<<ม่านไหมลายพยัคฆ์>>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<ม่านไหมลายพยัคฆ์>>  (อ่าน 105343 ครั้ง)

ออฟไลน์ dear77

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ชอบๆ  รีบมาต่อนะ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
เครียดตาม 5555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เฉินหย่งหนาน เหวินเป่า  :mew1: :mew1: :mew1:
จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ เจอกันที่ซีอานใช่ปะ
แม่เหวินเป่า ก็ตายแล้ว
คนที่รู้จักเหวินเป่า มีหลายคนตายไปก็มาก
แต่...แม่เล้า คิดว่าแม่ปลาช่อนคงไม่ตายง่ายๆ
คงไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ทีหลังนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:     

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
กลัวดราม่าจังเลยง่า  :katai1:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
รู้สึกว่านี่แค่เพิ่งเริ่มต้มน้ำชิมิ :ling3:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฉันจะฝ่ามาม่าหม้อนี้ไปด้วยใจที่เข้มแข็ง

โฮๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
ดราม่าขนาดดดดด




ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ดราม่าแหง๋เลย ยิ่งยุค หนานกิง อื้อหื้มม ต้องทำใจล่วงหน้ารอเลยงานนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                                    ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                            บทที่ 4


               เฉินหย่งหนานก้าวเข้าไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นกระทั่งบุคคลที่เป็นหัวใจของวงสนทนาหันใบหน้ามาพบเขาทุกอย่างจึงได้หยุด

ลง ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนและเดินมาหาเขาหย่งหนานค้อมศีรษะคำนับอย่างสุภาพอู๋จินไห่จึงตอบรับการทักทายด้วยการค้อมศีรษะ

เสมอกัน


               “คงแปลกใจที่ฉันยังไม่ตายจากฝีมือของญี่ปุ่นกระมังร้อยตรีเฉิน”


               “มิได้ครับคุณอู๋”


               แม้จะจับหางเสียงประชดประชันได้แต่หย่งหนานก็ไม่คิดจะเก็บเป็นอารมณ์ ใบหน้าของเขายังคงความเยือกเย็นไว้ตลอดเวลา

ถึงอีกฝ่ายจะยืนอยู่คนละขั้วการเมืองก็ตาม


               “ไม่มีใครสมควรได้รับความตายจากสงครามทั้งนั้นครับ”


               ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของจินไห่ เขามองนายทหารหนุ่มที่เป็นหลานผู้นำสูงสุดของประเทศอย่างอดที่จะชื่นชมไม่ได้

จินไห่รู้จักครอบครับสกุลเฉินเป็นอย่างดีเพราะก่อนหน้าที่จะเป็นศัตรูทางการเมืองกับเฉินจิ้งเหอเขาเคยเป็นฟันเฟืองเล็กๆในพรรค

ชาตินิยมตั้งแต่สมัยสิ้นสุดระบบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่หลังจากนั้นนักการเมืองแต่ละคนกลับไม่ได้ทำตามคำสัตย์ ต่างก็ยังฉ้อราษฎร์

บังหลวงสร้างฐานะแก่ตนแต่ประชาชนก็ยังเดือดร้อนลำเค็ญ จินไห่ได้ศึกษาการปกครองแนวใหม่ของรัสเซียที่มุ่งให้ผู้คนมีความเท่า

เทียมกันในสังคม จินไห่จึงขยายความคิดนี้ไปสู่เพื่อนของเขาและมันก็กระจายไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาสามารถตั้งพรรคการเมืองที่

ใช้อุดมการณ์เหล่านี้เป็นจุดยืน


               “คนเราล้วนแล้วแต่ต้องตายด้วยกันทั้งนั้นร้อยตรีเฉิน”


               จินไห่กล่าวเนิบนาบ แต่ทุกคำเขาเน้นไปที่ความหมายที่ต้องการจะสื่อทั้งโดยตรงและโดยอ้อม


               “หากแต่การตายนั้นจะเป็นที่จดจำแก่ผู้คนได้เพียงไหน บางคนก็ตายโดยเปล่าประโยชน์ สิ้นไร้แม้แต่หลุมฝังศพ แต่บางคนก็

ตายอย่างพรั่งพร้อมทั้งที่ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปด้วยแม้แต่อย่างเดียว ก็เพราะคนเรามีโอกาสไม่เท่ากันไงล่ะ”


               หย่งหนานไม่นึกแปลกใจที่คำพูดของจินไห่จะซื้อใจคนที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจได้ เขาเองก็เคยอ่านตำราการปกครอง

ของรัสเซียมาบ้างจึงเข้าใจในแก่นแท้ของมัน หากแต่เขาก็ไม่คิดว่าสังคมในอุดมคตินั้นจะเป็นไปได้


               “โอกาสคนเรามีไม่เท่ากันแต่เราแสวงหาโอกาสได้ครับคุณอู๋ อยู่ที่ว่าโอกาสที่เราเลือกนั้นมีประโยชน์กับส่วนรวมหรือ

ประโยชน์กับตนเอง”


               ผู้นำพรรคสังคมนิยมสะอึกกับคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าคมนั้นยังเจือรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาและน้ำเสียงก็ยังคงความสุภาพไม่

เปลี่ยน หากแต่นัยยะที่พูดออกมานั้นราวกับจะกรีดเนื้อของเขาจนเลือดซิบ


               “ทุกคนต่างก็อยากทำเพื่อตนเองทั้งนั้น ฉันจึงได้มอบโอกาสให้พวกเขาไงล่ะ ประชาชนต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตนเอง พวก

เขาจะทนถูกกดขี่ข่มเหงไปอีกนานเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็โดยที่พวกเขาต้องแลกมา”


               หย่งหนานนิ่งฟังอย่างสงบ รอจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบเขาจึงได้ตอบออกไป


               “การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งภาระที่ต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง ผมเองก็ได้แต่หวังว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ

เหล่าผู้คนที่ทำให้มันเกิดขึ้นจะยอมรับภาระนั้นได้”


               จินไห่หน้าตึงอย่างเห็นได้ชัด หย่งหนานจึงไม่ต้องการสนทนาให้รุนแรงมากไปกว่านี้


               “คุณอู๋จะไปพักที่ค่ายทหารไหมครับ ผมจะสั่งให้เขาจัดที่ให้”


               “ไม่ล่ะ ขอบใจ” ผู้นำพรรคสังคมนิยมเชิดหน้าตอบน้ำเสียงกระด้าง “แต่ฉันขออยู่กับพวกชาวบ้านที่หนีตายจากสงครามมาจะดี

กว่า”


               จินไห่หันหลังกลับด้วยความผยองไปยังกลุ่มผู้คนที่เขายังสนทนาค้างไว้ การจะเข้าไปนั่งในจิตใจของผู้คนต้องกระทำในช่วง

ที่พวกเขาเหล่านั้นลำบากอย่างถึงที่สุดและทำให้พวกเขามองเห็นความหวัง อุดมการณ์ของพรรคสังคมนิยมจะกลายเป็นแสงสว่างอยู่ใน

ความมืดมิดและนั่นจะทำให้การทำงานของเขาประสบความสำเร็จในที่สุด จินไห่และพวกพ้องต้องฉวยจังหวะที่พรรคชาตินิยมทำสงคราม

กับญี่ปุ่นดึงมวลชนมาอยู่ในมือให้มากที่สุด กว่าสงครามจะสิ้นสุดพวกเขาก็จะมีชนชั้นกรรมาชีพและเกษตรกรอันเป็นคนส่วนใหญ่ของ

ประเทศมาเข้าร่วมจำนวนมาก และวันนั้นระบอบผู้นำทหารเผด็จการจะต้องหมดไป









               ดวงตาเรียวเล็กของหลินเหวินเป่ายังคงหวาดระแวงแม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ท่ามกลางชาวจีนที่หนีจากสงครามลึกเข้ามาในป่า

โชคดีที่เขาและเยี่ยไป๋ซานไปพบกลุ่มทหารที่ย้ายกำลังพลมาตั้งค่ายในบริเวณชายขอบของซีอานทั้งคู่จึงขอติดตามมายังที่ค่ายทหาร

แห่งนี้

               อย่างน้อยก็ยังปลอดภัยกว่าในนานกิงช่างไห่และชานตง เหล่าเมืองท่าถูกญี่ปุ่นยกกองทัพมายึดไว้เพื่อหวังจะใช้เป็นฐานทัพ

ทางทะเลและขยายอิทธิพลไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหวินเป่าได้ฟังจากพวกผู้ใหญ่ว่าเฉินจิ้งเหอนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลทหารใช้

ซีอานเป็นที่ตั้งทัพแห่งใหม่ แต่เหล่าผู้คนกลับยังก่นด่ากันอย่างสนุกปากที่ผู้นำยังไม่สั่งการตอบโต้กับจักรวรรดิญี่ปุ่นเสียที


               “เป็นทหารเสียเปล่ากลับปล่อยให้ข้าศึกบุกประเทศ ซ้ำยังไม่ยอมสั่งให้สู้รบทั้งที่ทหารก็มีตั้งมากมาย”


               ชาวจีนหัวรุนแรงที่เคยกินข้าวอยู่ใกล้กันสบถออกมาเบาๆเพราะกลัวทหารเฝ้ายามจะได้ยิน อีกคนที่ร่วมวงด้วยพูดสนับสนุน

ทันที


               “นั่นสิ ไม่รู้ว่ากลัวอะไรกับพวกมันนักหนา หรือว่าเอาแต่สุขสบายเพราะโกงกินจนปล่อยให้พวกมันเข้ามายึดประเทศ”


               “พวกขุนนางมาเป็นนักการเมืองก็แบบนี้แหละ” อีกคนที่ดูท่าทางคงแก่เรียนราวกับจอหงวนสำทับ


               “พวกมันกอบโกยเงินทองกันไปสบาย ดูสิขนาดช่วงสงครามขนาดนี้มีใครมาลำบากกับพวกเราไหม โน่นมันสบายกันอยู่บน

หอคอยงาช้าง จริงอย่างที่คุณอู๋จินไห่พูดให้ฟังจริงๆด้วยว่าพวกเรากำลังถูกกดขี่จากพวกมัน”


               ไป๋ซานที่โตกว่าเหวินเป่านั่งฟังพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นคุยกันอย่างตั้งใจ และดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับพวกเขาในหลายเรื่อง โดย

เฉพาะในเวลาที่ผู้ชายคนหนึ่งพูดอะไรยาวๆให้พวกชาวบ้านที่นั่งล้อมวงฟังกันไป๋ซานจะลากเหวินเป่าไปฟังด้วยทุกครั้ง


               “นั่นน่ะ คุณอู๋ไงล่ะ คนๆนี้แหละที่จะมาปลดแอกพวกเรา ฟังที่คุณอู๋พูดสิมันจริงทุกคำ”


               ราวกับไป๋ซานจะยกย่องเทิดทูนผู้ชายที่เหวินเป่ารู้จักภายหลังว่าเป็นผู้นำของพรรคการเมืองจนกลายเป็นวีรบุรุษไปแล้ว เด็ก

อย่างเหวินเป่าตัดสินไม่ได้หรอกว่าอะไรคือความจริง เขาได้แต่นั่งฟังและเก็บคำพูดเหล่านั้นไว้ในลิ้นชักของสมอง เหวินเป่าใช้ชีวิตอยู่ใน

ค่ายทหารร่วมกับชาวบ้านจนวันหนึ่งเด็กน้อยจึงได้เห็นรถยนต์ทหารคันหนึ่งกำลังจะขับออกไปจากค่าย

               เหวินเป่าเบิกตากว้างเมื่อรถคันนั้นคุ้นตาเสียเหลือเกินแม้ว่าจะอยู่ในระยะไกล และยิ่งเห็นร่างสูงผึ่งผายที่กำลังเดินตรงไปที่รถ

อย่างเร่งรีบเด็กน้อยก็ยิ่งมั่นใจ เหวินเป่าไม่มีวันลืมเลือนคนที่ดึงเขาออกมาจากซ่องคณิกาอันต่ำตมและมอบชีวิตใหม่ให้แก่เขา ผู้ชายที่

อยู่ในความทรงจำและหัวใจแสนบริสุทธิ์ของเด็กน้อย


               “นายท่าน”


               แม้แต่ชื่อเหวินเป่าก็ยังไม่รู้จัก เขารู้แต่ว่านั่นคือวีรบุรุษตัวจริงของเขา น้ำตาของเหวินเป่าเอ่อท้นด้วยความระลึกถึงอย่างที่สุด

เด็กน้อยก้าวเท้าหวังจะเข้าไปใกล้อีกสักนิดหากแต่ต้นแขนกลับถูกดึงรั้งไว้ด้วยมือของไป๋ซาน


               “เหวินเป่าจะไปไหน”


               “ปล่อย พี่ไป๋ซาน ผมจะไปหานายท่าน”


               เหวินเป่าดิ้นรนแต่ไป๋ซานยังคงยึดต้นแขนของเขาไว้จนเด็กน้อยร่างผอมมิอาจดื้อดึงได้


               “จะบ้าหรือไง ทหารคนนั้นเขาเป็นถึงหลานของนายกรัฐมนตรีเชียวนะ อย่าเข้าไปใกล้พวกมีอิทธิพลเลย”


               “ไม่ พี่ไป๋ซาน ปล่อยเดี๋ยวนี้ ดูสินายท่านขึ้นรถไปแล้ว ปล่อย!”


               ออกแรงจนสามารถผลักไป๋ซานออกห่างได้เหวินเป่าก็รีบวิ่งไปยังรถยนต์คันนั้น หากแต่หัวใจดวงน้อยก็ต้องสลายเมื่อจุด

หมายขับรถเคลื่อนที่หนีห่างออกไปเรื่อยๆ เหวินเป่าวิ่งจนหมดแรงทรุดลงกับพื้นเมื่อรถยนต์แล่นจากไปจนลับตา เขาร้องไห้จนปริ่มจะ

ขาดใจ

               อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกับชายที่อยู่ในดวงใจของเขา เหวินเป่าไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าชีวิตจะสิ้นสุดที่ตรงไหน ความ

อ้างว้างโดดเดี่ยวเข้ามาเกาะกุมจิตใจจนหนาวเหน็บ เหวินเป่าทำได้เพียงตั้งความหวังลมๆแล้งๆว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้พบกับเจ้าของชีวิต

ใหม่ของเหวินเป่าอีกครั้ง


                “ผมจะรอ รอนายท่านกลับมาทำตามสัญญา ผมจะรอนายท่าน”


               เหวินเป่าจะรักษาชีวิตไว้หวังเพียงว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้พบกับชายคนนั้นอีกครั้งแม้ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่ก็ตาม







               เฉินหย่งหนานขึ้นรถอย่างรวดเร็วเมื่อผู้หมู่ไห่รีบแจ้งข่าวสำคัญ


               “รถของท่านจิ้งเหอถูกล้อมและชิงตัวไปแล้วครับ”


               หย่งหนานตกใจเป็นอย่างมาก เขานึกเสียใจที่ไม่ได้ไปคุ้มกันให้เฉินจิ้งเหออย่างที่สังหรณ์ใจไว้


               “ใครทำ”


               อาไห่อ้ำอึ้งก่อนจะเอ่ยปากอย่างขลาดๆเพื่อตอบคำถามของเจ้านาย


               “ทหารรายงานว่า เอ่อ เป็นกองกำลังของผู้กองเฉินหยางซุนและนายพลจางร่วมมือกันครับ”


               กัดฟันกรอดข่มความร้อนให้เย็นลงอย่างยากลำบาก ใครจะนึกว่าผู้กระทำคือบุตรชายแท้ๆและลูกน้องคนสำคัญแถมยังพ่วง

ความสัมพันธ์ฉันท์ญาติเพราะพลตรีจางจิวหรงนั้นก็คือบิดาภรรยาของเฉินหยางซุนนั่นเอง แต่อย่างน้อยหย่งหนานก็ยังเบาใจว่าทั้งพ่อตา

และลูกเขยคู่นั้นจะไม่ทำอันตรายแก่เฉินจิ้งเหอเป็นแน่


               “ช้าไม่ได้ อาไห่ ไปกันเร็ว”


               ไม่รอให้ต้องสั่งซ้ำอาไห่กระโจนขึ้นฝั่งคนขับทันที หย่งหนานตามไปฝั่งตรงข้ามเขาไม่เคยใจร้อนขนาดนี้ แต่เพราะยังไม่รู้จุด

ประสงค์ของญาติผู้พี่เขาจึงไม่อาจนิ่งนอนใจ

               อาไห่บังคับรถยนต์ให้ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว คิ้วเข้มของหย่งหนานขมวดเข้าหากันเป็นปม หากแต่อะไรบางอย่างดึงเขาจาก

ความหมกมุ่นกับความปลอดภัยของผู้เป็นลุงให้สะดุ้งราวกับมีอะไรบางอย่างรั้งไว้


                “นายท่าน”


               เสียงนั้นดังแว่วแต่ไกลแข่งกับเสียงเครื่องยนต์จนไม่อาจจับใจความได้ชัดเจน แต่มันกลับเรียกให้หย่งหนานเหลียวหน้าไปยัง

เบื้องหลังที่จากมา ดวงตาคมเพ่งมองกลับไปจ้องจุดความสนใจเล็กๆที่แทบมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าทำไมหย่งหนานถึงยังจำได้ติดตา


               “อากุย!”


               หัวใจอันเข้มแข็งพลันอ่อนยวบเมื่อเห็นเด็กน้อยทรุดฮวบลงไปกับพื้น เขาจ้องมองจนกระทั่งอาไห่ขับรถออกมาไกลจนมอง

ร่างเล็กไม่เห็นอีกต่อไป อย่างน้อยเด็กน้อยก็ยังรอดชีวิตจากการรุนรานของญี่ปุ่น เขาหันกลับไปมองเบื้องหน้าแล้วถอนลมหายใจออกมา


               ชีวิตที่ไม่รู้อนาคตรออยู่เบื้องหน้า หย่งหนานยังคาดเดาไม่ถูกว่านายทหารอย่างเขาจะปลิดปลิวไปกับไฟสงครามเร็วช้าแค่

ไหน และเมื่อไหร่ที่บ้านเมืองจะกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง


               “จงรักษาชีวิตไว้ด้วยเถิดเหวินเป่า หากมีวาสนาต่อกันฉันจะรับเธอไปอยู่ด้วยตามสัญญา”



มีต่ออีกนิด...




ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


ต่อกันตรงนี้...




               หลับตาลงตัดใจจากร่างเล็กในความทรงจำและลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อสถานการณ์ตึงเครียดในขณะนี้ อาไห่ขับรถพาเขามายังซี

อานที่มีฐานทัพใหญ่จัดตั้งอยู่ ณ พระราชวังเก่าอันเป็นเมืองหลวงมากว่าสองพันปี ความรุ่งเรืองในอดีตยังคงงดงามอยู่เสมอ มันเป็นความ

ภาคภูมิใจเกินกว่าจะปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นถูกทำลายเพราะศัตรู

               อาไห่จอดรถให้เขาลงไปยืนสง่าท่ามกลางสายตาของเหล่าพลทหารที่สังกัดอยู่กับหยางซุน หย่งหนานกวาดสายตาคมจน

ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอะไรกับเขา


               “หลีกทาง”


               เขาออกคำสั่งกับนายทหารที่ปิดทางเข้าอยู่ แม้ว่านายทหารคนนั้นจะมีอายุและยศที่มากกว่าเขา แต่เพราะทุกคนรู้ดีว่าเขาเป็น

ใคร และยังเกรงกับสายตาดุราวกับเสือยามเกรี้ยวกราดทำให้นายทหารคนนั้นจำต้องยอมเปิดทางให้หย่งหนานก้าวเข้าไปในฐานทัพ

ทหารที่หยางซุนควบคุมอยู่


               “คุณลุง!”


               ใจกลางฐานทัพ ภายในห้องประชุมสำหรับผู้นำหย่งหนานมองเห็นเฉินจิ้งเหอนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้แห่งผู้นำ ใบหน้าของชายวัย

ชราเคร่งเครียดมือเหี่ยวย่นยังคลึงกระสุนเก่าไว้ในอุ้งมือโดยมีหยางซุนและจางจิวหรงยืนอยู่เบื้องหน้า หย่งหนานก้าวเข้าไปภายในเขานิ่ง

ฟังการสนทนาที่เกิดขึ้น


               “ถ้าหากยังเห็นฉันเป็นผู้นำก็จงทำตามคำสั่ง แต่ถ้าไม่ก็จงฆ่าฉันเสีย”


               “คุณพ่อ” หยางซุนเรียกอย่างอัดอั้น ใช่ว่าเขาจะไม่เคารพรักบิดา หากแต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องทำเพื่อบ้านเมืองเสียก่อน


               “คุณพ่อคือผู้นำเสมอ แต่คราวนี้คุณพ่อนำผิดทาง ญี่ปุ่นรุกรานจนศพชาวจีนกองกันเป็นสะพานข้ามทะเลได้ ทำไมคุณพ่อไม่

สั่งการให้พวกเราสู้รบ”


               จิ้งเหอหันไปสบตากับจิวหรงลูกน้องคนสนิทและยังเกี่ยวดองกันเป็นเครือญาติอีกชั้นอย่างผิดหวัง


               “จิวหรง เธอทำงานกับฉันมาก็นาน ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าฉันคิดอะไร”


               จางจิวหรงก้มหน้าอย่างอึดอัด เขาตัดสินใจเอ่ยความคิดคัดค้านออกมา


               “ผมเข้าใจครับท่าน ว่าท่านยังกังวลถึงศึกภายในเป็นสำคัญ แต่ท่านครับศึกนอกครานี้รุนแรงนัก ผมคิดว่าเราไม่อาจปล่อยให้

ข้าศึกรุกรานได้จริงๆ”


               “จึงได้ร่วมมือกับลูกเขยของเธอมาบังคับฉันสินะ เธอเป็นทหารแต่กลับกระทำเช่นนี้กับผู้บังคัญบัญชาของเธอ”


               คำพูดนั้นบาดใจของจิวหรง แต่เขาจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายคล้อยตามความคิดเห็นของเขา


               “ท่านครับ ท่านเป็นผู้บังคับบัญชา ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเราที่เป็นทหารทุกคน แต่ท่านครับ ผมไม่อาจปล่อยให้

ประชาชนมองท่านอย่างเลวร้ายได้อีก ถึงแม้ว่าในอนาคตอาจจะเกิดเรื่องที่เลวร้ายกว่าสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่น แต่นั่นคือเรื่องของวัน

หน้า ในวันนี้ตอนนี้พวกเราอยากให้ท่านต่อสู้เพื่อเกียรติยศของพวกเรา”


               จิ้งเหอมองชายทั้งคู่ หนึ่งเป็นบุตรชาย หนึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทที่ตายแทนกันได้ที่ร่วมมือกันทำเพื่อบ้านเมืองในแนวคิดของ

ตน จิ้งเหอเองก็เข้าใจแต่ในฐานะผู้นำเขาจำต้องมองรอบด้านมากกว่า


               “รู้ใช่ไหมว่าการต่อสู้ในครั้งนี้เป็นแค่ก้าวแรกไปสู่ความเลวร้ายยิ่งกว่า เราอาจจะไม่มีก้าวต่อไปที่จะไปสู้ศึกในวันหน้าทั้งเรา

และทั้งประเทศชาติ”


               หยางซุนสบตาบิดา เขาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าและกล่าวหนักแน่น


               “ผมทราบครับ แต่ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไรก็ขอให้ทุกอย่างมันจบเพราะพวกเราชาวจีนได้ร่วมกันต่อสู้เถอะครับ”


               จิวหรงคุกเข่าเคียงคู่กัน และนั่นทำให้จิ้งเหอนิ่งงันเขากำกระสุนในมือจนฝ่ามือชื้นเหงื่อ จิวหรงรีบสำทับเมื่อเห็นว่าเจ้านายเริ่ม

คล้อยตามแล้ว


               “ผมติดต่อขอความช่วยเหลือเรื่องอาวุธกับสหรัฐอเมริกาแล้ว เขาขอให้เราทำสัญญาพันธมิตรกับพรรคสังคมนิยมว่าจะต้อง

ร่วมมือกันต่อสู้กับญี่ปุ่นโดยยังไม่มีการแข็งขันกันในช่วงเวลานี้ กรรมการพรรคสังคมนิยมยอมรับและรับปากว่าพวกเขาจะร่วมมือกับเรา”


               ร่วมมืองั้นหรือ จิ้งเหอมองไม่ออกว่าพรรคสังคมนิยมจะช่วยเหลืออะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีกำลังพลใดๆนอกจากขาย

อุดมการณ์ในฝัน จิ้งเหอรู้จักอู่จินไห่ดี เขารู้ว่าที่น่ากลัวว่าดวงอาทิตย์ร้อนแรงอย่างญี่ปุ่นก็คืออสรพิษร้ายเช่นชายคนนั้น     

             จิ้งเหอกวาดสายตามองความภาคภูมิของบรรพบุรุษที่สร้างมา เขาภาวนาข้อไม่ให้ทุกอย่างล่มจมในช่วงเวลาของเขา


             “ออกคำสั่งให้พลทหารเตรียมตัวรบ เกณฑ์ชายฉกรรจ์ทั้งหลายให้เข้ามาเป็นพลสำรองในกองทัพ นอกจากอเมริกาแล้วติดต่อ

ไปที่เยอรมันด้วย ใช้งบประมาณเท่าที่มีซื้ออาวุธมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เราจะสู้และขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากจีน”


               หยางซุนและจิวหรงกล่าวรับคำสั่งอย่างยินดี หยางซุนก้มศีรษะคำนับแทบเท้าของบิดา เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาแห่ง

ความเคารพรัก


                  “ผมจะทำเพื่อประเทศชาติให้ดีที่สุดไม่ให้เสียชื่อคุณพ่อเด็ดขาด”


                 เฉินหยางซุนและจางจิวหรงรีบลุกขึ้นไปทำตามคำสั่ง ทิ้งให้จิ้งเหอนั่งเพียงลำพังเวลานั้นเองที่หย่งหนานก้าวเข้าไปหาชาย

ชราที่ถอนหายใจออกมา เขาวางมือไปบนมือเหี่ยวย่นนั้น


               “คุณลุงครับ”


              จิ้งเหอแค่นยิ้มกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางมีร่องรอยหยามหยันตนเอง หย่งหนานเข้าใจทุกฝ่าย แต่ฟันเฟือง

เล็กๆเช่นเขาในช่วงเวลานี้มีแต่ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด


              “ในที่สุดลุงก็ยั้งสงครามไว้ไม่ได้ ความเลวร้ายกำลังมาเยือนเราแล้วหย่งหนาน”




              รัฐบาลจีนตกลงทำตามข้อเสนอของสหรัฐอเมริกาที่จะหยุดความขัดแย้งกับพรรมสังคมนิยม จากนั้นความช่วยเหลือทางด้าน

อาวุธยุทโธปกรณ์จึงถูกส่งมา หกเดือนหลังจากการสังหารหมู่นานกิงกองทัพญี่ปุ่นจึงเริ่มถอยร่นออกไปจากใจกลางเมืองท่าอย่างนานกิง

ช่างไห่และชานตงให้ผู้คนเริ่มทยอยออกจากป่ากลับเข้าสู่บ้านเมือง

              รัฐบาลจีนซื้ออาวุธจากเยอรมันและเร่งฝึกทหารเพื่อการศึกพวกเขาต่อสู้กับญี่ปุ่นอย่างเข้มแข็ง ส่วนญี่ปุ่นก็ขยายแล้วรบมาทาง

ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อควบคุมฐานทัพทางทะเลแต่ก็ถูกขัดขวางจากประเทศสัมพันธมิตร

              สามปีหลังจากนั้นสงครามโลกครั้งที่สองก็อุบัติขึ้นเมื่อญี่ปุ่นทิ้งระเบิดที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา
                (7 ธันวาคม ค.ศ. 1941)
               
                                                 TBC


                                 

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
กำลังสนุกเลยค่ะ
สงสารอากุย เกือบจะได้พบนายท่านแล้ว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
สงสารเหวินเป่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้อยู่กับหยงหนาน :hao5:

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สงคราม สงคราม ฉันเกลียดสงครามซะจริงเรื่องนี้จะไปในแนวทางไหนยังเดาไม่ออก

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เลอค่ามาก

ข้อมูลแน่น สำนวนดี คาแรกเตอร์มีมิติ ความสัมพันธ์ในเรื่องก็จับคนอ่านได้อยู่หมัด

เหวินเป่าและนายท่านจะได้พบกันเมื่อไรนะ

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
จิตใจอะฮั้นบอบบางมากนะคุณบีเลิฟ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อีกนานแน่เลยกว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                                  ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                         บทที่ 5               


                 นครนานกิง

           กลางปีคริสศักราช 1945



               ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีก้มๆเงยๆจัดชุดหลากสีมาแขวนเรียงรายอยู่ด้านหลังเวทีที่ผู้คนกำลังพลุกพล่านก่อนการ

แสดงจะเริ่มต้น มือเรียวใช้ผ้าอ่อนนุ่มเช็ดถูอย่างทะนุถนอมจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าคุ้นหูก้าวมาทางด้านหลังเขาจึงหันไปส่งยิ้มให้


               “พี่ไป๋ซานมาแล้ว”


               “ตื่นเต้นอะไรนักหนาเหวินเป่า”


               “ก็อยากเห็นพี่ไป๋ซานแต่งชุดชิงอี่นี่นา”


               หลินเหวินเป่าตอบกลับ ดวงตาใสแจ๋วฉายชัดถึงความชื่นชมเมื่อเห็นสหายรุ่นพี่ที่ตรากตรำลำบากด้วยกันมาเนิ่นนานกลับคืนสู่

เวทีงิ้วอันสวยงามอีกครั้ง หลังจากที่บ้านเมืองตกอยู่ในช่วงของสงครามต่อเนื่องยาวนาน


               เหวินเป่าจำได้ไม่เคยลืมถึงความยากลำบากที่พวกชาวบ้านต้องเข้าไปหลบอยู่ในค่ายทหารนานถึงหกเดือน หลังจากญี่ปุ่น

เข้ายึดครองเมืองท่าทั้งหลายไว้ ไม่นานหลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีเฉินจิ้งเหอจึงได้สั่งการให้มีการตอบโต้ญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด จีนได้อาวุธ

มาจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในช่วงแรกเพื่อขับไล่กองกำลังจักรวรรดิญี่ปุ่นให้ออกไปจากเมืองท่า ใช้เวลานานถึงหกเดือนกว่าจะ

สำเร็จและประชาชนจึงได้ทยอยกลับไปใช้ชีวิตยังบ้านเรือนของตน

               วันที่เหวินเป่ากลับเข้าเมืองเป็นวันแรกเด็กน้อยถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นสภาพบ้านเมืองที่พังยับเยินแทบจะเหลือแต่ซากปรักหัก

พัง ชาวบ้านที่เดินเท้ากลับมาพร้อมกันต่างพากันร้องไห้ระงมทั่วทั้งเมือง เหวินเป่าและไป๋ซานไม่มีที่ไปนอกจากโรงงิ้ว พวกเขาจึงตรงไป

ที่นั่นจึงพบว่ามีเพียงความว่างเปล่าเมื่อวันถูกทำลายจากฝีมือของทหารญี่ปุ่น พวกเขาพักอยู่ในซากของโรงงิ้วที่มีแต่กลิ่นเหม็นอบอวล

เพื่อรอว่าหยางซื่อเจ้าของโรงงิ้วจะกลับมาหรือไม่

                รออีกไม่กี่วันหยางซื่อก็กลับมาพร้อมหยางเจี่ยนตามที่เคยนัดหมายกันไว้ หยางซื่อหัวใจแตกสลายเมื่อเห็นสภาพโรงงิ้วของ

เขา ชาวคณะงิ้วตัดสินใจทำงานรับจ้างเพื่อหาเงินปะทังชีวิตช่วยเหลือซึ่งกันอยู่เป็นปีๆและในที่สุดหยางซื่อก็กลับมาพร้อมข่าวดี

               นักการเมืองคนหนึ่งที่หยางซื่อเคยรู้จักให้เขาหยิบยืมเงินทุนมาก้อนหนึ่ง มันมากพอที่หยางซื่อจะสร้างโรงงิ้วขึ้นมาใหม่ได้แม้

จะเล็กกว่าเดิม เสื้อผ้าเครื่องประดับและเครื่องดนตรีถูกจัดหามาอย่างรวดเร็วเพื่อให้พวกเขาได้แสดงงิ้วโดยที่ผู้เล่นยังไม่มากเท่าก่อน

สงครามแต่นั่นก็พอที่จะทำให้ชาวงิ้วลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง แม้แต่เหวินเป่าเองก็ยังถูกฝึกให้รับตำแหน่งฮี้เกี้ยหรือทหารรับใช้

ตัวประกอบด้วย

               หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองกำเนิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว กองทัพญี่ปุ่นก็เริ่มเบนความสนใจไปยังตะวันออกเฉียงใต้ และสู้รบ

กับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างดุเดือด ระหว่างนั้นรัฐบาลจีนก็จัดซื้ออาวุธมาจากเยอรมันและมีการฝึกสอนทหารให้เชี่ยวชาญกันใช้อาวุธ

กองทัพจีนเข้มแข็งมากขึ้นและสามารถยึดคืนพื้นที่เหอเป่ยมาได้ กำลังพลทหารญี่ปุ่นในจีนมีลดน้อยถอยลงตามลำดับและระหว่างนั้น

ประชาชนก็ค่อยๆฟื้นตัวก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นมาใหม่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้าๆ โรงงิ้วของหยางซื่อจึงได้อานิสงมาด้วยเมื่อเก็บค่าชมงิ้วได้

มากขึ้นหยางซื่อก็ได้นำไปลงทุนกับเสื้อผ้าเครื่องประดังจนเกือบจะกลับมาสวยงามดั่งเช่นในอดีต

               ไป๋ซานเติบโตกลายเป็นหนุ่มวัยใกล้เบญจเพศ รูปร่างของเขาสูงโปร่งเหมาะกับบทตัวนางที่เขาได้รับ และบัดนี้เขาได้เลื่อน

ขั้นจากฮวาตั้นนางเอกรุ่นสาวมาเป็นชิงอี่นางเอกรุ่นใหญ่เต็มตัว ชื่อเสียงของไป๋ซานโด่งดังเป็นที่รู้จักในแถบนานกิงที่เหลือคณะงิ้วไม่กี่

คณะ


               “เราน่ะ พี่บอกให้ไปขอเหล่าซือเล่นเป็นฮวาตั้นก็ไม่ยอม”


               ไป๋ซานส่ายหน้าระอา เขาพิจารณาใบหน้าของเหวินเป๋าอย่างนึกอิจฉาอยู่นิดๆเด็กหนุ่มวัยสิบหกตรงหน้าหุ่นผอมบาง

สะโอดสะอง ใบหน้านั้นหวานกว่าหญิงสาวคนอื่นๆที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามเสียอีก ดวงตาของเหวินเป่าเรียวยาวมีแพขนตาดำหนา จมูก

โด่งเป็นสันรับกับปากกระจับสีชมพูระเรื่อ ผิวพรรณนั้นก็ขาวนวลไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นผิวขาวออกเหลือง ทุกอย่างเหล่านั้นรวมกันทำให้

เหวินเป่าเป็นเด็กหนุ่มที่เกินกว่าจะใช้คำว่าหน้าตาดีมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่ไม่รู้และยังชอบทำงานคลุกฝุ่นจนมอมแมมทั้งตัว


               “ไม่ไหวหรอกพี่ไป๋ซาน”


                 เหวินเป่ากลอกตาไปมา


               “ผมร้องงิ้วได้ที่ไหนกันเล่า แค่ฟังพี่ไป๋ซานซ้อมทุกวันนี้ก็ยังนึกทึ่งที่พี่ทั้งร้องทั้งร่ายรำ ส่วนผมน่ะไม่ไหว ตัวแข็งเป็นท่อนไม้

เสียงก็ไม่ได้เรื่อง”


               เหวินเป่าเป็นคนขาดความมั่นใจไป๋ซานรู้ดี เขานึกระอากับความไร้เดียงสาของเหวินเป่า แม้จะผ่านช่วงแห่งความโหดร้ายมา

ด้วยกันแต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มข้างตัวเขาก็ยังคงความบริสุทธิ์ของจิตใจราวกับโลกนี้สวยงามเสียเหลือเกิน


               “อย่ามัวแต่พูดมากเลย ช่วยพี่แต่งชุดงิ้วดีกว่า”


               ไป๋ซานขยับลุกเหวินเป่าจึงรีบลุกตามพลางคว้าชุดของไป๋ซานส่งให้


               “เรื่องม่านประเพณีนี่ดังนะพี่ไป๋ซาน เล่นกี่รอบคนดูก็เต็มทุกรอบ”


               การแสดงงิ้วนั้น หากเล่นเรื่องใดก็จะเล่นเรื่องนั้นติดต่อกันเป็นเดือน และมีอยู่หลายเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนดู

รวมถึงเรื่องที่คณะงิ้วของหยางซื่อเล่นอยู่ในช่วงนี้ด้วย


                “ใช่น่ะสิ ใครๆก็ชอบความรักระหว่างชนชั้นที่ถูกกีดกัน”


               น้ำเสียงของไป๋ซานติดจะประชดนิดๆแต่เหวินเป่าก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เขาช่วยไป๋ซานแต่งตัวก่อนจะแต่งชุดของตนเองที่รับบท

เป็นชาวบ้านทาหน้าสีขาวอย่างเดียว ไม่นานนักทั้งคู่ก็ลุกไปยังด้านหลังเวทีที่มีหยางซื่อเป็นผู้เริ่มพิธีไหว้เทพปั้นเซียนก่อนการแสดง


               “เหวินเป่า มายืนใกล้ๆพี่สิ”


               ชายหนุ่มที่เป็นเสี่ยวเซิงหรือพระเอกของเรื่องคือหยางเจี่ยนบุตรชายเพียงคนเดียวของหยางซื่อ เขาอายุยี่สิบปีแล้วและมีฝีมือ

ด้านการแสดงจากที่บิดาของเขาฝึกฝนให้ตั้งแต่จำความได้


               “ต้องให้พี่ไป๋ซานไปยืนข้างพี่สิ พี่ไป๋ซานเป็นนางเอก ส่วนผมมันแค่ชาวบ้าน”


               เหวินเป่ารุนหลังไป๋ซานให้ไปยืนเคียงข้างหยางเจี่ยน พวกเขาทั้งหมดรวมถึงทุกคในคณะงิ้วเงียบลงเมื่อหยางซื่อคารวะปั้น

เซียน


                “วันนี้ตั้งใจเล่นกันหน่อย”


               หยางซื่อกล่าวเมื่อพิธีไหว้ปั้นเซียนเสร็จเรียบร้อย


               “ท่านเหยาที่เป็นเจ้าของเงินสร้างโรงงิ้วมาชมอยู่ด้วย ถ้าพวกเราเล่นดีอาจจะได้รางวัลและมีเงินขยายโรงงิ้วเพิ่ม”


               “พวกขุนนางนี่เอาเงินมาจากไหนนะ”


                 ไป๋ซานกระซิบใกล้ๆหูเหวินเป่า คิ้วของเขาขมวดอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก


               “ดูสิว่าพวกเราอดมื้อกินมื้อหาเงินกันจนหมดแรงในช่วงสงครามโลกอย่างนี้ แต่พวกนักการเมืองยังสุขสบายไม่เดือดร้อน แถม

เงินยังเหลือขนาดเอามาให้เหล่าซือใช้ได้”


               เหวินเป่าชินเสียแล้วกับคำพูดทำนองนี้ ไป๋ซานไปร่วมฟังการปราศรัยของพรรคสังคมนิยมอยู่บ่อยครั้งจนจำได้แทบจะทุกคำ

พูดของอู๋จินไห่ที่เป็นวีรบุรุษของเพื่อนรุ่นพี่ แม้เหวินเป่าจะโตขึ้นมาจนพอรู้ความหมายของคำปราศรัยเหล่านั้นแต่เหวินเป่าไม่อยากจะชี้

ชัดลงไปว่าอะไรคือผิดอะไรคือถูก

               การแสดงงิ้วเริ่มแล้วหลังจากชุดบวงสรวงโป๊ยเซียนผ่านไป เหวินเป่าที่รับบทเป็นชาวบ้านตัวประกอบออกฉากไม่บ่อยนัก

ระหว่างรอเข้าฉากเขาก็หลบอยู่ด้านข้างทางออกบนเวทีเพื่อจ้องมองการแสดงของไป๋ซานอย่างชื่นชม เหวินเป่าอยู่กับไป๋ซานทุกช่วง

ของการซ้อมต่อบท เขาจ้องมองการร่ายรำและนิ่งฟังเสียงร้องของไป๋ซานที่แสนเสนาะหูในทุกรอบ ไป่ซาสะกดคนดูได้อยู่หมัด แม้แต่

นักการเมืองที่หยางซื่อกล่าวถึงซึ่งนั่งเด่นอยู่แถวหน้าของคนดูก็ยังจ้องมองจนไม่ละสายตา



                ม่านประเพณีเป็นเรื่องของหญิงงามในตระกูลสูงส่งนามว่าอิงไถที่ปลอมเป็นบุรุษไปเล่าเรียนหนังสือและหลงรักกับชามหนุ่ม

ฐานะยากจนชื่อซันป๋อ โดยที่ซันป๋อไม่รู้ว่าน้องชายร่วมสาบานแท้ที่จริงแล้วเป็นสตรี อิงไถถูกบังคับให้แต่งงานกับชายที่ครอบครัวจับ

คลุมถุงชนจึงเสียใจมาก หญิงสาวจึงเปิดเผยความจริงกับซันป๋อและนัดหมายให้ซันป๋อมาสู่ขอกับพ่อแม่ของเธอ

               เมื่ออิงไถกลับบ้านนางตั้งใจรอตัดชุดเจ้าสาวด้วยมือของเธอเอง แต่แล้วซันป๋อก็ไม่ได้มาเพราะถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าบ่าวของ

อิงไถ ซันป๋อเสียใจมากจนกระอักเลือดตรอมใจตาย เมื่ออิงไถรู้ข่าวจึงร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด นางบอกกับเจ้าบ่าวว่าขอใส่ชุดเจ้า

สาวที่นางตัดเย็บเองและขอให้ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนผ่านหลุมศพของซันป๋อมิเช่นนั้นจะไม่ยอมแต่งงาน เจ้าบาวจำเป็นต้องยอม

               เมื่อผ่านหลุมศพของซันป๋ออิงไถก็ลงไปหยุดยืนหน้าหลุมศพ นางคร่ำครวญพร้อมกับกัดนิ้วใช้เลือดทาที่ป้ายหลุมฝังศพ หลัง

จากนั้นจึงเกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อเม็ดกรวดดินเริ่มแยกออก ลมพายุพัดคะนอง อิงไถตัดสินใจกระโดดลงไปเพื่อฆ่าตัวตาย ท่ามกลางความ

ตกใจของทุกคนแผ่นดินก็เคลื่อนกลับและมีผีเสื้อสองตัวโบยบินมาจากหลุมศพคล้ายดั่งกับว่าซันป๋อและอิงไถได้ครองรักกันสมใจแล้ว




มีต่ออีกนิด...



ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


ต่อกันตรงนี้...





               เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อการแสดงจบลง ฉากจบอันแสนสะเทือนใจเรียกน้ำตาจากคนดูที่เข้ามาชมอย่างล้นหลาม

หยางซื่อยิ้มอย่างยินดีเมื่อเก็บค่าชมได้จำนวนมากเขาเดินไปหาชายแซ่เหยาที่เป็นนักการเมืองอย่างพินอบพิเทาขณะที่ผู้ชมทยอยออก

จากโรงงิ้วและนักแสดงต่างช่วยกันเก็บของ


               “พี่ไป๋ซานแสดงได้เยี่ยมมาก คนดูร้องไห้กับพี่โดยเฉพาะฉากจบกันเกือบทุกคนเลย”


               เหวินเป่ากล่าวอย่างตื่นเต้นในขณะที่ไป่ซานถอดเครื่องประดับจากศีรษะ และตามด้วยเครื่องแต่งกายสีสดจนเหลือแต่ชุดด้าน

ในสีขาว


               “งั้นหรือ พี่ก็เล่นธรรมดานะ”


               ดูเหมือนไป๋ซานจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับความชื่นชมเหล่านั้น พวกเขาหยุดพูดเมื่อหยางซื่อเดินตรงมาหา


               “แสดงได้ดีนะไป๋ซาน ไม่เสียแรงที่ร่ำเรียนและฝึกซ้อมมา”


               “ขอบคุณครับเหล่าซือ”


               “ทุกคนชอบการแสดงของเธอมาก โดยเฉพาะท่านเหยาที่ชื่นชมเป็นพิเศษ”


               น้ำเสียงของหยางซื่อมีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจเหวินเป่าจนต้องขมวดคิ้ว


               “ท่านให้เงินรางวัลมาจำนวนหนึ่งพอให้พวกเราแบ่งปันกันได้อย่างสบาย และสำหรับการต่อเติมโรงงิ้วท่านบอกว่าจะช่วย

เพียงแต่ขอให้เธอไปกับท่าน”


               “อะไรนะครับ!”


               ไป๋ซานตกใจ ใบหน้าที่ยังมีเครื่องสำอางสีขาวชมพูยังปิดอาการนั้นไม่มิด


               “เหล่าซือพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ”


               ดวงตาของหยางซื่อในตอนนี้มีความแปลกประหลาดอย่างที่เหวินเป่าไม่เคยเห็น มันมีทั้งความละโมบและเล่ห์เหลี่ยมจนเหวิน

เป่าต้องตรงเข้าไปกุมมือไป๋ซานไว้ด้วยความตระหนก


               “อย่าทำเป็นโง่ไปหน่อยเลยไป๋ซาน ในเมื่อท่านชื่นชมเธอขนาดนี้เธอก็ควรจะสนองตอบให้ท่าน ท่านเหยาน่ะเป็นแหล่งเงิน

ของพวกเรานะอย่าลืม”


               “เหล่าซือ!”


               ไป๋ซานมองหยางซื่ออย่างคาดไม่ถึง ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้างพร้อมกับขยับเท้าไปด้านหลังช้าๆ


               “ผมไม่นึกว่าเหลาซือจะขายผมกินแบบนี้”


               เสียงตะโกนของไป๋ซานเรียกความสนใจจากคนอื่นๆที่กำลังเก็บของให้เข้ามายืนมุงดูเหตุการณ์ หยางซื่อหน้าเครียดเมื่อเห็น

การต่อต้านของไป๋ซาน


               “จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ถ้าเธออยากจะเรียก ฉันเสียเงินซื้อเธอมาจากพ่อแม่ ขุนให้เธอได้ดีกลายเป็นชิงอี่ชื่อเสียงโด่งดัง เธอควร

จะแสดงความกตัญญูต่อฉันบ้าง”


               “แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้”


               “เกิดอะไรขึ้นน่ะพ่อ”


               หยางเจี่ยนบุตรชายตรงเข้ามาถามอย่างตกใจ หยางซื่อรีบหันไปตวาดเสียงดัง


               “อาเจี่ยนอย่าเข้ามายุ่ง นี่เป็นเรื่องความเป็นความตายของงิ้วเรา”


               หยางซื่อหันไปมองไป๋ซาน เขาพูดด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวคุกคาม


               “รู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นนักการเมืองอยู่ในพรรคชาตินิยม อิทธิพลของเขามากมายแค่ไหน หากเธอยอมปรนเปรอความสุขให้

เขาเสียหน่อยทั้งเธอและพวกเราก็จะมีเงินมีข้าวกิน แต่ถ้าเธอไม่ยอมพวกเราจะตายกันทั้งหมด ลองคิดดูสิไป๋ซาน แค่เธอคนเดียว นิด

หน่อยมันไม่สึกหรอหรอกน่า”


               “ไม่ ผมไม่คิดอะไรทั้งนั้น คนเลว!”


               ไป๋ซานขยับเท้าวิ่งหนีหากแต่ไม่ทันเมื่อหยางซื่อสั่งให้คนในคณะจับตัวไป๋ซานไว้ เหวินเป่าตกใจสุดขีดเมื่อไป๋ซานถูกลากตัว

จากไปทั้งที่ยังดิ้นรนไม่หยุดโดยมีหยางซื่อควบคุมตัวไป เหวินเป่าทั้งหวาดกลัวและสงสารไป๋ซานจนร้องไห้ออกมา


               “พี่เจี่ยน ทำอะไรเข้าสักอย่างสิ”


               หนุ่มน้อยคร่ำครวญกับหยางเจี่ยนที่ยืนอึ้งไม่แพ้กัน


               “ไปช่วยพี่ไป๋ซาน อย่าให้เหล่าซือพาพี่ไป๋ซานไป”


               “จะให้พี่ช่วยยังไง พ่อจะได้ทำโทษพี่น่ะสิ”


                หยางเจี่ยนไม่กล้า ใครจะกล้าหือกับหยางซื่อที่แสนเข้มงวด


               “เราอยู่อย่างนี้จะปลอดภัยกว่า ท่านเหยาน่ะคงไม่ทำร้ายพี่ไป๋ซานจนตายหรอก”


               หยางเจี่ยนมองเหวินเป่าอย่างเห็นใจแต่ก็ไม่ได้หยิบยื่นการช่วยเหลือ เหวินเป่าได้แต่วิ่งไปด้านหน้าของโรงงิ้วมองท้าย

รถยนต์ทันสมัยพาไป๋ซานจากไป เหวินเป่ากลับไปยังที่นอนของเขาอย่างเศร้าสร้อย ที่นอนด้านข้างอันเป็นของไป๋ซานว่างเปล่าในคืนนี้

และอีกสองวันสองคืนเต็มๆที่เหวินเป่านอนร้องไห้แต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งตอนสายของวันหนึ่งเขาจึงเห็นรถยนต์คันเดิมมาส่งไป๋ซานที่

หน้าโรงงิ้ว ไป๋ซานเดินกัดฟันไม่ยอมมองหน้าใครๆโดยเฉพาะหยางซื่อ เขาเดินเข้ามาและล้มตัวลงนอนบนฟูกของตนเองทั้งน้ำตา


               “พี่ไป๋ซาน”


               “อย่า อย่าแตะต้อง”


               มือเรียวที่เตรียมจะวางมือลงไปเพื่อให้กำลังใจพลันชะงักเมื่ออีกฝ่ายตวาดใส่ ไป๋ซานตะแคงตัวพลิกหนีหน้า เขานอนกอดเข่า

ตัวเองและร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น


               “เกลียด เกลียดพวกมัน เกลียดพวกมันทุกคน”


               “โธ่ พี่ไป๋ซาน”


               เหวินเป่ากอดร่างนั้นไว้แม้จะขัดขืนในช่วงแรกแต่ในที่สุดไป๋ซานก็สะอึกสะอื้นกับอ้อมกอดของเพื่อนรุ่นน้อง เหวินเป่าร้องไห้

ตามด้วยความสงสาร เขาเรียนรู้ถึงความเลวร้ายของอิทธิพลจากผู้มีอำนาจเป็นครั้งแรก


               ไป๋ซานคล้อยหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลีย เหวินเป่าจึงลุกขึ้นไปทางห้องครัว เขาใช้มือถูกับกองถ่านและป้ายบนใบหน้า

ตนเองจนเลอะสีดำเต็มหน้า บางครั้งความงดงามอาจเป็นภัยโดยไม่คาดคิด


               เหวินเป่าไม่กล้าไว้ใจผู้ใดอีกแล้ว


                                                    TBC

                              :ling3: :ling3: 


              เปิดตัวนิยายเรื่องใหม่จ้า ใครชอบแนว Omegaverse อย่าได้พลาด


                         เหยื่อล่าสังหา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-01-2017 00:33:45 โดย Belove »

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :katai1:   โอ๊ยยย สงสารไป๋ซาน   หลงคิดว่าเหล่าซือคือ คนดี  สุดท้ายก็เลว

อย่าอ้างเลยว่ากลัวอิทธิพล  เพราะเหล่าซือตั้งใจซื้อไป๋ซานมาขายตั้งแต่แรก 

ไม่อยากจะคิดถึงเต่าน้อยเลย  ว่าถ้าโตไปต้องสวยกว่านี้สุดท้ายจะรอดมั้ย

ปล.ขออย่าให้ไป๋ซานเป็นอะไรหรือตายเลย ให้นางมีคนรักดีๆหน่อยเถอะ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อำนาจเงินทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ เหล่าซือไม่น่าเป็นคนอย่างนั้นเลย

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เจอเพชรเม็ดงามในดงนิยายวายแล้ว
สนุกมากกกกกกกกก
เหมือนได้อ่านงานเขียนจากนักเขียนชื่อดังเลย
เข้มข้น วางไม่ลง และได้แง่คิดตลอด
เรื่องนี้จะเป็นอีกเรื่องที่เราจะชื้อมาเก็บบนหิ้งแน่นอน

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3

ออฟไลน์ Jthida

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
สงสารไป๋ซาน ฮือ รอมาต่ออ

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                          ม่านไหมลายพยัคฆ์

                                                                  บทที่ 6


               ร่างสูงของเฉินหย่งหนานเดินสง่างามอยู่หน้ากองกำลังทหารรัฐบาลแห่งชาติที่เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนเหล่าทหาร

ทั้งหมด แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสามสิบปีแต่ก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นถึงพันตรีอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาเป็นหลานของเฉิน

จิ้งเหอ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเหตุผลส่วนสำคัญเป็นเพราะความสามารถของเขาอย่างแท้จริง

               หลังจากวันที่จิ้งเหอตัดสินใจด้วยความจำเป็นว่าจะต่อสู้กับกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นกองทัพจีนจึงจัดซื้ออาวุธมาด้วยงบประมาณ

มหาศาล ชายหนุ่มที่อายุเกินยี่สิบปีถูกเกณฑ์มาเป็นทหารใหม่ จิ้งเหอมอบหมายให้หย่งหนานเรียนรู้วิธีการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ได้มา

และฝึกฝนเหล่าทหารจนสามารถใช้งานมันได้ บัดนี้หย่งหนานจึงกลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้เฉินจิ้งเหอผู้เป็นลุงและ

เฉินหยางซุนบุตรชายที่เป็นแม่ทัพในการวางแผนการรบ

                ญี่ปุ่นต้องต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในหลายๆประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เป็นหัวหอกทั่วภาคพื้นเอเชีย ญี่ปุ่นเองก็เสีย

กำลังพลไปเป็นจำนวนมากหากแต่ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขายังยืนกรานที่จะต่อสู้เพื่อสมเด็จพระจักรพรรดิของพวกเขาอย่างเข้มแข็งแม้ว่า

กำลังเพลี่ยงพล้ำในหลายพื้นที่โดยเฉพาะการช่วงชิงชัยชนะกันในสมรภูมิกลางทะเล จิ้งเหอบอกกับหย่งหนานว่าหากญี่ปุ่นยังไม่ยอมรับ

ความพ่ายแพ้ บางทีสหรัฐอเมริกาอาจตัดสินใจใช้กำลังขั้นเด็ดขาด และเพราะความเพลี่ยงพล้ำนั้นทำให้ทหารญี่ปุ่นส่วนหนึ่งต้องไปจาก

ผืนแผ่นดินจีนเพื่อไปเสริมในพื้นที่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเห็นว่าจำเป็นต้องต้านไว้ให้ได้


               “ที่น่ากลัวในตอนนี้คือพรรคสังคมนิยม”

               เฉินจิ้งเหอกล่าวในวันหนึ่ง


               “หลานรู้ใช่ไหมวันพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่”


               “ทราบดีครับ”


                หย่งหนานเองก็หนักใจไม่แพ้กัน


               “พวกเขาใช้ช่วงเวลาที่พวกเราต้องมุ่งไปกับการต่อสู้นี้ดึงมวลชนไปอย่างเงียบๆจนตอนนี้แม้แต่พวกชาวนาก็ยังคล้อยตามไป

กับอุดมการณ์ของพวกเขา”


               แม้เบื้องหน้าพรรคสังคมนิยมจะรับปากกับอเมริกาว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายในช่วงสงครามโลกและจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล

ในทุกด้าน แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีส่วนช่วยในการสู้รบเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังใช้เวลาที่ผ่านมาหลายปีค่อยๆแทรกซึมไปตามพวก

ชาวนาจนกระทั่งพวกเขาได้พลังมวลชนไปอย่างเงียบๆ


               “ลุงเองก็เป็นผู้นำที่ใช้ไม่ได้นัก”


                จิ้งเหอกล่าวโทษตัวเอง


               “เพราะมัวแต่ยุ่งกับการสู้รบจึงไม่มีเวลาเข้มงวดกับพวกฝ่ายบริหาร”


               นี่คือสิ่งที่น่าหนักใจที่สุดที่หย่งหนานคิด แม้ว่าจิ้งเหอจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของเหล่าทหารและผู้คนที่

ยังเชื่อมั่นในพรรคชาตินิยม แต่เหล่านักการเมืองที่อยู่ฝ่ายบริหารกลับทำให้เสียชื่อด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่เบื้องหลังผู้นำที่มุ่งมั่นใน

สงคราม พื้นที่การปกครองกว้างใหญ่จนจิ้งเหอที่แม้จะเก่งกาจเพียงไหนก็ไม่อาจมองเห็นได้โดยรอบ และนี่เป็นจุดบอดที่พรรค

สังคมนิยมนำไปหาเสียงโจมตี


               “หากสงครามโลกสิ้นสุดเมื่อไหร่ เราคงต้องปราบปรามทั้งคนในพรรคของเราเองและศัตรูภายในประเทศของเรา”


               จิ้งเหอวางแผนไว้ในอนาคตก่อนที่เขาจะหันมามองหลานชายอย่างชื่นชม


               “อย่ามัวแต่พูดเรื่องเครียดๆกันอยู่เลย วันนี้เป็นวันดีที่หลานจะแสดงศักยภาพของทหารใหม่ที่หลานฝึกมากับมือมิใช่หรือ ไป

กันเถอะ มีแต่คนอยากเห็นอยากชื่นชมความสามารถของทหารรัฐบาลจีน”


               วันนี้เป็นอีกวันที่สำคัญในรอบปีเพราะเป็นวันประกาศศักดาของกองทัพรัฐบาลทหารด้วยการเดินสวนสนาม ณ ลานกว้างของ

นานกิง พวกเขาเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับชมอยู่โดยรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ นายกรัฐมนตรีเฉินจิ้งเหอมาเป็นประธานในการสวนสนาม

ครั้งนี้ โดยมีเฉินหย่งหนานหัวหน้าหน่วยฝึกการรบควบคุมการแสดงแสนยานุภาพอย่างเข้มแข็ง

                 เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารจำนวนหลักพันกระทบพื้นอย่างพร้อมเพรียงตามที่ได้รับการฝึกฝนมาจนกระทั่งจบรอบการเดิน

เฉินจิ้งเหอลุกขึ้นมาโบกมือให้กับกองกำลังของรัฐบาลเพื่อสร้างขวัญกำลังใจรวมถึงโบกมือให้กับประชาชนที่มาชมโดยรอบก่อนเดินทาง

กลับ หย่งหนานภาคภูมิใจกับงานของเขาที่มีส่วนสร้างความเข้มแข็งให้กองทัพ เขารอจนกระทั่งทหารใหม่เดินทางกลับกันหมดแล้วหย่ง

หนานจึงได้ขึ้นรถที่มีจ่าสิบเอกไห่พลขับรถติดเครื่องรออยู่โดยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่ได้แต่มองไกลออกไป

                หลินเหวินเป่าอาศัยร่างกาผอมเพรียวกว่าผู้อื่นวิ่งสวนทางฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่เพียงเพื่อวิ่งไล่ตามหลังรถยนต์ทหารคันนั้น

หนุ่มน้อยวัยสิบหกเฝ้ามองแผ่นหลังคุ้นตาที่รถยนต์พาจากไปอย่างโหยหา เขาหยุดยืนอยู่นิ่งริมถนนเมื่อดวงตาเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำจน

มองอะไรไม่เห็น


                  “นายท่าน”


                  หัวใจของเหวินเป่าเต้นไหวแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกทรวงอก มันอัดอั้นปะปนไปด้วยความดีใจที่มีชีวิตรอดได้พบกับ

ชายผู้เป็นหนึ่งเดียวของชีวิตอีกครั้ง แต่อีกใจหนึ่งความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานของชายผู้นั้นกลับทำให้เหวินเป่ายิ่งรู้สึกห่างไกล

จนเอื้อมไม่ถึง

                   นายท่านของเหวินเป่าไม่เปลี่ยนไปเลย แม้เวลาจะผ่านไปถึงแปดปีแล้วแต่นายท่านก็ยังงามสง่าผ่าเผยไม่เสื่อมคลาย และ

ยิ่งอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ของทหารนักรบติดดาวบนบ่าก็ยิ่งน่าเกรงขาม ใบหน้าของนายท่านเมื่อมีอายุมากก็ยิ่งหล่อเหลาชวนมองจนพาให้

ใจเต้น มันเป็นความรู้สึกที่เหวินเป่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้แปรเปลี่ยนไปจากครั้งเมื่อยังเยาว์


                บ้าจริงเหวินเป่า นี่แกเป็นอะไรไปแล้ว!


                  ความเทิดทูนในครั้งเมื่อยังเด็กไม่ได้หนีหายไปไหน แต่สิ่งที่เหวินเป่าไม่เข้าใจนั้นความอาวรณ์โหยหาอยู่ในใจจนรันทดนั้น

คืออะไร เพียงแค่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นถึงพันตรีหลานชายของนายกรัฐมนตรีและเขาเป็นแค่เด็กในโรงงิ้ว ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของฐานันดรก็

พลันทำให้น้ำตาหยาดหยดลงมาจนได้

                เหวินเป่าเดินเหงาหงอยกลับไปทางโรงงิ้ว ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเขารีบวิ่งมาที่ลานกว้างแห่งนี้เมื่อรู้ว่ารัฐบาลจะจัดการเดิน

สวนสนามของทหารใหม่ เหวินเป่าภาวนาให้เขาได้เห็นหน้าของนายท่านที่เขารู้จักชื่อแล้วว่าเฉินหย่งหนาน และคำขอของเขาก็เป็นจริง

เมื่อเหวินเป่ามองเห็นร่างสูงสง่าในระยะไกลแต่หนุ่มน้อยก็จำได้แม่น และเมื่อมาถึงโรงงิ้วเหวินเป่าก็จำเป็นต้องโยนความเศร้าอาดูรทิ้ง

และแต่งแต้มรอยยิ้มลงบนใบหน้าขณะเข้าไปหาเยี่ยไป๋ซานที่นั่งนิ่งเหม่อลอยอยู่ที่ริมหน้าต่าง


               “พี่ไป๋ซาน”


               เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมารถยนต์ของนายเหยามาลับไป๋ซานไปหลายครั้ง แม้ว่าทุกครั้งไป๋ซานจะขัดขืนแต่คนของนายเหยาก็

ยังบังคับไปจนได้เมื่อรถยนต์คันนั้นกลับมาส่งยังโรงงิ้ว ไป๋ซานก็จะนอนคุดคู้และร้องไห้เพียงลำพัง ไป๋ซานเล่นงิ้วอย่างซังกะตายเขาไม่

สุงสิงกับคนในโรงงิ้วอีกและพูดน้อยลงเรื่อยๆเว้นไว้ก็แต่เหวินเป่าที่ยังพอจะเข้าหน้าได้บ้าง


               “ทหารสวนสนามกันสวยมากเลย พี่น่าจะไปดูกับผม”


               เหวินเป่ามองใบหน้าอมทุกข์นั้นอย่างเห็นใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือเพื่อนรุ่นพี่เช่นไรนอกจากพยายามยิ้มแย้มแจ่มใส

เข้าหาเพื่อให้ไป๋ซานบรรเทาความทุกข์ลงได้บ้าง


               “อยู่ค่ายทหารมาหกเดือนเต็มก่อนเริ่มสงครามยังไม่พออีกหรือเหวินเป่า”


               ไป๋ซานฝืนยิ้ม เขารู้ว่าเหวินเป่าเป็นห่วงแต่เขาไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ความอัปยศอดสูเกาะกินอยู่ใน

หัวใจ และยิ่งเห็นโรงงิ้วที่ต่อเติมให้กว้างใหญ่ออกไปเขาก็ยิ่งเคียดแค้นเพราะรู้ดีว่าเงินทุนเหล่านั้นมาจากไหน


               “ผมเจอนายท่านด้วย แต่นายท่านไม่เห็นผม”


                สีหน้าของเหวินเป่าสลดลงไป๋ซานเองก็อดเวทนาหนุ่มน้อยไม่ได้


               “โตจนบัดนี้แล้วเมื่อไหร่จะลืมนายท่านได้เสียที เขาก็แค่ช่วยเราครั้งเดียวตอนเด็กทำไมถึงจดจำฝังใจนัก เทิดทูนเขาไปก็

ไม่มีประโยชน์หรอก พวกคนที่มีอำนาจเขาเคยเห็นหัวเราเสียที่ไหน”


                ปลายประโยคเจือไปด้วยความเจ็บช้ำ ดวงตาของไป๋ซานเต็มไปด้วยความชิงชัง


                “เมื่อไหร่ที่พวกบ้าอำนาจตกลงมาจากบัลลังก์เมื่อนั้นพี่จะหัวเราะจนฟันหักเลย”


                “พี่ไป๋ซาน”


                 “แต่นายท่านไม่ใช่พวกบ้าอำนาจแน่ๆผมมั่นใจ”


                 ไป๋ซานหันมายิ้มเยาะ มันเป็นยิ้มที่เหวินเป่าไม่ชอบเลย


                 “เราน่ะจะรู้ได้ยังไง ใครๆก็อยากจะมีอำนาจด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันสามารถกดขี่ข่มเหงคนต่ำต้อยอย่างพวกเราได้ยังไงล่ะ

จำไว้นะเหวินเป่าพี่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้พวกมันมาบังคับพี่ได้อีก”


                 “แล้วพี่ไป๋ซานจะทำยังไง”


               หนุ่มน้อยถามอย่างสงสัย เขาเดาใจเพื่อนรุ่นพี่ไม่ออกสักนิด แต่ไป๋ซานกลับไม่ยอมตอบอะไรทั้งสิ้น เขาผินออกไปนอก

หน้าต่างเหม่อมองท้องฟ้าย่ำค่ำอย่างครุ่นคิดจนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนก้องโรงงิ้ว


              “เตรียมแต่งหน้าแต่งตัวกันได้แล้ว เร็วๆเข้า อย่าลืมว่าวันนี้คนจะมาดูเราเยอะขึ้น ท่านเหยาก็มาด้วยนะแสดงกันให้คุ้มค่ากับเงิน

ของท่านกันด้วย”


                 ไป๋ซานเหยียดยิ้มอย่างขมขื่น เงินเหล่านั้นก็มาจากคนที่ไว้ใจที่สุดราวกับบิดาอีกคนหนึ่งนำร่างกายของเขาไปแลกกับมันมา

โดยไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลยสักนิด ช่างน่าน้อยใจในวาสนายิ่งนัก


               “พี่ไป๋ซาน เหล่าซือเรียกแล้วไปแต่งตัวกันเถอะ”


               เหวินเป่ากุมมือรุ่นพี่ให้ได้สติ คิ้วโก่งราวคันศรขมวดลงอย่างผิดสังเกตเมื่อเห็นสีหน้าของไป๋ซานในตอนนี้


              “ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ตามไป”


               “แต่ว่า...”


              “ไปเถอะน่า”


                 น้ำเสียงรำคาญทำให้เหวินเป่าไม่กล้าต่อคำ หนุ่มน้อยจึงลุกขึ้นยืนและมองไป๋ซานอย่างเป็นห่วง


                “ตามไปเร็วๆนะพี่ไป๋ซาน”


                 เหวินเป่าหันหลังก้าวเท้าเดินออกไป แต่เขากลับชะงักงันเมื่อได้ยินคำพูดเสียงแผ่วเบาของไป๋ซาน


                 “ดูแลตัวเองดีๆล่ะเหวินเป่า”


                “อะไรนะพี่”


                 “ไม่มีอะไรหรอก รีบไปเถอะ เดี๋ยวเหล่าซือก็ดุหรอก”


                เหวินเป่าพยักหน้ารับและเดินไปที่หลังเวทีด้วยความไม่สบายใจนัก เขานึกเป็นห่วงไป๋ซานแต่ก็ต้องรีบมาตระเตรียมการ

แสดงและแต่งตัวในบทชาวบ้านที่เขาได้รับ หากแต่เวลาผ่านไปไป๋ซานก็ยังไม่มาจากที่พักจนหยางซื่อทำหน้านิ่ว


                 “ไป๋ซานไปไหน เมื่อไหร่จะมาแต่งตัว ดูสิว่าคนดูเริ่มเข้ามาแล้วและอีกไม่นานท่านเหยาก็จะมาด้วย ถ้าหากเปิดโรงช้าจะถูก

ตำหนิแค่ไหน”


               “ผมจะรีบไปตามให้เองพ่อ”


                 หยางเจี่ยนที่แต่งตัวใกล้เสร็จแล้วรีบลุกขึ้น เขาวิ่งไปทางห้องพักอย่างรวดเร็วขณะที่เหวินเป่าเต็มไปด้วยความ

กระวนกระวาย เขาภาวนาว่าอย่าให้ลางสังหรณ์ของเขาเป็นจริงเลย


               “พ่อ แย่แล้วพ่อ”


              หยางเจี่ยนวิ่งกลับมาหน้าตาเลิ่กลั่ก


             “พี่ไป๋ซานหนีไปแล้ว หอบผ้าหอบผ่อนหนีไปไม่เหลือสักชิ้น”


             “พี่ไป๋ซาน!”


               เหวินเป่าตระหนกจนหน้าซีดเผือดรวมถึงทุกคนที่ยืนอยู่รวมกันในบริเวณสำหรับแต่งหน้าแต่งตัว ความเงียบกริบเข้ามาเยือน

พักใหญ่ก่อนที่เสียงฮือฮาจะดังขึ้นในเวลาต่อมา


               “เหล่าซือจะทำยังไงดี นี่ใกล้เวลาเปิดแสดงแล้วจะเปลี่ยนเรื่องก็ไม่ทันคนเข้ามานั่งจนใกล้จะเต็ม โอ๊ะ นั่นท่านเหยาก็มาแล้ว”


                ทุกคนอยู่ในความตื่นเต้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หยางเจี่ยนหันมามองสบตากับเหวินเป่าแล้วเขาเบิกตากว้าง


              “พ่อ เหวินเป่าไง เหวินเป่าน่ะสนิทกับพี่ไป๋ซาน ตอนต่อบทและตอนซ้อมก็อยู่ด้วยกันตลอด ให้เหวินเป่าเล่นบทอิงไถคู่กับผม

เถอะ”


                คนในโรงงิ้วหันมามองเหวินเป่าเป็นตาเดียว หนุ่มน้อยยิ่งตกใจเมื่อกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน เหวินเป่าได้แต่ถอยหลัง

กรูด


                 “ไม่นะ ผมน่ะไม่...”


                 “เหวินเป่า”


                  หยางซื่อกดบ่าของเหวินเป่าไว้เพื่อให้เขาหยุดนิ่งและมองด้วยสายตาแกมบังคับ


                  “เธอรู้ดีว่าตอนนี้พวกเราตกอยู่ในช่วงวิกฤติ เธอต้องช่วยพวกเราที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิ หรือว่าเธอทนเห็นพวกเรา

ทั้งหมดเดือดร้อนได้ลงคอ”


                 ริมฝีปากบางสั่นระริก คนในโรงงิ้วมองเขาราวกับเป็นที่พึ่งและความหวังเดียวที่จะทำให้ทุกคนอยู่รอด และหากเหวินเป่า

ปฏิเสธก็ดูเหมือนไม่มีใครยอมให้เขาทำเช่นนั้นเป็นแน่ หยางซื่อเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยสำทับทันที


                 “ตกลงว่าเธอยอมแล้วใช่ไหมเด็กดี เอาล่ะ จัดการแต่งชุดชิงอี่ให้เหวินเป่าเดี๋ยวนี้”


                  ร่างบางถูกกระชากทันที วินาทีนั้นเหวินเป่าไม่รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาได้แต่นั่งนิ่งให้คนโน้นคนนี้จัดการกับเขาเพราะ

เวลากระชั้นชิดเข้ามาทุกที ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย เหวินเป่าถูกดึงแขนให้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน

เมื่อยามนี้หนุ่มน้อยในชุดงิ้วสีสดบนใบหน้าทาพื้นด้วยสีขาวปัดโหนกแก้มจนถึงขมับด้วยสีชมพูช่างงดงามจับสายตาเหลือเกิน





มีต่ออีกนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2017 21:11:37 โดย Belove »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด