พิมพ์หน้านี้ - <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>>

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Belove ที่ 29-12-2016 21:54:16

หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>>
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 29-12-2016 21:54:16

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ   ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0) 
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0) 
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 
 
 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่ 
 
 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
 หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
 หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
 และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
 ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   
 
 เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ 
 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ 
 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 
 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 
 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 
 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
       7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
       7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
       7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
             - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 
 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 
 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 
 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวปhttp://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 
 11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
 
 บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
 นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 
 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 
 13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 
 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 
 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
 (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
 (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
 - ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
   (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
 - ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
 - ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
 - ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
 - ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail   
 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข  17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
  เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com.......................................                                                             
 วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย 
 
 
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




                                                      :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:


 

คำชี้แจงของผู้แต่ง


1.นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ บุคคลในเรื่องเป็นชื่อที่แต่งขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่มีอยู่จริงนะคะ


2.เนื่องจากความยากในการแต่ง บางบทบางตอนอาจมีการแก้ไขในอนาคตเพื่อให้ดีขึ้นมากที่สุด


3.ไม่ใช่แนวตลาดไม่หวังเรตติ้ง แต่ผู้แต่งตั้งใจค้นคว้าหาข้อมูลก่อนแต่งมาพอสมควร

หากใครอ่านแล้วชอบก็ช่วยแสดงความคิดเห็นและโปรโมทให้บ้างจะเป็นพระคุณอย่างสูง

(ขอกันง่ายๆแบบนี้เลย อิอิ)




                                   ขอเชิญเพลิดเพลินกับนิยายจีนของ Belove ได้แล้วค่ะ

                                        :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:


 สารบัญ


บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3545991#msg3545991)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3551002#msg3551002)
บทที่3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3558443#msg3558443)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3561531#msg3561531)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3564022#msg3564022)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3565714#msg3565714)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3567947#msg3567947)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3569594#msg3569594)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3574957#msg3574957)
บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3580454#msg3580454)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3583942#msg3583942)
บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3587558#msg3587558)
บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3592864#msg3592864)
บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3596435#msg3596435)
บทที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3597396#msg3597396)
บทที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3599204#msg3599204)
บทที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3601518#msg3601518)
บทที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3602221#msg3602221)
บทที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3603530#msg3603530)
บทที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3605212#msg3605212)
บทที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3606337#msg3606337)
บทที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3607160#msg3607160)
บทที่ 23 (บทส่งท้าย) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57120.msg3607191#msg3607191)








                         


                                                               :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:










หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 29-12-2016 22:06:14

                                                             ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                       บทที่ 1
               


           นครช่างไห่(เซี่ยงไฮ้)
           
           กลางปีคริสตศักราช 1937



                    ร่างสูงยืนสงบอยู่เบื้องหน้าภาพวาดดอกเบญจมาศที่ใช้ประดับอยู่บนผนังของบ้านหลังใหญ่ ดวงตาคมพิศไปตามแต่ละ

กลีบอันมีสีเหลืองอร่ามที่จิตรกรบรรจงวาดซ้อนกันเป็นพุ่มดอกอย่างวิจิตรงดงาม ชายหนุ่มรู้ดีว่าดอกเบญจมาศที่มีกลีบดอกสิบหกกลีบ

และมีกลีบซ้อนอีกสิบหกกลีบนั้นเป็นสัญลักษณ์ของสมเด็จพระจักพรรดิแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลมาจนถึงประเทศจีน

ของเขามาตั้งแต่ก่อนจักรพรรดิองค์สุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช

               แม้ว่าเฉินหย่งหนานจะมีอายุเพียงยี่สิบสองปีและเพิ่งสำเร็จการศึกษามาจากโรงเรียนนายร้อยของญี่ปุ่นกลับมาเป็นทหารภาย

ใต้สังกัดของเฉินจิ้นเหอผู้เป็นลุงของเขา  แต่วัยหนุ่มของหย่งหนานกลับมิได้มีไว้เพื่อเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมาเข้าดงฝิ่นอย่างเช่นชายวัย

เดียวกัน  หย่งหนานรู้ดีว่าชีวิตของเขามีไว้เพื่อต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ของประเทศอย่างที่ลุงของเขาทำมาตลอดชีวิตและเป็นแบบอย่าง

ให้หย่งหนานมีอุดมการณ์แข็งกล้าไม่ต่างจากเฉินจิ้นเหอผู้นำของพรรคชาตินิยมและเป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานี้

              สถานการณ์ไม่เคยปลอดภัย จิ้นเหอสอนหย่งหนานเช่นนั้น ทหารที่ดีต้องระแวดระวังทุกขณะเช่นเสือที่เยื้องย่างอยู่กลางป่า

แม้ว่าลมจะหยุดพัดใบไม้ไม่ไหวติงแต่สายตาของเสือย่อมสอดส่ายและมองกว้างให้ทั่วป่า ยามภยันตรายจู่โจมเบื้องหน้าสัญชาตญาณ

ของเสือจะรวดเร็วและรับมือได้โดยไม่หวาดหวั่น


               “ชาติพยัคฆ์ย่อมไม่เกรงกลัวและไม่อ่อนข้อต่อสิ่งใด แม้ว่าสิ่งนั้นมันจะปลิดลมหายใจของมัน พยัคฆ์ย่อมไม่ยอมแพ้มันจะ

กระโจนเข้าใส่และต่อสู้จนลมหายใจสุดท้ายของมัน”


                คำสอนนั้นย้ำเตือนอยู่เสมอ และส่งผลให้หย่งหนานกลายเป็นชายหนุ่มที่มีบุคลิกสุขุมเยือกเย็น ดวงตาคมกริบยามมองใครผู้

นั้นมักจะลนลานด้วยความกริ่งเกรงอยู่เสมอ ร่างกายของเขาผ่านการฝึกกรำเพื่อเป็นทหารมาตั้งแต่จำความได้จึงสูงใหญ่ไหล่กว้างและ

ผึ่งผายสง่างามเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด หากกล่าวถึงหน้าตานั้นเล่าเขาก็เป็นที่กล่าวขวัญเพราะใบหน้าคมเข้มด้วยเครื่องหน้าลงตัว

ตาคมดุประกายกล้าแกร่งภายใต้คิ้วเข้มดกดำรับกับจมูกโด่งเป็นสันคมปลายงุ้มเล็กน้อยอย่างคนมีวาสนารวมถึงปากหยักที่

แทบไม่เคยเปิดปากหากไม่จำเป็น

                  ละสายตาจากดอกเบญจมาศดอกใหญ่หย่งหนานจึงได้กวาดสายตาไปโดยรอบห้องรับแขกอันโอ่อ่าหรูหรา เขาถอนหายใจ

เมื่อรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำ ในขณะที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอยู่กันอย่างลำบากอัตคัดในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ชาว

ต่างชาติที่รุกรานจนยึดผืนแผ่นดินในส่วนของแมนจูเรียไปได้นั้นกลับมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายในเมืองท่าช่างไห่ ของประดับตกแต่ง

ภายในก็ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุโบราณล้ำค่าของแผ่นดินจีนทั้งสิ้น สำนึกความรักชาติของหย่งหนานก่อเกิดขึ้นมาจนแน่นอก

               เสียงฝีเท้าดังแว่วปลุกหย่งหนานจากภวังค์ เขาหันกลับไปทางต้นเสียงและเหยียดกายงามสง่าก่อนจะค้อมศีรษะคำนับให้กับ

เจ้าของสถานที่ผู้ก้าวเข้ามา บุรุษวัยห้าสิบเศษในชุดทหารของจักรวรรดิญี่ปุ่นเต็มยศยิ้มทักทายพลางหัวเราะร่าเมื่อก้าวเข้ามาตบบ่าของ

หย่งหนานอย่างชอบใจ


               “ดูสิ ดู ไม่พบกันเสียหลายปี พ่อหลานชายโตจนกลายเป็นนายทหารใหญ่โตเสียแล้ว”


                “กระผมยังเป็นเด็กอยู่เสมอขอรับท่านนายพล”


                น้ำเสียงของหย่งหนานนอบน้อมอยู่เสมอกับผู้สูงวัยกว่า บุคคลเบื้องหน้านอกจากจะเป็นนายพลเอกแห่งกองทัพญี่ปุ่นแล้วยัง

เป็นราชนิกุลของสมเด็จพระจักรพรรดิ์อีกด้วย เขาคือนายพลเอกเจ้าชายคิริซาวะ ยาคุริ จอมทัพแห่งจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นที่ควบคุมบัญชาการ

อยู่ในผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของประเทศจีนแห่งนี้


                “เป็นเด็กที่อนาคตไกลนักร้อยตรีเฉิน”


                 คิริซาวะมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชมแม้จะอยู่กันคนละฝั่ง หลานชายของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐจีนที่เคย

เห็นวิ่งตามผู้เป็นลุงอยู่ไม่นาน บัดนี้เติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มและกลายเป็นร้อยตรีของกองทัพจีนที่น่าเกรงขาม คิริซาวะยังนึกเสียดาย หากเขา

มีลูกสาวหรือหลานสาวเขายังนึกจะมอบให้เพื่อผูกสัมพันธไมตรีกับเฉินหย่งหนานผู้นี้เสียเป็นแน่


               “ในที่สุดก็กลับมาช่วยเหลือลุงของเธอและสู้กับฉันสินะ”


                 มุมปากของหย่งหนานกดยิ้มแทนคำยอมรับ เฉินจิ้งเหอและคิริซาวะนั้นต่างก็เป็นผู้นำที่อยู่ตรงกันข้าม หากแต่ทั้งคู่ก็ยัง

ชื่นชมในฝีมือของอีกฝ่าย เฉินจิ้งเหอในวัยหนุ่มเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยญี่ปุ่นเป็นรุ่นพี่ของคิริซาวะไม่กี่ปี และต้องมาขับเคี่ยวในการ

ต่อสู้ที่เข้าใกล้คำว่าสงครามเต็มที ฝ่ายหนึ่งเพื่อปกป้องบ้านเมืองและอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อขยายอำนาจของบ้านเมือง


                “มาถึงช่างไห่ในวันนี้ ต้องการมาบอกกล่าวสิ่งใดกระนั้นหรือ”


                นัยน์ตาของหย่งหนานกร้าวขึ้นมาแวบหนึ่งเมื่อคิดถึงจุดประสงค์ที่เขาจำเป็นต้องมาที่ช่างไห่ในวันนี้


                 “คุณลุงให้กระผมมาเรียนกับท่านนายพลถึงการรุกล้ำที่มากเกินไปขอรับ”


                 น้ำเสียงของหย่งหนานเข้มและหนักตามเนื้อหาที่เขานำมาสื่อสารกับผู้นำของฝ่ายตรงข้าม


                  “แค่แมนจูเรียที่จักรวรรดิ์ญี่ปุ่นชิงไปก็เหมือนจะมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว และตอนนี้การที่กองทัพของญี่ปุ่นหวังที่จะ

ครอบครองทางเมืองท่าอย่างช่างไห่อันเป็นจุดศูนย์กลางของการค้านั้น คุณลุงเกรงว่าจะเป็นการกระทำที่มากเกินไป และกองทัพทหาร

ของจีนไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้”


                    รอยยิ้มของคิริซาวะพลันเลือนหายแม้ว่าแววตาจะยังชื่นชมหย่งหนานไม่เสื่อมคลาย คำพูดของบุรุษคราวลูกช่างเข้มแข็ง

แต่ก็ดูไม่โอหัง มันพอดีอยู่ในเนื้อความที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมา


                  “กลับไปบอกลุงของเธอเถิดร้อยตรีเฉิน สำหรับความเกรียงไกรเพื่อสมเด็จพระจักรพรรดิ์ของเรานั้นแค่แมนจูกัวคงไม่เพียง

พอ กองทัพของญี่ปุ่นจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทั้งโลกได้รู้จักพระราชอำนาจของพระองค์”

                  (ญี่ปุ่นยึดครองแมนจูเรียและเปลี่ยนชื่อเป็นแมนจูกัว//ผู้แต่ง)


                  “แม้ว่าการกระทำนั้นจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์กระนั้นหรือขอรับ”


                  “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดบริสุทธิ์หรอกร้อยตรีเฉิน”


                  คิริซาวะกล่าวอย่างเยือกเย็นแต่แฝงไว้ด้วยความดุดัน


                  “ใครเข้มแข็งก็อยู่รอดและได้เป็นผู้นำ ส่วนใครอ่อนแอก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้นเอง”


                    หย่งหนานลอบผ่อนลมหายใจอย่างหนักอึ้ง ดวงตาคมฉายแววผิดหวังก่อนจะกลับมารักษาท่าทีเช่นเดิม


                    “ถ้าเช่นนั้นกระผมคงต้องขอลา น่าเสียดายที่กระผมไม่สามารถหยุดยั้งความรุนแรงไว้ได้”


                   หย่งหนานค้อมศีรษะคำนับบุรุษสูงวัยอีกครั้ง เขาหันหลังกลับและเตรียมก้าวออกไปจากที่แห่งนี้


                   “ร้อยตรีเฉิน” คิริซาวะรั้งเขาไว้


               “ฝากไปบอกลุงของเธอ แม้ว่าเราจะเป็นศัตรูกันในสนามรบ แต่ฉันก็ยังเคารพเขาในฐานะรุ่นพี่อยู่เสมอ”


               หย่งหนานก้มหน้ารับคำเป็นครั้งสุดท้ายจึงก้าวกลับออกมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง







                  หย่งหนานก้าวเท้าขึ้นตอนหน้าของรถทหารที่มีลูกน้องคนสนิทรออยู่แล้ว ทันทีที่เจ้านายขึ้นมานั่งและปิดประตูรถเรียบร้อย

ผู้หมู่ไห่ก็เหยียบคันเร่งออกไปโดยเร็ว เขาไม่ชอบบรรยากาศหน้าบ้านผู้นำของญี่ปุ่นเท่าใดนัก หน่วยองครักษ์เดินกันให้ขวักไขว่จนเขา

นึกหวาดเมื่อเห็นเจ้านายกล้าบุกเดี่ยวเข้าไปภายใน


                “เป็นยังไงบ้างครับนาย ทำหน้าอย่างนี้คงไม่สำเร็จใช่ไหม”


                เมื่อได้เป็นตัวเองแล้วหย่งหนานก็ถอนหายใจยาวโดยไม่ต้องซ่อนความหนักใจเอาไว้ สีหน้าของเขาทั้งเครียดทั้งขรึมเมื่อ

คิดถึงสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้


                 “ไม่สำเร็จ เราคงต้องเตรียมตัวสำหรับสงครามที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้แหละอาไห่”


                “เกลียดมันนัก” อาไห่ทุบมือกับพวงมาลัย “ไอ้พวกนี้มันบ้าสงคราม กระหายเลือด พวกเราชาวจีนต้องสู้กับมันให้ได้”


                 หย่งหนานไม่ได้กล่าวอะไรต่อทั้งที่ในใจเขาเห็นด้วยกับลูกน้อง ความหนักใจมีมากนักเพราะรู้ดีว่าแม้ชาวจีนจะมีพลเมือง

มากกว่าแต่เพราะแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า รวมทั้งมีอีกฟากฝั่งที่คิดจะเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบสังคมนิยมก็เป็นเสี้ยนหนามให้ไม่สามารถ

รวมตัวกันต่อกรกับศัตรูได้ ปัญหาเหล่านี้หย่งหนานเรียนรู้จากจิ้งเหอมาตั้งแต่เด็ก

                 หย่งหนานเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆในสังคมอันใหญ่โตเท่านั้น แม้จะมีความรักชาติเพียงใดก็ตาม เขาเอนกายพิงศีรษะไปกับ

เบาะรถอย่างเหนื่อยอ่อน


                    “ขอหลับสักงีบก็แล้วกัน ขับรถไปถึงนานกิงเมื่อไหร่ก็ปลุกด้วยนะอาไห่”


                   หย่งหนานโยนเรื่องราวทั้งหมดออกจากหัว เขาปล่อยให้อาไห่ขับรถทหารกลับนานกิงเมืองหลวงที่ตั้งของรัฐบาลพรรค

ชาตินิยม สายลมที่พัดผ่านมาทางหน้าต่างรถทำให้หย่งหนานเคลิ้มหลับไป เขาไม่รู้สึกตัวอีกจนกระทั่งสะดุ้งตื่นเมื่ออาไห่เบรกรถจน

สะเทือนไปทั้งคัน



มีต่ออีกนิด...

หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 29-12-2016 22:21:36


ต่อกันตรงนี้..



นครนานกิง (หนานจิง) เมืองหลวง

                “ไอ้เด็กบ้า วิ่งทะเล่อทะล่ามาได้ยังไง นี่มันกลางถนนนะโว้ย”


               “เกิดอะไรขึ้น”


                หย่งหนานตื่นตัวอย่างรวดเร็วตามประสาของทหารที่ถูกฝึกมาจนเคยชิน ด้านนอกของตัวรถคือความจอแจของผู้คนที่เดินกัน

ขวักไขว่และรถสามล้อลากอยู่บนถนน หย่งหนานมองเห็นเด็กชายผอมกะหร่องคนหนึ่งยืนตัวสั่นอยู่หน้ารถทหาร


              “เด็กวิ่งตัดหน้ารถน่ะครับนาย หวุดหวิดไปนิดเดียว”


                หย่งหนานเปิดประตูรถและก้าวลงไป เข้าหยุดยืนอยู่ต่อหน้าเด็กชายที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโกโรโกโส ใบหน้ามอมแมมไปด้วย

คราบน้ำตาและละอองฝุ่น เด็กชายคนนั้นยิ่งสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นเขาที่อยู่ในชุดทหารเต็มยศจนกระทั่งร้องไห้ออกมา


             “หยุดร้องก่อนเถอะ”


               ความยากลำบากของหย่งหนานคือการปลอบโยนเด็ก เขาย่อตัวลงไปจนใบหน้าเสมอระดับเดียวกับเด็กชายตัวน้อย


               “พ่อแม่ของเธอไปไหนเสียแล้วล่ะถึงได้ปล่อยให้ลูกชายมาวิ่งเล่นจนเกือบโดนรถชน”


                “ไอ้ตัวดีมานี่นะ”


               เสียงโวยวายแสบแก้วหูดังมาจากริมถนนจนผู้คนหันมามองอย่างสอดรู้ สตรีแต่งกายอวดเนื้อตัวกลุ่มหนึ่งพากันตรงเข้ามาหา

และมองเด็กชายคนนั้นตาเขียว หนึ่งในกลุ่มสตรีที่ดูท่าจะมีอายุมากที่สุดรีบแย้มยิ้มอย่างมีจริตใส่หย่งหนานทันที


              “นายท่าน ส่งไอ้เด็กนิสัยไม่ดีมาให้ข้าได้ลงโทษมันเถอะค่ะ”


              “ไม่ ฮือ นายท่านช่วยหนูด้วย หนูไม่อยากถูกตีอีกแล้ว”


                 เด็กน้อยร้องไห้จ้าก่อนจะรีบหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังของหย่งหนานที่ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับสตรีที่เขาดูออกว่าเป็นหญิงงาม

เมือง


              “เดี๋ยวก่อน เด็กคนนี้ทำความผิดใดถึงต้องลงโทษจนเจ็บตัวขนาดนี้”


               หย่งหนานมองเห็นร่องรอยบนร่างกายของเด็กคนนี้ทั้งรอยเก่าและรอยใหม่และรู้ทันทีว่าเด็กชายถูกรังแกมามากขนาดไหน

เขานึกสงสารจนจำเป็นต้องสอดมือเข้าช่วยเหลือ


               “มันเป็นเด็กดื้อชื่ออากุย(ลูกเต่า) แม่มันเป็นคณิกาอยู่ในซ่องที่ข้าดูแลอยู่นี่แหละค่ะ แม่ของมันไปขายตัวให้พวกญี่ปุ่นจนมีลูก

ติดท้องหาพ่อไม่ได้จนต้องมาคลอดอยู่ในซ่อง ฉันน่ะไม่อยากเลี้ยงมันไว้หรอกเด็กผู้ชายทำอะไรไม่ได้ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็ว่าไปอย่างเผื่อจะเลี้ยงตัวจนโตและออกขายได้”


               คำพูดคำจาของแม่เล้าทำให้หย่งหนานยิ่งสงสาร เด็กชายนั้นเกาะขาของเขาไม่ยอมปล่อยราวกับจะยึดไว้เป็นเกราะคุ้มกันภัย

เขานึกสะท้อนใจที่อากุยถูกรังเกียจเพราะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ขนาดชื่อก็ยังใช้ชื่อว่าอากุยที่เป็นคำด่าทอชั้นต่ำ


               “คนไหนเป็นแม่ของอากุยล่ะ”


               “แม่ของมันรับงานหนักจนไม่สบายนอนอยู่ในซ่องเจ้าค่ะนายท่าน”


                หนึ่งในสาวคณิกาที่พยายามเล่นหูเล่นตาตอบกลับ หย่งหนานตัดสินใจทันที


                “พาฉันไปหาแม่ของอากุย”


                 คำสั่งของนายทหารทำให้แม่เล้าลนลานเดินนำไปยังสำนักคณิกาที่อยู่ไม่ไกลนัก หย่งหนานเดินตามเข้าไปในซ่องทรุด

โทรมตามสภาพของเศรษฐกิจที่ซบเซาจนถึงห้องเล็กเท่ารูหนูที่มีสตรีนางหนึ่งนอนหมดแรงอยู่


               “อากุย”


                น้ำเสียงแหบแห้งปนกับเสียงไอดังขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายมาพร้อมกับนายทหาร หล่อนรีบลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก เด็กชาย

ยืนตัวแข็งทื่อมองมารดาและหย่งหนานสลับกัน


                “นี่ไปทำอะไรไม่ดีหาเรื่องเดือดร้อนมาให้แม่อีกล่ะ”


               “หยุดก่อน อย่าเพิ่งไปดุอากุยเลย เธอชื่ออะไร”


                 “ฉันชื่อหลินเพ่ยหลิงค่ะนายท่าน”


                 หย่งหนานมองอย่างเวทนา เขาเดาว่าแม่ของอากุยคงเป็นวัณโรคจนผอมแห้งขนาดนี้


                “ฉันเห็นอากุยที่อยู่ในสภาพไม่เป็นที่ต้องการแล้วอยากจะช่วยเหลืออากุย ถ้าเขาไม่เป็นที่ต้องการของที่นี่”


                เพ่ยหลิงเบิกตากว้างพลันครุ่นคิด หล่อนมองหย่งหนานอย่างตัดสินใจเด็ดขาด


                “จะเอามันไปไหนก็เอาไป”


                  “แม่ หนูไม่อยากไป”


                 อากุยร้องไห้โฮโผเข้ากอดมารดา เพ่ยหลิงน้ำตาเอ่อขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะผลักอากุยออกจากอก


                 “อย่าโง่ไปหน่อยเลยอากุย แกอยู่กับแม่ก็จะเป็นภาระเสียเปล่าๆ ในเมื่อนายท่านหวังดีจะพาแกออกจากซ่องเลวๆอย่างนี้ก็

อย่ารีรอ”


                เพ่ยหลิงเอ่ยอย่างตัดใจ หล่อนล้วงเข้าไปในปลอกหมอนเก่าคร่ำคร่าและหยิบเชือกหนังที่มีจี้เป็นโลหะเก่าจนแทบดูไม่ออก

ขึ้นมาคล้องคอให้อากุยและดึงอากุยเข้ามากอด


                “ไปเสีย ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลืมแม่ที่เป็นหญิงคณิกา ลืมว่าแกเป็นลูกคนญี่ปุ่น อย่าได้บอกใครเป็นอันขาด เข้าใจไหมอากุย”


               เพ่ยหลิงผลักอากุยที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นออกห่าง หย่งหนานควักธนบัตรจากกระเป๋าปึกหนึ่งส่งให้เพ่ยหลิง


               “เก็บไว้รักษาตัวเถิด”


                 หย่งหนานดึงแขนของอากุยออกมาจากห้องเล็กท่ามกลางสายตาสอดรู้ของเหล่าคณิกา หย่งหนานส่ายหน้าพลางควักเงิน

ออกมาอีกปึกหนึ่งส่งให้แม่เล้า


                “ฉันขออากุยออกไปจากซ่องนี้”


                 แม่เล้าทำตาโตและรีบรับเงินไปพร้อมกับส่งเสียงขอบคุณเป็นการใหญ่ หย่งหนานจูงมืออากุยที่ยังไม่คลายเศร้าออกมา

ภายนอก เขาจูงมืออากุยมายังรถทหารของเขา


                 “อายุเท่าไหร่”


                “แปดขวบขอรับนายท่าน”


                 “ทำไมตัวเล็กเช่นนี้”


                  หย่งหนานมองสภาพของอากุยที่ผอมแห้งราวกับขาดสารอาหาร อากุยที่เพิ่งจะหยุดร้องไห้ได้เงยหน้ามองหย่งหนานแล้ว

ถามเสียงขลาด


                 “หนูจะต้องไปอยู่กับนายท่านเหรอครับ”


                  ชายหนุ่มครุ่นคิด ด้วยภาระหน้านี้ล้นมือทำให้เขาไม่พร้อมที่จะดูและเด็กชายในเวลานี้


                  “ไม่ได้หรอกอากุย ฉันคงต้องฝากเจ้าไว้กับคนที่ดูแลเธอได้”


                   เขาอุ้มอากุยขึ้นรถและออกคำสั่งกับอาไห่


                    “ขับรถไปที่โรงงิ้วของอาจารย์หยาง”


                       ไม่ต้องรอให้สั่งซ้ำ อาไห่รีบขับรถไปยังจุดหมายทันที เมื่อถึงโรงงิ้วของหยางซื่ออันเป็นคณะงิ้วปักกิ่งที่โด่งดังที่สุดใน

นานกิงหย่งหนานก็อุ้มอากุยลงมา เขาตอบรับคำทักทายจากหยางซื่อที่มาต้อนรับ


                   “ครูหยาง ฉันจะขอฝากให้ท่านเลี้ยงดูเด็กชายคนนี้ ขอให้ท่านดูแลเป็นอย่างดี”


                   หยางซื่อในวัยสี่สิบปี่เจ้าของคณะงิ้วอันโด่งดังมองเด็กชายตั้งแต่หัวจรดเท้า


                    “อั้ยยะ ทำไมมอมแมมเช่นนี้ แต่ถ้าคุณชายเฉินฝากไว้ข้าก็ไม่ขัดข้อง ว่าแต่เด็กคนนี้ชื่ออะไร”


                    หย่งหนานเกือบจะตอบว่าอากุย แต่เขาก็ชะงักเสียก่อน เขาหันไปมองเด็กชายที่ไม่ยอมปล่อยมือจากมือใหญ่ของเขา


                    “เด็กคนนี้แซ่หลิน มีชื่อว่าเหวินเป่า ที่แปลว่าความดีงามและสูงส่ง ฉันขอฝากเหวินเป่าไว้กับท่านครู”


                     หย่งหนานย่อตัวลงไปหาเด็กชาย เขาเช็ดคราบน้ำตาจากใบหน้านั้นจนหมด


                     “ต่อจากนี้เธอคือหลินเหวินเป่า จงเป็นเด็กชายที่เข้มแข็งอย่าได้อ่อนแอให้ใครเห็นเป็นอันขาด ตอนนี้ฉันไม่พร้อมจะดูแล

เธอ วันใดที่ฉันพร้อมเธอจะได้ไปอยู่กับฉันนะเหวินเป่า”


                     เด็กชายเหวินเป่าสบตากับดวงตาคมคู่นั้น บางอย่างบอกว่าเขาจะวางใจได้กับคำสัญญา เหวินเป่าเผยรอยยิ้มแรกออกมา

เมื่อเขาเอ่ยอำลาหย่งหนาน


                          “ครับ หนูจะรอวันนั้น รอวันที่นายท่านกลับมารับ”



                        TBC
           

                             เปิดตัวนิยายใหม่ ชอบหรือไม่ชอบก็เม้นท์บอกกันบ้างเด้อ


                                        :man1: :man1: :man1: :man1:
                 
                                   
                                       Edit แก้ไขสรรพนามตามที่มีผู้แนะนำค่ะ

หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-12-2016 22:46:53
ทหารหนุ่มหล่อ
หนุ่มน้อยนักแสดงงิ้ว
ท่ามกลางการเมืองร้อนแรง

รอตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-12-2016 22:58:53
ดราม่าไหมหนอ
ดูเหมือนอายุจะห่างกันเยอะอยู่นะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 29-12-2016 23:03:01
พระเอกเราขรึมสุดกู่ไม่อยากให้ดราม่าเล้ย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 30-12-2016 00:27:58
 :L2:  เข้ามาเจิมนิยายใหม่จร้าาา

ไม่คิดว่าพ่อพระเอกเราจะเลี้ยงต้อยไว้ใช้สอยตอนโตแบบนี้   หรือพ่อพระเอกของเราจะไม่ใช่ หย่งหนาน 

ปล.  เห็นช่วงทามไลน์ในเรื่องแล้วกลัวดราม่าจริง  ยิ่งมาเจอนานกิง  เป็นแบล็คดร็อปด้วยยิ่งกลัว   :z3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 30-12-2016 06:49:26
แจ่มมม เรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 30-12-2016 12:33:56
ยังไงก็ดราม่าแน่นอน

หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: GukakST ที่ 02-01-2017 20:39:29
 :L2: :L2: :L2:

รอตอนต่อไปจ้า อยสกเห็นสเน่หฺนายงิ้วแล้ว  :z2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-01-2017 12:36:46
มีแววกินเด็ก อิอิ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 03-01-2017 12:40:34
ชอบมาก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 03-01-2017 15:36:55
สนุกค่ะ น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 1 [29/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 04-01-2017 08:54:29
รอลุ้นต่อไป  :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 05-01-2017 22:15:08


                                                                  ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                           บทที่ 2



               เฉินหย่งหนานกลับมาถึงบ้านสกุลเฉินเมื่อตะวันตกดินล่วงไปแล้ว บ้านตระกูลเฉินที่บิดาของเขาซึ่งเป็นน้องชายของเฉินจิ้ง

เหอได้ส่งให้บุตรชายมาอยู่ในการเลี้ยงดูของผู้เป็นลุงแต่วัยเยาว์เพราะมองเห็นถึงความฉลาดหลักแหลมเกินกว่าผู้เป็นบิดาจะสั่งสอนให้

เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา

               เขาเดินทอดน่องไปตามทางเดินจากประตูรั้วสูงใหญ่มีทหารยามยืนเฝ้าภายนอก ผ่านสวนร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์

บ้านหลังใหญ่สร้างอยู่ลึกจนถึงใจกลางที่ดินกว้างขวาง และมีบ้านหลังเล็กที่ปลูกสร้างขึ้นมาใหม่สำหรับเฉินหยางซุนบุตรชายของเฉินจิ้ง

เหอที่แต่งงานรับสะใภ้เข้าบ้านเยื้องอยู่ทางด้านหลัง หย่งหนานก้าวเข้าไปในตัวบ้านที่มีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายช่างแตกต่างจากความ

โอ่อ่าของผู้นำจักรวรรดิญี่ปุ่นลิบลับ


               “เกิดจากดิน ใยต้องเติบโตให้ต่างจากดิน สุดท้ายปลายทางเช่นไรก็ต้องตายไปกับดิน”


               เฉินจิ้งเหอผู้เป็นลุงเคยกล่าวเช่นนั้น แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำสูงสุดของแผ่นดินจีนในขณะนี้แต่จิ้งเหอก็ยังรำลึกเสมอว่า

บรรพบุรุษของเขาเป็นใคร

             หย่งหนานเดินตามเสียงพูดคุยจนไปถึงห้องรับรองแขก ที่บัดนี้มีเพียงเฉินจิ้งเหอและเฉินหยางซุนบุรุษสองวัยกำลังนั่งพูดคุย

กันอย่างเคร่งเครียด หนึ่งเป็นบุรุษวัยชราอายุห้าสิบปลายแต่ยังดูแข็งแรงและน่าเกรงขามอีกหนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าละม้าย

คล้ายคลึงประมุขของบ้านในวัยใกล้เบญจเพศมากกว่าหย่งหนานไปสองปี หย่งหนานทอดสายตามองผู้นำของประเทศปัจจุบันและ

อนาคตหากหยางซุนคิดจะสืบทอดอำนาจทางการเมืองจากบิดา


              “อ้าวหย่งหนานกลับมาจากช่างไห่แล้วรึ”


                ผู้เป็นลุงหันมาทักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหย่งหนานจึงเดินตรงเข้าไปคำนับผู้เป็นลุงและญาติผู้พี่ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้

ตัวหนึ่งเพื่อร่วมวงสนทนา


               “เป็นเช่นไร ไอ้คิริซาวะมันว่ากระไรบ้าง”


              หยางซุนรีบเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ อุปนิสัยของเขาเป็นคนใจร้อนและออกจะโผงผางบุ่มบ่ามผิดจากบิดาไปบ้าง หยางซุน

เองก็เป็นทหารเช่นกัน เขาถูกส่งไปฝึกวิชาทหารจากประเทศเยอรมันเมื่อเรียนจบกลับมาไม่นานก็ได้แต่งงานกับบุตรีของผู้นำคนหนึ่งจาก

พรรคชาตินิยมที่บิดาเป็นหัวหน้าพรรคตามความเหมาะสมที่บิดาและมารดาจัดหาให้ หากแต่ในความเป็นจริงก็เพื่อเสริมอำนาจในพรรค

ให้เฉินจิ้งเหอได้แข็งแกร่งมากขึ้น


                “ไม่ได้ผลครับ” หย่งหนานถอนหายใจ “เขากล่าวว่าจะทำทุกอย่างเพื่อความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ”


                หย่งหนานถ่ายทอดคำกล่าวของพลเอกเจ้าชายคิริซาวะให้จิ้งเหอและหยางซุนฟังตั้งแต่ต้นจนจบที่เขาไปเจรจา ทั้งพ่อและ

ลูกต่างก็มีปฏิกิริยาไปคนละแบบ จิ้งเหอกระทำเพียงย่นคิ้วสีดอกเลาเข้าหากันแต่หยางซุนกลับทุบโต๊ะดังปัง


                “เลวมาก มันเห็นพวกเราเป็นเพียงหนทางแผ่ขยายอิทธิพลของมัน คุณพ่ออย่างไปยอมมันนะครับ เราต้องจัดการพวกญี่ปุ่น

ให้พ้นไปจากแผ่นดินจีน”


             “คิดเหรอว่าพ่อไม่อยากทำ”


              จิ้งเหอกล่าวอย่างสุขุม เพราะภาระอันหนักอึ้งที่อยู่บนบ่าทำให้เขาต้องไตร่ตรองทุกการกระทำเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด

หรือหากจะเกิดมันต้องสูญเสียน้อยที่สุด


              “ตอนนี้คิริซาวะกำลังฮึกเหิมอย่างหนัก การที่พวกเขาได้ครอบครองแมนจูเรียทำให้กันชนทางฝั่งเหนือของเราอ่อนแอ หากเรา

จะสู้กับญี่ปุ่นในตอนนี้เราจำเป็นต้องหาตัวช่วย อย่างเช่นอังกฤษหรืออเมริกาที่พวกนั้นก็กำลังหาทางยับยั้งไม่ให้กองทัพญี่ปุ่นขยายกำลัง

ไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”


                “คุณพ่อจะกลัวอะไรครับ” หยางซุนมองบิดาอย่างขุ่นข้องใจ


                “กองทัพทหารของเราแข็งแกร่งขนาดไหน ทำไมคุณพ่อไม่มั่นใจในฝีมือการรบของพวกเรา และประชาชนชาวจีนที่พร้อมจะ

ลุกขึ้นมาเพื่อขับไล่พวกมันอีกเล่า ไม่มีใครยอมให้ประเทศตกเป็นเมืองขึ้นของใครหรอก”


                 “หากชีวิตของพ่อเพียงคนเดียวสามารถแลกได้กับการขับไล่ญี่ปุนพ่อก็จะทำ แต่ถ้าหากมันต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของ

ประชาชนในฐานะนายกรัฐมนตรีคิดว่าพ่อจะมองหน้าคนที่ยังเหลืออยู่ได้หรือไม่หยางซุน”

           
                  คำกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวดทำให้หยางซุนต้องระงับอารมณ์วู่วามลง ใบหน้าของเขาบึ้งตึงยามมองกลับบิดา


                  “เอาเถอะครับ คุณพ่อเป็นผู้นำจะคิดอ่านอย่างไรก็จงบัญชา แต่อย่าลืมว่าตอนนี้พวกญี่ปุ่นมันใกล้จะทำลายพวกเราได้ทั้ง

ประเทศแล้ว พวกมันมีพื้นที่แค่เกาะเล็กๆในขณะที่แผ่นดินของเรากว้างใหญ่ไพศาล หากมันชนะเราผมเองก็ไม่มีหน้าไปมองชาวจีนที่ยัง

หลงเหลืออยู่หรอกครับ”


                   หยางซุนลุกขึ้นยืนและก้มคำนับให้บิดาก่อนจะก้าวเท้าออกไป จิ้งเหอมองตามหลังบุตรชายพร้อมกับถอนหายใจออกมา

อย่างกลัดกลุ้ม


                   “หยางซุนเป็นทหารที่ดี เขายอมตายเพื่อรักษาประเทศไว้ แต่เขาไม่ได้มองอย่างนักปกครองว่าหลังจากเสร็จสิ้นสงคราม

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง”


                 หย่งหนานที่นั่งเงียบอยู่นานเพื่อฟังบทสนทนาของลุงและญาติผู้พี่ค้อมศีรษะรับฟังคำพูดของจิ้งเหอ


                “ตอนนี้เรามีศึกรอบด้าน ทั้งศึกนอกคือญี่ปุ่นและศึกในคือพรรคสังคมนิยมที่กำลังเดินหน้าล้างสมองประชาชนด้วยอุดมการณ์

ที่พวกเขาคิดว่ามันดีอีกด้วย หลานรู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเขาทำอะไรไปถึงไหนแล้ว”


                  จิ้งเหอเอ่ยถามหลานชายที่เลี้ยงมาประหนึ่งบุตรของตนเอง หย่งหนานพยักหน้ารับ


                 “พอจะทราบมาบ้างครับคุณลุง ตอนนี้อู๋จินไห่ผู้นำพรรคสังคมนิยมกำลังจัดตั้งมวลชนจากพวกชาวนาที่ต้องการความเสมอ

ภาคอย่างที่เขาหาเสียงทางลับ”


                ใบหน้าของจิ้งเหอเพิ่งจะปรากฏรอยยิ้ม เขามองหลานชายอย่างพึงพอใจ


              “นั่นเป็นหอกข้างแคร่ชิ้นสำคัญ เขาฉวยโอกาสใช้ช่วงที่เรากำลังมุ่งความสนใจไปที่การเกิดสงครามกับญี่ปุ่นค่อยๆดึงคนให้ไป

เข้ากับพวกสังคมนิยม กว่าสงครามจะจบลงพวกชาวไร่ชาวนาก็คงเข้าร่วมกับพวกเขาจนหมดและเหลือให้พวกเราเพียงแค่กองทัพที่

บอบช้ำจากสงคราม”


                หย่งหนานได้รับมุมมองใหม่ตามที่จิ้งเหอจงใจสั่งสอน จิ้งเหอมองเห็นอะไรบางอย่างจากชายหนุ่มที่คล้ายคลึงกับเขา

มากกว่าบุตรชายเสียอีก


               “ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือต้องยันญี่ปุ่นไว้ให้ได้และขณะเดียวกันก็ต้องไม่ให้พรรคสังคมนิยมกวาดผู้คนไปได้มากกว่านี้ ดังนั้น

เราจำเป็นต้องหาแนวร่วมจากขุนศึกของมนฑลต่างให้มาร่วมมือกับเรา”


               “แนวร่วมจากขุนศึก คุณลุงก็มีจำนวนมากแล้วนี่ครับ”


               หย่งหนานมองลุงของเขาด้วยความสงสัย สีหน้าของจิ้งเหอยังครุ่นคิดไม่หยุดหย่อน


                “ไม่พอ ลุงต้องการกำลังที่มากกว่านี้”


                 “ใครที่คุณลุงมองไว้เป็นพิเศษครับ”


                “หลี่จินซาน”


                  หย่งหนานย่นหัวคิ้วครุ่นคิด เขาเคยได้ยินชื่อหลี่จินซานขุนศึกจากมณฑลชานซีที่มีกองกำลังในมือจำนวนมาก หากจิ้งเหอ

ได้หลี่จินซานเข้ามาเสริม กองทัพก็จะมีปริมาณทหารมากขึ้น


                  “หลี่จินซานมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งชื่อหลี่ฟางซิน อายุเข้ายี่สิบปีเรียนจบจากวิทยาลัยการช่างสตรี หากเราดองเป็นเครือญาติ

กับสกุลหลี่ หลี่จินซานก็คงไม่ขัดข้องที่จะช่วยเหลือเรา”


               “คุณลุงหมายความว่า?”


                 ชายหนุ่มมองสบตากับผู้เป็นลุงอย่างพอจะเดาจุดประสงค์ของจิ้งเหอออก จิ้งเหอสบตากลับด้วยแววตาเชิงขอร้อง


                 “หลานเองก็ยังไม่มีคนรักมิใช่หรือ และเพราะตรากตรำทำงานช่วยเหลือลุงก็สมควรจะมีฮูหยินมาปรนนิบัติให้สุขสบายได้

แล้ว ลุงคิดว่าคุณสมบัติของหลี่ฟางซินก็เหมาะสมกับหลานทุกประการ หลานจะขัดข้องหรือไม่”


                 หย่งหนานอยากจะถอนหายใจแต่เขาก็ต้องรักษากิริยาต่อหน้าจิ้งเหอ เขารู้ดีว่าการกระทำเช่นที่จิ้งเหอต้องการเป็นการผูก

สัมพันธไมตรีได้ดีที่สุดมาทุกยุคทุกสมัย หากแต่ไม่นึกว่าเขาเองก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น หย่งหนานจำเป็นต้องมองที่ความมั่นคงของ

ประเทศเป็นสำคัญ


               “ถ้าคุณลุงคิดว่าทุกอย่างเหมาะสมหลานก็ไม่มีอะไรจะต้องขัดข้องครับ”


                จิ้งเหอลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาหย่งหนาน เขาดึงไหล่กว้างของหลานชายให้ลุกขึ้นยืนเสมอกับเขาและมองด้วยความ

ชื่นชม


                “ขอบใจหลานมากหย่งหนานที่เสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อช่วยส่วนรวม ต่อไปภายภาคหน้าหลานจะต้องภูมิใจที่หลานได้ช่วย

บ้านเมืองของเราจากศัตรูทั้งหมด”


               หย่งหนานฝืนยิ้มรับด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง






                  เรือนหอถูกสร้างอย่างรวดเร็วราวกับเนรมิตด้วยอำนาจของเฉินจิ้งเหอในบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่คนละปีกกับหลัง

ของหยางซุน เพียงไม่ถึงเดือนทุกอย่างก็เรียบร้อยและพิธีแต่งงานก็ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนจากสกุลเฉินและสกุลหลี่เท่านั้น

ที่มาร่วมงาน แม้แต่บุคคลจากพรรมชาตินิยมก็ไม่ได้มาร่วมงาน ท่ามกลางการคุมเชิงซึ่งกันและกันของจีนกับญี่ปุ่นที่ใกล้จะแตกหักลง

ทุกที

                 เจ้าสาวของหย่งหนานสวมชุดเจ้าสาวสีแดงนั่งรออยู่ที่เตียงเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง หย่งหนานประเมินจากสายตาแล้วหลี่

ฟางซินมีรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น หย่งหนานเดินไปนั่งข้างเคียงและเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวตามประเพณี หญิงสาวก้มหน้ายิ้มขัดเขินเมื่อ

ไปประจักษ์ว่าเจ้าบ่าวของเธอนั้นเป็นบุรุษที่งามสง่านัก หย่งหนานพิศมองเจ้าสาวเป็นครั้งแรกเช่นกัน ฟางซินแม้จะไม่งามจับหน้าแต่ก็มี

ใบหน้าหมดจดและมีเมตตา


                “ยินดีต้อนรับเข้าสู่สกุลเฉิน ต่อจากนี้เธอจะเป็นภรรยาของฉัน”


                  แม้จะเป็นการแต่งงานเพื่อการเมืองแต่หย่งหนานก็คิดจะปฏิบัติตัวเป็นสามีที่ดี เขากล่าวต้อนรับหญิงสาวที่ต้องมาเผชิญ

ชะตากรรมที่ไม่ต่างจากเขา ฟางซินยิ้มบางหล่อนหลงรักเจ้าบ่าวของหล่อนตั้งแต่แรกเห็น


                “ขอบคุณค่ะ น้องจะเป็นภรรยาที่ดีของพี่ตลอดไป”


                  หย่งหนานเองก็รู้สึกถูกชะตากับฟางซิน และคิดว่าคงจะไม่ใช่เรื่องยากที่ต้องใช้ชีวิตคู่กับฟางซินไปตลอดชีวิต หญิงสาว

ท่าทางฉลาดและอ่อนโยน หย่งหนานยิ้มตอบกลับและโน้มฟางซินลงไปบนเตียง เขามอบความสุขให้กับภรรยาของเขาเป็นครั้งแรกใน

คืนเข้าหอ

                  แต่ยังไม่ทันข้ามคืนแต่งงานคู่บ่าวสาวหมาดๆที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนเตียงในเวลาใกล้รุ่งก็พลันสะดุ้งตื่นอย่างตกใจเมื่อ

ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยจากทหารที่อยู่เวรเฝ้าหน้าประตูรั้ว

                 หย่งหนานผละออกจากฟางซินและหันกลับไปมองอย่างยุ่งยากใจ ฟางซินฝืนยิ้มกลับมาอย่างเข้าใจ


                “ไปเถอะค่ะ อย่าเป็นห่วงน้องเลย เดี๋ยวน้องตามไป”


                  หย่งหนานพยักหน้ารับ เขาคว้าเสื้อผ้ามาใส่ให้รัดกุมก่อนจะวิ่งไปยังบ้านใหญ่ที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่บริเวณห้องรับรอง

ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


               “เกิดอะไรกันครับคุณลุง”


                รีบถามสาเหตุของสัญญาณเตือนภัย และเป็นหยางซุนที่หันมาตอบเขาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น


                “ญี่ปุ่นมันบุกเราแล้ว ไอ้เลวเอ๊ย!”


                  หย่งหนานหันขวับไปหาลุงของเขาทันที


                  “จริงหรือครับคุณลุง ที่ไหนครับ”


                  “ที่ลูเกาเจียว สะพานมาร์โคโปโล” 


                  แม้น้ำเสียงของจิ้งเหอจะไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นักแต่หย่งหนานก็จับกระแสความเครียดและไม่พอใจได้
               

                 “สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นแล้วหย่งหนาน”
                          (7 กรกฎาคม ค.ศ.1937)



มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 05-01-2017 22:24:16
ต่อกันตรงนี้...


             แม้ว่าความเป็นอยู่ในคณะงิ้วจะไม่สุขสบายนักแต่เมื่อเทียบกับในสำนักคณิกาที่เคยอยู่และสภาพสังคมภายนอกในความรู้สึก

ของเหวินเป่าก็คิดว่าดีมากมายแล้ว เขาอยู่ในคณะงิ้วในฐานะของเด็กรับใช้ที่คอยช่วยเหลือตามแต่คนในโรงงิ้วจะสั่ง แต่เพราะความที่

เขาตัวเล็กจึงช่วยหยิบจับยกของหนักไม่ได้มาก เหวินเป่าจึงได้รับคำสั่งให้ไปรับใช้นักแสดงงิ้วที่เป็นตัวเด่นทั้งหลาย เมื่อเวลาผ่านไป

หลายเดือนเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับผู้คนในที่แห่งนี้ และคนที่เหวินเป่าสนิทสนมด้วยเป็นพิเศษก็คือคนที่รับตำแหน่งฮวาต้าน(นางเอกวัยรุ่น)

ชื่อว่าเยี่ยไป๋ซาน

                  ก่อนจะมาอยู่ที่นี่เหวินเป่าไม่เคยดูงิ้วมาก่อน เพราะมันเป็นความรื่นเริงของพวกคนรวยเท่านั้น ครั้งแรกที่ได้ดูงิ้วเหวินเป่าถึง

กับอ้าปากค้างในความงดงามของเสื้อผ้าเครื่องประดับและการลงสีบนใบหน้า การร่ายรำประกอบเสียงร้องก็ทำให้เหวินเป่าถึงกับตะลึง

ลาน และเมื่อเขาเห็นนักแสดงเหล่านั้นล้างหน้าล้างตาถอดเสื้อผ้าแล้วจึงได้รู้ว่านักแสดงทั้งหมดแม้แต่คนที่แสดงเป็นตัวนางล้วนแล้วแต่

เป็นผู้ชาย


                 “งิ้วน่ะไม่มีผู้หญิงแสดงหรอก”


                 ไป๋ซานบอกกับเหวินเป่าเช่นนั้นเมื่อสนิทกันแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่โตมาที่โรงงิ้วตั้งแต่ห้าขวบเพราะพ่อแม่ขัดสนจึงต้อง

ขายลูกให้โรงงิ้ว  ไป๋ซานอายุได้สิบแปดปีแล้วในตอนนี้ เขากำลังไต่อันดับความนิยมโดยได้แสดงในตำแหน่งฮวาต้าน รูปร่างของเขาสูง

เพรียวสะโอดสะองสมกับเล่นเป็นตัวนาง


                “เหล่าซือบอกว่าน้ำเสียงของผู้ชายแม้จะดัดจนเล็กก็ยังร้องงิ้วน่าฟังกว่าผู้หญิง การร่ายรำก็มีน้ำอดน้ำทนมากกว่า”


               “เล่นงิ้วยากไหมพี่ไป๋ซาน”


               “ยาก” ไป๋ซานตอบพร้อมกับเบ้ปาก


                  “พี่น่ะ ต้องฝึกดัดตัวตั้งแต่เด็กๆให้ตัวอ่อน ฝึกฉีกแข้งฉีกขาจนปวดระบมไปหมดทั้งตัว จะหนีไปไหนก็หนีไม่ได้เพราะพ่อแม่

ขายพี่มาแล้ว”


                 ไป๋ซานหันมาพิจารณาเหวินเป่า คราบดำมอมแมมติดอยู่ตามใบหน้ายังมิอาจปิดบังใบหน้าหวานของเด็กวัยแปดขวบไปได้


                “อยากเล่นงิ้วไหมล่ะเหวินเป่า ถ้าอยากเล่นพี่จะไปบอกเหล่าซือให้”


                 เหวินเป่าส่ายหน้ายิ้มแหย


                “ไม่ล่ะพี่ไป๋ซาน หนูไม่อยากเล่นงิ้ว หนูจะกินข้าวเยอะให้แข็งแรงแล้วไปเป็นกุลีแบกของก็พอ”


                “เด็กนี่ พี่สอนแล้วไม่จำ ผู้ชายน่ะใครเขาแทนตัวว่าหนูกันเล่า ใช้ว่าผมสิ”


                 ก็เหวินเป่าโตจากสำนักคณิกานี่นา เด็กน้อยแอบเถียงในใจ สาวๆในนั้นใครๆก็ใช้หนูด้วยกันทั้งนั้น


               “แล้วก็นะ บ้านเมืองในช่วงสงครามแบบนี้จะไปหาข้าวมากินจากไหนเยอะๆกัน ข้าวของก็แพง มิจฉาชีพก็เต็มไปหมด ที่นี่มี

อาหารให้กินพออิ่มก็บุญเท่าไหร่แล้ว”


                “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมโรงงิ้วถึงยังมีงานตลอดล่ะพี่ไป๋ซาน”


                ไป๋ซานมองเหวินเป่าอย่างนึกทึ่ง เด็กน้อยฉลาดเฉลียวกว่าเด็กคนอื่น และช่างสังเกตจนบางทีผู้ใหญ่อาจตอบคำถามไม่ได้


                “คนที่รวยก็คือนักการเมือง พวกเขาฉ้อฉลและสุขสบายท่ามกลางความทุกข์ยากของคนจนอย่างเรา ในขณะที่ชาวบ้านไม่มี

เงินไม่มีข้าวแถมยังต้องถูกเกณฑ์ไปรบ แต่พวกนักการเมืองก็ยังสบายดีและมีเงินมาจ้างพวกเราเล่นงิ้วให้พวกเขาเสวยสุขไงล่ะ”


                ไป๋ซานพูดอย่างเหยียดหยาม เขานึกชังสังคมเช่นนี้ ครั้งหนึ่งเขาเคยไปฟังคนจากพรรคสังคมนิยมกล่าวปราศัย คำพูดเหล่า

นั้นตรึงใจเขานัก

                ไม่ทันได้พูดคุยกันต่อหลังจากนั้น ทุกคนในโรงงิ้วก็ยิ่งตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินทิ้งระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เสียง

กรีดร้องดังระงมไปทั้งถนนเส้นสำคัญของนานกิงเมื่อถูกทิ้งระเบิดจากเครื่องบินของจักรวรรดิญี่ปุ่น และตามด้วยทหารจากกองทัพที่บุก

เข้ามาปะทะกับกองกำลังของจีนที่รักษานานกิงอยู่

               เหวินเป่านั่งตัวสั่นกอดอยู่กับไป๋ซาน เด็กน้อยร้องไห้โฮด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อในที่สุดญี่ปุ่นก็บุกเข้ายึดนานกิงเมืองหลวง

ของประเทศจีนได้สำเร็จ


                TBC

           ใครรอคู่พระนายเจอกัน ใจเย็นๆก่อนนะคะ
             รอให้เสร็จศึกก่อนนะ


                :katai4: :katai4:


หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-01-2017 22:36:59
อ้าว
หย่งหนานแต่งงานแล้วซะอย่างนั้น

แล้วเหวินเป่าล่ะ?
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 05-01-2017 23:11:22
ส่อแววดราม่ามาแว้วววว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-01-2017 23:55:33
น้องไป๋เป็นนายเอกสินะ ตอนแรกนึกว่าเหวินเป่า ถ้างั้นรอนานเลย ก็หนูพึ่งแปดขวบเอง
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 06-01-2017 20:03:30
พระเอกแต่งงานแล้วเหรอ

เฮ้อ ดราม่าแหงๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-01-2017 21:18:51
มาสองตอนเเต่สนุกมาก น่าติดตาม
อ่านเข้าใจง่าย ภาษาดี ลงตัวทุกอย่าง
มาต่อไวไวนะคะ ตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 07-01-2017 17:15:40
อ้าว....พระเอกแต่งงานซะแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 2 [05/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 07-01-2017 20:24:30
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-01-2017 01:30:13

                                                                        ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                               บทที่ 3

               13 ธันวาคม ค.ศ.1937 (การสังหารหมู่นานกิง)

               เสียงเครื่องบินรบดังอยู่บนท้องฟ้าไม่ขาดสาย เด็กน้อยอย่างเหวินเป่าถึงกับตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังตูมตามไปทั่ว

นานกิง ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้แอบฟังครูหยางพูดคุยกับนักการเมืองคนหนึ่งจับใจความได้ว่าญี่ปุ่นเข้ายึดช่างไห่ได้สำเร็จแล้วและมี

จุดหมายต่อไปคือนานกิงที่เป็นเมืองหลวง เหวินเป่าไม่เข้าใจว่าสงครามคืออะไรจนกระทั่งวินาทีนี้ที่เด็กวัยแปดขวบเช่นเขาจะต้องเผชิญ

หน้ากับมัน


               หลังคาของโรงงิ้วบางส่วนปลิวหายเพราะระเบิด ไป๋ซานนั่งกอดอยู่กับเหวินเป่าอยู่ที่ใต้ถุนเวทียกสูงโดยที่คนในโรงงิ้วที่ยัง

เหลืออยู่ต่างก็หาที่หลบกันวุ่นวาย เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไม่ขาดระยะเหวินเป่ามองออกไปเห็นผู้คนบนถนนร่วงลงไปกองกับพื้นราวกับ

ใบไม้ร่วง


               “ฮือ พี่ไป๋ซาน หนูกลัว”


               “ชู่ว อย่าร้องอย่าเสียงดังสิเหวินเป่า”


               ไป๋ซานเองก็กลัวไม่แพ้กัน เขายกมือปิดปากของเหวินเป๋าให้เด็กน้อยหยุดส่งเสียง กองทัพทหารญี่ปุ่นดาหน้ากันบุกเข้ามา

อย่างไม่กลัวเกรงแม้ว่ากองกำลังทหารของจีนจะพยายามตั้งทัพต่อสู้แต่ก็ไม่อาจต่อกรกับจักรรวรรดิที่เข้มแข็งได้ ตลอดทั้งวันทั้งคืนมี

แต่เสียงกรีดร้องดังไปทุกหย่อมหญ้า ศพผู้คนทั้งถูกยิงถูกแทงด้วยดาบปลายปืนให้ล้มตายยิ่งกว่าใบไม้ร่วง ทั้งไป๋ซานและเหวินเป่าได้

แต่หลบซ่อนอยู่ในใต้เวทีของโรงงิ้วทั้งวันทั้งคืน เวลาที่ค่ำมืดดึกสงัดถึงจะพอหลบจากที่ซ่อนออกไปหาของกินมาพอประทังชีพกัน

เกือบสัปดาห์


               “เราต้องหนี”


               “หนีไปไหนพี่ไป๋ซาน”


               เหวินเป่าถามอย่างหมดหนทาง สมองน้อยๆคิดไม่ออกเลยว่าจะหนีไปจากสมรภูมินรกนี่ได้อย่างไร


               “พี่เคยได้ยินที่ท่านอู๋จินไห่เคยพูดไว้ ว่าหากเกิดสงครามพวกเราคงต้องหนีเข้าไปในแผ่นดินที่ลึกกว่าเมืองท่าอย่างนานกิง

หรือช่างไห่ เหวินเป่า เราต้องหาทางไปรวมกับพวกเขาแล้วเราจะรอด”


               “แต่ว่าทหารญี่ปุ่นเดินกันเกลื่อนขนาดนี้ เราจะไปกันยังไงล่ะพี่ไป๋ซาน”


               เหวินเป๋ายังเกรงกลัวเสียงปืนและความน่ากลัวของสงคราม ทหารญี่ปุ่นเหมือนผีร้ายในความคิดของเด็กอย่างเขา ไป๋ซานนิ่ง

คิดและเอ่ยกับสหายวัยเด็กอย่างตัดสินใจได้


               “หนีกันไปกลางคืน พวกมันคงจะตรวจตราน้อยลง เราต้องไปกันคืนนี้แหละ เดี๋ยวเราไปบอกพวกในโรงงิ้วที่เหลืออยู่ว่าจะไป

กับเราหรือเปล่า อยู่ที่นี่ก็ตายสู้ไปเสี่ยงตายเอาข้างหน้าดีกว่า”


               ไป๋ซานดึงแขนเหวินเป่าให้ออกจากใต้เวทีเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกเขาค่อยๆย่องไปหาหยางซื่อที่ซ่อนตัวอยู่

ด้านในของโรงงิ้วพร้อมหยางเจี่ยนลูกชายโทนของเขาที่อายุมากกว่าเหวินเป่าสี่ถึงห้าปี


               “เหล่าซือ หนีกันเถอะ” ไป๋ซานรีบพูด เวลาทุกนาทีมีค่า


               “หนีเข้าไปในป่าเอาตัวรอดกันก่อน”


               หยางซื่อนิ่งงัน เขามองหีบเก็บอุปกรณ์แสดงงิ้วอย่างเสียดายและหวงแหน


               “แล้วโรงงิ้วล่ะ ชุดพวกนี้ ของเหล่านี้ล่ะ”


               เหวินเป่าแม้จะยังเป็นเด็กเขาก็เข้าใจดีว่าหยางซื่อนั้นรักงิ้วแค่ไหน เด็กน้อยตรงเข้าไปกุมมือชายสูงวัยไว้ราวกับจะปลอบโยน


               “เหล่าซือครับ ของพวกนี้เป็นของนอกกายถึงมันพังไปเหล่าซือก็สร้างมันใหม่ได้ ที่สำคัญที่สุดคือตัวเหล่าซือหากไม่มีเหล่า

ซือแล้วใครจะสอนพวกเราเล่นงิ้วอีกล่ะครับ”


               คำพูดของเด็กน้อยช่างโตกว่าวัยมันทำให้หยางซื่อได้สติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเป่าปากเป็นสัญญาณเรียกคนที่ยัง

เหลือในโรงงิ้วได้เกือบสิบคน


               “เคยได้ยินจากนักการเมืองคนหนึ่งที่มาดูงิ้วบอกว่ารัฐบาลสร้างกองกำลังไว้ที่ซีอานอีกแห่งหนึ่ง ยังไงพวกเราต้องหนีไปที่ซี

อานให้ได้”


               หยางซื่อมองหน้าสมาชิกทีละคนราวกับจะจดจำทุกคนไว้


               “เราจะค่อยๆทยอยกันออกไปจากโรงงิ้วแล้วลัดเลาะไปตามตรอกเล็กๆ พวกเราต้องไปอย่างเงียบที่สุดโดยใช้ความได้เปรียบ

ที่เรารู้จักพื้นที่ในนานกิง ขอให้ทุกคนโชคดี หากไอ้พวกญี่ปุ่นมันไปจากนานกิงเมื่อไหร่ขอให้พวกเรามารวมกันที่นี่อีกครั้งถ้าไม่ตายกัน

เสียก่อน ได้โปรดอย่าลืมงิ้วที่เป็นชีวิตของพวกเรา”


               ทุกคนสบตากันอย่างเศร้าสร้อยเพราะไม่รู้ว่าจะมีวันที่พวกเขาจะได้กลับมาพบกันอีกหรือไม่ จากนั้นหยางซื่อจึงออกความคิด

ให้ทุกคนทาหน้าเป็นสีดำเพื่อให้กลมกลืนกับความมืดให้มากที่สุดก่อนจะทยอยเดินทางออกจากโรงงิ้วทีละส่วน

               เหวินเป่าไปกับไป๋ซาน รุ่นพี่ในโรงงิ้วพาเขาย่องออกไปทางด้านหลังโดยพยายามให้เงียบที่สุด ดีที่ยามนี้ดึกสงัดและเป็นคืน

เดือนแรมจึงมีเพียงทหารญี่ปุ่นบางส่วนอยู่ยามกันตามถนนเส้นหลักเท่านั้น พวกเขาที่หลบหนีจึงลอบไปกันทางตรอกซอยเส้นเล็กที่ไม่

เป็นที่สนใจ

                ครั้นออกมาพ้นโรงงิ้วอันเป็นที่หลบภัยเหวินเป๋าและไป๋ซานถึงกับชะงักงัน เด็กน้อยอย่างเหวินเป่าถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

เขาต้องยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้องสะอื้นเมื่อเห็นสภาพภายนอกหลังจากที่พวกเขาไม่ได้ออกมาจากโรงงิ้วเป็นสัปดาห์ และภาพเหล่า

นั้นยังคงตามมาหลอกหลอนเมื่อเหวินเป่าเติบโตขึ้นมาเกือบตลอดชีวิต ไฟแห่งสงครามช่างเลวร้ายเหลือเกิน

               ศพผู้คนชาวจีนทั้งหญิงและชายนอนตายกันให้เกลื่อนกลาด กลิ่นคาวเหม็นเน่าศพลอยคลุ้งจนสะอิดสะเอียนชวนให้คลื่นไส้

ราวกับชีวิตของผู้คนคือผักปลาหรือของเล่นให้ผู้กระหายสงครามได้ใช้ระบายอารมณ์กระนั้น ไป๋ซานที่เป็นชายรุ่นหนุ่มแล้วถึงกับกัดฟัน

แน่นเมื่อเขารู้ว่าศพสตรีที่เห็นนั้นผ่านการถูกย่ำยีกระทำชำเราจนสูญสิ้นศักดิ์ศรีก่อนจะถูกฆ่าให้ตาย


               “เหวินเป่า เรารีบไปกันเถอะ”


               ฉุดมือเด็กน้อยเพื่อนร่วมชะตากรรมให้ได้สติ เหวินเป่ายกมือเช็ดคราบน้ำตาและปลุกใจให้เข็มแข็งเท่าที่เขาจะทำได้ เด็ก

น้อยวิ่งตามเพื่อนรุ่นพี่ด้วยความหวาดหวั่นและสะเทือนใจที่ต้องคอยหลบหลีกจากกองซากศพของเพื่อนร่วมชาติ ดีที่ไป๋ซานชำนาญเส้น

ทางพอที่จะหลบหลีกไปจนพ้นเขตที่พักของทหารญี่ปุ่น


               “พี่ไป๋ซานหยุดก่อน”


               ยั้งรุ่นพี่ไว้เมื่อวิ่งผ่านสถานที่อันคุ้นตามาตั้งแต่เกิด สำนักคณิกาที่ล้วนแล้วแต่มีสตรีที่มอบความสุขให้แก่ชายได้บรรเทาใน

ความกำหนัดบัดนี้เงียบสนิท โคมเขียวที่เคยส่องสว่างไม่เหลือแม้แต่ซาก หัวใจของเหวินเป่าราวกับถูกกระชากออกจากอกเมื่อคิดถึงผู้

ให้กำเนิด


               “อะไรอีกเหวินเป่า”


               “ขอเวลาสักนิด แค่นิดเดียว แม่ของผมอยู่ที่นี่”


               แม้จะละล้าละลังแต่ไป๋ซานก็ปล่อยให้เหวินเป๋าวิ่งเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย ไป๋ซานตามเข้าไปด้านในด้วยความเป็นห่วงและ

เขาก็ต้องพบกับภาพที่แสนสะเทือนใจเมื่อเห็นเด็กน้อยเหวินเป๋าร้องไห้กอดศพหญิงคนหนึ่งอย่างไม่รังเกียจร่างกายนั้นจะเริ่มส่งกลิ่น

แล้วก็ตามและตามพื้นห้องก็เต็มไปด้วยหญิงขายตัวคนอื่นนอนเกลื่อนอย่างน่าอเน็จอนาถ


               “เหวินเป่า พี่เสียใจด้วย”


               ไป๋ซานเดินเข้าไปวางมือบนบ่าเล็กที่สั่นสะท้านเพราะกำลังกลั้นสะอื้น เดาได้ทันทีว่าหญิงคนนี้คือมารดาของเด็กน้อย เหวิน

เป่ากัดฟันกลั้นเสียงร้องอย่างยากเย็น เขายกมือกำจี้ที่คล้องคออันเป็นสมบัติสิ่งสุดท้ายของมารดาไว้แน่น


               “เกลียด ผมเกลียดญี่ปุ่น”


               นึกชิงชังอีกครึ่งหนึ่งของสายเลือดในร่างกายตนเองที่เหวินเป่ารู้ดีว่ามีชาติกำเนิดจากคนในชาติที่สร้างความเสียใจให้เขา

หากใช้มีดกรีดเนื้อของตนแล้วปล่อยให้เลือดของคนพวกนั้นไหลให้หมดไปจากกายได้เหวินเป่าก็จะทำแต่เพราะทำไม่ได้เด็กน้อยจึง

ทำได้เพียงเขาจะโยนมันทิ้งไปจากหัวใจของเขาเสียให้สิ้น


               “ลืมว่าแกเป็นลูกญี่ปุ่น อย่าได้บอกใครเด็ดขาดเข้าใจไหม”


               คำพูดสุดท้ายของแม่ก้องอยู่ในหัว เหวินเป่ารับปากกับศพของแม่ที่ถูกทารุณกรรมว่าเขาจะทำตามที่แม่บอกไปตลอดชีวิต
เหวินเป่าคือคนจีนและจะเกลียดพวกคนเลวไปจนวันตาย


                “ไปกันเถอะพี่ไป๋ซาน”


               เขาจำต้องเข้มแข็ง ไม่มีเวลาสำหรับคำว่าเด็กอีกแล้ว เหวินเป่าหยัดยืนขึ้นยกหลังมือเช็ดคราบน้ำตาให้หมดและหันไปหาไป๋

ซานจากนั้นทั้งคู่จึงวิ่งออกไปจากสถานที่อันเลวร้าย

               วิ่ง วิ่ง และวิ่ง

                มีเพียงดาวฤกษ์บนท้องฟ้าเปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางไปยังจุดหมาย ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ มีเพียงความหวังที่จะรอดชีวิต

รักษาลมหายใจของตนไว้ให้ได้ ไปให้ไกลจากภยันตรายจากมนุษย์ที่แสวงหาอำนาจ

               จนกระทั่งแสงทองจับขอบฟ้าเหวินเป๋าและไป๋ซานจึงได้เผยรอยยิ้มแรกเมื่อมองเห็นธงของกองทัพทหารจากรัฐบาลจีนอยู่

เบื้องหน้า อย่างน้อยทั้งคู่ก็ยังได้พบกับความหวังของลมหายใจอีกเฮือกหนึ่ง
               




               สีหน้าของเฉินหย่งหนานยิ่งเคร่งขรึมหนักกว่าเดิมเมื่อสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นที่กองกำลังทหารของรัฐบาลกลางต้องร่น

กำลังจากเมืองท่าเข้าสู่แผ่นดินใจกลางประเทศลึกไปเรื่อยและพวกเขากำลังเสียพื้นชายฝั่งทะเลที่แสนสำคัญให้แก่จักรวรรดิญี่ปุ่นทั้ง

ชานตง ช่างไห่และนานกิง เหล่าทหารที่ประจำพื้นที่ต่างก็ปลดอาวุธยอมแพ้ให้กับความโหดเหี้ยมของทหารของคิริซาวะ ยาคุริ

               แม้จะยอมแพ้แต่ญี่ปุ่นก็ยังไม่เห็นใจ คำสั่งให้เข่นฆ่าประชานออกมาอย่างไร้มนุษยธรรม ชาวจีนถูกฆ่าตายไม่ต่ำกว่าวันละ

หลายพันคน ผู้หญิงถูกข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจก่อนจะฆ่าทิ้งไม่เว้นแม่แต่แม่ชีหรือหญิงชราก็กลายเป็นของเล่นของปีศาจในคราบ

มนุษย์ทั้งในยามกลางวันแสกๆและไม่เลือกสถานที่

               หากกล่าวถึงกำลังพลในกองทัพนั้นหย่งหนานประเมินแล้วพวกเขามีทัดเทียมกับญี่ปุ่น จะเสียเปรียบก็เป็นเพราะอาวุธยุโธ

ปกรณ์ของญี่ปุ่นนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยแสนยานุภาพ ทำให้แม้จะมีกำลังพลแต่กองทัพจีนก็ยังทำอะไรญี่ปุ่นไม่ได้มากนัก ด้วยสถานการณ์

ทั้งหมดทำให้หย่งหนานนึกเห็นใจลุงของเขาที่เป็นผู้นำสูงสุดในตอนนี้

               เฉินจิ้งเหอคล้ายจะชราลงไปอีกสักสิบปีกับความเพลี่ยงพล้ำ สีหน้าครุ่นคิดจนเกิดรอยย่นรอบดวงตามากขึ้นไปอีก ในฝ่ามือมี

กระสุนเก่านัดหนึ่งที่เขามักจะกำมันไว้ยามต้องใคร่ครวญก่อนจะตัดสินใจสั่งการใดๆลงไปในฐานะผู้นำของประเทศ แผ่นดินจีนสูญเสียมา

มากพอแล้วทั้งมองโกเลียและเหอเป่ย จิ้งเหอไม่ต้องการให้ดินแดนอันยิ่งใหญ่ต้องถูกตัดแบ่งออกไปอีกในวาระที่เขาเป็นประมุข

               กองทัพของจีนได้รับคำสั่งให้ถอยร่นเข้ามาจนเกือบถึงซีอานที่จิ้งเหอเลือกใช้เป็นชัยภูมิตั้งมั่น พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวง

เก่าของจีนมาหลายยุคหลายสมัย เขาภาวนาขอให้วิญญาณบรรพบุรุษที่เคยรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวช่วยปกป้องให้เขาแก้ไขปัญหา

ใหญ่หลวงตรงหน้าได้โดยเกิดการสูญเสียน้อยที่สุด


               “ป้าสะใภ้ของหลานเป็นอย่างไรบ้าง”


               จิ้งเหอเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าหลานชายที่ต้องมารับหน้าที่ดูแลคนในครอบครัวในขณะที่จิ้งเหอมีภารกิจใหญ่หลวงและหยาง

ซุนต้องไปดูแลการย้ายทัพมาที่ซีอาน หย่งหนานนอกจากจะต้องทำงานในกองทัพแล้วเขาจึงต้องเป็นผู้ดูแลสมาชิกในครอบครัวที่หอบ

หิ้วกันมาให้พักอยู่ในค่ายทหารที่เป็นทางผ่านสู่ซีอานด้วย


               “คุณป้าสบายดีครับ มีอาการปวดเมื่อยจากการเดินทางไกลอยู่บ้าง ส่วนพี่สะใภ้ก็ยุ่งดูแลหลาน”


               เฉินหยางซุนมีบุตรเป็นเด็กชายวัยเพิ่งได้หัดเดินอันเป็นแก้วตาดวงใจของคนในครอบครัว จิ้งเหอได้ยินดังนั้นจึงพอจะยิ้มออก

มาได้บ้าง


               “แล้วหลานล่ะ แต่งงานมาได้ค่อนปีแล้วไม่คิดจะมีลูกแข่งกับพี่ชายบ้างหรือหย่งหนาน”


               “ในเวลาเช่นนี้ผมคิดว่ายังไม่พร้อมครับคุณลุง ผมขอช่วยคุณลุงจนผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยคิดถึงเรื่องอื่น”


               จิ้งเหอมองหลานชายแล้วก็ต้องถอนหายใจ เขานึกเห็นใจหย่งหนานขึ้นมาครามครัน


               “เพิ่งแต่งงานได้คืนเดียวก็เกิดสงคราม ซ้ำร้ายยังต้องมารบอย่างต่อเนื่อง ลุงเองก็ไม่รู้จะช่วยหลานได้อย่างไร”


               หย่งหนานฝืนยิ้ม ในเวลาเช่นนี้ความสุขส่วนตัวย่อมมาทีหลังประเทศชาติ


               “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณลุง ฟางซินก็คงเข้าใจดี เธอก็เป็นลูกของขุนศึกคนหนึ่งย่อมเข้าใจในสถานการณ์เช่นนี้”


               จิ้งเหอพยักหน้ารับ ในเวลาเช่นนี้ทุกคนในชาติต่างก็ลำบากไม่แพ้กัน เมื่อต้องตั้งรับกับกองทัพของญี่ปุ่นโดยผู้นำทัพที่เป็น

รุ่นน้องของเขา


               “ผมขอถามคุณลุง เราจะทำอย่างไรต่อไปครับ”


               เป็นคำถามที่ชนชั้นปกครองระดับสูงต่างก็อยากรู้คำตอบแต่ไม่มีใครกล้าถามจิ้งเหอนอกจากผู้เป็นหลานเช่นหย่งหนานที่ใกล้

ชิดสนิทสนม



มีต่ออีกนิด....



หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-01-2017 01:35:29
ต่อกันตรงนี้...



                “กองทัพญี่ปุ่นได้เปรียบเราตรงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว”


               แม้จะเป็นศัตรูในสนามรบแต่จิ้งเหอก็ยังมองฝ่ายตรงข้ามด้วยความชื่นชมในข้อดี


               “เขามีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นที่ตั้งและพร้อมจะทำตามที่ผู้นำของพวกเขาสั่งการอย่างไม่มีบิดพริ้ว ในขณะที่พวกเราแม้จะมี

กำลังพลมากกว่าอยู่บ้างแต่เพราะมาจากหลายทิศหลายผู้นำจึงยังขาดความสามัคคีและนี่เป็นจุดอ่อนที่สุดของเรา”


               จิ้งเหอเอ่ยช้าๆอย่างตรึกตรอง หย่งหนานนิ่งฟังและซึมซับความคิดนั้นไปด้วย


               “ลุงเชื่อว่ากองทัพญี่ปุ่นคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ ความฮึกเหิมจะทำให้เขาต้องการขยายอำนาจออกไปมากกว่านี้ ลุงกำลังขอ

ความช่วยเหลือไปทางเยอรมันและสหรัฐอเมริกา พวกประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นคงไม่อยากเห็นญี่ปุ่นได้ยึดครองน่านน้ำทางทะเลมาก

ไปกว่านี้”


               “เราจะเผชิญหน้าและสู้กับกองทัพญี่ปุ่นไหมครับคุณลุง”


               “ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย” จิ้งเหอถอนหายใจ “แค่ประชาชนและเชลยที่ถูกเข่นฆ่าทารุณกรรมที่ชานตงกับ 

นานกิงลุงก็อับอายวิญญาณบรรพชนมากแล้ว ลุงไม่อยากเสี่ยงอีก อย่าลืมว่านอกจากศึกนอกเรายังมีศึกในที่พรรคสังคมนิยมจ้องจะล้ม

พวกเราอยู่”


               หย่งหนานไม่ลืมการกระทำของพรรคสังคมนิยมแม้ว่าจะผ่านมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กที่เพิ่งเข้ามาภายใต้การดูแล

ของจิ้งเหอผู้เป็นลุง เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วที่เกิดการจราจลต่อต้านรัฐบาลจนเกิดการสังหารหมู่ที่ช่างไห่ สาเหตุก็มาจากพรรคสังคมนิยม

นั่นเองที่อยู่เบื้องหลัง หย่งหนานรู้ดีว่าหากลุงของเขาพลาดเมื่อไหร่ อู๋จินไห่ผู้นำพรรคสังคมนิยมก็จะเข้าซ้ำและฉวยโอกาสชิงอำนาจ

ทันที


               “พรุ่งนี้ลุงจะไปตรวจการจัดตั้งกองทัพที่ซีอาน”


               “ผมจะไปด้วย จะได้รักษาความปลอดภัยให้คุณลุง”


               “อย่าลำบากเลยหย่งหนาน มีงานอะไรที่ต้องทำก็จงทำเถิด ไม่จำเป็นต้องมาอารักขาให้วุ่นวาย อย่าให้คนแก่อย่างลุงต้องมา

เป็นภาระในการเคลื่อนย้ายกำลังพลที่หลานกำลังดูแลอยู่”


               “แต่ถ้าเกิดอันตรายกับคุณลุงระหว่างเดินทางล่ะครับ”หย่งหนานกล่าวแย้งอย่างไม่เห็นด้วย แต่จิ้งเหอก็ยังคงยืนกราน


               “จากที่นี่ไปถึงซีอานมีแต่พวกเราทั้งนั้น ลุงไม่เชื่อว่าใครจะบุกเข้ามาในใจกลางของแผ่นดินจีนได้ วางใจเถอะหย่งหนานและ

ไปทำหน้าที่ของหลานให้ดีที่สุด”


               หย่งหนานลากลับออกมาอย่างไม่สบายใจนัก แต่เขารู้ดีว่าหากจิ้งเหอตัดสินใจแล้วจะไม่มีสิ่งใดมายับยั้งได้ เขาได้แต่ภาวนา

ให้ทุกอย่างเป็นเช่นดั่งคำพูดของจิ้งเหอ





               เฉินหย่งหนานนั่งมาในรถทหารตั้งแต่เช้าตรู่ ในขณะที่เขาต้องมาทำหน้าที่ดูแลการจัดกำลังพลในค่ายทหารที่เป็นหน้าด่าน

ของเข้าเขตซีอานเฉินจิ้งเหอก็นั่งรถยนต์ไปคนละฝั่งกับเขาโดยไม่มีใครคุ้มกันนอกจากคนขับรถคู่ใจเพื่อตรงไปยังซีอานฐานทัพใหม่ของ

รัฐบาลจีน

               ด่านหน้าของกองทัพเต็มไปด้วยเหล่าทหารที่กำลังสร้างที่พักและชาวบ้านที่หนีตายจากสงครามเข้ามาในเขตทหาร หย่ง

หนานทอดสายตามองผู้คนที่มีสีหน้าอิดโรย บางคนก็พอจะเก็บข้าวของมาได้ทันบางคนก็มีแต่ตัวและเสื้อผ้าติดกายเท่านั้น เหล่าผู้คน

เรือนร้อยกระจัดกระจายกันอยู่ในลานกว้าง

               สายตาของหย่งหนานสะดุดกึกเมื่อเห็นชายสูงวัยที่อายุน้อยกว่าจิ้งเหอลุงของเขาไม่กี่ปีนั่งเด่นอยู่บนผืนหญ้ารายล้อมไปด้วย

ชาวบ้านราวสิบคน พวกเขากำลังฟังชายผู้นั้นพูดอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจ คิ้วของหย่งหนานขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นดังนั้น

               ชายคนนั้นคืออู๋จินไห่ ผู้นำของพรรคสังคมนิยมที่เป็นคู่แข่งตลอดกาลของพรรคชาตินิยมที่เป็นรัฐบาล จินไห่ไม่ใช่ทหาร แรก

เริ่มเดิมทีเมื่อวัยหนุ่มเขาเป็นแค่นักบัญชีในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีความสนใจในระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม จินไห่เผยแพร่

ความคิดของเขาออกไปสู่ชนชั้นกรรมาชีพที่ไม่พึงพอใจต่อระบบการปกครองที่เหลื่อมล้ำจนกระทั่งมันขยายตัวถึงขั้นกลายเป็น

พรรคการเมืองพรรคสำคัญในที่สุด

               ชายที่มีใบหน้าธรรมดาและไม่ได้มีลักษณะของความแข็งแกร่งทางกายภาพกลับกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเฉินจิ้งเหอ

ผู้นำของรัฐบาลจีน


                                                               TBC


                                                              :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 16-01-2017 02:24:01
 :katai1:   อ่านตอนนี้ ยิ่งเกลียดญี่ปุ่นตอนนั้นมาก  เคยอ่านข้อมูลผ่านๆของหนางกิงมาบ้าง  แค่อ่านผ่านๆยังหดหู่ใจ  แต่ละสิ่งที่ทำกับประชาชนนั้นเรียกได้ว่า สารเลวเกินมนุษย์  ไม่ใช่แค่จีนอย่างเดียว ในช่วงนั้น ญี่ปุ่นกำลังล่าอาณานิคม  เกาหลีเองก็โดนมั้งจำไม่ค่อยได้ 

ปล.สงสารหนูน้อยเหวินเป่า  ความทรงจำอันเลวร้ายและเลือดครึ่งกายที่แสนเกลียดชัง 

ปล.2  พ่อพระเอกเรามีเมียแล้ว  แล้วจะรักกันยังไงล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 16-01-2017 04:24:37
เราไม่เกลียดญี่ปุ่นนะแต่เราเกลียดสงคราม....
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 16-01-2017 12:52:21
ทำไมมันเครียดอย่างนี้ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 16-01-2017 13:09:39
ทั้งมันส์ทั้งเครียดทั้งกลัวดราม่าหนัก :mew2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 16-01-2017 13:25:37
ใครเปนนายเอกเนี่ย

สนุกมาก ภาษาสวย ทุกอย่างลงตัวไปหมด ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: dear77 ที่ 16-01-2017 13:45:18
ชอบๆ  รีบมาต่อนะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 16-01-2017 13:50:50
เครียดตาม 5555
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-01-2017 14:10:58
เฉินหย่งหนาน เหวินเป่า  :mew1: :mew1: :mew1:
จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ เจอกันที่ซีอานใช่ปะ
แม่เหวินเป่า ก็ตายแล้ว
คนที่รู้จักเหวินเป่า มีหลายคนตายไปก็มาก
แต่...แม่เล้า คิดว่าแม่ปลาช่อนคงไม่ตายง่ายๆ
คงไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ทีหลังนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:     
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 16-01-2017 14:46:31
 :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 16-01-2017 18:50:21
กลัวดราม่าจังเลยง่า  :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 16-01-2017 19:04:06
รู้สึกว่านี่แค่เพิ่งเริ่มต้มน้ำชิมิ :ling3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-01-2017 19:08:29
ฉันจะฝ่ามาม่าหม้อนี้ไปด้วยใจที่เข้มแข็ง

โฮๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 16-01-2017 19:30:52
ดราม่าขนาดดดดด



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-01-2017 20:55:53
เครียดเลย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายพีเรียดจีน# บทที่ 3 [16/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 16-01-2017 22:42:51
ดราม่าแหง๋เลย ยิ่งยุค หนานกิง อื้อหื้มม ต้องทำใจล่วงหน้ารอเลยงานนี้
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 20-01-2017 14:10:56


                                                                    ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                            บทที่ 4


               เฉินหย่งหนานก้าวเข้าไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นกระทั่งบุคคลที่เป็นหัวใจของวงสนทนาหันใบหน้ามาพบเขาทุกอย่างจึงได้หยุด

ลง ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนและเดินมาหาเขาหย่งหนานค้อมศีรษะคำนับอย่างสุภาพอู๋จินไห่จึงตอบรับการทักทายด้วยการค้อมศีรษะ

เสมอกัน


               “คงแปลกใจที่ฉันยังไม่ตายจากฝีมือของญี่ปุ่นกระมังร้อยตรีเฉิน”


               “มิได้ครับคุณอู๋”


               แม้จะจับหางเสียงประชดประชันได้แต่หย่งหนานก็ไม่คิดจะเก็บเป็นอารมณ์ ใบหน้าของเขายังคงความเยือกเย็นไว้ตลอดเวลา

ถึงอีกฝ่ายจะยืนอยู่คนละขั้วการเมืองก็ตาม


               “ไม่มีใครสมควรได้รับความตายจากสงครามทั้งนั้นครับ”


               ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของจินไห่ เขามองนายทหารหนุ่มที่เป็นหลานผู้นำสูงสุดของประเทศอย่างอดที่จะชื่นชมไม่ได้

จินไห่รู้จักครอบครับสกุลเฉินเป็นอย่างดีเพราะก่อนหน้าที่จะเป็นศัตรูทางการเมืองกับเฉินจิ้งเหอเขาเคยเป็นฟันเฟืองเล็กๆในพรรค

ชาตินิยมตั้งแต่สมัยสิ้นสุดระบบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่หลังจากนั้นนักการเมืองแต่ละคนกลับไม่ได้ทำตามคำสัตย์ ต่างก็ยังฉ้อราษฎร์

บังหลวงสร้างฐานะแก่ตนแต่ประชาชนก็ยังเดือดร้อนลำเค็ญ จินไห่ได้ศึกษาการปกครองแนวใหม่ของรัสเซียที่มุ่งให้ผู้คนมีความเท่า

เทียมกันในสังคม จินไห่จึงขยายความคิดนี้ไปสู่เพื่อนของเขาและมันก็กระจายไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาสามารถตั้งพรรคการเมืองที่

ใช้อุดมการณ์เหล่านี้เป็นจุดยืน


               “คนเราล้วนแล้วแต่ต้องตายด้วยกันทั้งนั้นร้อยตรีเฉิน”


               จินไห่กล่าวเนิบนาบ แต่ทุกคำเขาเน้นไปที่ความหมายที่ต้องการจะสื่อทั้งโดยตรงและโดยอ้อม


               “หากแต่การตายนั้นจะเป็นที่จดจำแก่ผู้คนได้เพียงไหน บางคนก็ตายโดยเปล่าประโยชน์ สิ้นไร้แม้แต่หลุมฝังศพ แต่บางคนก็

ตายอย่างพรั่งพร้อมทั้งที่ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปด้วยแม้แต่อย่างเดียว ก็เพราะคนเรามีโอกาสไม่เท่ากันไงล่ะ”


               หย่งหนานไม่นึกแปลกใจที่คำพูดของจินไห่จะซื้อใจคนที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจได้ เขาเองก็เคยอ่านตำราการปกครอง

ของรัสเซียมาบ้างจึงเข้าใจในแก่นแท้ของมัน หากแต่เขาก็ไม่คิดว่าสังคมในอุดมคตินั้นจะเป็นไปได้


               “โอกาสคนเรามีไม่เท่ากันแต่เราแสวงหาโอกาสได้ครับคุณอู๋ อยู่ที่ว่าโอกาสที่เราเลือกนั้นมีประโยชน์กับส่วนรวมหรือ

ประโยชน์กับตนเอง”


               ผู้นำพรรคสังคมนิยมสะอึกกับคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าคมนั้นยังเจือรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาและน้ำเสียงก็ยังคงความสุภาพไม่

เปลี่ยน หากแต่นัยยะที่พูดออกมานั้นราวกับจะกรีดเนื้อของเขาจนเลือดซิบ


               “ทุกคนต่างก็อยากทำเพื่อตนเองทั้งนั้น ฉันจึงได้มอบโอกาสให้พวกเขาไงล่ะ ประชาชนต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตนเอง พวก

เขาจะทนถูกกดขี่ข่มเหงไปอีกนานเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็โดยที่พวกเขาต้องแลกมา”


               หย่งหนานนิ่งฟังอย่างสงบ รอจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบเขาจึงได้ตอบออกไป


               “การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งภาระที่ต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง ผมเองก็ได้แต่หวังว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ

เหล่าผู้คนที่ทำให้มันเกิดขึ้นจะยอมรับภาระนั้นได้”


               จินไห่หน้าตึงอย่างเห็นได้ชัด หย่งหนานจึงไม่ต้องการสนทนาให้รุนแรงมากไปกว่านี้


               “คุณอู๋จะไปพักที่ค่ายทหารไหมครับ ผมจะสั่งให้เขาจัดที่ให้”


               “ไม่ล่ะ ขอบใจ” ผู้นำพรรคสังคมนิยมเชิดหน้าตอบน้ำเสียงกระด้าง “แต่ฉันขออยู่กับพวกชาวบ้านที่หนีตายจากสงครามมาจะดี

กว่า”


               จินไห่หันหลังกลับด้วยความผยองไปยังกลุ่มผู้คนที่เขายังสนทนาค้างไว้ การจะเข้าไปนั่งในจิตใจของผู้คนต้องกระทำในช่วง

ที่พวกเขาเหล่านั้นลำบากอย่างถึงที่สุดและทำให้พวกเขามองเห็นความหวัง อุดมการณ์ของพรรคสังคมนิยมจะกลายเป็นแสงสว่างอยู่ใน

ความมืดมิดและนั่นจะทำให้การทำงานของเขาประสบความสำเร็จในที่สุด จินไห่และพวกพ้องต้องฉวยจังหวะที่พรรคชาตินิยมทำสงคราม

กับญี่ปุ่นดึงมวลชนมาอยู่ในมือให้มากที่สุด กว่าสงครามจะสิ้นสุดพวกเขาก็จะมีชนชั้นกรรมาชีพและเกษตรกรอันเป็นคนส่วนใหญ่ของ

ประเทศมาเข้าร่วมจำนวนมาก และวันนั้นระบอบผู้นำทหารเผด็จการจะต้องหมดไป









               ดวงตาเรียวเล็กของหลินเหวินเป่ายังคงหวาดระแวงแม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ท่ามกลางชาวจีนที่หนีจากสงครามลึกเข้ามาในป่า

โชคดีที่เขาและเยี่ยไป๋ซานไปพบกลุ่มทหารที่ย้ายกำลังพลมาตั้งค่ายในบริเวณชายขอบของซีอานทั้งคู่จึงขอติดตามมายังที่ค่ายทหาร

แห่งนี้

               อย่างน้อยก็ยังปลอดภัยกว่าในนานกิงช่างไห่และชานตง เหล่าเมืองท่าถูกญี่ปุ่นยกกองทัพมายึดไว้เพื่อหวังจะใช้เป็นฐานทัพ

ทางทะเลและขยายอิทธิพลไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหวินเป่าได้ฟังจากพวกผู้ใหญ่ว่าเฉินจิ้งเหอนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลทหารใช้

ซีอานเป็นที่ตั้งทัพแห่งใหม่ แต่เหล่าผู้คนกลับยังก่นด่ากันอย่างสนุกปากที่ผู้นำยังไม่สั่งการตอบโต้กับจักรวรรดิญี่ปุ่นเสียที


               “เป็นทหารเสียเปล่ากลับปล่อยให้ข้าศึกบุกประเทศ ซ้ำยังไม่ยอมสั่งให้สู้รบทั้งที่ทหารก็มีตั้งมากมาย”


               ชาวจีนหัวรุนแรงที่เคยกินข้าวอยู่ใกล้กันสบถออกมาเบาๆเพราะกลัวทหารเฝ้ายามจะได้ยิน อีกคนที่ร่วมวงด้วยพูดสนับสนุน

ทันที


               “นั่นสิ ไม่รู้ว่ากลัวอะไรกับพวกมันนักหนา หรือว่าเอาแต่สุขสบายเพราะโกงกินจนปล่อยให้พวกมันเข้ามายึดประเทศ”


               “พวกขุนนางมาเป็นนักการเมืองก็แบบนี้แหละ” อีกคนที่ดูท่าทางคงแก่เรียนราวกับจอหงวนสำทับ


               “พวกมันกอบโกยเงินทองกันไปสบาย ดูสิขนาดช่วงสงครามขนาดนี้มีใครมาลำบากกับพวกเราไหม โน่นมันสบายกันอยู่บน

หอคอยงาช้าง จริงอย่างที่คุณอู๋จินไห่พูดให้ฟังจริงๆด้วยว่าพวกเรากำลังถูกกดขี่จากพวกมัน”


               ไป๋ซานที่โตกว่าเหวินเป่านั่งฟังพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นคุยกันอย่างตั้งใจ และดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับพวกเขาในหลายเรื่อง โดย

เฉพาะในเวลาที่ผู้ชายคนหนึ่งพูดอะไรยาวๆให้พวกชาวบ้านที่นั่งล้อมวงฟังกันไป๋ซานจะลากเหวินเป่าไปฟังด้วยทุกครั้ง


               “นั่นน่ะ คุณอู๋ไงล่ะ คนๆนี้แหละที่จะมาปลดแอกพวกเรา ฟังที่คุณอู๋พูดสิมันจริงทุกคำ”


               ราวกับไป๋ซานจะยกย่องเทิดทูนผู้ชายที่เหวินเป่ารู้จักภายหลังว่าเป็นผู้นำของพรรคการเมืองจนกลายเป็นวีรบุรุษไปแล้ว เด็ก

อย่างเหวินเป่าตัดสินไม่ได้หรอกว่าอะไรคือความจริง เขาได้แต่นั่งฟังและเก็บคำพูดเหล่านั้นไว้ในลิ้นชักของสมอง เหวินเป่าใช้ชีวิตอยู่ใน

ค่ายทหารร่วมกับชาวบ้านจนวันหนึ่งเด็กน้อยจึงได้เห็นรถยนต์ทหารคันหนึ่งกำลังจะขับออกไปจากค่าย

               เหวินเป่าเบิกตากว้างเมื่อรถคันนั้นคุ้นตาเสียเหลือเกินแม้ว่าจะอยู่ในระยะไกล และยิ่งเห็นร่างสูงผึ่งผายที่กำลังเดินตรงไปที่รถ

อย่างเร่งรีบเด็กน้อยก็ยิ่งมั่นใจ เหวินเป่าไม่มีวันลืมเลือนคนที่ดึงเขาออกมาจากซ่องคณิกาอันต่ำตมและมอบชีวิตใหม่ให้แก่เขา ผู้ชายที่

อยู่ในความทรงจำและหัวใจแสนบริสุทธิ์ของเด็กน้อย


               “นายท่าน”


               แม้แต่ชื่อเหวินเป่าก็ยังไม่รู้จัก เขารู้แต่ว่านั่นคือวีรบุรุษตัวจริงของเขา น้ำตาของเหวินเป่าเอ่อท้นด้วยความระลึกถึงอย่างที่สุด

เด็กน้อยก้าวเท้าหวังจะเข้าไปใกล้อีกสักนิดหากแต่ต้นแขนกลับถูกดึงรั้งไว้ด้วยมือของไป๋ซาน


               “เหวินเป่าจะไปไหน”


               “ปล่อย พี่ไป๋ซาน ผมจะไปหานายท่าน”


               เหวินเป่าดิ้นรนแต่ไป๋ซานยังคงยึดต้นแขนของเขาไว้จนเด็กน้อยร่างผอมมิอาจดื้อดึงได้


               “จะบ้าหรือไง ทหารคนนั้นเขาเป็นถึงหลานของนายกรัฐมนตรีเชียวนะ อย่าเข้าไปใกล้พวกมีอิทธิพลเลย”


               “ไม่ พี่ไป๋ซาน ปล่อยเดี๋ยวนี้ ดูสินายท่านขึ้นรถไปแล้ว ปล่อย!”


               ออกแรงจนสามารถผลักไป๋ซานออกห่างได้เหวินเป่าก็รีบวิ่งไปยังรถยนต์คันนั้น หากแต่หัวใจดวงน้อยก็ต้องสลายเมื่อจุด

หมายขับรถเคลื่อนที่หนีห่างออกไปเรื่อยๆ เหวินเป่าวิ่งจนหมดแรงทรุดลงกับพื้นเมื่อรถยนต์แล่นจากไปจนลับตา เขาร้องไห้จนปริ่มจะ

ขาดใจ

               อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกับชายที่อยู่ในดวงใจของเขา เหวินเป่าไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าชีวิตจะสิ้นสุดที่ตรงไหน ความ

อ้างว้างโดดเดี่ยวเข้ามาเกาะกุมจิตใจจนหนาวเหน็บ เหวินเป่าทำได้เพียงตั้งความหวังลมๆแล้งๆว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้พบกับเจ้าของชีวิต

ใหม่ของเหวินเป่าอีกครั้ง


                “ผมจะรอ รอนายท่านกลับมาทำตามสัญญา ผมจะรอนายท่าน”


               เหวินเป่าจะรักษาชีวิตไว้หวังเพียงว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้พบกับชายคนนั้นอีกครั้งแม้ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่ก็ตาม







               เฉินหย่งหนานขึ้นรถอย่างรวดเร็วเมื่อผู้หมู่ไห่รีบแจ้งข่าวสำคัญ


               “รถของท่านจิ้งเหอถูกล้อมและชิงตัวไปแล้วครับ”


               หย่งหนานตกใจเป็นอย่างมาก เขานึกเสียใจที่ไม่ได้ไปคุ้มกันให้เฉินจิ้งเหออย่างที่สังหรณ์ใจไว้


               “ใครทำ”


               อาไห่อ้ำอึ้งก่อนจะเอ่ยปากอย่างขลาดๆเพื่อตอบคำถามของเจ้านาย


               “ทหารรายงานว่า เอ่อ เป็นกองกำลังของผู้กองเฉินหยางซุนและนายพลจางร่วมมือกันครับ”


               กัดฟันกรอดข่มความร้อนให้เย็นลงอย่างยากลำบาก ใครจะนึกว่าผู้กระทำคือบุตรชายแท้ๆและลูกน้องคนสำคัญแถมยังพ่วง

ความสัมพันธ์ฉันท์ญาติเพราะพลตรีจางจิวหรงนั้นก็คือบิดาภรรยาของเฉินหยางซุนนั่นเอง แต่อย่างน้อยหย่งหนานก็ยังเบาใจว่าทั้งพ่อตา

และลูกเขยคู่นั้นจะไม่ทำอันตรายแก่เฉินจิ้งเหอเป็นแน่


               “ช้าไม่ได้ อาไห่ ไปกันเร็ว”


               ไม่รอให้ต้องสั่งซ้ำอาไห่กระโจนขึ้นฝั่งคนขับทันที หย่งหนานตามไปฝั่งตรงข้ามเขาไม่เคยใจร้อนขนาดนี้ แต่เพราะยังไม่รู้จุด

ประสงค์ของญาติผู้พี่เขาจึงไม่อาจนิ่งนอนใจ

               อาไห่บังคับรถยนต์ให้ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว คิ้วเข้มของหย่งหนานขมวดเข้าหากันเป็นปม หากแต่อะไรบางอย่างดึงเขาจาก

ความหมกมุ่นกับความปลอดภัยของผู้เป็นลุงให้สะดุ้งราวกับมีอะไรบางอย่างรั้งไว้


                “นายท่าน”


               เสียงนั้นดังแว่วแต่ไกลแข่งกับเสียงเครื่องยนต์จนไม่อาจจับใจความได้ชัดเจน แต่มันกลับเรียกให้หย่งหนานเหลียวหน้าไปยัง

เบื้องหลังที่จากมา ดวงตาคมเพ่งมองกลับไปจ้องจุดความสนใจเล็กๆที่แทบมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าทำไมหย่งหนานถึงยังจำได้ติดตา


               “อากุย!”


               หัวใจอันเข้มแข็งพลันอ่อนยวบเมื่อเห็นเด็กน้อยทรุดฮวบลงไปกับพื้น เขาจ้องมองจนกระทั่งอาไห่ขับรถออกมาไกลจนมอง

ร่างเล็กไม่เห็นอีกต่อไป อย่างน้อยเด็กน้อยก็ยังรอดชีวิตจากการรุนรานของญี่ปุ่น เขาหันกลับไปมองเบื้องหน้าแล้วถอนลมหายใจออกมา


               ชีวิตที่ไม่รู้อนาคตรออยู่เบื้องหน้า หย่งหนานยังคาดเดาไม่ถูกว่านายทหารอย่างเขาจะปลิดปลิวไปกับไฟสงครามเร็วช้าแค่

ไหน และเมื่อไหร่ที่บ้านเมืองจะกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง


               “จงรักษาชีวิตไว้ด้วยเถิดเหวินเป่า หากมีวาสนาต่อกันฉันจะรับเธอไปอยู่ด้วยตามสัญญา”



มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 20-01-2017 14:15:03


ต่อกันตรงนี้...




               หลับตาลงตัดใจจากร่างเล็กในความทรงจำและลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อสถานการณ์ตึงเครียดในขณะนี้ อาไห่ขับรถพาเขามายังซี

อานที่มีฐานทัพใหญ่จัดตั้งอยู่ ณ พระราชวังเก่าอันเป็นเมืองหลวงมากว่าสองพันปี ความรุ่งเรืองในอดีตยังคงงดงามอยู่เสมอ มันเป็นความ

ภาคภูมิใจเกินกว่าจะปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นถูกทำลายเพราะศัตรู

               อาไห่จอดรถให้เขาลงไปยืนสง่าท่ามกลางสายตาของเหล่าพลทหารที่สังกัดอยู่กับหยางซุน หย่งหนานกวาดสายตาคมจน

ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอะไรกับเขา


               “หลีกทาง”


               เขาออกคำสั่งกับนายทหารที่ปิดทางเข้าอยู่ แม้ว่านายทหารคนนั้นจะมีอายุและยศที่มากกว่าเขา แต่เพราะทุกคนรู้ดีว่าเขาเป็น

ใคร และยังเกรงกับสายตาดุราวกับเสือยามเกรี้ยวกราดทำให้นายทหารคนนั้นจำต้องยอมเปิดทางให้หย่งหนานก้าวเข้าไปในฐานทัพ

ทหารที่หยางซุนควบคุมอยู่


               “คุณลุง!”


               ใจกลางฐานทัพ ภายในห้องประชุมสำหรับผู้นำหย่งหนานมองเห็นเฉินจิ้งเหอนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้แห่งผู้นำ ใบหน้าของชายวัย

ชราเคร่งเครียดมือเหี่ยวย่นยังคลึงกระสุนเก่าไว้ในอุ้งมือโดยมีหยางซุนและจางจิวหรงยืนอยู่เบื้องหน้า หย่งหนานก้าวเข้าไปภายในเขานิ่ง

ฟังการสนทนาที่เกิดขึ้น


               “ถ้าหากยังเห็นฉันเป็นผู้นำก็จงทำตามคำสั่ง แต่ถ้าไม่ก็จงฆ่าฉันเสีย”


               “คุณพ่อ” หยางซุนเรียกอย่างอัดอั้น ใช่ว่าเขาจะไม่เคารพรักบิดา หากแต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องทำเพื่อบ้านเมืองเสียก่อน


               “คุณพ่อคือผู้นำเสมอ แต่คราวนี้คุณพ่อนำผิดทาง ญี่ปุ่นรุกรานจนศพชาวจีนกองกันเป็นสะพานข้ามทะเลได้ ทำไมคุณพ่อไม่

สั่งการให้พวกเราสู้รบ”


               จิ้งเหอหันไปสบตากับจิวหรงลูกน้องคนสนิทและยังเกี่ยวดองกันเป็นเครือญาติอีกชั้นอย่างผิดหวัง


               “จิวหรง เธอทำงานกับฉันมาก็นาน ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าฉันคิดอะไร”


               จางจิวหรงก้มหน้าอย่างอึดอัด เขาตัดสินใจเอ่ยความคิดคัดค้านออกมา


               “ผมเข้าใจครับท่าน ว่าท่านยังกังวลถึงศึกภายในเป็นสำคัญ แต่ท่านครับศึกนอกครานี้รุนแรงนัก ผมคิดว่าเราไม่อาจปล่อยให้

ข้าศึกรุกรานได้จริงๆ”


               “จึงได้ร่วมมือกับลูกเขยของเธอมาบังคับฉันสินะ เธอเป็นทหารแต่กลับกระทำเช่นนี้กับผู้บังคัญบัญชาของเธอ”


               คำพูดนั้นบาดใจของจิวหรง แต่เขาจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายคล้อยตามความคิดเห็นของเขา


               “ท่านครับ ท่านเป็นผู้บังคับบัญชา ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเราที่เป็นทหารทุกคน แต่ท่านครับ ผมไม่อาจปล่อยให้

ประชาชนมองท่านอย่างเลวร้ายได้อีก ถึงแม้ว่าในอนาคตอาจจะเกิดเรื่องที่เลวร้ายกว่าสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่น แต่นั่นคือเรื่องของวัน

หน้า ในวันนี้ตอนนี้พวกเราอยากให้ท่านต่อสู้เพื่อเกียรติยศของพวกเรา”


               จิ้งเหอมองชายทั้งคู่ หนึ่งเป็นบุตรชาย หนึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทที่ตายแทนกันได้ที่ร่วมมือกันทำเพื่อบ้านเมืองในแนวคิดของ

ตน จิ้งเหอเองก็เข้าใจแต่ในฐานะผู้นำเขาจำต้องมองรอบด้านมากกว่า


               “รู้ใช่ไหมว่าการต่อสู้ในครั้งนี้เป็นแค่ก้าวแรกไปสู่ความเลวร้ายยิ่งกว่า เราอาจจะไม่มีก้าวต่อไปที่จะไปสู้ศึกในวันหน้าทั้งเรา

และทั้งประเทศชาติ”


               หยางซุนสบตาบิดา เขาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าและกล่าวหนักแน่น


               “ผมทราบครับ แต่ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไรก็ขอให้ทุกอย่างมันจบเพราะพวกเราชาวจีนได้ร่วมกันต่อสู้เถอะครับ”


               จิวหรงคุกเข่าเคียงคู่กัน และนั่นทำให้จิ้งเหอนิ่งงันเขากำกระสุนในมือจนฝ่ามือชื้นเหงื่อ จิวหรงรีบสำทับเมื่อเห็นว่าเจ้านายเริ่ม

คล้อยตามแล้ว


               “ผมติดต่อขอความช่วยเหลือเรื่องอาวุธกับสหรัฐอเมริกาแล้ว เขาขอให้เราทำสัญญาพันธมิตรกับพรรคสังคมนิยมว่าจะต้อง

ร่วมมือกันต่อสู้กับญี่ปุ่นโดยยังไม่มีการแข็งขันกันในช่วงเวลานี้ กรรมการพรรคสังคมนิยมยอมรับและรับปากว่าพวกเขาจะร่วมมือกับเรา”


               ร่วมมืองั้นหรือ จิ้งเหอมองไม่ออกว่าพรรคสังคมนิยมจะช่วยเหลืออะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีกำลังพลใดๆนอกจากขาย

อุดมการณ์ในฝัน จิ้งเหอรู้จักอู่จินไห่ดี เขารู้ว่าที่น่ากลัวว่าดวงอาทิตย์ร้อนแรงอย่างญี่ปุ่นก็คืออสรพิษร้ายเช่นชายคนนั้น     

             จิ้งเหอกวาดสายตามองความภาคภูมิของบรรพบุรุษที่สร้างมา เขาภาวนาข้อไม่ให้ทุกอย่างล่มจมในช่วงเวลาของเขา


             “ออกคำสั่งให้พลทหารเตรียมตัวรบ เกณฑ์ชายฉกรรจ์ทั้งหลายให้เข้ามาเป็นพลสำรองในกองทัพ นอกจากอเมริกาแล้วติดต่อ

ไปที่เยอรมันด้วย ใช้งบประมาณเท่าที่มีซื้ออาวุธมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เราจะสู้และขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากจีน”


               หยางซุนและจิวหรงกล่าวรับคำสั่งอย่างยินดี หยางซุนก้มศีรษะคำนับแทบเท้าของบิดา เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาแห่ง

ความเคารพรัก


                  “ผมจะทำเพื่อประเทศชาติให้ดีที่สุดไม่ให้เสียชื่อคุณพ่อเด็ดขาด”


                 เฉินหยางซุนและจางจิวหรงรีบลุกขึ้นไปทำตามคำสั่ง ทิ้งให้จิ้งเหอนั่งเพียงลำพังเวลานั้นเองที่หย่งหนานก้าวเข้าไปหาชาย

ชราที่ถอนหายใจออกมา เขาวางมือไปบนมือเหี่ยวย่นนั้น


               “คุณลุงครับ”


              จิ้งเหอแค่นยิ้มกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางมีร่องรอยหยามหยันตนเอง หย่งหนานเข้าใจทุกฝ่าย แต่ฟันเฟือง

เล็กๆเช่นเขาในช่วงเวลานี้มีแต่ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด


              “ในที่สุดลุงก็ยั้งสงครามไว้ไม่ได้ ความเลวร้ายกำลังมาเยือนเราแล้วหย่งหนาน”




              รัฐบาลจีนตกลงทำตามข้อเสนอของสหรัฐอเมริกาที่จะหยุดความขัดแย้งกับพรรมสังคมนิยม จากนั้นความช่วยเหลือทางด้าน

อาวุธยุทโธปกรณ์จึงถูกส่งมา หกเดือนหลังจากการสังหารหมู่นานกิงกองทัพญี่ปุ่นจึงเริ่มถอยร่นออกไปจากใจกลางเมืองท่าอย่างนานกิง

ช่างไห่และชานตงให้ผู้คนเริ่มทยอยออกจากป่ากลับเข้าสู่บ้านเมือง

              รัฐบาลจีนซื้ออาวุธจากเยอรมันและเร่งฝึกทหารเพื่อการศึกพวกเขาต่อสู้กับญี่ปุ่นอย่างเข้มแข็ง ส่วนญี่ปุ่นก็ขยายแล้วรบมาทาง

ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อควบคุมฐานทัพทางทะเลแต่ก็ถูกขัดขวางจากประเทศสัมพันธมิตร

              สามปีหลังจากนั้นสงครามโลกครั้งที่สองก็อุบัติขึ้นเมื่อญี่ปุ่นทิ้งระเบิดที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา
                (7 ธันวาคม ค.ศ. 1941)
               
                                                 TBC


                                 
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 20-01-2017 18:02:29
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 20-01-2017 18:33:22
กำลังสนุกเลยค่ะ
สงสารอากุย เกือบจะได้พบนายท่านแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-01-2017 19:07:45
 :ling2: :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 20-01-2017 19:32:16
สงสารเหวินเป่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้อยู่กับหยงหนาน :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 20-01-2017 19:59:22
สงคราม สงคราม ฉันเกลียดสงครามซะจริงเรื่องนี้จะไปในแนวทางไหนยังเดาไม่ออก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-01-2017 20:40:20
เลอค่ามาก

ข้อมูลแน่น สำนวนดี คาแรกเตอร์มีมิติ ความสัมพันธ์ในเรื่องก็จับคนอ่านได้อยู่หมัด

เหวินเป่าและนายท่านจะได้พบกันเมื่อไรนะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 20-01-2017 21:38:52
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 22-01-2017 14:37:30
จิตใจอะฮั้นบอบบางมากนะคุณบีเลิฟ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-01-2017 17:42:24
อีกนานแน่เลยกว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 24-01-2017 00:21:44


                                                                  ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                         บทที่ 5               


                 นครนานกิง

           กลางปีคริสศักราช 1945



               ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีก้มๆเงยๆจัดชุดหลากสีมาแขวนเรียงรายอยู่ด้านหลังเวทีที่ผู้คนกำลังพลุกพล่านก่อนการ

แสดงจะเริ่มต้น มือเรียวใช้ผ้าอ่อนนุ่มเช็ดถูอย่างทะนุถนอมจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าคุ้นหูก้าวมาทางด้านหลังเขาจึงหันไปส่งยิ้มให้


               “พี่ไป๋ซานมาแล้ว”


               “ตื่นเต้นอะไรนักหนาเหวินเป่า”


               “ก็อยากเห็นพี่ไป๋ซานแต่งชุดชิงอี่นี่นา”


               หลินเหวินเป่าตอบกลับ ดวงตาใสแจ๋วฉายชัดถึงความชื่นชมเมื่อเห็นสหายรุ่นพี่ที่ตรากตรำลำบากด้วยกันมาเนิ่นนานกลับคืนสู่

เวทีงิ้วอันสวยงามอีกครั้ง หลังจากที่บ้านเมืองตกอยู่ในช่วงของสงครามต่อเนื่องยาวนาน


               เหวินเป่าจำได้ไม่เคยลืมถึงความยากลำบากที่พวกชาวบ้านต้องเข้าไปหลบอยู่ในค่ายทหารนานถึงหกเดือน หลังจากญี่ปุ่น

เข้ายึดครองเมืองท่าทั้งหลายไว้ ไม่นานหลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีเฉินจิ้งเหอจึงได้สั่งการให้มีการตอบโต้ญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด จีนได้อาวุธ

มาจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในช่วงแรกเพื่อขับไล่กองกำลังจักรวรรดิญี่ปุ่นให้ออกไปจากเมืองท่า ใช้เวลานานถึงหกเดือนกว่าจะ

สำเร็จและประชาชนจึงได้ทยอยกลับไปใช้ชีวิตยังบ้านเรือนของตน

               วันที่เหวินเป่ากลับเข้าเมืองเป็นวันแรกเด็กน้อยถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นสภาพบ้านเมืองที่พังยับเยินแทบจะเหลือแต่ซากปรักหัก

พัง ชาวบ้านที่เดินเท้ากลับมาพร้อมกันต่างพากันร้องไห้ระงมทั่วทั้งเมือง เหวินเป่าและไป๋ซานไม่มีที่ไปนอกจากโรงงิ้ว พวกเขาจึงตรงไป

ที่นั่นจึงพบว่ามีเพียงความว่างเปล่าเมื่อวันถูกทำลายจากฝีมือของทหารญี่ปุ่น พวกเขาพักอยู่ในซากของโรงงิ้วที่มีแต่กลิ่นเหม็นอบอวล

เพื่อรอว่าหยางซื่อเจ้าของโรงงิ้วจะกลับมาหรือไม่

                รออีกไม่กี่วันหยางซื่อก็กลับมาพร้อมหยางเจี่ยนตามที่เคยนัดหมายกันไว้ หยางซื่อหัวใจแตกสลายเมื่อเห็นสภาพโรงงิ้วของ

เขา ชาวคณะงิ้วตัดสินใจทำงานรับจ้างเพื่อหาเงินปะทังชีวิตช่วยเหลือซึ่งกันอยู่เป็นปีๆและในที่สุดหยางซื่อก็กลับมาพร้อมข่าวดี

               นักการเมืองคนหนึ่งที่หยางซื่อเคยรู้จักให้เขาหยิบยืมเงินทุนมาก้อนหนึ่ง มันมากพอที่หยางซื่อจะสร้างโรงงิ้วขึ้นมาใหม่ได้แม้

จะเล็กกว่าเดิม เสื้อผ้าเครื่องประดับและเครื่องดนตรีถูกจัดหามาอย่างรวดเร็วเพื่อให้พวกเขาได้แสดงงิ้วโดยที่ผู้เล่นยังไม่มากเท่าก่อน

สงครามแต่นั่นก็พอที่จะทำให้ชาวงิ้วลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง แม้แต่เหวินเป่าเองก็ยังถูกฝึกให้รับตำแหน่งฮี้เกี้ยหรือทหารรับใช้

ตัวประกอบด้วย

               หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองกำเนิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว กองทัพญี่ปุ่นก็เริ่มเบนความสนใจไปยังตะวันออกเฉียงใต้ และสู้รบ

กับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างดุเดือด ระหว่างนั้นรัฐบาลจีนก็จัดซื้ออาวุธมาจากเยอรมันและมีการฝึกสอนทหารให้เชี่ยวชาญกันใช้อาวุธ

กองทัพจีนเข้มแข็งมากขึ้นและสามารถยึดคืนพื้นที่เหอเป่ยมาได้ กำลังพลทหารญี่ปุ่นในจีนมีลดน้อยถอยลงตามลำดับและระหว่างนั้น

ประชาชนก็ค่อยๆฟื้นตัวก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นมาใหม่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้าๆ โรงงิ้วของหยางซื่อจึงได้อานิสงมาด้วยเมื่อเก็บค่าชมงิ้วได้

มากขึ้นหยางซื่อก็ได้นำไปลงทุนกับเสื้อผ้าเครื่องประดังจนเกือบจะกลับมาสวยงามดั่งเช่นในอดีต

               ไป๋ซานเติบโตกลายเป็นหนุ่มวัยใกล้เบญจเพศ รูปร่างของเขาสูงโปร่งเหมาะกับบทตัวนางที่เขาได้รับ และบัดนี้เขาได้เลื่อน

ขั้นจากฮวาตั้นนางเอกรุ่นสาวมาเป็นชิงอี่นางเอกรุ่นใหญ่เต็มตัว ชื่อเสียงของไป๋ซานโด่งดังเป็นที่รู้จักในแถบนานกิงที่เหลือคณะงิ้วไม่กี่

คณะ


               “เราน่ะ พี่บอกให้ไปขอเหล่าซือเล่นเป็นฮวาตั้นก็ไม่ยอม”


               ไป๋ซานส่ายหน้าระอา เขาพิจารณาใบหน้าของเหวินเป๋าอย่างนึกอิจฉาอยู่นิดๆเด็กหนุ่มวัยสิบหกตรงหน้าหุ่นผอมบาง

สะโอดสะอง ใบหน้านั้นหวานกว่าหญิงสาวคนอื่นๆที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามเสียอีก ดวงตาของเหวินเป่าเรียวยาวมีแพขนตาดำหนา จมูก

โด่งเป็นสันรับกับปากกระจับสีชมพูระเรื่อ ผิวพรรณนั้นก็ขาวนวลไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นผิวขาวออกเหลือง ทุกอย่างเหล่านั้นรวมกันทำให้

เหวินเป่าเป็นเด็กหนุ่มที่เกินกว่าจะใช้คำว่าหน้าตาดีมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่ไม่รู้และยังชอบทำงานคลุกฝุ่นจนมอมแมมทั้งตัว


               “ไม่ไหวหรอกพี่ไป๋ซาน”


                 เหวินเป่ากลอกตาไปมา


               “ผมร้องงิ้วได้ที่ไหนกันเล่า แค่ฟังพี่ไป๋ซานซ้อมทุกวันนี้ก็ยังนึกทึ่งที่พี่ทั้งร้องทั้งร่ายรำ ส่วนผมน่ะไม่ไหว ตัวแข็งเป็นท่อนไม้

เสียงก็ไม่ได้เรื่อง”


               เหวินเป่าเป็นคนขาดความมั่นใจไป๋ซานรู้ดี เขานึกระอากับความไร้เดียงสาของเหวินเป่า แม้จะผ่านช่วงแห่งความโหดร้ายมา

ด้วยกันแต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มข้างตัวเขาก็ยังคงความบริสุทธิ์ของจิตใจราวกับโลกนี้สวยงามเสียเหลือเกิน


               “อย่ามัวแต่พูดมากเลย ช่วยพี่แต่งชุดงิ้วดีกว่า”


               ไป๋ซานขยับลุกเหวินเป่าจึงรีบลุกตามพลางคว้าชุดของไป๋ซานส่งให้


               “เรื่องม่านประเพณีนี่ดังนะพี่ไป๋ซาน เล่นกี่รอบคนดูก็เต็มทุกรอบ”


               การแสดงงิ้วนั้น หากเล่นเรื่องใดก็จะเล่นเรื่องนั้นติดต่อกันเป็นเดือน และมีอยู่หลายเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนดู

รวมถึงเรื่องที่คณะงิ้วของหยางซื่อเล่นอยู่ในช่วงนี้ด้วย


                “ใช่น่ะสิ ใครๆก็ชอบความรักระหว่างชนชั้นที่ถูกกีดกัน”


               น้ำเสียงของไป๋ซานติดจะประชดนิดๆแต่เหวินเป่าก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เขาช่วยไป๋ซานแต่งตัวก่อนจะแต่งชุดของตนเองที่รับบท

เป็นชาวบ้านทาหน้าสีขาวอย่างเดียว ไม่นานนักทั้งคู่ก็ลุกไปยังด้านหลังเวทีที่มีหยางซื่อเป็นผู้เริ่มพิธีไหว้เทพปั้นเซียนก่อนการแสดง


               “เหวินเป่า มายืนใกล้ๆพี่สิ”


               ชายหนุ่มที่เป็นเสี่ยวเซิงหรือพระเอกของเรื่องคือหยางเจี่ยนบุตรชายเพียงคนเดียวของหยางซื่อ เขาอายุยี่สิบปีแล้วและมีฝีมือ

ด้านการแสดงจากที่บิดาของเขาฝึกฝนให้ตั้งแต่จำความได้


               “ต้องให้พี่ไป๋ซานไปยืนข้างพี่สิ พี่ไป๋ซานเป็นนางเอก ส่วนผมมันแค่ชาวบ้าน”


               เหวินเป่ารุนหลังไป๋ซานให้ไปยืนเคียงข้างหยางเจี่ยน พวกเขาทั้งหมดรวมถึงทุกคในคณะงิ้วเงียบลงเมื่อหยางซื่อคารวะปั้น

เซียน


                “วันนี้ตั้งใจเล่นกันหน่อย”


               หยางซื่อกล่าวเมื่อพิธีไหว้ปั้นเซียนเสร็จเรียบร้อย


               “ท่านเหยาที่เป็นเจ้าของเงินสร้างโรงงิ้วมาชมอยู่ด้วย ถ้าพวกเราเล่นดีอาจจะได้รางวัลและมีเงินขยายโรงงิ้วเพิ่ม”


               “พวกขุนนางนี่เอาเงินมาจากไหนนะ”


                 ไป๋ซานกระซิบใกล้ๆหูเหวินเป่า คิ้วของเขาขมวดอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก


               “ดูสิว่าพวกเราอดมื้อกินมื้อหาเงินกันจนหมดแรงในช่วงสงครามโลกอย่างนี้ แต่พวกนักการเมืองยังสุขสบายไม่เดือดร้อน แถม

เงินยังเหลือขนาดเอามาให้เหล่าซือใช้ได้”


               เหวินเป่าชินเสียแล้วกับคำพูดทำนองนี้ ไป๋ซานไปร่วมฟังการปราศรัยของพรรคสังคมนิยมอยู่บ่อยครั้งจนจำได้แทบจะทุกคำ

พูดของอู๋จินไห่ที่เป็นวีรบุรุษของเพื่อนรุ่นพี่ แม้เหวินเป่าจะโตขึ้นมาจนพอรู้ความหมายของคำปราศรัยเหล่านั้นแต่เหวินเป่าไม่อยากจะชี้

ชัดลงไปว่าอะไรคือผิดอะไรคือถูก

               การแสดงงิ้วเริ่มแล้วหลังจากชุดบวงสรวงโป๊ยเซียนผ่านไป เหวินเป่าที่รับบทเป็นชาวบ้านตัวประกอบออกฉากไม่บ่อยนัก

ระหว่างรอเข้าฉากเขาก็หลบอยู่ด้านข้างทางออกบนเวทีเพื่อจ้องมองการแสดงของไป๋ซานอย่างชื่นชม เหวินเป่าอยู่กับไป๋ซานทุกช่วง

ของการซ้อมต่อบท เขาจ้องมองการร่ายรำและนิ่งฟังเสียงร้องของไป๋ซานที่แสนเสนาะหูในทุกรอบ ไป่ซาสะกดคนดูได้อยู่หมัด แม้แต่

นักการเมืองที่หยางซื่อกล่าวถึงซึ่งนั่งเด่นอยู่แถวหน้าของคนดูก็ยังจ้องมองจนไม่ละสายตา



                ม่านประเพณีเป็นเรื่องของหญิงงามในตระกูลสูงส่งนามว่าอิงไถที่ปลอมเป็นบุรุษไปเล่าเรียนหนังสือและหลงรักกับชามหนุ่ม

ฐานะยากจนชื่อซันป๋อ โดยที่ซันป๋อไม่รู้ว่าน้องชายร่วมสาบานแท้ที่จริงแล้วเป็นสตรี อิงไถถูกบังคับให้แต่งงานกับชายที่ครอบครัวจับ

คลุมถุงชนจึงเสียใจมาก หญิงสาวจึงเปิดเผยความจริงกับซันป๋อและนัดหมายให้ซันป๋อมาสู่ขอกับพ่อแม่ของเธอ

               เมื่ออิงไถกลับบ้านนางตั้งใจรอตัดชุดเจ้าสาวด้วยมือของเธอเอง แต่แล้วซันป๋อก็ไม่ได้มาเพราะถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าบ่าวของ

อิงไถ ซันป๋อเสียใจมากจนกระอักเลือดตรอมใจตาย เมื่ออิงไถรู้ข่าวจึงร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด นางบอกกับเจ้าบ่าวว่าขอใส่ชุดเจ้า

สาวที่นางตัดเย็บเองและขอให้ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนผ่านหลุมศพของซันป๋อมิเช่นนั้นจะไม่ยอมแต่งงาน เจ้าบาวจำเป็นต้องยอม

               เมื่อผ่านหลุมศพของซันป๋ออิงไถก็ลงไปหยุดยืนหน้าหลุมศพ นางคร่ำครวญพร้อมกับกัดนิ้วใช้เลือดทาที่ป้ายหลุมฝังศพ หลัง

จากนั้นจึงเกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อเม็ดกรวดดินเริ่มแยกออก ลมพายุพัดคะนอง อิงไถตัดสินใจกระโดดลงไปเพื่อฆ่าตัวตาย ท่ามกลางความ

ตกใจของทุกคนแผ่นดินก็เคลื่อนกลับและมีผีเสื้อสองตัวโบยบินมาจากหลุมศพคล้ายดั่งกับว่าซันป๋อและอิงไถได้ครองรักกันสมใจแล้ว




มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 24-01-2017 00:25:51


ต่อกันตรงนี้...





               เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อการแสดงจบลง ฉากจบอันแสนสะเทือนใจเรียกน้ำตาจากคนดูที่เข้ามาชมอย่างล้นหลาม

หยางซื่อยิ้มอย่างยินดีเมื่อเก็บค่าชมได้จำนวนมากเขาเดินไปหาชายแซ่เหยาที่เป็นนักการเมืองอย่างพินอบพิเทาขณะที่ผู้ชมทยอยออก

จากโรงงิ้วและนักแสดงต่างช่วยกันเก็บของ


               “พี่ไป๋ซานแสดงได้เยี่ยมมาก คนดูร้องไห้กับพี่โดยเฉพาะฉากจบกันเกือบทุกคนเลย”


               เหวินเป่ากล่าวอย่างตื่นเต้นในขณะที่ไป่ซานถอดเครื่องประดับจากศีรษะ และตามด้วยเครื่องแต่งกายสีสดจนเหลือแต่ชุดด้าน

ในสีขาว


               “งั้นหรือ พี่ก็เล่นธรรมดานะ”


               ดูเหมือนไป๋ซานจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับความชื่นชมเหล่านั้น พวกเขาหยุดพูดเมื่อหยางซื่อเดินตรงมาหา


               “แสดงได้ดีนะไป๋ซาน ไม่เสียแรงที่ร่ำเรียนและฝึกซ้อมมา”


               “ขอบคุณครับเหล่าซือ”


               “ทุกคนชอบการแสดงของเธอมาก โดยเฉพาะท่านเหยาที่ชื่นชมเป็นพิเศษ”


               น้ำเสียงของหยางซื่อมีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจเหวินเป่าจนต้องขมวดคิ้ว


               “ท่านให้เงินรางวัลมาจำนวนหนึ่งพอให้พวกเราแบ่งปันกันได้อย่างสบาย และสำหรับการต่อเติมโรงงิ้วท่านบอกว่าจะช่วย

เพียงแต่ขอให้เธอไปกับท่าน”


               “อะไรนะครับ!”


               ไป๋ซานตกใจ ใบหน้าที่ยังมีเครื่องสำอางสีขาวชมพูยังปิดอาการนั้นไม่มิด


               “เหล่าซือพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ”


               ดวงตาของหยางซื่อในตอนนี้มีความแปลกประหลาดอย่างที่เหวินเป่าไม่เคยเห็น มันมีทั้งความละโมบและเล่ห์เหลี่ยมจนเหวิน

เป่าต้องตรงเข้าไปกุมมือไป๋ซานไว้ด้วยความตระหนก


               “อย่าทำเป็นโง่ไปหน่อยเลยไป๋ซาน ในเมื่อท่านชื่นชมเธอขนาดนี้เธอก็ควรจะสนองตอบให้ท่าน ท่านเหยาน่ะเป็นแหล่งเงิน

ของพวกเรานะอย่าลืม”


               “เหล่าซือ!”


               ไป๋ซานมองหยางซื่ออย่างคาดไม่ถึง ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้างพร้อมกับขยับเท้าไปด้านหลังช้าๆ


               “ผมไม่นึกว่าเหลาซือจะขายผมกินแบบนี้”


               เสียงตะโกนของไป๋ซานเรียกความสนใจจากคนอื่นๆที่กำลังเก็บของให้เข้ามายืนมุงดูเหตุการณ์ หยางซื่อหน้าเครียดเมื่อเห็น

การต่อต้านของไป๋ซาน


               “จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ถ้าเธออยากจะเรียก ฉันเสียเงินซื้อเธอมาจากพ่อแม่ ขุนให้เธอได้ดีกลายเป็นชิงอี่ชื่อเสียงโด่งดัง เธอควร

จะแสดงความกตัญญูต่อฉันบ้าง”


               “แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้”


               “เกิดอะไรขึ้นน่ะพ่อ”


               หยางเจี่ยนบุตรชายตรงเข้ามาถามอย่างตกใจ หยางซื่อรีบหันไปตวาดเสียงดัง


               “อาเจี่ยนอย่าเข้ามายุ่ง นี่เป็นเรื่องความเป็นความตายของงิ้วเรา”


               หยางซื่อหันไปมองไป๋ซาน เขาพูดด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวคุกคาม


               “รู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นนักการเมืองอยู่ในพรรคชาตินิยม อิทธิพลของเขามากมายแค่ไหน หากเธอยอมปรนเปรอความสุขให้

เขาเสียหน่อยทั้งเธอและพวกเราก็จะมีเงินมีข้าวกิน แต่ถ้าเธอไม่ยอมพวกเราจะตายกันทั้งหมด ลองคิดดูสิไป๋ซาน แค่เธอคนเดียว นิด

หน่อยมันไม่สึกหรอหรอกน่า”


               “ไม่ ผมไม่คิดอะไรทั้งนั้น คนเลว!”


               ไป๋ซานขยับเท้าวิ่งหนีหากแต่ไม่ทันเมื่อหยางซื่อสั่งให้คนในคณะจับตัวไป๋ซานไว้ เหวินเป่าตกใจสุดขีดเมื่อไป๋ซานถูกลากตัว

จากไปทั้งที่ยังดิ้นรนไม่หยุดโดยมีหยางซื่อควบคุมตัวไป เหวินเป่าทั้งหวาดกลัวและสงสารไป๋ซานจนร้องไห้ออกมา


               “พี่เจี่ยน ทำอะไรเข้าสักอย่างสิ”


               หนุ่มน้อยคร่ำครวญกับหยางเจี่ยนที่ยืนอึ้งไม่แพ้กัน


               “ไปช่วยพี่ไป๋ซาน อย่าให้เหล่าซือพาพี่ไป๋ซานไป”


               “จะให้พี่ช่วยยังไง พ่อจะได้ทำโทษพี่น่ะสิ”


                หยางเจี่ยนไม่กล้า ใครจะกล้าหือกับหยางซื่อที่แสนเข้มงวด


               “เราอยู่อย่างนี้จะปลอดภัยกว่า ท่านเหยาน่ะคงไม่ทำร้ายพี่ไป๋ซานจนตายหรอก”


               หยางเจี่ยนมองเหวินเป่าอย่างเห็นใจแต่ก็ไม่ได้หยิบยื่นการช่วยเหลือ เหวินเป่าได้แต่วิ่งไปด้านหน้าของโรงงิ้วมองท้าย

รถยนต์ทันสมัยพาไป๋ซานจากไป เหวินเป่ากลับไปยังที่นอนของเขาอย่างเศร้าสร้อย ที่นอนด้านข้างอันเป็นของไป๋ซานว่างเปล่าในคืนนี้

และอีกสองวันสองคืนเต็มๆที่เหวินเป่านอนร้องไห้แต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งตอนสายของวันหนึ่งเขาจึงเห็นรถยนต์คันเดิมมาส่งไป๋ซานที่

หน้าโรงงิ้ว ไป๋ซานเดินกัดฟันไม่ยอมมองหน้าใครๆโดยเฉพาะหยางซื่อ เขาเดินเข้ามาและล้มตัวลงนอนบนฟูกของตนเองทั้งน้ำตา


               “พี่ไป๋ซาน”


               “อย่า อย่าแตะต้อง”


               มือเรียวที่เตรียมจะวางมือลงไปเพื่อให้กำลังใจพลันชะงักเมื่ออีกฝ่ายตวาดใส่ ไป๋ซานตะแคงตัวพลิกหนีหน้า เขานอนกอดเข่า

ตัวเองและร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น


               “เกลียด เกลียดพวกมัน เกลียดพวกมันทุกคน”


               “โธ่ พี่ไป๋ซาน”


               เหวินเป่ากอดร่างนั้นไว้แม้จะขัดขืนในช่วงแรกแต่ในที่สุดไป๋ซานก็สะอึกสะอื้นกับอ้อมกอดของเพื่อนรุ่นน้อง เหวินเป่าร้องไห้

ตามด้วยความสงสาร เขาเรียนรู้ถึงความเลวร้ายของอิทธิพลจากผู้มีอำนาจเป็นครั้งแรก


               ไป๋ซานคล้อยหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลีย เหวินเป่าจึงลุกขึ้นไปทางห้องครัว เขาใช้มือถูกับกองถ่านและป้ายบนใบหน้า

ตนเองจนเลอะสีดำเต็มหน้า บางครั้งความงดงามอาจเป็นภัยโดยไม่คาดคิด


               เหวินเป่าไม่กล้าไว้ใจผู้ใดอีกแล้ว


                                                    TBC

                              :ling3: :ling3: 


              เปิดตัวนิยายเรื่องใหม่จ้า ใครชอบแนว Omegaverse อย่าได้พลาด


                         เหยื่อล่าสังหา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57377.0)ร

หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 24-01-2017 00:34:02
 :katai1:   โอ๊ยยย สงสารไป๋ซาน   หลงคิดว่าเหล่าซือคือ คนดี  สุดท้ายก็เลว

อย่าอ้างเลยว่ากลัวอิทธิพล  เพราะเหล่าซือตั้งใจซื้อไป๋ซานมาขายตั้งแต่แรก 

ไม่อยากจะคิดถึงเต่าน้อยเลย  ว่าถ้าโตไปต้องสวยกว่านี้สุดท้ายจะรอดมั้ย

ปล.ขออย่าให้ไป๋ซานเป็นอะไรหรือตายเลย ให้นางมีคนรักดีๆหน่อยเถอะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 24-01-2017 01:14:56
อำนาจเงินทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ เหล่าซือไม่น่าเป็นคนอย่างนั้นเลย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 24-01-2017 08:39:02
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 24-01-2017 10:25:17
เจอเพชรเม็ดงามในดงนิยายวายแล้ว
สนุกมากกกกกกกกก
เหมือนได้อ่านงานเขียนจากนักเขียนชื่อดังเลย
เข้มข้น วางไม่ลง และได้แง่คิดตลอด
เรื่องนี้จะเป็นอีกเรื่องที่เราจะชื้อมาเก็บบนหิ้งแน่นอน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-01-2017 11:22:43
โธ่...ไป๋ซาน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 24-01-2017 11:25:36
สงสารไป๋ซาน ฮือ รอมาต่ออ
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 26-01-2017 21:03:18


                                                          ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                  บทที่ 6


               ร่างสูงของเฉินหย่งหนานเดินสง่างามอยู่หน้ากองกำลังทหารรัฐบาลแห่งชาติที่เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนเหล่าทหาร

ทั้งหมด แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสามสิบปีแต่ก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นถึงพันตรีอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาเป็นหลานของเฉิน

จิ้งเหอ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเหตุผลส่วนสำคัญเป็นเพราะความสามารถของเขาอย่างแท้จริง

               หลังจากวันที่จิ้งเหอตัดสินใจด้วยความจำเป็นว่าจะต่อสู้กับกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นกองทัพจีนจึงจัดซื้ออาวุธมาด้วยงบประมาณ

มหาศาล ชายหนุ่มที่อายุเกินยี่สิบปีถูกเกณฑ์มาเป็นทหารใหม่ จิ้งเหอมอบหมายให้หย่งหนานเรียนรู้วิธีการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ได้มา

และฝึกฝนเหล่าทหารจนสามารถใช้งานมันได้ บัดนี้หย่งหนานจึงกลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้เฉินจิ้งเหอผู้เป็นลุงและ

เฉินหยางซุนบุตรชายที่เป็นแม่ทัพในการวางแผนการรบ

                ญี่ปุ่นต้องต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในหลายๆประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เป็นหัวหอกทั่วภาคพื้นเอเชีย ญี่ปุ่นเองก็เสีย

กำลังพลไปเป็นจำนวนมากหากแต่ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขายังยืนกรานที่จะต่อสู้เพื่อสมเด็จพระจักรพรรดิของพวกเขาอย่างเข้มแข็งแม้ว่า

กำลังเพลี่ยงพล้ำในหลายพื้นที่โดยเฉพาะการช่วงชิงชัยชนะกันในสมรภูมิกลางทะเล จิ้งเหอบอกกับหย่งหนานว่าหากญี่ปุ่นยังไม่ยอมรับ

ความพ่ายแพ้ บางทีสหรัฐอเมริกาอาจตัดสินใจใช้กำลังขั้นเด็ดขาด และเพราะความเพลี่ยงพล้ำนั้นทำให้ทหารญี่ปุ่นส่วนหนึ่งต้องไปจาก

ผืนแผ่นดินจีนเพื่อไปเสริมในพื้นที่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเห็นว่าจำเป็นต้องต้านไว้ให้ได้


               “ที่น่ากลัวในตอนนี้คือพรรคสังคมนิยม”

               เฉินจิ้งเหอกล่าวในวันหนึ่ง


               “หลานรู้ใช่ไหมวันพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่”


               “ทราบดีครับ”


                หย่งหนานเองก็หนักใจไม่แพ้กัน


               “พวกเขาใช้ช่วงเวลาที่พวกเราต้องมุ่งไปกับการต่อสู้นี้ดึงมวลชนไปอย่างเงียบๆจนตอนนี้แม้แต่พวกชาวนาก็ยังคล้อยตามไป

กับอุดมการณ์ของพวกเขา”


               แม้เบื้องหน้าพรรคสังคมนิยมจะรับปากกับอเมริกาว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายในช่วงสงครามโลกและจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล

ในทุกด้าน แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีส่วนช่วยในการสู้รบเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังใช้เวลาที่ผ่านมาหลายปีค่อยๆแทรกซึมไปตามพวก

ชาวนาจนกระทั่งพวกเขาได้พลังมวลชนไปอย่างเงียบๆ


               “ลุงเองก็เป็นผู้นำที่ใช้ไม่ได้นัก”


                จิ้งเหอกล่าวโทษตัวเอง


               “เพราะมัวแต่ยุ่งกับการสู้รบจึงไม่มีเวลาเข้มงวดกับพวกฝ่ายบริหาร”


               นี่คือสิ่งที่น่าหนักใจที่สุดที่หย่งหนานคิด แม้ว่าจิ้งเหอจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของเหล่าทหารและผู้คนที่

ยังเชื่อมั่นในพรรคชาตินิยม แต่เหล่านักการเมืองที่อยู่ฝ่ายบริหารกลับทำให้เสียชื่อด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่เบื้องหลังผู้นำที่มุ่งมั่นใน

สงคราม พื้นที่การปกครองกว้างใหญ่จนจิ้งเหอที่แม้จะเก่งกาจเพียงไหนก็ไม่อาจมองเห็นได้โดยรอบ และนี่เป็นจุดบอดที่พรรค

สังคมนิยมนำไปหาเสียงโจมตี


               “หากสงครามโลกสิ้นสุดเมื่อไหร่ เราคงต้องปราบปรามทั้งคนในพรรคของเราเองและศัตรูภายในประเทศของเรา”


               จิ้งเหอวางแผนไว้ในอนาคตก่อนที่เขาจะหันมามองหลานชายอย่างชื่นชม


               “อย่ามัวแต่พูดเรื่องเครียดๆกันอยู่เลย วันนี้เป็นวันดีที่หลานจะแสดงศักยภาพของทหารใหม่ที่หลานฝึกมากับมือมิใช่หรือ ไป

กันเถอะ มีแต่คนอยากเห็นอยากชื่นชมความสามารถของทหารรัฐบาลจีน”


               วันนี้เป็นอีกวันที่สำคัญในรอบปีเพราะเป็นวันประกาศศักดาของกองทัพรัฐบาลทหารด้วยการเดินสวนสนาม ณ ลานกว้างของ

นานกิง พวกเขาเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับชมอยู่โดยรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ นายกรัฐมนตรีเฉินจิ้งเหอมาเป็นประธานในการสวนสนาม

ครั้งนี้ โดยมีเฉินหย่งหนานหัวหน้าหน่วยฝึกการรบควบคุมการแสดงแสนยานุภาพอย่างเข้มแข็ง

                 เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารจำนวนหลักพันกระทบพื้นอย่างพร้อมเพรียงตามที่ได้รับการฝึกฝนมาจนกระทั่งจบรอบการเดิน

เฉินจิ้งเหอลุกขึ้นมาโบกมือให้กับกองกำลังของรัฐบาลเพื่อสร้างขวัญกำลังใจรวมถึงโบกมือให้กับประชาชนที่มาชมโดยรอบก่อนเดินทาง

กลับ หย่งหนานภาคภูมิใจกับงานของเขาที่มีส่วนสร้างความเข้มแข็งให้กองทัพ เขารอจนกระทั่งทหารใหม่เดินทางกลับกันหมดแล้วหย่ง

หนานจึงได้ขึ้นรถที่มีจ่าสิบเอกไห่พลขับรถติดเครื่องรออยู่โดยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่ได้แต่มองไกลออกไป

                หลินเหวินเป่าอาศัยร่างกาผอมเพรียวกว่าผู้อื่นวิ่งสวนทางฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่เพียงเพื่อวิ่งไล่ตามหลังรถยนต์ทหารคันนั้น

หนุ่มน้อยวัยสิบหกเฝ้ามองแผ่นหลังคุ้นตาที่รถยนต์พาจากไปอย่างโหยหา เขาหยุดยืนอยู่นิ่งริมถนนเมื่อดวงตาเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำจน

มองอะไรไม่เห็น


                  “นายท่าน”


                  หัวใจของเหวินเป่าเต้นไหวแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกทรวงอก มันอัดอั้นปะปนไปด้วยความดีใจที่มีชีวิตรอดได้พบกับ

ชายผู้เป็นหนึ่งเดียวของชีวิตอีกครั้ง แต่อีกใจหนึ่งความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานของชายผู้นั้นกลับทำให้เหวินเป่ายิ่งรู้สึกห่างไกล

จนเอื้อมไม่ถึง

                   นายท่านของเหวินเป่าไม่เปลี่ยนไปเลย แม้เวลาจะผ่านไปถึงแปดปีแล้วแต่นายท่านก็ยังงามสง่าผ่าเผยไม่เสื่อมคลาย และ

ยิ่งอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ของทหารนักรบติดดาวบนบ่าก็ยิ่งน่าเกรงขาม ใบหน้าของนายท่านเมื่อมีอายุมากก็ยิ่งหล่อเหลาชวนมองจนพาให้

ใจเต้น มันเป็นความรู้สึกที่เหวินเป่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้แปรเปลี่ยนไปจากครั้งเมื่อยังเยาว์


                บ้าจริงเหวินเป่า นี่แกเป็นอะไรไปแล้ว!


                  ความเทิดทูนในครั้งเมื่อยังเด็กไม่ได้หนีหายไปไหน แต่สิ่งที่เหวินเป่าไม่เข้าใจนั้นความอาวรณ์โหยหาอยู่ในใจจนรันทดนั้น

คืออะไร เพียงแค่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นถึงพันตรีหลานชายของนายกรัฐมนตรีและเขาเป็นแค่เด็กในโรงงิ้ว ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของฐานันดรก็

พลันทำให้น้ำตาหยาดหยดลงมาจนได้

                เหวินเป่าเดินเหงาหงอยกลับไปทางโรงงิ้ว ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเขารีบวิ่งมาที่ลานกว้างแห่งนี้เมื่อรู้ว่ารัฐบาลจะจัดการเดิน

สวนสนามของทหารใหม่ เหวินเป่าภาวนาให้เขาได้เห็นหน้าของนายท่านที่เขารู้จักชื่อแล้วว่าเฉินหย่งหนาน และคำขอของเขาก็เป็นจริง

เมื่อเหวินเป่ามองเห็นร่างสูงสง่าในระยะไกลแต่หนุ่มน้อยก็จำได้แม่น และเมื่อมาถึงโรงงิ้วเหวินเป่าก็จำเป็นต้องโยนความเศร้าอาดูรทิ้ง

และแต่งแต้มรอยยิ้มลงบนใบหน้าขณะเข้าไปหาเยี่ยไป๋ซานที่นั่งนิ่งเหม่อลอยอยู่ที่ริมหน้าต่าง


               “พี่ไป๋ซาน”


               เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมารถยนต์ของนายเหยามาลับไป๋ซานไปหลายครั้ง แม้ว่าทุกครั้งไป๋ซานจะขัดขืนแต่คนของนายเหยาก็

ยังบังคับไปจนได้เมื่อรถยนต์คันนั้นกลับมาส่งยังโรงงิ้ว ไป๋ซานก็จะนอนคุดคู้และร้องไห้เพียงลำพัง ไป๋ซานเล่นงิ้วอย่างซังกะตายเขาไม่

สุงสิงกับคนในโรงงิ้วอีกและพูดน้อยลงเรื่อยๆเว้นไว้ก็แต่เหวินเป่าที่ยังพอจะเข้าหน้าได้บ้าง


               “ทหารสวนสนามกันสวยมากเลย พี่น่าจะไปดูกับผม”


               เหวินเป่ามองใบหน้าอมทุกข์นั้นอย่างเห็นใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือเพื่อนรุ่นพี่เช่นไรนอกจากพยายามยิ้มแย้มแจ่มใส

เข้าหาเพื่อให้ไป๋ซานบรรเทาความทุกข์ลงได้บ้าง


               “อยู่ค่ายทหารมาหกเดือนเต็มก่อนเริ่มสงครามยังไม่พออีกหรือเหวินเป่า”


               ไป๋ซานฝืนยิ้ม เขารู้ว่าเหวินเป่าเป็นห่วงแต่เขาไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ความอัปยศอดสูเกาะกินอยู่ใน

หัวใจ และยิ่งเห็นโรงงิ้วที่ต่อเติมให้กว้างใหญ่ออกไปเขาก็ยิ่งเคียดแค้นเพราะรู้ดีว่าเงินทุนเหล่านั้นมาจากไหน


               “ผมเจอนายท่านด้วย แต่นายท่านไม่เห็นผม”


                สีหน้าของเหวินเป่าสลดลงไป๋ซานเองก็อดเวทนาหนุ่มน้อยไม่ได้


               “โตจนบัดนี้แล้วเมื่อไหร่จะลืมนายท่านได้เสียที เขาก็แค่ช่วยเราครั้งเดียวตอนเด็กทำไมถึงจดจำฝังใจนัก เทิดทูนเขาไปก็

ไม่มีประโยชน์หรอก พวกคนที่มีอำนาจเขาเคยเห็นหัวเราเสียที่ไหน”


                ปลายประโยคเจือไปด้วยความเจ็บช้ำ ดวงตาของไป๋ซานเต็มไปด้วยความชิงชัง


                “เมื่อไหร่ที่พวกบ้าอำนาจตกลงมาจากบัลลังก์เมื่อนั้นพี่จะหัวเราะจนฟันหักเลย”


                “พี่ไป๋ซาน”


                 “แต่นายท่านไม่ใช่พวกบ้าอำนาจแน่ๆผมมั่นใจ”


                 ไป๋ซานหันมายิ้มเยาะ มันเป็นยิ้มที่เหวินเป่าไม่ชอบเลย


                 “เราน่ะจะรู้ได้ยังไง ใครๆก็อยากจะมีอำนาจด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันสามารถกดขี่ข่มเหงคนต่ำต้อยอย่างพวกเราได้ยังไงล่ะ

จำไว้นะเหวินเป่าพี่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้พวกมันมาบังคับพี่ได้อีก”


                 “แล้วพี่ไป๋ซานจะทำยังไง”


               หนุ่มน้อยถามอย่างสงสัย เขาเดาใจเพื่อนรุ่นพี่ไม่ออกสักนิด แต่ไป๋ซานกลับไม่ยอมตอบอะไรทั้งสิ้น เขาผินออกไปนอก

หน้าต่างเหม่อมองท้องฟ้าย่ำค่ำอย่างครุ่นคิดจนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนก้องโรงงิ้ว


              “เตรียมแต่งหน้าแต่งตัวกันได้แล้ว เร็วๆเข้า อย่าลืมว่าวันนี้คนจะมาดูเราเยอะขึ้น ท่านเหยาก็มาด้วยนะแสดงกันให้คุ้มค่ากับเงิน

ของท่านกันด้วย”


                 ไป๋ซานเหยียดยิ้มอย่างขมขื่น เงินเหล่านั้นก็มาจากคนที่ไว้ใจที่สุดราวกับบิดาอีกคนหนึ่งนำร่างกายของเขาไปแลกกับมันมา

โดยไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลยสักนิด ช่างน่าน้อยใจในวาสนายิ่งนัก


               “พี่ไป๋ซาน เหล่าซือเรียกแล้วไปแต่งตัวกันเถอะ”


               เหวินเป่ากุมมือรุ่นพี่ให้ได้สติ คิ้วโก่งราวคันศรขมวดลงอย่างผิดสังเกตเมื่อเห็นสีหน้าของไป๋ซานในตอนนี้


              “ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ตามไป”


               “แต่ว่า...”


              “ไปเถอะน่า”


                 น้ำเสียงรำคาญทำให้เหวินเป่าไม่กล้าต่อคำ หนุ่มน้อยจึงลุกขึ้นยืนและมองไป๋ซานอย่างเป็นห่วง


                “ตามไปเร็วๆนะพี่ไป๋ซาน”


                 เหวินเป่าหันหลังก้าวเท้าเดินออกไป แต่เขากลับชะงักงันเมื่อได้ยินคำพูดเสียงแผ่วเบาของไป๋ซาน


                 “ดูแลตัวเองดีๆล่ะเหวินเป่า”


                “อะไรนะพี่”


                 “ไม่มีอะไรหรอก รีบไปเถอะ เดี๋ยวเหล่าซือก็ดุหรอก”


                เหวินเป่าพยักหน้ารับและเดินไปที่หลังเวทีด้วยความไม่สบายใจนัก เขานึกเป็นห่วงไป๋ซานแต่ก็ต้องรีบมาตระเตรียมการ

แสดงและแต่งตัวในบทชาวบ้านที่เขาได้รับ หากแต่เวลาผ่านไปไป๋ซานก็ยังไม่มาจากที่พักจนหยางซื่อทำหน้านิ่ว


                 “ไป๋ซานไปไหน เมื่อไหร่จะมาแต่งตัว ดูสิว่าคนดูเริ่มเข้ามาแล้วและอีกไม่นานท่านเหยาก็จะมาด้วย ถ้าหากเปิดโรงช้าจะถูก

ตำหนิแค่ไหน”


               “ผมจะรีบไปตามให้เองพ่อ”


                 หยางเจี่ยนที่แต่งตัวใกล้เสร็จแล้วรีบลุกขึ้น เขาวิ่งไปทางห้องพักอย่างรวดเร็วขณะที่เหวินเป่าเต็มไปด้วยความ

กระวนกระวาย เขาภาวนาว่าอย่าให้ลางสังหรณ์ของเขาเป็นจริงเลย


               “พ่อ แย่แล้วพ่อ”


              หยางเจี่ยนวิ่งกลับมาหน้าตาเลิ่กลั่ก


             “พี่ไป๋ซานหนีไปแล้ว หอบผ้าหอบผ่อนหนีไปไม่เหลือสักชิ้น”


             “พี่ไป๋ซาน!”


               เหวินเป่าตระหนกจนหน้าซีดเผือดรวมถึงทุกคนที่ยืนอยู่รวมกันในบริเวณสำหรับแต่งหน้าแต่งตัว ความเงียบกริบเข้ามาเยือน

พักใหญ่ก่อนที่เสียงฮือฮาจะดังขึ้นในเวลาต่อมา


               “เหล่าซือจะทำยังไงดี นี่ใกล้เวลาเปิดแสดงแล้วจะเปลี่ยนเรื่องก็ไม่ทันคนเข้ามานั่งจนใกล้จะเต็ม โอ๊ะ นั่นท่านเหยาก็มาแล้ว”


                ทุกคนอยู่ในความตื่นเต้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หยางเจี่ยนหันมามองสบตากับเหวินเป่าแล้วเขาเบิกตากว้าง


              “พ่อ เหวินเป่าไง เหวินเป่าน่ะสนิทกับพี่ไป๋ซาน ตอนต่อบทและตอนซ้อมก็อยู่ด้วยกันตลอด ให้เหวินเป่าเล่นบทอิงไถคู่กับผม

เถอะ”


                คนในโรงงิ้วหันมามองเหวินเป่าเป็นตาเดียว หนุ่มน้อยยิ่งตกใจเมื่อกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน เหวินเป่าได้แต่ถอยหลัง

กรูด


                 “ไม่นะ ผมน่ะไม่...”


                 “เหวินเป่า”


                  หยางซื่อกดบ่าของเหวินเป่าไว้เพื่อให้เขาหยุดนิ่งและมองด้วยสายตาแกมบังคับ


                  “เธอรู้ดีว่าตอนนี้พวกเราตกอยู่ในช่วงวิกฤติ เธอต้องช่วยพวกเราที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิ หรือว่าเธอทนเห็นพวกเรา

ทั้งหมดเดือดร้อนได้ลงคอ”


                 ริมฝีปากบางสั่นระริก คนในโรงงิ้วมองเขาราวกับเป็นที่พึ่งและความหวังเดียวที่จะทำให้ทุกคนอยู่รอด และหากเหวินเป่า

ปฏิเสธก็ดูเหมือนไม่มีใครยอมให้เขาทำเช่นนั้นเป็นแน่ หยางซื่อเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยสำทับทันที


                 “ตกลงว่าเธอยอมแล้วใช่ไหมเด็กดี เอาล่ะ จัดการแต่งชุดชิงอี่ให้เหวินเป่าเดี๋ยวนี้”


                  ร่างบางถูกกระชากทันที วินาทีนั้นเหวินเป่าไม่รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาได้แต่นั่งนิ่งให้คนโน้นคนนี้จัดการกับเขาเพราะ

เวลากระชั้นชิดเข้ามาทุกที ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย เหวินเป่าถูกดึงแขนให้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน

เมื่อยามนี้หนุ่มน้อยในชุดงิ้วสีสดบนใบหน้าทาพื้นด้วยสีขาวปัดโหนกแก้มจนถึงขมับด้วยสีชมพูช่างงดงามจับสายตาเหลือเกิน





มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 26-01-2017 21:13:34


ต่อกันตรงนี้...





                เฉินหย่งหนานก้าวเข้าไปในบ้านหลังเล็กพร้อมกับรอยยิ้ม เขาทอดสายตามองฟางซินภรรยาของเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมี

สาวใช้คนหนึ่งยืนเยื้องอยู่คอยดูแลเด็กชายตัวน้อยวัยเพียงสองขวบที่กำลังเล่นอยู่บนพื้นห้อง เมื่อฟางซินได้ยินเสียงฝีเท้าของสามีจึงได้

เงยหน้ายิ้มรับ


                  “งานสวนสนามเสร็จแล้วหรือคะ”


                  หย่งหนานพยักหน้ารับ เขาก้าวเข้าไปอุ้มเด็กชายเฉินฮุ่ยจงบุตรของเขาขึ้นมาในอ้อมกอดแล้วหันไปคลี่ยิ้มให้ฟางซิน 

อย่างอ่อนโยน


                 “วันนี้เซียวจงดื้อหรือเปล่า”


                 ฟางซินส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้นมาให้เห็นร่างกายที่บอบบางยิ่งกว่าตอนก่อนแต่งงานเสียด้วยซ้ำ


                 “ลูกไม่ดื้อหรอกค่ะ เซียวจงเป็นเด็กเลี้ยงง่ายคงเพราะรู้ว่าแม่ไม่ค่อยสบาย”


                  หย่งหนานมองฟางซินอย่างเห็นใจ หลังจากแต่งงานกันได้แปดปีเขากับฟางซินเพิ่งจะมีทายาทให้ปีที่ห้าหลังจากแต่งงาน

และหลังจากคลอดบุตรภรรยาของเขาก็มีสุขภาพไม่ใคร่ดีนัก


                “แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง”


               ฟางซินลุกขึ้นยืนก้าวเดินมาหาสามีและลูกพลางยิ้มให้หย่งหนานและห้อมแก้มบุตรชายที่ส่งเสียงพูดเจื้อยแจ้วอยู่ในอ้อมกอด

ของพ่อ


                “น้องก็เป็นเช่นเดิมนั่นแหละค่ะ เบื่อตัวเองเหลือเกิน”


                 ฟางซินกล่าวอย่างระทดท้อ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสุขภาพจึงไม่แข็งแรงอย่างเช่นสมัยยังเป็นสาวรุ่น หย่งหนานโอบบ่าภรรยา

เพื่อให้กำลังใจ


               “วันนี้ยังไม่ค่ำเกินไปนัก หากเธอเบื่อที่จะอยู่ในบ้านเราไปเที่ยวในตลาดกันดีไหม”


               “ได้หรือคะ”


                ฟางซินเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น หย่งหนานมีงานยุ่งทุกวันจนไม่ค่อยมีเวลาให้เธอสักเท่าไหร่ แต่ฟางซินก็เข้าใจว่าภาระของ

สามีนั้นมากมายเหลือเกิน


               “ได้สิ ฝากเซียวจงไว้กับพี่เลี้ยงสักวัน แล้วฉันจะพาเธอนั่งรถลากเที่ยวในตลาดยามค่ำ ขอเวลาเปลี่ยนชุดทหารออกสักครู่นะ

ฟางซิน”


               ใช้เวลาไม่นานหย่งหนานก็เปลี่ยนมาใส่ชุดเสื้อคลุมสีเข้มตามสมัยนิยม เมื่อไม่ใช่ชุดเครื่องแบบทหารกลับทำให้ใบหน้าของ

บุรุษวัยสามสิบดูอ่อนเยาว์ลงอีก


               “ไปกันเถอะ”


               เขาจูงมือฟางซินให้ออกไปนอกรั้วบ้านที่มีทหารเฝ้าเวรยามอยู่ภายนอกดังเช่นเคยและเรียกรถลากให้พาไปยังย่านการค้า

เมื่อได้ออกมาเที่ยวชมนอกบ้านฟางซินก็ดูจะสดชื่นขึ้นมาบ้าง


               รถลากวิ่งผ่านโรงงิ้วของหยางซื่อทำให้หย่งหนานชะงักงัน หัวใจของเขาพลันคิดไปถึงใบหน้ามอมแมมของเด็กชายตัวน้อยที่

เคยช่วยเหลือไว้ และเมื่อใจคิดปากจึงพลันสั่งรถลากทันที


               “หยุดก่อน”


               ฟางซินมองสามีอย่างแปลกใจ หย่งหนานจึงหันมายิ้มให้


               “โรงงิ้วของครูหยางดูยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตแล้ว แวะดูงิ้วกันก่อนก็ไม่เลวนะฟางซิน”


               เมื่อสามีต้องการฟางซินก็ไม่ปฏิเสธ เธอลงจากรถลากและเดินตามสามีที่จูงแขนเข้าไปในโรงงิ้วที่แน่นขนัดไปด้วยผู้ชมที่มา

รอชมงิ้วเรื่องม่านประเพณีในค่ำคืนนี้


                                                             TBC

                                          :hao4: :hao4:



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 26-01-2017 21:42:16
 :katai1:  ตายห่าคร่าาาา  พี่ไป๋ซาน ตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีเอาตัวรอดแล้ว

จะว่าโกรธ ก็โกรธนะ   แต่ก็สงสารเหมือนกันนะ ที่ไป๋ซานต้องเป็นอยู่ทุกวันนี้ 

โกรธ ที่ผลักลูกเต่าไปข้างหน้าที่รู้ว่าจะต้องเจออะไร  แต่ก็ดีใจกับไป๋ซานที่หลุดพ้นซะที กับขุมนรกแบบนี้  :mew2:

 :hao7:  ตอนหน้าเขาเจอกันแล้ววว

ปล.เกลียด ไอ้เหล่าซือ จริงๆ  ทำไมแม่งไม่ตายๆไปตั้งแต่ช่วงญี่ปุ่นบุกที่หนานกิงนะ  แม่งน่าโดนจับไปเป็นมนุษย์ทดลองของญี่ปุ่นจริงๆ

ปล.2   :mc4:  ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว  พ่อพระเอกเรามีลูกแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-01-2017 21:43:38
โอ๊ยยยยยยย

ตื่นเต้นมาก ลุ้นสุด ๆ

นายท่านจะจำได้ไหม

ดีที่ไป๋ซานไม่ได้ทำร้ายตัวเอง ต่อไปคงมีบทบาทสำคัญแน่ ๆ

แล้วเหวินเป่าจะมีชะตากรรมเดียวกับไป๋ซานไหม ตาลุงขี้หื่นนั่นก็มา
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 26-01-2017 21:44:06
ดีงามมากค่ะเรื่แงนี้ รอทุกวันเลยค่ะ
ชื่นชมผลงานของผู้เเต่ง เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 26-01-2017 21:59:27
โอยยย รันทดใจ น้องต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 26-01-2017 22:04:45
ฮือ...พี่ไป๋ซานหนีไปแล้ว คราวนี้เหวินเปาจะรอดจากตาแกหื่นนัานได้ไหม
นายท่านจะยังจำลูกเต่าได้อีกรึป่าว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 26-01-2017 22:40:36
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 26-01-2017 22:45:34
ชอบพี่ไป๋ซานมากอ่ะ เสียใจดีหนีไปแต่ก็ดีกว่าฆ่าตัวตายละนะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 27-01-2017 19:20:17
พี่ไป่ซานกะไปแล้วเหวินเป่าจะได้เจอหยงหนานเสียที

หยงหนานจะตกหลุมรักไหมหรือว่าจะเฉยๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 29-01-2017 19:13:58
รออยุนะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bingpao ที่ 30-01-2017 07:34:46
รอๆๆ :ling1:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 30-01-2017 14:32:21


                                                                        ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                                 บทที่ 7


               เป็นเพราะมิได้สวมใส่ชุดทหารอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน น้อยคนนักจึงจะจดจำนายทหารชื่อเสียงโด่งดังอย่างเฉินหย่ง

หนานได้ ตอนนี้เขาจึงประคองภรรยาเข้าไปในโรงงิ้วโดยไม่มีใครทักทายหรือให้ความสนใจซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาพอใจอยู่มาก หย่งหนานจูง

ฟางซินภรรยาของเขาเข้าไปนั่งที่เก้าอี้แถวกลางที่ยังเว้นว่างอยู่ สายตาคมของเขามองเห็นเบื้องหลังของบุรุษที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดบน

เก้าอี้อย่างดีและข้างกายมีกาน้ำชารับรองอย่างดี

               เขาคนนั้นคือเหยาหงลี่ นักการเมืองสังกัดพรรคชาตินิยมที่เฉินจิ้งเหอเป็นหัวหน้าพรรค หย่งหนานขมวดคิ้วเพราะเคยได้ยิน

ข่าวความร่ำรวยและมากไปด้วยอิทธิพลของชายคนนี้ ท่ามกลางภาวะสงครามอันเลวร้ายและลุงของเขาที่ทำงานอย่างหนัก แต่นักการ

เมืองที่อยู่ใต้การปกครองดูเหมือนจะอยู่ดีกินดีเหลือเกิน


               “มีอะไรหรือคะ” ฟางซินเอ่ยถามเมื่อเห็นสายตาของสามี


               “เห็นนั่นไหม เขาคือเหยาหงลี่ รัฐมนตรีอะไรสักอย่างของคุณลุงไงล่ะ”


               ฟางซินมองตามสามี แม้จะต้องอยู่แต่ในบ้านเกือบตลอดเวลาแต่เพราะเป็นสตรีที่ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดีทำให้ฟางซิน

ติดตามสถานการณ์ของบ้านเมืองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เสียชื่อว่าเข้ามาเป็นสะใภ้ของสกุลเฉิน


               “ดูวางท่าจังเลยนะคะ น้องได้ข่าวมาว่าเขาขึ้นชื่อเรื่องความร่ำรวยและความเจ้าชู้ด้วย”


               เธอพูดอย่างที่ใจคิด ฟางซินเองก็มาจากสกุลของขุนศึกตระกูลใหญ่จึงรู้จักผู้คนอยู่ไม่น้อย เมื่อมองเห็นกิริยาที่เหยาหงลี่นั่ง

จิบน้ำชาสายตาจ้องไปยังเวทีแล้วก็นึกไม่ใคร่นิยมนัก


               “ช่างเขาเถอะ วันนี้เรามาพักผ่อน งิ้วเรื่องอะไรนะ”


               หย่งหนานเลิกสนใจนักการเมืองผู้นั้นฟางซินจึงเลิกสนใจตามไปด้วย เธอหันไปถามชาวบ้านที่นั่งติดกันก่อนจะหันมาตอบ

คำถามสามี


               “เล่นเรื่องม่านประเพณีค่ะ”


               ชื่อเรื่องเรียกความสนใจจากฟางซินได้เป็นอย่างดี เธอเคยอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้มาแล้วหลายรอบและประทับใจกับความรักที่

ถูกกีดกันด้วยชนชั้นศักดินามาก สายตาของฟางซินจึงจับจ้องไปบนเวทีเมื่อเห็นว่านักแสดงเริ่มทำการแสดงบวงสรวงเทพแปดเซียนแล้ว

เมื่อหย่งหนานเห็นภรรยาสดใสขึ้นเขาจึงยิ้มอย่างยินดีและหันไปให้ความสนใจกับการแสดงที่เริ่มต้นขึ้นบนเวทีเช่นกัน







               หลินเหวินเป่ายืนตัวสั่นอยู่หลังฉากด้วยความตื่นเต้น แม้จะเคยเห็นการร่ายรำและบทร้องจากเยี่ยไป๋ซานมาจนจำได้ขึ้นใจแต่

เขาก็ยังหวาดหวั่น หนุ่มน้อยวัยสิบหกปีกลัวทั้งเรื่องการแสดงและผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ หากเป็นรอบอื่นเหวินเป่าอาจจะไม่กังวลเท่า

รอบที่มีนายเหยามาชมอยู่ด้วย เหวินเป่าไม่ต้องการมีชีวิตดังเช่นไป๋ซานที่ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดหากแต่ต้องกลายเป็นของเล่นให้กับผู้มี

อิทธิพล


               “ตัวสั่นเชียวเหวินเป่า กลัวเหรอ”


               สะดุ้งเมื่อหยางเจี่ยนวางมือลงบนบ่าและเอ่ยทักจากด้านหลัง เหวินเป่าหันกลับไปมองหยางเจี่ยนและยอมรับตรงๆ


               “กลัวสิพี่เจี่ยน ถึงผมจะดูพี่ไป๋ซานบ่อยๆแต่ผมไม่เคยเล่นเองเลยนะ แล้วนี่อยู่ๆก็ต้องมาเล่นบทนี้ ไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง”


               หยางเจี่ยนก้าวมาหยุดต่อหน้า เขามองเด็กในโรงงิ้วที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กด้วยประกายตาวาววามประหลาดกว่าเคย เหวินเป่า

ในยามปกติแม้จะชอบคลุกฝุ่นคลุกดินจนใบหน้ามอมแมมก็ยังจัดว่างดงามกว่าสตรีเสียอีก ซ้ำเมื่อได้มาอยู่ในชุดชิงอี่เช่นนี้ยิ่งทำให้ความ

งามนั้นฉายชัดจนหยางเจี่ยนยังอดตกตะลึงไม่ได้ มันทำให้เขาเกิดความหวงแหนและเสียดายเวลาที่ผ่านมา


               “มั่นใจเถิดว่าทุกคนจะต้องชอบ ขนาดพี่ยังชอบเหวินเป่าในตอนนี้เลย”


               ถือโอกาสยกมือเชยคางมนขึ้นจนเหวินเป่ายิ่งตกใจ เขาผงะและถอยหนีหยางเจี่ยนและฝืนยิ้มส่งให้ลูกชายเจ้าของโรงงิ้ว

ท่าทีของหยางเจี่ยนผิดไปจากเดิมจนเหวินเป่าเอะใจ


               “อย่าพูดอย่างนั้นสิพี่เจี่ยน ผมไม่เห็นจะเปลี่ยนไปตรงไหน”


               “ใครบอกล่ะ” หยางเจี่ยนก้าวเข้าหา “รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เหวินเป่าตัวน้อยของพี่สวยที่สุดในนานกิงแล้ว”


               “พี่เจี่ยน ผมเป็นผู้ชายนะอย่ามาเยินยอกันแบบนี้เลย เอ่อ รีบไปเถอะ เราต้องออกไปแสดงกันแล้ว”


               เหวินเป่าผลักอกหยางเจี่ยนออกห่างก่อนจะสืบเท้าก้าวหนีไปยังทางเข้าออกไปสู่ด้านหน้าเวที เขายืนสงบนิ่งระลึกถึงครู

อาจารย์เพื่อให้การแสดงบทอิงไถนางเอกของเรื่องม่านประเพณีผ่านไปด้วยดี หนุ่มน้อยลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดนตรีเชิดเป็นสัญลักษณ์

เหวินเป่าจินตนาการถึงภาพของไป๋ซานก่อนจะสะบัดผ้าที่ชายแขนแล้วร่ายรำออกไป

               เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่เหวินเป่าก้าวไปสู่กลางเวทีเพราะคนดูเห็นว่าไม่ใช่เยี่ยไป๋ซานผู้โด่งดังและพากันพูดคุยราวกับนก

กระจอกแตกรัง เหวินเป่าใจเสียอยู่บ้างเมื่อเห็นดังนั้นแต่เมื่อการแสดงต้องดำเนินต่อไปเขาก็ต้องตั้งใจให้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการแสดง

และเมื่อเขาเริ่มเอื้อนเอ่ยขับร้องบทละครเหล่าคนดูกลับต้องยิ่งส่งเสียงฮือฮาหนักกว่าเดิมเพราะน้ำเสียงของเหวินเป่าใสราวกับระฆังแก้ว

ยิ่งกว่าไป๋ซานเสียอีก นั่นเองทำให้เหวินเป่าดึงดูดความสนใจจากคนดูได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกับเหยาหงลี่ที่นั่งจ้องตาไม่กะพริบจน

กระทั่งเหวินเป่าแสดงจนจบฉากเขาก็กวักมือเรียกหยางลี่ให้เข้าไปหาเขา


                “ไป๋ซานล่ะ”


               ชายสูงวัยราวห้าสิบเศษเอ่ยถามหยางซื่อที่ก้มหัวพินอบพิเทา


               “เอ่อ ท่านเหยาครับ เกิดเรื่องใหญ่ว่าไป๋ซานหนีไปครับ ผมจึงจำเป็นต้องใช้เด็กใหม่มาแสดง ถ้าขัดหูขัดตาก็ขออภัยท่าน

เหยาด้วย”


               ขัดหูขัดตางั้นรึ ไม่เลยสักนิด ซ้ำยังเจริญหูเจริญตาเสียยิ่งกว่าไป๋ซานที่เขาได้ครอบครองมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว เหยา

หงลี่ยกมือลูบคางพลางครุ่นคิดพร้อมกับปรายตามองไปด้านข้างเวทีที่พอจะเห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่รำไร ความสดใหม่ช่างเย้ายวนใจจน

ต้องเอ่ยปาก


               “ไป๋ซานหนีก็ปล่อยมันไป ให้เงินใช้และมีชีวิตสุขสบายกลับไม่ชอบ หากมันอยากจะไปตกระกำลำบากก็ปล่อยมัน แต่ถ้าจะ

ทดแทนกันด้วยชิงอี่คนใหม่นี้ ฉันก็จะขอรับไว้พร้อมกับทุนอีกสักก้อนเป็นยังไง”


               หยางซื่อเบิกตากว้าง ดวงตาดุจหมาจิ้งจอกกรอกไปมาอย่างใช้ความคิด เขาจำที่มาได้ว่าเหวินเป่าเป็นเด็กที่หย่งหนานนำมา

ฝากไว้เมื่อแปดปีที่แล้ว หาใช่เด็กที่พ่อแม่นำมาขายฝากเช่นไป๋ซานหรือเด็กคนอื่นในคณะ


               “เอ่อ คือ... เหวินเป่านี้มัน...”


               “กลับไปคิดดูนะครูหยาง ในช่วงสงครามแบบนี้ครูหยางจะหาเงินได้ง่ายๆแบบนี้ที่ไหน ฉันมีเวลาให้จนกระทั่งงิ้วจบ หากไม่ได้

ชิงอี่คนนี้กลับไปต่อไปเงินทุนของครูหยางก็จะไม่มีอีกแล้ว”


               ยกมือโบกสะบัดให้หยางซื่อถอยออกไปเมื่อฉากใหม่เริ่มต้น หยางซื่อสืบเท้าออกมาพร้อมกับครุ่นคิดอย่างหนักถึงผล

ประโยชน์ที่จะได้รับหากยินยอมตามความประสงค์ของเหยาหงลี่

               เสียงฮือฮาของคนดูรอบข้างทำให้หย่งหนานและฟางซินสบตากันอย่างแปลกใจ ฟางซินหันไปเอ่ยถามถึงสาเหตุจากคนดูที่

นั่งด้านข้างและหันกลับมาไขข้อข้องใจให้สามี


               “นางเอกคนนี้ไม่ใช่นางเอกคนที่เล่นประจำค่ะ เห็นว่าเป็นนางเอกใหม่ที่เพิ่งจะแสดงวันนี้วันแรก”


               หย่งหนานพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันกลับไปยังเวทีเพื่อชมการแสดง แต่ใบหน้าของผู้รับบทอิงไถนางเอกของเรื่องนั้นกลับสะดุด

ตาจนชายหนุ่มต้องเพ่งมองพิจารณาผ่านเครื่องสำอางที่วาดไว้เต็มวงหน้า


               “น้องว่านางเอกใหม่งดงามมากนะคะ เสียงร้องก็ไพเราะดีจัง”


               ฟางซินเอ่ยอย่างถูกใจเช่นเดียวกับคนดูคนอื่นที่หยุดส่งเสียงและหันไปสนใจกับนางเอกคนใหม่ ลีลาการร่ายรำและเสียงร้อง

สะกดใจคนดูได้อย่างไม่ยากเย็นแม้จะขึ้นแสดงเป็นครั้งแรก แต่สิ่งที่ทำให้หย่งหนานสนใจนั้นกลับเป็นความทรงจำเก่าๆที่ผุดขึ้นมา

ใบหน้ามอมแมมที่เขาเคยเห็นมานำมาวางทับไปกับเครื่องหน้านั้นดูช่างเหมาะเจาะลงตัวเหลือเกิน


               “หนูจะรอวันนั้น วันที่นายท่านกลับมารับ”


               “อากุย”


                เสียงเล็กสะอึกสะอื้นบีบคั้นหัวใจนั่นต่างหากที่สะกดใจของหย่งหนานไว้ ชายหนุ่มเผลอไผลจ้องมองร่างโปร่งบางร่ายรำตา

ไม่กะพริบ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะมุ่งมั่นกับการทำงานจนลืมอะไรบางอย่างไว้เบื้องหลัง เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งลูกเต่าน้อยกลับกาย

เป็นหงส์ฟ้าร่ายรำอยู่บนเวที


                  ชายผ้าทิ้งตัวขณะท่อนแขนเรียวสะบัดโบกพริ้วลมราวกับทอจากผ้าไหมเนื้อดี ลีลาอ่อนช้อยราวกับมิใช่การแสดงครั้งแรก

กลับประทับเข้าสู่ใจกลางอกของหย่งหนานจนอัดแน่นไปหมด เสียงใสราวกับแก้วราคาแพงกรีดเข้าไปจนหย่งหนานลืมสิ้นทุกอย่าง ลืม

แม้แต่เสียงเรียกของภรรยาจนกระทั่งฟางซินถึงกับเขย่าแขนของเขา


                   “พี่หย่งหนาน พี่หย่งหนานคะ อะไรกันนี่จ้องมองจนจะหยุดหายใจแล้วนะคะ”


               หย่งหนานสะดุ้ง พลันหันไปสบตากับฟางซินด้วยความเก้อกระดากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนภรรยาหัวเราะคิกคัก


               “ดูสิ ทำราวกับไม่เคยชมงิ้ว”


               รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของหย่งหนานจนดูสว่างไสว หัวใจที่มีแต่ความเคร่งเครียดในภารกิจของชาติผ่อนคลายจนเผย

รอยยิ้มได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ชายหนุ่มมิได้กล่าวอะไรตอบฟางซินอีกเมื่อทั้งคู่ต่างก็หันไปชมการแสดงราวกับมีแรงดึงดูด เมื่อ

ฉากสุดท้ายใกล้เข้ามาทุกที







               ความตื่นเต้นหมดไปเมื่อการแสดงผ่านพ้นตามลำดับ เหวินเป่าควบคุมตนเองให้อยู่ในบทบาทจนเรื่องราวล่วงเลยมาใกล้ถึง

ตอนจบ เขาร่ายรำและกวาดสายตาให้กับผู้ชมอย่างที่เคยเห็นไป๋ซานทำ สายตาทุกคู่จับจ้องมายังเขาบอกถึงความชื่นชมจนเหวินเป่านึก

ยินดี หากแต่ดวงตาเรียวพลันเบิกกว้างเมื่อได้สบสายตากับดวงตาคมคู่นั้นที่แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่เหวินเป่าก็จำได้เสมอ


               “นายท่าน!”


               หัวใจกระตุกจนชะงักไปชั่วอึดใจ เหวินเป่ารวบรวมสมาธิอย่างที่สุดเพื่อจะกลับมาอยู่ในการแสดง เขาลอบมองจนกระทั่งมอง

เห็นบุรุษที่แสนดีของเขาหันไปยิ้มและเจรจากับสตรีผู้หนึ่งอย่างสนิทสนมหัวใจดวงน้อยก็พลันระทม

               การแต่งตัวของสตรีผู้นั้นบ่งบอกให้รู้ว่าแต่งงานไปแล้ว และใครเล่าจะเป็นสามีของหญิงที่บอบบางสูงศักดิ์เช่นนั้นหากมิใช่

บุรุษแสนสง่าที่นั่งเคียงข้างกันด้วยความเหมาะสมทุกประการ

                หัวใจดวงน้อยร่ำไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด เหวินเป่านึกถึงตนเองที่มีชาติกำเนิดแสนต่ำต้อย อย่าได้คิดเปรียบเทียบกับผู้ใด

ได้เลย มันช่างน่าเศร้าเหมือนงิ้วที่เขากำลังแสดงอยู่ในขณะนี้ ผิดที่เขาหาใช่อิงไถนางเอกของเรื่องที่อยู่ในตระกูลสูงส่ง แต่กลับเป็นเห

วินเป่าเด็กน้อยจากซ่องคณิกา


               น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นอาบแก้ม ดวงตาเรียวร้อนผ่าวเมื่อห้ามความโศกาไม่ได้ เหวินเป่ากลั้นสะอื้นเมื่อเขาต้องร้องบทงิ้วบท

สุดท้ายก่อนที่อิงไถจะกระโดดลงไปในผืนดินหน้าหลุมศพของซันป๋อเพื่อตายตามชายที่รักไปในตอนจบ





มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 30-01-2017 14:37:47
ต่อกันตรงนี้...




โอ้ว่าอกเอ๋ย ไฉนเลยจึงแสนช้ำ

辛苦  崎嶇坎坷一肩挑

ซิน ขู่  ฉี ชู ค่าน จง อี  เจียน เทียว



เพราะรักต้องกลืนกล้ำน้ำตาอาดูร

以不得不吞眼泪悲伤集群

อี่ ปู้ เต๋อ  ปู้ ทุน เหยี่ยน เล่ย เปย ชาง  จี๋ ฉุน



รักแท้ถูกขัดขวาง หนทางใจสลายสูญ

爱被挫败了方式令人心碎的损失

อ้าย  เป้ย  ชั่ว  ป้าย เลอะ  ฟาง  ชื่อ  ลิ่ง  เหริน ซิน ซุ่ย เตอะ ซุน  ชือ



ข้านั้นเฝ้าเทิดทูนแต่ระกำด้วยคำคน

对我的灾祸是由人民效仿的

ตุ้ย  หว่อ  เตอะ จาย ฮั่ว  ชื่อ  โหย่ว  เหริน หมิน เซี่ยว ฝ่าง เต๋ย



ความรักเกิดจากจิต แต่กลับปลิดจากชิวหา

心灵之爱舌头

ซิน  หลิง จือ อ้าย  เฉอ โถ่ว



เหลื่อมล้ำเพราะเงินตราบังคับฟ้าให้แยกเรา

人有悲歡離合

เหริน โหยว  เปย  ฮวน หลี เหอ



แม้ใจอยากเคียงคู่ กับยอดชู้ที่แสนเศร้า

虽心靠并顶配伤心之事

ซุย  ซิน ค่าว ปิ้ง  ติ่ง เพ่ย  ชาง  ซิน จื่อ  ชื่อ



ความฝันพลันมัวเมาต้องจากกันจนวันตาย

梦想突然中毒从彼此直到死亡

เมิ่ง เสี่ยง ถู หราน  จ้ง  ตู๋  ฉง  ปี๋ ฉื่อ จื๋อ ต้าว สื่อ หวาง



โอ้ว่าฟ้าเอ๋ย ไฉนเลยจึงกลั่นแกล้ง

天堂,任何欺负

เทียน ถาง     เริ่น เหอ ชี ฟู่



รักนั้นมิเสแสร้งหากถูกแย่งให้ลาล่วง

之爱不假装是走是留传

จือ อ้าย ปู่ เจี้ย จวง ชื่อ โจ่ว ชื่อ หลิว ฉวน



ต่างคนต่างชนชั้นแม้บากบั่นสู้หนักหน่วง

人人一个种族主义之努力,甚至辛苦

เหริน เหริน อี๋ เก้อ จ้ง จู๋  อี้ จือ หนูลี่   เชิ่น จื้อ  ซิน  ขู่



ยังแพ้แก่คนลวงจนเจ็บทรวงแทบขาดใจ

蓬山此去无多路  输给上口部大快活

เผิง  ชาน   ฉื่อ  ชวี่  อู่ ตัว ลู่ ชู  เก่ย  ช่าง โขว่ ปู้  ต้า ไคว่ ฮัว



หลับตาเถิดนะพี่ ถึงชีวีจะห่างหาย

闭上眼睛怎么禁令回避

ปี้ ช่าง เหยี่ยน จิง เจินเมอะ จิ้น ลิ่ง  หุย ปี้



ใจน้องไม่กลับกลายรักพี่ชายจนวายปราณ

心里无爱别至去世

ซิน หลี่ อู๋ อ้าย เปี๋ย จื้อ ชวี่  ชื่อ



ชาตินี้ต้องแคล้วคลาด แต่ทุกชาติขอสุขสม

为了避免这 而每世才能到满意

เว่ย เลอะ  ปี้ เหมี่ยน  เจ้อ    เอ๋อ เหม่ย ชื่อ ฉาย เหนิง ต้าว หม่าน อี้



กายใจให้พี่ชมเพียงผู้เดียวตลอดกาล

身心底之福,可得永年

เชิน ซิน  ตี่  จือ ฝู่   เข่อ เตอะ หย่ง เหนียน






               ยิ่งมองเห็นความคู่ควรเท่าไหร่ น้ำตาของเหวินเป่าก็ยิ่งไหลเป็นสายน้ำ เหวินเป่าสวมวิญญาณของอิงไถถลาไปที่หลุมฝังศพ

ของซันป๋อและครวญคร่ำราวกับจะขาดใจ และทันใดนั้นอิงไถก็ทิ้งกายเพื่อให้ปฐพีเป็นพยานแห่งรักกลืนร่างลงไปเซ่นไหว้ความรักที่มีต่อ

เจ้าของหลุมศพ พลันผีเสื้อแสนงดงามสองตัวโบยบินขึ้นมาจากผืนแผ่นดินกลบร่าง

               เสียงปรบมืออื้ออึงดังท่วมท้นโรงงิ้ว เหล่าผู้ชมยกมือป้ายน้ำตากับการแสดงอันสมบทบาทแม้จะเป็นครั้งแรกของหลินเหวิน

เป่าแม้แต่ฟางซินก็ยังไม่วายสะอื้น หย่งหนานจ้องมองการแสดงที่จบลงอย่างสะท้อนใจ


               รักที่มิอาจเคียงคู่ หากแต่มิอาจห้ามใจไม่ให้รัก


               บุรุษชายชาติทหารจุกแน่นในอกเมื่อได้แต่มองม่านของโรงงิ้วที่ปิดลงกั้นเขากับเหวินเป่าจนมองไม่เห็นกันอีกต่อไป




                                  TBC

                        :sad4: :sad4:



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 30-01-2017 14:41:16
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-01-2017 15:17:23
หย่งหนานต้องช่วยเหวินเป่านะ !!!!
 อย่าให้ถูกขายเพราะไอ้คนละโมบ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 30-01-2017 15:25:50
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 30-01-2017 15:38:38
สงสารอ่า คิดถึงไป๋ซาน นางยังจะมีบทอีกไหม คราวนี้หวังว่าหัวหน้าคณะงิ้วจะไม่ขายนายเอกของเรากินหรอกนะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 30-01-2017 16:07:36
เหวินเป่าจะรอดมือคนเลวไหมเนี่ย เจ้าของโรงงิ้วเห็นแก่ตัวมาก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bingpao ที่ 30-01-2017 16:30:44
รำคาญเจ้าของงิ้ว  :z3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 30-01-2017 16:51:57
โอ๊ยยยยยย นายท่านรีบๆม่เอาตัวอากุยไปหน่อยค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 30-01-2017 16:56:16
 :katai1:  โอ๊ยยย ชั้นล่ะเกลียดเหล่าซือจริงๆ  แต่แอบสะใจเล็กๆ ที่งานนี้จะขายเต่าน้อยไม่ได้ง่ายๆ

เพราะคนที่ฝากฝังมาอย่างหย่งหนานมันค้ำคอ  และงานนี้พ่อพระเอกเราก็มาดูด้วย  ทำอะไรมีโดนแน่

แต่พ่อพระเอกเราถึงกับตลึงไปเลย  ที่เต่าน้อยกลายร่างเป็นหงส์   มารีบพาตัวเต่าน้อยออกไปเลยนะ 

ปล.เสียดายที่ + ได้แค่ 1 อยากให้มากกว่านี้ในความใส่ใจองค์ประกอบเนื้อหาของเรื่องนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ฟุยุโกะ ที่ 30-01-2017 20:37:06
สงสารเป๋าเป่าน้อยอ่ะ รู้ว่านายท่านมีภรรเมียแล้วแถมโดนหมายตาจากคนหื่นกามอีก จะรอดไหมเนี่ย :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 31-01-2017 09:40:42
พีคมากกกก แต่งเก่งมากกก

ตอนนี้อากุยกลายเป็นหงส์

แต่ยังไงเรื่องชาติกำเนิดจะมีดราม่ามาอีกมั้ย

รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: se7en_sins ที่ 31-01-2017 13:02:02
ชอบเรื่องนี้มากกกกก น้ำตาจะไหลตามเหวินเป่า  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 31-01-2017 21:21:29
ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ  แต่งเก่งมากๆเลย  อ่านแล้วร้องไห้ตามเลย
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 01-02-2017 03:39:25
ภาษาดีมาก นายเอกต้องเป็นลูกใครสักคนที่มีอิทธิพลในญี่ปุ่นหรือเปล่า
ลุ้นๆๆ จะได้เจอกันแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-02-2017 10:22:31
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 7 [30/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-02-2017 23:05:11
แวะมาลงชื่อ
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 02-02-2017 00:31:13


                                                              ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                      บทที่ 8


               “เก่งมากเหวินเป่า”


               เสียงชื่นชมดังขึ้นจากหยางเจี่ยน ฝีมือของเหวินเป่าทำให้เขาแปลกใจรวมถึงทุกคนในคณะที่ไม่เคยคิดว่าเด็กหน้าตา

มอมแมมแท้ที่จริงที่เพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่หลังโรงงิ้ว หนุ่มน้อยแสดงราวกับเป็นศิลปินมากฝีมือทั้งที่เพิ่งจะขึ้นแสดงเป็นครั้งแรกและยัง

ไม่เคยผ่านการฝึกซ้อมในบทบาทนี้เลย


               “ขอบใจที่ชมนะพี่เจี่ยน”


               เหวินเป่าฝืนยิ้ม คราบน้ำตายังปะปนเปรอะเปื้อนไปกับเครื่องสำอางอยู่บนใบหน้า ภาพความเหมาะสมของคู่สามีภรรยารบกวน

จิตใจจนลืมเลือนเรื่องอื่นไปหมดสิ้น เหวินเป่าไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเขานึกอยากจะทอดกายไปกับที่นอนและหมอนแข็งๆเพื่อปล่อยให้น้ำตาไหล

ออกมาให้มันทุเลาความเจ็บปวดจากหัวใจ


               “ถ้าพี่ไป๋ซานไม่หนีไป เหวินเป่าก็คงยังไม่ได้แสดงฝีมือแบบนี้ ต่อไปเหวินเป่าจะต้องดังมากๆ ดังยิ่งกว่าพี่ไป๋ซานเสียอีก โรง

งิ้วของเราก็จะมีคนดูแน่นทุกรอบที่เราเปิดแสดง”


               น้ำเสียงของหยางเจี่ยนฟังดูมีความตื่นเต้น สายตาของเขาที่มองมายังหนุ่มน้อยเบื้องหน้าคล้ายจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็น

ได้ชัด มันดูมีความหวงแหนเป็นเจ้าของไม่เหมือนก่อนหน้านี้ หยางเจี่ยนเพียงแค่เอ็นดูและนึกสงสารแต่เมื่อได้เห็นความสามารถและ

ความงดงามของเหวินเป่าในชุดงิ้วชิงอี่ กลายเป็นหยางเจี่ยนหลงใหลกับหนุ่มน้อยที่เห็นมาแต่เยาว์ เขาฉวยโอกาสดึงมือเรียวของเหวิน

เป่ามาเกาะกุมไว้


               “อยู่กับพี่ไปตลอดนะเหวินเป่า ขอแค่มีเราทั้งคู่คณะงิ้วของเราจะต้องโด่งดัง เงินทองก็จะไหลมาเทมา”


               “เอ่อ พี่เจี่ยน อย่าทำแบบนี้”


                เหวินเป่าเพิ่งจะได้สติ เขารีบดึงมือออกมาพ้นการเกาะกุมด้วยความตกใจที่หยางเจี่ยนมีกิริยาถึงเนื้อถึงตัวอย่างไม่เคยเป็นมา

ก่อน หยางเจี่ยนเลิกคิ้วมองอย่างไม่พึงใจนัก


                  “ทำไมล่ะเหวินเป่า พี่แตะเนื้อต้องตัวแค่นี้ก็ยังต้องหวงเชียวรึ หรือว่าแค่เป็นชิงอี่เรื่องแรกก็เริ่มถือตัว”


                  “มันไม่ใช่แบบนั้นนะพี่เจี่ยน”


                   เหวินเป่าถอนหายใจ เขาก้าวไปยังราวไม้สำหรับเก็บชุดและเครื่องประดับงิ้ว หนุ่มน้อยถอดมันออกจนกระทั่งเหลือเพียง

ชุดยาวสีขาวที่สวมใส่อยู่ภายใน


                  “เหวินเป่า”


                 เสียงหยางซื่อดังขึ้นทำให้เหวินเป่าสะดุ้ง เขาหันกลับไปมองเจ้าของคณะงิ้วที่เดินตรงมาหา เหวินเป่าสบตากับหยางซื่อและ

พยายามแปลความหมายขณะที่หยางซื่อมองมา มีทั้งความชื่นชมและยุ่งยากใจปะปนกันไป


                “เหล่าซือ”


                “เก่งมาก ไม่นึกเลยว่าเธอจะแสดงได้ดีเช่นนี้”


                หยางซื่อเอ่ยชม เหวินเป่าคงจะนึกยินดีหากไม่มีประโยคถัดไปติดตามมา


               “คนดูชื่นชอบการแสดงของเธอมาก โดยเฉพาะท่านเหยา ท่านอยากจะตกรางวัลให้เธอเป็นพิเศษที่หน้าเวทีตอนนี้”


                “ไม่”


                เหวินเป่าตกใจสุดขีด


                “ผมไม่รับ ถ้าเหล่าซือต้องการเงินนั้นก็รับไว้เองเถิด”


                ดวงตาของหยางซื่อแปรเปลี่ยนเป็นเข้มงวดทันที ชายสูงวัยคว้าต้นแขนของเหวินเป่าไว้แน่นเมื่อเห็นหนุ่มน้อยคิดจะก้าวเท้า

หลบหนี


                “อย่ามากเรื่องนักเลยเหวินเป่า ท่านแค่จะพูดคุยด้วยเท่านั้นเอง”


                “พ่อ”


                 หยางเจี่ยนเข้ามายื้อยุดมือของบิดาไว้


               “ไม่ได้นะ พ่อจะให้เหวินเป่าออกไปให้ท่านเหยาเห็นไม่ได้เป็นอันขาด”


                 “บ๊ะ เจ้าเจี่ยนเข้ามายุ่งอะไรด้วย จะไปทำอะไรก็ทำเสียอย่ามาวุ่นวายเรื่องของผู้ใหญ่”


                 “พ่อ!”


                “เหล่าซือ!”


                 ไม่อาจขัดขวางได้แม้ว่าหยางซื่อจะลากแขนเหวินเป่าไปท่ามกลางสายตาของผู้คนในโรงงิ้ว หยางเจี่ยนได้แต่ก้าวเท้าตาม

ไปติดๆ และต้องหยุดเท้าลงเมื่อหยางซื่อพาเหวินเป่าไปคุกเข่าต่อหน้าเหยาหงลี่ที่นั่งจิบน้ำชาอยู่หน้าเวทีขณะที่คนดูคนอื่นทยอยออก

ไปจนหมดแล้ว บุรุษร่างท้วมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราเนื้อดีและมีลูกน้องราวสี่ถึงห้าคนยืนเรียงรายอยู่เบื้องหลัง ยิ่งทำให้เขาน่าเกรง

ขามมากยิ่งขึ้นจนเหวินเป่าเนื้อตัวสั่น


                “ชิงอี่คนใหม่ชื่ออะไรนะครูหยาง”


               “เหวินเป่าครับท่านเหยา”


               กล่าวอย่างนอบน้อมเพราะเกรงอิทธิพลขณะที่เหยาหงลี่กวาดสายตาเรียวเล็กมองเหวินเป่าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพึงใจ เหวิน

เป่าขนลุกเมื่อเห็นแววตากระหายฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด


               “มานี่สิเหวินเป่า มารับรางวัล เธอเล่นได้สมบทบาทเหลือเกิน”


               เหวินเป่านั่งตัวแข็งจนหยางซื่อผลักไหล่เขาให้เข้าไปใกล้หงลี่มากยิ่งขึ้น


                “อย่าดื้อเหวินเป่า ท่านเหยากรุณาก็จงรับไว้”


                 เสียงบังคับขู่เข็ญทำให้เหวินเป่าอยากจะร้องไห้ เขาเหลือบตามองชายฉกรรจ์เบื้องหลังหงลี่อย่างหวาดกลัว หงลี่ใบหน้า

หวาดกลัวของเหวินเป่า เขาคว้าข้อมือของเหวินเป่าขึ้นมาและยัดธนบัตรขยุ้มหนึ่งใส่มือเรียวและบังคับให้เหวินเป่ากำมือรับไว้ แต่หงลี่ก็

ยังมิได้กระทำเพียงแค่นั้นเขาใช้มือบีบคางของเหวินเป่าให้เงยหน้าขึ้นเพื่อให้เขาจ้องมองถนัดตา


                “ปล่อย ปล่อยนะ”


                 หนุ่มน้อยดิ้นรน มือข้างที่ยังเป็นอิสระยกขึ้นปัดป้องแต่ก็ไม่เป็นผล หงลี่เพ่งมองใบหน้าที่ยังอยู่ภายใต้การฉาบด้วยเครื่อง

สำอางก่อนจะกระตุกยิ้มออกมา ความงดงามนั้นทะลุผ่านคราบแป้งขาวจนไม่ต้องเคลือบแคลง จากนั้นเขาจึงยอมปล่อยเหวินเป่าให้นั่งตัว

สั่นอยู่บนพื้น


               “ครูหยาง”


               เหยาหงลี่เพียงแค่ปรายตาหยางซื่อก็ถลาเข้าไปใกล้และค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม


               “ครับ ท่านเหยา”


               นัยน์ตาของหงลี่บ่งบอกถึงความต้องการครอบครองร่างเล็กที่นั่งสั่นเทาอยู่ไม่ไกลนักอย่างเห็นได้ชัด


                 “เป็นเพราะครูหยางดูแลไม่ดีปล่อยให้ไป๋ซานหนีไป ครูหยางคงต้องรับผิดชอบเมื่อความสำราญของฉันมันหมดลง หวังว่า

เงินทองที่ฉันเคยมอบให้จะทำให้ครูหยางหาความสุขมาทดแทนให้ฉันได้กระมัง”


               เข้าใจความนัยนั้นเป็นอย่างดี หากแต่คราวนี้มันไม่ง่ายเช่นนั้น หยางซื่อลำบากใจจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก


              “ผมเข้าใจครับท่านหยาง แต่ว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนไป๋ซาน”


               เหยาหงลี่ตวัดสายตาใส่จนหยางซื่อสะดุ้งเฮือก


                 “หมายความว่าครูหยางจะไม่ยอมมอบชิงอี่คนนี้มาตอบแทนความช่วยเหลือของฉันงั้นหรือ ครูหยางคิดถึงผลที่จะตามมา

บ้างไหมหากขัดใจฉัน”


               “ท่านเหยาครับโปรดฟังก่อน”


                หยางซื่อพลันคุกเข่าอยู่ด้านข้างเก้าอี้ที่เหยาหงลี่นั่งอยู่ มือทั้งยกคือประสานคำนับพร้อมกับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อ

เห็นสายตากรุ่นโกรธของเหยาหงลี่


                “เหวินเป่าเมื่อตอนอายุแปดขวบคุณชายเฉินนำมาฝากไว้กับกระผม หากผมมอบเหวินเป่าให้ท่านเหยาแล้วคุณชายเฉินมารู้

ภายหลังผมเกรงว่ามันจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่”


              เหยาหงลี่ชะงักจนคิ้วแทบขมวดเป็นปมเมื่อได้ฟังเหตุผลของหยางซื่อ


                 “คุณชายเฉิน เฉินไหน”


                “เฉินหย่งหนานผู้เป็นหลานของนายพลเฉินจิ้งเหออย่างไรล่ะครับ เขานำเหวินเป่ามาฝากไว้”


                  สายตาเรียวเล็กกลิ้งกลอกไปมา เหยาหงลี่ยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด เขายังคงจับจ้องแต่ใบหน้าของเหวินเป่า ยิ่งมอง

ความต้องการครอบครองก็ยิ่งเอ่อล้นจนไม่อาจห้ามใจได้


                “ป่านนี้เฉินหย่งหนานคงยุ่งอยู่แต่สงครามจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นใดนักหรอก และกว่าเขาจะกลับมาสนใจฉันก็คงพอใจกับ

สิ่งตอบแทนจนเบื่อหน่ายเสียแล้ว เพราะฉะนั้นครูหยางจงมอบชิงอี่ของครูมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”


                “ไม่นะ!”


                เหวินเป่าที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นถึงกับอกสั่นขวัญแขวนเมื่อรู้ว่ากลายเป็นที่ต้องการของบุรุษผู้มากไปด้วยกามารมณ์

หนุ่มน้อยขยับกายคิดหนีหากแต่แค่เพียงยันกายผุดลุกเขาก็ถูกลูกน้องของเหยาหงลี่ตรงเข้ามาคว้าต้นแขนทั้งสองข้างไว้จนดิ้นไม่หลุด

แม้แต่เหวินเป่าจะออกแรงทั้งหมดที่มี


                “หยุดนะ แกจะทำอย่างนี้ไม่ได้”


                  คนที่ส่งเสียงกร้าวก่อนจะตรงเข้ามาขัดขวางคือหยางเจี่ยน เขาเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างใจจดใจจ่อ และเมื่อรู้ว่า

เหยาหงลี่คิดจะชิงตัวเหวินเป่าไปเขาจึงโกรธสุดขีดจนลืมอิทธิพลของนักการเมืองผู้นี้ หยางเจี่ยนพบเพชรน้ำงามเม็ดนี้ก่อนและเหวินเป่า

ควรจะเป็นของเขามิใช่ชายรุ่นบิดาที่กำลังจะช่วงชิงสมบัติของเขาไป


                   “อาเจี่ยน แกทำอะไรอย่างนั้น!”


                  หยางซื่อตกใจเมื่อเห็นบุตรชายตรงเข้าต่อสู้กับคนของเหยาหงลี่ด้วยความบ้าบิ่น เหวินเป่าฉวยโอกาสนั้นสะบัดต้นแขนหนี

และก้าวเท้าวิ่งออกไปด้านหน้าโรงงิ้วอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับ เหวินเป่ายอมไปตายอยู่เบื้องนอกดีกว่าตกเป็นสมบัติของผู้คน

เหล่านั้นที่เห็นเขาเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งที่ไร้ชีวิตจิตใจ


               “ไปตามกลับมาให้ได้”


                 ได้ยินเสียงกร้าวของเหยาหงลี่ดังอยู่เบื้องหลังพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งติดตามมาแต่เหวินเป่าก็ไม่ยอมหยุด หัวใจของเหวิน

เป่าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ เขานึกถึงเพียงวีรบุรุษของเขาเพื่อจะเป็นความหวังให้รอดไปจากความเลวร้ายที่

กำลังเกิดขึ้นตอนนี้




มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 02-02-2017 00:38:33
ต่อกันตรงนี้..



                เฉินหย่งหนานโอบบ่าประคองฟางซินภรรยาออกมาจากโรงงิ้ว ดวงตาคมยังเฝ้าครุ่นคิดถึงร่างโปร่งบางในชุดงิ้วที่ได้สบตาใน

ระยะไกล แม้ร่างนั้นจะเติบโตกว่าเมื่อแปดปีก่อนแต่ดวงตาเรียวหวานคู่นั้นกลับไม่แปรเปลี่ยนไปเลยสักนิดยามมองมาที่เขา


              “คณะงิ้วของครูหยางแสดงดีเหลือเกินนะคะ”


               ฟางซินเอ่ยขึ้นมาปลุกหย่งหนานจากภวังค์


               “คนดูพากันร้องไห้แม้แต่น้อง”


                เธอหัวเราะเบาๆอย่างถูกใจ


                 “คนที่เล่นบทอิงไถก็เล่นได้ดี รูปร่างหน้าตาเวลาแสดงก็อ้อนแอ้นราวกับมิใช่เป็นชาย”


                  หย่งหนานเพียงแต่ยิ้มรับ ฟางซินดูสดชื่นขึ้นมาบ้างเมื่อได้มาเปิดหูเปิดตานอกบ้าน หย่งหนานมองภรรยาอย่างห่วงใย


                  “เธอมีความสุขก็ดีแล้ว คลุมผ้าให้ดีกว่านี้เถอะน้ำค้างลงหนาแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก”


                  ฟางซินยิ้มรับก่อนจะกระชับผ้าคลุมไหล่ให้แน่นหนากว่าเดิม เดินเคียงคู่กันมาได้พักหนึ่งหย่งหนานจึงเตรียมจะเรียกรถลาก

ให้ไปส่งที่บ้าน หากแต่เสียงเอะอะที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้เขาหันขวับไปมองตามสัญชาตญาณ

                 ร่างโปร่งบางที่เพิ่งจะถูกม่านบนเวทีกางกั้นวิ่งตรงมาด้วยสีหน้าท่าทางตระหนกสุดขีดตามมาด้วยชายฉกรรจ์ท่าทางประสงค์

ร้าย หย่งหนานเบิกตากว้างเมื่อเห็นเหตุการณ์ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาจำต้องยื่นมือเข้าไปช่วย


                 “อากุย”


                หัวใจของเหวินเป่าเต้นราวกับเสียงรัวตีกลองยามตัวแสดงฝ่ายบู๊ออกศึกเมื่อเห็นว่าใครที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไกลออกไปและส่ง

เสียงเรียกเขาไว้ เหวินเป่ากัดฟันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตตรงไปหาความหวังของเขา


              “นายท่าน นายท่านช่วยด้วย”


               เหวินเป่าหมดแรงล้มลงตรงหน้าหย่งหนานนั่นเอง หนุ่มน้อยทรุดตัวลงหอบหนักจนฟางซินที่ยืนอยู่ด้วยมองอย่างสงสารและ

ดึงแขนของเขาให้ลุกขึ้นมาหลบอยู่เบื้องหลัง


              “มาตรงนี้เถอะชิงอี่น้อย”


              หย่งหนานส่งสายตาเข้มหยุดเหล่าชายฉกรรจ์ที่วิ่งติดตามมา พวกมันเมื่อเห็นว่าใครกางปีกปกป้องเหวินเป่าไว้จึงชะงักฝีเท้า

จนกระทั่งนายของพวกมันมาถึง


                “เกิดอะไรขึ้น อ้อ คุณเหยานั่นเอง”


                กวาดสายตาคมมองไล่ไปตามใบหน้าทีละคนรวมถึงเหยาหงลี่และหยางซื่อที่เพิ่งมาถึง หยางซื่อถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นว่าคือ

หย่งหนานหลานชายของนายกรัฐมนตรี


               “คุณชายเฉิน!”


                หยางซื่อนึกไม่ออกว่าจะมีวันไหนที่เขาดวงซวยเท่าวันนี้ เขายืนไหล่ตกลอบมองเสือสองตัวที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่


                “นึกว่าใคร หลานชายและฮูหยินนั่นเอง”


                  เหยาหงลี่ฝืนยิ้ม แม้ว่าชายหนุ่มข้างหน้าจะอ่อนอาวุโสกว่าหลายปีนัก แต่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ฝึกสอนทหารในกองทัพรัฐบาล

และเป็นถึงหลานชายของหัวหน้าพรรคชาตินิยมที่เขาสังกัดอยู่จึงจำเป็นต้องเกรงใจหย่งหนานอยู่มาก


                 “ไม่นึกว่าจะมาพบเจอกันข้างถนนในเวลาเช่นนี้”


                  หย่งหนานไม่สนใจคำทักทายตามมารยาทนั้น เขาเคยได้ยินเรื่องความมักมากของเหยาหงลี่มาบ้างว่ามีภรรยาหลายคนและ

พอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าหวาดกลัวของเหวินเป่าที่หลบอยู่เบื้องหลังฟางซินทำให้ชายหนุ่มโกรธจนควันออกหูแต่ก็ต้องพยายาม

ระงับมันไว้


                  “ผมเองก็แปลกใจเช่นกันที่เห็นคุณเหยามาวิ่งเล่นอยู่บนถนนในยามค่ำคืน ทั้งที่ผมควรจะเห็นคุณเหยาที่รัฐสภามากกว่าใน

ภาวะสงครามเช่นนี้”


                    น้ำเสียงของหย่งหนานไม่ไว้หน้าแม้อีกฝ่ายจะอาวุโสกว่าจนเหยาหงลี่หน้าม้าน


                    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงต้องมีการวิ่งไล่จับเด็กหนุ่มคนนี้ครับครูหยาง”


                    หยางซื่อสะดุ้งสุดตัว ดวงตาของหย่งหนานมองเขาอย่างเอาเรื่องจนเขาปากสั่น


                   “เอ่อ คือ คือว่า...”


                     “เด็กคนนี้ติดค้างฉันอยู่”


                    เหยาหงลี่ข่มใจและเค้นเสียงตอบ เขาจะให้ทายาทสกุลเฉินผู้นี้รู้ไม่ได้ว่าเขากำลังหวาดหวั่น


                    “เขาจำเป็นจะต้องชดใช้ให้ฉันซึ่งพันตรีเฉินไม่ควรยุ่ง”


                   หย่งหนานเห็นสีหน้าของเหยาหงลี่แล้วก็ยิ่งโมโห เขาเหยียดยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยอย่างไม่เกรงความอาวุโสของเหยา

หงลี่เลยสักนิด


                 “เด็กคนนี้อยู่ภายใต้การปกครองของผมที่ฝากครูหยางไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมคิดว่าครูหยางคงจำได้”


                  หันขวับไปหาจนหยางซื่อสะดุ้งเป็นคำรบสอง


                 “ขณะนั้นผมยังไม่พร้อมที่จะดูแลเด็กชายเพราะสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ แต่มาบัดนี้ผมคิดว่าผมสามารถดูแลเหวิน

เป่าได้แล้ว หากผมจะขอรับเหวินเป่ากลับคืนครูหยางคงไม่ขัดข้อง”


                “เอ่อ...”


                 หยางซื่อจนด้วยคำตอบ ใครจะกล้าเอ่ยคำคัดค้านเมื่อหย่งหนานจ้องมองราวกับมีดมากรีดเนื้อเป็นชิ้นๆเช่นนี้


                 “และผมไม่รู้ว่าเหวินเป่าติดค้างอะไรกับคุณเหยาจึงต้องชดใช้จนถึงกับวิ่งตามกันราวกับเด็กวิ่งไล่จับ แต่ถ้าหากคุณเหยา

ต้องการการชดใช้จริงๆก็ได้โปรดตามมาที่บ้านผม ผมจะชดใช้แทนเด็กในปกครองของผมเอง คุณเหยาจะว่ากระไร”


                เหยาหงลี่กัดฟันกรอด เขาสบตาชายหนุ่มอย่างเคียดแค้นก่อนจะฝืนหัวเราะออกมา


               “ใครจะกล้าขัดพันตรีเฉินได้เล่า เฮอะ”


                สบถออกมาพร้อมกับมองเหวินเป่าอย่างเสียดาย เหยาหงลี่สะบัดหน้าเดินหันหลังกลับไปพร้อมหยางซื่อที่เสียดายเพชรเม็ด

งามที่เขาเพิ่งเจียรนัยเช่นกัน หย่งหนานมองเหล่าชายฉกรรจ์เดินตามเจ้านายกลับไปจนกระทั่งเห็นว่าปลอดภัยแน่แล้วเขาจึงหันไปหา

หนุ่มน้อยที่ยืนตัวสั่น


               “อากุย”


               “นายท่าน”


                 หมดสิ้นแล้วซึ่งความอดทน เหวินเป่าคุกเข่าและกอดขาของหย่งหนานพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ชายคนนี้ชุบ

ชีวิตของเขาขึ้นมาอีกครั้งและเป็นเจ้าชีวิตของเหวินเป่าอย่างแท้จริง ส่วนหย่งหนานได้แต่ถอนหายใจ เขาดึงแขนของเหวินเป่าให้ลุกขึ้น

ยืน ใบหน้าของหนุ่มน้อยเลอะไปหมดทั้งคราบแป้งและคราบน้ำตา หย่งหนานยิ้มให้อย่างปรานีเขายกมือขยี้ผมของเหวินเป่าอย่างอ่อน

โยน


                  “อย่าร้องไห้สิเด็กดี ฉันมารับเธอตามสัญญาแล้วนะเหวินเป่า”

             

                                          TBC

                                  :mc4: :mc4:



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 02-02-2017 01:29:25
คุณภรรยาจะเข้าใจรึเปล่าคะ นางก็ดูใจดีอยู่นะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 02-02-2017 01:47:38
ได้ไปอยู่ด้วยกันแล้ว
แต่จะทนได้ไม่นะ เห็นภาพบาดตาแน่ๆๆอ่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-02-2017 07:28:02
ในที่สุด!

รอบตัวเหวินเป่าถึงมีแต่คนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้

สงครามทำให้เป็นไป หรือใจคนที่มันละโมบเอง
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 02-02-2017 11:59:29
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 02-02-2017 13:04:43
หึงเมียหยงหน่านแทนเหวินเป่ามากเรยอา :mew4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 02-02-2017 13:06:07
5555พ้นมือตาอ้วนนั่นไปละนี่คือดีงาม แอบคิดว่าจะดราม่าทำลายตับประมานว่า ไปได้เสียกับตาอ้วนนั่นก่อน  :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-02-2017 14:22:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 03-02-2017 08:09:05
ฮืออออ เค้ารางเมียเก็บลอยมาไกลๆ

5555555 นายท่านเอาไงคะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 03-02-2017 16:40:58
ในที่สุดก็ได้อยู่กับนายท่าน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 03-02-2017 18:51:44
 :hao7:  ในที่สุดเขาก็จะได้ไปอยู่ด้วยกัน(มั้ง)    ตอนนี้แอบเกลียดไอ้ตัวอุบาทนั่นมากที่จะมาพาเต่าน้อยไปเป็นเมียจริงๆ


ตอนที่แล้วที่บอกว่า รอวันเจ๊ฟางซินม่องเท่งทึงเนี่ย ต้องแอบกลับลำเล็กๆ  ไม่คิดว่าเจ๊แกจะดีกว่าที่คิด   มีการเรียก  อี้ชิงน้อยด้วย  :hao5:


แต่ตอนหน้าคงดราม่าสินะที่เต่าน้อยต้องทนเห็นภาพบาดตา ของนายท่าน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 04-02-2017 10:05:38
สงสารเหวิ่นเปา ได้เจอนายท่านก็จริง :m15:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 04-02-2017 12:43:24
ในที่สุดก็ได้เจอนายท่านอีกครั้ง :mew6:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 04-02-2017 13:53:17
สงสารเหวินเป่ามากๆเลย  มีเรื่องให้ได้ร้องไห้ตามอีกแล้ว :mew6:
ดีใจที่อากุยได้เจอนายท่านและนายท่านยังไม่ลืมสัญญา
สนุกมากๆค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Minerey ที่ 04-02-2017 19:59:56
ฮือออออออ เกือบไปแล้วววววว สนุกมากๆเลยค่ะมาต่อเร็วๆน้าาาาา
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 04-02-2017 20:06:37
ฮืออออ นายท่านมารับอากุยแล้ว
ฮูหยินฝากเอ็นดูเต่าน้อยตัวนี้ด้วยเถอะนะคะ


ทำไมไม่รู้เรากลัวพี่ที่ลูกเต่ารัก หนีไปแล้วจะกลับมาทำร้ายครอบครัวนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 05-02-2017 11:24:00
 o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 05-02-2017 18:29:31
สนุกมว๊าก ได้อ่านรวดเดียว ห้ามใจอ่านหลายครั้ง กลัวอ่านแล้วหยุดไม่ได้
รอให้มีหลายๆ บท อิ่มใจ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 05-02-2017 20:51:25
เพิ่งจะเจอเรื่องนี้ เลยได้อ่านมาถึงตอนปัจจุบันล้าว ดีใจในที่สุดก็จะได้อยู่ใกล้ๆ กันสักที ชีวิตแสนลำบากที่ผ่านมา นายท่านจะได้ดูแลใกล้ชิดแล้วนะเด็กน้อย

รออ่านต่อจ้า
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 06-02-2017 17:40:17
รอตอนต่อไปอยู่น้า
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 06-02-2017 23:07:42
 สนุกมากมาย

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahtallll ที่ 07-02-2017 09:11:42
รอรอรอรอรออออ อ.... :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 08-02-2017 16:42:37
เข้ามาดัน อิอิ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 08-02-2017 19:40:33
มาต่อเร็วๆน้าาา  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 09-02-2017 12:34:52


                                                                   ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                           บทที่ 9



               เฉินหย่งหนานเรียกรถลากมาสองคัน คันหนึ่งสำหรับเขาและฟางซินผู้เป็นภรรยากับอีกคันหนึ่งสำหรับเหวินเป่าที่อยู่ด้านหลัง

ไม่ไกลกันนัก ภาพของเด็กหนุ่มในชุดเสื้อและกางเกงสีขาวบอบบางนั่งไหล่ลู่คอตกพร้อมกับใบหน้าเศร้าสร้อยนั้นทำให้หย่งหนานนึก

เป็นห่วงอยู่ไม่น้อยจนต้องคอยหันไปมองเป็นระยะ


               “พี่รู้จักนางเอกชิงอี่ของครูหยางด้วยหรือคะ”


               ฟางซินเอ่ยถามอย่างสงสัยขณะรถลากพาพวกเขากลับบ้าน หย่งหนานพยักหน้าพร้อมกับเล่าให้ภรรยาฟังถึงประวัติอันแสน

ขมขื่นของเด็กน้อยเมื่อแปดปีที่แล้ว


               “ฉันนำเหวินเป่าไปฝากไว้ที่คณะงิ้วของครูหยางเพราะนึกไม่ออกว่าที่ไหนจะรับเลี้ยงเด็กในวัยนั้นได้ และเพราะสงครามทำให้

ฉันลืมเลือนเหวินเป่าไปสนิท นั่นก็เป็นความผิดของฉันเอง”



              หย่งหนานถอนหายใจ เขานึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เขามีความคิดอยากจะพาฟางซินไปเปิดหูเปิดตาจนกระทั่งได้ช่วย

เหวินเป่าไว้อีกครั้ง มิเช่นนั้นหย่งหนานก็ไม่กล้าจะคาดเดาเลยว่าชีวิตของเหวินเป่าจะเลวร้ายไปกว่าในอดีตขนาดไหน


               “ชีวิตของเด็กคนนั้นช่างน่าเห็นใจ แต่น้องคิดว่าพี่ไม่ควรโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ลืมนึกถึงเขา เป็นเพราะพี่กำลัง

ทำงานเพื่อชาติจนไม่อาจมุ่งสู่ใครเพียงคนใดคนหนึ่ง”


               ฟางซินเอ่ยปลอบใจเมื่อเห็นสีหน้าสลดของสามี เธอยกมือขึ้นแตะไหล่และยิ้มให้อย่างเข้าใจ


               “ตอนนี้ฟ้าก็ได้กำหนดให้พี่มาพบและช่วยเหลือเหวินเป่าอีกครั้งก็นับว่าเป็นวาสนา”


               หย่งหนานสบตากับภรรยาด้วยความพึงใจอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าที่มาของชีวิตคู่จะเกิดจากความจำเป็นในหน้าที่ของชาติตระกูล

แต่ฟางซินก็ทำให้เขารู้สึกถึงความโชคดีที่ได้สตรีผู้มีสติปัญญาและจิตใจอันงดงามมาเคียงคู่


               “หากฉันจะขอเลี้ยงดูเหวินเป่าตามที่เคยสัญญาไว้กับเขาเมื่อยามเด็กเธอจะว่ากระไรหรือไม่”


               ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าพร้อมส่งยิ้มมาให้


               “น้องจะว่ากระไรเล่าคะ บ้านเรือนของเราก็กว้างขวางจนน้องเหงา แค่เลี้ยงดูคนเพิ่มอีกสักคนไม่เห็นจะเป็นเรื่องเดือดร้อนอัน

ใด ดีเสียอีกน้องจะได้ฟังเพลงงิ้วเพราะๆทุกวันเมื่อพี่ไม่อยู่บ้าน”


               รถลากจอดสนิทอยู่หน้ารั้วบ้านกว้างขวางปกปิดมิดชิดจากสายตาผู้คนภายนอกและมีทหารอารักขาอย่างเข้มแข็งทำให้เหวิน

เป่าถึงกับตัวสั่นเมื่อลงมาจากรถลาก หนุ่มน้อยกวาดสายตามองด้วยความตื่นตาเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังอยู่หน้าบ้านของนายกรัฐมนตรีเฉินจิ้ง

เหอและหลานชายของเขา ภาพที่หย่งหนานยืนเคียงคู่อยู่กับภรรยาเมื่อรถลากมาถึงก่อนทำให้เหวินเป่าอดใจแกว่งไม่ได้ เขาไม่รู้เลยว่า

ชะตากรรมต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร


               “โถ ตัวสั่นเป็นลูกนกเชียว”


                ฟางซินเอ่ยอย่างเวทนา หญิงสาวก้าวเข้ามาและแตะไหล่เหวินเป่าอย่างอ่อนโยน


               “เข้าไปในบ้านก่อนเถิดแล้วค่อยพูดจา”


               เหวินเป่านึกเคืองตนเองที่วันนี้เขาเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อตัว ดวงตาเรียวหวานกลอกไปมาอย่างสับสนจนหย่งหนานต้องพยัก

หน้าให้ สายตาของหย่งหนานทำให้เหวินเป่าอุ่นใจขึ้นมาก


               “มาเถอะเหวินเป่า เข้ามาในบ้านของเรา”


               คำพูดของหย่งหนานเรียกความตื้นตันจนเอ่อท้นให้กับหัวใจดวงน้อย เหวินเป่าก้าวเดินตามแผ่นหลังกว้างที่เคียงคู่ไปพร้อม

ภรรยาอย่างไม่อิดออดอีกต่อไป เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรขอเพียงแค่ตอนนี้ปลอดภัยอยู่ในความดูแลของชายชาติ

ทหารตรงหน้าแม้ว่าหัวใจของเหวินเป่าจะเจ็บแปลบอยู่บ้างเพราะสตรีผู้นั้น


               “นั่งก่อนเถิด”


               ฟางซินชี้ชวนให้เหวินเป่านั่งลงที่ชุดรับแขกเมื่อเดินมาถึงบ้านหลังเล็กที่สร้างแยกจากบ้านหลังใหญ่เยื้องอยู่ด้านข้าง แม้จะมี

ขนาดเล็กกว่าตัวบ้านที่เหวินเป่าเดินผ่านมาหากแต่มันก็ช่างใหญ่โตสำหรับเขา เหวินเป่านั่งบนเก้าอี้กลางโถงกว้างอย่างตื่นตาตื่นใจโดย

มีฟางซินยิ้มอย่างเอ็นดู


               “ดูสิ น่าเอ็นดูราวกับลูกกวางหลงป่า ไม่ต้องหวาดกลัวไปหรอกเหวินเป่าที่นี่ปลอดภัยแน่นอน”


               ฟางซินเอ่ยเรียกหญิงรับใช้และออกคำสั่งให้นำผ้าชุบน้ำมาทำความสะอาดใบหน้าของเหวินเป่าที่เลอะไปด้วยเครื่องสำอาง

และคราบฝุ่นคราบน้ำตา ระหว่างนั้นหย่งหนานนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบๆ ช่วงนี้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มมีความระส่ำระสายเพราะฝั่ง

สัมพันธมิตรกำลังโจมตีอย่างหนักทั้งที่เกาะญี่ปุ่นและตามประเทศต่างๆที่ญี่ปุ่นบุกไปยึดครองเป็นฐานทัพ ทหารกองทัพญี่ปุ่นสูญเสีย

กำลังพลและประชากรเป็นจำนวนมากแต่รัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังยืนกรานในสมรภูมิรบอย่างเหนียวแน่น


               “เสร็จแล้วเหวินเป่า อุ๊ยตาย นี่เป็นผู้ชายแท้ๆทำไมถึงงดงามเช่นนี้นะ”


               เสียงอุทานของฟางซินเรียกความสนใจของหย่งหนานจากหนังสือพิมพ์ในมือได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ใบหน้า

ปราศจากเครื่องสำอางของงิ้วเหลือแต่เพียงหน้านวลใส พลันหย่งหนานก็ถึงกับชะงักงันเมื่อแรกเห็น

               กรอบหน้าเรียวได้รูป ผิวพรรณขาวนวลดูต่างไปจากชาวจีนทั่วไปอยู่บ้าง แต่ที่เด่นชัดคือเครื่องหน้าสมส่วนเหมาะเจาะราวกับ

จิตรกรฝีมือเยี่ยมปั้นแต่งออกมา คิ้วของเหวินเป่าโก่งโค้งรับกับดวงตาเรียวนัยน์ตาดำขลับ จมูกโด่งคมเป็นสันทำมุมกับริมฝีปากสีแดงระ

เรื่อโดยธรรมชาติ ความลงตัวนั้นทำให้หย่งหนานจ้องมองอย่างเผลอไผลในขณะที่เจ้าตัวเหวินเป่าได้แต่ก้มหน้างุดคางแทบจะชิดอกจน

หย่งหนานนึกอยากจะตรงเข้าไปเชยคางมนนั้นให้เงยขึ้นมาให้เขาได้จ้องมองเสียให้หนำใจ


               “เอ่อ...”


               เหวินเป่าหน้าร้อนผ่าวจนแก้มแดงซ่าน คำชมมากมายไม่หยุดหย่อนของฟางซินยังไม่เทียบไม่ได้กับตาคมที่จ้องมองราวกับ

พยัคฆ์หนุ่มแม้ว่าหย่งหนานจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เหวินเป่านึกอยากจะละลายหายไปต่อหน้าสายตานั้นนัก เขานึก

ขอบคุณที่ฟางซินหันไปพูดคุยกับหย่งหนานปันความสนใจจากชายหนุ่มไปได้บ้าง


               “น้องชอบใจเด็กคนนี้เหลือเกินค่ะ”


              ฟางซินมองหย่งหนานราวกับเป็นของเล่นถูกใจ


               “เหวินเป่าทำให้น้องคิดถึงน้องชายที่ไม่ได้พบกันมานานแล้ว หากพี่ไม่ว่าน้องจะขอดูแลเหวินเป่าให้เองเมื่อพี่ไปทำงาน น้อง

จะให้เหวินเป่าช่วยดูแลเซียวจงลูกของเราและน้องจะสอนให้เหวินเป่าเรียนหนังสือด้วย พี่จะอนุญาตไหมคะ”


               หย่งหนานเผยรอยยิ้มออกมา เขากุมมือฟางซินไว้ในความมีน้ำใจของภรรยา


               “ฉันจะขอบคุณมากด้วยซ้ำที่เธอดูแลเหวินเป่าเช่นที่เธอบอก ฟางซิน เธอเป็นภรรยาที่ฉันภูมิใจมากนะ”


               แม้จะเจ็บลึกอยู่ในหัวอกแต่เหวินเป่าไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าผู้หญิงตรงหน้าช่างมีจิตใจแสนประเสริฐจนเขามิบังอาจอิจฉา

ความโชคดีที่ฟางซินได้เคียงคู่กับวีรบุรุษของเขา เหวินเป่ามองเห็นแต่ความเหมาะสมคู่ควรโดยแท้จนต้องกดความรันทดไว้ให้ลึกที่สุด

เขาลุกจากเก้าอี้ลงมานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นและคำนับจนหน้าผากติดพื้นห้อง


               “ขอบคุณนายหญิงครับ ผมจะทำทุกอย่างที่นายหญิงสั่ง”


               “อย่าเรียกว่านายหญิงเลยเหวินเป่า ฉันเองเห็นเธอเหมือนน้องชายคนหนึ่ง”


               ฟางซินลูบไหล่บางที่สะท้านเพราะความตื้นตันด้วยความเมตตาแต่เหวินเป่าส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว


               “ขอให้ผมได้เรียกว่านายหญิงเถิดครับ บุญคุณของนายหญิงมากเกินกว่าผมจะคิดเป็นอย่างอื่น”


               “งั้นก็ตามใจเถอะ อยากเรียกเช่นใดก็แล้วแต่สะดวก”


               พูดจบฟางซินก็ไอออกมาชุดใหญ่จนหย่งหนานขยับเข้าไปประคองอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่คลอดบุตรคนเดียวให้เขาฟางซินก็

อ่อนแอลงมากจนหย่งหนานเป็นห่วง


                “ไอหนักเหลือเกินฟางซิน พรุ่งนี้ให้หมอฝรั่งมาตรวจดีไหม”


               “อย่ายุ่งยากเลยค่ะพี่” ฟางซินฝืนยิ้มเมื่ออาการไอทุเลาลงแล้ว


                “คืนนี้อากาศเย็นเท่านั้นเองและคงเป็นเพราะออกไปตากน้ำค้างด้วย น้องก็เป็นเช่นนี้จนน่ารำคาญอยู่แล้วขอตัวไปพักผ่อนก็

คงจะดีขึ้น คงต้องรบกวนพี่พาเหวินเป่าไปที่ห้องพักแทนน้องนะคะ เหวินเป่า พักอยู่ที่นี่ให้สบายเถิดนะ ถือเสียว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ

บ้านนี้”


               ฟางซินเอ่ยจบก็สั่งให้สาวใช้ประคองตนก้าวเดินไปยังห้องนอน ทิ้งไว้เพียงหย่งหนานและเหวินเป่าให้นั่งเงียบกันอยู่ในห้อง

โถง ครั้นเมื่อได้อยู่เพียงลำพังกันอย่างแท้จริงเหวินเป่าก็ถึงกับหายใจขัด เขาไม่กล้าสบตาของหย่งหนานเลยจริงๆ


               “อากุย”


               เสียงนุ่มอย่างไม่เคยใช้กับใครมาก่อนดังขึ้นจนเหวินเป่าสะดุ้งโหยง เขาเหลือบตามองหย่งหนานอย่างกล้าๆกลัวๆจนกระทั่ง

เจ้าของเสียงนุ่มคลี่ยิ้มบางๆเหวินเป่าก็แทบละลายไปกับพื้นห้อง


               “ลุกมานั่งด้วยกันตรงนี้เถิด”


               “ตะ แต่ว่า นายท่าน”


               “มาเถิดน่า อย่ากลัวจนตัวสั่นแบบนี้สิ”


               เหวินเป่าลุกขึ้นจากพื้นและก้าวมานั่งบนเก้าอี้ตัวติดกันกับหย่งหนานอย่างขลาดๆ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีอาทรหัวใจของเหวิน

เป่าก็ยิ่งปวดแปลบ


               “ฉันขอโทษที่ไม่ได้ไปรับเธอตามที่สัญญาไว้ เธอจะยกโทษให้ฉันได้หรือเปล่า”


               หนุ่มน้อยเงยหน้าทันควันด้วยความตกใจ เหวินเป่าส่ายหน้าเร็วๆและรีบพูดละล่ำละลัก



               “อย่าโทษว่าเป็นความผิดของนายท่านสิครับ แค่บุญคุณที่ให้ชีวิตผมใหม่ถึงสองครั้งผมก็ไม่รู้จะตอบแทนพระคุณของนาย

ท่านได้หมดหรือเปล่าในชาตินี้”


               สีหน้าของเหวินเป่ายิ่งสร้างความเอ็นดูในหัวใจของชายชาติทหารอย่างไม่เคยเกิดกับผู้ใด เขามองใบหน้าตื่นตกใจของเหวิน

เป่าด้วยความยินดีที่หนุ่มน้อยไม่ได้ก้มหน้าก้มตาใส่เขาอีกแล้ว


               “ไหนลองเล่าให้ฉันฟังทีสิว่าแปดปีที่เราไม่ได้พบกันเธอผ่านอะไรมาบ้าง”


               หย่งหนานถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองจนเหวินเป่าคลายความตื่นเต้น จากนั้นเหวินเป่าก็เล่าฉากชีวิตตั้งแต่หนีความเลวร้าย

จากทหารญี่ปุ่นไปอยู่ในค่ายทหารกลางป่าเกือบหกเดือน ก่อนจะกลับเข้ามาในเมืองและใช้ชีวิตอยู่ในโรงงิ้วเป็นทั้งตัวประกอบและกุลีจน

กระทั่งเมื่อเยี่ยไป๋ซานหนีไปจากคณะงิ้วและเขาต้องขึ้นแสดงแทนเพื่อนรุ่นพี่โดยไม่ทันตั้งตัว


               “พี่ไป๋ซานน่าสงสารมาก ผมเข้าใจที่พี่เขาหนีไปแต่ไม่นึกว่าตัวเองจะต้องมารับบทแทน ถ้าวันนี้ฟ้าไม่ส่งนายท่านมาอีกครั้ง

ชีวิตของผมก็คงไม่ต่างอะไรจากพี่ไป๋ซาน”


               หยาดน้ำคลออยู่ในหน่วยตางามจนหย่งหนานยิ่งนึกสงสาร เขากล่าวขอบคุณฟ้าอยู่ในใจที่ดลใจให้เขาไปได้ถูกจังหวะ

ใบหน้านวลกลั้นน้ำตาจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะดึงไหล่บางนั้นเข้าหาและโอบไว้เพื่อปลอบโยน การกระทำของหย่งหนานที่มีแต่ความ

จริงใจและอบอุ่นทำให้เหวินเปล่ากล้าที่จะซบหน้ากับบ่ากว้างและร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น


 
มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 09-02-2017 12:38:35
มาเจิมคนแรกเยยย ขอให้ไม่มีเรื่องร้ายกับเหวินเป่านะให้ฟางซินเอ็นดูเหวินเป่าเยอะๆ
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 09-02-2017 12:43:33


อ่านต่อตรงนี้...





               “ร้องไห้ออกมาเสียให้พอเถิดอากุย ชีวิตของเธอช่างน่าสงสารนัก ต่อไปนี้ฉันจะดูแลไม่ให้เธอต้องพบเจอกับความลำบากเช่น

ที่ผ่านมาอีกแล้ว”


               “นายท่าน”


               ร้องไห้จนเสื้อคลุมของหย่งหนานเปียกชึ้นจนกระทั่งได้ระบายความอัดอั้นออกจากหัวใจดวงน้อย เหวินเป่าจึงถอนสะอื้นและ

ผละออกจากบ่าที่เขาใช้รองรับความทุกข์เพื่อมาพบกับใบหน้าคมที่จ้องมองเขาอยู่แล้ว หย่งหนานใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออก

จนหมดเพราะเขาไม่ต้องการเห็นใบหน้าอ่อนหวานดูเศร้าสร้อย


               “ไปเถอะ ฉันจะพาเธอไปยังห้องพัก”


               หย่งหนานแตะไหล่ให้เหวินเป่าลุกตามก่อนจะพาเดินผ่านไปยังด้านใน แม้จะเป็นเรือนหลังเล็กแต่ก็มีห้องหับแบ่งซอยอยู่

หลายห้อง หย่งหนานเดินนำเหวินเป่าผ่านประตูห้องหนึ่งซึ่งใหญ่กว่าห้องอื่นๆ และได้ยินเสียงไอของฟางซินดังลอดออกมาเหวินเป่าจึง

เดาว่าน่าจะเป็นห้องของหย่งหนานและภรรยาของเขา


               “ห้องของฉันกับฟางซินน่ะ”


                ชายหนุ่มเอ่ยคลายความสงสัย เขาพาเดินผ่านห้องเล็กที่อยู่ถัดไป


                “ส่วนห้องนี้เป็นห้องของฮุ่ยจงลูกชายคนเดียวของฉัน เราเรียกเขาว่าเซียวจง(จงน้อย) เขาอายุได้สองขวบแล้วตอนนี้”


                 น้ำเสียงของหย่งหนานบอกถึงความรักที่มีต่อบุตรชายได้เป็นอย่างดี


                 “บ่าวรับใช้จะมีเรือนแยกอยู่ด้านหลัง พวกเขาจะดูแลทั้งที่เรือนใหญ่ของคุณลุงคุณป้า เรือนของพี่หยางซุนและที่นี่ ถึงแล้วนี่

คือห้องของเธอตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”


                   หย่งหนานหยุดยืนอยู่หน้าห้องถัดจากห้องของบุตรชาย เขาผลักประตูเข้าไปและก้าวนำให้เหวินเป่าก้าวตาม หนุ่มน้อยมอง

ไปรอบห้องเล็กพลางกวาดสายตามองโดยรอบ ตลอดชีวิตสิบหกปีเหวินเป่าไม่เคยมีอาณาจักรส่วนตัวมาก่อนเลย


                 “อันที่จริงนายท่านให้ผมไปอยู่ที่เรือนบ่าวรับใช้ก็ได้ครับ ที่นี่มันดีเกินไปสำหรับผม”


                 เหวินเป่าเอ่ยเพราะรู้ดีว่าตนนั้นต่ำต้อยแค่ไหน หากแต่หย่งหนานส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย


                 “เธอไม่ใช่บ่าวรับใช้นะ เธอคือคนในการดูแลของฉันย่อมได้รับสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเธอ”


                 เหวินเป่ามองผู้ชายตรงหน้าอย่างตื้นตัน เขาทั้งรักและบูชาหย่งหนานจนท่วมท้นหัวใจ น้ำตาที่เพิ่งจะเหือดหายกลับรื้นขึ้นมา

อีกครั้ง แต่คราวนี้มันเป็นน้ำตาแห่งความยินดีที่เหวินเป่ามีในตอนนี้


                 “ขี้แยจริงๆ เอะอะก็ร้องไห้ เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็งสิอากุย”


                  หย่งหนานเอ่ยเย้าจนเหวินเป่าหัวเราะทั้งน้ำตา เขาเองผ่านความลำบากมาก็มากแต่นานๆถึงจะร้องไห้ออกมา แต่เมื่อได้อยู่

ใกล้หย่งหนานก็เหมือนเขามอบความไว้เนื้อเชื่อใจจนกล้าจะระบายความอัดอั้นให้หย่งหนานได้รู้ แต่หนุ่มน้อยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของตน

นั้นพิมพ์ประทับเข้าไปในหัวใจของหย่งหนานตั้งแต่แรกเห็น


                    “อากุย อ้อ ฉันไม่ควรเรียกเธอว่าอากุยสินะ ชื่อนี้น่ะมันไม่เหมาะกับเธอ ฉันควรจะเรียกเธอว่าเหวินเป่า”


                    เหวินเป่าส่ายหน้า เขามองหย่งหนานด้วยสายตาของความเคารพนับถืออย่างไม่ปิดบัง


                  “สำหรับนายท่านผมคืออากุยเสมอ ผมคือลูกเต่าต่ำตมที่นายท่านมอบชีวิตใหม่ให้ แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่มีวันลืมและอยาก

ให้นายท่านเรียกผมว่าอากุยอย่างเดิมตลอดไป”


                 คำพูดใสซื่อบริสุทธิ์เหล่านั้นช่างรบกวนจิตใจของหย่งหนานเสียเหลือเกิน เขาเผลอไผลจ้องมองใบหน้าของเด็กในปกครอง

อย่างลืมตัวหลายต่อหลายครั้งจนนึกเคืองตนเองที่ไม่อาจควบคุมจิตใจได้ยามอยู่กับเด็กหนุ่มตรงตา หย่งหนานเรียกสติของเขากลับคืน

มาก่อนจะเอ่ยปาก


                 “คืนนี้เธอเหนื่อยมามากแล้วจงหลับพักผ่อนให้สบายเสียเถิดอากุย ขอให้เธอตื่นเช้ามาพบกับรุ่งอรุณที่สดใส”


                 ชายหนุ่มอวยพรและหันหลังกลับ หย่งหนานเตรียมสืบเท้าก้าวออกจากห้องถ้าไม่ติดว่าชายเสื้อคลุมถูกมือน้อยดึงรั้งไว้เสีย

ก่อน


                 “นายท่านครับ ขอบคุณสำหรับทั้งหมดที่นายท่านมอบให้ผม ชั่วชีวิตนี้ผมจะไม่ลืมเลือนเลย”


                   หย่งหนานหมดความอดทน เขาหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเชยคางมนให้เงยขึ้นและบรรจงกดริมฝีปากของเขาลงไปบน

หน้าผากเกลี้ยงอย่างอ่อนโยน เขาประทับมันไว้เพื่อส่งผ่านความรุ้สึกทั้งมวลไปให้เหวินเป่าได้รับ การกระทำโดยปราศจากการล่วงเกิน

ฉันชู้สาวราวกับเหวินเป่าคือเด็กน้อยตัวเล็กในวันที่แยกจากกันทำให้เหวินเป่ายืนนิ่งและซึมซับความอ่อนโยนจนล้นหัวใจ


               หย่งหนานจูงมือเหวินเป่าไปยังเตียงเล็กพร้อมกับดันไหล่บางให้เอนกายลงไป เขาดึงผ้าห่มคลุมร่างเล็กจนถึงลำคอ  เหวิน

เป่ายิ้มให้อีกครั้งก่อนจะหลับตาลงไปด้วยความเหนื่อยอ่อนเมื่อต้องพบกับเหตุการณ์ร้ายๆ หย่งหนานรั้งรอจนลมหายใจของเหวินเป่าแผ่ว

เบาสม่ำเสมอจึงได้ลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปจากห้อง

                  ขณะปิดประตูห้องลงหย่งหนานได้แต่ยืนมองบานประตูที่กั้นเขากับเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านในและจ้องมันอยู่อย่างนั้นท่ามกลาง

ความเงียบสงัดในยามราตรีที่มีเสียงไอของฟางซินแว่วมาเป็นระยะ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อหัวใจของเขามีความรู้สึกแปลกประหลาด

เกิดขึ้น มันเป็นความแปลกประหลาดที่ชวนให้ยุ่งยากใจโดยที่หย่งหนานยังหาสาเหตุไม่ได้ มันก่อกวนจนหัวใจของชายชาติทหารคันอยู่

ยิบๆ

                    ตัดใจจากคนที่นอนหลับใหลอยู่หลังบานประตูและก้าวกลับไปยังห้องของเขากับภรรยา หย่งหนานทรุดนั่งอยู่บนเตียง

กว้างที่มีฟางซินคู้กายนอนหลับเพราะความเย็นชื้นของอากาศ ชายหนุ่มขยับผ้าห่มคลุมให้อีกฝ่ายด้วยความห่วงใยในสุขภาพของภรรยา

ความดีของฟางซินทำให้เขาอยากจะดีต่อเธอเพื่อเป็นการตอบแทน มโนธรรมทำให้เขาจำต้องยับยั้งความรู้สึกประหลาดเหล่านั้นเอาไว้

เพื่อความถูกต้อง แม้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะสร้างความทรมานให้เขาอยู่มากแต่หย่งหนานก็ต้องทำ


                      หัวใจของหย่งหนานพลันหนักอึ้งเมื่อรู้ว่านอกจากม่านประเพณีแล้วยังมีม่านแห่งความดีงามกางกั้นหัวใจของเขาอยู่



                                            TBC


                             นี่มันตำนานรักดอกเหมยนี่หว่าาาาา

                                        :ling2: :ling2:




หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 09-02-2017 14:18:43
คิดถึงสมัยตำนานรักดอกเหมยเฟื่องฟูในช่องสามนิยายเรื่องนี้คือดีย์งาม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 09-02-2017 15:02:05
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-02-2017 16:16:42
อื้อหืออออออ

นายท่านอย่าเพิ่งกินลูกเต่าน้อย

เด็กจ้ะเด็ก แค่ก ๆๆๆๆ

ฟางซินช่างดีงามเหมาะสมจริง ๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 09-02-2017 18:32:13
ชอบฟางซินอ่ะ นางเป็นคนดี
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 09-02-2017 22:21:41
ลูกเต่าน่ารักกกก นายท่านกับนายหญิงก็ใจดี
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 09-02-2017 22:49:48
เอ็นดูลูกเต่ากันหมดเลยยย  :mew2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 09-02-2017 23:30:21
รักฟางซิน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 10-02-2017 08:06:25
ฮือออออ เพราะเป็นคนดีไงเลยยาก

แล้วนายท่านจะห้ามใจตัวเองได้กี่น้ำ รอชม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 10-02-2017 19:14:38
อ่านใหม่อีกรอบ5555สนุก ดันๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 9 [09/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-02-2017 21:00:08
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-02-2017 20:35:26


                                                              ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                      บทที่ 10


               อาหารเช้าของผู้นำย่อมไม่ใช่ที่บ้าน เฉินหย่งหนานเดินทางไปยังที่ตั้งของกองบัญชาการรบกองทัพจีนพร้อมกับเฉินจิ้งเหอ

และเฉินหยางซุนตั้งแต่เช้ามืดดังเช่นทุกวัน เหล่าบุรุษจากสกุลเฉินหายใจเข้าออกเป็นงานในทุกนาที จิ้งเหอเคยกล่าวไว้ว่า ในภาวะแห่ง

ความไม่แน่นอนเยี่ยงนี้ แค่วินาทีก็อาจสายเกินไป


               “เมื่อคืนพาฟางซินไปเที่ยวมางั้นรึ”


               ลุงของเขาเอ่ยทักตั้งแต่รถยนต์ประจำตำแหน่งแล่นออกจากหน้ารั้วบ้าน แม้ว่าจะมีงานมากมายแต่จิ้งเหอก็ยังใส่ใจสมาชิกใน

บ้านเสมอ หย่งหนานก้มศีรษะรับและเอ่ยอย่างนอบน้อม


               “ใช่ครับคุณลุง สงสารฟางซินที่ไม่ค่อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน ตั้งแต่แต่งงานเข้าสกุลเฉินก็พบกับสงครามมาโดย

ตลอด ผมเองก็ทำงานจนไม่มีเวลาให้ฟางซินมากนัก”


               “ดีแล้วหย่งหนาน เป็นการดีที่หลานเอาใจใส่ภรรยาเช่นนี้”


               “เมื่อไหร่จะมีน้องให้เซียวจง” หยางซุนญาติผู้พี่บุตรชายของจิ้งเหอละสายตาจากหนังสือพิมพ์มาเอ่ยถามด้วยความสนิทสนม


               “ดูพี่สิ มีลูกสามคนแล้ว นายยังมีเซียวจงอยู่คนเดียว เดี๋ยวจะไม่ทันใช้เอานา”


               หยางซุนมีบุตรคนที่สามแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขามีบุตรชายคนโต บุตรสาวคนรองและยังได้บุตรคนสุดท้องเป็นบุตรชายอีก

ต่างหาก หย่งหนานส่ายหน้าเมื่อพี่ชายเย้าหยอก


               “อยากจะมีเหมือนกันแต่สุขภาพของฟางซินไม่ดีเอาเสียเลยตั้งแต่คลอดเซียวจง หากจะมีลูกอีกคนผมว่าร่างกายของฟางซิน

จะรับไม่ไหว”


               “ก็จริงนะ” หยางซุนยกมือลูบคาง


               “ถ้าอย่างนั้นทำไมนายไม่แต่งเมียเป็นอนุเข้าบ้านอีกสักคนจะได้ดูแลนายและมีลูกให้นายได้อีก พี่ว่าฟางซินน่าจะเข้าใจ

ธรรมชาติผู้ชายอย่างเรา”


               การมีภรรยาหลายคนไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งกับชนชั้นผู้นำระดับสูง แต่หย่งหนานกลับไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น


               “มีเมียแค่คนเดียวผมยังไม่ค่อยจะมีเวลาดูแลให้เขามีความสุขเลยครับ ผมยังไม่อยากลากใครมาเหนื่อยใจเพราะผม”


               ใจฉุกคิดถึงใครอีกคนที่เพิ่งจะรับเข้ามาอยู่ในการดูแล ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นยิ่งทำให้หย่งหนานไม่นึกต้องการใครมาขวางกั้นให้

เขากับหนุ่มน้อยต้องยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นไปอีก และเพราะเรื่องนี้ทำให้เขาเอ่ยกับผู้เป็นลุงทันที


               “เมื่อคืนผมพาฟางซินไปชมงิ้วของครูหยาง ได้พบกับเหยาหงลี่ด้วยครับคุณลุง”


               หย่งหนานเล่าให้จิ้งเหอฟังในเรื่องพฤติกรรมของนักการเมืองในสังกัด และเขาจำเป็นต้องเล่าที่มาของเหวินเป่าให้ผู้เป็นลุงรับ

รู้ไว้ด้วย


               “เหวินเป่าเป็นเด็กที่ผมเคยช่วยไว้จากซ่องคณิกาและนำไปฝากให้ครูหยางช่วยเลี้ยงดู ไม่นึกว่าเขาจะต้องมาพบกับเหตุการณ์

เช่นนี้ ผมจึงขอรับเหวินเป่ามาเลี้ยงดูที่บ้าน คุณลุงจะว่ากล่าวเรื่องนี้หรือไม่ครับ”


               “ลุงจะมากระไรเล่าหย่งหนาน” จิ้งเหอกล่าวอย่างมีเมตตา


               “การที่หลานช่วยเพื่อนมนุษย์นั้นเป็นบุญของหลานอยู่แล้ว บ้านของเราออกจะกว้างขวาง เพียงเพิ่มเด็กผู้ชายมาอีกสักคนจะ

เดือดร้อนอะไร จะเลี้ยงดูขัดเกลาเด็กมันอย่างไรก็แล้วแต่ความต้องการของหลานเถอะลุงไม่ว่า แต่ที่ลุงติดใจคือการกระทำของเหยาหง

ลี่มากกว่า”


               “เกลียดนักไอ้พวกนี้” หยางซุนสบถออกมา


               “ในขณะที่เรารึแสนจะเหนื่อยยากทำงานเสี่ยงตายกับสงคราม แต่พวกนักการเมืองที่ควรจะบริหารบ้านเมืองแทนคุณพ่อกลับ

ถือโอกาสนี้ยักยอกงบประมาณไปใช้ส่วนตัวเป็นว่าเล่น แถมยังทำตัวมีอิทธิพลยิ่งใหญ่กร่างไปทั่ว ยิ่งกลายเป็นประเด็นให้พวกสังคมนิยม

ตราหน้าพวกเราไปอีก”


                 จิ้งเหอเองก็หนักใจในประเด็นนี้ การรักษาสภาพบ้านเมืองให้บอบช้ำน้อยที่สุดจากสงครามที่แพร่ขยายจนกลายเป็น

สงครามโลกยาวนานถึงแปดปีเป็นงานหนักที่สุด จิ้งเหอจะต้องประสานงานติดต่อประเทศสัมพันธมิตรและป้องกันการโจมตีจากญี่ปุ่นจน

ไม่มีเวลาที่จะเข้าไปประชุมรัฐสภาและทำให้เหล่านักการเมืองที่หวังผลประโยชน์กอบโกยงบประมาณแผ่นดินไปจำนวนมาก


                  “ผมได้ข่าวมาว่าในตอนนี้พรรคสังคมนิยมได้ผู้คนไปเยอะมาก พวกเขาเบนเข็มจากพวกกรรมกรแบกหามไปสู่พวกเกษตรกร

โดยการโจมตีให้เห็นว่านักการเมืองโกงกินและอวดอำนาจบารมีในขณะที่ประชาชนกลับต้องเหนื่อยยากทำงานโดยได้ผลตอบแทนอย่าง

ไม่คุ้มเหนื่อย”


                  หย่งหนานบอกกล่าวสิ่งที่รู้ออกไป พรรคสังคมนิยมยอมหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวในช่วงสงครามตามที่สหรัฐอเมริกาเสนอ

พันธะสัญญา แต่ในความจริงแล้วแปดปีที่ผ่านมาพวกเขากลับแอบปราศัยเป็นกลุ่มเล็กๆเพื่อเผยแพร่ความคิดอุดมการณ์ความเสมอภาค

ออกไปเป็นกองทัพมด และดูเหมือนมันจะได้ผลเป็นอย่างดี

                  จิ้งเหอครุ่นคิดถึงเรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว มันเป็นไปตามที่เขาคาดคิดโดยรู้นิสัยของอู๋จินไห่เป็นอย่างดี สีหน้าของชายสูงอายุ

มากด้วยอำนาจเคร่งขรึมเมื่อต้องวางแผนแก้ไขปัญหาในอนาคต


                “ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่รออีกไม่นานหรอกสงครามคงใกล้จะถึงจุดสุดท้าย ตอนนี้เยอรมันใกล้จะพ่ายแพ้หากฝ่าย

สัมพันธมิตรบุกโจมตีเบอร์ลินได้ และถ้าหากเยอรมันแพ้ญี่ปุ่นก็จะไม่มีตัวช่วยอีกต่อไป”


                หย่งหนานภาวนาให้เป็นเช่นนั้น สงครามทำให้ผู้คนอดอยากล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกเขาเหล่านั้นต้องพบกับความสูญ

เสียจนน่าสงสารเพียงเพราะผู้นำที่กระหายในอำนาจจนต้องกระโจนขึ้นไปขี่บนหลังเสือเพื่อควบคุมมัน

               แต่เสือก็ช่างยากที่จะควบคุมเหมือนจิตใจคนที่มุ่งสู่ความหอมหวานของอำนาจ เมื่อได้ขึ้นขี่บนหลังเสือแล้วน้อยคนนักที่จะลง

มาได้อย่างสง่าผ่าเผย

                หย่งหนานเพียงอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบกับบุคคลที่เขารักทั้งหลาย แต่ดูเหมือนมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน






                 หลินเหวินเป่าสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อตะวันสาดส่องเข้ามาในห้อง มันเป็นการหลับใหลอย่างยาวนานเป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่า

ปีของเขา อาจเป็นเพราะไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดรวมถึงความอบอุ่นที่ได้รับก่อนนอนทำให้เขานอนหลับฝันดี และเมื่อลืมตาตื่นเหวินเป่าก็

ลนลานลุกจากเตียงออกไปนอกห้องทันที

                 หนุ่มน้อยนึกอับอายที่ตนเองตื่นสายขณะที่เข้ามาอาศัยในบ้านของคนอื่น เขาก้าวยาวๆมายังห้องโถงหน้าบ้านทั้งที่ยังไม่ได้

ล้างหน้าหลังตื่นนอน และเมื่อมาถึงเขาจึงเห็นฟางซินนั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับสาวรับใช้สามสี่คนที่ยืนล้อมอยู่


                 “ตื่นแล้วหรือเหวินเป่า”


                 สีหน้าของฟางซินดีกว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอยู่บ้าง แต่แววตาปรานีก็ยังปรากฏให้เห็นยามมองมายังเหวินเป่า


               “นายหญิง ผมขอโทษที่ตื่นสาย ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วครับ”


               หนุ่มน้อยชินกับการทำงานแต่เช้าตรู่ในโรงงิ้ว การนอนตื่นสายจะถูกลงโทษโดยไม่มีข้อแม้ ดังนั้นจึงทำให้เหวินเป่ารู้สึกผิดจน

หน้าเสียและถึงกับคุกเข่าลงเบื้องหน้าฟางซิน


                “อ้าว ทำไมถึงทำหน้าราวกับจะร้องไห้เช่นนั้น ตื่นสายนิดหน่อยเท่านั้นเองอย่าได้กังวลเลย และเธอก็เหนื่อยมากเมื่อวานนี้

ลุกจากพื้นมานี่เถอะ ฉันสั่งให้เขานำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เธอ”


                เหวินเป่าจึงได้ลุกจากพื้นแล้วก้าวไปหยุดยืนเบื้องหน้าฟางซิน เขากลายเป็นตุ๊กตาให้สาวใช้ของฟางซินเทียบเสื้อผ้าเข้ากับ

ตัวอย่างสนุกสนาน อย่างน้อยเหวินเป่าก็ยินดีที่มองเห็นรอยยิ้มจากผู้หญิงที่แสนดีอย่างฟางซิน


                “พาเหวินเป่าไปอาบน้ำและตัดผมให้เข้ารูปเข้าทรงทีเถอะ แล้วค่อยมาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่พวกนี้”


                เหวินเป่าถูกนำไปยังด้านหลังของตัวบ้าน พื้นที่โล่งกว้างก่อนถึงเรือนของคนรับใช้มีบ่อน้ำสำหรับใช้อาบน้ำ สาวใช้ของฟาง

ซินดูแลให้เขาได้อาบน้ำจนสะอาดเอี่ยมก่อนจะนำตัวมานั่งให้สาวใช้นางหนึ่งตัดผมให้ด้วยกรรไกรคมกริบให้เข้ากับโครงหน้าเรียว เมื่อ

ทุกอย่างเรียบร้อยเหวินเป่าจึงได้สวมใส่เสื้อผ้าบุรุษสีเข้มตามสมัยนิยมและพากลับไปหาฟางซิน


                  “เหมาะเจาะดีแท้ เหวินเป่านี่แต่งตัวขึ้นทุกแบบเลยนะ แต่งชุดนางเอกงิ้วก็สะสวยแสนหวานแต่หากแต่งชุดบุรุษเช่นนี้ก็ดู

หล่อเหลาราวกับดาราบนจอหนัง”


                  โรงภาพยนตร์เริ่มเข้ามามีบทบาทอยู่ในสังคมของชนชั้นสูง แต่ก็ซบเซาไปเพราะพิษสงคราม ฟางซินมองเหวินเป่า อย่าง

พอใจเมื่อจัดการกับรูปลักษณ์ใหม่จนหนุ่มน้อยไม่เหลือคราบมอมแมมอย่างเช่นเคย

                 เสียงอ้อแอ้ดังมาจากทางเดิน สาวใช้คนหนึ่งอุ้มเด็กน้อยวัยสองขวบหน้าตาน่ารักน่าชังตรงเข้ามาส่งให้ฟางซินได้อุ้มไว้

หญิงสาวมองบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างรักใคร่และเมื่อเด็กชายอยู่ในอ้อมกอดของมารดาก็ยิ้มกว้างหัวเราะดังลั่น


                “เซียวจงลูกแม่ น้ำหนักคงจะขึ้นมาอีกแล้ว แม่จะอุ้มไม่ไหวแล้วลูก”


                 ภาพความอบอุ่นระหว่างมารดาและลูกน้อยทำให้เหวินเป่าน้ำตารื้นขึ้นมา แม้จะรู้ว่าแม่ของตนเองนั้นรักลูกไม่แพ้ใคร หากแต่

แม่ของเหวินเป่าก็เป็นแค่หญิงคณิกาไร้การศึกษาจึงไม่เคยอุ้มชูหยอกล้อดั่งเช่นฟางซินกระทำกับฮุ่ยจง และภาพที่แม่ของเขารวมถึง

เพื่อนหญิงคณิกานอนตายกันเกลื่อนเพราะถูกทารุณกรรมจากทหารญี่ปุ่นก็ยิ่งตอกย้ำความเจ็บช้ำที่มิอาจลืมเลือนจากหัวใจ


                 “อ้าว เหวินเป่า ร้องไห้ทำไม”


                ฟางซินหันมาเห็นหยดน้ำตาที่ร่วงอาบแก้มเข้าพอดี เธอเอ่ยถามอย่างตกใจที่เห็นเหวินเป่าร้องไห้ เหวินเป่ารีบใช้หลังมือป้าย

น้ำตาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากให้ฟางซินต้องมากังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องของเขา


               “ผมเห็นนายหญิงแล้วก็นึกถึงแม่น่ะครับ”


               “โธ่เอ๋ย เหวินเป่า” ฟางซินอุทานด้วยความสงสารและอยากจะทำให้เหวินเป่าลืมเรื่องทุกข์ในอดีตเหล่านั้น


               “มานี่สิเหวินเป่า มาช่วยอุ้มเซียวจงไปหน่อย ตัวหนักเหลือเกิน”


                 เหวินเป่าได้ยินก็กระวีกระวาดเข้าไปรับเด็กน้อยออกมาจากอกแม่ทันที และเมื่อได้สบตากันในคราแรกเด็กชายเฉินฮุ่ยจงก็

ยิ้มกว้างให้เขาโดยไม่ร้องโยเยเลยสักนิด ทำให้เหวินเป่าตกหลุมรักบุตรชายของฟางซินและหย่งหนานทันที


               “คุณชายน้อยน่ารักเหลือเกินครับนายหญิง”


                “แปลกนะ กับคนอื่นนี่กว่าจะคุ้นเคยก็ร้องงอแงกันพักใหญ่ แต่กับเหวินเป่าแค่อุ้มครั้งแรกก็หัวเราะใส่เขาเสียแล้ว ดีล่ะ งั้นต่อ

จากนี้ฉันจะมอบหน้าที่ให้เหวินเป่าช่วยอาซิ้มดูแลเซียวจงอีกแรงหนึ่งก็แล้วกัน”


               “ได้ครับนายหญิง”


                เป็นหน้าที่แรกในบ้านหลังใหม่ที่เหวินเป่าแสนจะยินดี เขามองเด็กน้อยในอ้อมกอดและตั้งใจว่าจะช่วยดูแลฮุ่ยจงให้ดีที่สุดสม

กับบุญคุณที่พ่อและแม่ของเด็กคนนี้มีต่อเขา


                “อีกเรื่องหนึ่ง เธอได้เรียนหนังสือหรือเปล่า”


                เหวินเป่าส่ายศีรษะ เขาไม่รู้แม้แต่สักตัวอักษร ที่โรงงิ้วจะใช้วิธีบอกบทให้นักแสดงท่องจำกันเอง


                “ถ้าเช่นนั้นฉันจะสอนหนังสือให้เธอดีไหม จะได้มีความรู้อ่านออกเขียนได้”


                “ขอบพระคุณเหลือเกินครับนายหญิง”


                 เหวินเป่าซึ้งใจนัก ถ้าไม่ได้อุ้มฮุ่ยจงอยู่เขาก็อยากจะลงไปคำนับฟางซินให้สมกับความดีของหญิงสาว เขาสัญญากับตนเอง

ว่าจะกตัญญูกับคนในครอบครัวนี้ตลอดไป



มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 16-02-2017 20:39:46
นายหญิงใจดี
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-02-2017 20:41:49
ต่อกันตรงนี้...



                เหวินเป่าเข้ากับคนในบ้านได้เป็นอย่างดี เพียงแค่วันเดียวเขาก็รู้จักกับสาวใช้และลูกจ้างชายคนอื่นเกือบทั้งหมด ทุกคนต่าง

เอ็นดูความมีสัมมาคารวะของเหวินเป่า เขาช่วยอาซิ้มที่เป็นคนดูแลฮุ่ยจงจนกระทั่งพาเข้านอนในยามค่ำฟางซินจึงได้เอ่ยขึ้นบ้าง


                 “ฉันเองก็ขอตัวไปพักผ่อนก่อนล่ะ ฤดูฝนเช่นนี้อากาศชื้นจนไอไม่หยุดเสียที ถ้าหากเป็นหวัดมีไข้ก็จะลำบากคนอื่นอีก”


                  ฟางซินเข้าห้องนอนแล้วแต่เหวินเป่ายังไม่ง่วงสักนิด เขานั่งเป็นเพื่อนเหม่ยฮัวสาวใหญ่ที่อยู่รอรับหย่งหนานที่ห้องโถง


                  “นายท่านกลับดึกเช่นนี้ทุกคืนหรือครับพี่เหม่ยฮัว”


                 เหม่ยฮัวพยักหน้ารับ แล้วเล่าให้ฟังอย่างคนชอบพูดชอบคุย


                  “คุณชายกลับดึกเกือบทุกคืนนั่นแหละ ผู้ชายบ้านนี้ต่างบ้างานกันทั้งนั้น ท่านนายพลแม้จะเข้าสู่วัยชราก็ยังทำงานหนักไม่

ยอมพักผ่อน และทั้งลูกชายหลานชายก็ต่างใช้เป็นตัวอย่าง”


                 “แล้วถ้านายท่านกลับมาพี่เหม่ยฮัวต้องทำอะไรบ้าง”


                 “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ ก็แค่รับเสื้อคลุมรับรองเท้าไปเก็บ และต้องมีผ้าขนหนูกับน้ำอุ่นให้คุณชายล้างหน้าล้างตาก็แค่นั้น

คุณชายไม่ใช่คนเรื่องมากหรอก”


                 “ถ้าแค่เช่นนั้นให้ผมอยู่รับนายท่านก็ได้ครับ พี่เหม่ยฮัวจะได้ไปพักผ่อน”


                 เหม่ยฮัวทำตาโตและยิ้มอย่างยินดี


                 “เธอจะอยู่รอรับคุณชายแทนฉันงั้นหรือ ดีจริงๆพ่อหนุ่ม ถ้าอย่างนั้นฉันขอมอบหน้าที่นี่ให้เธอช่วยนะ ขอบใจมาก”


                  เหม่ยฮัวรีบลุกจากเก้าอี้และเดินออกไปจากห้องโถงทันทีทิ้งให้เหวินเป่านั่งอยู่เพียงผู้เดียวในห้อง แต่เหวินเป่าก็ไม่ได้

คิดมาก เขานั่งรอหย่งหนานด้วยใช้หมึกเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษตามที่ฟางซินสอนอย่างตั้งใจ






                   หย่งหนานกลับเข้ามาถึงบ้านเมื่อเกือบเที่ยงคืน ข่าวการรบจากฝั่งยุโรปทำให้นายทหารระดับผู้นำในกองทัพต้องเตรียมตัว

ให้พร้อมเสมอเมื่อเยอรมันกำลังถูกโจมตีจากฝรั่งเศสจนเริ่มจะเพลี่ยงพล้ำ และทางสหรัฐอเมริกาก็ยิ่งจู่โจมกองทัพญี่ปุ่นทั้งทางบกและ

ทางทะเล

                    เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงกว้างของบ้านหย่งหนานก็พลันชะงัก ในคืนนี้มิได้มีสาวใช้มานั่งรอรับเช่นเคย หากแต่มีหนุ่มน้อยคน

หนึ่งนั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะกลางห้องและบนโต๊ะเกลื่อนไปด้วยแผ่นกระดาษที่มีลายมือคัดตัวอักษรอยู่ หย่งหนานเดินเข้าไปอย่าง

เงียบกริบและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาดูพร้อมกับยิ้มบางเมื่อเห็นความตั้งใจของเหวินเป่า

                   พู่กันกลิ้งตกจากขอบโต๊ะร่วงลงไปบนพื้นทำให้เหวินเป่าสะดุ้งตื่น และเพราะยังงัวเงียเมื่อเห็นบุรุษในชุดทหารมายืนอยู่

ใกล้ๆเขาก็อุทานดังลั่น


                  “เหวอ เอ่อ นายท่าน!”


                 เหวินเป่าพ่นลมหายใจอออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว


                  “นายท่านกลับมาเมื่อไหร่ครับ ผมไม่ได้ยินเสียงเลย ผมขอโทษที่เผลอหลับ”


                  เพราะความตกใจและกลัวจะบกพร่องในหน้าที่ทำให้เหวินเป่าลนลานพูดหน้าตาตื่น เขารีบก้าวยาวๆไปยังมุมห้องที่เหม่ยฮัว

เตรียมกาใส่น้ำร้อนไว้แล้ว เหวินเป่ายกอ่างกระเบื้องสีขาวที่มีน้ำใส่ไว้มาวางบนโต๊ะก่อนจะยกกาน้ำร้อนตามมาเทใส่ลงไปตามหลังและส่ง

ผ้าขนหนูให้หย่งหนาน

                  หย่งหนานมองการกระทำของเหวินเป่าอย่างเพลิดเพลิน เขาถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ส่งให้เหวินเป่ารับไปและดึงผ้าขนหนูมา

ชุบน้ำเช็ดใบหน้าและลำคอ


                  “ทำงานแทนเหม่ยฮัวงั้นหรือเหวินเป่า”


                  “ผมอาสาเองครับ” เหวินเป่าคลี่ยิ้ม


                  “ผมอยากตอบแทนที่ทุกคนในบ้านดีต่อผม อะไรที่ทำได้ผมก็อยากจะช่วย”


                  “ดีจริงที่เป็นเด็กมีน้ำใจ ฉันภูมิใจในตัวเธอนะ”


                 คำชมของหย่งหนานทำให้เหวินเป่ายิ่งยิ้มกว้าง เขานั่งคุกเข่าแล้วยกเท้าของหย่งหนานเพื่อถอดร้องเท้าออกมาทั้งสองข้าง

เหวินเป่านำรองเท้าและเสื้อคลุมไปเก็บโดยทุกอิริยาบทอยู่ในสายตาของเจ้าของบ้าน


                 “ตัวอักษรพวกนี้สวยดีนะ” หย่งหนานเอ่ยชมจนเหวินเป่ายิ่งดีใจ


                “นายหญิงสอนผมครับ และนายหญิงจะให้ผมช่วยดูแลคุณชายน้อยด้วย”


                 เหวินเป่ารีบอวด มันเป็นความภาคภูมิใจในงานสำหรับเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ใบหน้าสดใสฉายชัดจนหย่งหนาน

เผลอไผลจ้องมองอยู่นานจนกระทั่งต้องรีบเตือนตัวเองให้ตื่นจากภวังค์


                 “ดีแล้วที่เธอมีความสุขที่บ้านหลังนี้ ดึกแล้วรีบไปพักผ่อนเถอะ”


                  เหวินเป่ารับคำ เขาเก็บอ่างกระเบื้องและผ้าขนหนูที่หย่งหนานใช้จนเรียบร้อยจึงคิดจะก้าวกลับไปยังห้องนอน


                 “เดี๋ยวก่อนอากุย”


                   เสียงเรียกชื่อที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นรั้งไว้ ทำให้เหวินเป่าชะงักเท้า หัวใจของเด็กหนุ่มระส่ำระสายเมื่อหย่งหนานเดินเข้า

มาใกล้จนสามารถใช้ปลายนิ้วเชยคางของเขาให้ยกสูง ดวงตาคมยามจ้องมองทำให้เหวินเป่าเกือบจะลืมหายใจ


                 “เธอตัดผมทรงนี้และใส่เสื้อผ้าชุดใหม่นี้ มันทำให้เธอเปลี่ยนไป รู้บ้างไหมเด็กน้อย”


                น้ำเสียงทุ้มนั่นขณะเอื้อนเอ่ย ทำให้เหวินเป่าไม่อาจละสายตาไปได้ เขาจ้องมองสบตาราวกับหย่งหนานกำลังสะกดให้เดิน

ตามและตกลงไปในหลุมที่หย่งหนานขุดไว้


                 “มันทำให้ฉันดีใจเหลือเกินที่ไปช่วยเธอมาจากโรงงิ้วได้ และต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เธอโชคร้ายเช่นนั้นอีกแล้ว”

   

                                            TBC


                                      :o8: :o8:



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 16-02-2017 20:46:13
นายท่านแม่งร้ายรุกจีบเฉยเลย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 16-02-2017 20:58:17
โอ้โห แอทแทคหัวใจอะไรเบอร์นั้นคะ นายท่านนนนนน  :hao7:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 16-02-2017 22:30:39
นายท่าน...คิดอะไรกับอากุยใช่ไหม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-02-2017 08:31:11
ละลายคามือนายท่าน....

ฉันก็อยากให้หย่งหนานได้รักกับอากุย แต่ก็รู้สึกผิดกับฟางซิน เธอจิตใจดีเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 17-02-2017 14:09:51
นายท่านจะรุกเหรอคะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 17-02-2017 14:23:14
นายท่าน อากุยยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์นะ อ่ะ อ่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-02-2017 15:18:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 17-02-2017 18:41:43
 :-[ :-[ :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 18-02-2017 13:31:39
นายท่านยังไม่คิดอะไร ก็อย่าทำให้อากุยหวั่นไหวไปกว่านี้เลย  สงสาร
นายหญิงก็ใจดีที่สุุดเลย  ชอบๆ
ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: dashdash ที่ 18-02-2017 20:08:17
ตามเข้ามาอ่านจากในกระทู้แนะนำครับ สำนวนและเนื้อเรื้องดีมากๆ ตัวละครมีเรื่องราวที่ชัดเจน ชอบมากครับ
มารอติดตามอากุยโดนนายท่านรุกไล่ในตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 10 [16/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: myunassyi ที่ 19-02-2017 10:56:43
เรื่องดีมากกกกกกกกกกกก ค่ะ พล็อตเรื่องดีมาก ภาษาก็ดี ขอบคุณนะคะที่แต่งแนวนี้มาให้อ่าน ชอบมากเลย
รอตอนไปอยู่นะคะ  :L1:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 21-02-2017 20:55:10


                                                                             ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                                      บทที่ 11


               สัมผัสเพียงแผ่วเบาตรงปลายคางที่หย่งหนานแตะต้องกำลังแผ่ความอบอุ่นเข้ามาในร่างกายของเหวินเป่า เลือดฝาดวิ่งวนจน

พวงแก้มแดงซ่านชวนให้หย่งหนานนึกอยากจะลูบไล้เสียเหลือเกิน


               “นะ นายท่าน”


               เหวินเป่าพลันหลบเลี่ยงสายตา หนุ่มน้อยมิอาจหาญกล้าประสานสายตากับดวงตาคมคู่นั้น มันเหมือนมีประกายแสงพุ่งออกมา

จนหัวใจดวงน้อยสั่นไหวระรัวไปหมด และกิริยาที่เหวินเป่ายืนตัวสั่นทำให้หย่งหนานได้สติ เขารีบหลับตาลงและหักห้ามความคิดทั้งมวล

ให้หมดสิ้น ปลายนิ้วมือจึงละจากคางมนอย่างเสียดาย


               “ดึกแล้ว เธอจงกลับไปนอนเสียเถิดอากุย”


               สะดุ้งแผ่วเบาเมื่อเหวินเป่าเองก็เพิ่งรู้สึกตัวเช่นกัน เขาเหลือบมองหย่งหนานอย่างสับสนและไม่เข้าใจว่าร่างกายของเขานั้น

เป็นอะไรนักหนาจึงได้มีปฏิกิริยาทุกครั้งที่อยู่ใกล้หย่งหนาน ใจหนึ่งก็หวั่นเกรงอีกฝ่ายหากอีกใจก็อ่อนไหวและโหยหาต่อสัมผัสแม้จะ

เพียงเล็กน้อยก็ตาม


               “ครับนายท่าน”


               เหวินเป่าลนลานสาวเท้าก้าวกลับออกจากห้องโถงนั้นทันที และเมื่อถึงห้องเล็กอันเป็นอาณาเขตที่เจ้าของบ้านยกให้เหวิน

เป่าก็รีบกระโจนไปบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปง เขานอนตัวสั่นอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบลง

               ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเข้าสิบหกปีเต็มย่างสิบเจ็ดเหวินเป่าไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เหวินเป่าไม่รู้ว่าความวาบหวามหวิว

ไหวอยู่ในอกเช่นตอนนี้คือสิ่งใด มันปวดร้าวจนแทบจะปริแตกด้วยความทรมานยิ่งเมื่อในสมองมีแต่ภาพของหย่งหนานลอยอยู่ให้เห็น


               “ไอ้บ้าเหวินเป่า ไอ้ตัวเลวทรามต่ำช้า” เขาก่นด่าตนเองอย่างเจ็บใจ


               กัดฟันข่มตานอนให้หลับแม้จะยากเย็นเต็มที หนุ่มน้อยหลับๆตื่นๆตลอดทั้งคืนกับความสับสนที่มิอาจหาทางออกได้และมี

เพียงภาพของหย่งหนานอยู่ในความฝันของเขาตลอดทั้งราตรี






               เฉินหย่งหนานก้าวเข้าไปยังห้องนอนของเขา มองเห็นเงาของภรรยาอยู่ในความมืดสลัวบนเตียงกว้าง หย่งหนานถอดชุด

ทหารออกจนหมดแต่ใส่เสื้อคลุมนอนก่อนจะสืบเท้าไปยังเตียงอย่างเบาที่สุดแต่ถึงกระนั้นฟางซินก็ยังตื่นขึ้นมา


               “กลับมาแล้วหรือคะ”


               สิ้นเสียงคำถามฟางซินก็ไอออกมาชุดใหญ่ หญิงสาวยิ่งหน้าซีดอยู่ในความมืดจนหย่งหนานต้องเข้าไปประคองให้ภรรยาลุก

ขึ้นมา


               “เป็นอย่างไรบ้างฟางซิน”


               คำถามด้วยความห่วงใยนั้นทำให้ฟางซินฝืนยิ้มรับ หญิงสาวนึกท้อใจที่ร่างกายตนเองนั้นอ่อนแอเสียเหลือเกิน


               “น้องก็ไอเพราะอากาศชื้นนั่นแหละค่ะ หมดฤดูฝนเมื่อใดคงจะดีขึ้น ว่าแต่พี่เถอะค่ะวันนี้เหนื่อยไหมคะ”


               ฟางซินเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่พลางเงยหน้ามองสามีที่ประคองกอดไว้ด้วยความเคารพรัก แม้ว่าจะถูกกำหนดให้แต่งงานกัน

ด้วยหน้าที่ แต่หย่งหนานเป็นสามีที่ดีจนฟางซินสามารถมอบหัวใจให้ทั้งหมด


               “ก็เหนื่อยอย่างเช่นทุกวัน การฝึกทหารใหม่ให้กลายเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”


               ปรารภออกมาอย่างหนักใจ ถึงแม้สงครามอาจใกล้ยุติแต่ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ จักรวรรดิญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้แม้ว่าตอนนี้เยอรมัน

หนึ่งในผู้นำฝ่ายอักษะกำลังเพลี่ยงพล้ำมากขึ้นทุกที


               “เสียดายที่น้องเป็นหญิง หากเป็นชายน้องจะขอทำงานช่วยชาติ แต่เพราะเป็นหญิงเช่นนี้จึงกระทำได้แค่ช่วยให้สามีได้

ปลดเปลื้องความเคร่งเครียดลงบ้าง”


               ฟางซินแหงนหน้ารอรับให้สามีได้จูบลงมาที่กลีบปากของเธอ หญิงสาวเบียดกายเข้าหาเมื่อหย่งหนานดึงร่างบอบบางมากอด

เข้าไว้ หย่งหนานเปลื้องผ้าที่ฟางซินสวมใส่ออกและหวังจะมอบความสุขให้ภรรยาดั่งที่ควรจะทำ ความต้องการตามธรรมชาติปลุกให้เขา

ตื่นขึ้นมา หย่งหนานก้มหน้าลงไปจูบไล่ตามเนินอกของฟางซินที่เปิดทางให้สามีด้วยความเต็มใจ


               “แค่ก แค่ก”


               ทุกอย่างพลันหยุดชะงักเมื่อฟางซินไอออกมาอีกคำรบใหญ่ ทรวงอกเปลือยหอบหายใจหนักจนตัวโยนทำให้หย่งหนานต้อง

รีบสวมเสื้อให้ฟางซินและดึงผ้าห่มมาคลุมให้ร่างกายบอบบางนั้นและมองอย่างเป็นกังวล


               “ฟางซินเป็นอย่างไรบ้าง”


               ภรรยาไอจนหมดแรง น้ำตาหยดหนึ่งไหลจากหางตาของหญิงสาวด้วยความรันทดใจ


               “น้องขอโทษ น้องเป็นเมียที่ใช้ไม่ได้เลย แค่จะมอบความสุขให้สามีตามหน้าที่ที่ควรจะทำยังไม่สามารถทำได้”


               “อย่าได้คิดมากเช่นนั้นเลย การใช้ชีวิตคู่สามีภรรยามิใช่มีเพียงเรื่องเพศเท่านั้น ฉันรักเธอเพราะความดีของเธอ เพราะเธอเป็น

ภรรยาและแม่ของลูกที่ดี”


               หย่งหนานปลอบโยนเมื่อเห็นฟางซินร้องไห้ เขาตระกองกอดให้ร่างกายของฟางซินได้รับความอบอุ่นจนกระทั่งหญิงสาว

ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดหย่งหนานจึงค่อยๆคลายวงแขนออกและมองใบหน้าซีดเซียวของภรรยา

               คำแนะนำของหยางซุนที่ให้หาอนุภรรยาเพิ่มอีกสักคนแว่วเข้ามาในสมอง ถึงแม้การมีภรรยาหลายคนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กับ

หย่งหนานที่มีความคิดสมัยใหม่ เขารู้ใจสตรีว่าต่อให้ปากนั้นบอกว่าเต็มใจให้สามีมีภรรยาอื่นได้แต่ในใจคงไม่พ้นความเจ็บช้ำ และเพราะ

ความดีของฟางซินที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาถึงแปดปีทำให้เขามิอาจสร้างความเจ็บช้ำให้ภรรยาของเขา แม้ว่าตอนนี้หย่งหนานจะทรมาน

เพราะความต้องการทางธรรมชาติของเพศชายก็ตาม

                ฟางซินหลับสนิทลงแล้วหย่งหนานจึงค่อยๆนอนหงายและจำต้องระบายความต้องการของตนเองออกโดยไม่ผิดศีลธรรม ชาย

หนุ่มหลับตาลงและปรนเปรอความเป็นชายด้วยปลายนิ้วสาก ถึงแม้ความใคร่จะไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตแต่เขาก็ต้องกำจัดความกำหนัด

ของวัยหนุ่มฉกรรจ์ออกไปบ้าง หย่งหนานปล่อยใจในล่องลอยไปกับจินตนาการของตน

               ภาพความงามผุดผาดของหนุ่มน้อยวัยสิบหกปีปรากฏขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามใจได้ ใบหน้าเรียวที่ประกอบไปด้วยเครื่องหน้า

ราวกับสวรรค์ปั้นแต่งกำลังยิ้มแย้มให้กับเขา หย่งหนานนึกเจ็บใจตนเองที่ปฏิเสธใบหน้านั้นไม่ลงเมื่อร่างกายของเขากำลังขึ้นไปสู่จุด

สูงสุด เสียงพ่นสบถลอดริมฝีปากที่สะกัดกลั้นไม่อยู่ดังขึ้นมาคราหนึ่งก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง

               หอบหายใจหนักพลางมองเพดานอยู่ในความมืดก็ยังมีแต่ภาพของหลินเหวินเป่าฉายชัดอยู่ราวกับจอหนังในโรงภาพยนตร์

หย่งหนานนึกหงุดหงิดที่เขาบังคับความคิดของตนเองไม่ได้อย่างที่ควรจะทำแม้ว่าจะหลับตาลงเด็กหนุ่มก็ยังตามมารังควานอยู่หลัง

เปลือกตา


               “โธ่โว้ย!”


               แม้ร่างกายจะสุขสบายขึ้นมาบ้างหากแต่หัวใจของหย่งหนานกลับหนักอึ้ง เขาใช้ชีวิตมาสามสิบปีผ่านอะไรมามากมายและ

เข้าใจดีว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ หย่งหนานเริ่มจะไม่สบายใจที่เขาคิดกับเด็กที่รับเลี้ยงอย่างไม่เหมาะสม เขาได้แต่เตือนตัวเองให้ถอย

ห่างออกมาจากหนุ่มน้อยที่อาจเป็นอันตรายต่อหัวใจและความดีงามที่เขาตั้งใจจะปฏิบัติ

               บางทีเขาจำเป็นต้องห่างจากเหวินเป่าก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป






               เสียงหวูดจากรถยนต์ของกองทัพจีนดังลั่นถนนหน้าบ้านตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่แตะขอบฟ้าปลุกให้สมาชิกในบ้านของผู้นำ

สูงสุดของจีนต้องมารวมตัวกันที่บ้านหลังใหญ่ แม้ว่าหย่งหนานจะเพิ่งคล้อยหลับไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่เขาก็ไม่มีทีท่างัวเงียเมื่อมายืน

พร้อมหน้ากับเฉิ้นจิ้งเหอและเฉินหยางซุน

               เฉินจิ้งเหอกำลังรับโทรเลขรายงานจากนายทหารที่มีสีหน้าตื่นเต้น ชายวัยสูงอายุก้มหน้าอ่านเพียงครู่หนึ่งใบหน้าที่มีแต่ความ

คร่ำเคร่งจึงเผยรอยยิ้มแรกในรอบสิบปีออกมา


               “เยอรมันยอมแพ้แล้ว” (7 พฤษภาคม ค.ศ.1945)


               หยางซุนอุทานออกมาด้วยความสาแก่ใจส่วนหย่งหนานมีเพียงรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าขรึมสำหรับข่าวดีที่เพิ่งได้รับ

จิ้งเหอเล่าถึงสถานการณ์ต่อเนื่อง


                “สัมพันธมิตรยึดกรุงเบอร์ลินไว้ได้และเยอรมันก็ประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข”


               “เสร็จไปหนึ่งล่ะ” หยางซุนชูมือแสดงความยินดี “เหลือก็แต่พวกญี่ปุ่นสินะครับพ่อ”


               จิ้งเหอพยักหน้ารับ รอยยิ้มเริ่มจางหายไปและทดแทนด้วยการไตร่ตรองดังเช่นอุปนิสัยผู้นำเช่นเขา


               “ดูจากความดื้อรั้นของสมเด็จพระจักรพรรดิแล้วพ่อคิดว่าญี่ปุ่นคงยังไม่ยอมแพ้โดยง่าย ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครคอยช่วยเหลือ

และต่อจากนี้ประเทศสัมพันธมิตรทั้งหลายคงมุ่งโจมตีไปที่เกาะญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว”


               “อยากจะรู้นักว่ามันจะต้านกำลังของทหารทั่วโลกได้นานแค่ไหน”


               หยางซุนเอ่ยอย่างกระเหี้ยนกระหือ


               “เท่านี้เราก็มีกำลังใจมากขึ้นแล้วล่ะครับพ่อ ตอนนี้ไอ้เจ้าชายคิริซาวะรุ่นน้องของพ่อคงเดือดพล่านไปหมด ผมได้ข่าวว่าเขา

กำลังเตรียมขนกองกำลังลงไปที่เกาะไต้หวันเพื่อใช้เป็นฐานทัพทางทะเลแห่งสุดท้าย”


               หมู่เกาะไต้หวันตกเป็นฐานที่มั่นของญี่ปุ่นมานานเกือบยี่สิบปีแล้วตั้งแต่ญี่ปุ่นทำสงครามกับจีน เพราะเป็นชัยภูมิที่ดีที่จะตั้งรับ

การต่อสู้โดยเรือดำน้ำและยิงต่อสู้อากาศยาน ซึ่งไต้หวันก็เป็นสถานที่ที่สหรัฐอเมริกาหมายปองอยู่เช่นกัน


               “ช้าไม่ได้ละ ผมต้องไปดูแนวการรบเสียหน่อย”


               หยางซุนไม่รอช้า เขาคำนับบิดาก่อนจะหมุนกายกลับไปยังบ้านพักของเขาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า จิ้งเหอหันมาสบตากับหลาน

ชายและปรึกษาความเห็น


               “หลานคิดว่าควรจะระวังอะไรบ้าง”


               “ควรระวังทหารญี่ปุ่นถอยทัพครับ” หย่งหนานกล่าวตอบอย่างใช้ความคิด


               “ถึงแม้ว่ารัฐบาลกลางของญี่ปุ่นจะยังไม่ยอมแพ้แต่ทหารที่อยู่นอกฐานก็อาจทำทุกวิถีทางเพื่อกลับไปรวมพลกันให้ได้ ผมคิด

ว่าเราต้องใช้เวลานี้จัดการให้เด็ดขาด”


               “หากญี่ปุ่นจะถอนกำลังไปไต้หวันอย่างที่หยางซุนบอก ถ้าไม่ออกทางช่างไห่ก็ต้องมาทางนานกิง แต่ทางนานกิงใกล้กว่า เรา

ต้องระวังช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้”


               หย่งหนานเข้าใจดี สถานการณ์ตอนนี้จักรวรรดิญี่ปุ่นเหมือนถูกลอยแพอย่างโดดเดี่ยว หากแต่เสือที่บาดเจ็บกลับเป็นเวลาที่

น่ากลัวที่สุด เพราะเสือตัวนั้นจะต่อสู้หลังชนฝาเพื่อเอาชีวิตรอด


               เดินกลับไปยังบ้านพักของเขาพร้อมกับภาระหน้าที่ที่มีมากขึ้น ต่อจากนี้งานของหย่งหนานจะไม่ใช่เพียงแค่ฝึกทหารให้พร้อม

รบ หากแต่เขาอาจจะต้องควบคุมทหารเหล่านั้นไปสู้กับศึกสุดท้ายหลังจากสงครามโลกยาวนานถึงแปดปี


               “เกิดอะไรขึ้นคะ”


               ฟางซินตื่นแล้ว หญิงสาวถามทันทีเมื่อสามีก้าวกลับสู่ห้อง


               “เยอรมันยอมแพ้แล้ว”


               หญิงสาวยิ้มอย่างยินดี ฟางซินเป็นสตรีสมัยใหม่ที่ได้รับการศึกษาจนจบวิทยาลัยการช่างสตรีและยังเป็นบุตรสาวของขุนศึก

ใหญ่ เธอจึงรู้สถานการณ์ของบ้านเมืองมากกว่าสตรีคนอื่นๆ


               “เหลืออีกเพียงประเทศเดียวสินะคะ เพราะทั้งเยอรมันและอิตาลีก็พ่ายแพ้หมดแล้ว”


               “นั่นคืองานยากที่สุดของภาคพื้นเอเชีย”


               ฟางซินพยักหน้ารับ หญิงสาวมองสามีแล้วสีหน้าจึงสลดลง


               “น้องขอโทษเรื่องเมื่อคืนนี้ที่ไม่อาจให้ความสุขคุณพี่ได้ พี่คะ น้องมาคิดดูแล้วหากพี่จะหาใครมาดูแลอีกสักคน...”


               “นี่ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องนี้นะฟางซิน” สามีดุจนฟางซินหน้าสลด


               “ขอโทษค่ะ น้องแค่คิดว่า...”


               หย่งหนานถอนหายใจ เขาก้าวเข้าไปหาและยกมือบนไหล่ของหญิงสาวแทนคำปลอบโยน


               “เธอไม่ผิดหรอก ฉันขอบใจในความหวังดี หากแต่ตอนนี้บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงล่อแหลมเกินกว่าฉันจะมาคิดหาความสุขใส่

ตัวได้ เมื่อสงครามจบสิ้นลงเราค่อยมาคุยกันใหม่ เอาล่ะ ฉันจะแต่งตัวไปทำงานแล้ว”


               ฟางซินพยักหน้ารับก่อนจะก้าวออกไปภายนอกเพื่อดูแลสำรับอาหารเช้าให้สามี ส่วนหย่งหนานก็ได้แต่ถอนหายใจตามหลัง





มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 21-02-2017 20:59:40


อ่านต่อตรงนี้...





               หย่งหนานในชุดทหารเต็มยศก้าวออกมาที่ห้องโถงในอีกไม่นานนัก เมื่อก้าวเข้าไปเขาจึงเห็นเพียงหนุ่มน้อยที่เขาเฝ้าฝันถึง

ยืนจัดอาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะเพียงลำพัง และเมื่อเหวินเป่ามองเห็นเขาก็ขยับหนีก้มหน้าซ่อนความสับสนไว้อย่างยากเย็น


               “ฟางซินล่ะเหวินเป่า”


               “นายหญิงดูแลคุณชายน้อยอยู่ครับจึงให้ผมจัดอาหารให้นายท่าน”


               พยักหน้ารับว่าเข้าใจแล้วหย่งหนานจึงนั่งลงใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก หากแต่สายตานั้นกลับวนเวียนอยู่กับใบหน้าแดง

ซ่านของเหวินเป่าอย่างห้ามใจตนเองไม่ได้ อาหารเช้ามื้อนี้แทบไม่รู้รสชาติเมื่อจิตใจพะวงอยู่แต่จุดสนใจอื่น ในที่สุดหย่งหนานก็ตัดสิน

ใจวางตะเกียบลง


               “เหวินเป่า”


               “ครับ!”


               สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเรียก เหวินเป่าเงยหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆกับสายตาที่จ้องมองมา


               “ก้มหน้าทำไม มาหาฉันสิ”


               หนุ่มน้อยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาก้าวเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างของเจ้าของบ้าน เหวินเป่าไม่กล้าสบตาคมนั่นสักนิด


               “นั่งลง”


               “เอ่อ แต่ว่า...”


               แขนของเขาถูกฉุดให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวติดกัน เหวินเป่ารู้สึกขลาดเขลาจนต้องก้มหน้าคางแทบชิดอก แต่แล้วเขาก็ถูกปลาย

นิ้วใหญ่เชยคางของเขาให้เงยหน้าขึ้นมาเช่นเดียวกับค่ำคืนที่ผ่านมา หย่งหนานบังคับด้วยสายตาให้เหวินเป่าไม่กล้าหลบเลี่ยงไปทางใด

ได้


               “เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือ ทำไมดวงตาถึงได้คล้ำเช่นนี้”


               “เอ่อ...”


               จะบอกได้อย่างไรว่าเขานอนไม่หลับจริงๆ เหวินเป่าเฝ้าคิดถึงแต่ใบหน้าคมเข้มแสนดุหากแต่ใจดีของคนตรงหน้าจนนอนไม่

หลับเกือบตลอดทั้งคืน


               “ผมแปลกที่น่ะครับนายท่านและยังไม่ชินกับการนอนบนเตียง”


               หาข้ออ้างให้ตนเองเพื่อให้พ้นจากความรู้สึกอันแท้จริง แต่สำหรับคนไม่เคยโกหกเช่นเขากลับดูออกได้โดยง่ายจากคนที่

ประสบการณ์ชีวิตมากกว่า ดวงตาเรียวหวานคู่นั้นบ่งบอกว่ามองเห็นหย่งหนานเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้มีพระคุณ เป็นเจ้าชีวิต


               ให้ตายสิ หย่งหนานไม่นึกอยากจะเป็นคนดีอย่างที่เหวินเป่าคิดสักนิด


               หัวใจฝั่งความรู้สึกบอกกับเขาว่า หย่างหนานอยากจะดึงร่างบางนี้เข้าสู่อ้อมกอดใจแทบขาด หากแต่สมองที่ย้ำเตือนเรื่อง

คุณธรรมได้ห้ามไว้อย่างยากลำบาก เขาไม่ต้องการทำลายความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อเขา


               “นายท่าน”


               สายตาสับสนของหย่งหนานกลับกระตุ้นให้หนุ่มน้อยจ้องมองจนดำดิ่งลึกเข้าไปหลังดวงตาคู่คมนั้น อะไรบางอย่างทำให้เหวิน

เป่าหลุดจากการควบคุมตนเอง เขามองชายหนุ่มสง่าผ่าเผยอย่างหลงใหลลืมตัวจนกายบางขยับใกล้ชิด ใบหน้าหวานแหงนมองราวกับ

จะรอให้อีกฝ่ายทำอะไรบางอย่างกับตนให้สมกับความรู้สึกอัดอั้น


               หย่งหนานลืมทุกอย่างแล้วในตอนนี้ สีหน้าของเหวินเป่าเย้ายวนใจเกินกว่าที่เขาจะหักห้ามได้ ปลายนิ้วสากที่ยังไม่ปล่อยจาก

คางเรียวดึงใบหน้าหวานเข้าหา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นร้อนซึ่งกันและกัน ริมฝีปากของเขาแตะลงไปบนกลีบปากนุ่ม

บางเบาหากแต่สร้างความรัญจวนจนหัวใจของเขาและเหวินเป่าเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกทรวงอก


               “เหวินเป่า นายท่านของเธอรับประทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง”


               ราวกับร่างกายถูกกระชากออกจากกันทันทีทันควัน เหวินเป่าผลักไหล่กว้างออกและชิงลุกหนีไปยืนตำแหน่งเดิมเมื่อได้ยิน

เสียงของฟางซินดังแว่วมา หนุ่มน้อยหอบหายใจลึกเพื่อตั้งสติในขณะที่หย่งหนานพลันหลับตาลงเพื่อดึงทุกอย่างกลับคืนมา เขาโกรธตัว

เองนักที่ปล่อยให้ความต้องการอยู่เหนือความถูกต้อง


               “อ้าว ทำไมรับประทานได้น้อยจังล่ะคะ”


               ฟางซินถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอาหารเช้าพร่องไปไม่ถึงครึ่งและสามียังมีสีหน้าเคร่งเครียดอีกต่างหาก หย่งหนานผุดลุก

ขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว บางทีหากเขายังอยู่ใกล้หนุ่มน้อยที่ยืนหน้าแดงซ่านอยู่อย่างนี้ เขาอาจจะทำผิดเข้าสักวัน


               “ฟางซิน ช่วยจัดเสื้อผ้าและของใช้ให้ฉันด้วย ให้ทหารนำไปส่งให้ที่กองทัพ ฉันจะไปทำงานที่กองบัญชาการจนกว่า

สงครามโลกจะจบลง”


               หย่งหนานตัดสินใจก้าวเดินออกจากบ้านโดยไม่หันมามองใบหน้าของเหวินเป่าอีก นี่อาจเป็นทางเดียวที่เขาจะไม่ทำลายทุก

อย่างให้พังครืนลงมา
               


                                                                   TBC

                                                              :เฮ้อ: :เฮ้อ:



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 21-02-2017 21:15:12
 :z3: ว่าแล้วว่าแล้ววววว ต้องมีขัดจังหวะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 21-02-2017 21:54:01
นายท่านดีเกินไป
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 21-02-2017 21:54:50
หนีเลยรึ :ling1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-02-2017 21:57:38
ฟานซินก็แสนดี จนไม่อยากให้นอกใจ งื้ออออ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 21-02-2017 22:05:51
 :z3: อยากอ่านต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-02-2017 22:10:15
ดีมากหย่งหนาน

อย่าทำร้ายฟางซินเพราะจิตใจที่ห้ามยากของตนเลย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 21-02-2017 22:22:23
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-02-2017 22:32:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 21-02-2017 22:33:20
 :z3:  อยากเห็น นายท่านคอยดูแลลูกเต่าน้อย  แต่เจ๊ฟางซิน ก็ แสนดีจนไม่อยากให้นายท่านทำร้ายจิตใจ 

เป็นเรื่องแรกเลย ที่ถ้านายเอกจะต้องต่อไปอย่างไร้จุดหมาย  ก็ไม่ถือคนแต่ง  ทั้งฟางซิน ทั้งนายท่านช่างเหมาะกันจริงๆ 
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 21-02-2017 23:19:42
แสนดีกันแบบนี้ ไม่รู้จะเชียร์ใครดี555  แต่ชอบมากๆค่ะ
สนุกจนอยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
ขอบคุณมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 21-02-2017 23:24:10
รักฟางซิน รักหย่งหนาน รักอากุย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 22-02-2017 17:51:39
เขามาแล้วก็ติดจิครับรออะไร  o13 o13
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 26-02-2017 23:02:34


                                                                         ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                                 บทที่ 12



               “นายท่าน!”


              เหวินเป่าใจหายวาบเมื่อมองเห็นแผ่นหลังกว้างเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับ หัวใจดวงน้อยร้าวรานปริ่มจะขาดใจ       

เหวินเป่าเริ่มเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกโหยหาเหล่านั้นมันคืออะไร เขานึกชังความรู้สึกตนเองที่มันไม่ได้ซื่อตรงอย่างที่ควรจะเป็น

             มันเป็นความปรารถนาบางสิ่งบางอย่างที่มากเกินขอบเขตในสิ่งที่มิใช่ของตนนอกเหนือไปจากความเคารพและบูชา         

หย่งหนานที่เปรียบเป็นวีรบุรุษสำหรับเขา และยิ่งผิดต่อสตรีแสนดีอย่างฟางซินที่เป็นเจ้าของหย่งหนานโดยแท้จริง เหวินเป่าไม่มีสิทธิ์

แม้แต่จะคิดหากแต่เขาก็ห้ามความรู้สึกของตนเองมิได้

               ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นแตะไล้ที่กลีบปากของตน สัมผัสเพียงแผ่วเบาเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมายังตราตรึงอยู่ในหัวใจพร้อมกับที่

เจ้าของสัมผัสนั้นทอดทิ้งเขาไปอย่างรวดเร็วแต่เหวินเป่าไม่นึกแปลกใจ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนั้นต่างค้ำคออยู่ศีลธรรมที่ไม่อยากทำร้าย

ให้ใครต้องเจ็บช้ำ


               “นายท่านของเธอไปทำงาน เราต้องเข้าใจเขานะเหวินเป่า”


               คำพูดของฟางซินดึงสติให้เหวินเป่ากลับคืนสู่ความเป็นจริง หนุ่มน้อยหักห้ามใจและหันมาสบตากับภรรยาของหย่งหนาน


               “ครับนายหญิง”


               “หากจะต้องร่วมชีวิตกับผู้นำ เราจำเป็นต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพราะยังมีคนอีกมากที่เขาทุกข์ และรอให้ผู้นำของเขา

เข้าไปช่วยเหลือ”


               “นายหญิงคงต้องอดทนมาก”


               เหวินเป่าเฝ้ามองฟางซินที่ทรุดนั่งบนเก้าอี้แทนหย่งหนานด้วยความชื่นชม ฟางซินเผยรอยยิ้มอย่างคนเข้าใจโลก


               “ยิ่งเป็นผู้นำคน ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากมายตามไปด้วย เราซึ่งเป็นผู้ร่วมชีวิตที่เขาเลือกแล้วก็ต้องเข้าใจสภาพนั้น

ในเมื่อยอมรับที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา เราก็ต้องส่งเสริมให้เขาได้ปฏิบัติเพื่อภารกิจที่เขารับผิดชอบ”


               ฟางซินถอนหายใจพลางขยับตัวลุกขึ้นยืน


               “มานี่เถอะเหวินเป่า มาช่วยฉันเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้นายท่านของเธอ อีกหน่อยฉันจะได้ไหว้วานให้เธอเป็นธุระเรื่องนี้

แทนหากว่าฉันทำมันไม่ไหว”


               ได้ยินเสียงรถยนต์ทหารขับออกไปจากรั้วนอกบ้านจนกระทั่งลับเสียงไป เหวินเป่ากลืนก้อนสะอื้นลงคอและตัดใจจากความ

อาดูรเหล่านั้นอีกครั้ง จากกันเมื่อแปดปีที่แล้วและได้พบหน้าเพียงไม่กี่วันก่อนห่างไกลอีกคำรบ การจากกันครั้งนี้ยิ่งปวดร้าว ฤาเขาและ

หย่งหนานจะไม่มีวาสนาได้พบเห็นหน้ากันเช่นใจปรารถนา

               พรหมลิขิตขีดเส้นให้พานพบหากแต่คงลืมให้บั้นปลายนั้นมาบรรจบพบกัน
               





               6 สิงหาคม ค.ศ.1945

               แม้ว่าเยอรมันและอิตาลีจะยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองและปล่อยให้จักรวรรดิญี่ปุ่นสู้รบเพียงลำพังแต่รัฐบาลของสมเด็จ

พระจักพรรดิก็ยังไม่ยอมแพ้ถึงแม้ประชาชนในประเทศรวมถึงเหล่าทหารจะสูญเสียเป็นจำนวนมาก การต่อสู้ในภาคพื้นเอเชียจึงดำเนินต่อ

มาหลังจากวันที่เยอรมันยอมแพ้กว่าสามเดือน ในประเทศญี่ปุ่นเครื่องบินของอเมริกาบินเข้าทิ้งระเบิดทั้งโตเกียว โอซาก้า นาโงย่า จน

แทบจะกลายเป็นเมืองร้าง เรือบรรทุกน้ำมันก็ถูกโจมตีจมกลางทะเลจนไม่มีเรือขนส่งเสบียงไปยังฐานทัพต่างๆ

               ช่วงนี้หย่งหนานทุ่มเทให้กับงาน เขาเข้าไปช่วยหลือเฉินหยางซุนในการวางแผนการต่อสู้ งานหนักทำให้เขาลืมเลือนเรื่อง

ส่วนตัวไปบ้างยกเว้นในเวลาที่เขาพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ เวลานั้นที่ยังมีใบหน้าของเด็กหนุ่มหลินเหวินเป่าปรากฏให้เห็น หย่ง

หนานเกลียดหัวใจตนเองนักเมื่อการไม่ได้พบหน้าเหวินเป่าถึงสามเดือนกลับไม่ได้ทำให้เขาลืมเลือนเด็กหนุ่มได้เลย


               “ได้ข่าวว่าสหรัฐอเมริกากำลังวางแผนจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับญี่ปุ่น”


               หยางซุนเอ่ยกับเขาในวันหนึ่ง


               “แต่ยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร”


               “สงครามยืดเยื้อนานเต็มที อเมริกาคงต้องการให้สงบราบคาบโดยเร็ว”


               หย่งหนานเองก็ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เขายังไม่ไว้วางใจแม้จะรู้ว่าญี่ปุ่นอยู่ในช่วงหลังติดกำแพง จะถอยก็ไม่ได้จะ

สู้ก็มีแต่เพลี่ยงพล้ำ เขาคงสนทนากับหยางซุนต่อหากจะไม่ถูกขัดด้วยสัญญาณโทรเลขจากฝ่ายสื่อสาร สองพี่น้องจึงได้ตื่นตัวและก้าว

ไปยังห้องรับสัญญาณ


               “ข่าวด่วนที่สุดครับ” นายทหารประจำการผู้หนึ่งกล่าวทันทีเมื่อเห็นเจ้านายก้าวเข้าไป หยางซุนรีบรับใบรายงานทางโทรเลข

ทันที เมื่ออ่านจบเขาก็เบิกตากว้าง


               “สหรัฐอเมริกาส่งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่เพิ่งคิดค้นได้ทำลายเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นเมื่อสักสองชั่วโมงที่ผ่านมา”


               “แล้วผลเป็นอย่างไรครับ”


               หย่งหนานถามอย่างตระหนก เขารู้ว่ามีนักวิทยาศาสตร์คิดค้นสูตรระเบิดที่มีแสนยานุภาพร้ายแรงนี้ แต่ไม่นึกว่าอเมริกาจะ

ตัดสินใจใช้มันทันทีที่ผลิตได้สำเร็จ


               “มีผู้เสียชีวิตร่วมแสนคนแล้ว ฮิโรชิมาเมืองที่มีโรงงานผลิตอาวุธและที่ตั้งของกองทัพทหารพังราบเป็นหน้ากลอง”


               ระเบิดนิวเคลียร์ลูกนั้นมีชื่อว่า “Little Boy” มันระเบิดกลางอากาศสูงกว่าพื้นดินในระดับ 600 เมตร  ความร้อนของมันมากถึง

3800 องศาเซลเซียสและทำให้ประชาชนชาวฮิโรชิมาล้มตายทันทีกว่าเจ็ดหมื่นคนและเสียชีวิตในภายหลังจากนั้นในปีเดียวกันด้วย

ความทรมานอีกกว่าเจ็ดหมื่นคน (ที่มา http://unigang.com/Article/4310 (http://unigang.com/Article/4310) :ผู้แต่ง)


               แม้ว่าจะอยู่คนละฝ่ายแต่หย่งหนานก็นึกเห็นใจชาวญี่ปุ่นที่ต้องมาพบจุดจบในคราวนี้ หากแต่เขาก็ต้องระวังสถานการณ์ในจีน

เช่นกัน


               “คราวนี้ญี่ปุ่นกลายเป็นเสือจนตรอกอย่างแท้จริงแล้ว ผมไม่ไว้ใจทหารญี่ปุ่นในเมืองจีนเท่าไหร่ เกรงว่าเจ้าชายคิริซาวะอาจจะ

ทำอะไรบางอย่างเช่นหาทางถอยทัพไปที่บ้านเกิดเพื่อช่วยเหลือที่ตั้งสุดท้าย ผมจะไปลาดตระเวนดูความเคลื่อนไหวของเขา”


               เจ้าชายคิริซาวะ ยาคุริที่ควบตำแหน่งนายพลจอมทัพของกองกำลังทหารญี่ปุ่นในเมืองจีนเร่งนำพลเคลื่อนไหวมาเมืองท่า

อย่างเงียบๆ หยางซุนพยักหน้ารับทันที


               “ไปเถอะ พี่จะรีบนำข่าวนี้ไปรายงานกับคุณพ่อ หากมีคำสั่งด่วนพี่จะรีบให้คนส่งข่าวให้นายรู้”


               หย่งหนานเร่งฝีเท้าไปยังรถยนต์ลาดตระเวน เขานึกเป็นห่วงประชาชนหากญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ในสงครามและยืนยันจะสู้อย่าง

หัวชนฝาต่อไป








               ฝนที่สาดซัดลงมาเมื่อยามบ่ายจัดทำให้อากาศทั้งชื้นทั้งอบอ้าว เหวินเป่าที่ต้องดูแลเด็กชายเฉินฮุ่ยจงซึ่งไม่สบายตัวนัก เขา

ต้องคอยเช็ดเนื้อตัวให้คุณชายตัวน้อยที่ร้องโยเยจนกระทั่งหลับปุ๋ยไปในยามค่ำ หากแต่งานของเหวินเป่าก็ยังไม่หมดเมื่อได้ยินเสียงไอ

ของฟางซินนายหญิงของบ้านหลังเล็ก

               สามเดือนที่ผ่านมาเหวินเป่าอยู่ในบ้านหลังน้อยรวมไปถึงได้เข้าไปรู้จักกับคนงานในบ้านหลังใหญ่และบ้านของเฉินหยางซุน

จนกลายเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว ฟางซินสอนให้เขาเขียนอ่านหนังสือในยามว่างและด้วยความหัวดีเหวินเป่าจึงเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขา

อ่านตัวอักษรจีนที่ไม่ยากนักได้พอแตกฉาน ฟางซินเองก็เอ็นดูและไว้ใจเด็กหนุ่มเพราะความนอบน้อมนั่นเอง

               เหวินเป่าเคาะประตูห้องของฟางซินที่มีเหม่ยฮัวดูแลอยู่ด้านใน เขาก้าวเข้าไปเมื่อเหม่ยฮัวเปิดประตูรับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


               “ฮูหยินตัวร้อนและไอหนักมาก”


               “งั้นหรือครับ” เหวินเป่ากังวลใจเมื่อมองไปเห็นร่างบอบบางนอนคุดคู้อยู่ในผ้าห่ม


               “ทำอย่างไรดีครับพี่เหม่ยฮัว”


               “พี่ให้ฮูหยินรับประทานยาฝรั่งที่มีอยู่ไปแล้วและหมั่นเช็ดตัวตามที่หมอฝรั่งเคยสอนไว้ อีกสักพักไข้ก็คงลดลงแต่ยาฝรั่งมัน

หมดเสียแล้วล่ะ พี่กลัวฮูหยินมีไข้กลับกลางดึกจะไม่มียาให้รับประทานซ้ำอีก”


               “ผมจะไปซื้อยาฝรั่งที่ว่านั่นเอง พี่เหม่ยฮัวบอกผมทีว่ามันอยู่ถนนเส้นไหน”


               “ดีจริงเหวินเป่า พวกผู้ชายในบ้านก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเสียหมดแล้วเหลือแต่พวกผู้หญิงเท่านั้น จะหาใครพึ่งพาก็ลำบาก

เหลือเกิน เธอไปที่โรงพยาบาลนะและบอกกล่าวกับพวกเขาว่ามารับยาให้ฮูหยินเล็กสกุลเฉิน พวกเขาจะจัดยามาให้เธอกลับมา”


               เหวินเป่ารับคำก่อนจะวิ่งออกไปยังหน้าประตูรั้ว ในยามค่ำคืนเช่นนี้เขามองไม่เห็นรถลากแม้แต่คันเดียว หนุ่มน้อยตัดสินใจกึ่ง

เดินกึ่งวิ่งไปยังโรงพยาบาลของหมอฝรั่งแม้ว่ามันจะไกลจากบ้านอยู่มาก หากแต่ความเป็นห่วงในอาการของฟางซินทำให้เขาไม่รู้สึก

เหน็ดเหนื่อยเลยสักนิดจนกระทั่งถึงที่หมายและกระทำตามที่เหม่ยฮัวสั่งไว้ ไม่นานนักเขาก็ได้รับห่อยามาถืออยู่ในมือ แม้จะเพิ่งหาย

เหนื่อยแต่เหวินเป่าก็ไม่หยุดรอ เขารีบวิ่งกลับย้อนไปเส้นทางเดิมทันที

               เพราะเป็นยามดึกผู้คนต่างกลับเข้าไปในบ้านเรือนกันหมดแล้ว เหวินเป่าที่กำลังวิ่งผ่านท่าเรือเล็กๆก็พลันชะงักเมื่อเขามอง

เห็นกองกำลังทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งกำลังเดินแถวอย่างเงียบเชียบไปยังเรือลำเล็กที่จอดรออยู่ ดวงตาของเขาพลันตระหนกด้วยความ

หวาดกลัว เหวินเป่าไม่ต้องการเผชิญหน้ากับพวกนั้น

               ตัดสินใจเลี่ยงหลบวิ่งไปยังตรอกเล็กเพื่อใช้เส้นทางใหม่ หนุ่มน้อยวิ่งไม่คิดชีวิตอยู่ในความมืดสลัวเพราะความตกใจเหวินเป่า

จึงมองไม่เห็นว่าสุดทางของตรอกเล็กที่เชื่อมสู่ถนนอีกเส้นหนึ่งนั้นมีร่างของใครบางคนยืนอยู่ เหวินเป่าจึงวิ่งเข้าชนอย่างจังกระทั่งล้มลง

ก้นจ้ำเบ้าห่อยากระเด็นหลุดมือ เขารีบลนลานควานหาห่อยานั้นด้วยความหวงแหนก่อนจะเงยหน้ามองบุรุษที่มิได้สะเทือนเลยเมื่อเขา

วิ่งชน

                เหวินเป่าเบิกตากว้างเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว บุรุษตรงหน้าเป็นชายสูงวัยผมสีดอกเลาใบหน้าดุดันสวมใส่ชุดทหาร

ของญี่ปุ่น บนบ่ามีเครื่องประดับมากมายที่เหวินเป่าเดาว่าเขาน่าจะมียศสูงศักดิ์เทียมฟ้า และเมื่อบุรุษผู้นั้นถูกเหวินเป่าวิ่งเข้าชน ดวงตาคู่

นั้นก็พลันเกรี้ยวกราด มือใหญ่กระชากแขนของเหวินเป่าจนตัวลอยขึ้นมาพร้อมกับดึงมีดพกคมวับพร้อมจะลงมือปลิดชีวิต เหวินเป่า

หลับตาลงเมื่อรู้ว่าลมหายใจตนเองคงปลิดปลิว


               แม่จ๋า ลูกจะไปอยู่กับแม่แล้ว รอลูกอีกแค่อึดใจเดียว


               เสียงคมมีดตวัดวูบมาจ่ออยู่ตรงลำคอหากแต่มันกลับเงียบเสียงลง เหวินเป่าที่หลับตากลั้นลมหายใจถึงกับสำลักเมื่อเขา

สูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้ง เปลือกตาค่อยๆเปิดขึ้นจนกระทั่งได้สบตากับเจ้าของมีดคมที่มองเขาอย่างแปลกใจ               “เธอ” เสียง

ภาษาจีนแปร่งๆหลุดจากชายสูงวัยผู้นั้นเมื่อเขาจ้องหน้าเหวินเป่าพักใหญ่


               “เธอเป็นคนญี่ปุ่นงั้นรึ”




มีต่ออีกนิด...

หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 26-02-2017 23:12:34


ต่อกันตรงนี้....





                เหตุการณ์ยังคงสงบเมื่อหย่งหนานนั่งรถลาดตระเวนกับลูกน้องของเขาจนเกือบทั่วเมือง จนรถลาดตระเวนนั้นผ่านมายังถนน

หน้าบ้านของเฉินจิ้งเหอนายกรัฐมนตรี เขาจึงสั่งให้พลขับจอดรถลงหน้าบ้านและก้าวเดินไปยังภายในเขตรั้ว


               “พักก่อนเถอะ ขอเข้าไปในบ้านสักหน่อย” เขากล่าวกับลูกน้อง


               ตั้งแต่เมื่อตัดสินใจห่างจากบ้านเพื่อตัดใจจากความปรารถนาหย่งหนานยังไม่ได้กลับมาอีกเลย เขาเชื่อว่าเวลาผ่านพ้นไปนาน

ถึงสามเดือนความปราถนารุ่มร้อนนั้นคงจะเบาบางลงบ้างแล้ว หย่งหนานถือโอกาสนี้กลับบ้านและเดินเข้าไปหาภรรยาของเขา


               “คุณชาย” เหม่ยฮัวที่ยังอยู่ภายในห้องของเขาเพื่อดูแลฟางซินเอ่ยทักอย่างดีใจ และเมื่อร่างบอบบางนั้นได้ยินเข้าก็จึงลุก

จากการนอนขึ้นมา


               “พี่คะ กลับมาแล้วหรือคะ”


               หย่งหนานรีบตรงเข้าไปประคองภรรยาทันที รู้สึกได้ว่าเนื้อตัวของฟางซินอุ่นกว่าปกติ


               “ฮูหยินมีไข้หนักค่ะเมื่อหัวค่ำ” เหม่ยฮัวรีบแจ้งต่อเจ้านาย “ตอนนี้ไข้ลดลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังตัวรุมๆอยู่”


               “ฉันขอโทษต่อเธอนะฟางซิน” หย่งหนานสำนึกผิด เขาช่างเป็นสามีที่ใช้ไม่ได้เลย


               “ฉันขอโทษที่ขาดการเอาใจใส่เธออย่างที่ควรจะทำ”


               “อย่าพูดเช่นนั้นเลยค่ะ ภาระของพี่สำคัญกว่าน้องเข้าใจดี ตอนนี้เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างคะ”


               “อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ฮิโรชิมา ผู้คนญี่ปุ่นล้มตายไปเกือบแสน”


               “โธ่เอ๋ย เกลียดสงครามนัก เมื่อไหร่จะจบสิ้นสักทีนะ”


               ฟางซินอุทานด้วยความสังเวชใจ สงครามอันยาวนานช่างเลวร้ายเหลือเกิน หย่งหนานลูบไหล่ภรรยาด้วยความเข้าใจ


               “อีกไม่นานแล้วฟางซิน นี่เป็นมาตรการสุดท้ายที่สัมพันธมิตรตัดสินใจยุติสงคราม”


               ปลอบโยนภรรยาก่อนจะชะงักเมื่อหัวใจแล่นไปหาสมาชิกอีกคนของบ้าน หย่งหนานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป


               “เหวินเป่าล่ะ”


               “คงอยู่ในห้องกระมังคะ น้องมัวแต่จับไข้ยังไม่เห็นเหวินเป่าเลย”


               “เหวินเป่าไปโรงพยาบาลค่ะ” เหม่ยฮัวรีบกล่าว “ยาฝรั่งของฮูหยินหมด เหวินเป่าอาสาไปรับยามาให้เพราะเกรงว่าหากฮูหยิน

มีไข้อีกจะไม่มียารักษา”


               “อะไรนะ นี่มันดึกแล้วเหวินเป่ากล้าไปได้อย่างไร”


               ฟางซินอุทานอย่างตกใจเมื่อรู้ว่าเหวินเป่าเสี่ยงอันตรายเพราะตน ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดเผือดกว่าเดิม หย่งหนานเองก็

ตกใจราวกับหัวใจหล่นหาย


               “ฉันจะไปรับเหวินเป่า เธออยู่ได้ใช่ไหมฟางซิน”


               ภรรยารีบพยักหน้ารับทันที


               “ไปเถอะค่ะพี่ไม่ต้องเป็นห่วงน้อง ที่บ้านยังมีผู้คนอีกหลายคน พี่รีบไปรับเหวินเป่าโดยเร็วเถอะค่ะ น้องไม่ไว้ใจช่วงหัวเลี้ยว

หัวต่อแบบนี้”


               มองภรรยาอย่างขอบคุณที่เข้าใจ หย่งหนานรีบวิ่งออกมายังด้านนอกรั้วบ้านทันทีด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับตัวอีกแล้ว รถยนต์ลาด

ตระเวนของเขาไม่มีทหารอยู่เลยเพราะต่างแยกย้ายกันไปพักตามที่เขาสั่ง หย่งหนานกระโดดขึ้นรถและขับมันออกมาเพียงลำพัง

               ขับไปถึงโรงพยาบาลและถามด้วยความร้อนใจจึงรู้ว่าเหวินเป่ารับยาออกจากโรงพยาบาลมาได้พักใหญ่ ความห่วงกังวลก็ยิ่ง

ถาโถมหนักเมื่อไม่เห็นร่างโปร่งย้อนกลับมาทางเดิม หย่งหนานตัดสินใจจอดรถไว้ริมถนนและวิ่งตามหาคนที่เข้ามาก่อกวนหัวใจของเขา

ตามตรอกซอกซอยด้วยความว้าวุ่น จนกระทั่งเห็นเงาตะคุ่มในความมืดตรงทางแยกหย่งหนานก็รีบตรงเข้าไปทันที







               คำถามนั้นเสียดแทงใจของเหวินเป่าอย่างที่สุด เขาเกลียดสายเลือดครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายที่มิใช่ความเป็นจีนของ

เขา ความเกลียดชังนั้นทำให้เหวินเป่าหลงลืมความหวาดกลัวเสียสิ้น เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยความชิงชัง


               “ไม่ ไม่ใช่เลย ผมเป็นคนจีน”


               ดวงตาของผู้สูงวัยยังคงจับจ้องและประสานสายตาราวกับจะมองให้ลึกไปถึงเส้นเลือดและหัวใจของเหวินเป่า คมมีดจ่ออยู่

ตรงคอเลื่อนลงช้าๆมายังสร้อยคอที่เหวินเป่าใส่ติดมาตั้งแต่เด็กอันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่มารดาเหลือไว้ให้โดยปกติเขาจะใส่เสื้อปิดบัง

มันไว้ แต่เป็นเพราะอากาศอบอ้าวทำให้เหวินเป่าปลดกระดุมเม็ดบนออกจนเผยให้เห็นสิ่งที่เขาซุกซ่อนอยู่


               “เธอมีสายเลือดญี่ปุ่น ถึงแม้จะไม่ยอมรับ”


               ชายสูงวัยผู้นั้นยังคงยืนกรานตอกย้ำความเจ็บปวดแก่เหวินเป่า หนุ่มน้อยมองอีกฝ่ายด้วยความเกลียดชัง


               “ผมเป็นคนจีน และผมไม่มีสายเลือดญี่ปุ่นของคุณ พวกคุณฆ่าแม่ผม พวกคนเลว”


               น้ำตาแห่งความเกลียดชังไหลรินลงมา ภาพแห่งความเลวร้ายในวัยเด็กทำให้เหวินเป่าเต็มไปด้วยความคับแค้น


               “ฆ่าผมสิ ในเมื่อพวกคุณเห็นคนจีนไม่มีค่า ฆ่าผมเสียให้ตายตามพวกของผมเสียให้สาแก่ใจของคุณ”


               ดวงตาดุดันนั้นเบิกโพลง คมมีดบาดเข้าผิวหนังตรงลำคอจนแสบร้อน เหวินเป่าหลับตาลงอีกครั้งเมื่อเขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่

ปล่อยเขาไปอีกแล้ว


               “หยุดนะ!”


               น้ำเสียงแสนคุ้นหูคุ้นใจดังขึ้นโดยพลัน หัวใจของเหวินเป่ากระตุกเมื่อรับรู้ว่าใครที่ก้าวมาขวางทางตายของเขา


               “ปล่อยคนของผมเดี๋ยวนี้”


               บุรุษในชุดนายทหารของกองทัพจีนปรากฏกายขึ้นท่ามกลางความมืดสลัว ยั้งคมมีดที่จ่ออยู่ตรงลำคอเนียนนุ่ม


               “กรุณาปล่อยคนของผมเดี๋ยวนี้ ท่านนายพลคิริซาวะ”

                               

                                                    TBC


                                                  :ling1: :ling1:



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 26-02-2017 23:16:47
 :z3: ลุ้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 26-02-2017 23:19:29
 :katai1:   เจอใครไม่เจอนะลูกเต่าน้อย  ดันมาเจอระดับลาสบอสกันเลยทีเดียว

แอบสงสัยว่าสร้อยคอที่แม่ของลูกเต่าน้อยให้มาจะไม่ใช่สร้อยแบบธรรมดาทั่วไป 

กลัวจะเป็นของพวกทหารระดับสูงของทางญี่ปุ่นหรือไม่ก็ตานายพลนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 26-02-2017 23:24:14
หว่าาาาา พระเอกออกโรงแล้ววววว o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-02-2017 23:32:58
ลูกท่านหลานเธอรึเปล่า เต่าน้อย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-02-2017 23:48:29
สร้อยคอบอกอะไร

หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 26-02-2017 23:54:37
ไหนปลอบอากุยหน่อยซิ  :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 27-02-2017 00:10:36
สร้อยของพ่อเต่าน้อยรึเปล่า
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-02-2017 00:14:20
เดี๋ยวนะ หรือลูกเต่าน้อยเป็นลูกองค์ชาย??? เห้ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 27-02-2017 01:32:16
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 27-02-2017 03:49:13
โอ้ยยย คือเพิ่งได้อ่านเรืองนี้ สนุกมากก อ่านไม่หยุดเลยค่ะ ลุ้นตลอดทุกตอนน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-02-2017 09:05:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: coolmaoil ที่ 27-02-2017 13:16:04
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: saruwatari_guy ที่ 27-02-2017 15:23:31
ค้างงงงงงงงงง ดีนะที่มาทันไม่งั้นอาจจะโดนพากลับญี่ปุ่นด้วย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 02-03-2017 23:00:28
จะได้เจอพ่อไหมน้า
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 03-03-2017 12:26:25
ซับซ้อนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

สนุกขึ้นเรื่อยๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 03-03-2017 13:20:29
โอ๊ยยยยย จะตายแล้ววว หมายถึงคนอ่านเนี่ยจะตายย

อยากอ่านต่ออ ฮือๆๆๆ นายท่ายช่วยอากุยด้วย

หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 03-03-2017 16:34:21
เสียวแทนเหวินเป่ามากกกกก

ตอนหน้าคงเข้มข้มหนักแน่ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-03-2017 11:19:42
โอ้ยสนุกมากค่ะ ชอบทุกตัวละครในนี้เลย ชอบลูกเต่าน้อยน่ารัก เอ็นดูมาก  :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 05-03-2017 16:36:11
มาอ่านอีกรอบจ้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 06-03-2017 23:34:57
โอววว...พระเจ้า! เรื่องนี้ดีมาก! ชอบมากๆเลยค่ะ เขียนดีจริงๆ!!!

ดราม่ามาอย่างแน่น ดราม่าในดราม่าในดราม่า ทับกันเข้าไป ชอบจังเลย
นอกจากม่านประเพณีจีนที่บีบเคร่ง ยังมีศีลธรรมอันดีของพระ-นายที่ค้ำคอตัวเอง
บวกกับความลูกครึ่งญี่ปุ่นของนายเอก ที่มีวี่แววจะบานปลาย มีศักดิ์มีเชื้อเข้าไปอีก (รีเปล่า?)
พระเอกฮีโร่ที่ต้องคอยหักห้ามใจ นายเอกไร้เดียงสาที่เพิ่งรู้จักรัก และห้ามรักไปพร้อมๆกัน กรี๊ดดด

ช่างเป็นครรลองที่ชวนหลงใหลที่สุด ...ประทับใจมากๆ มาต่อบ่อยๆนะคะ รออยู่ๆ ^^

//ปล. สุดท้ายทั้งคู่ต้องไปโผล่ไต้หวัน เพื่อแฮปปี้เอ็นด์มั้ย ดูมีความคาบเกี่ยว จำค.ศ.ที่เค้าลี้ภัยกันไม่ได้แล้ว ...แต่อยากให้แฮปปี้อ่ะคุณคนเขียน (ภาวนาๆๆๆๆ)
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 07-03-2017 00:03:21


                                                                               ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                                      บทที่ 13


               เสียงเด็ดขาดของนายทหารอายุคราวลูกสามารถหยุดคมมีดลงได้ นายพลเจ้าชายคิริซาวะหันขวับไปยังต้นเสียงที่เขารู้จักเป็น

อย่างดี ดวงตาที่มีรอยยับย่นของความอาวุโสจับจ้องอย่างแปลกใจที่เห็นเฉินหย่งหนานมองเขาด้วยโทสะอย่างที่ไม่เคยแสดงออกให้

เห็นมาก่อน หลานชายของนายกรัฐมนตรีชาติจีนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมหากแต่ครานี้เขากลับมองเห็นเปลวไฟจากดวงตาคมคู่นั้น


               “คนของเธองั้นรึ” คิริซาวะเอ่ยถามหากแต่มือก็ยังจรดคมมีดลงไปบนเนื้อนุ่มอย่างน่าหวาดเสียว


               “ผมขอร้องให้ท่านปล่อยคนของผมหากยังเห็นต่อความสัมพันธ์อันดีต่อกัน”


               หย่งหนานย้ำชัด มือใหญ่กุมด้ามปืนที่เหน็บอยู่ตรงเอวอย่างพร้อมที่จะชักมันออกมาลั่นกระสุนเต็มที่หากคิริซาวะจะทำอะไร

ต่อเหวินเป่าที่ยืนหน้าซีดเผือดภายใต้คมมีด นายพลคิริซาวะประสานสายตากับหย่งหนานพักหนึ่งก่อนจะยอมเก็บมีดและปล่อยมือที่

จับกุมเหวินเป่าไว้ เมื่อหนุ่มน้อยเป็นอิสระเขาจึงรีบขยับเท้าก้าวหนีให้ห่างทันที


               “ไม่นึกว่าจะได้พบท่านที่นานกิงและอย่างยิ่งในสถานที่เช่นนี้”


               เมื่อเห็นว่าเหวินเป่าปลอดภัยไฟในดวงตาก็เริ่มลดความรุนแรงลงหากแต่หย่งหนานก็ยังมองอย่างไม่ไว้ใจผู้กุมกำลังจาก

จักรวรรดิญี่ปุ่น  คิริซาวะได้ยินดังนั้นสีหน้าจึงยิ่งตึงด้วยความคุกรุ่นเมื่อรู้ว่าบ้านเมืองของตนกำลังเสียเปรียบ


               “จงอย่าชะล่าใจพันตรีเฉิน” คิริซาวะเอ่ยอย่างถือดี


               “ตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังคงฉายแสงและสงครามยังไม่จบ ศพทหารก็ไม่ใช่สิ่งยืนยันความปราชัย”


               บุรุษที่ก้าวเข้าสู่วัยชรายืนอกผายไพล่หลังมือไว้ด้านหลังอย่างหยิ่งผยองในศักดิ์ศรี หย่งหนานเข้าใจดีและเขาก็มิได้ทับถมให้

อีกฝ่ายได้อับอายที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


               “ไม่ว่าใครจะได้รับชัยชนะ แต่ประชาชนก็พ่ายแพ้และย่อยยับอยู่ในสงครามอันเลวร้ายครับ ผมเพียงแต่หวังว่าบทสรุปของ

สงครามจะไม่ทำให้บ้านเมืองของผมบอบช้ำไปยิ่งกว่านี้”


               สบตากันอย่างไม่มีหวาดหวั่นและทำให้คิริซาวะยิ่งนึกชื่นชมนายทหารหนุ่มผู้นับเป็นศัตรูผู้นี้อยู่ในใจมากขึ้นไปอีก เฉินหย่ง

หนานทั้งสง่างามและหาญกล้า เขาอิจฉาเฉินจิ้งเหออยู่ลึกๆที่มีหนึ่งในผู้สืบทอดอำนาจเช่นนี้


               “เรื่องนั้นเป็นเหตุการณ์ในอนาคต ไม่มีใครสามารถคาดการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเราทั้งคู่จะพบกันอีกครั้ง”


               นายพลเจ้าชายคิริซาวะผิวปากเป็นเสียงสัญญาณ และเพียงอึดใจรถยนต์ทหารคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจอดอยู่เบื้องหลังของเขา

คิริซาวะจึงเดินกลับไปขึ้นนั่งบนรถยนต์


               “อีกอย่างหนึ่ง จงบอกคนของเธอด้วยว่าจงอย่ามาเดินเล่นในยามราตรีเช่นนี้อีก แล้วพบกันใหม่พันตรีเฉิน”


               รถยนต์คันนั้นแล่นจากไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความเงียบสงัดในยามราตรี หย่งหนานหันไปมองร่างบางที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ไม่ไกล

นักก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อที่รบกวนจิตใจของเขามาตลอดสามเดือน


               “อากุย”


               “นายท่าน!”


               เหวินเป่าโผเข้าหาด้วยความหวาดกลัว เขาเพิ่งรู้ว่าตนเองรอดพ้นความตายมาได้อย่างฉิวเฉียดที่สุด หย่งหนานรับร่างผอม

บางเข้าสู่อ้อมกอดอย่างเต็มใจ เขาปล่อยให้เหวินเป่าได้ร้องไห้ระบายความหวาดหวั่นและตระหนกออกมา มือใหญ่ลูบผมนุ่มอย่างอ่อน

โยน


               “ไม่เป็นอะไรแล้วเด็กดี เลิกกลัวเถิดนะ”


               หย่งหนานดันไหล่บางให้พอได้มองเห็นใบหน้าหวานที่มีแต่คราบน้ำตา ดวงตาเรียวเปียกชื้นและยังบอกถึงความตกใจ หย่ง

หนานเชยคางมนให้แหงนขึ้นจนมองเห็นรอยเลือดซิบๆจากคมมีดที่บาดอยู่บนผิวหนัง เขากัดฟันข่มความโกรธแค้นคิริซาวะที่สร้าง

บาดแผลอยู่บนร่างกายอันแสนบอบบางนี้ หย่งนานแตะปลายนิ้วเช็ดคราบเลือดที่เริ่มแห้งกรังอย่างแผ่วเบาด้วยความสงสารแต่กระนั้น

เหวินเป่าก็ยังสะดุ้ง


              “เจ็บมากไหมอากุย”


               น้ำเสียงและแววตาช่างอ่อนโยนจนบาดลึกลงไปในใจของเหวินเป่าให้ยิ่งเจ็บกว่าบาดแผลบนผิวหนังนัก ความคิดถึงโหยหาที่

อีกฝ่ายทอดทิ้งหันหลังให้เขาโดยไม่หันหลังกลับมาทำให้เหวินเป่าร้องไห้แทนความกลัวเช่นเมื่อครู่ หนุ่มน้อยจึงมองร่างสูงด้วยความ

เจ็บช้ำ เหวินเป่าปัดมือของหย่งหนานให้พ้นจากปลายคางของเขาและทุบกำปั้นรัวลงไปบนแผงอกแกร่งด้วยความน้อยใจ


               “ปล่อย นายท่านปล่อยผมนะ นายท่านทิ้งผมไปครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่สนใจสักนิดว่าผมจะรู้สึกอย่างไร”


               “อากุย ฟังฉันก่อน”


               “ไม่”


               กำปั้นน้อยๆยังคงระบายความเจ็บช้ำลงไปไม่หยุดยั้ง หย่งหนานจำเป็นต้องยื้อยุดข้อมือเล็กให้หยุดทำร้ายเขาเสียที


               “นายท่านใจร้าย”


               หย่งหนานรวบกายอุ่นนั้นเข้ามากอดแม้ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนขัดขืน วงแขนแกร่งโอบรัดไว้ราวกับกลัวร่างบางนั้นจะหนีหายไป

จากเขา หย่งหนานกดคางตนเองลงกับกระหม่อมจนกระทั่งเหวินเป่ายอมหยุดดิ้นรนและร้องไห้โฮอยู่ในอ้อมกอด เขาแอบสูดกลิ่นหอม

จากเส้นผมนุ่มนั้นจนเต็มหัวใจ


               “ใช่ว่าฉันอยากจะห่างจากเธอ”


               เสียงของหย่งหนานแผ่วเบาราวกับไม่ใช่ตัวตนที่เขาแสดงออกต่อหน้าผู้อื่น เหวินเป่าได้ยินหย่งหนานพูดอยู่เหนือศีรษะ ที่ชัด

กว่าคือเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างหูเมื่อเหวินเป่าแนบแก้มไปกับทรวงอกอันแสนอบอุ่น


               “แต่มันจำเป็นที่ฉันยังไม่สามารถอยู่ใกล้เธอได้มากกว่านี้ ฉันกลัวว่าจะหักห้ามใจมิให้ทำร้ายทุกคนด้วยอกุศลในใจของฉันไม่

ได้”


               เหวินเป่าฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ คำพูดของหย่งหนานช่างยากเย็นเกินกว่าที่เขาจะแปลความหมายอันซับซ้อนนั้นได้ ตอนนี้เขา

รู้แต่ว่าอ้อมกอดของหย่งหนานช่างอบอุ่นเหลือเกิน


               “นายท่าน”


               หย่งหนานคลายอ้อมกอดอย่างเสียดาย เขาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเหวินเป่าจนหมดก่อนจะสบตาเนิ่นนานโดยไม่พึ่งพาบท

สนทนา สุดท้ายเขาจึงประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากมนพร้อมกับตั้งคำถามในใจว่าเขาจะต้องทรมานกับความรู้สึกนี้ไปอีกนานเท่าใด

ใจหนึ่งก็อยากจะให้เหวินเป่ารอจนถึงวันที่เขาพร้อมจะยอมรับหากแต่อีกใจเขาก็ไม่อยากรั้งให้หนุ่มน้อยต้องมาอดทนกับอนาคตที่ไม่รู้ว่า

จะเป็นเพียงความฝันหรือไม่


               “กลับบ้านกันเถอะ”


               สุดท้ายก็ทำได้เพียงตัดใจปล่อยร่างบางออกจากอ้อมกอดและจูงมือน้อยให้เดินตามต้อยๆไปยังรถยนต์ที่เขาจอดทิ้งไว้ไกล

ออกไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เหวินเป่าเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นจนกระทั่งถึงรถยนต์และก้าวขึ้นไปนั่งเคียงข้างกับหย่งหนานที่กุมมือ

ของเขาเกือบตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน







               เส้นทางกลับถึงบ้านสกุลเฉินช่างใกล้กว่าที่คิดจนเหวินเป่าอยากจะให้ถนนเส้นนั้นทอดยาวออกไปไม่มีสิ้นสุด แต่เขาก็ต้อง

ยอมรับความจริงว่าทุกอย่างคือความฝันเมื่อในที่สุดหย่งหนานก็พาเขามาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังเล็ก เหวินเป่าหยุดเดินเมื่อหย่งหนาน

ชะงักฝีเท้าก่อนจะเข้าบ้าน


               “สักวันหนึ่ง” หย่งหนานรำพึงเบาๆโดยไม่หันมามองเขา


               “หวังว่าฉันจะมีวันนั้นกับเธอนะอากุย”


               “ครับ?”


               เหวินเป่าเอ่ยถามด้วยความฉงน


               “นายท่านหมายถึงวันไหนครับ”


               “ช่างเถอะ ฉันเพ้อเจ้ออย่างไม่น่าให้อภัย เข้าบ้านกันเถอะ”


               หย่งหนานสะบัดศีรษะราวกับจะขับไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากสมองเสียให้หมด  เขาก้าวนำเหวินเป่าให้ตามเข้าไปจนถึงห้อง

ของเขาที่มีฟางซินนอนขดตัวงออยู่กองผ้าห่ม เหวินเป่ารีบรุดไปยังข้างเตียงจนเหม่ยฮัวที่ฟุบหลังอยู่สะดุ้งตื่น


               “เหวินเป่า กลับมาแล้วรึ”


               เสียงของเหม่ยฮัวปลุกให้ฟางซินลืมตาขึ้นมามองหนุ่มน้อยด้วยความเป็นห่วง


               “เหวินเป่าเด็กโง่ ต่อไปอย่าทำให้เป็นห่วงเช่นนี้อีกนะ”


               เสียงแหบแห้งของฟางซินทำให้เหวินเป่ายิ่งสงสาร


               “โธ่ นายหญิง อย่าเพิ่งดุผมตอนนี้เลยครับ เดี๋ยวจะไอหนักกว่านี้อีก”


               “ฮูหยินกำลังมีไข้ค่ะ” เหม่ยฮัวรีบบอกทำให้หย่งหนานรีบก้าวเข้ามานั่งข้างเตียงและประคองฟางซินขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอด

เหวินเป่าส่งห่อยาที่เขารักษาไว้เท่าชีวิตส่งให้เหม่ยฮัวทันที


              “นี่ครับพี่เหม่ยฮัว ยาของนายหญิง”


               เหม่ยฮัวรับห่อยามาอย่างดีใจและรีบแก้ห่อเพื่อส่งยาให้หย่งหนานช่วยป้อนยาและน้ำให้ฟางซินได้กินเข้าไป จากนั้นหย่ง

หนานจึงช่วยให้ฟางซินได้นอนลงไปอีกครั้ง


               “ฉันขอโทษที่ดูแลเธอไม่ดีนะฟางซิน ขอเวลาอีกไม่นานฉันจะกลับมาเป็นสามีที่ดีดูแลเธอและลูกให้ดีที่สุด”


               หย่งหนานดูแลภรรยาให้หลับตาลง เหวินเป่ามองภาพนั้นอย่างสะท้อนใจและนึกชังตนเองที่คิดอิจฉาผู้หญิงที่น่าสงสารอย่าง

ฟางซิน จึงได้ตัดใจก้าวออกจากห้องไปอย่างเงียบๆและมองภาพของสามีภรรยาด้วยความรันทด


               วันนั้นที่หย่งหนานกล่าวถึงอาจจะเป็นแค่ความฝันตลอดไป







               หย่งหนานดูแลฟางซินจนกระทั่งไข้ลดลงก่อนจะตัดใจออกจากบ้านอีกครั้งเมื่อฟ้าสาง เขาใจหายเมื่อไม่เห็นใบหน้าหวาน

ของเหวินเป่ายามที่ก้าวขึ้นรถและกลับไปยังที่ตั้งของกองทัพทหารแห่งชาติ เพราะภาระหน้าที่และสถานการณ์อันบีบคั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ

ทำให้หย่งหนานจำเป็นต้องวางเรื่องส่วนตัวของเขาไว้ก่อนและมุ่งความสนใจไปที่สงคราม นายกรัฐมนตรีเฉินจิ้งเหอผู้เป็นลุงของเขาก็มา

ประจำการที่นี่เช่นเดียวกัน


               “ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกายื่นคำขาดให้ญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อวานนี้หลังจากส่งระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิม่าจนย่อยยับเมื่อวัน

ก่อนแต่จักรพรรดิญี่ปุ่นและรัฐบาลก็ยังไม่ยอมแพ้”


               เฉินหยางซุนบุตรชายของเฉินจิ้งเหอกล่าวกับบิดาและญาติผู้น้องในห้องประชุมเล็กอย่างตึงเครียด จิ้งเหอขมวดคิ้วอย่าง

ครุ่นคิดให้ทันสถานการณ์


               “อเมริกาคงอยากให้สงครามคราวนี้จบเร็วที่สุดก่อนที่โซเวียตจะเข้ายึดญี่ปุ่นก่อนได้ ตอนนี้ประเทศมหาอำนาจทั้งสองต่างจับ

จ้องที่จะเข้าครอบครองผู้พ่ายแพ้”


               “แล้วทำไมไม่เลือกทิ้งระเบิดที่เมืองหลวงอย่างโตเกียวล่ะครับ”


               หยางซุนเอ่ยถามอย่างสงสัยจิ้งเหอจึงหันมาทางหลานชายของเขา


               “หลานคิดว่าทำไมล่ะ ลองตอบข้อข้องใจให้หยางซุนคลายสงสัยหน่อยสิ”


               หย่งหนานนิ่งคิดก่อนจะตอบคำถามตามที่เขาเข้าใจ


               “ระเบิดปรมาณูมีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก สามารถทำให้ทั้งเมืองพังลงในพริบตา หากทิ้งระเบิดที่โตเกียวก็จะทำให้ญี่ปุ่น

ขาดศูนย์กลางในการบริหารทันที และกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็คงใช้เวลาอีกนานซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่อเมริกาต้องการ พวกเขาต้องการแค่

ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยเร็วที่สุดก่อนที่โซเวียตจะฉวยโอกาสบุกเข้าญี่ปุ่นครับคุณลุง”


               “เข้าใจถูกแล้ว” จิ้งเหอคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม “ทิ้งระเบิดที่โตเกียวแล้วใครจะเป็นผู้มีอำนาจประกาศยอมแพ้เล่า”


               “แต่ถึงตอนนี้ญี่ปุ่นก็ยังไม่ยอมแพ้ ช่างดื้อเสียจริง” หยางซุนเบ้ปากหากแต่จิ้งเหอกลับมองอีกอย่าง


               “เราควรจะชื่นชมในศักดิ์ศรีของกองทัพญี่ปุ่นที่พวกเขายอมสู้แม้จะรู้ว่าไม่มีทางชนะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกับเราก็ตาม”


               บทสนทนาของผู้นำสกุลเฉินถูกขัดจังหวะด้วยสัญญาณเตือน พวกเขาทั้งสามรีบรุดไปยังห้องบัญชาการทันที จิ้งเหอผู้เป็น

ประมุขสูงสุดรับข่าวมาอ่านและเงยหน้าแจ้งกับบุตรชายและหลานชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


               “อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองถล่มเมืองนะงะซะกิของญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง”


              9 สิงหาคม ค.ศ.1945 สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองชื่อว่า “Fat man” ที่เมืองนะงะซะกิ ที่ระดับความสูง 550

เมตรเหนือพื้นดิน ระเบิดปรมาณูลูกที่สองนี้มีขนาดใหญ่กว่าลูกแรกและมีผลทำให้ประชาชนล้มตายทันทีกว่า 75,000 คนและบาดเจ็บ

อีกกว่า 80,000 คนซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา


              สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศจีนและประเทศต่างๆในภาคพื้นเอเชียเกิดความโกลาหลทันทีรวมทั้งในประเทศไทยและ

พม่าที่ญี่ปุ่นเข้าไปตั้งฐานทัพ เพราะตอนนี้ฝ่ายอักษะเหลือเพียงญี่ปุ่นที่ยังไม่ยอมแพ้ และในที่สุดเพียงสัปดาห์เดียวหลังจากที่ประเทศ

ญี่ปุ่นถูกทำลายด้วยระเบิดปรมาณูถึงสองลูกสงครามโลกก็สิ้นสุดลง


               15 สิงหาคม ค.ศ.1945


               รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในสงครามโลกและสงครามมหาเอเชียบูรพาอย่างไม่มีเงื่อนไข


               ทหารญี่ปุ่นกลายเป็นอาชญากรสงครามในทันที




มีต่ออีกนิด...
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 07-03-2017 00:13:59
ต่อกันตรงนี้...



               กองกำลังทหารญี่ปุ่นถูกกวาดต้อนให้กลับประเทศ ในคราวนั้นกองทัพจีนจึงเร่งกวาดล้างกองทัพจากญี่ปุ่นที่ยังตกค้างอยู่

และหนึ่งในนั้นก็คือนายพลเจ้าชายคิริซาวะ ยาคุริ เมื่อเฉินหย่งหนานเดินทางไปถึงบ้านหลังใหญ่ในช่างไห่ที่เขาเคยไปเยือนมาแล้วครั้ง

หนึ่งเมื่อแปดปีก่อน

               บัดนี้มีเพียงทหารญี่ปุ่นไม่กี่คนที่ยังภักดีและอารักขาอยู่ในบริเวณบ้านหลังใหญ่เมื่อหย่งหนานก้าวเข้าไป ทหารของเขากรูเข้า

จับกุมและหากใครไม่ยินยอมก็จำเป็นต้องกำจัด แต่มีเพียงเขาที่เดินเข้าไปในตัวบ้านเมื่อหย่งหนานสั่งห้ามลูกน้องมิให้ติดตาม เมื่อเข้าไป

แล้วเขามองเห็นแผ่นหลังของนายพลคิริซาวะในชุดทหารเต็มยศกำลังยืนมองภาพดอกเบญจมาศสีเหลืองอร่ามที่หย่งหนานเคยมองรอ

อยู่แล้ว


               “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงสินะ”


               นายพลคิริซาวะดูชราลงไปกว่าเดิมทั้งที่หย่งหนานเพิ่งจะพบกับผู้นำของกองทัพญี่ปุ่นในจีนเมื่อไม่กี่วันก่อน หากแต่คิริซาวะก็

ยังยืนหยัดในศักดิ์ศรีของเขา


               “ขอบคุณที่เธอให้เกียรติมาเยือนที่บ้านหลังนี้อีกครั้งพันตรีเฉิน”


               หย่งหนานค้อมศีรษะลงให้อีกฝ่าย ถึงอย่างไรเขาก็ยังนับถือคิริซาวะในความเป็นผู้นำที่อยู่รอเป็นคนสุดท้าย


               “เรียนตามตรงว่าผมไม่อยากรับหน้าที่นี้เลยครับ”


               “เป็นเธอนั่นแหละเหมาะสมที่สุดแล้ว”


               คิริซาวะเพียงกดยิ้มลึกที่มุมปาก บุรุษแห่งแดนอาทิตย์อุทัยก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าของเฉินหย่งหนาน


               “คำขอร้องครั้งสุดท้ายจากอาชญากรสงครามแก่ๆเช่นฉัน ได้โปรดส่งสาห์นฉบับนี้ไปยังสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นอย่าง

ปลอดภัย”


               กล่องไม้สีดำขนาดเท่าฝ่ามือปิดผนึกแน่นหนาถูกส่งมาเบื้องหน้า หย่งหนานรับมาและกล่าวรับคำขอนั้น


               “ผมรับปากว่ามันจะปลอดภัยจนถึงโตเกียว”


               คิริซาวะพยักหน้าอย่างพอใจ เขาก้าวเดินไปยังกลางห้องโถงที่มีเสื่อตาตามิผืนหนึ่งและดาบยาวราวหนึ่งฟุตวางอยู่


               “ขอให้ฉันได้รับเกียรติสุดท้ายของการเป็นนักรบด้วยการทำเซปปุกุ และขอให้เธอเป็นคนไคชาคุนินทีเถิด”


               “ท่านนายพล!”


               หย่งหนานรู้ความหมายที่คิริซาวะกล่าวออกมาเป็นอย่างดี นายพลคิริซาวะชี้ไปยังปืนกระบอกหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ


               “โปรดใช้ปืนกระบอกนั้นทดแทนดาบซามูไรเพื่อฉันเป็นครั้งสุดท้าย”


               เพราะการขอร้องจากชายชาติทหารที่เป็นถึงราชนิกุลแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิทำให้หย่งหนานมิอาจปฏิเสธ เขาถอนหายใจ

คราใหญ่ก่อนจะกล่าวอำลา


               “ผมขอแสดงความนับถือท่านเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน”


               หย่งหนานโค้งคำนับให้คิริซาวะ อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วจึงก้าวไปนั่งบนเสื่อตาตามิ ดวงตายับย่นจ้องมองดอกเบญจมาศและ

ก้มคำนับจนหน้าผากจรดพื้นพร้อมกับที่หย่งหนานถือปืนมายืนอยู่เบื้องหลัง


               นายพลเจ้าชายคิริซาวะ ยาคุริกำด้ามดาบไว้มั่นอยู่ในมือในขณะที่สายตาไม่คลาดเคลื่อนจากสัญลักษณ์แห่งจักรวรรคิญี่ปุ่น

ปลายดาบแหลมคมจ่อเข้ากับหน้าท้องใต้เอวขวา คิริซาวะกลั้นใจกดมันจนลึกเข้าไปในหน้าท้องใต้เอวขวาทันที

               เจ้าตัวสะดุ้งเฮือก หากแต่สติยังอยู่ครบแม้โลหิตจะทะลักออกมาทันที คมมีดถูกกรีดมาทางซ้ายและดึงขึ้นด้านบนเพื่อตัด

ลำไส้ให้ขาด จังหวะนั้นเองที่หย่งหนานเหนี่ยวไกปืนและยิงเข้าที่ศีรษะด้านหลังเพื่อให้ร่างกายของคิริซาวะคว่ำหน้าลงไปกับพื้นตามคำ

เชื่อของการทำพิธีเซปปุกุ

               คิริซาวะสมัครใจที่จะตายอย่างมีเกียรติแทนที่จะตกอยู่ในมือของศัตรู หย่งหนานมองร่างอันไร้วิญญาณของผู้ที่เขานับถือ

อย่างสะท้อนใจในจุดจบของสงครามที่ร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติ


               สุดท้ายชีวิตก็มีเพียงแค่นี้ ไม่ว่าอำนาจจะล้นฟ้า หากแต่สุดท้ายกลับนำสิ่งใดไปไม่ได้สักอย่างเมื่อลมหายใจปลิดปลิว


               เฉินหย่งหนานวางปืนไว้ตรงที่เดิม เขาโค้งคำนับอีกครั้งและเดินจากไปจากบ้านของผู้นำทหารญี่ปุ่นที่ไร้ผู้ครอบครอง




                                                                        TBC



                          กรี๊ดดด บทนี้โคตรยากเลยยย

                         ใครชอบก็ช่วยคนแต่งโปรโมทกันหน่อยน้า..

                                          :katai1: :katai1:




หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 07-03-2017 00:33:01
 :katai1:  อ้าว ชิบหายยยย  อิตาเจ้าชายตายห่านไปแล้ว แล้วแบบนร้ ปริศนา สร้องขอของลูกเต่าน้อยล่ะใครจะมาไขความกระจ่าง

ว่าตกลงแล้ว  เป็นแค่สร้อยธรรดาเหมือด็อกแท็ค  หรือว่ามีอะไรที่มากกว่าน๊านนนน

 :katai1: :katai1: :katai1:

ปล.ตอนนี้เศร้าอ่ะสงสารเจ๊ฟางซิน  ถ้าจะให้นางตายอย่าให้นางทรมานเลยนะ   :sad4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-03-2017 00:35:51
สงสารรรรร ไม่อยากคิดไม่ดีกับฮูหยินเลยค่ะ แต่ก็อยากให้เขารักกันอย่างเปิดเผย  :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-03-2017 01:05:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 07-03-2017 01:22:08
สงสารทุกคนค่ะพูดเลย อะไรจะบีบบคั้นนปานเน้ :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 07-03-2017 09:15:55
บทนนี้สุดยอดดดด
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 07-03-2017 09:38:15
เรื่องของเหวินเป่ายังปริศนาต่อไป :ling1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 07-03-2017 10:49:47
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-03-2017 11:19:57
ที่สุดของเจ้

คารวะคุณ Belove จากใจ

เขียนดีมาก!
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 07-03-2017 13:49:40
ญี่ปุ่นหมดอำนาจแย้ว  อย่าหาว่าใจดำ แต่ฟางซินนางกระเสาะน่าดูสงสัยคงมีตายแหงๆๆ แน่นวล :katai3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 07-03-2017 14:53:30
รอวันที่จะรักกันเปิดเผยยุนะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 07-03-2017 17:37:56
สงครามจบลงแล้ว แล้วความรู้สึกของพันตรีเฉินล่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 13 [07/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-03-2017 22:58:03
ไม่น่าเชื่อ เรื่องสงครามโลก จะสรุปได้เข้าใจง่าย และไม่โหดร้ายตามจินตนาการ ช้อบชอบ
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 13-03-2017 00:02:54


                                                               ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                      บทที่ 14



               หลังจากสงครามอันแสนเลวร้ายจบสิ้นลงแล้วท่ามกลางความดีใจของทุกคนที่ผ่านพ้นนรกบนดินมาได้ในที่สุด เริ่มปรากฏ

รอยยิ้มบนใบหน้าของประชาชนขึ้นมาบ้าง เฉินจิ้งเหอนายกรัฐมนตรีกลับเข้าไปในรัฐสภาประกาศชัยชนะเหนือจักรวรรดิญี่ปุ่นและสัญญา

ว่าจะนำประเทศเข้าสู่ความสงบโดยเร็วที่สุด

               เฉินหย่งหนานยังไปๆมาๆระหว่างบ้านและที่ตั้งของกองกำลังทหารแห่งชาติ เขายังต้องดูแลงานทหารหลังสงครามให้

เรียบร้อย เหวินเป่าที่เฝ้ามองจึงได้แต่แอบน้ำตารื้นเมื่อเห็นวีรบุรุษของเขาแต่เพียงชั่วครู่ เขาไม่กล้ารับอาสาเหม่ยฮัวไปดูแลหย่งหนาน

เมื่อกลับถึงบ้านอีก เพราะกลัวหัวใจตนเองจะบอบช้ำไปยิ่งกว่าเดิม

               ในช่วงนั้นเหวินเป่าจึงช่วยงานด้วยการรับอาสาเป็นผู้ดูแลฟางซินแทนเหม่ยฮัว ฟางซินเองก็เต็มใจเพราะเอ็นดูหนุ่มน้อยอยู่

มาก บัดนี้เหวินเป่าอ่านหนังสือได้บ้างแล้วหากเป็นคำที่ไม่ยากนัก ฟางซินมักจะให้เขาฝึกให้คล่องด้วยการอ่านหนังสือให้เธอฟัง


                “วันนี้อ่านเล่มนี้นะเหวินเป่า คำไหนยังสะกดไม่ได้ก็ถามฉันนะ”


               “ครับนายหญิง”


               เหวินเป่ารับหนังสือเก่าเล่มหนึ่งมาอย่างยินดี นิสัยใฝ่รู้ของเขาทำให้การอ่านเขียนก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในยามว่างเหวิน

เป่าก็มักจะนำตำราของฟางซินมาฝึกอ่านและเขียนตาม เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เล่าเรียนหนังสือหากชีวิตนี้มีโอกาส


               “ม่านประเพณี”


               ชื่อหนังสือในมือทำให้เหวินเป่าขมวดคิ้วด้วยความคุ้นเคยในชื่อนั้น ฟางซินจึงบอกให้เขารู้


               “นิยายที่เธอเล่นงิ้วอย่างไรล่ะ”


               เหวินเป่าร้องอ๋อ เขารีบเปิดหนังสือตั้งแต่หน้าแรกและอ่านให้ฟางซินฟังเพราะตัวเองก็อยากจะอ่านเนื้อความด้านในเช่นกัน

หากแต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆจนถึงตอนที่ความรักถูกขัดขวางเพราะอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวของคหบดีแต่คนที่รักเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเหวิน

เป่าก็ถึงกับกลั้นก้อนสะอื้นในคอ


               “เศร้าเหลือเกินนะ”


               ฟางซินอดรำพึงออกมาไม่ได้


               “เหตุใดชีวิตของคนเราจึงต้องถูกบังคับให้ขึ้นอยู่กับคำว่าเหมาะสมทั้งที่หัวใจมิได้มีรัก ฉันเองก็ต้องแต่งงานใช้ชีวิตคู่เพราะคำ

นั้น ดีกว่าแม่นางเอกในนิยายก็ตรงที่ได้สามีเป็นคนดีรักครอบครัว หากไม่ใช่พี่หย่งหนานแล้วก็ไม่รู้ว่าบัดนี้ชีวิตจะเป็นเช่นไรบ้าง ขอบคุณ

สวรรค์ที่ไม่ได้ใจร้าย”


               “โธ่ นายหญิง”


               เหวินเป่ามองฟางซินที่นอนพักอยู่บนเตียงด้วยความเห็นใจ หากแต่หญิงสาวผอมบางกลับส่งยิ้มมาให้เขา


               “ฉันไม่เป็นไรหรอกเหวินเป่า ตอนนี้ฉันมีสามีและลูกที่ดี มีบริวารที่ดี ถึงตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว นี่ เหวินเป่า เธอยังจำเพลงงิ้ว

ที่ร้องในคืนนั้นได้ไหม ร้องให้ฉันฟังทีเถอะ ฉันอยากฟังเหลือเกิน”


               หนุ่มน้อยวางหนังสือในมือลง เขารำลึกถึงถ้อยความของบทเพลงที่จำได้ขึ้นใจก่อนจะส่งเสียงแว่วหวานออกมาขับกล่อมให้

สตรีผู้มีพระคุณได้รับฟัง



               โอ้ว่าอกเอ๋ย ไฉนเลยจึงแสนช้ำ                                           

เพราะรักต้องกลืนกล้ำน้ำตาอาดูร

รักแท้ถูกขัดขวาง หนทางใจสลายสูญ                                 

ข้านั้นเฝ้าเทิดทูนแต่ระกำด้วยคำคน



ความรักเกิดจากจิต แต่กลับปลิดจากชิวหา       

เหลื่อมล้ำเพราะเงินตราบังคับฟ้าให้แยกเรา

แม้ใจอยากเคียงคู่ กับยอดชู้ที่แสนเศร้า                                             

ความฝันพลันมัวเมาต้องจากกันจนวันตาย


โอ้ว่าฟ้าเอ๋ย ไฉนเลยจึงกลั่นแกล้ง                                     

รักนั้นมิเสแสร้งหากถูกแย่งให้ลาล่วง

ต่างคนต่างชนชั้นแม้บากบั่นสู้หนักหน่วง                                           

ยังแพ้แก่คนลวงจนเจ็บทรวงแทบขาดใจ                                             


หลับตาเถิดนะพี่ ถึงชีวีจะห่างหาย                                     

ใจน้องไม่กลับกลายรักพี่ชายจนวายปราณ

ชาตินี้ต้องแคล้วคลาด แต่ทุกชาติขอสุขสม                                       

กายใจให้พี่ชมเพียงผู้เดียวตลอดกาล




               น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบแก้มเมื่อเหวินเป่าสะท้อนอยู่ในหัวอกของเขา ปลายเสียงสั่นเครือจนต้องกัดริมฝีปากสะกัดกั้นเสียง

สะอื้น ฟางซินที่หลับตาฟังเสียงหวานราวกับระฆังแก้วอย่างเพลิดเพลินจึงเปิดเปลือกตามองเขาด้วยสายตาของผู้ใหญ่ปรานีเด็ก


               “เธอร้องเข้าถึงบทเพลงราวกับคนที่มีความรักไม่สมหวังนะเหวินเป่า หากฉันไม่ได้ดูแลเธอมาคงคิดว่าเธอกำลังหลงรักใครอยู่

ในตอนนี้”


               เหวินเป่าสะดุ้งเฮือก เขาได้แต่ก้มหน้ามองมือของตนเองที่วางอยู่บนตักอย่างรู้สึกผิดจนไม่อาจสู้ตาฟางซินได้ เขาชังหัวใจ

เหลือเกินที่บังอาจคิดถึงบุรุษที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะอาจเอื้อม


               “ผมเพียงแต่คิดว่าหากผมเป็นอิงไถหรือซันป๋อ ผมควรจะทำเช่นไรดี ต่อสู้เพื่อความรักหรือยินยอมให้อีกฝ่ายจากไปเพื่อไม่

ต้องผิดประเพณีครับนายหญิง”


               “ขึ้นอยู่กับว่าคนที่เธอรักเขาจะคิดเช่นไรด้วย เขาพร้อมที่จะต่อสู้ไปพร้อมเธอหรือว่าโอนอ่อนต่อคำครหา”


               ฟางซินส่งยิ้มให้เหวินเป่าด้วยความอ่อนเพลีย


               “ไปพักบ้างเถอะเหวินเป่า เหนื่อยกับฉันมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวฉันเองก็จะพักผ่อนเสียหน่อย”


               “ครับนายหญิง”


               ดูแลจนสตรีบอบบางหลับสนิทไปแล้วเขาจึงได้ก้าวออกไปจากห้อง เวลานี้สายัณห์เพิ่งจะราแสงไปจากท้องฟ้าจนมีเพียงแสง

โพล้เพล้ในยามอาทิตย์อัสดง เหวินเป่าจึงเดินไปยังบ้านหลังใหญ่เผื่อว่าจะไปช่วยเหลืองานของคนรับใช้ที่บ้านหลังนั้น หากทว่าเมื่อเดิน

ไปถึงสวนต้นไม้หลังบ้านเขากลับพบบุรุษผู้ครอบครองหัวใจของเขาอย่างไม่คาดคิด


               “นายท่าน!”


               ร่างสูงงามสง่าผ่าเผยอยู่ในชุดทหารเต็มยศ เฉินหย่งหนานหันขวับมาตามเสียงเรียกจนกระทั่งได้สบตากับดวงตาเรียวหวาน

เขามองสีดำขลับในดวงตานั้นอย่างยากจะถอนสายตา


               “เหวินเป่า”


               หัวใจของชายหนุ่มชาติทหารพลันพองฟูขึ้นมาอย่างน่าเจ็บใจที่ไม่อาจตัดใจได้สักครา หลังจากสงครามโลกจบสิ้นไปเป็น

เดือนแล้วและเขาก็ยังทุ่มเทกายใจให้กับงานเพื่อให้บรรเทาความคิดถึงร่างโปร่งตรงหน้าลงบ้าง แต่หย่งหนานก็รู้ว่าเขาทำไม่ได้ ใบหน้า

ของคนในปกครองยังก่อกวนหัวใจของเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


               “นายท่านกลับบ้านเร็วนะครับวันนี้”


               ทุกทีหากยังไม่ใกล้ยามสองเหวินเป่าก็ยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เขาแอบฟังเดินย่ำอยู่ในบ้าน แต่วันนี้หย่งหนานกลับบ้านเมื่อ

ตะวันตกดินเท่านั้น


               “งานของฉันเบาบางลงบ้างแล้ว ต่อจากนี้ชีวิตประจำวันคงเข้าสู่ปกติเช่นคนอื่นเขาบ้าง”


               เหวินเป่ามองใบหน้าอันตรากตรำจากงานหนักด้วยความเทิดทูน


               “นายท่านคงเหนื่อยมาตลอดตั้งแต่มีสงคราม”


               “นั่นสินะ ตอนนี้คงได้พักผ่อนเสียให้หายเหนื่อย”


               หย่งหนานอดใจไม่ได้ที่จะสืบเท้าก้าวไปหาร่างโปร่งบางนั้นราวกับมีแรงดึงดูด เขาจ้องหน้าหวานเสียจนฉ่ำใจขณะที่ เหวิน

เป่าได้แต่หลบสายตา เลือดอุ่นในกายอันไร้เดียงสาเดือดพล่านจนแก้มสุกปลั่ง




มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 13-03-2017 00:06:50
ต่อกันตรงนี้...




               “ฉันคิดถึงเธอ”


               หย่งหนานเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องเอ่ยคำเช่นตนเองเป็นชายหนุ่มที่กำลังเกี้ยวพาราสีบุคคลอันพึงใจ เมื่อมันหลุดจาก

ปากแล้วเขาก็นึกอยากจะกัดลิ้นตนเองนัก


               “คิดถึงว่าเธอจะสบายดีไหม แผลที่คอเป็นอย่างไรบ้าง”


               เหวินเป่าก้มหน้างุด เขาไม่กล้าประสานสายตากับดวงตาอันฉายแสงสว่างยิ่งกว่าดาวบนท้องฟ้านั้นเลย หัวใจดวงน้อยเต้น

ไหวระรัวจนเขากลัวว่ามันจะหลุดออกมานอกทรวงอก


               “หายดีแล้วครับ ไม่เหลือร่องรอยแล้ว”


               “ไหนกัน ขอฉันดูรอยแผลหน่อยเถิด”


               พลันปลายนิ้วใหญ่ก็เชยคางมนให้แหงนขึ้น หย่งหนานจ้องมองลำคอระหงด้วยความเป็นห่วง ครั้นเมื่อไม่พบรอยแผลเป็นเขา

จึงได้วางใจ สายตาจึงได้เลื่อนขึ้นมองดวงตาเรียวจนกระทั่งสบตาซึ่งกันได้ที่สุด


               นัยน์ตาคู่นี้ช่างดึงดูดอย่างน่าประหลาด หย่งหนานไม่สามารถละสายตาให้ห่างไปได้ ต่างก็จ้องมองเข้าไปให้ลึกกว่าสิ่งที่

ปกปิดไว้ จนไม่รู้เลยว่าความห่างของใบหน้านั้นแคบลงเรื่อยๆ หัวใจของเหวินเป่าเองก็พลันลืมสิ้นเสียทุกอย่างเมื่อลมหายใจของจมูก

โด่งนั้นเป่ารดอยู่ตรงข้างแก้ม


               “เด็กน้อยของฉัน”


               “นายท่าน”


               เสียงนั้นแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนอยู่ในความรู้สึก ความต้องการของหัวใจทำให้เหวินเป่าเงยหน้าและพริ้มตาลงอย่างลืมตัว ริม

ฝีปากของเขาถูกสัมผัสเพียงเจือจางด้วยความหยุ่นชื้น แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้เขาเตลิดจนกู่ไม่กลับ


               “คุณชายหย่งหนานครับ”


               พลันสะดุ้งสุดตัวกันทั้งคู่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของบ่าวรับใช้มาแต่ไกล เหวินเป่าผลักบ่ากว้างให้ห่างออกจากเขาด้วย

ความตกใจ หนุ่มน้อยหายใจหอบลึกและหันหลังให้กับบุรุษที่ทำให้เขาเกือบจะกระทำผิดต่อศีลธรรม


               “อากุย ฉันขอโทษ”


               ได้ยินเสียงสำนึกผิดดังจากเบื้องหลัง เหวินเป่าทั้งอับอายและสำนึกผิดจนน้ำตาเจียนไหล ไหล่บางคู้สั่นไหวจนหย่งหนานยิ่ง

นึกสงสาร เขาโกรธตัวเองนักที่สร้างตราบาปลงในจิตใจอันแสนบริสุทธิ์นี้


               “มีอะไรรึ”


               ตัดใจหันไปถามบ่าวที่เพิ่งจะวิ่งมาถึง บ่าวรับใช้รีบกล่าวทันที


               “ท่านนายกเรียกให้ไปพบที่ห้องโถงเดี๋ยวนี้ครับ และให้ตามเด็กเหวินเป่าไปด้วย”


               คิ้วเข้มขมวดลงทันที เหวินเป่าเองก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาด้วยความแปลกใจ หย่งหนานพยักหน้าให้กับบ่าวผู้นั้น


               “ฉันจะรีบไป”


               ร่างสูงหันไปมองเด็กในปกครอง หย่งหนานสงสัยว่าผู้เป็นลุงของเขาต้องการพบเหวินเป่าด้วยเหตุใด เมื่อมีสติแล้วหย่งหนาน

จึงได้ถอนหายใจกับความพลุ่งพล่านของแรงปรารถนาที่ช่างรุนแรงอย่างน่าตกใจ


               “ไปหาคุณลุงกันเถอะเหวินเป่า”


               “แต่ว่าผม...”


               เหวินเป่าเบิกตากว้างด้วยความหวาดหวั่น แม้จะมาอาศัยอยู่ในเขตรั้วของเฉินจิ้งเหอมาเป็นเวลาเกือบครบปีแต่เขาก็ยังไม่มี

โอกาสได้เผชิญหน้ากับเจ้าของบ้านเลยสักครั้ง และการที่ต้องเข้าพบผู้นำสูงสุดของประเทศทำให้เหวินเป่าตื่นเต้น


               “อย่ากลัวไปเลย คุณลุงท่านใจดี มาเถอะตามฉันมา”


               มือใหญ่คว้ามือบางมากุมไว้และดึงเบาๆให้ก้าวตามแผ่นหลังไปยังห้องโถงกว้างสำหรับรับแขกเป็นทางการ หย่งหนานนึก

แปลกใจที่มีผู้มาเยือนในยามพลบค่ำเช่นนี้ คงต้องเป็นเรื่องด่วนบางอย่างที่จิ้งเหอจะแจ้งต่อเขาแต่เหตุใดต้องเรียก   เหวินเป่ามาด้วยก็

สุดปัญญาที่จะเดาได้


               เหวินเป่าก้าวเดินตามหย่งหนานที่จูงมือเขามาจนกระทั่งถึงห้องโถงกว้างที่มีโต๊ะรับแขกตัวยาวแสนงดงามตั้งอยู่กลางห้อง

หนุ่มน้อยเบิกตากว้างด้วยความสงสัยเมื่อเห็นบุรุษหลายคนนั่งอยู่กับเฉินจิ้งเหอประมุขของบ้านที่หันขวับมามองเขาทันทีเมื่อหย่งหนาน

พาไปถึง เมื่อมือใหญ่ปล่อยมือเขาเหวินเป่าก็ยืนตัวลีบเล็กต่อหน้าทุกคนที่มองเป็นตาเดียว


                “ผมมาถึงแล้วครับคุณลุง”


               จิ้งเหอพยักหน้ารับโดยที่ยังไม่หยุดมองเหวินเป่าอย่างพิจารณา


               “เด็กคนนี้หรือที่หลานเคยเล่นให้ลุงฟังว่าเกิดจากแม่ที่เป็นหญิงคณิกา”


               หย่งหนานหันไปมองเหวินเป่าอย่างให้กำลังใจก่อนจะตอบผู้เป็นลุง


               “ใช่ครับคุณลุง มีอะไรงั้นหรือครับ”


               หย่งหนานสังหรณ์ใจ เขากวาดสายตามองอาคันตุกะอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาลุกขึ้นยืนและเดินตรงมาหยุดต่อหน้า เหวินเป่า

ที่ยิ่งสั่นด้วยความตกใจ


               “พวกเขามาจากญี่ปุ่นและเป็นตัวแทนจากสมเด็จพระจักรพรรดิ”


               คำพูดของจิ้งเหอยิ่งทำให้คิ้วเข้มของหย่งหนานแทบจะขมวดเป็นปม


               “สาห์นจากนายพลเจ้าชายคิริซาวะที่มีก่อนปลิดชีวิตตนเองและได้ส่งไปยังพระราชวังของสมเด็จพระจักรพรรดิแจ้งว่า นายพล

เจ้าชายคิริซาวะมีทายาทที่เกิดจากหญิงจีนคนหนึ่ง”


               หัวใจของหย่งหนานกระตุกทันที เขาหันขวับไปมองเหวินเป่าที่ยืนตกตะลึงหน้าซีดเผือด จิ้งเหอกล่าวต่อไปอย่างชัดถ้อยชัด

คำ


               “เจ้าชายคิริซาวะมีความสัมพันธ์กับหญิงคณิกาคนหนึ่งและรับเลี้ยงไว้เป็นเวลากว่าสามเดือนในช่วงที่เดินทางมาพักในนานกิง

เมื่อเกือบสิบแปดปีที่แล้ว แต่หญิงคนนั้นหนีหายไปโดยที่เจ้าชายคิริซาวะก็ไม่รู้ว่าไปไหน จนกระทั่งก่อนสงครามโลกจบสิ้นลง เขาได้พบ

กับใครคนหนึ่งที่สวมใส่จี้ห้อยคอซึ่งเขาเคยมีไว้ในครอบครองและได้มอบให้กับหญิงคณิกาผู้นั้น เขาเพิ่งจะรู้ว่าตนเองมีบุตรชายและบุตร

ชายของเขาอยู่ในการดูแลของพันตรีเฉินหย่งหนาน”


               “คุณลุง!”


               “ไม่!”


               เหวินเป่าตะโกนดังลั่น เขาถอยกรูดจากผู้ชายทั้งหลายที่ยืนสงบอยู่ตรงหน้า มือน้อยเอื้อมมาจับที่จี้ห้อยคอที่สวมอยู่ภายใน

เสื้อปกตั้ง เขากระชากเชือกคล้องเก่าคร่ำจนขาดวิ่นติดมือและทำท่าราวกับจะโยนมันทิ้งด้วยความเกลียดชัง


               “อากุย”


               หย่งหนานพุ่งเข้าไปหาทันที เขาคว้าต้นแขนของเหวินเป่าไว้เพื่อหยุดการกระทำนั้นและดึงเชือกพร้อมจี้ห้อยคอมาจากมือ

ของเหวินเป่าพลางจ้องผ่านคราบฝุ่นไคลต่างๆให้เข้าไปถึงเนื้อใน พลันดวงตาของเขาจึงเบิกกว้างอย่างตระหนก


               ดอกเบญจมาศ!


               จี้กระดำกระด่างนั้นเป็นรูปดอกเบญจมาศชัดเจน หย่งหนานหันไปมองเหวินเป่าที่ส่ายหน้าไปมาไม่ยอมรับความเป็นจริงที่มา

เยือนอย่างกะทันหัน ตัวแทนบุรุษจากญี่ปุ่นพูดอะไรบางอย่างที่เหวินเป่าไม่เข้าใจและเมื่อพูดจบเฉินจิ้งเหอจึงได้เป็นผู้ถ่ายทอดใจความ

ให้ฟัง


               “เธอเป็นทายาทของพระญาติแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น มีสิทธิในความเป็นราชนิกุลจากบิดาของเธอ หากเธอจะกลับไป

ใช้สิทธินั้นที่บ้านเกิดก็ได้”


               “ไม่ไป ผมไม่ใช่คนญี่ปุ่น ผมเป็นคนจีน”


               เหวินเป่าตัวสั่น ภาพแห่งความโหดร้ายประดังเข้ามาในความทรงจำจนน้ำตาไหล


               “แต่เธอเป็นบุตรของนายพลคิริซาวะนะเหวินเป่า ไม่สิ เจ้าชาย”


               บุรุษตรงหน้ากล่าวเสียงขม เพียงพริบตาร่างโปร่งบางที่ก่อกวนหัวใจของเขาก็กลับกลายจากเด็กไร้สกุลไปเป็นราชนิกุลของ

เกาะญี่ปุ่นอันแสนสูงส่งแม้จะพ่ายแพ้แก่สงครามหากแต่ก็ยังรอดพ้นจากการตกเป็นอาชญากรสงครามเพราะทรงเป็นเพียงหุ่นเชิดของ

รัฐบาลที่ขึ้นเถลิงอำนาจใช้พระราชอำนาจโดยที่พระองค์ไม่ได้เห็นชอบด้วยกับการสงคราม


               บัดนี้ เด็กน้อยที่หย่งหนานช่วยเหลือเกื้อกูลจากความต่ำตมกลับอยู่สูงจนเขามิอาจไขว่คว้าได้อีกแล้ว


                               
                                                          TBC


                                                        :ling3: :ling3:



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 13-03-2017 00:13:09
ชีวิตอะไรมันจะยุ่งยากขนาดนี้ :sad4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-03-2017 00:45:41
 :pig4: :pig4:
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 13-03-2017 00:53:48
อากุยอย่ากลับไปนะะะะ :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 13-03-2017 00:55:39
งามไส้ละ หาทางมารักกันไม่ได้เลยเด้อออ :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 13-03-2017 01:02:09
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
โอ๊ยยยย เอาให้สุด ปวดตับจิงๆ :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 13-03-2017 01:21:06
นั่นไง ในที่สุดก็รู้แล้วว่าอากุยเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
ยิ่งหมดหวังเข้าไปอีก แล้วอากุยจะกลับไปญี่ปุ่นไหม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 13-03-2017 08:25:32
คือใจนึงก้อเชียร์ให้นางไปอัพเกรดจิงๆนะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-03-2017 13:37:23
ห๊ะ!!!!
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 13-03-2017 15:35:24
น้ำตาซึมเลยค่ะ แต่งดีมากๆ ภาษาก็ดี รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 13-03-2017 20:38:21
เดาไว้แล้วเชียว ยิ่งสูงขึ้นไปอีก แล้วรักจะสมหวังได้ยังงายยยย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 14-03-2017 09:17:37
อื้อหืมมมม ลูกเจ้าไปอีก! ...มันยังยากไม่พอใช่มั้ย ที่กำลังเป็นกันอยู่เนี่ย!?!!
กรี๊ดดด ชั้นอินละเกิน เขียนดีไปไหน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 14-03-2017 12:29:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-03-2017 12:32:28
อ่าน 2 ตอนรวด งื้อออออ น้ำตาซึมเพราะแอบกลัวดราม่า
เรื่องนี้คุณ Belove ระเบิดฟอร์มมากๆ อ่ะ จากที่เราตามอ่านนิยายคุณ Belive มา
คือแบบ ทั้งหน่วง ทั้งเศร้า บรรยายแบบ งื้ออออ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์
แล้วภาษเรื่องนี้สวยมาก แบบ ดีงามอ่ะๆๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 14-03-2017 14:12:14
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 14-03-2017 20:12:06
รู้สึกว่ามันเข้มข้นมากกกก

แต่ก้อนะคงมีดราม่ากว่านี้ชิมิ :hao5:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 14-03-2017 22:05:12


                                                               ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                     บทที่ 15



               “ไม่ ผมไม่ใช่เจ้าชายบ้าบออะไรทั้งนั้น”


               เหวินเป่าตะโกนใส่หน้าหย่งหนานอย่างลืมตัว มือบางดึงคว้าคอเสื้อชุดทหารของหย่งหนานด้วยความสะเทือนใจ


               “ผมคืออากุยของนายท่าน เด็กจากซ่องที่นายท่านพาออกมา ผมจะเป็นอากุยเช่นนี้ตลอดไป”


               “อากุย!”


               ใบหน้าเรียวหวานเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาจนหย่งหนานอดไม่ได้ที่จะดึงร่างบางนั้นมากอดไว้โดยไม่ได้สนใจสายตาผู้ใดที่มอง

ตรงมาแม้แต่จิ้งเหอ


               “แต่เธอจะทอดทิ้งทรัพย์สมบัติของบิดาเธอไปไม่ได้”


               “ช่างสมบัติพวกนั้นเถิดครับ” เหวินเป่าส่ายหน้าที่ซุกอยู่กับแผงอกแข็งแกร่ง “ผมไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองใดๆของคนที่สั่งฆ่า

ผู้คนในประเทศรวมถึงแม่ของผม”


               หย่งหนานเงยหน้าสบตากับจิ้งเหอด้วยความหนักใจ ประมุขของประเทศจึงหันไปหาอาคันตุกะจากญี่ปุ่นและกล่าวกับพวกเขา

เหล่านั้นว่าเหวินเป่าไม่ต้องการกลับไปรับสืบทอดทรัพย์สมบัติของเจ้าชายคิริซาวะ บุรุษผู้เป็นหัวหน้าจากญี่ปุ่นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

เขาพูดอะไรบางอย่างโต้ตอบกับจิ้งเหอก่อนจะพากันลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้กับจิ้งเหอ

               เหวินเป่าไม่สนใจว่าพวกเขาเหล่านั้นจะก้าวเดินมาทางเขาและพร้อมใจกันโค้งคำนับจนต่ำที่สุดเมื่อเขามัวแต่ซุกหน้าอยู่กับ

ความอบอุ่นที่ได้รับจากหย่งหนาน จากนั้นกลุ่มคนจากญี่ปุ่นจึงได้เดินกลับออกไปภายนอกตัวบ้านจนกระทั่งได้ยินเสียงติดเครื่องของ

รถยนต์และขับจากไป เมื่อเสียงเครื่องยนต์ลับหายทหารที่ดูแลภายนอกรั้วบ้านจึงยกหีบเหล็กขนาดใหญ่เข้ามาวางไว้บนพื้นห้อง


               “คนญี่ปุ่นบอกว่าของในหีบเหล่านี้คือสมบัติของหลินเหวินเป่าครับ”


               “เปิดออกดูทีรึว่าภายในเป็นอะไร”


               เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของจิ้งเหอทหารก็รีบเปิดฝาด้านบนออกอย่างรวดเร็ว และเมื่อทุกคนมองเห็นพร้อมกันต่างก็อึ้งด้วยความ

รู้สึกหลากหลายเมื่อด้านในนั้นมีทั้งทองคำกับธนบัตรมัดรวมกันเป็นปึกหลายปึก รวมถึงมีปืนและมีดที่หย่งหนานจำได้ว่านายพลคิริซาวะ

ใช้กระทำการเซปปุกุตนเอง


               “ข้าวของเงินทองเหล่านี้เป็นของเธอ เธอมิใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกอีกต่อไป”


               นายกรัฐมนตรีเฉินจิ้งเหอกล่าวอย่างมีเมตตาขณะที่เหวินเป่ามองกองสมบัติในกล่องอย่างเฉยเมย


               “ผมไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นอะไรหรอกครับท่าน ฝากไว้ให้ท่านช่วยผมด้วยการแจกจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือคนจีนจะดีกว่าครับ”


               หนุ่มน้อยเอ่ยอย่างมั่นใจ เขาทำความเคารพเฉินจิ้งเหอและรีบก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว หย่งหนานเห็นดังนั้นจึงรีบสืบเท้าก้าว

ตามไปทันที


               “เดี๋ยวสิเหวินเป่า”


               หย่งหนานรั้งแขนเหวินเป่าไว้ได้เมื่อถึงทางเชื่อมไปบ้านหลังเล็กของเขา เหวินเป่าชะงักและยอมหยุดฝีเท้าหันหน้ากลับมา

เผชิญกับดวงตาดุที่เพ่งมองมายังตน


               “เพราะเหตุใดเธอจึงไม่สนใจสืบทอดทรัพย์สมบัติต่อจากพ่อของเธอที่ประเทศญี่ปุ่นละ”


               “ผมไม่ต้องการใช้เงินของพวกเขาครับ” เหวินเป่าตอบด้วยความมั่นใจ


               “ผมไม่เคยคิดถึงว่าตัวเองจะมีพ่อ และอย่างยิ่งว่าพ่อคนนั้นเป็นผู้นำของกองทัพที่กวาดต้อนชีวิตผู้คนไปพบกับความทุกข์

ทรมานจนกระทั่งตายจากกันไป”


               และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเหวินเป่าไม่ต้องการไปจากบ้านหลังนี้ เขาไม่อยากจากลาจนกระทั่งไม่ได้พบกับใบหน้า

คมเข้มที่กำลังจ้องมองมาด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย


               “นายท่าน ทำไมมองผมเช่นนั้น”


               เหวินเป่าใจหาย เขาไม่ชอบใจสายตาของหย่งหนานในตอนนี้เลย


               “ต่อจากนี้ฉันคงเรียกเธอว่าอากุยไม่ได้อีกแล้ว เพราะเธอมีศักดิ์มีศรีที่ใหญ่โตกว่าฉันด้วยซ้ำนะ เจ้าชาย”


               “ถ้านายท่านเรียกผมเช่นนี้อีกผมจะโกรธ”


               เหวินเป่ามองร่างสูงด้วยความน้อยใจขอบตาเรียวร้อนผ่าวคล้ายกับมีหยาดน้ำคลออยู่ สายตาตัดพ้อทำให้หย่งหนานนึกโกรธ

ที่เขาพูดออกไปให้คนตัวเล็กผิดหู


               “ผมสู้อุตส่าห์คิดว่าคนบนโลกนี้ที่เข้าใจผมมีคนเดียวคือนายท่าน ผมเสียใจที่ผมคิดผิด”


               “เหวินเป่า!”


                ร่างโปร่งบางผลักไสก่อนจะหันหลังก้าวเท้าวิ่งหนีกลับไปยังห้องพักของตน หนุ่มน้อยทิ้งกายไปบนเตียงและซุกหน้าลงกับ

หมอนเพื่อจะร้องไห้ระบายความอัดอั้นที่ต้องพบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงประตูหน้าห้องแต่ก็

ไม่คิดจะลุกไปเปิดประตูให้


              “เหวินเป่า ให้ฉันเข้าไปหาเธอได้ไหม”


             เสียงนั้นนุ่มนวลกว่าเคย มันมีกระแสของการงอนง้ออยู่ในทีแต่เหวินเป่าก็ยังไม่ยอมลุก จนประตูห้องถูกผลักเข้ามาด้วยฝีมือ

ของคนที่หัวใจกำลังรุ่มร้อน


             “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอขัดเคืองใจนะอากุย”


             เหวินเป่าถูกดึงให้ลุกขึ้นมาสู่อ้อมกอดแสนอบอุ่นอีกครั้ง เขาอิดเอื้อนแต่ก็ถูกวงแขนโอบกอดจนดิ้นไม่หลุด หย่งหนานเกยคาง

ไว้บนกระหม่อมของเหวินเป่า


              “อย่าได้โกรธหรือถือสาคำพูดของคนที่กำลังใจแกว่งเพราะเกรงว่าเธออาจจะจากไปเลยนะ”


              หัวใจดวงน้อยพลันพองคับอก ความน้อยใจจางหายไปในทันทีจนต้องลอบยิ้มอยู่กับอกกว้าง


             “นายท่านใจร้าย”


              “เธอไม่รู้หรอกว่าฉันกลัวแค่ไหน ฉันกลัวว่าเธอจะโบยบินหนีหายไปจากฉัน ขอโทษนะที่ฉันเห็นแก่ตัวเหลือเกิน”


             “ทั้งที่นายท่านก็รู้ว่าผมจะไม่มีวันจากนายท่านไปไหนงั้นหรือครับ”


              “โธ่ เด็กน้อยของฉัน”


              “ผมอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะครับ”


               พวงแก้มร้อนซู่จนต้องเม้มปากไว้เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากลำคอของชายหนุ่ม หย่งหนานดันไหล่ให้เหวินเป่าห่าง

ออกจากอ้อมกอด มือใหญ่ประคองใบหน้าหวานไว้ในอุ้งมือเพื่อมองให้ถนัด


              “เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ช่างต่างจากเด็กน้อยที่วิ่งตัดหน้ารถของฉันเมื่อหลายปีก่อนเหลือเกิน”


                สบตากันราวกับตกอยู่ในภวังค์และดำดิ่งลึกลงไปในไฟปรารถนาที่รุมเร้าจนไม่อาจขจัดมันออกไปจากหัวใจได้โดยง่าย

ปลายนิ้วสากที่จับแต่อาวุธเกลี่ยไล้ไปตามแก้มนุ่มอย่างหลงใหลก่อนจะบรรจงจูบตามลงไปอย่างมิอาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป เหวินเป่า

แทบจะหยุดหายใจเมื่อริมฝีปากแห้งผากของชายชาติทหารเลื่อนต่ำลงช้าๆมาบรรจบกับกลีบปากนุ่มของเขาอย่างจงใจก่อนที่จุมพิตนั้น

จะเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ


                “นายท่าน”


               เสียงนั้นเพียงหลุดลอดจากริมฝีปากราวกับเหวินเป่าละเมอออกมา หัวใจดวงน้อยเต้นรัวกับความหวานล้ำราวกับน้ำผึ้งสดใหม่

ประสบการณ์ของคนที่กำลังโอบกอดไว้หลวมๆกำลังพาให้เขาเตลิดและไม่รู้ตัวเลยว่าหย่งหนานส่งปลายลิ้นเข้ามาซอกซอนหาความ

หวานอยู่ในโพรงปากตั้งแต่เมื่อใด


              “อากุยของฉัน”


               เหวินเป่าตัวสั่น มันเป็นสัมผัสล้ำลึกครั้งแรกที่หนุ่มน้อยอย่างเขาได้รู้จัก ลิ้นชื้นตวัดวกกลับไปมาราวกับคนเอาแต่ใจและเรียก

ร้องให้เหวินเป่ายอมให้หย่งหนานตักตวงจนแทบขาดใจ กลีบปากนุ่มถูกเม้มรั้งทั้งบนและล่างแม้จะไม่รุนแรงนักแต่ก็ทำให้เหวินเป่าลืมตัว

ลืมใจจนหมดสิ้น

                    ร่างบางถูกผลักเบาๆให้เอนกายกลับลงไปบนเตียงอีกครั้ง เหวินเป่าไม่มีโอกาสได้ห้ามเมื่อร่างสูงใหญ่โน้มทับทันควัน

หย่งหนานเองก็นึกไม่ถึงว่าเหวินเป่ามีอิทธิพลต่อเขาขนาดนี้ เรือนร่างบอบบางกำลังทำให้เขารุ่มร้อนด้วยไฟเสน่หา


                “กรี๊ดดด ฮูหยิน!”


                เสียงร้องด้วยความตกใจของเหม่ยฮัวที่ดังลั่นมาจากห้องนอนใหญ่คืนสติให้กับทั้งคู่ หย่งหนานผละออกจากเหวินเป่าและ

ต้องหลับตาหักห้ามความต้องการทั้งหมดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนเหวินเป่าก็ผุดลุกขึ้นนั่งหายใจหอบกะพริบตาเรียกสติสัมปชัญญะ ทั้งคู่หัน

มาสบตากันก่อนจะก้าวยาวๆจากเตียงออกไปยังห้องนอนของหย่งหนานและฟางซินทันที


              “เกิดอะไรขึ้นเหม่ยฮัว”


                เอ่ยถามเมื่อก้าวเข้าไปในห้อง หย่งหนานมองเห็นภรรยาหายใจเร็วและไอจนตัวโยน เหม่ยฮัวที่ประคองอยู่ด้านข้างมีสีหน้า

ตื่นตกใจพลางยื่นผ้าผืนหนึ่งส่งให้เขา ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเต็มไปด้วยเศษเลือดเปื้อนกระจัดกระจายอยู่


                “ฉันเป็นห่วงฮูหยินก็เลยแวะเข้ามาดู จึงได้เห็นว่าฮูหยินมีไข้และไอหนักมากแถมยังไอเป็นเลือดด้วยนะคะ”


               “น้องไม่เป็นไรค่ะพี่”


                  แม้จะอ่อนเพลียมากแต่ฟางซินก็ยังฝืนกล่าวเพื่อให้หย่งหนานสบายใจ หากแต่คราวนี้อาการของฟางซินหนักเกินกว่าจะไว้

วางใจได้


                 “เหม่ยฮัว ออกไปบอกให้ใครก็ได้ขับรถไปรับคุณหมอฝรั่งที่โรงพยาบาลมาทีเถอะ บอกว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน”


                 เหม่ยฮัวรับคำและรีบก้าวออกไปทันทีเหวินเป่าจึงเข้าไปประคองฟางซินแทนที่ เขานึกโกรธตัวเองที่ปล่อยปละละเลยและ

เกือบจะกระทำผิดไปแล้วทั้งที่ฟางซินเจ็บป่วยหนักขนาดนี้


              “นายหญิงเป็นอย่างไรบ้างครับ”


              “ไอจนเจ็บไปหมดทั้งตัว ขอฉันดื่มน้ำทีเถอะคอแห้งเหลือเกิน”


                หย่งหนานลุกขึ้นไปเทน้ำชาลงถ้วยและเดินกลับมาที่เดิม เขาค่อยๆให้ฟางซินดื่มน้ำชาจนหมดถ้วยจึงประคองให้ภรรยากลับ

ลงไปนอนอีกครั้ง เขาสำนึกผิดที่ปล่อยให้ความปรารถนาเข้าครอบงำจนเกือบผิดศีลธรรมอันดีที่เขาได้ตั้งใจไว้ สายตาคมลอบสบกับ

เจ้าของดวงตาเรียวที่มองกลับมาด้วยความอัดอั้น

                ตาต่อตาสบกันมีทั้งความผิดหวังและความละอายแก่ใจในความผิด เหวินเป่าก้มหน้าลงเพราะเขาไม่อาจเผชิญหน้ากับใครใน

คราวนี้ หย่งหนานเองก็นิ่งไปด้วยความสับสนเมื่อเขาต้องการเป็นเจ้าของเหวินเป่าทั้งที่หนุ่มน้อยเป็นบุรุษเฉกเช่นเดียวกันกับเขา

                อยู่กันสามคนในห้องกว้างด้วยความเงียบงัน ฟางชินหลับตาลงสลับกับไอออกมาอีกคำรบใหญ่ จนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์

จอดอยู่หน้ารั้วบ้านและอีกสักพักก็มีทหารเดินนำหน้าชาวตะวันตกตัวสูงคนหนึ่งในก้าวเข้ามาในห้อง


               “มิสเตอร์จอห์น”


              หย่งหนานทักทายอย่างยินดี เขาเล่าอาการของฟางซินให้นายแพทย์จากประเทศอังกฤษได้รู้และเปิดทางให้มิสเตอร์จอห์น

ตรงเข้าไปตรวจร่างกายภรรยาอย่างละเอียดพร้อมทั้งซักถามอาการของฟางซินที่ผ่านมาไปด้วย ระหว่างนั้นหย่งหนานได้แต่มองด้วย

ความวิตกกังวลและห่วงใยในอาการของภรรยา พักใหญ่กว่านายแพทย์จากอังกฤษจะหยุดตรวจและถอนหายใจออกมา




มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 14-03-2017 22:11:38


ต่อกันตรงนี้...



                “ขอเชิญพันตรีเฉินคุยกับผมภายนอกห้องจะได้ไหม”


               “พูดเสียที่นี่เถอะค่ะ”


               ฟางซินเอ่ยขัดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง


               “ร่างกายนี้เป็นของฉัน ได้โปรดอย่าปิดบังสิ่งใดกับฉันเลย”


               มิสเตอร์จอห์นสบตากับหย่งหนาน เขาพยักหน้าให้กระทำตามที่ภรรยาต้องการ มิสเตอร์จอห์นจึงได้แจ้งอาการที่เขาตรวจพบ


               “อาการของมาดามเฉินคืออาการของวัณโรค”


               ความเงียบเข้าครอบงำภายในห้องจนแทบจะได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจ ทั้งหย่งหนานและฟางซินรู้ดีว่าวัณโรคเป็นโรคที่

ติดต่อทางน้ำลายจากการไอจามและยังไม่มียารักษาในตอนนี้


               “ทางฝั่งโลกตะวันตกกำลังหาทางวิจัยยาปฏิชีวนะที่จะมารักษาโรคนี้ แต่ก็เพียงอยู่ในขั้นทดลองกับสัตว์เท่านั้น”


               “อาการของฉันรุนแรงแค่ไหนคะ”


               ดูเหมือนฟางซินจะทำใจได้รวดเร็วกว่า เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งขึ้น


               “ค่อนข้างหนักมาก เสียงการทำงานของปอดผิดปกติแล้ว มาดามควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้บุคคลที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อได้

ง่ายเช่นคนชราและเด็ก นอกจากนั้นมาดามควรจะใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากเวลาที่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ผู้อื่น”


               มิสเตอร์จอห์นขอตัวกลับหลังจากที่ให้คำแนะนำเสร็จสิ้น หย่งหนานสั่งให้ทหารพาเขาไปส่งที่โรงพยาบาลและทั้งห้องก็ตก

อยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง ฟางซินที่นั่งพิงหัวเตียงโดยมีเหวินเป่าประคองอยู่ทอดถอนหายใจและมีน้ำตาไหลลงมา หย่งหนานก้าวมานั่ง

เคียงข้างและกุมมือภรรยาไว้อย่างเห็นใจ


               “เธอจะไม่เป็นอะไรมากหรอกฟางซิน”


               หญิงสาวฝืนยิ้ม ฟางซินมีการศึกษาต่างจากสาวชาวจีนคนอื่นๆ เธอรู้ดีว่าโรคที่เป็นอยู่คืออะไรเพราะเธอเองก็สงสัยอาการที่

เป็นอยู่มานานแล้ว


               “พี่สบายใจเถอะค่ะ น้องจะขยันไปนั่งตากแดดยามเช้ารับอากาศบริสุทธิ์ จะพยายามกินอาหารให้มากขึ้นเพื่อรักษาตัว จะเป็น

ห่วงก็แต่เซียวจงที่น้องคงใกล้ชิดลูกไม่ได้ โธ่เอ๋ย ลูกเพิ่งจะสามขวบเท่านั้น”


               “ผมจะดูแลคุณชายน้อยเองครับ”


               เหวินเป่ารีบรับอาสา เขาไม่รู้ว่าวัณโรคคืออะไรแต่คิดว่าเขาจะหาความรู้จากตำราของนายหญิงได้ไม่ยาก หากแต่ตอนนี้สีหน้า

เคร่งเครียดของหย่งหนานทำให้เหวินเป่าเดาว่าโรคที่ฟางซินเป็นอยู่คงร้ายแรงไม่น้อย ฟางซินได้ยินดังนั้นจึงหันมายิ้มให้กับเหวินเป่า


               “ดีจริง มีเหวินเป่าช่วยดูแลเซียวจงอีกแรงฉันก็ดีใจ อย่างไรก็ฝากด้วยนะ”


               ฟางซินขยับตัวลงไปนอนและหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน หย่งหนานประคับประคองภรรยาลงนอนและดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึง

ลำคอรอจนกระทั่งฟางซินหลับสนิท เขาสบตากับเหวินเป่าเป็นสัญญาณให้ออกไปจากห้อง ทั้งคู่ออกมายืนนิ่งอยู่ภายนอกด้วยความรู้สึก

ที่ต่างต้องซ่อนเร้นเอาไว้และยังไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ


               “ฟางซินป่วยหนักมาก”


               หย่งหนานทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงที่ฝืนความรู้สึกของเขาเหลือเกิน


               “ฟางซินเป็นภรรยาและแม่ที่ดี ดีจนฉันไม่อาจทำให้เขาต้องมาเสียใจเพราะการกระทำของฉันโดยเฉพาะในช่วงที่เขาอ่อนแอ

เช่นนี้”


               เหวินเป่าเบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนรอยน้ำตา เขารู้แจ้งในความหมายของทุกพยางค์ที่หย่งหนานเอ่ยออกมาเพราะเมื่อครู่ไม่นาน

มานี้เขาเองก็เกือบเผลอใจทำในสิ่งที่ผิดต่อผู้มีพระคุณของเขาเสียแล้ว


               “ผมทราบครับ” หนุ่มน้อยกลั้นก้อนสะอื้น


               “ผมเองก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ดึกแล้ว ผมขอตัวไปนอน จะได้ตื่นเช้ามาดูแลคุณชายน้อย”


               เหวินเป่าผลุนผลันก้าวยาวๆกลับไปในห้องตนเองทันที เขาคว่ำหน้าลงกับหมอนและร้องไห้ออกมาโดยหวังจะให้หมอนใบนั้น

ช่วยปิดบังเสียงสะอื้นของเขา หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดด้วยมโนธรรมที่ห้ามปรามความต้องการที่ไม่อาจเป็นจริง     

               




               หย่งหนานไปทำงานในตอนเช้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขานอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะเหตุการณ์ต่างๆที่ประดังเข้ามาในคืน

เดียวจนผู้เป็นลุงสังเกตเห็น


               “มีอะไรเกิดขึ้นหรือ”


               ถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะเล่าให้ผู้เป็นลุงรู้ว่าภรรยาป่วยเป็นวัณโรค เฉินจิ้งเหอรับรู้เหตุการในบ้านด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้

หลานชาย


               “ผมคงต้องแยกห้องนอน อาจจะต้องไปพักในห้องของเซียวจงก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดูแลฟางซินให้ดีที่สุด”


               “ดีแล้ว เราเป็นสามีก็ต้องดูแลภรรยาในยามทุกข์ด้วย”


               บทสนทนาระหว่างลุงกับหลานจบลงเมื่อทั้งคู่เดินเข้าสู่ที่ประชุมของรัฐสภา นี่เป็นการประชุมทางการเมืองเป็นครั้งแรกหลัง

จากประกาศชัยชนะต่อสงครามโลกและเวลาผ่านไปร่วมสองเดือน เฉินจิ้งเหอก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ของนายกรัฐมนตรีผู้นำสูงสุดในสถานที่แห่งนี้

              ส่วนหย่งหนานนั้นทางการเมืองเขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของจิ้งเหอเปรียบเสมือนมือขวาเพราะหยางซุนผู้เป็นบุตรชายไม่นิยม

เข้าประชุมในรัฐสภาหน้าที่นี้จึงตกเป็นของเขา

                เมื่อเริ่มต้นการประชุมเฉินจิ้งเหอลุกขึ้นเพื่อกล่าวปราศัยนโยบายการปกครองและการฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติในฐานะของ

นายกรัฐมนตรี เมื่อกล่าวจบผู้นำฝ่ายค้านจึงได้ลุกขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของเขา บุรุษวัยหกสิบปีรูปร่างสูงท้วมหน้าตาเฉกเช่นประชาชนชาวจีน

โดยทั่วไปหากแต่เป็นผู้มีอิทธิพลเป็นอันดับสองรองจากเฉินจิ้งเหอ เขาคืออู๋จินไห่ ผู้นำของพรรคสังคมนิยมนั่นเอง


               “คำพูดของนายกรัฐมนตรีเฉินเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้”


               อู๋จินไห่กล่าวโจมตีตั้งแต่ประโยคแรก


               “บ้านเมืองหลังสงครามที่บอบช้ำจะฟื้นฟูได้อย่างไรหากนักการเมืองที่มีอำนาจในมือโกงกินเงินงบประมาณแผ่นดินไปจน

พุงกางและโยนเศษก้างปลาให้ประชาชน ความเหลื่อมล้ำของมนุษย์เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด ประชาชนจะได้อะไรตอบแทนเมื่อพวกเขา

ทำงานตัวเป็นเกลียวหาเงินให้ขุนนางสูบเลือดสูบเนื้อ”


               หย่งหนานฟังการปราศัยของอู๋จินไห่อย่างหนักใจ น้ำเสียงของเขาไม่ได้กระโชกโฮกฮากหากแต่เป็นโทนเสียงที่ชวนให้ผู้คน

คล้อยตาม แปดปีในช่วงสงครามพรรคสังคมนิยมแทบไม่มีบทบาทในการบริหารแต่หย่งหนานรู้ดีว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังเตรียมการใหญ่

รออยู่


               และเวลานี้เอง พรรคสังคมนิยมที่เฉินจิ้งเหอเรียกว่าหอกข้างแคร่พร้อมแล้วที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อคว่ำพรรคชาตินิยมลง

อย่างที่พวกนั้นวาดหวังไว้



                                            TBC


                                      :o12: :o12:

                     
                           
หมดจากสงครามโลกมุ่งเข้าสู่สงครามการเมืองแล้วนะจ๊ะ                                                                   อีกไม่กี่ตอนก็น่าจะจบแล้ว(มั้ง)
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-03-2017 22:26:05
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-03-2017 22:54:57
เครียดกับความสัมพันธ์แบบนี้  :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 15-03-2017 00:07:21
โว้ยยยยย หน่วงไรเบอนี้ หย่งหนานก็เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวห่าง นึกว่าไบโพล่าค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 15-03-2017 01:55:41
โอ๊ยย ชีวิต อะไรมันยุ่งยากขนาดนี้
มึนงงไปหมด
ยิ่งอ่านเหมือนยิ่งเป็นต้นทางให้เค้าได้เป็นชู้กัน
รู้ว่าผิดแต่โอ๊ยยยยยย   :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 15-03-2017 08:28:31
สนุก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 15-03-2017 12:44:12
โอ้ยขัดใจเหวินเป่าเป็นเจ้าชายนะลูก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 15-03-2017 14:56:20
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 15 [14/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 16-03-2017 14:13:31
เหวินเป่าไมทิ้งโอกาสอย่างนั้นอ่ะ นอยเลยอ่ะ
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 18-03-2017 00:53:42


                                                                   ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                          บทที่ 16



               “สิ่งที่ลุงคาดคิดไว้ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นนั้นได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว”


               เฉินจิ้งเหอนายกรัฐมนตรีของจีนกล่าวกับเฉินหย่งหนานผู้เป็นหลานชายขณะเดินกลับไปยังห้องทำงานประจำตำแหน่ง ณ

รัฐสภา สีหน้าของจิ้งเหอบอกชัดว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก


               “ตอนนี้ประชาชนที่ถูกพรรคสังคมนิยมกล่อมให้เห็นด้วยกับอุดมการณ์แสนสวยของพวกเขามากขึ้นทุกที และถ้าหากนักการ

เมืองฝั่งเรายังไม่ทำอะไร ลุงเกรงว่าพวกเขาจะถือโอกาสนี้โจมตีแน่ๆ”


               “สิ่งที่คุณลุงคาดนั้นมันเริ่มต้นแล้วล่ะครับ ผมได้ข่าวมาว่าพวกเขาเริ่มปราศัยโจมตีพวกเราตามหัวเมืองว่าจัดสรรงบประมาณ

อย่างไม่เป็นธรรมหลังจากสงครามจบลง มันใกล้นานกิงเข้ามาทุกขณะ”


               สีหน้าของผู้นำอย่างเฉินจิ้งเหอยิ่งดูเคร่งขรึมเมื่อเขาก้าวมานั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งในห้องทำงาน


               “งานฟื้นฟูเศรษฐกิจก็เป็นงานเร่งด่วน ไหนจะกำลังใจของคนในชาติที่ผ่านพ้นความเลวร้ายที่ต้องเยียวยานั่นก็เป็นงานสำคัญ

ไม่แพ้กัน นี่ยังต้องคอยระวังกับพวกที่หวังจะเหยียบให้จมดินด้วย”


               ไม่บ่อยครั้งนักที่จิ้งเหอจะระบายความรู้สึกอันแสนหนักหน่วงออกมาให้ได้ฟัง หย่งหนานเองก็นึกเห็นใจผู้เป็นลุงอยู่ไม่น้อย

อำนาจนั้นก็เหมือนผลไม้ที่มีกลิ่นหอม มันมักจะล่อลวงให้ผู้คนแสวงหาเพื่อลิ้มลองรสชาติของมัน


               “อย่าเพิ่งนึกถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเลยจะดีกว่า” จิ้งเหอเปลี่ยนเรื่อง “ลุงมีความคิดว่าเราควรจะทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างขวัญ

กำลังใจให้กับชาวบ้านที่เพิ่งจะผ่านวิกฤติกันมา เพื่อสร้างความรื่นเริงบันเทิงใจให้พวกเขาบ้าง”


               หย่งหนานนิ่งคิดตามความต้องการของผู้เป็นลุงอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เสนอความเห็นออกไป             


               “เราจัดงานวัฒนธรรมกันดีไหมครับ ให้มีการแสดงงิ้วและร้องรำให้ประชาชนได้เข้าชมกันโดยไม่เก็บค่าเข้าชม”


               “เป็นความคิดที่ดี” จิ้งเหอพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหลานชาย


               “หลานสั่งการได้เลยนะ คณะงิ้วและศิลปินที่อยากจะมาร่วมงานก็ให้มาได้เลย เราจะจัดเป็นงานใหญ่ครั้งแรกหลังจากสิ้นสุด

สงคราม”


               หย่งหนานรับคำสั่งก่อนจะออกไปปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว







               เหวินเป่ารับอาสามาช่วยอาซิ้มแม่ครัวซื้ออาหารสดในวันนี้ เขาลากรถเข็นสำหรับใส่ของมาถึงตลาดในยามเช้า หลังจากวันนั้น

ผ่านมาได้หลายวันแล้วเหวินเป่าก็ยังไม่ได้พบหน้าหย่งหนานอีกราวกับอีกฝ่ายจงใจหลบหน้า หย่งหนานจะกลับถึงบ้านในยามดึกดื่นเมื่อ

มาถึงเขาจะเข้าไปทักทายฟางซินอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับออกมา เขาสั่งให้คนรับใช้จัดเตียงเพิ่มในห้องของเฉินฮุ่ยจงบุตรของเขา หย่ง

หนานเข้าไปพักนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงและตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปทำงาน

               แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง เหวินเป่าเข้าใจเหตุผลที่หย่งหนานต้องกระทำเช่นนั้น เยื่อใยที่มีต่อกันล้นเหลือ

และช่างน่ากลัวกับความยั่วยวนในไฟปรารถนา หากพบเจอหน้ากันบ่อยครั้งสักวันความอดทนที่มีอาจจะพ่ายแพ้จนกระทำผิดต่อฟางซินที่

เจ็บป่วยเพราะโรคภัย

               ตกอยู่ในภวังค์จนเผลอถอนหายใจออกมา อาซิ้มหันมาเห็นเข้าพอดีจึงเผลอดุเบาๆด้วยความเอ็นดู


               “อั้ยยะ เหวินเป่า ยังหนุ่มแน่นทำไมถึงถอนหายใจเป็นคนแก่อย่างนี้ล่ะ รออาซิ้มอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวอาซิ้มจะไปซื้อของตรงฝั่ง

โน้น”


               พูดจบอาซิ้มก็ก้าวเดินไปยังจุดหมายอย่างคล่องแคล่วทิ้งให้เหวินเป่ายืนใจลอยจนกระทั่งได้ยินเสียงทักจากเบื้องหลัง


               “เหวินเป่า!”


               สะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันขวับไปมองต้นเสียง เหวินเป่าทำตาโตเมื่อเห็นว่านั่นคือหยางเจี่ยนบุตรชายของหยางซื่อเจ้าของคณะ

งิ้วที่เหวินเป่าเคยอาศัยอยู่นั่นเอง หยางเจี่ยนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นเหวินเป่า เขารีบก้าวเข้ามาและคว้าแขน เหวินเป่าไว้ราวกับกลัว

อีกฝ่ายจะหนีเขาไป


               “ในที่สุดพี่ก็ได้เจอเหวินเป่า หลังจากวันที่เธอหนีพี่ไป”


               น้ำเสียงของรุ่นพี่ในคณะงิ้วสร้างความลำบากใจให้เหวินเป่าไม่น้อย เหวินเป่าค่อยๆดึงแขนออกจากการเกาะกุมโดยไม่ให้

หยางเจี่ยนเสียน้ำใจนัก


               “ผมจำเป็นต้องทำนะพี่เจี่ยน พี่ก็รู้ว่าถ้าผมไม่หนีจะเกิดอะไรขึ้นกับผม”


               “แล้วนี่เธอไปอยู่เสียที่ไหน คงสบายดีกว่าอยู่โรงงิ้วสินะ ดูตอนนี้สิกลายเป็นคุณชายมีสง่าราศีกว่าเมื่ออยู่โรงงิ้วจนเกือบจำไม่

ได้ เธอคงลืมความยากลำบากที่เราเผชิญด้วยกันมาแต่เด็กเสียแล้ว”


               หยางเจี่ยนมองเหวินเป่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  เด็กน้อยมอมแมมในอดีตที่กลายเป็นนางเอกงิ้วเพราะความจำเป็นกลับ

กลายเป็นหนุ่มน้อยที่มีใบหน้าหมดจดงดงามตรึงตาตรึงใจของเขาเสียยิ่งกว่าวันที่เหวินเป่าสวมชุดงิ้วเสียอีก

               ความเสียดายแล่นเข้ามาจุกอก หยางเจี่ยนเห็นเหวินเป่ามาตั้งแต่แปดขวบ เขาถือว่าเขาเป็นผู้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของ

เหวินเป่าเป็นคนแรก หยางเจี่ยนนึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาหากว่าเขาจะคิดครอบครองหนุ่มน้อยตรงหน้า ป่านนี้เขาก็คงได้ขึ้นสวรรค์ไป

เนิ่นนานแล้ว


                “ที่โรงงิ้วเป็นอย่างไรบ้าง” เหวินเป่าเอ่ยถามทำลายความเงียบ เขาไม่ชอบสายตาที่หยางเจี่ยนจ้องมองมาเลย


               “ทุกคนยังสบายดีกันไหม”


               “คิดว่าทุกคนยังสบายดีงั้นหรือเมื่อเธอและพี่ไป๋ซานหนีไปจากพวกเรา” หยางเจี่ยนพูดด้วยเสียงขุ่นเคือง


               “คณะงิ้วที่ขาดชิงอี่ไปคราวเดียวถึงสองคน คิดว่าพวกเราจะสร้างใครขึ้นมาทดแทนได้รวดเร็วขนาดนั้นล่ะ กว่าจะฝึกสอนให้

คนใหม่เล่นได้พอที่จะออกงานเก็บค่าชมก็ต้องลำบากกันมาก นั่นก็เป็นเพราะเธอทีเดียวที่ทอดทิ้งไป”


               ถือโอกาสโบยแส้ฟาดหัวใจของหนุ่มน้อย เพราะเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำไมหยางเจี่ยนจะไม่รู้เล่าว่าเหวินเป่าเป็นคน

ใจอ่อนและรักพวกพ้องมากขนาดไหน และสิ่งที่เขาทำก็ได้ผล เหวินเป่ากำลังรู้สึกผิดจนหน้าเศร้า


               “โธ่ อย่าพูดอย่างนั้นสิพี่เจี่ยน ใช่ว่าผมจะไม่รักทุกคนในโรงงิ้ว หากมีอะไรที่ผมช่วยได้ก็อยากจะช่วย”


               ยามยากลำบากที่อยู่ด้วยกันมาทำให้เหวินเป่าเห็นใจทุกคนใรคณะงิ้วอยู่มาก การที่เขาหนีมากับหย่งหนานอาจจะส่งผลกระ

ทบเมื่อนักการเมืองผู้นั้นอาจจะไม่ได้มอบเงินให้อีกต่อไป หยางเจี่ยนลอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อเห็นท่าทีโอนอ่อนของเหวินเป่า


               “จริงเหรอ ถ้าอยากช่วยอย่างที่พูดออกมาจริงๆน่ะ รัฐบาลจะจัดงานวัฒนธรรมในคืนวันพรุ่งนี้ เธอจะไปช่วยแสดงที่เวทีงิ้วของ

เราได้ไหมล่ะเหวินเป่า แค่คืนเดียวเท่านั้น”


               เหวินเป่ายืนอึ้ง สิ่งที่หยางเจี่ยนร้องขอสร้างความลำบากใจไม่น้อย หากแต่สายตาคาดคั้นของหยางเจี่ยนก็ทำให้เขาไม่กล้า

ปฏิเสธเต็มปากนัก


               “ผมคงต้องไปปรึกษากับเจ้านายของผมเสียก่อน หากไปได้ผมก็จะไป”


               “เธอต้องไปให้ได้” หยางเจี่ยนสำทับ


               “นึกถึงบุญคุณที่ต้องทดแทนสิเหวินเป่า เธอโตมากับคณะงิ้วหากไม่มีพ่อ ไม่มีพวกเรา เธอคงตายอยู่ข้างถนนแล้ว อย่าลืมนะ

พี่จะรอเธอที่เวทีงิ้วของเราในคืนพรุ่งนี้”


               ไม่รอคำตอบจากหนุ่มน้อย หยางเจี่ยนหันหลังกลับเดินหนีทันที พอดีกับที่อาซิ้มจับจ่ายข้าวของเดินกลับมา


               “เหวินเป่า คุยกับใครอยู่”


               “เพื่อนเก่าน่ะครับอาซิ้ม ซื้อของเสร็จแล้วหรือครับ ต้องการอะไรอีกไหม”


               “ไม่ล่ะ ได้ของครบแล้วรีบกลับกันเถอะ จะต้องไปต้มยาบำรุงให้ฮูหยินอีก”


               เหวินเป่าพยักหน้ารับพลางลากรถเข็นตามหลังหญิงชรากลับบ้าน ในใจของเขานั้นครุ่นคิดถึงคำพูดที่จะขออนุญาตหย่งหนาน

เพื่อจะไปแสดงงิ้วตลอดทางกลับบ้าน







               หย่งหนานกลับบ้านดึกเช่นเคย เขาสั่งความสาวใช้ไว้นานแล้วว่าไม่ต้องอยู่คอยต้อนรับเขาในเวลาดึกดื่นอีก เมื่อกลับมาแล้ว

หย่งหนานจึงได้เดินเข้าห้องของเขากับฟางซินดั่งเช่นทุกครั้ง เขาเดินเข้าไปหาภรรยาที่นั่งพิงกับหัวเตียงอยู่


               “ยังไม่หลับหรือฟางซิน”


               เขาถามด้วยความห่วงใย ฟางซินขยับกายคลี่ยิ้มรับเมื่อเห็นสามีกลับมา


               “น้องตื่นมาจิบน้ำอุ่นน่ะค่ะ วันนี้ไม่มีไข้ก็เลยไม่แย่เหมือนคืนก่อนๆ”


               “ไม่มีไข้ก็ดีแล้ว ฉันเป็นห่วงเธอนะ”


               หย่งหนานพูดคุยกับฟางซินอยู่พักใหญ่เขาจึงประคองภรรยาให้เอนกายไปกับเตียง


               “นอนพักต่อเถอะ จะได้แข็งแรงไวๆ”


               ดูแลจนฟางซินหลับตาลงแล้วหย่งหนานจึงได้เดินกลับออกไปภายนอก เขาเดินย้อนกลับไปทางห้องโถงกลับพบว่ามีร่าง

โปร่งกำลังนั่งคอยเขาอยู่ หัวใจของชายชาติทหารพลันเต้นแรงเมื่อเห็นว่าเป็นเหวินเป่าเด็กในปกครองของเขานั่นเอง


               “เหวินเป่า มีอะไรหรือเปล่า”


               เหวินเป่ารีบลุกจากเก้าอี้ สีหน้าในวันนี้ดูลำบากใจแต่เขาก็ตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด


               “วันนี้ผมได้พบกับพี่เจี่ยนลูกชายเหล่าซือที่ตลาดครับนายท่าน ทราบว่าที่คณะงิ้วกำลังลำบาก พี่เจี่ยนจึงขอให้ผมไปช่วย

แสดงงิ้วที่งานวัฒนธรรมคืนพรุ่งนี้”


               “ไม่ได้!”


               หย่งหนานตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันที


               “ฉันไม่ไว้ใจคณะงิ้วนั่นอีกแล้ว เธอลืมแล้วหรือว่าต้องพบเจอกับอะไรบ้าง”


               เสียงดุจนเหวินเป่าสะดุ้ง ใบหน้าหวานสลดลงเมื่อได้ยินคำปฏิเสธนั้น เขาเงยหน้าขึ้นและวอนขออีกครั้ง


               “ถึงอย่างไรพวกเขาก็ดูแลผมมาจนโต สมควรที่ผมจะทดแทนบุญคุณให้เขา อนุญาตให้ผมไปเถอะครับ”


               “ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้ แม้ว่าเธอจะคุกเข่าอ้อนวอนฉันก็ไม่อนุญาตให้เธอไป หากเธอยังดื้อรั้นฉันจะลงโทษเธอ”


               “นายท่าน!”


               น้ำตาปริ่มด้วยความน้อยใจ  แต่หย่งหนานก็พลันเบือนหน้าหนีเพราะกลัวใจอ่อนเมื่อเห็นน้ำตา เขาผลุนผลันเดินหนีออกไป

ทางบ้านหลังใหญ่ทิ้งให้เหวินเป่าทรุดตัวลงนั่งยกหลังมือเช็ดน้ำตา


               “เกิดอะไรกันขึ้น”


               “นายหญิง เดินออกมาต้องการอะไรหรือเปล่าครับ”


               เหวินเป่ารีบเข้าไปประคองเมื่อเห็นฟางซินเดินมาช้าๆ เขาดูแลให้ฟางซินนั่งบนเก้าอี้ แล้วจึงยืนก้มหน้าซ่อนความน้อยใจเอา

ไว้ ฟางซินโบกมือไปมา


               “อย่าเป็นห่วงนักเลยเหวินเป่า การเจ็บป่วยของฉันยังไม่ร้ายแรงจนต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลาหรอก เมื่อสักครู่ฉันได้ยิน

เสียงเธอกับนายท่านของเธอคุยอะไรกันเสียงดังเชียว”


               เหวินเป่ารีบกลั้นน้ำตาและเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟางซินฟัง หญิงสาวรับรู้และมองอย่างเข้าใจ


               “เธออยากจะช่วยพวกเขา แต่นายท่านของเธอเขาเป็นห่วงเธอเพราะเหตุการณ์อันตรายในคราวนั้น เธอควรจะเชื่อฟังนะ

หนทางช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ยังมีอีกหลายวิธี”


               ความช่างสังเกตของฟางซินทำให้หญิงสาวพิจารณาใบหน้าเศร้าของเหวินเป่า ดวงตาอันงดงามแสดงความรู้สึกออกมาอย่าง

ไม่อาจปิดบังได้เพราะความอ่อนเดียงสา ทำให้ฟางซินฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา


               “พี่หย่งหนานเขาเป็นห่วงเธอมากๆเลยนะ”


               เหวินเป่าเงยหน้าขึ้นสบตากับฟางซิน หนุ่มน้อยกัดริมฝีปากเมื่อเห็นแววตาครุ่นคิดของฟางซิน ความร้อนใจทำให้เขารีบกล่าว

ชี้แจง


               “นายท่านแค่เมตตาต่อผมเป็นปกติเท่านั้นครับ”


               “งั้นหรือ” ฟางซินเลิกคิ้ว “เท่าที่ฉันเห็น เธอกับนายท่านของเธอผูกพันกันมากมายเหลือเกิน”


               “นายหญิงคงอยากพักผ่อนต่อแล้ว ผมจะพานายหญิงไปที่ห้องนะครับ”


               รีบก้าวเข้าไปและประคองฟางซินเดินกลับไปยังห้อนนอนก่อนจะเดินกลับไปยังห้องของตน เหวินเป่านอนมองเพดานอย่าง

กลัดกลุ้มเมื่อต้องคิดถึงเรื่องการทดแทนบุญคุณที่เขาจำเป็นต้องทำ






มีต่ออีกนิด...








หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 18-03-2017 00:58:21


ต่อกันตรงนี้...





               “การจัดงานเรียบร้อยดีหรือ”


               เฉินจิ้งเหอผู้เป็นลุงเอ่ยถามหลังจากดวงอาทิตย์ลาลับพื้นโลกไปแล้ว เบื้องหน้าของพวกเขาคือแสงสีเสียงที่ทุกเวทีต่างงัดมา

ประชันเรียกคนดู เบื้องหลังคือนายทหารอารักขานายกรัฐมนตรีอีกสามคน


               “งานเรียบร้อยดีครับ เสียแต่ว่ามีการชุมนุมประท้วงอยู่ไม่ไกลนี่เอง”


               “พรรคสังคมนิยมใช่ไหม”


               “ใช่ครับ” หย่งหนานพยักหน้ารับ “เนื้อหาสำคัญก็มีอยู่ว่า งานที่เราจัดในวันนี้เป็นงานสิ้นเปลืองงบประมาณ พวกเขาคิดว่าการ

แสดงงิ้วรวมถึงการละเล่นต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นของเล่นของพวกคนรวย”


               สีหน้าของจิ้งเหอยิ่งขรึมลง


               “แสดงว่าหัวหน้าพรรคนั้นไม่เข้าใจว่าการจัดงานเช่นนี้ถึงเป็นการส่งเสริมทางด้านศิลป อย่าไปสนใจเลย ทำงานของเราให้

เสร็จโดยดีดีกว่า”


               จิ้งเหอตบบ่าให้กำลังใจก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถยนต์ จากนั้นหย่งหนานกับอาไห่ลูกน้องคนสนิทและพลทหารอีกสองคนจึง

เดินตามเขาเพื่อตรวจตราความสงบในงาน ชายหนุ่มเกือบจะเดินผ่านเวทีงิ้วเวทีหนึ่งไปแล้วหากแต่เท้ากลับชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้อง

เพลงอันแสนคุ้นเคย จากเวทีงิ้วแห่งหนึ่งที่มีผู้คนรอชทหนาตากว้าคณะอื่น


                ห้ามแล้วไม่ฟังกันเลย!


               จ้องมองไปบนเวทีเพื่อที่จะเห็นร่างโปร่งอยู่ในชุดงิ้วสีสันแสบตากำลังร่ายรำและเอื้อนเอ่ยทำนองเพลงอวดสายตาผู้ชม หย่ง

หนานเคืองไม่น้อยที่เหวินเป่ากล้าฝ่าฝืนคำสั่ง แต่ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถไปดึงหนุ่มน้อยมาจากบนเวทีได้แล้ว

               หย่งหนานเดินกลับออกไปอย่างหงุดหงิด เขาทำได้แค่เพียงเดินแวะเวียนไปมาบ่อยๆจนกว่าการแสดงงิ้วจะจบลง
               







               “เห็นหรือเปล่าว่าคนดูเยอะแค่ไหนเมื่อเหวินเป่ากลับมาแสดงงิ้วอีกครั้ง”


               หยางเจี่ยนกล่าวอย่างยินดีเมื่อการแสดงจบลง เหวินเป่าได้แต่ฝืนยิ้มรับ เมื่อช่วงหัวค่ำเขาออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใคร

ว่าจะมาสถานที่แห่งนี้ และเมื่อมาถึงเวทีหยางซื่อผู้เป็นเจ้าของคณะงิ้วก็ยิ้มหน้าบานราวกับไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันมาก่อน เหวิน

เป่าถูกพามาแต่งหน้าแต่งตัวอย่างรวดเร็ว และเขาก็สามารถแสดงได้ทั้งที่ไม่ได้แสดงมานาน


               “ถ้าเธอกลับมาแสดงได้อีกเช่นนี้ คณะงิ้วของเราคงลืมตาอ้าปากได้”


               “คงจะไม่ได้หรอกพี่เจี่ยน” เหวินเป่าชิงปฏิเสธ “เจ้านายของผมไม่อนุญาตให้มาได้ วันนี้ผมยังต้องหนีมาไม่ให้ใครรู้และจะ

ต้องรีบกลับโอ้เอ้ไม่ได้”


               เหวินเป่ารีบถอดชุดงิ้วและสวมเสื้อผ้าของเขากลับคืน เขาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเครื่องสำอางออกจนหมดด้วยความรีบร้อน


               “ผมกลับก่อนนะ การแสดงในคืนนี้ถือเป็นการทดแทนบุญคุณของผม”


               “เดี๋ยวสิเหวินเป่า” หยางเจี่ยนรั้งไว้


               “ให้พี่เดินไปเป็นเพื่อนเธอเถอะ งานเลิกดึกขนาดนี้พี่เกรงเธอจะได้รับอันตรายก่อนถึงบ้านเจ้านายของเธอ”


               เพราะเติบโตมาด้วยกันแต่เล็กเหวินเป่าจึงขัดไม่ได้ เขาปล่อยให้หยางเจี่ยนเดินมากับเขาด้วยความไว้ใจ เหวินเป่าจ้ำอ้าวด้วย

ความเป็นกังวลว่าจะต้องรีบกลับถึงบ้านโดยเร็วที่สุด


               “เหวินเป่า”



               ร่างบางชะงักค้างเมื่อท่อนแขนถูกกระชากจนปลิวตามแรง เขามัวแต่เดินโดยไม่ได้มองว่าตอนนี้เดินผ่านถึงบริเวณที่ข้างทาง

เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อหันกลับไปเห็นสายตาวาวโรจน์ของหยางเจี่ยนที่จ้องมองอย่างหิวกระหาย เหวินเป่ารีบ

ฝืนกายหนีทันที


               “พี่เจี่ยนจะทำอะไรปล่อยนะ ผมจะรีบกลับ”


               “ไม่ปล่อย” หยางเจี่ยนกำลังทำให้เหวินเป่านึกหวาดหวั่นกว่าครั้งไหนๆ “พี่ช้ามามากแล้ว หากปล่อยเธอไปนานกว่านี้พี่คงไม่

ได้เชยชมเธอให้สมใจอยาก ทั้งที่พี่เป็นคนแรกที่ได้พบเพชรงามอย่างเธอ”


               “พี่บ้าไปแล้วงั้นรึ เราโตมาด้วยกันเหมือนพี่น้องนะ” เหวินเป่าโวยวายเพื่อยับยั้งเรียกสติคืนให้หยางเจี่ยน แต่ดูท่าไม่ได้ผล

เพราะอีกฝ่ายยิ่งกระชากต้นแขนของเขาเข้ามาหา


               “ใครพี่ใครน้อง พี่ไม่เคยคิดกับเธอเช่นนั้นสักครั้ง ที่พี่ต้องการคือได้ครอบครองเธอต่างหาก นี่ อย่าดิ้นนักเลย อย่าให้พี่ต้องใช้

กำลังกับเธอ”


               “ไม่ ปล่อยผมนะ คนเลว นายท่าน นายท่านช่วยด้วย”


               ดวงตาเรียวเบิกกว้าง ร่างบางดิ้นรนสุดชีวิต หากเหวินเป่าก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อหยางเจี่ยนใช้กำปั้นชกเขาเข้าที่ลิ้นปี่จนสะดุ้ง

ตัวโยน หนุ่มน้อยหมดเรี่ยวแรงทันทีและหยางเจี่ยนก็รีบฉวยโอกาสนั้นรวบกายของเขาเข้าไปในดงพุ่มไม้หนาตาข้างทางเดิน






               หย่งหนานวกกลับมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผู้ชมหน้าเวทีเริ่มทยอยกันเดินออกมา เขาสั่งให้ลูกน้องไปตรวจงานที่เหลือแทนตัวเอง

ส่วนตัวเขานั้นเดินฝ่าผู้คนไปยังด้านหลังของเวที


               “เหวินเป่า เหวินเป่า อยู่ไหน ออกมานี่เดี๋ยวนี้”


               เสียงดุดันสร้างความแตกตื่นให้คนในคณะงิ้ว หยางซื่อรีบเดินมารับหน้าด้วยความตื่นตระหนก


               “คุณชายเฉิน มีอะไร...”


               “เหวินเป่าอยู่ไหน!”


               ตะคอกด้วยความเป็นห่วงจนจิตใจว้าวุ่น หยางซื่อหน้าซีดและรีบสั่งให้คนที่เหลือตามหาทันที


               “ไม่พบครับ อาเจี่ยนก็หายไปด้วย”


               ราวกับหัวใจถูกกระชากออกจากอก หย่งหนานสบถรุนแรงอย่างลืมตัวก่อนจะผลักอกหยางซื่อให้พ้นทาง เขารีบวิ่งไปตามเส้น

ทางกลับบ้านของเขาอย่างรวดเร็ว สายตาจ้องมองหาคนที่กำลังทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความระส่ำระสาย


               “เหวินเป่า เธออยู่ที่ไหน อย่าเป็นอะไรนะ จนกว่าฉันจะได้บอกเธอว่ารักเธอแค่ไหน”


               หย่งหนานร่ำร้อง ความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้เขายอมรับกับหัวใจของตนเองแล้วว่าเขารักเหวินเป่า

มากมายเพียงใด


                                 

                                       TBC

                                  :katai1: :katai1:



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 18-03-2017 01:14:13
ถอนหายใจแรงๆ ไงละอากุย ผู้ใหญ่เค้าเตือนแล้วไง
ไม่เคยจำเวลาอีคนพวกนี้จับตัวเองใส่พานขายเหรอ
จำไว้เป็นบทเรียนแรงๆเลย
นายท่านจัดการอิพ่อลูกนี่เลยข่ะ :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-03-2017 01:42:43
นายท่านจะมาช่วยทันไหม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 18-03-2017 01:56:40
นายท่านจะมาช่วยเหวินเป่าทันไหม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 18-03-2017 06:15:14
อีพี่เจี่ยน อีผีร้ายยยย :angry2: :z6:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-03-2017 08:32:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 18-03-2017 10:06:28
 :z3: :z3: โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้!
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 18-03-2017 15:16:57
 o13 o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-03-2017 18:44:00
อิเจี่ยนนี่หื่นตลอด

นายท่านจับอากุยมาตีก้นเลย ดื้อนัก!
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-03-2017 21:15:19
ดื้อนักเหวินเป่า ไม่ฟังผู้ใหญ่  :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 18-03-2017 22:37:52
สงครามความรักมีกะปิบกะปอยด้วยล่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 19-03-2017 02:31:26
โอ้ยยยย
ร้ายย อีพี่เจี่ยน สุมทุมพุ่มไม้แกก็เอาเลยหรอ
อดอยากปากแห้งอะไรเบอร์นั้นนน
เร็วเลยนายท่าน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 19-03-2017 19:45:13
เต่าน้อยของชั้นไม่นะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 19-03-2017 21:20:04
อากุยทำไมไม่เชื่อฟังนายท่านนะ

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ  ขอบคุณมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 19-03-2017 21:33:14
ซวยซ้ำซ้อนมากอากุย

ไม่น่าดื้อเลยลูกกก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 16 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 19-03-2017 21:35:19
อากุยนะอากุย
จริงๆตอนแรกหย่งหนานเตือนไม่ฟังไม่เท่าไหร่ เพราะอารมณ์ทั้งคู่
แต่ฟางงซินเตือนด้วยนี่น่าจะฟังกันบ้าง เฮ้อ
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 21-03-2017 21:35:18


                                                                       ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                             บทที่ 17


               เรี่ยวแรงทั้งหมดที่พอจะเหลืออยู่ถูกเหวินเป่าเค้นออกมาเพื่อจะขัดขืน หากแต่มันก็มีน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกันคนที่ตก

อยู่ในความหื่นกระหายอย่างที่หยางเจี่ยนเป็นอยู่ในขณะนี้ ยิ่งเห็นร่างที่อยู่ภายใต้ตนดิ้นรนบนพื้นดินแข็งกระด้างหยางเจี่ยนก็เต็มไปด้วย

ความต้องการและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนต้องการ


               “เหวินเป่า ขอร้องล่ะ พี่ไม่อยากจะใช้กำลังกับเธอเลย”


               “ปล่อยผมไปเถอะพี่เจี่ยน ผมขอร้อง”


               น้ำตาของความเจ็บใจไหลจนเปียกหน้าเมื่อรู้ตัวว่ากลายเป็นเหยื่อของความรุนแรง ไหล่บางถูกกดให้ถูไถไปกับก้อนกรวด

ก้อนหินและทันใดนั้นเสื้อของเหวินเป่าก็ถูกฉีกขาดรุ่งริ่งเผยให้เห็นผิวขาวที่ซ่อนอยู่ หยางเจี่ยนถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นเนื้อ

นวลขาวสะอาดตายิ่งกว่าตอนที่หนุ่มน้อยอาศัยอยู่กับคณะงิ้ว มันทำให้ไฟราคะโหมกระพือจนลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง


               “เป็นของพี่เสียเถอะเหวินเป่า พี่สัญญาว่าจะไม่รุนแรงกับเธอ”


               “ไม่ อย่านะ นายท่าน ผมขอโทษ”


               ขอโทษที่ไม่อาจรักษาสิ่งหวงแหนที่สุดไว้เพื่อคนซึ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ทั้งๆที่หย่งหนานตักเตือนให้คิดว่าอันตรายเพียงใด

หากแต่เพราะเขาเองที่ผิดพลาดและบทเรียนครานี้จะทำให้เหวินเป่าโกรธเกลียดตัวเองไปจนวันตาย


               “งามเหลือเกิน ตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว”


               หยางเจี่ยนเบิกตากว้างเมื่อเขากระชากกางเกงลงไปจนถึงต้นขา เขาทุบลงไปบนเนื้อขาอ่อนทั้งสองข้างเพื่อให้เหวินเป่าเปิด

ทางให้กว้างเพื่อที่เขาจะได้กระทำดังที่ใจต้องการ เหวินเป่าสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกทำร้ายร่างกายอีกครั้ง และครานี้เขาหมดโอกาสที่จะ

ขัดขืนอีกแล้ว


               “เสร็จกูล่ะ”


               สบถออกมาอย่างต่ำช้าพร้อมกับดึงท่อนเนื้อที่พร้อมอยู่แล้วออกมา หยางเจี่ยนแลบลิ้นไปรอบริมฝีปากและจ่อมันแนบไปกับ

ร่างกายไร้เรี่ยวแรงของเหวินเป่า


               พลักกกก


               “อ๊ากกก”


               โดยที่ไม่ทันตั้งตัวเส้นผมของหยางเจี่ยนถูกกระชากจนร่างของเขาปลิวออกจากสวรรค์ที่เห็นอยู่รำไรไปกองอยู่กับพื้น และยัง

ไม่ทันมองว่าใครไปผู้กระทำหยางเจี่ยนก็ถูกส้นรองเท้าทหารกระทืบลงมาบนลำตัวของเขานับครั้งไม่ถ้วน หยางเจี่ยนทั้งเจ็บและจุกจน

ร้องไม่ออกเมื่อครั้งสุดท้ายนั้นผู้กระทำเตะเข้าใส่ปลายคางของเขา กว่าดวงตาจะทันมองเห็นว่าอสูรร้ายที่ยืนจังก้าอยู่ปลายเท้านั้นคือ

ใคร


               “คุณชายเฉิน!”


               พันตรีเฉินหย่งหนานที่หยางเจี่ยนรู้จักนั้นเป็นบุรุษที่แสนสุขุมชวนมองจนแม้แต่เขาที่เป็นชายด้วยกันยังนึกอิจฉา หากแต่บัดนี้

ความสุขุมเยือกเย็นอันตรธานไปแล้วและทดแทนด้วยความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้า โทสะที่ไม่อาจยับยั้งทำให้หย่งหนานพร้อมจะทำทุก

อย่างให้คนอย่างหยางเจี่ยนได้รับสาสมกับสิ่งที่เขาทำ


               “นายท่าน!”


               ราวกับตายไปแล้วและได้น้ำอมฤตมาชุบชีวิตคืนมาอีกครั้ง หัวใจของเหวินเป่าพลันเต้นรัวอย่างยินดีเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่อยู่

เบื้องหน้า หย่งหนานหันขวับมามองเขาด้วยความห่วงใจและเมื่อเห็นสภาพของเขาในตอนนี้หย่งหนานก็พลันสบถพร้อมกับชักปืนที่

เหน็บอยู่ตรงเอวออกมาเล็งไปที่ศีรษะของหยางเจี่ยน


               “คุณชาย ไว้ชีวิตผมเถอะ ได้โปรด”


               หยางเจี่ยนเบิกตากว้างอย่างขลาดเขลา เขารู้ดีว่าหย่งหนานฆ่าเขาได้แน่ๆและจะไม่มีใครกล้าสืบค้นการตายของเขาเสียด้วย

ซ้ำเพราะอีกฝ่ายเป็นนายทหารระดับสูงและยังเป็นหลานของนายกรัฐมนตรี ดวงตาดุแสนคมกล้าจ้องเขม็งราวกับปีศาจร้ายพร้อมจะพา

วิญญาณไปสู่นรก หากแต่หย่งหนานกลับกดยิ้มลึกและลดระดับปืนลงไปจนอยู่เพียงกึ่งกลางกายของ หยางเจี่ยนเท่านั้น


               เปรี้ยง!


               เสียงปืนดังลั่นจนเหวินเป่าสะดุ้งเฮือก ดวงตาหวานจ้องค้างตรงปลายกระบอกปืนที่ยังมีไอร้อนและเขม่าปืนคละคลุ้ง เสียง

ร้องโหยหวนของหยางเจี่ยนเรียกสติคืนมาสู่เหวินเป่า หนุ่มน้อยรีบหันไปมองก็ต้องตกใจที่เห็นหยางเจี่ยนดิ้นพล่านอยู่กับพื้นและมีเลือด

นองแดงฉานอยู่ตรงกลางลำตัว


               “อ๊ากกก”


               หย่งหนานไว้ชีวิตหยางเจี่ยน หากแต่ลงทัณฑ์ด้วยการไม่เปิดโอกาสให้หยางเจี่ยนได้กระทำผิดเช่นนี้ซ้ำสองกับใครอีกแล้ว

เมื่ออุปกรณ์ในการทำผิดถูกยิงจนแหลกเหลวและเจ้าตัวก็เจ็บปวดแสนสาหัสกับบาดแผลที่ได้รับ


               “ถ้ายังไม่รีบไสหัวไป จะไม่เพียงสูญเสียแค่นี้แน่ๆ”


               เสียงของหย่งหนานเยียบเย็นราวกับมัจจุราชรอปลิดชีพ หยางเจี่ยนไม่รอช้าเขาซมซานลุกขึ้นด้วยสภาพอันน่าสังเวชเมื่อต้อง

ใช้มือทั้งสองกดห้ามเลือดบริเวณท้องน้อยไว้และต้องวิ่งหนีจากความตายด้วยความอับอายทุลักทุเล หย่งหนานยืนนิ่งรอจนหยางเจี่ยน

จากไปลับสายตาเขาจึงหันขวับมายังร่างบางที่เพิ่งจะขยับลุกมานั่งตัวสั่นอยู่กับพื้นดิน


               “นายท่าน ผม ผมขอโทษ”


               “เด็กดื้อ!”


               เหวินเป่าสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงตวาดดังลั่น แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะหวาดกลัวการกระทำของหยางเจี่ยนหากแต่บัดนี้เขากลับ

กลัวสายตาดุดันของบุรุษในชุดทหารเสียยิ่งกว่าเป็นไหนๆ หย่งหนานเหมือนเสือที่ถูกกระตุกหนวดโดยหนูตัวน้อยและกำลังคำรามลั่นอยู่

กลางพงพี


               “ฉันเตือนแล้วห้ามแล้วแต่เธอก็ยังฝ่าฝืน เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไรเหวินเป่า”


               หย่งหนานคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าคมอยู่เหนือกรอบหน้าหวานที่หรุบต่ำซ่อนน้ำตาไว้ เหวินเป่าสะอึกสะอื้นเพราะสำนึกผิด

สิ่งที่เขากลัวอยู่อย่างเดียวในตอนนี้คือหย่งหนานจะโกรธเกลียดที่เขาหาเรื่องใส่ตัว


               “นายท่าน ผมสำนึกแล้ว ได้โปรดเถอะครับให้อภัยผมนะ”


               ดูเหมือนคำวิงวอนจะไม่ได้ผล ไหล่บางถูกมือใหญ่กระชากและเขย่าจนสั่นคลอนราวกับเหวินเป่าเป็นสิ่งของระบายโทสะ


               “รู้บ้างไหมว่าการกระทำอันโง่เขลาของเธอทำให้ฉันต้องวิตกขนาดไหน” หย่งหนานตะคอกใส่เหวินเป่าจนอีกฝ่ายยิ่งตัวสั่น


               “และเมื่อรู้ว่าเธอหายไปพร้อมกับคนที่ฉันไม่ไว้วางใจจนมาเห็นเธอที่กำลังจะถูกย่ำยีหัวใจของฉันมาเจ็บปวดแค่ไหน”


               “นายท่าน!”


               เหวินเป่าปล่อยโฮออกมาเมื่อในที่สุดหย่งหนานก็กระชากร่างของเขาเข้าหาตัวและตวัดวงแขนกอดรัดไว้แน่นหนาจนเหวิน

เป่าแทบจะหายใจไม่ออก เหวินเป่าได้ยินเสียงหัวใจของหย่งหนานเต้นเร็วกว่าเคยจนแผงอกกระเพื่อมถี่ เหวินเป่าได้แต่ร้องไห้อยู่ใน

อ้อมกอดที่เขาไม่รู้สึกอึดอัดสักนิด หนุ่มน้อยยกมือโอบกอดตอบกลับด้วยความเต็มใจ


               “รู้บ้างไหมว่าฉันเกือบจะขาดใจตายเมื่อเห็นเธออยู่ในสภาพเช่นนี้ รู้บ้างไหมว่าเธอกำลังทำร้ายหัวใจที่รักเธอเท่าชีวิตต้อง

เจ็บปวด หือ อากุย เจ้าลูกเต่าร้ายกาจ”


               คนที่กำลังร้องไห้พลันชะงัก ดวงตาคู่หวานเบิกกว้าง ริมฝีปากกลีบนุ่มอ้าค้างเมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากบุรุษที่ยังไม่

ยอมปล่อยเขาจากอ้อมกอด หัวใจของเหวินเป่าหวิวไหวจนเกือบจะเป็นลม


               “นายท่าน พูดอะไรนะครับ”


               ถามทวนเพื่อความมั่นใจว่าหูไม่ฝาด แต่หย่งหนานกลับไม่ยอมกล่าวอะไรอีกจนเหวินเป่าต้องเป็นฝ่ายยกมือดันอกแกร่งให้

ปล่อยเขาออกจากการกอดรัด เหวินเป่าแหงนหน้ามองใบหน้าคมเข้มด้วยแววตาอยากรู้จนดวงตาคมอ่อนแสงลงและทดแทนด้วยความ

ขัดเขินที่เจ้าตัวพยายามซ่อนเร้นไว้


               “ฉันบอกว่าฉันรักเธอ เด็กโง่ แค่นี้ก็ฟังไม่เข้าใจงั้นหรือ”


               น้ำเสียงพยายามจะปั้นให้ดุดันเหมือนชั่วครู่ที่ผ่านมาหากแต่ไม่สำเร็จ เหวินเป่าได้แต่กัดริมฝีปากที่กำลังสั่นระริก เขามอง

สบตาหย่งหนานด้วยความอิ่มเอมใจ


               “นายท่าน นายท่าน ขอบคุณนะครับที่รักผม ฮือ”


               “เมื่อไหร่จะเลิกร้องไห้เสียที เด็กน้อยของฉัน”


               หย่งหนานถอนหายใจ เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบน้ำตาเปื้อนแก้มออกจนหมด ดวงตาคมนิ่งงันเมื่อประสานสายตากับเหวินเป่า

คนที่เขายอมรับแล้วว่ารักจนหมดหัวใจ


               “เธอคิดอย่างไรกับฉัน หือ อากุย คิดอย่างไรกับคนที่อายุมากกว่าเธอถึงสิบสี่ปี สำหรับเธอแล้วฉันเป็นตาแก่ขี้บ่นหรือเปล่า”


               “นายท่าน” เหวินเป่าหัวเราะทั้งน้ำตา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอีกบุคลิกหนึ่งของหย่งหนานกับสีหน้ายุ่งยากใจนั้น


              “นายท่านไม่แก่เลยสักนิด ส่วนที่ว่าผมคิดกับนายท่านอย่างไรนั้นก็ไม่ควรถาม เพราะผมรักนายท่านมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่

ผมได้พบกับนายท่านจนถึงวินาทีนี้ นายท่านคือชีวิตของผม”


               “เด็กแก่แดด”


               หย่งหนานบีบจมูกโด่งด้วยความเอ็นดู เขามองใบหน้าเย้ายวนนั้นอย่างอดใจไม่ไหว หย่งหนานเชยคางมนไว้และประทับริม

ฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มที่เขารู้แล้วว่าหวานล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้งก่อนจะตักตวงจนเหวินเป่าเกือบจะหมดลมหายใจจึงได้ยอมผละออกอย่าง

เสียดาย


                    “เจ็บมากไหมอากุย”


                    เมื่อได้เปิดเผยความในใจต่อกันจนหมดสิ้นแล้วทั้งคู่จึงได้กลับคืนสู่ความเป็นจริง หย่งหนานกัดฟันมองสภาพของเหวิน

เป่าด้วยความเจ็บใจ เขาถอดเสื้อทหารตัวนอกออกมาคลุมกายบางให้พ้นจากความน่าอับอาจ รอยเขียวเป็นจ้ำที่ปรากฏอยู่บนเนื้อตัวขาว

เนียนยิ่งทำให้หย่งหนานแค้นนัก


                   “เมื่อครู่ฉันน่าจะฆ่ามันเสียให้ตายสมความผิดของมัน”


                   เหวินเป่ายิ้มบางพร้อมกับส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับความเห็นของหย่งหนาน


                 “เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะความโง่งมของผมด้วยที่ไม่เชื่อฟังนายท่าน และพี่เจี่ยนก็ได้รับโทษอย่างสาสมแล้วเช่นกัน ต่อจากนี้

เขาคงจะตกนรกทั้งเป็นกับบาดแผลที่ประจานความผิดของเขาไปตลอดชีวิต”


                 หย่งหนานถอนหายใจ เขาช้อนแขนเข้าที่แผ่นหลังและใต้เข่าของเหวินเป่าก่อนจะลุกขึ้นยืนอุ้มร่างบางไว้แนบอก


               “กลับกันเถิดอากุย ขอให้เรื่องนี้เป็นแค่ฝันร้ายและอย่างน้อยมันก็ทำให้เราทั้งคู่เข้าใจกัน”


               “ให้ผมเดินไปดีกว่าครับ นายท่านอย่าลำบากอุ้มผมไปเลย”


               “ไม่ลำบากสักนิด เธอตัวเบาราวกับปุยนุ่น” หย่งหนานคลี่ยิ้มจางๆขณะมองใบหน้าหวานที่เบือนสายตาหนีเพราะความขัดเขิน


                “ต่อให้ฉันต้องอุ้มเธอเดินทั้งวันทั้งคืนฉันก็เต็มใจ”


                 “นายท่าน!”


                  เลือดในกายร้อนซู่จนใบหน้าแดงก่ำเมื่อฟังคำหวานของหย่งหนานอย่างที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน เหวินเป่าทำได้แค่เพียงซุก

หน้าหนีเข้าหาอกอุ่นขณะที่หย่งหนานก้มหน้าลงมาหอมแก้มแดงฟอดใหญ่ก่อนจะก้าวเดินกลับไปบนทางเดินในยามดึกสงัด มีเพียง

แสงจันทร์บนฟากฟ้าเป็นเพื่อนเมื่อทั้งคู่ปล่อยใจไปกับความสุขแม้จะเพียงชั่วคราวเมื่อพวกเขาต้องกลับคืนสู่ความเป็นจริง




มีต่ออีกนิด....


หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 21-03-2017 21:40:18


ต่อกันตรงนี้...





                  หย่งหนานเดินอุ้มเหวินเป่าจนกระทั่งใกล้ถึงรั้วใหญ่ของบ้านสกุลเฉินเขาจึงได้หยุดเดิน สีหน้าแช่มชื่นตลอดทางพลันจาง

หายเหลือทิ้งไว้คือความลำบากใจมาทดแทน


                  “ปล่อยให้ผมลงเดินเถิดครับนายท่าน ผมไม่เจ็บปวดตรงไหนอีกแล้ว”


                   เหวินเป่าเข้าใจดี เขาส่งยิ้มบางให้ขณะที่หย่งหนานค่อยๆปล่อยให้เขาลงไปยืนบนพื้นถนน สีหน้าของชายหนุ่มกลับเจ็บ

ปวดไม่น้อย เมื่อยิ่งเข้าใจกันก็ยิ่งกลายเป็นร้าวรานเพราะไม่อาจกระทำสิ่งใดได้อย่างที่ใจต้องการ


                  “เธอจงเข้าใจฉันด้วยเด็กน้อย บางครั้งความถูกต้องกับความถูกใจก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน”


                  “สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมภูมิใจในตัวนายท่านที่สุด อย่าได้กังวลไปเลยครับ เรารีบกลับเข้าบ้านดีกว่า นายหญิงคงกังวลเพราะความ

เหลวไหลของผมอยู่ไม่น้อย”


                 เหวินเป่าเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงหัวใจของเขาหวั่นไหวเพราะคิดว่าหลงรักหย่งหนานอยู่

ฝ่ายเดียว หากแต่ตอนนี้เมื่อรู้แล้วว่าหย่งหนานก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา ความเจ็บปวดจึงแปรเปลี่ยนเป็นเพราะความรู้สึกผิดต่อคนกลางที่

แสนดีอย่างฟางซิน


                  เดินเคียงกันไปยังประตูรั้วที่มีทหารยืนเฝ้าประตูอยู่ เหวินเป่าถอนหายใจเมื่อรู้ดีว่าทันทีที่ก้าวผ่านเขตประตูเข้าไปเขาจะ

ต้องพบกับความเป็นจริง แต่เหวินเป่าก็จำเป็นต้องทำ เขาเอื้อมมือไปแตะที่ท่อนแขนของหย่งหนานและกล่าวเสียงเบาหวิว


                  “เข้าไปกันเถอะครับนายท่าน”


                 หย่งหนานพยักหน้าก่อนจะเดินนำเข้าไปในอาณาเขตสกุลเฉิน ทั้งคู่เดินอ้อมบ้านหลังใหญ่กลับเข้าสู่บ้านหลังเล็กของเฉิน

หย่งหนาน


                 “กลับมากันแล้ว”


                ฟางซินลุกขึ้นมานั่งอยู่ขอบเตียงเมื่อหย่งหนานพาเหวินเป่าเข้ามาในห้อง หญิงสาวมองเหวินเป่าด้วยความเป็นห่วง และเมื่อ

เห็นสภาพของเหวินเป่าเธอก็อุทานอย่างตกใจ


                  “นี่เป็นอะไรมากหรือเปล่าเหวินเป่า เล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น”


                   เหวินเป่ายิ้มเจื่อน เขาจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟางซินฟัง


                   “โชคดีที่นายท่านตามไปช่วยผมไว้ได้ทันครับ มิเช่นนั้นผมคง...”


                     ก้มหน้าสำนึกผิดเมื่อฟางซินถอนหายใจออกมา ความผิดคราวนี้ทำให้เหวินเป่าเสียใจเหลือเกินที่ทำให้ผู้มีพระคุณต้อง

เป็นห่วง


                “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ต่อจากนี้ไปเธอคงเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่ตักเตือน แต่ถึงเธอจะปลอดภัยกลับมาก็ยังถือว่าเธอทำผิดที่ดื้อรั้น

ต่อคำสั่ง ฉันจำเป็นจะต้องลงโทษเธอด้วยกันสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในเขตรั้วบ้านหนึ่งเดือน”


                     หย่งหนานไม่ได้คัดค้าน สิ่งที่ฟางซินออกคำสั่งลงโทษก็สมควรอยู่กับความผิดของเหวินเป่า และเขาก็มอบอำนาจการ

ดูแลผู้คนในบ้านให้กับภรรยา เหวินเป่าก้มหน้าอย่างสำนึกผิด เขายอมรับโทษอย่างไม่มีเงื่อนไข บทลงโทษนั้นยังเบากว่าที่เขาคาดไว้

ด้วยซ้ำ


                    “ครับนายหญิง”


                    “ดึกแล้ว และเธอก็เพิ่งผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายมา  ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะเหวินเป่า”


                     เหวินเป่ารับคำก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เมื่ออยู่เพียงลำพังสามีภรรยาหย่งหนานจึงเดินไปนั่งเคียงข้างฟางซินและ

มองอย่างห่วงใย


                    “มีไข้หรือเปล่าฟางซิน”


                    “ก็แค่ไข้ต่ำน่ารำคาญเท่านั้นเองค่ะ พี่อย่ากังวลไปเลย”


                   “ฉันไม่กังวลไม่ได้ เธอเป็นภรรยาของฉัน”


                    ฟังแล้วฟางซินก็ทอดถอนหายใจ หญิงสาวฝืนยิ้มให้สามีที่ดึงมือของเธอไปกุมไว้


                   “ภรรยาที่ไม่ดี ไม่ได้ดูแลสามีอย่างที่ควรกระทำน่ะสิคะ”


                   “พูดอะไรเช่นนั้น ฉันเองเสียอีกที่เป็นสามีไม่เอาไหน ไม่มีเวลาดูแลภรรยาแม้แต่เวลาเจ็บป่วย”


                    “น้องเข้าใจดีค่ะ”  ฟางซินอิงศีรษะลงกับไหล่ของหย่งหนาน “ทั้งที่เราแต่งงานกันเพราะหน้าที่ แต่พี่ก็ไม่เคยรังเกียจ ซ้ำ

ยังให้เกียรติน้องอย่างที่สุด เพียงแค่นี้น้องก็ซึ้งในน้ำใจแล้ว น้องยังคงยืนยันนะคะหากว่าพี่พบคนที่ถูกใจ น้องจะไม่ว่าเลยถ้าพี่จะรับมา

ดูแล...”


                 “เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก” หย่งหนานตัดบท “พักผ่อนเถอะฟางซิน รักษาตัวให้หายดี เธอจะได้ดูแลฉันและลูกอย่างที่เธอ

อยากจะทำ”


                   หย่งหนานประคองให้ฟางซินเอนกายลงไปบนเตียงอีกครั้ง สีหน้าของเขาหนักอึ้งเมื่อมโนธรรมในจิตใจกำลังย้ำเตือนว่า

เขากำลังทำผิดต่อผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นคนสำคัญสำหรับเขา





                     เหตุการณ์วุ่นวายของบ้านเมืองทำให้หย่งหนานไม่มีเวลากลับเข้าบ้านมากนัก การชุมนุมประท้วงของขบวนการเรียกร้อง

ให้มีเปลี่ยนแปลงการปกครองหนักมากขึ้นในทุกๆหัวเมืองใหญ่ ทุกคนในแวดวงการปกครองรู้ดีว่าเบื้องหลังของการชุมนุมเหล่านั้นคือ

พรรคสังคมนิยมที่ปลุกปั่นเรื่องค่าครองชีพขึ้นมาจนประชาชนที่เห็นด้วยพากันลุกฮือเรียกร้องสิทธิ์ กว่าเขาจะมีเวลาหยุดพักให้หายใจ

คล่องก็ผ่านไปเกือบเป็นเดือน


                “วันนี้พี่ไม่ได้ออกไปทำงานแต่เช้าหรือคะ”


                ฟางซินที่ยิ่งบอบบางจนแทบปลิวลมเดินเข้ามาดูแลสามีในยามเช้า หญิงสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่พันปิดปากรอบลำคอ

เพื่อมิให้วัณโรคแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น เมื่อเห็นว่าสามียังไม่ได้ออกจากบ้านเธอจึงสั่งให้สาวใช้ยกสำรับอาหารมาวางบนโต๊ะ


               “รับประทานให้อิ่มก่อนทำงานเถอะค่ะ ตอนนี้เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไรบ้างคะ น้องมัวแต่นอนอุดอู้อยู่ในห้อง ตกข่าวไป

เสียหลายข่าว”


                “การชุมนุมประท้วงรุนแรงมากขึ้นทุกที่ บางทีก็ต้องใช้กำลังเข้าปราบปราม”


                หย่งหนานใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากและพูดคุยกับภรรยาหลังจากที่ไม่ได้ทำเช่นนี้มาเนิ่นนาน


                  “อู๋จินไห่หัวหน้าพรรคสังคมนิคมใช้แนวคิดของสตาลินน์ผู้นำประเทศโซเวียตมาปลุกปั่นให้ประชาชนเชื่อในแนวคิดเรื่อง

ความเท่าเทียมเสมอภาค และตอนนี้มันก็ได้ผล ชาวบ้านต่างก็เชื่อว่าพวกเขาควรได้รบสิทธิเท่าเทียมกันในการทำงาน”


                  “เรื่องอุดมการณ์นั้นน้องไม่เถียงว่าในหลักการแล้วไม่มีอะไรเสียหาย แต่ในความเป็นจริงน้องมองไม่เห็นทางเลยว่าความ

เท่าเทียมกันจะอยู่ตรงไหน ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่อยากได้อะไรเท่าๆกับคนอื่น ทุกคนแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองทั้งนั้น”


                 ฟางซินออกความเห็น หย่งหนานพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แต่ไม่ทันที่หย่งหนานจะรับประทานอาหารเช้าจนอิ่มหนำก็มี

ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


                 “มีข่าวด่วนครับ มีรายงานมาว่าเกิดการชุมนุมประท้วงจนมีการปะทะกันอย่างรุนแรงพร้อมกันในหัวเมืองหลักหลายเมือง

และมีผู้นำฝ่ายรัฐบาลกลุ่มหนึ่งหันไปเข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมเพื่อสู้กับรัฐบาล”


                 “ใครกัน บังอาจนัก”


                 หย่งหนานถามเสียงเครียด การแปรพักตร์ไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในเหล่าทหารหรือขุนศึกทั้งหลาย


                “หัวหน้ากลุ่มที่หันไปร่วมมือกับพรรคสังคมนิยมคือหลี่จินซานจากเมืองชานซีครับ”


             ฟางซินได้ฟังแล้วก็ตระหนกจนหน้าซีดเผือด หญิงสาวเป็นลมล้มวูบไปกับพื้นทันทีเมื่อรู้ว่าผู้นำก่อการกบฏคือบิดาของเธอเอง




                                                                   TBC


                                                                    :m17: :m17:





หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-03-2017 21:57:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 21-03-2017 22:18:30
สงสารฟางซิน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 21-03-2017 22:31:50
หวานๆ เทาๆ
สงสารฟางซิน คราวนี้อาการคงจะยิ่งแย่กว่าเดิม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-03-2017 23:33:04
ยังไงกันเนี่ย สงสารนายหญิง
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 22-03-2017 01:00:28
ฟางซิน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 22-03-2017 08:40:03
นายหญิงช่างเป็นนางฟ้าเหลือเกิน :sad4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 22-03-2017 08:58:59
รักฟางซินแล้วสิ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 22-03-2017 12:45:11
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 22-03-2017 13:28:39
นายหญิงงงสงสารอ่ะ

แต่งงานการเมือง รักกับสาก็ดีอยู่หรอก

แต่พ่อดันทรยศ สงสาร

คู่พระนายนี่ก็รักกันเป่าปี่มากจ้า หวานอมขมกลืน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 17 [21/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-03-2017 15:18:55
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 23-03-2017 00:26:32


                                                                                   ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                                          บทที่ 18


               เกิดความโกลาหลขึ้นทันทีเมื่อนายหญิงของบ้านเป็นลมหมดสติไปกับพื้น หย่งหนานปรี่เข้าไปช้อนแขนอุ้มฟางซินกลับไปยัง

ห้องนอนและเฝ้ามองด้วยความเป็นห่วงพร้อมกันกับที่เหม่ยฮัวสาวใช้คนสนิทรีบนำน้ำมันหอมมาให้การดูแล เหวินเป่าที่กำลังดูแลคุณ

ชายน้อยฮุ่ยจงก็รีบอุ้มบุตรของเจ้านายติดตามมา


               “เกิดอะไรขึ้นครับ”


               ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นอาการของฟางซิน หญิงสาวเริ่มได้สติกลับคืนมาบ้างแล้วแต่ดวงตายังคงล่องลอยอยู่พักใหญ่และ

สักพักจึงร้องไห้ออกมา


               “ฟางซิน เธออย่างเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย ข่าวนั้นอาจจะเป็นแค่ข่าวลวง”


               หย่งหนานเป็นห่วงภรรยามาก สีหน้าของเขาเป็นกังวลทั้งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผลกระทบต่อจิตใจของฟางซิน ในตอน

นี้เขาละล้าละลังเมื่อจะต้องรีบออกไปปฏิบัติงานแต่ภรรยาของเขาก็ยิ่งน่าเป็นห่วง


               “ผมจะดูแลนายหญิงให้เอง นายท่านรีบไปทำงานเถอะครับ”


               เหวินเป่ารับอาสา หย่งหนานพยักหน้าด้วยความไว้วางใจ เขาดึงมือของฟางซินมากุมไว้และปลอบประโลมภรรยา


               “เข้มแข็งไว้นะฟางซิน ฉันจะรีบกลับมาเมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว”


               หย่งหนานรีบร้อนออกไปจากห้องทั้งที่ในใจยังกังวล เหวินเป่ากล่อมฮุ่ยจงในอ้อมกอดที่กำลังร้องไห้ให้เงียบลงและมองฟาง

ซินด้วยความเป็นห่วง


               “ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ”


               เหม่ยฮัวที่คอยปรนนิบัติเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องราวเช่นกัน เธอรีบรุดเข้ามาดูแลฟางซินหลังจากได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจ

ของเพื่อนสาวใช้ที่ยืนดูแลเจ้านายอยู่ในห้องโถง เมื่อรีบวิ่งเข้ามาในบ้านก็เห็นหย่งหนานอุ้มฟางซินเข้ามาในห้องแล้ว ฟางซินที่เพิ่ง

ได้สตินอนนิ่งมองเหม่อไปที่เพดานน้ำตาไหลเป็นทางยาวจากหางตา


               “เหม่ยฮัว” ฟางซินพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือ เหม่ยฮัวเป็นสาวใช้ที่ติดสอยห้อยตามกันมาจากสกุลหลี่หญิงสาวจึงไว้ใจพอที่

จะระบายความอัดอั้นออกมา “คุณพ่อหักหลังข้อตกลงกับรัฐบาล ทั้งๆที่มีฉันเป็นตัวประกันในข้อตกลงนั้น ทำไมคุณพ่อถึงยอมละทิ้ง

เกียรติยศศักดิ์ศรีของขุนศึก ทำไม”


               “โถ ฮูหยิน”


               เมื่อรู้สาเหตุแล้วเหม่ยฮัวกับเหวินเป่าก็ได้แต่มองหน้ากัน ทั้งคู่สงสารฟางซินเป็นอย่างมากแต่ก็ช่วยเหลือสิ่งใดไม่ได้เลย

นอกจากคอยดูแลและเป็นกำลังใจให้หญิงสาวเท่านั้น ฟางซินผินหน้ามามองเฉินฮุ่ยจงบุตรชายวัยสามขวบในอ้อมกอดของเหวินเป่า

อย่างสะท้อนใจ


               “โธ่เอ๋ยลูกแม่ ทำไมต้องมากลายเป็นเช่นนี้ อยู่ๆก็ได้ชื่อว่าเป็นเชื้อสายผู้ก่อกบฏ”


               “นายหญิงอย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ ตอนนี้นายหญิงหน้าซีดเหลือเกิน ทำใจดีๆและพักผ่อนก่อนดีกว่า”


               เหวินเป่าว้าวุ่นใจเหลือเกินที่นายหญิงที่แสนดีของเขาตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้ เขาถอนหายใจด้วยความสงสารและทำได้

เพียงช่วยดูแลฮุ่ยจงเจ้านายตัวน้อยในขณะที่สาวใช้คนอื่นวุ่นวายอยู่กับการประคับประคองร่างกายและจิตใจของฟางซินแต่ดูเหมือนว่า

จะไม่ได้ผล


              กว่าหย่งหนานจะกลับเข้าบ้านอีกครั้งเวลาก็ผ่านไปถึงสองวัน เป็นครั้งแรกที่ไหล่กว้างคู้ลงจนรู้ว่าเขากลัดกลุ้มเพียงไหน     

เหวินเป่ารีบอุ้มฮุ่ยจงมารับบิดาแต่สีหน้าของหย่งหนานทำให้เหวินเป่าใจหาย เหวินเป่าได้แต่มองตามหลังเมื่อหย่งหนานเดินเข้าไปใน

ห้องที่มีฟางซินนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง

               หย่งหนานทอดถอนหายใจขณะทรุดนั่งที่ขอบเตียงและมองเห็นภรรยาของเขา ฟางซินยิ่งบอบบางราวกับกระดาษที่พร้อมจะ

ขาดจากกันได้ทุกเมื่อ หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมาและเมื่อเห็นว่าเป็นสามีหยาดน้ำตาก็กลับคลอขึ้นมาอีก


               “เหตุการณ์ความรุนแรงยุติลงแล้ว” หย่งหนานพูดเสียงเบา เขาดึงมือฟางซินมากุมไว้


               “รัฐบาลปราบปรามผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมลงได้แต่ก็มีการสูญเสียไปไม่น้อย”


               ฟางซินเบิกตากว้าง นัยสำคัญจากข้อความนั้นกำลังส่งสารถึงเธอ


               “แกนนำหลายคนถูกจับกุม และหลายคนก็ถูก...จัดการ”


               ริมฝีปากของฟางซินสั่นระริกจนต้องกัดไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำและเปียกชื้นขณะสบตากับสามี เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาจน

แทบฟังไม่ได้ศัพท์


               “คุณพ่ออยู่ในกลุ่มไหนคะ”


               หย่งหนานกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน มันเป็นการแจ้งข่าวที่เขาลำบากใจที่สุดในชีวิต


               “ขุนศึกหลี่เสียชีวิตแล้วเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา”


               ฟางซินเบิกตากว้าง แม้จะคาดเดาได้ถึงจุดจบหากแต่เมื่อรู้ว่าสิ่งที่คาดเดานั้นกลายเป็นเรื่องจริงหญิงสาวก็ไม่สามารถทำใจ

ได้โดยง่าย หญิงสาวหลับตาลงและสะอึกสะอื้นออกมาด้วยความเสียใจ

               หย่งหนานปล่อยให้ภรรยาร้องไห้ออกมา ในช่วงเวลานี้ฟางซินไม่ได้ต้องการคำปลอบใจใดๆนอกจากความเอาใจใส่ ชาย

หนุ่มประคองร่างบอบบางที่สะอึ้นจนตัวโยนให้เข้าสู่อ้อมกอดของเขา ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของเหวินเป่าที่ยืนอุ้มฮุ่ยจงอยู่หน้า

ห้อง

                น้ำตาของเหวินเป่าไหลเป็นทางด้วยความเวทนาสงสารฟางซิน เขารู้ดีว่าความสูญเสียนั้นทำให้หัวใจแหลกสลายแค่ไหน

เขาทำได้แค่เพียงส่งความห่วงใยไปให้หญิงสาวที่ร้องไห้จนหมดแรงในอ้อมกอดของสามี








               อาการของฟางซินไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้ว่าข่าวร้ายจะผ่านไปหลายวันแล้ว หย่งหนานกังวลจนต้องเชิญมิสเตอร์จอห์นนายแพทย์

ฝรั่งมาดูแล


               “สภาพจิตใจของมาดามเฉินนั้นย่ำแย่ ส่งผลให้ร่างกายยิ่งทรุดหนัก ผมคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากวิตามินบางตัวและยานอน

หลับอย่างอ่อนเท่านั้น”


               มิสเตอร์จอห์นกล่าวอย่างหนักใจก่อนจะกลับโรงพยาบาลและยิ่งทำให้หย่งหนานกลุ้มใจมากขึ้น แม้ว่าประมุขของบ้านเฉินจิ้ง

เหอและป้าสะใภ้ของเขาจะมาเยี่ยมเยียนก็ไม่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น


               “ไม่ต้องไปทำงานหรอก” หยางซุนญาติผู้พี่บอกหย่งหนาน “งานที่รัฐสภาพี่จะไปดูแลให้เอง นายอยู่ดูแลเมียเถอะ”


               หย่งหนานไม่เคยหยุดงานมาก่อน เป็นสิ่งที่เขาละอายใจที่ไม่เคยได้ดูแลภรรยา แต่เขาเองก็ไม่นึกว่าเมื่อได้หยุดงานและได้

ดูแลฟางซินจริงๆภรรยาของเขาจะอาการทรุดหนักขนาดนี้


               “กินโจ๊กหน่อยไหม กำลังอุ่นพอดี”


               เขาประคองฟางซินที่แทบจะลืมตาไม่ขึ้นให้ลุกพิงหัวเตียงไว้ ฟางซินฝืนยิ้มอย่างยากเย็น


               “น้องไม่รู้สึกหิวเลยค่ะ”


               “ไม่หิวก็ต้องกินบ้าง ร่างกายของเธอจะเอาอะไรไปต่อสู้กับโรคภัย”


               หย่งหนานดุด้วยความเป็นห่วง ฟางซินจึงยอมฝืนกินได้ไม่กี่คำ หญิงสาวมองสามีด้วยความสลดใจ


               “พี่หย่งหนานคะ เราเป็นสามีภรรยากันมีอะไรก็ควรพูดกันตรงๆ และขอให้เราได้พูดคุยกันในขณะที่น้องยังมีสติสัมปชัญญะ

ครบถ้วน”


               “เธอต้องการจะบอกอะไร”


               หย่งหนานยกมือลูบศีรษะของฟางซินด้วยความสงสาร เขาตั้งใจฟังเสียงแหบโหยแผ่วเบาที่หลุดจากริมฝีปากแห้งผากของ

ภรรยา


               “บอกน้องอย่างตรงไปตรงมานะคะ พี่รู้สึกเช่นไรกับเหวินเป่า”


               หย่งหนานสะดุ้งอยู่ในใจคล้ายกับคนที่มีหอกแหลมแทงอยู่ด้านหลัง เขาฝืนยิ้มให้กับฟางซินที่จ้องมองรอคำตอบ


               “จะรู้สึกเช่นไรล่ะ ฉันสงสารในความอาภัพของเหวินเป่าก็เท่านั้น”


               “พี่จะปิดบังน้องไปถึงเมื่อไหร่กันคะ น้องไม่ได้โง่ขนาดดูไม่รู้ว่าพี่กับเหวินเป่ารักกันอยู่”


               “ฟางซิน!”


               หย่งหนานตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึงเมื่อได้ยินคำกล่าวของภรรยา  ฟางซินยิ้มบางๆและวางมือมาบนหลังมือของเขา


                “แม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันมานานแต่น้องก็รู้ว่าพี่แค่สงสารน้องมันไม่ใช่ความรัก เท่าที่พี่ให้น้องมาน้องก็ยินดีมากแล้ว อย่าให้

น้องกลายเป็นคนขัดขวางทางรักของพี่เลย”


               “เธอพูดอะไรของเธอ ฟางซิน”


               ส่งเสียงดุภรรยาเพราะนึกละอายแก่ใจ แต่ฟางซินยังคงมอบรอยยิ้มมาให้เขา


               “ไม่ว่าใครจะพูดติฉินอะไร อย่าให้พวกเขาเข้ามาทำให้หัวใจรักของพี่สั่นคลอน อย่าให้ม่านประเพณีขัดขวางทางเดินชีวิตของ

พี่ น้องอยากเห็นพี่มีความสุข”


               หย่งหนานสบตาภรรยาด้วยความสับสน ฟางซินประสานสายตาอยู่ชั่วครู่หญิงสาวก็เอนกายลงบนเตียง


               “น้องอยากพูดแค่นี้ ส่วนความหมายน้องคิดว่าพี่คงเข้าใจดี อยู่ที่พี่จะยอมรับหรือเปล่า”


               ฟางซินหนีจากบทสนทนาด้วยการหลับตาทิ้งไว้แต่หย่งหนานที่ยังว้าวุ่น เขาก้าวออกจากห้องอย่างเงียบๆทั้งที่สมองและ

หัวใจของเขาอื้ออึงไปด้วยคำถามถึงทางเดินที่เขาควรจะเลือก








               เหวินเป่าที่กลายเป็นพี่เลี้ยงฮุ่ยจงอุ้มเด็กชายตัวป้อมเข้ามาหามารดาในยามค่ำดังเช่นทุกคืนก่อนจะพาฮุ่ยจงไปนอนที่ห้อง

ระยะหลังเหวินเป่าต้องย้ายไปนอนห้องเดียวกับเด็กน้อยเพราะพี่เลี้ยงของฮุ่ยจงต้องมาผลัดเปลี่ยนกับเหม่ยฮัวดูแลฟางซิน

               ฮุ่ยจงหัวเราะเอิ้กอ้ากในอ้อมกอดของเหวินเป่า ฟางซินพอจะยิ้มออกเมื่อได้เห็นบุตรชาย เหวินเป่าพยายามใช้ความสดใส

ของตัวเองช่วยบรรเทาความเศร้าให้ฟางซินแต่ก็ไม่ค่อยได้ผลนัก นายหญิงที่แสนดีกลับดูแย่ลงทุกวัน


               “เหวินเป่า ส่งเซียวจงให้เหม่ยฮัวไปเดินเล่นข้างนอกแล้วเธอจงอยู่พูดคุยกับฉันสักประเดี๋ยวเถิด”


               หนุ่มน้อยไม่อิดออด เขาส่งเด็กชายร่างป้อมให้เหม่ยฮัวรับไปนอกห้องตามคำสั่งจนเหลือเพียงเขาและฟางซินเพียงลำพัง


               “นายหญิงมีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่าครับ”


               เหวินเป่าถามด้วยความหวังดี หากฟางซินต้องการสิ่งใดเขาจะรีบไปทำให้ทุกอย่างแม้ว่าจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม ฟางซินท

อดสายตามองด้วยความเอ็นดู


               “มีสิ งานสำคัญด้วย ฉันจะฝากให้เธอดูและเซียวจงและนายท่านของเธอหากว่าฉันไม่อยู่”


               เหวินเป่าเอะใจ เขารู้สึกไม่ดีกับคำพูดของฟางซินเลยแม้แต่นิด


               “นายหญิงจะไปไหนครับ ไกลไหม แล้วนานกี่วัน”


               ฟางซินทอดถอนลมหายใจ หญิงสาวเบนสายตาเหม่อมองไปบนเพดานราวกับมันเป็นท้องฟ้าแสนสวยสำหรับเธอ


               “ไม่รู้สิว่าจะนานไหม ฉันเหนื่อยและทรมานมาเยอะแล้วอยากจะพักผ่อนบ้าง เห็นเธอดูแลเซียวจงได้เป็นอย่างดีฉันก็เบาใจ

และอีกอย่างที่ฉันขอคำมั่นสัญญาจากเธอ”


               หญิงสาวหันกลับมาสบตากับเหวินเป่าและเอ่ยขอคำสัญญานั้น


               “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าทิ้งพี่หย่งหนานไป เธอจะให้คำมั่นสัญญากับฉันได้ไหมเหวินเป่า”


               “นายหญิง!”


               เหวินเป่านิ่งงันไปกับคำขอร้องของฟางซิน เขาไม่กล้าหลบสายตาที่มองเขาด้วยความหวังเต็มเปี่ยม


               “จงเป็นตัวแทนดูแลสามีและลูกชายของฉันทดแทนที่ฉันทำไม่ได้ ดูแลและรักทั้งสองคนอย่างที่เธอทำอยู่ในตอนนี้และ

ตลอดไป ฉันขอเธอเพียงเท่านี้เธอจะทำให้ฉันได้หรือเปล่า”


                เหวินเป่าร้อนจมูกไปหมด เขาต้องกลั้นน้ำตาไว้อย่างยากเย็น ฟางซินมองลึกเข้ามาในดวงตาจนดำดิ่งไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจ

และเหวินเป่าไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าฟางซินล่วงรู้ความรู้สึกของเขา


               “ผมสัญญาครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะอยู่เคียงข้างนายท่านและคุณชายน้อย”


               ตัดสินใจเอ่ยออกมาจากหัวใจ ฟางซินยิ้มรับพร้อมกับหยดน้ำตาที่รินไหล


               “แค่เธอสัญญาฉันก็วางใจทุกอย่างแล้ว ขอบใจนะเหวินเป่า ขอบใจจริงๆ วันนี้ฉันคงหลับฝันดีที่ได้ยกความกลัดกลุ้มออกจาก

อก”


               หญิงสาวหลับตาลงโดยที่ยังไม่ได้ทำให้ความสงสัยของเหวินเป่ากระจ่างแจ้ง เขายังงงงันว่าทำไมฟางซินต้องคาดคั้นให้เขา

เอ่ยปากรับคำสัญญา แต่เพราะฟางซินผล็อยหลับไปอย่างง่ายดายเหวินเป่าจึงไม่กล้าจะถามเพื่อคลายความข้องใจ เขาย่องออกมาจาก

ห้องเพราะว่ากลัวฟางซินจะตื่นก่อนจะรับฮุ่ยจงมาจากเหม่ยฮัวเพื่อไปนอนในห้อง


               เหวินเป่านอนหลับเคียงข้างเด็กชายตัวน้อยจนใกล้รุ่งสางจึงได้สะดุ้งตื่นพร้อมกับคนทั้งบ้านเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของ   

เหม่ยฮัว เหวินเป่ารีบวิ่งออกไปยังห้องของฟางซินเพื่อที่จะพบว่าหย่งหนานกำลังประคองร่างอันไร้วิญญาณของภรรยาเข้าสู่อ้อมกอด

เป็นครั้งสุดท้าย




มีต่ออีกนิด...

หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 23-03-2017 00:34:26
ต่อกันตรงนี้....




               งานศพของฟางซินทำตามประเพณีจนกระทั่งครบเจ็ดวันจึงได้นำร่างไปฝังไว้ที่หลุมฝังศพของสกุลเฉิน ตลอดเวลาที่ผ่านไป

เหวินเป่ายังคงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อในคืนนั้นหลังจากได้พูดคุยกับเขาแล้วฟางซินก็นอนหลับเช่นปกติ แต่เมื่อเหม่ยฮัวที่นอน

อยู่ด้วยในห้องลุกขึ้นมาในตอนย่ำรุ่งเพื่อมาดูแลเจ้านายก็กลับพบว่าฟางซินนอนนิ่งหน้าซีดเขียวหมดลมหายใจไปแล้ว

               ใบหน้าของหญิงสาวดูอิ่มเอิบกว่าครั้งยังมีชีวิตด้วยซ้ำเมื่อเหวินเป่าอุ้มฮุ่ยจงมาเคารพศพมารดา เขาไม่ได้พูดคุยปลอบใจหย่ง

หนานที่เต็มไปด้วยความสลดหดหู่ และชายหนุ่มก็ต้องวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานศพของภรรยาที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย

จนถึงวันนี้ วันที่พวกเขาส่งวิญญาณฟางซินไปสู่สวรรค์

               บ้านสกุลเฉินกลับเข้าสู่สภาวะเดิมเพียงแต่ขาดสะใภ้คนเล็กไปแล้ว ค่ำคืนนี้บ้านหลังเล็กของหย่งหนานยิ่งเงียบเหงากว่าเคย

เมื่อต่อจากนี้จะไม่มีฟางซินอีกต่อไป หย่งหนานนึกสะท้อนใจเมื่อเขาคิดถึงความดีที่ฟางซินมีต่อเขา ความคิดถึงภรรยาทำให้หย่งหนาน

ก้าวเดินไปยังห้องนอนของฮุ่ยจงพยานรักของเขากับฟางซิน

               บุตรชายที่ยังไร้เดียงสาไม่รู้เลยว่ามารดาจะไม่กลับมาหาตน บัดนี้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเคียงข้างด้วยร่างบางที่นอนตะ

แคงกอดฮุ่ยจงไว้ราวกับจะมอบความอบอุ่นให้เด็กน้อยทดแทนที่ขาดหายไป หย่งหนานเลื่อนสายตาไปมองเสี้ยวหน้าหวานที่เขาแทบ

ไม่มีเวลาใส่ใจเมื่อต้องจัดการกับเรื่องราวอันแสนเศร้า ตลอดเวลาเขาเห็นเหวินเป่าคอยช่วยงานราวกับไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย มัน

ทำให้เขายิ่งรู้สึกผูกพันลึกซึ้งกับหนุ่มน้อยตรงหน้ามากขึ้นทุกที

                อดใจไม่ไหวที่จะใช้ปลายนิ้วแตะไล้ไปบนแก้มนุ่มด้วยความคิดถึงจนเจ้าของแก้มสะดุ้งเบาๆและลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด

สลัว มีเพียงแสงจากโคมไฟเท่านั้นแต่หย่งหนานก็ชัดเจนเสมอในสายตาของเขา เหวินเป่ายันกายลุกขึ้นมานั่ง เขามองสบตากับหย่ง

หนานด้วยความห่วงใยเพราะรู้ว่าชายหนุ่มตั้งใจจัดงานศพเพื่อภรรยา


               “นายท่านเป็นอย่างไรบ้างครับ หิวหรือเปล่า ถ้าหิวผมจะไปหาอะไรมาให้รองท้อง”


               “ไม่ต้องวุ่นวายไปหรอกเหวินเป่า ฉันยังไม่หิว”


               หย่งหนานปรามอีกฝ่ายไว้ เขาเพียงอยากเห็นใบหน้าหวานให้ชื่นแก่ใจอันหม่นหมองเท่านั้น


               “เธอล่ะ เหน็ดเหนื่อยจากงานบ้างหรือเปล่า”


               เหวินเป่าส่ายหน้า เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิดเพราะเขาเองก็รักและเทิดทูนฟางซินมาก


               “ผมไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อยครับ ผมอยากช่วยให้งานศพของนายหญิงออกมาดีที่สุด ต่อจากนี้จะไม่มีนายหญิงอยู่ด้วยแล้ว”


               สีหน้าของเหวินเป่าสลดลงทันที เขาหันไปมองฮุ่ยจงที่หลับสนิทอยู่กลางเตียง


               “สงสารคุณชายน้อยเหลือเกินที่ต้องกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็ก”


               หย่งหนานมองความผูกพันที่เหวินเป่ามีต่อฮุ่ยจงด้วยความตื้นตัน พลันคำพูดสุดท้ายของฟางซินก็ดังก้องอยู่ในหัว


               “ไม่ว่าใครจะพูดติฉินอะไร อย่าให้พวกเขาเข้ามาทำให้หัวใจรักของพี่สั่นคลอน อย่าให้ม่านประเพณีขัดขวางทางเดินชีวิตของ

พี่ น้องอยากเห็นพี่มีความสุข”


              นึกขอบคุณภรรยาที่เข้าใจเขาจนถึงวาระสุดท้าย เขานึกโกรธความกลัวในจิตใจของตนเองที่ไม่กล้าจะยอมรับความจริง คำสั่ง

เสียของฟางซินทำให้เขาได้คิด

               หย่งหนานรักเหวินเป่า และเขาจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดมาขัดขวางเส้นทางรักของเขาอีกแล้ว

               ปลายนิ้วสากประคองกรอบหน้าหวานให้หันกลับมาสบตากับเขา หย่งหนานจ้องมองใบหน้านั้นจนหัวใจของเขาแช่มชื่นราวกับ

ต้นไม้แล้งน้ำที่ได้พบกับฝนแรกของฤดูกาล

                “หากเธอสงสารเซียวจงนักเธอก็จงดูแลเขาทดแทนที่เขาต้องเสียแม่ไป ได้หรือไม่อากุย”


               น้ำเสียงทอดหวานอย่างที่เหวินเป่าไม่เคยได้ยินมาก่อน และนั่นทำให้เหวินเป่าไม่อาจเอ่ยคำใดได้อีกจนกระทั่งกลีบปาก

ของเขาถูกปิดลงด้วยจุมพิตจากบุรุษที่เขาหลงรักมาตั้งแต่แรกเจอ



                                   TBC



                        อั๊ยยะ หน้ากระดาษหมด!!

                          :m29: :m29:





หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 23-03-2017 00:55:58
สงสารฟางซิน ขอให้อากุยกับนายท่านผ่านทุกอย่างไปไ้ด้วยดี
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 23-03-2017 07:06:08
แว้กกกกกกกกกกก ค้างไปอี๊กกกก :ling1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 23-03-2017 07:48:38
 :mew4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 23-03-2017 08:01:31
ตัดฉับบบบบเช้ยยย
สงสารฟางซิน แต่นางก็เป็นสตรีที่ฉลาดจริงๆ
หย่งหนานไหนเฮียบอกเข้าห้องมาหาลูก
เจ้ว่าไม่ใช่ละนะ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 23-03-2017 09:44:48
ฟางซินเป็นผู้หญิงคนนึงที่ใช้ชีวิตได้สวยงามตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่มีที่ติเลยจริงๆ
หย่งหนานโชคดีที่มีทั้งอาเปากับฟางซินที่รัก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-03-2017 12:13:19
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 23-03-2017 12:31:46
สงสารนางจัง
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 23-03-2017 13:59:50
ฟางซินนางคือนางฟ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 23-03-2017 18:56:27
ทำไมทำอย่างเน้~~~~~
ฟางซินนางเข้าใจสามีอย่างดีแท้ 
ลุ้นให้อากุยกะหย่งหนานฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sujusaranghae ที่ 24-03-2017 06:20:53
สงสารฟางซิน นางจะดีไปไหน
ต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของหย่งหนานแล้วเนอะว่าจะให้เหวินเป่าอยู่ในฐานะอะไร
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 24-03-2017 10:07:22
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 25-03-2017 00:10:37


                                                                                ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                                         บทที่ 19



               หัวใจของเหวินเป่าเต้นไหวระรัวและร่างกายนั้นก็ยังสั่นสะท้าน ผิวหนังของเขาร้อนวูบวาบไปหมดเมื่อกลีบปากนุ่มราวกับ

กุหลาบสดแดงฉ่ำถูกริมฝีปากแห้งสากของชายชาติทหารครอบครองไว้จนหมดสิ้น ราวกับอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาอ่อนด้อยซึ่งประสบการณ์

หย่งหนานจึงไม่ได้เร่งเร้าเอาแต่ใจ เขาค่อยๆและเล็มความหวานทีละเล็กทีละน้อยอย่างใจเย็นเพื่อให้เจ้าหนูตัวน้อยที่แสนไร้เดียงสาได้

คุ้นเคยกับสัมผัสเย้ายวนที่พยัคฆ์เช่นเขากำลังสอนให้รู้จัก

               ปลายนิ้วที่ประคองกรอบหน้างามแตะไล้มาถึงมุมปาก หย่งหนานกดน้ำหนักแผ่วเบาเพื่อให้ริมฝีปากนั้นเปิดทางให้เขาสอด

ลิ้นเข้าไปช้าๆ ร่างบางสะดุ้งจนเขาต้องโอบกอดเข้าไว้เพื่อให้ความตื่นกลัวนั้นพอจางหายไปได้บ้าง เขาค่อยๆเพิ่มน้ำหนักลงไปจนเหวิน

เป่าเผยอริมฝีปากกว้างขึ้น และเขาพลันตวัดลิ้นครอบครองลิ้นเล็กไว้ทันที


               “อื้อ อึก”


               หนุ่มน้อยในอ้อมกอดสำลักเบาๆหย่งหนานทำเพียงแค่ผละออกแค่เล็กน้อยให้เหวินเป่าพอได้สูดลมหายใจเพิ่มเติมเข้าไป

หลังจากนั้นเขาก็ตวัดลิ้นเกี่ยวพันความหวานราวกับภมรหนุ่มที่กำลังไล่เก็บเกี่ยวน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ จมูกโด่งกดลงที่แก้มเนียน

เพื่อสูดดมความหอมของเนื้อนุ่มจนชื่นใจ เพียงแค่เริ่มต้นหย่งหนานก็หลงไปกับความหอมหวานของเหยื่อที่เขากำลังครอบครองเสีย

แล้ว


               “ว่าอย่างไรเล่าเด็กน้อยของฉัน”


               หย่งหนานทวงคำตอบอยู่ข้างหู น้ำเสียงของเขาแทบจะไม่ได้หลุดลอดลำคอออกมาแต่เหวินเป่าก็ฟังได้ถนัดใจนัก กลิ่นกาย

ของบุรุษผู้งามสง่าโรยรินเข้าจมูกชักชวนให้เตลิดจนมิอาจยับยั้งหัวใจไว้ได้อีก เหวินเป่าทั้งอยากจะวิ่งหนีเพราะความขัดเขินแต่อีกใจ

หนึ่งก็อยากจะสัมผัสให้ลึกซึ้งถึงความปรารถนาต่อวีรบุรุษของเขา


               “ผมเป็นชาย...”


               “แต่ฉันรักเธอ”


               ดูจะไปด้วยกันไม่ได้เลยกับบทสนทนานั้น หากแต่มันกลับต่อกันได้เป็นอย่างดี ดวงตาสองคู่สบประสานค้นคว้ากันอยู่

ท่ามกลางความมืดสลัวเพื่อรอคำตอบที่ต่างมีให้แก่กัน


               “เธอมิได้รักฉันอย่างที่ฉันรักเธอหรืออากุย”


               ปลายเสียงตัดพ้อทำให้เหวินเป่าใจหาย สีหน้าผิดหวังของหย่งหนานเป็นภัยต่อหัวใจจนต้องรีบวางมือเรียวไว้บนบ่ากว้าง

พร้อมทั้งละล่ำละลักคำตอบออกไปทันที


               “ผมรักนายท่าน ผมเฝ้ารอนายท่านมาตลอดตั้งแต่เด็กๆและผมก็จะรักนายท่านตลอดไปนะครับ”


               “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เธอยินดีที่จะอยู่กับฉัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับฉัน อยู่เป็นคู่คิดให้กับฉันหรือเปล่าอากุย”


               เหวินเป่าไม่คิดจะปฏิเสธ ต่อให้หย่งหนานไม่ร้องขอเขาก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เขาอยากเคียงคู่กับหย่งหนานไม่ว่า

จะด้วยสถานะใดก็ตาม


               “ได้สิครับ ผมจะอยู่กับนายท่าน”


               หย่งหนานลอบยิ้มในความมืด ดวงตากระจ่างใสบอกให้รู้ว่าเหวินเป่าเปิดเผยความในใจออกมาจนหมดสิ้น มันเป็นความยินดี

อย่างที่สุดสำหรับหย่งหนานที่เขาได้รู้จักความรักอันแท้จริงหลังจากที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับฟางซินด้วยหน้าที่ประกอบกับความสงสาร และ

ตอนนี้หย่งหนานก็ไม่ต้องการรีรออะไรอีกต่อไปแล้ว

               ร่างบางถูกประคองให้เอนกายกลับไปบนที่นอนนุ่มอีกครั้ง เหวินเป่าเบิกตากว้างเพราะรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปหากว่า

แผ่นหลังแตะกับที่นอนไปแล้ว เลือดในกายวิ่งวนกันให้วุ่นหัวใจเต้นเร็วแรงทั้งความอยากรู้อยากเห็นและความหวาดหวั่นในสิ่งที่เขาไร้

ประสบการณ์


                “นายท่าน เอ่อ คุณชายน้อยอยู่ด้วยนะครับ”


               “เซียวจงหลับสนิทแล้ว เขาคงหลับยาวตลอดทั้งคืนตามประสาเด็กน้อย เธออย่าวิตกไปเลย”


               หย่งหนานไม่หลงกล ดวงตาคมทอดมองใบหน้างดงามราวกับสวรรค์สร้างอย่างหลงใหล ความขัดเขินของเหวินเป่ายิ่ง

ชักชวนให้เขาต้องการเป็นเจ้าของครอบครองทั้งหัวใจและร่างกายนี้ มือใหญ่ขยับถอดดึงเสื้อผ้าของเหวินเป่าออกทีละชิ้น หลังมือสัมผัส

ไปกับผิวนุ่มอย่างจงใจเพื่อสร้างความคุ้นเคยจนในที่สุดเหวินเป่าก็เหลือเพียงเรือนร่างงดงามนวลเนียนอวดสายตาอยู่ในความมืดสลัว


               “อยะ อย่าจ้องแบบนั้นสิครับนายท่าน”


               เหวินเป่าอับอายเหลือเกิน ดวงตาคมแสนดุยามสั่งการกับทหารทั้งกองทัพบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความพอใจเมื่อได้จ้องมอง

ร่างกายของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เหวินเป่านึกอายจนต้องยกมือมาปิดบังจุดอ่อนไหวแต่กลับถูกมือใหญ่ขัดขวางด้วยการดึงมือ

เขาไปกุมไว้


               “ร่างกายของเธองดงามมาก อย่าเขินอายไปเลยเด็กน้อยของฉัน รู้หรือไม่ว่าตอนนี้ฉันปรารถนาในตัวเธอมากแค่ไหน”


               ไม่เพียงบอกกล่าวด้วยคำพูด หย่งหนานยังบอกด้วยการกระทำของเขา ชายหนุ่มถอดเสื้อผ้าตนเองอย่างรวดเร็วและเป็นฝ่าย

อวดร่างกายแข็งแกร่งของตนบ้าง เหวินเป่าได้แต่กัดริมฝีปากตนเองเมื่อเขาไม่สามารถละสายตาจากร่างอันสมชายชาตรีได้ หย่งหนาน

สูง ไหล่กว้างหนา ผิวกายสีเข้มกว่าชาวจีนทั่วไปเพราะคร้ามไอแดดจากการที่ต้องฝึกปรือทหารในกองทัพ ปรากฏรอยแผลเป็นจางๆ

หลายรอยอยู่ตามแผ่นหลังและชายโครงแต่มันกลับช่วยเสริมให้ชวนมองมากขึ้นไปอีก แผงอกล่ำไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งเป็นลอนมา

ถึงกลางลำตัว

               ไล่สายตามาถึงจุดกึ่งกลางกายเหวินเป่าก็ถึงกับสะดุ้ง แก้มนวลฉีดสีแดงเปล่งปลั่งจนหย่งหนานอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออก

มาอย่างเอ็นดู เขาเอนกายลงนอนตะแคงเคียงข้างพลางวางมือไปบนเนื้ออุ่นแล้วเลื่อนมือลูบไล้ ผิวกายของเหวินเป่าช่างนุ่มมือไปทุก

สัดส่วน

               หย่งหนานจูบเบาๆที่ลาดไหล่ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสูดดมความหอมของเนื้อกายที่ซอกคอระหง เขาขยับขึ้นไปทาบทับอยู่บน

กายโปร่งบังคับไม่ให้เหวินเป่าขยับหลีกหนีเมื่อเขาปรนจูบขบเม้มทีละส่วน หนุ่มน้อยสะท้านไปเสียทุกจุดที่ริมฝีปากร้อนนั้นสร้างรอยสีระ

เรื่อแสดงความเป็นเจ้าของไว้บนร่างกายของเขา


               “อื้อ นายท่าน!”


               ผวาเฮือกเมื่อเป้าหมายใหม่ของหย่งหนานคือยอดอกสีชมพูสะดุดตาบนกายขาว เขาจูบมันเพื่อทักทายก่อนจะงับกลืนเข้าไป

และโลมเลียด้วยปลายลิ้น ร่างบางแอ่นกายเข้าหาทันที เหวินเป่าตวัดแขนโอบกอดไปรอบลำคอของเขาอย่างไม่รู้ตัวขณะที่หย่งหนาน

วางมือร้อนของเขาไปบนต้นขานุ่มมือและบีบเค้นเบาๆ


               “เธอหอมมากเลยรู้ไหม”


               หย่งหนานเผลอรำพันออกมาอย่างติดใจ


               “ทั้งหอมและหวานจนฉันอยากจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว”


               ปากร้อนเลื่อนต่ำลงไปวนเวียนอยู่แถวท้องน้อยจนเหวินเป่าเกร็งไปหมดทั้งตัว เขาสะดุ้งอีกครั้งเมื่อจุดอ่อนไหวถูกกระชับ

กอบกุมด้วยมือสาก หนุ่มน้อยไร้เดียงสาพลันผวากระเจิดกระเจิงทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่าปลายมนถูกโลมไล้กระตุ้นให้ตื่นตัวก่อนที่เขาจะรับรู้

ถึงความเปียกชื้นเมื่อหย่งหนานกลืนกินมันเข้าไปอย่างที่เขาบอกออกมาจริงๆ


               “ฮึก นายท่าน อย่าทำเช่นนั้นมันไม่ดีครับ”


               เหวินเป่าสำนึกตนเองอยู่เสมอว่าต่ำต้อยแค่ไหน การที่หย่งหนานกระทำเช่นนี้ทำให้เขานึกละอายใจ หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่

ยอมหยุด ซ้ำร้ายยังกลืนกินเข้าไปจนหมดอย่างถูกใจและดูดดุนจนร่างกายของเหวินเป่าตื่นตัวจนต้องบิดกายไปมาอย่างทรมาน


               “นะ นายท่าน ผม อ๊า...”


               หายใจหอบหนักเมื่อหย่งหนานกระชากเขาขึ้นไปสู่จุดสุงสุดบนปุยเมฆ เหวินเป่าตัวสั่นเมื่อหย่งหนานยังไม่ยอมหยุด เขาดูด

กลืนน้ำคาวที่เหวินเป่าปลดปล่อยออกมาเป็นคราแรกเข้าปากจนหมดสิ้น หนุ่มน้อยได้แต่แหงนหน้ามองเพดานห้องกับประสบการณ์ใหม่

ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน


               “เธอกำลังทำให้ฉันคลั่ง”


               หย่งหนานกล่าวเสียงแหบพร่าเมื่อเขาคืนอิสระให้กับเหวินเป่า เขาชันกายขึ้นมองใบหน้าหวานที่บัดนี้แดงก่ำลามมาถึง

หน้าอก ดวงตาคู่เรียวเบิกกว้างฉ่ำหวานด้วยน้ำหล่อเลี้ยง ริมฝีปากเผยอหอบเบาๆชวนให้บดขยี้ลงไปด้วยไฟปรารถนา หย่งหนานปลุก

เร้าจนร่างกายนี้พร้อมแล้วที่เขาจะได้ครอบครองเสียที


               “เป็นของฉันทั้งกายและใจเถิดนะอากุย”


               เสียงเรียกชื่อของเขาคราวนี้ชวนให้รู้สึกหวามไหวกว่าครั้งไหนๆ และเหวินเป่าก็ไม่อาจดึงดันได้อีกต่อไปเมื่อร่างแกร่งโน้มลง

มาทาบทับอีกครั้งพร้อมปรนจูบที่หนักหน่วงและเร่าร้อนกว่าเคย ท่อนล่างของเขาถูกบดเบียดด้วยความแข็งขืนชวนให้ตกใจ เรียวขาของ

เขาถูกแยกออกจากกันด้วยสะโพกหนาและทันใดนั้นท่อนลำแข็งแกร่งที่อดทนรออยู่นานแล้วก็เปิดทางด้านนอกเข้าไปทันที


               “อึก นายท่าน!”


               สะดุ้งวาบไปทั้งตัวเมื่อช่องทางถูกล่วงล้ำ ความเจ็บแปลบโถมเข้ามาจนขนตาเปียกชื้น หย่งหนานต้องปลุกปลอบด้วยจุมพิต

หวานอีกพักใหญ่กว่าเหวินเป่าจะดีขึ้น เขาเองไม่รีบร้อนเพราะไม่อยากให้คนที่เขารักต้องเจ็บไปมากกว่านี้


               “ดีขึ้นไหม อย่าเกร็งนะลูกเต่า”


               เขาสบตาหวานที่กลอกไปมาด้วยความหวาดหวั่น


               “นายท่าน ผมกลัว”


               หย่งหนานลูบผมนุ่มอย่างอ่อนโยน เขาสอดแขนเข้าไปใต้บ่าและโอบกอดร่างเล็กไว้


               “อย่ากลัวไปเลย ไว้ใจฉันนะอากุย ฉันจะไม่ทำให้เธอเจ็บไปมากกว่านี้”


               เขาสัมผัสร่างกายบอบบางด้วยความรักอีกครั้ง หย่งหนานปรนเปรออยู่รอบยอดอกอันแสนหวานสลับกันทั้งสองข้างจนกระทั่ง

ได้ยินเสียงครางแผ่วมาจากริมฝีปากอ่อนนุ่ม เขาค่อยๆดันกายเข้าไปช้าๆในช่องทางแสนบริสุทธิ์ ช่องทางนั้นทั้งอุ่นและชื้นมันบีบตัว

รองรับการประสานกายของเขาจนหย่งหนานนึกอยากจะสบถออกมา เขาอยากจะครอบครองร่างกายนี้เหลือเกิน




มีต่ออีกนิด....




หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 25-03-2017 00:15:04
ต่อกันตรงนี้...




               “เก่งมาก ตอนนี้เธอเป็นของฉันแล้วนะ”


               กระซิบบอกสถานะเมื่อเขาดึงดันเข้าไปได้จนหมด เม็ดเหงื่อผุดออกมาอยู่ตรงขมับของเหวินเป่า หนุ่มน้อยรับรู้ถึงการครอบ

ครองเมื่ออีกฝ่ายเติมเต็มอยู่ในช่องทาง ความเจ็บปวดในคราแรกจางหายไปบ้างแล้วและทดแทนด้วยความต้องการที่หย่งหนานปลุกขึ้น

มา


               “อื้อ นะ นายท่าน ผม ผม...”


               เหวินเป่ากัดฟันเมื่อเอวแกร่งดึงตัวเองออกจนใจหาย จากนั้นเขาก็ต้องตกใจเมื่อหย่งหนานดันกายกลับเข้ามาอีกครั้ง ช่อง

ทางของเขาถูกเสียดสีไปด้วยความร้อนระอุเมื่อหย่งหนานกระทำเช่นนั้นหลายครั้งเข้า และเมื่อครั้งหนึ่งที่ท่อนลำนั้นกระแทกเข้าสู่จุด

หนึ่งภายในเหวินเป่าก็ถึงกับเผลอร้องลั่นจนเกรงว่าเด็กชายฮุ่ยจงจะตื่น

               หย่งหนานคำรามในลำคอเมื่อค้นพบจุดสำคัญเข้าแล้ว ร่างนุ่มที่อยู่ใต้ล่างผวาเข้ากอดเขาทั้งแขนและขาโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว

แขนทั้งสองของเหวินเป่าโอบกอดอยู่รอบลำตัวชื้นเหงื่อของเขา เรียวขากอดเกี่ยวรัดแน่นขณะที่เขาขยับเอวเร่งจังหวะ เมื่อรู้ดังนั้นหย่ง

หนานก็ไม่รอช้าเขามุ่งเป้าไปที่จุดซ่อนเร้นภายในจนช่องทางฉ่ำชื้นไปหมด


                “โอ เด็กน้อยของฉัน ฉันใกล้จะบ้าเพราะเธอแล้ว”


               ร่างกายของเหวินเป่าบีบคั้นรอบลำกาย หย่งหนานถึงกับหน้ามืดเมื่อเห็นสวรรค์อยู่รำไร เหวินเป่าเกร็งไปทั้งตัวดวงตาคู่หวาน

มองสบกับเขาอย่างร้องขอ


               “นายท่าน ผมไม่ไหวแล้ว”


               หย่งหนานช่วยคนที่เขารักให้ถึงฝั่งฝันอีกครา ท่อนเนื้อนุ่มของเหวินเป่าถูกเขากอบกุมเอาไว้ในมือใหญ่ เหวินเป่าหลับตาพ่น

เสียงครางยาว สีหน้าราวกับเจ็บปวดพลันสลายไปทันทีจนกลายเป็นล่องลอยเมื่อหย่งหนานรีดน้ำออกจนหมดสิ้น ส่วนตัวเขาเองก็ทนไม่

ไหวเช่นกัน หย่งหนานชันกายทรงตัวด้วยเข่าทั้งสอง เขาจับปลายเท้าของเหวินเป่าให้แยกกว้างก่อนที่เขาจะเร่งความเร็วจังหวะสุดท้าย

เพื่อจะติดตามเหวินเป่าไปสู่ความหฤหรรษ์

               ทิ้งกายลงไปกับร่างนุ่มและพากันหอบหายใจเหนื่อยหนัก รอจนหายเหนื่อยหย่งหนานจึงได้ค่อยๆดึงเอวออกช้าๆ เหวินเป่า

กลั้นใจเมื่อหย่งหนานดึงกายออกไปจนหมด เขาใจหายเมื่อร่างกายพลันโหวงว่าง ระหว่างนั้นหย่งหนานจูบเขาเบาๆเพื่อรับขวัญ


               “เธอเป็นเมียของฉันแล้วนะอากุย”


               ประโยคแสดงความเป็นเจ้าของทำให้เหวินเป่าเขินจัด เขาเบนสายตาหนีเพราะไม่กล้าสู้ตากับดวงตาคมที่มองเขาด้วย

ประกายตาพร่างพราวกว่าทุกครั้ง


               “นายท่าน...”


               “ฉันไม่ใช่นายท่านของเธออีกแล้ว”


               หย่งหนานคว้ามือเรียวมาจูบที่ฝ่ามือก่อนจะนวดเฟ้นเบาๆ


               “ฉันไม่ใช่เจ้านาย จงเลิกเรียกฉันว่านายท่าน”


               “แล้วจะให้ผมเรียกว่าอะไรล่ะครับ”


               เหวินเป่าเอียงคอมองอย่างฉงน ก็เขาเรียกหย่งหนานว่านายท่านมาตลอดจนไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปเรียกว่าอะไรดี หย่งหนานคลี่

ยิ้ม เขาพูดเสียงหวานจนหัวใจของเหวินเป่าเต้นรัว


               “เรียกฉันว่าพี่หย่งหนานสิ”


               หนุ่มน้อยชะงัก เพราะความเจียมตัวเจียมใจทำให้เขาไม่กล้าเรียกอีกฝ่ายแบบนั้น และดูเหมือนหย่งหนานจะมองออกว่าเขา

คิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มเชยคางมนไว้พลางพูดเสียงอ่อนโยน


               “เลิกดูถูกตัวเองเสียที เธอไม่ใช่คนต่ำต้อยนะอากุย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ยอมรับแต่แท้จริงเธอเป็นถึงราชนิกุลของจักรพรรดิแห่ง

ญี่ปุ่นฉันเสียอีกที่ต่ำต้อยกว่าเธอ และที่สำคัญคือเธอเป็นคนที่ฉันรัก”


               ประโยคสุดท้ายนั่นเองที่สร้างความมั่นใจให้กับเขา เหวินเป่าช้อนสายตามองก่อนจะพูดเสียงเบาออกมา


               “พี่หย่งหนาน”


               หย่งหนานอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้างุดหลบสายตาด้วยความขัดเขิน พวงแก้มฉ่ำไปด้วยเลือดวัยหนุ่มจนเขาต้องหอม

แก้มเสียให้ชื่นใจ


               “ไม่ได้ยินเลย พูดให้ดังกว่านี้ได้ไหม”


               หัวใจของเหวินเป่าแทบละลายด้วยเสียงหวานนั้น เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ชายชาติทหารหน้าดุออดอ้อนจะทำให้คนฟัง

ยินยอมทำทุกอย่างขนาดนี้


               “พี่หย่งหนาน พอใจหรือยังครับ”


               เหวินเป่าส่งเสียงดังประชดอย่างลืมตัวจนเด็กชายฮุ่ยจงสะดุ้งตื่น เหวินเป่าตกใจต้องรีบหันไปกล่อมให้เด็กน้อยคล้อยหลับไป

อีกครั้งก่อนจะหันมาเห็นบิดาของฮุ่ยจงมองมาสายตาเป็นประกาย


               “เพราะนายท่าน เอ๊ย พี่หย่งหนาน ดูสิ ทำให้ลูกตื่น”


               “สงสัยว่าจะต้องคืนตำแหน่งพี่เลี้ยงเด็กให้แม่นมตัวจริงเสียแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องมานอนกับเซียวจงเช่นนี้”


               “ให้ผมกลับไปนอนที่ห้องของผมใช่ไหมครับ”


               “ใครว่าล่ะ คืนพรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอต้องไปนอนกับพี่ที่ห้องของพี่ตลอดไป”


               “แต่ว่า...”


               “สามีภรรยาก็ต้องนอนห้องเดียวกัน เธออย่าปฏิเสธเลย ว่าแต่เมื่อสักครู่พี่ทำให้เธอเจ็บมากไหมลูกเต่าน้อย”


               คำถามของหย่งหนานทำให้เหวินเป่าหน้าแดงอีกครั้ง


               “เจ็บสิครับ แต่มันก็ทนได้...”


               “แล้วมีความสุขไหม”


               เหวินเป่ากลั้นใจพยักหน้า เขาอายจนไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี หย่งหนานสอนประสบการณ์ใหม่ให้เขาได้อิ่มเอมกับความ

ปรารถนาในความต้องการของมนุษย์ และยิ่งเป็นคนที่เขารักทุกอย่างก็ยิ่งมีความหมาย


               “พี่ขอแก้ตัวอีกครั้งจะได้ไหม”


               หนุ่มน้อยเบิกตากว้างพลันเงยหน้ามาสบตากับคนที่จ้องมองอยู่แล้ว หย่งหนานเหมือนย้อนวัยกลับมาสู่รุ่นเดียวกันกับเขาชวน

ให้ตะลึงมองเมื่อชายหนุ่มวางมือลงมาบนเรือนร่างขาวผ่องอีกครั้ง


               “คราวนี้พี่จะไม่ทำให้เธอเจ็บอีก พี่สัญญา”


               หย่งหนานไม่ปล่อยให้เขาได้ตอบโต้อะไรอีกเมื่อริมฝีปากของเขาถูกปิดไว้ด้วยจูบแสนอ่อนหวาน เหวินเป่าได้แต่พริ้มตาลง

และปล่อยให้ชายหนุ่มได้กระทำดังที่พูด ชีวิตที่แสนอาภัพของเหวินเป่าเพิ่งได้รู้จักคำว่าความสุขจากชายที่มอบชีวิตใหม่ให้เขาคนนี้



                                                                 TBC


                         ปลาบปลื้มมม มีความรู้สึกเหมือนแม่ที่ส่งลูกเข้าหอแต่งงาน 5555

                         มาเร็วๆค่า มาอวยพรให้คู่ข้าวใหม่ปลามันกันหน่อยเร้ววว

                                  :L1: :-[ :m1: :oni2:
               
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 25-03-2017 00:39:35
โอ๊ยนายท่านนนน พรากผู้เยาว์มากๆ
อากุยน่ารักก  :-[
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 25-03-2017 00:39:47
เดี๋ยวลูกตื่น
>\\\\\\<
น่าร้ากกกกกก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-03-2017 01:41:06
โอยยยยยยย ถ้าเล้ามีให้โหวตตัวละครหญิงดีเด่นเราจะโหวตฟานซินเลย
นางดีจนนาทีสุดท้ายจริงๆ

ว่าแต่หยงหน่านทำอะไรไม่เกรงใจลูกเลยนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 25-03-2017 01:49:40
ฉันไม่ใช่นายท่านของเธออีกแล้ว. จ้าาาาาา ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ เก็บกดมานานใข่ปะหย่งหนาน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 25-03-2017 07:27:56
5555เหมือนตายอดตายอยาก

ไม่ยั้งเลยนะหยงหนาน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 25-03-2017 07:52:21
ปลื้มปริ่ม หยดย้อย หอยหวาน เอ้ยๆ น้ำผึ้งเดือนห้า มีต่อรอบสองด้วยอ่ะ พี่หย่งหนาน กักเก็บมานานแสนนาน เพื่อเอามาใส่ลูกเต่า อิอิ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 25-03-2017 08:35:23
หวีดมากกกกกก กรี๊ดดดดเดเเ

ไม่เกรงใจเซียวจงเลยจริงๆๆ ขนาดตื่นมาทีแล้ว

ป๊ะป๋าก็ยังไม่หยุดจ้า 55555555 สงสัยอดอยากมานาน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 25-03-2017 09:19:12
เห็นเงียบๆเรียบๆ พี่หย่งหนานก็ใช่ย่อยนะจ๊ะ 5555
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 25-03-2017 10:01:48
เต่าน้อยน่ารัก โดนกินซะแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 25-03-2017 11:31:38
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sujusaranghae ที่ 25-03-2017 12:26:03
ในที่สุดดดดด เค้าก็เป็นของกันและกันแล้ว ดีใจจจจจจ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 25-03-2017 16:58:18
ในที่สุดก็มีวันนี้  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-03-2017 20:48:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-03-2017 21:01:41
พี่หย่งหนานนนนนนนนน
พี่จะออดอ้อนเกินไปแล้วววววว
หัวใจทำงานหนักมาก!

อากุยก็น่ารัก น่าแกล้งมาก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 25-03-2017 23:22:43
โถถถถ เต่าน้อยยยยย โดนกินสะดลยยยย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: oiw08 ที่ 26-03-2017 11:16:44
เต่าน้อยอากุย. โดนกินแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-03-2017 23:10:02
ตื่นเต้นมากกกก กลัวลูกตื่น 55555

ปล.ฮูหยินขอให้ไปสู่สุขตินะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 19 [25/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 27-03-2017 18:22:06
ดีงามมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 27-03-2017 21:12:24

                                                                            ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                                   บทที่ 20               
 
              ปลายปี คริสตศักราช 1947
               

               เฉินหย่งหนานไม่มีเวลาให้เรื่องส่วนตัวมากนักเมื่อความบีบคั้นทางการเมืองกำลังมีมากขึ้นทุกที ความหวังที่จะฟื้นฟูบ้าน

เมืองให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองนั้นแทบไม่มีเหลือ การสู้รบระหว่างพรรคชาตินิยมและสังคมนิยมเกิดขึ้นอย่างรุนแรงไปทั่วทุกมณฑลเพราะ

พรรคสังคมนิยมนั้นมีอาวุธต่อสู้อยู่ในมือด้วยการช่วยเหลือจากรัสเซีย

               รอยต่อหลังสงครามโลกสหรัฐอเมริกาชิงความเป็นใหญ่กับโซเวียตรัสเซียภายใต้การปกครองของสตาลินน์ที่ถือหางพรรค

สังคมนิยมอยู่แล้ว และเมื่อญี่ปุ่นแพ้ต่อสงครามรัสเซียก็บุกไปปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในแมนจูเรียทันที ส่วนฝ่ายรัฐบาลทหารแห่งชาติของ

จีนที่มีที่ตั้งอยู่ห่างไกลกว่าและต้องรอการช่วยเหลือจากอเมริกาจึงไม่ทันการที่จะเข้าไปแย่งชิง โซเวียตรัสเซียได้ส่งต่ออาวุธให้กับ

พรรคสังคมนิยมจนสามารถต่อกรกับกองทัพจีนได้เป็นอย่างดี

               เฉินจิ้งเหอนายกรัฐมนตรีผู้เป็นลุงของเขาก็กลัดกลุ้มกับเรื่องนี้ไม่แพ้กัน เศรษฐกิจที่ซบเซาลงทั่วโลกเพราะสงครามเย็น

ระหว่างมหาอำนาจของสองขั้วทำให้จีนยังมิอาจขับเคลื่อนการพัฒนาไปได้ ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายรัฐบาลและประกอบกับการ

โฆษณาชวนเชื่อของพรรคสังคมนิยมทำให้รัฐบาลทหารสูญเสียกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ


               “ผ่านมาเป็นปีแล้วแต่เรายังทำอะไรไม่ได้เลย”


               จิ้งเหอเอ่ยอย่างเคร่งเครียดกับหลานชายของเขาหลังการประชุมหารือในพรรคชาตินิยม แต่กลับยังหาข้อสรุปไม่ได้ ความ

เพลี่ยงพล้ำล่าสุดที่พวกเขาพ่ายแพ้ในมณฑลทางเหนือทำให้ฝ่ายรัฐบาลจีนเสียที่ตั้งสำคัญไปให้พรรคสังคมนิยม


               “อู๋จินไห่ฉลาดกว่าที่คิด และพวกเขายังได้แม่ทัพที่ดีด้วย”


               หย่งหนานเองก็ยอมรับ อู๋จินไห่ใช้ความอดทนในการแผ่ขยายอิทธิพลของเขาจากกลุ่มที่ใช้วิธีแบบกองโจรกลายมาเป็นผู้ที่

กำลังได้เปรียบสถานการณ์แย่งชิงอำนาจในขณะนี้ พวกเขาซื้อใจผู้คนด้วยความหวังและศรัทธาในการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีกว่า


               “ผมขอเรียนคุณลุงตามตรง”


                หย่งหนานตัดสินใจเอ่ยออกไปหลังจากที่คิดอย่างรอบคอบแล้ว


               “คุณลุงน่าจะต้องคิดหาหนทางเผื่อไว้เมื่อเราไปถึงเวลาอับจนที่สุดด้วยครับ”


               จิ้งเหอย่นหัวคิ้วเมื่อได้ฟังคำแนะนำของหลานชาย


               “หลานคิดว่าเราจะพ่ายแพ้”


               “การต่อสู้ย่อมมีแพ้ชนะ เราไม่ควรประมาทในทุกๆทาง”


               “ถ้าหยางซุนมาได้ยินที่หลานพูด พี่ชายของหลานคงจะโมโหมาก เพราะเขายืนกรานว่าเรายังต้านพรรคสังคมนิยมได้อีก

นาน”


               จิ้งเหอกล่าวถึงเฉินหยางซุนบุตรชายเลือดร้อนที่บัดนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำกองทัพบกของรัฐบาลทหาร


               “แต่ที่หลานคิดนั้นลุงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอาจจะเป็นไปได้แม้ว่าลุงจะไม่ต้องการ”


               “ผมเข้าใจดีครับ ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ทางที่ดีเราควรจะเตรียมรับมือในทุกทางที่เป็นไปได้ หากชนะก็ไม่เป็นไร

แต่หากเราเพลี่ยงพล้ำจะได้มีทางออกสำหรับผู้คนที่ยังภักดีต่อคุณลุง”


               “ใครบ้างล่ะที่หลานคิดว่าเราควรจะหาทางออกสำหรับพวกเขา”


               จิ้งเหอถามความคิดเห็น หลานชายของเขามันจะมีความคิดเห็นที่ดีให้เขาเสมอ หย่งหนานนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา


               “นอกจากทหารในกองทัพและประชาชนที่ยังเชื่อมั่นในรัฐบาลแล้ว ผมคิดว่าคุณลุงควรจะผูกสัมพันธ์กับนักธุรกิจหัวก้าวหน้า

ไว้ครับ”


               คำแนะนำของหย่งหนานสร้างสร้างความแปลกใจให้แก่จิ้งเหอเป็นอย่างยิ่ง


               “นักธุรกิจงั้นหรือ ลุงไม่เคยคิดประเด็นนี้เลย”


               “อู๋จินไห่มีชาวนาและกรรมกรเป็นกองกำลังให้เขา พรรคสังคมนิยมขายอุดมการณ์ให้กับผู้คนที่เชื่อว่าพวกเขาจะก้าวมาสู่

ความทัดเทียมในความเป็นอยู่ ดังนั้นพวกเขาจะมีศัตรูอยู่อีกกลุ่มหนึ่งคือเหล่าพ่อค้าทั้งหลาย พวกพ่อค้าเหล่านั้นไม่มีวันยอมให้พรรค

สังคมนิยมมากดหัวให้ต้องยอมมอบทรัพย์สินที่พวกเขาหามาได้อย่างเด็ดขาด หากคุณลุงซื้อใจบุคคลเหล่านี้ได้ คุณลุงจะมีกองกำลังที่

มีทั้งสมองและเงินทอง”


               จิ้งเหอคิดตามไปกับคำแนะนำอันชาญฉลาดก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ไม่เคยมีมานานนับปี เขามองหลานชายอย่างนึกทึ่งใน

สายตาและความคิดที่ราวกับหย่งหนานเป็นขงเบ้งกุนซือสมรภูมิรบครั้งโบราณ


               “หลานคิดได้ไกลและก้าวหน้ามาก ลุงภูมิใจเหลือเกินที่ได้หลานมาคอยช่วยเหลือ”


               ในวัยสามสิบต้นๆหย่งหนานกลายเป็นผู้นำที่น่าจับตามอง ทั้งหน้าตาและความสง่าผ่าเผยรวมถึงสายตาอันยาวไกลของเขา

จิ้งเหอหันกลับมามองหลานชายด้วยสายตาของผู้เป็นลุงหลังจากที่เขาไม่มีเวลาได้สนใจในเรื่องส่วนตัวของหย่งหนานมากนัก


               “ลุงเพิ่งรู้ข่าวมาว่าหลานกับหลินเหวินเป่าคนในปกครองของหลานที่เป็นบุตรของนายพลคิริซาวะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน

มาเนิ่นนานแล้ว ทั้งที่เราทั้งคู่ก็อยู่ร่วมกันในรั้วบ้านเดียวกัน”


               หย่งหนานชะงัก เขาไม่ได้ปิดบังความสัมพันธ์ของเขากับเหวินเป่า หากแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเปิดเผยต่อผู้ใดหลังจากที่เขาและเห

วินเป่าตกลงใจอยู่กินฉันสามีภรรยาเมื่อหลายเดือนก่อน มีเพียงคนงานและสาวใช้ในบ้านที่รับรู้เมื่อเขามีคำสั่งให้เหวินเป่าย้ายมาอยู่ห้อง

เดียวกันกับเขาแทนที่ฟางซินภรรยาที่เสียชีวิตไป


               แต่ความเป็นไปเหล่านี้ก็ไม่อาจปิดบังได้นานนัก ผู้คนในบ้านหลังใหญ่และบ้านของเฉินหยางซุนก็เริ่มจะรู้ข่าวแต่ก็ไม่มีผู้ใด

กล้าแสดงความคิดเห็นในเมื่อหย่งหนานเป็นหนึ่งในผู้นำของบ้านสกุลเฉิน จิ้งเหอประมุขสูงสุดของบ้านที่ใช้เวลาหมดไปกับการทำงาน

เพิ่งจะรู้ข่าวเมื่อไม่นานนี้แต่ก็หาโอกาสคุยกับหลานชายไม่ได้จนกระทั่งวันนี้


               “เป็นความจริงครับคุณลุง” หย่งหนานยอมรับ


                “ผมกับเหวินเป่ารักกัน และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแล้ว”


               จิ้งเหอมองหลานชายด้วยความห่วงใย เขาเลี้ยงลูกและหลานอย่างให้อิสระ จะมีก็แต่เรื่องการแต่งงานที่เขาจำเป็นต้อง

ขอร้องให้ทั้งคู่กระทำเพื่อภาระหน้าที่


               “หลานกับเด็กคนนั้นเป็นชายด้วยกันทั้งสองฝ่าย หลานไม่กลัวคำครหาหากผู้คนรู้เรื่องนี้งั้นหรือ”


               “คำครหาไม่ได้ทำให้ชีวิตของผมดีขึ้นหากผมเชื่อ ผมเชื่อในความรักที่ผมกับเหวินเป่ามีต่อกันมากกว่าครับ ที่ผมกังวลคงมีแต่

ความรู้สึกของคุณลุงเท่านั้นว่าจะต้องมาเสียชื่อเสียงเพราะผม”


               หย่งหนานกล่าวตอบจิ้งเหอด้วยน้ำเสียงสำนึกในการกระทำของตนที่ไม่อาจเป็นไปในจารีตของสังคม ในบางครั้งเขาก็นึก

เบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในสายตาของผู้คนจนมิอาจทำอะไรได้ดั่งใจคิด เมื่อจิ้งเหอมองเห็นสีหน้าของหลานชายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ


               “ช่างเถอะ อย่าได้กังวลใจไปเลย หากใครจะติฉินนินทาก็ให้เขาพูดไป ลุงไม่มีเวลามาฟังคำพูดของใครๆให้หนักสมองนัก

หรอก ความสุขของหลานย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่น ลุงเองก็เคยบังคับให้หลานต้องทำในสิ่งที่ไม่ถูกใจมาแล้วครั้งนี้ลุงจะขอแก้ตัว ในเมื่อ

หลานเลือกแล้วลุงก็ควรจะเชื่อมั่นในตัวหลาน ขอให้หลานมีความสุขในสิ่งที่หลานตัดสินใจ”


               หย่งหนานยิ้มออกในที่สุด เขายกมือทำความเคารพจิ้งเหอในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่มิใช่ในฐานะผู้นำการปกครอง


               “ขอบคุณครับคุณลุง ขอเพียงมีคุณลุงที่ยอมรับผมก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว”
               






               เหวินเป่าเดินออกจากอาคารผู้ป่วยของโรงพยาบาลฝรั่งที่หย่งหนานส่งเขามาช่วยงานพร้อมกับฝึกพูดภาษาอังกฤษอย่าง

อารมณ์ดี ตั้งแต่ตกลงใจใช้ชีวิตคู่กับหย่งหนานเขาไม่เคยพบเจอความทุกข์ใจอีกเลย เหวินเป่าใช้เวลาส่วนหนึ่งดูแลเด็กชายฮุ่ยจงที่โต

วันโตคืนจนพูดจาฉะฉานท่าทางฉลาดเหมือนพ่อและแม่ ฮุ่ยจงติดเหวินเป่ามากในช่วงแรกจนเพิ่งจะยอมห่างไปบ้างเมื่อเริ่มโตแล้วนี่เอง

               หย่งหนานสนับสนุนเรื่องการศึกษาเมื่อเหวินเป่าร้องขอ เขาส่งเหวินเป่าไปเรียนอ่านเขียนภาษาจีนจนคล่อง จากนั้นจึงให้เห

วินเป่ามาช่วยทำงานในโรงพยาบาลฝรั่งเพื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่หย่งหนานบอกว่าเป็นภาษาสากล ทุกวันนี้เหวินเป่าสามารถสื่อสารกับ

ชาวต่างประเทศได้อย่างไม่เคอะเขินแล้ว


                เดินใกล้ถึงรถลากที่เหวินเป่าจ่ายเงินค่าจ้างไว้เพื่อให้มารับส่งเขาเป็นประจำ อันที่จริงหย่งหนานต้องการให้เหวินเป่าใช้

รถยนต์ของทางสกุลเฉินมาคอยรับส่ง แต่เหวินเป่าเองที่เป็นฝ่ายปฏิเสธเพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สะดุดตานัก เท้าที่กำลังก้าวเดินพลัน

ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ


               “เหวินเป่า”


               หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีหันขวับไปมองทันที ดวงตาคู่หวานเบิกกว้างเมื่อเห็นต้นเสียง เป็นบุคคลที่เหวินเป่าไม่คิดว่าจะได้พบ

กันอีกแล้ว เขายิ้มกว้างด้วยความยินดีอย่างที่สุด


               “พี่ไป๋ซาน!”


               ต่างโผเข้าหากันด้วยความคิดถึง เขาและเยี่ยไป๋ซานเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายด้วยกันในสมัยก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้น

และต้องมาจากกันในวันที่ไป๋ซานหลบหนีไปจากคณะงิ้ว


               “ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งนะพี่ไป๋ซาน พี่เป็นอย่างไรบ้างสบายดีไหม คิดถึงพี่เหลือเกิน”


               เยี่ยไป๋ซานที่ไม่ได้พบกันถึงสามปีบัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่ใกล้เข้าสู่วัยสามสิบแล้ว รูปร่างหน้าตาของไป๋ซานไม่ได้เปลี่ยนไปนัก มี

เพียงริ้วรอยของวัยที่มากขึ้นกว่าเดิมและดวงตาที่บ่งบอกถึงความกร้านชีวิตมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เหวินเป่าเคยรู้จัก

                ไป๋ซานพิจารณาเหวินเป่าผู้ที่เคยสนิทสนมกันตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อพบกันอีกครั้งจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงถึงความงดงามอย่าง

เด่นชัด เมื่อก่อนนี้เด็กหนุ่มตรงหน้ามักจะอยู่ในสภาพมอมแมมจนแทบมองไม่เห็นหน้าตาแท้จริง แต่เพราะเขาสนิทกับเหวินเป่าจึงรู้ดีว่า

อีกฝ่ายนั้นมีเค้าหน้าสะดุดตาเพียงใด และเมื่อได้พบกันอีกครั้งในวันนี้เหวินเป่าก็กลับกลายเป็นผีเสื้อที่โบยบินอยู่กลางท้องฟ้า แวบหนึ่ง

ที่ไป๋ซานอดจะคิดอิจฉาไม่ได้เมื่อมองเห็นความผุดผ่องของผิวพรรณในวัยหนุ่มขณะที่เขากลับโรยราลงทุกที


                “สบายดีหลังจากที่หลุดพ้นนรกขุมนั้นมาได้”


                 ไป๋ซานยิ้มเย้ยให้กับชีวิตของเขาเมื่อถูกขายไปบำเรอความสุขให้กับนักการเมืองอยู่พักหนึ่งจนต้องตัดสินใจหนีไปจากคณะ

งิ้วและไปเผชิญโชคข้างหน้า


                “มีสุขและทุกข์บ้างตามอัตภาพกับสิ่งที่พี่เลือกเอง แล้วเราล่ะเหวินเป่าเป็นอย่างไรบ้าง”


               “ผมเกือบมีชีวิตเช่นเดียวกับพี่แต่โชคยังดีที่มีผู้ช่วยเหลือ พี่ไป๋ซานคงจำนายท่านของผมได้ สวรรค์นำทางให้เรามาพบกันอีก

ครั้ง”


                สีหน้าบ่งบอกถึงความสุขทำให้ไป๋ซานสงสัย เขาหรี่ตามองหนุ่มน้อยอดีตเพื่อนต่างวัยของเขา


               “อย่าบอกนะว่า เธอไปอยู่กับนายท่านของเธอที่เป็นหลานของนายกรัฐมนตรี”


                  แก้มแดงสุกปลั่งเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแม้ว่าเหวินเป่าจะไม่ได้กล่าวตอบ ไป๋ซานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สะกดความอยากรู้ไว้

เต็มที่


                 “เขาดูแลเธอดีอยู่หรือเหวินเป่า เขากดขี่ข่มเหงเธอหรือเปล่า”


                 “ไม่เลยพี่ไป๋ซาน พี่หย่งหนานยกย่องและให้เกียรติผมมากมายนัก เขาให้ในสิ่งที่ผมต้องการที่สุดคือการศึกษา อย่างเช่นที่

ผมมาที่นี่ก็เพื่อฝึกปรือภาษาอังกฤษเพื่อให้ผมมีวิชาความรู้ติดตัว”


                เหวินเป่าตอบอย่างภาคภูมิใจก่อนจะเป็นฝ่ายถามไถ่ชีวิตของไป๋ซานบ้าง


                “แล้วพี่ไป๋ซานล่ะ ตอนนี้อยู่กับใคร อยู่ที่ไหน”


               ไป๋ซานอึกอักไปชั่วครู่ เขาฝืนยิ้มให้เหวินเป่าและตอบคำถามอย่างไม่กระจ่างแจ้งนัก


               “พี่ก็ไปอยู่กับคนที่พี่เคยรู้จักสมัยที่เราทั้งสองเคยหนีสงครามไปในป่านั่นแหละและตอนนี้พี่ก็อยู่กับเขา ว่าแต่เราน่ะมาที่นี่ทุก

วันใช่ไหม เผื่อถ้าพี่คิดถึงพี่จะได้มาหาที่นี่อีก”


                ไป๋ซานเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปโดยที่เหวินเป่าไม่ทันสังเกต เขาอยู่สนทนากับไป๋ซานพักใหญ่ด้วยความดีใจก่อนจะลา

จากกันไปและรับปากว่าจะพบกันใหม่เมื่อมีโอกาส




มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 27-03-2017 21:18:08
ต่อกันตรงนี้...



                 เยี่ยไป๋ซานก้าวเข้าสู่ประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่พร้อมกับทอดถอนหายใจ เขากวาดสายตามองในสิ่งที่ตนเองได้เลือกแล้ว

ด้วยความสมัครใจ บรรดาคนงานในบ้านบางคนก็พินอบพิเทาบางคนกลับแสดงสีหน้ายิ้มเยาะด้วยหางตาชวนให้โมโห ไป๋ซานได้แต่ต้อง

เชิดหน้าขณะก้าวเข้าไปสู่ห้องโถงกว้างอันหรูหรา

                 สตรีวัยสี่สิบที่มีโฉมหน้าคุ้นตาผู้คนในสังคมเพราะเคยเป็นนักแสดงในอดีตนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เมื่อเห็นไป๋ซานก้าวเข้า

มาสตรีผู้นั้นก็ถึงกับเบ้ปากใส่สร้างความขุ่นเคืองให้ไป๋ซานอยู่ไม่น้อย ขณะที่มีชายวัยก้าวล่วงเข้าสู่วัยชรานั่งจิบน้ำชาอยู่ข้างกัน


                  “กลับมาแล้วหรือไป๋ซาน”


                “บ้านมีให้ซุกหัวนอนกลับไม่อยู่ ระวังเถอะนางงิ้ว ระวังจะถูกเฉดหัวออกไปสักวัน”


                 เสียงแรกคือเสียงบุรุษผู้เป็นประมุขของบ้านหลังใหญ่และเสียงต่อมาคือเสียงของภรรยาที่เพิ่งสมรสคนล่าสุดเมื่อไม่กี่ปีก่อน

กับเจ้าของบ้าน บุรุษผู้กุมอำนาจแก่งแย่งกับผู้นำประเทศ เขาคืออู๋จินไห่ หัวหน้าพรรคสังคมนิยม บุรุษที่ไป๋ซานยินยอมพร้อมใจพลีกาย

ให้ด้วยความเทิดทูนในอุดมการณ์


                ไป๋ซานหนีจากคณะงิ้วจากนั้นจึงซมซานเผชิญโชคไปยังที่ตั้งของสาขาพรรคสังคมนิยมแห่งหนึ่ง ไป๋ซานศรัทธาในแนวคิด

ความเท่าเทียมกันของสังคม เขาเคยไปนั่งฟังอู๋จินไห่กล่าวปราศรัยตั้งแต่เมื่อครั้งยังหลบอยู่ในป่า และจนกลับมาสู่บ้านเมืองไป๋ซานก็ยัง

ติดตามข่าวสารของอู๋จินไห่อย่างสม่ำเสมอ จนในที่สุดเมื่อถูกหยางซื่อขายเขาให้นักการเมือง มันเป็นจุดแตกหักที่ไป๋ซานตัดสินใจหนี

เพื่อเข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยม วันหนึ่งเขาก็ต้องตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้พบกับอู๋จินไห่อย่างใกล้ชิด ชายผู้ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ด้อย

โอกาสในสังคมให้ความสนใจในตัวเขามากเป็นพิเศษ และในที่สุดไป๋ซานก็ยินยอมที่จะพลีกายเป็นอนุภรรยาของอู๋จินไห่ทั้งที่อีกฝ่ายก็มี

ภรรยาที่เพิ่งสมรสกันไม่นานอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้นำพรรคสังคมนิยมจะมีอนุภรรยาเป็นชายเก็บซ่อนไว้ในบ้าน

                  ผิงอัน คือชื่อภรรยาสมรสคนที่สี่ของอู๋จินไห่ที่มีอดีตเป็นนักแสดงภาพยนตร์ ไป๋ซานรู้ประวัติของผิงอันดีว่าเป็นสตรีที่ผ่าน

ร้อนผ่านหนาวมามากและใช้เสน่ห์ของตนเองเข้ามาในพรรคสังคมนิยมจนทำให้อู๋จินไห่รับมาเป็นภรรยาคนล่าสุดหลังจากที่ภรรยาคนที่

สามเพิ่งตายไปในสงครามโลก และเมื่ออู๋จินไห่รับเขามาเป็นอนุภรรยาและเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านไป๋ซานก็ต้องพบกับสงครามประสาท

เกือบทุกวัน


                 “อย่าส่งเสียงดังสิผิงอัน”


                 อู๋จินไห่ส่ายหน้า ถึงอย่างไรเขาก็ยังให้ความเกรงใจภรรยาอยู่มาก


                 “ต่างคนต่างกลับเข้าห้อง ฉันจะทำงานต่ออีกสักหน่อย”


                 คำสั่งประมุขของบ้านทำให้ผิงอันสะบัดหน้ากลับไปยังห้องของตนอย่างไม่พอใจนัก ไป๋ซานเองก็เดินตรงเข้ามาในห้องของ

เขาเช่นกัน ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยอู๋จินไห่ที่ตรงเข้ามาเพื่อให้ไป๋ซานปรนนิบัติเขา


                “วันนี้ผมพบกับเด็กที่เคยอยู่ในคณะงิ้วด้วยกันครับ”


                ไป๋ซานเอ่ยขึ้นหลังจากมอบความสุขสมสบายตัวให้กับอู๋จินไห่แล้ว


                “เด็กคนนั้นชื่อเหวินเป่า เป็นเด็กที่เทิดทูนพวกรัฐบาลอย่างไม่ลืมหูลืมตามาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้โตขึ้นเป็นหนุ่มก็ยังไม่เลิก

ความคิดนั้น แทนที่จะมาช่วยกันเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปสู่ความเสมอภาค แล้วตอนนี้เหวินเป่าไปอยู่กับใครทราบไหมครับ”


               เขายิ้มเยาะให้กับอดีตเพื่อนตัวน้อยในคณะงิ้ว


                “เหวินเป่าไปอยู่กับพันตรีเฉินหย่งหนานหลานของเฉินจิ้งเหอ ช่างน่าสมเพชในความโง่งมเสียจริง”


                 อู๋จินไห่สะดุดหูขึ้นมาทันที เขาหันไปหาไป๋ซานชายหนุ่มผู้ซึ่งเขารับมาเป็นภรรยาน้อยเพราะความถูกใจในหน้าตาและความ

สามารถบนเตียง


                “น่าสงสารเพื่อนของเธอจริงๆ ไหนลองเล่าเรื่องเหวินเป่าอะไรนั่นให้ละเอียดหน่อยสิไป๋ซาน”


               ไป๋ซานเล่าเรื่องของเหวินเป่าที่เขารู้ทันที คำสั่งของจินไห่คือคำประกาศิตสำหรับเขา ไป๋ซานไม่ได้สังเกตสีหน้าครุ่นคิดตาม

ของอู๋จินไห่เลยแม้แต่นิด


               ภาพของนายทหารอันสง่าผ่าเผยปรากฏขึ้นมาในความคิด จินไห่ไม่ได้พบกับเฉินหย่งหนานนานแล้ว ครั้งสุดท้ายคือการเปิด

ประชุมรัฐสภาก่อนที่สภาจะล่มและเกิดการต่อสู้อย่างเป็นทางการของรัฐบาลกับพรรคสังคมนิยม เขายอมรับว่าหย่งหนานเป็นคนฉลาด

หลักแหลมหากใครได้ไปทำงานด้วยก็จะเป็นผลดี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังอยากได้บุรุษผู้นั้นมาเป็นกำลังเสริมของเขา

                 ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาจนจินไห่หันขวับมาหาไป๋ซาน เขายิ้มให้กับทาสอันซื่อสัตย์ของเขา


                 “อันที่จริงพันตรีเฉินผู้นั้นก็ไม่ใช่คนเลวเสียทีเดียวหรอก เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดใช้ได้อยู่ คงจะเป็นการดีไม่น้อย

หากว่าเราจะทำให้เขาได้เข้าใจแนวคิดของเราและกลับใจมาช่วยเหลือพวกเรา”


               ไป๋ซานย่นหัวคิ้ว ความคิดของเขาแล่นตามจินไห่ไม่ทันแม้แต่นิดเดียว


                “ท่านหมายถึงอะไรครับ ชักชวนให้นายทหารที่เป็นหลานของนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนข้างมาอยู่ฝั่งเรางั้นหรือ มันจะเป็นไปได้

หรือครับ”


                  “เป็นไปได้สิ หากเธอเป็นผู้ช่วยเหลือ”


                  จินไห่ครุ่นคิดความเป็นไปได้อยู่ในใจ


                  “ใช้ความสนิทสนมที่เธอมีกับเหวินเป่าสิ พูดคุยกับเขาให้เห็นถึงจุดหมายของเราที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ให้กับ

ประชาชน หากเด็กคนนั้นมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเราทำคือความถูกต้อง เขาก็จะช่วยเหลือให้เราได้เข้าถึงพันตรีเฉินหย่งหนาน”




                                                            TBC
     
                           
                         ใกล้จบแล้ว ถ้าอ่านแล้วถูกใจ คอมเมนท์เป็นแรงใจให้บ้างน้า

                                    o8 o8 o8



หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 27-03-2017 21:22:50
รำอิพี่ไป๋ซาน รักผัวแก่มากก็อยู่กันเฉยๆสิเว้ย
จะมาวุ่นวายอะไรกับคู่รักเขาเนี่ย
พึ่งแฮปปี้ได้ไม่นานก็มีมารผจญ เห้อม
พี่หย่งหนานเค้ายกย่องอากุยเป็นเมียเอก ไม่ใช่อนุภรรยาแบบหล่อนอะ ชีวิตดีกว่าด้วย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-03-2017 21:28:38
เอิ่มมมมมมมม ลูกเต่าจะทันคนไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 27-03-2017 21:44:24
โหวววว ช่างเข้มข้นนนน วางไม่ลงเยย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 27-03-2017 21:54:12
ไป๋ซานเปนไรมากป่ะ ลึกๆอิจฉาอากุ่ยใช่มะ   :angry2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 27-03-2017 22:11:48
กลายเป็นคนร้ายๆๆไปซะงั้นเฮ้อ เสียใจแทนเหวินเป่า
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 27-03-2017 22:13:45
 :ling2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-03-2017 22:26:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 27-03-2017 22:30:33
พี่ไป๋ซานอิจฉาน้องแน่ๆ
สงสารกลัวลูกเต่าน้อยจะเดือดร้อน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 27-03-2017 22:38:33
พี่ไป๋ซาน....ทำไมพี่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-03-2017 22:54:26
อ้าว
ไหงงั้นล่ะ คนรู้จักทำพิษอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-03-2017 01:50:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ploysure ที่ 28-03-2017 02:12:35
ทำไมอากุยเจอแต่คนแบบนี้คะสังคม...
อีพี่ไป๋ซานพาน้องซวยอีกแล้ว  :m31:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 28-03-2017 08:03:56
จำปวศจีนช่วงนั่นไม่ได้เลยว่าเป็นไงเพราะเท่าที่จำได้คือจีนเสียหายจากสงครามโลดมากเลยปิดประเทศไปเลยเดี๋ยวกลับไปหาอ่านเพื่ออรรถรส55555



ไป่ซ่านนึกว่าจะไปแล้วไปลับนะนี่
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 28-03-2017 13:44:24
การกลับมาของไป่ซานอย่างพีค นิสัยแย่กว่าเดิมเยอะเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 29-03-2017 09:54:11
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 29-03-2017 16:36:07


เราตามรอยคุณแป้ง Alternative มา (ถึงจะช้าไปหน่อยก็เถอะ)
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เราสามารถก้าวข้ามความยากของการจำชื่อตัวละครภาษาจีนได้จริง ๆ
เพราะเนื้อหาสนุกมาก แถมยังเดินเรื่องเร็ว กระชับ มีอะไรให้ลุ้นตามตลอด
เป็นกำลังใจให้นะคะ อยากรู้ว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง ^^

หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 29-03-2017 17:30:46


                                                                             ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                                     บทที่ 21

               น้ำหนักที่วางลงรอบเอวแล้วดึงร่างโปร่งเข้าไปกอดทำให้เหวินเป่ารู้สึกตัวตื่นแม้ว่าแรงนั้นจะพยายามออกแรงให้น้อยที่สุด

ก็ตาม แพขนตากะพริบถี่ก่อนจะเปิดขึ้นพร้อมกับพลิกกายกลับไปหาเจ้าของวงแขนที่เพิ่งกลับมาในยามดึกสงัด


               “กลับมาแล้วหรือครับ”


               หย่งหนานมองใบหน้าที่ยังงัวเงียนั้นอย่างเอ็นดู เขาจูบเบาๆที่หน้าผากเกลี้ยงก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาหยุดที่แก้มนุ่ม


               “ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะเหวินเป่า”


               เหวินเป่ายิ้มรับเขายกแขนโอบกอดไปรอบลำคอของอีกฝ่ายอย่างไม่นึกขัดเขินเหมือนช่วงแรกที่มีความสัมพันธ์กันฉันสามี

ภรรยาแล้ว เมื่อเวลาผ่านมาหลายเดือนเขาก็คุ้นเคยกับความใกล้ชิดที่มีต่อหย่งหนานมากขึ้น และที่ยิ่งเพิ่มพูนคือความผูกพันที่มีต่อกัน

               รู้ดีว่าหย่งหนานคือบุคคลสำคัญคนหนึ่งในการปกครองของประเทศ เพียงแค่ชายผู้นี้มีความรักต่อเขาเท่านี้เหวินเป่าก็ดีใจ

มากแล้ว และเมื่อได้อยู่ด้วยกันนานมากเท่าไหร่เหวินเป่าก็มองเห็นแต่ความดีของหย่งหนาน จนเขาสัญญากับตัวเองว่าจะรักและบูชา

หย่งหนานไปจนชั่วชีวิต


               “เหนื่อยมากไหมครับ”


               หย่งหนานไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยครั้งนักเหตุเพราะการก่อจลาจลไปทุกแห่งหน แผ่นดินจีนร้อนเป็นไฟจนเหวินเป่าอดหวาด

กลัวไม่ได้ และหย่งหนานคือหนึ่งในผู้ที่ต้องแก้ปัญหาบ้านเมืองจนไม่มีแม้แต่เวลาพักผ่อน วันไหนที่ได้กลับบ้านก็กลับดึกจนเวลาล่วง

เข้าวันใหม่ไปแล้ว เมื่อแรกที่ใช้ชีวิตด้วยกันเหวินเป่าเคยรอจนหย่งหนานกลับมาก่อนแต่หย่งหนานก็บอกกับเขาว่าให้นอนโดยไม่ต้องรอ


               “ไม่ต้องปรนนิบัติกับพี่ให้ดีนักหรอก พี่อาจเป็นสามีที่ไม่ดีนักที่ไม่มีเวลาให้ภรรยาตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่กับฟางซินแล้ว อย่าได้

ลำบากทรมานตัวเองเพื่อพี่เลยนะเหวินเป่า”


               หย่งหนานเคยบอกเช่นนั้นแต่เหวินเป่าก็เข้าใจ จึงกลายเป็นการเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากันจนลงตัวในที่สุด และทุกวันนี้เห

วินเป่าก็คุ้นชินกับการที่หย่งหนานจะย่องเข้ามาในห้องเพราะกลัวเขาตื่นก่อนจะล้มตัวลงนอนกอดเขาไว้ในอ้อมแขน


               “เหนื่อยมากแค่ไหน พอกลับบ้านมาเห็นหน้าเธอก็หายเป็นปลิดทิ้ง”


               “ปากหวานจริงครับ”


               เมื่อเริ่มคุ้นชินเหวินเป่าจึงได้รู้ว่ามาดสุขุมเยือกเย็นของหย่งหนานมีไว้สำหรับผู้อื่นเท่านั้น แต่กับเหวินเป่าชายหนุ่มในวัย

สามสิบเศษช่างเอาอกเอาใจสารพัด จนเหวินเป่าเกรงว่าเขาจะเหลิงไปกับการกระทำเหล่านั้นเสียก่อน ถึงกับบางครั้งเขาต้องห้ามหย่ง

หนานไม่ให้เอาใจเขามากเกินไปนัก


               หย่งหนานปรนจูบเหวินเป่าอย่างทะนุถนอม เหวินเป่าเรียนรู้ที่จะตอบสนองความสัมพันธ์ทางกายให้มากขึ้น เขาอยากให้หย่ง

หนานอยู่กับเขาด้วยความสุขทั้งกายและใจในทุกๆครั้งที่มีเวลาอยู่ด้วยกัน เหวินเป่ารักในสัมผัสเร่าร้อนแต่แฝงไว้ด้วยความฉ่ำหวานกับ

บทรักอันเย้ายวนด้วยไฟปรารถนา


               “วันนี้คุณลุงถามเรื่องของเรา”


               หย่งหนานบอกเขาเสียงนุ่ม วงแขนแกร่งสวมกอดร่างบางเปล่าเปลือยไว้ในอ้อมอกไม่ยอมปล่อยหลังจากที่เพิ่งจูงมือกันขึ้น

สวรรค์ เหวินเป่าที่เพิ่งจะหายเหนื่อยถึงกับดันกายออกจากอกอุ่นขึ้นมามองหย่งหนานด้วยความอยากรู้


               “แล้วท่านว่าอย่างไรครับ ท่านเคืองหรือไม่ หรือว่าห้ามเรื่องที่เราอยู่ด้วยกันหรือเปล่า”


               ชุดคำถามนั้นบอกให้รู้ว่าเหวินเป่าตื่นเต้นและกังวลแค่ไหน หย่งหนานยกคิ้วสูงและคลี่ยิ้มบางๆออกมา


               “ถ้าคุณลุงห้ามล่ะ เธอจะทำอย่างไร”


               เหวินเป่าหน้าสลดลงทันที เขาช้อนตามองหย่งหนานด้วยนัยน์ตามั่นคงจากความรู้สึก


               “ผมคงต้องมอบการตัดสินใจให้พี่หย่งหนาน ไม่มีใครบอกเลิกผมได้นอกจากพี่ หากท่านจิ้งเหอไม่ต้องการให้ผมอยู่กินกับพี่

จริงๆผมก็อาจจะลดบทบาทตัวเองไปเป็นคนรับใช้ของพี่เช่นเมื่อก่อน แต่จะให้ผมจากพี่ไปคงทำไม่ได้ เว้นเสียแต่พี่เป็นคนไล่ผมเอง”


               หย่งหนานได้ยินแล้วจึงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ เขาบีบปลายคางมนอย่างมันเขี้ยว


               “ว่าแต่พี่ปากหวาน ความจริงแล้วเธอเองนั่นแหละที่ปากหวานกว่าพี่มากนัก เรื่องคุณลุงอย่ากังวลไปเลย ท่านอนุญาตให้เรา

รักกันได้”


               เหวินเป่ายิ้มกว้างทันที ความวิตกหวาดหวั่นพลันหายไปเหลือแต่ความดีใจที่ชีวิตรักหมดสิ้นซึ่งอุปสรรค เขาซุกหน้าเข้าหา

อกกว้างพร้อมกับเล่าเรื่องราวต่างๆที่พบเจอมาในวันนี้ให้หย่งหนานฟังอย่างเช่นทุกครั้งที่พูดคุยตามประสาสามีภรรยา


               “วันนี้ผมเจอกับพี่ไป๋ซานด้วย พี่หย่งหนานจำพี่ไป๋ซานได้ไหมครับคนที่อยู่กับผมที่โรงงิ้ว คนที่หนีไปจนผมต้องเล่นงิ้ว

แทน...”


               หย่งหนานฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเหวินเป่าอย่างเพลิดเพลินจนเปลือกตาของเขาหรุบต่ำลงเรื่อยๆ


               “...พี่หย่งหนาน อ้าว หลับเสียแล้วหรือครับ”


               “ใครจะทนไหวกับคำพูดจนลิงหลับของเธอกันนะลูกเต่าน้อย นอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปตรวจงานแต่เช้า”


               หย่งหนานโน้มหน้าลงไป เขาวางปากแนบไปกับริมฝีปากนุ่มก่อนจะจูบเบาๆ เหวินเป่าจูบตอบเป็นแล้ว เขาเอียงหน้าให้หย่ง

หนานได้จูบจนพอใจ


               “Good night, my sweetheart”


               เหวินเป่าเอ่ยภาษาอังกฤษที่เรียนมาจนหย่งหนานที่หลับตาลงแล้วยังต้องยิ้มออกมา เขาดึงร่างบางเข้าไปกอดและกระซิบ

ข้างหูของเหวินเป่า


               “Thanks , I love you Darling”


               หย่งหนานโยนความเครียดทั้งมวลทิ้งไปและหลับลงอย่างง่ายดายโดยมีเหวินเป่าอยู่ในวงแขน เขาตักตวงกำลังใจจากหนุ่ม

น้อยผู้นี้เพื่อที่จะมีแรงสู้กับเรื่องร้ายๆที่ต้องเผชิญเมื่อหย่งหนานลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง





               เหวินเป่าใช้เวลาดูแลเด็กชายเฉินฮุ่ยจงในช่วงเช้าขณะที่สาวใช้ในบ้านกำลังสาละวนทำงาน และพอตกบ่ายเขาถึงจะได้ไป

ช่วยงานที่โรงพยาบาลเพื่อฝึกภาษาอังกฤษกับหมอและมิชชันนารีไปด้วยในตัว การที่ได้มาทำงานในโรงพยาบาลในช่วงเวลาแห่งความ

ผันผวนของการเมืองการปกครองทำให้เหวินเป่าได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น เขานึกสะท้อนใจทุกครั้งที่มีผู้บาดเจ็บจากการจลาจลมารักษาตัว


               “เกิดอะไรขึ้นกับประเทศกันครับ”


               เหวินเป่าอดใจไม่อยู่จนต้องเอ่ยถามมิสเตอร์จอห์น นายแพทย์จากอังกฤษที่เคยรักษาฟางซิน ชายหนุ่มวัยไม่เต็มยี่สิบปีเช่น

เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงลุกฮือขึ้นมาทำร้ายคนในชาติด้วยกันเอง


               “เพราะพวกเขาต่างก็คิดว่าแนวคิดของกลุ่มตนเองนั้นถูกต้อง และทำทุกอย่างเพื่อให้กลุ่มของตนได้รับชัยชนะและเข้ามาปก

ครองประเทศ” มิสเตอร์จอห์นตอบเขาเช่นนั้น


               “การได้ปกครองคนดีตรงไหนครับ ทำไมพวกเขาถึงแสวงหาอำนาจกันนัก” เหวินเป่าเอ่ยถามต่อไป


               “เพราะอำนาจคืออาวุธที่จะได้ก้าวไปสู่ชัยชนะและความเป็นผู้นำอย่างไรล่ะเหวินเป่า ผู้ชนะจะทำอะไรก็ได้ตามที่เขา

ต้องการ”


               มิสเตอร์จอห์นอธิบายอย่างใจเย็น เขาชอบในความเฉลียวฉลาดของเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก


               “เมื่อเธอเป็นผู้นำแล้วเธอจะทำอะไรก็ได้เพื่อควบคุมผู้อื่นให้ทำตามที่ต้องการ เธอรู้จักผู้นำทางการทหารของเยอรมันที่เป็นผู้

เริ่มต้นสงครามโลกที่ผ่านมาหรือไม่ เขาเคยกล่าวไว้ว่าวิธีการที่จะควบคุมประชาชนที่ดีที่สุดคือค่อยๆลิดรอนสิทธิเสรีภาพของพวกเขา

ออกไปทีละนิดโดยไม่รู้ตัว จนในที่สุดจะถึงจุดที่มันหมดไปจากพวกเขาและไม่สามารถเรียกร้องกลับมาได้อีกเลย นั่นหมายความว่าเธอ

จะกลายเป็นผู้ควบคุมอย่างแท้จริง”


               เหวินเป่าได้แต่คิดคำนึง เขาเป็นเพียงประชาชนตัวเล็กๆในประเทศนี้เท่านั้น เขาเกลียดความรุนแรงและไม่ต้องการให้มีการ

แก่งแย่งแข่งขันที่ทำให้ผู้คนเกลียดชังกันถึงเพียงนี้


               ช่วยงานที่โรงพยาบาลจนถึงตอนเย็นเหวินเป่าจึงขอตัวกลับตามปกติ เขาก้าวเดินมาด้านหน้าของโรงพยาบาลเพื่อจะขึ้นรถ

ลาก แต่เหวินเป่าก็แปลกใจอีกครั้งที่ได้พบเยี่ยไป๋ซาน


               “พี่ไป๋ซาน พบกันอีกแล้ว”


               เหวินเป่าก้าวเข้าไปหาและส่งยิ้มทักทายไป๋ซาน หากแต่ไป๋ซานกลับฝืนยิ้มให้เขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


               “พี่มาวันนี้เพราะต้องการความช่วยเหลือ”


               ไป๋ซานเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อกล่าวคำทักทายต่อกันจบลงแล้ว เหวินเป่ามองอย่างสงสัย


               “พี่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร รุนแรงหรือเปล่า หากผมช่วยอะไรได้ผมก็จะช่วย”


               “พี่เห็นเธอทำงานที่โรงพยาบาล ตอนนี้เพื่อนของพี่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่สามารถมาโรงพยาบาลได้ เธอจะมีเวลาไปช่วยคนที่

กำลังลำบากได้หรือไม่”


               “ได้สิ ผมจะไปช่วย พี่พาผมไปเถอะ หากเขาได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น ยิ่งช้าอาจจะไม่ทันการ”


               เพราะความมีน้ำใจของเหวินเป่าทำให้เขาไม่คิดปฏิเสธ เขาก้าวเดินตามหลังไป๋ซานไปโดยไม่ทันสังเกตแววตาสมหวังของ

ไป๋ซานเมื่อภารกิจที่วางแผนไว้ลุล่วงไปได้ขั้นหนึ่ง ไป๋ซานรู้จักเหวินเป่าดีทุกซอกทุกมุม เขาใช้อุปนิสัยความมีน้ำใจและความใสซื่อของ

เด็กหนุ่มให้เป็นประโยชน์และมันก็สำเร็จจริงๆ

                 เหวินเป่าเริ่มเอะใจเมื่อเขาตามไป๋ซานไปยังอาคารแห่งหนึ่งที่มีผู้คนอยู่กันเป็นจำนวนมาก หลายคนเอ่ยทักทายไป๋ซาน

อย่างสนิทสนมในขณะที่ไป๋ซานเดินนำเขาผ่านประตูที่มีป้ายเขียนบอกว่าที่นี่คือที่ตั้งสาขาพรรคสังคมนิยมแห่งหนึ่ง


                 "พี่ไป๋ซาน นี่พี่หนีจากโรงงิ้วมาอยู่กับพรรคสังคมนิยมงั้นหรือ”


                เหวินเป่าชะงักเท้าจนไป๋ซานต้องหยุดเดินและหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ชายหนุ่มผู้เป็นอดีตนางเอกงิ้วชื่อดังยกคิ้วสูงขึ้น

เมื่อเอ่ยคำถามต่อเพื่อนรุ่นน้องที่อยู่ด้วยกันมา


               “ทำไมล่ะ ไม่เห็นต้องแปลกใจเลย ตอนนี้ผู้คนมากมายในประเทศต่างก็หันมาตกลงใจเข้าร่วมกับที่นี่ด้วยกันทั้งนั้น”


               จริงเช่นที่ไป๋ซานกล่าวว่าไม่ควรต้องแปลกใจเมื่อเหวินเป่ากลับมาย้อนคิดถึงไป๋ซานที่เขารู้จักตั้งแต่อดีตแล้ว แต่เพราะเมื่อ

สมัยก่อนนั้นเหวินเป่ายังเด็กและไร้การศึกษาจนไม่เข้าใจเองต่างหาก ไป๋ซานมักจะกล่าวถึงแนวคิดของเขาที่เกลียดนักการเมืองกังฉินที่

แสวงหาผลประโยชน์ให้ฟังอยู่เสมอ และเมื่ออยู่ในป่าไป๋ซานก็ชอบที่จะไปนั่งฟังชายผู้หนึ่งพูดคุยอุดมการณ์ของเขาในเรื่องความเสมอ

ภาคของคนในสังคม เหวินเป่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านั่นคืออู๋จินไห่ผู้นำพรรคสังคมนิยมนั่นเอง และซ้ำร้ายในชีวิตช่วงหนึ่งของไป๋ซานที่ต้องถูก

อิทธิพลของนักการเมืองบังคับให้กลายเป็นของเล่นให้เชยชม นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายก่อนที่เขาจะผันตัวเองมาเป็นสมาชิกของพรรค

สังคมนิยมอย่างเต็มตัว


                “เธอลองคิดให้ดีสิเหวินเป่า พวกนักการเมืองต่างก็หากินกับหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเราทั้งนั้น พวกชาวนาก็ก้มหน้าก้ม

ตาเพาะหว่านเก็บเกี่ยว พวกกรรมกรก็ต้องออกแรงแบกขนในขณะที่พวกนักการเมืองคอยเก็บภาษีขูดรีดไปจากพวกเราทั้งที่พวกเราต่าง

หากที่เป็นคนเหนื่อยยากกลับไม่ได้เงยหน้าอ้าปาก”


                   ไป๋ซานเผยแนวคิดของเขาออกมาโดยหวังจะให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องเห็นด้วยกับความคิดของเขา


                “พรรคสังคมนิยมคือทางเลือกของพวกเรา หากพวกเราชนะทุกคนในประเทศก็จะมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีคนรวยคนจนอีก

ต่อไป ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะและการกดขี่ข่มเหงกันอีกแล้ว เธอไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นหรือเหวินเป่า”


                “มันเป็นแนวคิดที่ดี”เหวินเป่ายอมรับ


               “แต่พี่ไป๋ซานไม่คิดบ้างหรือว่าความต้องการอยากได้อยากมีของมนุษย์มันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีใครพอใจในสิ่งที่

ตนเองมีอยู่ทุกคนจะแสวงหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็จะมีคนอีกประเภทหนึ่งเมื่อได้ในสิ่งที่ทัดเทียมผู้อื่นเขาก็อาจจะไม่ยอมทำอะไรเลย

เพราะถึงอย่างไรก็ได้เท่าเทียมผู้อื่นอยู่แล้ว เขาออกแรงเพียงสิบแต่พี่ออกแรงถึงร้อยแต่กลับได้ผลประโยชน์เท่ากันก็แสดงว่าพี่ต้อง

เหนื่อยกว่าเขาถูกเขาเอารัดเอาเปรียบ หากพี่พบเจอคนทั้งสองประเภทนี้พี่จะทำอย่างไร แล้วสังคมในอุดมคติของพี่จะต่างจากทุกวันนี้

เช่นไร”


                 ไป๋ซานนิ่งงัน เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำโต้แย้งจากเด็กที่โตมาด้วยกันอย่างเหวินเป่า และสิ่งที่เหวินเป่าเอ่ยออกมานั้นเขา

กลับหาเหตุผลตอบโต้ไม่ได้เลย


                   “และเพียงเพื่อชัยชนะในฝ่ายที่ตัวเองเห็นด้วยความรุนแรงจึงได้เกิดขึ้น ผมน่ะเสียใจยิ่งกว่าตอนที่เราสูญเสียไปกับ

สงครามโลกเสียอีก เพราะนั่นคือเราต่อสู้กับคนจากประเทศอื่นที่เข้ามารุนราน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเรากำลังต่อสู้กับคนในประเทศ

เดียวกัน ต่อสู้กับพี่น้องของพวกเรากันเอง”




มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 29-03-2017 17:38:33

อ่านต่อตรงนี้...


                    ขอบตาของเหวินเป่าร้อนผ่าว ในอดีตเขาอาจไม่เคยรู้อะไรเลยแต่เมื่อได้มีการศึกษาและขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวจึงได้


เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเจ็บปวดในหัวใจเหลือเกินกับความรุนแรงในตอนนี้


                  “เธอก็พูดอย่างคนเห็นแก่ตัวเกินไปนะเหวินเป่า”ไป๋ซานเริ่มตอบโต้บ้าง


                  “ทุกวันนี้เธอมีความเป็นอยู่สุขสบายแล้วนี่ เธออยู่กินกับหลานชายของนายกรัฐมนตรี กลายเป็นนกน้อยในกรงทองของเขา

ไหนเลยจะมาสนใจประชาชนที่ลำบากยากเข็ญ ก็ลองให้พันตรีเฉินคนนั้นกลายไปเป็นชาวนาหรือกรรมกรแบกหามไม่มีเงินทองหรือ

เกียรติยศ เธอจะยังรักเขาอยู่หรือไม่”


                 เหวินเป่าจ้องมองไป๋ซานอย่างคาดไม่ถึง ราวกับว่าเขาไม่เคยรู้จักกับไป๋ซานมาก่อน ความขุ่นเคืองปนเปไปกับความสังเวช

ใจเมื่อประสานสายตากับอีกฝ่าย


                 “ผมผิดหวังที่พี่ไป๋ซานไม่เข้าใจผมแม้แต่นิดเดียวทั้งที่คิดว่าพี่น่าจะเป็นคนที่เข้าใจผมอย่างที่สุด ผมจะบอกให้พี่ได้รับรู้ไว้

ว่าที่ผมรักพี่หย่งหนานไม่ใช่เพราะเขามีฐานะร่ำรวยหรือเพราะเขาเป็นคนใหญ่โต ผมรักที่น้ำใจของเขาตั้งแต่วันแรกที่พี่หย่งหนานได้

ช่วยผมไว้จากความโหดร้ายในซ่องคณิกา ผมรักตั้งแต่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแซ่ของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นกุลีรับจ้างแบกของ

หรือเป็นชาวนาผมก็จะคงรักเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”


                 สายตาที่เหวินเป่ามองมาทำให้ไป๋ซานรู้สึกอับอายจนมันแปรเปลี่ยนไปเป็นความอยากเอาชนะ ในเมื่อเหวินเป่ารักพันตรีเฉิน

แต่สำหรับไป๋ซานแล้วความศรัทธาแรงกล้าต่ออู๋จินไห่ก็อยู่เหนือสิ่งอื่นใดเช่นกัน คำสั่งของอู๋จินไห่ย่อมเป็นประกาศิตหากเขาต้องการสิ่ง

ใด และถ้าไป๋ซานทำไม่ได้เขาก็เกรงว่าอู๋จินไห่จะโกรธเกลียดเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ไป๋ซานไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด แผนการใหม่

ผุดขึ้นมากะทันหันในสมองของไป๋ซานทันที


                 “เธอรักเขาแล้วเขารักเธอหรือไม่เหวินเป่า หรือว่าเขามองเห็นเธอเป็นแค่ดอกไม้ที่เด็ดมาดอมดมแล้วโยนทิ้งยามหมดกลิ่น

หอม พี่เองก็อยากพิสูจน์นักว่าคนสูงศักดิ์เช่นเขาจะลดค่าตนเองมารักใคร่กับคนที่มีแม่ขายตัวเช่นเธอหรือเปล่า”


                 เพียงแค่ไป๋ซานตวัดสายตาแทนคำสั่ง ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่หลายคนที่นั่งทำงานอยู่รอบๆพลันลุกขึ้นยืนทันที พวกเรา

ล้อมกรอบเหวินเป่าไว้ปิดทางหลบหนีในขณะที่ไป๋ซานยืนนิ่งมองอยู่


              “นี่มันอะไรกันพี่ไป๋ซาน”


              เหวินเป่ามองไปโดยรอบด้วยความหวาดหวั่น เขานึกชังตัวเองที่หาเรื่องใส่ตัวอีกครั้ง


               “อย่ากลัวไปเลยเหวินเป่า ถึงอย่างไรเธอก็เป็นน้องของพี่ พี่ไม่คิดจะทำร้ายเธอให้บาดเจ็บหรอก เพียงแค่ขอยืมตัวเธอ

ชั่วคราวเพื่อเจรจากับพันตรีเฉินเท่านั้น”


                  “หมายความว่าอย่างไร”


                   เหวินเป่าเบิกตากว้าง ความตระหนกกรูเข้ามาจนหนาวสะท้านไปทั้งตัว ไป๋ซานมองสะท้อนกลับมาด้วยสายตาแห่งความ

คาดหวัง


                 “ท่านอู๋ต้องการคนมีฝีมือมาช่วยเพื่อให้งานของพวกเราลุล่วงเสียที และท่านก็ต้องการให้พันตรีเฉินเข้าใจในวัตถุประสงค์

ของพวกเรา หากพันตรีเฉินจะเปลี่ยนใจมาสู่พรรคสังคมนิยมโดยมีเธอเป็นผู้แนะนำก็คงจะเป็นการดี”


                 “พี่ไป๋ซาน!” เหวินเป่าอุทานอย่างตกตะลึง


                “ผมผิดหวังในตัวพี่ที่สุด เพราะความต้องการเอาชนะพี่ถึงกับใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ผมมีต่อพี่เป็นเครื่องมือ พี่จับผมเป็นตัว

ประกันเพื่อแลกกับสิ่งที่พี่อยากได้”


                 “จงเรียกมันว่าการเสียสละ”


               ไป๋ซานเชิดหน้าขึ้น แม้ความรู้สึกผิดจะก่อตัวอยู่ในใจเขาก็จำเป็นต้องรีบกำจัดมันออกไปให้เร็วที่สุด


              “พี่ยอมเสียสละเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างเธอเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น”


               “จะให้ทำอย่างไรครับคุณเยี่ย”


                เสียงนอบน้อมที่ผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นกับไป๋ซานทำให้เหวินเป่าสะดุดใจ เขาเห็นอำนาจที่ไป๋ซานมีต่อพวกเขาเหล่านั้น


                “แค่เชิญเพื่อนของฉันเข้าไปพักผ่อนด้านในก็พอ จงดูแลเหวินเป่าเป็นอย่างดี ส่วนฉัน...”


                 ไป๋ซานพูดอย่างมั่นใจ


                “ฉันจะติดต่อให้พันตรีเฉินมารับเหวินเป่าด้วยตัวของเขาเอง”

                       

                                                    TBC
                   
                                                       ช่วยคอมเมนท์หน่อยน้า
                       

                                                  บทหน้าจะจบแล้วจ้า


                                                 
o7 o7 o7
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 29-03-2017 18:06:54
คนเห็นแก่ตัว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 29-03-2017 19:17:02
นังนี่หนิ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 29-03-2017 19:25:42
โอ้ยยยยอย่าร้ายกับน้องกุยเลยนะคะคนแต่ง แงแง
 :hao5:
อยากจะขึ้นคร่อมละตบตบตบๆๆๆๆๆให้อิไป๋หน้าแหก ทำไมเกิดมาละเลวงี้ละ
พี่หย่งหนานถล่มเลยค่าาา
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-03-2017 19:59:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 29-03-2017 20:39:17
เกลียดดดดดดด  :z6:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-03-2017 20:40:47
แย่ๆๆๆๆๆ สงสารลูกเต่า รอบตัวมีแต่คนไม่ดี
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 29-03-2017 20:42:49
ร้ายมากไป่ซาน !!
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 29-03-2017 22:04:14
เห็นแก่ตัวและโง่เง่าที่สุด น่าสมเพชที่สุด
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 29-03-2017 22:15:40
แปะก่อนน้า  o18
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-03-2017 23:21:54
ความเท่าเทียมไม่เคยมีจริง
เหวินเป่าพูดถูกทุกอย่าง

ว่าแต่.....พี่หย่งหนาน พี่อ้อนน้องเหวินเป่ามากเกินไปแล้ว! อิจฉามาก!

ปล. ดีใจที่ Malimaru มาอ่านตามที่ไปล่อลวงไว้ ฮ่า ๆ ๆ
บอกแล้วว่าเรื่องนี้เลอค่ามาก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-03-2017 01:15:50
ยังกล้าเรียกเหวินเป่าว่าเพื่อนอีกเหรอนั่น  :hao4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 30-03-2017 01:24:00
 :z6: :z6: :z6: อยากถีบไป๋ซาน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 21 [29/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 30-03-2017 05:45:59
จะคอมเม้นท์อะไรได้ นอกจาก เลว!!!

ไป๋ซาน อีงูพิษษษ

ขอจบเด็ดๆสักฉากให้สาสมกับความร้ายของนางง

คนแบบนี้ต้องไม่อยู่ดี อีผี
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 22 [30/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 30-03-2017 21:01:22


                                                                        ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                               บทที่ 22


               “พวกมันกำแหงมากขึ้นทุกวัน”


               พันเอกเฉินหยางซุนผู้นำกองกำลังทหารแห่งรัฐบาลจีนสบถออกมาอย่างหงุดหงิด การปราบปรามประชาชนที่หันไปขึ้นต่อ

พรรคสังคมนิยมกลายเป็นงานหนักสำหรับเขา จลาจลเกิดขึ้นทุกวันในหัวเมืองใหญ่และเมืองหลวงอย่างนานกิง


               “แทนที่จะเอางบประมาณไปฟื้นฟูบ้านเมืองกลับต้องมาเสียเพราะพวกที่กินอุดมการณ์แทนข้าว”


               เฉินหย่งหนานถอนหายใจกับคำปรารภรุนแรงของพี่ชาย เขาเข้าใจดีว่าหยางซุนเป็นคนใจร้อนและอยากให้เหตุการณ์เหล่านี้

จบลงโดยเร็ว


               “ประชุมคณะรัฐบาลคราวนี้คงมีการแก้ปัญหาออกมาเป็นรูปธรรมบ้างนะครับ”


               “เฮอะ พวกนั้นน่ะเหรอ ก็ดีแต่นั่งอยู่ในห้องประชุม เคยออกไปดูของจริงกันบ้างไหม ไม่เห็นมีคำสั่งอะไรออกมาให้เด็ดขาด

เสียที คุณพ่อก็มัวแต่อยากทำตามระบบทั้งที่ควรจะถล่มพวกมันให้ราบไปทั้งพรรคได้แล้ว”


               หย่งหนานอาจจะต้องนั่งฟังญาติผู้พี่ต่อไปอีกนานหากไม่มีเสียงเคาะประตูดังขัดเสียก่อน และเมื่อเขาเอ่ยปากอนุญาตประตู

ห้องก็ถูกผลักออกโดยจ่าสิบเอกไห่ทหารคนสนิทของหย่งหนานนั่นเอง


               “มีอะไรหรืออาไห่”


               “ขอประทานโทษครับ มีจดหมายมาถึงพันตรีเฉินครับ”


               ท่าทีของจ่าไห่ที่ไม่ยอมก้าวเข้ามาภายในห้องทำให้หย่งหนานรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรู้ได้แม้แต่หยางซุน

เขาจึงลุกจากาเก้าอี้เอ่ยอำลากับญาติผู้พี่และเดินออกมาด้านนอก จ่าไห่ส่งแผ่นกระดาษให้เขาทันทีด้วยสีหน้าร้อนรน


               “มีคนมาส่งให้ผมเมื่อสักครู่นี้เองครับ ผมเห็นว่าข้อความมันแปลกๆก็เลยรีบนำมาให้นาย”


               หย่งหนานรับมาอ่านทันทีและเนื้อความในจดหมายนั้นทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก


               “หัวกระดาษคือสัญลักษณ์ของพรรคสังคมนิยม และข้อความที่เขียนมาว่าให้ไปรับเหวินเป่ากลับแปลว่าพวกนั้นคุมตัวเหวิน

เป่าไว้ในตอนนี้”


               หัวใจของหย่งหนานเต้นรัวและร้อนราวกับไฟ เขานึกหวั่นว่าฝ่ายตรงข้ามจะคิดไม่ซื่อ จ่าไห่ที่รู้จักเหวินเป่าเป็นอย่างดีก็พลอย

ร้อนรนไปด้วย


               “สั่งมาเถอะครับนาย จะให้ทำอย่างไร”


               “จัดคนฝีมือดีมากับเราสักสิบคน เราจะไปรับเหวินเป่ากลับมา”


               จ่าไห่รับคำสั่งและรีบวิ่งไปทันที เพียงไม่นานหย่งหนานและลูกน้องก็ขับรถยนต์มาถึงหน้าที่ตั้งสาขาของพรรคสังคมนิยมตาม

จดหมายที่ได้รับมา ด้านหน้ามีคนของพรรคยืนออกันอยู่และต่างแหวกทางเมื่อเห็นว่าผุ้ที่ก้าวลงมาจากรถคือพันตรีเฉินหย่งหนาน


               “นายจะเอายังไง” จ่าไห่ถามอย่างไม่ไว้ใจนัก เขากวาดสายตามองอย่างระแวดระวัง “ให้ผมไปด้วยนะ”


               ยังไม่ทันจะสั่งการคนของพรรคสังคมนิยมคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาอย่างนอบน้อม


               “ท่านอู๋รอพบกับท่านนายพันอยู่ด้านในครับ แต่ขอให้ไปเพียงผู้เดียวและรับรองความปลอดภัยด้วยอำนาจของหัวหน้าพรรค

สังคมนิยม”


                   หย่งหนานชั่งใจอยู่ไม่กี่วินาทีจึงได้หันมาออกคำสั่งกับลูกน้องว่าให้รออยู่ด้านนอก จากนั้นเขาก็ก้าวอย่างองอาจเข้าไปใน

ถิ่นของฝ่ายตรงข้ามแค่เพียงลำพัง หย่งหนานเดินตามผู้นำทางไปถึงห้องประชุมเล็กๆห้องหนึ่ง พลันได้เห็นอู๋จินไห่นั่งอยู่หัวโต๊ะโดยมี

เหวินเป่าและชายที่เขาจำได้ว่าเคยอยู่ในคณะงิ้วนั่งประกบสองฝั่ง สีหน้าของเหวินเป่าตื่นเต้นเมื่อมองเห็นเขา

                  อู๋จินไห่หัวหน้าพรรคสังคมนิยมเพ่งมองบุรุษรุ่นลูกที่ก้าวเข้ามาด้วยความนิยมอยู่ในใจ แม้จะเหยียบถ้ำเสือแต่พันตรีเฉินหย่ง

หนานกลับไม่มีกิริยาลนลานให้เห็นแม้แต่น้อย เขายังคงความสง่างามอยู่ในชุดทหารเต็มยศและสบตากลับมาด้วยสีหน้ามั่นคง


                  “ผมไม่นึกว่าหลังจากที่เราได้สนทนากันในป่าเมื่อสิบปีก่อนแล้ว เราจะได้พบกันในสภาพเช่นนี้”


                 น้ำเสียงนั้นเรียบเฉยหากแต่ทำให้จินไห่หน้าชาทันที อันที่จริงเขาเพิ่งรู้และมาถึงที่นี่ก่อนหน้าหย่งหนานจะมาถึงไม่นานนัก

แม้จะมีคำสั่งให้ไป๋ซานชักชวนเหวินเป่าให้เข้าร่วมกับทางพรรคแต่จินไห่นึกไม่ถึงว่าไป๋ซานจะใช้วิธีควบคุมตัวเหวินเป่าไว้และเรียกให้

หย่งหนานมาที่นี่ จินไห่รู้เรื่องนี้ได้เพราะคนที่ทำงานที่นี่คนหนึ่งเป็นคนของผิงอันภรรยาของเขารีบแจ้งข่าวต่อผิงอัน เมื่อผิงอันรู้ก็รีบมา

บอกต่อกับจินไห่ทันทีทำให้จินไห่ต้องรีบมาแก้สถานการณ์ เขายังไม่อยากได้ชื่อว่าใช้วิธีขู่บังคับเพื่อให้หย่งหนานต้องทำตาม


                 “ไม่ว่าจะพบกันในสภาพไหนก็ถือว่าได้พบกันแล้วผู้พันไม่คิดว่านับเป็นวาสนาหรอกรึ”


                 จินไห่ทักทายเปิดทางด้วยเสียงนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ที่กล่อมให้ผู้คนคล้อยตามไปเกือบค่อนประเทศ นัยน์ตาเคร่งเครียด

กว่าเคยของหย่งหนานหันไปมองเหวินเป่าและเอ่ยคำถามตรงเข้าเรื่องทันที


                “มีธุระอะไรกับเหวินเป่าหรือครับ ถึงกับต้องให้คนของคุณไปรับมาที่นี่”


                 อู๋จินไห่เหลือบแลสายตาไปทางด้านข้างเพื่อมองหนุ่มน้อยวัยเกือบยี่สิบที่ยังมีสีหน้าตื่นเต้นตกใจเจืออยู่ เขาระบายรอยยิ้ม

ออกมาเมื่อคิดว่าควรจะเริ่มเจรจากับหย่งหนานแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เต็มใจมาที่นี่


               “ไป๋ซาน พาคนของพันตรีเฉินออกไปด้านนอกก่อน ฉันขอคุยกับพันตรีเฉินตามลำพัง”


               ไป๋ซานรีบลุกขึ้นทันที เขารอจังหวะนี้อยู่นานแล้ว ไป๋ซานไม่คิดว่าจินไห่จะมาที่นี่แต่เมื่อเห็นหัวหน้าพรรคสังคมนิยมมาถึง

พร้อมกับใบหน้าขุ่นเคืองไป๋ซานก็หน้าซีดทันที


                 “ทำไมถึงจัดการงานนอกคำสั่ง”


                จินไห่ดุเขาเมื่อทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว


               “รู้หรือเปล่าว่ามันอาจเกิดปัญหาให้ต้องตามแก้ไขกันอีก”


                จากนั้นจินไห่ก็ให้พาเหวินเป่าเข้าไปนั่งรอในห้องประชุมและอีกเพียงไม่นานพันตรีเฉินหย่งหนานก็มาถึง


                 ประตูห้องประชุมปิดลงแล้วเหลือเพียงเขากับผู้นำของพรรคสังคมนิยมที่เป็นคู่แข่งและกำลังต่อสู้เพื่อปฏิวัติการปกครองอีก

ครั้ง หย่งหนานสบตากับจินไห่เพื่อรอให้อีกฝ่ายเผยข้อความที่ต้องการเจรจาออกมา


                “อย่างที่เราเคยสนทนากันพันตรีเฉิน” จินไห่เริ่มต้นเอ่ยปาก


               “มาบัดนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดของฉันและต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น บอกตามตรง

ก็ได้ว่าฉันมองไม่เห็นทางแพ้แม้แต่นิดเดียว หากแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นก็ต้องการคนเก่งมาช่วย จะเป็นการดีมากหากฉันจะได้รับเกียรติ

จากเธอ”


                  หย่งหนานหน้าตึงขึ้นมาทันที เขาไม่คิดว่าจินไห่จะกล้าชักชวนให้เขาทรยศต่อพรรคชาตินิยม


                 “ขอบคุณที่ทาบทามครับคุณอู๋ แต่ผมคงไม่เหมาะกับแนวคิดแบบสังคมนิยมเท่าใดนัก”


                ปฏิเสธทันควันอย่างไม่ต้องคิด แต่จินไห่ยังมีความพยายามมากพอที่จะเกลี้ยกล่อมอย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วหลายครั้งที่

ชักชวนเหล่าขุนศึกจากมณฑลห่างไกลให้แปรพักตร์มาอยู่กับเขา


                 “ไตร่ตรองให้ดีก่อนเถิดพันตรีเฉิน ฉันมองเห็นชัยชนะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมนี้แล้ว หากเธอช่วยงานฉันเธอจะได้ในสิ่งที่เหนือ

กว่าลุงของเธอมอบให้เสียอีก”


              หย่งหนานทอดสายตามองจินไห่ด้วยความหมายที่คนถูกมองถึงกับคอแข็ง เขามองเห็นนัยน์ตาแห่งเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ไม่

ยอมลงให้กับใคร


                 “ลุงของผมเคยสอนเสมอว่าอำนาจเป็นสิ่งหอมหวานที่ใครๆก็ต้องการ และกับคนที่ไม่เคยมีอำนาจพอได้มันมาไม่ว่าจะนำ

ไปใช้กับคนระดับไหนก็ตาม หากทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัวได้เขาก็จะเสพย์ติดในอำนาจที่ตัวเองมีและต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆไม่มีวันจบ

สิ้น”


                หย่งหนานลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ สายตามั่นคงของเขาบอกให้รู้ว่าไม่มีอำนาจใดมาบังคับใจเขาได้


              “ผมคงคุยธุระกับคุณอู๋ได้เพียงเท่านี้”


              “เฉินหย่งหนาน”


               จินไห่มองร่างสูงสง่าด้วยความเสียดายในฝีมือและความคิดก้าวหน้า


               “ฉันขอให้เธอตัดสินใจอีกครั้ง หากเธอก้าวออกไปจากห้องนี้แล้ว เมื่อฉันได้รับชัยชนะในอนาคตจะไม่มีที่ให้เธอยืนอีกต่อไป”


                มุมปากของหย่งหนานปรากฏรอยเหยียดยิ้มขึ้นมาเมื่อเขาพูดเป็นประโยคสุดท้าย


                 “ผมไม่เคยมั่นใจสิ่งใดเท่านี้มาก่อนเลยครับ ขอให้คุณมีความสุขกับชัยชนะที่คุณวาดหวังไว้ในอนาคตแต่ในวันนี้ผมขอให้

คุณเปิดทางให้ผมพาเหวินเป่ากลับไปโดยไม่มีความขัดแย้งต่อกัน ยินดีที่ได้พบกันในวันนี้ครับคุณอู๋จินไห่”


                 หย่งหนานหันหลังเปิดประตูแล้วก้าวออกไปโดยไม่สนใจว่าจะสร้างความขุ่นเคืองให้จินไห่แค่ไหน เขาดึงมือของเหวินเป่า

มากุมไว้และพาเดินอย่างมั่นคงไปยังรถยนต์ทหารของเขาโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดขวางจนกระทั่งพลขับบังคับรถให้เคลื่อนออกมาหย่ง

หนานจึงได้ถอนหายใจเมื่อรู้ว่าต่อจากนี้ไปอู๋จินไห่จะดำเนินการทุกรูปแบบเพื่อชัยชนะที่เขาต้องการ

                 ส่วนเหวินเป่านั้นแม้จะถูกไป๋ซานหลอกลวงให้เจ็บใจแต่เขาก็ยังเป็นห่วงเพื่อนรุ่นพี่อยู่ดี เขาเพิ่งรู้เมื่อตอนที่อู๋จินไห่มาถึงที่นี่

ว่าแท้จริงแล้วไป๋ซานคืออนุภรรยาของผู้นำพรรคสังคมนิยม เหวินเป่านึกสงสารไป๋ซานในทางเดินของชีวิตแต่นั่นก็คือสิ่งที่ไป๋ซานเลือก

เอง และขณะที่ก้าวตามหย่งหนานกลับออกไปจากสาขาพรรคสังคมนิยมเขาก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากห้องประชุมที่เพิ่ง

เดินออกมา เหวินเป่าอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ไป๋ซานนั่นเองที่เป็นต้นเหตุของเสียง เหวินเป่าเห็นไป๋ซานถูกลูกน้องของอู๋จินไห่ใช้

กรรไกรกร้อนผมดกดำที่ไป๋ซานรักมากจนเหลือเพียงตอผมติดหนังศีรษะ


                  “ไปเถอะ เหวินเป่า” หย่งหนานกระชับมือนุ่มเป็นการเตือน


                  “ผลแห่งการกระทำย่อมมาจากสิ่งที่คนๆนั้นเลือกทำ เรากลับกันเถอะ”


                   เหวินเป่าได้แต่ถอนหายใจและเดินตามหย่งหนานไปที่รถยนต์ทหาร ต่อจากนี้ไปเส้นทางเดินชีวิตของเขาคงจะไม่ได้พบ

กับไป๋ซานอีกต่อไป




มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 22 [30/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 30-03-2017 21:10:08
อ่านต่อตรงนี้...




                  สงครามเต็มรูปแบบเกิดขึ้นแล้วหลังจากนั้นไม่นาน ระหว่างเฉินจิ้งเหอและอู๋จินไห่ ผู้นำคนสำคัญของสองฟากฝั่งทั้งที่เคย

เป็นเพื่อนร่วมรบในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐ หากแต่วันนี้พวกเขา

ขัดแย้งกันเพราะอุดมการณ์ที่ฝั่งหนึ่งต้องการนำพาประเทศไปสู่แนวคิดประชาธิปไตยแต่อีกฝั่งเห็นด้วยกับการปกครองแบบสังคมนิยม

สงครามครั้งแรกเกิดขึ้นที่แมนจูเรีย ยุทธศาสตร์สำคัญทางภาคเหนือที่ทุกฝ่ายต้องการ พรรคสังคมนิยมสามารถยึดไปได้เมื่อเดือน

กันยายน ปีคริสต์ศักราช


                  ครั้งที่สองเกิดขึ้นที่หวายไห่ จิ้งเหอต้องการสกัดไม่ให้พรรคสังคมนิยมลงใต้จึงส่งกำลังทหารเข้าไปพร้อมอาวุธยุโธปกรณ์ที่

ได้รับการช่วยเหลืออีกครั้งจากสหรัฐอเมริกาเพื่อปะทะกับทัพของพรรคสังคมนิยม กองทัพรัฐบาลถูกล้อมที่เมืองซูโจว ทหารจากกอง

ทัพรัฐบาลแสนกว่านายถูกทัพจากพรรคสังคมนิยมถึงสามแสนคนล้อมเอาไว้ จนในที่สุดรัฐบาลต้องเสียที่ตั้งสำคัญไปทั้งช่างไห่

กวางตุ้ง  ในต้นเดือนมกราคมปีคริสต์ศักราช 1949


                   และที่สำคัญที่สุด พวกเขาสูญเสียแม่ทัพมือดีอย่างเฉินหยางซุนบุตรชายของเฉินจิ้งเหอไปด้วย

                   ไม่มีน้ำตาจากจิ้งเหอผู้เป็นบิดาเมื่อก้มลงมองศพบุตรชายเป็นครั้งสุดท้าย ภรรยาของเขาผู้เป็นมารดาของหยางซุนยืน

สะอื้นอยู่เบื้องหลังรวมถึงภรรยาและบุตรธิดาทั้งสามของหยางซุนเช่นกัน เหวินเป่าที่มาร่วมงานศพพร้อมกับหย่งหนานจุกแน่นในอก

เมื่อการสูญเสียนั้นเข้ามาสู่คนในครอบครัว

                   เหวินเป่าเกลียดสงคราม ไม่ว่าจะสงครามกับชาติอื่นหรือในชาติเดียวกัน เขาเกลียดความเลวร้ายที่ผู้คนต้องสูญเสียเพื่อ

คำว่าชัยชนะเพียงคำเดียว


                “อเมริกาส่งงดการส่งกำลังอาวุธมาช่วยเราแล้วครับ เพราะเราแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นไม่ได้”


                ไม่มีเวลาให้ความเสียใจมากนักในเมื่อสงครามยังดำเนินต่อไป หย่งหนานต้องขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองทัพทหาร

แห่งชาติจีนแทนหยางซุน เขาเอ่ยเสียงเครียดกับจิ้งเหอเมื่อข่าวล่าสุดส่งมา


                 “ผมคิดว่าเราคงต้องหาทางไปจากที่นี่”


                “หลานคิดว่าเราจะพ่ายแพ้?”


                 “ในเวลานี้ผมคิดว่าใช่ เรายังไม่ชนะในตอนนี้” หย่งหนานถอนหายใจหนักหน่วง


                   “ลุงยอมตายในแผ่นดินเกิดหากว่าลุงรักษาทุกอย่างไว้ไม่ได้”


                    “คุณลุงรักษาได้แต่ต้องอาศัยเวลาครับ ถ้าคุณลุงตายไปแล้วผู้คนที่ยังเชื่อมั่นในตัวคุณลุงล่ะครับ พวกเขาจะอยู่อย่างไร

ทุกคนก็จะตายกันหมดพร้อมกับคุณลุง แต่ถ้าคุณลุงยอมผ่อนด้วยการพาทุกคนไปจากที่นี่เพื่อไปตั้งหลัก อีกไม่นานคุณลุงก็จะพาทุกคน

กลับมาทวงคืนได้”



                หย่งหนานเตือนสติผู้เป็นลุง



                “ชาติพยัคฆ์ย่อมไม่เกรงกลัวต่อและไม่อ่อนข้อต่อสิ่งใด รวมถึงอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางทางเดิน เราจะต้องต่อสู้จนกว่าจะ

ถึงวันที่เราเป็นพยัคฆ์ติดปีก”



                  คำเตือนของหย่งหนานทำให้จิ้งเหอตัดสินใจได้



                “ตกลง เริ่มต้นดำเนินการตามที่หลานเห็นว่าถูกต้อง เราจะย้ายไปตั้งหลักและกลับมาในวันที่เราพร้อมจะทวงคืนทุกอย่าง”


              หย่งหนานก้าวเข้ามาในห้อง เขาเอนกายลงนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อย สมองของเขาครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเหวิน

เป่าเดินเข้ามานั่งลงบนขอบเตียงและวางมือแนบแก้มของเขา


                   “พี่หย่งหนาน”


                   เห็นใจสามีเหลือเกินที่ต้องตรากตรำทำงานหนัก แต่เหวินเป่าทำได้เพียงให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนอยู่

เบื้องหลังเท่านั้น หย่งหนานเปิดเปลือกตาขึ้นมองและฝืนยิ้มให้เหวินเป่า


                “เซียวจงหลับไปแล้วหรือ”


                เด็กชายฮุ่ยจงโตพอที่จะนอนคนเดียวได้แล้ว แต่เหวินเป่าจะเข้าไปดูแลก่อนที่เด็กน้อยจะหลับไป


               “ลูกหลับแล้วครับ เหนื่อยมากหรือครับวันนี้”


                 หย่งหนานดึงแขนให้เหวินเป่าเอนกายลงมาบนแผงอกของเขาพลางลูบกลุ่มผมนุ่มมือ สายตาจับจ้องบนเพดานอย่างใช้

ความคิด


                  “รัฐบาลจะพ่ายแพ้และเราต้องหนี”


                 เขาใช้คำพูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมเหมือนพูดกับจิ้งเหอ



                  “พี่ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อาจจะไปตายหรืออาจจะลำบากแสนสาหัส”


                  “ผมจะไปกับพี่” เหวินเป่าตอบได้อย่างไม่ต้องคิด



                 “ไตร่ตรองก่อนเถิดเหวินเป่า เธอยังมีทางเลือก อย่าลืมว่าเธอยังมีพระญาติอยู่ที่ญี่ปุ่นและยังมีเงินทองที่นายพลคิริซาวะ

ทิ้งไว้ให้ พี่ยังคงเก็บไว้ให้เธอทั้งหมด หากเธอเลือกทางนั้นเธอจะไม่ต้องลำบากใดๆ”


                “อย่าได้ไล่ผมเลยครับพี่หย่งหนาน” เหวินเป่ารำพันอยู่กับอกกว้าง


                “ชีวิตของผมคือพี่ คือเซียวจง ผมไม่ต้องการสบายโดยปล่อยให้พี่และลูกลำบากเด็ดขาด”


                 “แม้ว่าจะมองไม่เห็นอนาคตเลยงั้นหรือ”


                  “อนาคตของผมคือขอให้ได้เคียงข้างพี่จนวันตายจากกัน”


                  หย่งหนานตื้นตันกับความรักที่เหวินเป่ามีต่อเขา ร่างบางถูกพลิกให้เอนกายลงไปบนเตียงกว้าง หย่งหนานจ้องมอง

ใบหน้าหวานที่ทวีความงดงามเมื่อเหวินเป่าอายุล่วงเข้ายี่สิบปีเต็มแล้ว เขาหวนคิดถึงอดีตที่พบกันเป็นครั้งแรก


                 “พี่ไม่เคยคิดเลยว่าเด็กมอมแมมที่วิ่งตัดหน้ารถพี่ในวันนั้นจะมาเป็นเมียและคู่คิดที่ดีของพี่ในวันนี้”


                 เหวินเป่ายิ้มรับ น้ำตาแห่งความซาบซึ้งเอ่อคลอในหน่วยตา


                 “ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาใช้ชีวิตคู่กับวีรบุรุษที่ช่วยผมออกมาจากขุมนรกและความเสี่ยงตายหลายต่อหลายครั้ง”     


                “ก็เธอน่ะมันดื้อ”


                  หย่งหนานบีบจมูกโด่งหยอกล้อก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าลงไปปิดปากช่างพูดด้วยริมฝีปากของเขาพร้อมกับเสาะหาความ

หวานจากโพรงปากฉ่ำที่เผยอรอรับด้วยความเต็มใจ


                 “ผมจะไม่ดื้ออีกแล้วครับ สัญญา”


                 เหวินเป่าเอ่ยเสียงหวานเมื่อหย่งหนานปรนเปรอเขาด้วยจูบร้อนรุ่มไปทั้งตัวเมื่อกายเปล่ากดเบียดแนบเนื้อให้สัมผัสแห่งรัก

ได้ทำงาน


               “ให้ผมทำให้พี่หย่งหนานมีความสุขนะครับ”


                  เอ่ยอย่างแสนซนก่อนจะดันไหล่กว้างให้เป็นฝ่ายนอนหงายอยู่บนเตียง หย่งหนานคลี่ยิ้มอย่างถูกใจเมื่อเหวินเป่ากล้า

หาญปีนป่ายขึ้นมาบนกายแกร่งและกลายเป็นฝ่ายกดสะโพกลงไปปรนเปรอมอบความสุขให้เขา ใบหน้าหวานยามขับเคลื่อนอยู่กลางลำ

ตัวช่างเย้ายวนชวนให้ติดใจ


                “ดีมากอากุยของฉัน ขยับอีกนิดนะคนดี”


                 หย่งหนานรำพันอย่างมีความสุข เขาดึงเหวินเป่าให้โน้มตัวลงมาสู่อ้อมกอด ส่วนประสานทำงานมอบความรักให้กันอย่าง

ต่อเนื่องเมื่อเขาขยับเอวช่วยให้เหวินเป่าไปสู่ฝั่งฝันก่อนที่เขาจะตามไปติดๆ


                   ใบหน้างามแดงฉ่ำเต็มอิ่มไปด้วยความสุขสมขณะนอนทอดกายให้เขากอด หย่งหนานอดใจไม่อยู่จนต้องจูบที่แก้ม

นวลอย่างหวงแหน


                   “ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่ ต่อจากนี้พี่จะไม่ปล่อยมือจากเธออีกแล้วลูกเต่าน้อย พี่จะดูแลเธอ

จนลมหายใจสุดท้าย”


                    เหวินเป่ายิ้มรับ เขาซุกหน้าเข้าหาความอบอุ่นด้วยความไว้วางใจว่าหย่งหนานจะทำได้ดังคำพูดที่เขาเอ่ยปากสัญญา   


                  เหวินเป่าและหย่งหนานจะดูแลซึ่งกันไปจนลมหายใจสุดท้ายของกันและกัน                                                 



                                          :oni1: :oni1: :oni1:






                                   
                                                คอมเมนท์ได้นะ เดี๋ยวสักพักจะมีบทสรุปมาให้จ้า
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 22 [30/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 30-03-2017 21:20:35
ขอให้ปลอดภัยนะคะ พี่หย่งหนาน ลูกเต่าน้อย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 22 [30/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 30-03-2017 21:30:08
ความรักของเขาน่ารักจัง :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 22 [30/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 30-03-2017 21:34:57
 :katai2-1: แอบสะใจเล็กๆสำหรับนังไป๋
 :katai1: พี่หย่งกับน้องกุยรักษาตัวดีๆเน้อ คุณลุงด้วย
หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 30-03-2017 21:41:57


                                                                       ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                             บทส่งท้าย



               สงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นที่เป่ยจิง(ปักกิ่ง)และเทียนสิน(เทียนจิน)ในปลายเดือนมกราคม ปีคริสต์ศักราช 1949


               หลังจากสิ้นสุดสงครามและสูญเสียการครองครองเมืองสำคัญก็นับได้ว่าพรรคชาตินิยมหมดความได้เปรียบต่อพรรค

สังคมนิยมโดยสิ้นเชิง

               ระหว่างนั้น พรรคชาตินิยมที่วางแผนการอพยพไว้แล้วจึงกระจายข่าวการอพยพไปยังเกาะไต้หวันซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุดที่

เพราะสหรัฐอเมริกายึดคืนมาจากญี่ปุ่นเมื่อเสร็จสิ้นสงครามโลกและยังไร้ผู้ครอบครอง นักธุรกิจพ่อค้าหัวก้าวหน้าต่างสมัครใจที่จะอพยพ

ติดตามเฉินจิ้งเหอไปเริ่มต้นในสถานที่ใหม่รวมทั้งทหารและประชาชนจำนวนกว่าสามล้านคนที่ยังภักดีต่อพรรคชาตินิยม ทุกคนหวังที่จะ

ได้กลับมายังบ้านเกิดอีกครั้งในวันข้างหน้า

               การอพยพเริ่มต้นกลางปีคริสต์ศักราช 1949 ประชาชนกว่าสามล้านคนทยอยลงเรือทหารและเรือสินค้าพร้อมกับเงินทองและ

วัตถุโบราณจำนวนมากไปยังเกาะไต้หวันด้วยความเร่งรีบด้วยการดูแลของเหล่าทหาร เฉินหย่งหนานให้ลูกน้องของเขาช่วยเหลือ

ประชาชนอย่างใกล้ชิดรวมทั้งตัวเขาเองด้วยก็ไม่ยอมทิ้งผู้คนไปไหน เขาลงมือช่วยแบกหามสิ่งของด้วยตัวเอง เหวินเป่าคอยทำงาน

เคียงข้างขันแข็งแม้หย่งหนานจะให้เขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวก่อนเหวินเป่าก็ไม่ยอม


ไป


               เฮลิคอปเตอร์รอบสุดท้ายนำเฉินจิ้งเหอบุคคลสำคัญที่สุดออกจากแผ่นดินกว้างใหญ่ของจีนไปยังเกาะไต้หวัน และประกาศ

การเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นด้วยการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาในปลายเดือนกันยายน คริสต์ศักราช 1949

               เรือทหารลำสุดท้ายออกจากท่าแล้ว ท่ามกลางการกระจายตัวของกองทัพพรรคสังคมนิยมไปทั่วท่าเรือแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เมื่อเรือนั้นลอยลำไกลจากท่าเกินกว่าจะมุ่งกลับหลัง เฉินหย่งหนานทอดสายตาเด็ดเดี่ยวจ้องมองแผ่นดินบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้าย เขา

มองเห็นอู๋จินไห่ยืนมองจากฝั่งมาทางลำเรือเช่นกัน


               หย่งหนานค้อมศีรษะอำลาศัตรูจากระยะไกล แม้กระนั้นเขาก็ยังมองเห็นรอยยิ้มของอู๋จินไห่ที่ส่งมาให้หลังจากได้รับชัยชนะ

ไปครอบครองแต่อู๋จินไห่ก็ไม่ได้ฆ่าเขา


               จับจูงมือของเหวินเป่าก้าวไปกราบหน้าของเรือ ท่ามกลางท้องทะเลสีครามกว้างใหญ่ที่มีแผ่นดินจีนอยู่เบื้องหลัง หย่งหนาน

วางมือบนต้นแขนของเหวินเป่าและกระชับไว้มั่นเมื่อสายตาของเขาจ้องมองไปยังแผ่นดินผืนใหม่ที่เขาฝากอนาคตไว้


              แม้พยัคฆ์จะบาดเจ็บ เขาเชื่อว่ามันจะฟื้นตัวได้ในไม่ช้าเพื่อรอวันที่มันจะโผผินเป็นพยัคฆ์ติดปีกอีกครั้ง


              “ชาติพยัคฆ์ย่อมไม่เกรงกลัวและไม่อ่อนข้อต่อสิ่งใดแม้ว่าสิ่งนั้นจะปลิดลมหายใจของมัน พยัคฆ์ย่อมไม่ยอมแพ้ มันจะ

กระโจนเข้าใส่และต่อสู้จนลมหายใจสุดท้ายของมัน”


               1 ตุลาคม คริสต์ศักราช 1949 นายอู๋จินไห่ประกาศชัยชนะเหนือรัฐบาลของพรรคชาตินิยมและประกาศเปลี่ยนแปลงการ

ปกครองเป็นระบอบสังคมนิยมนับแต่นั้นเป็นต้นมา



                                                The end




               Belove’s Talk


              ปลื้มปริ่มที่แต่งจบ ถถถถ


                  ก่อนแต่งนี่เครียดมากนะ หาข้อมูลมาเยอะ กองสุมๆอยู่ในสมองเต็มไปหมดเลย

             ได้โจทย์มาว่าเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ เอาละวา จะแต่งยังไงให้มันสนุก ดูเป็นนิยายไม่ใช่สารคดี

              และคิดไว้เลยว่าเรตติ้งคงจะต่ำเตี้ย




              และเมื่อแต่งจบแล้ว...

             เออ กูก็แต่งได้เว้ย แต่งจนจบด้วยนะ คนอ่านก็เยอะกว่าที่คาดไว้นะ ดีใจจังนะ



               ขอบคุณตัวเองด้วยที่กล้าแต่ง ถ้าไม่ก้าวผ่านความกลัว ความกังวลก็คงไม่มีความสุขเท่านี้

              ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ 150 ปี ประวัติศาสตร์จีนยุคป่วยไข้จากสงครามฝิ่นสู่มหาอำนาจโลก

               ของคุณวีระชัย โชคมุกดา จากสำนักพิมพ์ยิปซีที่ใช้เป็นบรรณานุกรม


                    ขอบคุณบทความในเรื่องสงครามโลกและการเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนจากในเว็บไซต์ทั้งหลาย

              ที่ใช้ข้อมูลมาแต่งนิยายจนจบ




                สุดท้ายนี้ อิอิ

             ขอบคุณคนอ่านทุกคนก๊าบที่มาอ่านกันและคอมเมนท์เป็นกำลังใจทั้งในเว็บ ในทวิตเตอร์และในแฟนเพจ


             เป็นกำลังใจให้ดั้นด้นแต่งมาได้




               ขอแรงใจจากคนอ่านเป็นคอมเมนท์ความรู้สึกหลังจากได้อ่าน “ม่านไหมลายพยัคฆ์” จบแล้ว

            คำวิจารณ์ก็ได้ จะได้ใช้ปรับปรุงนิยายเรื่องต่อไป



             
  ขอบคุณที่สุดเลยจ้า
 
              ป.ล. มีประกวดอะไรตรงไหนก็มาเรียกไปส่งเข้าประกวดบ้างเน้อ

               
               
               
                                                            :pig3: :pig3: :pig3: :pig3: :pig3:
           
               

               
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 30-03-2017 21:47:28
อยากอ่านชีวิตตหลังจากย้ายไปไต้หวันแล้ววจ้าา
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 30-03-2017 22:28:44
ชีวิตรักหลังจากไปไต้หวันจะเป็นไงน้าา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: jungjiyoo ที่ 30-03-2017 22:33:03
ฮรืออออออ ดีต่อใจเหลือเกิน เป็นนิยายที่อ่านไปขนลุกไป มีความดีงาม ละเอียดจนเกรงใจถ้าจะอ่านผ่านๆ  ขอบคุณนะคะที่ทำงานดีขนาดนี้ออกมาให้อ่าน
ส่วนที่อยากให้ปรับ เราอยากให้ลงรายละเอียดตอนหลังฮูหยินตายอีกเล็กน้อย เพื่อให้รู้สึกว่าทุกคนเศร้า และผ่านพ้นมาด้วยกัน ถ้าเร็วเกินไป มันทำให้รู้สึกเหมือนสองคนได้รางวัลจากการตายอะค่ะ (คือในเรื่องไม่เร็วไปจนรู้สึกแบบนั้นนะ แต่อยากให้ดึงละเอียดตอนนี้หน่อย แบบเมียตายกว่าจะทำใจได้ อากุยเองก็กลัวจะไปแทนที่ อะไรแบบนี้)
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-03-2017 22:35:39
ดีงามสมที่รอคอย

ชื่นชมการทำการบ้านของคุณ Belove
ความกระชับของเนื้อเรื่องทำให้อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน

ขอบคุณมาก ๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 30-03-2017 23:01:02
โอ๊ยยยย  ไม่ว่างมาอ่านแปปเดียว  กลับมาอีกทีจบแล้ว   :z3: :z3: :z3:  โทษงานมากก็ไม่ได้เดี๋ยวไม่มีตังเปย์หนุ่มๆในสต็อกของ นข.

ขอโพสรวมๆเลยแล้วกัน   

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ดีมากๆเรื่องนึงเลยทีเดียว  มันมีรสชาติครบเกือบทุกรส 

ส่วนตัวชอบ เจ๊ฟางซินที่สุด  คือเป็นคนที่มีความคิดดีมากๆ  แต่เสียดายที่เจ๊แกไปสบายซะละ 
ส่วนผิดหวังมากที่สุดต้องยกให้ไป๋ซาน  ไป๋ซานคือคนที่เราสงสารมากๆคนนึงเลยกับสิ่งที่ต้องเจอ  แต่ในตอนจบเรากลับเกลียด  แต่มันอารมณ์แบบเกลียดไม่สุดอ่ะ  เพราะตัวไป๋ซานเองนั้นไม่ได้รับโอกาสดีๆแบบลูกเต่าน้อย  และตอนนั้นที่ไป๋ซานได้ยินจินไห่พูดโน้มน้าวใจคน  ใจที่ต้องการความเท่าเทียมจึงเอนเอียงไปแบบไม่ทันยั้งคิดและความไม่รู้เดียงสา 
แต่เมื่อโตขึ้นมา แทนที่จะคิดไตร่ตรองอะไรให้ดีกว่าเดิม  กลับยึดมั่นในสิ่งที่เชื่อจนไม่มองทางอื่นๆ  สุดท้ายแล้วความเชื่อคนที่เทิดทูนก็กลับมาทำร้ายตน  ได้แต่เบะปากมองบนใส่จริงๆ
แต่ที่ทำให้เกลียดจริงๆเลยคือดันมาหรอกเต่าน้อยซะได้  น่าโมโหตรงนี้แหละ

ส่วนตอนจบทำได้ดีมากๆ ดีจนแอบน้ำตาซึม  ตอนแรกลุ้นมากๆนะว่าจะหนีไปไหนกัน  สุดท้ายมาลงล็อคที่ไต้หวัน  (ถึงกับไปหาประวัติของไต้หวันมาอ่านเลยทีเดียว)

สุดท้ายแล้วขอขอบคุณ belove ที่แต่งนิยายน้ำดีให้ได้อ่าน 

 :pig4:

ปล.รออุดหนุนนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-03-2017 23:01:48
จบได้ดี ๆๆๆๆๆ
ปลื้มกับนิยายเรื่องนี้มากๆ เลยค่าาาา
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 30-03-2017 23:30:20
จบแบบชีวิตคือชีวิต ประวัติศาสตร์สงครามโลก มีความรักเป็นบทนำ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-03-2017 00:01:32
 :pig4: :pig4: :pig4:  :L2:  แต่งได้เยี่ยมมากครับ ประทับใจขอชื่นชม :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 31-03-2017 01:50:41
ด้วยความที่เราเรียนเอกสังคมและรับรู้เรื่องราวพวกนี้มาจนปวดหััวขอยอมรับเลยว่าคนเขียนทำการบ้านมาดีมาก แต่มีบางจุดในช่วงสงครามนานกิงซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เราว่าคนเขียนให้รายละเอียดเรื่องความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นน้อยไปหน่อย หลายคนที่อ่านและไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์จีนช่วงนั้นอาจไม่เข้าใจว่่าทำไมเหวินเป่าถึงเกลียดชังทหารญี่ปุ่นนัก เพราะความโหดร้ายที่ชาวนานกิงได้รับจากสงครามครั้งนั้นมันมากเกินจะบรรยาย ถ้าคนเขียนจะบรรยายเพิ่มเติมเรื่องความช่วยเหลือที่ถูกตัดขาดกับความเหี้ยมโหดของทหารญี่ปุ่นจะช่วยเพิ่มเติมความเข้าใจในมิติจองตัวเหวินเป่าเองว่าทำไมถึงเกลียดพวกญี่ปุ่นนัก (ตอนทำรายงานเรื่องสงครามนานกิงเราร้องไห้แบบเป็นวรรคเป็นเวรมาก)




ขอชื่นชมเรื่องการทำการบ้านและวินัยในการอัพนิยายของคนเขียน สำนวนภาษาที่พัฒนาขึ้นจากเรื่องก่อนๆทำให้รู้สึกได้ว่ากำลังอ่านนิยายประวัติศาสตร์ที่ดีมากอีกเรื่อง จังหวะการดำเนินเรื่องพอดีพองามไม่เยิ่นเย้อเกินไปและไม่กระชับเกินควรนับว่าดีมากๆเลย


ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ให้อ่าน ขอบคุณในความพยายาม ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 31-03-2017 07:07:50
เป็นตอนจบที่เหมาะสมมากๆเลยค่ะ ก่อนอื่นขอชื่นชมนิยายเนื่องนี้ที่มีเนื้อเรื่องมีข้อมูลเยอะมากแต่คุณคนแต่งสามารถทำให้ไม่ยืดเยื้อน่าเบื่อเลยสักนิด แถมยังขยันอัพอีก สุดยอดมากๆค่ะ รอผลงานเรื่องต่อไปนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 31-03-2017 15:18:37


ขอตอนพิเศษ

มันหน่วงใจอยู่เยอะมาก

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 31-03-2017 16:15:47
ดีงามมาก ทำการบ้านมาดีสุดๆ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Mengjie_JJ ที่ 31-03-2017 16:58:59
เขียนได้ดีมาก ผู้เขียนได้ศึกษาประวัติศาสตร์มา ทำให้อ่านแล้วขนลุกไปด้วยเลย เป็นนิยายที่ชอบมากอีกเรื่องนึงเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: yakkaru ที่ 31-03-2017 19:04:49
สนุกมากกก เป็นนิยายที่มีแบคกราวด์ดี
ชอบหญิงฟางมาก นางไม่น่าตายเลย ไม่รู้ว่านางรักสามีหรือเปล่านะ แต่นางทำหน้าที่เมียและแม่ได้ดีมาก เห็นตัวละครแบบนี้แล้วอยากให้นางมีรักดีๆที่นางได้เลือกอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-03-2017 21:04:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: casper75 ที่ 01-04-2017 01:36:08
สนุกมากคะ ชอบมากเลยอ่ะ ยังไม่อยากให้จบเลย  :mew2:
อ่านจบแล้ว ทำให้อยากอ่านประวัติศาสตร์จีนยุคนั้นเลย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 01-04-2017 11:47:29
ย้ายห้องมาเรวมากเกือบหาไม่เจอ

สนุกมากเลยมีครบรสด้วยรุสึกว่านิยานเรื่องนี้ดีงาม
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 01-04-2017 14:41:09
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 01-04-2017 22:04:08
ไม่คิดเหมือนกันว่านิยายที่มีฉากประวัติศาสตร์แบบนี้จะอ่านสนุกไม่แพ้ฉากมหาวิทยาลัย ฮาๆ
ที่ชอบอีกอย่าง เราไม่จำเป็นต้องอยู่ฝ่ายที่ชนะก็เป็นพระเอกนายเอกได้เช่นกัน ดีงามอ่ะ

เก่งมากๆ ปรมมือให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-04-2017 23:21:45
ขอบคุณสำหรับนิยายที่ให้ทั้งความสนุกสนานและความรู้นะคะ บางเรื่องไม่เคยรู้มาก่อนเลย คนเขียนทำการบ้านดีมากๆ อยากจะขอตอนพิเศษ ขอบคุณค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 02-04-2017 16:58:27
อ่านจบแล้วรวดเร็ว จริงๆเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเรียนประวัติศาสตร์​เลยจำยาก แต่พอเป็นนิยาน เฮ้ยทำให้เราจำง่าย เข้าใจง่าย สนุกอีกด้วย ถึงนิยายแนวนี้คนจะอ่านไม่ค่อยเยอะ แต่อย่าล้มเลิกนิยายแบบนี้ค่ะ หาอ่านยาก ควรมีบ้างในที่แห่งนี้  เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ เราอ่านนิยายเป็นร้อยเรื่อง เบื่อรักหวานแหวว เบื่อพวก NC เยอะ 

แนวประวัติศาสตร์​  แนวที่ดำเนินเรื่องไม่เน้น NC นี่แหละ ที่เราอ่านจบ และ ติดมาก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 02-04-2017 18:45:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 03-04-2017 00:14:55
อากุยเต่าน้อยน่ารักมาก ชีวิตอาภัพนักเสี่ยงภัยก็หลายหน อีที่นายท่านมาช่วยไว้ได้ตลอด
รักนายท่านตั้งแต่แรกพบ แก่แดดนักแต่ก็น่าเอ็นดู ตอนรักต้องห้ามนี่ทรมานเนอะงฟางซินก็แสนดีเหลือเกิน
บทคุณพี่เขาจะหวานนี่หวานมากนะ กรี๊ดดดเ รวามเข้าพระเข้านางของท่านทหารใหญ่
ในที่สุด็รักและเคียงข้างกันตลอด คือความดีงาม เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-04-2017 12:42:46
 :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 03-04-2017 20:46:08
 :mew1:  พออ่านจบไม่รู้จะพูดอะไรเลย คือ..........มันดีอ่ะ ......มันเริ่ด.....ของดี.....นิยายดี....ต้องอ่าน


ขอบคุณมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: MiniMick00 ที่ 04-04-2017 15:48:18
ในเรื่องมีการอ้างอิงประวัติศาสตร์ได้ค่อนข้างดีเลยคะ บ่งบอกว่าผู้เขียนทำการบ้านมาดีมากในเรื่องนี้ การใช้ภาษาดีมากคะ อ่านง่ายกระชับได้ใจความ ถ้าเทียบกับนิยายแนวตลาดหลายๆเรื่องแล้ว เรื่องนี้ต้องชื่นชมเลยว่าดีกว่ามาก ลำดับเรื่องดี แง่มุมความคิดของแต่ละตัวละครดี มีจุดยืนชัดเจน บางตัวละครมีแนวคิดที่สะท้อนความเป็นชาติของตนเองอย่างชัดเจน ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆคะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 23 #บทส่งท้าย# [30/03/60] จบแล้วจ้า ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 05-04-2017 04:09:35
จบซะแล้ว ยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 05-04-2017 14:53:19
อยากได้ตอนพิเศษ หืออออออ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 05-04-2017 18:54:08
สนุกมากๆ รักลูกเต่าน้อย :katai2-1: :katai2-1:

ฝากถึงไป๋ซาน :beat: :beat: :beat:

ฝากถึงหย่งหนานสุดหล่อ :mew1: :mew1:

ฝากถึงอากุยที่รัก :กอด1: :กอด1:

ขอบคุณคนเขียนมากๆ อยากให้มีตอนพิเศษจังเลย อิอิ o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 06-04-2017 05:02:11
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ คิดว่าเป็น must read อีกเรื่องนึงเลย

คนเขียนข้อมูลแน่นจริงๆ สามารถทำประวัติศาสตร์ที่เวลาเรียนง่วงมาก

ให้สนุกน่าติดตามได้ขนาดนี้ ไปเป็นครูเถอะค่ะะะ 5555 ล้อเล่นนน

แต่งานดีจริงๆ ขอคารวะะะะ ปล. ตอนพิเศษ จะมีไหมน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 07-04-2017 05:45:33
เรื่องรี้เริ่ดจริงอะไรจริงค่า :laugh: o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenz ที่ 07-04-2017 08:41:43
ความรัก เกรียติยศ สงคราม อำนาจ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 07-04-2017 12:19:27
 o13  o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 07-04-2017 21:51:50
สนุกมาก เป็นนิยายที่อิงประวัติศาสตร์อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ คนเขียนต้องหาข้อมูลมาเยอะแต่เลือกที่จะเขียนน้อยแต่ครบความ
เราชอบบทเพลงงิ้วมากเลยค่ะ แปลได้สวย ซึ้งใจ
 ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆ ให้อ่านนะคะ
เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 07-04-2017 22:42:33
ชอบสุดๆเลยย  :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 07-04-2017 22:46:48
อยากได้ตอนพิเศษหลังจากไปอยุ่ไต้หวันจังค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: เเว่นตาอันเท่าบ้าน ที่ 07-04-2017 23:05:25
ฮื้ออออออออออออ :sad4: :sad4:  มันดีมากเลยค่ะ พึ่งเข้ามาอ่านรวดเดียวจนจบ ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย  :z3: :z3: :z3:
ขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆอย่างนี้ออกมานะคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 07-04-2017 23:50:21
อยากให้เป็นนิยายแนะนำ ขอบอกว่าสนุกมากกกก ถ้าใครไม่ได้อ่านจะเสียใจ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-04-2017 21:33:21
กล้าเสี่ยงมากค่ะ ประวัติศาสตร์ถ้าบิดเบือนไป มันจะส่งผลหลายอย่าง
แต่คนแต่งทำการบ้านมาดี เรื่องราวถึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายทาง

ไม่รู้จะเมนท์ยังไงเลยค่ะ ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ จะค่อนข้างมีคุณค่าในตัวเอง 

ดูไปถึงตัวละครแล้วกันนะคะ

ความเชื่อใจ ความรัก ความมั่นคง ทำให้คนเราเติบโต
ความโลภ กิเลส ไม่ทำพังเลย ก็รุ่งเลย

หย่งหนานเป็นคนดี มั่นคง พ่ายแพ้แต่ยังมีโอกาส เก็บไว้สู้เมื่อถึงเวลา
เหวินเป่าเป็นเด็กน้อยที่ไม่ยอมแพ้ มั่นคงไม่ต่างกัน เจอกันได้ถูกเวลามากค่ะ

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ

หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: ninghyuk ที่ 11-04-2017 00:09:12
เข้ามาอ่านรวดเดียวจบ สนุกมากค่ะ เป็นนิยายที่มีสาระ ไม่ดราม่าพร่ำเพรื่อ
เนื้อเรื่องกระชับเข้าใจง่าย ภาษาสวยงาม เข้าถึงความรู้สึกของตัวละครทั้งความรักชาติ ความรักระหว่างกัน ความหวังดีทุกอย่าง ขอบคุณมากค่ะที่เขียนนิยายดีๆให้อ่าน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: ingyunglamer ที่ 14-04-2017 18:41:27
ขอบคุณค่ะ ที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน  :katai2-1: :katai2-1:

หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 15-04-2017 00:54:58
ขอบคุณมากค่ะ(เพิ่งเข้ามาอ่าน)
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: GAZESL ที่ 16-04-2017 12:32:33
สนุกมากค่ะ ทำเอาน้ำตาซึมหลายตอน
เป็นความรักที่ลึกซึ้งและรอเวลาอย่างเหมาะสม
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ
สนุกและได้ความรู้เพิ่มด้วย
 :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 18-04-2017 15:46:05
เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดียวจบ
ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากอยากบอกว่าคนเขียนเขียนดีมาก ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้
ขอบคุณสำหรับเนื้อเรื่องดีดีและเกล็ดความรู้มากมาย
การใช้ภาษาดี ลื่นไหลไม่สะดุด
รอเรื่องต่อไปนะค้าบบ :katai5: :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-04-2017 11:21:17
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 28-04-2017 01:06:19
สนุกแบบคาดไม่ถึง

ช่วงแรกๆ ถึงกลางๆ กลมกล่อมพอดีๆ
แต่แอบรู้สึกว่าช่วงท้ายๆ หลังได้กันแล้ว รวบรัดตัดความไปนิด แต่ถือว่าเป็นนิยายวายอิงปวศ ที่ทำได้ดีมากๆ เรื่องนึงเลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 01-05-2017 22:39:35
ฮึบบ จบลงด้วยดี ดีใจจังที่ไม่มีใครเป็นอะไร

ยิงยาวรวดเดียวจบพร้อมกับความมึนในหัวที่วิ้งๆ ไปมา ไม่ชอบสงครามทั้งหลายแหล่เหมือนน้องเหวินเป่า เลยรู้สึกแบบ โอ๊พระเจ้า ให้ตายเถอะนี่มันนิยายประวัติศาสตร์หรืออย่างไร! (ซึ่งใช่ เข้าใจถูกแล้ว)

พอเข้าใจแบบนั้นนี่ก็อ่านไปกล้ำกลืนไปเหมือนคนจมน้ำตั้งแต่ต้นยันใกล้จบ ไหนจะสงคราม ไหนจะความสัมพันธ์พระนายอีก (เพราะฟางซินแสนดีเหลือเกิน จนเราอยากให้มีพระเอกคนใหม่แทน) ปวดเฮดเว่อ แต่ก็กลั้นใจอ่านจนจบล่ะนะ เนี่ย ถ้าอยู่ในน้ำจริงๆ เราตายไปแล้ว

แต่ขอบคุณมั่กๆ นะคะ ภาษาสวยดี แอบคิดว่าฉากหวานน้อยจังหลังจากจับเรากดน้ำอยู่ตั้งนาน ขออากาศหายใจเป็นตอนพิเศษหวานๆ หน่อยก็คงจะดีไม่ใข่น้อยนะคะ อิ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 02-05-2017 02:36:46
 o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 06-05-2017 05:23:19
ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆ แบบนี้นะคะ
สนุก ลุ้น ดีงาม เรียบง่าย
อ่านง่าย ร้อยเรียงเรื่องราวได้ดี
ชอบมากๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: amito ที่ 07-05-2017 12:06:15
เรื่องสนุกมากค่ะ อิงประวัติศาสตร์ชาติจีนช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้ทั้งสนุกทั้งได้ความรู้ไปด้วย

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 17-06-2017 12:53:31
ตอนที่บีบหัวใจก็บีบสุดๆ ตอนหวานก็หวานมากกกก ชอบ สนุก :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Pangvivacious ที่ 11-07-2017 23:16:23
สนุกมากกเลยค่ะ ตามมาจากในกระทู้แนะนำ ตอนแรกเห็นเรื่องนี้หลายรอบแล้วแต่เราไม่ได้กดเข้ามา แห่ะๆ

พอเริ่มเรื่องรู้ว่าเป็นนิยายจีนอิงปวศ นี่ เราถึงกับต้องไปหาข้อมูลเลยค่ะ นี่หาไปจนถึงยุคหลังหนีไปไต้หวันอีกนะ

คืออินมาก555555555 ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: knoxziekanoon ที่ 22-07-2017 18:51:18
 ดีงาม เป็นนิยายที่ภาษาสวยคะ อ่านเข้าใจ
คนอ่านเป็นติ่งนิยายจีน ประวัติศาสตร์จีน
เลยยิ่งทำให้ชอบมากเข้าไปอีก ประทับใจสุดๆเลยคะ ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับนิยาย
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Prattana ที่ 25-07-2017 15:55:20
สนุกมากๆเลยค่ะ แถมได้ความรู้เรื่องประวัติศาตร์จีนด้วย
ภาษาดีงาม อ่านแล้วไหลลื่น มีช่วงท้ายๆที่ดูรวบรัดไปสักหน่อย
แต่ก็ไม่ถึงกับอ่านแล้วสะดุดอะไรมากมาย จะรอเรื่องต่อๆไปนะคะ
ปกติไม่ค่อยอ่านนิยายจีนแต่ตามมาจากกระทู้แนะนำ
และคือตัวอักษรของผู้แต่งสะกดเราใว้ อ่านแล้วติดมาก ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 10-08-2017 17:13:28
เฮ้ยย คือมันสนุกอ่ะ ตอนแรกนึกว่าจะน่าเบื่อเพราะเป็นประวัติศาสตร์ แต่พออ่านแล้วแบบติดงอมแงมเลยจ้า
ขอบคุณคนเขียนที่เขียนออกมาได้น่าติดตามมากๆ
เรื่องนี้ถือเป็นนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่จะจดจำไว้ในใจ
 :L2: :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 24-08-2017 01:31:00
ภาษาดีข้อมูลแน่นมากกกค่ะ
พระนายตอนดราม่าก้อสุดติ่ง
บทจะหวานก้อทำเอาคนอ่านเขิน งานดีจริงๆค่ะ
อยากได้ตอนพิเศษที่ไต้หวันสักตอนค่ะ^^
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: spsygk ที่ 01-09-2017 12:54:02
 :hao5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-09-2017 08:45:57
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 03-09-2017 13:03:24
งุยยยย สนุกมากเลยค่ะ
อ่านรวดเดียวจบเลย ชอบ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: annch ที่ 27-11-2017 21:07:59
หายากนะสำหรับนิยายในยุคสงครามโลก
สนุกครับ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 29-11-2017 00:20:16
 o13 ดีเลิศมากๆเลยจ๊ะ...มีแอบตื่นเต้นเล็กๆตลอดเวลา แต่งานสาระมาเต็มเลย ชอบมากกกกก
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 12-12-2017 17:10:09
สนุกมากกกกกก แถมยังเหมือนได้เรียนประวัติศาสตร์ไปด้วย
อ่านรวดเดียวจบเลย ลุ้นมากว่าเหวินเป่าจะได้คู่กับหย่งหนานรึป่าว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: Meercorn ที่ 12-12-2017 20:16:41
เป็นนิยายที่ได้ความรู้และข้อมูลแน่นมาก เขียนอธิบายได้ดีด้วยเข้าใจง่าย อ่านแล้วไม่งงเลย จะบอกว่าตรงกับเรื่องที่เรากำลังเรียนอยู่พอดีเลย5555555 เข้าใจเรื่องที่เรียนขึ้นเยอะเลย ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายดีๆอย่างนี้ให้อ่าน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน#
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 23-01-2018 21:09:33
สนุกแถมยังแทรกประวัติศาสตร์เข้าไปอีก นี่มัน o13 o13
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 26-01-2018 21:26:50
ปกมาแล้ววว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 17-02-2018 23:14:08
ใช้เวลาเดินทางกว่าจะได้รักกันยาวนานจริงๆ ดีที่ใจสองคน มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 19-02-2018 05:48:51
งุยยยยยน่ารักมากเลยยยอยากรู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นไงกันบ้าง  :z2:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: hwang ที่ 08-05-2018 18:39:21
อากุยน่ารักจังเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เราชอบมากกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :hao5:

ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้จนจบนะคะ <3 เราจะคอยติดตามและอุดหนุนนิยายเรื่องอื่นๆนะคะ

เรื่อองนี้เรายกขึ้นหิ้งเลยย เป็นนิยายที่กลับมาอ่านกี่รอบก็ยิ่งชอบขึ้นเรื่องๆ

แถมยังทำให้เราชอบไต้หวันเพิ่มขึินด้วย

ขอบคุณนะคะ <3
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 10-05-2018 07:54:59
เป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ สนุกด้วยได้ความรู้ด้วย
พระเอกเท่มาก
เราก็แซ่เฉินเหมือนพระเอกนะ อิอิ

บวกค่า^^
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 11-05-2018 00:06:39
ดีงามมากกกกกก ความรู้แน่นเอี๊ยด ชอบๆ คนที่สมควรได้รับกรรมก็ได้อย่างสาสม พระนายเราก็หวังว่าหลังจากจบสงคราม ย้ายถิ่นฐานจะ มีความสุขสักที หน้าปกคือดีงามมมม รู้สึกว่าน้องเต่าเราหล่อมากเลย ฮาาา
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 12-07-2018 21:57:26
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน นิยายดีมากค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ  :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Tantalum ที่ 15-07-2018 02:28:53
ชอบมากเลยค่าาาา อ่านรวดเดียวจบ ภาษาดีมาก แถมได้ความรู้ด้วย แต่ยังมีบางคำที่เขียนผิดอยู่นะคะ แต่ไม่ได้มากมายอะไร  ^^
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pwstz ที่ 21-07-2018 18:15:03
ตามรีวิวมาอีกเรื่อง อ่านจบแล้วจะมาใหม่นะคะ แปะก่อน
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 4 [20/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 24-12-2018 21:51:42
แง สงสารน้อง สงสารอากุย :sad4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 5 [24/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 24-12-2018 22:31:00
 :hao4: คิดว่าเหล่าซือจะดี... สงสารไป๋ซาน ดีแล้วที่อากุยทำตัวแบบนั้น
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 6 [26/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2018 01:34:50
 :katai1: แง้ อากุยลูกกก โอยย อิตาเหล่าซืออออ  :z6:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน# บทที่ 8 [02/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2018 01:46:11
แง้ นึกว่าน้องจะหนีไม่รอดซะแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 11 [21/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2018 02:14:05
 :เฮ้อ: ขอให้ผ่านไปด้วยดี
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 12 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2018 02:47:58
เอาล่ะ งานเข้า! หรือนั้นอาจเป็นพ่ออากุย  :o
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 14 [13/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2018 03:02:58
อ่าา ว่าแล้วเชียว  :katai1: งานเข้าอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 18 [23/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2018 03:59:07
ฟางซินดีเหลือเกิน  :hao5:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> #นิยายจีน# บทที่ 20 [27/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2018 04:12:27
สังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว ว่าไป๋ซานจะนำความเดือดร้อน

ความไม่ดีอะไรมาให้อากุย ผีเอ้ย มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นนะ

อุตส่าห์สงสาร  :z6:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2018 04:33:44
อา เข้าใจที่มาของไต้หวันละ คืออ่านเรื่องนี้เหมือรได้ไปนั่งเรียน

ประวัติศาสตร์เพิ่มเลยค่ะ จำได้ตอนเราเรียนเราเลือกของทาง

ภาคตะวันออกหรือตะวันตกนี่แหละ จะเป็นอีกทางไม่ปวดหัว

หรือหดหู่เท่าอันนี้เลยค่ะ ข้อมูลก็แน่นนะสำหรับเรา ถือว่าเป็น

นิยายที่สุดยอดมากๆ ค่ะ แต่แอบอยากอ่านตอนพิเศษจังค่ะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 19-02-2019 23:52:26
สนุกมากกกกกกกกกก
ส่วนตัวชอบอ่านอิงประวัติศาสตร์ด้วยอยู่แล้ว พอเจอเรื่องนี้ก็ติดหนึบ
เขียนบรรยายได้เห็นภาพเป็นฉากๆ ยิ่งตอนสุดท้ายนี่มาสั้นๆแต่รู้สึกถึงการเริ่มต้นใหม่เลยค่ะ
เราชอบภาษาที่คุณใช้มาก อ่านแล้วลื่นไหล ไม่ดูเก่าโบราณและไม่สมัยใหม่มากไป
เอาเป็นว่าชอบมากค่ะ
ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆมาให้ได้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>> สนพ.Maze Novel# ปกมาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 18-05-2019 18:03:11
ประทับใจมากค่ะแต่งได้ดีมากๆ ขอชื่นชมค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>>
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 20-05-2019 19:32:03
สนุกดีค่ะ
รู้เลยว่าต้องศึกษาประวัติศาสตร์หนักมาก
ช่วงวัน-เวลา รายละเอียดต่างๆ
ค่อนข้างครบเลย
ขอบคุณนะคะ