Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)  (อ่าน 62453 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
«ตอบ #30 เมื่อ14-01-2017 11:36:46 »

 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
«ตอบ #31 เมื่อ14-01-2017 11:49:11 »


เมตตาเรียนเอกไทย โททัศนศิลป์ค่ะ (ทัศนศิลป์เรียนเรื่องการวาดภาพ ถ่ายภาพ)
ส่วนสิปป์เรียนเอกไทย โทปรัชญา

อย่างที่น้องภูมิ Sweet Dilemma ตอนล่าสุดนี้ถามเมตกับสิปป์ว่า เอกไทยว่างกันเหรอ
แล้วก็ Gayscale มีกล่าวถึงตอนที่เมตกับสิปป์คุยถึงตอนเรียนค่า (ซึ่งอ่านกันไปนานนน มากแล้ว จำไม่ได้ก็ไม่แปลกเลย 555555)

เรื่องความยาว จะพยายามปรับปรุงนะคะ
บางทีเนื้อหามันจบตอนพอดี แต่ยังไงจะให้ยาวขึ้นๆ ค่า

ขอบคุณมากๆ สำหรับคอมเมนต์นะคะ จุ๊บๆ

สั้น! 5555 บ่นทุกตอน
อยากอ่านยาวๆ งี๊ดๆ

ว่าจะถามตั้งแต่ตอนที่แล้ว
เมตนี่เรียนเอกไร โทไรอ่ะค่ะ
สงสัยตั้งแต่ Gayscale แล้ว
ถ้าไม่ได้เรียนเอกเดียวกับสิปป์ ทำไมถึงมาสนิทกันได้
คนนึงเอกไทย โทปรัชญา อีคนนึงเป็นตากล้อง ดูไม่มีส่วนเชื่อมโยง
ให้สนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนเลย บอกทีๆ งี้ดๆ


ออฟไลน์ CanonDNattari

  • ☆.•:*´เชื่อในสิ่งที่เห็นและต้องการให้เป็น ¨`*:•☆
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
«ตอบ #32 เมื่อ16-01-2017 10:40:07 »

น้องพีพี โอ้ยยยยยยยย น่าร้าาาาาาาาาาาาาาาาากกกกกกกกกกก
อิส่วนปอ ขอตบที ฮ่าาา


ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
«ตอบ #33 เมื่อ16-01-2017 13:02:21 »

หึ่ยยย มั่นไส้วะ อึดอัดด้วย ปออารมณ์เหมือนหมาหยอกไก่เลยอะ เหมือนจะสนใจมาก แต่ก็เหมือนไม่ใช่


อารมณ์อยากเฟตตัวออกมามาก

ออฟไลน์ Banarot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
«ตอบ #34 เมื่อ16-01-2017 15:08:34 »

อึดอัดๆ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
«ตอบ #35 เมื่อ16-01-2017 23:20:06 »

ถ้าฟังแค่คำพูดของปอน้องภูมิเจ็บใจวันละสามเวลาแน่ แต่การกระทำของปอมันแคร์ภูมิม๊ากมาก
ใครก็ได้เอาพี่จ๋าไปเก็บหน่อย โผล่มาทีน้องภูมิหึงหน้ามืดเลย

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
«ตอบ #36 เมื่อ20-01-2017 15:56:42 »

#04
‘ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ’



“อย่างที่ประกาศไปในเฟซบุ๊กนะครับว่า วันนี้จะเป็นการแจ้งกิจกรรมของภาคเราตลอดเทอมนี้ สำหรับน้องๆ ปีหนึ่งที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน พี่ก็ขอประกาศแนวทางการเข้ากิจกรรมภาคไว้คร่าวๆ ดังนี้ครับ ขาดกิจกรรมหนึ่งครั้งโดนตักเตือน สองครั้งขึ้นทัณฑ์บน สามครั้งถูกพิจารณาให้ย้ายเอก...”

ความเงียบแผ่กระจายปกคลุมห้องประชุมเล็กๆ ทันทีที่ประธานภาคเอ่ยจบ ตอนนี้น้องผู้หญิงปีหนึ่งเริ่มหน้าเสีย ในขณะที่น้องผู้ชายบางคนถอนหายใจด้วยท่าทีขึงขัง แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา

“เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันนะครับ” พี่ไนท์เอ่ยต่อเสียงนิ่ง “เข้าใจตรงกัน...ว่าน้องถูกหลอกอะครับ!”

แล้วเสียงหัวเราะของพี่ๆ ปีอื่นก็ดังสนั่นด้วยความสะใจที่รวมหัวกันแกล้งน้องได้ ในขณะที่น้องๆ ยังแตกตื่นไม่หาย พี่ไนท์เลยเฉลยความจริงให้ฟัง

   “กฎทั้งหมดนั้นพี่ล้อเล่นครับ! ภาคเราชิลจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าทุกกิจกรรม แต่กิจกรรมไหนที่ได้รับมอบหมายแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ต้องทุ่มสุดตัวจนเสียการเรียน ไม่ต้องมาขลุกอยู่ที่ภาคจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น โตแล้ว ตัดสินใจด้วยตัวเองได้เลย เพราะสิ่งเหล่านี้คือ ‘สิทธิและเสรีภาพ’ ครับ...”

   “ว่อออออออออ” ต้องยอมรับจริงๆ ว่าประธานเอกเป็นเจ้าพ่อ Quote พูดอะไรออกมานี่เรียกเสียงฮือฮาได้ตลอด

พอเสียงแซวต่างๆ เงียบลง รองประธานก็ขึ้นสไลด์ตารางกิจกรรม ก่อนพี่ไนท์จะอธิบายและมอบหมายให้แต่ละชั้นปีเป็นแม่งาน โดยเฉลี่ยๆ กันไป ไม่ให้เทไปที่ชั้นใดชั้นหนึ่งมาก กิจกรรมแรกสุดคือ ‘ไหว้ครู’ ที่น้องปีหนึ่งต้องรับไปดูแล ทั้งหาตัวแทนถือพานและทำพาน ต่อมาคืองาน ‘คเณศจตุรถี’ ที่ปีสามกับปีสี่ต้องเป็นคนดูแลร่วมกัน และงานอื่นๆ อีกสองสามงานจนจบเทอมแรก

   หลังปล่อยให้แต่ละส่วนประชุมกันคร่าวๆ สมาชิกปีสามกับปีสี่จึงเดินไปห้องพักอาจารย์ เพื่อคุยเรื่องงานคเณศที่จะมีในปลายเดือนนี้แล้ว

“ยังไม่ชินกับไอ้ภาคเรียนที่ย้ายเวลาใหม่นี่สักที เปิดมาก็เจองานยักษ์เลย จะเตรียมทันมั้ยเนี่ย” พี่ปีสี่บ่นกันเบาๆ เพราะเป็นรุ่นสุดท้ายที่คาบเกี่ยวการจัดเรียงปีการศึกษาแบบเดิม คือเปิดเรียนเดือนมิถุนายน กับแบบใหม่ที่เปิดเรียนเดือนสิงหาคม

“อ้าว ประชุมกันเสร็จแล้วเหรอ” อาจารย์กฤตกับอาจารย์ธารผู้สอนปรัชญาอินเดียเปิดห้องพักเข้ามา หลังทักทายลูกศิษย์เรียบร้อยก็ให้ทุกคนหาที่นั่งกันตามสบาย

“พีพี” ปรนัยสะกิดเพื่อนที่กำลังมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะไปลงตรงไหน “มานั่งนี่”

ไม่พูดเปล่า แต่แขนยาวๆ ยังคว้าไหล่เพื่อนสนิทให้มานั่งบนเก้าอี้สตูที่มุมห้องด้วย ภาคภูมิลังเลเล็กน้อย เพราะเห็นพี่ผู้หญิงปีสี่ยังไม่ได้นั่ง โดยเฉพาะพี่จ๋าที่มองมาตรงเพื่อนของเขาหลายครั้ง ทว่าพอร่างโปร่งขยับตัวจะลุกขึ้น มือหนักๆ ของคนข้างๆ ก็กดไหล่เขาไว้ให้อยู่กับที่

“ทำไมวะ” ภูมิกระซิบถาม

“มีเรื่องจะคุยด้วย” อีกคนตอบ

นอกจากระแวงสายตาของพี่จ๋าแล้ว เขายังต้องมาระแวงอีกว่าไอ้ห่าปอจะคุยอะไร คือถ้ามึงเปิดมาซะขนาดนี้ สู้คุยให้จบๆ ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ?!

เมื่ออาจารย์ธารเริ่มพูดถึงกิจกรรมคเณศจตุรถีในส่วนที่ปีสี่ต้องรับผิดชอบซึ่งยังไม่เกี่ยวกับปีสาม แขนยาวๆ ของปรนัยจึงพาดไปกับไหล่ของคนข้างๆ ก่อนจะดึงตัวเพื่อนให้มาตอบคำถามในสิ่งที่เขาตงิดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่

“พีพี เมื่อกี๊ไอ้ท่านขุนมาคุยไรกะมึง”

“ฮะ ตอนไหนวะ” คนถูกถามยังนึกไม่ออกว่ารุ่นน้องปีสองมาคุยกับตัวเองตอนไหน ก็ในเมื่อตลอดการประชุมเขาแทบจะไม่ได้คุยกับใคร...

“เอ้า! ก็ไอ้ห่าท่านขุนมายืนซะชิดมึง” อีกฝ่ายบอกอย่างหงุดหงิด เพราะตอนเริ่มประชุมไปได้สักพัก ปรนัยนึกขึ้นได้ว่าลืมส่งการบ้านภาษาอังกฤษ เลยแว่บเอาชีทไปส่งที่ภาคอิ๊งซึ่งอยู่ชั้นสอง พอลงมาอีกทีก็ไม่สามารถเบียดฝูงชนไปยืนที่เดิมข้างไอ้ภูมิได้อีก พอดีกับตรงนั้นมีกลุ่มปีสี่อยู่ เขาเลยยืนคุยกับพวกพี่จ๋าแทน

“กูจำไม่เห็นได้เลยว่ากูคุยกับไอ้ท่านขุน” ภาคภูมิยังใคร่ครวญถึงเรื่องราวที่ผ่านมา อยู่ๆ ไอ้ปอก็พรวดพราดออกไป พอกลับมาอีกทีมันก็ยืนหัวเราะคิกคักอยู่กับพี่จ๋าแล้ว นี่แหละที่ทำให้เขาต้องเพ่งสมาธิไปกับสไลด์แค่หน้าเดียวที่พี่ไนท์อธิบาย จนไม่ได้คุยอะไรกับใครอีก

“อะไรวะ ก็เห็นแม่งยืนเบียดไหล่มึง พูดๆ อะไรตลอดเวลา มึงก็พยักหน้าหงึกๆ” เสียงทุ้มพูดใส่อารมณ์ “นี่ถ้ากูอยู่ใกล้ๆ นะ...”
ตากลมตวัดมองใบหน้าเพื่อนที่บ่นงึมงำในคอ “มึงจะทำไม”

“กูจะเบิ้ดกะโหลกไอ้ห่าขุนแม่งสักสองที ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

“อะไรของมึง” ภาคภูมิขมวดคิ้ว “เพิ่งเรียนเรื่องความเท่าเทียมมาไม่ใช่เหรอ”

คราวนี้ใบหน้าคมมุ่ยลงเหมือนเด็กเอาแต่ใจ “กูนี่อยากรื้อฟื้นระบบโซตัสเลย”

เสียงมุ้งมิ้งที่ไม่เข้ากับหน้าคนพูดทำเอาภาคภูมิต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมา และด้วยความเผลอตัวไปนิด หัวคนขำเลยได้โขกกับผนังห้องเสียงดังลั่น จนอาจารย์และพี่ๆ หันมามองกันเป็นตาเดียว

ในขณะที่ภูมิไม่รู้ว่าควรจะเจ็บหรืออายเป็นอันดับแรก สัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามือของคนข้างๆ ก็เอื้อมมาลูบศีรษะของเขา ตามด้วยเสียงทุ้มที่บอกกับคนอื่นๆ “ไม่มีอะไรครับๆ ภูมิมันอุบัติเหตุนิดหน่อย”

เขากำลังข่มใจไม่ให้สั่นไปกับสัมผัสที่ลูบเบาๆ บนหัวตัวเอง ในตอนที่ปรนัยถามย้ำอีกรอบในเรื่องเดิม

“สรุปว่ามึงไม่ได้คุยกับไอ้ขุนใช่มั้ย”

“เออดิ กูยังไม่รู้เลยว่ามันยืนข้างกู” จำเลยยืนยันหนักแน่น

“ดีละ” พนักงานสอบสวนพึมพำ“แล้วเจ็บมั้ยเนี่ย โขกซะแรงเลย”

คำถามนั้นทำให้ภูมิรู้ตัวว่ามือหนายังแตะเบาๆ ตรงส่วนที่เจ็บ ตากลมลอบมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่อยู่ใกล้แค่คืบ ปรนัยกำลังชะโงกมองหัวของเขาราวกับหาบาดแผลด้วยสีหน้าจริงจัง

“หัวไม่แตกหรอกมั้ง ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น” มือขาวแสร้งปัดมือของเพื่อนที่จับศีรษะตนเองออก แม้ใจจะอยากให้สัมผัสอุ่นอยู่นานกว่านี้ แต่โลกแห่งความเป็นจริงก็เรียกร้องให้เขาต้องกลับไป ไม่ใช่ด้วยเสียง...แต่เป็นสายตา

“หือ มีไรกัน” เป็นปรนัยที่ถามออกไป เมื่อรู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังมองมาทางนี้ “ไอ้ภูมิไม่เป็นไร บอกแล้วนี่”

“อ่อออ... เออๆ” ไอ้แก้วพยักหน้ารับ แต่ตายังมองอยู่ที่เดิม

“มึง!” ชิงชิงสะกิดเพื่อนที่กำลังตาค้างก่อนพูดเสียงดังให้เพื่อนในชั้นปีได้ยิน “จารย์ธารน่าจะคุยกับปีสี่ใกล้จบละ มารวมกันตรงนี้แล้วกัน”

เมื่อภาคภูมิลุกขึ้น ปรนัยจึงเกาะไหล่เพื่อนเดินไปด้วย ระยะทางแค่ไม่กี่ก้าวนั้นกลับทำให้คนที่เดินนำหน้าหนักอึ้งไปทั้งตัวและหัวใจ

“ห่างกันมั่งก็ได้หรอกโว้ย!” เป็นแก้วที่ทนไม่ไหว เมื่อเห็นสองสมาชิก F4 เดินนัวเนียกันเข้ามาหา

“ไม่!” ร่างสูงที่กำลังทิ้งตัวนั่งตะโกนตอบเสียงดัง “แม่งชอบหายตัว”

“ไรของมึง” คราวนี้เป็นภาคภูมิที่ต้องถามบ้าง ตั้งแต่ออกจากห้องประชุมมา ไอ้เชี่ยปอก็มีอาการแปลกๆ แล้วทำตัวพิลึกคนเดียวไม่พอ ยังมาพาให้เขาใจสั่นไปด้วย

ดวงตารีหันไปสบตากับคนถามพลางหรูลมหายใจออก “ตอนกินพิซซ่าก็หนีกู ตอนเดินตลาดก็หนีกู ตอนอยู่ในห้องเมื่อกี๊ก็ยังหนีกูอีก”

“อ้าว” คนโดนต่อว่าทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะงึมงำกับตัวเอง “ก็มึงอยู่กับคนอื่นนี่หว่า”

ปรนัยไม่ได้ยินท้ายประโยคนั้น เพราะมัวแต่ขยับที่นั่งให้อาจารย์ธารกับอาจารย์กฤตมานั่งด้วย ทำให้ภาคภูมิถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายความหมายในประโยคเมื่อครู่อีก

“โอ้ ปีสามมากันครบเลย” อาจารย์ธารกวาดสายตามองสี่หนุ่มนักศึกษาเอก พร้อมเด็กที่เก็บโทปรัชญาอีกสามสี่คน เด็กๆ หัวเราะแหะๆ เพราะรู้ดีว่ามีกันอยู่เท่านี้ ถ้ายังรวมกันไม่ครบอีก เห็นทีคงต้องลาออกทั้งชั้น

อาจารย์ธารเป็นผู้นำในการอธิบายรายละเอียดงานส่วนของปีสาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเตรียมอุปกรณ์มากกว่า ส่วนอาจารย์กฤตจะดูแลเรื่องเงิน หากใครต้องไปซื้ออะไร ก็มาเอางบไปใช้ได้ แต่ต้องมีใบเสร็จกลับมาด้วยทุกครั้ง

“เสาร์นี้มีใครว่างมั้ย ผมจะให้ไปช่วยซื้อของที่พาหุรัด”อาจารย์ธารถาม

แก๊ง F4 มองหน้ากันก่อนจะยกมือ ส่วนสิปป์ศิลป์ต้องขอตัว เพราะเอกไทยมีไปทัศนศึกษาที่อยุธยาพอดี

“โอ้ สี่คนก็โอเคแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ไว้มาช่วยทำของอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน”

นอกจากอาจารย์ธาร หรือชื่อเต็มๆ คือ ลำธาร ผู้มีหนวดเคราครึ้มกับร่างสูงใหญ่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องปรัชญาอินเดียและปรัชญาศาสนาอื่นๆ แล้ว อาจารย์ยังเป็นพราหมณ์จริงๆ ที่นับถือศาสนาฮินดูอีกด้วย เพราะฉะนั้นงานนี้อาจารย์จึงเป็นทั้งพ่องานและพราหมณ์ผู้ทำพิธีเองทั้งหมด


----------------------------


เช้าวันเสาร์ เด็กๆ ปีสามมารวมตัวกันที่หน้าภาคปรัชญา คนที่นัดพวกเขายังไม่มา แต่คนที่มาคืออาจารย์กฤต ที่วันนี้อยู่ในชุดลำลอง ทั้งหมดยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะเห็นว่าข้างหลังอาจารย์มีเด็กหน้าคุ้นๆ ยืนอยู่ด้วยอีกคน เมื่อน้องคนนั้นเห็นรุ่นพี่ก็ยกมือไหว้พวกเขาด้วยสีหน้าตกใจ

พอเห็นว่าอาจารย์กฤตเดินไปไขประตูภาค ชิงชิงจึงเอ่ยทักรุ่นน้องที่ยืนคว้างอยู่คนเดียว “น้องที่ได้ถือพานใช่มั้ย”

“ถือพานภาคเราอ่านะ” ปอถามต่อ พอน้องคนนั้นพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ เสียงทุ้มก็เอ่ยด้วยความพอใจ “เออ หน้าตาทำให้เอกปรัชญาดูมีราศีขึ้นมาก”

ภาคภูมิหันมองเพื่อนข้างๆ แล้วก็อดแซวไม่ได้ “ไม่เหมือนปีเราเนอะ”

“เออ” ชิงชิงรีบต่อ “เชี้ยยยยยเชี่ยยยย”

นั่นเพราะตัวแทนถือพานคือไอ้ปอ ซึ่งรันทดไร้คู่เพราะรุ่นเขาไม่มีผู้หญิง เลยต้องไปยืมตัวพี่จ๋า ที่ตอนนั้นอยู่ปี 2 ให้มาช่วยถือให้ และที่น่าอนาถกว่านั้น คือหน้าตาของพานที่ทำให้อาจารย์ผู้ได้รับถึงกับขำกลางเวที

“กูคือผู้เสียสละนะโว้ยยย” อดีตตัวแทนถือพานโวยวาย

“โทษทีทุกคน ผมแวะไปสั่งขนมมา เลยช้าหน่อย” ร่างสูงของอาจารย์ลำธารที่วันนี้ใส่เสื้อยืดของภาคกับกางเกงขาสั้นรีบเดินเข้ามาหา

“พวกผมก็เพิ่งมาครับอาจารย์”

“อาจารย์ธาร” อาจารย์กฤตเดินออกมาจากภาคพร้อมซองพลาสติกใบหนึ่ง “นี่เงินซื้ออุปกรณ์ครับ”

“โอ้ ขอบคุณมากครับ อุตส่าห์มาเปิดภาคให้ ผมนี่ไม่น่าลืมเลย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องแวะมาพอดี” อาจารย์หนุ่มที่วันนี้ดูผ่อนคลายกว่าทุกวันเอ่ยยิ้มๆ “เอ้อ เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ ต้องไปทำธุระต่อ”

บอกลาอาจารย์รุ่นพี่เสร็จก็หันไปพยักหน้าให้นักศึกษาที่มาด้วย เด็กน้อยยกมือไหว้รอบทิศก่อนจะเดินก้มหน้างุดๆ ตามอาจารย์ที่ปรึกษาไป

“เดี๋ยวเราไปกันเลยแล้วกัน จะได้ไม่สายมาก รถผมจอดอยู่ข้างหลัง” อาจารย์ธารเดินนำเด็กๆ ไปตามถนนด้านหลัง หากในใจยังครุ่นคิดถึงอาจารย์รุ่นน้องกับนักศึกษาคนเมื่อครู่ไม่คลาย


พาหุรัดยามสาย กับดงบังทั้งหลาย...

ภาคภูมิเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมจารย์ธารต้องพาลูกศิษย์ชายฉกรรจ์มาด้วยถึง 4 คน หนึ่งคือของที่ต้องซื้อนั้นเยอะมาก ต้องใช้แรงงานแบกกลับไป สองแดดร้อนเกินกว่าจะเดินซื้อทีละอย่าง ดังนั้นการกระจายกำลังจึงสำคัญ และสาม อาบังที่อยู่กันเป็นดงแม่งงงง แทบจะจับกูแดกอยู่แล้วววว

บังมึง! ไม่ต้องแสดงอภินิหารของแป้งอะไรให้กูดูแล้ว กูร้อน! เหนื่อย! เหม็น! กูมาซื้อแค่ผงสี อย่ารั้งกู! ม่ายยยยยย!

“พีพีใจเย็น!” ปรนัยถึงกับร้องบอกเพื่อน เมื่อเห็นคนข้างๆ กำลังง้างหมัดจะต่อยแขก

คนถูกห้ามทำท่าฮึดฮัด หัวคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าขาวที่เต็มไปด้วยเหงื่อนั้นก็ดูมอมแมมจนอีกคนแอบขำ เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนแล้ว สุดท้ายปอเลยใช้เงินส่วนตัวซื้อผงแป้งมหัศจรรย์อะไรนั่นมาถุงหนึ่ง เพื่อตัดปัญหาให้บังปล่อยตัวออกจากร้านเสียที

ตอนนี้เขากับภาคภูมิเดินอยู่ในตรอกเล็กๆ เพื่อตามหาของอีกสองอย่าง ส่วนแก้วกับชิงชิงแยกกันไปอีกทาง ในขณะที่อาจารย์ธารแวะไปพบท่านบัณฑิตเพื่อเชิญมาร่วมงาน ก่อนจะนัดเจอกันอีกทีที่ห้างกลางพาหุรัด

“ร้านนี้ปะวะ” ภูมิคลี่กระดาษที่อาจารย์จดชื่อร้านไว้ให้ เมื่อดูแล้วว่ามาถูกที่ พวกเขาก็รีบเข้าไปทันที

แขกที่นี่พูดภาษาไทยได้ทุกคน แต่เขาไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย จึงยื่นลิสต์ของที่ต้องการให้เจ้าของร้านจัดการให้ ขณะยืนรอของ มือเรียวจึงโบกพัดเรียกลมเพราะร้อนเกินจะทนไหว ก่อนจะรู้สึกถึงลมเย็นเบาๆ จากด้านข้าง

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรมึง” กระดาษจดโพยอีกใบในมือของปรนัยกำลังทำหน้าที่พัดลมมือถือให้กับเพื่อนสนิท

“เอาเหอะ มึงดูไม่ค่อยโอเคเลย” คำว่าไม่ค่อยโอเคที่ปอว่า ก็คือใบหน้าขาวซีดที่ชื้นเหงื่อ กับริมฝีปากแห้งผากราวกับคนขาดน้ำ และร่างกายที่ดูไร้เรี่ยวแรงจนเขาไม่กล้าเดินห่างไปไหนไกล

“กูโอเค” ภาคภูมิตอบพลางยืนยันหนักแน่น “จริงๆ”

อีกฝ่ายดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ร่างสูงโปร่งชะเง้อเข้าไปในร้าน เห็นว่าคนขายยังหาของให้ไม่เสร็จ เลยบอกเพื่อนให้รออยู่ในนี้ ก่อนตัวเองจะแว่บออกไปซื้อน้ำที่ร้านใกล้ๆ

ภาคภูมิถอนหายใจกับความใจดีของเพื่อนสนิท ตลอดสามปีมานี้ สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่อีกคนทำให้และความใส่ใจที่ได้รับอยู่เสมอ ทำให้เขาค่อยๆ เผลอใจทีละนิด จนที่สุดแล้วมันก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่อยู่ และในเมื่อมันเป็นไปแล้ว สิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ทุกวันก็คือบอกกับตัวเองว่า ปรนัยเป็นเพื่อนที่ดี ที่เขาคงไม่มีสิทธิ์อะไรไปมากกว่านั้น


แต่มันก็ไม่เคยเป็นผล...


“อะ” คนที่อยู่ในห้วงควาดคิดยื่นน้ำเปล่าขวดหนึ่งมาให้

ภาคภูมิเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนยื่นมือไปรับ แต่คนมีน้ำใจกลับชักมือกลับ ทำเอาคนรอต้องเลิกคิ้วถาม

“ลืมเปิดให้ แหะๆ” พูดพลางบิดฝาขวดน้ำออก คราวนี้ภูมิจึงได้รับน้ำเย็นเฉียบพร้อมดื่มมาไว้ในมือจริงๆ เสียที

ปรนัยมองปากเล็กๆ ที่ดูดน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วก็ได้แต่คลี่ยิ้ม นอกจากดวงตาแล้ว องค์ประกอบทุกอย่างบนใบหน้าไอ้ภูมินี่ดูย่อส่วนไปหมด ไม่ว่าจะจมูก คิ้ว ปาก คาง หรือแม้แต่ใบหู ก็ดูเล็กจิ๋วทุกส่วน เวลามองแล้วตลกดีเหมือนกัน

“อันนี้ครบทุกอย่างแร้วขรับ” ในที่สุดเจ้าของร้านก็แบกถุงใบใหญ่ออกมา ก่อนจะชี้แจงว่ามีอะไรและราคาเท่าไรบ้าง

ปอรับถุงนั้นมาถือไว้ ในขณะที่ภูมิกำลังเก็บเงินและบิลค่าของลงกระเป๋า

“เสร็จละ” เหรัญญิกร้องบอก ก่อนจะยื่นมือไปช่วยอีกคนถือบ้าง

“ช่วยถือน้ำกับแป้งแล้วกัน” ของจากร้านที่แล้วกับถุงพลาสติกใส่น้ำอีกขวดถูกเปลี่ยนมือมาไว้กับภาคภูมิ

“นี่ครบแล้วปะ”ปรนัยร้องถามเพื่อน

โพยในกระเป๋าถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง “อืม ของเราได้หมดแล้วนะ”

“เยสสส งั้นไปห้างนั้นกันเลยมะ”

พอภาคภูมิพยักหน้ารับ ร่างสูงโปร่งจึงเดินนำไปตามถนนที่ป้ายชี้ไปยังห้างสรรพสินค้าอันเป็นจุดนัดหมาย พาหุรัดวันเสาร์อัดแน่นไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ ไหนจะพ่อค้าแม่ค้าที่แบกเทิร์นของไว้บนหัวคอยจะเดินสวนไปมา ไหนจะของพะรุงพะรังเต็มมือ ทำเอาแต่ละก้าวนั้นยากลำบากกว่าปกตินัก อาศัยว่าคนเดินนำหน้ารูปร่างสูงใหญ่ จึงคอยแหวกทางให้อีกคนเดินตามมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นการจะก้าวให้ทันปรนัยก็เป็นเรื่องยากและเหนื่อยสำหรับภูมิอยู่ดี

“พีพี” คนเดินนำหันกลับมาเรียกเพื่อนที่ควรเดินตามมาด้วยแต่กลับไม่มี ร่างสูงชะเง้อมองผ่านผู้คนมากมายแล้วก็ยังไม่เห็นเพื่อนสนิท ความร้อนใจทำให้เขาวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม จนเห็นคนที่กำลังตามหายืนหันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าวิตก พร้อมโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่

“พีพี!” ปอเรียกเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้คนที่พลัดหลงกันหันมาตามเสียง ก่อนใบหน้าขาวจะฉายแววดีใจอย่างปิดไม่มิด

“โทรหากูเหรอ” ตารีเล็กมองไปยังโทรศัพท์ที่อีกคนยังถืออยู่

“เอ้ย! ลืมวาง!” อุทานแล้วก็รีบปิดมือถือยัดใส่กระเป๋าเหมือนเดิม

“โทษที มัวแต่วิ่งมา เลยไม่รู้ว่ามึงโทรเข้า” เสียงภูมิบอกว่าไม่เป็นไร ปรนัยจึงใช้มืออีกข้างที่ยังว่างรวบร่างของคนหลงให้เดินมาพร้อมกัน

“มึงเดินเร็วอะ” ภาคภูมิอดบ่นไม่ได้ เดินๆ อยู่ดีๆ แม่งหายไปซะงั้น

“เป็นไงล่ะ” ปรนัยเอ่ยยิ้มๆ ทำเอาอีกคนร้องถามด้วยความสงสัย

“อะไร?”

“ก็ความรู้สึกของคนถูกทิ้งอะ เป็นไง” พูดจบก็รอดูปฏิกิริยาของเพื่อนสนิท ตอนแรกภาคภูมิทำหน้างง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นก้มหน้าแล้วด่าเขาว่า ‘ไอ้สัด’ เมื่อนึกได้ว่าถูกเขาประชดเพราะตัวเองก็ชอบทิ้งเขาไว้กลางทางเหมือนกัน

“กูไม่เคยทิ้งมึงเหอะ” อีกฝ่ายแก้ตัว

“โห...ไม่ทิ้งเล้ยยย”

“กูแค่...” อยู่ๆ ปลายเสียงก็เงียบไป

“หืม?”

“แค่...เปิดโอกาสให้มึง”

ใบหน้าคมหันมามองคนพูดทันควัน “เปิดโอกาสให้กูเนี่ยนะ?”

“เออดิ”

“ยังไงวะ ไม่เข้าใจ”

ภูมิถอนหายใจ “ก็มึงกับพี่จ๋าไง!”

น้ำเสียงหงุดหงิดจากเพื่อนทำให้ปอยิ่งงงหนัก “กูกับพี่จ๋า? ทำไมอะ”

คราวนี้ภาคภูมิหยุดเดิน และหันมาประจันหน้ากับเพื่อนทันที “มึงชอบพี่จ๋าใช่มั้ย กูเห็นมึงกับเค้าอยากอยู่กันสองคน กูก็เลยหลีกให้ มีกูอยู่ด้วยคง...”

“ภูมิ...ภูมิ!” ปรนัยเรียกเพื่อนด้วยชื่อจริงๆ ไม่ใช่ฉายาที่ตัวเองตั้งให้อย่างที่ผ่านมา ทำให้เจ้าของชื่อต้องชะงักคำพูดเพราะความจริงจังในน้ำเสียงนั้น

“กูยังไม่ได้คิดอะไรกับเค้าขนาดนั้น คือชอบพี่จ๋ามั้ย มันก็...นิดๆ อะ แบบปลื้มๆ คุยด้วยแล้วสนุกดี แต่มึงอะคิดไปไกลละ” มือข้างที่ถือของอยู่ถึงกับวางสัมภาระลงบนพื้น “อะไรที่มึงคิดแม่งไม่ใช่เลยเว้ย ต่อไปไม่ต้องเปิดทางอะไรให้กู กูอยู่กับมึงก็เพราะกูอยากอยู่ ถ้ากูอยากอยู่กับพี่จ๋า กูก็ไปหาเค้าเองแล้ว”

ตากลมโตกะพริบปริบๆ เมื่อฟังเพื่อนอธิบายจบ ภาคภูมิคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ คิดไม่ออกแม้กระทั่งว่าความเจ็บปวดในหลายๆ วันที่ผ่านมามันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาได้ยังไง

ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ

“อ้าว...พีพี จะไปไหน” ปรนัยรวบของบนพื้นมาถือไว้ลวกๆ ตอนวางก็อารมณ์กรุ่นไปหน่อย จนลืมคิดว่าอยู่กลางถนนที่คนยิ่งกว่าหนอน ดีไม่ถูกเตะกระจาย พอของครบก็รีบเร่งเท้าตามเพื่อนสนิทที่อยู่ๆ ก็เดินหนีไปซะอย่างนั้น

“เชี่ย ทีงี้ล่ะเดินเร็วเลย” ร่างสูงโปร่งหอบน้อยๆ เมื่อเดินตามอีกคนทัน

“ขอโทษว่ะ” ภาคภูมิเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูก็พูดไปงั้น”

“ไม่ใช่” ใบหน้าขาวเงยขึ้นสบตากับคนข้างๆ “ขอโทษที่เคยทิ้งมึง”

คนได้ฟังคำขอโทษไม่ตอบอะไร มีเพียงรอยยิ้มกว้างกับมืออุ่นๆ ที่คว้าไหล่ภาคภูมิให้เดินไปด้วยกัน


-----------------------------

“โอ้ ได้ของครบกันหมดเลยเหรอเนี่ย ขอบคุณทุกคนมากๆ” เมื่อไก่ทอดชุดคอมโบสองเซตหมดลง อาจารย์ธารจึงเช็กของที่เด็กๆ ซื้อมา สมาชิก F4 นั่งผึ่งพุงกันอย่างมีความสุข เพราะภารกิจอันหฤโหดเสร็จสิ้นลงแล้ว

“เก่งมากเลยๆ งั้นเดี๋ยวเราไปซื้อผ้ากันต่อเลยแล้วกัน”

“หาาา! ซื้อผ้า!”

แล้วสี่หนุ่มปี 3 แห่งเอกปรัชญา ก็ต้องไปเดินเลือกผ้าในพาหุรัดต่อจนถึงเย็น...


--------- TBC. ---------


เดตสุดฮอตกลางพาหุรัดค่ะคุณ! 55555555555
ตอนนี้พี่จ๋าไม่ว่างมาเข้าฉาก ใครที่คิดถึงรอตอนหน้านะ *อย่าขว้างของใส่คนเขียน ฮือออ*

ปล. อย่าว่าแต่เด็กปีสี่ในเรื่องงงเรื่องเปลี่ยนการเปิดเทอมต้อนรับ AEC เลยค่ะ
คนเขียนก็งงเหมือนกัน จบมานานเหลือเกิน
ถึงกับต้องถามอาจารย์ว่าสมัยนี้เค้าเรียนกันตอนไหน ฉับฉนไปหมด

เจอกันตอนหน้าค่า บ๊ายบาย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 16:12:38 โดย lykar »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เราคนหนึ่งนะที่ไม่คิดถึงคุณพี่จ๋าเลย ไม่ต้องมาก็ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
«ตอบ #39 เมื่อ20-01-2017 21:31:57 »


เมตตาเรียนเอกไทย โททัศนศิลป์ค่ะ (ทัศนศิลป์เรียนเรื่องการวาดภาพ ถ่ายภาพ)
ส่วนสิปป์เรียนเอกไทย โทปรัชญา

อย่างที่น้องภูมิ Sweet Dilemma ตอนล่าสุดนี้ถามเมตกับสิปป์ว่า เอกไทยว่างกันเหรอ
แล้วก็ Gayscale มีกล่าวถึงตอนที่เมตกับสิปป์คุยถึงตอนเรียนค่า (ซึ่งอ่านกันไปนานนน มากแล้ว จำไม่ได้ก็ไม่แปลกเลย 555555)

เรื่องความยาว จะพยายามปรับปรุงนะคะ
บางทีเนื้อหามันจบตอนพอดี แต่ยังไงจะให้ยาวขึ้นๆ ค่า

ขอบคุณมากๆ สำหรับคอมเมนต์นะคะ จุ๊บๆ

ว้าว กระจ่างแจ้ง
อาจจะขาดความใส่ใจในรายละเอียดไปนิดส์
หรืออาจจะเพราะขี้หลงขี้ลืมไปตามวัย
ต้องขออภัยด้วยค่ะ จำไม่ได้สักนิดเลยว่าอีตาเมตเรียนอะไร ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณที่มาตอบคำถามให้ค่ะ

สำหรับตอนนี้ ทีแรกเห็นชื่อตอนก็นึกไปถึงวงเกาหลี
กลายเป็นอาบังไปซะได้ ฮ่าๆๆๆ

ลักษณะปอภูมิ ก็จะมาแนวเดียวกับเมตสิปป์นะคะ
คือชอบกันมานานละ แต่ไม่พูดไม่บอก
คิดไปทางลบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบตัวเอง ซะงั้น
โธ่ อยากจะเสี้ยมให้หลงตัวเองกันบ้าง
อะไรจะถ่อนเนื้อถ่อมตัวกันขนาดนั้น ลูกเอ้ย
อีตาปอนี่ ขี้หวง แม้กระทั่งเพื่อนนะคะ
แต่หวงอยู่แค่คนเดียวนี่แหละ บ้าที่สุด
น้องภูมิก็ใสซื่อซะจริ้ง ไม่ได้รู้อะไรบ้างเล้ย

สงสัยสุดท้าย อาจารย์ๆนี่ยังไงคะยังไง
น้องถือพานนั่น ก็น่าสนใจนะ คริคริ

ปล.ยังยาวไม่พอค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
« ตอบ #39 เมื่อ: 20-01-2017 21:31:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ฉันชอบเธอ ฉันเลยทำดีกับเธอ
ฉันชอบเธอ เพราะเธอทำดีกับฉัน
มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ

ออฟไลน์ CanonDNattari

  • ☆.•:*´เชื่อในสิ่งที่เห็นและต้องการให้เป็น ¨`*:•☆
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
อ่านแล้วจะบอกว่า พาหุรัด ถ้าไม่จำเป็น เราไม่ไปเลย ร้อนมากกกกกกกกก
แต่ก็เพลินดี

อิปอ อ่อยหนัก อยากตบฮี

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
พี่จ๋าค่าตัวแพง ยังคงมีบทที่มองมา

ยัง ยัง ไม่หยุดมองอีก ปอเป็นของภูมิเหอะ หยุดมองได้แล้ว

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ sunshine538

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ไม่ค่อยได้เข้าเล้าเลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาเจิมเรื่องใหม่ ขอโทษที่มาช้านะคะ (น้องสิปป์กะพี่เมตไปเรียกมาค่ะ 555)

อ่านไปหน่วงไป แอบสงสารน้องพีพี ทุกคนเอาใจช่วยนะลูก  :mew1:

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
การกระทำกับคำพูดดูขัดกันในบางครั้ง ต้องรอดูต่อไป แต่ถ้าทำพีพีเจ็บนายตายแน่ปอ  o18

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เวลานานเหมือนกันเนอะ ช่วงสมัยเป็นศึกษาของสิปกัลเมต

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
น้องปอนี่ไม่รู้ใจตัวเองป่าวหว่า  มีหวงๆ 5555
สงสารพีพี แต่อย่าท้อนะ ดูแล้วมีหวัง อิอิ

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
เข้ามาเพราะชื่อตอนนี้เลยค่ะ ฮ่าๆ
ไม่คิดว่าจะเป็นดงบังที่พาหุรัด
สนุกค่ะ รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
#05
จะ “เลือก” คนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง



‘มึงไปเรียนไงอะ’

ข้อความจากไอ้ปอเด้งขึ้นมาในตอนที่ภูมิกำลังจัดชีทวิชา Critical Thinking ลงกระเป๋า เสียงฝนเทกระหน่ำสร้างความหนักใจให้กับนักศึกษาที่มีเรียนเช้านี้อย่างยิ่ง

‘ยังไม่รู้เลยว่ะ’

มือขาวพิมพ์ตอบเพื่อน นึกภาวนาให้ฝนซาโดยเร็ว การโดดเรียนในช่วงนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

‘พีพี’

‘คือว่า’

ภาคภูมิขมวดคิ้ว เพราะเริ่มงงกับการส่งไลน์มาทีละคำของคนที่กำลังแชทด้วย

‘?’

อีกฝ่ายเงียบไปนาน ก่อนจะพิมพ์มาอีกครั้ง

‘พี่จ๋าจะเข้ามอพอดี มึงไปด้วยกันดิ’

คนอ่านข้อความจบได้แต่ถอนหายใจ พยายามนึกถึงคำที่ปรนัยพูดเมื่อวันเสาร์ ...ถ้ากูอยากอยู่กับพี่จ๋า กูไปหาเค้าเองแล้ว... แล้วตอนนี้คือมันอยากอยู่กับพี่จ๋าหรือเปล่านะ

‘แล้วเค้าโอเคเหรอ’

‘เค้าให้ชวนมึงเนี่ย’

ตากลมมองผ่านหน้าต่างห้องออกไปด้านนอก ดูๆ แล้วฝนที่ตกอยู่คงไม่หยุดในครึ่งชั่วโมงนี้แน่ๆ

‘โอเค’

‘อีกห้านาทีลงมาเลยนะ’



รถวีออสสีดำจอดเทียบอยู่หน้าทางขึ้นหอพัก เพราะพี่จ๋าจอดชิดกับประตูมาก ภาคภูมิจึงแทบจะไม่เปียกฝนเลย หลังขึ้นรถเรียบร้อย ผู้โดยสารคนใหม่จึงเห็นว่ามีพี่ไนท์ประธานเอกนั่งมาด้วยที่ด้านข้างคนขับ ส่วนปรนัยนั่งเบาะหลังข้างๆ เขาเอง

“ขอบคุณครับพี่จ๋า อุตส่าห์มารับ”

“ไม่เป็นไรๆ ทางผ่านพี่อยู่แล้ว” คนขับบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวรับอีจุ๋มอีกคนนะ อาจจะเบียดๆ หน่อย แป๊บเดียวก็ถึงแล้วล่ะ”

หอของพี่จุ๋มอยู่ถัดจากหอภูมิไปสองสามซอย เมื่อพี่จ๋าจอดรถชิดขอบปูนของตึกเรียบร้อย ภูมิจึงเขยิบตัวเองไปชิดกับเพื่อนอีกด้าน

“มึงงงง มีน้องอีกคนจะไป... อ้าว รถเต็มเหรอ” พี่จุ๋มมองเข้ามาในรถเก๋งคันเล็ก “ตอนแรกน้องห้องข้างๆ จะไปด้วย”

“เด็กๆ เบียดกันไหวมั้ย” เจ้าของรถหันมาถาม แน่นอนว่าผู้อาศัยรถมารีบพยักหน้ารับรัวๆ

“อีจุ๋ม นั่งหมดๆ ไปตามน้องมา ห้านาทีก็ถึงแล้ว” พี่จ๋าตะโกนบอกเพื่อน

แต่เมื่อน้องคนนั้นแสดงตัว เจ้าของรถก็เริ่มเหงื่อตกที่ไปรับปากเพื่อน ...เพราะไซส์น้องเค้าเหมือนกินน้องภูมิเข้าไปสองคน

“เดี๋ยวเรานั่งหลังเอง” พี่ไนท์เอ่ยก่อนจะเปิดประตูลงไปเปลี่ยนตัวกับสมาชิกใหม่

ถึงจะมีการเปลี่ยนตำแหน่ง แต่การนั่งเบียดกันสี่คนที่ด้านหลังก็ยังไม่ลงตัวแบบที่ควรจะเป็น สุดท้ายพี่ไนท์จึงแก้ปัญหาที่น่าจะได้ผลดีที่สุด

“ภูมินั่งตักพี่แล้วกัน”

“เอ่อ...” หากไม่ทันที่ภาคภูมิจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เสียงทุ้มๆ จากคนด้านในสุดก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“นั่งตักกู” มืออุ่นคว้าเอวของคนข้างๆ ก่อนจะลากตัวเพื่อนให้มานั่งเกยอยู่บนตักตัวเองทันที

“อะ ลงตัว! ปายยยย” พี่จุ๋มเอ่ยอย่างโล่งอก พี่จ๋าหัวเราะขำกับความชุลมุนเมื่อครู่ พลางออกรถฝ่าสายฝนเพื่อไปมหา’ลัย

การจราจรหน้ามอเลวร้ายกว่าที่คิด รถเก๋งคันเล็กที่บรรจุผู้โดยสารมาเต็มคันรถจอดติดไฟแดงอยู่นานหลายนาที เห็นคนแชร์ว่ามีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางถนน และอุบัติเหตุอีกหลายราย ตำรวจเลยไม่ยอมปล่อยไฟแดงเสียที แต่ถึงอย่างนั้นพี่ๆ ปีสี่ก็ยังเมาท์มอยกันอย่างสนุกสนาน ไร้ความเคร่งเครียดใดๆ ทั้งสิ้น เห็นว่าแค่จะเข้าไปทำงานภาค ไม่ได้มีเรียนเหมือนน้องๆ

“เชี่ย มึงดูดิ” ปรนัยบอกคนบนตักให้ดูที่หน้าจอมือถือตนเอง ซึ่งตอนนี้กำลังเล่นคลิปวิดีโอตลกจากเพจในเฟซบุ๊ก

ทว่าเมื่อภาคภูมิก้มลงมอง จึงได้เห็นว่าแขนทั้งสองข้างของเพื่อนสนิทนั้นโอบตัวเขาไว้ ถึงจะไม่ได้กอดแน่น แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ลมหายใจกระตุก ความรู้สึกเก้อเขินทำให้ภูมิเริ่มขยับตัวหนีอ้อมแขนนั้น

“หือ เมื่อยเหรอ” ปอเอ่ยถามพลางรวบเอวคนกระดุกกระดิกให้หันตัวไปอีกด้าน “โอเคมั้ย”

ถ้าตอบตามความจริง ภาคภูมิคงบอกว่าไม่โอเค ... ไม่โอเคเลยกับสัมผัสอุ่นๆ ที่โอบตัวเขาไว้แบบนี้ และไม่โอเคเลยที่ใจจะต้องเต้นแรงขนาดนี้

เจ้าของรถมองผ่านกระจกไปยังเด็กสองคนด้านหลังก่อนจะสบตากับภูมิแบบไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายก้มหน้าลงเหมือนต้องการเลี่ยงการปะทะสายตากับรุ่นพี่ จ๋าจึงกระแอมเบาๆ แล้วถามออกไป

“ปอกับภูมิมีเรียนกี่โมงอะ”

“..........”

“เก้าครึ่งครับ” เป็นปรนัยที่ตอบ เพราะภาคภูมิเอาแต่ก้มหน้าเงียบ

“ไลน์ไปบอกอาจารย์หน่อยมั้ยอะ อีกสิบนาทีเอง”
“เออช่าย” มือหนาปัดหน้าจอเข้าไปที่แอปพลิเคชันไลน์ แม้ไม่ตั้งใจจะมอง แต่ภาคภูมิก็แอบเห็นลิสต์การสนทนาของอีกฝ่ายจนได้...

“เป็นไรมึง...” เสียงคนที่กำลังพิมพ์ไลน์อย่างขะมักเขม้นกระซิบถามคนบนตักเสียงเบา

“เปล่า” อีกฝ่ายปฏิเสธ พร้อมเบือนใบหน้าออกไปมองกระจกด้านข้าง เรียวปากบางเม้มแน่นอย่างคนกำลังข่มความรู้สึก

“อาจารย์บอกว่าจะเลทให้ถึงสิบโมงแน่ะ” คนกำลังแชตกับอาจารย์รีบบอกข่าวดีให้คนอื่นๆ ทราบ

“จารย์กฤตโคตรใจดีอะ”

“เออ หล่อและแสนดี รักโคตรรรร”

“อ้าว งี้จะฟ้องจารย์ธารนะ ไม่ชมจารย์ที่ปรึกษาตัวเองได้ไง”

ปรนัยหัวเราะกับบทสนทนาอย่างออกรสของรุ่นพี่ ก่อนจะกระชับร่างของคนบนตักให้เข้ามาหาตัวเอง แล้วซบหน้าลงกับแผ่นหลังนั้นเบาๆ ถ้ารู้ว่าเข้าสายได้ รู้งี้นอนต่ออีกหน่อยซะก็ดีหรอก



เขาสองคนมาถึงห้องเรียนก่อนอาจารย์เริ่มสอนประมาณ 10 นาที ในตอนนั้นมีเด็กอยู่ประมาณครึ่งห้อง และสภาพแต่ละคนก็ดูเปียกปอนไม่พร้อมเรียนกันเท่าไร ซึ่งทำให้อาจารย์ผู้สอนถึงกับเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

“ผมเห็นใจทุกคนนะครับ แต่ยกคลาสไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นเวลาเรียนไม่พอน่ะ”

เสียงนุ่มๆ เอ่ยพร้อมสีหน้ากังวล เพียงเท่านี้ก็ทำให้นักศึกษาที่ต้องฝ่าฝนมาเรียนพากันร้องบอกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” “ไม่เป็นไรครับ”เป็นแถบ และนั่นทำให้อาจารย์หนุ่มหล่อแห่งภาคปรัชญาพอยิ้มออกได้บ้าง

“มึงเชื่อปะ” ปรนัยกระซิบกับเพื่อนข้างๆ “ถ้าเป็นวิชาจารย์กรรนะ แม่งเทกันทั้งห้อง”

“อือ” ภาคภูมิตอบเพียงแค่นั้น ขณะที่ดวงตากลมดูเหม่อลอยจนคนมองแปลกใจ

“เป็นไร...” ฝ่ามือหนาแตะเบาๆ ที่ไหล่เล็ก อีกฝ่ายถดตัวหนี ก่อนจะหันมากะพริบตาปริบๆ ใส่คนเรียก

“เปล่าๆ” เอ่ยปฏิเสธแต่สีหน้าคนตอบไม่เป็นอย่างนั้นสักนิด ร่างสูงพยักหน้ารับ ในใจไม่เชื่อ แต่รู้ดีว่าถามไปก็คงไม่มีประโยชน์
 
พอเห็นว่าเพื่อนหันไปสนใจที่หน้าชั้นเรียนแล้วภาคภูมิก็แอบถอนหายใจเบาๆ จะบอกยังไงว่าเขากำลังจิตใจว้าวุ่นกับความรู้สึกอุ่นๆ ที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นหลัง ซึ่งใครบางคนใช้มันแทนหมอนตอนนั่งรถมาจนถึงมหา’ลัย ไหนจะสิ่งที่เห็นในไลน์นั่นอีก ซึ่งทุกเรื่องก็ล้วนมีที่มาจากไอ้คนถามทั้งนั้น...


“เอาล่ะครับ ระหว่างรอเพื่อนๆ มา เรามาคุยถึง False Dilemma ที่เป็นการบ้านของอาทิตย์ที่แล้วกันก่อนดีกว่า” อาจารย์สุกฤตที่ยืนอยู่หน้าห้องเรียนกำลังตวัดปากกาเคมีบนไวท์บอร์ด “ถ้าสมมติพวกคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ใครคนหนึ่งใช้เหตุผลวิบัติ โดยยื่นข้อเสนอระหว่าง “คนที่รักไม่ได้” กับ “คนที่ไม่ได้รัก” แบบนี้พวกคุณจะตัดสินใจยังไงกันครับ”

เงียบ...

เจ้าของรายวิชาอมยิ้มกับปฏิกิริยาของบรรดาลูกศิษย์ ก่อนจะเอ่ยเรียกนักศึกษาปีสี่คนหนึ่งขึ้นมา ภูมิจำได้ว่าเป็นเด็กเรียนโทที่ตามเรียนวิชาเลือกของอ.สุกฤตแทบทุกตัว ...เรียกว่าเป็นแฟนคลับก็คงไม่ผิดเท่าไร

“ถ้าเป็นผม ผมจะเลือก “คนที่รักไม่ได้” ครับ เพราะความรักสำหรับผมไม่ใช่การครอบครอง แค่ได้ด้อมๆ มองๆ ก็สุขใจ”

“เอิ้ววววววว”

“แม่งน่ากลัวตรงด้อมๆ มองๆ นี่แหละ”

“อียศ อีน้ำเน่า!!”

เสียงโห่แซวที่ขานรับทั่วห้องสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น จากนั้นอาจารย์ก็ไล่เรียงไปทีละคน บางคนก็คิดมาเป็นกลุ่ม บางคนก็จับคู่กับเพื่อนช่วยกันตอบ ซึ่งภูมิกับปอเป็นอย่างหลัง

“อะ ขอคำตอบจากสุดหล่อปีสามบ้างครับ ...ปอ”

“โหยอาจารย์ ชมงี้ผมเขินนนน” ร่างสูงโปร่งบิดตัวไปมาประกอบคำพูด เรียกเสียงด่าทอด้วยความหมั่นไส้ได้จากทุกสารทิศ

บรรยากาศสนุกสนานในชั้นเรียน ช่วยดึงสติของภาคภูมิให้กลับมาได้บ้าง และเมื่อนึกได้ว่าตนเองคู่กับคนที่ถูกเรียก จึงรีบยืนขึ้นเคียงข้างอีกคนเพื่อตอบคำถามอาจารย์

“อ้าว สองคนนี้คู่กันเหรอ” อ.สุกฤตเอ่ยถาม

“ครับ” สองหนุ่มประสานเสียงตอบ

“เอ้อ ดีๆ” ผู้อาวุโสกว่าทำท่าคิด “เหมาะสมกันดีนะ”

เพียงเท่านั้นเสียงโห่แซวก็ดังลั่นห้อง จนอาจารย์ต้องรีบพูดแก้ “หมายถึงน่าจะช่วยกันแสดงความคิดเห็นได้ดี”

“ไม่ทันแล้วจารย์” ปรนัยเอ่ยเสียงตัดพ้อ ตารีเล็กเหลือบมองเพื่อนข้างๆ ที่เอาแต่ก้มหน้า “อยากแสดงความคิดเห็นแล้วววว ฟังหน่อยๆๆ”

“อะๆ เงียบหน่อยครับ ฟังเพื่อนพูดนะ”

“จริงๆ ผมกับภูมิไอเดียไม่ตรงกันเท่าไรครับ” เสียงทุ้มเอ่ยกับทุกคน “ส่วนตัวผมแล้ว ถ้าในตัวเลือกแค่สองตัวนี้ ผมขอเลือก “คนที่รักไม่ได้” ดีกว่า ก็อย่างที่พี่ยศบอก ไม่ได้ครอบครองก็ไม่เป็นไร แค่ได้รักก็พอแล้วอะครับ”

“ช่ายๆ เออๆ จริง” เสียงสนับสนุนดังขึ้น

“แต่ผมว่าจะคิดอย่างปอไม่ได้ครับ” ภาคภูมิแทรกขึ้นมาบ้าง ตอนนี้สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่พวกเขา “ในที่นี้ “คนที่รักไม่ได้” น่าจะหมายถึงคนที่เรารักเขาอย่างที่ไม่สมควรจะรัก ส่วน “คนที่ไม่ได้รัก” น่าจะเป็นคนที่เขารักเรา แต่เราไม่ได้รักเขา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่าจริงๆ เรามีแค่ตัวเลือกเดียว นั่นคือ “คนที่ไม่ได้รัก” เพราะเราจะ “เลือก” คนที่เขาไม่ได้รักเราได้ยังไงครับ”

“เออ ก็ถูก อืมๆ มันต้องคิดแบบนี้แหละ” เสียงสนับสนุนเริ่มเปลี่ยนข้าง

“คือภูมิคิดเยอะไปอะ ถ้าพูดแบบมึง เอ๊ยยย แบบภูมิ คือเรากำลังเลือก “คนที่สามารถครอบครองได้” ใช่มั้ย แต่จริงๆ แล้ว เราไม่ได้เลือกคนไง เรา “เลือก” ที่จะ “รัก” เพราะฉะนั้นเราจะเลือก “รัก” ใครก็ได้” ปรนัยเถียงกลับทันควัน ซึ่งเป็นคำพูดเดียวกับที่พวกเขาเคยถกเถียงกันมาก่อนแล้ว

“นั่นดิ คิดเยอะไป คิดเยอะไป” คนทั้งห้องกำลังสับสนกับมวยสองฝ่าย

“ถ้างั้นมันก็อยู่ที่การตีความโจทย์และสถานการณ์อะครับ เพราะถ้าลองคิดอีกแง่ การที่เราไปแอบรัก “คนที่รักไม่ได้” เราก็อาจกลายเป็น “คนที่ (เขา) ไม่ได้รัก” เหมือนกัน”

“อืมมม โจทย์สับสนจริง ใช่ๆ โจทย์ตีความได้หลายอย่าง” เสียงพึมพำที่วิเคราะห์ตามยังดังอย่างต่อเนื่อง

“อะพอก่อนๆ นั่งลงได้ครับ” อาจารย์สุกฤตเห็นนักศึกษาเริ่มเดือดเลยต้องตีระฆังพักยก “คำตอบของปอกับภูมิน่าสนใจทั้งคู่ รวมถึงการตีความโจทย์ในหลายๆ แง่มุมด้วย การมองให้กว้างขึ้นโดยไม่ยึดติดอยู่แค่มิติเดียวถือเป็นเรื่องดีสำหรับการศึกษาปรัชญามากครับ ชื่นชมทั้งสองคนครับ”

เสียงปรบมือชื่นชมจากนักศึกษาคนอื่นๆ ทำเอาสองหนุ่มยิ้มเขิน

“ขอบคุณทุกคนที่ร่วมอภิปรายกันนะครับ ...เดี๋ยวผมขอปิดการพูดคุยประเด็น False Dilemma เท่านี้ดีกว่า กลัวว่าเวลาจะไม่พอ”

“อาจารย์ยังไม่ตอบเลยค่ะ ว่าอาจารย์เลือกคนไหน” นักศึกษาหญิงปีสี่อีกคนยกมือท้วง แน่นอนว่าเสียงสนับสนุนจากทั้งห้องนั้นดังเซ็งแซ่ บอกแล้วว่าอาจารย์กฤตน่ะฮอตจริง

“สำหรับผมแล้ว...” อาจารย์นิ่งเงียบไปนิดหนึ่ง ในขณะที่นักศึกษากำลังลุ้นกับคำตอบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “ผมคงต้องใช้หลักประโยชน์นิยมมาวัดน่ะครับ ว่าเลือกทางไหนแล้วมีคนได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือ ถ้าเราเลือกคนที่เรา “ไม่ได้รัก” แต่คนคนนั้นรักเรา ก็จะมีคนได้สมหวังหนึ่งคน แต่ถ้าเราเลือกคนที่เรา “รักไม่ได้” ก็จะไม่มีใครสมหวังเลย เพราะฉะนั้น ผมจึงเลือกคนที่ไม่รักครับ”

“โหยยย ไม่โรแมนติกเลยอ่าอาจารย์”

“หนูอยากเป็นคนที่ไม่ได้ร้ากกกก”

“มีใครไม่รักอาจารย์ด้วยเหรอ”

อาจารย์สุดหล่อกำลังปรามนักศึกษาที่โอดครวญกันเสียงเซ็งแซ่ ก่อนจะสรุปการพูดคุยในช่วงนี้สั้นๆ “ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ เหตุผลวิบัติพวกนี้คือกลที่หลอกให้เราหลงในทางเลือกที่ไม่จำเป็นต้องเลือก อย่าลืมนะครับ เมื่อโต้เถียงหรือพูดคุยกับใครที่ใช้เหตุผลแบบ False Dilemma ให้คิดไว้เสมอว่ามันยังมีทางเลือกที่ดีกว่าแต่เค้าไม่ได้พูดออกมา หวังว่านักศึกษาของผมจะไม่ตกหลุมพรางกันนะครับ”


----------------------------------------------


พายุฝนสงบลงตอนเย็นมากแล้ว ภาคภูมิที่เพิ่งเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จกำลังเดินไปภาคปรัชญา ค่ำวันนี้มีการทำอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ในงานคเณศจตุรถี ซึ่งจริงๆ พี่ปีสี่ก็มีทำไว้บางส่วนแล้ว แต่เห็นว่ายังมีงานอีกมากที่ต้องไปช่วยกัน ร่างโปร่งเดินเอื่อยๆ ไปตามสะพานข้ามบ่อน้ำเล็กๆ มองดูเม็ดฝนที่กระทบผืนน้ำเป็นจังหวะแล้วก็พาลนึกไปถึงเมื่อเช้า ร่องรอยความอบอุ่นที่ใครบางคนทิ้งไว้บนแผ่นหลังนั้นจางลงไปแล้ว แต่หน้าแชตของเพื่อนสนิทที่เขาบังเอิญเห็นกลับยังติดอยู่ในใจจนถึงตอนนี้

ถ้าปอจะมีพี่จ๋าหรือชื่อผู้หญิงคนอื่นๆ อยู่อันดับแรกๆ ของแชตเขาก็คงไม่คิดมาก ...แต่การที่เห็นชื่อตัวเองถูก Pin ไว้บนสุดต่างหากที่ทำให้เขาสับสน...


ครืด...ครืด....ครืด...


แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋าเรียกสติของคนคิดมากให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสิปป์ศิลป์โทรเข้ามา

“ว่าไงมึง”

“มาภาคปะ” ปลายสายเอ่ยถาม

“กำลังเดินไปเนี่ย”

“กูอยู่หน้าภาคละ ไม่กล้าเข้าไป มีแต่ปีสี่”

“อ้าว ไอ้ปอบอกว่ามันไปถึงแล้วนี่” คิ้วเรียวขมวดมุ่น “มึงรอกูแป๊บ จะถึงละ”

“เออ เคๆ”

“เฮ้ยสิปป์” อยู่ๆ ภาคภูมิก็เรียกปลายสายไว้

“ว่า”

“........” คนเรียกเงียบไป ก่อนจะถามออกมาแผ่วเบา “มึง Pin ชื่อใครในไลน์มั้ย”

คราวนี้ปลายสายเป็นฝ่ายเงียบบ้าง

“ก็เพื่อนอะ กูไม่มีแฟนนี่หว่า”

“เพื่อนคนไหนวะ”

“เอ่อ...ทำไมวะ”

“เปล่าๆ คือ กูเพิ่งรู้ว่าไลน์มันทำได้”

“อ่อ ล้าหลังว่ะ” ปลายเสียงหัวเราะ

“ตกลงจะไม่บอกใช่มะว่า Pin ใคร” ภาคภูมิแกล้งยียวน ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบ

“เอออออ...” อีกฝ่ายลากเสียงยาว ก่อนภูมิจะได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเร็วๆ ดังผ่านโทรศัพท์ สักครู่หนึ่งคนในสายจึงตอบออกมา “กู Pin ไอ้เชี่ยเมตไว้”

ภาคภูมิเงียบ...

“แม่งขี้เกียจหาชื่อ ช่วงนี้เอกกูสั่งงานคู่บ่อย”

“อ่อ เออๆ เฮ้ย! กูถึงภาคละ เจอไอ้เมตแล้วเนี่ย”

“อ้าว เออๆ เจอกัน”

พอกดวางโทรศัพท์ปุ๊บ สิปป์ศิลป์ก็เดินเร็วๆ เข้ามาหาทันที

“ไปไหนมาวะ” ไม่ใช่ภาคภูมิ แต่เป็นเมตตาเพื่อนมันนั่นแหละที่ถาม

“ดูแมว” คนมีลับลมคมในตอบ

“มึงเนี่ยนะดูแมว?” เมตตาส่ายหัว ทำท่าไม่เชื่ออย่างที่สุด คนกลัวแมวบ้าอะไรจะเดินไปดูแมว

“เออออ วันนี้กูรักแมว”

ภาคภูมิหัวเราะกับการเถียงกันของเพื่อนร่วมชั้นปี ก่อนจะเดินนำไอ้สองตัวเข้าไปในห้องกลางของภาค หลังกวาดสายตาแล้วไม่เห็นปรนัยอยู่ในห้อง ร่างโปร่งจึงเปิดโปรแกรมแชตเพื่อตามเพื่อนสนิทที่นัดกันไว้ หากแล้วคำตอบของสิปป์ศิลป์ก็ดังขึ้นมาในหัว

...เพื่อน...

คนอื่นๆ ก็ Pin ชื่อเพื่อนเหมือนกัน
ถ้าอย่างงั้นที่ไอ้ปอทำก็คงไม่แปลกอะไร



กว่าร่างสูงๆ ของปรนัยจะปรากฏตัว เวลาก็ล่วงมาเกือบหนึ่งทุ่ม ภาคภูมิกำลังจะอ้าปากบ่น หากไม่เห็นใครอีกคนที่เดินตามหลังมันมาด้วย

   พี่จ๋า...

   “พีพี~~” เจ้าของฉายาละสายตากลับมามองคนเรียก ก่อนจะรีบเขยิบตัวหนีเมื่อเห็นท่อนแขนแข็งแรงกางออก พร้อมกับขายาวๆ ที่วิ่งเข้ามาหา “จะหนีไปไหนจ๊ะ”

   “กอดเลยๆๆ”

   “จูบเลยๆๆ”

   เสียงเชียร์อย่างสนุกสนานจากคนในห้องทำเอาคนโดนแกล้งหน้าตาตื่น

   “สัดปอ! ออกไป๊ ชิ้วๆๆ” คนโดนต้อนกำลังจนมุม เพราะห้องประชุมตอนนี้ระเกะระกะไปด้วยอุปกรณ์ทำงานมากมาย จนไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้

   “อย่าปฏิเสธความคิดถึงของพี่ปอสิครับ” ไม่ใช่แค่พูด แต่เรียวปากอิ่มยังทำท่าจุ๊บๆๆ ยื่นเข้ามาหา จนอีกฝ่ายต้องใช้คอนเวิร์สตัวเองเป็นอุปกรณ์ยันทัพ

   “หูย สายดุเหรอวะ” ร่างสูงบ่นอุบ

   กองเชียร์ตบมือชอบใจกันยกใหญ่ ใครๆ ก็อยากเห็นเด็กนิ่งๆ อย่างภาคภูมิหลุดมุมรั่วๆ กันทั้งนั้น พอสองเพื่อนซี้สงบศึก คนอื่นๆ จึงเริ่มแยกย้ายกลับมุมของตัวเอง

   “ไปไหนมามึงอะ อู้เหรอ” หลังทรุดตัวลงนั่งตรงโซนทาสี ‘น้องพีพี’ ก็ชี้หน้าถาม ‘พี่ปอ’ ด้วยความเคารพ

   “ไปซื้อข้าวให้มึงกับคนอื่นๆ ไง โหย มองกูแง่ดีเกิ๊น” คนถูกกล่าวหาพยักพเยิดไปยังกองกล่องข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะ ภูมิมองตามไป แต่กลับได้สบตากับพี่จ๋าที่นั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แทน

“จารย์ธารเห็นกูว่างๆ เลยให้กูกับพี่จ๋าไปซื้อมาอะ”

“เหรอ...” ภาคภูมิก้มหน้าหลบสายตาที่เหมือนจะมีคำถามของพี่จ๋า ก่อนจะแกล้งแซวเพื่อนด้วยเสียงสดใส “ฟินเลยดิมึง”

“โหยยยย” อีกฝ่ายร้องเสียงหลง “ฟินห่าไร หิ้วถุงก๊อบแก๊บจนนิ้วจะเป็นห้อเลือด แม่ง ยี่สิบกว่ากล่อง รถก็จอดโคตรไกล”

บ่นพลางยื่นนิ้วมือแดงๆ ให้ดูเป็นหลักฐาน ก่อนจะวางแหมะลงบนตักของเพื่อนสนิท

“สำออยว่ะ” ด่าคนมือเจ็บ แต่สุดท้ายก็จับนิ้วสากที่ขึ้นริ้วแดงๆ มานวดให้เบาๆ

เจ้าของมือยิ้มกริ่ม หลอกบางคนให้นวดให้ได้แล้วสบายใจจริงโว้ย...


---------------------TBC---------------------


น้องภูมิไปถามใครไม่ถาม ดันไปถามนังสิปป์!!
คู่นั้นเค้าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกันยู้วววว โธ่ๆๆ
#เรื่องPinไลน์ไว้ใจสิปป์

สวัสดีค่า
มีเรื่องจะสารภาพและขอโทษอย่างแรงงงง
คือเรื่องนี้เป็นช่วงมหา'ลัย ซึ่งเป็นจักรวาลของเมตสิปป์ตอนเรียน
แต่!! คนเขียนดันลืมค่ะ เขียนซะปัจจุบันเลย T___T

ยังไงจะค่อยๆ แก้ตอนที่ผ่านมา ให้คำบอกเวลามันไม่ชี้เฉพาะมากนะคะ
แต่มุกบางมุก เรื่องบางเรื่องที่มันปัจจุบันมากๆ คงไม่แก้เนอะ คิดซะว่าเมตสิปป์อยู่ในโลกคู่ขนานก็แล้วกัน (ยังจะแถ)
อ้อ! เนื้อเรื่องทั้งหมดไม่เปลี่ยนค่ะ ใครอ่านผ่านไปแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับไปอ่านก็ได้ค่า

ต้อขออภัยอย่างสูงค่ะ ฮืออออ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากๆ นะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ บ๊ายบายยยย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 16:13:18 โดย lykar »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
พีพีจ๋าาา ทำไมน่ารักงี้>< ปอนี่ไม่ได้รู้ตัวเล้ยยยยย แต่ก็นะมันต้องยังไม่รู้ตัวรู้ใจแบบนี้แหละ คนอ่านจี๊ดๆดี5555+
ปล.นี่็ก็เพิ่งรู้ว่าไลน์ปักหมุดได้ เขินนนนน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แล้วนี้ ปอ คิดไรกับภูมิปะ
แบบตัวเองก็ไม่รู้ตัว  :hao3:

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
ถถถถถ พีพี พี่ก็นึกว่าน้องปอมันแอบคุยกะสาว หนูเลยเซื่องซึม แต่ก็เนอะรู้ว่าเค้าให้ความสำคัญกับเรา แต่อาจจะคนละฐานะ มันก็เจ็บปวดนิดๆเนอะ

ว่าแต่ ไลน์มีปักหมุดได้ด้วยหรออออ >_< พี่ก็ไม่รู้ววว

ออฟไลน์ แมวมุ้งมิ้ง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแล้วแอบเขินแต่ก็เข้าใจความรู้สึกของน้องพีพีนะคะ ถ้าเริ่มจะคิดอะไรเข้า มันก็ยิ่งว้าวุ่นใจและสับสนไปหมด ปอก็แบบ.. วางน้องพีพีในฐานะอะไรก็ยังดูไม่ออก เพื่อนคนสำคัญไรงี้? ก็ติดตามกันต่อไปค่ะ

ปล.ซินเจี่ยยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้นะคะ  :mc4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ปอก็ให้ความสนิทสนมจนน่าคิดไปไกล  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
รอว่าจะมีใครสักคนเข้ามาทำให้พีพีคิดจะตัดใจจากปอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Banarot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
เห็นชื่อพี่จ๋าแล้วหงุดหงิด

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
บางทีก็แอบคิดขำ ๆ ว่าที่จริงพี่จ๋าอาจจะชอบพีพี ฮา

ออฟไลน์ twenty8

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ฮือ เพิ่งรู้ว่าไลน์ปักหมุดแชทได้ด้วย ทำไม่เป็นจนต้องเสิร์ทวิธีในกูเกิ้ลดูเลยค่ะ 555555
เป็นตอนที่หน่วงเบาๆนะแล้วก็เขินกับวิธีที่ปอแสดงออกด้วยอะ
ไม่แปลกเลยที่น้องพีพีของเราจะสับสน ฮือ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
ปอเนี่ยยังไม่รู้ใจตัวเองแต่เราว่าพี่จ๋าอะชอบปอแน่ๆ
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ dekzappp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ทำไมเรารู้สึกว่าปอก็ตีเนียนคิดไม่ซื่อ

ได้แต่อ่านด้านของพีพี พีพีจ๋าอ่อยกว่านี้เลยเอาให้ปอรู้ตัวและไม่มองหญิงไหน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด