24 – สะท้อนกลิ่นดอกไม้ที่ทำให้หายใจไม่ออก สายฝน บทเพลงแจ๊ส ดึงดูด ผลักไส เสียงลมหายใจที่ฟังหนักเหมือนแบกบางอย่างไว้ เสียงเอ่ยเรียกชื่อเขา เป็นไท เป็นไท เสียงเรียกจากใจเย็น แหบห้วน และหื่นกระหาย
“อยากมีอะไรด้วย”
เป็นประโยคที่เหมือนทำให้สร่างมึนเมาของกลิ่นดอกไม้เพราะรู้ดีว่าเกินขอบเขตของจักรวาลความรู้สึก สิ่งที่ตบกลับเข้าขอบเขตได้จึงเป็นความรุนแรง เป็นไทง้างหมัดเหวี่ยงเข้าหน้าของใจเย็น ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ผลลัพธ์ชะงักค้างก็ทำให้เขาค่อนข้างตกใจ รู้สึกผิด สับสน จนสุดท้ายก็ฉกฉวยโอกาสจากความเงียบเพื่อจะหนีไปอีกครั้ง เขาผลักประตูรถให้ปิด และน่าประหลาดที่ในชั่ววินาทีสั้นๆ บนกระจกที่พร่างพรมหยาดน้ำให้มัวเมาเงาเลือนรางของตัวเอง เขาเห็นแววตาของตัวเองชัดบนนั้น แต่บอกไม่ได้เลยว่าเป็นแววตาของความรู้สึกใด
เป็นไท ผมขอโทษ – เขาได้ยินประโยคนั้นดังตามหลังมา – อย่ากลับไปทั้งแบบนี้เลยนะ – ฟังเป็นเสียงอ้อนวอนด้วยหัวใจที่เขาเคยได้ยินไม่กี่ครั้งในชีวิต ก่อนจะถูกสาดซัดซ้ำด้วยประโยคสั้นๆ – ฝนยังตกอยู่เลยนะ
ถึงจะคิดว่าซับซ้อนสับสน แต่นิยามสั้นๆ ของความรู้สึกที่ทำให้เป็นไทเดินกลับไปที่รถคงเป็นคำว่า ‘ใจอ่อน’ เขากลับมานั่งลงที่เบาะข้างคนขับ ต่างจากฉากจุบเมื่อครู่ที่ประตูจะเปิดอ้าค้าง ตอนนั้นประตูปิดหมดแล้วทุกบาน เสียงฝนจึงเบาลงเหลือเพียงเม็ดฝนไร้มารยาทที่ดิ่งตัวเข้าเคาะกระจก
“ทำไมเป็นไทพูดว่าผมจะชอบเป็นไทแบบนี้ไม่ได้” นานกว่าที่ประโยคคำถามนี้จะเริ่มขึ้นหลังเสียงเพลงแจ๊สถูกกดปิด และเป็นไทก็ไม่รู้จะนำคำพูดใดมาปกปิดความเงียบ จนกระทั่ง “ในเมื่อเป็นไทจูบผมก่อน”
“...ก็เพื่อที่จะบอกว่าไม่ได้”
“งั้นไม่ให้ผมเอา เพื่อที่จะบอกว่าเอาไม่ได้ไปเลยล่ะ”
เป็นไทรู้ตัวว่าคำตอบของตัวเองงี่เง่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคเสียดแทงหลายจุดความรู้สึก ทั้งตกใจในเนื้อความ ทั้งตกใจในน้ำเสียงแข็งกร้าว ใจเย็นดูหงุดหงิดจากขัดใจแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และก็ไม่คาดว่าจะได้เห็น
“ขอโทษครับ” แต่พลันก็เพลาเบาบางลงเมื่อรู้ตัวพร้อมกับแววตาที่ค่อยๆ อ่อนลง “แต่ยังไง...มันคงแปลว่าผมชอบเป็นไทแบบนี้”
“แน่ใจหรือไง”
“แน่ใจพอๆ กับที่เป็นไทชอบไอติมสตรอเบอร์รี่”
อีกครั้งที่คำตอบชวนให้ไม่คาดคิด เป็นไทไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ในเวลานั้น แต่มันก็ดูเป็นคำยื่นยันที่ชวนให้เชื่อ เหมือนใจเย็นจะบอกว่ามองเขาออก และก็เฝ้ามองมาตลอด
ขณะเดียวกันมันก็ชวนให้ปวดใจพิลึก
“แล้วคนอื่นๆ ของมึงล่ะ”
เพราะหลังคำถามนี้ใจเย็นกลับเงียบ ไม่ใช่เงียบเหมือนเจอคำถามที่คาดไม่ถึง แต่เงียบได้สุขุม เหมือนคิดค้นอะไรในความลุ่มลึกมากกว่าลนลานหาคำตอบ
“ทำไมล่ะครับ”
และเอ่ยคำถามที่ยืนยันชัดว่าไม่คิดว่ามันเป็นความผิดแม้แต่น้อย
“มึงไม่ได้ชอบกูหรอก”
ทันควันที่เป็นไทสวนกลับ เปิดประตูรถออกไปอีกครั้ง แต่ก็อีกที่ใจเย็นดึงรั้งไว้ได้ก่อน
“เป็นไท ผมต้องการคำตอบ” มองย้อนกลับไปยังแววตาคู่เดิมก็เห็นว่าหมายความแบบนั้นเต็มความหมาย “ผมอยากรู้จริงๆ ว่าทำไม”
เป็นไทลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ดึงประตูรถให้กลับมาปิด
“มึงเคยรู้ไหมว่ามึงทำให้คนอื่นเขาเจ็บ อย่างพวกผู้หญิงที่มึงคบนั่นน่ะ รู้ไหม”
“รู้ครับ”
“เออ รู้แล้วทำไมยังทำ”
“ก็ผมไม่เห็นเข้าใจเลย”
“ไม่เข้าใจอะไร”
“ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเจ็บปวดกับเรื่องแบบนี้”
วินาทีที่ได้ยินคำตอบนั้น เป็นไทก็พาลอยากจะไม่เข้าใจอะไรบนโลกนี้เลย เหมือนกับที่ใจเย็นไม่เข้าใจมันจริงๆ แบบไม่ได้เสแสร้ง เพราะถ้าไม่เข้าใจก็คงไม่ต้องเจ็บปวด ถ้าไม่เข้าใจก็คงไม่คิดค้นลงไปว่าอะไรที่ทำให้ใจเย็นเป็นแบบนี้ สังคมงั้นหรือ? ครอบครัวงั้นหรือ? หรือเป็นตัวของใจเย็นเองที่ไม่คิดจะทำความเข้าใจความเจ็บปวดของผู้อื่น
ยิ่งคิด ก็ยิ่งเจ็บปวดขึ้นมา เจ็บปวดแบบที่ใจเย็นไม่มีวันเข้าใจ
“ทำไมครับ มันผิดเหมือนไปฆ่าคนตายเลยเหรอ”
และยิ่งใจเย็นส่งคำถามนี้แทรกกลางความอึดอัด ก็ยิ่งย้ำชัดเช่นนั้น
“มึงคงไม่เคยชอบใครจริงๆ”
“ชอบสิครับ”
“แล้วถ้าคนที่มึงชอบ มีคนอื่นเหมือนที่มึงมีล่ะ”
“ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
เป็นไทรู้สึกเหมือนเม็ดฝนไร้มารยาทขึ้นทุกทีในเวลานั้น มันดิ่งตัวลงเคาะกระจกหนักและแรงขึ้น รุมเร้าให้เขายิ่งสับสนอลอึงไปพร้อมกับกลิ่นดอกไม้ที่แสบจมูกทั้งที่เคยอ่อนโยน
“ถ้าเป็นกูล่ะ” เขาถามออกไปเสียงแผ่ว “บอกว่าชอบกูไม่ใช่หรือไง ถ้ากูมีคนอื่นล่ะ”
อีกครั้งที่ใจเย็นเงียบ และอีกครั้งที่ดูจะไม่ได้เงียบเพราะลนลานหาคำตอบ “ถ้าเป็นไทมีความสุขก็ดีครับ”
เพราะมันชัดเจนเหลือเกินว่าไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนใจเย็นได้ง่ายๆ
“แค่อย่าหายไปจากผม—”
“มึงไม่ได้ชอบกูหรอก” เป็นไทไม่รอฟังให้จบ “กูก็ไม่ได้ชอบมึงด้วย
น้ำเสียงมั่นคงจนเผลอแน่ใจไปแล้วว่าไม่ได้โกหก
“แต่...ผมอยากให้เป็นไทอยู่ข้างๆ นะ”
“กูก็อยาก” เป็นที่สัตย์จริงแม้น้ำเสียงสั่นไหว “แต่แค่อยากอยู่ด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่าชอบไม่ใช่หรือไง”
“แต่—”
“แค่อย่าหายไปจากกันใช่ไหมที่พูดเมื่อกี้ เออ กูไม่หายไปไหนหรอก แต่ช่วยลืมสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไปด้วย”
ใจเย็นเงียบ แต่ครั้งนี้ดูเป็นความเงียบที่ว่างเปล่า
“ทำความเข้าใจใหม่ด้วยว่าที่คิดว่ารู้สึกอะไรจนลามปามมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
ฝนหยุดตกหลังประโยคนั้น สร่าซาพร้อมจางกลิ่นดอกไม้ที่ทำให้เจ็บปวด และในความพลิกผันของสัมพันธ์ ข้อตกลงต่างๆ เกิดขึ้น ขีดเส้นแบ่งสิ่งที่ทำได้และไม่ได้ แม้แต่คำพูดคำจาบางอย่าง เพื่อไม่ให้สัมพันธ์เลยเถิด เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดอีก เพื่อคงความสัมพันธ์เอาไว้
แม้จะไม่มีฝ่ายไหนเคยถามเลยว่าความสัมพันธ์นี้คืออะไร
ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งในอากาศของเดือนมกราคม อากาศร้อนแบบไม่ปรานีปราศรัยใดๆ เป็นไทนั่งอยู่ในลานจอดรถที่อบอ้าวเพราะไร้ลม มันเป็นลานจอดรถเดียวกันกับที่ใจเย็นลองสูบบุหรี่แล้วสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหลให้ขบขัน คิดย้อนภาพนั้นก็ยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย แต่ไม่นานก็จางหายคล้ายควันบุหรี่ บ่อยครั้งที่เป็นไทนึกเรื่องของใจเย็นและปล่อยมันปลิดปลิวหายไป โดยที่ก็ไม่เคยรวบรวมกลับมานับดูว่ามันมหาศาลแค่ไหน
ทั้งเรื่องของดอกไม้ในแจกันแก้ว เรื่องของหมาชื่อทันใจและใจเย็น เรื่องของการชอบเฝ้ามองผู้คน เรื่องสารคดีสัตว์โลกที่บอกว่าอยากทำ เรื่องของความฝันที่เป็นไทเองก็ไม่อยากให้มันแตกสลาย เรื่องเรียน เรื่องสอบ เรื่องของครอบครัว เรื่องของน้องทั้งสองคน และเรื่องของตัวเขา เรื่องที่ใจเย็นมักบอกว่าเขาคือส่วนประกอบตัวตนของใจเย็นเอง
ฟังเป็นคำหวาน หอมหวนคล้ายกลิ่นดอกไม้ แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจครอบครองไว้เพียงผู้เดียว และเพราะขัดกับนิสัยหวงของที่คงทำให้สัมพันธ์ล่มสลายกลายเป็นซากปรักหักพังในสักวัน เป็นไทรู้สึกว่าสัมพันธ์ตอนนี้มันดีที่สุดแล้ว และก็ไม่ได้มีเรื่องให้ทุกข์ร้อนอะไรด้วย
เขาบี้ไฟปลายมวนบุหรี่ให้มอดดับและทิ้งลงถังขยะ เดินผ่านรถที่จอดเป็นแนวแถวเพื่อกลับไปยังร้านของแม่ แต่ชั่ววูบหนึ่งที่สบตาเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจก เขาเห็นแววตาของตัวเองชัดบนนั้น พลันขนลุกขึ้นมาที่เหมือนเห็นภาพซ้อนทับกับวนฝนตก เขายังคงบอกไม่ได้ว่าแววตานั้นเป็นแววตาของความรู้สึกใด
เป็นไทรีบก้าวยาวๆ กลับมายังร้านของแม่ แสงสว่างและอากาศเย็นทำให้รู้สึกสงบลง หากเสียงพูดคุยจุกจิกระหว่างแม่กับชนากานต์ผู้เป็นเพื่อนหุ้นส่วนก็ทำให้เขารู้สึกแสลงหู และจังหวะที่เขาจะขอตัวกลับก็ได้ยินสิ่งที่ทำให้รู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง
“เป็นไท เมื่อกี้...แม่เจอพ่อเขาด้วย”
เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่แม่ก็ยังคงพูดต่อ
“แปลกนะ คิดว่าจะทำเหมือนไม่รู้จักกันไปก็ดีแล้ว แต่เขากลับเข้ามาถามแม่ว่าสบายดีไหม เขา...ถามถึงลูกด้วยนะ”
วินาทีนั้นที่เป็นไทรู้สึกเกลียดแม่ขึ้นมาจับใจ ทั้งที่ก็รู้ดีว่าแม่ไม่ได้ผิดอะไร แต่เขาก็ห้ามความรู้สึกไม่ได้ พลันการหลบตาจากความเกลียดก็ทำให้เขาสบเข้ากับกระจกบานใหญ่ภายในมุมลองเสื้อของร้านที่ม่านเลื่อนเปิดทิ้งไว้
เป็นไทเห็นแววตาของตัวเองอีกครั้ง หากครั้งนี้เขาเห็นความเจ็บปวดของตนเอง เขารู้ตัวว่าแค่มีอะไรมาสะกิดให้นึกถึงเรื่องพ่อ ตัวของเขาก็จะคลอนแคลนสั่นไหวด้วยเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดในครั้งนี้มันลึกกว่านั้น เพราะเขาเคยคิดเอาไว้ว่าจะมีคนคอยรับไว้ยามที่เขาร่วงหล่น แต่ความจริงไม่มีแล้ว
มันเป็นความเจ็บปวดสืบจากสัมพันธ์ระหว่างเขากับใจเย็น ที่ต่อให้คิดว่าดีแค่ไหนก็จะมีช่องโหว่ เป็นช่องโหว่ที่ทำให้เขาไม่สามารถแบ่งปันความเจ็บปวดในทุกๆ เรื่องให้ฟังได้อย่างที่ต้องการ ไม่สามารถไปทำตัวอ่อนแออยู่ข้างๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบหัวตามอำเภอใจอย่างที่เคยทำ เพราะถ้าทำก็จะกลายเป็นการเลยเถิด และพอเลยเถิดถลำลึกก็จะกลายเป็นความเจ็บปวดไร้สิ้นสุด โดยที่ช่องโหว่ก็ไม่ได้หายไปหรือหดแคบเล็กลงเลยสักนิด
และเป็นไทก็ไม่แน่ใจว่าเขาไม่มีความสามารถพอจะหาสิ่งมาอุดช่องโหว่นั้น หรือเป็นใจเย็นเองที่ซ่อนมันไว้โดยไม่มีวันนำออกมาให้ใครเห็นง่ายๆ
แต่ที่รู้ตอนนี้ เป็นไทรู้แล้วว่าแววตาของเขาในวันฝนตกกำลังสะท้อนอะไร เพราะมันไม่ต่างจากแววตาของเขาตอนนี้เลย
มันเป็นแววตาของความขลาดกลัวที่รู้ดีว่าอะไรๆ ก็จะไม่เป็นดังหวังเลยสักอย่าง******************************************************************************
ติดแท็ก #ใจเย็นกับเป็นไท ไปพูดคุยกันได้นะคะ
คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเดินมากลางครึ่งเรื่องแล้วแหละ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันเสมอมานะคะ ก็อยากให้ติดตามต่อไปเนอะ
