ตอนที่ 19
@oohhoo
เมื่อวานเราอยู่สวนสาธารณะของหมู่บ้านตั้งหลายชั่วโมงไม่เห็นสองคนนี้เลย ไปวันไหนกันคะ ฮือ ต่อไปจะรอที่สวนทุกวันเลย พลาดแรง #โซลซีน
@nongwaii
ไหนเจ้าของหมาอะ เห็นแต่แฟนเจ้าของหมา #โซลซีน
@nefdb91
ไปบ้านเขานี่ไปฝากตัวเป็นลูกเขยแล้วถูกมะ? #โซลซีน
@kungpeuak
คู่นี้มาบ้างหายบ้าง แต่เรียลทุกรอบเลยนะคะ #โซลซีน
@ishipyounaokay
กัปตันโซลเคยทำให้ผิดหวังที่ไหน! #โซลซีน
@behindsoulscene
ชีวิตจริงเหมือนจะหวานกว่าในจออีกนะคะสองคนนี้ แอร๊ยย #โซลซีน
ผมเพิ่งเห็นว่าไอ้โซลลงคลิปไปเมื่อวาน ทั้งคลิปที่ผมเล่นกับปิ๊กมี่ แล้วก็คลิปตอนมันพาปิ๊กมี่ไปวิ่งเล่น แฟนคลับก็ทวิตกันสนุกสนานเหมือนเดิม หลังๆ มานี้ผมเพิ่งเห็นว่ามีแอคเคาท์หนึ่งที่ตั้งขึ้นเพื่ออัปเดตข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของผมกับไอ้โซล เห็นเรียกกันว่าบ้านคู่อะไรทำนองนั้น
“ซีนชอบให้สร้างกระแสเหรอ”
“หือ” ผมส่งเสียงในลำคอ ส่ายหน้า โรลมัทฉะเต็มปาก เฟิร์สเอามาฝากจากร้านของเพื่อนที่เคยจะพาผมไปนั่นแหละ อร่อยดี วันหลังคงต้องไปบ้างแล้ว
“ซีนดูมีความสุขที่เห็นพวกเขาพูดคุยกันแบบนั้นนะ”
“อ่า...” กลืนเค้กลงคอ กดล็อกหน้าจอ “เราแค่ไม่ได้อึดอัดอะไร ที่เขาคุยกันก็น่ารักดี”
“อย่างนั้นเหรอ” เฟิร์สพยักหน้ายิ้มๆ “มีแฟนคลับเมนชั่นมาถามว่าเมื่อไหร่เราจะออกไปข้างนอกด้วยกันอีก เราไม่รู้จะตอบว่ายังไง”
“เราทำตามที่พวกเขาบอกตลอดไม่ได้หรอกน่า” ผมบ่ายเบี่ยง ก็ไม่เชิงว่าไม่อยากไปไหนกับคนข้างๆ หรอกแต่ไม่อยากให้มีปัญหากับไอ้โซลมากกว่า
“เฟิร์สไม่กินอะ”
“ไม่ล่ะ มองซีนกินก็อิ่มแล้ว”
ผมทำเป็นหัวเราะแหะๆ “พูดอะไรเนี่ย”
“พูดความจริง” อีกฝ่ายสวนกลับทันที “เห็นซีนชอบก็อิ่มใจไปหลายวัน”
ผมยิ้มค้าง ยกขวดน้ำขึ้นดื่มไปหลายอึก เมื่อวานผมคิดว่าเฟิร์สจะรู้แล้วด้วยซ้ำว่าผมรู้ว่าเฟิร์สคิดยังไง รู้สึกผิดแทบตายที่เผลอทำอาการแบบนั้นใส่ แต่พอมาวันนี้เฟิร์สกลับดูรุกมากกว่าเดิมอีก
“ซีนดูสนิทกับโซลมากเลยเนอะ”
“อ้อ ก็มันเป็นรุ่นน้อง...เอ่อ ของเพื่อนน่ะ อยู่คณะเดียวกับเพื่อนสนิทเรา ช่วงก่อนถ่ายทำก็มีไปซ้อมด้วยกันบ้าง”
“ชักอิจฉาบทพระเอกซะแล้วสิ”
“บทพระรองก็สำคัญออก แฟนคลับเขาก็ชอบเฟิร์สกันนะ เรื่องนี้คาร์แรคเตอร์เฟิร์สเหมาะกับบทนี้ ไม่ใช่ว่าเฟิร์สจะเป็นพระเอกเรื่องอื่นไม่ได้สักหน่อย”
“ที่จริงเราไม่ได้หมายความแบบนั้น” อีกคนหัวเราะ “แต่ก็ขอบคุณ เรื่องหน้าเราอยากแสดงกับซีนอีกนะ”
“คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรามาแสดงเรื่องนี้เพราะม้าขอร้อง ไม่ได้อยากเป็นนักแสดง”
“จริงเหรอ น่าเสียดายจัง”
“แต่เราเจอกันที่อื่นได้นะ หมายถึง...ก็ยังเป็นเพื่อนกันนี่” ผมรีบว่าขึ้นเมื่อเห็นหน้าอีกคนหมองลง
“อืม เราเข้าใจแล้วแหละ”
เฟิร์สจ้องหน้าผมนิ่ง มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ
“เจอซีนครั้งแรกเราว่าซีนน่ารักมากเลย”
“ฮ..เฮ้ย ใครให้ชมผู้ชายด้วยกันแบบนั้นเล่า..”
“ยิ่งรู้จักก็ยิ่งน่ารัก”
“เราไม่ได้น่ารัก!”
“จำที่เราให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันบวงสรวงได้ไหม”
“…”
“เราไม่ได้พูดเล่นนะ”
…
วันนี้ถ่ายทำที่มหา’ลัยวันสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะย้ายไปถ่ายที่สตูดิโอ ทั้งวันไอ้โซลมีเข้าฉากกับหนิง ขณะเดียวกันผมก็เข้าฉากกับเฟิร์สตลอด
ไอ้โซลยืนห่างออกไปไกล ถูกล้อมด้วยทีมงานที่คอยซับเหงื่อกับเติมหน้าให้มัน ข้างกันคือหนิงกับพี่โป้ง พูดคุยเรื่องบทกันอยู่ หนิงหันมายิ้มให้ ต่างกับไอ้โซลที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ มันบอกให้ผมอยู่ห่างๆ จากเฟิร์สตั้งแต่เช้า แต่ผมทำได้ที่ไหนกันล่ะ
“ร้อนแฮะ”
“คงร้อนจริง ปกติซีนไม่เหงื่อออกขนาดนี้”
อากาศตอนสี่โมงเย็น พระอาทิตย์ทำงานเหมือนแปดโมงเช้า ร้อนจนแสบผิว เหงื่อไหลเปียกเสื้อไปหมด ผมไม่มีฉากที่ต้องถ่ายแล้ว เฟิร์สเหมือนกัน ไอ้โซลกับหนิงกำลังถ่ายฉากสุดท้ายของวันนี้ รอไอ้โซลเสร็จก็ได้กลับห้องแล้ว
บทในมือผมยู่ยี่ไปหมด เหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือเพราะใช้มันแทนพัดนี่แหละ
สายตาผมจับจ้องไปที่ไอ้โซล เวลามันจริงจังกับการทำงานดูดีกว่าตอนยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยเสียอีก ทั้งแววตา สีหน้า น้ำเสียง มีอะไรที่มันทำไม่ได้บ้าง!
...อ้อ ทำกับข้าว
อยู่ๆ มันก็ตวัดสายตาจ้องเข้ามาในกล้อง ดีที่เก็บอาการได้ทัน ผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกระงับอาการเต้นรัวของหัวใจ พี่โป้งนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์แท้ๆ กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ทำแต่หน้าดำคร่ำเครียด ผมกัดปาก บ้าเอ๊ย...แล้วหน้าผมจะร้อนขึ้นมาทำไมวะ
“ซีนหันหน้ามาหน่อย”
“มีอะไร...เหรอ” หมวกบนหัวเฟิร์สย้ายมาอยู่บนหัวผมแทน เจ้าตัวจัดแจงให้เสร็จสรรพ แถมยังเช็ดเหงื่อบนหน้าผากผมออกไปให้ด้วย ผมคอแข็ง ไม่กล้าหันหนี
“ไม่อยากให้ผิวขาวๆ โดนแดด”
“ข...ขอบคุณ...ที่จริงเราก็ยืนในร่ม หมวกนี่...”
“ใส่ไว้เถอะ”
ผมทำตัวไม่ถูก จับปีกหมวกขยับไปมาเล็กน้อย ก่อนจะสะดุ้งกับสัมผัสที่ข้างแก้ม
“อย่างกับไปอาบน้ำมาแหนะ” เฟิร์สเอากระดาษมาซับหน้าให้ ผมเกือบเผลอตัวเบี่ยงหลบแต่ก้อนความรู้สึกผิดของเมื่อวานกลับเป็นตัวที่ทำให้ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“..เราทำเองดีกว่า”
“เงยหน้าขึ้นหน่อย”
“ไม่เอา...ไม่เอาแล้ว”
ผมหดคอหนี ไม่ได้ตกใจกับสัมผัสนั้นเพียงแต่ตกใจกับท่าทีแปลกไปของเฟิร์ส ผมถอยออกห่างแต่นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรทำแบบนั้น
“เอ่อ...ขยับเข้ามาหน่อยสิ แดดมันไล่น่ะ”
“ไม่เห็นแดดเลย”
“..ก็เขยิบเข้ามาเถอะ ตรงนี้ร้อนน้อยกว่า”
“แบบนี้เหรอ”
ผมเกือบจะหลุดอุทานคำหยาบออกไปแล้ว เฟิร์สก้าวเข้ามาประชิดจนตัวผมแทบหงายไปข้างหลังแต่อีกคนเอามือโอบเอาไว้ก่อน
“ท...ทำอะไร”
“ทำตามที่ซีนบอกไง”
“คือมัน...มากไป”
ค่อยๆ ดันตัวอีกคนออก แต่เฟิร์สแทบไม่ขยับ
“อย่าแกล้งเราเลย ตรงนี้คนเยอะด้วย”
“แล้วถ้าตรงนี้มีแค่เราล่ะ”
“ไม่...ไม่ คือปล่อยเราก่อน ตัวเรามีแต่เหงื่อ”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“อย่าเล่นแบบนี้เลย ปล่อยเถอะ”
“เราจริงจังนะซีน”
“ไม่เอาน่าเฟิร์ส คนอื่นเห็นแล้วจะไม่ดีนะ”
ผมเริ่มร้อนรน เรากระซิบกระซาบกันอยู่ทางด้านหลัง ส่งเสียงดังไม่ได้ ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เสียงพี่โป้งสั่งคัททำเอาผมสะดุ้ง ลุกลี้ลุกลนพยายามดันเฟิร์สออกไป กลัวไอ้โซลมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่อง
“ไม่แกล้งแล้วก็ได้” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ถอยห่างจากอีกคนมาเล็กน้อย “กลัวเหรอ”
“..เปล่า แค่ตกใจน่ะ” เฟิร์สเคยถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้กับผมที่ไหนล่ะ
จากที่เราเหมือนจะเข้ากันได้ดีกลับกลายเป็นความกระอักกระอ่วน เฟิร์สไม่ได้ผิดที่รู้สึกแบบนั้นเพียงแต่สิ่งที่เฟิร์สทำนั้นทำให้ผมอึดอัด
“ซีนยังอยู่กับเด็กนั่นอยู่ไหม”
“ก็...อยู่ ทำไมเหรอ”
“มาค้างที่ห้องเราได้นะ คอนโดเราใกล้สตูกว่า ทำงานทั้งคืน เดินทางนานๆ ซีนจะยิ่งเหนื่อย”
“ไม่เป็นไร เฟิร์สมีไม่กี่ฉากเองนี่”
“ไปส่งได้ ไม่ต้องเกรงใจ เราอยากดูแลซีน”
ผมเกือบจะโพล่งออกไปว่าผมดูแลตัวเองได้แล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่ามีคนที่มาใหม่โพล่งขึ้นก่อน
“เหนื่อยก็พัก ง่วงก็นอน ผมขับรถให้ได้ อุ้มขึ้นห้องก็ยังได้ จะย้ายไปห้องคนอื่นทำไมให้วุ่นวาย ยุ่งยาก จุ้นจ้าน!”
“เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่แต่เหนื่อยใจนี่สิ จะทนอยู่กับเด็กที่ใช้แต่อารมณ์แบบนี้น่ะเหรอ”
“ก็ดีกว่าต้องไปอยู่กับคนที่ไม่อยากอยู่ด้วยล่ะวะ”
“โซล” ผมเอ่ยปราม แม้ว่าจะมีเสียงโหวกเหวกของทีมงานรอบกายแต่ใช่ว่าพวกมันพูดกันเบา
“กลับกันเถอะ”
ไอ้โซลจ้องเฟิร์สเขม็ง ผมยืนคั้นกลางทั้งสองเอาไว้ เฟิร์สเอาแต่ทำหน้ากวนตีนใส่มัน หนิงกลับไปทันทีที่ถ่ายเสร็จเพราะมีงานต่อ ตัวช่วยอื่นก็หาไม่เจอเพราะมีแต่ทีมงาน และผมก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันด้วย
“เหนื่อยหน่อยนะซีน”
ไอ้โซลรู้ว่าโดนยั่วโมโหแต่ขณะเดียวกันมันก็หงุดหงิดเฟิร์สมาทั้งวันแล้วเหมือนกัน
“กูอยากกลับแล้ว”
เด็กตัวสูงพ่นลมหายใจ ก่อนจะคว้าแขนผมเดินกระแทกไหล่เฟิร์สออกมา
...
“อยาก...อยากกินอะไร”
ให้ตาย ทำไมผมต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ด้วย
“แล้วแต่พี่เลยครับ”
เจ้าของห้องโยนข้าวของลงโซฟา ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน
หมวกของเฟิร์สผมเอาไว้เบาะหลังรถมัน ตอนแรกเหมือนมันอยากจะขว้างทิ้งแต่ผมห้ามไว้ก่อน ยังไงก็ต้องเอาไปคืนเจ้าของ ไอ้โซลเงียบมาตลอดทาง ผมชวนคุยก็ถามคำตอบคำ ผมรู้ว่ามันไม่ได้โกรธผมแค่ยังคงหัวเสียเรื่องของเฟิร์สอยู่ แต่ทำไมต้องไม่คุยกับผมด้วยวะ
ผมตามเข้าไปในห้อง เห็นมันกำลังถอดเสื้อออก
“จะอาบน้ำเหรอ”
“พี่ไปอาบก่อนเถอะ เหนียวตัวนี่”
“มึงอาบก่อนก็ได้ เดี๋ยวทำกับข้าวรอ”
“ไม่เป็นไรครับ” มันว่าแค่นั้น ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ
ผมลังเลว่าควรทำตามที่มันบอกหรือทำให้มันยอมพูดกับผมเหมือนเดิมก่อนดี แต่พอผมตัดสินใจก้าวตามหลังมันไป มันก็หันหน้ากลับมา ทำเอาซะผมเกือบเบรกแทบไม่ทัน
“ยิ่งมีคนมาวุ่นวายกับคนของเรามากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เราอยากแสดงความเป็นเจ้าของมากเท่านั้น”
“...ฮะ”
“พี่น่าจะรู้ว่าผมโคตรหวงพี่”
ผมตาโต อ้าปากค้าง อะไรวะ จู่ๆ ก็มาพูดอะไรแบบนี้
“อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้ผม” อีกฝ่ายเอ่ยห้าม นัยน์ตาไม่มีวี่แววของการหยอกล้อ “เพราะถ้าผมระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ พี่ได้วิ่งหนีผมแน่”
โอเค เข้าใจแล้ว พอมันพูดจบผมก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปเลย
ออกมานอกห้องนอนก็เห็นมันยืนอยู่ตรงระเบียง ไอ้โซลหันหน้ามาทางนี้ ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่า พอเห็นผมมันก็กระตุกยิ้มบาง
“เท่มากไง”
“แล้วหน้าแดงทำไมครับ”
ผมจิ๊ปาก “อารมณ์ดีแล้ว?”
“ยังอยากต่อยมันเหมือนเดิม”
“ห้ามนะเว้ย”
“ผมรู้น่า” ว่าเสียงฉุน “ไม่รับประกันนะถ้ามันมายุ่งกับพี่มากกว่านี้”
“เฟิร์สไม่ทำอะไรหรอก มึงอยู่ห่างๆ ก็พอ”
เอานิ้วมาแตะแก้มผมเบาๆ “พี่ต่างหากต้องอยู่ห่างๆ มัน”
“เออน่า พรุ่งนี้ถ่ายกับเฟิร์สไม่กี่ฉากก็เสร็จแล้ว” คงได้เจอเฟิร์สอีกทีวันเลี้ยงปิดกล้อง
ไอ้โซลดูยังหัวเสียอยู่นิดๆ “ก็ดีครับ”
ของสดที่ซื้อมามีไม่เยอะเท่าไหร่ ตอนนั้นหยิบๆ มาเผื่อไว้ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรเป็นพิเศษ ผมทำยำรวมมิตรกับแกงจืด ผมไม่ค่อยกินเผ็ดแต่ไอ้โซลชอบ ตอนนี้กำลังจะทำไข่เจียวใส่หอม อยู่กันสองคน สามอย่างก็น่าจะพอแล้ว
“ให้ผมช่วยได้ยัง”
จากที่มันทำเต้าหู้ในแกงจืดเละก็ไม่อยากให้มันมายุ่งอะไรอีก แต่เห็นความพยายามผมเลยให้มันคอยหยิบนู่นหยิบนี่ให้
“เคยเจียวไข่ไหม”
“นานมาแล้ว แต่ผมทำได้”
มองมันตอกไข่อย่างเก้ๆ กังๆ ก็ชักจะไม่ไว้ใจ ผมดึงถ้วยมาทำเสียเอง ตักเปลือกไข่ที่ตกลงไปออก ตอกลงไปอีกฟองแล้วเอาให้มันตี ส่วนตัวเองเอาเขียงกับมีดมาเตรียมไว้
“ขอหอมหน่อย”
“หื้อ มาแปลก” มันทำตาโต “กี่ทีดีครับ”
“อย่ามากวนตีน”
“อะไรกัน พูดจากำกวมเองแท้ๆ” ว่าพลางส่ายหน้า “หลอกให้ผมดีใจแล้วยังมาทำหน้าดุใส่อีก”
ผมพูดไปแบบไม่ได้คิดอะไรต่างหาก ชิ! เดินไปหยิบเองก็ได้วะ
“จะว่าไปแล้วซ้อมฉากในห้องครัวอีกรอบก็ดีนะครับ”
“ซ้อมไปคนเดียว ไม่ก็เดี๋ยวไปหยิบหมอนข้างมาให้”
“ใจร้ายตลอด” ไอ้โซลโคลงศีรษะ “แต่ที่จริงถ้าตัดฉากนี้ออกได้ก็ดี”
“ทำไมล่ะ” ไม่ใช่ว่าผมอยากทำหรอกนะ เพียงแต่เห็นมันพร่ำๆ อยากถ่ายฉากนี้บ่อยๆ ต่างหาก
“ไม่อยากให้ใครเห็นพี่ในท่าทางแบบนั้น…นอกจากผม”
ไอ้โซลวางส้อมลงในตอนที่หน้าผมร้อนวูบขึ้นมา อีกฝ่ายเดินไปตั้งกระทะ เปิดเตาแก๊สแล้วเทน้ำมันลงไป เห็นอย่างนั้นเลยถอดผ้ากันเปื้อนออก มันคงทำได้จริงอย่างที่ว่าแหละ
ฉากนั้นที่จริงมันก็ไม่ใช่ฉากอีโรติกอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าความพอใจของพี่โป้งจะต้องทำขนาดไหน จะว่าไปผมคิดว่ายากกว่าฉากร้องไห้เสียอีก แค่คิดก็เครียดแล้วเนี่ย
พอเห็นผมหน้าขึ้นสี ไอ้คนพูดก็ยกยิ้มมุมปาก เออ ได้ใจเข้าไป ผมสะบัดหน้าใส่ พอดีกับโทรศัพท์บนเคาน์เตอร์แผดเสียง
เห็นชื่อคนโทรเข้ามาก็แทบกุมขมับ ไอ้คนที่เทไข่ลงกระทะเพิ่งอารมณ์ดีได้แล้วเชียว หาเรื่องให้มันหน้าบูดอีกแล้ว ผมลังเลแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกดรับ
“ฮัลโหล”
(ทำอะไรอยู่เหรอซีน)
“เรา...กำลังทำอาหารน่ะ”
(อ่า...โทรมาช้าไปเหรอเนี่ย ว่าจะชวนออกมากินข้าวข้างนอกน่ะ)
“โทษที...”
(ไม่หรอก ขอโทษที่รบกวน แค่คิดว่าหลังจากพรุ่งนี้เราก็จะไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว...เราไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์..)
ประโยคหลังแผ่วลงจนผมต้องเอาโทรศัพท์แนบกับหูตัวเองมากขึ้น
“ไว้วันหลังนะ...”
“ไม่มีวันหลัง” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู ผมสะดุ้งหันกลับไปพอดีกับที่ไอ้โซลวางแขนไว้กับเคาน์เตอร์ ก้มลงมาฟังคู่สนทนาปลายสายที่ส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก
(ซีนจะมีเวลาส่วนตัวบ้างหรือเปล่า)
“ไม่เกี่ยวกับมึง”
“เอ่อ...เฟิร์ส..”
(เด็กก็แบบเนี้ย ค่อนข้างงี่เง่านะว่าไหม)
“แค่นี้ก่อนนะ”
ผมกดตัดสาย ตบไหล่ไอ้โซลเบาๆ เพื่อบอกให้ใจเย็นลง
“เฟิร์สจะชวนออกไปข้างนอก” ไม่รู้ว่ามันได้ยินที่คุยกันทุกประโยคไหม แต่ผมแค่อยากบอก “ถึงไม่ได้บอกมึงว่าวันนี้เราจะทำอาหารกันกูก็ไม่ไปหรอก”
เด็กตัวโตพ่นลมหายใจฮึดฮัด ไม่ใช่ว่าไอ้โซลก้าวก่ายสิทธิ์ของผม เฟิร์สเองก็ไม่ได้ผิดเพียงแต่เฟิร์สไม่รู้ว่าสถานะผมกับไอ้โซลเปลี่ยนไปแล้วแค่นั้นเอง
“ไม่เอาน่า ยังไงก็ไม่ได้คิดอะไรกับเฟิร์ส”
“ผมรู้”
คนตรงหน้ายังทำหน้าบึ้ง ผมเลยเอื้อมมือไปขยี้หัวมัน
“กูก็อยู่กับมึงนี่ไง”
สายตามันอ่อนลง รอยยิ้มบางเบาค่อยๆ ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันระยะห่างของเราก็ลดลง ผมหลับตา ปล่อยร่างกายไหลไปกับความรู้สึก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น รับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
ก่อนที่อะไรบางอย่างจะทำให้ผมลืมตาโพลง...
“ได้กลิ่นอะไรไหม้ๆ ไหม”
“ไม่นะครับ”
ผมหันไปมองที่มาของกลิ่น...ไม่อะไรล่ะวะ...
แล้วไอ้แผ่นดำๆ ท่ามกลางควันนั่นคืออะไร!?
“ปิดเตาแก๊สเร็ว!!”
-
ได้จูบพี่ซีน ครัวไหม้ก็ยอม------
.......ขอคนละหนึ่งคอมเมนท์หน่อยนะคะ ติชมได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ T T …….
#ข้างหลังฉาก #โซลซีน