ม่านไหมลายพยัคฆ์
บทที่ 13
เสียงเด็ดขาดของนายทหารอายุคราวลูกสามารถหยุดคมมีดลงได้ นายพลเจ้าชายคิริซาวะหันขวับไปยังต้นเสียงที่เขารู้จักเป็น
อย่างดี ดวงตาที่มีรอยยับย่นของความอาวุโสจับจ้องอย่างแปลกใจที่เห็นเฉินหย่งหนานมองเขาด้วยโทสะอย่างที่ไม่เคยแสดงออกให้
เห็นมาก่อน หลานชายของนายกรัฐมนตรีชาติจีนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมหากแต่ครานี้เขากลับมองเห็นเปลวไฟจากดวงตาคมคู่นั้น
“คนของเธองั้นรึ” คิริซาวะเอ่ยถามหากแต่มือก็ยังจรดคมมีดลงไปบนเนื้อนุ่มอย่างน่าหวาดเสียว
“ผมขอร้องให้ท่านปล่อยคนของผมหากยังเห็นต่อความสัมพันธ์อันดีต่อกัน”
หย่งหนานย้ำชัด มือใหญ่กุมด้ามปืนที่เหน็บอยู่ตรงเอวอย่างพร้อมที่จะชักมันออกมาลั่นกระสุนเต็มที่หากคิริซาวะจะทำอะไร
ต่อเหวินเป่าที่ยืนหน้าซีดเผือดภายใต้คมมีด นายพลคิริซาวะประสานสายตากับหย่งหนานพักหนึ่งก่อนจะยอมเก็บมีดและปล่อยมือที่
จับกุมเหวินเป่าไว้ เมื่อหนุ่มน้อยเป็นอิสระเขาจึงรีบขยับเท้าก้าวหนีให้ห่างทันที
“ไม่นึกว่าจะได้พบท่านที่นานกิงและอย่างยิ่งในสถานที่เช่นนี้”
เมื่อเห็นว่าเหวินเป่าปลอดภัยไฟในดวงตาก็เริ่มลดความรุนแรงลงหากแต่หย่งหนานก็ยังมองอย่างไม่ไว้ใจผู้กุมกำลังจาก
จักรวรรดิญี่ปุ่น คิริซาวะได้ยินดังนั้นสีหน้าจึงยิ่งตึงด้วยความคุกรุ่นเมื่อรู้ว่าบ้านเมืองของตนกำลังเสียเปรียบ
“จงอย่าชะล่าใจพันตรีเฉิน” คิริซาวะเอ่ยอย่างถือดี
“ตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังคงฉายแสงและสงครามยังไม่จบ ศพทหารก็ไม่ใช่สิ่งยืนยันความปราชัย”
บุรุษที่ก้าวเข้าสู่วัยชรายืนอกผายไพล่หลังมือไว้ด้านหลังอย่างหยิ่งผยองในศักดิ์ศรี หย่งหนานเข้าใจดีและเขาก็มิได้ทับถมให้
อีกฝ่ายได้อับอายที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ไม่ว่าใครจะได้รับชัยชนะ แต่ประชาชนก็พ่ายแพ้และย่อยยับอยู่ในสงครามอันเลวร้ายครับ ผมเพียงแต่หวังว่าบทสรุปของ
สงครามจะไม่ทำให้บ้านเมืองของผมบอบช้ำไปยิ่งกว่านี้”
สบตากันอย่างไม่มีหวาดหวั่นและทำให้คิริซาวะยิ่งนึกชื่นชมนายทหารหนุ่มผู้นับเป็นศัตรูผู้นี้อยู่ในใจมากขึ้นไปอีก เฉินหย่ง
หนานทั้งสง่างามและหาญกล้า เขาอิจฉาเฉินจิ้งเหออยู่ลึกๆที่มีหนึ่งในผู้สืบทอดอำนาจเช่นนี้
“เรื่องนั้นเป็นเหตุการณ์ในอนาคต ไม่มีใครสามารถคาดการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเราทั้งคู่จะพบกันอีกครั้ง”
นายพลเจ้าชายคิริซาวะผิวปากเป็นเสียงสัญญาณ และเพียงอึดใจรถยนต์ทหารคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจอดอยู่เบื้องหลังของเขา
คิริซาวะจึงเดินกลับไปขึ้นนั่งบนรถยนต์
“อีกอย่างหนึ่ง จงบอกคนของเธอด้วยว่าจงอย่ามาเดินเล่นในยามราตรีเช่นนี้อีก แล้วพบกันใหม่พันตรีเฉิน”
รถยนต์คันนั้นแล่นจากไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความเงียบสงัดในยามราตรี หย่งหนานหันไปมองร่างบางที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ไม่ไกล
นักก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อที่รบกวนจิตใจของเขามาตลอดสามเดือน
“อากุย”
“นายท่าน!”
เหวินเป่าโผเข้าหาด้วยความหวาดกลัว เขาเพิ่งรู้ว่าตนเองรอดพ้นความตายมาได้อย่างฉิวเฉียดที่สุด หย่งหนานรับร่างผอม
บางเข้าสู่อ้อมกอดอย่างเต็มใจ เขาปล่อยให้เหวินเป่าได้ร้องไห้ระบายความหวาดหวั่นและตระหนกออกมา มือใหญ่ลูบผมนุ่มอย่างอ่อน
โยน
“ไม่เป็นอะไรแล้วเด็กดี เลิกกลัวเถิดนะ”
หย่งหนานดันไหล่บางให้พอได้มองเห็นใบหน้าหวานที่มีแต่คราบน้ำตา ดวงตาเรียวเปียกชื้นและยังบอกถึงความตกใจ หย่ง
หนานเชยคางมนให้แหงนขึ้นจนมองเห็นรอยเลือดซิบๆจากคมมีดที่บาดอยู่บนผิวหนัง เขากัดฟันข่มความโกรธแค้นคิริซาวะที่สร้าง
บาดแผลอยู่บนร่างกายอันแสนบอบบางนี้ หย่งนานแตะปลายนิ้วเช็ดคราบเลือดที่เริ่มแห้งกรังอย่างแผ่วเบาด้วยความสงสารแต่กระนั้น
เหวินเป่าก็ยังสะดุ้ง
“เจ็บมากไหมอากุย”
น้ำเสียงและแววตาช่างอ่อนโยนจนบาดลึกลงไปในใจของเหวินเป่าให้ยิ่งเจ็บกว่าบาดแผลบนผิวหนังนัก ความคิดถึงโหยหาที่
อีกฝ่ายทอดทิ้งหันหลังให้เขาโดยไม่หันหลังกลับมาทำให้เหวินเป่าร้องไห้แทนความกลัวเช่นเมื่อครู่ หนุ่มน้อยจึงมองร่างสูงด้วยความ
เจ็บช้ำ เหวินเป่าปัดมือของหย่งหนานให้พ้นจากปลายคางของเขาและทุบกำปั้นรัวลงไปบนแผงอกแกร่งด้วยความน้อยใจ
“ปล่อย นายท่านปล่อยผมนะ นายท่านทิ้งผมไปครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่สนใจสักนิดว่าผมจะรู้สึกอย่างไร”
“อากุย ฟังฉันก่อน”
“ไม่”
กำปั้นน้อยๆยังคงระบายความเจ็บช้ำลงไปไม่หยุดยั้ง หย่งหนานจำเป็นต้องยื้อยุดข้อมือเล็กให้หยุดทำร้ายเขาเสียที
“นายท่านใจร้าย”
หย่งหนานรวบกายอุ่นนั้นเข้ามากอดแม้ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนขัดขืน วงแขนแกร่งโอบรัดไว้ราวกับกลัวร่างบางนั้นจะหนีหายไป
จากเขา หย่งหนานกดคางตนเองลงกับกระหม่อมจนกระทั่งเหวินเป่ายอมหยุดดิ้นรนและร้องไห้โฮอยู่ในอ้อมกอด เขาแอบสูดกลิ่นหอม
จากเส้นผมนุ่มนั้นจนเต็มหัวใจ
“ใช่ว่าฉันอยากจะห่างจากเธอ”
เสียงของหย่งหนานแผ่วเบาราวกับไม่ใช่ตัวตนที่เขาแสดงออกต่อหน้าผู้อื่น เหวินเป่าได้ยินหย่งหนานพูดอยู่เหนือศีรษะ ที่ชัด
กว่าคือเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างหูเมื่อเหวินเป่าแนบแก้มไปกับทรวงอกอันแสนอบอุ่น
“แต่มันจำเป็นที่ฉันยังไม่สามารถอยู่ใกล้เธอได้มากกว่านี้ ฉันกลัวว่าจะหักห้ามใจมิให้ทำร้ายทุกคนด้วยอกุศลในใจของฉันไม่
ได้”
เหวินเป่าฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ คำพูดของหย่งหนานช่างยากเย็นเกินกว่าที่เขาจะแปลความหมายอันซับซ้อนนั้นได้ ตอนนี้เขา
รู้แต่ว่าอ้อมกอดของหย่งหนานช่างอบอุ่นเหลือเกิน
“นายท่าน”
หย่งหนานคลายอ้อมกอดอย่างเสียดาย เขาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเหวินเป่าจนหมดก่อนจะสบตาเนิ่นนานโดยไม่พึ่งพาบท
สนทนา สุดท้ายเขาจึงประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากมนพร้อมกับตั้งคำถามในใจว่าเขาจะต้องทรมานกับความรู้สึกนี้ไปอีกนานเท่าใด
ใจหนึ่งก็อยากจะให้เหวินเป่ารอจนถึงวันที่เขาพร้อมจะยอมรับหากแต่อีกใจเขาก็ไม่อยากรั้งให้หนุ่มน้อยต้องมาอดทนกับอนาคตที่ไม่รู้ว่า
จะเป็นเพียงความฝันหรือไม่
“กลับบ้านกันเถอะ”
สุดท้ายก็ทำได้เพียงตัดใจปล่อยร่างบางออกจากอ้อมกอดและจูงมือน้อยให้เดินตามต้อยๆไปยังรถยนต์ที่เขาจอดทิ้งไว้ไกล
ออกไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เหวินเป่าเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นจนกระทั่งถึงรถยนต์และก้าวขึ้นไปนั่งเคียงข้างกับหย่งหนานที่กุมมือ
ของเขาเกือบตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน
เส้นทางกลับถึงบ้านสกุลเฉินช่างใกล้กว่าที่คิดจนเหวินเป่าอยากจะให้ถนนเส้นนั้นทอดยาวออกไปไม่มีสิ้นสุด แต่เขาก็ต้อง
ยอมรับความจริงว่าทุกอย่างคือความฝันเมื่อในที่สุดหย่งหนานก็พาเขามาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังเล็ก เหวินเป่าหยุดเดินเมื่อหย่งหนาน
ชะงักฝีเท้าก่อนจะเข้าบ้าน
“สักวันหนึ่ง” หย่งหนานรำพึงเบาๆโดยไม่หันมามองเขา
“หวังว่าฉันจะมีวันนั้นกับเธอนะอากุย”
“ครับ?”
เหวินเป่าเอ่ยถามด้วยความฉงน
“นายท่านหมายถึงวันไหนครับ”
“ช่างเถอะ ฉันเพ้อเจ้ออย่างไม่น่าให้อภัย เข้าบ้านกันเถอะ”
หย่งหนานสะบัดศีรษะราวกับจะขับไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากสมองเสียให้หมด เขาก้าวนำเหวินเป่าให้ตามเข้าไปจนถึงห้อง
ของเขาที่มีฟางซินนอนขดตัวงออยู่กองผ้าห่ม เหวินเป่ารีบรุดไปยังข้างเตียงจนเหม่ยฮัวที่ฟุบหลังอยู่สะดุ้งตื่น
“เหวินเป่า กลับมาแล้วรึ”
เสียงของเหม่ยฮัวปลุกให้ฟางซินลืมตาขึ้นมามองหนุ่มน้อยด้วยความเป็นห่วง
“เหวินเป่าเด็กโง่ ต่อไปอย่าทำให้เป็นห่วงเช่นนี้อีกนะ”
เสียงแหบแห้งของฟางซินทำให้เหวินเป่ายิ่งสงสาร
“โธ่ นายหญิง อย่าเพิ่งดุผมตอนนี้เลยครับ เดี๋ยวจะไอหนักกว่านี้อีก”
“ฮูหยินกำลังมีไข้ค่ะ” เหม่ยฮัวรีบบอกทำให้หย่งหนานรีบก้าวเข้ามานั่งข้างเตียงและประคองฟางซินขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอด
เหวินเป่าส่งห่อยาที่เขารักษาไว้เท่าชีวิตส่งให้เหม่ยฮัวทันที
“นี่ครับพี่เหม่ยฮัว ยาของนายหญิง”
เหม่ยฮัวรับห่อยามาอย่างดีใจและรีบแก้ห่อเพื่อส่งยาให้หย่งหนานช่วยป้อนยาและน้ำให้ฟางซินได้กินเข้าไป จากนั้นหย่ง
หนานจึงช่วยให้ฟางซินได้นอนลงไปอีกครั้ง
“ฉันขอโทษที่ดูแลเธอไม่ดีนะฟางซิน ขอเวลาอีกไม่นานฉันจะกลับมาเป็นสามีที่ดีดูแลเธอและลูกให้ดีที่สุด”
หย่งหนานดูแลภรรยาให้หลับตาลง เหวินเป่ามองภาพนั้นอย่างสะท้อนใจและนึกชังตนเองที่คิดอิจฉาผู้หญิงที่น่าสงสารอย่าง
ฟางซิน จึงได้ตัดใจก้าวออกจากห้องไปอย่างเงียบๆและมองภาพของสามีภรรยาด้วยความรันทด
วันนั้นที่หย่งหนานกล่าวถึงอาจจะเป็นแค่ความฝันตลอดไป
หย่งหนานดูแลฟางซินจนกระทั่งไข้ลดลงก่อนจะตัดใจออกจากบ้านอีกครั้งเมื่อฟ้าสาง เขาใจหายเมื่อไม่เห็นใบหน้าหวาน
ของเหวินเป่ายามที่ก้าวขึ้นรถและกลับไปยังที่ตั้งของกองทัพทหารแห่งชาติ เพราะภาระหน้าที่และสถานการณ์อันบีบคั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้หย่งหนานจำเป็นต้องวางเรื่องส่วนตัวของเขาไว้ก่อนและมุ่งความสนใจไปที่สงคราม นายกรัฐมนตรีเฉินจิ้งเหอผู้เป็นลุงของเขาก็มา
ประจำการที่นี่เช่นเดียวกัน
“ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกายื่นคำขาดให้ญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อวานนี้หลังจากส่งระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิม่าจนย่อยยับเมื่อวัน
ก่อนแต่จักรพรรดิญี่ปุ่นและรัฐบาลก็ยังไม่ยอมแพ้”
เฉินหยางซุนบุตรชายของเฉินจิ้งเหอกล่าวกับบิดาและญาติผู้น้องในห้องประชุมเล็กอย่างตึงเครียด จิ้งเหอขมวดคิ้วอย่าง
ครุ่นคิดให้ทันสถานการณ์
“อเมริกาคงอยากให้สงครามคราวนี้จบเร็วที่สุดก่อนที่โซเวียตจะเข้ายึดญี่ปุ่นก่อนได้ ตอนนี้ประเทศมหาอำนาจทั้งสองต่างจับ
จ้องที่จะเข้าครอบครองผู้พ่ายแพ้”
“แล้วทำไมไม่เลือกทิ้งระเบิดที่เมืองหลวงอย่างโตเกียวล่ะครับ”
หยางซุนเอ่ยถามอย่างสงสัยจิ้งเหอจึงหันมาทางหลานชายของเขา
“หลานคิดว่าทำไมล่ะ ลองตอบข้อข้องใจให้หยางซุนคลายสงสัยหน่อยสิ”
หย่งหนานนิ่งคิดก่อนจะตอบคำถามตามที่เขาเข้าใจ
“ระเบิดปรมาณูมีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก สามารถทำให้ทั้งเมืองพังลงในพริบตา หากทิ้งระเบิดที่โตเกียวก็จะทำให้ญี่ปุ่น
ขาดศูนย์กลางในการบริหารทันที และกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็คงใช้เวลาอีกนานซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่อเมริกาต้องการ พวกเขาต้องการแค่
ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยเร็วที่สุดก่อนที่โซเวียตจะฉวยโอกาสบุกเข้าญี่ปุ่นครับคุณลุง”
“เข้าใจถูกแล้ว” จิ้งเหอคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม “ทิ้งระเบิดที่โตเกียวแล้วใครจะเป็นผู้มีอำนาจประกาศยอมแพ้เล่า”
“แต่ถึงตอนนี้ญี่ปุ่นก็ยังไม่ยอมแพ้ ช่างดื้อเสียจริง” หยางซุนเบ้ปากหากแต่จิ้งเหอกลับมองอีกอย่าง
“เราควรจะชื่นชมในศักดิ์ศรีของกองทัพญี่ปุ่นที่พวกเขายอมสู้แม้จะรู้ว่าไม่มีทางชนะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกับเราก็ตาม”
บทสนทนาของผู้นำสกุลเฉินถูกขัดจังหวะด้วยสัญญาณเตือน พวกเขาทั้งสามรีบรุดไปยังห้องบัญชาการทันที จิ้งเหอผู้เป็น
ประมุขสูงสุดรับข่าวมาอ่านและเงยหน้าแจ้งกับบุตรชายและหลานชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองถล่มเมืองนะงะซะกิของญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง”
9 สิงหาคม ค.ศ.1945 สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองชื่อว่า “Fat man” ที่เมืองนะงะซะกิ ที่ระดับความสูง 550
เมตรเหนือพื้นดิน ระเบิดปรมาณูลูกที่สองนี้มีขนาดใหญ่กว่าลูกแรกและมีผลทำให้ประชาชนล้มตายทันทีกว่า 75,000 คนและบาดเจ็บ
อีกกว่า 80,000 คนซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา
สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศจีนและประเทศต่างๆในภาคพื้นเอเชียเกิดความโกลาหลทันทีรวมทั้งในประเทศไทยและ
พม่าที่ญี่ปุ่นเข้าไปตั้งฐานทัพ เพราะตอนนี้ฝ่ายอักษะเหลือเพียงญี่ปุ่นที่ยังไม่ยอมแพ้ และในที่สุดเพียงสัปดาห์เดียวหลังจากที่ประเทศ
ญี่ปุ่นถูกทำลายด้วยระเบิดปรมาณูถึงสองลูกสงครามโลกก็สิ้นสุดลง
15 สิงหาคม ค.ศ.1945
รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในสงครามโลกและสงครามมหาเอเชียบูรพาอย่างไม่มีเงื่อนไข
ทหารญี่ปุ่นกลายเป็นอาชญากรสงครามในทันที
มีต่ออีกนิด...