สี่หนุ่มแยกกันไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปเจอกันที่ The Prophet เนื่องจากร้านที่นัดกันอยู่ค่อนข้างไกลหอพัก ดึกๆ เลยไม่ควรขี่จักรยานกลับเอง ภาคภูมิกำลังจ่ายเงินให้พี่วิน ในตอนที่ร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดสีขาวเดินมาสะกิดด้านหลัง เขาชะงักเล็กน้อยกับภาพที่แปลกตาไปของเพื่อนสนิท มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขายังไม่รู้ชัดว่าคืออะไร แต่สิ่งนั้นทำให้ปรนัยที่ยืนอยู่ตรงหน้าดูดีกว่าทุกวัน
“มองเยอะไปปะ” คนถูกจ้องแกล้งโบกมือในระดับเดียวกับตากลมที่จ้องตนเองอยู่
“มึงทำไรมา หน้าตาแปลกๆ” รอยขมวดคิ้วจางๆ ของเพื่อนทำให้ปอหัวเราะ
“แปลกยังไงวะ เลิกมองแล้วเข้าร้าน เร็ว!” พูดจบก็ดันไหล่บางให้เดินนำไปยังโต๊ะที่จองไว้ แก้วกับชิงที่มาถึงก่อนโบกมือส่งสัญญาณให้ สองหนุ่มจึงเลี้ยวไปยังโต๊ะใหญ่ที่อยู่ฝั่งซ้ายของเวที
“น่อๆๆ เสื้อคู่ด้วยเว้ย” เสียงแซวจากไอ้แก้วทำให้ผู้มาใหม่ต้องก้มมองการแต่งกายของตัวเอง ก่อนจะสลับไปมองที่อีกคน
ทั้งภาคภูมิและปรนัยใส่เสื้อยืดของภาคที่ซื้อตอนปีหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าไอ้คนแซวมันก็มี เพียงแต่ไม่ได้ใส่วันนี้เท่านั้นเอง
“เป็นเสื้อสีขาวตัวเดียวที่กูมี นอกจากเสื้อนักศึกษา” ภูมิอธิบาย ในขณะที่จำเลยอีกคนตั้งท่าเตรียมไฟต์
“คือมึงอ้วนจนเสื้อตัวนี้คับไปแล้วใช่มั้ยสัสแก้ว ทำมาเป็นแซวคนอื่น แหมมม”
“ไอ้เชี่ย กูไม่ได้อ้วน แค่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว”
“โอ๊ยยย เดี๋ยวกูเอาน้ำสาดเลย” ชิงชิงที่ทนฟังพวกแม่งตีกันมานานโวยวายขึ้น “จะแดกมั้ยเนี่ย”
“สายเฟียซจังวะวันนี้สัสชิง” แก้วบ่นอุบ แต่ก็ยอมสงบศึกแต่โดยดี “กูเปิดเหล้ากลมนึง พวกปีสี่กินด้วย พวกมึงจะแจมด้วยปะ หรือจะเอาเบียร์เหมือนไอ้ชิง”
“เบียร์แล้วกัน” ปอตอบ ก่อนจะหันไปหาเพื่อนข้างๆ “พีพีมึงแดกสองสามแก้วพอนะ”
“เข้ ห่วงเว้ยยย” คนที่เพิ่งสงบศึกเปิดฉากแซวอีก แต่คราวนี้ปรนัยไม่สนใจ
“เมาแล้วชอบเล่นมุกควาย กูขี้เกียจช่วยขำ”
“เออ อันนี้กูเห็นด้วย” แล้วไอ้แก้วก็ยื่นมือไปเช็กแฮนด์กับไอ้ปอดุจพันธมิตร ส่วนบุคคลที่ถูกนินทาทำได้เพียงเบะปากมองบน แต่เถียงไม่ออก เพราะที่พวกมันพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
ไม่นานนักแก๊งปีสี่ พี่จ๋า พี่จุ๋ม พี่ตี้ พี่ไนท์ก็มาถึง ทุกคนใส่เสื้อขาวดูคุมโทน บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้น เพราะมีคนมาช่วยชงมุกแข่งกับชงเหล้า ภูมิกำลังขำกับการเชือดเฉือนฝีปากกันของเจ๊ตี้กับพี่จุ๋ม ก่อนบทสนทนาของพี่จ๋ากับปอจะดึงความสนใจของเขาไป
“เซตผมเหรอ” คำถามจากรุ่นพี่ทำให้ภูมิหันไปมองเพื่อนข้างๆ อีกครั้ง ก่อนจะได้คำตอบว่าเพราะอะไรปรนัยถึงได้ดูแปลกตาไปจากเดิม
“อะไรๆ หล่อช้ะ” ใบหน้าคมยักคิ้วกวนๆ แล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ ท่าทางร้ายๆ ดูเข้ากับลุคของมันวันนี้ดี และดูเหมือนพี่จ๋าก็คงเห็นด้วย วัดจากสายตาที่สื่อออกมาโดยที่เจ้าตัวอาจไม่ได้ตั้งใจ
เพี๊ยะ!!“โอ๊ยยย อีจุ๋ม ตีกูทำไมเนี่ย!!” คนที่กำลังเหม่อถึงกับร้องลั่นพลางใช้มือลูบแขนตัวเองป้อยๆ เพราะอยู่ๆ เพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็ฟาดมือลงมาเต็มแรง
“เหอะ! เจ็บมะ?!” พี่จุ๋มถามเสียงนิ่ง
“อะไรของมึง เจ็บดิ!!”
“ดี... เจ็บแล้วก็จำเนอะ” จ๋าไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจกับความร้ายของเพื่อน
ด้วยความที่นั่งอยู่เยื้องกัน ภูมิจึงได้เห็นหน้าพี่จ๋าชัดกว่าทุกครั้งที่เจอ สาวผมสั้นโครงหน้าเล็กไม่ใช่คนแต่งหน้าจัด แต่องค์ประกอบทุกอย่างกลับเสริมกันได้อย่างลงตัว ถ้าจะบอกว่าพี่จ๋าเป็นคนสวยก็คงไม่เกินจริง บวกกับบุคลิกเซอร์ๆ มีสไตล์ก็ถือว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์และน่าสนใจไม่น้อย แบบถ้าเขาเป็นผู้ชายปกติก็คงตกหลุมรักได้ไม่ยาก
...แต่เผอิญว่าเขาไม่ใช่
“อะแฮ่ม!” เสียงคนข้างๆ ที่กระแอมไม่เบานักทำให้ภาคภูมิต้องละลายสายจากคนฝั่งตรงข้าม
ปรนัยหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ กลายเป็นภูมิที่เริ่มขยับตัวยุกยิกอย่างมีพิรุธ “มองไร”
“กูต้องถามมึงมากกว่าปะ มองไร”
คำถามนั้นทำให้ภาคภูมิขมวดคิ้วด้วยความงง “มองไรวะ”
“เปล๊า...” ร่างสูงยักไหล่ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กี่แก้วแล้วมึงอะ”
“สอง”
“เออ พอละ กินโค้กไป”
“เรื่องไร! กูมาเพื่อน้องโฮ”
“เดี๋ยวมึงได้ร้องโฮ” ปรนัยทำเสียงเข้ม “ค่อยกินๆ ดิ”
แทนคำตอบรับกับประโยคคำสั่งนั้น ภาคภูมิกลับกระดกเบียร์เย็นเฉียบทีเดียวหมดแก้ว แถมยังยื่นแก้วเปล่าให้ชิงชิงที่นั่งหัวโต๊ะช่วยเติมเพิ่มอีกด้วย
“กูไม่รินให้มึงนะ เดี๋ยวโดนห่าปอเตะ” ชิงยกมือสองข้าง ทำท่าปฏิเสธไม่รับแก้วเปล่าของเพื่อนลูกเดียว
หากยังเถียงกันไม่ทันจบ เสียงพี่จุ๋มที่ตะโกนลั่นร้านก็ทำให้ทุกบทสนทนาต้องชะงักลง
“อาจารรรรย์”
“โอ้ จุ๋ม...ถ้าจะเรียกดังขนาดนี้ ลองไปประกาศบนเวทีมั้ย” อาจารย์ธารที่เพิ่งมาถึงร้านรีบสาวเท้าเข้ามาที่โต๊ะแล้วนั่งลง ด้านหลังเป็นอาจารย์กฤตที่ส่งยิ้มรับไหว้เด็กๆ อยู่
“หูยยย ก็คนมันตื่นเต้นอะ” จุ๋มยิ้มแหะๆ “แต่วันนี้หล่อทั้งคู่เลยนะค้า เสื้อขาวนี่ดีย์ต่อใจละเกิ๊น”
อาจารย์กฤตหัวเราะ รู้สึกเขินนิดๆ ในขณะที่อาจารย์ธารกลับมองไปรอบๆ โต๊ะ แล้วครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ “คือ...พอแต่งชุดขาวกันแบบนี้แล้ว ดูๆ ไปก็เหมือนมาปฏิบัติธรรมเนอะ”
“อาจ๊ารรรย์ นี่ The Prophet นะคะ ไม่ใช่วัดสระเกศ” เจ๊ตี้พูดพลางเอามือทาบอก
ภาคภูมิอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังฮากับเจ๊ตี้ ส่งซิกให้คนที่อยู่ทิศตะวันตักช่วยเติมเบียร์ และหันข้างแอบจิบไปแบบเนียนๆ
“พีพี!” เสียงดุทำเอาเด็กที่แอบกินแอลกอฮอล์ต้องสะดุ้งโหยง “จิ้มปีกไก่ให้กูหน่อย”
“อ่อ...เออ แป๊บๆ”
“เอาสองชิ้น” สั่งเสร็จก็หันไปคุยกับอาจารย์และรุ่นพี่ต่อ โดยไม่ได้สังเกตเห็นแก้วเบียร์ที่ถูกซ่อนไว้ใต้ชั้นวางเครื่องดื่ม ที่ตอนนี้ถูกลากมาไว้ระหว่างภาคภูมิกับชิงชิง
“เกมซ่อนตายฉิบหายเล้ยยย” ชิงชิงเปรยกับสายลม
“ชู่วววว” ภูมิส่งสัญญาณให้เพื่อนเงียบ ผู้ร่วมแผนการยักไหล่ พลางคว้าแก้วข้างใต้ที่เบียร์เริ่มพร่องมาเติมให้ ทำเอาเจ้าของแก้วยิ้มหวานอย่างถูกใจ
กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง!!เวลาผ่านไปจนเกือบสี่ทุ่ม ในขณะที่เรื่องโจ๊กกึ่งนินทาคนในภาคจบไปเป็นเรื่องที่สิบ เจ๊ตี้ที่ตอนนี้เริ่มกรึ่มๆ ก็คว้าขวดโซดามาเคาะเป็นสัญญาณว่าให้ทุกคนในโต๊ะตั้งใจฟัง
“เราจะมาเล่นเกมกัลลลล” เสียงแปร่งเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา “เชื่อว่าทุกคนสติเริ่มไม่เต็มร้อยละ ซึ่งเจ๊ก็ด้วย ฮ่าๆๆ แต่..แต๊..แต่ เราจะมาเล่น ‘A-Z ปรัชญามาราธอน’ เกมแห่งปัญญาสำหรับคนไม่มีปัญญาาา”
“โอ๊ยยย จะรัชดาลัยทำไมอีตี้ เกมอะไรของมึง” พี่จ๋าตะโกนแทรกขึ้นมา ทำเอา MC สุดสวยหันไปมองจิกทันควัน
“กติกาก็คือ ทุกคนในวงนี้ ต้องพูดคำที่เกี่ยวกับปรัชญา ตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยต้องพูดทวนของเพื่อนคนที่ผ่านมา และต่อด้วยคำของตัวเอง ถ้าผิดหรือช้ากว่า 5 วิ ต้องโดนลงโทษและออกจากการแข่งขัน เล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คนชนะคนสุดท้าย”
“บทลงโทษคืออะไรอ่าครับ” ปอเอ่ยถาม ซึ่งกำลังเป็นข้อสงสัยของคนอื่นๆ เช่นกัน
คนคิดเกมยิ้มหวาน “ทุกคนเคยกิน ‘Chapter 2’ ของร้านนี้มะ”
รอบโต๊ะส่ายหน้า
“เป็นเครื่องดื่มคล้ายๆ ค็อกเทล แต่มันจะแยกเป็นแก้วเหล้ากับแก้วน้ำหวานมา อีแก้วเหล้านี่ก็จะมีความร้อนแรงเวอร์ เพราะผสมเหล้ามาสามชนิด แก้วนี้เลยได้ชื่อว่า
‘Know the pain’ ส่วนแก้วน้ำหวานจะเป็นโคลากับน้ำผลไม้ที่หวานมากกกก หวานจนขึ้นตา มันเลยชื่อ
‘Too much tenderness’”
“ว่อออออออออ” เสียงอื้ออึงกับความคมของชื่อเครื่องดื่มดังประสานกัน
“ปกติเราต้องเทผสมกันแล้วแดก เอ๊ยยย ดื่ม แต่!!! เกมนี้ ใครแพ้ ต้องเสี่ยงดวงหยิบเอาค่ะว่าจะได้อะไร เพราะอีสองแก้วนี้แพ็กเกจมาเหมือนกันเป๊ะ”
เจ๊ตี้อธิบายยังไม่ทันจบ พนักงานก็ยกเครื่องดื่มที่ว่ามาให้ทั้งหมดสิบแก้ว
“เดี๋ยวน้องเอาทุกแก้ววางปนๆ กันตรงกลางโต๊ะเลยนะคะ อ่อ...แก้วผสมไม่ต้องค่ะ เก็บเลย”
ทุกสายตาจับจ้องไปยังแก้วสแตนเลสฝาทึบที่หน้าตาเหมือนกันทุกใบ ไอเย็นโดยรอบพอจะบอกถึงอุณหภูมิของเครื่องดื่มด้านในได้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่ามันจะสามารถกักเก็บความเย็นไปได้อีกนานพอสมควร
“เอ่ออออ... โหดไปเปล่า ตอนนี้แค่จำแก้วตัวเองให้ได้ยังยากเลยเจ๊” แก้วยกมือแสดงความคิดเห็น
“อย่าเรื่องเยอะนังแก้ว เดี๋ยวเจ๊จับทำเมียเลย”
“โอ๊ยยยย โหดกว่าทำผัวอี๊ก กำพระแป๊บ” ไม่พูดเปล่า รุ่นน้องยังทำท่ากุมสร้อยพระพลางสวดมนต์ประกอบอีก
“อีแก้ว!!” เจ๊ใหญ่กำลังจะด่าสักสามจบ ถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อน
“ปิ้งก๊ายยยย อิอิ”
ทั้งวงหันมองเสียงปริศนา ก่อนจะพบว่ามันมาจากเด็กหนุ่มที่เคยสุภาพเรียบร้อยอย่าง... ภาคภูมิ ที่ตอนนี้นั่งเอียงหัวพลางหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
“เชี่ย... ซวยล่ะกู” ชิงชิงพึมพำ ในขณะที่ปรนัยรีบเอื้อมมือไปดึงไหล่เล็กของคนเริ่มเมาให้เข้ามาใกล้
“พีพี” เสียงทุ้มเรียก “นั่งดีๆ เดี๋ยวหงายหลัง”
“ยังๆ กูยังไม่มาว” คนไม่เมาส่งยิ้มหวาน “เมื่อกี๊ทดลองเล่นมุก เผื่อขำ”
“ฮ่าๆๆ ทำไมไอ้ภูมิโหมดนี้กูไม่เคยเห็น” ประธานรุ่นหัวเราะ
“งั้นเกมนี้ตัดนังภูมิออกไปแล้วกัน” เจ๊ตี้ที่ยังคงจริงจังกับการเล่นเกมเอ่ยต่อจากเดิม
“ไม่อาววว ขอเล่นด้วย นะนะนะ” เสียงเว้าวอนทำเอาเจ้าแม่กิจกรรมถึงกับอ่อนระทวย
“พีพีลูกกกก หนูอยากได้อะไร ไหนบอกแม่ซิ”
“ขอเล่นด้วยคับ” ไม่ใช่แค่ส่งยิ้มหวาน แต่ยังทำตาแป๋วใส่เจ๊ตี้อีก
“ฮืออออ ใจแม่...”
สรุปว่าบทลงโทษของผู้แพ้คือการต้องเสี่ยงหยิบเครื่องดื่มบนโต๊ะมากระดกให้หมดแก้ว ใครจะได้แบบโคตรขมหรือโคตรหวานก็วัดดวงกันไป ส่วนรางวัลของผู้ชนะคือ การจ่ายแค่ 50% ของราคาที่หารแล้วในค่ำคืนนี้
เมื่อมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจึงพยายามตั้งสมาธิจากสติที่ไม่ค่อยจะมีกันอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์กฤตที่โอน้อยออกได้เป็นคนเริ่มคนแรก
“เอาล่ะนะ” คนเริ่มเกมให้สัญญาณ
“อร๊ายยย ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ยคะ” เจ๊ตี๊ผุดลุก เตรียมท่าจะวิ่งออกไป แต่ถูกเพื่อนคนอื่นๆ คว้าตัวไว้ก่อน
“ไม่ได้!! เล่นให้จบก่อนเลยอีตี้”
“ใช่! ถ้าออกไปคือปรับแพ้เลยนะ”
“โอ๊ยยยย พวกมึงไม่เห็นใจคนปวดเข้เลยใช่มั้ย!!”
“เออ!!” พี่จุ๋มกระแทกเสียง ก่อนจะหันมายังอาจารย์สุดหล่อประจำภาคแล้วยิ้มหวาน “อาจารย์เริ่มเลยค่ะ”
เกมแห่งชีวิตเริ่มต้นขึ้น และวนทางด้านซ้ายมือไปเรื่อยๆ เป็นวงกลม

อ.กฤต:
“Albert Camus”อ.ธาร:
“Albert Camus – Belief”พี่ไนท์:
“Albert Camus – Belief - Critical Thinking”เจ๊ตี๊: Albert Camus เอ่อ... แอร๊ยยยย ปวดขี้!! ยอมแพ้ๆๆ เดี๋ยวกลับมารับโทษนะ
พี่จุ๋ม: โว้ยยย อีตี้ มึงจะมาเปลี่ยนห่วงโซ่อาหารแบบนี้ไม่ได้นะโว้ยยย ฮือออ
“Albert Camus – Belief - Critical Thinking – เอ่อ... อ่า... Determinism!!”พี่จ๋า: เอามาจากข้อสอบวันนี้ใช่มะ แหมมม
“Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego”/นั่นก็ข้อสอบไม่ใช่เหรออีจ๋า... – พี่จุ๋มกล่าว
แก้ว: เชี่ยยย ผมไม่ได้เตรียมตัว F อะ “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – F…เกรดเอฟ!!”
โดยไม่ต้องรอให้มีเสียงคัดค้าน แก้วผู้ตอบผิดเอง ก็ใจนักเลงพอจะคว้าหนึ่งในสิบแก้วบนโต๊ะออกมาเปิดฝาแล้วกระดกลงคอทันที...
“เป็นไงวะมึง” ปรนัยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าสุดพรรณนาของเพื่อน
“ขากกกกกกกก!!!! แค่กๆๆๆ หวานฉิบหายเลยโว้ยยยย เชี่ยชิงขอน้ำเปล่าหน่อย!!! แอ๊กกกก!!”
เป็นอันว่าแก้วแรกที่ถูกเปิดไปคือ Too much tenderness ซึ่งดูท่าแล้วจะทูมัชจริงเหมือนชื่อ
“ความโง่ของมึงทำให้กูลำบากอีกสัสแก้ว!!” ชิงชิงรินน้ำให้เพื่อนแล้วกลับมาโฟกัสที่เกมต่อ
ชิง:
“Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – F…Fallacy!!” เห็นหน้าอาจารย์กฤตแล้วนึกออกเลย ฮ่าๆๆ
พีพี:
“Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy - Gottfried Wilhelm Leibniz”/มึงเล่นอัจฉริยะข้ามคืนเรอะพีพี!! – เสียงครวญรอบวง
ปอ:
“Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy – เชี่ย... G ของมึงนี่อะไรวะ... อ๋อ!! Gottfried Wilhelm Leibniz - Heraclitus”ตอนนี้เกมวนกลับมาที่อาจารย์กฤตอีกครั้ง พร้อมการกลับมาของเจ๊ตี๊ ซึ่งเดินยังไม่ทันถึงโต๊ะ ก็ถูกพี่จ๋ากับพี่จุ๋มไปอัญเชิญฉุดกระชากมาให้เลือกเครื่องดื่มทันที
“เจ้าแม่โปรเจกต์ดีนัก หยิบขึ้นมาแล้วแดกค่าาา”
“โอ๊ยยย กูแค่ปวดขี้มั้ย ไม่ได้ฆ่าใครตาย!!” กะเทยดุสะบัดบ็อบก่อนจะหยิบแก้วสแตนเลสขึ้นมาแก้วหนึ่ง “ขอให้เป็นเหล้าๆๆๆ ฉันอยากเมาแล้วเต้นบดๆๆๆ”
เจ๊ใหญ่อธิษฐานแล้วจึงดื่มน้ำปริศนาตามกติกา
“อิด๊อกส์ แอ๊กกกกก!! อุบบบบ!!!”
“อย่าอ้วกนะอีกะเทย!!” พี่จุ๋มส่งน้ำเปล่าให้เพื่อน แต่เจ๊ตี้ไม่รับ เพราะเจ้าตัวกำลังวิ่งสี่คูณร้อยกลับไปยังห้องน้ำที่เพิ่งจากมา
“มันกินอะไรเข้าไปอะ” พี่ไนท์ถามด้วยความสงสัย แน่นอนว่าไม่มีใครรู้นอกจากเจ้าตัวเอง
“ปล่อยมันเถอะ เดี๋ยวมันก็กลับมา” พี่จ๋าสรุป “ตาใครแล้วนะ”
“ผมๆ” อาจารย์กฤตยกมือ
“อุ่ย! วนรอบนึงแล้ว งั้นอาจารย์ต่อเลยค่ะ”
อ.กฤต:
“Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy – Gottfried Wilhelm Leibniz – Heraclitus - Idealism”หลังตัดผู้เข้าแข่งขันออกไปสองคนคือแก้วกับเจ๊ตี้ (ชั้นแพ้บายโว้ย / เจ๊กล่าว) รอบสองนี้ดูเหมือนเกมจะดุเดือดขึ้นกว่าเดิมมาก อาจเพราะแอลกอฮอล์ในเลือดเริ่มจางลง ทุกคนเลยสามารถครองสติและผ่านมาได้เรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ภาคภูมิที่ดูเหมือนจะเมาในตอนแรกๆ แต่พอลงสนามปุ๊บ สติก็กลับมาโดยฉับพลัน
พีพี:
“...Idealism - John Locke - Karl Marx - Liberty - Marxism - Naturalism - Objective"“โอ้... เลือกคำได้ดีนะภูมิ เอ... Objective ภาษาไทยมันแปลว่าอะไรนะ” อ.ธารทำหน้าสงสัย
เจ้าของตัว O เงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาเสียงเบา “ปรนัยครับ”
“อ้อ...ใช่ๆ ปรนัยเนอะ” ผู้อาวุโสอมยิ้ม “อะ Mr. Objective ต่อเลยๆ”
ปรนัยตัวจริงเลื่อนหน้าไปกระซิบกับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ “ให้กูเป็นคำตอบของมึงใช่ปะ”
รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าหล่อพร้อมสายตาคมคู่นั้นทำให้ภาคภูมิรู้สึกเหมือนเมาอีกรอบ “อะไรของมึง”
“ฮ่าๆ” คนขี้แกล้งหัวเราะ ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังวงสนทนา
ปอ: “...Karl Marx - แอล... Liberty - Marxism - Naturalism – Objective – พี...พีพีได้มั้ยอะ เด็กปรัชญาปีสาม”
คนถูกพาดพิงหันขวับ “นิสัย!”
“อ้าว เราจะได้เป็นคำตอบของกันและกันไง”
“ง่ออออ ง่อๆๆๆ” ชิงชิงกับแก้วส่งเสียงแซวไม่เบานัก แต่เจ้าของคำตอบไม่สนใจ
“เมาละมึง!” นิ้วเรียวจิ้มหน้าผากที่ยื่นเข้ามาหาแล้วดันออกไปเต็มแรง ก่อนจะหันไปมองพี่จ๋าอย่างลืมตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองพวกเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกอยู่เช่นกัน
ถึงปรนัยจะให้ 'พีพี’ เป็นคำตอบ แต่ทุกคนกลับตรวจข้อสอบแล้วให้...ตก
“อะ พ่อคุณพ่อขนุนหนัง เจ้าเล่ห์นักก็ขอเชิญเลือกเลยค่ะ” พี่จุ๋มชี้นิ้วไปยัง Chapter 2 อีก 8 แก้วที่เหลือ
“อยาก Know the pain จัง อิอิ”
“สัส ขอให้แม่งโดนจริง สาาาธุ!” ไอ้แก้วผู้ตกรอบเป็นคนแรกยกมือท่วมหัว เพราะถึงน้ำหวานจะรสชาติต่ำตม แต่คนอย่างห่าปอต้องเจอของแรงๆ เอาให้แม่งเมาไปเลย
ทุกสายตาจับจ้องไปยังแก้วในมือของผู้แพ้คนล่าสุด ปรนัยเปิดฝาออกพลางยกเครื่องดื่มขึ้นจ่อจมูก
“ไม่ต้องดมหรอก ยังไงก็ไม่ได้กลิ่น” เจ๊ตี้ผู้คุ้นเคยกับของมึนเมาร้องบอก “ต้องกินเข้าไปอย่างเดียว”
ร่างสูงยักไหล่ ...กินก็กินวะ
เพียงอึกแรกปรนัยก็รู้ว่าคำขอของตนเองเป็นจริง เพราะความเย็นเฉียบของเครื่องดื่มในปากกลับแผดเผาลำคอจนร้อนแทบไหม้เมื่อกลืนลงไป ก่อนกลิ่นแอลกอฮอล์หลายชนิดจะอบอวลอยู่ภายในขึ้นไปถึงโพรงจมูก
“ยังไง ยังงาย...อึกเดียวเอง กูว่ามันยังไม่หมดนะ” ชิงชิงกอดคอกับไอ้แก้วแล้วชี้หน้าเพื่อนปากดีที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตอนนี้
“ตกลงอะไรอะ” ภูมิหันไปถามด้วยอีกคน สายตาสงสัยใคร่รู้นั้นทำให้ปรนัยเผยยิ้ม ก่อนจะกระดกเหล้าที่เหลือลงคอจนหมด
“เข้ๆๆๆ แมนเชี่ยๆ” เสียงเป่าปากแซวเพื่อนยิ่งสร้างความสงสัยให้กับคนอื่นๆ เข้าไปใหญ่
“ตกลงเหล้าหรือน้ำหวาน” เป็นพี่จ๋าที่ถามด้วยอีกคน
“ไม่บอกหรอก เดี๋ยวเหลือแก้วน้อยแล้วไม่เซอร์ไพรส์” คนตอบหัวเราะขำ พลางบอกให้เกมที่ค้างอยู่ดำเนินต่อไป
ภาคภูมิลอบมองใบหน้าของคนข้างๆ ถึงแสงไฟจะค่อนข้างสลัว แต่ก็ยังพอมองเห็นว่าใบหน้าคมนั้นขึ้นสีแดงจนลามไปถึงคอ ไม่ต้องเดาเลยว่าเพื่อนสนิทจับได้อะไร
(ต่อด้านล่าง)