอนโซ่ หนึ่งในหัวหน้าตระกูลมาเฟียที่มีอิทธิพลที่สุดที่โลกมืดเคยรู้จัก”
“…..” เมฆาไม่ได้รู้สึกด้วยซ้ำว่าตนกำลังส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับกับทุกคำพูดของมารดา
มาเฟีย?โลกมืด?อัลฟอนโซ่?
กรรณวัชร...
“ลุงกรรณ....”
“พี่ชายของแม่ ลุงของลูก เป็นลูกน้องคนสนิทของคาร์ลอส ทำให้เขาตั้งชื่อกลางของลูกคนรองแบบนั้น” เกศรายิ้มอย่างเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงพี่ชายของตัวเอง “คนในตระกูลแม่รับใช้ตระกูลอัลฟอนโซ่มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เราเป็นหน่วยรบที่มีกำลังมากที่สุดที่โลกมืดรู้จัก เด็กทุกคนถูกปลูกฝังให้จงรักภักดีกับหัวหน้าตระกูลอัลฟอนโซ่ ก่อนที่จะสามารถเดินหรือพูดได้ด้วยซ้ำ”
เมฆานิ่งอึ้งฟังมารดาด้วยสีหน้าสับสน
“แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่ผู้นำตระกูลอัลฟอนโซ่มีลูก เด็กตระกูลเราที่เกิดภายในเวลาหนึ่งปีก่อนและหลังเด็กคนนั้นจะต้องถูกฝึกมากกว่าคนอื่น เพื่อชิงตำแหน่งคนสนิทที่สุดของทายาทตระกูลอัลฟอนโซ่ไปจนลมหายใจสุดท้าย หรือที่เรียกว่าเงาของตระกูล โดยที่ทายาทของอัลฟอนโซ่จะเป็นคนเลือกเองว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นที่สุดจะเป็นใคร” หญิงสาวอธิบาย “และคนคนนั้นของคาร์ลอส คือลุงของลูก”
เรื่องแบบนี้...มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ด้วยเหรอเนี่ย?!
“แม่หันหลังให้กับตระกูล หันหลังให้กับครอบครัวและทุกอย่างที่แม่รู้จักตอนที่แม่เจอกับพ่อของลูก เพราะได้พี่กรรณช่วยพูด แม่เลยยังสามารถแอบเข้าไปหาพี่กรรณได้หลังจากที่เมฆเกิด” คนป่วยบีบมือของลูกชายเบาๆ “ตอนนั้นคุณณิรภา ภรรยารองของคาร์ลอสเพิ่งคลอดหมอกได้ไม่กี่เดือน เหมือนกับที่แม่เพิ่งมีเมฆ เราเลยคุยกันถูกคอ เพราะปกติแล้วณิเขาไม่ค่อยมีคนให้พูดด้วย”
ณิรภา...แม่ของมธุวันชื่อว่าณิรภา
ทั้งที่สิ่งนี้ควรจะเป็นข้อมูลที่สำคัญน้อยที่สุด แต่เมฆากลับรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นที่อย่างน้อยคนรักก็จะได้รู้ชื่อจริงของมารดาที่ตนจำไม่ได้แม้แต่ใบหน้า
“ณิตั้งชื่อภาษาไทยให้ลูกชายว่าสายหมอก...มธุวัน อัลฟอนโซ่ แม่จำได้ไม่มีวันลืม” ใบหน้าของเกศราหมองลงเมื่อนึกถึงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องทั้งหมดทั้งที่ไม่รู้อะไร “หลังจากวันที่คฤหาสน์ถูกโจมตี...วันที่ลุงของลูกเสียพร้อมกับพ่อของหมอก แม่เลือกที่จะไม่ติดต่อกับใครเพราะกลัวว่าความบาดหมางระหว่างอัลฟอนโซ่กับตระกูลอื่นๆในโลกมืดจะลามมาถึงตัวลูก แต่นั่นทำให้แม่ไม่รู้เลยว่าณิรภาพยายามหาตัวแม่เพื่อความช่วยเหลือหลังจากที่พาลูกหนีกลับมาเมืองไทย”
เมฆารู้ตอนจบของเรื่องที่มารดากำลังเล่าดี แม่ของหมอกถูกยิงขณะที่พยายามหลบหนีคนที่กำลังตามล่าเธอกับลูก และจบชีวิตลงที่สถานสงเคราะห์เล็กๆในซอกหลืบซึ่งไม่มีใครรู้จัก
“ทำไม... ตอนที่ผมบอกแม่ว่าคบกับหมอก แม่ไม่เคยพูดอะไรเลยล่ะครับ?”
“แม่อยากให้ลูกได้มีอิสระอย่างเต็มที่ที่จะเลือกคนที่ลูกรัก” เกศราถอนหายใจ “ลุงของลูกไม่เคยได้รับโอกาสนั้น ตั้งแต่ลมหายใจแรกบนโลกใบนี้ พี่ชายของแม่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรักผู้ชายคนนั้นด้วยทุกอย่างที่มี”
“…ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
เมฆายังคงไม่อยากเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะสามารถถูกบงการทุกด้านของชีวิต ทุกการตัดสินใจโดยคนอีกคนได้โดยไม่มีจุดแตกหัก
“ว่ากันว่า หากเป็นเงาของอัลฟอนโซ่ที่แท้จริง ต่อให้ไม่เคยเห็นหน้าก็สามารถเอาตัวเข้าไปขวางลูกกระสุนให้กับเจ้าชีวิตของตัวเองได้” หญิงสาวส่ายหัวอย่างนึกขัน “แม่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าเกินจริง จนได้มาเจอเมฆกับหมอกนี่แหละ”
“แม่หมายความว่ายังไงครับ?” เมฆาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ...ไม่สิ คงต้องบอกว่าสมองของเขาตอนนี้ปฎิเสธที่จะเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกันเสียมากกว่า
“มีกฏอยู่ข้อนึงเขียนไว้ว่า ในกรณีที่มีเด็กของตระกูลเกิดห่างจากทายาทตระกูลอัลฟอนโซ่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ตำแหน่งเงาจะตกเป็นของเด็กคนนั้นได้โดยไม่ต้องแข่งขัน” ผู้เป็นมารดาตอบ “ตามกฏของตระกูล เมฆมีตำแหน่งเป็นเงาของมิคาเอล อัลฟอนโซ่โดยชอบธรรม”
เมฆาไม่รู้ว่าจะประมวลผลสถานการณ์ที่ตนกำลังเผชิญอย่างไร
วินาทีแรกที่เขาเห็นมธุวันนั่งอยู่บนพื้นในซุ้มกิจกรรมวันรับน้อง เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน บางสิ่งบางอย่างภายในตัวเขาสั่งให้เขานำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงโคจรของคนคนนั้น
น้ำเขียวโซดาแก้วนั้นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตของเมฆา
แต่หลังจากที่ได้ฟังประวัติของครอบครัวของตัวเองและคนรัก เมฆาอดคิดไม่ได้ว่าความรู้สึกที่เขามีในวันแรกที่เจอกันอาจไม่ใช่อย่างที่เขาคิดก็เป็นได้
ไม่...ต่อให้เป็นโชคชะตาหรือปาฏิหาริย์ที่ทำให้พวกเขาพบกัน เมฆาก็เชื่อว่าตัวเองจะยังคงตกหลุมรักรอยยิ้มที่สดใสและแววตาอ่อนโยนของมธุวันทุกครั้งไป
“เมฆ เมฆรักหมอกมั้ยลูก”
“ครับ เมฆรักหมอก”
ในวันนี้ที่เมฆามีแต่คำถามมากมายในหัว นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เมฆามีคำตอบชัดเจน เขารักมธุวัน รักอีกฝ่ายด้วยทุกอย่างที่เขามี
รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายคือคนที่ตนต้องปกป้องด้วยชีวิต
“ตอนนี้ พวกกาวิโน่ ตระกูลที่เป็นศัตรูกับตระกูลของหมอกมานานกำลังตามหาตัวของหมอก มันแตะต้องพี่ชายของหมอกไม่ได้ มันถึงอยากเล่นงานจุดอ่อนเดียวที่ผู้ชายคนนั้นมี”
“เดี๋ยวนะครับ ถ้าหมอกมีพี่ชาย ทำไมเขาถึงไม่เคยตามหาหมอก....”
“นิโคไลขึ้นรับตำแหน่งตอนอายุสิบหกตามกฏของตระกูลเพียงแค่ต้องการที่จะตามหาน้องชาย แล้วตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าหมอกอยู่กับลูก”
เมฆาชาวาบไปทั้งตัวเมื่อรู้ว่าพี่ชายของมธุวัน ผู้ชายที่ชื่อนิโคไลคนนี้รู้เรื่องราวของพวกเขา
“แต่นิโคไลไม่ใช่คนที่เราต้องกังวลในตอนนี้ เพราะถ้าเขาจะสั่งให้พาหมอกกลับไป วินคงทำไปนานแล้ว”
เมฆาที่ตอนนี้ถูกถาโถมด้วยข้อมูลที่ตนไม่เคยรู้มาก่อนรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะประหลาดใจอะไรแล้ว แต่ชื่อของเพื่อนสนิทที่ออกมาจากปากของมารดาทำให้เขารู้ว่าตัวเองคิดผิด
“วิน?”
“นาวินทร์ เหลียน เป็นญาติของลูก และเป็นหัวหน้าทีมคุ้มกันของนิโคไล” เกศราเลิกคิ้ว “บอกตามตรง แม่แปลกใจนะที่ลูกไม่เอะใจอะไรเกี่ยวกับครอบครัวของวิน”
ขนาดพี่ชายที่นาวินทร์ดูจะสนิทด้วยที่สุด เมฆายังไม่เคยคิดจะเอ่ยปากขอดูรูปภาพด้วยซ้ำ
เขาเริ่มตระหนักแล้วว่าตัวเองใส่ใจคนที่เรียกว่าเพื่อนสนิทน้อยกว่าที่ตัวเองคิดมาก
“เมฆ ตอนนี้คนของกาวิโน่กำลังส่งคนสะกดรอยตามคนตระกูลเหลียนทุกคนที่มีอายุใกล้เคียงกับหมอก พวกมันคิดว่าณิรภาฝากให้ตระกูลเหลียนตามคุ้มครองลูกของตัวเอง ที่เมฆยังไม่ถูกตรวจสอบเพราะว่าแม่ออกจากตระกูลก่อนจะเกิดเรื่อง แต่ไม่ช้าก็เร็วขอบเขตของการค้นหาก็ต้องขยายมาถึงลูก”
เกศรายังคงไม่อยากเชื่อว่าตลกร้ายนั้นกลับกลายเป็นความจริงขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครคาดคิด
เธอไม่อยากทำร้ายหัวใจของลูกชายด้วยมือของตัวเอง แต่เธอรู้ว่าทางเลือกอีกทางนั้นจะทำให้เมฆาเจ็บกว่าที่เป็นอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขายังคงไม่มีคำตอบค่อยๆปะติดปะต่อกันในหัวของเมฆา ทั้งเรื่องกระถางดอกไม้ เรื่องการกลั่นแกล้งสารพัดที่เขาตกเป็นเป้าหมาย และสาเหตุที่นาวินทร์ไม่ได้ติดต่อเขากลับมาหลังจากที่เมฆาเล่าให้ฟัง
หรือว่า...จะเป็นฝีมือของคนพวกนั้น?
ถ้าอย่างนั้น...ทำไมถึงจงใจให้เขารู้ว่ากำลังมีคนปองร้าย?
“ตราบใดหมอกยังอยู่ใกล้ๆเมฆ หมอกไม่มีวันปลอดภัย” เกศราบีบมือของลูกชายที่หมดเรี่ยวแรงแทบจะในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น “แม่อยากให้เมฆมีความสุข เพราะฉะนั้นเมฆจะทำอะไรกับสิ่งที่แม่เล่าให้ฟังวันนี้ ก็เป็นทางเลือกของเมฆ”
แน่นอน เธอรู้อยู่แล้วว่าลูกชายของเธอจะเลือกอะไร
เพราะหัวใจของพี่ชายเธอดำรงอยู่ได้ด้วยชีวิตของคาร์ลอส
หัวใจของเมฆาก็ไม่สามารถเต้นอยู่ได้หากมธุวันหายไปจากโลกใบนี้
แม้ว่านั่นจะหมายถึงการจากลากับหัวใจของตัวเองชั่วชีวิตก็ตาม
------------
คิดถึงเก๊าม๊ายยยยยย
ขอโทษนะคะที่มาอัพช้า เอากระจึ๋งแรกมาลงให้พอหายคิดถึงก่อนเนอะ