Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)  (อ่าน 62361 ครั้ง)

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ระวังนะช้ามากๆ หนุ่มเซะซี่บอยจะคาบไปกิน   :katai1:

ออฟไลน์ Lalaleega

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มีคนมาสนใจพีพีเยอะแล้วนะปอ :katai1:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


นี่ก็ยุให้พีพีมีคนอื่นจริง ๆ จัง ๆ เหลือเกินค่ะ เพราะพ่อพระเอกของพี่นี้ช้ามากกกก
สงสารพีพี ชีวิตนี้หนูจะมัวเป็นไก่รองบ่อนรอให้พ่อปรนัยร่อนไปร่อนมาหาเมื่อเวลาเบื่อ เหนื่อย เมื่อย หิวไม่ได้นะลูก!!
ออกมาค่ะ ออกมา ออกมาคว้าแขนล่ำ ๆ ของพ่อหนุ่มต่างคณะ แล้วพากันไปเดินลั้นลาเริงร่าท้าสายตาไอ้เพื่อนความรู้สึกช้ามันเสียเลย ทีนี้ล่ะค่ะคุณเอ๋ย! สนุกแน่ ๆ !!

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :L2:


ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
#09
เกมภาษา


   “ในคลาสนี้มีใครยังไม่ได้เรียนวิชา Contem บ้างครับ” อาจารย์ขจรศักดิ์ผู้อาวุโสที่สุดในบรรดาอาจารย์ภาคปรัชญาเอ่ยถามนักศึกษาที่นั่งตาแป๋วอยู่ในห้อง วิชา Contem หรือ Contemporary คือปรัชญาร่วมสมัย ซึ่งเป็นวิชาบังคับที่ยากที่สุดในบรรดาวิชาทั้งหมด เพราะเป็นการศึกษาแนวคิดของนักปรัชญายุคหลังๆ ซึ่งมีความคิดก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก

พอเห็นว่ามีเด็กยกมือประมาณ 6-7 คน ซึ่งเป็นจำนวนเกือบครึ่งห้อง ผู้เป็นอาจารย์ก็เอ่ยอย่างหนักใจ “จริงๆ ผมก็ใส่ในคำอธิบายรายวิชาแล้วนะครับ ว่าถ้าใครยังไม่เคยเรียนคอนเทม ขอให้ข้ามวิชานี้ไปก่อน ...แต่เอาเถอะ ถอนตอนนี้พวกคุณก็คิด W กันซะเปล่าๆ เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆ ไปก็แล้วกัน”

   แก๊ง F4 มองหน้ากันเลิกลั่ก วิชานี้คือปรัชญาภาษา ที่พวกเขาเลือกลงเพราะอาจารย์กฤตเป็นเจ้าของวิชา แต่เพิ่งรู้ว่าอาจารย์ขจรศักดิ์ หรือ ‘ลุงศักดิ์ AF’  (หมายถึงให้เกรด A จนถึง F) จะมาสอนด้วย

   “ฉิบหายละมึง!” แก้วหันไปกระซิบกับเดอะแก๊ง เรื่องความโหดนั้นเขาได้พิสูจน์มาแล้วตอนปีสอง ถึงจะไม่ F แต่ก็ได้หมาตัวแรกในชีวิตมาเลี้ยงเพราะลุงแจก D ให้นี่แหละ

   “ชู่ววว!!” ภูมิส่งเสียงปรามให้เพื่อนเงียบ เพราะเห็นว่าอาจารย์เริ่มหันมามองทางพวกเขาบ่อยๆ

   “สำหรับคาบที่ผ่านๆ มา...” ผู้สอนกดเปิดเครื่องโอเวอร์เฮด พร้อมวางแผ่นใสที่เขียนด้วยลายมือเยี่ยงอักษรขอมโบราณลงไป “มองเห็นกันมั้ยครับ ...ไฟน่าจะสว่างไปนะ”

   ปรนัยเอื้อมมือไปปิดไฟห้องในฐานะคนนั่งติดผนังที่สุด พอห้องมืดลง ภาพบนจอก็ปรากฏชัดขึ้น ดีหน่อยที่คลาสนี้เป็นปีสามกับปีสี่ซึ่งเคยเรียนกับอ.ศักดิ์มาแล้ว ลองถ้าเป็นปีหนึ่งปีสองนี่ร้องกันระงมเมื่อเห็นลายมือบนจอ จริงๆ หลายคนเคยถามว่าทำไมอาจารย์ไม่ใช้โปรเจกเตอร์ฉายสไลด์ดีๆ แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจนัก ยังไงก็ต้องอ่านลายมือขอมกันต่อไป

    “คาบที่ผ่านๆ มา พวกคุณก็คงได้รู้รากฐานของภาษาและแนวคิดจากนักปรัชญาหลายๆ คนมาแล้ว และคงรู้จัก วัจนปฏิบัติศาสตร์ หรือ Pragmatics มาบ้าง แต่เชื่อว่าลืมกันไปหมดแล้วล่ะ ใช่มะ??

...โอเค ไอ้วัจนปฏิบัติศาสตร์อะไรเนี่ย ข้ามๆ มันไปเถอะ เก็บเอาไว้พูดกับเพื่อนภาคอื่นเท่ๆ ไม่ต้องไปจำให้รกสมอง จำไว้แค่ Pragmatics ก็พอ ...แพรกมาติกส์ ก็คือการศึกษาว่าในสถานการณ์หนึ่งๆ ทำไมเราจึงพูดอย่างนั้น ทำไมถึงไม่พูดอย่างอื่น รวมถึงศึกษาด้วยว่าการใช้ภาษาของมนุษย์นั้นมีจุดประสงค์อะไร

อะ งง... ใครงงให้กลับไปอ่านชีทของอาจารย์กฤตในคาบที่แล้วนะครับ เพราะวันนี้เราจะมาดูกันว่ามีนักปรัชญาคนไหนบ้างที่ศึกษาเรื่องแพรกมาติกส์ แล้วเค้าว่าอะไรกันบ้าง”

อ.ศักดิ์ลุกขึ้นไปยืนหน้ากระดานไวท์บอร์ด

“ผมเขียนบนกระดานนี่พวกคุณมองเห็นมั้ย มันมืดไปมั้ย” ร่างท้วมหันมาถามนักศึกษา ไม่ทันได้มีใครตอบ ปรนัยผู้นั่งใกล้สวิตช์ก็กดเปิดไฟอีกรอบ

คราวนี้อาจารย์เดินกลับมายืนหน้าห้องเหมือนเดิม

“ก่อนฉายแผ่นใส ผมบอกว่าไฟในห้องน่าจะสว่างไป แล้วเมื่อกี๊ตอนผมจะเขียนกระดาน ผมก็ถามว่า ไฟมืดไปมั้ย” มือที่เริ่มเหี่ยวย่นถอดแว่นออก “มีคำไหนมั้ยที่ผมสั่งให้คุณ... ชื่อไรนะ” ปลายเสียงหันไปถามคนปิดเปิดไฟ

“ปอครับ” เสียงทุ้มตอบ

“อื้ม ผมเป็นคนสั่งให้ปอปิดหรือเปิดไฟหรือเปล่า?”

เสียงประสานกันจากคนเรียนว่า “ไม่”

“นั่นสิ ผมไม่ได้พูดสักคำ แล้วปอรู้ได้ไงว่าต้องไปปิดหรือเปิดไฟ”

เจ้าของชื่ออ้ำอึ้งนิดหนึ่ง “ก็...อาจารย์พูดถึงไฟ แล้วผมก็อยู่ใกล้สวิตช์ไฟที่สุดอ่าครับ”

“ปิ๊งป่อง!” ผู้อาวุโสทำเสียงเหมือนกำลังเล่นเกมโชว์ “นี่คือแนวคิดของนักปรัชญาที่ชื่อ...”

แผ่นใสถูกเลื่อนขึ้นมาจนปรากฏคำอีกคำหนึ่ง

“วิตต์เกนสไตน์” อาจารย์ศักดิ์พูดชื่อที่อยู่กลางจอ “อย่าไปจำสลับกับแฟรงเกนสไตน์นะครับ ใครเขียนข้อสอบมาผิด ระวังได้เข้าร่วมรายการ AF นะ”

เสียงเด็กๆ หัวเราะกันครืน

“ตาคนนี้บอกว่า ภาษาสำหรับเค้าแล้วก็เหมือนกับการเล่นเกม ซึ่งเกมนั้นมีชื่อว่า "เกมภาษา" คำหรือประโยคเป็นเหมือนส่วนประกอบของเกมแต่ละเกม ที่ผู้เล่นต้องรู้จักกติกาของแต่ละเกมว่ามันทำหน้าที่อะไรในเกมนั้น และเราต้องเล่นตามกฎเกณฑ์ของภาษา เหมือนกับที่ต้องเล่นตามกติกาของเกมนั้นๆ

คำก็เช่นเดียวกัน ในการใช้ภาษาเราต้องใช้คำและประโยคตามกติกาจึงจะสามารถสื่อกันได้อย่างเข้าใจ”

นักศึกษามุมห้องด้านขวายกมือ ผู้เป็นอาจารย์ทำสัญญาณให้ถามได้

“แล้วถ้าเราไม่เข้าใจล่ะครับ”

“เช่นยังไง”

“อืม...” คนถามนิ่งคิด “สมมติถ้าอาจารย์พูดว่า ห้องสว่างเกินไป แต่ไม่มีใครลุกไปปิดไฟ”

“อ่าฮะ” ใบหน้าที่ร่วงโรยตามกาลเวลาพยักหน้า “ถ้าเราสื่อสารกันไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าเราอยู่กันคนละ 'เกมภาษา' ยังไงล่ะ”

พอเห็นว่าไม่มีใครถามอะไรต่อ อ.ศักดิ์จึงเริ่มกิจกรรมฝึกให้นักศึกษาเข้าใจแนวคิดของวิตต์เกนสไตน์ยิ่งขึ้น

“จะหลับกันแล้วใช่มะ เดี๋ยวผมจะให้พวกคุณลองพูดประโยคที่คาดว่าจะอยู่ในเกมภาษาเดียวกันกับเพื่อน กติกาก็คือ คนที่จะพูด ต้องพูดขึ้นมาลอยๆ ในห้อง ถ้ามีใครสักคนตอบสนองต่อประโยคนั้นได้ ถือว่าคุณเล่นเกมภาษากับคนในห้องได้ผล ผมให้เวลาคิด 5 นาทีนะ ค่อยๆ คิดกันไป”

ผู้สอนเดินไปนั่งบนเก้าอี้ ปล่อยให้นักศึกษาพูดคุยปรึกษากัน

“นี่...ห้ามเตี๊ยมกันก่อนนะ ผมไม่ได้มีคะแนนอะไรให้ ไม่มีถูกไม่มีผิด เพราะฉะนั้นอย่าขี้โกง”

พอเข็มยาวเคลื่อนไปถึงเลข 6 อาจารย์ขจรศักดิ์ก็หยิบใบรายชื่อขึ้นมา ก่อนจะสุ่มเรียกนักศึกษาคนแรกให้เริ่มเล่น ‘เกมภาษา’

“วสรุต”

พี่ผู้ชายโทปรัชญาปีสี่เดินออกมาหน้าห้อง แล้วอยู่ๆ ร่างผอมก้างก็ทำท่าปั่นจิ้งหรีดไปเกือบ 20 รอบ เสียงฮือฮาของผู้ชมดังขึ้น จนสุดท้ายคนปั่นจิ้งหรีดก็หยุดแล้วทิ้งตัวนั่งบนพื้น

“เวียนหัวอะ”

ใครคนหนึ่งวิ่งเอายาดมไปให้ จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น พร้อมการสรรเสริญชื่นชมในความเล่นใหญ่ของเพื่อน

“ดีมากๆ” อาจารย์ศักดิ์หัวเราะ “แต่คนต่อไปไม่ต้องขนาดนี้นะ เป็นลมเป็นแล้งไปจริงๆ ผมขี้เกียจโดนคณบดีเรียกคุย”

คนต่อไปที่โดนเรียกคือไอ้แก้ว รายนี้ไม่รัชดาลัย แต่อาศัยตลกแดก

“เมื่อเช้าตื่นสาย ฮิ้วหิวววว”

ทั้งห้องเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงถามว่า “มีแซนด์วิชนะ กินมั้ย”

พอไอ้ห่าแก้วยิ้มตาเยิ้มให้คนถาม กลับโดนตอกกลับว่า “นี่พูดไปตามเกม ไม่ได้มีจริงๆ” ไอ้นี่เลยหงอยไป

“ภาคภูมิ”

ทุกสายตาหันมามองยังร่างขาวหนึ่งในแก๊งชายล้วนปี 3

“หนาว...” เจ้าของชื่อพูดแค่คำเดียวเท่านั้น แต่รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้รีโมตแอร์ก็ลุกขึ้นเตรียมจะไปปรับอุณหภูมิให้ทันที ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึงก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงฮิ้วฮ้าวที่ดังขึ้นเสียก่อน

ภูมิหัวใจเต้นระรัว เมื่อเสื้อวอร์ม Adidas สีเข้มของคนข้างๆ ลอยมาคลุมร่างตัวเองอย่างรวดเร็ว เสียงโห่แซวดังขึ้นโดยรอบ โดยเฉพาะไอ้แก้วกับไอ้ชิงที่เป็นต้นเสียง แต่ภาคภูมิทำได้เพียงก้มหน้าหดคอจนแทบจะมุดหายไปในเสื้อคลุมตัวนั้น ในขณะที่เจ้าของเสื้อก็แสร้งทำทีเคร่งขรึม ไม่รับมุกเล่นตลกโป๊งชึ่งเหมือนที่ผ่านมา

เสียงอาจารย์ขจรศักดิ์เรียกชื่อนักศึกษาคนต่อไป ทั้งห้องจึงกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง

เว้นก็แต่หัวใจของใครบางคน...



หลังเลิกเรียนทั้งเด็กทั้งอาจารย์ก็ยกขบวนไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร เพราะเป็นช่วงพักเที่ยงพอดี อย่าว่าแต่โต๊ะใหญ่สำหรับสิบคนเลย ต่อให้เป็นโต๊ะเล็กๆ นั่งสี่คนยังหายาก แก๊งปรัชญาภาษาจึงต้องแยกกันนั่งไปโดยปริยาย ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะคุยเรื่องเกมภาษากันต่อ เมื่อเป็นดังนั้นเด็กปีสามจึงขอตัวไปหาที่นั่งกันเอง และไม่แน่ว่าอาจจะซื้อกลับไปกินที่ภาคก็ได้

“โต๊ะม้าหินตรงนั้นเหมือนว่างปะ” ภูมิชี้มือไปด้านนอกโรงอาหารที่มีโต๊ะม้าหินตั้งอยู่ใต้ร่มไม้

“เออๆ เดี๋ยวกูไปจองให้” ชิงชิงเตรียมวิ่งไปยังจุดหมาย แต่ภาคภูมิกลับเรียกไว้

“ไม่เป็นไร บ่ายกูว่าง มึงรีบไปซื้อก่อนเหอะ” พอคิดถึงข้อเท็จจริงว่าอาจจะไปเรียนคาบบ่ายไม่ทัน ชิงชิงเลยปล่อยให้เพื่อนเป็นคนไปจองโต๊ะแทน

“เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนไอ้ภูมิก่อน” ปอบอกก่อนจะก้าวเท้าเดินตามร่างโปร่งไป ทิ้งให้แก้วกับชิงชิงไปซื้อข้าวกันสองคน

ภาคภูมิทรุดตัวลงนั่งตรงโต๊ะม้าหินตัวเดียวที่ว่าง ถึงจะมีร่มไม้มาบดบังแสงแดด แต่ความร้อนก็ยังกระจายทั่วพื้นที่ มือเรียวขยับเสื้อให้อากาศได้ระบาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังสวมเสื้อวอร์มของปออยู่

“ร้อนเหรอ” เจ้าของเสื้อร้องทักขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

คนกำลังถอดเสื้อคลุมพยักหน้า ก่อนสองมือจะพับเสื้อแขนยาวแล้วยื่นให้เจ้าของตัวจริง “อะ แต๊งกิ้ว”

ปอรับเสื้อตัวเองคืนแล้วยัดใส่เป้ “เอาน้ำปะ”

“มึงจะไปซื้อเหรอ”

“เออ หิวว่ะ”

“งั้นฝากด้วย” มือขาวล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาพลางส่งแบงก์ยี่สิบให้เพื่อน

“ลิปตัน?”

“อือ”

ไม่นานนักภาคภูมิก็เห็นร่างสูงโปร่งถือโหลแก้วสองโหลซึ่งบรรจุน้ำคนละสีเดินกลับมา แถมยังประคองจานลูกชิ้นจานใหญ่มาด้วย คนนั่งรอรีบลุกไปช่วยเพื่อนถือเพราะกลัวจะล้มคว่ำไปเสียก่อน

“กำลังจะเรียกเลย” เสียงทุ้มเอ่ยยิ้มๆ “เกือบสะดุดบันไดแล้ว”

“ก็ซื้อทีละอย่างมั้ยล่ะ” มือขาววางจานลูกชิ้นลงบนโต๊ะ คนถูกบ่นหัวเราะแหะๆ

“กลัวมึงจะหิว”

พอได้ยินแบบนั้นภาคภูมิเลยต้องแสร้งหยิบลูกชิ้นปิ้งมากินแก้เขิน

“แหน่ะ หิวจริงด้วย” ปลายเสียงหัวเราะแผ่วกับแก้มป่องๆ ที่เคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รู้ตัวว่าเผลอทอดสายตาอ่อนโยนจนคนถูกมองต้องหันหน้าหนี

หลังสมาชิกที่ไปซื้อข้าวก่อนกลับมา คนเฝ้าโต๊ะทั้งสองคนจึงรีบไปซื้อบ้าง แม้จะเลยเวลาเที่ยงมาสักพัก แต่ปริมาณคนก็ยังไม่ลดลง ปอจึงเลือกร้านข้าวราดแกงง่ายๆ เพราะเหลือเวลาอีกไม่เท่าไรก็ต้องขึ้นเรียนคาบต่อไป รอไม่นานนักร่างสูงก็ได้ข้าวราดแกงมาหนึ่งจาน ขณะเดินออกจากร้าน เสียงของเพื่อนสนิทที่ต่อคิวซื้อก๋วยเตี๋ยวร้านข้างๆ ก็เรียกไว้ก่อน

“เดี๋ยววินไปนั่งด้วยนะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังผู้ชายหน้าตาดีที่ยืนอยู่ข้างหลัง “เผื่อพวกมึงอิ่มก่อน กูจะได้มีเพื่อน”

ตารีเผลอจ้องเพื่อนใหม่เขม็ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เคยตกลงกับตัวเองในใจ ปรนัยจึงเปลี่ยนหน้าดุๆ เป็นรอยยิ้มแทน “เออได้ เดี๋ยวกูไปโต๊ะก่อนแล้วกัน”

กว่าจะได้ก๋วยเตี๋ยวก็เกือบจะถึงเวลาเรียนคาบบ่าย ขณะที่ภูมิพาเพื่อนใหม่ไปนั่งที่โต๊ะ สามหนุ่ม F4 ที่กินข้าวอิ่มแล้วก็เตรียมเก็บของลุกออกไปพอดี

“อ้าว จะไปกันแล้วเหรอ” มือเรียววางชามก๋วยเตี๋ยวลงพลางเอ่ยถามเพื่อน

“เออ ว่าจะไปแวะเข้าห้องน้ำที่ภาคด้วย” แก้วตอบ “แล้วมึงจะไปหอสมุดเลยปะ”

“ใช่ๆ เดี๋ยวไปกับวิน”

คำตอบนั้นภาคภูมิตอบแก้ว แต่คนที่หันขวับมากลับเป็นปรนัยที่กำลังถือจานเปล่ากับโหลน้ำไว้ในมือ

“ไปละมึง เจอกันตอนเย็น” แก้วบอกลาเพื่อนแล้วเดินนำหน้าไปพร้อมชิงชิง แต่คนที่อยู่รั้งท้ายกลับหันมาที่โต๊ะม้าหินอีกครั้ง

“อ้าว” ภูมิร้องด้วยความงง เมื่ออยู่ๆ เพื่อนสนิทก็วางข้าวของทุกอย่างลงแล้วเปิดกระเป๋า

“เอาไว้ใส่” มือหนายื่นเสื้อวอร์มตัวเดิมไปให้คนที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว “เดี๋ยวหนาว”

ภูมิวางตะเกียบ เอ่ยขอบใจแล้วรับเสื้อตัวอุ่นนั้นไว้ ...นี่ใช่มั้ยที่วิตต์เกนสไตน์บอกว่ามันเป็นเกมภาษา

แล้วนอกจากความเข้าใจ ...มันยังมีความห่วงใยรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า?



ปรนัยนั่งกอดอกห่อไหล่อยู่ในคลาสเรียนคาบบ่าย เพราะรู้ว่าต้องแข็งตายอย่างในตอนนี้ เขาเลยเอาเสื้อคลุมติดมาด้วยตั้งแต่เช้า แต่ก็นั่นแหละนะ พอรู้ว่าไอ้ภูมิจะไปหอสมุด เขาก็ดันเสียสละเสื้อวอร์มของตัวเองให้มันไปแล้ว ก็ถ้าห้องนี้คือขั้วโลกเหนือ หอสมุดก็ไม่ต่างอะไรกับโรงน้ำแข็งในขั้วโลกเหนืออีกที หนาวในหนาว หนาวจนแบคทีเรียหยุดการเจริญเติบโตได้เลย ตาคมเหลือบมองนาฬิกาเหนือกระดานไวท์บอร์ด บอกตัวเองว่าแค่สองชั่วโมงการชดใช้กรรมในห้องเย็นนี้ก็จะสิ้นสุดลงแล้ว

ในขณะเดียวกัน ร่างโปร่งที่ถูกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวของเพื่อนก็กำลังพยายามซ่อนนิ้วมือไว้ในปลายแขนเสื้ออย่างสุดความสามารถ ถ้าไม่จำเป็นต้องพลิกหน้าหนังสือแล้ว ดูเหมือนนิ้วเรียวๆ นั่นจะไม่ยอมโผล่ออกมาเด็ดขาด วินมองคนขี้หนาวแล้วทั้งขำทั้งสงสาร ยิ่งเห็นปลายเล็บซีดๆ แล้วก็อดเอ่ยออกมาไม่ได้

“ยืมหนังสือไปนั่งอ่านข้างนอกมั้ย”

คนฟังส่ายหน้าแล้วยิ้มแหย “ไม่รู้จะยืมเล่มไหนมั่ง ต้องอ่านก่อน”

“ก็ยืมให้หมดนั่นแหละ ทำหน้าเหมือนจะแข็งตายแล้วภูมิอะ”

“ไหวๆ เสื้ออุ่นอยู่” คนหนาวยังยืนยันคำเดิม “แต่ปลายนิ้วโคตรเย็นเลย”

ภาคภูมิขยับมือที่เหมือนจะไร้ความรู้สึกไปมา แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกคนตรงข้ามคว้ามือเย็นๆ ของตัวเองไปกุมไว้ คนถูกจับมือมองการกระทำนั้นตาค้าง ก่อนสัญชาตญาณจะสั่งให้เขาดึงมือออก

“โทษที” หนุ่มเภสัชเอ่ยเรียบๆ ผิดกับแววตาระยับของเจ้าตัว “แค่จะพิสูจน์ว่ามือเย็นจริงมั้ย”

“อ่า... เย็นดิ จะไปโกหกทำไมล่ะ” คนมือเย็นตอบตะกุกตะกัก บรรยากาศแปลกๆ ที่รายล้อมอยู่เตือนเขาว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเท่าไร

“ตกลงจะไปอ่านข้างนอกมั้ย” วินยังถามถึงเรื่องเดิม แอบเห็นว่าอีกฝ่ายเอามือลงไปไว้บนตักอย่างแนบเนียน

“ไม่หรอก นัดเพื่อนไว้ที่นี่ด้วย”

 “อ้อ...โอเค” หนุ่มเซ็กซี่บอยรับคำแล้วหันกลับมาสนใจหนังสือของตัวเองต่อ

“วิน” ตากลมมองคนตรงข้ามที่เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียกอีกครั้ง “ถ้ามีธุระ ก็ไปก่อนก็ได้นะ”

คนฟังยิ้ม “ไม่มีหรอก ถึงมีก็อยู่ได้ เราอยากอยู่”

ภาคภูมิลอบถอนหายใจ ...อยู่กันคนละเกมภาษาสินะ



ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ไลน์กลุ่ม F4 ก็มีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชิงชิงเป็นคนแรกที่พิมพ์เข้ามาว่าเรียนเสร็จแล้ว จากนั้นแก้วกับปอก็ส่งสติกเกอร์ตามมาติดๆ ภูมิจึงบอกจุดที่นั่งรออยู่ในเพื่อนๆ ตามมาสมทบ เพราะเย็นนี้พวกเขามีนัดทำรายงานด้วยกัน แต่จะพูดว่า ‘ด้วยกัน’ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะต่างคนต่างทำของตัวเอง แม้จะเป็นวิชาเดียวกันก็ตาม

หนุ่มเภสัชเห็นคนตรงข้ามพิมพ์ข้อความอย่างขะมักเขม้น จึงรู้ว่าเพื่อนเด็กปรัชญาน่าจะมากันแล้ว เมื่อเห็นจังหวะที่ภาคภูมิเงยหน้าขึ้นจึงถามออกไป “เพื่อนเลิกเรียนแล้วเหรอ”

“อื้อ เดี๋ยวพวกมันมากันที่นี่ ต้องทำรายงานกันยาวเลย”

“เหรอ” เสียงนั้นเหมือนใคร่ครวญอะไรครู่หนึ่ง “เรานั่งอยู่ต่อได้มั้ย กลับห้องไปก็ไม่มีเพื่อนอะ”

...ยังคงอยู่คนละเกมภาษาเหมือนเดิม

อยู่ๆ ภูมิก็รู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจในการอยู่ร่วมกับเพื่อนใหม่ ส่วนสาเหตุนั้นคงมาจากการพิสูจน์ความเย็นของมือที่อีกฝ่ายทำนั่นแหละ ไม่รู้สิ มันแปลกๆ มั้ยที่เพื่อนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันจะมาทำอะไรแบบนี้

เสียงฝีเท้าที่มาหยุดตรงโต๊ะทำให้คนนั่งอยู่ก่อนต้องเงยหน้าขึ้น ภูมิจึงได้เห็นว่านอกจากเพื่อนของตัวเองแล้ว ยังมีสาวผมสั้นอีกคนปรากฏอยู่ด้วย ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป ร่างสูงโปร่งที่จ้องเขาอยู่ก็รีบพูดขึ้นมาก่อน

“โต๊ะเต็มอะ เลยชวนพี่จ๋ามานั่งด้วย”

“ได้ครับๆ นั่งด้วยกันนี่แหละพี่” ภาคภูมิลุกขึ้นแล้วหันไปขอเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาเพิ่มเติม ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหันไปเห็นเด็กเภสัชผู้เคยตกเป็นหัวข้อสนทนาในกลุ่มเด็กปรัชญานั่งอยู่ด้วย ใบหน้าหล่อๆ พยักหน้าให้รุ่นพี่พลางเอ่ยทักทายในฐานะที่เคยได้รับการเอื้อเฟื้อเสื้อยืดเมื่อตอนงานคเณศ

พี่จ๋าเลือกนั่งหัวโต๊ะซึ่งวางเก้าอี้อยู่หนึ่งตัว พอเห็นดังนั้นวินเลยย้ายตัวเองจากที่นั่งตรงข้ามภาคภูมิไปอยู่ตรงหัวโต๊ะอีกด้านด้วย ปล่อยให้ที่นั่งฝั่งละสองที่เป็นของสี่หนุ่มปรัชญาตามมารยาท แก้วกับชิงชิงเดินอ้อมไปนั่งด้วยกัน ที่สุดท้ายข้างภูมิจึงเป็นของปรนัยไปโดยปริยาย พอจัดแจงที่นั่งได้ลงตัว ทั้งหมดก็เริ่มสนใจในงานของตัวเองทันที นานๆ ครั้งสี่หนุ่มจะปรึกษางานกันบ้าง ซึ่งมีอยู่สองสามประเด็นที่พี่จ๋าช่วยอธิบายเพิ่มเติมในฐานะคนที่เรียนมาก่อน ส่วนเด็กต่างคณะหนึ่งเดียวก็นั่งเงียบๆ อ่านหนังสือของตัวเองไป

“มือเย็นจัง” ภาคภูมิหันไปตามเสียงกระซิบจากคนข้างๆ เมื่อครู่นี้ปลายนิ้วตนเองคงไปโดนมือของเพื่อนสนิท อีกฝ่ายจึงได้ทักออกมาอย่างนั้น

“อือ กูจะเป็นเอลซ่าแล้วเนี่ย”

“เลท อิท โก มั้ยล่ะมึง” พูดจบเสียงทุ้มก็ปล่อยหัวเราะดังลั่นจนมือเย็นๆ ต้องรีบเอื้อมมาปิดปากไว้ ก่อนสายตาพิฆาตจากโต๊ะข้างๆ จะส่งมาถึง

“โทษๆ ลืมตัว” ปรนัยดึงมือที่ปิดปากตนเองออก ขณะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะไปด้วย อีกฝ่ายขมวดคิ้วทำปากจิ๊จ๊ะ เป็นอันว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่เขาเผลอทำเสียงดัง แต่พอนึกถึงภาคภูมิในชุดเอลซ่าแล้วก็พานจะขำออกมาอีกรอบ ทว่าเจอตาเขียวปั๊ดที่มองมาเสียก่อน ร่างสูงเลยควบคุมตัวเองได้ทันควัน

หนุ่มเภสัชหนึ่งเดียวในโต๊ะลอบมองเพื่อนใหม่กับคนข้างๆ เล่นกันด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ ไม่รู้คุยอะไรกัน แต่เสียงหัวเราะคิกคักกับมือใหญ่ๆ ที่คว้ามือของภาคภูมิไว้ก็ทำให้หัวใจคันยิบๆ นึกอยากพูดอะไรออกไปเหมือนกัน แต่พอเห็นคนอื่นๆ ในโต๊ะไม่มีทีท่าอะไร เลยคิดเอาว่าเด็กอักษรเค้าคงเล่นกันแบบนี้ประจำ

“มึงหนาวเปล่า” นึกขึ้นได้ว่าใส่เสื้อกันหนาวของเพื่อนสนิทอยู่ ร่างโปร่งจึงทำท่าจะถอดเสื้อคลุมออกเดี๋ยวนั้น

“เฮ้ยๆ มึงใส่ไว้เถอะ กูโอเค”

ถึงเจ้าของเสื้อจะตอบอย่างนั้น แต่ภาคภูมิก็ยังยื่นเสื้อคลุมคืนอีกฝ่ายอยู่ดี คราวนี้ปรนัยเป็นฝ่ายจิ๊ปากอย่างขัดใจบ้าง ยิ่งเห็นภูมิลูบแขนเพราะความหนาวเย็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอีกฝ่ายไม่น้อย หลังพยายามบังคับให้คนหนาวกว่าใส่เสื้อเหมือนเดิมไม่สำเร็จ มือหนาจึงคลี่เสื้อวอร์มออก แล้วห่มคลุมแขนของตัวเองและคนข้างๆ เสียเลย

ภูมิมองการกระทำของเพื่อนสนิทแล้วก็ได้แต่นิ่งงัน เสื้อคลุมนั้นลดความหนาวได้ก็จริง แต่ไม่ทำให้อุ่นได้เท่าร่างสูงๆ ที่เขยิบเข้ามาใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว


กว่ารายงานจะเสร็จก็เล่นเอาหอสมุดเกือบปิด พี่จ๋าขอตัวกลับไปตั้งแต่หกโมงเย็นแล้ว ถ้าจะระบุช่วงเวลาให้ชัดเจนอีกนิด ก็คือหลังจากปรนัยขำกับมุกเอลซ่าและแชร์เสื้อกันหนาวกับภาคภูมิได้ไม่นานนั่นแหละ ตอนนั้นทุกคนกำลังอินกับการเขียนงานมากจนไม่ทันได้สนใจอะไร แต่พอผ่านไปสักพักภาคภูมิก็รู้สึกว่าท่าทางพี่จ๋าตอนบอกลานั้นไม่ค่อยดีเท่าไร เลยคะยั้นคะยอให้ปอไลน์ไปถามรุ่นพี่อยู่ในตอนนี้

“เค้าไม่ได้เป็นอะไรหรอก” ตอบเป็นรอบที่ห้า แต่คนขี้กังวลก็ยังไม่เลิกเซ้าซี้ “แล้วนี่ทำไมอยู่ๆ ก็ห่วงเค้าขึ้นมา ตอนแรกเห็นตึงกับเค้าจะตาย”

ภูมิทำหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามไหนก่อน สุดท้ายเลยย้อนอีกฝ่ายบ้าง “แล้วตอนแรกก็เห็นมึงเล่นกับเค้าดีๆ ทำไมตอนนี้ทำเย็นชาใส่เค้าจัง”

แก้วที่ฟังเพื่อนเถียงกันมาสักพักเริ่มเอือมระอา “ไว้ไปคุยกันต่อที่ร้านมั้ย กูหิว”

ระฆังคั่นยกทำเอาทั้งปอและภูมิต้องละบทสนทนาชั่วคราว หนุ่มต่างคณะเพียงหนึ่งเดียวจึงพูดขึ้นมาบ้าง “งั้นเรากลับก่อนนะ”

คราวนี้ทุกคนหันไปมองเพื่อนใหม่ด้วยความตกใจนิดๆ “อ้าว นึกว่ากลับไปแล้ว”

ประโยคนั้นปรนัยพูดแบบไม่ได้ประชด เพราะความเงียบของวินทำให้เขาลืมไปจริงๆ ว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วย พอเห็นคนโดนทักยิ้มหน้าเจื่อนๆ เสียงทุ้มจริงต้องรีบพูดแก้ความเข้าใจเสียใหม่

“เฮ้ยๆ ไม่ได้หมายว่าอย่างนั้นนะ แต่มึงเงียบมากไง เอ้อ...ไปกินข้าวด้วยกันดิ”

ภูมิแอบมองเพื่อนสนิทกับเพื่อนใหม่คุยกัน เชี่ยปอแม่งผีเข้าแน่ๆ ที่กับพี่จ๋าล่ะเฉยชา ทีกับวินดันมาพูดดีด้วย

แม้คนอื่นๆ จะบอกให้เด็กเภสัชไปกินด้วยกัน แต่วินก็คิดว่าคงไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะไปกับแก๊งนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่ภูมิยังไม่มองหน้าเขาตรงๆ เหมือนเดิม


 
   ร้านที่สี่หนุ่มยกขบวนไปกินคือร้านอาหารตามสั่งริมทางแถวๆ หน้ามอ หลังสั่งเมนูกันครบ ไอ้แก้วก็กระแอมเสียงดังจนคิดว่าแม่งควรไปซื้อยาละลายเสมหะมากิน

“มีไรก็พูดมา กระแอมซะกูกลัวลูกกระเดือกมึงจะหลุด” ปอพูดเสียงเบื่อๆ ลีลามากจริงไอ้ห่านี่

“ไอ้ปอ ไอ้ภูมิ” แก้วชี้หน้าเพื่อนตัวดีที่มีประเด็นจนเขาไม่พูดไม่ได้ “กูเห็นนะ ในห้องสมุดอะ”

จำเลยสองคนมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปถามคนพูด “อะไรวะ”

“เหอะ!” อีกฝ่ายทำเสียงขึ้นจมูก “แอบจับมือกันใต้เสื้อใช่มะ!”

“หาาาาาาาา” คนถูกกล่าวหาว่ามีกิจกรรมใต้ร่มผ้าร้องเสียงหลง

“กูไม่อยากจะพูดในโต๊ะ เดี๋ยวพี่จ๋ากับไอ้วินตกใจ”

   “เอ่อ...เรื่องนั้นกูไม่ได้สังเกตนะ” ชิงชิงทำหน้าแหยขณะพูดขึ้นมาเสียงเบา “แต่ไอ้วินกับพี่จ๋าแม่งทำหน้าเหวอจริงๆ ว่ะ”

   “เดี๋ยวนะ” ภาคภูมิพูดแทรกขึ้นมาในที่สุด “อย่างแรก กูไม่ได้จับมือกัน เพราะฉะนั้น... อย่างที่สอง เรื่องวินกับพี่จ๋าทำหน้าเหวอก็ไม่ใช่เพราะพวกกูแน่ๆ”

   “เดี๋ยวนะ” ชิงชิงพูดเลียนแบบ “ถึงมึงจะไม่ได้จับมือกัน แต่ก็ไม่ได้ความว่าสองคนนั้นเค้าจะไม่ได้หน้าเหวอเพราะพวกมึง”

   “เดี๋ยวนะ” คราวนี้ปรนัยเอาด้วย “นี่มันเรื่องอะไรกันวะ”

   ชิงชิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทำท่าราวกับกำลังจะพูดสิ่งสำคัญ “กูไม่เห็นว่าใต้เสื้อนั่นพวกมึงทำอะไร แต่กูเห็นว่าพวกมึงแอบหัวเราะด้วยกัน แล้วไอ้ปอดึงมือไอ้ภูมิออกจากปากมาจับไว้ แล้วที่พีคที่สุด...” ปลายเสียงเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง “มึงยิ้มให้กันด้วยสายตา”

   “เชี่ยยยยยย” ภาคภูมิอุทานเสียงดังลั่น หน้าพานร้อนขึ้นมาโดยที่ยังแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นเพราะฉากนิยายที่เพื่อนพูด หรือมันได้เกิดขึ้นจริงๆ

   “กูถามจริงๆ นะ” ชิงชิงพูดต่อ “มึงสองคนคิดอะไรกันปะ”

   สิ้นคำถามนั้นทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ

   “...เหยดแหม่ กูแค่เปิด แต่มึงยิงเข้าจุดตายเลยนะเชี่ยชิง” แก้วส่ายหัวปลงๆ ในเวลาแบบนี้ไอ้ห่าชิงมักตลบหลังได้แรงกว่าเสมอ “อ่าวเฮ้ย แล้วพวกมึงจะเงียบทำไม ไม่ใช่ก็ปฏิเสธดิ”

   ภูมิลอบมองหน้าคนที่ถูกกล่าวหาร่วมกัน ในเวลานี้ใบหน้าที่เคยยียวนกลับเรียบสนิท ดวงตาคมหลุบต่ำจนไม่อาจเห็นว่าสายตาของปรนัยเป็นอย่างไร ...พออีกคนไม่พูด เขาก็เลยไม่กล้าพูดไปด้วย

   เพราะลึกๆ ในใจ ก็คล้ายจะภาวนาให้สิ่งที่ชิงชิงถามเป็นความจริงเช่นกัน

   “เชี่ย...” แก้วอุทานออกมาแผ่วเบา “ตกลงพวกมึง...”

   “พีพี” อยู่ๆ คนนั่งเงียบก็เรียกชื่อคู่กรณีขึ้นมา ทำเอาภาคภูมิแอบลุ้นตัวโก่งว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร “ตะกร้าตรงมึงมีส้อมปะ”

   “โธ่เว้ยยย!!” ชิงชิงร้องอย่างหงุดหงิด ไอ้ห่านี่คร่อมจังหวะตลอดๆ

   “อะ” แม้จะเหวอไปเล็กน้อย แต่มือเรียวก็ยังส่งส้อมให้เพื่อนสนิทตามที่ถูกขอ

   “นี่เราอยู่ในเกมภาษาเดียวกันนะเนี่ย” คนรับส้อมพูดขึ้น น้ำเสียงสบายๆ ราวกับไม่ได้ยินคำถามจากไอ้ชิงมาก่อน

   “มึงจะมาวิตต์เกนสไตน์อะไรตอนนี้” ไอ้แก้วบ่นเสียงสูง

   ทว่าปรนัยกลับพูดไปอีกทาง “ข้าวมาแล้ว กินกัน”

   “ห่าปอเอ๊ยยยย ตอบมาเดี๋ยวนี้เลย”

   คราวนี้ภาคภูมิหลุดขำออกมา เมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่เพื่อนสนิทกำลังจะสื่อ

   “แก้วๆ” นิ้วเรียวสะกิดเรียกเพื่อนที่นั่งตรงข้าม “ประโยคเมื่อกี๊ มึงไม่ได้อยู่ในเกมภาษาเดียวกับไอ้ปอเหรอ”

   “ทำไมวะ” อีกฝ่ายทำหน้างง

   “ก็ไอ้ปอมันหมายถึง” เรียวปากบางคลี่ยิ้ม “ให้มึงหยุดเสือกไง”

   “ไอ้เชี่ยยยยยย พวกมึงสองคนนี่แม่ง!!” คนโดนหลอกด่าโวยวายหัวฟัดหัวเหวี่ยง ในขณะที่สองเพื่อนซี้หัวเราะชอบใจที่แท็กทีมกันแกล้งเพื่อนได้

   วงข้าวกลับมาสงบอีกครั้ง แก้วกับชิงชิงเลิกสนใจประเด็นที่เคยถามไปแล้ว เนื้อหาที่พูดคุยกลายเป็นเรื่องกระทู้เที่ยวงบน้อยในพันทิปแทน ทว่าคำถามนั้นยังคงล่องลอยอยู่ในใจของภาคภูมิแบบไม่สามารถสลัดให้ออกไปได้ เพราะไม่เพียงแต่ไอ้แก้วที่ไม่เข้าใจ แต่เขาก็ยังสงสัยว่า ถ้าไม่คิดอะไร ทำไมไอ้ปอถึงไม่ปฏิเสธไปเสียเลย


   ส่วนตัวเขานั้นตอบได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะว่า ‘คิด’ นี่ไง ถึงปฏิเสธออกไปไม่ได้เลย!



TBC.


--------------------------------


สวัสดีค่า
วันนี้มาเริ่มเรียนวิชาใหม่กับปรัชญาภาษากันนะคะ
ไม่ยากหรอกเนอะ /เหรออออ ก้มมองเกรดตัวเอง 555555

ไว้เจอกันตอนต่อไปค่ะ  :bye2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ความเฟรนด์ลี่ของปอ ทำให้พี่จ๋า ติดหนึบ
ความน่ารักของภูมิ ก็ดึงวินมาติด เหมือนกัน
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
รอลุ้นกันต่อไป  ยาวๆ  ด้วย  ปากแข็งกันอยู่

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อย่างพีพีนี่คงต้องรอให้ปอพูดก่อนสินะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ sunshine538

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
น้องพีพีผู้น่าสงสาร... เข้าใจอารมณ์เหมือนจะมีความหวังแต่ไม่กล้าคาดหวังของน้องมาก อิปอนี่มันไม่ชัดเจนจริงๆ  :katai1:

ชอบการเล่นเกมภาษาในตอนนี้ ถึงว่า บางคนคุยกันนิดเดียวรู้เรื่อง บางคนคุยด้วยแล้วไม่เข้าใจตรงกันเสียที นี่คือผลของการอยู่/ไม่อยู่ในเกมภาษาเดียวกันสินะ

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แก้วกับชิงชิงทำดีมาก ต้อนเข้าไป ๆ ผู้ร้ายจะปากแข็งได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว
สงสารวินกับพี่จ๋าจริง ๆ เลยนะ เวลาสองคนนี้เขาอยู่ในโลกส่วนตัว คนอื่นกลายเป็นอากาศ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ทำไมขำ 5555

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
นึกว่าขอส้อมจะเอาไปแทงเพื่อน55555

ออฟไลน์ mefayysuju

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปอก็คงจะสับสนไม่ใช่น้อยนั่นแหละ โถ่เอ้ยยยยย

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ชอบเรื่องนี้ อาจแล้วได้ความรุ้เพิ่ม จริงๆเคยใช้เกมภาษาพวกนี้นะ แต่ไม่รุ้ว่ามันมีทษฏีอะไรแบบนี้ด้วย เก๋ดีอ่ะ


อยากลองเอาไปเล่นแบบจริงจัง



5555 ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
#10 ความฝัน l ความจริง


‘ตื่นนนน’

‘วันนี้จะติวอิ๊งป่าว’

‘จะสอบอาทิตย์หน้าใช่มะ’

‘อ่านโนเวลจบยัง’

‘พี่จะไปทำรายงานที่ภาคตอน 11 โมง’

‘นี่ ตื่นยัง’

‘พี่อยู่ถึงบ่ายสามนะ’

‘จะติวก็รีบๆ มา’



   ปรนัยตื่นขึ้นมาตอน 8 โมงเช้าไม่ขาดไม่เกิน ก่อนจะสบถอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ โทรศัพท์ในมือมีข้อความจากแอปฯ ไลน์ยาวเป็นพรืดเต็มหน้าจอ อ่านคร่าวๆ ไม่ทันจับใจความได้ก็เปลี่ยนใจโยนมือถือกลับไปข้างหมอน พยายามจะหลับต่อ แต่ความปวดมวนท้องก็จู่โจมจนสุดท้ายต้องยอมลากร่างตัวเองไปเข้าห้องน้ำ

   หลังจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยจึงคว้าโทรศัพท์มาเล่นอีกครั้ง ไลน์จากพี่จ๋าที่ส่งมาตั้งแต่ 7 โมงยังเปิดค้างอยู่ เช้าๆ แบบนี้เขาไม่ค่อยตอบข้อความใครเพราะสติสตังยังไม่เข้าที่ และตอนนี้ต่อมการตัดสินใจของเขาก็เหมือนยังไม่ทำงาน เพราะแค่ให้เลือกระหว่างจะไปหรือไม่ เขาก็ยังไม่แน่ใจเลยสักนิด สุดท้ายแชตไลน์จึงถูกทิ้งให้ขึ้น Read อยู่อย่างนั้น เพราะเจ้าของมือถือเปลี่ยนมาอ่านข่าวสารผ่านหน้าฟีดเฟซบุ๊กแทน

   สไลด์หน้าจอโทรศัพท์จนครบทุกโซเชียลแล้ว ร่างสูงโปร่งก็เริ่มคิดจะไปก่อกวนคนอื่นต่อ แอปพลิเคชันสนทนาถูกเปิดอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายพุ่งไปยังรายชื่อที่ปักหมุดไว้บนสุด ตั้งแต่กดวิดีโอคอลผิดคราวนั้น การสื่อสารแบบเห็นหน้าอีกฝ่ายก็กลายเป็นวิธีที่ปรนัยชอบใช้ไปโดยปริยาย

   สัญญาณรอการตอบรับดังยาวจนคนต้นทางเกือบตัดใจกดวาง หากแล้วในที่สุดเสี้ยวหน้ายุ่งๆ กับตาปรือปรอยข้างหนึ่งก็ปรากฏบนจอ แสดงว่าปลายสายยังไม่ตื่นดี และไม่แน่ว่าที่กดรับนี่อาจละเมอด้วยซ้ำ

   “น้องพีพี เก้าโมงแล้วครับ” เสียงยียวนกวนประสาทส่งไปยังคนที่ซุกหน้ากับหมอน หัวทุยๆ นั่นขยับขึ้นลงเหมือนตอบรับ แต่ก็ยังไร้สุ้มเสียงใดๆ ตอบกลับมา

   “ตื่นเร็วมึง! เมื่อคืนโม่การ์ตูนไปกี่เล่มเนี่ย” หลังคำถามนั้น ปอก็ได้เห็นนิ้วเรียวๆ ชูขึ้นมาสี่นิ้วเรียงกัน “สี่?”

   อีกฝ่ายส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก

   “สิบสี่?!”

   เสียงร้องดังลั่นทำให้ใบหน้าขาวของคนหลับต้องเงยขึ้นพร้อมเปลือกตาตุ่ยๆ ที่ค่อยๆ เปิดขึ้นมองจอ “เอออออ กูเพิ่งได้นอนนน วางนะ ฮือออ”

   “วางเชี่ยไร ตื่นเร็ว! ไปอาบน้ำ!”

   “ม่ายยย กูจานอนนนน”

   ปรนัยอยากจะยื่นมือผ่านจอไปดึงแก้มขาวๆ นั่นสักที คนห่าไรลืมตามาคุยแล้วยังเสือกจะนอนต่อ

   “พีพี! ตื่นเดี๋ยวนี้!”

“โอ๊ยยยย!! มึงจะ ’วีโอ มาไมเนี่ย อยากทักทายขี้ตากูใช่มะ!!” บ่นอุบแล้วก็ขยับมือถือจนเข้ามาชิดลูกตาตัวเอง “ขี้ตาจ๋า เรียกเชี่ยปอสิลูกกกก”

“ฮ่าๆๆๆ สัด! โคตรเพี้ยน ลุกเร็ว ไปกินร้านเฮียงกัน”

   “...เฮียงเหรอ” หน้ายุ่งดูครุ่นคิดเมื่อได้ยินชื่อร้านโปรด

   “เออ เพิ่งเห็นคนโพสต์เนี่ย โคตรน่ากิน เป็ดหนังกรอบๆ เนื้อนุ่มๆ หมูกรอบก็ชิ้นโคตรใหญ่ นี่กูก็ว่าจะสั่งพิเศษสักสองจาน แดกแม่งให้สะใจ มึงไม่ไปใช่มะ เคๆ แค่นี้นะ”

   “เดี๋ยวๆๆๆ” คราวนี้คนง่วงกลายเป็นตื่นเต็มตา “ใครบอกว่ากูไม่ไป”

   ปลายสายกลั้นขำ ใบหน้าคมแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “อ้าว ก็เห็นมึงง่วง นอนดึกไม่ใช่เหรอ”

   “กูตื่นแล้วววว ไปด้วยยยย”

   “ฮ่าๆๆๆ เร็วๆ เลย อีกสิบนาทีกูไปรับ”

   พอเข็นไอ้ตัวขี้เซาไปอาบน้ำได้สำเร็จ ก็คิดว่าน่าจะชวนแก้วกับชิงชิงไปด้วย ขณะไล่หาชื่อกรุ๊ปในไลน์คนลังเลก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาอีกรอบ แค่คิดว่าต้องตอบคำถามพวกมันว่าไปกับใคร ไปกี่คน มีแพลนอะไรบ้าง ไหนจะต้องรอพวกมันอาบน้ำแต่งตัว เผลอๆ ใช้เวลาคิดสองชั่วโมงแล้วตอบว่าไม่ไปอีก ร้านเฮียงคงปิดก่อนพอดี ร่างสูงจึงยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง แล้วหันไปจัดชีทวิชาภาษาอังกฤษลงเป้แทน   


   
ระยะห่างระหว่างหอพักของปรนัยกับภาคภูมิไม่ได้ไกลกันมากนัก หลายๆ ครั้งปอจึงอาสาเป็นคนไปรับไปส่งเพื่อนสนิทแทนที่จะให้มันปั่นจักรยานเอง เพราะเป็นที่รู้กันว่าทักษะการข้ามถนนของไอ้ภูมิอยู่ในขั้นวิกฤต ยิ่งถนนใหญ่หน้ามหา’ลัยที่มีรถเหยียบ 120 ตลอดเวลานี่ไม่ต้องพูดถึง แม่งรอให้รถทั้งจังหวัดติดไฟแดงพร้อมกันนั่นแหละถึงจะขี่ข้ามไปได้ 

   “เชี่ยยย รถบรรทุกเมิ้งงงง ใจเย้นนนน” คนกลัวการข้ามถนนร้องลั่นเมื่อจักรยานที่ตนเองซ้อนขี่ตัดหน้ารถใหญ่มาหมาดๆ

   “ห่างเป็นกิโล มึงจะกลัวทำไมฮะ” คนขี่ตอบ

   “ก็มันมาเร็วอะ” บ่นอุบขณะที่สองมือก็กำเสื้อเพื่อนแน่น ทำยังไงก็ไม่ชินเสียที ขนาดอยู่มาสามปีแล้วนะ

   “มึงเชื่อใจกูดิ ถ้าอันตรายจริงก็ไม่ข้ามหรอก กูกลัวตายเหมือนกันนะเว้ย”

   สัมผัสเบาๆ จากหน้าผากเล็กที่พิงกับลาดไหล่ตนเองทำให้ปรนัยเสียงอ่อนลง “อะๆๆ ครั้งหน้าจะระวังมากกว่านี้นะ...”

   ผ่านการจราจรเสี่ยงตายมาได้ ก็ต้องมาผจญกับคิวหน้าร้านดังข้างมหา’ลัยอีก ดีว่ามากันแค่สองคนเลยลัดคิวไปนั่งโต๊ะเล็กได้ คนรอขนาดนี้นี่มัน ‘After เฮียง’ ชัดๆ

   “เอาข้าวหน้าเป็ดหมูกรอบใส่ไข่พิเศษครับ แล้วก็เก็กฮวยสอง” คนที่คิดเมนูมาจากห้องร้องสั่งทันที ก่อนจะหันไปถามเพื่อนที่ดูยังตัดสินใจไม่ได้ “มึงเอาข้าวไร”

   “อ่า...” คนคิดช้าอ้ำอึ้ง

   “เอาไรน้อง ไก่หมด หมูแดงหมด เฮ้ยเฮีย! เป็ดได้อีกกี่จาน!” เจ้าของร้านที่รับออร์เดอร์ตะโกนถามพี่ใหญ่สุดที่ยืนสับเป็ดอยู่ด้านหน้า “ฮะ!! สองจาน!! เออๆ ...น้องเอาเปล่า จานสุดท้าย”

   เสียงทรงพลังเอ่ยถามแบบนั้น ทำให้ภาคภูมิรีบตอบอย่างกลัวๆ “ครับๆ เอา...เอาทุกอย่างที่มีเลยครับ”

   “เค! เป็ดกรอบไข่พิเศษหนึ่ง! รวมหนึ่ง! เก็กฮวยสอง! โต๊ะสาม!” ออร์เดอร์ถูกตะโกนไปบอกคนที่ยืนหั่นเป็ดหั่นหมูอยู่ด้านหน้า ภูมิหดคอทำหน้าแหยกับเอกลักษณ์สุดโหดของร้านอร่อยประจำย่านนี้

   “ฮ่าๆๆ โหดสัดเหมือนเดิม” ปอหัวเราะ เสียงเฮียๆ เจ้าของร้านซึ่งมีกันอยู่สี่คนตะโกนออร์เดอร์ดังเป็นระยะ เค้าว่ากันว่าความโหดนี้อยู่คู่กับร้านเฮียงมาตั้งแต่รุ่นพ่อ จริงๆ ถ้าตัดเรื่องเสียงดังโผงผางออกไป ร้านนี้ก็บริการไม่ได้แย่ บางทีมาตอนใกล้ปิดร้านเฮียแกยังแถมให้อีก

“เก็กฮวยครับ” เด็กเสิร์ฟเอาน้ำหวานที่สั่งมาให้ สองคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่จึงเงยหน้าขึ้นมามอง

“แตงกวา?!”

“คะ...ครับ” รุ่นน้องปีหนึ่งทำหน้าเหรอหรา ก่อนแววตาจะเปลี่ยนไปเมื่อจำได้ว่าลูกค้าโต๊ะนี้คือรุ่นพี่เอกตัวเอง “ส...สวัสดีครับพี่”

“ทำงานที่นี่เหรอ” เป็นภาคภูมิที่ถามก่อน เพราะช่วงงานคเณศก็เคยเจอกันอยู่

“ครับ มาทำจ็อบพิเศษครับ” เด็กชายตัวผอมยกถาดขึ้นกอดขณะยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงโต๊ะพวกเขา

ปรนัยเห็นท่าทางอึดอัดของรุ่นน้อง จึงบอกตัดบท “ไว้ค่อยคุยกันก็ได้ น้องไปทำงานเถอะ”

แตงกวาค้อมหัวลงก่อนจะรีบเดินจากไปโดยเร็ว
พอเห็นว่าคนที่บังเอิญเจอไม่ได้อยู่แถวนี้แล้วภูมิจึงกระซิบกับเพื่อนสนิท “ตกลงคนที่โดนทำร้ายวันนั้นใช่แตงกวาปะวะ”

“เออ ยังไม่ได้คุยกับอาจารย์กฤตเลย แต่กูไม่เห็นเจอน้องมันที่หออีกเลยนะ”

“เหรอ หรือจะไม่ใช่มัน”

ข้าวสองจานมาเสิร์ฟพอดี เพื่อนซี้เลยหยุดการสนทนาไว้แค่นั้น หากสายตายังคงแอบมองร่างเล็กๆ ที่ถือถาดเดินเสิร์ฟน้ำไปทั่วร้าน ดูขยันและแข็งแรงกว่าที่คิด

“เออมึง” ปอเรียกคนที่ตั้งใจกินข้าวหน้าสรรพสัตว์ของตัวเอง “กินข้าวเสร็จไปหอสมุดกันปะ ติวอิ๊งให้หน่อยดิ”

“โนเวลเหรอ”

“ช่าย”

คนถูกถามนิ่งไปแป๊บหนึ่ง “ไปอ่านห้องกูได้ปะ พอดีกูต้องพิมพ์งานอะ ขี้เกียจยกโน้ตบุ๊กไปด้วย”

“ได้หมด หรือค่อยดูให้กูเย็นนี้ก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไร เผื่อเย็นๆ จะไปไหน”

 “เค”

เพราะตกลงกันดังนั้น หลังเช็กบิลเรียบร้อย สารถีจึงต้องปั่นจักรยานกลับไปทางเดิมเหมือนตอนขามา ต่างกันที่คราวนี้คนขี่ดูจะลดความประมาทยามข้ามถนนลงไปเยอะ คือรอจนไม่มีรถสักคันในระยะสายตานั่นแหละถึงจะข้าม

Rrrrrrrrrr…

“พีพี รับโทรศัพท์ให้หน่อยดิ” คนปั่นหันมาบอกกับคนซ้อน

“ไหนอะ”

“ในเป๋าเกงซ้ายเนี่ย หยิบแล้วรับให้หน่อย”

มือเรียวพยายามหยิบโทรศัพท์ที่สั่นครืดๆ ออกมาได้สำเร็จ แต่พอเห็นชื่อคนโทรเข้าแล้วก็เกิดไม่แน่ใจขึ้นมา “มึง...พี่จ๋าอะ”

“อ้อ...” ปอร้องเหมือนนึกขึ้นได้ “รับเลยๆ”

ภาคภูมิถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายยืนยันคำเดิม ก่อนจะสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย

   “ฮัลโหลครับ ...อ่า นี่ภูมิเองครับ ปอขี่จักรยานอยู่”

   “อ้าว ไปไหนกัน” ปลายเสียงถามอย่างแปลกใจ

   “จะไปอ่านหนังสือกันอ่าครับ” ตอบเพียงเท่านั้น โดยละสถานที่เอาไว้ “ภาษาอังกฤษครับ ไอ้ปอให้ช่วยติวโนเวล”

   คราวนี้ปลายสายเงียบไปจนภูมิต้องเรียก “พี่จ๋าครับ...”

คนถูกเรียกหัวเราะเจื่อนๆ “โอเคจ้ะ งั้นแค่นี้น้า”

“เดี๋ยวให้ปอโทรกลับนะครับ” คนรับโทรศัพท์แทนไม่ลืมบอกก่อนวาง

หากอีกฝ่ายปฏิเสธว่าไม่เป็นไร แล้ววางไปแบบที่คนรับยังงงๆ แต่ไม่ทันที่ภาคภูมิจะส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ หน้าจอที่มืดไปก็กลับสว่างขึ้นอีกครั้ง พร้อมข้อความแชตจากคนที่เพิ่งโทรมาเมื่อครู่

‘อ่านแล้วไม่ตอบ เพราะมีคนติวให้แล้วนี่เอง’



ถึงแม้ภาคภูมิจะอยู่หอพักแค่คนเดียวโดยไม่มีรูมเมต ทว่าของใช้ในห้องก็ยังถูกจัดมาสำหรับสองคนอยู่ดี อย่างโต๊ะเขียนหนังสือก็มีสองชุด แต่โต๊ะตัวที่ว่างนั้นถูกใช้วางของอยู่ พอจะใช้จริงเลยต้องมานั่งย้ายของออกไปให้หมด ตอนแรกปรนัยบอกให้ใช้โต๊ะญี่ปุ่นแล้วนั่งกับพื้น หากเจ้าของห้องกลัวคนตัวยาวจะปวดหลังตายก่อนอ่านหนังสือจบ เลยลงทุนจัดโต๊ะให้ใหม่

แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปครึ่งชั่วโมงที่แล้วได้ ภาคภูมิคงนั่งทำรายงานสบายๆ และไม่คิดย้ายของให้เหนื่อย เพราะดูเหมือนว่าคนที่จะมาให้เขาติวหนังสือ กำลังติดภารกิจง้อคนสำคัญผ่านโทรศัพท์อยู่

“In response to the questions in your email, I am writing with further information…” ริมฝีปากบางพึมพำทวนประโยคที่ตนเองพิมพ์ค้างไว้เป็นรอบที่สิบ ยอมรับตามตรงก็ได้ว่าเสียงแว่วของเพื่อนสนิทที่คุยโทรศัพท์กับพี่จ๋าอยู่นอกระเบียงนั้นดึงความสนใจจากงานวิชา Business Writing ไปหมด จนภาคภูมิเริ่มจะประสาทเสีย

แม้อารมณ์จะพัง แต่งานก็ยังต้องเดินต่อ สุดท้ายเขาเลยต้องเปิดเพลงฟัง ให้เสียงดังกลบบทสนทนาที่ไม่อยากได้ยิน นั่งทำสมาธิอีกพักใหญ่ถึงได้เริ่มทำงานต่อ จนผ่านไปเกือบชั่วโมง อีเมลติดต่องานที่ต้องเขียนส่งอาจารย์ถึงได้เสร็จเรียบร้อย หากคนด้านนอกระเบียงก็ยังคุยธุระไม่จบเสียที

ร่างโปร่งยืนบิดตัวเพื่อคลายอาการเมื่อยล้าก่อนจะพาตัวเองไปนอนบนเตียงนิ่ม การ์ตูนเล่มที่อ่านค้างไว้ถูกหยิบขึ้นมาเปิดอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าจิตใจจะไม่อาจจดจ่อกับกิจกรรมที่ชอบได้เหมือนเดิม สุดท้ายมือเรียวก็ต้องยอมวางหนังสือที่อ่านไม่เข้าใจนั้นไว้ข้างเตียงเช่นเคย

เสียงหัวเราะสดใสที่ดังแว่วเข้ามา จนบทเพลงจากลำโพงคอมพิวเตอร์ก็ไม่อาจกลบทับ ทำให้ภาคภูมิต้องปิดเปลือกตาลง แล้วความร้อนผ่าวก็ค่อยๆ แผ่ซ่านจากในอกจนขึ้นมาถึงโพรงจมูก ก่อนจะกลายเป็นความอุ่นชื้นบริเวณหางตา

อยู่ๆ เขาก็เข้าใจอะไรได้บางอย่าง ว่าการที่ตนเองดูเหมือนเป็นคนสำคัญในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนเผลอคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป แต่แท้จริงแล้วระหว่างเขากับปรนัย คำว่า ‘ตลอดไป’ นั้นมีอยู่ในทางเลือกแค่สองทาง

คือติดอยู่ในความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

กับยอมรับความจริงที่ไม่มีทางเป็นเหมือนฝัน

...ก็เท่านั้นเอง

------------------------------------



กว่าปรนัยจะคุยโทรศัพท์เสร็จ ว่าที่ติวเตอร์ก็หลับอุตุไปเสียแล้ว ตารีเล็กจ้องมองร่างขาวบนเตียงแล้วอมยิ้ม แว่นทรงกลมที่ยังคงประดับบนหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงเผลอหลับไป ปอเดินเอาโทรศัพท์ที่แบตเหลือไม่ถึง 10% ไปชาร์จที่หัวนอน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มือใหญ่เอื้อมไปช่วยถอดแว่นของคนหลับออก แล้วจึงได้เห็นว่าภายใต้กรอบแว่นนั้นคือเปลือกตาบางที่ดูบวมช้ำจนคนมองต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

“อ่านการ์ตูนเยอะดิมึงอะ” ปลายนิ้วเอื้อมแตะแผ่วเบาบนเปลือกตาคู่นั้น พลางพึมพำกับคนหลับอย่างไม่ค่อยพอใจนักที่เจ้าตัวไม่ยอมรักษาสุขภาพ

ใบหน้าเล็กขยับยุกยิกเมื่อรู้สึกถูกรบกวน แถมคิ้วเรียวยังขมวดมุ่นพร้อมกับจมูกแดงระเรื่อที่ทำฟุดฟิดไปมา

“ฮึ่ยยยย!!” อดไม่ไหวเลยบิดปลายจมูกรั้นนั่นไปเสียทีหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าไอ้ตัวดีจะตื่น แต่คนหลับเพียงแค่ม้วนตัวในผ้าห่มและเขยิบหนีไปเท่านั้น

ร่างสูงเดินไปปิดเพลงจากคอมพิวเตอร์ แล้วพาตัวเองมานั่งอ่านหนังสืออย่างที่ตั้งใจ ชีตวิชาภาษาอังกฤษถูกกางบนโต๊ะพร้อมทอล์กกิงดิกเครื่องเก่า มือหนาเปิดไปยังบทสุดท้ายที่มีกระดาษโพสต์อิตคั่นไว้ คำถามที่เก็งไว้เองหลายข้อถูกลิสต์ลงในนั้น ปรนัยให้ความสำคัญกับวิชานี้อย่างมาก เพราะถ้าติด F อีกก็อาจจะจบไม่พร้อมเพื่อนรุ่นเดียวกัน และทุกๆ คนก็รู้ดี ทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่เลยพยายามช่วยเข็นเขาอย่างเต็มกำลัง อย่างพี่จ๋าที่ติวให้ตั้งแต่ปี 1 จนถึงตอนนี้ก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือมาตลอด

แต่เขาดันบอกไปแล้วว่า ต่อไปคงไม่รบกวนอีก...

ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ นวนิยายภาษาอังกฤษที่ซีรอกซ์มาปึกหนาก็จบลง คนอ่านลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกง่วงงุนจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ตอนแรกว่าจะล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น แต่ดูเวลาแล้วยังเพิ่งจะบ่ายแก่ๆ ร่างสูงโปร่งจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เตียงนอน ซึ่งตอนนี้มีร่างกลมๆ ของเจ้าของห้องนอนกลิ้งอยู่ตรงกลาง

“พีพี” เอ่ยเรียกด้วยเสียงไม่เบานัก คนหลับขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมตื่น คราวนี้ปอเลยเขย่าไหล่บางใต้ผ้าห่มเบาๆ “พีพี”
ดวงตาหรี่ปรือลืมขึ้นช้าๆ

“นอนด้วย” พูดกับคนกึ่งหลับกึ่งตื่นแล้วจึงทรุดตัวลงที่เตียง เสียงกุกกักทำให้รู้ว่าเจ้าของเตียงกำลังเขยิบตัวพร้อมลากผ้าห่มไปอีกด้าน เหลือพื้นที่พอประมาณให้อีกคนนอนได้

ถ้าจะพูดกันตามตรง ตั้งแต่รู้จักกันมาสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขามา ‘นอน’ ที่ห้องของเพื่อนสนิท ต่อให้ปาร์ตี้ดึกดื่นหรือติวสอบกันข้ามคืน แต่ไม่เคยมีใครค้างห้องใครทั้งนั้น ต่างคนต่างประคองตัวเองกลับหอทุกครั้งไป

‘มึงไม่แชร์ห้องกันวะ’ ไอ้แก้วเคยถามเขากับภูมิ เมื่อรู้ว่าต่างคนต่างก็อยู่คนเดียว

จำได้ว่าพวกเขาเพียงแต่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ และสุดท้ายก็ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น ไม่รู้สิ...เราคงไม่อยากนอนเอาหน้าแข้งสีกับผู้ชายคนอื่นปะวะ?

ปรนัยคิดแล้วก็ขำ ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงแบบที่ชอบ แล้วใบหน้าขาวๆ ที่ซ่อนครึ่งหนึ่งใต้ผ้าห่มก็เข้ามาอยู่ในระยะสายตา จมูกเล็กที่เชิดปลายขึ้นเล็กน้อยดูดื้อเงียบเหมือนนิสัยของเจ้าตัว กลายเป็นจุดที่สายตาคมเหม่อมองอยู่นาน แอร์เย็นๆ กับความอ่อนล้าที่สะสมมาตั้งแต่ตอนอ่านหนังสือทำให้เปลือกตาหนักๆ เริ่มปิดลง ก่อนใบหน้าคมจะซุกลงกับหมอนนุ่มที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายคนข้างๆ แล้วจึงหลับไปอีกคน


------------------------

(ต่อด้านล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2017 00:21:04 โดย lykar »

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
แดดร้อนๆ เมื่อตอนเที่ยงกำลังแปรเป็นพายุฝนเทกระหน่ำจนได้ยินชัดเจนแม้อยู่ในห้อง แต่นั่นไม่น่ารำคาญและทรมานเท่าอากาศหนาวเย็นด้านใน จนมือเรียวต้องกระชับผ้าห่... เอ๊ะ? ผ้าห่ม...ผ้าห่ม!!!

   ตากลมลืมขึ้นช้าๆ ในขณะที่สองมือก็ปัดป่ายหาผ้าผืนนุ่มที่เคยห่มคลุมร่าง ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ตามหานั้นถูกไอ้โจรที่หลับกลิ้งอยู่ข้างๆ ขโมยไป

   “เชี่ยปอ!!!” ตะโกนเรียกไม่พอ เท้าขาวๆ ยังถีบปั๊กตรงสีข้างของคนหลับเต็มๆ

   คนเจ็บสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพลางร้องโอดโอย “ถีบกูทำไมมมม”

   “หึ!” คนตื่นก่อนนั่งขัดสมาธิบนเตียง สองมือลูบแขนตัวเองเพราะความหนาว ก่อนจะนึกขึ้นได้ จึงคว้ารีโมตแอร์มากดปิดไปเสีย

   “หนาวเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ผ้าผืนนุ่มบนตัวบ่งบอกว่า เขาคงเผลอดึงผ้าห่มจากอีกคนมาเป็นของตัวเอง

   พรึ่บ!!

   มือหนาตวัดทีเดียว ผ้าห่มในมือก็ลอยไปคลุมร่างคนหนาวทั้งตัว “มาๆ นอนต่อนะ”

   เจ้าของห้องนั่งนิ่ง ตากลมหลุบมองต่ำจนคนข้างๆ ร้องถาม “พีพี เป็นไร”

   ใบหน้าเล็กส่ายเบาๆ

   “ตาบวม?” ปรนัยเอ่ยเหมือนไม่แน่ใจ ก่อนร่างสูงจะขยับเข้าไปใกล้คนข้างๆ ปลายนิ้วแตะลงบนเปลือกตาบางที่ตอนนี้บวมตุ่ยอย่างเห็นได้ชัด “กูว่าละ... นอนดึกดิมึง”

   คนโดนดุถอนหายใจ ได้แต่สะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกหนีไปเข้าห้องน้ำ พอมาส่องกระจกจริงๆ ถึงได้รู้ว่าตาของตัวเองบวมแดงจนน่าตกใจ และไม่ต้องสืบเลยว่าใครเป็นต้นเหตุ แต่พูดไปอีกฝ่ายก็คงไม่ได้รับรู้อะไรด้วย ภาคภูมิยืนจ้องหน้าตัวเองอยู่นาน พยายามรวบรวมสติและปรับอารมณ์ให้กลับเป็นปกติ ...เรื่องนี้โทษไอ้ปอคงไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วคนที่ทำให้ตัวเองเสียใจก็คือตัวเองไม่ใช่เหรอ?

   เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้คนที่กำลังง่วนอยู่ตรงหลังตู้เย็นต้องหันมามอง

   “มานี่” ปรนัยกวักมือเรียกเจ้าของห้อง พอคนถูกเรียกยังยืนเฉย มือหนาเลยคว้าข้อมือเล็กให้เข้ามาหาตัวเองแทน

   “อะไร?” ภูมิร้องถามด้วยความงงงวย ขณะทิ้งตัวลงนั่งกับขอบโต๊ะเขียนหนังสือ

   ร่างสูงของเพื่อนสนิทเดินไปที่ตู้เย็น ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำที่มีช้อนกินข้าวอยู่ข้างใน “สูตรลดตาบวม... มา หลับตาเร็ว”

   เปลือกตาช้ำปิดลงตามคำสั่ง ก่อนภาคภูมิจะรู้สึกถึงวัตถุเย็นเฉียบที่แตะลงกับเปลือกตา

   แรงสะดุ้งน้อยๆ จากความตกใจของเพื่อนสนิท ทำให้ปรนัยต้องเอื้อมมือไปจับร่างโปร่งนั่นไว้ “ในเน็ตเค้าบอกให้เอาช้อนแช่เย็น ประคบเปลือกตาสักพัก มันจะหายบวม”

   “จริงเหรอ” คนที่ยังหลับตาร้องถาม

   “ไม่รู้เหมือนกัน เห็นอุปกรณ์หาง่ายเลยลองดู”

   ภาคภูมินิ่งเงียบ ปล่อยให้กูรูส่วนตัวแตะหลังช้อนลงกับเปลือกตาเป็นระยะ จนน้ำแข็งในแก้วละลายหมด

   “น่าจะโอละ”

มือเรียวขยี้ตาตัวเองทันทีที่การประคบตาเสร็จสิ้น คนที่หันหลังไปเก็บของถึงกับร้องเฮ้ย แล้วรีบดึงมือยุกยิกนั่นออก “เดี๋ยวก็บวมอีกหรอก!”

   ดุไปปลายนิ้วโป้งของตัวเองก็ลูบเปลือกตาเย็นๆ ไปด้วย ตอนนี้อาการบวมลดลงบ้างแล้ว แต่ยังดูปรือๆ อยู่ น่าจะต้องรอสักพักถึงจะกลับสู่สภาพเดิม

   เจ้าของดวงตากลมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าใบหน้าคุ้นเคยของเพื่อนสนิทนั้นอยู่ใกล้จนสายตาไม่อาจปรับโฟกัสได้ชัดเจน ฉับพลันหัวใจก็เต้นรัวจนต้องพาตัวเองลุกหนีออกจากพื้นที่อันตราย “ขะ...ขอบใจ”

   “ไม่เป็นไรๆ” ร่างสูงถอยกลับมา แล้วคว้าอุปกรณ์หลังตู้เย็นไปไว้ที่ซิงก์ล้างจานนอกระเบียง

   ภูมิคงจะยืนจับหัวใจตัวเองอยู่อย่างนั้น หากไม่ได้ยินเสียงทุ้มตะโกนเข้ามาเสียก่อน “น้ำยาล้างจานหมดเหรอวะ”

   “เออ ลืมซื้ออะ” ตอบกลับไปเมื่อนึกขึ้นได้ “มึงไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกูล้างเอง”

   เสียงประตูระเบียงถูกเปิด ก่อนร่างสูงจะกลับเข้ามา “ฝนหยุดละ ไปโลตัสกันเปล่า”

   เจ้าของห้องหยุดคิดเล็กน้อย “...ไปดิ”


   ถึงจะไม่มีห้างสรรพสินใหญ่ๆ อยู่ในรัศมีของมหาวิทยาลัย แต่เรายังมีห้างคู่ใจของพ่อบ้านแม่บ้านอย่าง ‘โลตัส’ ให้พอได้ใจชื้น แต่การจะมาถึงตรงนี้ได้ ต้องผ่านถนนใหญ่ที่ใช้วิ่งข้ามจังหวัดเสียก่อน หลังปั่นจักรยานผ่านถนนสายโลกันตร์ที่เกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้ใต้ท้องรถบรรทุก สองหนุ่มแห่งภาคปรัชญาก็พาตัวเองมาอยู่ท่ามกลางของอุปโภคบริโภคมากมายได้สำเร็จ

   ปรนัยกำลังเข็นรถเข็นตามร่างโปร่งที่เดินหยิบครีมนวดผมยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ขึ้นมาดู นอกจากอ่านฉลากทั้งหน้าและหลังแล้ว คุณพ่อบ้านคนนี้ยังต้องเปรียบเทียบราคาต่อหน่วย เพื่อให้ได้ของที่คุ้มค่าที่สุดอีกด้วย
 
   “ได้แล้วเหรอ” ครีมนวดผมขวดหนึ่งถูกวางลงในรถ

   “เออ อันนี้เป็นสูตรล้างง่ายเว้ย ลดราคาด้วย”

   “เหรอๆ เอาให้กูด้วยขวดนึง”

   “มึงใช้ด้วยเหรอ” ภูมิถามอย่างแปลกใจ

   อีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิด “เออว่ะ แต่เผื่อมึงไปอาบน้ำห้องกูไง”

   แปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ยอมหยิบครีมนวดอีกขวดใส่รถเข็น “งั้นเอาสบู่เหลวด้วยได้ปะ”

   “เอาดิ มีแบบล้างง่ายอีกมั้ย”

   “เดี๋ยวดูก่อน แต่ที่กูใช้ก็โอเคนะ” พูดจบก็เดินนำไปยังล็อกครีมอาบน้ำที่อยู่ถัดไป “นี่ๆ อันนี้”

   ตารีเล็กหันมองตาม ก่อนจะรับสบู่เหลวขวดนั้นมาแล้วเปิดฝาดม “เออ หอมดี กลิ่นเหมือนมึงเลย”

   ปรนัยเคยคิดว่าชาตินี้จะไม่เดินตามแฟนคนไหนเวลาช็อปปิงเด็ดขาด คิดถึงขนาดที่ว่า ถ้าพอมีเงินหน่อย เขาจะยกกระเป๋าสตางค์ให้มนุษย์เมียไปเลย แล้วพี่จะหยอดตังค์เล่นเกมรถแข่งรอ เชิญช็อปให้สบายใจเลยจ๊ะ อะไรประมาณนี้ แต่พอได้มาเลือกของกับไอ้ภูมินี่ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนนิดหน่อย เพราะจริงๆ มันก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไร ดูเหมือนทำมิชชันเก็บ RC เวลาแข่งวอล์กแรลลี เพลินๆ ดีเหมือนกัน

   แต่เดี๋ยวนะ ขอย้อนกลับไปที่ประโยคแรก... ‘ปรนัยเคยคิดว่าชาตินี้จะไม่เดินตามแฟนคนไหนเวลาช็อปปิงเด็ดขาด’ ทำไมพอมาแมตช์กับภาพปัจจุบันแล้วมันแปลกๆ วะ!?

   “เฮ้ย! กูถามว่าเอาขวดใหญ่หรือขวดเล็ก” ภูมิชูขวดสบู่เหลวสองขนาดรอให้เพื่อนตัดสินใจ แต่อีกคนดูเหม่อไร้สติจนเขาต้องเขยิบเข้าไปใกล้ “เชี่ยปอ!!”

   “ฮะ?? ...อ่อ แล้วแต่มึงเลยๆ” ตอบส่งๆ ไปก่อน เพราะความคิดประหลาดๆ ยังสับสนอยู่ในหัว

   “ผงซักฟอกแล้ว...น้ำยาล้างจานแล้ว...น้ำยาล้างห้องน้ำแล้ว...ยาสระผมแล้ว...สบู่แล้ว”

เสียงหงุงหงิงที่กำลังทวนของใช้ที่ต้องซื้อทำให้คนข้างๆ นึกถึงบางเรื่องขึ้นมา “มึงนี่ยิ่งกว่าแพทริเซียอีกอะ”

ร่างโปร่งหยุดเดิน ก่อนสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยจะหันมาหาคนพูด “ใครวะ”

“ก็แพทริเซียไง หลังเลิกงานแพทริเซียต้องแวะโกรเซอรีเพื่อช็อปปิง เธอจะซื้อแอปเปิลลูกที่สวยที่สุด กับพายที่อบใหม่ๆ แล้วก็แวะเอาไปให้คุณลุงมอนเตร...”

“เดี๋ยวๆๆ” มือขาวยกขึ้นห้าม “ใครวะ ดาราเหรอ”

คราวนี้ปรนัยทำหน้างงบ้าง ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เชี่ย โทษๆๆ กูหมายถึงโนเวลที่กูอ่าน ฮ่าๆๆๆ”

“โอ๊ย!! มึงก็อินเกิ๊น!” ขำในความรักเรียนของเพื่อน แล้วใจก็คิดไปถึงเรื่องที่ปอจะให้ติว “ตกลงมึงจะให้กูช่วยติวปะ ...หรือพี่จ๋าเค้านัดติวให้เหมือนเดิม”

เขาค่อนข้างมั่นใจว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปดูปกติและร่าเริงพอประมาณ นึกทึ่งตัวเองเหมือนกันที่ควบคุมอารมณ์ได้แม้ใจจะยังปวดหนึบ ...ต้องยิ้มให้อีกนิด หรือขำเบาๆ ด้วยมั้ยวะ เพื่อความเนียน

“ทำไมทำหน้างั้นอะ” เสียงทุ้มถามกลับ เมื่อเห็นใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

ภาคภูมิเสหลบทันควัน ...แม่งเอ๊ยยย!!

“กูเก็งคำถามเสร็จละ แต่เดี๋ยวมึงช่วยอ่านคำถามที่ลิสต์ไว้หน่อยดิ จะลองตอบดู”

คนที่ยังปั้นหน้าไม่ถูกส่งเสียอือออรับคำ แต่สายตาแสร้งหันไปสนใจอาหารหมาตามล็อกที่เดินผ่าน คนที่เข็นรถข้างๆ กันดูสงสัยไม่น้อย เพราะรู้ว่าเขาไม่เลี้ยงหมาสักตัว

“เอ้อ...อยากซื้อถุงเล็กๆ ไปให้หมาหน้าภาค” รังสีจากสายตาที่คอยจับผิดอยู่ ทำให้ภูมิต้องรีบคิดบทโดยด่วน พออีกฝ่ายพยักหน้าแบบไม่คิดอะไร เขาจึงถามต่อ “แล้ว...คือ มึงไม่ติวกับพี่จ๋าแล้วเหรอ”

“ไม่อะ กูบอกเค้าไปแล้วว่าไม่รบกวนเค้าละ” เสียงทุ้มตอบสบายๆ แต่คนที่ดูจะตกอกตกใจกลายเป็นคนฟังมากกว่า

“หาาาา... ทำไมวะ”

“ก็กูเกรงใจเค้า” แขนยาวๆ เอื้อมไปหยิบอาหารเม็ดสำหรับสุนัขถุงเล็กๆ ตามที่เพื่อนสนิทกำลังหา “อันนี้นะ?”

   ตากลมมองตามแล้วได้แต่อ้ำอึ้ง ...สรุปต้องเสียค่าอาหารหมาสินะ

   “ช่วงนี้พี่จ๋าเค้าต้องทำสารนิพนธ์แล้ว วันนี้ที่คุยนานๆ ก็เพราะสัมภาษณ์กูเรื่อง Identity ไรเนี่ย เห็นว่าต้องสัมภาษณ์คนที่มาจากต่างจังหวัดอีกหลายคน”

    “อ่อ...” ฟังคำอธิบายของเพื่อนแล้วก็ได้แต่รับคำเงียบๆ

   “อีกอย่างคือ...” อยู่ๆ คนกำลังพูดก็เบาเสียงลง “บางทีกูก็รำคาญเค้าว่ะ”

 “อ้าว!!”

“คือแบบ...มึงก็รู้ใช่มะ ว่ากูไม่ชอบตอบไลน์ แล้วเค้าก็ชอบพิมพ์มาทีละเยอะๆ นี่กูปิดแจ้งเตือนจากเค้าไปแล้วนะ”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ ในเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน “เค้าก็หวังดีกับมึงนั่นแหละ...”

“กูก็รู้เว้ย แต่นอกจากเรื่องติวอิ๊งแล้ว เรื่องอื่นๆ เค้าก็เยอะอะ ‘ทำไมไม่กินข้าว ทำไมตื่นสาย นี่โดดเรียนใช่มั้ย ทำไมอ่านแล้วไม่ตอบ ทำไมไม่มาภาค’ บลาๆๆๆ” จากอารมณ์ดีๆ เริ่มกลายเป็นอารมณ์เสีย เรื่องนี้ปรนัยไม่เคยบอกใคร และคิดเสมอว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่พอเจอหนักๆ เข้า เขาก็เลยต้องหาทางออก

“จริงดิ ปกติพี่เค้าก็ดูชิลๆ นะ”

“เหอออ...กับกูนี่ถามยิ่งกว่าแม่อีก”

ภาคภูมิรู้ว่าเพื่อนคงอึดอัดจริงๆ เพราะปกติแล้วปอไม่ใช่คนจะมานินทาคนอื่นลับหลัง ...หรือแม่งพูดกับพี่จ๋าไปตรงๆ แล้ววะ!! “นี่มึงคงไม่ได้บอกพี่เค้าไปแบบนี้ใช่มะ”

ใบหน้าคมส่ายปฏิเสธ “เปล่าหรอก ก็บอกเค้าว่าเกรงใจ อยากให้เค้าโฟกัสที่สารนิพนธ์จบมากกว่า ตอนแรกเค้าก็บ่นมาเป็นชุดเลยเว้ย กูก็ฟังๆ เออๆ ออๆ ไปสักพักอะ แต่แม่งก็วนกลับมาเรื่องที่ว่า ถ้าเค้าไม่ติวแล้วกูจะอ่านรู้เรื่องได้ไง อยากเอฟอีกเหรอ กูรำคาญเลยบอกไปว่ามึงจะติวให้ เรื่องนี้เลยจบ”

“หือออออ!?” คนถูกอ้างถึงร้องอย่างตกใจ

“อะไร มึงจะไม่ติวให้กูเหรอ” อีกฝ่ายถาม ทำเสียงน้อยใจ

“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่คือ... พี่จ๋าเค้าจะไม่เกลียดกูใช่เปล่า”

“เกลียดมึงทำไมวะ”

“ก็...” ภาคภูมิอึกอัก ยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้ไอ้ปอเข้าใจ “เหมือนเอากูไปแทนเค้าเลย”

“แล้วมึงจะแคร์ทำไม” คนสูงกว่าทิ้งรถเข็นแล้วก้าวเข้ามาหา แขนยาวคว้าไหล่เพื่อนสนิทมาโอบไว้หลวมๆ “ใครจะเกลียดก็เกลียดไป กูรักมึงก็พอแล้วปะวะ ฮ่าๆๆ”

ภาคภูมิเหม่อมองเสี้ยวหน้าของคนที่พูดคำบางคำได้อย่างง่ายดาย เสียงหัวเราะจากเพื่อนสนิทเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่มีความหมายใดๆ แฝงอยู่ในประโยคเมื่อครู่ แล้วอยู่ๆ ความคิดหนึ่งก่อนที่จะเผลอหลับไปเมื่อตอนกลางวันก็ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเข้าใจได้อีกอย่าง ว่านอกจากคำว่า ‘ตลอดไป’ แล้ว คำว่า ‘รัก’ จากปรนัย ก็มีอยู่ในทางเลือกแค่สองทางเช่นกัน

คือความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

กับความจริงที่ไม่มีทางเป็นเหมือนฝัน

...ก็เท่านั้นเอง


---------------------------------------------



TBC.



สวัสดีค่า
Sweet Dilemma กลับมาแล้ว ขออภัยที่หายเงียบไปเลย
พอดีมีปัญหาเรื่องสุขภาพของคุณแม่นิดหน่อย
แต่ตอนนี้แม่ดีขึ้นมากแล้วค่ะ คงได้กลับมาแต่งนิยายเหมือนเดิม

/ขายของ
ใครต้องการติดตามข่าวสารจากคนเขียน สามารถเข้าไปส่องกันได้ที่
Facebook : www.facebook.com/lykarfanpage (ส่งข่าวนิยาย แชร์เรื่องวายๆ ใสๆ)
Twitter : @lykar91 (ชีวิตส่วนตัว รีวิวอาหาร หวีดคู่จิ้น บ่นดินฟ้าอากาศ มีทุกอย่างยกเว้นนิยายตัวเอง 55555)
ใครอยากติชมเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ผ่านทวิตเตอร์ สามารถติดแฮชแท็ก #SweetDilemmaFiction กันได้นะคะ

เจอกันตอนหน้าค่า  :bye2: :bye2:


ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ง่าาา ปอไม่คิดไรกะใครเลยเหรอ หักอกพี่จ๋ากับพีพีแบบไม่ตั้งใจสองรายซ้อนเลยนะ หรือจริง ๆ ปอเป็นคนซึน

ออฟไลน์ Banarot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
บายพี่จ๋า

ออฟไลน์ sunshine538

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารน้องพีพี ใครก็ได้มาช่วยดามใจพีพีหน่อยเถอะ :katai1:

ปอนี่เป็นคนใจร้ายโดยไม่ได้เจตนาเลย ทั้งกับพี่จ๋าหรือว่าพีพี จะว่าเป็นคนที่โลกหมุนรอบตัวเองอยู่รึเปล่า ชักมีความเคือง :katai4:

แอบฟินตอนไปซื้อของกันนะ บรรยากาศพ่อบ้านใจกล้าดี 555 แต่ก็แป๊บๆ เอง ความสุขมาไวไปไวเหลือเกิน

อยากให้พีพีมีทางเลือกที่ 3 คือ ตื่นจากฝันแล้วพบความจริงที่ดีกว่าฝัน เนอะ

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อย่างน้อยตอนนี้พี่จ๋าก็ไม่ใช่ปัญหาละ :katai1:
แต่เมื่อไหร่ปอจะรู้ใจตัวเองแง้

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จะมีอะไรมาทำให้ปอ รู้ตัว รู้ใจ
กับจะมีอะไรมาทำให้พีพี ตัดใจจริงจัง

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ปวดใจไปกับพีพีเลยอะ เชียร์ให้ตัดใจซะดีไหม

ออฟไลน์ sebest

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อยากให้ปอรู้ใจตัวเองซะที เราชอบอ่านเรื่องแนวนี้ค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พีพีไปหาคนอื่นเถอะะะะ

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
คุณปอกับคุณพีพีกลับมาสักที หายไปนานเลยนะคะ5555555

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ตามมาจากนิยายแนะนำค่ะ ชอบมาก ๆ เลย
คนเขียนเก่งจัง ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ชอบมากเลยค่ะ
ชอบภาษา ชอบการดำเนินเรื่อง มีเรื่องวิชาการสอดแทรกเข้ามาด้วย
แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องดูหนักเกินไป อ่านได้เรื่อย ๆ สบาย ๆ
ถึงปอจะซึนเหลือเกิน แต่ก็ไม่ทำให้หมั่นไส้เท่าไหร่นะ 555
ชอบพีพีมาก เอาใจช่วยพีพี ให้ปอรู้ใจตัวเองซะทีนะ พีพีเนื้อหอมมากนะจ้ะ
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พีพีไม่ต้องกังวลเรื่องพี่จ๋าแล้ว เครียดเรื่องอื่นต่อไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด