Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)  (อ่าน 62520 ครั้ง)

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
#07 คเณศจตุรถี



   “ลงทะเบียนพร้อมค่า”

   “นิทรรศการพร้อมค้า”

   “ปะรำพิธีพร้อมคร้าบบบ”

   “แผงขายพระพร้อมม้ากกก”

   “เดี๋ยวๆๆ” เสียงใครสักคนในวอแทรกขึ้นมากลางคัน “ให้เรียกว่าจุดเช่าบูชาพระพิฆเนศครับ เอาซะนึกว่าขายปลาดุกในตลาดนัดเลย”

   “แฮ่ๆ โอเคค่ะ”

   
เช้าตรู่ในวันแรกของพิธีคเณศจตุรถี ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระพิฆเนศเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้น จริงๆ แล้วเทศกาลนี้นิยมจัดในประเทศอินเดีย และกลุ่มคนผู้นับถือศาสนาฮินดู แต่ที่ภาคปรัชญาจัดขึ้น ก็เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะพระพิฆเนศถือเป็นองค์เทพแห่งศิลปะซึ่งคนในมหาวิทยาลัยเคารพนับถือ การจัดงานดังกล่าวนี้จึงเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้สัมผัสอีกหนึ่งประเพณีเกี่ยวกับพระคเณศซึ่งในประเทศไทยไม่ค่อยมีจัดมากนัก

 หลังจากอดหลับอดนอนเตรียมงานกันมาหลายวัน ในที่สุดพิธีสำคัญก็พร้อมจะเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์ ลานโล่งกลางสวนของคณะอักษรศาสตร์ถูกจับจองพื้นที่ด้วยเต็นท์ใหญ่ที่ประดับริ้วผ้าสวยงาม ตรงกลางมีมณฑปอันจัดเตรียมไว้เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพิฆเนศ โดยในปีนี้ได้อาจารย์จากคณะจิตกรรมมาเป็นผู้ออกแบบและปั้นองค์พระซึ่งเป็นหัวใจของงาน

เด็กๆ ทั้งเอกและโทปรัชญาแต่งกายในชุดนักศึกษาเรียบร้อย คอยประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ที่ได้แบ่งหน้าที่กันไว้ พิธีแรกคือการอัญเชิญเทวรูปพระคเณศขึ้นบนมณฑป ก่อนท่านพราหมณ์ซึ่งก็คืออาจารย์ธารจะทำพิธีให้องค์พระมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา

เด็กเอกโทปีสามอยู่ร่วมในงานด้วย แต่ไม่ได้เป็นฟันเฟืองสำคัญในพิธีกรรมต่างๆ อาจเพราะเป็นแก๊งชายล้วนที่ดูจะไม่มีความละเอียดพอในการดำเนินงานสำคัญ หรืออีกนัยก็เป็นพวกจิตใจหยาบกระด้าง ไม่มีอินเนอร์กับพิธีกรรมทางศาสนาก็สุดแท้แต่จะเดา แต่ทุกคนก็ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดีด้วยการคอยเสิร์ฟน้ำและแจกบทสวดมนต์ให้คณาจารย์และผู้ร่วมพิธีคนอื่นๆ เป็นระยะ

“บทสวดมนต์ปีนี้สวยจัง อาจารย์ขออีกใบได้มั้ยคะ” ปรนัยยิ้มหน้าบานรับคำชมประหนึ่งตัวเองเป็นคนออกแบบ ก่อนจะยื่นกระดาษในมือให้อาจารย์จากเอกภาษาไทยไปอีกสองสามใบ

“เพื่อนผมเป็นคนทำครับอาจารย์” พูดไปก็สอดส่ายสายตามองหาเจ้าตัวไปด้วย เห็นว่าโดนลากไปช่วยแก้บอร์ดนิทรรศการ แต่ไม่รู้ทำไมถึงไปนานขนาดนี้

 “ปอๆ” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ ต้องสะดุ้ง

“ครับ?” ร่างสูงโปร่งหันไปมองคนเรียก แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นพี่จ๋ามาในลุคผมสั้นประบ่าเรียบร้อย แทนที่จะเป็นผมยาวยุ่งๆ เหมือนเคย จนคนมองอดแซวไม่ได้ “นี่อกหักช้ะ”

“ดูหน้าด้วย สวยแบบนี้ใครจะกล้าปฏิเสธ” แม้จะอัพลุคเป็นสาวเรียบร้อย แต่ฝีปากยังรุนแรงเหมือนเดิม

“คร้าบ สวยคร้าบ” แกล้งกัดฟันพูดชมให้อีกฝ่ายทำหน้ายักษ์ใส่พอประมาณ ก่อนเอ่ยถามถึงธุระที่พี่จ๋ามาหาตนเอง “แล้วพี่จะเอาไรปะ”

“เออ ขอบทสวดมนต์เพิ่มหน่อยดิ” น้ำเสียงจริงจังนั้นทำให้ปรนัยรีบหยิบกระดาษปึกหนึ่งให้อีกฝ่ายโดยเร็ว พี่จ๋ารับไปแล้วก็เดินไปด้านหลัง ซึ่งกำลังวุ่นวายกับการจัดวางเก้าอี้เพิ่ม เนื่องจากคนเริ่มมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ

อากาศยามสายร้อนระอุจนแขกในงานเริ่มนั่งไม่ติดที่ เสียงวอจากอาจารย์กฤตบอกให้ผู้ชายไปยกพัดลมในภาคออกมาเพิ่ม ปรนัยกำลังจะรับอาสา แต่ก็เห็นร่างคุ้นตาเดินแบกพัดลมมาลิบๆ เสียก่อน

“กูช่วย” ภาคภูมิมองฝ่ามือใหญ่ที่เข้ามาช่วยยกพัดลมในมือ ใบหน้าขาวที่มีเหงื่อผุดพรายพยักหน้ารับ พัดลมขนาด 18 นิ้วไม่ได้หนักอะไรมาก แต่ตัวมันค่อนข้างยาวจึงหิ้วลำบาก การที่เพื่อนสนิทโผล่มาช่วยอีกแรงจึงเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง

“ต้องเอาอีกกี่ตัว” ปรนัยเอ่ยถามหลังจากติดตั้งพัดลมตัวแรกเรียบร้อย

“พวกไอ้กี้กำลังช่วยยกตัวใหญ่มาจากหอประชุมอีกสอง” ภูมิตอบขณะใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผากไปด้วย “เดี๋ยวเราต้องไปยกตัวเล็กมาให้คณะดนตรี ตรงนั้นอบมาก”

คนฟังพยักหน้ารับขณะมองร่างขาวกระพือเสื้อเรียกลม ท่าทางร้อนจัดและเหงื่อที่ไหลซึมนั้นทำให้ปรนัยต้องคว้าข้อมือเพื่อนสนิทออกไปยืนในที่อากาศโปร่งด้านนอกเต็นท์

“เดี๋ยวมา” บอกจบผู้ช่วยก็แว่บหายไป ก่อนจะกลับมาพร้อมอะไรบางอย่างในมือ

“เอามาไมอะ” ภูมิถามถึงเสื้อภาคปรัชญาแบบใหม่ที่วางขายในงาน

แขนยาวๆ ยื่นมาตรงหน้าคนถาม “เอาไปเปลี่ยน มีแต่เหงื่อ”

“ไม่เอา! เสียดาย”

“จารย์กฤตให้” อีกฝ่ายอธิบาย

“ก็ให้มึง ไม่ได้ให้กู” เพราะวันสุดท้ายปอเป็นหนึ่งในผู้ชายที่ต้องร่วมขบวนแห่พระ อาจารย์กฤตจึงแจกเสื้อให้ใส่ร่วมงาน

พออีกฝ่ายไม่รับ เจ้าของเสื้อจึงคว้าคอคนปฏิเสธให้เดินไปทางภาค ส่วนเสื้อตัวนั้นก็วางแหมะอยู่บนหัวเพื่อน “ไปเปลี่ยนเลย สภาพยังกะลูกหมาตกน้ำ!”

ภาคภูมิก้มมองเสื้อนักศึกษาตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ตอนไปซ่อมบอร์ดนิทรรศการก็ต้องไปหลบทำในห้องเก็บของร้อนๆ กว่าจะเสร็จสภาพเลยเป็นอย่างที่เห็น

“เออๆๆ เดี๋ยวยกพัดลมเสร็จแล้วเปลี่ยน” มือขาวคว้าเสื้อยืดสีน้ำตาลมาถือไว้ ก่อนจะลอบมองใบหน้าของคนที่เดินกอดไหล่อยู่ข้างๆ “ขอบใจนะ”

เสียงขอบคุณเบาๆ เคล้าไอแดด ทำให้คนที่เพิ่งเสียสละเสื้อยืดให้ต้องเกาหัวแก้เก้อ “ซักมาคืนด้วยนะโว้ยยย”



พิธีช่วงเช้าจบลงท่ามกลางความอิ่มเอิบใจของทุกฝ่าย ที่เหลือก็จะเป็นช่วงให้คนมาสักการบูชาได้ตลอดทั้งวัน ส่วนพวกนักศึกษาจะมีงานทำอีกทีก็ตอนเย็น ที่ต้องมาสวดมนต์พร้อมกันอีกรอบ ซึ่งก็ไม่ได้บังคับอะไร เพราะยังไงคนสวดจริงๆ ก็คืออาจารย์ธารอยู่แล้ว แค่ในพิธีต้องใช้คนเข้าร่วมให้เยอะหน่อยเท่านั้นเอง

“พวกมึงมีเรียนกันต่อใช่ปะ” ปรนัยถามแก๊ง F4 ที่มานั่งผึ่งแอร์กันในห้องภาค พอทุกคนพยักหน้ารับ คนว่างเพียงหนึ่งเดียวจึงทำท่าเซ็งอย่างถึงที่สุด

“อะไร อยู่คนเดียวสิมึงอะ” ภาคภูมิแซวเพื่อน เพราะช่วงบ่ายนี้พวกเขามีเรียนวิชาโทกันหมด ส่วนไอ้ปอเป็นคนเดียวที่เรียนวิชาของเอก ซึ่งอาจารย์ยกคลาสให้อยู่ช่วยงานคเณศ มันเลยต้องเฝ้าซุ้มเพียงลำพัง

“น้ำลายบูดแน่กู” ใบหน้าคมแนบลงกับโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“เวอร์จริง!” ชิงชิงทนไม่ไหวต้องโบกหัวไอ้คนว้าเหว่ไปที “เค้าอยู่กันตั้งเยอะ นั่นไง พี่จ๋าก็ยังอยู่”

เด็กปีสามมองผ่านประตูไปยังซุ้มพิธีที่เห็นอยู่ไกลๆ บริเวณจุดเช่าพระมีพี่ปีสี่หลายคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นคือสาวผมสั้นลุคใหม่ที่ปอเอ่ยแซวไปเมื่อเช้า พอเห็นว่ามีคนคุยด้วยได้ หน้าหงอยๆ ก็ร่าเริงขึ้นมาอย่างกับใส่ถ่ายอัลคาไลน์

“งั้นเดี๋ยวกูไปอยู่แผงพระแล้วกัน เลิกเรียนเจอกันตรงนั้นนะ” พูดจบปรนัยก็ลุกขึ้นเตรียมเดินไปตรงที่จัดงาน หากแล้วอยู่ๆ ขายาวก็ชะงัก ก่อนมือหนักๆ จะยื่นไปขยี้ผมของคนที่นั่งอยู่เต็มแรง

“โอ๊ยยยยย!!” ภาคภูมิร้องโวยวาย ตากลมมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แต่คนถูกมองไม่มีทีท่าว่าจะกลัว แถมยังลอยหน้าลอยตายียวนใส่อีก

“ไม่งอแงนะพีพี เจอกันเย็นนี้”

“สัด!!”

แล้วร่างสูงๆ ก็วิ่งหนีไปโดยไม่รอฟังคำด่าซ้ำ ภาคภูมิสบถอะไรในลำคออีกสองสามคำ ก่อนจะเงยหน้ามาเจอกับสายตาของเพื่อนร่วมก๊วนที่มองเขาด้วยแววตายากจะเข้าใจ

“อะไรวะ?” คนถูกมองเอ่ยถามเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ

ชิงชิงกับแก้วมองหน้ากัน เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ จนสุดท้ายก็เป็นแก้วที่พูดขึ้น

“นี่มึงสองคนแค่เล่นกันเฉยๆ ใช่ปะ”

“เฮ้ย...อะไรกันวะ” ภาคภูมิถามซ้ำอย่างงุนงง

“มึงกับไอ้ปออะ...” ชิงชิงเอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก “ไม่ได้คิดอะไรกันใช่มั้ย”

ภาคภูมินิ่งอึ้งกับคำถามนั้น ตากลมโตหลุบต่ำ ไม่อาจสบสายตากับคนถามได้ “ทำไมถึงถามอย่างนั้น”

“คือ...” เพื่อนสองคนในแก๊งพยายามพูด “พวกกูก็ไม่ได้อะไรนะ แต่พวกมึงเล่นกันโคตรเหมือนจริง บางทีพวกกูก็สับสน”

“ใช่ๆ กูนี่แยกไม่ออกเลยว่ามึงแกล้งกันหรือมึงจีบกัน”

ความเงียบปกคลุมห้องที่พวกเขานั่งอยู่อีกครั้ง ภาคภูมิรู้สึกไร้คำตอบกับสิ่งที่เพื่อนถาม เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ที่มันเหมือนจะเกินเลยกว่าความเป็นเพื่อนเข้าไปทุกวัน หากสุดท้ายเขาก็เลือกจะบอกในสิ่งที่มันควรจะเป็น

“ไอ้เชี่ยปอมันก็กวนประสาทอย่างนั้นแหละ พวกมึงก็รู้ มันไม่แกล้งพวกมึงเพราะพวกมึงสู้มันไง ลองด๋อยๆ เหมือนกูดิ ป่านนี้มันโดดจูบปากพวกมึงแล้ว”

“เชี่ย แค่คิดก็ขยะแขยง อี๋ๆๆๆ” ไอ้แก้วเอาหลังมือเช็ดปากตัวเองใหญ่ ราวกับว่าโดนไอ้หัวโจกจูบไปแล้ว

“เออ...แบบนี้ค่อยสะดวกใจหน่อย” ชิงชิงเอ่ย “แล้วเวลาพวกกูล้อนี่มึงคิดมากมั้ย”

คนถูกถามส่ายหน้าพรืด “เอาที่พวกมึงสบายใจเลย กูโอเค้”

“แซวมึงสองผัวเมียแล้วบันเทิงดี กัดกันทุกวันนี่ลูกดกนะเว้ย ฮ่าๆๆ”

แล้วสองสมาชิก F4 ก็แซวเพื่อนต่อจนไอ้คนถูกแซวต้องหนีไปเรียน ท่ามกลางเสียงยุยงส่งเสริมที่ทำเอาภาคภูมิหน้าเห่อร้อนไปหลายชั่วโมง

ไอ้พวกเลววววว กูขอแช่งให้พวกมึงได้กัน!


--------------------------------


(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 16:14:54 โดย lykar »

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
งานคเณศจตุรถีวันแรกผ่านพ้นไปจนเข้าสู่วันที่สอง สำหรับวันนี้ไม่มีพิธีอะไรมาก เป็นเหมือนช่วงบ่ายของเมื่อวานคือให้คนมาสักการบูชาเป็นหลัก แต่เด็กปีสามกำลังงานเข้า เพราะเช้าวันนี้พี่ๆ ปีสี่มีเรียนกันแทบจะยกปี หน้าที่ดูแลการเช่าพระเลยตกเป็นของสี่จตุรเทพ F4 แทน

“เข้ามาเลือกเช่าบูชาองค์พระพิฆเนศกันได้นะคร้าบ เช่าวันนี้ แถมฟรี! บทสวดบูชาขนาดพกพา ให้ท่านสวดกันได้ทุกที่ ทุกเวลาเลยคร้าบ”

ไอ้เชี่ยปอกำลังร่ายสคริปต์ประหนึ่งเป็น MC พริตตี้แผงพระ เรียกความสนใจจากผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมันอินกับบทบาทมาก จนคิดว่าปีหน้าอาจจะลองรับงานมอเตอร์โชว์ดู

“ขอบคุณคร้าบบบบ” ปรนัยรับแบงค์ร้อยมาก่อนจะยื่นให้คนที่นั่งคุมกระป๋องเงิน “สี่สิบ”

“ขายหรือทอน” ภาคภูมิร้องถาม แต่คนกำลังวุ่นวายกับการดูแลลูกค้าคนถัดไปไม่ไม่ยินจนต้องถามซ้ำ “มึงงงง สี่สิบนี่เงินทอนปะ”

“เงินทอนครับ” คำตอบไม่ได้มาจากพ่อค้า แต่มาจากคนซื้อซึ่งเป็นนักศึกษาชายที่หน้าตาแบบว่า... มึงเรียนมหา’ลัยปริมณฑลแน่เหรอ ดูผู้ดีผิดแผกจากคนในระแวกนี้มาก

“มองนานๆ ต้องลดราคาให้ด้วยนะ” เซ็กซี่บอยที่น่าจะเดินอยู่แถวๆ สามย่านเอ่ยแซวแถมวาดรอยยิ้มกระชากใจ พร้อมๆ กับที่ใครบางคนกระชากตังค์ในมือเขาไปเช่นกัน

“ขอบคุณครับ!” ไอ้ปอกลับมาสนใจลูกค้าเมื่อไรไม่รู้ แขนยาวเอื้อมส่งเงินทอนให้ ขณะที่สายตาจ้องเขม็งไปยังใบหน้าหล่อๆ นั้น

...แม่งก็แค่หล่อแบบดาดๆ กูนี่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มยังไม่พูดเลย

ลูกค้าเซ็กซี่บอยไม่สนใจสายตาดุๆ ที่จ้องตนเอง แต่หันไปส่งยิ้มให้คนที่นั่งนับเงินอีกรอบ ทว่าใบหน้าเล็กๆ นั่นกลับถูกไอ้คนข้างๆ ดึงเข้าไปซุกกับตัวเหมือนพยายามแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ เห็นแบบนั้นเขาก็ได้แต่ยักไหล่แล้วเดินจากมา ...ผัวดุจังโว้ยยย

“สัดดด เหม็น!!” ภูมิพยายามดิ้นออกจากมือหนักๆ ที่กดหัวเขาให้แนบอยู่กับอก

“ทอนตังค์ไป อย่าอู้!” ปรนัยปล่อยให้เพื่อนสนิทเป็นอิสระ จริงๆ มันก็ไม่ได้อู้หรอก นับเงินยิกๆ แต่เห็นเสน่ห์แรงแล้วหมั่นไส้แม่ง

“เปงผัวอ่อมาสั่ง อิอิ” ไอ้ห่าแก้วที่กำลังแพ็กพระใส่ถุงแซวขึ้นลอยๆ แบบโนแคร์โนสนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในมือ

ภาคภูมิหันไปมองคนแซว แต่กลับได้สบตากับชิงชิงที่มองมาพอดี สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามทำให้เขาต้องพูดแก้เก้อ

“งั้นกูนี่แหละผัวมึง เอาตังค์ไป! อย่าพูดมาก!”

“หูยยย พี่ว้ากตัวร้ายฯ มาเองง่ะ” ไอ้ขี้แซวยังแซะไม่เลิกจนภูมิต้องเป็นฝ่ายเลิกต่อล้อต่อเถียงเอง แต่ต่อให้ภาคภูมิไม่หยุด ทั้งหมดก็ไม่มีเวลาได้คุยเล่นอะไรกันอีก เพราะเป็นช่วงพักเที่ยงซึ่งนักศึกษาเลิกเรียนพอดี แผงพระของพวกเขาจึงอัดแน่นด้วยมวลมหาชนผู้มีจิตศรัทธาโดยที่ไอ้ปอไม่ต้องเรียนเชิญให้เหนื่อย

หลังช่วงไพรม์ไทม์ผ่านพ้น ทีมขายพระก็คลานมานั่งพุ้ยข้าวลงกระเพาะกันแบบหน้ามืดตาลาย ปล่อยกิจการอันรุ่งเรืองให้ปีสี่ดูแลต่อ พอกินข้าวเสร็จภาคภูมิก็เอาเงินมานับเพื่อลงบัญชีภาคไว้ ซึ่งตัวเลขเป็นที่น่าพอใจไม่น้อย อาจเพราะปีนี้มีการให้เช่าพระพิฆเนศองค์เล็กประมาณ 1 เซนติเมตร แถมยังรูปลักษณ์ทันสมัยแบบให้วัยรุ่นใส่ห้อยคอได้ เด็กๆ นักศึกษาจึงสนใจกันเยอะ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะภาคปรัชญาจะได้มีเงินเอาไว้จัดกิจกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะกิจกรรมเสวนา ซึ่งของบจากคณะได้ยากยิ่งกว่ายาก
 
“ขาดหรือเกิน” ปรนัยเอ่ยถามคนที่นั่งคิ้วขมวด หน้าตาเคร่งเครียด

“แป๊บ” สองนิ้วจิ้มเครื่องคิดเลขอย่างรวดเร็วแบบที่คนข้างๆ มองตามแทบไม่ทัน

“เชี่ย! ไปแข่งแฟนพันธุ์แท้เครื่องคิดเลขมั้ย”

“แม่ง...” ภูมิสบถแล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ “ทำไมเป็นงี้วะ”

ร่างสูงที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเสื่อขยับตัวลุกขึ้น ก่อนจะมองตัวเลขดิจิทัลที่โชว์บนจอ “เงินขาดไปเยอะเหรอวะ”

คนถูกถามส่ายหน้า สายตายังคงฉายแววครุ่นคิด

“อ่าว แล้วมีอะไร”

“เงินมันพอดีเลยว่ะ”

“แล้วมึงเครียดไร ก็ดีแล้วนี่”

“มันไม่แปลกเหรอ เมื่อวานยังขาดไปเกือบร้อย ขนาดพี่ปีสี่ดูแผงอะ”

นิ้วเรียวของคนข้างๆ เอื้อมไปนวดบริเวณหัวคิ้วของนักบัญชีที่กำลังจะผูกเป็นโบว์ในไม่ช้า ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยปลอบใจคนคิดมากให้คลายกังวล

“โตกว่าไม่ได้หมายความว่ารอบครอบกว่า กูเห็นมึงนับเงินตั้งหลายรอบก่อนจะทอน ยอดเงินมันจะครบก็ไม่เห็นแปลกเลยปะวะ”
ภาคภูมิหันไปมองคนพูด ก่อนจะต้องใจสั่นไปกับแววตาอ่อนโยนที่จ้องมองตัวเองอยู่ก่อนแล้ว

“เอ้อ...เอาเงินไปให้จารย์กฤตก่อนนะ” ความเขินกำลังรุกรานจนภูมิต้องหาเรื่องเดินหนี ตอนนี้หัวใจกำลังอยู่ในเขตอันตรายมากๆ คือถ้าเผลอข้ามเส้นกั้นไปนี่ต้องเหยียบกับระเบิดตายแน่ๆ!

ปรนัยมองคนที่หอบซองเงินวิ่งหายไปทางห้องภาคแล้วก็หัวเราะออกมา คนห่าอะไรยอดเงินลงตัวก็เครียด วันๆ เขาเห็นไอ้ภูมินี่คิดอยู่สองอย่าง ไม่คิดมากก็คิดเล็กคิดน้อย บางทีก็อยากรู้ว่าในสมองมันเป็นยังไง ทำไมถึงได้ทำงานหนักทุกภาคส่วนแบบนี้


ประมาณหกโมงเย็น แก๊งเด็กปรัชญาก็มารวมตัวที่ปะรำพิธีกันเหมือนเมื่อวาน เสียงอาจารย์ธารซึ่งเป็นท่านพราหมณ์กำลังนำสวดมนต์ภาษาฮินดี เสร็จแล้วก็ปิดท้ายด้วยพิธีอารตี หรือการบูชาพระพิฆเนศด้วยไฟ สำหรับเด็กๆ ปีหนึ่งที่เพิ่งได้สัมผัสกับพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูครั้งแรกๆ ก็ดูตื่นเต้นสนุกสนานกันดี แต่สำหรับพี่ปีสามปีสี่ที่ผ่านมาหลายครั้ง บอกตามตรงว่าจะวูบหลับให้ได้

“ปอ!! เสร็จแล้ว!!” ภาคภูมิกระทุ้งศอกใส่เพื่อนที่นั่งก้มหน้านิ่งมานาน ดูเผินๆ นี่เหมือนมันซาบซึ้งกับบทสวดมาก แต่จริงๆ คือแม่งหลับกลางอากาศ! แล้วหลับแบบหัวไม่โคลงด้วย ความสามารถพิเศษจริงๆ

คนเนียนหลับปรือตาขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา ค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้นพร้อมกับคนอื่นๆ “หาววววว”

“เชี่ย! ปิดปากหน่อยดิวะ เกรงใจจารย์ธาร” มือขาวเอื้อมมาปิดปากคนเพิ่งตื่น เพราะอาจารย์กำลังมาทางนี้

“โอ้ ขอบคุณทุกคนมากเลย” ท่านพราหมณ์เดินขอบคุณเด็กๆ มาจนถึงด้านหลัง “พรุ่งนี้ช่วยกันอีกวันนะ”

“ค่าาาา”

“ได้เลยคร้าบบบบ”

เสียงตอบรับเซ็งแซ่ ก่อนรุ่นพี่รุ่นน้องจะแยกย้ายกันไปเก็บของบางส่วน แล้วช่วยกันเอาผ้าใบลงมาคลุมเต็นท์เพื่อป้องกันฝน
แก๊งปีสามจัดการงานของตัวเองเสร็จก็พากันเดินไปเอารถที่หน้าภาค แก้วขอตัวชิ่งอย่างรวดเร็วเพราะมีนัดตีดอทกับรูมเมท จึงเหลือแค่ปอ ภูมิและชิงชิงที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะไปกินข้าวที่ไหนกันดี

“เตี๋ยวไก่มะ” ปรนัยเสนอไอเดีย

“หรือจะไปองค์พระ” ชิงชิงหมายถึงตลาดโต้รุ่งหน้าวัดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมอ

“เออ อยากกินเย็นตาโฟต้มยำ” คนอยากกินเตี๋ยวไก่เปลี่ยนใจทันควัน

“แล้วจะไปไง ปั่นจั๊กไหวเหรอวันนี้” ภูมิเอ่ยถาม เพราะพวกเขายืนขายพระกันมาครึ่งค่อนวัน แถมช่วงบ่ายยังไปช่วยยกของเตรียมขบวนแห่อีก ไอ้ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรที่เคยปั่นจักรยานกันไหว ก็ดูเหมือนจะไกลแบบแค่คิดก็ขาล้า

“ซ้อนมอไซค์กูไปก็ได้” ชิงชิงผู้มีมอเตอร์ไซค์รับอาสา สายตาของเพื่อนอีกสองคนจึงมองไปยังรถป็อปคันจิ๋วที่จอดอยู่ ขนาดกะทัดรัดแบบแค่ซ้อนสองยังลำบาก ทำเอาทั้งเจ้าของและว่าที่ผู้โดยสารถอนหายใจไปตามๆ กัน

“อ้าว! ยังไม่กลับกันเหรอ” เสียงทักทายจากผู้มาใหม่ทำให้สามหนุ่มต้องหันไปมอง “ไปองค์พระปะ พวกพี่กำลังไปหาไรกินกัน”
ประธานเอกเชิญชวนรุ่นน้องให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน วันนี้ปี 4 อยู่กับครบ เลยหาเรื่องไปฉลองเสียหน่อย

“พอดีเลยพี่ไนท์ นี่ก็ว่าจะไปเหมือนกัน แต่ไม่มีรถอะ” ชิงชิงตอบอย่างรวดเร็ว

“ไปดิ รถจ๋านั่งได้อีกนี่ ใช่ปะ” ปลายเสียงหันไปถามเจ้าของรถที่ยืนอยู่ด้านหลัง

สาวผมสั้นมองรุ่นน้องแล้วก็พยักหน้ายิ้มให้ “ปะๆ กินข้าวกัน”

“เดี๋ยวกูซ้อนมึงไปนะชิง” ภูมิหันไปบอกเพื่อน

“หยุด!!” เสียงทุ้มเอ่ยห้ามทันควัน “ไป-กะ-กู!!”

ไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ภาคภูมิก็โดนลากไปขึ้นรถพี่จ๋าเรียบร้อย ครั้งนี้ไม่ต้องอัดกันเหมือนวันฝนตก เพราะมีรถเก๋งสองคัน แถมมอเตอร์ไซค์อีกสาม


ร้านอาหารสารพัดประเภทตั้งเรียงต่อกันสุดลูกหูลูกตาหน้าลานกว้างของวัดใหญ่ประจำจังหวัด แต่แก๊งปรัชญาเลือกลงหลักปักฐานกันที่ร้านเย็นตาโฟ ซึ่งได้รับคะแนนโหวตสูงสุด ด้วยเหตุผลเดียวคือคนขายหล่อ ทำเอาไอ้ปอโวยวายหนัก แม้ตัวเองจะอยากกินเหมือนกัน แต่พอโดนหยามเรื่องความหล่อจากพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวก็เกิดยอมไม่ได้ขึ้นมา

“โอ๊ยยยย พ่อคุ้ณณณ”

“หล่อจ้าพ่อ หล่อที่สุดในปฐพี แดกเถอะ!!”

เสียงประชดประชันจากรุ่นพี่ทำให้คนเรื่องเยอะต้องยอมนั่งลงสั่งก๋วยเตี๋ยวแต่โดยดี หากยังไม่วายพูดตบท้ายหลังสั่งเสร็จ “อยากเห็นคนหล่อ มองหน้าน้องปอก็พอนะครับ”

“อ้วกกกกกก!!”

“อิ่มแล้วโว้ยยย!!!”

“กูไม่ใช่อีจ๋านะ จะได้มองว่ามึงหล่อ!!” เจ๊ตี้ สาว (?) ผิวแทนพูดขึ้น ทำเอาคนถูกกล่าวหาหันมาถลึงตาใส่ทันควัน

“อีตี้!!”

“แหมมมมมมมมมมม” คนแซวยังว่าต่อ “กูอยากจะแหมมมมตั้งแต่องค์พระไปจนถึงเซ็นปิ่น เมื่อวานใครแม่งชมน้องให้พวกกูฟังวะ”

คราวนี้เสียงโห่ฮิ้วจากปีสี่ดังลั่น ใครที่ยังไม่รู้เรื่องก็รีบยุให้พี่ตี้รีบเมาท์ประเด็นเด็ดโดยด่วน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ร้องห้ามนั่นคือพี่จ๋า ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครสนใจ

“ก็เมื่อวานที่แผงพระอะแก๊” เจ๊ตี้ที่แปลงกายเป็นแอดมินเพจใต้เตียงดาราเริ่มบรรเลง “พวกฉันก็นั่งๆ ยืนๆ ขายพระกันอยู่ใช่มะ ก็มีเด็กเภสัชคนนึงมายืนเลือกพระ...”

“อีตี้!! หยุด!!” พี่จ๋าพยายามยื่นมือมาปิดปากเพื่อน

 “น้องแม่งโคตรหล่ออะ หล่อแบดๆ สบตาแล้วใจละลายไรเงี้ย พอฮีไป อีพวกสัมภเวสีสาวๆ ของเราก็กรีดร้องกันระงม หลัวขา อยากมีหลัวเด็กกก อยากให้น้องจ่ายยาจุงเบยยย”

คนเล่าทำเสียงเล็กเสียงน้อยจนน่าถีบ พี่จ๋าพยายามทำหน้ายักษ์แต่ก็ยังอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้

“แต่!! อยู่ๆ อีจ๋าค่า เทเลอร์ สวิฟต์ของเรา แม่งก็พูดขึ้นมาว่า ‘เฉยๆ อะ ไอ้ปอหล่อกว่าอีก’”

“ว่ออออออออ” เสียงอื้ออึงดังไปทั่วโต๊ะ คนถูกชมลุกขึ้น ก่อนจะวาดแขนโค้งตัวรับอย่างหน้าชื่นตาบาน

“โอ้โหหหห เรด้าจับสัญญาณคนหล่อมึงพังเหรอ!! ถึงได้ชมมันเนี่ย”

พี่จ๋าส่ายหน้า อ้าปากพะงาบๆ เหมือนพยายามอธิบาย

“แอบชอบกันก็ไม่บอก คนบ้า บ้า บ้า บ้า~~” ร่างสูงแสร้งทำท่าทางเขินอายวิ่งไปทุบไหล่รุ่นพี่ประหนึ่งสาวน้อยที่มีชายหนุ่มมาหมายปอง

“โอ๊ยยยย แรดกว่าผู้หญิงปีสี่ ก็อีปอนี่แหละโว้ย” เจ๊ตี้ร้องอย่างอ่อนใจ


เรื่องราวการเยินยอรุ่นน้องปี 3 จบลงพร้อมการยกก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟของพ่อค้าแซบ แต่ความชุลมุนกำลังเริ่มต้นขึ้น เพราะก๋วยเตี๋ยวสิบกว่าชามที่สั่งไปนั้นไม่มีชามไหนตรงตามสั่งเลยสักชาม

“อันนี้ไม่ใช่ของฉันว่ะ”

“แก อันนี้ต้มยำปะ เราสั่งธรรมดา”

“ใครสั่งพิเศษผักบุ้งงงง”

“อันนี้ของกูเหรอวะ”

เพราะวุ่นวายกันเกินจะเอ่ย พี่ไนท์ในฐานะผู้นำภาคจึงให้ทุกคนหยิบอันที่พอกินได้ไปก่อน ถ้าอันไหนไม่กินจริงๆ ค่อยไปขอเปลี่ยน เพราะตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ความหิวคุกคามจนไม่น่าจะมาเลือกอะไรกันมาก

“มึงเอาอันนี้แล้วกันนะ” ปรนัยเลื่อนเล็กโฟต้มยำไปให้เพื่อนสนิท

ภูมิมองก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าแล้วก็พยักหน้ารับ หากยังไม่ทันได้ตักกิน หมึกกรอบจากคนข้างๆ ก็ย้ายมาสู่ชามตัวเองหลายชิ้น

 “ปอไม่กินหมึกกรอบเหรอ” พี่จ๋าที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถาม ตอนนี้ไม่มีใครมาโฟกัสคนทั้งคู่แล้ว เพราะอาหารย่อมสำคัญกว่าเพื่อนเสมอ

“อ๋อ ก็กินได้แหละพี่ แต่พอดีไอ้ภูมิมันชอบ”

คนชอบหมึกกรอบลอบมองหน้าของรุ่นพี่ที่ถาม พี่จ๋าทำหน้าแปลกๆ เหมือนอยากถามบางอย่างต่อแต่ก็เงียบไป พอดีกับที่ชิงชิงพูดขึ้นมาก่อน

“คนขายนี่หล่ออย่างเดียวจริงๆ ไม่แบ่งความหล่อมาช่วยความจำเลยแม่ง” ท่าทาหงุดหงิดแบบนี้แสดงว่ากินชามไหนไม่ได้เลยแน่นอน

“ที่พิเศษผักบุ้งนั่นไม่ใช่ของมึงเหรอ ฮ่าๆๆ” ปอแซวเพื่อนแล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของคนอื่นเลยอธิบายทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดขำ

“เห็นแมนๆ แบบนี้ เชี่ยชิงมันกลัวผักบุ้งครับ”

มนุษย์กลัวผักบุ้งสบถด่าเพื่อนยาวเหยียด คนมันฝังใจโว้ย ไม่ใช่กลัวเอาเท่เอาแปลกเหมือนดาราซะหน่อย

“ปอนี่จำได้หมดเลยเหรอ ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร” พี่จ๋าถามอีก ซึ่งภูมิรู้ว่ามันเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่หมึกกรอบของเขา

“ใช่ครับพี่จ๋า” ชิงชิงเป็นคนตอบแทน “แต่ไม่ได้เป็นคนใส่ใจคนอื่นนะ มันแค่ขี้เสือก”

คราวนี้พี่จ๋าหัวเราะออกมาบ้าง และแววตาใสๆ นั่นก็ดูจะไม่มีความเคลือบแคลงอะไรเหมือนก่อนแล้ว


กว่ามื้อค่ำคอมโบเซตจะจบลง ภาคภูมิก็รู้สึกเหมือนกระเพาะขยายออกเป็นหกส่วน อัดแน่นไปด้วยเย็นตาโฟ ลูกชิ้นปิ้ง หมึกย่าง เต้าฮวยนมสด ลอดช่องสิงคโปร์ และบัวลอยแต้จิ๋ว ดังนั้นเมื่อพี่จ๋ามาส่งที่ภาคแล้ว เขาจึงไม่ปฏิเสธเมื่อไอ้ปอบอกว่าจะขี่จักรยานไปส่งหอ เพราะจะแวะเอาเสื้อที่ให้ยืมมาเมื่อวานด้วย

“เชี่ยปอ ขี่ดีๆ ดิวะ” คนซ้อนโวยวาย เมื่ออยู่ๆ คนขี่ก็บิดเอียงซ้ายเอียงขวาเหมือนจะล้ม

“โทษๆ กูแค่ตกใจป้ายพี่ตูน เมื่อไรแม่งจะเอาออกไปซะทีวะ ผ่านมาดึกๆ ทีไรหลอนทุกที” ปอหมายถึงป้ายคอนเสิร์ตบอดี้สแลมที่เคยหลอกหลอนเขาจนคิดว่าพี่ตูนคือผีพี่อนงค์ไปทีนึงแล้ว

“จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยน้า โดนสาวชมว่าหล่อแค่เนี้ย”

คราวนี้คนขี่หัวเราะออกมาเสียงดัง “มึงคิดว่าพี่จ๋าชมจริงเหรอ รายนั้นอะพูดเป็นแต่เรื่องประชดๆ ทั้งนั้น”

“อ้าว จะไปรู้เหรอ ไม่ได้รู้ใจเค้าเหมือนมึงนี่ โอ๊ยยย!!” ปลายเสียงร้องโวยวาย เมื่อถูกแขนยาวๆ ของคนด้านหน้าเอื้อมมาผลักหัวด้วยแรงไม่เบานัก

“สายจิ้นเหรอเราอะ”

“ก็พี่เค้าดูชอบมึงจริงๆ นี่หว่า” เสียงคนซ้อนลอยมาตามลม

“ยังไง”

“ที่เค้าพยายามเล่นกับมึง พยายามแหย่มึง แกล้งมึง ก็เพราะเค้าอยากให้มึงสนใจไง”

“เหรอ...” เสียงทุ้มเอ่ยเหมือนใคร่ครวญกับตัวเอง “ไม่เห็นรู้สึกเลย”

ภาคภูมิลอบถอนหายใจ สีหน้าหม่นลงแบบที่คนข้างหน้าไม่มีทางได้เห็น “ถ้าวันไหน... มึงรู้สึกอะไรกับพี่เค้า มึงบอกกูได้ปะ”

 “ทำไม จะช่วยกูจีบเหรอ ฮ่าๆ”

คนถูกถามจ้องมองแผ่นหลังกว้างด้วยความวูบโหวง ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เขาจะมีแรงประคองหัวใจตัวเองที่แตกสลายได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย

ปรนัยสะดุ้งเล็กน้อย เมื่ออยู่ๆ คนซ้อนก็ซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของเขา เสียงอู้อี้ที่พูดอะไรไม่ได้ศัพท์ทำให้เขาต้องเอ่ยถามออกไป

“อะไรนะ”

“บอกว่าง่วงแล้ว ขี่เร็วๆ หน่อย”

คนถูกสั่งหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะดึงมือที่จับเสื้อตนเองมากอดเอวแทน “นอนไป เดี๋ยวพาขี่ไปวนองค์พระแล้วมาส่ง”

“สัด!!” คนง่วงด่าเสียงดังฟังชัด ...มึงจะเป็นทั้งคนที่แสนดีและคนที่กวนตีนพร้อมๆ กันแบบนี้ไม่ได้นะเชี่ยปอ!!




TBC.

 :mew1: :mew1:

มาแล้ววววว ขอโทษจริงๆ ค่ะ หายไปนานนี่ยื่นใบลาตายนะ ไม่ได้ลาพักร้อน 555555

กลับมาพบกับพลพรรคนักปรัชญากันต่อนะคะ
ตอนนี้เราพาทุกคนไปรู้จักกับพิธีหนึ่งในศาสนาฮินดู นั่นก็คือคเณศจตุรถี
เราพยายามย่อยทุกอย่างให้อ่านเพลิน แต่ไม่รู้จะเบื่อกันหรือเปล่า T^T

ตอนคิดว่าจะเขียนเรื่องชีวิตมหา'ลัย เราก็คิดว่าจะเขียนยังไงให้ไม่น่าเบื่อ
คือนิยายวัยมหา'ลัยมีเยอะมาก แล้วแทบทุกเรื่องตัวละครก็จะทำกิจกรรมแบบคล้ายๆ กัน
เช่นเฟรชชี่ กีฬามหา'ลัย หลีดคณะ ดาวเดือน โอเคแหละ คนอื่นเค้าเขียนได้สนุก
แต่เราที่ไม่ค่อยได้เข้าร่วมกับกิจกรรมแบบนี้ กลัวจะเขียนออกมาแล้วเพลียตัวเองก่อน

ก็เลยตีโจทย์ใหม่ว่า เฮ้ย ตอนเราเรียนเนี่ย ภาคเราแม่งไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเหมือนชาวบ้านเค้าเลยนะ
บทเรียน (ที่ลืมไปแล้ว) คิดๆ ไปมันก็โรแมนติกแบบปรัชญาๆ นะ
งั้นเราลองเอาอะไรพวกนี้มาเขียนดีมั้ย เพราะเรามีส่วนร่วม เราผ่านมันมาด้วยประสบการณ์จริง

เรื่องนี้เลยพาไปเรียนเรื่องเหตุผลวิบัติ เดินพาหุรัด จัดงานแขก และคงมีอะไรแปลกๆ มาให้อ่านกันอีกมาก
ท่ามกลางความสับสนของตัวละครหลัก จีบกันบ้าง แกล้งกันบ้าง เดี๋ยวหวานเดี๋ยวขม ตามประสาวัยรุ่น 555555

ยังไงก็อย่าเพิ่งถอนใจจากเรื่องนี้นะคะ
อยู่กันให้จบเทอมก่อนนนน สัญญาว่าจะตั้งใจสอน เอ๊ย! ตั้งใจเขียนค่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2017 14:35:51 โดย lykar »

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
น้องปอขี้หวง จะมาหวงเพื่อนแบบนี้ ต้องคิดอะไรแล้วนะคะ!
รีบๆคิดให้ออกเลย ไม่งั้นจะไม่ปล่อยพีพีให้นะ!!!

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
 :impress2:

ขอบคุณคนเขียนค่า เขียนอะไรมาเราก็อ่านหมด 5555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ปอ หวงภูมิ
แต่จะหวงแบบเพื่อน หรือแบบแฟน  :katai1:
พี่จ๋า ท่าจะชอบปอแล้ว
ภูมิ น่าเห็นใจ ปอ มันยังไม่รู้ตัวอีก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ sunshine538

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
กิจกรรมในตอนนี้ช่างแปลกใหม่น่าสนใจจริงๆ ค่ะ  o13
ส่วนพี่จ๋าก็น่าสนใจเหมือนกัน เพราะน่าจะแอบจริงจังกะปอแล้วสินะ...
น้องพีพีนี่เนื้อหอมทีเดียว ปอหวง "เพื่อน" หนักมากค่ะ แอบสงสารน้องพีพี เหมือนมีความหวังเป็นระยะๆ สลับกับเหมือนจะใจสลายเป็นระยะๆ  :o12:
รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น้องพีพีนี่เนื้อหอมทีเดียว ปอหวง "เพื่อน" หนักมากค่ะ แอบสงสารน้องพีพี เหมือนมีความหวังเป็นระยะๆ สลับกับเหมือนจะใจสลายเป็นระยะๆ 

เห็นด้วยเลยค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2017 07:05:14 โดย sirin_chadada »

ออฟไลน์ Banarot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
เห็นคำว่าจ๋าทีไรก็เซ็ง

ออฟไลน์ nimercy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปรนัยคนขี้อ่อยยยยยยย ปวดใจแทนพีพีจริงๆ ที่มาชอบเอ็ง
ทำเค้าหวั่นไหวคิดไปไกลขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอี๊กกกกกก :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ความเพื่อนยุ เพื่อนแซวนี่ ได้กันมาหลายคู่แล้วนะจ๊ะ

เมตสิปป์ก็เหมือนกัน เห็นไหมล่ะ เธอออออ

ออฟไลน์ FonJuz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พีพี น่าสงสาร เหมือนหนึบๆที่ใจอ่ะ
ปอนี่ยังไงๆ อ่อย หวง พีพี ขนาดนี้
คิดแบบเพื่อนแน่หรอ คุณปออออ

สู้ๆนะคะคนเขียน รออ่านเสมอค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
สนุกมากค่ะ ได้บรรยากาศชีวิตในมหาลัยอีกแบบหนึ่ง ภูมิแสดงออกในใจ ส่วนปอนี่ออกนอกหน้ามากเหอะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ในที่สุดก็ตามอ่านจนครบเย้ๆ


ออฟไลน์ dashdash

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้ามาอ่านเพราะชื่อตอนล่าสุดเลยครับดูน่าสนใจ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆด้วยทั้งการใช้ภาษาและเนื้อเรื่องที่ไม่จำเจ แม้จะมีแนวรักมหาลัยมากมาย แต่คนเขียนก็ดึงเอาเสน่ห์ของภาคปรัชญาออกมาได้ดีมากครับ เรื่องอื่นๆมีแต่วิศวะ หมอ วนไปมากันอยู่แค่สองคณะนี้ นานๆจะโผล่มาคณะอื่นบ้างเช่น ถาปัต บริหาร

มาต่อไวๆนะครับ อย่าหายไปไหนนานนะครับ o13

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
#08
ของ (คน) สำคัญ



ทุกอย่างกำลังชุลมุนวุ่นวายอย่างหนักในตอนที่ภาคภูมิวิ่งฝ่าฝนมาจนถึงเต็นท์งานคเณศ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฟ้าฝนจะมีโควตาความปรานีให้พวกเขาไม่ถึงงานจบ อาจารย์ธารในชุดพราหมณ์กำลังปีนบันไดเพื่อผูกผ้าใบบังฝนกับโครงเสาด้านบน เห็นแบบนั้นภูมิเลยเข้าไปเปลี่ยนตัว ให้อาจารย์ลงมาดูส่วนอื่นแทน เป็นความโชคดีที่วันนี้วิชาตอนเช้าเลิกเร็ว เขาจึงได้มาที่งานก่อนคนอื่น เพราะตอนนี้มีเพียงพี่ผู้หญิงปีสี่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เต็นท์ และสภาพทุกคนก็เปียกโชกขณะเร่งย้ายของที่อาจเสียหายได้เข้าไปเก็บในห้องภาค

   ร่างในชุดนักศึกษาอาบน้ำฝนจนชุ่มแต่ภารกิจก็ยังไม่เสร็จสิ้น ภาคภูมิลงมาลากบันไดทรงตัว A ไปยังจุดต่อไป ดูว่าขาบันไดระนาบกันพื้นดีแล้วก็ปีนขึ้นไปผูกผ้าใบต่อ ทว่าแขนเรียวเอื้อมไกลเกินไปนิด บันไดที่ตนเองเหยียบอยู่จึงเอียงวูบจนเกือบล้ม ดีว่าใครบางคนด้านล่างคว้าเอาไว้ได้ทัน

   “ไม่เป็นไรนะ” เสียงเอ่ยถามที่ฟังไม่คุ้นหูทำให้ภูมิรีบก้มลงไปมอง ก่อนจะได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังมองมาอย่างเป็นห่วง

   “ขะ...ขอบคุณครับ” เอ่ยตอบไปไม่เต็มเสียงนัก เพราะกำลังอึ้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ...เซ็กซี่บอยคนเมื่อวานนี่หว่า!

   “มา! เราช่วย” ผู้มาใหม่ปีนขึ้นบันไดอีกฝั่งจนภูมิต้องร้อง เฮ้ย! ด้วยความตกใจ

   “เดี๋ยวก็คว่ำทั้งคู่” เสียงบ่นอุบอิบทำให้ผู้ช่วยหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่ยอมลง แถมยังเอื้อมมือไปผูกผ้าใบกับขื่อเสาของเต็นท์อย่างรู้งาน

พอผูกผ้าใบเสร็จ สองหนุ่มก็พากันลากบันไดเข้ามาด้านใน ภูมิลอบมองใบหน้าชื้นฝนของคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือแล้วก็สงสาร จึงเดินไปหยิบทิชชู่ในกระเป๋าให้อีกคนได้เช็ดหน้าเช็ดตา แต่เสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำนั้นทำยังไงก็คงไม่แห้ง

“โทษทีนะ ต้องมาเปียกไปด้วยเลย”

“เฮ้ย! ไม่เป็นไร ตั้งใจมาช่วยงานอยู่แล้ว” หนุ่มหล่อต่างคณะหัวเราะ ท่าทางไม่คิดอะไรมากทำให้ฝ่ายเจ้าภาพเบาใจไปนิดหนึ่ง

“แอร๊ยยยย น้องเภสัช!!” เสียงหวีดร้องของแก๊งเจ๊ตี้เรียกความสนใจจากผู้ชายสองคนได้เป็นอย่างดี ‘น้องเภสัช’ ที่ว่า ส่งยิ้มให้แล้วผงกหัวอย่างสุภาพ

“คนที่พี่เล่าเมื่อคืนไงๆ” เจ๊ตี้หันไปบอกภูมิที่ยืนงงอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันไปคุยกับหนุ่มหล่อต่างคณะต่อ “วันนี้ก็มาเหรอคะ โทษทีน้า ฝนอย่างหนักเลย เปียกไปหมดเลยเรา”

พอรู้ว่าเซ็กซี่บอยคือคนเดียวกับหนุ่มหล่อขยี้ใจแก๊งสาว (แก่) ภูมิจึงรีบรายงานทันที “อ๋อออ นี่เค้ามาช่วยติดผ้าใบรอบเต็นท์เลยนะพี่ตี้ ถึงได้เปียกทั้งตัวแบบนี้ พี่ตี้ให้เสื้อเค้าสักตัวสิ เดี๋ยวเค้าไม่สบาย น้า...นะ”

เจอขวัญใจภาคทำเสียงอ้อน แถมยังมีสายตาเว้าวอนของเซ็กซี่บอยเภสัชแบบนี้ ฉายาเจ๊ตี้ขี้งกเลยเริ่มสั่นคลอนอย่างหนัก 
“อ่า...ยังไงดีล่ะ...”

ระหว่างที่เจ๊คนสวยกำลังลังเล พี่จ๋าก็เดินฝ่าวงล้อมของทุกคนมาพร้อมเสื้อยืดสองตัว “อะ รีบไปเปลี่ยนกัน เดี๋ยวไม่สบาย”

แม้จะยังงงๆ แต่ภูมิกับเพื่อนใหม่ก็รับเสื้อนั้นมา เสื้อยืดสีดำลายนิ้วมือขนาดใหญ่สีส้มเป็นเสื้อปรัชญาปีที่แล้ว พี่จ๋าคงไปหามาจากห้องเก็บของของภาค ตอนที่เอาของไปเก็บเมื่อกี๊

“พี่จ๋าครับ” เสียงเรียกจากรุ่นน้องปีสามทำให้คนที่กำลังเดินไปปะรำพิธีต้องหันกลับมา “ขอบคุณนะพี่”

คำขอบคุณอย่างจริงใจนั้นเรียกรอยยิ้มจากสาวผมสั้นได้ไม่ยาก “ไม่เป็นไรๆ ถ้าอีตี้เผลอเดี๋ยวพี่เอาเสื้อรุ่นใหม่มาให้อีก”

“อ้าวอีจ๋า นี่เพื่อนไง อย่าเห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนสิคะ” คนถูกพาดพิงชี้นิ้วไปยังชะนีที่หักหลังเพื่อน

“มึงก็กลับมาเป็นผู้ชายสิตี้ กูจะได้เห็นมึงดีกว่า” พี่จ๋าเถียงกลับทันควัน

“ว๊าย!! กูยังไม่อยากโดนฟ้าผ่าตายก่อนได้ทำนมนะ”

เห็นสาวๆ ปีสี่ยังเถียงกันอีกนาน ภูมิเลยขอตัวพาเพื่อนใหม่ไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องน้ำในภาค ถ้ายังอยู่ต่อมีหวังเป็นปอดบวมตาย หรือไม่ก็ขำจนตายนั่นแหละ!


ฝนเริ่มซาลงแต่ก็ยังไม่หยุดตก ตอนนี้พิธีทุกอย่างหยุดชะงักลงทั้งหมดเพราะเต็นท์เจิ่งนองไปด้วยน้ำจนเละเทะ และน่ากลัวว่าพิธีแห่พระคเณศไปสระน้ำกลางมหาวิทยาลัยอาจต้องยกเลิกไปด้วย

“ถ้าถึงเวลาแล้วฝนยังไม่หยุดจริงๆ ผมว่าสุดท้ายคงต้องยกเลิกขบวนแห่ล่ะครับ” อาจารย์กฤตขวัญใจนักศึกษาพูดอย่างหนักใจ

“โอ้...แต่ผมว่า ไม่ต้องยกเลิกหรอกครับ” ผู้คงสถานะพราหมณ์ออกความเห็น “องค์พระคเณศก่อกำเนิดจากธรรมชาติ จะพร่างพรมด้วยน้ำฝนจากธรรมชาติก็ไม่แปลก แต่ไม่ต้องมีพิธีเอิกเริกใหญ่โต เราแค่อัญเชิญรูปปั้นไปที่สระน้ำก็พอครับ”

ทว่าโชคยังเข้าข้าง เมื่อเมฆทะมึนเริ่มพัดผ่านไปพร้อมสายฝน กลายเป็นฟ้าใสๆ เสมือนพายุลูกใหญ่เมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา เหลือเพียงรอยชื้นและความชุ่มฉ่ำเท่านั้น ที่พอยืนยันได้ว่าฝนตกหนักจริงๆ

ผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากเริ่มมาเข้าแถวร่วมขบวนแห่กันตรงลานที่จัดงาน ภาคภูมิช่วยดูแลทุกคนให้อยู่ในความเรียบร้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหนุ่มเภสัชหน้าหล่อในเสื้อยืดปรัชญายืนอยู่ด้วย ภูมิทักทายอีกฝ่ายสองสามคำ ก่อนจะขอตัวไปเดินดูรอบๆ ขบวน

“พีพี” ไอ้ท่านขุน รุ่นน้องปีสองที่หายหน้าหายตาไปนานเดินเข้ามาทัก หลายคนบอกว่ามันไปติดน้องหลีดปีหนึ่ง เลยไม่ยอมโผล่หัวมาช่วยงานภาค แต่ก็ยังดีที่มันยังมาร่วมขบวนแห่สุดท้ายของงานนี้

“ว่า” รับคำคนเรียกแล้วก็หันไปสนใจเสียงในวอต่อ “..กำลังไปครับ”

“ยุ่งเหรอ” เสียงหงอยๆ นั่นทำเอาคนกำลังหันหลังกลับต้องทำหน้าเหนื่อยใจใส่

“เห็นกูว่างเหรอออ” พอโดนด่าไปทีหนึ่ง ไอ้ขุนก็ยิ้มเผล่สดใส ไอ้ห่านี่!

ส่ายหัวหน่ายๆ ก่อนจะเดินหนีไปท้ายขบวน ตอนนี้ผู้ชายร่างยักษ์หกคนกำลังช่วยกันยกองค์พระพิฆเนศลงจากแท่นเพื่อมาตั้งบนเสลี่ยงแทน ภูมิวิ่งไปช่วยเคลียร์บรรดาไทยมุงโดยรอบเพื่ออำนวยความสะดวกให้คนยกพระ และหนึ่งในคนที่กำลังประคองรูปปั้นก็คือปรนัย ซึ่งใส่เสื้อที่ให้เขายืมวันก่อน กับกางเกงยีนส์สีซีดที่มันชอบใส่ประจำ

“พีพี” คราวนี้คนเรียกคือเพื่อนสนิทที่เขากำลังนินทาในใจ คนถูกเรียกจึงสาวเท้าเข้าไปหา

“ไหวเปล่า” ภูมิเอ่ยถามคนที่ได้รับบทหนัก เนื่องจากรูปปั้นพระคเณศปีนี้องค์ใหญ่มากจึงต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงถึงหกคนช่วยกันแบก และปรนัยก็ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในนั้น

“จิ๊บ จิ๊บบบ” ถึงมือจะยังปาดเหงื่อไม่เลิก แต่ใบหน้าคมก็ยังส่งยิ้มหวานๆ มาให้เป็นเครื่องยืนยันว่า ‘จิ๊บ’ แค่ไหน ภาคภูมิหัวเราะไปกับท่าทางนั้น ก่อนจะส่งทิชชู่ในมือไปให้แทน

“ทิชชู่มือสองปะเนี่ย” แกล้งแซวไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ใช้ของต้องสงสัยในการเช็ดเหงื่อตัวเองอยู่ดี

เสียงอาจารย์กฤตดังมาตามวอให้ทุกฝ่ายสแตนด์บาย เพราะขบวนจะเคลื่อนในอีก 5 นาทีนี้ ภาคภูมิจึงบอกลาเพื่อนเพื่อไปตรวจตราความเรียบร้อยอื่นๆ ต่อ

“มึง” มือหนาคว้าข้อมือขาวเอาไว้ “ฝากด้วย”

โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์สีเข้มของเด็กยกพระยื่นมาตรงหน้า ภาคภูมิพยักหน้าก่อนจะคว้าทั้งหมดมาใส่เป้ด้านหลัง

“สำคัญนะ” เสียงทุ้มเอ่ย

“มือถือกับเป๋าตังค์เนี่ยเหรอ” ร่างโปร่งหันหลังโชว์เป้ซึ่งมีของสองสิ่งอยู่ด้านใน

“เปล่า” ปฏิเสธเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มให้คนทำหน้าเหรอหรา “กูหมายถึงมึง”

   คนโดนหยอดซึ่งๆ หน้าสบถคำหยาบสองสามคำแล้วรีบเดินหนี ส่วนไอ้ตัวแสบก็ยืนหัวเราะสะใจที่แกล้งเพื่อนได้เป็นครั้งแรกของวัน


   ขบวนแห่ซึ่งกินพื้นที่ทั่วลานอักษรค่อยๆ เคลื่อนที่ไปตามทางเดินสู่ถนนใหญ่ พี่ปีสี่และอาจารย์กฤตเดินนำหน้าขบวน ตามด้วยผู้ร่วมงานซึ่งมีจำนวนนับร้อยคน ก่อนจะปิดท้ายด้วยท่านพราหมณ์ธาร และเสลี่ยงรูปปั้นองค์พระคเณศที่หามโดยผู้ชายหกคน

เสียงโห่ร้องจากคนเข้าร่วมและคนที่ยืนรอชมโดยรอบดังกึกก้อง อาจารย์ธารเป็นต้นเสียงตะโกนภาษาฮินดี ก่อนทุกคนจะตอบรับว่า “โมรยา” อันหมายถึงการอวยพรให้พระพิฆเนศจงเจริญ ระหว่างที่ขบวนแห่เดินไปเรื่อยๆ ก็มีการสาดโปรยผงสีแดงซึ่งเรียกว่าผงสินทูรเพื่อความเป็นสิริมงคลไปด้วย สำหรับใครที่เคยเข้าร่วมในปีก่อนๆ ก็จะรู้ว่างานนี้ต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยผงสีแดงนี้แบบเต็มๆ บางคนจึงใส่เสื้อคลุมกันฝนแบบเตรียมพร้อม ส่วนใครที่ไม่ได้เตรียมมาก็เลอะเทอะไปตามๆ กัน

   “พี่ภูมิๆ” รุ่นน้องผู้ชายปีสองตะโกนเรียกภาคภูมิซึ่งอยู่ในเสื้อคลุมกันฝนแบบใส

   คนถูกเรียกโบกมือบอกตำแหน่งก่อนจะตะโกนกลับไป “ว่าไงปลื้ม”

   ระหว่างกำลังชุลมุนกับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเสริมในขบวน ภาคภูมิก็ถูกผู้ชายร่างควายสามสี่คนล็อกเอาไว้ ก่อนไอ้ปลื้มที่ตะโกนเรียกเขาเมื่อกี๊จะพุ่งมากระชากเสื้อกันฝนของเขาออก

   “เชี่ยปลื้มมม โว้ยยย ปล่อยกูๆๆๆ” ภาคภูมิทั้งดิ้นทั้งสะบัดตัวออก ทว่ารอบข้างเริ่มเบียดเข้ามาแน่นจนคนถูกรุมขัดขืนไม่ได้

   “ฮ่าๆๆ มันคือช่วงล้างแค้นเว้ยพี่!!” พอเสื้อคลุมใสๆ นั่นขาดออกจากกัน เด็กปีสองก็สาดผงสินทูรใส่รุ่นพี่ที่เป็นตัวประกันทันที

“เชี่ยยย!!” คนโดนแกล้งหลับตาปี๋ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเลอะเทอะไปด้วยสีแดงเถือก ภูมิคว้าถุงผงสีในมือไอ้น้องทรยศแล้วสาดใส่พวกมันบ้าง แต่ไอ้แก๊งแสบดันหลบทัน

“ฮ่าๆๆๆ หายกันเว้ยพี่ ปีที่แล้วเล่นพวกผมซะเยอะ” รุ่นน้องหัวเราะ ปีที่แล้วพวกเขายังไม่รู้อะไรมาก เลยเจอพวกพี่ภูมิพี่ปอเทผงสีใส่จนล้างไม่ออกไปหลายวัน

แก้แค้นเสร็จไอ้พวกน้องเลวก็เดินเบียดฝูงชนหนีไป ทิ้งให้เขายืนโง่ๆ กับผงแดงๆ นี่คนเดียว คนโดนเอาคืนขยี้หัวให้ฝุ่นสีกระจายออกไปบ้าง แต่เหมือนยิ่งขยี้มันยิ่งติดแน่นกว่าเดิม

“ล้างหน้าหน่อยมั้ย” ขวดน้ำดื่มถูกยื่นมาให้ พร้อมรอยยิ้มของหนุ่มเซ็กซี่บอยที่ภูมิเห็นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้

“เอ้อ...ขอบคุณนะ” มือเรียวรับขวดน้ำนั้นมา ก่อนจะราดลงบนใบหน้าตัวเอง

น้ำเย็นๆ พอช่วยชะล้างคราบสีแดงบนใบหน้าออกไปได้บ้าง ภูมิอยากจะหยิบทิชชู่ในกระเป๋ามาใช้ แต่ก็กลัวว่าของข้างในจะเลอะไปด้วย

“โทษที ไม่มีทิชชู่อะ” เพื่อนใหม่พูดออกมาเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหาอะไร

“เอ๊ย!! ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวก็แห้ง”

“เช็ดเสื้อเราได้นะ” เสียงทุ้มบอกอย่างอารมณ์ดี แถมยังชี้ๆ ที่เสื้อสะอาดใต้ชุดกันฝนของตัวเองอีก

“ฮ่าๆ มีน้ำใจเกินไป๊”

“เออนี่” คนหล่อแห่งเภสัชเอ่ยขึ้นมา “เราชื่อวินนะ”

“เราภูมิ”

“จริงๆ รู้แล้วแหละ มีแต่คนเรียกภูมิทั้งวัน ฮ่าๆ”

“ไม่ขนาดนั้นแมะ” คนฮอตยิ้มบางๆ สองเท้าก้าวตามขบวนไปด้วย “วินนี่วินไหน วิน-ชนะ หรือ วินด์-ลม”

“อ่า...ไม่ใช่ทั้งสองคำ”

“อ้าว”

“วิน-ทวิน” เจ้าของชื่ออธิบาย

“โห เท่มาก” คนฟังพึมพำ “แล้วไมชื่อนี้อะ”

“ก็มีฝาแฝดไง น้องเราชื่อ ไวซ์ – ทไวซ์”

“โคตรลึกซึ้ง...”

พูดไม่ทันจบประโยค เขาก็ต้องกลับมาสนใจเสียงในวอเสียก่อน อาจารย์กฤตแจ้งว่าหัวขบวนถึงบริเวณริมน้ำแล้ว ภูมิที่อยู่กลางขบวนจึงผละจากเพื่อนใหม่ เพื่อไปช่วยเคลียร์ทางให้คนแบกเสลี่ยงองค์พระได้เดินมายังด้านหน้าได้สะดวก แม้จะวุ่นวายกับงาน แต่เขาก็ยังอดหันไปมองคนที่กำลังยกพระพิฆเนศไม่ได้ ปอดูเหนื่อยมาก แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อนั้นก็ยังสดใสร่าเริงเหมือนเดิม แว่บหนึ่งที่ดวงตาคมหันมาสบตากับเขาแล้วรอยยิ้มคุ้นเคยก็ส่งตามมา ชั่วเวลานาทีสั้นๆ ที่ภูมิรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน...

ทำไมคนบางคนถึงมีอิทธิพลได้ขนาดนี้

อาจารย์ธารเดินนำเสลี่ยงพระมาถึงริมสระน้ำ ตอนนี้ผู้คนที่ร่วมขบวนกระจายตัวไปยืนดูกันรอบๆ ภูมิเห็นพวกไอ้แก้วกวักมือเรียกอยู่ตรงหัวสะพานไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดทำพิธี ร่างโปร่งจึงรีบวิ่งไปสมทบกันเพื่อนก่อนทำเลดีๆ จะถูกจับจองไป

“เชี่ยปอเป็นไงมั่งอะ” ชิงชิงถามเพื่อนที่รับหน้าที่เคลียร์ท้ายขบวน

“เหงื่อท่วม” ภูมิตอบตามที่เห็น

“ถึงว่า มีแต่สาวๆ คอยซับเหงื่อให้”

   สาบานว่าไม่ได้คิดอะไรจากคำพูดนั้นของเพื่อน แต่ที่หันขวับไปมองยังคนแบกเสลี่ยงนี่เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่มนุษย์ทั่วไปก็เป็นกัน ทว่าเสียงหัวเราะของไอ้เพื่อนชั่วที่ดังลั่นตามมา ทำให้เขารู้ว่าครั้งนี้เขาพลาดไปเสียแล้ว

   “ฮ่าๆๆ โอ๊ยยย หวงจริงโว้ย!”

   “สัสพวกนี้นี่!!” หันกลับมาด่าเพื่อนตัวเองทันควัน ก่อนหางตาจะได้เห็นว่ามีใครบางคนยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ

   วินโบกมือทักคนที่กำลังทำหน้าเหี้ยมใส่เพื่อน เพิ่งเคยเห็นภูมิทำหน้าอื่นๆ นอกจากหน้านิ่งๆ แล้วก็ตลกดีเหมือนกัน

เพราะรำคาญไอ้พวกขี้แซว ภูมิเลยย้ายที่ไปยืนข้างเพื่อนใหม่ ซึ่งพอดีกับที่อาจารย์ธารเริ่มทำพิธีอารตีรอบสุดท้าย พวกเขาเลยไม่ได้คุยอะไรกันอีก


(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 16:15:11 โดย lykar »

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
สระน้ำที่ขบวนแห่เดินมาถึงนี้ เป็นบ่อน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัย โดยรอบรายล้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ส่วนตรงกลางมีสะพานพาดผ่านให้สัญจรเดินข้ามฝั่ง ถือเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของนักศึกษาในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ ซึ่งสามารถมานั่งเล่นนอนเล่นกันได้ แต่ตอนนี้สระน้ำกำลังทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง คือเป็นที่รับองค์พระคเณศลงสู่ก้นสระ ตามความเชื่อของชาวอินเดีย ที่จะทำพิธีลอยพระคเณศลงสู่แม่น้ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการส่งพระองค์กลับไปยังเทวโลก หรืออีกนัยคือการส่งคืนสู่สภาวะทางธรรมชาติ

ภูมิแทบหัวใจหยุดเต้นเมื่ออาจารย์ธารส่งสัญญาณให้คนแบกองค์พระก้าวลงไปยังสระน้ำได้ ภาพที่เห็นคือปรนัยและนักศึกษาอีกห้าคนค่อยๆ ประคองรูปปั้นนั้น ก่อนจะก้าวเท้าไต่ลงไปตามตลิ่ง ผู้คนรอบข้างที่มุงดูอยู่ต่างส่งเสียงให้กำลังใจกันเนืองแน่น จนในที่สุดคนที่แบกองค์พระด้านหน้าก็ก้าวเท้าลงสระน้ำไปก่อนคนอื่นๆ จะก้าวตาม

เสียงปรบมือดังกึกก้อง แต่ภาคภูมิไม่มีกระจิตกระใจจะร่วมเชียร์ด้วย เพราะตอนนี้เขาห่วงคนที่อยู่ในน้ำจนแทบบ้า หลังฝนตกแบบนี้ น้ำในสระก็สูงขึ้นจนแทบมิดสะพาน และในตอนที่ปอก้าวลงไป ร่างสูงๆ นั่นก็จมลงไปเกือบถึงคอ

“กรี๊ดดดดด...”

เสียงหวีดร้องของคนดูดังขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อผู้ที่อุ้มพระคเณศคนหนึ่งเสียหลักจนเกือบล้ม ดีว่าเกาะเสาไม้ใกล้ๆ ไว้ได้ทัน แต่ก็ทำให้คนอื่นๆ พลอยเสียหลักด้วย ภูมิเห็นปอคว้าเสาอีกอันก่อนจะรีบปล่อยด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก พอทุกคนทรงตัวได้ ชายหนุ่มทั้งหมดก็ค่อยๆ ว่ายน้ำออกไปอีกประมาณ 100 เมตร เพราะต้องลอยรูปปั้นในที่น้ำลึกมากพอที่จะให้องค์พระขนาดใหญ่จมมิด

“ปล่อยได้...” สิ้นเสียงอาจารย์ธารกล่าวให้สัญญาณ คนที่ประคองรูปปั้นอยู่ก็ค่อยๆ ปล่อยองค์พระคเณศให้จมลงใต้น้ำในที่สุด
เมื่อเสียงโห่ร้องด้วยความปีติยินดีดังขึ้น คนที่ยืนลุ้นจนแทบหยุดหายใจก็รีบพุ่งตัวหมายจะไปยังริมสระน้ำ แต่แรงกระตุกที่ข้อมือทำให้ภูมิต้องหันไปมองอย่างสงสัย และพบว่าสายตาคมของเพื่อนใหม่จ้องมองเขาอยู่ ก่อนเจ้าของมือหนาจะเอ่ยขึ้น

“อยู่ตรงนี้แหละ ตรงนั้นคนเยอะนะ”

ภาคภูมิชะงักค้าง ตากลมหันไปดูตรงจุดทำพิธีอีกครั้ง ตอนนี้ผู้คนมากมายพยายามเบียดเสียดเข้าไปดูองค์พระคเณศและพูดคุยกับอาจารย์ธาร แต่เขาไม่ได้โฟกัสอะไรเลย นอกจากร่างสูงๆ ของเพื่อนสนิทที่กำลังว่ายน้ำเข้าฝั่ง

“โทษที” ภาคภูมิบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย “มีคนฝากของสำคัญไว้กับเรา”

พูดจบร่างโปร่งก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามองเพื่อนใหม่อีก วินยิ้มกับตัวเอง ...ของสำคัญหรือคนสำคัญกันนะ


ภูมิไม่รู้ว่าตัวเองมุดฝ่าวงล้อมไปจนถึงริมสระได้ยังไง แต่มือเรียวก็ยื่นมาให้คนกำลังปีนขึ้นฝั่งจับได้ทันพอดี ปรนัยมองคนที่ยังหายใจหอบแล้วก็ขำ ไม่รู้ใครจะต้องช่วยดึงใคร หากสุดท้ายมือแกร่งก็คว้าฝ่ามือตรงหน้าไว้ก่อนจะปีนขึ้นจากบ่อน้ำมา

 “อะ” ภูมิหยิบผ้าเช็ดตัวในกระเป๋าให้เพื่อน คนเปียกโชกทั้งตัวเอ่ยขอบคุณแล้วรีบเช็ดร่างกายที่เริ่มหนาวของตัวเอง

“เอาเสื้อคลุมมั้ย” เห็นคนเปียกตัวสั่นๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีเสื้อคลุมอยู่ในเป้ ทว่าปรนัยปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้เสื้อเหม็นน้ำในสระไปด้วย

   “กูไหวๆ แต่เดี๋ยวมึงดึงเสี้ยนออกให้หน่อยนะ” ปรนัยยื่นนิ้วที่มีรอยแดงให้เพื่อนดู

“ที่จับเสาตอนจะล้มเหรอ”

“อือ” คนนิ้วเจ็บรับปากเบาๆ ก่อนนึกเอะใจ “งี้ก็เห็นดิว่ากูเซ โห่! ไม่คูลเลย”

มือเรียวผลักหัวคนไม่คูลแล้วหัวเราะ “สภาพแบบนี้ยังจะห่วงความคูลอีกเนอะมึง”

นั่งพักพอหายเหนื่อย ภูมิก็ชวนปอไปรวมกลุ่มกับเด็กปรัชญาบนสะพานข้ามสระน้ำ เพราะอาจารย์กฤตบอกกับทุกคนให้มาเจอกันหลังพิธีเสร็จ เมื่อไปถึงก็เห็นว่าพี่ๆ น้องๆ หลายคนกำลังถ่ายรูปเล่นกันอยู่

“เอ้า! มาๆ ถ่ายรูปรวมปีสามกันมึง” คนเรียกคือสิปป์ศิลป์ ซึ่งละจากการยิ้มให้กล้องมาเรียกเพื่อนที่เพิ่งมาถึง

ปอกับภูมิวิ่งไปเข้าเฟรม ก่อนตากล้องซึ่งก็คือไอ้เมตเพื่อนไอ้สิปป์จะรัวถ่ายไม่ยั้ง

“เหมือนถ่ายศพเลย ตัวแดงเถือกกันทั้งนั้น” ตากล้องพูดขณะกดดูภาพ ปรนัยถึงได้สังเกตกว่าคนอื่นๆ เลอะผงสีแดงกันจริงๆ ยิ่งไอ้ภูมินี่ยังกะตกถังสีมา

“พีพี เดี๋ยวเสร็จงานแล้วกลับไปอาบน้ำเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

คนโดนสั่งทำหน้ายุ่งก่อนจะปฏิเสธ “ไม่เอาอะ จะช่วยเค้าเก็บของกันก่อน”

“เดี๋ยวค่อยมา ตัวมึงดูช้ำเลือดช้ำหนองขนาดนี้ ไปหยิบอะไรก็เปื้อนหมดดิ”

ไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ อาจารย์กฤตก็พาอาจารย์ธารมาสมทบ เมื่อครบองค์ประชุมแล้วอาจารย์เลยให้ทุกคนมาถ่ายรูปรวมกัน เพราะงานนี้แทบจะเป็นงานเดียวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งภาค แม้สภาพแต่ละคนจะไม่เหมาะกับการถ่ายรูปก็ตาม

“ขอบคุณทุกคนมากเลยนะครับ” พอถ่ายรูปเสร็จอาจารย์สุดหล่อก็หันไปกล่าวขอบคุณเด็กๆ “ยังไงผมขอรบกวนทุกคนอีกแค่เรื่องเดียว ตอนห้าโมงเย็นเราไปช่วยกันเก็บของหน่อยนะครับ”

“โอ้...เข้าใจว่าทุกคนเหนื่อยกันมามาก เดี๋ยวเก็บของเสร็จเรามากินข้าวด้วยกันนะ ผมสั่งส้มตำเจ๊ติ๋มไว้ เย็นนี้ใครไม่มานี่พลาดนะครับ”

“พลาดส้มตำเหรอคะ” รุ่นน้องปีสองเอ่ยถาม

“พลาดเก็บขยะ!” อาจารย์ธารตอบอย่างรวดเร็ว เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี

“ห้าโมงเย็นเจอกันที่ภาคนะครับ” สองอาจารย์ย้ำกับนักศึกษาอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนไปพักผ่อน


“ภูมิ! ไปยัง!” ปรนัยคว้าเป้ของภาคภูมิมาถือไว้ เพราะเจ้าของตัวจริงกำลังวุ่นวายกับการถ่ายรูปไม่เลิก จนเขาต้องเดินไปคว้าตัวมันออกมาเอง เออ… มือนึงลากเป้ อีกมือลากเจ้าของเป้ ภาระกูจริงโว้ยยย!!

“เราไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” คนที่ถูกล็อกคอโบกมือลาเพื่อนใหม่ทั้งที่ยังงงๆ อยู่ ถ่ายรูปกับวินอยู่ดีๆ ไอ้ห่านี่ก็ใช้แรงควายลากเขาออกมาเฉยเลย

“เป็นไรมึง” ตอนนี้ร่างโปร่งของภาคภูมิเป็นอิสระแล้ว แต่คนข้างๆ ก็ยังดูอารมณ์บูดไม่หาย

“กูหนาว” อีกฝ่ายตอบเสียงนิ่งขณะไขกุญแจปลดล็อกจักรยาน

“อ่อ...” ภูมิเงียบไปสักพัก “เดี๋ยวกูกลับเองก็ได้ มึงจะได้รีบไปอาบน้ำ”

“ไปอาบห้องกูแล้วกัน เดี๋ยวให้ยืมชุด”

“ฮะ??”

“จะได้รีบมาช่วยเก็บของ”

เสียงเข้มๆ นั้นทำให้ภูมิไม่กล้าแย้งอะไรอีก ถึงในใจจะมีคำถามมากมาย เป็นต้นว่า “การต้องไปรอคิวอาบน้ำที่ห้องมึงนี่มันช่วยประหยัดเวลายังไง” แต่เขาก็ยังรักตัวกลัวตายด้วยการอยู่เงียบๆ ไปก่อน เพราะมนุษย์ร่าเริงอย่างไอ้ปอ พอเข้าโหมด ’รมณ์เสียแล้ว ช่างที่ไหนก็ซ่อมให้ไม่ได้


ถึงจะเคยมาห้องไอ้ปอบ่อยๆ แต่การมาเพื่ออาบน้ำนั้นเป็นครั้งแรก ตามประสาหอพักนักศึกษาชายทั่วไป ห้องของปรนัยจึงไม่ได้มีข้าวของอะไรมากนัก นอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่หอพักมีให้ กับของใช้ส่วนตัวอีกนิดหน่อย ยิ่งห้องน้ำยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากภาคภูมิจะได้ปวดประสาทกับสบู่ก้อนที่ถูเท่าไรก็ไม่มีฟองแล้ว เขายังต้องมาผมแห้งสากเพราะเจ้าของห้องไม่มีครีมนวดผมอีก

ปอมองตามร่างโปร่งที่เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ จริงๆ ก็อยากจะอธิบายแบบอีโรติกๆ เช่น ผิวขาวที่พราวไปด้วยหยดน้ำกับกลิ่นหอมเตะจมูกอะไรทำนองนั้น แต่ขอโทษที ไอ้ห่านี่ใส่เสื้อบอลกับกางเกงขาสั้นเข้าชุดกันออกมาเรียบร้อย...

“ว่า??” คนถูกมองหันไปถามกับสายตาที่จ้องมาไม่พัก เจ้าของห้องสั่นหัวปฏิเสธ ก่อนจะหันไปสนใจทีวีเหมือนเดิม

แขกของห้องเดินมาทรุดตัวลงที่ขอบเตียง เพราะเจ้าของห้องอยากได้พื้นที่หน้าทีวีกว้างๆ เอาไว้นั่งเล่นเกม เตียงนอนที่ควรจะวางตามปกติ เลยถูกปรนัยหมุนให้ด้านยาวขนานกับโทรทัศน์ ส่วนหัวเตียงและปลายเตียงก็อยู่ในแนวขวางไป ถ้าคิดจะดูหนังก็ต้องนอนตะแคงข้างดู ดังนั้นใครที่เคยมาห้องนี้เป็นต้องบ่นปวดคอทุกราย ยกเว้นเจ้าของห้องที่ดูจะชินกับมุมมองภาพแบบนี้ไปแล้ว

โทรทัศน์ขนาด 26 นิ้วฉายภาพรายการตลกที่ขำบ้างบ้างไม่ขำบ้าง ภาคภูมิดูไปเช็ดผมไปด้วย รู้สึกเจ็บหนังศีรษะเบาๆ เมื่อเผลอเสยผมแบบที่เคยชิน จึงนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะถามเจ้าของห้องตอนออกมาจากห้องน้ำ

“นี่มึงไม่ใช้ครีมนวดผมเหรอ”

“หือ” คนที่นอนตะแคงดูทีวีอยู่แปลกใจในคำถามนั้น แต่ก็ตอบออกไป “เออ ล้างยากอะ เหมือนสระผมไม่เสร็จ”

“แล้วผมไม่แข็งเหรอวะ เวลาหวีมันไม่พันกันเหรอ” ภูมิถามต่อ มือเรียวยังคงขยี้ผ้าผืนเล็กกับผมตัวเองสลับกับก้มหัวเป่าพัดลมไปด้วย “เฮ่ย!!!”

คนนั่งเป่าผมร้องเสียงหลง เพราะอยู่ๆ หัวทุยๆ ของเจ้าของห้องก็เลื้อยมาอยู่บนตักแบบไม่ทันตั้งตัว แถมแขนยาวๆ ยังเอื้อมมาดึงมือเขาไปแปะบนหัวตัวเองเสียอีก

“แข็งมั้ยล่ะ” ตารีเล็กจ้องมองใบหน้าเจ้าของตักด้วยสายตาพราวระยับ

“อะไร!” คำถามสองแง่สองง่ามทำเอาภาคภูมิรู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูก

“ผมงายยย คิดว่าอะไรล่ะ ฮ่าๆๆ”

“ลุกไปเลย แม่ง” บ่นอุบอิบก่อนฝ่ามือขาวจะผลักคนขี้แกล้งเต็มแรงจนหัวของปรนัยห้อยลงจากเตียง ทว่าอีกฝ่ายไม่ละความพยายาม ร่างสูงตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วพาหัวของตัวเองมาหนุนตักอีกคนเช่นเดิม

“โอ๊ยยยย กูหนักกกก” ภาคภูมิทั้งโวยวายทั้งสั่นขา แต่ไอ้กุมารทองที่ยึดตักเขาแทนหมอนกลับไม่ขยับเขยื้อนสักนิด

“น้องพีพีครับ มาอาบน้ำห้องคนอื่นแล้ว ก็ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับเจ้าของห้องเค้าบ้างสิครับ”

‘น้องพีพี’ มองคนช่างลำเลิกบุญคุณแล้วก็ได้แต่กรอกตาไปมา “เดี๋ยวกูจ่ายค่าน้ำให้ก็ได้”

“ม่ายอาววว” คนบนตักโวยวายบ้าง ภูมิเอานิ้วจิ้มหน้าผากเด็กนรกไปทีหนึ่ง นึกอยากถามว่าคุณปรนัยคนขรึมที่ว้ากเขาเมื่อตอนก่อนกลับมามันหายไปไหนแล้ว แต่เห็นอีกฝ่ายอารมณ์ดีเหมือนเดิมแล้วก็ไม่อยากจะทำให้บรรยากาศเสีย

“เออ เสี้ยนที่นิ้วออกไปยัง” ถามอย่างนึกขึ้นได้ และปอก็ชูนิ้วชี้ที่มีจุดสีแดงๆ อยู่ตรงปลายนิ้วให้ดู

“ยัง คันมากอะ”

“ไปเอาที่ตัดเล็บมาดิ เดี๋ยวเอาออกให้” ว่าที่บุรุษพยาบาลสั่งเจ้าของห้อง เรื่องเอาเสี้ยนออกนี่งานถนัด ช่วยพ่อแงะมาตั้งแต่เด็กๆ

ร่างสูงเดินโซเซไปหยิบของตามคำสั่ง ก่อนจะกลับมาทิ้งตัวลงนอนตำแหน่งเดิม ภาคภูมิมองเพื่อนสนิทที่ผีเด็กเข้าสิงแล้วได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมคว้านิ้วที่มีเสี้ยนคาอยู่มาพลิกดูไปมา

“นอนดีๆ ไม่ถนัดอะ”

พอถูกสั่งอย่างนั้น ปอจึงต้องพลิกตัวที่นอนตะแคงดูโทรทัศน์อยู่กลับมานอนหงาย และนั่นเองที่ทำให้เขาได้เห็นใบหน้าเล็กที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะกำลังจดจ่อกับปลายนิ้วของเขา ปรนัยลอบมองดวงตากลมกับปลายจมูกเล็กๆ ที่รับกับเรียวปากบาง น่าเสียดายที่มหา’ลัยนี้ไม่มี Cute Boy เหมือนที่อื่น ไม่งั้นน้องพีพีคงครองตำแหน่งให้สาวๆ ได้กรี๊ดกันไปตั้งแต่ปีหนึ่ง

...แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน

“เสร็จแล้ว เจ็บมั้ย” คนที่ได้ตำแหน่งคิวท์บอยโดยไม่รู้ตัวเอ่ยถามเจ้าของปลายนิ้วในมือ

คำถามที่มาพร้อมรอยยิ้มหวานๆ ทำเอาปรนัยถึงกับนึกคำตอบไม่ออก ตาคมจึงทำได้เพียงจ้องมองริมฝีปากที่ขยับไปมาคล้ายถูกมนตร์สะกด

“เป็นไรมึง เจ็บเหรอ” บุรุษพยาบาลก้มหน้าลงมองคนที่นอนตัวแข็งเป็นหิน แล้วก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ นี่ว่าเชี่ยวชาญการดึงเสี้ยนแล้วนะ ไรวะ ฝีมือตกเหรอ

“...............” เมื่ออีกฝ่ายยังคงไร้คำตอบ ภูมิจึงจับนิ้วของคนเจ็บขึ้นมา แล้วเป่า “เพี้ยง!” เหมือนต้องการบรรเทาแผลเล็กๆ นั้น

“อ้าว...”

อยู่ๆ คนบนตักก็ลุกพรวดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง

“ไปเหอะ จะห้าโมงละ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเบาๆ ก่อนขายาวจะก้าวพรวดๆ ไปหยิบข้าวของแล้วเดินไปที่ประตู ภูมิเลยต้องคว้ากระเป๋าเป้แล้วเดินตามออกไปโดยเร็ว

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย รอกูด้วย!”

ปรนัยไม่แม้แต่จะหันไปมองคนที่วิ่งตามมา คำถามนั้นของภาคภูมิเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน รู้แค่ว่ามันต้องเป็นแหละ เป็นอะไรสักอย่าง...

...โดยเฉพาะหัวใจกูเนี่ย!




TBC.


ฮัลโหลลลล
พบคนสับสน 1 อัตรา ใครก็ได้ช่วยชี้ทางสว่างให้คุณปรนัยเค้าหน่อย
เค้าอาจต้องการหมอช่วยตรวจโรคหัวใจค่ะ

 :กอด1: :กอด1:

ทอล์กไม่ไหวแล้ว ง่วงมาก 55555
ไว้เมาท์กันต่อในเพจน้า
ใครอยากอัพเดตข่าวสารของเรา คลิกเลยยย
https://www.facebook.com/lykarfanpage

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
บ้ายบายย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2017 13:58:28 โดย lykar »

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
ว้ายๆๆๆ ปรนัย หัวใจเป็นไรจ้ะ อิอิ
รีบหาทางสว่างหน่อยนะ พีพีคิ้วท์บอยเสน่ห์แรงมาก ขอบอก 5555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
วิน มาติดหนึบพี ใช่มั้ย
ปอ ทำแบบนี้ ใจพี เต้นหน่วงเลย
แต่ที่ปอ เป็นแบบนี้ก็เพราะพี นี่แหละ
ปอ คงอยากฟัดๆ พีเต็มแก่
กลัวว่าถ้าไม่รีบออกไป ได้จูบปากพี แน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รีบหาความกระจ่างเลยนะปอ พีพีเสน่ห์แรงนะบอกก่อน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
รีบรู้หัวใจตัวเองเร็วๆนะ ไม่งั้นเราจะเชียร์วิน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ CanonDNattari

  • ☆.•:*´เชื่อในสิ่งที่เห็นและต้องการให้เป็น ¨`*:•☆
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
มันต้องมีตัวเร่งปฏิกริยาสินะ ถึงจะรู้ใจตัวเอง

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ในที่สุดปอก็ใกล้รู้ตัวแล้ว พีพีน่ารักมาก

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ไม่รู้ตัวหรือไม่รู้ใจ ระวังเซ็กซี่บอยคาบไปรับทานนะคะ ถึงน้องพีพีจะยังไม่ให้ความร่วมมือก็เถอะ

พบคำผิด1คำจ้ะ แต่หลายที่เลย สระพาน ที่ถูกคือ สะพาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 22:04:07 โดย malula »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
ไม่รู้ตัวหรือไม่รู้ใจ ระหวังเซ็กซี่บอยคาบไปรับทานนะคะ ถึงน้องพีพีจะยังไม่ให้ความร่วมมือก็เถอะ

พบคำผิด1คำจ้ะ แต่หลายที่เลย สระพาน ที่ถูกคือ สะพาน

ตายแล้วววววว ทำไมเขียนผิดแบบนี้ ตีมือตัวเองรัวๆๆ ค่า
ขอบคุณมากเลยนะคะ เจอคำไหนอีกบอกเราได้เลยน้า

ขอบคุณมากๆ ค่า

ออฟไลน์ skyberry

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เสียดายตอนนั้นไม่กล้าไปดูพิธีที่ภาคจัด  ดูแปลกตาจริงๆค่ะ ปล.critical thinking  ทำให้เรากลับบ้านช้า T T

ออฟไลน์ sunshine538

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนนี้..."สาแก่ใจอีช้อยนัก"  :laugh:

ปอเอ๋ย รู้แล้วรึยังว่าทำไมน้องพีพีถึงเนื้อหอม แกล้งเขาเล่นดีนัก โดนพลังดาเมจของ cute boy เข้าไป โรคหัวใจถามหาเลยนะ 555

พิธีในตอนนี้มีลุ้นมากค่ะ ฝนตก พื้นเฉอะแฉะ น้ำขึ้นสูง ไม่ศรัทธาจริงไม่ทำต่อแน่ค่ะ

ตอนหน้าขอท่านขุนกะทวินแท็กทีมมาปั่นพี่ปอเขาอีกนะคะ อีช้อยเคี้ยวหมากรอเลย

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 10:27:22 โดย sunshine538 »

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
พีพี น่ารักอะดิ ถ้าช้าระวังนะ มีคนมองอยู่ด้วยนะจ้ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด