12 – ดอกไม้ต่างกับใจเย็น เป็นไทมีเพื่อนสนิทอยู่คนสองคน แต่ก็ไม่เคยมีคนไหนที่เป็นไทเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เขาเคยถูกพ่อทำร้าย แม้แต่สาเหตุที่เขานอนเปิดไฟก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง เป็นไทเก็บงำเงียบมิดชิด ปิดล็อกแน่นหนาในลิ้นชักของอดีต ด้วยก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องขุดรื้อขึ้นมาให้ใครรู้ ผ่านแล้วก็ผ่านเลย ยิ่งลืมได้ยิ่งดี
แต่แน่นอนว่าเป็นไทไม่เคยลืม ทุกครั้งที่เหมือนจะหายสนิทก็ถูกความฝันสะกิดแง้มหลอกหลอน ทรมาน ย้ำลึก ตะเกียกตะกายหนีจากอดีตจนเหนื่อยหอบ ครั้งนี้ความฝันกลับมาในคืนก่อนสอบ ในงีบงันที่เผลอหลับคาตำหรับตำราเรียน รู้สึกเหมือนความรู้กระเจิงหาย ล้มตาย และเป็นเขาเองนั่นแหละที่จะตายตามไปอีกคน ถ้าไม่ตั้งสมาธิใหม่ ลืม ลืมฝันร้ายให้เหมือนไม่เคยฝัน หรือไม่เคยเป็นความทรงจำใดๆ
หากถึงเป็นไทจะทำได้ ทั้งลืมความฝันนั้น ทั้งทำข้อสอบในคาบเช้า แต่ความรู้สึกแย่ก็ยังกอดกินอยู่ลึกๆ เย็นวันนั้นเป็นไทจึงกลับบ้าน เขาไม่อยากอยู่คนเดียวในคอนโดห้องเล็กๆ ที่ก็ไม่ใช่ของเขาเอง มันเป็นของครอบครัวปราย เป็นฝันสลายของใครบางคนที่ตายจากไปก่อนจะได้ซื้อบ้านเดี่ยวให้ครอบครัว เป็นความรักที่ไม่บิดพลิ้วแบบที่เขาไม่เคยได้รับ
ถ้าไม่ใช่เพราะปราณีคำนวณค่าเดินทางไปกลับมหาวิทยาลัย ค่าเหนื่อย ค่าเสียเวลาของเป็นไทแล้วพบว่ามันสูสีกับเงินรายเดือนจากการปล่อยห้องให้เช่า เป็นไทก็คงไม่ได้กระตือรือร้นจะย้ายเข้ามาอยู่นัก ปรายเองที่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่บ้านไม่ถึงปีเพราะถูกเห็นว่าเด็กเกินจะอยู่คนเดียวก็ดูไม่ค่อยชอบใจ หากเก็บเงียบงัน ซ่อนไว้เบื้องลึกหลังแววตาที่เขาไม่คิดจะสบตานัก แต่ก็นั่นแหละ ปรายไม่ใช่คนที่เขาคิดเกรงใจอยู่แล้ว
กลับบ้านครั้งนี้เป็นไทแค่อยากได้บรรยากาศของบ้าน เขาไม่แน่ใจนักว่าจะเรียกว่าอยากเจอแม่ให้สบายใจได้ไหม ในเมื่อแม่เองก็ไม่ใช่คนที่เขาพูดคุยได้ทุกเรื่อง บางครั้งแค่พูดเรื่องเรียนหรือเรื่องสอบให้ฟัง แม่ก็จะตีกลับมาด้วยเรื่องงานของแม่ และยึดพื้นที่สนทนาไปครองจนเขาคร้านที่จะพูดคุย
“แม่คิดว่าจะลงทุนขายของเล็กๆ น้อยๆ ดีไหม”
“ก็ดี”
"ขายอะไรดี"
“ของกินดิแม่ ขายอะไรที่เป็นปัจจัยสี่”
“งั้นเสื้อผ้าก็ใช่นะ”
ถึงตรงนี้เป็นไทก็รู้สึกว่าแม่มีคำตอบในใจอยู่แล้ว หลังจากนี้ก็จะยึดพื้นที่ในสนทนาอย่างเคย เป็นไทรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็แค่เงียบ ฟัง แม้ไม่ได้จับความหมายใด
“ทำไมบ้านเราไม่มีต้นไม้เลย”
กลางคันที่เป็นไทถามแทรกให้แม่ตอบคำถามที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าบ้านไม่มีพื้นที่สำหรับทำสวน ก่อนจะกลับไปได้ยินเรื่องที่แม่อยากจะพูด เขาไม่รู้ว่าควรแย้ง ถาม หรือแนะนำตอนไหน มันยังดูเป็นโครงการที่แม่เพิ่งวาดฝัน ไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรม สุดท้ายสมาธิก็หลุดไปคิดเรื่องอื่น เรื่องที่ต่อจากเมื่อครู่
เรื่องของใจเย็น
เหมือนกลิ่นดอกไม้ที่เขาไม่เคยรู้ชื่อฟุ้งฟ่องล่องลอยในความคิด ในบทสนทนาที่เขาไม่ได้พูดอะไรที่อยากพูด ในความขี้หงุดหงิดของตนที่เขาเองก็ไม่ได้ชอบ ในอะไรสักอย่าง ลึกๆ ข้างในให้เขานึกถึงใจเย็นขึ้นมา ก่อนที่คำนึงนั้นจะสูญหายพร้อมเสียงของแม่ที่หยุดลง ให้เขาได้ปลีกตัวขึ้นห้อง ดูหนัง ฟังเพลง ทำอะไรที่อยากทำหลังสอบเสร็จจนดึกดื่นโดยไม่ได้นึกถึงใจเย็นอีกเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น แข่งกับเสียงฝนตก เป็นไทตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือ ห้วงแรกที่ได้ยินก็ตั้งใจปล่อยทิ้งไว้ แต่นานเข้าก็ยังไม่เงียบเสียงให้นึกหงุดหงิดแล้วควานหาต้นตอบนโต๊ะวางโคมไฟข้างเตียง หน้าจอปรากฏเบอร์แปลก เขาขมวดคิ้วก่อนรับสายเสียงงัวเงีย
“ฮัลโหล”
“เป็นไท”พลันคำเรียกชื่อและเสียงที่ได้ยินก็ทำให้ค่อยๆ ตาสว่าง
“มึงเองเหรอ”
“เรียกชื่อผมบ้างก็ได้ครับ”“มีเหี้ยอะไร กูนอนอยู่”
“เป็นไทอยู่ที่คอนโดหรือเปล่า”“อยู่บ้าน”
“งั้นเหรอ”
จบคำ ปลายสายก็เงียบดับ เลื่อนโทรศัพท์มือถือมาดูหน้าจอพบว่าสายถูกตัดไปแล้วก็แทบอยากจะปามันใส่หน้าคนที่โทรมาไม่บอกธุระ แต่ความง่วงก็บอกให้ปลดปลง เขากดปิดเสียง หลับตาลงกับเสียงฝนเช้า ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อแม่มาปลุก
“น้องใจเย็นมาหาแน่ะ รออยู่ข้างล่าง”
สิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เหมือนหงุดหงิดเรื่องที่ใจเย็นโทรมาปลุกจนเก็บมาฝัน แต่เมื่อโดนแม่เรียกซ้ำอีกทีถึงรู้ว่าไม่ใช่ เป็นไทลุกจากที่นอน มองไปหน้าบ้านก็เห็นรถจอดอยู่ ไม่ใช่เมอเซเดสเบนซ์สีงาช้างแต่เป็นออดี้สีขาว ไม่รู้ทำไมเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก
เป็นไทล้างหน้าแปรงฟันอย่างเอ้อระเหยแบบจงใจ ก่อนจะลงไปข้างล่าง เห็นใจเย็นนั่งคุยกับแม่ที่น่าจะกำลังถามซ่อกแซ่กถึงเรื่องเรียน ซึ่งใจเย็นก็ยิ้มให้เมื่อเห็นหน้าเขา
“มีอะไรถึงมา” เป็นไทถาม จำใจสุภาพทั้งที่อยากด่าเพราะสถานะใจเย็นในบ้านตอนนี้ก็คือลูกชายเพื่อนแม่
“เป็นไทสอบเสร็จแล้วใช่ไหม”
“เออ” ตอบพลางนึกว่าก็เคยบอก แต่ก็ไม่คิดว่าจะจำได้
“มาชวนไปเที่ยวครับ”
“ฮะ?” หลุดอุทานก่อนตามด้วยความหงุดหงิดล้านแปด หลักๆ คือความปุบปับเอาแต่ใจของใจเย็นนั่นแหละ รองลงมาก็คือถูกรบกวนเวลานอนทั้งที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น
แต่สุดท้าย สุดท้ายแล้วด้วยแม่ของเขาที่ดูจะเอ็นดูใจเย็นมากกว่าลูกชายตัวเองในเวลานี้ก็ทำให้เป็นไทไม่อยากจะขัดอะไร ที่สำคัญยิ่งขัดก็คงยิ่งหงุดหงิดเสียเองเมื่อแม่มาบ่นในภายหลัง
“แล้วตกลงมึงจะไปไหนวะ” เป็นไทเอ่ยถามตอนที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ดูแข่งรถครับ”
“เช้าๆ เนี่ยนะ ที่ไหน”
“พรุ่งนี้ครับ บุรีรัมย์”
“ฮะ?” อีกครั้งที่เป็นไทอุทานคำนี้ แต่ใจเย็นกลับยิ้ม
“เดี๋ยวนั่งเครื่องไปตอนบ่ายๆ น้องผมไปด้วย”
เป็นไทรู้สึกพูดไม่ออก เพราะคำที่นึกได้มีแต่คำด่า ด่าแบบเอาแต่ใจไร้เหตุผลเหมือนกับที่ใจเย็นเอาแต่ใจนั่นแหละ
“จะไปค้างต่างจังหวัดกันเหรอลูก กี่วัน แม่เตรียมเสื้อให้ไหม”
“เดี๋ยวแม่”
“สองวันครับ กลับวันอาทิตย์” ใจเย็นกลับแทรกตอบแทนเป็นไทที่ยังไม่เอ่ยเห็นดีสักคำ
“ได้ๆ ไปสิ ไปเที่ยวบ้าง เห็นไทเหนื่อยสอบมาหลายอาทิตย์แล้ว อยู่กับแม่ก็คงไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนไกลๆ หรอก”
และนั่นเองที่ยิ่งทำให้เป็นไทกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันก็จริงที่ว่าตั้งแต่เด็กแล้วเขาไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนไกลนัก ตัดเรื่องพ่อออกไปได้ แม่ก็ติดเรื่องเงิน เรื่องกังวลนู่นนี่ในการเดินทาง สารพัดสิ่ง แต่หลักๆ ก็คือเรื่องเงินที่แม่มักจะชอบตัดพ้อให้แสลงหูอยู่บ่อยๆ
“แต่ผมไม่มีเงินนะแม่”
“แม่ผมออกให้หมดแล้วครับ”
แล้วทุกอย่างก็จบสิ้นที่คำนั้นเอง ให้แม่ของเขายิ่งดูชอบใจแกมเกรงอกเกรงใจพอเป็นพิธี เพราะถ้าไปเองได้ก็คงไปแล้ว สุดท้ายเป็นไทก็โดนยัดเยียดให้ขึ้นรถออดี้สีขาวพร้อมเป้หนึ่งใบ ให้มึนงงว่าสรุปแล้วมีอะไรที่เขาได้ตัดสินใจเองบ้างในเช้าวันหยุดอันมีค่าของเขาแต่ดูไม่มีค่าในสายตาใครเลย
“ทำไมต้องให้กูไปด้วยวะ ถามก็ไม่ถามว่าชอบดูแข่งรถไหม” จนเมื่อสมองเลิกมึนงงและกลั่นกรองเป็นคำถามได้นั่นแหละถึงเอ่ยออกไป
“ก็ผมอยากให้เป็นไทไปด้วย”
อีกแล้ว อีกแล้วที่เป็นไทรู้สึกว่าใจเย็นเอาแต่ใจ แต่ตอนนี้เขาไม่รู้จะแย้งอะไร ได้แต่ปล่อยให้เพลงแจ๊สของ Amy Winehouse ประสานตกร่องของสนทนา
“เป็นไทไม่ยอมมาสอนตอนผมปิดเทอม ผมก็เลยอยากเจอ”
“เออๆ”
แต่เมื่อปล่อยให้มีแต่เสียงเพลงดัง ใจเย็นก็เป็นฝ่ายหาเรื่องคุยขึ้นมา และก็อีก ทุกอย่างดูเกี่ยวข้องกับตัวเขาทั้งนั้น และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่อาจสรรหาคำมาแย้ง ไม่อาจหาคำอธิบายจากใจเย็นด้วยว่าทำไมถึงดูวนเวียนอยู่แต่เรื่องเขา อยากสนิทกับเขา
หรือทุกอย่างจะอธิบายด้วยคำสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ‘เพราะเป็นเขา’ ก็ไม่รู้
“บ้านเป็นไทไม่ค่อยมีต้นไม้เลยนะครับ”
“ก็มันไม่มีพื้นที่”
“ปลูกดอกไม้ต้นเล็กๆ ไหม เดี๋ยวผมขอแม่มาให้”
“ไม่อะ ไปบ้านมึงก็เกินพอละ”
เป็นไทเห็นว่าใจเย็นยิ้มที่เขาพูดแบบนี้
“แล้วสอบเป็นไงบ้างครับ”
“ก็ดี”
“ไม่มีรายละเอียดเลยเหรอครับ”
“เกือบตาย”
ใจเย็นหัวเราะ คลอไปกับจังหวะสวิงของดนตรีแจ๊ส ขณะที่เป็นไทเริ่มจะง่วงขึ้นมา
“มึงอะควรจะนอนตุนไว้เยอะๆ นะก่อนที่ขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วจะไม่ได้นอน”
“งั้นเหรอ” ใจเย็นตอบรับ “เป็นไทพูดงี้คือง่วงใช่ไหม”
“เออ และก็รู้ไว้ด้วยว่าเพราะมึงเสร่อมาปลุกกู”
“ขอโทษครับ” ใจเย็นเอ่ย กระนั้นรอยยิ้มก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้สำนึกผิด ชวนให้เป็นไทหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ “เป็นไทงีบหลับก่อนก็ได้ รถน่าจะติด เอนเบาะนอนไปเลย”
“เออ งั้นกูนอนละ” เขาเอ่ยตอบ ปรับเบาะให้เอนนอนสบาย เสียงแจ๊สยังคลอให้เพลินหู และก่อนที่จะเคลิ้มหลับ เป็นไทก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นดอกไม้ที่เขาไม่รู้ชื่อ ดอกไม้ที่ฟุ้งฟ่องล่องลอยในความคิดชั่ววูบของเมื่อวาน ดอกไม้ในบทสนทนาที่เขาไม่ได้พูดอะไรที่อยากพูด ในความขี้หงุดหงิดของตนที่เขาเองก็ไม่ได้ชอบ ในอะไรสักอย่างลึกๆ ข้างในให้เขานึกถึงใจเย็น
หรืออาจจะล่องลอยลามเลยเข้าไปแม้แต่เรื่องในอดีตที่เป็นไทไม่เคยอยากบอกใครเลยสักคน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วั้ย จะไปค้างแรมด้วยกันแล้ว 555
ติดแท็ก #ใจเย็นกับเป็นไท ไปพูดคุยกันได้นะคะ