➤➤ใจเย็นกับเป็นไท ◑แจ้งข่าวตีพิมพ์หน้า 19 ค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ➤➤ใจเย็นกับเป็นไท ◑แจ้งข่าวตีพิมพ์หน้า 19 ค่ะ  (อ่าน 124967 ครั้ง)

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ยอมรับว่าชอบซึ่งกันและกัน ได้แบบ ความหวานมันอยู่ตรงหนายย
แต่ก็เข้าใจอะนะ คุมโทนกันมาแต่แรก ก็คงคุมโทนหน่วงจิตหน่วงใจกันต่อไป

ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ให้ใจเย็นมันรักเป็น....ท่าจะยาก
ต้องรอดูแม่เกษแล้วหละว่าจะทำให้อีเย็นรู้ว่าที่คบซ้อนมันไม่โอเค...ได้หรือเปล่า  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
แค่ความเข้าใจตัวเองยังยากเลย แล้วจะพยายามไปเข้าใจคนอื่นทำเพื่อ

ใจเย็นเป็นไท อารมณ์หน่วงพอกัน รักก็ไม่รู้จัก ชอบก็ไม่รู้จัก ง่ายๆ คือเกลียดกันเป็นไง ยังตอบง่ายกว่า

อึมครึมมากค่ะ แต่ไม่อยากให้ดราม่าหนักมาก เพราะตอนนี้ก็หน่วงมากแล้ว

แล้วทั้งคู่ก็เป็นประมาณว่า จะยังไง ก็ขอให้กลับมาอยู่ในสายตา แบบไม่มีใคร
พอใจเย็นมี เป็นไทก็ระเบิดไปเลย

ทุกอย่างชัดเจนมาก แต่แค่ไม่รู้จักว่าต้องทำยังไง ค่อยๆก้าวนะ ลุ้นอยู่

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
อ๊ายยยย กร๊าวใจมากค่ะตอนล่าสุด
เราว่าเขาชอบกันแล้วล่ะค่ะ แต่ยังขาดการสื่อสารให้เข้าใจกัน

ปล.แต่แอบกังวลแทนใจเย็น เรื่องคุณเกษรา จะช็อกไปเลยไหมล่ะนี่

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2

*** ขอแจ้งก่อนค่ะว่าตอนนี้ใช้บทสนทนาล้วนๆ ในการเล่าค่ะ




23 – ที่ตกลงกันไว้


“ถ้าผมจบ ม.6 แล้ว ผมยังไปหาเป็นไทได้ใช่ไหมครับ”

“ไม่ได้”

“ตอนแรกบอกว่าได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“จะตอบแบบไหนมึงก็มาหาอยู่ดีไม่ใช่หรือไง”

“ถ้าเต็มใจให้ไปหา ผมจะดีใจกว่า”

“เออๆ ตอนนี้ก็ตั้งใจติวเหอะ”

“ขอคุยก่อนไม่ได้เหรอครับ”

“ธันวามึงจะสอบแล้วนะ เดือนหน้าเนี่ย”

“เป็นไทกังวลยิ่งกว่าแม่ผมอีก”

“กูแค่จะทำหน้าที่สอน”

“เป็นไทห่วงผมมากกว่า”

“คิดเองเออเองชิบหาย”

“ผมไม่คิดเองเออเองก็ได้ แต่ผมมีเรื่องจะบอกเป็นไท”

“ว่า”

“ผมรู้แล้วนะครับว่าผมอยากทำอะไร ผมอยากทำรายการสารคดีสัตว์โลก”

“...เอาจริง?”

“ครับ”

“คือมึงจะไปเป็นแบบใครนะ...ที่ตายไปแล้ว สตีฟ...”

“สตีฟ เออร์วิน”

“เออ จะไปเป็นแบบนั้นหรือไง นึกภาพไม่ออกเลย ไม่เข้ากับมึงด้วย”

“ว่าแล้วเป็นไทต้องขำ แต่ผมไม่ได้อยากเป็นพิธีกรอะ ผมอยากเป็นคนออกแบบรายการ”

“ออกแบบรายการ? ก็ต้องเป็นเจ้าของรายการปะ”

“ครับ ผมพูดถึงตำแหน่งนั้นแหละ แต่ถ้าจะให้ดีผมหมายถึงนายทุนที่ออกเงินให้รายการไปต่อได้”

“เหรอ... กูก็นึกว่ามึงอยากเข้าป่าไปถ้ำมองสัตว์”

“คือถึงผมจะชอบมองดูพวกมัน แต่ผมก็รู้ตัวว่าผมไม่ชอบความลำบากอะ”

“เออ... กูไม่แปลกใจ”

“ดูชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“เออ ไอ้ลูกคนรวย แต่ถ้ามึงทำแล้วไม่ลงไปลุยเองจะสนุกเหรอวะ”

“จริงๆ สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับสารคดีสัตว์โลกคือสคริปต์ เพราะรายการพวกนี้คงอยู่ไม่ได้ถ้าสคริปต์ไม่ดี คนดูคงเบื่อ ไม่อยากมาดูสัตว์แบบเรื่อยเปื่อยหรอก แต่ถ้ามีเนื้อเรื่องเหมือนเรื่องเล่ามันก็น่าดูน่ะครับ”

“อ่า กูก็ไม่ค่อยได้ดูหรอกนะ แต่จำได้ว่ารายการพวกนี้จะตั้งชื่อให้สัตว์ที่ไปติดตามปะ”

“ใช่ ประมาณนั้นแหละครับ”

“แต่จะสร้างเนื้อเรื่องได้ก็ต้องติดตามสัตว์ด้วยไม่ใช่หรือไง”

“ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจกระบวนการสร้างหรอก แต่มันก็มีสารคดีอยู่สองแบบ แบบที่คนลงไปเป็นพิธีกรด้วย กับที่ตามติดชีวิตสัตว์อย่างเดียว ผมอยากทำแบบที่สอง เพราะธรรมชาติก็เป็นไปของมันเองให้เรามีเรื่องมาเล่าได้อะ อย่างแม่กบที่ขุดดินเป็นทางเชื่อมระหว่างแม่น้ำกับแอ่งน้ำที่กำลังจะแห้งเพื่อไม่ให้ลูกมันตาย แค่นี้ก็เอามาเล่าได้แล้ว เป็นดราม่าได้ด้วย หรือจะดราม่าครอบครัวใหญ่ก็ได้ อย่างล่าสุดที่ผมดูเป็นเรื่องของครอบครัวห่านในฝรั่งเศส ที่บินอพยพหนีหนาวไปทางใต้ ทีนี้มันก็จะเล่าว่ามีลูกห่านตัวหนึ่งที่นอกคอก เวลาตัวอื่นหยุดพักกันมันก็ออกไปเดินเล่นไกลๆ จนกลับมาไม่ทันเวลาเดินทางต่อ ทีนี้ก็บินตามและร้องหา ฝั่งพ่อแม่นึกได้แม่ก็บินกลับมาหาจนเจอกันในที่สุด จริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับตัดต่อด้วย แล้วก็... ก็ประมาณนี้แหละครับ”

“อะไรวะ แล้วก็อะไร จบเฉย”

“ก็ทำไมเป็นไทจ้องผมขนาดนั้นล่ะครับ”

“เขินหรือไง”

“เปล่าครับ”

“มึงรู้ตัวไหมเนี่ยว่าตอนเล่าโคตรดวงตาเป็นประกาย”

“...งั้นเหรอ”

“ไม่เคยเห็นมึงแบบนี้ พูดต่อดิ”

“แต่เป็นไทดูขำนะ”

“ก็ไม่ได้ขำเพราะมึงตลกหรอก กูว่าดีแล้ว”

“งั้นเหรอ”

“เล่าต่อดิ”

“ผมลืมหมดแล้ว”

“เอ้า”

“เป็นไทเล่าบ้างสิครับ เป็นการแลกเปลี่ยน”

“อะไรวะอยู่ดีๆ”

“เป็นไทก็ไม่เคยเล่าความฝันให้ผมฟังเลยนี่”

“ไม่รู้ดิ กูไม่รู้เริ่มไงด้วย”

“ทำไมถึงเรียนวิศวะก็ได้ครับ”

“ตอนเลือกก็แค่ถนัดเลข ไม่รู้จะเลือกอะไรด้วย แค่นั้นเลย”

“ไม่มีสตอรี่มากกว่านั้นเลยเหรอครับ”

“มึงดูอยากให้มีมากกว่าตัวกูเองอีกนะ”

“ก็ผมอยากฟัง”

“เออๆ จริงๆ กูมารู้สึกได้ตอนเรียนมากกว่า ว่าอย่างน้อยก็อยากสร้าง ไม่ใช่ทำลาย”

“...ไม่เห็นเข้าใจ”

“วิศวะมันก็งานสร้างทั้งนั้นไงเว้ย”

“อ่า”

“ถ้าได้สร้างอะไรสักอย่าง ได้ผลิตอะไรสักอย่าง มันก็น่าจะภูมิใจและรู้สึกมีค่าล่ะมั้ง ถ้าพูดถึงแบบดีๆ อะนะ ก็คงประมาณนี้”

“ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี”

“สมองมึงกลวงไง ถึงบอกให้รีบๆ เริ่มติวได้ละ”

“ผมเข้าใจแค่ว่าเป็นไทคงรู้สึกอยากมีค่า”

“...เออ ใครๆ ก็อยากมีค่าทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”

“งั้นเหรอ”

“มึงพูดคำนี้ทีไรก็รู้สึกว่ามึงไม่ได้เข้าใจอะไรในโลกนี้ทุกทีอะ อ้ะ อย่างมึงอยากทำรายการสารคดีสัตว์โลกเนี่ย ที่มึงพูดๆ มา มึงก็พูดถึงการทำสารคดีให้คนอยากดูด้วยไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่สักแต่ว่าจะทำอะไรก็ได้เกี่ยวกับสัตว์อย่างเดียว แต่มึงอยากให้คนอื่นได้เห็นมันด้วย นั่นแหละแปลว่าอยากให้สิ่งที่ทำมันมีค่า”

“ตอนแรกผมไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยนะครับ”

“แล้วมึงคิดว่าอะไร”

“คิดแค่ว่าถ้าอยากให้มันได้ถ่ายทอดออกไป ก่อนอื่นก็ต้องมีเงิน”

“...ฟังแล้วทาสทุนนิยมสัด”

“แต่ปลายทางก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ ไม่ว่าจะได้มาจากอะไร สุดท้ายคืออยากให้มีคนได้ดูมันนั่นแหละ อีกอย่างถ้ามีเงินก็ใช้สร้างธุรกิจที่จะจ้างเป็นไทมาทำงานได้ด้วยนะครับ ไม่ดีเหรอ”

“มึงจะซื้อกูด้วยเงินหรือไง”

“ถ้าให้ซื้อนะครับ”

“เลิกพูดจาน่าหมั่นไส้ได้ละ”

“งั้นไม่พูดแต่ซื้อเลยได้ไหมครับ”

“ไม่ต้องทำเหี้ยอะไรทั้งนั้นอะ แล้วก็หยุดพูดจาแบบนี้ด้วย ลืมที่ตกลงกันไว้หรือไง”

“...ขอโทษครับ”

“ช่างมัน เริ่มเรียน—เออ จะว่าไปมึงจะเลือกเรียนคณะอะไรถ้ารู้เป้าหมายขนาดนี้แล้ว”

“ก็เกี่ยวกับสัตว์น่ะแหละครับ อาจจะสัตวแพทย์ ไม่ก็สัตววิทยา”

“แล้ว...พ่อแม่อนุญาต?”

“อนุญาตครับ เพราะจะเรียนอะไร ทำงานอะไร ผมก็จะทำธุรกิจต่อจากพ่อด้วย”

“มึงเลือกเองเหรอ”

“ใช่ เพราะผมอยากได้เงินมาทำสิ่งที่อยากทำ”

“ก็ไม่คิดว่ามึงจะพูดว่าอยากสานต่อธุรกิจที่พ่ออุตส่าห์สร้างมาอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่ฟังคำพูดตรงๆ แบบนี้แล้วแม่งโคตรหมั่นไส้เลยว่ะ”

“อยู่กับเป็นไทแล้วผมพูดใจจริงได้หมดนี่ครับ”

“เออๆ”

“ก็เลยอยากอยู่ด้วย”

“รู้แล้วๆ เรียนต่อเหอะ”

“วันนี้ไม่ได้เอาปากกามาเหรอ”

“หมึกหมด มีแต่ดินสอ”

“งั้นเหรอ”

“เสาร์ที่แล้วค้างที่แคลคูลัสข้อนี้ใช่ไหม—”

“เป็นไท”

“อะไร”

“ไม่รู้ว่าสมควรพูดไหม แต่ผมว่าเป็นไทดูเศร้าๆ”

“ฮะ? เศร้าห่าอะไรมึง”

“ผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมดูออก”

“ดูออกของมึงก็คิดเองเออเองทั้งนั้นปะ”

“งั้นเหรอ”

“เลิกนอกเรื่องได้แล้ว เรียนสักที”

“...จะพยายามครับ”

“กูจะเศร้าถ้ามึงนอกเรื่องอีกเนี่ยแหละ”

“ไม่นอกก็ได้ครับ”

“ก็ดี”

“เพราะไม่อยากให้เศร้าเลย”












***********************************************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2017 16:32:09 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ mamemoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณพระคุณเจ้า ข้ามมาแบบนี้เลยย ตะเตือนใต จิตใจคนอยากรู้มันสั่นสะเทือนมากค่ะ แงงง   :o12: :o12: รอตอนต่อจากนั้นอย่างใจจดใจจ่ออยู่นะคะ ฟฟฟฟฟฟฟฟ
บทสนทนาล้วนแบบนี้แปลกดีค่ะ ยังคงความใจเย็นผู้ร่ำรวยเช่นเดิม 5555 ไม่ใช่แค่ใจเย็นที่อยากซื้อเป็นไทด้วยเงินนะคะ เราก็อยากซื้อค่ะ   :hao6: :hao6: :hao6: #ผิด
สู้ๆนะคะ   :mew1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เป็นตอนแรกที่ไม่อึมครึมเลยมั้งเนี่ยะ 55

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ใจเย็น อ่านเป็นไทออกทุกอารมณ์สินะ

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
เล่าแบบนี้ก็โอเคน้าเราว่า ไม่ขัดใจค่าา

แต่แอบอยากรู้เหมือนกันว่าถัดจากฉากจับกดจูบเขาตกลงกันยังไงน้าา รอติดตามวันต่อไปค่าา

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
มึนแทนเป็นไท

ตะกายฝารอเฉลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ littlep_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
24 – สะท้อน


กลิ่นดอกไม้ที่ทำให้หายใจไม่ออก สายฝน บทเพลงแจ๊ส ดึงดูด ผลักไส เสียงลมหายใจที่ฟังหนักเหมือนแบกบางอย่างไว้ เสียงเอ่ยเรียกชื่อเขา เป็นไท เป็นไท เสียงเรียกจากใจเย็น แหบห้วน และหื่นกระหาย

“อยากมีอะไรด้วย”

เป็นประโยคที่เหมือนทำให้สร่างมึนเมาของกลิ่นดอกไม้เพราะรู้ดีว่าเกินขอบเขตของจักรวาลความรู้สึก สิ่งที่ตบกลับเข้าขอบเขตได้จึงเป็นความรุนแรง เป็นไทง้างหมัดเหวี่ยงเข้าหน้าของใจเย็น ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ผลลัพธ์ชะงักค้างก็ทำให้เขาค่อนข้างตกใจ รู้สึกผิด สับสน จนสุดท้ายก็ฉกฉวยโอกาสจากความเงียบเพื่อจะหนีไปอีกครั้ง เขาผลักประตูรถให้ปิด และน่าประหลาดที่ในชั่ววินาทีสั้นๆ บนกระจกที่พร่างพรมหยาดน้ำให้มัวเมาเงาเลือนรางของตัวเอง เขาเห็นแววตาของตัวเองชัดบนนั้น แต่บอกไม่ได้เลยว่าเป็นแววตาของความรู้สึกใด

เป็นไท ผมขอโทษ – เขาได้ยินประโยคนั้นดังตามหลังมา – อย่ากลับไปทั้งแบบนี้เลยนะ – ฟังเป็นเสียงอ้อนวอนด้วยหัวใจที่เขาเคยได้ยินไม่กี่ครั้งในชีวิต ก่อนจะถูกสาดซัดซ้ำด้วยประโยคสั้นๆ – ฝนยังตกอยู่เลยนะ

ถึงจะคิดว่าซับซ้อนสับสน แต่นิยามสั้นๆ ของความรู้สึกที่ทำให้เป็นไทเดินกลับไปที่รถคงเป็นคำว่า ‘ใจอ่อน’ เขากลับมานั่งลงที่เบาะข้างคนขับ ต่างจากฉากจุบเมื่อครู่ที่ประตูจะเปิดอ้าค้าง ตอนนั้นประตูปิดหมดแล้วทุกบาน เสียงฝนจึงเบาลงเหลือเพียงเม็ดฝนไร้มารยาทที่ดิ่งตัวเข้าเคาะกระจก

“ทำไมเป็นไทพูดว่าผมจะชอบเป็นไทแบบนี้ไม่ได้” นานกว่าที่ประโยคคำถามนี้จะเริ่มขึ้นหลังเสียงเพลงแจ๊สถูกกดปิด และเป็นไทก็ไม่รู้จะนำคำพูดใดมาปกปิดความเงียบ จนกระทั่ง “ในเมื่อเป็นไทจูบผมก่อน”

“...ก็เพื่อที่จะบอกว่าไม่ได้”

“งั้นไม่ให้ผมเอา เพื่อที่จะบอกว่าเอาไม่ได้ไปเลยล่ะ”

เป็นไทรู้ตัวว่าคำตอบของตัวเองงี่เง่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคเสียดแทงหลายจุดความรู้สึก ทั้งตกใจในเนื้อความ ทั้งตกใจในน้ำเสียงแข็งกร้าว ใจเย็นดูหงุดหงิดจากขัดใจแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และก็ไม่คาดว่าจะได้เห็น

“ขอโทษครับ” แต่พลันก็เพลาเบาบางลงเมื่อรู้ตัวพร้อมกับแววตาที่ค่อยๆ อ่อนลง “แต่ยังไง...มันคงแปลว่าผมชอบเป็นไทแบบนี้”

“แน่ใจหรือไง”

“แน่ใจพอๆ กับที่เป็นไทชอบไอติมสตรอเบอร์รี่”

อีกครั้งที่คำตอบชวนให้ไม่คาดคิด เป็นไทไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ในเวลานั้น แต่มันก็ดูเป็นคำยื่นยันที่ชวนให้เชื่อ เหมือนใจเย็นจะบอกว่ามองเขาออก และก็เฝ้ามองมาตลอด

ขณะเดียวกันมันก็ชวนให้ปวดใจพิลึก

“แล้วคนอื่นๆ ของมึงล่ะ”

เพราะหลังคำถามนี้ใจเย็นกลับเงียบ ไม่ใช่เงียบเหมือนเจอคำถามที่คาดไม่ถึง แต่เงียบได้สุขุม เหมือนคิดค้นอะไรในความลุ่มลึกมากกว่าลนลานหาคำตอบ

“ทำไมล่ะครับ”

และเอ่ยคำถามที่ยืนยันชัดว่าไม่คิดว่ามันเป็นความผิดแม้แต่น้อย

“มึงไม่ได้ชอบกูหรอก”

ทันควันที่เป็นไทสวนกลับ เปิดประตูรถออกไปอีกครั้ง แต่ก็อีกที่ใจเย็นดึงรั้งไว้ได้ก่อน

“เป็นไท ผมต้องการคำตอบ” มองย้อนกลับไปยังแววตาคู่เดิมก็เห็นว่าหมายความแบบนั้นเต็มความหมาย “ผมอยากรู้จริงๆ ว่าทำไม”

เป็นไทลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ดึงประตูรถให้กลับมาปิด

“มึงเคยรู้ไหมว่ามึงทำให้คนอื่นเขาเจ็บ อย่างพวกผู้หญิงที่มึงคบนั่นน่ะ รู้ไหม”

“รู้ครับ”

“เออ รู้แล้วทำไมยังทำ”

“ก็ผมไม่เห็นเข้าใจเลย”

“ไม่เข้าใจอะไร”

“ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเจ็บปวดกับเรื่องแบบนี้”

วินาทีที่ได้ยินคำตอบนั้น เป็นไทก็พาลอยากจะไม่เข้าใจอะไรบนโลกนี้เลย เหมือนกับที่ใจเย็นไม่เข้าใจมันจริงๆ แบบไม่ได้เสแสร้ง เพราะถ้าไม่เข้าใจก็คงไม่ต้องเจ็บปวด ถ้าไม่เข้าใจก็คงไม่คิดค้นลงไปว่าอะไรที่ทำให้ใจเย็นเป็นแบบนี้ สังคมงั้นหรือ? ครอบครัวงั้นหรือ? หรือเป็นตัวของใจเย็นเองที่ไม่คิดจะทำความเข้าใจความเจ็บปวดของผู้อื่น

ยิ่งคิด ก็ยิ่งเจ็บปวดขึ้นมา เจ็บปวดแบบที่ใจเย็นไม่มีวันเข้าใจ

“ทำไมครับ มันผิดเหมือนไปฆ่าคนตายเลยเหรอ”

และยิ่งใจเย็นส่งคำถามนี้แทรกกลางความอึดอัด ก็ยิ่งย้ำชัดเช่นนั้น

“มึงคงไม่เคยชอบใครจริงๆ”

“ชอบสิครับ”

“แล้วถ้าคนที่มึงชอบ มีคนอื่นเหมือนที่มึงมีล่ะ”

“ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”

เป็นไทรู้สึกเหมือนเม็ดฝนไร้มารยาทขึ้นทุกทีในเวลานั้น มันดิ่งตัวลงเคาะกระจกหนักและแรงขึ้น รุมเร้าให้เขายิ่งสับสนอลอึงไปพร้อมกับกลิ่นดอกไม้ที่แสบจมูกทั้งที่เคยอ่อนโยน

“ถ้าเป็นกูล่ะ” เขาถามออกไปเสียงแผ่ว “บอกว่าชอบกูไม่ใช่หรือไง ถ้ากูมีคนอื่นล่ะ”

อีกครั้งที่ใจเย็นเงียบ และอีกครั้งที่ดูจะไม่ได้เงียบเพราะลนลานหาคำตอบ “ถ้าเป็นไทมีความสุขก็ดีครับ”

เพราะมันชัดเจนเหลือเกินว่าไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนใจเย็นได้ง่ายๆ

“แค่อย่าหายไปจากผม—”

“มึงไม่ได้ชอบกูหรอก” เป็นไทไม่รอฟังให้จบ “กูก็ไม่ได้ชอบมึงด้วย

น้ำเสียงมั่นคงจนเผลอแน่ใจไปแล้วว่าไม่ได้โกหก

“แต่...ผมอยากให้เป็นไทอยู่ข้างๆ นะ”

“กูก็อยาก” เป็นที่สัตย์จริงแม้น้ำเสียงสั่นไหว “แต่แค่อยากอยู่ด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่าชอบไม่ใช่หรือไง”

“แต่—”

“แค่อย่าหายไปจากกันใช่ไหมที่พูดเมื่อกี้ เออ กูไม่หายไปไหนหรอก แต่ช่วยลืมสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไปด้วย”

ใจเย็นเงียบ แต่ครั้งนี้ดูเป็นความเงียบที่ว่างเปล่า

“ทำความเข้าใจใหม่ด้วยว่าที่คิดว่ารู้สึกอะไรจนลามปามมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

ฝนหยุดตกหลังประโยคนั้น สร่าซาพร้อมจางกลิ่นดอกไม้ที่ทำให้เจ็บปวด และในความพลิกผันของสัมพันธ์ ข้อตกลงต่างๆ เกิดขึ้น ขีดเส้นแบ่งสิ่งที่ทำได้และไม่ได้ แม้แต่คำพูดคำจาบางอย่าง เพื่อไม่ให้สัมพันธ์เลยเถิด เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดอีก เพื่อคงความสัมพันธ์เอาไว้

แม้จะไม่มีฝ่ายไหนเคยถามเลยว่าความสัมพันธ์นี้คืออะไร

ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งในอากาศของเดือนมกราคม อากาศร้อนแบบไม่ปรานีปราศรัยใดๆ เป็นไทนั่งอยู่ในลานจอดรถที่อบอ้าวเพราะไร้ลม มันเป็นลานจอดรถเดียวกันกับที่ใจเย็นลองสูบบุหรี่แล้วสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหลให้ขบขัน คิดย้อนภาพนั้นก็ยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย แต่ไม่นานก็จางหายคล้ายควันบุหรี่ บ่อยครั้งที่เป็นไทนึกเรื่องของใจเย็นและปล่อยมันปลิดปลิวหายไป โดยที่ก็ไม่เคยรวบรวมกลับมานับดูว่ามันมหาศาลแค่ไหน

ทั้งเรื่องของดอกไม้ในแจกันแก้ว เรื่องของหมาชื่อทันใจและใจเย็น เรื่องของการชอบเฝ้ามองผู้คน เรื่องสารคดีสัตว์โลกที่บอกว่าอยากทำ เรื่องของความฝันที่เป็นไทเองก็ไม่อยากให้มันแตกสลาย เรื่องเรียน เรื่องสอบ เรื่องของครอบครัว เรื่องของน้องทั้งสองคน และเรื่องของตัวเขา เรื่องที่ใจเย็นมักบอกว่าเขาคือส่วนประกอบตัวตนของใจเย็นเอง

ฟังเป็นคำหวาน หอมหวนคล้ายกลิ่นดอกไม้ แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจครอบครองไว้เพียงผู้เดียว และเพราะขัดกับนิสัยหวงของที่คงทำให้สัมพันธ์ล่มสลายกลายเป็นซากปรักหักพังในสักวัน เป็นไทรู้สึกว่าสัมพันธ์ตอนนี้มันดีที่สุดแล้ว และก็ไม่ได้มีเรื่องให้ทุกข์ร้อนอะไรด้วย

เขาบี้ไฟปลายมวนบุหรี่ให้มอดดับและทิ้งลงถังขยะ เดินผ่านรถที่จอดเป็นแนวแถวเพื่อกลับไปยังร้านของแม่ แต่ชั่ววูบหนึ่งที่สบตาเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจก เขาเห็นแววตาของตัวเองชัดบนนั้น พลันขนลุกขึ้นมาที่เหมือนเห็นภาพซ้อนทับกับวนฝนตก เขายังคงบอกไม่ได้ว่าแววตานั้นเป็นแววตาของความรู้สึกใด

เป็นไทรีบก้าวยาวๆ กลับมายังร้านของแม่ แสงสว่างและอากาศเย็นทำให้รู้สึกสงบลง หากเสียงพูดคุยจุกจิกระหว่างแม่กับชนากานต์ผู้เป็นเพื่อนหุ้นส่วนก็ทำให้เขารู้สึกแสลงหู และจังหวะที่เขาจะขอตัวกลับก็ได้ยินสิ่งที่ทำให้รู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง

“เป็นไท เมื่อกี้...แม่เจอพ่อเขาด้วย”

เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่แม่ก็ยังคงพูดต่อ

“แปลกนะ คิดว่าจะทำเหมือนไม่รู้จักกันไปก็ดีแล้ว แต่เขากลับเข้ามาถามแม่ว่าสบายดีไหม เขา...ถามถึงลูกด้วยนะ”

วินาทีนั้นที่เป็นไทรู้สึกเกลียดแม่ขึ้นมาจับใจ ทั้งที่ก็รู้ดีว่าแม่ไม่ได้ผิดอะไร แต่เขาก็ห้ามความรู้สึกไม่ได้ พลันการหลบตาจากความเกลียดก็ทำให้เขาสบเข้ากับกระจกบานใหญ่ภายในมุมลองเสื้อของร้านที่ม่านเลื่อนเปิดทิ้งไว้

เป็นไทเห็นแววตาของตัวเองอีกครั้ง หากครั้งนี้เขาเห็นความเจ็บปวดของตนเอง เขารู้ตัวว่าแค่มีอะไรมาสะกิดให้นึกถึงเรื่องพ่อ ตัวของเขาก็จะคลอนแคลนสั่นไหวด้วยเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดในครั้งนี้มันลึกกว่านั้น เพราะเขาเคยคิดเอาไว้ว่าจะมีคนคอยรับไว้ยามที่เขาร่วงหล่น แต่ความจริงไม่มีแล้ว

มันเป็นความเจ็บปวดสืบจากสัมพันธ์ระหว่างเขากับใจเย็น ที่ต่อให้คิดว่าดีแค่ไหนก็จะมีช่องโหว่ เป็นช่องโหว่ที่ทำให้เขาไม่สามารถแบ่งปันความเจ็บปวดในทุกๆ เรื่องให้ฟังได้อย่างที่ต้องการ ไม่สามารถไปทำตัวอ่อนแออยู่ข้างๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบหัวตามอำเภอใจอย่างที่เคยทำ เพราะถ้าทำก็จะกลายเป็นการเลยเถิด และพอเลยเถิดถลำลึกก็จะกลายเป็นความเจ็บปวดไร้สิ้นสุด โดยที่ช่องโหว่ก็ไม่ได้หายไปหรือหดแคบเล็กลงเลยสักนิด

และเป็นไทก็ไม่แน่ใจว่าเขาไม่มีความสามารถพอจะหาสิ่งมาอุดช่องโหว่นั้น หรือเป็นใจเย็นเองที่ซ่อนมันไว้โดยไม่มีวันนำออกมาให้ใครเห็นง่ายๆ

แต่ที่รู้ตอนนี้ เป็นไทรู้แล้วว่าแววตาของเขาในวันฝนตกกำลังสะท้อนอะไร เพราะมันไม่ต่างจากแววตาของเขาตอนนี้เลย

มันเป็นแววตาของความขลาดกลัวที่รู้ดีว่าอะไรๆ ก็จะไม่เป็นดังหวังเลยสักอย่าง














******************************************************************************
ติดแท็ก #ใจเย็นกับเป็นไท ไปพูดคุยกันได้นะคะ

คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเดินมากลางครึ่งเรื่องแล้วแหละ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันเสมอมานะคะ ก็อยากให้ติดตามต่อไปเนอะ :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2017 16:36:27 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ Rungsai

  • ใครบอกว่ารุ้งมีเจ็ดสี :D
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เมื่อไหร่ใจเย็นจะมีหัวใจ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ใจเย็น กับเป็นไท
เหมือนสองคน สวนทางทางกัน
ใจเย็น ไม่เข้าใจเรื่องรักแบบเป็นรักเดียว ผูกพันแค่คนๆเดียว

เป็นไท ขลาดกลัว ว่าถ้ารักแล้วจะไม่เป็นอย่างที่คิด
กลัว ใจเย็นมีคนอื่นอีก
กลัว ต้องเลิกกัน

จะมีอะไรมาทำให้ใจเย็นรักเป็น
และเป็นไท เลิกกลัว ได้นะ
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
สับสน เจ็บปวด และว้าเหว่มาก

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
โอยยย อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาคลอเลยค่ะ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เป็นไทชอบใจเย็นแล้วแน่ๆ :katai1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เอาเข้าไป หน่วงกันเข้าไป

ออฟไลน์ MOMAMi_96

  • เรื่อยๆ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
เริ่มเข้าประเด็นแบบจริงๆจังแล้ว ความสนุกมันเริ่มแล้ววววว

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
25 – อินทรีหัวขาว

ใจเย็นจำได้ว่ามันเป็นช่วงเย็นวันศุกร์ของปิดเทอมที่น่าจะยาวนานที่สุดในชีวิต เขากำลังนั่งดูรายการสารดีสัตว์โลกอยู่ในห้องนั่งเล่น ซึมซับเรื่องราวของอินทรีหัวขาว นกนักล่าที่เป็นตำนานอันน่าเกรงขามหากก็ใกล้สูญพันธุ์เต็มที ด้วยต้องต่อสู้กับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายจากธรรมชาติและมนุษย์ ทั้งยังเป็นสัตว์คู่แท้* ที่จะจับคู่เพียงครั้งเดียวตลอดชีวิต

ตอนที่มันกำลังโบยบินบนฟากฟ้าเพื่อล่าตัวมอร์มอต คุณเกษราแม่ของเขาก็เลื่อนเปิดประตูกระจกเดินเข้ามาในห้อง ให้กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวล ถามแบบไม่ต้องการคำตอบว่าดูรายการนี้อีกแล้วหรือ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขา นั่งเงียบๆ เหมือนเพียงต้องร่วมวงดูด้วย กระทั่งถึงช่วงการจับคู่ของอินทรี คุณเกษราก็ถามขึ้น

“ใจเย็นไม่คิดจะไปเรียนต่างประเทศเลยเหรอ”

บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าบ่อยครั้ง ที่ระยะหลังมานี้คุณเกษราจะเอ่ยถามเรื่องนี้ ทั้งที่ปกติแล้วจะปล่อยให้เขาเป็นหัวคิด เห็นดีเห็นงามตามตลอดไม่ว่าเรื่องอะไร แน่นอนว่าใจเย็นแปลกใจแต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรนัก และครั้งนั้นก็แค่ส่ายหัวไปอย่างเคย ไม่ใช่ว่ามีเป้าหมายแน่วแน่เด็ดเดี่ยวอะไรในประเทศไทย ใจเย็นรู้ว่าอย่างไรการเรียนในต่างประเทศก็ให้โอกาสกว้างไกลกว่า แต่เหตุผลเดียวที่ใจเย็นไม่ไปก็คือเป็นไท

แม้ฟังดูเป็นเหตุผลบกพร่อง แต่มันก็สมบูรณ์แบบสำหรับใจเย็น เพราะแค่เหตุผลนี้ก็เพียงพอที่ทำให้เขาไม่อยากไปไหน ถ้าเขาเอ่ยปากบอกใครสักคนก็คงได้ยินคำพูดสะท้อนกลับว่าเขานั้นช่างเอาแต่ใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อ ก็คงใช่ เขาเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใจเย็นรู้ดีและบอกตนเองเช่นนั้น โดยที่ไม่คิดพลิกเบื้องหลังความรู้สึกขึ้นมาดูเลยว่าแท้จริงแล้วเขานั้นกลัว กลัวว่าอะไรๆ จะไม่เป็นดังใจ

ในช่วงที่ใจเย็นต้องคร่ำเคร่งกับการสอบเข้าไม่ต่างจากเด็ก ม.6 คนอื่นๆ เป็นไทก็อยู่ในช่วงฝึกงานตามตารางของปีสามเทอมสอง ทำให้เวลาที่มีไม่ค่อยตรงกันนั้นทวีเท่า ยิ่งเป็นไทหมดหน้าที่สอนพิเศษเขาด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ได้เจอหน้า แต่ใจเย็นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาจำข้อตกลงได้ดี ข้อตกลงที่จะไม่ก้าวก่ายอีกฝ่ายจนเกินควร ข้อตกลงที่จะทำให้คนเอาแต่ใจอย่างเขาไม่เอาแต่ใจ ข้อตกลงที่เขาไม่ชอบแต่ก็ยอมตามใจอีกฝ่าย

ใจเย็นไม่เข้าใจอะไรในความสัมพันธ์นี้นัก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถลำลึกไปกว่านี้ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่าเป็นไทรู้สึกอย่างไร จนสุดท้ายเขาก็ได้แต่ปล่อยความไม่เข้าใจไว้เช่นนั้น ให้เหมือนกับที่เขาจะไม่เข้าใจอะไรเลยบนโลกใบนี้ และเมื่อปล่อยความเข้าใจให้ตกตะกอนนอนก้นบ่อ ก็เหลือเพียงสิ่งที่เขารู้สึก และเขายังคงรู้สึกอยากอยู่ข้างๆ เป็นไทเหมือนที่เป็นมาตลอดต่อให้จะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม

ขณะเดียวกัน ก็เพราะความรู้สึกอีกนั่นแหละที่ทำให้เขาบอกเป็นไทเป็นคนแรกเรื่องที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัย เขาโทรไปหา รอสาย แน่ใจว่าตื่นเต้น แต่พอเอ่ยบอกและได้ยินเสียงของเป็นไทตอบกลับมา ก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เขารู้สึกอะไร เพราะมั่นใจว่าหัวใจสูบฉีดแรงกว่าระหว่างที่รอสาย

“เออ รู้อยู่แล้วว่ามึงจะติด”

เป็นประโยคง่ายๆ ทั้งยังไร้คำแสดงความยินดีสมกับเป็นคนปลายสาย แต่ใจเย็นก็ไม่ได้ยินประโยคทำนองนี้จากใครอีกเลยแม้แต่จากแม่ของเขา หรือแม้แต่จากตัวของเขาเอง

ใจเย็นรู้สึกเหมือนถูกรู้จักตัวตนมากกว่าที่ตนเองรู้จัก หรือจะคิดตลบไปว่าใครๆ ก็รู้จักเขามากกว่าตัวเขาเอง เขาก็ยังดีใจ และแอบเสียดายที่ในตอนนั้นเป็นไทไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้า ในซุ้มม่านบาหลี ที่บนโต๊ะมีแจกันแก้วบรรจุดอกสวีทพีไว้ทุกปีของเดือนพฤษภาคม และทุกปีเป็นไทก็ไม่เคยจะดอมดมมันตามที่เขาบอกเลย

อย่างไรก็ตาม เขาก็หวังไว้ว่าเป็นไทจะมานั่งที่นี่อีก หรือบางครั้งอาจจะเปลี่ยนไปนั่งในห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องของเขา ตรงไหนก็ได้ที่เป็นอาณาบริเวณในครอบครองของเขา ใจเย็นหวังไว้เช่นนั้น หวังจนอาจฟุ้งคล้ายกลิ่นละอองเกสรดอกไม้ที่กระจัดกระจายภายในอากาศทั่วบ้านโดยไม่รู้ตัว

แต่กลิ่นเกสรนั้นก็มัวหมดลงในเย็นวันศุกร์อีกวันของปิดเทอมอันยาวนานก่อนจะขึ้นมหาวิทยาลัย

เหมือนเดิมที่ใจเย็นนั่งดูรายการเดิมอยู่ในห้องนั่งเล่น คราวนี้เป็นเรื่องราวของนกอัลบาทรอส สัตว์คู่แท้อีกชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ ชวนให้เขานึกถึงนกอินทรีหัวขาวที่เป็นหัวข้อให้เขาถกเถียงกับแม่จนจำเย็นวันนั้นได้ดี เขาบอกแม่ว่าสัตว์ใกล้สูญพันธ์ส่วนใหญ่มักเป็นสัตว์คู่แท้ ทำให้โอกาสในการดำรงเผ่าพันธุ์มีน้อยกว่าสัตว์คู่เทียมที่จับคู่ได้หลายครั้งตลอดชีวิต ซึ่งแม่ก็ถกเถียงว่ามันย่อมมีข้อดีเพราะจะร่วมกันดูแลลูกได้ดีกว่า แต่ก็อีก ใจเย็นเถียงกลับไปว่าสัตว์คู่เทียมก็ดูแลลูกของมันให้อยู่รอดได้เหมือนกัน กระทั่งเปรียบกับมนุษย์ที่แท้จริงแล้วก็เป็นสัตว์คู่เทียมตามบรรพบุรุษอย่างเอปยังดูแลลูกได้ดีเลย

ถึงตรงนี้คุณเกษราแม่ของเขาก็ดูหมดกำลังเถียง หล่อนหัวเราะเล็กๆ ตามนิสัยตอนเถียงแพ้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ใจเย็นสัมผัสได้ว่าหล่อนดูจริงจังกว่าปกติ

“แล้วใจเย็นคิดไหมว่าทำไมทุกวันนี้มนุษย์ถึงพยายามทำตัวเหมือนเป็นสัตว์คู่แท้”

“เริ่มต้นบรรทัดฐานนี้ก็เพื่อตัดความยุ่งยากในสังคมไม่ใช่เหรอครับ แต่ผมว่ามันยุ่งยากกว่าเดิมอีก”

“อา...”

ใจเย็นได้ยินเสียงคุณเกษราครวญคำนั้นดังชัด ก่อนประโยคต่อมาจะเสียงแผ่วจางก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปอย่างรวดเร็ว

“คงพูดเรื่องความรักไม่เข้าใจสินะ”

เย็นวันนั้นจึงเป็นเย็นวันศุกร์ที่ใจเย็นจำได้ดี เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้คำตอบอะไรที่ชัดเจน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมแม่ถึงพึมพำออกมาเรื่องความรักในเมื่อครอบครัวของตัวเองนั้นก็เป็นไปตามโครงสร้างของสัตว์คู่เทียม เป็นไปตามธรรมชาติของบรรพบุรุษและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่ สุดท้าย เหมือนเดิมๆ ใจเย็นจึงปล่อยผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมาหวนนึกจริงจังเมื่อเห็นสัตว์คู่แท้อีกครั้งบนหน้าจอโทรทัศน์

พลันเมื่อสารคดีบรรยายถึงคู่ของนกอัลบาทรอสที่ออกเดินทางแยกกันไปหนึ่งปีและกลับมาพบกันอีกรอบก็ยังจับคู่เดิม คุณเกษราก็เลื่อนเปิดประตูกระจกเดินเข้ามาในห้อง หากครั้งนี้ใจเย็นกลับไม่รู้สึกถึงหอมหวานของดอกไม้

“ใจเย็น แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”

จริงจังที่ได้ยินจากน้ำเสียงทำให้เขาผละสายตาจากสารคดีหันไปมอง คุณเกษราค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เขา เอ่ยถามว่าปิดโทรทัศน์ก่อนได้ไหม ถ้าเป็นเวลาปกติเขาอาจแค่หรี่เสียง แต่แววตาของแม่ในตอนนี้ทำให้ใจเย็นเลือกกดปิดให้หน้าจอมืดดับ

“แม่มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“แม่จะไม่อ้อมค้อมนะ” หากถึงจะพูดเช่นนั้น คุณเกษรากลับอ้อมค้อมด้วยความเงียบ ราวต้องการสื่อสารผ่านแววตา ชวนให้ใจเย็นอึดอัด แต่สุดท้ายก็ขาวโพลนสว่างวาบ “แม่เพิ่งฟ้องหย่าพ่อ”

จากขาวโพลนไร้สิ้นสุดก็ค่อยๆ กลับมามีสีอาบแต้มย้อมสิ่งต่างๆ รอบสายตา แต่ใจเย็นรู้สึกเหมือนสีสันนั้นเพี้ยนไป ใช่ อะไรๆ ที่เขามองเห็นมันเพี้ยนไปหมดและเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจอย่างที่เขาไม่เคยเข้าใจอะไรเลย หากทวีเท่าทับถมยิ่งกว่านั้นจนเขากลัวว่าจะพาตัวเองขึ้นมาจากทับถมนั้นไม่ได้เลย

ใจเย็นรู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้งผากฉับพลันทั้งที่คำถามเป็นล้านๆ ก็ประเดประดังขึ้นมาในหัว จนสุดท้ายก็ได้แต่ถามไปว่าทำไม ทำไม หากแม่ก็ดูจะกลั่นกรองคำพูดออกมาได้ยากเมื่อเผชิญความจริง ใจเย็นรู้สึกเหมือนจะเห็นน้ำตาของหล่อนไหลออกมา

“พ่อ...พ่อทำอะไรไม่ดีกับแม่เหรอ”

ประโยคนั้นเองที่คุณเกษราร้องไห้ และใจเย็นรู้สึกเหมือนหัวใจสลาย

“ใจเย็นจำเรื่องนกอินทรีหัวขาวที่เราเถียงกันได้ไหม”

“ได้... ผมจำได้”

“ใจเย็นยังจำได้ไหมที่แม่ถามว่าทำไมทุกวันนี้มนุษย์ถึงพยายามทำตัวเป็นสัตว์คู่แท้”

“จำได้ครับ”

“ถ้าแม่ตอบว่าความรัก ใจเย็นจะเข้าใจไหม”

ใจเย็นเงียบ และนั่นก็ทำให้คุณเกษราเข้าใจว่าลูกชายของหล่อนไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรักเลย

“แม่ขอโทษนะที่ทำให้ลูกไม่เข้าใจมัน” คุณเกษราเอ่ยเสียงเครือ “งั้นแม่จะอธิบายแบบที่ง่ายที่สุดในตอนนี้ การที่มนุษย์ทำตัวเป็นสัตว์คู่แท้น่ะ ไม่ใช่เพียงเพราะทำตามข้อตกลงทางสังคมหรอกนะ เพราะใจเย็นก็เห็นใช่ไหมว่ายังคงวุ่นวายอยู่ดี”

“แล้ว...มันเพราะอะไรล่ะครับ”

คุณเกษราเงียบไปชั่วครู่ ปาดน้ำตาที่หลั่งรินบนพวงแก้ม ก่อนจะพูดออกมาอย่างฉะฉาน ไม่สั่นเครือ และฟังดูเข้มแข็งปราศจากอ่อนแอใดๆ

“มันคือการที่มนุษย์รู้ว่าคนอื่นจะเจ็บปวดจึงมีความยับยั้งชั่งใจไม่ทำ และนั่นแหละสิ่งที่ยกระดับมนุษย์ให้ต่างจากสัตว์”

ใจเย็นพบเพียงความเงียบงันหลังประโยคนั้น

“เรื่องแค่นี้ใจเย็นเข้าใจได้ใช่ไหม”

เขาไม่ได้ตอบ เขารู้ว่าแค่ว่าสีของสรรพสิ่งรอบกายผิดเพี้ยนจากที่เคยเห็นไปทุกที

“แม่ขอโทษนะ”

...ทุกที

“ขอโทษนะ ที่ไม่เคยบอกว่าพ่อทำแม่เสียใจมาตลอด”

และสุดท้ายกลายเป็นสีน้ำตาของแม่เขาเอง

กระนั้น ใจเย็นก็นึกไม่ออกแม้แต่วิธีปลอบแม่ในเวลานั้น นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรให้ร่างกายและจิตใจอันบอบบางของหล่อนหยุดสั่นเทา เขาไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลยเหมือนที่เป็นเสมอมา พลันเจ็บปวดทำให้เบือนหนีจากภาพตรงหน้า เขามองไปยังหน้าจออันมืดดำของโทรทัศน์ ในว่างเปล่านั้นปรากฏภาพอินทรีหัวขาวโบยบินบนฟากฟ้า เป็นเจ้าเวหาที่สง่างามน่าเกรงขาม ทั้งยังรักเดียวใจเดียวให้น่าเคารพยกย่อง

หากไม่รู้ทำไม ใจเย็นกลับอยากยิงอินทรีหัวขาวตัวนั้นให้ตายคามือ ให้พ้นจากสายตาเขาเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี













**********************************************************************************

*สัตว์คู่แท้ - คู่เทียม จริงๆ ควรใช้คำว่าสัตว์ผัวเดียวเมียเดียว (monogamous) และสัตว์หลายผัวหลายเมีย (Polygamous)
แต่เนื่องจากแยมเห็นว่าคำมันซ้อนๆ กันเยอะ ทั้งจะใช้ภาษาอังกฤษเดี๋ยวจะลายตากัน เลยเลือกใช้เป็นคำว่า คู่แท้-คู่เทียม เพื่อให้อ่านลื่นไหลค่ะ

และที่คุณเกษราลากยาวเรื่องหย่ามาเป็นปี คือรอให้ใจเย็นเคลียร์เรื่องมหาวิทยาลัยเรียบร้อยค่ะ เดี๋ยวรายละเอียดนี้ใส่ทีหลัง

อ่านแล้วมีฟี้ดแบ้คยังไงเม้นบอกได้น้า หรือจะติดแท็ก #ใจเย็นกับเป็นไท ก็ได้ค่ะ
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2017 21:30:56 โดย แยมส้มขมคอ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MOMAMi_96

  • เรื่อยๆ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
เนี่ยเรื่องครอบครัวใจเย็นนี่แหละสนู๊กสนุก รอให้อีกสองแม่มาเล่าอย่างใจจดใจจ่อ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ความรักยับยั้งไม่ให้เราทำในสิ่งที่จะทำให้คนที่เรารักและรักเราเสียใจ

เป็นไทรู้ว่าตัวเองจะเสียใจเพราะใจเย็น เป็นไทต้องการสิ่งเป็นของเขาจริง ไว้วางใจ วางความรัก วางชีวิตไว้กับคนคนนั้นได้
แต่ใจเย็นไม่เข้าใจ ยังไม่เข้าใจ ไม่เคยได้เรียนรู้ ได้เห็นการซื่อสัตย์ในชีวิตคู่

สงสารทั้งเป็นไท ทั้งใจเย็น ครอบครัวทำร้ายเด็กสองคนนี้มาก ๆ เลย

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
โอ้ยยยเข้มข้นนน

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ใจเย็นค่อยๆเรียนรู้ไปลูก

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ความรักยับยั้งไม่ให้เราทำในสิ่งที่จะทำให้คนที่เรารักและรักเราเสียใจ

เป็นไทรู้ว่าตัวเองจะเสียใจเพราะใจเย็ เป็นไทต้องการสิ่งเป็นของเขาจริง ไว้วางใจ วางความรัก วางชีวิตไว้กับคนคนนั้นได้
แต่ใจเย็นไม่เข้าใจ ยังไม่เข้าใจ ไม่เคยได้เรียนรู้ ได้เห็นการซื่อสัตย์ในชีวิตคู่

สงสารทั้งเป็นไท ทั้งใจเย็น ครอบครัวทำร้ายเด็กสองคนนี้มาก ๆ เลย

ครอบครัวทำร้าย ใจเย็น กับเป็นไท จริงๆ
ใจเย็นอยู่กับครอบครัวที่พ่อมีเมียหลายคนตั้งแต่เกิด
เลยมองเป็นเรื่องปกติสามัญ เฉยๆ

เป็นไท ครอบครัวแตกแยก พ่อไปมีคนใหม่
เห็นการทะเลาะ มากกว่าการรักใคร่ปรองดอง
เป็นไท ไม่เชื่อเรื่องความรักที่มั่นคงยืนนาน
ไปบ้านใจเย็น ก็เห็นครอบครัวที่มีหลายแม่
ยิ่งตระหนักถึงความรักที่ไม่ทำให้มีความสุข

พอใจเย็นมาบอกชอบ แม้เป็นไท เริ่มไหวหวั่น แต่ไม่เห็นถึงความเป็นไปได้
ไหนจะเพศเดียวกัน ไม่เป็นไปอย่างที่สังคมยอมรับ
เป็นไท จีงยิ่งขลาดกลัวความรักเพิ่มเข้าไปอีก

ใจเย็นที่ชีวิตมีความสุขมาตลอด
ในใจมีแต่เป็นไท พอฟังว่าแม่ฟ้องหย่า
เลยพาลโกรธ ไปถึงเรื่อง นกอินทรีหัวขาว นกอัลบาทรอส สัตว์ที่มีคู่แท้ตลอดชีวิต
ใจเย็นจะสามารถนำเรื่องคู่แท้ ไปทำความเข้าใจลึกๆได้มั้ยนะ
แต่ชอบที่แม่บอกใจเย็นนะ
“มันคือการที่มนุษย์รู้ว่าคนอื่นจะเจ็บปวดจึงมีความยับยั้งชั่งใจไม่ทำ และนั่นแหละสิ่งที่ยกระดับมนุษย์ให้ต่างจากสัตว์”
และสิ่งนั้นเรียกว่าความรัก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
26 – ทำร้าย


บางครั้งที่เป็นไทไม่แน่ใจว่าความรู้สึกว่างเปล่ากับความเจ็บปวด แบบไหนดีกว่ากัน เพราะถ้าหวนย้อนนึกถึงตอนเป็นเด็ก แน่นอนว่าเขาเกลียดความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจ แต่บางครั้งถ้าเขาเจ็บรวดร้าวอยู่ภายใน เขาจะทำร้ายภายนอกของตัวเองให้เจ็บยิ่งกว่า หรือบางขณะที่ไม่รู้สึกถึงตัวตนของตนเอง นั่นแหละ เป็นไทก็จะทำร้ายตัวเองเพื่อให้รู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ ต่อให้จะเกลียดความเจ็บปวดก็ตาม

เมื่อโตขึ้น เมื่อหลุดพ้นจากต้นเหตุความเจ็บปวดที่เป็นพ่อของเขาเองได้ พฤติกรรมทำร้ายตนเองก็หายไป ที่คงอยู่คือปกติของมนุษย์ที่เป็นไทไม่ชอบเวลารู้สึกว่าตนเองว่างเปล่า ไม่มีค่า ไม่ว่าจะจากทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะจากแม่ แม่ที่สร้างความสับสนให้เขาในหลายๆ ครั้งว่าแม่นั้นห่วงเขาหรือแค่ห่วงตัวเองกันแน่ แต่ก็เพราะเขาโตแล้ว โตพอที่จะมองข้ามปลีกย่อยเหล่านั้น จึงผ่านมันไปได้อย่างปกติธรรมดาและไม่คิดทำร้ายตัวเอง

“ไท แม่ขอยืมเงินไปลงทุนรอบนี้หน่อยได้ไหม”

“อ้าว เดือนที่แล้วแม่ก็ไม่ได้ขาดทุนนี่”

“กานต์ขอเอาเงินไปหมุน—”

“แม่”

“เป็นไท แม่รู้ว่าลูกจะพูดอะไร แต่กานต์เป็นเพื่อนแม่มาตั้งกี่ปีแล้วนะ”

เป็นไทได้แต่ถอนหายใจเมื่อแม่ยืนกรานสิ่งที่ตัวเองคิด สิ่งที่ตัวเองเชื่อ โดยน้อยครั้งที่ฟังเขา สุดท้ายเป็นไทก็ได้แต่ทำตามความต้องการของแม่ ถอนเงินที่เป็นเงินเก็บของตัวเองออกมาให้แม่ยืมตามที่ร้องขอ

“จะทำอะไรก็อย่าลืมเก็บหลักฐานเอาไว้ดีๆ อะแม่”

“จ้า”

แม่ตอบรับแค่นั้น แสดงความรักด้วยการลูบหัวเขาทีหนึ่งซึ่งเขาก็ดึงออก ไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ชอบเพราะโตแล้ว แต่เป็นไทรู้สึกไม่ชอบการกระทำเหล่านั้นของแม่จริงๆ

เป็นไทนึกไม่ค่อยออกว่าคนครอบครัวอื่นที่เขาแสดงความรักต่อกันได้อย่างไม่กระอักกระอ่วนนั้นต้องมีหรือไม่มีสิ่งใดในความสัมพันธ์ ต้องไม่เคยถูกทำร้ายหรือ ต้องไม่เคยถูกมองข้ามหรือ เรื่องง่ายๆ แค่นี้เขากลับนึกไม่ออกจริงๆ และก็น่าขันที่เขานึกลามไปถึงครอบครัวของใจเย็น มีอยู่หลายครั้งที่เขาเห็นคุณเกษราเข้ามาพูดคุยกับลูกชาย บางครั้งบทสนทนานึกจะหวานรักก็หวาน แต่เป็นไทไม่เห็นความกระอักกระอ่วนในนั้น มันแค่ดำเนินไปเรียบง่าย แต่เรียบง่ายนั้นแหละที่ชวนน่าอิจฉา

หากพอคิดลามไปถึงคนพ่อที่เป็นไทไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง เขาก็คิดว่าใจเย็นอาจจะไม่น่าอิจฉาก็ได้ พลันก็ต้องระงับความคิดตนเอง เขาไม่อยากคิดแทนคนอื่น และที่สำคัญใจเย็นก็ไม่เคยแสดงท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร หรือไม่ ก็เพราะไม่เข้าใจอะไรเลยจึงไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อน

เป็นไทยังจำวันที่ใจเย็นพูดถึงความไม่เข้าใจต่อการมีรักเดียวใจเดียวได้ดี มันเป็นวันที่เขาร้าวลึกอยู่ข้างใน และทั้งที่คิดว่าเข้าใจได้ดีว่าทำไมถึงเจ็บปวดขนาดนั้น แต่ระยะหลังๆ มานี้เขาก็เริ่มมองข้ามมันเหมือนรายละเอียดปลีกย่อยซับซ้อนต่างๆ ที่เขาชอบมองข้าม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บปวด ง่ายดายเพียงนั้น

ความสัมพันธ์ที่เขามีกับใจเย็นตอนนี้จึงเรียบเรื่อย นานๆ ครั้งจะมีกลิ่นดอกไม้ลอยอวลในบรรยากาศเหมือนกับนานๆ ครั้งที่เขาจะได้เจอกับใจเย็น และบางครั้งที่นึกครึ้มอะไรไม่รู้ได้ เขาก็จะเปิดโทรทัศน์เลือกดูรายการสารคดีสัตว์โลกที่ใจเย็นชอบดู

เป็นไทคิดว่าเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว นานครั้งเจอกันก็เพียงเพื่อได้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างยังสุขสบายดีก็น่าจะพอ แต่บางทีก็เหมือนว่านานเกินไป เพราะรู้ตัวอีกที ใจเย็นก็จะไม่หวนกลับไปใส่เครื่องแบบนักเรียนอีกแล้ว

เป็นไทไม่เคยนึกภาพใจเย็นในชุดนักศึกษามาก่อน ภาพใจเย็นที่ชินตานั้นมีแต่ใส่เสื้อยืดคอกลมแขนยาวไม่ก็ชุดนักเรียนไปเลย ดังนั้นการที่ได้เห็นใจเย็นลองเสื้อนักศึกษาอยู่ตรงหน้าจึงแปลกตาไม่น้อย

“มึงจะเป็นเด็กช่างหรือไง ไหล่ตกจะถึงศอกละ”

“เผื่อโตไงครับ” ใจเย็นหันมายิ้ม ก่อนจะถอดชุดนักศึกษาที่ลองสวมทับออก ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวแค่หยิบมาลองเล่นๆ

“ทำตัวเป็นเด็กประถมไปได้”

“ก็ผมอยากตัวใหญ่กว่านี้นี่ครับ”

เอ่ยบอกก่อนจะเลือกเสื้อที่ขนาดเหมาะกับตัวเองมาลองสวม ครั้งนี้ดูไม่ขัดหูขัดตาเพราะพอดีตัว

“เออ ตัวนี้แหละ”

เขาบอกใจเย็น ซึ่งเจ้าตัวได้ฟังก็ลองยกแขน สับเปลี่ยนอิริยาบถ ดูตัวเองหน้ากระจกอยู่เล็กน้อยก็ตกลงปลงใจกับขนาดที่ใส่อยู่ ส่วนกางเกงก็ใช้เวลาเลือกไม่นานนักเพราะไม่ได้หยิบมาลองเล่นแบบเสื้อ และเมื่อใจเย็นใส่ชุดนักศึกษาทั้งชุดเดินออกจากห้องลองเสื้อก็ยิ่งทำให้เป็นไทรู้สึกแปลกตาทั้งที่เป็นเรื่องปกติ

ใช่ ปกติที่คนเราต้องเติบโตและเปลี่ยนแปลง แต่เขาเพิ่งรู้สึกได้ว่าใจเย็นเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่คิด

ต่างจากวันแรกๆ ที่ใจเย็นดูเก้งก้างกว่านี้ ตอนนี้ใจเย็นตัวสูง ไหล่กว้าง ที่ขาดอาจยังเป็นกล้ามเนื้อ เหมือนเป็นหุ่นวัยรุ่นที่อีกนิดก็จะเข้าที่เข้าทาง และต่อให้เจ้าตัวจะบอกว่าอยากตัวใหญ่กว่านี้อีก เป็นไทกลับรู้สึกว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว เพราะเขาไม่อยากรู้สึกขัดเคืองเล็กๆ หากถูกคนที่เคยเตี้ยกว่าแซงหน้าไปไกลลิบ

และไม่ใช่แค่ทางกายภาพที่ใจเย็นเปลี่ยนไป ความคิดความอ่านก็ดูเติบโตขึ้น อย่างน้อยก็ในเรื่องที่เลือกจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยหลีกเลี่ยง กระทั่งได้ค้นพบตัวเองในที่สุด แต่ก็อีก ใจเย็นมักจะบอกว่าที่เป็นแบบนี้ได้ก็เพราะเขา และเขาเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของใจเย็น บอกแบบนั้นด้วยสีหน้าที่บางทีก็แยกไม่ออกว่าจริงจังหรือแค่หน้าตาย

อย่างไร เขาก็ดีใจอยู่ดี แม้ปฏิกิริยาตอบกลับคือบ่นไปว่าพูดเกินจริงเสียทุกครั้ง

“อยากให้เป็นไทได้เห็นผมใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศจัง” ใจเย็นเอ่ยบอกหลังพากันเดินออกจากร้านเสื้อผ้ามาแล้ว

“มึงนี่ขี้เห่อ”

“งั้นเหรอ” ตอบรับคำติดปาก “ไหนๆ แล้วก็ไปซื้อเน็กไท้กับเข็มขัดที่มอเลยได้ไหมครับ”

“จริงจังไปไหนวะสัด” เป็นไทขำคนทำตัวเป็นเด็กตรงหน้า เพราะเพิ่งคิดไปแท้ๆ ว่าโตขึ้นเยอะ แต่เจ้าตัวก็ ‘จริงจัง’ อย่างที่เขาว่าด้วยการขับรถไปที่มหาวิทยาลัยจริงๆ ก่อนพบว่าสหกรณ์นั้นปิด ให้เขาหัวเราะขำอีกระลอก ซึ่งก็ไม่กี่ครั้งหรอกที่จะได้เห็นใจเย็นบ่นอุบอิบเมื่อมีอะไรขัดใจ

นั่นแหละ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ผ่านไปเรียบเรื่อยเช่นนั้น และเป็นไทก็เห็นว่าดีกว่าที่จะไม่แบ่งปันความทุกข์ใจเรื่องที่บ้านให้ฟัง ในเมื่อก็ไม่ได้มีอะไรหนักหนา ที่สำคัญชีวิตเขาเคยแย่กว่านี้หลายเท่าแต่ไม่มีคนมารับฟังก็ไม่เห็นเป็นไร

จนกระทั่งวันที่ใจเย็นมาหาเขาอีกครั้งที่คอนโด เป็นไทถึงถูกรื้อความรู้สึกที่เก็บซ่อนว่าเขาเคยปรารถนาจะมีคนรับฟังมากแค่ไหน

มันไม่ใช่วันที่เขามีอะไรจะเล่าให้ใครฟัง แต่เป็นใจเย็นเองที่มีอะไรจะเล่าให้เขาฟัง เป็นไทเพิ่งรู้ตัวว่าแพ้คำพูดแบบนั้น –  คำพูดที่บอกว่าอยากมีคนรับฟัง – ก็ตอนที่ใจเย็นถือวิสาสะทิ้งตัวลงบนโซฟา และวางหัวลงบนตักของเขา ทั้งที่เขาอยากจะด่าที่ทำตัวลามปามแต่ก็กลับด่าไม่ออกเลยสักคำ

“แม่ผมเพิ่งฟ้องหย่ากับพ่อ”

เป็นถ้อยคำหนักหน่วงที่ดึงบรรยากาศให้หนักตามไปด้วย สรรพเสียงเหมือนตกตะกอนอยู่บนพื้นห้องสักพักก่อนที่เป็นไทจะตัดสินใจกวนมันให้ขุ่นขึ้นมา เขาถามถึงเหตุผลด้วยเสียงแผ่วเบา ซึ่งใจเย็นก็ตอบด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเพียงเล็กน้อย แต่เพราะตั้งใจฟังจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร

ใจเย็นเล่าให้ฟังว่ามันเป็นครั้งที่สองนับจากทันใจตายที่ใจเย็นรู้สึกว่าโลกมันบิดเบี้ยว ใจเย็นอยู่ในความเข้าใจว่าแม่ยอมรับได้กับสิ่งที่พ่อเลือกและก็มีความสุขดีมาตลอด ใจเย็นเข้าใจว่าสิ่งที่พบเจอนั้นคือความรักที่แท้จริงมาตลอดชีวิต ซึ่งน่าเศร้าเหลือเกินที่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ความเข้าใจผิด

เป็นไทได้ฟังก็ไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใด เขาปลอบคนไม่เก่ง อาจถึงขั้นห่วยเลยด้วยซ้ำ และเมื่อไร้วาจา การกระทำจึงทำหน้าที่แทน แทบไม่รู้ตัวที่เขาเอื้อมมือไปลูบไล้เส้นผมของใจเย็นอย่างที่ใจเย็นเคยทำกับเขา ได้รู้ในตอนนั้นเองว่าเส้นผมของใจเย็นนั้นนุ่มแค่ไหน จึงยิ่งเบามือแผ่วเบาราวต้องการทะนุถนอม พลันหวังที่เคยกดให้ลึกสุดใจว่าอยากให้ใจเย็นรับฟังเรื่องของเขาอย่างอ่อนโยนแบบนี้เช่นกันก็ล่องลอยขึ้นมาในชั้นบรรยากาศรอบตัว

“แปลกไหมครับถ้าจะบอกว่าผมรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง”

“ไม่แปลกหรอก”

“เป็นไท...อยู่ข้างๆ ผมนะ”

“เออ อยู่ตลอดอะ” เขาตอบ หมายความแบบนั้นเต็มความหมาย

สรรพเสียงตกตะกอนลงไปอีกครั้ง ห้องทั้งห้องจึงกลับเงียบ แต่เป็นความเงียบที่อึดอัดน้อยลงจากเมื่อครู่ อย่างน้อยใจเย็นก็ได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแล้ว อย่างน้อยเขาก็ได้พูดออกไปว่าจะอยู่ข้างๆ และอย่างน้อยเขาก็ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำให้ เขายังคงลูบหัวใจเย็นแบบที่ไม่เคยทำกับใคร กระทั่งนานพอเหมือนความคิดตกตะกอนตามความเงียบ ใจเย็นจึงตีมันให้ขุ่นขึ้นมา เอ่ยบอกกับเป็นไทถึงสิ่งที่แม่บอก บอกเหตุผลที่การนอกใจเป็นเรื่องผิดเพราะเท่ากับไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด

ได้ฟัง เป็นไทก็เหมือนถูกรื้อความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง ความหวังที่เคยฝังให้ลึกจนไม่คิดว่าจะขุดกลับขึ้นมาได้ก็ล่องลอยขึ้นมา เป็นความหวังที่ว่าใจเย็นจะค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่เขารู้สึก

“แต่รู้ไหมครับ จะคิดยังไงผมก็ไม่เข้าใจ”

หากพลันหวังนั้นกลับแตกสลายกระจัดกระจายด้วยคำพูดเดียว

เป็นไทรู้สึกเหมือนเห็นซากความหวังชิ้นเล็กชิ้นน้อยกองอยู่บนพื้น เป็นเศษซากที่ไม่อาจประกอบกลับ เขาหลับตาลงด้วยไม่อยากจะเห็นมัน แต่เหตุใดไม่รู้ได้ ใต้เปลือกตานั้นเขากลับเห็นภาพย้อนไปตอนฝึกงาน บ่อยครั้งที่เป็นไทเหม่อมองเครื่องจักรทำงานจนลืมหน้าที่ จ้องมองรถเครนขนย้ายท่อนเหล็กไร้ชีวิต เหม่อมองจนเหมือนจะทะลุทะลวงไปยังฉากหลังสีฟ้าจ้า ชั่วขณะนั้นเป็นไทคิดว่าความรู้สึกของตนเองว่างเปล่า แต่แท้จริงแล้วเขากำลังหวัง หวังไว้อย่างหนักหนาว่าอะไรๆ มันจะไม่พังลงมาแม้รากฐานอาจดูโอนเอนอ่อนไหว

“นั่นคือความหมายของการรักเดียวใจเดียวเหรอครับ”

แต่มันก็พังทลายลงมาไม่มีชิ้นดี

“ไม่รู้เหมือนกัน”

สุดท้ายเป็นไทก็ได้แต่ตอบไปแค่นั้น ลูบผมปลอบใจอีกฝ่ายจนหลับใหล ขณะที่เขายังตื่นลืมตาในความเสียใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นไทจำไม่ได้ว่าพูดคุยอะไรกับใจเย็นไปบ้าง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้หลับสักงีบหรือแค่ฝันร้ายทั้งลืมตา ที่จำได้ดีมีแต่ความเจ็บปวดที่แตกแขนงลามเลยมาถึงตอนเช้า เช้าที่เขาก็แค่ทำตัวปกติเหมือนเดิมและคงความสัมพันธ์เอาไว้

ต่อให้พูดไม่ออกถึงสิ่งที่อยากจะพูดให้ฟัง แต่เขาก็อยากจะรับฟังเรื่องต่างๆ ของใจเย็นอยู่ดี

หลังจากที่ใจเย็นไปแล้ว เป็นไทก็ตัดสินใจกลับบ้าน เขาแค่ไม่อยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียวที่คอนโด ไม่อยากจะเห็นเศษซากความเจ็บปวดกองอยู่บนพื้นห้อง แต่แล้วการที่ได้เห็นแม่นั่งร้องไห้พร้อมคำสารภาพว่าถูกชนากานต์เพื่อนผู้เป็นหุ้นส่วนในร้านเสื้อผ้าโกงเงิน สารภาพว่าไม่ได้เก็บหลักฐานต่างๆ ไว้เลยเพราะไว้ใจ ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนเห็นความหวังแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้ง แต่ในเศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กองอยู่บนพื้น ครั้งนี้มีเศษส่วนของตัวเขาเองด้วยที่กระจัดกระจายอยู่ ทั้งรู้สึกได้ว่าไม่อาจนำมาประกอบคืนอีกเพราะเขาไม่รู้แล้วว่าจะไปพูดให้ใครรับฟัง

ไม่สิ เป็นไทรู้ตัวว่าอยากไปพูดให้ใจเย็นฟัง แต่ก็รู้ดีว่าจะพูดไม่ออกสักคำ

คำถามที่ว่าระหว่างความว่างเปล่ากับความเจ็บปวด แบบไหนดีกว่ากัน พลันหวนมาอีกครั้งเหมือนผิดที่ผิดเวลา และเหมือนเดิมที่เป็นไทไม่มีคำตอบ

รู้แค่ว่าตอนนี้เขาอยากทำร้ายกายตัวเองให้เจ็บปวด ให้มากกว่าที่ใจรู้สึกเป็นร้อยเท่าพันเท่า












*****************************************************************************
เวลาไม่ค่อยมีคอมเม้น แยมก็อยากทำร้ายตัวเองเหมือนกันเลยค่ะ  :z3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 15:42:28 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ ursleepingxd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฮืออออออ เป็นไทททททททท สงสาร

อะไรชีวิตหนูจะรันทดขนาดนี้

แต่ถ้ามันเหนื่อยมันหนักมากๆแล้วไม่ระบายออกซะบ้างมันจะทำร้ายตัวเองแล้วก็คนรอบข้างนะ ตั้งสตินะเป็นไท ; - ;

ออฟไลน์ jaejae

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
น่าสงสารใจเย็น...เพราะตลอดชีวิตเข้าใจมาตลอด ว่าความเจ้าชู้ และมีเมียเยอะๆ เป็นชีวิตที่่ปกติ และไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่เป็นชีวิตที่อยู่บนความเจ็บปวด จนกลายเป็นความชินชา

แต่เราสงสารน้องเป็นไทที่สุดเลย ชีวิตที่ถูกทำร้ายจิตใจด้วยคนเป็นพ่อ แต่แสร้งว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แต่เหมือนรอเวลาที่จะปริแตก..

รอให้ถึงวันที่ใจเย็นจะรู้จักความรักที่เป็นรักเดียวใจเดียว  รอให้ถึงวันที่เป็นไทจะมีคนที่รู้สึกว่ารักเค้าจริงๆ  ทั้งคู่ต่างก้อรักกันและต่างเติมเต็มกันได้  เพียงแต่ใจเย็นยังไม่รู้จักความรัก และเป็นไทก้อมีบาดแผลจึงต้องมีกำแพงเอาไว้

ขอโทษที่ไม่ค่อยได้เม้นนนนนน...แต่ตามอ่านตลอด

ต่อไปจะเม้นบ่อยๆ ค่ะ  ชอบเรื่องนี้มากๆ มาต่อบ่อยนะคะ


 

ออฟไลน์ garnetsecret

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นไทควรสตรองขนาดไหนถึงจะไม่เป็นบ้า
มันหลายอย่างเกินไปแล้ว เหมือนโดนค้อนทุบซ้ำๆลงบนความหวังความเชื่อใจจนแตกจนพัง
ไหนจะเรื่องใจเย็น ไหนจะเรื่องแม่
ตอนหน้า ถ้าเป็นไทไม่ฆ่าตัวตาย ก็ให้นางพบความสุขบ้างได้ไหม

เกลียดความเจ็บปวดของคนที่รู้สึกรักทีหลัง เมื่อรู้ว่าคนที่เริ่มรักเราก่อน มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด



ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
ฮืออออ สงสารเป็นไท

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด