Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)  (อ่าน 62525 ครั้ง)

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 :hao5: เรายังรอนะคะ

ออฟไลน์ Nnnnn1412

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากกก ชอบภาษามาก อ่านรวดเดียวจบ แอบลุ้นว่าความสัมพันธ์นี้จะจบลงยังไงกันนะ ยังรอคุณนักเขียนเสมอนะคะ

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
สำหรับใครที่ลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว อ่าน Recap ตรงนี้ก่อนนะคะ

**ตอนที่ผ่านมา แตงกวาติดอยู่ในห้องภาค เพราะเผลอหลับไป เด็กน้อยโทรหาอ.กฤตให้มาช่วย อ.กฤตซึ่งอยู่ต่างที่จึงโทรหาปรนัยให้ไปช่วยไขห้องแทนก่อน และไม่นานนักอาจารย์ก็กลับมาถึง หลังปลอบเด็กที่ถูกขังโดยไม่รู้ตัวแล้ว อ.กฤตจึงพาแตงกวาไปพักที่คอนโดตัวเอง เนื่องจากเลยเวลาเปิดของหอในที่แตงกวาอยู่แล้ว

พาร์ทนี้จะเป็นพาร์ทต่อของแตงกวาและอ.กฤตในเช้าวันต่อมาค่ะ คำบรรยายเยอะนิดนึงนะคะ



____________________________





#14.2



กฤตตื่นขึ้นในเวลาเดิมเหมือนทุกๆ วัน สองเท้าค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจไปปลุกเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงสำรองบนพื้น จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็มาตั้งกาน้ำร้อนเตรียมชงกาแฟ วันนี้เขามีสอนคาบสิบโมง แต่ไหนๆ ก็ต้องไปส่งแตงกวาอยู่แล้ว เลยตั้งใจอาบน้ำแต่งตัวไปมหา’ ลัยพร้อมกันเลย โดยปกติแล้วถ้าหากไม่ต้องรีบไปสอน เขาจะใช้เวลาช่วงเช้าตรู่แบบนี้ไปวิ่งที่สวนสาธารณะข้างคอนโด แต่วันนี้คนที่ยังนอนหลับอุตุมีเรียนคาบแรกตอนแปดโมงครึ่ง เขาเลยเปลี่ยนมาวิ่งบนลู่วิ่งในห้องแทน

เสียงตึง...ตึง... ที่ดังเป็นจังหวะปลุกคนบนเตียงเล็กให้ตื่นขึ้นมา ปกติแตงกวาเป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้ว เพราะเคยชินมาตั้งแต่เล็กๆ แต่ในตอนนี้ที่นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบๆ เจ็ดโมงเช้า ทำให้คนกำลังงัวเงียตกใจสุดขีด เพราะนึกได้ว่าตอนนี้ตอนเองไม่ได้อยู่ที่หอ เลยรีบเก็บที่นอนและพุ่งออกไปนอกห้องนอนอย่างรวดเร็ว

ผู้เป็นอาจารย์กำลังจดจ่อสมาธิอยู่กับการวิ่งและเสียงเพลงจากหูฟัง จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองตกอยู่ในสายตาของใครบางคนมานานหลายนาทีแล้ว

จริงๆ แตงกวาควรรีบเก็บข้าวของเพื่อกลับที่พัก แต่ภาพที่มองเห็นกลับไม่อาจละสายตาได้เลย ร่างสูงใหญ่ที่เคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉง กล้ามเนื้อสมส่วนสั่นไหวตามแรงขยับ หยดเหงื่อทั่วร่างของคนออกกำลังกายกำลังสร้างความสับสนให้กับคนมองอย่างยิ่ง

เขาเคยคิดฝัน...ฝันอยากมีร่างกายแข็งแรง อยากตัวสูงๆ ให้สมกับการเป็นผู้ชาย แต่สิ่งที่เขามีกลับกลายเป็นร่างซูบผอม และส่วนสูงที่เกินกว่าผู้หญิงทั่วไปมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ครูห้องพยาบาลสมัยเรียนมัธยมเคยบอกว่าเขาขาดสารอาหารมานาน จนร่างกายที่ควรเติบโตกลับเหมือนหยุดนิ่งไปเสียเฉยๆ ถ้าหากไม่ได้นมฟรีจากโรงเรียนประถม ป่านนี้เขาอาจจะมีร่างแคระแกร็นไม่ต่างจากต้นไม้ที่ขาดอาหารหล่อเลี้ยง

แต่เมื่อคิดอีกที... เขาอาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนนี้ก็ได้

“กวา” เสียงเรียกจากผู้เป็นเจ้าของห้องทำให้คนที่จมอยู่ในอดีตต้องกลับมายังปัจจุบัน ก่อนดวงตากลมจะเบิกกว้างและรีบก้มหน้างุดๆ เมื่อถูกจับได้ว่าแอบฝังสายตาไว้ที่อีกฝ่ายมานาน

กฤตกดหยุดโปรแกรมวิ่ง สายพานค่อยๆ ผ่อนลงจนกระทั่งหยุดนิ่ง เขาก้มตัวเพื่อคลายเส้นสายเล็กน้อย พลางคว้าผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ และเดินไปกดน้ำมาดื่ม

“อาจารย์ เดี๋ยว ผะ...ผมกลับก่อนนะครับ” ผู้เป็นลูกศิษย์ละล่ำละลักบอก

คนฟังขมวดคิ้วก่อนวางแก้วน้ำลง “เดี๋ยวผมไปส่ง รอแป๊บเดียว”

“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งมอไซค์ไปก็ได้ วันนี้อาจารย์ไม่มีสอนเช้า...”

“เดี๋ยวผมไปส่ง ไม่เกิน 10 นาที” ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าห้องน้ำไปโดยไม่รอฟังคำตอบ “อ้อ... ช่วยเทกาแฟในกาใส่กระบอกน้ำให้ผมหน่อยนะ”

คนที่ตั้งใจจะกลับห้องเองยืนงงอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ก้าวไปที่เคาน์เตอร์ครัวเพื่อจัดการภารกิจที่ถูกมอบหมายไว้





รถยนต์คันเดิมจอดที่ด้านหลังของอาคารที่ตั้งภาควิชา หนึ่งอาจารย์กับหนึ่งลูกศิษย์ก้าวลงมาและเดินไปที่ภาคปรัชญาด้วยกัน เช้าๆ แบบนี้คนยังค่อนข้างบางตา แต่แตงกวาก็ยังรู้สึกขัดเขิน เพราะตัวเองอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่เมื่อวาน

“เป็นไรหรือเปล่า” คนข้างๆ เอ่ยถาม เมื่อเห็นเด็กในที่ปรึกษาเดินห่อไหล่แปลกๆ

“เปล่าครับ...” แม้จะตอบอย่างนั้น แต่กฤตก็มั่นใจว่าแตงกวาต้องเป็นอะไรแน่ๆ ทว่าเขาก็ไม่อยากยุ่มย่ามเค้นถามอะไร เพราะถ้าเป็นเรื่องใหญ่ลูกศิษย์ของเขาคงบอกเอง

พวกเขาเดินมาจนถึงห้องภาควิชา ประตูที่อ.กฤตล็อกเมื่อคืนถูกเปิดออกแล้ว แม่บ้านน่าจะเข้ามาเก็บกวาดประจำวัน ถัดไปจากประตูมีจักรยานคันหนึ่งจอดอยู่ แน่นอนว่าเป็นของแตงกวา

“ผมกลับหอก่อนนะครับ” เจ้าของรถคว้าจักรยานตัวเอง มือเล็กไขกุญแจปลดสายล็อกออกเรียบร้อยแล้วจึงหันมายกมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษาอีกรอบ “ขอโทษที่ไปรบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องคิดมาก”

คนเด็กกว่าเหมือนมีอะไรจะพูด หากสุดท้ายก็เพียงแต่รับคำเบาๆ ก่อนจะปั่นจักรยานกลับหอไป เมื่อเป็นดังนั้นกฤตจึงเดินเข้าไปในห้องพักของตัวเองบ้าง หลังจากนั้นร่างสูงใหญ่ก็ปักหลักอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสองชั่วโมง ก่อนคนที่กำลังจดจ่อกับงานต้องละสายตาไปมองยังประตูห้องซึ่งมีเสียงเคาะเบาๆ สามสี่ที

“ครับ เข้ามาได้เลยครับ”

สิ้นคำอนุญาตประตูห้องก็ถูกเปิดออก เจ้าของห้องแปลกใจเล็กน้อยที่คนมาหาไม่ใช่นักศึกษา แต่เป็นอาจารย์ร่วมภาคคนหนึ่งที่เขาไม่พบบ่อยนักด้วยตารางสอนที่ไม่ตรงกัน ประกอบกับกฤตก็เคยเรียนกับอาจารย์มา ลูกศิษย์ที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์ได้ไม่กี่ปีจึงค่อนข้างให้ความเคารพกับอีกฝ่าย ไม่พูดคุยเล่นเหมือนอาจารย์รุ่นๆ เดียวกัน

“สวัสดีครับอาจารย์” คนอายุน้อยกว่ายกมือไหว้ ก่อนจะลุกไปเลื่อนเก้าอี้ให้แขกของห้อง

“ครูเข้ามารบกวนหรือเปล่าคะ” สรรพนามเดิมที่เคยใช้ตั้งแต่สอนรุ่นกฤตทำให้เขารู้ว่า ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ยังติดกับสถานะเดิม คงจะจริงดังที่มีคนว่า ความเป็นศิษย์กับอาจารย์ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันจะคงอยู่ตลอดไป

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เคลียร์แบบประเมินที่ค้างอยู่” มือหนาตบเบาๆ ที่กองเอกสารข้างโต๊ะ

“อ้อ... เห็นมาเช้า นึกว่ามีสอนเสียอีก”

“มีสอนสิบโมงครับ” พูดจบก็ยกข้อมือมาดูนาฬิกาอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง เสียงทุ้มจึงเอ่ยถามผู้มาเยือนอย่างสุภาพ “อาจารย์มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

“ค่ะ พอดีอาจารย์เห็นกฤตที่ลานจอดรถ ...มาพร้อมกับนักศึกษาเหรอคะ” ผู้อาวุโสกว่ามองตรงมาที่เขา ท่าทีสุภาพ แต่กฤตรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไร

“อ๋อครับ ธันธพัฒน์ เด็กปีหนึ่งน่ะครับ พอดีเมื่อคืนมีอุบัติเหตุนิดหน่อย เค้ากลับหอไม่ทัน ผมเลยให้ไปพักด้วย” กฤตพยายามหลีกเลี่ยงคำสุ่มเสี่ยงประเภท ‘นอนด้วย’ หรืออะไรเทือกๆ นั้น

“เค้าเป็นอะไรมากมั้ยคะ” โหนกคิ้วของคนฟังเลิกขึ้นสูง

“เมื่อคืนมีนักศึกษาเข้าใจผิดว่าไม่มีใครอยู่ในภาคแล้วเลยล็อกประตู แต่แตงกวาเค้าเผลอหลับอยู่ข้างในจนเลยเวลาเข้าหอ ก็มีตกใจนิดหน่อยครับ...” เสียงทุ้มพยายามเล่าอย่างสรุป

“คืออาจารย์แค่อยากเตือน เพราะเห็นเราเป็นทั้งลูกศิษย์และเพื่อนร่วมงาน” อีกฝ่ายกล่าว เสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใย

“อาจารย์ครับ ผมไม่ได้คิดอะไรกับแตงกวา!!” เอ่ยด้วยความตกใจ เพราะไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิด “ไม่ได้คิดในเชิงนั้นเลยจริงๆ ครับ ผมรู้ว่ามันไม่เหมาะสมครับ”

คนฟังถอนหายใจ “ไม่เหมาะสมในแง่ไหนเหรอคะ”

“อ่า....ก็ ทั้งสถานะอาจารย์ และก็...เพศ”

“กฤตกำลังเข้าใจครูผิดนะคะ” ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามผ่อนลมหายใจ “ครูไม่ได้หมายถึงสองเรื่องนั้น”

“ครับ?”

“ครูหมายถึง กฤตกำลังปฏิบัติกับเด็กคนหนึ่งพิเศษกว่าคนอื่นๆ”

เขาเงียบ

“ครูพอรู้มาบ้างว่าธันธพัฒน์มีปัญหาเรื่องครอบครัว เขาน่าสงสาร เขาน่าเห็นใจ และกฤตก็เป็นคนอ่อนโยนที่อยากจะช่วยเหลือลูกศิษย์ แต่มันจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไร กฤตจะอุ้มชูเขามากกว่าคนอื่นถึงขั้นไหน ครั้งแรกช่วยเรื่องค่าหน่วยกิต ครั้งต่อมาช่วยเรื่องงานพิเศษ ครั้งนี้ก็ให้ไปพักที่บ้าน”

พูดอาวุโสพูดยาวเหยียด คนฟังทำได้เพียงก้มหน้า

“แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปรู้มั้ยคะ”

“ผมไม่คิดว่าแตงกวาจะยกตัวเองให้พิเศษกว่าคนอื่น” เขาตอบกลับเสียงเบา แต่แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ก็อาจจะใช่ แต่สิ่งที่ครูอยากเตือน ไม่ใช่แค่ความรู้สึกของแตงกวา...” สองมือของคนพูดบีบเข้าหากัน “ความน่าเศร้าของการเป็นครูคืออะไรรู้มั้ยคะ มันคือความอ้างว้างเมื่อศิษย์แต่ละรุ่นจบไป พวกเค้าเติบโต ค่อยๆ เดินไปไกลจากเรา ส่วนเราก็ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนี้ ฝังความรักความผูกพันที่มีลงในใจ อยู่กับความหวังกับคำว่า ‘เดี๋ยวกลับมาหา’ ที่มันจะเป็นจริงแค่ปีละครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ห่างหายกันไปในที่สุด”

คราวนี้เขาเงียบจริงๆ เก็บคำอันหนักอึ้งแล้วกลืนลงไปอย่างยากเย็น

“กฤตทำงานมาแค่สามปีใช่มั้ยคะ ...ปีหน้ากฤตจะเข้าใจที่ครูพูดเอง”

อาจารย์กรรณิการ์ลุกออกไปแล้ว ทิ้งเขาไว้กับความคิดมากมายที่รบกวนทั้งสมองและใจตัวเอง เขานึกถึงเด็กๆ ปีสี่ผู้เป็นเหมือนเพื่อนมากกว่าลูกศิษย์ คิดถึงวันเวลาที่เจ้าพวกนั้นมาล้อมหน้าล้อมหลังไม่ว่าจะในเวลาเรียนหรือตอนเย็น คิดไปถึงเตียงเสริมในคอนโดตัวเองที่ไม่เคยรื้อทิ้ง พอๆ กับหมอนจำนวนมากที่เขาซื้อเก็บไว้ในตู้ เพราะรู้ว่าเด็กๆ มักมาสุมหัวกันหลังทำกิจกรรมภาคเสร็จ ซึ่งตนเองก็ยินดี เพราะไม่อยากให้พวกนั้นไปเมากันที่ร้านเหล้าร้านไหน

แค่คิดว่าปีหน้าเจ้าเด็กพวกนี้จะจบไป เขาก็รู้สึกใจหายขึ้นมาเสียแล้ว

แล้วกับแตงกวา... เขาไม่อยากจะคิดเลย



........................................



อาจเพราะคิดเรื่องตอนเด็กๆ มากเกินไป แตงกวาจึงฝันถึงบ้านและคนที่บ้านมาติดๆ กันถึงสามคืนแล้ว คืนแรกเขาฝันถึงย่า ผู้หญิงร่างผอมๆ ที่เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของตนเอง คืนที่สองเขาฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเอื้อมมือมาจับมือเขาไว้ ความอบอุ่นไหลบ่าท่วมท้นเมื่อตัวเขาในฝันเรียกผู้หญิงที่ไม่เห็นหน้าว่าแม่ และเมื่อคืนนี้เอง ที่เขาฝันถึงคนที่ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ในความฝัน ...พ่อ

อาจเพราะภาพของพ่อที่ดูซูบเซียวและเหนื่อยล้า พร้อมแววตาเศร้าๆ จึงทำให้เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นแม้ตอนที่ลืมตาตื่นมาแล้ว เช้าวันนี้ร่างเล็กจึงพาตัวเองนั่งรถตู้จากหน้ามหาวิทยาลัย แล้วมาต่อรถอีกสายที่สถานีขนส่งในกรุงเทพฯ

ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน แตงกวาก็ได้มายืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน แดดร้อนๆ ยามบ่ายทำให้ระยะทางกิโลกว่าๆ ที่สองเท้าต้องเดินเข้าไปดูไกลกว่าที่เคย มือเล็กปาดเหงื่อจากกรอบหน้าพลางโบกมือไปมา หวังให้ลมเย็นๆ พัดเข้ามาบ้าง แต่ดูเหมือนความพยายามจะไม่เป็นผลเท่าไรนัก

กัดฟันเดินมาจนถึงหน้าบ้าน ตากลมมองเข้าไปเห็นประตูบ้านปิดสนิท คิดในใจว่าพ่อคงไปตีไก่เหมือนเดิม แต่บ้านเขาไม่เคยล็อก แค่กระชากประตูแรงๆ ก็เปิดออกได้ ประตูบานนี้ผ่านทั้งแดดทั้งฝนมานานกว่าอายุของแตงกวา มันบวมและกลอนตกจนจะปิดก็ยาก จะเปิดก็ยาก ทำให้บ้านเขาไม่ต้องคล้องกุญแจมานานแล้ว

มือเล็กเปิดก๊อกน้ำหน้าบ้าน วักน้ำเย็นๆ มาล้างหน้าล้างตาไล่ความร้อนที่แผดเผาเขาจนผิวแดงไปหมด ยืนหอบหายใจสักพักก็เดินเข้าบ้านเพื่อเอาของไปเก็บในห้องตัวเอง แต่จะเรียกว่าเป็นห้องก็คงไม่ถูกนัก เพราะมันเป็นพื้นที่ที่ถูกกั้นโดยตู้หลังใหญ่ เหลือช่องว่างขนาดไม่ใหญ่นักให้ใช้แทนประตู ซึ่งมีม่านลายดอกไม้เก่าๆ ขึงปิดไว้ เขาได้ห้องนี้มาเมื่อตอนขึ้นมอปลาย เพราะพ่ออยากให้เขามีสมาธิอ่านหนังสือ

ที่นอนหลังเก่าฝุ่นเขรอะคลุ้งในตอนที่เขาใช้มือตบเบาๆ แสดงว่าห้องห้องนี้ไม่เคยถูกใช้งานอีกเลยตั้งแต่เขาเข้ามหาวิทยาลัย ตากลมหรี่มองแสงแดดจ้าที่ส่องเข้ามาตามกระจกเหนือบานหน้าต่าง ก่อนตัดสินใจถอดผ้าปูที่นอนออกเพื่อจะมาซัก และตั้งใจยกที่นอนขนาด 3.5 ฟุตไปผึ่งแดดไล่กลิ่นอับเสียหน่อย ทว่าความหิวที่ก่อตัวหนักขึ้นๆ ทำให้ร่างเล็กละจากห้องนอนเพื่อเดินไปยังครัวหลังบ้านแทน

หม้อแกงใบเก่าตั้งอยู่บนเตาแก๊ส คนเพิ่งมาถึงบ้านแปลกใจเล็กน้อยที่มีไข่พะโล้อยู่ในนั้น ที่ ใบหน้าเล็กก้มลงไปจนปลายจมูกชิดกับหม้อ สูดหายใจเข้าไปหลายครั้งเพื่อพิสูจน์ว่ากับข้าวตรงหน้าไม่ได้บูด ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มขณะเปิดเตาแก๊สเพื่ออุ่นมัน ระหว่างนั้นแตงกวาก็ผละไปเปิดหม้อข้าวดู โชคดีที่มีข้าวอยู่เกือบครึ่งหม้อซึ่งเพียงพอสำหรับมื้อเล็กๆ ของตัวเอง เติมน้ำแล้วกดปุ่มอุ่นไว้ คิดว่าต้มเดือดข้าวก็คงร้อนพอดี ระหว่างนั้นก็รีบก้าวยาวๆ กลับไปที่ห้องนอนแล้วแบกฟูกออกมา จุดหมายคือกันสาดหลังคาบ้าน ที่กว้างพอจะผึ่งฟูกหนักๆ ไหว ทุลักทุเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ส่งเจ้าฟูกหลังเก่าขึ้นไปบนนั้นได้สำเร็จ

ยิ่งใช้กำลังมากก็ยิ่งหิว พอดีกับกลิ่นหอมฉุยของต้มพะโล้ส่งสัญญาณเรียกให้กลับไปในครัว เขาตักข้าวใส่จานราดน้ำพะโล้ลงไปจนท่วม แล้วย้ายตัวเองมานั่งที่ลานเล็กๆ ข้างห้องครัวที่พอจะมีลมพัดผ่านอยู่บ้าง

เมื่อจัดการกับความหิวเรียบร้อย แตงกวาก็ไปขนผ้าปูที่นอนมาซัก บ้านเขาไม่มีเครื่องซักผ้า กะละมังใบใหญ่จึงเป็นผู้ช่วยชิ้นสำคัญแทน มือเล็กค่อยๆ ขยี้ผ้าอย่างใจเย็น เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เปิดน้ำใส่กะละมังอีกใบเพื่อล้างคราบผงซักฟอกให้หมด

ตอนแรกเขากะจะจบการซักล้างเพียงนั้น แต่นึกๆ แล้วยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ ร่างเล็กจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านและยกตะกร้าผ้าของพ่อออกมาซักด้วย กลิ่นเหม็นเหงื่อและเม็ดเกลือตามคอเสื้อเชิ้ตแขนยาวทำเอากวายู่จมูก แต่ก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไร จัดการป้ายผงซักฟอกลงตามรอยเปื้อน แล้วกดผ้าลงแช่ไว้ให้คราบสกปรกจางลง ระหว่างนั้นเขาเดินไปหยิบมือถือ ถึงจะไม่ใช่รุ่นดีเลิศอะไร แต่มันก็ยังพอให้ติดต่อสื่อสารได้ แอปพลิเคชันไลน์มีการแจ้งเตือนอยู่เล็กน้อย แชตแรกมาจากกลุ่มรูมเมตที่ส่งภาพกำลังลอยคอเล่นน้ำมาอวด พวกมันไปนอนแพที่กาญฯ กัน ซึ่งจริงๆ เขาก็ถูกชวนให้ไปด้วย แต่พอเขาปฏิเสธพวกมันก็ไม่เซ้าซี้อะไร นิ้วเล็กจิ้มที่รูปภาพเปิดขยายให้ใหญ่ขึ้น ค่อยๆ ไล่ดูใบหน้าทะเล้นของเพื่อน แล้วจึงกดส่งสติกเกอร์หมีร้องไห้ไปสองที เป็นเชิงว่าเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ไปด้วย ก่อนเปลี่ยนหน้าไปดูข้อความอื่นๆ

‘ถึงบ้านหรือยังครับ’

ข้อความสั้นๆ จากอ.กฤตถูกส่งมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน กวาไม่ตอบ แต่ถ่ายรูปกะละมังซักผ้าส่งไปให้ อีกฝ่ายพิมพ์เลข 5 กลับมายืดยาว คนเด็กกว่าจึงส่งสติกเกอร์หมียิ้มกลับไปอีก เขาชอบส่งสติกเกอร์ ถึงจะมีแค่เท่าที่โหลดฟรี แต่ก็ยังดีกว่าต้องพิมพ์เอง เพราะเขาพิมพ์ช้ามากๆ

เมื่อเห็นว่าแช่ผ้าได้ที่แล้วเขาจึงเอามือถือไปวางไว้บนโต๊ะแล้วกลับมาซักผ้าต่อ ถ้าถามแตงกวาว่าเชี่ยวชาญเรื่องอะไรที่สุด เขาคิดว่าการซักผ้าต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่ๆ เขารับหน้าที่นี้มาตั้งแต่เด็ก ผงซักฟอกแบบไหนใช้กับผ้าอะไรแล้วดี เขามีข้อมูลหมด พอมาอยู่หอ ถึงแม้จะมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ แต่กวาก็ยังซักมือเหมือนเดิม เพราะเคยปั่นครั้งนึงแล้วรู้สึกว่าไม่สะอาด แถมยังแพงด้วย

ห้าโมงเย็น กวาเสร็จภารกิจปัดกวาดเช็ดถูบ้าน เลยเดินไปร้านข้าวแกงข้างบ้าน ตั้งใจไปซื้อกับข้าวสักสองสามอย่าง แต่ปรากฏว่าป้าคนขายเปลี่ยนมาขายของสดแล้ว เย็นวันนี้แตงกวาเลยได้ผักกับเนื้อสัตว์มาแทน

จริงๆ กวาไม่ใช่คนทำอาหารเก่ง แต่ก็สามารถทำเมนูง่ายๆ เพื่อประทังชีวิตได้จนโต ตอนที่เขายังอยู่บ้าน ถ้าหากวันไหนพ่อได้เงินจากการตีไก่ วันนั้นเขาก็จะมีแกงปลาอร่อยๆ หรือต้มยำไก่ชิ้นโตๆ กิน แต่หากวันไหนพ่อเมากลับมา แสดงว่าวันนั้นไก่ของพ่อแพ้ และเขาก็ต้องหนีเข้าครัวไปทำอะไรกินตามเรื่องตามราว

ร่างที่ยืนอยู่หน้าเตาแก๊สพรูลมหายใจออกช้าๆ ขณะกำลังเตรียมเทผักกาดขาวและหมูลงน้ำเดือด เวลาเพื่อนคุยกันเรื่องอาหารฝีมือแม่ เขาก็ได้แต่นั่งซึมเพราะไม่มีรสชาติใดติดอยู่ในความทรงจำ เพราะรสชาติที่ชัดเจนที่สุดก็คือรสชาติของความเจ็บปวดและความกลัวที่เขาได้ลิ้มรสอยู่ทุกวัน

ต้มจืดตรงหน้าเดือดพลุ่งส่งกลิ่นหอม พ่อครัวจำเป็นจึงเริ่มปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือและพริกไทย ก่อนจะปิดไฟและยกหม้อลง วันนี้เขาตั้งใจทำสองเมนู แม้ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้พ่อกินข้าวเย็นหรือเปล่า แต่เขาก็อยากทำไว้รอเผื่ออีกคนกลับมาพร้อมความหิว และไม่นาน ไข่เจียวหมูสับที่หน้าตาดูเข้าทีก็ถูกตักใส่จานพร้อมกิน

เสียงมอเตอร์ไซค์ที่เข้ามาจอดข้างบ้านทำให้คนที่กำลังเก็บล้างครัวสะดุ้งเฮือก ร่างเล็กรีบกุลีกุจอออกไปหน้าบ้าน ยืนตัวลีบขณะรอพ่อเดินเข้ามา ผู้ชายร่างสันทัดเดินหอบกระติกน้ำพร้อมหมวกสาน เมื่อเห็นกวายืนอยู่ก็ชะงัก

“ไอ้กวา...”

เสียงพ่อเรียกแล้วหยุดไป กวาตัวสั่นน้อยๆ ก่อนจะมือไหว้ “หวัดดีครับ”

พ่อเดินผ่านเขาเข้าไปในบ้าน กลิ่นเหล้าขาวที่เขาคุ้นเคยเปลี่ยนเป็นกลิ่นเหงื่อ ซึ่งเขารู้สึกแปลกใจ

หลังทักเขาแค่คำเดียว พ่อก็เดินหายไปในห้องน้ำ เสียงราดน้ำโครมๆ ดังอยู่สักพักแล้วพ่อก็ออกมา

“จะกลับมาทำไมไม่บอก” พ่อถามเสียงนิ่ง คว้าผ้าขาวม้ามาเช็ดหน้าเช็ดแขน

“ผม...”

“กินอะไรมาหรือยัง”

กวาแปลกใจอีกครั้ง แต่ก็ตอบไปตามจริง “กินพะโล้ที่อยู่ในครัวไปแล้วครับ ตะ...แต่พ่อไม่ต้องห่วง ผมทำต้มจืดกับไข่เจียวไว้ให้ เพิ่งเสร็จเลย เดี๋ยวผมไปตักให้นะ”

ร่างเล็กรีบก้าวเร็วๆ เข้าไปในครัว ไม่นานนักก็ออกมาพร้อมถ้วยใส่ต้มและจานไข่

“ทำไมไม่ถือทีละอย่าง เดี๋ยวก็ตกแตก” คนเป็นพ่อเอ็ดขึ้น แต่น้ำเสียงไม่ได้มีความดุอะไร

มือเล็กที่ประคองกับข้าวสองอย่างนั้นสั่นเล็กน้อย จนมือหยาบกร้านต้องช่วยรับถ้วยต้มมาวางบนพื้น

“แล้วไหนข้าวมึง” พ่อถามขึ้นเมื่อแตงกวาเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง และถือข้าวมาแค่จานเดียว

คนถูกถามไม่ตอบ แต่ก็เดินกลับไปตักข้าวของตัวเองมานั่งลงข้างพ่อ

เจ้าของบ้านเปิดทีวีรุ่นหลังเต่า ละครก่อนข่าวกำลังเล่น แต่กวาไม่ได้ดูละครมานานตั้งแต่ไปเรียนจึงไม่ได้สนใจอะไร และดูเหมือนพ่อก็คงไม่ได้ใส่ใจจะดูด้วย แค่เปิดไว้ไม่ให้บ้านเงียบ

หากแล้วอยู่ๆ คนที่กำลังพุ้ยข้าวเข้าปากก็เอ่ยขึ้น “เรียนเป็นไง”

“กะ...ก็ดีครับ” ความตกใจทำให้ผู้เป็นลูกชายรีบตอบแบบตะกุกตะกัก

“ได้เรียนปรัชญาอะไรนั่นหรือยัง”

“มีเรียนอยู่สองสามตัวครับ แต่เป็นพื้นฐาน”

“พื้นฐานยังไง” พ่อยกขวดน้ำขึ้นดื่ม แต่ยังไม่หยุดถาม

“ก็แบบ...สอนเรื่องการใช้เหตุผล อะไรแบบนี้”

“เออ…” คนพูดตักไข่เจียวแล้วเทน้ำปลาตามลงไป “กูน่าจะไปเรียนกับมึงนะ กูใช้แต่อารมณ์ตลอด ฮ่าๆ”

กวาลอบมองพ่อ เขาไม่เคยเห็นพ่อหัวเราะมานานมากแล้ว

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีก หลังกินอิ่มกวาก็เก็บจานไปล้าง ส่วนพ่อก็เตรียมอาบน้ำนอน

“มึงเอาผ้ากูไปซักหรอ” เสียงพ่อตะโกนถามรอดมาจากห้องน้ำ

เด็กที่เหมือนทำผิดครั้งใหญ่รีบวิ่งไปแนบประตู “ครับ คือผมเห็นว่า…”

“เออดี กูว่าจะซักอยู่แต่ขี้เกียจ”

เป็นอีกครั้งที่แตงกวางุนงง เสียงพ่อเงียบไปแล้ว กลายเป็นเสียงเปิดน้ำใส่ถังดังขึ้นแทน เพราะที่บ้านไม่มีฝักบัว มีแต่ถังพลาสติกรองน้ำอาบ รออย่างนั้นอยู่สักพักจนแน่ใจว่าพ่อไม่พูดอะไรอีก แตงกวาจึงเดินออกไปล้างจานต่อให้เสร็จ

เพราะอยู่กันแค่สองคน จามชามจึงไม่ได้มากมายอะไร ไม่นานนักกวาเลยได้มานั่งผึ่งพัดลมตรงหน้าทีวีอีกครั้ง บ้านของเขามีพื้นที่ไม่มาก นอกจากห้องของตัวเอง ห้องน้ำ และห้องครัวแล้ว ก็มีแต่พื้นที่ตรงนี้นี่แหละที่เป็นทุกอย่างของบ้าน ทั้งที่กินข้าว ที่ดูทีวี และยังถูกแบ่งส่วนแคบๆ ที่มุมห้องเป็นที่นอนของพ่ออีก ตั้งแต่จำความได้ เขาก็เห็นเตียงไม้เก่าๆ ที่วางชิดติดผนังพร้อมฟูกบางๆ นี่แล้ว พ่อกินและนอนอยู่ตรงนี้ ผลัดผ้าก็ตรงนี้ ไม่มีห้องส่วนตัวใดๆ

ในตอนเด็กๆ เขาฝันอยากจะมีบ้านสวยๆ หลังใหญ่ๆ มีห้องนอนส่วนตัวที่ไม่ใช่แค่ม่านกั้น มีห้องแอร์เย็นๆ ให้พ่อได้นอนโดยไม่ต้องเปิดพัดลมเกรอะกรังตัวนี้ มีห้องรับแขกพร้อมทีวีจอใหญ่ไว้นั่งเล่น เหมือนกับภาพที่เขาเคยเห็นในหนังสือเรียนสมัยประถม แต่ยิ่งโตเขาก็ยิ่งรู้ว่าความฝันนั้นยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะเงินแต่ละบาทกว่าจะหามาได้ แค่ใช้ซื้อข้าวกินยังแทบไม่พอ

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก กวาจึงลุกพรวดจากตรงที่นั่งอยู่ และหลบไปผลัดผ้าอาบน้ำบ้าง โชคดีที่พ่อรองน้ำไว้ให้จนเต็มถัง กวาจึงได้อาบน้ำเย็นสบายได้เต็มที่ ชะล้างคราบไคลและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ใช้เวลานานพอสมควรก่อนจะออกจากห้องน้ำ และพอออกมาพ่อก็หลับไปแล้ว กวาดูนาฬิกา เพิ่งจะสองทุ่มกว่าเท่านั้น

ตกกลางคืน กวาเอาหนังสือที่ยืมห้องสมุดมาเปิดอ่าน เป็นหนังสือประวัติศาสตร์โลกที่ไม่ใช่หนังสือเรียน เล่มนี้ถ้าซื้อเองคงหลายตังค์ จริงๆ อ.กฤตเคยเอ่ยปากจะยกของอาจารย์ให้ แต่เขาเห็นว่าหอสมุดก็มี เลยยืมจากห้องสมุดเอาดีกว่า




ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0

แตงกวาไม่รู้ว่าตัวเองผล็อยหลับไปตอนไหน แต่สะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนที่มีเสียงอะไรสักอย่างดังกระทบกัน เขาสับสนเล็กน้อยเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วไม่ใช่เพดานหอ พอระลึกได้ว่าอยู่บ้านก็สะดุ้งพรวด นาฬิกาบอกเวลาตีสี่ครึ่ง เขาค่อยๆ ย่องออกจากห้อง และเดินตามเสียงเข้าไปในครัว และจึงได้เห็นพ่อกำลังสาละวนอยู่หน้าเตาแก๊ส

คนกำลังทำอาหารทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่ควรจะหลับในตอนนี้

“มึงตื่นมาทำไม เพิ่งจะตีสี่”

“ผมได้ยินเสียงแว่วๆ” ไม่ได้บอกว่าเสียงนั้นดังสนั่นจนเขาสะดุ้งตื่น พ่อเป็นคนมือหนัก ทำอะไรเสียงดังโครมคราม ซึ่งเขาเคยพิสูจน์ด้วยแผ่นหลังตัวเองมาหลายครั้ง

“อ่อ กูทำแกงปลาสวายแล้วกันนะ ตอนเช้ามึงก็ทอดไข่เพิ่มเอา”

“พ่อ...พ่อจะไปไหน” คนเพิ่งตื่นถามอย่างงุนงง

“ไปทำงานสิวะ”

คำตอบนั้นทำให้กวาแปลกใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่อาจนับ แต่พ่อไม่ได้สังเกตเห็น ยังคงพูดต่อด้วยเสียงดังทุ้มต่อไป

“วันนี้ไปไกล เขาเลยให้ไปรถกระบะ สักตีห้ากว่าๆ ก็คงมาถึงแล้ว” มือดำกร้านปิดเตาแก๊ส “มึงตักแกงกับข้าวใส่กล่องนี่ให้หน่อย กูไปอาบน้ำก่อน”

พูดจบพ่อก็เดินสวนออกไป กวามองแกงหม้อเล็กๆ ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ขณะหยิบกล่องพลาสติกที่น่าจะรียูสมาจากร้านสะดวกซื้อ สภาพของมันเหมือนผ่านการใช้งานมาหลายครั้ง เขาพยายามหากล่องอื่นๆ ในบ้านแต่ก็ไม่พบ เลยจำใจตักข้าวกับแกงใส่กล่องที่ว่านี่ไปก่อน

ตีห้าตรง พ่อเดินออกมารอหน้าบ้าน ใส่เสื้อเชิ้ตตัวที่กวาซักกับกางเกงตัวเมื่อวาน พร้อมหมวกและกระติกน้ำที่มีน้ำแดงผสมเอ็มร้อยใส่อยู่

กวายืนมองจากในบ้าน เห็นรถกระบะที่มีคนแต่งตัวคล้ายๆ พ่อนั่งอยู่เกือบเต็ม เสียงคนขับบอกให้พ่อเอาเกรียงไปเผื่อด้วย พ่ออุทานอย่างหงุดหงิด แต่ก็เดินไปหาของโดยดี ก่อนขึ้นรถพ่อตะโกนบอกกวาว่า

“วันนี้กูไปไกล กลับเกือบๆ สองทุ่มนู่น มึงจะใช้มอไซค์ก็เอา กุญแจเสียบอยู่ที่รถ”

กวาแปลกใจอีกรอบ ก็ตอนนั้นที่เขาแอบหัดมอเตอร์ไซค์ พ่อยังตีเขาแทบตาย ทีตอนนี้กลับบอกให้เขาขี่ได้ตามสบาย

เสียงกระหึ่มของกระบะคันนั้นจางหายไปแล้ว กวาจึงเดินเข้าบ้าน เป็นอันว่ากวาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าพ่อไปทำงานอะไร แต่ดูจากอุปกรณ์แล้วคงรับงานก่อสร้างหรืออะไรประมาณนี้

เด็กหนุ่มตื่นมาอีกทีในตอนเจ็ดโมง จัดแจงตัวเองเสร็จจึงขี่รถไปตลาดใกล้ๆ ร้านรวงยังคึกคักไปด้วยของขายทั้งสดทั้งแห้ง เขาซื้อเนื้อสัตว์และผักจำนวนหนึ่ง กะว่าแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ พ่อจะได้ทำกับข้าวกินได้หลายๆ มื้อ นอกจากนั้นเขายังซื้อกล่องข้าวใหม่ให้พ่อด้วย เลือกเป็นพลาสติกเนื้อหนาที่ดูทนความร้อน พร้อมฝาปิดสุญญากาศ ทั้งยังวางซ้อนแล้วล็อกด้วยหูหิ้วทำเป็นปิ่นโตได้ด้วย ดีที่เงินจากการช่วยงานอาจารย์กฤตออกมาเมื่อสามวันก่อน เขาเลยพอมีเงินไว้ซื้อของดีๆ ให้พ่อบ้าง

พอกลับถึงบ้าน แตงกวาก็ตัดสินใจไปร้านขายของชำร้านเดิมอีก แสร้งซื้อน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งหนึ่งถุง ยืนดูดไปสองสามอึกก็เลียบๆ เคียงๆ ถามป้าเจ้าของร้านเรื่องพ่อ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มายืนเสวนาด้วย เพราะป้าชอบพูดแต่เรื่องคนอื่น นินทาคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อย

จากที่ป้าเล่ามาแบบน้ำไหลไฟดับ สรุปว่าพ่อของเขาเลิกตีไก่แล้ว ตอนนี้ก็ทำรับจ้างทั่วไป บางวันก็ก่อสร้าง บางวันก็ไปเป็นลูกมือล้างแอร์ ซ่อมพัดลม เหล้าขาวยังมาซื้อบ้าง แต่น้อยกว่าเมื่อก่อน ส่วนใหญ่กินเอ็มร้อยไม่ก็กาแฟกระป๋อง

“เอ็งก็โตเร็วเนอะไอ้กวา” พอเล่าเรื่องพ่อจบ ป้าก็หันมาสนใจเด็กหนุ่มต่อ “ตอนเกิดน่ะป้าเอาแป้งเด็กแคร์ไปเยี่ยม เอ็งยังตัวน้อยๆ อยู่เลย ทรงยังกะแตงกวา พอป้าทักพ่อกับแม่เอ็งว่ามันเหมือนแตงกวาใส่ข้าวผัด พ่อเอ็งก็หัวเราะชอบใจ บอกให้ชื่อแตงกวาซะงั้น นึกถึงแล้วก็ขำ นี่ถ้าพ่อเอ็งดีๆ อย่างเขา ป่านนี้เอ็งสบายไปแล้ว ไม่ต้องมาถูกซ้อมจนโตหรอก”

ป้าพูดอย่างภูมิใจที่มีส่วนในการตั้งชื่อให้เขา แต่เจ้าของชื่อกลับกำลังสับสนอย่างหนัก เพราะพ่อมักพูดอยู่เสมอในเวลาที่ตีเขา ว่าชื่อแตงกวามาจากผักที่แม่เกลียด

ในเมื่อไม่อาจหาคำตอบจากใครได้อีก และไม่ว่าจะรักหรือเกลียด แตงกวาคนนี้ก็เติบโตเป็นคนได้เกือบยี่สิบปีแล้ว ที่มาของชื่อจึงไม่ได้สลักสำคัญอีกต่อไป

จากเดิมที่ตั้งใจจะกลับหอวันนี้ กวาก็เปลี่ยนใจอยู่ต่ออีกคืน แต่ช่วงบ่ายที่ไม่มีใครอยู่บ้าน กวาก็รู้สึกเบื่อๆ เลยโทรหาอาจารย์กฤตเพื่อเล่าเรื่องพ่อให้อาจารย์ฟัง คนปลายสายรับฟังเงียบๆ ตอบกลับสั้นๆ ว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็อยากให้กวาระวังตัวไว้ด้วย

แตงกวารู้ว่าสำหรับคนอื่น การกลับมาหาพ่อคือเรื่องอันตราย แต่กวามั่นใจในความรู้สึกตัวเอง พ่อเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

พ่อกลับมาถึงบ้านเกือบสามทุ่ม แตงกวาเดินออกมาหาเมื่อได้ยินเสียงรถกระบะคันเดิม วันนี้พ่อดูเหนื่อยกว่าเมื่อวาน แต่ก็ยังพูดคุยทักทายแตงกวาดี คนตัวเลอะด้วยฝุ่นและปูนโยนถุงใส่กล่องอะไรสักอย่างมาให้ กวารับแล้วเปิดดู

“ตอนรอรถเห็นมันน่ากินดี” พ่อพูดแล้วก็หยิบผ้าขาวม้าเข้าห้องน้ำไป

ในมือกวาคือขนมครกโรยต้นหอม วัดจากอุณหูมิแล้ว พ่อน่าจะใช้เวลาเดินทางนานมากจริงๆ

มือเล็กๆ สั่นเทา หยิบขนมในกล่องเข้าปาก รสชาติหวานมันอร่อยแม้จะเย็นชืด หากไม่จับใจเท่าการที่มันเป็นของฝากจากพ่อ



เช้าตรู่อีกวัน กวาตื่นมาพร้อมเสียงดังจากในครัวอีกเช่นเคย

“เสียงดังเหรอ” คนกำลังง้างอีโต้สับกระดูกหมูเอ่ยทัก เมื่อเห็นลูกสายโผล่หน้าเข้ามาหา

“เมื่อคืนผมหลับเร็ว” กวาไม่ได้อธิบายอะไรต่อ แต่สาวเท้าเดินเข้าไปยืนข้างพ่อ “พ่อทำไรกิน”

เจ้าของบ้านหัวใจกระตุก ลูกชายไม่เคยเข้าใกล้เขานานแล้ว เว้นในวันที่เขาไปปล้นเงินมันถึงหอ…

“ต้มผักกาดดอง”

“เดี๋ยวผมทำให้ก็ได้ พ่อไปอาบน้ำเถอะ”

มือเล็กๆ คว้ามีดเตรียมสับกระดูกต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของคนเป็นพ่อ

พอต้มสุกได้ที่ แตงกวาก็ยกหม้อลง แล้วหยิบกล่องที่เพิ่งซื้อมาใหม่ออกมา ตอกไข่ลงไปในกล่องนั้น ตีให้พอเข้ากัน ใส่น้ำ ปรุงรสนิดหน่อย แล้วก็ยกใส่ซึ้งที่รองน้ำไว้ข้างใต้ เพื่อจะทำไข่ตุ๋นให้พ่อไปกินด้วยอีกเมนู

พ่อแต่งตัวเสร็จแล้วก็เตรียมอุปกรณ์ไปยืนรอหน้าบ้าน ไม่นานนักแตงกวาก็เดินตามออกมาพร้อมเถาปิ่นโตที่พ่อไม่เคยเห็น

“ผมไปเจอกล่องข้าวที่ตลาด เห็นมันซ้อนเป็นปิ่นโตถือง่ายด้วย เลยซื้อมาให้”

“อ้อ” พ่อรับปิ่นโตนั้นไปถือไว้ “ขอบใจ”

ต่างคนต่างเงียบ เพราะแตงกวากำลังประหลาดใจกับคำขอบคุณ ส่วนผู้เป็นพ่อกำลังเงยหน้าซ่อนความรู้สึกผิดไว้ในใจ แต่ในที่สุดคนแก่กว่าก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกไป

“กลับมหา’ ลัยวันนี้ใช่มั้ย”

“ครับ เดี๋ยวออกสายๆ”

พ่อไม่พูดอะไร แต่ยื่นถุงพลาสติกมัดยางมาให้ กวาเห็นของที่อยู่ข้างในแล้วรีบมองหน้าพ่อ

“กูคืน”

“ค่าอะไรครับ” มองปราดเดียวก็พอรู้ว่าในถุงพลาสติกยับๆ นั่นบรรจุแบงก์ร้อยอยู่หลายใบ

“ที่กูไปเอาของมึงมาคราวนั้น”

“พ่อ…” แตงกวาพูดอะไรไม่ออก ความเจ็บปวดจากบาดแผลในวันนั้นยังชัดเจน แต่ความโกรธแค้นไม่เคยมีตั้งแต่ต้น

“มันยังไม่ครบ ไว้สิ้นเดือนกูจะโอนให้อีกที ...หรือมึงกลับมาก็มาเอาก็ได้” ปลายเสียงแผ่วลง

กวารับเงินจากมือพ่อ พยายามควบคุมน้ำตาไม่ให้ไหล

มือเล็กแกะหนังยางออก ก่อนจะคลี่แบงก์ที่ถูกม้วนไว้ออกมา แล้วแบ่งครึ่งหนึ่งส่งให้พ่อคืน

“อันนี้ผมให้พ่อนะ พ่อเก็บไว้ใช้ สิ้นเดือนนี้ผมคงมาไม่ได้”

“ไม่เป็นไร” พ่อหมายถึงเรื่องเงินและเรื่องที่เขาไม่กลับบ้าน



“แต่เดือนหน้าจะกลับมาครับ”



ไฟหน้าบ้านอ่อนแสงเนื่องจากถูกใช้งานมายาวนาน แต่มันก็สว่างพอให้แตงกวาเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความยินดีของพ่อ และมันก็กำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาไม่ต่างกัน



______





มาถึงตรงนี้ ก็มีแต่คำว่าขอโทษที่ปล่อยให้รอ และขอบคุณที่ยังรอนะคะ

หลังจากแต่งตอนนี้จบ เหมือนได้ปลดล็อกความรู้สึกหลายๆ อย่างเลยค่ะ

ทั้งปล่อยวางความเศร้าจากการสูญเสีย และการก้าวข้ามคำว่าทำไม่ได้ของตัวเอง



ปล. เนื่องจากนิยายถูกย้ายมาที่หมวดนิยายที่ไม่แต่งต่อจนจบ และทางเล้ามีประกาศว่าจะลบนิยายหมวดนี้ เราจึงย้ายไปลงที่แอป ReadAWrite นะคะ สามารถเสิร์ชชื่อนิยาย Sweet Dilemma หรือชื่อเรา lykar ได้เลยค่ะ // แต่ระหว่างนี้ก็จะยังลงในเล้าเป็ดไปเรื่อยๆ นะคะ ถ้ายังไม่ถูกลบก็จะลงต่อไปค่ะ 55555

คิดถึงและยังรอทุกคนเสมอค่ะ :)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คืนดีกันแล้วเนาะพ่อกับลูก ส่วนกับอาจารย์กฤตนี่ ให้เป็นเรื่องของอนาคต ต้องตามลุ้นต่อไป


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ดีใจที่กลับมาต่อ นึกว่าทิ้งไปแล้วนานนนนน มาก
ชอบที่ครูบอก อาจารย์กฤตว่า คนเป็นลูกศิษย์จะกลับมา
แต่ก็มาจริง ปีละครั้ง นอกจากนั้นก็จะหายๆ ไป มันเป็นความจริงที่เจ็บปวดนะ
ถ้าเรายึดติดกับสิ่งนั้น ขอบคุณคุณครูที่มาเตือน เราอ่านแล้วนึกตามเลย
ตอนต่อไปอย่าทิ้งให้นานนักนะจ๊ะ จะรอจ้าา

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจที่กลับมาต่อ นึกว่าทิ้งไปแล้วนานนนนน มาก
ชอบที่ครูบอก อาจารย์กฤตว่า คนเป็นลูกศิษย์จะกลับมา
แต่ก็มาจริง ปีละครั้ง นอกจากนั้นก็จะหายๆ ไป มันเป็นความจริงที่เจ็บปวดนะ
ถ้าเรายึดติดกับสิ่งนั้น ขอบคุณคุณครูที่มาเตือน เราอ่านแล้วนึกตามเลย
ตอนต่อไปอย่าทิ้งให้นานนักนะจ๊ะ จะรอจ้าา

จริง.......ครูผูกพันกับเด็ก
แต่เด็กไปเจอสังคมใหม่ ปรับตัวใหม่  ตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมใหม่
เลยทำให้เด็กลืมครูเก่า สังคมเก่าไปเลย
ครูเก่าก็........... อยู่ที่เก่าต่อไป  :mew2: :เฮ้อ:
คิดถึงไรท์ ดีใจไรท์มา  :mew1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ยังรออยู่นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด