18th Diagnosis: Burnt Out || เทศกาลเตรียมสอบ
“หน้าตาสดชื่นเชียวนะมึง”
แว่นแซวเพื่อนรักที่มีสีหน้าอิ่มเอิบใจตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องเรียนจนกระทั่งทานข้าว มีนที่สังเกตเห็นเหมือนกันแต่ไม่พูดออะไรก็เงยห้นาขึ้นจากหนังสืออย่างอยากรู้อยากเห็น แทนไทยเพียงแต่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแต่ไม่พูดอะไร
ไม่ใช่ว่าสุดท้ายพี่อุ่นทนไม่ไหวเลยออนท็อปไปเรียบร้อยแล้วหรอกนะ?!
แว่นขนลุกพรึ่บเมื่อนึกภาพพี่สายรหัสของตนมัดเพื่อนรัักไว้กับเก้าอี้พร้อมด้วยโซ่แส้กุญแจมือครบครัน แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร ฝ่ามืออรหันต์ก็บินมาลงกลางกบาลของแทนไทยที่นั่งเหม่อหานางฟ้าคนสวย
“โอ๊ย! เจ็บๆๆ พี่ติณณ์ทำอะไรครับเนี่ย?!”
เด็กหนุ่มลูกครึ่งโวยวายคนที่เดินเข้ามาเพ่นกบาลเขาโดยไม่พูดไม่จา ติณณ์ภพดีดหน้าผากเด็กหนุ่มอีกรอบอย่างหมั่นไส้
“เห็นมาถามซะดิบดี กลัวพี่อุ่นเจ็บอย่างนั้นกลัวพี่อุ่นปวดอย่างนี้ นี่อะไร ไอ้อุ่นแทบคลานมาเรียน”
โอ้ว...
แว่นอยากจะชูนิ้วโป้งสองนิ้วให้เพื่อนแต่กลัวโดนลูกหลงไปด้วย
“ก็ผมถึงบอกไง ว่าผมไม่อยากทำ” แทนไทยบ่นอุบ “ผมกลัวหยุดตัวเองไม่ได้...”
“แล้วมันใช่ข้ออ้างมั้ยได้เด็กเวร” ติณณ์ภพประเคนฝ่ามือให้อีกป้าบแทนเพื่อนรักที่นอนหลับเป็นตายในห้องเลคเชอร์
“โอ๊ย! หัวคนนะครับไม่ใช่ลูกวอลเล่ย์” แทนไทยโอดครวญ
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าไอ้อุ่นเสียการเรียนเพราะเรื่องนี้หัวมึงเป็นลูกบอลให้กูเตะแน่” ติณณ์ภพชี้หน้าคาดโทษ แล้วเดินผ่านพวกเขา
เข้าไปในโรงอาหารที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย
พี่ติณณ์ก็มีมุมห่วงเพื่อนแบบนี้ด้วยแฮะ
“แทน ได้ให้เขากินยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดรึเปล่า” มีนถามเสียงเบา
“เอ๊ะ? ต้องให้กินด้วยเหรอ?” แทนไทยมีสีหน้าตกใจ
“จริงๆก็มียาทาด้วย...แต่ถ้ามันไม่บวมคงไม่ต้อง” ร่างเล็กงึมงำ จดชื่อยาในการดาษแผ่นเล็กแล้วยื่นให้แทนไทย ร่างสูงรับ
มาอย่างงุนงง อยากจะถามว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้รู้แต่ไม่กล้า
“เราขึ้นเรียนก่อนนะ” มีนหยิบจานของตัวเองลุกขึ้น เดินไปยังที่เก็บจานโดยไม่เปิดช่องว่างให้ใครถามอะไร
“มึง มีนนี่เขามีแฟนแล้วเหรอวะ?” แทนไทยหันมาถามเพื่อนรัก
“กูจะรู้กับมึงเหรอ ก็อยู่ด้วยกันตลอดเนี่ย” แว่นโกหก หยิบจานของตัวเองบ้าง “ไปได้ละ เดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก”
เขาไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แน่นอนของมีนกับพ่อของพี่อุ่น แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าชายหนุ่มเป็นสาเหตุให้ร่างเล็กต้องเรียนรู้เรื่องยาพวกนี้อย่างแน่นอน
หลังจากช่วงกิจกรรมหรรษาจบลง มหาวิทยาลัยก็เข้าสู่ช่วงสอบมิดเทอม
เป็นช่วงเวลาที่ร้านกาแฟ ห้องสมุด และศูนย์บริการอันเป็นที่สิงสถิตของหนอนหนังสือในช่วงเวลาปกติถูกยึดครองโดยเหล่าหมูที่ถูกดินพอกหางจนลุกไม่ขึ้น
และเป็นช่วงเวลาที่กวินภพเปิดโหมดอ่านหนังสือยี่สิบสี่ชั่วโมง
“พี่กล้า ข้าวเย็นครับ” แว่นป้อนอาหารให้กับชายหนุ่มที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือมาตั้งแต่เช้า เนื่องจากเป็นช่วงสอบ เด็กหนุ่มจึงไม่มีคลาส และการสอบของปีหนึ่งก็อยู่หลังพี่ปีอื่นสองสัปดาห์ ทำให้แว่นที่อ่านทบทวนมาตลอดไม่จำเป็นต้องลนลานอ่านหนังสือ
ผิดกับคนที่มีสอบปลายสัปดาห์ขะมักเขม้นจนลืมกินข้าวกินปลา หากไม่มีแว่น อีกฝ่ายคงอดตายไปตั้งแต่สองสามวันแรกแล้ว
แต่เรื่องอาบน้ำกับการนอนพักผ่อนนี่สิ
“พี่กล้า อาบน้ำได้แล้วครับ”
“อีกห้านาที” ชายหนุ่มงึมงำ จดโน๊ตยุกยิกยาวเหยียด
“พี่กล้า...”เด็กหนุ่มกอดอก “ถ้าไม่อาบคืนนี้ไม่ต้องนอนกอดผมเลยนะ”
โชคดีที่แว่นก็มีวิธีจัดการในแบบของตัวเองเช่นกัน
เมื่ออาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มก็จมอยู่กับหนังสือ เมินร่างเล็กที่นั่งอ่านชีทอยู่บนเตียงโดยสิ้นเชิง แว่นเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการสมาธิ แต่ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ที่ไม่มีใครพันแข้งพันขาเหมือนปกติ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองกว่าๆ
“พี่กล้า นอนได้แล้วครับ”
“แว่นนอนก่อนเลย พี่ขออีกบท” อีกฝ่ายพูดแบบนั้นมาห้ารอบแล้ว
แว่นอยากจะตามใจคนรัก แต่กวินภพทำแบบนี้มาสามวันแล้ว ทั้งที่ตัวเองก็อ่านทัน
เด็กหนุ่มเดินไปหาคนรัก โอบแขนรอบคอกวินภพจากด้านหลัง รู้สึกถึงแผ่นหลังกว้างที่แข็งเกร็งขึ้นมา
“นอนได้แล้วครับ เห็นมั้ยกล้ามเนื้อตึงหมดแล้ว” แว่นดุ บีบนวดบริเวณต้นคอของคนรักเบาๆให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายลง กวินภพครางอืออย่างพอใจ เอนตัวพิงคนที่กำลังนวดให้เขาอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ไปนอนที่เตียงดีๆครับ เดี๋ยวผมนวดให้” เด็กหนุ่มกระซิบ ดึงคนที่เหนื่อยล้าสะสมมาหลายวันให้เดินตามไปที่เตียง กวินภพทิ้งตัวลงนอนคว่ำบนเตียงอย่างหมดสภาพ แว่นกดนิ้วโป้งลงบริเวณหลังคอของคนรัก แล้วไล่ลงมาตามแนวกระดูกสันหลัง
“ดีขึ้นมั้ยครับ?”
“อือ..” ชายหนุ่มงึมงำ แว่นนวดต่อไปซักพักเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าร่างสูงหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปปิดไฟ แล้วกลับมาคลุมผ้าห่มลงบนร่างของกวินภพ แล้วสอดตัวลงข้างใต้ผ้าห่มผืนหนาอีกคน หลายคืนแล้วเช่นกันที่อีกฝ่ายเหนื่อยจนหลับเป็นตาย ไม่กอดเข้าเหมือนหมอนข้างอย่างที่เคย
พรุ่งนี้คงต้องทำอาหารบำรุงหน่อยแล้ว
“เดี๋ยวพี่ออกไปเอาแบบฝึกหัดที่ฝากไอ้เหนือถ่ายเอกสารแป๊บนะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แม้จะเป็นห่วงอยู่ลึกๆว่าร่างสูงจะขับรถไปชนต้นไม้ที่ไหนก่อนถึงหอพี่เหนือรึเปล่า
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอาหารบำรุงกวินภพ เด็กหนุ่มจึงเดินลงไปซุปเปอร์มาร์เก็ตด้านล่างเพื่อซื้อวัตถุดิบจำเป็น ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา กวินภพยกหน้าที่ให้แว่นเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายในบ้าน เงินที่ได้มาทุกงวดจากทางบ้านและปันผลหุ่นที่อีกฝ่ายเล่น ทุกบาททุกสตางค์เข้ากระเป๋าแว่นอย่างไม่มีตกหล่นโดยชายหนุ่มให้เหตุผลว่าตัวเองเป็นคนใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย ซึ่ง
นอกจากเสื้อผ้าข้าวของที่ซื้อให้แว่น เด็กหนุ่มยังไม่เคยเห็นร่างสูงใช้เงินโดยไม่มีเหตุผลซักครั้ง แม้จะตั้งตัวไม่ทันกับจำนวนเงินที่เดือนนึงก็มากพอให้แว่นเรียนจบได้อย่างสบายๆ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงยึดมั่นในบัญชีรายรับรายจ่ายที่ตนทำมาโดยตลอด
จะว่าไป...เหมือนคู่แต่งงานยังไงก็ไม่รู้
ไม่ๆๆๆ คิดอะไรเนี่ยไอ้แว่น!
เด็กหนุ่มตีอกชกหัวตัวเองอยู่พักใหญ่กว่าจะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง แว่นรีบหยิบของที่ต้องการแล้วเข็นไปที่ช่องจ่ายเงิน กว่าจะคิดเงินเสร็จ เอาของขึ้นไปเก็บ ผ้าที่ปั่นไว้ก็คงจะเสร็จพอดี
ติ๊ดๆ
เสียงเครื่องซักผ้าหยุดทำงานประจวบเหมาะกับเวลาที่เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพอดี ร่างเล็กหอบข้าวของะรุงพะรังเข้าไปในครัว เมื่อเก็บของสดเข้าตู้เย็นและพับถุงพลาสติกใส่ไว้ในกล่องใส่ถุงเรียบร้อบแล้ว แม่บ้านตัวน้อยจึงเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อเก็บผ้าออกมาตาก
เด็กหนุ่มหยิบกางเกงชั้นในสีดำของกวินภพขึ้นมาสะบัดให้ผ้าคลายตัว หลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกย้อนไปถึงช่วยแรกๆที่
เจ้าของห้องรู้สึกอายที่จะให้เขาซักกางเกงชั้นในให้จนชอบเอาไปซ่อนอยู่บ่อยๆ แว่นนึกสงสัยอยู่นานว่าชั้นในของอีกฝ่ายหายไปไหนหมดจนกระทั่งค้นเจอกองผ้าสีดำขนาดย่อมที่อีกฝ่ายแอบซุุกไว้ในกระเป๋าผ้าหลังตู้เสื้อผ้าอีกที
‘พี่ว่าจะเอากลับไปซักที่บ้านนี่’ อีกฝ่ายแก้ตัวเสียงอ่อย ใบหน้าหงอๆอย่างนั้นเป็นใครก็โกรธไม่ลง แว่นยังรู้สึกขำเสียด้วยซ้ำ
ที่อีกฝ่ายเกรงใจเขาขนาดนี้
เสียงประตูห้องถูกปลดล็อคเรียกความสนใจจากร่างบาง แว่นก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่พี่กล้าซื้อให้
ทำไมกลับมาเร็วจัง?
“โห ห้องสะอาดเอี่ยมอ่องเลยค่ะคุณนาย”
“ตายจริง ตอนน้องต้นบอกว่าไม่อยากให้ป้านวลมาช่วยทำความสะอาด ฉันนึกว่าลูกจะนอนใต้กองขยะทุกวันซะอีก”
เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนสองคนดังขึ้นจากในห้อง จากบทสนทนา ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็เดาได้ไม่ยากว่าแขกไม่ได้รับเชิญเป็นใคร เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อคิดว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับมารดาของกวินภพเพียงลำพัง ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด แว่นแนบกายชิดริมกำแพง นึกขอบคุณตัวเองที่เปิดม่านออกไม่สุดในวันนี้
“โห ของสดเต็มตู้เย็นเลย”
“เดี๋ยวนี้คุณชายเล็กทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะ”
“นั่นสิ มีแต่เครื่องแกงเครื่องเทศ น้องต้นทำอะไรเป็นนอกจากอุ่นเวฟด้วยเหรอ”
เด็กหนุ่มหลุดขำออกมา นึกถึงคนรักที่เกือบทำไมโคเวฟระเบิดเพราะใส่ไข่เข้าไปทั้งฟองโดยไม่เจาะไข่แดงให้แตกเสียก่อน
“เอ๊ะ ได้ยินเสียงอะไรมั้ยนวล”
“เหมือนจะมาจากทางระเบียงนะคะคุณผู้หญิง”
“สงสัยน้องต้นลืมปิดประตูระเบียงแน่เลย”
ซวยแล้วไง
แว่นสวมวิญญาณนักกายกรรมเปียงยาง ปีนขึ้นไปบนขอบระเบียงทันเวลาฉิวเฉียดกับที่อีกฝ่ายเปิดผ้าม่านออก ตั้งใจว่าหากคุณแม่และแม่บ้านของกวินภพเดินออกมาดูจริงๆ เขาจะกระโดดไประเบียงห้องข้างๆให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ก็แอบห่างอยู่นะ
น่า แค่ห้าเมตรเอง เขากระโดดถึงอยู่แล้ว
แต่ถ้าตกลงไป...
แว่นไม่กล้าแม้แต่จะก้มลงมองความสูงจากขอบระเบียงที่เขายืนอยู่ลงไปยังพื้นเบื้องล่าง
ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว เข็นขึ้นเมรุเลยครับ
“แม่ครับ? ป้านวล? มาทำอะไรกันที่นี่ครับ?” เสียงระฆังช่วยชีวิตดังขึ้นก่อนที่หญิงวัยกลางคนทั้งสองจะได้เปิดประตูระเบียง แว่นถอนหายใจอย่างโล่งอก พยายามย่อตัวลงเพื่อกลับลงมายังพื้นกระเบื้อง แต่เท้าเกิดลื่นจากมุมที่หมิ่นเหม่ ทำให้ร่างเล็กเสียการทรงตัว
“เหวอ!!”
“แว่น!!!” อ้อมแขนแกร่งดึงร่างทั้งร่างของเขาเข้ามาในอ้อมกอดอย่างทันท่วงที แต่แรงกระแทกทำให้ร่างสูงล้มลงมานั่งกับพื้นโดยมีคนรักอยู่บนตัก เด็กหนุ่มมัวแต่ใจหายใจคว่ำ กอดคนรักแน่นอย่างหวาดกลัวโดยลืมไปว่ามีแขกอาวุโสยืนก้มมองพวกเขาที่อยู่ในท่าล่อแหลมอย่างประหลาดใจ
“ทำอะไรเนี่ย?! ขึ้นไปบนนั้นทำไม? ถ้าแว่นตกลงไปพี่จะอยู่กับใคร ฮึ” กวินภพกอดตอบไม่ยอมปล่อย
“ขะ..ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อย
“น้องต้น...นี่เพื่อนเหรอลูก?”
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองคนถาม เมื่อรู้สึกตัวว่าอยู่ในสภาพแบบไหน แว่นรีบผละออกมาจากชายหนุ่มทันที
“เอ่อ..สะ..สวัสดีครับ” เมื่อคิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มยกมือไหว้มารดาและแม่บ้านของกวินภพอย่างนอบน้อม ทั้งสองรับไหว้เขาทั้งที่ยังมีสีหน้างุนงงไม่หาย
“แม่ครับ ป้านวล นี่แว่น แฟนผมเอง”
คนถูกแนะนำหันขวับไปหาคนรัก บอกไปง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ?
“หืม? คนนี้น่ะเหรอจ๊ะ?” หญิงร่างท้วมในชุดผ้าไหมอย่างดีที่เขาสันนิษฐานว่าเป็นมารดาของชายหนุ่มถามอย่างแปลกใจ
“แล้วเด็กที่น้องต้นเพ้อหาเช้าเย็นตั้งแต่ม.ปลายไปไหนซะล่ะ”
กวินภพรู้ว่ามารดาเป็นคนตรง แต่บางทีเขาก็อยากให้แม่พูดอ้อมกว่านี้บ้าง...
“ก็…คนนี้แหละครับ” กวินภพเกาท้ายทอย ยอมรับอย่างเขินๆ
“แหม จนได้สินะลูกคนนี้” หญิงวัยกลางคนร่างท้วมหัวเราะ “มาๆ มานั่งคุยกันดีๆ ให้แม่ดูหน้าลูกสะใภ้ชัดๆหน่อยซิ”
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้แว่นมานั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟาข้างๆกับคนรักที่มีสีหน้าระรื่นไม่ดูสถานการณ์
“น้องแว่น อายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะเนี่ย เรียนอยู่คณะอะไร มหาลัยเดียวกับพี่เค้ารึเปล่า?” คุณหญิงของบ้านที่แนะนำตัวว่าชื่อคุณเดือนดารา แต่ยืนกรานจะให้แว่นเรียกว่าคุณแม่ถามแล้วยกน้ำชาที่เด็กหนุ่มต้มให้ขึ้นจิบ “อืม รสชาติดีมากเลยนะเนี่ย”
“ขอบคุณครับ” แว่นยกมือไหว้อย่างขัดเขินที่ถูกชม “ผมอยู่ปีหนึ่งคณะแพทย์ครับ มหาวิทยาลัยเดียวกับพี่กล้า”
“คณะแพทย์? ถ้าอย่างนั้นก็เป็นน้องพี่ติณณ์น่ะสิจ๊ะ? แหม โลกกลมจริงๆเลย” คุณเดือนดารากล่าวยิ้มๆ
แว่นพยักหน้า แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ยอม ดึงคนรักเข้าไปกอดไว้แน่นราวกับเด็กหวงของเล่น
“ไม่เอา กล้าไม่ให้เป็นน้องพี่ติณณ์”
“น้องต้น แม่บอกแล้วไงคะว่าต้องแบ่งปันกัน อย่าเป็นเด็กขี้หวงสิ เดี๋ยวไม่มีคนรักนะ” แม้จะดุไปแบบนั้นแต่แววตาเอ็นดูของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าคนเป็นแม่ไม่ได้จริงจังกับคำพูดของตัวเองนัก
แต่ลูกชายคนเล็กกลับไม่คิดเช่นนั้น
“...แว่นรักพี่ใช่มั้ย” ชายหนุ่มเงยหน้าจากซอกคอขาวที่ตนซุกอยู่
ว้อท?
เด็กหนุ่มมองคนรักกับผู้อาวุโสในห้องสลับไปมาเลิ่กลั่ก จะให้เขาตอบไปเลยจริงๆเหรอ?
“แว่นไม่รักพี่เหรอ...” ลูกหมาตัวโตมีสีหน้าสลดลง ทำให้มารดาและคนที่เลี้ยงดูชายหนุ่มมาแต่เล็กทำหน้าสงสารคุณหนูคนเล็กของบ้านไปด้วย
น่าน...ตอบก็ตาย ไม่ตอบก็ตาย
“ครับๆ รักก็รัก”
แว่นตอบอ้อมแอ้ม ได้รับรางวัลเป็นอ้อมกอดของคนรักที่แน่นขึ้นจนเขาเริ่มหากใจไม่ออก
“พอแล้วน้องต้น เดี๋ยวน้องก็ขาดอากาศหายใจกันพอดี” คุณเดือนดาราส่ายหน้า “พี่ติณณ์นี่ก็จริงๆเล้ย น้องชายเล่นซนอะไรไว้ก็ไม่รู้จักบอกแม่ น่าตีนักเชียว”
“ตีเลยครับ” กวินภพพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะโดนคนตัวเล็กตีที่เขียนดีงเพี๊ยะ “โอ๊ย แว่น พี่เจ็บนะ”
“ดีครับ จะได้ไม่เกเรแบบนี้อีก” คนประทุษร้ายชายหนุ่มต่อหน้ามารดาตอบหน้าตาย
“เอ น้องแว่นนี่...ที่คุณแม่เปิดร้านขายแว่นอยู่แถวตลาดรึเปล่าจ๊ะ?” คุณเดือนดาราถามหลังจากจ้องหน้าเด็กหนุ่มมาได้ซักพัก แว่นพยักหน้า รู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายรู้จักร้านแว่นของมารดา
“คุณแม่รู้จักด้วยเหรอครับ?”
“รู้จักสิ ก็สมัยตอนพี่ติณณ์เพิ่งเข้าปีหนึ่ง ไม่รู้ทำไม เลนส์แว่นหลุดบ่อยมาก น้องต้นเลยอาสาเอาไปซ่อมให้พี่ตลาด มีอยู่ครั้งนึงที่แม่เป็นคนไปเอา เหมือนแม่จะเคยเจอน้องแว่นอยู่นะ”
ในตอนนั้นเธอยังคิดอยู่เลยว่ายังมีเด็กผู้ชายเรียบร้อยน่ารักที่มาช่วยคุณแม่ขายของแบบนี้อยู่อีกหรือ
“เลนส์แว่นหลุดเหรอครับ?” เด็กหนุ่มทวนอย่างตะหงิดในใจ หันกลับไปมองคนข้างๆที่จู่ๆก็นึกอยากชมนกชมไม้กระทันหัน
“จ้ะ พอพี่ติณณ์อ่านหนังสือจบแล้ววางแว่นไว้ทีไร กลับมาเลนส์ก็หลุดออกจากกรอบทุกรอบ สงสัยกาวจะยึดไม่แน่น”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่สายตาที่บ่งบอกว่ารู้ทันลูกชายตัวแสบทำให้กวินภพดึงคนรักมาเป็นเกราะกำบังประหนึ่งว่าตัวเองตัวเล็กเหลือเกิน คุณเดืนดาราส่ายหน้าอย่างเหนื่อยกับพฤติกรรมซุกซนของลูกชายคนเล็กที่มักจะเรียบร้อยยู่ตลอดเวลา นี่เธอ
ตามใจลูกมาเกินไปใช่มั้ย
“จริงๆวันนี้แม่แค่จะแวะมาดูว่าช่วงสอบน้องต้นมีอะไรทานรึเปล่า แต่เห็นแบบนี้แม่ก็หายห่วงแล้วล่ะจ้ะ” หญิงทั้งสองลุกขึ้นจากโซฟา แว่นลุกตามโดยอัตโนมัติเพื่อช่วยมารดาของคนรักถือของ เพิ่มคะแนนความเอ็นดูจากแม่สามีให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“แม่ไม่อยู่ทานข้าวก่อนเหรอครับ” กวินภพถาม ช่วยป้านวลถือข้าวของเดินออกมาส่งเช่นกัน
“ไม่ล่ะจ้ะ วันนี้พ่อเค้ารอทานข้าวอยู่ที่บ้าน” มารดาของเขาตอบ “แต่ถ้าสอบเสร็จแล้วพาแว่นมาทานข้าวที่บ้านบ้างสิ พ่อเขาก็อยากเห็นหน้าเหมือนกัน”
“ครับ!” ลูกชายคนเล็กตอบเสียงใส ไม่สนใจจะถามความเห็นของคนที่เป็นหัวข้อสนทนาซักนิด
“จริงสิ ชวนน้องฟ้ามาด้วยนะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แม่คิดถึง” คุณนายของบ้านกล่าวเมื่อนึกขึ้นได้
“ไม่รู้ว่าเขาจะว่างรึเปล่านะครับ ชวนทีไรก็ติดธุระ” ชายหนุ่มตอบ
เมื่อมาถึงรถที่มีคนขับรถนั่งรออยู่ด้านใน หญิงวัยกลางคนก็ดึงลูกชายเข้ามากอดพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่ ก่อนจะดึงแว่นที่ตั้งตัวไม่ทันเข้าไปทำอย่างเดียวกัน
“เจอกันนะจ๊ะ ฝากดูแลน้องต้นด้วยนะ”
“ครับคุณแม่” แว่นพยักหน้า รู้สึกแปลกใจที่ตัวเองสามารถตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกประหลาดอะไร
“เป็นไงแว่น คุณแม่พี่ใจดีมั้ย?”
กวินภพถามระหว่างที่ทั้งสองเดินกลับมาที่ห้อง แว่นพยักหน้า รู้สึกโชคดีที่คุณแม่ของพี่กล้าดูจะชอบเขาอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มเดินกลับเข้าไปในครัว เตรียมทำอาหารเย็นให้คนรักตามปกติ คิดว่าชายหนุ่มคงจะเดินกลับเข้าไปอ่านหังสือต่อในห้องเหมือนที่ผ่านมา แต่วันนี้กวินภพกลับเดินตามเขาเข้ามาในครัว ดึงผ้ากั้นเปื้อนสีชมพูหวานแหววผืนใหญ่กว่าเขาเล็กน้อยจากที่แขวนลงมาสวม แล้วหันมาหาแว่นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“วันนี้ให้พี่ช่วยทำอาหารนะ”
“หืม? ไม่อ่านหนังสือเหรอครับ?” เด็กหนุ่มถาม รู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆอีกฝ่ายก็เสนอตัวช่วย
“ไม่ล่ะ พี่อ่านจบแล้ว” ร่างสูงตอบ เปิดกระตูตู้เย็นหยิบของสดที่แว่นแช่ไว้ออกมาวางบนเคาท์เตอร์ครัว “อีกอย่าง พี่ีไม่ค่อยได้ใช้้เวลากับแว่นเลย”
“มะ..ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่คนเดียวได้” แว่นรีบพูด เขาไม่อยากถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นคนพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ชอบเกาะแกะคนอื่นตลอดเวลา
“พี่รู้ว่าแว่นอยู่คนเดียวได้” ชายหนุ่มเชยคางมนให้้้เงยขึ้นมองตัวเอง “แต่พี่อยากอยู่กับแว่น”
เด็กหนุ่มรู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นบนใบหน้าของตัวเอง แว่นถอยออกมาเตรียมวัตถุดิบปรุงอาหาร แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้หวั่นไหวกับคำหยอดหวานหยดเมื่อครู่ กวินภพช่วยคนตัวเล็กหยิบจับข้าวของตามประสาลูกมือที่ดี แม้ว่ามือซนๆจะชอบมาป้วนเปี้ยนแถวเอวของแว่นบ่อยๆจนทำให้อาหารเสร็จล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นไปนานก็ตาม
“ออกมาเยอะกว่าที่คิดไว้แฮะ”
เด็กหนุ่มปาดเหงื่อ มองอาหารละลานตาที่ตนเนรมิตขึ้นมาโดยมีกวินภพเป็นผู้ช่วยอย่างกลุ้มใจ ทำเยอะขนาดนี้กินไม่หมดคงเสียดายแย่
“จริงสิ เอาไปฝากพี่ติณณ์ดีมั้ยครับ?” เด็กหนุ่มหันไปถามคนรักที่หน้ามุ่ยทันทีที่ได้ยินชื่อพี่ชาย
“ไม่เอา”
แว่นถอนหายใจ ไอ้ตอนแรกๆมันก็น่ารักอยู่หรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายยังจงเกลียดจงชังพี่ชายอยู่แบบนี้ อนาคตไปจะมีปัญหาเข้าหน้ากันไม่ติดเสียเปล่าๆ อีกทั้งยังส่งผลถึงบุคคลิกระยะยาวของอีกฝ่ายด้วย เด็กหนุ่มดึงคนรักให้นั่งลงบนเก้าอี้ในครัวข้างตัวเองแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่กล้าครับ อะไรทำให้พี่กล้าคิดว่าพี่ติณณ์ดีกว่าพี่กล้าขนาดนั้นเหรอครับ?”
“ก็…พี่ติณณ์ทั้งหล่อ ทั้งเท่ ทั้งเรียนเก่ง..” ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อย
“แล้วพี่กล้าเรียนไม่เก่ง? ไม่หล่อ? ไม่เท่?” เด็กหนุ่มถามต่อ ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าแบบไม่ต้องคิด
“พี่กล้า ฟังผมนะครับ ในสายตาของคนอื่น พี่ติณณ์จะดีกว่าพี่แค่ไหนผมไม่รู้ แต่ในสายตาของผม พี่กล้าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าเอาเรื่องแค่นี้มาเป็นประเด็นให้ตัวเองรู้สึกไม่ดีเลยนะครับ”
เมื่อเป็นชายหนุ่มไม่หือไม่อือ แถมยังมีสีหน้าไม่เชื่อคำพูดของเขา แว่นจึงเอื้อมมือไปแตะใบหน้าของชายหนุ่มเบาๆ
“ต่อให้พี่ติณณ์มาแก้ผ้ายืนอยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่ทำแบบนี้หรอกนะครับ”
ริมฝีปากรูปกระจับแนบปิดริมฝีปากได้รูปของคนรัก แว่นขยับตัวจากเก้าอี้ของตนเข้าใกล้ชายหนุ่มมากขึ้น กวินภพโอบเอวบางให้นั่งลงบนตัก จูบตอบเด็กหนุ่มตัวเล็กอย่างทะนุถนอม แว่นหลับตาลง มือยังคงประคองใบหน้าคมของชายหนุ่มเพื่อให้ระลึกได้ว่าคนตรงหน้าคือพี่กล้าของเขา และพี่กล้าจะไม่มีวันทำร้ายเขา
มือหนาสอดเข้ามาใต้เสื้อยืดของเด็กหนุ่ม แว่นเกร็งตัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ห้ามปรามอะไร ชายหนุ่มถือเอาความเงียบเป็นคำอนุญาต ลูบไล้แผ่นหลังเนียนอย่างหลงใหล จุมพิตไล่ลลงมาตามซอกคอขาว
“พี่กล้า...” แว่นขยุ้มเสื้อของคนรักจนเป็นรอยยับกับความรู้สึกวาบหวามที่ไม่เคยสัมผัส สีหน้าน่ารักที่แสดงออกมาปลุกกวิน
ภพน้อยที่นอนหลับใหลให้ตื่น กวินภพรีบอุ้มอีกฝ่ายลงจากตักราวกับว่าเด็กหนุ่มทำจากปุยนุ่น ก่อนจะหยิบผ้ากันเปื้อนที่ถอดวางไว้บนโต๊ะมาคลุมตัก
“พี่กล้าครับ?” แว่นมีสีหน้าไม่เข้าใจ ร่างสูงยิ้มแห้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอายๆ
“คือ..พี่จะไปห้องน้ำอ่ะ แว่น...หันหลังไปก่อนได้มั้ย”
คราวนี้เด็กหนุ่มเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร ใช่ว่าเขาจะไม่สงสารที่ชายหนุ่มต้องปลดปล่อยความต้องการของตัวเองทั้งที่เขาก็อยู่ตรงนี้ แต่เด็กหนุ่มยังไม่พร้อม....
รึเปล่า?
แว่นเม้มปาก เขาพร่ำบอกตัวเองเสมอว่าเขายังไม่พร้อมจะทำเรื่องแบบนั้นกับอีกฝ่าย แต่ในระยะเวลาที่ผ่านมา กวินภพก็จูบเขาหลายรอบโดยที่เขาไม่เคยมีปฎิกิริยาอะไรมากว่าการสะดุ้งเล็กน้อย
ถ้าเขาจะลองดู...จะเป็นไรมั้ยนะ?
“พี่กล้าครับ..”
“หืม?” ชายหนุ่มขยับตัวยุกยิก นึกสงสัยว่าเมื่อไหร่คนรักจะหันกลับไปเสียที แว่นคว้าข้อมืออีกฝ่ายที่กดผ้ากันเปื้อนไว้แล้วดึงให้ลุกขึ้น
“ไปที่เตียงกันเถอะครับ”
---------
ลาสอบนาจา ถ้าหายบ้างจงอย่าตกใจ555555
:
![:o12:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/onion072.gif)