Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Dilemma - รักวิบัติ #14.2 แตงกวา (Update! 14/01/20)  (อ่าน 62656 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
10.2
เรื่องชื่นใจ


   โมบายเปลือกหอยกระทบกันเบาๆ ในยามที่ลูกค้าใหม่เปิดประตูเข้ามา เสียงเจ้าของร้านกาแฟเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กที่มาใหม่ค้อมศีรษะให้คนหลังเคาน์เตอร์ที่พอคุ้นหน้ากันดี ก่อนจะพาตนเองมานั่งที่โซฟามุมร้าน ซึ่งมีร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

   “อ้าว... กวา” ใบหน้าคมเงยขึ้นจากหนังสือภาษาอังกฤษในมือ ก่อนจะร้องทักคนตรงข้าม

   “ขอโทษครับอาจารย์...” คนมาสายยกมือขึ้นไหว้ “ร้านปิดช้ามากเลย”

   “ไม่เป็นไรครับ กินอะไรก่อนมั้ย” เอ่ยถามขณะโบกมือเรียกพนักงาน ไม่นานนักเมนูแผ่นใหญ่ก็ถูกยื่นให้คนตรงข้าม

   “ไปกันเลยก็ได้ครับ” เพราะเห็นว่าเลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงแล้ว แตงกวาจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียเวลาอีก

   “กินเถอะ ไม่ได้รีบขนาดนั้น”

   พนักงานซึ่งเป็นเจ้าของร้านยืนอมยิ้มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พอเห็นลูกค้าประจำยังตกลงกันไม่ได้ จึงก้าวเข้าไปหาแล้วค้อมตัวลงเล็กน้อย ก่อนแนะนำเมนูใหม่ที่จะน่าตอบโจทย์คนทั้งคู่

   “ถ้ายังไงลองเป็นพัฟสติกมั้ยครับ เป็นสินค้าใหม่ของอาทิตย์นี้ มีให้เลือกสามไส้ ตัวพัฟจะเป็นแท่งทานง่าย ไม่เลอะเทอะ เทคโฮมได้เลยครับ”

   “อื้ม ก็ดีนะ กวาเลือกสิจะเอาไส้อะไร” ผู้เป็นอาจารย์ชี้ไปที่เมนูในกระดาษเคลือบใสใบแรกสุด

   แตงกวาไล่สายตาดู พอเห็นภาพสวยๆ แล้วก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที เมื่อพิจารณาราคาอันละ 30 บาทแล้วก็เห็นว่าไม่แพงมาก เลยตัดสินใจสั่งไป

   “งั้นเอาไส้ปูอัดอันหนึ่งครับ”

   พนักงานรับคำสั่ง ก่อนจะหันไปถามอีกคน “อาจารย์กฤตสนใจชิมด้วยมั้ยครับ”

   “ของผมเอาไส้ละอันแล้วกันครับ ใส่รวมกันมาเลยก็ได้ แล้วก็คิดเงินเลยครับ”

   พอออร์เดอร์เรียบร้อย อ.กฤตก็หันไปเก็บของลงกระเป๋า ก่อนจะเหลือบเห็นมือเล็กๆ ยื่นแบงก์ยี่สิบมาให้พร้อมเหรียญสิบอีกเหรียญ เขามองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยื่นมือไปรับ แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กๆ นั่นก็ทำให้รู้ว่าเขาตัดสินใจถูก

   เรื่องเงินถือเป็นประเด็นเซ็นซิทีฟที่ทำให้แตงกวาทะเลาะกับตนเองบ่อยๆ เพราะเขาชอบเลี้ยงนู่นเลี้ยงนี่ หรือเวลาซื้อของอะไรก็มักจะจ่ายให้เสมอ อาจเพราะเคยชินกับการเลี้ยงเด็กๆ คนอื่นๆ เวลากินข้าวด้วยกันหรือทำงานภาค เขาเลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมควรที่จะจ่ายอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับนักศึกษาคนนี้บ้าง แต่ประโยคหนึ่งจากแตงกวา ทำให้เขาต้องกลับไปทบทวนสิ่งที่ทำอยู่นี้ใหม่

   ‘ถ้าสงสารผม ก็จ้างให้ผมทำงานเถอะครับ อย่าเลี้ยงอะไรผมเลย’

   น้ำเสียงจริงจังกับแววตาเศร้าลึกคู่นั้น ทำให้ผู้เป็นอาจารย์เข้าใจอะไรบางอย่างอย่างชัดเจน ที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ความสงสารมาลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ น่าเศร้านักที่เขาทั้งศึกษาและสอนเรื่องเหล่านี้มาหลายปี แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่รู้โดยไม่ตั้งใจ ตั้งแต่นั้นมา อ.กฤตเลยพยายามหางานที่เหมาะสมให้แตงกวาทำ อย่างการไปทำพาร์ตไทม์เป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเฮียงก็เช่นกัน

   “วันนี้ที่ร้านเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะเลี้ยวรถเข้าประตูมหาวิทยาลัย

   คนกำลังกัดพัฟกร้วมๆ รีบกลืนขนมก่อนจะตอบคำถาม “ก็เรื่อยๆ ครับ คนไม่ค่อยเยอะ”

   เจ้าของรถเอี้ยวตัวไปหยิบขวดน้ำหลังเบาะส่งให้ลูกศิษย์ “กินน้ำก่อน เดี๋ยวติดคอ”

   “ขอบคุณครับ”

   “ไม่เหนื่อยไปใช่มั้ย” อ.กฤตหมายถึงการทำงานตลอด 6 วันของแตงกวา ถ้าวันธรรมดาเด็กหนุ่มจะไปช่วยงานที่ร้านอาหารตอน 6.30 – 8.00 น. ส่วนวันเสาร์ก็ลากยาวถึงบ่ายสองบ่ายสาม จนกว่าของขายจะหมด

   “ไม่ครับ เฮียใจดี” รอยยิ้มสดใสฉายบนใบหน้า ยืนยันคำตอบว่าเป็นเรื่องจริง

   “ตอนแรกผมคิดว่ากวาจะกลัวซะอีก บ้านนี้เค้าคุยกันเสียงดัง”

   “เสียงดังจริงครับ แต่เฮียทุกคนไม่ดุเลย”

   “ดีแล้วล่ะ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกผมนะ”

   คนฟังพยักหน้า

   รถยนต์สีขาวของอ.กฤตเลี้ยวเข้ามาในเขตคณะเภสัช ก่อนจะชะลอความเร็วลง “เดี๋ยวกวาไปเอาชีตที่ซีรอกซ์แล้วรอหลังร้านนะ ผมจะวนรถมารับ มันจอดไม่ได้”

   พอรถจอดสนิท ร่างเล็กก็เปิดประตูแล้ววิ่งไปยังร้านถ่ายเอกสารทันที เจ้าของรถดูจนลูกศิษย์ข้ามถนนไปถึงร้านแล้วจึงขับวนไปอีกด้าน กะเวลาให้แตงกวาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจึงจอดตรงจุดนัดหมาย หลังจากนั้นไม่ถึงนาที คนทำภารกิจก็วิ่งดุ๊กๆ มาถึงรถได้ทันก่อนจะโดนยามไล่

   “สามชุด ชุดละห้าสิบแผ่นใช่มั้ยครับ” เสียงใสที่ยังหอบน้อยๆ เอ่ยทวนรายการ

   “ใช่ครับ” เจ้าของงานรับคำ ขณะเลี้ยวรถเพื่อไปยังคณะอักษร และจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่หลังตึก

   ถึงจะเป็นวันหยุด แต่บริเวณคณะก็ยังคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษา มีทั้งกลุ่มที่มานั่งอ่านหนังสือและทำงาน พอเห็นดังนั้นจึงหันมาถามคนที่เดินอยู่ข้างๆ อย่างนึกขึ้นได้

   “อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแล้วใช่มั้ย”

   “ครับ”

   “อ่านหนังสือหรือยังครับ ปีหนึ่งสอบทุกวิชาเลยนี่”

โดยปกติแล้วการสอบมิดเทอมไม่ได้กำหนดเป็นกิจจะลักษณะเหมือนไฟนอล วิชาไหนไม่มีสอบก็จะเรียนไปปกติ ยกเว้นปีหนึ่งที่มีสอบหมดทุกวิชา สัปดาห์หน้าจึงถือเป็นช่วงสอบอย่างจริงจัง

   เห็นคนถูกถามทำหูทวนลมไม่ตอบแล้วผู้เป็นอาจารย์ก็พอจะรู้คำตอบกลายๆ

   “อย่าคิดว่ามันไม่สำคัญนะ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ถ้ามิดเทอมตกก็มีสิทธิ์ที่จะติด F เลยนะกวา”

   เสียงดุๆ นั่นทำให้คนถูกบ่นยิ้มแหย “คร้าบ เดี๋ยวอ่านครับ”

   “งั้นวันนี้แค่แม็กชีตห้าสิบชุดนี้ก็พอ แล้วรีบกลับไปอ่านหนังสือนะ” เสียงทุ้มออกคำสั่ง ก่อนสายตาจะไปโฟกัสที่การไขประตูเข้าภาควิชา จึงไม่ทันได้เห็นเด็กดื้อทำหน้าเหมือนกินยาขมอยู่ข้างๆ

   แตงกวาเดินตามร่างสูงใหญ่เข้าไปในห้องพักอาจารย์ จัดการวางเอกสารตรงโต๊ะยาวมุมห้อง แล้วเริ่มเรียงเป็นชุดๆ ตั้งแต่เริ่มช่วยงานมา แตงกวาก็ค้นพบว่าหน้าที่ของอาจารย์นั้นมีมากกว่าการสอน ทุกๆ วันอาจารย์กฤตต้องทำประเมิน ทำเอกสารของภาควิชา ทำรายงานต่างๆ ส่งคณะและมหาวิทยาลัย เรียกว่างานเยอะไม่แพ้นักศึกษา ดังนั้นอะไรที่ไม่เป็นความลับและไม่ยากเกินไป แตงกวาก็มักจะอาสาช่วยทำให้

   “อาจารย์ครับ...” คนมุมห้องส่งเสียงเรียก “แล้วอาจารย์จะแกะเทปทันเหรอครับ”

   เขาหมายถึงงานอีกชิ้นที่รับปากจะช่วยอ.กฤตทำ นั่นคือการถอดเทปการประชุมความยาวเกือบสองชั่วโมง จำได้ว่าต้องเขียนสรุปส่งวันพุธนี้ และอาจารย์เองก็มีงานด่วนอื่นๆ อีก ยังไงก็ไม่น่ามีเวลามาถอดเทปเอง

   เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดชะงักลง “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมฟังไปเขียนไปเลยทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลากวาถอดเทปด้วย”

   แตงกวาเงียบไป ...หรือจริงๆ แล้วอาจารย์ก็แค่อยากจะช่วยเหลือเด็กตาดำๆ ที่โดนครอบครัวทอดทิ้ง และไม่มีเงินกินข้าว เลยจ้างเขาทำงานง่ายๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร จากที่เคยคิดว่าตัวเองช่วยแบ่งเบาภาระของอาจารย์ได้บ้าง สุดท้ายเขาอาจเป็นแค่ภาระอีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์ต้องแบกรับเข้าไปในชีวิตก็ได้

   “กวา...” เสียงทุ้มอ่อนลง “แตงกวาครับ”

   “...ครับ”

   คนอายุมากกว่าลอบถอนหายใจ ถึงลูกศิษย์จะเป็นคนเงียบๆ แต่อาการเงียบกริบแบบนี้มันผิดปกติ และเดาไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกยังไง

   “ผมขอบคุณนะที่กวามาช่วยงานผมหลายๆ อย่างให้เสร็จเรียบร้อย เชื่อเถอะว่าถ้าผมทำเอง มันคงไม่ออกมาดีแบบนี้” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเรียบเรื่อย “แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นกว่างานส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบ คือความสำเร็จของนักศึกษานะครับ”

   มือเล็กที่จัดเอกสารอยู่ชะงัก พิจารณาถ้อยคำบอกเล่านั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย “นักศึกษา...”

   “อะไรนะครับ”

   เสียงพร่าพยายามเอ่ยถามทั้งๆ ที่หัวใจปวดหนึบ “อาจารย์ก็ต้องหวังดีกับนักศึกษาทุกคนใช่มั้ยครับ”

   ผู้เป็นอาจารย์เพ่งมองแผ่นหลังของเด็กในที่ปรึกษา กระแสเสียงหม่นเศร้าที่ได้ฟังไม่อาจทำให้เขานั่งทำงานเฉยๆ ได้อีกต่อไป อาจารย์กฤตลุกจากเก้าอี้ แล้วสาวเท้าเข้าไปหาร่างเล็กที่มุมห้อง ระยะห่างเพียงเอื้อมคว้าแต่คนด้านหลังกลับนิ่งเฉย ทว่าภายในใจกำลังทุ่มเถียงกันอย่างหนัก สุดท้ายมือใหญ่ก็เอื้อมออกไป ก่อนจะวางบนหัวทุยๆ อย่างแผ่วเบา

   “ในฐานะอาจารย์ ผมก็ต้องอยากให้ลูกศิษย์ของผมเรียนจบ มีงานดีๆ ทำ มีอนาคตที่มีความสุขอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นกวา...”

   คนฟังหันมา ตากลมเต็มไปด้วยคำถาม “ผม...ทำไมเหรอครับ”

    “ถ้าเป็นแตงกวา ผมก็คงชื่นใจ...” ใบหน้าคมส่งยิ้มละมุนที่ทำให้คนมองอบอุ่นไปทั้งใจ “ตั้งใจอ่านหนังสือ แล้วเป็น ‘เรื่องชื่นใจ’ ให้ผมนะ”


---------------------------------------------------------


 
   อาทิตย์ของการสอบมิดเทอมมาถึง พอไม่ต้องไปทำงานร้านเฮียง แตงกวาเลยได้มีเวลาตอนเช้ามากขึ้น ตอนนี้เขาย้ายมาอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยแล้ว โดยมีรูมเมตเป็นเพื่อนใหม่อีกสองคน แม้ห้องพักจะไม่ใหญ่มาก แต่การแบ่งสัดส่วนและอุปกรณ์ของใช้ที่มีให้ครบจำนวนสามคน ก็ทำให้เขาอยู่ได้แบบไม่ลำบาก ส่วนห้องน้ำรวมที่เตรียมใจไว้ว่าคงต้องแย่งกันเข้า ทว่าพอเอาเข้าจริงเขาก็ไม่เคยต้องรอคิว โดยรวมแล้วถือว่าอยู่สบายทั้งกายและใจ เพื่อนร่วมห้องก็โอเคตามวิสัยผู้ชาย คือไม่มายุ่งอะไรกันมาก ต่างคนต่างเว้นพื้นที่ให้กันและกัน หากก็มีน้ำใจพอจะให้หยิบยืมและช่วยเหลือยามจำเป็น

   “ออกเช้าเชียวมึง” รูมเมตที่เป็นเด็กคณะวิทยาศาสตร์ร้องทัก เพราะปกติแล้ววันจันทร์แตงกวาจะมีเรียนสิบโมงครึ่ง แต่นี่เขาแต่งชุดนักศึกษาออกจากห้องตั้งแต่ยังไม่แปดโมง

   “เออ จะไปอ่านทวนกับเพื่อนหน่อยอะ” เพื่อนร่วมห้องรับคำแล้วเตรียมของจะออกไปอาบน้ำ หากแล้วก็กลับเข้ามาใหม่ “คืนนี้กูกับไอ้หมิงไปนอนหอสมุดนะ”

   “โอเค” ร่างบางตอบรับ ช่วงสอบกลางภาคแบบนี้หอสมุดเลยเปิดบริการ 24 ชั่วโมง ให้นักศึกษาไปฝังตัวนั่งๆ นอนๆ กันได้ทั้งวันทั้งคืน เมื่อวานแตงกวาก็เตรียมหนังสือไปอ่านเหมือนกัน แต่พอใกล้ๆ สี่ทุ่มที่เป็นเวลาหอพักปิดก็เกิดเปลี่ยนใจกลับห้อง เพราะดูแล้วจะเป็นการเอาตัวเองไปนั่งทรมานเสียเปล่าๆ

   บรรยากาศยามเช้าของมหาวิทยาลัยยังคงสร้างความตื่นเต้นให้กับแตงกวาอยู่เสมอ เขารักความเคลื่อนไหวของผู้คนและธรรมชาติ ปั่นจักรยานไปเขาก็มองนักศึกษาที่เดินสวนกันไปมาด้วย ถ้าถนนโล่งๆ หน่อยก็จะได้มองต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง แสงแดดที่ร้อนบ้างร่มบ้าง ก็ช่วยเติมชีวิตชีวาให้ทุกเช้ามีรสชาติแตกต่างกันไป ที่นี่จึงไม่ใช่แค่สังคมเล็กๆ แต่กลายเป็นโลกใบใหม่ที่แตงกวารู้สึกรักขึ้นทุกวัน

วันนี้ปีหนึ่งเอกปรัชญานัดกันมาอ่านหนังสือตอนแปดโมงที่โต๊ะม้าหินหน้าภาค เอ่ยทักทายเพื่อนบางคนที่มาถึงก่อนแล้วจึงหาที่นั่งให้ตัวเอง มือเล็กหยิบหนังสือออกมานั่งอ่านไปเงียบๆ ไม่นานนักทุกคนก็มาครบ

“มาเรื่องแรกก่อนเลย ของเราเอง” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยืนขึ้น ก่อนจะถามคำถามที่ตัวเองลิสต์มาแล้วให้เพื่อนๆ ตอบ วิชาแรกที่จะสอบนี้เป็นวิชาบังคับสายวิทยาศาสตร์ที่เด็กอักษรปีหนึ่งทุกคนต้องเรียน เกี่ยวสารอาหารและยา ใครเรียนสายวิทย์มาก็น่าจะพอได้ ส่วนเด็กสายศิลป์แบบแตงกวาก็ต้องพยายามมากหน่อย

เพื่อนๆ สลับกันถามคำถาม ส่วนใหญ่แล้วแตงกวาก็ตอบได้ มีจะติดขัดบ้างกับพวกชื่อยากๆ แต่โชคดีที่สอบแบบกากบาท เอาแค่พอคุ้นตาก็ไม่น่ายาก ส่วนอัตนัยมี 5 ข้อ รุ่นพี่บอกแนวข้อสอบมาแล้ว และเขาก็เตรียมคำตอบมาอย่างดี ถ้าอาจารย์ไม่หักหลังออกต่างจากนี้ เขาก็คิดว่าวิชานี้ไม่น่ามีปัญหา

“ติวอะไรกันแต่เช้าเลย” เสียงผู้มาใหม่ทำให้นักศึกษากลุ่มใหญ่ต้องหันไปมอง

“อาจารรรรรย์ สวัสดีค่า” ประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงพลางพนมมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษา ก่อนใครสักคนจะเป็นตัวแทนตอบออกมา

“Food ค่ะ สอบเช้านี้”

“อ้อ... งั้นตั้งใจอ่านกันนะครับ ผมไม่กวนละ” อาจารย์ส่งยิ้มให้เด็กๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในภาควิชา

พออาจารย์จากไป ทั้งกลุ่มก็กลับมาส่งเสียงกันอีกครั้ง หากประเด็นไม่ใช่เรื่องสอบ แต่กลับเป็นเรื่อง...

“หูยยยย... หล่ออ่า” เพื่อนผู้หญิงหัวโต๊ะเอ่ยคล้ายละเมอ

“ฮืออออ เทพบุตรมากกกกก สุขม สุภาพ พ่อของลูกสุดๆ” ใครอีกคนเพ้อเสียยาว ซึ่งที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นแถว

แตงกวาหันสายตาไปยังห้องพักอาจารย์ของคนที่ถูกนินทาแล้วก็ต้องถอนหายใจ สิ่งที่เพื่อนพูดไม่เกินความจริงสักนิด

“กวา...แตงกวา!”

“ฮะ...อ้อ โทษทีๆ” คนกำลังเหม่อสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะรีบหยิบหนังสือของตัวเองขึ้นมา “อ่า...บทที่สี่นะ...”


เช้าๆ แบบนี้ยังเย็นสบายอยู่ อาจารย์กฤตเลยเปิดบานเกล็ดให้อากาศถ่ายเทและยังไม่เปิดแอร์ แต่ไม่นึกว่าจะได้ยินเสียงเด็กในที่ปรึกษาติวข้อสอบกันด้านนอกด้วย ซึ่งตอนนี้เสียงใสๆ ของแตงกวาที่ดังลอยเข้ามาในห้องพักก็กำลังทำให้เขาเผลอยิ้มอยู่คนเดียว พอได้ยินเด็กพูดน้อยต้องอ่านหนังสือให้เพื่อนฟังแล้วก็อดตั้งใจฟังไปด้วยไม่ได้ โดยปกติเด็กผู้ชายนี่น่าจะเสียงแตกหนุ่มตอนสักมอต้นมั้ยนะ แต่ทำไมแตงกวาถึงเสียงแง้วๆ เหมือนลูกแมวแบบนั้นก็ไม่รู้ ยิ่งพูดยาวๆ ยิ่งออกสำเนียงติดเหน่อน้อยๆ แต่กลับฟังดูน่ารัก...

อ่า... น่ารัก เหรอ...

ผู้เป็นอาจารย์สะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเอง และพยายามจดจ่อกับรายงานการประชุมตรงหน้า เสียบหูฟังจากเครื่องบันทึกเสียงแล้วจึงเริ่มทำงาน สมาธิเริ่มกลับคืนมาจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างใดๆ อีก สุดท้ายเขาก็จมไปกับงาน จนแม้แต่เสียงเคาะประตูก็ไม่ได้ยิน

“อาจารย์ครับ...” แตงกวาที่ยืนอยู่นอกห้องลองส่งเสียงเรียกคนด้านในดู แต่กลับไร้การตอบกลับอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยความร้อนใจเด็กหนุ่มจึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องพักอาจารย์ที่ปรึกษาเข้าไปโดยไร้คำอนุญาต ก่อนเขาจะพบว่าคนที่เขาพยายามเรียกกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนขนาดที่เขายืนอยู่ข้างๆ โต๊ะแล้วยังไม่รู้สึกตัว

ผู้มาเยือนเอามือโบกๆ จุดที่น่าจะโดนความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ แต่กลับพบว่าไม่มีลมใดๆ ออกมาทั้งสิ้น ตากลมเหลือบมองไปจึงเห็นว่ามันไม่ได้เปิดทำงาน และหน้าต่างใสก็ถูกเปิดอยู่ เขาจึงเดินไปหมุนปิดบานเกล็ดและจัดการเปิดแอร์ไล่ความร้อนภายในห้อง

ตอนนี้ยังไม่สิบโมงดี ร่างเล็กจึงทรุดนั่งที่เก้าอี้สตูลที่ตั้งอยู่มุมห้อง หลังทบทวนเนื้อหากับเพื่อนแล้ว แตงกวาก็คิดว่าควรให้สมองได้พักผ่อน และปล่อยใจให้ว่างเท่าที่จะทำได้ และตอนนี้เขาก็ค้นพบวิธีที่จะผ่อนคลายแล้ว นั่นคือการนั่งดูอาจารย์กฤตทำงานไปเรื่อยๆ

ใบหน้าคมเข้มที่ตอนนี้ขมวดมุ่นน้อยๆ ดูเข้ากันดีกับริมฝีปากหยักที่มักจะยกยิ้มอยู่เสมอ จมูกโด่งกับสันกรามชัดเจนแบบไทยแท้ทำให้แตงกวานึกถึงพระเอกหล่อๆ ที่ชอบแสดงหนังย้อนยุคอะไรประมาณนั้น แต่อาจารย์กฤตไม่ได้ดูดุหรือน่ากลัวเท่า อาจเป็นเพราะดวงตาคมที่แฝงแววอ่อนโยนไว้ก็ได้

“อะ....!!!” ระหว่างที่กำลังแอบพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่าย อยู่ๆ อ.กฤตก็เงยหน้าขึ้นมาก่อนสีหน้าเคร่งเครียดจะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นเขา และแน่นอนว่าคนที่ตกใจกว่าก็คือแตงกวา ที่ไม่อาจหลบตาอีกฝ่ายได้ทัน

“แตงกวา...มาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ” น้ำเสียงไม่มีความโกรธอะไร เป็นเพียงความประหลาดใจมากกว่า

คนที่กำลังก้มหน้าหลบอีกฝ่ายตอบเสียงอุบอิบ “สักพักแล้วครับ เดี๋ยว...ผมไปห้องสอบก่อนนะครับ”

คำพูดนั้นทำให้อาจารย์กฤตต้องเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือตนเอง “ผมมีคุมสอบเหมือนกัน เกือบเลยเวลาแล้วมั้ยล่ะ”

แตงกวาแอบถอนหายใจ โชคดีที่อาจารย์ไม่สงสัยอะไรที่เขามานั่งมองหน้าแบบนี้

“เอ้อ...เมื่อกี๊น่ะ” อยู่ๆ คนที่กำลังเก็บของก็เอ่ยขึ้นมา จนคนมีชนักติดหลังหายใจกระตุก

“คะ...ครับ”

“ขอบคุณที่เปิดแอร์ให้นะครับ” ริมฝีปากหยักเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “แล้วก็ตั้งใจสอบล่ะ ขอให้ได้คะแนนดีๆ”

แตงกวาไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มรับคำอวยพรนั้นเงียบๆ หากหัวใจกลับเต้นตึกๆ เพราะนึกว่าอาจารย์จะทักเรื่องพฤติกรรมประหลาดเมื่อครู่


---------------------------------------------------------

(ต่อด้านล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 16:35:43 โดย lykar »

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
การสอบผ่านไปอย่างราบรื่น แตงกวาค่อนข้างมั่นใจว่าคะแนนสอบกลางภาคของวิชาแรกนี้น่าจะได้เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้เขาใจชื้นขึ้นและมีเรี่ยวแรงจะอ่านวิชาต่อไป

“เย็นนี้ไปองค์พระกันมั้ย” เพื่อนในกลุ่มเอ่ยชวนไปกินข้าวเย็นที่ตลาดโต้รุ่งที่วัดแถวๆ มหา’ลัย หลายคนตกลง แต่แตงกวากลับปฏิเสธ

“ไปด้วยกันเถอะกวา คลายเครียดๆ”

“เราอยากอ่าน ‘ยำตก’ อะ นี่ยังไม่ได้เริ่มเลย” เขาหมายถึงวิชา ‘อารยธรรมตะวันตก’ ของภาคประวัติศาสตร์ ที่โหดหินไม่แพ้วิชาอื่นๆ แถมยังเป็นอัตนัยทุกข้อด้วย

“สอบวันพุธไม่ใช่เหรอ ชิลๆ ไปหาไรกินแป๊บเดียวเอง” เพื่อนๆ เขายังงอแงต่อ

“เราก็อยากไปด้วย แต่วิชานี้เราจำอะไรไม่ได้เลยอ่า ถ้าไม่เริ่มอ่านตอนนี้ต้องตกแน่ๆ” เสียงใสเต็มไปด้วยความกังวล จนในที่สุดเพื่อนในกลุ่มก็ยอมรับกับการตัดสินใจนั้น

“พ่อแม่แกต้องภูมิใจในตัวแกอะกวา โคตรขยันเลย ยอมใจๆ”

คนได้รับคำชมได้แต่ยิ้ม โดยไม่ได้บอกไปว่า เขาไม่ได้หวังให้พ่อแม่ได้ภูมิใจแล้ว หากแค่ให้ใครบางคนได้ ‘ชื่นใจ’ ก็พอ
ร่างเล็กหอบข้าวของกลับไปที่ห้องภาค ตั้งใจจะนั่งอ่านหนังสือที่นั่น แต่กลับพบว่าห้องประชุมนั้นมีรุ่นพี่จับจองอยู่ การจะเดินเข้าไปนั่งแบบตัวคนเดียวนั้นก็รู้สึกเขินเกินไป เลยตัดสินใจไปหาที่นั่งใต้ตึกคณะแทน

พอปักหลักได้ แตงกวาก็เริ่มอ่านวิชาประวัติศาสตร์อย่างตั้งใจ พยายามโน้ตย่อเป็น mind mapping แบบที่ชอบทำตอนสมัยมอปลาย แต่ต้องยอมรับว่าเนื้อหาของการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างจากมัธยมจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในขณะที่เขาเคยชินกับเรื่องการแบ่งยุคอารยธรรม และท่องจำลักษณะพิเศษของยุคนั้นๆ แต่ตอนนี้เขาต้องมานั่งวิเคราะห์เบื้องหลังสงครามต่างๆ ต้องเข้าใจถึงผลกระทบจากการล่าอาณานิคม และต้องแยกแยะให้ออกว่าบันทึกแต่ละเล่มนั้น มีการปะปนของความจริงกับเรื่องแต่งอย่างไร

บอกตรงๆ ว่ายากและต้องใช้สมาธิสูงมากๆ...


แตงกวาเงยหน้ามาอีกทีตอนที่รู้สึกว่ามีแสงอะไรแยงตา

“เชี่ยยยย!!!” แทบจะตะโกนออกมาเมื่อพบว่าตัวเองเผลอหลับไป ทั้งๆ ที่ปากกาไฮไลต์ยังคาอยู่ในมือ พอได้สติก็รีบคว้านาฬิกาข้อมือที่ถอดไว้ขึ้นมาดู และพบว่าตอนนี้...สะ...สี่ทุ่ม!!!!!

ไวเท่าความคิด มือเล็กรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหารูมเมตทันที รอสัญญาณสักพัก ปลายสายก็กระซิบกลับมา ‘ว่าไงมึง’
เพียงเท่านั้นแตงกวาก็ระลึกได้ว่าคืนนี้เพื่อนทั้งสองคนตั้งใจไปอ่านหนังสือที่หอสมุด

“โทษทีมึง กูลืมว่ามึงอยู่หอสมุด”

วางสายจากเพื่อนก็รีบเก็บของใส่กระเป๋าแบบลวกๆ ก่อนจะวิ่งไปลานจอดจักรยานแล้วรีบปั่นกลับห้อง ด้วยความเร็วที่แตงกวาไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ อากาศยามค่ำคืนนั้นเย็นชื้นจนเสื้อนักศึกษาตัวบางๆ ทำท่าจะเอาไม่อยู่ แต่ก่อนที่จะทนไม่ไหว จักรยานคันเก่งก็มาจอดที่ประตูใหญ่ของทางเข้าหอพอดี
 

ขออภัย
ปิดประตูเข้าออก
วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 22.00 – 6.00 น.
เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 22.30 – 6.00 น.


แตงกวาอ่านข้อความบนประตูซ้ำๆ หัวใจเต้นระรัว มือไม้เย็นเฉียบ ตั้งแต่อยู่หอในมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับไม่ทันประตูปิด ตอนนี้สมองของแตงกวากำลังคิดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือไปกราบอ้อนวอนลุงยามให้เปิดประตูให้ กับต้องระเห็จตัวเองไปนอนหอสมุดกับรูมเมต

“ละ...ลุงครับ” ตัวเลือกแรกถูกดึงออกมาใช้ก่อน เพราะยังไงป้อมยามก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว

พนักงานรักษาความปลอดภัยยื่นหน้าออกมา แล้วโบกมือปัดๆ เป็นเชิงไล่โดยที่แตงกวายังไม่ทันได้พูดอะไร

   “อ่า...คือผม....”

   “ไม่เปิดๆ เปิดไปน้องก็เข้าหอไม่ได้หรอก” ลุงแกพูดแค่นั้น แล้วก็เดินเข้าป้อมไป ทิ้งให้คนถูกปฏิเสธยืนคว้างหน้าประตูเพียงลำพัง

   มือถือเครื่องเก่าถูกหยิบขึ้นมา นิ้วเรียวตัดสินใจพิมพ์ข้อความหาเพื่อนที่หอสมุด

   ‘กูกลับไม่ทันหอปิดอะ ไปหาได้ปะ’

   ข้อความขึ้น read และไม่นานนักเพื่อนก็ตอบกลับมา

   ‘อีกแป๊บกูจะไปนอนหอนอกกับเพื่อนละ คนเยอะมาก ไม่มีที่จะหายใจแล้วมึง’

   แม้ตนเองจะส่งสติกเกอร์หมีทำท่าโอเคกลับไป แต่ในใจกลับไม่โอเคเลยสักนิด ระหว่างกำลังไล่ดูเบอร์เพื่อนในเอกที่น่าจะขอความช่วยเหลือได้บ้าง ข้อความจากไลน์ก็เด้งเข้ามาอีกครั้ง

   ‘กวาๆ ร้านกาแฟของนัชเค้ารับเด็กเสิร์ฟกะเย็นอยู่ กวาสนใจมั้ย’

   เพ่งมองชื่อผู้ส่งอีกครั้งด้วยมืออันสั่นเทา จากที่คิดว่าน่าจะเป็นรูมเมต แต่กลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ส่งข้อความมาหา เด็กไม่มีที่ไปตั้งสติสักครู่ ก่อนจะตัดสินใจโทรหาอาจารย์กฤต เสียงรอสายดังไม่ถึงสองครั้งก็มีเสียงตอบรับกลับมา

‘ครับกวา’ ถ้อยคำสั้นๆ จากน้ำเสียงแสนอบอุ่นนั้น ทำให้ความวิตกในใจดูจะเจือจางลงได้อย่างมหัศจรรย์

“อาจารย์ครับ...”



อาจารย์กฤตขับรถฝ่าความมืดกลับเข้ามหา’ลัยอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งมาถึงคอนโดได้ไม่ถึงชั่วโมง จุดมุ่งหมายคือหอสมุดที่มีเด็กบางคนรออยู่ ใช้เวลาไม่นานนัก รถเก๋งสีขาวก็มาจอดอยู่ตามที่นัดหมาย และโดยไม่ต้องมองหา เขาก็เห็นร่างเล็กนั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้าหอสมุดแล้ว ตอนแรกว่าจะไลน์ไปบอก หากแล้วก็เปลี่ยนใจเดินไปหาเองดีกว่า

“น้องแตงกวา ผู้ปกครองมารับแล้วครับ” แสร้งเอ่ยล้อเลียนคนที่นั่งรอตนเองอยู่ ผลลัพธ์คือใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงระเรืออยู่ใต้แสงไฟ

“อาจารย์อ่า” เสียงเล็กร้องท้วง อายก็อาย แต่สุดท้ายมันก็คือเรื่องจริง

คนที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาเดินตามร่างสูงใหญ่ไปที่รถ ยังไม่ทันได้สตาร์ตเครื่องยนต์ อาจารย์กฤตก็ส่งกล่องอะไรบางอย่างมาให้
“อะ ขนมปลอบใจ”

ด้านในคือพายสติกจากร้านกาแฟที่เขาได้กินไปเมื่อวันเสาร์นั่นเอง

“ผมแวะไปที่ร้านมา เลยรู้ว่านัชเค้าหาเด็กเสิร์ฟนี่แหละ” เสียงทุ้มเล่าต่อ

“แต่ร้านพี่นัชปิดดึกไม่ใช่เหรอครับ ผมคงอยู่ทำไม่ได้” แตงกวาครุ่นคิด ขณะหยิบพายขึ้นมากิน

“เห็นว่าเดือนหน้าเค้าจะเปลี่ยนเวลาปิดเป็นสามทุ่มแล้วนะ แล้วพนักงานปัจจุบันเค้าบ้านไกล ทำชั่วโมงน้อยๆ ก็คงไม่คุ้มค่ารถมามั้ง”

“อ๋อ...” ปากเล็กที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ รับคำ “ถ้าประมาณนั้นผมก็อยากทำนะครับ”

“ไว้ว่างๆ ก็แวะไปคุยกับนัชแล้วกัน” คนที่กำลังจดจ่ออยู่กับการขับรถหันมามองเด็กที่นั่งข้างๆ แล้วก็อดดุไม่ได้ “ค่อยๆ กินสิเรา นี่ยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย”

พอโดนเอ็ด แตงกวาเลยต้องกินให้ช้าลง “ผมตื่นมาอีกทีก็สี่ทุ่มแล้วอะครับ ตกใจมากเลย”

“เรานี่น้า...” ผู้เป็นอาจารย์หัวเราะ “ทีหลังถ้าจะอยู่ดึกก็ไปอ่านในภาค อย่าไปนั่งใต้ตึกอีก รู้มั้ยครับ”

“คร้าบบบบ”

   “แล้วพรุ่งนี้มีสอบหรือเปล่า”

   “มีตอนบ่ายครับ วิชา M&A”

   “โชคดีไป” เพราะวิชาที่เด็กหนุ่มว่า คือวิชาศิลปะทั่วไป ซึ่งข้อสอบจะเป็นการให้อธิบายความหมายของภาพตามความเข้าใจของตนเอง ไม่ต้องอ่านหนังสืออะไรมาก

   อาจารย์กฤตขับอ้อมมาทางด้านหลังมหาวิทยาลัย ซึ่งมีคอนโดขนาดสิบชั้นตั้งอยู่ เป็นคอนโดเก่าแก่ที่เขาอยู่มาตั้งแต่สมัยเรียน พอได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่นี่ เขาเลยตัดสินใจซื้อห้องที่เคยอยู่เป็นของตนเองเสียเลย

   “เคยมามั้ยแถวนี้” เจ้าของห้องเอ่ยถามกับคนที่กำลังมองรอบๆ อย่างตื่นเต้น

   “ไม่เคยเลยครับ รถเยอะ ไม่กล้าปั่นมา” แตงกวาตอบตามจริง ถนนเส้นหลังมหา’ลัยมีแต่รถใหญ่วิ่ง การขี่จักรยานมาก็เหมือนเอาชีวิตมาฝากไว้บนถนนนั่นแหละ

   “ดีแล้วล่ะ มันอันตราย” บอกเด็กในที่ปรึกษา ก่อนจะเดินนำไปยังลิฟต์ของคอนโด “ปะ...ผมอยู่ชั้นเก้า”

   “อาจารย์... ผมขอโทษนะครับที่ต้องรบกวน” แตงกวาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

   “นิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกรุ่นพี่เค้าก็มานอนกันบ่อยๆ เวลาทำงานภาคดึกๆ น่ะ”

   ลิฟต์จอดที่ชั้นเก้า ร่างเล็กจึงเดินตามคนข้างหน้ามาจนถึงห้องพัก

   “ถอดรองเท้าตรงชั้นแล้วเข้ามาเลยครับ” เจ้าของห้องบอกกับคนที่ยืนรออย่างสงบเสงี่ยม

   ห้องของอาจารย์กฤตตกแต่งแบบเรียบง่าย ดูแล้วเหมือนจะใช้โครงสร้างเดิมที่มีมาแต่ต้น ถึงแม้จะเป็นคอนโดขนาด 1 ห้องนอน แต่ก็มีขนาดกว้างพอสมควร ถ้าหากกั้นดีๆ อาจทำห้องนอนเพิ่มอีกห้องได้เลย

   “ตามสบายนะกวา ขาดเหลืออะไรบอกผมได้เลย”

   ปล่อยให้แขกไปอาบน้ำพร้อมอุปกรณ์จำเป็นเท่าที่จะมีให้หยิบยืมได้ แล้วตนเองก็เดินเข้ามาจัดแจงที่นอนในห้อง เตียงขนาดคิงไซส์ที่เขาใช้ สามารถดึงด้านล่างออกมาเป็นเตียงเล็กได้อีกอัน เพราะสมัยเรียนเขาอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง จนกลับมาเป็นเจ้าของห้องอีกครั้งก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยน

   “อ้าว...” อาจารย์กฤตอุทานกับตัวเอง เมื่อหาผ้าปูที่นอนของเตียงเล็กแล้วไม่เจอ “อยู่ไหนเนี่ย”

   พยายามนึกย้อนไปช่วงงานคเณศที่มีเด็กๆ มานอนห้อง นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ใช้ผ้าปู ก่อนจะส่งร้านซักรีดใต้คอนโดไป และลืมไปเสียสนิทจนไม่ได้ไปรับคืน

   กลิ่นหอมสะอาดของครีมอาบน้ำที่คุ้นเคย ทำให้คนที่กำลังวุ่นวายกับเตียงต้องหันไปทางประตู ร่างเล็กๆ ของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จยืนรออยู่ตรงนั้น แตงกวาดูแปลกตาไปมากเมื่ออยู่ในชุดนอนแขนยาวขายาวตัวโคร่ง จนคนมองอดทักไม่ได้

   “เหมือน The Boy In The Striped Pyjamas… อืม ไม่เอาดีกว่า จบเศร้าไป” เสียงพึมพำทำให้แตงกวาต้องก้มลงมองตัวเอง “เอาเป็นกล้วยหอมจอมซนดีกว่า เหมาะกว่าเยอะ”

   ผู้เป็นอาจารย์หมายถึงการ์ตูนยอดฮิต ที่เป็นฝาแฝดกล้วยหอมใส่ชุดนอนลายทาง

   “อาจารย์อ่า ผมดูตลกใช่มั้ยเนี่ย”

   ปากเล็กๆ เบะออก จนคนเริ่มเรื่องต้องรีบแก้

   "ไม่ได้ตลกครับ" เรียวปากหยักยิ้มละมุน "น่ารักดี"

   ดูเหมือนคนพูดเองเพิ่งจะนึกอะไรได้ เลยต้องแสร้งกระแอมเบาๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง

   “ผมลืมไปเอาผ้าปูที่นอนเตียงเล็ก ยังไงกวานอนเตียงใหญ่กับผมแล้วกันนะ”

   “อ่า...” คนที่กำลังทำอะไรไม่ถูกได้ชะงักอีกรอบ “ผมนอนโซฟาก็ได้นะครับ”

   เจ้าของห้องทำสีหน้าประหลาดใจ “นอนโซฟาทำไมล่ะ นอนด้วยกันนี่แหละ”

   ว่าจบก็ตบเตียงสองที ก่อนจะนึกได้ว่าท่าทางแบบนี้มันดูเหมือนลุงแก่ๆ กำลังเรียกอีหนูขึ้นเตียงยังไงชอบกล

   “เอ่อ...กวาจะอ่านหนังสือมั้ย เดี๋ยวผมไปทำงานต่อแป๊บนึง ถ้าง่วงก็ปิดไฟนอนได้เลยนะ”

   พูดจบก็เดินออกจากห้องไป โดยไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธ

   แขกของห้องยืนหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปลากกระเป๋าผ้าของตัวเองมาแล้วนั่งลงบนฟูกที่เป็นเตียงเล็ก ก่อนจะใช้เตียงใหญ่แทนโต๊ะแล้วกางชีตวิชาอารยธรรมตะวันตกอ่านต่อจากที่ค้างไว้ โชคดีที่เขาตัวเตี้ย ระยะห่างของเตียงสองอันจึงค่อนข้างพอดี ไม่นั่งแล้วปวดหลังอย่างที่คิด

   เสียงรัวคีย์บอร์ดจากด้านนอกบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องยังคงทำงานอยู่ แม้ไม่เห็น แต่แตงกวากลับอุ่นใจเมื่อรู้ว่าค่ำคืนนี้ไม่ถูกทิ้งให้เดียวดายอีกแล้ว เขาอยากเอ่ยขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาอีกสักร้อยครั้ง แต่คิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ น่าจะตอบแทนในความดีที่อีกฝ่ายมีให้ได้มากกว่า

   ชีตชุดสุดท้ายจบลงพร้อมโน้ตย่อสีสันสดใส ตากลมโตมอง mind mapping ที่เพียรวาดและเขียนมาตลอดทั้งวันแล้วก็กลั้นยิ้มไม่อยู่

   ไม่รู้ว่าคะแนนสอบจะออกมาเป็นยังไง แต่ตอนนี้เขาจะพยายามทำ ‘เรื่องชื่นใจ’ ให้ดีที่สุด...




TBC.





สวัสดีค่า
ขอคั่นความสับสนของคู่หลัก ด้วยคู่ของอาจารย์ปรัชญากับลูกศิษย์ตัวน้อยนะคะ
อย่างที่เคยบอกไปว่าเนื้อหาของคู่นี้จะมาแบบตอนพิเศษ
ไทม์ไลน์เรียงไปกับตอนหลัก แต่เนื้อหาพยายามไม่เกี่ยวพันกัน
อ่านแยกก็ได้ อ่านรวมก็ได้ค่ะ
สำหรับคู่นี้มีตอนแรกด้วยถ้าใครลืมไปแล้ว ก็กลับไปอ่านกันได้ที่ตอน #06.2 นะคะ

ปล. ถ้าไปหวีดในทวิตฝากติดแฮชแท็ก #SweetDilemmaFiction กันด้วยน้า

#ด้านล่างนี้จะเมาท์ยาวๆ แบบไร้สาระ ข้ามไปได้นะคะ

ต้องสารภาพว่าตอนนี้เราใช้เวลาเขียนนานมากกกก
เอาเป็นว่ากว่าจะมาเป็นเวอร์ชันนี้ เราเปลี่ยนมาสามแบบแล้วค่ะ
คือเนื้อหาเดียวกันนี่แหละ แต่การบรรยายกับคำพูดไม่เหมือนกัน
มันดูไม่ลงตัว ไม่เหมาะสมกับตัวละครเท่าไร
จนสุดท้ายก็ลงเอยด้วยสไตล์แบบที่ได้อ่านกันค่ะ

สำหรับตัวอาจารย์กฤต ที่อายุ 30 กว่าๆ
ชีวิตอยู่ในแวดวงการศึกษา สไตล์การพูดก็จะจริงจังและทางการหน่อยๆ
ตรงนี้ต้องขอบคุณอาจารย์ปรัชญาท่านหนึ่งที่เรานำมาเป็นแบบอย่างนะคะ
(แน่นอนว่าอาจารย์ไม่รู้ตัวหรอก 55555555555555)

ส่วนน้องแตงกวา เด็กที่กำลังก้าวผ่านชีวิตแสนเศร้าสู่โลกใบใหม่
จะร่าเริงก็ยังไม่ได้เต็มที่ จะหดหู่ก็ดูรันทดไป
น้องเลยต้องดูก้ำกึ่งระหว่างสุขกับเศร้าประมาณนี้นะคะ

ส่วนสองคนนี้จะได้ (รัก) กันมั้ย
จะขัดต่อจารีตและศีลธรรมในใจหรือไม่
ต้องตามลุ้นกันน้าาา /ขายของเฉยเลย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 16:30:16 โดย lykar »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แตงกวา เป็นเรื่องชื่นใจของจารย์กฤต  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ขอเรื่องชื่นใจอีกตอน

ออฟไลน์ ก้มหน้าก้มตา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
น้องแตงกวาน่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
หวานๆน่ารักค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อาจารย์ใจดีจัง น้องกวาก็น่าเอ็นดู

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
เราอ่านไหลลื่นมากเลยค่ะ


แต่มาสดุดนิดนึง ตอนกล้วยหอมจอมซน


อะไนคือเด็กน้อยไม่รู้จักก


ไม่ได้นะ แตงกวา ต้องรู้จัก เพราะว่าเบน รู้จัก



5555555   


เราอยู่ระหว่างกลางระหว่างกลางระหว่างอาจารย์กับนุ้งแตงกวาสินะอืมมมมม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
เราอ่านไหลลื่นมากเลยค่ะ


แต่มาสดุดนิดนึง ตอนกล้วยหอมจอมซน


อะไนคือเด็กน้อยไม่รู้จักก


ไม่ได้นะ แตงกวา ต้องรู้จัก เพราะว่าเบน รู้จัก



5555555   


เราอยู่ระหว่างกลางระหว่างกลางระหว่างอาจารย์กับนุ้งแตงกวาสินะอืมมมมม

เราถามน้องชายเรา นางบอกนางไม่รู้จัก 55555555
แต่เช็กปีแล้ว คิดว่าแตงกวาต้องทัน น้องชายเรามันไม่ดูการ์ตูนเองมากกว่า
ขอบคุณที่ทักมานะค้า แก้แพพพพ

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
คิดถึงพี่ปอและน้องพีพี!!!! กลับมาไวๆ นะ :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ sunshine538

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อาจารย์กฤตเป็นคนแสนดีจริงๆ รักเลยค่ะ  :mew1:
กวาก็น่ารัก แง้วๆ แต่เป็นเด็กดีมากๆ

เรามาเชียร์คู่นี้กันเถอะ ^^

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
#11 Pain l Tenderness


   ภาคภูมิกำลังนั่งทำข้อสอบ take home วิชาปรัชญาการเมืองในตอนที่ร่างสูงๆ ของปรนัยวิ่งเข้ามาแล้วโถมกอดเต็มแรง ความดีใจที่ฉายบนใบหน้าคมนั้น ทำให้พอเดาได้ว่าการสอบโนเวลภาษาอังกฤษของเจ้าตัวคงราบรื่นดีไม่มีปัญหา

   “สิบ สิบ สิบ ไปเลยจ้า~~” แขนแกร่งปล่อยตัวเพื่อนแล้วกางออกท่าเดียวกับสติกเกอร์มาดามมด

   “คือสามสิบเต็มร้อยงี้เหรอ” ภูมิแกล้งหยอก

   “วั้ยตั่ยแล้ววว ระดับกูลุ้นแค่ว่าจะเต็มหรือเปล่าแค่นั้นแหละ”

   คนฟังหัวเราะ “แต่กูเนี่ย ลุ้นว่าจะส่งทันมั้ย!!”

   ปอชะโงกไปดูข้อสอบของเพื่อน ในบางวิชาของภาคปรัชญา อาจารย์จะให้สอบแบบ take home คือให้ไปทำที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ สามารถเปิดตำราเขียนมาได้เต็มที่ในเวลาที่กำหนด อย่างที่พีพีเจออยู่นี้ก็คือแจกข้อสอบตอนเก้าโมงเช้า แล้วให้ส่งอีกทีภายในห้าโมงเย็น

อาจจะฟังดูเหมือนง่าย แต่ที่อาจารย์ทำแบบนี้ได้ ก็เพราะคำตอบมันไม่มีในหนังสือน่ะสิ!!

   “แม่งเสือกเลือกตัวหิน สู้ๆ นะเว้ย”

   “วิเคราะห์การเมืองจนกูจะเป็นนายกได้แล้วเนี่ย โอ๊ยยยย”

   “ลุงมึงเค้ายอมให้มีการเลือกตั้งแล้วเหรอ ฮ่าๆๆๆ”

   “ฮือออ ช็อปอาวุธแพพ” หัวทุยๆ ซุกลงกับแขนตัวเอง ก่อนตากลมจะปิดลงอย่างอ่อนล้า อากาศชื้นจากฝนเมื่อคืนบวกกับลมพัดเย็นๆ ทำให้บรรยากาศบริเวณโต๊ะม้าหินหน้าภาควิชาน่าทำกิจกรรมทุกอย่างยกเว้นทำข้อสอบ
 
   “นอนไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำมาให้” ปอวางข้าวของไว้ที่ม้านั่งอีกฝั่ง ก่อนจะหันหลังเดินไปทางโรงอาหาร

   แม้จะอยากนอนแค่ไหน แต่ภาคภูมิก็ทำได้แค่เงยหน้าสะบัดหัวแล้วเขียนข้อสอบต่อ ทว่าคราวนี้เรื่องที่เข้ามารบกวนสมองไม่ใช่คำถามในชีต หากเป็นใครบางคนที่เผื่อแผ่ความใจดีมาให้เหมือนเช่นทุกวัน

   หลายครั้งที่ต้องเผชิญกับความเศร้า ในความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเป็นไปได้มากกว่านี้ แม้จะบอกตัวเองให้หันหลังให้กับทุกอย่างแล้วเลิกเป็นเพื่อนกัน แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าจะหาคนผิด คนคนนั้นคงไม่ใช่ใครนอกจากเขาเอง ดังนั้นการก้าวต่อไปในสถานะปัจจุบันจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องเปิดตำราเล่มไหนอ้างอิง ส่วนผลลัพธ์ที่ได้...

   “ลิปตันหมดว่ะ กินชามะลิแล้วกันนะ”

   คนที่วิ่งไปซื้อน้ำกลับมาพร้อมชาแก้วใหญ่ ภาคภูมิเอ่ยขอบคุณ แล้วรับน้ำมาดูดอึกหนึ่ง

...ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือความหวังดีจากคนคนเดิม ที่เขาคงได้แต่เก็บมันไว้ในใจตลอดไป...


ปรนัยปิดหนังสือการ์ตูนเล่มที่เพิ่งอ่านจบแล้วโยนมันไว้บนกระเป๋าปะปนกับเล่มที่ผ่านมา เพราะขี้เกียจกลับหอ หลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จเขาเลยมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับภาคภูมิที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำข้อสอบแทน พร้อมการ์ตูนที่เช่ามาอีกกองหนึ่ง ขณะกำลังหยิบเล่มใหม่บนโต๊ะมาอ่านต่อ เสียงตวัดปากกาแบบติดสปีดของคนข้างๆ ก็เรียกความสนใจของเขาไป และเมื่อเหลือบดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเองก็พบว่าใกล้สิ้นสุดเวลาสอบของภาคภูมิเข้ามาทุกที

 “สี่โมงครึ่งแล้วนะมึง” ภาคภูมิชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะกดมือถือดูเวลาบ้าง

 “ข้อสุดท้ายละๆ”

“สู้ๆ เดี๋ยวพาไปกินไอติม” เห็นท่าทางเคร่งเครียดของภาคภูมิแล้วก็อดปลอบใจไม่ได้ และรอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าเครียดนั้นก็ดูจะเป็นการตอบรับที่ดี


 “เสร็จแล้วววว!!!” เสียงร้องอย่างดีใจทำให้ปรนัยต้องหัวเราะออกมา ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะช่วยเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ ส่วนภาคภูมิรีบวิ่งเข้าไปส่งข้อสอบในห้องพักอาจารย์

   “..............” มือหนาที่กำลังเรียงหนังสือชะงักกึก เมื่อหน้าจอโทรศัพท์บนโต๊ะม้าหินสว่างวาบพร้อมข้อความไลน์ที่ขึ้นมาติดๆ กัน

   Twin: นี่กำลังจะไปภาคปรัชญา

   Twin: ขอยืมหนังสืออาจารย์ธารไว้

   Twin: อยู่ภาคเปล่า

   Twin: เย็นนี้ไปกินข้าวกันปะ

   Twin: อยากถามเรื่องคัมภีร์อุปนิษัทด้วย

   “เป็นไทแล้วโว้ยยยยย ไปมึง! อ่าว ดูไรอะ” เสียงร่าเริงของคนที่ส่งข้อสอบเรียบร้อยชะงักลง เมื่อเห็นปอกำลังเพ่งมองอะไรบางอย่าง

   คนถูกถามบุ้ยหน้าไปยังไอโฟนที่หน้าจอยังรันข้อความไม่หยุด “เพื่อนรักมึงไลน์มา ตอบก่อนมั้ยอะ”

   คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างสงสัย ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา แล้วถึงได้เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูด

   “อ่อ แป๊บนะ”

   ท่าทางตั้งใจพิมพ์ข้อความนั้นทำให้ปรนัยรู้สึกแปลกๆ มันก้ำกึ่งระหว่างหงุดหงิดกับรำคาญ

   “เสร็จยัง”

   เสียงเย็นๆ จากคนข้างกายทำให้ภูมิต้องเงยหน้าขึ้น “อ่า ไอ้วินให้อธิบายเรื่องอุปนิษัทอะ กูก็จำไม่ค่อยได้ละ ต้องเสิร์ชอ่านไปด้วย”

   “ก็ให้มันรอก่อนดิ ไม่ได้จะใช้สอบไม่ใช่เหรอ หรือมันมาลงเรียนปรัชญาอินเดีย?”

   “ไม่ๆ” ตอบอีกฝ่ายขณะยังรัวนิ้วพิมพ์ไม่หยุด “นั่งก่อนแล้วกันมึง กูขอเวลาแป๊บ”

   ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง ก่อนจะรื้อหนังสือการ์ตูนมาอ่านต่อ พอได้ยินเสียงพิมพ์ข้อความที่ยังไม่ยอมหยุดลงง่ายๆ ปรนัยจึงเอนหลังลงนอนไปกับเก้าอี้ของโต๊ะม้าหิน ...และวางศีรษะลงบนตักของคนที่นั่งข้างๆ

   “เฮ่ย!” เจ้าของตักร้องเสียงหลง แต่พอเห็นคนนอนทำหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ เลยจำใจนั่งนิ่งๆ เป็นหมอนให้มันหนุนไปอย่างนั้น

   “สนิทกันเหรอ”

   “หือ?”

   “ไอ้วินอะ”

   มือเรียวหยุดพิมพ์ข้อความก่อนจะก้มมองคนบนตัก สายตาที่สนใจหน้ากระดาษนั้นทำให้เขาไม่อาจเดาได้ถึงเจตนาของคนถาม

   “ก็ทั่วๆ ไปอะ”

   “เหรอ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย “เห็นคุยกันบ่อย นึกว่าสนิท”

   “มันชอบถามเรื่องอินเดียๆ พระพิฆเนศไรเงี้ย คงนึกว่ากูโปรมั้ง” ตอบเสร็จก็ยกมือถือขึ้นมาพิมพ์ต่อ

   “พลาดละไอ้วิน ถามคนได้ C+ ปรัชญาอินเดีย”

น้ำเสียงที่สดใสขึ้นทำให้ภาคภูมิต้องเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะกำลังรีบตอบข้อความของวิน
“เสร็จละ” ในที่สุดบทสนทนาเรื่องคัมภีร์ก็จบลง ภูมิร้องบอกเพื่อนที่นอนอยู่ ซึ่งร่างเหยียดยาวบนโต๊ะม้าหินก็รีบลุกขึ้นเก็บของทันที

 ปรนัยหยิบกุญแจจักรยานออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะเหลือบเห็นเพื่อนสนิทสะบัดขาคลายความเมื่อย เลยคว้าไหล่ร่างเล็กกว่า แล้วออกแรงดึงให้เดินไปด้วยกัน “มาๆ เดี๋ยวปั่นให้ซ้อน”

“มันก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้ว หัวมึงนี่บรรจุขี้เลื่อยมาเกินพิกัดหรือเปล่า หนักโคตร”

“หึ! ก็มึงแชตกับผู้ชายนานเองนี่หว่า”

“สัส... ระหว่างรอกูตอบไลน์มัน กับให้มันมาหาตัวเป็นๆ นี่มึงอยากเลือกอย่างหลังใช่มั้ย”

“เรื่อง! ไม่อยากเจอโว้ยยย” เสียงทุ้มโวยวายก่อนจะผละไปไขกุญแจโซ่ล็อกจักรยาน ภาคภูมิกระชับกระเป๋าสะพายขณะเตรียมขึ้นซ้อน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้ปอไม่ค่อยถูกชะตาเพื่อนใหม่ เขาเลยต้องตอบไลน์ไอ้วินมือหงิก เพราะจะได้ไม่ต้องอยู่เจอมันให้มีคนอารมณ์เสียไปกว่าเดิม


ร้านไอศกรีมโฮมเมดเจ้าดังในตลาดหนาแน่นไปด้วยลูกค้าที่เข้าคิวรอกันมาตั้งแต่บ่าย ยังดีที่พวกเขาโทรมาสั่งไว้ก่อนแล้ว ยืนรออีกไม่ถึง 20 นาที ไอติม 5 ลูกก็พร้อมเสิร์ฟ ปรนัยใช้ความเป็นผู้ชายอัธยาศัยดี ขอแก๊งสาวๆ คณะวิดยานั่งโต๊ะยาวด้วย เพราะตอนนี้ไม่ว่าโต๊ะไหนๆ ก็เต็มหมด

“ถ่ายรูปกัน” เสียงทุ้มเอ่ยพลางเปิดกล้องเตรียมถ่าย

“อย่าเพิ่งอัพนะ”คนที่นั่งตรงข้ามร้องขอ

 “ทำไมวะ”

อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบา “ขี้เกียจตอบคำถามอะ”

“คำถามอะไร”

“เออๆๆ อัพก็อัพ” ภาคภูมิถอนหายใจ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ก่อนจะก็เริ่มนับถอยหลัง หลังจากตักไอติมคำแรกเข้าปาก

10

‘เดตหลังสอบอ่ออออ’

9

‘หวานนนน หมายถึงไอติมอะ’

8

‘หวานนนนน อันนี้ไม่ได้หมายถึงไอติม คริคริ’

7

‘นี่เฟซใครกันแน่อะ ฉับฉนนน’

6

‘พีพีน่าร้ากกกก โถลูกกก คิวต์บอยของแม่’

5

‘เชี่ยภูมิๆ ทำข้อสอบการเมืองครบปะวะ กูทำไม่ทันไปข้อนึงว่ะ’

4

‘สัสปอ กินอะไรไม่เข้ากับหน้า’

3

‘เป็นแฟนกันแน่ๆ โทรบอกแม่แป๊บ’

2

‘#ฉันมายินดีให้กับรักที่สดใส T_T’

1

‘ไอ้พวกเหี้ยยย ชอบล้อมากก็ไปเปิดอู่ไป๊’


“ฮ่าๆๆๆ” จากที่กำลังวิตกกับคอมเมนต์ทั่วสารทิศ ภาคภูมิก็ต้องมาหัวเราะตัวงอกับเมนต์สุดท้ายซึ่งไม่ใช่ใคร แต่คือเจ้าของเฟซนั่นเอง “มุกเหี้ยไรของมึงเนี่ย”

“พวกแม่ง ชอบล้อดีนัก ไปเปิดอู่ซ่อมรถซะ จะได้อยู่กับล้อทุกวัน” ปอบ่นพลางตักไอติมเนื้อเนียนเข้าปาก

“กูบอกแล้วว่าไม่ต้องลงๆ”

“เพื่อนมากินไอติมด้วยกันมันแปลกตรงไหนวะ” เจ้าของภาพยังบ่นไม่เลิก ขณะที่คนฟังได้แต่กินไอศกรีมไปเงียบๆ

บางทีภาคภูมิก็นึกสงสัยว่า ภายในร่างกายของปรนัยอาจมีอะไรขาดหายไป ซึ่งถ้าไม่ใช่หัวใจก็คงต้องเป็นสมอง เซนต์อไควนัส นักปรัชญายุคกลางเคยกล่าวไว้ว่า ‘เราค้นพบว่าสิ่งไร้ความคิดทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย’ บางทีไอ้ปออาจเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งของแนวคิดนี้ ในแง่ของการเป็นสิ่งไร้ความคิดก็ได้ ไม่งั้นมันก็ไม่น่าโง่เง่าในเรื่องของความสัมพันธ์ได้ขนาดนี้

“ทำหน้าเหมือนกำลังด่ากูในใจ” มือหนาใช้ช้อนชี้คนตรงหน้า ตารีหรี่ลงเหมือนนักสืบที่กำลังไขคดีสำคัญ

“เออ ไอ้ฟาย!” เสียงใสเริ่มขุ่น ก่อนจะก้มลงสนใจไอติมในถ้วยแทน แม่ง...เหนื่อยจะพูดกับคนอย่างมันจริงๆ

ผลัดกันตักไอติมคนละคำๆ จนเกือบหมด สองคู่หูก็ได้รับไลน์จากกรุ๊ป F4 ว่าแก้วกับชิงชิงสอบเสร็จแล้ว และกำลังจะไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่กับรุ่นพี่และอาจารย์ธาร พอเห็นว่าร้านอยู่ไม่ไกลกันมาก ภูมิจึงเป็นคนพิมพ์ตอบไปว่าเดี๋ยวพวกเขาตามไปที่ร้านด้วย
หากเมื่อไปถึงแล้ว ภาคภูมิถึงได้รู้ว่า ข้อความที่ตนตอบรับไปนั้นเป็นอาจเป็นข้อความสู่หายนะก็เป็นได้

“อ้าวภูมิ นึกว่าจะไม่ได้เจอกันละ” คนที่ร้องทักผู้มาใหม่ก่อนใคร คือหนุ่มเภสัชสุดหล่อ ที่ภูมิไม่คิดว่าจะตามมากินข้าวด้วย และโดยไม่รู้ตัว ตากลมก็รีบหันไปมองร่างสูงที่เดินตามหลังมาโดยอัตโนมัติ

ทว่าปรนัยไม่ได้สนใจอะไรกับคนที่ไม่ชอบหน้า เพราะตอนนี้สายตาคู่นั้นกำลังสบกับดวงตาของสาวผมสั้นในโต๊ะ ...พี่จ๋า

...ฟอร์มทีมกันอย่างกับอเวนเจอร์เลยมึงเอ๊ยยยย

“โอ้! ปอกับภูมิ...มาๆ นั่งนี่ก็ได้” เสียงของอาจารย์ธารที่หัวโต๊ะทำให้ภูมิละความสนใจไปจากคนทั้งคู่ ก่อนจะไปช่วยเด็กเสิร์ฟยกเก้าอี้มาอีกสองตัว แล้วแทรกนั่งฝั่งซ้ายกับไอ้แก้วไอ้ชิง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นทีมอเวนเจอร์พี่จ๋า วิน บวกพี่จุ๋ม

ภูมิดึงชายเสื้อของคนข้างๆ ให้นั่งลง ปอจึงหันมายิ้มให้คนอื่นๆ และไม่ลืมยกมือไหว้อาจารย์ธารด้วย

“สั่งกันก่อนมั้ย” เสียงทุ้มที่มาพร้อมรอยยิ้มจากวินทำให้ภูมินึกได้ว่ายังไม่ได้ทักอะไรเพื่อนใหม่เลย

“เดี๋ยวดูเมนูแป๊บ แล้ววินมากับที่ภาคได้ไงเนี่ย”

“พี่ชวนน้องวินมาเองแหละ” คนตอบคือพี่จุ๋ม น้ำเสียงร่าเริงยังเอ่ยทีเล่นทีจริงต่อ “อีตี้มันสั่งไว้ เผื่อแถวนี้มีคนต้องการคนดามใจ”

พี่จ๋าหันไปจ้องหน้าเพื่อน แล้วสองสาวก็เถียงอะไรกันงุบงิบๆ สองคน หากเข้าใจไม่ผิด พี่จุ๋มคงหมายถึงเรื่องไอ้ปอแน่นอน ไม่รู้พี่จ๋าเล่าอะไรให้เพื่อนฟังบ้าง แต่ดูท่าแล้ว เรื่องที่ปรนัยบอกยกเลิกการติวกับพี่จ๋านี้คงส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่น้อย ส่วนคนที่ตกเป็นผู้ต้องหายังก้มหน้าก้มตาอ่านเมนูคล้ายไม่ได้ยินประโยคนั้น

“กูเอาหมี่ไก่ตุ๋นพิเศษ มึงเอาไร” ปรนัยเอ่ยถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ

ภูมิดึงความสนใจจากฝั่งตรงข้ามกลับมาที่เพื่อนสนิทอีกครั้ง “พิเศษ?? ไอติมมึงย่อยแล้วเหรอ”

“เออน่ะ คนละกระเพาะ”

“ความสามารถพิเศษเนอะ” เจอใบหน้าคมยักคิ้วกวนๆ กลับมาแทนคำตอบ ภูมิก็ถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอา “กูเอาเกาเหลาไก่แล้วกัน”

เด็กเสิร์ฟจดเมนูเรียบร้อยแล้วจึงเดินจากไป ปล่อยให้ลูกค้าโต๊ะใหญ่พูดคุยโหวกเหวกกันตามสะดวก

“ตกลงที่มานี่เพราะโดนลากมาเหรอ” พอเห็นเด็กเภสัชหนึ่งเดียวในโต๊ะนั่งเงียบๆ ภูมิก็อดจะชวนคุยไม่ได้ แม้เหตุการณ์ในห้องสมุดยังทิ้งความรู้สึกแปลกๆ เอาไว้ แต่เขาก็เลือกจะปล่อยให้มันผ่านไป

รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ฉายบนใบหน้าหล่อนั่นทันที “ไม่หรอก กำลังหิวเหมือนกัน นี่ยังไม่ได้กินอะไรแต่เช้าเลย”

“แล้วได้หนังสือมะ ที่ว่าจะมายืมอาจารย์ธารอะ”

วินไม่ตอบ แต่ชูพ็อกเกตบุ๊กภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งขึ้นมา

“โอ้... ตั้งแต่ผมสอนที่นี่มา ยังไม่มีเด็กเอกคนมาไหนมาขอยืม ‘สิทธารถะ’ ไปอ่านเลย เพิ่งมีวินคนแรก แถมยังไม่ใช่เด็กปรัชญาอีก” เจ้าของหนังสือตัวจริงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“โห่จารย์ มันเป็นภาษาอังกฤษนา ใครจะไปอ่านไหว” พี่จุ๋มแก้ต่างแทนเด็กเอก

“ผมมีทั้งเวอร์ชันไทย เวอร์ชันอังกฤษนะจุ๋ม...”

“ฮือออ หนูไม่มีอะไรจะเถียงแล้วค่ะ บัยยยส์”

“โอ้... ไม่เป็นไรหรอก ก็เลือกอ่านตามความสนใจแล้วกันนะ” ผู้อาวุโสสุดสรุป “แล้วนี่สอบเสร็จกันหมดแล้วใช่มั้ย”

แก๊ง F4 มองหน้ากัน ก่อนปรนัยจะเป็นคนตอบ “ปีสามหมดแล้วครับ วิชาโทก็น่าจะหมดแล้วทุกคน...ปะ?”

คนอื่นๆ พยักหน้า 

“สอบโนเวลเป็นไงบ้าง” อยู่ๆ คนที่เงียบมานานอย่างพี่จ๋าก็เอ่ยขึ้นมา แม้ไม่เจาะจงว่าถามใคร แต่ปรนัยก็รู้ว่านั่นหมายถึงตัวเอง

“น่าจะผ่านแหละพี่ ออกตามที่เก็งเลย”

“แสดงว่าคนติวให้เก่งอ่าดิ”

ภูมิชะงักเมื่อตกอยู่ในบทสนทนาที่ตนเองไม่น่าเกี่ยวข้องด้วย “เอ่อ...”

“ช่ายยย ไอ้ภูมิมันเก่ง” คนถูกชมหันขวับด้วยความตกใจ มือเรียวแอบกระตุกเสื้อเพื่อนส่งสัญญาณให้หยุดพูด ทว่าเสียงทุ้มยังคงเอ่ยต่อ “โชคดีที่มีแต่คนเก่งๆ คอยช่วย ที่พี่จ๋าติวให้ตอนสอบเก็บคะแนนเมื่อต้นเทอมก็คะแนนดีนะพี่ ไม่รู้ได้บอกพี่ป่าว 17 เต็ม 20 เลย กราบ กราบ กราบคร้าบบบ”

มือหนายกขึ้นประกบกันแล้วไหว้ขอบคุณรุ่นพี่ที่นั่งตรงข้าม พี่จ๋าดูอึ้งไปสักพัก ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวแล้วจึงรีบปฏิเสธ “ไอ้นี่ก็เวอร์จริง ...พี่น้องกัน... มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”

ถ้าฟังไม่ผิด ภูมิคิดว่าน้ำเสียงของพี่จ๋าสดใสขึ้น เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่สะท้อนออกมาจากความรู้สึกข้างในใจจริงๆ

“อะ...ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ...หมายถึงที่ก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟเนี่ย มาๆ กินๆๆ” พี่จุ๋มเอ่ยเสียงดัง ก่อนทุกคนจะลงมือจัดการอาหารของตัวเอง

“ตกลงคืนนี้ร้านไหนวะ” ชิงชิงซดน้ำซุปร้อนๆ ลงคอขณะเอ่ยถาม แน่นอนว่าหลังสอบเสร็จก็ต้องถึงเวลาแห่งการสังสรรค์

“กูยังไงก็ได้” ปอออกตัวคนแรก เหล้าอยู่ที่ใจ แดกร้านไหนก็เมาเหมือนกัน

“กูด้วย” แก้วตัดช่องน้อยตอบไปอีกคน

“...อะไร” ภูมิหันไปมองสายตาสามคู่ที่จ้องมายังตัวเอง “กูต้องคิดอีกแล้วใช่ปะ”

“เออ!” สามหนุ่มประสานเสียง

ผู้กุมการตัดสินใจหนึ่งเดียวถอนหายใจเบื่อๆ “The Prophet มั้ยล่ะ”

“น่าสนใจๆ เดี๋ยวดูโปรแป๊บ” แก้วเข้าไปดูเพจของร้านครู่หนึ่ง แล้วจึงอ่านให้เพื่อนฟัง “เหมือนคืนนี้มีแบล็กไลต์ไนต์เว้ย ใส่เสื้อขาวเข้าโซนกระจกรับฟรี 1 ดริ้งก์”

“ข้างในเสียงดังนะเว้ย หูจะแตก” ชิงชิงแย้ง

“ก็นั่งข้างนอกก่อน ดึกๆ ค่อยเข้าไปปะล่ะ” ข้อเสนอของภูมิกลายเป็นบทสรุปที่ทุกคนตกลง “ชวนคนอื่นด้วยดิ เค้ามองกันหมดละ”

ดังนั้นปรนัยจึงทำตัวเป็นพีอาร์กลุ่มที่ดี

“คืนนี้พวกผมว่าจะไป The Prophet กัน อาจารย์ธารกับแก๊งปีสี่สนใจมั้ยครับ” แรงศอกตรงเอวไม่เบานักจากคนข้างๆ ทำให้เสียงทุ้มต้องเอ่ยต่อ “...มึงด้วยวิน”

ภาคภูมิช่วยส่งยิ้มหวานเชิญด้วยอีกแรง “ไปมั้ยครับ ตั้งแต่จบงานคเณศเราก็ไม่ได้ปาร์ตี้กันเลย”

“โอ้... เดี๋ยวผมถามอาจารย์กฤตก่อนนะ ไปคนเดียวผมเขิน เหมือนไปคุมลูก ฮ่าๆๆๆ”

“อาจารรรรย์ ใครว่าอาจารย์แก่ อายุเกินจนเข้าร้านเหล้าไม่ได้ เดี๋ยวจุ๋มจะไปตบมันเลยค่ะ”

“โอ้...อยากจะขอบคุณนะ แต่เหมือนมีจุ๋มคนเดียวนี่แหละที่ว่าผม”

“แฮ่! อะล้อเล่นนนน จารย์ไปด้วยกันน้า” พี่จุ๋มอ้อน

“อ้าว ตกลงมึงไปเหรอจุ๋ม” พี่จ๋าหันไปถามเพื่อนแบบงงๆ

“เออ มึงก็ไปนะ” คนถูกถามตอบ

“ฮะ?? กูบอกตอนไหน”

“ไม่อะ กูเนี่ยแหละบอกเอง” พี่จุ๋มพูดหน้าตาเฉย ก่อนจะหันไปยิ้มให้เซ็กซี่บ่อยต่างคณะ “วินก็ไปใช่ปะ เนอะ”

“อ่า... ผมขอดูก่อนนะ กลัวพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหว พอดีนัดแม่ไว้ว่าจะกลับบ้านอ่าครับ” น้ำเสียงสุภาพแบ่งรับแบ่งสู้

“หูยยย ผอชอรักครอบครัว ดี๊ดีย์เนอะจ๋าเนอะ”

แม้จะโดนชงเข้มมาแบบนั้น แต่พี่จ๋าก็ทำเพียงตอบกลับไปเสียงเรียบ “ถ้ามึงอยากให้น้องเค้ารัก ก็ลองไปเป็นยายเค้าดูมั้ยล่ะ”

“อิจ๋า... นี่เพื่อนไง?!”

กว่าจะตกลงจำนวนคนกันได้ก็เล่นเอาร้านก๋วยเตี๋ยวเกือบปิด ไปๆ มาๆ แก้วก็ต้องโทร.จองโต๊ะสำหรับสมาชิกถึง 10 คน เพราะพี่จุ๋มลากแก๊งปีสี่มาเพิ่มอีก ส่วนอาจารย์ธารกับอาจารย์กฤตยังไม่ชัวร์ ถ้าไปเดี๋ยวจะไลน์บอกอีกที


(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 15:45:32 โดย lykar »

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
สี่หนุ่มแยกกันไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปเจอกันที่ The Prophet เนื่องจากร้านที่นัดกันอยู่ค่อนข้างไกลหอพัก ดึกๆ เลยไม่ควรขี่จักรยานกลับเอง ภาคภูมิกำลังจ่ายเงินให้พี่วิน ในตอนที่ร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดสีขาวเดินมาสะกิดด้านหลัง เขาชะงักเล็กน้อยกับภาพที่แปลกตาไปของเพื่อนสนิท มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขายังไม่รู้ชัดว่าคืออะไร แต่สิ่งนั้นทำให้ปรนัยที่ยืนอยู่ตรงหน้าดูดีกว่าทุกวัน

“มองเยอะไปปะ” คนถูกจ้องแกล้งโบกมือในระดับเดียวกับตากลมที่จ้องตนเองอยู่

“มึงทำไรมา หน้าตาแปลกๆ” รอยขมวดคิ้วจางๆ ของเพื่อนทำให้ปอหัวเราะ

“แปลกยังไงวะ เลิกมองแล้วเข้าร้าน เร็ว!” พูดจบก็ดันไหล่บางให้เดินนำไปยังโต๊ะที่จองไว้ แก้วกับชิงที่มาถึงก่อนโบกมือส่งสัญญาณให้ สองหนุ่มจึงเลี้ยวไปยังโต๊ะใหญ่ที่อยู่ฝั่งซ้ายของเวที

“น่อๆๆ เสื้อคู่ด้วยเว้ย” เสียงแซวจากไอ้แก้วทำให้ผู้มาใหม่ต้องก้มมองการแต่งกายของตัวเอง ก่อนจะสลับไปมองที่อีกคน

ทั้งภาคภูมิและปรนัยใส่เสื้อยืดของภาคที่ซื้อตอนปีหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าไอ้คนแซวมันก็มี เพียงแต่ไม่ได้ใส่วันนี้เท่านั้นเอง

“เป็นเสื้อสีขาวตัวเดียวที่กูมี นอกจากเสื้อนักศึกษา” ภูมิอธิบาย ในขณะที่จำเลยอีกคนตั้งท่าเตรียมไฟต์

“คือมึงอ้วนจนเสื้อตัวนี้คับไปแล้วใช่มั้ยสัสแก้ว ทำมาเป็นแซวคนอื่น แหมมม”

“ไอ้เชี่ย กูไม่ได้อ้วน แค่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว”

“โอ๊ยยย เดี๋ยวกูเอาน้ำสาดเลย” ชิงชิงที่ทนฟังพวกแม่งตีกันมานานโวยวายขึ้น “จะแดกมั้ยเนี่ย”

“สายเฟียซจังวะวันนี้สัสชิง” แก้วบ่นอุบ แต่ก็ยอมสงบศึกแต่โดยดี “กูเปิดเหล้ากลมนึง พวกปีสี่กินด้วย พวกมึงจะแจมด้วยปะ หรือจะเอาเบียร์เหมือนไอ้ชิง”

“เบียร์แล้วกัน” ปอตอบ ก่อนจะหันไปหาเพื่อนข้างๆ “พีพีมึงแดกสองสามแก้วพอนะ”

“เข้ ห่วงเว้ยยย” คนที่เพิ่งสงบศึกเปิดฉากแซวอีก แต่คราวนี้ปรนัยไม่สนใจ

“เมาแล้วชอบเล่นมุกควาย กูขี้เกียจช่วยขำ”

 “เออ อันนี้กูเห็นด้วย” แล้วไอ้แก้วก็ยื่นมือไปเช็กแฮนด์กับไอ้ปอดุจพันธมิตร ส่วนบุคคลที่ถูกนินทาทำได้เพียงเบะปากมองบน แต่เถียงไม่ออก เพราะที่พวกมันพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

ไม่นานนักแก๊งปีสี่ พี่จ๋า พี่จุ๋ม พี่ตี้ พี่ไนท์ก็มาถึง ทุกคนใส่เสื้อขาวดูคุมโทน บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้น เพราะมีคนมาช่วยชงมุกแข่งกับชงเหล้า ภูมิกำลังขำกับการเชือดเฉือนฝีปากกันของเจ๊ตี้กับพี่จุ๋ม ก่อนบทสนทนาของพี่จ๋ากับปอจะดึงความสนใจของเขาไป

“เซตผมเหรอ” คำถามจากรุ่นพี่ทำให้ภูมิหันไปมองเพื่อนข้างๆ อีกครั้ง ก่อนจะได้คำตอบว่าเพราะอะไรปรนัยถึงได้ดูแปลกตาไปจากเดิม

“อะไรๆ หล่อช้ะ” ใบหน้าคมยักคิ้วกวนๆ แล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ ท่าทางร้ายๆ ดูเข้ากับลุคของมันวันนี้ดี และดูเหมือนพี่จ๋าก็คงเห็นด้วย วัดจากสายตาที่สื่อออกมาโดยที่เจ้าตัวอาจไม่ได้ตั้งใจ

เพี๊ยะ!!

“โอ๊ยยย อีจุ๋ม ตีกูทำไมเนี่ย!!” คนที่กำลังเหม่อถึงกับร้องลั่นพลางใช้มือลูบแขนตัวเองป้อยๆ เพราะอยู่ๆ เพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็ฟาดมือลงมาเต็มแรง

“เหอะ! เจ็บมะ?!” พี่จุ๋มถามเสียงนิ่ง

“อะไรของมึง เจ็บดิ!!”

“ดี... เจ็บแล้วก็จำเนอะ” จ๋าไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจกับความร้ายของเพื่อน

ด้วยความที่นั่งอยู่เยื้องกัน ภูมิจึงได้เห็นหน้าพี่จ๋าชัดกว่าทุกครั้งที่เจอ สาวผมสั้นโครงหน้าเล็กไม่ใช่คนแต่งหน้าจัด แต่องค์ประกอบทุกอย่างกลับเสริมกันได้อย่างลงตัว ถ้าจะบอกว่าพี่จ๋าเป็นคนสวยก็คงไม่เกินจริง บวกกับบุคลิกเซอร์ๆ มีสไตล์ก็ถือว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์และน่าสนใจไม่น้อย แบบถ้าเขาเป็นผู้ชายปกติก็คงตกหลุมรักได้ไม่ยาก

...แต่เผอิญว่าเขาไม่ใช่

“อะแฮ่ม!” เสียงคนข้างๆ ที่กระแอมไม่เบานักทำให้ภาคภูมิต้องละลายสายจากคนฝั่งตรงข้าม

ปรนัยหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ กลายเป็นภูมิที่เริ่มขยับตัวยุกยิกอย่างมีพิรุธ “มองไร”

“กูต้องถามมึงมากกว่าปะ มองไร”

คำถามนั้นทำให้ภาคภูมิขมวดคิ้วด้วยความงง “มองไรวะ”

“เปล๊า...” ร่างสูงยักไหล่ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กี่แก้วแล้วมึงอะ”

“สอง”

“เออ พอละ กินโค้กไป”

“เรื่องไร! กูมาเพื่อน้องโฮ”

“เดี๋ยวมึงได้ร้องโฮ” ปรนัยทำเสียงเข้ม “ค่อยกินๆ ดิ”

แทนคำตอบรับกับประโยคคำสั่งนั้น ภาคภูมิกลับกระดกเบียร์เย็นเฉียบทีเดียวหมดแก้ว แถมยังยื่นแก้วเปล่าให้ชิงชิงที่นั่งหัวโต๊ะช่วยเติมเพิ่มอีกด้วย

“กูไม่รินให้มึงนะ เดี๋ยวโดนห่าปอเตะ” ชิงยกมือสองข้าง ทำท่าปฏิเสธไม่รับแก้วเปล่าของเพื่อนลูกเดียว

หากยังเถียงกันไม่ทันจบ เสียงพี่จุ๋มที่ตะโกนลั่นร้านก็ทำให้ทุกบทสนทนาต้องชะงักลง

“อาจารรรรย์”

“โอ้ จุ๋ม...ถ้าจะเรียกดังขนาดนี้ ลองไปประกาศบนเวทีมั้ย” อาจารย์ธารที่เพิ่งมาถึงร้านรีบสาวเท้าเข้ามาที่โต๊ะแล้วนั่งลง ด้านหลังเป็นอาจารย์กฤตที่ส่งยิ้มรับไหว้เด็กๆ อยู่

“หูยยย ก็คนมันตื่นเต้นอะ” จุ๋มยิ้มแหะๆ “แต่วันนี้หล่อทั้งคู่เลยนะค้า เสื้อขาวนี่ดีย์ต่อใจละเกิ๊น”

อาจารย์กฤตหัวเราะ รู้สึกเขินนิดๆ ในขณะที่อาจารย์ธารกลับมองไปรอบๆ โต๊ะ แล้วครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ “คือ...พอแต่งชุดขาวกันแบบนี้แล้ว ดูๆ ไปก็เหมือนมาปฏิบัติธรรมเนอะ”

“อาจ๊ารรรย์ นี่ The Prophet นะคะ ไม่ใช่วัดสระเกศ” เจ๊ตี้พูดพลางเอามือทาบอก

ภาคภูมิอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังฮากับเจ๊ตี้ ส่งซิกให้คนที่อยู่ทิศตะวันตักช่วยเติมเบียร์ และหันข้างแอบจิบไปแบบเนียนๆ

“พีพี!” เสียงดุทำเอาเด็กที่แอบกินแอลกอฮอล์ต้องสะดุ้งโหยง “จิ้มปีกไก่ให้กูหน่อย”

“อ่อ...เออ แป๊บๆ”

“เอาสองชิ้น” สั่งเสร็จก็หันไปคุยกับอาจารย์และรุ่นพี่ต่อ โดยไม่ได้สังเกตเห็นแก้วเบียร์ที่ถูกซ่อนไว้ใต้ชั้นวางเครื่องดื่ม ที่ตอนนี้ถูกลากมาไว้ระหว่างภาคภูมิกับชิงชิง

“เกมซ่อนตายฉิบหายเล้ยยย” ชิงชิงเปรยกับสายลม

“ชู่วววว” ภูมิส่งสัญญาณให้เพื่อนเงียบ ผู้ร่วมแผนการยักไหล่ พลางคว้าแก้วข้างใต้ที่เบียร์เริ่มพร่องมาเติมให้ ทำเอาเจ้าของแก้วยิ้มหวานอย่างถูกใจ



กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง!!


เวลาผ่านไปจนเกือบสี่ทุ่ม ในขณะที่เรื่องโจ๊กกึ่งนินทาคนในภาคจบไปเป็นเรื่องที่สิบ เจ๊ตี้ที่ตอนนี้เริ่มกรึ่มๆ ก็คว้าขวดโซดามาเคาะเป็นสัญญาณว่าให้ทุกคนในโต๊ะตั้งใจฟัง

“เราจะมาเล่นเกมกัลลลล” เสียงแปร่งเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา “เชื่อว่าทุกคนสติเริ่มไม่เต็มร้อยละ ซึ่งเจ๊ก็ด้วย ฮ่าๆๆ แต่..แต๊..แต่ เราจะมาเล่น ‘A-Z ปรัชญามาราธอน’ เกมแห่งปัญญาสำหรับคนไม่มีปัญญาาา”

“โอ๊ยยย จะรัชดาลัยทำไมอีตี้ เกมอะไรของมึง” พี่จ๋าตะโกนแทรกขึ้นมา ทำเอา MC สุดสวยหันไปมองจิกทันควัน

“กติกาก็คือ ทุกคนในวงนี้ ต้องพูดคำที่เกี่ยวกับปรัชญา ตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยต้องพูดทวนของเพื่อนคนที่ผ่านมา และต่อด้วยคำของตัวเอง ถ้าผิดหรือช้ากว่า 5 วิ ต้องโดนลงโทษและออกจากการแข่งขัน เล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คนชนะคนสุดท้าย”

“บทลงโทษคืออะไรอ่าครับ” ปอเอ่ยถาม ซึ่งกำลังเป็นข้อสงสัยของคนอื่นๆ เช่นกัน

คนคิดเกมยิ้มหวาน “ทุกคนเคยกิน ‘Chapter 2’ ของร้านนี้มะ”

รอบโต๊ะส่ายหน้า

“เป็นเครื่องดื่มคล้ายๆ ค็อกเทล แต่มันจะแยกเป็นแก้วเหล้ากับแก้วน้ำหวานมา อีแก้วเหล้านี่ก็จะมีความร้อนแรงเวอร์ เพราะผสมเหล้ามาสามชนิด แก้วนี้เลยได้ชื่อว่า ‘Know the pain’ ส่วนแก้วน้ำหวานจะเป็นโคลากับน้ำผลไม้ที่หวานมากกกก หวานจนขึ้นตา มันเลยชื่อ ‘Too much tenderness’

“ว่อออออออออ” เสียงอื้ออึงกับความคมของชื่อเครื่องดื่มดังประสานกัน

“ปกติเราต้องเทผสมกันแล้วแดก เอ๊ยยย ดื่ม แต่!!! เกมนี้ ใครแพ้ ต้องเสี่ยงดวงหยิบเอาค่ะว่าจะได้อะไร เพราะอีสองแก้วนี้แพ็กเกจมาเหมือนกันเป๊ะ”

เจ๊ตี้อธิบายยังไม่ทันจบ พนักงานก็ยกเครื่องดื่มที่ว่ามาให้ทั้งหมดสิบแก้ว

“เดี๋ยวน้องเอาทุกแก้ววางปนๆ กันตรงกลางโต๊ะเลยนะคะ อ่อ...แก้วผสมไม่ต้องค่ะ เก็บเลย”

ทุกสายตาจับจ้องไปยังแก้วสแตนเลสฝาทึบที่หน้าตาเหมือนกันทุกใบ ไอเย็นโดยรอบพอจะบอกถึงอุณหภูมิของเครื่องดื่มด้านในได้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่ามันจะสามารถกักเก็บความเย็นไปได้อีกนานพอสมควร

“เอ่ออออ... โหดไปเปล่า ตอนนี้แค่จำแก้วตัวเองให้ได้ยังยากเลยเจ๊” แก้วยกมือแสดงความคิดเห็น

“อย่าเรื่องเยอะนังแก้ว เดี๋ยวเจ๊จับทำเมียเลย”

“โอ๊ยยยย โหดกว่าทำผัวอี๊ก กำพระแป๊บ” ไม่พูดเปล่า รุ่นน้องยังทำท่ากุมสร้อยพระพลางสวดมนต์ประกอบอีก

“อีแก้ว!!” เจ๊ใหญ่กำลังจะด่าสักสามจบ ถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อน

“ปิ้งก๊ายยยย อิอิ”

ทั้งวงหันมองเสียงปริศนา ก่อนจะพบว่ามันมาจากเด็กหนุ่มที่เคยสุภาพเรียบร้อยอย่าง... ภาคภูมิ ที่ตอนนี้นั่งเอียงหัวพลางหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

“เชี่ย... ซวยล่ะกู” ชิงชิงพึมพำ ในขณะที่ปรนัยรีบเอื้อมมือไปดึงไหล่เล็กของคนเริ่มเมาให้เข้ามาใกล้

“พีพี” เสียงทุ้มเรียก “นั่งดีๆ เดี๋ยวหงายหลัง”

“ยังๆ กูยังไม่มาว” คนไม่เมาส่งยิ้มหวาน “เมื่อกี๊ทดลองเล่นมุก เผื่อขำ”

 “ฮ่าๆๆ ทำไมไอ้ภูมิโหมดนี้กูไม่เคยเห็น” ประธานรุ่นหัวเราะ

   “งั้นเกมนี้ตัดนังภูมิออกไปแล้วกัน” เจ๊ตี้ที่ยังคงจริงจังกับการเล่นเกมเอ่ยต่อจากเดิม

“ไม่อาววว ขอเล่นด้วย นะนะนะ” เสียงเว้าวอนทำเอาเจ้าแม่กิจกรรมถึงกับอ่อนระทวย

“พีพีลูกกกก หนูอยากได้อะไร ไหนบอกแม่ซิ”

“ขอเล่นด้วยคับ” ไม่ใช่แค่ส่งยิ้มหวาน แต่ยังทำตาแป๋วใส่เจ๊ตี้อีก

“ฮืออออ ใจแม่...”


สรุปว่าบทลงโทษของผู้แพ้คือการต้องเสี่ยงหยิบเครื่องดื่มบนโต๊ะมากระดกให้หมดแก้ว ใครจะได้แบบโคตรขมหรือโคตรหวานก็วัดดวงกันไป ส่วนรางวัลของผู้ชนะคือ การจ่ายแค่ 50% ของราคาที่หารแล้วในค่ำคืนนี้

เมื่อมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจึงพยายามตั้งสมาธิจากสติที่ไม่ค่อยจะมีกันอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์กฤตที่โอน้อยออกได้เป็นคนเริ่มคนแรก

“เอาล่ะนะ” คนเริ่มเกมให้สัญญาณ

“อร๊ายยย ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ยคะ” เจ๊ตี๊ผุดลุก เตรียมท่าจะวิ่งออกไป แต่ถูกเพื่อนคนอื่นๆ คว้าตัวไว้ก่อน

“ไม่ได้!! เล่นให้จบก่อนเลยอีตี้”

“ใช่! ถ้าออกไปคือปรับแพ้เลยนะ”

“โอ๊ยยยย พวกมึงไม่เห็นใจคนปวดเข้เลยใช่มั้ย!!”

“เออ!!” พี่จุ๋มกระแทกเสียง ก่อนจะหันมายังอาจารย์สุดหล่อประจำภาคแล้วยิ้มหวาน “อาจารย์เริ่มเลยค่ะ”


เกมแห่งชีวิตเริ่มต้นขึ้น และวนทางด้านซ้ายมือไปเรื่อยๆ เป็นวงกลม




อ.กฤต: Albert Camus

อ.ธาร: “Albert Camus – Belief

พี่ไนท์: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking”

เจ๊ตี๊: Albert Camus เอ่อ... แอร๊ยยยย ปวดขี้!! ยอมแพ้ๆๆ เดี๋ยวกลับมารับโทษนะ

พี่จุ๋ม: โว้ยยย อีตี้ มึงจะมาเปลี่ยนห่วงโซ่อาหารแบบนี้ไม่ได้นะโว้ยยย ฮือออ “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – เอ่อ... อ่า... Determinism!!

พี่จ๋า: เอามาจากข้อสอบวันนี้ใช่มะ แหมมม “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego

/นั่นก็ข้อสอบไม่ใช่เหรออีจ๋า... – พี่จุ๋มกล่าว

แก้ว: เชี่ยยย ผมไม่ได้เตรียมตัว F อะ “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – F…เกรดเอฟ!!”

โดยไม่ต้องรอให้มีเสียงคัดค้าน แก้วผู้ตอบผิดเอง ก็ใจนักเลงพอจะคว้าหนึ่งในสิบแก้วบนโต๊ะออกมาเปิดฝาแล้วกระดกลงคอทันที...

“เป็นไงวะมึง” ปรนัยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าสุดพรรณนาของเพื่อน

“ขากกกกกกกก!!!! แค่กๆๆๆ หวานฉิบหายเลยโว้ยยยย เชี่ยชิงขอน้ำเปล่าหน่อย!!! แอ๊กกกก!!”

เป็นอันว่าแก้วแรกที่ถูกเปิดไปคือ Too much tenderness ซึ่งดูท่าแล้วจะทูมัชจริงเหมือนชื่อ

“ความโง่ของมึงทำให้กูลำบากอีกสัสแก้ว!!” ชิงชิงรินน้ำให้เพื่อนแล้วกลับมาโฟกัสที่เกมต่อ

ชิง: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – F…Fallacy!!” เห็นหน้าอาจารย์กฤตแล้วนึกออกเลย ฮ่าๆๆ

พีพี: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy - Gottfried Wilhelm Leibniz

/มึงเล่นอัจฉริยะข้ามคืนเรอะพีพี!! – เสียงครวญรอบวง

ปอ: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy – เชี่ย... G ของมึงนี่อะไรวะ... อ๋อ!! Gottfried Wilhelm Leibniz - Heraclitus


ตอนนี้เกมวนกลับมาที่อาจารย์กฤตอีกครั้ง พร้อมการกลับมาของเจ๊ตี๊ ซึ่งเดินยังไม่ทันถึงโต๊ะ ก็ถูกพี่จ๋ากับพี่จุ๋มไปอัญเชิญฉุดกระชากมาให้เลือกเครื่องดื่มทันที

“เจ้าแม่โปรเจกต์ดีนัก หยิบขึ้นมาแล้วแดกค่าาา”

“โอ๊ยยย กูแค่ปวดขี้มั้ย ไม่ได้ฆ่าใครตาย!!” กะเทยดุสะบัดบ็อบก่อนจะหยิบแก้วสแตนเลสขึ้นมาแก้วหนึ่ง “ขอให้เป็นเหล้าๆๆๆ ฉันอยากเมาแล้วเต้นบดๆๆๆ”

เจ๊ใหญ่อธิษฐานแล้วจึงดื่มน้ำปริศนาตามกติกา

“อิด๊อกส์ แอ๊กกกกก!! อุบบบบ!!!”

“อย่าอ้วกนะอีกะเทย!!” พี่จุ๋มส่งน้ำเปล่าให้เพื่อน แต่เจ๊ตี้ไม่รับ เพราะเจ้าตัวกำลังวิ่งสี่คูณร้อยกลับไปยังห้องน้ำที่เพิ่งจากมา

“มันกินอะไรเข้าไปอะ” พี่ไนท์ถามด้วยความสงสัย แน่นอนว่าไม่มีใครรู้นอกจากเจ้าตัวเอง

“ปล่อยมันเถอะ เดี๋ยวมันก็กลับมา” พี่จ๋าสรุป “ตาใครแล้วนะ”

“ผมๆ” อาจารย์กฤตยกมือ

“อุ่ย! วนรอบนึงแล้ว งั้นอาจารย์ต่อเลยค่ะ”

อ.กฤต: “Albert Camus – Belief - Critical Thinking – Determinism – Ego – Fallacy – Gottfried Wilhelm Leibniz – Heraclitus - Idealism


หลังตัดผู้เข้าแข่งขันออกไปสองคนคือแก้วกับเจ๊ตี้ (ชั้นแพ้บายโว้ย / เจ๊กล่าว) รอบสองนี้ดูเหมือนเกมจะดุเดือดขึ้นกว่าเดิมมาก อาจเพราะแอลกอฮอล์ในเลือดเริ่มจางลง ทุกคนเลยสามารถครองสติและผ่านมาได้เรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ภาคภูมิที่ดูเหมือนจะเมาในตอนแรกๆ แต่พอลงสนามปุ๊บ สติก็กลับมาโดยฉับพลัน

พีพี: “...Idealism - John Locke - Karl Marx - Liberty - Marxism - Naturalism - Objective"

“โอ้... เลือกคำได้ดีนะภูมิ เอ... Objective ภาษาไทยมันแปลว่าอะไรนะ” อ.ธารทำหน้าสงสัย

เจ้าของตัว O เงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาเสียงเบา “ปรนัยครับ”

“อ้อ...ใช่ๆ ปรนัยเนอะ” ผู้อาวุโสอมยิ้ม “อะ Mr. Objective ต่อเลยๆ”

ปรนัยตัวจริงเลื่อนหน้าไปกระซิบกับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ “ให้กูเป็นคำตอบของมึงใช่ปะ”

รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าหล่อพร้อมสายตาคมคู่นั้นทำให้ภาคภูมิรู้สึกเหมือนเมาอีกรอบ “อะไรของมึง”

“ฮ่าๆ” คนขี้แกล้งหัวเราะ ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังวงสนทนา

ปอ: “...Karl Marx - แอล... Liberty - Marxism - Naturalism – Objective – พี...พีพีได้มั้ยอะ เด็กปรัชญาปีสาม”

คนถูกพาดพิงหันขวับ “นิสัย!”

“อ้าว เราจะได้เป็นคำตอบของกันและกันไง”

“ง่ออออ ง่อๆๆๆ” ชิงชิงกับแก้วส่งเสียงแซวไม่เบานัก แต่เจ้าของคำตอบไม่สนใจ

“เมาละมึง!” นิ้วเรียวจิ้มหน้าผากที่ยื่นเข้ามาหาแล้วดันออกไปเต็มแรง ก่อนจะหันไปมองพี่จ๋าอย่างลืมตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองพวกเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกอยู่เช่นกัน

ถึงปรนัยจะให้ 'พีพี’ เป็นคำตอบ แต่ทุกคนกลับตรวจข้อสอบแล้วให้...ตก

“อะ พ่อคุณพ่อขนุนหนัง เจ้าเล่ห์นักก็ขอเชิญเลือกเลยค่ะ” พี่จุ๋มชี้นิ้วไปยัง Chapter 2 อีก 8 แก้วที่เหลือ

“อยาก Know the pain จัง อิอิ”

“สัส ขอให้แม่งโดนจริง สาาาธุ!” ไอ้แก้วผู้ตกรอบเป็นคนแรกยกมือท่วมหัว เพราะถึงน้ำหวานจะรสชาติต่ำตม แต่คนอย่างห่าปอต้องเจอของแรงๆ เอาให้แม่งเมาไปเลย

ทุกสายตาจับจ้องไปยังแก้วในมือของผู้แพ้คนล่าสุด ปรนัยเปิดฝาออกพลางยกเครื่องดื่มขึ้นจ่อจมูก

“ไม่ต้องดมหรอก ยังไงก็ไม่ได้กลิ่น” เจ๊ตี้ผู้คุ้นเคยกับของมึนเมาร้องบอก “ต้องกินเข้าไปอย่างเดียว”

ร่างสูงยักไหล่ ...กินก็กินวะ

เพียงอึกแรกปรนัยก็รู้ว่าคำขอของตนเองเป็นจริง เพราะความเย็นเฉียบของเครื่องดื่มในปากกลับแผดเผาลำคอจนร้อนแทบไหม้เมื่อกลืนลงไป ก่อนกลิ่นแอลกอฮอล์หลายชนิดจะอบอวลอยู่ภายในขึ้นไปถึงโพรงจมูก

“ยังไง ยังงาย...อึกเดียวเอง กูว่ามันยังไม่หมดนะ” ชิงชิงกอดคอกับไอ้แก้วแล้วชี้หน้าเพื่อนปากดีที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตอนนี้

“ตกลงอะไรอะ” ภูมิหันไปถามด้วยอีกคน สายตาสงสัยใคร่รู้นั้นทำให้ปรนัยเผยยิ้ม ก่อนจะกระดกเหล้าที่เหลือลงคอจนหมด

“เข้ๆๆๆ แมนเชี่ยๆ” เสียงเป่าปากแซวเพื่อนยิ่งสร้างความสงสัยให้กับคนอื่นๆ เข้าไปใหญ่

“ตกลงเหล้าหรือน้ำหวาน” เป็นพี่จ๋าที่ถามด้วยอีกคน

“ไม่บอกหรอก เดี๋ยวเหลือแก้วน้อยแล้วไม่เซอร์ไพรส์” คนตอบหัวเราะขำ พลางบอกให้เกมที่ค้างอยู่ดำเนินต่อไป
ภาคภูมิลอบมองใบหน้าของคนข้างๆ ถึงแสงไฟจะค่อนข้างสลัว แต่ก็ยังพอมองเห็นว่าใบหน้าคมนั้นขึ้นสีแดงจนลามไปถึงคอ ไม่ต้องเดาเลยว่าเพื่อนสนิทจับได้อะไร


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
ตอนนี้เกมเหลือผู้รอดชีวิตเพียงสี่คน คือ อ.กฤต อ.ธาร พี่จ๋า และภาคภูมิ เรียกว่าเป็นสายแข็งตัวจริง เพราะเข้าสู่โค้งสุดท้ายของตัวอักษรแล้ว

อ.กฤต: “...Philosophy – Quine - Reality - Skeptic - Thales - Utopia - Virtue - Will - เอ่อ... เอ็กซ์... เอ็กซ์...."

"ห้า - สี่ - สาม – สอง” คนอื่นๆ เริ่มนับถอยหลัง “หนึ่ง หมดเวลาาา"

“โอ๊ย...ยอมจริงๆ นึกไม่ออกเลยครับ เอ็กซ์” อาจารย์หนุ่มถอนหายใจ

“ถ้าเรื่องมันเศร้า ก็ต้องโดนเหล้าเข้มๆ เลยค่า” เจ๊ตี้ปรบมือ ก่อนจะตามด้วยเสียงเชียร์รอบโต๊ะ ตอนนี้เหลือเครื่องดื่มอยู่สี่แก้วสุดท้าย และไม่มีใครรู้ว่าคืออะไรบ้าง เพราะตั้งแต่ปรนัยอุบแก้วของตัวเอง คนที่แพ้ต่อๆ มาก็เลยเก็บเป็นความลับเช่นกัน

อาจารย์กฤตกลั้นใจยกแก้วในมือขึ้นดื่ม เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าจะถ้าโดนแก้วเหล้า คงได้ขอตัวกลับก่อนแน่ๆ ทว่ารสหวานแสบลิ้นราวกับกินหัวน้ำหวานกับกลิ่นโคล่าอ่อนๆ กลับสร้างความแปลกใจให้ตนเองพอสมควร แม้รสชาติจะเหลือรับประทาน แต่ก็ดีกว่าต้องซดเหล้าดีกรีสูงให้หมดในครั้งเดียว

“ได้อะไรอ่าอาจารย์ บอกหน่อยๆๆๆ”

รอยยิ้มหล่อถูกส่งมารอบวง “ความลับครับ”

“โอ้! ผมนึกตัวเอ็กซ์ออกแล้ว!” อาจารย์ธารอุทานอย่างดีใจ “แต่ผมจะจำไอ้พวกระหว่างทางได้มั้ยเนี่ย”

อ.ธาร ไล่คำศัพท์ไปเรื่อยๆ ใช้เทคนิคชี้หน้าเจ้าของคำไปทีละคำจนครบถึงตัวดับเบิลยู ซึ่งเป็นคำสุดท้าย

“โอ๊ยยยย... ตายแน่ๆๆ” พี่จ๋าเอามือปิดหน้า ในตอนที่อาจารย์ธารเอ่ยคำศัพท์ตัวเอ็กซ์

Xenophanes

อาจารย์กฤตหันมามองเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ก่อนจะปรบมือให้ด้วยความชื่นชม “จริงด้วย ผมลืมไปได้ไงเนี่ย”

“เอาล่ะจ๋า อึก! มึงงงง ตาเมิงงงงละ” พี่จุ๋มเริ่มพูดไม่เป็นคำก่อนจะลุกเชียร์เพื่อนเย้วๆ

ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังลุ้นกับพี่จ๋า แต่ปรนัยกลับกำลังใช้หัวสมองที่เริ่มเบลอเพราะฤทธิ์เหล้า คิดคำนวณว่าอะไรออกไปแล้วกี่แก้ว ‘ไอ้แก้วกับพี่ตี้ได้น้ำหวาน, อ.กฤตไม่น่าใช่เหล้า เพราะสีหน้าไม่เปลี่ยนเลย ไอ้ชิงก็ไม่ใช่แน่ๆ ปกติถ้ากินเหล้าพร้อมเบียร์มันต้องเรื้อนละ พี่จุ๋มเหล้าชัวร์ เมาสุดๆ, เหลือพี่ไนท์ แม่งดูยาก ถ้านับพี่แกเป็นเหล้าด้วย แสดงว่าเหล้าออกไปแค่สามแก้ว...’

“...อะอีจ๋าเร็วเร้วววว ตัวเอสของใคร ง่ายฝุดๆ เรยเพิ่ลลล” เสียงพี่จุ๋มยังเชียร์เพื่อนไม่หยุด แต่สุดท้ายพี่จ๋าก็แพ้ไปอีกคน

   ปอนึกห่วงพี่จ๋าอยู่เหมือนกัน มันพอจะมีโอกาสที่หนึ่งในสามนั้นจะเป็นน้ำหวาน แต่ถึงยังไงขานั้นก็สายปาร์ตี้อยู่แล้ว ถ้าจับได้เหล้าจริงๆ ก็ไม่น่าเมาปลิ้นหรอก ที่น่าห่วงก็ไอ้คนข้างๆ เขามากกว่า

   “อะ แดกกกกก” พี่จุ๋มจัดการเปิดฝาแก้วแล้วจ่อที่ปากเพื่อนทันที

   “ให้มันกินเองดิจุ๋ม เดี๋ยวมันสำลัก” พี่ไนท์เอ่ยเสียงดุ คนเมาเลยยกมือไหว้ท่านประธานงามๆ แล้วส่งแก้วให้พี่จ๋าแต่โดยดี

   เห็นหน้าเหมือนอมบอระเพ็ดของคนตรงข้ามแล้ว ปรนัยก็พอจะเดาได้ว่าพี่จ๋าได้แก้วเหล้าจริงๆ

   ภาคภูมิไม่ได้สนใจรอบวงเท่าไร เพราะตอนนี้กำลังคิดคำศัพท์ปรัชญาที่ขึ้นต้นด้วยตัววาย กระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ ของคนที่มากระซิบข้างหู

   “มันน่าจะเหลือเหล้าแก้วน้ำหวานแก้ว เลือกให้ได้น้ำหวานนะ”

   “กูจะรู้มั้ยว่าแก้วไหน”

   “มาค่ะน้องพีพี ตาหนูแล้วลูกกก” เสียงเรียกของเจ๊ตี้ทำให้ภูมิไม่ทันได้ฟังคำตอบของเพื่อนสนิท และไม่ได้เห็นแววตาที่สะท้อนความห่วงใยออกมาอย่างชัดเจน

   พีพี: “…Thales - Utopia - Virtue – Will – Xenophanes – อ่า... วาย..”

   ภูมิมองไปรอบวงอย่างขอความช่วยเหลือ แต่นอกจากไม่มีใครช่วยแล้ว ทุกคนยังพร้อมใจนับถอยหลังกันเสียงดังลั่น
“และในเกมนี้อาจารย์ธารก็เป็นผู้ชนะปายยยย” เจ๊ตี้สวมบทบาทพิธีกรประกาศผู้ชนะ เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังสนั่นจนคนชนะต้องบอกให้เบาลง เพราะกลัวโต๊ะข้างๆ ด่า

“แต่ว่าคนแพ้ก็ต้องถูกลงโทษตามกติกานะ” เอ็มซีตี้หันมาทางภาคภูมิ “ลูกแม่ อยากกินแก้วไหนหยิบเลยค่ะลูก”

ตากลมจ้องมองแก้วสแตนเลสสองแก้วบนโต๊ะ ไอเย็นยังแผ่กระจายออกมาเหมือนชั่วโมงก่อน และหน้าตาภายนอกของทั้งสองแก้วก็ไม่มีอะไรต่างกันเลยสักนิด จริงๆ ถึงปรนัยไม่พูด เขาก็ภาวนาให้จับได้แก้วน้ำหวานเช่นกัน เพราะอย่างน้อยการได้รับ ‘ความอ่อนโยนที่มากเกินไป’ ก็ยังดีกว่าต้องมา ‘เรียนรู้ความเจ็บปวด’ ด้วยเหล้าสามชนิด ที่น่าจะไปตีกับเบียร์ในกระเพาะ และผลที่ออกมาคงทำให้เขาคงดูไม่จืดเลยทีเดียว

“ศัพท์ปรัชญามันไม่มีตัววายเปล่า” อยู่ๆ คนข้างๆ ภูมิก็โวยวายขึ้นมา “คือถ้ามันไม่มี พีพีก็ไม่ต้องกินมั้ยอ่า เพื่อความยุติธรรม”

“กูโอเคมึง... เล่นเกมสนุกๆ น่ะ” ภาคภูมิดึงแขนเพื่อนให้นั่งลง

“งั้นเดี๋ยวลองเสิร์ชดูก็ได้” พิธีกรประจำวงหยิบมือถือตัวเองขึ้นมา แต่คนแพ้ร้องห้ามเสียก่อน

“ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ เนี่ยๆ เดี๋ยวกินเลย อยากกิน ฮ่าๆๆ”

พอเจ้าตัวออกปากอย่างนั้น ปรนัยเลยจำเป็นต้องเงียบ

ภูมิเลือกหยิบแก้วทางขวามือ ความเย็นที่แผ่ออกมาทำเอาใจชื้นขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องกินเหล้าหรือน้ำหวานที่หายเย็นแล้ว ไม่งั้นรสชาติมันคงย่ำแย่เข้าไปใหญ่

“หมดแก้ว! หมดแก้ว! หมดแก้ว!” เสียงเชียร์ทำให้มือเรียวต้องยกแก้วทำท่า Cheers! ก่อนจะเลื่อนมาแตะริมฝีปากตัวเอง แล้วกลั้นใจดื่มน้ำต้องสงสัยในที่สุด

“พีพี...” ปอเรียกคนที่ทำหน้าพะอืดพะอม อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่รีบเอามือบีบจมูกขณะพยายามกลืนรสขมเฝื่อนแสบร้อนลงไป และพยายามกินที่เหลือตามไปอีกสองอึก

“ให้มันกินน้ำก่อน” ชิงชิงยื่นแก้วน้ำเย็นมาให้ เขาจึงรีบส่งให้เพื่อนทันที

“โอเคมั้ยมึง” ปรนัยถามอาการคนที่น่าจะโดนแก้วเหล้า พอเห็นหน้าขาวๆ ขึ้นสีแดงจัด แถมปากเล็กๆ ยังเบะคล้ายจะร้องไห้ มือหนาจึงเอื้อมไปลูบหัวปลอบเพื่อนแล้วดึงแก้วในมือขาวมาซดเองรวดเดียวหมด

“อะๆๆ ก็ถือว่าครบตามกติกา เพราะเครื่องดื่มหมดแก้วเนอะ” เจ๊ตี้สรุปสถานการณ์” เดี๋ยวเราเช็กบิลโต๊ะนี้ก่อนดีมั้ย ห้าทุ่มละ เผื่อใครจะอยากเข้าไปต่อในห้องกระจก”

ห้องที่ว่าคือโซนห้องแอร์คล้ายๆ ตู้ปลา ที่วันนี้มีปาร์ตี้พร้อมเปิดไฟแบล็กไลต์ ซึ่งจะทำให้วัตถุสีขาวเรืองแสง ส่วนสีอื่นๆ ก็จะมืดไปหมด การได้ปล่อยสเต็ปแดนซ์กับเพลงตื๊ดๆ ที่ฟังไม่รุ้ความหมายและดูผู้คนเรืองแสงถือเป็นความบันเทิงสูงสุดที่หลายๆ คนตั้งใจมาในคืนนี้



แก๊งปีสี่พาอาจารย์เข้าไปด้านในกันตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่สี่หนุ่ม F4 ยังคงนั่งกันต่อที่เดิม แก้วกับชิงชิงยังกินกันไปเรื่อยๆ ส่วนปรนัยขอหยุดก่อนเพราะเริ่มมึนแล้วจริงๆ

 “ปอ...” เสียงที่อู้อี้อยู่ตรงไหล่ทำให้คนที่กำลังนั่งเบลอๆ ต้องก้มไปมอง

“อือ ไหวมั้ย” มือหนาลูบหน้าผากชื้นเหงื่อเบาๆ

“ไหนว่าแก้วที่เป็นเหล้าคือ know the pain”

“อะไรนะ”

คนที่ยังซบอยู่กับไหล่หนาส่งเสียงฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “กูว่าแม่งโคตร too much tenderness เลยว่ะ”

“เมาในสามอึกจริงๆ เหรอวะ” แก้วเห็นอาการบ่นอะไรหงุงหงิงของเพื่อนแล้วก็ขำ อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปบีบจมูกแดงๆ ของคนตรงข้ามสักที

คนถูกแกล้งขมวดคิ้ว ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรง “เมาอะไร เปรี้ยว”

“มาว่ะๆ” ชิงชิงกระซิบ

คนถามส่งยิ้มหวาน “เฉลยยย เมาเบอร์รี่ ฮ่าๆๆ”

ปอถึงกับกุมขมับ พยายามดึงไอ้ตัวยุ่งให้มานอนเหมือนเดิมมันก็ไม่ยอม

“อะๆ พวกกูรอฟังมุกมึง ให้ไวๆ กูอยากขำแล้ววว” แก้วทำเสียงกระตือรือร้นเกินจริง

“มุกอะไรเก่งคณิต” คนเมาเริ่มอีกรอบ “เฉลยยยย มุกดาหารรรร ตึ่งโป๊ะ”

“ห่าภูมินั่งดีๆ” แก้วชี้ไปยังร่างโงนเงนนั่น “จับมันด้วยนะไอ้ปอ”

แขนยาวตอบรับคำสั่งเพื่อนด้วยการโอบร่างเล็กๆ นั่นไว้แล้วดึงเข้ามาชิดตัวเอง

“นี่คือกันเพื่อนตกโต๊ะเนอะ? ไม่ได้คิดเป็นอื่น?” คือคนเมาน่ะเข้าใจได้ แต่ไอ้คนไม่เมานี่มันน่าสงสัยจนชิงต้องมองเหล่

   ปรนัยไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับก้มหน้าไปคุยกับคนในอ้อมแขนแทน “กลับหอมั้ย”

   “หือออ” คิ้วเรียวขมวดมุ่น “จะกลับได้ไง”

   “หอมันใหญ่ กลับไม่ได้งี้ใช่ปะ” แก้วรีบดักมุกเพื่อน ทำเอาคนเมายู่หน้าอย่างขัดใจ

   “มุกควายว่ะแก้ว ใครจะเล่นเหมือนมึง”

   “เอ๊า! โดนด่าเฉย”

   “กลับหอไม่ได้” พีพีย้ำอีกรอบ “วินยังไม่มารับ”

   คำตอบนั้นทำให้ทั้งวงต้องถามย้ำเป็นเสียงเดียวกัน “ใครนะ?”

   “วิน”

   “มึงต้องไปโบกเอาข้างหน้า ไม่ใช่รอให้เค้ามารับ” ชิงอธิบาย

   “ฮื่อ” คนฟังส่ายหน้า “มันบอกจะมารับ”

   ร่างโปร่งขยับยุกยิก ก่อนจะหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมา “นี่ๆๆๆ”

   ปอคว้าโทรศัพท์ในมือเล็กที่พยายามโบกไปรอบวงมาดู หน้าจอแอปพลิเคชันไลน์ถูกเปิดอยู่ และปรากฏแชทของ 'วิน' ที่ไม่ได้หมายถึงมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างที่คนอื่นเข้าใจ


Twin (21:03) : เมายัง

PPoom (21.15) : ยังๆ 555

Twin (21.15) : จะกลับยังไงอะ

PPoom (21.23) : มอไซค์ข้างหน้าแหละ

Twin (21.24) : เรากินข้าวอยู่แถวๆ ร้านพอดี จะกลับก็บอกนะ เดี๋ยวแวะรับ

PPoom (21.30) :   ไม่เป็นไรๆ ดึกแน่

Twin (21.30) : นี่ก็จะไปนั่งเล่นหอเพื่อนเหมือนกัน จะกลับก็ไลน์มานะ

PPoom (21.32) : อ่อ เคๆ


   ปรนัยอ่านข้อความบนหน้าจอแล้วถึงได้เข้าใจที่เพื่อนสนิทพูด เมื่อเหลือบไปเห็นคนเมายังฝอยมุกแป้กไม่หยุด สองมือจึงรีบพิมพ์ข้อความส่งไปในแชทที่เปิดค้างอยู่

PPoom (23.19) : ไม่ต้องมารับนะ เดี๋ยวปอไปส่ง

Twin (23.20) : ไปยังไงกัน เราไปรับได้นะ เอารถเก๋งมา   

PPoom (23.20) :   ปอขับบีเอ็มมาอะ นั่งสบายมากกกก

Twin (23.20) : อ่าวเหรอ

Twin (23.21) : เพื่อนไม่เมาใช่มั้ย

Twin (23.21) : ขับไหวนะ

PPoom (23.21) :   เออ เท่านี้นะ จะกลับละ

Twin (23.22) : อ่าๆ ถึงห้องแล้วบอกด้วยน้า


   “ลำไยจริงโว้ยยย” คนที่ยังครอบครองโทรศัพท์เพื่อนบ่นออกมาเสียงดัง

   “อยากกินเหรอ! กูก็อยากกินนน ลำไยยยย” ภาคภูมิเด้งตัวขึ้นมาอีกรอบ ตากลมลุกวาวเมื่อพูดถึงผลไม้โปรด

   “งั้นไปซื้อกัน” เสียงทุ้มเอ่ยเจ้าเล่ห์

   คนอยากกินลำไยลุกขึ้นยืนฉับพลัน “ปะๆ”

   ร่างสูงลุกตามมาคว้าตัวคนเมาเอาไว้ก่อนจะหันมาบอกลาเพื่อนๆ “มึงเข้าไปห้องกระจกกันเลย กูพาพีพีกลับละ”

   “เออๆ กลับกันดีๆ” แก้วกับชิงชิงมองตามเพื่อนสองคนจนพวกมันเดินออกนอกเขตร้านแล้วจึงย้ายตัวเองไปต่อด้านใน


   ที่ด้านหน้าร้าน ปรนัยกำลังเจรจากับมอเตอร์ไซค์รับจ้างขอซ้อนสอง และตกลงเส้นทางที่จะไม่ต้องเสี่ยงเจอด่าน แต่ดูเหมือนคนขับจะไม่ยอมท่าเดียว

   “หอแรกยังไงก็หลบไม่ได้หรอกน้อง ไปขึ้นแยกคนละคันเลย พี่กลัวโดนจับ”

   “โห่พี่ ให้เพื่อนผมนั่งคนเดียว เดี๋ยวก็ได้พาไปส่งโรงบาลหรอก”

   “ยังไงก็ไม่ได้ ถ้าไปหอน้องเลยน่ะถึงจะรอด วิ่งเส้นลัดข้างๆ ร้านไปทะลุซอยหลังหอเลย ไม่ต้องผ่านถนนใหญ่”

   “ปอออ เมื่อไรจะได้ซื้อลำไยอ่า” ร่างขาวที่นั่งอยู่บนฟุตปาธส่งเสียงถาม ตากลมปรือปรอยจนแทบปิด

   คนถูกเรียกหันไปมองสภาพเพื่อน ก่อนจะหันมาสรุปกันพี่วินเป็นครั้งสุดท้าย

   “พี่... งั้นไปหอผมเลยแล้วกัน...”





TBC.


โปรดให้อภัยในความช้าของเราาา ฮือออออ
ด้วยความยาวและต่อเนื่องของตอนนี้ (บวกชีวิตอันเวิ่นเว้อของเรา)
ตอนนี้เลยมาพบทุกคนหลังเวลาผ่านไปเดือนกว่า! / ร้องไห้
ถ้าใครลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว ช่วยย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 10 ก่อนนะคะ

ถ้าหากพูดถึง Sweet Dilemma ที่ไหน
รบกวน #SweetDilemmaFiction ให้หน่อยนะคะ
เข้าไปพูดคุยกับคนเขียนได้ที่
https://www.facebook.com/lykarfanpage
หรือ Twitter: @lykar91 ค่ะ

------------------

สำหรับตอนนี้ อยากขยายความเรื่องร้าน The Phophet นิดนึงค่ะ

"The Phophet" เป็นชื่อหนังสือของ คาลิล ยิบราน
หรือที่แปลเป็นฉบับภาษาไทยด้วยชื่อ "ปรัชญาชีวิต"

เนื้อหาเป็นบทกวีที่งดงามมากๆ โดยเฉพาะบทที่ 2 ที่ชื่อ On Love
ซึ่งเราดึงท่อนหนึ่งมาใช้เป็นชื่อเครื่องดื่ม "Chapter 2" ในตอนนี้
นั่นคือท่อนที่กล่าวว่า "To know the pain of too much tenderness."
แปลเป็นไทยว่า "เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป"

เนื่องจากอยากให้ผู้อ่านได้รับรสกวีบทนี้มากขึ้น
จึงขออนุญาตคัดลอกส่วนหนึ่งของบท On Love มาให้อ่านกันนะคะ
หากใครสนใจ สามารถหาซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปค่ะ

อ้างถึง

Chapter 2 On Love

Love has no other desire but to fulfill itself.
But if you love and must needs have desires, let these be your desires:
To melt and be like a running brook that sings its melody to the night.
To know the pain of too much tenderness.
To be wounded by your own understanding of love;
And to bleed willingly and joyfully.

- KHALIL GIBRAN


ความรัก

ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด
นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์

แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี

เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว
อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป

เพื่อจะต้องบาดเจ็บด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล

ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ

- คาลิล ยิบราน / สำนวนแปล ระวี ภาวิไล

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2017 20:42:06 โดย lykar »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 :hao6: เดี๋ยวววววววววววไม่คิดอะไรถูกม๊ะ หืมมมมมม
จังหวะเป๊ะเลยค่ะพอเรากะจะมาอ่านซ้ำคุณคนเขียนก็อัพพอดี :mew1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ปอ เพิ่มความหวงพีพี มากขึ้น
โดยเฉพาะกับวิน

พี่จ๋า ดูเหมือนนิ่งๆกับปอ
คงเพราะรู้แล้วว่าปอ ไม่คิดทางเดียวกัน
แถมเพื่อนคอยตบซ้ำถ้ามองปอมาก
สายตาพี่จ๋า คอยดูปอที่ตัวติดพีพีมาก
แล้วนี่ปอพาพีพี ขึ้นวินกลับหอตัวเอง
ตัดวินจากการมารับพีพี
ทั้งที่ไม่ได้ขับรถมาแท้ๆ
รอตอนใหม่
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คุ้มค่ากับการรอคอย ชอบตัวละครทุกตัวเลย มีชีวิตชีวามาก
ต้องขอบคุณวินที่มาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปอจะเริ่มรู้ตัวเองซักแค่ไหน
น้องพีพีน่ารักมาก

ออฟไลน์ gunghan

  • In the end, we must separate, that’s it
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอตอนต่อไปเลยได้มั้ย
ยังไม่พอ :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Krajeeqx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เมื่อไหร่ปอจะรู้ใจตัวเองสักที อาการหวงพีพีกำเริบขนาดนี้ละนะ

ปอลอ.ตอนนี้ยาวสะใจมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


ยินดีต้อนรับการกลับมาค่ะ ^_^
เรื่องปอรู้ใจตัวเองนี่เราไม่ลุ้นเท่ากับหลังจากพาพีพีกลับไปนอนที่ห้องด้วยกันแล้ว ปอจะทำยังไงมากกว่า
อยากให้ปอรู้ใจตัวเองเร็ว ๆ เพราะสงสารพีพีมาก คือ ถ้าปอจะไม่อะไร ปล่อยพีพีไปเถอะลูก ป้าเชื่อว่ามีคนรอช้อนน้องอีกเพียบ
แน่ะ! ถ้ายังคิดไม่ออกว่าใครที่รอสอยพีพีอยู่ ก็อ่านแชทพีพีกับเด็กต่างคณะวนไปนะลูก เผื่อจะได้ดวงตาเห็นธรรม วะฮ่า ๆๆๆ

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
พีพีตอนเมาแล้วน่ารัก

ตอนปิ้งไก่มา เราเงิบเลยอะ


555555 แบบ มุกนี้ใครเล่นวะ อารมณ์แบบหันไปมองหน้าเพื่อน

พอหันมาเจอพีพี นี่ก๊ากกกเลย



แบบนี้ก็ได้หรอวะ



ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
แม้แต่อาจารย์ยังแซว คือไร้

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
พีพีเมาแล้วน่ารักมากกกกก
ปอรู้ใจตัวเองได้แล้ว

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ฮืออออออ คนเขียนกลับมาสักที อย่าหายไปนานแบบนี้อีกนะ จะลงแดงตาย :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ sunshine538

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
พีพีลูกกกกกกก  :hao5:(ไม่รู้ทำไม แต่คิดว่าเข้าใจอารมณ์ตอนเจ๊ตี้พูดประโยคนี้นะคะ 555)

อ่านจบแล้วแบบว่า เม้นต์ไม่ออก คิดได้แค่ว่า...
"ขอป้าเกาะล้อรถพี่วินตามไปด้วยนะ"  :hao7:

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :call:

ปล.ปอเอ๊ย!! ถ้าจะหึงโหด?? และดูแลเทคแคร์พีพีขนาดนี้ล่ะก็ มาบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับพีพีป้าจะตีให้ตายเลย

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
ฺSweet Linemma

สวัสดีค่าา

มีอะไรสนุกๆ มาให้เล่นและอ่านกันระหว่างรอ Sweet Dilemma อัพค่ะ
มันคือออออ แชตไลน์ของหนุ่มๆ ในเรื่อง ตอนที่พวกมัน เอ๊ยยย พวกเค้าเพิ่งเริ่มๆ รู้จักกัน (ปี 1 เทอมแรก ช่วงกลางๆ เทอม) ชื่อเรื่อง "Sweet Linemma" ในแอปพลิเคชัน "จอย" ค่ะ



**สำคัญ**
- เนื้อหาไม่ต่อเนื่องกับเรื่องหลักนะคะ จะอ่านในแชตนี้หรือไม่อ่านก็ได้ค่ะ
- อิมเมจตัวละครเป็นแค่ภาพแทนในมุมมองเราเท่านั้น ขออภัยล่วงหน้าหากกระทบกับจินตนาการของคนอ่านนะคะ

อธิบายเรื่องแอปนิดนึง
แอป "จอย" เป็นแอปอ่านนิยายแชต โหลดฟรี อ่านฟรีค่ะ ถ้าใครยังไม่มีแอปนี้ สามารถเสิร์ชว่า "จอย" และโหลดลงมือถือได้เลยทั้ง iOS และ Android ค่ะ

วิธีใช้หลังติดตั้งแล้ว
1. ลงทะเบียนสมาชิกและล็อกอิน
2. เสิร์ชหาเรื่อง "Sweet Linemma" หรือกดที่ลิงก์นี้ >> http://www.joylada.com/story/59afc38d7d9f82000158edd9
3. เลือกตอนที่ต้องการอ่าน (ตอนนี้มีตอนเดียว)
4. เริ่มอ่านโดยแตะที่ช่องขาวๆ ด้านล่างจอ หรือถ้าอยากให้ข้อความรันไปอัตโนมัติ ให้แตะค้างที่ช่องขาวหนึ่งครั้งค่ะ
5. ถ้าชอบ กดเพิ่มเข้าคลังไว้ตามอ่านได้
6. มีอีกหลายเรื่องในนั้นที่สนุกมากๆ ลองเลือกอ่านดูได้จ้า


ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
น้องปอคะ พี่อยากรู้มากว่าเราอยู่ในเกมภาษาเดียวกันมั้ย
รบกวนรีบเฉลยนะคะ ไม่งั้นน้องพีพีโดนแย่งไป พี่ช่วยไม่ได้นะจ้ะ

ขำมุกพีพีมาก น่ารักกกก 555


ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด