พิมพ์หน้านี้ - Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: lykar ที่ 05-01-2017 21:18:42

หัวข้อ: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 05-01-2017 21:18:42
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

 

***************************************************************


Sweet Dilemma
รักวิบัติ


สารบัญ

#00 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3550920#msg3550920)     #01 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3550928#msg3550928)     #02 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3554004#msg3554004)     #03 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3556667#msg3556667)     #04 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3561571#msg3561571)
#05 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3566428#msg3566428)     #06 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3573916#msg3573916)     #06.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3574666#msg3574666)     #07 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3591708#msg3591708)     #08 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3601036#msg3601036)
#09 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3616982#msg3616982)     #10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3653804#msg3653804)     #10.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3671107#msg3671107)     #11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3697330#msg3697330)     #12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3713350#msg3713350)     
#13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3776226#msg3776226)     #14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3871194#msg3871194)

NEWWWW!! #14.2 (หน้า 10)   New! 14/01/20



----------------------------------------------------------------------


#00 : Prologue



“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราคุยกันเรื่อง เหตุผลวิบัติ หรือ Fallacy ไปหลายแบบเลย ไหนลองช่วยกันยกตัวอย่างกันคนละหนึ่งแบบสิครับ...”

อาจารย์สุกฤตมองไปยังนักศึกษาที่นั่งกันอยู่ในห้อง ท่าทางหลบตาแบบนี้คงไม่มีใครยกมือแน่ๆ ร่างสูงใหญ่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเรียกหัวโจกประจำคลาสให้เป็นคนเริ่มคนแรก

“ปอครับ”

คนถูกเรียกสะดุ้งนั่งตัวตรง ตาคมๆ นั่นมองล่อกแล่กไปมาก่อนจะหยุดยังเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน และเจ้าตัวแสบคงจะได้คำใบ้อะไรจากเพื่อนนั่นแหละ รอยยิ้มสดใสถึงได้เผยออกมาต่างจากตอนแรกลิบลับ

“กำปั้นทุบโต๊ะครับ!” เสียงทุ้มตอบอย่างมั่นใจ พร้อมกอดอกยืดตัว และฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวประหนึ่งได้เหรียญทองโอลิมปิกวิชาการ

“เอ่อ...ก็ใกล้เคียงนะครับ” อาจารย์หน้าห้องกระแอมนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “จริงๆ มันคือ ‘กำปั้นทุบดิน’ หรือ Begging the question นั่นเองครับ...”

“ไอ้ภูมิ มึงใบ้ผิดได้ไงวะ” คนหน้าแตกหดคอพลางกระซิบกับเพื่อนเสียงเบา ก็ไอ้ห่าภูมิมันกำมือทุบโต๊ะชัดๆ ใครมันจะไปนึกว่าจะเป็นทุบดินไปได้วะ

ผู้ใบ้คำกลั้นหัวเราะขณะฟังเพื่อนคนอื่นๆ ตอบ โดยพยายามไม่สนใจเสียงบ่นกระปอดกระแปดจากไอ้ปอ มนุษย์เพศชายที่มีไอน์สไตล์เป็นไอดอล เพราะสำหรับมันแล้ว ‘จินตนาการสำคัญกว่าความรู้’ จริงๆ

“ที่ตอบกันมาก็ถูกหมดเลยนะครับ ผมขออีกสักหนึ่งแบบดีกว่า ...ภูมิครับ”

เจ้าของชื่อหันไปมองอาจารย์ผู้สอน ภูมิคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเบา “False Dilemma ครับ”

เสียงฮือฮาจากเพื่อนในห้องกับคำตอบระดับโปรทำเอาคนตอบยิ้มเขิน

“ดีมากครับ ภูมิพอจะอธิบาย False Dilemma ได้มั้ยครับ ยืนขึ้นเลยก็ได้ครับ”

เสียงปรบมือเชียร์รอบห้องทำให้ภูมิต้องลุกขึ้นยืน และยกนิ้วมาแตะปากเป็นสัญญาณให้เพื่อนเงียบเสียงก่อนตัวเองจะเริ่มอธิบาย

“อ่า... False Dilemma ก็คือการยื่นข้อเสนอที่ไม่น่าเลือกสักทาง โดยผู้พูดจงใจละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า มันยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกที่เป็นไปได้ เช่น ‘ถ้าคุณไม่สนับสนุนเสื้อแดง แสดงว่าคุณเป็นเสื้อเหลือง’ ทั้งๆ ที่ยังมีคนไม่ฝักใฝ่ทั้งเหลืองและแดงครับ”

อาจารย์เจ้าของวิชายิ้มอย่างพอใจในคำตอบ พลางบอกให้ภูมินั่งลงได้

“ปอครับ...” แต่แล้วอยู่ๆ อาจารย์กฤตก็พุ่งความสนใจไปยังศิษย์คนเดิมอีกรอบ “เมื่อกี๊พอเข้าใจที่ภูมิอธิบายมั้ย”

คนถูกถามพยักหน้ารัวๆ แม้จะยังประมวลผลไม่ทันว่าไอ้ภูมิพูดอะไรไปบ้าง

“ดีครับ งั้นปอลองยกตัวอย่างของ False Dilemma มาอีกสักข้อสิครับ”

เชี่ย.....

คนถูกถามอุทานในใจ เพราะไม่ทันคิดว่าอาจารย์สุดหล่อจะวกกลับมาถามตนเองอีก

“เอ่อ...อ่า...คือ...ตะ ตัวอย่าง...เช่น ....เช่น...” ไอ้ตัวแสบหน้าถอดสี จะหันไปขอตัวช่วยจากไอ้ภูมิเพื่อนรัก ก็กลัวจะโดนหักเหลี่ยมเหมือนกำปั้นทุบโต๊ะอีก เอาวะ...

“คนที่รักไม่ได้กับคนที่ไม่ได้รักครับ!!”

ความเงียบของห้องเรียน เป็นดั่งคำเฉลยที่ทำให้ปอรู้ว่า ตัวอย่างที่เคยพูดเล่นๆ กับไอ้ภูมิในคาบก่อน คงจะออกฤทธิ์ประหนึ่งกรดไหลย้อนที่ทำให้ร้อนคอหอยแน่ๆ

“ว่ออออออ....”

แต่แล้วเสียงอื้ออึงจากเพื่อนๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือและคำชื่นชมจากอาจารย์ ก็สร้างความงงงวยให้กับคนตอบมากกว่าเดิม

“เยี่ยมเลยครับ เป็นตัวอย่างที่เข้าถึงทุกๆ คนมากๆ นักศึกษาจะเห็นได้ว่า ในชีวิตจริง เราไม่ได้มีแค่คนที่รักไม่ได้ กับคนที่ไม่ได้รัก เพราะเรายังมีคนที่เรารักและเค้าก็รักเราอยู่ด้วย ถูกต้องมั้ยครับ แต่ว่าจะหาเจอมั้ยก็อีกเรื่องหนึ่ง”

คำอธิบายติดตลกเรียกเสียงหัวเราะจากนักศึกษาได้เป็นอย่างดี

"แต่มันก็ตัดสินใจไม่ยากนี่คะ ออกจะหว้านหวาน" นักศึกษาคนหนึ่งออกความเห็น

เจ้าของวิชาหัวเราะก่อนระบายยิ้ม "งั้นเอาโจทย์หวานๆ ไปคิดมาเป็นการบ้านกันนะครับ ว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกใคร"

"โห่... อาจารย์อ่า การบ้านเยอะแล้วน้า"

"ใช่ๆๆ ทำไม่ทันล้าววว"

"มีสอบอีกหลายตัวนะจารย์"

"อะๆ ไม่ต้องงอแง อันนี้ไปคิดขำๆ ตอบแบบไม่ต้องใช้ทฤษฎีอะไรก็ได้ จับคู่ จับกลุ่ม หรือคิดคนเดียวก็ได้หมดเลยนะครับ"

"ถ้างั้นอาจารย์ก็มาตอบกับพวกเราด้วยนะคะ" นักศึกษาอีกคนตะโกนขึ้น

"ใช่ๆๆๆ" พร้อมเสียงสนับสนุนจากเด็กทั้งห้อง จนอาจารย์ผู้ตั้งคำถามต้องยกมือห้าม

"โอเคๆ ผมก็จะตอบกับพวกคุณด้วย"

"เย้!"

“งั้นตามนี้นะ...” อาจารย์ผู้สอนหันหน้าเข้าหาไวท์บอร์ด ก่อนจะเขียนโจทย์การพูดคุยของอาทิตย์หน้าลงไปที่มุมซ้ายของกระดาน “จดกันให้เรียบร้อย แล้วเดี๋ยวเรามาเข้าบทเรียนต่อไปกัน”

.
.
.

“ภูมิ...ภูมิ!” เสียงกระซิบเรียกจากเพื่อนโต๊ะข้างๆ ทำให้คนที่กำลังมีสมาธิกับการเรียนต้องหันกลับไป

“ว่า”

ปอเหลือบมองอาจารย์หน้าห้องเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอาจารย์ไม่ได้สนใจทางฝั่งตัวเองจึงพูดกับเพื่อนต่อ “มึงคู่กับกูมั้ย”

มือขาวที่กำลังจดเลกเชอร์ชะงักลง “อะไรวะ”

“เอ้า!” อีกฝ่ายอุทาน “ก็ไอ้ไดเลมม่าอาทิตย์หน้าไง โจทย์บนกระดานอะ”

“อ่อ...” คนถูกถามพยักหน้า “ก็เอาดิ”

“เยสสสส!” แขนยาวๆ คว้าคอเพื่อนข้างๆ เอาไว้ พร้อมความดีใจอย่างไม่มีปิดบัง ก็ถ้าคู่กะไอ้ภูมิ ยังไงก็รอดอยู่แล้ววว เออ แต่ว่า “มึงว่า เราจะเป็นคนที่รักไม่ได้ หรือคนที่ไม่ได้รักดีอะ”

ภูมิผลักแขนที่กอดคอตัวเองออก ก่อนจะขยับนั่งตัวตรง พยายามสนใจเสียงอาจารย์ที่สอนอยู่ แต่เหมือนว่าสมาธิจะหายไปพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ตอนนี้

“ว่าไงๆ” อีกฝ่ายยังถามย้ำ

“ก็...ทั้งสองอย่างมั้ง” ตอบจบก็พรูลมหายใจออกช้าๆ ...ตากลมมองโจทย์บนกระดานอีกครั้ง


'SWEET DILEMMA'
"คนที่รักไม่ได้" กับ "คนที่ไม่ได้รัก"


TBC.


สวัสดีค่ะ เปิดเรื่องใหม่ต้อนรับปีใหม่กันเล้ยยย
หายไปจากการแต่งนิยายนานมาก หลัง - GAYscale Magazine - กองบ(เ)ก(ย์)สุดป่วง! (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35213.0) จบลง (นานมากกก นานจนบางคนลืมไปแล้ว!)
ก็มีเรื่องสั้นๆ ศึกไอติมสะท้านโลกันตร์  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53169.0) รับวันสงกรานต์ปีที่แล้ว แล้วก็โดดมาต้นปีนี้เลย กับเรื่องยาวอีกเรื่อง

ขอฝากพลพรรคนัก (ศึกษา) ปรัชญาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ
เรื่องนี้ชื่อเรื่องอาจดูแปลกๆ แต่เนื้อหาก็ไสยๆ เอ๊ยย ใสๆ วัยมหา'ลัยธรรมดาค่ะ
ใครชอบแนวแอบรักเพื่อนน่าจะชอบกันนะคะ

ยังไงก็ช่วยติดตามกันหน่อยน้า คอมเมนต์ติชมได้เลยค่ะ
จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละครั้ง ไม่ดองยาวเหมือนเรื่องก่อนเนอะ  o22

ปล. ถ้าไปสกรีมที่ไหน ติด #SweetDilemmaFiction ให้ด้วยย จะตามส่อง ฮี่ๆ
ปล.อีกที อัปเดตข่าวสารผ่านเพจได้ที่ http://www.facebook.com/lykarfanpage

แล้วเจอกันตอนต่อไป (ซึ่งก็คือรีพลายแรกข้างล่างนี้แหละค่ะ 555555)




หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 05-01-2017 21:25:04
Sweet Dilemma #01


คณะอักษรศาสตร์มีตึกใหญ่ๆ อยู่ 4 ตึกด้วยกัน สามตึกแรกเป็นอาคารเรียน ส่วนตึกสุดท้ายซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดถูกจัดเป็นห้องพักอาจารย์ของแต่ละภาควิชา สำหรับภาควิชาปรัชญานั้นครอบครองพื้นที่ชั้นล่างฝั่งขวา เมื่อเปิดประตูภาคเข้ามา จะพบกับห้องโล่งๆ ตรงกลางซึ่งเอาไว้จัดกิจกรรมตามอัธยาศัย ส่วนขวามือจะเป็นห้องพักอาจารย์ และซ้ายมือเป็นห้องประชุมและห้องเก็บของ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ลับแลด้านหลังภาคที่น้อยคนนักจะรู้ เพราะประตูที่จะเปิดออกไปดันอยู่หลังตู้ใบเขื่อง จริงๆ มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร นอกจากให้พวกสิงห์นักสูบไปพ่นควันหลบๆ ตาคนอื่นบ้างบางครั้ง แต่หลังๆ อาจารย์ก็แก้เผ็ดด้วยการเอาต้นไม้มาลง และมันก็ดันโตวันโตคืนจนแทบไม่มีที่จะยืน เป็นการไล่ไอ้พวกเผาปอดไปโดยปริยาย

ถึงห้องภาควิชานี้จะได้ชื่อว่าเป็นห้องพักอาจารย์ แต่ก็ไม่ได้จำกัดแค่ที่ที่ให้อาจารย์พักเท่านั้น เพราะนักศึกษาวิชาเอกและโทก็มักจะเข้ามานั่งๆ นอนๆ ในห้องภาคของตัวเองกันเป็นประจำ โดยเฉพาะภาคปรัชญาที่มีนักศึกษารวมสี่ชั้นปีไม่ถึง 50 คน จึงไม่แปลกที่ห้องภาคจะเป็นที่สิงสถิตของเด็กปรัชญาทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่ปีหนึ่งที่สอบเข้าด้วยโควตาปรัชญา ไปจนถึงปีสี่ ที่บางคนอยู่ซ้ำมาหลายปีก็ยังไม่ไปไหน ดังเช่นในวันนี้...

หลังจากวิชา Critical Thinking ซึ่งทุ่มเถียงและติ้งกิ้งกันเรื่องเหตุผลวิบัติจบลง นักศึกษาที่ดีอย่างปอและภูมิก็ช่วยอาจารย์สุกฤตถือของไปห้องพัก ก่อนจะพบว่าพี่ๆ น้องๆ หลายคนรวมตัวกันอยู่ในห้องประชุมของภาคอย่างหนาแน่น

“เข้! นี่มันวันมาฆบูชาเหรอวะ พวกมึงถึงมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมายทุกชั้นปีเนี่ย” หัวโจกปีสามอย่างไอ้ปอตะโกนเสียงดังลั่นห้อง ทำเอาสมาชิกทุกคนที่นั่งบนเก้าอี้บ้าง นั่งบนเสื่อบ้าง หันมามองมันเป็นตาเดียว

“หมายถึงครูด้วยหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงหวานๆ เย็นๆ ดังขึ้นมาจากทางเข้าห้องเก็บของที่เชื่อมกับห้องประชุม ก่อนร่างของคนพูดจะปรากฏตัวออกมา

คำถามง่ายๆ นั้นทำให้คนถูกถามขนลุกซู่ ร่างสูงค่อยๆ หันไปหา ‘อาจารย์กรรณิการ์’ แล้วยกมือไหว้พร้อมถอนสายบัวอย่างงดงาม
“ปรนัยคะ...” เพียงเท่านั้นก็ทำให้เจ้าของชื่อน้ำตาตกใน “ตามครูไปที่ห้องค่ะ”

“เอ่อ...ขอฉบับย่อนะครับอาจารย์” น่าจะเป็นคำขอเดียวที่นายปรนัยพอจะขอได้ในตอนนี้ ก่อนจะเดินคอตกตามหลังอาจารย์ไปเพียงลำพัง

“โชคดีนะพี่ปอ”

“น้องปอครับ พวกพี่จะคิดถึงน้องปอนะครับ”

“โธ่ปอ...ดีใจนะเว้ยที่ได้เป็นเพื่อนกันนน ฮือออ”

ถ้อยคำอาลัยรักจากทุกคน ทำให้คนกำลังเดินเข้าสู่แดนประหารขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอดกลั้นคำด่าเอาไว้จนแน่นอก แต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ เพราะแค่นี้ก็คิดว่าจะโดนด่าลากยาวจนจบเวลาพักเที่ยงแล้วแน่ๆ

หลังไอ้ตัวแสบเข้าห้องเย็นไปได้สักพัก พิซซ่าชุดใหญ่ก็มาส่งถึงหน้าประตู วันนี้เป็นวันเกิดของประธานภาค พวกพี่ๆ ปี 4 เลยรวมเงินกันสั่งพิซซ่ามาเลี้ยงคนทั้งปรัชญา

“ถือว่าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับท่านประธานภาคของเรา” พี่โจ๊ก รองประธานเป็นผู้อธิบายถึงวัตถุประสงค์การเลี้ยงอาหารกลางวันทุกคน พร้อมอวยพรให้กับเจ้าของวันเกิดอย่างเป็นทางการ “ขอให้ท่านประธานของเรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้...โอ๊ยยยย! สัสไนท์ ตบหัวกูไมวะ”

ภูมินั่งหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลกับคณะตลกที่ไร้ซึ่งรัศมีความน่าเกรงขามของปี 4 แต่ก็ยังไม่วายหันไปมองที่ประตู ซึ่งใครบางคนเดินออกไปตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว ด้วยความปากหมาของไอ้ปอ อาจารย์กรรณิการ์ที่ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยบที่สุดในภาค เลยเพ่งเล็งเป็นพิเศษ และมันก็มักจะพลาดให้โดนเรียกเข้าห้องเย็นเป็นประจำ

“ภูมิ ทั้งหมดนี้ของปีสามนะ แบ่งกันได้เลย” พี่จ๋า พี่ปี 4 ที่ภูมิคิดว่าเป็นผู้เป็นคนที่สุดเดินเอาพิซซ่า ไก่ และสปาเกตตีมาให้ เขาเอ่ยขอบคุณก่อนจะเลื่อนอาหารทั้งหมดไปให้ไอ้แก้วกับชิงชิง และเพื่อนวิชาโทที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน

“พี่ฝากอันนี้ไว้ให้ไอ้ปอด้วยสิ” พี่จ๋าคนเดิมส่งจานกระดาษที่มีพิซซ่าและไก่มาให้ คนถูกฝากก้มมองอาหารในมือสลับกับคนให้ด้วยความสงสัย

“เห็นมันชอบกินหน้าค็อกเทลกุ้งนี่ เอาไว้ปลอบใจหลังโดนจารย์กรรด่าก็แล้วกัน” พี่จ๋าอธิบายแบบสบายๆ แต่คนที่ไม่สบายคือคนกลางนี่แหละ จริงๆ แล้วไอ้ปอกับพี่จ๋าค่อนข้างสนิทกันเป็นพิเศษ เพราะพี่จ๋าเป็นเพื่อนกับพี่รหัสมัน และเป็นคนที่ติวภาษาอังกฤษให้มันมาตั้งแต่ปี 1 ส่วนภาคภูมิกับพี่จ๋านั้นรู้จักกับแบบทั่วๆ ไป แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกเส้นกระตุกทุกครั้งที่เจอรุ่นพี่คนนี้ มันเหมือน...มีอะไรแปลกๆ

สองมือของทุกคนกำลังเลอะเทอะไปกับการกินสไตล์อเมริกันชนในตอนที่ปอเปิดประตูเข้ามา เสียงฮือฮาดังขึ้นเกรียวกราว จนผู้มาใหม่ต้องกางแขนขวาออกก่อนจะวาดเข้าหาตัวแล้วโค้งคำนับ ราวกับตอบรับเสียงแซ่ซ้องชื่นชมวีรบุรุษก็ไม่ปาน

“ขอบคุณครับ...ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้ผ...”

“สัสปอ บังจอโว้ย หลบหน่อยๆๆ” เสียงตะโกนโหวกเหวกบอกให้คนที่สำคัญตัวผิดรีบหลบไปให้ไกล เพราะมันกำลังบังทีวีที่ถ่ายทอดมวยไทยคู่สำคัญอยู่ คนโดนโห่ไล่สบถอย่างหงุดหงิดก่อนจะทิ้งตัวลงเบียดกับเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคภูมิคนนี้นี่เองงง

“โอ๊ย!! ทับขากู๊!” คนนั่งแทะไก่เพลินๆ ร้องเสียงหลง เมื่อร่างหนักๆ ของคนมาใหม่นั่งทับตักครึ่งหนึ่งของตัวเองเต็มๆ

“พีพี เค้าโดนไล่มา ฮือออ ช่วยซับน้ำตาให้พี่ปอหน่อยสิครับบบ” นอกจากไม่ยอมลุกออกไป ห่าปอยังยกมือมาคล้องคอเจ้าของตัก ก่อนจะเอาหัวเน่าๆ ถูไปกับแก้มของภาคภูมิ หรือพีพีที่ไอ้ปอเรียกอีกด้วย

“เชี่ยปอออ... พ่องตัยเหอะ ออกไปโว้ยยย” เสียงโวยวายของภาคภูมิทำให้สมาชิกให้ห้องภาคหันมาเชียร์มวยนอกจอคู่นี้แทน เพราะนานๆ ทีจะเห็นท่านจอมปราชญ์ประจำชั้นปีในมุมรั่วๆ แบบนี้บ้าง

เมื่อแกล้งเพื่อนสนิทจนพอใจ ร่างสูงโปร่งจึงกระเถิบตัวนั่งลงบนเสื่อดีๆ

“เป็นไงล่ะมึง งวดนี้” ภูมิถามคนที่เพิ่งออกจากห้องเย็นสดๆ ร้อนๆ

“กูนี่นึกว่าตัวเองเป็นพระสงฆ์เลย” ไอ้ตัวแสบตอบขณะมองไปยังกองอาหารตรงกลางวง ก่อนจะพบเพียงขอบพิซซ่าที่มีรอยกัดทิ้งไว้อย่างสวยงาม ประหนึ่งผลงานปั้นของไมเคิล แองเจลโลก็ไม่ปาน

“ทำไมวะ” เพื่อนสนิทเอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะหยิบจานอาหารที่แอบไว้ออกมา

“เอ๊า! ก็กูเจอ ‘กรร-เทศน์’ ฮ่าๆๆๆ” คนปากดียังคงความปากดีไว้ไม่มีเสื่อมคลาย ก่อนตาตี่ๆ นั่นจะลุกวาวเมื่อเห็นพิซซ่าสองชิ้น พร้อมไก่นิวออลีนอีกสองน่องในจานที่ภาคภูมิส่งมาให้

“อะ แดกซะ ก่อนนรกจะกินกบาล” ด่าพอเป็นพิธี แล้วก็ไม่ลืมบอกความจริงให้เพื่อนฟัง “พี่จ๋าฝากไว้ให้ เค้าบอกว่ามึงชอบหน้าค็อกเทลกุ้ง”

ใบหน้าขาวบุ้ยใบ้ไปยังพี่สาวผมยาวที่ยืนหัวเราะอยู่กับเพื่อน

“เหรอๆ” คนฟังฉายยิ้มสดใสตามสไตล์ ก่อนจะถือจานกระดาษแล้วลุกไปหาพี่จ๋าทันควัน แล้วเสียงหัวเราะทั้งด่าทั้งแซวจากกลุ่มที่ไอ้ปอยืนเป็นศูนย์กลางก็ลอยมาให้คนที่นั่งอยู่บนเสื่อได้ยินเป็นระลอก

ภูมิลุกขึ้นเอาเศษอาหารไปทิ้งข้างนอก ก่อนจะกลับมาเอากระเป๋าแล้วเดินออกไปเงียบๆ เขามีเรียนปรัชญาดนตรีต่อ คงไม่เป็นอะไรถ้าจะไปนั่งรอในห้องเรียนก่อนเวลาสัก 10 นาที


---------------------------------------


“นี่ก็คิดว่า ฉิบหายละ พี่อนงค์คนงามเล่นกูแน่ๆ ยืนนิ่งผมยาวอยู่หน้าเรือนไทย ตอนนั้นไอ้ภูมิบอกให้รีบปั่นจั๊กไปเร็วๆ แต่คือขาแข็งแล้วไง กลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง สุดท้ายสติหลุดเลยหันไปจ้องตรงเงานั้นเต็มๆ ตา คิดว่าถ้ากูจะช็อกตาย ก็ขอเห็นหน้าที่อนงค์ชัดๆ หน่อยแล้วกัน พอหันไปเท่านั้นแหละ...พี่..อะ อะ”

“อะไร! ตกลงเป็นพี่อนงค์จริงเปล่า”

“อะ...อะ...อะ...วันนี้ไม่มีเธอออ เหตุใดโลกนี้ช่างดูโหด..ระ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊าย นั่นมันพี่ตูน บอดี้สแลม! ฮ่าๆๆๆ แม่งเป็นป้ายไดคัทรูปพี่ตูน เค้าจะมีคอนเสิร์ตที่ร้านหน้ามอ ฮ่าๆๆๆ”

“โอ๊ยยยย เสียเวลาฟังจริง!”

เสียงเฮฮาที่ดังลอดประตูห้องเรียนเข้ามา ทำให้ภาคภูมิที่กำลังฟุบนอนอยู่รู้ว่าไอ้คนที่เป็นศูนย์กลางของเสียงหัวเราะอย่างไอ้ปอคงเดินผ่านห้องเรียนที่เขานั่งอยู่ไปแน่ๆ แถมยังโม้เรื่องผีพี่อนงค์อีก ทั้งๆ ที่ตอนนั้นมันนี่กลัวฉี่แทบราด ว่าแต่มันมาทำอะไรแถวนี้วะ

แอ๊ด...

เสียงประตูที่เปิดออกเรียกสายตาของคนคนเดียวในห้องให้หันไปมองทันควัน แล้วภาพของไอ้เชี่ยปอ พี่จ๋า อาจารย์ผู้สอน และเด็กคนอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้น ไม่ทันได้เอ่ยถาม คนตัวสูงก็เอ่ยปากบอกกับเขาทันที

“วันนี้กูขอเข้าคลาสนี้ด้วย” พูดกับภูมิเสร็จ ก็หันไปพูดกับกลุ่มพี่จ๋าบ้าง “เดี๋ยวผมไปนั่งกะเพื่อนนะ ไปล่ะคร้าบบบ”

รอยยิ้มสดใสมาหยุดอยู่ตรงหน้าภาคภูมิ ก่อนฝ่ามืออุ่นจะวางลงบนผมหยักศกของคนที่นั่งอยู่ “ออกมาไม่บอกกูเลย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ”

น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้นเบาๆ แบบที่ทำเอาคนฟังหัวใจกระตุก ภูมิกะพริบตาปริบๆ ขณะมองคนพูดวางสัมภาระและทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะเลกเชอร์ตัวข้างๆ

“มึงเรียนไปแล้วไม่ใช่เหรอตัวนี้” เขาเอ่ยถาม เพราะวิชานี้ไอ้ปอมันเก็บไปเมื่อเทอมที่แล้ว และปกติตอนนี้ก็เป็นคาบว่างของมัน ซึ่งมันมักจะแอบกลับไปงีบที่หอมากกว่ามานั่งเสนอหน้าอยู่ในห้องเรียนแบบนี้

“กูอยากมาทบทวนความรู้ไม่ได้ไง้” อีกฝ่ายตอบกลับมา “อีกอย่าง กูจะได้มานั่งเรียนเป็นเพื่อนมึงด้วย”

คนฟังเกือบจะเผยรอยยิ้มแห่งความดีใจออกไปแล้ว ถ้าไม่บังเอิญเห็นสายตาที่ไอ้ปอกับพี่จ๋าแอบมองกันไปมา สุดท้ายภาคภูมิก็หันไปรื้อของในกระเป๋าออกมา หยิบนู่นอ่านนี่จนอาจารย์เริ่มสอน

คาบนี้อาจารย์ให้ดูหนังเกี่ยวกับนักดนตรีชาวอินเดีย พอไอ้ปอได้ยินชื่อเท่านั้นก็จัดแจงเอากระเป๋าเป้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูน้องเน่าของมันมาวางด้านบนกระเป๋าอีกที

“กูนอนรอนะ เรื่องนี้ดูไปสามรอบละ” เมื่ออาจารย์ปิดไฟในห้องและเริ่มเปิดวิดีโอ คนข้างๆ ก็ฟุบหัวลงไปทันที ภาคภูมิเผลอมองคนหลับผ่านความมืดอยู่นาน ก่อนจะดึงตัวเองให้หันกลับไปสนใจที่หนังซึ่งอาจจะออกสอบเร็วๆ นี้

เพราะการเล่าเรื่องสไตล์สารคดี ประกอบกับเสียงบรรยายภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย ทำให้ความตั้งใจที่จะโน้ตประเด็นของหนังเป็นอันต้องพับเก็บไป กลายเป็นความง่วงที่จู่โจมหาภาคภูมิแทน พอเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ปรนัยก็ตื่นขึ้นมา แล้วสะลึมสะลือย้ายอุปกรณ์การนอนจากโต๊ะตัวเองมายังโต๊ะของภาคภูมิ แถมยังเขยิบโต๊ะให้ชิดกันด้วย และปิดท้ายด้วยการทิ้งตัวลงนอนยังตำแหน่งใหม่ที่จัดแจงไว้เรียบร้อย

“อะไรของมึงเนี่ย” ภูมิมองหัวโตๆ ของคนนอนท่าพิสดารแล้วพึมพำด้วยความงุนงง “ไม่เมื่อยหรือไง”

“ฮื่อ โต๊ะสั้นจังวะ กูปวดหลัง” คนง่วงบ่นงึมงำ

ภาคภูมิมักนิยามรูปร่างของเพื่อนสนิทว่า ‘มึงไม่ได้สูง มึงแค่สันหลังยาวกว่าปกติ’ ซึ่งปรนัยเริ่มจะยอมรับคำนิยามนั้นแล้วจริงๆ เพราะถ้าเทียบกับการนอนขดหลังบนโต๊ะตัวเองแล้ว การได้ทอดตัวนอนข้ามโต๊ะแบบนี้ก็สบายกว่ากันเห็นๆ

ทว่าความสบายของคนนอน แลกมากับความลำบากของคนนั่ง เพราะตอนนี้เจ้าของโต๊ะตัวจริงกำลังเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ไหน เพราะหน้าโต๊ะถูกยึดไปแล้ว จะเอาวางที่ตักก็ไม่ชินอีก ขณะที่สองมือยกค้างอย่างตัดสินใจไม่ได้ มือคู่ใหญ่ของคนที่น่าจะหลับไปแล้วก็คว้ามือเจ้าของโต๊ะไว้ ก่อนจะวางลงที่ศีรษะตัวเอง

“ไว้ตรงนี้ แอร์ลงหัวกู” เสียงอู้อี้ถือเป็นคำสั่งขาดที่เจ้าของมือจำต้องปฏิบัติตาม คนฟุบนอนแอบอมยิ้มที่แกล้งเพื่อนสนิทได้แบบเนียนๆ รับรองว่ามือมึงเหม็นแน่ เพราะหัวกูนี่หมักดองมาอย่างเข้มข้นสองวันเต็มๆ

แม้จะเก้อเขินเล็กน้อย แต่เมื่อสมาธิไปจดจ่อกับภาพยนตร์บนจอโปรเจกเตอร์ มือขาวๆ ก็วางบนศีรษะของคนหลับโดยอัตโนมัติ แถมยังเผลอลูบเส้นผมในมือไปมาอีกด้วย แต่ภาคภูมิคงไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวทำให้จอมวายร้ายเสียแผนอย่างจัง เพราะจากตอนแรกที่ว่าจะแกล้งหลับ แต่พอมีคนมานั่งลูบหัวเบาๆ แบบนี้ ไอ้ปอก็แพ้และหลับไปจริงๆ น่ะสิ Zzzzzz


TBC.


บทแรกก็แนะนำสถานที่และตัวละครกันไป รับรองเรื่องราวใสๆ เกาะรั้วมหาลัยทั้งเรื่อง! 55555
ตอนต่อไปจะมาเร็วๆ นี้ค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-01-2017 21:35:02
ตอนแรกนึกว่าปอเป็นนายเอก ที่ไหนได้ อ่านไปอ่านมาชักคิดว่าไม่ใช่ละ
ดูท่าภาคภูมิจะชอบปอ ส่วนปอก็อ่อยแบบไม่รู้ตัวสินะ คิดว่าเพื่อนกันจะอ่อยเท่าไหร่ก็ได้งั้นเรอะ ฮึ่ม อย่ามาทำภาคภูมิคนดีเสียใจเชียวนะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-01-2017 21:55:15
โถน้องภูมิของป้า
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: CanonDNattari ที่ 06-01-2017 09:56:26
เข้ามารอหนุ่ม ๆ ค่าาาาาาาา
สนิทกัน สนิทกัน

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: Fujoshi ที่ 06-01-2017 14:08:24
ภูมิเป็นนายเอกถูกมั้ย 555
โอเคคคค เราชอบนายเอกแบบนี้นะ
ไม่ต้องโวยวาย นิ่งๆ มีเหตุผล
รออ่านตอนต่อไปจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 06-01-2017 15:34:13
ภูมิชอบปอ
ปอชอบพี่จ๋า??
อาจารย์ ?? เกี่ยวมั้ย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 06-01-2017 17:28:18
โธ่ น้องภูมิของพี่ ซบอกพี่มามะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-01-2017 20:30:08
 :pig2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 06-01-2017 20:41:24
อ่านๆมาสักพักค่อยจับได้ว่าปอคือฝ่ายเมะ(?)  :a5:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 07-01-2017 18:11:03
ทำไมเราถึงคิดว่าพีพีเป็นพระเอก
อาจจะเพราะปออ้อร้อมั้ง
กะล่อนๆนี่โดนปราบแล้วจะน่ารักมุ้งมิ้งขึ้นนะ

เห็นลงในเพจหลายวันแล้ว เพิ่งได้มาอ่านค่ะ
เราก็เป็นอีกคน ที่สงสัยว่าอาจารย์???
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (New! 05/01/17 #Prologue #01)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 09-01-2017 22:45:53
#02

ตลาดนัดมอในช่วงเที่ยง คราคร่ำไปด้วยฝูงมนุษย์ที่เดินเบียดเสียดกันจนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ สำหรับมหาวิทยาลัยในเขตปริมณฑล ซึ่งห้างหรูที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 30 กิโลเมตร แหล่งอัปเดตแฟชันสุดชิกจึงต้องพึ่งพาตลาดนัดวันพุธแห่งนี้ไปโดยปริยาย ซึ่งก็ไม่น่าผิดหวังนัก เพราะพ่อค้าแม่ค้าพยายามหาของดีๆ เก๋ๆ มาขายกัน จนเป็นความยูนีคของแฟชันที่หาจากที่อื่นได้ยาก แต่บางทีเสน่ห์อันแสนพิเศษนี้ก็ดูจะพิเศษเกินไปนิด แบบถ้าเอาชุดนี้ไปใส่นอกเขตมหา’ลัย อาจเข้าข่ายคนบ้าไปเลยก็ได้

   “เฮีย...แบบแขนสองข้างยาวเท่ากันไม่มีจริงๆ เหรอ” ร่างสูงโปร่งชูเสื้อตัวหนึ่งขึ้นขณะเจรจากับพ่อค้า

   “แบบธรรมดามันก็ไม่เท่สิน้อง ดูที่พี่ใส่สิ สั้นข้างยาวข้างแบบเนี้ย แนวจะตาย” เจ้าของร้านหมุนตัวให้ลูกค้าพิจารณาเต็มที่ แต่ว่าที่ลูกค้ากลับเกาหัวแกร็กๆ ด้วยไม่เห็นความงามอย่างที่พ่อค้านำเสนอสักนิด

   ภาคภูมิที่ยืนดูดกาแฟอยู่ข้างๆ สะกิดไอ้คนเรื่องมากแล้วกระซิบเสียงเบา “ไม่ชอบก็ไปดูร้านอื่นเถอะมึง”

   ปรนัยส่ายหน้าก่อนอธิบาย “ผ้ามันดีเว่ยมึง เนี่ย...ปั่นเครื่องได้ ไม่หดด้วย ราคาไม่แพง”

   “งั้นมึงก็ซื้อไปตัดแขนไป”

   “แต่กูอยากให้แขนมันยาวมากกว่าสั้นง่ะ”

   “ค่อยมาดูอาทิตย์หน้าเหอะ เผื่อเค้ามีมาขาย” ภูมิช่วยเสนอทางออก เพราะเขาสองคนเสียเวลาอยู่ร้านนี้เกือบ 10นาทีแล้ว และตอนนี้เขาก็เหงื่อท่วมตัว เหนียวเหนอะหนะจนเริ่มจะหงุดหงิดนิดๆ สุดท้ายก็ขอออกมารอหน้าร้านแทน

   ขณะที่ไอ้ปอยังฉอเลาะกับพ่อค้าไม่จบไม่สิ้น เสียงทักทายจากพี่ๆ ปี 4 ที่เดินผ่านมาก็ดังขึ้น หนึ่งในนั้นคือสาวผมยาวที่มัดจุกยุ่งๆ ไว้กลางหัว ...พี่จ๋านั่นเอง

   “ช็อปปิ้งกันเหรอ” จ๋าบอกลาเพื่อน แล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างรุ่นน้อง

   “หวัดดีครับ” ภูมิผงกศีรษะทักทายรุ่นพี่อีกครั้ง สาวผมจุกตอบรับด้วยรอยยิ้ม หากสายตากลับมองไปรอบๆ เหมือนกำลังมองหาใครบางคน และไม่รอให้อีกฝ่ายถาม ภาคภูมิก็บอกออกมาทันที

“ไอ้ปออยู่ในร้านครับ” ตากลมโตของคนฟังแฝงแววเขินอายเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าไปในร้านและหยุดยืนข้างๆ รุ่นน้องที่ยืนเลือกเสื้ออยู่

   “หน้าอย่างแกใส่อะไรก็ไม่หล่อขึ้นหรอกเว้ย” พี่จ๋าเปิดฉากแซวรุ่นน้องตัวโต เสียงคนโดนสบประมาทตอบโต้กลับอย่างสนุกสนาน ทำให้ภาคภูมิที่รออยู่ด้านนอกแอบถอนหายใจแรงๆ มือข้างหนึ่งเริ่มเขี่ยน้ำแข็งเล่นแก้เซ็ง

   ภูมิไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องมายืนร้อนๆ หงุดหงิดกับเหงื่อไคลที่ไหลท่วมตัว ทำไมต้องมาคอยหลบคนที่เดินชนไปมา ทำไมต้องมารอ...รอคนที่อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ตรงนี้ ถ้านี่คือ Dilemma ภูมิก็คิดว่ามันคงมีทางอื่นอยู่ แต่เขากลับตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เลือกอีกทาง…

“พี่ถือเองๆ ไม่ต้องมาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเลย ฮ่าๆ” หลัง 10 นาทีผ่านไป เสียงร่าเริงของพี่จ๋าก็เรียกให้ภูมิเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง จึงเห็นว่าในมือของเพื่อนสนิทมีถุงกระดาษสกรีนชื่อร้านนี้สองถุง ซึ่งพี่จ๋ากำลังแย่งถุงใบหนึ่งไปไว้ในมือตัวเอง

   “แก่แล้วก็ยอมรับเหอะพี่ เดี๋ยวผมถือให้” ท่อนแขนแข็งแรงชูถุงเสื้อขึ้นเหนือศีรษะของรุ่นพี่ ทำให้เจ้าของเสื้อตัวจริงค้อนขวับก่อนจะเดินนำออกไป

   “ตกลงกูซื้ออีกแบบมา” ปอเล่าให้เพื่อนที่เดินอยู่ข้างกันฟัง “แขนยาวเกือบเท่ากัน แต่ชายเสื้อหน้าหลังเสือกยาวไม่เท่ากันอีก แม่งเอ๊ย”

   “ขี้เลียนแบบว่ะ” พี่จ๋าตะโกนกลับมาแซวคนข้างหลัง คนถูกแซวจึงเร่งเท้าเดินไปหา พร้อมคำตอบโต้ที่ไม่มีใครยอมลดให้ใคร ภาคภูมิมองภาพของผู้ชายกับผู้หญิงที่เดินแกล้งกันข้างหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ไม่มีความรู้สึกใดใกล้เคียงกับความสุขแม้แต่นิดเดียว

   “ปอ...” ภูมิสะกิดร่างสูงที่หัวเราะเสียงดังลั่นอยู่กับรุ่นพี่ คนถูกเรียกหันมามองและเลิกคิ้วเป็นคำถามเขาจึงพูดต่อ “กูไปก่อนนะ ร้อนว่ะ”

   “อ้าว ไม่ไปกินปลาไข่ด้วยกันเหรอ” อีกฝ่ายร้องถามด้วยเสียงประหลาดใจที่เพื่อนสนิทยอมพลาดเมนูโปรดที่มันเฝ้ารอมาทั้งอาทิตย์

   ภูมิส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะแยกตัวเดินออกมา ได้ยินเสียงเพื่อนสนิทตะโกนแว่วๆ ว่าเดี๋ยวเจอกัน แต่เขาก็ไม่มีอารมณ์จะตอบรับอะไรอีก

   พี่จ๋ามองตามรุ่นน้องที่เดินแยกออกไป ตากลมโตมีแวววิตกเล็กน้อย “ภูมิโกรธไรเปล่าอะ”

   รุ่นน้องที่เหลือเพียงคนเดียวหัวเราะเบาๆ “ไม่หรอก เดี๋ยวกลับภาคก็เจอมัน”

   “เหรอ...แต่สีหน้ามันไม่ค่อยดีเลย”

   “ไม่มีไรหรอกๆ แล้วนี่พี่จ๋าจะไปไหนต่อ เดี๋ยวผมจะไปหาอะไรกินหน่อย” หนุ่มรุ่นน้องเอ่ยถาม เมื่อนึกได้ว่าคนที่เดินอยู่ด้วยอาจจะมีธุระอะไรต่อ

   “โอ๊ย! ชิลๆ วันนี้ไม่มีเรียน” อีกฝ่ายตอบ

   “จริงดิ งั้นไปตลาดข้างในกันเลยมะ กลัวปลาไข่หมด”

   “อยากกินอะไรเบอร์นั้น” พี่จ๋าแซวพร้อมเสียงหัวเราะ

   ร่างสูงของรุ่นน้องฉีกยิ้มกว้างก่อนอธิบาย “ผมอะเฉยๆ แต่ไอ้ภูมิดิอยากกินมาก ต้องซื้อไปเซ่นมันหน่อย เดี๋ยวมันงอแง”
   คนฟังพยักหน้าตกลง สะกิดใจนิดๆ ในถ้อยคำที่เด็กรุ่นน้องมีต่อเพื่อนอีกคน แม้ในตอนที่ต่อคิวซื้ออาหารที่ว่า คนตัวสูงก็มีเรื่องเล่าถึงเพื่อนสนิทไม่พัก

   “พี่รู้ปะ ไอ้ห่าภูมินี่คลั่งปลาไข่มากกก มากแบบผมแทบจะพามันไปเลิกที่ถ้ำกระบอกอะ กินมาตั้งแต่ปีหนึ่ง จนตอนนี้แม่งน่าจะท้องแทนปลาไข่ไปละ”

   พี่จ๋าหัวเราะตาหยีเมื่อได้ฟังคำเปรียบเทียบนั้น “ไอ้บ้า ภูมิมันจะท้องได้ไง”

   “เออว่ะ...” ปรนัยพึมพำ “แต่ถ้ามันท้อง ลูกมันคงน่ารักเนอะ ดูหน้ามันดิ เวรี่คิวท์บอยโคตรๆ”

   “นี่คิดไรกะมันปะเนี่ย ชมซะขนาดนี้”

   พอถูกแซว ร่างสูงเลยทำท่าขนลุกขนพองชุดใหญ่ “โอ๊ย!! คิดไรแบบนั้น ขนลุก!!”

พี่จ๋าปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นแบบไม่เข้ากับหน้าตาสวยๆ ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

   “ตอนภาพนิ่งพี่แม่งก็ ‘สายป่าน’ อยู่หรอก พอขำทีมโนภาพพังทลายเลย ฮ่าๆๆ”

   หญิงสาวร่างเล็กที่หลายต่อหลายคนทักว่าหน้าตาคล้ายนางเอกสุดอินดี้ยักไหล่ แล้วแกล้งทำหน้าลิงใส่คนที่ยืนอึ้ง ก่อนจะหลุดขำกันทั้งคู่


   ปอกับพี่จ๋าแยกกันที่หน้าตลาดในเวลาเกือบบ่ายสอง ร่างสูงโปร่งหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับมาที่ห้องภาควิชา  แต่เมื่อเปิดประตูห้องประชุมเข้าไป กลับพบเพียงรุ่นน้องปีสองนั่งอ่านหนังสือกันอยู่ ไร้วี่แววของเพื่อนสนิท เขาเดินออกจากห้องนั้นมาเคาะห้องพักอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน หลังได้รับคำอนุญาต จึงเปิดประตูและยื่นหน้าเข้าไปด้านใน

   “ขอโทษครับ ไม่รู้ว่าอาจารย์ติดธุระ” ผู้มาเยือนบอกน้ำเสียงเกรงใจ เมื่อเห็นว่ามีเด็กรุ่นน้องนั่งคุยกับอาจารย์อยู่ คนถูกรบกวนโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ปรนัยเลยรีบเอ่ยคำถามของตัวเองออกไป “จารย์กฤตเห็นภูมิมั้ยครับ”

   อาจารย์หนุ่มขวัญใจนักศึกษาขมวดคิ้วเล็กน้อย “วันนี้ยังไม่เห็นเลยนะ”

   หลังขอบคุณอาจารย์เรียบร้อย ร่างสูงก็โทรหาบุคคลผู้สูญหายทันที ทว่าสัญญาณที่ดังยาวๆ นั้นกลับไม่มีคนรับสาย แม้จะเว้นระยะไปหลายนาทีแล้วก็ตาม จนสุดท้ายนิ้วเรียวก็กดหาเบอร์ของคนที่น่าจะช่วยเช็กได้อีกคน

   พอปลายสายกดรับ เสียงทุ้มก็เอ่ยถามเข้าประเด็น โดยไม่มีการเซย์เฮลโหลใดๆ ทั้งสิ้น “เฮ้ยสิปป์ มึงอยู่หอปะ”

   หลังอีกคนตอบว่าใช่ เขาจึงบอกถึงวัตถุประสงค์ทันที

   “มึงดูห้องไอ้ภูมิให้หน่อยดิ ระเบียงเปิดปะ” คนที่เขาโทรหาคือเพื่อนที่เลือกปรัชญาเป็นวิชาโท ซึ่งห้องพักอยู่ตรงข้ามกับห้องไอ้ภูมิพอดี แบบที่ถ้าออกมาตากผ้าพร้อมกัน ก็สามารถตะโกนทักทายกันได้

   “เปิดเหรอ โอเคขอบใจมาก” นิ้วเรียวกำลังจะกดวางสาย แต่ก็นึกขึ้นได้ “เฮ้ย! กูขอยืมชีทปรัชญาเทคโนหน่อยดิ เดี๋ยวอีกสิบนาทีไปเอานะ”
   

   เสียงกดกริ่งหน้าห้องดังรัวๆ สามครั้งติด ทำเอาคนที่นอนกลิ้งอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงต้องรีบลุกไปเปิดประตูอย่างหัวเสีย ใครมากดวะ ทำไมไม่เคาะประตูธรรมดา รู้มั้ยว่ากดครั้งนึงค่าไฟขึ้นที 7 บาทเลยนะ อย่าให้...

   “เชี่ยปอ!!” เจ้าของห้องในชุดเสื้อยืดกางเกงบ็อกเซอร์พร้อมหัวยุ่งๆ กับแว่นอันโตยืนอ้าปากค้าง เมื่อเห็นว่าใครคือแขกผู้มาเยือนในวันนี้ หากในขณะกำลังจะด่าไอ่ห่าปอที่สะเออะมากดออดหน้าห้อง ริมฝีปากบางก็ต้องหยุดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีเพื่อนอีกคนมาด้วย

   “อ้าว...ทำไมมากะไอ้ปอวะไอ้สิปป์” ภาคภูมิเอ่ยถามเพื่อนห้องตรงข้ามด้วยความงุนงง

   “ไอ้ปอจะมายืมชีทกูอะ นี่ผ่านห้องมึงเลยแวะมาทักก่อน” เพื่อนร่วมหอตอบตามความจริง ก่อนจะหันไปบอกกับผู้มาเยือน “มึงรออยู่ห้องไอ้ภูมิละกัน ห้องกูรกมาก ไม่พร้อมรับแขกอย่างแรง”

   เอ่ยจบก็ทิ้งให้พวกมันสองคนเคลียร์กันเอง ส่วนคนห้องรกก็เดินไปเอาเอกสารเพียงคนเดียว โดยไม่สนใจเสียงบ่นของไอ้ภูมิที่ดังไล่หลังมาแม้แต่น้อย

   ภาคภูมิจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด หากสุดท้ายก็ยอมให้ไอ้แขกไม่ได้รับเชิญเดินเข้าห้องมาในที่สุด

   ร่างสูงโปร่งจัดแจงวางสารพัดถุงที่หอบหิ้วมาลงกับโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วจึงเห็นว่าโทรศัพท์ของเจ้าของห้องถูกชาร์จทิ้งไว้ แถมยังสุมทับด้วยหนังสือการ์ตูนอีกกองใหญ่ แบบนี้ไอ้มนุษย์โหมดสั่นจะรู้ว่ามีสายเข้าก็แปลกแล้วล่ะ

   “โทรศัพท์หรือที่ทับกระดาษ เปิดเสียงไม่เป็นไง้” ปากก็บ่นเพื่อนไป แต่ตัวกลับเนียนมานอนกลิ้งบนเตียงนุ่มริมห้องแทน

   “ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยเชี่ยปอ!!” ภาพนั้นทำให้เจ้าของห้องตาค้าง ภาคภูมิพุ่งตัวไปฉุดร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อให้ลุกจากที่นอนทันควัน “กูเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูนะเว้ยยย”

   นอกจากร่างสูงใหญ่จะไม่ไหวติงต่อแรงที่ฉุดลากแล้ว แขนยาวๆ ยังคว้าหนังสือการ์ตูนที่ถูกคว่ำไว้บนเตียงขึ้นมาพิจารณาอย่างสบายอารมณ์อีกด้วย

   “โห! โทริโกะทั้งเซตเลยเหรอวะ มึงอ่านจบยัง กูยืมต่อนะ”

   “สัสปอ!! ลุกกก” ภูมิกระโดดขึ้นเตียงแล้วพยายามลากขายาวๆ ที่นอนขวางเตียงออก แต่ไอ้ห่าปอที่ไม่รู้ว่ายัดอิฐไว้หรืออะไร ถึงได้ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้สักนิด

   ร่างสูงลอบมองใบหน้ายุ่งๆ ที่ประดับด้วยแว่น ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาทำร้ายร่างกายของตนเองก่อนจะคิดอะไรแผลงๆ ออก จึงแกล้งหดขาและลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ทำเอาอีกคนที่ไม่ทันระวังตัวหน้าทิ่มลงบนหน้าขาแข็งแรงนั่นทันที

   “เฮ้ยยย!”

   เสียงอุทานด้วยความตกใจไม่ได้มาจากทั้งคนแกล้งและคนถูกแกล้ง แต่มาจากคนที่เปิดประตูเข้ามาเมื่อสักครู่นี้

   “โทษทีว่ะ กู...กูเคาะนานแล้วนะ เห็นไม่มีใครปะ...เปิด เลยเปิดเข้ามา...เอง” สิปป์หน้าเหวอ พูดจาตะกุกตะกัก ก่อนปลายเสียงจะเบาลงคล้ายพึมพำกับตัวเอง “ไม่คิดว่าจะเจอภาพกีฬามันๆ”

   ก็ภาพที่เจ้าของห้องซุกหน้าอยู่แถวๆ ตักของเพื่อนอีกคนมันชวนให้คิดน้อยเสียเมื่อไร ยิ่งเป็นคนมีจินตนาการกว้างไกลอย่างไอ้สิปป์ด้วยแล้ว ภาคภูมิจึงต้องรีบลุกขึ้นและแก้ความเข้าใจผิดโดยเร็ว

   “เชี่ยปอมันแกล้งกู ไม่ได้มีอะไรนะเว้ย!!” เขาละล่ำละลักอธิบาย ก่อนจะขยี้หัวตัวเองไปมา

   “เออ กูเล่นกันเฉยๆ” เพื่อนสนิทเห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่ เลยเปิดปากเล่าความจริงด้วยอีกคน

   คนที่ยังยืนพิงประตูพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะยื่นเอกสารในมือออกไปแล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง “ชีทปรัชญาเทคโนของอาทิตย์ที่แล้ว เสร็จแล้วคืนกูด้วยล่ะ”

   ปรนัยก้าวลงจากเตียงแล้วไปรับเอกสารที่เพื่อนที่เรียนคลาสเดียวกันเอามาให้ เสียงทุ้มกล่าวขอบใจก่อนจะบอกลาเพื่อน พอเข้ามาในห้องของไอ้ภูมิอีกครั้ง ก็พบว่าเจ้าของห้องนั่งขัดสมาธิหน้านิ่งอยู่บนเตียงแล้ว

   “เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงนิ่งๆ เอ่ยขึ้นเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ “กลับไปดิ”

   ใบหน้าคมของผู้มาเยือนเผยรอยยิ้มกว้าง ร่างสูงเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงที่น่าจะเอาไว้ใช้หลอกเด็กบ่อยๆ

   “พีพี~ กูซื้อปลาไข่มาฝาก มากินสิ”

   เมื่อเห็นอีกคนทำเป็นไม่สนใจ เสียงทุ้มจึงพูดต่อ

“มีลูกชิ้นปลาระเบิดด้วยน้า...กูไปต่อคิวซื้อตั้งนาน เพื่อมึงเลยนะเนี่ย”

เสียงเปิดหนังสือการ์ตูนของคนบนเตียง ทำให้รู้ว่าเขายังง้อไม่สำเร็จ

“จริงๆ มีน้ำส้มคั้นด้วย แต่มันไม่เย็นแล้วอะ ไม่รู้ยังอร่อยเปล่า มึงลองชิมหน่อยดิ น้าๆๆ”

สุดท้ายเจ้าของห้องก็ยอมเดินมาที่โต๊ะเขียนหนังสือ ดวงตาใต้กรอบแว่นมองถุงอาหารมากมายที่อีกคนซื้อมาให้แล้วก็ต้องถอนหายใจ

“กูจะกินยังไงหมด”

คนได้ฟังลอบอมยิ้มกับตัวเอง “มึงกินคนเดียวที่ไหน กูจะกินกับมึงด้วย”

“อ้าว!”

“กูยังไม่ได้กินไรเลยเนี่ย ก็มึงหนีกลับมาก่อนอะ” อีกฝ่ายเอ่ยคล้ายตัดพ้อ

ภาคภูมิเหล่มองจอมมารยานิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “มึงไปกะใคร ก็ไปกินกับคนนั้นสิ”

ปอหัวเราะเบาๆ “งั้นกินกะมึงก็ถูกแล้ว ...ก็กูไปกะมึงนี่”

เจ้าของห้องก้มลงใต้เตียงเพื่อลากโต๊ะญี่ปุ่นมากางกินข้าว คนที่นั่งบนเก้าอี้จึงไม่ทันเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าขาวที่ฉายออกมาด้วยความยินดี ก่อนเจ้าตัวจะพยายามอย่างหนักเพื่อเม้มปากเก็บมันไว้

   นอกจากอาหารที่ปอซื้อมาแล้ว ภูมิยังมีผัดไทยและลูกชิ้นปิ้งที่เก็บไว้รอกินตอนเย็นอีกหนึ่งชุด เลยจัดการอุ่นทั้งของฝากจากเพื่อนและกับข้าวตัวเองมากินในมื้อนี้เสียเลย

   “เย็นนี้มึงไปไหนเปล่า” ผู้มาเยือนเอ่ยถามเจ้าของห้อง

   “มีเมคอัพคลาสแปลว่ะ” ภาคภูมิหมายถึงการนัดเรียนนอกเวลาของวิชาการแปลภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นสาขาที่ตนเองเก็บเป็นโท

   แขกของห้องเอ่ยอย่างแปลกใจ “อ้าว ไหนว่านัดพรุ่งนี้”

   “อาจารย์ไม่ว่าง เพิ่งเลื่อนเมื่อบ่ายนี้เอง ...เชี่ย!” คนกำลังกัดลูกชิ้นปลาสบถดังลั่น เมื่อน้ำมันในลูกชิ้นกระเด็นออกมาเปื้อนแก้มขึ้นไปจนถึงแว่น ดีว่ามันเริ่มอุ่นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทิ้งความรู้สึกแสบร้อนนิดๆ ไว้อยู่ดี

   มือหนาของคนที่นั่งตรงข้ามช่วยถอดแว่นของเพื่อนสนิทออก ก่อนจะส่งทิชชู่ให้อีกคนเช็ดหน้าเช็ดตา “ไปล้างหน้าไปมึง”
   ภูมิวิ่งไปห้องน้ำตามที่เพื่อนบอก หลังทำความสะอาดหน้าจนความระคายเคืองที่ผิวเริ่มเบาลงแล้ว จึงกลับมานั่งที่เดิม “โคตรซวยเลย ต่อไปกูจะไม่กินลูกที่มันพองๆ...”

   อยู่ๆ นิ้วสากของอีกคนก็เอื้อมมาลูบที่แก้มของคนกำลังพูด ทำเอาปลายเสียงที่กำลังบ่นลูกชิ้นเจ้าปัญหาต้องขาดหายไปด้วยความตกใจ

   “นี่มันแดงเพราะมึงถู หรือเพราะโดนน้ำมันวะ” ปรนัยพิจารณาหน้าเพื่อนใกล้ๆ นิ้วเรียวแตะอย่างแผ่วเบา ราวกับผิวของเพื่อนสนิทเป็นมรดกโลกที่ได้รับการอนุรักษ์จากยูเนสโก้

“ต้องทายาเปล่าเนี่ย มันจะเป็นแผลมั้ย” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลยังเอ่ยถามต่อ

   “มะ...”

   แล้วโลกของภาคภูมิก็หยุดหมุนไปชั่วขณะ เมื่อใบหน้าคมของคนตรงข้ามเลื่อนเข้ามาหาในระยะที่เกินกว่าสายตาจะมองเห็นได้ชัด ก่อนลมอุ่นๆ จะปะทะกับผิวที่ร้อนผ่าว

“...เพี้ยง...”

...แล้วปื้นแดงๆ ที่เคยเป็นแค่ตรงแก้ม ก็ลุกลามไปทั้งหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว



TBC.




สวัสดีค่ะ ตอนที่สองมาแล้วววว
ส่วนคำถามว่าใครเมะใครเคะ ถ้าตามคำอธิบายแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะชัดเจนขึ้น
แต่น้องภูมิฝากบอกว่า #ให้ไปวัดกันบนเตียง! 555555555

ถ้าใครได้อ่าน คอมเมนต์วิจารณ์กันได้นะคะ
เหมือนเดิมค่ะ ถ้าเล่นทวิตเตอร์ฝาก #SweetDilemmaFiction น้า
ขอบคุณที่ติดตามค่า

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-01-2017 23:52:19
ปอ เนียนได้ใจจริงๆ เขินแทนเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 09-01-2017 23:52:27
ฮือออออออออ แม่มโคตรน่ารักเลย ปออย่าอ่อยนุ้งภูมิมากเริ่มไม่มีแรงต้านทานล้าววววว โว้ยยยยย ชอบอะไรแบบนี้จริงๆ กร๊าวใจแรงมาก  :ling1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-01-2017 17:59:21
น้องภูมิน่ารักมากเลยยยย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: CanonDNattari ที่ 10-01-2017 18:25:31
อู้ยยยยยยยยยยยยยยยย
อ่อยจริง อ่อยจัง

อิน้องสิปป์นี้ จาก  Gayscale หรือเปล่าคะ ?
ถ้าใช่นี้จำได้ว่าอิตาเมตตา ก็เรียนด้วยกัน
แอบส่อง แอบส่อง
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-01-2017 18:42:45
 :o8:

ตามมาจากเพจ เข้ามาติดตามในนี้ด้วยคนนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 10-01-2017 20:55:56
รอคอยเธอ มานานแสนนานนนนนน~
เรื่องใหม่นี่น่าจะใสๆกว่ากองบก.นะคะ
เพราะอายุต่างจากกองบก.ราวกับตาและหลาน
555555555555555
แนวแอบรักเพื่อนหรอเนี่ย
แล้วปอกับภูมิจะสมหวังหรือจะได้เปลี่ยนคู่ของตัวเอกกันล่ะเนี่ย
ก็มันรักไม่ได้กับไม่ได้รักนี่เนอะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 11-01-2017 08:33:59
เขินอะะะะ บ้าจริง ฮือ มันก๊าวใจม้ากกกก

ชอบค่ะ อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-01-2017 09:04:00
กว่าจะได้ลงเอยกัน ภูมิต้องปวดใจอีกสักเท่าไร
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: Shin Heeyoo ที่ 11-01-2017 13:42:07
โอ๊ย สั้น!
พอมีกายภาพมาบรรยายด้วยก็พอเข้าใจค่ะ
มาตอนแรกเดาจากชื่อก่อนเลย ปอนี่เคะแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ
ตอนนี้ตัวใหญ่แล้ว ให้เป็นเมะก็ได้ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-01-2017 14:59:03
แอะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 11-01-2017 15:22:46
เข้ามาถึอป้าย FC น้องภูมิ
รักเขาข้างเดียวมันเจ็บแบบนี้แหละลูก โอ๋ๆ

 :กอด1:

ป.ล. คิดถึงทับแก้ว
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 11-01-2017 18:38:25


มาลงชื่อให้กำลังใจคนเขียนก่อนค่ะ
เดี๋ยวจะรีบตามอ่านให้ไวเลย!  :L2:

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ (Update! 09/01/17 #02)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 13-01-2017 18:08:20
#03


คลาสวิชาของอาจารย์กรรณิการ์เลิกเร็วกว่าปกติ ปรนัยเลยมานั่งเล่นรอคนอื่นๆ ที่ห้องภาคฯ จริงๆ แล้ววิชานี้ควรต้องเรียนตอนปีที่แล้ว แต่เพราะตารางเวลาชนกับวิชาที่เขาเก็บสาขา ซึ่งบังคับให้เรียนให้ครบภายในปี 2 เขาเลยต้องไปเรียนตัวนั้นก่อน มาปีนี้เลยต้องนั่งเหงาเรียนกับรุ่นน้องไปแบบเซ็งๆ

ไม่นานนักไอ้แก้วกับชิงชิงก็มาถึง สองคนนี้เป็นเพื่อนปีเดียวกับเขาและภูมิ และเนื่องจากเด็กเอกปรัชญาปี 3 มีกันอยู่เท่านี้ พวกเขาเลยฟอร์มทีมเป็นแก๊ง F4 โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากใคร เพราะเป็นรุ่นชายล้วน 4 หน่อ ที่ความหล่อกินกันไม่ลง

   “แดกข้าวยังวะ” ปรนัยเอ่ยทักคนมาใหม่ตามมารยาท พออีกสองคนชูกล่องข้าวในมือขึ้นมา เสียงทุ้มเลยโวยวาย “ไม่มีเผื่อกันอะ เพื่อนปะเนี่ย เพื่อนปะเนี่ยยย”

   แก้วจัดการเบิ้ดกะโหลกไอ้คนปากดีไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ “มีตังค์ก็ซื้อแดกเองสิวะ”

   ฝ่ามือหนาลูบหัวตัวเองป้อยๆ แม่งมีเรื่องต้องเจ็บตัวแต่วันเลย เซ็งโว้ย!!

   ระหว่างที่สามหนุ่มกำลังโหวกเหวกได้ที่ สมาชิกคนที่สี่ก็เปิดประตูเข้ามา ภาคภูมิเอามือแคะหูพลางทำหน้าเบื่อ เป็นนัยว่ารำคาญไอ้พวกลูกหมาที่กัดกันไม่เลิก

   “น้องพีพีช่วยพี่ปอด้วย พี่ปอถูกรังแก กระซิกๆ” ร่างสูงที่แสร้งออเซาะบีบน้ำตานั้นทำเอาผู้มาใหม่ต้องรีบผลักมันออกไป

   “แค่แกล้งยังน้อยไป ไม่โดนกระทืบตายก็บุญแล้วมึงอะ” ‘น้องพีพี’ เอ่ยเสียงเรียบ แต่คนฟังนั้นเจ็บสะเทือนไปสุดขั้วหัวใจ

   “คนบ้า! ชอบพูดทำร้ายจิตใจเค้า ฮือออ” ท่าทางทรุดนั่งดุจสาวน้อยทำให้ภาคภูมิต้องข่มใจในการยั้งฝ่าเท้าไม่ให้ไปประทับตราที่กลางหลังของอีกฝ่ายอย่างมาก

   “ลุก! กินข้าว!” ปลายคอนเวิร์สสะกิดข้อศอกคนที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนพื้น “ปอเอ๊ยยย กินข้าวมาลูก โม่ๆๆ”

   “สัสภูมิ! กูไม่ใช่ผีเสื้อ!”

   “หมา!” คนอื่นๆ ประสานเสียงตอบกันอย่างพร้อมเพรียง ให้ว่าที่ผีเสื้อได้เข้าใจสถานะตนเองอย่างถูกต้อง

   ปรนัยกระฟัดกระเฟียดที่โดนรุมจนหมดทางสู้ แต่พอเห็นข้าวที่ภาคภูมิซื้อมาให้ อารมณ์บูดๆ ก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงสดใสขึ้นทันควัน

   “บุญของกูแล้วที่ได้กินหมูกรอบเฮียง โว้วๆๆๆ” ร้านเฮียงเป็นร้านขายข้าวหมูแดงหมูกรอบข้างมหา’ลัย ด้วยรสชาติความอร่อยที่ไม่เคยเพี้ยนไปตามกาลเวลา ประกอบกับชื่อเสียงที่โด่งดังมารุ่นต่อรุ่น ทำให้ลูกค้าของร้านเนืองแน่นไม่มีลด ขนาดร้านเปิด 7 โมงเช้า ยังมีคนไปรอต่อคิวกินกันทุกวัน และเผลอๆ 10 โมงตรงเฮียคนขายก็รูดประตูปิดร้านเรียบร้อย

   “ไปซื้อทันได้ไงวะ” แม้จะเพลิดเพลินกับหมูกรอบชิ้นหนาที่กรุบกรอบเต็มคำ แต่ปรนัยก็ยังถามข้อสงสัยออกไป

   ภาคภูมิกลืนน้ำซุปลงคอ ก่อนจะตอบคำถามเพื่อน “ไอ้ท่านขุนซื้อมาฝาก”

   “ฮะ??” คิ้วหนาขมวดแน่น “มันเพี้ยนไรอีกวะ”

   “ไม่รู้มัน มันบอกว่าซื้อมาฝาก แถมให้ตั้งสองกล่อง”

   “แล้วมึงเจอมันที่ไหน”

   “ที่หอ”

   “ที่หอ!!” คราวนี้เพื่อนสนิทขึ้นเสียงทันควัน “มันไปทำอะไรที่หอมึง”

   “อ้าว” ภูมิอุทานด้วยความงุนงง “จะไปรู้มันเหรอ”

   “เอ้า! แล้วมึงก็รับของมันมาแบบนี้เหรอ” ปรนัยยังตะโกนเสียงดังระดับเดิม ยิ่งพอเพื่อนตัวเองตอบว่า ‘อือ’ มือหนาก็อยากจะเอื้อมไปเขย่าตัวไอ้คนใจง่ายให้หัวหลุด ก็ไอ้ ‘ท่านขุน’ หรือไอ้ห่าขุนเนี่ย เป็นน้องปี 2 ที่มีบุคลิกเข้าข่ายคนบ้า วันๆ แม่งไม่ทำอะไร ใส่สูทกับแว่นดำเดินไปเดินมาทั่วคณะ ดูเอาเถอะ คนดีๆ ที่ไหนเค้าทำกัน นี่ยังไม่นับไอ้การคิดเองเออเองว่าคนนั้นคนนี้ชอบมันอีก เช่นว่า ‘น้องปีหนึ่งคนนี้มองผมบ่อยๆ สงสัยน้องคงชอบผม’ หรือ ‘ที่หลบตาเรานี่เธอคิดอะไรกับเราหรือเปล่า’ ประโยคพวกนี้ไอ้ห่าขุนมันพล่ามทั้งวันนั่นแหละ

พอนึกถึงไอ้ขุนมาถึงตรงนี้ ปรนัยก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้

“มันชอบมึงเหรอ!!”

แค่กๆๆๆ!!

คนกำลังดูดชาลิปตันถึงกับสำลักในคำพูดนั้น ก่อนมือเรียวจะตบกะโหลกไอ้คนช่างจินตนาการไปอีกหนึ่งป้าบ “ขนลุก!!”

คนโดนทำร้ายร่างกายถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิ้วหนาขมวดมุ่น “ไม่รู้แหละ มึงอยู่ไกลๆ ไอ้ขุนไว้ละกัน”

คราวนี้เสียงทุ้มปรับวอลุ่มให้ดังในระดับปกติแล้ว ถ้อยคำที่ไม่เจือการพูดเล่นเหมือนทุกครั้งทำให้ภาคภูมิต้องรับคำไปเงียบๆ โดยไม่โต้เถียงอะไรต่อ

“ห่วงเว้ย...หวงเว้ยยย” ชิงชิงพึมพำแบบตั้งใจให้คนอื่นได้ยิน ซึ่งไอ้แก้วก็หันมายักคิ้วหลิ่วตาแบบรู้กันให้ทันที

“อะไรของพวกมึง”  ช้อนพลาสติกในมือไอ้ปอตวัดชี้เพื่อนสองตัวไปมา

“เปล้าาา” พอไอ้เพื่อนปากดีก้มหน้าก้มตากินข้าว ปรนัยเลยเลิกสนใจพวกมันไป ภาคภูมิแอบถอนหายใจยาวๆ เมื่อความสงบกลับมาเยือนสักที


หลังจากขึ้นเรียนคาบบ่ายเสร็จ แก๊ง F4 ก็ว่างอีกครั้ง จึงมานั่งๆ นอนๆ กันอยู่ในห้องภาคฯ เหมือนเดิม เพราะเดี๋ยวตอนบ่าย 3 จะมีประชุมรวมของภาค แก้วกับชิงชิงไปรื้อเสื่อที่ซุกไว้ในตู้ออกมาปู พร้อมหมอนและผ้าห่มที่แลกแสตมป์เซเว่นมาแบ่งกันนอน เพิ่มความจริงจังอีกขั้นด้วยการเปิดดนตรีบรรเลงเป็นนัยว่าขับกล่อมให้หลับฝันดี

“มึงเห็นใจคนทำการบ้านบ้างแมะ” ไอ้ปอโบกทอล์กกิ้งดิกในมือไปมา

“แล้วมึงเห็นใจคนจะนอนบ้างแมะ ทำไปเงียบๆ เลย ชิ้วๆ” ไอ้สองเกลอที่จัดที่นอนอยู่เถียงกลับ แต่ก็ยอมหรี่เสียงดนตรีลงนิดหนึ่ง ก่อนจะสวมผ้าปิดตาและนอนลง

“เอ๊อออ...มึงไม่ตกอิ๊งบ้างในมันรู้ไป” สาขาวิชาภาษาอังกฤษเป็นสาขาที่บังคับให้นักศึกษาทุกคนต้องเรียนในชั้นปีที่ 1-2 แต่ประชากรกว่า 30% ก็ยังสอบตกครั้งแล้วครั้งเล่า จนต้องมาเรียนซ่อมกันในปีต่อๆ มา ซึ่งของปรนัยถือว่ายังดีที่เหลือแค่ตัวเดียว และมีแนวโน้มว่าจะผ่านในปีสาม เพราะคะแนนเก็บเป็นที่น่าพอใจ

“มา...กูช่วย” หลังจากเห็นเพื่อนสนิทบ่นอุบอิบกับการกดแปลคำศัพท์สลับกับจดลงชีทอยู่นาน ภาคภูมิก็สงสารจนต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

“ดีมากกก มาๆ มึงกดดิกให้กูหน่อย” มือหนายื่นเครื่องแปลภาษาให้ ซึ่งก็เป็นของภาคภูมินี่แหละที่ให้มันยืมไปใช้ แล้วไอ้บ้านี่ก็เนียนไม่คืนจนถึงวันนี้

“I-L-L-N-E-S-S”

นิ้วเรียวชะงัก “อิลเนส...อิลก็ป่วย อิลเนสเป็นคำนาม ก็ความเจ็บป่วยไง”

“อ่อ...”

“T-O-W-A-R-D”

“ไปสู่, ไปทาง, ในที่สุด มีหลายความหมาย”

“แล้วอันนี้จะแปลว่าไรอะ” มือหนาเลื่อนชีทไปให้เพื่อนช่วยดู

“จริงๆ มึงไม่ต้องแปลทุกคำ อันนี้คือตอบคำถามใช่ปะ มึงก็ดูคำถามก่อนดิว่าเค้าถามอะไร แล้วก็วงคีย์เวิร์ดไว้ พอมึงอ่านเนื้อหาอะ มึงก็อ่านแบบรวบๆ เพื่อหาคำหรือประโยคที่มันตรงกับคำถาม บางทีมันไม่ตรงแต่ก็จะมีใจความใกล้เคียงกัน”

เด็กโทอังกฤษร่ายยาวถึงวิธีการอ่านบทความ พอเห็นเด็กน้อยยังหน้าเบลอๆ เลยต้องยกตัวอย่างประกอบให้ฟัง

“อะ อย่างคำถามนี้ มึงก็ไปหาว่าส่วนไหนของเนื้อเรื่องพูดถึงตอนแพนด้าตาย...” ภูมิเลื่อนชีทบนโต๊ะไปให้ใกล้คนเรียน ก่อนนิ้วเรียวจะช่วยไล่บรรทัดในบทความพร้อมสอนไปด้วย “นี่ไง …the end of her life ขึ้นมางี้คือจะเล่าถึงตอนตายแล้วถูกปะ อะมึงก็วงไว้”

ปลายปากกาวงลงบนคำที่เพื่อนบอก ก่อนใบหน้าคมจะเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์จำเป็น หากเป็นจังหวะเดียวกับที่ภาคภูมิก้มหน้าลงไปพอดี

“โทษ...โทษที” ปรนัยละล่ำละลัก เมื่อปลายจมูกของตนเองเฉียดผ่านแก้มขาวๆ นั่นอย่างไม่ตั้งใจ

“อือ....เออ ที ทีนี้มึงก็ไป...ไปดูคำถามอีกรอบ” ไม่ใช่เพียงความขัดเขินจากเจ้าของจมูกโด่ง แต่คนที่ถูกสัมผัสผ่านๆ นั้นก็มีอาการไม่ต่างกัน “มัน...มันถะ...ถามว่า ว่า...”

“มึง!” คนกำลังอธิบายสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ คนข้างๆ ก็เรียกตนเองเสียงดัง

“ฮะ?”

มือหนาเอื้อมมาวางบนไหล่ทั้งสองข้างของคนฝั่งตรงข้าม ก่อนดวงตาคมจะสะกดตรึงให้ดวงตาใสต้องประสานสายตาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

“เมื่อกี๊...กูขอโทษ มันแค่เฉียดๆ ไม่ได้โดนนะเว้ย” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความหนักแน่น ปอคิดว่าถ้าไม่พูดให้ชัดเจน เขาสองคนคงมีอะไรตะขิดตะขวงใจกันอีกนาน

“เออ...กูรู้ๆ” คนเกือบเสียบริสุทธิ์ทางแก้มตอบรับให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ขนลุกฉิบหาย อี๋ๆๆๆ” แล้วไอ้คนที่จริงจังเมื่อครู่ก็กลายร่างเป็นลิงหลอกเจ้า ทำท่าขนลุกขนพองจนน่าถีบ

ภาคภูมิสะบัดตัวออกจากมือที่กุมไหล่ตัวเองอยู่ทันควัน “เอ๊อ...กูมันไม่ใช่สาวๆ ของมึงนี่”

“หือออ มีที่ไหน ไหน...ไหน อยู่ใต้โต๊ะปะเนี่ย ยู้ฮู้ สาวๆ จ๋า มาหาพี่ปอหน่อยเร้ว” ว่าแล้วก็มุดโต๊ะเปิดตู้หาสาวประกอบคำพูดไปด้วย “ไม่มี้ เห็นมะ”

“อย่าให้กูรู้ว่ามีก็แล้วกัน!” เสียงคาดโทษนั้นทำให้ปรนัยยกมือไหว้ปลกๆ แบบยอมแพ้

“กลัวแล้วจ้าพ่อ...กลัวแล้ววว มาสอนการบ้านกูต่อดีกว่า เนอะๆ”

ติวเตอร์จำเป็นเขยิบตัวมาเปิดชีทต่อ “ถึงไหนแล้ว อ่อ...ก็มาดูคำถามใช่มะ นี่ไง เค้าถามว่า ก่อนตายแพนด้ากินน้อยลงเท่าไร แบบนี้แสดงว่ามึงต้องหาตัวเลขในเนื้อหาหลังจากคำที่วงไว้”

นิ้วเรียวขยับเลื่อนไปยังคำที่ว่า และให้เจ้าของชีทลองหาคำตอบเอง ปรนัยพยักหน้ารับก่อนจะลองไล่สายตาอ่านตามที่เพื่อนสอน สุดท้ายก็เจอคำที่น่าจะเป็นคำตอบ

“ตรงนี้ปะ มันบอกว่า...”

“ฮัลโหลน้องๆ มากันเร็วจัง”

เสียงใสๆ ที่ร้องทักทำให้ทุกคนหันไปสนใจรุ่นพี่ที่มาใหม่ นำทีมโดยประธานเอกซึ่งจะเป็นผู้นำประชุมในวันนี้ พี่ปีสี่แยกย้ายกันหาที่นั่ง ทำให้ปอกับภูมิต้องเก็บของเพื่อจะลุกไปนั่งที่เสื่อเพื่อเสียสละให้พี่ผู้หญิงนั่งแทน

“ไม่เป็นไรๆ นั่งเถอะ” พี่จ๋าเป็นคนเอ่ยห้ามรุ่นน้อง “นี่ทำไรกันอยู่”

“ทำอิ๊งอะพี่” เป็นปรนัยที่ตอบ คนมาใหม่ชะโงกตัวเข้ามาดูการบ้านที่ว่า ก่อนจะทำตาโต

“โห อีเรื่องแพนด้านี่ยังใช้อีกเหรอ ตั้งแต่พี่เรียนอะ”

“หืมมมม ห้าสิบปีแล้วเหรอเนี่ย...” คนทำการบ้านงึมงำ ซึ่งคนโดนล้อว่าแก่ก็ตอบโต้ไปชุดใหญ่

“ห้าสิบปีบ้านแกสิ เห็นฉันถือไม้เท้าหรือไง”

“อ้าว ที่วางแอบไว้หน้าภาคฯ นั่นของพี่เองเหรอ ไอ้เราก็นึกว่าของใคร...” สุดท้ายทั้งพี่จ๋าและไอ้ปอก็เถียงกันไปเถียงกันมาเป็นเด็กๆ

ครืด...

ภาคภูมิเลื่อนเก้าอี้ออกก่อนจะลุกขึ้น “พี่จ๋านั่งเถอะครับ”

“อ้าว ไม่เป็นไรๆ พี่จะไปห้องอาจารย์แล้ว”

“นั่งเถอะครับ” เจ้าของที่นั่งยังคงยืนยัน “น่าจะคุยกันอีกนาน”

พูดเพียงเท่านั้นภาคภูมิก็ผละออกมาจากห้องทันที โดยไม่ได้สนใจว่าคนด้านในจะว่ายังไงบ้าง ภาคภูมิไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แต่ว่าหงุดหงิดและรำคาญความพ่อแง่แม่งอนของสองคนนั้นจนทนไม่ไหว ถ้าเขาต้องนั่งต่อไปอีกสักนาที คำพูดร้ายๆ ที่วิ่งวนอยู่ในหัวคงถูกพ่นออกมาจนหมด


----------------


   ภาคภูมิกลับมาถึงห้องกลางของภาคฯ ตอนที่การประชุมจะเริ่มพอดี ห้องพักเล็กๆ ตอนนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาเอกปรัชญาทุกชั้นปี และเนื่องจากสาขานี้เปิดให้สอบโควตาเข้าเอก ต่างจากบางสาขาที่ให้เลือกเอกตอนปี 2 จึงมีน้องๆ ปี 1 มาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง

   ระหว่างกำลังหยิบกระเป๋าของตัวเองจากบนโต๊ะกลางห้อง ใครคนหนึ่งก็มาสะกิดไหล่ให้หันไปมอง ภูมิจึงจะเห็นว่าสิปป์ศิลป์กำลังกวักมือเรียก ร่างโปร่งขยับไปยืนกับเพื่อนร่วมหอ ในขณะที่สายตาก็อดจะมองหาเพื่อนสนิทไม่ได้ แต่น่าแปลกที่ไม่เห็นปออยู่ในห้องนี้

   “ไอ้ปอไปไหนอะ” สิปป์ศิลป์ เพื่อนที่อยู่หอเดียวกันที่เอ่ยถาม

   ภาคภูมิส่ายหน้าด้วยไม่รู้คำตอบ ทำเอาคนถามเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ทุกทีเห็นแทบจะสิงร่างเดียวกัน”

   คนโดนกล่าวหาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเห็นว่ายังมีเพื่อนอีกคนยืนอยู่ด้วย “อ้าว เมต”

   “หวัดดี” ผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่มีหนวดเครารกครึ้มยิ้มทัก

   “เอกไทยมึงว่างกันเหรอ ย้ายมานี่กันครบองค์ประชุมเลย”

   “กูเบื่อเอกกู คนเยอะเกิ๊น มาอยู่ปรัชญาดีกว่า” เพื่อนร่วมหอตอบอย่างไม่ยี่หระ

   เด็กเอกปรัชญาทำเสียงอือออเป็นเชิงว่าเข้าใจ หากแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นอีกรอบ เพราะนึกได้ว่า ยังไงไอ้สิปป์ก็เป็นเด็กโท แต่ไอ้เมตนี่มาไงวะ “แล้วไอ้เมตอะ”

   สิปป์ศิลป์ถอนหายใจเสียงดังแบบหน่ายๆ “แม่งร้องตามกู...โอ๊ย!”

   ภาคภูมิเห็นนิ้วของคนที่ถูกกล่าวหาว่าร้องตาม ดีดลงบนหน้าผากของเพื่อนเขาแบบไม่เบานักก็ต้องหัวเราะออกมา

   “ว่าแต่กู พวกมึงนี่สิงร่างเดียวกันยิ่งกว่าอีก”

   เสียงไมโครโฟนดังขึ้นเมื่อพี่ไนท์ประธานเอกเอ่ยทักทายทุกคน ในตอนนั้นเองที่ภาคภูมิรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นที่พาดมาโอบไหล่ตัวเองไว้ ก่อนหัวใจของเขาจะเต้นระรัวอย่างไม่อาจควบคุม

   “ไปไหนมา”

   “ไปไหนมา”

   คำถามเดียวกันจากคนสองคนทำให้อีกฝ่ายต้องแปลกใจ ก่อนจะเป็นร่างสูงที่เอ่ยซ้ำอีกครั้ง “มึงไปไหนมา กูไปหาที่โรงอาหารแล้วไม่เจอ”

   ไปหาทำไม ไปหาเขาทำไม... หลายครั้งที่ภาคภูมิมีคำถามกับการกระทำของเพื่อนสนิท...

   “เห็นลุกไปสีหน้าไม่ค่อยดี ...กูเป็นห่วง”

ไอ้แบบที่ทำเสียงเป็นกังวล ที่ทำเหมือนเป็นคนพิเศษ ไอ้การที่ทำเหมือนจะเปิดทางให้เดินไปเจอความหวัง แต่ทุกครั้งก็มีแต่ทางตัน ไอ้การกระทำทั้งหมดน่ะ ...ทำไปเพื่ออะไร

แรงบีบเบาๆ ที่ไหล่ด้านซ้ายทำให้ภาคภูมิต้องกลืนความเจ็บปวดในหัวใจลงไป ก่อนเรียวปากบางจะคลี่ยิ้มให้ร่างสูงที่ยืนมองอยู่ข้างๆ

“ไม่มีไร กูหิวน้ำเฉยๆ”

คนได้ฟังยิ้มสดใสก่อนจะเอ่ยต่อ “กูก็บอกแล้วว่ามึงไม่เป็นไรๆ พี่จ๋าก็ยังให้ไปตามมึง ...เห็นมะๆ”

คำสุดท้ายร่างสูงหันไปทำปากพะงาบๆ พร้อมชี้ไม้ชี้มือคุยกับสาวผมยาวที่ยืนอยู่หลังประธานเอก พี่จ๋าเบะปากก่อนจะขำแบบไม่มีเสียง ซึ่งทำให้ปอหัวเราะไปด้วย

ภาคภูมิก้มหน้าลงมองพื้น รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังเต้นช้าลงๆ กับเส้นทางอีกเส้นที่แสนว่างเปล่า วูบโหวงและปราศจากความหมาย ซึ่งคงไม่ต่างอะไรกับหัวใจของคนข้างๆ...


TBC.

สวัสดีค่ะ

พาตอนใหม่มาเสิร์ฟรับวันศุกร์แล้ว เย้ๆๆ

ชอบไม่ชอบยังไงคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ

แล้วเจอกันตอนต่อไปค่ะ


หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 13-01-2017 19:05:25
สงสารรน้องพีพี
ปอมันก็ซื้อบื้อน้อออ

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-01-2017 20:11:20
มีหึงโดยไม่รู้ตัวนะ พีพี
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-01-2017 23:43:42
ยังคงสเตตัสปวดใจไปกับภูมิ ก็อย่างนี้ละนะ แอบรักเพื่อนลำบากใจกว่าหลายเท่า
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 14-01-2017 02:28:18
แหมมมมมมนังปอทำซึน เดี๋ยวรู้เลย เดี๋๋ยวรู้เลย ยุน้องภูมิชอบคนอื่นเลยแง่มมมมม นี่แอบจี๊ดตอนยัยพี่จ๋าออกมาทุกที หมั่นไส้ อินนนนนนนนนน  :katai1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 14-01-2017 10:52:26
สั้น! 5555 บ่นทุกตอน
อยากอ่านยาวๆ งี๊ดๆ

ว่าจะถามตั้งแต่ตอนที่แล้ว
เมตนี่เรียนเอกไร โทไรอ่ะค่ะ
สงสัยตั้งแต่ Gayscale แล้ว
ถ้าไม่ได้เรียนเอกเดียวกับสิปป์ ทำไมถึงมาสนิทกันได้
คนนึงเอกไทย โทปรัชญา อีคนนึงเป็นตากล้อง ดูไม่มีส่วนเชื่อมโยง
ให้สนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนเลย บอกทีๆ งี้ดๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-01-2017 11:36:46
 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 14-01-2017 11:49:11

เมตตาเรียนเอกไทย โททัศนศิลป์ค่ะ (ทัศนศิลป์เรียนเรื่องการวาดภาพ ถ่ายภาพ)
ส่วนสิปป์เรียนเอกไทย โทปรัชญา

อย่างที่น้องภูมิ Sweet Dilemma ตอนล่าสุดนี้ถามเมตกับสิปป์ว่า เอกไทยว่างกันเหรอ
แล้วก็ Gayscale มีกล่าวถึงตอนที่เมตกับสิปป์คุยถึงตอนเรียนค่า (ซึ่งอ่านกันไปนานนน มากแล้ว จำไม่ได้ก็ไม่แปลกเลย 555555)

เรื่องความยาว จะพยายามปรับปรุงนะคะ
บางทีเนื้อหามันจบตอนพอดี แต่ยังไงจะให้ยาวขึ้นๆ ค่า

ขอบคุณมากๆ สำหรับคอมเมนต์นะคะ จุ๊บๆ

สั้น! 5555 บ่นทุกตอน
อยากอ่านยาวๆ งี๊ดๆ

ว่าจะถามตั้งแต่ตอนที่แล้ว
เมตนี่เรียนเอกไร โทไรอ่ะค่ะ
สงสัยตั้งแต่ Gayscale แล้ว
ถ้าไม่ได้เรียนเอกเดียวกับสิปป์ ทำไมถึงมาสนิทกันได้
คนนึงเอกไทย โทปรัชญา อีคนนึงเป็นตากล้อง ดูไม่มีส่วนเชื่อมโยง
ให้สนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนเลย บอกทีๆ งี้ดๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: CanonDNattari ที่ 16-01-2017 10:40:07
น้องพีพี โอ้ยยยยยยยย น่าร้าาาาาาาาาาาาาาาาากกกกกกกกกกก
อิส่วนปอ ขอตบที ฮ่าาา

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 16-01-2017 13:02:21
หึ่ยยย มั่นไส้วะ อึดอัดด้วย ปออารมณ์เหมือนหมาหยอกไก่เลยอะ เหมือนจะสนใจมาก แต่ก็เหมือนไม่ใช่


อารมณ์อยากเฟตตัวออกมามาก
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 16-01-2017 15:08:34
อึดอัดๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-01-2017 23:20:06
ถ้าฟังแค่คำพูดของปอน้องภูมิเจ็บใจวันละสามเวลาแน่ แต่การกระทำของปอมันแคร์ภูมิม๊ากมาก
ใครก็ได้เอาพี่จ๋าไปเก็บหน่อย โผล่มาทีน้องภูมิหึงหน้ามืดเลย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 20-01-2017 15:56:42
#04
‘ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ’



“อย่างที่ประกาศไปในเฟซบุ๊กนะครับว่า วันนี้จะเป็นการแจ้งกิจกรรมของภาคเราตลอดเทอมนี้ สำหรับน้องๆ ปีหนึ่งที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน พี่ก็ขอประกาศแนวทางการเข้ากิจกรรมภาคไว้คร่าวๆ ดังนี้ครับ ขาดกิจกรรมหนึ่งครั้งโดนตักเตือน สองครั้งขึ้นทัณฑ์บน สามครั้งถูกพิจารณาให้ย้ายเอก...”

ความเงียบแผ่กระจายปกคลุมห้องประชุมเล็กๆ ทันทีที่ประธานภาคเอ่ยจบ ตอนนี้น้องผู้หญิงปีหนึ่งเริ่มหน้าเสีย ในขณะที่น้องผู้ชายบางคนถอนหายใจด้วยท่าทีขึงขัง แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา

“เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันนะครับ” พี่ไนท์เอ่ยต่อเสียงนิ่ง “เข้าใจตรงกัน...ว่าน้องถูกหลอกอะครับ!”

แล้วเสียงหัวเราะของพี่ๆ ปีอื่นก็ดังสนั่นด้วยความสะใจที่รวมหัวกันแกล้งน้องได้ ในขณะที่น้องๆ ยังแตกตื่นไม่หาย พี่ไนท์เลยเฉลยความจริงให้ฟัง

   “กฎทั้งหมดนั้นพี่ล้อเล่นครับ! ภาคเราชิลจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าทุกกิจกรรม แต่กิจกรรมไหนที่ได้รับมอบหมายแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ต้องทุ่มสุดตัวจนเสียการเรียน ไม่ต้องมาขลุกอยู่ที่ภาคจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น โตแล้ว ตัดสินใจด้วยตัวเองได้เลย เพราะสิ่งเหล่านี้คือ ‘สิทธิและเสรีภาพ’ ครับ...”

   “ว่อออออออออ” ต้องยอมรับจริงๆ ว่าประธานเอกเป็นเจ้าพ่อ Quote พูดอะไรออกมานี่เรียกเสียงฮือฮาได้ตลอด

พอเสียงแซวต่างๆ เงียบลง รองประธานก็ขึ้นสไลด์ตารางกิจกรรม ก่อนพี่ไนท์จะอธิบายและมอบหมายให้แต่ละชั้นปีเป็นแม่งาน โดยเฉลี่ยๆ กันไป ไม่ให้เทไปที่ชั้นใดชั้นหนึ่งมาก กิจกรรมแรกสุดคือ ‘ไหว้ครู’ ที่น้องปีหนึ่งต้องรับไปดูแล ทั้งหาตัวแทนถือพานและทำพาน ต่อมาคืองาน ‘คเณศจตุรถี’ ที่ปีสามกับปีสี่ต้องเป็นคนดูแลร่วมกัน และงานอื่นๆ อีกสองสามงานจนจบเทอมแรก

   หลังปล่อยให้แต่ละส่วนประชุมกันคร่าวๆ สมาชิกปีสามกับปีสี่จึงเดินไปห้องพักอาจารย์ เพื่อคุยเรื่องงานคเณศที่จะมีในปลายเดือนนี้แล้ว

“ยังไม่ชินกับไอ้ภาคเรียนที่ย้ายเวลาใหม่นี่สักที เปิดมาก็เจองานยักษ์เลย จะเตรียมทันมั้ยเนี่ย” พี่ปีสี่บ่นกันเบาๆ เพราะเป็นรุ่นสุดท้ายที่คาบเกี่ยวการจัดเรียงปีการศึกษาแบบเดิม คือเปิดเรียนเดือนมิถุนายน กับแบบใหม่ที่เปิดเรียนเดือนสิงหาคม

“อ้าว ประชุมกันเสร็จแล้วเหรอ” อาจารย์กฤตกับอาจารย์ธารผู้สอนปรัชญาอินเดียเปิดห้องพักเข้ามา หลังทักทายลูกศิษย์เรียบร้อยก็ให้ทุกคนหาที่นั่งกันตามสบาย

“พีพี” ปรนัยสะกิดเพื่อนที่กำลังมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะไปลงตรงไหน “มานั่งนี่”

ไม่พูดเปล่า แต่แขนยาวๆ ยังคว้าไหล่เพื่อนสนิทให้มานั่งบนเก้าอี้สตูที่มุมห้องด้วย ภาคภูมิลังเลเล็กน้อย เพราะเห็นพี่ผู้หญิงปีสี่ยังไม่ได้นั่ง โดยเฉพาะพี่จ๋าที่มองมาตรงเพื่อนของเขาหลายครั้ง ทว่าพอร่างโปร่งขยับตัวจะลุกขึ้น มือหนักๆ ของคนข้างๆ ก็กดไหล่เขาไว้ให้อยู่กับที่

“ทำไมวะ” ภูมิกระซิบถาม

“มีเรื่องจะคุยด้วย” อีกคนตอบ

นอกจากระแวงสายตาของพี่จ๋าแล้ว เขายังต้องมาระแวงอีกว่าไอ้ห่าปอจะคุยอะไร คือถ้ามึงเปิดมาซะขนาดนี้ สู้คุยให้จบๆ ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ?!

เมื่ออาจารย์ธารเริ่มพูดถึงกิจกรรมคเณศจตุรถีในส่วนที่ปีสี่ต้องรับผิดชอบซึ่งยังไม่เกี่ยวกับปีสาม แขนยาวๆ ของปรนัยจึงพาดไปกับไหล่ของคนข้างๆ ก่อนจะดึงตัวเพื่อนให้มาตอบคำถามในสิ่งที่เขาตงิดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่

“พีพี เมื่อกี๊ไอ้ท่านขุนมาคุยไรกะมึง”

“ฮะ ตอนไหนวะ” คนถูกถามยังนึกไม่ออกว่ารุ่นน้องปีสองมาคุยกับตัวเองตอนไหน ก็ในเมื่อตลอดการประชุมเขาแทบจะไม่ได้คุยกับใคร...

“เอ้า! ก็ไอ้ห่าท่านขุนมายืนซะชิดมึง” อีกฝ่ายบอกอย่างหงุดหงิด เพราะตอนเริ่มประชุมไปได้สักพัก ปรนัยนึกขึ้นได้ว่าลืมส่งการบ้านภาษาอังกฤษ เลยแว่บเอาชีทไปส่งที่ภาคอิ๊งซึ่งอยู่ชั้นสอง พอลงมาอีกทีก็ไม่สามารถเบียดฝูงชนไปยืนที่เดิมข้างไอ้ภูมิได้อีก พอดีกับตรงนั้นมีกลุ่มปีสี่อยู่ เขาเลยยืนคุยกับพวกพี่จ๋าแทน

“กูจำไม่เห็นได้เลยว่ากูคุยกับไอ้ท่านขุน” ภาคภูมิยังใคร่ครวญถึงเรื่องราวที่ผ่านมา อยู่ๆ ไอ้ปอก็พรวดพราดออกไป พอกลับมาอีกทีมันก็ยืนหัวเราะคิกคักอยู่กับพี่จ๋าแล้ว นี่แหละที่ทำให้เขาต้องเพ่งสมาธิไปกับสไลด์แค่หน้าเดียวที่พี่ไนท์อธิบาย จนไม่ได้คุยอะไรกับใครอีก

“อะไรวะ ก็เห็นแม่งยืนเบียดไหล่มึง พูดๆ อะไรตลอดเวลา มึงก็พยักหน้าหงึกๆ” เสียงทุ้มพูดใส่อารมณ์ “นี่ถ้ากูอยู่ใกล้ๆ นะ...”
ตากลมตวัดมองใบหน้าเพื่อนที่บ่นงึมงำในคอ “มึงจะทำไม”

“กูจะเบิ้ดกะโหลกไอ้ห่าขุนแม่งสักสองที ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

“อะไรของมึง” ภาคภูมิขมวดคิ้ว “เพิ่งเรียนเรื่องความเท่าเทียมมาไม่ใช่เหรอ”

คราวนี้ใบหน้าคมมุ่ยลงเหมือนเด็กเอาแต่ใจ “กูนี่อยากรื้อฟื้นระบบโซตัสเลย”

เสียงมุ้งมิ้งที่ไม่เข้ากับหน้าคนพูดทำเอาภาคภูมิต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมา และด้วยความเผลอตัวไปนิด หัวคนขำเลยได้โขกกับผนังห้องเสียงดังลั่น จนอาจารย์และพี่ๆ หันมามองกันเป็นตาเดียว

ในขณะที่ภูมิไม่รู้ว่าควรจะเจ็บหรืออายเป็นอันดับแรก สัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามือของคนข้างๆ ก็เอื้อมมาลูบศีรษะของเขา ตามด้วยเสียงทุ้มที่บอกกับคนอื่นๆ “ไม่มีอะไรครับๆ ภูมิมันอุบัติเหตุนิดหน่อย”

เขากำลังข่มใจไม่ให้สั่นไปกับสัมผัสที่ลูบเบาๆ บนหัวตัวเอง ในตอนที่ปรนัยถามย้ำอีกรอบในเรื่องเดิม

“สรุปว่ามึงไม่ได้คุยกับไอ้ขุนใช่มั้ย”

“เออดิ กูยังไม่รู้เลยว่ามันยืนข้างกู” จำเลยยืนยันหนักแน่น

“ดีละ” พนักงานสอบสวนพึมพำ“แล้วเจ็บมั้ยเนี่ย โขกซะแรงเลย”

คำถามนั้นทำให้ภูมิรู้ตัวว่ามือหนายังแตะเบาๆ ตรงส่วนที่เจ็บ ตากลมลอบมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่อยู่ใกล้แค่คืบ ปรนัยกำลังชะโงกมองหัวของเขาราวกับหาบาดแผลด้วยสีหน้าจริงจัง

“หัวไม่แตกหรอกมั้ง ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น” มือขาวแสร้งปัดมือของเพื่อนที่จับศีรษะตนเองออก แม้ใจจะอยากให้สัมผัสอุ่นอยู่นานกว่านี้ แต่โลกแห่งความเป็นจริงก็เรียกร้องให้เขาต้องกลับไป ไม่ใช่ด้วยเสียง...แต่เป็นสายตา

“หือ มีไรกัน” เป็นปรนัยที่ถามออกไป เมื่อรู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังมองมาทางนี้ “ไอ้ภูมิไม่เป็นไร บอกแล้วนี่”

“อ่อออ... เออๆ” ไอ้แก้วพยักหน้ารับ แต่ตายังมองอยู่ที่เดิม

“มึง!” ชิงชิงสะกิดเพื่อนที่กำลังตาค้างก่อนพูดเสียงดังให้เพื่อนในชั้นปีได้ยิน “จารย์ธารน่าจะคุยกับปีสี่ใกล้จบละ มารวมกันตรงนี้แล้วกัน”

เมื่อภาคภูมิลุกขึ้น ปรนัยจึงเกาะไหล่เพื่อนเดินไปด้วย ระยะทางแค่ไม่กี่ก้าวนั้นกลับทำให้คนที่เดินนำหน้าหนักอึ้งไปทั้งตัวและหัวใจ

“ห่างกันมั่งก็ได้หรอกโว้ย!” เป็นแก้วที่ทนไม่ไหว เมื่อเห็นสองสมาชิก F4 เดินนัวเนียกันเข้ามาหา

“ไม่!” ร่างสูงที่กำลังทิ้งตัวนั่งตะโกนตอบเสียงดัง “แม่งชอบหายตัว”

“ไรของมึง” คราวนี้เป็นภาคภูมิที่ต้องถามบ้าง ตั้งแต่ออกจากห้องประชุมมา ไอ้เชี่ยปอก็มีอาการแปลกๆ แล้วทำตัวพิลึกคนเดียวไม่พอ ยังมาพาให้เขาใจสั่นไปด้วย

ดวงตารีหันไปสบตากับคนถามพลางหรูลมหายใจออก “ตอนกินพิซซ่าก็หนีกู ตอนเดินตลาดก็หนีกู ตอนอยู่ในห้องเมื่อกี๊ก็ยังหนีกูอีก”

“อ้าว” คนโดนต่อว่าทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะงึมงำกับตัวเอง “ก็มึงอยู่กับคนอื่นนี่หว่า”

ปรนัยไม่ได้ยินท้ายประโยคนั้น เพราะมัวแต่ขยับที่นั่งให้อาจารย์ธารกับอาจารย์กฤตมานั่งด้วย ทำให้ภาคภูมิถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายความหมายในประโยคเมื่อครู่อีก

“โอ้ ปีสามมากันครบเลย” อาจารย์ธารกวาดสายตามองสี่หนุ่มนักศึกษาเอก พร้อมเด็กที่เก็บโทปรัชญาอีกสามสี่คน เด็กๆ หัวเราะแหะๆ เพราะรู้ดีว่ามีกันอยู่เท่านี้ ถ้ายังรวมกันไม่ครบอีก เห็นทีคงต้องลาออกทั้งชั้น

อาจารย์ธารเป็นผู้นำในการอธิบายรายละเอียดงานส่วนของปีสาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเตรียมอุปกรณ์มากกว่า ส่วนอาจารย์กฤตจะดูแลเรื่องเงิน หากใครต้องไปซื้ออะไร ก็มาเอางบไปใช้ได้ แต่ต้องมีใบเสร็จกลับมาด้วยทุกครั้ง

“เสาร์นี้มีใครว่างมั้ย ผมจะให้ไปช่วยซื้อของที่พาหุรัด”อาจารย์ธารถาม

แก๊ง F4 มองหน้ากันก่อนจะยกมือ ส่วนสิปป์ศิลป์ต้องขอตัว เพราะเอกไทยมีไปทัศนศึกษาที่อยุธยาพอดี

“โอ้ สี่คนก็โอเคแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ไว้มาช่วยทำของอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน”

นอกจากอาจารย์ธาร หรือชื่อเต็มๆ คือ ลำธาร ผู้มีหนวดเคราครึ้มกับร่างสูงใหญ่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องปรัชญาอินเดียและปรัชญาศาสนาอื่นๆ แล้ว อาจารย์ยังเป็นพราหมณ์จริงๆ ที่นับถือศาสนาฮินดูอีกด้วย เพราะฉะนั้นงานนี้อาจารย์จึงเป็นทั้งพ่องานและพราหมณ์ผู้ทำพิธีเองทั้งหมด


----------------------------


เช้าวันเสาร์ เด็กๆ ปีสามมารวมตัวกันที่หน้าภาคปรัชญา คนที่นัดพวกเขายังไม่มา แต่คนที่มาคืออาจารย์กฤต ที่วันนี้อยู่ในชุดลำลอง ทั้งหมดยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะเห็นว่าข้างหลังอาจารย์มีเด็กหน้าคุ้นๆ ยืนอยู่ด้วยอีกคน เมื่อน้องคนนั้นเห็นรุ่นพี่ก็ยกมือไหว้พวกเขาด้วยสีหน้าตกใจ

พอเห็นว่าอาจารย์กฤตเดินไปไขประตูภาค ชิงชิงจึงเอ่ยทักรุ่นน้องที่ยืนคว้างอยู่คนเดียว “น้องที่ได้ถือพานใช่มั้ย”

“ถือพานภาคเราอ่านะ” ปอถามต่อ พอน้องคนนั้นพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ เสียงทุ้มก็เอ่ยด้วยความพอใจ “เออ หน้าตาทำให้เอกปรัชญาดูมีราศีขึ้นมาก”

ภาคภูมิหันมองเพื่อนข้างๆ แล้วก็อดแซวไม่ได้ “ไม่เหมือนปีเราเนอะ”

“เออ” ชิงชิงรีบต่อ “เชี้ยยยยยเชี่ยยยย”

นั่นเพราะตัวแทนถือพานคือไอ้ปอ ซึ่งรันทดไร้คู่เพราะรุ่นเขาไม่มีผู้หญิง เลยต้องไปยืมตัวพี่จ๋า ที่ตอนนั้นอยู่ปี 2 ให้มาช่วยถือให้ และที่น่าอนาถกว่านั้น คือหน้าตาของพานที่ทำให้อาจารย์ผู้ได้รับถึงกับขำกลางเวที

“กูคือผู้เสียสละนะโว้ยยย” อดีตตัวแทนถือพานโวยวาย

“โทษทีทุกคน ผมแวะไปสั่งขนมมา เลยช้าหน่อย” ร่างสูงของอาจารย์ลำธารที่วันนี้ใส่เสื้อยืดของภาคกับกางเกงขาสั้นรีบเดินเข้ามาหา

“พวกผมก็เพิ่งมาครับอาจารย์”

“อาจารย์ธาร” อาจารย์กฤตเดินออกมาจากภาคพร้อมซองพลาสติกใบหนึ่ง “นี่เงินซื้ออุปกรณ์ครับ”

“โอ้ ขอบคุณมากครับ อุตส่าห์มาเปิดภาคให้ ผมนี่ไม่น่าลืมเลย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องแวะมาพอดี” อาจารย์หนุ่มที่วันนี้ดูผ่อนคลายกว่าทุกวันเอ่ยยิ้มๆ “เอ้อ เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ ต้องไปทำธุระต่อ”

บอกลาอาจารย์รุ่นพี่เสร็จก็หันไปพยักหน้าให้นักศึกษาที่มาด้วย เด็กน้อยยกมือไหว้รอบทิศก่อนจะเดินก้มหน้างุดๆ ตามอาจารย์ที่ปรึกษาไป

“เดี๋ยวเราไปกันเลยแล้วกัน จะได้ไม่สายมาก รถผมจอดอยู่ข้างหลัง” อาจารย์ธารเดินนำเด็กๆ ไปตามถนนด้านหลัง หากในใจยังครุ่นคิดถึงอาจารย์รุ่นน้องกับนักศึกษาคนเมื่อครู่ไม่คลาย


พาหุรัดยามสาย กับดงบังทั้งหลาย...

ภาคภูมิเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมจารย์ธารต้องพาลูกศิษย์ชายฉกรรจ์มาด้วยถึง 4 คน หนึ่งคือของที่ต้องซื้อนั้นเยอะมาก ต้องใช้แรงงานแบกกลับไป สองแดดร้อนเกินกว่าจะเดินซื้อทีละอย่าง ดังนั้นการกระจายกำลังจึงสำคัญ และสาม อาบังที่อยู่กันเป็นดงแม่งงงง แทบจะจับกูแดกอยู่แล้วววว

บังมึง! ไม่ต้องแสดงอภินิหารของแป้งอะไรให้กูดูแล้ว กูร้อน! เหนื่อย! เหม็น! กูมาซื้อแค่ผงสี อย่ารั้งกู! ม่ายยยยยย!

“พีพีใจเย็น!” ปรนัยถึงกับร้องบอกเพื่อน เมื่อเห็นคนข้างๆ กำลังง้างหมัดจะต่อยแขก

คนถูกห้ามทำท่าฮึดฮัด หัวคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าขาวที่เต็มไปด้วยเหงื่อนั้นก็ดูมอมแมมจนอีกคนแอบขำ เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนแล้ว สุดท้ายปอเลยใช้เงินส่วนตัวซื้อผงแป้งมหัศจรรย์อะไรนั่นมาถุงหนึ่ง เพื่อตัดปัญหาให้บังปล่อยตัวออกจากร้านเสียที

ตอนนี้เขากับภาคภูมิเดินอยู่ในตรอกเล็กๆ เพื่อตามหาของอีกสองอย่าง ส่วนแก้วกับชิงชิงแยกกันไปอีกทาง ในขณะที่อาจารย์ธารแวะไปพบท่านบัณฑิตเพื่อเชิญมาร่วมงาน ก่อนจะนัดเจอกันอีกทีที่ห้างกลางพาหุรัด

“ร้านนี้ปะวะ” ภูมิคลี่กระดาษที่อาจารย์จดชื่อร้านไว้ให้ เมื่อดูแล้วว่ามาถูกที่ พวกเขาก็รีบเข้าไปทันที

แขกที่นี่พูดภาษาไทยได้ทุกคน แต่เขาไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย จึงยื่นลิสต์ของที่ต้องการให้เจ้าของร้านจัดการให้ ขณะยืนรอของ มือเรียวจึงโบกพัดเรียกลมเพราะร้อนเกินจะทนไหว ก่อนจะรู้สึกถึงลมเย็นเบาๆ จากด้านข้าง

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรมึง” กระดาษจดโพยอีกใบในมือของปรนัยกำลังทำหน้าที่พัดลมมือถือให้กับเพื่อนสนิท

“เอาเหอะ มึงดูไม่ค่อยโอเคเลย” คำว่าไม่ค่อยโอเคที่ปอว่า ก็คือใบหน้าขาวซีดที่ชื้นเหงื่อ กับริมฝีปากแห้งผากราวกับคนขาดน้ำ และร่างกายที่ดูไร้เรี่ยวแรงจนเขาไม่กล้าเดินห่างไปไหนไกล

“กูโอเค” ภาคภูมิตอบพลางยืนยันหนักแน่น “จริงๆ”

อีกฝ่ายดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ร่างสูงโปร่งชะเง้อเข้าไปในร้าน เห็นว่าคนขายยังหาของให้ไม่เสร็จ เลยบอกเพื่อนให้รออยู่ในนี้ ก่อนตัวเองจะแว่บออกไปซื้อน้ำที่ร้านใกล้ๆ

ภาคภูมิถอนหายใจกับความใจดีของเพื่อนสนิท ตลอดสามปีมานี้ สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่อีกคนทำให้และความใส่ใจที่ได้รับอยู่เสมอ ทำให้เขาค่อยๆ เผลอใจทีละนิด จนที่สุดแล้วมันก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่อยู่ และในเมื่อมันเป็นไปแล้ว สิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ทุกวันก็คือบอกกับตัวเองว่า ปรนัยเป็นเพื่อนที่ดี ที่เขาคงไม่มีสิทธิ์อะไรไปมากกว่านั้น


แต่มันก็ไม่เคยเป็นผล...


“อะ” คนที่อยู่ในห้วงควาดคิดยื่นน้ำเปล่าขวดหนึ่งมาให้

ภาคภูมิเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนยื่นมือไปรับ แต่คนมีน้ำใจกลับชักมือกลับ ทำเอาคนรอต้องเลิกคิ้วถาม

“ลืมเปิดให้ แหะๆ” พูดพลางบิดฝาขวดน้ำออก คราวนี้ภูมิจึงได้รับน้ำเย็นเฉียบพร้อมดื่มมาไว้ในมือจริงๆ เสียที

ปรนัยมองปากเล็กๆ ที่ดูดน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วก็ได้แต่คลี่ยิ้ม นอกจากดวงตาแล้ว องค์ประกอบทุกอย่างบนใบหน้าไอ้ภูมินี่ดูย่อส่วนไปหมด ไม่ว่าจะจมูก คิ้ว ปาก คาง หรือแม้แต่ใบหู ก็ดูเล็กจิ๋วทุกส่วน เวลามองแล้วตลกดีเหมือนกัน

“อันนี้ครบทุกอย่างแร้วขรับ” ในที่สุดเจ้าของร้านก็แบกถุงใบใหญ่ออกมา ก่อนจะชี้แจงว่ามีอะไรและราคาเท่าไรบ้าง

ปอรับถุงนั้นมาถือไว้ ในขณะที่ภูมิกำลังเก็บเงินและบิลค่าของลงกระเป๋า

“เสร็จละ” เหรัญญิกร้องบอก ก่อนจะยื่นมือไปช่วยอีกคนถือบ้าง

“ช่วยถือน้ำกับแป้งแล้วกัน” ของจากร้านที่แล้วกับถุงพลาสติกใส่น้ำอีกขวดถูกเปลี่ยนมือมาไว้กับภาคภูมิ

“นี่ครบแล้วปะ”ปรนัยร้องถามเพื่อน

โพยในกระเป๋าถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง “อืม ของเราได้หมดแล้วนะ”

“เยสสส งั้นไปห้างนั้นกันเลยมะ”

พอภาคภูมิพยักหน้ารับ ร่างสูงโปร่งจึงเดินนำไปตามถนนที่ป้ายชี้ไปยังห้างสรรพสินค้าอันเป็นจุดนัดหมาย พาหุรัดวันเสาร์อัดแน่นไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ ไหนจะพ่อค้าแม่ค้าที่แบกเทิร์นของไว้บนหัวคอยจะเดินสวนไปมา ไหนจะของพะรุงพะรังเต็มมือ ทำเอาแต่ละก้าวนั้นยากลำบากกว่าปกตินัก อาศัยว่าคนเดินนำหน้ารูปร่างสูงใหญ่ จึงคอยแหวกทางให้อีกคนเดินตามมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นการจะก้าวให้ทันปรนัยก็เป็นเรื่องยากและเหนื่อยสำหรับภูมิอยู่ดี

“พีพี” คนเดินนำหันกลับมาเรียกเพื่อนที่ควรเดินตามมาด้วยแต่กลับไม่มี ร่างสูงชะเง้อมองผ่านผู้คนมากมายแล้วก็ยังไม่เห็นเพื่อนสนิท ความร้อนใจทำให้เขาวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม จนเห็นคนที่กำลังตามหายืนหันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าวิตก พร้อมโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่

“พีพี!” ปอเรียกเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้คนที่พลัดหลงกันหันมาตามเสียง ก่อนใบหน้าขาวจะฉายแววดีใจอย่างปิดไม่มิด

“โทรหากูเหรอ” ตารีเล็กมองไปยังโทรศัพท์ที่อีกคนยังถืออยู่

“เอ้ย! ลืมวาง!” อุทานแล้วก็รีบปิดมือถือยัดใส่กระเป๋าเหมือนเดิม

“โทษที มัวแต่วิ่งมา เลยไม่รู้ว่ามึงโทรเข้า” เสียงภูมิบอกว่าไม่เป็นไร ปรนัยจึงใช้มืออีกข้างที่ยังว่างรวบร่างของคนหลงให้เดินมาพร้อมกัน

“มึงเดินเร็วอะ” ภาคภูมิอดบ่นไม่ได้ เดินๆ อยู่ดีๆ แม่งหายไปซะงั้น

“เป็นไงล่ะ” ปรนัยเอ่ยยิ้มๆ ทำเอาอีกคนร้องถามด้วยความสงสัย

“อะไร?”

“ก็ความรู้สึกของคนถูกทิ้งอะ เป็นไง” พูดจบก็รอดูปฏิกิริยาของเพื่อนสนิท ตอนแรกภาคภูมิทำหน้างง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นก้มหน้าแล้วด่าเขาว่า ‘ไอ้สัด’ เมื่อนึกได้ว่าถูกเขาประชดเพราะตัวเองก็ชอบทิ้งเขาไว้กลางทางเหมือนกัน

“กูไม่เคยทิ้งมึงเหอะ” อีกฝ่ายแก้ตัว

“โห...ไม่ทิ้งเล้ยยย”

“กูแค่...” อยู่ๆ ปลายเสียงก็เงียบไป

“หืม?”

“แค่...เปิดโอกาสให้มึง”

ใบหน้าคมหันมามองคนพูดทันควัน “เปิดโอกาสให้กูเนี่ยนะ?”

“เออดิ”

“ยังไงวะ ไม่เข้าใจ”

ภูมิถอนหายใจ “ก็มึงกับพี่จ๋าไง!”

น้ำเสียงหงุดหงิดจากเพื่อนทำให้ปอยิ่งงงหนัก “กูกับพี่จ๋า? ทำไมอะ”

คราวนี้ภาคภูมิหยุดเดิน และหันมาประจันหน้ากับเพื่อนทันที “มึงชอบพี่จ๋าใช่มั้ย กูเห็นมึงกับเค้าอยากอยู่กันสองคน กูก็เลยหลีกให้ มีกูอยู่ด้วยคง...”

“ภูมิ...ภูมิ!” ปรนัยเรียกเพื่อนด้วยชื่อจริงๆ ไม่ใช่ฉายาที่ตัวเองตั้งให้อย่างที่ผ่านมา ทำให้เจ้าของชื่อต้องชะงักคำพูดเพราะความจริงจังในน้ำเสียงนั้น

“กูยังไม่ได้คิดอะไรกับเค้าขนาดนั้น คือชอบพี่จ๋ามั้ย มันก็...นิดๆ อะ แบบปลื้มๆ คุยด้วยแล้วสนุกดี แต่มึงอะคิดไปไกลละ” มือข้างที่ถือของอยู่ถึงกับวางสัมภาระลงบนพื้น “อะไรที่มึงคิดแม่งไม่ใช่เลยเว้ย ต่อไปไม่ต้องเปิดทางอะไรให้กู กูอยู่กับมึงก็เพราะกูอยากอยู่ ถ้ากูอยากอยู่กับพี่จ๋า กูก็ไปหาเค้าเองแล้ว”

ตากลมโตกะพริบปริบๆ เมื่อฟังเพื่อนอธิบายจบ ภาคภูมิคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ คิดไม่ออกแม้กระทั่งว่าความเจ็บปวดในหลายๆ วันที่ผ่านมามันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาได้ยังไง

ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ

“อ้าว...พีพี จะไปไหน” ปรนัยรวบของบนพื้นมาถือไว้ลวกๆ ตอนวางก็อารมณ์กรุ่นไปหน่อย จนลืมคิดว่าอยู่กลางถนนที่คนยิ่งกว่าหนอน ดีไม่ถูกเตะกระจาย พอของครบก็รีบเร่งเท้าตามเพื่อนสนิทที่อยู่ๆ ก็เดินหนีไปซะอย่างนั้น

“เชี่ย ทีงี้ล่ะเดินเร็วเลย” ร่างสูงโปร่งหอบน้อยๆ เมื่อเดินตามอีกคนทัน

“ขอโทษว่ะ” ภาคภูมิเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูก็พูดไปงั้น”

“ไม่ใช่” ใบหน้าขาวเงยขึ้นสบตากับคนข้างๆ “ขอโทษที่เคยทิ้งมึง”

คนได้ฟังคำขอโทษไม่ตอบอะไร มีเพียงรอยยิ้มกว้างกับมืออุ่นๆ ที่คว้าไหล่ภาคภูมิให้เดินไปด้วยกัน


-----------------------------

“โอ้ ได้ของครบกันหมดเลยเหรอเนี่ย ขอบคุณทุกคนมากๆ” เมื่อไก่ทอดชุดคอมโบสองเซตหมดลง อาจารย์ธารจึงเช็กของที่เด็กๆ ซื้อมา สมาชิก F4 นั่งผึ่งพุงกันอย่างมีความสุข เพราะภารกิจอันหฤโหดเสร็จสิ้นลงแล้ว

“เก่งมากเลยๆ งั้นเดี๋ยวเราไปซื้อผ้ากันต่อเลยแล้วกัน”

“หาาา! ซื้อผ้า!”

แล้วสี่หนุ่มปี 3 แห่งเอกปรัชญา ก็ต้องไปเดินเลือกผ้าในพาหุรัดต่อจนถึงเย็น...


--------- TBC. ---------


เดตสุดฮอตกลางพาหุรัดค่ะคุณ! 55555555555
ตอนนี้พี่จ๋าไม่ว่างมาเข้าฉาก ใครที่คิดถึงรอตอนหน้านะ *อย่าขว้างของใส่คนเขียน ฮือออ*

ปล. อย่าว่าแต่เด็กปีสี่ในเรื่องงงเรื่องเปลี่ยนการเปิดเทอมต้อนรับ AEC เลยค่ะ
คนเขียนก็งงเหมือนกัน จบมานานเหลือเกิน
ถึงกับต้องถามอาจารย์ว่าสมัยนี้เค้าเรียนกันตอนไหน ฉับฉนไปหมด

เจอกันตอนหน้าค่า บ๊ายบาย

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-01-2017 18:10:07
ปอ ภูมิ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-01-2017 18:55:30
เราคนหนึ่งนะที่ไม่คิดถึงคุณพี่จ๋าเลย ไม่ต้องมาก็ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #03 (Update! 13/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 20-01-2017 21:31:57

เมตตาเรียนเอกไทย โททัศนศิลป์ค่ะ (ทัศนศิลป์เรียนเรื่องการวาดภาพ ถ่ายภาพ)
ส่วนสิปป์เรียนเอกไทย โทปรัชญา

อย่างที่น้องภูมิ Sweet Dilemma ตอนล่าสุดนี้ถามเมตกับสิปป์ว่า เอกไทยว่างกันเหรอ
แล้วก็ Gayscale มีกล่าวถึงตอนที่เมตกับสิปป์คุยถึงตอนเรียนค่า (ซึ่งอ่านกันไปนานนน มากแล้ว จำไม่ได้ก็ไม่แปลกเลย 555555)

เรื่องความยาว จะพยายามปรับปรุงนะคะ
บางทีเนื้อหามันจบตอนพอดี แต่ยังไงจะให้ยาวขึ้นๆ ค่า

ขอบคุณมากๆ สำหรับคอมเมนต์นะคะ จุ๊บๆ

ว้าว กระจ่างแจ้ง
อาจจะขาดความใส่ใจในรายละเอียดไปนิดส์
หรืออาจจะเพราะขี้หลงขี้ลืมไปตามวัย
ต้องขออภัยด้วยค่ะ จำไม่ได้สักนิดเลยว่าอีตาเมตเรียนอะไร ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณที่มาตอบคำถามให้ค่ะ

สำหรับตอนนี้ ทีแรกเห็นชื่อตอนก็นึกไปถึงวงเกาหลี
กลายเป็นอาบังไปซะได้ ฮ่าๆๆๆ

ลักษณะปอภูมิ ก็จะมาแนวเดียวกับเมตสิปป์นะคะ
คือชอบกันมานานละ แต่ไม่พูดไม่บอก
คิดไปทางลบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบตัวเอง ซะงั้น
โธ่ อยากจะเสี้ยมให้หลงตัวเองกันบ้าง
อะไรจะถ่อนเนื้อถ่อมตัวกันขนาดนั้น ลูกเอ้ย
อีตาปอนี่ ขี้หวง แม้กระทั่งเพื่อนนะคะ
แต่หวงอยู่แค่คนเดียวนี่แหละ บ้าที่สุด
น้องภูมิก็ใสซื่อซะจริ้ง ไม่ได้รู้อะไรบ้างเล้ย

สงสัยสุดท้าย อาจารย์ๆนี่ยังไงคะยังไง
น้องถือพานนั่น ก็น่าสนใจนะ คริคริ

ปล.ยังยาวไม่พอค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-01-2017 22:09:01
ฉันชอบเธอ ฉันเลยทำดีกับเธอ
ฉันชอบเธอ เพราะเธอทำดีกับฉัน
มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: CanonDNattari ที่ 23-01-2017 10:02:46
อ่านแล้วจะบอกว่า พาหุรัด ถ้าไม่จำเป็น เราไม่ไปเลย ร้อนมากกกกกกกกก
แต่ก็เพลินดี

อิปอ อ่อยหนัก อยากตบฮี
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 23-01-2017 13:56:45
พี่จ๋าค่าตัวแพง ยังคงมีบทที่มองมา

ยัง ยัง ไม่หยุดมองอีก ปอเป็นของภูมิเหอะ หยุดมองได้แล้ว
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-01-2017 14:35:03
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 23-01-2017 22:11:10
ไม่ค่อยได้เข้าเล้าเลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาเจิมเรื่องใหม่ ขอโทษที่มาช้านะคะ (น้องสิปป์กะพี่เมตไปเรียกมาค่ะ 555)

อ่านไปหน่วงไป แอบสงสารน้องพีพี ทุกคนเอาใจช่วยนะลูก  :mew1:

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-01-2017 00:53:57
การกระทำกับคำพูดดูขัดกันในบางครั้ง ต้องรอดูต่อไป แต่ถ้าทำพีพีเจ็บนายตายแน่ปอ  o18
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-01-2017 18:28:15
เวลานานเหมือนกันเนอะ ช่วงสมัยเป็นศึกษาของสิปกัลเมต
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 25-01-2017 09:01:20
น้องปอนี่ไม่รู้ใจตัวเองป่าวหว่า  มีหวงๆ 5555
สงสารพีพี แต่อย่าท้อนะ ดูแล้วมีหวัง อิอิ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 25-01-2017 12:01:54
เข้ามาเพราะชื่อตอนนี้เลยค่ะ ฮ่าๆ
ไม่คิดว่าจะเป็นดงบังที่พาหุรัด
สนุกค่ะ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #04 ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ (Update! 20/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 28-01-2017 00:42:47
#05
จะ “เลือก” คนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง



‘มึงไปเรียนไงอะ’

ข้อความจากไอ้ปอเด้งขึ้นมาในตอนที่ภูมิกำลังจัดชีทวิชา Critical Thinking ลงกระเป๋า เสียงฝนเทกระหน่ำสร้างความหนักใจให้กับนักศึกษาที่มีเรียนเช้านี้อย่างยิ่ง

‘ยังไม่รู้เลยว่ะ’

มือขาวพิมพ์ตอบเพื่อน นึกภาวนาให้ฝนซาโดยเร็ว การโดดเรียนในช่วงนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

‘พีพี’

‘คือว่า’

ภาคภูมิขมวดคิ้ว เพราะเริ่มงงกับการส่งไลน์มาทีละคำของคนที่กำลังแชทด้วย

‘?’

อีกฝ่ายเงียบไปนาน ก่อนจะพิมพ์มาอีกครั้ง

‘พี่จ๋าจะเข้ามอพอดี มึงไปด้วยกันดิ’

คนอ่านข้อความจบได้แต่ถอนหายใจ พยายามนึกถึงคำที่ปรนัยพูดเมื่อวันเสาร์ ...ถ้ากูอยากอยู่กับพี่จ๋า กูไปหาเค้าเองแล้ว... แล้วตอนนี้คือมันอยากอยู่กับพี่จ๋าหรือเปล่านะ

‘แล้วเค้าโอเคเหรอ’

‘เค้าให้ชวนมึงเนี่ย’

ตากลมมองผ่านหน้าต่างห้องออกไปด้านนอก ดูๆ แล้วฝนที่ตกอยู่คงไม่หยุดในครึ่งชั่วโมงนี้แน่ๆ

‘โอเค’

‘อีกห้านาทีลงมาเลยนะ’



รถวีออสสีดำจอดเทียบอยู่หน้าทางขึ้นหอพัก เพราะพี่จ๋าจอดชิดกับประตูมาก ภาคภูมิจึงแทบจะไม่เปียกฝนเลย หลังขึ้นรถเรียบร้อย ผู้โดยสารคนใหม่จึงเห็นว่ามีพี่ไนท์ประธานเอกนั่งมาด้วยที่ด้านข้างคนขับ ส่วนปรนัยนั่งเบาะหลังข้างๆ เขาเอง

“ขอบคุณครับพี่จ๋า อุตส่าห์มารับ”

“ไม่เป็นไรๆ ทางผ่านพี่อยู่แล้ว” คนขับบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวรับอีจุ๋มอีกคนนะ อาจจะเบียดๆ หน่อย แป๊บเดียวก็ถึงแล้วล่ะ”

หอของพี่จุ๋มอยู่ถัดจากหอภูมิไปสองสามซอย เมื่อพี่จ๋าจอดรถชิดขอบปูนของตึกเรียบร้อย ภูมิจึงเขยิบตัวเองไปชิดกับเพื่อนอีกด้าน

“มึงงงง มีน้องอีกคนจะไป... อ้าว รถเต็มเหรอ” พี่จุ๋มมองเข้ามาในรถเก๋งคันเล็ก “ตอนแรกน้องห้องข้างๆ จะไปด้วย”

“เด็กๆ เบียดกันไหวมั้ย” เจ้าของรถหันมาถาม แน่นอนว่าผู้อาศัยรถมารีบพยักหน้ารับรัวๆ

“อีจุ๋ม นั่งหมดๆ ไปตามน้องมา ห้านาทีก็ถึงแล้ว” พี่จ๋าตะโกนบอกเพื่อน

แต่เมื่อน้องคนนั้นแสดงตัว เจ้าของรถก็เริ่มเหงื่อตกที่ไปรับปากเพื่อน ...เพราะไซส์น้องเค้าเหมือนกินน้องภูมิเข้าไปสองคน

“เดี๋ยวเรานั่งหลังเอง” พี่ไนท์เอ่ยก่อนจะเปิดประตูลงไปเปลี่ยนตัวกับสมาชิกใหม่

ถึงจะมีการเปลี่ยนตำแหน่ง แต่การนั่งเบียดกันสี่คนที่ด้านหลังก็ยังไม่ลงตัวแบบที่ควรจะเป็น สุดท้ายพี่ไนท์จึงแก้ปัญหาที่น่าจะได้ผลดีที่สุด

“ภูมินั่งตักพี่แล้วกัน”

“เอ่อ...” หากไม่ทันที่ภาคภูมิจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เสียงทุ้มๆ จากคนด้านในสุดก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“นั่งตักกู” มืออุ่นคว้าเอวของคนข้างๆ ก่อนจะลากตัวเพื่อนให้มานั่งเกยอยู่บนตักตัวเองทันที

“อะ ลงตัว! ปายยยย” พี่จุ๋มเอ่ยอย่างโล่งอก พี่จ๋าหัวเราะขำกับความชุลมุนเมื่อครู่ พลางออกรถฝ่าสายฝนเพื่อไปมหา’ลัย

การจราจรหน้ามอเลวร้ายกว่าที่คิด รถเก๋งคันเล็กที่บรรจุผู้โดยสารมาเต็มคันรถจอดติดไฟแดงอยู่นานหลายนาที เห็นคนแชร์ว่ามีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางถนน และอุบัติเหตุอีกหลายราย ตำรวจเลยไม่ยอมปล่อยไฟแดงเสียที แต่ถึงอย่างนั้นพี่ๆ ปีสี่ก็ยังเมาท์มอยกันอย่างสนุกสนาน ไร้ความเคร่งเครียดใดๆ ทั้งสิ้น เห็นว่าแค่จะเข้าไปทำงานภาค ไม่ได้มีเรียนเหมือนน้องๆ

“เชี่ย มึงดูดิ” ปรนัยบอกคนบนตักให้ดูที่หน้าจอมือถือตนเอง ซึ่งตอนนี้กำลังเล่นคลิปวิดีโอตลกจากเพจในเฟซบุ๊ก

ทว่าเมื่อภาคภูมิก้มลงมอง จึงได้เห็นว่าแขนทั้งสองข้างของเพื่อนสนิทนั้นโอบตัวเขาไว้ ถึงจะไม่ได้กอดแน่น แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ลมหายใจกระตุก ความรู้สึกเก้อเขินทำให้ภูมิเริ่มขยับตัวหนีอ้อมแขนนั้น

“หือ เมื่อยเหรอ” ปอเอ่ยถามพลางรวบเอวคนกระดุกกระดิกให้หันตัวไปอีกด้าน “โอเคมั้ย”

ถ้าตอบตามความจริง ภาคภูมิคงบอกว่าไม่โอเค ... ไม่โอเคเลยกับสัมผัสอุ่นๆ ที่โอบตัวเขาไว้แบบนี้ และไม่โอเคเลยที่ใจจะต้องเต้นแรงขนาดนี้

เจ้าของรถมองผ่านกระจกไปยังเด็กสองคนด้านหลังก่อนจะสบตากับภูมิแบบไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายก้มหน้าลงเหมือนต้องการเลี่ยงการปะทะสายตากับรุ่นพี่ จ๋าจึงกระแอมเบาๆ แล้วถามออกไป

“ปอกับภูมิมีเรียนกี่โมงอะ”

“..........”

“เก้าครึ่งครับ” เป็นปรนัยที่ตอบ เพราะภาคภูมิเอาแต่ก้มหน้าเงียบ

“ไลน์ไปบอกอาจารย์หน่อยมั้ยอะ อีกสิบนาทีเอง”
“เออช่าย” มือหนาปัดหน้าจอเข้าไปที่แอปพลิเคชันไลน์ แม้ไม่ตั้งใจจะมอง แต่ภาคภูมิก็แอบเห็นลิสต์การสนทนาของอีกฝ่ายจนได้...

“เป็นไรมึง...” เสียงคนที่กำลังพิมพ์ไลน์อย่างขะมักเขม้นกระซิบถามคนบนตักเสียงเบา

“เปล่า” อีกฝ่ายปฏิเสธ พร้อมเบือนใบหน้าออกไปมองกระจกด้านข้าง เรียวปากบางเม้มแน่นอย่างคนกำลังข่มความรู้สึก

“อาจารย์บอกว่าจะเลทให้ถึงสิบโมงแน่ะ” คนกำลังแชตกับอาจารย์รีบบอกข่าวดีให้คนอื่นๆ ทราบ

“จารย์กฤตโคตรใจดีอะ”

“เออ หล่อและแสนดี รักโคตรรรร”

“อ้าว งี้จะฟ้องจารย์ธารนะ ไม่ชมจารย์ที่ปรึกษาตัวเองได้ไง”

ปรนัยหัวเราะกับบทสนทนาอย่างออกรสของรุ่นพี่ ก่อนจะกระชับร่างของคนบนตักให้เข้ามาหาตัวเอง แล้วซบหน้าลงกับแผ่นหลังนั้นเบาๆ ถ้ารู้ว่าเข้าสายได้ รู้งี้นอนต่ออีกหน่อยซะก็ดีหรอก



เขาสองคนมาถึงห้องเรียนก่อนอาจารย์เริ่มสอนประมาณ 10 นาที ในตอนนั้นมีเด็กอยู่ประมาณครึ่งห้อง และสภาพแต่ละคนก็ดูเปียกปอนไม่พร้อมเรียนกันเท่าไร ซึ่งทำให้อาจารย์ผู้สอนถึงกับเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

“ผมเห็นใจทุกคนนะครับ แต่ยกคลาสไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นเวลาเรียนไม่พอน่ะ”

เสียงนุ่มๆ เอ่ยพร้อมสีหน้ากังวล เพียงเท่านี้ก็ทำให้นักศึกษาที่ต้องฝ่าฝนมาเรียนพากันร้องบอกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” “ไม่เป็นไรครับ”เป็นแถบ และนั่นทำให้อาจารย์หนุ่มหล่อแห่งภาคปรัชญาพอยิ้มออกได้บ้าง

“มึงเชื่อปะ” ปรนัยกระซิบกับเพื่อนข้างๆ “ถ้าเป็นวิชาจารย์กรรนะ แม่งเทกันทั้งห้อง”

“อือ” ภาคภูมิตอบเพียงแค่นั้น ขณะที่ดวงตากลมดูเหม่อลอยจนคนมองแปลกใจ

“เป็นไร...” ฝ่ามือหนาแตะเบาๆ ที่ไหล่เล็ก อีกฝ่ายถดตัวหนี ก่อนจะหันมากะพริบตาปริบๆ ใส่คนเรียก

“เปล่าๆ” เอ่ยปฏิเสธแต่สีหน้าคนตอบไม่เป็นอย่างนั้นสักนิด ร่างสูงพยักหน้ารับ ในใจไม่เชื่อ แต่รู้ดีว่าถามไปก็คงไม่มีประโยชน์
 
พอเห็นว่าเพื่อนหันไปสนใจที่หน้าชั้นเรียนแล้วภาคภูมิก็แอบถอนหายใจเบาๆ จะบอกยังไงว่าเขากำลังจิตใจว้าวุ่นกับความรู้สึกอุ่นๆ ที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นหลัง ซึ่งใครบางคนใช้มันแทนหมอนตอนนั่งรถมาจนถึงมหา’ลัย ไหนจะสิ่งที่เห็นในไลน์นั่นอีก ซึ่งทุกเรื่องก็ล้วนมีที่มาจากไอ้คนถามทั้งนั้น...


“เอาล่ะครับ ระหว่างรอเพื่อนๆ มา เรามาคุยถึง False Dilemma ที่เป็นการบ้านของอาทิตย์ที่แล้วกันก่อนดีกว่า” อาจารย์สุกฤตที่ยืนอยู่หน้าห้องเรียนกำลังตวัดปากกาเคมีบนไวท์บอร์ด “ถ้าสมมติพวกคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ใครคนหนึ่งใช้เหตุผลวิบัติ โดยยื่นข้อเสนอระหว่าง “คนที่รักไม่ได้” กับ “คนที่ไม่ได้รัก” แบบนี้พวกคุณจะตัดสินใจยังไงกันครับ”

เงียบ...

เจ้าของรายวิชาอมยิ้มกับปฏิกิริยาของบรรดาลูกศิษย์ ก่อนจะเอ่ยเรียกนักศึกษาปีสี่คนหนึ่งขึ้นมา ภูมิจำได้ว่าเป็นเด็กเรียนโทที่ตามเรียนวิชาเลือกของอ.สุกฤตแทบทุกตัว ...เรียกว่าเป็นแฟนคลับก็คงไม่ผิดเท่าไร

“ถ้าเป็นผม ผมจะเลือก “คนที่รักไม่ได้” ครับ เพราะความรักสำหรับผมไม่ใช่การครอบครอง แค่ได้ด้อมๆ มองๆ ก็สุขใจ”

“เอิ้ววววววว”

“แม่งน่ากลัวตรงด้อมๆ มองๆ นี่แหละ”

“อียศ อีน้ำเน่า!!”

เสียงโห่แซวที่ขานรับทั่วห้องสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น จากนั้นอาจารย์ก็ไล่เรียงไปทีละคน บางคนก็คิดมาเป็นกลุ่ม บางคนก็จับคู่กับเพื่อนช่วยกันตอบ ซึ่งภูมิกับปอเป็นอย่างหลัง

“อะ ขอคำตอบจากสุดหล่อปีสามบ้างครับ ...ปอ”

“โหยอาจารย์ ชมงี้ผมเขินนนน” ร่างสูงโปร่งบิดตัวไปมาประกอบคำพูด เรียกเสียงด่าทอด้วยความหมั่นไส้ได้จากทุกสารทิศ

บรรยากาศสนุกสนานในชั้นเรียน ช่วยดึงสติของภาคภูมิให้กลับมาได้บ้าง และเมื่อนึกได้ว่าตนเองคู่กับคนที่ถูกเรียก จึงรีบยืนขึ้นเคียงข้างอีกคนเพื่อตอบคำถามอาจารย์

“อ้าว สองคนนี้คู่กันเหรอ” อ.สุกฤตเอ่ยถาม

“ครับ” สองหนุ่มประสานเสียงตอบ

“เอ้อ ดีๆ” ผู้อาวุโสกว่าทำท่าคิด “เหมาะสมกันดีนะ”

เพียงเท่านั้นเสียงโห่แซวก็ดังลั่นห้อง จนอาจารย์ต้องรีบพูดแก้ “หมายถึงน่าจะช่วยกันแสดงความคิดเห็นได้ดี”

“ไม่ทันแล้วจารย์” ปรนัยเอ่ยเสียงตัดพ้อ ตารีเล็กเหลือบมองเพื่อนข้างๆ ที่เอาแต่ก้มหน้า “อยากแสดงความคิดเห็นแล้วววว ฟังหน่อยๆๆ”

“อะๆ เงียบหน่อยครับ ฟังเพื่อนพูดนะ”

“จริงๆ ผมกับภูมิไอเดียไม่ตรงกันเท่าไรครับ” เสียงทุ้มเอ่ยกับทุกคน “ส่วนตัวผมแล้ว ถ้าในตัวเลือกแค่สองตัวนี้ ผมขอเลือก “คนที่รักไม่ได้” ดีกว่า ก็อย่างที่พี่ยศบอก ไม่ได้ครอบครองก็ไม่เป็นไร แค่ได้รักก็พอแล้วอะครับ”

“ช่ายๆ เออๆ จริง” เสียงสนับสนุนดังขึ้น

“แต่ผมว่าจะคิดอย่างปอไม่ได้ครับ” ภาคภูมิแทรกขึ้นมาบ้าง ตอนนี้สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่พวกเขา “ในที่นี้ “คนที่รักไม่ได้” น่าจะหมายถึงคนที่เรารักเขาอย่างที่ไม่สมควรจะรัก ส่วน “คนที่ไม่ได้รัก” น่าจะเป็นคนที่เขารักเรา แต่เราไม่ได้รักเขา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่าจริงๆ เรามีแค่ตัวเลือกเดียว นั่นคือ “คนที่ไม่ได้รัก” เพราะเราจะ “เลือก” คนที่เขาไม่ได้รักเราได้ยังไงครับ”

“เออ ก็ถูก อืมๆ มันต้องคิดแบบนี้แหละ” เสียงสนับสนุนเริ่มเปลี่ยนข้าง

“คือภูมิคิดเยอะไปอะ ถ้าพูดแบบมึง เอ๊ยยย แบบภูมิ คือเรากำลังเลือก “คนที่สามารถครอบครองได้” ใช่มั้ย แต่จริงๆ แล้ว เราไม่ได้เลือกคนไง เรา “เลือก” ที่จะ “รัก” เพราะฉะนั้นเราจะเลือก “รัก” ใครก็ได้” ปรนัยเถียงกลับทันควัน ซึ่งเป็นคำพูดเดียวกับที่พวกเขาเคยถกเถียงกันมาก่อนแล้ว

“นั่นดิ คิดเยอะไป คิดเยอะไป” คนทั้งห้องกำลังสับสนกับมวยสองฝ่าย

“ถ้างั้นมันก็อยู่ที่การตีความโจทย์และสถานการณ์อะครับ เพราะถ้าลองคิดอีกแง่ การที่เราไปแอบรัก “คนที่รักไม่ได้” เราก็อาจกลายเป็น “คนที่ (เขา) ไม่ได้รัก” เหมือนกัน”

“อืมมม โจทย์สับสนจริง ใช่ๆ โจทย์ตีความได้หลายอย่าง” เสียงพึมพำที่วิเคราะห์ตามยังดังอย่างต่อเนื่อง

“อะพอก่อนๆ นั่งลงได้ครับ” อาจารย์สุกฤตเห็นนักศึกษาเริ่มเดือดเลยต้องตีระฆังพักยก “คำตอบของปอกับภูมิน่าสนใจทั้งคู่ รวมถึงการตีความโจทย์ในหลายๆ แง่มุมด้วย การมองให้กว้างขึ้นโดยไม่ยึดติดอยู่แค่มิติเดียวถือเป็นเรื่องดีสำหรับการศึกษาปรัชญามากครับ ชื่นชมทั้งสองคนครับ”

เสียงปรบมือชื่นชมจากนักศึกษาคนอื่นๆ ทำเอาสองหนุ่มยิ้มเขิน

“ขอบคุณทุกคนที่ร่วมอภิปรายกันนะครับ ...เดี๋ยวผมขอปิดการพูดคุยประเด็น False Dilemma เท่านี้ดีกว่า กลัวว่าเวลาจะไม่พอ”

“อาจารย์ยังไม่ตอบเลยค่ะ ว่าอาจารย์เลือกคนไหน” นักศึกษาหญิงปีสี่อีกคนยกมือท้วง แน่นอนว่าเสียงสนับสนุนจากทั้งห้องนั้นดังเซ็งแซ่ บอกแล้วว่าอาจารย์กฤตน่ะฮอตจริง

“สำหรับผมแล้ว...” อาจารย์นิ่งเงียบไปนิดหนึ่ง ในขณะที่นักศึกษากำลังลุ้นกับคำตอบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “ผมคงต้องใช้หลักประโยชน์นิยมมาวัดน่ะครับ ว่าเลือกทางไหนแล้วมีคนได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือ ถ้าเราเลือกคนที่เรา “ไม่ได้รัก” แต่คนคนนั้นรักเรา ก็จะมีคนได้สมหวังหนึ่งคน แต่ถ้าเราเลือกคนที่เรา “รักไม่ได้” ก็จะไม่มีใครสมหวังเลย เพราะฉะนั้น ผมจึงเลือกคนที่ไม่รักครับ”

“โหยยย ไม่โรแมนติกเลยอ่าอาจารย์”

“หนูอยากเป็นคนที่ไม่ได้ร้ากกกก”

“มีใครไม่รักอาจารย์ด้วยเหรอ”

อาจารย์สุดหล่อกำลังปรามนักศึกษาที่โอดครวญกันเสียงเซ็งแซ่ ก่อนจะสรุปการพูดคุยในช่วงนี้สั้นๆ “ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ เหตุผลวิบัติพวกนี้คือกลที่หลอกให้เราหลงในทางเลือกที่ไม่จำเป็นต้องเลือก อย่าลืมนะครับ เมื่อโต้เถียงหรือพูดคุยกับใครที่ใช้เหตุผลแบบ False Dilemma ให้คิดไว้เสมอว่ามันยังมีทางเลือกที่ดีกว่าแต่เค้าไม่ได้พูดออกมา หวังว่านักศึกษาของผมจะไม่ตกหลุมพรางกันนะครับ”


----------------------------------------------


พายุฝนสงบลงตอนเย็นมากแล้ว ภาคภูมิที่เพิ่งเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จกำลังเดินไปภาคปรัชญา ค่ำวันนี้มีการทำอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ในงานคเณศจตุรถี ซึ่งจริงๆ พี่ปีสี่ก็มีทำไว้บางส่วนแล้ว แต่เห็นว่ายังมีงานอีกมากที่ต้องไปช่วยกัน ร่างโปร่งเดินเอื่อยๆ ไปตามสะพานข้ามบ่อน้ำเล็กๆ มองดูเม็ดฝนที่กระทบผืนน้ำเป็นจังหวะแล้วก็พาลนึกไปถึงเมื่อเช้า ร่องรอยความอบอุ่นที่ใครบางคนทิ้งไว้บนแผ่นหลังนั้นจางลงไปแล้ว แต่หน้าแชตของเพื่อนสนิทที่เขาบังเอิญเห็นกลับยังติดอยู่ในใจจนถึงตอนนี้

ถ้าปอจะมีพี่จ๋าหรือชื่อผู้หญิงคนอื่นๆ อยู่อันดับแรกๆ ของแชตเขาก็คงไม่คิดมาก ...แต่การที่เห็นชื่อตัวเองถูก Pin ไว้บนสุดต่างหากที่ทำให้เขาสับสน...


ครืด...ครืด....ครืด...


แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋าเรียกสติของคนคิดมากให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสิปป์ศิลป์โทรเข้ามา

“ว่าไงมึง”

“มาภาคปะ” ปลายสายเอ่ยถาม

“กำลังเดินไปเนี่ย”

“กูอยู่หน้าภาคละ ไม่กล้าเข้าไป มีแต่ปีสี่”

“อ้าว ไอ้ปอบอกว่ามันไปถึงแล้วนี่” คิ้วเรียวขมวดมุ่น “มึงรอกูแป๊บ จะถึงละ”

“เออ เคๆ”

“เฮ้ยสิปป์” อยู่ๆ ภาคภูมิก็เรียกปลายสายไว้

“ว่า”

“........” คนเรียกเงียบไป ก่อนจะถามออกมาแผ่วเบา “มึง Pin ชื่อใครในไลน์มั้ย”

คราวนี้ปลายสายเป็นฝ่ายเงียบบ้าง

“ก็เพื่อนอะ กูไม่มีแฟนนี่หว่า”

“เพื่อนคนไหนวะ”

“เอ่อ...ทำไมวะ”

“เปล่าๆ คือ กูเพิ่งรู้ว่าไลน์มันทำได้”

“อ่อ ล้าหลังว่ะ” ปลายเสียงหัวเราะ

“ตกลงจะไม่บอกใช่มะว่า Pin ใคร” ภาคภูมิแกล้งยียวน ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบ

“เอออออ...” อีกฝ่ายลากเสียงยาว ก่อนภูมิจะได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเร็วๆ ดังผ่านโทรศัพท์ สักครู่หนึ่งคนในสายจึงตอบออกมา “กู Pin ไอ้เชี่ยเมตไว้”

ภาคภูมิเงียบ...

“แม่งขี้เกียจหาชื่อ ช่วงนี้เอกกูสั่งงานคู่บ่อย”

“อ่อ เออๆ เฮ้ย! กูถึงภาคละ เจอไอ้เมตแล้วเนี่ย”

“อ้าว เออๆ เจอกัน”

พอกดวางโทรศัพท์ปุ๊บ สิปป์ศิลป์ก็เดินเร็วๆ เข้ามาหาทันที

“ไปไหนมาวะ” ไม่ใช่ภาคภูมิ แต่เป็นเมตตาเพื่อนมันนั่นแหละที่ถาม

“ดูแมว” คนมีลับลมคมในตอบ

“มึงเนี่ยนะดูแมว?” เมตตาส่ายหัว ทำท่าไม่เชื่ออย่างที่สุด คนกลัวแมวบ้าอะไรจะเดินไปดูแมว

“เออออ วันนี้กูรักแมว”

ภาคภูมิหัวเราะกับการเถียงกันของเพื่อนร่วมชั้นปี ก่อนจะเดินนำไอ้สองตัวเข้าไปในห้องกลางของภาค หลังกวาดสายตาแล้วไม่เห็นปรนัยอยู่ในห้อง ร่างโปร่งจึงเปิดโปรแกรมแชตเพื่อตามเพื่อนสนิทที่นัดกันไว้ หากแล้วคำตอบของสิปป์ศิลป์ก็ดังขึ้นมาในหัว

...เพื่อน...

คนอื่นๆ ก็ Pin ชื่อเพื่อนเหมือนกัน
ถ้าอย่างงั้นที่ไอ้ปอทำก็คงไม่แปลกอะไร



กว่าร่างสูงๆ ของปรนัยจะปรากฏตัว เวลาก็ล่วงมาเกือบหนึ่งทุ่ม ภาคภูมิกำลังจะอ้าปากบ่น หากไม่เห็นใครอีกคนที่เดินตามหลังมันมาด้วย

   พี่จ๋า...

   “พีพี~~” เจ้าของฉายาละสายตากลับมามองคนเรียก ก่อนจะรีบเขยิบตัวหนีเมื่อเห็นท่อนแขนแข็งแรงกางออก พร้อมกับขายาวๆ ที่วิ่งเข้ามาหา “จะหนีไปไหนจ๊ะ”

   “กอดเลยๆๆ”

   “จูบเลยๆๆ”

   เสียงเชียร์อย่างสนุกสนานจากคนในห้องทำเอาคนโดนแกล้งหน้าตาตื่น

   “สัดปอ! ออกไป๊ ชิ้วๆๆ” คนโดนต้อนกำลังจนมุม เพราะห้องประชุมตอนนี้ระเกะระกะไปด้วยอุปกรณ์ทำงานมากมาย จนไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้

   “อย่าปฏิเสธความคิดถึงของพี่ปอสิครับ” ไม่ใช่แค่พูด แต่เรียวปากอิ่มยังทำท่าจุ๊บๆๆ ยื่นเข้ามาหา จนอีกฝ่ายต้องใช้คอนเวิร์สตัวเองเป็นอุปกรณ์ยันทัพ

   “หูย สายดุเหรอวะ” ร่างสูงบ่นอุบ

   กองเชียร์ตบมือชอบใจกันยกใหญ่ ใครๆ ก็อยากเห็นเด็กนิ่งๆ อย่างภาคภูมิหลุดมุมรั่วๆ กันทั้งนั้น พอสองเพื่อนซี้สงบศึก คนอื่นๆ จึงเริ่มแยกย้ายกลับมุมของตัวเอง

   “ไปไหนมามึงอะ อู้เหรอ” หลังทรุดตัวลงนั่งตรงโซนทาสี ‘น้องพีพี’ ก็ชี้หน้าถาม ‘พี่ปอ’ ด้วยความเคารพ

   “ไปซื้อข้าวให้มึงกับคนอื่นๆ ไง โหย มองกูแง่ดีเกิ๊น” คนถูกกล่าวหาพยักพเยิดไปยังกองกล่องข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะ ภูมิมองตามไป แต่กลับได้สบตากับพี่จ๋าที่นั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แทน

“จารย์ธารเห็นกูว่างๆ เลยให้กูกับพี่จ๋าไปซื้อมาอะ”

“เหรอ...” ภาคภูมิก้มหน้าหลบสายตาที่เหมือนจะมีคำถามของพี่จ๋า ก่อนจะแกล้งแซวเพื่อนด้วยเสียงสดใส “ฟินเลยดิมึง”

“โหยยยย” อีกฝ่ายร้องเสียงหลง “ฟินห่าไร หิ้วถุงก๊อบแก๊บจนนิ้วจะเป็นห้อเลือด แม่ง ยี่สิบกว่ากล่อง รถก็จอดโคตรไกล”

บ่นพลางยื่นนิ้วมือแดงๆ ให้ดูเป็นหลักฐาน ก่อนจะวางแหมะลงบนตักของเพื่อนสนิท

“สำออยว่ะ” ด่าคนมือเจ็บ แต่สุดท้ายก็จับนิ้วสากที่ขึ้นริ้วแดงๆ มานวดให้เบาๆ

เจ้าของมือยิ้มกริ่ม หลอกบางคนให้นวดให้ได้แล้วสบายใจจริงโว้ย...


---------------------TBC---------------------


น้องภูมิไปถามใครไม่ถาม ดันไปถามนังสิปป์!!
คู่นั้นเค้าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกันยู้วววว โธ่ๆๆ
#เรื่องPinไลน์ไว้ใจสิปป์

สวัสดีค่า
มีเรื่องจะสารภาพและขอโทษอย่างแรงงงง
คือเรื่องนี้เป็นช่วงมหา'ลัย ซึ่งเป็นจักรวาลของเมตสิปป์ตอนเรียน
แต่!! คนเขียนดันลืมค่ะ เขียนซะปัจจุบันเลย T___T

ยังไงจะค่อยๆ แก้ตอนที่ผ่านมา ให้คำบอกเวลามันไม่ชี้เฉพาะมากนะคะ
แต่มุกบางมุก เรื่องบางเรื่องที่มันปัจจุบันมากๆ คงไม่แก้เนอะ คิดซะว่าเมตสิปป์อยู่ในโลกคู่ขนานก็แล้วกัน (ยังจะแถ)
อ้อ! เนื้อเรื่องทั้งหมดไม่เปลี่ยนค่ะ ใครอ่านผ่านไปแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับไปอ่านก็ได้ค่า

ต้อขออภัยอย่างสูงค่ะ ฮืออออ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากๆ นะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ บ๊ายบายยยย


หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Aimiya ที่ 28-01-2017 04:33:45
พีพีจ๋าาา ทำไมน่ารักงี้>< ปอนี่ไม่ได้รู้ตัวเล้ยยยยย แต่ก็นะมันต้องยังไม่รู้ตัวรู้ใจแบบนี้แหละ คนอ่านจี๊ดๆดี5555+
ปล.นี่็ก็เพิ่งรู้ว่าไลน์ปักหมุดได้ เขินนนนน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2017 05:48:30
แล้วนี้ ปอ คิดไรกับภูมิปะ
แบบตัวเองก็ไม่รู้ตัว  :hao3:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 28-01-2017 08:05:53
ถถถถถ พีพี พี่ก็นึกว่าน้องปอมันแอบคุยกะสาว หนูเลยเซื่องซึม แต่ก็เนอะรู้ว่าเค้าให้ความสำคัญกับเรา แต่อาจจะคนละฐานะ มันก็เจ็บปวดนิดๆเนอะ

ว่าแต่ ไลน์มีปักหมุดได้ด้วยหรออออ >_< พี่ก็ไม่รู้ววว
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: แมวมุ้งมิ้ง ที่ 28-01-2017 08:52:33
อ่านแล้วแอบเขินแต่ก็เข้าใจความรู้สึกของน้องพีพีนะคะ ถ้าเริ่มจะคิดอะไรเข้า มันก็ยิ่งว้าวุ่นใจและสับสนไปหมด ปอก็แบบ.. วางน้องพีพีในฐานะอะไรก็ยังดูไม่ออก เพื่อนคนสำคัญไรงี้? ก็ติดตามกันต่อไปค่ะ

ปล.ซินเจี่ยยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้นะคะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-01-2017 09:06:44
ปอก็ให้ความสนิทสนมจนน่าคิดไปไกล  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
รอว่าจะมีใครสักคนเข้ามาทำให้พีพีคิดจะตัดใจจากปอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 28-01-2017 09:44:14
เห็นชื่อพี่จ๋าแล้วหงุดหงิด
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-01-2017 11:28:31
บางทีก็แอบคิดขำ ๆ ว่าที่จริงพี่จ๋าอาจจะชอบพีพี ฮา
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 28-01-2017 14:56:59
ฮือ เพิ่งรู้ว่าไลน์ปักหมุดแชทได้ด้วย ทำไม่เป็นจนต้องเสิร์ทวิธีในกูเกิ้ลดูเลยค่ะ 555555
เป็นตอนที่หน่วงเบาๆนะแล้วก็เขินกับวิธีที่ปอแสดงออกด้วยอะ
ไม่แปลกเลยที่น้องพีพีของเราจะสับสน ฮือ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-01-2017 17:35:53
ปอเนี่ยยังไม่รู้ใจตัวเองแต่เราว่าพี่จ๋าอะชอบปอแน่ๆ
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 28-01-2017 18:46:26
ทำไมเรารู้สึกว่าปอก็ตีเนียนคิดไม่ซื่อ

ได้แต่อ่านด้านของพีพี พีพีจ๋าอ่อยกว่านี้เลยเอาให้ปอรู้ตัวและไม่มองหญิงไหน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 28-01-2017 20:52:25
นังปอนี่ขยันอ่อนพีพีน้อยนะคะ

ขอบคุณคนเขียนค่า
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 02-02-2017 20:29:23
บ่นว่าสั้นมาหลายตอนแล้ว
กลัวโดนแบน ใช้คำซ้ำบ่อยๆสแปมขึ้นมายุ่งเลย
ขอเปลี่ยนเป็น "ยังยาวไม่จุใจ" แทน
นี่เหมือนอ่านตอนที่ .5 มากกว่า อยากอ่านยาวๆ ไม่เอาเนื้อเพลงอ่ะค่ะ ฮี่ๆ

อย่าว่าแต่ภมิไม่เคย pin ใครเลย
นี่ก็เพิ่งรู้ว่าสามารถทำได้ โอ้ว อะเมซิ่งมาก
ว่าแล้วก็ไปหาชื่อใครมา pin มั่งดีกว่า คริคริ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 03-02-2017 09:22:36
มันพินได้ด้วยหรอ นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน 5555

นี่ไปถามใครไม่ถาม คู่นั้นเค้าก็ไม่ธรรมดานะจ้ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: CanonDNattari ที่ 03-02-2017 11:48:58
มีความน่ารัก  ไม่เอาดราม่านะ หุหุ

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 03-02-2017 15:49:09
ชอบบบบยบบบบบบบบบบบบบค่าาาา  :hao6:
คนเขียนเขียนนิยายสนุกมาก
สมัครเป็น fc ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma -รักวิบัติ #05 จะเลือกคนที่ไม่ได้รักเราได้ยังไง (Update!28/01/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 07-02-2017 23:34:06
#06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย


   ยิ่งใกล้งานคเณศ ภาควิชาปรัชญาก็ยิ่งคึกคัก ตอนนี้กลายเป็นว่าคนทำงานไม่ได้มีแค่ปีสามกับปีสี่เท่านั้น แต่น้องๆ ปีอื่นก็มาช่วยงานกันหมด ใครว่างช่วงไหนก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาภาค หยิบจับอะไรเล็กๆ น้อยๆ ทำไป ถ้าไม่มีอะไรให้ทำก็ซ้อมร้องเพลงในพิธีแห่กัน กลายเป็นเรื่องสนุกที่มีแต่คนอยากเข้าร่วม

   งานส่วนของปีสามถือว่าเสร็จหมดแล้ว ที่เหลือก็รอแค่เซตอัปก่อนวันงานจริง แต่แก๊ง F4 ก็ยังมาสิงอยู่ที่ห้องภาคกันเหมือนเดิม เหตุผลไม่มีอะไรมาก ก็แค่เด็กผู้หญิงปีหนึ่งปีนี้หน้าตาดีมองเพลินเท่านั้นเอง

   “เอาล้าว เอาล้าววว” ไอ้แก้วสะกิดไอ้ชิงชิงยิกๆ

   “โฮกกกกก”

   “โอ๊ยมึ้งงง หัวใจกูทำงานหนัก”

   ภาคภูมิอ่อนอกอ่อนใจกับไอ้พวกหน้าหม้อที่นั่งทำตาเยิ้มอยู่ข้างๆ เชื่อว่าถ้าน้องหันมาเห็นต้องมีฝันร้ายกันมั่งล่ะ

   “พีพี” คนถูกเรียกหันไปตามเสียงก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อๆ

   “อะไร”

   ไอ้ห่าขุน รุ่นน้องปีสองมองซ้ายมองขวาก่อนจะยื่นของในมือให้ “ผมซื้อชาลิปตันมาฝาก”

   คนกำลังออกแบบแผ่นบทสวดมนต์พยักหน้าหงึกๆ แล้วบอกขอบคุณเบาๆ

   “ผมนั่งด้วยนะ” คนมาใหม่ว่าพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “หือออ พีพีก็มีฝืมือนะเนี่ย”

   “เออ กูเก่ง”

   ผู้ชายในชุดสูทสีดำพร้อมแว่นกันแดดทรงเรย์แบนที่ดูไม่เหมือนนักศึกษาส่งยิ้มหวานมาให้ ซึ่งคนได้รับถึงกับขนลุกซู่ เพราะแม่งไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มมรณะของโจ๊กเกอร์

   “ไม่มีไรทำมึงก็ไปช่วยข้างนอกเค้าพ่นสีไป” จะว่าไล่ก็ถูก แต่เขาขี้เกียจมีปัญหาอีก

   “พีพีรังเกียจผมเหรอ”

   พอได้ยินเสียงอ่อยๆ เอ่ยถาม คนฟังก็ต้องถอนใจต่ออีกรอบ “กูอะไม่ แต่เพื่อนกูอะใช่”

   “สัดขุน!! ไปเลยมึง!!” เสียงโวยวายดังมาตั้งแต่หน้าประตู ก่อนขายาวจะก้าวพรวดๆ เข้ามาตรงที่เพื่อนสนิทกับไอ้เด็กปีสองนั่งอยู่

   ภูมิถึงกับกุมขมับ ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาต้องแยกมวยระหว่างไอ้ปอกับรุ่นน้องข้างๆ นี่วันเว้นวัน กัดกันจนคนอื่นเห็นเป็นเรื่องปกติ มีแต่เขาที่รำคาญจนบางทีไม่อยากจะเข้ามาภาค ขณะกำลังจะเอ่ยห้าม ไอ้ท่านขุนกลับลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเงียบๆ ไม่ต่อปากต่อคำเหมือนที่แล้วๆ มา

   ปรนัยมองตามไอ้รุ่นน้องลุคเจมส์บอนด์ถึงประตู วันนี้มันมาแปลก แต่ก็ดีที่ยอมไปง่ายๆ หากแล้วร่างสูงก็แทบจะกระโจนไปกระชากคอมันกลับ เมื่อไอ้เด็กเปรตตะโกนออกมาเสียงดัง

   “พีพีตั้งใจทำงานนะครับ แถวนี้หมาดุ ผมไปก่อนดีกว่า”

   “เชี่ยขุน!!” ภาคภูมิรีบคว้าแขนคนกำลังเดือดให้ทรุดนั่ง กลัวเพื่อนจะตามไปถีบไอ้เด็กนั่นเหมือนวันก่อน

   “น้องมันก็กวนตีนมึงเล่นแค่นั้นแหละ มึงก็อย่าไปวิปตามมันดิวะ” พยายามปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็น จึงได้ผลลัพธ์เป็นตารีเล็กที่ตวัดมองอย่างไม่พอใจ

   “มันจะจีบมึง”

   คนได้ฟังกลอกตาไปมา “ตลกละ บอกเป็นร้อยครั้งแล้วว่ามันแค่กวนประสาท”

   “ใครๆ ก็ดูออก ยิ่งมึงดีกับมัน มันก็ยิ่งเข้าใจผิด” เสียงทุ้มดุกว่าที่เคย

   ภูมิเสตาหลบ อยากจะบอกกับคนพูดถึงประโยคเดียวกันนี้เหมือนกัน ...ยิ่งมึงทำดีกับกู กูก็ยิ่งเข้าใจผิด

   พออีกฝ่ายเงียบ ปรนัยจึงพยายามระงับอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจลง ช่วงนี้ไอ้ขุนมาป้วนเปี้ยนกับไอ้ภูมิทุกวัน ซื้อนู่นซื้อนี่มาให้กินตลอด มองมาจากเชียงใหม่ยังรู้เลยว่ามันจะมาจีบ จะมีก็แค่ไอ้คนถูกจีบนี่แหละที่ไม่รู้ตัว ยังจะทำตาแป๋วๆ คุยกับมันอีก ไม่ได้หวงเพื่อน แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่โรคจิตเหมือนไอ้ขุนเขาก็คงไม่ห้ามหรอก

   ...มั้ง

   “เป็นไร ทำหน้าประหลาด” คนที่สนใจกับอาร์ตเวิร์กหน้าจอหันมาถามเพื่อนสนิท หลังจากเห็นใบหน้าคมๆ ขมวดคิ้ว แถมยังขบริมฝีปากแน่น

   “เปล่าๆ” คนถูกทักรีบปฏิเสธ แต่ในใจยังสงสัยว่า กูจะเติม ‘มั้ง’ ในประโยคเมื่อกี๊ทำไม

   “มึงว่าพื้นหลังสีส้มเฉดไหนดี” กราฟิกจำเป็นคลิกเมาส์เปลี่ยนสีไปมา

   ปอขยับหน้าเข้าไปใกล้จอโน้ตบุก ก่อนจะเขี่ยมือเพื่อนออกจากเมาส์ แล้วจัดการกดเลือกสีเอง

   “ขาว?” เจ้าของงานถามอย่างสงสัย

   “อือ อ่านง่ายดี”

   “ไม่สวยเลยอ่า” #ทีมสีส้ม

   “บทสวดโคตรยาว ถ้าแบ็กกราวนด์สีเข้มมันปวดตานะ” #ทีมสีขาว

   “โห่ยยย ไม่เข้าใจอาร์ทิสต์เล้ย” ภาคภูมิบ่นพึมพำคนเดียว ในขณะที่คนข้างๆ นั่งมองปากเล็กๆ ที่ยังขมุบขมิบไม่เลิกแล้วก็ขำ เออ...น่ารัก

   หมายถึง...หมายถึงฟอนต์ที่มันใช้น่ะ น่ารักดี

   “มึงไหวนะ?” เสียงบ่นกลายเป็นคำถามอีกรอบ เมื่อเห็นท่าทางเพื่อนดูแปลกไปจริงๆ คราวนี้คนถูกถามรีบกระแอมไอเสียงดัง ก่อนจะขอตัวเดินไปดูงานฝ่ายอื่นๆ แทน

   “เออมึง” ปอเรียกคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับงาน

   “หือ?”

   “ถ้าเชี่ยขุนมา...” เสียงทุ้มเบาลงจนแทบกระซิบ “บอกมันว่าอย่าเรียกมึงว่า ‘พีพี’ อีก”

   มือเรียวชะงักค้าง “ทำไมวะ”

   เจ้าของคำสั่งยักไหล่ทำท่ายียวน ก่อนจะพาร่างสูงโปร่งของตัวเองไปก่อกวนฝ่ายอื่นๆ แทน ทิ้งคำถามให้ลอยอยู่ในห้วงความคิดที่แม้แต่ตัวเองก็ยังตอบไม่ได้


--------------------------------


   ปรนัยจอดจักรยานที่หลังหอพัก สี่ทุ่มกว่าแล้วเลยหาที่จอดได้ยากหน่อย อาศัยว่ารถตัวเองเก่าจนไม่ต้องห่วงเรื่องโดยขโมย จะจอดตรงไหนก็ได้ ติดว่าจำที่จอดไม่ค่อยได้นี่แหละ รถไม่หายก็เหมือนหายทุกที ขณะกำลังเดินออกจากหลังตึก เขาก็ได้ยินเสียง โคร่ม! ดังสนั่น เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายในชุดนักศึกษานอนกองรวมกับรถจักรยานที่ล้มระเนระนาด

   “นะ...” ปลายเสียงที่กำลังจะตะโกนต้องเงียบลงทันควัน เมื่ออยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้พุ่งมากระชากคอเสื้อของคนที่ล้ม

   “ไม่มีมึงก็ต้องไปหามา! เข้าใจมั้ย! ไปหามาให้กู” ผู้ชายคนนั้นยืมคร่อมร่างที่กำลังสั่นงกๆ ตะคอกเสียงดังลั่นจนปรนัยเองยังตกใจ พอได้สติคืนมา ขายาวๆ ก็รีบย่องออกไปด้านหน้าตึกก่อนจะทำทีเดินคุยโทรศัพท์เข้ามาด้านหลังใหม่

   “ตลกละมึง ออกมาเลย กูกำลังไปแล้วเนี่ย...” นิ้วแกร่งแสร้งแกว่งพวงกุญแจไปมาให้เกิดเสียง ซ้ำยังต่อบทคนเดียวอีกนิด “กูกำลังจะถึงจักรยานแล้ว ร้านเดิมนะเว้ย อย่าป๊อด!!”

   เมื่อเงยหน้าขึ้นมา คนแผนสูงก็ไม่เห็นผู้ชายที่ทำร้ายน้องนักศึกษานั่นแล้ว เหลือแต่เด็กคนนั้นที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นจากกองจักรยาน

   “อ้าวน้อง เป็นไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามเด็กในชุดนักศึกษาซึ่งน่าจะเป็นปีหนึ่ง ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างต้องการจะช่วยเหลือ แต่เด็กคนนั้นกลับลุกขึ้นแล้วเดินกะเผลกๆ เกาะกำแพงผ่านหน้าเขาไปเสียอย่างนั้น

   
   หลังขึ้นห้องอาบน้ำเตรียมนอน มือหนาก็คว้าโทรศัพท์มาเล่นอย่างที่ทำประจำทุกคืน เช็กนู่นเช็กนี่ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเข้าโปรแกรมแชตไปอ่านย้อนในกลุ่มต่างๆ บ้าง ตอบข้อความของใครต่อใครที่ทักทายมาบ้าง ปรนัยไม่ใช่คนชอบคุยเล่นผ่านแอปพลิเคชัน ถึงจะเป็นคนประเภทร่าเริงจนเข้าขั้นน่าถีบ แต่เขาก็ชอบที่จะสนทนากับมนุษย์ตัวเป็นๆ มากกว่า จนบางครั้งก็ปล่อยให้ไลน์ขึ้นเตือนข้อความมหาศาลอยู่บ่อยๆ หลังๆ มานี่ดีหน่อยที่ไลน์มัน Pin ชื่อคนสำคัญๆ ไว้ได้ ไม่ต้องเลื่อนหาให้ปวดลูกกะตา

   ‘นอนยัง’ พิมพ์ข้อความไปหาเจ้าของชื่อที่ถูกปักหมุดไว้ด้านบนสุด รอสักพัก ‘น้องพีพี’ ชื่อที่เขาเมมไว้ก็ตอบกลับมา

   ‘ยัง’

   ‘ตกลงบทสวดมนต์เสร็จมะ’

   ‘เออ เสร็จละ นี่ๆ’

   ปรนัยกดโหลดรูปที่เพื่อนสนิทส่งมา แล้วจึงได้เห็นว่าสุดท้ายภาคภูมิเลือกพื้นหลังเป็นสีเปลือกไข่ ไม่ใช่ขาวแบบที่เขาบอก แต่ก็ไม่เข้มปวดตาเหมือนทีแรก

   ‘สวยดี อ่านง่าย’

   ‘ส่งร้านพิมพ์ไปละ พรุ่งนี้ไปช่วยแบกด้วยนะ’

   ‘เค’

   ไม่ทันได้พิมพ์อะไรต่อ ภูมิก็ส่งภาพมาอีก พร้อมข้อความว่า

   ‘พานปีนี้ อย่างสวย’

   หากเมื่อกดโหลดดู ร่างสูงบนเตียงก็ต้องสะดุ้งก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น พยายามเลื่อนนิ้วซูมภาพให้ชัดๆ เพราะนอกจากรูปพานที่ประดับด้วยด้วยไม้สดสวยงามแล้ว ไอ้คนถือพานภาคมันยังสะกิดต่อมความจำเข้าอย่างจังน่ะสิ ตอนนี้ปอกำลังว้าวุ่นอย่างหนัก จนสุดท้ายต้องกดโทรกลับไปหาคนที่ส่งภาพมา รอไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ

   “เฮ้ย วิดีโอคอลไมวะ”

   คนที่ปรากฏบนจอกำลังโวยวาย ปอจึงรู้ว่าตัวเองกดผิดโหมด แต่ภาพเด็กแว่นหน้าขาวๆ หัวยุ่งๆ ในเสื้อนอนเก่าๆ ที่นอนคว่ำพร้อมหนังสือการ์ตูนในมือ ทำให้คนโทรผิดไม่คิดจะวางสาย ตารีเล็กจ้องไปยังใบหน้าคุ้นตาในมือถือ ก่อนเสียงทุ้มจะหัวเราะชอบใจกับสภาพของเพื่อน จนคนในจอขมวดคิ้วแล้วทำเสียงดุ

   “ขำเชี่ยไรของมึงเนี่ย กูวางเลยดีมะ”

   พอปากเล็กๆ ขยับบ่น ปอเลยต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นขำไว้แทน “อย่าเพิ่งเว้ยๆ กูมีเรื่องว่ะ”

   คนอีกฝั่งวางการ์ตูนในมือลง ก่อนจะคว้าหมอนมากอดแล้วเกยคางลงกับหมอนนั้น เป็นสัญญาณว่ากำลังเตรียมตัวฟัง ‘เรื่อง’ จากคนที่วิดีโอคอลมาหา

   “เรื่องไร”

   “คือ...อ่า...”

   ปรนัยไม่รู้ว่าทำไมสติสตังตัวเองถึงไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ยิ่งเห็นใบหน้าเสี้ยวหนึ่งที่โผล่พ้นหมอนออกมาของภาคภูมิ เขาก็ยิ่งพูดอะไรไม่ถูก

   “ว่างายยย”

   “คืองี้” ตาคมกะพริบปริบๆ ราวกับเรียกสติของตัวเอง “ตอนมาถึงหอ กูเห็นคนโดนซ้อมว่ะ แล้วเหมือนคนคนนั้นจะเป็นเด็กผู้ชายในรูปที่มึงส่งมา”

   “ไอ้กวาอ่านะ”

   “ไม่รู้ชื่อไรเหมือนกัน” ...รู้จักแต่น้องผู้หญิง แฮ่

   “ถ้าผู้ชายที่ถือพานอะ มันชื่อกวา – แตงกวา – เหมือนจะอยู่หอเดียวกับมึงด้วย” ภูมิมองใบหน้าคมที่ดูจะเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “แล้วที่มึงเจอ เค้าเป็นอะไรมากมั้ยล่ะ”

   “ก็ล้มใส่จักรยานทั้งแถบอะ น่าจะเจ็บอยู่” เสียงทุ้มตอบ “แต่ที่ห่วงคือกลัวมันจะโดนซ้ำอ่าดิ”

    “เฮ้ย ใครทำมันวะ” คราวนี้คนอีกฝั่งเริ่มตื่นตระหนกบ้าง ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ ท่าทีเหมือนพร้อมรบ

   ปอมองท่าทางจริงจังนั้นแล้วก็แอบขำ “ไม่รู้ว่ะ มันมืดๆ แต่ดูมีอายุแล้วนะ ไม่ใช่นักศึกษาแน่นอน”

   “กูว่า... มึงควรจะบอกอาจารย์นะ”

   “อาจารย์คนไหนวะ”

   “ก็อาจารย์ที่ปรึกษาไอ้กวาไง ...อาจารย์กฤต”

   “เออ ตอนจะไปพาหุรัด เราก็เจอมันพร้อมจารย์กฤตนี่หว่า” ไอ้เด็กที่เดินตามอาจารย์วันนั้นแน่ๆ ถึงว่าหน้าคุ้นจังวะ

   “ใช่ๆ มึงบอกอาจารย์กฤตนั่นแหละ เค้าคงติดต่อมันได้ ถ้าใช่ไอ้กวาจริง”

   “โอเค” รับปากเพื่อน เพราะคิดว่าคงไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้ว “แล้วนี่มึงจะนอนยัง”

   “ยังอะ อ่านการ์ตูนอีกแป๊บ” พูดจบก็นอนคว่ำลงเหมือนเดิม ก่อนจะหยิบหนังสือที่วางไว้ขึ้นมาอ่านต่อ

   “เหรอๆ งั้นอ่านไปเหอะ”

   “เออๆ กูวางแล้วนะ”

   พอเห็นแขนขาวๆ เอื้อมผ่านหน้ากล้อง คนโทรหาก็รีบร้องห้ามทันที “วางไม มึงก็อ่านไปดิ”

   “อะไรของมึงเนี่ย กูจะอ่านการ์ตูนนนน” ภาคภูมิโวยวาย นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว การ์ตูนที่ยืมมายังเหลืออีกตั้งหลายเล่ม
 
   “ใครห้ามมึงล่ะ” อีกคนตอบน้ำเสียงราบเรียบ “แค่ไม่ต้องวางสายเอง”

   มือขาวคว่ำหนังสือลงกับเตียง ก่อนจะขยับแว่นแล้วจ้องหน้าคนในจอ “มึงไหวปะเนี่ย”

   “อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย กูเจอเรื่องสะเทือนขวัญมานะโว้ย”

   “ไร้สาระว่ะ”

   “น่า...”

   หนุ่มแว่นถอนหายใจ “เออๆ”

   สุดท้ายก็ต้องยอมในเหตุผลที่ไม่มีเหตุผลของเพื่อนสนิททุกที



   วันต่อมาสองเพื่อนซี้นัดเจอกันที่ร้านพรินต์งานแถวๆ คณะเภสัช เพื่อรับบทสวดมนต์ที่สั่งพิมพ์ไว้ 500 ชุด

   “การ์ตูนสนุกมั้ย” เจอหน้าเพื่อนสนิทปุ๊บ ปรนัยก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยียวนทันที ก็ไอ้คนที่ดื้อดึงไม่ยอมนอน ร้องจะอ่านหนังสือการ์ตูน มันดันหลับไปตั้งแต่ยังไม่ทันถึงครึ่งเล่มเลยน่ะสิ

   “กวนตีนละมึง” คนถูกแซวด่ากลับเข้าให้ หลังจากไอ้ห่าปอยืนยันไม่ให้ปิดวิดีโอคอล เขาเลยไม่สนใจมันอีก และกลับมาตั้งใจอ่านการ์ตูนที่เช่ามาแทน แต่ไม่รู้ทำไมอ่านๆ ไปมันถึงง่วงจนเผลอหลับไปได้ ที่ซวยกว่านั้นคือลืมชาร์จโทรศัพท์อีกต่างหาก

   “แล้วมึงกดวางให้กูปะเนี่ย ไอโฟนกูแบตแดงเถือกเลยสัด” เจ้าของโทรศัพท์ที่กำลังไฟเหลือร่อแร่เอ่ยถาม ก่อนคุยก็ว่าชาร์จเต็มนะ ทำไมวิดีโอคอลมันกินแบตจังวะ

   “หาวววววว... วางดิวะ” ร่างสูงบิดขี้เกียจก่อนจะหาวโชว์อีกรอบ หาววววววว

   “แล้วคุยกับจารย์กฤตยัง”

   “คุยละ เดี๋ยวอาจารย์คงเรียกไอ้กวาคุยแหละ”

   ถึงคิวรับงานพอดี ภาคภูมิจึงเดินไปจ่ายเงินก่อนจะส่งถุงใส่เอกสารให้อีกคนถือ น้ำหนักประมาณกระดาษ 1 รีมนั้นไม่ได้มากมายนัก เมื่อเจ้าของผลงานยื่นมือจะมาช่วย ปรนัยจึงปฏิเสธให้อีกฝ่ายเดินสบายๆ ไปแทน

   “ดีมากเจ้าปอ ถือไปให้ถึงภาคเลยนะ” ร่างโปร่งในชุดนักศึกษาเดินตัวปลิวนำหน้า วันนี้ช่วงบ่ายเขามีควิซวิชาโทเลยต้องแต่งตัวเรียบร้อยหน่อย ในขณะที่ไอ้ปอใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สีซีด ลุคที่ต่างกันทำให้ดูเผินๆ มันเหมือนกับ...

   “เชี่ย ยังกะคุณชายกับเด็กรับใช้ที่บ้าน” คนแบกของนิยามสภาพตัวเองเสร็จสรรพ คุณชายข้างหน้าหัวเราะเสียงดัง แต่ก็ยอมชะลอฝีเท้าเพื่อให้คนข้างหลังเดินไปพร้อมกัน

   ภาควิชาปรัชญาช่วงเช้าเงียบสงบ หลังทักทายพ่อบ้านเรียบร้อย สองเพื่อนซี้ก็เดินเอาเอกสารไปไว้ในห้องประชุม ภาคภูมิเขียนโน้ตแผ่นใหญ่วางทับ ใจความบอกให้น้องปีหนึ่งช่วยตัดครึ่งแนวนอน แล้วพับทบตามรอยประ ในขณะที่ปรนัยทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะประชุมกลางห้อง

   “อ้าว นอนจริงปะเนี่ย”

   “อือ ขอสิบนาทีดิ ง่วงว่ะ” เสียงอู้อี้ตอบแบบไม่เงยหน้า

   “เออๆ นอนดึกเหรอ” ภูมิดูนาฬิกาแล้วเห็นว่ายังมีเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง เลยปล่อยให้เพื่อนนอนไปตามต้องการ

   “อือ ใครจะหลับสบายเหมือนมึงล่ะ แว่นเวิ่นก็ไม่ถอด”

   “ฮะ??” มือเรียวแตะเบาๆ ตรงข้างสันจมูก รอยกดของแว่นยังเหลือทิ้งไว้จางๆ “แล้วก็ไม่ปลุกกู”

   “ไม่ปลุกเชี่ยไร” คนนอนกับโต๊ะเถียงเสียงงัวเงีย “เรียกทุกสิบนาทียันตีหนึ่งมึงยังไม่ตื่นเลย”

   “ตีหนึ่ง!!” พอรู้ความจริง คนขี้เซาถึงกับหน้าตาตื่น “กูว่ากูหลับไปตอนเที่ยงคืนกว่านะ”

   ปรนัยไม่ตอบ ปล่อยให้อีกคนงงงวยต่อไป ใครจะไปบอกว่านั่งมองหน้าแม่งจนดึกล่ะวะ โรคจิตฉิบหาย...



TBC.


มีคนโรคจิตอยู่แถวนี้จ้าาา
ตอนนี้เริ่มเข้าใกล้จิตใจคุณปรนัยมากขึ้นละนะ
สรุปอ้อยทั้งคู่ เอ้า! ป้ายไฟมา!

ปล.กำลังจะบ่นว่าสั้นใช่มั้ย?
อย่าเพิ่งงงงงง เรามีตอนที่ 6.2 แถมให้อีก
แต่รอแพพนะ...มันอยู่ในคอมออฟฟิศ T^T
คือส่งไฟล์ผิดให้ตัวเอง เลยมาแค่ตอนที่ 6 ค่ะ ฮือออออ พรุ่งนี้อัพให้น้า

ไปกรีดร้องที่ไหน ติด #SweetDilemmaFiction ให้ด้วยค่า
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-02-2017 00:32:49
แหม่ น่ารักน่าลุ้นจริง ๆ คู่นี้
ว่าแต่น้องกวานี่จะยังไงกะใคร
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 08-02-2017 02:16:23
น้องพีพีโสคิ้ววว ชอบความเรื่อยๆมาเรียงๆอย่างนี้มากเลยค่ะะ   :man1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-02-2017 06:02:56
ชอบกันและ แต่จะรู้กันเมื่อไรเนี่ย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 08-02-2017 07:52:47
จริงๆ ก็ต้องขอบใจท่านขุนด้วยนะ มากระตุ้นต่อมหวงของพี่ปอเขาจนได้เรื่อง แต่ว่าไปท่านขุนก็น่าสงสารเพราะ "รักคนที่รักไม่ได้" นี่เนอะ

น้องพีพีมีความน่ารัก ขวัญใจแม่ยก  :mew1: ถ้าปอจะสับสนใจก็ไม่น่าแปลก แต่อย่ามาทำเล่นๆ กะความรู้สึกของพีพีนะ แม่ยกขอ

รออ่านตอน .2 ต่อนะคะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: แมวมุ้งมิ้ง ที่ 08-02-2017 08:31:33
สัมผัสได้ถึงความน่ารักของปอ แง~เอ็นดูน้องพีพีเข้าแล้ว พีพีก็มิ้งขึ้นทุกตอนเลยอ่า น่ารักดีต่อใจจังเลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-02-2017 08:50:52
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 08-02-2017 09:21:31
แหนะ เพื่อนกันเค้าทำงี้อ้อ

ไม่เห็นเคยทำเลยยย

หึ่ยย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 08-02-2017 09:34:44
มารายงานตัวแล้ววววววววว

ทำไมเวลาพีพีอยู่กับนายปอถึงได้น่ารักแบบนี้อะ  :m3:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-02-2017 10:34:45
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 08-02-2017 11:27:51
เพื่อนกันเค้าไม่นั่งมองเพื่อนหลับผ่านคอลค่อนคืนอย่างนี้นะคะ ปอปี้

รอ .2 ค่ะ ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 08-02-2017 11:31:09
มีที่ไหนนั่งมองหน้าเค้าจนนอนดึก
เพื่อนเค้าไม่ทำกันนะ อิอิ

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 08-02-2017 16:20:09
หึหึ หลงแล้วก็บอก  :hao6:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-02-2017 17:26:32
ปอหึงพีพี แต่ไม่รู้ตัวสินะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย (Update! 07/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 08-02-2017 22:58:48
#06.2 แตงกวาครับ...


อาจารย์สุกฤตขวัญใจนักศึกษาเป็นอาจารย์หนุ่มไฟแรงอายุเพียง 31 ปี แม้ประสบการณ์สอนจะยังไม่มาก แต่เด็กๆ หลายคนก็ชอบเรียนกับเขา เพราะจะได้ร่วมอภิปรายหัวข้อสนุกๆ ในคลาส และตัวอาจารย์เองก็สามารถถ่ายทอดเนื้อหาหนักๆ ของวิชาปรัชญาได้ดีด้วย ทุกรายวิชาของอาจารย์กฤตจึงมีนักศึกษาแย่งลงกันทุกเทอม เขาทุ่มเทกับการสอน และรู้สึกว่าความงอกงามทางการศึกษาของเด็กทุกคนคือผลตอบแทนที่คุ้มค่า

ตลอด 3 ปีมานี้ เขาไม่เคยมีปัญหากับนักศึกษาคนไหน จนมาถึงเด็กในที่ปรึกษาของตัวเองที่ชื่อ ‘แตงกวา’

ปีนี้มีนักศึกษาสอบเข้าโควตาปรัชญาค่อนข้างเยอะ อาจารย์กฤตจึงพยายามทำความรู้จักกับนักศึกษาของตัวเองให้มากที่สุด ในหนึ่งอาทิตย์เขาจะนัดพบเด็กทุกคน และคอยสอบถามว่าใครมีปัญหาอะไรบ้างมั้ย จนเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอให้ถึงเวลานัด เด็กหลายคนก็เข้ามาขอคำปรึกษาจากอาจารย์กฤตกันแทบทุกเรื่อง กระทั่งเรื่องอกหักรักคุดยังมี ...แต่ไม่ใช่กับแตงกวา

ตอนเปิดเทอมอาทิตย์แรก กองกิจการนักศึกษามีหนังสือแจ้งมาที่ภาควิชาว่า นักศึกษาที่ชื่อ ธันธพัฒน์ ซึ่งก็คือแตงกวา ยังไม่จ่ายค่าลงทะเบียน วันนั้นเป็นวันแรกที่เขาเรียกเด็กในปกครองมาคุยแบบตัวต่อตัว กวาเป็นคนไม่ค่อยพูด แถมถ้าเขาพูดเสียงดังเข้าหน่อยก็กลัวจนตัวสั่น ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบถึงจะบอกว่ามีปัญหาทางบ้าน จบท้ายที่อาจารย์กฤตลากกวาไปจ่ายเงินที่ธนาคารโดยใช้เงินของตัวเอง

จากนั้นแตงกวาก็หลบหน้าอาจารย์ที่ปรึกษา เจอกันจังๆ ถึงจะยกมือไหว้เสียทีหนึ่ง อาจารย์คนอื่นเคยพูดเล่นๆ ว่าสงสัยกวากลัวอาจารย์ทวงหนี้ แต่เขาไม่เคยทวงเลย และแตงกวาก็ไม่ได้บอกด้วยว่าจะคืนตอนไหนและยังไง แต่แล้วสองวันก่อนเด็กคนนี้ก็เข้ามาหาพร้อมเงิน 6,000 บาทที่เคยยืมไป

‘เอามาจากไหน’ อาจารย์กฤตถามออกไปในวันนั้น

‘ทำงานพิเศษครับ’ ร่างเล็กๆ นั่นก้มหน้าก้มตาตอบ และทำท่าเหมือนอยากจะออกจากห้องของเขาเต็มทน

‘งานอะไร’

‘เฝ้าร้านคอมครับ’

จริงๆ เขาพอรู้มาบ้าง เพราะในวันที่เลือกตัวแทนถือพาน แตงกวาบอกกับเพื่อนว่าไม่สะดวกนัดซ้อมช่วงเย็นเพราะต้องทำงานพิเศษ

‘จริงเหรอ ทำที่ไหน แล้วทำไมถึงได้เงินเยอะ’

‘ร้าน...ร้านหน้าหอครับ แล้วก็รับพิมพ์งานด้วย รวมกับเงินเก็บที่มีด้วยครับ’

คนอายุมากกว่าถอนหายใจ ดวงตาที่ดูหมองเศร้าต่างจากเด็กในวัยเดียวกันทำให้เขารู้สึกสงสาร ใจเขาไม่อยากรับเงินคืน เพราะดูก็รู้ว่าหาเงินมาได้ยากลำบาก แต่ก็เพราะว่าหาเงินมายาก แตงกวาก็คงอยากคืนเขาให้มันจบๆ ไปเหมือนกัน

‘โอเค ขอบคุณมากนะ’

‘ผม...ผม ต้องขอบคุณอาจารย์ต่างหากครับ ขอบคุณนะครับ’ เป็นครั้งแรกที่มือเล็กยกขึ้นไหว้เขาอย่างอ่อนน้อมและจริงใจ

แต่อาจารย์กฤตไม่คิดว่าเขาจะต้องเรียกแตงกวามาพบส่วนตัวอีกครั้งในวันนี้


ร่างเล็กทรุดนั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของอาจารย์ที่ปรึกษา ใบหน้าที่เคยใสสะอาดกลับมีรอยช้ำขึ้นบริเวณแก้ม  อาจารย์กฤตถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยื่นยาทาแก้ฟกช้ำให้ลูกศิษย์ตัวเอง มือเล็กยกขึ้นไหว้ แต่ยังไม่กล้าสบตาผู้ใหญ่เช่นเคย

“เจ็บตรงไหนอีก” น้ำเสียงนุ่มที่เอ่ยถามทำให้กวาอึกอัก

“ไม่...ไม่มีแล้วครับ”

คราวนี้ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วมายืนอยู่ข้างๆ เด็กในปกครอง ฝ่ามืออุ่นถลกแขนเสื้อกันหนาวที่คลุมแขนเล็กบางนั่นออก จึงได้เห็นรอยแผลบริเวณข้อศอกที่ถูกแปะพลาสเตอร์เอาไว้ลวกๆ

“ตรงไหนอีก!” เผลอตะคอกใส่จนคนเจ็บสะดุ้ง จากที่เคยปิดบังจึงเปลี่ยนเป็นรีบตอบแต่โดยดี

“หัวเข่า ละ..แล้วก็...ข้อเท้าครับ”

แล้วอาจารย์ที่แตงกวาเคยเอาแต่หลบหน้าก็ทำสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่คาดคิด เมื่อคนที่เคยมีแต่คนยกมือไหว้ทรุดตัวลงกับพื้น แล้วค่อยๆ หมุนข้อเท้าของเขาออกมาดู ข้อเท้าที่บวมเป่งทำให้ผู้เป็นอาจารย์ต้องกัดฟันกรอด

“ใครทำกวา”

“อาจารย์ครับ ผมไม่เป็นไร” คนเจ็บร้องบอก น้ำเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้

“ผมไม่ได้ถามว่ากวาเป็นยังไง ผมถามว่าใครทำ”

“ฮือ...” คราวนี้น้ำตาที่พยายามเก็บกักไว้พังทลายลงหมดสิ้น ร่างเล็กๆ สะอื้นไห้ตัวโยน จนคนที่เคยดุต้องรีบปรับโหมดอารมณ์ของตัวเองทันควัน

“กวา...กวา แตงกวาครับ...” มือแกร่งแตะเบาๆ ที่ไหล่เล็กเพื่อปลอบคนกำลังร้องไห้ “โอเค...โอเค ไม่ต้องตอบแล้ว ผมไม่ได้จะว่าอะไร แค่กลัวว่าเค้าจะกลับมาทำร้ายกวาอีก...”

นักศึกษาในปกครองพยายามกลั้นเสียงสะอื้น ยกมือปาดน้ำตาตัวเองแล้วตอบอาจารย์ที่ปรึกษา “พ่อ...ฮึก...พ่อ ไม่มาแล้ว...ครับ”

“พ่อ?” อาจารย์กฤตทิ้งตัวนั่งกับขอบโต๊ะ คำตอบจากนักศึกษาเกินคาดคิดไปมาก

“ครับ...”

“พ่อแท้ๆ เหรอ” ถามออกไปแล้วก็ต้องรู้สึกผิดกับท่าทางน่าสงสารของอีกคน “ขอโทษที..”

“พ่อแท้ๆ ครับ...”

“แล้วเค้าต้องการอะไร” ตอนนี้แตงกวาหยุดร้องไห้แล้ว และอาจารย์กฤตคิดว่าต้องตะล่อมให้คนถูกทำร้ายร่างกายเล่าออกมาให้หมด

“...เงินครับ” ตอบจบแล้วก็เอาแต่เงียบ มือเล็กบีบเข้าหากันแน่น ไหล่ซูบผอมลู่ลงอย่างคนหมดแรง ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าที่ก้มลงไหวระริก ในขณะที่ขาสองข้างเริ่มสั่น ผู้เป็นอาจารย์สังเกตอาการลูกศิษย์อย่างหวั่นวิตก

“เล่าเรื่องที่บ้านกวาให้ผมฟังได้มั้ย”

“...ครับ” น้ำเสียงอบอุ่นที่ได้ยินทำให้เด็กคนหนึ่งที่ชีวิตกำลังไร้ทางออกยอมเปิดเผยเรื่องราวที่ไม่เคยบอกใคร


แม่คือใคร แตงกวาก็จำไม่ได้เหมือนกัน เกิดมาก็รู้จักแต่พ่อกับย่า สิ่งเดียวที่ผูกโยงเขากับแม่คือชื่อเล่นว่า “แตงกวา”
‘ผักที่แม่มึงเกลียดที่สุดไง...แตงกวาน่ะ’ พ่อชอบบอกเขาแบบนั้น

เขาถูกเลี้ยงดูมาแบบลุ่มๆ ดอนๆ อาศัยว่าเป็นเด็กตัวเล็กๆ หน้าตาจ๋องๆ คนแถวบ้านเลยเอ็นดู คอยให้ข้าวให้น้ำกินจนโต พ่อของเขาไม่ได้ทำงานอะไรเป็นหลักเป็นแหล่ง ใช้แรงงานแบกหามวันต่อวัน ได้เงินมาก็ลงกับขวดเหล้าบ้าง ตีไก่ชนบ้าง ตามประสาครอบครัวชนชั้นล่างที่มีลูกตอนไม่พร้อม กวาจึงไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีนัก ตอนป.5 เขาไปขโมยกล่องดินสอของเพื่อนในห้อง เพราะคิดแค่ว่าอยากจะขอยืมใช้ ครูประจำชั้นแจ้งพ่อของเขาถึงพฤติกรรมนี้ และเย็นวันนั้นก็กลายเป็นวันที่เขาไม่เคยลืม

ไม้แขวนเสื้ออันเก่าฟาดลงบนขาของเขาแบบไม่ยั้ง เด็กชายแตงกวาร้องไห้จนตัวงอ เจ็บแสนเจ็บแต่ความทรมานก็ไม่สิ้นสุดเสียที จนร่างน้อยๆ ล้มกองกับพื้น ผู้เป็นพ่อจึงหยุดลงโทษ และเหมือนว่านั่นคือเหตุการณ์ที่ไปจุดความรื่นรมย์ในใจของพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ไม่ว่าจะทำผิดเล็กน้อยแค่ไหน พ่อเขาก็พร้อมจะตีด้วยไม้แขวนเสื้อ ในขณะที่เขาเจ็บแสบทุรนทุราย พ่อของเขากลับดูสงบและมีความสุขขึ้นทุกวัน แตงกวาเคยร้องให้คนแถวบ้านช่วย แต่ชุมชนสลัมแบบนั้น แค่ดูแลปากท้องของตัวเองแต่ละวันก็หนักหนาเกินพอแล้ว ตอนย่าอยู่เขายังพอมีคนปกป้องบ้าง แต่พอย่าตาย บ้านก็กลายเป็นนรกสมบูรณ์แบบ

ยิ่งโตพ่อก็ยิ่งดุด่าเขาด้วยเสียงที่ดังขึ้น และมันดังมากจนบีบสมองให้เต้นตุบๆ ทุกครั้งที่พ่อตะโกนใส่ แตงกวาจะมือไม้เย็นเฉียบ ก่อนร่างกายจะสั่นงกๆ อย่างไม่อาจควบคุม แรกๆ ครูที่โรงเรียนก็พยายามช่วยเหลือ แต่สุดท้ายในชุมชนบ้านนอกแบบนั้น ก็ไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัว

พอขึ้นม.ปลาย พ่อก็เลิกตีแตงกวา แต่เปลี่ยนเป็นเตะบ้าง ต่อยบ้าง ใครที่รู้จักเขาก็ได้แต่พูดอย่างเวทนาว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเขาเอง เป็นบุญกรรมที่เขาต้องชดใช้ให้หมด ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะหมดในชาติไหน ได้แต่ภาวนาให้มันจบสิ้นในชาตินี้

แต่ใช่ว่าพ่อของเขาจะเลวร้ายไปเสียหมด ข้อดีอย่างเดียวของพ่อคือ พ่อไม่เคยขัดขวางเขาเรื่องเรียน พ่อยอมให้เขากลับบ้านดึกได้ ถ้ารู้ว่าต้องไปทำรายงานกับเพื่อน ยอมให้ค้างที่อื่นได้ ถ้ามันเป็นกิจกรรมของโรงเรียน ช่วงก่อนสอบเข้ามหา’ลัยเขาจึงมีความสุขมาก เพราะเขาแทบไม่ได้กลับไปนอนบ้านเลยตลอดเทอม

ในวันที่กวาสอบติดโควต้าคณะอักษรศาสตร์ เอกปรัชญา เขาบอกพ่อเป็นคนแรก แววตาตื่นเต้นดีใจของพ่อสะท้อนออกมาจนเขาน้ำตาซึม แม้พ่อจะบอกว่า

‘ปรัชญานี่วิชาห่าไรวะ มึงจะเรียนรู้เรื่องมั้ยไอ้กวา’

แต่พ่อก็พาเขามาสัมภาษณ์ วันมอบตัวก็มาส่งเขาอีก ค่าใช้จ่ายต่างๆ พ่อก็ยอมจ่ายให้ ติดแค่ค่าลงทะเบียนที่มันไม่พอ พ่อเลยจะจ่ายให้ทีหลัง แต่พ่อก็ไม่จ่ายจนมันขึ้นเตือนในระบบนักศึกษาของเขา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่อาจารย์กฤตเรียกเขามาพบ และวันต่อมาก็ออกเงินพาเขาไปจ่ายค่าลงทะเบียน

ตั้งแต่วันที่มีหนี้ก้อนแรกในชีวิต แตงกวาก็พยายามหางานทำเท่าที่จะไหว โชคดีที่ร้านคอมแถวๆ หอกำลังหาคนดูแลร้านช่วงเย็นถึงมืด แม้เงินค่าจ้างจะไม่มาก แต่ก็มีงานพิมพ์เอกสารมาให้ทำทุกวัน จนเขาเก็บเงินครบ 6,000 บาทได้ตามที่ตั้งใจ

ทว่าช่วงเวลาที่เหมือนจะดีที่สุด อิสระที่สุดกลับไม่เป็นอย่างนั้น อยู่ๆ พ่อก็มาดักรอเขาที่หน้าหอพักเมื่อคืน กวาพยายามให้พ่อไปนั่งคุยที่ม้านั่งด้านในตึก แต่พ่อกลับลากเขามาคุยแถวลานจอดรถด้านหลัง ใบหน้าซูบซีดกับขอบตาลึกโหลที่จ้องมองมาทำให้เขากลัวพ่อจับใจ

‘มึงทำงานไปด้วยใช่มั้ย!’ เสียงแหบพร่าตวาดลั่น ทีแรกกวาจะโกหกเพราะกลัวว่าพ่อจะไม่พอใจ ที่ผ่านมาพ่อมักจะบอกให้เขาตั้งใจเรียนอย่างเดียว

‘กะ...กวา..’

แต่แล้วคำพูดต่อมาของพ่อกลับทำให้เขาตกใจกว่าเดิม ‘มึงมีเงินมั้ย...กูขอหน่อย’

‘ไม่มี...ฮึก...ไม่มี’

เพียงเท่านั้นพ่อก็ชกเข้าที่ใบหน้าของเขาจนเขาเซล้มอย่างแรง

‘ไม่มีมึงก็ต้องไปหามา! เข้าใจมั้ย! ไปหามาให้กู’ ชั่วเวลานาทีนั้น เสียงของพ่อสร้างความร้าวลึกในหัวสมองไปจนถึงปลายเท้า ความกลัวที่หายไปนานแล่นเข้ามาสู่เขาอีกครั้ง ตัวเขาสั่นสะท้าน แต่ก็ยังยกมือไหว้ขอร้องให้คนเป็นพ่อหยุดทำร้ายตัวเอง

‘พ่อ...พ่อ...กวาขอโทษ...พ่อ’

‘มีเท่าไรก็เอามา เร็ว!’ คนที่ยืนคร่อมเขาอยู่กระชากคอเสื้อนักศึกษาอย่างแรง

สุดท้ายเขาต้องส่งกระเป๋าสตางค์ให้ ก่อนพ่อจะหยิบแบงค์ที่มีไปหมด

‘ฮือ....’

ในความมืด เขาเห็นแววตาของพ่ออ่อนแสงลง ก่อนความปวดร้าวและความรู้สึกผิดจะสะท้อนออกมา

‘กู...ขอแค่นี้ จะไม่มายุ่งกับมึงอีก’


“กวา...” อาจารย์กฤตโอบไหล่บางที่สั่นสะท้านเข้ามากอด ลืมเรื่องความเหมาะสมของสถานะอาจารย์กับลูกศิษย์ไปหมดสิ้น คนในอ้อมกอดเขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่จิตใจแหลกสลายจากการถูกคนที่รักทำร้ายร่างกายมายาวนาน

ฝ่ามืออุ่นข้างหนึ่งพยายามคลายมือเล็กที่บีบเข้าหากันแน่นออก ส่วนอีกข้างก็ลูบศีรษะของแตงกวาอย่างปลอบโยน ความเปียกชื้นตรงอกเสื้อจากใบหน้าที่ซุกอยู่ทำเอาผู้เป็นอาจารย์แทบจะหัวใจสลายตาม

“ไม่เป็นไรนะ...อยู่ตรงนี้กวาจะปลอดภัย”

หัวทุยพยักหน้ารัวๆ คล้ายย้ำกับตัวเองถึงประโยคนั้น แตงกวาผู้ไม่เคยสัมผัสกับความอบอุ่นและปลอดภัย กำลังซึมซับทั้งสองอย่างนี้จากร่างที่โอบกอดตัวเองไว้ให้มากที่สุด

หลังเสียงสะอื้นเงียบลง อาจารย์กฤตก็ปล่อยร่างเล็กให้นั่งบนเก้าอี้ดีๆ เมื่อเห็นว่าสติสตังของเด็กน้อยกลับมาแล้ว เขาจึงเริ่มพูดสิ่งที่ครุ่นคิดมาตลอดที่ฟังเรื่องเล่าของแตงกวา

“แล้วตอนนี้กวามีเงินพอใช้หรือเปล่า”

อาการนิ่งเงียบเป็นคำตอบได้ไม่ยาก อาจารย์หนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ตัวเองออกมา ก่อนจะยื่นแบงค์พันให้คนตรงหน้า

“ผมไม่...” เสียงสั่นๆ เอ่ยปฏิเสธ ทว่าคนให้เงินพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ค่าจ้าง” อาจารย์กฤตอธิบาย “พรุ่งนี้เที่ยงพอกินข้าวเสร็จแล้ว กวามาช่วยเรียงชีทให้ผมหน่อย ปกติผมจ้างเจ้าหน้าที่ชั่วโมงละ 45 บาท ต่อไปนี้กวาก็มาทำให้ผมแล้วกัน ถ้าเลิกเฝ้าร้านคอมได้ก็เลิกเถอะ กลับห้องดึกๆ มันอันตราย”

ดวงตาโศกมองเงินที่ยื่นมาอย่างหนักใจ เงินที่พ่อเอาไปก็คือเงินทั้งหมดที่มีอยู่ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตในวันต่อๆ ไปยังไงเหมือนกัน ถ้าอาจารย์กฤตไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย

ร่างเล็กสูดหายใจลึก ก่อนจะยกมือไหว้คนที่หยิบยื่นน้ำใจให้ในวันที่เขาไม่เหลือใคร “ขอบคุณครับ”

ผู้เป็นอาจารย์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกเรื่อง

“เรื่องหอพักน่ะ ย้ายไปอยู่หอในดีกว่ามั้ย ผมจะลองถามห้องว่างดู ยังไงก็มีอาจารย์คอยดูแล เปิดปิดเป็นเวลา ปลอดภัยกว่าหอนอกนะ”

แตงกวาก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน หอพักที่อาศัยอยู่ตอนนี้เขาอยู่รวมกับเพื่อนจากโรงเรียนเก่าถึงสี่คน ตอนแรกคิดแค่ว่าจะประหยัดค่าใช้จ่าย แต่อยู่ได้เพียงเดือนเดียวก็เห็นแววปัญหาระหว่างรูมเมทขึ้นเรื่อยๆ

“ได้ครับ เดี๋ยวผมติดต่อเองก็ได้ครับ”

ตอนแรกอาจารย์กฤตจะขัด แต่คิดว่าแตงกวาคงอยากทำสักเรื่องด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาเขา และการติดต่อหอพักก็ไม่ได้ยากอะไร

“เอางั้นก็ได้ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกผมแล้วกัน”

ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มอบอุ่นจนคนเด็กกว่าต้องเบือนหน้าหนี รอยยิ้มนั้นไม่ได้สั่นสะเทือนประสาทเหมือนเสียงฟ้าผ่าของพ่อ แต่กลับชุ่มชื่นดั่งหยาดฝนที่พรมลงบนพื้นดินแห้งแล้ง

...เย็นฉ่ำ ทว่าอบอุ่นหัวใจ


TBC.




6.2 มาตามสัญญาค่ะ ตอนนี้เป็นพาร์ทของน้องกวากับอาจารย์กฤต
คู่นี้จะมาเป็นพาร์ทพิเศษเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้นะคะ พยายามไม่ไปกวนเนื้อเรื่องหลัก
เนื้อหาอาจจะฮาร์ดคอร์หน่อย เปิดมาแตงกวาก็ระทมเลย
เดี๋ยวคงได้ลุ้นกันต่อไปว่า Dilemma ของความเป็นอาจารย์กับศิษย์จะไปถึงจุดไหน
จังหวะเหมาะๆ จะได้พบกับสองคนนี้อีกแน่นอนค่า

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 08-02-2017 23:42:01
พิมพ์ไม่ถูกเลยว่าจะเริ่มจากตรงไหนดีค่ะ

ชอบที่คุณlykarแสดงความรู้สึกของพ่อแตงกวาได้อย่างไม่สุดโต่งนะคะ เรารู้สึกอารมณ์ของมนุษย์จริงๆในงาน
ดูเป็นคู่(?)ที่มีความเป็น อืม จะว่ายังไงดี เหมือนกับทุกอย่างดูเหมาะเจาะกันไปหมดล่ะมั้งคะ กับคนๆนึงที่กำลังจะแตกสลาย โห จริงๆถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้แต่เด็กอย่างกวานี่ไม่เปิดเปิงไปไหนต่อไหนนี่สุดยอดมากๆนะคะ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่มีทางรู้จิตใจของเขาได้เลย เหมือนความเจ็บปวดก็จะตอกเอาความรู้สึกของเค้าเข้าไปเรื่อยๆ
ชอบจังค่ะ กลายเป็นว่าเราถือหางคู่นี้ไปแล้วเฉยเลย แฮ่
อาจจะไม่ค่อยเม้นท์เลย แต่อยากบอกว่าเราเป็นแฟนงานคุณlykarอย่างเหนียวแน่นนะคะตามเช็คเฟสบุ๊คบ่อยมาก555 ไม่ค่อยเม้นท์นี่บางทีเราคิดไม่ออกจริงๆว่าควรจะพูดอะไรดีค่ะ   :z3:
 
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-02-2017 23:48:52
โถ น้องกวาของป้า อยากโอนค่าเทอมไปให้จัง
นั่นสิ ๆ อยากรู้ความสัมพันธ์อาจารย์กับลูกศิษย์จะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-02-2017 00:02:58
ไงล่ะ ดูท่าอาจารย์จะเจอ Dilemma ของตัวเอง (ในอนาคต) เสียแล้ว
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-02-2017 04:05:13
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-02-2017 09:17:51
ไงล่ะ ดูท่าอาจารย์จะเจอ Dilemma ของตัวเอง (ในอนาคต) เสียแล้ว
ก็ว่างั้นนะ
ชีวิตแตงกวา น่าสงสาร
พ่อ ดูแปลกๆ ทำร้ายลูกมาตลอด
โกรธแค้นแม่ มาลงลูก หรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 09-02-2017 09:27:19
โธ่น้องแตงกว่าของพี่

มาอยู่กับพี่ไหม ค่าเทมอค่ากินอยู่ออกให้หมดเลย

นี่สายเปย์เลยนะ

ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ช่วยทำงานบ้าน เป็นพ่อบ้านพ่อเรือนพอ แล้วตั้งใจเรียนไป :hao7:


อ้อนพี่เล็กๆน้อยพอเป็นกระไสพอและ



55555


รู้สึกตัวเองน่ากลัวว  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-02-2017 10:48:08
แตงกวาน่าสงสาร :hao5: :hao5: :hao5: พ่อนี่โรคจิตแบบทั้งรักทั้งเกลียดลูกหรือเปล่า

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 09-02-2017 17:43:23
สงสารแตงกวาาาา ฮือๆๆ ขอให้น้องมีความสุขซะทีนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 10-02-2017 09:04:11


อาจเป็นเพราะเรื่องของแตงกวาหน่วงมากกว่า เลยทำให้เราเผลอรู้สึกไปว่าคู่ปอพีพีนั้นมุ้งมิ้ง...
แต่พอมาคิด ๆ ดูจริง ๆ แล้ว บรรยากาศในเรื่องนี่มันหวานอมขมกลืนกันถ้วนหน้าชัด ๆ
ปอเอ๊ยปอ คิดให้ตกเร็ว ๆ นะลูก ถึงเด็กเอกปรัชญารุ่นหนูจะมีกันแค่สี่คน แต่ถ้าพีพีมันน่าฟัดจริง ๆ
โลกอาจจะเหวี่ยงคนที่สนใจพีพีแถมมีโปรไฟล์ปังกว่าปอเข้ามาก็ได้...
รู้ตัวตอนสายนี่เจ็บหนักเพราะความที่รักไม่ได้นี่แหละเค่อะ จริง ๆ เชื่อป้า (ลูบหัวลูบหางปอเป็นพัลวัน)

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 10-02-2017 17:52:03
สงสารกวาจังค่ะ
เราว่าพ่อกวาคงติดยาด้วย อยากให้พ่อกวาคิดได้จัง
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 05-03-2017 14:19:06
#07 คเณศจตุรถี



   “ลงทะเบียนพร้อมค่า”

   “นิทรรศการพร้อมค้า”

   “ปะรำพิธีพร้อมคร้าบบบ”

   “แผงขายพระพร้อมม้ากกก”

   “เดี๋ยวๆๆ” เสียงใครสักคนในวอแทรกขึ้นมากลางคัน “ให้เรียกว่าจุดเช่าบูชาพระพิฆเนศครับ เอาซะนึกว่าขายปลาดุกในตลาดนัดเลย”

   “แฮ่ๆ โอเคค่ะ”

   
เช้าตรู่ในวันแรกของพิธีคเณศจตุรถี ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระพิฆเนศเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้น จริงๆ แล้วเทศกาลนี้นิยมจัดในประเทศอินเดีย และกลุ่มคนผู้นับถือศาสนาฮินดู แต่ที่ภาคปรัชญาจัดขึ้น ก็เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะพระพิฆเนศถือเป็นองค์เทพแห่งศิลปะซึ่งคนในมหาวิทยาลัยเคารพนับถือ การจัดงานดังกล่าวนี้จึงเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้สัมผัสอีกหนึ่งประเพณีเกี่ยวกับพระคเณศซึ่งในประเทศไทยไม่ค่อยมีจัดมากนัก

 หลังจากอดหลับอดนอนเตรียมงานกันมาหลายวัน ในที่สุดพิธีสำคัญก็พร้อมจะเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์ ลานโล่งกลางสวนของคณะอักษรศาสตร์ถูกจับจองพื้นที่ด้วยเต็นท์ใหญ่ที่ประดับริ้วผ้าสวยงาม ตรงกลางมีมณฑปอันจัดเตรียมไว้เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพิฆเนศ โดยในปีนี้ได้อาจารย์จากคณะจิตกรรมมาเป็นผู้ออกแบบและปั้นองค์พระซึ่งเป็นหัวใจของงาน

เด็กๆ ทั้งเอกและโทปรัชญาแต่งกายในชุดนักศึกษาเรียบร้อย คอยประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ที่ได้แบ่งหน้าที่กันไว้ พิธีแรกคือการอัญเชิญเทวรูปพระคเณศขึ้นบนมณฑป ก่อนท่านพราหมณ์ซึ่งก็คืออาจารย์ธารจะทำพิธีให้องค์พระมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา

เด็กเอกโทปีสามอยู่ร่วมในงานด้วย แต่ไม่ได้เป็นฟันเฟืองสำคัญในพิธีกรรมต่างๆ อาจเพราะเป็นแก๊งชายล้วนที่ดูจะไม่มีความละเอียดพอในการดำเนินงานสำคัญ หรืออีกนัยก็เป็นพวกจิตใจหยาบกระด้าง ไม่มีอินเนอร์กับพิธีกรรมทางศาสนาก็สุดแท้แต่จะเดา แต่ทุกคนก็ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดีด้วยการคอยเสิร์ฟน้ำและแจกบทสวดมนต์ให้คณาจารย์และผู้ร่วมพิธีคนอื่นๆ เป็นระยะ

“บทสวดมนต์ปีนี้สวยจัง อาจารย์ขออีกใบได้มั้ยคะ” ปรนัยยิ้มหน้าบานรับคำชมประหนึ่งตัวเองเป็นคนออกแบบ ก่อนจะยื่นกระดาษในมือให้อาจารย์จากเอกภาษาไทยไปอีกสองสามใบ

“เพื่อนผมเป็นคนทำครับอาจารย์” พูดไปก็สอดส่ายสายตามองหาเจ้าตัวไปด้วย เห็นว่าโดนลากไปช่วยแก้บอร์ดนิทรรศการ แต่ไม่รู้ทำไมถึงไปนานขนาดนี้

 “ปอๆ” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ ต้องสะดุ้ง

“ครับ?” ร่างสูงโปร่งหันไปมองคนเรียก แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นพี่จ๋ามาในลุคผมสั้นประบ่าเรียบร้อย แทนที่จะเป็นผมยาวยุ่งๆ เหมือนเคย จนคนมองอดแซวไม่ได้ “นี่อกหักช้ะ”

“ดูหน้าด้วย สวยแบบนี้ใครจะกล้าปฏิเสธ” แม้จะอัพลุคเป็นสาวเรียบร้อย แต่ฝีปากยังรุนแรงเหมือนเดิม

“คร้าบ สวยคร้าบ” แกล้งกัดฟันพูดชมให้อีกฝ่ายทำหน้ายักษ์ใส่พอประมาณ ก่อนเอ่ยถามถึงธุระที่พี่จ๋ามาหาตนเอง “แล้วพี่จะเอาไรปะ”

“เออ ขอบทสวดมนต์เพิ่มหน่อยดิ” น้ำเสียงจริงจังนั้นทำให้ปรนัยรีบหยิบกระดาษปึกหนึ่งให้อีกฝ่ายโดยเร็ว พี่จ๋ารับไปแล้วก็เดินไปด้านหลัง ซึ่งกำลังวุ่นวายกับการจัดวางเก้าอี้เพิ่ม เนื่องจากคนเริ่มมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ

อากาศยามสายร้อนระอุจนแขกในงานเริ่มนั่งไม่ติดที่ เสียงวอจากอาจารย์กฤตบอกให้ผู้ชายไปยกพัดลมในภาคออกมาเพิ่ม ปรนัยกำลังจะรับอาสา แต่ก็เห็นร่างคุ้นตาเดินแบกพัดลมมาลิบๆ เสียก่อน

“กูช่วย” ภาคภูมิมองฝ่ามือใหญ่ที่เข้ามาช่วยยกพัดลมในมือ ใบหน้าขาวที่มีเหงื่อผุดพรายพยักหน้ารับ พัดลมขนาด 18 นิ้วไม่ได้หนักอะไรมาก แต่ตัวมันค่อนข้างยาวจึงหิ้วลำบาก การที่เพื่อนสนิทโผล่มาช่วยอีกแรงจึงเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง

“ต้องเอาอีกกี่ตัว” ปรนัยเอ่ยถามหลังจากติดตั้งพัดลมตัวแรกเรียบร้อย

“พวกไอ้กี้กำลังช่วยยกตัวใหญ่มาจากหอประชุมอีกสอง” ภูมิตอบขณะใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผากไปด้วย “เดี๋ยวเราต้องไปยกตัวเล็กมาให้คณะดนตรี ตรงนั้นอบมาก”

คนฟังพยักหน้ารับขณะมองร่างขาวกระพือเสื้อเรียกลม ท่าทางร้อนจัดและเหงื่อที่ไหลซึมนั้นทำให้ปรนัยต้องคว้าข้อมือเพื่อนสนิทออกไปยืนในที่อากาศโปร่งด้านนอกเต็นท์

“เดี๋ยวมา” บอกจบผู้ช่วยก็แว่บหายไป ก่อนจะกลับมาพร้อมอะไรบางอย่างในมือ

“เอามาไมอะ” ภูมิถามถึงเสื้อภาคปรัชญาแบบใหม่ที่วางขายในงาน

แขนยาวๆ ยื่นมาตรงหน้าคนถาม “เอาไปเปลี่ยน มีแต่เหงื่อ”

“ไม่เอา! เสียดาย”

“จารย์กฤตให้” อีกฝ่ายอธิบาย

“ก็ให้มึง ไม่ได้ให้กู” เพราะวันสุดท้ายปอเป็นหนึ่งในผู้ชายที่ต้องร่วมขบวนแห่พระ อาจารย์กฤตจึงแจกเสื้อให้ใส่ร่วมงาน

พออีกฝ่ายไม่รับ เจ้าของเสื้อจึงคว้าคอคนปฏิเสธให้เดินไปทางภาค ส่วนเสื้อตัวนั้นก็วางแหมะอยู่บนหัวเพื่อน “ไปเปลี่ยนเลย สภาพยังกะลูกหมาตกน้ำ!”

ภาคภูมิก้มมองเสื้อนักศึกษาตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ตอนไปซ่อมบอร์ดนิทรรศการก็ต้องไปหลบทำในห้องเก็บของร้อนๆ กว่าจะเสร็จสภาพเลยเป็นอย่างที่เห็น

“เออๆๆ เดี๋ยวยกพัดลมเสร็จแล้วเปลี่ยน” มือขาวคว้าเสื้อยืดสีน้ำตาลมาถือไว้ ก่อนจะลอบมองใบหน้าของคนที่เดินกอดไหล่อยู่ข้างๆ “ขอบใจนะ”

เสียงขอบคุณเบาๆ เคล้าไอแดด ทำให้คนที่เพิ่งเสียสละเสื้อยืดให้ต้องเกาหัวแก้เก้อ “ซักมาคืนด้วยนะโว้ยยย”



พิธีช่วงเช้าจบลงท่ามกลางความอิ่มเอิบใจของทุกฝ่าย ที่เหลือก็จะเป็นช่วงให้คนมาสักการบูชาได้ตลอดทั้งวัน ส่วนพวกนักศึกษาจะมีงานทำอีกทีก็ตอนเย็น ที่ต้องมาสวดมนต์พร้อมกันอีกรอบ ซึ่งก็ไม่ได้บังคับอะไร เพราะยังไงคนสวดจริงๆ ก็คืออาจารย์ธารอยู่แล้ว แค่ในพิธีต้องใช้คนเข้าร่วมให้เยอะหน่อยเท่านั้นเอง

“พวกมึงมีเรียนกันต่อใช่ปะ” ปรนัยถามแก๊ง F4 ที่มานั่งผึ่งแอร์กันในห้องภาค พอทุกคนพยักหน้ารับ คนว่างเพียงหนึ่งเดียวจึงทำท่าเซ็งอย่างถึงที่สุด

“อะไร อยู่คนเดียวสิมึงอะ” ภาคภูมิแซวเพื่อน เพราะช่วงบ่ายนี้พวกเขามีเรียนวิชาโทกันหมด ส่วนไอ้ปอเป็นคนเดียวที่เรียนวิชาของเอก ซึ่งอาจารย์ยกคลาสให้อยู่ช่วยงานคเณศ มันเลยต้องเฝ้าซุ้มเพียงลำพัง

“น้ำลายบูดแน่กู” ใบหน้าคมแนบลงกับโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“เวอร์จริง!” ชิงชิงทนไม่ไหวต้องโบกหัวไอ้คนว้าเหว่ไปที “เค้าอยู่กันตั้งเยอะ นั่นไง พี่จ๋าก็ยังอยู่”

เด็กปีสามมองผ่านประตูไปยังซุ้มพิธีที่เห็นอยู่ไกลๆ บริเวณจุดเช่าพระมีพี่ปีสี่หลายคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นคือสาวผมสั้นลุคใหม่ที่ปอเอ่ยแซวไปเมื่อเช้า พอเห็นว่ามีคนคุยด้วยได้ หน้าหงอยๆ ก็ร่าเริงขึ้นมาอย่างกับใส่ถ่ายอัลคาไลน์

“งั้นเดี๋ยวกูไปอยู่แผงพระแล้วกัน เลิกเรียนเจอกันตรงนั้นนะ” พูดจบปรนัยก็ลุกขึ้นเตรียมเดินไปตรงที่จัดงาน หากแล้วอยู่ๆ ขายาวก็ชะงัก ก่อนมือหนักๆ จะยื่นไปขยี้ผมของคนที่นั่งอยู่เต็มแรง

“โอ๊ยยยยย!!” ภาคภูมิร้องโวยวาย ตากลมมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แต่คนถูกมองไม่มีทีท่าว่าจะกลัว แถมยังลอยหน้าลอยตายียวนใส่อีก

“ไม่งอแงนะพีพี เจอกันเย็นนี้”

“สัด!!”

แล้วร่างสูงๆ ก็วิ่งหนีไปโดยไม่รอฟังคำด่าซ้ำ ภาคภูมิสบถอะไรในลำคออีกสองสามคำ ก่อนจะเงยหน้ามาเจอกับสายตาของเพื่อนร่วมก๊วนที่มองเขาด้วยแววตายากจะเข้าใจ

“อะไรวะ?” คนถูกมองเอ่ยถามเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ

ชิงชิงกับแก้วมองหน้ากัน เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ จนสุดท้ายก็เป็นแก้วที่พูดขึ้น

“นี่มึงสองคนแค่เล่นกันเฉยๆ ใช่ปะ”

“เฮ้ย...อะไรกันวะ” ภาคภูมิถามซ้ำอย่างงุนงง

“มึงกับไอ้ปออะ...” ชิงชิงเอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก “ไม่ได้คิดอะไรกันใช่มั้ย”

ภาคภูมินิ่งอึ้งกับคำถามนั้น ตากลมโตหลุบต่ำ ไม่อาจสบสายตากับคนถามได้ “ทำไมถึงถามอย่างนั้น”

“คือ...” เพื่อนสองคนในแก๊งพยายามพูด “พวกกูก็ไม่ได้อะไรนะ แต่พวกมึงเล่นกันโคตรเหมือนจริง บางทีพวกกูก็สับสน”

“ใช่ๆ กูนี่แยกไม่ออกเลยว่ามึงแกล้งกันหรือมึงจีบกัน”

ความเงียบปกคลุมห้องที่พวกเขานั่งอยู่อีกครั้ง ภาคภูมิรู้สึกไร้คำตอบกับสิ่งที่เพื่อนถาม เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ที่มันเหมือนจะเกินเลยกว่าความเป็นเพื่อนเข้าไปทุกวัน หากสุดท้ายเขาก็เลือกจะบอกในสิ่งที่มันควรจะเป็น

“ไอ้เชี่ยปอมันก็กวนประสาทอย่างนั้นแหละ พวกมึงก็รู้ มันไม่แกล้งพวกมึงเพราะพวกมึงสู้มันไง ลองด๋อยๆ เหมือนกูดิ ป่านนี้มันโดดจูบปากพวกมึงแล้ว”

“เชี่ย แค่คิดก็ขยะแขยง อี๋ๆๆๆ” ไอ้แก้วเอาหลังมือเช็ดปากตัวเองใหญ่ ราวกับว่าโดนไอ้หัวโจกจูบไปแล้ว

“เออ...แบบนี้ค่อยสะดวกใจหน่อย” ชิงชิงเอ่ย “แล้วเวลาพวกกูล้อนี่มึงคิดมากมั้ย”

คนถูกถามส่ายหน้าพรืด “เอาที่พวกมึงสบายใจเลย กูโอเค้”

“แซวมึงสองผัวเมียแล้วบันเทิงดี กัดกันทุกวันนี่ลูกดกนะเว้ย ฮ่าๆๆ”

แล้วสองสมาชิก F4 ก็แซวเพื่อนต่อจนไอ้คนถูกแซวต้องหนีไปเรียน ท่ามกลางเสียงยุยงส่งเสริมที่ทำเอาภาคภูมิหน้าเห่อร้อนไปหลายชั่วโมง

ไอ้พวกเลววววว กูขอแช่งให้พวกมึงได้กัน!


--------------------------------


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #06.2 แตงกวาครับ... (Update! 08/02/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 05-03-2017 14:20:57
งานคเณศจตุรถีวันแรกผ่านพ้นไปจนเข้าสู่วันที่สอง สำหรับวันนี้ไม่มีพิธีอะไรมาก เป็นเหมือนช่วงบ่ายของเมื่อวานคือให้คนมาสักการบูชาเป็นหลัก แต่เด็กปีสามกำลังงานเข้า เพราะเช้าวันนี้พี่ๆ ปีสี่มีเรียนกันแทบจะยกปี หน้าที่ดูแลการเช่าพระเลยตกเป็นของสี่จตุรเทพ F4 แทน

“เข้ามาเลือกเช่าบูชาองค์พระพิฆเนศกันได้นะคร้าบ เช่าวันนี้ แถมฟรี! บทสวดบูชาขนาดพกพา ให้ท่านสวดกันได้ทุกที่ ทุกเวลาเลยคร้าบ”

ไอ้เชี่ยปอกำลังร่ายสคริปต์ประหนึ่งเป็น MC พริตตี้แผงพระ เรียกความสนใจจากผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมันอินกับบทบาทมาก จนคิดว่าปีหน้าอาจจะลองรับงานมอเตอร์โชว์ดู

“ขอบคุณคร้าบบบบ” ปรนัยรับแบงค์ร้อยมาก่อนจะยื่นให้คนที่นั่งคุมกระป๋องเงิน “สี่สิบ”

“ขายหรือทอน” ภาคภูมิร้องถาม แต่คนกำลังวุ่นวายกับการดูแลลูกค้าคนถัดไปไม่ไม่ยินจนต้องถามซ้ำ “มึงงงง สี่สิบนี่เงินทอนปะ”

“เงินทอนครับ” คำตอบไม่ได้มาจากพ่อค้า แต่มาจากคนซื้อซึ่งเป็นนักศึกษาชายที่หน้าตาแบบว่า... มึงเรียนมหา’ลัยปริมณฑลแน่เหรอ ดูผู้ดีผิดแผกจากคนในระแวกนี้มาก

“มองนานๆ ต้องลดราคาให้ด้วยนะ” เซ็กซี่บอยที่น่าจะเดินอยู่แถวๆ สามย่านเอ่ยแซวแถมวาดรอยยิ้มกระชากใจ พร้อมๆ กับที่ใครบางคนกระชากตังค์ในมือเขาไปเช่นกัน

“ขอบคุณครับ!” ไอ้ปอกลับมาสนใจลูกค้าเมื่อไรไม่รู้ แขนยาวเอื้อมส่งเงินทอนให้ ขณะที่สายตาจ้องเขม็งไปยังใบหน้าหล่อๆ นั้น

...แม่งก็แค่หล่อแบบดาดๆ กูนี่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มยังไม่พูดเลย

ลูกค้าเซ็กซี่บอยไม่สนใจสายตาดุๆ ที่จ้องตนเอง แต่หันไปส่งยิ้มให้คนที่นั่งนับเงินอีกรอบ ทว่าใบหน้าเล็กๆ นั่นกลับถูกไอ้คนข้างๆ ดึงเข้าไปซุกกับตัวเหมือนพยายามแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ เห็นแบบนั้นเขาก็ได้แต่ยักไหล่แล้วเดินจากมา ...ผัวดุจังโว้ยยย

“สัดดด เหม็น!!” ภูมิพยายามดิ้นออกจากมือหนักๆ ที่กดหัวเขาให้แนบอยู่กับอก

“ทอนตังค์ไป อย่าอู้!” ปรนัยปล่อยให้เพื่อนสนิทเป็นอิสระ จริงๆ มันก็ไม่ได้อู้หรอก นับเงินยิกๆ แต่เห็นเสน่ห์แรงแล้วหมั่นไส้แม่ง

“เปงผัวอ่อมาสั่ง อิอิ” ไอ้ห่าแก้วที่กำลังแพ็กพระใส่ถุงแซวขึ้นลอยๆ แบบโนแคร์โนสนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในมือ

ภาคภูมิหันไปมองคนแซว แต่กลับได้สบตากับชิงชิงที่มองมาพอดี สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามทำให้เขาต้องพูดแก้เก้อ

“งั้นกูนี่แหละผัวมึง เอาตังค์ไป! อย่าพูดมาก!”

“หูยยย พี่ว้ากตัวร้ายฯ มาเองง่ะ” ไอ้ขี้แซวยังแซะไม่เลิกจนภูมิต้องเป็นฝ่ายเลิกต่อล้อต่อเถียงเอง แต่ต่อให้ภาคภูมิไม่หยุด ทั้งหมดก็ไม่มีเวลาได้คุยเล่นอะไรกันอีก เพราะเป็นช่วงพักเที่ยงซึ่งนักศึกษาเลิกเรียนพอดี แผงพระของพวกเขาจึงอัดแน่นด้วยมวลมหาชนผู้มีจิตศรัทธาโดยที่ไอ้ปอไม่ต้องเรียนเชิญให้เหนื่อย

หลังช่วงไพรม์ไทม์ผ่านพ้น ทีมขายพระก็คลานมานั่งพุ้ยข้าวลงกระเพาะกันแบบหน้ามืดตาลาย ปล่อยกิจการอันรุ่งเรืองให้ปีสี่ดูแลต่อ พอกินข้าวเสร็จภาคภูมิก็เอาเงินมานับเพื่อลงบัญชีภาคไว้ ซึ่งตัวเลขเป็นที่น่าพอใจไม่น้อย อาจเพราะปีนี้มีการให้เช่าพระพิฆเนศองค์เล็กประมาณ 1 เซนติเมตร แถมยังรูปลักษณ์ทันสมัยแบบให้วัยรุ่นใส่ห้อยคอได้ เด็กๆ นักศึกษาจึงสนใจกันเยอะ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะภาคปรัชญาจะได้มีเงินเอาไว้จัดกิจกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะกิจกรรมเสวนา ซึ่งของบจากคณะได้ยากยิ่งกว่ายาก
 
“ขาดหรือเกิน” ปรนัยเอ่ยถามคนที่นั่งคิ้วขมวด หน้าตาเคร่งเครียด

“แป๊บ” สองนิ้วจิ้มเครื่องคิดเลขอย่างรวดเร็วแบบที่คนข้างๆ มองตามแทบไม่ทัน

“เชี่ย! ไปแข่งแฟนพันธุ์แท้เครื่องคิดเลขมั้ย”

“แม่ง...” ภูมิสบถแล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ “ทำไมเป็นงี้วะ”

ร่างสูงที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเสื่อขยับตัวลุกขึ้น ก่อนจะมองตัวเลขดิจิทัลที่โชว์บนจอ “เงินขาดไปเยอะเหรอวะ”

คนถูกถามส่ายหน้า สายตายังคงฉายแววครุ่นคิด

“อ่าว แล้วมีอะไร”

“เงินมันพอดีเลยว่ะ”

“แล้วมึงเครียดไร ก็ดีแล้วนี่”

“มันไม่แปลกเหรอ เมื่อวานยังขาดไปเกือบร้อย ขนาดพี่ปีสี่ดูแผงอะ”

นิ้วเรียวของคนข้างๆ เอื้อมไปนวดบริเวณหัวคิ้วของนักบัญชีที่กำลังจะผูกเป็นโบว์ในไม่ช้า ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยปลอบใจคนคิดมากให้คลายกังวล

“โตกว่าไม่ได้หมายความว่ารอบครอบกว่า กูเห็นมึงนับเงินตั้งหลายรอบก่อนจะทอน ยอดเงินมันจะครบก็ไม่เห็นแปลกเลยปะวะ”
ภาคภูมิหันไปมองคนพูด ก่อนจะต้องใจสั่นไปกับแววตาอ่อนโยนที่จ้องมองตัวเองอยู่ก่อนแล้ว

“เอ้อ...เอาเงินไปให้จารย์กฤตก่อนนะ” ความเขินกำลังรุกรานจนภูมิต้องหาเรื่องเดินหนี ตอนนี้หัวใจกำลังอยู่ในเขตอันตรายมากๆ คือถ้าเผลอข้ามเส้นกั้นไปนี่ต้องเหยียบกับระเบิดตายแน่ๆ!

ปรนัยมองคนที่หอบซองเงินวิ่งหายไปทางห้องภาคแล้วก็หัวเราะออกมา คนห่าอะไรยอดเงินลงตัวก็เครียด วันๆ เขาเห็นไอ้ภูมินี่คิดอยู่สองอย่าง ไม่คิดมากก็คิดเล็กคิดน้อย บางทีก็อยากรู้ว่าในสมองมันเป็นยังไง ทำไมถึงได้ทำงานหนักทุกภาคส่วนแบบนี้


ประมาณหกโมงเย็น แก๊งเด็กปรัชญาก็มารวมตัวที่ปะรำพิธีกันเหมือนเมื่อวาน เสียงอาจารย์ธารซึ่งเป็นท่านพราหมณ์กำลังนำสวดมนต์ภาษาฮินดี เสร็จแล้วก็ปิดท้ายด้วยพิธีอารตี หรือการบูชาพระพิฆเนศด้วยไฟ สำหรับเด็กๆ ปีหนึ่งที่เพิ่งได้สัมผัสกับพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูครั้งแรกๆ ก็ดูตื่นเต้นสนุกสนานกันดี แต่สำหรับพี่ปีสามปีสี่ที่ผ่านมาหลายครั้ง บอกตามตรงว่าจะวูบหลับให้ได้

“ปอ!! เสร็จแล้ว!!” ภาคภูมิกระทุ้งศอกใส่เพื่อนที่นั่งก้มหน้านิ่งมานาน ดูเผินๆ นี่เหมือนมันซาบซึ้งกับบทสวดมาก แต่จริงๆ คือแม่งหลับกลางอากาศ! แล้วหลับแบบหัวไม่โคลงด้วย ความสามารถพิเศษจริงๆ

คนเนียนหลับปรือตาขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา ค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้นพร้อมกับคนอื่นๆ “หาววววว”

“เชี่ย! ปิดปากหน่อยดิวะ เกรงใจจารย์ธาร” มือขาวเอื้อมมาปิดปากคนเพิ่งตื่น เพราะอาจารย์กำลังมาทางนี้

“โอ้ ขอบคุณทุกคนมากเลย” ท่านพราหมณ์เดินขอบคุณเด็กๆ มาจนถึงด้านหลัง “พรุ่งนี้ช่วยกันอีกวันนะ”

“ค่าาาา”

“ได้เลยคร้าบบบบ”

เสียงตอบรับเซ็งแซ่ ก่อนรุ่นพี่รุ่นน้องจะแยกย้ายกันไปเก็บของบางส่วน แล้วช่วยกันเอาผ้าใบลงมาคลุมเต็นท์เพื่อป้องกันฝน
แก๊งปีสามจัดการงานของตัวเองเสร็จก็พากันเดินไปเอารถที่หน้าภาค แก้วขอตัวชิ่งอย่างรวดเร็วเพราะมีนัดตีดอทกับรูมเมท จึงเหลือแค่ปอ ภูมิและชิงชิงที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะไปกินข้าวที่ไหนกันดี

“เตี๋ยวไก่มะ” ปรนัยเสนอไอเดีย

“หรือจะไปองค์พระ” ชิงชิงหมายถึงตลาดโต้รุ่งหน้าวัดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมอ

“เออ อยากกินเย็นตาโฟต้มยำ” คนอยากกินเตี๋ยวไก่เปลี่ยนใจทันควัน

“แล้วจะไปไง ปั่นจั๊กไหวเหรอวันนี้” ภูมิเอ่ยถาม เพราะพวกเขายืนขายพระกันมาครึ่งค่อนวัน แถมช่วงบ่ายยังไปช่วยยกของเตรียมขบวนแห่อีก ไอ้ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรที่เคยปั่นจักรยานกันไหว ก็ดูเหมือนจะไกลแบบแค่คิดก็ขาล้า

“ซ้อนมอไซค์กูไปก็ได้” ชิงชิงผู้มีมอเตอร์ไซค์รับอาสา สายตาของเพื่อนอีกสองคนจึงมองไปยังรถป็อปคันจิ๋วที่จอดอยู่ ขนาดกะทัดรัดแบบแค่ซ้อนสองยังลำบาก ทำเอาทั้งเจ้าของและว่าที่ผู้โดยสารถอนหายใจไปตามๆ กัน

“อ้าว! ยังไม่กลับกันเหรอ” เสียงทักทายจากผู้มาใหม่ทำให้สามหนุ่มต้องหันไปมอง “ไปองค์พระปะ พวกพี่กำลังไปหาไรกินกัน”
ประธานเอกเชิญชวนรุ่นน้องให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน วันนี้ปี 4 อยู่กับครบ เลยหาเรื่องไปฉลองเสียหน่อย

“พอดีเลยพี่ไนท์ นี่ก็ว่าจะไปเหมือนกัน แต่ไม่มีรถอะ” ชิงชิงตอบอย่างรวดเร็ว

“ไปดิ รถจ๋านั่งได้อีกนี่ ใช่ปะ” ปลายเสียงหันไปถามเจ้าของรถที่ยืนอยู่ด้านหลัง

สาวผมสั้นมองรุ่นน้องแล้วก็พยักหน้ายิ้มให้ “ปะๆ กินข้าวกัน”

“เดี๋ยวกูซ้อนมึงไปนะชิง” ภูมิหันไปบอกเพื่อน

“หยุด!!” เสียงทุ้มเอ่ยห้ามทันควัน “ไป-กะ-กู!!”

ไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ภาคภูมิก็โดนลากไปขึ้นรถพี่จ๋าเรียบร้อย ครั้งนี้ไม่ต้องอัดกันเหมือนวันฝนตก เพราะมีรถเก๋งสองคัน แถมมอเตอร์ไซค์อีกสาม


ร้านอาหารสารพัดประเภทตั้งเรียงต่อกันสุดลูกหูลูกตาหน้าลานกว้างของวัดใหญ่ประจำจังหวัด แต่แก๊งปรัชญาเลือกลงหลักปักฐานกันที่ร้านเย็นตาโฟ ซึ่งได้รับคะแนนโหวตสูงสุด ด้วยเหตุผลเดียวคือคนขายหล่อ ทำเอาไอ้ปอโวยวายหนัก แม้ตัวเองจะอยากกินเหมือนกัน แต่พอโดนหยามเรื่องความหล่อจากพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวก็เกิดยอมไม่ได้ขึ้นมา

“โอ๊ยยยย พ่อคุ้ณณณ”

“หล่อจ้าพ่อ หล่อที่สุดในปฐพี แดกเถอะ!!”

เสียงประชดประชันจากรุ่นพี่ทำให้คนเรื่องเยอะต้องยอมนั่งลงสั่งก๋วยเตี๋ยวแต่โดยดี หากยังไม่วายพูดตบท้ายหลังสั่งเสร็จ “อยากเห็นคนหล่อ มองหน้าน้องปอก็พอนะครับ”

“อ้วกกกกกก!!”

“อิ่มแล้วโว้ยยย!!!”

“กูไม่ใช่อีจ๋านะ จะได้มองว่ามึงหล่อ!!” เจ๊ตี้ สาว (?) ผิวแทนพูดขึ้น ทำเอาคนถูกกล่าวหาหันมาถลึงตาใส่ทันควัน

“อีตี้!!”

“แหมมมมมมมมมมม” คนแซวยังว่าต่อ “กูอยากจะแหมมมมตั้งแต่องค์พระไปจนถึงเซ็นปิ่น เมื่อวานใครแม่งชมน้องให้พวกกูฟังวะ”

คราวนี้เสียงโห่ฮิ้วจากปีสี่ดังลั่น ใครที่ยังไม่รู้เรื่องก็รีบยุให้พี่ตี้รีบเมาท์ประเด็นเด็ดโดยด่วน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ร้องห้ามนั่นคือพี่จ๋า ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครสนใจ

“ก็เมื่อวานที่แผงพระอะแก๊” เจ๊ตี้ที่แปลงกายเป็นแอดมินเพจใต้เตียงดาราเริ่มบรรเลง “พวกฉันก็นั่งๆ ยืนๆ ขายพระกันอยู่ใช่มะ ก็มีเด็กเภสัชคนนึงมายืนเลือกพระ...”

“อีตี้!! หยุด!!” พี่จ๋าพยายามยื่นมือมาปิดปากเพื่อน

 “น้องแม่งโคตรหล่ออะ หล่อแบดๆ สบตาแล้วใจละลายไรเงี้ย พอฮีไป อีพวกสัมภเวสีสาวๆ ของเราก็กรีดร้องกันระงม หลัวขา อยากมีหลัวเด็กกก อยากให้น้องจ่ายยาจุงเบยยย”

คนเล่าทำเสียงเล็กเสียงน้อยจนน่าถีบ พี่จ๋าพยายามทำหน้ายักษ์แต่ก็ยังอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้

“แต่!! อยู่ๆ อีจ๋าค่า เทเลอร์ สวิฟต์ของเรา แม่งก็พูดขึ้นมาว่า ‘เฉยๆ อะ ไอ้ปอหล่อกว่าอีก’”

“ว่ออออออออ” เสียงอื้ออึงดังไปทั่วโต๊ะ คนถูกชมลุกขึ้น ก่อนจะวาดแขนโค้งตัวรับอย่างหน้าชื่นตาบาน

“โอ้โหหหห เรด้าจับสัญญาณคนหล่อมึงพังเหรอ!! ถึงได้ชมมันเนี่ย”

พี่จ๋าส่ายหน้า อ้าปากพะงาบๆ เหมือนพยายามอธิบาย

“แอบชอบกันก็ไม่บอก คนบ้า บ้า บ้า บ้า~~” ร่างสูงแสร้งทำท่าทางเขินอายวิ่งไปทุบไหล่รุ่นพี่ประหนึ่งสาวน้อยที่มีชายหนุ่มมาหมายปอง

“โอ๊ยยยย แรดกว่าผู้หญิงปีสี่ ก็อีปอนี่แหละโว้ย” เจ๊ตี้ร้องอย่างอ่อนใจ


เรื่องราวการเยินยอรุ่นน้องปี 3 จบลงพร้อมการยกก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟของพ่อค้าแซบ แต่ความชุลมุนกำลังเริ่มต้นขึ้น เพราะก๋วยเตี๋ยวสิบกว่าชามที่สั่งไปนั้นไม่มีชามไหนตรงตามสั่งเลยสักชาม

“อันนี้ไม่ใช่ของฉันว่ะ”

“แก อันนี้ต้มยำปะ เราสั่งธรรมดา”

“ใครสั่งพิเศษผักบุ้งงงง”

“อันนี้ของกูเหรอวะ”

เพราะวุ่นวายกันเกินจะเอ่ย พี่ไนท์ในฐานะผู้นำภาคจึงให้ทุกคนหยิบอันที่พอกินได้ไปก่อน ถ้าอันไหนไม่กินจริงๆ ค่อยไปขอเปลี่ยน เพราะตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ความหิวคุกคามจนไม่น่าจะมาเลือกอะไรกันมาก

“มึงเอาอันนี้แล้วกันนะ” ปรนัยเลื่อนเล็กโฟต้มยำไปให้เพื่อนสนิท

ภูมิมองก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าแล้วก็พยักหน้ารับ หากยังไม่ทันได้ตักกิน หมึกกรอบจากคนข้างๆ ก็ย้ายมาสู่ชามตัวเองหลายชิ้น

 “ปอไม่กินหมึกกรอบเหรอ” พี่จ๋าที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถาม ตอนนี้ไม่มีใครมาโฟกัสคนทั้งคู่แล้ว เพราะอาหารย่อมสำคัญกว่าเพื่อนเสมอ

“อ๋อ ก็กินได้แหละพี่ แต่พอดีไอ้ภูมิมันชอบ”

คนชอบหมึกกรอบลอบมองหน้าของรุ่นพี่ที่ถาม พี่จ๋าทำหน้าแปลกๆ เหมือนอยากถามบางอย่างต่อแต่ก็เงียบไป พอดีกับที่ชิงชิงพูดขึ้นมาก่อน

“คนขายนี่หล่ออย่างเดียวจริงๆ ไม่แบ่งความหล่อมาช่วยความจำเลยแม่ง” ท่าทาหงุดหงิดแบบนี้แสดงว่ากินชามไหนไม่ได้เลยแน่นอน

“ที่พิเศษผักบุ้งนั่นไม่ใช่ของมึงเหรอ ฮ่าๆๆ” ปอแซวเพื่อนแล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของคนอื่นเลยอธิบายทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดขำ

“เห็นแมนๆ แบบนี้ เชี่ยชิงมันกลัวผักบุ้งครับ”

มนุษย์กลัวผักบุ้งสบถด่าเพื่อนยาวเหยียด คนมันฝังใจโว้ย ไม่ใช่กลัวเอาเท่เอาแปลกเหมือนดาราซะหน่อย

“ปอนี่จำได้หมดเลยเหรอ ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร” พี่จ๋าถามอีก ซึ่งภูมิรู้ว่ามันเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่หมึกกรอบของเขา

“ใช่ครับพี่จ๋า” ชิงชิงเป็นคนตอบแทน “แต่ไม่ได้เป็นคนใส่ใจคนอื่นนะ มันแค่ขี้เสือก”

คราวนี้พี่จ๋าหัวเราะออกมาบ้าง และแววตาใสๆ นั่นก็ดูจะไม่มีความเคลือบแคลงอะไรเหมือนก่อนแล้ว


กว่ามื้อค่ำคอมโบเซตจะจบลง ภาคภูมิก็รู้สึกเหมือนกระเพาะขยายออกเป็นหกส่วน อัดแน่นไปด้วยเย็นตาโฟ ลูกชิ้นปิ้ง หมึกย่าง เต้าฮวยนมสด ลอดช่องสิงคโปร์ และบัวลอยแต้จิ๋ว ดังนั้นเมื่อพี่จ๋ามาส่งที่ภาคแล้ว เขาจึงไม่ปฏิเสธเมื่อไอ้ปอบอกว่าจะขี่จักรยานไปส่งหอ เพราะจะแวะเอาเสื้อที่ให้ยืมมาเมื่อวานด้วย

“เชี่ยปอ ขี่ดีๆ ดิวะ” คนซ้อนโวยวาย เมื่ออยู่ๆ คนขี่ก็บิดเอียงซ้ายเอียงขวาเหมือนจะล้ม

“โทษๆ กูแค่ตกใจป้ายพี่ตูน เมื่อไรแม่งจะเอาออกไปซะทีวะ ผ่านมาดึกๆ ทีไรหลอนทุกที” ปอหมายถึงป้ายคอนเสิร์ตบอดี้สแลมที่เคยหลอกหลอนเขาจนคิดว่าพี่ตูนคือผีพี่อนงค์ไปทีนึงแล้ว

“จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยน้า โดนสาวชมว่าหล่อแค่เนี้ย”

คราวนี้คนขี่หัวเราะออกมาเสียงดัง “มึงคิดว่าพี่จ๋าชมจริงเหรอ รายนั้นอะพูดเป็นแต่เรื่องประชดๆ ทั้งนั้น”

“อ้าว จะไปรู้เหรอ ไม่ได้รู้ใจเค้าเหมือนมึงนี่ โอ๊ยยย!!” ปลายเสียงร้องโวยวาย เมื่อถูกแขนยาวๆ ของคนด้านหน้าเอื้อมมาผลักหัวด้วยแรงไม่เบานัก

“สายจิ้นเหรอเราอะ”

“ก็พี่เค้าดูชอบมึงจริงๆ นี่หว่า” เสียงคนซ้อนลอยมาตามลม

“ยังไง”

“ที่เค้าพยายามเล่นกับมึง พยายามแหย่มึง แกล้งมึง ก็เพราะเค้าอยากให้มึงสนใจไง”

“เหรอ...” เสียงทุ้มเอ่ยเหมือนใคร่ครวญกับตัวเอง “ไม่เห็นรู้สึกเลย”

ภาคภูมิลอบถอนหายใจ สีหน้าหม่นลงแบบที่คนข้างหน้าไม่มีทางได้เห็น “ถ้าวันไหน... มึงรู้สึกอะไรกับพี่เค้า มึงบอกกูได้ปะ”

 “ทำไม จะช่วยกูจีบเหรอ ฮ่าๆ”

คนถูกถามจ้องมองแผ่นหลังกว้างด้วยความวูบโหวง ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เขาจะมีแรงประคองหัวใจตัวเองที่แตกสลายได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย

ปรนัยสะดุ้งเล็กน้อย เมื่ออยู่ๆ คนซ้อนก็ซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของเขา เสียงอู้อี้ที่พูดอะไรไม่ได้ศัพท์ทำให้เขาต้องเอ่ยถามออกไป

“อะไรนะ”

“บอกว่าง่วงแล้ว ขี่เร็วๆ หน่อย”

คนถูกสั่งหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะดึงมือที่จับเสื้อตนเองมากอดเอวแทน “นอนไป เดี๋ยวพาขี่ไปวนองค์พระแล้วมาส่ง”

“สัด!!” คนง่วงด่าเสียงดังฟังชัด ...มึงจะเป็นทั้งคนที่แสนดีและคนที่กวนตีนพร้อมๆ กันแบบนี้ไม่ได้นะเชี่ยปอ!!




TBC.

 :mew1: :mew1:

มาแล้ววววว ขอโทษจริงๆ ค่ะ หายไปนานนี่ยื่นใบลาตายนะ ไม่ได้ลาพักร้อน 555555

กลับมาพบกับพลพรรคนักปรัชญากันต่อนะคะ
ตอนนี้เราพาทุกคนไปรู้จักกับพิธีหนึ่งในศาสนาฮินดู นั่นก็คือคเณศจตุรถี
เราพยายามย่อยทุกอย่างให้อ่านเพลิน แต่ไม่รู้จะเบื่อกันหรือเปล่า T^T

ตอนคิดว่าจะเขียนเรื่องชีวิตมหา'ลัย เราก็คิดว่าจะเขียนยังไงให้ไม่น่าเบื่อ
คือนิยายวัยมหา'ลัยมีเยอะมาก แล้วแทบทุกเรื่องตัวละครก็จะทำกิจกรรมแบบคล้ายๆ กัน
เช่นเฟรชชี่ กีฬามหา'ลัย หลีดคณะ ดาวเดือน โอเคแหละ คนอื่นเค้าเขียนได้สนุก
แต่เราที่ไม่ค่อยได้เข้าร่วมกับกิจกรรมแบบนี้ กลัวจะเขียนออกมาแล้วเพลียตัวเองก่อน

ก็เลยตีโจทย์ใหม่ว่า เฮ้ย ตอนเราเรียนเนี่ย ภาคเราแม่งไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเหมือนชาวบ้านเค้าเลยนะ
บทเรียน (ที่ลืมไปแล้ว) คิดๆ ไปมันก็โรแมนติกแบบปรัชญาๆ นะ
งั้นเราลองเอาอะไรพวกนี้มาเขียนดีมั้ย เพราะเรามีส่วนร่วม เราผ่านมันมาด้วยประสบการณ์จริง

เรื่องนี้เลยพาไปเรียนเรื่องเหตุผลวิบัติ เดินพาหุรัด จัดงานแขก และคงมีอะไรแปลกๆ มาให้อ่านกันอีกมาก
ท่ามกลางความสับสนของตัวละครหลัก จีบกันบ้าง แกล้งกันบ้าง เดี๋ยวหวานเดี๋ยวขม ตามประสาวัยรุ่น 555555

ยังไงก็อย่าเพิ่งถอนใจจากเรื่องนี้นะคะ
อยู่กันให้จบเทอมก่อนนนน สัญญาว่าจะตั้งใจสอน เอ๊ย! ตั้งใจเขียนค่า

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 05-03-2017 17:09:48
น้องปอขี้หวง จะมาหวงเพื่อนแบบนี้ ต้องคิดอะไรแล้วนะคะ!
รีบๆคิดให้ออกเลย ไม่งั้นจะไม่ปล่อยพีพีให้นะ!!!
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 05-03-2017 17:48:42
 :impress2:

ขอบคุณคนเขียนค่า เขียนอะไรมาเราก็อ่านหมด 5555
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-03-2017 18:08:45
ปอ หวงภูมิ
แต่จะหวงแบบเพื่อน หรือแบบแฟน  :katai1:
พี่จ๋า ท่าจะชอบปอแล้ว
ภูมิ น่าเห็นใจ ปอ มันยังไม่รู้ตัวอีก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-03-2017 18:11:36
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 05-03-2017 18:51:12
กิจกรรมในตอนนี้ช่างแปลกใหม่น่าสนใจจริงๆ ค่ะ  o13
ส่วนพี่จ๋าก็น่าสนใจเหมือนกัน เพราะน่าจะแอบจริงจังกะปอแล้วสินะ...
น้องพีพีนี่เนื้อหอมทีเดียว ปอหวง "เพื่อน" หนักมากค่ะ แอบสงสารน้องพีพี เหมือนมีความหวังเป็นระยะๆ สลับกับเหมือนจะใจสลายเป็นระยะๆ  :o12:
รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-03-2017 21:14:16
น้องพีพีนี่เนื้อหอมทีเดียว ปอหวง "เพื่อน" หนักมากค่ะ แอบสงสารน้องพีพี เหมือนมีความหวังเป็นระยะๆ สลับกับเหมือนจะใจสลายเป็นระยะๆ 

เห็นด้วยเลยค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 05-03-2017 21:35:00
เห็นคำว่าจ๋าทีไรก็เซ็ง
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: nimercy ที่ 06-03-2017 00:27:12
ปรนัยคนขี้อ่อยยยยยยย ปวดใจแทนพีพีจริงๆ ที่มาชอบเอ็ง
ทำเค้าหวั่นไหวคิดไปไกลขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอี๊กกกกกก :katai1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 06-03-2017 17:22:37
ความเพื่อนยุ เพื่อนแซวนี่ ได้กันมาหลายคู่แล้วนะจ๊ะ

เมตสิปป์ก็เหมือนกัน เห็นไหมล่ะ เธอออออ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: FonJuz ที่ 06-03-2017 20:48:52
พีพี น่าสงสาร เหมือนหนึบๆที่ใจอ่ะ
ปอนี่ยังไงๆ อ่อย หวง พีพี ขนาดนี้
คิดแบบเพื่อนแน่หรอ คุณปออออ

สู้ๆนะคะคนเขียน รออ่านเสมอค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-03-2017 22:35:27
สนุกมากค่ะ ได้บรรยากาศชีวิตในมหาลัยอีกแบบหนึ่ง ภูมิแสดงออกในใจ ส่วนปอนี่ออกนอกหน้ามากเหอะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-03-2017 23:06:44
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-03-2017 00:03:28
ในที่สุดก็ตามอ่านจนครบเย้ๆ

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: dashdash ที่ 07-03-2017 22:45:54
เข้ามาอ่านเพราะชื่อตอนล่าสุดเลยครับดูน่าสนใจ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆด้วยทั้งการใช้ภาษาและเนื้อเรื่องที่ไม่จำเจ แม้จะมีแนวรักมหาลัยมากมาย แต่คนเขียนก็ดึงเอาเสน่ห์ของภาคปรัชญาออกมาได้ดีมากครับ เรื่องอื่นๆมีแต่วิศวะ หมอ วนไปมากันอยู่แค่สองคณะนี้ นานๆจะโผล่มาคณะอื่นบ้างเช่น ถาปัต บริหาร

มาต่อไวๆนะครับ อย่าหายไปไหนนานนะครับ o13
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 21-03-2017 00:36:06
#08
ของ (คน) สำคัญ



ทุกอย่างกำลังชุลมุนวุ่นวายอย่างหนักในตอนที่ภาคภูมิวิ่งฝ่าฝนมาจนถึงเต็นท์งานคเณศ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฟ้าฝนจะมีโควตาความปรานีให้พวกเขาไม่ถึงงานจบ อาจารย์ธารในชุดพราหมณ์กำลังปีนบันไดเพื่อผูกผ้าใบบังฝนกับโครงเสาด้านบน เห็นแบบนั้นภูมิเลยเข้าไปเปลี่ยนตัว ให้อาจารย์ลงมาดูส่วนอื่นแทน เป็นความโชคดีที่วันนี้วิชาตอนเช้าเลิกเร็ว เขาจึงได้มาที่งานก่อนคนอื่น เพราะตอนนี้มีเพียงพี่ผู้หญิงปีสี่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เต็นท์ และสภาพทุกคนก็เปียกโชกขณะเร่งย้ายของที่อาจเสียหายได้เข้าไปเก็บในห้องภาค

   ร่างในชุดนักศึกษาอาบน้ำฝนจนชุ่มแต่ภารกิจก็ยังไม่เสร็จสิ้น ภาคภูมิลงมาลากบันไดทรงตัว A ไปยังจุดต่อไป ดูว่าขาบันไดระนาบกันพื้นดีแล้วก็ปีนขึ้นไปผูกผ้าใบต่อ ทว่าแขนเรียวเอื้อมไกลเกินไปนิด บันไดที่ตนเองเหยียบอยู่จึงเอียงวูบจนเกือบล้ม ดีว่าใครบางคนด้านล่างคว้าเอาไว้ได้ทัน

   “ไม่เป็นไรนะ” เสียงเอ่ยถามที่ฟังไม่คุ้นหูทำให้ภูมิรีบก้มลงไปมอง ก่อนจะได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังมองมาอย่างเป็นห่วง

   “ขะ...ขอบคุณครับ” เอ่ยตอบไปไม่เต็มเสียงนัก เพราะกำลังอึ้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ...เซ็กซี่บอยคนเมื่อวานนี่หว่า!

   “มา! เราช่วย” ผู้มาใหม่ปีนขึ้นบันไดอีกฝั่งจนภูมิต้องร้อง เฮ้ย! ด้วยความตกใจ

   “เดี๋ยวก็คว่ำทั้งคู่” เสียงบ่นอุบอิบทำให้ผู้ช่วยหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่ยอมลง แถมยังเอื้อมมือไปผูกผ้าใบกับขื่อเสาของเต็นท์อย่างรู้งาน

พอผูกผ้าใบเสร็จ สองหนุ่มก็พากันลากบันไดเข้ามาด้านใน ภูมิลอบมองใบหน้าชื้นฝนของคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือแล้วก็สงสาร จึงเดินไปหยิบทิชชู่ในกระเป๋าให้อีกคนได้เช็ดหน้าเช็ดตา แต่เสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำนั้นทำยังไงก็คงไม่แห้ง

“โทษทีนะ ต้องมาเปียกไปด้วยเลย”

“เฮ้ย! ไม่เป็นไร ตั้งใจมาช่วยงานอยู่แล้ว” หนุ่มหล่อต่างคณะหัวเราะ ท่าทางไม่คิดอะไรมากทำให้ฝ่ายเจ้าภาพเบาใจไปนิดหนึ่ง

“แอร๊ยยยย น้องเภสัช!!” เสียงหวีดร้องของแก๊งเจ๊ตี้เรียกความสนใจจากผู้ชายสองคนได้เป็นอย่างดี ‘น้องเภสัช’ ที่ว่า ส่งยิ้มให้แล้วผงกหัวอย่างสุภาพ

“คนที่พี่เล่าเมื่อคืนไงๆ” เจ๊ตี้หันไปบอกภูมิที่ยืนงงอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันไปคุยกับหนุ่มหล่อต่างคณะต่อ “วันนี้ก็มาเหรอคะ โทษทีน้า ฝนอย่างหนักเลย เปียกไปหมดเลยเรา”

พอรู้ว่าเซ็กซี่บอยคือคนเดียวกับหนุ่มหล่อขยี้ใจแก๊งสาว (แก่) ภูมิจึงรีบรายงานทันที “อ๋อออ นี่เค้ามาช่วยติดผ้าใบรอบเต็นท์เลยนะพี่ตี้ ถึงได้เปียกทั้งตัวแบบนี้ พี่ตี้ให้เสื้อเค้าสักตัวสิ เดี๋ยวเค้าไม่สบาย น้า...นะ”

เจอขวัญใจภาคทำเสียงอ้อน แถมยังมีสายตาเว้าวอนของเซ็กซี่บอยเภสัชแบบนี้ ฉายาเจ๊ตี้ขี้งกเลยเริ่มสั่นคลอนอย่างหนัก 
“อ่า...ยังไงดีล่ะ...”

ระหว่างที่เจ๊คนสวยกำลังลังเล พี่จ๋าก็เดินฝ่าวงล้อมของทุกคนมาพร้อมเสื้อยืดสองตัว “อะ รีบไปเปลี่ยนกัน เดี๋ยวไม่สบาย”

แม้จะยังงงๆ แต่ภูมิกับเพื่อนใหม่ก็รับเสื้อนั้นมา เสื้อยืดสีดำลายนิ้วมือขนาดใหญ่สีส้มเป็นเสื้อปรัชญาปีที่แล้ว พี่จ๋าคงไปหามาจากห้องเก็บของของภาค ตอนที่เอาของไปเก็บเมื่อกี๊

“พี่จ๋าครับ” เสียงเรียกจากรุ่นน้องปีสามทำให้คนที่กำลังเดินไปปะรำพิธีต้องหันกลับมา “ขอบคุณนะพี่”

คำขอบคุณอย่างจริงใจนั้นเรียกรอยยิ้มจากสาวผมสั้นได้ไม่ยาก “ไม่เป็นไรๆ ถ้าอีตี้เผลอเดี๋ยวพี่เอาเสื้อรุ่นใหม่มาให้อีก”

“อ้าวอีจ๋า นี่เพื่อนไง อย่าเห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนสิคะ” คนถูกพาดพิงชี้นิ้วไปยังชะนีที่หักหลังเพื่อน

“มึงก็กลับมาเป็นผู้ชายสิตี้ กูจะได้เห็นมึงดีกว่า” พี่จ๋าเถียงกลับทันควัน

“ว๊าย!! กูยังไม่อยากโดนฟ้าผ่าตายก่อนได้ทำนมนะ”

เห็นสาวๆ ปีสี่ยังเถียงกันอีกนาน ภูมิเลยขอตัวพาเพื่อนใหม่ไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องน้ำในภาค ถ้ายังอยู่ต่อมีหวังเป็นปอดบวมตาย หรือไม่ก็ขำจนตายนั่นแหละ!


ฝนเริ่มซาลงแต่ก็ยังไม่หยุดตก ตอนนี้พิธีทุกอย่างหยุดชะงักลงทั้งหมดเพราะเต็นท์เจิ่งนองไปด้วยน้ำจนเละเทะ และน่ากลัวว่าพิธีแห่พระคเณศไปสระน้ำกลางมหาวิทยาลัยอาจต้องยกเลิกไปด้วย

“ถ้าถึงเวลาแล้วฝนยังไม่หยุดจริงๆ ผมว่าสุดท้ายคงต้องยกเลิกขบวนแห่ล่ะครับ” อาจารย์กฤตขวัญใจนักศึกษาพูดอย่างหนักใจ

“โอ้...แต่ผมว่า ไม่ต้องยกเลิกหรอกครับ” ผู้คงสถานะพราหมณ์ออกความเห็น “องค์พระคเณศก่อกำเนิดจากธรรมชาติ จะพร่างพรมด้วยน้ำฝนจากธรรมชาติก็ไม่แปลก แต่ไม่ต้องมีพิธีเอิกเริกใหญ่โต เราแค่อัญเชิญรูปปั้นไปที่สระน้ำก็พอครับ”

ทว่าโชคยังเข้าข้าง เมื่อเมฆทะมึนเริ่มพัดผ่านไปพร้อมสายฝน กลายเป็นฟ้าใสๆ เสมือนพายุลูกใหญ่เมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา เหลือเพียงรอยชื้นและความชุ่มฉ่ำเท่านั้น ที่พอยืนยันได้ว่าฝนตกหนักจริงๆ

ผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากเริ่มมาเข้าแถวร่วมขบวนแห่กันตรงลานที่จัดงาน ภาคภูมิช่วยดูแลทุกคนให้อยู่ในความเรียบร้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหนุ่มเภสัชหน้าหล่อในเสื้อยืดปรัชญายืนอยู่ด้วย ภูมิทักทายอีกฝ่ายสองสามคำ ก่อนจะขอตัวไปเดินดูรอบๆ ขบวน

“พีพี” ไอ้ท่านขุน รุ่นน้องปีสองที่หายหน้าหายตาไปนานเดินเข้ามาทัก หลายคนบอกว่ามันไปติดน้องหลีดปีหนึ่ง เลยไม่ยอมโผล่หัวมาช่วยงานภาค แต่ก็ยังดีที่มันยังมาร่วมขบวนแห่สุดท้ายของงานนี้

“ว่า” รับคำคนเรียกแล้วก็หันไปสนใจเสียงในวอต่อ “..กำลังไปครับ”

“ยุ่งเหรอ” เสียงหงอยๆ นั่นทำเอาคนกำลังหันหลังกลับต้องทำหน้าเหนื่อยใจใส่

“เห็นกูว่างเหรอออ” พอโดนด่าไปทีหนึ่ง ไอ้ขุนก็ยิ้มเผล่สดใส ไอ้ห่านี่!

ส่ายหัวหน่ายๆ ก่อนจะเดินหนีไปท้ายขบวน ตอนนี้ผู้ชายร่างยักษ์หกคนกำลังช่วยกันยกองค์พระพิฆเนศลงจากแท่นเพื่อมาตั้งบนเสลี่ยงแทน ภูมิวิ่งไปช่วยเคลียร์บรรดาไทยมุงโดยรอบเพื่ออำนวยความสะดวกให้คนยกพระ และหนึ่งในคนที่กำลังประคองรูปปั้นก็คือปรนัย ซึ่งใส่เสื้อที่ให้เขายืมวันก่อน กับกางเกงยีนส์สีซีดที่มันชอบใส่ประจำ

“พีพี” คราวนี้คนเรียกคือเพื่อนสนิทที่เขากำลังนินทาในใจ คนถูกเรียกจึงสาวเท้าเข้าไปหา

“ไหวเปล่า” ภูมิเอ่ยถามคนที่ได้รับบทหนัก เนื่องจากรูปปั้นพระคเณศปีนี้องค์ใหญ่มากจึงต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงถึงหกคนช่วยกันแบก และปรนัยก็ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในนั้น

“จิ๊บ จิ๊บบบ” ถึงมือจะยังปาดเหงื่อไม่เลิก แต่ใบหน้าคมก็ยังส่งยิ้มหวานๆ มาให้เป็นเครื่องยืนยันว่า ‘จิ๊บ’ แค่ไหน ภาคภูมิหัวเราะไปกับท่าทางนั้น ก่อนจะส่งทิชชู่ในมือไปให้แทน

“ทิชชู่มือสองปะเนี่ย” แกล้งแซวไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ใช้ของต้องสงสัยในการเช็ดเหงื่อตัวเองอยู่ดี

เสียงอาจารย์กฤตดังมาตามวอให้ทุกฝ่ายสแตนด์บาย เพราะขบวนจะเคลื่อนในอีก 5 นาทีนี้ ภาคภูมิจึงบอกลาเพื่อนเพื่อไปตรวจตราความเรียบร้อยอื่นๆ ต่อ

“มึง” มือหนาคว้าข้อมือขาวเอาไว้ “ฝากด้วย”

โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์สีเข้มของเด็กยกพระยื่นมาตรงหน้า ภาคภูมิพยักหน้าก่อนจะคว้าทั้งหมดมาใส่เป้ด้านหลัง

“สำคัญนะ” เสียงทุ้มเอ่ย

“มือถือกับเป๋าตังค์เนี่ยเหรอ” ร่างโปร่งหันหลังโชว์เป้ซึ่งมีของสองสิ่งอยู่ด้านใน

“เปล่า” ปฏิเสธเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มให้คนทำหน้าเหรอหรา “กูหมายถึงมึง”

   คนโดนหยอดซึ่งๆ หน้าสบถคำหยาบสองสามคำแล้วรีบเดินหนี ส่วนไอ้ตัวแสบก็ยืนหัวเราะสะใจที่แกล้งเพื่อนได้เป็นครั้งแรกของวัน


   ขบวนแห่ซึ่งกินพื้นที่ทั่วลานอักษรค่อยๆ เคลื่อนที่ไปตามทางเดินสู่ถนนใหญ่ พี่ปีสี่และอาจารย์กฤตเดินนำหน้าขบวน ตามด้วยผู้ร่วมงานซึ่งมีจำนวนนับร้อยคน ก่อนจะปิดท้ายด้วยท่านพราหมณ์ธาร และเสลี่ยงรูปปั้นองค์พระคเณศที่หามโดยผู้ชายหกคน

เสียงโห่ร้องจากคนเข้าร่วมและคนที่ยืนรอชมโดยรอบดังกึกก้อง อาจารย์ธารเป็นต้นเสียงตะโกนภาษาฮินดี ก่อนทุกคนจะตอบรับว่า “โมรยา” อันหมายถึงการอวยพรให้พระพิฆเนศจงเจริญ ระหว่างที่ขบวนแห่เดินไปเรื่อยๆ ก็มีการสาดโปรยผงสีแดงซึ่งเรียกว่าผงสินทูรเพื่อความเป็นสิริมงคลไปด้วย สำหรับใครที่เคยเข้าร่วมในปีก่อนๆ ก็จะรู้ว่างานนี้ต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยผงสีแดงนี้แบบเต็มๆ บางคนจึงใส่เสื้อคลุมกันฝนแบบเตรียมพร้อม ส่วนใครที่ไม่ได้เตรียมมาก็เลอะเทอะไปตามๆ กัน

   “พี่ภูมิๆ” รุ่นน้องผู้ชายปีสองตะโกนเรียกภาคภูมิซึ่งอยู่ในเสื้อคลุมกันฝนแบบใส

   คนถูกเรียกโบกมือบอกตำแหน่งก่อนจะตะโกนกลับไป “ว่าไงปลื้ม”

   ระหว่างกำลังชุลมุนกับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเสริมในขบวน ภาคภูมิก็ถูกผู้ชายร่างควายสามสี่คนล็อกเอาไว้ ก่อนไอ้ปลื้มที่ตะโกนเรียกเขาเมื่อกี๊จะพุ่งมากระชากเสื้อกันฝนของเขาออก

   “เชี่ยปลื้มมม โว้ยยย ปล่อยกูๆๆๆ” ภาคภูมิทั้งดิ้นทั้งสะบัดตัวออก ทว่ารอบข้างเริ่มเบียดเข้ามาแน่นจนคนถูกรุมขัดขืนไม่ได้

   “ฮ่าๆๆ มันคือช่วงล้างแค้นเว้ยพี่!!” พอเสื้อคลุมใสๆ นั่นขาดออกจากกัน เด็กปีสองก็สาดผงสินทูรใส่รุ่นพี่ที่เป็นตัวประกันทันที

“เชี่ยยย!!” คนโดนแกล้งหลับตาปี๋ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเลอะเทอะไปด้วยสีแดงเถือก ภูมิคว้าถุงผงสีในมือไอ้น้องทรยศแล้วสาดใส่พวกมันบ้าง แต่ไอ้แก๊งแสบดันหลบทัน

“ฮ่าๆๆๆ หายกันเว้ยพี่ ปีที่แล้วเล่นพวกผมซะเยอะ” รุ่นน้องหัวเราะ ปีที่แล้วพวกเขายังไม่รู้อะไรมาก เลยเจอพวกพี่ภูมิพี่ปอเทผงสีใส่จนล้างไม่ออกไปหลายวัน

แก้แค้นเสร็จไอ้พวกน้องเลวก็เดินเบียดฝูงชนหนีไป ทิ้งให้เขายืนโง่ๆ กับผงแดงๆ นี่คนเดียว คนโดนเอาคืนขยี้หัวให้ฝุ่นสีกระจายออกไปบ้าง แต่เหมือนยิ่งขยี้มันยิ่งติดแน่นกว่าเดิม

“ล้างหน้าหน่อยมั้ย” ขวดน้ำดื่มถูกยื่นมาให้ พร้อมรอยยิ้มของหนุ่มเซ็กซี่บอยที่ภูมิเห็นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้

“เอ้อ...ขอบคุณนะ” มือเรียวรับขวดน้ำนั้นมา ก่อนจะราดลงบนใบหน้าตัวเอง

น้ำเย็นๆ พอช่วยชะล้างคราบสีแดงบนใบหน้าออกไปได้บ้าง ภูมิอยากจะหยิบทิชชู่ในกระเป๋ามาใช้ แต่ก็กลัวว่าของข้างในจะเลอะไปด้วย

“โทษที ไม่มีทิชชู่อะ” เพื่อนใหม่พูดออกมาเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหาอะไร

“เอ๊ย!! ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวก็แห้ง”

“เช็ดเสื้อเราได้นะ” เสียงทุ้มบอกอย่างอารมณ์ดี แถมยังชี้ๆ ที่เสื้อสะอาดใต้ชุดกันฝนของตัวเองอีก

“ฮ่าๆ มีน้ำใจเกินไป๊”

“เออนี่” คนหล่อแห่งเภสัชเอ่ยขึ้นมา “เราชื่อวินนะ”

“เราภูมิ”

“จริงๆ รู้แล้วแหละ มีแต่คนเรียกภูมิทั้งวัน ฮ่าๆ”

“ไม่ขนาดนั้นแมะ” คนฮอตยิ้มบางๆ สองเท้าก้าวตามขบวนไปด้วย “วินนี่วินไหน วิน-ชนะ หรือ วินด์-ลม”

“อ่า...ไม่ใช่ทั้งสองคำ”

“อ้าว”

“วิน-ทวิน” เจ้าของชื่ออธิบาย

“โห เท่มาก” คนฟังพึมพำ “แล้วไมชื่อนี้อะ”

“ก็มีฝาแฝดไง น้องเราชื่อ ไวซ์ – ทไวซ์”

“โคตรลึกซึ้ง...”

พูดไม่ทันจบประโยค เขาก็ต้องกลับมาสนใจเสียงในวอเสียก่อน อาจารย์กฤตแจ้งว่าหัวขบวนถึงบริเวณริมน้ำแล้ว ภูมิที่อยู่กลางขบวนจึงผละจากเพื่อนใหม่ เพื่อไปช่วยเคลียร์ทางให้คนแบกเสลี่ยงองค์พระได้เดินมายังด้านหน้าได้สะดวก แม้จะวุ่นวายกับงาน แต่เขาก็ยังอดหันไปมองคนที่กำลังยกพระพิฆเนศไม่ได้ ปอดูเหนื่อยมาก แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อนั้นก็ยังสดใสร่าเริงเหมือนเดิม แว่บหนึ่งที่ดวงตาคมหันมาสบตากับเขาแล้วรอยยิ้มคุ้นเคยก็ส่งตามมา ชั่วเวลานาทีสั้นๆ ที่ภูมิรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน...

ทำไมคนบางคนถึงมีอิทธิพลได้ขนาดนี้

อาจารย์ธารเดินนำเสลี่ยงพระมาถึงริมสระน้ำ ตอนนี้ผู้คนที่ร่วมขบวนกระจายตัวไปยืนดูกันรอบๆ ภูมิเห็นพวกไอ้แก้วกวักมือเรียกอยู่ตรงหัวสะพานไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดทำพิธี ร่างโปร่งจึงรีบวิ่งไปสมทบกันเพื่อนก่อนทำเลดีๆ จะถูกจับจองไป

“เชี่ยปอเป็นไงมั่งอะ” ชิงชิงถามเพื่อนที่รับหน้าที่เคลียร์ท้ายขบวน

“เหงื่อท่วม” ภูมิตอบตามที่เห็น

“ถึงว่า มีแต่สาวๆ คอยซับเหงื่อให้”

   สาบานว่าไม่ได้คิดอะไรจากคำพูดนั้นของเพื่อน แต่ที่หันขวับไปมองยังคนแบกเสลี่ยงนี่เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่มนุษย์ทั่วไปก็เป็นกัน ทว่าเสียงหัวเราะของไอ้เพื่อนชั่วที่ดังลั่นตามมา ทำให้เขารู้ว่าครั้งนี้เขาพลาดไปเสียแล้ว

   “ฮ่าๆๆ โอ๊ยยย หวงจริงโว้ย!”

   “สัสพวกนี้นี่!!” หันกลับมาด่าเพื่อนตัวเองทันควัน ก่อนหางตาจะได้เห็นว่ามีใครบางคนยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ

   วินโบกมือทักคนที่กำลังทำหน้าเหี้ยมใส่เพื่อน เพิ่งเคยเห็นภูมิทำหน้าอื่นๆ นอกจากหน้านิ่งๆ แล้วก็ตลกดีเหมือนกัน

เพราะรำคาญไอ้พวกขี้แซว ภูมิเลยย้ายที่ไปยืนข้างเพื่อนใหม่ ซึ่งพอดีกับที่อาจารย์ธารเริ่มทำพิธีอารตีรอบสุดท้าย พวกเขาเลยไม่ได้คุยอะไรกันอีก


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 คเณศจตุรถี (Update! 05/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 21-03-2017 00:36:36
สระน้ำที่ขบวนแห่เดินมาถึงนี้ เป็นบ่อน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัย โดยรอบรายล้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ส่วนตรงกลางมีสะพานพาดผ่านให้สัญจรเดินข้ามฝั่ง ถือเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของนักศึกษาในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ ซึ่งสามารถมานั่งเล่นนอนเล่นกันได้ แต่ตอนนี้สระน้ำกำลังทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง คือเป็นที่รับองค์พระคเณศลงสู่ก้นสระ ตามความเชื่อของชาวอินเดีย ที่จะทำพิธีลอยพระคเณศลงสู่แม่น้ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการส่งพระองค์กลับไปยังเทวโลก หรืออีกนัยคือการส่งคืนสู่สภาวะทางธรรมชาติ

ภูมิแทบหัวใจหยุดเต้นเมื่ออาจารย์ธารส่งสัญญาณให้คนแบกองค์พระก้าวลงไปยังสระน้ำได้ ภาพที่เห็นคือปรนัยและนักศึกษาอีกห้าคนค่อยๆ ประคองรูปปั้นนั้น ก่อนจะก้าวเท้าไต่ลงไปตามตลิ่ง ผู้คนรอบข้างที่มุงดูอยู่ต่างส่งเสียงให้กำลังใจกันเนืองแน่น จนในที่สุดคนที่แบกองค์พระด้านหน้าก็ก้าวเท้าลงสระน้ำไปก่อนคนอื่นๆ จะก้าวตาม

เสียงปรบมือดังกึกก้อง แต่ภาคภูมิไม่มีกระจิตกระใจจะร่วมเชียร์ด้วย เพราะตอนนี้เขาห่วงคนที่อยู่ในน้ำจนแทบบ้า หลังฝนตกแบบนี้ น้ำในสระก็สูงขึ้นจนแทบมิดสะพาน และในตอนที่ปอก้าวลงไป ร่างสูงๆ นั่นก็จมลงไปเกือบถึงคอ

“กรี๊ดดดดด...”

เสียงหวีดร้องของคนดูดังขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อผู้ที่อุ้มพระคเณศคนหนึ่งเสียหลักจนเกือบล้ม ดีว่าเกาะเสาไม้ใกล้ๆ ไว้ได้ทัน แต่ก็ทำให้คนอื่นๆ พลอยเสียหลักด้วย ภูมิเห็นปอคว้าเสาอีกอันก่อนจะรีบปล่อยด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก พอทุกคนทรงตัวได้ ชายหนุ่มทั้งหมดก็ค่อยๆ ว่ายน้ำออกไปอีกประมาณ 100 เมตร เพราะต้องลอยรูปปั้นในที่น้ำลึกมากพอที่จะให้องค์พระขนาดใหญ่จมมิด

“ปล่อยได้...” สิ้นเสียงอาจารย์ธารกล่าวให้สัญญาณ คนที่ประคองรูปปั้นอยู่ก็ค่อยๆ ปล่อยองค์พระคเณศให้จมลงใต้น้ำในที่สุด
เมื่อเสียงโห่ร้องด้วยความปีติยินดีดังขึ้น คนที่ยืนลุ้นจนแทบหยุดหายใจก็รีบพุ่งตัวหมายจะไปยังริมสระน้ำ แต่แรงกระตุกที่ข้อมือทำให้ภูมิต้องหันไปมองอย่างสงสัย และพบว่าสายตาคมของเพื่อนใหม่จ้องมองเขาอยู่ ก่อนเจ้าของมือหนาจะเอ่ยขึ้น

“อยู่ตรงนี้แหละ ตรงนั้นคนเยอะนะ”

ภาคภูมิชะงักค้าง ตากลมหันไปดูตรงจุดทำพิธีอีกครั้ง ตอนนี้ผู้คนมากมายพยายามเบียดเสียดเข้าไปดูองค์พระคเณศและพูดคุยกับอาจารย์ธาร แต่เขาไม่ได้โฟกัสอะไรเลย นอกจากร่างสูงๆ ของเพื่อนสนิทที่กำลังว่ายน้ำเข้าฝั่ง

“โทษที” ภาคภูมิบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย “มีคนฝากของสำคัญไว้กับเรา”

พูดจบร่างโปร่งก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามองเพื่อนใหม่อีก วินยิ้มกับตัวเอง ...ของสำคัญหรือคนสำคัญกันนะ


ภูมิไม่รู้ว่าตัวเองมุดฝ่าวงล้อมไปจนถึงริมสระได้ยังไง แต่มือเรียวก็ยื่นมาให้คนกำลังปีนขึ้นฝั่งจับได้ทันพอดี ปรนัยมองคนที่ยังหายใจหอบแล้วก็ขำ ไม่รู้ใครจะต้องช่วยดึงใคร หากสุดท้ายมือแกร่งก็คว้าฝ่ามือตรงหน้าไว้ก่อนจะปีนขึ้นจากบ่อน้ำมา

 “อะ” ภูมิหยิบผ้าเช็ดตัวในกระเป๋าให้เพื่อน คนเปียกโชกทั้งตัวเอ่ยขอบคุณแล้วรีบเช็ดร่างกายที่เริ่มหนาวของตัวเอง

“เอาเสื้อคลุมมั้ย” เห็นคนเปียกตัวสั่นๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีเสื้อคลุมอยู่ในเป้ ทว่าปรนัยปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้เสื้อเหม็นน้ำในสระไปด้วย

   “กูไหวๆ แต่เดี๋ยวมึงดึงเสี้ยนออกให้หน่อยนะ” ปรนัยยื่นนิ้วที่มีรอยแดงให้เพื่อนดู

“ที่จับเสาตอนจะล้มเหรอ”

“อือ” คนนิ้วเจ็บรับปากเบาๆ ก่อนนึกเอะใจ “งี้ก็เห็นดิว่ากูเซ โห่! ไม่คูลเลย”

มือเรียวผลักหัวคนไม่คูลแล้วหัวเราะ “สภาพแบบนี้ยังจะห่วงความคูลอีกเนอะมึง”

นั่งพักพอหายเหนื่อย ภูมิก็ชวนปอไปรวมกลุ่มกับเด็กปรัชญาบนสะพานข้ามสระน้ำ เพราะอาจารย์กฤตบอกกับทุกคนให้มาเจอกันหลังพิธีเสร็จ เมื่อไปถึงก็เห็นว่าพี่ๆ น้องๆ หลายคนกำลังถ่ายรูปเล่นกันอยู่

“เอ้า! มาๆ ถ่ายรูปรวมปีสามกันมึง” คนเรียกคือสิปป์ศิลป์ ซึ่งละจากการยิ้มให้กล้องมาเรียกเพื่อนที่เพิ่งมาถึง

ปอกับภูมิวิ่งไปเข้าเฟรม ก่อนตากล้องซึ่งก็คือไอ้เมตเพื่อนไอ้สิปป์จะรัวถ่ายไม่ยั้ง

“เหมือนถ่ายศพเลย ตัวแดงเถือกกันทั้งนั้น” ตากล้องพูดขณะกดดูภาพ ปรนัยถึงได้สังเกตกว่าคนอื่นๆ เลอะผงสีแดงกันจริงๆ ยิ่งไอ้ภูมินี่ยังกะตกถังสีมา

“พีพี เดี๋ยวเสร็จงานแล้วกลับไปอาบน้ำเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

คนโดนสั่งทำหน้ายุ่งก่อนจะปฏิเสธ “ไม่เอาอะ จะช่วยเค้าเก็บของกันก่อน”

“เดี๋ยวค่อยมา ตัวมึงดูช้ำเลือดช้ำหนองขนาดนี้ ไปหยิบอะไรก็เปื้อนหมดดิ”

ไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ อาจารย์กฤตก็พาอาจารย์ธารมาสมทบ เมื่อครบองค์ประชุมแล้วอาจารย์เลยให้ทุกคนมาถ่ายรูปรวมกัน เพราะงานนี้แทบจะเป็นงานเดียวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งภาค แม้สภาพแต่ละคนจะไม่เหมาะกับการถ่ายรูปก็ตาม

“ขอบคุณทุกคนมากเลยนะครับ” พอถ่ายรูปเสร็จอาจารย์สุดหล่อก็หันไปกล่าวขอบคุณเด็กๆ “ยังไงผมขอรบกวนทุกคนอีกแค่เรื่องเดียว ตอนห้าโมงเย็นเราไปช่วยกันเก็บของหน่อยนะครับ”

“โอ้...เข้าใจว่าทุกคนเหนื่อยกันมามาก เดี๋ยวเก็บของเสร็จเรามากินข้าวด้วยกันนะ ผมสั่งส้มตำเจ๊ติ๋มไว้ เย็นนี้ใครไม่มานี่พลาดนะครับ”

“พลาดส้มตำเหรอคะ” รุ่นน้องปีสองเอ่ยถาม

“พลาดเก็บขยะ!” อาจารย์ธารตอบอย่างรวดเร็ว เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี

“ห้าโมงเย็นเจอกันที่ภาคนะครับ” สองอาจารย์ย้ำกับนักศึกษาอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนไปพักผ่อน


“ภูมิ! ไปยัง!” ปรนัยคว้าเป้ของภาคภูมิมาถือไว้ เพราะเจ้าของตัวจริงกำลังวุ่นวายกับการถ่ายรูปไม่เลิก จนเขาต้องเดินไปคว้าตัวมันออกมาเอง เออ… มือนึงลากเป้ อีกมือลากเจ้าของเป้ ภาระกูจริงโว้ยยย!!

“เราไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” คนที่ถูกล็อกคอโบกมือลาเพื่อนใหม่ทั้งที่ยังงงๆ อยู่ ถ่ายรูปกับวินอยู่ดีๆ ไอ้ห่านี่ก็ใช้แรงควายลากเขาออกมาเฉยเลย

“เป็นไรมึง” ตอนนี้ร่างโปร่งของภาคภูมิเป็นอิสระแล้ว แต่คนข้างๆ ก็ยังดูอารมณ์บูดไม่หาย

“กูหนาว” อีกฝ่ายตอบเสียงนิ่งขณะไขกุญแจปลดล็อกจักรยาน

“อ่อ...” ภูมิเงียบไปสักพัก “เดี๋ยวกูกลับเองก็ได้ มึงจะได้รีบไปอาบน้ำ”

“ไปอาบห้องกูแล้วกัน เดี๋ยวให้ยืมชุด”

“ฮะ??”

“จะได้รีบมาช่วยเก็บของ”

เสียงเข้มๆ นั้นทำให้ภูมิไม่กล้าแย้งอะไรอีก ถึงในใจจะมีคำถามมากมาย เป็นต้นว่า “การต้องไปรอคิวอาบน้ำที่ห้องมึงนี่มันช่วยประหยัดเวลายังไง” แต่เขาก็ยังรักตัวกลัวตายด้วยการอยู่เงียบๆ ไปก่อน เพราะมนุษย์ร่าเริงอย่างไอ้ปอ พอเข้าโหมด ’รมณ์เสียแล้ว ช่างที่ไหนก็ซ่อมให้ไม่ได้


ถึงจะเคยมาห้องไอ้ปอบ่อยๆ แต่การมาเพื่ออาบน้ำนั้นเป็นครั้งแรก ตามประสาหอพักนักศึกษาชายทั่วไป ห้องของปรนัยจึงไม่ได้มีข้าวของอะไรมากนัก นอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่หอพักมีให้ กับของใช้ส่วนตัวอีกนิดหน่อย ยิ่งห้องน้ำยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากภาคภูมิจะได้ปวดประสาทกับสบู่ก้อนที่ถูเท่าไรก็ไม่มีฟองแล้ว เขายังต้องมาผมแห้งสากเพราะเจ้าของห้องไม่มีครีมนวดผมอีก

ปอมองตามร่างโปร่งที่เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ จริงๆ ก็อยากจะอธิบายแบบอีโรติกๆ เช่น ผิวขาวที่พราวไปด้วยหยดน้ำกับกลิ่นหอมเตะจมูกอะไรทำนองนั้น แต่ขอโทษที ไอ้ห่านี่ใส่เสื้อบอลกับกางเกงขาสั้นเข้าชุดกันออกมาเรียบร้อย...

“ว่า??” คนถูกมองหันไปถามกับสายตาที่จ้องมาไม่พัก เจ้าของห้องสั่นหัวปฏิเสธ ก่อนจะหันไปสนใจทีวีเหมือนเดิม

แขกของห้องเดินมาทรุดตัวลงที่ขอบเตียง เพราะเจ้าของห้องอยากได้พื้นที่หน้าทีวีกว้างๆ เอาไว้นั่งเล่นเกม เตียงนอนที่ควรจะวางตามปกติ เลยถูกปรนัยหมุนให้ด้านยาวขนานกับโทรทัศน์ ส่วนหัวเตียงและปลายเตียงก็อยู่ในแนวขวางไป ถ้าคิดจะดูหนังก็ต้องนอนตะแคงข้างดู ดังนั้นใครที่เคยมาห้องนี้เป็นต้องบ่นปวดคอทุกราย ยกเว้นเจ้าของห้องที่ดูจะชินกับมุมมองภาพแบบนี้ไปแล้ว

โทรทัศน์ขนาด 26 นิ้วฉายภาพรายการตลกที่ขำบ้างบ้างไม่ขำบ้าง ภาคภูมิดูไปเช็ดผมไปด้วย รู้สึกเจ็บหนังศีรษะเบาๆ เมื่อเผลอเสยผมแบบที่เคยชิน จึงนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะถามเจ้าของห้องตอนออกมาจากห้องน้ำ

“นี่มึงไม่ใช้ครีมนวดผมเหรอ”

“หือ” คนที่นอนตะแคงดูทีวีอยู่แปลกใจในคำถามนั้น แต่ก็ตอบออกไป “เออ ล้างยากอะ เหมือนสระผมไม่เสร็จ”

“แล้วผมไม่แข็งเหรอวะ เวลาหวีมันไม่พันกันเหรอ” ภูมิถามต่อ มือเรียวยังคงขยี้ผ้าผืนเล็กกับผมตัวเองสลับกับก้มหัวเป่าพัดลมไปด้วย “เฮ่ย!!!”

คนนั่งเป่าผมร้องเสียงหลง เพราะอยู่ๆ หัวทุยๆ ของเจ้าของห้องก็เลื้อยมาอยู่บนตักแบบไม่ทันตั้งตัว แถมแขนยาวๆ ยังเอื้อมมาดึงมือเขาไปแปะบนหัวตัวเองเสียอีก

“แข็งมั้ยล่ะ” ตารีเล็กจ้องมองใบหน้าเจ้าของตักด้วยสายตาพราวระยับ

“อะไร!” คำถามสองแง่สองง่ามทำเอาภาคภูมิรู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูก

“ผมงายยย คิดว่าอะไรล่ะ ฮ่าๆๆ”

“ลุกไปเลย แม่ง” บ่นอุบอิบก่อนฝ่ามือขาวจะผลักคนขี้แกล้งเต็มแรงจนหัวของปรนัยห้อยลงจากเตียง ทว่าอีกฝ่ายไม่ละความพยายาม ร่างสูงตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วพาหัวของตัวเองมาหนุนตักอีกคนเช่นเดิม

“โอ๊ยยยย กูหนักกกก” ภาคภูมิทั้งโวยวายทั้งสั่นขา แต่ไอ้กุมารทองที่ยึดตักเขาแทนหมอนกลับไม่ขยับเขยื้อนสักนิด

“น้องพีพีครับ มาอาบน้ำห้องคนอื่นแล้ว ก็ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับเจ้าของห้องเค้าบ้างสิครับ”

‘น้องพีพี’ มองคนช่างลำเลิกบุญคุณแล้วก็ได้แต่กรอกตาไปมา “เดี๋ยวกูจ่ายค่าน้ำให้ก็ได้”

“ม่ายอาววว” คนบนตักโวยวายบ้าง ภูมิเอานิ้วจิ้มหน้าผากเด็กนรกไปทีหนึ่ง นึกอยากถามว่าคุณปรนัยคนขรึมที่ว้ากเขาเมื่อตอนก่อนกลับมามันหายไปไหนแล้ว แต่เห็นอีกฝ่ายอารมณ์ดีเหมือนเดิมแล้วก็ไม่อยากจะทำให้บรรยากาศเสีย

“เออ เสี้ยนที่นิ้วออกไปยัง” ถามอย่างนึกขึ้นได้ และปอก็ชูนิ้วชี้ที่มีจุดสีแดงๆ อยู่ตรงปลายนิ้วให้ดู

“ยัง คันมากอะ”

“ไปเอาที่ตัดเล็บมาดิ เดี๋ยวเอาออกให้” ว่าที่บุรุษพยาบาลสั่งเจ้าของห้อง เรื่องเอาเสี้ยนออกนี่งานถนัด ช่วยพ่อแงะมาตั้งแต่เด็กๆ

ร่างสูงเดินโซเซไปหยิบของตามคำสั่ง ก่อนจะกลับมาทิ้งตัวลงนอนตำแหน่งเดิม ภาคภูมิมองเพื่อนสนิทที่ผีเด็กเข้าสิงแล้วได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมคว้านิ้วที่มีเสี้ยนคาอยู่มาพลิกดูไปมา

“นอนดีๆ ไม่ถนัดอะ”

พอถูกสั่งอย่างนั้น ปอจึงต้องพลิกตัวที่นอนตะแคงดูโทรทัศน์อยู่กลับมานอนหงาย และนั่นเองที่ทำให้เขาได้เห็นใบหน้าเล็กที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะกำลังจดจ่อกับปลายนิ้วของเขา ปรนัยลอบมองดวงตากลมกับปลายจมูกเล็กๆ ที่รับกับเรียวปากบาง น่าเสียดายที่มหา’ลัยนี้ไม่มี Cute Boy เหมือนที่อื่น ไม่งั้นน้องพีพีคงครองตำแหน่งให้สาวๆ ได้กรี๊ดกันไปตั้งแต่ปีหนึ่ง

...แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน

“เสร็จแล้ว เจ็บมั้ย” คนที่ได้ตำแหน่งคิวท์บอยโดยไม่รู้ตัวเอ่ยถามเจ้าของปลายนิ้วในมือ

คำถามที่มาพร้อมรอยยิ้มหวานๆ ทำเอาปรนัยถึงกับนึกคำตอบไม่ออก ตาคมจึงทำได้เพียงจ้องมองริมฝีปากที่ขยับไปมาคล้ายถูกมนตร์สะกด

“เป็นไรมึง เจ็บเหรอ” บุรุษพยาบาลก้มหน้าลงมองคนที่นอนตัวแข็งเป็นหิน แล้วก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ นี่ว่าเชี่ยวชาญการดึงเสี้ยนแล้วนะ ไรวะ ฝีมือตกเหรอ

“...............” เมื่ออีกฝ่ายยังคงไร้คำตอบ ภูมิจึงจับนิ้วของคนเจ็บขึ้นมา แล้วเป่า “เพี้ยง!” เหมือนต้องการบรรเทาแผลเล็กๆ นั้น

“อ้าว...”

อยู่ๆ คนบนตักก็ลุกพรวดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง

“ไปเหอะ จะห้าโมงละ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเบาๆ ก่อนขายาวจะก้าวพรวดๆ ไปหยิบข้าวของแล้วเดินไปที่ประตู ภูมิเลยต้องคว้ากระเป๋าเป้แล้วเดินตามออกไปโดยเร็ว

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย รอกูด้วย!”

ปรนัยไม่แม้แต่จะหันไปมองคนที่วิ่งตามมา คำถามนั้นของภาคภูมิเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน รู้แค่ว่ามันต้องเป็นแหละ เป็นอะไรสักอย่าง...

...โดยเฉพาะหัวใจกูเนี่ย!




TBC.


ฮัลโหลลลล
พบคนสับสน 1 อัตรา ใครก็ได้ช่วยชี้ทางสว่างให้คุณปรนัยเค้าหน่อย
เค้าอาจต้องการหมอช่วยตรวจโรคหัวใจค่ะ

 :กอด1: :กอด1:

ทอล์กไม่ไหวแล้ว ง่วงมาก 55555
ไว้เมาท์กันต่อในเพจน้า
ใครอยากอัพเดตข่าวสารของเรา คลิกเลยยย
https://www.facebook.com/lykarfanpage

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
บ้ายบายย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 21-03-2017 08:13:31
ว้ายๆๆๆ ปรนัย หัวใจเป็นไรจ้ะ อิอิ
รีบหาทางสว่างหน่อยนะ พีพีคิ้วท์บอยเสน่ห์แรงมาก ขอบอก 5555
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-03-2017 08:45:00
วิน มาติดหนึบพี ใช่มั้ย
ปอ ทำแบบนี้ ใจพี เต้นหน่วงเลย
แต่ที่ปอ เป็นแบบนี้ก็เพราะพี นี่แหละ
ปอ คงอยากฟัดๆ พีเต็มแก่
กลัวว่าถ้าไม่รีบออกไป ได้จูบปากพี แน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-03-2017 09:24:46
รีบหาความกระจ่างเลยนะปอ พีพีเสน่ห์แรงนะบอกก่อน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-03-2017 09:25:31
รีบรู้หัวใจตัวเองเร็วๆนะ ไม่งั้นเราจะเชียร์วิน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: CanonDNattari ที่ 21-03-2017 10:10:00
มันต้องมีตัวเร่งปฏิกริยาสินะ ถึงจะรู้ใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 21-03-2017 11:00:27
ในที่สุดปอก็ใกล้รู้ตัวแล้ว พีพีน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-03-2017 12:15:14
ไม่รู้ตัวหรือไม่รู้ใจ ระวังเซ็กซี่บอยคาบไปรับทานนะคะ ถึงน้องพีพีจะยังไม่ให้ความร่วมมือก็เถอะ

พบคำผิด1คำจ้ะ แต่หลายที่เลย สระพาน ที่ถูกคือ สะพาน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-03-2017 12:46:44
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 21-03-2017 13:27:14
ไม่รู้ตัวหรือไม่รู้ใจ ระหวังเซ็กซี่บอยคาบไปรับทานนะคะ ถึงน้องพีพีจะยังไม่ให้ความร่วมมือก็เถอะ

พบคำผิด1คำจ้ะ แต่หลายที่เลย สระพาน ที่ถูกคือ สะพาน

ตายแล้วววววว ทำไมเขียนผิดแบบนี้ ตีมือตัวเองรัวๆๆ ค่า
ขอบคุณมากเลยนะคะ เจอคำไหนอีกบอกเราได้เลยน้า

ขอบคุณมากๆ ค่า
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 21-03-2017 13:46:23
เสียดายตอนนั้นไม่กล้าไปดูพิธีที่ภาคจัด  ดูแปลกตาจริงๆค่ะ ปล.critical thinking  ทำให้เรากลับบ้านช้า T T
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 24-03-2017 10:24:16
ตอนนี้..."สาแก่ใจอีช้อยนัก"  :laugh:

ปอเอ๋ย รู้แล้วรึยังว่าทำไมน้องพีพีถึงเนื้อหอม แกล้งเขาเล่นดีนัก โดนพลังดาเมจของ cute boy เข้าไป โรคหัวใจถามหาเลยนะ 555

พิธีในตอนนี้มีลุ้นมากค่ะ ฝนตก พื้นเฉอะแฉะ น้ำขึ้นสูง ไม่ศรัทธาจริงไม่ทำต่อแน่ค่ะ

ตอนหน้าขอท่านขุนกะทวินแท็กทีมมาปั่นพี่ปอเขาอีกนะคะ อีช้อยเคี้ยวหมากรอเลย

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 27-03-2017 16:36:42
พีพี น่ารักอะดิ ถ้าช้าระวังนะ มีคนมองอยู่ด้วยนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 27-03-2017 19:06:36
ระวังนะช้ามากๆ หนุ่มเซะซี่บอยจะคาบไปกิน   :katai1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Lalaleega ที่ 28-03-2017 15:54:13
มีคนมาสนใจพีพีเยอะแล้วนะปอ :katai1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 29-03-2017 16:43:38


นี่ก็ยุให้พีพีมีคนอื่นจริง ๆ จัง ๆ เหลือเกินค่ะ เพราะพ่อพระเอกของพี่นี้ช้ามากกกก
สงสารพีพี ชีวิตนี้หนูจะมัวเป็นไก่รองบ่อนรอให้พ่อปรนัยร่อนไปร่อนมาหาเมื่อเวลาเบื่อ เหนื่อย เมื่อย หิวไม่ได้นะลูก!!
ออกมาค่ะ ออกมา ออกมาคว้าแขนล่ำ ๆ ของพ่อหนุ่มต่างคณะ แล้วพากันไปเดินลั้นลาเริงร่าท้าสายตาไอ้เพื่อนความรู้สึกช้ามันเสียเลย ทีนี้ล่ะค่ะคุณเอ๋ย! สนุกแน่ ๆ !!

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 16-04-2017 17:43:50
#09
เกมภาษา


   “ในคลาสนี้มีใครยังไม่ได้เรียนวิชา Contem บ้างครับ” อาจารย์ขจรศักดิ์ผู้อาวุโสที่สุดในบรรดาอาจารย์ภาคปรัชญาเอ่ยถามนักศึกษาที่นั่งตาแป๋วอยู่ในห้อง วิชา Contem หรือ Contemporary คือปรัชญาร่วมสมัย ซึ่งเป็นวิชาบังคับที่ยากที่สุดในบรรดาวิชาทั้งหมด เพราะเป็นการศึกษาแนวคิดของนักปรัชญายุคหลังๆ ซึ่งมีความคิดก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก

พอเห็นว่ามีเด็กยกมือประมาณ 6-7 คน ซึ่งเป็นจำนวนเกือบครึ่งห้อง ผู้เป็นอาจารย์ก็เอ่ยอย่างหนักใจ “จริงๆ ผมก็ใส่ในคำอธิบายรายวิชาแล้วนะครับ ว่าถ้าใครยังไม่เคยเรียนคอนเทม ขอให้ข้ามวิชานี้ไปก่อน ...แต่เอาเถอะ ถอนตอนนี้พวกคุณก็คิด W กันซะเปล่าๆ เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆ ไปก็แล้วกัน”

   แก๊ง F4 มองหน้ากันเลิกลั่ก วิชานี้คือปรัชญาภาษา ที่พวกเขาเลือกลงเพราะอาจารย์กฤตเป็นเจ้าของวิชา แต่เพิ่งรู้ว่าอาจารย์ขจรศักดิ์ หรือ ‘ลุงศักดิ์ AF’  (หมายถึงให้เกรด A จนถึง F) จะมาสอนด้วย

   “ฉิบหายละมึง!” แก้วหันไปกระซิบกับเดอะแก๊ง เรื่องความโหดนั้นเขาได้พิสูจน์มาแล้วตอนปีสอง ถึงจะไม่ F แต่ก็ได้หมาตัวแรกในชีวิตมาเลี้ยงเพราะลุงแจก D ให้นี่แหละ

   “ชู่ววว!!” ภูมิส่งเสียงปรามให้เพื่อนเงียบ เพราะเห็นว่าอาจารย์เริ่มหันมามองทางพวกเขาบ่อยๆ

   “สำหรับคาบที่ผ่านๆ มา...” ผู้สอนกดเปิดเครื่องโอเวอร์เฮด พร้อมวางแผ่นใสที่เขียนด้วยลายมือเยี่ยงอักษรขอมโบราณลงไป “มองเห็นกันมั้ยครับ ...ไฟน่าจะสว่างไปนะ”

   ปรนัยเอื้อมมือไปปิดไฟห้องในฐานะคนนั่งติดผนังที่สุด พอห้องมืดลง ภาพบนจอก็ปรากฏชัดขึ้น ดีหน่อยที่คลาสนี้เป็นปีสามกับปีสี่ซึ่งเคยเรียนกับอ.ศักดิ์มาแล้ว ลองถ้าเป็นปีหนึ่งปีสองนี่ร้องกันระงมเมื่อเห็นลายมือบนจอ จริงๆ หลายคนเคยถามว่าทำไมอาจารย์ไม่ใช้โปรเจกเตอร์ฉายสไลด์ดีๆ แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจนัก ยังไงก็ต้องอ่านลายมือขอมกันต่อไป

    “คาบที่ผ่านๆ มา พวกคุณก็คงได้รู้รากฐานของภาษาและแนวคิดจากนักปรัชญาหลายๆ คนมาแล้ว และคงรู้จัก วัจนปฏิบัติศาสตร์ หรือ Pragmatics มาบ้าง แต่เชื่อว่าลืมกันไปหมดแล้วล่ะ ใช่มะ??

...โอเค ไอ้วัจนปฏิบัติศาสตร์อะไรเนี่ย ข้ามๆ มันไปเถอะ เก็บเอาไว้พูดกับเพื่อนภาคอื่นเท่ๆ ไม่ต้องไปจำให้รกสมอง จำไว้แค่ Pragmatics ก็พอ ...แพรกมาติกส์ ก็คือการศึกษาว่าในสถานการณ์หนึ่งๆ ทำไมเราจึงพูดอย่างนั้น ทำไมถึงไม่พูดอย่างอื่น รวมถึงศึกษาด้วยว่าการใช้ภาษาของมนุษย์นั้นมีจุดประสงค์อะไร

อะ งง... ใครงงให้กลับไปอ่านชีทของอาจารย์กฤตในคาบที่แล้วนะครับ เพราะวันนี้เราจะมาดูกันว่ามีนักปรัชญาคนไหนบ้างที่ศึกษาเรื่องแพรกมาติกส์ แล้วเค้าว่าอะไรกันบ้าง”

อ.ศักดิ์ลุกขึ้นไปยืนหน้ากระดานไวท์บอร์ด

“ผมเขียนบนกระดานนี่พวกคุณมองเห็นมั้ย มันมืดไปมั้ย” ร่างท้วมหันมาถามนักศึกษา ไม่ทันได้มีใครตอบ ปรนัยผู้นั่งใกล้สวิตช์ก็กดเปิดไฟอีกรอบ

คราวนี้อาจารย์เดินกลับมายืนหน้าห้องเหมือนเดิม

“ก่อนฉายแผ่นใส ผมบอกว่าไฟในห้องน่าจะสว่างไป แล้วเมื่อกี๊ตอนผมจะเขียนกระดาน ผมก็ถามว่า ไฟมืดไปมั้ย” มือที่เริ่มเหี่ยวย่นถอดแว่นออก “มีคำไหนมั้ยที่ผมสั่งให้คุณ... ชื่อไรนะ” ปลายเสียงหันไปถามคนปิดเปิดไฟ

“ปอครับ” เสียงทุ้มตอบ

“อื้ม ผมเป็นคนสั่งให้ปอปิดหรือเปิดไฟหรือเปล่า?”

เสียงประสานกันจากคนเรียนว่า “ไม่”

“นั่นสิ ผมไม่ได้พูดสักคำ แล้วปอรู้ได้ไงว่าต้องไปปิดหรือเปิดไฟ”

เจ้าของชื่ออ้ำอึ้งนิดหนึ่ง “ก็...อาจารย์พูดถึงไฟ แล้วผมก็อยู่ใกล้สวิตช์ไฟที่สุดอ่าครับ”

“ปิ๊งป่อง!” ผู้อาวุโสทำเสียงเหมือนกำลังเล่นเกมโชว์ “นี่คือแนวคิดของนักปรัชญาที่ชื่อ...”

แผ่นใสถูกเลื่อนขึ้นมาจนปรากฏคำอีกคำหนึ่ง

“วิตต์เกนสไตน์” อาจารย์ศักดิ์พูดชื่อที่อยู่กลางจอ “อย่าไปจำสลับกับแฟรงเกนสไตน์นะครับ ใครเขียนข้อสอบมาผิด ระวังได้เข้าร่วมรายการ AF นะ”

เสียงเด็กๆ หัวเราะกันครืน

“ตาคนนี้บอกว่า ภาษาสำหรับเค้าแล้วก็เหมือนกับการเล่นเกม ซึ่งเกมนั้นมีชื่อว่า "เกมภาษา" คำหรือประโยคเป็นเหมือนส่วนประกอบของเกมแต่ละเกม ที่ผู้เล่นต้องรู้จักกติกาของแต่ละเกมว่ามันทำหน้าที่อะไรในเกมนั้น และเราต้องเล่นตามกฎเกณฑ์ของภาษา เหมือนกับที่ต้องเล่นตามกติกาของเกมนั้นๆ

คำก็เช่นเดียวกัน ในการใช้ภาษาเราต้องใช้คำและประโยคตามกติกาจึงจะสามารถสื่อกันได้อย่างเข้าใจ”

นักศึกษามุมห้องด้านขวายกมือ ผู้เป็นอาจารย์ทำสัญญาณให้ถามได้

“แล้วถ้าเราไม่เข้าใจล่ะครับ”

“เช่นยังไง”

“อืม...” คนถามนิ่งคิด “สมมติถ้าอาจารย์พูดว่า ห้องสว่างเกินไป แต่ไม่มีใครลุกไปปิดไฟ”

“อ่าฮะ” ใบหน้าที่ร่วงโรยตามกาลเวลาพยักหน้า “ถ้าเราสื่อสารกันไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าเราอยู่กันคนละ 'เกมภาษา' ยังไงล่ะ”

พอเห็นว่าไม่มีใครถามอะไรต่อ อ.ศักดิ์จึงเริ่มกิจกรรมฝึกให้นักศึกษาเข้าใจแนวคิดของวิตต์เกนสไตน์ยิ่งขึ้น

“จะหลับกันแล้วใช่มะ เดี๋ยวผมจะให้พวกคุณลองพูดประโยคที่คาดว่าจะอยู่ในเกมภาษาเดียวกันกับเพื่อน กติกาก็คือ คนที่จะพูด ต้องพูดขึ้นมาลอยๆ ในห้อง ถ้ามีใครสักคนตอบสนองต่อประโยคนั้นได้ ถือว่าคุณเล่นเกมภาษากับคนในห้องได้ผล ผมให้เวลาคิด 5 นาทีนะ ค่อยๆ คิดกันไป”

ผู้สอนเดินไปนั่งบนเก้าอี้ ปล่อยให้นักศึกษาพูดคุยปรึกษากัน

“นี่...ห้ามเตี๊ยมกันก่อนนะ ผมไม่ได้มีคะแนนอะไรให้ ไม่มีถูกไม่มีผิด เพราะฉะนั้นอย่าขี้โกง”

พอเข็มยาวเคลื่อนไปถึงเลข 6 อาจารย์ขจรศักดิ์ก็หยิบใบรายชื่อขึ้นมา ก่อนจะสุ่มเรียกนักศึกษาคนแรกให้เริ่มเล่น ‘เกมภาษา’

“วสรุต”

พี่ผู้ชายโทปรัชญาปีสี่เดินออกมาหน้าห้อง แล้วอยู่ๆ ร่างผอมก้างก็ทำท่าปั่นจิ้งหรีดไปเกือบ 20 รอบ เสียงฮือฮาของผู้ชมดังขึ้น จนสุดท้ายคนปั่นจิ้งหรีดก็หยุดแล้วทิ้งตัวนั่งบนพื้น

“เวียนหัวอะ”

ใครคนหนึ่งวิ่งเอายาดมไปให้ จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น พร้อมการสรรเสริญชื่นชมในความเล่นใหญ่ของเพื่อน

“ดีมากๆ” อาจารย์ศักดิ์หัวเราะ “แต่คนต่อไปไม่ต้องขนาดนี้นะ เป็นลมเป็นแล้งไปจริงๆ ผมขี้เกียจโดนคณบดีเรียกคุย”

คนต่อไปที่โดนเรียกคือไอ้แก้ว รายนี้ไม่รัชดาลัย แต่อาศัยตลกแดก

“เมื่อเช้าตื่นสาย ฮิ้วหิวววว”

ทั้งห้องเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงถามว่า “มีแซนด์วิชนะ กินมั้ย”

พอไอ้ห่าแก้วยิ้มตาเยิ้มให้คนถาม กลับโดนตอกกลับว่า “นี่พูดไปตามเกม ไม่ได้มีจริงๆ” ไอ้นี่เลยหงอยไป

“ภาคภูมิ”

ทุกสายตาหันมามองยังร่างขาวหนึ่งในแก๊งชายล้วนปี 3

“หนาว...” เจ้าของชื่อพูดแค่คำเดียวเท่านั้น แต่รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้รีโมตแอร์ก็ลุกขึ้นเตรียมจะไปปรับอุณหภูมิให้ทันที ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึงก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงฮิ้วฮ้าวที่ดังขึ้นเสียก่อน

ภูมิหัวใจเต้นระรัว เมื่อเสื้อวอร์ม Adidas สีเข้มของคนข้างๆ ลอยมาคลุมร่างตัวเองอย่างรวดเร็ว เสียงโห่แซวดังขึ้นโดยรอบ โดยเฉพาะไอ้แก้วกับไอ้ชิงที่เป็นต้นเสียง แต่ภาคภูมิทำได้เพียงก้มหน้าหดคอจนแทบจะมุดหายไปในเสื้อคลุมตัวนั้น ในขณะที่เจ้าของเสื้อก็แสร้งทำทีเคร่งขรึม ไม่รับมุกเล่นตลกโป๊งชึ่งเหมือนที่ผ่านมา

เสียงอาจารย์ขจรศักดิ์เรียกชื่อนักศึกษาคนต่อไป ทั้งห้องจึงกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง

เว้นก็แต่หัวใจของใครบางคน...



หลังเลิกเรียนทั้งเด็กทั้งอาจารย์ก็ยกขบวนไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร เพราะเป็นช่วงพักเที่ยงพอดี อย่าว่าแต่โต๊ะใหญ่สำหรับสิบคนเลย ต่อให้เป็นโต๊ะเล็กๆ นั่งสี่คนยังหายาก แก๊งปรัชญาภาษาจึงต้องแยกกันนั่งไปโดยปริยาย ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะคุยเรื่องเกมภาษากันต่อ เมื่อเป็นดังนั้นเด็กปีสามจึงขอตัวไปหาที่นั่งกันเอง และไม่แน่ว่าอาจจะซื้อกลับไปกินที่ภาคก็ได้

“โต๊ะม้าหินตรงนั้นเหมือนว่างปะ” ภูมิชี้มือไปด้านนอกโรงอาหารที่มีโต๊ะม้าหินตั้งอยู่ใต้ร่มไม้

“เออๆ เดี๋ยวกูไปจองให้” ชิงชิงเตรียมวิ่งไปยังจุดหมาย แต่ภาคภูมิกลับเรียกไว้

“ไม่เป็นไร บ่ายกูว่าง มึงรีบไปซื้อก่อนเหอะ” พอคิดถึงข้อเท็จจริงว่าอาจจะไปเรียนคาบบ่ายไม่ทัน ชิงชิงเลยปล่อยให้เพื่อนเป็นคนไปจองโต๊ะแทน

“เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนไอ้ภูมิก่อน” ปอบอกก่อนจะก้าวเท้าเดินตามร่างโปร่งไป ทิ้งให้แก้วกับชิงชิงไปซื้อข้าวกันสองคน

ภาคภูมิทรุดตัวลงนั่งตรงโต๊ะม้าหินตัวเดียวที่ว่าง ถึงจะมีร่มไม้มาบดบังแสงแดด แต่ความร้อนก็ยังกระจายทั่วพื้นที่ มือเรียวขยับเสื้อให้อากาศได้ระบาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังสวมเสื้อวอร์มของปออยู่

“ร้อนเหรอ” เจ้าของเสื้อร้องทักขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

คนกำลังถอดเสื้อคลุมพยักหน้า ก่อนสองมือจะพับเสื้อแขนยาวแล้วยื่นให้เจ้าของตัวจริง “อะ แต๊งกิ้ว”

ปอรับเสื้อตัวเองคืนแล้วยัดใส่เป้ “เอาน้ำปะ”

“มึงจะไปซื้อเหรอ”

“เออ หิวว่ะ”

“งั้นฝากด้วย” มือขาวล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาพลางส่งแบงก์ยี่สิบให้เพื่อน

“ลิปตัน?”

“อือ”

ไม่นานนักภาคภูมิก็เห็นร่างสูงโปร่งถือโหลแก้วสองโหลซึ่งบรรจุน้ำคนละสีเดินกลับมา แถมยังประคองจานลูกชิ้นจานใหญ่มาด้วย คนนั่งรอรีบลุกไปช่วยเพื่อนถือเพราะกลัวจะล้มคว่ำไปเสียก่อน

“กำลังจะเรียกเลย” เสียงทุ้มเอ่ยยิ้มๆ “เกือบสะดุดบันไดแล้ว”

“ก็ซื้อทีละอย่างมั้ยล่ะ” มือขาววางจานลูกชิ้นลงบนโต๊ะ คนถูกบ่นหัวเราะแหะๆ

“กลัวมึงจะหิว”

พอได้ยินแบบนั้นภาคภูมิเลยต้องแสร้งหยิบลูกชิ้นปิ้งมากินแก้เขิน

“แหน่ะ หิวจริงด้วย” ปลายเสียงหัวเราะแผ่วกับแก้มป่องๆ ที่เคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รู้ตัวว่าเผลอทอดสายตาอ่อนโยนจนคนถูกมองต้องหันหน้าหนี

หลังสมาชิกที่ไปซื้อข้าวก่อนกลับมา คนเฝ้าโต๊ะทั้งสองคนจึงรีบไปซื้อบ้าง แม้จะเลยเวลาเที่ยงมาสักพัก แต่ปริมาณคนก็ยังไม่ลดลง ปอจึงเลือกร้านข้าวราดแกงง่ายๆ เพราะเหลือเวลาอีกไม่เท่าไรก็ต้องขึ้นเรียนคาบต่อไป รอไม่นานนักร่างสูงก็ได้ข้าวราดแกงมาหนึ่งจาน ขณะเดินออกจากร้าน เสียงของเพื่อนสนิทที่ต่อคิวซื้อก๋วยเตี๋ยวร้านข้างๆ ก็เรียกไว้ก่อน

“เดี๋ยววินไปนั่งด้วยนะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังผู้ชายหน้าตาดีที่ยืนอยู่ข้างหลัง “เผื่อพวกมึงอิ่มก่อน กูจะได้มีเพื่อน”

ตารีเผลอจ้องเพื่อนใหม่เขม็ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เคยตกลงกับตัวเองในใจ ปรนัยจึงเปลี่ยนหน้าดุๆ เป็นรอยยิ้มแทน “เออได้ เดี๋ยวกูไปโต๊ะก่อนแล้วกัน”

กว่าจะได้ก๋วยเตี๋ยวก็เกือบจะถึงเวลาเรียนคาบบ่าย ขณะที่ภูมิพาเพื่อนใหม่ไปนั่งที่โต๊ะ สามหนุ่ม F4 ที่กินข้าวอิ่มแล้วก็เตรียมเก็บของลุกออกไปพอดี

“อ้าว จะไปกันแล้วเหรอ” มือเรียววางชามก๋วยเตี๋ยวลงพลางเอ่ยถามเพื่อน

“เออ ว่าจะไปแวะเข้าห้องน้ำที่ภาคด้วย” แก้วตอบ “แล้วมึงจะไปหอสมุดเลยปะ”

“ใช่ๆ เดี๋ยวไปกับวิน”

คำตอบนั้นภาคภูมิตอบแก้ว แต่คนที่หันขวับมากลับเป็นปรนัยที่กำลังถือจานเปล่ากับโหลน้ำไว้ในมือ

“ไปละมึง เจอกันตอนเย็น” แก้วบอกลาเพื่อนแล้วเดินนำหน้าไปพร้อมชิงชิง แต่คนที่อยู่รั้งท้ายกลับหันมาที่โต๊ะม้าหินอีกครั้ง

“อ้าว” ภูมิร้องด้วยความงง เมื่ออยู่ๆ เพื่อนสนิทก็วางข้าวของทุกอย่างลงแล้วเปิดกระเป๋า

“เอาไว้ใส่” มือหนายื่นเสื้อวอร์มตัวเดิมไปให้คนที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว “เดี๋ยวหนาว”

ภูมิวางตะเกียบ เอ่ยขอบใจแล้วรับเสื้อตัวอุ่นนั้นไว้ ...นี่ใช่มั้ยที่วิตต์เกนสไตน์บอกว่ามันเป็นเกมภาษา

แล้วนอกจากความเข้าใจ ...มันยังมีความห่วงใยรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า?



ปรนัยนั่งกอดอกห่อไหล่อยู่ในคลาสเรียนคาบบ่าย เพราะรู้ว่าต้องแข็งตายอย่างในตอนนี้ เขาเลยเอาเสื้อคลุมติดมาด้วยตั้งแต่เช้า แต่ก็นั่นแหละนะ พอรู้ว่าไอ้ภูมิจะไปหอสมุด เขาก็ดันเสียสละเสื้อวอร์มของตัวเองให้มันไปแล้ว ก็ถ้าห้องนี้คือขั้วโลกเหนือ หอสมุดก็ไม่ต่างอะไรกับโรงน้ำแข็งในขั้วโลกเหนืออีกที หนาวในหนาว หนาวจนแบคทีเรียหยุดการเจริญเติบโตได้เลย ตาคมเหลือบมองนาฬิกาเหนือกระดานไวท์บอร์ด บอกตัวเองว่าแค่สองชั่วโมงการชดใช้กรรมในห้องเย็นนี้ก็จะสิ้นสุดลงแล้ว

ในขณะเดียวกัน ร่างโปร่งที่ถูกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวของเพื่อนก็กำลังพยายามซ่อนนิ้วมือไว้ในปลายแขนเสื้ออย่างสุดความสามารถ ถ้าไม่จำเป็นต้องพลิกหน้าหนังสือแล้ว ดูเหมือนนิ้วเรียวๆ นั่นจะไม่ยอมโผล่ออกมาเด็ดขาด วินมองคนขี้หนาวแล้วทั้งขำทั้งสงสาร ยิ่งเห็นปลายเล็บซีดๆ แล้วก็อดเอ่ยออกมาไม่ได้

“ยืมหนังสือไปนั่งอ่านข้างนอกมั้ย”

คนฟังส่ายหน้าแล้วยิ้มแหย “ไม่รู้จะยืมเล่มไหนมั่ง ต้องอ่านก่อน”

“ก็ยืมให้หมดนั่นแหละ ทำหน้าเหมือนจะแข็งตายแล้วภูมิอะ”

“ไหวๆ เสื้ออุ่นอยู่” คนหนาวยังยืนยันคำเดิม “แต่ปลายนิ้วโคตรเย็นเลย”

ภาคภูมิขยับมือที่เหมือนจะไร้ความรู้สึกไปมา แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกคนตรงข้ามคว้ามือเย็นๆ ของตัวเองไปกุมไว้ คนถูกจับมือมองการกระทำนั้นตาค้าง ก่อนสัญชาตญาณจะสั่งให้เขาดึงมือออก

“โทษที” หนุ่มเภสัชเอ่ยเรียบๆ ผิดกับแววตาระยับของเจ้าตัว “แค่จะพิสูจน์ว่ามือเย็นจริงมั้ย”

“อ่า... เย็นดิ จะไปโกหกทำไมล่ะ” คนมือเย็นตอบตะกุกตะกัก บรรยากาศแปลกๆ ที่รายล้อมอยู่เตือนเขาว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเท่าไร

“ตกลงจะไปอ่านข้างนอกมั้ย” วินยังถามถึงเรื่องเดิม แอบเห็นว่าอีกฝ่ายเอามือลงไปไว้บนตักอย่างแนบเนียน

“ไม่หรอก นัดเพื่อนไว้ที่นี่ด้วย”

 “อ้อ...โอเค” หนุ่มเซ็กซี่บอยรับคำแล้วหันกลับมาสนใจหนังสือของตัวเองต่อ

“วิน” ตากลมมองคนตรงข้ามที่เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียกอีกครั้ง “ถ้ามีธุระ ก็ไปก่อนก็ได้นะ”

คนฟังยิ้ม “ไม่มีหรอก ถึงมีก็อยู่ได้ เราอยากอยู่”

ภาคภูมิลอบถอนหายใจ ...อยู่กันคนละเกมภาษาสินะ



ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ไลน์กลุ่ม F4 ก็มีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชิงชิงเป็นคนแรกที่พิมพ์เข้ามาว่าเรียนเสร็จแล้ว จากนั้นแก้วกับปอก็ส่งสติกเกอร์ตามมาติดๆ ภูมิจึงบอกจุดที่นั่งรออยู่ในเพื่อนๆ ตามมาสมทบ เพราะเย็นนี้พวกเขามีนัดทำรายงานด้วยกัน แต่จะพูดว่า ‘ด้วยกัน’ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะต่างคนต่างทำของตัวเอง แม้จะเป็นวิชาเดียวกันก็ตาม

หนุ่มเภสัชเห็นคนตรงข้ามพิมพ์ข้อความอย่างขะมักเขม้น จึงรู้ว่าเพื่อนเด็กปรัชญาน่าจะมากันแล้ว เมื่อเห็นจังหวะที่ภาคภูมิเงยหน้าขึ้นจึงถามออกไป “เพื่อนเลิกเรียนแล้วเหรอ”

“อื้อ เดี๋ยวพวกมันมากันที่นี่ ต้องทำรายงานกันยาวเลย”

“เหรอ” เสียงนั้นเหมือนใคร่ครวญอะไรครู่หนึ่ง “เรานั่งอยู่ต่อได้มั้ย กลับห้องไปก็ไม่มีเพื่อนอะ”

...ยังคงอยู่คนละเกมภาษาเหมือนเดิม

อยู่ๆ ภูมิก็รู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจในการอยู่ร่วมกับเพื่อนใหม่ ส่วนสาเหตุนั้นคงมาจากการพิสูจน์ความเย็นของมือที่อีกฝ่ายทำนั่นแหละ ไม่รู้สิ มันแปลกๆ มั้ยที่เพื่อนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันจะมาทำอะไรแบบนี้

เสียงฝีเท้าที่มาหยุดตรงโต๊ะทำให้คนนั่งอยู่ก่อนต้องเงยหน้าขึ้น ภูมิจึงได้เห็นว่านอกจากเพื่อนของตัวเองแล้ว ยังมีสาวผมสั้นอีกคนปรากฏอยู่ด้วย ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป ร่างสูงโปร่งที่จ้องเขาอยู่ก็รีบพูดขึ้นมาก่อน

“โต๊ะเต็มอะ เลยชวนพี่จ๋ามานั่งด้วย”

“ได้ครับๆ นั่งด้วยกันนี่แหละพี่” ภาคภูมิลุกขึ้นแล้วหันไปขอเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาเพิ่มเติม ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหันไปเห็นเด็กเภสัชผู้เคยตกเป็นหัวข้อสนทนาในกลุ่มเด็กปรัชญานั่งอยู่ด้วย ใบหน้าหล่อๆ พยักหน้าให้รุ่นพี่พลางเอ่ยทักทายในฐานะที่เคยได้รับการเอื้อเฟื้อเสื้อยืดเมื่อตอนงานคเณศ

พี่จ๋าเลือกนั่งหัวโต๊ะซึ่งวางเก้าอี้อยู่หนึ่งตัว พอเห็นดังนั้นวินเลยย้ายตัวเองจากที่นั่งตรงข้ามภาคภูมิไปอยู่ตรงหัวโต๊ะอีกด้านด้วย ปล่อยให้ที่นั่งฝั่งละสองที่เป็นของสี่หนุ่มปรัชญาตามมารยาท แก้วกับชิงชิงเดินอ้อมไปนั่งด้วยกัน ที่สุดท้ายข้างภูมิจึงเป็นของปรนัยไปโดยปริยาย พอจัดแจงที่นั่งได้ลงตัว ทั้งหมดก็เริ่มสนใจในงานของตัวเองทันที นานๆ ครั้งสี่หนุ่มจะปรึกษางานกันบ้าง ซึ่งมีอยู่สองสามประเด็นที่พี่จ๋าช่วยอธิบายเพิ่มเติมในฐานะคนที่เรียนมาก่อน ส่วนเด็กต่างคณะหนึ่งเดียวก็นั่งเงียบๆ อ่านหนังสือของตัวเองไป

“มือเย็นจัง” ภาคภูมิหันไปตามเสียงกระซิบจากคนข้างๆ เมื่อครู่นี้ปลายนิ้วตนเองคงไปโดนมือของเพื่อนสนิท อีกฝ่ายจึงได้ทักออกมาอย่างนั้น

“อือ กูจะเป็นเอลซ่าแล้วเนี่ย”

“เลท อิท โก มั้ยล่ะมึง” พูดจบเสียงทุ้มก็ปล่อยหัวเราะดังลั่นจนมือเย็นๆ ต้องรีบเอื้อมมาปิดปากไว้ ก่อนสายตาพิฆาตจากโต๊ะข้างๆ จะส่งมาถึง

“โทษๆ ลืมตัว” ปรนัยดึงมือที่ปิดปากตนเองออก ขณะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะไปด้วย อีกฝ่ายขมวดคิ้วทำปากจิ๊จ๊ะ เป็นอันว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่เขาเผลอทำเสียงดัง แต่พอนึกถึงภาคภูมิในชุดเอลซ่าแล้วก็พานจะขำออกมาอีกรอบ ทว่าเจอตาเขียวปั๊ดที่มองมาเสียก่อน ร่างสูงเลยควบคุมตัวเองได้ทันควัน

หนุ่มเภสัชหนึ่งเดียวในโต๊ะลอบมองเพื่อนใหม่กับคนข้างๆ เล่นกันด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ ไม่รู้คุยอะไรกัน แต่เสียงหัวเราะคิกคักกับมือใหญ่ๆ ที่คว้ามือของภาคภูมิไว้ก็ทำให้หัวใจคันยิบๆ นึกอยากพูดอะไรออกไปเหมือนกัน แต่พอเห็นคนอื่นๆ ในโต๊ะไม่มีทีท่าอะไร เลยคิดเอาว่าเด็กอักษรเค้าคงเล่นกันแบบนี้ประจำ

“มึงหนาวเปล่า” นึกขึ้นได้ว่าใส่เสื้อกันหนาวของเพื่อนสนิทอยู่ ร่างโปร่งจึงทำท่าจะถอดเสื้อคลุมออกเดี๋ยวนั้น

“เฮ้ยๆ มึงใส่ไว้เถอะ กูโอเค”

ถึงเจ้าของเสื้อจะตอบอย่างนั้น แต่ภาคภูมิก็ยังยื่นเสื้อคลุมคืนอีกฝ่ายอยู่ดี คราวนี้ปรนัยเป็นฝ่ายจิ๊ปากอย่างขัดใจบ้าง ยิ่งเห็นภูมิลูบแขนเพราะความหนาวเย็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอีกฝ่ายไม่น้อย หลังพยายามบังคับให้คนหนาวกว่าใส่เสื้อเหมือนเดิมไม่สำเร็จ มือหนาจึงคลี่เสื้อวอร์มออก แล้วห่มคลุมแขนของตัวเองและคนข้างๆ เสียเลย

ภูมิมองการกระทำของเพื่อนสนิทแล้วก็ได้แต่นิ่งงัน เสื้อคลุมนั้นลดความหนาวได้ก็จริง แต่ไม่ทำให้อุ่นได้เท่าร่างสูงๆ ที่เขยิบเข้ามาใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว


กว่ารายงานจะเสร็จก็เล่นเอาหอสมุดเกือบปิด พี่จ๋าขอตัวกลับไปตั้งแต่หกโมงเย็นแล้ว ถ้าจะระบุช่วงเวลาให้ชัดเจนอีกนิด ก็คือหลังจากปรนัยขำกับมุกเอลซ่าและแชร์เสื้อกันหนาวกับภาคภูมิได้ไม่นานนั่นแหละ ตอนนั้นทุกคนกำลังอินกับการเขียนงานมากจนไม่ทันได้สนใจอะไร แต่พอผ่านไปสักพักภาคภูมิก็รู้สึกว่าท่าทางพี่จ๋าตอนบอกลานั้นไม่ค่อยดีเท่าไร เลยคะยั้นคะยอให้ปอไลน์ไปถามรุ่นพี่อยู่ในตอนนี้

“เค้าไม่ได้เป็นอะไรหรอก” ตอบเป็นรอบที่ห้า แต่คนขี้กังวลก็ยังไม่เลิกเซ้าซี้ “แล้วนี่ทำไมอยู่ๆ ก็ห่วงเค้าขึ้นมา ตอนแรกเห็นตึงกับเค้าจะตาย”

ภูมิทำหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามไหนก่อน สุดท้ายเลยย้อนอีกฝ่ายบ้าง “แล้วตอนแรกก็เห็นมึงเล่นกับเค้าดีๆ ทำไมตอนนี้ทำเย็นชาใส่เค้าจัง”

แก้วที่ฟังเพื่อนเถียงกันมาสักพักเริ่มเอือมระอา “ไว้ไปคุยกันต่อที่ร้านมั้ย กูหิว”

ระฆังคั่นยกทำเอาทั้งปอและภูมิต้องละบทสนทนาชั่วคราว หนุ่มต่างคณะเพียงหนึ่งเดียวจึงพูดขึ้นมาบ้าง “งั้นเรากลับก่อนนะ”

คราวนี้ทุกคนหันไปมองเพื่อนใหม่ด้วยความตกใจนิดๆ “อ้าว นึกว่ากลับไปแล้ว”

ประโยคนั้นปรนัยพูดแบบไม่ได้ประชด เพราะความเงียบของวินทำให้เขาลืมไปจริงๆ ว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วย พอเห็นคนโดนทักยิ้มหน้าเจื่อนๆ เสียงทุ้มจริงต้องรีบพูดแก้ความเข้าใจเสียใหม่

“เฮ้ยๆ ไม่ได้หมายว่าอย่างนั้นนะ แต่มึงเงียบมากไง เอ้อ...ไปกินข้าวด้วยกันดิ”

ภูมิแอบมองเพื่อนสนิทกับเพื่อนใหม่คุยกัน เชี่ยปอแม่งผีเข้าแน่ๆ ที่กับพี่จ๋าล่ะเฉยชา ทีกับวินดันมาพูดดีด้วย

แม้คนอื่นๆ จะบอกให้เด็กเภสัชไปกินด้วยกัน แต่วินก็คิดว่าคงไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะไปกับแก๊งนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่ภูมิยังไม่มองหน้าเขาตรงๆ เหมือนเดิม


 
   ร้านที่สี่หนุ่มยกขบวนไปกินคือร้านอาหารตามสั่งริมทางแถวๆ หน้ามอ หลังสั่งเมนูกันครบ ไอ้แก้วก็กระแอมเสียงดังจนคิดว่าแม่งควรไปซื้อยาละลายเสมหะมากิน

“มีไรก็พูดมา กระแอมซะกูกลัวลูกกระเดือกมึงจะหลุด” ปอพูดเสียงเบื่อๆ ลีลามากจริงไอ้ห่านี่

“ไอ้ปอ ไอ้ภูมิ” แก้วชี้หน้าเพื่อนตัวดีที่มีประเด็นจนเขาไม่พูดไม่ได้ “กูเห็นนะ ในห้องสมุดอะ”

จำเลยสองคนมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปถามคนพูด “อะไรวะ”

“เหอะ!” อีกฝ่ายทำเสียงขึ้นจมูก “แอบจับมือกันใต้เสื้อใช่มะ!”

“หาาาาาาาา” คนถูกกล่าวหาว่ามีกิจกรรมใต้ร่มผ้าร้องเสียงหลง

“กูไม่อยากจะพูดในโต๊ะ เดี๋ยวพี่จ๋ากับไอ้วินตกใจ”

   “เอ่อ...เรื่องนั้นกูไม่ได้สังเกตนะ” ชิงชิงทำหน้าแหยขณะพูดขึ้นมาเสียงเบา “แต่ไอ้วินกับพี่จ๋าแม่งทำหน้าเหวอจริงๆ ว่ะ”

   “เดี๋ยวนะ” ภาคภูมิพูดแทรกขึ้นมาในที่สุด “อย่างแรก กูไม่ได้จับมือกัน เพราะฉะนั้น... อย่างที่สอง เรื่องวินกับพี่จ๋าทำหน้าเหวอก็ไม่ใช่เพราะพวกกูแน่ๆ”

   “เดี๋ยวนะ” ชิงชิงพูดเลียนแบบ “ถึงมึงจะไม่ได้จับมือกัน แต่ก็ไม่ได้ความว่าสองคนนั้นเค้าจะไม่ได้หน้าเหวอเพราะพวกมึง”

   “เดี๋ยวนะ” คราวนี้ปรนัยเอาด้วย “นี่มันเรื่องอะไรกันวะ”

   ชิงชิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทำท่าราวกับกำลังจะพูดสิ่งสำคัญ “กูไม่เห็นว่าใต้เสื้อนั่นพวกมึงทำอะไร แต่กูเห็นว่าพวกมึงแอบหัวเราะด้วยกัน แล้วไอ้ปอดึงมือไอ้ภูมิออกจากปากมาจับไว้ แล้วที่พีคที่สุด...” ปลายเสียงเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง “มึงยิ้มให้กันด้วยสายตา”

   “เชี่ยยยยยย” ภาคภูมิอุทานเสียงดังลั่น หน้าพานร้อนขึ้นมาโดยที่ยังแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นเพราะฉากนิยายที่เพื่อนพูด หรือมันได้เกิดขึ้นจริงๆ

   “กูถามจริงๆ นะ” ชิงชิงพูดต่อ “มึงสองคนคิดอะไรกันปะ”

   สิ้นคำถามนั้นทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ

   “...เหยดแหม่ กูแค่เปิด แต่มึงยิงเข้าจุดตายเลยนะเชี่ยชิง” แก้วส่ายหัวปลงๆ ในเวลาแบบนี้ไอ้ห่าชิงมักตลบหลังได้แรงกว่าเสมอ “อ่าวเฮ้ย แล้วพวกมึงจะเงียบทำไม ไม่ใช่ก็ปฏิเสธดิ”

   ภูมิลอบมองหน้าคนที่ถูกกล่าวหาร่วมกัน ในเวลานี้ใบหน้าที่เคยยียวนกลับเรียบสนิท ดวงตาคมหลุบต่ำจนไม่อาจเห็นว่าสายตาของปรนัยเป็นอย่างไร ...พออีกคนไม่พูด เขาก็เลยไม่กล้าพูดไปด้วย

   เพราะลึกๆ ในใจ ก็คล้ายจะภาวนาให้สิ่งที่ชิงชิงถามเป็นความจริงเช่นกัน

   “เชี่ย...” แก้วอุทานออกมาแผ่วเบา “ตกลงพวกมึง...”

   “พีพี” อยู่ๆ คนนั่งเงียบก็เรียกชื่อคู่กรณีขึ้นมา ทำเอาภาคภูมิแอบลุ้นตัวโก่งว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร “ตะกร้าตรงมึงมีส้อมปะ”

   “โธ่เว้ยยย!!” ชิงชิงร้องอย่างหงุดหงิด ไอ้ห่านี่คร่อมจังหวะตลอดๆ

   “อะ” แม้จะเหวอไปเล็กน้อย แต่มือเรียวก็ยังส่งส้อมให้เพื่อนสนิทตามที่ถูกขอ

   “นี่เราอยู่ในเกมภาษาเดียวกันนะเนี่ย” คนรับส้อมพูดขึ้น น้ำเสียงสบายๆ ราวกับไม่ได้ยินคำถามจากไอ้ชิงมาก่อน

   “มึงจะมาวิตต์เกนสไตน์อะไรตอนนี้” ไอ้แก้วบ่นเสียงสูง

   ทว่าปรนัยกลับพูดไปอีกทาง “ข้าวมาแล้ว กินกัน”

   “ห่าปอเอ๊ยยยย ตอบมาเดี๋ยวนี้เลย”

   คราวนี้ภาคภูมิหลุดขำออกมา เมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่เพื่อนสนิทกำลังจะสื่อ

   “แก้วๆ” นิ้วเรียวสะกิดเรียกเพื่อนที่นั่งตรงข้าม “ประโยคเมื่อกี๊ มึงไม่ได้อยู่ในเกมภาษาเดียวกับไอ้ปอเหรอ”

   “ทำไมวะ” อีกฝ่ายทำหน้างง

   “ก็ไอ้ปอมันหมายถึง” เรียวปากบางคลี่ยิ้ม “ให้มึงหยุดเสือกไง”

   “ไอ้เชี่ยยยยยย พวกมึงสองคนนี่แม่ง!!” คนโดนหลอกด่าโวยวายหัวฟัดหัวเหวี่ยง ในขณะที่สองเพื่อนซี้หัวเราะชอบใจที่แท็กทีมกันแกล้งเพื่อนได้

   วงข้าวกลับมาสงบอีกครั้ง แก้วกับชิงชิงเลิกสนใจประเด็นที่เคยถามไปแล้ว เนื้อหาที่พูดคุยกลายเป็นเรื่องกระทู้เที่ยวงบน้อยในพันทิปแทน ทว่าคำถามนั้นยังคงล่องลอยอยู่ในใจของภาคภูมิแบบไม่สามารถสลัดให้ออกไปได้ เพราะไม่เพียงแต่ไอ้แก้วที่ไม่เข้าใจ แต่เขาก็ยังสงสัยว่า ถ้าไม่คิดอะไร ทำไมไอ้ปอถึงไม่ปฏิเสธไปเสียเลย


   ส่วนตัวเขานั้นตอบได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะว่า ‘คิด’ นี่ไง ถึงปฏิเสธออกไปไม่ได้เลย!



TBC.


--------------------------------


สวัสดีค่า
วันนี้มาเริ่มเรียนวิชาใหม่กับปรัชญาภาษากันนะคะ
ไม่ยากหรอกเนอะ /เหรออออ ก้มมองเกรดตัวเอง 555555

ไว้เจอกันตอนต่อไปค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-04-2017 18:03:43
ความเฟรนด์ลี่ของปอ ทำให้พี่จ๋า ติดหนึบ
ความน่ารักของภูมิ ก็ดึงวินมาติด เหมือนกัน
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #07 ของ (คน) สำคัญ (Update! 21/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 16-04-2017 18:05:21
รอลุ้นกันต่อไป  ยาวๆ  ด้วย  ปากแข็งกันอยู่
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-04-2017 18:38:58
อย่างพีพีนี่คงต้องรอให้ปอพูดก่อนสินะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-04-2017 00:58:20
 :3123: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 17-04-2017 08:03:15
น้องพีพีผู้น่าสงสาร... เข้าใจอารมณ์เหมือนจะมีความหวังแต่ไม่กล้าคาดหวังของน้องมาก อิปอนี่มันไม่ชัดเจนจริงๆ  :katai1:

ชอบการเล่นเกมภาษาในตอนนี้ ถึงว่า บางคนคุยกันนิดเดียวรู้เรื่อง บางคนคุยด้วยแล้วไม่เข้าใจตรงกันเสียที นี่คือผลของการอยู่/ไม่อยู่ในเกมภาษาเดียวกันสินะ

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-04-2017 16:31:44
แก้วกับชิงชิงทำดีมาก ต้อนเข้าไป ๆ ผู้ร้ายจะปากแข็งได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว
สงสารวินกับพี่จ๋าจริง ๆ เลยนะ เวลาสองคนนี้เขาอยู่ในโลกส่วนตัว คนอื่นกลายเป็นอากาศ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-04-2017 19:18:14
ทำไมขำ 5555
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 17-04-2017 21:27:38
นึกว่าขอส้อมจะเอาไปแทงเพื่อน55555
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: mefayysuju ที่ 17-04-2017 21:37:41
ปอก็คงจะสับสนไม่ใช่น้อยนั่นแหละ โถ่เอ้ยยยยย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 18-04-2017 10:24:59
ชอบเรื่องนี้ อาจแล้วได้ความรุ้เพิ่ม จริงๆเคยใช้เกมภาษาพวกนี้นะ แต่ไม่รุ้ว่ามันมีทษฏีอะไรแบบนี้ด้วย เก๋ดีอ่ะ


อยากลองเอาไปเล่นแบบจริงจัง



5555 ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-06-2017 09:23:45
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 15-06-2017 00:05:17
#10 ความฝัน l ความจริง


‘ตื่นนนน’

‘วันนี้จะติวอิ๊งป่าว’

‘จะสอบอาทิตย์หน้าใช่มะ’

‘อ่านโนเวลจบยัง’

‘พี่จะไปทำรายงานที่ภาคตอน 11 โมง’

‘นี่ ตื่นยัง’

‘พี่อยู่ถึงบ่ายสามนะ’

‘จะติวก็รีบๆ มา’



   ปรนัยตื่นขึ้นมาตอน 8 โมงเช้าไม่ขาดไม่เกิน ก่อนจะสบถอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ โทรศัพท์ในมือมีข้อความจากแอปฯ ไลน์ยาวเป็นพรืดเต็มหน้าจอ อ่านคร่าวๆ ไม่ทันจับใจความได้ก็เปลี่ยนใจโยนมือถือกลับไปข้างหมอน พยายามจะหลับต่อ แต่ความปวดมวนท้องก็จู่โจมจนสุดท้ายต้องยอมลากร่างตัวเองไปเข้าห้องน้ำ

   หลังจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยจึงคว้าโทรศัพท์มาเล่นอีกครั้ง ไลน์จากพี่จ๋าที่ส่งมาตั้งแต่ 7 โมงยังเปิดค้างอยู่ เช้าๆ แบบนี้เขาไม่ค่อยตอบข้อความใครเพราะสติสตังยังไม่เข้าที่ และตอนนี้ต่อมการตัดสินใจของเขาก็เหมือนยังไม่ทำงาน เพราะแค่ให้เลือกระหว่างจะไปหรือไม่ เขาก็ยังไม่แน่ใจเลยสักนิด สุดท้ายแชตไลน์จึงถูกทิ้งให้ขึ้น Read อยู่อย่างนั้น เพราะเจ้าของมือถือเปลี่ยนมาอ่านข่าวสารผ่านหน้าฟีดเฟซบุ๊กแทน

   สไลด์หน้าจอโทรศัพท์จนครบทุกโซเชียลแล้ว ร่างสูงโปร่งก็เริ่มคิดจะไปก่อกวนคนอื่นต่อ แอปพลิเคชันสนทนาถูกเปิดอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายพุ่งไปยังรายชื่อที่ปักหมุดไว้บนสุด ตั้งแต่กดวิดีโอคอลผิดคราวนั้น การสื่อสารแบบเห็นหน้าอีกฝ่ายก็กลายเป็นวิธีที่ปรนัยชอบใช้ไปโดยปริยาย

   สัญญาณรอการตอบรับดังยาวจนคนต้นทางเกือบตัดใจกดวาง หากแล้วในที่สุดเสี้ยวหน้ายุ่งๆ กับตาปรือปรอยข้างหนึ่งก็ปรากฏบนจอ แสดงว่าปลายสายยังไม่ตื่นดี และไม่แน่ว่าที่กดรับนี่อาจละเมอด้วยซ้ำ

   “น้องพีพี เก้าโมงแล้วครับ” เสียงยียวนกวนประสาทส่งไปยังคนที่ซุกหน้ากับหมอน หัวทุยๆ นั่นขยับขึ้นลงเหมือนตอบรับ แต่ก็ยังไร้สุ้มเสียงใดๆ ตอบกลับมา

   “ตื่นเร็วมึง! เมื่อคืนโม่การ์ตูนไปกี่เล่มเนี่ย” หลังคำถามนั้น ปอก็ได้เห็นนิ้วเรียวๆ ชูขึ้นมาสี่นิ้วเรียงกัน “สี่?”

   อีกฝ่ายส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก

   “สิบสี่?!”

   เสียงร้องดังลั่นทำให้ใบหน้าขาวของคนหลับต้องเงยขึ้นพร้อมเปลือกตาตุ่ยๆ ที่ค่อยๆ เปิดขึ้นมองจอ “เอออออ กูเพิ่งได้นอนนน วางนะ ฮือออ”

   “วางเชี่ยไร ตื่นเร็ว! ไปอาบน้ำ!”

   “ม่ายยย กูจานอนนนน”

   ปรนัยอยากจะยื่นมือผ่านจอไปดึงแก้มขาวๆ นั่นสักที คนห่าไรลืมตามาคุยแล้วยังเสือกจะนอนต่อ

   “พีพี! ตื่นเดี๋ยวนี้!”

“โอ๊ยยยย!! มึงจะ ’วีโอ มาไมเนี่ย อยากทักทายขี้ตากูใช่มะ!!” บ่นอุบแล้วก็ขยับมือถือจนเข้ามาชิดลูกตาตัวเอง “ขี้ตาจ๋า เรียกเชี่ยปอสิลูกกกก”

“ฮ่าๆๆๆ สัด! โคตรเพี้ยน ลุกเร็ว ไปกินร้านเฮียงกัน”

   “...เฮียงเหรอ” หน้ายุ่งดูครุ่นคิดเมื่อได้ยินชื่อร้านโปรด

   “เออ เพิ่งเห็นคนโพสต์เนี่ย โคตรน่ากิน เป็ดหนังกรอบๆ เนื้อนุ่มๆ หมูกรอบก็ชิ้นโคตรใหญ่ นี่กูก็ว่าจะสั่งพิเศษสักสองจาน แดกแม่งให้สะใจ มึงไม่ไปใช่มะ เคๆ แค่นี้นะ”

   “เดี๋ยวๆๆๆ” คราวนี้คนง่วงกลายเป็นตื่นเต็มตา “ใครบอกว่ากูไม่ไป”

   ปลายสายกลั้นขำ ใบหน้าคมแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “อ้าว ก็เห็นมึงง่วง นอนดึกไม่ใช่เหรอ”

   “กูตื่นแล้วววว ไปด้วยยยย”

   “ฮ่าๆๆๆ เร็วๆ เลย อีกสิบนาทีกูไปรับ”

   พอเข็นไอ้ตัวขี้เซาไปอาบน้ำได้สำเร็จ ก็คิดว่าน่าจะชวนแก้วกับชิงชิงไปด้วย ขณะไล่หาชื่อกรุ๊ปในไลน์คนลังเลก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาอีกรอบ แค่คิดว่าต้องตอบคำถามพวกมันว่าไปกับใคร ไปกี่คน มีแพลนอะไรบ้าง ไหนจะต้องรอพวกมันอาบน้ำแต่งตัว เผลอๆ ใช้เวลาคิดสองชั่วโมงแล้วตอบว่าไม่ไปอีก ร้านเฮียงคงปิดก่อนพอดี ร่างสูงจึงยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง แล้วหันไปจัดชีทวิชาภาษาอังกฤษลงเป้แทน   


   
ระยะห่างระหว่างหอพักของปรนัยกับภาคภูมิไม่ได้ไกลกันมากนัก หลายๆ ครั้งปอจึงอาสาเป็นคนไปรับไปส่งเพื่อนสนิทแทนที่จะให้มันปั่นจักรยานเอง เพราะเป็นที่รู้กันว่าทักษะการข้ามถนนของไอ้ภูมิอยู่ในขั้นวิกฤต ยิ่งถนนใหญ่หน้ามหา’ลัยที่มีรถเหยียบ 120 ตลอดเวลานี่ไม่ต้องพูดถึง แม่งรอให้รถทั้งจังหวัดติดไฟแดงพร้อมกันนั่นแหละถึงจะขี่ข้ามไปได้ 

   “เชี่ยยย รถบรรทุกเมิ้งงงง ใจเย้นนนน” คนกลัวการข้ามถนนร้องลั่นเมื่อจักรยานที่ตนเองซ้อนขี่ตัดหน้ารถใหญ่มาหมาดๆ

   “ห่างเป็นกิโล มึงจะกลัวทำไมฮะ” คนขี่ตอบ

   “ก็มันมาเร็วอะ” บ่นอุบขณะที่สองมือก็กำเสื้อเพื่อนแน่น ทำยังไงก็ไม่ชินเสียที ขนาดอยู่มาสามปีแล้วนะ

   “มึงเชื่อใจกูดิ ถ้าอันตรายจริงก็ไม่ข้ามหรอก กูกลัวตายเหมือนกันนะเว้ย”

   สัมผัสเบาๆ จากหน้าผากเล็กที่พิงกับลาดไหล่ตนเองทำให้ปรนัยเสียงอ่อนลง “อะๆๆ ครั้งหน้าจะระวังมากกว่านี้นะ...”

   ผ่านการจราจรเสี่ยงตายมาได้ ก็ต้องมาผจญกับคิวหน้าร้านดังข้างมหา’ลัยอีก ดีว่ามากันแค่สองคนเลยลัดคิวไปนั่งโต๊ะเล็กได้ คนรอขนาดนี้นี่มัน ‘After เฮียง’ ชัดๆ

   “เอาข้าวหน้าเป็ดหมูกรอบใส่ไข่พิเศษครับ แล้วก็เก็กฮวยสอง” คนที่คิดเมนูมาจากห้องร้องสั่งทันที ก่อนจะหันไปถามเพื่อนที่ดูยังตัดสินใจไม่ได้ “มึงเอาข้าวไร”

   “อ่า...” คนคิดช้าอ้ำอึ้ง

   “เอาไรน้อง ไก่หมด หมูแดงหมด เฮ้ยเฮีย! เป็ดได้อีกกี่จาน!” เจ้าของร้านที่รับออร์เดอร์ตะโกนถามพี่ใหญ่สุดที่ยืนสับเป็ดอยู่ด้านหน้า “ฮะ!! สองจาน!! เออๆ ...น้องเอาเปล่า จานสุดท้าย”

   เสียงทรงพลังเอ่ยถามแบบนั้น ทำให้ภาคภูมิรีบตอบอย่างกลัวๆ “ครับๆ เอา...เอาทุกอย่างที่มีเลยครับ”

   “เค! เป็ดกรอบไข่พิเศษหนึ่ง! รวมหนึ่ง! เก็กฮวยสอง! โต๊ะสาม!” ออร์เดอร์ถูกตะโกนไปบอกคนที่ยืนหั่นเป็ดหั่นหมูอยู่ด้านหน้า ภูมิหดคอทำหน้าแหยกับเอกลักษณ์สุดโหดของร้านอร่อยประจำย่านนี้

   “ฮ่าๆๆ โหดสัดเหมือนเดิม” ปอหัวเราะ เสียงเฮียๆ เจ้าของร้านซึ่งมีกันอยู่สี่คนตะโกนออร์เดอร์ดังเป็นระยะ เค้าว่ากันว่าความโหดนี้อยู่คู่กับร้านเฮียงมาตั้งแต่รุ่นพ่อ จริงๆ ถ้าตัดเรื่องเสียงดังโผงผางออกไป ร้านนี้ก็บริการไม่ได้แย่ บางทีมาตอนใกล้ปิดร้านเฮียแกยังแถมให้อีก

“เก็กฮวยครับ” เด็กเสิร์ฟเอาน้ำหวานที่สั่งมาให้ สองคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่จึงเงยหน้าขึ้นมามอง

“แตงกวา?!”

“คะ...ครับ” รุ่นน้องปีหนึ่งทำหน้าเหรอหรา ก่อนแววตาจะเปลี่ยนไปเมื่อจำได้ว่าลูกค้าโต๊ะนี้คือรุ่นพี่เอกตัวเอง “ส...สวัสดีครับพี่”

“ทำงานที่นี่เหรอ” เป็นภาคภูมิที่ถามก่อน เพราะช่วงงานคเณศก็เคยเจอกันอยู่

“ครับ มาทำจ็อบพิเศษครับ” เด็กชายตัวผอมยกถาดขึ้นกอดขณะยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงโต๊ะพวกเขา

ปรนัยเห็นท่าทางอึดอัดของรุ่นน้อง จึงบอกตัดบท “ไว้ค่อยคุยกันก็ได้ น้องไปทำงานเถอะ”

แตงกวาค้อมหัวลงก่อนจะรีบเดินจากไปโดยเร็ว
พอเห็นว่าคนที่บังเอิญเจอไม่ได้อยู่แถวนี้แล้วภูมิจึงกระซิบกับเพื่อนสนิท “ตกลงคนที่โดนทำร้ายวันนั้นใช่แตงกวาปะวะ”

“เออ ยังไม่ได้คุยกับอาจารย์กฤตเลย แต่กูไม่เห็นเจอน้องมันที่หออีกเลยนะ”

“เหรอ หรือจะไม่ใช่มัน”

ข้าวสองจานมาเสิร์ฟพอดี เพื่อนซี้เลยหยุดการสนทนาไว้แค่นั้น หากสายตายังคงแอบมองร่างเล็กๆ ที่ถือถาดเดินเสิร์ฟน้ำไปทั่วร้าน ดูขยันและแข็งแรงกว่าที่คิด

“เออมึง” ปอเรียกคนที่ตั้งใจกินข้าวหน้าสรรพสัตว์ของตัวเอง “กินข้าวเสร็จไปหอสมุดกันปะ ติวอิ๊งให้หน่อยดิ”

“โนเวลเหรอ”

“ช่าย”

คนถูกถามนิ่งไปแป๊บหนึ่ง “ไปอ่านห้องกูได้ปะ พอดีกูต้องพิมพ์งานอะ ขี้เกียจยกโน้ตบุ๊กไปด้วย”

“ได้หมด หรือค่อยดูให้กูเย็นนี้ก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไร เผื่อเย็นๆ จะไปไหน”

 “เค”

เพราะตกลงกันดังนั้น หลังเช็กบิลเรียบร้อย สารถีจึงต้องปั่นจักรยานกลับไปทางเดิมเหมือนตอนขามา ต่างกันที่คราวนี้คนขี่ดูจะลดความประมาทยามข้ามถนนลงไปเยอะ คือรอจนไม่มีรถสักคันในระยะสายตานั่นแหละถึงจะข้าม

Rrrrrrrrrr…

“พีพี รับโทรศัพท์ให้หน่อยดิ” คนปั่นหันมาบอกกับคนซ้อน

“ไหนอะ”

“ในเป๋าเกงซ้ายเนี่ย หยิบแล้วรับให้หน่อย”

มือเรียวพยายามหยิบโทรศัพท์ที่สั่นครืดๆ ออกมาได้สำเร็จ แต่พอเห็นชื่อคนโทรเข้าแล้วก็เกิดไม่แน่ใจขึ้นมา “มึง...พี่จ๋าอะ”

“อ้อ...” ปอร้องเหมือนนึกขึ้นได้ “รับเลยๆ”

ภาคภูมิถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายยืนยันคำเดิม ก่อนจะสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย

   “ฮัลโหลครับ ...อ่า นี่ภูมิเองครับ ปอขี่จักรยานอยู่”

   “อ้าว ไปไหนกัน” ปลายเสียงถามอย่างแปลกใจ

   “จะไปอ่านหนังสือกันอ่าครับ” ตอบเพียงเท่านั้น โดยละสถานที่เอาไว้ “ภาษาอังกฤษครับ ไอ้ปอให้ช่วยติวโนเวล”

   คราวนี้ปลายสายเงียบไปจนภูมิต้องเรียก “พี่จ๋าครับ...”

คนถูกเรียกหัวเราะเจื่อนๆ “โอเคจ้ะ งั้นแค่นี้น้า”

“เดี๋ยวให้ปอโทรกลับนะครับ” คนรับโทรศัพท์แทนไม่ลืมบอกก่อนวาง

หากอีกฝ่ายปฏิเสธว่าไม่เป็นไร แล้ววางไปแบบที่คนรับยังงงๆ แต่ไม่ทันที่ภาคภูมิจะส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ หน้าจอที่มืดไปก็กลับสว่างขึ้นอีกครั้ง พร้อมข้อความแชตจากคนที่เพิ่งโทรมาเมื่อครู่

‘อ่านแล้วไม่ตอบ เพราะมีคนติวให้แล้วนี่เอง’



ถึงแม้ภาคภูมิจะอยู่หอพักแค่คนเดียวโดยไม่มีรูมเมต ทว่าของใช้ในห้องก็ยังถูกจัดมาสำหรับสองคนอยู่ดี อย่างโต๊ะเขียนหนังสือก็มีสองชุด แต่โต๊ะตัวที่ว่างนั้นถูกใช้วางของอยู่ พอจะใช้จริงเลยต้องมานั่งย้ายของออกไปให้หมด ตอนแรกปรนัยบอกให้ใช้โต๊ะญี่ปุ่นแล้วนั่งกับพื้น หากเจ้าของห้องกลัวคนตัวยาวจะปวดหลังตายก่อนอ่านหนังสือจบ เลยลงทุนจัดโต๊ะให้ใหม่

แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปครึ่งชั่วโมงที่แล้วได้ ภาคภูมิคงนั่งทำรายงานสบายๆ และไม่คิดย้ายของให้เหนื่อย เพราะดูเหมือนว่าคนที่จะมาให้เขาติวหนังสือ กำลังติดภารกิจง้อคนสำคัญผ่านโทรศัพท์อยู่

“In response to the questions in your email, I am writing with further information…” ริมฝีปากบางพึมพำทวนประโยคที่ตนเองพิมพ์ค้างไว้เป็นรอบที่สิบ ยอมรับตามตรงก็ได้ว่าเสียงแว่วของเพื่อนสนิทที่คุยโทรศัพท์กับพี่จ๋าอยู่นอกระเบียงนั้นดึงความสนใจจากงานวิชา Business Writing ไปหมด จนภาคภูมิเริ่มจะประสาทเสีย

แม้อารมณ์จะพัง แต่งานก็ยังต้องเดินต่อ สุดท้ายเขาเลยต้องเปิดเพลงฟัง ให้เสียงดังกลบบทสนทนาที่ไม่อยากได้ยิน นั่งทำสมาธิอีกพักใหญ่ถึงได้เริ่มทำงานต่อ จนผ่านไปเกือบชั่วโมง อีเมลติดต่องานที่ต้องเขียนส่งอาจารย์ถึงได้เสร็จเรียบร้อย หากคนด้านนอกระเบียงก็ยังคุยธุระไม่จบเสียที

ร่างโปร่งยืนบิดตัวเพื่อคลายอาการเมื่อยล้าก่อนจะพาตัวเองไปนอนบนเตียงนิ่ม การ์ตูนเล่มที่อ่านค้างไว้ถูกหยิบขึ้นมาเปิดอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าจิตใจจะไม่อาจจดจ่อกับกิจกรรมที่ชอบได้เหมือนเดิม สุดท้ายมือเรียวก็ต้องยอมวางหนังสือที่อ่านไม่เข้าใจนั้นไว้ข้างเตียงเช่นเคย

เสียงหัวเราะสดใสที่ดังแว่วเข้ามา จนบทเพลงจากลำโพงคอมพิวเตอร์ก็ไม่อาจกลบทับ ทำให้ภาคภูมิต้องปิดเปลือกตาลง แล้วความร้อนผ่าวก็ค่อยๆ แผ่ซ่านจากในอกจนขึ้นมาถึงโพรงจมูก ก่อนจะกลายเป็นความอุ่นชื้นบริเวณหางตา

อยู่ๆ เขาก็เข้าใจอะไรได้บางอย่าง ว่าการที่ตนเองดูเหมือนเป็นคนสำคัญในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนเผลอคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป แต่แท้จริงแล้วระหว่างเขากับปรนัย คำว่า ‘ตลอดไป’ นั้นมีอยู่ในทางเลือกแค่สองทาง

คือติดอยู่ในความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

กับยอมรับความจริงที่ไม่มีทางเป็นเหมือนฝัน

...ก็เท่านั้นเอง

------------------------------------



กว่าปรนัยจะคุยโทรศัพท์เสร็จ ว่าที่ติวเตอร์ก็หลับอุตุไปเสียแล้ว ตารีเล็กจ้องมองร่างขาวบนเตียงแล้วอมยิ้ม แว่นทรงกลมที่ยังคงประดับบนหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงเผลอหลับไป ปอเดินเอาโทรศัพท์ที่แบตเหลือไม่ถึง 10% ไปชาร์จที่หัวนอน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มือใหญ่เอื้อมไปช่วยถอดแว่นของคนหลับออก แล้วจึงได้เห็นว่าภายใต้กรอบแว่นนั้นคือเปลือกตาบางที่ดูบวมช้ำจนคนมองต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

“อ่านการ์ตูนเยอะดิมึงอะ” ปลายนิ้วเอื้อมแตะแผ่วเบาบนเปลือกตาคู่นั้น พลางพึมพำกับคนหลับอย่างไม่ค่อยพอใจนักที่เจ้าตัวไม่ยอมรักษาสุขภาพ

ใบหน้าเล็กขยับยุกยิกเมื่อรู้สึกถูกรบกวน แถมคิ้วเรียวยังขมวดมุ่นพร้อมกับจมูกแดงระเรื่อที่ทำฟุดฟิดไปมา

“ฮึ่ยยยย!!” อดไม่ไหวเลยบิดปลายจมูกรั้นนั่นไปเสียทีหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าไอ้ตัวดีจะตื่น แต่คนหลับเพียงแค่ม้วนตัวในผ้าห่มและเขยิบหนีไปเท่านั้น

ร่างสูงเดินไปปิดเพลงจากคอมพิวเตอร์ แล้วพาตัวเองมานั่งอ่านหนังสืออย่างที่ตั้งใจ ชีตวิชาภาษาอังกฤษถูกกางบนโต๊ะพร้อมทอล์กกิงดิกเครื่องเก่า มือหนาเปิดไปยังบทสุดท้ายที่มีกระดาษโพสต์อิตคั่นไว้ คำถามที่เก็งไว้เองหลายข้อถูกลิสต์ลงในนั้น ปรนัยให้ความสำคัญกับวิชานี้อย่างมาก เพราะถ้าติด F อีกก็อาจจะจบไม่พร้อมเพื่อนรุ่นเดียวกัน และทุกๆ คนก็รู้ดี ทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่เลยพยายามช่วยเข็นเขาอย่างเต็มกำลัง อย่างพี่จ๋าที่ติวให้ตั้งแต่ปี 1 จนถึงตอนนี้ก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือมาตลอด

แต่เขาดันบอกไปแล้วว่า ต่อไปคงไม่รบกวนอีก...

ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ นวนิยายภาษาอังกฤษที่ซีรอกซ์มาปึกหนาก็จบลง คนอ่านลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกง่วงงุนจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ตอนแรกว่าจะล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น แต่ดูเวลาแล้วยังเพิ่งจะบ่ายแก่ๆ ร่างสูงโปร่งจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เตียงนอน ซึ่งตอนนี้มีร่างกลมๆ ของเจ้าของห้องนอนกลิ้งอยู่ตรงกลาง

“พีพี” เอ่ยเรียกด้วยเสียงไม่เบานัก คนหลับขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมตื่น คราวนี้ปอเลยเขย่าไหล่บางใต้ผ้าห่มเบาๆ “พีพี”
ดวงตาหรี่ปรือลืมขึ้นช้าๆ

“นอนด้วย” พูดกับคนกึ่งหลับกึ่งตื่นแล้วจึงทรุดตัวลงที่เตียง เสียงกุกกักทำให้รู้ว่าเจ้าของเตียงกำลังเขยิบตัวพร้อมลากผ้าห่มไปอีกด้าน เหลือพื้นที่พอประมาณให้อีกคนนอนได้

ถ้าจะพูดกันตามตรง ตั้งแต่รู้จักกันมาสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขามา ‘นอน’ ที่ห้องของเพื่อนสนิท ต่อให้ปาร์ตี้ดึกดื่นหรือติวสอบกันข้ามคืน แต่ไม่เคยมีใครค้างห้องใครทั้งนั้น ต่างคนต่างประคองตัวเองกลับหอทุกครั้งไป

‘มึงไม่แชร์ห้องกันวะ’ ไอ้แก้วเคยถามเขากับภูมิ เมื่อรู้ว่าต่างคนต่างก็อยู่คนเดียว

จำได้ว่าพวกเขาเพียงแต่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ และสุดท้ายก็ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น ไม่รู้สิ...เราคงไม่อยากนอนเอาหน้าแข้งสีกับผู้ชายคนอื่นปะวะ?

ปรนัยคิดแล้วก็ขำ ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงแบบที่ชอบ แล้วใบหน้าขาวๆ ที่ซ่อนครึ่งหนึ่งใต้ผ้าห่มก็เข้ามาอยู่ในระยะสายตา จมูกเล็กที่เชิดปลายขึ้นเล็กน้อยดูดื้อเงียบเหมือนนิสัยของเจ้าตัว กลายเป็นจุดที่สายตาคมเหม่อมองอยู่นาน แอร์เย็นๆ กับความอ่อนล้าที่สะสมมาตั้งแต่ตอนอ่านหนังสือทำให้เปลือกตาหนักๆ เริ่มปิดลง ก่อนใบหน้าคมจะซุกลงกับหมอนนุ่มที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายคนข้างๆ แล้วจึงหลับไปอีกคน


------------------------

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #09 ปรัชญาภาษา (Update! 16/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 15-06-2017 00:19:45
แดดร้อนๆ เมื่อตอนเที่ยงกำลังแปรเป็นพายุฝนเทกระหน่ำจนได้ยินชัดเจนแม้อยู่ในห้อง แต่นั่นไม่น่ารำคาญและทรมานเท่าอากาศหนาวเย็นด้านใน จนมือเรียวต้องกระชับผ้าห่... เอ๊ะ? ผ้าห่ม...ผ้าห่ม!!!

   ตากลมลืมขึ้นช้าๆ ในขณะที่สองมือก็ปัดป่ายหาผ้าผืนนุ่มที่เคยห่มคลุมร่าง ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ตามหานั้นถูกไอ้โจรที่หลับกลิ้งอยู่ข้างๆ ขโมยไป

   “เชี่ยปอ!!!” ตะโกนเรียกไม่พอ เท้าขาวๆ ยังถีบปั๊กตรงสีข้างของคนหลับเต็มๆ

   คนเจ็บสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพลางร้องโอดโอย “ถีบกูทำไมมมม”

   “หึ!” คนตื่นก่อนนั่งขัดสมาธิบนเตียง สองมือลูบแขนตัวเองเพราะความหนาว ก่อนจะนึกขึ้นได้ จึงคว้ารีโมตแอร์มากดปิดไปเสีย

   “หนาวเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ผ้าผืนนุ่มบนตัวบ่งบอกว่า เขาคงเผลอดึงผ้าห่มจากอีกคนมาเป็นของตัวเอง

   พรึ่บ!!

   มือหนาตวัดทีเดียว ผ้าห่มในมือก็ลอยไปคลุมร่างคนหนาวทั้งตัว “มาๆ นอนต่อนะ”

   เจ้าของห้องนั่งนิ่ง ตากลมหลุบมองต่ำจนคนข้างๆ ร้องถาม “พีพี เป็นไร”

   ใบหน้าเล็กส่ายเบาๆ

   “ตาบวม?” ปรนัยเอ่ยเหมือนไม่แน่ใจ ก่อนร่างสูงจะขยับเข้าไปใกล้คนข้างๆ ปลายนิ้วแตะลงบนเปลือกตาบางที่ตอนนี้บวมตุ่ยอย่างเห็นได้ชัด “กูว่าละ... นอนดึกดิมึง”

   คนโดนดุถอนหายใจ ได้แต่สะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกหนีไปเข้าห้องน้ำ พอมาส่องกระจกจริงๆ ถึงได้รู้ว่าตาของตัวเองบวมแดงจนน่าตกใจ และไม่ต้องสืบเลยว่าใครเป็นต้นเหตุ แต่พูดไปอีกฝ่ายก็คงไม่ได้รับรู้อะไรด้วย ภาคภูมิยืนจ้องหน้าตัวเองอยู่นาน พยายามรวบรวมสติและปรับอารมณ์ให้กลับเป็นปกติ ...เรื่องนี้โทษไอ้ปอคงไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วคนที่ทำให้ตัวเองเสียใจก็คือตัวเองไม่ใช่เหรอ?

   เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้คนที่กำลังง่วนอยู่ตรงหลังตู้เย็นต้องหันมามอง

   “มานี่” ปรนัยกวักมือเรียกเจ้าของห้อง พอคนถูกเรียกยังยืนเฉย มือหนาเลยคว้าข้อมือเล็กให้เข้ามาหาตัวเองแทน

   “อะไร?” ภูมิร้องถามด้วยความงงงวย ขณะทิ้งตัวลงนั่งกับขอบโต๊ะเขียนหนังสือ

   ร่างสูงของเพื่อนสนิทเดินไปที่ตู้เย็น ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำที่มีช้อนกินข้าวอยู่ข้างใน “สูตรลดตาบวม... มา หลับตาเร็ว”

   เปลือกตาช้ำปิดลงตามคำสั่ง ก่อนภาคภูมิจะรู้สึกถึงวัตถุเย็นเฉียบที่แตะลงกับเปลือกตา

   แรงสะดุ้งน้อยๆ จากความตกใจของเพื่อนสนิท ทำให้ปรนัยต้องเอื้อมมือไปจับร่างโปร่งนั่นไว้ “ในเน็ตเค้าบอกให้เอาช้อนแช่เย็น ประคบเปลือกตาสักพัก มันจะหายบวม”

   “จริงเหรอ” คนที่ยังหลับตาร้องถาม

   “ไม่รู้เหมือนกัน เห็นอุปกรณ์หาง่ายเลยลองดู”

   ภาคภูมินิ่งเงียบ ปล่อยให้กูรูส่วนตัวแตะหลังช้อนลงกับเปลือกตาเป็นระยะ จนน้ำแข็งในแก้วละลายหมด

   “น่าจะโอละ”

มือเรียวขยี้ตาตัวเองทันทีที่การประคบตาเสร็จสิ้น คนที่หันหลังไปเก็บของถึงกับร้องเฮ้ย แล้วรีบดึงมือยุกยิกนั่นออก “เดี๋ยวก็บวมอีกหรอก!”

   ดุไปปลายนิ้วโป้งของตัวเองก็ลูบเปลือกตาเย็นๆ ไปด้วย ตอนนี้อาการบวมลดลงบ้างแล้ว แต่ยังดูปรือๆ อยู่ น่าจะต้องรอสักพักถึงจะกลับสู่สภาพเดิม

   เจ้าของดวงตากลมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าใบหน้าคุ้นเคยของเพื่อนสนิทนั้นอยู่ใกล้จนสายตาไม่อาจปรับโฟกัสได้ชัดเจน ฉับพลันหัวใจก็เต้นรัวจนต้องพาตัวเองลุกหนีออกจากพื้นที่อันตราย “ขะ...ขอบใจ”

   “ไม่เป็นไรๆ” ร่างสูงถอยกลับมา แล้วคว้าอุปกรณ์หลังตู้เย็นไปไว้ที่ซิงก์ล้างจานนอกระเบียง

   ภูมิคงจะยืนจับหัวใจตัวเองอยู่อย่างนั้น หากไม่ได้ยินเสียงทุ้มตะโกนเข้ามาเสียก่อน “น้ำยาล้างจานหมดเหรอวะ”

   “เออ ลืมซื้ออะ” ตอบกลับไปเมื่อนึกขึ้นได้ “มึงไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกูล้างเอง”

   เสียงประตูระเบียงถูกเปิด ก่อนร่างสูงจะกลับเข้ามา “ฝนหยุดละ ไปโลตัสกันเปล่า”

   เจ้าของห้องหยุดคิดเล็กน้อย “...ไปดิ”


   ถึงจะไม่มีห้างสรรพสินใหญ่ๆ อยู่ในรัศมีของมหาวิทยาลัย แต่เรายังมีห้างคู่ใจของพ่อบ้านแม่บ้านอย่าง ‘โลตัส’ ให้พอได้ใจชื้น แต่การจะมาถึงตรงนี้ได้ ต้องผ่านถนนใหญ่ที่ใช้วิ่งข้ามจังหวัดเสียก่อน หลังปั่นจักรยานผ่านถนนสายโลกันตร์ที่เกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้ใต้ท้องรถบรรทุก สองหนุ่มแห่งภาคปรัชญาก็พาตัวเองมาอยู่ท่ามกลางของอุปโภคบริโภคมากมายได้สำเร็จ

   ปรนัยกำลังเข็นรถเข็นตามร่างโปร่งที่เดินหยิบครีมนวดผมยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ขึ้นมาดู นอกจากอ่านฉลากทั้งหน้าและหลังแล้ว คุณพ่อบ้านคนนี้ยังต้องเปรียบเทียบราคาต่อหน่วย เพื่อให้ได้ของที่คุ้มค่าที่สุดอีกด้วย
 
   “ได้แล้วเหรอ” ครีมนวดผมขวดหนึ่งถูกวางลงในรถ

   “เออ อันนี้เป็นสูตรล้างง่ายเว้ย ลดราคาด้วย”

   “เหรอๆ เอาให้กูด้วยขวดนึง”

   “มึงใช้ด้วยเหรอ” ภูมิถามอย่างแปลกใจ

   อีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิด “เออว่ะ แต่เผื่อมึงไปอาบน้ำห้องกูไง”

   แปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ยอมหยิบครีมนวดอีกขวดใส่รถเข็น “งั้นเอาสบู่เหลวด้วยได้ปะ”

   “เอาดิ มีแบบล้างง่ายอีกมั้ย”

   “เดี๋ยวดูก่อน แต่ที่กูใช้ก็โอเคนะ” พูดจบก็เดินนำไปยังล็อกครีมอาบน้ำที่อยู่ถัดไป “นี่ๆ อันนี้”

   ตารีเล็กหันมองตาม ก่อนจะรับสบู่เหลวขวดนั้นมาแล้วเปิดฝาดม “เออ หอมดี กลิ่นเหมือนมึงเลย”

   ปรนัยเคยคิดว่าชาตินี้จะไม่เดินตามแฟนคนไหนเวลาช็อปปิงเด็ดขาด คิดถึงขนาดที่ว่า ถ้าพอมีเงินหน่อย เขาจะยกกระเป๋าสตางค์ให้มนุษย์เมียไปเลย แล้วพี่จะหยอดตังค์เล่นเกมรถแข่งรอ เชิญช็อปให้สบายใจเลยจ๊ะ อะไรประมาณนี้ แต่พอได้มาเลือกของกับไอ้ภูมินี่ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนนิดหน่อย เพราะจริงๆ มันก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไร ดูเหมือนทำมิชชันเก็บ RC เวลาแข่งวอล์กแรลลี เพลินๆ ดีเหมือนกัน

   แต่เดี๋ยวนะ ขอย้อนกลับไปที่ประโยคแรก... ‘ปรนัยเคยคิดว่าชาตินี้จะไม่เดินตามแฟนคนไหนเวลาช็อปปิงเด็ดขาด’ ทำไมพอมาแมตช์กับภาพปัจจุบันแล้วมันแปลกๆ วะ!?

   “เฮ้ย! กูถามว่าเอาขวดใหญ่หรือขวดเล็ก” ภูมิชูขวดสบู่เหลวสองขนาดรอให้เพื่อนตัดสินใจ แต่อีกคนดูเหม่อไร้สติจนเขาต้องเขยิบเข้าไปใกล้ “เชี่ยปอ!!”

   “ฮะ?? ...อ่อ แล้วแต่มึงเลยๆ” ตอบส่งๆ ไปก่อน เพราะความคิดประหลาดๆ ยังสับสนอยู่ในหัว

   “ผงซักฟอกแล้ว...น้ำยาล้างจานแล้ว...น้ำยาล้างห้องน้ำแล้ว...ยาสระผมแล้ว...สบู่แล้ว”

เสียงหงุงหงิงที่กำลังทวนของใช้ที่ต้องซื้อทำให้คนข้างๆ นึกถึงบางเรื่องขึ้นมา “มึงนี่ยิ่งกว่าแพทริเซียอีกอะ”

ร่างโปร่งหยุดเดิน ก่อนสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยจะหันมาหาคนพูด “ใครวะ”

“ก็แพทริเซียไง หลังเลิกงานแพทริเซียต้องแวะโกรเซอรีเพื่อช็อปปิง เธอจะซื้อแอปเปิลลูกที่สวยที่สุด กับพายที่อบใหม่ๆ แล้วก็แวะเอาไปให้คุณลุงมอนเตร...”

“เดี๋ยวๆๆ” มือขาวยกขึ้นห้าม “ใครวะ ดาราเหรอ”

คราวนี้ปรนัยทำหน้างงบ้าง ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เชี่ย โทษๆๆ กูหมายถึงโนเวลที่กูอ่าน ฮ่าๆๆๆ”

“โอ๊ย!! มึงก็อินเกิ๊น!” ขำในความรักเรียนของเพื่อน แล้วใจก็คิดไปถึงเรื่องที่ปอจะให้ติว “ตกลงมึงจะให้กูช่วยติวปะ ...หรือพี่จ๋าเค้านัดติวให้เหมือนเดิม”

เขาค่อนข้างมั่นใจว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปดูปกติและร่าเริงพอประมาณ นึกทึ่งตัวเองเหมือนกันที่ควบคุมอารมณ์ได้แม้ใจจะยังปวดหนึบ ...ต้องยิ้มให้อีกนิด หรือขำเบาๆ ด้วยมั้ยวะ เพื่อความเนียน

“ทำไมทำหน้างั้นอะ” เสียงทุ้มถามกลับ เมื่อเห็นใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

ภาคภูมิเสหลบทันควัน ...แม่งเอ๊ยยย!!

“กูเก็งคำถามเสร็จละ แต่เดี๋ยวมึงช่วยอ่านคำถามที่ลิสต์ไว้หน่อยดิ จะลองตอบดู”

คนที่ยังปั้นหน้าไม่ถูกส่งเสียอือออรับคำ แต่สายตาแสร้งหันไปสนใจอาหารหมาตามล็อกที่เดินผ่าน คนที่เข็นรถข้างๆ กันดูสงสัยไม่น้อย เพราะรู้ว่าเขาไม่เลี้ยงหมาสักตัว

“เอ้อ...อยากซื้อถุงเล็กๆ ไปให้หมาหน้าภาค” รังสีจากสายตาที่คอยจับผิดอยู่ ทำให้ภูมิต้องรีบคิดบทโดยด่วน พออีกฝ่ายพยักหน้าแบบไม่คิดอะไร เขาจึงถามต่อ “แล้ว...คือ มึงไม่ติวกับพี่จ๋าแล้วเหรอ”

“ไม่อะ กูบอกเค้าไปแล้วว่าไม่รบกวนเค้าละ” เสียงทุ้มตอบสบายๆ แต่คนที่ดูจะตกอกตกใจกลายเป็นคนฟังมากกว่า

“หาาาา... ทำไมวะ”

“ก็กูเกรงใจเค้า” แขนยาวๆ เอื้อมไปหยิบอาหารเม็ดสำหรับสุนัขถุงเล็กๆ ตามที่เพื่อนสนิทกำลังหา “อันนี้นะ?”

   ตากลมมองตามแล้วได้แต่อ้ำอึ้ง ...สรุปต้องเสียค่าอาหารหมาสินะ

   “ช่วงนี้พี่จ๋าเค้าต้องทำสารนิพนธ์แล้ว วันนี้ที่คุยนานๆ ก็เพราะสัมภาษณ์กูเรื่อง Identity ไรเนี่ย เห็นว่าต้องสัมภาษณ์คนที่มาจากต่างจังหวัดอีกหลายคน”

    “อ่อ...” ฟังคำอธิบายของเพื่อนแล้วก็ได้แต่รับคำเงียบๆ

   “อีกอย่างคือ...” อยู่ๆ คนกำลังพูดก็เบาเสียงลง “บางทีกูก็รำคาญเค้าว่ะ”

 “อ้าว!!”

“คือแบบ...มึงก็รู้ใช่มะ ว่ากูไม่ชอบตอบไลน์ แล้วเค้าก็ชอบพิมพ์มาทีละเยอะๆ นี่กูปิดแจ้งเตือนจากเค้าไปแล้วนะ”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ ในเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน “เค้าก็หวังดีกับมึงนั่นแหละ...”

“กูก็รู้เว้ย แต่นอกจากเรื่องติวอิ๊งแล้ว เรื่องอื่นๆ เค้าก็เยอะอะ ‘ทำไมไม่กินข้าว ทำไมตื่นสาย นี่โดดเรียนใช่มั้ย ทำไมอ่านแล้วไม่ตอบ ทำไมไม่มาภาค’ บลาๆๆๆ” จากอารมณ์ดีๆ เริ่มกลายเป็นอารมณ์เสีย เรื่องนี้ปรนัยไม่เคยบอกใคร และคิดเสมอว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่พอเจอหนักๆ เข้า เขาก็เลยต้องหาทางออก

“จริงดิ ปกติพี่เค้าก็ดูชิลๆ นะ”

“เหอออ...กับกูนี่ถามยิ่งกว่าแม่อีก”

ภาคภูมิรู้ว่าเพื่อนคงอึดอัดจริงๆ เพราะปกติแล้วปอไม่ใช่คนจะมานินทาคนอื่นลับหลัง ...หรือแม่งพูดกับพี่จ๋าไปตรงๆ แล้ววะ!! “นี่มึงคงไม่ได้บอกพี่เค้าไปแบบนี้ใช่มะ”

ใบหน้าคมส่ายปฏิเสธ “เปล่าหรอก ก็บอกเค้าว่าเกรงใจ อยากให้เค้าโฟกัสที่สารนิพนธ์จบมากกว่า ตอนแรกเค้าก็บ่นมาเป็นชุดเลยเว้ย กูก็ฟังๆ เออๆ ออๆ ไปสักพักอะ แต่แม่งก็วนกลับมาเรื่องที่ว่า ถ้าเค้าไม่ติวแล้วกูจะอ่านรู้เรื่องได้ไง อยากเอฟอีกเหรอ กูรำคาญเลยบอกไปว่ามึงจะติวให้ เรื่องนี้เลยจบ”

“หือออออ!?” คนถูกอ้างถึงร้องอย่างตกใจ

“อะไร มึงจะไม่ติวให้กูเหรอ” อีกฝ่ายถาม ทำเสียงน้อยใจ

“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่คือ... พี่จ๋าเค้าจะไม่เกลียดกูใช่เปล่า”

“เกลียดมึงทำไมวะ”

“ก็...” ภาคภูมิอึกอัก ยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้ไอ้ปอเข้าใจ “เหมือนเอากูไปแทนเค้าเลย”

“แล้วมึงจะแคร์ทำไม” คนสูงกว่าทิ้งรถเข็นแล้วก้าวเข้ามาหา แขนยาวคว้าไหล่เพื่อนสนิทมาโอบไว้หลวมๆ “ใครจะเกลียดก็เกลียดไป กูรักมึงก็พอแล้วปะวะ ฮ่าๆๆ”

ภาคภูมิเหม่อมองเสี้ยวหน้าของคนที่พูดคำบางคำได้อย่างง่ายดาย เสียงหัวเราะจากเพื่อนสนิทเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่มีความหมายใดๆ แฝงอยู่ในประโยคเมื่อครู่ แล้วอยู่ๆ ความคิดหนึ่งก่อนที่จะเผลอหลับไปเมื่อตอนกลางวันก็ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเข้าใจได้อีกอย่าง ว่านอกจากคำว่า ‘ตลอดไป’ แล้ว คำว่า ‘รัก’ จากปรนัย ก็มีอยู่ในทางเลือกแค่สองทางเช่นกัน

คือความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

กับความจริงที่ไม่มีทางเป็นเหมือนฝัน

...ก็เท่านั้นเอง


---------------------------------------------



TBC.



สวัสดีค่า
Sweet Dilemma กลับมาแล้ว ขออภัยที่หายเงียบไปเลย
พอดีมีปัญหาเรื่องสุขภาพของคุณแม่นิดหน่อย
แต่ตอนนี้แม่ดีขึ้นมากแล้วค่ะ คงได้กลับมาแต่งนิยายเหมือนเดิม

/ขายของ
ใครต้องการติดตามข่าวสารจากคนเขียน สามารถเข้าไปส่องกันได้ที่
Facebook : www.facebook.com/lykarfanpage (ส่งข่าวนิยาย แชร์เรื่องวายๆ ใสๆ)
Twitter : @lykar91 (ชีวิตส่วนตัว รีวิวอาหาร หวีดคู่จิ้น บ่นดินฟ้าอากาศ มีทุกอย่างยกเว้นนิยายตัวเอง 55555)
ใครอยากติชมเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ผ่านทวิตเตอร์ สามารถติดแฮชแท็ก #SweetDilemmaFiction กันได้นะคะ

เจอกันตอนหน้าค่า  :bye2: :bye2:

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-06-2017 02:00:20
ง่าาา ปอไม่คิดไรกะใครเลยเหรอ หักอกพี่จ๋ากับพีพีแบบไม่ตั้งใจสองรายซ้อนเลยนะ หรือจริง ๆ ปอเป็นคนซึน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 15-06-2017 06:35:48
บายพี่จ๋า
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 15-06-2017 09:14:45
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารน้องพีพี ใครก็ได้มาช่วยดามใจพีพีหน่อยเถอะ :katai1:

ปอนี่เป็นคนใจร้ายโดยไม่ได้เจตนาเลย ทั้งกับพี่จ๋าหรือว่าพีพี จะว่าเป็นคนที่โลกหมุนรอบตัวเองอยู่รึเปล่า ชักมีความเคือง :katai4:

แอบฟินตอนไปซื้อของกันนะ บรรยากาศพ่อบ้านใจกล้าดี 555 แต่ก็แป๊บๆ เอง ความสุขมาไวไปไวเหลือเกิน

อยากให้พีพีมีทางเลือกที่ 3 คือ ตื่นจากฝันแล้วพบความจริงที่ดีกว่าฝัน เนอะ

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 15-06-2017 11:01:48
อย่างน้อยตอนนี้พี่จ๋าก็ไม่ใช่ปัญหาละ :katai1:
แต่เมื่อไหร่ปอจะรู้ใจตัวเองแง้
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-06-2017 11:44:16
จะมีอะไรมาทำให้ปอ รู้ตัว รู้ใจ
กับจะมีอะไรมาทำให้พีพี ตัดใจจริงจัง
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-06-2017 12:26:53
ปวดใจไปกับพีพีเลยอะ เชียร์ให้ตัดใจซะดีไหม
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sebest ที่ 15-06-2017 16:00:55
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 15-06-2017 16:09:56
อยากให้ปอรู้ใจตัวเองซะที เราชอบอ่านเรื่องแนวนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-06-2017 17:10:06
พีพีไปหาคนอื่นเถอะะะะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 15-06-2017 17:59:28
คุณปอกับคุณพีพีกลับมาสักที หายไปนานเลยนะคะ5555555
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-06-2017 21:33:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 22-06-2017 08:18:07
ตามมาจากนิยายแนะนำค่ะ ชอบมาก ๆ เลย
คนเขียนเก่งจัง ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ชอบมากเลยค่ะ
ชอบภาษา ชอบการดำเนินเรื่อง มีเรื่องวิชาการสอดแทรกเข้ามาด้วย
แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องดูหนักเกินไป อ่านได้เรื่อย ๆ สบาย ๆ
ถึงปอจะซึนเหลือเกิน แต่ก็ไม่ทำให้หมั่นไส้เท่าไหร่นะ 555
ชอบพีพีมาก เอาใจช่วยพีพี ให้ปอรู้ใจตัวเองซะทีนะ พีพีเนื้อหอมมากนะจ้ะ
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 22-06-2017 08:41:14
พีพีไม่ต้องกังวลเรื่องพี่จ๋าแล้ว เครียดเรื่องอื่นต่อไป
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-06-2017 23:00:02
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 12-07-2017 21:30:51
10.2
เรื่องชื่นใจ


   โมบายเปลือกหอยกระทบกันเบาๆ ในยามที่ลูกค้าใหม่เปิดประตูเข้ามา เสียงเจ้าของร้านกาแฟเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กที่มาใหม่ค้อมศีรษะให้คนหลังเคาน์เตอร์ที่พอคุ้นหน้ากันดี ก่อนจะพาตนเองมานั่งที่โซฟามุมร้าน ซึ่งมีร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

   “อ้าว... กวา” ใบหน้าคมเงยขึ้นจากหนังสือภาษาอังกฤษในมือ ก่อนจะร้องทักคนตรงข้าม

   “ขอโทษครับอาจารย์...” คนมาสายยกมือขึ้นไหว้ “ร้านปิดช้ามากเลย”

   “ไม่เป็นไรครับ กินอะไรก่อนมั้ย” เอ่ยถามขณะโบกมือเรียกพนักงาน ไม่นานนักเมนูแผ่นใหญ่ก็ถูกยื่นให้คนตรงข้าม

   “ไปกันเลยก็ได้ครับ” เพราะเห็นว่าเลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงแล้ว แตงกวาจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียเวลาอีก

   “กินเถอะ ไม่ได้รีบขนาดนั้น”

   พนักงานซึ่งเป็นเจ้าของร้านยืนอมยิ้มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พอเห็นลูกค้าประจำยังตกลงกันไม่ได้ จึงก้าวเข้าไปหาแล้วค้อมตัวลงเล็กน้อย ก่อนแนะนำเมนูใหม่ที่จะน่าตอบโจทย์คนทั้งคู่

   “ถ้ายังไงลองเป็นพัฟสติกมั้ยครับ เป็นสินค้าใหม่ของอาทิตย์นี้ มีให้เลือกสามไส้ ตัวพัฟจะเป็นแท่งทานง่าย ไม่เลอะเทอะ เทคโฮมได้เลยครับ”

   “อื้ม ก็ดีนะ กวาเลือกสิจะเอาไส้อะไร” ผู้เป็นอาจารย์ชี้ไปที่เมนูในกระดาษเคลือบใสใบแรกสุด

   แตงกวาไล่สายตาดู พอเห็นภาพสวยๆ แล้วก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที เมื่อพิจารณาราคาอันละ 30 บาทแล้วก็เห็นว่าไม่แพงมาก เลยตัดสินใจสั่งไป

   “งั้นเอาไส้ปูอัดอันหนึ่งครับ”

   พนักงานรับคำสั่ง ก่อนจะหันไปถามอีกคน “อาจารย์กฤตสนใจชิมด้วยมั้ยครับ”

   “ของผมเอาไส้ละอันแล้วกันครับ ใส่รวมกันมาเลยก็ได้ แล้วก็คิดเงินเลยครับ”

   พอออร์เดอร์เรียบร้อย อ.กฤตก็หันไปเก็บของลงกระเป๋า ก่อนจะเหลือบเห็นมือเล็กๆ ยื่นแบงก์ยี่สิบมาให้พร้อมเหรียญสิบอีกเหรียญ เขามองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยื่นมือไปรับ แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กๆ นั่นก็ทำให้รู้ว่าเขาตัดสินใจถูก

   เรื่องเงินถือเป็นประเด็นเซ็นซิทีฟที่ทำให้แตงกวาทะเลาะกับตนเองบ่อยๆ เพราะเขาชอบเลี้ยงนู่นเลี้ยงนี่ หรือเวลาซื้อของอะไรก็มักจะจ่ายให้เสมอ อาจเพราะเคยชินกับการเลี้ยงเด็กๆ คนอื่นๆ เวลากินข้าวด้วยกันหรือทำงานภาค เขาเลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมควรที่จะจ่ายอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับนักศึกษาคนนี้บ้าง แต่ประโยคหนึ่งจากแตงกวา ทำให้เขาต้องกลับไปทบทวนสิ่งที่ทำอยู่นี้ใหม่

   ‘ถ้าสงสารผม ก็จ้างให้ผมทำงานเถอะครับ อย่าเลี้ยงอะไรผมเลย’

   น้ำเสียงจริงจังกับแววตาเศร้าลึกคู่นั้น ทำให้ผู้เป็นอาจารย์เข้าใจอะไรบางอย่างอย่างชัดเจน ที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ความสงสารมาลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ น่าเศร้านักที่เขาทั้งศึกษาและสอนเรื่องเหล่านี้มาหลายปี แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่รู้โดยไม่ตั้งใจ ตั้งแต่นั้นมา อ.กฤตเลยพยายามหางานที่เหมาะสมให้แตงกวาทำ อย่างการไปทำพาร์ตไทม์เป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเฮียงก็เช่นกัน

   “วันนี้ที่ร้านเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะเลี้ยวรถเข้าประตูมหาวิทยาลัย

   คนกำลังกัดพัฟกร้วมๆ รีบกลืนขนมก่อนจะตอบคำถาม “ก็เรื่อยๆ ครับ คนไม่ค่อยเยอะ”

   เจ้าของรถเอี้ยวตัวไปหยิบขวดน้ำหลังเบาะส่งให้ลูกศิษย์ “กินน้ำก่อน เดี๋ยวติดคอ”

   “ขอบคุณครับ”

   “ไม่เหนื่อยไปใช่มั้ย” อ.กฤตหมายถึงการทำงานตลอด 6 วันของแตงกวา ถ้าวันธรรมดาเด็กหนุ่มจะไปช่วยงานที่ร้านอาหารตอน 6.30 – 8.00 น. ส่วนวันเสาร์ก็ลากยาวถึงบ่ายสองบ่ายสาม จนกว่าของขายจะหมด

   “ไม่ครับ เฮียใจดี” รอยยิ้มสดใสฉายบนใบหน้า ยืนยันคำตอบว่าเป็นเรื่องจริง

   “ตอนแรกผมคิดว่ากวาจะกลัวซะอีก บ้านนี้เค้าคุยกันเสียงดัง”

   “เสียงดังจริงครับ แต่เฮียทุกคนไม่ดุเลย”

   “ดีแล้วล่ะ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกผมนะ”

   คนฟังพยักหน้า

   รถยนต์สีขาวของอ.กฤตเลี้ยวเข้ามาในเขตคณะเภสัช ก่อนจะชะลอความเร็วลง “เดี๋ยวกวาไปเอาชีตที่ซีรอกซ์แล้วรอหลังร้านนะ ผมจะวนรถมารับ มันจอดไม่ได้”

   พอรถจอดสนิท ร่างเล็กก็เปิดประตูแล้ววิ่งไปยังร้านถ่ายเอกสารทันที เจ้าของรถดูจนลูกศิษย์ข้ามถนนไปถึงร้านแล้วจึงขับวนไปอีกด้าน กะเวลาให้แตงกวาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจึงจอดตรงจุดนัดหมาย หลังจากนั้นไม่ถึงนาที คนทำภารกิจก็วิ่งดุ๊กๆ มาถึงรถได้ทันก่อนจะโดนยามไล่

   “สามชุด ชุดละห้าสิบแผ่นใช่มั้ยครับ” เสียงใสที่ยังหอบน้อยๆ เอ่ยทวนรายการ

   “ใช่ครับ” เจ้าของงานรับคำ ขณะเลี้ยวรถเพื่อไปยังคณะอักษร และจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่หลังตึก

   ถึงจะเป็นวันหยุด แต่บริเวณคณะก็ยังคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษา มีทั้งกลุ่มที่มานั่งอ่านหนังสือและทำงาน พอเห็นดังนั้นจึงหันมาถามคนที่เดินอยู่ข้างๆ อย่างนึกขึ้นได้

   “อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแล้วใช่มั้ย”

   “ครับ”

   “อ่านหนังสือหรือยังครับ ปีหนึ่งสอบทุกวิชาเลยนี่”

โดยปกติแล้วการสอบมิดเทอมไม่ได้กำหนดเป็นกิจจะลักษณะเหมือนไฟนอล วิชาไหนไม่มีสอบก็จะเรียนไปปกติ ยกเว้นปีหนึ่งที่มีสอบหมดทุกวิชา สัปดาห์หน้าจึงถือเป็นช่วงสอบอย่างจริงจัง

   เห็นคนถูกถามทำหูทวนลมไม่ตอบแล้วผู้เป็นอาจารย์ก็พอจะรู้คำตอบกลายๆ

   “อย่าคิดว่ามันไม่สำคัญนะ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ถ้ามิดเทอมตกก็มีสิทธิ์ที่จะติด F เลยนะกวา”

   เสียงดุๆ นั่นทำให้คนถูกบ่นยิ้มแหย “คร้าบ เดี๋ยวอ่านครับ”

   “งั้นวันนี้แค่แม็กชีตห้าสิบชุดนี้ก็พอ แล้วรีบกลับไปอ่านหนังสือนะ” เสียงทุ้มออกคำสั่ง ก่อนสายตาจะไปโฟกัสที่การไขประตูเข้าภาควิชา จึงไม่ทันได้เห็นเด็กดื้อทำหน้าเหมือนกินยาขมอยู่ข้างๆ

   แตงกวาเดินตามร่างสูงใหญ่เข้าไปในห้องพักอาจารย์ จัดการวางเอกสารตรงโต๊ะยาวมุมห้อง แล้วเริ่มเรียงเป็นชุดๆ ตั้งแต่เริ่มช่วยงานมา แตงกวาก็ค้นพบว่าหน้าที่ของอาจารย์นั้นมีมากกว่าการสอน ทุกๆ วันอาจารย์กฤตต้องทำประเมิน ทำเอกสารของภาควิชา ทำรายงานต่างๆ ส่งคณะและมหาวิทยาลัย เรียกว่างานเยอะไม่แพ้นักศึกษา ดังนั้นอะไรที่ไม่เป็นความลับและไม่ยากเกินไป แตงกวาก็มักจะอาสาช่วยทำให้

   “อาจารย์ครับ...” คนมุมห้องส่งเสียงเรียก “แล้วอาจารย์จะแกะเทปทันเหรอครับ”

   เขาหมายถึงงานอีกชิ้นที่รับปากจะช่วยอ.กฤตทำ นั่นคือการถอดเทปการประชุมความยาวเกือบสองชั่วโมง จำได้ว่าต้องเขียนสรุปส่งวันพุธนี้ และอาจารย์เองก็มีงานด่วนอื่นๆ อีก ยังไงก็ไม่น่ามีเวลามาถอดเทปเอง

   เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดชะงักลง “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมฟังไปเขียนไปเลยทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลากวาถอดเทปด้วย”

   แตงกวาเงียบไป ...หรือจริงๆ แล้วอาจารย์ก็แค่อยากจะช่วยเหลือเด็กตาดำๆ ที่โดนครอบครัวทอดทิ้ง และไม่มีเงินกินข้าว เลยจ้างเขาทำงานง่ายๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร จากที่เคยคิดว่าตัวเองช่วยแบ่งเบาภาระของอาจารย์ได้บ้าง สุดท้ายเขาอาจเป็นแค่ภาระอีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์ต้องแบกรับเข้าไปในชีวิตก็ได้

   “กวา...” เสียงทุ้มอ่อนลง “แตงกวาครับ”

   “...ครับ”

   คนอายุมากกว่าลอบถอนหายใจ ถึงลูกศิษย์จะเป็นคนเงียบๆ แต่อาการเงียบกริบแบบนี้มันผิดปกติ และเดาไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกยังไง

   “ผมขอบคุณนะที่กวามาช่วยงานผมหลายๆ อย่างให้เสร็จเรียบร้อย เชื่อเถอะว่าถ้าผมทำเอง มันคงไม่ออกมาดีแบบนี้” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเรียบเรื่อย “แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นกว่างานส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบ คือความสำเร็จของนักศึกษานะครับ”

   มือเล็กที่จัดเอกสารอยู่ชะงัก พิจารณาถ้อยคำบอกเล่านั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย “นักศึกษา...”

   “อะไรนะครับ”

   เสียงพร่าพยายามเอ่ยถามทั้งๆ ที่หัวใจปวดหนึบ “อาจารย์ก็ต้องหวังดีกับนักศึกษาทุกคนใช่มั้ยครับ”

   ผู้เป็นอาจารย์เพ่งมองแผ่นหลังของเด็กในที่ปรึกษา กระแสเสียงหม่นเศร้าที่ได้ฟังไม่อาจทำให้เขานั่งทำงานเฉยๆ ได้อีกต่อไป อาจารย์กฤตลุกจากเก้าอี้ แล้วสาวเท้าเข้าไปหาร่างเล็กที่มุมห้อง ระยะห่างเพียงเอื้อมคว้าแต่คนด้านหลังกลับนิ่งเฉย ทว่าภายในใจกำลังทุ่มเถียงกันอย่างหนัก สุดท้ายมือใหญ่ก็เอื้อมออกไป ก่อนจะวางบนหัวทุยๆ อย่างแผ่วเบา

   “ในฐานะอาจารย์ ผมก็ต้องอยากให้ลูกศิษย์ของผมเรียนจบ มีงานดีๆ ทำ มีอนาคตที่มีความสุขอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นกวา...”

   คนฟังหันมา ตากลมเต็มไปด้วยคำถาม “ผม...ทำไมเหรอครับ”

    “ถ้าเป็นแตงกวา ผมก็คงชื่นใจ...” ใบหน้าคมส่งยิ้มละมุนที่ทำให้คนมองอบอุ่นไปทั้งใจ “ตั้งใจอ่านหนังสือ แล้วเป็น ‘เรื่องชื่นใจ’ ให้ผมนะ”


---------------------------------------------------------


 
   อาทิตย์ของการสอบมิดเทอมมาถึง พอไม่ต้องไปทำงานร้านเฮียง แตงกวาเลยได้มีเวลาตอนเช้ามากขึ้น ตอนนี้เขาย้ายมาอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยแล้ว โดยมีรูมเมตเป็นเพื่อนใหม่อีกสองคน แม้ห้องพักจะไม่ใหญ่มาก แต่การแบ่งสัดส่วนและอุปกรณ์ของใช้ที่มีให้ครบจำนวนสามคน ก็ทำให้เขาอยู่ได้แบบไม่ลำบาก ส่วนห้องน้ำรวมที่เตรียมใจไว้ว่าคงต้องแย่งกันเข้า ทว่าพอเอาเข้าจริงเขาก็ไม่เคยต้องรอคิว โดยรวมแล้วถือว่าอยู่สบายทั้งกายและใจ เพื่อนร่วมห้องก็โอเคตามวิสัยผู้ชาย คือไม่มายุ่งอะไรกันมาก ต่างคนต่างเว้นพื้นที่ให้กันและกัน หากก็มีน้ำใจพอจะให้หยิบยืมและช่วยเหลือยามจำเป็น

   “ออกเช้าเชียวมึง” รูมเมตที่เป็นเด็กคณะวิทยาศาสตร์ร้องทัก เพราะปกติแล้ววันจันทร์แตงกวาจะมีเรียนสิบโมงครึ่ง แต่นี่เขาแต่งชุดนักศึกษาออกจากห้องตั้งแต่ยังไม่แปดโมง

   “เออ จะไปอ่านทวนกับเพื่อนหน่อยอะ” เพื่อนร่วมห้องรับคำแล้วเตรียมของจะออกไปอาบน้ำ หากแล้วก็กลับเข้ามาใหม่ “คืนนี้กูกับไอ้หมิงไปนอนหอสมุดนะ”

   “โอเค” ร่างบางตอบรับ ช่วงสอบกลางภาคแบบนี้หอสมุดเลยเปิดบริการ 24 ชั่วโมง ให้นักศึกษาไปฝังตัวนั่งๆ นอนๆ กันได้ทั้งวันทั้งคืน เมื่อวานแตงกวาก็เตรียมหนังสือไปอ่านเหมือนกัน แต่พอใกล้ๆ สี่ทุ่มที่เป็นเวลาหอพักปิดก็เกิดเปลี่ยนใจกลับห้อง เพราะดูแล้วจะเป็นการเอาตัวเองไปนั่งทรมานเสียเปล่าๆ

   บรรยากาศยามเช้าของมหาวิทยาลัยยังคงสร้างความตื่นเต้นให้กับแตงกวาอยู่เสมอ เขารักความเคลื่อนไหวของผู้คนและธรรมชาติ ปั่นจักรยานไปเขาก็มองนักศึกษาที่เดินสวนกันไปมาด้วย ถ้าถนนโล่งๆ หน่อยก็จะได้มองต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง แสงแดดที่ร้อนบ้างร่มบ้าง ก็ช่วยเติมชีวิตชีวาให้ทุกเช้ามีรสชาติแตกต่างกันไป ที่นี่จึงไม่ใช่แค่สังคมเล็กๆ แต่กลายเป็นโลกใบใหม่ที่แตงกวารู้สึกรักขึ้นทุกวัน

วันนี้ปีหนึ่งเอกปรัชญานัดกันมาอ่านหนังสือตอนแปดโมงที่โต๊ะม้าหินหน้าภาค เอ่ยทักทายเพื่อนบางคนที่มาถึงก่อนแล้วจึงหาที่นั่งให้ตัวเอง มือเล็กหยิบหนังสือออกมานั่งอ่านไปเงียบๆ ไม่นานนักทุกคนก็มาครบ

“มาเรื่องแรกก่อนเลย ของเราเอง” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยืนขึ้น ก่อนจะถามคำถามที่ตัวเองลิสต์มาแล้วให้เพื่อนๆ ตอบ วิชาแรกที่จะสอบนี้เป็นวิชาบังคับสายวิทยาศาสตร์ที่เด็กอักษรปีหนึ่งทุกคนต้องเรียน เกี่ยวสารอาหารและยา ใครเรียนสายวิทย์มาก็น่าจะพอได้ ส่วนเด็กสายศิลป์แบบแตงกวาก็ต้องพยายามมากหน่อย

เพื่อนๆ สลับกันถามคำถาม ส่วนใหญ่แล้วแตงกวาก็ตอบได้ มีจะติดขัดบ้างกับพวกชื่อยากๆ แต่โชคดีที่สอบแบบกากบาท เอาแค่พอคุ้นตาก็ไม่น่ายาก ส่วนอัตนัยมี 5 ข้อ รุ่นพี่บอกแนวข้อสอบมาแล้ว และเขาก็เตรียมคำตอบมาอย่างดี ถ้าอาจารย์ไม่หักหลังออกต่างจากนี้ เขาก็คิดว่าวิชานี้ไม่น่ามีปัญหา

“ติวอะไรกันแต่เช้าเลย” เสียงผู้มาใหม่ทำให้นักศึกษากลุ่มใหญ่ต้องหันไปมอง

“อาจารรรรรย์ สวัสดีค่า” ประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงพลางพนมมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษา ก่อนใครสักคนจะเป็นตัวแทนตอบออกมา

“Food ค่ะ สอบเช้านี้”

“อ้อ... งั้นตั้งใจอ่านกันนะครับ ผมไม่กวนละ” อาจารย์ส่งยิ้มให้เด็กๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในภาควิชา

พออาจารย์จากไป ทั้งกลุ่มก็กลับมาส่งเสียงกันอีกครั้ง หากประเด็นไม่ใช่เรื่องสอบ แต่กลับเป็นเรื่อง...

“หูยยยย... หล่ออ่า” เพื่อนผู้หญิงหัวโต๊ะเอ่ยคล้ายละเมอ

“ฮืออออ เทพบุตรมากกกกก สุขม สุภาพ พ่อของลูกสุดๆ” ใครอีกคนเพ้อเสียยาว ซึ่งที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นแถว

แตงกวาหันสายตาไปยังห้องพักอาจารย์ของคนที่ถูกนินทาแล้วก็ต้องถอนหายใจ สิ่งที่เพื่อนพูดไม่เกินความจริงสักนิด

“กวา...แตงกวา!”

“ฮะ...อ้อ โทษทีๆ” คนกำลังเหม่อสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะรีบหยิบหนังสือของตัวเองขึ้นมา “อ่า...บทที่สี่นะ...”


เช้าๆ แบบนี้ยังเย็นสบายอยู่ อาจารย์กฤตเลยเปิดบานเกล็ดให้อากาศถ่ายเทและยังไม่เปิดแอร์ แต่ไม่นึกว่าจะได้ยินเสียงเด็กในที่ปรึกษาติวข้อสอบกันด้านนอกด้วย ซึ่งตอนนี้เสียงใสๆ ของแตงกวาที่ดังลอยเข้ามาในห้องพักก็กำลังทำให้เขาเผลอยิ้มอยู่คนเดียว พอได้ยินเด็กพูดน้อยต้องอ่านหนังสือให้เพื่อนฟังแล้วก็อดตั้งใจฟังไปด้วยไม่ได้ โดยปกติเด็กผู้ชายนี่น่าจะเสียงแตกหนุ่มตอนสักมอต้นมั้ยนะ แต่ทำไมแตงกวาถึงเสียงแง้วๆ เหมือนลูกแมวแบบนั้นก็ไม่รู้ ยิ่งพูดยาวๆ ยิ่งออกสำเนียงติดเหน่อน้อยๆ แต่กลับฟังดูน่ารัก...

อ่า... น่ารัก เหรอ...

ผู้เป็นอาจารย์สะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเอง และพยายามจดจ่อกับรายงานการประชุมตรงหน้า เสียบหูฟังจากเครื่องบันทึกเสียงแล้วจึงเริ่มทำงาน สมาธิเริ่มกลับคืนมาจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างใดๆ อีก สุดท้ายเขาก็จมไปกับงาน จนแม้แต่เสียงเคาะประตูก็ไม่ได้ยิน

“อาจารย์ครับ...” แตงกวาที่ยืนอยู่นอกห้องลองส่งเสียงเรียกคนด้านในดู แต่กลับไร้การตอบกลับอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยความร้อนใจเด็กหนุ่มจึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องพักอาจารย์ที่ปรึกษาเข้าไปโดยไร้คำอนุญาต ก่อนเขาจะพบว่าคนที่เขาพยายามเรียกกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนขนาดที่เขายืนอยู่ข้างๆ โต๊ะแล้วยังไม่รู้สึกตัว

ผู้มาเยือนเอามือโบกๆ จุดที่น่าจะโดนความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ แต่กลับพบว่าไม่มีลมใดๆ ออกมาทั้งสิ้น ตากลมเหลือบมองไปจึงเห็นว่ามันไม่ได้เปิดทำงาน และหน้าต่างใสก็ถูกเปิดอยู่ เขาจึงเดินไปหมุนปิดบานเกล็ดและจัดการเปิดแอร์ไล่ความร้อนภายในห้อง

ตอนนี้ยังไม่สิบโมงดี ร่างเล็กจึงทรุดนั่งที่เก้าอี้สตูลที่ตั้งอยู่มุมห้อง หลังทบทวนเนื้อหากับเพื่อนแล้ว แตงกวาก็คิดว่าควรให้สมองได้พักผ่อน และปล่อยใจให้ว่างเท่าที่จะทำได้ และตอนนี้เขาก็ค้นพบวิธีที่จะผ่อนคลายแล้ว นั่นคือการนั่งดูอาจารย์กฤตทำงานไปเรื่อยๆ

ใบหน้าคมเข้มที่ตอนนี้ขมวดมุ่นน้อยๆ ดูเข้ากันดีกับริมฝีปากหยักที่มักจะยกยิ้มอยู่เสมอ จมูกโด่งกับสันกรามชัดเจนแบบไทยแท้ทำให้แตงกวานึกถึงพระเอกหล่อๆ ที่ชอบแสดงหนังย้อนยุคอะไรประมาณนั้น แต่อาจารย์กฤตไม่ได้ดูดุหรือน่ากลัวเท่า อาจเป็นเพราะดวงตาคมที่แฝงแววอ่อนโยนไว้ก็ได้

“อะ....!!!” ระหว่างที่กำลังแอบพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่าย อยู่ๆ อ.กฤตก็เงยหน้าขึ้นมาก่อนสีหน้าเคร่งเครียดจะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นเขา และแน่นอนว่าคนที่ตกใจกว่าก็คือแตงกวา ที่ไม่อาจหลบตาอีกฝ่ายได้ทัน

“แตงกวา...มาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ” น้ำเสียงไม่มีความโกรธอะไร เป็นเพียงความประหลาดใจมากกว่า

คนที่กำลังก้มหน้าหลบอีกฝ่ายตอบเสียงอุบอิบ “สักพักแล้วครับ เดี๋ยว...ผมไปห้องสอบก่อนนะครับ”

คำพูดนั้นทำให้อาจารย์กฤตต้องเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือตนเอง “ผมมีคุมสอบเหมือนกัน เกือบเลยเวลาแล้วมั้ยล่ะ”

แตงกวาแอบถอนหายใจ โชคดีที่อาจารย์ไม่สงสัยอะไรที่เขามานั่งมองหน้าแบบนี้

“เอ้อ...เมื่อกี๊น่ะ” อยู่ๆ คนที่กำลังเก็บของก็เอ่ยขึ้นมา จนคนมีชนักติดหลังหายใจกระตุก

“คะ...ครับ”

“ขอบคุณที่เปิดแอร์ให้นะครับ” ริมฝีปากหยักเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “แล้วก็ตั้งใจสอบล่ะ ขอให้ได้คะแนนดีๆ”

แตงกวาไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มรับคำอวยพรนั้นเงียบๆ หากหัวใจกลับเต้นตึกๆ เพราะนึกว่าอาจารย์จะทักเรื่องพฤติกรรมประหลาดเมื่อครู่


---------------------------------------------------------

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10 ความฝัน | ความจริง (Update! 15/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 12-07-2017 21:54:41
การสอบผ่านไปอย่างราบรื่น แตงกวาค่อนข้างมั่นใจว่าคะแนนสอบกลางภาคของวิชาแรกนี้น่าจะได้เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้เขาใจชื้นขึ้นและมีเรี่ยวแรงจะอ่านวิชาต่อไป

“เย็นนี้ไปองค์พระกันมั้ย” เพื่อนในกลุ่มเอ่ยชวนไปกินข้าวเย็นที่ตลาดโต้รุ่งที่วัดแถวๆ มหา’ลัย หลายคนตกลง แต่แตงกวากลับปฏิเสธ

“ไปด้วยกันเถอะกวา คลายเครียดๆ”

“เราอยากอ่าน ‘ยำตก’ อะ นี่ยังไม่ได้เริ่มเลย” เขาหมายถึงวิชา ‘อารยธรรมตะวันตก’ ของภาคประวัติศาสตร์ ที่โหดหินไม่แพ้วิชาอื่นๆ แถมยังเป็นอัตนัยทุกข้อด้วย

“สอบวันพุธไม่ใช่เหรอ ชิลๆ ไปหาไรกินแป๊บเดียวเอง” เพื่อนๆ เขายังงอแงต่อ

“เราก็อยากไปด้วย แต่วิชานี้เราจำอะไรไม่ได้เลยอ่า ถ้าไม่เริ่มอ่านตอนนี้ต้องตกแน่ๆ” เสียงใสเต็มไปด้วยความกังวล จนในที่สุดเพื่อนในกลุ่มก็ยอมรับกับการตัดสินใจนั้น

“พ่อแม่แกต้องภูมิใจในตัวแกอะกวา โคตรขยันเลย ยอมใจๆ”

คนได้รับคำชมได้แต่ยิ้ม โดยไม่ได้บอกไปว่า เขาไม่ได้หวังให้พ่อแม่ได้ภูมิใจแล้ว หากแค่ให้ใครบางคนได้ ‘ชื่นใจ’ ก็พอ
ร่างเล็กหอบข้าวของกลับไปที่ห้องภาค ตั้งใจจะนั่งอ่านหนังสือที่นั่น แต่กลับพบว่าห้องประชุมนั้นมีรุ่นพี่จับจองอยู่ การจะเดินเข้าไปนั่งแบบตัวคนเดียวนั้นก็รู้สึกเขินเกินไป เลยตัดสินใจไปหาที่นั่งใต้ตึกคณะแทน

พอปักหลักได้ แตงกวาก็เริ่มอ่านวิชาประวัติศาสตร์อย่างตั้งใจ พยายามโน้ตย่อเป็น mind mapping แบบที่ชอบทำตอนสมัยมอปลาย แต่ต้องยอมรับว่าเนื้อหาของการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างจากมัธยมจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในขณะที่เขาเคยชินกับเรื่องการแบ่งยุคอารยธรรม และท่องจำลักษณะพิเศษของยุคนั้นๆ แต่ตอนนี้เขาต้องมานั่งวิเคราะห์เบื้องหลังสงครามต่างๆ ต้องเข้าใจถึงผลกระทบจากการล่าอาณานิคม และต้องแยกแยะให้ออกว่าบันทึกแต่ละเล่มนั้น มีการปะปนของความจริงกับเรื่องแต่งอย่างไร

บอกตรงๆ ว่ายากและต้องใช้สมาธิสูงมากๆ...


แตงกวาเงยหน้ามาอีกทีตอนที่รู้สึกว่ามีแสงอะไรแยงตา

“เชี่ยยยย!!!” แทบจะตะโกนออกมาเมื่อพบว่าตัวเองเผลอหลับไป ทั้งๆ ที่ปากกาไฮไลต์ยังคาอยู่ในมือ พอได้สติก็รีบคว้านาฬิกาข้อมือที่ถอดไว้ขึ้นมาดู และพบว่าตอนนี้...สะ...สี่ทุ่ม!!!!!

ไวเท่าความคิด มือเล็กรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหารูมเมตทันที รอสัญญาณสักพัก ปลายสายก็กระซิบกลับมา ‘ว่าไงมึง’
เพียงเท่านั้นแตงกวาก็ระลึกได้ว่าคืนนี้เพื่อนทั้งสองคนตั้งใจไปอ่านหนังสือที่หอสมุด

“โทษทีมึง กูลืมว่ามึงอยู่หอสมุด”

วางสายจากเพื่อนก็รีบเก็บของใส่กระเป๋าแบบลวกๆ ก่อนจะวิ่งไปลานจอดจักรยานแล้วรีบปั่นกลับห้อง ด้วยความเร็วที่แตงกวาไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ อากาศยามค่ำคืนนั้นเย็นชื้นจนเสื้อนักศึกษาตัวบางๆ ทำท่าจะเอาไม่อยู่ แต่ก่อนที่จะทนไม่ไหว จักรยานคันเก่งก็มาจอดที่ประตูใหญ่ของทางเข้าหอพอดี
 

ขออภัย
ปิดประตูเข้าออก
วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 22.00 – 6.00 น.
เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 22.30 – 6.00 น.


แตงกวาอ่านข้อความบนประตูซ้ำๆ หัวใจเต้นระรัว มือไม้เย็นเฉียบ ตั้งแต่อยู่หอในมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับไม่ทันประตูปิด ตอนนี้สมองของแตงกวากำลังคิดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือไปกราบอ้อนวอนลุงยามให้เปิดประตูให้ กับต้องระเห็จตัวเองไปนอนหอสมุดกับรูมเมต

“ละ...ลุงครับ” ตัวเลือกแรกถูกดึงออกมาใช้ก่อน เพราะยังไงป้อมยามก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว

พนักงานรักษาความปลอดภัยยื่นหน้าออกมา แล้วโบกมือปัดๆ เป็นเชิงไล่โดยที่แตงกวายังไม่ทันได้พูดอะไร

   “อ่า...คือผม....”

   “ไม่เปิดๆ เปิดไปน้องก็เข้าหอไม่ได้หรอก” ลุงแกพูดแค่นั้น แล้วก็เดินเข้าป้อมไป ทิ้งให้คนถูกปฏิเสธยืนคว้างหน้าประตูเพียงลำพัง

   มือถือเครื่องเก่าถูกหยิบขึ้นมา นิ้วเรียวตัดสินใจพิมพ์ข้อความหาเพื่อนที่หอสมุด

   ‘กูกลับไม่ทันหอปิดอะ ไปหาได้ปะ’

   ข้อความขึ้น read และไม่นานนักเพื่อนก็ตอบกลับมา

   ‘อีกแป๊บกูจะไปนอนหอนอกกับเพื่อนละ คนเยอะมาก ไม่มีที่จะหายใจแล้วมึง’

   แม้ตนเองจะส่งสติกเกอร์หมีทำท่าโอเคกลับไป แต่ในใจกลับไม่โอเคเลยสักนิด ระหว่างกำลังไล่ดูเบอร์เพื่อนในเอกที่น่าจะขอความช่วยเหลือได้บ้าง ข้อความจากไลน์ก็เด้งเข้ามาอีกครั้ง

   ‘กวาๆ ร้านกาแฟของนัชเค้ารับเด็กเสิร์ฟกะเย็นอยู่ กวาสนใจมั้ย’

   เพ่งมองชื่อผู้ส่งอีกครั้งด้วยมืออันสั่นเทา จากที่คิดว่าน่าจะเป็นรูมเมต แต่กลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ส่งข้อความมาหา เด็กไม่มีที่ไปตั้งสติสักครู่ ก่อนจะตัดสินใจโทรหาอาจารย์กฤต เสียงรอสายดังไม่ถึงสองครั้งก็มีเสียงตอบรับกลับมา

‘ครับกวา’ ถ้อยคำสั้นๆ จากน้ำเสียงแสนอบอุ่นนั้น ทำให้ความวิตกในใจดูจะเจือจางลงได้อย่างมหัศจรรย์

“อาจารย์ครับ...”



อาจารย์กฤตขับรถฝ่าความมืดกลับเข้ามหา’ลัยอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งมาถึงคอนโดได้ไม่ถึงชั่วโมง จุดมุ่งหมายคือหอสมุดที่มีเด็กบางคนรออยู่ ใช้เวลาไม่นานนัก รถเก๋งสีขาวก็มาจอดอยู่ตามที่นัดหมาย และโดยไม่ต้องมองหา เขาก็เห็นร่างเล็กนั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้าหอสมุดแล้ว ตอนแรกว่าจะไลน์ไปบอก หากแล้วก็เปลี่ยนใจเดินไปหาเองดีกว่า

“น้องแตงกวา ผู้ปกครองมารับแล้วครับ” แสร้งเอ่ยล้อเลียนคนที่นั่งรอตนเองอยู่ ผลลัพธ์คือใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงระเรืออยู่ใต้แสงไฟ

“อาจารย์อ่า” เสียงเล็กร้องท้วง อายก็อาย แต่สุดท้ายมันก็คือเรื่องจริง

คนที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาเดินตามร่างสูงใหญ่ไปที่รถ ยังไม่ทันได้สตาร์ตเครื่องยนต์ อาจารย์กฤตก็ส่งกล่องอะไรบางอย่างมาให้
“อะ ขนมปลอบใจ”

ด้านในคือพายสติกจากร้านกาแฟที่เขาได้กินไปเมื่อวันเสาร์นั่นเอง

“ผมแวะไปที่ร้านมา เลยรู้ว่านัชเค้าหาเด็กเสิร์ฟนี่แหละ” เสียงทุ้มเล่าต่อ

“แต่ร้านพี่นัชปิดดึกไม่ใช่เหรอครับ ผมคงอยู่ทำไม่ได้” แตงกวาครุ่นคิด ขณะหยิบพายขึ้นมากิน

“เห็นว่าเดือนหน้าเค้าจะเปลี่ยนเวลาปิดเป็นสามทุ่มแล้วนะ แล้วพนักงานปัจจุบันเค้าบ้านไกล ทำชั่วโมงน้อยๆ ก็คงไม่คุ้มค่ารถมามั้ง”

“อ๋อ...” ปากเล็กที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ รับคำ “ถ้าประมาณนั้นผมก็อยากทำนะครับ”

“ไว้ว่างๆ ก็แวะไปคุยกับนัชแล้วกัน” คนที่กำลังจดจ่ออยู่กับการขับรถหันมามองเด็กที่นั่งข้างๆ แล้วก็อดดุไม่ได้ “ค่อยๆ กินสิเรา นี่ยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย”

พอโดนเอ็ด แตงกวาเลยต้องกินให้ช้าลง “ผมตื่นมาอีกทีก็สี่ทุ่มแล้วอะครับ ตกใจมากเลย”

“เรานี่น้า...” ผู้เป็นอาจารย์หัวเราะ “ทีหลังถ้าจะอยู่ดึกก็ไปอ่านในภาค อย่าไปนั่งใต้ตึกอีก รู้มั้ยครับ”

“คร้าบบบบ”

   “แล้วพรุ่งนี้มีสอบหรือเปล่า”

   “มีตอนบ่ายครับ วิชา M&A”

   “โชคดีไป” เพราะวิชาที่เด็กหนุ่มว่า คือวิชาศิลปะทั่วไป ซึ่งข้อสอบจะเป็นการให้อธิบายความหมายของภาพตามความเข้าใจของตนเอง ไม่ต้องอ่านหนังสืออะไรมาก

   อาจารย์กฤตขับอ้อมมาทางด้านหลังมหาวิทยาลัย ซึ่งมีคอนโดขนาดสิบชั้นตั้งอยู่ เป็นคอนโดเก่าแก่ที่เขาอยู่มาตั้งแต่สมัยเรียน พอได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่นี่ เขาเลยตัดสินใจซื้อห้องที่เคยอยู่เป็นของตนเองเสียเลย

   “เคยมามั้ยแถวนี้” เจ้าของห้องเอ่ยถามกับคนที่กำลังมองรอบๆ อย่างตื่นเต้น

   “ไม่เคยเลยครับ รถเยอะ ไม่กล้าปั่นมา” แตงกวาตอบตามจริง ถนนเส้นหลังมหา’ลัยมีแต่รถใหญ่วิ่ง การขี่จักรยานมาก็เหมือนเอาชีวิตมาฝากไว้บนถนนนั่นแหละ

   “ดีแล้วล่ะ มันอันตราย” บอกเด็กในที่ปรึกษา ก่อนจะเดินนำไปยังลิฟต์ของคอนโด “ปะ...ผมอยู่ชั้นเก้า”

   “อาจารย์... ผมขอโทษนะครับที่ต้องรบกวน” แตงกวาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

   “นิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกรุ่นพี่เค้าก็มานอนกันบ่อยๆ เวลาทำงานภาคดึกๆ น่ะ”

   ลิฟต์จอดที่ชั้นเก้า ร่างเล็กจึงเดินตามคนข้างหน้ามาจนถึงห้องพัก

   “ถอดรองเท้าตรงชั้นแล้วเข้ามาเลยครับ” เจ้าของห้องบอกกับคนที่ยืนรออย่างสงบเสงี่ยม

   ห้องของอาจารย์กฤตตกแต่งแบบเรียบง่าย ดูแล้วเหมือนจะใช้โครงสร้างเดิมที่มีมาแต่ต้น ถึงแม้จะเป็นคอนโดขนาด 1 ห้องนอน แต่ก็มีขนาดกว้างพอสมควร ถ้าหากกั้นดีๆ อาจทำห้องนอนเพิ่มอีกห้องได้เลย

   “ตามสบายนะกวา ขาดเหลืออะไรบอกผมได้เลย”

   ปล่อยให้แขกไปอาบน้ำพร้อมอุปกรณ์จำเป็นเท่าที่จะมีให้หยิบยืมได้ แล้วตนเองก็เดินเข้ามาจัดแจงที่นอนในห้อง เตียงขนาดคิงไซส์ที่เขาใช้ สามารถดึงด้านล่างออกมาเป็นเตียงเล็กได้อีกอัน เพราะสมัยเรียนเขาอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง จนกลับมาเป็นเจ้าของห้องอีกครั้งก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยน

   “อ้าว...” อาจารย์กฤตอุทานกับตัวเอง เมื่อหาผ้าปูที่นอนของเตียงเล็กแล้วไม่เจอ “อยู่ไหนเนี่ย”

   พยายามนึกย้อนไปช่วงงานคเณศที่มีเด็กๆ มานอนห้อง นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ใช้ผ้าปู ก่อนจะส่งร้านซักรีดใต้คอนโดไป และลืมไปเสียสนิทจนไม่ได้ไปรับคืน

   กลิ่นหอมสะอาดของครีมอาบน้ำที่คุ้นเคย ทำให้คนที่กำลังวุ่นวายกับเตียงต้องหันไปทางประตู ร่างเล็กๆ ของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จยืนรออยู่ตรงนั้น แตงกวาดูแปลกตาไปมากเมื่ออยู่ในชุดนอนแขนยาวขายาวตัวโคร่ง จนคนมองอดทักไม่ได้

   “เหมือน The Boy In The Striped Pyjamas… อืม ไม่เอาดีกว่า จบเศร้าไป” เสียงพึมพำทำให้แตงกวาต้องก้มลงมองตัวเอง “เอาเป็นกล้วยหอมจอมซนดีกว่า เหมาะกว่าเยอะ”

   ผู้เป็นอาจารย์หมายถึงการ์ตูนยอดฮิต ที่เป็นฝาแฝดกล้วยหอมใส่ชุดนอนลายทาง

   “อาจารย์อ่า ผมดูตลกใช่มั้ยเนี่ย”

   ปากเล็กๆ เบะออก จนคนเริ่มเรื่องต้องรีบแก้

   "ไม่ได้ตลกครับ" เรียวปากหยักยิ้มละมุน "น่ารักดี"

   ดูเหมือนคนพูดเองเพิ่งจะนึกอะไรได้ เลยต้องแสร้งกระแอมเบาๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง

   “ผมลืมไปเอาผ้าปูที่นอนเตียงเล็ก ยังไงกวานอนเตียงใหญ่กับผมแล้วกันนะ”

   “อ่า...” คนที่กำลังทำอะไรไม่ถูกได้ชะงักอีกรอบ “ผมนอนโซฟาก็ได้นะครับ”

   เจ้าของห้องทำสีหน้าประหลาดใจ “นอนโซฟาทำไมล่ะ นอนด้วยกันนี่แหละ”

   ว่าจบก็ตบเตียงสองที ก่อนจะนึกได้ว่าท่าทางแบบนี้มันดูเหมือนลุงแก่ๆ กำลังเรียกอีหนูขึ้นเตียงยังไงชอบกล

   “เอ่อ...กวาจะอ่านหนังสือมั้ย เดี๋ยวผมไปทำงานต่อแป๊บนึง ถ้าง่วงก็ปิดไฟนอนได้เลยนะ”

   พูดจบก็เดินออกจากห้องไป โดยไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธ

   แขกของห้องยืนหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปลากกระเป๋าผ้าของตัวเองมาแล้วนั่งลงบนฟูกที่เป็นเตียงเล็ก ก่อนจะใช้เตียงใหญ่แทนโต๊ะแล้วกางชีตวิชาอารยธรรมตะวันตกอ่านต่อจากที่ค้างไว้ โชคดีที่เขาตัวเตี้ย ระยะห่างของเตียงสองอันจึงค่อนข้างพอดี ไม่นั่งแล้วปวดหลังอย่างที่คิด

   เสียงรัวคีย์บอร์ดจากด้านนอกบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องยังคงทำงานอยู่ แม้ไม่เห็น แต่แตงกวากลับอุ่นใจเมื่อรู้ว่าค่ำคืนนี้ไม่ถูกทิ้งให้เดียวดายอีกแล้ว เขาอยากเอ่ยขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาอีกสักร้อยครั้ง แต่คิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ น่าจะตอบแทนในความดีที่อีกฝ่ายมีให้ได้มากกว่า

   ชีตชุดสุดท้ายจบลงพร้อมโน้ตย่อสีสันสดใส ตากลมโตมอง mind mapping ที่เพียรวาดและเขียนมาตลอดทั้งวันแล้วก็กลั้นยิ้มไม่อยู่

   ไม่รู้ว่าคะแนนสอบจะออกมาเป็นยังไง แต่ตอนนี้เขาจะพยายามทำ ‘เรื่องชื่นใจ’ ให้ดีที่สุด...




TBC.





สวัสดีค่า
ขอคั่นความสับสนของคู่หลัก ด้วยคู่ของอาจารย์ปรัชญากับลูกศิษย์ตัวน้อยนะคะ
อย่างที่เคยบอกไปว่าเนื้อหาของคู่นี้จะมาแบบตอนพิเศษ
ไทม์ไลน์เรียงไปกับตอนหลัก แต่เนื้อหาพยายามไม่เกี่ยวพันกัน
อ่านแยกก็ได้ อ่านรวมก็ได้ค่ะ
สำหรับคู่นี้มีตอนแรกด้วยถ้าใครลืมไปแล้ว ก็กลับไปอ่านกันได้ที่ตอน #06.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.msg3574666#msg3574666) นะคะ

ปล. ถ้าไปหวีดในทวิตฝากติดแฮชแท็ก #SweetDilemmaFiction กันด้วยน้า

#ด้านล่างนี้จะเมาท์ยาวๆ แบบไร้สาระ ข้ามไปได้นะคะ

ต้องสารภาพว่าตอนนี้เราใช้เวลาเขียนนานมากกกก
เอาเป็นว่ากว่าจะมาเป็นเวอร์ชันนี้ เราเปลี่ยนมาสามแบบแล้วค่ะ
คือเนื้อหาเดียวกันนี่แหละ แต่การบรรยายกับคำพูดไม่เหมือนกัน
มันดูไม่ลงตัว ไม่เหมาะสมกับตัวละครเท่าไร
จนสุดท้ายก็ลงเอยด้วยสไตล์แบบที่ได้อ่านกันค่ะ

สำหรับตัวอาจารย์กฤต ที่อายุ 30 กว่าๆ
ชีวิตอยู่ในแวดวงการศึกษา สไตล์การพูดก็จะจริงจังและทางการหน่อยๆ
ตรงนี้ต้องขอบคุณอาจารย์ปรัชญาท่านหนึ่งที่เรานำมาเป็นแบบอย่างนะคะ
(แน่นอนว่าอาจารย์ไม่รู้ตัวหรอก 55555555555555)

ส่วนน้องแตงกวา เด็กที่กำลังก้าวผ่านชีวิตแสนเศร้าสู่โลกใบใหม่
จะร่าเริงก็ยังไม่ได้เต็มที่ จะหดหู่ก็ดูรันทดไป
น้องเลยต้องดูก้ำกึ่งระหว่างสุขกับเศร้าประมาณนี้นะคะ

ส่วนสองคนนี้จะได้ (รัก) กันมั้ย
จะขัดต่อจารีตและศีลธรรมในใจหรือไม่
ต้องตามลุ้นกันน้าาา /ขายของเฉยเลย



หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-07-2017 22:18:23
แตงกวา เป็นเรื่องชื่นใจของจารย์กฤต  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 12-07-2017 22:34:43
ขอเรื่องชื่นใจอีกตอน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 13-07-2017 01:23:37
น้องแตงกวาน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 13-07-2017 06:21:03
หวานๆน่ารักค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 13-07-2017 08:43:40
อาจารย์ใจดีจัง น้องกวาก็น่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-07-2017 14:10:26
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 13-07-2017 15:05:24
เราอ่านไหลลื่นมากเลยค่ะ


แต่มาสดุดนิดนึง ตอนกล้วยหอมจอมซน


อะไนคือเด็กน้อยไม่รู้จักก


ไม่ได้นะ แตงกวา ต้องรู้จัก เพราะว่าเบน รู้จัก



5555555   


เราอยู่ระหว่างกลางระหว่างกลางระหว่างอาจารย์กับนุ้งแตงกวาสินะอืมมมมม
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 13-07-2017 16:20:08
เราอ่านไหลลื่นมากเลยค่ะ


แต่มาสดุดนิดนึง ตอนกล้วยหอมจอมซน


อะไนคือเด็กน้อยไม่รู้จักก


ไม่ได้นะ แตงกวา ต้องรู้จัก เพราะว่าเบน รู้จัก



5555555   


เราอยู่ระหว่างกลางระหว่างกลางระหว่างอาจารย์กับนุ้งแตงกวาสินะอืมมมมม

เราถามน้องชายเรา นางบอกนางไม่รู้จัก 55555555
แต่เช็กปีแล้ว คิดว่าแตงกวาต้องทัน น้องชายเรามันไม่ดูการ์ตูนเองมากกว่า
ขอบคุณที่ทักมานะค้า แก้แพพพพ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 13-07-2017 18:01:59
คิดถึงพี่ปอและน้องพีพี!!!! กลับมาไวๆ นะ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 13-07-2017 22:55:39
อาจารย์กฤตเป็นคนแสนดีจริงๆ รักเลยค่ะ  :mew1:
กวาก็น่ารัก แง้วๆ แต่เป็นเด็กดีมากๆ

เรามาเชียร์คู่นี้กันเถอะ ^^

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 31-08-2017 14:08:22
#11 Pain l Tenderness


   ภาคภูมิกำลังนั่งทำข้อสอบ take home วิชาปรัชญาการเมืองในตอนที่ร่างสูงๆ ของปรนัยวิ่งเข้ามาแล้วโถมกอดเต็มแรง ความดีใจที่ฉายบนใบหน้าคมนั้น ทำให้พอเดาได้ว่าการสอบโนเวลภาษาอังกฤษของเจ้าตัวคงราบรื่นดีไม่มีปัญหา

   “สิบ สิบ สิบ ไปเลยจ้า~~” แขนแกร่งปล่อยตัวเพื่อนแล้วกางออกท่าเดียวกับสติกเกอร์มาดามมด

   “คือสามสิบเต็มร้อยงี้เหรอ” ภูมิแกล้งหยอก

   “วั้ยตั่ยแล้ววว ระดับกูลุ้นแค่ว่าจะเต็มหรือเปล่าแค่นั้นแหละ”

   คนฟังหัวเราะ “แต่กูเนี่ย ลุ้นว่าจะส่งทันมั้ย!!”

   ปอชะโงกไปดูข้อสอบของเพื่อน ในบางวิชาของภาคปรัชญา อาจารย์จะให้สอบแบบ take home คือให้ไปทำที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ สามารถเปิดตำราเขียนมาได้เต็มที่ในเวลาที่กำหนด อย่างที่พีพีเจออยู่นี้ก็คือแจกข้อสอบตอนเก้าโมงเช้า แล้วให้ส่งอีกทีภายในห้าโมงเย็น

อาจจะฟังดูเหมือนง่าย แต่ที่อาจารย์ทำแบบนี้ได้ ก็เพราะคำตอบมันไม่มีในหนังสือน่ะสิ!!

   “แม่งเสือกเลือกตัวหิน สู้ๆ นะเว้ย”

   “วิเคราะห์การเมืองจนกูจะเป็นนายกได้แล้วเนี่ย โอ๊ยยยย”

   “ลุงมึงเค้ายอมให้มีการเลือกตั้งแล้วเหรอ ฮ่าๆๆๆ”

   “ฮือออ ช็อปอาวุธแพพ” หัวทุยๆ ซุกลงกับแขนตัวเอง ก่อนตากลมจะปิดลงอย่างอ่อนล้า อากาศชื้นจากฝนเมื่อคืนบวกกับลมพัดเย็นๆ ทำให้บรรยากาศบริเวณโต๊ะม้าหินหน้าภาควิชาน่าทำกิจกรรมทุกอย่างยกเว้นทำข้อสอบ
 
   “นอนไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำมาให้” ปอวางข้าวของไว้ที่ม้านั่งอีกฝั่ง ก่อนจะหันหลังเดินไปทางโรงอาหาร

   แม้จะอยากนอนแค่ไหน แต่ภาคภูมิก็ทำได้แค่เงยหน้าสะบัดหัวแล้วเขียนข้อสอบต่อ ทว่าคราวนี้เรื่องที่เข้ามารบกวนสมองไม่ใช่คำถามในชีต หากเป็นใครบางคนที่เผื่อแผ่ความใจดีมาให้เหมือนเช่นทุกวัน

   หลายครั้งที่ต้องเผชิญกับความเศร้า ในความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเป็นไปได้มากกว่านี้ แม้จะบอกตัวเองให้หันหลังให้กับทุกอย่างแล้วเลิกเป็นเพื่อนกัน แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าจะหาคนผิด คนคนนั้นคงไม่ใช่ใครนอกจากเขาเอง ดังนั้นการก้าวต่อไปในสถานะปัจจุบันจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องเปิดตำราเล่มไหนอ้างอิง ส่วนผลลัพธ์ที่ได้...

   “ลิปตันหมดว่ะ กินชามะลิแล้วกันนะ”

   คนที่วิ่งไปซื้อน้ำกลับมาพร้อมชาแก้วใหญ่ ภาคภูมิเอ่ยขอบคุณ แล้วรับน้ำมาดูดอึกหนึ่ง

...ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือความหวังดีจากคนคนเดิม ที่เขาคงได้แต่เก็บมันไว้ในใจตลอดไป...


ปรนัยปิดหนังสือการ์ตูนเล่มที่เพิ่งอ่านจบแล้วโยนมันไว้บนกระเป๋าปะปนกับเล่มที่ผ่านมา เพราะขี้เกียจกลับหอ หลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จเขาเลยมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับภาคภูมิที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำข้อสอบแทน พร้อมการ์ตูนที่เช่ามาอีกกองหนึ่ง ขณะกำลังหยิบเล่มใหม่บนโต๊ะมาอ่านต่อ เสียงตวัดปากกาแบบติดสปีดของคนข้างๆ ก็เรียกความสนใจของเขาไป และเมื่อเหลือบดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเองก็พบว่าใกล้สิ้นสุดเวลาสอบของภาคภูมิเข้ามาทุกที

 “สี่โมงครึ่งแล้วนะมึง” ภาคภูมิชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะกดมือถือดูเวลาบ้าง

 “ข้อสุดท้ายละๆ”

“สู้ๆ เดี๋ยวพาไปกินไอติม” เห็นท่าทางเคร่งเครียดของภาคภูมิแล้วก็อดปลอบใจไม่ได้ และรอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าเครียดนั้นก็ดูจะเป็นการตอบรับที่ดี


 “เสร็จแล้วววว!!!” เสียงร้องอย่างดีใจทำให้ปรนัยต้องหัวเราะออกมา ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะช่วยเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ ส่วนภาคภูมิรีบวิ่งเข้าไปส่งข้อสอบในห้องพักอาจารย์

   “..............” มือหนาที่กำลังเรียงหนังสือชะงักกึก เมื่อหน้าจอโทรศัพท์บนโต๊ะม้าหินสว่างวาบพร้อมข้อความไลน์ที่ขึ้นมาติดๆ กัน

   Twin: นี่กำลังจะไปภาคปรัชญา

   Twin: ขอยืมหนังสืออาจารย์ธารไว้

   Twin: อยู่ภาคเปล่า

   Twin: เย็นนี้ไปกินข้าวกันปะ

   Twin: อยากถามเรื่องคัมภีร์อุปนิษัทด้วย

   “เป็นไทแล้วโว้ยยยยย ไปมึง! อ่าว ดูไรอะ” เสียงร่าเริงของคนที่ส่งข้อสอบเรียบร้อยชะงักลง เมื่อเห็นปอกำลังเพ่งมองอะไรบางอย่าง

   คนถูกถามบุ้ยหน้าไปยังไอโฟนที่หน้าจอยังรันข้อความไม่หยุด “เพื่อนรักมึงไลน์มา ตอบก่อนมั้ยอะ”

   คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างสงสัย ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา แล้วถึงได้เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูด

   “อ่อ แป๊บนะ”

   ท่าทางตั้งใจพิมพ์ข้อความนั้นทำให้ปรนัยรู้สึกแปลกๆ มันก้ำกึ่งระหว่างหงุดหงิดกับรำคาญ

   “เสร็จยัง”

   เสียงเย็นๆ จากคนข้างกายทำให้ภูมิต้องเงยหน้าขึ้น “อ่า ไอ้วินให้อธิบายเรื่องอุปนิษัทอะ กูก็จำไม่ค่อยได้ละ ต้องเสิร์ชอ่านไปด้วย”

   “ก็ให้มันรอก่อนดิ ไม่ได้จะใช้สอบไม่ใช่เหรอ หรือมันมาลงเรียนปรัชญาอินเดีย?”

   “ไม่ๆ” ตอบอีกฝ่ายขณะยังรัวนิ้วพิมพ์ไม่หยุด “นั่งก่อนแล้วกันมึง กูขอเวลาแป๊บ”

   ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง ก่อนจะรื้อหนังสือการ์ตูนมาอ่านต่อ พอได้ยินเสียงพิมพ์ข้อความที่ยังไม่ยอมหยุดลงง่ายๆ ปรนัยจึงเอนหลังลงนอนไปกับเก้าอี้ของโต๊ะม้าหิน ...และวางศีรษะลงบนตักของคนที่นั่งข้างๆ

   “เฮ่ย!” เจ้าของตักร้องเสียงหลง แต่พอเห็นคนนอนทำหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ เลยจำใจนั่งนิ่งๆ เป็นหมอนให้มันหนุนไปอย่างนั้น

   “สนิทกันเหรอ”

   “หือ?”

   “ไอ้วินอะ”

   มือเรียวหยุดพิมพ์ข้อความก่อนจะก้มมองคนบนตัก สายตาที่สนใจหน้ากระดาษนั้นทำให้เขาไม่อาจเดาได้ถึงเจตนาของคนถาม

   “ก็ทั่วๆ ไปอะ”

   “เหรอ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย “เห็นคุยกันบ่อย นึกว่าสนิท”

   “มันชอบถามเรื่องอินเดียๆ พระพิฆเนศไรเงี้ย คงนึกว่ากูโปรมั้ง” ตอบเสร็จก็ยกมือถือขึ้นมาพิมพ์ต่อ

   “พลาดละไอ้วิน ถามคนได้ C+ ปรัชญาอินเดีย”

น้ำเสียงที่สดใสขึ้นทำให้ภาคภูมิต้องเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะกำลังรีบตอบข้อความของวิน
“เสร็จละ” ในที่สุดบทสนทนาเรื่องคัมภีร์ก็จบลง ภูมิร้องบอกเพื่อนที่นอนอยู่ ซึ่งร่างเหยียดยาวบนโต๊ะม้าหินก็รีบลุกขึ้นเก็บของทันที

 ปรนัยหยิบกุญแจจักรยานออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะเหลือบเห็นเพื่อนสนิทสะบัดขาคลายความเมื่อย เลยคว้าไหล่ร่างเล็กกว่า แล้วออกแรงดึงให้เดินไปด้วยกัน “มาๆ เดี๋ยวปั่นให้ซ้อน”

“มันก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้ว หัวมึงนี่บรรจุขี้เลื่อยมาเกินพิกัดหรือเปล่า หนักโคตร”

“หึ! ก็มึงแชตกับผู้ชายนานเองนี่หว่า”

“สัส... ระหว่างรอกูตอบไลน์มัน กับให้มันมาหาตัวเป็นๆ นี่มึงอยากเลือกอย่างหลังใช่มั้ย”

“เรื่อง! ไม่อยากเจอโว้ยยย” เสียงทุ้มโวยวายก่อนจะผละไปไขกุญแจโซ่ล็อกจักรยาน ภาคภูมิกระชับกระเป๋าสะพายขณะเตรียมขึ้นซ้อน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้ปอไม่ค่อยถูกชะตาเพื่อนใหม่ เขาเลยต้องตอบไลน์ไอ้วินมือหงิก เพราะจะได้ไม่ต้องอยู่เจอมันให้มีคนอารมณ์เสียไปกว่าเดิม


ร้านไอศกรีมโฮมเมดเจ้าดังในตลาดหนาแน่นไปด้วยลูกค้าที่เข้าคิวรอกันมาตั้งแต่บ่าย ยังดีที่พวกเขาโทรมาสั่งไว้ก่อนแล้ว ยืนรออีกไม่ถึง 20 นาที ไอติม 5 ลูกก็พร้อมเสิร์ฟ ปรนัยใช้ความเป็นผู้ชายอัธยาศัยดี ขอแก๊งสาวๆ คณะวิดยานั่งโต๊ะยาวด้วย เพราะตอนนี้ไม่ว่าโต๊ะไหนๆ ก็เต็มหมด

“ถ่ายรูปกัน” เสียงทุ้มเอ่ยพลางเปิดกล้องเตรียมถ่าย

“อย่าเพิ่งอัพนะ”คนที่นั่งตรงข้ามร้องขอ

 “ทำไมวะ”

อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบา “ขี้เกียจตอบคำถามอะ”

“คำถามอะไร”

“เออๆๆ อัพก็อัพ” ภาคภูมิถอนหายใจ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ก่อนจะก็เริ่มนับถอยหลัง หลังจากตักไอติมคำแรกเข้าปาก

10

‘เดตหลังสอบอ่ออออ’

9

‘หวานนนน หมายถึงไอติมอะ’

8

‘หวานนนนน อันนี้ไม่ได้หมายถึงไอติม คริคริ’

7

‘นี่เฟซใครกันแน่อะ ฉับฉนนน’

6

‘พีพีน่าร้ากกกก โถลูกกก คิวต์บอยของแม่’

5

‘เชี่ยภูมิๆ ทำข้อสอบการเมืองครบปะวะ กูทำไม่ทันไปข้อนึงว่ะ’

4

‘สัสปอ กินอะไรไม่เข้ากับหน้า’

3

‘เป็นแฟนกันแน่ๆ โทรบอกแม่แป๊บ’

2

‘#ฉันมายินดีให้กับรักที่สดใส T_T’

1

‘ไอ้พวกเหี้ยยย ชอบล้อมากก็ไปเปิดอู่ไป๊’


“ฮ่าๆๆๆ” จากที่กำลังวิตกกับคอมเมนต์ทั่วสารทิศ ภาคภูมิก็ต้องมาหัวเราะตัวงอกับเมนต์สุดท้ายซึ่งไม่ใช่ใคร แต่คือเจ้าของเฟซนั่นเอง “มุกเหี้ยไรของมึงเนี่ย”

“พวกแม่ง ชอบล้อดีนัก ไปเปิดอู่ซ่อมรถซะ จะได้อยู่กับล้อทุกวัน” ปอบ่นพลางตักไอติมเนื้อเนียนเข้าปาก

“กูบอกแล้วว่าไม่ต้องลงๆ”

“เพื่อนมากินไอติมด้วยกันมันแปลกตรงไหนวะ” เจ้าของภาพยังบ่นไม่เลิก ขณะที่คนฟังได้แต่กินไอศกรีมไปเงียบๆ

บางทีภาคภูมิก็นึกสงสัยว่า ภายในร่างกายของปรนัยอาจมีอะไรขาดหายไป ซึ่งถ้าไม่ใช่หัวใจก็คงต้องเป็นสมอง เซนต์อไควนัส นักปรัชญายุคกลางเคยกล่าวไว้ว่า ‘เราค้นพบว่าสิ่งไร้ความคิดทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย’ บางทีไอ้ปออาจเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งของแนวคิดนี้ ในแง่ของการเป็นสิ่งไร้ความคิดก็ได้ ไม่งั้นมันก็ไม่น่าโง่เง่าในเรื่องของความสัมพันธ์ได้ขนาดนี้

“ทำหน้าเหมือนกำลังด่ากูในใจ” มือหนาใช้ช้อนชี้คนตรงหน้า ตารีหรี่ลงเหมือนนักสืบที่กำลังไขคดีสำคัญ

“เออ ไอ้ฟาย!” เสียงใสเริ่มขุ่น ก่อนจะก้มลงสนใจไอติมในถ้วยแทน แม่ง...เหนื่อยจะพูดกับคนอย่างมันจริงๆ

ผลัดกันตักไอติมคนละคำๆ จนเกือบหมด สองคู่หูก็ได้รับไลน์จากกรุ๊ป F4 ว่าแก้วกับชิงชิงสอบเสร็จแล้ว และกำลังจะไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่กับรุ่นพี่และอาจารย์ธาร พอเห็นว่าร้านอยู่ไม่ไกลกันมาก ภูมิจึงเป็นคนพิมพ์ตอบไปว่าเดี๋ยวพวกเขาตามไปที่ร้านด้วย
หากเมื่อไปถึงแล้ว ภาคภูมิถึงได้รู้ว่า ข้อความที่ตนตอบรับไปนั้นเป็นอาจเป็นข้อความสู่หายนะก็เป็นได้

“อ้าวภูมิ นึกว่าจะไม่ได้เจอกันละ” คนที่ร้องทักผู้มาใหม่ก่อนใคร คือหนุ่มเภสัชสุดหล่อ ที่ภูมิไม่คิดว่าจะตามมากินข้าวด้วย และโดยไม่รู้ตัว ตากลมก็รีบหันไปมองร่างสูงที่เดินตามหลังมาโดยอัตโนมัติ

ทว่าปรนัยไม่ได้สนใจอะไรกับคนที่ไม่ชอบหน้า เพราะตอนนี้สายตาคู่นั้นกำลังสบกับดวงตาของสาวผมสั้นในโต๊ะ ...พี่จ๋า

...ฟอร์มทีมกันอย่างกับอเวนเจอร์เลยมึงเอ๊ยยยย

“โอ้! ปอกับภูมิ...มาๆ นั่งนี่ก็ได้” เสียงของอาจารย์ธารที่หัวโต๊ะทำให้ภูมิละความสนใจไปจากคนทั้งคู่ ก่อนจะไปช่วยเด็กเสิร์ฟยกเก้าอี้มาอีกสองตัว แล้วแทรกนั่งฝั่งซ้ายกับไอ้แก้วไอ้ชิง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นทีมอเวนเจอร์พี่จ๋า วิน บวกพี่จุ๋ม

ภูมิดึงชายเสื้อของคนข้างๆ ให้นั่งลง ปอจึงหันมายิ้มให้คนอื่นๆ และไม่ลืมยกมือไหว้อาจารย์ธารด้วย

“สั่งกันก่อนมั้ย” เสียงทุ้มที่มาพร้อมรอยยิ้มจากวินทำให้ภูมินึกได้ว่ายังไม่ได้ทักอะไรเพื่อนใหม่เลย

“เดี๋ยวดูเมนูแป๊บ แล้ววินมากับที่ภาคได้ไงเนี่ย”

“พี่ชวนน้องวินมาเองแหละ” คนตอบคือพี่จุ๋ม น้ำเสียงร่าเริงยังเอ่ยทีเล่นทีจริงต่อ “อีตี้มันสั่งไว้ เผื่อแถวนี้มีคนต้องการคนดามใจ”

พี่จ๋าหันไปจ้องหน้าเพื่อน แล้วสองสาวก็เถียงอะไรกันงุบงิบๆ สองคน หากเข้าใจไม่ผิด พี่จุ๋มคงหมายถึงเรื่องไอ้ปอแน่นอน ไม่รู้พี่จ๋าเล่าอะไรให้เพื่อนฟังบ้าง แต่ดูท่าแล้ว เรื่องที่ปรนัยบอกยกเลิกการติวกับพี่จ๋านี้คงส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่น้อย ส่วนคนที่ตกเป็นผู้ต้องหายังก้มหน้าก้มตาอ่านเมนูคล้ายไม่ได้ยินประโยคนั้น

“กูเอาหมี่ไก่ตุ๋นพิเศษ มึงเอาไร” ปรนัยเอ่ยถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ

ภูมิดึงความสนใจจากฝั่งตรงข้ามกลับมาที่เพื่อนสนิทอีกครั้ง “พิเศษ?? ไอติมมึงย่อยแล้วเหรอ”

“เออน่ะ คนละกระเพาะ”

“ความสามารถพิเศษเนอะ” เจอใบหน้าคมยักคิ้วกวนๆ กลับมาแทนคำตอบ ภูมิก็ถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอา “กูเอาเกาเหลาไก่แล้วกัน”

เด็กเสิร์ฟจดเมนูเรียบร้อยแล้วจึงเดินจากไป ปล่อยให้ลูกค้าโต๊ะใหญ่พูดคุยโหวกเหวกกันตามสะดวก

“ตกลงที่มานี่เพราะโดนลากมาเหรอ” พอเห็นเด็กเภสัชหนึ่งเดียวในโต๊ะนั่งเงียบๆ ภูมิก็อดจะชวนคุยไม่ได้ แม้เหตุการณ์ในห้องสมุดยังทิ้งความรู้สึกแปลกๆ เอาไว้ แต่เขาก็เลือกจะปล่อยให้มันผ่านไป

รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ฉายบนใบหน้าหล่อนั่นทันที “ไม่หรอก กำลังหิวเหมือนกัน นี่ยังไม่ได้กินอะไรแต่เช้าเลย”

“แล้วได้หนังสือมะ ที่ว่าจะมายืมอาจารย์ธารอะ”

วินไม่ตอบ แต่ชูพ็อกเกตบุ๊กภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งขึ้นมา

“โอ้... ตั้งแต่ผมสอนที่นี่มา ยังไม่มีเด็กเอกคนมาไหนมาขอยืม ‘สิทธารถะ’ ไปอ่านเลย เพิ่งมีวินคนแรก แถมยังไม่ใช่เด็กปรัชญาอีก” เจ้าของหนังสือตัวจริงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“โห่จารย์ มันเป็นภาษาอังกฤษนา ใครจะไปอ่านไหว” พี่จุ๋มแก้ต่างแทนเด็กเอก

“ผมมีทั้งเวอร์ชันไทย เวอร์ชันอังกฤษนะจุ๋ม...”

“ฮือออ หนูไม่มีอะไรจะเถียงแล้วค่ะ บัยยยส์”

“โอ้... ไม่เป็นไรหรอก ก็เลือกอ่านตามความสนใจแล้วกันนะ” ผู้อาวุโสสุดสรุป “แล้วนี่สอบเสร็จกันหมดแล้วใช่มั้ย”

แก๊ง F4 มองหน้ากัน ก่อนปรนัยจะเป็นคนตอบ “ปีสามหมดแล้วครับ วิชาโทก็น่าจะหมดแล้วทุกคน...ปะ?”

คนอื่นๆ พยักหน้า 

“สอบโนเวลเป็นไงบ้าง” อยู่ๆ คนที่เงียบมานานอย่างพี่จ๋าก็เอ่ยขึ้นมา แม้ไม่เจาะจงว่าถามใคร แต่ปรนัยก็รู้ว่านั่นหมายถึงตัวเอง

“น่าจะผ่านแหละพี่ ออกตามที่เก็งเลย”

“แสดงว่าคนติวให้เก่งอ่าดิ”

ภูมิชะงักเมื่อตกอยู่ในบทสนทนาที่ตนเองไม่น่าเกี่ยวข้องด้วย “เอ่อ...”

“ช่ายยย ไอ้ภูมิมันเก่ง” คนถูกชมหันขวับด้วยความตกใจ มือเรียวแอบกระตุกเสื้อเพื่อนส่งสัญญาณให้หยุดพูด ทว่าเสียงทุ้มยังคงเอ่ยต่อ “โชคดีที่มีแต่คนเก่งๆ คอยช่วย ที่พี่จ๋าติวให้ตอนสอบเก็บคะแนนเมื่อต้นเทอมก็คะแนนดีนะพี่ ไม่รู้ได้บอกพี่ป่าว 17 เต็ม 20 เลย กราบ กราบ กราบคร้าบบบ”

มือหนายกขึ้นประกบกันแล้วไหว้ขอบคุณรุ่นพี่ที่นั่งตรงข้าม พี่จ๋าดูอึ้งไปสักพัก ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวแล้วจึงรีบปฏิเสธ “ไอ้นี่ก็เวอร์จริง ...พี่น้องกัน... มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”

ถ้าฟังไม่ผิด ภูมิคิดว่าน้ำเสียงของพี่จ๋าสดใสขึ้น เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่สะท้อนออกมาจากความรู้สึกข้างในใจจริงๆ

“อะ...ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ...หมายถึงที่ก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟเนี่ย มาๆ กินๆๆ” พี่จุ๋มเอ่ยเสียงดัง ก่อนทุกคนจะลงมือจัดการอาหารของตัวเอง

“ตกลงคืนนี้ร้านไหนวะ” ชิงชิงซดน้ำซุปร้อนๆ ลงคอขณะเอ่ยถาม แน่นอนว่าหลังสอบเสร็จก็ต้องถึงเวลาแห่งการสังสรรค์

“กูยังไงก็ได้” ปอออกตัวคนแรก เหล้าอยู่ที่ใจ แดกร้านไหนก็เมาเหมือนกัน

“กูด้วย” แก้วตัดช่องน้อยตอบไปอีกคน

“...อะไร” ภูมิหันไปมองสายตาสามคู่ที่จ้องมายังตัวเอง “กูต้องคิดอีกแล้วใช่ปะ”

“เออ!” สามหนุ่มประสานเสียง

ผู้กุมการตัดสินใจหนึ่งเดียวถอนหายใจเบื่อๆ “The Prophet มั้ยล่ะ”

“น่าสนใจๆ เดี๋ยวดูโปรแป๊บ” แก้วเข้าไปดูเพจของร้านครู่หนึ่ง แล้วจึงอ่านให้เพื่อนฟัง “เหมือนคืนนี้มีแบล็กไลต์ไนต์เว้ย ใส่เสื้อขาวเข้าโซนกระจกรับฟรี 1 ดริ้งก์”

“ข้างในเสียงดังนะเว้ย หูจะแตก” ชิงชิงแย้ง

“ก็นั่งข้างนอกก่อน ดึกๆ ค่อยเข้าไปปะล่ะ” ข้อเสนอของภูมิกลายเป็นบทสรุปที่ทุกคนตกลง “ชวนคนอื่นด้วยดิ เค้ามองกันหมดละ”

ดังนั้นปรนัยจึงทำตัวเป็นพีอาร์กลุ่มที่ดี

“คืนนี้พวกผมว่าจะไป The Prophet กัน อาจารย์ธารกับแก๊งปีสี่สนใจมั้ยครับ” แรงศอกตรงเอวไม่เบานักจากคนข้างๆ ทำให้เสียงทุ้มต้องเอ่ยต่อ “...มึงด้วยวิน”

ภาคภูมิช่วยส่งยิ้มหวานเชิญด้วยอีกแรง “ไปมั้ยครับ ตั้งแต่จบงานคเณศเราก็ไม่ได้ปาร์ตี้กันเลย”

“โอ้... เดี๋ยวผมถามอาจารย์กฤตก่อนนะ ไปคนเดียวผมเขิน เหมือนไปคุมลูก ฮ่าๆๆๆ”

“อาจารรรรย์ ใครว่าอาจารย์แก่ อายุเกินจนเข้าร้านเหล้าไม่ได้ เดี๋ยวจุ๋มจะไปตบมันเลยค่ะ”

“โอ้...อยากจะขอบคุณนะ แต่เหมือนมีจุ๋มคนเดียวนี่แหละที่ว่าผม”

“แฮ่! อะล้อเล่นนนน จารย์ไปด้วยกันน้า” พี่จุ๋มอ้อน

“อ้าว ตกลงมึงไปเหรอจุ๋ม” พี่จ๋าหันไปถามเพื่อนแบบงงๆ

“เออ มึงก็ไปนะ” คนถูกถามตอบ

“ฮะ?? กูบอกตอนไหน”

“ไม่อะ กูเนี่ยแหละบอกเอง” พี่จุ๋มพูดหน้าตาเฉย ก่อนจะหันไปยิ้มให้เซ็กซี่บ่อยต่างคณะ “วินก็ไปใช่ปะ เนอะ”

“อ่า... ผมขอดูก่อนนะ กลัวพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหว พอดีนัดแม่ไว้ว่าจะกลับบ้านอ่าครับ” น้ำเสียงสุภาพแบ่งรับแบ่งสู้

“หูยยย ผอชอรักครอบครัว ดี๊ดีย์เนอะจ๋าเนอะ”

แม้จะโดนชงเข้มมาแบบนั้น แต่พี่จ๋าก็ทำเพียงตอบกลับไปเสียงเรียบ “ถ้ามึงอยากให้น้องเค้ารัก ก็ลองไปเป็นยายเค้าดูมั้ยล่ะ”

“อิจ๋า... นี่เพื่อนไง?!”

กว่าจะตกลงจำนวนคนกันได้ก็เล่นเอาร้านก๋วยเตี๋ยวเกือบปิด ไปๆ มาๆ แก้วก็ต้องโทร.จองโต๊ะสำหรับสมาชิกถึง 10 คน เพราะพี่จุ๋มลากแก๊งปีสี่มาเพิ่มอีก ส่วนอาจารย์ธารกับอาจารย์กฤตยังไม่ชัวร์ ถ้าไปเดี๋ยวจะไลน์บอกอีกที


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 31-08-2017 14:38:15
สี่หนุ่มแยกกันไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปเจอกันที่ The Prophet เนื่องจากร้านที่นัดกันอยู่ค่อนข้างไกลหอพัก ดึกๆ เลยไม่ควรขี่จักรยานกลับเอง ภาคภูมิกำลังจ่ายเงินให้พี่วิน ในตอนที่ร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดสีขาวเดินมาสะกิดด้านหลัง เขาชะงักเล็กน้อยกับภาพที่แปลกตาไปของเพื่อนสนิท มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขายังไม่รู้ชัดว่าคืออะไร แต่สิ่งนั้นทำให้ปรนัยที่ยืนอยู่ตรงหน้าดูดีกว่าทุกวัน

“มองเยอะไปปะ” คนถูกจ้องแกล้งโบกมือในระดับเดียวกับตากลมที่จ้องตนเองอยู่

“มึงทำไรมา หน้าตาแปลกๆ” รอยขมวดคิ้วจางๆ ของเพื่อนทำให้ปอหัวเราะ

“แปลกยังไงวะ เลิกมองแล้วเข้าร้าน เร็ว!” พูดจบก็ดันไหล่บางให้เดินนำไปยังโต๊ะที่จองไว้ แก้วกับชิงที่มาถึงก่อนโบกมือส่งสัญญาณให้ สองหนุ่มจึงเลี้ยวไปยังโต๊ะใหญ่ที่อยู่ฝั่งซ้ายของเวที

“น่อๆๆ เสื้อคู่ด้วยเว้ย” เสียงแซวจากไอ้แก้วทำให้ผู้มาใหม่ต้องก้มมองการแต่งกายของตัวเอง ก่อนจะสลับไปมองที่อีกคน

ทั้งภาคภูมิและปรนัยใส่เสื้อยืดของภาคที่ซื้อตอนปีหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าไอ้คนแซวมันก็มี เพียงแต่ไม่ได้ใส่วันนี้เท่านั้นเอง

“เป็นเสื้อสีขาวตัวเดียวที่กูมี นอกจากเสื้อนักศึกษา” ภูมิอธิบาย ในขณะที่จำเลยอีกคนตั้งท่าเตรียมไฟต์

“คือมึงอ้วนจนเสื้อตัวนี้คับไปแล้วใช่มั้ยสัสแก้ว ทำมาเป็นแซวคนอื่น แหมมม”

“ไอ้เชี่ย กูไม่ได้อ้วน แค่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว”

“โอ๊ยยย เดี๋ยวกูเอาน้ำสาดเลย” ชิงชิงที่ทนฟังพวกแม่งตีกันมานานโวยวายขึ้น “จะแดกมั้ยเนี่ย”

“สายเฟียซจังวะวันนี้สัสชิง” แก้วบ่นอุบ แต่ก็ยอมสงบศึกแต่โดยดี “กูเปิดเหล้ากลมนึง พวกปีสี่กินด้วย พวกมึงจะแจมด้วยปะ หรือจะเอาเบียร์เหมือนไอ้ชิง”

“เบียร์แล้วกัน” ปอตอบ ก่อนจะหันไปหาเพื่อนข้างๆ “พีพีมึงแดกสองสามแก้วพอนะ”

“เข้ ห่วงเว้ยยย” คนที่เพิ่งสงบศึกเปิดฉากแซวอีก แต่คราวนี้ปรนัยไม่สนใจ

“เมาแล้วชอบเล่นมุกควาย กูขี้เกียจช่วยขำ”

 “เออ อันนี้กูเห็นด้วย” แล้วไอ้แก้วก็ยื่นมือไปเช็กแฮนด์กับไอ้ปอดุจพันธมิตร ส่วนบุคคลที่ถูกนินทาทำได้เพียงเบะปากมองบน แต่เถียงไม่ออก เพราะที่พวกมันพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

ไม่นานนักแก๊งปีสี่ พี่จ๋า พี่จุ๋ม พี่ตี้ พี่ไนท์ก็มาถึง ทุกคนใส่เสื้อขาวดูคุมโทน บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้น เพราะมีคนมาช่วยชงมุกแข่งกับชงเหล้า ภูมิกำลังขำกับการเชือดเฉือนฝีปากกันของเจ๊ตี้กับพี่จุ๋ม ก่อนบทสนทนาของพี่จ๋ากับปอจะดึงความสนใจของเขาไป

“เซตผมเหรอ” คำถามจากรุ่นพี่ทำให้ภูมิหันไปมองเพื่อนข้างๆ อีกครั้ง ก่อนจะได้คำตอบว่าเพราะอะไรปรนัยถึงได้ดูแปลกตาไปจากเดิม

“อะไรๆ หล่อช้ะ” ใบหน้าคมยักคิ้วกวนๆ แล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ ท่าทางร้ายๆ ดูเข้ากับลุคของมันวันนี้ดี และดูเหมือนพี่จ๋าก็คงเห็นด้วย วัดจากสายตาที่สื่อออกมาโดยที่เจ้าตัวอาจไม่ได้ตั้งใจ

เพี๊ยะ!!

“โอ๊ยยย อีจุ๋ม ตีกูทำไมเนี่ย!!” คนที่กำลังเหม่อถึงกับร้องลั่นพลางใช้มือลูบแขนตัวเองป้อยๆ เพราะอยู่ๆ เพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็ฟาดมือลงมาเต็มแรง

“เหอะ! เจ็บมะ?!” พี่จุ๋มถามเสียงนิ่ง

“อะไรของมึง เจ็บดิ!!”

“ดี... เจ็บแล้วก็จำเนอะ” จ๋าไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจกับความร้ายของเพื่อน

ด้วยความที่นั่งอยู่เยื้องกัน ภูมิจึงได้เห็นหน้าพี่จ๋าชัดกว่าทุกครั้งที่เจอ สาวผมสั้นโครงหน้าเล็กไม่ใช่คนแต่งหน้าจัด แต่องค์ประกอบทุกอย่างกลับเสริมกันได้อย่างลงตัว ถ้าจะบอกว่าพี่จ๋าเป็นคนสวยก็คงไม่เกินจริง บวกกับบุคลิกเซอร์ๆ มีสไตล์ก็ถือว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์และน่าสนใจไม่น้อย แบบถ้าเขาเป็นผู้ชายปกติก็คงตกหลุมรักได้ไม่ยาก

...แต่เผอิญว่าเขาไม่ใช่

“อะแฮ่ม!” เสียงคนข้างๆ ที่กระแอมไม่เบานักทำให้ภาคภูมิต้องละลายสายจากคนฝั่งตรงข้าม

ปรนัยหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ กลายเป็นภูมิที่เริ่มขยับตัวยุกยิกอย่างมีพิรุธ “มองไร”

“กูต้องถามมึงมากกว่าปะ มองไร”

คำถามนั้นทำให้ภาคภูมิขมวดคิ้วด้วยความงง “มองไรวะ”

“เปล๊า...” ร่างสูงยักไหล่ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กี่แก้วแล้วมึงอะ”

“สอง”

“เออ พอละ กินโค้กไป”

“เรื่องไร! กูมาเพื่อน้องโฮ”

“เดี๋ยวมึงได้ร้องโฮ” ปรนัยทำเสียงเข้ม “ค่อยกินๆ ดิ”

แทนคำตอบรับกับประโยคคำสั่งนั้น ภาคภูมิกลับกระดกเบียร์เย็นเฉียบทีเดียวหมดแก้ว แถมยังยื่นแก้วเปล่าให้ชิงชิงที่นั่งหัวโต๊ะช่วยเติมเพิ่มอีกด้วย

“กูไม่รินให้มึงนะ เดี๋ยวโดนห่าปอเตะ” ชิงยกมือสองข้าง ทำท่าปฏิเสธไม่รับแก้วเปล่าของเพื่อนลูกเดียว

หากยังเถียงกันไม่ทันจบ เสียงพี่จุ๋มที่ตะโกนลั่นร้านก็ทำให้ทุกบทสนทนาต้องชะงักลง

“อาจารรรรย์”

“โอ้ จุ๋ม...ถ้าจะเรียกดังขนาดนี้ ลองไปประกาศบนเวทีมั้ย” อาจารย์ธารที่เพิ่งมาถึงร้านรีบสาวเท้าเข้ามาที่โต๊ะแล้วนั่งลง ด้านหลังเป็นอาจารย์กฤตที่ส่งยิ้มรับไหว้เด็กๆ อยู่

“หูยยย ก็คนมันตื่นเต้นอะ” จุ๋มยิ้มแหะๆ “แต่วันนี้หล่อทั้งคู่เลยนะค้า เสื้อขาวนี่ดีย์ต่อใจละเกิ๊น”

อาจารย์กฤตหัวเราะ รู้สึกเขินนิดๆ ในขณะที่อาจารย์ธารกลับมองไปรอบๆ โต๊ะ แล้วครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ “คือ...พอแต่งชุดขาวกันแบบนี้แล้ว ดูๆ ไปก็เหมือนมาปฏิบัติธรรมเนอะ”

“อาจ๊ารรรย์ นี่ The Prophet นะคะ ไม่ใช่วัดสระเกศ” เจ๊ตี้พูดพลางเอามือทาบอก

ภาคภูมิอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังฮากับเจ๊ตี้ ส่งซิกให้คนที่อยู่ทิศตะวันตักช่วยเติมเบียร์ และหันข้างแอบจิบไปแบบเนียนๆ

“พีพี!” เสียงดุทำเอาเด็กที่แอบกินแอลกอฮอล์ต้องสะดุ้งโหยง “จิ้มปีกไก่ให้กูหน่อย”

“อ่อ...เออ แป๊บๆ”

“เอาสองชิ้น” สั่งเสร็จก็หันไปคุยกับอาจารย์และรุ่นพี่ต่อ โดยไม่ได้สังเกตเห็นแก้วเบียร์ที่ถูกซ่อนไว้ใต้ชั้นวางเครื่องดื่ม ที่ตอนนี้ถูกลากมาไว้ระหว่างภาคภูมิกับชิงชิง

“เกมซ่อนตายฉิบหายเล้ยยย” ชิงชิงเปรยกับสายลม

“ชู่วววว” ภูมิส่งสัญญาณให้เพื่อนเงียบ ผู้ร่วมแผนการยักไหล่ พลางคว้าแก้วข้างใต้ที่เบียร์เริ่มพร่องมาเติมให้ ทำเอาเจ้าของแก้วยิ้มหวานอย่างถูกใจ



กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง!!


เวลาผ่านไปจนเกือบสี่ทุ่ม ในขณะที่เรื่องโจ๊กกึ่งนินทาคนในภาคจบไปเป็นเรื่องที่สิบ เจ๊ตี้ที่ตอนนี้เริ่มกรึ่มๆ ก็คว้าขวดโซดามาเคาะเป็นสัญญาณว่าให้ทุกคนในโต๊ะตั้งใจฟัง

“เราจะมาเล่นเกมกัลลลล” เสียงแปร่งเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา “เชื่อว่าทุกคนสติเริ่มไม่เต็มร้อยละ ซึ่งเจ๊ก็ด้วย ฮ่าๆๆ แต่..แต๊..แต่ เราจะมาเล่น ‘A-Z ปรัชญามาราธอน’ เกมแห่งปัญญาสำหรับคนไม่มีปัญญาาา”

“โอ๊ยยย จะรัชดาลัยทำไมอีตี้ เกมอะไรของมึง” พี่จ๋าตะโกนแทรกขึ้นมา ทำเอา MC สุดสวยหันไปมองจิกทันควัน

“กติกาก็คือ ทุกคนในวงนี้ ต้องพูดคำที่เกี่ยวกับปรัชญา ตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยต้องพูดทวนของเพื่อนคนที่ผ่านมา และต่อด้วยคำของตัวเอง ถ้าผิดหรือช้ากว่า 5 วิ ต้องโดนลงโทษและออกจากการแข่งขัน เล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คนชนะคนสุดท้าย”

“บทลงโทษคืออะไรอ่าครับ” ปอเอ่ยถาม ซึ่งกำลังเป็นข้อสงสัยของคนอื่นๆ เช่นกัน

คนคิดเกมยิ้มหวาน “ทุกคนเคยกิน ‘Chapter 2’ ของร้านนี้มะ”

รอบโต๊ะส่ายหน้า

“เป็นเครื่องดื่มคล้ายๆ ค็อกเทล แต่มันจะแยกเป็นแก้วเหล้ากับแก้วน้ำหวานมา อีแก้วเหล้านี่ก็จะมีความร้อนแรงเวอร์ เพราะผสมเหล้ามาสามชนิด แก้วนี้เลยได้ชื่อว่า ‘Know the pain’ ส่วนแก้วน้ำหวานจะเป็นโคลากับน้ำผลไม้ที่หวานมากกกก หวานจนขึ้นตา มันเลยชื่อ ‘Too much tenderness’

“ว่อออออออออ” เสียงอื้ออึงกับความคมของชื่อเครื่องดื่มดังประสานกัน

“ปกติเราต้องเทผสมกันแล้วแดก เอ๊ยยย ดื่ม แต่!!! เกมนี้ ใครแพ้ ต้องเสี่ยงดวงหยิบเอาค่ะว่าจะได้อะไร เพราะอีสองแก้วนี้แพ็กเกจมาเหมือนกันเป๊ะ”

เจ๊ตี้อธิบายยังไม่ทันจบ พนักงานก็ยกเครื่องดื่มที่ว่ามาให้ทั้งหมดสิบแก้ว

“เดี๋ยวน้องเอาทุกแก้ววางปนๆ กันตรงกลางโต๊ะเลยนะคะ อ่อ...แก้วผสมไม่ต้องค่ะ เก็บเลย”

ทุกสายตาจับจ้องไปยังแก้วสแตนเลสฝาทึบที่หน้าตาเหมือนกันทุกใบ ไอเย็นโดยรอบพอจะบอกถึงอุณหภูมิของเครื่องดื่มด้านในได้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่ามันจะสามารถกักเก็บความเย็นไปได้อีกนานพอสมควร

“เอ่ออออ... โหดไปเปล่า ตอนนี้แค่จำแก้วตัวเองให้ได้ยังยากเลยเจ๊” แก้วยกมือแสดงความคิดเห็น

“อย่าเรื่องเยอะนังแก้ว เดี๋ยวเจ๊จับทำเมียเลย”

“โอ๊ยยยย โหดกว่าทำผัวอี๊ก กำพระแป๊บ” ไม่พูดเปล่า รุ่นน้องยังทำท่ากุมสร้อยพระพลางสวดมนต์ประกอบอีก

“อีแก้ว!!” เจ๊ใหญ่กำลังจะด่าสักสามจบ ถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อน

“ปิ้งก๊ายยยย อิอิ”

ทั้งวงหันมองเสียงปริศนา ก่อนจะพบว่ามันมาจากเด็กหนุ่มที่เคยสุภาพเรียบร้อยอย่าง... ภาคภูมิ ที่ตอนนี้นั่งเอียงหัวพลางหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

“เชี่ย... ซวยล่ะกู” ชิงชิงพึมพำ ในขณะที่ปรนัยรีบเอื้อมมือไปดึงไหล่เล็กของคนเริ่มเมาให้เข้ามาใกล้

“พีพี” เสียงทุ้มเรียก “นั่งดีๆ เดี๋ยวหงายหลัง”

“ยังๆ กูยังไม่มาว” คนไม่เมาส่งยิ้มหวาน “เมื่อกี๊ทดลองเล่นมุก เผื่อขำ”

 “ฮ่าๆๆ ทำไมไอ้ภูมิโหมดนี้กูไม่เคยเห็น” ประธานรุ่นหัวเราะ

   “งั้นเกมนี้ตัดนังภูมิออกไปแล้วกัน” เจ๊ตี้ที่ยังคงจริงจังกับการเล่นเกมเอ่ยต่อจากเดิม

“ไม่อาววว ขอเล่นด้วย นะนะนะ” เสียงเว้าวอนทำเอาเจ้าแม่กิจกรรมถึงกับอ่อนระทวย

“พีพีลูกกกก หนูอยากได้อะไร ไหนบอกแม่ซิ”

“ขอเล่นด้วยคับ” ไม่ใช่แค่ส่งยิ้มหวาน แต่ยังทำตาแป๋วใส่เจ๊ตี้อีก

“ฮืออออ ใจแม่...”


สรุปว่าบทลงโทษของผู้แพ้คือการต้องเสี่ยงหยิบเครื่องดื่มบนโต๊ะมากระดกให้หมดแก้ว ใครจะได้แบบโคตรขมหรือโคตรหวานก็วัดดวงกันไป ส่วนรางวัลของผู้ชนะคือ การจ่ายแค่ 50% ของราคาที่หารแล้วในค่ำคืนนี้

เมื่อมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจึงพยายามตั้งสมาธิจากสติที่ไม่ค่อยจะมีกันอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์กฤตที่โอน้อยออกได้เป็นคนเริ่มคนแรก

“เอาล่ะนะ” คนเริ่มเกมให้สัญญาณ

“อร๊ายยย ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ยคะ” เจ๊ตี๊ผุดลุก เตรียมท่าจะวิ่งออกไป แต่ถูกเพื่อนคนอื่นๆ คว้าตัวไว้ก่อน

“ไม่ได้!! เล่นให้จบก่อนเลยอีตี้”

“ใช่! ถ้าออกไปคือปรับแพ้เลยนะ”

“โอ๊ยยยย พวกมึงไม่เห็นใจคนปวดเข้เลยใช่มั้ย!!”

“เออ!!” พี่จุ๋มกระแทกเสียง ก่อนจะหันมายังอาจารย์สุดหล่อประจำภาคแล้วยิ้มหวาน “อาจารย์เริ่มเลยค่ะ”


เกมแห่งชีวิตเริ่มต้นขึ้น และวนทางด้านซ้ายมือไปเรื่อยๆ เป็นวงกลม

(http://i.imgur.com/9l9us3e.jpg)


อ.กฤต: “Albert Camus”

อ.ธาร: “Albert Camus – Belief”

พี่ไนท์: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking”

เจ๊ตี๊: Albert Camus เอ่อ... แอร๊ยยยย ปวดขี้!! ยอมแพ้ๆๆ เดี๋ยวกลับมารับโทษนะ

พี่จุ๋ม: โว้ยยย อีตี้ มึงจะมาเปลี่ยนห่วงโซ่อาหารแบบนี้ไม่ได้นะโว้ยยย ฮือออ “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – เอ่อ... อ่า... Determinism!!”

พี่จ๋า: เอามาจากข้อสอบวันนี้ใช่มะ แหมมม “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego”

/นั่นก็ข้อสอบไม่ใช่เหรออีจ๋า... – พี่จุ๋มกล่าว

แก้ว: เชี่ยยย ผมไม่ได้เตรียมตัว F อะ “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – F…เกรดเอฟ!!”

โดยไม่ต้องรอให้มีเสียงคัดค้าน แก้วผู้ตอบผิดเอง ก็ใจนักเลงพอจะคว้าหนึ่งในสิบแก้วบนโต๊ะออกมาเปิดฝาแล้วกระดกลงคอทันที...

“เป็นไงวะมึง” ปรนัยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าสุดพรรณนาของเพื่อน

“ขากกกกกกกก!!!! แค่กๆๆๆ หวานฉิบหายเลยโว้ยยยย เชี่ยชิงขอน้ำเปล่าหน่อย!!! แอ๊กกกก!!”

เป็นอันว่าแก้วแรกที่ถูกเปิดไปคือ Too much tenderness ซึ่งดูท่าแล้วจะทูมัชจริงเหมือนชื่อ

“ความโง่ของมึงทำให้กูลำบากอีกสัสแก้ว!!” ชิงชิงรินน้ำให้เพื่อนแล้วกลับมาโฟกัสที่เกมต่อ

ชิง: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – F…Fallacy!!” เห็นหน้าอาจารย์กฤตแล้วนึกออกเลย ฮ่าๆๆ

พีพี: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy - Gottfried Wilhelm Leibniz”

/มึงเล่นอัจฉริยะข้ามคืนเรอะพีพี!! – เสียงครวญรอบวง

ปอ: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy – เชี่ย... G ของมึงนี่อะไรวะ... อ๋อ!! Gottfried Wilhelm Leibniz - Heraclitus”


ตอนนี้เกมวนกลับมาที่อาจารย์กฤตอีกครั้ง พร้อมการกลับมาของเจ๊ตี๊ ซึ่งเดินยังไม่ทันถึงโต๊ะ ก็ถูกพี่จ๋ากับพี่จุ๋มไปอัญเชิญฉุดกระชากมาให้เลือกเครื่องดื่มทันที

“เจ้าแม่โปรเจกต์ดีนัก หยิบขึ้นมาแล้วแดกค่าาา”

“โอ๊ยยย กูแค่ปวดขี้มั้ย ไม่ได้ฆ่าใครตาย!!” กะเทยดุสะบัดบ็อบก่อนจะหยิบแก้วสแตนเลสขึ้นมาแก้วหนึ่ง “ขอให้เป็นเหล้าๆๆๆ ฉันอยากเมาแล้วเต้นบดๆๆๆ”

เจ๊ใหญ่อธิษฐานแล้วจึงดื่มน้ำปริศนาตามกติกา

“อิด๊อกส์ แอ๊กกกกก!! อุบบบบ!!!”

“อย่าอ้วกนะอีกะเทย!!” พี่จุ๋มส่งน้ำเปล่าให้เพื่อน แต่เจ๊ตี้ไม่รับ เพราะเจ้าตัวกำลังวิ่งสี่คูณร้อยกลับไปยังห้องน้ำที่เพิ่งจากมา

“มันกินอะไรเข้าไปอะ” พี่ไนท์ถามด้วยความสงสัย แน่นอนว่าไม่มีใครรู้นอกจากเจ้าตัวเอง

“ปล่อยมันเถอะ เดี๋ยวมันก็กลับมา” พี่จ๋าสรุป “ตาใครแล้วนะ”

“ผมๆ” อาจารย์กฤตยกมือ

“อุ่ย! วนรอบนึงแล้ว งั้นอาจารย์ต่อเลยค่ะ”

อ.กฤต: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy – Gottfried Wilhelm Leibniz – Heraclitus - Idealism”


หลังตัดผู้เข้าแข่งขันออกไปสองคนคือแก้วกับเจ๊ตี้ (ชั้นแพ้บายโว้ย / เจ๊กล่าว) รอบสองนี้ดูเหมือนเกมจะดุเดือดขึ้นกว่าเดิมมาก อาจเพราะแอลกอฮอล์ในเลือดเริ่มจางลง ทุกคนเลยสามารถครองสติและผ่านมาได้เรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ภาคภูมิที่ดูเหมือนจะเมาในตอนแรกๆ แต่พอลงสนามปุ๊บ สติก็กลับมาโดยฉับพลัน

พีพี: “...Idealism - John Locke - Karl Marx - Liberty - Marxism - Naturalism - Objective"

“โอ้... เลือกคำได้ดีนะภูมิ เอ... Objective ภาษาไทยมันแปลว่าอะไรนะ” อ.ธารทำหน้าสงสัย

เจ้าของตัว O เงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาเสียงเบา “ปรนัยครับ”

“อ้อ...ใช่ๆ ปรนัยเนอะ” ผู้อาวุโสอมยิ้ม “อะ Mr. Objective ต่อเลยๆ”

ปรนัยตัวจริงเลื่อนหน้าไปกระซิบกับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ “ให้กูเป็นคำตอบของมึงใช่ปะ”

รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าหล่อพร้อมสายตาคมคู่นั้นทำให้ภาคภูมิรู้สึกเหมือนเมาอีกรอบ “อะไรของมึง”

“ฮ่าๆ” คนขี้แกล้งหัวเราะ ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังวงสนทนา

ปอ: “...Karl Marx - แอล... Liberty - Marxism - Naturalism – Objective – พี...พีพีได้มั้ยอะ เด็กปรัชญาปีสาม”

คนถูกพาดพิงหันขวับ “นิสัย!”

“อ้าว เราจะได้เป็นคำตอบของกันและกันไง”

“ง่ออออ ง่อๆๆๆ” ชิงชิงกับแก้วส่งเสียงแซวไม่เบานัก แต่เจ้าของคำตอบไม่สนใจ

“เมาละมึง!” นิ้วเรียวจิ้มหน้าผากที่ยื่นเข้ามาหาแล้วดันออกไปเต็มแรง ก่อนจะหันไปมองพี่จ๋าอย่างลืมตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองพวกเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกอยู่เช่นกัน

ถึงปรนัยจะให้ 'พีพี’ เป็นคำตอบ แต่ทุกคนกลับตรวจข้อสอบแล้วให้...ตก

“อะ พ่อคุณพ่อขนุนหนัง เจ้าเล่ห์นักก็ขอเชิญเลือกเลยค่ะ” พี่จุ๋มชี้นิ้วไปยัง Chapter 2 อีก 8 แก้วที่เหลือ

“อยาก Know the pain จัง อิอิ”

“สัส ขอให้แม่งโดนจริง สาาาธุ!” ไอ้แก้วผู้ตกรอบเป็นคนแรกยกมือท่วมหัว เพราะถึงน้ำหวานจะรสชาติต่ำตม แต่คนอย่างห่าปอต้องเจอของแรงๆ เอาให้แม่งเมาไปเลย

ทุกสายตาจับจ้องไปยังแก้วในมือของผู้แพ้คนล่าสุด ปรนัยเปิดฝาออกพลางยกเครื่องดื่มขึ้นจ่อจมูก

“ไม่ต้องดมหรอก ยังไงก็ไม่ได้กลิ่น” เจ๊ตี้ผู้คุ้นเคยกับของมึนเมาร้องบอก “ต้องกินเข้าไปอย่างเดียว”

ร่างสูงยักไหล่ ...กินก็กินวะ

เพียงอึกแรกปรนัยก็รู้ว่าคำขอของตนเองเป็นจริง เพราะความเย็นเฉียบของเครื่องดื่มในปากกลับแผดเผาลำคอจนร้อนแทบไหม้เมื่อกลืนลงไป ก่อนกลิ่นแอลกอฮอล์หลายชนิดจะอบอวลอยู่ภายในขึ้นไปถึงโพรงจมูก

“ยังไง ยังงาย...อึกเดียวเอง กูว่ามันยังไม่หมดนะ” ชิงชิงกอดคอกับไอ้แก้วแล้วชี้หน้าเพื่อนปากดีที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตอนนี้

“ตกลงอะไรอะ” ภูมิหันไปถามด้วยอีกคน สายตาสงสัยใคร่รู้นั้นทำให้ปรนัยเผยยิ้ม ก่อนจะกระดกเหล้าที่เหลือลงคอจนหมด

“เข้ๆๆๆ แมนเชี่ยๆ” เสียงเป่าปากแซวเพื่อนยิ่งสร้างความสงสัยให้กับคนอื่นๆ เข้าไปใหญ่

“ตกลงเหล้าหรือน้ำหวาน” เป็นพี่จ๋าที่ถามด้วยอีกคน

“ไม่บอกหรอก เดี๋ยวเหลือแก้วน้อยแล้วไม่เซอร์ไพรส์” คนตอบหัวเราะขำ พลางบอกให้เกมที่ค้างอยู่ดำเนินต่อไป
ภาคภูมิลอบมองใบหน้าของคนข้างๆ ถึงแสงไฟจะค่อนข้างสลัว แต่ก็ยังพอมองเห็นว่าใบหน้าคมนั้นขึ้นสีแดงจนลามไปถึงคอ ไม่ต้องเดาเลยว่าเพื่อนสนิทจับได้อะไร


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 31-08-2017 15:01:21
ตอนนี้เกมเหลือผู้รอดชีวิตเพียงสี่คน คือ อ.กฤต อ.ธาร พี่จ๋า และภาคภูมิ เรียกว่าเป็นสายแข็งตัวจริง เพราะเข้าสู่โค้งสุดท้ายของตัวอักษรแล้ว

อ.กฤต: “...Philosophy – Quine - Reality - Skeptic - Thales - Utopia - Virtue - Will - เอ่อ... เอ็กซ์... เอ็กซ์...."

"ห้า - สี่ - สาม – สอง” คนอื่นๆ เริ่มนับถอยหลัง “หนึ่ง หมดเวลาาา"

“โอ๊ย...ยอมจริงๆ นึกไม่ออกเลยครับ เอ็กซ์” อาจารย์หนุ่มถอนหายใจ

“ถ้าเรื่องมันเศร้า ก็ต้องโดนเหล้าเข้มๆ เลยค่า” เจ๊ตี้ปรบมือ ก่อนจะตามด้วยเสียงเชียร์รอบโต๊ะ ตอนนี้เหลือเครื่องดื่มอยู่สี่แก้วสุดท้าย และไม่มีใครรู้ว่าคืออะไรบ้าง เพราะตั้งแต่ปรนัยอุบแก้วของตัวเอง คนที่แพ้ต่อๆ มาก็เลยเก็บเป็นความลับเช่นกัน

อาจารย์กฤตกลั้นใจยกแก้วในมือขึ้นดื่ม เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าจะถ้าโดนแก้วเหล้า คงได้ขอตัวกลับก่อนแน่ๆ ทว่ารสหวานแสบลิ้นราวกับกินหัวน้ำหวานกับกลิ่นโคล่าอ่อนๆ กลับสร้างความแปลกใจให้ตนเองพอสมควร แม้รสชาติจะเหลือรับประทาน แต่ก็ดีกว่าต้องซดเหล้าดีกรีสูงให้หมดในครั้งเดียว

“ได้อะไรอ่าอาจารย์ บอกหน่อยๆๆๆ”

รอยยิ้มหล่อถูกส่งมารอบวง “ความลับครับ”

“โอ้! ผมนึกตัวเอ็กซ์ออกแล้ว!” อาจารย์ธารอุทานอย่างดีใจ “แต่ผมจะจำไอ้พวกระหว่างทางได้มั้ยเนี่ย”

อ.ธาร ไล่คำศัพท์ไปเรื่อยๆ ใช้เทคนิคชี้หน้าเจ้าของคำไปทีละคำจนครบถึงตัวดับเบิลยู ซึ่งเป็นคำสุดท้าย

“โอ๊ยยยย... ตายแน่ๆๆ” พี่จ๋าเอามือปิดหน้า ในตอนที่อาจารย์ธารเอ่ยคำศัพท์ตัวเอ็กซ์

Xenophanes

อาจารย์กฤตหันมามองเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ก่อนจะปรบมือให้ด้วยความชื่นชม “จริงด้วย ผมลืมไปได้ไงเนี่ย”

“เอาล่ะจ๋า อึก! มึงงงง ตาเมิงงงงละ” พี่จุ๋มเริ่มพูดไม่เป็นคำก่อนจะลุกเชียร์เพื่อนเย้วๆ

ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังลุ้นกับพี่จ๋า แต่ปรนัยกลับกำลังใช้หัวสมองที่เริ่มเบลอเพราะฤทธิ์เหล้า คิดคำนวณว่าอะไรออกไปแล้วกี่แก้ว ‘ไอ้แก้วกับพี่ตี้ได้น้ำหวาน, อ.กฤตไม่น่าใช่เหล้า เพราะสีหน้าไม่เปลี่ยนเลย ไอ้ชิงก็ไม่ใช่แน่ๆ ปกติถ้ากินเหล้าพร้อมเบียร์มันต้องเรื้อนละ พี่จุ๋มเหล้าชัวร์ เมาสุดๆ, เหลือพี่ไนท์ แม่งดูยาก ถ้านับพี่แกเป็นเหล้าด้วย แสดงว่าเหล้าออกไปแค่สามแก้ว...’

“...อะอีจ๋าเร็วเร้วววว ตัวเอสของใคร ง่ายฝุดๆ เรยเพิ่ลลล” เสียงพี่จุ๋มยังเชียร์เพื่อนไม่หยุด แต่สุดท้ายพี่จ๋าก็แพ้ไปอีกคน

   ปอนึกห่วงพี่จ๋าอยู่เหมือนกัน มันพอจะมีโอกาสที่หนึ่งในสามนั้นจะเป็นน้ำหวาน แต่ถึงยังไงขานั้นก็สายปาร์ตี้อยู่แล้ว ถ้าจับได้เหล้าจริงๆ ก็ไม่น่าเมาปลิ้นหรอก ที่น่าห่วงก็ไอ้คนข้างๆ เขามากกว่า

   “อะ แดกกกกก” พี่จุ๋มจัดการเปิดฝาแก้วแล้วจ่อที่ปากเพื่อนทันที

   “ให้มันกินเองดิจุ๋ม เดี๋ยวมันสำลัก” พี่ไนท์เอ่ยเสียงดุ คนเมาเลยยกมือไหว้ท่านประธานงามๆ แล้วส่งแก้วให้พี่จ๋าแต่โดยดี

   เห็นหน้าเหมือนอมบอระเพ็ดของคนตรงข้ามแล้ว ปรนัยก็พอจะเดาได้ว่าพี่จ๋าได้แก้วเหล้าจริงๆ

   ภาคภูมิไม่ได้สนใจรอบวงเท่าไร เพราะตอนนี้กำลังคิดคำศัพท์ปรัชญาที่ขึ้นต้นด้วยตัววาย กระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ ของคนที่มากระซิบข้างหู

   “มันน่าจะเหลือเหล้าแก้วน้ำหวานแก้ว เลือกให้ได้น้ำหวานนะ”

   “กูจะรู้มั้ยว่าแก้วไหน”

   “มาค่ะน้องพีพี ตาหนูแล้วลูกกก” เสียงเรียกของเจ๊ตี้ทำให้ภูมิไม่ทันได้ฟังคำตอบของเพื่อนสนิท และไม่ได้เห็นแววตาที่สะท้อนความห่วงใยออกมาอย่างชัดเจน

   พีพี: “…Thales - Utopia - Virtue – Will – Xenophanes – อ่า... วาย..”

   ภูมิมองไปรอบวงอย่างขอความช่วยเหลือ แต่นอกจากไม่มีใครช่วยแล้ว ทุกคนยังพร้อมใจนับถอยหลังกันเสียงดังลั่น
“และในเกมนี้อาจารย์ธารก็เป็นผู้ชนะปายยยย” เจ๊ตี้สวมบทบาทพิธีกรประกาศผู้ชนะ เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังสนั่นจนคนชนะต้องบอกให้เบาลง เพราะกลัวโต๊ะข้างๆ ด่า

“แต่ว่าคนแพ้ก็ต้องถูกลงโทษตามกติกานะ” เอ็มซีตี้หันมาทางภาคภูมิ “ลูกแม่ อยากกินแก้วไหนหยิบเลยค่ะลูก”

ตากลมจ้องมองแก้วสแตนเลสสองแก้วบนโต๊ะ ไอเย็นยังแผ่กระจายออกมาเหมือนชั่วโมงก่อน และหน้าตาภายนอกของทั้งสองแก้วก็ไม่มีอะไรต่างกันเลยสักนิด จริงๆ ถึงปรนัยไม่พูด เขาก็ภาวนาให้จับได้แก้วน้ำหวานเช่นกัน เพราะอย่างน้อยการได้รับ ‘ความอ่อนโยนที่มากเกินไป’ ก็ยังดีกว่าต้องมา ‘เรียนรู้ความเจ็บปวด’ ด้วยเหล้าสามชนิด ที่น่าจะไปตีกับเบียร์ในกระเพาะ และผลที่ออกมาคงทำให้เขาคงดูไม่จืดเลยทีเดียว

“ศัพท์ปรัชญามันไม่มีตัววายเปล่า” อยู่ๆ คนข้างๆ ภูมิก็โวยวายขึ้นมา “คือถ้ามันไม่มี พีพีก็ไม่ต้องกินมั้ยอ่า เพื่อความยุติธรรม”

“กูโอเคมึง... เล่นเกมสนุกๆ น่ะ” ภาคภูมิดึงแขนเพื่อนให้นั่งลง

“งั้นเดี๋ยวลองเสิร์ชดูก็ได้” พิธีกรประจำวงหยิบมือถือตัวเองขึ้นมา แต่คนแพ้ร้องห้ามเสียก่อน

“ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ เนี่ยๆ เดี๋ยวกินเลย อยากกิน ฮ่าๆๆ”

พอเจ้าตัวออกปากอย่างนั้น ปรนัยเลยจำเป็นต้องเงียบ

ภูมิเลือกหยิบแก้วทางขวามือ ความเย็นที่แผ่ออกมาทำเอาใจชื้นขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องกินเหล้าหรือน้ำหวานที่หายเย็นแล้ว ไม่งั้นรสชาติมันคงย่ำแย่เข้าไปใหญ่

“หมดแก้ว! หมดแก้ว! หมดแก้ว!” เสียงเชียร์ทำให้มือเรียวต้องยกแก้วทำท่า Cheers! ก่อนจะเลื่อนมาแตะริมฝีปากตัวเอง แล้วกลั้นใจดื่มน้ำต้องสงสัยในที่สุด

“พีพี...” ปอเรียกคนที่ทำหน้าพะอืดพะอม อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่รีบเอามือบีบจมูกขณะพยายามกลืนรสขมเฝื่อนแสบร้อนลงไป และพยายามกินที่เหลือตามไปอีกสองอึก

“ให้มันกินน้ำก่อน” ชิงชิงยื่นแก้วน้ำเย็นมาให้ เขาจึงรีบส่งให้เพื่อนทันที

“โอเคมั้ยมึง” ปรนัยถามอาการคนที่น่าจะโดนแก้วเหล้า พอเห็นหน้าขาวๆ ขึ้นสีแดงจัด แถมปากเล็กๆ ยังเบะคล้ายจะร้องไห้ มือหนาจึงเอื้อมไปลูบหัวปลอบเพื่อนแล้วดึงแก้วในมือขาวมาซดเองรวดเดียวหมด

“อะๆๆ ก็ถือว่าครบตามกติกา เพราะเครื่องดื่มหมดแก้วเนอะ” เจ๊ตี้สรุปสถานการณ์” เดี๋ยวเราเช็กบิลโต๊ะนี้ก่อนดีมั้ย ห้าทุ่มละ เผื่อใครจะอยากเข้าไปต่อในห้องกระจก”

ห้องที่ว่าคือโซนห้องแอร์คล้ายๆ ตู้ปลา ที่วันนี้มีปาร์ตี้พร้อมเปิดไฟแบล็กไลต์ ซึ่งจะทำให้วัตถุสีขาวเรืองแสง ส่วนสีอื่นๆ ก็จะมืดไปหมด การได้ปล่อยสเต็ปแดนซ์กับเพลงตื๊ดๆ ที่ฟังไม่รุ้ความหมายและดูผู้คนเรืองแสงถือเป็นความบันเทิงสูงสุดที่หลายๆ คนตั้งใจมาในคืนนี้



แก๊งปีสี่พาอาจารย์เข้าไปด้านในกันตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่สี่หนุ่ม F4 ยังคงนั่งกันต่อที่เดิม แก้วกับชิงชิงยังกินกันไปเรื่อยๆ ส่วนปรนัยขอหยุดก่อนเพราะเริ่มมึนแล้วจริงๆ

 “ปอ...” เสียงที่อู้อี้อยู่ตรงไหล่ทำให้คนที่กำลังนั่งเบลอๆ ต้องก้มไปมอง

“อือ ไหวมั้ย” มือหนาลูบหน้าผากชื้นเหงื่อเบาๆ

“ไหนว่าแก้วที่เป็นเหล้าคือ know the pain”

“อะไรนะ”

คนที่ยังซบอยู่กับไหล่หนาส่งเสียงฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “กูว่าแม่งโคตร too much tenderness เลยว่ะ”

“เมาในสามอึกจริงๆ เหรอวะ” แก้วเห็นอาการบ่นอะไรหงุงหงิงของเพื่อนแล้วก็ขำ อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปบีบจมูกแดงๆ ของคนตรงข้ามสักที

คนถูกแกล้งขมวดคิ้ว ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรง “เมาอะไร เปรี้ยว”

“มาว่ะๆ” ชิงชิงกระซิบ

คนถามส่งยิ้มหวาน “เฉลยยย เมาเบอร์รี่ ฮ่าๆๆ”

ปอถึงกับกุมขมับ พยายามดึงไอ้ตัวยุ่งให้มานอนเหมือนเดิมมันก็ไม่ยอม

“อะๆ พวกกูรอฟังมุกมึง ให้ไวๆ กูอยากขำแล้ววว” แก้วทำเสียงกระตือรือร้นเกินจริง

“มุกอะไรเก่งคณิต” คนเมาเริ่มอีกรอบ “เฉลยยยย มุกดาหารรรร ตึ่งโป๊ะ”

“ห่าภูมินั่งดีๆ” แก้วชี้ไปยังร่างโงนเงนนั่น “จับมันด้วยนะไอ้ปอ”

แขนยาวตอบรับคำสั่งเพื่อนด้วยการโอบร่างเล็กๆ นั่นไว้แล้วดึงเข้ามาชิดตัวเอง

“นี่คือกันเพื่อนตกโต๊ะเนอะ? ไม่ได้คิดเป็นอื่น?” คือคนเมาน่ะเข้าใจได้ แต่ไอ้คนไม่เมานี่มันน่าสงสัยจนชิงต้องมองเหล่

   ปรนัยไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับก้มหน้าไปคุยกับคนในอ้อมแขนแทน “กลับหอมั้ย”

   “หือออ” คิ้วเรียวขมวดมุ่น “จะกลับได้ไง”

   “หอมันใหญ่ กลับไม่ได้งี้ใช่ปะ” แก้วรีบดักมุกเพื่อน ทำเอาคนเมายู่หน้าอย่างขัดใจ

   “มุกควายว่ะแก้ว ใครจะเล่นเหมือนมึง”

   “เอ๊า! โดนด่าเฉย”

   “กลับหอไม่ได้” พีพีย้ำอีกรอบ “วินยังไม่มารับ”

   คำตอบนั้นทำให้ทั้งวงต้องถามย้ำเป็นเสียงเดียวกัน “ใครนะ?”

   “วิน”

   “มึงต้องไปโบกเอาข้างหน้า ไม่ใช่รอให้เค้ามารับ” ชิงอธิบาย

   “ฮื่อ” คนฟังส่ายหน้า “มันบอกจะมารับ”

   ร่างโปร่งขยับยุกยิก ก่อนจะหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมา “นี่ๆๆๆ”

   ปอคว้าโทรศัพท์ในมือเล็กที่พยายามโบกไปรอบวงมาดู หน้าจอแอปพลิเคชันไลน์ถูกเปิดอยู่ และปรากฏแชทของ 'วิน' ที่ไม่ได้หมายถึงมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างที่คนอื่นเข้าใจ


Twin (21:03) : เมายัง

PPoom (21.15) : ยังๆ 555

Twin (21.15) : จะกลับยังไงอะ

PPoom (21.23) : มอไซค์ข้างหน้าแหละ

Twin (21.24) : เรากินข้าวอยู่แถวๆ ร้านพอดี จะกลับก็บอกนะ เดี๋ยวแวะรับ

PPoom (21.30) :   ไม่เป็นไรๆ ดึกแน่

Twin (21.30) : นี่ก็จะไปนั่งเล่นหอเพื่อนเหมือนกัน จะกลับก็ไลน์มานะ

PPoom (21.32) : อ่อ เคๆ


   ปรนัยอ่านข้อความบนหน้าจอแล้วถึงได้เข้าใจที่เพื่อนสนิทพูด เมื่อเหลือบไปเห็นคนเมายังฝอยมุกแป้กไม่หยุด สองมือจึงรีบพิมพ์ข้อความส่งไปในแชทที่เปิดค้างอยู่

PPoom (23.19) : ไม่ต้องมารับนะ เดี๋ยวปอไปส่ง

Twin (23.20) : ไปยังไงกัน เราไปรับได้นะ เอารถเก๋งมา   

PPoom (23.20) :   ปอขับบีเอ็มมาอะ นั่งสบายมากกกก

Twin (23.20) : อ่าวเหรอ

Twin (23.21) : เพื่อนไม่เมาใช่มั้ย

Twin (23.21) : ขับไหวนะ

PPoom (23.21) :   เออ เท่านี้นะ จะกลับละ

Twin (23.22) : อ่าๆ ถึงห้องแล้วบอกด้วยน้า


   “ลำไยจริงโว้ยยย” คนที่ยังครอบครองโทรศัพท์เพื่อนบ่นออกมาเสียงดัง

   “อยากกินเหรอ! กูก็อยากกินนน ลำไยยยย” ภาคภูมิเด้งตัวขึ้นมาอีกรอบ ตากลมลุกวาวเมื่อพูดถึงผลไม้โปรด

   “งั้นไปซื้อกัน” เสียงทุ้มเอ่ยเจ้าเล่ห์

   คนอยากกินลำไยลุกขึ้นยืนฉับพลัน “ปะๆ”

   ร่างสูงลุกตามมาคว้าตัวคนเมาเอาไว้ก่อนจะหันมาบอกลาเพื่อนๆ “มึงเข้าไปห้องกระจกกันเลย กูพาพีพีกลับละ”

   “เออๆ กลับกันดีๆ” แก้วกับชิงชิงมองตามเพื่อนสองคนจนพวกมันเดินออกนอกเขตร้านแล้วจึงย้ายตัวเองไปต่อด้านใน


   ที่ด้านหน้าร้าน ปรนัยกำลังเจรจากับมอเตอร์ไซค์รับจ้างขอซ้อนสอง และตกลงเส้นทางที่จะไม่ต้องเสี่ยงเจอด่าน แต่ดูเหมือนคนขับจะไม่ยอมท่าเดียว

   “หอแรกยังไงก็หลบไม่ได้หรอกน้อง ไปขึ้นแยกคนละคันเลย พี่กลัวโดนจับ”

   “โห่พี่ ให้เพื่อนผมนั่งคนเดียว เดี๋ยวก็ได้พาไปส่งโรงบาลหรอก”

   “ยังไงก็ไม่ได้ ถ้าไปหอน้องเลยน่ะถึงจะรอด วิ่งเส้นลัดข้างๆ ร้านไปทะลุซอยหลังหอเลย ไม่ต้องผ่านถนนใหญ่”

   “ปอออ เมื่อไรจะได้ซื้อลำไยอ่า” ร่างขาวที่นั่งอยู่บนฟุตปาธส่งเสียงถาม ตากลมปรือปรอยจนแทบปิด

   คนถูกเรียกหันไปมองสภาพเพื่อน ก่อนจะหันมาสรุปกันพี่วินเป็นครั้งสุดท้าย

   “พี่... งั้นไปหอผมเลยแล้วกัน...”





TBC.


โปรดให้อภัยในความช้าของเราาา ฮือออออ
ด้วยความยาวและต่อเนื่องของตอนนี้ (บวกชีวิตอันเวิ่นเว้อของเรา)
ตอนนี้เลยมาพบทุกคนหลังเวลาผ่านไปเดือนกว่า! / ร้องไห้
ถ้าใครลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว ช่วยย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 10 ก่อนนะคะ

ถ้าหากพูดถึง Sweet Dilemma ที่ไหน
รบกวน #SweetDilemmaFiction ให้หน่อยนะคะ
เข้าไปพูดคุยกับคนเขียนได้ที่
https://www.facebook.com/lykarfanpage
หรือ Twitter: @lykar91 ค่ะ

------------------

สำหรับตอนนี้ อยากขยายความเรื่องร้าน The Phophet นิดนึงค่ะ

"The Phophet" เป็นชื่อหนังสือของ คาลิล ยิบราน
หรือที่แปลเป็นฉบับภาษาไทยด้วยชื่อ "ปรัชญาชีวิต"

เนื้อหาเป็นบทกวีที่งดงามมากๆ โดยเฉพาะบทที่ 2 ที่ชื่อ On Love
ซึ่งเราดึงท่อนหนึ่งมาใช้เป็นชื่อเครื่องดื่ม "Chapter 2" ในตอนนี้
นั่นคือท่อนที่กล่าวว่า "To know the pain of too much tenderness."
แปลเป็นไทยว่า "เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป"

เนื่องจากอยากให้ผู้อ่านได้รับรสกวีบทนี้มากขึ้น
จึงขออนุญาตคัดลอกส่วนหนึ่งของบท On Love มาให้อ่านกันนะคะ
หากใครสนใจ สามารถหาซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปค่ะ

อ้างถึง

Chapter 2 On Love

Love has no other desire but to fulfill itself.
But if you love and must needs have desires, let these be your desires:
To melt and be like a running brook that sings its melody to the night.
To know the pain of too much tenderness.
To be wounded by your own understanding of love;
And to bleed willingly and joyfully.

- KHALIL GIBRAN


ความรัก

ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด
นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์

แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี

เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว
อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป

เพื่อจะต้องบาดเจ็บด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล

ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ

- คาลิล ยิบราน / สำนวนแปล ระวี ภาวิไล

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #10.2 เรื่องชื่นใจ (Update! 12/07/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 31-08-2017 15:21:20
 :hao6: เดี๋ยวววววววววววไม่คิดอะไรถูกม๊ะ หืมมมมมม
จังหวะเป๊ะเลยค่ะพอเรากะจะมาอ่านซ้ำคุณคนเขียนก็อัพพอดี :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-08-2017 17:30:51
ปอ เพิ่มความหวงพีพี มากขึ้น
โดยเฉพาะกับวิน

พี่จ๋า ดูเหมือนนิ่งๆกับปอ
คงเพราะรู้แล้วว่าปอ ไม่คิดทางเดียวกัน
แถมเพื่อนคอยตบซ้ำถ้ามองปอมาก
สายตาพี่จ๋า คอยดูปอที่ตัวติดพีพีมาก
แล้วนี่ปอพาพีพี ขึ้นวินกลับหอตัวเอง
ตัดวินจากการมารับพีพี
ทั้งที่ไม่ได้ขับรถมาแท้ๆ
รอตอนใหม่
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 31-08-2017 21:50:25
คุ้มค่ากับการรอคอย ชอบตัวละครทุกตัวเลย มีชีวิตชีวามาก
ต้องขอบคุณวินที่มาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปอจะเริ่มรู้ตัวเองซักแค่ไหน
น้องพีพีน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gunghan ที่ 01-09-2017 00:44:52
ขอตอนต่อไปเลยได้มั้ย
ยังไม่พอ :hao7:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Krajeeqx ที่ 01-09-2017 01:08:18
เมื่อไหร่ปอจะรู้ใจตัวเองสักที อาการหวงพีพีกำเริบขนาดนี้ละนะ

ปอลอ.ตอนนี้ยาวสะใจมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 01-09-2017 06:30:00


ยินดีต้อนรับการกลับมาค่ะ ^_^
เรื่องปอรู้ใจตัวเองนี่เราไม่ลุ้นเท่ากับหลังจากพาพีพีกลับไปนอนที่ห้องด้วยกันแล้ว ปอจะทำยังไงมากกว่า
อยากให้ปอรู้ใจตัวเองเร็ว ๆ เพราะสงสารพีพีมาก คือ ถ้าปอจะไม่อะไร ปล่อยพีพีไปเถอะลูก ป้าเชื่อว่ามีคนรอช้อนน้องอีกเพียบ
แน่ะ! ถ้ายังคิดไม่ออกว่าใครที่รอสอยพีพีอยู่ ก็อ่านแชทพีพีกับเด็กต่างคณะวนไปนะลูก เผื่อจะได้ดวงตาเห็นธรรม วะฮ่า ๆๆๆ

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 01-09-2017 11:32:49
พีพีตอนเมาแล้วน่ารัก

ตอนปิ้งไก่มา เราเงิบเลยอะ


555555 แบบ มุกนี้ใครเล่นวะ อารมณ์แบบหันไปมองหน้าเพื่อน

พอหันมาเจอพีพี นี่ก๊ากกกเลย



แบบนี้ก็ได้หรอวะ



ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 01-09-2017 19:24:12
แม้แต่อาจารย์ยังแซว คือไร้
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-09-2017 21:22:11
พีพีเมาแล้วน่ารักมากกกกก
ปอรู้ใจตัวเองได้แล้ว
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 01-09-2017 21:25:10
ฮืออออออ คนเขียนกลับมาสักที อย่าหายไปนานแบบนี้อีกนะ จะลงแดงตาย :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 03-09-2017 00:19:18
พีพีลูกกกกกกก  :hao5:(ไม่รู้ทำไม แต่คิดว่าเข้าใจอารมณ์ตอนเจ๊ตี้พูดประโยคนี้นะคะ 555)

อ่านจบแล้วแบบว่า เม้นต์ไม่ออก คิดได้แค่ว่า...
"ขอป้าเกาะล้อรถพี่วินตามไปด้วยนะ"  :hao7:

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:

ปล.ปอเอ๊ย!! ถ้าจะหึงโหด?? และดูแลเทคแคร์พีพีขนาดนี้ล่ะก็ มาบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับพีพีป้าจะตีให้ตายเลย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #11 Pain l Tenderness (Update! 31/08/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 07-09-2017 14:01:02
ฺSweet Linemma

สวัสดีค่าา

มีอะไรสนุกๆ มาให้เล่นและอ่านกันระหว่างรอ Sweet Dilemma อัพค่ะ
มันคือออออ แชตไลน์ของหนุ่มๆ ในเรื่อง ตอนที่พวกมัน เอ๊ยยย พวกเค้าเพิ่งเริ่มๆ รู้จักกัน (ปี 1 เทอมแรก ช่วงกลางๆ เทอม) ชื่อเรื่อง "Sweet Linemma" ในแอปพลิเคชัน "จอย" ค่ะ

(https://image.ibb.co/noecwv/21370984_1280533718740016_8931840079572947945_n.jpg)

**สำคัญ**
- เนื้อหาไม่ต่อเนื่องกับเรื่องหลักนะคะ จะอ่านในแชตนี้หรือไม่อ่านก็ได้ค่ะ
- อิมเมจตัวละครเป็นแค่ภาพแทนในมุมมองเราเท่านั้น ขออภัยล่วงหน้าหากกระทบกับจินตนาการของคนอ่านนะคะ

อธิบายเรื่องแอปนิดนึง
แอป "จอย" เป็นแอปอ่านนิยายแชต โหลดฟรี อ่านฟรีค่ะ ถ้าใครยังไม่มีแอปนี้ สามารถเสิร์ชว่า "จอย" และโหลดลงมือถือได้เลยทั้ง iOS และ Android ค่ะ

วิธีใช้หลังติดตั้งแล้ว
1. ลงทะเบียนสมาชิกและล็อกอิน
2. เสิร์ชหาเรื่อง "Sweet Linemma" หรือกดที่ลิงก์นี้ >> http://www.joylada.com/story/59afc38d7d9f82000158edd9
3. เลือกตอนที่ต้องการอ่าน (ตอนนี้มีตอนเดียว)
4. เริ่มอ่านโดยแตะที่ช่องขาวๆ ด้านล่างจอ หรือถ้าอยากให้ข้อความรันไปอัตโนมัติ ให้แตะค้างที่ช่องขาวหนึ่งครั้งค่ะ
5. ถ้าชอบ กดเพิ่มเข้าคลังไว้ตามอ่านได้
6. มีอีกหลายเรื่องในนั้นที่สนุกมากๆ ลองเลือกอ่านดูได้จ้า

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #Talk ชวนอ่านแชต (Update! 07/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 08-09-2017 06:23:45
น้องปอคะ พี่อยากรู้มากว่าเราอยู่ในเกมภาษาเดียวกันมั้ย
รบกวนรีบเฉลยนะคะ ไม่งั้นน้องพีพีโดนแย่งไป พี่ช่วยไม่ได้นะจ้ะ

ขำมุกพีพีมาก น่ารักกกก 555

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #Talk ชวนอ่านแชต (Update! 07/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 18-09-2017 09:37:54
 :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #Talk ชวนอ่านแชต (Update! 07/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 18-09-2017 13:57:30
แหม!! นายปอเขาเทกระจาดอ้อยมาแต่ไหนแต่ไรแบบนี้นี่เอง พีพีผู้น่าสงสารเลยตกหลุมคนกะล่อนตาใสในที่สุด  :katai1:

ชอบแก้ว ผู้ใช้ * อย่างสิ้นเปลือง และชิงชิง ผู้ขัดแก้วได้ไม่มีเบื่อ 555

เป็นการคั่นเวลาที่สนุกและมีอรรถรสไปอีกแบบค่ะ

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #Talk ชวนอ่านแชต (Update! 07/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-09-2017 08:20:21
พีพีเมาน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #Talk ชวนอ่านแชต (Update! 07/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 02-10-2017 13:03:39
#12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก


   ปรนัยยืนเท้าเอวมองร่างโปร่งที่คู้ตัวซุกกับเตียงของเขา กว่าจะลากคนเมาขึ้นมาบนห้องได้ก็แทบหมดแรง นี่ไม่ต้องพูดถึงการไล่ให้มันไปอาบน้ำ เพราะลำพังแค่ทำให้เพื่อนสนิทหยุดเพ้อถึงลำไยก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

   “มึงแม่ง... หลอกกูทามมาย” เสียงอู้อี้ยังงึมงำกับหมอน “ใจร้ายจังโว้ยยย”

   “มันดึกแล้ว กูจะซื้อลำไยที่ไหนให้มึงได้”

   “เนี่ย...เนี่ยๆๆ ชอบทำร้ายจิตใจกู ฮื่อออ”

   เจ้าของห้องส่ายหน้า หมดปัญญาจะจัดการกับคนบนเตียงแล้ว

   “ตกลงจะไม่อาบน้ำใช่มั้ย”

   “ไม่!”

   “งั้นก็เขยิบไป กูจะนอนแล้ว”

   “หึ!”

   “อะไรของมึงเนี่ย พีพี” คนโดนแย่งที่นอนถอนหายใจยาว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเวลา

   ตีหนึ่งครึ่ง...

   ไม่คิดจะเจรจาอีกต่อไป ร่างสูงนั่งลงบนเตียงตัวเอง ก่อนจะใช้สองมือดันอีกร่างให้เข้าไปชิดผนัง ดึงหมอนที่คนเมากอดไว้มาวางหัวเตียง ตบปุๆ แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว

   “ฮื่อออ หมอนกู”

   “หมอนมึงที่ไหน หมอนกูทุกใบอะ ผ้าห่มก็ด้วย” ปอเอื้อมมือไปปิดไฟ แล้วหลับตาลง รู้สึกปวดหัวตึบๆ น่าจะเป็นฤทธิ์จากเหล้าแก้วนั้น “อะไรที่อยู่บนเตียงนี้ของกูหมด”

“ไม่จริง...” คนเมายังเถียงจนเจ้าของห้องแอบขำ หากประโยคต่อมากลับทำให้ปรนัยชะงัก  “ยกเว้นกู”

คนที่ตั้งใจนอนต้องลืมตาขึ้นมาใหม่ แสงไฟด้านนอกสะท้อนเข้ามาทางประตูกระจกที่กั้นระเบียง ทำให้มองเห็นเงาลางๆ ของคนที่นอนหลับตานิ่ง

 “.....”

“ง่วง” แล้วอยู่ๆ เจ้าของคำพูดปริศนาก็พลิกตัวเข้าหาผนัง กระชับผ้าห่มขึ้นคลุมไหล่แล้วก็นิ่งไปเสียอย่างนั้น

ปองุนงงจนต้องถดตัวลุกขึ้นพลางชะโงกมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ เปลือกตาบางปิดสนิทพร้อมลมหายใจสม่ำเสมอ ทำเอาคนมองต้องเกาหัวแกรกๆ แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเขาก็เลยต้องล้มตัวลงนอน แล้วค่อยๆ ดึงผ้าห่มส่วนที่เหลือมาห่มตัวเองบ้าง


ไออุ่นที่เพิ่มเข้ามาท่ามกลางอุณหูมิ 24 องศาของเครื่องปรับอากาศ ทำให้ร่างที่นอนขดตัวอยู่เปลี่ยนเป็นเขยิบเข้าไปชิดใครอีกคนใต้ผ้าห่มนั้น คนที่กำลังเคลิ้มหลับต้องสะดุ้งตื่นอีกรอบ เมื่อรู้สึกถึงอะไรเย็นๆ ข้างกาย หากพอก้มลงไปมอง จึงได้เห็นแก้มขาวๆ ที่วางแปะอยู่บนท่อนแขนตนเอง

   “หนาวเหรอ” เอ่ยอย่างแผ่วเบาเพราะไม่ได้ตั้งใจจะถามคนหลับ ทว่าหัวทุยๆ ที่ซบอยู่ตรงหัวไหล่กลับขยับยุกยิกคล้ายพยายามตอบรับ

ปรนัยมองภาพนั้นอยู่นาน ก่อนจะเผลออมยิ้มกับตัวเอง ร่างหนาพลิกตัวนอนตะแคง แล้วปล่อยให้คนขาดความอบอุ่นได้ขยับกายเข้ามามากขึ้น ลมหายใจที่รดอยู่ตรงอกตัวเองทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงได้ที่พักพิงตามต้องการแล้ว

   “สบายเลยนะ น้ำก็ไม่อาบ แล้วยังมาซุกอีก” งึมงำคล้ายดุ แต่สุดท้ายก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงแก้มเย็นๆ นั่น และไม่ลืมควานหารีโมตแอร์ที่หัวเตียงมาปรับอุณหภูมิ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงและหลับไปจนถึงเช้า


---------------------------------------------


   อาการคอแห้งผากเหมือนกลืนทรายลงไปหลายตัน พร้อมความวิงเวียนที่จู่โจมตั้งแต่ยังไม่ลืมตาตื่น ทำให้ภาคภูมิต้องกัดฟันแน่น อีกทั้งความหนาวจนร่างสั่นสะท้านก็ยิ่งทำให้อาการดังกล่าวคล้ายจะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า

   “ป....” เปลือกตาหนักๆ ค่อยๆ ลืมขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง เขาพยายามเอ่ยเรียก แต่ไม่อาจเปล่งเสียงได้ตามต้องการ

   ฝืนกายลุกขึ้นนั่งได้ก็รีบมองไปยังหัวเตียง ก่อนจะพบวัตถุที่ตามหา รีโมตแอร์แสดงอุณหภูมิ 22 องศา จึงไม่แปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงฝันว่ากำลังลี้ภัยในขั้วโลกเหนือ

   “ปอ...ปอ...” เสียงแหบเรียกเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้ใช้มือเขย่าช่วยปลุกอีกแรง จริงๆ ก็อยากปล่อยให้มันนอนต่อ แต่ถ้าไม่ปลุกตอนนี้ อาจเป็นเขาเองที่ตายอยู่บนเตียง

   “อื้อ...” เจ้าของห้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทันทีที่เห็นใบหน้าซีดเผือดคล้ายจะร้องไห้ของผู้อาศัย ความง่วงงุนก็เหมือนจะสลายไปในพริบตา

   “พีพี?!”

   “ป..ว..ด..หั..ว” อีกฝ่ายตอบออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนตากลมที่แดงก่ำจะเริ่มมีน้ำตาคลอ

   ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะหน้าผากและลำคอของคนตรงข้ามเบาๆ “เจ็บคอด้วยมั้ย”

คนป่วยพยักหน้า

สิ้นคำตอบนั้น เจ้าของห้องก็รีบผลุนผลันลงจากเตียงโดยที่ภาคภูมิก็ไม่ทันตั้งตัว

   “เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวกับยามาให้ นอนไปก่อนนะ” ร่างสูงหยิบกางเกงขาสั้นที่ผึ่งไว้มาสะบัดๆ แล้วสวมอย่างเร่งรีบ

   ภูมิมองการกระทำทั้งหมดคล้ายดูภาพยนตร์จอยักษ์ ตอนนี้สมองเขาพร่าเบลอเกินกว่าจะคิดอะไรได้ทัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกมือหนาดันให้นอนลง พร้อมสะบัดผ้าห่มมาคลุมร่างให้เรียบร้อย

   “เดี๋ยวมา”

   ตั้งใจจะนอนต่ออีกนิด แต่เสียงเตือนจากแอปไลน์ที่ดังถี่ๆ ก็ทำให้ภาคภูมิยอมแพ้ในที่สุด พอเห็นชื่อเพื่อนต่างคณะแล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่น เมื่อคืนคุ้นๆ ว่าวินบอกจะมารับ แต่สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าเขามาโผล่ห้องไอ้ปอได้ยังไง

   Twin (7.40): ฮัลโหลๆ

   Twin (7.42): ตื่นยัง

   Twin (7.42): เป็นไงบ้าง

   Twin (7.43): วันนี้ไปไหนเปล่า

   ตากลมหรี่ลง พยายามอ่านข้อความนั้นทั้งๆ ที่สมองยังไม่พร้อมเปิดรับอะไรเท่าไร

   PPoom (7.46): แฮ้ง

   Twin (7.47): หืมมม เมื่อคืนก็ไม่ได้เมานี่ ยังคุยกับเราอยู่เลย


   เจอประโยคนี้เข้าไป นิ้วเรียวเลยต้องรีบสไลด์หน้าแชตขึ้นไปโดยด่วน ทำไมจำอะไรไม่ได้เลยวะ!!!

   
Twin (21.24) : เรากินข้าวอยู่แถวๆ ร้านพอดี จะกลับก็บอกนะ เดี๋ยวแวะรับ

PPoom (21.30) : ไม่เป็นไรๆ ดึกแน่

Twin (21.30) : นี่ก็จะไปนั่งเล่นหอเพื่อนเหมือนกัน จะกลับก็ไลน์มานะ

PPoom (21.32) : อ่อ เคๆ


   แค่นี้?

   ถ้าหากเป็นช่วงสามทุ่มกว่าๆ เขาก็ยังไม่เมาจริงๆ นั่นแหละ แต่หลังจากนั้น... เชี่ย ภาพตัดเฉยเลย ยิ่งพยายามคิดยิ่งปวดหัว ภูมิจึงทำได้เพียงพิมพ์ขอโทษกับคนในไลน์แล้วขอตัวไปนอนต่อ และคราวนี้วินเหมือนจะอยู่ในเกมภาษาเดียวกันกับเขาเสียที

   Twin (7.55) : ได้ๆ ภูมิพักผ่อนเถอะ


   ร่างบนเตียงผล็อยหลับไปอีกจนกระทั่งเจ้าของห้องกลับมา ปรนัยชะโงกดูคนที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วก็ตัดสินใจให้เพื่อนนอนต่ออีกนิด ส่วนอาหารและยาที่หิ้วกลับมาก็นำไปวางไว้หลังตู้เย็นก่อน กะว่าสักเก้าโมงค่อยปลุกไอ้ขี้เมาอีกครั้ง ส่วนตัวเองตื่นแล้วตื่นเลย แม้จะยังหนักๆ หัว แต่นอนต่อยังไงก็คงไม่หลับ

   ปอคว้าผ้าเช็ดตัวกับชุดใหม่เข้าไปในห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวไม่นานนักก็ออกมาด้วยความรู้สึกที่สดชื่นขึ้น ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศยังหลงเหลืออยู่จางๆ แต่เขากลับชอบลมธรรมชาติที่มักจะพัดเข้าระเบียงห้องในยามเช้ามากกว่า ร่างสูงจึงเดินไปเปิดประตูระเบียงออกกว้าง และยืนมองอะไรเรื่อยเปื่อยขณะใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมตัวเองไปมา

   ลมอุ่นๆ จากด้านนอกลอยเข้ามาสัมผัสคนที่กำลังหลับใหล ความหนาวจางหายไปแล้ว เหลือเพียงอากาศสบายๆ กับกลิ่นแดดเช้าหอมกรุ่นที่ปลุกภาคภูมิให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ความทรมานของร่างกายทุเลาลงไปพอสมควร แต่เขายังรู้สึกคล้ายล่องลอยอยู่ในความฝัน ฝันที่มีร่างสูงโปร่งของปรนัยภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ซึ่งกำลังส่งยิ้มละมุนให้เขาอยู่ในตอนนี้

   “พีพี”

   คนที่ระเบียงเรียกชื่อเจ้าของตากลมๆ ที่นอนมองเขาคล้ายยังไม่ได้สติ ท่าทางกึ่งตื่นกึ่งละเมอนั้นทำให้ปอต้องเผลอยิ้มออกมา ...เห็นแล้วนึกถึงลูกแมวใต้หอ ที่มันชอบกลิ้งตัวพันไปกับผ้าเน่าผืนประจำของมัน

   “เป็นไงมั่ง” ขายาวก้าวเข้ามาในห้องก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงเตียงนอน พลางก้มหน้าลงสำรวจคนป่วย หลังแนบมือลงกับหน้าผากแล้วพบว่าอุณหูมิยังสูงอยู่ จึงเรียกให้ภาคภูมิลุกขึ้นนั่งดีๆ ก่อนตนเองจะผละไปเวฟอาหารเช้า แล้วนำมาตั้งบนโต๊ะเล็กหน้าทีวี พร้อมปูเบาะนั่งเรียบร้อย ทว่าคนบนเตียงก็ยังไม่ยอมขยับ แถมตาแป๋วๆ ยังมองตามเขาไปมาอีก

   “แหน่ะ นี่ดื้อแล้ว ไม่ใช่ป่วย” เจ้าของห้องส่ายหน้า แล้วเรียกคนบนเตียงอีกครั้ง “มาเร็ว กินข้าวแล้วจะได้กินยา”

   คนป่วยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเลื้อยลงจากเตียง พร้อมกองผ้าห่มที่ไถลตามลงมาทับร่างนั้นจมมิด คราวนี้ปรนัยหัวเราะออกมาเสียงดัง หากก็ยอมเดินไปช่วยคนที่กำลังหาทางออกจากกองผ้าแต่โดยดี

   “กินโจ๊กเซเว่นไปก่อน ร้านปิดหมดเลยอะ”

ภูมิพยักหน้ารับรู้แล้วก้มหน้ากินโจ๊กไปเงียบๆ อาหารร้อนๆ ทำให้ลำคอที่เจ็บระบมรู้สึกดีขึ้นมาก แต่รสชาติเฝื่อนที่น่าจะเกิดจากต่อมรับรสผิดปกติก็ทำให้เขากินอะไรไม่ได้มากนัก

“กินอีกนิดดิ” คนข้างๆ สั่ง เมื่อเห็นมือขาววางช้อนลงหลังจากกินไปไม่กี่คำ

“ไม่ไหวแล้ว...” เสียงเครือตอบอย่างน่าสงสาร

พอเห็นหน้าหงอยๆ นั่นปอก็ยอมแพ้ เปลี่ยนเป็นแกะยาให้แทน

“อันนี้ยาแก้ปวดกับลดไข้ แต่ไม่มีแก้อักเสบนะ เภสัชบอกว่าถ้าเจ็บคอก็ให้กินน้ำอุ่นเอา”

คนป่วยส่งเสียงอือออแล้วกินยาจนครบ รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ก่อนจะก้มมองตัวเองแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้

“กูไม่ได้อาบน้ำ?”

“เออ!!” เสียงทุ้มตอบคล้ายจะดุ แต่ปลายเสียงกลับหัวเราะ “ให้อาบน้ำก็ไม่อาบ งอแงจะกินแต่ลำไย”

ภาคภูมิฟังเรื่องเล่าน้นแล้วก็รู้สึกหน้าร้อนไปหมด ...มันต้องไม่ใช่แค่นี้แน่ๆ ...ฉิบหายแน่ๆ!!

“แล้ว...แล้วกูทำอะไรอีก...มะ...มั้ย”

คนถูกถามเลิกคิ้วสูง “จะเอาเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่ด่าว่ากูใจร้าย เรื่องที่พยายามแย่งหมอนกู” คนเล่าเงียบไปนิดหนึ่ง “หรือเรื่องที่มานอนซุกกูทั้งๆ ที่น้ำไม่อาบ”

“ก็มันหนาว!!!” คนหน้าแดงแป๊ดเถียงทันควัน ก่อนจะไอค่อกแค่ก “เปิดแอร์ทำบ้าอะไรตั้ง 22 องศา”

“มึงฝันแล้ว กูเบาแอร์ให้มึงด้วย 26 องศาได้มั้ง” พูดจบร่างสูงๆ ก็เดินไปคว้ารีโมตแอร์มายืนยันทันที “นี่ไง ยี่สิบ...เชี่ย!! ยีบสองจริงด้วย”

คราวนี้คนป่วยทำหน้าหงิก ส่วนเจ้าของห้องได้แต่ยิ้มแหยๆ ทรุดตัวลงนั่งข้างเพื่อน แล้วเอื้อมมือมาโอบเบาๆ “กูตั้งใจปรับเป็น 26 องศาจริงๆ นะเว้ย แต่มันมืดอะ ขอโทษนะ..น้า”

ภาคภูมิไม่ได้พูดอะไรอีก เอาจริงๆ แค่นึกว่าเพื่อนสนิทต้องมาวุ่นวายกับการดูแลตัวเองยังไงบ้าง เขาก็ไม่มีหน้าไปต่อว่าอะไรแล้ว

“ไม่เป็นไร...” เสียงแหบเอ่ย “ขอยืมผ้าเช็ดตัวหน่อยดิ อยากอาบน้ำ”

“เช็ดตัวไปก่อนมั้ย เดี๋ยวไข้ขึ้นอีกหรอก” เจ้าของห้องพูดไปตามที่รู้สึก หมายถึง ‘รู้สึก’ จริงๆ เพราะฝ่ามือของเขายังสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวจากต้นคอของอีกฝ่ายอยู่เลย

ภาคภูมิตัวแข็งทื่อ สัมผัสแผ่วเบาที่คอยวัดอุณหูมิอยู่นั้นกำลังทำให้เขาอาการหนักกว่าเดิม ยิ่งสบกับดวงตาคมที่ฉายแววห่วงใยก็คล้ายฤทธิ์ไข้จะกำเริบอีกรอบ

“เนี่ย...หน้าแดงไปหมด” คนที่ใช้มือตนเองเป็นปรอทวัดไข้วางหลังมือลงที่จุดสุดท้ายคือแก้มนิ่ม ที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงอย่างน่าเป็นห่วง

“ปอ...” ภูมิเรียกชื่อคนที่กำลังบ่นเขาไม่หยุด “ปอ”

“หืม”

“มึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงมั้ย” 

ใบหน้าคมฉายแววสงสัยในคำถามนั้น “เป็นดิ”

“ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน...” คนพูดผ่อนลมหายใจหนักๆ ขณะมองสบตากับอีกฝ่าย

ปรนัยเลิกคิ้วก่อนถามด้วยความงุนงง “ทำไมเหรอ”

“...เปล่า” ภาคภูมิเก็บกลืนคำพูดนั้นไว้ในใจ


...ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน ก็ช่วยทำกับกูแบบที่เพื่อนควรทำให้กันได้มั้ย...


“ไข้ขึ้นแล้วเพ้อเหรอพีพี” ปากก็บ่นคนป่วย แต่มือกลับเอื้อมไปซับเหงื่อบริเวณไรผมให้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำโดยไม่ตั้งใจกำลังทำให้ความหวังของใครงอกงามขึ้นบ้าง


...ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน ก็ช่วยหยุดทำเหมือนกูพิเศษกว่าใคร...


“ตกลงเช็ดตัวแล้วกันนะ เหงื่อเริ่มออกละ”

แม้คนป่วยจะยังไม่ได้ตกลง แต่บุรุษพยาบาลส่วนตัวก็ลุกขึ้นแล้วเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปเตรียมอุปกรณ์และเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

“รอเวฟน้ำร้อนแป๊บ ใช้น้ำเย็นเดี๋ยวไข้กลับ” 


...ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน ก็ช่วยหยุดความใจดีแบบที่มึงก็ไม่ได้ตั้งใจ...


“มึงอยากจิบน้ำอุ่นด้วยปะ จะได้เวฟเตรียมไว้ เดี๋ยวใส่เกลือด้วยนิดนึง แม่กูชอบทำให้กินเวลาเจ็บคอ” เจ้าของห้องหันซ้ายหันขวาอยู่ตรงกระจาดเครื่องปรุงข้างไมโครเวฟ ปกติเขาไม่ใช่คนทำอาหาร หรูสุดก็ต้มมาม่ากิน แต่คุ้นๆ ว่าเคยซื้อเกลือมาติดไว้อยู่เหมือนกัน


...ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน ก็ช่วยให้ความร่วมมือกับการพยายามห้ามใจของกูหน่อย...


“พีพี...?” เอ่ยเรียกคนที่นั่งเหม่อก่อนจะย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง พอคนป่วยพยักหน้าตอบรับ ปรนัยก็ฉายยิ้มกว้างคล้ายสนุกเหลือเกินที่ได้ทำนู่นทำนี่ให้อีกคน ในขณะที่ภาคภูมิได้แต่ลอบถอนหายใจยาวๆ อาการปวดแปลบตรงหัวใจคงไม่ใช่เพราะฤทธิ์ไข้ หากมาจากการกระทำอันเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ไม่มีความหมายใดแฝงอยู่


...เพราะทุกอย่างที่มึงทำผ่านคำว่าเพื่อน มันทำให้กูคิดกับมึงแค่เพื่อนไม่ได้เลย...


.
.
.


   หลังจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสร็จ ภาคภูมิก็กลับมานอนอีกรอบตามคำสั่งของเจ้าของห้อง ถึงจะบอกว่าไม่ง่วงยังไง แต่ก็ฝืนสังขารตัวเองไปไม่ได้ สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือปรนัยกำลังหอบตะกร้าผ้าลงไปปั่นด้านล่าง เสียงกำชับดังแว่วๆ ว่าให้ห่มผ้าด้วย ก่อนประตูจะปิดลง แล้วห้วงนิทรายามบ่ายก็มาเยือนอย่างรวดเร็ว

   เจ้าของห้องกลับขึ้นมาพร้อมข้าวมื้อที่สองของวัน เมื่อเห็นคนที่ยืนยันว่าไม่ง่วงกลับหลับสนิทแล้วก็ต้องหัวเราะกับตัวเอง ...อยู่กับคนป่วยมันก็บันเทิงดีเหมือนกันว่ะ

   คิดจะเปิดเกมเล่นแต่ก็เกรงใจคนหลับ สุดท้ายปอเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ มองหน้าคนบนเตียงไปเรื่อยเปื่อย ช่วงที่ผ่านมาพีพีมันน่าจะอ่านหนังสือหนัก เพราะขอบตาดูช้ำไม่หาย แต่นอกเหนือจากนั้นผิวเนียนละเอียดก็ไม่มีตำหนิใดๆ ให้เห็นอีก น่าพิศวงจนอยากจับแก้มกลมๆ นั่นมาส่องดูใกล้ๆ สักที

   เหมือนคนหลับจะรู้ว่าโดนนินทาในใจ ใบหน้าที่ปรนัยจ้องมองจึงขมวดคิ้วมุ่นแบบที่เจ้าตัวชอบทำในยามเผลอ เจ้าของห้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพาตัวเองไปนอนลงข้างๆ คนป่วย โดยไม่กลัวว่าจะติดไข้ไปอีกคน

   เหตุการณ์เดจาวูเหมือนเมื่อคืนเกิดขึ้นอีกรอบ ไม่ทันที่ร่างสูงจะจัดตำแหน่งตัวเองให้เรียบร้อย คนหลับก็กลิ้งตัวมาซุกราวกับรออยู่ คราวนี้คนโดนซุกไม่ได้เมา ไม่ได้ง่วง เรียกว่ามีสติเต็มร้อย และมีเวลาพิจารณาทุกอย่างอย่างละเอียด โดยเฉพาะพื้นที่ใต้อกด้านซ้ายที่เต้นตึกๆ กับวงแขนของตนเองที่วาดขึ้นโอบคนข้างกายโดยอัตโนมัติ

   ‘มึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงมั้ย’

   อยู่ๆ คำถามเมื่อตอนสายจากภาคภูมิก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สิ่งที่เขาได้ยินมันต่างออกไป ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามง่ายๆ ดูเหมือนจะซับซ้อนกว่านั้นมากนัก ...เป็นเพื่อน?

   ก็ถ้าความเป็นเพื่อน คือการอยากวิดีโอคอลหามันก่อนนอนทุกคืน

   ถ้าความเป็นเพื่อน คือการชอบมองหน้ามันตอนหลับ

   ถ้าความเป็นเพื่อน คือความหงุดหงิดทุกๆ คนที่ทำท่าจะสนใจมัน

   ถ้าความเป็นเพื่อน คือการนอนกอดมันได้โดยไม่รู้สึกแปลก


ถ้าเป็นอย่างนั้น... เขาก็คงคิดว่ามันเป็นเพื่อนจริงๆ


   แต่เพื่อนกันเค้าเป็นกันแบบนี้เหรอวะไอ้ปอ!!!


------------------------------

ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #Talk ชวนอ่านแชต (Update! 07/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 02-10-2017 13:14:33
ภาคภูมิสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที ในตอนที่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มฟุ้งกระจายในอากาศ ไม้แขวนที่เรียงเป็นระเบียบอยู่บนราวด้านนอกบอกให้รู้ว่าเขาคงหลับไปอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง สะลึมสะลือหยิบมือถือจะมาดูนาฬิกา กลับพบข้อความของคนที่หายไปจากห้องแทน

   ‘มีข้าวต้มอยู่ในตู้เย็น มึงอุ่นกินด้วยนะ’

   ‘โทษทีกูไปส่งมึงไม่ได้ ยังไงเรียกวินหน้าหอไปนะ’

   ‘ถึงห้องแล้วไลน์บอกด้วย’

   ‘ลืมๆ ล็อกห้องให้ด้วยนะ แต๊งกิ้ว’


   คำถามมากมายจู่โจมเขาทันทีที่อ่านไลน์จบ ปอไปไหน? แล้วอยู่ๆ ก็ทิ้งกันไปเนี่ยนะ? คิดจะส่งข้อความกลับไปถาม แต่ถ้าลองได้ชี้แจงรายละเอียดมายาวเหยียดขนาดนี้แล้ว เจ้าตัวคงไม่คิดจะตอบอะไรเขาอีกแน่ๆ

   ลุกไปล้างหน้าล้างตาอีกครั้ง และเพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในห้องน้ำของเพื่อนสนิท สบู่ก้อนถูกแทนที่ด้วยสบู่เหลว และข้างขวดยาสระผมก็มีครีมนวดที่เขาเป็นคนเลือกวางอยู่คู่กัน ถึงแม้ตอนนั้นจะให้มันซื้อ แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะใช้ด้วย

เผลอยิ้มกับความทรงจำที่แว่บขึ้นมา หากแล้วเรียวปากบางก็ค่อยๆ คลายเป็นเหยียดตรง เมื่อเหตุการณ์ต่อจากนั้นลอยฟุ้งขึ้นมาให้ปวดใจอีกรอบ และดูเหมือนตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน เพราะเขาเริ่มไม่แน่ใจ ว่าความห่วงใยที่ได้รับในวันนี้ คือความจริงที่ไม่มีทางเป็นเหมือนฝัน หรือแท้จริงแล้วเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงกันแน่


เสียงเตือนจากไมโครเวฟเรียกสติของร่างโปร่งกลับมา ภาคภูมิอุ่นข้าวต้มกินตามที่เจ้าของห้องสั่ง แต่ไม่อาจรับรสใดๆ ได้เลย ซึ่งไม่ใช่เพราะอาการป่วย แต่เป็นความปวดแปลบในใจที่ครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้น หากสุดท้ายก็ฝืนใจกินจนหมด จัดการล้างจานและคว่ำไว้ที่เดิม หันมองความเรียบร้อยทุกอย่างอีกครั้งก่อนปิดประตูและล็อกห้อง จากนั้นก็พาตัวเองไปเรียกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่ง

   ครบถ้วนทุกอย่างตามคำสั่ง

   อ้อ...

   ‘ถึงห้องแล้วนะ’

   นิ้วเรียวพิมพ์ข้อความส่งไปเป็นลำดับสุดท้าย รอจนหลายนาทีผ่านไปอีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบกลับ แต่เดาว่าน่าจะได้อ่านแล้วจากหน้าจอ เพราะมันไม่ได้ปิดเตือนแชตของเขา

   จริงๆ ภาคภูมิตั้งใจกลับมาเก็บกวาดห้อง แต่ความวูบโหวงภายในก็กดเขาไว้ให้จมอยู่บนเตียงนอนอีกรอบของวัน หากรอบนี้กลับเต็มไปด้วยความเดียวดายและเย็นเยียบสุดหัวใจ


.
.
.


   ปรนัยเห็นข้อความของภาคภูมิเด้งขึ้นหน้าจอ หากตัดสินใจไม่กดเข้าไปตอบ เพราะสิ่งที่วาบเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดนั้นสร้างความตื่นตระหนกให้เขาอย่างมาก อาการกระอักกระอ่วนใจจนตนเองก็ยากที่จะยอมรับ ทำให้เขาไม่อาจสู้หน้าคนที่นอนอยู่ในห้องได้ คนที่เขาพูดได้เต็มปากว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ คนที่เป็นชื่ออ้างอิงตลอดสามปี เมื่อเขาต้องกรอกเอกสารในช่อง ‘บุคคลที่สามารถติดต่อได้’ ในกรณีที่เขาหนีหนี้หรือหายสาบสูญขึ้นมา โดยไม่รู้เลยว่า วันหนึ่งเขาต้องกลับมาทบทวนคำว่า ‘เพื่อน’ ที่ตนเองเคยเข้าใจมาตลอดอีกครั้ง

   “มึงจะนั่งแอคอาร์ตอีกนานมะ?”

ปริศนาฟ้าแลบที่ทำลายทุกโมเมนต์ในหัว ทำให้ปรนัยต้องหันไปส่งสายตาอาฆาตกับไอ้คำพูด ชิงชิงยักไหล่ทำหน้าตายียวนไม่แพ้กันตอบกลับไป พร้อมผายมือเชิญมันลุกจากเก้าอี้ของเขา ...คนบ้าอะไรบุกมาถึงห้องคนอื่นแล้วก็ไม่พูดไม่จา เอาแต่ทำหน้าตึงเหมือนฉีดโบท็อกซ์โอเวอร์โดส

คนถูกไล่ที่ลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือของไอ้เจ้าของมายังเตียงของมันแทน ทว่าอีกร่างที่นอนกลิ้งกระดิกเท้าดูการ์ตูนดิสนีย์กลับไม่ยอมขยับเขยื้อนแบ่งปันพื้นที่ให้กับเขาแม้แต่น้อย

“สัสแก้ว! มานอนอะไรห้องคนอื่น บ้านช่องไม่กลับ” เสียงทุ้มพาลพาโล ขณะพยายามใช้เท้าเขี่ยๆ คนบนเตียงให้มันเขยิบไปเพื่อที่เขาจะทิ้งตัวนั่งด้วย

คนถูกรบกวนทำท่าหงุดหงิดแต่ก็ยอมกระถดตัวไปทางหัวเตียง ให้คนมาใหม่ได้ใช้พื้นที่ปลายเตียงฝั่งที่เหลือ “บอกแล้วไงว่ารูมเมตยังไม่กลับ ไม่มีกุญแจ”

ผู้มาใหม่ถอนหายใจแบบไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป็นทิ้งตัวนอนเหยียดเต็มเตียง แต่เพราะห้องไอ้ชิงเป็นเตียงเล็กสองเตียง การที่ร่างสูงทิ้งตัวนอนก็เท่ากับไม่มีที่ว่างเหลืออยู่แล้ว

“โอ๊ยยยย เชี่ยปอ มาแย่งที่กูทำไมเนี่ย ไปเตียงนู้นๆๆ” แก้วโวยวายขณะพาร่างตัวเองลุกขึ้น

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวรูมเมตกูด่า มึงห้ามไปนอนเตียงมันนะ” ชิงรีบเอ่ยปากห้าม

“แล้วไอ้แก้วนอนไหนอะเมื่อคืน” ปรนัยทำตาโต “หรือมึงนอนเบียดกันบนเตียงนี้!!”

“คิดอกุศลฉิบหาย” เจ้าของห้องมองเหล่ “กูมีที่นอนปิกนิก ไอ้แก้วก็ปูนอนพื้นไง”

“ปวดหลังเลย ชิงแม่ง” ผู้อาศัยบ่นอุบ

“งั้นแก้วมึงก็ปูที่นอนนอนข้างล่างดิ เนี่ย ที่เต็ม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังกางแขนกางขาให้ดูอีกด้วย

“ไม่!!” คนที่ยืนเท้าเอวประกาศก้อง “กูปวดหลังโว้ยยย กูจะนอนเตียง!!”

พูดจบก็ทิ้งตัวลงบนเตียงเจ้าปัญหาซึ่งมีอีกคนจับจองอยู่ แต่แก้วถือคติว่าคนมาก่อนต้องได้ก่อน ร่างโปร่งนั่นเลยพยายามยัดตัวเองลงบนที่นอนให้ได้

ด้วยความพยายามของไอ้แก้ว ปรนัยจึงต้องขยับตัวไปจนชิดเตียงด้านใน แต่ถึงอย่างนั้นร่างของเพื่อนก็ยังนอนซ้อนเกยจนแขนขาของเขาไม่มีที่จะวาง แม้เขาจะเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงแล้ว แต่หัวของไอ้ห่าแก้วก็ยังทับไหล่และอกเขาอยู่ดี

“เชี่ยแก้วววว!! มึงไม่คิดว่ากูจะรังเกียจมึงบ้างเหรอ!!” สุดท้ายปรนัยก็ยอมแพ้ จำต้องลุกจากเตียงแล้วปล่อยให้เพื่อนครอบครองเพียงคนเดียว

“อะไรกันวะ พวกมึงเนี่ย” เจ้าของห้องหันมาดุตัวป่วนที่เสียงดังจนเขาเสียสมาธิ...เล่นเกม

“เกมแพ้แล้วพานหงุดหงิดเพื่อนเหรอชิง” คนที่ได้นอนเตียงตามเดิมเอ่ยแซวอย่างยียวน

“พวกมึงเสียงดังจนกูฟังทีมกูไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย” เกมเมอร์โวยวาย กระชากหูฟังออก แล้วหมุนเก้าอี้เข้าหาเพื่อน “มึงมีปัญหาอะไรกัน ว่ามา”

ปอกับแก้วมองหน้ากันแล้วส่งสายตาพิฆาต

“ก็ไอ้ปอมาแย่งเตียงกู กูไม่ชอบ!!”

“ก็ไอ้แก้วมานอนเบียดกู กูไม่ชอบ!!”

สองประโยคจากสองคนทำให้เจ้าของห้องต้องถอนหายใจ ก่อนจะหันไปเคลียร์กับไอ้คนที่อยู่ๆ ก็โผล่มา

“ไอ้ปอ มึงมาไมเนี่ย”

คนถูกถามทำหน้าตาตื่น “ก็อยากมาหามึงบ้างไม่ได้เหรอสัสชิง”

“แหมมมม สรรพนามเอ็นดูกูขนาดนั้น ให้เชื่อเหรอว่าอยากมาหาจริงๆ”

“เออน่ะ กูอยากมาก็คืออยากมา”

“งั้นมึงก็ดึงที่นอนปิกนิกมาปูนู่น ไม่ต้องไปแย่งไอ้แก้วมัน” ชิงเป็นคนตัดสินในที่สุด

“ไม่เอา ไม่ชอบนอนพื้น” ผู้มาใหม่ปฏิเสธ

“เอ้า!!” เจ้าของห้องเริ่มหัวเสียอีกรอบ “งั้นมึงก็นอนเบียดกันบนเตียงนั่นแหละ”

“ไม่!! ทำไมกูต้องให้ผู้ชายอย่างไอ้ห่าแก้วมาซุกซบกูด้วย!!”

“อ้าวไอ้ปอ” คนบนเตียงที่เงียบมานานผุดลุกขึ้นนั่ง “ผู้ชายอย่างกูมันทำไม”

 “ขยะแขยงโว้ยยย ถ้าเป็นพีพีก็ว่าไป--" ปลายเสียงชะงัก “เออๆๆ กูนอนบนพื้นก็ได้วะ แม่ง!!”

โวยวายจบก็ลากที่นอนที่ว่าออกมาจากใต้เตียง จัดการโยนหมอนข้างลงไปแล้วจึงทิ้งตัวนอนแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก

   เสียงแหลมเล็กจากกทร์ตูนเรื่องดังทำเอาคนนอนพื้นปวดหัวจี๊ดๆ ปรนัยจึงต้องหยิบโทรศัพท์ออกมาเสียบหูฟังแล้วเปิดเพลงเพื่อกลบแอมเบียนต์รอบข้างให้หมด เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ ความคิดเรื่องเดิมก็กลับเข้ามาวนเวียนอีกครั้ง แล้วอยู่ๆ บทเรียนจากคลาส Critical Thinking ที่เรียนไปเมื่อต้นเทอมก็ปรากฏขึ้นในใจ

   ถ้านี่เป็น False Dilemma... ทางแยกสองทางที่เขากำลังเผชิญ
คือการเลือกยอมรับว่าเขาตกหลุมรักคนที่ “รักไม่ได้”
กับอีกทางคือปฏิเสธหัวใจ และใช้ชีวิตต่อไปราวกับ “ไม่ได้รัก”

   หรือมันจะมีเส้นทางไหน ที่เป็นทางออกสุดท้ายที่ซ่อนอยู่กันนะ?





TBC.



สวัสดีค่า

มาพบกันอีกครั้งกับฟิครายเดือ-- /เดี๋ยวๆๆๆ
ตอนนี้อยากให้ทุกคนได้อ่านมากค่ะ ทุกอย่างทั้งหมดทั้งมวลในสิบตอนที่ผ่านมา
ส่งผลบุญให้พระเอกของเรื่องมันรู้ตัวแล้วค่ะ
รอคอยมานานเหลือเกินนนนน

มาร่วมส่งใจให้ปอกับพีพีกันนะคะ  :-[

ปล. ฟิคแชต Sweet Linemma ก็ยังมีลงในแอป จอย อย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้มี 5 ตอนแล้ว อย่าลืมไปจอยกัน
กับบทสนทนาบ้าๆ บอๆ ของแก๊ง F4 สมัยปีหนึ่งค่ะ
/ฝากร้าน http://www.joylada.com/story/59afc38d7d9f82000158edd9

เจอกันตอนหน้าค่ะ บ๊ายบาย




หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 02-10-2017 14:06:35
ไม่ใช่รายเดือน นี่รายสองเดือนต่างหาก ฟหกด่าสววสา่ดหฟ  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 02-10-2017 14:18:19
ขอ quote หน่อยยย
รู้สึกว่าชื่อ user คุณก้อนขี้เกียจ เข้ากับเนื้อหาและนิสัยคนเขียนมากเลยค่ะ 555555555

จะสู้และมาให้เร็วน้าาา
ฮือๆๆ เค้าขอโทษ T^T

ไม่ใช่รายเดือน นี่รายสองเดือนต่างหาก ฟหกด่าสววสา่ดหฟ  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 02-10-2017 14:47:29
เป็นนิยายที่อ่านตอนใหม่ทีต้องกลับไปอ่านตอนก่อนหน้าก่อนทุกทีเลยค่ะ ลืม555555555555555
เหมือนปอจะรู้ใจตัวเองแล้วซักที? หรือว่ายังอีก ไม่งั้นจะเชียร์วินละนะคะ หึหึหึ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-10-2017 16:00:40
รู้ตัว รู้ใจซะทีสิปอ  o18

กับเพื่อนคนอื่นนอนกอดกันขยะแขยง แต่เป็นพีพีได้ ยังไงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 02-10-2017 16:52:25
แหนะ เริ่มรู้สึกตัวแล้วนะสิ

พีพี นำไปไกลละ

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 02-10-2017 20:00:40
รู้ใจตัวเองแล้วต้องหนีไปตั้งสติเลยหรออออ 5555
ปอคิดดีๆนะ มีไรคุยกันๆ พีพีก็คิดมากละเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-10-2017 20:57:17
เห พึ่งจะรู้ตัวเหรอปอ
ถึงยังไงก็สงสารพีพีอยู่ดี ก็นายปอเล่นหนีหน้าอย่างนี้
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-10-2017 23:11:51
แหม ถ้าเป็นพีพี แล้วจะทำไม ไม่บอกเพื่อนให้ได้รู้ไปเลยละ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-10-2017 13:09:42
 :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 08-10-2017 00:25:35
อิปอ !!!!!!
นี่ตรรกะอะไรของเอ็งเนี่ยย !!!!!! :katai1:
ตอนยังไม่รู้ตัวบริการพีพีเสียเกินเหตุ พอรู้สึกตัวขึ้นมาทิ้งพีพีเฉยเลย  :m31:

ยิ่งอ่านยิ่งสงสารพีพี คนป่วยโดนทิ้งนี่มันรู้สึกโดดเดี่ยวจริง ๆ นะ

อิปอกลับมาปรนนิบัติพีพีเดี๋ยวนี้เลย

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-10-2017 10:16:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-10-2017 23:56:31
ทำดีๆ สิปอ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: changemoo ที่ 13-10-2017 02:26:27
 คนแต่งยังเรียนอยู่ไหมคะ พอดีอ้างอิงกับสถานที่จริงได้ชัดมาก เราก็เรียนที่ีนี่เหมือนกันค่ะ ฮ่า สงสัยเวลาผ่านหน้าภาคปรัชญาต้องมองหาพีพีแน่ๆ อินนนน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-10-2017 00:21:46
อินมากค่ะ มาอ่านสองตอนแรกแล้วหายไปนาน กลับมาแล้วนะคะ มาพร้อมกับความเข้าใจในวิชาปรัชญา อยากให้สอนเราจัง เกือบ F วิชานี้ 555555555 ชอบตอนเล่นเกมภาษามากค่ะ หลังจากอ่านตอนนี้ก็มาสังเกตหมดเลยว่ามีเกมภาษาเดียวกันระหว่างใครกับใครบ้าง น้องพีพีน่ารักมากกกกก ส่วนปอรู้ตัวสักที แล้วหนีมาแบบนี้อีกน่าตีเชียว เขียนดีมากๆเลยค่ะ จากตอนแรกที่คิดว่าคงยากเกินกว่าเราจะอ่านเข้าใจ พอลองอ่านไปเรื่อยๆไม่ยากเลย เข้าใจง่ายมาก คนเขียนอธิบายได้ดีมากเลยค่ะ ดีใจที่ได้อ่าน น้ำตาจะไหล เป็นกำลังใจให้นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 15-10-2017 06:56:07
ปออย่าหลบหน้าพีพีน้าาาาา
ชอบก็บอกชอบ คิดไรเยอะแยะ!
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 15-10-2017 12:31:57
มาปักป้ายจองก่อน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 15-10-2017 14:46:39
เขเามาส่องง  :mew2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 15-10-2017 17:44:54
สงสารพีพีอ่ะ ป่วยแล้วยังโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวอีก ถ้าปอยังไม่รู้ใจตัวเองนะ เราจะเชียร์วินแล้ววว o18 o18
ระวังนะปอถ้าวินตัดใจเมื่อไหร่ สุดท้ายคนที่เจ็บก็คือนายที่เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อมันสายไปแล้ว บางทีก็รอสมน้ำหน้า แต่ถ้านายรู้ตัวไวเราจะกลับเรือเก่าตอนนี้เยียบเรือสองลำอยู่พร้อมกระโดดทุกเมื่อ555555
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 16-10-2017 05:16:48
 :hao6:
คนแต่งยังเรียนอยู่ไหมคะ พอดีอ้างอิงกับสถานที่จริงได้ชัดมาก เราก็เรียนที่ีนี่เหมือนกันค่ะ ฮ่า สงสัยเวลาผ่านหน้าภาคปรัชญาต้องมองหาพีพีแน่ๆ อินนนน

คนเขียนเรียนจบมา 6-7 ปีแล้วค่าา
เขียนจากความทรงจำเดิม 555555
ฝากมองหาพีพีหน้าภาคให้ด้วยนะคะ
อยากเจอเหมือนกันนนน

ปล. ตอนนี้เราอยู่ตปท. บวกกับช่วงการไว้อาลัย เลยเงียบๆ ไป
ยังไงต้นเดือนหน้าจะอัพตามปกติค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์เลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: idee ที่ 16-10-2017 19:36:51
ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ นะคะ เพิ่งได้มีโอกาสมาอ่านรวดเดียวเมื่อวานนี้เอง
อ่านแล้วยิ้ม อ่านแล้วมีความสุข เพลินกับรายละเอียดและชีวิตของเด็กปรัชญาที่เราไม่เคยรู้จัก ขอบคุณมากๆนะคะ
พีพีลูกกก ปอลู๊กกก โอ้ย เอ็นดูทุกคนเลยค่ะ ชอบฉากวงเหล้ามากมากก (เล่นกันแบบนี้จริงมั้ยคะ ดูมีสาระมากๆ 555) 

เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่าาา
/เราจะนั่งรอตอนต่อปายยย

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 16-10-2017 21:11:22
เมื่อไหร่แกจะรู้ใจตัวเองซักทีเนี่ยยย
เพื่อนกัรเค้าไม่ทำกันแบบเน้้้้ :ling1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 16-10-2017 21:27:12
โอยยย เพิ่งเจอเรื่องนี้
คือดี ดี๊ ดียยยยยยยย์

แต่แบ่บ เป็นนิยายรายเดือนเหรอเธ๊ออออ แล้วชั้นจะรอไหวม๊ายยยเนี่ยยยยยย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 16-10-2017 21:59:57
อ่านรวดเดียวจนมาถึงล่าสุด สนุก ชวนติดตามค่า ปอ กับ พีพี เริ่มจะเข้าใจภาษาเดียวกันแล้วววว
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 17-10-2017 12:34:44
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ อ่านรวดเดียวเลย สนุกมาก ๆ

ในที่สุดปอก็จะรู้ใจตัวเอง ตื้นตันซับน้ำตาแผล๊บ

แกรีบคิดไว ๆ นะปอ พีพี มันน่ารักนะ คนรอจองเพียบ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 22-10-2017 22:33:57
ตามมาช่วงนี้พอดีเลยย
รู้ตัวแต่จะรับตัวเองได้มั้ยอะปอออออ
จะไม่มำร้ายน้องพีพีใช่มั้ย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 28-10-2017 00:54:29
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากๆ ไปตามในจอยมาด้วย ชอบมากเลยค่ะ พระเอกเราออกตัวแรงมาก ฮาา
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: pimBNY ที่ 01-11-2017 17:12:33
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-11-2017 17:41:40
คิดถึงพีพี  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 02-11-2017 19:41:47
รอ ฉันรอเธออยู่  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: iiamerror_ ที่ 08-11-2017 13:58:52
คิดถึงน้องพีพี มานั่งรอทุกวันนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 10-12-2017 23:59:43
เอาใจช่วยทั้งคู่ ทุกคนต้องผ่านความฉับฉนไปให้ได้ ภูมิชัดเจนแล้วแต่ปอยัง
อาการไปไกลมากแล้วปอ ใจเย็นนะ ค่อยๆ คิด ไม่อยากให้มีใครเสียใจเลย

ขอบคุณค่ะ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 11-12-2017 01:46:32
มาลงชื่อรอ ฮึบบบ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 31-12-2017 22:14:35
ตอนหน้าไม่มาถึงสักที o22 o22 o22



รอนะคะ สนุกจริง
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 10-01-2018 17:52:24
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-01-2018 18:48:33
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๑

ไรท์หาย......หายไปไม่มีวี่แวว.....♬。 ♫♫~♬ ♫~♬ ♂♪♩
คนอ่านก็รอ......ก็รอ.....อีกต่อไป.....♫~♬ ♂♪♩
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: dino94 ที่ 12-01-2018 11:45:32
ปีใหม่แล้วววยังรอนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 12-01-2018 22:02:37
รอ ร๊อ รอ :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 23-01-2018 00:20:15
#13 All I know (that I don’t know)


ภาคภูมิตื่นขึ้นมาบนเตียงตัวเอง เหงื่อที่น่าจะมาจากการสร่างไข้ทำให้เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความเวียนหัวเพราะนอนมานานเกินไป สิ่งต่อมาที่รู้สึกได้คืออาการท้องโหวงๆ เนื่องจากไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวัน

หยิบมือถือมาดูด้วยความเคยชิน ไลน์กรุ๊ป F4 มีแค่ชิงกับแก้วที่เถียงกันในเรื่องไร้สาระ ส่วนแชตส่วนตัวอื่นๆ นั้นเงียบกริบ รวมถึงชื่อใครบางคนที่เงียบหายไปเช่นกัน


   ‘มีข้าวต้มอยู่ในตู้เย็น มึงอุ่นกินด้วยนะ’

   ‘โทษทีกูไปส่งมึงไม่ได้ ยังไงเรียกวินหน้าหอไปนะ’

   ‘ถึงห้องแล้วไลน์บอกด้วย’

   ‘ลืมๆ ล็อกห้องให้ด้วยนะ แต๊งกิ้ว’



เลื่อนอ่านข้อความเดิมซ้ำๆ จากที่รู้สึกน้อยใจที่ถูกทิ้ง ตอนนี้เขาเริ่มเป็นห่วงเพื่อนสนิทแทนแล้ว เพราะถึงจะเป็นคนไม่ค่อยตอบไลน์ แต่ปอก็ไม่เคยขาดการติดต่อนานขนาดนี้ นิ้วเรียวกดเข้ากดออกทุกแอปพลิเคชันที่สามารถดูความเคลื่อนไหวของเพื่อนได้ แต่ทั้งเฟซบุ๊กทั้งอินสตาแกรมของปรนัย กลับโชว์ภาพสุดท้ายคือตอนที่ไปกินไอศกรีมด้วยกัน

ร่างโปร่งนั่งคิดอะไรอยู่สักครู่ ก่อนจะพิมพ์ค้นหาชื่อเฟซบุ๊กของใครบางคน

...พี่จ๋า...

หน้าฟีดของรุ่นพี่ปี 4 มีบ่นฟ้าฝนกับเรื่องเรียนนิดหน่อย แต่ไร้ร่องรอยของคนที่เขาตามหา ตอนนี้เหลือแค่โทรศัพท์ไปที่เบอร์ของปอโดยตรง ซึ่งจริงๆ แล้วภาคภูมิไม่อยากจะทำอย่างนั้น แต่ความว้าวุ่นใจก็ทำให้เขาต้องกดโทรออกในที่สุด

ตื้ดดดดดด....ตื้ดดดดด

สัญญาณเชื่อมต่อดังยาวจนตัดไป และสร้างความกระวนกระวายให้คนรอมากกว่าเดิม






สี่ทุ่มกว่า

ชิงชิงกดดูเวลาในโทรศัพท์มือถือเป็นรอบที่สิบ เขานั่งแช่อยู่ตรงนี้มาสองชั่วโมงแล้ว และเป็นสองชั่วโมงที่ยังไม่รู้เหี้-- เออ ยังไม่รู้อะไรเลย ว่าทำไมเพื่อนเลวๆ อย่างไอ้ปอถึงต้องลากเขามานั่งตบยุงเล่นบนฟุตปาธหน้าร้านสะดวกซื้อนี่ด้วย

“อีกป๋องมะ เดี๋ยวเลยเวลาซื้อ” ปรนัยชี้ไปที่กระป๋องเครื่องดื่มของเพื่อนที่ดูท่าจะไร้ความเย็นไปแล้ว อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่พยักหน้าให้ตามสไตล์มัน

พอปรนัยลุกไป ชิงเลยรวบกระป๋องเปล่าบนพื้นไปทิ้ง นึกหงุดหงิดที่เพื่อนไม่เล่าอะไรสักคำ ตั้งแต่ชวนมาตกระกำลำบากอยู่ตรงนี้ ทว่าเขาก็ทิ้งให้มันอยู่คนเดียวไม่ลง คนร่าเริงเกินร้อยแบบไอ้ปอ ถ้ามันดีๆ คงไม่มานั่งเมาให้ยุงแดกเลือดแบบนี้แน่ๆ

“ชิง!”

ทิ้งขยะเสร็จกำลังจะกลับมานั่งที่เดิม แต่เสียงเรียกคุ้นหูทำให้เขาต้องหันไปมอง พอเห็นว่าคนเรียกเป็นใคร คนที่กำลังซังกะตายก็ร้องทักกลับไปอย่างยินดี

“ไอ้ภูมิ!! นั่งด้วยกันดิ กำลังเบื่อเลยเนี่ย”

คนถูกชวนทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมทรุดตัวลงนั่งพร้อมข้าวของในมือ “ทำไรวะ”

“แดกเบียร์ดิ” ตอบพลางยกกระป๋องในมือให้ดู “แล้วมึงมาทำไรดึกๆ ดื่นๆ”

“กูเพิ่งตื่นเลยออกมาซื้อก๋วยเตี๋ยว”

“ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นอ่านะ” ชิงหมายถึงร้านรถเข็นที่อยู่เลยจากเซเว่นไป

“เออ นี่เพิ่งนึกได้ว่าน้ำหมด เลยเดินกลับมาซื้อ”

“โหดสัส!”

ภูมิหัวเราะ “ไม่อยากขี่ย้อนศรอะ รถเยอะ”

“ดีละ” ชิงกระดกเบียร์ที่ไร้ความเย็นไปอีกอึก ก่อนจะตวัดสายตาไปเพ่งมองคนที่นั่งข้างๆ ชัดๆ “ทำไมหน้าตามึงบวมแบบนั้น”

ภาคภูมิยกมือขึ้นจะแตะเปลือกตาตัวเอง แต่กลับโดนเพื่อนที่นั่งจ้องอยู่ปัดมือออกไปแทน

“อย่าไปจับมันดิ เดี๋ยวก็บวมกว่าเดิม” ชิงว่าเสียงเรียบ

“เออ...สงสัยนอนเยอะไปหน่อยว่ะ” ปฏิเสธแบบไม่ยอมสบตาคนถาม

“แฮ้งเหรอ”

“สุดๆ ไข้ขึ้นเลย”

“โคตรนูป!” เพื่อนร่วมแก๊งหัวเราะ “ทำไมกูเจอแต่พวกอ่อนๆ วะ”

“ใครอีกอะ” คนฟังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“สัสปอไง ไม่รู้เป็นเชี่ยไร มาสิงอยู่หอกูตั้งแต่บ่าย แล้วแม่งก็ลากกูมานั่งตากยุงตรงนี้ตั้งแต่สองทุ่ม” พูดพลางตบยุงโชว์จะๆ อีกตัว โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกคน “นี่ไม่รู้มันข้ามไปซื้อเบียร์ที่มิติไหน นานเป็นชาติแล้วยังไม่ออกมาซะที”

ภาคภูมิหันขวับไปที่ร้านสะดวกซื้อทันทีที่เพื่อนพูดจบ ก่อนจะพบว่าคนที่ไอ้ชิงบ่นถึงนั้นยืนถือเบียร์สองกระป๋องอยู่ข้างหลังพวกเขานั่นเอง

“ปอ--” เอ่ยเรียกคนที่กำลังนึกเป็นห่วง ทว่าสายตาเย็นชาที่ตอบกลับมาทำให้ปลายเสียงต้องชะงัก

 แม้ภูมิจะมีคำถามวิ่งวนอยู่ในหัวเต็มไปหมด ตั้งแต่ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ไปทำอะไรที่ห้องไอ้ชิง ทำไมต้องมานั่งกินเบียร์ตรงนี้ และทำไมอยู่ๆ ถึงทิ้งกันไปแบบนั้น ...แต่สิ่งที่เขาทำได้ ก็คือปล่อยให้ความเงียบงันโรยตัวระหว่างกันเท่านั้น

 “อ้าว...มึงจะยืนรอให้ความรักของพี่เกิดที่เซเว่นเหรอครับเพื่อน! กลับมาแล้วก็นั่งดิ!” ชิงตบปุๆ บนพื้นปูนที่ว่างอีกข้าง

ปรนัยถอนสายตาจากคนที่ปรากฏตัวแบบไม่คาดคิด มือหนากระชับกระป๋องเบียร์เย็นเฉียบพลางทรุดตัวลงนั่งช้าๆ แม้ท่าทีภายนอกจะดูเฉยเมย แต่หัวใจข้างในกลับกำลังเต้นระรัว แค่เพียงได้เห็นหน้าคนที่อยู่ในห้วงความคิดมาตลอดทั้งวัน

ภูมิสูดหายใจลึก สะกดกลั้นความน้อยใจที่ทำให้กระบอกตาร้อนผ่าว เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...เหมือนตื่นขึ้นมาอีกที โลกใบเดิมก็ดับสลาย และทิ้งเขาไว้ให้ลอยคว้างกลางอวกาศ

“ถอนหน่อยมะ?” ชิงชิงยื่นเบียร์กระป๋องใหม่ให้ภาคภูมิ อีกฝ่ายมองกลับมาคล้ายกำลังพิจารณา ก่อนมือขาวๆ จะยื่นมารับข้อเสนอนั้น

หากยังไม่ทันได้เปิดดื่ม วัตถุในมือก็ถูกแขนยาวๆ ของใครบางคนกระชากกลับไปอย่างแรง

“สัสปอ! ไปแย่งไอ้ภูมิมันทำไม!” คนที่นั่งอยู่ตรงกลางโวยวายเสียงดัง ทว่าคนถูกด่ากลับยักไหล่ แล้วเปิดเบียร์เจ้าปัญหาดื่มอักๆ แบบไม่สนใจโลก

ความอดทนของภูมิถึงขีดสุด เมื่อรู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายสบายดีไม่มีอะไรต้องห่วง แถมยังไม่อยากคุยกับเขาอย่างเห็นได้ชัด แค่นี้ก็เป็นเหตุผลมากพอที่เขาจะไปจากตรงนี้แล้ว

“กูกลับก่อนนะ” ตั้งใจพูดกับชิงชิงแค่คนเดียว ก่อนสองมือจะรวบข้าวของที่วางกองอยู่บนพื้น แล้วลุกขึ้นเดินออกมาโดยไม่ฟังเสียงเรียกใดๆ อีก

“ภูมิ!” ชิงตะโกนเรียก แต่เจ้าของชื่อกลับก้าวเท้าเดินให้เร็วขึ้น เมื่อยื้อฝ่ายนั้นไม่สำเร็จ ชิงเลยหันมาเอาเรื่องไอ้ตัวต้นเหตุแทน
“สัสปอ! นิสัยเสีย”

แม้จะถูกตำหนิเป็นครั้งที่สอง แต่ร่างสูงที่นั่งซดเบียร์ก็ทำหูทวนลมจนคนพูดเอือมระอา

“กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงเป็นเหี้ยอะไร แต่อย่ามาพาลกับคนอื่นแบบนี้”

เสียงนิ่งๆ ของเพื่อนทำให้ปรนัยยอมวางเครื่องดื่มในมือ ก่อนจะถอนหายใจยาว “มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้ฉลาด บางเรื่องกูก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง”

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามึงโง่หรือมึงฉลาด” คนข้างๆ พูด “มันอยู่ที่ว่า มึงยอมรับสิ่งที่มึงอยากทำจริงๆ ได้หรือเปล่า”
 
ตารีเบิกกว้าง “มึง...รู้?”

 “กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่า ถ้ากูคือคนที่ดีกับมึงทุกอย่าง แล้วถูกมึงทำเหี้ยๆ ใส่อย่างเมื่อกี๊” ชิงชี้หน้าคนที่กำลังนั่งไม่ติด “กูจะไม่กลับมาในชีวิตมึงอีกเลย”




ภาคภูมิกำลังหงุดหงิดกับตัวล็อกกุญแจที่วันดีคืนดีก็เกิดจะไขไม่ได้ขึ้นมา เนื่องจากน้อยครั้งนักที่จะใช้จักรยานของตัวเอง เขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของมันเท่าไร แต่ไม่คิดว่ามันเกิดจะมาทรยศเขาในช่วงเวลาแบบนี้

“ไปจักรยานกู เดี๋ยวไปส่ง”

เสียงที่คุ้นหูเสียยิ่งกว่าคุ้น ทำให้มือเรียวที่กำลังปลุกปล้ำกับโซ่ล็อกจักรยานต้องหยุดชะงัก

ปรนัยเดินไปคว้าข้าวของที่แขวนกับแฮนด์จักรยานมาถือไว้ ภูมิจึงได้สังเกตเห็นว่า คนที่เพิ่งปรากฏตัวมีเหงื่อไหลซึม และร่างสูงๆ นั่นก็กำลังหอบหายใจด้วยความเหนื่อย

 “ไปเร็ว ยังไม่ได้กินข้าวไม่ใช่เหรอ”

เสียงทุ้มที่เอ่ยราวกับเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เขาไม่อาจหยุดความสงสัยได้อีกต่อไป

“โดนตัวไหนมาอะ” ภาคภูมิเอ่ยถามเสียงนิ่ง

“หืม?” คนที่ถือข้าวของพะรุงพะรังเลิกคิ้วเป็นคำถาม

ภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้ นัยน์ตากลมจ้องตารีเล็กของอีกฝ่ายเขม็ง “มึงเล่นยาใช่มั้ย”

“หาาาา!!! อะไรของมึงเนี่ยพีพี” คนถูกกล่าวหาร้องเสียงหลง อยู่ๆ ก็โดนเสนอแพ็กเกจไปเที่ยวฮ่องกงให้ซะอย่างนั้น

“ก็แล้วทำไมมึงผีเข้าผีออกแบบนี้วะ” ท่าทีอันจริงจังบ่งบอกให้รู้ว่าคนพูดไม่ได้เล่นมุก นั่นทำให้ปรนัยเริ่มเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ถ้าหากเป็นสถานการณ์อื่น เขาคงลงไปนอนขำกลิ้งกับจินตนาการอันสุดโต่งของเพื่อนแล้ว ติดแต่ว่าในตอนนี้เขาดันมีพฤติกรรม ‘ผีเข้าผีออก’ แบบที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ

“ไว้ไปคุยกันที่ห้องได้มั้ย” เสียงทุ้มยื่นข้อเสนอ พลางชูสัมภาระในมือขึ้นมา “มันหนักอะ”

ภูมิมองน้ำเปล่าขนาด 1.5 ลิตร 3 ขวด พร้อมของกินอีกหลายถุงแล้วจึงพยักหน้ารับอย่างจำใจ “ก็ได้”

“งั้นไปเหอะ เดี๋ยวดึก” ร่างสูงหันหลังแล้วก้าวเดินนำออกไป

คนเดินตามหันซ้ายหันขวาหารถจักรยานที่เขาเคยซ้อนบ่อยๆ แต่มองยังไงก็ไม่เจอ

“รถมึงอยู่ไหน”

ปรนัยหันมาหาแล้วยิ้มแหยๆ “หน้าเซเว่น”

“นี่มึงเดินมา!?”

“เปล่า....” ปลายเสียงเบาลง “...กูวิ่ง”

เป็นอีกครั้งที่ภาคภูมินึกสงสัยว่าเขาควรจับมันตรวจฉี่ดีมั้ย! ที่เขาเดินจากร้านก๋วยเตี๋ยวไปเซเว่นก็เพราะไม่อยากขี่รถย้อนศร แต่ถ้ากลับกัน จากเซเว่นมาตรงนี้ มันก็แค่ขี่จักรยานมาตรงๆ ...แล้วมันจะวิ่งมาทำไมวะ!!
 




ช่วงถนนระหว่างทางไปถึงหอของภาคภูมิ กลายเป็นเส้นทางที่ปรนัยไม่คุ้นเคยขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ทั้งๆ ที่ปั่นมาส่งเพื่อนสนิทแทบทุกวัน แต่เหมือนครั้งนี้มันต่างออกไป ทำไมเขาเพิ่งรู้สึกถึงมือนิ่มๆ ที่เกาะหลัง ทำไมไออุ่นจากคนซ้อนถึงเพิ่งสะท้อนมาถึงเขา ทำไมกลิ่นหอมละมุนถึงเพิ่งพัดมาตอนนี้...

“มึง” เสียงคนด้านหลังที่เขาเพิ่งละเมอถึงเรียกสติของปอให้กลับคืนมา

“วะ...ว่า?”

“ไรวะ สะดุ้งซะแรงเลย” ภูมิบ่นอุบอิบ ก่อนจะถามในสิ่งที่สงสัยมาตลอดทั้งวัน “ไปทำไรห้องไอ้ชิง”

“เอ่อ...” คนถูกถามอึกอัก “อันนี้มันต้องอธิบายยาวอะ ขอเปลี่ยนคำถามก่อนได้ปะ”

“ก็ได้ งั้นทำไมไม่รับโทรศัพท์”

คนข้างหน้าถอนหายใจหนักๆ “กูขอโทษนะ”

“ไม่ใช่คำตอบปะวะ”

“คือกู...” ปลายเสียงเบาลง “กูยังไม่พร้อมตอบตอนนี้ แต่เอาเป็นว่ากูสบายดี...”

“อยู่ๆ ก็หายไป โทรหาก็ไม่รับ มึงจะให้กูคิดว่ามึงสบายดีเหรอ!!” ความอัดอั้นในใจของคนซ้อนพรั่งพรูออกมา จนปรนัยต้องหยุดรถทันควัน

“พีพี”

“ปั่นจักยานต่อไป” ใบหน้าเรียวซุกลงกับแผ่นหลังกว้างของคนข้างหน้า ก่อนกำปั้นเล็กๆ จะทุบที่ไหล่ของไอ้ตัวต้นเหตุอย่างแรง “ห้ามจอด ห้ามหันมา!”

รถจักรยานเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง คราวนี้ระยะทางที่เหลือยิ่งทำให้ปรนัยรู้สึกแปลกออกไปกว่าเดิม อาจเพราะแรงกอดจากอ้อมแขนบาง สัมผัสเปียกชื้นบนแผ่นหลัง หรืออาจจะเป็นเพราะ...ความห่วงใยจากใครบางคน



--------------------------------------




   ปรนัยจอดรถหน้าตึกที่ภาคภูมิพักอยู่ อาจเพราะเริ่มดึกแล้วจึงไร้วี่แววของคนอื่นๆ คืนนี้อากาศอบอ้าวนิดๆ แต่ยังดีที่พอมีลมเย็นๆ ช่วยพัดผ่านมาบ้าง

“ขอบใจ” เสียงเอ่ยเบาๆ ทำให้เขาต้องกลับมาสนใจคนข้างๆ

“อือ ไม่เป็นไร” ร่างสูงส่งของจากตะกร้าให้คนที่ยืนก้มหน้าก้มตานิ่ง ปลายจมูกแดงๆ ที่อยู่ในระยะสายตานั้น ทำให้ปอไม่อาจปล่อยอีกฝ่ายเดินกลับขึ้นห้องไปตามลำพัง

“อันนั้นด้วย” มือเล็กชี้ไปยังถุงเซเว่นที่บรรจุน้ำสามขวดใหญ่ แต่คนมาส่งกลับรวบมันไว้แล้วเดินไปรอที่หน้าทางเข้าหอแทน

“ติ๊ดบัตรดิ”

ภาคภูมิขมวดคิ้วจนหน้ายุ่ง “กูถือเองได้ เอามานี่”

“ไม่เอา จะไปส่ง”

“มันไม่ได้หนักขนาดนั้นปะ”

“ไหนว่ามีคำถามอยากถามกูไง” เสียงทุ้มเอ่ย

ตากลมเสหลบก้มมองพื้น “ไม่มีแล้ว”

“แต่กูมี”

แล้วเสียง ‘ติ๊ด’ ที่ประตูก็ดังขึ้น เจ้าของห้องหันขวับด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าในมือของเพื่อนสนิทกำลังชูคีย์การ์ดหน้าตาแบบเดียวกับของเขา

“เฮ้ย! มีคีย์การ์ดหอกูได้ไง!!”

“ก็บอกแล้วไงว่า...กูมี”





ปรนัยเดินตามภาคภูมิเข้าไปในห้อง ภาพที่ปรากฏในห้องนั้นไม่มีอะไรต่างออกไปจากวันที่เขาเคยมา หลังจัดการเรียงน้ำและขนมเข้าตู้เย็นเรียบร้อย ระหว่างรอเจ้าของห้องออกไปเอาชามใส่ก๋วยเตี๋ยว ร่างสูงๆ จึงย้ายตัวเองมานั่งแปะที่โต๊ะเขียนหนังสือและไถมือถือเล่นไปพลางๆ

“ตกลงมึงเอาคีย์การ์ดหอกูมาจากไหน” คำถามเดิมจากเจ้าของห้องทำให้ผู้มาเยือนต้องเงยหน้าขึ้น

“กินข้าวก่อน แล้วจะบอก”

“ความลับเยอะเหลือเกิน”

   ร่างสูงยักไหล่

   “กินด้วยกันเปล่า” ภาคภูมิชูถุงก๋วยเตี๋ยวพร้อมถ้วยสองใบที่ถือมา

“กูอิ่มแล้ว มึงกินเลย” ตอบพลางช่วยกางโต๊ะญี่ปุ่นตัวที่เขาเคยมานั่งกินข้าวบ่อยๆ

ภูมิแกะถุงก๋วยเตี๋ยวแล้วค่อยๆ เทใส่ถ้วย พยายามตั้งสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำ โดยไม่สนใจคนที่เท้าคางมองเขาแบบตาไม่กะพริบ

“ตาบวม” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น ทำเอามือที่กำลังแกะเครื่องปรุงต้องชะงัก

คนตรงข้ามไม่ตอบ แต่รีบก้มหน้าก้มตาปรุงก๋วยเตี๋ยวแล้วลงมือกินอย่างรวดเร็ว

ผู้มาเยือนส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะคว้าช้อนสแตนเลสที่อีกคันไปโยนเข้าช่องฟรีซ ก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าตู้เย็นสักพัก ปอก็กลับมาพร้อมน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว

“ยังมีไข้อยู่หรือเปล่า”

คนถูกถามวางตะเกียบแล้วยกหลังมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเองเบาๆ “ไม่มีแล้ว”

“จริงเหรอ” ความสงสัยนั้นมาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่เอื้อมไปแตะซอกคอคนป่วย

“สัสสสส!!”

เสียงสบถไม่เบานักพร้อมดวงตากลมที่จ้องเขม็งทำให้ปรนัยหลุดหัวเราะ ...ขู่ฟ่อเป็นแมวเลยว่ะ

“ตัวยังอุ่นๆ อยู่เลย เมื่อตอนเย็นได้กินยาหรือเปล่า”

“เปล่า” ตอบออกไปพร้อมสายตาที่ยังระแวดระวังไม่คลาย “กูเพิ่งตื่น”

“หือ?? แล้วนอนไปตอนไหน”

“หลังส่งข้อความบอกมึง...” พูดไปแล้วก็เหมือนรื้อฟืนความเดียวดายที่เพิ่งสัมผัสขึ้นมาอีกครั้ง แต่ภาคภูมิก็พยายามสูดหายใจลึกๆ เพื่อคุยกับตัวต้นเหตุด้วยเสียงที่เป็นปกติอย่างที่สุด “แล้วก็เพิ่งตื่นเมื่อสี่ทุ่ม”

“งั้นกินข้าวเสร็จแล้วกินยาด้วยนะ เอายากลับมาด้วยเปล่า”

"อือ อยู่ในกระเป๋า"

ปอลุกขึ้นไปเปิดกระเป๋าใบที่เห็นบ่อยๆ ใช่จะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทโกรธเขาเท่าไร ที่อยู่ๆ ก็ทิ้งมันไปแบบนั้น แต่ถ้าหากภาคภูมิได้รู้ว่าเพราะอะไร บางทีมันอาจจะอยากไล่ให้เขาไปไกลๆ มากกว่าเดิม

“ถ้าไม่เจอเดี๋ยวกูไปหยิบเองก็ได้” เจ้าของห้องเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกคนใช้เวลาหาของอยู่นาน

“เจอแล้วๆ” มือหนาชูถุงในมือเป็นการยืนยันคำตอบ

“กูกินยาเลยก็ได้ อิ่มละ”

ยาสองเม็ดถูกยื่นมา พร้อมสายตาที่จับจ้องคนป่วยในทุกการกระทำ

ภูมิกระดกน้ำตามจนหมดแก้ว ก่อนจะหันไปถอนหายใจใส่คนตรงข้าม “มึงเป็นอะไรเนี่ย”

“เปล่า”

เจอคำตอบตาใสแบบนั้น ภาคภูมิเลยเลิกพยายามถามถึงสาเหตุของท่าทีแปลกๆ แต่พุ่งประเด็นไปยังเรื่องที่คุยค้างไว้แทน

“ตกลงมีคีย์การ์ดหอกูได้ยังไง”

“วันก่อนไอ้เมตฝากคีย์การ์ดมาคืนไอ้สิปป์ แต่กูลืมให้มันอะ เลยยังอยู่ในกระเป๋า” ปรนัยหมายถึงเพื่อนเรียนวิชาโทปรัชญาที่อยู่หอนี้

“เลวจริง นี่มึงกะจะมาขโมยของหอกูปะเนี่ย”

“ก็เหี้ยละ”   

“งั้นเรื่องคีย์การ์ดจบไป ทีนี้จะอธิบายเรื่องที่ชิ่งกูไปอยู่หอไอ้ชิงได้หรือยัง”

“ไหนตอนกูมาส่งมึงบอกว่าไม่มีคำถามแล้วไง”

น้ำเสียงยียวนนั้นทำให้ภูมิอยากพุ่งไปบีบคอไอ้ตัวปัญหาให้ตายคามือ

“อะๆๆ ไม่กวนตีนแล้วก็ได้ ไม่ต้องทำหน้าอยากฆ่ากูขนาดนั้น”

“ว่ามา”

“ได้” คนตอบเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่มึงต้องตอบกูข้อนึงเหมือนกัน”

“ลีลาจังวะ” เจ้าของห้องบ่นอุบ “ถามมา”

“ตอนซ้อนจักรยานกลับมา มึงร้องไห้ทำไม”

คำถามจี้ใจดำทำให้ภาคภูมิต้องก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย ทว่ากลับถูกมือแข็งแรงล็อกไว้จนไม่อาจขยับหนี 

 “ว่าไง” น้ำเสียงเย็นๆ มาพร้อมดวงตาคมกริบ

“กู...” คนตอบอึกอัก “ก็ถ้ามึงเป็นคนป่วยที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ต้องกระเสือกกระสนกลับห้องเอง แล้วพอตื่นมาคนเหี้ยๆ บางคนก็หายหัวไป มึงคงรู้สึกดีใจจนน้ำตาไหลมั้ยล่ะ”

 สิ้นคำตอบนั้น ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

“ขอโท--”

“พอเหอะ ไม่อยากฟังคำนี้” ภูมิปัดมือที่ล็อกคางตนเองออก “แค่อยากรู้ว่าทำไม”

ปรนัยรู้ว่าถึงเวลาต้องอธิบายอย่างจริงจัง

“ภูมิ” ชื่อเล่นที่อีกฝ่ายแทบไม่เคยเรียกทำให้ดวงตากลมต้องหันมามอง “กูกำลังเจอ Dilemma ว่ะ”

สายตาอันเคลือบแคลงแปรเปลี่ยนเป็นความกังวลใจเมื่อได้ฟังเพียงประโยคแรกเท่านั้น “…เป็น False Dilemma มั้ย”

 “เหมือนจะใช่”

“เกี่ยวกับ?”

“อืม...ความสัมพันธ์มั้ง”

“แล้ว... Dilemma ของมึงมีทางเลือกไหนบ้าง”

“คนที่รักไม่ได้...”

“กับ?”

“คนที่รักไม่ได้”

“หืม...”

“กูแม่ง...ไม่มีทางเลือกอะไรเลยว่ะ”

สองมือหนายกขึ้นลูบหน้าตัวเอง ความจริงที่ปรากฏในใจ เหมือนเป็นหินที่ถ่วงขาทั้งสองข้างไว้ไม่ให้ก้าวเดิน ทว่าปรนัยคงไม่รู้ ว่ายังมีอีกคนที่เฝ้ามอง และรู้สึกเศร้าใจไม่แพ้กัน

“ไม่เป็นไรนะมึง...” ภาคภูมิไม่รู้ว่าเขามีแรงพูดประโยคนี้ออกไปได้ยังไง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันห่างไกลจากความรู้สึกตอนนี้มากนัก เพราะเป็นคนที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน เขาจึงรู้ดีว่า ‘ไม่เป็นไร’ นั้นไม่เคยเป็นจริง

“โทษทีว่ะ” ในที่สุดคนที่นั่งคอตกก็เงยหน้าขึ้น “กูสติแตกนิดหน่อยตอนที่รู้ว่าตัวเองเหมือนจะ...ชะ...ชอบคนคนนั้น ทำอะไรไม่ถูกเลยออกจากห้องมาแล้วทิ้งมึงให้อยู่คนเดียว”

ร่างเล็กกว่านั่งฟังนิ่งๆ ขณะที่เสียงทุ้มยังพูดต่อไป

“เอาจริงๆ กูประสาทแดกพอสมควร เหมือนคนที่เชื่อมาตลอดว่าโลกแบน แล้วอยู่ๆ ก็มีเสากระโดงเรือโผล่ขึ้นมา แล้ว...บู้มมมม โลกก็กลายเป็นทรงกลมเฉยเลย”

“ก็เลยไม่รับโทรศัพท์กูเหรอ...”

“ก็เลยไม่คุยกับใครเลยมากกว่า” ขายาวเหยียดออก “ไปห้องไอ้ชิงกูก็ไปนอนเฉยๆ”

ภาคภูมิทิ้งตัวพิงกับขอบเตียง รู้สึกอ่อนล้าจนต้องหลับตาลง ก่อนจะบังคับให้ตัวเองพูดประโยคที่ควรพูดออกไป

“ไมว่าคนนั้นจะเป็นใคร สักวันมึงก็ต้อง ‘รักได้’ เว้ย”

ปอหันไปมองคนพูดที่ทิ้งตัวลงกับเตียง เปลือกตาบางยังดูบวมไม่หาย นิ้วเรียวเอื้อมไปจนเกือบแตะใบหน้าของอีกฝ่าย แต่เขากลับเปลี่ยนใจลุกขึ้นไปหยิบช้อนที่แช่เย็นออกมาแทน

สัมผัสเย็นเฉียบทำให้คนที่ซบหน้ากับเตียงต้องสะดุ้ง ก่อนจะรู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนที่เอื้อมมาโอบรอบตัวเป็นลำดับต่อมา

“ประคบไว้ ตาจะได้หายบวม” อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดข้างแก้มเนียน

“อือ...แล้ว Dilemma ของมึงจบแล้วเหรอ”

“ยังหรอก”

“ถ้าถึงวันนั้น มึงจะบอกกูมั้ยว่าคนคนนั้นเป็นใคร”

ภาคภูมิรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายถอนหายใจแรง

“ถ้ามัน ‘เป็นไปได้’ กูจะบอกมึงคนแรกเลย...สัญญา”

มือหนาเลื่อนช้อนออก พลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไอน้ำบนเปลือกตาเพื่อนสนิท อีกฝ่ายหยีตาก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้น อาการบวมเหมือนจะลดลงแล้ว ซึ่งนั่นเรียกรอยยิ้มจางๆ จากคนที่มองอยู่ได้เป็นอย่างดี

ปรนัยไม่รู้ว่าวันที่ภาคภูมิถามจะมาถึงหรือไม่ แต่แค่ในตอนนี้เขาได้อยู่ใกล้ๆ ได้ดูแลคนที่ ‘รักไม่ได้’ ต่อไปก็พอแล้ว



------------------------------------



(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก (Update! 02/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 23-01-2018 00:32:24
“จะให้กลับจริงๆ เหรอ” เสียงทุ้มถามย้ำเป็นครั้งที่เท่าไรเจ้าของห้องก็เลิกจะนับไปแล้ว และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องยืนยันว่า “ใช่” เหมือนกับหลายประโยคก่อนหน้า

   “ถ้าคืนนี้ไข้ขึ้นอีกจะทำไง”

   ภูมิกลอกตาอย่างอ่อนใจ เกมยี่สิบคำถามกับปรนัยคงไม่อาจจบลงโดยง่าย เพราะมันจะวนลูปกลับไปที่ข้อแรกเหมือนเดิม

   “กูหายดีแล้วเนี่ย มึงก็เห็น”

   “พีพี”

   เสียงทุ้มต่ำทำให้เจ้าของชื่อต้องถอนหายใจ “ตอนไอ้ชิงป่วย ทำไมมึงไม่ไปนอนเฝ้ามันด้วยอะ”

   “ตัวอย่างควาย ดูแลตัวเองไม่ได้ก็ให้นอนไข้กินไปนั่นแหละ”

   “แล้วกู?” ภาคภูมิชี้ตัวเอง

   “มันไม่เหมือนกัน” คิ้วเข้มขมวดมุ่น “ทำไมต้องถามอะไรเยอะแยะ แค่ขอนอนเป็นเพื่อน ไม่ได้ขอเป็น...”

   “เป็น?”

   “เป็นอะไรก็เรื่องของกู” ตอบอ้อมๆ แอ้มๆ แบบไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

   เจ้าของห้องส่ายหน้าด้วยความระอา แต่เมื่อกดดูนาฬิกาก็เพิ่งรู้ว่าเวลาล่วงเลยมาดึกขนาดนี้แล้ว การจะไล่คนที่ง่วงจนตาปรือกลับห้องมันก็คงดูใจร้ายเกินไป...

   “ถ้าไม่อาบน้ำกูไม่ให้นอนบนเตียงนะ!!”

   “โห่... ใจร้ายจังวะ” บ่นอุบอิบอยู่กับตัวเอง “ถ้าอาบก็ตาสว่างดิ”

   “ไม่อาบน้ำก็นอนพื้น เลือกเอา”

   “False Dilemma!!”

“ถ้ามันเลือกยากนักก็กลับห้องไป๊! ตีสองแล้ว กูจะนอนโว้ยยย!!”

“พีพีอ่า...”

แล้วเจ้าของห้องก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ไม่ลืมตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงแก้ม ปล่อยให้คนที่ยังตัดสินอนาคตตัวเองไม่ได้ต้องเดินหมุนไปหมุนมาอยู่คนเดียว

“เออๆๆๆ อาบก็อาบวะ!”

เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้นในเวลาต่อมา ภาคภูมิลอบยิ้มกับชัยชนะของตนเอง โดนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนที่ยอมอาบน้ำไม่ได้ทำเพราะอยากนอนเตียง

...แค่อยากนอนกับคนบนเตียงเท่านั้นเอง




TBC.



--------------------------------------

TALK (ที่ยาวกว่าเนื้อหาาาา)

สวัสดีค่ะ
เห็นโพสต์นี้ทุกคนคงขยี้ตา หาว่าบอร์ดรวนแน่ๆ 55555555
เรากลับมาแล้วค่ะ และมีเรื่องอยากคุยกับทุกคนเยอะมาก เอาเป็นว่ายาวแน่นอน
ใครอ่านส่วนนิยายจบแล้ว และไม่ค่อยมีเวลา อ่านเฉพาะที่เราทำตัวหนาได้เลยค่า

-------------------------

ทำไมหายไปนาน?

- เราต้องดูแลครอบครัวเนื่องจากคุณพ่อเสียชีวิตกระทันหันค่ะ


คนที่ไลค์เพจหรือตามทวิตเราคงพอทราบว่า เมื่อปลายเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
เราไปเที่ยวญี่ปุ่นที่เป็นทริป outing ของบริษัท พอกลับมาถึงไทยปุ๊บ
ก็ทราบข่าวว่าคุณพ่อของเราเสียชีวิตกระทันหัน แทบจะเวลาเดียวกันกับตอนเครื่องแลนดิ้งเลย

ตอนนั้นเราต้องกลับบ้านที่ตจว.ด่วน จัดการเรื่องงานศพพ่อ และดูแลแม่อีกพักหนึ่ง
ด้วยสภาวะจิตใจของแม่ที่ค่อนข้างย่ำแย่ ทำให้เราต้องกลับบ้านตจว.ทุกเสาร์-อาทิตย์เพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนแม่
ดังนั้นนอกจากความเศร้าแล้ว เรายังไม่มีเวลาพักแบบจริงๆ จังๆ พอจะเขียนนิยายได้เลย
แต่สิ่งที่เราทำคือพยายามเขียนวันละนิดวันละหน่อย มีเวลาตอนไหนก็เปิดเขียนเมื่อนั้น

ตั้งแต่พ่อเสีย เราต้องไปกลับ กรุงเทพฯ-ตจว.บ่อยมาก
ต้องไปขึ้นศาล ไปธนาคาร เคลียร์เรื่องเงินและหนี้สินของพ่อซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่จบ
และบอกตามตรงว่าเราต้องรับงานจ็อบนอกมากขึ้น เพื่อหารายได้ให้ที่บ้านที่ไม่มีพ่อเป็นเสาหลักแล้ว
นิยายตอนหนึ่งๆ ที่ควรจะเสร็จนานแล้ว มันเลยยืดเวลามาจนถึงตอนนี้ค่ะ


นิยายเรื่องนี้จะเขียนจนจบมั้ย

- จบแน่นอนค่ะ เป็นความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเราจะไม่ทิ้งนิยายของเรา


เราทราบว่าคนอ่านก็อึดอัดใจในการรอคอยที่จะอ่าน ซึ่งเราก็ไม่สบายใจมากๆ ที่ขาดการลงนิยายหลายเดือนขนาดนี้
แต่ยังไงเราก็จะเขียนให้จบตามโครงเรื่องที่ออกแบบมาแต่ต้น ไม่มีการตัดให้เรื่องจบแบบงงๆ แน่นอน
มันอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ไว้ใจเราได้เลยค่ะว่าจะเขียนจนจบจริงๆ


Sweet Linemma ในจอยทำไมเงียบไป

- แอปแฮ้งบ่อยมาก เซฟแล้วล่ม เนื้อเรื่องหาย


ก่อนหน้านี้เราเขียนเรื่องราวของแก๊ง F4 ตอนย้อนกลับไปปี 1 ที่เพิ่งรู้จักกัน
เป็นบทสนทนาลงแอปจอย โดยตั้งใจจะเขียนคั่นระหว่างรอตอนยาวๆ คนอ่านจะได้มีอะไรอ่านเล่นๆ
แต่ไม่รู้ว่าแอปจอยเป็นอะไร ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แอปล่มบ่อยมากกกกก
แล้วแอปนี้เวลาพิมพ์ต้องพิมพ์ผ่านมือถือ แบบเราพิมพ์ไลน์จริงๆ
เขียนไว้ก่อนแล้วค่อยโพสต์ก็ไม่ได้ ทำได้แค่พิมพ์ไปเซฟ (จากแอป) ไป ซึ่งเราเจอแอปล่มติดๆ กันจนท้อใจ
ส่งเรื่องแจ้งทาง official line ของจอยก็แล้ว เมนชันทวิตหาจอยก็แล้ว ทางแอปบอกว่ากำลังแก้ไข
ตอนนี้เราไม่รู้ว่ากลับมาใช้ได้เป็นปกติหรือยัง เดี๋ยวจะลองเข้าไปดูอีกทีค่ะ
ถ้าแอปใช้ได้ปกติแล้ว เราจะกลับมาเขียนต่อนะคะ


Sweet Dilemma อีกกี่ตอนถึงจะจบ / ดราม่ามั้ย

- ที่วางไว้ประมาณ 6-7 ตอนค่ะ / ไม่ดราม่า


ตามที่แจ้งตั้งแต่ต้นว่าเรื่องนี้จะไม่ยาวมาก (แต่เขียนไปเขียนมามันยาวเอง แงงงง)
อีก 6-7 ตอนก็จะจบแล้วค่ะ ยังไงเราจะจบให้ได้ในปีนี้นะ 555555
ส่วนเรื่องดราม่า กลับไปอ่านทอล์กตอนแรกได้เลยว่าเราบอกว่าใสๆ แนวมหา'ลัย
เพราะฉะนั้นมันไม่ดราม่าน้ำตานองแน่นอน เพียงแต่ว่า ในระหว่างการเรียนรู้ทางเลือกของหัวใจตัวเอง
มันก็อาจจะมีความช้ำเบาๆ บ้าง แต่ไม่นานจนปวดใจค่ะ
ดูอย่างตอนนี้ก็ได้ นังสองคนนี้มันเศร้านานได้ที่ไหน หุหุ


อ.กฤตกับแตงกวาจะมาอีกมั้ย

- จะมีแทรกตอนมาอีกเหมือนเดิมค่ะ


เพิ่งรู้ว่ามีคนชอบคู่อาจารย์กับลูกศิษย์เยอะมาก
ก่อนหน้านี้เราตั้งใจว่าจะแทรกตอนของสองคนนี้มาเล็กๆ น้อยๆ แบบไม่รบกวนเนื้อเรื่องหลัก
เพราะอยากพัฒนาคู่นี้ให้เป็นเรื่องยาว แต่เอาเป็นว่า ให้เรื่องนี้จบก่อนแล้วกันเนอะ


นิยายเรื่องนี้จะตีพิมพ์เป็นเล่มมั้ย

- ตีพิมพ์ค่ะ แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร


ตอนวางพล็อตเรื่องนี้ รู้เลยว่ามันไม่ง่าย เนื้อหาค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม มีแววน่าเบื่อรออยู่
ดังนั้นพอมีสำนักพิมพ์ติดต่อมา เราจึงรู้สึกยินดีมากๆ
แต่อย่างที่เห็นว่ากว่าแต่ละตอนจะมา มันช่างยาวนานเหลือเกินนนนน
สงสารสนพ.จริงๆ ถ้ารับปากไปแล้วแล้วต้องมารอนิยายเรา
ยังไงอยากให้ทางสนพ.ได้อ่านตอนต่อๆ ไปก่อน ถ้าหากว่าชื่นชอบจนจบเรื่อง เราก็ยินดีที่จะร่วมงานค่ะ

----------------------------------------------

เรื่องที่อยากพูดคุยก็คงประมาณนี้ค่ะ
จริงๆ ใครมีคำถามอื่นๆ สามารถคอมเมนต์ในบอร์ดนี้
หรือส่งข้อความมาในเพจ หรือเมนชันมาในทวิตได้หมดเลยค่ะ
ทุกช่องทางเราดูแลเอง จะพยายามตอบทุกคนค่ะ

Page: https://www.facebook.com/lykarfanpage
Twitter: @lykar91
Hash tag: #SweetDilemmaFiction


ขอบคุณทุกคนที่ยังรอ และเป็นกำลังใจให้กันมาตลอดนะคะ
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ



หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 23-01-2018 01:21:58
เป็นกำลังใจให้ทั้งคุณคนเขียนและครอบครัว
รวมถึงภูมิกับปอเลยนะคะ

ก็ขอเป็นกำลังใจเล็กๆ และจะติดตามนิยายเรื่องนี้ให้สมกับที่คุณคนเขียนตั้งใจเขียนเลยค่ะ

Fighting for every that coming into you life ka  :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 23-01-2018 06:13:48
ขอเป็นอีกกำลังใจให้คุณlykar นะคะ  :L2:
ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสีย
ขอชื่นชมกับความเข็มแข็งและการแสดงความรับผิดชอบต่อครอบครัวและกับผลงาน
อยากช่วยอะไรได้มากกว่าความรู้สึกแค่นี้จริงๆ
ถ้าพอจะช่วยได้บ้าง ก็ขอบอกว่าจะรอติดตามอ่านรอให้กำลังใจผลงานของคุณlykar ต่อๆไป
ไม่ต้องกังวลเรื่องคนอ่านจะต้องรอนานนะคะ
รอได้ค่ะ และยินดีรอด้วยความขอบคุณและเข้าใจเสมอ
ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี และขอให้ต่อจากนี้มีแต่เรื่องราวดีๆเข้ามาในชีวิตนะคะ
fighting จ้า^^ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 23-01-2018 07:28:54
เรามาเป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ ให้ผ่าไปด้วยดี สำหรับนิยายเราสามรถรอได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-01-2018 09:00:04
 :L2: :L2:
สู้ ๆ นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 23-01-2018 09:17:30


เป็นกำลังใจให้นะคะ และจะรอติดตามส่งน้องพีพีกับปอให้ถึงฝั่งด้วย
หากวันนี้เหนื่อยมาก ก็พักแล้วบอกตัวเองว่า ฟ้าหลังฝนจะสดใสเสมอค่ะ
สู้ ๆ น้า!  :กอด1:



หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-01-2018 09:19:12
 :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 23-01-2018 09:29:11
ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจ (อีกครั้ง) และให้กำลังใจนะคะ ทุกอย่างจะกลับเข้าที่และดีขึ้นแน่นอนค่ะ

ในส่วนของหนุ่ม ๆ นั้น...
ชิงชิง ป้าให้ 10 10 10 เลยจ้า ประโยคสุดท้ายนั่นมันโดนใจป้ามาก และถ้าไม่มีประโยคนั้น ปอก็คงคิดไม่ได้หรอกว่าควรจะต้องทำยังไง

ส่วนปอ จากตอนที่แล้วเม้งไว้เยอะแถมหักคะแนนจนติดลบ ตอนนี้คืนให้ก่อน 2 คะแนน ที่ยังมีทางเลือกแค่ คนที่รักไม่ได้ (แสดงว่าถ้า เป็นไปได้ แล้วจะลุยเลยสินะ  :katai5:)  อีกคะแนนมาจากความเนียนในการเข้าคลุกวงในพีพี จากเดิมทำแบบไม่รู้ตัว นี่ทำแบบไม่ให้ตั้งตัว อาบน้ำก็ยอมอ่ะ ดีเลิศ !!

สุดท้าย เป็นกำลังใจให้พีพี ขอให้รู้ตัวไวๆ ว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อแล้วนะลูกกกก

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 23-01-2018 09:48:48
สนุกมากค่ะ รอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-01-2018 11:02:17
เป็นกำลังใจให้สองหนุ่ม และคนเขียนด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 23-01-2018 11:07:52
 :mc4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 23-01-2018 15:25:20
เป็นกำลังใจให้นะคะสู้ๆๆๆ :L2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 23-01-2018 15:43:22
เป็นกำลังใจให้นะค๊ะ ส่วนปอกับพีพีก็ยังติดตามอยู่ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: idee ที่ 23-01-2018 18:33:31
เป็นกำลังใจให้ไรท์เตอร์นะคะ อยากกระโดดเข้าไปกอดแน่นๆ ไม่ต้องห่วง เรารอได้ ไม่เป็นไรเลยจริงๆค่ะ
ยังเอ็นดูเด็กๆ ทุกคนเหมือนเดิม พีพีลู๊กกก ออกจะน่ารักขนาดนี้ แล้วทำไมเจ้าปอถึงยัง "รักไม่ได้" อีกนะ น่าตีจริงๆ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆ ออกมาให้อ่านกันนะคะ จะรออย่างใจจดใจจ่อต่อไป (อย่ากดดันนะคะ เราพูดจริงๆ 555)

/กอดคนเขียนอีกทีนึงงงง
 :-[
 
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-01-2018 19:45:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-01-2018 20:43:12
ขอแสดงความเสียใจ และเป็นกำลังใจให้ไรท์ :mew1: :mew1: :mew1:
ไรท์ พยายามหาเวลาพักผ่อนด้วยนะ ผ่อนคลายตัวเอง สู้ๆ

ชิง พูดได้ดี  :katai2-1:
เป็นพี ก็อยากต้ดปอจากชีวิตนะ   
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 23-01-2018 20:54:38
เป็นกำลังใจให้นะคะ รอติดตามผลงานค่ะ ชอบพลอตเรื่อง รักเพื่อนแบบนี้ ชอบมากที่ไม่ดราม่า น้ำตาแตกแบบหนักๆ  ดีที่ปอได้อยู่กับชิงชิง ไม่งั้นสงสารพีพีน้ำตาแตกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 23-01-2018 21:02:42
เห็นเรื่องนี้ขึ้นตอนที่13สะบัดหน้ามาดูใหม่เลย นึกว่าตาฝาด //แซวเล่น ต่อให้รอนานกว่านี้ก็จะรอค่ะ เป็นนิยายอีกเรื่องที่ควรค่าแก่การรอ เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 23-01-2018 21:18:21
ไรท์ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เราดีใจขนาดไหน  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: น้องพีพีคัมแบ็กสเตจสักที ฮือออออออออ จะร้องไห้  :hao5:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-01-2018 17:30:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Ezi ที่ 24-01-2018 23:53:38
เราอ่านเรื่องนี้แล้ว สนใจปรัชญาขึ้นมาทันทีเรย

น้องปอ บอกรักไปเลยลูกกก คนนี้ไม่รักไม่ได้แล้วนะน้องปอออ


คนเขียน สู้ๆ นะคะ เวลาจะทำให้ทุกๆ อย่างดีขึ้น
สัญญา ถ้าเรื่องนี้มีแบบเล่ม , แบบอีบุ๊ค เราจะซื้อทุกทางเรยย
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 25-01-2018 02:36:21
เป็นกำลังใจให้นะคะ รอติดตามผลงาน

ภูมิยอมรับตัวเองแล้ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-01-2018 22:45:07
เสียใจด้วยนะคะเรื่องคุณพ่อ
เราเป็นกำลังใจให้ในทุกๆ เรื่องนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ifangza! ที่ 26-01-2018 23:08:42
เรารอ มาต่ออีกเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 11-02-2018 20:22:20
พึ่งเห็นว่ากลับมาอัพ ดีใจมากๆเลยค่ะ ก่อนอื่นเลยขอเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี :D
ส่วนตอนนี้สงสารพีพีจัง คงปวดใจน่าดูเลย ปอนะปอ!! แต่ก็เข้าใจปอแหละ จะให้บอกก็คงจะไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่าไม่มีดราม่าก็จะเชื่อตามนั้นเลยค่ะ5555 จะรอคอยตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: dino94 ที่ 26-02-2018 15:46:20
เสียใจด้วยนะคะเป็นกำลังใจให้คนแต่งแล้วก็คุณแม่ด้วยค่ะ สู้ๆนะคะ
แล้วก็ดีใจที่กลับมายังไงก็จะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 07-08-2018 17:20:30
 :impress2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 07-08-2018 17:32:07
#14 โลกของแบบ



บ่ายวันนี้ปรนัยทำการยึดห้องภาคด้วยหนังสือสามกอง และชีตเรียนอีกปึกใหญ่ ช่วงเวลาครึ่งเทอมหลังทำให้รายงานมากมายถาโถมดั่งพายุ มือใหญ่หยิบโพสต์อิตที่เขียนสรุปงานขึ้นมา สองนิ้วนวดระหว่างคิ้วแบบเนือยๆ พลางจ้องมองลิสต์ลำดับต่อไปที่ขีดเส้นใต้ด้วยสีแดง

‘รายงานกรีก’

เขาคุ้ยหนังสือที่เกี่ยวข้องมาวางใกล้ๆ ก่อนจะเปิดดูเนื้อหาเพื่อเติมเต็มสมองอันกลวงเปล่า หากอ่านไปได้สองหน้า เสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคยก็ดังแทรกเข้ามาเสียก่อน

"อ้าวเฮียไม่เข้าเรียนปรัชญาดนตรีเรอะ"

ร่างสูงหันไปตามเสียงนั้น ก่อนจะพบว่าเป็นไอ้ท่านขุนมนุษย์เด็กปี 2 ที่ไม่เคยญาติดีกันสักครั้งในชีวิต

"กูไม่ได้ลงตัวนี้" เขาตอบเนือยๆ ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย

"หืออออ" ไอ้ห่าขุนลากเสียงยาว "ผมเห็นเฮียเรียนทุกคาบอะ"

"แค่ไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนพี--” ปลายเสียงชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่กูไปเป็นเฮียมึงตั้งแต่เมื่อไร??"

"ผมเพิ่งพิจารณาเลื่อนขั้นให้เฮีย" อีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม "มาคิดดูแล้วให้เฮียเป็นเฮียมันก็จะง่ายขึ้น"

"อะไรง่ายขึ้น?" คนถามพยายามฝ่าฟันบทสนทนาอันงุนงงนั้น

"ก็พีพี--" หนุ่มรุ่นน้องอธิบายได้แค่สองคำก็โดนเสียงเข้มพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“ภูมิ”

ขุนเบ้ปาก “เออๆๆ ก็พี่ภูมิเป็นเหมือนน้องชายเฮีย ถ้าผมให้เฮียเป็นเฮีย เฮียก็จะได้เชียร์ผมบ้างไง"

"เมื่อปีหนึ่งมึงได้ลงเรียนตรรกวิทยามั้ย"

ไอ้ขุนตอบกลับด้วยสีหน้าแบบ 'ถามอะไรโง่ๆ' แต่ยังดีที่มันตอบว่า "เด็กปรัชญาก็ต้องเรียนทุกคนดิวะเฮีย"

"แล้วมึงไปเอาตรรกวิบัติๆ แบบนี้มาจากไหน!?"

"โธ่เฮี้ยยยย”

คนฟังสะดุ้ง “เสียงลงต่ำหน่อยก็ได้มั้ง”

 เด็กปีสองในเสื้อสูทที่ดูเหมือนอาจารย์มากกว่านักศึกษายิ้มแหย

“นั่นแหละ เฮีย... เฮียว่าพี่ภูมิจะชอบสไตล์ผมมะ” ถามพลางขยับเสื้อคลุมสีเข้ม

“สไตล์มึง?”

“ใช่ดิ ลุคแบบผู้ใหญ่ สไตล์อัจฉริยะ”

คนฟังเลิกคิ้ว “อัจฉริยะหรือคนบ้า กูว่ามึงลองทบทวนดูก่อน”

“เฮี้ยยยยยย!!!”

“โอ๊ยยย!! รำคาญโว้ยยย กูจะทำรายงาน ไป๊ๆๆ”

“จำไว้เลย เฮียแม่ง!” ไอ้ท่านขุนกระแทกเสียงก่อนเดินปึงปังออกไป

ปรนัยถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังความสงบมาเยือน ใบหน้าคมก้มลงอ่านหนังสือต่อ พลางขบคิดว่าเขาจะเอาตัวรอดจากรายงานฉบับนี้ยังไงดี



‘มึงว่าปรัชญากรีกกูควรทำรายงานเรื่องอะไรดีวะ’

สองอาทิตย์ก่อนเขาถามภาคภูมิเกี่ยวกับวิชาที่ฝ่ายนั้นเรียนไปแล้ว ส่วนเขาต้องมาเก็บตกในเทอมนี้ เพราะตอนที่เพื่อนๆ เรียนกัน ตารางดันชนกับภาษาอังกฤษที่เขาต้องเรียนซ้ำ

‘มึงเข้าใจคอนเซปต์ของนักปรัชญาคนไหนก็เลือกคนนั้นดิ’ ผู้มีประสบการณ์แนะนำ ‘อ.กรรณิการ์ชอบให้เขียนจากความเข้าใจ ลอกหนังสือไปแกให้ศูนย์หมด’

‘เหยดเข้!’ คนตกที่นั่งลำบากร้องลั่น ‘แล้วถ้ากูไม่เข้าใจเลยอะ’

คนฟังหันขวับ ‘ไปลงเรียนใหม่เลยมึง’

‘อย่าใจร้ายยยย’

ภาคภูมิส่ายหน้าด้วยความระอา ‘ส่งหลังมิดเทอมไม่ใช่เหรอ รีบๆ ทำได้แล้ว’

‘ช่วยกูคิดหน่อย นะ นะ นะ’

‘ไม่’ เสียงเรียบเอ่ยก่อนจะกลับไปสนใจการ์ตูนในมือเหมือนเดิม

   ถึงจะโดนเมินใส่ แต่สุดท้ายปรนัยก็ได้รับหนังสือเล่มนี้จากเพื่อนสนิท พร้อมโน้ตย่อทุกบทที่เจ้าตัวทำไว้ตอนเรียน ถ้ามีตำแหน่ง Best friend of the year เขาก็คงยกให้ไอ้ภูมิอย่างไม่ต้องสงสัย ...แต่แล้วเขาก็ดันทำท่าจะล้ำเส้นเฟรนด์โซนกับคนที่ดีต่อตนเองขนาดนี้เลยนะ!


   “ควายยยย”

   คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ต้องสะดุ้งกับเสียงตะโกนแหวกความเงียบ ซึ่งตัวละครใหม่ที่โผล่เข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไอ้ชิง ไอ้ห่าชิง คนนี้นี่เองงงง

   “สัส!” ปรนัยตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่มีเรียนหรือไง มากวนตีนกูกันจัง”

   ผู้มาใหม่ยักไหล่ โยนกระเป๋าลงกลางโต๊ะประชุมฝั่งที่ว่างอยู่

   เห็นท่าทางกวนอารมณ์แล้วคนมาก่อนก็ได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ

   “ทำไรวะ” ชิงชิงลากเก้าอี้ทำงานที่ไม่มีที่พักแขนมาต่อกันสามตัว แบบสมมติว่าเป็นเตียงนอน

   “รายงานกรีก”

   คนที่กำลังทิ้งตัวลงนอนร้อง “อ้อ” แล้วก็ไม่ได้สนใจไถ่ถามอะไรอีก

   เมื่อปอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีประเด็นพูดคุยอะไร จึงหันกลับมาสนใจรายงานของตัวเองต่อ มือหนาพลิกหนังสือไปเรื่อยๆ จนเจอกับหัวข้อหนึ่งที่รู้สึกคุ้นชื่อที่สุด

   ‘เพลโต’

   ตัวอักษรบนกระดาษโน้ตเขียนไว้ว่า ‘โลกของแบบ’ ปรนัยพยักหน้าหงึกๆ กับตัวเอง

   จริงๆ แล้วปรัชญากรีกเป็นวิชาที่ไม่ยาก เน้นศึกษาความคิดของนักปรัชญาโบราณที่เป็นรากฐานของปรัชญาตะวันตก โดยมากนักปรัชญาในยุคนี้ จะสนใจศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติและโลกภายนอก โดยเฉพาะคำถามที่ว่า สิ่งที่ก่อกำเนิดโลกคืออะไร
 
   “ถ้าพูดถึง ‘โลกของแบบ’ มึงนึกถึงอะไร” ปรนัยโยนคำถามไปให้สิ่งมีชีวิตอีกคนที่เรียนวิชานี้ไปแล้ว

   ชิงชิงลืมตาขึ้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปด้วยความมั่นใจ

   “เพลโต”

   คนรอคำตอบแทบจะสำลักน้ำลาย “โอ๊ยยยย ฉลาดจังโว้ยยย”

   “โห่! ผ่านมาปีนึงแล้วปะ” ชิงโวยวาย “ถามอะไรที่มันปัจจุบันๆ หน่อยดิวะ”

   “เช่น?”

   “เช่น ใครไปนั่งเรียนปรัชญาดนตรีเป็นเพื่อนไอ้ภูมิไรเงี้ย”

   “.............” ปรนัยเงียบ

   “แล้วเลือกไปถูกวันด้วยนะ วันนี้เค้าสอนเรื่องเพลงรัก” คนที่นอนเหยียดบนเก้าอี้ยังว่าต่อ “กูล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าคณะเภสัชนี่เค้าให้เด็กลงเรียนเทอมละกี่ตัว ทำไมมันดูว้างว่าง”

   มือหนาวางปากกาขณะหันไปสบตากับเพื่อนสนิท “แล้วมึงอะเรียนเทอมละกี่ตัว ทำไมมันดูว้างว่าง”

   “สึสสสสส!!!” สบถใส่ไอ้คนกวนอารมณ์ แล้วชิงก็กลับมาเอาจริงเอาจังกับการนอนเช่นเคย

   แม้จะแสร้งทำเป็นอ่านหนังสือ แต่ในสมองกลับไม่มีเนื้อหาของรายงานอยู่ในนั้นสักนิด เพราะเรื่องที่รบกวนปรนัยกลับกลายเป็นเรื่องเจ้าของหนังสือมากกว่า

   ...ไม่รู้ว่าแม่งเป็นคนฮอตตั้งแต่เมื่อไร ไหนจะคนบ้าที่มาประกาศตัวว่าจะจีบ ไหนจะคนเพี้ยนที่อุตส่าห์ไปนั่งเรียนด้วย อ่อ แล้วก็ยังมี... เพื่อนเหี้ยๆ ที่ทำท่าจะคิดไม่ซื่ออีกคน

น่ารำคาญจริงๆ ...โดยเฉพาะไอ้คนสุดท้ายเนี่ย!

   คิดอย่างหงุดหงิด ขณะพยายามโฟกัสที่หนังสือซึ่งมีไฮไลต์สีเหลืองขีดเน้นข้อความไว้เป็นระยะ



‘ความสนใจของเพลโตนั้นมุ่งสู่ “สิ่งที่เที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง” ทั้งในธรรมชาติ ศีลธรรมและสังคม เพลโตเชื่อว่า ทุกอย่างที่จับต้องได้ในธรรมชาตินั้นเลื่อนไหล จึงไม่มีสสารใดที่ไม่เสื่อมสลาย ทุกอย่างที่อยู่ในโลกของวัตถุเกิดจากวัตถุที่จะเสื่อมไปตามกาลเวลา แต่ทุกอย่างนั้นล้วนถูกจำลองมาจาก “มโนคติ” (Ideas) หรือ “แบบ” (Form) ที่อยู่เหนือกาลเวลาเป็นสิ่งเที่ยงแท้และไม่เปลี่ยนแปลง’



   
   คนอ่านทวนข้อความด้านบนเป็นรอบที่สามก่อนจะถอนหายใจหนักๆ สมองไม่ปลอดโปร่งพอจะอ่านอะไรซับซ้อนแบบนี้เลย

“งงฉิบหายยย” สบถกับตัวเองอย่างท้อแท้ เมื่ออ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ตารีมองเลยไปยังฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง “ชิง! สัสชิง!”

   คนถูกปลุกร้องอืออาขยับตัว แต่ตายังไม่ลืมขึ้น “ไรอีกกก”

   “ตื่น! มาอธิบายโลกของแบบให้กูฟังก่อน”

   “โว้ยยย” ชิงร้อง “ถามไอ้ภูมินู่นไป๊”

พูดจบคนง่วงก็คว้าหูฟังมาสวม แล้วจัดการเปิดเพลงจากมือถือตนเอง ประกาศตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างถาวร



-----------------------------------------------------



   ‘คุงคูคับ’

   ‘คุงคูคับ’

   ‘ผมมีเรื่องอยากจะถามคุงคูคับ’

   อยู่ๆ หน้าจอมือถือของภาคภูมิก็สว่างวาบด้วยข้อความที่ส่งมารัวๆ ดีที่อาจารย์หันไปเขียนไวต์บอร์ด เขาเลยได้จังหวะกดปลดล็อกหน้าจอแล้วอ่านมันเต็มๆ

   นิ้วเรียวพิมพ์อะไรอยู่สองสามคำพลางรีบกดส่ง หากแล้วคนในบทสนทนาก็ตอบกลับมาอีกแบบไม่ยอมจบ แม้คิ้วคนอ่านจะขมวดมุ่น แต่เรียวปากกลับยกยิ้มจนคนที่นั่งเรียนอยู่ข้างๆ ต้องทัก

   “อารมณ์ดีขึ้นทันตาเลยน้า ใครไลน์มาอะ” วินกระซิบกับคนที่กำลังกัดปากกลั้นรอยยิ้ม ก็เมื่อต้นชั่วโมงภาคภูมิยังทำหน้ายุ่งจนเขาแทบไม่กล้าคุยด้วย

   คนถูกทักกดปิดหน้าจอแล้วหันไปสนใจบทเรียนต่อ

   แม้เจ้าของมือถือจะไม่ตอบ แต่วินก็ตาเร็วพอจะเห็นชื่อคนอีกฝั่งของบทสนทนา ...ปรนัย
   

   ทันทีที่อาจารย์ปล่อยคลาส ภาคภูมิก็มุ่งตรงกลับภาคที่มีไอ้เด็กโข่งรออยู่ จริงๆ ข้อความจากปรนัยไม่มีอะไรมาก แค่ขอให้เขาอธิบายเรื่องที่มันต้องทำรายงานเฉยๆ แต่ด้วยความกวนอารมณ์ของมัน กว่าจะเข้าเรื่องได้ก็เกือบจบคาบนั่นแหละ ทำให้เขาต้องแอบเล่นมือถือในคาบเรียนแบบไม่เคยทำมาก่อน

   “ตอนแรกว่าจะชวนไปหาอะไรกิน แต่ดูแล้วภูมิคงไม่ว่าง” เด็กเภสัชที่ก้าวเดินอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น ภาคภูมิหันไปมองคนพูด ใบหน้าเล็กๆ มีสีหน้าประหลาดใจ หากก็กลับมายิ้มบางๆ เช่นเดิม

   “อ่า...โทษทีนะ เราต้องไปช่วยเพื่อนทำรายงาน แล้วเย็นนี้มีนัดเลี้ยงสายรหัสด้วย”

   “อ่าวเหรอ งั้นถ้าทำรายงานเสร็จแล้ว เราไปส่งมั้ย” คนพูดเอ่ยเสียงกระตือรือร้น

   “ไม่ต้องหรอก เราไปกับพี่รหัสน่ะ”

   “งั้นไปรับก็ได้นะ พี่เค้าจะได้ไม่ต้องวนมาส่ง”

   “เราไม่รู้จะเสร็จกี่โมง กลับเองคงสะดวกกว่า”

   “อ่อ...โอเค” นึกว่ารับคำไปแล้วจะจบ แต่วินก็ชวนคนที่กำลังรีบเดินคุยต่ออีก “นี่...นอกจากแก๊งปอแล้ว ภูมิมีเพื่อนกลุ่มอื่นอีกมั้ย”

   “ถ้าเป็นกลุ่มแบบแก๊งนี้เลยก็ไม่มีแล้วนะ อ่อ...มีเพื่อนมัธยมอีกกลุ่มนึง แต่พอแยกกันมาเรียนก็เลยห่างๆ กันไปแล้ว” อธิบายอย่างจริงจัง ก่อนจะถามกลับอีกฝ่ายบ้าง

   “แล้ววินล่ะ เห็นมาที่ภาคเราบ่อยๆ”

   “เอาจริงๆ นะ” เสียงทุ้มฟังดูจริงจังขึ้นมา “เราไม่มีเพื่อนที่สนิทจริงๆ เลย”

   “หืม...”

   “ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เราสนิทกับแฝดเรามาก เป็นทั้งน้องทั้งเพื่อน รู้ใจเราที่สุด เราเลยไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่นๆ เลย” แววตาเหม่อลอยเหมือนคนพูดไม่ได้เอ่ยกับคนที่อยู่ตรงนี้ “พอแยกกันเรียนคนละมหา’ลัย เราเลยเหมือนตัวคนเดียว”

   “เฮ้ย...อย่าไปคิดงั้นสิ วินก็มีเด็กปรัชญาเป็นเพื่อนไง”

   ใบหน้าหล่อหันกลับมามองคนพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง “เรารู้สึกโชคดีมากเลยที่วันนั้นเดินเข้ามาคุยกับอาจารย์ธารเรื่องพระพิฆเนศ ถ้าไม่กล้าคุยกับอาจารย์ เราก็คงไม่ได้รู้จักเด็กปรัชญาอย่างทุกวันนี้” เด็กเภสัชพรูลมหายใจยาวๆ
 
   มือเรียวตบบ่าเพื่อนเบาๆ “ถ้าอยู่กับใครแล้วสบายใจก็อยู่ไปเถอะ ไม่ต้องคิดมาก”

   “จริงๆ นอกจากแฝดเรา ก็มีอีกคนนะที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ…”

   ถ้อยคำลึกซึ้งถูกส่งผ่านจากเสียงทุ้มมายังคนที่เดินเคียงกันข้างๆ ภาคภูมิเงยหน้าสบกับดวงตากลมที่จ้องมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความหมาย

   “อ่า... วินก็รีบสะสมเพื่อนใหม่ๆ ได้แล้ว จะได้มีคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเยอะๆ” ภาคภูมิหัวเราะแบบไม่เต็มเสียงนัก “ยังไงเรารีบไปหาปอก่อนนะ มันรอนานแล้ว เดี๋ยวงอแง”

   ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างโปร่งก็รีบสาวเท้าเดินไปยังห้องพักของภาควิชาทันที ในใจสับสนกระอักกระอ่วน เมื่อรู้แน่ชัดว่าสายตาจากเพื่อนต่างคณะมีอะไรแฝงมากกว่าความเป็นเพื่อน แต่เขาก็ไม่อาจตอบรับความรู้สึกนั้นได้ ต่อให้อีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน เขาก็คงไม่สามารถคิดอะไรไปเกินกว่านี้

   เพราะนอกจาก ‘คนที่ไม่ได้รักเรา’ แล้ว

    ‘คนที่เราไม่ได้รัก’ ก็เป็นอีกอย่างที่ไม่อาจเลือกเช่นกัน



---------------------------------------------



   “เอาแบบง่ายๆ ก่อนนะ รายละเอียดอื่นๆ ค่อยว่ากัน” ภาคภูมินั่งอยู่บนขอบโต๊ะประชุม ข้างกายคือปรนัยที่กำลังเท้าคางทำท่าคล้ายตั้งใจฟังอย่างยิ่ง แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวกำลังพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้มตรงมุมปาก ที่มันคอยจะผุดขึ้นมาอยู่บ่อยๆ

   ปึ้ง!

   มือเรียวปิดหนังสือที่กางเต็มโต๊ะ หยิบไปวางเรียงบนกองเอกสารซ้ายมือ ขณะเอ่ยถามเสียงเรียบ “ที่ไอ้ชิงนอนทับนั่นอะไร”

   คนกำลังซ่อนรอยยิ้มถึงกับงุนงง แต่ก็ยอมชะโงกหน้าไปมองฝั่งตรงข้ามแล้วตอบคำถามนั้น “เก้าอี้”

   “อาฮะ” ภูมิหันกลับมา “แล้วที่มึงนั่งอยู่ล่ะ”

   “ก็เก้าอี้”

   “แล้วอันนั้นล่ะ” ปลายนิ้วชี้ไปที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ที่พนักพิงหัก ซึ่งถูกเนรเทศไปอยู่มุมห้อง

   “เก้าอี้”

   “มึงรู้ได้ไงว่าเป็นเก้าอี้”

   “อ้าว...” คนถูกถามร้องอย่างงุนงง “ก็มันเป็นเก้าอี้อะ มีที่นั่ง มีขา นั่งได้”

   “แต่ตัวนั้นนั่งไม่ได้นะ” เก้าอี้มุมห้องถูกชี้อีกครั้ง

   คนถูกย้อนถึงกับเงียบ

   “ตกลงมันเป็นเก้าอี้มั้ย”

   “....เป็น” อีกฝ่ายตอบในที่สุด “เก้าอี้ที่พัง ก็ยังเป็นเก้าอี้อะ”

   ภาคภูมิยิ้ม “ถูกต้องนะคร้าบ”

   เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองใจพังยิ่งกว่าเก้าอี้...

“แนวคิดเรื่อง ‘โลกของแบบ’ ก็คือเรื่องเก้าอี้นี่แหละ” คนสอนอธิบาย “คือเพลโตเชื่อว่ามีโลกอยู่สองโลก อันแรกคือโลกที่เราอยู่ อีกอันคือ ‘โลกของแบบ’ แล้วทุกอย่างที่อยู่ในโลกของเรา ก็ถูกจำลองมาจากโลกของแบบ แน่นอนว่าของเลียนแบบมันจะไปเหมือนของจริงเป๊ะๆ ได้ยังไง สิ่งต่างๆ ในโลกนี้เลยบูดๆ เบี้ยวๆ หน้าตาพิกลพิการไปบ้าง แต่ในขณะที่ ‘ต้นแบบ’ ในโลกของแบบจะ....”

   “สมบูรณ์?” เสียงทุ้มเติมคำในช่องว่าง

   “ใช่...สมบูรณ์ สวยงาม ดีงาม เป็นจริง” คนอธิบายตอบรับขณะเลือกหนังสือเล่มอื่นจากกอง “โลกของแบบก็เหมือนแม่พิมพ์...แม่พิมพ์ปั๊มคุกกี้ออกมาเป็นล้านๆ ชิ้น ถามว่ามีชิ้นไหนสวยงามสมบูรณ์ที่สุดมั้ย? ...ไม่ มันอาจจะมีคุกกี้ชิ้นที่กลมสวยเหมือนแม่พิมพ์เป๊ะๆ แต่มันก็ยังไม่ใช่ต้นแบบที่แท้จริง เพลโตเลยคิดว่า เราต้องเข้าถึง ‘แบบ’ ที่เที่ยงแท้และไม่เปลี่ยนแปลง แบบที่เป็นที่สุดของทุกอย่าง เป็น ‘ของจริง’ ไม่ใช่ของจำลอง”

   “คือกูเข้าใจที่เพลโตบอกนะ แต่ไม่ค่อยเข้าใจว่า เราจะต้องไปไขว่คว้าหาไอ้ ‘แบบ’ ที่ว่านั่นทำไม ในเมื่อเก้าอี้ในโลกนี้ก็นั่งได้ คุกกี้บิดๆ เบี้ยวๆ มันก็อร่อยดี”

   “มึงนี่มันมนุษย์ถ้ำจริงๆ”

ปรนัยคิดว่านั่นไม่ใช่คำชม จนกระทั่งภาคภูมิอธิบายจบ เขาก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่คำชมจริงๆ

   “เพลโตเล่านิทานเรื่องนึง เกี่ยวกับมนุษย์ที่ถูกจับมานั่งหันหน้าให้ผนังถ้ำ ทุกๆ วันจะมีคนคอยเอาสิ่งต่างๆ มาชูที่ปากถ้ำ แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านสิ่งของพวกนั้นทำให้เกิดเป็นเงาบนผนัง มนุษย์ถ้ำทุกคนเลยได้ดูแต่เงาจนคิดว่ามันเป็นของจริง แล้ววันหนึ่งก็มีมนุษย์ถ้ำแหกคอกออกมาได้ และพบว่าดอกไม้ของจริง ต้นไม้ของจริงนั้นชัดเจนและสวยงามกว่าเงาลวงๆ บนผนังถ้ำตั้งเยอะ มนุษย์คนนั้นเลยกลับเข้าไปในถ้ำแล้วเล่าให้เพื่อนฟัง ...มึงว่าเพื่อนคนอื่นจะว่าไง”

   “หาว่าคนนั้นโกหก?”

   “ถูก นอกจากไม่เชื่อแล้ว พวกมนุษย์ถ้ำที่เหลือยังฆ่าคนคนนั้นทิ้งไปด้วย”

“โหดสัส!!”

“ในเมื่อมันมี ‘แบบของคุกกี้’ ‘แบบของเก้าอี้’ ที่สวยงามและชัดเจนกว่าบรรดาเงาที่มึงสัมผัสอยู่ในโลกนี้ มึงยังอยากจะหยุดความพอใจแค่ของก็อปปี้หรือเปล่าล่ะ”

“อืม...คงไม่”

   “นั่นแหละ เหตุผลที่เพลโตตามหาโลกของแบบ”

“เฉียบ!” คนฟังยกนิ้วโป้งให้

“นี่คือคอนเซปต์หลักๆ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ มึงก็อ่านเรื่องอื่นๆ ของเพลโตได้เองแล้วล่ะ” อาจารย์จำเป็นกระโดดลงจากโต๊ะ กางแขนบิดตัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับอีกคน “มึงรีบทำรายงานได้แล้ว กูไปล่ะ”

   “อ้าว ไปไหน”

   แทนคำตอบ ภาคภูมิหยิบกล่องของขวัญขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา

   “วันเกิดหลานรหัสกู”

   “ที่?”

   “ชาบูดิป”

   “กูไปส่งมะ”

   “ทำงานไปเถอะ เดี๋ยวพี่ปีสี่มารับ” ขาเรียวเตรียมก้าวออกจากห้อง หากเสียงเรียกของเพื่อนสนิทก็ทำให้เขาชะงัก

   “พีพี”

คนถูกเรียกหันกลับไปมอง จึงได้เห็นแววตาระยับที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว “หืม...?”

“เสร็จแล้วโทรมานะ เดี๋ยวไปรับกลับหอ”

“...อื้ม ประมาณสามทุ่มนะ”

ปรนัยทำท่าตะเบ๊ะรับทราบ ภาคภูมิจึงหันหลังเดินออกมาพลางพยายามซ่อนรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาของตัวเอง



-------------------------------
   

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 07-08-2018 17:41:28
   สามทุ่มตรง ปอก็ได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทว่ากินข้าวกับสายรหัสเสร็จแล้ว ร่างสูงยืดตัวบิดขี้เกียจ รู้สึกเมื่อยขบกับการนั่งทำรายงานเรื่องเพลโตมาเกือบหกชั่วโมง ตอนนี้ห้องภาคไม่มีมนุษย์ที่ไหนอยู่เลยสักคน ไอ้ชิงก็สะบัดก้นไปกับไอ้แก้วตั้งแต่หกโมงเย็น ทิ้งให้เขาเดียวดายในโลกของแบบแต่เพียงลำพัง

   ปรนัยเก็บของเรียบร้อยก็เตรียมเดินตรวจตราทุกห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนเหลืออยู่ เพราะเขาจะล็อกกุญแจประตูใหญ่ของภาคด้วย เสียงทุ้มฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะก้าวไปเปิดห้องต่างๆ พลางนึกว่าจะชวนพีพีไปกินข้าวร้านไหนดี เพราะตอนนี้เขาหิวไส้จะขาดแล้ว

   ห้องอาจารย์สุกฤตเป็นห้องสุดท้ายที่เขาเดินผ่าน มือหนาเอื้อมมือจะเปิดเข้าไป หากแล้วก็เปลี่ยนใจชักมือกลับ เพราะรู้ดีว่านอกจากจะใช้เป็นห้องพักส่วนตัวของอาจารย์แล้ว ห้องนี้ยังเก็บเงินของภาคที่ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ไว้ด้วย ปรนัยเลยไม่อยากมีปัญหา เกิดเงินหายขึ้นมาเขาก็ไม่อยากตกเป็นผู้ต้องสงสัย อีกอย่างวันนี้อาจารย์กฤตก็มีสอนที่วิทยาเขตอื่นด้วย ยังไงก็ไม่มีคนอยู่ในห้องอยู่แล้ว เมื่อคิดดังนั้นร่างสูงจึงเดินไปสับสวิตช์ไฟ แล้วจัดการล็อกประตูอย่างแน่นหนาตามความเคยชิน

   “ฮัลโหล กูออกจากภาคละนะ อีกสิบนาทีมายืนรอหน้าร้านเลย” โทรบอกอีกฝ่ายเรียบร้อย ปอก็ปั่นจักยานออกไปอย่างรวดเร็ว

   สิบนาทีไม่ขาดไม่เกิน คนที่บอกว่าจะมารับก็จอดรถเทียบอยู่หน้าร้านชาบู ภูมิโบกมือให้เพื่อนก่อนจะรีบวิ่งมาขึ้นซ้อนที่เบาะท้าย

   “ตัวเหม็น!” คนขี่ทำจมูกย่นเมื่อได้กลิ่นอาหารจากตัวเพื่อนสนิท

   “จริงดิ..” ภาคภูมิดึงเสื้อตัวเองขึ้นมาดม ก่อนจะทำหน้าเหยเมื่อพิสูจน์ได้ว่าเหม็นจริงตามที่อีกคนบอก “ฮื่อ...โคตรเหม็น! พากูไปส่งเร็วๆๆ”

   “ไปนั่งกินข้าวกับกูก่อน หิว”

   “โหย กูอายคนอื่น ไม่เอาอ่า” คนตัวเหม็นเริ่มงอแง ร้านข้าวในเวลานี้คนยังแน่นทุกร้าน ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าเดินเข้าไปทุกคนจะสาปแช่งเขาขนาดไหน

   “แป๊บเดียวๆ เดี๋ยวไปร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ก็ได้ คนไม่เยอะ”

   “เออๆๆๆ” รับคำแบบไม่เต็มใจนัก ขณะระวังไม่ให้ร่างตัวเองไปพิงเบียดคนข้างหน้า เพราะกลัวเพื่อนจะบ่นว่าเหม็นอีก

   หลังจอดรถหน้าร้านเรียบร้อย ปรนัยก็คว้าไหล่ภาคภูมิแล้วลากให้เดินไปนั่งโต๊ะด้วยกัน คนตัวเล็กกว่าพยายามขืนตัวออก แต่วงแขนของอีกฝ่ายก็รัดแน่นเกินจะสู้ไหว

   “อย่ามาโดนตัวดิ” เอ่ยเบาๆ เมื่อทำยังไงก็ไม่อาจสะบัดหลุดจากคนข้างๆ ได้

   ใบหน้าคมหันมาพลางเลิกคิ้วเป็นคำถาม “ทำไมอะ”

   “เดี๋ยวกลิ่นติดเสื้อมึงไง”

   แทนคำตอบ มืออุ่นกลับเลื่อนลงมาที่เอวแล้วรั้งร่างโปร่งของเพื่อนให้เข้ามาชิดกว่าเดิม

   “เชี่ยยย!!” คนโดนแกล้งอุทานเสียงลั่น

   “หึหึ”

   หัวใจที่เต้นถี่รัวทำเอาภาคภูมิสมองเบลอไปชั่วขณะ จนเมื่อมือหนักๆ กดไหล่ให้นั่งลงนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว

   “ไม่เล่นแบบนี้ดิ คนอื่นจะมองมึงไม่ดี” ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ ร้าน ถึงคนจะไม่เยอะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย

   “ไม่ได้เล่น...” ปลายเสียงเอ่ยแผ่ว จนคนตรงข้ามตรงถามซ้ำ

   “หือ?”

   “เปล่า...มึงอย่าไปคิดมากดิ”

   คนถูกกล่าวหาลอบถอนหายใจ ...ก็เพราะว่ากูคิดมาก แล้วมึงคิดน้อยนี่ไง กูถึงได้อาการหนักอยู่คนเดียว

   ปอลุกไปสั่งก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะตักน้ำแข็งเปล่ามาสองแก้ว “เอาน้ำไร”

   “น้ำเปล่าก็ได้”

   เสียงตอบรับเจือความกังวลจนคนฟังรู้สึกได้

   “เป็นไรเปล่ามึง” แขนยาวๆ เอื้อมมาแตะหน้าผากขอคนตรงข้าม

   “เปล่า...แค่รู้สึกว่าตัวเหม็น ไม่มั่นใจ” ภูมิตอบไปอีกทาง

   “มานี่มา” มือหนาตบปุๆ บนเก้าอี้พลาสติกข้างตัวเอง

   “อะไร”

   “มานั่งตรงนี้”

   “ไม่เอา ทำไมต้องไปนั่งตรงนั้นด้วย”

   “ได้...” คนบงการเอ่ยเสียงเรียบ ในเมื่ออีกคนไม่ยอมลุก งั้นเขานี่แหละที่จะลุกไปนั่งข้างๆ เอง

   “เฮ้ยๆๆ อะไรของมึงเนี่ย! มานั่งเบียดกูทำไม” ภูมิโวยวาย สองมือผลักร่างคนตัวโตที่ย้ายมานั่งแถมทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้

   “กูอยากนั่ง ...อะ ก๋วยเตี๋ยวมาแล้ว มึงก็เลิกผลักซะที เดี๋ยวชนน้องเค้า” ปรนัยหมายถึงเด็กที่ยกชามก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ พอบอกอย่างนั้นคนข้างๆ เลยหยุดผลักเขาแต่โดยดี

   ภาคภูมิทำหน้าเซ็งขณะรอเพื่อนสนิทกินก๋วยเตี๋ยว แล้วไม่รู้เป็นบ้าอะไร อยู่ๆ ก็เกิดจะเป็นคนกินช้าเคี้ยวช้าขึ้นมา ทั้งๆ ที่ปกติมันซัดเอาๆ ไม่ถึงห้านาที

   “ขอทิชชู่หน่อย” คนกินบุ้ยปากไปยังกล่องทิชชู่ที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่กลับแกล้งพูดให้อีกคนหยิบให้เสียอย่างนั้น

   “วันนี้มึงดูเพี้ยนๆ นะ” คนที่กำลังส่งทิชชู่ให้เพื่อนเปรยขึ้นอย่างหวาดระแวง

   “ยังไง?”

   ภูมิถอนหายใจ “มึงคิดว่าผู้ชายปกติจะมานั่งเบียดกันแบบนี้มั้ย”

   “...มึงไม่ชอบเหรอ” มือหนาวางตะเกียบลงกับขอบชาม

   น้ำเสียงหงอยๆ นั่นทำให้คนดุเริ่มใจอ่อน “คือ...กูรู้ว่ามึงไม่คิดอะไร แต่คนอื่นเค้าจะมองแปลกๆ มั้ยอะ”

   “ขอโทษ... กูเห็นมึงกังวลกับไอ้เรื่องตัวเหม็น ก็แค่อยากมานั่งใกล้ๆ ให้มึงไม่ต้องคิดมาก” ฝ่ามืออุ่นเอื้อมมาตบไหล่คนข้างๆ เบาๆ “ใครจะคิดยังไงก็ช่างแม่ง รู้แค่ว่ากูเป็นห่วงความรู้สึกมึงก็พอแล้ว”



   หลังจากก๋วยเตี๋ยวมื้อนั้น ปรนัยก็ปั่นจักรยานมาส่งเพื่อนสนิทตามสัญญา แต่จะเกินสัญญาอยู่หน่อยๆ ก็ตรงที่สารถีพาตัวเองขึ้นมาบนห้องของอีกฝ่ายด้วยนี่แหละ

   “มึงจะตามกูขึ้นมาทำไมเนี่ย” เจ้าของห้องกุมขมับ เมื่ออยู่ๆ ก็มีวิญญาณตามติดมาประหนึ่งชัตเตอร์

   “ขี้เกียจกลับหอ” ตอบหน้าซื่อก่อนจะเดินไปล้างมือล้างเท้าเรียบร้อย

   “พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ กลับไปได้แล้ว ไป๊ๆๆ”

   “ไม่เอา ขอเล่นด้วยก่อน” ปรนัยโหมดเด็กดื้อ ทำเอาภาคภูมิเหนื่อยอกเหนื่อยใจ

   “กูจะอ่านหนังสือ พรุ่งนี้มีควิซอิ๊ง”

   “งั้นกูทำรายงานต่อก็ได้”

   “ก็ไปทำที่ห้องดิ้”

   “ไม่เอา ไม่มีสมาธิ”

   การเถียงข้างๆ คูๆ ที่ดูจะทำให้เสียเวลามากกว่าเดิมทำให้ภาคภูมิยอมแพ้ เจ้าของห้องจึงทิ้งให้ไอ้คนเพี้ยนได้อยู่ในห้องตามที่มันต้องการ ส่วนตัวเองหนีมาอาบน้ำเพราะทนกับกลิ่นชาบูไม่ไหว ออกมาอีกทีก็เห็นปรนัยนั่งปักหลักอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวที่มันเคยใช้ พร้อมใบหน้าคมที่ดูเคร่งเครียดไม่เหมือนยามปกติ

   “เข้าสู่โลกของแบบอยู่เหรอ” เสียงใสเอ่ยถามขณะใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมไปด้วย

   กลิ่นหอมสดชื่นทำให้ปรนัยต้องเงยหน้าขึ้นมา แล้วหัวใจก็พลันกระตุกกับใบหน้าใสๆ ที่กำลังชะโงกมาดูรายงานของเขา “ชะ..ใช่”

   ตอบจบก็กระแอมไอด้วยความเคอะเขิน ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากได้ภาคภูมิเวอร์ชันคลุ้งกลิ่นชาบูมากกว่า เพราะรู้สึกว่าควบคุมตัวเองได้ยากเหลือเกินในยามนี้

   “ไปอาบน้ำก่อนมั้ย สมองจะได้แล่นๆ” ร่างโปร่งขยับไปนั่งบนเตียงพลางหยิบแว่นขึ้นมาสวม มือหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเช็กอะไรไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่ทันได้เห็นว่าอีกคนในห้องกำลังสมองมึนตึง หากไม่ใช่เพราะบทเรียนแต่อย่างใด

   “เออ กู...ยืมผ้าเช็ดตัวหน่อยนะ” แล้วแขกผู้มาเยือนก็หุนหันเข้าห้องน้ำไปทันที

   เมื่อผมแห้งดีแล้ว ภูมิก็ย้ายตัวเองมาที่โต๊ะเขียนหนังสืออีกตัวที่อยู่ข้างกัน มือเรียวกดเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ อย่างที่ชอบ แล้วหยิบชีตที่จะสอบพรุ่งนี้ออกมา เปิดเร็วๆ ดูเพื่อประเมินเวลาที่ใช้อ่าน เมื่อเห็นว่ามีไม่เยอะก็รู้สึกเบาใจ ตัวนี้เขาทำคะแนนเก็บกลางภาคได้ค่อนข้างดี เลยไม่ได้กังวลอะไรนัก แต่ยังไงก็อยากอ่านทวนไว้กันพลาด

    อ่านไปได้สักพัก เสียงสั่นครืดเบาๆ ก็ดังเข้าโสตประสาท ตอนแรกเขาคิดว่ามาจากเพลง แต่เมื่อเพลงใหม่เริ่มต้นเสียงนั้นก็ยังอยู่เหมือนเดิม ความประหลาดใจทำให้เจ้าของห้องเริ่มต้นหาที่มาของเสียงนั้น มือนิ่มจับยกของทุกอย่างพลิกนู่นพลิกนี่ดู เสียงสั่นนั่นก็ยังไม่หยุด เขาไล่มาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็พบตัวต้นเหตุ ซึ่งอยู่ในกระเป๋าเป้ของปรนัย

   ไม่ทันที่ภาคภูมิจะหยิบออกมา ปลายสายก็ตัดไปก่อน เมื่อนั้นเขาจึงเห็นจำนวนสายที่ไม่ได้รับที่มากกว่า 10 สาย ความกังวลพุ่งตัวขึ้นมา หากก็ยังมีมารยาทพอที่จะไม่กดปลดล็อกดู กำลังจะตัดสินใจเรียกเจ้าของเครื่อง วัตถุในมือก็ดันสั่นขึ้นมาเสียก่อน

   ‘อ.กฤต’

   ชื่อที่บันทึกไว้แสดงอย่างนั้น ภาคภูมิจึงตัดสินใจกดรับ

   “สวัสดีครับอาจารย์”

   “ปอ...เอ่อ ภูมิ? ภูมิเหรอครับ”

   “ใช่ครับ พอดีปออาบน้ำครับ...” ตอบไปแล้วก็รู้สึกแปลกๆ กับประโยคบอกเล่าของตัวเอง หากปลายสายกลับมีน้ำเสียงร้อนรนตอบกลับมา

   “คือมีเด็กติดอยู่ในภาคคนนึง ผมรบกวนให้ไปไขประตูให้น้องหน่อยได้มั้ยครับ”

   “อ้าว!! ใครเหรอครับอาจารย์” ภาคภูมิตกใจไม่แพ้กัน เหลือบดูเวลาก็พบว่าห้าทุ่มแล้ว ไม่รู้น้องติดอยู่ตั้งแต่ปอออกมารับเขาเลยหรือเปล่า

   “แตงกวาครับ น้องปีหนึ่ง”

   “ครับๆ เดี๋ยวผมกับปอไปไขให้อีกไม่เกินสิบนาทีนะครับ”

   “ยังไงฝากอยู่เป็นเพื่อนน้องก่อนนะครับ ผมกำลังกลับไป อีกครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง”

   เสียงร้อนรนนั้นทำให้ภูมิไม่กล้าถามอะไรมาก ได้แต่เปลี่ยนชุดแล้วไปเคาะเรียกเพื่อนให้กลับไปที่ภาคด้วยกัน



------------------------------------


   เขาสองคนไปถึงหน้าภาคในอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ปรนัยรีบใช้กุญแจที่ซ่อนอยู่หลังป้ายภาคไขเข้าไปโดยเร็ว มือหนารีบสับสวิตช์ไฟขึ้น ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องพักอาจารย์สุกฤต

   ภาพที่ปรากฏแก่สายตา คือเด็กผู้ชายปีหนึ่งที่พวกเขาคุ้นหน้ากำลังนั่งตัวสั่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร

   “แตงกวา...” เป็นภาคภูมิที่เรียกชื่ออีกฝ่าย เพียงเท่านั้นเจ้าของชื่อก็วิ่งเข้ามาและโถมกอดเขาไว้แน่น รุ่นพี่ปีสามมีสีหน้าตื่นตะลึงขณะหันมามองหน้ากัน ปรนัยได้สติก่อนจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะของรุ่นน้องเป็นเชิงปลอบใจ

   “ไม่เป็นไรนะ พวกพี่อยู่นี่แล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยหวังให้คนที่ถูกขังไว้ใจเย็นลง ทว่าแรงสะอื้นกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขาคิดว่าไม่น่าปลอบไหว

   “มึง!” พีพีเรียกเพื่อนสนิทด้วยเสียงร้อนรน ก่อนจะทำมือส่งสัญญาณให้อีกคนโทรหาอาจารย์กฤต

   ปอหยิบมือถือออกมาและกดโทรกลับไปหาผู้เป็นอาจารย์อย่างรวดเร็ว สัญญาณดังไม่ถึงสองวินาทีปลายสายก็กดรับอย่างรวดเร็ว

   “ครับปอ”

   “อาจารย์ ผมอยู่กับแตงกวาแล้วนะครับ แต่ว่าน้อง...”

   “ช่วยเปิดสปีกเกอร์โฟนให้หน่อยครับ” เสียงเรียบๆ ทว่าอบอุ่นเอ่ย เจ้าของโทรศัพท์จึงรีบทำตาม

   “เปิดแล้วครับ”

   “แตงกวา ...แตงกวา นี่ผมเองนะ...” อาจารย์กฤตเรียกชื่อลูกศิษย์ตัวเองแผ่วเบา

   ร่างเล็กที่กำลังร้องไห้ค่อยๆ กลั้นเสียงสะอื้นลง พยายามตอบรับปลายสาย “ครับ...ฮึก...ครับอาจารย์”

   “ผมอยู่ตรงบิ๊กซีแล้วนะ อีกไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว...”

   “ฮือ...ครับ...”

   “ผมซื้อแซนด์วิชไปฝากด้วยนะ ไส้ปูอัด กวาหิวหรือเปล่า”

   “หิว...หิวครับ”

   “งั้นอยู่กับพี่ปอพี่ภูมิก่อนนะ ไม่ร้องไห้แล้วนะ ยิ่งร้องยิ่งหิวนะรู้มั้ย”

   “ผมไม่..ฮึก..ร้อง...ไม่ร้องแล้ว..ครับ”

   “เก่งมากครับ งั้นรอผมเดี๋ยวเดียวนะ” บอกกับเด็กน้อยเสร็จ อาจารย์กฤตก็เปลี่ยนมาพูดกับเจ้าของโทรศัพท์ต่อ “ปอครับ ผมขอคุยด้วยหน่อย...”



   เสียงรถยนต์อันคุ้นหูทำให้แตงกวาที่นั่งสะอื้นอยู่ในห้องรีบลุกขึ้น ไม่นานหลังจากนั้น ร่างสูงโปร่งของอาจารย์กฤตก็เปิดประตูเข้ามา ภาคภูมิกำลังจะยกมือไหว้ แต่ช้ากว่าเด็กปีหนึ่งที่พุ่งเข้าไปกอดผู้มาใหม่ไว้แน่น

   “ไม่เป็นไรแล้วนะกวา” ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังของร่างเล็กๆ ที่กอดตนเองอยู่ ก่อนจะหันมาพูดกับนักศึกษาอีกสองคน “ขอบคุณปอกับภูมิมากนะครับ”

   แตงกวาที่ยืนซุกอยู่หลังอาจารย์ค่อยๆ ยกมือขึ้นไหว้รุ่นพี่ทั้งสองคน ใบหน้าเล็กยังเปรอะไปด้วยน้ำตา แต่แววตาดูไม่ได้หวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้

   “ผมคือคนล็อกประตูห้องภาคเองแหละครับ คิดว่าในห้องอาจารย์ไม่มีคนอยู่ ขอโทษด้วยนะครับ” ปอบอกก่อนจะหันไปพูดกับรุ่นน้อง “พี่ขอโทษอีกทีน้าา”

   คนถูกลืมไว้ในห้องภาคส่ายหัวระรัว “ผมขอโทษ...ผมเผลอหลับไปครับ”

   แววตาสำนึกผิดที่สะท้อนออกมาทำให้ปรนัยรู้สึกสงสาร และไม่อยากให้ใครต้องมาขอโทษใครอีก

   “งั้นเรากลับกันเลยมั้ยครับ”

   “ปอกับภูมิมายังไง ให้ผมไปส่งมั้ย” อาจารย์กฤตเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงมาดึกมากแล้ว

   “ไม่เป็นไรครับๆ เดี๋ยวพวกผมกลับกันเองดีกว่า”

   “โอเคครับ งั้นปอกับภูมิกลับกันก่อนเลยนะ เดี๋ยวผมปิดภาคเอง”


   
   เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ตอนที่ปรนัยปั่นจักรยานกลับมาตามถนนเส้นเดิม ไดคัทป้ายพี่ตูนบอดี้สแลมยังตั้งอยู่ที่เก่า  เช่นเดียวกับที่มีคนคนเดิมซ้อนจักรยานเขามาด้วย แม้อากาศจะเย็นลง แต่มือนิ่มๆ ของภาคภูมิที่เกาะไหล่อยู่ก็ทำให้เขาอบอุ่นใจอย่างประหลาด

   “น่าสงสารน้องมันเนอะ ถูกพ่อทารุณถูกขังจนฝังใจ” คนซ้อนเปรยขึ้นเบาๆ หลังรู้เรื่องราวที่อาจารย์กฤตเล่าให้ปรนัยฟัง

   “ดีแล้วที่จารย์กฤตช่วยดูแล”

   “อาจารย์คงห่วงมาก ขับรถกลับมาจากกรุงเทพฯ เลย”

   “ก็คงงั้น” คนขี่จักรยานรับคำขณะบังคับรถให้เลี้ยวเข้าประตูหอพักของภาคภูมิอย่างเคยชิน “นี่มึงจะอ่านหนังสือต่อเปล่า”

   “คงอ่านแหละ ยังไม่ง่วง แล้ว...มึงจะกลับเลยมั้ย”

   “ไล่กูอีกละ เออๆ ถ้าอยากให้กลับเดี๋ยวกู...”

   “นอนห้องกูก็ได้” เจ้าของห้องเอ่ยแทรกขึ้นมา “...เดี๋ยวช่วยดูรายงานเพลโต”


   โลกของแบบที่เพลโตพูดไว้ก็คงดี
   แต่ปรนัยอยากอยู่ในโลกใบนี้มากกว่า : )




TBC.

Welcome to my world (of forms) ค่าาา
ก้มกราบทุกคน สำนึกผิด เตรียมหลังมาให้ลงหวาย!!
ขนาดเล้าเป็ดยังเตือนว่ากระทู้ไม่มีความเคลื่อนไหวมากว่า 90 วัน เอ็งจะยังโพสต์มั้ย
ฮืออออออออออ

ลงทัณฑ์บัญชาแล้วก็ขอให้อ่านนังปอกับพีพีอย่างรื่นรมย์นะคะ
ตั้งใจเขียนมากๆ เป็นอีกตอนที่อยากเล่า อยากสอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกของทุกๆ คนไว้
ส่วนใครงงเรื่องเพลโตก็ไม่เป็นไร เพราะคนเขียนก็งง!
งงมาตั้งแต่ตอนเรียน พอจะเอามาเขียน ต้องให้เพื่อน (ที่ตอนนี้เป็นอาจารย์) อธิบายให้ฟังอีกรอบ
ถ้าใครสนใจอยากอ่านเพิ่มเติม ลองไปหาอ่านกันได้
แนะนำให้เริ่มจากหนังสือเรื่อง "โลกของโซฟี" แล้วค่อยไปอ่านเล่มอื่นๆ จะเข้าใจมากขึ้นค่ะ

อ่านแล้วอยากไปเมาท์ในทวิตเตอร์ รบกวน #SweetDilemmaFiction ให้หน่อยนะคะ

ปล. ตอนหน้าพบกับอ.กฤตและแตงกวานะค้า
กำเส้นศีลธรรมให้แน่น แล้วเจอกัน!!


***มาเพิ่มเติมว่าจะมีพาร์ทพิเศษลงในเพจนะคะ ยังไงฝากติดตามด้วยค่ะ***
https://www.facebook.com/lykarfanpage/
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-08-2018 17:43:01
ไรท์ หายไปไหน  ไม่สบายหรือเปล่า   :mew2: :mew2: :mew2:

หายดีแล้วมาต่อนะ  คิดถึงนิยายดีๆ เรื่องนี้มากกกกกกกกกกกก   :z3: :z3: :z3:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #13 All I know (Update! 23/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 07-08-2018 17:48:44
ไรท์ หายไปไหน  ไม่สบายหรือเปล่า   :mew2: :mew2: :mew2:

หายดีแล้วมาต่อนะ  คิดถึงนิยายดีๆ เรื่องนี้มากกกกกกกกกกกก   :z3: :z3: :z3:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


เรารีพลายชนกันหรือเปล่าาาา เพิ่งอัพตอนที่ 14 ไปเมื่อกี๊ ไม่แน่ใจว่าเห็นมั้ย กลับมาดูก่อนน้า
แต่หายไปนานจริง ขอโทษจริงๆ ค่า พยายามปรับปรุงตัว ไม่หาย ไม่ดองน้าาา
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 07-08-2018 20:10:11
กำลังคิดถึงปอกับพีพีเลยค่ะ มาพร้อมเพลโต และความฟินพอกรุบกริบๆ  :hao3:

อ่านไปก็สงสารท่านขุน คุณวิน ผู้ที่ต้องอกหักแน่ ๆ สงสารน้องแตงกวาที่ถูกขังลืมแบบมืด ๆ (มันน่ากลัวจริง ๆ น้า) และสงสารปอ ผู้รู้ตัวและต้องอยู่ใกล้ชิดกับพีพีอย่างเปี่ยมสุขปนทุกข์ทรมาณ 555

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-08-2018 20:22:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 07-08-2018 20:35:03
นี่ต้องอ่านชื่อเรื่องอีกรอบนึง
กลับมาแล้ว ดีใจ ดีใจจัง ฮือออ จะไม่ทิ้งกันไปอีกใช่ไหมมม :sad4: :sad4:

มาให้กอดทีค่ะ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-08-2018 20:43:42
หายไปนาน พอกลับมาก็ทำให้หายคิดถึงตอนเขามุ้งมิ้งกันนี่แหละ
รอตอนต่อไปน้าาา
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 07-08-2018 20:58:49
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ลั่นบ้านเลยค่า คิดถึงมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: idee ที่ 07-08-2018 22:58:41
โอ๊ยยยยย ดีใจที่กลับมาเจอกันนะคะไรท์เตอร์ คิดถึงมากๆๆๆ จริงๆ นะ
ขอบคุณที่ทำให้เราเข้าใจเพลโตมากขึ้นค่ะ อธิบายได้เข้าใจง่ายมากๆ
ชอบความแอบยิ้มของพีพีในตอนนี้ หุหุ

แง ขอบคุณค่ะ ที่ทำให้เรายิ้มได้
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-08-2018 23:57:30
ปอกับพีพีหยุดเรียนไปนาน เพื่อนเขาเลื่อนชั้นกันหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 08-08-2018 00:25:20
อยากบอกให้รู้ว่าเค้าเกือบลืมเนื้อเรื่องไปแล้วววววว   :mew4:
ใครคือปอ ใครคือพีพี เค้าจำไม่ได้แล้ววววว  :z1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 09-08-2018 11:40:04
ฮื่อดีใจกลับมาอัพต่อแล้ววคิดถึงมากๆเลยค่ะ
ต้องกลับไปอ่านเนื้อเรื่องใหม่อีกรอบเพราะลืมเนื้อเรื่อง5555555
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 12-08-2018 16:06:02
แทบกรี๊ดคือล่าสุดเพิ่งทวิตไปว่าอยากอ่านต่อ อย่าหายไปอีกนะคะ; - ; แงงงงงงง //กระโดดกอดวิน
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-08-2018 21:00:40
เราเพิ่งรู้ข่าวตอนทอล์ค คนเขียนสู้ๆนะคะ เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ มีเวลาจริงๆค่อยมาลงต่อก็ได้ เราอ่านวนเอา รักน้องพีพีเหมือนเดิม  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 15-08-2018 16:43:40
น้องแตงกวาของพี่


โอ๋เอ๋นะคะ


หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: チイ ที่ 16-08-2018 16:56:29
เราอ่านไปแค่อินโทรนิดเดียวและก็ทิ้งไว้จนลืมพอเห็นว่าคนเขียนมาอัพต่อ
ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเรายังไม่ได้อ่านสักตอนแต่ดีใจที่กลับมานะคะ

แอบเห็นชื่อตอนล่าสุดก็งงนำไปก่อนแล้วตอนอ่านโลกของโซฟีเราไม่เคย
เข้าใจตาลุงเพลโตนี่เลยอ่านไปงงไป555555555
แวะมาเม้นก่อนไปอ่านตอนแรกอีกค่ะดูความตื่นเต้นนี้เถอะ:)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-08-2018 18:46:31
ปอ แน่ใจตัวเองแต่ไม่กล้าสารภาพ 
ที่จริงเป็นเพราะความกลัว ที่มีมากน้อยแล้วแต่คน
นี่เป็นพื้นฐานของมนุษย์ส่วนใหญ่สินะ  แหะๆ......เริ่มมีปรัชญาปนๆเข้ามาและ  :laugh:

ถ้าสารภาพไป ดูเหมือนจะจบ
แต่ก็กลัวจะแตกหัก ไม่เหมือนเดิม  :serius2:
มันเลยไปต่อไม่ได้ สารภาพให้จบๆไปดีกว่านะ
เพื่อนรักนะไม่ใช่คนไม่รู้จัก จะได้ขาดกันจริงๆ
นี่ไงคนเล่น กับคนนอกวง เลยมองขาด (เพราะไรท์แหละ)

ปรนัย  ภาคภูมิ    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: チイ ที่ 16-08-2018 20:42:46
ไปอ่านมาแล้วแบบนอนสตอป14ตอนรวดเรียนที่นี่เหมือนกันพอมาอ่านแล้วบรรยากาศ
มันพาไปดีค่ะไม่เคยมาร่วมพิธีกรรมในเรื่องสักครั้งคือติดเรียนตลอดแต่งสนุกน่าติดตาม
จริงๆนะคะหยุดคลิ๊กหน้าต่อไปไม่ได้5555เรื่องปรัชญาต่างๆที่แทรกไว้ในเรื่องก็น่าสนใจ
ทีเดียวนังปอเป็นคนกากที่น่าเอ็นดูดีนะคะ(กัดฟัน)พีพีคือน้อนนนอ่ะอยากฟัดให้จมอก
คือลุ้นแค่ว่าเมื่อไรเค้าจะกล้าเผชิญหน้ากันเท่านั้นเองค่ะชิงคือตัวแทนชาวเรารึป่าว
เหมือนจะรู้อะไรดีๆแต่แค่ไม่พูดเท่านั้นเอง

ในส่วนของอาจารย์กับลูกศิษย์นั้นมันกร๊าวใจจริงๆค่ะทับใจมั่กมากแล้วไอ้เส้นศีลธรรม
ที่ว่านั่นเราเคยมีกันด้วยหรอคะผ่าใจกันดูมีแต่ s i n s ใช่อันเดียวกันมั้ยคะ:P
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 22-08-2018 02:52:16
สนุกอ่าาาาาา
รอตอนต่อไปน๊าาาา :katai5:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: kimmiew112 ที่ 14-01-2019 23:09:20
สนุกมากเลยค่ะ บรรยายดีมากๆรู้สึกว่าตัวละครเรียนในมหาลัยอยู่จริงๆตัวเอกก็มีคาแรกเตอร์ คำพูดคำจาทำให้จินตนาการขฝออกเลยค่ะ แล้วก็เป็นภาษาพูดที่เด็กสมัยนี้พูดกันจริงๆค่ะ อินมากกเลย
มาอัพบ่อยๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ o13
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 15-01-2019 00:19:17
 :hao5: เรายังรอนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Nnnnn1412 ที่ 21-01-2019 20:18:31
สนุกมากกก ชอบภาษามาก อ่านรวดเดียวจบ แอบลุ้นว่าความสัมพันธ์นี้จะจบลงยังไงกันนะ ยังรอคุณนักเขียนเสมอนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 14-01-2020 11:44:12
สำหรับใครที่ลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว อ่าน Recap ตรงนี้ก่อนนะคะ

**ตอนที่ผ่านมา แตงกวาติดอยู่ในห้องภาค เพราะเผลอหลับไป เด็กน้อยโทรหาอ.กฤตให้มาช่วย อ.กฤตซึ่งอยู่ต่างที่จึงโทรหาปรนัยให้ไปช่วยไขห้องแทนก่อน และไม่นานนักอาจารย์ก็กลับมาถึง หลังปลอบเด็กที่ถูกขังโดยไม่รู้ตัวแล้ว อ.กฤตจึงพาแตงกวาไปพักที่คอนโดตัวเอง เนื่องจากเลยเวลาเปิดของหอในที่แตงกวาอยู่แล้ว

พาร์ทนี้จะเป็นพาร์ทต่อของแตงกวาและอ.กฤตในเช้าวันต่อมาค่ะ คำบรรยายเยอะนิดนึงนะคะ



____________________________





#14.2



กฤตตื่นขึ้นในเวลาเดิมเหมือนทุกๆ วัน สองเท้าค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจไปปลุกเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงสำรองบนพื้น จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็มาตั้งกาน้ำร้อนเตรียมชงกาแฟ วันนี้เขามีสอนคาบสิบโมง แต่ไหนๆ ก็ต้องไปส่งแตงกวาอยู่แล้ว เลยตั้งใจอาบน้ำแต่งตัวไปมหา’ ลัยพร้อมกันเลย โดยปกติแล้วถ้าหากไม่ต้องรีบไปสอน เขาจะใช้เวลาช่วงเช้าตรู่แบบนี้ไปวิ่งที่สวนสาธารณะข้างคอนโด แต่วันนี้คนที่ยังนอนหลับอุตุมีเรียนคาบแรกตอนแปดโมงครึ่ง เขาเลยเปลี่ยนมาวิ่งบนลู่วิ่งในห้องแทน

เสียงตึง...ตึง... ที่ดังเป็นจังหวะปลุกคนบนเตียงเล็กให้ตื่นขึ้นมา ปกติแตงกวาเป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้ว เพราะเคยชินมาตั้งแต่เล็กๆ แต่ในตอนนี้ที่นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบๆ เจ็ดโมงเช้า ทำให้คนกำลังงัวเงียตกใจสุดขีด เพราะนึกได้ว่าตอนนี้ตอนเองไม่ได้อยู่ที่หอ เลยรีบเก็บที่นอนและพุ่งออกไปนอกห้องนอนอย่างรวดเร็ว

ผู้เป็นอาจารย์กำลังจดจ่อสมาธิอยู่กับการวิ่งและเสียงเพลงจากหูฟัง จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองตกอยู่ในสายตาของใครบางคนมานานหลายนาทีแล้ว

จริงๆ แตงกวาควรรีบเก็บข้าวของเพื่อกลับที่พัก แต่ภาพที่มองเห็นกลับไม่อาจละสายตาได้เลย ร่างสูงใหญ่ที่เคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉง กล้ามเนื้อสมส่วนสั่นไหวตามแรงขยับ หยดเหงื่อทั่วร่างของคนออกกำลังกายกำลังสร้างความสับสนให้กับคนมองอย่างยิ่ง

เขาเคยคิดฝัน...ฝันอยากมีร่างกายแข็งแรง อยากตัวสูงๆ ให้สมกับการเป็นผู้ชาย แต่สิ่งที่เขามีกลับกลายเป็นร่างซูบผอม และส่วนสูงที่เกินกว่าผู้หญิงทั่วไปมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ครูห้องพยาบาลสมัยเรียนมัธยมเคยบอกว่าเขาขาดสารอาหารมานาน จนร่างกายที่ควรเติบโตกลับเหมือนหยุดนิ่งไปเสียเฉยๆ ถ้าหากไม่ได้นมฟรีจากโรงเรียนประถม ป่านนี้เขาอาจจะมีร่างแคระแกร็นไม่ต่างจากต้นไม้ที่ขาดอาหารหล่อเลี้ยง

แต่เมื่อคิดอีกที... เขาอาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนนี้ก็ได้

“กวา” เสียงเรียกจากผู้เป็นเจ้าของห้องทำให้คนที่จมอยู่ในอดีตต้องกลับมายังปัจจุบัน ก่อนดวงตากลมจะเบิกกว้างและรีบก้มหน้างุดๆ เมื่อถูกจับได้ว่าแอบฝังสายตาไว้ที่อีกฝ่ายมานาน

กฤตกดหยุดโปรแกรมวิ่ง สายพานค่อยๆ ผ่อนลงจนกระทั่งหยุดนิ่ง เขาก้มตัวเพื่อคลายเส้นสายเล็กน้อย พลางคว้าผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ และเดินไปกดน้ำมาดื่ม

“อาจารย์ เดี๋ยว ผะ...ผมกลับก่อนนะครับ” ผู้เป็นลูกศิษย์ละล่ำละลักบอก

คนฟังขมวดคิ้วก่อนวางแก้วน้ำลง “เดี๋ยวผมไปส่ง รอแป๊บเดียว”

“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งมอไซค์ไปก็ได้ วันนี้อาจารย์ไม่มีสอนเช้า...”

“เดี๋ยวผมไปส่ง ไม่เกิน 10 นาที” ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าห้องน้ำไปโดยไม่รอฟังคำตอบ “อ้อ... ช่วยเทกาแฟในกาใส่กระบอกน้ำให้ผมหน่อยนะ”

คนที่ตั้งใจจะกลับห้องเองยืนงงอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ก้าวไปที่เคาน์เตอร์ครัวเพื่อจัดการภารกิจที่ถูกมอบหมายไว้





รถยนต์คันเดิมจอดที่ด้านหลังของอาคารที่ตั้งภาควิชา หนึ่งอาจารย์กับหนึ่งลูกศิษย์ก้าวลงมาและเดินไปที่ภาคปรัชญาด้วยกัน เช้าๆ แบบนี้คนยังค่อนข้างบางตา แต่แตงกวาก็ยังรู้สึกขัดเขิน เพราะตัวเองอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่เมื่อวาน

“เป็นไรหรือเปล่า” คนข้างๆ เอ่ยถาม เมื่อเห็นเด็กในที่ปรึกษาเดินห่อไหล่แปลกๆ

“เปล่าครับ...” แม้จะตอบอย่างนั้น แต่กฤตก็มั่นใจว่าแตงกวาต้องเป็นอะไรแน่ๆ ทว่าเขาก็ไม่อยากยุ่มย่ามเค้นถามอะไร เพราะถ้าเป็นเรื่องใหญ่ลูกศิษย์ของเขาคงบอกเอง

พวกเขาเดินมาจนถึงห้องภาควิชา ประตูที่อ.กฤตล็อกเมื่อคืนถูกเปิดออกแล้ว แม่บ้านน่าจะเข้ามาเก็บกวาดประจำวัน ถัดไปจากประตูมีจักรยานคันหนึ่งจอดอยู่ แน่นอนว่าเป็นของแตงกวา

“ผมกลับหอก่อนนะครับ” เจ้าของรถคว้าจักรยานตัวเอง มือเล็กไขกุญแจปลดสายล็อกออกเรียบร้อยแล้วจึงหันมายกมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษาอีกรอบ “ขอโทษที่ไปรบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องคิดมาก”

คนเด็กกว่าเหมือนมีอะไรจะพูด หากสุดท้ายก็เพียงแต่รับคำเบาๆ ก่อนจะปั่นจักรยานกลับหอไป เมื่อเป็นดังนั้นกฤตจึงเดินเข้าไปในห้องพักของตัวเองบ้าง หลังจากนั้นร่างสูงใหญ่ก็ปักหลักอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสองชั่วโมง ก่อนคนที่กำลังจดจ่อกับงานต้องละสายตาไปมองยังประตูห้องซึ่งมีเสียงเคาะเบาๆ สามสี่ที

“ครับ เข้ามาได้เลยครับ”

สิ้นคำอนุญาตประตูห้องก็ถูกเปิดออก เจ้าของห้องแปลกใจเล็กน้อยที่คนมาหาไม่ใช่นักศึกษา แต่เป็นอาจารย์ร่วมภาคคนหนึ่งที่เขาไม่พบบ่อยนักด้วยตารางสอนที่ไม่ตรงกัน ประกอบกับกฤตก็เคยเรียนกับอาจารย์มา ลูกศิษย์ที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์ได้ไม่กี่ปีจึงค่อนข้างให้ความเคารพกับอีกฝ่าย ไม่พูดคุยเล่นเหมือนอาจารย์รุ่นๆ เดียวกัน

“สวัสดีครับอาจารย์” คนอายุน้อยกว่ายกมือไหว้ ก่อนจะลุกไปเลื่อนเก้าอี้ให้แขกของห้อง

“ครูเข้ามารบกวนหรือเปล่าคะ” สรรพนามเดิมที่เคยใช้ตั้งแต่สอนรุ่นกฤตทำให้เขารู้ว่า ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ยังติดกับสถานะเดิม คงจะจริงดังที่มีคนว่า ความเป็นศิษย์กับอาจารย์ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันจะคงอยู่ตลอดไป

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เคลียร์แบบประเมินที่ค้างอยู่” มือหนาตบเบาๆ ที่กองเอกสารข้างโต๊ะ

“อ้อ... เห็นมาเช้า นึกว่ามีสอนเสียอีก”

“มีสอนสิบโมงครับ” พูดจบก็ยกข้อมือมาดูนาฬิกาอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง เสียงทุ้มจึงเอ่ยถามผู้มาเยือนอย่างสุภาพ “อาจารย์มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

“ค่ะ พอดีอาจารย์เห็นกฤตที่ลานจอดรถ ...มาพร้อมกับนักศึกษาเหรอคะ” ผู้อาวุโสกว่ามองตรงมาที่เขา ท่าทีสุภาพ แต่กฤตรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไร

“อ๋อครับ ธันธพัฒน์ เด็กปีหนึ่งน่ะครับ พอดีเมื่อคืนมีอุบัติเหตุนิดหน่อย เค้ากลับหอไม่ทัน ผมเลยให้ไปพักด้วย” กฤตพยายามหลีกเลี่ยงคำสุ่มเสี่ยงประเภท ‘นอนด้วย’ หรืออะไรเทือกๆ นั้น

“เค้าเป็นอะไรมากมั้ยคะ” โหนกคิ้วของคนฟังเลิกขึ้นสูง

“เมื่อคืนมีนักศึกษาเข้าใจผิดว่าไม่มีใครอยู่ในภาคแล้วเลยล็อกประตู แต่แตงกวาเค้าเผลอหลับอยู่ข้างในจนเลยเวลาเข้าหอ ก็มีตกใจนิดหน่อยครับ...” เสียงทุ้มพยายามเล่าอย่างสรุป

“คืออาจารย์แค่อยากเตือน เพราะเห็นเราเป็นทั้งลูกศิษย์และเพื่อนร่วมงาน” อีกฝ่ายกล่าว เสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใย

“อาจารย์ครับ ผมไม่ได้คิดอะไรกับแตงกวา!!” เอ่ยด้วยความตกใจ เพราะไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิด “ไม่ได้คิดในเชิงนั้นเลยจริงๆ ครับ ผมรู้ว่ามันไม่เหมาะสมครับ”

คนฟังถอนหายใจ “ไม่เหมาะสมในแง่ไหนเหรอคะ”

“อ่า....ก็ ทั้งสถานะอาจารย์ และก็...เพศ”

“กฤตกำลังเข้าใจครูผิดนะคะ” ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามผ่อนลมหายใจ “ครูไม่ได้หมายถึงสองเรื่องนั้น”

“ครับ?”

“ครูหมายถึง กฤตกำลังปฏิบัติกับเด็กคนหนึ่งพิเศษกว่าคนอื่นๆ”

เขาเงียบ

“ครูพอรู้มาบ้างว่าธันธพัฒน์มีปัญหาเรื่องครอบครัว เขาน่าสงสาร เขาน่าเห็นใจ และกฤตก็เป็นคนอ่อนโยนที่อยากจะช่วยเหลือลูกศิษย์ แต่มันจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไร กฤตจะอุ้มชูเขามากกว่าคนอื่นถึงขั้นไหน ครั้งแรกช่วยเรื่องค่าหน่วยกิต ครั้งต่อมาช่วยเรื่องงานพิเศษ ครั้งนี้ก็ให้ไปพักที่บ้าน”

พูดอาวุโสพูดยาวเหยียด คนฟังทำได้เพียงก้มหน้า

“แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปรู้มั้ยคะ”

“ผมไม่คิดว่าแตงกวาจะยกตัวเองให้พิเศษกว่าคนอื่น” เขาตอบกลับเสียงเบา แต่แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ก็อาจจะใช่ แต่สิ่งที่ครูอยากเตือน ไม่ใช่แค่ความรู้สึกของแตงกวา...” สองมือของคนพูดบีบเข้าหากัน “ความน่าเศร้าของการเป็นครูคืออะไรรู้มั้ยคะ มันคือความอ้างว้างเมื่อศิษย์แต่ละรุ่นจบไป พวกเค้าเติบโต ค่อยๆ เดินไปไกลจากเรา ส่วนเราก็ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนี้ ฝังความรักความผูกพันที่มีลงในใจ อยู่กับความหวังกับคำว่า ‘เดี๋ยวกลับมาหา’ ที่มันจะเป็นจริงแค่ปีละครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ห่างหายกันไปในที่สุด”

คราวนี้เขาเงียบจริงๆ เก็บคำอันหนักอึ้งแล้วกลืนลงไปอย่างยากเย็น

“กฤตทำงานมาแค่สามปีใช่มั้ยคะ ...ปีหน้ากฤตจะเข้าใจที่ครูพูดเอง”

อาจารย์กรรณิการ์ลุกออกไปแล้ว ทิ้งเขาไว้กับความคิดมากมายที่รบกวนทั้งสมองและใจตัวเอง เขานึกถึงเด็กๆ ปีสี่ผู้เป็นเหมือนเพื่อนมากกว่าลูกศิษย์ คิดถึงวันเวลาที่เจ้าพวกนั้นมาล้อมหน้าล้อมหลังไม่ว่าจะในเวลาเรียนหรือตอนเย็น คิดไปถึงเตียงเสริมในคอนโดตัวเองที่ไม่เคยรื้อทิ้ง พอๆ กับหมอนจำนวนมากที่เขาซื้อเก็บไว้ในตู้ เพราะรู้ว่าเด็กๆ มักมาสุมหัวกันหลังทำกิจกรรมภาคเสร็จ ซึ่งตนเองก็ยินดี เพราะไม่อยากให้พวกนั้นไปเมากันที่ร้านเหล้าร้านไหน

แค่คิดว่าปีหน้าเจ้าเด็กพวกนี้จะจบไป เขาก็รู้สึกใจหายขึ้นมาเสียแล้ว

แล้วกับแตงกวา... เขาไม่อยากจะคิดเลย



........................................



อาจเพราะคิดเรื่องตอนเด็กๆ มากเกินไป แตงกวาจึงฝันถึงบ้านและคนที่บ้านมาติดๆ กันถึงสามคืนแล้ว คืนแรกเขาฝันถึงย่า ผู้หญิงร่างผอมๆ ที่เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของตนเอง คืนที่สองเขาฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเอื้อมมือมาจับมือเขาไว้ ความอบอุ่นไหลบ่าท่วมท้นเมื่อตัวเขาในฝันเรียกผู้หญิงที่ไม่เห็นหน้าว่าแม่ และเมื่อคืนนี้เอง ที่เขาฝันถึงคนที่ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ในความฝัน ...พ่อ

อาจเพราะภาพของพ่อที่ดูซูบเซียวและเหนื่อยล้า พร้อมแววตาเศร้าๆ จึงทำให้เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นแม้ตอนที่ลืมตาตื่นมาแล้ว เช้าวันนี้ร่างเล็กจึงพาตัวเองนั่งรถตู้จากหน้ามหาวิทยาลัย แล้วมาต่อรถอีกสายที่สถานีขนส่งในกรุงเทพฯ

ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน แตงกวาก็ได้มายืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน แดดร้อนๆ ยามบ่ายทำให้ระยะทางกิโลกว่าๆ ที่สองเท้าต้องเดินเข้าไปดูไกลกว่าที่เคย มือเล็กปาดเหงื่อจากกรอบหน้าพลางโบกมือไปมา หวังให้ลมเย็นๆ พัดเข้ามาบ้าง แต่ดูเหมือนความพยายามจะไม่เป็นผลเท่าไรนัก

กัดฟันเดินมาจนถึงหน้าบ้าน ตากลมมองเข้าไปเห็นประตูบ้านปิดสนิท คิดในใจว่าพ่อคงไปตีไก่เหมือนเดิม แต่บ้านเขาไม่เคยล็อก แค่กระชากประตูแรงๆ ก็เปิดออกได้ ประตูบานนี้ผ่านทั้งแดดทั้งฝนมานานกว่าอายุของแตงกวา มันบวมและกลอนตกจนจะปิดก็ยาก จะเปิดก็ยาก ทำให้บ้านเขาไม่ต้องคล้องกุญแจมานานแล้ว

มือเล็กเปิดก๊อกน้ำหน้าบ้าน วักน้ำเย็นๆ มาล้างหน้าล้างตาไล่ความร้อนที่แผดเผาเขาจนผิวแดงไปหมด ยืนหอบหายใจสักพักก็เดินเข้าบ้านเพื่อเอาของไปเก็บในห้องตัวเอง แต่จะเรียกว่าเป็นห้องก็คงไม่ถูกนัก เพราะมันเป็นพื้นที่ที่ถูกกั้นโดยตู้หลังใหญ่ เหลือช่องว่างขนาดไม่ใหญ่นักให้ใช้แทนประตู ซึ่งมีม่านลายดอกไม้เก่าๆ ขึงปิดไว้ เขาได้ห้องนี้มาเมื่อตอนขึ้นมอปลาย เพราะพ่ออยากให้เขามีสมาธิอ่านหนังสือ

ที่นอนหลังเก่าฝุ่นเขรอะคลุ้งในตอนที่เขาใช้มือตบเบาๆ แสดงว่าห้องห้องนี้ไม่เคยถูกใช้งานอีกเลยตั้งแต่เขาเข้ามหาวิทยาลัย ตากลมหรี่มองแสงแดดจ้าที่ส่องเข้ามาตามกระจกเหนือบานหน้าต่าง ก่อนตัดสินใจถอดผ้าปูที่นอนออกเพื่อจะมาซัก และตั้งใจยกที่นอนขนาด 3.5 ฟุตไปผึ่งแดดไล่กลิ่นอับเสียหน่อย ทว่าความหิวที่ก่อตัวหนักขึ้นๆ ทำให้ร่างเล็กละจากห้องนอนเพื่อเดินไปยังครัวหลังบ้านแทน

หม้อแกงใบเก่าตั้งอยู่บนเตาแก๊ส คนเพิ่งมาถึงบ้านแปลกใจเล็กน้อยที่มีไข่พะโล้อยู่ในนั้น ที่ ใบหน้าเล็กก้มลงไปจนปลายจมูกชิดกับหม้อ สูดหายใจเข้าไปหลายครั้งเพื่อพิสูจน์ว่ากับข้าวตรงหน้าไม่ได้บูด ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มขณะเปิดเตาแก๊สเพื่ออุ่นมัน ระหว่างนั้นแตงกวาก็ผละไปเปิดหม้อข้าวดู โชคดีที่มีข้าวอยู่เกือบครึ่งหม้อซึ่งเพียงพอสำหรับมื้อเล็กๆ ของตัวเอง เติมน้ำแล้วกดปุ่มอุ่นไว้ คิดว่าต้มเดือดข้าวก็คงร้อนพอดี ระหว่างนั้นก็รีบก้าวยาวๆ กลับไปที่ห้องนอนแล้วแบกฟูกออกมา จุดหมายคือกันสาดหลังคาบ้าน ที่กว้างพอจะผึ่งฟูกหนักๆ ไหว ทุลักทุเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ส่งเจ้าฟูกหลังเก่าขึ้นไปบนนั้นได้สำเร็จ

ยิ่งใช้กำลังมากก็ยิ่งหิว พอดีกับกลิ่นหอมฉุยของต้มพะโล้ส่งสัญญาณเรียกให้กลับไปในครัว เขาตักข้าวใส่จานราดน้ำพะโล้ลงไปจนท่วม แล้วย้ายตัวเองมานั่งที่ลานเล็กๆ ข้างห้องครัวที่พอจะมีลมพัดผ่านอยู่บ้าง

เมื่อจัดการกับความหิวเรียบร้อย แตงกวาก็ไปขนผ้าปูที่นอนมาซัก บ้านเขาไม่มีเครื่องซักผ้า กะละมังใบใหญ่จึงเป็นผู้ช่วยชิ้นสำคัญแทน มือเล็กค่อยๆ ขยี้ผ้าอย่างใจเย็น เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เปิดน้ำใส่กะละมังอีกใบเพื่อล้างคราบผงซักฟอกให้หมด

ตอนแรกเขากะจะจบการซักล้างเพียงนั้น แต่นึกๆ แล้วยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ ร่างเล็กจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านและยกตะกร้าผ้าของพ่อออกมาซักด้วย กลิ่นเหม็นเหงื่อและเม็ดเกลือตามคอเสื้อเชิ้ตแขนยาวทำเอากวายู่จมูก แต่ก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไร จัดการป้ายผงซักฟอกลงตามรอยเปื้อน แล้วกดผ้าลงแช่ไว้ให้คราบสกปรกจางลง ระหว่างนั้นเขาเดินไปหยิบมือถือ ถึงจะไม่ใช่รุ่นดีเลิศอะไร แต่มันก็ยังพอให้ติดต่อสื่อสารได้ แอปพลิเคชันไลน์มีการแจ้งเตือนอยู่เล็กน้อย แชตแรกมาจากกลุ่มรูมเมตที่ส่งภาพกำลังลอยคอเล่นน้ำมาอวด พวกมันไปนอนแพที่กาญฯ กัน ซึ่งจริงๆ เขาก็ถูกชวนให้ไปด้วย แต่พอเขาปฏิเสธพวกมันก็ไม่เซ้าซี้อะไร นิ้วเล็กจิ้มที่รูปภาพเปิดขยายให้ใหญ่ขึ้น ค่อยๆ ไล่ดูใบหน้าทะเล้นของเพื่อน แล้วจึงกดส่งสติกเกอร์หมีร้องไห้ไปสองที เป็นเชิงว่าเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ไปด้วย ก่อนเปลี่ยนหน้าไปดูข้อความอื่นๆ

‘ถึงบ้านหรือยังครับ’

ข้อความสั้นๆ จากอ.กฤตถูกส่งมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน กวาไม่ตอบ แต่ถ่ายรูปกะละมังซักผ้าส่งไปให้ อีกฝ่ายพิมพ์เลข 5 กลับมายืดยาว คนเด็กกว่าจึงส่งสติกเกอร์หมียิ้มกลับไปอีก เขาชอบส่งสติกเกอร์ ถึงจะมีแค่เท่าที่โหลดฟรี แต่ก็ยังดีกว่าต้องพิมพ์เอง เพราะเขาพิมพ์ช้ามากๆ

เมื่อเห็นว่าแช่ผ้าได้ที่แล้วเขาจึงเอามือถือไปวางไว้บนโต๊ะแล้วกลับมาซักผ้าต่อ ถ้าถามแตงกวาว่าเชี่ยวชาญเรื่องอะไรที่สุด เขาคิดว่าการซักผ้าต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่ๆ เขารับหน้าที่นี้มาตั้งแต่เด็ก ผงซักฟอกแบบไหนใช้กับผ้าอะไรแล้วดี เขามีข้อมูลหมด พอมาอยู่หอ ถึงแม้จะมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ แต่กวาก็ยังซักมือเหมือนเดิม เพราะเคยปั่นครั้งนึงแล้วรู้สึกว่าไม่สะอาด แถมยังแพงด้วย

ห้าโมงเย็น กวาเสร็จภารกิจปัดกวาดเช็ดถูบ้าน เลยเดินไปร้านข้าวแกงข้างบ้าน ตั้งใจไปซื้อกับข้าวสักสองสามอย่าง แต่ปรากฏว่าป้าคนขายเปลี่ยนมาขายของสดแล้ว เย็นวันนี้แตงกวาเลยได้ผักกับเนื้อสัตว์มาแทน

จริงๆ กวาไม่ใช่คนทำอาหารเก่ง แต่ก็สามารถทำเมนูง่ายๆ เพื่อประทังชีวิตได้จนโต ตอนที่เขายังอยู่บ้าน ถ้าหากวันไหนพ่อได้เงินจากการตีไก่ วันนั้นเขาก็จะมีแกงปลาอร่อยๆ หรือต้มยำไก่ชิ้นโตๆ กิน แต่หากวันไหนพ่อเมากลับมา แสดงว่าวันนั้นไก่ของพ่อแพ้ และเขาก็ต้องหนีเข้าครัวไปทำอะไรกินตามเรื่องตามราว

ร่างที่ยืนอยู่หน้าเตาแก๊สพรูลมหายใจออกช้าๆ ขณะกำลังเตรียมเทผักกาดขาวและหมูลงน้ำเดือด เวลาเพื่อนคุยกันเรื่องอาหารฝีมือแม่ เขาก็ได้แต่นั่งซึมเพราะไม่มีรสชาติใดติดอยู่ในความทรงจำ เพราะรสชาติที่ชัดเจนที่สุดก็คือรสชาติของความเจ็บปวดและความกลัวที่เขาได้ลิ้มรสอยู่ทุกวัน

ต้มจืดตรงหน้าเดือดพลุ่งส่งกลิ่นหอม พ่อครัวจำเป็นจึงเริ่มปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือและพริกไทย ก่อนจะปิดไฟและยกหม้อลง วันนี้เขาตั้งใจทำสองเมนู แม้ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้พ่อกินข้าวเย็นหรือเปล่า แต่เขาก็อยากทำไว้รอเผื่ออีกคนกลับมาพร้อมความหิว และไม่นาน ไข่เจียวหมูสับที่หน้าตาดูเข้าทีก็ถูกตักใส่จานพร้อมกิน

เสียงมอเตอร์ไซค์ที่เข้ามาจอดข้างบ้านทำให้คนที่กำลังเก็บล้างครัวสะดุ้งเฮือก ร่างเล็กรีบกุลีกุจอออกไปหน้าบ้าน ยืนตัวลีบขณะรอพ่อเดินเข้ามา ผู้ชายร่างสันทัดเดินหอบกระติกน้ำพร้อมหมวกสาน เมื่อเห็นกวายืนอยู่ก็ชะงัก

“ไอ้กวา...”

เสียงพ่อเรียกแล้วหยุดไป กวาตัวสั่นน้อยๆ ก่อนจะมือไหว้ “หวัดดีครับ”

พ่อเดินผ่านเขาเข้าไปในบ้าน กลิ่นเหล้าขาวที่เขาคุ้นเคยเปลี่ยนเป็นกลิ่นเหงื่อ ซึ่งเขารู้สึกแปลกใจ

หลังทักเขาแค่คำเดียว พ่อก็เดินหายไปในห้องน้ำ เสียงราดน้ำโครมๆ ดังอยู่สักพักแล้วพ่อก็ออกมา

“จะกลับมาทำไมไม่บอก” พ่อถามเสียงนิ่ง คว้าผ้าขาวม้ามาเช็ดหน้าเช็ดแขน

“ผม...”

“กินอะไรมาหรือยัง”

กวาแปลกใจอีกครั้ง แต่ก็ตอบไปตามจริง “กินพะโล้ที่อยู่ในครัวไปแล้วครับ ตะ...แต่พ่อไม่ต้องห่วง ผมทำต้มจืดกับไข่เจียวไว้ให้ เพิ่งเสร็จเลย เดี๋ยวผมไปตักให้นะ”

ร่างเล็กรีบก้าวเร็วๆ เข้าไปในครัว ไม่นานนักก็ออกมาพร้อมถ้วยใส่ต้มและจานไข่

“ทำไมไม่ถือทีละอย่าง เดี๋ยวก็ตกแตก” คนเป็นพ่อเอ็ดขึ้น แต่น้ำเสียงไม่ได้มีความดุอะไร

มือเล็กที่ประคองกับข้าวสองอย่างนั้นสั่นเล็กน้อย จนมือหยาบกร้านต้องช่วยรับถ้วยต้มมาวางบนพื้น

“แล้วไหนข้าวมึง” พ่อถามขึ้นเมื่อแตงกวาเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง และถือข้าวมาแค่จานเดียว

คนถูกถามไม่ตอบ แต่ก็เดินกลับไปตักข้าวของตัวเองมานั่งลงข้างพ่อ

เจ้าของบ้านเปิดทีวีรุ่นหลังเต่า ละครก่อนข่าวกำลังเล่น แต่กวาไม่ได้ดูละครมานานตั้งแต่ไปเรียนจึงไม่ได้สนใจอะไร และดูเหมือนพ่อก็คงไม่ได้ใส่ใจจะดูด้วย แค่เปิดไว้ไม่ให้บ้านเงียบ

หากแล้วอยู่ๆ คนที่กำลังพุ้ยข้าวเข้าปากก็เอ่ยขึ้น “เรียนเป็นไง”

“กะ...ก็ดีครับ” ความตกใจทำให้ผู้เป็นลูกชายรีบตอบแบบตะกุกตะกัก

“ได้เรียนปรัชญาอะไรนั่นหรือยัง”

“มีเรียนอยู่สองสามตัวครับ แต่เป็นพื้นฐาน”

“พื้นฐานยังไง” พ่อยกขวดน้ำขึ้นดื่ม แต่ยังไม่หยุดถาม

“ก็แบบ...สอนเรื่องการใช้เหตุผล อะไรแบบนี้”

“เออ…” คนพูดตักไข่เจียวแล้วเทน้ำปลาตามลงไป “กูน่าจะไปเรียนกับมึงนะ กูใช้แต่อารมณ์ตลอด ฮ่าๆ”

กวาลอบมองพ่อ เขาไม่เคยเห็นพ่อหัวเราะมานานมากแล้ว

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีก หลังกินอิ่มกวาก็เก็บจานไปล้าง ส่วนพ่อก็เตรียมอาบน้ำนอน

“มึงเอาผ้ากูไปซักหรอ” เสียงพ่อตะโกนถามรอดมาจากห้องน้ำ

เด็กที่เหมือนทำผิดครั้งใหญ่รีบวิ่งไปแนบประตู “ครับ คือผมเห็นว่า…”

“เออดี กูว่าจะซักอยู่แต่ขี้เกียจ”

เป็นอีกครั้งที่แตงกวางุนงง เสียงพ่อเงียบไปแล้ว กลายเป็นเสียงเปิดน้ำใส่ถังดังขึ้นแทน เพราะที่บ้านไม่มีฝักบัว มีแต่ถังพลาสติกรองน้ำอาบ รออย่างนั้นอยู่สักพักจนแน่ใจว่าพ่อไม่พูดอะไรอีก แตงกวาจึงเดินออกไปล้างจานต่อให้เสร็จ

เพราะอยู่กันแค่สองคน จามชามจึงไม่ได้มากมายอะไร ไม่นานนักกวาเลยได้มานั่งผึ่งพัดลมตรงหน้าทีวีอีกครั้ง บ้านของเขามีพื้นที่ไม่มาก นอกจากห้องของตัวเอง ห้องน้ำ และห้องครัวแล้ว ก็มีแต่พื้นที่ตรงนี้นี่แหละที่เป็นทุกอย่างของบ้าน ทั้งที่กินข้าว ที่ดูทีวี และยังถูกแบ่งส่วนแคบๆ ที่มุมห้องเป็นที่นอนของพ่ออีก ตั้งแต่จำความได้ เขาก็เห็นเตียงไม้เก่าๆ ที่วางชิดติดผนังพร้อมฟูกบางๆ นี่แล้ว พ่อกินและนอนอยู่ตรงนี้ ผลัดผ้าก็ตรงนี้ ไม่มีห้องส่วนตัวใดๆ

ในตอนเด็กๆ เขาฝันอยากจะมีบ้านสวยๆ หลังใหญ่ๆ มีห้องนอนส่วนตัวที่ไม่ใช่แค่ม่านกั้น มีห้องแอร์เย็นๆ ให้พ่อได้นอนโดยไม่ต้องเปิดพัดลมเกรอะกรังตัวนี้ มีห้องรับแขกพร้อมทีวีจอใหญ่ไว้นั่งเล่น เหมือนกับภาพที่เขาเคยเห็นในหนังสือเรียนสมัยประถม แต่ยิ่งโตเขาก็ยิ่งรู้ว่าความฝันนั้นยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะเงินแต่ละบาทกว่าจะหามาได้ แค่ใช้ซื้อข้าวกินยังแทบไม่พอ

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก กวาจึงลุกพรวดจากตรงที่นั่งอยู่ และหลบไปผลัดผ้าอาบน้ำบ้าง โชคดีที่พ่อรองน้ำไว้ให้จนเต็มถัง กวาจึงได้อาบน้ำเย็นสบายได้เต็มที่ ชะล้างคราบไคลและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ใช้เวลานานพอสมควรก่อนจะออกจากห้องน้ำ และพอออกมาพ่อก็หลับไปแล้ว กวาดูนาฬิกา เพิ่งจะสองทุ่มกว่าเท่านั้น

ตกกลางคืน กวาเอาหนังสือที่ยืมห้องสมุดมาเปิดอ่าน เป็นหนังสือประวัติศาสตร์โลกที่ไม่ใช่หนังสือเรียน เล่มนี้ถ้าซื้อเองคงหลายตังค์ จริงๆ อ.กฤตเคยเอ่ยปากจะยกของอาจารย์ให้ แต่เขาเห็นว่าหอสมุดก็มี เลยยืมจากห้องสมุดเอาดีกว่า



หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14 โลกของแบบ (Update! 07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 14-01-2020 11:45:08

แตงกวาไม่รู้ว่าตัวเองผล็อยหลับไปตอนไหน แต่สะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนที่มีเสียงอะไรสักอย่างดังกระทบกัน เขาสับสนเล็กน้อยเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วไม่ใช่เพดานหอ พอระลึกได้ว่าอยู่บ้านก็สะดุ้งพรวด นาฬิกาบอกเวลาตีสี่ครึ่ง เขาค่อยๆ ย่องออกจากห้อง และเดินตามเสียงเข้าไปในครัว และจึงได้เห็นพ่อกำลังสาละวนอยู่หน้าเตาแก๊ส

คนกำลังทำอาหารทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่ควรจะหลับในตอนนี้

“มึงตื่นมาทำไม เพิ่งจะตีสี่”

“ผมได้ยินเสียงแว่วๆ” ไม่ได้บอกว่าเสียงนั้นดังสนั่นจนเขาสะดุ้งตื่น พ่อเป็นคนมือหนัก ทำอะไรเสียงดังโครมคราม ซึ่งเขาเคยพิสูจน์ด้วยแผ่นหลังตัวเองมาหลายครั้ง

“อ่อ กูทำแกงปลาสวายแล้วกันนะ ตอนเช้ามึงก็ทอดไข่เพิ่มเอา”

“พ่อ...พ่อจะไปไหน” คนเพิ่งตื่นถามอย่างงุนงง

“ไปทำงานสิวะ”

คำตอบนั้นทำให้กวาแปลกใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่อาจนับ แต่พ่อไม่ได้สังเกตเห็น ยังคงพูดต่อด้วยเสียงดังทุ้มต่อไป

“วันนี้ไปไกล เขาเลยให้ไปรถกระบะ สักตีห้ากว่าๆ ก็คงมาถึงแล้ว” มือดำกร้านปิดเตาแก๊ส “มึงตักแกงกับข้าวใส่กล่องนี่ให้หน่อย กูไปอาบน้ำก่อน”

พูดจบพ่อก็เดินสวนออกไป กวามองแกงหม้อเล็กๆ ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ขณะหยิบกล่องพลาสติกที่น่าจะรียูสมาจากร้านสะดวกซื้อ สภาพของมันเหมือนผ่านการใช้งานมาหลายครั้ง เขาพยายามหากล่องอื่นๆ ในบ้านแต่ก็ไม่พบ เลยจำใจตักข้าวกับแกงใส่กล่องที่ว่านี่ไปก่อน

ตีห้าตรง พ่อเดินออกมารอหน้าบ้าน ใส่เสื้อเชิ้ตตัวที่กวาซักกับกางเกงตัวเมื่อวาน พร้อมหมวกและกระติกน้ำที่มีน้ำแดงผสมเอ็มร้อยใส่อยู่

กวายืนมองจากในบ้าน เห็นรถกระบะที่มีคนแต่งตัวคล้ายๆ พ่อนั่งอยู่เกือบเต็ม เสียงคนขับบอกให้พ่อเอาเกรียงไปเผื่อด้วย พ่ออุทานอย่างหงุดหงิด แต่ก็เดินไปหาของโดยดี ก่อนขึ้นรถพ่อตะโกนบอกกวาว่า

“วันนี้กูไปไกล กลับเกือบๆ สองทุ่มนู่น มึงจะใช้มอไซค์ก็เอา กุญแจเสียบอยู่ที่รถ”

กวาแปลกใจอีกรอบ ก็ตอนนั้นที่เขาแอบหัดมอเตอร์ไซค์ พ่อยังตีเขาแทบตาย ทีตอนนี้กลับบอกให้เขาขี่ได้ตามสบาย

เสียงกระหึ่มของกระบะคันนั้นจางหายไปแล้ว กวาจึงเดินเข้าบ้าน เป็นอันว่ากวาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าพ่อไปทำงานอะไร แต่ดูจากอุปกรณ์แล้วคงรับงานก่อสร้างหรืออะไรประมาณนี้

เด็กหนุ่มตื่นมาอีกทีในตอนเจ็ดโมง จัดแจงตัวเองเสร็จจึงขี่รถไปตลาดใกล้ๆ ร้านรวงยังคึกคักไปด้วยของขายทั้งสดทั้งแห้ง เขาซื้อเนื้อสัตว์และผักจำนวนหนึ่ง กะว่าแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ พ่อจะได้ทำกับข้าวกินได้หลายๆ มื้อ นอกจากนั้นเขายังซื้อกล่องข้าวใหม่ให้พ่อด้วย เลือกเป็นพลาสติกเนื้อหนาที่ดูทนความร้อน พร้อมฝาปิดสุญญากาศ ทั้งยังวางซ้อนแล้วล็อกด้วยหูหิ้วทำเป็นปิ่นโตได้ด้วย ดีที่เงินจากการช่วยงานอาจารย์กฤตออกมาเมื่อสามวันก่อน เขาเลยพอมีเงินไว้ซื้อของดีๆ ให้พ่อบ้าง

พอกลับถึงบ้าน แตงกวาก็ตัดสินใจไปร้านขายของชำร้านเดิมอีก แสร้งซื้อน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งหนึ่งถุง ยืนดูดไปสองสามอึกก็เลียบๆ เคียงๆ ถามป้าเจ้าของร้านเรื่องพ่อ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มายืนเสวนาด้วย เพราะป้าชอบพูดแต่เรื่องคนอื่น นินทาคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อย

จากที่ป้าเล่ามาแบบน้ำไหลไฟดับ สรุปว่าพ่อของเขาเลิกตีไก่แล้ว ตอนนี้ก็ทำรับจ้างทั่วไป บางวันก็ก่อสร้าง บางวันก็ไปเป็นลูกมือล้างแอร์ ซ่อมพัดลม เหล้าขาวยังมาซื้อบ้าง แต่น้อยกว่าเมื่อก่อน ส่วนใหญ่กินเอ็มร้อยไม่ก็กาแฟกระป๋อง

“เอ็งก็โตเร็วเนอะไอ้กวา” พอเล่าเรื่องพ่อจบ ป้าก็หันมาสนใจเด็กหนุ่มต่อ “ตอนเกิดน่ะป้าเอาแป้งเด็กแคร์ไปเยี่ยม เอ็งยังตัวน้อยๆ อยู่เลย ทรงยังกะแตงกวา พอป้าทักพ่อกับแม่เอ็งว่ามันเหมือนแตงกวาใส่ข้าวผัด พ่อเอ็งก็หัวเราะชอบใจ บอกให้ชื่อแตงกวาซะงั้น นึกถึงแล้วก็ขำ นี่ถ้าพ่อเอ็งดีๆ อย่างเขา ป่านนี้เอ็งสบายไปแล้ว ไม่ต้องมาถูกซ้อมจนโตหรอก”

ป้าพูดอย่างภูมิใจที่มีส่วนในการตั้งชื่อให้เขา แต่เจ้าของชื่อกลับกำลังสับสนอย่างหนัก เพราะพ่อมักพูดอยู่เสมอในเวลาที่ตีเขา ว่าชื่อแตงกวามาจากผักที่แม่เกลียด

ในเมื่อไม่อาจหาคำตอบจากใครได้อีก และไม่ว่าจะรักหรือเกลียด แตงกวาคนนี้ก็เติบโตเป็นคนได้เกือบยี่สิบปีแล้ว ที่มาของชื่อจึงไม่ได้สลักสำคัญอีกต่อไป

จากเดิมที่ตั้งใจจะกลับหอวันนี้ กวาก็เปลี่ยนใจอยู่ต่ออีกคืน แต่ช่วงบ่ายที่ไม่มีใครอยู่บ้าน กวาก็รู้สึกเบื่อๆ เลยโทรหาอาจารย์กฤตเพื่อเล่าเรื่องพ่อให้อาจารย์ฟัง คนปลายสายรับฟังเงียบๆ ตอบกลับสั้นๆ ว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็อยากให้กวาระวังตัวไว้ด้วย

แตงกวารู้ว่าสำหรับคนอื่น การกลับมาหาพ่อคือเรื่องอันตราย แต่กวามั่นใจในความรู้สึกตัวเอง พ่อเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

พ่อกลับมาถึงบ้านเกือบสามทุ่ม แตงกวาเดินออกมาหาเมื่อได้ยินเสียงรถกระบะคันเดิม วันนี้พ่อดูเหนื่อยกว่าเมื่อวาน แต่ก็ยังพูดคุยทักทายแตงกวาดี คนตัวเลอะด้วยฝุ่นและปูนโยนถุงใส่กล่องอะไรสักอย่างมาให้ กวารับแล้วเปิดดู

“ตอนรอรถเห็นมันน่ากินดี” พ่อพูดแล้วก็หยิบผ้าขาวม้าเข้าห้องน้ำไป

ในมือกวาคือขนมครกโรยต้นหอม วัดจากอุณหูมิแล้ว พ่อน่าจะใช้เวลาเดินทางนานมากจริงๆ

มือเล็กๆ สั่นเทา หยิบขนมในกล่องเข้าปาก รสชาติหวานมันอร่อยแม้จะเย็นชืด หากไม่จับใจเท่าการที่มันเป็นของฝากจากพ่อ



เช้าตรู่อีกวัน กวาตื่นมาพร้อมเสียงดังจากในครัวอีกเช่นเคย

“เสียงดังเหรอ” คนกำลังง้างอีโต้สับกระดูกหมูเอ่ยทัก เมื่อเห็นลูกสายโผล่หน้าเข้ามาหา

“เมื่อคืนผมหลับเร็ว” กวาไม่ได้อธิบายอะไรต่อ แต่สาวเท้าเดินเข้าไปยืนข้างพ่อ “พ่อทำไรกิน”

เจ้าของบ้านหัวใจกระตุก ลูกชายไม่เคยเข้าใกล้เขานานแล้ว เว้นในวันที่เขาไปปล้นเงินมันถึงหอ…

“ต้มผักกาดดอง”

“เดี๋ยวผมทำให้ก็ได้ พ่อไปอาบน้ำเถอะ”

มือเล็กๆ คว้ามีดเตรียมสับกระดูกต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของคนเป็นพ่อ

พอต้มสุกได้ที่ แตงกวาก็ยกหม้อลง แล้วหยิบกล่องที่เพิ่งซื้อมาใหม่ออกมา ตอกไข่ลงไปในกล่องนั้น ตีให้พอเข้ากัน ใส่น้ำ ปรุงรสนิดหน่อย แล้วก็ยกใส่ซึ้งที่รองน้ำไว้ข้างใต้ เพื่อจะทำไข่ตุ๋นให้พ่อไปกินด้วยอีกเมนู

พ่อแต่งตัวเสร็จแล้วก็เตรียมอุปกรณ์ไปยืนรอหน้าบ้าน ไม่นานนักแตงกวาก็เดินตามออกมาพร้อมเถาปิ่นโตที่พ่อไม่เคยเห็น

“ผมไปเจอกล่องข้าวที่ตลาด เห็นมันซ้อนเป็นปิ่นโตถือง่ายด้วย เลยซื้อมาให้”

“อ้อ” พ่อรับปิ่นโตนั้นไปถือไว้ “ขอบใจ”

ต่างคนต่างเงียบ เพราะแตงกวากำลังประหลาดใจกับคำขอบคุณ ส่วนผู้เป็นพ่อกำลังเงยหน้าซ่อนความรู้สึกผิดไว้ในใจ แต่ในที่สุดคนแก่กว่าก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกไป

“กลับมหา’ ลัยวันนี้ใช่มั้ย”

“ครับ เดี๋ยวออกสายๆ”

พ่อไม่พูดอะไร แต่ยื่นถุงพลาสติกมัดยางมาให้ กวาเห็นของที่อยู่ข้างในแล้วรีบมองหน้าพ่อ

“กูคืน”

“ค่าอะไรครับ” มองปราดเดียวก็พอรู้ว่าในถุงพลาสติกยับๆ นั่นบรรจุแบงก์ร้อยอยู่หลายใบ

“ที่กูไปเอาของมึงมาคราวนั้น”

“พ่อ…” แตงกวาพูดอะไรไม่ออก ความเจ็บปวดจากบาดแผลในวันนั้นยังชัดเจน แต่ความโกรธแค้นไม่เคยมีตั้งแต่ต้น

“มันยังไม่ครบ ไว้สิ้นเดือนกูจะโอนให้อีกที ...หรือมึงกลับมาก็มาเอาก็ได้” ปลายเสียงแผ่วลง

กวารับเงินจากมือพ่อ พยายามควบคุมน้ำตาไม่ให้ไหล

มือเล็กแกะหนังยางออก ก่อนจะคลี่แบงก์ที่ถูกม้วนไว้ออกมา แล้วแบ่งครึ่งหนึ่งส่งให้พ่อคืน

“อันนี้ผมให้พ่อนะ พ่อเก็บไว้ใช้ สิ้นเดือนนี้ผมคงมาไม่ได้”

“ไม่เป็นไร” พ่อหมายถึงเรื่องเงินและเรื่องที่เขาไม่กลับบ้าน



“แต่เดือนหน้าจะกลับมาครับ”



ไฟหน้าบ้านอ่อนแสงเนื่องจากถูกใช้งานมายาวนาน แต่มันก็สว่างพอให้แตงกวาเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความยินดีของพ่อ และมันก็กำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาไม่ต่างกัน



______





มาถึงตรงนี้ ก็มีแต่คำว่าขอโทษที่ปล่อยให้รอ และขอบคุณที่ยังรอนะคะ

หลังจากแต่งตอนนี้จบ เหมือนได้ปลดล็อกความรู้สึกหลายๆ อย่างเลยค่ะ

ทั้งปล่อยวางความเศร้าจากการสูญเสีย และการก้าวข้ามคำว่าทำไม่ได้ของตัวเอง



ปล. เนื่องจากนิยายถูกย้ายมาที่หมวดนิยายที่ไม่แต่งต่อจนจบ และทางเล้ามีประกาศว่าจะลบนิยายหมวดนี้ เราจึงย้ายไปลงที่แอป ReadAWrite นะคะ สามารถเสิร์ชชื่อนิยาย Sweet Dilemma หรือชื่อเรา lykar ได้เลยค่ะ // แต่ระหว่างนี้ก็จะยังลงในเล้าเป็ดไปเรื่อยๆ นะคะ ถ้ายังไม่ถูกลบก็จะลงต่อไปค่ะ 55555

คิดถึงและยังรอทุกคนเสมอค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-01-2020 17:01:39
คืนดีกันแล้วเนาะพ่อกับลูก ส่วนกับอาจารย์กฤตนี่ ให้เป็นเรื่องของอนาคต ต้องตามลุ้นต่อไป

หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-01-2020 01:06:11
ดีใจที่กลับมาต่อ นึกว่าทิ้งไปแล้วนานนนนน มาก
ชอบที่ครูบอก อาจารย์กฤตว่า คนเป็นลูกศิษย์จะกลับมา
แต่ก็มาจริง ปีละครั้ง นอกจากนั้นก็จะหายๆ ไป มันเป็นความจริงที่เจ็บปวดนะ
ถ้าเรายึดติดกับสิ่งนั้น ขอบคุณคุณครูที่มาเตือน เราอ่านแล้วนึกตามเลย
ตอนต่อไปอย่าทิ้งให้นานนักนะจ๊ะ จะรอจ้าา
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-01-2020 19:43:11
ดีใจที่กลับมาต่อ นึกว่าทิ้งไปแล้วนานนนนน มาก
ชอบที่ครูบอก อาจารย์กฤตว่า คนเป็นลูกศิษย์จะกลับมา
แต่ก็มาจริง ปีละครั้ง นอกจากนั้นก็จะหายๆ ไป มันเป็นความจริงที่เจ็บปวดนะ
ถ้าเรายึดติดกับสิ่งนั้น ขอบคุณคุณครูที่มาเตือน เราอ่านแล้วนึกตามเลย
ตอนต่อไปอย่าทิ้งให้นานนักนะจ๊ะ จะรอจ้าา

จริง.......ครูผูกพันกับเด็ก
แต่เด็กไปเจอสังคมใหม่ ปรับตัวใหม่  ตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมใหม่
เลยทำให้เด็กลืมครูเก่า สังคมเก่าไปเลย
ครูเก่าก็........... อยู่ที่เก่าต่อไป  :mew2: :เฮ้อ:
คิดถึงไรท์ ดีใจไรท์มา  :mew1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 17-05-2020 01:33:07
ยังรออยู่นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-05-2020 16:12:04
 :pig4:
 :3123: