พิมพ์หน้านี้ - 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: zongpei96 ที่ 19-12-2016 21:29:53

หัวข้อ: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 19-12-2016 21:29:53
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






****


Behind the scene

จากคู่จิ้นจะเปลี่ยนมาเป็นคู่จริงได้ไหมนะ...


(http://i65.tinypic.com/6fcshu.jpg)



start : 161219

twitter : @zongpei96 (https://twitter.com/zongpei96)


#ข้างหลังฉาก

ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3538804#msg3538804)
ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3543029#msg3543029)
ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3549260#msg3549260)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3554432#msg3554432)
ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3563856#msg3563856)
ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3569496#msg3569496)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3574615#msg3574615)
ตอนพิเศษ : วาเลนไทน์ปีนู้น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3579102#msg3579102)
ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3583939#msg3583939)
ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3588120#msg3588120)
ตอนที่ 10 - l (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3594629#msg3594629)
ตอนที่ 10 - ll (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3598107#msg3598107)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3605260#msg3605260)
ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3613658#msg3613658)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3619308#msg3619308)
ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3627081#msg3627081)
ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3632713#msg3632713)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3637682#msg3637682)
ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3641993#msg3641993)
ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3645976#msg3645976)
ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3649941#msg3649941)
ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3654215#msg3654215)
ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3661985#msg3661985)
ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3666737#msg3666737)
ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3671675#msg3671675)
ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3675185#msg3675185)
ตอนที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3678263#msg3678263)
ตอนที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3682566#msg3682566)
ตอนที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3685924#msg3685924)
ตอนที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3689459#msg3689459)
ตอนที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3693900#msg3693900)
ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3697475#msg3697475)
ตอนพิเศษ : กันและกัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3700441#msg3700441)
ตอนพิเศษ : วาเลนไทน์ปีนี้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56992.msg3729808#msg3729808)


****


เป็นวายไทยเรื่องแรก ฝากด้วยนะค้า ^ - ^
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 1 - (19/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 19-12-2016 21:43:02
 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 1 - (19/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 19-12-2016 21:48:50

ตอนที่ 1



   ในชีวิตคนเราจะเคยทำอะไรที่ฝืนใจตัวเองมากๆ สักกี่อย่างกัน


   แต่ที่แน่ๆ ผมไม่คิดจะฝืนใจตัวเองในเรื่องใหญ่ๆ อย่างเรื่องเรียน เพราะมันจะมีผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาว แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ผมสามารถฝืนเพื่อทำให้คนที่ผมรักได้ ผมก็จะทำ


   แต่ผมรู้สึกว่ามันชักจะไม่เล็ก…แล้วล่ะ


   “เหมาะมาก! คนนี้ใช่มากๆ!” หญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงดัง แว่นทรงกลมของเธอหล่นลงมาอยู่ปลายจมูก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอย่างสำรวจตรวจตรา “การแสดงปรับปรุงได้แต่คาร์แร็คเตอร์นี้ต้องน้องซีนเท่านั้น!”


   “ต..แต่ผมว่า…”


   “เราเลือกน้องซีนค่ะ! ดีใจด้วยนะคะ” พี่ปุ้ยหัวเราะฮิฮะเสียงแหลม หันไปดี๊ด๊ากับสาวแว่นเมื่อครู่ เธอชื่อบัว เป็นนักเขียนนิยายที่กำลังดังอยู่ในขณะนี้ ผลงานของพี่บัวได้รับความนิยมมากจนกำลังจะถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ ซึ่งมีผมแสดงเป็นตัวเอก


   ผมไม่เคยคิดอยากข้องเกี่ยวกับงานประเภทนี้ เรียกง่ายๆ ว่าไม่สนใจ พี่ปุ้ยรู้จักกับม้าของผมเพราะเป็นรุ่นน้องที่มหาลัย ม้าเคยเป็นดารามาก่อน กำลังจะดังเพราะได้รับเล่นเป็นนางเอกในละครของผู้กำกับมากรางวัล แต่เฮียคัท พี่ชายของผมดันชิ่งมาเกิดเสียก่อน ม้าเลยตัดสินใจออกจากวงการบันเทิงถาวร


   เดือนก่อนพี่ปุ้ยมาเยี่ยมม้าที่บ้าน เจอผมกำลังนั่งชันเข่าโซ้ยมาม่าอยู่หน้าทีวี พี่ปุ้ยแหกปากลั่นบ้าน วิ่งปรี่เข้ามาหาผมหมุนซ้ายหมุนขวา หลังจากนั้นก็หายเข้าไปในห้องรับแขกกับม้าสองต่อสองจนป๊ายังอดระแวงไม่ได้ ผ่านไปเกือบชั่วโมงก็เดินหน้าตาเบิกบานออกมาทั้งสองคน


   ม้าตื่นเต้นมากที่จะให้ผมไปแคสเป็นพระเอกของเรื่อง หว่านล้อมผมไม่หยุดซึ่งในตอนแรกผมก็ยืนกรานว่าไม่เด็ดขาด จนกระทั่ง…


   ‘เพราะซีนรีบมาเกิด ม้าเลยต้องล้มเลิกความฝัน ซีนจะไม่รับผิดชอบหน่อยเหรอ’


   ‘เฮีนคัทเกิดก่อนผมอีกนะม้า ให้เฮียไปแคสดิ’


   ‘คัทอยู่ต่างประเทศ ตอนนี้ม้าก็เหลือแค่ซีน ปุ้ยขอร้องเองเลยด้วย โอกาสอย่างนี้ไม่ได้หาง่ายๆ นะลูก’


   เล่นบทโศกเข้าใส่ผมก็ไปไม่เป็นสิครับคุณหญิงแม่


   ‘นะคะน้องซีน ไปลองดูก่อนนะ นะนะ’


   ‘ผมไม่เคยแสดงมาก่อนนะครับ’


   ‘ถ้าแคสไม่ได้ยังไงค่อยว่ากัน แต่ลองไปดูเถอะนะ นะคะ’
พี่ปุ้ยเป็นสาวประเภทสองร่างบึกบึน แลดูทนทานต่อทุกสิ่ง แต่ตอนนี้พี่แกแทบหลอมละลายลงไปกับพื้นหากผมปฏิเสธ


   ‘งั้น…ก็ได้ครับ’


   และแล้ว…จากประสบการณ์การแสดงเป็นก้อนหินตอนมัธยมต้นและเป็นต้นไม้ตอนมัธยมปลายก็ทำให้ผมแคสผ่านจนได้มานั่งอยู่ตรงนี้แหละครับ ขอเสียงปรบมือหน่อย ถุย!


        ไหนบอกว่าแค่ลองไง หลอกกูไปเชือดชัดๆ!


         พี่ปุ้ยจงใจจะเลือกผมอยู่แล้วและให้ไปเรียนการแสดงเอาทีหลัง


         แผนสูงนักนะ! ไม่เล่นก็ไม่ได้ด้วยรับปากม้าเอาไว้แล้วว่าถ้าแคสผ่านผมเล่นแน่นอน เห็นม้ามีความสุขก็ขัดไม่ลง ความกตัญญูมันค้ำคอ แม้ผมต้องฝืนกล้ำกลืนต่อไปอีกหลายเดือนก็เถอะ


         ฮือออ ปฏิเสธทันไหมวะ ไม่เอาแล้ว ไม่อยากทำ อยากงอแงใส่ม้าแบบที่ชอบทำแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวจริงๆ ที่ม้าจะเป็นฝ่ายงอแงใส่ผมคืนมั่ง


         ได้เป็นตัวเอกมันก็น่าดีใจอยู่หรอก มันเป็นนิยายแนวรักใสใสหัวใจสี่ดวงนี่แหละครับ ติดตรงที่ว่า…มันเป็นนิยายวาย!


         “แล้วไหนพี่บอกผมเป็นพระเอก”


         “ใช่ค่ะ มันเป็นชาย-ชาย ก็มีพระเอกสองคนไง” ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ผมก็มีเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทเป็นสาววายด้วยนะครับ บทผมมันนายเอกไม่ใช่เรอะ…


         “แต่น้องซีนเป็นรับแค่นั้นเอง”


         แค่นั้นเองโพ่ง…


         “เขาดูตามสรีระมั้งครับ” คนที่นั่งอยู่นานพูดขึ้น ผมหันไปถลึงตาใส่มัน


         “ขาสั้นไม่ได้แปลว่าอย่างอื่นจะสั้น!”


         หน็อย แค่สูงกว่าเกือบสิบเซนทำมาเป็นพูด!


         มันคือโซล รับบทพระเอกของเรื่อง เป็นรุ่นน้องที่มหาลัยแต่คนละคณะ และเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากเล่นเรื่องนี้      ถ้าถามว่าทำไมถึงเหม็นขี้หน้ามันน่ะเหรอ เหอะ ผมเคยเจอมันมาแล้วสองครั้ง…


        ครั้งแรก…


   เอี๊ยดด!


   ผมเหยียบเบรกสุดแรงจนหัวโขกกับพวงมาลัย ใจเต้นโครมครามเหมือนจะกระเด็นออกมา ตั้งแต่ขับรถเป็นยังไม่เคยชนหรือเกิดอุบัติเหตุอะไรเลยนะเว้ย แล้วนี่ในมหาลัยด้วย ผมเกือบชนคนไปแล้ว!


   “เป็นอะไรหรือเปล่า” ถามคนที่กำลังลุกขึ้นมาจากพื้นปัดฝุ่นตามตัว เสื้อนักศึกษาสีขาวมีรอยดำเป็นแถบจากการสไลด์ตัวอย่างสวยงามเมื่อสักครู่


   “เจ็บนิดหน่อยครับ”


   “เฮ้อ ก็ดีไป”


   คนตรงหน้าไม่สนใจแผลที่ข้อศอกตัวเองด้วยซ้ำ เขาเอาแต่ลูบหัวปลอบขวัญลูกหมาในอ้อมกอด


   “แล้วนี่อยู่คณะอะไร บัญชีป่ะ? จะได้ติดรถไปด้วยกัน” ผมว่าแล้วยกนาฬิกาขึ้นดู สิบโมงห้านาทีเลยเวลาเพื่อนนัดไปเรียบร้อย


   “เปล่าครับ เรียน…”



   Rrrrrrrr



        มันอ้าปากพูดไม่ทันจบโทรศัพท์ผมก็สั่นเป็นเจ้าเข้า หน้าจอโชว์เป็นชื่อไอ้จั๊มพ์ เพื่อนสนิทที่เคร่งครัดเวลามากโดยเฉพาะเวลานัดกินข้าว


   (ไส้จะขาดแล้ว! อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น)


   “เพิ่งตื่นบ้าอะไร อยู่ในมอแล้ว เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”


   (อ้าวเฮ้ย! เป็นไรวะ แล้วมึงเป็นไรเปล่า อยู่ไหนเดี๋ยวกูไปหา)


   “จั๊มพ์มึงใจเย็นก่อน กูไม่สึกหรอตรงไหน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง แค่นี้แหละ”


   (กูเป็นห่วงนะเชี่ยซีน รีบมาเลย พีมรอ เจ๊ก็มาละ)


   “พีมมาแล้ว?! เออๆ จะรีบไป” ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า มองผู้ชายตัวสูงตรงหน้าด้วยสายตาที่เริ่มหงุดหงิด เพราะความเป็นคนดีเกินเหตุของหมอนี่ทำให้ผมไปสาย พีมมารอแล้วด้วย อย่างนี้ผมเสียคะแนนแหงม


   “เอาเป็นว่าขอโทษแล้วกัน แต่ทีหลังก็อย่าทะเล่อทะล่าโดดมาขวางหน้ารถคนอื่นอีกล่ะ ดีนะที่เบรกทัน”


   “ก็คุณเกือบชนมันหนิครับ”


   หล่อไปอีก…กูเลยดูเหมือนฆาตกรใจโฉดไปเลยใช่ไหม


   แอบกรอกตาในใจแล้วบอกมันว่า “เออๆ ขอโทษที่ขับรถอยู่บนถนนดีๆ ก็ผิด” ไม่ได้ประชดนะเว้ย “แต่ตอนนี้รีบ อยากให้ทำยังไงก็ว่ามา”


   คนตรงหน้าเงียบ ผมเลยถามออกไปอีกครั้ง “ให้จ่ายค่าเสียหายไหมหรือยังไง” …ก็บอกมาสิวะครับ กูรีบ!


   “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณรีบไปเถอะ”


   เออ ก็แค่นั้น


   แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะเจ้าคิดเจ้าแค้น เมื่อผมมาเจอกับมันครั้งที่สอง…


        “ถ่อมาที่นี่ทำไมวะเด็กบัญชี”


        “เพื่อนหายหัว เลยมาดูว่าตายยัง”


        โรงอาหารคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผมนั่งลงข้างไอ้ทิม ส่วนไอ้จั๊มพ์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างๆ มันคือไอ้โฟร์ ครบทีมก๊วนเพื่อนสมัยมัธยม


        “มาหลีหญิงก็บอกเหอะ”


        “ไร้สาระ กูไม่ใช่พวกมึงนะ” ผมว่าหน่ายๆ สายตาสอดส่องหาร้านข้าวที่คนน้อยที่สุด เหมือนจะคิดผิดที่มาที่นี่ โรงอาหารคณะผมคนยังไม่เยอะเท่านี้เลย วุ้ย


        “แต่กูว่าอย่างไอ้ซีนหลีใครไม่เป็นหรอกว่ะ มีแต่ผู้ชายอ่ะหลีมัน” หัวเราะครืนกันทั้งโต๊ะ แท็กมือกันสนุกสนาน


        “พวกเชี่ยนี่!” ผมเตะขาไอ้ทิมไปทีนึงเพราะมันอยู่ใกล้สุด


        “โอ้ย! ล้อเล่น อย่าฟ้องเฮียคัทนะมึง ตอนเด็กๆ เคยแกล้งมัน เฮียมันเกือบฆ่ากู” มันเปิดเรื่องรำลึกความหลัง


        ผมเรียนที่เดียวกับไอ้ทิมมาตั้งแต่สมัยประถม ไอ้ทิมตัวใหญ่กว่าเด็กคนอื่น แต่ที่ชอบแกล้งผมเป็นพิเศษเพราะผมตัวเล็กกว่าใครเขาแล้วก็ดูอ่อนแอเหยาะแหยะเหมือนลูกคุณหนู แถมคุณครูยังชอบโอ๋อีก มันเลยหมั่นไส้


        ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ ป.6 วันนั้นขึ้นมาเล่นกับเพื่อนที่สระว่ายน้ำ แบ่งเป็นสระเด็กกับสระผู้ใหญ่ ลูกบอลกระเด็นไปที่ขอบสระผู้ใหญ่ผมจึงขึ้นจากสระเด็กไปเอา แต่มันเล่นพิเรนทร์ กะจะผลักผมเล่นๆ แต่คว้าเอาไว้ไม่ทัน



        ตู้ม!...เกิดเป็นโกโก้ครั้นช์



        กลืนน้ำไปหลายอึก ลืมตาอีกทีก็เห็นหน้าเฮียคัทและไอ้ทิมที่สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ ผมคิดว่ามันรู้สึกผิดและกลับตัวกลับใจได้เลยไม่แกล้งผมอีกเลยหลังจากนั้นมา แต่เปล่าเลย พอสนิทกันมันถึงเพิ่งมาเล่าว่ามันถูกเฮียคัทจับกดน้ำ สำลักน้ำหูน้ำตาเล็ดกว่าจะยอมปล่อย ตอนนั้นเฮียคัท ม.2 เองมั้ง โคตรเถื่อนเลยเฮียกู


        “กูโตแล้วนะ ตอนนั้นมึงก็นิสัยไม่ดีเอง”


        “ก็มึงน่าแกล้งนี่หว่า เอ้า! ไอ้โซล” ยังว่าไม่ทันจบมันก็เอ่ยทักผู้ชายตัวสูงคนนึง เอ…แต่ผมว่ามันคุ้นๆ แฮะ


        “หวัดดีพี่” พอเดินเข้ามาใกล้แล้วชัดเลย เป๊ะเลย ไอ้คนรักหมาคนนั้นไม่ผิดแน่!


        “เป็นไงมั่ง หายหัวนะมึง”


        “โหยพี่ จะตายแล้วเนี่ย”


        “อย่างมึ…”


        “แผลหายยัง” โพล่งออกไปตามใจคิด ทั้งโต๊ะเงียบกริบ หันมามองผมเป็นจุดเดียว


        “มึงรู้จักกันเหรอ”


        “คนนี้ไงที่กูเกือบชนอ่ะ” พวกมันรู้เรื่องกันหมดแล้วจากการโพนทะนาของไอ้จั๊มพ์ ก็เลยพยักหน้าร้องอ๋อยาวไปถึงคณะบัญชีที่อยู่อีกฟากนึงของมหาลัย


        “มันชื่อโซล ปี 2 รุ่นน้องกูเอง”


        “โซ?”


        “โซล ที่แปลว่าจิตวิญญาณน่ะครับ”


        มันกระดกลิ้น แถมมีอวดคำแปลด้วย แล้วดูของผมสิ scene ใครๆ ก็รู้ว่าแปลว่า ฉาก


        ทำไมสั้น!


        “แล้วได้ไปหาหมอไหม” ผมถาม ไม่ได้ห่วงอะไรมันหรอก แต่จิตสำนึกอันดีงามของผมมันร่ำร้องให้ผมแสดงความเป็นคนดีออกไปบ้าง ถึงตอนนี้ผมจะโคตรหมั่นไส้มันฉิบหายเลยก็เถอะ


        “ไม่ครับ แผลนิดเดียว”


        “ก็ดีแล้…”


        “ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ”


        มันยิ้มอ่อน


        ผมสตั๊นไป 1.234 วินาทีโดยประมาณ ลองย้อนอ่านขึ้นไปข้างบนกูเพิ่งบรรยายไปว่าไม่ได้ห่วงมึง อ่านสิอ่าน!


        “มึงทำน้องคณะกูเจ็บ ชดใช้ค่าเสียหายโดยการเลี้ยงข้าวพวกกูมาซะดีๆ อย่าให้พี่ใช้กำลัง!” ไอ้โฟร์ลุกขึ้นตบโต๊ะดังป้าบ เพื่อนอีกสองตัวพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม เฮ้ย กูไม่ผิด รุ่นน้องมึงกระโดดมาให้ชนเองนี่หว่า


        “ส่วนมึงไอ้โซล ทำเพื่อนที่กูฟูมฟักเหมือนไข่ในหินใจหายใจคว่ำ เอาเงินไปซื้อข้าวมาให้พวกกูเลย”


        กระเป๋าตังค์ผมไปอยู่ในมือไอ้ทิมตอนไหนไม่รู้ มันควักแบงก์ห้าร้อยยัดใส่มือไอ้เด็กนั่น แล้วชี้ไปที่ร้านข้าวมันไก่ “ทอด 4”


        คุยกันมาสักพัก โรงอาหารคนเริ่มซาลง ไม่นานข้าวมันไก่ร้อนๆ น้ำมันเยิ้มๆ ก็มาเสิร์ฟ มันวางจานให้ทีละคนเหมือนเป็นบริกรร้านอาหาร ผมคนสุดท้าย มันเดินอ้อมมาหาเอาจานวางลงตรงหน้าแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนของมัน “ทานให้หมดนะครับ”
       

        ครับผม…ถุย!


        “ถ้าผมทำให้พี่ซีนตกใจ ก็ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ” ผมชักจะเบื่อพ่อคนดีของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์แล้วนะวะครับ เรียกคะแนนสงสารจากเพื่อนกูเหรอหืม


        “โอ้ยน้อง ไอ้ซีนต่างหากต้องขอโทษ” นั่นไง เพื่อนจั๊มพ์ผู้ผดุงความยุติธรรม “มันขับรถไม่ค่อยแข็งอยู่แล้วด้วย ต้องขอบคุณน้องแหละที่ไม่เอาเรื่องมัน”


        รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏอยู่บนใบหน้ามันเรียบร้อย ผมอมข้าวไว้เต็มปากมองมันตาขวาง ถ้ายังยืนยิ้มอยู่กูจะพ่นใส่หัวให้


        “ผมผิดเองจริงๆ ครับ แค่กลัวลูกหมามันจะวิ่งไม่พ้นรถพี่ซีนก็เลยวิ่งไปช่วย ยังไงก็ขอโทษอีกครั้งนะครับ”


        “ไม่เป็นไรน้อง ไม่เป็นไร”


        จั๊มพ์ มึงเปลี่ยนชื่อตอนไหน ไม่เห็นบอกกูเลย


        “งั้นก็ขอตัวก่อนนะครับ หวัดดีพี่” มันพยักหน้าให้เพื่อนมันที่อยู่ไกลๆ บอกลารุ่นพี่คณะมันแล้วหันมาพูดกับผมเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน “อย่าอมข้าวเล่นสิครับ”


        พรวด!


        “แค่กๆๆๆ”


        “เป็นไรของมึงเนี่ย”


        “น้ำๆๆ”


        ไอ้จั๊มพ์วิ่งไปซื้อน้ำด้วยความเร็วแสง ไอ้ทิมตบหลังผมดังอั้กๆ ไอ้โฟร์พยายามป้อนน้ำซุปให้ผมไปพลางๆ


        “มันหน้าแดงหมดแล้ว หายใจออกไหมวะหรือข้าวติดหลอดลม”


        “ไอออกมาแรงๆ”


        ป้าบ!


        จะช้ำในตายเพราะมึงนั่นแหละไอ้ทิม!


        เย็นวันนั้นผมท้องเสียอย่างหนัก นอนหมดแรงไปสองวันตัวแห้งกว่าเดิม จะเป็นฝีมือใครไปได้นอกจากไอ้คนเสิร์ฟข้าวมันไก่ มันต้องเอายาถ่ายบดเป็นผงๆ โรยใส่ข้าวจานผมเหมือนในละครแน่ๆ ร้าย…มันร้าย!


        ผมนอนแค้นอยู่บนเตียง นั่งแค้นอยู่ในห้องน้ำ สักวันต้องหาทางเอาคืนมันให้ได้ ขอสาบานด้วยเกียรติ์ของพี่ซีน หนุ่มฮอตคณะบัญชี!



        กลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วน


        แล้วคือผมต้องมาเล่นจี๋จ๋ากับมัน…แค่คิดก็ยี๊แล้ว


        “น้องโซลเองก็เหมาะมากเลยค่ะ ตอนพี่เห็นน้องโซลแวบแรกพี่ก็...บลาๆๆ” อวยสารพัดจะอวย พี่บัวทำหน้าเพ้อ พี่ปุ้ยมองมันด้วยแววตาพราวระยิบ


        มันก็แค่สูง หุ่นดี หล่อ รวย แค่นั้นเอ๊ง พี่บัวบอกว่ามันโคตรจะพระเอกนิยาย ตรงตามที่ต้องการ พี่ปุ้ยตามตื้อเป็นเดือนก็เอาแต่ปฏิเสธ เรียนสถาปัตย์เวลานอนแทบจะไม่มี มันเอานู่นเอานี่มาอ้างก็แล้วพี่ปุ้ยก็ยังคงคอนเซ็ปตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก เรื่องนี้ถ่ายตอนปิดเทอม มันคงไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างแล้วมั้ง แต่พี่ปุ้ยบอกว่าวันหนึ่งอยู่ดีๆ มันก็ติดต่อไปหาพี่ปุ้ยเองเฉยเลย


        “แล้วทำไมมึงถึงยอมมาเล่น”


        “ช่วงนี้ช็อตครับ”


        ช็อตโพ่ง...


        แล้วเบนซ์ตรงลานจอดรถน่ะของใคร!


        เราต้องเข้าเรียนการแสดง โดยเฉพาะตัวผมเอง เพราะนอกจากหินกับต้นไม้ก็ไม่เคยแสดงเป็นอย่างอื่นเลย ลองขอพี่บัวเล่นเป็นต้นไม้ในเรื่องแล้วนะแต่พี่บัวไม่ยอม

 
        ไอ้โซลเคยแสดงละครเวทีของคณะมัน ผมรู้จากปากพี่ปุ้ยอีกที ข้อมูลพี่เขาเยอะมาก เอ่ยชมมันไม่ขาดปาก ตอนแคสมันก็แสดงดี สื่ออารมณ์เก่ง โม้จนผมรู้สึกตัวเล็กลงๆ จนจะมุดรูไปอยู่กับจิ้งจกได้แล้ว ละครเวทีกับซีรีส์ที่พวกผมต้องแสดงอาจแตกต่างกันก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็เคยท่องบท เคยฝึกซ้อม เคยแสดง มีประสบการณ์มาก่อนอยู่ดี


        เข้ามาคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่ตอนเย็น ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว หอบบทละครปึกหนาออกมาจากลิฟต์ก็เจอแต่ความมืด


        ชิบลอส...ไฟดับ!


        แล้วดับอะไรชั้นที่ผมจอดรถวะครับ


        เปล่าเลยไม่ใช่คนกลัวสิ่งลี้ลับ แค่เป็นคนตกใจง่าย ถ้าโผล่มาคือหัวใจวายแน่โอเคไหม


        ยกมือสวดมนต์ก่อนแปบนึงแล้วถึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโหมดไฟฉาย แต่พอยกโทรศัพท์จะส่องทางเท่านั้นแหละ


        “เชี่ย!”


        “โอ้ย!”


        ซัดมือออกไปเต็มแรง ร้องโอดโอยอยู่ที่พื้นแบบนั้นไม่ใช่ผีแน่ ผมเอาโทรศัพท์จ่อหน้ามันดูถึงกับอยากอุทานเป็นคำหยาบอีกรอบ


        “เจ็บนะพี่ ต่อยมาได้”


        “ก็ใครใช้ให้มึงย่องมาเงียบๆ ล่ะวะ”


        “ไฟมันดับก็เลยรีบเดินตามพี่มาเนี่ย”


        “ป๊อด?”


        “คนไม่ป๊อดไม่สวดมนต์ดิ”


        อยากเอาบทละครในมือกระแทกหัวมันสักทีให้ชื่นใจ


        “มันเลยเวลาสวดมนต์กูมาแล้ว ปกติตอนนี้กูต้องเข้านอนเว้ย”


        “หูย ธรรมะธรรมโม” มันยิ้มยียวน หรือผมจะใช้โอกาสตอนที่ไฟกำลังดับฟาดหัวมันดีนะ กล้องจะเห็นไหม เกิดมาไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเลย ลองสักครั้งเป็นสีสันของชีวิตดีไหมนะ


        ระหว่างที่เดวิลกับแองเจิลในตัวผมกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น ไฟก็สว่างขึ้น พอสายตาผมชินกับแสงก็เห็นไอ้โซลชัดๆ ยืนอยู่ตรงหน้า ในมือมีบทละครเล่มหนาเหมือนกัน


        “ถอยดิ”


        “เราจะไม่ทำความคุ้ยเคยกันหน่อยเหรอครับ”


        “ทำไมต้องทำ” ต่อให้มีเหตุผลร้อยแปดก็ไม่อยากคุ้ยเคยกับมึงโว้ย!


        “ต้องแสดงด้วยกันไงครับ”


        “ต่างคนต่างแสดงให้มันจบๆ ไปเหอะ”


        “ไว้ว่างๆ มาลองซ้อมบทกันนะครับ”


        ไม่ได้ยินที่กูพูดเลยใช่ไหมเนี่ย แล้วถาปัดมันว่างมากเหรอ พูดไม่ดูตัวเองเลย ผมชักหงุดหงิด "ไม่ซ้อม"


        “อยากถ่ายหลายๆ เทคก็ได้นะครับ ผมไม่มีปัญหา” พ่อคนเก่งลอยหน้าลอยตา โอ้โห ผมก็หัวร้อนสิครับ มึงไม่มีแต่กูมีเว้ยย


        ยิ่งเรื่องนี้พอได้อ่านบทมันไม่ใช่รักใสใสหัวใจสี่ดวงแล้วอ่ะ ผมกับไอ้โซลต้องเล่นเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกัน สกินชิพเยอะชิบหาย แล้วยังมีฉาก...


        “จูบ...ต้องซ้อมไหมครับ”


        “ซ้อมไปคนเดียวเถอะมึง!” กระแทกไหล่มันออกมา โพ่งโพ่งโพ่งงงง! ชีวิตผู้ชายอกสามสอกอย่างผมต้องมาตกอับอะไรถึงเพียงนี้ เกิดมาแฟนยังไม่มีเลยสักคน อนาคตแฟนก็กำลังจีบอยู่ จะติดแหล่ไม่ติดแหล่ยังไม่รู้แน่ชัด


        บอกตัวเองว่าให้คิดถึงม้า คิดถึงม้าเอาไว้ เพื่อความฝันของม้า ผมจะปาบทละครทิ้งไม่ได้ จะเอาไปฟาดหัวพระเอกของเรื่องก็ไม่ได้ เดี๋ยวถูกจับเข้าคุกแล้วจะไม่ได้แสดงเรื่องนี้ ม้าต้องเสียใจมากแน่ๆ ผมจะรับทำหน้าที่ลูกที่ดีนี้ให้มันจบๆ ไป


        แค่สามเดือนเท่านั้น!





****

เป็นวายไทยเรื่องแรกที่แต่งและเพิ่งเคยลงที่นี่
ติชมได้นะค้า
ขอบคุณค่า ^ - ^

#ข้างหลังฉาก



หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 1 - (19/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-12-2016 22:16:17
ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ไรท์ เขียนไหลลื่นดีนะ
โซล ซีน  :mew1: :mew1: :mew1:
ที่โซล ยอมมาเล่นละคร
เพราะรู้ว่าซีนมาเล่นด้วยหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 1 - (19/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-12-2016 23:28:08
คนหนึ่งกวน อีกคนก็ขึ้นง่าย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 1 - (19/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: kyungploy ที่ 20-12-2016 01:04:54
โซลแอบชอบพี่ซีนแน่ >_<
ปล.เรื่องน่ารักมากเลยค่า
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 2 - (25/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 25-12-2016 21:18:46
ตอนที่ 2







ท่องบทไม่ง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ลองอ่านดูหลายๆ รอบก็จำได้แต่พอลองพูดออกมามันเหมือนผมกำลังท่องกลอนอะไรสักอย่าง



ป๊าหัวเราะท้องแข็ง ส่วนม้าพยายามกลั้นหัวเราะ



‘ซีนต้องทำความเข้าใจตัวละครนั้นให้ดี และซีนต้องอินกับมัน’



เปิด ‘friend or fan’ หรือ ‘เพื่อนกันมันส์ดี’ นิยายของพี่บัวขึ้นมาอ่านรอบที่สอง บทที่จะทำเป็นซีรีส์ไม่ต่างจากในนิยายมาก มีแค่บางฉากที่ถูกเพิ่มเติมเข้าไปหรือปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่ได้มีผลต่อลักษณะตัวละคร



ตัวละครนั้นเป็นเด็กมหาลัยเหมือนกับผม มีเพื่อนที่สนิทด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1 ก็คือพระเอกของเรื่อง อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองคนก็เพิ่งรู้ตัวว่าความรู้สึกที่มีต่อกันมันมากกว่าเพื่อน



อ่านไปก็เริ่มน้ำตาคลอ ม้าคิดว่าผมเริ่มจะอินกับมันเข้าแล้ว เปล่าเลย แค่กำลังคิดว่าผมต้องแสดงจริงๆ เหรอ ต้องไปเล่นกุ๊กกิ๊กกับผู้ชายเนี่ยนะ ซ้ำยังเป็นไอ้โซล คนที่มันวางยาถ่ายผมนะม้า! ทำได้แค่ทึ้งหัวตัวเองอยู่คนเดียว วันนั้นถ้าขึ้นไปทำงานอยู่บนห้องไม่อู้ลงมานั่งดูทีวีข้างล่างก็ไม่ต้องเจอกับพี่ปุ้ย แล้วก็ไม่ต้องมาแสดงซีรีส์นี่ด้วย!



อีกอย่างคือการเรียนการแสดงเป็นอะไรที่ทรมานสำหรับผมมาก ต้องแสดงเป็นนู่นเป็นนี่ พูดคนเดียวบ้างล่ะ เอาตามตรงคือผมอาย มองไปเห็นไอ้โซลนั่งกลั้นหัวเราะก็ยิ่งเซ็ง ดีที่ตอนนี้มันไม่ได้มาเรียนแล้วเพราะมันไม่ค่อยว่าง การแสดงมันอยู่ในขั้นโอเคก็เลยรอดไป ต่างกับผมที่เป็นไฟท์บังคับเพราะการแสดงอยู่ในขั้นวิกฤต



‘น้องซีนลองไปซ้อมกับน้องโซลก่อนก็ได้นะคะ ทำความคุ้ยเคยกันเอาไว้ เวลาเล่นมันจะได้เข้ากันได้’



พี่ปุ้ยมาบ้านอีกครั้ง ให้คำแนะนำต่างๆ นานาแล้วก็กลับไป จริงๆ ม้าก็ช่วยได้มากอยู่ แต่มันติดที่ตัวผมเองที่ทำใจไม่ได้ ผมต้องเล่นเป็นรับให้ผู้ชายเลยนะเว้ยยย



‘มันก็แค่การแสดงน่าลูก’



ถือเป็นคำปลอบใจที่ไม่ช่วยอะไรผมเลย ม้าบอกมันเป็นบทที่ท้าทายมากสำหรับนักแสดง แต่ผมไม่ใช่นักแสดงนี่หว่า!



“หน้าตามึงอมทุกข์มาก” ไอ้จั๊มพ์วางชาเขียวลงตรงหน้าให้ผม ส่วนมันดูดกาแฟเข้าอึกใหญ่ “กำลังจะได้เป็นดารา ยิ้มแย้มหน่อยสิเพื่อน”



“อ่ะๆ อย่าพ่นนะ กูอุตส่าห์เดินไปซื้อมาให้ หวังว่าสักวันที่เพื่อนดังจะได้ไม่ลืมกัน”



กลืนชาเขียวสุดที่รักลงคอแล้วถอนหายใจใส่หน้ามันไปทีนึง “ไม่หยุดนะมึง”



“โถ่ เพื่อนรักครับ เลิกเครียดได้แล้ว หน้ายับไม่ขึ้นกล้องไม่รู้ด้วยนา”



“ก็ดี จะได้เปลี่ยนคน”



“มึงนี่พูดยากพูดเย็น ขนาดมึงแสดงห่วยแตกเขายังเลือกมึง แสดงว่าต้องเป็นมึงเท่านั้น เขาเจาะจงมึง”



จากที่อ่านนิยายพี่บัวมา… สูงน้อย ขาว ร่างบาง คือนิยามตัวผมสินะ เขาเรียกผอมไหม!? ก็คนมันระบบเผาผลาญดี! หรือว่าจะไปออกกำลังกาย เอาให้ล่ำกว่าไอ้โซล เห็นชอบคนเป็นรับร่างน้อยดูมุ้งมิ้งน่ารักกัน ถ้าผมตัวบึ้กกล้ามโตก็จะหลุดคาแร็คเตอร์ พี่ปุ้ยจะได้หาคนใหม่



“มึงเคยบอกว่ามีญาติเป็นเทรนเนอร์ใช่ไหม”



“ขี้เกียจออกกำลังกายอย่างมึงอย่าคิดจะฟิตกล้ามเลย ไปยืนแบ๊วๆ หน้ากล้องเหอะ”



ความหวังดับสูญ เนื้อตัวอ่อนเปลี้ย ผมเอาหน้าแนบลงกับโต๊ะ ชาเขียวในแก้วเริ่มละลายเหมือนกับความร่าเริงในตัวผมที่ลดระดับลงเรื่อยๆ ในหัวมีแต่ นิยายวาย ผมเป็นรับ และไอ้โซล



“รออะไรกันอยู่เหรอ” เสียงนุ่มๆ ดังขึ้นบนหัวของผม พีมนั่งลงข้างๆ รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้เหมือนวันแรกที่เรารู้จักกันเปี๊ยบ



“นั่งเล่นน่ะ” ผมเด้งตัวขึ้น ส่งยิ้มหวานเจี๊ยบกลับคืนไป พีมเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา นิสัยดี เรียบร้อย ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มตลอด ใจดีและจริงใจกับทุกคน ผมจีบพีม เราคุยกันเรื่อยๆ ไม่เร่งรัด…จนตอนนี้ปี 3 แล้วเนี่ย



“เปิดกล้องเดือนหน้าใช่ไหมซีน”



“อ..อื้ม” มาประเด็นนี้ยิ้มหวานก็กลายเป็นยิ้มแห้งๆ ตอนพีมรู้เรื่องนี้พีมดูดีใจและตื่นเต้นมาก ผมอยากจะแก้ตัวว่าผมไม่ใช่อย่างนั้นแต่พีมไม่ว่าอะไรกลับดูสนับสนุนเรื่องนี้เสียอีก หรือพีมอยากมีแฟนเป็นดารา?



“ช่วงนี้ก็เรียนการแสดงด้วยใช่ไหม น่าสนุกเนอะ”



“อ้อใช่ สนุกมากเลย ฮะๆ” ชวนคุยไม่ถูกเลยถ้ายังคุยเรื่องนี้กันอยู่ ได้แต่เออออตามพีมไป



“อีกหน่อยคนต้องคนจีบตรึมแน่เลย”



“ไม่หรอกน่า”



“โหย ซีนน่ารักจะตาย” เจอคำนี้เข้าไปก็รู้สึกหูอื้อตาลาย ไอ้จั๊มพ์ที่เป็นส่วนเกินอยู่แล้ว ตอนนี้ผมไม่เห็นมันนั่งอยู่ในโต๊ะด้วยซ้ำไป พีมกำลังจะสื่ออะไรกับผมหรือเปล่า หึง? หวง? หรือทั้งสอง?



“น่าถีบด้วยนะบางที” สีชมพูหายวับไปกับตา ผมกัดฟันหัวเราะแหะๆ ตามน้ำไปกับพีม ไอ้มารผจญยักคิ้วจึกๆ ให้



“อ๊ะ เดี๋ยวเราต้องไปแล้ว” พีมมองนาฬิกาก่อนจะลุกขึ้น “สู้ๆ นะซีน เรารอดูซีนอยู่นะ”



มองตามพีมไปจนลับสายตา คำพูดเมื่อกี้เป็นเหมือน M-150 ที่ทำให้ผมมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมาทันที!



“จั๊มพ์ กูจะสู้!”



“ห๊ะ? เดี๋ยวๆ อะไรเข้าสิง”



“ที่พีมพูดเมื่อกี้ไง พีมรอดูกูอยู่”



“รอดูมึงเป็นรับให้ผู้ชายอ่ะนะ”



เพล้ง!



กำลังใจแตกสลาย ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง M-150 หมดฤทธิ์ ผมเอาหัวจุ่มโต๊ะลงไปเหมือนเดิม เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบขึ้น ...พีมส่งไลน์มา



peem : เห็นช่วงนี้ซีนดูเครียดๆ เรื่องที่ต้องแสดงหรือเปล่า

peem : เราเชื่อว่าซีนทำได้ อย่ากังวลไปเลยนะ

peem : เมื่อกี้เรารีบออกมาเลยลืมบอกน่ะ สังเกตซีนมาหลายวันแล้ว



เป็นห่วงกันขนาดนี้อย่าเรียกเพื่อนกันอีกเลยครับคนสวย



ดั่งได้กระทิงแดงชโลมจิตใจ ยิ้มจนเมื่อยปาก ฟันแห้งแล้วแห้งอีก ซีรีส์วายก็ซีรีส์วายเถอะ นอกจอพี่แมนๆ มีแฟน(ในอนาคต)น่ารักก็แล้วกัน! อุวะฮ่าฮ่า 



“มาเป็นคู่ซ้อมให้กูหน่อยดิ เย็นนี้เลย”



“ไปซ้อมกับโซลเองดิ น้องเขาก็รอมึงอยู่ไม่ใช่เหรอ”



“มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบมัน มันไม่ชอบกู”



“อย่าขี้ตู่ไปเองสิวะ น้องมันยังไม่ได้ทำอะไรมึงเลย”



“มึงจะไปรู้อะไร อยู่ต่อหน้าพวกมึงมันก็แอ๊บเป็นคนดีใสใสอ่ะ!”



“ไอ้ทิม ไอ้โฟร์ก็สนิทกับน้องมันยังไม่เห็นว่าอะไรเลย อ้อ เรื่องยาถ่ายนั่นก็หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว วันนั้นเราไปกินส้มตำกันมาจำไม่ได้เหรอ กูก็ท้องเสีย”



พวกมันเป็นพี่น้องที่คลานตามกันออกมาใช่ไหม สงสัยตั้งแต่ที่โรงอาหารถาปัดแล้ว เข้าข้างกันดีจริงๆ เลย!



“ไม่ต้องทำหน้างั้นเลย จะนัดน้องเลยป่ะเดี๋ยวโทรหาไอ้โฟร์ให้ รีบตัดสินใจ เดือนหน้าน้องมันไม่มีเวลามาซ้อมกับมึงแน่” เดือนหน้าไฟนอล เวลานอนมันมีหรือเปล่าเถอะ



ยังไงผมก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เหมือนโดนล็อคหน้าเอาไว้ให้มองตรง เดินตรงไปอย่างเดียว จุดหมายปลายทางข้างหน้ามีไอ้โซลยืนรออยู่ ยิ้มของมันเย็นยะเยือกพร้อมขยับปากเป็นคำพูดว่า ‘เอากี่เทคดีครับพี่’



เชี่ยยย หลอน!



การแสดงผมก็ดีขึ้นอยู่มากถ้าไม่ได้คิดไปเอง ยิ่งพีมตั้งหน้าตั้งตารอดูอย่างนี้ผมยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้น อีกอย่างถ้าเล่นแข็งเป็นหินไม่ได้อายแค่ไอ้โซลหรือพีม แต่อายคนทั้งมหาลัยด้วย เดินออกไปไหนเผื่อคนจำได้คงจะกระซิบกระซาบกันว่าไอ้นี่ไงที่แสดงเป็นหิน ผมไม่อยากชื่อน้องสโตนนะเว้ย! 



“อ้าว กำลังจะโทรหาเลย” ไอ้จั๊มพ์มองเลยไปข้างหลัง ผมหันไปก็เจอไอ้ทิม ไอ้โฟร์และไอ้โซล เดินเรียงหน้ากระดานเป็นบอยแบนด์มาเลย ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ ละจากหนังสือเรียนสะกิดเพื่อนกันใหญ่ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานยังไม่เห็นสนใจเลย ผมก็คนหล่อของคณะนะ!



“โซล ไอ้ซีนอยากซ้อมด้วยอ่ะ ช่วงนี้ว่างไหม”



“มาทำไม”



สองคำถาม สามคนงง



ไอ้โซลนั่งลงข้างไอ้จั๊มพ์พรรคพวกของมัน ส่วนไอ้ทิมกับไอ้โฟร์นั่งประกบผมเหมือนผมเป็นบอส หึ คนมากกว่าเห็นๆ




“เปลี่ยนใจแล้วเหรอครับ” มันยิ้มกริ่ม



ที่เคยบอกไอ้โซลว่าต่างคนต่างแสดงเป็นแค่คำพูดที่อยากสื่อออกไปเฉยๆ ว่าไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย



ตอนก่อนเข้าฉากเห็นว่าจะมีคนคอยซ้อมบทให้แต่ซ้อมกันไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่า ผมอยากได้แบบเทคเดียวผ่านเลย รีบถ่ายรีบจบ อีกอย่างผมต้องเข้าฉากกับมันเยอะมาก เป็นทั้งเพื่อนสนิทตัวติดกัน แล้วต้องมารักกันอีก มีแค่ฉากดราม่าที่ต่างคนต่างหลบไปทบทวนความรู้สึกตัวเองนั่นแหละ ถึงจะได้ถ่ายเดี่ยว



หันไปทางไหนก็เจอแต่มัน หมดแรง หนียังไงก็หนีไม่พ้น สู้พุ่งชนมันไม่ดีกว่าเหรอ!



“อือ ว่างวันไหน”



“ผมยังไม่แน่ใจ”



“เอาเบอร์มันไปดิ” จั๊มพ์ ผู้จัดการส่วนตัวของชีวิตผมเสนอขึ้น มันเคยรู้ใจผมทุกอย่างจนกระทั่งไอ้โซลเข้ามา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เรื่องมันเศร้าขอเหล้าเข้มๆ



มันยื่นโทรศัพท์ไอ้โซลให้ผม “หนุ่มขอเบอร์จ้า”



โพ่ง…



ทำหน้าหงุดหงิดใส่ก็ไม่สะเทือน กดเบอร์เสร็จก็ส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ



“ไว้จะโทรหานะครับ”



“อือ”



“ต้องก่อนสองทุ่มไหมครับ เผื่อพี่ซีนสวดมนต์”



“ไม่ต้อง” กัดฟันแน่นมาก เพื่อนสามตัวทำหน้างงแต่ผมไม่อธิบาย ปล่อยให้ไม่รู้เรื่องต่อไปนั่นแหละดีแล้ว “จะโทรตอนไหนก็โทร!”



“อ่า เข้าใจแล้วครับ”



“ในจอเป็นเพื่อนรัก นอกจอไม่ชอบขี้หน้ากัน มึงว่าตอนจบจะเป็นยังไงวะ”



“กูว่าได้ลงเอยเหมือนในจอว่ะ” แท็กมือกันฮาเฮ ไม่แคร์ที่ผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกมันเลย ลงเอยบ้าอะไรล่ะ! แค่คิดก็ขนลุกแล้วโว้ย



“หยุดเลย จะมาป่วนก็กลับไป”



“โอ๋…” ไอ้โฟร์ลากเสียงยาว เอาแขนมาคล้องคอ ไอ้ทิมจับปลายคางผมเหมือนกำลังหยอกล้อสาวน้อย “อย่าหน้ามุ่ยสิจ้ะ พวกพี่ล้อเล่น”



ที่เคยบอกว่ามันเลิกแกล้งผมแล้ว ขอถอนคำพูด!



“พวกมึงนี่ มันยิ่งเครียดๆ อยู่” ไอ้จั๊มพ์พูดขึ้น แต่เมื่อกี้ผมยังเห็นมันหัวเราะถูกอกถูกใจอยู่เลย



เพื่อนแม่งไว้ใจไม่ได้สักคน!















สองทุ่มตรงเสียงโทรศัพท์ก็ดัง หน้าจอโชว์เบอร์แปลกชวนให้ไม่อยากกดรับ ยิ่งคิดว่าคือไอ้โซลยิ่งอยากตัดสายทิ้ง แต่ผมก็ไม่ได้ทำ



“ว่ามา”



(รับเร็วจัง รอผมอยู่เหรอครับ)



“มือเผลอไปโดนเว้ย บอกวันเวลามาเร็วๆ”



(อ่า เสาร์นี้ครับ กี่โมงก็ได้)



“ที่ไหน”



(ห้องผมไหม?)



เบ้หน้าตอนมันบอกว่าให้ไปห้องมัน เคยไปห้องไอ้ทิมกับไอ้โฟร์ กระดาษชานอ้อยเกลื่อนเต็มพื้น สกปรกทั่วทุกมุมห้อง



“เข้าได้แน่นะ”



ถามย้ำให้แน่ใจ ถึงแม้ผมจะเห็นด้วยไปแล้วก็เถอะ เพราะถ้ามาบ้านผมก็ไม่อยากให้ป๊าม้าเห็น ถ้าเข้าไปในห้องนอนผมก็ไม่อยากให้มันเข้า



(มาแล้วจะรู้เองครับ)



พูดจาน่าพังโมเดลมึงมาก…



(จะมากี่โมงก็ตามใจพี่เลยนะ)



“กูจะไปหกโมงเช้า”



เสียงหัวเราะดังมาตามสาย ก่อนมันจะบอกที่อยู่ของมันให้ เป็นคอนโดไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัย ถ้าไปถึงให้โทรหามันอีกที ผมจึงกะเวลาไว้ว่าจะไปประมาณ 10 โมง ต้องบอกเอาไว้ก่อน ไม่งั้นไปถึงแล้วมันไม่ตื่นผมก็ได้รอน่ะสิ



“แค่นี้แหละ”



(รีบไปสวดมนต์เหรอคร้าบ)



“กวนตีน”



(ฮ่าๆ ผมล้อเล่นน่า เจอกันครับ)



มันดูอารมณ์ดีเนอะ เหมือนไม่เครียด ไม่ปฏิเสธอะไรเลย ทั้งที่จริงงานมันก็เยอะยังมาเพิ่มภาระให้ตัวเองอีก ไฟนอลจบก็เริ่มถ่าย เวลาพักไม่กี่วันของมันก็ต้องจำบท ผมยังหาเหตุผลที่มันรับแสดงเรื่องนี้ไม่ได้เลย จะว่าชอบก็ไม่ใช่ ไม่งั้นตอนแรกจะปฏิเสธพี่ปุ้ยทำไม



แล้วผมจะมาสนใจเรื่องของมันทำไมวะ?



“เออออ” ผมว่าแล้วกดตัดสาย





หลังจากซีรีส์เรื่องนี้คอนเฟิร์มว่านักแสดงนำคือผมกับไอ้โซล โซเชียลต่างๆ ของผมก็มีฟอลโลเวอร์เพิ่มขึ้นหลายพัน ไม่รู้ว่ามันดีไหมแต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ผมไม่ได้สนใจยอดไลค์หรือคนที่มาชื่นชอบ ผมคิดแค่ว่าต่อไปนี้ชีวิตผมจะไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป



แต่ถึงอย่างไรผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปเช็คดูความคิดเห็นของคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ ผมจึงไปเช็คที่ทวิตเตอร์ พี่ปุ้ยบอกว่ามีแฮชแท็กของเรื่องนี้อยู่ด้วย ให้เข้าไปดูในแท็กเลยจะได้ตามง่ายๆ



@nongwaii

ซีนน่ารักมากกกกกกกกกกกกกก โซลก็หล่อมากกกกกกกก ฟ้ด่ดาฟาหกเหสหฟาก่ฟาฟฟ #fof




@iammeoww

เหมาะมากกกกกก ถึงแม้นายเอกจะเตี้ยไปหน่อยแต่น่ารักดีค่ะ #fof




เหมือนถูกไม้ฟาดเข้ากลางกระหม่อม จะชมหรือด่า เลือก!



เข้าใจนะว่าในนิยายนายเอกสูงไล่ๆ กับพระเอก ก็ใครใช้ให้ไอ้โซลมันสูงกว่าผมเยอะกันเล่า ผมมาตรฐานชายไทยนะเว้ย!



@tttt007

อดใจไม่ไหวล้าวว อยากดูฉากในห้องครัว!! >,,,,< #fof



@fanclubpbua

แอร๊ยยยยย ซีนมิ้งมั่กกกกกกกก ใครมีประวัติสองคนนี้โยนมาทางนี้หน่อยค่า #fof



@kungpeuak

รุ่นพี่มอเราเองค่า พี่ซีนบัญชีปี 3 พี่โซลถาปัดปี 2 ไม่มีแฟนทั้งคู่ เค้าคบกันได้ค่ะ ฮิๆๆๆๆ /แนบรูป #fof




ตรรกะไหนวะครับคุงเผือกๆ อะไรเนี่ย ไม่มีแฟนทั้งคู่ใช่ว่าต้องคบกันไหมล่ะ แล้วนี่แคปรูปผมมาจากไอจีด้วย รูปไอ้โซลก็น่าจะเหมือนกัน



@tingjating

อยู่ด้วยกันต้องน่ารักมากแน่ๆ เลยอ่า พี่ซีนหน้าเด็กจัง มันน่ากหฟกสฟดฟววฟงดกวอฟว #fof



@ishipyounaokay

เคยเจอพี่ซีนที่มอโคตรน่ารัก โคตรเคะ ใสซื่อหน้าหลอกล่อมากกก ส่วนพี่โซลตัวจริงหล่ออิ๊บอ๋าย ลุ้นให้รักกันนอกจอเลยได้มั้ยคะๆ >////////< #fof #โซลซีน




ไม่ได้ครับน้อง!!



ลุ้นไปก็ผิดหวัง ผมเมนชั่นหาได้ไหมเนี่ย แล้วแท็กหลังคืออะไร๊! นี่แค่คอนเฟิร์มนักแสดงนะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าซีรีส์ฉายไปจะขนาดไหน อีกอย่างคือผมหล่อ ไม่ได้น่ารักมุ้งมิ้งนะเว้ยย!



@oohhoo

กรี้ดดดดดดดด เราอยู่บ้านใกล้กับพี่ซีน ติ่งมานานมากกกก บางวันเห็นจูงหมาออกมาเดินเล่นโคตรน่าฉุดดด #fof




น…น่ากลัว



ผมรีบเดินไปปิดม่านทันที รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ เกิดมาเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงน่ากลัวขนาดนี้!



ผมกดออกจากทวิตเตอร์ด้วยอาการหน้าซีด น้องอู้วหูวอะไรนี่ทำเอาผมไม่อยากออกจากบ้านเลย



หลังจากนั้นสักพักไอ้โซลก็ฟอลผมมาทั้งไอจีทั้งทวิตเตอร์ ด้วยความที่เราต้องแสดงด้วยกันและหนีไม่พ้นการสร้างกระแสที่พี่ปุ้ยก็เปรยๆ กับพวกผมอยู่บ้าง ผมเลยต้องฟอลมันกลับไปอย่างช่วยไม่ได้



ท่องบทไปก็จำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง พอคิดว่าต้องไปยืนพูดต่อหน้าไอ้โซลก็เกิดทำใจขึ้นมาไม่ได้อีก เลยสไลด์บทละครให้ไปไกลๆ สายตาแล้วหันมาจับโทรศัพท์แทน กดเข้าแอพสีน้ำเงินของคุณมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก พีมก็อัพบ่อยๆ แต่ส่วนมากจะเป็นรูปไปกินข้าวกับเพื่อน หรือทำกิจกรรมอะไรบ้างวันๆ แค่นี้ ไม่มีสเตตัสอินล้งอินเลิฟมั่งเล้ย อย่างน้อยผู้หญิงต้องแสดงอะไรออกมาบ้างสิ แต่ผมก็เริ่มชินแล้ว พีมอาจเป็นพวกให้ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของเราสองคน ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยอะไรเทือกนั้น ไถดูเพลินๆ แอพสีเขียวก็เด้ง เป็นไอ้คนที่เพิ่งวางสายไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง



soul.kr : พี่ซีน



แนวมากป่ะ แม่งเอาโซล (soul) ไปพ้องกับโซล (seoul) เมืองหลวงของประเทศเกาหลี รู้ว่าหล่อแต่ไม่ต้องเสนอตัวขนาดนี้ก็ได้ไหม



sscene : อะไรอีก



soul.kr : เห็นในทวิตยัง กระแสดีเนอะ



ดีกะผีน่ะสิ คนโดนชมว่าหล่อมันก็พูดได้นี่!



sscene : ตอนแสดงคนอาจไม่ชอบก็ได้



soul.kr : นั่นสินะครับ งั้นเราต้องซ้อมให้มากๆ



ตอนนี้พวกเขาอาจชื่นชอบรูปร่างหน้าตาของผมกับไอ้โซลก็จริง แต่ถ้าแสดงออกมาห่วยไม่โดนด่ายับเหรอ ยิ่งนิยายสนุกและดังขนาดนี้ แฟนคลับก็ต้องคาดหวังมากอยู่แล้วว่าซีรีส์จะออกมาสนุกเหมือนในนิยายหรือเปล่า โอยตาย งานนี้ผมว่ามันไม่ยากแล้วล่ะ แต่ยากโคตรๆ เลยต่างหาก



sscene : ถ้ามึงมีเวลาน่ะนะ



soul.kr : เวลามีให้อยู่แล้วแหละครับ



sscene : เออๆ ก็นัดมาแล้วกัน กูไปนอนละ



soul.kr : ฝันดีครับ



ขนลุกเกรียวเลย ใครสอนให้พิมพ์หาผู้ชายด้วยกันแบบนี้วะ ผมส่งสติกเกอร์รูปมูนโมโหหน้าแดงไป  ไม่ได้การต้องแคปให้ไอ้จั๊มพ์ดู เด็กมึงกวนตีน ดูเลยดู!



แต่เหมือนผมจะคิดผิด ลืมไปเลยว่ามันพวกเดียวกัน กดบล็อกเพื่อนตัวเองจะเป็นอะไรไหม…







Jumper : จีบไรเบอร์น้านน



sscene : พ่องสิ!







****
 :mew3:
#ข้างหลังฉาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 2 - (25/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 25-12-2016 23:35:54
 :katai5: :katai5:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 3 - (3/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 03-01-2017 13:29:42



ตอนที่ 3







วันเสาร์แสนสดใสก็มาถึง เมื่อคืนผมเตรียมตัวไว้ดีมาก พูดคนเดียวเกือบทั้งคืน ผลปรากฏว่า…หลับคาบทละคร! ยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบอีก ผมวิ่งกระหืดกระหอบลงจากบ้าน ไม่ชอบขี้หน้ามันแต่การตรงต่อเวลาก็เป็นเรื่องสำคัญ ไอ้จั๊มพ์ฝึกผมมากับมือ



ไอ้โซลลงมารับผมข้างล่าง เพิ่งเห็นมันใกล้ๆ ว่ามีหนวดขึ้นรำไร ทำให้หน้าตาพระเอกเกาหลีของมันดูห่ามขึ้นแต่ยังหล่อเหมือนเดิม



ไม่ได้อิจฉานะ ไม่ได้อิจฉา!



“กินอะไรก่อนไหมครับ”



“ไม่ต้อง เอาเลย”



“รีบเหรอครับ ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า”



“มึงก็ลีลา” เวลายิ่งน้อยๆ จะมานั่งกินขนมชมวิวได้ยังไงเล่า เผื่อวันอื่นมันไม่ว่างอีกก็ไม่ได้ซ้อมน่ะสิ



แต่ไอ้โซลเดินหายเข้าไปในห้องครัว ก่อนออกมาพร้อมกับของในมือที่ทำผมตาค้าง จ้องไม่วางตา



“แม่ผมไปญี่ปุ่นเลยซื้อมาให้”



สารพัดขนมรสชาเขียว! ที่ไทยก็มีขาย ที่บ้านผมก็มีเป็นกอง แม่ซื้อตุนเอาไว้ให้เพราะเห็นว่าผมชอบมาก คิทแคทห่อใหญ่วันเดียวก็กินหมดแล้ว!



“เพิ่งมาถึง ผมว่าเรานั่งคุยกันก่อนดีไหม”



ม…ไม่



ไม่ปฏิเสธ!



“ตามสบายเลยนะครับ ยังมีอีกเยอะ”



งั้นไม่เกรงใจแล้ว! เรื่องซ้อมเอาไว้ก่อน ชาเขียวสำคัญที่สุด ถ้ามีอย่างนี้ทุกครั้งที่มาห้องไอ้โซลก็สวรรค์ของผมดีๆ นี่เอง ผมนั่งกินขนมตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ไม่สนใจไอ้เจ้าของห้องที่นั่งเท้าคางอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ใช่แพนด้านะเว้ยมานั่งมองเวลากินทำไม



“ไม่กินอ่ะ” พวกขนมจุกจิกที่บ้านมีเยอะแล้วผมเลยหันมาจัดการบราวนี่ชาเขียวที่ไม่มีชื่อร้านก่อน และตอนนี้กำลังจะต่อด้วยไอศกรีมชาเขียว แต่มันส่ายหน้า



 “บราวนี่ซื้อที่ไหน อร่อยขนาดนี้ทำไมกูไม่เคยลอง”



“แม่ผมทำเอง”



“จริงดิ!” ก็ว่าแล้วเชียว ร้านไหนเด็ดไม่เคยซ่อนผมได้หรอก รู้สึกอยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์แม่มันขึ้นมาทันที เนื้อบราวนี่ชาเขียวเข้มข้นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นอยู่เลย



“แต่แม่หวงสูตรมาก ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวก็เอาสูตรไปจากแม่ไม่ได้” มันยิ้มแปลกๆ เหมือนอ่านใจผมได้ ผมยู่หน้า แค่แอบเสียดาย ของดีแบบนี้ต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับระดับชาติ ถ้าเปิดร้านผมว่าแม่มันรุ่งแน่ แล้วก็จะมีผมนี่แหละที่เป็นลูกค้าประจำ



“แม่ทำไม่บ่อย ถ้าทำอีกจะเอามาให้พี่แล้วกัน” ผมพยักหน้าหงึกหงัก พูดดีทำดีแล้วไอ้น้อง อย่างนี้ค่อยคบกันได้หน่อย



“พี่ซีนดูจะชอบมาก”



“ที่สุดอ่ะ นี่ขนาดเฮียคัทยังชอบไปด้วยเลย”



“พี่ชายเหรอครับ”



“ช่าย แต่ตอนนี้ไม่อยู่ ต่อโทอยู่ต่างประเทศ มึงล่ะ” ผมว่าแล้วตักไอติมเข้าปาก มันใกล้จะหมดเลยต้องละเลียดตักทีละนิด รู้ว่ามันคงมีอีกเยอะแต่ผมก็ฟาดขนมมันไปเยอะแล้วเหมือนกัน



“ลูกคนเดียวครับ”



“จริงดิ ไม่เหงาเหรอ”



“ทำไม จะมาช่วยคลายเหงาเหรอครับ”



“แค่ก!” ถึงกับสำลักไอติม ...ยุบหนอพองหนอ... ผมไม่ได้มองหน้ามัน ตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป ยิ่งพูดมันยิ่งกวน ถ้ากูเป็นมะม่วงป่านนี้กูเละไปละ



“ถ้าปิ๊กมี่ได้กินก็ต้องชอบแน่ๆ” สุดท้ายผมก็อดพูดขึ้นไม่ได้อยู่ดี ของกินมันอร่อยโดนใจอ่ะ ยิ่งเป็นของชอบด้วย แปบๆ ก็อารมณ์ดีแล้วลืมไปเลยว่าไม่อยากคุยกับมัน



“ปิ๊กมี่?”



“อืม หมากูเอง”  เฮียคัทเอามาให้เป็นของขวัญที่สอบเข้ามหาลัยได้ ผมดูแลและฝึกมันมากับมือ ดีที่เฮียคัทมีเพื่อนเป็นสัตวแพทย์ด้วย แรกๆ ก็คอยปรึกษาพี่หมอตลอด เวลาผมกินอะไรก็อยากให้มันกินด้วยแต่พี่หมอบอกว่ามันไม่ดี หมากินของหวานบางตัวอาจไม่ดุ ไม่ก้าวร้าว แต่ยังไงก็สี่ยงต่อโรคเบาหวานแล้วก็โรคอื่นที่จะตามมาอยู่ดี ผมเลยต้องใจแข็งต่อสายตาละห้อยของมัน




“ทำไมชื่อนี้ล่ะครับ”



“พันธุ์คอร์กี้น่ะ”



“อ๋อ…” มันกลั้นขำ ก่อนจะโบกไม้โบกมือว่าไม่มีอะไร



ด่าผมในใจแหงมๆ!



แต่ไอศกรีมชาเขียวคำสุดท้ายนุ่มลิ้น รสชาเขียวเต็มคำมากเลยดับอารมณ์กรุ่นๆ เอาไว้ได้พอดี



นั่งกินจนเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมเผลอตัวนั่งฝอยกับมันนานขนาดนั้นเลยเหรอวะเนี่ย พอของชอบเข้าปากก็กลายเป็นคนเฟรนลี่เลย แล้วมันก็นั่งมองผมโดยไม่แตะขนมเลยสักคำ



“มองอะไรนักหนา”



“ปกติไม่ค่อยเห็นผู้ชายชอบกินของหวาน”



“อร่อยก็กินหมดแหละ ผู้ชายก็คนนะเว้ย” แม้ตอนแรกจะอายหน่อยๆ ที่เดินเข้าไปสั่งเค้กชาเขียวคนเดียวก็เถอะ เพื่อนผู้ชายผมแทบทุกคนไม่มีใครชอบกินของหวานเลย คือผมก็ไม่ได้ชอบทุกอย่างนะ ผมชอบแค่ที่เป็นรสชาเขียว อย่างไอ้จั๊มพ์นี่ชอบอะไรขมๆ แต่ก่อนเวลาเห็นผมกินอะไรเกี่ยวกับชาเขียวทีไรแม่งเบ้ปากใส่ทุกที มันก็ไม่ได้หวานมากเปล่าวะ - -*





ผมกับไอ้โซลตกลงกันว่าจะกินข้าวเที่ยงมันเลยแล้วกัน ไหนๆ ก็เลยเวลามาขนาดนี้แล้ว ผมที่ว่างอยู่แล้ว เห็นไอ้โซลไม่มีท่าทีเดือดร้อนกับเวลาที่เสียไปก็เลยปล่อยเลยตามเลย



“ไม่ต้องห่วงครับ” มันว่า ยืนพิงกรอบประตูมองผมหาวัตถุดิบที่จะเอามาทำอาหาร เหตุที่ผมต้องลงมือทำเองเพราะ หนึ่ง มันทำไม่เป็น สอง ถ้าสั่งจะนาน ผมกับมันทนหิวไม่ไหวเลยว่าจะทำอะไรง่ายๆ กินกันเอง ถึงจะกินขนมไปเยอะแต่สำหรับผมแล้ว ของหวานกับของคาวแยกกระเพาะกันครับ



“ข้าวผัดแล้วกัน ง่ายสุด” ดีที่ห้องมันยังมีฮอทดอกสำหรับเวฟ ไข่ แล้วก็ข้าว นอกนั้นก็มีแต่อาหารแช่แข็งกับมาม่า ถ้าผมไม่หัดทำอาหารจากม้ามาบ้างวันนี้คงได้นั่งกินข้าวกล่องเซเว่นกับมันแล้วแหละ ขนาดแต่ก่อนแค่ทอดไข่ผมยังกลัวน้ำมันกระเด็นใส่เลย



กลิ่นข้าวผัดหอมฉุย ผมปิดแก๊สกำลังจะหันหลังไปหยิบจานแต่ไอ้คนที่ยืนพิงกรอบประตูเมื่อสักครู่เดินมาอยู่ด้านหลังผมเมื่อไหร่ไม่รู้ มันทาบตัวลงมาใช้สองแขนกักผมเอาไว้ตรงเคาน์เตอร์



“หอมจัง” ผมตัวแข็งทื่อ ตกใจจนพูดไม่ออก ตัวมันที่แนบลงมาทำให้ผมไม่กล้าขยับ



ทำบ้าอะไรวะ!



ที่ว่าหอมคือข้าวผัดใช่ไหม แต่มึงมาดมซอกคอกูทำไม!



 “ใส่นี่แล้วโคตรเซ็กซี่เลยรู้ไหม” มันพ่นลมหายใจรดต้นคอจนผมต้องห่อไหล่ “แต่จะดีกว่านี้…ถ้าเหลือแต่ผ้ากันเปื้อน”



เคล้ง!



“จะทำอะไรวะ!”



ผมหันไปผลักมันออก มองมันตื่นๆ หน้ามันไม่ได้มีแววหื่นกามหรือโรคจิตอย่างที่คิดเอาไว้แต่กลับเป็นใบหน้าที่กลั้นขำแบบสุดๆ



“ซ้อมบทไงครับ” ว่าหน้าตาเฉย “จำฉากนี้ไม่ได้เหรอ ในนิยายก็มีนะ”



ฉ…ฉากนี้?



น…ในห้องครัว?



จำได้ลางๆ ว่าเป็นฉากที่ผมเปิดอ่านข้ามๆ เพราะหลังจากนี้มัน…เอ่อ…เป็นฉากอัศจรรย์ที่ในซีรีส์ก็มีแต่จะไม่ลงรายละเอียดเหมือนในนิยาย



“กินข้าวเสร็จก่อนสิวะ! แล้วก็ให้กูเตรียมตัวด้วย แม่ง ตกใจหมดเลย” มันพยักหน้าอืออา แต่เหมือนพูดแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวามันยังไงไม่รู้ ผมตักข้าวใส่จาน มือยังสั่นอยู่เลย โอย ขวัญเอ๊ยขวัญมา



“ผมช่วย”



“ไม่ต้อง! มึงไปนั่งรอเฉยๆ เลย” เดี๋ยวก็มาแกล้งกูอีก มิตรภาพชาเขียวของกูกับมึงจะจบลงตรงนี้แหละ เกือบญาติดีกันอยู่แล้วเชียว!





ผมนั่งอ่านบทระหว่างรอมันล้างจาน เปิดเจอฉากในห้องครัวก็รู้สึกแค้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาเสียวสันหลังไม่หาย อย่าให้ผมได้เล่นเป็นพระเอกมั่งแล้วกัน!



เราเริ่มจากฉากง่ายๆ กันก่อน และแค่ต่อบทกันธรรมดาเท่านั้น เอาจริงๆ แค่จำบทแล้วพูดให้เป็นธรรมชาติยังยากสำหรับผมเลย



“พี่ลองคิดว่าผมเป็นเพื่อนสนิทพี่ดูสิ”



ผมมองหน้ามัน หน้ามันไม่ได้เหมือนไอ้จั๊มพ์ ไอ้ทิม และไอ้โฟร์ มันคงรู้ว่าผมยังทำใจมองมันเป็นเพื่อนสนิทไม่ได้ มันเลยวางบทลงกับโต๊ะตัวเล็กตรงหน้าโซฟาที่พวกเรานั่งอยู่แล้วหันหน้ามาหาผมตรงๆ



“ดูอย่างผมนะ…” ผมพยักหน้า มันลังเลนิดหน่อยก่อนจะพูด



“ซีน” หืม…ว่าไงนะ “มึงจะอ้ำอึ้งอีกนานไหม”



“ในเรื่องกูไม่ได้ชื่อซีน”



“ผมทำเป็นตัวอย่างให้ดูเฉยๆ น่า” มันหัวเราะแหะๆ “แต่ประโยคหลังมีในบทนะครับ”



ที่จริงมันง่ายสำหรับผมอย่างนึงคือผมพูดแบบนี้กับมันอยู่แล้ว เพียงแต่จะแอบอารมณ์ขึ้นเวลาที่มันเรียกผมคืนบ้างนี่แหละ ถึงแม้จะเป็นการแสดงก็เถอะ!



เพราะไอ้โซลชอบทำหน้าตาเหมือนมีลับลมคมใน เหมือนมีอะไรบางอย่างต่อผมซึ่งผมไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี บางทีมันก็เหมือนไม่มีพิษภัยอะไร แต่พอมาดูจากที่โรงอาหารถาปัดแล้วก็ในห้องครัวเมื่อกี้… ผมเลยยังตะขิดตะขวง ไม่รู้จะเป็นมิตรหรือไม่ชอบขี้หน้ามันต่อไปดี


เราต่อบทกันไปเรื่อยๆ ตอนแรกผมอาจจะเกร็งไปหน่อย แต่พอไอ้โซลเข้าโหมดเป็นการเป็นงานเลยทำให้ผมจริงจังไปด้วย ผมไม่คิดว่าไอ้โซลเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งในชีวิตจริงของผม แต่ผมพยายามคิดว่าตัวผมคือตัวละครตัวนั้นที่เป็นเพื่อนสนิทกับมันแทน และอาจเพราะผมเริ่มคุ้นเคยกับมันบ้างแล้ว การต่อบทเลยไม่มีปัญหาอะไร



“เราลองมาแสดงกันดูไหม”



“อืม ก็ดะ…”



“ฉากในห้องครัวเป็นไงครับ”



ป้าบ!



ผมเอาบทละครฟาดแขนมัน มันหัวเราะพลางลูบแขนตัวเองไปด้วย



“แหม ล้อเล่นครับ เอาง่ายๆ ก่อนเนอะ”



“ก็เออสิ”



ฉากที่ว่าไม่มีอะไรมาก คือผมต้องโมโหมันโดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังหึง… แสดงไม่น่ายากแต่รู้สึกกระดากมากกว่า แหวะ ใครจะไปหึงคนอย่างมันฮะ!



ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันยืนอยู่นิ่งๆ เพราะผมต้องเริ่มก่อน



พอทำสมาธิได้ผมก็ขยับเข้าไปกระชากคอเสื้อมันเข้ามา



“มึงไปไหนมา!”



“…”



“กูถามว่ามึงไปไหนมา!” มันมองหน้าผมนิ่งก่อนจะเสสายตาหลบ เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม



โอ้ย หมั่นไส้เว้ย! ทำโมโหแบบเท่ๆ เหรอวะมึง



“ไปกับน้ำ”



“แล้วทิ้งกูไว้คนเดียวน่ะเหรอ!”



“มึงหยุดบ้าก่อน”



“มึงก็ตอบมาสิวะ!” ผมตะคอกใส่ไม่พอยังกำคอเสื้อมันแน่นขึ้นด้วย มันเลยยกมือขึ้นมาจับมือผมเอาไว้ทั้งสองข้าง



ไอ้โซลถอนหายใจ จ้องผมด้วยสายตาจริงจังจนผมที่เล่นบทนี้อยู่ชักกลัวขึ้นมาหน่อยๆ มึงจะต่อยกูไหม กูผิดเองที่กระชากคอมึงแรงมากเพราะความหมั่นไส้ล้วนๆ ไม่มีแรงหึงผสม



“งั้นมึงก็ตอบมาให้ได้ก่อน…ว่าโกรธที่กูทิ้งมึงเอาไว้คนเดียว หรือมึงหึงที่กูไปกับน้ำกันแน่” น้ำเสียงมันราบเรียบแต่แฝงอารมณ์คุกกรุ่นเอาไว้



เออ แสดงดีอ่ะ ยอมรับก็ได้



“พี่ทำให้ผมทึ่งนะเนี่ย ไหนบอกไม่เคยแสดงมาก่อน”



“เรียนมาแล้วก็ต้องเอามาใช้ไหม” ยิ่งถ้าเป็นฉากต้องต่อยมันผมจะทำได้ดีกว่านี้อีก มองมือที่โดนมันจับอยู่ก็รีบชักออกมา



“แต่เล่นแรงนะครับ”



“สมจริงป่ะล่ะ” ผมว่า ยิ้มเล็กๆ ให้มันที่ลูบบริเวณคอที่มีรอยแดงอยู่จางๆ



“หึหึ จริงสินะ…เราต้องเล่นให้มันสมจริง”



รู้สึก…เสียวสันอีกแปลกๆ อีกแล้วนะว่าไหม…







“ทำไมเลือกเอาแต่ฉากแบบนี้ฮะ”



“หรือจะเอาแบบในห้องครัว”



“ฝัน!”



“สักวันมันจะกลายเป็นความจริงครับ”



“แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง!”



แล้วก็ไม่อยากให้มาถึงด้วย! ผมเบือนหน้าหนีรอยยิ้มของมัน ยังไงมันก็เป็นคนกวนตีน(ผม)อยู่ดี



“พูดมากอยู่ได้ เริ่มได้ยัง”



“นี่ผมผิด... โอเคครับ ผมพร้อมแล้ว” ไอ้โซลนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม บนโต๊ะมีจาน ช้อนส้อมและแก้วน้ำประกอบฉากเพื่อให้สมจริง



ผมต้องโมโหมัน...อีกแล้ว



ดูมันเลือกมาแต่ฉากที่ต้องอารมณ์ขึ้นตลอด แล้วก็เป็นผมที่ต้องใส่อารมณ์กับมัน ผมก็เหนื่อยนะเว้ยยย



ป้าบ!



“โอ้ยยยยยย” ผมสะบัดมือไปมาไล่ความเจ็บ เมื่อกี้ใส่เต็มแรง ผมจะอินกับบทไปไหมหืมมมม



“ถ้ามีฉากต้องต่อย พี่คงใส่ผมไม่ยั้งเลยสินะ”



รู้ตัวก็ดีแล้ว!



ผมไม่ตอบโต้ ตั้งสมาธิแล้วเอาใหม่



ป้าบ!



ตบโต๊ะมันเบาๆ พอ



“มึงทำแบบนี้หมายความว่าไงวะ!”



“...”



“มึงไม่พูดอ่ะ”



“มีบทผมด้วยเหรอ”



“ก็ต้องมีสิ มึงเป็นพระเอกนะไม่ใช่ธาตุอากาศในเรื่อง”



มันก้มลงไปดูในบทแล้วขอโทษขอโพย ตอนนี้เริ่มเย็นๆ แล้ว เราซ้อมกันมาตั้งแต่บ่าย ไอ้เหนื่อยมันก็เหนื่อยอยู่หรอกแต่มันดูเพลียๆ มากกว่าผม สติสตังเริ่มไม่โฟกัสกับการแสดงแล้ว ผมบอกให้พอก่อนค่อยมาซ้อมใหม่ มันเลยให้ฉากนี้เป็นฉากสุดท้าย



“เอาใหม่”



ป้าบ!



“มึงทำแบบนี้หมายความว่าไงวะ!”



“อย่าแกล้งไม่เข้าใจสิวะ”



“ไอ้เหี้ย! มึงมันเหี้ย!”



ผมหมุนตัวจะเดินหนี แต่มันคว้าแขนเอาไว้



“จะไปไหน”



“ไปให้พ้นจากคนเหี้ยๆ แบบมึงไง!”



“กูไม่ให้ไป”



“ปล่อย!”



มันดันผมติดกับขอบโต๊ะ โน้มหน้าลงมาใกล้ “แค่ชอบมึงมันเหี้ยตรงไหน”



จะเน้นคำว่าชอบไปไหนวะ… แล้วก็เข้ามาใกล้ไปแล้วโว้ยย



“ทั้งๆ ที่มึงมีผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้วน่ะนะ? ไอ้คนเห็นแก่ตัว!” ผมผลักมันออกและมันก็ยอมถอยแต่โดยดี มันควรจะจบแค่นั้นแต่ผมคว้าแก้วน้ำที่ผมรินน้ำใส่จนเต็มและ…







ซ่า!!





เกิดความเงียบระหว่างผมกับมันไปเกือบนาที… มันดูอึ้งไปก่อนจะลูบน้ำออกจากหน้า แต่ผมนี่กลั้นขำสุดฤทธิ์



“…ไม่มีในบทนี่ครับ”



“แหม มันก็ต้องนอกบทบ้าง อารมณ์มันพาไปอ่ะ” อันนี้พูดจริงๆ นะเว้ย ก็ในเรื่องมันคบควบสองนี่นา อีกอย่างผมเห็นมันดูง่วงๆ ด้วย ...เป็นไง ตื่นเลยอ่ะดิ๊



ผมจะชักมือกลับแต่มันไม่ยอมปล่อย



“นอกบทเหรอครับ... อารมณ์พาไป...?”



“ก..ก็เออน่ะสิ”



“ได้ครับ…ได้”





มันยิ้มเย็น...เห็นนะว่ากัดฟันแน่นมาก





และจากสายตาที่มันมองมาทำให้ผมรู้เลยว่า…กูโดนเอาคืนแน่นอน!







****

สวัสดีปีใหม่(ย้อนหลัง)ค่า♡

ขอให้เป็นปีที่ดีของทุกคนนะค้า

#ข้างหลังฉาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 3 - (3/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Secret_Deer ที่ 03-01-2017 14:14:04
สวัสดีปีใหม่นะคะ ❤❤❤
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 4 - (10/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 10-01-2017 13:10:40



ตอนที่ 4







“ซ้อมเป็นไงมั่ง”



“ก็ดี”



“ดีแบบไหน”



“มึงต้องการอะไร”



“ก็แบบ…ได้…ด๊วฟๆ..กันป่ะ” ไอ้จั๊มพ์ทำปากจู๋พะงาบๆ เหมือนปลาทองเวลากินอาหาร



ด๊วฟๆ โพ่ง...



“ฉากแบบนั้นใครจะไปซ้อมกันล่ะ!”



ผมพยายามไม่คิดถึงฉากนั้น รู้ว่ามันต้องเกิดสักวัน แต่ผมต้องผ่านมันไปให้ได้ในเทคเดียว!



“อ่า ไม่ก็ไม่” ไอ้จั๊มพ์ยกนาฬิกาขึ้นดู “แล้วนี่จะไปเลยหรือเปล่า”



“ไปเลยก็ได้ มึงจะเอาของไปให้ไอ้โฟร์ด้วยไม่ใช่เหรอ”



ผมติดรถไอ้จั๊มพ์ไปเพราะเมื่อคืนมันมานอนบ้านผม ตอนเช้าเลยมากับมัน ลืมไปเลยว่านัดไอ้โซลซ้อมวันนี้



“มึงกับน้องมันดีกันแล้วใช่ไหม”



“เด็กมึงโคตรน่าหมั่นไส้” ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง คณะไอ้โซลกับคณะผมอยู่ห่างกันเป็นโยชน์ อยู่คนละฝากของมหาลัยเลยด้วยซ้ำ



“เด็กกูอะไร”



“ก็เห็นเข้าข้างกันดี”



“มึงนั่นแหละที่อคติ”



มีผมคนเดียวใช่ไหมที่เห็นความกวนตีนของมัน



“มันแกล้งกู”



“ใครไม่แกล้งมึงบ้าง”



“พวกมึงไปอยู่ด้วยกันให้หมดเลย!!”



“ฮ่าๆๆๆๆๆ”



มันจอดรถ เปิดประตูลงไปทั้งที่ยังหัวเราะตัวงอก่อนจะเดินเข้ามาหาผมที่ทำหน้าบูด



“ป่ะๆ ไปหาพระเอกของมึงกัน”



จะสะบัดตัวออกแต่มันก็ล็อคตัวผมแล้วก็ลากให้เดินเข้าไปใต้อาคารเเล้ว



ใต้คณะมีนักศึกษานั่งอยู่ประปราย แต่ที่จะเห็นเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็...พวกไอ้โซล



ผมเดินเข้าไปทางเด็กกลุ่มใหญ่นั้นทันทีเพราะเห็นว่าไอ้ทิมกับไอ้โฟร์ก็นั่งอยู่ด้วย ไอ้โซลเห็นผมก็เดินเข้ามาหา



“อ้าว ผมว่าจะไปรับพี่”



“กูมาหาเพื่อนกู”



“อ่าครับ... ยังไงก็รอแปบนึงนะ ผมขอคุยงานก่อน”



และแน่นอนว่าผมต้องติดรถไปกับมันอย่างช่วยไม่ได้ ผมนั่งลงโต๊ะข้างๆ พวกไอ้โซลที่มีเพื่อนผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว มันเป็นโต๊ะที่เอามาต่อรวมกันเป็นโต๊ะใหญ่ ฉะนั้นพวกมันพูดอะไรผมก็ได้ยิน



“นี่พี่ซีนใช่ป่ะ”

“เล่นเป็นเมียมึงในเรื่องน่ะเหรอ”

“ตัวบ๊างบาง”

“คนนี้ที่มึงบอกว่า...”



ประโยคหลังผมไม่ค่อยได้ยินเพราะพวกมันกระซิบกระซาบกัน



ไหนบอกว่าคุยงานไง



แล้วเมียเมออะไร!!!



“เฮ้ย! พวกมึงนินทาเพื่อนกูเหรอวะ” เป็นไอ้ทิมที่โพล่งขึ้น



“เปล่าพี่ แค่พูดถึง”



“อย่าซุบซิบสิวะ จะพูดอะไรก็มาพูดต่อหน้า เพื่อนกูไม่กัด” ผมสะกิดไอ้ทิมจะบอกว่าไม่เป็นไร จริงๆ ก็แค่ทำตัวไม่ถูกเฉยๆ ที่ตกเป็นเป้าสายตาและเป็นหัวข้อบทสนทนาใหม่แบบสดๆ ร้อนๆ แต่เพื่อนไอ้โซลคนนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้ว



“สวัสดีครับพี่ซีน ผมชื่อกัน เป็นเพื่อนไอ้โซล เมื่อกี้แค่พูดถึงจริงๆ นะครับ เพราะคำว่าน่ารักฉิบหายไม่ใช่คำนินทานี่นา”



เสียงโห่แซวดังมาจากกลุ่มเด็กโต๊ะข้างๆ ส่วนผมนี่ใบ้แดก ไอ้เพื่อนตัวดีแม่งก็ร่วมไปกับเขาด้วย เออ รุ่นน้องมึงทำดี แต่กูเพื่อนมึงนะ!



ผมส่งยิ้มแหยๆ ไปให้แม้จะรู้สึกปวดสมองตุบๆ คือมันยิ้มกว้างจริงใจมาก จะให้ด่าก็ด่าไม่ลง มันอาจถูกเพื่อนสั่งมา มันอาจใสซื่อจริงๆ ก็ได้...มั้ง



“ไป...คุยงานกับเพื่อนไหม” พวกนั้นมองจ้องมาที่ผม ผมเลยคิดว่าคงรอไอ้น้องกันนี่กลับไปคุยงานต่อ



“เพื่อนกูไล่น่ะ”



“ไม่ใช่นะเว้ย”



“ใช่สิ กูรู้จักมึงมานาน กูรู้น่า” ผมเหยียบเท้าไอ้ทิมให้ฟังผมแล้วแต่มันไม่หือไม่อือ มารยาทน่ะรู้จักไหม รักษาน้ำใจเด็กมันหน่อย!



“ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่ซี”



มันยิ้มเหมือนเดิมแต่มีอะไรแปลกๆ ไป





“ไอ้โซล!” เด็กตรงหน้าตะโกนขึ้นทั้งที่เจ้าของชื่อก็ไม่ได้ยืนอยู่ไกลเลย “น่ารักจริงๆ ด้วยว่ะ” ว่าแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป



ทิ้งให้ผม...ใบ้แดกอีกรอบ



รู้แล้ว...



รอยยิ้มมัน...เหมือนเพื่อนมันไม่มีผิด!



หลังจากนั้นเสียงเด็กโต๊ะข้างๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง



“โดนกูมาก”

“ว่าแล้วทำไมมึง...”

“ยิ่งมองใกล้ๆ นี่แม่ง...”

“ไอ้สัด ของเพื่อนมึงท่องเอาไว้!”

“โห ขอกูไปเล่นกับพี่เขามั่งได้ไหม”

“หยุดเลยพวกมึง!” ผมไม่ได้หันไปมองพวกนั้นอีกแต่ผมรู้ว่านี่คือเสียงไอ้โซล

“ขึ้นแล้วเหรอวะ แหมม”

“หุบปากน่า”

“โอเคๆ เดี๋ยวเหยื่อรู้ตัวเนอะ หึหึ”



พวกมัน...พูดเรื่องอะไรกัน






นั่งไปได้สักพักไอ้โฟร์กับไอ้ทิมก็กลับไปทำงานที่หอต่อ ไอ้จั๊มพ์ก็มีธุระด้วยเหมือนกัน...



“อยู่ได้นะ”



“ได้อยู่แล้ว”



“ญาติกูเสือกอยากเซอร์ไพร์ส”



“เออๆ มึงไปเถอะ” ผมโบกมือไล่มัน มันต้องรีบไปรับญาติมันที่สนามบิน ไม่ใช่ผมอยู่คนเดียวไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราจะตัวติดกันตลอดก็จริงอยู่ แต่ที่มันกังวลคงเป็นเพราะผมต้องนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กคณะอื่นล่ะมั้ง ก็แค่รู้สึกแปลกๆ ผมไม่ค่อยชอบอยู่กับคนที่ไม่รู้จักเท่าไหร่ ในที่นี้ก็รู้จักไอ้โซลแค่คนเดียว



“มึงไม่ต้องห่วงน่า” ไอ้จั๊มพ์พยักหน้า เหมือนจะเข้าใจนะถ้ามันไม่...




“ไอ้โซล ฝากดูเพื่อนกูด้วย!”



ตะโกนหาสวรรค์อะไรวะเพื่อน โว้ยย มันหันมามองกันทั้งกลุ่มเลย



ไอ้โซลปลีกตัวออกมาหาผมทันที ไอ้จั๊มพ์เห็นอย่างนั้นก็เลยเดินออกไปอย่างสบายใจ ปล่อยให้ผมนั่งตัวลีบอยู่ตรงนี้ที่เดิม



“ไปรอที่ห้องผมก่อนไหม เอารถผมไป”



ผมส่ายหน้า เราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น เห็นแบบนี้ผมก็เกรงใจมันนะครับ



“งั้นรออีกแปบนะครับ” แปบตั้งแต่กูมา แปบของมันเป็นชั่วโมง รอจนจะหลับแล้วเนี่ย



“เอาน้ำป่ะ”



ผมก็ส่ายหน้าอีก



แล้วมันจะถามผมทำไมถ้าพอปฏิเสธแล้วมันก็เดินไปทางร้านขายน้ำแบบนั้นน่ะ!





“หายคอแห้งก็คุยกับผมหน่อย” ชาเขียวปั่นวางอยู่ตรงหน้า... ผมเห็นแก่ที่มันเดินไปซื้อมาให้หรอกนะเลยหยิบมาดูดไปสองอึก





“พอใจยัง”














ที่บอกว่าคุยเรื่องงาน ผมนึกว่าจะคุยเรื่องโปรเจคไรแบบนี้กันซะอีก แต่ได้ยินเหมือนจะเป็นงานเลี้ยงอะไรก็ไม่รู้ คุยกันไม่ได้จริงจังเลยด้วยซ้ำ เหมือนว่าไอ้โซลจะปลีกตัวออกมาหลายครั้งแต่เพื่อนมันดึงเอาไว้ ผมไม่ได้หันไปมองหรอกแค่ได้ยินพวกมันพูดกัน



ผมนั่งดูนู่นดูนี่ในโทรศัพท์ไปเรื่อย แบตก็จะหมด จะเอาหนังสือขึ้นมาอ่านก็ไม่มีอารมณ์ จะให้มานั่งท่องบทตรงนี้มันก็ดูจริงจังเกินไปหน่อย แต่ถ้าจะให้นั่งอยู่เฉยๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเด็กโต๊ะข้างๆ หันมามองผมบ่อยมาก ยิ่งผมนั่งคนเดียวแบบนี้ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปกันใหญ่



ผมเป็นตัวประหลาดหรือไงวะ



พอเริ่มหงุดหงิด ผมเลยระบายโดยการจิ้มหน้าจอโทรศัพท์แรงๆ



เลิกมอง เลิกมอง เลิกมองเดี๋ยวนี้!!





“ผมจะถามอีกครั้งว่ากลับก่อนไหม”



ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่วางกุญแจรถเอาไว้ให้ตรงหน้า



“มาครับ เดี๋ยวพาเดินไปที่รถ”



“ไม่เอา”



“ผมรู้ว่าพี่เบื่อ”



“กูรอได้จริงๆ” แม้ว่าแปบของมันจะเลยครึ่งชั่วโมงมาแล้วก็เถอะ...



“ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ”



ยอกย้อน…



ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วพูดกับมันจริงจัง



“ไว้ใจกูขนาดไหน มึงไม่กลัวกูปล้นห้องมึงหรือไง”



เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ถึงไม่กลัวว่าผมจะขโมยอะไรแต่ให้คนที่เพิ่งรู้จักเข้าไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้ผมว่ามันไม่โอเค แม้ว่ามันอาจจะทำไปตามมารยาทหรืออะไรก็ตามแต่



แต่มันกลับเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรและตอบกลับผมมาด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน





“ปล้นอะไรก็ปล้นไปเถอะครับ อย่าปล้นหัวใจผมก็พอ”





ผมไม่รู้ตัวว่าพวกเพื่อนไอ้โซลจ้องมันตั้งแต่มันเดินออกมาหาผมแล้ว พอมันพูดประโยคนี้จบ คงเดากันได้ใช่ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น...




“ฮิ้วววววววววว”

“โอ้ววว ว้าววๆๆๆๆ”

“มันออกโรงเองเลยว่ะ”

“เพื่อนกูหายกากแล้วเหรอวะ”

“ไม่เล่นนะครัชงานเน้”





เหมือนไฟที่กำลังลุกโชน แล้วก็มีไอ้น้องกันเป็นคนราดน้ำมันลงไปซ้ำ...






“อ้าว! ก็ไม่ใช่ว่าเต็มใจให้ปล้นเหรอวะ”






นั่นแหละครับ ไฟก็เลยแทบจะเผาหัวผมอยู่รอมร่อ ไอ้เด็กตรงหน้าแม่งก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่



เออ สะใจมากไหม แกล้งให้ผมขายหน้าท่ามกลางพรรคพวกมันน่ะ แล้วผมนี่มีอย่างที่ไหน ถ้ารอที่คณะตัวเองก็ไม่ต้องมาเป็นเป้านิ่งให้พวกมันเล่นสนุกกันแล้ว



แต่ที่น่าอารมณ์เสียที่สุดคืออะไรรู้ไหม...นอกจากพวกมันจะทำให้ผมหัวร้อนแล้ว





มันยังทำให้ผมหน้าร้อนอีกด้วย!



ฮึ้ยยยยยยยยย!




กลายเป็นหงุดหงิดคูณสอง อาจเพราะผมแสดงสีหน้าออกมากไปไหมก็ไม่รู้ หลังจากนั้นไอ้โซลก็ปลีกตัวออกจากเพื่อนได้สำเร็จ ผมแทบจะไม่คุยกับมันแม้ว่าเราจะแวะหาอะไรกินก่อนไปถึงคอนโด รู้สึกหงุดหงิดสู้อะไรมันไม่ได้สักอย่าง



อยากบอกไอ้จั๊มพ์ว่าผมคงญาติดีกับเด็กมันไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คนใจแข็งอะไร ถ้าใครมาทำดีด้วยหน่อยผมก็มองว่าเขาเป็นคนดีแล้ว แต่กับไอ้โซลไม่ใช่อย่างนั้น เราเจอกันไม่ประทับใจเอามากๆ ที่มันคอยแกล้งก็เพราะอยากเอาคืนที่ผมขับรถเกือบชนมัน แม้จะมีบางทีที่มันทำดีกับผมก็ตาม แต่สุดท้ายก็จะวนกลับมาแกล้งใหม่ มันเหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง…



“พี่ซีน โกรธเหรอที่ผมพูดแบบนั้น”



“…”



“พวกเพื่อนมันก็แซวเล่น”



“…”



“ผมขอโทษ”





เรานั่งอยู่ในร้านอาหาร ผมมองหน้าที่เซื่องซึมของมันก็รู้สึกตกใจ …ไม่ใช่แค่กำลังรู้สึกผิดแต่สีหน้าของมันเหมือนคนกำลัง…ผิดหวัง…



ผมไม่เข้าใจ



จริงๆ แล้วคิดว่าผมนี่แหละที่ผิดและเราควรคุยกันให้รู้เรื่องไปเลย ไหนๆ ก็ต้องทำงานกับมันตั้งหลายเดือนอยู่แล้ว



“กูต่างหากที่ต้องขอโทษ”



“ครับ?”



“วันที่เกือบชนมึงกูไม่ทันได้มอง ตอนนั้นรีบด้วยแล้วก็คิดว่ามึงไม่ได้เป็นอะไรมากเลยไม่ได้สนใจเท่าที่ควร”



หน้ามันดูงงๆ แต่ผมก็พูดต่อ “กูยอมรับแล้วว่ากูผิด กูขอโทษ จริงๆ กูไม่ได้เกลียดมึงนะ แต่ถ้ามึงจะเกลียดกูต่อก็ไม่เป็นไร”



ผมหมายความตามนั้นจริงๆ  ผมไม่ใช่พวกชอบมีเรื่องหรือมีอะไรติดค้างในใจกับใครอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปการทำงานด้วยกันจะยิ่งยากเข้าไปอีก ก็ใช่อยู่ที่ว่าผมไม่พอใจที่ถูกมันกลั่นแกล้งโดนการหยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างตอนที่อยู่ในห้องครัวหรือตอนที่มันกับเพื่อนแซวผมอย่างกับผมเป็นผู้หญิงแบบนั้น แต่ยังไงจุดเริ่มต้นมันก็มาจากผมอยู่ดีนั่นแหละ



ผมตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้า ไอ้โซลยังคงนั่งนิ่ง ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไร นานพอสมควรกว่ามันจะอ้าปากพูดออกมา



“พี่…บอกว่าผมเกลียดพี่เหรอ” มันทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ”



นี่มันกำลังเล่นลิ้นหรืออะไร ถึงแม้หน้ามันจะดูจริงจังก็เถอะ



“ถ้าจะบอกว่าที่ผมแกล้งพี่เป็นเพราะผมเกลียดพี่น่ะ พี่คิดผิดแล้ว”



“หรือมันไม่จริง”



“โถ่ พี่ทิมแกล้งพี่ออกจะบ่อย”



“นั่นเพื่อนกู”



ผมวางช้อนส้อมหลังจากกินไปได้นิดเดียว ส่วนไอ้โซลยังไม่แตะสักนิด



“ถ้าผมเกลียดพี่ ผมไม่ยุ่งด้วยหรอกนะ…” มันทำหน้าลังเลอยู่พักนึงเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรสักอย่าง อาจกำลังหาข้อแก้ตัวที่ทำให้ผมสบายใจก็ได้



“แต่นี่น่ะ…เพราะชอบ”



ผมชะงักไปกับสายตาที่ไม่มีแววล้อเล่นของคนตรงหน้า ที่มันพูดมายังไม่จบประโยคใช่ไหม…



 “...ชอบแกล้ง?”



“ชอบมาก”



“ชอบแกล้งมากๆ”



“ก็ได้ครับ...แบบนั้นก็ได้”



ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งออกราวกับลุ้นอะไรสักอย่าง น่าจะเพราะเราเข้าใจกันแล้วแหละ...มั้ง คิดถูกที่พูดกันตรงๆ ไปเลย ตอนนี้ผมจะได้มองมันเป็นรุ่นน้องคนนึงที่ไม่มีพิษมีภัย ไม่ใช่คู่กรณีที่ต้องคอยระวังตัวเวลาอยู่ด้วย



อยากขอโทษเรื่องที่สาดน้ำใส่นะแต่ถือว่าแก้แค้นที่มันทำกับผมไว้ในห้องครัวแล้วกัน!



ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นระหว่างที่คนตรงหน้าจัดการกับอาหาร ถึงแม้คนในร้านจะเยอะและเสียงดังขนาดไหนแต่ผมกลับได้ยินเสียงของมัน





“ผมไม่มีทางเกลียดพี่ได้หรอก”


















“ผมทำให้พี่รู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”



ผมเกือบอ้าปากตอบหลายครั้งแต่ก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง ไอ้โซลพึมพำอยู่แบบนี้ตั้งแต่ออกจากร้านจนมาถึงคอนโดมัน



“เกลียดพี่เนี่ยนะ” มันหัวเราะให้ลำคอราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกร้าย



ทุกคนช่วยหาอะไรอุดปากไอ้เด็กที่ยืนข้างๆ ผมตอนนี้ได้ไหมครับ ...เพราะเมื่อผมตั้งสติได้ (ตอนอยู่ร้านอาหารรู้สึกเบลอๆ) ...ทำไมผมพูดออกไปแบบนั้นฟะ!! โคตรเสียฟอร์ม! เหมือนสารภาพบาปกับมันยังไงก็ไม่รู้ แถมยังหน้าแตกยับเพราะเข้าใจผิดว่ามันไม่ชอบผมอีก



แต่ไอ้คนที่ควรจะได้ใจกลับเงียบ พึมพำอยู่ประโยคเดิมๆ อย่างกับคนบ้า มันจะซีเรียสอะไรขนาดนั้นผมไม่เข้าใจ แต่อยากให้หยุดพูดเรื่องนั้นได้แล้วเพราะผมอายโว้ย!!!



แต่คิดไปคิดมาผมพูดออกไปก็ดีแล้ว ...รู้สึกสบายใจแปลกๆ









ผมไม่ได้มาห้องมันเพื่อเล่นเกมจ้องตาหรอกนะ



แต่ไอ้เด็กนี่ไม่ขยับไปไหนเลย และสายตาของมันทำให้ผมไม่รู้จะต้องพูดอะไรออกไปด้วย



มันต้องการอะไรจากผมวะครับ!



“พี่ซีน”



“…”



“สมมตินะครับ…”



ผมครางอืออารับ



“สมมติว่าพี่ชอบคนคนนึงอยู่ แอบมองเขามานาน พอวันนึงพี่มีโอกาสได้รู้จัก ได้อยู่ใกล้ๆ พี่ก็พยายามแสดงออกว่าชอบแต่เขากลับไม่รู้ตัว แถมคิดว่าเราไม่ชอบเขาอีก เป็นพี่พี่ยังจะพยายามต่อไหม”



ผมตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่ามันจะปรึกษาผมเรื่องนี้แล้วก็ไม่คิดว่าไอ้เด็กตัวโตหน้าหล่อก็ทุกข์ใจเรื่องความรักกับคนอื่นเขาเป็นด้วย อย่างมันผู้หญิงไม่น่าปฏิเสธเลยนะ แต่ผมไม่พูดออกไปหรอก!



“ก็ทำให้รู้ตัวสิ”



“ผมกลัวเขาไม่ชอบผมน่ะสิ”



“ยากจังวะ อืม…งั้นก็ค่อยๆ ทำให้รู้ตัว อย่ารุกเยอะ ไม่รู้ดิ มันแล้วแต่คนด้วยมั้ง”



“แล้วถ้าเป็นพี่ล่ะ”



“กูยังไงก็ได้ ถ้าชอบก็คือชอบ”



“จริงเหรอครับ”



“อืม มึงก็พยายามกว่านี้หน่อยสิ แอบมองมานานไม่ใช่เหรอ ถ้าจนแล้วจนรอดเขาไม่รู้ตัวก็สารภาพไปเลย ตอนนั้นผลจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่มึงจะไม่เสียใจที่อย่างน้อยมึงก็พยายามจนถึงที่สุดแล้ว”



ไอ้โซลพยักหน้ารับ รอยยิ้มมันเผยออกมานิดๆ



“พี่เคยชอบใครป่ะ”



“ชอบดิ ตอนนี้ก็จีบอยู่...”



“พอแล้ว ผมไม่อยากรู้”



“ฟาย”



ขัดอารมณ์มาก หน้าสวยๆ ของพีมกำลังลอยขึ้นมาเลย



ไอ้เด็กตรงหน้าหัวเราะออกมาในรอบหลายชั่วโมง ดูเหมือนมันจะสบายใจแล้วล่ะมั้ง



“แกล้งพี่สนุกดีนะครับ”



“อ้าว” เฮ้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า... ยังไงมันก็ยังเป็นมันอยู่วันยังค่ำสินะ



แต่ต่างกันออกไปตรงที่ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีอย่างเดิม รู้สึกว่าไอ้โซลก็คล้ายๆ พวกเพื่อนของผม



...เป็นคนที่ไว้ใจได้



“พี่โมโหแล้วตลกดี อีกสักหน่อยผมคงเป็นโรคซีนลิซั่ม”



“ลิซึ่มไหม ไม่หยุดกวนตีนนะมึง”



ไอ้โซลรับหมอนที่ผมปาใส่มันได้ ยกมือสองข้างเหมือนจะบอกว่ายอมแพ้ทั้งที่หัวเราะร่าก่อนมันจะเดินหายเข้าไปในห้องครัว และออกมาพร้อมกับจานใบเล็กที่มีเค้กอยู่บนนั้น...



“แม่ผมทำมาให้”







บอกแล้วว่าไอ้โซลน่ะ...ชอบตบหัวแล้วลูบหลัง!!

 









****

พี่ซีนบอกให้โซลพยายามต่อใช่มั้ยคะ /ด้ายยยยยยยยยยยยย

5555555555555

ฝากติชมด้วยนะค้า #ข้างหลังฉาก ^-^
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 4 - (10/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-01-2017 13:28:15
จะสงสารโซลดีไหม จีบเขาทั้งที เขาดันคิดว่าชอบแกล้งซะงั้น
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 4 - (10/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-01-2017 17:06:18
โซล สารภาพรักไปเล้ย ซีนเปิดทางให้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 4 - (10/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: kyungploy ที่ 12-01-2017 13:20:43
โซลลลลล แอบจีบไปเรื่อยๆนะ เดี๋ยวพี่ซีนเขาก็หวั่นไหวเอง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 4 - (10/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-01-2017 20:00:34
โซล นิสัยไม่ดีเลยนะ  :m16:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 23-01-2017 21:15:49

ตอนที่ 5




*** ครึ่งแรกต่อจากตอนที่ 4 นะคะ ***







“ผมเมื่อยคอแล้วนะ”



“อย่าเพิ่งขัดสิ ทำสมาธิอยู่”



“ปวดหลังด้วยเนี่ย”



“กูก็ต้องเขย่งเหมือนกันนั่นแหละ!”



นี่ก็ปวดน่องจะแย่แล้ว ใครใช้ให้มันสูงกว่าผมเยอะนักล่ะ



“ให้ผมทำเองดีกว่า”



“ไม่เอา!”



ผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วกระโดดถอยห่างออกมาหลายก้าวทันที เมื่อไอ้โซลโน้มหน้าลงมาจะจูบผม



อ่านไม่ผิดหรอกครับ



เรากำลังซ้อมฉากจูบ!







ย้อนกลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว…



การซ้อมเกือบถูกยุติลงไปแล้วเนื่องจากผมนั่งกินเค้กซะเพลิน…



แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ใกล้จะไฟนอลแล้วพวกผมเลยต้องยิ่งประหยัดเวลา แต่ไอ้โซลนี่สิดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย แทนที่จะเตือนว่ามันค่ำแล้ว กลับปล่อยให้ผมดื่มด่ำไปกับเค้กของแม่มันอยู่ได้ ผมเลยบอกให้มันหาว่าจะซ้อมฉากไหน



ไอ้โซลนั่งเปิดดูบทไปเรื่อยๆ สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับผมด้วยสายตาจริงจัง



 “เราต้องจูบจริง”



“รู้แล้ว จะย้ำหาอะไร!”



“ผมว่าเทคเดียวไม่ผ่านหรอก”



“ต้องผ่าน!”



“ไม่ผ่าน”



“เอ๊ะ จะยากอะไรก็แค่ปากแตะปาก!”



“งั้นเราลองเอาปากมาแตะกันดู”



“ไม่!!”



ฉากที่ผมไม่อยากเล่นที่สุดถูกมันขุดขึ้นมาพูดกรอกใส่หูและบอกว่าอยากซ้อม… ฉากอื่นมีตั้งมากมายทำไมไม่เลือก!



“พี่ลองคิดดูนะ เราซ้อมกันสักรอบก็ได้ ดีกว่าไปเล่นครั้งแรกต่อหน้าคนทั้งกองถ่ายแบบนั้นน่ะ มันจะตื่นเต้นกว่านี้อีกนะ”



มันก็น่าคิดแฮะ… แต่ไม่เอาเว้ยย



“ดีไม่ดีฉากแรกที่เราต้องถ่ายอาจเป็นฉากจูบก็ได้”



แล้วจะพูดให้กลัวทำไมวะ...



“หลายเทคตั้งแต่ฉากแรก มันคงเป็นการเริ่มต้นที่แย่มากเลยเนอะ”



ก็เรามือใหม่นี่หว่า แต่แคสผ่านมาเพื่อจะแสดงขนาดนี้แล้ว อ่านบทก็แล้ว เขาก็ต้องคิดว่าผมยอมรับกับฉากพวกนี้แล้วอ่ะดิ… ผมก็ต้องทำให้ดีป่ะ ไม่ใช่จะมาอิดออดให้คนอื่นเขาเสียงานเสียการ



“มาลองซ้อมกันเนอะ”



“อืม”



อ้าว กูเผลอ



“จริงดิพี่! เอาฉากไหนดี ที่ผมจูบหรือพี่จูบ!”








นั่นแหละครับ... เค้กคำสุดท้ายนุ่มลิ้น ผมเลยตกปากรับคำเอาด้วยกับมันจนได้!



ฉากนี้ในเรื่องมีประมาณสามครั้งได้ แต่หนึ่งในสามนี้มีครั้งนึงที่ผมต้องเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปก่อน



ผมเลือกซ้อมฉากที่ต้องยื่นหน้าเข้าไปหามันก่อนเพราะผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ เหมือนกับการโดดบันจี้จัมพ์…โดดเองดีกว่ามีคนผลักโดยไม่ทันตั้งตัวล่ะวะ



“พี่ทำสมาธิมาชั่วโมงนึงแล้วนะครับ ไหนบอกแค่ปากแตะปาก”



เด็กตรงหน้ายืนกอดอก จ้องผมเหมือนกับว่าถ้าความอดทนของมันหมดลงแล้วล่ะก็ มันจะเป็นคนเอาปากมาแตะกับปากผมให้มันจบๆ ไปซะที



ทำไมมันดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับการต้องจูบผู้ชายเลยฟะ!



สายตาของมันทำให้ผมลุกลี้ลุกลนยิ่งกว่าเดิม ผมรู้ว่ามันเป็นแค่การแสดง และถ้าผมยังเป็นอยู่อย่างนี้จะกลายเป็นตัวถ่วงของทุกคนไปด้วย แต่นี่ก็แค่ซ้อมนะ ทำไมไอ้โซลต้องจริงจังขนาดนี้ แต่ถ้าคิดอีกแง่นึง แค่ซ้อมผมก็ทำไม่ได้แล้วถ่ายจริงผมจะไปรอดเหรอ



หลากหลายความคิดกำลังตีกันในหัวของผม ไม่ทันได้รู้ตัวว่าไอ้โซลก้าวมาประชิดตัวแล้ว



“พี่ซีน”



ผมสะดุ้งเมื่อมือหนาแตะลงบนไหล่ทั้งสองข้าง



“ผมจูบนะ”



“คือ…” ผมยังไม่พร้อม





“รังเกียจผมเหรอ”







ทุกสิ่งรอบตัวเงียบสงัด ผมนิ่งอึ้งกับคำถามนั้น คนตรงหน้าก็หยุดนิ่งเพื่อรอคำตอบ





ผมไม่ได้นึกถึงคำนี้ด้วยซ้ำไป ...ไม่มีอยู่ในหัวเลย...ความรู้สึกนี้



ผมก็แค่ไม่กล้า มันก็แค่กระดากอายที่ต้องมาจูบกับคนคนนึงทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน หนำซ้ำตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยจูบใครเลยนะ...



“เปล่า”



เด็กตรงหน้าถอนหายใจเหมือนโล่งอก



“แต่...”



ถึงไม่ได้รังเกียจ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจูบมันได้เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้สักหน่อย!



“คือ...หนวด…ใช่! มึงไปโกนหนวดก่อน นี่ไม่ได้โกนมากี่ชาติฮะถึงเหมือนโจรแบบนี้ ถ้าจูบกูก็เจ็บน่ะสิ!”



“เร้าใจดีออก”



“ไอ้บ้านี่!”



ผมดันตัวมันออก หนวดมันไม่ได้รกครึ้มอะไรแบบนั้นหรอกครับ ไม่ได้เหมือนโจรด้วย แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจริงๆ หาอะไรมาถ่วงเวลาไว้ก่อน ขอให้มันโกนหนวดนานๆ



ให้เวลาผมทำใจอีกสักหน่อยเถอะ!



“ก็ได้ครับ ก็ได้”



ไอ้โซลยอมอย่างว่าง่าย พอขายาวๆ ก้าวหายเข้าไปในห้องนอนผมก็ทรุดลงบนโซฟาทันที ยืนเป็นชั่วโมงจนขาแข็งไปหมด ในหัวผมกำลังวุ่นวายสับสน ใจนึงก็บอกให้ทำไปเลยให้มันจบๆ แต่อีกใจมันก็คอยรั้งไว้ไม่ให้ทำ



ผมทำใจจูบกับคนที่ไม่รู้สึกอะไรด้วยไม่ได้หรอก ขนาดพีมผมยังไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้ด้วยเลยนะ แล้วไอ้โซลเป็นใคร





มันก็เป็นแค่รุ่นน้องที่รู้จักคนนึง





“ทำใจได้ยัง ผมเลิกเป็นโจรแล้วนะ”



เสียงทุ้มดังขึ้นตรงหน้าทำให้ผมเด้งตัวลุกขึ้นทันที มันเสร็จเร็วไปไหม ไปโกนหนวดนะเว้ยควรนานกว่านี้หน่อยสิ แต่นี่เหมือนมันเดินเข้าไปส่องกระจกเฉยๆ แล้วก็เดินออกมา ผมยังไม่ทันได้เริ่มทำใจด้วยซ้ำ!



“จับดูก็ได้นะครับ” ไอ้โซลยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากเหมือนอยากจะแกล้ง จมูกโด่งที่เฉี่ยวหน้าผมไปทำให้ผมรีบเอามือตะครุบปากมันเอาไว้



เกือบโดน!



สัมผัสลื่นมือและลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดมือผมอยู่ทำให้ผมรีบชักมือออก ก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังซะเอง



ผมขบริมฝีปากอย่างคนคิดไม่ตก เด็กตัวสูงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่เอ่ยคำเร่งเร้าใดใดอีกต่อไป





“รังเกียจผมเหรอ”





อยู่ๆ ประโยคนี้ก็ดังขึ้นมาในหัวอีกครั้งราวกับย้ำความคิดของคนตรงหน้า และเพราะการแสดงออกของผมนั่นเองที่ทำให้มันคิดแบบนั้น



ทั้งที่มันไม่ใช่เลย



ผมขยับเข้าไปหาไอ้โซลทีละนิด เพื่ออยากจะบอกว่าผมไม่ได้รังเกียจ



แต่ผมทำไม่ได้



ผมวางมือลงบนไหล่กว้างๆ นั่น เห็นได้ชัดว่ามือผมกำลังสั่น



ยังไงก็ทำไม่ได้



ผมเขย่งตัวขึ้น ในขณะที่คนตรงหน้าก็ก้มลงมา



ผมจูบคนที่ไม่ได้รักไม่ได้







“เอาแค่นี้ไปก่อนแล้วกัน”







ผมผละออกมา ไอ้โซลยกมือจับข้างแก้มตรงที่ถูกริมฝีปากผมสัมผัสและมองมาอย่างอึ้งๆ





ใจผมที่เต้นช้าลงเพราะความประหม่าได้หายไปแล้วกลับเต้นรัวเร็วขึ้นใหม่เมื่อมองเห็นหูที่ขึ้นสีของมัน และอยู่ๆ หัวใจผมก็เต้นหนักขึ้นจนเหมือนเสียงทุ้มหนักของกลองที่เด็กตรงหน้าฟาดไม้มาเต็มแรง เมื่อมันเผยรอยยิ้มที่แฝงอะไรบางอย่าง...ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน







“นอกบทอีกแล้วนะครับ J”







เท่านั้นแหละความเห่อร้อนก็พุ่งขึ้นมาที่หน้าและยังลามไปที่หัวอีกด้วย





ผมไปหอมแก้มมันทำไม!!!





ไม่จูบก็ไม่จูบสิ แต่ไปหอมแก้มมันได้ยังไง! ผมทำไปทำไม!




“อินกับบทแบบนี้บ่อยๆ ก็ดีสิ” ไอ้คนตรงหน้าพึมพำ



ไม่ได้อินเว้ย!



ก็เพราะมันกดดันผมนั่นแหละ แถมน้ำเสียงตอนพูดประโยคนั้นยังทำให้ผมแอบรู้สึกผิดอีกด้วย เหมือนว่าผมเป็นคนรักของมันจริงๆ แต่ไม่ยอมแสดงความรักกับมันเลยทำให้มันเสียใจ ผมเลยคิดแต่ว่าต้องจูบ ต้องจูบ ต้องจูบ แต่เมื่อผมยังทำไม่ได้ผมก็เลยหอมแก้มไปก่อนเพื่อให้มันรู้ว่าผมไม่ได้รังเกียจจริงๆ



เชี่ยยยยยยยย!



“กูจะกลับแล้ว!”



 ผมรีบร้อนคว้าสัมภาระตัวเองออกมา วันนี้ทำตัวเองอับอายมาสองรอบจนผมไม่กล้าจะสู้หน้ามันแล้วนะ ไม่เกลียดมันหรอก เกลียดตัวเองนี่แหละ!!



ผมเร่งฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงตึงตังตามมาด้านหลัง ให้เดามันคงเข้าไปเอากุญแจรถในห้องนอนและรีบตามออกมา



จะตามมาทำไมเล่า!



“รอด้วยดิ ผมจะไปส่ง”



มันตะโกนไล่หลังมา



ไม่ต้องมามีน้ำใจตอนนี้ กูจะกลับแท็กซี่!



“เฮ้ย พี่วิ่งหนีทำไมเนี่ย!”



ก็อายน่ะสิโว้ยยยยยย













****















เข้าสู่เดือนแห่งการสอบปลายภาค



หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ซ้อมกับไอ้โซลอีกเลยเพราะต่างคนก็วุ่นๆ กับเรื่องเรียน ยิ่งช่วงนี้อย่าหวังจะได้เจอไอ้เด็กถาปัดคนนั้นเลย



วันนั้นมันเป็นคนไปส่งผมอยู่บ้านจนได้ จะโทษขาที่ยาวน้อย(กว่าไอ้โซล)ของตัวเองดีไหมที่ก้าวได้ช้าจนมันตามมาทันตั้งแต่ที่เพิ่งออกตัววิ่งไปไม่ถึงตัวลิฟต์ด้วยซ้ำ



“ผมเข้าใจ อารมณ์มันพาไป”



เป็นคำพูดที่อยากหามีดมากรีดรถเบนซ์คันงามของมันซะจริงๆ สักพักมันก็เลิกยิ้มแปลกๆ ทำตัวปกติธรรมดาเข้าใส่เหมือนผมไม่ได้ทำอะไรน่าอายเกิดขึ้น ซึ่งก็ทำให้ผมสงบสติตัวเองลงไปได้พอสมควร พอส่งผมเสร็จผมก็ไล่มันกลับทันทีเพราะตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว



หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอมันอีกเลย มีไลน์คุยกันนิดหน่อยเรื่องซ้อมแต่หาเวลาว่างไม่ตรงกันสักที แต่วันนี้ยังไงมันก็ต้องโผล่หัวมาเพราะเป็นวันฟิตติ้ง



ผมมาถึงสตูดิโอก่อนเวลาเล็กน้อย พอเข้าไปก็เห็นนักแสดงคนอื่นมากันบ้างแล้ว อย่างที่เคยบอกไปว่าผมมักจะทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก นั่นเลยทำให้ผมอยากโทรหาไอ้โซลทันทีเมื่อรู้ว่ามันยังไม่มา แต่ผมก็หยุดมือที่กำลังจับโทรศัพท์ขึ้นมาเพราะมีคนเดินเข้ามาคุยกับผมซะก่อน



“หวัดดีซีน”



“หวัดดี...เฟิร์ส” ผมยิ้มกลับไปตามมารยาท แล้วก็ไม่ค่อยมั่นใจด้วยว่าจำชื่อถูกไหม... แต่ดูจากที่หมอนี่ยิ้มรับก็น่าจะถูกแหละ



“กินข้าวยัง”



“กินแล้ว มานานแล้วเหรอ” ผมไม่ใช่คนคุยเก่งกับคนที่ไม่สนิท แต่ก็เลือกจะถามกลับไปบ้างไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้ว



“ก่อนซีนแปบเดียวเอง”



ผมพยักหน้าเล็กน้อย เฟิร์สเป็นหนึ่งในนักแสดงในเรื่อง รับบทเป็นเพื่อนที่รู้จักกันห่างๆ และยังเป็นคนที่มาชอบผมอีกด้วย แล้วก็เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้พระเอกของเรื่องหึงและแสดงความรู้สึกออกมานั่นเอง



คือในเรื่องไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ ให้มาชอบกันไปชอบกันมาอยู่ได้เนี่ย



ผมนั่งคุยกับเฟิร์สไปเรื่อยๆ แต่ส่วนมากเฟิร์สจะเป็นคนชวนคุยมากกว่า



“ซีนเลี้ยงหมาด้วยเหรอ”



“อืม คอร์กี้น่ะ”



“ที่ขาสั้นๆ อ่ะน่ะ เฮ้ยน่ารัก”



“แต่โคตรซน”



คนข้างๆ เปิดรูปสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้ผมดู ผมเลยเปิดเจ้าปิ๊กมี่ของผมให้ดูบ้าง



“มีแต่คนว่าไซบีเรียเป็นหมาปัญญาอ่อน ไม่เชื่อนะแต่พอมาเลี้ยงถึงได้รู้ว่าจริง”



“ฮ่าๆ อากาศมันร้อนหรือเปล่า” ผมเคยคิดจะเลี้ยงพันธุ์นี้นะ ดูเท่ดีแต่เฮียคัทเอาหมาขาสั้นมาให้ก่อนเลยอดไป ตัวเดียวก็เหนื่อยแทบตาย



พอคุยเรื่องที่ไปกันได้ผมก็ค่อยผ่อนคลายลงหน่อยแต่ก็ยังอดมองหาไอ้โซลไม่ได้อยู่ดี



มันจะมาตรงเวลาเป๊ะเลยหรือยังไง!



พอนึกถึงมันก็โผล่หัวมา แต่พอเห็นผมนั่งอยู่กับเฟิร์สมันก็ทำหน้าหงิกทันที



“ดูอะไรน่ะครับ”



“ปิ๊กมี่ไง”



“อ่า วันหลังถ้าไปบ้านพี่อีกต้องไปเล่นด้วยซะหน่อยแล้ว” ไอ้โซลทำท่าทางเหนือกว่าใส่เฟิร์ส ซึ่งเฟิร์สทำแค่ถอนหายใจและหันหน้าไปทางอื่น



คืออย่างงี้ครับ สองคนนี้เขม่นกันมาตั้งแต่วันที่แคสติ้งแล้ว อาจเพราะทีมงานเล็งเอาไว้ว่าไม่คนใดคนนึงจะได้บทพระเอกแน่นอน แต่บทนั้นไอ้เด็กที่เดินมานั่งลงข้างๆ ผมตอนนี้ได้ไป บทพระรองเลยตกเป็นของเฟิร์สนั่นเอง แต่ดูเหมือนไอ้โซลจะไม่ชอบขี้หน้าเฟิร์สมากกว่าอีก



ในจอต้องตีกันอยู่แล้ว นอกจอยังจะมาตีกันอีก



จริงๆ ผมก็อยากได้บทพระเอกเหมือนกัน แต่หาอะไรไปสู้กับสองคนนี้ไม่ได้เลย



“แล้วนี่มานานยังครับ”



“สักพักแล้ว มึงมาตรงเวลาไปป่ะ”



“ทำหน้าดุทำไมเนี่ย ผมไม่ได้มาสายซะหน่อย”



ก็เพราะว่ามันมาตรงเวลามากจนทำให้ผมต้องนั่งอยู่ท่ามกลางคนไม่รู้จักน่ะสิ!



“ทำไมไม่โทรหาผมล่ะ ผมจะได้รีบมา” มันชูโทรศัพท์ขึ้นให้ดูว่านี่เพิ่งเก้าโมงตรงเป๊ะ และไม่มีเบอร์โทรหรือข้อความอะไรเข้าสักอย่าง



ก็จริง...ผมกำลังจะโทรตามมันแต่เฟิร์สเดินเข้ามาคุยก่อน อีกอย่างมันคงพยายามจะมาให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ ดูจากใต้ตาคล้ำๆ ของมันแล้วก็สงสาร



“กลัวเด็กแถวนี้นอนไม่พอว่ะ”



“ฮั่นแน่ เป็นห่วงกันอ่ะดิ๊”



แล้วอารมณ์เห็นอกเห็นใจก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว ผมดันนิ้วชี้ของมันที่ชี้ผมล้อๆ ก่อนจะได้วางมวยกันสักยกพี่ทีมงานก็มาเรียกไปลองชุดกันแล้ว



ด้วยความที่ตัวละครในเรื่องเป็นเด็กมหาลัยวัยเดียวกันกับพวกผม ชุดเลยไม่มีอะไรมาก มีแค่ชุดนักศึกษาและชุดเล่นทั่วไปที่เป็นสไตล์ของตัวละครในเรื่อง แต่ก็เหนื่อยอยู่เหมือนกันเพราะต้องลองหลายชุด ถอดๆ ใส่ๆ อยู่นั่นแหละ



“กางเกงของน้องซีนต้องเอาเอวเข้าอีกหน่อย หูย เอวบางจังลูก”



พูดแต่ปากมืออย่าต้องได้ไหมครับพี่!



“พี่ครับของผมมันคับไปหน่อย”



“ไหนคะน้องโซล”



แล้วพี่แกก็เบี่ยงไปหาไอ้พระเอกทันที ฟู่ว ค่อยยังชั่ว



เราลองชุดกันทั้งวัน ส่วนใหญ่ของผมต้องเอาไปแก้ไซส์เพราะผมผอมเกินทั้งๆ ที่ช่วงนี้รู้สึกกว่ากินเยอะกว่าปกติแล้วเชียว อ่านหนังสือดึกๆ ก็ต้องหาอะไรใส่ปากตลอด



พี่ๆ ทีมงานคงเห็นพวกเราเกร็งๆ กันก็พยายามทำให้พวกเราผ่อนคลายโดยการแตะนิดแตะหน่อยตามตัวพวกเราบ้างเวลามาดูชุดให้(ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ผ่อนคลาย) แต่เวลาผมโดนลูบๆ ไอ้โซลจะเรียกพี่แกไปหาตลอดทำให้มันโดนเยอะกว่าผมมาก หรือมันชอบแบบนั้นเรอะ...





“ลงตัวมาก!” เสียงห้าวใหญ่โพล่งขึ้นเสียงดังจนพวกผมสะดุ้ง พี่แกชื่อโป้ง เป็นผู้กำกับที่กำลังรุ่งและอายุยังน้อย การพูดการจาติดจะกระโชกโฮกฮากและเป็นกันเองสุดๆ



“พวกมึงเหมาะกับบทนี้มากเลยรู้ป่ะ ใครถอนตัวกูจะแช่งให้!!”  ประโยคหลังหันมามองผมนิดหน่อยก่อนจะเดินไปหาคนอื่น



ผมที่กำลังขอพรในใจให้ผู้กำกับอยากเปลี่ยนตัวนายเอกชะงักทันที มาถึงขนาดนี้แล้วใครจะไปขอถอนตัวล่ะครับ รับปากม้าไว้แล้วด้วย แต่ถ้าลองชุดแล้วไม่เหมาะไม่เข้ากับเรื่องก็อาจถูกเปลี่ยนตัวได้แต่ดันมาชมซะอย่างนั้น...เซ็งเป็ด



หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษาและแต่งหน้าทำผมเสร็จสรรพก็ถึงเวลาถ่ายรูป จะมีแบบที่ต้องถ่ายเดี่ยว ถ่ายกับไอ้โซลสองคน และมีถ่ายสามคนคือมีเฟิร์สเพิ่มเข้ามาด้วย



แรกๆ ก็เกร็งอยู่เหมือนกัน เกร็งมากๆ เลยด้วย ผมไม่เคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต ถ่ายเดี่ยวแม้จะอาย(ไม่)นิด แต่ก็ผ่านไปด้วยดี



ถ่ายคู่กับไอ้โซลก็ไม่มีปัญหาอะไร จะเอาท่าไหนพี่เขาก็เดินมาจับๆ ผมกับไอ้โซลไม่ก็ตะโกนบอกแค่นั้นเอง



“ซีนขยับเข้าไปหาโซลอีก...อีกนิด...อีกนิดนึงๆ...อ่า ดีครับ” บอกให้มันมายืนซ้อนหลังผมก็จบ



และพี่เขาก็ได้ภาพที่ไอ้โซลเอามือกอดคอผมเอาไว้ ส่วนผมก็เอนหัวพิงไหล่มันด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนเพื่อนถ่ายรูปกันเฉยๆ



ส่วนรูปสามคนไอ้โซลจะกอดคอผมเอาไว้อย่างเดิม แต่มันจะยืนคั่นกลางระหว่างผมและเฟิร์สที่มองมาทางพวกเรา สายตาที่ไอ้โซลใช้มองกล้องโคตรหงุดหงิดเหมือนไม่พอใจไอ้เฟิร์สที่มายุ่งกับผมจริงๆ จนพี่ตากล้องชมแล้วชมอีก



แต่อยากบอกว่าผมโคตรเซ็ง มันใช่เรื่องไหมที่ผมต้องมายืนท่ามกลางผู้ชายสองคนที่ทำท่าจะแย่งผมน่ะ





มันไม่ได้ฟินเลยนะเว้ยย!















****















ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกดเข้าไปในแอพนกสีฟ้าหลังจากที่ไอ้โซลไลน์มาบอกว่ารูปโปรโมทที่เพิ่งถ่ายไปถูกเผยแพร่สู่สายตาประชาชีทั้งหลายแล้ว ไม่ได้อยากแสดงอะไรมากมายแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี



@fanclubpbua

กราบคนเลือกนักแสดงค่ะ เหมาะกว่านี้ก็โซลซีนชุบแป้งทอด #fof



@kungpeuak

พี่ซีนออกมิ้งกว่าในนิยายมากแต่พออยู่กับพี่โซลแล้วเหมาะกันเหลือเกิน รักกันจริงเลยเถอะค่ะ T v T #fof




น้องเผือกๆ อะไรนี่อีกเชียร์ให้คบกันอีกแล้ว บอกว่าอย่าหวังไงครับ อยู่คณะไหนพี่จะไปคุย!!



@khonkeeship                       

ชิปสิคะ รออะไรอยู่ #โซลซีน #fof



@ishipyounaokay

คว้าไม้พายขึ้นมาเร็วพวกพ้อง!! เดือนที่แล้วเราเห็นพี่ซีนไปนั่งรอพี่โซลใต้ตึกถาปัดด้วย!!! #fof #โซลซีน




ผมไปนั่งรอไอ้โซลที่ใต้ตึกคณะมันแล้วเกี่ยวอะไรกับที่พวกน้องจะไปพายเรืออ่ะครับ?



@mimi888

พระเอกก็หล่อ พระรองก็น่ากิน อยากสิงพี่ซีนเลยย งื้อออออ #fof




น้องเป็นผีเหรอครับ! แต่ถ้าเป็นไปได้ยอมให้แลกร่างกันเลยสามเดือน ในขณะที่ผู้หญิงหลายคนอิจฉาผม แต่จะมีใครรู้บ้างไหมว่าผมถูกบังคับให้มาแสดง!



ผมกดออกจากทวิตเตอร์เพราะมีแต่ตัวอักษรกรี้ดกร้าดเต็มไปหมด บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจที่พวกสาวๆ พูดกันเท่าไหร่ด้วย แต่โดยรวมแล้วแฟนนิยายพอใจผมก็โล่งอก แต่ก็กดดันในเวลาเดียวกัน มีแต่คนบอกจะตั้งตารอ นั่นทำให้ผมอยากหยิบบทละครมาซ้อมซะจริงๆ



แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมเลิกคิดเรื่องซีรีย์ที่จะเริ่มถ่ายทำในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้และหันมาโฟกัสกับชีทวิชาสุดหินที่จะสอบในวันพรุ่งนี้ดีกว่า



เฮ้อ ไฟนอลก็เหนื่อยแล้วก็ต้องไปเหนื่อยต่อที่กองถ่ายอีก



เอาเถอะ เพื่อคุณแม่สุดที่รัก ผมจะสู้!





 

****



อ่านมาถึงตรงนี้ก็รู้แล้วใช่มั้ยคะ(แต่เหมือนจะรู้กันตั้งแต่ตอนแรกแล้ว)ว่าทำไม behind the scene ไม่เติม s

ฮี่ๆๆๆๆๆๆ  :z2:

ร่วมด้วยช่วยกันให้กำลังใจโซลด้วยนะคะ 5555555

ฝากติชมด้วยเน้อออออ ^-^
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-01-2017 00:55:08
ก็คงต้องเอาใจช่วยสินะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-01-2017 16:29:16
สนุกมากเลยค่ะ น่ารักกกก เชียร์น้องโซลให้จีบติด  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-01-2017 17:52:14
ซีน มีหนุ่มสองคนแย่งกัน  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 24-01-2017 21:50:25
ชอบเรื่องนี้เข้าแล้ววววว  :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 24-01-2017 22:07:17
มาเป็นกำลังใจให้ครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ  น่าสนใจมากกกกก

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 25-01-2017 09:57:31
 :z13: :z13: :z13:
มาจิ้มไว้ก่อนน้าาาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 25-01-2017 17:44:25
 :hao7: สนุกมาก ชอบมาก ๆ. บทไหลลื่นดี
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrInceZz ที่ 26-01-2017 23:02:17
น่ารักมากกกก  :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 27-01-2017 07:42:37
สนุกมากค่ะ รอตอนต่อไป :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 27-01-2017 09:13:10
พี่ซีนน่ารัก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」#ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 28-01-2017 14:16:14
ความน่ารักกกนี้อะ
รอค่าาาา
เรื่องนี้เหมือนแบบ มโนในหัวเวลาดูซีรี่วายอะไรแบบนี้เลย
55555555 เราก้จิ้นเราก้ฟินได้แค่นั้นเวลาดูอะ
อยากให้เรียลๆมันเป็นแบบนี้บ้างง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 29-01-2017 13:41:57
น่ารักมากกกก รอนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 5 - (23/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 29-01-2017 21:18:30
โอ้ยยย ขอชิปอีกคนสิคะ จับไม้พายย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 01-02-2017 22:40:38



ตอนที่ 6







“อยากหมุนนาฬิกาให้บ่ายเร็วๆ จริงโว้ย!”



“ทำดิ แต่บ่ายแค่นาฬิกามึงนะ นาฬิกาประเทศไทยยังสิบเอ็ดโมงเหมือนเดิม” ผมว่าแล้วพยายามเลื่อนแขนไอ้จั๊มพ์ให้มันออกไปจากหนังสือผม



“จะอ่านอะไรนักหนา หลับตาทำยังถูก” มันยังคงเอาแขนพาดทับหนังสือผมอยู่อย่างงั้น จะให้ผมดึงออกมาเลยก็ไม่ได้เดี๋ยวหนังสือขาด



ไฟนอลเหลือตัวสุดท้ายแล้ว วิชานี้เป็นวิชาตัวช่วยที่กว่าจะแย่งลงได้ก็สวดมนต์จบไปหลายบท มันง่ายจริงแต่ไม่ขนาดที่หลับตาทำแล้วจะถูกอย่างไอ้จั๊มพ์ว่า การสอบวิชาง่ายๆ แบบนี้หลังจากผ่านวิชาหฤโหดมาแล้วแถมยังต้องมานั่งรออีกสองชั่วโมงเลยทำให้พวกเรารู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ ทั้งๆ ที่เข้าไปทำแป๊บเดียวก็เสร็จ เห็นคนอื่นสอบเสร็จเกาะกลุ่มกันคุยเสียงดังก็เกิดอาการอิจฉา อยากทำตัวลัลล้าบ้างแล้วเหมือนกัน



แต่ที่ผมยังอ่านอยู่ถึงแม้ว่ามันจะง่ายเป็นเพราะผมเอาเวลาไปทุ่มกับวิชาอื่นหมด เพิ่งจะมาเริ่มอ่านวิชานี้เมื่อวาน ถึงจะอ่านมาทั้งคืนแล้วก็เถอะแต่เพราะง่ายเลยไม่อยากสะเพร่าให้เสียดายหลังเกรดออก แต่ไอ้จั๊มพ์นี่สงสัยจะเทแล้ว



“เอาแขนออกไป”



“คุยกับกูหน่อย กูเหงา”



“มึงเป็นบ้าเหรอ”



“เลิกอ่านเหอะน่า มันทำให้กูรู้สึกผิด” สุดท้ายหนังสือของผมก็ตกไปอยู่ในมือมัน ผมพยายามจะแย่งกลับมาแต่มันก็ยัดหนังสือลงกระเป๋าของมันหน้าตาเฉย



“รู้สึกผิดก็อ่านสิวะ!” มันเบ้หน้าก่อนจะอ้าปากหาวแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะ



แล้วไหนใครบอกให้คุยด้วยวะ มันนอนแบบนี้ผมก็นั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรทำน่ะสิ ผมเลยลุกขึ้นเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งเดียวกับมันแล้วค้นเอาหนังสือของผมในกระเป๋ามันขึ้นมาอ่านต่อ



“ดื้อด้าน!”



“จะนอนก็นอนไป” ผลักหัวมันไปทีนึง ไอ้จั๊มพ์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ ผมปล่อยตัวเองให้จมลงไปในหนังสืออีกครั้ง แม้แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ผมกลับรู้สึกตื่นตัว แต่เป็นการตื่นตัวแบบล้าๆ ถ้าสอบเสร็จจะหลับยาวจนถึงเช้าอีกวันเลยคอยดู



แล้วอย่างพวกเด็กถาปัดนี่ทำได้ยังไงนะ ผมเห็นพวกไอ้ทิมไอ้โฟร์ไม่ได้นอนสองวันเลยก็มี ขนาดผมได้นอนมาสองสามชั่วโมงยังเพลียขนาดนี้เลย



แล้วป่านนี้ไอ้โซลจะเป็นยังไงบ้าง…?



ผมนึกถึงเด็กนั่นขึ้นมาเพราะว่ามันเพิ่งไลน์หาผมเมื่อตอนตีสี่นี่เอง ทำให้ผมรู้ว่ามันต้องส่งโปรเจควันนี้เหมือนกัน   แต่ก็ยังมีอารมณ์มากวนผมได้





soul.kr : พี่ควรนอนได้แล้ว

soul.kr : พรุ่งนี้สอบสองวิชาไม่ใช่เหรอ

soul.kr : อ่านเอา A+ เลยเหรอครับ



มันเป็นพ่อผมเหรอวะ...



ป๊ายังไม่ว่าอะไรผมซักคำ(เพราะหลับตั้งแต่สี่ทุ่ม)



sscene : กูจะนอนพร้อมมึง

sscene : นอนสิ



แน่นอนว่ามันทำไม่ได้อยู่แล้ว โปรเจคค้ำคอ



soul.kr : ผมไม่จบพี่รับผิดชอบนะ

soul.kr : ยกชีวิตผมให้พี่เลย



ผมย่นจมูกใส่ทั้งที่มันมองไม่เห็นหรอก ขนาดมาแค่ตัวอักษรยังทำให้รู้สึกหมั่นไส้ได้ตลอดเวลา 



sscene : เดี๋ยวก็ได้ไม่จบจริงๆ หรอก

sscene : ไปนอนแล้ว คุยกับมึงแล้วปวดหัว



ไอ้โซลส่งสติกเกอร์หน้ายิ้มมา ...สุดท้ายก็สมใจมันจนได้



soul.kr : ฝันดีครับ



ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงคิดว่ามันกวนตีน จริงๆ ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่... แต่มือผมกลับพิมพ์ตอบกลับไป



sscene : ฝันดี



น่าตีมือตัวเองจริงๆ!






“ไม่ต้องอ่านแล้ว” เสียงไอ้จั๊มพ์ดังขึ้นอีกครั้ง เหลือบมองมันก็เห็นว่าไม่ได้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วแต่มองตรงไปข้างหน้าแทน



“เลิกกวนได้แล้ว กูไม่คุยกับมึงหรอก”



“เออ ไม่ต้องคุยกับกู แต่คุยกับพระเอกของมึงโน่น” ไอ้คนข้างตัวเอามือดันหน้าผากให้ผมเงยหน้าขึ้นซะจนเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ ผมปัดมือมันออก เห็นไอ้โซลกำลังเดินมาทางนี้พร้อมกับเพื่อนมันอีกหนึ่งคนที่ผมไม่รู้ว่าชื่ออะไร...จะว่าไปผมก็รู้จักแค่ไอ้น้องกัน



พอมันเดินเข้ามาใกล้ไอ้จั๊มพ์ก็โบกมือทักทายเด็กมันทันที เจอกันก็ไม่บ่อยแต่ทำเหมือนว่าสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน เข้าข้างกันมากกว่าผมที่รู้จักมันมาเกือบสิบปี พอพี่น้องที่พลัดพรากทักทายกันเสร็จไอ้โซลก็หันมาถามผม



“สอบเสร็จบ่ายสามใช่ไหมครับ”



ผมพยักหน้า “แล้วนี่มาทำไม”



“ผมมารอพี่”



“รอทำไม กูเอารถมา” เมื่อคืนคุยกับมันก็จริงแต่ไม่ได้นัดอะไรไว้สักหน่อย หรือผมลืมเปิดอ่านไลน์ เมื่อเช้ายิ่งรีบๆ อยู่ด้วย



“พี่อ่านหนังสือทั้งคืน ผมไม่อยากให้พี่ขับ”



คำตอบที่ไม่ได้คาดหมายทำเอาผมนิ่งไปไม่เว้นแม้แต่ไอ้จั๊มพ์ มันคงไม่ได้ถ่อมาถึงคณะบัญชีเพียงเพื่อจะกวนผมหรอกเพราะคณะผมกับคณะมันห่างกันมาก...และแววตาของมันก็ไม่มีแววล้อเล่นเลยด้วย



“ให้ผมรอนะ”



อีกสองชั่วโมงผมเข้าห้องสอบ แล้วมีเวลาทำข้อสอบอีกสองชั่วโมง อาจไม่ถึงแต่ยังไงก็นานอยู่ดี “ตั้งหลายชั่วโมง มึงกลับไปนอนเถอะ”



“ผมยังไหว”



เด็กตรงหน้าพูดขึ้นทันที สภาพมันย่ำแย่กว่าผมมากยังมาบอกว่าไหว ไหวแต่ปากน่ะสิ ส่งโปรเจคเสร็จมันควรกลับไปพักผ่อนไหม ขนาดเพื่อนที่มาด้วยยังทำหน้าเพลียละเหี่ยใจใส่มันเลย



“มึงไม่ได้นอนมากี่คืน เอากุญแจรถมึงมาแล้วให้เพื่อนไปส่ง” ผมว่าอย่างนั้นเพราะดูแล้วคงไม่ได้อยู่คณะเดียวกับไอ้โซล อาจเป็นเพื่อนคณะอื่นหรือมหาลัยอื่นที่สอบเสร็จก่อนแล้วเพราะมันใส่ชุดเล่น ซึ่งเพื่อนมันก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที



“เผื่อพี่วูบทำไง ผมรอแหละดีแล้ว”



“กูไหว ขับได้ หรือถ้าไปชนอะไรกูจ่ายให้มึงได้น่า ไม่ต้องห่วง”



“ห่วงสิ พี่มีคนเดียวนะครับ”



ผมปิดหนังสือลงเมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้าทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียว ผมชักจะฉุนแล้วนะ ถ้าคุยไม่รู้เรื่องผมจะเดินหนี!



มีหน้ามาห่วงคนอื่น ไม่ดูตัวเอง!



แล้วมึงมีหลายคน? เอากุญแจมาเร็วๆ กูจะอ่านหนังสือต่อแล้ว”



ไอ้โซลมีสีหน้าลำบากใจ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ยอมรับในการตัดสินใจของผม มันมีเหตุผลที่จะรอ แต่ผมก็มีเหตุผลที่ไม่ให้มันรอเหมือนกัน



ผมกับมันต่างคนต่างจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ เหมือนมันอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่รู้ว่าคงโดนผมปฏิเสธมันเลยเอาแต่ยืนนิ่ง สุดท้ายเป็นไอ้จั๊มพ์ที่ทนไม่ไหว



“เดี๋ยวกูขับให้เอง จบไหม”



ไอ้โซลขมวดคิ้ว มองไอ้จั๊มพ์เหมือนกำลังประเมินว่าไว้วางใจได้มากแค่ไหน นั่นทำให้เพื่อนผมชักจะฉุนตามผมไปอีกคน



“เมื่อคืนกูนอนสามทุ่ม ตื่นเจ็ดโมง นอนไปตั้งสิบชั่วโมง ขับรถแข็งกว่าไอ้ซีน ให้กุญแจรถกับกูได้ยัง!”



ไอ้จั๊มพ์ตบโต๊ะแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า



พอได้ยินอย่างนั้น เด็กตรงหน้าก็ดูเหมือนจะอ่อนลง ไอ้โซลถอนหายใจก่อนจะยอมยื่นกุญแจรถให้กับไอ้จั๊มพ์ไปอย่างช่วยไม่ได้



“ถ้าอย่างงั้นก็ฝากด้วยครับ”



ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่ถูกเพื่อนลากห่างออกไปเรื่อยๆ ดีนะที่วันนี้ไอ้จั๊มพ์ไม่ได้เอารถมาเพราะญาติมันยืมไปใช้ ไม่อย่างนั้นเด็กนั่นคงตื้อจนได้นั่งรอจริงๆ



ผมเมินความรู้สึกที่ดิ้นขยุกขยิกอยู่ข้างใน ก่อนจะละสายตามาสนใจหนังสือเรียนต่อ



“บทสนทนาแปลกๆ เนอะ” เสียงเพื่อนตัวดีทำเอาผมชะงัก



“อะไร”



“ไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน”



“ก็ต้องซ้อมด้วยกันเปล่าวะ”



“อ้อ...เหรอ” มันลากเสียงยาว ฟังดูยียวนกวนประสาท มันเหมือนจะไม่เชื่อ แต่ผมก็ไม่ได้โกหกนี่… ผมตอบไปเท่าที่รู้ ถ้ามันอยากรู้นอกจากนั้น...ก็ไปถามเด็กนั่นเองสิ



ผมไม่ได้สงสัยด้วยซะหน่อย















****

           













“เชี่ย ทำไมยาก!”



“ก็ออกตามที่อาจารย์บอกนะ เป๊ะเลย”



ไอ้จั๊มพ์ยกมือขยี้หัว “ไม่น่าขี้เกียจเลยโว้ยยยยย”



ก็พูดแบบนี้ทุกเทอม...ไม่เห็นสำนึกซะที



“ไม่เป็นไรมันผ่านไปแล้ว” ไม่ใช่คำพูดของผม... เพื่อนคนนี้สามารถทำตัวเองเจ็บ โวยวาย และฮีลตัวเองได้โดยที่ผมไม่ทันได้คิดประโยคปลอบใจเลยด้วยซ้ำ



เราเดินตรงไปยังที่จอดรถของคณะ มองหารถไอ้โซลไม่นานผมก็เจอ



“กูขับก็ได้นะ”



“ไม่ได้ กูรับปากมันไว้แล้ว”



ผมยักไหล่ ยอมเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดี เอาจริงๆ ก็เพลียมากอยู่เหมือนกัน



ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสามกว่าๆ ผมอยากเอารถไปคืนไอ้โซลเลยแต่คิดว่ามันคงยังนอนอยู่เลยไม่อยากรบกวน โชคดีที่กิ๋ง เพื่อนของพีมยืมรถผมไปพอดี แล้ววันนี้ก็มีนัดกันหลังสอบเสร็จอยู่แล้วด้วย ผมเลยกะว่าหลังกินข้าวกับพวกนี้เสร็จถึงจะเอารถไปคืนมัน



“คุยกับพีม?”



“เปล่า”



“ไอ้โซล?”



“ไลน์ไปบอกเฉยๆ ว่าตื่นแล้วให้บอกจะได้เอารถไปคืน”



ไอ้จั๊มพ์พยักหน้า ส่งเสียงอือฮึพร้อมกับเบ้ปากนิดๆ อย่างน่าหมั่นไส้ ตอนนี้ผมขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วย มันจะคิดยังไงก็ปล่อยไปก่อน



พวกผมมาถึงก็เห็นกิ๋งกับพีมนั่งรอในร้านก่อนอยู่แล้ว จะว่าไปช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้คุยกับพีมสักเท่าไหร่ ปกติจะคุยไลน์กันบ้าง...ก็จีบอยู่นี่ครับ



“เริ่มถ่ายวันไหนน่ะ” กิ๋งถามขึ้นทันที กิ๋งเป็นเพื่อนสนิทของพีมผมเลยสนิทไปด้วย และกิ๋งเป็นสาววาย... คำถามจึงไม่พ้นเรื่องนี้อยู่วันยังค่ำ แต่ผมก็เริ่มทำใจได้บ้างแล้วแหละ มาถึงขนาดนี้แล้ว



“อาทิตย์หน้า พรุ่งนี้บวงสรวง”



“โหย ตื่นเต้นอ่ะ แล้วนี่ได้ข่าวว่ามีไปซ้อมกับน้องโซลด้วย เป็นไงมั่ง”



บอกผมทีว่าแววตาเป็นประกายแบบนั้นของกิ๋งต้องการอะไรจากผม ผมกลืนอาหารที่เคี้ยวอยู่ลงคอแล้วจิบน้ำ



“ก็ดี”



ตอบเหมือนตอนตอบคำถามไอ้จั๊มพ์เป๊ะ หวังว่ากิ๋งจะไม่ถามคำถามต่อไปแบบมันหรอกนะ ผมไม่อยากพูดถึงฉากนั้นด้วย...เพราะมันทำให้ผมนึกถึงวันนั้น!



“มีอะไรก็อัพเดตเพื่อนบ้างน้า” ผมรู้ว่ากิ๋งหวังอยู่หน่อยๆ ว่าระหว่างผมกับไอ้โซลต้องมีอะไรมาให้แม่คุณฟินบ้าง ใครจะเล่ากันล่ะ! ...แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรให้เล่าสักหน่อย!



“ก็วันนี้ไง...”



มือผมชะงักกลางอากาศขณะที่กำลังตักอาหารให้พีม ไอ้จั๊มพ์บอกเล่าเรื่องราวที่ไอ้โซลมาหาผมที่คณะวันนี้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนทุกประโยค



สาวผมบ๊อบที่นั่งตรงข้ามผมทำตาโต “ขนาดนั้นเชียว!!”



“ชู่ว จะตื่นเต้นทำไม”



“ก็นี่มัน...ไม่แปลกเหรอ!”



“ไม่”



...ไม่รู้...



“เรื่องเรากับไอ้โซลเป็นไปไม่ได้หรอก อย่าหวังเลย...เรารู้ว่ากิ๋งคิดอะไร” ผมพูดประโยคสุดท้ายเพราะหญิงสาวตรงหน้าทำท่าจะเถียงขึ้นมา



“ซีนอ่ะ!” เจ้าตัวทำหน้ายู่ “เรามโนเอาเองก็ได้ ชิ!” 



หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้อีก แม้กิ๋งจะพยายามหว่านล้อม...ครับ หว่านล้อมให้ผมคบกับไอ้โซลต่างๆ นานา แต่ก็ติดจะเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไร ซึ่งพีมที่นั่งฟังก็หัวเราะคิกคัก แถมบางทีเออออไปกับเขาด้วย เฮ้ย...นี่แฟน(ในอนาคต)กำลังถูกจับคู่กับคนอื่นอยู่นะ อารมณ์เสียมั่งสิ หรือจะโมโหหึงเลยก็ได้ ผมยอมง้อเลย



พอจัดการอาหารคาวแล้วสาวๆ ก็อยากไปต่อของหวาน พวกผมก็ตามใจ หนังท้องตึงจะแย่ หนังตาก็ไม่ต่างกันแต่ไอ้จั๊มพ์ดันอยากดูหนังเรื่องใหม่ที่ปากต่อปากบอกว่าสนุกโคตร...แต่ผมหลับ



พอหนังจบไอ้จั๊มพ์ก็ปลุกผมพร้อมบ่นอีกนิดๆ ว่าไม่ยอมดูหนังเป็นเพื่อนมัน



กิ๋งคืนกุญแจรถให้ผม พวกเราแยกกันตรงหน้าโรงหนัง สองสาวมีนัดกินเลี้ยงกับเพื่อนอีกกลุ่มต่อ ผมกับไอ้จั๊มพ์เลยขับรถคนละคันไปที่คอนโดไอ้โซล ตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าแล้ว ระหว่างที่หลับในโรงหนังมันตอบข้อความผมพอดี



ผมกดกริ่ง รอสักพักประตูก็เปิด เด็กตัวสูงตรงหน้าอยู่ในชุดเสื้อสีขาวและกางเกงขายาวสบายๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นชุดนอน หน้าตาก็อิดโรย ใต้ตาคล้ำหน่อยๆ ...แต่ทำไมยังดูดี



ชิท! ผมไม่ได้อิจฉาเลยจริงๆ



“เข้ามาก่อนไหมครับ”



“ไม่เป็นไร ดึกแล้ว เดี๋ยวต้องไปส่งไอ้จั๊มพ์อีก” ผมพยัดเพยิดไปทางคนข้างตัวที่กำลังหาวอยู่ มันยักคิ้วให้โซลแทนการทักทาย



“ให้ผม...” คำพูดนั้นชะงักไปเหมือนมันกำลังคิดว่าควรจะพูดออกมาดีหรือไม่ ไอ้โซลกำกุญแจรถที่ผมให้ไปเอาไว้...แล้วใบหน้าล้าๆ นั่นก็มองผมอยู่อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยอะไรต่อ



ผมเม้มปาก นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันขึ้นมาซะอย่างนั้น...เด็กตรงหน้าทำหน้าหงอยทำไม มันเหนื่อย มันเครียดเรื่องโปรเจคที่เพิ่งส่งไป หรือมันนอนไม่พอ ต้องการจะไปนอนต่อ อย่างงั้นผมควรไป...ใช่ไหม?



ผมก็แค่คิดว่ามันเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง...



...แต่มันไม่กล้า



“กูงีบในโรงหนังแล้ว”



ผมเลยตัดสินใจพูดออกไปแทน



“เดี๋ยวถึงบ้านแล้วบอก”





เท่านั้นแหละ...



เท่านั้นจริงๆ ...ที่คนตรงหน้ายิ้มออกมา



...ผมก็รีบเดินหนีทันที



เป็นไปได้อยากจะกระโจนลงบันไดหนีไฟให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยด้วยซ้ำ



อีกครั้งแล้วที่ผมทนเห็นสีหน้าแบบนี้ของมันไม่ได้จนต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง...ผมก็แค่เป็นคนขี้สงสาร ขี้ใจอ่อน...แล้วบังเอิญว่าผมเดาถูกซะด้วยว่ามันเป็นอะไร



แล้วมันจะห่วงอะไรนักหนาเล่า เป็นคนดีเกินไปหรือเปล่า!



เสียงไอ้จั๊มพ์เรียกชื่อผมตามหลังมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองเดินเร็วขนาดไหน เพื่อนที่สูงกว่าผมอย่างมันถึงได้ตามไม่ทัน





ไม่รู้...ผมแค่ไม่อยากได้ยินคำพูดของมัน...





“กูว่ามันแปลกจริงๆ นะ...เฮ้ย วิ่งทำไม!”

     





     

****

มีเด็กงอแงข่าทุกโคนน555555

ตอนนี้สั้นแฮะ ; - ;

บางคนแสดงออกหนัก แต่กลับบางคนก็ไม่รู้หนักเช่นกัน (...)

แต่พี่ซีนไม่โกงน้องน้า ห่วงมาห่วงกลับน้า ฮี่_ฮี่



ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ <3

#ข้างหลังฉาก ^-^
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-02-2017 23:05:43
ซีนปฏิเสธหนักมาก...
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-02-2017 23:34:45
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 02-02-2017 04:21:37
ติดโซลซีนหนักมากกก
ขนาดยังไม่เปิดกล้องยังมีมุ้งมิ้งขนาดนี้
ถ้าถ่ายไปเรื่อยๆ เจอฉากหนักๆจะขนาดไหน
หูยยยย
อดใจรอไม่ไหวแล้ว
 :mew3:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Lilyrum ที่ 02-02-2017 08:49:50
แงงงงง รอติดตามเลยค่ะ สนุกมากๆ

ปล. ม๊า สะกดไม้ตรีนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 02-02-2017 12:38:19
พี่ซีน ยังไงคะ??

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-02-2017 14:01:56
งุ้ยยย น้องแสดงออกขนาดนี้แล้ว พี่หวั่นไหวแล้วใช่ไหมคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 02-02-2017 22:23:26
 :hao7: เสร็จเด็กแน่ ๆ ค่ะ แบบนี้ ใจอ่อนให้ตลอดดด เด็กมันร้ายนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 05-02-2017 15:53:22
 :katai5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 05-02-2017 17:11:34
ได้เจอนิยายดีต่อใจอีกเรื่องแล้ว พี่ซีนน่ารักมากๆ
โซลนี่น่าจะคิดไม่ซื่อกะพี่ซีนใช่ป่ะคะ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 6 - (1/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 06-02-2017 16:53:21
วันละนิด เดี๋ยวก้ออ่อน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 08-02-2017 22:04:36


ตอนที่ 7







วันนี้ไอ้โซลมาถึงก่อนผม



นักแสดงทุกคนอยู่ในชุดนักศึกษา ผมกับไอ้โซลยืนอยู่ข้างกัน ก้มหน้าพนมมือฟังพราหมณ์ทำพิธี ผมไม่ถูกกับกลิ่นธูปเท่าไหร่ จริงๆ ไม่ถูกกับกลิ่นควันทุกชนิดเลยหายใจลำบากไปบ้างแต่สุดท้ายพิธีก็จบลง



มีนักข่าวมาทำข่าว ถ่ายรูปและสัมภาษณ์พวกผม ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงหน้าใหม่กันแทบทั้งหมด มีตัวประกอบอยู่ไม่กี่คนที่เคยเห็นหน้าค่าตาทางทีวีบ้าง อย่างคนที่ต้องแสดงเป็นน้ำ เธอชื่อหนิง เป็นผู้หญิงที่ไอ้พระเอกในเรื่องจะใช้มาประชดผม เธอเคยผ่านผลงานการแสดงมาบ้าง ผมนึกว่าจะหยิ่งๆ ถือตัว แต่เปล่าเลย พอได้คุยแล้วถึงรู้ว่าเธอเหมือนกับกิ๋ง...



หมายถึงเป็นผู้หญิงที่เข้ากับผู้ชายได้เป็นอย่างดี



นักข่าวก็สัมภาษณ์ทั่วไป ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร รับบทเป็นอะไร เห็นว่าผมกับไอ้โซลอยู่มหา’ลัยเดียวกันด้วย...บลาบลาบลา



แน่นอนว่าผมเกร็ง คนหน้าใหม่อื่นๆ ก็คงจะเหมือนกัน ยกเว้นแต่หนิงล่ะมั้งที่อาจชินกับไมค์และกล้องพวกนี้แล้ว



ผมก็ตอบไปตามคำถาม รู้สึกเสียงสั่นเล็กน้อยเหมือนเวลาออกไปพรีเซ้นท์งานหน้าห้อง...แต่ดูเหมือนนี่จะยิ่งกว่าพรีเซ้นท์งาน



มือไอ้โซลแตะอยู่ที่ด้านหลังของผม...ตบเบาๆ เหมือนให้รู้ว่ามันอยู่ตรงนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่ต้องซีเรียสอะไรด้วย...นั่นทำให้ผมคลายอาการตื่นเต้นไปได้พอสมควร



แต่มันก็เป็นสัมภาษณ์ธรรมดาๆ จริงๆ แหละครับ พี่นักข่าวบางคนยังถามขำๆ ด้วยซ้ำไปว่าผมกับไอ้โซลจะคบกันจริงๆ ได้หรือเปล่า



ผมหัวเราะไปตามน้ำ ถ้าเป็นเพื่อนถามประโยคนี้ก็คงพ่นคำหยาบใส่ไม่ก็ยืนกรานเด็ดขาดว่าไม่ แต่อาจเป็นเพราะเราต้องสร้างกระแส หรือเพราะความขี้เล่นของไอ้โซล...ทำให้มันตอบนักข่าวคนนั้นกลับไปว่า...





“เป็นเรื่องของอนาคตครับ”





แหม พ่อดาราใหญ่



พอเห็นไอ้โซลเล่นด้วย พี่ๆ ก็ได้ใจกันใหญ่



“คุณพระเอกว่ามาอย่างนี้” หันไปทางเฟิร์สบ้าง “แล้วคุณพระรองล่ะคะ?”



คนถูกถามอมยิ้ม และตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล...





“อยากให้มีวันนั้นเหมือนกันครับ”





เกิดเสียงฮือฮาพร้อมกับเสียงโห่แซวจากทั้งนักข่าวและนักแสดงคนอื่น ผมยิ้มค้าง หัวเราะแหะๆ ไปด้วยเล็กน้อย...ก็แค่ตั้งตัวไม่ทันตั้งแต่ไอ้โซลพูดแล้ว จะพูดอะไรก็น่าจะเตี๊ยมกันก่อน



มันน่าจับสองคนนี้ไปอยู่ด้วยกันซะให้เข็ด



ไม่ชอบขี้หน้ากันแทบตาย...แต่ทีอย่างนี้ล่ะร่วมด้วยช่วยกันสร้างกระแสดีจริงเชียว!











****











ผมอยากกลับบ้าน



เมื่อวานเพิ่งสอบเสร็จแถมยังกลับบ้านดึก วันนี้ก็ตื่นเช้า อีกไม่กี่วันเริ่มถ่าย นั่นหมายความว่าผมมีเวลาพักผ่อนน้อยนิดมากสำหรับปิดเทอมครั้งนี้



...แต่ผมกลับบ้านไม่ได้



เฟิร์สชวนไปดูหนังเรื่องเดียวกับที่ไอ้จั๊มพ์ชวน ผมเลยบอกไปตามตรงว่าผมดูมาแล้ว แต่เฟิร์สบอกว่างั้นเราไปดูเรื่องอื่นกันก็ได้



“ก็บอกไปเลยสิว่าพี่ —” ผมปรายตามองคนพูด ไอ้โซลเลยเงียบ มันไม่ค่อยจะเก็บอาการ แล้วตรงนี้คนเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด คงไม่ดีที่จะมีใครมาเห็นว่านักแสดงไม่ถูกกันทั้งที่ยังไม่เริ่มเปิดกล้องเลยด้วยซ้ำ



“ว่าไงซีน”



ผมไม่ใช่คนที่ปฏิเสธเก่งอะไร น้ำเสียงที่เฟิร์สใช้ไม่มีการบังคับ แต่หมอนี่ดูอยากให้ผมไปด้วยมากๆ ซะจนผมเกรงใจ



ผมอึกอัก ใจมันไปอยู่บ้านแล้วแต่ทางนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง



“เมื่อกี้ผมแค่จะบอกพี่ว่าอย่าลืมนัดของเรานะครับ” คนที่เด็กที่สุดในนี้พูดขึ้นอีกครั้ง ผมทำหน้างง นัดอะไรอีก “ซ้อมไงครับ เดี๋ยวก็เริ่มถ่ายแล้วนะ”



แล้วผมก็เข้าใจทันทีว่ามันต้องการจะทำอะไร



เฟิร์สไม่สนใจไอ้โซล แม้ผมจะแอบเห็นว่าเขาหายใจเข้าลึกๆ เหมือนพยายามระงับอารมณ์ก็เถอะ แต่ก็ยังส่งยิ้มให้ผมเหมือนเดิม



“ซีนมีนัดแล้วเหรอเนี่ย”



ไอ้โซลเปิดมาขนาดนี้แล้วผมก็ต้องตามน้ำใช่ไหม…



“อ..อื้ม โทษทีนะ”



“กี่โมงล่ะ หนังสองชั่วโมงเอง”



เด็กตัวสูงข้างๆ ทำท่าดูนาฬิกา “อีกชั่วโมงก็ถึงเวลานัดแล้วครับ”



เฟิร์สจ้องหน้าเหมือนรอเอาคำตอบจากผมเท่านั้นซึ่งผมทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ กลับไป เรื่องซ้อมอะไรนี่ก็เออออไปตามเด็กนั่น ผมจะไปรู้ได้ไงว่าต้องตอบไปว่าอะไรมั่ง เผื่อตอบผิดก็ถูกจับได้น่ะสิ



“จริงๆ เรานัดกัน —”



“ถามซีน”



ไม่บ่อยนักที่เฟิร์สจะแสดงอาการออกมา แต่ไอ้โซลก็ไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังดูสนุกซะอีก



“..ก็ตามนั้นแหละ” ผมตัดสินใจพูดออกไป ยังไงผมก็เป็นคนกลาง ถ้าปล่อยให้สองคนนี้คุยกันมันคงได้แลกกันสักหมัด ไอ้โซลกวนตีนน้อยที่ไหน



แต่นั่นยิ่งทำให้เด็กตัวสูงนี่ได้ใจ มันเดินเข้าไปหาเฟิร์ส ถึงแม้ว่าคนตรงทางเดินจะน้อยลงแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครอยู่เลย กล้องวงจรปิดก็มี ผมเลยคว้าแขนมันเอาไว้ จะเริ่มถ่ายอยู่แล้ว จะมามีเรื่องกันไม่ได้นะเว้ย!



“ได้ยินแล้วนะครับ ว่าพี่ซีนไม่ว่าง”



มันยิ้ม...



“...เพราะผมจองไว้แล้ว”



แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เฟิร์สกำมือแน่น



ผมดึงไอ้โซลมายืนข้างๆ บอกขอโทษเฟิร์สไปอีกครั้งแล้วรีบพาไอ้โซลออกมา ดูมันจะสนุกมากที่ยั่วโมโหเฟิร์สได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เห็นเฟิร์สเก็บอาการไม่อยู่อย่างนี้



“ไม่ต้องมายิ้ม มึงนี่แม่ง”



“ผมช่วยพี่นะ หรืออยากไปกับไอ้นั่น?”



“ก็ไม่ แต่เรียกเฟิร์สดีๆ ดิ เขาเป็นพี่มึงนะ”



เด็กตรงหน้ากรอกตา “เฮ้อ ทำดีแล้วไม่เห็นจะชมกันมั่ง”



“โกหกไม่ใช่เรื่องดีซะหน่อย”



“นี่อยากไปดูหนังกับไอ้นั่นจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”



“อยากหรือไม่อยากแล้วมึงจะโมโหทำไม”



เรายืนกันอยู่ในลานจอดรถ ไอ้โซลเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ผมรู้ว่ามันไม่ชอบที่ผมคุยกับเฟิร์สนัก แต่มันอายุเท่าไหร่แล้ว ผมไม่ใช่เด็กประถมนะที่ถ้าเพื่อนไม่ชอบใครแล้วเราต้องไม่ชอบไปด้วยน่ะ



ผมกอดอกมองคนตรงหน้า สูดกลิ่นธูปเป็นชั่วโมงทำเอาผมปวดหัวแล้วยังต้องมาลำบากใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก



ปล่อยให้ลานจอดรถเงียบอยู่อย่างนั้นเกือบนาที ก่อนที่เสียงถอนหายใจดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงทุ้มที่อ่อนลงกว่าเดิม



“ผมเห็นพี่ปฏิเสธแล้วมันยังตื้อผมเลยช่วย แต่พี่พูดเหมือนผมทำผิด”



มันไม่ได้ทำผิด แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว



ไอ้โซลอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผมกับเฟิร์สเราคุยกันปกติ เขาออกจะดีกับผมมากด้วยซ้ำ นั่นทำให้ผมเกรงใจและพยายามรักษาน้ำใจเฟิร์ส



ผมไม่ได้อยากทำให้ใครเสียความรู้สึก



“ก็ไปโกหกแบบนั้น กูแค่รู้สึกผิด”



เอาเข้าจริง ถึงแม้ผมจะไม่ชอบวิธีการนี้เท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว จริงๆ มีอีกทางคือพูดตรงๆ ไปเลยว่าผมไม่อยากไปไหนมาไหนกับคนที่เพิ่งรู้จัก แต่นั่นแหละ ใครจะไปทำ



“แค่นั้น?”



“อืม”



“แค่รู้สึกผิด?”



“ก็เออน่ะสิ”



“ไม่ได้อยากไปกับมัน?”



“เออออออ” ผมลากเสียงยาว จนคนที่ยืนพิงรถผมอยู่หลุดยิ้มออกมา



“บอกให้เรียกเฟิร์สดีๆ ไง”



แล้วมันก็หุบยิ้ม เปลี่ยนเรื่องทันที



“ผมมีวิธีทำให้พี่หายรู้สึกผิดนะ”



ผมเลิกคิ้ว “ยังไง”



“ทำให้เรื่องโกหกกลายเป็นเรื่องจริงไงครับ”



ผมกดปลดล็อครถ ไอ้โซลถอยออกมาเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูรถให้ผมพร้อมกับผายมือ เห็นผมทำหน้าเอือมๆ ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีต่างกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าลิบลับ



“กูไม่มีอารมณ์ซ้อมหรอกนะ”



“แค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ คนอื่นไม่รู้หรอกว่าเราซ้อมหรือไม่ซ้อม”



ตั้งแต่เริ่มเรื่องมาผมปฏิเสธอะไรได้มั่งเนี่ย?



แต่เหตุผลของมันก็เข้าท่าอยู่เหมือนกัน แล้วผมก็ขี้เกียจเถียงแล้วด้วย



“ไปบ้านกูนะ”



“แน่นอนสิครับ J”



ผมไม่น่าเออออไปกับมันตั้งแต่ทีแรกเลยนะว่าไหม?











****











“ปิ๊กมี่!”



“ปิ๊กมี่!”



เจ้าของชื่อเอียงคอมอง ทำหน้างง มันไม่ได้ไม่รู้จักชื่อตัวเองหรอก แต่มันไม่รู้จักคนตรงหน้าต่างหาก



“เฮ้ มาเล่นกันหน่อย”



ไอ้โซลแทบจะนอนราบไปกับพื้น ทุ่มสุดตัวเพื่อเรียกเจ้าหมาขาสั้นของผมให้เข้าไปหา มันมองมนุษย์ที่ไม่คุ้นหน้าแต่ท่าทางเป็นมิตร ขาสั้นๆ ก้าวออกไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หันกลับมาหมอบลงตรงขาผมเหมือนเดิม



“ไม่เอาน่าเตี้ย”



คนที่หมาไม่เล่นด้วยโอดครวญ



“ทำไมหมาพี่ทำงี้กับผมอ่ะ”



“ก็มันไม่รู้จักมึง”



ผมกดเปลี่ยงช่องไปเรื่อยๆ โซฟาข้างตัวยุบลงเมื่อไอ้คนบนพื้นถอดใจ



“เป็นหมาควรจะเข้ากับคนง่ายนะปิ๊กมี่” ผมเหลือบมองคนข้างๆ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ คนอย่างมันคงมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหา แต่ตอนนี้กลับโดนหมาเมิน



ไม่ใช่แค่ไอ้โซลหรอก พวกเพื่อนผมก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่พอปิ๊กมี่เริ่มคุ้นเคยมันก็ยอมให้เล่นด้วย



“มาบ่อยๆ เดี๋ยวมันก็วิ่งเข้าหามึงเอง”



ผมหยุดช่องไว้ที่สารคดีสัตว์โลก จ้องเพนกวินตัวอ้วนๆ ในจออยู่แต่หางตาก็แอบเห็นว่าไอ้คนข้างๆ นั่งหันหน้ามาทางผม



“อะไร”



“ถือว่าเป็นคำชวนนะครับ”



เสียงถอนหายใจของผมทำให้มันหัวเราะน้อยๆ ก่อนที่มันจะขยับไปนั่งดูทีวีตรงๆ



เจ้าตัวสี่ขาลุกขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันเอาเท้าข้างนึงวางบนเท้าผมแล้วเขี่ยเบาๆ



“หิวเหรอ”



มันมองตาแป๋ว แต่ท่าทางนิ่งเฉยของผมคงทำให้มันรู้ว่าผมปฏิเสธ มันเลยร้องครางหงิงๆ อย่างน่าสงสาร



ปิ๊กมี่ขี้อ้อน ซึ่งบางทีผมก็ใจอ่อน พอน้ำหนักขึ้นก็ยิ่งต้องใจแข็งเป็นสองเท่า ให้กินพร่ำเพื่อไม่ได้ แต่ดูท่าวันนี้ลูกอ้อนจะเยอะผิดปกติ



หงิง ๆ ๆ ๆ ~



“ผมว่าให้มันกินนิดนึงก็ได้น่า”



แถมมีคนให้ท้ายด้วย



“นะครับ”



“อยู่ในครัว ตู้ขวาสุด ชั้นล่าง ห้ามให้หมดซอง”



“ผมป้อนได้เหรอ”



“อืม ลองดู”



ตอบส่งๆ ไป จริงๆ ผมแค่ขี้เกียจลุกไปเท่านั้นเอง ไม่รู้ปิ๊กมี่จะยอมกินของจากมือคนอื่นไหม เพราะไม่เคยให้คนที่เพิ่งมาบ้านให้อาหารหมาตัวเอง



ไอ้โซลเดินกลับมาพร้อมกับสแน็คแบบแท่ง ปิ๊กมี่มองตามซองขนมในมือคนแปลกหน้า ทำท่าเหมือนอยากจะลุกเข้าไปหาแต่ก็ลังเล



“มาเร็วเตี้ย”



“ไปกินสิ ไอ้นั่นไม่กัดหรอก” ผมว่ายิ้มๆ ลูบหัวมันเบาๆ



“ใช่ ไม่กัดแกหรอก แต่อยากกัดเจ้าของ”



“มึงเป็นหมาเหรอ”



“คนก็กัดได้จมเขี้ยวนะครับ อย่าดูถูกเชียว” ริมฝีปากหยักยกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว ผมจิ๊ปากหันกลับมามองจอสี่เหลี่ยมอย่างเดิม ไม่สนใจไอ้คนที่กำลังพยายามใช้ขนมล่อหมาต่อ ก่อนจะลองใช้ลิ้นแตะฟันตัวเองดูบ้าง



ผมก็มีเขี้ยวเหมือนกันเถอะ! กัดมากัดกลับก็ได้นะเว้ย!



เจ้าตัวสี่ขายืนขึ้นหลังจากนั่งมองผมด้วยสายตาออดอ้อนอยู่นานแต่ไม่เป็นผล มันก้าวไปหาไอ้โซลทีละนิด...ทีละนิด ไอ้โซลคุกเข่าลงกับพื้นยื่นแท่งขนมออกมาข้างหน้า เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อว่าปิ๊กมี่จะเข้าไปกินหรือเปล่า



ปิ๊กมี่ดมนิดๆ ผมหลุดขำเมื่อพอมือไอ้โซลขยับมันก็ตกใจถอยออกมา



นับว่าเป็นคนที่มีความพยายามสูงอยู่เหมือนกัน หรือไม่วันนี้ม้าก็อาจลืมให้อาหารปิ๊กมี่ ไอ้โซลลองยื่นขนมออกไปข้างหน้าอีกครั้ง รออยู่อย่างนั้นนิ่งๆ จนผมแอบเมื่อยแทน จมูกยาวๆ เข้าไปดมฟุตฟิตลองเชิง ก่อนมันจะอ้าปากงับขนมเข้าปาก



คนบนพื้นร้องเยสออกมาเบาๆ ไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวหมาเตลิด มันป้อนขนมชิ้นต่อไปอย่างใจเย็น ระยะห่างระหว่างคนกับหมาก็หดสั้นลงมาเรื่อยๆ โดยที่หมาผมไม่น่าจะรู้ตัวว่าถูกลวงเข้าให้แล้ว



ผมยิ้มออกมาบางๆ เมื่อไอ้โซลเงยหน้าขึ้นมองผมขณะที่มือข้างหนึ่งป้อนขนม มืออีกข้างก็ลูบหัวมันไปด้วย



มันเป็นคนแรกที่เข้าหาปิ๊กมี่ได้เร็วมาก



หรือเพราะหมาผมตะกละ เขาเอาขนมมาล่อหน่อยก็คล้อยตามแล้ว...ไม่ได้การ ต้องจับมาสั่งสอนกันใหม่



เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์ทำให้ผมละสายตาออกมา เป็นแจ้งเตือนจากแอพอินสตาแกรมที่ผมไม่ได้อัพเดตมาสักระยะหนึ่ง



พอเห็นชื่อคนที่มารัวไลค์รูปก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดไป



เฟิร์สจะเชื่อไหมนะ...ถ้าเขารู้ความจริงคงจะเสียความรู้สึกมาก มันเหมือนผมรังเกียจเขายังไงยังงั้น



“แค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ คนอื่นไม่รู้หรอกว่าเราซ้อมหรือไม่ซ้อม”



คำพูดของไอ้โซลก็เข้าที แต่เฟิร์สจะรู้ได้ไงว่าเราอยู่ด้วยกัน...



คิดได้อย่างนั้นผมเลยกดเข้ากล้องแล้วเล็งไปทางไอ้คนที่กำลังเล่นกับหมา เผลอแป๊บเดียวปิ๊กมี่ก็ยอมให้มันกอดรัดขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย...





sscene  หมาใคร ทำไมใจง่าย





รูปเห็นหน้าไอ้โซลชัดมาก ไม่จำเป็นต้องแท็กเลย อัพปั๊บก็มีคนมาไลค์ปุ๊บ คอมเม้นท์เด้งขึ้นมาเร็วมากแต่ผมไม่ได้สนใจ พอเห็นชื่อเฟิร์สมากดไลค์ผมก็กดออกจากแอพ...เท่านี้ก็เรียบร้อย



ผมล้มตัวลงนอนราบไปกับโซฟา หาวออกมาทีนึง ในทีวีกลายเป็นเรื่องของสัตว์ประเภทอื่นไปแล้ว ผมเลยวางสายตาไปที่ไอ้คนบนพื้นที่กลายเป็นเพื่อนเล่นคนใหม่ของหมาผมแทน



“เล่นด้วยง่ายอยู่นี่หว่า”



ไอ้โซลพึมพำพลางเกาพุงมันไปด้วย



“ไม่เหมือนเจ้าของ”



ลดเสียงในทีวีเสร็จก็วางรีโมทลงกับเสียงดังเพื่อให้คนบนพื้นรู้ว่าผมได้ยินที่มันพูด



ไอ้โซลหัวเราะเหมือนรู้อยู่แล้ว มันป้อนขนมให้ปิ๊กมี่อีกชิ้นก่อนจะลุกขึ้น



“พอแล้ว พี่ซีนไม่ให้กินหมด”



ภาพสุดท้ายที่เห็นคือหมาขาสั้นของผมเดินตามเพื่อนใหม่ไป



กับไอ้โซลทำไมใจง่ายอย่างนี้นะปิ๊กมี่...











****











ผมขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตัว รอบกายเงียบสงัดจนได้ยินเสียงรถยนต์ที่กำลังถอยเข้ามาในบ้าน ป๊ากับม้าคงเพิ่งกลับมา อะไรสักอย่างบนตัวผมให้ความรู้สึกอบอุ่น ทั้งยังมาพร้อมกับกลิ่นโคโลญที่ผมคุ้นเหลือเกิน



พอลุกขึ้นนั่งเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ก็ตกลงไปอยู่ที่ตัก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมันพาดอยู่บนเบาะในรถของไอ้โซล...ทำไมมันชอบทำตัวเป็นคนดีนักนะ...



“ทำไมไม่ชวนโซลอยู่ทานข้าวด้วยล่ะลูก น่าจะแนะนำให้ม้ากับป๊ารู้จักบ้าง”



“ม้ารู้ได้ไงว่ามันมาบ้าน”



“ก็น้องเพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง”



“ผมเผลอหลับอ่ะ”



ม้าเดินเข้ามาหอมแก้มอย่างที่ชอบทำ ถามไถ่ถึงงานบวงสรวงวันนี้และปิดท้ายด้วยการให้ชวนไอ้โซลมาทานข้าวที่บ้านในครั้งหน้า



ผมนอนลงอีกครั้ง เอาเสื้อกันหนาวตัวใหญ่มาคลุมไว้เหมือนเดิม...จะว่าไปแล้วมันก็อุ่นดี ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค แจ้งเตือนขึ้นเยอะมากผมเลยกดปิดแจ้งเตือนไป แล้วผมก็ต้องตกใจเพราะรูปที่ผมลงคอมเม้นท์เกือบพัน...





HH5555  พี่โซลลลล กรี้ดดดดดดดด

mammp  พี่อยู่ด้วยกันเหรอคะ

DINGDDO  ผู้ชายหล่อกับหมา ละมุนอะไรอย่างนี้ <3<3<3

oohhoo  บ้านพี่ซีน!!!

Cat_kuki  กรี้ดสลบไปหลายรอบ T////T รอดูอยู่นะคะ

Tim_01  @sscene  มันไปบ้านมึงบ่อยขนาดไหน ทำไมเล่นกับปิ๊กมี่ได้แล้ว

HH_shhhh  ดีกับจัยยยยย อยากดูซีรีย์แล้วว

Jumper  ครุ่นครีส

F4444_  ครุ่นครีสด้วยคล





ผมอ่านไล่มาเรื่อยๆ ก็มาทำนองเดียวกันหมด แค่อยู่ด้วยกันก็ดีใจขนาดนี้เลยเหรอ แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าผมไปคอนโดมันตั้งบ่อยล่ะ อีกอย่างที่ผมอัพเพราะให้เฟิร์สเห็นว่าผมอยู่กับไอ้โซลจริงๆ เฉยๆ ไหนจะพวกเพื่อนนี่อีก เดี๋ยวผมค่อยไปตอบพวกมันในไลน์กลุ่มก็แล้วกัน



ผมไม่สามารถอ่านทุกคอมเม้นท์ได้เพราะมันเยอะมาก แต่ผมมาสะดุดอยู่ที่คอมเม้นท์นึง



Jubu_96  ถ่ายกันไปถ่ายกันมา น่าร้ากกกก



ลางสังหรณ์ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ อะไรคือถ่ายกันไปมา แต่พอกดเข้าไปดูในไอจีไอ้โซลเท่านั้นแหละ...รู้เรื่อง



เหมือนมันจะถ่ายปิ๊กมี่ที่นอนหมอบอยู่ข้างโซฟา แต่มันติดผมที่นอนอยู่บนโซฟามาด้วย ดีหน่อยที่มีเสื้อกันหนาวของมันที่คลุมตัวผมเอาไว้อยู่ แล้วส่วนหนึ่งของเสื้อบังหน้าผมเอาไว้ครึ่งนึง ไม่งั้นน่าเกลียดตาย





Soul_kr  น่ารัก





ผมเม้มปาก เอาหน้าซุกลงกับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่โดยไม่รู้ตัว คอมเม้นท์ของมันพุ่งพรวดมากกว่าของผมอีก อาจเพราะใครหลายคนกำลังจับคู่ให้เราอยู่เลยคิดว่าแคปชั่นนั่นหมายถึงผมล่ะมั้ง ทั้งๆ ที่มันหมายถึงหมาที่นอนจ้องไอ้คนถ่ายตาแป๋วนั่นต่างหาก!



แต่ที่ไหนก็คงไม่คึกคักเท่าในทวิตเตอร์ พวกเธอแคปหน้าจอที่ผมกับไอ้โซลอัพแล้วโพสคู่กัน...





@tingjating

อยากชมเค้าตรงๆ แล้วป๊อด งั้นทำเป็นชมหมาเนียนๆ แล้วกันเนอะ #fof #โซลซีน



@mini_jj

เราโคตรเชียร์คู่นี้ #โซลซีน น่ารักมากกกก อยากดูเร็วๆๆ #fof



@ishipyounaokay

เห็นเพื่อนพี่ซีนเม้นแซวในไอจีพี่ซีนด้วย ยังไงคะยังไง!!!!??? #fof #โซลซีน



@mousesassy

ในเรื่องยังไม่เริ่ม แต่ในชีวิตจริงเค้าไปกันถึงไหนแล้วคะเนี่ย #โซลซีน



@ppero_o

พี่ซีนไม่อัพตั้งนาน อัพล่าสุดอัพรูปโซลซะงั้น ฟหกาดทฟสสฟวหากทดหกาวฟส #fof #โซลซีน



@PPPETERB

แคปชั่นเต็มๆ อาจจะเป็น...หมาน่ารักแต่พี่ซีนอ่ะน่าเลิฟ #fof #โซลซีน

@ahhhhaaaa

@PPPETERB หรือจะเป็น...หมาน่ารักแต่พี่ซีนอ่ะน่ากิน— แค่กก #โซลซีน



@oohhoo

นั่นบ้านพี่ซีนแล้วก็หมาพี่ซีนค่ะ!! เราส่องจากในบ้าน พี่โซลน่าจะมาตั้งแต่บวงสรวงเสร็จแล้วเพิ่งกลับไปตอนเย็น T////////////T #fof #โซลซีน



@kungpeuak

เรือแล่นไวอะไรอย่างนี้ #fof #โซลซีน






น้องอู้วหูวอยู่แถวบ้านผมจริงๆ เหรอเนี่ย!!



แต่ถ้าเห็นแค่ภายนอกคงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าไม่เอากล้องส่องทางไกลส่องเข้ามาดูในบ้านว่าผมทำอะไรบ้างน่ะนะ น้องเขาคงไม่ทำอย่างนั้นใช่ไหม...?



ผมเพิ่งรู้ว่าแค่นี้ก็ทำให้พวกเธอมีความสุขกันได้ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ ที่ผมทำไปกลายเป็นว่าเป็นการสร้างกระแสไปแบบไม่รู้ตัว…ผมว่าไอ้โซลก็น่าจะคิดแบบนั้น





มันทำให้ทุกคนคาดหวังมากขึ้นด้วยใช่หรือเปล่า...เรื่องที่อยากให้ผมกับไอ้โซลคบกันจริงๆ



ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่การสร้างกระแส



มันคือการตลาด





...ซึ่งไม่ต่างจากการโกหกเลยสักนิดเดียว





...





****

โอ๋เอ๋นะคะคนน่ารัก

เดี๋ยวก็ไม่ต้องโกหกแล้ว...เพราะเราจะทำให้พี่สมยอมอิน้องเอง!!

 ---------------------

ตอบคอมเม้นท์

ม เป็นอักษรต่ำ ซึ่งจะไม่ใช้วรรณยุกต์ตรีกับจัตวา ม้า เฉยๆ อาจดูแปลกเพราะส่วนใหญ่อาจชินกับ ม๊า 5555

หม่าม้า อย่างงี้น่าจะดูคุ้นกว่าเนอะ แต่ให้ซีนเรียกหม่าม้าดูแบ๊วไปเราเลยให้เรียกม้าเฉยๆ 555

แต่ก็ขอบคุณที่บอกนะคะ มีอะไรก็สามารถบอกกันได้เลยค่ะ ^ ^/

  ---------------------

อาทิตย์หน้าจะอัพเป็นตอนพิเศษวันวาเลนไทน์นะคะ โฮะๆ

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ด้วยค่ะ *โค้ง* ^-^

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 08-02-2017 23:30:50
พี่ซีนอย่ากังวลไปเลยค่า
คนอื่นไม่มีใครคิดว่าพี่โกหกซักคน  :z2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-02-2017 23:55:27
พี่ซีนขี้เกรงใจจัง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 09-02-2017 00:38:51
พี่ซีนคนดีไปอีกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 09-02-2017 05:07:36
พี่ซีนคะน้องไม่ได้โกหกค่ะ
น้องส่งเรือมาแล้ว รอแค่ให้พี่ซีนแจวค่ะ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-02-2017 07:38:26
โซล ซีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-02-2017 10:35:20
//โยนไม้พาย  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 09-02-2017 11:32:23
 o13
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 09-02-2017 15:05:18
โซลซีนนนนนนนนนนนนนนนนน :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: idoloveyou555 ที่ 09-02-2017 19:01:43
 :hao7: :z1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 10-02-2017 00:24:43
ยังไงคะพี่ซีน ?
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: kamaji ที่ 13-02-2017 23:04:55
 :o8:ชอบๆๆๆ มาต่อไวๆนะค๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 7 - (8/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 14-02-2017 10:20:37
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ - (14/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 14-02-2017 21:53:35



SPECIAL VALENTINE’S DAY







แดดประเทศไทยในตอนบ่ายร้อนซะจนทำให้คนที่เพิ่งลงจากรถดูฮอตขึ้นอีกเป็นสองเท่าตัว ช่วงขายาวก้าวเดินเข้าไปใต้ตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ใบหน้าและรูปร่างอันโดดเด่นเรียกสายตาหลายคู่ให้จ้องมอง แต่คนที่ตกเป็นเป้าสายตากลับไม่ได้สนใจแม้แต่นิด



จะว่ายังไงดีล่ะ...เขาชินซะแล้วล่ะมั้ง



“คิดว่าเดินแบบอยู่เหรอสัด”



ได้รับคำทักทายจากเพื่อนด้วยสีหน้าหมั่นไส้ แต่คนมาใหม่กลับทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ไอ้กันล่ะ”



“เห็นอยู่เมื่อกี้แว๊บๆ ไปซื้อน้ำมั้ง” บอล เพื่อนผิวเข้มที่นั่งฝั่งตรงข้ามตอบ “เป็นไร ทำหน้าเป็นตูด”



คนถูกถามถอนหายใจ “เซ็ง”



“เชี่ยโซลแม่งเซ็งในวันวาเลนไทน์ว่ะ”



จบประโยคฟ้องร้อง เพื่อนทั้งโต๊ะหันมาทำหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะพ่นคำหยาบใส่รายคน



แค่เซ็งนี่ผิดอะไรวะ?



“น้องโต๊ะนั้นเล็งมึงตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว”



“ของขวัญในมือพี่แป้งกูว่าก็ของมึง”



“น้องกลุ่มนั้นลุกมาแล้วว่ะ!”



“เนี่ย มึงจะเซ็งเชี่ยอะไร”



คำว่าเซ็งของเพื่อน เขาคิดว่าพวกมันคงหมายถึงการที่ไม่มีสาวมาสนใจ จะสนไม่สนเขาไม่แคร์หรอก ไม่ได้เซ็งเรื่องนี้สักหน่อย



โซลมองตามกลุ่มเด็กปีหนึ่งที่เพื่อนพูดถึง น้องพวกนั้นกำลังเดินมาทางกลุ่มเขาจริงๆ ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองนักหรอกเพราะในที่นี้ไม่ได้มีเขาที่หน้าตาดีคนเดียวสักหน่อย แต่สายตาหญิงสาวหน้าหมวยๆ นั่นจ้องมาที่เขาอย่างเปิดเผยนี่สิ...



“พี่โซลคะ”



“ครับ?”



“ขอติดสติ๊กเกอร์ได้ไหมคะ”



โซลเลิกคิ้ว ก้มมองเสื้อนักศึกษาของตัวเอง สติ๊กเกอร์อันเล็กๆ อันเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง



“ได้ครับ”



“เอาแล้วเว้ยยยยย”



บอลร้องขึ้นเมื่อมือขาวๆ นั่นแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีแดงลงบนหน้าอกข้างซ้ายของเขา นิ้วเรียวลูบอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นอย่างจงใจก่อนจะผละออก บอกลาไปพร้อมรอยยิ้มเอียงอายต่างกับสิ่งที่พยายามจะสื่อ



“ขอบคุณครับ” โซลยิ้มบางๆ กลับไปให้ รู้ว่าหญิงสาวต้องการอะไร เขาเจอแบบนี้มาเยอะ เล่นด้วยบ้าง ไม่เล่นด้วยบ้าง แต่หลังจากเจอคนคนนึงเมื่อเทอมที่แล้ว ก็ไม่อยากเล่นกับใครอีกเลย



“จัดเลยมึง” ไมค์ คนที่เกากีตาร์อยู่อีกมุมของโต๊ะพูดขึ้น



“ไม่เอา”



“น้องไม่โดน? ก็มึงชอบหมวยๆ ไม่ใช่เหรอ”



“เฉยๆ ว่ะ”



“มึงตายด้านไปแล้ว?”



ยกนิ้วกลางใส่เพื่อนแทนคำตอบก่อนจะหันมาสนใจโทรศัพท์ในมือตัวเองแทน



เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทดังอย่างต่อเนื่องจนเพื่อนรอบตัวเบ้ปาก ไล่ดูคนที่ทักมาก็ต้องถอนหายใจ เขาไม่ได้หยิ่ง ไม่ได้กั๊กอะไรทั้งนั้น ถ้าจีบคือจีบ ไม่สนคนอื่น ถ้าช่วงนั้นว่าง เล่นคือเล่น ไม่มีจริงจัง



แต่ที่เขาหงุดหงิดเป็นเพราะมีทั้งคนหน้าใหม่ และคนหน้าเดิมที่ยังเอาแต่ตื๊อ คิดว่าเขาเล่นตัวไปอย่างนั้น แต่เปล่าเลย... ต้องให้เขาพิมพ์ประโยคนี้อีกสักกี่ครั้งกัน





soul.kr : มีคนที่ชอบแล้วครับ





จริงๆ แล้วก็ไม่ผิดที่พวกเธอจะคิดอย่างนั้น เพราะตั้งแต่ขึ้นปีสองมาคงไม่มีข่าวเม้าท์ของสาวๆ ว่าเขาตามจีบใคร ควงใคร หรือคุยกับใครอยู่ล่ะมั้ง



ก็อยากคุยอยู่หรอก...แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง



“อ๋อ! อย่าบอกนะว่าเรื่องพี่คนนั้นมึงจริงจัง”



“เออดิ” ตอบเพื่อนทั้งที่มือยังพิมพ์ข้อความเดิมซ้ำอยู่อย่างนั้น



“เทอมสองแล้วนะ พี่เขารู้จักมึงยัง”



แล้วบอลก็ต้องเอามือกุมขมับเมื่อเพื่อนส่ายหน้า แม่ง...นี่ไอ้โซลจริงๆ เหรอวะ? ถ้าเพื่อนคนนี้ถูกใจใครวันเดียวก็คุยกันได้เป็นร้อยประโยคแล้ว แต่กับรุ่นพี่คณะบัญชีที่ต้องตาต้องใจมันตั้งแต่เทอมหนึ่งยังไม่แม้แต่รู้จักกัน!?



“แล้วที่ไอ้กันไปสืบมาให้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยเหรอ” ไมค์วางกีตาร์แล้วเขยิบเข้ามาแทรกกลางระหว่างโซลกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเพื่อคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง



ไอ้โซลกลายเป็นคนกาก ประเด็นร้อนอย่างนี้จะพลาดไม่ได้



“กูก็คิดอยู่”



“คิดอะไรตั้งครึ่งปีไอ้ควาย”



“พี่เขาดูเข้าถึงยากนี่หว่า ไปจีบตรงๆ ก็กลัวโดนเกลียด ฉิบหายเลยนะเว้ย”



คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน มือควงโทรศัพท์เครื่องบางเล่นอย่างคนกำลังใช้ความคิด แต่ก็เข้าอีหรอบเดิม คือสุดท้ายแล้วความขลาดก็ปัดทุกแผนการทิ้งไป เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะเข้าไปทำความรู้จักยังไงให้แนบเนียนที่สุด และไม่พลาดแสดงอะไรออกไปที่จะทำให้คนคนนั้นรู้สึกไม่ดี



“พี่โฟร์กับพี่ทิมก็เพื่อนในกลุ่มพี่เขาไม่ใช่เหรอ เข้าทางนั้นสิวะ” บอลออกความเห็น



“ชวนไปกินเหล้าเลย มอมแม่ง” ไมค์เอนตัวออกห่างเมื่อเห็นว่าเพื่อนทำท่าจะเอาโทรศัพท์มาโขกหัว...พูดแค่นี้ก็ขึ้น สงสัยคนนี้เพื่อนเขาเอาจริงเว้ย!



“เดี๋ยวดิวะ แค่จะบอกว่าเวลาเมามันคุยกันง่าย จะได้สนิทกันเร็วๆ ไม่ได้ให้มึงไปทำอะไรพี่เขาซะหน่อย”



“เฮ้ย นี่ก็ดีนะเว้ย”



“แผนนี้เข้าท่าๆ”



คนอื่นๆ ในโต๊ะก็โงหัวออกจากงานมาร่วมสนับสนุน เจ้าของความคิดยิ้มกว้าง เพื่อนจะได้หายเซ็งสักที



“กูเคยเห็นรูปพี่เขาไปร้านเหล้าในไอจีพี่ทิม…เมื่อสองปีที่แล้ว”



แล้วทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ คนเจ้าแผนการถอนหายใจไปหนึ่งเฮือก หรือเขาควรจะแนะนำเพื่อนให้ไปบนเก้าวัดแทนดี?



“กูว่ามึงจะเจอพี่เขาได้ง่ายสุดคือในมหา’ลัย แต่ถ้าอยากรู้ว่าพี่เขาไปไหนบ้างก็ขับรถตามเลยดิ”



“แนะนำเชี่ยไรไอ้บอล ยังกับสตอล์กเกอร์”



“เคยตามแล้ว” ไมค์หน้าเหวอ “มีไปห้างบ้าง แต่ส่วนมากอยู่บ้าน”



“โซเชียลล่ะ”



“ไม่ค่อยเล่นว่ะ” พอพูดถึงเขาก็กดเข้าไปในอินสตาแกรม เสริชชื่อที่จำได้ขึ้นใจ เขาไม่ได้กดติดตามเลยรู้สึกขอบคุณมากที่อย่างน้อยรุ่นพี่คนนี้ไม่ได้ตั้งไพรเวทเอาไว้



“เชี่ย” หลุดเสียงอุทานเมื่อเห็นรูปล่าสุดที่เพิ่งอัพเดตไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว





sscene  ต่อไปจะมาบ่อยๆ





รูปชาเขียวปั่นธรรมดาๆ แต่โซลรู้ว่ามันคือของโปรดของรุ่นพี่คนนี้ และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือชื่อร้านที่เช็คอินต่างหาก...



ร้านใต้คณะเขานี่หว่า





Tim_01  @sscene  บอกแล้วว่าอร่อยกว่าที่คณะมึง

Jumper  ถูกใจจนต้องถ่ายลง

F4444_  อย่าแซวเพื่อน เพื่อนชอบ





“พี่เขาอยู่ร้านน้ำคณะเราว่ะ”



“ฮะ!”



“ตอนนี้!?”



กลายเป็นทั้งสามคนที่ลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก เขาควรจะดีใจไหมที่เพื่อนอินด้วยขนาดนี้ บอลกับไมค์ลุกขึ้นเก็บของ แต่คนที่ชอบกลับทำหน้าลังเลนั่งอยู่กับที่



“ไปสิมึง รออะไร”



“เดี๋ยวก็ชวดหรอก ไอ้โซลลุก!”



“ไปแล้วจะได้อะไรวะ”



“ได้เจอไง อย่าป๊อด!”



“เจอตรงนี้ก็ได้ ถ้าเดินออกมาก็เห็น”



“พี่เขาอยู่กับพี่ทิมพี่โฟร์ใช่ไหม นี่แหละโอกาสทอง”



โซลก้มลงมองภาพตรงหน้าอีกครั้ง ไอ้อยากรู้จักน่ะก็อยาก แต่กลัวมันก็กลัว ถ้าทำอะไรพลาดไปกลัวว่าจะเข้าหาพี่เขาไม่ได้อีกเลย เขาเลยอยากระมัดระวังทุกย่างก้าว ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าอีกไกลแค่ไหนถึงจะได้เขยิบเข้าไปใกล้กับรุ่นพี่คนนั้น





“เฮ้ย นั่นไง!”





บอลกับไมค์ทรุดตัวนั่งลงอย่างเดิม ทั้งกลุ่มเงียบกริบอย่างผิดสังเกต โซลคิดว่าตัวเองหยุดหายใจไปแล้วซะด้วยซ้ำ เขานั่งอยู่ไกลขนาดนี้ยังรู้สึกประหม่าเหมือนคนคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้า มองร่างบางที่ยืนถือแก้วชาเขียวปั่นอยู่กับเพื่อนสามคน และสองคนในนั้นคือรุ่นพี่ที่เขารู้จัก...ถึงขั้นสนิทเลยด้วยซ้ำ



...แต่ก็ยังไม่กล้าอยู่ดี



นานเหมือนกันที่ไม่ได้เจอ แม้เขาจะตามดูในโซเชียลอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวสักเท่าไหร่ โซลจ้องมองรอยยิ้มหวานอยู่อย่างนั้นจนอดยกยิ้มตามไม่ได้





รอยยิ้มนั้นยังเหมือนเดิม



หวานเหมือนเดิม



เหมือนวันแรกที่เจอ



แต่ที่แปลกไปก็คงจะเป็นหัวใจ...ที่เต้นผิดจังหวะ...ทุกครั้งที่เจอ





...พี่ซีน...





“หน้าเพ้อสัด”



“มึงไม่ลงมือกูว่ามีคนคาบไปแดกแน่”



“เห็นเบลอๆ ยังรู้เลยว่าน่ารักโคตรของโคตร”



“ไปดูใกล้ๆ ได้ป่ะ ทำเนียนไปทักพี่ทิมงี้”



“หยุดเลยพวกมึง เดี๋ยวพี่เขารู้”



“จะรู้ได้ไงแค่เข้าไปทักพี่คณะเราเอง”



โซลเงียบไปสักพัก “คราวหน้าเหอะ หรือไม่ก็เอาไว้เขาเป็นแฟนกูแล้วจะพามาให้ชม”



“เชี่ย เป็นเอามากว่ะ” ไมค์ยกมือยอมแพ้ หมดหนทางที่จะช่วยเพื่อน คราวหน้าของมันคือหน้าไหน...ชาติหน้าหรือเปล่า? กำแพงว่าสูงแล้ว แต่เพื่อนไม่กล้าแม้แต่จะ ‘ลอง’ ข้ามไปนี่สิ ยากในยาก หยิบกีตาร์มานั่งเกาต่อให้สบายใจดีกว่า



บอลเอี้ยวตัวไปมองคนที่เพื่อนชอบ พวกเขาเคยเห็นแต่ในรูปที่โซลเปิดให้ดู เพิ่งเจอตัวเป็นๆ ก็วันนี้ สายตาสั้นๆ ที่ไม่ได้ใส่แว่นทำให้มองเห็นเป็นภาพเลือนลางเหลือเกิน แต่หน้าเพื่อนของตัวเองเขาเห็นชัด ชัดมากว่ามันหน้าตาดี คารมได้ นิสัยไม่ได้แย่ ที่ไม่ยอมลงมือเพราะความคิดของตัวเองล้วนๆ



“กูว่ามึงเอาพี่เขาขึ้นหิ้งไป อย่าทำเหมือนเขาแตะต้องไม่ได้ขนาดนั้นดิวะ เพราะอย่างงี้ไงมึงถึงไม่กล้าจีบสักที”



“กูแค่ไม่อยากรีบร้อน จะว่ากูป๊อดก็ได้แต่กูกลัวทุกอย่างมันพังว่ะ ถึงตอนนั้นมันคงทรมานกว่านี้”



ไม่อยู่ในสายตาเพราะเขาไม่รู้จัก ยังดีกว่าไม่อยู่ในสายตาเพราะเขาเกลียด



ถึงพี่ซีนจะหน้าตาน่ารักมากขนาดไหน แต่ดูแล้วไม่น่าจะมาชอบเขาได้เลย



“พี่ซีนชอบคนคนนึงอยู่”



“มีแฟนยังเลิกได้ แต่งกันแล้วก็หย่าได้ นับประสาอะไรกับแค่ชอบ ถ้ามึงยังลีลาเรื่องจะยิ่งยากไปมากกว่านี้” เพื่อนผิวเข้มว่า ก่อนจะควานหาแว่นในกระเป๋ามาใส่จนได้ พอหันกลับไปมองก็เห็นแผ่นหลังบางๆ เดินไปไกลลิบแล้ว



“เชื่อพวกกูเถอะ มึงรู้เรื่องพี่เขาตั้งเยอะ ดึงมาใช้ให้เป็นประโยชน์” ไมค์เองแม้มือจะไล้ไปตามสายแข็งๆ ของกีตาร์ตัวโปรดแต่สายตาก็จับจ้องไปที่รุ่นพี่ตัวขาวนั่นเหมือนกัน



ทำให้เพื่อนเขาเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้...ไม่ธรรมดา



“พอแล้วมั้ง กูว่าพี่เขาคงถึงคณะแล้ว” คนมาใหม่ทำหน้าเอือมเมื่อเห็นเพื่อนทั้งโต๊ะหันมองไปทางเดียวกันหมด พวกมันไม่รู้หรือไงว่าแค่นั่งรวมกันก็เป็นจุดสนใจจะแย่แล้ว หญิงสาวหลายคนก็พากันมองตามพวกมันไปด้วย



ไอ้โซลนะไอ้โซล ไหนบอกจะเนียนๆ แต่นี่เล่นจ้องตาไม่กะพริบ



“มึงไปไหนมา”



“ถ้ากูบอกว่ากูอยู่ในร้านน้ำล่ะ”



โซลเดาะลิ้น “นั่งตรงไหน”



“ใกล้ๆ โต๊ะพี่ซีนเลย” ยิ้มเยาะใส่เพื่อน “ถึงกูบอกไปมึงก็ไม่มาอยู่ดี”



กันยักไหล่ ไม่สนใจสีหน้าแค้นเคืองของเพื่อนสนิท เขารู้เรื่องของพี่ซีนเยอะพอๆ กับโซล เพราะเรื่องพี่ซีนที่โซลรู้ส่วนหนึ่งมาจากที่เขาเป็นคนไปสืบมาให้ เขารู้ว่าเพื่อนมีโอกาสน้อยนักที่จะได้เจอรุ่นพี่ในดวงใจ แต่ที่ไม่ได้โทรเรียกเนี่ย เพราะเพื่อนของเขามีโอกาสจะได้เจอและใกล้ชิดพี่ซีนเต็มๆ ตลอดหลายเดือนต่างหาก



“พี่ปุ้ยอะไรนั่นยังตื๊อมึงอยู่ไหม”



“ไม่เจอมาอาทิตย์นึงแล้ว”



“มึงไม่เล่นจริงๆ เหรอ บทพระเอกเลยนะ”



“ไม่ได้อยากทำนี่หว่า ตอนละครเวทีนั่นก็เหนื่อยจะตายห่า”



“คิดดีๆ”



“พี่ปุ้ยจ้างมึงมาเหรอ กูบอกว่าไม่คือไม่ ไม่เด็ดขาด”



“แต่พี่ซีนไปแคสเรื่องนี้นะเว้ย”



“ก็ช่าง — ฮะ! มึงว่าไงนะ!?”



กันพยักหน้ายิ้มๆ เขาต้องลงทุนซื้อน้ำไปสองแก้วเพื่อนั่งฟังพี่ซีนคุยกับรุ่นพี่คณะตัวเองต่อ ทั้งๆ ที่ปวดอยากจะเข้าห้องน้ำจะแย่ แต่ก็คุ้ม เพราะเรื่องที่เขารู้มาทำให้เพื่อนที่ในตอนแรกแสดงสีหน้าหงุดหงิด ปฏิเสธหนักแน่นตอนนี้ดูไร้สติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



โซลคว้าเอากระเป๋ามาค้นทุกซอกทุกมุมเหมือนหาอะไรสักอย่างที่สำคัญเอามากๆ



“หาอะไรวะ” คนถูกถามไม่ตอบ คิ้วขมวดคลายลงเมื่อเจอกระดาษแผ่นเล็กๆ อยู่ในกระเป๋าสตางค์ การกระทำที่ทำให้เพื่อนไม่เข้าใจเท่าไหร่ บอลกับไมค์เลยหันไปถามกันต่อ



“มึงรู้ได้ไงวะไอ้กัน”



“กูแอบฟังมา พี่ซีนโดนบังคับให้ไปแคส เหมือนว่าพี่ปุ้ยจะรู้จักกับแม่ของพี่ซีน แล้วพี่เขาก็รับปากแม่เอาไว้แล้วด้วย ไอ้โซลถ้ามึงไม่ไปเดี๋ยวกูไป —”





“พี่ปุ้ยใช่ไหมครับ ผมโซล”





ทุกคนบนโต๊ะอ้าปากค้างไปตามๆ กันเมื่อเพื่อนตัวดีลุกเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่อื่น ได้ยินแว่วๆ ว่าคนที่เพื่อนโทรหาคือบุคคลที่ตามตื๊อให้เพื่อนของพวกเขาไปเล่นซีรีส์เรื่องนี้อยู่นานสองนาน ซึ่งก็ปฏิเสธมาโดยตลอด แต่นี่กลับ...เป็นฝ่ายโทรหาเขาเองซะอย่างนั้น



“กูว่ามันได้เล่นเรื่องนี้”



“จะเหลือ พี่เขาอยากได้มันไปแสดงขนาดนั้น”



“แต่ถ้าพี่ซีนไม่ได้ล่ะ”



“กูว่าได้”



“มึงดูมั่นใจจังวะ”



“จากที่ฟังพี่ซีนเล่า กูว่าเขาก็อยากได้พี่ซีนไปแสดงมากพอๆ กับไอ้โซลนั่นแหละ”



“หึหึ ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าเพื่อนเราจะรุกยังไง”



“ระดับไอ้โซล กูว่าไม่รอด”



“พี่ซีนอ่ะนะ”



“ไอ้โซลน่ะสิไม่รอด”



“ตายคากำมือพี่เขาแน่ๆ แค่เริ่มอาการยังหนักขนาดนี้”



“กูก็ว่างั้น”



นึกถึงท่าทางชวนฝันของเพื่อนยามพูดถึงพี่ซีนก็ได้แต่ขำออกมา เพื่อนของพวกเขาคงเจอของจริงเข้าให้แล้ว



“ว่าแต่มันบอกว่าเจอพี่ซีนครั้งแรกที่นี่ ทำไมมีมันเห็นอยู่คนเดียววะ งานดีขนาดนี้ต้องเตะตาคนอื่นบ้างสิ นี่พวกเราไม่มีใครเห็นสักคน”



“มึงบุญไม่ถึงไงไอ้ไมค์”



คนถูกว่ายักไหล่กลับอย่างไม่ยี่หระ “เจอก่อนแล้วไงวะ ก็เห็นมันได้แต่มอง”



กันพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะตอบกลับด้วยประโยคที่ทำให้ทั้งโต๊ะหัวเราะร่วน



“เขาถึงเรียกว่าบุญมีแต่กรรมบังไงล่ะวะ”



เสียงเฮฮาแผ่วลงเมื่อเจ้าของบทสนทนาเดินกลับมา เห็นเพื่อนหน้าชื่นมื่นก็อดเบ้ปากใส่อย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งมองของในมือก็ยิ่งลงความเห็นกันว่ามันบ้าไปแล้ว



แก้วชาเขียวปั่นถูกวางลงบนโต๊ะโดยที่คนซื้อไม่เคยแม้แต่นึกอยากลอง ‘ชิม’ มันด้วยซ้ำ



โซลยกยิ้ม ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็ดูเหมือนเพื่อนจะเข้าใจทุกอย่างกันแล้ว ไมค์กับบอลล่ะอยากถ่ายรูปหน้าเพื่อนเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วกับตอนนี้เอามาเทียบกันจริงๆ จะได้รู้ว่าหน้ามือกับหลังตีนที่แท้จริงเป็นยังไง



เมื่อเห็นว่าเพื่อนมีทางไปต่อทุกคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ไมค์ส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมายังเห็นว่าไอ้คนข้างตัวยังอมยิ้มอยู่นิดๆ ก็เลยดีดเพลงรักขึ้นมาให้มันนั่งเล่นเป็นพระเอกเอ็มวีสักเพลง...หวังว่าเอ็มวีภาคต่อจะมีพี่ซีนมานั่งตรงนี้กับมันด้วยก็แล้วกัน



โซลกดเข้าแอพพลิเคชั่นลงรูปสุดฮิตอีกครั้ง นั่งมองรูปเดิมๆ ของคนเดิมๆ อย่างไม่รู้จักเบื่อ



ในวันที่มีคนโพสรูปคู่รักเต็มไปหมด แต่กลับมีคนสองคนที่ลงรูปแก้วน้ำธรรมดาๆ แต่พิเศษมาก...สำหรับคนคนนึง







วาเลนไทน์ปีนี้เขาได้รับโอกาสที่จะเข้าหา



โซลก็ได้แต่หวังว่าวาเลนไทน์ปีหน้า…เราจะได้อยู่ด้วยกัน







soul_kr  จะรอนะครับ J







****

สุขสันต์วันแห่งความรักค่ะ <3

เอามาให้เห็นถึงมุมของคนน้องกันบ้างว่าที่หวงนักห่วงหนาน่ะเพราะอะรายย

เค้าก็ชอบของเค้าอ่ะเนอะะ55555

ยังไงก็ฝากติชมได้เน้อ ในนี้หรือแท็ก #ข้างหลังฉาก ก็ได้น้า

เจอกันตอนที่ 8 อาทิตย์หน้าค่า ^ ^/ 
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ - (14/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Pakbung Mazo ที่ 15-02-2017 02:19:40
น่ารักมาก เขินเป็นผีบ้าเลย งือ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ - (14/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 15-02-2017 02:24:16
เป็นกำลังใจให้โซลจีบพี่ซีนติดไวๆนะ
จะรอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ - (14/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-02-2017 07:42:08
เอาใจช่วย อิอิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ - (14/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-02-2017 08:51:35
พอตัวจริงเป็นซีน โซลก็ฝ่อ
กลัวไปหมด อานุภาพรักใช่มั้ย  :mew1: :mew1: :mew1:
ทั้งที่แอบรักมาตั้งนาน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ - (14/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 15-02-2017 18:19:49
โซลลูก บุกเลย โอ้ยยยย น่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ - (14/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 16-02-2017 22:53:31
เขินมาก เขินตามโซลเลย
อาการหนักสุดดอะ
นี่เป็นซีนลิซึ่มแน่ๆ5555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 8 - (21/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 21-02-2017 20:53:34



ตอนที่ 8







ในใจสั่นรัวไม่หยุดเพราะความตื่นเต้นและความประหม่า แต่ผมก็ต้องเก็บมันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่พยายามทำให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด



สถานที่ถ่ายทำคือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ทีมงานเดินกันให้ควัก อุปกรณ์เยอะแยะ นักแสดงและตัวประกอบก็ละลานตาไปหมด



เมื่อเช้าไอ้โซลมาหาที่บ้านทั้งๆ ที่ผมบอกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าไม่ต้อง แต่มันก็ให้เหตุผลมาว่าผมคงไม่อยากไปถึงที่นั่นก่อนคนเดียวและกลัวว่าผมจะหลงทาง...



...แสนรู้…



ตัวผมเองก็ปฏิเสธไปไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ด้วย...ก็คนมันไม่ค่อยได้ขับไปไหนนี่หว่า เกรงใจนะแต่เป็นวันแรกของการถ่ายทำ มีเพื่อนอยู่ด้วยตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านก็พอช่วยลดความเกร็งลงไปได้บ้าง



ทุกคนอยู่ในชุดนักศึกษา ผู้ชายสี่ห้าคนนั่งล้อมวงคุยสัพเพเหระกันทั่วไป บางคนก็ก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน รอบกายคือนักศึกษาที่นั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างพวกผม



ขนาดคนเยอะขนาดนี้ ไอ้โซลก็นั่งอยู่ข้างๆ ยังอดประหม่าไม่ได้ มือผมเย็นเฉียบขณะพยักหน้าเออออ หัวเราะร่วนไปกับนักแสดงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม



แล้วเฟิร์สก็เดินเข้ามา...พร้อมกับวางแก้วน้ำอัดลมไว้ตรงหน้าผม



“เผื่อคอแห้ง”



คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินมาจากไอ้คนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ตอนนี้ มันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าผมแทน



“อย่ากินของไม่มีประโยชน์เลย” ว่าไม่พอมันยังโยนแก้วน้ำนั่นทิ้งอย่างไม่ใยดีอีกด้วย!



ผมเบิกตากว้าง ลุกขึ้นยืนคั่นกลางระหว่างผู้ชายสองคนที่พุ่งเข้าหากันอย่างเอาเรื่อง ทุกคนที่นั่งอยู่แถวนั้นก็หันมามองอย่างสนอกสนใจ ผมดันอกไอ้โซลเอาไว้ ส่ายหน้าใส่มันเพื่อบอกให้รู้ว่าอย่ามีเรื่องกัน



เด็กตัวสูงถอนหายใจฮึดฮัดก่อนดึงมือผมให้เดินตามมันออกไปจากตรงนั้น





“คัท!”





สิ้นเสียงเหล่านักแสดงหน้าใหม่ก็ไหล่ลู่ตกลงทันที แน่นอนว่าแอบเกร็งกันบ้างอยู่แล้วแม้จะผ่านมาหลายฉากแล้วก็เถอะ



การถ่ายทำสนุกดีจากที่ตอนแรกผมเครียดมาก ดีที่มีตัวโจ๊กในกลุ่มเพื่อนคอยสร้างสีสันจนบางทีก็หลุดหัวเราะและได้ถ่ายใหม่กันหลายครั้ง



หรือที่ยังไม่ค่อยกดดันมากอาจเพราะเป็นแค่พวกฉากที่อยู่กับเพื่อนเฉยๆ ก็ได้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าพอต้องเล่นฉากที่พีคๆ ผมจะทำได้ไหม แค่ฉากนั่งคุยหัวเราะกับเพื่อนในกลุ่มยังรู้สึกแปลกๆ ชอบกลที่มีทั้งกล้องและสายตาหลายสิบคู่จับจ้องอยู่แบบนี้



“มือพี่เย็นมากเลย ให้ผมจับต่อไหม” ผมตีมือมันที่ยื่นออกมาตรงหน้า ไอ้โซลหัวเราะพลางก้มตัวลงให้ทีมงานที่เข้ามาซับเหงื่อให้



“เป็นไงบ้างคะน้องซีน”



ผมยิ้มให้พี่ปุ้ยกับพี่บัวที่เดินเข้ามาหา ลมเย็นๆ จากพัดลมตัวจิ๋วของพี่บัวช่วยคลายร้อนให้ผมได้บ้างเล็กน้อย



“ก็ยังเกร็งๆ อยู่ครับ”



“แต่ดีขึ้นเยอะเลยค่ะ คุณแม่ติวมาดีใช่ม้า” ผมพยักหน้ายิ้มๆ แล้วเอ่ยขอบคุณพี่ทั้งสอง



จริงๆ แล้วหลังจากเรียนการแสดงมาม้าก็บังคับให้ผมแสดงให้ดู ตอนนั้นอายเลยแค่พูดๆ ไปตามบทแต่การแสดงออกอย่างกับหุ่นยนต์...ไม่ถูกใจคุณนายเขาอย่างแรง



ม้าบอกว่ารับไม่ได้มากถ้าคนอื่นมารู้ว่านี่คือลูกนางเอก(ที่เกือบจะ)ดังสมัยก่อน เลยจับผมอบรบไปหลายชั่วโมง ซ้ำยังให้แสดงให้ดูด้วยทั้งๆ ที่ผมเพิ่งไปซ้อมกับไอ้โซลมาทั้งวันแล้วเชียว แบบนี้จะไม่ให้ผมพัฒนาเลยก็กระไรอยู่ อีกอย่างคือกลัวเสียชื่อม้าด้วยแหละ...



“น้องโซลก็ด้วยนะคะ ฉากเมื่อกี้เหมือนหึงจริงเลย” พี่บัวใช้นิ้วชี้จิ้มๆ ไปที่แขนของไอ้พระเอก



คนถูกชมอมยิ้มกรุ้มกริ่ม “ขอบคุณครับ”



“แหมๆ ไม่ใช่ว่า...” พี่ปุ้ยไม่ได้พูดต่อ แต่สายตาที่มองผมที มองไอ้โซลที สลับไปมาอย่างนี้ก็ตีความได้ไม่อยากว่าหมายความว่าอะไร



ไอ้โซลยังคงยิ้มอยู่อย่างเดิม...ไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น



แม่ง...ทำให้กลุ่มสาวๆ ที่ตั้งตัวเป็นแฟนคลับคิดไม่พอ ยังต้องให้พวกพี่ๆ เขาคิดว่าพวกเรามีซัมติงกันอีกเหรอ!?







-







“เดี๋ยวเอาเสื้อมาคืนพรุ่งนี้นะ” ผมพูดขึ้นตอนที่เรานั่งพักกินข้าวกันในเวลาบ่ายกว่าๆ ว่าจะเอามาคืนวันนี้เลยแต่เมื่อเช้าดันลืม



“ยังไงก็ได้ผมไม่รีบ ไม่คืนเลยยังได้”



“จริงดิ งั้นเอาไปปูรองให้ปิ๊กมี่นอนดีกว่า”



“ไหงงั้นอ่ะพี่ซีน”



“อ้าว ก็มึงไม่อยากได้คืนแล้วนี่”



ผมถามตาใส ไอ้คนนั่งฝั่งตรงข้ามหน้ามุ่ย อะไรกัน...มันรังเกียจหมาผมเหรอ วันก่อนก็ยังเห็นเล่นกันอยู่ดีๆ แท้ๆ สร้างภาพนี่หว่า



“ของปิ๊กมี่เดี๋ยวผมซื้อให้ใหม่ ส่วนตัวนั้นถ้าพี่ไม่เก็บไว้ใส่เองก็เอามาคืนผมเถอะ” รู้สึกหวั่นใจแปลกๆ เมื่อใบหน้าหล่อๆ นั่นกลับมาเปื้อนรอยยิ้มอีกครั้ง “ผมจะได้คอยห่มให้เวลาพี่หนาวไง”



“ใครหนาว! ประเทศไทยร้อนจะตายชัก!”



“วันนั้นก็นอนขดตัวจนเกือบตกโซฟา เวลามาห้องผมก็พกเสื้อกันหนาวมาด้วยตลอด สรุปคือร้อน?”



ทำไมมันกลับตาลปัตรกลายเป็นผมที่หน้ามุ่ยแทนวะ!?



“ว...วันนั้นตื่นมาเหงื่อแตกเต็มเลยเหอะ!”



มันพยักหน้าหงึกหงัก “อ่า...งั้นผมจะจำไว้ว่าพี่เป็นคนขี้ร้อน” ว่าพลางใช้นิ้วชี้จิ้มจึกๆ ไปที่ขมับอีกด้วย



กวนตีน!



“แล้วใครสอนให้แอบถ่ายคนอื่นตอนหลับ”



กวนตีนมา ผมก็เปลี่ยนเรื่องได้เหมือนกัน มันชอบพูดอะไรแปลกๆ ไม่เข้าท่า แล้วยังเถียงเก่งอีก ผมไม่ได้แถเลยสักนิดนะ แต่มันก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้นหรือเปล่า...หรือถ้าหนาวจริงมันจะมาคอยห่มให้ทำไมเล่า!



ผมยกส้อมชี้หน้ามันที่กำลังอ้าปากจะตอบ “ไม่ต้องมาบอกว่าถ่ายหมานะ ติดกูมาครึ่งเฟรมขนาดนั้น”



“ไม่ได้จะแก้ตัวนี่ครับ” มันยักไหล่ “พี่ยังแอบถ่ายผมเลย”



“รูปมึงไม่ได้ดูแย่นี่!”



ถ่ายแชะเดียว ย้อนแสงนิดหน่อยด้วย แต่กลับดูดีจนน่าหมั่นไส้



“รู้ครับรู้” มีใครให้มากกว่านี้อีกไหม มันจะไม่ถ่อมตัวหน่อยเหรอ “แล้วรูปพี่มันยังไงครับ”



“น่าเกลียด” ผมว่าเสียงขุ่น รูปตอนหลับใครจะดูดีบ้างล่ะ ถ้ามันจะแกล้งผมก็ไม่เอาที่ขายหน้าคนหลายพันคนแบบนั้นได้หรือเปล่า



ไอ้โซลส่ายหัวน้อยๆ ไม่มีสีหน้าสำนึกผิดสักนิด “ไม่ได้อ่านแคปชั่นเลยเหรอเนี่ย”



น้ำในปากแทบพุ่ง...





น่ารัก





“ส...สร้างกระแสว่ะ”



ผมพูดเสียงเบา อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าอาหารตรงหน้าน่าสนใจเหลือเกินเลยก้มหน้าก้มตานับเม็ดข้าวในจานเล่น



ไม่น่าต่อปากต่อคำกับมันเลย...ใครสอนให้ชมผู้ชายด้วยคำนั้นวะ…



ในกรอบสายตาผมเห็นเพียงมือหนาที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ไม่รู้ว่าทำสีหน้ายังไง แต่น้ำเสียงมันจริงจังจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง



“เปล่าครับ ผมไม่ได้สร้างกระแส”



แล้วบทสนทนาก็จบลงตรงนั้นโดยที่ผมไม่พูดอะไรต่อ...และไม่อยากจะพูดด้วย ไอ้โซลที่เหมือนจะเอ่ยอะไรออกมาเลยปิดปากเงียบไปอีกคน



เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามเมินจุดเล็กๆ ในอกที่ขยับยุกยิกไปมา...



...รู้สึกราวกับมีมือดีมาแอบหย่อนเมล็ดพันธุ์เอาไว้ แล้วไอ้เมล็ดพันธุ์นั่นเมื่อโดนรดน้ำลงไปทีละนิด ซ้ำๆ เข้ามันก็ย่อมเติบโต...แต่ก็เพียงนิดเท่านั้น...และรากเล็กๆ นั่นก็ยังไม่หนักแน่นพอที่จะทำให้พื้นดินผืนใหญ่หันมาใส่ใจถึงการมีอยู่ของมัน...



แต่ถึงอย่างนั้น...พอเงยหน้าขึ้นพบว่าคนฝั่งตรงข้ามนั่งจ้องอยู่ก่อนแล้ว…



แม่ง...แดดประเทศไทยในตอนบ่ายแรงซะจนหน้าผมร้อนไปหมดเลย...







-







“โอเค คัท!”



ผมลอบถอนหายใจ ถ่ายฉากเดี่ยวเป็นอะไรที่ยากจริงๆ ต้องเล่นคนเดียว แสดงอารมณ์อยู่คนเดียว ถ้าไม่มีกล้องจับอยู่ก็เหมือนคนบ้าดีๆ นี่เอง แต่มันก็ไม่ได้ยากอะไรมาก เพราะยังไม่ถึงซีนอารมณ์ที่ต้องดราม่า แค่เริ่มสับสนนิดๆ รู้สึกหน่อยๆ เท่านั้นเอง



ทีมงานเข้ามาซับหน้าให้ พี่ปุ้ยก็เอาพัดอันใหญ่มาพัดให้ผม ในบรรดานักแสดงพี่ปุ้ยดูแลผมดีกว่าใครเขา ทำให้ผมดูเป็นลูกรักของผู้จัดไปซะอย่างนั้น พี่ปุ้ยบอกว่านอกจากม้าจะฝากฝังให้ดูแลผมแล้ว พี่ปุ้ยก็ยังดูแลผมในฐานะหลานด้วย เพราะพี่ปุ้ยเคารพม้าเหมือนพี่สาวคนนึง



“นั่งพักก่อนค่ะ เดี๋ยวพี่เอาน้ำให้”



แต่รู้สึกจะประคบประหงมผมไปนิด... สายตานักแสดงอื่นๆ ก็มองผมแปลกๆ บ้าง แต่ผมพยายามไม่สนใจ



สักพักก็มีคนยื่นน้ำมาให้ตรงหน้า ผมผงะไปเล็กน้อยเพราะมันมี...สองขวด



“น้ำครับ / น้ำ”



หลังจากมื้อกลางวันผมก็เลี่ยงที่จะสบตากับไอ้โซล



...ก็แค่...รู้สึกแปลกๆ



...อากาศมันร้อนแปลกๆ...



“เอ่อ...”



ผมมองขวดน้ำสองขวดสลับไปมา แล้วก็เงยหน้ามองทั้งสองคนอย่างช่วยไม่ได้...ขยันทำให้ผมลำบากใจจริงๆ หน้าที่ก็ไม่ใช่




หน้าพวกมันเหมือนพร้อมเปิดศึกกันได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มทั้งคู่ที่ส่งมาให้ผมแผ่ไอเย็นบางอย่างออกมา



อย่ามากดดันได้ไหมวะ!



ถ้าเลือกรับแค่ของใครคนหนึ่งก็คงไม่ดี ผมเลยรับมาทั้งสองขวด พวกมันเลยได้ฤกษ์ไปเตรียมตัวเข้าฉากต่อไปกันสักที แต่ก่อนจะผละไปผมแอบเห็นนะว่าพวกมันมองกันอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่



ผมว่าผมควรจะคืนน้ำกลับไปให้พวกนั้นนะ...จะได้เอาไว้ดับอารมณ์กรุ่นๆ ของตัวเองกันซะมั่ง



สุดท้ายแล้วน้ำบนตักผมก็มีด้วยกันสามขวดถ้วน อีกขวดนึงเพิ่งรับมาจากพี่ปุ้ยเมื่อตะกี้ แอบเห็นพี่แกอมยิ้มนิดนึงด้วย...หรือเพราะตอนนี้ผมเหมือนตัวแดกน้ำ?







ส่วนใหญ่ฉากที่ไอ้โซลและเฟิร์สต้องปะทะคารมกันมักจะเทคเดียวผ่านตลอด



ทั้งสองเก็บอาการได้ดีกันพอสมควรเวลาที่อยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้ ไม่เชิงว่าพวกนี้ไม่เอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องงานหรอก...ไม่งั้นจะได้เทคเดียวผ่านเหรอ…



แต่ถือว่าพวกมันเอาเรื่องไม่ถูกกันในชีวิตจริงมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากกว่า...ไม่รู้ว่าแบบนี้จะเรียกว่าน่าชื่นชมได้หรือเปล่า



ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบข้างพี่ปุ้ย มองพี่โป้งที่กำลังบรีฟนักแสดงสองคนก่อนที่พี่แกจะกลับมานั่งประจำตำแหน่งอย่างเดิม



จอมอนิเตอร์ฉายภาพผู้ชายสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน คนนึงท่าทางหาเรื่องแต่อีกคนกลับดูสบายๆ ติดจะกวนด้วยเล็กน้อย



“ถ้ามึงไม่เลิกยุ่งมึงเจอดีแน่!”



“ทำไมกูต้องทำตามที่มึงบอกด้วย มึงเป็นแค่เพื่อนสนิท มีสิทธิ์อะไรมาหวง?



“แม่งฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอวะ!?” ไอ้โซลกระชากคอเสื้อเฟิร์สเข้าหาอย่างแรง แต่อีกคนทำเพียงยิ้มเยาะ



“ขึ้นง่ายจังนะ” เฟิร์สแกะมือมันออกก่อนจะขยับปกเสื้อตัวเองด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้ “นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง



คนที่รับบทพระเอกนิ่งงัน แม้ในมือจะกำหมัดแน่นเตรียมเสยหน้าพระรองของเรื่องแล้วก็ตาม



“ไม่เกี่ยวว่าใครมาก่อนได้ก่อนหรอกนะเว้ย...มันอยู่ที่ว่าเขาจะรักใครต่างหาก”



ผมมองพวกมันสองคนที่ยืนอยู่ห่างออกไป สลับกับมองที่หน้าจอ…แล้วผมก็เผลอบีบมือเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว...



ไอ้โซลจ้องคนตรงหน้าเขม็ง ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธและความกลัว...ว่าจะต้องสูญเสียบางสิ่งไป



กลับกัน...รอยยิ้มของเฟิร์สเหมือนรอยยิ้มไอ้โซลในวันนั้น



...เหยียดยิ้มเย้ยอย่างคนที่เหนือกว่า



“ใกล้ตัว...ไม่แปลว่าใกล้ใจ”





เสียงพี่โป้งสั่งคัทดึงผมออกจากภวังค์ ถ้าไม่ติดว่ายังเห็นกล้องจ่อไปที่สองคนนั้นอยู่ผมคงคิดว่าพวกมันมีเรื่องแย่งคนที่ชอบกันจริงๆ แล้ว...ไม่เหมือนกำลังแสดงอยู่เลย เพราะงั้นหน้าตาพี่โป้งเลยดูพอใจมากถึงมากที่สุด



หลังจากเช็คมอนิเตอร์ ไอ้โซลเดินมานั่งลงที่เก้าอี้อีกข้างนึงของผม สีหน้ามันยังเหมือนตอนที่เข้าฉากเป๊ะ...



ทุกครั้งที่เข้าฉากกับเฟิร์สมันจะเป็นแบบนี้เสมอ แต่ถึงยังไงมันจะยังกวนผมเหมือนเดิม...ไม่เหมือนตอนนี้



มันดูเหมือนคนมีเรื่องให้คิดตั้งแต่ที่เข้าฉากกับเฟิร์สไปเมื่อสักครู่ จะว่ามันไปแอบมีเรื่องกันนอกรอบก็ไม่ใช่เพราะมันก็อยู่กับผมตลอด แล้วมันคิดเรื่องอะไร?



“ถามจริง มีปัญหาอะไรกับเฟิร์สนอกเหนือจากตอนที่แคสไหม” ผมถามมันเสียงเบาเพราะแถวนี้ทีมงานเต็มไปหมด



“ทำไมเหรอครับ”



“ก็พวกมึงดู...เหมือนมีเรื่องอะไรมากกว่านั้น”



“ที่ผมไม่ชอบขี้หน้ามันก็มีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ”



ถ้าเป็นเรื่องแย่งบท...จนตอนนี้เริ่มถ่ายกันแล้วนะเว้ย มันควรจบได้แล้ว



“น้ำอีกขวดนี่ของใคร” มันเปลี่ยนเรื่อง คิ้วขมวดมองขวดน้ำบนตักผม



“ของพี่ปุ้ย”



“แล้วพี่กินขวดของใคร”



“จะไปรู้เหรอ” ขวดน้ำมันก็เหมือนกันหมด ยี่ห้อเดียวกัน สีเหมือนกัน ผมรู้แค่ว่าไม่ใช่ขวดที่พี่ปุ้ยให้เพราะได้มันมาทีหลังสุด...กับอีแค่น้ำมันจะจริงจังทำไมเนี่ย



“แต่ว่ามึงก็ได้เป็นพระเอกแล้วนี่” ผมวกเข้าเรื่องเดิม มันกับเฟิร์สแย่งบทพระเอกกัน และไอ้โซลได้บทนั้นมาแล้ว หรือว่ามันมีอย่างอื่นที่กำลังแย่งกันอยู่...



มันถอนหายใจ พูดเสียงเบาเหมือนกับพึมพำกับตัวเองซะมากกว่า “เพราะบางอย่างอาจยังไม่ชัดเจนพอ”



ผมมองใบหน้าด้านข้างของมันด้วยความงงสุดฤทธิ์ เราพูดเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่าวะ?



แล้วมันก็หันหน้ากลับมา เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบอะไรสักอย่างบนหัวผมออก น่าจะเป็นกระดาษทิชชู่ที่ผมใช้เช็ดเหงื่อ



แขนก็ยาว แต่มันจะยื่นหน้าเข้ามาด้วยทำไม! ผมเลยเอนตัวหนี ปัดๆ เอาเองบนหัวจนผมยุ่งไปหมด บ้าเอ๊ย...ไม่อยากมองหน้ามันเลยให้ตายสิ



“พี่ยังไม่เข้าใจ...”



ไอ้เด็กข้างๆ เลิกขมวดคิ้ว มองผมยิ้มๆ แทน



“แต่เดี๋ยวผมจะทำให้เข้าใจเอง”



คำตอบแม่งไม่เคลียร์... แต่แค่เห็นยิ้มกวนๆ กลับมาเหมือนเดิมก็โล่งใจแปลกๆ ไหนจะยังแววตามุ่งมั่นของมันที่ทำเอาผมต้องเสสายตาหลบอีกครั้ง



“เอานี่ไปเลย!” ผมเอาผ้าเย็นแปะตามันไว้แล้วยัดขวดน้ำใส่มือมันไปด้วย “เอาไปดับไฟบนหัว!”



มันหัวเราะ “ได้อยู่กับพี่ก็อารมณ์ดีแล้วครับ ส่วนนี่ผมว่าพี่ใช้เองดีกว่า”



มันหยิบผ้าเย็นที่หล่นลงบนตักมันมาแกะซองออก แล้วสัมผัสนุ่มๆ เย็นๆ นั่นก็แปะลงมาบนหน้าผมแทน





“หน้าแดงมากเลย แดดก็ไม่มีแล้วนะ...หรือว่าพี่ขี้ร้อนจริงๆ เหรอเนี่ย?”







 

****

“ผมอยากเป็นพระเอกในชีวิตพี่!!”

คันมืออยากพิมพ์แบบนี้มาก5555

ฝากคอมเม้นท์ติชมเป็นกำลังใจให้ด้วยนะค้า แท็กก็ด้าย #ข้างหลังฉาก ^ ^/
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 8 - (21/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 21-02-2017 22:51:15
น่ารักดีนะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 8 - (21/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 21-02-2017 23:02:02
น่ารักมากกก :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 8 - (21/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 22-02-2017 02:03:54
น่ารักกกกก เชียร์โซลสุดใจจจ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 8 - (21/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-02-2017 06:59:32
โซล ซีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
โซล ยังไม่แน่ใจ ก็สารภาพรักไปเลย
คราวนี้จะได้แน่ใจซักที
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 8 - (21/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 22-02-2017 15:29:31
พี่ซีนเริ่มมีอาการแล้วนะ น้องโซลต้องขยันหยอดให้มากอีกนะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 8 - (21/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-02-2017 22:00:48
ความชัดเจนของน้องโซลทำพี่ซีนไปไม่เป็นเลย :haun5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 8 - (21/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 24-02-2017 01:03:44
โอ้ยยยย น้องโซล เอาชัดๆแบบค่อยๆ(?)ไปเลย ซีนมันซึนลูก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 27-02-2017 21:21:49


ตอนที่ 9







ผมลงมาจากบ้านตอนเช้าก็เห็นไอ้โซลกำลังเล่นกับปิ๊กมี่...



เกือบอาทิตย์แล้วที่มันทำแบบนี้ และผมก็บอกมันจนเมื่อยปากแล้วว่าให้มันไปที่กองถ่ายเลย ไม่ต้องมาหาผมก่อน!



เราถ่ายกันตั้งแต่เช้าไปจนถึงเช้าของอีกวัน ดีหน่อยก็เที่ยงคืน...มันไม่เหนื่อยเลยหรือไง



พอปิ๊กมี่เห็นผมก็วิ่งเข้ามาหา เจ้าหมาจอมตะกละเดินตามผมเข้าไปในห้องครัวและนั่งรออย่างรู้งาน ผมเทอาหารให้ รอจนมันกินจนหมดถึงได้ผละออกมา



“ไม่ได้อยู่เล่นด้วยนะ” ขยี้หัวมันเป็นครั้งสุดท้าย ปกติปิดเทอมผมจะมีเวลาเล่นกับมันมากขึ้นแต่พอมาถ่ายซีรีส์ผมกลับมีเวลาให้มันน้อยลงกว่าตอนเปิดเทอมอีก



“พี่ดูรักมันมาก”



“อือ ก็เป็นเหมือนครอบครัว” สายตาหงอยๆ ที่มองตามทำเอาใจผมยวบ



“อิจฉาหมาจัง”



“ทำไม หิวข้าว?”



มันส่ายหน้า “อยากได้รับความรักมั่ง”



มือที่กำลังล็อคกุญแจสะดุดกึกไม่ต่างจากลมหายใจ แต่พอหันไปมองเจ้าของประโยคที่ยกยิ้มกวนๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจ



มันเอาแต่เช้าเลยนะ



ผมปิดปากหาวออกมาทีนึง ท้องฟ้ายังไม่มีแดด อากาศก็เย็นจนผมต้องสวมเสื้อกันหนาวทับ ...ไม่ใช่เสื้อกันหนาวของมันนะ ตัวนั้นผมคืนมันไปแล้ว



“ไม่กินอะไรก่อนเหรอครับ”



“เอาไปกินบนรถ เดี๋ยวสาย” วันนี้ผมตื่นช้ากว่าปกติ ถ่ายซีรีส์ไม่ง่ายเลยจริงๆ อาชีพนักแสดงต้องใจรักขนาดไหน ถ่ายติดกันแทบทุกวันไม่พอ เวลาได้พักในแต่ละวันก็ไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ...ยิ่งกว่าตอนไฟนอลอีก นั่นยังแค่เดือนเดียว แต่ผมต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกสามเดือน



“งั้นมารถผม”



ผมดึงกล่องทัพเพอร์แวร์ที่มันฉวยไปคืนมา ไอ้เด็กนี่ก็ถึกเกิน ผมที่ตื่นเช้าแค่นี้ยังเหนื่อย แต่มันต้องตื่นเช้ากว่าเพื่อมาหาผมที่บ้านแล้วถึงออกไปกองถ่ายพร้อมกัน



“มึงเป็นยอดมนุษย์เหรอ”



ถ้าผมไปกับมัน ถ่ายกันเสร็จตีหนึ่งตีสอง แทนที่มันจะได้กลับคอนโดเลยแต่ต้องมาส่งผมก่อน ระยะทางก็ไม่ได้ใกล้ๆ ขับรถนะเว้ย ไม่ใช่เหาะแป๊บเดียวถึง



“ไปขึ้นรถได้แล้ว” ผมขัดขึ้นเมื่อมันจะอ้าปากจะพูดอะไรออกมาอีก มันละล้าละลังนิดหน่อยก่อนจะเดินไปขึ้นรถตัวเอง



ไม่รู้ว่าเพราะมันเห็นฝีมือการขับรถของผมที่มันไม่ได้ดีมากมายนัก หรือเพราะผมเป็นเพื่อนกับรุ่นพี่คณะมัน หรือเพราะเราต้องทำงานด้วยกัน มันถึงต้องเป็นห่วงขนาดนี้ทั้งที่เราก็เหนื่อยมากเหมือนกัน ฉะนั้นผมแค่อยากให้มันห่วงตัวเองบ้างเท่านั้นเอง…



อีกอย่าง...ผมดูแลตัวเองได้น่า!







-






“มึงเคยโกรธใครไหม”



พี่โป้งเท้าสะเอวขณะกำลังบรีฟพวกผม ไอ้โกรธน่ะมันก็เคย แต่ความโกรธของผมมันไม่ถูกใจพี่แกแค่นั้นเอง



“นี่ผมโกรธสุดๆ แล้ว จะให้ถือมีดไล่ฟันมันเลยไหม” ผมว่าพลางกระพือคอเสื้อ พอพระอาทิตย์โผล่ อากาศเย็นๆ ในตอนเช้ากับตอนกลางคืนก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นจริง แม้พี่ปุ้ยจะคอยพัดให้ก็เอาไม่อยู่แล้วตอนนี้...ก็เล่นถ่ายกันกลางสนาม!



“มึงต้องโกรธแบบอยากต่อยอ่ะ ไอ้นี่มันทำร้ายความรู้สึกมึงนะเว้ย” ม้วนกระดาษในมือแล้วชี้ไปที่ไอ้โซล “มันบอกว่ารักมึง แต่แม่งไปเอากับผู้หญิงคนอื่น”



พระเอกในเรื่องไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้นหรอก...เป็นแค่ความเข้าใจผิดกันเฉยๆ แต่ผมก็ต้องทำท่าทีเป็นโกรธและเกือบจะต่อยมันเข้าจริงๆ



เราซ้อมคิวกันว่าผมต้องเหวี่ยงหมัดขวาก่อน แล้วถึงเหวี่ยงหมัดซ้าย ซึ่งไอ้โซลจะรับได้ทุกหมัด พอลองออกแรงกันจริงๆ แค่มันบีบข้อมือผมเอาไว้ผมก็ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว...นั่นทำให้ผมรู้สึกอยากไปฟิตเนสขึ้นมาทันที



แรงจะเยอะไปไหน!



“ไอ้โซลมึงทำยังไงก็ได้ให้มันอยากต่อยมึง”



เจ้าของชื่อชี้นิ้วไปที่ตัวเองงงๆ พี่โป้งคงจนปัญญาที่จะให้ผมบิ้วอารมณ์ตัวเองจนต้องหาตัวช่วยอื่น



ไอ้พระเอกนิ่งคิดไปพักนึง อย่างมากมันก็แค่กวนตีนและทำตัวน่าหมั่นไส้ ไม่มีอะไรทำให้ผมโกรธได้หรอก...





“เมื่อเช้าผมเหยียบหางหมาพี่!”





พูดจบก็ถอยหลังไปก้าวนึง ผมอึ้งไปนิด เมื่อกี้มันว่าอะไรนะ...





“อย่าอยู่เลยมึง!!”





ก็ว่าแล้วเชียวทำไมปิ๊กมี่ดูหงอยๆ มันโดนคนไอ้ใจโฉดทำร้ายนี่เอง!



“เฮ้ยๆ พอก่อน รอกูสั่งก่อน!” พี่โป้งเข้ามาแยกผมที่กำลังล็อคคอไอ้โซลเอาไว้ “ดีมาก เอาแบบนี้แหละ มายืนนี่ๆ” จับพวกผมกลับไปยืนตำแหน่งเดิม ส่วนตัวเองก็กลับไปประจำที่



“5 4 3 2 1 แอคชั่น!”



ผมกระโจนเข้าไปกระชากคอเสื้อมัน พูดตามบท ขึ้นเสียงใส่มันในขณะที่มันพยายามจะอธิบายอย่างใจเย็น แต่ผมไม่ฟัง(มันเหยียบหางหมาผม!) เหวี่ยงหวัดออกไปทันที มันจับข้อมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้ ผมดิ้นสุดแรงแล้วผลักมันออก ฟัดกันอยู่อย่างนั้นจนมันล้มลงไปกับพื้นหญ้าโดยมีผมคร่อมมันอยู่และง้างมือจะต่อย แต่ตามบทแล้วก็ทำไม่ลง



พี่โป้งสั่งคัทแล้วให้เอาใหม่อีกรอบเพราะมีผิดคิวเล็กน้อย



แต่เทคต่อไปก็ยังไม่ถูกใจพี่แกอีก...ผมตะโกนจนเจ็บคอ ต้องออกแรงกับไอ้ผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าทั้งที่ธรรมดาผมก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอยู่แล้ว เหงื่อท่วมตัวเหมือนโดนเอาน้ำราด ไอ้โซลก็ไม่ต่างกันแต่มันยังดูไม่เหนื่อยมากเท่าผม...นี่หอบจะขึ้นแล้วนะเว้ย



“ตอนล้มลงไป พอมึงพูดเสร็จก็มองไอ้ซีนแบบตัดพ้อๆ หน่อย” เสียงพี่โป้งตะโกนผ่านโทรโข่ง พวกผมพยักหน้ารับเตรียมเล่นใหม่อีกครั้ง



“พี่ไหวไหม”



“ไหว” …มั้ง



“ผมว่าบอกพี่โป้งพักก่อนดีกว่า พี่ดูไม่โอเคเลย”



“ไม่เป็นไร แค่แดดร้อน” …มั้งนะ



พอได้ยินคำสั่งการแสดงก็เริ่มขึ้น ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ผมก็ใส่แรงไปเต็มที่เพื่อให้เทคนี้มันผ่านสักที



“คัท! เยี่ยม!”



ไม่เยี่ยมไม่ได้แล้วครับเพราะที่บอกว่าไหวเมื่อกี้...ผมโกหก



ผมไม่ได้ลุกออกจากตัวไอ้โซล มือทั้งสองข้างค้ำพื้นหญ้าพยุงตัวเองเอาไว้ เห็นหน้าคนใต้ร่างแค่ลางๆ ผมได้ยินมันเรียกชื่อผมแล้วก็พูดอะไรไม่รู้...



รู้แค่ว่าตอนนี้...โลกมันมืดไปหมดเลย…



“พี่ซีน!”



ไม่ได้สลบไปซะทีเดียว...ก็แค่เป็นลม



ผมล้มใส่ไอ้โซลที่รับผมเอาไว้พอดีแล้วก็น่าจะเป็นมันนั่นแหละที่อุ้มผมขึ้น



เสียงทีมงานโหวกเหวกกันใหญ่ ผมถูกวางให้นอนราบไปกับเบาะนุ่ม มีคนปลดกระดุมเสื้อและกางเกงของผมออก ทั้งพัดทั้งยาดมถูกประเคนใส่ผมกันใหญ่



ผมลองลืมตาขึ้น ยังคงเห็นไอ้โซลหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อย่างเดิม ผมปิดตาลงไปพักใหญ่ให้อาการวิงเวียนนี่มันหายไปแล้วถึงลืมตาขึ้นมาใหม่ เลยเห็นเจ้าของสัมผัสเย็นๆ ที่ไล้ไปตามใบหน้า ลำคอ และแขนทั้งสองข้างของผม



“พี่ซีนเป็นไงบ้างครับ! / ซีนเป็นไงบ้าง!”



ไม่ใช่แค่ไอ้โซล แต่ยังมีเฟิร์สที่มาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ด้วย



“อย่าเพิ่งลุกครับ!” เด็กนั่นว่าเสียงเข้ม ดันผมที่ทำท่าจะลุกขึ้นให้นอนลงอย่างเดิม มันใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดไปตามใบหน้าผมอีกครั้ง ส่วนเฟิร์สถือยาดมให้ผมดมอยู่...ทำไมผมรู้สึกเหมือนเป็นคนแก่เลยวะ



“ดีขึ้นไหมครับ”



“อื้อ โอเคแล้ว”



หลังจากให้ผมนอนอยู่อย่างนั้นสักพัก มันก็ค่อยๆ ประคองให้ผมลุกขึ้นนั่ง คนที่พัดอยู่ให้ผมคือพี่ปุ้ยนั่นเอง



“โอย พี่ตกใจแทบแย่ ดื่มน้ำก่อนนะคะ” ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ เอ่ยขอโทษพี่ๆ ทีมงานที่ทำให้ลำบากและต้องมาหยุดชะงักเพราะตัวเอง



...สัญญาว่าจะออกกำลังกายให้มากขึ้น...



“ไม่เป็นไรๆ มึงพักไปก่อน” พี่โป้งมีสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย ถ่ายกลางแดดเปรี้ยงขนาดนั้น ทั้งยังต้องออกแรงวิ่งฟัดกันไปมาอยู่หลายรอบ ไม่ใช่แค่คนออกกำลังกายน้อยอย่างผมหรอก แต่ถ้าอยู่กลางสนามต่ออีกนิด คนแข็งแรงอย่างไอ้โซลก็อาจเป็นลมแดดได้เหมือนกัน



กลายเป็นว่าพักกลางวันกันไปเลย พี่ปุ้ยเอาข้าวมาให้แล้วก็เรียกเฟิร์สไปคุยเลยเหลือแค่ผมกับไอ้โซล...พอสติกลับมาความอายก็ตามมาด้วย...นอกจากจะเป็นลมแล้ว ยังโดนไอ้โซลอุ้มอีก...ผมจะบ้าตาย...



ลองนึกย้อนไปแล้วความร้อนก็มากระจุกอยู่ที่หน้า...



“หน้ากลับมามีเลือดฝาดแล้ว” ...ก็เพราะใครล่ะ แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นมันก็ยังคงเอาผ้าเย็นมาแปะไว้บนหน้าผากของผม



“รู้ไหมว่าพี่หน้าซีดตั้งแต่เทคที่สามแล้ว”



ผมสั่นหัว ไม่รู้...รู้แค่เหนื่อยมาก เหงื่อท่วม เทคสุดท้ายใจมันหวิวๆ แล้วทุกอย่างก็ดับไปเลย



ไม่รู้ตัวจริงๆ ก็แค่อยากทำให้มันดีที่สุด ไม่คิดว่าจะเป็นลมซะหน่อย...



ผมนั่งก้มหน้าอยู่บนเบาะ ไอ้โซลคุกเข่าข้างนึงอยู่ตรงหน้า มันถอนหายใจแล้ววางมือลงบนหัวผมหน้าตาเฉย... “แล้วรู้ใช่ไหมว่าผมเป็นห่วง”





...ไอ้นี่มันเป็นตัวการที่ทำให้โลกร้อนดีๆ นี่เอง...





ที่พลาดคือผมเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยิน...เลยสบตากับมันเข้าอย่างจัง...



และที่พลาดไปมากกว่านั้นคือผมถอนสายตาออกมาไม่ได้...



อะไรที่ทำให้ผมเป็นอย่างนั้น



อะไรที่ทำให้ผมไม่ปัดมือมันออก



และอะไร...ที่มันกำลังงอกเงย...ข้างในใจของผม...ตอนนี้กัน…?





“ร..รู้”





ในตอนที่สติเลือนลาง สายตาของผมกลับเห็นใบหน้าเป็นกังวลของมันอย่างชัดเจน



“...ไปกินข้าวได้แล้ว” ผมละสายตาออกมา ใช้ขวดน้ำที่ดื่มหมดแล้วตีลงไปบนแขนมันเบาๆ สองสามที มันหลุดยิ้ม ลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะชักมือกลับไป



ไอ้โซลดึงผมให้ลุกขึ้น สายตามันไม่ละไปจากผมเลย...แต่ครั้งนี้ไม่ยอมหรอกเว้ย ผมเลยจ้องมันกลับไปทั้งที่หน้าร้อนอยู่อย่างนั้น “ยิ้มอะไร เรื่องเหยียบหางปิ๊กมี่ยังไม่เคลียร์นะ!”



“นั่นผมล้อเล่นครับ หางก็สั้นๆ จะไปเหยียบได้ไง”



“อ้าว…” เออว่ะ...ลืมคิดไปเลย



“เห็นพี่รักมันมากเลยลองพูดดูเฉยๆ แต่ได้ผลแฮะ”



“ก็ลองเหยียบจริงๆ ดูสิ” ฟาดขวดน้ำกลวงๆ ไปที่แขนมันแบบไม่ออมแรง



เพราะต้องการแก้แค้นให้หมาตัวเองด้วย ผมเลยใส่แรงไปเยอะมากตอนเข้าฉาก...ถึงแม้จะไม่กระเทือนไอ้โซลสักนิดก็เถอะ ฉะนั้นก็มันนี่แหละที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมเป็นลม!



“ผมไม่กล้าทำร้ายลูกรักของพี่หรอก” ไอ้คนถูกใส่ความหัวเราะพลางจับข้อมือผมเอาไว้ให้หยุดตีมัน “อย่าเพิ่งใช้แรงเยอะสิครับ เดี๋ยวได้ล้มพับไปอีกหรอก”



“หายแล้วโว้ย” ผมจิ๊ปาก ดึงมือตัวเองออกมาซึ่งมันก็ยอมปล่อยแต่โดยดี



“ตอนนั้นก็บอกว่าไหว แล้วเป็นไงครับ”



 จะย้ำเพื่อ...รู้แล้วเว้ยว่าผิด “อ..เออๆ ก็ยังเหนื่อยอยู่ แต่แค่นิดเดียว...นิดเดียวจริงๆ!”



มันพยักหน้ายิ้มๆ เป็นรอยยิ้มตอแหลชัดๆ โอเค...ผมพูดความจริงก็ได้ “แต่ถ้ายังยืนคุยกันตรงนี้ต่อ กูจะเป็นลมรอบสองแล้ว ไปกินข้าวได้ยัง?”







ผมมีเวลาพักต่ออีกนิดเพราะไอ้โซลกำลังถ่ายฉากเดี่ยวอยู่ ระหว่างนั้นเฟิร์สก็เข้ามานั่งคุยด้วย บริการผมสารพัดอย่างจนผมเหมือนคนป่วย และก็แทบจะเอาผ้าเย็นมาถมตัวผมอยู่แล้ว จนไอ้โซลถ่ายเสร็จแล้วผมก็ต้องเตรียมตัวเข้าฉากต่อไปกับมันนั่นแหละ เฟิร์สถึงได้ขอตัวกลับไปเพราะไม่มีคิวแล้ว



วันนี้สองคนนั้นไม่พูดประชดกันหรือส่งสายตาชวนตีไปที่อีกฝ่ายเลย พอไอ้โซลมา เฟิร์สก็เดินหนี...ถึงจะรู้สึกว่ามันแปลกแต่คิดว่าก็ดีแล้ว เพราะวันนี้ผมขอแค่เหนื่อยกายพอ อย่าให้ต้องมาเหนื่อยใจกับสงครามของพวกนั้นเลย



แดดล่มลมตก แต่ละฉากในวันนี้ส่วนใหญ่ถ่ายกลางแจ้ง และมีฉากรับน้องซึ่งเป็นตอนที่พวกตัวเอกเจอกันใหม่ๆ ต้องทำกิจกรรมหลายๆ อย่างด้วยกัน มีตอนโดนว้าก มีตอนโดนทำโทษ...พี่โป้งไม่ได้ปราณีผมเลยสักนิด



สี่ทุ่มกว่าๆ เราอยู่ในห้องเลกเชอร์ขนาดใหญ่ นักศึกษานั่งกันเกือบเต็ม ผมกับไอ้โซลนั่งอยู่แถวหลังสุด



“…แอคชั่น”



สิ้นคำสั่งของผู้กำกับ หลายคนก้มหน้าก้มตาจดสไลด์บนกระดาน อาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้องก็สอนไปตามบทเรียน ส่วนบทผมทำแค่นั่งเท้าคางมองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า มีบิดขี้เกียจบ้าง ฟุบหน้าลงกับโต๊ะบ้าง ทำปากกาตกแล้วไอ้พระเอกเก็บให้บ้าง ผมต้องแสดงออกว่าเบื่อกับการเรียนนี้ ยุกยิกๆ ไปมาแบบไม่มีสมาธิ ส่วนไอ้โซลแค่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือเฉยๆ แล้วก็หันมามองผมเป็นพักๆ



แสดงไม่ยากเย็นเลย ผมเชื่อว่านักศึกษาหลายคนก็ต้องเคยเป็นอย่างนี้



นั่งไปสักพักดวงตาก็เริ่มปรือปรอย ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ผมที่ใส่แค่เสื้อนักศึกษาหนาวจนมือม่วงไปหมด



ผมสัปหงกขณะกำลังนั่งเท้าคางไปหลายครั้งก่อนจะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ส่ายหัวไล่ความง่วงงุนแล้วหันไปเขย่าแขนไอ้พระเอกเพื่อก่อกวนแต่มันก็ทำเพียงส่งเสียงอืออาเหมือนจะถามว่ามีอะไรแค่นั้น



เมื่อไม่มีคนคุยด้วย ศีรษะก็เริ่มโงนเงน ผมกำลังจะไม่สามารถฝืนหนังตาตัวเองได้อีก สุดท้ายแล้วผมก็เอนหัวไปซบไหล่คนข้างๆ ตามบท…



ไอ้โซลนิ่งไปนิดก่อนจะวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ ลมหายใจที่เป่ารดปลอยผมของผมทำให้รู้ว่ามันหันหน้ามามองผมอยู่ และกำลังเล่นไปตามบทของมัน



สัมผัสบางเบาเกลี่ยปลอยผมที่ปรกตาออกไปเล็กน้อย จากนั้นมันก็ไล้มือไปตามกรอบหน้าของผมก่อนจะผละออกไป



...แล้วจู่ๆ มือที่ผมวางพาดไว้บนขาของมันก็ถูกความอบอุ่นเข้ากอบกุม



นี่มันไม่มีในบท...



แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยลดความหนาวลงไปบ้าง ยิ่งผมซบมันอย่างนี้...ไออุ่นในตัวมัน...กำลังทำให้ผมเคลิ้ม...



...โทษไอ้โซลเลยนะที่ทำให้ผมหลับไปจริงๆ ...







-







แต่ละฉากในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนออกกำลังกายมาทั้งวัน



กองเลิกตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ผมแทบจะเดินหลับตาไปยังที่จอดรถ



“กลับกับผมเถอะ วันนี้พี่ดูไม่ไหวจริงๆ นะ”



ไอ้โซลยังคงบอกให้ผมกลับกับมันอย่างเดิม...มันทำแบบนี้ตั้งแต่วันแรก และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมปฏิเสธมันไป



“ไม่เอาน่า มึงรีบกลับไปได้แล้ว”



มันก้าวขายาวๆ มาขวางผมที่กำลังจะเปิดประตูรถ



“ถอยไปนะเว้ย”



“ถึงจะมีผมห่วงอยู่แล้วแต่พี่ก็ต้องห่วงตัวเองบ้าง”



...ยอมรับว่าหน้าผมร้อนวูบขึ้นมานิดหน่อย แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรทั้งนั้นเพราะผมเหนื่อยมากจริงๆ …และผมคิดว่าประโยคนี้มันควรใช้บอกตัวมันเองมากกว่า



“เดี๋ยวถึงบ้านแล้วบอก”



...ผมรู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังเล่านิทานหลอกเด็กให้เด็กกลัวอยู่ซ้ำๆ ต่างกันตรงที่ผมพยายามบอกให้มันวางใจ เลิกเป็นกังวลกับผมซะที...ก็แค่ขับรถกลับบ้านเอง



ประโยคเดียวกันนี้ที่ผมเคยบอกมันไปในวันที่สอบไฟนอลวันสุดท้าย แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ยิ้มอย่างวันนั้น...



เมื่อรู้ว่าถึงยังไงผมก็ไม่ยอม...มันเลยต้องยอมเอง



ถนนค่อนข้างโล่งทำให้ผมเหยียบได้ตามที่ใจต้องการ อยากกลับไปนอนจะแย่ ผมไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้มาก่อนเลย ตามเนื้อตัวก็เมื่อยไปหมด



ตอนถ่ายฉากสุดท้ายของวันนี้ ได้อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ กับได้พิงไอ้คนข้างๆ ผมก็หลับไปเลย ไม่รู้ด้วยว่าพี่โป้งสั่งคัท จนไอ้โซลปลุกนั่นแหละ ทั้งกองเลยหัวเราะปนสงสารนิดๆ ...เฮ้อ อายซ้ำอายซ้อน



ผมกดปิดวิทยุเมื่อไม่มีคลื่นไหนที่เปิดเพลงสนุกๆ เลย เพราะเพลงช้าๆ จะทำให้ผมง่วงมากกว่าเดิม จะให้โทรคุยกับพวกเพื่อนก็ยังไงอยู่ เวลานี้ใครจะไปรับ หรือจะโทรหาไอ้โซล...แล้วผมจะบอกมันว่ายังไง ทั้งที่แสดงออกว่าไหว แต่กลับโทรไปชวนคุยเพื่อให้ตัวเองไม่ง่วงนี่นะ?



ผมตัดสินใจขับรถไปเงียบๆ แบบนั้น เร่งความเร็วขึ้นทั้งๆ ที่หนังตาจะปิดอยู่รอมร่อ...และแค่เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมวูบ มันก็...





ปัง!





...ตาสว่าง...



เป็นครั้งแรกที่เกิดอุบัติเหตุ ผมเลยนั่งนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น...จะเรียกว่าช็อคได้ไหมนะ



แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงเคาะกระจก พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อผม





...ไอ้โซล…





ผมมีสติพอแค่ให้ตัวเองเอื้อมมือไปปลดล็อค ไอ้โซลกระชากประตูออก ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วประคองตัวผมออกมาจากรถ



“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ!?” มันถามด้วยสีหน้าร้อนรน จับตัวผมอย่างระมัดระวังเพื่อสำรวจดูว่ามีร่องรอยหรือบาดแผลหรือเปล่า



“หรือหัวกระแทก!?”



ผมส่ายหน้า ยอมให้มันจับนู่นดูนี่ไปตามตัวโดยไม่คัดค้านอะไร ถึงแม้จะเห็นว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว แต่คนตรงหน้าก็ไม่ได้คลายคิ้วที่ขมวดแน่นเลยสักนิด



ผมค่อยๆ หายจากอาการตกใจ สภาพรถไม่แย่มากแค่ด้านหน้าบุบเพราะชนเสาไฟฟ้า...ดีหน่อยตอนที่รถเสียหลักผมเหยียบเบรกได้พอดี



ไอ้โซลยกมือขึ้นลูบหน้า ถอนหายใจเหมือนโล่งอกทั้งๆ ที่สีหน้าของมันดูแย่มาก...



...และนั่นผมรู้สึกผิดมากด้วย...ไม่รู้ทำไม...



...อาจเพราะรู้ว่ามันเป็นห่วงมากแท้ๆ และทั้งที่พยายามทำให้มันวางใจ...แต่ผมกลับยิ่งทำให้มันเป็นกังวลมากกว่าเดิมซะอีก



“เมื่อกี้...กูแค่ตกใจ”



“…”



“ไม่ได้เจ็บตรงไหน”



“...”



“ไม่เจ็บเลยจริงๆ ...อ๊ะ”





ผมเซตามแรงดึง...เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า...



อาจเพราะตกใจ...หรือไม่ก็อย่างอื่น...หัวใจเลยเต้นเร็วผิดปกติอีกครั้ง



ในเวลานั้นสมองผมประมวลผลอะไรไม่ได้สักอย่าง เลยไม่ได้คิดอะไรให้มากมาย



รู้แค่ว่าตัวเองยกมือขึ้นกอดมันตอบ...ลูบเบาๆ เหมือนปลอบเด็กน้อยที่ขวัญเสีย และนั่นยิ่งทำให้มันกอดผมแน่นขึ้น



มีหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจ...อย่างเช่นในใจตอนนี้ที่มันทำให้ผมอยากเอ่ยคำว่าขอโทษออกไป...แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขอโทษทำไม...



เวลาที่มันนิ่งเงียบไปแบบนี้...ผมเคยเดาความคิดมันถูก...





“พรุ่งนี้มารับหน่อยดิ” 





เลยคิดว่าประโยคนี้น่าจะได้...





“...นะโซล”





เพราะเราแนบชิดกันมาก ผมเลยสัมผัสได้ว่ามันชะงักไปก่อนจะค่อยๆ ผละออก สีหน้ามันดูดีขึ้นมานิดนึง...





“ทุกวัน?”



“อ..อือ ทุกวัน..ก็ได้”





เท่านี้น่ะเหรอ...



เท่านี้น่ะเหรอ...ที่มันต้องการ



มันแค่ยิ้มบางๆ แต่ดูรู้ว่าโล่งใจกว่าตอนที่ผมบอกว่าไม่เป็นอะไรซะอีก



คนเรานี่ก็แปลกว่ะ



...หรือมันจะมีอะไรแปลกอย่างที่ไอ้จั๊มพ์กับกิ๋งบอกจริงๆ ...





ว่าแต่ลืมสงสัยไปเลยว่ามันมาอยู่แถวนี้ได้ไง...คอนโดอยู่คนละทางไม่ใช่เหรอวะ?

 

----

ไปค่ะ ไปอยู่ในความดูแลของน้อง โฮะๆๆๆ

อยากคืนกำไรให้โซลม่างงง ให้กอดกับเรียกชื่อนี่พอมั้ย5555

อยากถามผู้อ่านว่าเราดำเนินเรื่องช้าไปมั้ยคะ ; - ;;

ติชมกันได้น้าา #ข้างหลังฉาก เด้อออ

เราสมัครแอคใหม่ไว้อัพเดตนิยายค่ะ @zongpei96 (https://twitter.com/zongpei96) มาคุยกันได้น้า  :z13:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-02-2017 21:49:02
ถ้ากลัวโซลเหนื่อยเพราะเทียวรับส่งก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันก่อนก็ได้นี่นา (นี่ไม่ได้แซวนะยะ)
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 27-02-2017 23:05:52
คุณพี่ซีนก็นะ ชอบทำให้คุณน้องโซลเขาเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย
ปล่อยๆตัวก็ได้บ้าง ให้คุณน้องเขาดูแลคุณพี่ให้สมใจหน่อย
แหมมมมมมมม ก็เขารักของเขามานานอ่ะนะ /ยิ้มอ่อน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 27-02-2017 23:09:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 27-02-2017 23:55:22
โอ้ยยย คนแบบโซลนี่หาซื้อได้ที่ไหน ฮือออออ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 28-02-2017 05:28:38
พี่ซีนหวั่นไหวแล้ววววว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 28-02-2017 05:33:06
ไอ้ที่มันกำลังงอกเงยยุกยิกอยู่ในใจคือต้นรักค่ะพี่ซีน
น้องโซลมาถูกทางแล้วค่อยๆเอาตัวเองเจ้าไปอยู่ในชีวิตเค้าไม่รุกมากไปไม่น้อยไปกำลังดี
เรื่องดำเนินเรื่องไม่ช้าเกินไปค่ะก็เหมือนเรากำลังนั่งดูซีรี่ย์ของเค้าสองคนนี่ล่ะค่ะ ตอนนี้มายาวมากได้เห็นความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นไปทีละนิดดีจังค่ะ
นอกจากชอบคู่นี้แล้วก็ชอบความสม่ำเสมอของคุณนักเขียนค่ะมาตรงเวลาตลอด รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-02-2017 06:43:15
ดอกรักบานในใจซีน และ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 01-03-2017 03:15:59
โซลมาถูกทาง จังหวะนางดีมาก
ค่อยๆเนียนๆ แต่ใจพี่สั่นเต็มๆ
คนพี่เริ่มเปิดใจให้น้อง มีแคร์กันด้วย เขินเลยค่ะ
 :-[
เอาใจช่วยโซลซีนปลูกต้นรัก
:L2: :katai2-1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 01-03-2017 23:17:42
พี่ซีนอ้อนนี่โซลฟินเลยมั้ยยย
ตอนนี้ได้ทั้งกอด ทั้งอุ้ม แถมโดนอ้อนอีก
กำไรสุดๆแล้ววว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-03-2017 00:44:29
พี่ซีนย้ายไปอยู่คอนโดน้องดีไหมคะ จะได้ไม่เสียเวลามารับไปส่ง  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 02-03-2017 11:03:35
กลัวน้องเหนื่อยก็ไปอยู่กับน้องเลยยย น้องเทียวไปรับส่งเดี่ยวน้องไม่ได้พักนะซีนนน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dellyamin ที่ 02-03-2017 13:06:36
พี่ซีนควรอยู่คอนโดเดียวกับน้องโซลได้แล้ว >< อยากส่องไอจีพี่ซีนนนนนน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 02-03-2017 20:20:13
โซลงานดีมาก  พี่ซีนอย่าคิดเยอะทำตามใจสั่งเลยค่ะ   
ขอร้องนะคะ  ได้โปรดอย่าดราม่าเลยนะคะ   ไม่อยากเสียน้ำตา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 02-03-2017 23:55:10
พี่ซีนดื้อมาก
โซลเอารางวัลหลัวแห่งชาติไปเลยค่ะ งานดีมาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 03-03-2017 00:35:06
โอยยย มันดีต่อใจละเกิน น้องโซลของป้า

เอาพี่ซีนไปอยู่ด้วยเลยค่ะ จะได้ดูแลอย่างดีเนอะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Orange151987 ที่ 03-03-2017 12:32:32
 :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 9 - (27/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BlackCatty ที่ 09-03-2017 21:34:43
ฮืออออ ชอบนิยายเรื่องนี้คือมันดีต่อใจ อ่านแล้วมีความสุขขขข 55555 :o8:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 10-03-2017 00:09:30


ตอนที่ 10 - l







@eelkang

มาร้งมารับกันคือร่ะะ #โซลซีน



@ishipyounaokay

รอเปิดเทอมไม่ไหวแล้ววว จะรอส่องว่าอะไรยังไงคู่นี้!! #โซลซีน



@tingjating

ทางผ่านล่ะม้างงงงงงงงง คิดไรม้ากกกกกก #โซลซีน



@kungpeuak

จะเป็นตุ๊กตาหน้ารถบนถนนแห่งความร้ากกกก *ร้องเพลงบนเรือเล่นเฉยๆ* #โซลซีน



@nongwaii

อยากให้มีรายการตามติดชีวิตของสองคนนี้จังเลยค่ะ เราเชื่อว่าต้องมีเบื้องลึกแน่นวลล #โซลซีน






ระหว่างช่วงพัก ผมเลยกดเข้าทวิตเตอร์ไปดูเล่นๆ ...แต่สิ่งที่ผมกำลังอ่านอยู่นี่คืออะไร…



พวกเธอรู้ได้ยังไงกัน!!



แต่พอเลื่อนมาเจอทวิตนึงผมก็ถึงบางอ้อ...





@oohhoo

เมื่อเช้าเห็นพี่ซีนขึ้นรถไปกับพี่โซลด้วยค่ะ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตื่นมาวิ่งตอนเช้า แต่เสียดายไม่ได้แชะภาพเอาไว้เพราะเราไม่ได้เอามือถือออกมาด้วย ฮือออออ แต่ฟินจนวิ่งรอบหมู่บ้านได้สิบรอบเลยข่า T////T #โซลซีน





น้องอู้วหูวคนเดิมนั่นเองครับ แต่เพิ่มเติมคือตื่นมาวิ่งตอนเช้าแล้วเห็นผมขึ้นรถไอ้โซลพอดี



ตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่กับการถูกจับตามอง...แต่ไม่ถึงกับรู้สึกแย่เพราะผมไม่คิดว่ามันจะเสียหายอะไร...



การแจ้งเตือนของผมเยอะมากทั้งๆ ที่ผมไม่ได้อัพมานานแล้ว ล่าสุดคือรีทวิตที่คอนเฟิร์มนักแสดงซีรีส์เรื่องนี้ แต่ที่แจ้งเตือนเยอะเพราะพวกเธอไม่ได้แค่ติดแท็กอย่างเดียวแต่ยังเมนชั่นมาหาผมกับไอ้โซลด้วย





@ahhhhaaaa

กองเลิกดึกไรเงี้ย พี่น้องก็เป็นห่วงกันธรรมดาเนอะ  @soul_kr @sscene




@ppero_o

@sscene พี่ซีนสนใจมานั่งรถหนูไหมคะ บริการรับส่งฟรีไม่คิดค่าน้ำมัน แต่ขอค่าจ้างเป็นความรักแทน ขออนุญาต @soul_kr นะคะ






ก่อนที่พวกเธอจะคิดไปต่างๆ นานา ผมเลยทวิตข้อความลงไปสั้นๆ





@sscene

รถเสีย...






แล้วผมก็ได้ยินเสียงไอ้คนที่นั่งข้างๆ ขำพรืด



“หัวเราะอะไร”



“เปล่าครับ” มันมองหน้าจอโทรศัพท์ยิ้มๆ “แฟนคลับคุยกันน่ารักดี” แล้วมันก็จิ้มๆ อะไรสักอย่างลงไป



ไอ้โซลดูสนุก มันเล่นบ่อยกว่าผม ส่วนผมแค่เข้ามาดูเฉยๆ ไม่ค่อยทวิตอะไร แต่มันจะอัพรูปบ้าง ทวิตข้อความบ้าง บางทีก็ตอบแฟนคลับด้วย…ครั้งนี้ก็เช่นกัน...





@soul_kr

@ppero_o ไม่อนุญาตครับ ;p






ส่วนใหญ่ที่ผมเคยเห็นมันตอบแฟนคลับจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวมันเอง ไม่ใช่เรื่องผม...ฉะนั้นพอมันตอบออกไปแบบนั้น ไม่ต้องเดาเลย...ว่าแจ้งเตือนของผมที่เด้งขึ้นรัวๆ ตอนนี้มีเรื่องอะไรกัน



ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ว่ายังไงดี



ก็แปลกๆ อยู่เหมือนกันที่ถูกจับคู่ และการพูดคุยของเหล่าแฟนคลับที่ชอบพูดเหมือนผมกับไอ้โซลกำลังคบกัน ไม่ก็กำลังจีบๆ กันอยู่...แล้วยิ่งถ้าพวกผมเล่นด้วยกระแสก็จะยิ่งแรง



ผมที่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยไปปรึกษาม้า...เคยเห็นแต่ดาราถูกจับคู่ พอมาเจอกับตัวเองเลยไม่รู้จะทำตัวยังไง...และรู้สึกผิดหน่อยๆ ด้วย



ม้าบอกมันเป็นเรื่องธรรมดามากถึงมากที่สุด ก็เหมือนกับการที่เราเห็นใครสักคนเหมาะสมกันและอยากให้เขาคู่กัน ซึ่งแฟนคลับจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันหรอก เพียงแต่พวกเขาหวังและคอยจับผิดโมเม้นท์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อความสุขของพวกเขาและเผื่อว่าพวกเราจะคบกันจริงๆ เท่านั้นเอง



...ถ้าอย่างนั้นผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อย



ผมเหลือบมองดูไอ้คนข้างๆ ...ดูมันจะชอบใจกับการที่แฟนคลับพูดคุยเรื่องของผมกับมันซะเหลือเกิน แต่เอาเถอะ...ถ้าพวกเขามีความสุขก็ทำไป เพราะผมก็ไม่ได้อึดอัดอะไรนี่นะ...



“จะไม่ตอบน้องเขาหน่อยเหรอ”



“ตอบอะไร”



มันชี้ไปที่โทรศัพท์ ผมเลยดูที่แจ้งเตือน





@ppero_o

@sscene พี่โซลเป็นใครคะ ทำไมไม่อนุญาตให้พี่มากับหนู มีสิทธิ์อะไรมาหวงพี่ซีน ตอบหน่อยนะคะ ไม่งั้นคืนนี้หนูนอนไม่หลับแน่เลยค่ะ!






“มึงก็บ้าจี้เล่นกับน้องเขาเนอะ”



“ตอบหน่อยนะครับ เดี๋ยวคืนนี้ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี”



เขาก็แค่พูดเล่นๆ เปล่าวะ...



แต่ถึงอย่างนั้นผมก็กด reply ไปแล้ว...จะลองตอบสักครั้งก็แล้วกัน



“แล้วต้องตอบว่าอะไร” ผมหันไปถามไอ้โซล ถ้าตอบไปแค่ ‘รุ่นน้อง’ เฉยๆ เขาจะผิดหวังกันไหม ผมต้องตอบจริงจังหรือเล่นๆ





“บอกว่าผมจีบอยู่ดีไหมครับ”





ผมเบ้ปาก เบือนหน้าหนีไอ้ตัวการโลกร้อน “ทามไลน์แตกพอดี”



จ้องแป้นพิมพ์อย่างครุ่นคิด คำว่ารุ่นน้องสะกิดใจผมอย่างนึง...พี่รหัสหรือน้องรหัสที่ผมสนิทด้วยมากๆ ยังไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องผมเท่ามันเลย



ยิ่งเรื่องที่ผมขับรถชน... มันเพิ่งสารภาพว่ามันขับตามผมมา สีหน้าและแววตาของไอ้โซลในตอนนั้นยังติดอยู่ในหัวของผมอยู่เลย...ทำไมมันถึงต้องเป็นห่วงผมมากมายขนาดนั้น



ผมรู้สึกว่ามันแปลกอย่างที่ไอ้จั๊มพ์กับกิ๋งว่านั่นแหละ เพียงแต่ผมเลือกที่จะปล่อยให้มันแปลกต่อไป...เหมือนกับการที่ปล่อยให้อะไรบางอย่างฝังรากลงไปในหัวใจโดยไม่คิดห้ามปราม



ผมเผลอเหลือบมองมันอีกครั้ง...เจ้าของรอยยิ้มกวนๆ ที่ชอบใช้ความนิ่งเงียบทำให้ผมคล้อยตามมันทุกครั้งไป...



และสุดท้ายผมก็ต้องยอมให้มันมารับมาส่งทุกวันนับจากนี้



งั้นไอ้โซลก็ไม่ใช่แค่รุ่นน้องแล้ว...





@sscene

@ppero_o เป็นคนขับรถครับ






ตำแหน่งนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้วล่ะนะ J















“มึงก็กวนๆ มันแล้วก็หยอกกัน ให้เหมือนหยอกกับแฟนเลย เอาแบบแมนๆ นี่แหละแต่เล่นยังไงก็ได้เอาให้น่ารักที่สุด”



เป็นโจทย์ที่ยากที่สุดตั้งแต่เริ่มถ่ายมาก็ว่าได้...เพราะแค่คำสั่งก็งงแล้ว



“สรุปพี่จะเอาแมนๆ หรือน่ารัก”



“เอาแบบแมนๆ แต่ให้มันมีความน่ารัก”



ผมทำหน้าไม่เข้าใจ หยอกกันแบบผู้ชายทำคืออะไร ตบเกรียน? แล้วมันจะเอาตรงไหนมาน่ารักวะครับ



“เล่นๆ ไปเหอะ” พี่โป้งตัดบท เฮ้ย...ผู้กำกับทำงี้ได้ด้วยเหรอ “เอาแบบเวลาพวกมึงอยู่ด้วยกันนั่นแหละ”



หมายความว่ายังไง...



ผมหันไปมองไอ้โซล มันยักไหล่ยิ้มๆ ฉากนี้มีอุปกรณ์ประกอบคือเค้กหนึ่งก้อน เป็นฉากที่เอาเค้กมาเซอร์ไพรส์เพื่อนคนนึงในกลุ่ม แต่ก่อนจะไปถึงตอนนั้น ผมกับไอ้โซลจะนั่งอยู่ข้างกันในโต๊ะที่มีเพื่อนในกลุ่มอยู่กันครบ แต่พวกผมจะเอาแต่คุยแล้วก็เล่นกันอยู่สองคนโดยไม่เห็นหัวเพื่อนที่นั่งอยู่เลยสักนิด



“…แอคชั่น”



ผมจ้องหนังสือเรียนที่กางอยู่ตรงหน้า ไล่สายตาผ่านๆ ไปอย่างนั้น ไอ้โซลพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นไปเรื่อย สักพักมันก็เขยิบเข้ามาใกล้ เท้าแขนลงกับโต๊ะมองผมยิ้มๆ



“คนขับรถพี่หล่อดีนะครับ” มันว่าเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน ฉากนี้ไม่มีบทพูด พี่โป้งบอกให้เล่นเหมือนเวลาผมอยู่กับมัน ฉะนั้นผมก็แค่รอมันมากวนเท่านั้นเอง



ผมปรายตามองมันนิดๆ แล้วถอนหายใจใส่



“แล้วพี่จ้างด้วยอะไร เขาถึงหวงพี่ขนาดนี้”



ผมเม้มปาก จะเอาคำพูดน้องคนนั้นมาใช้ทำไม น้องเขาก็พูดไปงั้น!



“กูรวย”



ไอ้โซลขำออกมา “คนขับรถคนนี้เขาไม่ชอบเงินหร๊อก เงินซื้อเขาไม่ได้”



“มึงรู้ได้ไง เป็นญาติกันเหรอ”



“ไม่ใช่ญาติแต่ก็ค่อนข้างสนิท” มันทำท่าคิด “อืม...จ้างด้วยอะไรน้า” ผมเอียงตัวออกเล็กน้อยเมื่อไอ้คนข้างตัวขยับเข้ามาใกล้จนเรียกได้ว่าชิด



“มึงจะเล่นสมบทบาทไปแล้ว” ผมว่าเสียงกระซิบ ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ไหม เดี๋ยวมีเค้กอีก ถ้ามาเยอะใส่ตรงนี้แล้วเค้กนั่นจะเล่นยังไง!



แต่มันกลับทำหูทวนลม “ผมอยากรู้จัง งั้นขอสมัครเป็นคนขับรถของพี่อีกคนได้ไหมครับ”



“ตำแหน่งนี้มีได้คนเดียวเว้ย”



ไอ้โซลทำท่าทางเสียดาย “น่าอิจฉาคนขับรถคนนั้นจัง เจ้านายดูท่าจะถูกใจไม่เบานะเนี่ย” แต่หน้าแม่งชอบใจสุดๆ และผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนขับรถที่มันพูดถึงก็คือตัวมันเองนี่หว่า!



“ขับก็งั้นๆ แหละ มีดีแค่เบาะนุ่ม”



“หือ…” มันเลิกคิ้ว ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “คนขับก็มีดีนะครับ อยากลองหรือเปล่า”



ผมเบี่ยงตัวหลบแล้วดันหน้ามันออกไป “ม...ไม่ลอง”



ไอ้โซลหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ผมแสร้งพลิกหนังสืออ่านไปเรื่อยแต่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว...นี่ผมเป็นอะไรเนี่ย



“กลัวติดใจเหรอครับ”



มันไม่ต้องเล่นขนาดนี้ก็ได้ไหม!?



“พอแล้ว”



“อะไรนะครับ อยากลองแล้ว?”



ผมปิดหนังสือเสียงดัง “ไม่ลอง จะไล่ออกแล้ว เลิกจ้าง!”



“เฮ้ยได้ไง! พี่บอกให้ผมไปรับทุกวันแล้วนะ หลังจากที่เรากอดกัน...อื้อ!” แทบตะครุบปากไอ้พระเอกเอาไว้ไม่ทัน จากที่มันพูดกับผมแค่เบาๆ แต่นี่อยู่ๆ มันก็โพล่งขึ้นเสียงดังจนทั้งโต๊ะหันมามอง



ผมนึกว่าพี่โป้งจะสั่งคัท...แต่เปล่าเลย



ไม่ปล่อยให้เกิดความเงียบนาน ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงที่รับบทเป็นแฟนของเพื่อนในกลุ่มก็เดินถือเค้กเข้ามา...กลับกลายเป็นว่าเหมือนเป็นแผนเซอร์ไพรส์ที่ผมและไอ้โซลดึงความสนใจเจ้าของวันเกิดเอาไว้ซะอย่างนั้น



ก็ดี จะได้ไม่ต้องเล่นหลายรอบ



ผมปล่อยมือออกจากปากไอ้โซล หันไปร้องเพลงวันเกิดให้กับเพื่อนคนนั้น เสร็จแล้วก็มีคนแจกช้อนให้แล้วก็จ้วงเค้กกันแบบไม่เห็นใจคนซื้อมาเลย



ผมตักกินนิดหน่อย...ไม่ชอบเค้กรสอื่นนอกจากชาเขียว ไอ้ตัวโจ๊กของกลุ่มสะกิดผมให้ตักให้มันกินหน่อยเพราะช้อนมีไม่ครบ ผมเลยป้อนให้ แล้วผมก็ถูกสะกิดจากอีกด้าน...



“ป้อนผมมั่งสิ” ไอ้พระเอกของเรื่องก้มหน้าลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกันทำให้ผมต้องเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย



ผมยื่นช้อนให้มัน แต่ไอ้โซลส่ายหน้า



“ไม่ให้ผมไปรับ แล้วยังไม่ป้อนผมอีกเหรอ” น้ำเสียงติดจะน้อยใจนิดๆ แบบแสร้งทำ แม้ผมจะรู้ว่ามันถามไปอย่างนั้นแต่ถึงยังไงก็อยากให้มันมั่นใจ...ว่าผมไม่ผิดคำพูดหรอก



“กูพูดเล่น ก็ใครให้มึงกวนก่อนล่ะ”



เท่านั้นมันก็ยิ้มออกมา “ไม่เลิกจ้างแน่นะ”



“เออออ”



“แล้ว...” มันเว้นช่วงไปเกือบครึ่งนาที “จ้างตลอดชีวิตเลยได้ไหมครับ”



คิดผิดจริงๆ ที่รอฟังมันอย่างตั้งใจ...



อากาศร้อนๆ มักจะมาพร้อมกับรอยยิ้มและสายตาแปลกๆ ของมันเสมอ



...ครั้งนี้ก็เช่นกัน



“กินเข้าไปเลย!”



ผมตักเค้กคำใหญ่...เอาจริงๆ ผมปาดแต่ครีมมามากกว่า...ปากมันเลยเลอะครีมเป็นปื้นใหญ่



ผมหลุดขำ “เหมือนหนวดซานต้าเลยว่ะ” แล้วหัวเราะอย่างสะใจ



กวนกูดีนัก



พอเห็นผมเล่น เพื่อนคนอื่นเลยเอามั่ง...กลายเป็นการไล่เอาเค้กป้ายหน้ากันไปแล้ว



ผมลอยหน้าลอยตา ไม่สนไอ้โซลที่มองอย่างคาดโทษ ทุกคนเนื้อตัวเลอะครีมเค้กยกเว้นผม พี่โป้งเลยตะโกนแทรกเข้ามา “ทำไอ้ซีนเลอะด้วยดิ!”



เหมือนทุกคนจะส่งสัญญาณให้ไอ้โซลเป็นคนทำ มันมองเค้กที่เละตุ้มเป๊ะไปแล้วสลับกับมองหน้าผม สายตามันโคตรไม่น่าไว้ใจ...ไม่เอาทั้งถาดนะเว้ย



ผมกลืนน้ำลาย ก้าวถอยไปไหนไม่ได้ มันเดินเข้ามาใกล้แล้วเอื้อมมือไปทางด้านหลังของผม คงจะหยิบถาดเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะ...



แต่ก่อนที่ผมจะได้ทันเตรียมตัวเตรียมใจ มันก็โน้มตัวลงมา...แล้วกดริมฝีปากที่เปื้อนเนื้อครีมลงบนแก้มของผมอย่างรวดเร็ว



ผมเบิกตากว้าง นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ร่างกายขยับไม่ได้...ต่างกับก้อนเนื้อในอกที่เต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมา



ไอ้โซลทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พลางเลียริมฝีปาก “อร่อย”



เอาเค้กทั้งถาดมาปาใส่หน้าผมยังดีกว่า!



อะไรบางอย่างตีตื้นขึ้นมาจนตัวผมแทบระเบิด แต่ผมไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ได้แต่ยืนกะพริบตาจ้องไอ้คนตรงหน้าที่มองผมยิ้มๆ “อีกข้างได้ไหมครับ”



“บ...บ้าสิ!” กว่าจะหาลิ้นตัวเองเจอก็ได้ยินเสียงพี่โป้งสั่งคัทแว่วๆ “ช…ใช้มือก็ได้นี่”



ไม่รู้สีหน้าตัวเองตอนนี้เป็นแบบไหน...ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโกรธหรือเปล่า...หน้ามันร้อนไปหมด



ผมอาจโกรธ...ถึงแม้ผมเคยนอกบทแบบนี้ก็จริง แต่นั่นมันในห้องมันนะเว้ย ไม่ใช่กลางกองถ่ายแบบนี้!



หรือผมอาจไม่ได้โกรธ...เพราะหน้ามันไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด ซ้ำยังมองด้วยสายตาที่ผม...ต้องเป็นฝ่ายละออกมา



“ใช้อะไรได้หมดแหละครับ...แต่ผมไม่อยากใช้”



ผมอยากหายไปจากตรงนี้แต่แค่ก้าวขายังก้าวไม่ออก...



มันเป็นการแสดง...มันเป็นการแสดง



ผมพยายามบอกตัวเองแบบนั้น แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังไม่หยุดดิ้นพล่านสักที



“อะแฮ่ม!” ผมสะดุ้ง มองพี่ปุ้ยที่ทำท่าถอนหายใจ “พี่ก็ไม่อยากขัดหรอกนะคะ แต่ไปล้างหน้าล้างตาได้แล้วค่ะ ปล่อยไว้นานเดี๋ยวสิวก็ขึ้นหรอก”



“ค...ครับ” เสียงผมยังไม่หายสั่น ตั้งใจจะรีบผละออกไปแต่ผมดันเผลอเหลือบขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง และนั่นเป็นสิ่งที่ผิดพลาด...



ไอ้โซลยกหลังมือปาดเค้กที่เลอะริมฝีปากมันออกทั้งที่สายตายังจับจ้องมาที่ผม...ผมเริ่มจะหงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเงอะงะไปหมด แล้วก็หงุดหงิดมันที่สุดที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้!



ผมกัดปาก มองมันอย่างไม่สบอารมณ์พลางยกมือเช็ดแก้มตัวเองแรงๆ แล้วรีบเดินตามพี่ปุ้ยไปติดๆ โดยพยายามไม่สนใจไอ้ตัวต้นเหตุอีก



แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ตามมา...



แม่ง ขอให้สิวขึ้นหน้ามันตามจำนวนการเต้นของหัวใจผมเลย!





-

พระเอกของเรื่องนี่ชักจะเหิมเกริม555555

ขออัพครึ่งแรกก่อนนะคะ เดี๋ยวครึ่งหลังตามมา

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ด้วยนะคะ ^ - ^

#ข้างหลังฉาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 10-03-2017 05:31:05
น้องโซลร้่ายจริงๆนะคะ ใช้การแสดงเป็นประโยชน์มากกกกก เป็นครึ่งแรกที่ยิ้มแก้มจะแตกกก
รออีกครึ่งนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-03-2017 07:22:20
รุกเข้าไป ๆ นะโซล พี่ซีนเริ่มใจเต้นแรงบ้างแล้ว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 10-03-2017 08:47:48
 :impress2: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กแฝดน่ารัก ที่ 10-03-2017 09:07:08
ฮือออ โซลซีนน่ารักกก  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 10-03-2017 09:22:58
 :o8:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 10-03-2017 09:56:48
วี้ดบึ้มมม ระเบิดตัวแตก พึ่งได้มาตามอ่านค่ะ รวดเดียวจบ น่ารักมากกกก กไก่อีกบ้านตัว ถือป้ายไฟโซลซีน แม่ยกไม่ต้องพายค่ะ เรือแล่นเร็วมาก 5555555 รอตอนต่อไปอยู่นะคะ พี่ซีนน้องรุกแรงขนาดนี้เมื่อไหร่จะรู้ตัวววว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 10-03-2017 12:28:11
มาต่ออีกเร็ววววววววว

ไม่ไหวๆๆๆๆ พระเอกเราเนียนไป

#SoulsceneIsReal
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 10-03-2017 15:02:39
หวายยยยยย นี่เราเขินตามคนพี่แล้วนะเนี่ย

ฮาาาาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-03-2017 20:43:36
โซล รุกจนซีนหวั่นไหวแล้ว
หัวใจเต้นกระหน่ำ หน้าแดงแล้วซีน
ไม่ใช่รุ่นน้อง หรือคนขับรถทั่วไปแล้ว
นี่คือคนขับรถ ที่ขอดูแลซีนตลอดชีวิตนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 11-03-2017 01:18:19
เขินนนนน
โซลรุกหนักมากกกกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 11-03-2017 19:55:53
น่ารักกกกกกกกก อ่านแล้วฟินดีแท้

เอาใจช่วยโซล ซีนเริ่มหวั่นไหวแล้วนะเว้ย เนียนๆต่อไปนะเอ็ง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 11-03-2017 23:18:08
มันฟินมากมายยยยยย!!!~~ :z3: :z3:เขิล
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 13-03-2017 01:32:51
แอร๊ยยยยยยยยย
จีบกันได้น่ารักมั่กมั่ก >.<
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 13-03-2017 07:17:21
ร้ายค่ะร้าย โซลมันร้ายนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dellyamin ที่ 14-03-2017 12:12:58
กรีดร้องงงงงง โอ้ยยยยแม่ขาทำไมเขาน่ารักกันแบบนี้ ~~~~~ อยากไปเป็นติ่งตามในทวิต ><
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) - (10/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 14-03-2017 14:01:05
น่ารักมากกกกกเลยค่ะ อ่านไปยิ้มไป
ซีนน่าหมั่นเขี้ยวมากๆแถมยังน่าฟัดอีก
โซลทนได้แม่งโคตรเก่งเลย ฮ่าๆ
อีกไม่นานคนซึนก็ต้องรู้ใจตัวเองแน่ๆเลยอะ
รอติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 16-03-2017 00:14:51



ตอนที่ 10 - ll









ผมต้องเข้าฉากกับเฟิร์สต่อ พอล้างหน้า เปลี่ยนชุดและแต่งหน้าใหม่เสร็จก็เลยเดินมาหาเฟิร์สเพื่อคุยเรื่องฉากต่อไป



พระรองของเรื่องยังคงยิ้มแย้มให้ผมเหมือนเคย แม้ว่าหลายครั้งที่เฟิร์สพยายามจะเข้ามาคุยกับผมแล้วจะถูกไอ้โซลกวนตีนใส่ตลอดก็ตาม และเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเฟิร์สเลยต้องเป็นฝ่ายถอยออกไปทุกครั้ง...เพราะไอ้โซลไม่ยอมถอย ผมย่นจมูก พอพูดถึงไอ้เด็กนั่นแล้วมันก็...



“ร้อนเหรอซีน ผ้าเย็นไหม”



“ห..หือ ไม่นะ”



“เห็นหน้าแดงๆ เอาไปเถอะ”



ผมยิ้มแห้งๆ รับเอาของในมือเฟิร์สมาอย่างช่วยไม่ได้ ...บรรยากาศตอนเย็นที่มีลมพัดเอื่อยๆ จะเอาที่ไหนมาร้อนวะ...



ตอนนึกถึงไอ้เด็กนั่น ผมก็แค่เจ็บใจ...เจ็บใจเท่านั้นแหละ!



“ซีนรถเสียเหรอ”



ผมพยักหน้า เฟิร์สคงจะเห็นจากที่ผมทวิตไปเมื่อตอนเที่ยง



“ถ้ายังไงให้เราไปรับได้นะ ทั้งมาที่กองถ่ายหรือเผื่อวันหยุดแล้วอยากออกไปไหน”



“ไม่เป็นไร เราไม่ค่อยออกไปไหนหรอก”



“ซีนจะปฏิเสธเราทุกอย่างเลยเหรอเนี่ย” เฟิร์สพูดติดตลก แต่กลับทำให้ผมชะงัก



จะว่าไปผมเริ่มไม่ค่อยอึดอัดเวลาอยู่กับเฟิร์สแล้ว อาจเพราะสนิทกันขึ้นมาหน่อยก็ว่าได้ ถึงแม้ที่กองถ่ายจะได้คุยกันเฉพาะเวลาที่ไอ้โซลถ่ายเดี่ยวอยู่ก็เถอะ พอนึกถึงเรื่องดูหนังผมเลยรู้สึกผิดขึ้นมาอีก แต่นั่นไม่เหมือนกับครั้งนี้ซะหน่อย ผมว่านี่มันมากเกินไป



“ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจนะ แต่คือ...เราแค่เกรงใจ” ผมบอกไปตามตรง ทำไมทั้งเฟิร์สและไอ้โซลต้องมาทำแบบนี้กับผมด้วย ผมก็กดดันเป็นนะเว้ย ไม่คิดว่าผมจะลำบากใจบ้างเหรอ ผมไม่ได้ดูแลตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น จริงๆ รถที่บ้านก็ยังมีอีก ผมจะเอามาใช้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนใครเลยด้วยซ้ำ แต่ผมรับปากกับไอ้โซลไปแล้ว แล้วที่ต้องยอมมันก็เพราะ...เพราะอะไรก็ไม่รู้แล้วเว้ย!



มันทำอะไรกับผมก็ไม่รู้!



“เราล้อเล่น ซีนอย่าซีเรียสดิ” เฟิร์สโบกมือไปมาพลางหัวเราะ “เราเข้าใจ เราเสนอไปอย่างนั้นแหละ เผื่อฟลุ๊คเฉยๆ”



ผมคลายคิ้วที่เผลอขมวดเข้าหากัน ถ้าเฟิร์สเข้าใจผมก็โล่งอก...จริงๆ ก็ดูคุยง่ายกว่าที่คิด เรานั่งคุยกันต่อไปสักพักผมก็เห็นไอ้ตัวการที่ทำให้หงุดหงิดเดินมาทางนี้ มันคงเพิ่งแต่งหน้าเสร็จ ผมเลยสะกิดเฟิร์สให้ลุกขึ้น “ไปเตรียมตัวกันเถอะ”



เฟิร์สยอมตามผมมาอย่างง่ายดาย ผมเห็นว่าคนข้างตัวหันไปมองด้านหลังเล็กน้อย คงเป็นสงครามประสาทของสองคนนี้อย่างเคยล่ะมั้ง…



“ศุกร์นี้ซีนว่างใช่ไหม”



“อื้ม ทำไมเหรอ” ผมถามพลางดูบทไปด้วย แม้ว่าจะจำได้แล้วก็ตาม แต่ก็ดีกว่าต้องเงยหน้าแล้วเผลอเห็นใครบางคนให้เสียสมาธิ



“จะเป็นอะไรไหม...ถ้าเราจะชวนไปดูหนังอีกครั้ง”



วันศุกร์ไม่มีคิวถ่าย แพลนของผมคือนอนมันทั้งวันเพื่อชดเชยเวลาพักผ่อนที่สูญเสียไป น้ำเสียงเฟิร์สดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก อาจเพราะเคยถูกผมปฏิเสธไปแล้วครั้งนึง



ในตอนนั้นผมเพิ่งรู้จักกับเฟิร์สเลยรู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องไปไหนมาไหนด้วย ส่วนตอนนี้ผมคุยกับเฟิร์สได้เรื่อยๆ แบบไม่อึดอัดอะไร...ใจนึงผมก็อยากนอนอยู่บ้าน แต่อีกใจก็ไม่อยากปฏิเสธอีกครั้งเลยจริงๆ ...



...



เข้าฉากกับเฟิร์สผ่านไปด้วยดีเพราะไม่ได้มีอะไรมาก เป็นช่วงที่ตัวผมในเรื่องหนีมาอยู่กับพระรองเพราะไม่เข้าใจความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อพระเอก มีแค่บทพูดธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรถึงเนื้อถึงตัวอย่างเวลาเข้าฉากกับ...ฮึ่ย ผมควรเลิกนึกถึงเรื่องนั้นซะที



ฉากต่อไปเป็นฉากที่พระเอกกับพระรองปะทะกัน...ปะทะแค่ทางคำพูดเท่านั้นแหละ ผมเห็นไอ้โซลกำลังเดินเข้ามาหา ผมเลยบอกพี่ปุ้ยว่าจะไปเข้าห้องน้ำแล้วก็รีบวิ่งออกไปเลย



“น้องซีน!” พี่ปุ้ยตะโกนเรียก...แต่ผมไม่ได้หันไป “ห้องน้ำอยู่ทางโน้นนะคะ!”



ผมคิดว่าไอ้โซลก็คงรู้ เพราะปกติเราอยู่ด้วยกันตลอดแต่นี่มันอยู่ที่ไหนผมก็เลี่ยง และผมก็โคตรไม่เนียน...ดันวิ่งมาผิดทาง!



ผมไม่ได้หลบหน้ามันนะ...แค่ยังไม่อยากมองหน้ามันเฉยๆ



กลับมาอีกทีเห็นพี่โป้งกำลังบรีฟสองคนนั้นอยู่ ผมนั่งลงข้างพี่ปุ้ย ไอ้โซลมีสีหน้าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด มันถอนหายใจหลายครั้ง และเมื่อมันมองมาทางนี้...ผมก็หันหน้าหนีทันที...



พอพี่โป้งบอกให้เริ่มถ่าย ทั้งสองก็เดินเข้ามาในฉากกันคนละทาง เพราะไม่ได้มองทางพวกมันเลยเดินชนกัน และเมื่อเห็นว่าอีกคนเป็นใครต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที



“เพื่อนสนิทไปไหนซะล่ะ” คำถามของเฟิร์สทำให้ไอ้โซลเบือนหน้าหนี “ค่อยเป็นค่อยไปหน่อยสิวะ”



“เสือก”



“เมื่อกี้เขาอยู่กับกู”



ไอ้โซลตวัดสายตามองเฟิร์ส “หุบปากก่อนที่ปากมึงจะแตก”



แต่เฟิร์สไม่ได้เกรงกลัวคำขู่นั้น พระรองของเรื่องหัวเราะในลำคอ “เพราะใจร้อนอย่างนี้ไง ยัดเยียดความรู้สึกตัวเองให้เขา เขาเลยต้องหนีมาหากู”



ไอ้โซลสูดลมหายใจเข้าอย่างพยายามระงับอารมณ์ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกกลัว...กลัวว่ามันจะนอกบทแล้วเหวี่ยงหมัดเข้าใส่เฟิร์สจริงๆ ...ฉากตรงหน้าไม่เหมือนกำลังแสดงกันอยู่เลยให้ตายสิ!



“มึงไม่รู้อะไรอย่าทำเป็นรู้มากจะดีกว่า”



“มึงก็อย่ามั่นใจไปหน่อยเลยว่าเขาจะเลือกมึง”



“หึ...กูมีวิธีของกูก็แล้วกัน”



“หวังว่าจะไม่ใช่วิธีที่ทำให้เขาเตลิดมาหากูหรอกนะ”



เฟิร์สยังคงใช้คำพูดยั่วโมโห แต่ไอ้โซลไม่บ้าจี้ตามอีก ทำเพียงแค่นยิ้ม “มันอยู่กับมึงแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ อย่าเพิ่งได้ใจไปหน่อยเลย เรื่องระหว่างพวกกูไม่ได้มีแค่ที่มึงเห็น



“เหอะ! มึงบอกตัวเองเถอะ ทำให้เขารักให้ได้ก่อนไหมค่อยมาพูด”



ไอ้โซลเหยียดยิ้มเหมือนมั่นใจเสียเต็มประดา มันไม่ได้ตอบโต้ประโยคนั้น แต่กลับตบไหล่เฟิร์สพลางทำหน้าเห็นอกเห็นใจ “มึงก็อย่าหวังสูงเกินไปล่ะ ตกลงมาจะเจ็บเปล่าๆ ถือว่ากูเตือนแล้วนะ”



“คัท!”



เท่านั้นทั้งสองก็ผละออกจากกันแทบจะทันที ผมถอนสายตาจากจอมอนิเตอร์ ลุกขึ้นเดินออกมาจากตรงนั้น รู้ตัวว่ามันดูลุกลี้ลุกลนจนผมก็ชักรำคาญตัวเองเหมือนกัน แต่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็มีทีมงานคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาแล้วยัดขวดน้ำใส่มือผม



“ฝากไปให้น้องเฟิร์สหน่อยนะคะ พี่จะไปเข้าห้องน้ำ พี่ไม่ไหวแล้ว ขอบคุณนะคะน้องซีน” ว่าจบพี่แกก็วิ่งไปเลย ผมยังไม่ทันอ้าปากตอบอะไรด้วยซ้ำ



จะใช้ผมก็ไม่เป็นอะไรหรอกแต่ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย!



ผมจำใจเดินกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ จะฝากคนอื่นไปแทนก็เกรงใจ ทีมงานคนอื่นกำลังวิ่งวุ่นกันจะให้ผมมาทำตัวไร้สาระอย่างนี้ไม่ได้หรอก



ผมเห็นไอ้โซลรับน้ำจากพี่ปุ้ยหลังจากที่มันเช็คมอนิเตอร์เรียบร้อยแล้ว ผมเดินเข้าไปหาเฟิร์สที่อยู่ห่างออกมาจากมันไม่กี่ก้าว แม้พยายามเลี่ยงที่จะมองมันแต่หางตาผมก็ยังเห็นว่ามันกำลังมองผมอยู่ดี ผมรีบหลับหูหลับตายื่นน้ำไปให้เฟิร์สเพื่อที่จะได้รีบเดินออกมาจากตรงนั้น



“อ่ะ น้ำ”



เฟิร์สอึ้งไปนิดหน่อยก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “ขอบใจนะ”



“ไม่เป็นไร” ผมยิ้มกลับไปนิดๆ จะปลีกตัวออกมาแต่เฟิร์สกลับเรียกไว้ก่อน



“ซีนรีบไปไหนเหรอ”



“ป...เปล่า ไม่รีบๆ”



ผมยืนหันหลังให้ไอ้โซล รู้ว่ามันยังคงอยู่ที่เดิมเพราะได้ยินเสียงมันคุยกับพี่ปุ้ย ส่วนเฟิร์สดูดน้ำในขวดแล้วมองผมยิ้มๆ



“วันนี้ซีนแปลกๆ นะ” ว่าพลางซับเหงื่อไปด้วย พอเห็นผมยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองเฟิร์สก็หัวเราะ “ไม่ใช่แบบนั้น”



“แล้วเราแปลกยังไง”



“ไม่รู้สิ” เฟิร์สยักไหล่ “แต่เราชอบนะ”



ผมชะงักไปนิดนึง หัวเราะแห้งๆ แบบไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่เลือกที่จะไม่ถามต่อเพราะตอนนี้มีบางสิ่งที่กวนใจผมมากกว่าคำพูดแปลกๆ ของเฟิร์ส



“ไหนๆ วันนี้ซีนก็ไม่ปฏิเสธเราแล้ว งั้นเราขออีกอย่างแล้วกันนะ”



“อะไรเหรอ”



เฟิร์สไม่ตอบแต่กลับยกโทรศัพท์ขึ้นมาแทน “เอ้า ยิ้มหน่อย”



แชะ



“เฮ้ย” ผมหน้าเหวอ รูปแม่งก็ต้องเหวอด้วยแน่ๆ “ยังไม่ได้ตั้งตัวเลย”



“ฮ่าๆ ล้อเล่น” เฟิร์สหัวเราะก่อนจะชูกล้องขึ้นมาใหม่ ยื่นมือออกไปเล็กน้อยเพียงเท่านั้น หน้าจอเลยเห็นหน้าผมครึ่งเดียว เฟิร์สจึงขยับเข้ามาใกล้ๆ จนเกือบจะแนบกันอยู่แล้วถึงเห็นหน้าเราทั้งคู่เต็มจอ...ก็แค่ถ่ายรูปเองไม่เห็นต้องขอ



กดถ่ายไปหลายรูปจนเจ้าตัวพอใจนั่นแหละผมเลยบอกว่าขอตัวก่อนเพราะเดี๋ยวต้องเข้าฉากต่อไป แต่พอหันหลังกลับผมก็ชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง...



“แผนสูงจังนะ”



ผมลูบจมูกตัวเองเล็กน้อย ไอ้โซลมองเลยไปข้างหลังทำให้รู้ว่ามันไม่ได้พูดกับผม



“ก็ดีกว่าพวกชอบฉวยโอกาส”



ผมมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ พี่ปุ้ยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ที่ตรงนี้เหลือแค่พวกผมเท่านั้น ผมอยากเดินออกมาแต่ก็กลัวว่าถ้าไม่มีคนกลางคอยห้าม พวกมันอาจขาดสติแล้วมีเรื่องกันจริงๆ ได้



“ใช้บทพระเอกคุ้มว่ะ”



“อิจฉางั้นสิ”



“ก็ใช่” เฟิร์สยอมรับง่ายๆ สีหน้าทั้งคู่ราบเรียบจนยากที่จะคาดเดาอารมณ์ “แต่อย่าเพิ่งดีใจไป...อย่าลืมสิว่าในชีวิตจริงบทนี้มันจะไปตกอยู่ที่ใครก็ได้”



ผมมองทั้งสองคนสลับไปมา พวกมันทะเลาะกันเรื่องบทเหรอ...แต่ทำไมรู้สึกเหมือนดูฉากที่เพิ่งถ่ายเสร็จไปเมื่อกี้อยู่เลย ต่างกันตรงที่เฟิร์สเดินเข้ามาตบไหล่ไอ้โซลแทน



“และอาจเป็นกูที่ได้บทนั้น”



ไอ้โซลส่งเสียงเหอะในลำคอ ปัดมือของเฟิร์สออก “บอกแล้วไงว่าอย่าหวังสูงเกิน”



พวกนี้พูดอะไรกันวะ...ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ไอ้โซลก็หันมาทางผม



“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ” ผมเสสายตาหลบ แน่นอนว่าผมหนีมันไม่พ้นหรอกเพราะฉากต่อไปก็ต้องถ่ายกับมัน กลับบ้านก็ต้องกลับกับมัน พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องเจอมันเหมือนเดิม…แต่ถึงยังไงก็ยังไม่ใช่ตอนนี้



“ค่อยคุย”



“พี่ซีนครับ” ไอ้โซลขยับเข้ามาใกล้ แต่ผมกลับถอยห่างออกทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นมองมันสักนิด มันผิดสังเกต...แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้



“เลิกกองก่อนนะ”



มันพ่นลมหายใจ “...ก็ได้ครับ”



“มึงก็เห็นผลลัพธ์แล้วไม่ใช่เหรอ” เฟิร์สเอ่ยขึ้นพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ...ตอนนี้ผมคิดว่าพวกนี้ต้องมีเรื่องผิดใจกันนอกจากเรื่องแคสซีรีส์แน่แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร



“เห็นสิ ...มึงต่างหากที่ยังไม่เห็น



ผมมองไอ้โซลอย่างตกใจเพราะคำที่มันใช้เรียกเฟิร์ส นั่นรุ่นพี่นะเว้ย...แต่เฟิร์สก็ไม่ได้ใส่ใจสรรพนามนั้น กลับทำเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย



“อย่าดีแต่อวดแล้วกัน” ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “เจอกันนะซีน” แล้วถึงเดินจากไป…

     



...







แม่ง ทีอย่างนี้ทำไมเวลามันเดินเร็วนักฮะ!



ไอ้โซลเดินอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าเพราะผมก้าวขาเร็วหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ได้ลืมเรื่องที่มันจะคุยด้วยหรอกนะ แต่ถ้ามันลืมไปก็ดี...แต่โชคไม่เข้าข้าง พอใกล้จะถึงตัวรถแขนผมก็ถูกคว้าเอาไว้



“เราจะคุยกันได้หรือยังครับ”



“ค...คุยอะไร”



แกล้งโง่ได้ไม่เนียน... ซึ่งนั่นทำให้ไอ้โซลถอนหายใจออกมา ผมยังคงก้มหน้าอย่างที่ทำมาตลอดหลายชั่วโมง ทำเพียงมองปลายเท้าของอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้า



“ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้โกรธ แต่ผมอยากรู้ว่าพี่หลบหน้าผมทำไม”



ผมเม้มปากแน่น ตอนนี้ถึงอยากจะหนียังไงผมก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้จะเพิ่งเข้าฉากกับมันมาแต่เพราะทีมงานอยู่เยอะผมเลยเลี่ยงมันได้บ้าง แต่ตอนนี้คงทำอย่างนั้นไม่ได้...ตรงนี้มีแค่ผมกับมัน...ผมต้องตอบจริงๆ เหรอ...



ใครจะไปพูดกันล่ะ!



“เปล่า กูก็...ทำตัวปกตินะ”



“พี่หลบหน้าผม พอผมเข้าใกล้ก็เดินหนี แต่กับไอ้นั่นที่ยืนชิดพี่ขนาดนั้น พี่ยังไม่ว่าอะไรสักคำ...แบบนี้คือปกติเหรอครับ”



“…”



“พี่ไม่มองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ”



น้ำเสียงนั้นทำเอาใจผมยวบ...อาการที่ผมเป็นอยู่มันงี่เง่าสิ้นดี ไม่ใช่ว่าไม่หงุดหงิดตัวเองแต่จะให้ผมทำยังไงกับมันล่ะ...ผมไม่เคยเจอความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ



“ก...กูไม่ได้ตั้งใจ มึงก็รู้นี่ว่าไม่ได้โกรธ...แล้วจะเอาอะไรอีกเล่า!” ผมกัดปาก “...มึงกับเฟิร์สไม่เหมือนกันนี่หว่า...กับมึงน่ะ ค...คือมัน...” กำชายเสื้อของตัวเองแน่น อมพะนำคำๆ นั้นเอาไว้ ก็จะให้พูดออกไปยังไงล่ะว่าผม...!



ไอ้โซลเงียบไป…เหมือนรอฟังให้ผมพูดออกมาให้หมด



แต่เมื่อผมไม่สามารถพูดออกไปได้...มันก็ยังคงเงียบ



อีกแล้ว...มันทำแบบนี้อีกแล้ว ผมไม่ชอบเลย มันชักจะได้ใจใหญ่แล้วเพราะมันรู้ว่าผมรู้ว่ามันคิดอะไร จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาผมรู้ว่ามันเป็นห่วงเลยยอม แต่ครั้งนี้ที่หลบหน้ามัน...ผมผิดเหรอวะ…



...ก็แค่ยังไม่พร้อมจะมองเฉยๆ



ทั้งๆ ที่มันเป็นต้นเหตุแท้ๆ และทั้งๆ ที่ผมไม่จำเป็นต้องตอบมันด้วยซ้ำ...แต่ผมก็แค่ไม่ชินเวลาที่มันเงียบไปแบบนี้แทนการยกยิ้มน่าหมั่นไส้เฉยๆ หรอกน่า



...ผมก็เลยต้องยอมมันอีกครั้งจนได้



ผมตัดสิ้นใจเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า เท่านั้นเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันก็แวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง ฉายซ้ำได้เหมือนจริง...และยังมาพร้อมกับความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกรวมตัวกันที่หน้าอีกด้วย





และให้ตายเถอะ...ไอ้โซลกำลังยิ้ม...





เป็นรอยยิ้มที่รู้อยู่แล้ว รู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้น...เป็นรอยยิ้มของคนขี้แกล้ง!





ผมยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองเอาไว้ทันที ไม่เขินแม่งแล้ว ตอนนี้โมโหเว้ย!



“ไอ้คนนิสัยไม่ดี!” เหวี่ยงมือทุบเข้าที่ตัวมันหลายทีจนมันร้องโอดโอยจับมือของผมเอาไว้ ผมชักมือกลับ แทบจะเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าปิดตาตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด



หลงกลมันจนได้!



“มึงมันชั่ว!”



มันพยายามกลั้นหัวเราะ “ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว” ยกมือสองข้างขึ้นเป็นท่าทางประกอบ “สารภาพแล้วครับว่าผมรู้เหตุผลของพี่”



“แล้วทำมาเป็นโกรธ กูต่างหากที่ต้องโกรธน่ะ!” ...เพราะอาการนั้นมันเป็นต้นเหตุไง!



ไอ้โซลส่ายหน้า หุบยิ้มลง “ตอนแรกที่ผมยอมให้พี่หลบหน้าเพราะผมรู้ว่าทำไม ผมเลยไม่ได้ตามพี่ไปเปลี่ยนชุดทันที...แต่ไม่คิดว่าพี่จะไปอยู่กับไอ้พระรองนั่น”



“…”



“ถ้าเป็นอย่างนี้คราวหลังไม่ยอมให้หลบแล้วนะครับ”



ยังมีคราวหน้าคราวหลังอีกเหรอ!



“ก็อย่าทำให้ต้องหลบสิวะ!”



“ตอนพี่หอมแก้มผม ผมยังไม่เห็นหลบหน้าพี่เลย ขี้โกงนี่ครับ”



“จะพูดขึ้นมาอีกทำไมล่ะ!” ครั้งนั้นน่าอายกว่านี้อีก ผมฟาดมือลงไปบนแขนมันอีกครั้ง “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว!”



“ครับๆ” มองมันลูบแขนตัวเองพลางหัวเราะแล้วก็อยากตีให้ช้ำตายไปเลย หมั่นไส้จนคันไม้คันมือไปหมด



เวลาตีหนึ่งกว่าๆ ที่อากาศเย็นจนเรียกได้ว่าหนาวสำหรับคนอย่างผม แต่ผมกลับรู้สึกร้อนขึ้นมาดื้อๆ เมื่อผมไม่คิดที่จะหลบสายตาของมัน อาจเพราะมีมือทั้งสองที่กุมหน้าตัวเองเอาไว้อยู่เลยทำให้ผมสามารถปกปิดร่องรอยของอาการบางอย่างได้



“แต่เฟิร์ส...เป็นเพื่อนกูนะ” ไม่ชอบกันเองแล้วจะเอาผมไปเกี่ยวด้วยทำไมก็ไม่รู้ พอได้ยินชื่อนั้นไอ้โซลก็เบ้หน้า



“มันก็ได้แค่เพื่อนนั่นแหละ” ไอ้คนตรงหน้าพึมพำแต่รอบกายค่อนข้างเงียบผมเลยได้ยิน



“หือ หมายความว่าไง”



ไอ้โซลไม่ตอบ จ้องเข้ามาในดวงตาของผมแทน “แล้วผมล่ะ?”



แม่ง...ผมหันหน้ามองไปทางอื่นจนได้ “มึงก็...เป็นคนขับรถไง”



คำตอบนั้นทำให้มันหลุดหัวเราะออกมา “อย่างนั้นก็ได้ครับ”



ผมหน้ามุ่ย เดี๋ยวมันก็ยิ้ม เดี๋ยวก็ทำหน้าดุ บางทีก็ชอบพูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจด้วย ไอ้โซลดึงประตูข้างคนขับให้เปิดออก วางมือบนหัวของผมแล้วลูบเบาๆ “เชิญครับเจ้านาย”



ลูกน้องที่ไหนเขาเล่นหัวเจ้านายอย่างนี้กันเล่า!



…แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ปัดมือมันออก...ก็มือไม่ว่างนี่



ทำได้แค่กระแทกตัวลงกับเบาะอย่างไม่พอใจ...ผมว่าผมแสดงออกไปแบบนั้นนะ



...แต่ทำไมมันยังยิ้มอยู่ล่ะ...มีความสุขอะไรนักหนา!







-

ถ้าน้องทำมากกว่านี้พี่จะเป็นลมมั้ยคะ...

หรือต้องทำบ่อยๆ จะได้ชิน... /โดนพี่ซีนฟาด

โซลต้องรุกแล้วค่ะ นั่งมานานเมื่อยจะแย่ #นั่นมันลุก ห้าบาทสิบบาทก็ยังจะเล่น -*-

เราพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละครั้ง อาจมาช้าบ้างเร็วบ้างแต่ก็พยายามให้มันอยู่ในอาทิตย์นั้น แฮะๆ  แต่ไม่รู้อาทิตย์หน้าจะได้อัพรึเปล่านะคะ ทั้งสอบทั้งงาน ขอโทษล่วงหน้าก่อนเลยแล้วกัน T ^ T

ติชมกันได้นะคะ #ข้างหลังฉาก หรือมาพูดคุยกันก็ด้ายยยในทวิตเน้ออ ‘ ‘/

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า <3
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 16-03-2017 00:35:13
เขินน้องมันอีกแล้ว โถ่...พี่ซีน 5555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-03-2017 16:11:57
ซีนหน้าแดงหลายรอบแล้วนะ ไปกินยาแก้ไข้ก่อนดีไม๊ หุหุ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-03-2017 20:15:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 17-03-2017 03:08:30
โซลต้องลุกมากกว่านี้ค่ะ
เหน็บจะกินเอาล่ะ555 (อยากเล่นบ้าง)
 :hao7:
อิพระรองนางเริ่มตีเนียนแล้วนะ
น้องโซลต้องรีบแล้วค่ะ
เอาให้ชัดๆไปเลย นี่พี่ซีนของโซลเว้ย
 :angry2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 17-03-2017 03:58:49
โซลต้องรุกกกๆๆๆ รุกอีกก
แต่ต้องกันไม่ให้ซีนเตลิดไปด้วย
ซีนคือแบบเขินหน้าแดงไปหลายรอบมากๆแล้วอะ
ส่วนพระรองก้ขอใฟ้เปนพระรองต่อไปนะคะ
อย่าได้พลิกบทมาเปนตัวร้ายเลยรอค่าา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-03-2017 05:40:42
โซล ทำซีนเขิน
เขิน เพราะอะไร
ก็ใจซีน หวั่นไหวกับโซลแล้ว
ใจซีนรู้ แต่ก็ไม่อยากรู้ เอ๊ะ....ยังไง  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-03-2017 08:32:47
ที่ไม่น้อยใจนี่เพราะรู้อยู่แล้วสินะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 17-03-2017 23:33:57
โซล ต้องรุกหนักกว่านี้อีก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dellyamin ที่ 17-03-2017 23:36:36
โอ้ยยยย เขินแทนซีน โซลขี้แกล้ง อ่านทางซีนออกแล้วสินะ อร๊ายยยยย >/////< รอตอนต่อไปน้าาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Missmu ที่ 22-03-2017 23:02:51
  :-[ เขินแทน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 23-03-2017 20:31:14
เขินนนนนนน แต่ชอบมากกกกกกก 555
โซลต้องรุกมากกว่านี้นะ พี่ซีนจะได้ชิน
พอชินละก้จะได้เลิกอาย คนอ่านก้จะได้ฟินบ่อยๆด้วยๆ.ฮ่าาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 24-03-2017 19:44:09
เรื่องน่ารักมากเลยค่ะ ไทป์เราเลยยย ฮืออออ ชอบบบ #โซลซีน อยากเป็นน้องอู้ว  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Missmu ที่ 25-03-2017 03:16:17
มารอตอนต่อไป  :mew2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BlackCatty ที่ 26-03-2017 13:28:01
รู้สึกผิดจริงๆที่รู้สึกลำไยความซึนของอิพี่เบาๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 26-03-2017 14:32:48
เราอาจโรคจิต อยากให้นายเอกได้ยากๆ คิดมากๆหน่อย
เหมือนไม่ทันไรก็ชอบพระเอกแล้ว มันแอบไม่ค่อยอิน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 27-03-2017 14:43:06
น่ารักกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง) - (16/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 27-03-2017 18:07:55
โซลโคตรเนียนน เข้าใกล้เนียนๆ จริมๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 27-03-2017 21:59:38



ตอนที่ 11







“น้องโซลดูเพลียๆ นะคะ ไปงีบสักหน่อยไหม”



“ไม่เป็นไรครับ นั่งพักตรงนี้ก็โอเคแล้ว”



ไอ้โซลยิ้มน้อยๆ ให้พี่ปุ้ยที่มองมาด้วยความเป็นห่วง อยากไปรับไปส่งผมดีนัก เป็นยังไงล่ะ สภาพเหมือนคนอดนอน แต่งหน้ายังไงก็ปิดไม่มิด ผมว่ามันทำอย่างนี้ต่อไปไม่ไหวหรอก



“แหม...ห่างๆ กันมั่งก็ได้นะกับซีนน่ะ” หนิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามพูดขึ้น ผมที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงัก...เกี่ยวอะไรกับผมวะ “อย่าไปเซ้าซี้โซลเล๊ย ซีนนั่งอยู่นี่จะให้โซลไปอยู่ไหนล่ะคะพี่ปุ้ย”



“อุ้ยตายแล้ว พี่ขอโทษค่ะ ลืมไปว่าแหล่งพลังใจของน้องโซลอยู่นี่”



นักแสดงที่นั่งร่วมวงอยู่ในโต๊ะหันมายิ้มล้อ ไม่มีแฟนคลับอยู่แถวนี้สักหน่อย จะชงกันทำไมก็ไม่รู้ ผมกระแอมไปที นอกจากพี่บัวที่แวะเวียนมาเป็นครั้งเป็นคราวแล้ว ก็มีหนิงนี่แหละที่เข้ากับพี่ปุ้ยเป็นปี่เป็นขลุ่ย หนิงเป็นนักแสดงสมทบมีบทบาทนิดหน่อย วันไหนมีคิวถ่าย ผมกับไอ้โซลโดนแซวตั้งแต่เช้าวันนี้ถึงเช้าของอีกวันโน่น



“น้ำครับ”



บางทีก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีพรรคพวกอย่างใครเขาเลย ไอ้คนที่ยื่นน้ำมาให้ก็ไม่เคยปฏิเสธ ซ้ำยังแย้มรอยยิ้มยินดีปรีดาไปอีก



“ไม่ไปนอนจริงดิ”



“อยากนั่งอยู่ตรงนี้มากกว่านี่ครับ”



ผมส่งสายตาเอือมๆ ใส่มัน “พูดดีไปเถอะ เมื่อคืนถึงห้องกี่โมง บอกให้ไลน์มา”



“ไม่ได้ลืมนะครับ แค่เผลอหลับ”



เจ้าตัวยิ้มแห้ง ผมบอกให้มันไลน์มาบอกทุกครั้งเวลากลับถึงห้อง จะได้รู้ว่าไม่ได้ไปเสยฟุตบาทที่ไหน เมื่อคืนก็อุตส่าห์ถ่างตารอตั้งนานมันก็ยังไม่ไลน์มา โทรไปก็ไม่รับ



“ไม่ต้องห่วงครับ ไม่พาพี่ลงข้างทางแน่นอน”



“นึกถึงตัวเองมั่งก็ได้ ถ้าไม่ไหวก็บอก” คนเราไม่ได้จะเก่งไปซะทุกอย่างหรือแข็งแรงได้ตลอดเวลาสักหน่อย “เอางี้ไหม ให้กูขับตอนมาบ้านกู แล้วมึงก็ขับกลับคอนโดมึง” ผมเสนอ อย่างน้อยมันจะได้ไม่เหนื่อยมาก งีบระหว่างทางสักแป๊บก็ยังดี



ไอ้โซลเลิกคิ้ว ดูแล้วค่อนข้างไม่เห็นด้วย มันวาดแขนมาพาดบนพนักเก้าอี้ของผม “พี่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็พอแล้วครับ”



“ไม่ไว้ใจกูขนาดนั้นเลย? เออ ใครจะไปเก่งแบบมึงล่ะ คนหรือเครื่องจักรวะ พักชาร์ตแบตชั่วโมงเดียวก็เต็มแล้วงี้เหรอ”



ผมกอดอก มุ่ยหน้า เข้าใจที่มันเป็นห่วง แต่มันกลับไม่เข้าใจว่าผมรู้สึกแย่ที่ทำให้มันต้องลำบาก แค่จะยื่นมือช่วยเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ให้ทำ ดูแลให้ผมสะดวกสบายไปหรือเปล่า



“เป็นห่วงก็บอกดีๆ สิครับ อารมณ์เสียกลบเกลื่อนทำไม” มันยิ้มขำ ใช้หลังนิ้วแตะแก้มผมเบาๆ



“ย...อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!” ไอ้นี่หนิ วกเข้าเรื่องโลกร้อนตลอด



“ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจพี่นะครับ แต่อยากให้พี่รู้ว่าผมปล่อยให้พี่เป็นอะไรไปไม่ได้จริงๆ” มันพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ แต่กลับแฝงความจริงจังเอาไว้ในน้ำเสียง “ให้ผมดูแลเถอะนะ”



ข้าวที่ตักเข้าปากคำล่าสุดคำใหญ่มาก อยากจะเคี้ยวเล่นอยู่อย่างนั้นสักสิบนาที เอาเป็นว่าถึงผมห้ามยังไงมันก็ทำตามใจตัวเองอยู่ดีเลยเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อ เมื่อเห็นผมเงียบไปมันก็เอานิ้วมาแตะๆ แก้มผมอีก



“เคยบอกแล้วไงครับว่าอย่าอมข้าว”



ข้าวในปากเกือบพุ่งเหมือนวันนั้นไม่มีผิด ครั้งที่สองที่ผมเจอกับมันที่โรงอาหารของคณะสถาปัตย์ฯ แล้วผมก็เคยบอกมันไปแล้ว(ในใจ)ว่าอย่าจ้อง เดี๋ยวพ่นข้าวใส่หัวแม่ง



“อย่าคิดมากนะครับ ที่ผมทำให้พี่ทุกอย่างผมเต็มใจ”



ลึกๆ ผมก็รู้ แต่ก็อดเกรงใจไม่ได้อยู่ดี



“งั้นไม่ขับให้ฟรีก็ได้ พี่ต้องจ่ายผมทุกวัน”



ผมกลืนข้าวลงคอ ยกน้ำขึ้นดื่ม “อืม คิดเท่าไหร่”



อย่างน้อยถ้าได้ตอบแทนมันบ้างจะได้ดูไม่เอาเปรียบมันเกินไป ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้จ้องมันอย่างรอคำตอบ ไอ้โซลทำท่าคิดอยู่ไม่ถึงครึ่งนาทีก็เอียงหน้าเข้ามาหาแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่แก้มตัวเอง “ข้างไหนก็ได้ 1 ที แต่ถ้าวันไหนเหนื่อยมากขอ 2 ข้าง ตกลงไหมครับ”



ตกลงกับผีน่ะสิ!



ผมใช้นิ้วชี้ดันหน้ามันออกไป เจ้าตัวร้องโอย ลูบแก้มตัวเองพลางหัวเราะ เมื่อกี้อุตส่าห์จริงจัง กำลังคิดว่าจะจ่ายค่าน้ำมันให้แล้วเพิ่มค่าเหนื่อยเข้าไปอีก ลืมไปคนอย่างมันเหรอจะมาอยากได้เงิน ผมหลงกลมันไปกี่รอบแล้วเนี่ย



“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ”



“พอเลย! อยากขับก็ขับไปคนเดียว กูจะนั่งเฉยๆ จะไม่ช่วยอะไรสักอย่าง จะไม่ถามแล้วด้วย”



ไอ้โซลพยักหน้ารับตามทุกคำพูดของผม ยกมือที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ “ดีมาก ผมก็จะไม่บ่นสักคำเลย”



ผมหน้ามุ่ยกว่าเดิม เข้าทางมันจนได้สิน่า



“อะแฮ่ม! เอ่อ...โทษที ความอิจฉาติดคอน่ะ” เสียงกระแอมไอทำให้ผมละสายตาออกจากไอ้โซล หันไปมองรอบโต๊ะถึงเห็นว่าทุกคนกำลังมองมาทางนี้



“เหมือนจะติดคอพี่ด้วย ขอน้ำหน่อยค่ะ” พี่ปุ้ยก็เป็นไปกับหนิงอีกคน



อะไร ผมแค่คุยกับไอ้โซลเอง



“นั่งกันเกือบสิบคนแต่รู้สึกเป็นส่วนเกินฉิบหาย” ไอ้ตัวโจ๊กว่า มองมาที่ผมด้วยสายตาเคืองๆ ก่อนจะหันไปพูดกับคนใส่แว่นที่นั่งข้างๆ “กูบอกแล้วว่าฉากวันเกิดเขาไม่ได้แสดง มึงเห็นความเรียลตรงหน้าไหม”



“อืม เหมือนอะไรจะชัดขึ้นมาแล้วล่ะ” ว่าพลางดันแว่นขึ้นเหมือนกำลังวิเคราะห์ “กูยังไม่เคยเทคแคร์แฟนกูขนาดนี้เลยว่ะ ไอ้โซลแม่งไอดอล”



ไอ้ตัวโจ๊กพยักหน้าเห็นด้วย ปากระดาษทิชชู่ใส่ไอ้โซล “อีกหน่อยมึงไม่แบกพี่ซีนเดินไปเดินมาเลยเหรอ หมั่นไส้ว่ะ”



“ถ้าพี่ซีนยอมให้แบกนะ”



ผมฟาดมันไปที “ยังจะไปเล่นด้วยอีก!”



คนรอบโต๊ะเบ้ปาก แซวเอง หมั่นไส้เอง พวกผมผิดอะไรวะ สายตาทุกคนที่มองมาอย่างจับผิดทำเอาผมต้องยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองพลางมองไปทางอื่น



“ใช่ค่ะ ยังอีก” พี่ปุ้ยว่าด้วยน้ำเสียงเอือมๆ อย่าบอกนะว่าพี่เข้าใจหัวอกผมแล้ว “ยังไม่เห็นอีกเหรอคะว่าตาร้อนกันหมดแล้ว”



“เฮ้ย ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” นั่งอยู่เฉยๆ แล้วเนี่ย



“หมายถึงน้องโซลน่ะค่ะ จะโอบพี่เขาอีกนานไหม”



“อย่าว่าแต่โซลเลยพี่ปุ้ย ซีนก็นั่งเฉยๆ ให้น้องมันแตะนู่นลูบนี่อยู่ได้ ไม่ต่างกันทั้งสองคนนั่นแหละ” พอหนิงว่าแบบนั้นผมเลยเด้งตัวขึ้น เมื่อกี้พิงพนักเก้าอี้อยู่ซะนานสองนาน โอบอะไรล่ะ มันก็แค่เมื่อยแขนหรือเปล่า



“แค่นี้ก็คิดกันเป็นตุเป็นตะ”



หนิงกลอกตา “จ้า ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร” ก่อนจะลุกขึ้นเพราะมีทีมงานเรียกให้ไปเปลี่ยนชุด ไอ้โซลก็ด้วยเหมือนกัน “ไปเถอะโซล เบื่อคนแถวนี้”



เจ้าของชื่อบิดขี้เกียจเล็กน้อย อมยิ้มนิดๆ “ไม่เห็นจะเบื่อเลย”



“โอ้ย ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ!” หนิงปรี๊ดแตก แต่ไอ้ตัวต้นเหตุกลับหัวเราะ ผมมองตามหนิงที่ก้าวฉับๆ ไปแต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงบ่นไปตามทาง “คนนึงก็ใส่เต็ม อีกคนก็ไม่รู้ตัว อากาศก็ร้อน น่าอารมณ์เสียไปหมด!”



นั่นแม่คุณโมโหเหรอ... ผมมองคนข้างๆ มันยักไหล่ วางมือลงบนหัวผมอีกครั้งแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้นก่อนจะเดินตามหนิงไป เหลือทิ้งไว้เพียงความอุ่นบนศีรษะที่เผื่อแผ่ลงมายังใบหน้าของผมด้วยเท่านั้น...         



อะไร...มองอะไรกัน ผมยอมให้มันลูบหัวแล้วไง ก็ดีกว่าให้มันตบหัวผมไหมล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรให้เดือดร้อนสักหน่อย คิดอะไรให้มากมายเล่า!







-







ไหนใครบอกจะไม่บ่นให้ได้ยินสักคำ



“ผมลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เดินจะไม่ไหวแล้วด้วย” แล้วไอ้คนที่หลับตาเดิน เอามือมาเกาะไหล่ให้ผมนำทางอยู่ตอนนี้คืออะไร



“พี่โป้งแกล้งผมเปล่าวะ กับอีแค่วิ่ง”



“หน้ามึงไม่ได้ฟีลหรือเปล่า” ผมกลั้นขำ พี่โป้งให้มันวิ่งขึ้นลงบันไดเกือบสิบรอบ ไม่รู้จุดไหนที่พี่แกไม่พอใจ หรือจะเป็นจุดที่มันกวนตีนก็ไม่รู้



หนิงไม่ได้หยุดแซวพวกผมเลยแม้แต่น้อย และไอ้โซลก็เล่นด้วยทุกครั้งจนพี่โป้งทำหน้าเหม็นเบื่อ ด่าเหมารวมมาโดนผมด้วยอีกต่างหาก



“เอ้า ถึงแล้ว” ผมจับมือที่วางอยู่บนไหล่ตัวเองออก หันหลังไปก็เห็นว่ามันค่อยๆ ลืมตาขึ้น “กูจะกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยใช่ไหม”



“แน่นอนสิครับ” แต่เสียงดูอ่อยพิกล ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจ ตัวมันยังเหงื่อซกอยู่เลย



“ขอความจริง”



คนตรงหน้ายิ้มแหย ยกมือลูบหน้าตัวเองแรงๆ “เหนื่อยมากเลยครับ” สุดท้ายมันก็พูดออกมา ผมกอดอก รอฟังคำสารภาพ



“ตอนนี้ผมง่วงมาก ขับไปส่งพี่ที่บ้านไม่ไหวแน่ๆ เพราะมันไกล”



“อือฮึ”



“แต่ผมขับไปคอนโดผมได้ ไปนอนห้องผมเนอะ”



“ฮะ”



แววตาอ่อนล้าไม่มีทีท่าล้อเล่น “เราจะกลับถึงห้องผมอย่างปลอดภัยแน่นอน”



ไม่ได้กังวลในเรื่องนั้น ผมแค่ตกใจเพราะมันผิดคาดจากที่คิดไปหน่อย คิดว่ามันจะให้ผมขับซะอีก แต่ลืมไป ผมมันขับรถห่วย



ผมมองนาฬิกา เกือบตีสามแล้ว ถ้ามันมัวแต่ไปส่งไปรับผมมันคงไม่ได้นอนกันพอดี



“ถ้ามึงโอเค เอาอย่างนั้นก็ได้”







ไม่ได้มาห้องมันร่วมเดือน ผมยืนพิงโต๊ะที่มันใช้ทำงาน ตอบข้อความของเฟิร์สที่ส่งมาตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว บอกผมเกี่ยวกับกระแสคู่จิ้นเพราะเฟิร์สลงรูปที่ถ่ายคู่กับผมในอินสตาแกรม แล้วแฟนคลับก็แคปมากรี๊ดในทวิตเตอร์กันใหญ่ มีแท็กใหม่เพิ่มขึ้นมาด้วย





@meenY

ตอกเรือด่วนนนนนนนนนนนน #ทีมพระรอง #เฟิร์สซีน



@kaoaam

แม่คะ อีกนิดแก้มเขาก็เบียดกันแล้วค่ะ #ทีมพระรอง #เฟิร์สซีน



@dollpk

เรือผีจงเจริญ!!! โอยใจน้อง T T #เฟิร์สซีน



@l3ethk

เป็นแค่พระรองในเรื่องแร้วงัยใครแคร์ #ทีมพระรอง #เฟิร์สซีน



@pHewpew

สับสนไปหมดแร้วววว #โซลซีน #เฟิร์สซีน



@meengenmai

ซีนนี้ ใครครอง #โซลซีน #เฟิร์สซีน






“ชุดครับ”



“ขอบใจ” รับเอาของที่คนตรงหน้ายื่นให้มาวางไว้บนโต๊ะ มีผ้าเช็ดตัว ชุดนอนแล้วก็แปรงสีฟันอันใหม่



“พี่ดูอะไร”



“ดูมึงตกกระป๋อง” ผมว่าพลางยื่นโทรศัพท์ให้ดู ในนั้นทีมพระรองเต็มไปหมด



ไอ้โซลขมวดคิ้ว ดูไม่ค่อยชอบใจ “อย่าไปอยู่ใกล้มันมากสิครับ” ว่าเสียงขุ่น ทั้งที่มันก็อยู่ในเหตุการณ์  อีกอย่างผมให้โฟกัสที่ข้อความของแฟนคลับไม่ใช่ให้ดูรูปซะหน่อย



“ถ่ายคู่กันจะให้ยืนห่างเป็นเมตรหรือไงล่ะ”



“พี่ไม่รู้หรอกว่ามันคิดอะไรข้างใน”



“แล้วมึงรู้เหรอ”



“รู้ครับ”



“รู้ว่า”



“พี่อย่าไปอยู่ใกล้มันก็พอน่า”



“เฟิร์สนิสัยดีจะตาย”



“มันก็ดีแต่กับพี่นั่นแหละ”



“จะให้เขาดีกับมึงได้ยังไงล่ะ ก็ตั้งแง่กับเขาขนาดนั้น”



“ผมไม่ได้อยากเป็นมิตรกับมันสักหน่อย”



“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ไม่เหนื่อยหรือไง”



“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ช่างผมเหอะ แต่พี่น่ะ ห้ามอยู่กับมันสองต่อสองนะ ไม่น่าไว้ใจ”



“บอกแล้วไงว่าเฟิร์สก็เพื่อนกูนะ แล้วทำอย่างกับกูอยู่กับเฟิร์สบ่อยอย่างนั้นแหละ มึงก็มาขวางตลอดไม่ใช่ไง”



“ฟังผมมั่งก็ได้มั้ง”



“ขอเหตุผลดีๆ แล้วจะทำตาม”



ไอ้โซลนิ่งไปครู่ เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดอยู่ร่วมนาที สุดท้ายก็ทำเพียงแค่ถอนหายใจ จับโทรศัพท์ในมือผมแล้วกดเข้าไปอีกแท็กนึงแทน “ดูอันนี้จรรโลงใจกว่าเยอะ”



ผมเบ้ปากใส่ไอ้คนที่เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไป เถียงไม่ได้ล่ะสิ ก้มลงมองหน้าจอก็อดเลื่อนดูไม่ได้ ในแท็กนี้ก็มีประเด็นเกี่ยวกับที่เฟิร์สอัพรูปคู่กับผมเหมือนกัน





@ishipyounaokay

พี่โซลทำอะไรบ้างสิคะ!! T^T  #ทีมพระเอก #โซลซีน



@kungpeuak

กัปตันกลับมากู้เรือหน่อยเร๊วว #โซลซีน



@fxxfullp

เป็นได้แค่คนขับรถของเธอสินะ... #โซลซีน



@nefdb91

สองลำ ดีกว่าลำเดียว #โซลซีน #เฟิร์สซีน



@nongwaii

เอาแล้วว พระรองออกตัวบ้างแล้ว วอนคุณพระเอกอย่าเงียบไปแบบนี้อิน้องใจบ่ดี #กำเสื้อชูชีพแน่นมาก #โซลซีน



@oohhoo

ตั้งสติค่ะทุกคน เราต้องใจร่มๆ และเชื่อมั่นในตัวกัปตันของเรานะคะ! #ทีมพระเอก #โซลซีน





ผมขำออกมาเล็กน้อย ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจภาษาที่พวกเธอใช้เท่าไหร่ก็ตาม แค่อัพรูปคู่หรือมีอะไรเกี่ยวข้องกันเล็กๆ น้อยๆ พวกเธอก็สามารถขยายความคิด เติมแต่งจินตนาการเข้ากันได้เป็นเรื่องเป็นราว ผมนับถือความสามารถเหล่านั้นจริงๆ จากใจ



ผมเข้าไปอาบน้ำต่อจากไอ้โซล เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยก็อยู่ในชุดนอนหลวมโพรกของเจ้าของห้อง มันเอาชุดแขนยาวขายาวให้ผม บอกว่าเพราะผมขี้หนาว ก็ดีอยู่หรอกแต่ผมต้องคอยถลกทั้งแขนเสื้อ ทั้งขากางเกงที่ยาวละพื้นเวลาขยับตัวไปไหน ไม่งั้นได้ลื่นหัวแตก



“มียางไหม กางเกงจะหลุด” ว่าพลางดึงกางเกงขึ้นไปด้วย ไอ้โซลหุ่นดี ความหนาของตัวคือกล้ามเนื้อและหกห่อของมัน ส่วนผมที่ไม่รู้จะเอาอะไรไปหนาเลยใส่ของมันได้ไม่พอดี



“จะนอนอยู่แล้ว ไม่ต้องมัดหรอกครับ หลุดมันก็หลุดอยู่ในผ้าห่มนี่แหละ”



ผมแยกเขี้ยวเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลกๆ ที่ส่งมา แต่จริงๆ ก็ถูกของมัน เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว เลยเดินไปปิดไฟดวงใหญ่แล้วก้าวขึ้นเตียง



เวลาในโทรศัพท์บอกว่ามีเวลานอนอีกสามชั่วโมง แชทที่ถูกส่งมาต่อเนื่องทำให้ผมต้องตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้



“นอนได้แล้วครับ”



“นอนไปก่อนเลยหรือแสบตา ปิดได้นะ” ผมว่า เอื้อมมือจะไปปิดโคมไฟตรงโต๊ะข้างเตียงฝั่งที่ผมนอน



“ไม่ได้ครับ เสียสายตาแย่”



“ไม่เป็นไรหรอกน่า มึงจะได้นอน”



“เปิดไฟทั้งห้องผมก็ไม่ว่าแต่พี่น่ะนอนได้แล้ว”



“อือ แป๊บนึง”



ไอ้จั๊มพ์ทักมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทั่วไป ผมด่ามันไปชุดนึง ทักมาถามบ้าอะไรตีสี่ แต่ก็เล่าให้มันฟังเกี่ยวกับที่ถ่ายทำไปเล็กน้อย



“เป็นไรของมึง นอนไปสิ ใครบอกว่าง่วงนักง่วงหนา หรือไม่พอใจที่ตกกระป๋อง” หางตาผมเห็นมันนอนตะแคงข้างหันมาทางผม หน้าตาบึ้งตึง



“คนชอบเรามากกว่าเห็นๆ อีกอย่างถ้าพวกเขารู้ว่าพี่นอนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้ล่ะก็...”



คนพูดยกยิ้ม “เขาต้องบอกว่าเราเป็นผัวเมียกันแน่เลย”



ป้าบ!



“บ้าสิ!”



คนถูกตีหัวเราะชอบใจ ผมพึมพำคำด่าออกมาไม่เต็มเสียง พลิกตัวตะแคงหนีไปอีกด้าน  ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นที่แฟนคลับพูดคุยกันทำนองนี้ แต่พอได้ยินไอ้คนด้านหลังพูดเอาเองก็เกิดอาการแปลกๆ ขึ้นมาอีก



อันที่จริงอาการเหล่านี้ไม่เคยหายไป มันยังคงเป็นอยู่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจอไอ้ตัวต้นเหตุ แต่ผมเลือกที่จะข่มเอาไว้เสียมากกว่า ไม่อยากเห็นมันทำหน้าได้ใจไปมากกว่านี้ แล้วยิ่งช่วงนี้อยู่ๆ อาการก็เริ่มลุกลาม แค่นึกถึงมันก็รู้สึกยุกยิกในอกเหมือนมีอะไรมันงอกขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างนั้นแหละ 



ที่แปลกกว่าคงเป็นผมรับรู้...แต่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร



ผมตอบไอ้จั๊มพ์เสร็จ เลยตอบข้อความของเฟิร์สที่ค้างเอาไว้ก่อนไปอาบน้ำด้วย เมื่อเฟิร์สเห็นผมยังไม่นอนก็เลยชวนคุยต่อ



คนด้านหลังขยับตัว ไม่รู้ทำไมไม่ยอมหลับยอมนอนสักที เตียงยวบลงใกล้ๆ ตัวกับไออุ่นที่แผ่ออกมาทำให้ผมรู้ว่ามันขยับเข้ามาจนแทบชิด



“นอนครับ”



“ขออีกแป๊บ” จะให้ตัดบทเฟิร์สยังไงเล่า



“คุยกับไอ้นั่นเหรอ”



“อือ เฟิร์สถามเรื่องคิวถ่ายอยู่”



“ตาตัวเองจะปิดอยู่แล้ว พี่ไม่ต้องไปเกรงใจมันนักก็ได้”



“อีกนิดนึง”



ได้ยินเสียงถอนหายใจฟึดฟัด ก่อนที่เอวผมจะถูกรัดด้วยวงแขนแกร่ง เผลอปล่อยโทรศัพท์ตกลงบนที่นอนเพราะความตกใจ



“ทำอะไร!”



“เลิกคุยกับมัน”



มือที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่ชะงัก ไม่เชิงเป็นประโยคคำสั่ง แต่น้ำเสียงนั้นเรียบจนผมแปลกใจ



“ป...ปล่อยก่อน”



แต่อีกคนกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม กระชับวงแขนให้แน่นขึ้น



“โซล”



“ครับ”



“ไม่...ไม่คุยแล้ว จะนอนแล้ว”



เจ้าของอ้อมกอดคลายออก คว้าเอาโทรศัพท์ผมไปวางไว้บนโต๊ะ ดับแสงโคมไฟจนทั้งห้องมืดสนิท แล้วช่วงเอวผมก็ถูกกอดเอาไว้หลวมๆ แทน



“ไม่ได้คุยแล้วไง”



“ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยสักหน่อย”



“ไม่เล่นนะ”



“ผมจริงจัง”



“โซล!”



“ฝันดีครับ”



ผมจิ๊ปาก ทำแบบนี้จะให้ผมหลับลงได้ยังไง พอจะขยับตัวออกก็ยิ่งถูกกอดแน่นขึ้นจนอุ่นวาบไปทั้งแผ่นหลัง รับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่บนศีรษะ และสัมผัสได้ถึงอวัยวะในอกของอีกฝ่ายที่เต้นแรงเป็นจังหวะเดียวกันกับของตัวเอง



ดูท่าแล้วผมคงไม่หลุดจากวงแขนของมันโดยง่าย ร้องบอกให้ปล่อยก็ไม่หือไม่อือ ใช้ความเงียบและอ้อมกอดที่แนบแน่นเป็นคำบอกปฏิเสธ ผมเลยจำใจต้องปล่อยเลยตามเลยเสียเอง แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ชวนข่มตาลงได้ยากแต่ความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมาทั้งวันทำให้ผมจมลงสู่ห้วงนิทราอย่างช้าๆ



และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอ้อมกอดนั้นแผ่ซ่านความอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจ...



“หลับหรือยังครับ...” เสียงกระซิบแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบ สติของผมก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง น้ำเสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่บางคำก็ได้ยินชัดเจน...แต่บางคำกลับขาดหายไป





“..ผม...ช..พี่...”



“...จน..จ..บ้าอยู่แล้...”



“..รู้หรือยัง..”







-

พี่ซีนไม่รู้นี่โทษโซลเลยนะ มาถามไรตอนหลับเล่า โถ่เอ๊ยยย

ให้เวลาคุณพี่กันหน่อยนะคะทุกคน เดี๋ยวเจอโซลรดน้ำพรวนดินบ่อยๆ ต้นรักเติบโต คนพี่ก็เสร็จน้องเอง---

เหลือมิดเทอมอีกตัวเดียวเอง เย้เย้เย้

ติชมได้ค่า #ข้างหลังฉาก หรือจะ #โซลซีน ก็ได้เห็นมีคนติดแท็กนี้55555

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ เจอกันตอนหน้าเน้อ ^ ^
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-03-2017 22:27:37
หูยยย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 27-03-2017 22:36:08
ทีมพระเอกจ้าาาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 27-03-2017 23:06:22
กัปตันคะ ? โพสรูปหน่อยค่ะ #ทีมพระเอก

พระรองหลบไปก่อนค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 27-03-2017 23:31:08
แบบนี้กัปตันต้องโพสรูปกลบกระแสเลยค่ะ!
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 27-03-2017 23:48:47
กัปตันพอเช้าแล้วทำงานเลยนะคะ ประกาศความมั่นคงให้ลูกเรือรับทราบ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 27-03-2017 23:49:52
เฟิร์สก็ได้แค่ลงรูปคู่แหละนะ
แต่โซลนี่นอกจากได้เป็นคนขับรถแล้วยังพกซีนกลับมานอนกอดได้ด้วยเว้ยยย
กอดก้แล้ว หอมแก้มก้แล้ว เรือลำนี้ไม่มีวันจมแน่นอนค่ะ 555
ว่าโซลจัดเต็มล่ะ พี่ซีนก้ใช่ย่อย การไม่หือไม่อือปล่อยตามใจเขา
มันต่างอะไรกับการยอมเขาอย่างเต็มใจคะ
แต่ดีแล้วค่ะดีแล้ว คนอ่านฟินมากกกกกกกก ฮ่าาา
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 28-03-2017 05:51:24
พี่ซีนคนซึนไม่รู้ใจตัวเองแค่ก็ยอมเค้าตลอดนะ
น้องโซลอย่าเนียนมากจริงๆควรจะให้พี่เค้ารู้ได้ละนะว่ารู้สึกยังไง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-03-2017 07:19:14
เฟิร์สก็ได้แค่ลงรูปคู่แหละนะ
แต่โซลนี่นอกจากได้เป็นคนขับรถแล้วยังพกซีนกลับมานอนกอดได้ด้วยเว้ยยย
กอดก็แล้ว หอมแก้มก็แล้ว เรือลำนี้ไม่มีวันจมแน่นอนค่ะ 555
ว่าโซลจัดเต็มล่ะ พี่ซีนก็ใช่ย่อย การไม่หือไม่อือปล่อยตามใจเขา
มันต่างอะไรกับการยอมเขาอย่างเต็มใจคะ
แต่ดีแล้วค่ะดีแล้ว คนอ่านฟินมากกกกกกกก ฮ่าาา
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ รอติดตามนะคะ

ช่ายเลย ฟินนนนนน
ซีน ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ
แต่ยอมให้สัมผัส ก็ตอบรับแหละนะ
อาการล้าเหนื่อยของโซล เข้าทางโซลชัดๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-03-2017 12:14:06
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 28-03-2017 13:51:49
หวานกันจริงงงคู่นี้
เรือผีหลบไปค่ะ!!! กัปตันเรือหลวงเราพร้อมแล้ว
หลบมาชาร์ตแบตกันสองคน ชิปเปอร์ก้ดิ้นกันไปสิ
555555555555
IG storyอะ สแนปเข้าไปค่ะ กู้เรือด้วยค่ะกัปตัน
ถ้าฟคเห็นว่าอยู่ด้วยกันเปนยังไงนี่ได้โยนไม้พายทิ้งแน่ๆ
ไม่ต้องชง ไม่ต้องพายแล้ว เหลือแค่รอเค้าเปิดตัวกัน
55555555555
รอค่าาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 28-03-2017 15:45:39
กัปตันอย่ายอมนะคะ โพสต์สู้!!!!  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-03-2017 19:21:59
พระเอกอย่ายอมแพ้พระรอง ลงรูปแข่งกันเลย  :heaven
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 28-03-2017 22:01:28

โอ๊ย เขินนนน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zleep ที่ 28-03-2017 22:37:09
เรือผีหรือจะสู้เรือหลวงจักรีนฤเบศรของเรา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 29-03-2017 05:58:02
ทีมกัปตันค่ะ
รีเควสรูปคู่พร้อมข้อความกู๊ดมอร์นิ่งงงงง
 :mew1:
555555
เราต้องทวงคืนพื้นที่ค่ะ
เรือนี้ต้องลำเดียวเท่านั้น
พระรองหรือจะสู้!!
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 29-03-2017 12:05:51
จับพายแน่น เราจะไปด้วยกัน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Missmu ที่ 02-04-2017 22:10:44
กัปตันน่ารักกก  :impress2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 03-04-2017 21:01:57
#ทีมโซลแซ่กุญแจทือ เอ๊ย #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PloySupawadee ที่ 04-04-2017 16:03:37
ทีมพระเอก ค่ะ เราเชียร์พระเอก เรางุ้นง้านใจกับพระรองมาก ไม่ปลื้ม 55555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dellyamin ที่ 07-04-2017 21:04:44
กัปตันคะ ขอรูปด้วยค่ะ ว่าแต่เมื่อไรจะเช้าคะ 55555 //มารอโซลซีนค่าาาาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 11 - (27/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: tnkgif ที่ 08-04-2017 17:38:04
อ่านแล้วอินมาก มันเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง จริงๆ ชอบมากค่ะ  :katai2-1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 10-04-2017 22:03:56


ตอนที่ 12







“เล่ามาให้หมด”



“ก็มีเท่าที่บอกนั่นแหละ ถ่ายเสร็จเช้าของอีกวัน เหนื่อยฉิบหาย”



“หมายถึงเรื่องมึงกับไอ้โซลน่ะ คายออกมาให้หมด”



“บอกว่าไม่มีอะไรไงวะ” ผมแสร้งฉุน โดนมันถามเรื่องนี้รอบที่ร้อย เพื่อนตัวดีจะมาหาผมที่บ้านวันนี้ ผมเลยให้มันมารับที่คอนโดไอ้โซล เมื่อคืนเป็นคืนที่สองที่ผมไปค้างห้องมัน...ทำไงได้ก็ไม่อยากให้มันเหนื่อยนี่หว่า แต่นั่นยิ่งทำให้ไอ้จั๊มพ์ระแคะระคายความสัมพันธ์ของผมกับไอ้โซลขึ้นไปอีก



“เห็นกูเงียบๆ กูเสือกในทวิตเตอร์มาหมดแล้วนะ กะจะไม่บอกอะไรเพื่อนเลยใช่ไหม ทั้งเรื่องไอ้โซลแล้วก็เรื่องรถชน”



“ก็...ไม่มีอะไรจริงๆ แฟนคลับเขาก็พูดไปเรื่อย แต่เรื่องรถกู...ยุ่งๆ นี่หว่า” ผมหงอยลงทันตา เห็นว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ ตัวเองไม่ได้เจ็บอะไรด้วยเลยไม่ได้บอกให้มันเป็นห่วงเพิ่ม ไอ้จั๊มพ์เพิ่งรู้เมื่อสักครู่เพราะม้าบ่นเรื่องผมให้มันฟัง



มันผลักหัวผมไปทีนึง “เออ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว จริงๆ พอกูรู้ว่าไอ้โซลมารับมาส่งมึงกูค่อยหายห่วงหน่อย” เพื่อนสนิทถอนหายใจ กัดคุกกี้ที่ม้าผมเอามาวางไว้ให้คำใหญ่



“มึงก็ไม่ไว้ใจกูอีกคน”



“คนไม่ระวังตัวเอง ไม่ห่วงตัวเองแบบมึงมันน่าไว้ใจตรงไหน เรื่องรถม้ามึงไม่ได้บอกเฮียคัท แต่ไอ้ทิมบอกแน่”



“มันรู้ได้ไง”



“กูบอกในไลน์เมื่อกี้”



“เชี่ยจั๊มพ์!” ก็ว่าเห็นโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นแจ้งเตือนรัวๆ จะมาจากแอพลิเคชั่นอย่างทวิตเตอร์หรืออินสตาแกรมก็ไม่ใช่เพราะปิดแจ้งเตือนไปหมดแล้ว



กดเข้าไลน์กลุ่มแล้วก็รู้เรื่อง ทั้งไอ้ทิมทั้งไอ้โฟร์พิมพ์รัวมาแบบผิดๆ ถูกๆ เหมือนรีบพิมพ์กันมาก ดูท่าอยากจะโทรมาด่าผมมากกว่าด้วยซ้ำ ไอ้จั๊มพ์เป็นคนที่เล่าอะไรแล้วเล่าละเอียดยิบ เพื่อนอีกสองตัวเลยลงความเห็นอย่างเดียวกันคือสิ่งที่ไอ้โซลทำน่ะถูกต้องแล้ว ส่วนเฮียคัท ช่วงนี้น่าจะกำลังยุ่งม้าเลยยังไม่ได้เล่าให้ฟัง อีกทั้งผมไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนด้วยมั้งเลยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร



“ถ้าพวกมันอยู่ตรงหน้ากูคงหูชา”



“สมควร”



ไอ้จั๊มพ์รับหมอนอิงที่ผมปาใส่ได้ก่อนจะวางไว้ข้างตัว โทรทัศน์ตรงหน้าถูกเปิดทิ้งไว้อย่างนั้น ขณะที่มันจ้องหน้าผมเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องเดิมๆ



“นี่ไปอยู่กินกับน้องมันแล้วยังปฏิเสธอีก”



“ไปค้างเฉยๆ เว้ย! ก็มันขับไม่ไหว ถ่ายเสร็จก็ตีสองแล้ว”



อีกฝ่ายโคลงศีรษะ “แล้วทำอะไรกันมั่ง”



“ม...ไม่มีอะไรให้ทำสักหน่อย!” เมื่อคืนต่างคนต่างเหนื่อย ไอ้เจ้าของห้องก็คงไม่มีอารมณ์จะมากวนด้วย พอหัวถึงหมอนก็หลับไปเลย ส่วนคืนก่อน....ผมบดริมฝีปากเข้าหากันเมื่อนึกถึง ข้ามเรื่องกอดนั่นไปเหอะ…แล้วก็ข้ามตอนตื่นที่ผมพลิกตัวมาอีกด้านได้ยังไงก็ไม่รู้ด้วย! แต่วันนั้นตื่นมาแบบง่วงๆ กันทั้งสองคน ไม่มีใครทักท้วงอะไร ทำกิจวัตรประจำวันกันตามปกติ ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น



“หน้าแดงกว่ามะเขือเทศในทีวีอีก”



ผมอ้าปากค้าง จับหน้าร้อนๆ ของตัวเอง จะเถียงแต่เถียงไม่ออก



“หึ ถูกเด็กมันล่อยังไม่รู้ตัวอีก”



“พูดบ้าอะไรของมึง”



คุกกี้ในจานหมดไปแล้ว ผมถูกแก้มตัวเองเล็กน้อย วางสายตาไปที่เศษเหลือของมัน ในหัวมีภาพอะไรต่างๆ เต็มไปหมด



“ที่ถามเนี่ยเพราะถ้ามันทำเกินขอบเขตจะได้ช่วยจัดการ แต่ดูมึงไม่อึดอัดอะไรกูก็เบาใจ คิดว่าน่าจะไปได้สวย” ไอ้จั๊มพ์กดปิดโทรทัศน์ตรงหน้า “กูจะไม่พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว อยากให้มึงรู้เองมากกว่าถึงจะช้าไปหน่อยก็เถอะ”



มันถอนหายใจอีกรอบ สีหน้าค่อนข้างเอือม “ไว้มึงรู้อะไรๆ แล้วค่อยมาคุยกันใหม่”



ผมเม้มปาก แม้ไม่ได้ตอบโต้ทุกประโยคของมันก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าไม่รับรู้ถึงบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นมาจนยากที่จะปฏิเสธเสียหน่อย









-

           





@l3ethk

โยนไม้พายค่า!!! #เฟิร์สซีน



@gaogg7

ว่าจะไม่ชิปแล้วนะ แต่พิอดไม่ไหวจริงๆ U_U #เฟิร์สซีน



@dollpk

เรือออฟฟิเชียลก็เรือออฟฟิเชียลเถอะค่ะ เจอเรือผีของเราหน่อยเป็นไง ฮี่ๆๆๆ #เฟิร์สซีน



@yitingwei

แถวบ้านเรียกเดทททททททททททททททท @sscene @numberone #เฟิร์สซีน



@pHewpew

โรงหนังมันมืด อย่าลืมจับมือกันไว้ด้วยนะคะเดี๋ยวหลง... #เฟิร์สซีน



@edosodemaa

ไม่ได้ดูหนังรัก แต่คนรักกัน เราก็โอเค #เฟิร์สซีน #ทีมพระรอง






“เรียกว่าเดทก็ถูกนะ”



“นี่ก็เป็นไปกับเขาด้วย?”



“เขาบอกให้เราจับมือกันแหละ”



“นั่นยิ่งไปกันใหญ่” ว่าพลางดูดชาเขียวปั่นลงท้อง ตักมัทฉะชีสเค้กคำเล็กเข้าปาก



ผมนัดกับเฟิร์สไว้ตอนเที่ยง ไอ้จั๊มพ์มาส่งที่ห้างแล้วก็กลับไป หนังรอบบ่ายเราเลยหาอะไรกินเล่นกันก่อน ผมกดไลค์รูปตั๋วหนังสองใบที่เฟิร์สแท็กมา เพิ่งลงไปไม่กี่วินาทีก็มีคอมเม้นท์เอ่ยแซวเป็นสิบๆ รวมถึงแท็กในทวิตเตอร์ที่คึกคักกันตั้งแต่วันก่อนนู้นแล้ว



“เพื่อนมาดูหนังกันไม่ได้หรือไง”  ผมว่าขำๆ พลางเขี่ยขนมหวานตรงหน้าเล่น



“เพื่อนที่คิดไม่ซื่อหรือเปล่า”



“หือ”



“แฟนคลับทวิตน่ะ” อีกคนยิ้มบาง ไม่รู้ว่าเฟิร์สอัพลงโซเชียลตามปกติธรรมดาของตัวเองหรือเพราะอยากสร้างกระแส แต่ที่สุดแล้วทั้งเฟิร์สและไอ้โซลดูชอบใจเหมือนกันไม่มีผิดเวลาที่แฟนคลับคิดว่าเราเป็นอะไรกัน



“ไม่อร่อยเหรอ สั่งใหม่ได้นะเราเลี้ยงเอง”



“เปล่า นี่ของชอบเราเลยนะ” ยืนยันโดยการตักเข้าปากคำใหญ่ รสชาติชาเขียวยังเพลิดเพลินใจผมเหมือนเดิม แต่ความพึงพอใจของผมกลับน้อยลง เพราะตั้งแต่ได้ลิ้มรสฝีมือแม่ของไอ้โซล ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับชาเขียวทำให้ผมนึกถึงรสชาติเค้กของแม่มันตลอด ไอ้โซลก็ไม่เอามาให้กินเป็นเดือนแล้ว อีกอย่างผมกินจานที่สองแล้ว ของชอบแต่ก็ต้องมีอิ่มกันบ้าง



“เผื่อท้องไว้สำหรับป๊อปคอร์นหน่อยดิ” สายตาที่ส่งมาวาววับ เฟิร์สน่าจะหมายถึงโพสนึงในทวิตที่มีคนจินตนาการว่าผมกับเฟิร์สกินป๊อปคอร์นถังเดียวกันแล้วมือชนกันอะไรประมาณนั้น



“ขอโทษแฟนคลับคนนั้นด้วยนะ เราไม่ชอบกินป๊อปคอร์นตอนดูหนัง มันเสียสมาธิ” ผมว่าตามจริง จะขนมจะน้ำผมก็ไม่กินทั้งนั้น ขี้เกียจลุกไปเข้าห้องน้ำ นั่งดูเฉยๆ ไปนั่นแหละดีแล้ว



“โถ่ ทำลายฝันน้องเขาสุดๆ”



ผมยิ้มขำ แต่ไม่ได้ปฏิเสธ





ครึ่งชั่วโมงต่อมาเราก็มาอยู่ข้างหน้าโรงหนัง ผมถูแขนตัวเองไปมา ลืมหยิบเสื้อกันหนาวมาซะได้ มัวแต่ใจลอยคิดเรื่องที่ไอ้จั๊มพ์พูดนั่นแหละ พอยืนอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ แบบนี้ก็เพิ่งสังเกตว่ามีคนมองมาที่พวกผมเยอะพอสมควร ซึ่งส่วนมากมีแต่ผู้หญิง ผมรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย แต่ก็ทำได้แค่ยืนนิ่งๆ แล้วทำทีเป็นคุยกับเฟิร์สแบบไม่สนใจอะไร



“ไม่กินจริงดิ”



ผมมองถังป๊อปคอร์นแล้วส่ายหน้า



“วันจันทร์ก็ไม่มีคิวถ่ายใช่ไหม”



“อื้ม เฟิร์สด้วยนี่”



“เพื่อนเราเปิดร้านเบเกอรี่ เพิ่งเปิดได้ไม่นานแต่ลูกค้าเยอะมาก เราว่าซีนน่าจะชอบ สนใจไปลองหรือเปล่า”



“เราไม่แน่ใจว่าจะว่างไหม เหมือนว่าเพื่อนจะนัดเจอน่ะ” เฟิร์สมีท่าทีเสียดายเล็กน้อย แต่ก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมเสสายตาไปทางอื่น ที่จริงไม่มีเพื่อนคนไหนนัดหรอก เพียงแต่วันก่อนไอ้โซลก็ถามเปรยๆ ว่าวันจันทร์ผมว่างหรือเปล่าเหมือนกัน ไม่รู้จะชวนไปไหน อีกอย่างที่ผมมาดูหนังกับเฟิร์สวันนี้มันก็ไม่รู้ ผมบอกมันแค่ว่าจะกลับบ้าน เห็นมันไลน์มาถามว่าทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง



แล้วทำไมผมต้องมากังวลกับเรื่องนี้ด้วยวะ มันเรื่องของผมไม่ใช่เหรอที่จะไปไหนกับใครก็ได้ เฟิร์สก็เพื่อนผม!



“ไว้เจอกันที่กองถ่ายแล้วกัน”



“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ที่กองถ่ายเราแทบไม่ได้คุยกับซีน” เฟิร์สเบ้หน้าเมื่อนึกถึงบุคคลที่ไม่ชอบใจ



“เราไม่รู้หรอกนะว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่ไม่ต่อยกันก็พอแล้ว”



คู่สนทนาหลุดหัวเราะ “เราไม่มีสิทธิ์ไปทำอย่างนั้นหรอกจนกว่าจะรู้ผล”



“ผล? แข่งอะไรกัน”



“อยากรู้จริงๆ เหรอ...ไม่สิ ไม่รู้จริงๆ เหรอ”



ผมชะงักไปนิด แต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ



“เดี๋ยววันหนึ่งเราจะบอกซีน”



คนหนึ่งก็บอกจะทำให้ชัดเจนขึ้น อีกคนก็เดี๋ยววันหนึ่งจะบอก มันเป็นคำอ้อมๆ ของคำว่าไม่เผือกหรือเปล่าวะ ผมกอดอกเพื่อคลายหนาว ทำหน้าเซ็งออกมานิดหน่อย ไม่อยากรู้แล้วก็ได้



“หรือซีนอยากรู้ตอนนี้”



“เฮ้ย ไม่เป็นไร ถ้าไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องบอกหรอก”



“เราอยากบอกนะแต่ไม่รู้ว่าซีนจะอยากฟังหรือเปล่า”



เฟิร์สกับไอ้โซลเหมือนกันไม่มีผิด ชอบทำหน้าตามีลับลมคมใน พูดจากำกวม ผมจะไปเข้าใจได้ยังไงว่าต้องการจะสื่ออะไร หรือการพูดออกมาตรงๆ มันไม่คูลเหรอวะ



ถึงแม้ผมจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่คนตรงหน้ากลับสูดลมหายใจเข้าลึก ดูลังเลว่าควรจะพูดดีหรือเปล่าหากแต่นัยน์ตากลับมีความแน่วแน่ “เราชอ—”





“ทำไมไม่พกเสื้อกันหนาวมา”





ความอบอุ่นถูกคลุมลงบนช่วงไหล่ ผมหันไปมองเจ้าของประโยคข้างต้นที่มีใบหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากน้ำเสียง “เอาแขนสอดเข้ามาครับ”



ผมทำตามคำสั่งนั้นอย่างมึนงง เสื้อกันหนาวสีดำตัวเดิมถูกรูดซิปขึ้นมาจนสุด สายตาผมจ้องคนตรงหน้านิ่งอึ้ง ไอ้โซลมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...



“มึง...”



คนมาใหม่พยัดเพยิดหน้าไปทางผู้คนที่ทยอยเข้าไปในโรงหนัง “เข้าไปได้แล้ว ผมจะรออยู่ตรงนี้”



“ด...เดี๋ยว ทำไม...”



“รีบออกมานะครับ แต่ถ้าหนังไม่สนุกหรือรำคาญคนข้างๆ ก็ออกมาเลยจะดีมาก” มันพูดอย่างนั้นขณะที่ดันหลังผมไปหาเฟิร์ส



ผมขืนตัวออกเพื่อจะคุยให้รู้เรื่อง ไอ้โซลมาที่นี่ได้คงเห็นจากที่เฟิร์สอัพลงโซเชียล แต่พอมองได้หน้ามันตรงๆ อยู่ๆ ความรู้สึกผิดก็ตีรวนขึ้นมา ลืมคำถามว่ามันมาอยู่ที่นี่ทำไม ในมือผมกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นจนชื้นเหงื่อ อีกทั้งคำพูดที่เปล่งออกไปดูร้อนรนจนเหมือนการแก้ตัว



“มึง...คือเมื่อเช้ากูกลับบ้านกับไอ้จั๊มพ์จริงๆ นะ แล้ววันนี้ก็นัดกับเฟิร์สไว้” ผมรีบบอก “เฟิร์สชวนตั้งแต่วันก่อน ล...แล้วกูก็กำลังจะตอบไลน์มึงพอดี...”



“ครับ”



ผมอึกอัก กัดปากตัวเองไปหลายรอบ ไอ้โซลไม่มีทีท่าอะไรทั้งที่ปกติมันจะหงุดหงิดเวลาที่ผมอยู่กับเฟิร์ส แล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะละล่ำละลักอธิบายให้มันฟังไปเพื่ออะไร เหมือนคนทำความผิดอย่างนั้นแหละ!



“แล้ว...มึงจะรอทำไม ก็เข้าไปดูด้วยกันสิ”



“ไม่มีที่เหลือแล้ว เข้าไปเถอะครับ”



“เดี๋ยวสิ ทำไม...”



“พี่รับปากมันไปแล้ว ผมรอข้างนอกนี่แหละ”



“แต่...”



“ไปเถอะซีน” เฟิร์สแตะแขนผมเบาๆ และมองไอ้โซลด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างไม่ปิดบัง “กูไปส่งซีนเองได้ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น”



“ยังไงคืนนี้พี่ก็ต้องไปค้างห้องผมอยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากให้คนอื่นไปส่งหรอก”



คนด้านหลังผมนิ่งไปกับประโยคนั้น ผมเพิ่งตกลงกับไอ้โซลว่าจะไปค้างห้องมันจนกว่าจะถ่ายซีรีส์เสร็จ เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเรา ผู้คนแถวหน้าโรงหนังไม่ได้ลดน้อยลงและมีบางส่วนที่มองมาทางนี้เป็นระยะ ท่าทางเฟิร์สกับไอ้โซลตอนนี้คงไม่เหมือนคนรู้จักที่กำลังยืนคุยกันเฉยๆ แน่ ผมเลยรีบตัดบท



“งั้นเดี๋ยวหนังจบแล้วกูโทรหานะ”



“ผมจะรออยู่ตรงนี้”



“ก็ได้ แล้วแต่มึง” ผมแทบกุมขมับ นั่งรอเฉยๆ สองชั่วโมงได้ยังไง น่าเบื่อออก แต่พูดตอนนี้คงไม่ฟังอะไรผมเลยปล่อยไปแล้วรีบเดินนำเฟิร์สเข้าไปในโรงหนังแทน



ผมดูหนังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ เฟิร์สก็ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีแต่พยายามข่มเอาไว้ ยิ่งผมบอกว่าต้องไปค้างห้องไอ้โซลจริงๆ และจะกลับกับมันรอยยิ้มเฟิร์สยิ่งหายไป ผมกดดันจากทั้งสองทางเลยให้ตายสิ!



พอหนังจบผมก็รีบออกมาข้างนอก ไอ้โซลนั่งรออยู่ที่เดิม ผมกังวลนิดหน่อยเพราะสีหน้าเฟิร์สไม่ดีนัก แต่ไอ้โซลก็หน้าตึงไม่ต่างกัน ผมจะบ้าตาย เป็นแบบนี้กันทั้งสองคนใครจะไปรับมือถูก ที่จริงผมควรกลับกับเฟิร์สมากกว่าเพราะนัดกันไว้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงเลือกที่จะไปกับเด็กตรงหน้าแทน



“หนังสนุกไหมครับ” น้ำเสียงมันไม่ได้ประชด เป็นแค่คำถามธรรมดาๆ แต่กลับทำให้ความรู้สึกผิดขยายอัดกันแน่นในอก



ผมเลียริมฝีปาก ไม่รู้ทำไมต้องเข้ามาอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์เดิมๆ อย่างนี้ตลอด



“ไม่สนุกเลย” ผมตอบเสียงเบา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไร ชื่อตัวละครก็จำไม่ได้ ตลอดสองชั่วโมงต้องมาคอยกังวลกับความรู้สึกของคนสองคนที่ไม่ชอบหน้ากัน โดยที่ไม่มีใครนึกถึงความรู้สึกของคนกลางอย่างผมเลยด้วยซ้ำ



ไอ้โซลเลิกคิ้ว มองไปทางเฟิร์ส “ผมก็คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น”



“จริงๆ แล้ว...” เฟิร์สถอนหายใจ “ซีนกลับกับเราก็ได้นะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วเราไปส่งคอนโดไอ้เด็กนี่เอง”



“ไม่จำเป็น พี่ซีนเลือกแล้วว่าจะมากับกู”



“กูคุยกับซีน”



“ได้คำตอบไปแล้วจะมาถามเซ้าซี้อะไรนักหนาวะ”



“มึงมัดมือชกเขาชัดๆ”



“แล้วคิดว่าพี่ซีนอยากมากับมึงนักเหรอ”



“พอได้แล้ว” ผมเอ่ยปราม ไม่คิดว่าวันพักผ่อนจะรู้สึกเหนื่อยกว่าวันที่ต้องถ่ายซีรีส์ติดกันหลายชั่วโมงขนาดนี้ “ไม่รู้หรอกนะว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่อึดอัดจะตายอยู่แล้ว ให้คอยเอาใจทุกคนมันไม่ได้หรอกนะ อยากทะเลาะกันก็เชิญ กูจะกลับเอง”



“ไม่ได้นะครับ! / ไม่ได้นะ!”



“ทำไมถึงไม่ได้ มีมือมีเท้าเหมือนกันนะเว้ย”



“พี่ซีนครับ ฟังผมก่อน”



“ทีมึงยังไม่เคยฟังอะไรกูเลย ทำไมกูต้องฟังมึงด้วย”



ไอ้โซลคว้าแขนผมเอาไว้ ผมไม่กล้าสะบัดออก แค่นี้พวกเราก็เป็นจุดสนใจจะแย่อยู่แล้ว



“โซล ปล่อย”



“ไปคุยกันที่อื่นนะครับ” มันเปลี่ยนมากุมมือผมเอาไว้แทน “มากับผมนะ”



ผมหลับตาแน่นข่มบางอย่างที่ปะทุขึ้นในใจ อารมณ์ขุ่นมัวตีกันให้วุ่นแต่ตรงนี้ผมแสดงอะไรออกไปไม่ได้มากและเด็กตรงหน้าก็ดื้อด้านมากกว่าที่คิด สุดท้ายแล้วผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกเฟิร์สให้กลับไปก่อน และเดินตามไอ้โซลไป



ผมดึงมือตัวเองออกจากการกอบกุมทันทีเมื่อเดินมาถึงรถมัน ยกมือขึ้นนวดขมับ นึกโกรธตัวเองที่ยังรู้สึกผิดต่อคนตรงหน้าและอึดอัดจะแย่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนไม่อยากเห็นหน้าใครคนใดคนหนึ่งในตอนนี้ถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่อง เรายืนเงียบกันอยู่อย่างนั้นจนไม่เหลือใครบนลานจอดรถ ไอ้โซลถึงเปิดปาก



“ผมขอโทษ”



            “…”



“ขอโทษที่ทำให้พี่ลำบากใจ ขอโทษที่ทำให้พี่รู้สึกแย่”



“…”



“ผมก็แค่...”



“กูก็แค่อยากให้มึงเข้าใจกูบ้าง ทั้งๆ ที่กูแคร์พวกมึงมากแต่เหมือนไม่มีใครสนใจความรู้สึกกูเลย” ผมปล่อยให้มือตัวเองถูกดึงไปกุมเอาไว้อีกครั้ง “จริงๆ กูเห็นว่ามึงไลน์มาแต่กูไม่รู้จะตอบว่าอะไรเพราะกูอยู่กับเฟิร์ส แล้วกูก็รู้สึกผิดมากตอนที่ต้องบอกเฟิร์สว่ากูจะกลับกับมึง”



“กูอึดอัด กูเหนื่อย...เข้าใจกูมั่งสิโซล” ผมเม้มปากแน่น อยู่ๆ ก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาดื้อๆ จนต้องเบนสายตาไปทางอื่น



ไอ้โซลชะงักไป กุมมือผมแน่น “ผมไม่รับรองว่าจะญาติดีกับมันได้ แต่ผมจะพยายามไม่ทำให้พี่ลำบากใจอีก”



มันเกลี่ยหลังมือผมเบาๆ ผมพยักหน้าน้อยๆ กะพริบตาไล่ความพร่ามัวออกไป รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างที่ได้ระบาย แต่คนตรงหน้ายังจ้องผมนิ่ง พยายามจะดึงมือออกแต่มันไม่ยอมปล่อย



“ป...ปล่อยได้แล้ว”



“ที่ผมไม่ชอบให้พี่อยู่กับมันก็เพราะผมหวง และเพราะผมรู้ว่ามันรู้สึกกับพี่...เหมือนที่ผมรู้สึก”



“…”



“บทพระเอกผมไม่อยากได้หรอก ถ้าไม่ได้เล่นกับพี่น่ะ”



“…”



“ทีนี้รู้หรือยังว่าผมไม่ชอบมันเพราะอะไร”



“ม...ไม่รู้!”



“เอาเถอะครับ” คนตรงหน้าอมยิ้ม ผมเหมือนถูกสับสวิตช์เปลี่ยนอารมณ์ ยกมือขึ้นถูจมูกขณะที่รู้ว่าไอ้โซลต้องเห็นริ้วแดงบนหน้าผมแน่ๆ



“นี่เกือบร้องไห้เพราะน้อยใจผมเหรอเนี่ย” นิ้วเรียวเกลี่ยใต้ตาผมเบาๆ อย่างหยอกล้อ



ผมปัดมือมันออก “กูโกรธมึงอยู่นะ!”



ไม่เคยเห็นคนร้องไห้เพราะโกรธมากๆ เหรอวะ ผมยกมือข้างเดียวถูหน้าตัวเอง ไอ้โซลไม่มีท่าทีสะทกสะท้านใดใดอีกแล้ว ผมล่ะเกลียดเวลามันรู้ทันจริงๆ แล้วพอเหลือบขึ้นมองหน้ามันผมก็หลุดยิ้มออกมาจนได้



“ผมจะไปส่งพี่ที่บ้าน แล้วเดี๋ยวค่ำๆ ผมจะไปรับนะครับ”



“ทำไมล่ะ เก็บเสื้อผ้าแป๊บเดียวเอง”



“ผมนัดเพื่อนไว้ หรือพี่จะไปด้วย”



“อื้อ ไปด้วยก็ได้” ผมว่า มองแสงแดดที่เริ่มจางลง มือที่ถูกมันกุมเอาไว้แก่วงไปมาเล็กน้อยโดยที่ผมไม่ได้สนใจจะดึงออก



“จริงดิ” ไอ้โซลดูอึ้งกับคำตอบ เหมือนแค่อยากถามผมเล่นๆ เท่านั้น ทำเอาผมเหวอไปด้วย



“อะไรเล่า กูก็แค่...ยังไม่อยากกลับบ้านเฉยๆ”



“ครับๆ งั้นไปเก็บของก่อนจะได้ออกไปทีเดียวเลย”



“อือ ปล่อยได้แล้ว จะไปขึ้นรถ” มันมองมือที่ประสานกันยิ้มๆ ไม่ยอมทำตาม



“รีบเหรอครับ”



“ก็นัดเพื่อนไว้ไม่ใช่หรือไง”



“พวกมันรอได้น่า”



“ไม่เอา มึงปล่อยเลย”



“ยืนตรงนี้อีกห้านาทีไม่ได้เหรอครับ”



ผมพยายามชักมือกลับ กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม “ไม่ได้!”







-

           





ไอ้โซลนัดกับเพื่อนมันที่คณะ กลุ่มเด็กผู้ชายที่ผมเจอในวันนั้นยังอยู่กันครบ...หมายถึงหลายคนเหมือนเดิม พอผมกับไอ้โซลเดินเข้าไปทุกคนก็มองมาแบบอึ้งๆ



“เชี่ยยยย”

“จากเลเวลศูนย์สู่เลเวลสิบ!”

“ไม่อัพเดตกับเพื่อนเลยน้า”

“กูตาฝาดเปล่าวะ”

“เฮ้ย เสื้อ...”



ผมเผลอก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ถูกจ้องมากๆ ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน



“พี่ซีน สวัสดีคร้าบบ” เป็นไอ้น้องกันที่ทักผมขึ้น ผมเลยทักตอบยิ้มๆ “ไปไงมาไงถึงได้มากับไอ้นี่ล่ะครับ”



“มึงอย่าจุ้นน่า”



“อ้าวเฮ้ย ขอคุยกับพี่ซีนหน่อย อย่าหวงสิเพื่อน”



“เออไอ้โซล พี่ซีนครับ มานั่งตรงนี้ดีกว่า” เด็กผิวเข้มคนหนึ่งตบพื้นที่ว่างแปะๆ สองที ผมหันไปมองไอ้โซล มันทำหน้าเอือมๆ แต่ก็พาผมเดินไปนั่งตรงนั้น



“ผมชื่อบอลนะครับ” เด็กผิวเข้มว่า ก่อนที่คนที่เกากีตาร์โปร่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามจะแนะนำตัวบ้าง



“ผมไมค์ครับ”



“แล้วตกลงพี่ซีนมากับมันได้ไงอ่ะครับ” ไอ้น้องกันโผล่หัวมาถามอีกครั้ง คราวนี้ไอ้โซลถูกดึงไปโต๊ะข้างๆ ผมเลยต้องตอบ



“พอดีออกมาข้างนอกกับโซลแล้วยังไม่อยากกลับบ้านน่ะ แล้วนี่คุยงานกันเหรอ” ถ้าจำไม่ผิดก่อนไฟนอลก็เห็นคุยกันเรื่องนี้ มันยังไม่ได้จัดกันอีกเหรองานเนี่ย



“ใช่ครับ แต่เป็นงานเลี้ยงเฉยๆ ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก” ไอ้น้องกันตอบ ก่อนจะพยัดเพยิดไปทางคนที่คุยกับไอ้โซลอยู่ “โน่นไอ้ต่าย มันจัดเอาใจแฟนมันเฉยๆ ดูไร้สาระแต่มันรวย เหล้าฟรี กินฟรีเลยไม่มีใครบ่นอะไร”



“แค่แต่งตัวหล่อๆ กับเตรียมการแสดงเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ” ไมค์เสริมขึ้นมา



“มีแต่เด็กสถาปัตย์ฯ เหรอ”



“อ้อไม่ครับ พวกเราจัดขึ้นก็จริงแต่จะชวนใครไปด้วยก็ได้” บอลว่า “จริงๆ เราตั้งกฎกันขึ้นมาเล่นๆ แต่ต้องทำจริงครับ คืองานนี้ต้องควงคู่ไปด้วย”



ไอ้น้องกันเบ้ปาก “เพราะมันมีแฟน เลยอยากให้ทั้งงานมีแต่อะไรที่เป็นคู่ แม่งโคตรเชี่ย แต่ไม่ทำตามก็ไม่ได้เข้างานจริงๆ นะครับพี่”



“ขนาดนั้นเลย”



ทั้งสามพยักหน้ากันอย่างจริงจัง ผมแอบขำเล็กน้อยกับกฎแปลกๆ จะว่าไปก็ดูสนุกดี



“คุยอะไรกันครับ” ไอ้โซลมองพวกเพื่อนมันเรียงคนอย่างไม่ไว้ใจ ทำอย่างกับมีความลับอย่างนั้นแหละ



“งานวันจันทร์นี้ไง มึงคุยกับไอ้ต่ายแล้วใช่ไหม”



“อืม หลังเซอร์ไพร์สแฟนมันพวกมึงก็ขึ้นเล่นต่อ มีอะไรอีกมึงไปคุยมันต่อแล้วกันไอ้ไมค์ กูว่างอีกทีก็วันงานเลย”



“เออได้ แล้วนี่มึงจะกลับเลยเหรอ”



“ก็ไม่มีอะไรแล้วนี่หว่า จริงๆ กูไม่ต้องมาก็ได้”



“แหม มีความสุขแล้วไม่เห็นหัวเพื่อนเลยนะครับคุณพระเอก” ไอ้น้องกันว่าขึ้น โดยมีเพื่อนอีกเกือบสิบคนที่หยุดคุยกันตอนไหนไม่รู้ส่งเสียงเห็นด้วยปนเปไปกับคำด่า



แต่ไอ้โซลทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ หันมาพูดกับผมแทน “ไปเถอะครับ เสียงนกเสียงกา”



“โอ้โหแม่งลืมบุญคุณ!” ไอ้น้องกันโวยวาย



ผมลุกออกจากที่นั่ง บอกลาพวกเพื่อนไอ้โซลเล็กน้อยแต่ไอ้น้องกันเหมือนจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ



“ไอ้โซลมึงชวนพี่ซีนไปงานยัง”



ผมชะงัก รวมถึงคนข้างตัวด้วย เมื่อเห็นไอ้โซลเงียบ พวกเพื่อนมันก็โห่ใหญ่



“เลิกกากก็เลิกให้สุดสิวะ”

“สงสัยจะไม่ได้เข้างาน”

“น่าซงซานเนอะ”

“แบบนี้เลเวลติดลบหนึ่ง”



“งั้นพี่ซีนอย่าเพิ่งไปครับ อยู่ฟังผมเล่นก่อน ผมอยากร้องเพลงให้พี่ฟัง” ไมค์ก้าวขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ ผมไม่ทันได้พูดอะไร เจ้าตัวก็เริ่มเกาสายกีตาร์ขึ้นมาเป็นทำนองเพลงแล้ว





*รู้ไหมว่ามีคนตกหลุมรักคุณกี่คนแล้ว

จากการที่คุณแค่ยิ้มให้ และยิ่งตอนคุณหันมา

จ้องมองตาและทักทาย ในหัวใจมันแทบละลาย

จนเกือบถึงจุดอันตราย และอยากจะขอให้คุณ





เพลงคุ้นๆ เหมือนเคยฟังผ่านๆ อยู่เหมือนกัน ผมยิ้มขำ ไม่ใช่แค่ไมค์ที่ร้องแต่เป็นทุกคนที่ต่างคนต่างเปล่งเสียงออกมาแบบไม่สนใจคีย์เพลง





หยุดหยุดแค่นี้ก่อน ในใจผมร้อน

จนทนไม่ไหว จะรักคุณแล้ว

หยุดหยุดใจไว้บ้าง ห้ามใจเอาไว้

ต้องเตือนตัวเอง คนน่ารักมักใจร้ายกันทุกคน






“พวกมึงนี่นะ” ไอ้โซลส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะหันมามองผม “พี่ชอบเหรอครับ”



“เพื่อนมึงก็ตลกดี”





รู้ไหมที่คุณชอบสงสัย ว่าทำไมใคร

ใครใครชอบลืมตอบคำถามของคุณ

ก็เพราะเสียงของคุณ ช่างหวานละมุนอุ่นหัวใจ

ฟังครั้งใด เหมือนเวลาหยุดหมุนไป

ไม่รู้ทำไมอยากจะขอให้คุณ





“แล้วถ้าผมชวนไปงาน พี่จะไปหรือเปล่า”



“แล้วถ้ากูบอกว่าไม่ล่ะ”





หยุดหยุดแค่นี้ก่อน ในใจผมร้อน

จนทนไม่ไหว จะรักคุณแล้ว

หยุดหยุดใจไว้บ้าง ห้ามใจเอาไว้

ต้องเตือนตัวเอง คนน่ารักมักใจร้ายกันทุกคน






“ผมรู้ว่าพี่ไม่ใช่คนใจร้าย”



มองรอยยิ้มมันแล้วก็ได้แต่ย่นจมูก “ชวนสาวในสต็อกมึงดิ”



“เฮ้ย ไปเอามาจากไหนครับ ไม่มี”



“หน้าอย่างมึงไม่น่าหายากนะ”



คนตรงหน้าใช้ปลายนิ้วเขี่ยจมูกผมเบาๆ “แหม จะชมก็อ้อมไปซะไกล”



“ไม่ได้ชม!”





ภายในใจผมสับสนและหวั่นไหว

เวลาที่คุณเข้ามากระซิบใกล้ๆ

คอยเตือนตัวเองท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ

คนน่ารักมักใจร้าย คนน่ารักมักใจร้ายใช่ไหมคุณ






“มีคนอื่นอยากไปกับมึงเยอะแยะ”



“แต่ผมอยากไปกับพี่นี่ครับ จะปฏิเสธผมจริงๆ เหรอเนี่ย”





บทโพลหลายสำนัก คนน่ารักมักใจร้าย

แต่ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้มันไม่ใช่

ไม่น่าจะทำให้ร้องไห้ ไม่น่าจะ say goodbye

เพราะเธอดูไม่มีอันตราย






“เชี่ย อย่ามั่ว”

“ไม่มั่วโว้ย”

“กูแร็พต่อไม่ได้แล้ว ข้ามๆ”

“ข้ามไปไหน!”

“เข้าฮุคสุดท้ายเลยเดี๋ยวพี่เขากลับก่อน!”





หยุดหยุดแค่นี้ก่อน ในใจผมร้อน

จนทนไม่ไหว จะรักคุณแล้ว

หยุดหยุดใจไว้บ้าง ห้ามใจเอาไว้

ต้องเตือนตัวเอง คนน่ารักมักใจร้าย






“ไปกับผมนะ”





คนน่ารักมักใจร้าย...





“กลัวว่ามึงจะไม่ได้เข้างานหรอกนะ”







ยกเว้นคุณ

 







-

*เพลง คนน่ารักมักใจร้าย - Basketband

ปากแข็งแล้วต้องแข็งให้สุดสิ 555555

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ ติชมกันได้ #ข้างหลังฉาก #โซลซีน

เจอกันตอนหน้าค่า ^ ^
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 10-04-2017 23:04:30
ฮืออออ พี่เขาก็เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆแล้วนะ

ชอบที่โซลรู้ทันคนพี่ไปซะหมด

และชอบการหวีตในทวิต เห็นภาพมากๆ ฮาาาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 10-04-2017 23:27:10
กลัวน้องมันไม่ได้เข้างาน....หรือ....หวงก้าง...กลัวไปกับคนอื่นกันแน่...พี่ซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 11-04-2017 00:42:44
พี่ซีนนี่อ่อนลงเรื่อยๆนะ
เอะอะยอมน้องโซลตลอดเลยยย
ใกล้ความจริงแล้วว5555
ทีมเรือหลวง เรือหลัก เรือออฟฟิเชียล
รอค่าาาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-04-2017 00:52:32
 :L2: :L1: :pig4:

ค่อยๆรู้ตัว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-04-2017 01:23:09
ชอบน้องแล้วอ่ะดิพี่ซีนนนน  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 11-04-2017 02:27:11
พี่ซีนน่าจะรู้ตัวแล้วนะว่าโซลคิดยังไงแล้วตัวเองคิดยังไงแต่ยังไม่มั่นใจใช่มั้ยล่ะแล้วนี่จะไปอยู่ด้วยกันโลกของพี่ซีนคงร้อนขึ้นเป็นสิบเท่าอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dellyamin ที่ 11-04-2017 03:02:19
อยากตามไปหวีดในทวิต >< พี่ซีนน่ารักน้องโซลก็น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 11-04-2017 06:28:47
ทวิตจริงจังมากกกกก เราชอบ

โซลก้าวหน้าไปเรื่อยๆ หวังว่าพี่ซีนจะรู้ใจตัวเองและเป็นแฟนกันเร็วๆนี้นะคะ

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 11-04-2017 07:06:07
นี่สิของจริง
คนพี่ใจเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ
แต่ปากยังแข็งอยู่เลยนะ
น้องมันคงต้องหาอะไรมางัดละอ่ะ
 :-[ :-[
หวีดหวานตลอด
อิจค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-04-2017 09:07:51
โซล ไม่ยอมปล่อยซีนให้คลาดสายจาจริงๆ
ซีน ก็ใจอ่อนกับโซล แล้วนะ
แต่ก็ยังปากแข็ง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-04-2017 09:10:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: gimini ที่ 11-04-2017 16:24:54
น่ารักมากๆๆๆๆๆๆ อ่านละเขิน5555555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 12-04-2017 07:03:43
เราจะตีเรือผีให้แตกค่ะ โฮ๊ะๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 12 - (10/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 13-04-2017 19:12:01
หมั่นไส้ 5555555555555555555555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 19-04-2017 21:52:49

ตอนที่ 13







ตอนนี้เราเข้ามาถ่ายทำที่ห้องเลคเชอร์ อาจารย์หน้าห้องกำลังสอนอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง ครั้งนี้ผมกับไอ้โซลนั่งอยู่แถวกลางๆ ผมทำท่าเป็นจดตามสไลด์ ขีดๆ เขียนๆ อะไรมั่วๆ ลงไปในสมุด สักพักไอ้โซลก็มาแย่งปากกาในมือไป เวลาพี่โป้งบอกให้เล่นยังไงก็ได้ผมชักระแวง กลัวว่ามันจะทำอย่างวันนั้นอีก ผมจิ๊ปากแล้วหยิบปากกาอีกแท่งในกระเป๋ามาใช้แทน แล้วก็ถูกมันแย่งไปอีก ปากกาหมดกระเป๋าแล้วนะเว้ย ทำไมทีมงานใส่ให้มาน้อยจัง!



อย่างนั้นผมเลยต้องพยายามเอาปากกากลับคืนมาให้ได้ พอผมเอื้อมมือจะไปแย่งคืนมันก็ชูขึ้นสุดแขน เบี่ยงตัวหลบจนผมแทบล้มใส่ตัวมัน ผมเลยหยุดมันโดยการกระชากหัวแม่งเลย



พอได้ปากกาคืนมาครบผมก็นั่งเขียนชื่อตัวเองลงในสมุดต่อไปเพราะผมไม่รู้จะเขียนอะไร หลังจากไอ้พระเอกที่ลูบหัวตัวเองป้อยๆ ให้หายเจ็บแล้วก็เขยิบเข้ามาใกล้ ผมมองมือที่หยิบปากกาอีกด้ามขึ้นมาอย่างไม่ได้สนใจอะไร ไอ้โซลเขียนอะไรสักอย่างลงไปบนสมุดอีกด้านหนึ่งที่มีชื่อผมอยู่เต็มไปหมดแต่ผมมองไม่เห็นเพราะมือมันบัง เขียนเสร็จมันก็เอามือออกแล้วเท้าแขนลงกับโต๊ะมองผมยิ้มๆ เหมือนรอให้ชื่นชมผลงานของมัน



ผมมองข้อความใหม่ที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแล้วชะงักไป สิ่งที่ไอ้โซลเขียนคือชื่อของมันตามด้วยรูปหัวใจ...อยู่ด้านหน้าชื่อของผม...



ไอ้บ้าเอ๊ย…อย่ามาทำแบบนี้เวลาเข้าฉากสิวะ!



ขอบคุณที่ฉากนี้ไม่มีบทพูดอะไร เพราะตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลย พูดไม่ออก ทำตัวไม่ถูก ถึงจะละสายตาออกมาจากประโยคนั้นแต่มันกลับฝังเข้ามาในหัวผมแล้ว และเสียงจอกแจกจอแจของนักศึกษาคนอื่นไม่สามารถกลบเสียงหัวใจของผมได้เลย











“ได้ดูตอนแรกกันไปแล้วเป็นยังไงบ้างเอ่ย ใครเห็นหนิงเดินผ่านตอนฉากโรงอาหารมั่ง”



ผมดื่มน้ำพลางมองหญิงสาวที่พูดกับโทรศัพท์ในมือ หนิงกำลังพูดถึงซีรีส์ที่ออนแอร์ตอนแรกไปเมื่อคืน โดยที่มีเจ้าตัวโผล่มาแว๊บเดียว



“ถึงจะออกน้อยแต่ดูไปเรื่อยๆ ทุกคนต้องไม่ชอบหนิงแน่ๆ” คุณเธอย่นจมูกเล็กน้อยก่อนจะทำตาวาว “แต่นอกจอหนิงไม่เคยขัดสองคนนั้นนะ”



“แค่ก!”



“ซีนสำลักทำไมอ่ะ”



ผมเช็ดน้ำที่ไหลเปื้อนคาง “ดูดผิดท่า”



“บ้านซีนเถอะ” หนิงง้างเล็บ ทำท่าจะข่วนแต่พอเห็นลวดลายบนเล็บตัวเองที่เพิ่งไปทำมาใหม่ก็เปลี่ยนใจ “เดี๋ยวนี้ชักกวน อยู่กับโซลเยอะก็แบบเนี้ย”



ผมที่กำลังยิ้มขำกลายเป็นขำไม่ออก อะไรกัน ผมเป็นของผมแบบนี้มาตั้งนานแล้วเถอะ



“อยากเห็นซีน...ซีน ซีน ซีนเต็มไปหมด” หนิงอ่านที่แฟนคลับพิมพ์เข้ามาก่อนจะแสร้งทำหน้าเศร้า “เผื่อทุกคนจะลืมว่านี่ไอจีหนิง ไม่ได้จะเข้ามาดูกันตั้งแต่แรกถูกไหม”



“ซีนนั่งอยู่ข้างๆ แต่ไม่ให้เห็นหรอก แบร่” พี่ปุ้ยที่เดินผ่านมองหน้าผมเหมือนจะถามว่าหนิงเป็นอะไร ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าขำๆ หนิงแกล้งหันโทรศัพท์มาทางผมเร็วๆ หลายครั้ง สลับกับอ่านที่แฟนๆ พิมพ์มาอย่างสนุกสนาน



“โอเคๆ ไม่เล่นแล้ว อย่าเพิ่งด่านะคะ” ว่าพลางหัวเราะแล้วยัดโทรศัพท์เครื่องบางใส่มือผม “เอ้า แฟนๆ อยากเห็น ซีนไลฟ์แทนเราเลย”



ผมหน้าตื่น ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แล้วก็ไม่ใช่คนพูดเก่งแบบหนิงเสียหน่อย



“ทักทายหน่อย เราไม่ว่าง จะแต่งหน้าทำผม” คุณเธอว่า พอดีกับพี่ทีมงานเดินเข้ามา ผมหันเลยโทรศัพท์เข้าหาตัว ทักทายไปเล็กน้อย คนดูเพิ่มขึ้นมาเกือบพันทำเอาผมประหม่า มองไปเห็นไอ้พระเอกของเรื่องก็เลยรีบกวักมือเรียกมันพลางลากเก้าอี้อีกตัวมาไว้ข้างๆ



“ต้องพูดอะไรบ้างอ่ะ” ยื่นโทรศัพท์ให้มันถือแทน ไอ้โซลรับไปแล้วกล่าวสวัสดีพร้อมโปรยยิ้มไปแบบไม่เคอะเขินอะไร



“ไปเปลี่ยนชุดมาครับ” ไอ้โซลอ่านคอมเม้นท์แล้วยิ้มน้อยๆ “ได้ครับ ต่อไปจะไม่ปล่อยให้พี่ซีนอยู่คนเดียวอีกแล้ว”



ผมได้ยินเสียงหนิงหัวเราะหึๆ เบาๆ “หาตัวช่วยได้ถูกคนจริงๆ”



ผมก็ว่างั้น แต่ก็ดีกว่าพูดคนเดียว พอมีคนมานั่งด้วยแล้วค่อยยังชั่ว คอมเม้นท์ขึ้นเร็วมาก เป็นคำถามบ้าง หวีดร้องกันบ้าง บางคนก็ชื่นชมซีรีส์ตอนแรกที่ฉายไป



“ขอบคุณที่ชอบนะครับ” อดยิ้มนิดๆ ไม่ได้ เมื่อคืนหลังซีรีส์จบม้าก็โทรมา บอกว่าสำหรับมือใหม่ถือว่าแสดงได้ดีมากแล้ว ผมไม่ได้ดูที่ตัวเองแสดงเพราะรู้สึกเขินแปลกๆ ไอ้โซลเลยไม่ได้ดูไปด้วย ตอนแรกผมกังวลไม่ใช่น้อยว่ามันจะออกมาแย่ แต่พอลองเช็คในทวิตเตอร์แฟนนิยายชอบกันผมก็เบาใจ



“กับโซลรู้จักกันอยู่แล้วครับ เป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัย” ผมตอบคำถามที่มีคนเม้นท์ถามมาเรื่อยๆ “วันนี้เฟิร์สไม่มีคิวถ่ายครับ”



ผมไม่ได้มองหน้าตัวเองหรือไอ้คนข้างๆ ในจอเพราะมัวแต่มองตัวหนังสือที่พิมพ์เข้ามา จนมาสะดุดที่ข้อความหนึ่ง





// ทำไมพูดถึงเฟิร์สแล้วโซลหน้าบูดจังคะ //





ไอ้โซลก็เห็นข้อความนั้นเหมือนกัน มันเลิกคิ้ว ทำหน้านิ่งอย่างกวนๆ แล้วพาดแขนมาวางไว้บนพนักเก้าอี้ของผมอย่างที่มันเคยทำ “เปล่าครับ อากาศมันร้อน”



จริงๆ ผมว่ามันไม่ได้หน้าตาดูอารมณ์เสียอะไรหรอก แฟนคลับก็ชงไปอย่างนั้นเอง แล้วเหมือนได้ยินที่ไอ้โซลพูด พี่บัวที่มาเยี่ยมกองถ่ายวันนี้เลยยื่นพัดลมอันเล็กให้ มือข้างหนึ่งของไอ้โซลถือโทรศัพท์อยู่ผมเลยรับมาไว้แทน จ่อตัวเองบ้าง จ่อไปทางมันบ้างสลับไปมา





// เมื่อวานพี่ซีนไปดูหนังกับพี่เฟิร์สมาเหรอคะ //





“ใช่ครับ ไปดูหนังกับเฟิร์สมา”





// แต่มีคนเห็นพี่ซีนอยู่กับโซลด้วย //

// หรือไปกันสามคนเหรอคะ //

// เพื่อนหนูเห็นพี่ซีนกับโซลแค่สองคน พี่ซีนตอบหน่อยยยย //

// อ่านของหนูด้วยยยยย อย่าเพิ่งเม้นท์เยอะให้พี่ซีนตอบก๊อนน //

// เฟิร์สหรือโซลลลลลล //





“ตอนเย็นไปทำธุระกับโซลครับ เมื่อวานเจอทั้งสองคนนั่นแหละ” บอกแบบนี้ไปแล้วกัน ถ้าบอกว่ามันมารับไปเก็บเสื้อผ้าเพื่อไปค้างห้องมันเดี๋ยวโทรศัพท์จะค้างเอา แค่นี้ก็พิมพ์รัวมาแบบไม่ได้ศัพท์กันหมดแล้ว





// พี่ซีนน่ารักกกก //

// ทำไงจะเซฟความน่ารักไว้ได้หมด //

// พี่ซีนชอบชาเขียวเหรอค้า //

// โซลหล่อมากก หล่อเบอร์แรง //

// อยากเจอพี่ซีนเจอได้ที่ไหนอ่า //

// เหมาะกันมากอ่ะ //

// ต้องกินชาเขียวเหรอคะถึงจะน่ารักได้ขนาดนี้ //

// ซีนพูดเยอะๆ หน่อย อยากได้ยินเสียงงงง //






“เจอได้ที่ไหนเหรอ...อืม ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหนนะ”





// กรี้ดดดดดด เห็นนะะะะ //

// แหมมมมมมมมมมมมมมมม //

// น่ารักกกมากกกคู่นี้ //

// โซลอยู่ปีไหนอ่า //

// หมาพี่ซีนชื่ออะไรคะ //





“ผมขึ้นปี 3 ครับ ส่วนหมาพี่ซีนชื่อปิ๊กมี่”





// ถามพี่ซีนนนนนนนนนนนนนนน //

// เปงแฟนอ่อมาตอบแทน //

// ชื่อซีนเหรอ555555555 //

// ระหว่างปิ๊กมี่กับชาเขียวพี่ซีนเลือกอะไรคะ //





“เลือกปิ๊กมี่ครับ”





// แล้วปิ๊กมี่กับพี่โซลล่ะคะ //





“อย่าทำร้ายผมสิ”



“รู้เหรอจะตอบอะไร”



“ขอข้ามข้อนี้นะครับทุกคน ตอบมาเดี๋ยวผมปวดใจ”



เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรด้วยซ้ำ ได้แต่เบ้ปากใส่ไอ้คนที่ทำท่าทางปวดใจจริงๆ อย่างเจ้าตัวว่า ดูเหมือนไอ้โซลจะรู้จักพูดคุยกับแฟนๆ ได้อย่างลื่นไหลและยังถูกใจพวกเธอมากอีกด้วย





// สองคนนี้จีบกันอยู่ป่ะ //

// ถึงไหนกันแล้วคู่นี้ //

// โซลกับพี่ซีนถึงขั้นไหนกันแล้ว //






“ขั้นไหนเหรอ…” ไอ้คนข้างๆ พึมพำ หันมาถามผมหน้าซื่อ “ว่าไงครับ”



 “ข...ขั้นอะไร”



“นั่นน่ะสิ ขั้นอะไร”





// หยั่มมาาาาาาาา //

// พี่ซีนไม่รู้แต่โซลน่ะหยั่มมาาาาา //

// พี่โซลอย่าอุบไว้คนเดียวสิ! //

// เราว่าขั้นสูงแล้วแน่นวลลล //

// พี่ซีนไม่รู้จริงเหรอ ทำไมหน้าแดงงง //

// กรี้ดดดด ผิวขาวมันเห็นง่ายนะคะคนน่ารักก //

// หน้าตามีพิรุธทั้งสองคน //

// โอ้ยยยยยยย ไม่เนียนไปฝึกมาใหม่ //






“มั่วแล้วหน้าแดงอะไร” ผมยกมือจับหน้าตัวเอง ในกล้องมันจะเห็นได้ยังไง!



“ปฏิเสธอยู่ได้ นี่อย่าคิดว่าไม่รู้นะว่าเขียนอะไรลงในสมุดน่ะ” หนิงพูดลอยๆ แต่ผมหันขวับไปมองแทบไม่ทัน หนิงเพิ่งมาถึงกองตอนบ่ายจะรู้ได้ยังไง แต่สมุดเล่มนั้นทีมงานเก็บไป ผมว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ปุ้ยแล้วล่ะ จะต้องรายงานกันทุกเรื่องเลยใช่ไหม!





// แดงถึงหูแล้วพี่ซีนเอ๊ยยยย //





ตอนนี้คนที่เข้ามาดูเกือบสามพัน ผมขบริมฝีปากแน่น แต่ละเม้นท์ก็ใช่ย่อย ไอ้โซลก็ไม่ช่วยอะไร ซ้ำยังทำให้ดูมีลับลมคมในเข้าไปอีก





// เขินก็บอกกกก //





“เปล่าครับ อากาศมันร้อน”



ไอ้โซลขำพรืด ไม่ต่างจากคอมเม้นท์ที่มีแต่เลขห้า สักพักพี่ทีมงานก็เดินมาบอกให้ไอ้โซลกับหนิงเตรียมตัวเข้าฉากได้แล้ว เราเลยบอกลาแล้วคืนโทรศัพท์ให้เจ้าของ



“พี่ลอกคำตอบผมนะ” ไอ้โซลยิ้มล้อ ผมจิ๊ปาก เถียงไม่ออกว่าจริงๆ แล้วก็เลี่ยงตอบความจริงแบบที่มันทำ



“อ้าว งั้นแสดงว่ามึงหน้าบูดจริง ไหนรับปากว่าจะไม่อะไรเฟิร์สแล้วไง นี่ต่อหน้าแฟนคลับด้วย”



“ผมทำเล่นเฉยๆ น่า” มันทำหน้าไม่ยี่หระอะไร ก่อนจะเลิกคิ้วมองผมแบบจับผิด “งั้นที่หน้าแดงก็ไม่ใช่เพราะร้อนเหมือนกันน่ะสิ”



ส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างคนรู้ทัน ผมยู่หน้า รู้อยู่แล้วยังจะมาคาดคั้นเอาคำตอบอะไรกับผมอีก



“ตกลงเราขั้นไหนกันแล้ว”



“ยังไม่เลิกเล่นอีก”



“ได้กอดได้หอมแล้ว ต่อไปก็จูบ”



“ไอ้บ้านี่!”



“เอ้า ในบทมันมีนะครับ”



“รู้แล้วน่า ย้ำจริง!”



ไอ้โซลหัวเราะน้อยๆ “จริงๆ ก็ไม่ได้อยากทำแค่ในบทหรอก”



“ไปเข้าฉากได้แล้ว ยืนพูดอะไรไม่รู้อยู่ได้!”



แล้วพูดอย่างกับตัวมันเองไม่เคยนอกบทอย่างนั้นแหละ แล้วอีกอย่าง อยู่ในห้องมันก็ไม่มีกล้องตัวไหนมาถ่าย บทก็ไม่ได้ซ้อมกันด้วย แต่สิ่งที่มันทำกับผมเหมือนอยู่ในซีรีส์ไม่มีผิด!



“หน้าตาเหมือนนินทาผมในใจนะเนี่ย”



“รู้ตัวก็ดีแล้ว”



“อ่ะๆ ไถ่โทษ” มันล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบบางอย่างออกมายัดใส่มือผมไว้ “ไปขอจากพี่ปุ้ยมาให้ ผมกลัวคนอื่นมาเห็นแล้วพี่จะโดนล้อไปมากกว่านี้ เก็บไว้กับพี่แล้วกันนะ”



เมื่อคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกผมก็แทบล้มทั้งยืน รู้สึกถึงความร้อนที่ลามไปถึงหูจริงๆ อย่างที่แฟนคลับคนหนึ่งว่า มันเป็นกระดาษที่ถูกฉีกออกมาจากสมุดเล่มนั้นและมันเป็นหน้าที่มีประโยคนั้นอยู่



“ผมไม่ได้กลัวคนอื่นจะรู้หรอก แต่เวลาพี่เขินผมอยากเห็นคนเดียวมากกว่า”



คนตรงหน้ายกยิ้ม ลูบหัวผมเบาๆ แล้วเดินจากไป



แล้วมันจะคิดบ้างไหมว่าก็ไอ้อาการที่มันพูดถึง ที่ผมเป็นอย่างนั้น...ก็เพราะใคร







ระหว่างรอสองคนนั้นเข้าฉาก ผมก็กดเข้าไปอ่านฟีดแบคของตอนแรกที่ออนแอร์ไปอีกครั้ง มีคนตัดเอาคลิปมาลงด้วยแต่ผมไม่กล้ากดเขาไปดู แค่เห็นรูปก็ตลกตัวเองจะแย่ พอเข้าแท็กนิยายแล้วก็อดกดเข้าไปอีกแท็กหนึ่งไม่ได้ พอเข้าไปดูก็เห็นรูปที่แคปจากที่ไลฟ์ไปเมื่อสักครู่เต็มไปหมด ผมยิ้มออกมานิดๆ พวกเธอจับตาแทบจะทุกการกระทำจริงๆ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่พวกเธอไม่รู้ และบางอย่างที่ผมเพิ่งจะรู้เหมือนกัน





@oohhoo

จริงๆ แอบใจแป้ว ไม่เห็นพี่โซลมารับพี่ซีนเลยอุตส่าห์ตื่นมาวิ่งตอนเช้าทุกวัน แต่ไลฟ์วันนี้เห็นยังรักกันดีเราก็สุขใจจจ #โซลซีน



@w_antina

ไม่ต้องมารับกันก็ได้แค่รักกันหนูก็พอใจแล้วว #โซลซีน



@micodde

ตอนมีคนถามถึงพี่เฟิร์ส โซลมีความออกอาการนะจ๊าาา #โซลซีน



@nongwaii

พอถามถึงพระรอง พี่พระเอกเขาก็หน้าตึงเลยค่ะ ออกตัวแสดงความเป็นเจ้าของทันที #โซลซีน



@fxxfullp

จะในจอหรือนอกจอ พระเอกก็คือพระเอกอ่ะเนาะ โฮะๆๆๆ #โซลซีน



@kungpeuak

ที่บอกอากาศร้อนกันคือคนหนึ่งหัวร้อน อีกคนหน้าร้อนถูกมะ? #โซลซีน



@ishipyounaokay

ถึงเรือผีจะฆ่าไม่ตาย แต่เรืออฟฟิเชียลมันเรียลค่ะ เรียลโดยธรรมชาติ วงในเขาก็ชงกัน เสียงแก้วนี่โพล้งเพล้ง #ทีมพระเอก #โซลซีน



@tingjating

มองมาจากดาวเสาร์ก็รู้ว่าจีบกัน #โซลซีน



@fanclubpbua

สายตาโซลเวลามองพี่ทั้งในจอนอกจอไม่ต่างกันเลย รักมากไหมถามใจ #โซลซีน



@iammeoww

ตอนพี่ซีนยิ้มเขินคือแคปรัวๆ โอยยย เป็นพี่โซลจะจับมาฟัดแรงๆ >_< #โซลซีน



@nefdb91

โซลทนได้ยังไง พี่ซีนนนนนนน ฮือออๆๆๆๆๆๆ น่ารักมันทุกท่วงท่า จะพูด จะยิ้ม จะหายใจก็น่ารัก ยกนิ้วกลางให้ยังไม่โกรธเลยคนดี ฮืออออออออ #โซลซีน



@tttt007

ตอนพี่ซีนบอกไปธุระต่อกับพี่โซล คนข้างๆ กระตุกยิ้มคือรายยยยยยย ไปทำไรมากันแน่ ฮื่ออออ อย่าปล่อยให้ชุ้นมโนเองเลย ในหัวมีแต่เรื่องดีๆ ทั้งน้านน #โซลซีน



@Dreem_ij3

พี่ซีนเบ้ปากแบบน่าบีบแก้มมากกกกก #โซลซีน



@munBL17

ท่าปวดใจโซลนี่เอาไปใช้ได้อีกนาน 555555555 #โซลซีน



@jYsookpx

วันนี้ได้มีมเบ้ปากกับปวดใจ 55555555 #โซลซีน



@admiiee

ใครได้กลับไปดูไลฟ์ใหม่บ้าง เหมือนได้ยินพี่หนิงพูดว่าเขียนๆ อะไรสักอย่างในสมุดอ่า เราฟังไม่ชัด แต่พี่ซีนหน้าอึ้งมาก พี่หนิงรู้อะไรใช่ไหมมมมมมม #โซลซีน



@wangjeajao

พี่ซีนเขินไม่กล้าคุยเลยเรียกโซลมานั่งไลฟ์ด้วย เอ็นดูตอนกวักมือเรียกแบบ ‘เร็วๆ มานี่ๆ’ ณ จุดนี้กราบแทบเท้าพี่หนิงด้วยค่ะ มองตาพี่ก็รู้ว่าเราพวกเดียวกัน #โซลซีน



@kewiiz_

มีคนถามว่าเจอพี่ซีนได้ที่ไหน ตอนพี่กำลังตอบ น้องแอบชี้ที่หัวใจตัวเอง วรั้ยยยยยยย หักไม้พาย!!! #โซลซีน






รูปที่แคปมาเป็นอย่างที่พวกแฟนคลับพูดกันจริงๆ ผมละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ มองคนในรูปที่กำลังยืนต่อบทกับหนิงอยู่ไม่ไกลออกไป เผลอเอื้อมมือไปสัมผัสกับกระดาษแผ่นบางที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง...แล้วก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหวในหัวใจแม้แต่เสี้ยววินาที












-

คนหนึ่งเริ่มแสดงออกชัดเจน ความรู้สึกอีกคนก็จะเริ่มชัดเจนไม่ต่างกัน

//อะไรนะ...น้องแสดงชัดมานานแล้ว  แง้ะ555555

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ เป็นกำลังใจให้มากๆ เลย ^ ^

ติดแท็กได้น้าาาา #ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 19-04-2017 22:06:33
อะไร ในนั้นเขียนว่าอะไรฮรือออ #ทีมพระเอก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-04-2017 23:03:16
ดูท่าแฟนคลับคู่นี้คงทำหมอนขาดไปหลายใบ ฮา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 19-04-2017 23:57:56
ฮือออออออ นี่อ่านไปจิกหมอนไป คนพี่เริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหมคะ คนน้องชัดเจนขนาดนี้

โอยยยย หัวใจ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 20-04-2017 00:52:06
โอยยยยยฟินนนน
ทำไมน่ารักกก ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้
โยนไม่พายทิ้ง กับตันเรือเราแข็งแกร่งค่ะ
ทำไมเห็นภาพคู่ LeoLucus ซ้อนนมา งืออออ
รอค่าาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 20-04-2017 03:32:54
  :o8:  :-[  :impress2: คนอ่านเขินตายไปแล้วค่ะ.... น่ารัก....รีบมาต่อนะค่ะ...กำลังเขินแทนได้ที่ :ruready  :heaven
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-04-2017 05:06:37
หน้าฉาก หลังฉาก เหมือนกัน  :katai2-1:
เสมอต้น เสมอปลาย ฮู้เร้......  :mc4:
#โซลซีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แฟนคลับอยู่ใกล้ๆ แน่เลย เห็นหมด
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-04-2017 13:20:27
ไม่ต้องหลังฉากแล้ววว ชัดเจนขนาดนี้ กรี๊ดดดด
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 20-04-2017 18:31:34
ชัดเจนค่ะลูก  #โซลซีน

กัปตันทำดีค่ะ ยอมใจมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-04-2017 18:33:56
ทำตาม FC เถอะ เขาคิดมาดีแล้ว  :ruready
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-04-2017 20:48:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 20-04-2017 21:14:59
อีกนิด..พี่ซีน อีกนิด..... :hao3:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 21-04-2017 21:32:33
เจิน เอ้ย เงิน เอ้ย เขิน
โยนไม้พายละ ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 13 - (19/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-04-2017 23:31:15
โอ้ยยยยโซลลลลลลน่ารักมากกกกก พี่ซีนก็รับรักน้องเถอะค่าาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 01-05-2017 22:11:29



ตอนที่ 14







ผมจิบเครื่องดื่มที่ไอ้โซลยื่นให้เล็กน้อย มองไปรอบๆ งานที่ดูจะครื้นเครงกันขึ้นเรื่อยๆ เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อสังสรรค์กันจริงๆ การแต่งกายก็แล้วแต่ว่าอยากจะแต่งมาแบบไหน ผมเห็นตั้งแต่ชุดนอนยันทักซิโด้ ส่วนผมกับไอ้โซลแค่ใส่เสื้อเชิ้ตเรียบๆ มาเท่านั้น ผมก็ไม่ได้เซต



“โอ๊ะ! พี่ซีน สวัสดีครับ”



“หวัดดีต่าย” ผมยิ้มรับ ไอ้โซลพยักหน้าให้เพื่อนตัวเองเล็กน้อย “บ้านสวยดีนะ”



เพราะไม่ใช่งานวันเกิด งานขึ้นบ้านใหม่ หรืองานแต่ง ผมไม่รู้จะอวยพรอะไรเลยได้แต่ชมบ้านโมเดิร์นหลังใหญ่แทน สวนหน้าบ้านถูกตกแต่งและประดับประดาไปด้วยไฟดวงเล็กๆ ซุ้มดอกไม้และลูกโป่ง ดูไปดูมาก็เหมือนงานวันเกิดใครสักคน แต่คงเป็นเกิดอยากกินเสียมากกว่า



“อยากมาอยู่ไหมล่ะครับ”



“ลามปามแล้วมึง”



“แหม เล่นนิดเล่นหน่อยก็ไม่ได้” เจ้าของบ้านว่าหากแต่ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ผมดีใจนะครับที่พี่มาวันนี้ เชิญตามสบายเลย งานนี้แก้เครียดกันเฉยๆ”



ผมพยักหน้าน้อยๆ  ขยับผ้าที่ถูกผูกไว้บนข้อมือเมื่อรู้สึกว่ามันแน่นเกินไป ต่ายเหลือบมองการกระทำนั้น เลิกคิ้ว และสบตากับไอ้โซล



“ไอ้แม็คเขียน?”



“อือ เอาแค่นี้ไปก่อนก็ได้”



แล้วปิดท้ายบทสนทนาด้วยรอยยิ้มที่รู้กันอยู่สองคน...



ผมคลายผ้าที่ผูกบนข้อมือออกเล็กน้อย มันถูกเขียนว่า ‘คู่จิ้น’ เช่นเดียวกับผ้าบนข้อมือของไอ้โซล



“เห็นโซลบอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบด้วย ยังไงก็รักกับแฟนนานๆ นะ”



“ขอบคุณครับ พี่ซีนกับไอ้โซลก็เหมือนกันนะ”



“เฮ้ย..ค...คือเราไม่ได้...”



“เออ ขอบใจ”



“มึงนี่!”



คนโดนฟาดหัวเราะ ก่อนจะโบกมือไล่เจ้าของงานหน้าตาเฉย ผมกำลังจะบอกว่าไม่ใช่ ต่ายก็ทำเพียงโคลงศีรษะยิ้มๆ แล้วเดินไปหาแฟนตัวเอง เอาเข้าไปเถอะ อย่าบอกนะว่าชงเก่งกันทั้งกลุ่ม วันนี้ผมจะรอดไหม อยู่ในดงพวกเพื่อนไอ้โซลแบบนี้



“นั่งนี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปตักอาหารมาให้” มันว่าก่อนจะผละไป ผมนั่งโต๊ะที่ห่างออกจากเวทีมาไม่มาก เป็นเวทีไม่ใหญ่อะไร ผมว่าก็เหมาะดีกับการจัดงานที่มีแต่เพื่อนกันแบบนี้ ในงานมีคนเพิ่มมากขึ้นและดูเหมือนทุกคนจะรู้จักกันหมดทั้งงานเลยด้วย สักพักก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูป ผมเลยยิ้มเกร็งๆ ไปเพราะเพิ่งเคยเจออย่างนี้ครั้งแรก และไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนดาราสักนิด



“อ้าว พี่ซีน มาถึงนานแล้วเหรอครับ” คนในชุดนอนลายเต่าทองทัก บนหัวโพกผ้าสีแดงเหมือนกับชุด มีตัวหนังสือสีดำเขียนไว้ว่า คู่กัน



“อื้ม สักพักแล้วล่ะ”



“ไอ้โซลกล้าปล่อยให้พี่อยู่คนเดียวด้วยเหรอเนี่ย”



“ทำไมล่ะ งานนี้มีอะไรเหรอ” ผมมองไปรอบๆ อย่างสงสัย หรือมีกฎอะไรเล่นกันอีก ไอ้โซลก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติมนะ



“ก็เห็นมันไม่ให้ใครเข้าใกล้พี่เลย”



ไอ้น้องกันยิ้มกริ่ม นั่งลงข้างผม นัยน์ตามีเลศนัย ลืมไปเลย ตรงหน้าผมคือตัวพ่อในกลุ่มไอ้โซล ผมทำท่าหูทวนลมก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง 



“ไอ้ทิมกับไอ้โฟร์ล่ะ ไม่ได้มาเหรอ” จริงๆ ก็เพิ่งนึกได้ว่ามีเพื่อนอยู่คณะนี้เหมือนกัน ตอนพวกมันทักมาเรื่องซีรีส์ที่ฉายไปก็ด่าที่พวกมันแซวจนลืมบอกไปเลยว่าผมถูกชวนมางานนี้



“ไม่ครับ บอกไม่มากันทั้งคู่ สงสัยหาคนควงไม่ได้”



“อย่างพวกมันน่ะนะจะหาไม่ได้”



เด็กข้างๆ ยักไหล่ “ที่จริงจับคู่กันเองก็ได้ครับ ไม่ต้องลำบากไปหาคู่ที่ไหนไกลหรอก”



“อ้าว แล้วทำไมโซลไม่จับคู่กับเพื่อนล่ะ”



“มันอยากคู่กับพวกผมที่ไหนกัน ไอ้นั่นเล็งจะชวนพี่มาตั้งแต่ไอ้ต่ายบอกกฎของงานแล้ว นี่ผมต้องไปชวนเพื่อนคณะอื่นมานะเนี่ย” ว่าพลางทำหน้าเหม็นเบื่อ “แต่ลีลาทำอะไรอยู่ไม่รู้ตั้งนาน ถ้าผมไม่ถามวันนั้นก็ไม่รู้มันจะชวนพี่ตอนไหน”



“ตั้งแต่รู้กฎ...เหรอ”



“ครับ ก็วันที่พี่ไปหาไอ้โซลที่คณะพวกผมไง มันบอกจะชวนพี่”



วันนั้นยังไม่ได้เริ่มถ่ายทำซีรีส์ด้วยซ้ำ แล้วผมเจอกับไอ้โซลก็ไม่บ่อย แค่ไปซ้อมที่ห้องมันเฉยๆ ...



“นินทาผมอยู่เหรอ”



คนที่เป็นหัวข้อสนทนาเดินเข้ามาวางจานอาหารลงบนโต๊ะ มันนั่งลงอีกข้างหนึ่งของผม มองผมที มองไอ้น้องกันที



“บ้า มึงน่ะคิดมาก”



“ไอ้กันต้องพูดอะไรให้พี่ฟังแน่ๆ เลย”



“เปล๊า...กูเปล๊า”



“เงียบไปเลย กูถามพี่ซีน”



ไอ้น้องกันถลึงตาใส่เพื่อน ใจจริงมันคงอยากจะยกนิ้วกลางใส่แต่ยังเกรงใจผมอยู่ เลยยอมหันกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าตัวเองแทน



“หน้าตาเหมือนมีคำถามนะครับ”



ผมแอบย่นจมูก มันรู้ทันผมทุกเรื่องหรือเพราะหน้าตาผมแสดงความสงสัยออกไปมากกันแน่ก็ไม่รู้ ผมเขี่ยแซลมอนโรลในจานเล่น คิดว่าจะถามดีหรือเปล่า แต่พอมองเด็กอีกคนที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งก็เลือกที่จะเก็บข้อสงสัยเอาไว้ ซึ่งไอ้โซลก็ไม่ได้ติดใจอะไร



“กินเยอะๆ หน่อยสิครับ”



“ไม่ค่อยหิวอ่ะ มึงกินช่วยหน่อยสิ”



“เพราะกินแบบนี้ไง ใส่ชุดผมแล้วกางเกงถึงจะหลุดเอาน่ะ”



“มันก็อยู่ในผ้าห่ม ไม่เห็นจะเป็นไร” ผมย้อนคำที่มันเคยพูด แต่มันกลับยกยิ้ม หรี่ตาไม่น่าไว้ใจ



“ใต้ผ้าห่มไม่ได้มีแค่พี่คนเดียวนะครับ เผื่อจะลืม” ว่าไม่พอ มันยังเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไต่ขึ้นมาตามแขนผมอีกด้วย ผมเลยฟาดมันไปเป็นรอบที่สองของวัน



“ทะลึ่ง!”



ไอ้โซลหัวเราะชอบใจ แค่วันแรกที่ไปนอนค้างเท่านั้นแหละที่ผมต้องใส่ชุดมัน ตอนนี้ทั้งเสื้อผ้า ของใช้ของผมมีครบอยู่ที่ห้องของมัน



“กินหน่อยน่า ผมป้อน”



“ไม่ใช่เด็กนะเว้ย”



“ไม่ได้ว่าเป็นเด็กสักหน่อย เร็วครับ อ้าปาก” มันคะยั้นคะยอ ผมหน้าแหย ดันมือมันออกไป



“ไม่เอา ไม่ชอบทูน่า”



ไอ้โซลเอาคำนั้นเข้าปากตัวเอง เลือกแซลมอนโรลขึ้นมาให้แทน แล้วผมก็ดันอ้าปากรับอย่างลืมตัว



“เก่งมากกก” ลากเสียงยาวอย่างยียวน ถ้าปรบมือแปะๆ หน่อยก็เหมือนผมเป็นลูกมันแล้ว ไอ้บ้านี่



“คือตอนนี้ตากูร้อนจนจะยิงเลเซอร์ได้แล้ว”



น้ำเสียงติดจะเอือมโพล่งขึ้น ไอ้โซลมองเลยไปอีกด้านหนึ่งของผม หุบยิ้มฉับ ผมหันขวับไปมองอย่างตกใจ ...ลืมไปเลยว่าไอ้น้องกันนั่งอยู่ด้วย!



“มึงยังนั่งอยู่อีกเหรอวะ”



“อ้าว นี่กูล่องหนได้เหรอ กูเพิ่งรู้นะเนี่ย”



“เออ กูมองเห็นแต่พี่ซีนอ่ะ มึงลุกไปเหอะ ไปเดินเล่นก่อนก็ได้ค่อยกลับมา”



“เชี่ย มึงคนจริงมากและเหี้ยมากด้วย”



“มึงจะไล่เพื่อนทำไม” ผมรีบเอ่ยห้าม ไอ้โซลหน้าหงิก ลับหลังผมยังแอบเห็นสะบัดมือไล่ไอ้น้องกันอีกต่างหาก



“ดูมันสิครับพี่ซีน จะให้ผมไปอยู่ไหนล่ะ ผมยังกินไม่เสร็จเลยด้วย”



“ทั้งงานก็เพื่อนกันหมด ยกไปกินบนเวทียังไม่มีใครว่า พี่อย่าไปฟังมันมาก เรียกร้องความสนใจไปงั้น”



“ที่กูนั่งคุยกับพี่ซีนกูช่วยมึงนะโว้ย”



“ขอบคุณมาก แต่ตอนนี้ช่วยอะไรกูอีกอย่างได้ไหม”



“ให้กูช่วยลุกออกไป?”



“เออ”



“สำนึกบุญคุณกูจริงไหมเนี่ยไอ้เหี้ย”



“มึงอย่าพูดคำหยาบคายข้ามหัวพี่ซีนดิวะ”



“ก็มึงทำตัวน่าหมั่นไส้จนต้องด่า!”



“พวกเชี่ย เดินหาตั้งนาน โทรก็ไม่รับสักคน”



ก่อนที่เพื่อนรักทั้งสองจะเปิดศึกข้ามหัวผมจริงๆ บอลกับไมค์ก็เข้ามาร่วมโต๊ะด้วย บอลอยู่ในชุดบอลสมชื่อ ส่วนไมค์ใส่เสื้อยืดบางๆ สีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด



“โทรศัพท์กูอยู่ในบ้านไอ้ต่าย ชุดแม่งไม่มีกระเป๋า ส่วนไอ้นี่ต่อให้มึงโทรอีกร้อยสายมันก็ไม่สนใจหรอก” ไอ้น้องกันพยัดเพยิดไปทางไอ้โซล แต่บอลกับไมค์กลับมองมาที่ผมแล้วพยักหน้ากันอย่างเข้าใจในทันที



“พี่ซีนอยู่ดึกได้ไหมครับวันนี้”



“ยังไงก็ได้ แล้วแต่โซลน่ะ”



“งั้นรอดูผมเล่นก่อนนะครับ” 



ผมหันไปมองไอ้โซลเพื่อถามความเห็น มันพยักหน้าน้อยๆ “ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”



“ดีเลยครับ พี่จะได้เห็นผมร้องเพลงจริงๆ จังๆ ไม่เหมือนวันนั้น พวกเชี่ยนั่นแหกปากแข่งกันอย่างกับควายออกลูก”



“ไอ้สัด วันนั้นกูก็ร้องด้วยนะโว้ย”



“ช่างสิ ในนั้นกูร้องเพราะคนเดียว”



“ร้องเล่นๆ ใครเขาร้องตรงคีย์กัน!”



ผมส่ายหัวขำๆ ให้กับเพื่อนอีกคู่ที่เถียงกันเหมือนเด็กๆ ก่อนที่จะสงบลงเพราะไมค์สำลักอาหารที่ยังกลืนไม่หมด ร้อนเจ้าตัวต้องรีบกระดกน้ำจนหมดแก้ว



“สม” บอลว่า ก่อนจะเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อมองมาทางไอ้โซล “ทำไมหน้าไอ้โซลมันดูเซ็งๆ วะ”



“ไม่รู้ อาหารไม่อร่อยมั้ง”



“อือ ก้างติดคอ” คำตอบนั้นทำไอ้น้องกันหันขวับ สบถคำหยาบออกมาสองสามคำ เท่านั้นหน้าคนถามก็กระจ่างในคำตอบ หัวเราะหึๆ ในลำคอ



ไม่นานเสียงเพลงแปลกๆ ก็ดังขึ้น บนเวทีมีผู้ชายสองสามคนใส่ชุดนอนขึ้นไปเล่นมายากล ด้านล่างมีหนึ่งในเพื่อนไอ้โซลคอยตะโกนเชียร์และสั่งให้ทำอะไรแปลกๆ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี ไอ้โซลบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่คณะ ผมไม่รู้จะสงสารหรืออะไรดีเพราะดูน้องคนนั้นก็เต็มใจทำตามซะเหลือเกิน



“อยากกินน้ำเปล่า” ผมสะกิดมันเบาๆ หลังจากดูโชว์ไปสักพัก อีกฝ่ายหันไปพูดอะไรสักอย่างกับบอลที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะคว้าข้อมือผมให้ลุกออกมา



เดินตามแรงจูงเข้ามาในตัวบ้าน ตลอดทางมีแต่คนทักไอ้โซล ได้ยินเสียงเรียกชื่อผมอยู่แผ่วๆ ที่เป็นเหมือนคำอุทานเสียมากกว่าผมเลยไม่ได้หันไป มีคนที่เดินมาเข้าห้องน้ำไม่กี่คนแล้วออกไป ทั้งบ้านเลยเหลือแค่ผมกับไอ้โซล มันเปิดตู้เย็นรินน้ำเปล่าให้ผมแก้วหนึ่ง



“ไปอยู่กับเพื่อนก็ได้นะ มันเป็นงานของพวกมึงอ่ะ”



“ไม่ต้องสนเรื่องนั้นหรอกครับ ผมเจอพวกมันบ่อยจนเบื่อแล้ว อีกอย่างผมเป็นคนพาพี่มานะ”



ผมโคลงศีรษะ แค่คิดว่ามันไม่จำเป็นต้องมาตัวติดกับผมหรือคอยบริการผมก็ได้ แล้วตั้งแต่มาถึงงานมันไม่เดินไปทักทายเพื่อนคนไหนเลยด้วยนอกจากจะเดินสวนกันหรือคนอื่นเดินเข้ามาทัก



“แล้วจะกลับเข้างานเลยไหม”



“ผมอยากอยู่กับพี่”



“ท...ทำอย่างกับทุกวันนี้ไม่ได้อยู่!” ผมจิ๊ปาก ตั้งตัวไม่ทันกับไอ้เจ้าของประโยคที่พูดออกมาหน้านิ่ง “เจอกันทุกวัน เดี๋ยวสักวันมึงก็เบื่อกูเหมือนกันน่ะสิ” 



เด็กตัวสูงกอดอก เอนตัวพิงกับเคาน์เตอร์ ผมล่ะเกลียดเวลามันยกยิ้มแค่ตรงมุมปากจริงๆ “อย่างพี่น่ะ เจอทั้งชีวิตก็ไม่เบื่อ”



...พูดซะแม่ค้าขนมครกยังอาย…



สิ่งหนึ่งที่มันไม่รู้หรืออาจรู้อยู่แล้วคือผมไม่เคยชินเวลามันทำหรือพูดอะไรแบบนี้ใส่ ก็ใช่ที่มันหล่อมาก แล้วเสน่ห์ก็น้อยเสียที่ไหน แต่อาการที่ผมเป็นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านั้นเสียหน่อย และแน่นอนว่าผมรู้...ว่ามันเป็นเพราะความรู้สึกที่ก่อมวลขึ้นในใจต่างหาก



“ไอ้กันบอกอะไรพี่ ทำไมถึงทำหน้าสงสัยขนาดนี้” มันวางมือบนศีรษะของผม โคลงไปมาเบาๆ “อยากรู้อะไรก็ถามผม”



“ก็แค่คุยกันเรื่อยเปื่อย”



“ถามได้ทุกเรื่อง ผมจะตอบให้ตรงนี้”



“คนข้างบ้านกูชื่ออะไร”



“ไม่เอาแบบนั้นสิครับ ผมหมายถึงเรื่องของเรา”



ให้มันได้อย่างนี้สิ บทจะพูดก็พูดออกมา... ที่จริงก็ไม่ได้อยากหลบเลี่ยงหรือบ่ายเบี่ยงอะไร ผมเกาแก้มตัวเอง ตอบออกไปเสียงเบา “ไม่ได้อยากถามสักหน่อย”



...แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่อยากรู้...ไม่อยากไขข้อข้องใจที่มี...





“แต่ถ้าพูดมาก็จะฟัง”





ผมเม้มปากขณะมองมันยิ้ม ดื่มน้ำอึกสุดท้าย เฉไฉสายตาไปเรื่อย มองนาฬิกาตรงผนังเห็นว่าห้าทุ่มกว่าๆ และผมเพิ่งสังเกตว่าบนเพดานมีลูกโป่งเต็มไปหมด



“ไอ้ต่ายใช้เพื่อนตั้งหลายคนกันไม่ให้มิ้นท์เข้ามาในบ้าน”



“เพื่อนมึงโรแมนติกเนอะ”



“มันไม่ใช่คนแบบนี้หรอก ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ”



ผมเจอต่ายไม่กี่ครั้ง ภายนอกดูเหมือนไม่ใช่คนชอบทำเรื่องพวกนี้จริงๆ แหละ ยิ่งมองลูกโป่งสีพาสเทลบนเพดานยิ่งไม่เข้ากับเจ้าตัวไปกันใหญ่



“ผมเคยสงสัยว่าทำไมความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ทำให้เราเป็นในแบบที่เราไม่เคยเป็น และทำในแบบที่เราไม่คิดจะทำ”



เสียงหัวเราะจากผู้คนข้างนอกดังเข้ามาถึงในตัวบ้านแต่เสียงกลับดังอื้ออึงเหมือนอยู่ไกลออกไป...



“แล้วผมก็เพิ่งรู้ ว่าความรู้สึกที่ว่ามันมีแรงผลักดันมหาศาล...”



ผมเผลอกลั้นหายใจในตอนที่มันจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม แล้วไม่รู้เป็นเพราะในนี้มีแค่ผมกับมัน หรือเพราะอะไรบางอย่างที่ตัดขาดเราสองคนจากโลกภายนอกนั่นกันแน่ 



“ทำให้ผม...”





“เข้ามาทำอะไรกันตั้งนานสองนาน!”





ไอ้โซลที่กำลังอ้าปากพูดอะไรบางอย่างชะงัก ผมเด้งตัวออกไปยืนข้างตู้เย็น เด็กตัวสูงยืนนิ่ง ข่มตาลงแน่นขณะไอ้น้องกันยิ้มร่าเดินเข้ามากอดคอ



“จะถึงเวลาแล้ว ดูเวลาซะมั่ง”



“โทษทีที่ขัดนะเพื่อน แต่ของมึงคิวหลังว่ะ”



เจ้าของบ้านกลั้นหัวเราะ ดูไม่แปลกใจสักนิดกับท่าทางตื่นตกใจของผม ต่ายตบบ่าไอ้โซลเบาๆ หันมาขยิบตาให้ผมก่อนจะเดินจากไป



หลังจากนั้นไม่นานคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ตามเข้ามา ไอ้โซลโดนลากไปไหนไม่รู้ ผมยืนอยู่วงรอบนอกกับไอ้น้องกัน มีคนพามิ้นท์เดินเข้ามาในบ้าน ต่ายยื่นดอกไม้ให้ ด้านหลังต่ายคือเพื่อนสี่ห้าคนชูป้ายกระดาษเขียนข้อความสำคัญ



ใบหน้าของทั้งสองอิ่มเอม ขนาดมองจากสายตาคนนอกยังรู้สึกได้ถึงความสุขที่ทั้งสองมีกันและกัน ผมยังรู้สึกตกอยู่ในภวังค์ ไม่ค่อยรับรู้อะไรเท่าไหร่จนกระทั่งได้ยินเสียงพลุกระดาษที่ดังอยู่ข้างๆ ตัวถึงได้สะดุ้งหลุดออกมาสู่โลกตรงหน้า



เพิ่งเห็นว่ามีแชมเปญทาวเวอร์ด้วย บวกกับคู่รักที่ยืนกระหนุงกระหนิงกันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในงานแต่งเข้าไปใหญ่ พอต่ายเปิดจุกไม้ก๊อก เสียงเฮก็ดังขึ้นพร้อมกับฟองที่พวยพุ่งออกมา น้ำสีเหลืองทองถูกรินตั้งแต่แก้วที่อยู่ยอดบนสุดไหลลงมาถึงแก้วล่างสุด หลังจากต่ายกับมิ้นท์ควงแขนกันดื่มแล้ว แก้วก็ถูกแจกจ่ายให้กับทุกคนที่อยู่ในนั้นรวมถึงผมด้วย



ผมมองแก้วในมืออย่างชั่งใจ นานพอสมควรที่ไม่ได้แตะต้องของพวกนี้ ก่อนมาผมบอกไอ้โซลไม่ให้ดื่มเยอะแต่ตอนนี้ตัวผมเองก็เลี่ยงไม่ได้เช่นกัน



“ฉลองให้คู่บ่าวสาว ไชโย!!”



“ไชโยยยยยยยยยยยย!!!!”



สิ้นเสียงไอ้คนข้างตัว เสียงทุกคนก็ร้องขึ้น เด็กผู้ชายเกือบสิบคนกระดกแก้วรวดเดียวอย่างพร้อมเพรียง เชี่ย...จิบก็พอมั้ง ผมยืนนิ่ง มองน้ำสีเหลืองทองที่ถูกรินจนเต็มแก้วทรงดอกทิวลิป บรรยายกาศรอบตัวเต็มไปด้วยความปิติยินดีแม้จะไม่ใช่งานแต่งจริงๆ ก็เถอะ จะให้ผมยกจิบเฉยๆ ก็ยังไงอยู่ รอบตัวแก้วเปล่ากันหมดแล้ว ยิ่งรอยยิ้มของไอ้น้องกันและสายตาเร่งเร้าให้ผมรีบดื่มทำให้ผมจำใจต้องกระดกรวดเดียวจนหมดแบบที่พวกมันทำ



แค่แก้วเดียวเท่านั้นแหละ...เพราะผมรู้ว่ารสชาติหวานเปรี้ยวฝาดเฝื่อนนี่สามารถลิดรอนสติผมได้ง่ายดายเหลือเกิน



จบชั่วโมงหวานแหวว คู่บ่าวสาวอย่างที่ไอ้น้องกันเรียกเดินหายไปสวีทกันต่อหลังบ้าน ส่วนคนที่เหลือก็กระจายตัวออกไปที่สวนหน้าบ้านอย่างเก่า ได้ยินเสียงซาวน์เช็คเครื่องดนตรีทำให้รู้ว่าอีกเดี๋ยวไมค์จะขึ้นร้องเพลงแล้ว



“ให้มันอุ่นเครื่องไปก่อน เราค่อยออกไป”



ผมโดนลากมานั่งที่โซฟา ผนังกระจกทำให้มองเห็นผู้คนข้างนอกที่เริ่มเคลื่อนตัวไปรวมกันอยู่หน้าเวที



“ไอ้ไมค์จีบรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่” ไอ้น้องกันพูดขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยเหมือนหาเรื่องมาพูดทั่วไป พลางรินแชมเปญให้ผมอีกแก้ว “มันเลยชวนน้องมางานนี้ด้วย”



ผมโบกมือปฏิเสธ ที่จริงบอกไปแล้วว่าพรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เด็กตรงหน้าไม่ฟังผมสักนิด





“ถ้าไอ้โซลไม่ชวนพี่ ก็ไม่รู้จะให้มันไปชวนใคร...เนอะ”





เนอะโพ่ง...



ผมหลบสายตาที่พยายามจะมองผมให้ทะลุปรุโปร่ง ไม่คิดว่าจู่ๆ มันจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เหมือนคิดผิดที่ยอมนั่งอยู่ในตัวบ้านกับเพื่อนไอ้โซลคนนี้ ไอ้น้องกันเอนหลังพิงกับเบาะ ท่าทางสบายๆ ต่างกับผมที่นั่งเกร็งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก



สายตาที่จับจ้องอยู่เหมือนเฝ้าดูการแสดงออกของผม คาดคั้นให้ผมเผยบางอย่างออกมา ผมขบริมฝีปาก คว้าแก้วทรงสูงตรงหน้าขึ้นดื่มรวดเดียว เผื่อว่ามันจะช่วยให้หลุดพ้นจากอาการร้อนผ่าวบนใบหน้าที่ไม่ใช่ฤทธิ์แอลกอฮอล์เวลาพูดถึงเรื่องนั้นได้บ้าง



เพราะบางอย่างยังไม่กระจ่าง...ผมเลยยังไม่แน่ใจ



ได้ยินเสียงหลุดหัวเราะของไอ้เด็กแสบ ผมไม่ใช่คนคอแข็ง ไม่รู้ว่าเพราะทำให้ผมดื่มได้สำเร็จหรือเพราะอะไรที่ทำให้มันยกยิ้มได้ใจขนาดนั้น



แม่ง เหมือนเพื่อนมันไม่มีผิด



“พี่ซีนรู้ไหม ผมไม่เคยจีบใครไม่ติดเลยนะ”



“อืม พ่อคนหล่อ” ผมว่า เริ่มกุมศีรษะ รู้สึกมึนๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ผสมปนเปไปกับเพลียคนตรงหน้านิดหน่อย



ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วก่อนมันจะเริ่มเล่าอีกครั้ง



“ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของไอ้ต่าย ผมรู้แค่ชอบกับชอบมาก โดนกับไม่โดน” ไอ้น้องกันแค่นยิ้ม มองลูกโป่งที่อัดแน่นเต็มเพดาน “ผมบอกรักทุกคนที่คบ แต่ตอนโดนบอกเลิกกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิด ในขณะที่ไอ้ต่ายแค่ทะเลาะกับมิ้นท์ก็เมาหัวทิ่มแล้ว”



เสียงเพลงด้านนอกเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมเพียงเท้าคาง มองนัยน์ตาที่ยังคงแววขี้เล่นเอาไว้ไม่เปลี่ยน





“ไอ้โซลเคยเป็นเหมือนผม”





“…”



“นั่งนิ่งๆ ให้คนวิ่งเข้าหา และไม่เคยขี้ขลาดให้กับเรื่องแบบนี้”



“…”



“แต่ในตอนที่มันได้เจอกับคนคนหนึ่ง แค่จะเฉียดเข้าไปใกล้...มันยังไม่กล้าเลย”



“…”



“ผมยุมันสารพัด มันก็ยังนิ่ง ไม่ได้ใจเย็นแต่มันกลัวโดนเกลียด สุดท้ายมันก็ยอมทำตามแผนการโง่ๆ เพื่อทำให้เขาคนนั้นประทับใจ แต่กลายเป็นโดนอารมณ์เสียใส่ซะงั้น”



ผมหลุมสายตาลง เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เหมือนจะรับรู้ความจริงที่อยู่ตรงหน้าแต่ก็ถูกความพร่ามัวเข้าบดบัง กลายเป็นความรู้สึกอึดอัดในใจเมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการเสียที



“พรุ่งนี้ต้องทำงานไม่ใช่เหรอครับ” อีกฝ่ายถามกลั้วหัวเราะหลังจากผมยกแก้วทรงสูงขึ้นดื่มจนหมดอีกครั้ง



“กองนัดบ่าย”   



การควบคุมตัวเองลดลงแต่ยังไม่ถึงศูนย์ ผมกุมศีรษะอีกครั้ง แอบเห็นว่าไอ้น้องกันอมยิ้มบาง



“ผมขออะไรพี่อย่างได้ไหม”



ผมส่งเสียงอืออาตอบรับ ดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่แต่ในใจผมกลับรู้สึกจดจ่อกับประโยคต่อไปของมันเหลือเกิน





“รับแอดเฟสบุ๊กผมหน่อยได้ไหม คือผมขอไปนานมากแล้ว”





“…”



ผมชะงัก สติกลับมานิดนึง ไม่ถึงกับสร่างแต่อยากฟาดมันมาก



“ล้อเล่นครับ เฮ้ย ไม่สิ พูดจริง จริงทั้งหมดเลย เฟสบุ๊กก็รับผมด้วย” มันหัวเราะร่วน ผมจะจำเอาไว้ว่าไม่ควรไปคาดหวังความจริงจังจากไอ้เด็กตรงหน้าอีก   



“อืมๆ โทษทีไม่ค่อยได้เข้า” ตัดบทด้วยน้ำเสียงเอือมๆ ถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง หน้าตาไอ้น้องกันดูไร้พิษสง รอยยิ้มดูใสซื่อแต่นิสัยแสบทรวง แต่ถึงยังไงก็ด่าไม่ลงอยู่ดี



“เราออกไปข้างนอกกันเถอะครับ”



ไม่รู้จบไปเพลงที่เท่าไหร่ เสียงไมค์พูดเข้าเพลงใหม่ก่อนดนตรีจะบรรเลงขึ้น ผมลุกพรวดทันทีที่มันว่า และเซถลาไปข้างหน้าทันทีเช่นกัน ไอ้น้องกันร้องเสียงหลง รับตัวผมเอาไว้ได้ทันก่อนหน้าผมจะจุ่มลงกับพื้น



“ถ้าไอ้โซลมาเห็นเราอยู่ในท่านี้ไม่ดีแน่ๆ เลยครับ”



แวบหนึ่งที่ในหัวผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน...



ผมดันตัวเองออกแต่มือยังเกาะไหล่เด็กตรงหน้าไว้เพื่อพยุงตัว มืออีกฝ่ายประคองช่วงเอวผมเอาไว้หลวมๆ



“เอ...จะแก้ตัวว่าอะไรดีน้า” ไอ้น้องกันอมยิ้มกรุ้มกริ่ม “บอกว่าเรากำลังเต้นรำกันดีไหม”



“เพื่อนโซลเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า”



เพราะถ้าเจอแบบนี้อีกเกือบสิบคน ผมปวดหัวตาย



คู่สนทนาหัวเราะ ดูสุขใจที่ได้กวนคนอื่นเล่น “ผมโคตรชอบพี่เลย แบบพี่มีอีกคนไหมครับ”           



ผมไม่ตอบ ดึงมือออกจากตัวอีกคน เมื่อเห็นว่าผมทรงตัวได้ไอ้น้องกันก็ปล่อยมือจากตัวผมเช่นกัน






(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 01-05-2017 22:12:34


.

.

.




“ไหวนะครับ”



“ไม่เป็นไร ไปสนุกกับเพื่อนเถอะ” ผมว่า มองหลายคนที่กระโดดโลดเต้นกันอยู่หน้าเวที ไมค์เสียงเพราะจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า มือกลองคือบอล ส่วนเบสกับกีตาร์ผมไม่รู้จัก



ไอ้น้องกันส่ายหน้าหวือ “อยู่กับพี่สนุกกว่าอีก”



ว่าพลางวางถังแช่แชมเปญลงกับโต๊ะ เรายืนเฉียงออกห่างจากเวทีไม่มาก แต่ก็ไม่ได้ใกล้กับกลุ่มคนที่เต้นกันอย่างเมามันส์ ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่หน้าเวที มีคนประปรายอยู่รอบตัวงาน นั่งร้องเพลงตาม หรือนั่งคุยเล่นกันบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของไอ้โซลอยู่ดี



“พักจังหวะมันส์ๆ มาฟังแบบเบาๆ ดีกว่านะพวกมึง”



“กัน โซลล่ะ” เพราะเสียงเพลงที่จบลงทำให้ผมไม่ต้องพูดเสียงดังมาก คนถูกถามกระตุกยิ้ม ชี้นิ้วไปทางเวทีพร้อมกับเสียงกรี๊ดที่ดังขึ้น



“เพลงต่อไปเพื่อนผมคนนี้ อ้อ เพื่อนมึง มึง แล้วก็มึงด้วย อยากเล่นให้ใครคนหนึ่ง”



จากคนที่ผมไม่คุ้นหน้า ในตอนนี้คนที่สะพายกีตาร์บนเวทีคือคนที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี



“กูไม่รู้จะพูดอะไร ให้เขาไปพูดกันเองแล้วกัน กูมีหน้าที่ร้องอย่างเดียว เอ้า เพลงมา!”



ไอ้โซลมองมาทางนี้ ยกยิ้มขณะดีดสายแข็งๆ ขึ้นเป็นทำนองเพลง





*มีใครที่เขาเฝ้าคอยแต่เธอตรงนี้ รู้ยัง

ไม่ใช่ความบังเอิญก็ตั้งใจเดินมาให้เจอ

มีใครที่เขาเฝ้ามองแต่เธอตรงนี้ รู้ยัง

ไม่ใช่แค่คิดถึง แต่ห่วงใยเธอเสมอ


           



ได้แต่พูดลอยๆ อย่างนั้นเรื่อยไป

เปิดเพลงรักบ่อยๆ แต่ไม่ได้บอกให้ใคร

บอกว่ารักเบาๆ ในใจเท่านั้น

ไม่ใช่พรหมลิขิตที่ขีดเอาไว้

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจ

ก็อยากให้เธอเข้าใจสักครั้ง





ผมเพิ่งเคยไอ้โซลในมุมนี้ ไม่รู้ว่ามันเล่นกีตาร์ได้ และไม่รู้ว่ามันเอาเวลาไปซ้อมตอนไหน… เรื่องราวที่ไอ้น้องกันเล่า คำพูดเหล่านั้นดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวของผม





เธอคงยังไม่รู้ ว่ามีหนึ่งคนแอบรักเธอ

แอบดูแลแต่เธอทำอะไรเพื่อเธอเหมือนไม่ตั้งใจ

ถ้าเธอได้ฟังเพลงนี้ ก็อาจจะพอได้รู้ใจ

กับความจริงข้างในที่มันทำยังไงก็ไม่กล้าพูดออกไปสักที

ว่าใครที่อยู่ตรงนี้ รู้ยัง






ผมเผลอจิกมือเข้ากับกางเกงโดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากมันเลย...





พยายามเฝ้าดูเพื่อจะได้รู้ว่าเธอชอบอะไร

พยายามเข้าใจจะได้มีเรื่องคุยกับเธอ

ที่เขานั้นคอยเฝ้ามองแต่เธอตรงนี้ รู้ยัง

แค่ต้องการดูแลและอยู่ข้างเธอเสมอ






ท่อนที่ร้องว่า ‘เขา’ ไมค์มองมาทางนี้ ชี้ไปทางไอ้โซลเหมือนต้องการจะสื่อสารกับผม



ไอ้โซลไม่มองเพื่อนที่อยู่หน้าเวทีเลยด้วยซ้ำ สายตานั้นสะกดให้ผมนิ่งงัน เหมือนถูกสาปให้ขยับเคลื่อนไหวไม่ได้แม้กะพริบตา รับรู้ได้เพียงจังหวะหัวใจที่เต้นถี่เร็วและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ



“ท่อนสุดท้าย ช่วยกัน!”



ดนตรีหยุด ทุกคนใช้การปรบมือเหนือหัวเป็นท่วงทำนอง และเปล่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าไอ้โซล...กำลังพูดกับผม





เธอคงยังไม่รู้ ว่ามีหนึ่งคนแอบรักเธอ

แอบดูแลแต่เธอทำอะไรเพื่อเธอเหมือนไม่ตั้งใจ

ถ้าเธอได้ฟังเพลงนี้ ก็อาจจะพอได้รู้ใจ

กับความจริงข้างในที่มันทำยังไงก็ไม่กล้าพูดออกไปสักที

ว่าใครที่อยู่ตรงนี้ รู้ยัง





ผมดื่มสิ่งที่คนข้างๆ ยื่นมาให้ผมอีกครั้ง ความรู้สึกในอกตีตื้นขึ้นมาจนยากที่จะควบคุม



ไมค์เริ่มเพลงใหม่ และไอ้โซลไม่อยู่บนเวทีแล้ว วินาทีนั้นผมอยากให้มันมาอยู่ตรงหน้า...ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้



ผ่านไปไม่รู้กี่นาที ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ไอ้น้องกันก็ยังไม่ไปไหนและไม่ได้พูดอะไร จิตใจผมไม่ได้สงบลงสักนิด และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจโทรหามัน



“มึงอยู่ไหน”



(...ทายสิครับ)



“กลับไปแล้ว?”



เสียงหัวเราะดังมาตามสาย (ผมจะทิ้งพี่ได้ไง)



แล้วมันอยู่ไหนกันล่ะ...



(หันหลังมาสิครับ)



ผมทำตามที่มันบอก ไอ้น้องกันหายไปแล้ว...คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคนที่ผมตามหา



(ผมยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว)



ไอ้โซลลดโทรศัพท์ลง เช่นเดียวกับผม



“…ยืนข้างหลัง ใครจะไปรู้ล่ะ”



“แล้วตอนนี้...รู้ยัง”



พอมันมาอยู่ตรงหน้าทุกอย่างยิ่งรวนไปหมด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีสิ่งหนึ่งที่หยุดนิ่ง...ชัดเจน





“…รู้แล้ว...”





...รู้มาสักพักแล้ว…





“ทำขนาดนี้จะไม่รู้ได้ไง”





...ผมไม่ได้โกหก...





 “แต่มึงเคยปรึกษากูว่า...ช...ชอบคนคนหนึ่ง...”





...ก็แค่ยังไม่มั่นใจ...





“ผมหมายถึงพี่นั่นแหละ สุดท้ายก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม” ไอ้โซลยิ้มขำ บีบจมูกผมเบาๆ



“ก...ก็จะไปรู้ได้ไง อ้อมค้อมอยู่ได้ พูดมาตั้งแต่แรกก็จบ!”



อดแหวขึ้นตามใจคิดไม่ได้ ผมไม่ชอบอะไรค้างคา สิ่งที่มันทำไม่ใช่ไม่ชัดเจน แต่เป็นตัวผมเองที่รอคำพูดเพื่อยืนยัน...แค่ไม่อยากถลำลึกในสิ่งที่ยังไม่แน่ใจ



“ผมเคยบอกพี่ไปแล้วต่างหาก” คนตรงหน้ายิ้มบาง “แต่พี่เหมือนไม่อยากยอมรับ ผมเลยคิดว่าไม่ควรบอกตรงๆ ออกไปแบบนั้น...กลัวโดนพี่เกลียด”



ผมสั่นหัว เผลอเป็นฝ่ายขยับเข้าหามันเอง ความรู้สึกตรงข้ามกับคำว่าเกลียดสิ้นเชิง แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้นที่เราเพิ่งรู้จักกัน...ถ้ามันพูดออกมาจริงๆ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน



“กัน...กันบอกแล้ว...” ผมพยายามร้อยเรียงเหตุการณ์ สติที่เหลือน้อยทำหน้าที่ได้ดีกว่าที่คิด แต่ก็ยังเหมือนจิ๊กซอว์ที่ยังต่อไม่เสร็จ “แต่กูไม่เข้าใจ...ตอนที่กูเกือบชนมึง...”



“ทุกครั้งที่พี่เจอผม ไม่มีครั้งไหนที่เป็นความบังเอิญ”



“แต่เราเพิ่งเจอกัน...ไม่ใช่เหรอ” ผมพยายามนึก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอมันที่ไหนอีกหรือเปล่า



“พี่ไม่เคยเห็นผมมากกว่า”



ไอ้โซลอยู่คณะสถาปัตย์ฯ ...เหมือนกับเพื่อนอีกสองคนของผม และผมไปหาพวกมันแทบนับครั้งได้



“..ตั้งแต่ตอนไหน..”



“เกือบปีแล้วครับ”



“…”



นั่นหมายความ...ทุกสิ่งที่มันทำคือความตั้งใจมาโดยตลอด



...และไม่มีครั้งไหนที่เป็นการสร้างกระแส





“วันนั้นแค่รอยยิ้มเดียว ทำให้หัวใจของผม...ไม่ใช่ของผมอีกต่อไป”





คำสารภาพทำให้ความพร่ามัวจางหายไป ความรู้สึกจึงเด่นชัดขึ้นมาแทนที่ เหตุการณ์ตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอมันฉายซ้ำอีกครั้ง และบางสิ่งในอกก็บานสะพรั่งจนกักเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่ไหว



“ไอ้บ้า”



ผมโขกหัวลงกับไหล่แข็งๆ พึมพำคำว่าไอ้บ้าอยู่อย่างนั้น ด่าทั้งมันด่าทั้งตัวเอง...ผมจะยิ้มทำไมวะ



ไอ้โซลเคลื่อนมือมาโอบรอบตัวผมเอาไว้ทั้งหน้าผากผมยังซบลงกับไหล่มันอยู่อย่างนั้น



อย่ามองผมแบบนั้น...ผมก็แค่มึนหัวเฉยๆ หรอก...



“ทีนี้ถ้าแฟนคลับถามจะบอกว่าเราถึงขั้นไหนกันดี”



เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู ในแง่ความสัมพันธ์มันเป็นสิ่งที่เราทั้งสองต้องกำหนดร่วมกัน



“รู้สึกกับผมบ้างหรือเปล่า”



“แสดงออกขนาดนี้ยังไม่ชัดอีกเหรอ!” ผมว่าสวนขึ้นทันที...ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ยากที่จะระงับความในใจ



คนที่รู้ทันไปทุกอย่าง แค่นี้มันจะไม่รู้ได้ยังไง ผมนึกถึงเฟิร์ส หมอนั่นปฏิบัติกับผมเหมือนที่ไอ้โซลทำ แต่ผมเคยบอกมันไปแล้วไม่ใช่หรือไง... “...กับคนอื่นกูไม่เคยเป็นแบบนี้สักหน่อย อยู่ด้วยกันตลอดยังไม่เห็นอีกหรือไง”



ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่พอหันกลับมามองตัวเองถึงเพิ่งรู้ว่าผมแทบปฏิเสธมันไม่ได้เลยสักนิด



...ผมจะบ้าตาย...





“หึหึ เมาแล้วปากตรงกับใจเชียว”





ทุบหน้าอกจนมันร้องโอย ดึงตัวเองออกมาแต่ก็ยังถูกประคองเอาไว้หลวมๆ เพิ่งรู้สึกถึงรอบข้างที่มีเสียงพูดคุยบางเบา และสายตานับสิบคู่จากกลุ่มเพื่อนไอ้โซลที่มองมาทางนี้ แต่ในนาทีนั้นผมไม่ได้สนใจ ไม่รู้จะขอบคุณแอลกอฮอล์ดีหรือเปล่าที่ทำให้ผมไม่รู้สึกอยากมุดดินหนีทั้งที่ใบหน้าร้อนผ่าวขนาดนี้



เหมือนแก้วสุดท้ายเริ่มออกฤทธิ์ซ้ำของเดิม น้ำเสียงผมอ้อแอ้พิกล



“ง่วงแล้ว”



ไอ้โซลเพียงหันไปมองเพื่อนมันที่มองมาอยู่ไกลๆ แล้วพาผมเดินออกมา ผมพยายามประคองตัวเองให้ได้มากที่สุดแม้แทบจะลงไปกองกับพื้นแล้วก็ตาม



สติผมเริ่มจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขึ้นมาบนรถไอ้โซลก็เอาเสื้อกันหนาวมันมาห่มให้ ผมพยายามที่จะไม่หลับเพราะเวลาโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ไปแบบนี้ กลัวมันปลุกตอนถึงคอนโดแล้วจะไม่ตื่น

 

ผมตะแคงข้าง มองหน้าอีกคนที่จ้องตอบกลับมาเหมือนกัน มันเอื้อมมือมาลูบแก้มผมเบาๆ



“ยังหนาวอยู่ไหม”



ผมส่ายหน้า เพราะมือมันอุ่นมาก...



ดวงตาผมปรือปรอย ขณะคนตรงหน้ายกยิ้มบาง เรียวนิ้วที่เกลี่ยแก้มผมเบาๆ เปลี่ยนมาไล้ไปตามริมฝีปากของผมแทน



“เรามาซ้อมกันไหมครับ...”



ทั้งที่ห้องโดยสารมีแค่เราสองคน แต่ผมกลับได้ยินเสียงนั้นแผ่วเบา





“...ก่อนที่ผมจะไม่ใช่แค่รุ่นน้อง ไม่ใช่แค่คนขับรถของพี่อีกต่อไป...”





เห็นลางๆ ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้...รับรู้ถึงลมหายใจที่เข้ามาประชิด...



...ก่อนที่ผมจะฝืนเปลือกตาเอาไว้ไม่ไหว ถูกดึงลงสู่ห้วงความฝัน...ที่มีมันอยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน











-

ถ้ารู้ว่าเมาจะเป็นงี้ จับกรอกปากตั้งนานแล้ว! โถ่ววว /โดนตรบบ

น้องกันจะเรียกว่า กันซีน ....หรือเรียกตัวขัดดี ถถถถถ

หลังมีคนชมว่ามาอัพทุกอาทิตย์เลย นี่ก็เบี้ยวตลอด /พนมมือ

ใครที่อยู่ในช่วงไฟนอล........ขอให้ทำข้อสอบได้ทุกคนนะคะ

เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ผ่านไปด้วยเอ!

…………….พร่ำเพ้ออะไรฟะ 5555

ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะ

เจอกันตอนหน้าน้า ^ ^

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน


*เพลง รู้ยัง - ต้น ธนษิต
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: cocoagx ที่ 01-05-2017 23:34:34
ีฮื่อออออออออออออออออ หวานมาก เขินมาก
พี่ซีนน่ารักออลเวย์ออลไทม์ เพิ่มเติมคือเหล้าเข้าปากแล้วน่ารักแบบใส่ไข่สองฟอง
พี่เฟิร์สคะ กลับจากงานวันนี้ทีมพระรองเรือจะล่มแล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrInceZz ที่ 01-05-2017 23:45:55
เย้ เค้าบอกรักกันแล้ว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-05-2017 00:06:07
โอ้ยยยยย น้องซีนลูกกกกกก หนูจะน่ารักเรี่ยราดแบบนี้ไม่ได้นะลูกกกก

เมานิดๆยิ่งน่ารักเนอะโซลเนอะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 02-05-2017 05:15:34
พี่ซีนเมาแล้วดี๊ดีอะะะ
//จับเหล้ากรอกปากกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 02-05-2017 07:20:38
เป็นแฟนกันซะทีนะ พี่ซีน น้องโซล
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 02-05-2017 07:43:12
เรือตัวจริงก็มา!!!!
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-05-2017 10:15:22
ซีน ไม่ชอบอ้อมค้อม
ชอบก็บอก รักก็บอก
คราวนี้ซีนรู้แล้ว
ทั้งความรู้สึกของโซลและของตัวเอง
บอกรักกันแล้ว  :ling1: :ling1: :ling1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 02-05-2017 10:21:38
เขาเป็นแฟนกันแล้วววววว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-05-2017 11:10:12
เรือออฟฟิเชียลมากกกกกกกก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 03-05-2017 13:17:22
 :hao7:...น้องน่าหยิกพี่น่ารักกกก :ruready..ชอบมากๆค่ะ...มาต่อไวๆยาวๆนะค่ะ...เดี๋ยวคนอ่านอารมณ์ไม่ต่อเนื่อง.... o13
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 14 - (1/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 09-05-2017 16:22:28
น่ารักมากเลยค่าาา ชอบบบบบมากกกกกห
เขิลจนตัวบิด ดีต่อใจมากๆ #โซลซีน จงเจริญ กรีสสสสส ถ้าแฟนคลับรู้คงกรี๊ดทวิตแตก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 10-05-2017 20:31:10

ตอนที่ 15







ผมตื่นขึ้นมาในตอนสายของวัน หลังจากพลิกไปพลิกมาอยู่นานก็ดันตัวเองขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ยกมือนวดข้างขมับเพราะอาการปวดหัวแต่ก็ไม่มากนัก ดีหน่อยที่วันนี้กองนัดบ่าย แต่จะให้ดีวันนี้ควรเป็นวันหยุด ผมอยากนอนต่อไปทั้งวันเลยให้ตายเถอะ



“ตื่นแล้วเหรอครับ”



“อืม—”



ผมนิ่งค้างไปนิด ก่อนจะตื่นเต็มตา ไอ้เจ้าของห้องเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวกับผ้าผืนเล็กที่ใช้ขยี้หัวตัวเอง



ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันทำแบบนี้ แต่เห็นทีไรก็ไม่ชินสักที อีกอย่างพอเห็นหน้ามันเหตุการณ์เมื่อคืนก็แวบเข้ามาในหัวทันที



“ม...มองอะไร”



“ผมดีใจ”



มองรอยยิ้มมันก็รู้ ผมแบะปาก...หมั่นไส้ว่ะ



“นอนต่อก็ได้นะ เดี๋ยวผมปลุก”



ผมส่ายหน้า อยากอาบน้ำมากกว่า เมื่อคืนผมหลับบนรถ แล้วสะลึมสะลือตอนได้ยินเสียงมันเรียกเบาๆ แต่เปลือกตาหนักอึ้งเกินจะฝืน ไม่รู้ว่าถูกพาขึ้นมาบนห้องได้ยังไง จำได้แค่มันเช็ดตัวแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก่อนจะหลับยาวจนถึงเช้า



มองชุดนอนบนตัวก็รู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ ผมก้าวลงจากเตียง แสร้งเมินไอ้คนเปลือยท่อนบนกลบอาการร้อนผ่าวที่หน้าไปอย่างนั้น มันยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองทุกการกระทำของผม



อายเป็นนะโว้ย!



“วันนี้เงียบจังครับ ทีเมื่อคืนล่ะพูดเอาๆ”



“มึงนี่!” ยกมือจะฟาดมันอย่างเคยแต่ข้อมือถูกคว้าเอาไว้ได้ก่อน ไอ้โซลยกยิ้ม ผมไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกมันดึงเข้าไปกอด



“อ...อะไรของมึง”



“ผมดีใจ” มันย้ำประโยคเดิม



“รู้แล้วน่า”



“รู้ว่าชอบน่ะเหรอ”



“ปล่อยได้แล้ว จะไปอาบน้ำ!” ผมพยายามขืนตัวออก คนขี้แกล้งหัวเราะ ยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆ



“ไอ้กันให้พี่ดื่มเหรอครับ”



“ใช่ มันบังคับ” แค่แก้วแรก...และทางสายตา



“ไอ้กันแม่ง... ทีหลังพี่ห้ามดื่มเวลาไม่มีผมอยู่ด้วยนะ” มันทำหน้าเหมือนดุ ก่อนเปลี่ยนไปคนละอารมณ์ “แต่ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้มัน เพราะพี่พูดออกมาซะหมดเปลือก”   



ผมจิ๊ปาก มันจะเอาให้ตัวผมระเบิดเลยใช่ไหม



“ไม่แซวแล้วก็ได้ครับ” มันว่า เมื่อเห็นผมดันตัวมันออก “เมื่อคืนยังเดินเข้ามาให้ผมกอดอยู่เลยแท้ๆ”



“ยังอีก!”



“มอมพี่อีกทีดีไหมเนี่ย”



“โซล!”



“ล้อเล่น” หัวเราะในลำคอ ก่อนจะซุกหน้าลงกับไหล่ของผม “ขออยู่แบบนี้แป๊บนึงนะครับ”



มือผมค้างอยู่ตรงไหล่มัน ดูเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะวางเอาไว้ท่าไหน ตัวไอ้โซลแผ่ไอเย็นออกมาเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จต่างจากตัวผมที่เหมือนกำลังถูกต้มให้สุก



“มึง...เป็นอะไรหรือเปล่า”



“ผมดีใจ”



มันโคลงตัวผมไปมาเบาๆ รัดผมแน่นขึ้นนิดนึงก่อนจะผละออก



“พอใจแล้ว?” พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรไปอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อกี้ตัวผมแนบกับมันจนสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นเหมือนกับจะหลุดออกมา



ไอ้โซลเลิกคิ้ว ทำหน้าตาไม่น่าไว้ใจ “หรือพี่ยอมให้ผมทำมากกว่านี้?”



“ไปแต่งตัวซะไอ้บ้า!”



ผมเดินหนี คว้าผ้าเช็ดตัวกับหอบเสื้อผ้าเข้ามาเปลี่ยนในห้องน้ำด้วยแม่งเลย







ห้องไอ้โซลไม่มีของสดเหลือแล้ว มีแต่ข้าวกล่องแช่แข็ง เบียร์แล้วก็กาแฟ ผมกับมันกินขนมปังรองท้อง แล้วเดี๋ยวไปกินข้าวที่กองถ่ายเอา



“มะรืนค่อยไปซื้อแล้วกัน มึงไม่ได้มีนัดที่ไหนใช่ไหม”



ไอ้โซลนั่งอยู่บนโต๊ะ ยื่นขนมปังที่ทาแยมแล้วให้ผม “ไม่มีครับ อ้อ ข้าวกล่องยังเหลือนะ”



“กินแต่ของแบบนี้ มึงนี่นะ โตขนาดนี้ได้ยังไง” ผมที่โดนม้าโดฟทั้งนมทั้งผักยังสูงได้แค่พอมาตรฐาน ไม่มีความยุติธรรมในโลกนี้จริงๆ



“ก็มาทำให้ผมกินสิครับ”



“หัดทำเองสิ มือก็มี”



“ใจร้ายอีกแล้ว” มันแสร้งทำหน้าเศร้า แต่มุมปากยังประดับด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวเอาเหล้ากรอกปากซะนี่”



“มือกูอยู่ใกล้มีดนะ” ผมยืนพิงเคาน์เตอร์ เอื้อมมือไปนิดเดียวก็ถึง อีกคนยกมือยอมแพ้



“เงียบแล้วครับ”



ผมแยกเขี้ยว หน้าตามันไม่ได้สำนึกสักนิด ผมกัดขนมปังไปคำหนึ่ง ห้องไอ้โซลมีอุปกรณ์ในครัวครบเซต แต่มันไม่เคยใช้เลยนอกจากเครื่องปิ้งขนมปัง ไมโครเวฟ และกระติกน้ำร้อน มันบอกว่านอกจากแม่มันแล้วก็มีผมที่เคยใช้อุปกรณ์พวกนี้ และส่วนมากที่เพื่อนมาห้องก็ซื้อเข้ามาไม่ก็สั่งมากินกันตลอด



“เพิ่งรู้ว่ามึงเล่นกีตาร์”



“เคยจริงจังช่วงมัธยมครับ ผู้ชายเล่นกีตาร์มีแต่คนบอกว่าเท่ นี่ผมก็ห่างไปนานเหมือนกัน” มันว่า จับๆ นิ้วตัวเอง “แต่ไม่เคยเล่นจีบใครมาก่อน เมื่อคืนครั้งแรก”



ผมมองไปทางอื่น...มันจะไม่หยอดสักประโยคได้ไหม



“แล้วมึงเอาเวลาไหนไปซ้อม”



“วันที่พี่ไปดูหนังกับไอ้นั่น ผมลุกขึ้นมาซ้อมหลังจากพี่กลับ แต่พอเช็คโทรศัพท์เห็นพี่อยู่กับมันเลยตามไป ไปซ้อมอีกทีที่บ้านไอ้ต่าย”



ผมพยักหน้า น่าจะช่วงที่มันหายไป



“ผมเล่นเป็นไง”



“ก็ดี” ผมว่า จริงๆ ไมได้ฟัง สถานการณ์ตอนนั้นหลายสิ่งประดังประเดเข้ามาบวกกับสติของผมแล้วด้วย...ตอนนั้นเอาแต่มองหน้ามัน



“แล้ววันนั้น...ถ้ากูไม่กลับมากับมึงล่ะ มึงจะทำยังไง”



“ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ จริงๆ ผมไม่มีสิทธิ์ไปทำอย่างนั้นด้วยซ้ำ ตอนนั้นหน้ามืดไปหน่อย”



ไอ้โซลปิดกระปุกแยม กระโดดลงจากโต๊ะ เดินเข้ามาหาก่อนจะวางกระปุกแก้วในมือไว้ด้านหลังผม



“ถามเยอะ ผมขอถามมั่งได้ไหม”



“ไม่ได้”



คนตรงหน้าหัวเราะในลำคอ ไม่ได้เซ้าซี้อะไร ผมกำลังจะบอกให้มันถอยไป แต่ถูกเรียวนิ้วปาดเบาๆ ที่มุมปาก อุณหภูมิในร่างกายร้อนขึ้นเมื่อมันดูดนิ้วนั้นโดยที่สายตายังจ้องผมอยู่



“กินเหมือนเด็ก”



มันผละออกไปเล็กน้อยให้ผมพอหายใจสะดวกขึ้น ไอ้บ้านี่ ตั้งแต่ตื่นนอนแล้วนะ ผมหัวใจจะวายเอา



“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”



“พี่มาอยู่ห้องผม กินกับผม นอนกับผม ผมทนได้ขนาดนี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”



ผมเบี่ยงตัวออกมา ไม่อยากพูดอะไรแล้ว พูดแล้วมันตอบกลับมาทีก็อาการหนักเอง



อีกอย่าง...ใครว่ามันทนวะ แล้วแขนใครเอื้อมมากอดแทบทุกคืน!







“เออ ว่าบอกนานแล้ว ม้าให้ชวนมึงไปกินข้าวที่บ้าน มะรืนได้ไหม” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนกำลังกินข้าวกันอยู่ที่กองถ่าย เดือนหนึ่งแล้วที่ม้าบอกแต่ผมลืมไปเสียสนิท



“ได้ครับ แม่พี่อยากเจอผมเหรอ”



“เห็นว่าทำงานด้วยกันหรอก”



“ก็ต้องอย่างนั้นแหละครับ ไม่งั้นจะให้ผมไปในฐานะอะไรล่ะ”   

       

“เออนั่นแหละ!”



ตลบหลังซะกลายเป็นผมที่ร้อนตัว ก็แล้วใครมันยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนมีอะไรก่อนล่ะ!



“ไปซื้อของก่อน แล้วตอนเย็นค่อยไป”



“ทำไมไม่ไปตอนเช้าเลยล่ะครับ”



“ป๊าม้าทำงาน แล้วทำอย่างกับมึงจะตื่น” ไม่ใช่แค่มัน ผมด้วย หยุดทั้งทีก็อยากนอนยาวๆ บ้าง “งั้นไปบ่ายดีกว่า ไปเล่นกับปิ๊กมี่กัน”



ไอ้โซลพยักหน้ายิ้มๆ ผมอยากให้ถึงวันมะรืนเร็วๆ อยากกอดหมาขาสั้นจะแย่ ป่านนี้คงหงอย ป๊าม้าไม่ได้ว่างจะเล่นกับมันตลอดด้วย บางทีกลับมาจากบริษัทก็แค่ให้อาหารแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน



“ผมต้องซื้อขนมไปล่อมันไหม”



“มันคุ้นมึงแล้วนี่ เป็นคนแรกเลยนะที่มันสนิทด้วยเร็วขนาดนี้ พวกไอ้จั๊มพ์ยังต้องมาบ้านกูติดกันตั้งหลายวันกว่ามันจะยอมเล่นด้วย” ตอนนั้นไอ้โฟร์โอดครวญแทบตาย ไอ้จั๊มพ์ท้อแล้วท้ออีกแต่มันชอบหมาเหมือนกันเลยพยายามต่อ ไอ้ทิมแทบจะวิ่งตะครุบด้วยซ้ำแต่ผมห้ามไว้ก่อน แม่ง เป็นภัยต่อหมาผมชัดๆ



“จริงดิ”



“อืม ตอนนั้นปิ๊กมี่หิวมั้ง” ผมไม่ปล่อยให้มันได้ใจนาน รีบสวนขึ้นก่อน



“มันอาจจะรู้ว่าผมคิดอะไรดีๆ กับเจ้าของมันก็ได้”



ผมยู่หน้า “ไปคราวนี้กูจะบอกให้ปิ๊กมี่กัดมึง”



“ผมก็จะกัดเจ้าของมันคืน”



ไอ้เด็กนี่!



“จะคุยกันแค่สองคนจริงดิ”



ผมสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองด้านข้าง หนิงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้



“อ้าว เพิ่งมาถึงเหรอ”



“นั่งหัวโด่อยู่นี่จะสิบนาทีแล้ว ไม่มีใครสนใจสักนิด สร้างโลกกันตลอด” ถอนหายใจพรืดพลางสยายผมตัวเองไปด้านหลัง



“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”



“ดีกว่ารู้แล้วทำเป็นซื่อ”



ผมอึกอัก เถียงผู้หญิงไม่เคยชนะสักที พูดอะไรไปก็หาว่าแก้ตัวอีก สู้ไม่พูดเลยจะดีกว่า ผมลอยหน้าลอยตา พยัดเพยิดหน้าไปทางด้านหลังของเจ้าตัว



“นู่น พี่เขาเรียกไปแต่งหน้าแล้ว”



“เดี๋ยวนี้พอไปไม่เป็นก็ไล่เราเลยเหรอ พัฒนาขึ้นนะ”



“เปล่าซะหน่อย พูดจริงๆ”



“อยากอยู่กันสองต่อสองก็บอกดีๆ ก็ได้”



“เพ้อไปกันใหญ่แล้วแม่คุณ”



“ถ้าแฟนคลับมาเห็นอย่างที่เราเห็นนะ คงเพ้อจนได้นิยายเล่มนึงแล้ว กัดๆ อะไรไม่รู้ ติดเรทอะ”



“ม...หมายถึงหมา!”



หนิงทำเป็นหูทวนลม ยกกระจกขึ้นมาส่องหน้าตัวเอง ผมหันไปมองไอ้โซล มันเอาแต่ยิ้ม แม่ง ไม่เคยช่วยเลย!



“วันนี้โซลหน้าตาสดชื่นจัง นอนเยอะล่ะสิ”



มันหัวเราะเบาๆ มองมาที่ผม “ประมาณนั้นครับ”



“ไปแต่งหน้าได้แล้วน่า” ผมรีบบ่ายเบี่ยง เซ้นส์ผู้หญิงแรง มีแต่คนเขาว่ากัน



“ไล่เราอีกแล้ว”



“ก็พี่เขาเรียกจริงๆ หันไปมองดิ ใช่ไหมโซล”



“ครับ กวักมือหยอยๆ เลยนั่น”



“มีพรรคพวกแล้วทำกร่าง นี่ก็อีกคน เลิกหยอดแล้วเหรอ” หนิงเบ้ปาก ตวัดสายตาเฉี่ยวๆ ไปทางไอ้พระเอก มันอมยิ้มนิดๆ



“เปล่าครับ อยู่ในช่วงพัก เดี๋ยวพี่ซีนเดินหนี”



ผมหันไปมองค้อน สุดท้ายก็ไม่มีพรรคพวกอย่างแท้จริง หนิงหัวเราะอย่างผู้มีชัย ผลักหัวผมเบาๆ ทีหนึ่งถึงได้เดินไปหาพี่ช่างแต่งหน้า



ให้มันได้อย่างนี้สิ!







“วิ่งไปทางนั้น มองซ้ายขวาเหมือนหาใครสักคนแล้วหยุดตรงเสาต้นนั้น หันไปรอบๆ แล้วก็วิ่งไปทางหลังตึก โอเค๊”



“ครับพี่” พยักหน้ารับคำ ยืดกล้ามเนื้อเล็กน้อย พี่โป้งหันไปสั่งอะไรสักอย่างกับทีมงานแล้วหันมาหาผมอีกรอบ



“ถ้าไม่ไหวบอกทันทีเข้าใจไหม”



“พี่ให้ผ่านตั้งแต่เทคแรกสิครับ”



พี่โป้งม้วนกระดาษในมือเคาะลงบนหัวผม “เดี๋ยวเอาสิบเทคให้ไอ้โซลเป็นห่วงจนอกแตกตายไปเลย”



“เกี่ยวอะไรกับมันเล่า”



“ลองไหม จะได้รู้ว่าเกี่ยวไม่เกี่ยว”



“จะถ่ายยังครับ ไหนบอกว่ากลัวถ่ายไม่ทัน”



โบกม้วนกระดาษลงหัวผมอีกรอบ “ดีแต่เปลี่ยนเรื่องนะมึง”



ผู้กำกับกลับไปประจำที่ พอสิ้นคำสั่งผมก็เริ่มการแสดง โชคดีที่วันนี้แดดไม่แรงมาก ก่อนถ่ายทำทีมงานเอาน้ำมาฉีดๆ ที่หน้าให้เหมือนมีเหงื่อออกเยอะๆ แต่พอวิ่งมาได้แค่เทคเดียว เหงื่อจริงก็ท่วมตัวแล้ว



“คัท! ใครปล่อยหมาเข้ามา!”



เทคที่สาม หมาก็ยังหลุดเข้ามาในเฟรมด้วยอีกจนได้ มันวิ่งตามผมมาตั้งแต่เทคแรก ผมหัวเราะแม้เป็นหอบอยู่รอมร่อ พลางลูบหัวสัตว์สี่เท้าที่เงยหน้ารับสัมผัสอย่างชอบใจ



“ไอ้ซีนอย่าไปเล่นดิวะ มันยิ่งตามมึง”



ผมเดินกลับมาประจำจุดเริ่มต้น ไม่สนใจสิ่งที่พี่โป้งเอ็ด ไอ้โซลเดินเข้ามาหา ยื่นน้ำให้ผมจิบเล็กน้อย มันนั่งยองๆ ขยี้หัวหมาตัวสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะอุ้มมันขึ้น



“โซล ระวังมันกัด”



“กัดไม่ถึงหรอกครับถ้าอุ้มแบบนี้” มันเปลี่ยนจากโอบทั้งตัวมาเป็นช้อนตรงใต้รักแร้เจ้าตูบแทน มันเป็นหมาพันธุ์ผสมอะไรกับอะไรไม่รู้ แต่คล้ายปิ๊กมี่คือตัวค่อนข้างเตี้ย ขาสั้น คอสั้น



“แกล้งได้แม้กระทั่งหมา” ผมว่าขำๆ ลูบหัวมันอีกครั้ง



“ให้พี่ซีนทำงานก่อนนะ เดี๋ยวพี่ซีนเหนื่อย” ไอ้โซลพูดกับสัตว์หน้าขนในมือ มันแลบลิ้น หอบแฮกๆ ทำหน้าเหมือนเข้าใจไม่ก็ผมคิดไปเอง



“เอาน้ำให้มันกินด้วยนะ”



“ครับ”



“เอ้าๆ ตรงนั้นน่ะ ไม่ได้กำลังถ่ายฉากกุ๊กกิ๊กนะเว้ย!”



ผมเด้งตัวออก ตกใจกับเสียงที่ดังผ่านโทรโข่ง พี่โป้งเล่นตะโกนกลางกองถ่าย ผมมุ่ยหน้าแต่ไอ้โซลยิ้มร่า ยอมเดิมกลับไปนั่งข้างพี่ปุ้ยอย่างเก่า ปล่อยผมยืนเกาท้ายทอยแก้เก้อหลบสายตาทุกคนที่มองมา



จบลงที่เทคที่ห้า เดินมานั่งลงข้างไอ้โซล หมาบนตักมันก็ตะกุยตะกายมาหาผม



“ไม่ค่อยเลย” ไอ้โซลแกล้งจับตัวมันเอาไว้ มันร้องหงิงเสียงแหลม ผมต้องเอื้อมไปอุ้มมาเอง



“หมาในมหา’ลัยเหรอ”



“คงงั้นแหละครับ ตัวไม่ได้เล็กเลย เตี้ยเอ้ย” ไม่วายพลักหัวสัตว์บนตักผมเบาๆ ไปที มันสั่นหางเล็กน้อย นึกว่าถูกโดนลูบหัว




“ทำไมตัวสะอาดจัง ไม่มีเจ้าของจริงเหรอ”



“ถ้าไม่มี พี่จะเอามันไปเลี้ยงเหรอครับ”



ผมสั่นหน้า “ไม่เอาหรอก แค่ปิ๊กมี่ก็ไม่ค่อยมีเวลาแล้ว”



เจ้าหมาบนตักซุกหน้าเข้าที่ท้องของผม ดูออดอ้อนเหมือนอยากให้กอดแน่นๆ ดูไปแล้วก็สงสาร ไม่รู้เป็นลูกของหมาตัวไหนหรือโดนใครปล่อยทิ้งเอาไว้ ถึงมันจะเป็นสัตว์ก็ใช่ไม่มีหัวใจ มันเองก็ต้องการคนดูแลเอาใจใส่ ต้องการครอบครัวเหมือนกัน   

   

“คิดถึงปิ๊กมี่ล่ะสิ”



“ก็ไม่ได้เจอเลยอะ” ครั้งล่าสุดก็ตอนไปเก็บของที่บ้านเพื่อไปนอนค้างห้องไอ้โซล แล้วเวลากลับบ้านแต่ละทีก็มีเวลาให้มันไม่มากด้วย ยิ่งหมาบนตักรูปร่างเหมือนปิ๊กมี่ไม่พอ ยังขี้อ้อนเหมือนกันอีก



“มะรืนก็ได้เจอแล้ว”



“อยากเจอทุกวันนี่”



“เอาไว้ผมจะพากลับบ้านทุกวันที่หยุด”



“กูไม่เคยห่างจากมันนานขนาดนี้เลยนะ”



“ให้มันห่างบ้าง จะได้ชิน”



“ชินอะไร” เดี๋ยวเปิดเทอมก็ได้กลับบ้านแล้ว แต่ช่วงนี้ต้องทนคิดถึงมันไปก่อน นึกแล้วก็หน้าบึ้ง ไอ้ตัวต้นเหตุทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้



“มองแบบนี้จะบอกว่าผมผิดงั้นสิ”



“ก็ใครล่ะ” ผมบ่นอุบอิบ “เป็นห่วงอะไรนักหนาก็ไม่รู้” ธรรมดาอยู่บ้านก็ได้เล่นกับมันแค่ตอนเช้าก่อนไปกองถ่ายอยู่แล้ว แต่พอไปอยู่กับไอ้โซลก็เจอแทบนับชั่วโมงได้



“จะให้พูดตรงนี้เลยไหมว่าทำไมถึงเป็นห่วง”



ผมจิ๊ปาก “กูคิดถึงอะ แล้วปิ๊กมี่มันก็เหงานะ มึงไม่เข้าใจ มึงไม่เคยเลี้ยงหมานี่!”



“เลี้ยงพี่ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ”



“กูไม่ใช่หมานะเว้ย”



“ไม่ได้ว่าเป็นหมา หมายถึงถ้าห่างจากพี่ผมก็คิดถึงเหมือนกัน”



“..ม..มึง...” ผมหน้าตื่น “อย่านอกเรื่องดิ!”



“ไม่ได้นอกเรื่อง ผมแค่เปรียบเทียบ”



“ก็แค่กลั...เฮ้ย!” หมาบนตักกระโดดลงไปบนพื้นแล้ววิ่งหายไปทางอื่น ผมคว้าเอาไว้ไม่ทัน มันคงรำคาญที่ผมกับไอ้คนข้างๆ เถียงกัน



“เพราะมึงเลย” ผมโอดครวญ โทษไอ้คนข้างๆ ยังไม่ได้เล่นด้วยเลย



ไอ้โซลลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หัวเราะในลำคอพลางปาดเม็ดเหงื่อตรงหางคิ้วให้ผม “นั่งบ่นอยู่นี่แหละ ผมไปเข้าฉากก่อน”



ไอ้บ้าเอ๊ย...ผมกระแทกตัวกับเก้าอี้ ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าหน้าร้อนเพราะหงุดหงิดที่มันขัดใจหรือเพราะอย่างอื่นกันแน่



...



ฝนตกปรอยๆ ในตอนเย็น พวกผมยืนอยู่หน้าอาคารสีขาวอาคารหนึ่ง เป็นฉากที่ไอ้โซลทะเลาะกับเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มแล้วผมต้องมาห้าม ซักซ้อมกันเรียบร้อย ที่ผมต้องทำคือแค่พยายามแยกไอ้โซลออกมาเท่านั้นเอง



“กระชากแรงๆ เลยได้ไหม มึงโอเคปะ”



“ครับพี่ จัดมาเลยไอ้โซล ขอเจ็บทีเดียว”



เด็กแว่นรับคำพี่โป้ง มันเป็นนักแสดงสมทบอีกคน ตัวสูงเท่ากับไอ้โซล พอผมมายืนตรงกลางสองคนนี้เลยรู้สึกต่ำต้อยแปลกๆ

         

“5 4 3 2 1 แอคชั่น!”



ทั้งสองกระโจนเข้าหากันจนผมแอบชะงัก ในบทคือต้องตะโกนเรียกชื่อไอ้พระเอก และหาจังหวะเข้าไปห้าม แต่ให้ตาย...พวกมันเล่นแรงอย่างที่พูดกันจริงๆ



ไอ้โซลออกหมัดก่อน ไอ้แว่นก็สวนมา ก่อนทั้งสองจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายจนล้มลุกไปกับพื้น ไอ้แว่นผอมกว่าหน่อยแต่ดูท่าแรงจะไม่ใช่น้อย ไอ้โซลก็กระชากคอเสื้อจนกระดุมอีกฝ่ายหลุดแล้วเหมือนกัน



“พอได้แล้ว!” ฝนตกลงมาแรงกว่าเดิม ผมหยีตาเล็กน้อย ชั่งใจอยู่เพียงนิดก่อนจะตัดสินใจเข้าไปแทรกพวกมันทั้งคู่



“หยุด!”



ไอ้โซลเบี่ยงตัวหลบผม พวกมันไม่ได้ลดแรงกันลงเลยแม้แต่น้อย ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดในการแยกทั้งคู่ออกจากกัน



“บอกให้หยุดไง!”



ยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้นร่วมนาที พวกมันจะเอาเทคเดียวผ่านผมเข้าใจ แต่เบาแรงตอนกูเข้าไปแยกหน่อยได้ไหม ผมดึงไอ้โซลออกมาไม่ได้โว้ย!



“อย่าเข้ามายุ่ง!” ไอ้แว่นตะโกนใส่ผมตามบท ผมพยายามดันมันออก แกะมือมันจากปกเสื้อไอ้พระเอกที่ก็กำเสื้ออีกฝ่ายแน่นไม่แพ้กัน ถ้าไม่เห็นว่าตอนอยู่ในกองพวกมันก็คุยเล่นกันเป็นปกติ ผมจะคิดว่าพวกมันเกลียดกันมาตั้งแต่เกิดแล้วแม่ง



ผมเริ่มหอบ พวกเราเซไปเซมาเพราะไม่มีใครยอมใคร และไม่มีใครออมแรง ผมเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่ จากที่จะไปแยกพวกมันกลายเป็นว่าเข้าไปติดแหง็กด้วยซะงั้น ผมก้าวถอยหลังตามแรงดัน รู้สึกว่าชนเข้ากับอะไรสักอย่างแล้วก็...



เพล้ง!



“พี่ซีน!”



“เฮ้ยพี่!”



กระถางต้นไม้แตกออกเป็นสองส่วน วันนี้ผมไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาเพราะตามบทตัวละครแค่นัดกันมาทำงานกันเฉยๆ เลยใส่ชุดลำลอง กางเกงยาวถึงแค่เข่า ทุกคนมีสีหน้าตกใจ เกิดความชุลมุนกันอีกครั้ง ผมถูกพยุงเข้าไปหลบใต้อาคาร ไม่ได้เจ็บอะไรมาก ขาข้างซ้ายแค่ถลอกเฉยๆ



“ผมขอโทษ เจ็บตรงไหนอีกไหม”



“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บๆ” ผมว่า ไอ้โซลหน้าตาเป็นกังวล มันบอกทีมงานว่าจะทำแผลให้ผมเอง คนอื่นเลยได้แต่ดูอยู่ห่างๆ



“เดี๋ยวกูล้างเอง”



“ผมทำให้” ว่าก่อนจะใช้น้ำเปล่าราดลงมาตั้งแต่หัวเข่า 



“ผมขอโทษนะพี่ อินไปหน่อยว่ะ”



“นึกว่าพวกมึงจะต่อยกันจริงๆ แล้ว” หัวเราะให้ไอ้แว่นที่ยิ้มเจื่อน มันเป็นอุบัติเหตุ และถึงเจ็บกว่านี้ก็เข้าใจว่าพวกมันก็อยากแสดงให้เต็มที่



“แหม ก็อยากโชว์แมนสักหน่อย เผื่อเจ๊หนิงจะปลื้มผมมั่ง”



“ได้ข่าวว่ามีแฟนแล้ว”



“ล้อเล่นครับพี่” หัวเราะแหะๆ “อย่าบอกแฟนผมนะ”



มันยิ้มทะเล้น ผมรู้จักแฟนมันที่ไหนล่ะ



ไอ้โซลจับแขนผมไปดู ขมวดคิ้วมุ่น แล้วเอาน้ำเปล่าเทราดให้ ลูบเบาๆ ให้เศษดินออก มีรอยขูดเป็นทางยาว เลือดซึมออกมานิดหน่อย น่าจะโดนกิ่งไม้



ไอ้แว่นอาสาเดินไปเอาน้ำมาให้เพิ่ม ผมมองอีกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบๆ แผลที่ขาให้



เสียงทีมงานรอบข้างเอ่ยแซวกันใหญ่ บอกอิจฉาที่ผมมีคนคอยดูแลตลอด



ก็จริง...ปฏิเสธไม่ได้ว่าตั้งแต่รู้จักกัน ถ้ามีโอกาสมันจะคอยดูแลผมอยู่เสมอ



คำพูดไอ้น้องกันยังคงดังก้องอยู่ในหัวผมตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่ได้ลองมองย้อนกลับไป...ผมก็เห็นว่ามันทำเพื่อผมมามาก



เลยก่อให้เกิดคำถามขึ้นในใจ...



“โซล”



เจ้าของชื่อกำลังทายาที่แขนให้ผมชะงักเล็กน้อย “แสบเหรอครับ”



“เหนื่อยหรือเปล่า”



“นิดหน่อยครับ ไอ้แว่นแรงดีกว่าที่คิด”



มันเป่าเบาๆ ที่แผลทั้งที่ผมไม่เคยบอกว่าแสบเลยสักนิด แล้วกุมมือข้างที่แขนเจ็บ บีบเบาๆ เหมือนจะบอกว่าขอโทษ



ผมยกยิ้มบางเบา ใช้กระดาษทิชชู่ซับไปตามใบหน้าของมัน



“ขอบคุณ”



...ก็แค่ดีใจที่เห็นมันอยู่ตรงหน้า...



“ไม่...ไม่อยากเจอปิ๊กมี่ทุกวันแล้วก็ได้” ผมเม้มปาก บีบมือมันตอบ “เจอมึงแทนก็คงเหมือนๆ กัน”



“ความรู้สึกเดียวกัน?” ไอ้โซลอมยิ้ม เลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนกะจะแกล้งเฉยๆ



ในใจผมสั่นไปหมด แต่ไม่อยากละสายตาจากมัน แล้วก็อยากบอกมันเหมือนกัน...



“อือ”



ไอ้โซลชะงัก ก่อนมือที่กุมกันไว้จะประสานกันแนบแน่นกว่าเดิม



“พี่ซีน”



ผมไม่ได้ตอบรับ เพียงแต่มองเข้าไปในดวงตาที่ลุ่มลึกของคนตรงหน้า



“คบกับผมนะ”



เสียงฝนเทลงมาด้านนอกกลบเสียงพูดคุยของทีมงานและนักแสดงคนอื่นไปจนหมด แต่ผมรู้ว่ามันได้ยิน...คำตอบของผม...



“อื้อ”



สีหน้าของมัน สายตาของมัน รอยยิ้มของมัน บ่งบอกออกมาทุกความรู้สึกที่อยู่ข้างในโดยที่มันไม่ต้องพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ



“อยากกอดพี่จัง”



“น...นี่ในกองถ่ายนะ” หน้าผมร้อนวูบ เมื่อสักครู่เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เหมือนถูกดึงเข้าไปในห้วงอะไรสักอย่าง...แต่ก็ด้วยความเต็มใจ



“ที่ห้องแล้วกันเนอะ”



สายตามันทำให้ผมเผลอขบริมฝีปากเข้าหากัน “ทำอย่างกับเคยขอ”



ไอ้โซลหัวเราะ ลูบหลังมือผมเบาๆ “ผมโคตรมีความสุขเลย”



ผมหลุดยิ้มออกมา...อะไรบางอย่างในใจที่ผมไม่เคยรับรู้และคิดจะใส่ใจ ตอนนี้ได้เติบโตเป็นรูปร่างขึ้นมาชัดเจน



โทรศัพท์ที่วางไว้ข้างตัวสั่น ผมถึงสามารถละสายตาออกมาจากมันได้สักที ให้ตาย...ทำไมมันไม่ขอตั้งแต่เมื่อคืนวะ…



ผมใช้มืออีกข้างหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาดู เป็นแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทชื่อดังที่เด้งขึ้นมา...แต่นั่นทำให้ผมเผลอบีบมืออีกคนแน่นโดยไม่รู้ตัว...





peem : ซีน

peem : ช่วงนี้เงียบไปเลยนะ       







-

ลืมอะไรไปรึป่าวหว่า...... ฮี่ – ฮี่

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ค่ะ ^ ^

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-05-2017 21:24:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-05-2017 21:53:30
หูยย มีแอบเนียนหวานแหววด้วย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 10-05-2017 22:24:08
เค้า คบ กันแล้ว โซล รุก ให้หนักเข้าไปอีก ได้ใจมาแล้ว เดี๋ยวก้อได้ตัวด้วย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-05-2017 22:25:31
 :katai5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 10-05-2017 22:37:20
มีความละมุน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 11-05-2017 00:58:19
นี่ถึงกับย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก

พีมคือใคร ? เราลืมอ่ะ ตอนนี้จำได้ละ

พีม ....แชทมาทำไมคะ  ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาซะเลย
พี่ซีนจะทำไงต่อไปละทีนี้
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-05-2017 05:48:28
นี่ถึงกับย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก

พีมคือใคร ? เราลืมอ่ะ ตอนนี้จำได้ละ

พีม ....แชทมาทำไมคะ  ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาซะเลย
พี่ซีนจะทำไงต่อไปละทีนี้

ช่าย คิดเหมือน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 11-05-2017 06:29:59
โวะ! คบกันแล้วว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 11-05-2017 07:22:54
โว๊ะ. พีมมาไม. จางหายไปซะ

 :katai1:  :katai1:  :katai1:  :katai1:  :katai1:

...
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 11-05-2017 08:37:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: noppnopp ที่ 11-05-2017 12:15:20
 :hao6: ตอนที่แล้วรู้ใจกันแล้ว ตอนนี้คบกันแล้ว ตอนหน้า..........เลยแล้วกันเนอะ ฮ่าๆๆๆ หมายถึงประกาศให้ชาวโลกและฟค รับรู้นะ 55555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 11-05-2017 23:43:29
ละมุลลลลลลลลล :hao7: เขาคบกันล้าวววว อยากประกาศให้ชาวเรือในทวิตได้รับรู้55555555 ซีรี่ย์ต้องดังแน่นอน :katai2-1:
กลิ่นมาม่าจางๆลอยโชยมาตามลม หวังว่าจะไม่มีอะไรนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 15 - (10/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Legpptk ที่ 14-05-2017 01:00:53
ตอนท้ายนี้อะไรรร
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 19-05-2017 18:31:57



ตอนที่ 16







“ซีนเล่นดีมากๆ เลย แม่เราก็ดู ฝากชมด้วยแหละว่าเก่งมาก”



ผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟชื่อดังที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง พีมนั่งอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มหวานสดใสเหมือนเคย ไอ้จั๊มพ์นั่งอยู่ข้างๆ มันเป็นคนบอกให้ผมนัดพีมมาเคลียร์ให้จบๆ และมันก็นั่งกดโทรศัพท์เล่นอย่างเดียวไม่สนใจผมที่ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้พีมเลยแม้แต่น้อย



ผมเล่าทุกอย่างให้มันฟังในคืนวันที่พีมไลน์มา บอกมันไปทุกอย่างรวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้โซล



อันที่จริงผมยอมรับว่าผมลืมพีมไปเสียสนิท...



ตั้งแต่ไอ้โซลเข้ามา พีมก็ยิ่งถอยห่างออกไป...ไม่ก็เป็นผมเองที่ถอยออกมา



เราคุยกันแทบทุกวัน มันเป็นสิ่งที่ผมทำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว แต่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันขาดหายไปตอนไหน



“ซีนไม่ชอบเค้กชาเขียวแล้วเหรอ”



“ไม่นะ ก็ชอบอยู่”



“ไม่แตะเลยสักแอะ เป็นอะไรหรือเปล่า”



“เปล่า มองหน้าพีมเพลินน่ะ” ผมหัวเราะแห้ง ประโยคที่หลุดออกไปไม่ใช่ตัวผมเลยสักนิด ผมจีบพีมก็จริงแต่ไม่เคยพูดจาทำนองนี้ออกไปเลยสักครั้ง



“ซีนเปลี่ยนไปนะเนี่ย”



“ย...ยังไงเหรอ”



“ไม่รู้สิ แต่ดู...ไม่เหมือนเดิม” ผมเสสายตาหลบ ลอบกลืนน้ำลาย สะกิดไอ้จั๊มพ์ใต้เก้าอี้ แต่มันก็ยังนิ่ง บอกให้มาเป็นเพื่อนเฉยๆ ก็จริงแต่ก็ช่วยกันหน่อยได้ไหมเล่า!



“ทำงานหนักเหรอ เห็นจั๊มพ์บอกว่าถ่ายตั้งแต่เช้ายันเช้าของอีกวัน”



“นิดหน่อย แต่เราชินแล้วล่ะ”



“ไม่คิดว่าซีนจะนัดเราออกมา แค่จะทักไปถามเฉยๆ แต่ก็ดี ตั้งแต่ปิดเทอมไม่ได้เจอกันเลย”



“โทษที ส่วนมากหยุดก็นอนตลอด”



“ถึงว่า ซีนหายไปเลย” พีมย่นจมูก ว่าอย่างไม่จริงจังนัก “ลืมเราแล้วสิเนี่ย”



“ป...เปล่านะ ไม่ได้ลืม!”



“มึงจะเสียงดังทำไมเนี่ย”



“ก็ไม่อยากให้พีมเข้าใจผิด”



ไอ้จั๊มพ์วางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ ดูเหนื่อยใจค่อนไปทางเอือมนิดหน่อย “มึงจะเข้าเรื่องได้หรือยัง”



“หือ มีอะไรกันเหรอ”



ผมอ้าปากค้าง เดี๋ยวสิวะ ยังไม่ได้ตั้งตัวเลย!



“มันมีเรื่องจะบอกพีม”



ผมอ้ำอึ้ง เมื่อคืนคิดบทพูดอยู่นานกว่าจะเรียบเรียงได้ แต่พอมาอยู่ต่อหน้าแล้วมันก็กระจายหายไปกันหมด ผมสูดลมหายใจเข้าลึกขณะที่พีมมองอย่างรอคำตอบ



“พีม เราก็คุยกันมานานแล้ว...”



“อือฮึ ตั้งแต่ปีหนึ่ง เราจำได้ว่าเราขอไลน์ซีนเพราะอยู่กลุ่มทำรายงานด้วยกัน”



ผมยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้ดี...ผมดีใจมาก



“ตอนนี้พวกเรากำลังจะขึ้นปีสี่แล้ว”



“แล้ว?”



ผมเผลอกัดปาก หลากหลายคำพูดตีกันในหัวเต็มไปหมด



“ซีนจะเลิกจีบเราเหรอ” เสียงหวานเอ่ยถามทีเล่นทีจริง แต่เหมือนเห็นสีหน้าของผมที่ไม่มีแววล้อเล่น รอยยิ้มพีมก็ค่อยๆ หายไป



“จริงเหรอซีน”



“ข...ขอโทษ ด่าก็ได้ ตบก็ได้ เราผิดเอง พีมดีมากจริงๆ แต่เรา...ความรู้สึกของเรา...”



“เปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงคนตรงหน้าเรียบนิ่งอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน และพีมไม่เคยมองผมด้วยสายตาเย็นชาอย่างในตอนนี้



“ขอโทษนะพีม ขอโทษ...”



“อย่าพูดคำนั้นเลยซีน เราไม่อยากฟัง”



“พีม...” เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว ไม่อยากจะเชื่อเลย ผมทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ของเราพังไปแล้ว และพีมคงไม่ให้อภัย ถ้าผมทำให้มันชัดเจนตั้งแต่แรก ตั้งแต่ที่เริ่มรู้ตัวว่ารู้สึกกับไอ้โซล หยุดความสัมพันธ์นี้ซะ มันคงไม่เลยเถิดมาถึงขนาดนี้



ผมมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเว้าวอน...ผมแค่หวังว่ามันจะจบลงด้วยดี แต่เหมือนกับคำขอจะไม่เป็นอย่างใจคิด



พีมเกลียดผมแล้ว



“เราขอโทษ—”



“บอกว่าไม่อยากฟังไงซีน!” เสียงนั้นแข็งกระด้างขึ้น ผมไม่เคยเห็นพีมเป็นแบบนี้เลย สายตาของพีมทำให้ข้างในใจผมวูบโหวง กระบอกตาร้อนผ่าว ผมแค่คิดว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้...



“เราไม่อยากได้ยินคำขอโทษ” พีมเน้นทีละคำอย่างต้องการย้ำ ผมพูดไม่ออก เหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ตรงลำคอ ดวงตาเริ่มพร่ามัว





...ก่อนที่พีมจะเผยรอยยิ้มออกมา 





“เพราะซีนไม่ผิดสักหน่อย แฮ่”





“ฮ...ฮะ?”



“ก็ซีนไม่ได้ผิดอะไร จะขอโทษทำไมเล่า”



คนตรงหน้ายิ้มขำ พอดีกับที่ไอ้จั๊มพ์หลุดหัวเราะออกมา



ผมกะพริบตาปริบ “อ...อะไร..ทำไม..”



“จริงๆ ต้องดราม่ากว่านี้แต่เราทนไม่ไหว ดูสิตาแดงหมดแล้ว” ผมนั่งงง มองพีมหยิบกระดาษทิชชู่ เดินอ้อมมาหาแล้วซับใต้ตาให้ผม “ขอโทษนะซีน จั๊มพ์บังคับเราอะ”



“เฮ้ย โยนให้เราคนเดียวเลยเหรอ ตอนคิดแผนยังเห็นดีเห็นงามด้วยอยู่เลย”



“ก็ซีนน่าแกล้งอะ เรามันเขี้ยว”



“ด...เดี๋ยว...นี่มันอะไรกัน”



พีมเดินกลับไปนั่งที่ ยังคงมองผมขำๆ ปนสีหน้ารู้สึกผิด ไอ้จั๊มพ์หัวเราะตัวงอ



“โอ๋...” มันพยายามกลั้นหัวเราะ วางแขนพาดไว้บนไหล่ผม “แกล้งเล่น อย่าไปบอกเฮียมึงนะ”



“..แกล้ง?”



“เออ เตี๊ยมกันทั้งคืน เป็นไง เนียนไหม”



“เชี่ยจั๊มพ์”



ผมยังอึ้ง ซบหน้าลงกับมือทั้งสองข้าง ว่าแล้วเชียวทำไมพีมเปลี่ยนไปเป็นคนละคนขนาดนี้ รู้จักกันมาสามปียังไม่เคยเห็นขึ้นเสียงใส่ใครเลยด้วยซ้ำ



“ขอโทษนะซีน”



ผมหลุดหัวเราะออกมา มันเป็นความโล่งอก ทั้งในใจยังพองฟูขึ้นกว่าเดิม ผมเคยมีความรู้สึกดีๆ ให้กับพีม เราเข้ากันได้ดี เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ก่อนมาเจอกันผมหวังเอาไว้ว่าพีมคงให้อภัย แอบหวังไว้มากเพราะผมรู้จักนิสัยของพีมดี แต่เมื่อผลลัพธ์กลับกลายเป็นตรงกันข้ามเลยทำให้ผมเก็บความเสียใจไว้แทบไม่อยู่ ถ้าหากเราจะไม่หลงเหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อนให้กันเลย



“เนียนไปแล้วพีม”



ผมไม่โกรธ ดีใจเสียอีก ไอ้จั๊มพ์เขย่าตัวผมไปมา “เกือบน้ำตาแตก แผนกูเจ๋ง”



หันไปด่าคนข้างๆ ก่อนจะถูจมูกอย่างอายๆ “ก็รู้สึกผิดอะ คิดว่าพีมจะเกลียดเรา”



พีมสั่นหัว “ไม่มีทาง”



“ขอโทษนะ คือเรา...”



“รู้อะไรไหม ซีนจีบเราแค่ช่วงแรกที่รู้จักกันเท่านั้นแหละ ตอนนั้นเราก็ปลื้มซีนมากเลย” ผมมองพีมอย่างไม่เข้าใจ “หลังจากนั้นมาเราก็คุยกันมาตลอด...แต่ในฐานะเพื่อน”



พีมระบายยิ้มบาง “เพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง”



“แต่เรา...”



“เราเข้ากันได้ดีกว่าที่คิดจนซีนอาจมองข้ามไป และไม่ทันได้สังเกตตัวเองเลย...ว่าความรู้สึกของซีนหมดไปนานแล้ว ซีนมองเราเป็นเพื่อนมาตลอด...แค่ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง”



“เออ ซื่อบื้อกว่านี้มีอีกไหม”



“ไม่นะ...กู...”



“ทบทวนตัวเองก่อนแล้วค่อยเถียง” มันแทรกขึ้น เขกกำปั้นลงหัวผมด้วยแรงไม่เบานัก “จีบบ้าอะไรตั้งสามปี แรกๆ กูรู้สึกได้ว่ามึงชอบจริง แต่หลังจากนั้นมาเหมือนมึงแค่บอกตัวเองว่าชอบมากกว่าแต่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ”



ไอ้จั๊มพ์ถอนหายใจ “โถ่ เด็กหนุ่มผู้ไม่ประสาในความรัก”



“เชี่ยนี่!”



ผมสะบัดแขนมันออก แต่มันก็เอามาพาดไว้ใหม่ เอาเข้าจริงพอคิดตามคำพูดของทั้งสองคนผมก็ก้มหน้ายอมรับผิด...ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ตอนเจอพีมมันก็รู้สึกพิเศษกว่าคนอื่น



ไม่รู้ว่าในใจลึกๆ ผมรู้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาผมหลอกตัวเอง หรือเพราะว่าไม่อยากให้พีมเสียใจกันแน่เลยเอาแต่คิดแบบนั้นมาตลอด...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน



ที่รู้แน่ๆ คือผมไม่เคยรู้สึกกับใครมากมายเหมือนที่รู้สึกกับไอ้โซล...แม้แต่กับพีม



ผมเอ่ยขอโทษอีกครั้ง และโดนไอ้จั๊มพ์เขกหัวอีกรอบ



“ถ้าขอโทษที่โง่ ยอมให้อภัยก็ได้”



“ไม่ได้ขอโทษมึง”



“หยุดเลยซีน พูดอีกเราโกรธจริงๆ ด้วย” พีมแกล้งขู่ แต่ผมก็ไม่พูดคำนั้นอีก



“ขอบคุณนะเว้ย” บอกคนข้างๆ ถ้าไม่มีมันผมคงอ้ำอึ้งอ้อมค้อมอยู่นานกว่านี้แน่ หรืออาจปล่อยให้คาราคาซังอยู่แบบนี้ไปเลยก็ได้



“อืม อย่างมึงมันต้องจี้ ไม่งั้นไม่รู้เชี่ยไรหรอก จีบบ้าอะไรไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิด ต้องแบบไอ้โซลโน่น—”



“จั๊มพ์!” ผมตะครุบปากมันไว้ พูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าพีมได้ยังไง!



พีมมองมาที่พวกเรา หัวเราะน้อยๆ “กว่าซีนจะรู้ใจตัวเอง โซลเหนื่อยแย่”



“พ..พีมรู้!?”



ไอ้จั๊มพ์แกะมือผมออก “พีมรู้ กิ๋งรู้ ไอ้โฟร์รู้ ไอ้ทิมก็รู้!”



“ฮะ!”



“เราดีใจด้วย มีวันนี้สักที” หัวเราะคิกคักพลางส่ายหัวไปมา “กิ๋งกรี๊ดจนหูเราแทบแตกแหนะ เดี๋ยวยัยนั่นกลับมาจากเกาหลีซีนเตรียมตัวโดนสัมภาษณ์ได้เลย”



“ไม่ต้องมองกูอย่างงั้นเลย ทุกคนเขาให้กูอัปเดตเรื่องของมึงให้ฟังตลอด เขาเป็นห่วง”



“แต่ห่วงโซลนะ คิดภาพออกเลยเวลาเข้าหาซีนแล้วซีนตีเบลอใส่เนี่ย”



ผมย่นจมูก เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้ปิดหรอกแต่แค่ไม่รู้จะเริ่มเล่าให้ฟังยังไงเท่านั้นเอง



“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะ...”



“โอย เพื่อนกู” ไอ้จั๊มพ์เอามือกุมหัว “ทุกคนในโลกดูออกหมดยกเว้นมึง”



“มันก็จะเว่อร์ไป” ผลักหัวมันทีหนึ่ง พลางมองดูเวลาในโทรศัพท์ เกือบชั่วโมงแล้วที่นั่งอยู่นี่ ไอ้จั๊มพ์เหล่ตามอง



“ไอ้โซลรออะดิ”



“..อืม”



“ไปเถอะ เดี๋ยวกูไปส่งพีมเอง”



“กลับดีๆ นะซีน ฝากบอกน้องโซลด้วยว่าสบายใจได้”



ผมยิ้ม ร้อนที่หน้าแปลกๆ แต่ก็โล่งในอกเหมือนขจัดความขุ่นมัวออกไปได้





ถึงแม้ความรู้สึกที่มีต่อพีมมันจะจางหายไป แต่ก็หลงเหลือกลิ่นไอบางเบาที่บอกให้รู้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง...ในช่วงเวลาหนึ่ง…











ผมพยายามก้าวขาให้เร็วที่สุดเพื่อไปที่ลานจอดรถ ไอ้โซลยืนยันว่าจะรออยู่ที่นั่นไม่ว่ายังไงก็ตาม โทรศัพท์ผมไม่มีการติดต่อ ไม่มีข้อความเร่งเร้า มีแต่ความว่างเปล่าตรงข้ามกับสายตาของมันในสองวันที่ผ่านมา...ที่เต็มไปด้วยความกังวลและว้าวุ่นใจ



“มึงสูบบุหรี่ด้วยเหรอ”



ผมถามปนหอบเล็กน้อย ไอ้โซลเพิ่งเห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ มันพ่นควันสีเทาออกจากปากเป็นครั้งสุดท้าย ใช้เท้าขยี้บุหรี่ที่ถูกทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ



“ก็มีบ้างครับ ไม่บ่อยหรอก”



ผมพยักหน้าน้อยๆ รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคุยกันเรื่องนี้ แต่ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี



ไอ้โซลเปิดประตูเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในรถ เสียงปิดประตูดังก้องทั่วบริเวณกลบความเงียบได้เพียงชั่วครู่เมื่อไม่มีใครคิดจะเอ่ยอะไรออกมา



สุดท้ายก็เป็นมันที่ถอนหายใจ “ไปซื้อของกันเลยไหมครับ”



เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มฝืนๆ ที่ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก



“..ไปสิ”



ผมมองแผ่นหลังกว้างอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ความพองฟูในอกเริ่มฟีบลงเหมือนถูกวัตถุล่องหนเจาะให้รั่ว ผมไม่เข้าใจมันว่าทำไมไม่ถาม และไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่พูดออกไป



เพราะไอ้โซลเข้าหาผมก่อนตลอด เวลานี้เลยทำเอาผมไปไม่เป็น อีกไม่กี่ก้าวจะถึงตัวลิฟท์ สมองก็สั่งให้ผมคว้าแขนมันเอาไว้ แล้วดึงเข้าไปในซอกระหว่างรถสองคัน



“เป็นอะไร”



“เปล่าครับ”



“คือกู...” ผมขบริมฝีปาก เรียบเรียงคำพูดไม่ถูก “กูคุยกับพีม แล้วเราก็เข้าใจกันแล้ว”



ผมยังคงจับข้อมือมันเอาไว้ ในขณะที่มันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำท่าจะไม่ฟัง



“มองกู”



“…”



“โซล”



“…”



“อย่าเป็นแบบนี้สิ กูขอโทษ”



เพราะไอ้โซลยังคงนิ่ง แม้มันไม่สะบัดมือผมออกแต่สีหน้าของมันย่ำแย่เสียจนกลายเป็นตัวเร่งเร้าให้ผมขยับเข้าไปหาและกอดมันเอาไว้แทน



“กูกับพีมเป็นแค่เพื่อนกัน”



“…”



“เพื่อนจริงๆ”



ผมย้ำ เสียงผมอู้อี้อยู่ตรงอกของมันแต่รู้ว่าได้ยิน



“ที่กูนัดพีมมาวันนี้ไม่ใช่เพราะกูลังเลหรือไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง กูแค่อยากทำทุกอย่างให้มันชัดเจน” ถ้าหากจะปล่อยเลยตามเลยก็ยังได้ แต่ผมรู้ว่ามันกังวล “แค่อยากให้มึงสบายใจ”



ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ได้แต่กำเสื้อด้านหลังของมันเอาไว้แน่น



ให้ตาย...อายเหมือนกันนะเว้ย           

                             

พูดออกไปจนหมดเห็นมันยังนิ่งอยู่อย่างเดิมก็ชักจะฉุน คิดมากอะไรอีกวะ ผมเลยทุบมันไปที “เข้าใจไหม”



ไอ้โซลหลุดหัวเราะ ก่อนจะยกแขนขึ้นโอบรอบตัวผมเอาไว้แน่น



“เข้าใจแล้วครับ”



“โกรธกูเหรอ บอกแล้วไงว่าไม่ได้คิดอะไรกับพีมแล้ว”



วันนั้นผมคุยกับมันเรื่องนี้เพราะไม่อยากปิดบัง มันบอกว่าไม่เป็นไร...เข้าใจ ด้วยสายตาที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง



หน้ามันฝังอยู่ตรงไหล่ของผม ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง



“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” มันเงยหน้าขึ้น ในแววตานั้นยังเจือความกังวลอยู่บางเบา “ผมแค่...ไม่รู้สิ พี่ชอบเขามานาน ผมขอโทษ...มันอดกลัวไม่ได้”



มือผมที่กำเสื้อมันอยู่เปลี่ยนมาลูบหลังมันเบาๆ แทน



“กลัวอะไร ห้ามกลัว”



ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ความคิดคนเรามันห้ามไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากให้มันคิด ไม่อยากให้กังวล อยากให้เชื่ออย่างสนิทใจ



มันคงไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมัน...อาจมากกว่าที่มันคิด



“ไม่กลัวแล้วครับ”



ผมผละออกมาเล็กน้อย จ้องอีกคนที่มองมานิ่งๆ บอกให้ขึ้นไปคุยด้วยกันก็ไม่เชื่อ แต่คิดอีกทีก็ดีแล้ว...ถ้าผมน้ำตาแตกต่อหน้ามันคงขายหน้าแย่



“แล้วตอนนี้มึงคิดอะไรอยู่” หน้าตามันดูดีขึ้นมาบ้างแต่คิ้วยังขมวดเข้าหากัน



ไอ้โซลลูบแก้มผมเบาๆ “กำลังคิดว่า...อยากทำมากกว่ากอด”



“มึงนี่!”



“โอ้ย ล้อเล่นครับ”



ผมทุบหลังมันเต็มแรง ขืนตัวออกมาทันที บทจะจริงจังก็จริงจัง บทจะเล่นก็เล่น มันทำท่าจะเข้ามาใกล้ผมก็ยกมือห้าม



“พอเลย เหม็นบุหรี่”



“ได้ไงครับ เมื่อกี้ยังซุกผมตั้งนาน”



“ม...มันเป็นเหตุสุดวิสัย” ก็ใครให้มันทำท่าเหมือนโกรธผมล่ะ!



“ขออีกสองนาทีก็ยังดี”



“ไม่เอา อย่าเข้ามาใกล้นะ” ผมถอยหลังจนติดกับรถที่จอดอยู่ กลิ่นไอบุหรี่จางๆ ติดอยู่ที่เสื้อผ้าผมด้วย ไอ้โซลยกมือสองข้างขึ้นเหมือนยอม และไม่เดินเข้ามาหาอีก



“โอเคครับ...โอเค ผมจะไม่สูบอีกแล้ว”



“กูไม่ได้ห้ามนะ กูแค่ไม่ชอบกลิ่นมัน ถ้ามึงสูบก็ไปอยู่ห่างๆ” ผมยักไหล่ “ก็แค่นั้นเอง”



ไอ้โซลมองมายิ้มๆ ดูมันก็ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับการที่จะต้องเลิกเสพสารก่อมะเร็งนั่น



“ตามคำบัญชาครับ”         



ผมมุ่ยหน้า บัญชงบัญชาอะไร ก็บอกแค่ว่าไม่ชอบกลิ่นมันเฉยๆ ไม่ได้บังคับให้เลิกสักหน่อย ไอ้บ้านี่ L







-

แต่งม่าเป็นที่ไหนเล่า  เดี๋ยวคืนกำไรให้โซลในตอนหน้า

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ ^ ^

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 19-05-2017 19:10:26
หลังจากนี้ก็หวานๆๆๆๆได้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 19-05-2017 19:12:29
น่ารักกกกกกกก :katai3: อยากดูฉากสวีทแล้ววว งุ้ยยย จัดเต็มไปเลยนะนุ้งโซลลลล :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-05-2017 19:40:59
 :เฮ้อ: โล่งเลย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 19-05-2017 20:14:48
 :-[ น่ารัก...ขอคืนกำไลมากๆๆๆนะค่ะ...คนอ่านโลภ....  :impress2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-05-2017 20:41:11
รอคืนกำไร  :ling1:
ไม่ใช่แค่โซล ที่ได้นะ   :hao3:
คนอ่านก็ได้  :katai2-1:
โซล ซีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 19-05-2017 20:48:59
อ่านไปก็ยิ้มตามโซลไป ทำไมพี่ซีนน่าเอ็นดูงี้ล่ะลูกกกกกก

รอดูตอนคืนกำไรให้โซล โถๆๆ ก็เตาะมาตั้งนานเนอะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 19-05-2017 21:27:58
น่าร้ากกกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 19-05-2017 22:25:19
ไม่ไดบอกให้เลิกแต่ไม่ให้เข้าใกล้นี่ก้เหมือนบังคับเลิกนะ55555
โซลจะไปทนไหวได้ไงงงงง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-05-2017 10:50:13
โซลนี่ทาสรักพี่ซีนอย่างแท้จริง  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 20-05-2017 22:06:07
นึกว่าจะดราม่า ....ดีแล้วววว เราชอบโซลซีนสวีทกันมากกว่า
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 21-05-2017 17:30:17
โซลเหมือนปิกมี่เลย ตามติดเจ้าของแจ เป็นหมาโซลของซีน น่ารัด
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 22-05-2017 14:24:55
ปรบมือใหห้กับความพยายามที่หนักมากของน้องโซล

เย้ ในที่สุดเค้าก็ได้กันแล้วจ้าาา

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-05-2017 15:13:54
จั๊ม พีม ต้มซีนละเปื่อยเลยนะ
ชอบที่บอกว่าใครๆ ก็ดูออก
มีแต่ซีนเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 16 - (19/5/60)
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 24-05-2017 16:57:41
กำไรนี่ทบต้นทบดอกไหม  :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 26-05-2017 19:20:22


ตอนที่ 17





หลังจากเอาของที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตมาเก็บไว้ที่ห้องไอ้โซล พวกเราก็มาถึงบ้านผมในตอนบ่ายกว่าๆ



ผมใช้เวลาแทบทั้งบ่ายขลุกอยู่กับปิ๊กมี่ ไอ้โซลหลับอยู่โซฟาหน้าทีวี หมาผมตัวอ้วนขึ้นกว่าเดิม เดาได้เลยว่าม้าต้องตามใจเพราะทนลูกอ้อนของมันไม่ได้แน่ๆ



“มือๆ เก่งมาก” เขย่าขาหน้ามันเบาๆ ใช้การลูบหัวแทนการให้ขนม ได้ยินเสียงหัวเราะจากทางด้านหลัง หันไปก็เจอไอ้โซลยืนถือโทรศัพท์จ่อมาทางนี้



“แอบถ่ายอีกแล้วไอ้บ้านี่”



มันยิ้ม ไม่พูดอะไร หัวมันยุ่งนิดหน่อยแต่เหมือนกำลังยืนถ่ายแบบอยู่ดี กดๆ อะไรในโทรศัพท์สักแป๊บก็เดินมานั่งลงบนพื้นหญ้าข้างๆ ผม



“ตั้งแต่มาถึงก็ไม่สนใจผมเลยนะ”



“มึงก็นอนตั้งแต่มาถึงเหมือนกันนั่นแหละ”



เรากินข้าวกันมาจากข้างนอก ถึงบ้านผมก็พุ่งเข้าหาหมาตัวเอง มันก็พุ่งเข้าโซฟาหลับเป็นตายเลย ปกติทำงานก็ได้นอนน้อยแล้ว เมื่อคืนเหมือนมันจะนอนไม่ค่อยหลับด้วย คงเพราะกังวลเรื่องพีม



ตอนนี้เวลาเย็นๆ แสงแดดอ่อนลงมาก ปิ๊กมี่หยุดเล่นแล้วหมอบลงข้างๆ แทน



“ตอนนี้ไม่นอนแล้ว”



“คุยด้วยอยู่นี่ไง” ผมว่า แต่ตามองจอโทรศัพท์ไปด้วย ไอ้โซลไม่ได้ลงรูปที่ถ่ายผมเมื่อสักครู่ก็เลยโล่งไป แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไอ้น้องกันบอกในรับแอดมันในเฟสบุ๊ค



คำขอเป็นเพื่อน

Krittin Rojjanakornkul




“นี่มึงเหรอ”



“พี่เพิ่งเข้าเหรอเนี่ย ผมขอไปเกือบปี”



“เปล่า แค่ไม่รับคนไม่รู้จัก”



“ตอนนี้ต้องรับแล้วล่ะเพราะผมเป็นมากว่าคนรู้จักแล้ว”



ผมมุ่ยหน้า...รู้แล้วเว้ย!



เมื่อกี้เลื่อนคำขอเป็นเพื่อนลงมาดูกลับเห็นไอ้โซลซะอย่างนั้น เฟสบุ๊คผมมีเพื่อนไม่ถึงห้าร้อยคน เลือกรับแต่คนที่รู้จักกันจริงๆ เพราะอย่างนั้นถึงไม่แปลกเลยที่ผมไม่ได้กดรับไอ้โซลเป็นเพื่อน แต่พอเห็นชื่อแล้วก็คิดขึ้นได้ว่า kr ก็คือชื่อกับนามสกุลมันนี่หว่า นึกว่าตั้งอย่างนั้นเพราะอยากพรีเซนความหล่อเกาหลีของตัวเอง จะว่าไปตอนนั้นก็อคติกับมันพอสมควร



ไม่ใช่แค่ไอ้โซลกับไอ้น้องกัน แต่ยังมีพวกเพื่อนมันคนอื่นอีกด้วย



คำขอเป็นเพื่อน

Kanta Gun

Peerapong S. Ball

Miki Miki

Tei Thitikorn




ผมกดรับเพื่อนมันทุกคน ไม่ถึงสองนาทีแจ้งเตือนก็เด้งขึ้น ไอ้น้องกันโพสหน้าวอลผมเลย



Kanta Gun

10 กรกฎาคม เวลา 16:58 น. YouTube

รับแอดผมแล้ว ฮือๆๆๆ

[คนน่ารักมักใจร้าย – Basketband]




ไอ้น้องกันโพสลิ้งค์เพลงที่พวกเพื่อนไอ้โซลร้องในวันนั้นที่ใต้ตึกคณะสถาปัตย์ฯ ผมกำลังจะพิมพ์ตอบแต่มีคอมเมนท์หนึ่งเด้งขึ้นมาก่อน



Krittin Rojjanakornkul  -*-



“เชี่ยกัน แม่ง” คนข้างๆ สบถออกมา “พี่ยิ้มอะไรครับ”



“เครียดอะไรเล่า นี่เพื่อนมึงนะ”



“มันกวนตีน”



ที่ไอ้น้องกันโพสผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก รู้ว่ามันก็เล่นไปอย่างนั้นเอง



“ฝาก” วางโทรศัพท์ตัวเองไว้บนตักมัน อีกคนหน้าติดจะบึ้งหน่อยๆ ผมเลยผลักหัวมันไปทีหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบสายจูงปิ๊กมี่อยู่หลังบ้าน



ผมจูงมันมาที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน มีคนอยู่ประปราย ไม่เยอะเท่าไหร่ซึ่งถือว่าดี แล้วส่วนมากก็เป็นผู้สูงอายุกับเด็กที่ออกมาเดินเล่นกัน



“อย่าให้ใกล้เด็กมากนะ จับไว้ดีๆ” ผมกำชับ ไอ้โซลอาสาจะพาปิ๊กมี่วิ่งเล่น ผมเริ่มชักจะเหนื่อย เล่นกับมันตลอดบ่ายเลยอยากนั่งอยู่เฉยๆ แทน



ปิ๊กมี่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน มันเลยไม่คุ้นกับคนเท่าไหร่นัก ถ้าเจอผู้ใหญ่อย่างไอ้โซลมันจะไม่เข้าใกล้ แต่ถ้าเจอเด็กตัวเล็กๆ มันจะวิ่งเข้าใส่ทันที



“คุณชายมีอะไรจะบัญชาอีกไหมครับ”



ผมถลึงตาใส่ ไอ้โซลหัวเราะร่วน กระตุกสายจูงเล็กน้อย ปิ๊กมี่หันมามองผม ดูอาลัยอาวรณ์ ผมเลยตบก้นมันไปเบาๆ “ไปกับโซลนะ อย่าดื้อ”



พอหนึ่งคนกับหนึ่งตัววิ่งออกไป ผมเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็เห็นว่าผมไม่ต้องตอบไอ้น้องกันแล้วแล้ว



Kanta Gun อย่ามายุ่งกับโพสนี้ กูจะคุยกับพี่ซีนโว้ย

Miki Miki ไอ้กัน 5555555

Peerapong S. Ball ขอบคุณพี่ซีนที่รับแอดครับ

Tim PK  พวกเชี่ยอะไรกับเพื่อนกูเนี่ย

Kanta Gun  @Tim PK  ผมชอบเพื่อนพี่ครับ

Scene W.  หยุดได้แล้ว เดี๋ยวกูบล็อกให้หมด

Kanta Gun  ไม่หยุด แน่จริงมึงให้พี่เขาพิมพ์เอง!!




มีเพื่อนไอ้โซลอีกหลายคนที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนมาเพิ่ม ผมจำชื่อไม่ได้เท่าไหร่แต่จำหน้าได้เลยกดรับเอาไว้ทั้งหมด แล้วก็โทรไปบอกม้าว่าซื้อวัตถุดิบอาหารเย็นวันนี้มาแล้วก่อนจะเก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋า มองดูผู้คนเดินเล่น ไม่ก็พูดคุยกัน



บรรยากาศสบายๆ พาให้ใจผมนิ่งลงบ้าง แต่ละวันใช้เวลาไปกับการเร่งรีบ ตื่นเช้า ทำงานจนเช้า ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปหมด รวมถึงคนที่กำลังแกล้งหมาผมอยู่ไกลๆ โน่นด้วย...



แต่นั่น...ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้ใช้เวลาในการซึมซับความรู้สึกเหล่านั้น



ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเมื่อไอ้โซลมองมาทางนี้ โบกมือให้ ก่อนจะเดินตามแรงกระตุกของสัตว์เลี้ยงของผม



คุณป้าที่อยู่บ้านใกล้ๆ เดินมาทัก บอกว่าดังใหญ่แล้ว ผมโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน คิดไม่ถึงว่าคุณป้าจะดูซีรีส์แนวนี้ด้วย ผมนั่งคุยไปเรื่อยเปื่อย สักพักแกก็ขอตัวกลับบ้านก่อน ผมไม่ได้ดูที่ตัวเองแสดงเลยสักตอน ที่จริงหาเวลาดูได้แต่เลือกไม่ดูมากกว่า แค่เช็คมอนิเตอร์ตอนถ่ายเสร็จก็เขินจะแย่แล้ว



 ไอ้โซลวนรอบสวนไปสามรอบเห็นจะได้ มันเดินเหงื่อซกกลับมาต่างกับปิ๊กมี่ที่ยังอเลิร์ทอยู่ อีกคนปล่อยหมาวิ่งมาหาผม ส่วนมันทรุดตัวนั่งลงข้างๆ



“อะไร แค่นี้ทำเหนื่อย”



“หมาพี่วิ่งไม่หยุด” มันหอบ ใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่หยดลงมา “ขาสั้นๆ แท้ๆ”



“โฮ่ง!”



“ด่ามันเลย”



“มันชมผมหรอก”



“ฟังรู้เรื่องด้วย ตัวนี้พันธุ์อะไรวะเนี่ย”



“พันธุ์ดีนะครับ อยากเลี้ยงไหมล่ะ”



“เลี้ยงไม่น่าเชื่อง เปลืองข้าวเปล่าๆ”



ไอ้โซลหัวเราะในลำคอ “ใช่ครับ พันธุ์นี้รู้สึกจะชอบคิดไม่ซื่อกับเจ้านาย”



เห็นไหม ไม่น่าเลี้ยงจริงๆ ด้วย!



“กลับบ้านดีกว่า ม้าน่าจะถึงแล้วแหละ”



ผมลุกขึ้น ไอ้โซลก็ลุกตาม มันยิ้มๆ ไม่ได้ว่าอะไร ปิ๊กมี่ขยับตัวดุ๊กดิ๊ก เหมือนอยากจะเล่นต่อไม่ก็รำคาญอะไรสักอย่างผมเลยคิดว่าเป็นปลอกคอ



“เพราะอ้วนไงเลยเป็นแบบนี้ ต้องพาไปว่ายน้ำด้วยแล้ว” พอถอดปลอกคอออกให้มันก็สะบัดหัว ดูสบายขึ้นเยอะ คึกกว่าเดิมอีก



เราเดินกลับกันแบบไม่รีบเร่งอะไร ม้าเพิ่งโทรมาบอกว่าถึงบ้านแล้วก็จะลงมือทำอาหารไว้รอ ปิ๊กมี่วิ่งอ้อมหน้าอ้อมหลัง มันไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก ผมเลยมองตามมันตลอด



“ทำไมไม่อุ้มมันเลยล่ะครับ” ไอ้โซลพูดขึ้น มันคงรู้ว่าผมเป็นห่วง “ผมอุ้มให้ไหม”



“อย่าเลย มันหนักจะตาย”



เมื่อกี้มันก็พาหมาผมไปวิ่งเล่นแล้ว ไม่อยากให้มันเหนื่อยเพิ่ม ผมจับตามองมันอยู่ตลอดเลยคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก จนกระทั่งมันเห็นหมาตัวอื่นอยู่ฝั่งตรงข้าม อะไรไม่รู้ทำให้มันพุ่งออกไปทันที ถึงแม้มันจะอยู่ในสายตาผมตลอดก็จริง แต่ผมห้ามมันเอาไว้ไม่ทัน



“ปิ๊กมี่!” รถยนต์คนหนึ่งตรงมาทางนี้ ผมจะวิ่งออกไปแต่โดนไอ้โซลคว้าตัวเอาไว้ก่อน เสียงล้อเบียดถนนดังจนต้องยกมือปิดหู ใจผมหล่นวูบ ตั้งสติได้ก็ดันตัวไอ้โซลออก ทรุดลงกับพื้นอ้าแขนรับปิ๊กมี่ที่วิ่งหูตกเข้ามาหา



ผมเอ่ยขอโทษออกไปเสียงสั่น คนขับรถคือสามีของคุณป้าแถวบ้าน โชคดีที่เขาไม่ว่าอะไรและเบรกได้ทัน



สัตว์เลี้ยงในอ้อมกอดครางหงิง ผมกอดมันแน่น ผมแทบไม่เคยปล่อยมันออกนอกบ้าน แต่ยังกล้าเอาสายจูงออก คิดแต่ว่ามันอยู่ในสายตาคงไม่เป็นอะไร ไม่คิดเลยว่าจะจับมันเอาไว้ทันหรือเปล่า ผิดเพราะผมสะเพร่าเอง ไม่คิดให้รอบคอบ



เหตุการณ์นี้ทำเอาผมใจสั่นไม่หาย ผมกัดปาก น้ำตารื้นขึ้นมาจนได้ เมื่อกี้อีกแค่นิดเดียว...ผมก็จะได้ลิ้มรสความรู้สึกของการสูญเสียสิ่งที่รักไปแล้ว



“ไม่เป็นอะไรแล้ว” สัมผัสบางเบาวางลงบนศีรษะก่อนจะเลื่อนลงมาโอบที่หัวไหล่ ใจมันก็เต้นแรงไม่ต่างกัน “แต่อย่าพุ่งออกไปแบบนั้นอีกนะครับ”



“..ขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงเบา



ไอ้โซลลูบหลังใหญ่ พึมพำว่าไม่เป็นอะไรแล้ว...ไม่เป็นอะไรแล้วอยู่อย่างนั้น...ปลอบทั้งคนปลอบทั้งหมา...





...





พอถึงบ้านก็ยังไม่ปล่อยมันไปไหน ป๊าม้ารู้เรื่องก็มาช่วยปลอบ ที่จริงผมก็ปลอบตัวเองไปด้วย สักพักปิ๊กมี่ก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม ผมเลยรู้สึกดีขึ้น จะเข้าไปช่วยม้าทำกับข้าวแต่โดนไล่ออกมา บอกให้อยู่เป็นเพื่อนไอ้โซล



ไอ้โซลนั่งคุยกับป๊าหน้าตาเฉย ดูจะเข้ากันได้ดี ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะป๊าม้าของผมใจดีอยู่แล้ว



“แล้วจะทำงานในวงการต่อเลยไหมจ๊ะ” ม้าถามขึ้นระหว่างกินข้าว แน่นอนว่าไม่ได้ถามผม เพราะม้าคงรู้คำตอบอยู่แล้ว



ไอ้โซลเหลือบมองผมนิดหน่อย “ก็...ดูก่อนครับ”



“หืม ตอนนี้เรียนอะไรน่ะเรา” ป๊าถาม “แล้วทำไมถึงมาแสดงล่ะ”



“ผมเรียนสถาปัตย์ฯ ครับ พอดีพี่ปุ้ยขอผมเลยลองเล่นดู”



“นึกว่าเรียนเกี่ยวกับการแสดงซะอีก” ม้าว่า ตักกับข้าวใส่จานมัน “ถ้าชอบก็ดีเลยนะ โซลขึ้นกล้องมากๆ”



“ใช่ แสดงดีกว่าซีนด้วย”



“อ้าว ป๊า”



“ก็เราไม่ชอบให้ชมไม่ใช่เหรอ” ป๊าถามหน้าตาย ตอนที่ซีรีส์ออนแอร์ไป ม้าน่ะโทรชมแต่ป๊าน่ะแซว!



“แล้วแต่ป๊าเลย” ผมมุ่ยหน้า ก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวตรงหน้าต่อ อีกสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะหัวเราะร่วน



“เฮียได้ทักมาหรือเปล่า ตอนที่ม้าบอกว่าซีนได้แสดงนะโมโหใหญ่ บอกว่าซีนทำไม่ได้หรอก ตอนนี้เป็นไง ลูกม้าทำดีเหมือนม้าสมัยสาวๆ ไม่มีผิด” หน้าตาม้าดูสะใจ ตอนนั้นเฮียโวยวายจริงจังว่าไม่ให้ผมแสดง แต่ผมรับปากไปแล้ว แคสก็แล้ว ก็เลยเลยตามเลย



“วิดีโอคอลมาแต่ผมไม่ได้รับ ไลน์ไปก็ไม่ยอมตอบ” ตอนแรกที่ได้แสดงเฮียก็อยากให้ถอนตัวแต่เจอม้าดราม่าใส่เข้าไปเฮียก็จอด ไม่ได้อะไรกับผมอีก จนซีรีส์ออนแอร์ไปเนี่ยก็เหมือนจะตึงๆ ใส่ผมอีกรอบ “ถ้าเฮียโกรธผม ใครจะรับผิดชอบ”



“คัทจะโกรธเราทำไม ไม่มีเหตุผล เดี๋ยวม้าจัดการเอง”



ไม่ได้ช่วยให้ผมสบายใจขึ้นเลย ส่วนมากเฮียจะแค่เป็นห่วงซะมากกว่า ไม่เคยได้โกรธจริงๆ หรอก แต่ผมก็ไม่อยากให้เฮียทำหน้าโหดอยู่ดีแม้จะชินแล้วก็เถอะ



“โซลล่ะมีพี่น้องหรือเปล่า”



“ผมลูกคนเดียวครับ”



“เหงาไหม” ม้าถามเหมือนผมเปี๊ยบ อาจเพราะขนาดผมมีเฮียคัท ตอนเด็กๆ ถ้าเฮียไม่อยู่สภาพผมยังกับเด็กถูกทิ้ง หงอยเหงาดูน่าสงสารมากจนม้ายังแอบคิดว่าจะมีน้องอีกคนเพิ่มเพื่อให้มาเล่นกับผมดีหรือเปล่า



“นิดหน่อยครับ ตอนนี้มีพี่ซีน ไม่เหงาแล้ว” ผมถลึงตามองมัน แต่มันกลับทำแค่นั่งกินข้าวต่อเหมือนไม่ได้ตอบอะไรที่ผิดสังเกต



“ดีแล้ว ดูแลกันไปเนอะ”



“ครับ” มันรับคำก่อนจะแอบหันมายักคิ้วให้ผมทีหนึ่งด้วย



กวนตีน!



“แล้วมาเล่นแนวนี้แฟนเราไม่ว่าเหรอ”



“แค่ก!”



“ซีน ม้าเคยบอกให้กินช้าๆ ไง” ม้าว่าไม่จริงจังนัก ยื่นกระดาษทิชชู่ให้



ก็ดูสิ ป๊าถามอะไรออกมาก็ไม่รู้!



“ไม่ว่าหรอกครับ” ไอ้พระเอกตอบกลั้วหัวเราะ มือยังคงลูบหลังให้ผมอยู่



“มันเป็นงาน ก็ดีแล้วที่เขาเข้าใจ”



ผมลอบถอนหายใจที่ป๊าไม่ได้ถามอะไรต่อ...แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาทั้งที่ที่นี่คือบ้านผมแท้ๆ



สองทุ่มกว่าๆ ผมยังไม่อยากกลับเลยบอกไอ้โซลให้นอนที่นี่มันซะเลย เล่นกับปิ๊กมี่ย่อยอาหารสักพักก็ขึ้นไปอาบน้ำ จัดการตัวเองเรียบร้อยก็ไปค้นเอาเสื้อผ้าเฮียคัทวางเตรียมไว้ให้มันเพราะตัวเท่าๆ กัน



ระหว่างที่มันอาบน้ำผมก็ไปเล่นในห้องม้า กลับมาก็เห็นมันอาบน้ำเสร็จแล้ว



“นี่ชุด น่าจะใส่ได้นะ” ผมหยิบเสื้อมาสะบัดออก พยายามเมินไอ้ท่อนบนบ่อยเปลือยๆ นั่น ลองเอาเสื้อทาบที่ตัวมันดู



“ใส่ให้หน่อยสิครับ”



“ใช่เรื่องไหม” ผมยัดเสื้อให้มัน มันรับเอาไว้โยนไปที่เตียงเหมือนเดิม



“พี่ชายพี่ดุเหรอ”



ผมคิดนิดนึงก่อนจะสั่นหัว “ไม่นะ ถามทำไม”



“จะได้เตรียมตัวไว้ เผื่อไม่ยอมยกน้องชายให้” มันอมยิ้ม “มีน้องแบบนี้ไม่หวงไม่รู้จะว่ายังไง”



“กูเป็นผู้ชายนะเว้ย” มาหงมาหวงอะไรเล่า ผมเดินเลี่ยงไปอีกทาง หยิบผ้าผืนเล็กให้มัน “เช็ดหัวซะ ใส่เสื้อผ้าเร็วๆ ด้วย โชว์อยู่ได้”



“ผมพาหมาพี่วิ่งรอบสวนเลยนะ เหนื่อยจะตาย ไม่มีแรงแล้ว”



“ถ้ามึงไม่ยอมใส่เสื้อผ้ากูจะไปนอนห้องม้— เฮ้ย!” 



ผมถูกดึงเข้าไปหา ช่วงเอวถูกรัดเอาไว้แน่น



“มึงทำอะไร นี่ในบ้านกูนะ!”



“ชู่ว เบาสิครับ เดี๋ยวก็ได้ฝากตัวเป็นลูกเขยวันนี้ซะหรอก”



ผมดิ้น แต่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด แม่งเป็นงูหลามกลับชาติมาเกิดเหรอ



“ปล่อยสิวะ—”



ฟอด



“โซล!” ผมตะโกนลั่น ดิ้นพล่านยิ่งกว่าเดิม



 “ไม่มีกลิ่นบุหรี่แล้ว พี่ไม่มีข้อแก้ตัวแล้วนะครับ”



“แต่นี่มัน...อื้อ!”



ฟอด



“ดิ้นแล้วผ้าเช็ดตัวหลุดไม่รู้ด้วยนะ”



นั่นทำให้ผมชะงัก ลืมไปว่าทั้งตัวมันมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแล้วตอนนี้ตัวผมก็แนบไปกับตัวมันเต็มๆ



“ม...มึงก็ปล่อยสิ”



“หอมผมคืนก่อน”



“ปล่อยก่อน”



“พี่จะชิ่งแน่ๆ”



“ห...เห็นกูเป็นคนยังไง ปล่อยก่อนแล้วจะทำ” แม่งรู้ทัน! ผมพยายามทำหน้าตาให้น่าสงสารที่สุด แต่มันส่ายหน้า



“วันนี้ผมหัวใจจะวายรู้ไหม”



“ขอโทษแล้วไง!”



“ไม่ให้อภัยครับ” ไอ้โซลก้มหน้าลงมาแต่ผมเบี่ยงหน้าหลบ ใช้มือปิดปากมันเอาไว้ แต่สัมผัสหยุ่นนุ่มกลับประทบลงบนฝ่ามือแทน รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง ผมเลยรีบชักมือออก



ฟอด



“โซล พอแล้ว” เริ่มกลายเป็นโอดครวญ หน้าร้อนจนจะไหม้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากขอร้องมันอย่างเดียว



“ผมบอกว่าให้ทำยังไง”



ใครจะไปกล้าทำวะ แค่นี้ก็จะแย่แล้ว มันก็ทำเอาผมหัวใจจะวายเหมือนกันนั่นแหละ! ผมหนีปัญหาโดยการซบลงกับไหล่มันซะเลย…แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังตามมาหอมอีกอยู่ได้



จมูกโด่งกดลงบนแก้มผมซ้ำๆ ย้ำอยู่อย่างนั้นจนต้องหดคอหนี



“อื้อออ” ผมอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เยอะไปแล้วนะเว้ย



ก๊อกๆ



เสียงเคาะประตูทำเอาผมสะดุ้ง มองหน้าไอ้โซลเลิ่กลั่ก แต่มันทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ



“ซีน”



“ม...ม้า ม้ามา!” ผมว่าเสียงกระซิบ ร้อนรนจะออกจากวงแขนนี้แต่ไอ้โซลก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และไม่ยอมปล่อย



ก๊อกๆ



“นอนแล้วเหรอลูก”



“ยังครับ”



“ไอ้บ้าโซล!”



“งั้นม้าเข้าไปนะ”



ผมปิดปากมันเอาไว้ไม่ทัน เอี้ยวตัวไปมองที่ประตูเห็นลูกบิดหมุนกำลังจะเปิดออก ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยตัดสินใจเหยียบเท้ามันไปเต็มแรง



“โอ๊ย!”



“ทำอะไรกันอยู่ อ้าว โซลเป็นอะไรล่ะลูก”



ผมถอยห่างจากไอ้บ้านั่นห้าก้าว ส่งยิ้มให้ม้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มันเตะขอบเตียงอะม้า โง่เนอะ”



“ว่าน้อง” ม้าดุไม่จริงจังพลางยื่นขวดน้ำให้ “เอาน้ำขึ้นมาให้ ดึกๆ จะได้ไม่ต้องลงไปข้างล่าง”



“ขอบคุณครับ”



“แล้วเราเป็นอะไร หน้าแดงคอแดง ไม่สบายหรือเปล่า”



“เปล่า!” ผมยกมือปิดหน้าตัวเอง “เมื่อกี้ผมทาครีมแล้ว...ถ...ถูหน้าแรงไปหน่อย”



“ค่อยๆ ทาสิ ไหนม้าดูซิ” ม้าเอื้อมมาลูบแก้มผมเบาๆ ผมเลยก้มตัวลงไปซบที่ไหล่ผู้หญิงตรงหน้า กอดเอวอวบๆ ไว้ ได้ยินไอ้คนที่ลุกขึ้นไปนั่งบนเตียงหลุดขำก็ตวัดสายตามองมันเคืองๆ ยังมีหน้ามาขำอีก!



“อ้อนเป็นเด็ก อายน้องบ้างไหมเนี่ย”



ผมสั่นหัว อยากตะโกนออกไปว่ามันเพิ่งรังแกลูกม้า!



“ม้าจะไปนอนแล้ว นี่ก็รีบๆ นอนซะนะ” สักพักม้าก็ผละออก แต่ผมยังกอดเอาไว้แน่น



“จะไปแล้วเหรอม้า”



ผมมองตาละห้อย ม้าคิดว่าผมคงอ้อนทั่วๆ ไปเลยแค่หยิกแก้มเบาๆ แล้วออกไปจากห้อง



“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ ก็พี่บอกเองว่าถ้าสูบบุหรี่ก็ไม่ต้องเข้าใกล้ นี่ผมไม่มีกลิ่นบุหรี่แล้วแสดงว่าเข้าใกล้ได้”



ผมยกมือปิดแก้มที่ร้อนขึ้นมาอีกรอบ คำพูดของผมแม่งเหมือนกฎหมายที่มีช่องโหว่ แล้วดูท่ามันจะหาทางซอกแซกเอาประโยชน์เข้าตัวเองจนได้ 



“พอเลยนะ”



“ที่จริงก็ยังไม่พอเท่าไหร่”



“กูจะไปนอนห้องม้าจริงๆ ด้วย”



มันหัวเราะ “กลัวอะไรกันครับ”



“ไม่รู้แหละ แต่มึงห้าม...ห้ามทำแบบนี้ไปอีกนานๆ เลย”



ไอ้โซลโคลงศีรษะก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม “ก็ได้ครับ มานอนเถอะ ผมไม่แกล้งแล้ว”



ผมขยับเข้าไปใกล้เตียงเมื่อเห็นมันแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว สอดตัวเข้าไปใต้ผ้านวมผืนใหญ่ ไอ้โซลนั่งเช็คโทรศัพท์นิดหน่อยก่อนจะเดินไปปิดไฟ ผมยังไม่ได้ปิดตาลง ในความมืดเห็นเงาตะคุ่มๆ กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ไม่ทันฉุกใจอะไรก็โดนมันรวบเอาไว้ทั้งตัว...อีกแล้ว!



ฟอด



“ฝันดีครับ”



“มึงรับปากไปแล้วไง!”



“ผ่านไปห้านาทีแล้ว คิดเป็นวินาทีก็สามร้อยวิเลยนะครับ ยังไม่นานพออีกเหรอ” แม้ทั้งห้องจะมืดแต่ผมกลับรู้สึกได้ว่ามันถามหน้าซื่อ พร้อมหัวเราะในลำคอแบบน่าถีบมาก



“งั้นห้ามเข้ามาใกล้หนึ่งอาทิตย์!”



“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” มันส่ายหน้า ดวงตาผมเริ่มปรับแสงได้ เห็นมันยกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว “อีกอย่างลืมไปแล้วเหรอว่าพรุ่งนี้เราต้องถ่ายฉากอะไร”



ผมอ้าปากค้าง เถียงไม่ออก



ไอ้โซลลูบหัวผมเบาๆ กดจมูกลงมาอีกรอบหนึ่ง “สุดท้ายแล้วครับ กลัวแก้มพี่ช้ำ”





แล้วนี่ยัง...ไม่ช้ำอีกเหรอวะ!?







-

คนน้องได้ไปกี่ฟอด...(10 คะแนน)

ฮี่ๆๆๆๆๆๆ  :katai5:

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ค่ะ ^ ^

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 26-05-2017 20:29:36
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-05-2017 20:47:36
หอมอะไรขนาดนี้ พี่เขาช้ำหมดลูก  :z2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 26-05-2017 20:49:29
โง้ยยยยปิ๊กมี่น่าร้ากกกกกก อยากเลี้ยงตามซีนเลยเนี่ย
เป็นแฟนกันแล้วมิ้งกันจังเลยน้าาา แหมมม อยากรู้ตอนพี่คัทกลับมาเลยจะเป็นยังไงน้อออ จะมีฉากหวงน้องมั้ย รอนะฮ้าฟฟฟ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-05-2017 21:56:16
 :o8: หลายฟอดเลย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 26-05-2017 22:11:31
ได้กำไรหลายอยู่นะโซล ฮาาาา

ว่าแต่ท่าทางพี่ชายจะหวงนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-05-2017 22:13:56
โอ๊ะ......โซล หอมแก้มซีน  :o8: :-[ :impress2:
โซล มีหอมซีน ย้ำๆ ด้วย   :ling1: :ling1: :ling1:
โซล ช่างกล้า หอมลูกเขา ในบ้านที่พ่อแม่อยู่ซะด้วย
ดูท่า โซลเก็บกดนะเนี่ย แต่คนอ่านชอบบบบบ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 26-05-2017 23:12:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 27-05-2017 06:10:18
แต๊ะอั๋งตลอดอ่าาา พระเอกคนนี้ 555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: tang ที่ 27-05-2017 11:27:47
ทำไมเขิน อิอิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-05-2017 14:57:06
หมั่นไส้55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 27-05-2017 15:23:37
หวานไปค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 27-05-2017 16:02:46
เบาหวานขึ้นตา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 28-05-2017 00:51:18
ถ้าจะหอมแก้มกันขนาดนี้ กลืนพี่ซีนลงท้องไปซะเถอะน้องโซน 555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 28-05-2017 03:38:09
โซลหอมขนาดนี้ ซีนช้ำหมดแล้วมั้งงง555
หวานเหลือเกินนนนน
คบกันแล้วนี่หวานน้ำตาลขึ้นเลยย
รอฉากหน้าาค่าาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 28-05-2017 13:08:29
แก้มพี่ซีนช้ำหมดแล้วม้างงง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-05-2017 23:32:30
เรือไม่ล่ม แถมมี service บนเรืออีกตั้งหากก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 17 - (26/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: tang ที่ 29-05-2017 18:03:53
วันนี้จะมาป่าว อิอิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 02-06-2017 18:45:30

ตอนที่ 18







ผมตื่นเช้าลงมาจากห้องก็เห็นม้ากำลังเตรียมอาหารให้ ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งรู้สึกไม่อยากไปทำงานเลย ถึงจะเป็นงานแค่ชั่วคราวก็เถอะ...แล้วก็ถึงอีกปีเดียวผมจะจบแล้วก็ตาม



“อ้อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เป็นอะไร หื้ม” ผมเข้าไปกอดม้าจากทางด้านหลัง ได้กลับมาอยู่บ้านคืนเดียวเหมือนเติมพลังได้เยอะมาก ผมไม่เคยห่างจากบ้านไปนาน อย่างมากก็เข้าค่ายตอนเด็กๆ หรือไปเที่ยวกับเพื่อนไม่กี่วัน



“คิดถึงม้า”



“ก็กลับบ้านทุกอาทิตย์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”



“เหมือนกันที่ไหน ปกติผมอยู่กับม้าทุกวัน”



“ถ่ายทำใกล้เสร็จแล้วนี่”



“อีกตั้งเดือนกว่าๆ”



“เริ่มงอแงแล้ว โซลดูสิ”



ม้าว่าขำๆ เดินไปไหนผมก็ติดหนึบตามไปด้วย จนม้าต้องมาแกะมือผมออก ดันให้นั่งลงกับเก้าอี้แล้วก็สั่งให้กินข้าวซะ



“เอาอีกปะ” ผมถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ไอ้โซลส่ายหน้า ที่จริงมันยังกินไม่หมดหรอกแต่ผมคิดว่าแค่ข้าวต้มคงไม่อยู่ท้อง



เราจัดการอาหารกันเงียบๆ ป๊าเข้าบริษัทไปตั้งแต่เช้า ม้าพอเคลียร์งานครัวเสร็จก็พาพี่ที่มาทำความสะอาดบ้านขึ้นไปชั้นสอง ดูว่าต้องทำความสะอาดส่วนไหนเป็นพิเศษบ้าง



“อยากกลับมาอยู่บ้านไหมครับ”



จู่ๆ มันก็ถามขึ้น ผมเหลือบขึ้นมอง ไอ้โซลไม่ได้มีสีหน้าล้อเล่นแต่อย่างใด



“ให้กูขับรถแล้วเหรอ”



“ผมมารับได้ ที่จริงก็ไม่ได้ไกลอะไรมากหรอก”



ไอ้ไม่ไกลอะไรมากเนี่ยก็คือคำว่าไกลอยู่ดี บวกกับสภาพหลังจากการทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมงอีก



“ไม่เอา”



“ผมไม่อยากบังคับพี่”



“คิดว่าบังคับกูได้เหรอ”



ที่จริงแล้วมันเป็นแค่ความจำเป็นที่ผมเห็นว่าไปค้างกับมันก็ดี มีเหตุผลสนับสนุนมากพอสมควร ซึ่งตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่ถ้าหากว่าสิ่งนี้ฝืนใจ คิดว่าผมจะทนอยู่กับมันได้มาเป็นอาทิตย์ๆ แบบนี้เหรอ



“ไม่รู้สิครับ แค่ไม่อยากให้พี่รู้สึกแย่”



“ไม่เต็มใจไม่อยู่ด้วยหรอกเว้ย” จะต้องให้พูดออกมาทำไมวะ ผมกอดอก “กูไม่ให้มารับมาส่งแบบเมื่อก่อน กูจะอยู่กับมึง เมื่อกี้แค่คิดถึงม้าเฉยๆ เข้าใจไหม!”



ไอ้โซลดูอึ้งไปนิด พยักหน้าน้อยๆ



“ไม่เปลี่ยนใจ?”



“ไม่”



“แต่ถ้าเปลี่ยนใจทีหลัง...พี่ต้องอ้อนจนกว่าผมจะพอใจ”



“ไม่มีวันนั้นหรอก!”



มันยักไหล่ “เห็นแบบนี้แล้ว ผมอยากทำให้พี่คิดถึงผมจนไม่อยากห่างเลยเหมือนกันแฮะ”



“ฝันไปเหอะ”



“คอยดูตอนเปิดเทอมเถอะครับ”



“ใครกันแน่ที่ไม่อยากห่าง”



“ก็ต้องเป็นผมสิครับ”



ไม่น่าปากไวเลยไหมล่ะ...กลายเป็นผมที่หน้าร้อนเสียเอง ยิ่งเถียงไปน่าจะยิ่งเข้าตัว ผมเลยตัดบทมันซะเลย



“รีบกิน จะสายแล้วเห็นไหม”











วันนี้เฟิร์สมีคิวถ่ายด้วย หลังจากวันนั้นที่โรงหนังผมก็ไม่ได้เจอเฟิร์ส ถึงแม้จะไลน์มาขอโทษแล้วก็ตามแต่ผมก็ยังรู้สึกเข้าหน้าไม่ติดอยู่ดี ไม่ใช่เพราะผมติดใจเรื่องนั้นแต่เป็นเพราะผมรู้แล้วว่าเฟิร์สคิดยังไงกับผมต่างหาก



‘ที่ผมไม่ชอบให้พี่อยู่กับมันก็เพราะผมหวง และเพราะผมรู้ว่ามันรู้สึกกับพี่...เหมือนที่ผมรู้สึก’



ทำไมผมไม่เคยรู้เลย แต่พอได้ทบทวนดูดีๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าที่เฟิร์สแสดงออกเหมือนไอ้โซลไม่มีผิด ผมแค่รู้สึกแปลกๆ แล้วก็ทำตัวไม่ถูกเฉยๆ แต่ก่อนคิดว่าเข้าหาเพราะเราอายุเท่ากัน เวลาเฟิร์สเสนอช่วยนั่น ดูแลนี่ก็คิดแค่ว่าตามประสาเพื่อนทั่วไป



“หมาเราคลอดลูกแหละ ซีนสนใจไหม”



“ไม่ไหวหรอก ตัวเดียวก็จะแย่แล้ว” ผมว่า ขณะที่สายตามองซ้ายมองขวา อยู่ๆ ก็อึดอัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น วันนี้ทั้งวันไอ้โซลไม่ยอมให้เฟิร์สเข้าใกล้ผมเหมือนเดิม อย่างที่มันเคยทำมาโดยตลอด ยกเว้นแต่ตอนที่มันเข้าฉาก แล้วตอนนี้ถ่ายเสร็จแต่ทีมงานก็ดึงมันไปไหนก็ไม่รู้



“ถ้าเปลี่ยนใจบอกเราได้ เดี๋ยวเก็บไว้ให้”



“คงไม่อะ เฟิร์สให้คนอื่นไปเถอะ”



ผมพยายามทำตัวเป็นปกติ แต่กลับเอาแต่เลี่ยงสบสายตาที่ส่งมาแปลกๆ นั่น แสร้งก้มหน้าดูบทในมือทั้งที่ก็อ่านไม่เข้าหัวเลยสักนิด



“ซีนยังโกรธเราอยู่เหรอ”



“เปล่า” ผมหันไปมองคนข้างๆ อย่างตกใจ “บอกแล้วไงว่าเราไม่ได้โกรธ”



“แต่วันนั้นเราขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ซีนเสียความรู้สึก”



“ไม่เป็นไร เราแค่ไม่อยากให้ทะเลาะกัน”



“ส่วนที่ซีนถามว่ามีเรื่องอะไรกัน...”



“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร เราไม่รู้ก็ได้”



ไม่รู้จะทำตัวยังไง เฟิร์สเหมือนเดิมทุกอย่าง ตอนไม่รู้ก็ยังคุยปกติได้ แต่พอทำไมรู้แล้วผมเป็นแบบนี้วะ



ผมเริ่มนั่งไม่นิ่ง กลัวว่าเฟิร์สจะพูดสิ่งนั้นออกมา เรานั่งอยู่ตรงนี้กันสองคน คนอื่นไม่มีใครสนใจเราด้วยซ้ำ



“เราว่า...”



“ห...หื้อ?!”



อยู่ๆ อีกคนก็พูดขึ้น ผมสะดุ้ง ปล่อยบทในมือตกลงพื้น



“ซีนดูเหมือนพักผ่อนไม่พอเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”



“นอนดึกน่ะ” ผมก้มลงไปเก็บบทละครที่นอนอยู่บนพื้น พอดีกับเฟิร์สที่เอื้อมมือมา...แต่พอหลังมือผมโดนสัมผัสของเฟิร์สแค่นิดเดียวก็รีบชักมือออกเหมือนโดนน้ำร้อนลวก



“ท...โทษที” ผมแสร้งยิ้ม “เราตกใจน่ะ”



“..ไม่เป็นไร”



อีกฝ่ายดูอึ้งไปนิดก่อนจะยิ้มให้...แต่ในแววตากลับเหมือนจะเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น











ผมไม่มีสมาธิเลย...แม้แต่นิดก็ไม่มี



พยายามจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำตรงหน้า แต่ทั้งตื่นเต้น ประหม่า และก็...อายจนเครียดไปหมด แล้วยังต้องมากังวลกับความรู้สึกผิดลึกๆ ในใจนี่ด้วย



ผมนั่งอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ในห้องเลคเชอร์ แอร์เย็นเฉียบแต่มือผมชื้นเหงื่อ พี่โป้งพูดอะไรก็ไม่เข้าหัวผมสักนิด ได้แต่พยักหน้าไปอย่างนั้น แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ต้องพูดอะไรอยู่แล้ว นั่งนิ่งๆ ให้ไอ้พระเอกมันยื่นหน้าเข้ามาหาก็พอ...



ที่จริงก็ไม่นิ่งหรอก ผมต้องร้องไห้...ทั้งที่ตอนนี้อะไรในหัวเต็มไปหมด ธรรมดาท่ามกลางคนเยอะๆ แบบนี้ก็ร้องไม่ออกอยู่แล้ว พอยิ่งมีเรื่องให้กังวล สมาธิก็กระเจิง หางตาผมเห็นเฟิร์สนั่งอยู่กับพี่ปุ้ย มองมาทางนี้...ทำเหมือนรู้อะไรสักอย่าง



ผมร้องไห้ไม่ได้...ทำยังไงน้ำตาก็ไม่ไหล



พยายามคิดเรื่องที่เศร้าที่สุดก็คิดไม่ออก อยู่ๆ จะมาให้บีบน้ำตาผมทำไม่ได้หรอก



“มึงจะไม่มีเรื่องเศร้าเลยเหรอ”



“ไม่มีนะครับ”



“เออ ไอ้คนชีวิตดี!”



พี่โป้งกุมขมับ เรื่องเศร้าที่ผมพอนึกได้ก็คือตอนเฮียคัทไปเรียนต่อต่างประเทศ ไม่เคยห่างเฮียนานเลยน้ำตาตก ถึงแม้จะบินไปหาได้แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลา ผมเศร้าไปพักหนึ่งแต่ตอนนี้ชินแล้ว ไม่ได้อินแบบตอนนั้นแล้วสักหน่อย



ผมเกาต้นคอ ยิ้มแห้ง ลองคิดตามความรู้สึกตัวละครแล้วนะแต่มันร้องไม่ออกจริงๆ ตอนนี้เริ่มง่วงๆ แล้ว ไม่รู้ใช้น้ำตาตอนหาวได้หรือเปล่า มันจะพอไหม



“ไอ้โซล จัดการดิ๊”



ผู้กำกับทำหน้าหน่าย ปัดความรับผิดชอบมาที่ไอ้พระเอกที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมแทน



“เป็นอะไรครับ ขมวดคิ้ว”



“เปล่า ก็ทำไม่ได้นี่ไง”



“ถ้าผมทำให้พี่เสียใจ พี่จะร้องไห้หรือเปล่า”



“กูจะต่อยมึง”



“โอย น่ากลัว”



แล้วผมก็ทุบปั้กไปตรงหน้าอกมัน



มันหัวเราะ ลูบเบาๆ  ตรงที่โดนกำปั้น ก่อนจะคิดหาวิธีอย่างจริงจัง



“เอางี้นะครับ สมมติว่าผมโดนรถชน…”



“จะแช่งตัวเองทำไมเล่า!”



“สมมติเฉยๆ ลองคิดดูสิครับ เสียใจหรือเปล่า”



เข้าใจว่ามันทำแบบนี้ไปทำไมแต่ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย “ไม่เอา เปลี่ยนเรื่องได้ไหม”



“อืม...”



ผมแกว่งขาไปมา โดนขามันบ้าง เตะอากาศบ้าง จู่ๆ มันก็เอามือมาดันคางให้ผมเงยหน้าขึ้น



“งั้นฟังผม คิดภาพตามนะครับ”



ผมพยักหน้าเล็กน้อย ตั้งใจฟังสิ่งที่มันกำลังจะพูด



“เมื่อวาน...” สีหน้าของมันจริงจัง “ถ้าลุงคนนั้นเบรกรถไม่ทันล่ะก็...”



“…”



“พี่ได้ยินเสียงล้อรถที่บดกับถนนใช่ไหม”



...ในใจผมกระตุกวูบ



“คิดดูสิ ถ้าปิ๊กมี่โดนชน...แล้วเหยียบซ้ำ”



“…”



“มันก็คงสมองไหล ไส้ทะลัก เลือดนองเต็มถนน...”



“เชี่ยโซล กูว่ามันขยะแขยงมากกว่านะ...เฮ้ย...”





“..ฮึก...ไอ้ชั่ว...”





น้ำตาแม่ง...ไหลจริง



...ไหลลงมาเหมือนเขื่อนแตก



ความรู้สึกของเมื่อวานกลับมาอีกครั้ง มันเป็นภาพที่ผมไม่อยากจะคิดถ้าลุงคนนั้นเบรกไม่ทันจริงๆ



ผมไม่เคยสูญเสียสิ่งที่รักไป...แล้วถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น แค่คิดหัวใจก็ดิ่งลงเหวแล้ว



“ฮึก...ฮือ...”



อยากยกมือจะเช็ดน้ำตาออกแต่นึกขึ้นได้ว่าถ่ายอยู่เลยก้มหน้าปล่อยน้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น



ไอ้โซลขยับเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งแนบข้างแก้มผมเอาไว้ และเหมือนเป็นการบังคับให้เงยหน้าขึ้นมองมัน



ตาผมพร่าไปหมด กะพริบตาครั้งหนึ่ง น้ำใสใสก็กลิ้งหล่นลงมา แต่ครั้งนี้มีเรียวนิ้วของอีกคนช่วยเกลี่ยให้แผ่วเบา



“อย่าร้องไห้”



เป็นคำพูดตามบท...ที่ไม่ได้ช่วยให้ผมหยุดร้อง



“อย่าร้อง...”



จนกระทั่งตอนที่ริมฝีปากของมันทาบลงมา...ตอนที่ผมเผลอกลั้นหายใจ



ในหัวไม่หลงเหลือภาพอะไรทั้งนั้น มันว่างเปล่า ร่างกายเหมือนเลือกซึมซับแค่เพียงสัมผัสแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก



เราค้างอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน จนได้ยินเสียงพี่โป้งตะโกนผ่านโทรโข่ง...





 “คัท! ไอ้โซลมึงเอียงหน้าผิดด้าน!”





เราสะดุ้ง ผละออกจากกัน ผมทำหน้าไม่ถูก ไม่กล้ามองหน้าไอ้พระเอกเลย



 “ล...แล้วทำไมพี่ไม่รีบบอกเล่า!”



“เห็นพวกมึงเคลิ้ม กูไม่อยากขัด”



พี่โป้งกระตุกยิ้ม ผมกัดปาก ก้มหน้าลงมองตักตัวเองแทน หัวใจเต้นโครมครามจนอยากจับไว้ให้อยู่นิ่งๆ กลัวไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะได้ยินเหลือเกิน



เราถ่ายกันอีกเทค...และมันก็...



“คัท! ไอ้โซลอย่าด๊วฟ เอาปากแตะเฉยๆ!”



...อีกเทค...



“คัท! ไอ้โซลเอานุ่มนวลหน่อย มึงจะขยี้ทำไม!”



…อีกเทค...



“คัท! กูบอกให้เอาปากแตะเฉยๆ ไง!”



จนเทคสุดท้าย น้ำตาผมกลับไหลลงมาเรื่อยๆ มันไม่ใช่เขื่อนแตกแบบตอนแรก และในหัวผมไม่มีเรื่องปิ๊กมี่อยู่แล้วด้วย



“ไอ้ซีนร้องไม่หยุดเลยทีนี้ พามันไปปลอบไป”



ผมก้มหน้างุด ไม่กล้ามองใคร เดินตามแรงจูงของไอ้โซล มันพาผมเข้ามาอีกห้องหนึ่ง มีแค่แสงอ่อนๆ ของพระอาทิตย์ตอนเย็นส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ก็ดีที่มันจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าผมชัดนัก



“ผมขอโทษ” มันว่าเสียงอ่อย เช็ดน้ำตาให้ผม “ปิ๊กมี่ไม่เป็นอะไร เมื่อเช้าพี่เพิ่งเล่นกับมัน”



“..อืม”



“โกรธผมเหรอ…โกรธก็ได้แต่หยุดร้องก่อนนะครับ ตาแดงหมดแล้ว”



“ไม่ได้...โกรธ” ผมจะขยี้ตาแต่มันจับมือเอาไว้ แล้วขยับเข้ามากอด



“ทำไงถึงจะหยุดร้อง” มันโยกตัวผมไปมาเหมือนปลอบเด็ก “เดี๋ยวเลิกกองพากลับบ้านดีไหม”



“ไม่เอา”



“ผมผิดไปแล้ว ปิ๊กมี่ยังอยู่กับพี่นะครับ”



“ไม่ใช่แบบนั้น” ผมสูดน้ำมูก อยากขยี้ตาอีกรอบแต่มันก็จับมือเอาไว้อีก



“แล้วเป็นอะไรครับ หืม”



ที่จริงมันก็ไม่ไหลแล้วแหละ...แต่ยังสะอื้นไม่หาย ผมกัดปาก แล้วหลุบสายตาลง “..กูอาย”



“ครับ?”



“ก็มึง...” ทุบไปที่หน้าอกมันทีหนึ่ง “ทำตั้งหลายรอบ!”



ตอนนั้นไม่เห็นรอบข้าง ไม่ค่อยมีสติก็จริงแต่สัมผัสนั่นทำใจหวิวๆ ชอบกล จะหลบก็ไม่ได้ จะบอกว่าพอก็ไม่ได้ แล้วมันก็ยังนอกบทอีก...ในบทแค่เอาปากมาแตะๆ เฉยๆ ไม่ใช่ไง!?



“คนก็ตั้งเยอะ กู...ฮือ...” ร้องฮือไปอย่างนั้น ตาแห้งหมดแล้ว ออกจากห้องนี้ผมจะกล้ามองหน้าทีมงานได้ยังไง ปกติก็ล้อจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว



“โทษผมไม่ได้นะ”



ผมเผลอเหลือบขึ้นมองมันและ อา...คิดผิดจริงๆ ที่ทำแบบนั้น



เพราะแค่เผลอสบแววตาลุ่มลึกนั่นไม่ทันไรสัมผัสนุ่มๆ ก็แนบลงมาบนริมฝีปากผมอีกครั้งก่อนจะผละไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความอุ่นร้อนที่ลามไปทั่วทั้งใบหน้า



ผมยืนนิ่งเป็นหินทั้งที่ใจจะระเบิด แต่ก็ไม่ยอมหลบสายตาของมัน



“ฉ...ฉวยโอกาส”



เสียงผมสั่น ทั้งยังเบาหวิว ไอ้โซลยกยิ้ม นิ้วมือของมันยังคงเกลี่ยข้างแก้มผมเล่นอย่างหยอกล้อ



“ก็อย่าเปิดโอกาสสิครับ”



“..ไม่ได้เปิดโอกาส!”



“ชอบทำตัวให้ผมอดใจไม่ไหวอยู่เรื่อย”



“ก...กูทำอะไร ไม่ได้ทำสักหน่อย”



“แล้วที่ช้อนตามองผมเมื่อกี้ล่ะ”



“ก็มึงสูง!”



“ขนาดนั้นเชียว”



“ทีหลังก็นั่งคุยกับกูสิ”



“จะนั่งจะยืนก็เหมือนเดิมแหละครับ” แก้มผมถูกดึงเบาๆ “ยังไงพี่ก็น่ารักมากอยู่ดี”



“..พูดอะไรวะ”



ผมตีมือมัน สะบัดหน้าออก อยากหาอะไรมาคลุมหน้าจริงๆ



“พรุ่งนี้เหมือนจะเลิกกองเร็ว อยากไปไหนไหม”



ผมเอามือถูจมูก ส่ายหน้า “อยู่ห้องดีกว่า”



“ไม่อยากกลับบ้านเหรอครับ”



“ค่อยกลับวันที่ไม่มีถ่ายก็ได้” อีกไม่กี่วันเอง “พรุ่งนี้จะได้มีเวลาทำอาหารด้วย ซื้อไว้ยังไม่ได้ทำเลย”



ส่วนมากเลิกกองแล้วก็กลับไปนอน ตื่นเช้ามากินข้าวที่กอง ไม่ได้แตะครัวเลยถ้าไม่ได้หยุดจริงๆ แต่พอหยุดก็ไปบ้านผมอีก กลัวของจะเสียซะก่อน



“ดีเลย จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน”



“..ก็อยู่ตลอด” ทำอย่างกับเคยห่าง



“แก้มแดงๆ นี่มันน่า...”



“อย่านะเว้ย” ผมถอยหนี ประกายวิบวับในตามันทำให้ผมรู้สึกถึงอันตราย ไม่รู้ว่าอยู่กับมันไปนานๆ เข้า สักวันอาจเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า



“โทษผมไม่ได้จริงๆ พี่ทำตัวเองทั้งนั้น”



ผมปิดปากมันเอาไว้ ลมหายใจร้อนๆ ที่กระทบมือทำเอารู้สึกหวิวในอก ผมถอยจนสะโพกติดกับโต๊ะ ไอ้โซลกดหน้าลงมาทั้งที่มือผมบังอยู่



“ไม่เอา พอแล้ว”



“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” มันว่าเสียงอู้อี้



“แต่มึงกำลังจะทำ”



ผมพยายามดันหน้ามันออกไป แต่ใครจะไปสู้แรงมันได้ เบี่ยงหลบก็ไม่ได้ติดแขนมันอีก



“ออกไปนะเว้ย” ใช้สองมือขยำหน้ามันแม่งเลย อีกคนร้องโอย ผมหัวเราะจนตาปิด



“หน้าผมยับหมดแล้ว”



“งั้นก็ออกไปยืนห่างๆ”



“ยอมหน้ายับดีกว่า”



“ไอ้บ้า จะหยุดไม่หยุ—”



ผมชะงักเมื่อเห็นบางอย่างตรงประตู



“หือ มีอะไรครับ”



“..เปล่า” ผมดึงมือกลับ “ออกไปข้างนอกกันเถอะ”



เมื่อกี้เห็นเงาคนแวบๆ ห้องนี้อยู่อีกชั้นหนึ่งตอนลงมาไม่เห็นมีใคร แต่คงจะเป็นทีมงาน มาเห็นเราในห้องนี้ไม่ดีแน่ ผมไม่อยากโดนล้อไปมากกว่านี้หรอกนะ



ไอ้โซลเลิกคิ้วเหมือนยังคงสงสัย แต่ผมบอกปัดไปว่าไม่มีอะไร







-

ทำไมสั้นลงเรื่อยๆ ฮือ

ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากๆ ค่ะ ติชมได้น้า ^ ^

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 02-06-2017 19:33:39
น่ารักขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: tang ที่ 02-06-2017 20:21:16
เย้ๆๆ ขอบคุณครับ น่ารักๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 02-06-2017 20:36:38
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-06-2017 20:48:46
กลัวใจจะมีดราม่า หวาดระแวงไปหมด  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-06-2017 20:55:18
ตอนนี้โซลได้กำไรเยอะนะ หลายเทค  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-06-2017 21:06:15
โซล ซีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

บางทีก็นึกสงสารเฟิร์ส รักซีน แต่ซีนรักโซล

ตอนแรกซีน เค้นน้ำตายังไงก็ไม่ไหล
พอโซล บิ้วอารมณ์ น้ำตาไหลพรากๆเลย
พอไหล ก็ไหลไม่หยุด  ที่แท้อายที่โซลจูบเอาๆ

จนพี่ป๋องต้องสั่งให้โซลไปเบรกน้ำตาซีน
คนที่มาลับๆล่อๆหน้าห้อง จะใช่เฟิร์สมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 02-06-2017 21:06:35
งุ้ยยยยพระเอกจอบเนียน จูบไปหลายเทคเลยนะ พี่ซีนเปลืองตัวหมด อิ๊ ทั้งขยี้ ทั้งด๊วฟ :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 02-06-2017 22:35:21
อ่านทันแล้ว ดีจาย

เรื่องสนุกดี จีบกันได้น่ารักมากๆๆๆๆ
นี่มันวิถีชิปเปอร์ชัดๆ มม มาต้องชงต้องชิปเอาไปเวิ่นเว้อในทวีต
เหมือนเห็นตัวเองเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 03-06-2017 01:03:52
ใครตามมารึป่าว

โซลพระเอกของเรากำไรเห็นๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 03-06-2017 04:13:30
โซลนอกบทรัวๆเลยนะเนี่ยยย
หวังได้ต่ออีกหลายๆเทคละซิ
ขำซีนอะ ร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุดเพราะอาย555
นี่ว่าคนตรงประตูต้องเป็นเฟริสแน่ๆๆๆๆ
รอค่าาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 03-06-2017 07:47:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 03-06-2017 09:00:51
โอย เค้าจีบกันค่าาาาา น่าร้าก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 18 - (02/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 03-06-2017 11:39:27
โซลแกตั้งใจใช่ไหมมม จุ๊บไปตั้งหลายที555555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 08-06-2017 22:48:36



ตอนที่ 19







@oohhoo

เมื่อวานเราอยู่สวนสาธารณะของหมู่บ้านตั้งหลายชั่วโมงไม่เห็นสองคนนี้เลย ไปวันไหนกันคะ ฮือ ต่อไปจะรอที่สวนทุกวันเลย พลาดแรง #โซลซีน



@nongwaii

ไหนเจ้าของหมาอะ เห็นแต่แฟนเจ้าของหมา #โซลซีน



@nefdb91

ไปบ้านเขานี่ไปฝากตัวเป็นลูกเขยแล้วถูกมะ? #โซลซีน



@kungpeuak

คู่นี้มาบ้างหายบ้าง แต่เรียลทุกรอบเลยนะคะ #โซลซีน



@ishipyounaokay

กัปตันโซลเคยทำให้ผิดหวังที่ไหน! #โซลซีน



@behindsoulscene

ชีวิตจริงเหมือนจะหวานกว่าในจออีกนะคะสองคนนี้ แอร๊ยย #โซลซีน





ผมเพิ่งเห็นว่าไอ้โซลลงคลิปไปเมื่อวาน ทั้งคลิปที่ผมเล่นกับปิ๊กมี่ แล้วก็คลิปตอนมันพาปิ๊กมี่ไปวิ่งเล่น แฟนคลับก็ทวิตกันสนุกสนานเหมือนเดิม หลังๆ มานี้ผมเพิ่งเห็นว่ามีแอคเคาท์หนึ่งที่ตั้งขึ้นเพื่ออัปเดตข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของผมกับไอ้โซล เห็นเรียกกันว่าบ้านคู่อะไรทำนองนั้น



“ซีนชอบให้สร้างกระแสเหรอ”



“หือ” ผมส่งเสียงในลำคอ ส่ายหน้า โรลมัทฉะเต็มปาก เฟิร์สเอามาฝากจากร้านของเพื่อนที่เคยจะพาผมไปนั่นแหละ อร่อยดี วันหลังคงต้องไปบ้างแล้ว



“ซีนดูมีความสุขที่เห็นพวกเขาพูดคุยกันแบบนั้นนะ”



“อ่า...” กลืนเค้กลงคอ กดล็อกหน้าจอ “เราแค่ไม่ได้อึดอัดอะไร ที่เขาคุยกันก็น่ารักดี”



“อย่างนั้นเหรอ” เฟิร์สพยักหน้ายิ้มๆ “มีแฟนคลับเมนชั่นมาถามว่าเมื่อไหร่เราจะออกไปข้างนอกด้วยกันอีก เราไม่รู้จะตอบว่ายังไง”



“เราทำตามที่พวกเขาบอกตลอดไม่ได้หรอกน่า” ผมบ่ายเบี่ยง ก็ไม่เชิงว่าไม่อยากไปไหนกับคนข้างๆ หรอกแต่ไม่อยากให้มีปัญหากับไอ้โซลมากกว่า



“เฟิร์สไม่กินอะ”



“ไม่ล่ะ มองซีนกินก็อิ่มแล้ว”



ผมทำเป็นหัวเราะแหะๆ “พูดอะไรเนี่ย”



“พูดความจริง” อีกฝ่ายสวนกลับทันที “เห็นซีนชอบก็อิ่มใจไปหลายวัน”



ผมยิ้มค้าง ยกขวดน้ำขึ้นดื่มไปหลายอึก เมื่อวานผมคิดว่าเฟิร์สจะรู้แล้วด้วยซ้ำว่าผมรู้ว่าเฟิร์สคิดยังไง รู้สึกผิดแทบตายที่เผลอทำอาการแบบนั้นใส่ แต่พอมาวันนี้เฟิร์สกลับดูรุกมากกว่าเดิมอีก



“ซีนดูสนิทกับโซลมากเลยเนอะ”



“อ้อ ก็มันเป็นรุ่นน้อง...เอ่อ ของเพื่อนน่ะ อยู่คณะเดียวกับเพื่อนสนิทเรา ช่วงก่อนถ่ายทำก็มีไปซ้อมด้วยกันบ้าง”



“ชักอิจฉาบทพระเอกซะแล้วสิ”



“บทพระรองก็สำคัญออก แฟนคลับเขาก็ชอบเฟิร์สกันนะ เรื่องนี้คาร์แรคเตอร์เฟิร์สเหมาะกับบทนี้ ไม่ใช่ว่าเฟิร์สจะเป็นพระเอกเรื่องอื่นไม่ได้สักหน่อย”



“ที่จริงเราไม่ได้หมายความแบบนั้น” อีกคนหัวเราะ “แต่ก็ขอบคุณ เรื่องหน้าเราอยากแสดงกับซีนอีกนะ”



“คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรามาแสดงเรื่องนี้เพราะม้าขอร้อง ไม่ได้อยากเป็นนักแสดง”



“จริงเหรอ น่าเสียดายจัง”



“แต่เราเจอกันที่อื่นได้นะ หมายถึง...ก็ยังเป็นเพื่อนกันนี่” ผมรีบว่าขึ้นเมื่อเห็นหน้าอีกคนหมองลง



“อืม เราเข้าใจแล้วแหละ”



เฟิร์สจ้องหน้าผมนิ่ง มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ



“เจอซีนครั้งแรกเราว่าซีนน่ารักมากเลย”



“ฮ..เฮ้ย ใครให้ชมผู้ชายด้วยกันแบบนั้นเล่า..”



“ยิ่งรู้จักก็ยิ่งน่ารัก”



“เราไม่ได้น่ารัก!”



“จำที่เราให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันบวงสรวงได้ไหม”



“…”



“เราไม่ได้พูดเล่นนะ”











วันนี้ถ่ายทำที่มหา’ลัยวันสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะย้ายไปถ่ายที่สตูดิโอ ทั้งวันไอ้โซลมีเข้าฉากกับหนิง ขณะเดียวกันผมก็เข้าฉากกับเฟิร์สตลอด



ไอ้โซลยืนห่างออกไปไกล ถูกล้อมด้วยทีมงานที่คอยซับเหงื่อกับเติมหน้าให้มัน ข้างกันคือหนิงกับพี่โป้ง พูดคุยเรื่องบทกันอยู่ หนิงหันมายิ้มให้ ต่างกับไอ้โซลที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ มันบอกให้ผมอยู่ห่างๆ จากเฟิร์สตั้งแต่เช้า แต่ผมทำได้ที่ไหนกันล่ะ



“ร้อนแฮะ”



“คงร้อนจริง ปกติซีนไม่เหงื่อออกขนาดนี้”



อากาศตอนสี่โมงเย็น พระอาทิตย์ทำงานเหมือนแปดโมงเช้า ร้อนจนแสบผิว เหงื่อไหลเปียกเสื้อไปหมด ผมไม่มีฉากที่ต้องถ่ายแล้ว เฟิร์สเหมือนกัน ไอ้โซลกับหนิงกำลังถ่ายฉากสุดท้ายของวันนี้ รอไอ้โซลเสร็จก็ได้กลับห้องแล้ว



บทในมือผมยู่ยี่ไปหมด เหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือเพราะใช้มันแทนพัดนี่แหละ



สายตาผมจับจ้องไปที่ไอ้โซล เวลามันจริงจังกับการทำงานดูดีกว่าตอนยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยเสียอีก ทั้งแววตา สีหน้า น้ำเสียง มีอะไรที่มันทำไม่ได้บ้าง!



...อ้อ ทำกับข้าว



อยู่ๆ มันก็ตวัดสายตาจ้องเข้ามาในกล้อง ดีที่เก็บอาการได้ทัน ผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกระงับอาการเต้นรัวของหัวใจ พี่โป้งนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์แท้ๆ กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ทำแต่หน้าดำคร่ำเครียด ผมกัดปาก บ้าเอ๊ย...แล้วหน้าผมจะร้อนขึ้นมาทำไมวะ



“ซีนหันหน้ามาหน่อย”



“มีอะไร...เหรอ” หมวกบนหัวเฟิร์สย้ายมาอยู่บนหัวผมแทน เจ้าตัวจัดแจงให้เสร็จสรรพ แถมยังเช็ดเหงื่อบนหน้าผากผมออกไปให้ด้วย ผมคอแข็ง ไม่กล้าหันหนี



“ไม่อยากให้ผิวขาวๆ โดนแดด”



“ข...ขอบคุณ...ที่จริงเราก็ยืนในร่ม หมวกนี่...”



“ใส่ไว้เถอะ”



ผมทำตัวไม่ถูก จับปีกหมวกขยับไปมาเล็กน้อย ก่อนจะสะดุ้งกับสัมผัสที่ข้างแก้ม



“อย่างกับไปอาบน้ำมาแหนะ” เฟิร์สเอากระดาษมาซับหน้าให้ ผมเกือบเผลอตัวเบี่ยงหลบแต่ก้อนความรู้สึกผิดของเมื่อวานกลับเป็นตัวที่ทำให้ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น



“..เราทำเองดีกว่า”



“เงยหน้าขึ้นหน่อย”



“ไม่เอา...ไม่เอาแล้ว”



ผมหดคอหนี ไม่ได้ตกใจกับสัมผัสนั้นเพียงแต่ตกใจกับท่าทีแปลกไปของเฟิร์ส ผมถอยออกห่างแต่นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรทำแบบนั้น



“เอ่อ...ขยับเข้ามาหน่อยสิ แดดมันไล่น่ะ”   



“ไม่เห็นแดดเลย”



“..ก็เขยิบเข้ามาเถอะ ตรงนี้ร้อนน้อยกว่า”



“แบบนี้เหรอ”



ผมเกือบจะหลุดอุทานคำหยาบออกไปแล้ว เฟิร์สก้าวเข้ามาประชิดจนตัวผมแทบหงายไปข้างหลังแต่อีกคนเอามือโอบเอาไว้ก่อน



“ท...ทำอะไร”



“ทำตามที่ซีนบอกไง”



“คือมัน...มากไป”



ค่อยๆ ดันตัวอีกคนออก แต่เฟิร์สแทบไม่ขยับ



“อย่าแกล้งเราเลย ตรงนี้คนเยอะด้วย”



“แล้วถ้าตรงนี้มีแค่เราล่ะ”



“ไม่...ไม่ คือปล่อยเราก่อน ตัวเรามีแต่เหงื่อ”



“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”



“อย่าเล่นแบบนี้เลย ปล่อยเถอะ”



“เราจริงจังนะซีน”



“ไม่เอาน่าเฟิร์ส คนอื่นเห็นแล้วจะไม่ดีนะ”



ผมเริ่มร้อนรน เรากระซิบกระซาบกันอยู่ทางด้านหลัง ส่งเสียงดังไม่ได้ ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เสียงพี่โป้งสั่งคัททำเอาผมสะดุ้ง ลุกลี้ลุกลนพยายามดันเฟิร์สออกไป กลัวไอ้โซลมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่อง



“ไม่แกล้งแล้วก็ได้” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ถอยห่างจากอีกคนมาเล็กน้อย “กลัวเหรอ”



“..เปล่า แค่ตกใจน่ะ” เฟิร์สเคยถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้กับผมที่ไหนล่ะ



จากที่เราเหมือนจะเข้ากันได้ดีกลับกลายเป็นความกระอักกระอ่วน เฟิร์สไม่ได้ผิดที่รู้สึกแบบนั้นเพียงแต่สิ่งที่เฟิร์สทำนั้นทำให้ผมอึดอัด



“ซีนยังอยู่กับเด็กนั่นอยู่ไหม”



“ก็...อยู่ ทำไมเหรอ”



“มาค้างที่ห้องเราได้นะ คอนโดเราใกล้สตูกว่า ทำงานทั้งคืน เดินทางนานๆ ซีนจะยิ่งเหนื่อย”



“ไม่เป็นไร เฟิร์สมีไม่กี่ฉากเองนี่”



“ไปส่งได้ ไม่ต้องเกรงใจ เราอยากดูแลซีน”



ผมเกือบจะโพล่งออกไปว่าผมดูแลตัวเองได้แล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่ามีคนที่มาใหม่โพล่งขึ้นก่อน



“เหนื่อยก็พัก ง่วงก็นอน ผมขับรถให้ได้ อุ้มขึ้นห้องก็ยังได้ จะย้ายไปห้องคนอื่นทำไมให้วุ่นวาย ยุ่งยาก จุ้นจ้าน!”



“เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่แต่เหนื่อยใจนี่สิ จะทนอยู่กับเด็กที่ใช้แต่อารมณ์แบบนี้น่ะเหรอ”



“ก็ดีกว่าต้องไปอยู่กับคนที่ไม่อยากอยู่ด้วยล่ะวะ”



“โซล” ผมเอ่ยปราม แม้ว่าจะมีเสียงโหวกเหวกของทีมงานรอบกายแต่ใช่ว่าพวกมันพูดกันเบา



“กลับกันเถอะ”



ไอ้โซลจ้องเฟิร์สเขม็ง ผมยืนคั้นกลางทั้งสองเอาไว้ เฟิร์สเอาแต่ทำหน้ากวนตีนใส่มัน หนิงกลับไปทันทีที่ถ่ายเสร็จเพราะมีงานต่อ ตัวช่วยอื่นก็หาไม่เจอเพราะมีแต่ทีมงาน และผมก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันด้วย



“เหนื่อยหน่อยนะซีน”



ไอ้โซลรู้ว่าโดนยั่วโมโหแต่ขณะเดียวกันมันก็หงุดหงิดเฟิร์สมาทั้งวันแล้วเหมือนกัน



“กูอยากกลับแล้ว”



เด็กตัวสูงพ่นลมหายใจ ก่อนจะคว้าแขนผมเดินกระแทกไหล่เฟิร์สออกมา





...





“อยาก...อยากกินอะไร”



ให้ตาย ทำไมผมต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ด้วย



“แล้วแต่พี่เลยครับ”



เจ้าของห้องโยนข้าวของลงโซฟา ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน



หมวกของเฟิร์สผมเอาไว้เบาะหลังรถมัน ตอนแรกเหมือนมันอยากจะขว้างทิ้งแต่ผมห้ามไว้ก่อน ยังไงก็ต้องเอาไปคืนเจ้าของ ไอ้โซลเงียบมาตลอดทาง ผมชวนคุยก็ถามคำตอบคำ ผมรู้ว่ามันไม่ได้โกรธผมแค่ยังคงหัวเสียเรื่องของเฟิร์สอยู่ แต่ทำไมต้องไม่คุยกับผมด้วยวะ



ผมตามเข้าไปในห้อง เห็นมันกำลังถอดเสื้อออก



“จะอาบน้ำเหรอ”



“พี่ไปอาบก่อนเถอะ เหนียวตัวนี่”



“มึงอาบก่อนก็ได้ เดี๋ยวทำกับข้าวรอ”



“ไม่เป็นไรครับ” มันว่าแค่นั้น ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ 



ผมลังเลว่าควรทำตามที่มันบอกหรือทำให้มันยอมพูดกับผมเหมือนเดิมก่อนดี แต่พอผมตัดสินใจก้าวตามหลังมันไป มันก็หันหน้ากลับมา ทำเอาซะผมเกือบเบรกแทบไม่ทัน



“ยิ่งมีคนมาวุ่นวายกับคนของเรามากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เราอยากแสดงความเป็นเจ้าของมากเท่านั้น”



“...ฮะ”



“พี่น่าจะรู้ว่าผมโคตรหวงพี่”



ผมตาโต อ้าปากค้าง อะไรวะ จู่ๆ ก็มาพูดอะไรแบบนี้



“อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้ผม” อีกฝ่ายเอ่ยห้าม นัยน์ตาไม่มีวี่แววของการหยอกล้อ “เพราะถ้าผมระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ พี่ได้วิ่งหนีผมแน่”



โอเค เข้าใจแล้ว พอมันพูดจบผมก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปเลย







ออกมานอกห้องนอนก็เห็นมันยืนอยู่ตรงระเบียง ไอ้โซลหันหน้ามาทางนี้ ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่า พอเห็นผมมันก็กระตุกยิ้มบาง



“เท่มากไง”



“แล้วหน้าแดงทำไมครับ”



ผมจิ๊ปาก “อารมณ์ดีแล้ว?”



“ยังอยากต่อยมันเหมือนเดิม”



“ห้ามนะเว้ย”



“ผมรู้น่า” ว่าเสียงฉุน “ไม่รับประกันนะถ้ามันมายุ่งกับพี่มากกว่านี้”



“เฟิร์สไม่ทำอะไรหรอก มึงอยู่ห่างๆ ก็พอ”



เอานิ้วมาแตะแก้มผมเบาๆ “พี่ต่างหากต้องอยู่ห่างๆ มัน”     



“เออน่า พรุ่งนี้ถ่ายกับเฟิร์สไม่กี่ฉากก็เสร็จแล้ว” คงได้เจอเฟิร์สอีกทีวันเลี้ยงปิดกล้อง



ไอ้โซลดูยังหัวเสียอยู่นิดๆ “ก็ดีครับ”



ของสดที่ซื้อมามีไม่เยอะเท่าไหร่ ตอนนั้นหยิบๆ มาเผื่อไว้ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรเป็นพิเศษ ผมทำยำรวมมิตรกับแกงจืด ผมไม่ค่อยกินเผ็ดแต่ไอ้โซลชอบ ตอนนี้กำลังจะทำไข่เจียวใส่หอม อยู่กันสองคน สามอย่างก็น่าจะพอแล้ว



“ให้ผมช่วยได้ยัง”



จากที่มันทำเต้าหู้ในแกงจืดเละก็ไม่อยากให้มันมายุ่งอะไรอีก แต่เห็นความพยายามผมเลยให้มันคอยหยิบนู่นหยิบนี่ให้



“เคยเจียวไข่ไหม”



“นานมาแล้ว แต่ผมทำได้”



มองมันตอกไข่อย่างเก้ๆ กังๆ ก็ชักจะไม่ไว้ใจ ผมดึงถ้วยมาทำเสียเอง ตักเปลือกไข่ที่ตกลงไปออก ตอกลงไปอีกฟองแล้วเอาให้มันตี ส่วนตัวเองเอาเขียงกับมีดมาเตรียมไว้       

   

“ขอหอมหน่อย”



“หื้อ มาแปลก” มันทำตาโต “กี่ทีดีครับ”



“อย่ามากวนตีน”



“อะไรกัน พูดจากำกวมเองแท้ๆ” ว่าพลางส่ายหน้า “หลอกให้ผมดีใจแล้วยังมาทำหน้าดุใส่อีก”



ผมพูดไปแบบไม่ได้คิดอะไรต่างหาก ชิ! เดินไปหยิบเองก็ได้วะ



“จะว่าไปแล้วซ้อมฉากในห้องครัวอีกรอบก็ดีนะครับ”



“ซ้อมไปคนเดียว ไม่ก็เดี๋ยวไปหยิบหมอนข้างมาให้”



“ใจร้ายตลอด” ไอ้โซลโคลงศีรษะ “แต่ที่จริงถ้าตัดฉากนี้ออกได้ก็ดี”



“ทำไมล่ะ” ไม่ใช่ว่าผมอยากทำหรอกนะ เพียงแต่เห็นมันพร่ำๆ อยากถ่ายฉากนี้บ่อยๆ ต่างหาก



“ไม่อยากให้ใครเห็นพี่ในท่าทางแบบนั้น…นอกจากผม”



ไอ้โซลวางส้อมลงในตอนที่หน้าผมร้อนวูบขึ้นมา อีกฝ่ายเดินไปตั้งกระทะ เปิดเตาแก๊สแล้วเทน้ำมันลงไป เห็นอย่างนั้นเลยถอดผ้ากันเปื้อนออก มันคงทำได้จริงอย่างที่ว่าแหละ



ฉากนั้นที่จริงมันก็ไม่ใช่ฉากอีโรติกอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าความพอใจของพี่โป้งจะต้องทำขนาดไหน จะว่าไปผมคิดว่ายากกว่าฉากร้องไห้เสียอีก แค่คิดก็เครียดแล้วเนี่ย



พอเห็นผมหน้าขึ้นสี ไอ้คนพูดก็ยกยิ้มมุมปาก เออ ได้ใจเข้าไป ผมสะบัดหน้าใส่ พอดีกับโทรศัพท์บนเคาน์เตอร์แผดเสียง



เห็นชื่อคนโทรเข้ามาก็แทบกุมขมับ ไอ้คนที่เทไข่ลงกระทะเพิ่งอารมณ์ดีได้แล้วเชียว หาเรื่องให้มันหน้าบูดอีกแล้ว ผมลังเลแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกดรับ



“ฮัลโหล”



(ทำอะไรอยู่เหรอซีน)



“เรา...กำลังทำอาหารน่ะ”



(อ่า...โทรมาช้าไปเหรอเนี่ย ว่าจะชวนออกมากินข้าวข้างนอกน่ะ)



“โทษที...”



(ไม่หรอก ขอโทษที่รบกวน แค่คิดว่าหลังจากพรุ่งนี้เราก็จะไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว...เราไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์..)



ประโยคหลังแผ่วลงจนผมต้องเอาโทรศัพท์แนบกับหูตัวเองมากขึ้น



“ไว้วันหลังนะ...”



“ไม่มีวันหลัง” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู ผมสะดุ้งหันกลับไปพอดีกับที่ไอ้โซลวางแขนไว้กับเคาน์เตอร์ ก้มลงมาฟังคู่สนทนาปลายสายที่ส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก



(ซีนจะมีเวลาส่วนตัวบ้างหรือเปล่า)



“ไม่เกี่ยวกับมึง”



“เอ่อ...เฟิร์ส..”



(เด็กก็แบบเนี้ย ค่อนข้างงี่เง่านะว่าไหม)



“แค่นี้ก่อนนะ”



ผมกดตัดสาย  ตบไหล่ไอ้โซลเบาๆ เพื่อบอกให้ใจเย็นลง



“เฟิร์สจะชวนออกไปข้างนอก” ไม่รู้ว่ามันได้ยินที่คุยกันทุกประโยคไหม แต่ผมแค่อยากบอก “ถึงไม่ได้บอกมึงว่าวันนี้เราจะทำอาหารกันกูก็ไม่ไปหรอก”



เด็กตัวโตพ่นลมหายใจฮึดฮัด ไม่ใช่ว่าไอ้โซลก้าวก่ายสิทธิ์ของผม เฟิร์สเองก็ไม่ได้ผิดเพียงแต่เฟิร์สไม่รู้ว่าสถานะผมกับไอ้โซลเปลี่ยนไปแล้วแค่นั้นเอง



“ไม่เอาน่า ยังไงก็ไม่ได้คิดอะไรกับเฟิร์ส”



“ผมรู้”



คนตรงหน้ายังทำหน้าบึ้ง ผมเลยเอื้อมมือไปขยี้หัวมัน



“กูก็อยู่กับมึงนี่ไง”



สายตามันอ่อนลง รอยยิ้มบางเบาค่อยๆ ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันระยะห่างของเราก็ลดลง ผมหลับตา ปล่อยร่างกายไหลไปกับความรู้สึก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น รับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย





ก่อนที่อะไรบางอย่างจะทำให้ผมลืมตาโพลง...



“ได้กลิ่นอะไรไหม้ๆ ไหม”



“ไม่นะครับ”



ผมหันไปมองที่มาของกลิ่น...ไม่อะไรล่ะวะ...



แล้วไอ้แผ่นดำๆ ท่ามกลางควันนั่นคืออะไร!?





“ปิดเตาแก๊สเร็ว!!”







-

ได้จูบพี่ซีน ครัวไหม้ก็ยอม------

.......ขอคนละหนึ่งคอมเมนท์หน่อยนะคะ ติชมได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ T T …….

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน 

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 08-06-2017 23:06:22
กำลังจะดีเลย 5555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 08-06-2017 23:07:07
โซลเหนื่อยหน่อยนะคู่แข่งรุกแรงเหลือเกิน
แต่ได้พี่ซีนมายังไงก็คุ้มค่าละนะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-06-2017 23:10:01
 :sad4: ทำไมไม่ปิดแก๊สก่อนคุยกันนะ  :ling1: ไข่ไหม้ขัดจังหวะมาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 08-06-2017 23:54:18
โอ้ยยยยยยยยยยย

ขัดใจ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-06-2017 00:09:47
ช่างยุช่างยั่ว(โมโหหึง)เหลือเกิน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 09-06-2017 00:11:14
โถ่เอ้ย เลิกกินไข่เจียว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 09-06-2017 00:42:07
ไฟเกือบไหม้ครัวกันเลยทีเดียวค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-06-2017 00:50:29
เฟิร์สรุกจนน่ากลัวเกินไปอ่ะ ถึงไม่มีโซลเป็นซีนเราก็ไม่ชอบ อึดอัด วอแวมากกก  :mew5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 09-06-2017 01:01:04
ตอนโซลโผล่มานี่ในหัวคิดอย่างเดียวเลยนะ
แล้วไข่เจียวละ...
5555555555 สายแดกที่แท้ทรู ห่วงของกินยิ่งชีพ
คนนี้จริงจัง ครัวพังก้ยอมม ใช่มั้ยโซลล
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 09-06-2017 06:58:19
เฟิร์สรุกแรงมาก อึดอัดแทนซีนเลยอะ อยากรู้ถ้าวันนึงโซซีนประกาศความสัมพันธ์แล้วจะเป้นไง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-06-2017 07:53:30
เฟริส เลิกปิดตา เราว่านางดูออกว่า 2 คนนั้นเค้าสถานะเปลี่ยนแล้ว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 09-06-2017 14:38:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 09-06-2017 15:11:39
เฟิร์สน่าจะรู้แล้วล่ะว่าความสัมพันธ์โซลซีนมันเปลี่ยนไปถึงได้รุกหนักจนซีนอึดอัดขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 09-06-2017 16:27:58
เฟิร์สน่าสงสาร แต่ไม่ชอย ผู้ขี้ตื๊อ 555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 09-06-2017 16:32:53
โซลลูกกก ใจเย็นเย๊นนนนน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 09-06-2017 18:00:40
แบนนังเฟิร์สค่ะ คนเขาไม่มีใจนี่ไม่รู้สึกตัวเหรอ หึ =^=
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: noppnopp ที่ 10-06-2017 08:09:49
พ่อหนุ่มเอ๊ยยย ไข่เจียวไหม้ไปอี๊กกกก เรื่องทำอาหารนี่สกิลติดลบจริงๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 10-06-2017 17:09:34
รอวันเด็กมันทนไม่ไหว อิอิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-06-2017 13:25:59
โถ่ ไข่เจียวไม่น่าไหม้เลย :ling1:
เฟิร์สรุกหนักแบบนี้เป็นใครก็อึดอัดเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 12-06-2017 14:36:44
ซีนเป็นประเภทบุคคลที่เราไม่ชอบเลย
แบบว่าจะขัดใจทุกครั้ง ถ้าต้องเห็นหรือรู้ว่าเป็นแบบนี้
จริงๆซีนก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก มันเป็นเรื่องนิสัย ตัวตนของใครของมันอะ
แต่เราเห็นแล้วขัดใจ เราแค่รู้สึกว่า ซีนค่อนข้างเป็นคนลังเล
ไม่ชัดเจนและที่สำคัญคือแคร์คนอื่นมากไป แบบแคร์ดะไปทั่ว
ไม่จัดระเบียบความสำคัญของบุคคลรอบข้าง
ว่าคนไหนควรแคร์คนไหนไม่ควรแคร์
นี่ถ้าเป็นโซล นี่จะไม่เชื่อคำพูดซีนเลย พูดอีกอย่าง
แต่ก็ไม่เคยทำให้เห็นว่าตัวเองทิ้งสเปซกับคนอื่นเลย
ยิ่งกับเฟิร์ส รู้ทั้งรู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนคิดยังไง ก็ยังจะไม่ชัดเจน
ก่อนหน้ายังพอว่า แต่ตอนนี้ตัวเองก็คบซีนแล้วปะ
ยิ่งพิมพ์ยิ่งอิน รู้สึกว่าถ้าจะมีใครทำร้ายความรู้สึกโซล
คนๆนั้นจะต้องเป็นซีนโดยไม่ต้องสงสัยอะ
ถ้าซีนคิดว่าตัวเองหนักแน่นพอแล้ว
ขอบอกเลยว่าไม่ได้แม้แต่เศษฝุ่นของโซลเลย

เป็นโซลนี่เหนื่อยเลย แต่รักใครรักมันอะนะ
ในเมื่อรักเขา ทนเอาก็แล้วกัน
หวังว่าซีนจะรู้ตัวในเร็ววันว่าที่ทำอยู่เนี่ย
เผลอทำร้ายคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนมาหลายรอบล่ะ

ด้วยรักและความอินค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 19 - (08/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 13-06-2017 04:51:08
ขัดใจซีน ช่างเป็นประเภทประเมินคนอื่นต่ำ และห่วงคนอื่นมากเกินไป พูดไปชัดๆ น่าจะดีกว่า แอบฮาตอนทอดไข่ทิ้งไว้จนไหม้นี่ล่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 15-06-2017 21:15:51


ตอนที่ 20







“รู้แล้วๆ เราไม่เบี้ยวหรอกน่า”



(ถึงวันห้ามหาข้ออ้างนะ ไม่งั้นจะไปรออยู่บ้านเลย)



“เชิญไปรอได้เลย”



(โอ๊ะ ลืมไป ซีนไม่ได้อยู่บ้านนี่)



ผมย่นจมูก กิ๋งเพิ่งกลับถึงไทย เหยียบพื้นสนามบินปั๊บก็โทรมาปุ๊บ ไม่รู้ไปนัดไอ้จั๊มพ์กับพีมไว้ตอนไหน แต่เสาร์ที่จะถึงนี้ผมต้องไปร่วมแจมด้วย ที่จริงกิ๋งอยากสัมภาษณ์เรื่องผมแบบที่พีมว่านั่นแหละ นึกแล้วก็ต้องถอนหายใจ โดนซักจนสะอาดแน่



(เอาน้องโซลมาด้วยก็ดีนะ)



ผมเหล่มองคนที่นั่งดูบทอยู่ข้างๆ “ไม่รู้ ดูก่อน”



(หยุดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ)



“ก็ให้มันมีธุระของมันบ้างสิ”



เหมือนรู้ว่าถูกพูดถึง เจ้าของหัวข้อสนทนาหันมาเลิกคิ้วใส่



“พามันไปหากิ๋ง ก็ติดกับดักน่ะสิ”



ปลายสายหัวเราะร่วน (โถ่ ซีนก็...)



ไม่ใช่ไอ้โซลนะ ผมนี่แหละที่จะติดกับดักของกิ๋ง ไอ้นี่หน้าหนาจะตาย ไม่ต้องทายเลยว่าวันนั้นใครจะโดนรุม



(เอาเป็นว่าเจอกัน เดี๋ยวโทรมาคอนเฟิร์มเวลาอีกที)



“โอเคๆ กลับบ้านดีๆ ล่ะ”



เจ้าตัวรับคำเสียงสดใส เรื่องอย่างนี้ชอบนักแล



วางสายจากกิ๋งได้ไม่นาน หนิงก็มา หอบของมาพะรุงพะรัง คนนี้ชอบซื้อของมาฝากคนในกอง ขุนคนอื่นแต่ตัวองกลับไม่แตะสักนิด อ้างรักษาหุ่นอยู่นั่น



“ว่าไงจ๊ะ วันนี้ต้องยืมตัวคุณพระเอกอีกวันแล้ว” เมื่อวานหนิงถ่ายกับไอ้โซลทั้งวัน วันนี้ถ่ายต่ออีกฉากเดียวก็เสร็จในส่วนของหนิงแล้ว



“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไง ใช่ซี่ เป็นตัวจริงนี่” โดนแบะปากใส่ทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยอะไรด้วยซ้ำ ผมส่ายหัว ไม่เถียงดีกว่า ไม่รู้ว่าหนิงรู้เรื่องของเราไหม แต่เดาจากสายตาเวลามองแล้ว...ก็คงจะรู้แหละ แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น และยังแซวเหมือนเดิมทุกครั้งที่มีโอกาส



“คนรีทวิตจนเครื่องค้าง อะไรจะฮอตขนาดนั้น” บ่นอย่างไม่จริงจัง เมื่อคืนหนิงลงรูปผมกับไอ้โซล ไม่รู้ไปแอบถ่ายมาตอนไหน เป็นรูปผมกับมันกำลังเปิดประตูขึ้นรถ ภาพเบลอๆ แสงไฟสลัวๆ ตอนกลางคืน พร้อมติดแฮชแท็ก #คนขับรถหล่อบอกต่อด้วย ผมเปิดเจอตอนจะนอนพอดี ไอ้โซลก็รีทวิต ผมเลยทำแบบนั้นด้วย กลายเป็นว่ากล่องเมนชั่นโดนถล่ม ออกจากแอปนกสีฟ้าแทบไม่ทัน



“เรื่องตัวเองก็ไม่แพ้กันหรอกน่า” ผมว่า ขอแซวบ้าง หนิงมีข่าวกับนักร้องวงร็อคน้องใหม่ เห็นทีมงานล้อกัน เจ้าตัวก็ไม่ปฏิเสธแสดงว่าคงจริง



“ทำไม ขอมีบ้างไม่ได้หรือไง” ทำโมโหกลบเกลื่อน ผมยักไหล่ เพิ่งรู้สึกเป็นต่อเป็นครั้งแรก



“หมั่นไส้!” มือเรียวเอื้อมมือมาหยิกแก้ม เห็นว่าตัวเองเป็นผู้หญิงก็เลยไม่เบาแรง ผมร้องโอดโอยตั้งนานกว่าจะยอมปล่อย



อีกฝ่ายไม่ได้นึกสงสารเลยด้วย พอทำผมเจ็บก็สะบัดหน้าไปแต่งหน้าทำผม ผมลูบแก้มตัวเอง ขึ้นรอยแดงชัวร์



ได้ยินเสียงคนข้างๆ หัวเราะเลยกระทุ้งศอกใส่ ไอ้โซลทำท่าเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบแก้มข้างที่โดนหยิกเบาๆ



“โอ้ย รำคาญ!” เสียงแหลมตะโกนมาจากที่ไกลๆ ทีมงานเลยหันมาสนใจด้วย กลายเป็นว่าผมแทบมุดหน้าหนีไม่ทัน



ไม่มีใครปริปากพูดอะไรต่อจากนั้น แต่ให้ตาย...สายตากับรอยยิ้มของทุกคนทำเอาผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาจากบทในมือเลย





...





“ซ้อมกันไหมซีน”



“ไม่”



“เผื่อพลาดขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ”



“ก็บอกว่าไม่!”



“ไม่เสือกสักเรื่องได้ไหม”



ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นห้าม นั่งอยู่เฉยๆ สองคนนี้ก็เดินมานั่งขนาบข้าง หาเรื่องให้ปวดหัวอีกแล้ว เจอหน้าทะเลาะกันตลอด แล้วดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นเมื่อเฟิร์สเริ่มจะไม่ยอมบ้าง ทีมงานเพ่นพ่านเต็มไปหมดก็ยังไม่ระวังคำพูดกันอีก ผมเหนื่อยที่จะบอกแล้ว



“จะเข้าฉากอยู่แล้ว มาซ้อมเหี้ยอะไร อย่าคิดว่ากูไม่รู้”



“รู้อะไร ที่มึงทำบ่อยๆ น่ะเหรอ”



“ไอ้เหี้ยนี่”



“มันไม่น่าจะยากอะไร บทก็นิดเดียว เราของีบสักหน่อย ถ้าจะคุยกันก็คุยไป” ผมเอ่ยแทรก ก่อนจะไถตัวลงกับเก้าอี้ เอาบทปิดหน้าเอาไว้ แล้วเสียงทั้งคู่ก็เงียบกันไปเอง



เอาเข้าจริงก็ไม่ได้งีบเลย กำลังเคลิ้มก็ถูกปลุก ลุกขึ้นมาเห็นไอ้โซลทำหน้าเซ็ง ส่วนเฟิร์สก็สะกิดเรียกไปเข้าฉาก



ผมนั่งอยู่ในห้องนอนที่ถูกเซ็ทขึ้น ฉากนี้ถือเป็นฉากที่สำคัญอยู่พอตัว เป็นฉากที่ผมในเรื่องรู้ตัวว่าความรู้สึกที่มีต่อพระรองมันไม่ใช่ ไม่เหมือนเวลาอยู่กับไอ้พระเอก เฟิร์สต้องเกือบจะจูบผม ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ไอ้โซลหน้าบึ้งกว่าเดิมเพราะเราต้องใกล้กันมากกว่าทุกครั้ง



“มึงก้มหน้าไปอย่างนั้นแหละ ค่อยๆ เข้าไป เออใช่ ค้างไว้แป๊บนึงแล้วไอ้ซีนเบือนหน้าหนี”



พอทำความเข้าใจกันแล้ว พี่โป้งก็กลับไปประจำที่ ผมเหลือบมองไอ้โซล มันยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล จ้องผมกับเฟิร์สไม่วางตา ไอ้นี่แหละจะทำให้ได้หลายเทค อย่ายืนกดดันสิวะ!



ผมเลิกสนใจมัน ไม่งั้นทำสมาธิไม่ได้สักที เฟิร์สดูท่าทางสบายๆ ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสายตาที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อของไอ้โซลสักนิด และความชิลล์นั้นเองที่ทำให้ไอ้โซลแผ่รังสีดำทะมึนออกมาเพิ่มขึ้น จนเห็นว่าพี่โป้งโบกมือไล่ให้มันไปไกลๆ



“…แอคชั่น”



หลังจากรับรู้ความรู้สึกของเฟิร์ส ผมเพิ่งสังเกตว่าแววตาของอีกฝ่ายที่ใช้มองผมไม่เคยเปลี่ยนเลย อยากจะเลี่ยงแต่ก็ทำไม่ได้ พวกเราพูดกันตามบท เกิดความเงียบขึ้นจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนตรงหน้า ใบหน้าเฟิร์สเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผมเผลอกลืนน้ำลาย กัดฟันแน่น



“คัท! ไอ้ซีนอย่าถอยหลังดิวะ”



พระรองของเรื่องผละออกไป ผมพรูลมหายใจออกมา ก้มหัวพลางเอ่ยขอโทษทุกคน



เฟิร์สระบายยิ้มน้อยๆ “ไม่ต้องเกร็ง”



“โทษที” ผมว่าเสียงเบา “เรา...”



“ไม่เป็นไร ปล่อยใจสบายๆ นะ”



ผมพยักหน้าพลางเม้มปากแน่น การเข้าใกล้อีกคนมากไปทำให้ผมเกิดอาการต่อต้าน ผมต้องคิดว่านี่คือการแสดง จะทำให้เสียงานไม่ได้



เราเริ่มกันใหม่อีกครั้ง ผมตั้งใจกับสิ่งที่กำลังทำมากกว่าเก่า พยายามสลัดความรู้สึกส่วนตัวออกไป ผมจ้องตากับเฟิร์สนิ่งขณะที่เห็นภาพตัวเองในแววตาอีกคนชัดขึ้นเรื่อยๆ เฟิร์สห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร…



ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายของเฟิร์ส หลังจากนี้เราอาจได้เจอกันน้อยลง ผมแค่หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ในภายภาคหน้า เพราะเท่าที่ได้รู้จักกับเฟิร์สแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ผมรู้สึกได้ว่าเฟิร์สก็เป็นคนดีคนหนึ่ง



แต่ในตอนที่ผมกำลังจะเบี่ยงหน้าหลบ ริมฝีปากผมกลับถูกครอบครองโดยคนตรงหน้า ผมเบิกตากว้างก่อนจะรีบผลักเฟิร์สออกพอๆ กับที่เสียงของไอ้โซลดังขึ้น



“ไอ้เหี้ย!”



ทุกคนตกใจไปตามๆ กัน พี่ปุ้ยคว้าไอ้โซลไว้เมื่อมันทำท่าจะพุ่งเข้ามา



“ไอ้เฟิร์สมึงนี่แม่ง” พี่โป้งส่ายหน้า “พวกมึงน่ะพอกันทั้งคู่”



“โทษทีครับ อารมณ์มันพาไป” เจ้าของคำพูดยกยิ้ม แววตาทอประกายประหลาด ผมเบือนหน้าหนี คิดไม่ถึงว่าเฟิร์สจะทำแบบนี้ และมันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก



“ใจเย็นมึง” พี่โป้งหันไปบอกไอ้โซล ค่อยยังชั่วที่มีพี่ปุ้ยคอยรั้งเอาไว้ เพราะถ้ามันเข้ามาทำอะไรเฟิร์ส ยังไงคนที่อารมณ์เดือดก็ต้องถูกมองว่าเป็นฝ่ายผิด ผมไม่อยากให้มันถูกมองไม่ดี ถ้าสถานะผมกับมันเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องมันคงไม่ออกอาการขนาดนี้ อีกอย่างการแสดงมันพลาดกันได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะจงใจพลาดก็ตาม



ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องถ่ายฉากนี้ให้เสร็จ ผมอดหันไปมองอีกคนอย่างเป็นกังวลไม่ได้ ไอ้โซลโกรธมาก ก่อนที่จะเริ่มถ่ายใหม่ ผมเห็นพี่ปุ้ยพูดอะไรกับมันสักอย่างก่อนดึงมันให้ออกไปจากบริเวณนี้











ผัวะ!



เสียงหมัดดังก้องไปทั้งลานจอดรถ เฟิร์สล้มลงกับพื้น มุมปากแตกจนเลือดออก ผมที่วิ่งตามมาจับไอ้โซลเอาไว้ แต่มันแกะมือผมออก



เฟิร์สถุยน้ำลายปนเลือดทิ้ง “แน่จริงอย่าเล่นทีเผลอสิวะ”



มันกระชากคอเสื้อเฟิร์สจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เหวี่ยงกำปั้นใส่เต็มแรง



ผัวะ!



“โซลอย่า!” ผมร้องห้าม พอเลิกกองมันก็เดินตามเฟิร์สออกมาทันที ไม่พูดอะไรสักคำ ไอ้โซลไม่ได้ใจเย็นลงเลยสักนิดแต่ไม่คิดว่ามันจะลงมือจริง



ไอ้โซลเหวี่ยงหมัดลงไปอีกครั้ง เฟิร์สพยายามจะตั้งรับแต่เพราะโดนเล่นงานก่อนเลยทำให้อีกฝ่ายหาทางสวนกลับไม่ได้



ผัวะ!



“มึงมีสิทธิ์อะไรมาต่อยกูวะ”



“สิทธิ์ของแฟนไงไอ้เหี้ย!!”



ผัวะ!



เฟิร์สนิ่งค้างกับประโยคนั้น ใบหน้าที่หันไปตามแรงหมัดหันกลับมามองผมอย่างไม่เชื่อสายตา



“จริงเหรอซีน..”



ผมหลบสายตาคู่นั้น พยักหน้าขณะที่ขอบตาเกิดร้อนผ่าว “ร...เราขอโทษ เรารู้ว่าเฟิร์สคิดยังไงกับเราแต่เราคบกับโซลแล้ว...อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะ”



“..ซีนไม่ผิดอะไรสักหน่อย” อีกฝ่ายยกยิ้มทั้งที่เลือดเต็มปาก โหนกแก้มขึ้นรอยช้ำ ผมมองภาพนั้นอย่างใจเสีย ดึงแขนที่ไอ้โซลกำลังง้างหมัดขึ้นเอาไว้ พูดเสียงสั่น



“..พอแล้วโซล..พอแล้ว”



“เราชอบซีน”



“มึง!”



“..ก็แค่อยากบอก” เฟิร์สไม่สนว่าจะโดนไอ้โซลจะเดือดใส่แค่ไหน หมอนั่นจ้องมาที่ผม ริมฝีปากแตกช้ำนั้นเอ่ยต่อ “เราชอบซีนมากจริงๆ”



“เราขอโทษ..”



ขอโทษที่ตอบรับความรู้สึกนั้นไม่ได้ และมันผิดที่ผมเองที่ไม่ได้บอกให้ใครรับรู้เรื่องของผมกับไอ้โซล



ก่อนเลี้ยวออกจากลานจอดรถ ไอ้โซลเปิดกระจกแล้วทิ้งหมวกของเฟิร์สลงกับพื้น ผมมองอีกคนที่ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นผ่านกระจก ผมไม่เห็นสีหน้าของเฟิร์สแต่หมอนั่นมองตามรถของไอ้โซลจนลับสายตา





เรามาถึงคอนโดอย่างรวดเร็ว เพราะมันเหยียบคันเร่งตามอารมณ์ที่ไม่ได้ลดลง เหตุการณ์นี้เหมือนเมื่อวานไม่มีผิด แต่วันนี้ดูจะหนักกว่าเดิมมาก



ไอ้โซลเงียบผมก็เงียบ ความรู้สึกผิดเกาะกินในใจเต็มไปหมดแต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายเป็นไอ้โซลที่ถอนหายใจ ยอมเปิดปากพูดก่อน “พี่ไม่ต้องห่วงมันหรอกครับ”



“..มึงก็ไม่น่าไปทำขนาดนั้น”



“แต่มันนอกบท”



“แล้วมึงไม่เคยนอกบทหรือไง”



ไอ้โซลนิ่งไป เบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะยกมือลูบหน้าตัวเอง “..ผมขอโทษ”



“กูห่วงมึงนะ...ถ้าเกิดมีใครมาเห็นเข้า เขาจะมองมึงไม่ดี”



“ผมไม่สนหรอก ถ้าผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่คงห้ามตัวเองได้มากกว่านี้”



“ก็บอกแล้วไงเฟิร์สไม่รู้ว่าเราคบกัน” หมอนั่นทำไม่ถูกก็จริง แต่ทั้งหมดนั่นมันก็มาจากผม



“ช่างมันเถอะ ผมอยากซัดมันมานานแล้ว”



ในกองถ่ายมีนักข่าวอยู่แต่พี่ปุ้ยน่าจะจัดการได้ แต่ที่ลานจอดรถไม่รู้ว่ามีใครเห็นหรือเปล่า อาจจะซุ่มดูอยู่ก็ได้ ผมกลัวไปหมด เฟิร์สเป็นคนเจ็บ ไอ้โซลผิดเต็มๆ อยู่แล้ว



“โซล มึงต้องใจเย็นกว่านี้ ถ้าเป็นข่าวขึ้นมาจริงๆ อนาคตมึงในวงการ...”



“พี่จะทำงานในวงการต่อไหมครับ”



“ไม่”



“ผมก็ไม่ทำต่อเหมือนกัน ผมรับเล่นบทนี้ก็เพราะพี่ ข่าวออกไปผมก็ไม่สนหรอก ใครให้มันมายุ่งกับแฟนคนอื่นล่ะวะ”



ไม่ได้ช่วยให้ผมคลายกังวลเลยแม้แต่น้อย สภาพเฟิร์สที่เห็นบ่งบอกว่าไอ้โซลมือหนักขนาดไหน แล้วถ้าเฟิร์สเป็นอะไรขึ้นมา แน่นอนว่าไอ้โซลจะแย่ไปด้วย ผมยอมรับว่าผมห่วงไอ้โซลมากกว่า



“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ มันก็แค่ปากแตกน่า”



ที่ผมเห็นคือช้ำไปทั้งหน้าต่างหาก ก็ใช่ที่เฟิร์สไม่มีคิวถ่ายแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเฟิร์สมีงานอื่นอีกไหม ต้องใช้หน้าตาในการทำมาหากินด้วย



“ห่วงผมคนเดียวก็พอ ดูสิ มือผมก็เจ็บนะ”



“..สมน้ำหน้า” ว่าอย่างนั้นแต่ก็เดินเข้าไปหามัน จับมือข้างที่มันชูขึ้นมาโชว์ ไม่มีเห็นรอยอะไรสักหน่อย



“รู้ไหมว่าผมห้ามตัวเองแล้ว”



“นี่ห้ามแล้วเหรอ”



“ไม่งั้นก็เข้าไปต่อยตั้งแต่ตอนที่มัน...” หน้าตากลับไปไม่สบอารมณ์อีกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งที่เฟิร์สทำ ไอ้โซลไล้มือไปตามริมฝีปากของผม ได้ยินเสียงสบถเบาๆ จากนั้นมันก็ทาบริมฝีปากลงมา



“..อื้อ!”  ผมตกใจ เผลอก้าวถอยหลัง อีกฝ่ายบดเบียดลงมาด้วยแรงอารมณ์ทว่านุ่มนวล มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยให้ผมแนบชิดมากขึ้น หัวใจผมเต้นรัว มันไม่เหมือนในกองถ่าย ยิ่งตอนที่มันรุกล้ำเข้ามาเหมือนอะไรบางอย่างบินวนอยู่ในท้อง สิ่งนั้นดุนดัน หยอกล้อ ขณะเดียวกันก็เหมือนชะล้างสัมผัสของคนอื่นออกไป ผมรู้สึกราวกับถูกดูดกลืน ขาอ่อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น



มือที่โอบเอวผมสอดเข้ามาในเสื้อเมื่อไหร่ไม่รู้ ผมรู้สึกเมื่อสัมผัสหวิวๆ นั่นลูบไล้ไปทั่ว ในท้องวูบโหวง ตัวผมสั่น ทุบอกอีกคนประท้วง



“อึก..อื้อ..” อีกคนผละออก ผมหอบหายใจหนัก มือทั้งสองข้างกำเสื้อมันแน่น



ไอ้โซลเหมือนได้สติ ดึงเสื้อผมลงแล้วลูบหลังผมเบาๆ 



“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำอะไร..”



“อ..อือ”



“เนี่ย ผมห้ามตัวเองสุดๆ เลยนะ”



ผมอยากตอบกลับประโยคเดิมจริงๆ ว่า ‘นี่ห้ามแล้วเหรอ’ แต่พูดไม่ออก ไม่กล้ามองหน้ามันเลย พอรู้ว่าอีกฝ่ายจ้องอยู่ก็อดเหลือบขึ้นมองไม่ได้ สายตามันทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก รอยยิ้มนั่นก็เหมือนกัน ผมยืนเงอะงะให้มันจ้องอยู่อย่างนั้น มือยังวางที่ไหล่มันอยู่เลย จนสุดท้ายไอ้โซลก็ขำออกมา



“จะต่อเหรอครับ”



“บ...บ้า!” ผมถอยห่างออกมาครึ่งก้าว “ไม่ใช่..”



ไอ้โซลยกยิ้ม เอื้อมมาลูบมุมปากผมเบาๆ “งั้นผมขออาบน้ำก่อนนะ”







-

อิอิ

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ ติชมกันได้น้า ^ ^

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-06-2017 21:27:40
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 15-06-2017 21:37:53
จะมีใครมาเห็นมั้ยยย  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-06-2017 21:40:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 15-06-2017 22:12:30
โซลโกรธก็ไม่แปลกหรอกก็เฟิร์สเล่นนอกบทจริงๆแถมเค้าก้เป็นแฟนกันด้วยก็เหมือนฉวยโอกาสกับซีนน่ะและถ้าเฟิร์สมองดีๆ็น่าจะรู้นะว่าซีนน่ะให้ความรู้สึกได้แค่ไหนโดนต่อยก็สมควรแล้ว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 15-06-2017 22:55:01
คิดถึงทั้งคู่เลย น่ารักเหมือนเดิม แอบดีใจที่เฟิร์สได้รู้เรื่องที่โซลซีนคบกันแล้วจะได้รีบตัดใจ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-06-2017 23:06:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 15-06-2017 23:24:52
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-06-2017 23:52:52
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: เฟิร์ส ก็นะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-06-2017 23:54:26
หวังว่าจะไม่มีใครมาเห็นจนเป็นข่าวเสียๆหายๆนะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 16-06-2017 00:23:40
 :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 16-06-2017 02:36:29
 :hao3: พี่น่าแกล้ง....น้องน่ารัก  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-06-2017 08:44:35
ทำไม อิชั้นมีความรู้สึกขัดใจนิสัยแคร์ทุกคนของซีนนิด ๆ ล่ะ

ช่างเหอะ เอาเป็นว่าพระรองเราทราบสถานะแล้ว หวังว่าทุกอย่างคงดีขึ้นนะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: A45pro ที่ 16-06-2017 14:55:00
สงสารเฟิร์ส เฟิร์สจูบเพราะไม่รู้ว่าโซลซีนเป็นแฟนกันแล้วด้วยไง อยากให้เฟิร์สมีคู่บ้าง T^T
ส่วนโซลซีนก็นะ ขยับมาลึกซึ้งอีกนิดนึงละ อร๊ายยยย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-06-2017 15:06:56
นี่ห้ามแล้วเหรอโซลลลล  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 17-06-2017 07:35:19
#โซลซีน อาจจะขึ้นเทรนในทวิต
พระเอกหึงจริงต่อยพระรองหน้ายับ ฐานเล่นนอกบท
 :z6:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 17-06-2017 23:05:07
นั่นไงมีเรื่องจนได้
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 20 - (15/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 23-06-2017 00:51:01
มารอตอนต่อ~~~ จะมีม่าไหม
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 28-06-2017 11:19:39
ตอนที่ 21







“ขอเสียงปรบมือให้กับคู่จิ้นที่ฮอตที่สุดในขณะนี้ น้องโซลและน้องซีนค่า!!”



สิ้นเสียงพิธีกรสาว เสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้น ผมสวัสดีอายๆ วันนี้เรามาเป็นแขกรับเชิญของรายการบันเทิงยามเช้ารายการหนึ่ง ซ้ำยังถ่ายทอดสดด้วย



เป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งเห็นกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าแฟนคลับเต็มๆ ตา ในมือแต่ละคนมีป้ายไฟ ไม่ก็กระดาษที่เขียนชื่อผมกับไอ้โซล



พวกเราตอบคำถามตามที่เธอถาม ส่วนใหญ่เป็นคำถามแบบเดิมๆ คือเรื่องเป็นยังไง เกี่ยวกับอะไร พอหมดคำถามเหล่านั้นก็เริ่มมาที่คำถามส่วนตัวบ้าง



“น้องโซลน้องซีนนี่อยู่มหา’ลัยเดียวกันด้วย เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”



“ไม่เคยครับ / เคยครับ”



ผมหันขวับไปมองมัน ขณะที่แฟนคลับส่งเสียงกรี๊ดขึ้นเบาๆ



“ทำไมคำตอบไม่ตรงกันคะ น้องโซลบอกว่าเคยเจอ เอ๊ะ...หรือแอบมองห่างๆ เองหรือเปล่า”



ไอ้คนข้างๆ ยิ้มหวาน ที่ผมตอบว่าไม่เคยก็เพราะจะให้บอกยังไงว่าผมเกือบขับรถชนมันน่ะ



“พี่ซีนบอกแบบนั้นอาจเพราะครั้งแรกที่เราเจอกันไม่น่าประทับใจเท่าไหร่น่ะครับ”



“เจอกันที่ไหน อะไรยังไงคะ”



“เจอที่มหา’ลัยครับ พอดีว่าผมกวนไปหน่อย พี่ซีนเลยไม่ค่อยชอบใจ”



“ไม่เคลียร์เลยนะคะ ขอชัดกว่านี้ให้แฟนคลับหน่อยได้ไหม”



ผมมองไอ้โซลอย่างไม่ไว้ใจ ไอ้นี่ยิ่งแพ้คนยุอยู่ด้วยเลยชิงตอบแทน



“โซลเป็นรุ่นน้องของเพื่อนครับ วันนั้นผมไปหาเพื่อนเลยได้เจอกัน”



“แล้วยังไงต่อคะ” หน้าพิธีกรอยากรู้กว่าแฟนคลับที่นั่งกันด้านล่างเสียอีก



“ก็คุยธรรมดานี่แหละครับ ไม่มีอะไร”



“อย่างนั้นเหรอคะ แต่...” เธอหรี่ตาลง “ทำไมน้องซีนถึงตอบว่าไม่เคยเจอน้องโซลล่ะคะ”



“เอ่อ...” ซวยแล้วไง ผมอึกอัก ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือ ไอ้โซลเอาแต่กลั้นขำไม่ยอมพูดอะไร ให้มันได้อย่างนี้!



“ว่าไงคะน้องซีน”



“ก็...ตามที่โซลบอกแหละครับ”



“อ่า...ก็ได้ค่ะ เราจะเชื่อที่น้องซีนบอกแล้วกัน” ผมลอบถอนหายใจ ขณะที่เธอมองมาอย่างมีเลศนัย “เรื่องบางเรื่องรู้กันแค่สองคนก็พอเนอะ”



“ค่า!!!” เสียงแฟนคลับข้างล่างตอบกันอย่างพร้อมเพรียง บ้าเอ๊ย...คำตอบของผมเหมือนขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ ทั้งที่จริงเรื่องราวมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรสักหน่อย



“เห็นมีฉากที่ต้องถูกเนื้อต้องตัวกันบ่อยมาก มีอึดอัดกันบ้างไหมคะ”



“ไม่เลยครับ”



“ผมก็...ไม่ครับ” ทำไมทุกคนต้องจดจ่อกับคำตอบผมขนาดนั้นด้วย “..เพราะมันเป็นการแสดง”



ไอ้โซลโคลงศีรษะ “ตามนั้นเลยครับ”



“ได้ข่าวมาว่าคิสซีนหลายเทคเลยนะคะ”



“ว๊ายยยยยยยยยย” เสียงผู้คนข้างล่างวี๊ดว๊ายกันใหญ่ ผมเงียบ คำถามนี้ให้ไอ้พระเอกตอบเองแล้วกัน



“ก็นิดหน่อยครับ”



“หมายความว่า...อยากได้มากกว่านี้เหรอคะน้องโซล” คุณพิธีกรนี่ก็ช่างชง ไอ้พระเอกก็ชอบเล่นด้วย ไอ้โซลไม่ได้ตอบแต่แค่แย้มรอยยิ้มที่สื่อความหมายบางอย่าง และนั่นก็เป็นที่มาของเสียงกรีดร้อง...



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



ผมก้มหน้าลงอย่างห้ามไม่ได้ ความร้อนที่พุ่งขึ้นมาทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับอาการในอก แต่นั่นยิ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียงร้องของแฟนคลับดังขึ้น



“พี่ซีนหน้าแดง กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



ผมอยากออกไปจากที่นี่จริงๆ ให้ตาย..



“เอาล่ะค่ะๆ เดี๋ยวค่อยไปฟินในเรื่องเนาะว่าคิสนั้นเป็นยังไง” คุณพิธีกรว่าทั้งที่ยิ้มจนปากจะถึงหูอยู่แล้ว “ใจเย็นค่ะทุกคน ให้น้องซีนพักหายใจก่อนนะคะ”



พิธีกรสาวเปลี่ยนคำถามไปถามเรื่องอื่น ก็ไม่เชิงเรื่องอื่นแต่แค่พักแซวพวกเราเท่านั้นเอง ที่จริงมันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เธอจะต้องทำอย่างนั้น ถ้าพวกผมยิ่งตอบให้มีลับลมคมในมากเท่าไหร่ยิ่งดูเหมือนมีอะไรในกอไผ่มากเท่านั้น และนั่นยิ่งจะทำให้กระแสของซีรีส์ดีขึ้น แต่ปล่อยหน้าที่นี้เป็นของไอ้โซลเถอะ เพราะปกติก็ชอบทำตัวให้คนอื่นสงสัยอยู่แล้ว



“อาทิตย์ที่แล้วเริ่มมีซีนกุ๊กกิ๊กกันแล้ว ทุกคนชอบไหมคะ”



“ชอบค่า!!!”



“แล้วของอาทิตย์หน้าจะเป็นยังไงต่อคะ”



“ก็ต้องรอติดตามนะครับ”



“ซีนหวานๆ ยังมีอีกเยอะใช่ไหมคะ”



“ครับ”



“แล้ว...ซีนนี้” เธอผายมือมาทางผม “หวานไหมคะ”



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



คุณพิธีกรเป็นหนึ่งในแฟนคลับในทวิตเตอร์หรือเปล่าวะ ผมขบริมฝีปากแน่น ต้องไปรายการแบบนี้อีกตั้งหลายรายการ แค่รายการแรกก็เล่นซะขนาดนี้แล้ว ผมจะบ้าตาย



ไอ้โซลหันมามองผมนิดๆ “ก็อยากชิมเหมือนกันครับ”



เอาเข้าไปสิ...



อยากเอามืออุดหูตัวเองจริงๆ



“ทุกคนคะ ดิฉันฟินจนจะเป็นลมแล้วค่ะ”



ผมก็อายจนจะเป็นลมแล้วเหมือนกัน จะหมุนเก้าอี้หนีก็ไม่ได้ กล้องจับว่าเกร็งแล้ว นี่มีสายตาคนนับสิบที่มองมาเหมือนจับผิดยิ่งทำผมประหม่าเข้าไปใหญ่ ตอบอะไรออกไปก็รู้สึกว่าทุกคนไม่เชื่อผมเลยด้วยซ้ำ



“ทุกคนสามารถติดตามทั้งสองคนได้จากช่องทางไหนบ้างคะ”



“ก็มีอินสตาแกรมกับทวิตเตอร์ครับ หลายๆ คนคงรู้อยู่แล้ว”



“อ้อ มีน้องๆ ฝากมาค่ะ ว่าอยากให้น้องซีนอัปเดตโซเชียลบ่อยๆ หน่อยได้ไหมคะ”



“ผมจะพยายามนะครับ” ผมว่ายิ้มๆ แฟนคลับด้านล่างก็ส่งเสียงตอบรับเบาๆ กลับมา



“พี่ติดตามน้องทั้งสองอยู่นะคะ” ไม่บอกก็รู้ครับ...



“ส่วนใครที่อยากตามไปฟินก็ไปฟอลโล่น้องโซลน้องซีนได้ค่ะ มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว อยากให้น้องๆ ฝากผลงานกันหน่อย”



ผมพยัดเพยิดให้คนข้างๆ ตอบ “ครับ ฝากติดตามซีรีส์เพื่อนกันมันส์ดีทุกวันเสาร์ด้วยนะครับ เวลาสี่ทุ่มตรง ทางช่อง two ครับ”



“ค่ะ...” พิธีกรสาวชะงักไปนิดนึงเมื่อมีทีมงานเดินเข้ามาบอกอะไรสักอย่าง “อ่า...ทางแอคเคาท์ออฟฟิศเชียลเพิ่งอัปเดตรูปเบื้องหลังกองถ่ายเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว เรายังเหลือเวลากันอีกนิด มาดูไปพร้อมกันดีไหมคะ”



“ดีค่า!!!”



ทำไมผมถึงคิดว่าไม่ดี...



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



นั่นไง...รูปแรกที่โชว์หราอยู่บนจอก็เล่นผมเลย...เป็นรูปผมหลับอยู่ข้างๆ ไอ้โซล ส่วนเหตุผลที่ทุกคนกรีดร้องกันเป็นเพราะว่าผมพิงไหล่มันอยู่



ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นวันไหน แล้วผมไปทำแบบนั้นตอนไหน!



“ยังไงกันคะ”



“ผ...ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันครับ”



หน้าคุณพิธีกรยิ้มกริ่ม แต่ก็ไม่ซักไซ้อะไรอีกเพราะเวลาใกล้จะหมด ทีมงานเปิดรูปไปเรื่อยๆ มีรูปเผลอบ้าง ตั้งใจยิ้มให้กล้องบ้าง นอกจากรูปแรกก็เป็นรูปที่กำลังถ่ายทำ อ่านบท ไม่ก็เล่นกันอยู่ แอบโล่งใจที่ไม่มีรูปแบบรูปแรก เพราะบางทีผมก็ไม่รู้ว่าถูกถ่ายไปตอนไหน แล้วตอนนั้นผมทำอะไรอยู่ ได้แต่ขอให้จบรายการเร็วๆ จนกระทั่งรูปสุดท้าย...



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



“ยังไง ยังง๊ายยยยยย” คุณพิธีกรแทบจะเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ “ให้น้องซีนตอบค่ะ เพราะน้องโซลตอบไปเยอะแล้ว”



ผมอ้ำอึ้ง จิกกางเกงแน่น รูปที่เห็นในจอคือรูปที่ไอ้โซลคุกเข่าอยู่บนพื้น...เป็นวันที่มันขอผมคบ...



“ทำอะไรกันคะรูปนี้”



“คือ...” มือผมสั่นจนต้องกุมกันไว้ พูดรัวจนลิ้นพันกันและไม่กล้าสบสายตาใครทั้งนั้น “วันนั้นเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ โซลช่วยทำแผลให้ ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ”



อยากกัดปากตัวเองจริงๆ ผมจะหลุดประโยคหลังออกไปทำไมวะ!



หน้าคุณพิธีกรเหมือนอยากซักไซ้ต่อแต่เวลาหมดลงแล้ว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก รายการแรกก็ทำเอาแทบตาย ตื่นเต้นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่โดนทุกคนแซวนี่สิ ทั้งๆ ที่ผมพยายามบอกตัวเองว่าพวกเขาก็ชงไปอย่างนั้น ไม่ได้รู้ว่าพวกเราคบกันจริงสักหน่อย แต่สายตาจับผิดของทุกคนทำผมเก็บอาการไม่ได้เลยจริงๆ



จบไปหนึ่งรายการ...ผมอายจนจะเป็นบ้า





@behindsoulscene

หมอนนุ่มๆ คงไม่อุ่นเท่าแขนคนข้างๆ #โซลซีน



@behindsoulscene

ดูรายการย้อนหลังได้ที่นี่ค่ะ ฟินวนไป https://www.youtube.com/watch?v=Sc7TXPO2qjs #โซลซีน



@oohhoo

ทำแผลหรือขอแต่งงาน #โซลซีน



@admiiee

พี่ซีนหน้าแดงทั้งรายการอะ เป็นคนขี้เขินมากๆ แต่ตอนเปิดรูปสุดท้ายโซลหูแดงด้วย...เราว่ามันต้องมีอะไรในรูปนั้น #โซลซีน



@tttt007

หน้าพี่โซลตอนบอกว่าอยากชิมพี่ซีนนี่แบบฟฟกสดฟกฟทดฟฟำสฟฟมากก รู้สึกได้ว่าพูดออกมาจากใจ ฮือออ #โซลซีน



@kungpeuak

สายตาของทั้งสองคน สายตาของคนในกองที่มองมา...ไม่เหมือนทำแผลให้กันเฉยๆ เลยนะ ขอเป็นแฟนก็บอกเหอะ โฮะๆๆๆๆ #โซลซีน



@kewiiz_

มีคนขับรถส่วนตัว แล้วยังจะมีคนทำแผลส่วนตัวอีก โอ้ย ชีวิตดีกว่านี้มีอีกม๊ายยย #โซลซีน



@iammeoww

บอกเจอกันไม่ค่อยประทับใจ แล้วตอนนี้ประทับใจน้องขนาดไหนแล้วคะ ถึงยอมให้เขาไปรับไปส่งเนี่ย #โซลซีน






โชคดีที่รูปนั้นถูกถ่ายมากจากที่ไกลๆ ...แต่ก็เห็นพวกผมชัดอยู่ดี ผมชักระแวง ไม่ใช่ว่ามีใครถ่ายวิดีโอไว้หรอกนะ แต่ว่าวันนั้นฝนตกแรงมาก คงไม่ได้ยินเสียงที่คุยกันหรอกใช่ไหม ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจรอบข้างเสียด้วยสิ ยิ่งคิดยิ่งเครียด เข้าใจแล้วว่าเป็นดารามันใช้ชีวิตลำบากยังไง มีคนจับตาดูอยู่ตลอด จะทำอะไรก็ต้องระวัง



ผมมองออกไปตามเส้นทางที่รถเคลื่อนผ่าน เรากำลังมุ่งหน้าไปที่สตูดิโอ ไอ้โซลฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ผมกดออกจากแอปพลิเคชั่นนกสีฟ้า เอาเถอะ อย่างน้อยพวกเธอก็ไม่รู้ว่าผมอยู่คอนโดไอ้โซลน่ะนะ ไม่งั้นในทวิตเตอร์หนักกว่านี้แน่



ไม่ได้ตั้งใจจะปิดนะ...แต่ไม่มีใครถามเองนี่นา











“เสร็จแล้วโทรหาผมนะ”



“อื้ม แต่ถ้ายังไงเดี๋ยวให้ไอ้จั๊มพ์ไปส่งก็ได้”



“ผมอยู่กับพวกมันไม่นานหรอก”



ช่วงสายของวันเสาร์ ไอ้โซลมาส่งผมที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง ส่วนมันไอ้น้องกันโทรมาหาเมื่อคืน โดนเรียกไปรวมกันที่บ้านต่าย ที่จริงผมจะให้มันมากับผมด้วยแล้วเพราะกิ๋งโทรมาอ้อนวอนตั้งนานสองนาน พีมก็สนับสนุนผมเลยใจอ่อน แต่มันมีนัดกับเพื่อนซะก่อนเลยโล่งไป จะให้ผมมานั่งรีรันเรื่องราวที่ผ่านมาโดยมีมันนั่งยิ้มข้างๆ น่ะเหรอ ฝันไปเถอะ!



“เอาล่ะ เริ่มจากอะไรก่อนดีน้า” กิ๋งดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ขนาดโทสต์ตรงหน้ายังเป็นมัทฉะโทสต์ ปกติกิ๋งเคยกินที่ไหน นี่เรียกว่าเอาใจกันสุดๆ



“จะไม่ถามเรื่องถ่ายทำหน่อยเหรอ”



“กำลังจะถามนี่ไง” สาวผมบ๊อบฉีกยิ้ม “ถ่ายฉากจูบเป็นไงมั่งจ๊ะ”



พรวด!



“แค่กๆ!”



“เดี๋ยวนี้สกปรกใหญ่แล้วนะมึง” ไอ้จั๊มพ์เบ้หน้า น้ำที่ผมพ่นโดนมันเต็มๆ ก็ตรงหน้าผมคือกิ๋งกับพีม จะให้พ่นใส่ได้ไงเล่า



“ก็ดูคำถาม” ว่าพลางใช้หลังมือเช็ดปาก “ไหนว่าจะถามเรื่องเรากับเด็กนั่น”



“เอ๊ะ ซีนจะเอายังไงกันแน่”



ขอเลือกกลับห้องไอ้โซลได้ไหม ไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน เคยอย่างมากที่สุดคือจีบพีมแล้วยังเหลวเป๋วไม่เป็นท่า ที่จริงเรื่องพวกนี้ผมไม่ค่อยสนใจด้วยซ้ำ พอเจอเข้ากับตัวก็เลยไปไม่เป็น อีกอย่างผมรู้ว่าตัวเองค่อนข้างขี้อาย จะให้มานั่งเล่าเรื่องที่กิ๋งอยากรู้แบบละเอียดยิบน่ะผมทำไม่ได้หรอก



แต่หน้าตาคาดคั้นของกิ๋งทำให้ผมต้องตอบปัดๆ ไป



“อืมๆ ก็คบกัน”



“แล้วที่จั๊มพ์เล่าคราวนั้นว่ามาหาถึงคณะเพราะเป็นห่วงที่ซีนอ่านหนังสือดึกน่ะ จีบตั้งแต่ตอนนั้นใช่ไหมๆ บอกแล้วว่ามันแปลก เพิ่งรู้จักจะมาห่วงอะไรขนาดนั้น”



“ก็...มั้ง”



“แล้วที่ไปซ้อมที่คอนโดน่ะ น้องทำอะไรมั่ง”



“ไม่เห็นทำอะไรนะ”



“ที่กองถ่ายล่ะ”



“ก็ต่างคนต่างทำงาน เหนื่อยจะตาย”



“แล้วไปรักกันได้ยังไงยะ!”



ผมหลุดขำ กิ๋งมามองตาเขียว “กวนขึ้นนะซีน”



“ถ้าน้องโซลมานั่งตรงนี้ซีนจะกวนแบบนี้ไหมนะ” พีมว่าขึ้นลอยๆ แต่ทำให้ผมหันหลังขวับ เห็นผู้ชายกลุ่มใหญ่กำลังเดินเข้ามาในร้านนี้...เฮ้ย ไหนบอกไปบ้านต่ายกันไง แต่พอมองดีๆ ก็ไม่มีใครคุ้นหน้าสักคนจนกระทั่งคนสุดท้าย ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ตกใจแทบแย่ พอหันหน้ากลับมาก็เห็นพีมยิ้มล้อ



“ฮั่นแน่...”



ผมเลิกคิ้ว พยัดเพยิดหน้าไปข้างหลัง “..กลุ่มนั้นเสียงดังเนอะ”



“อื้ม เราก็ว่างั้น” อีกคนพยักหน้าเห็นด้วย อย่าว่าแต่ผมเลยพีมก็กวนขึ้นเห็นๆ



“ขอตั้งแต่เริ่มจีบ” เจ้าแม่ของวงการนี้วกเข้าเรื่องอีกครั้ง



“ไม่รู้”



“ได้ไง!”



“ก็ไม่รู้จริงๆ” ผมเกาหัว “อืม...มันก็ดูแล”



“ยังไง”



“ไปรับไปส่ง”



“อะไรอีก”



“เป็นห่วงนู่นนี่”



“แบบไหน”



“ก็ตอนเรารถชน...” แอบเหลือบมองคนข้างๆ นิดนึง กลัวมันด่าอีกรอบ “วันนั้นโซลขับรถตามมา”



“อ...” กิ๋งตาโตก่อนจะหุบปากลงซบหน้าลงกับโต๊ะ พอเงยขึ้นมาก็เห็นหน้าแดงก่ำ เหมือนอยากจะกรี๊ดแล้วกรี๊ดไม่ได้



“น้องต้องดีขนาดไหนอะซีน!!”



“เบากิ๋งเบา”



“แล้วไงต่อๆๆ”



“ก็เลยให้มันไปรับไปส่ง แต่เห็นว่ามันเหนื่อยเกินไปเลยไปค้างกับมัน...แค่นั้นเอง” ผมว่าพลางเขี่ยไอศกรีมรสชาเขียวที่ละลายหมดแล้ว “แล้วนั่นจดอะไรน่ะ”



อีกคนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ทำหน้าตาเคร่งเครียด “ขอดีเทลกว่านี้ได้ไหม เราจะเอาไปแต่งนิยาย”



“ฮะ?”



“ตอนขอคบล่ะ”



“ก็แค่ขอ ไม่มีอะไรพิเศษ” เพื่อนทั้งสามมองมาแบบไม่เชื่อ “จริงๆ เราไม่ได้โกหก”



“ที่ไหน”



คำถามนั้นทำเอาผมหลบสายตา ก่อนตอบออกไปเสียงเบา “...กองถ่าย”



กิ๋งมีอาการกลั้นกรี๊ดอีกรอบ ครั้งนี้แทบจะเอาเล็บยาวๆ ขูดกับโต๊ะ “อย่าบอกนะว่า...รูปตอนทำแผล!?”



“ร...รู้ได้ไง”



“ฮะ!?!?” ไม่ใช่แค่กิ๋ง แต่ทั้งพีมและไอ้จั๊มพ์ร้องขึ้นมาพร้อมกันจนคนทั้งร้านหันมามอง ผมรีบใช้นิ้วแตะปากเพื่อบอกให้เงียบเสียง อยู่กันตรงมุมอับก็จริงแต่ใช่ว่าไม่เป็นที่สนใจ เพราะผมเห็นบางคนยกกล้องขึ้นมาถ่ายด้วย



“behind the scene สุดๆ!!” กิ๋งเหมือนจะเป็นลมลงตรงนี้ “ถ้าแฟนคลับรู้นี่หวีดจนวูบอะบอกเลย”



“เราว่าโรแมนติก มาเล่นเรื่องนี้เลยได้เจอกันแล้วก็รักกัน ทุกคนในกองก็เหมือนเป็นพยานรักของโซลกับซีน”



“ในทวิตเตอร์พวกแฟนคลับมึงเขาก็พูดถูกกันอะดิ” ไอ้จั๊มพ์ว่าพลางเลื่อนๆ ดูในแท็กนั้น “ก็ไม่ใช่เขารู้หรอกเหรอวะ”



“ไม่รู้” คนหัวอกเดียวกันกับเหล่าแฟนคลับตอบแทน “ก็ชงไปงั้นแหละ ไม่ได้รู้ความจริงอะไรหรอก แต่พระเจ้าเถอะ ใครชิปโซลซีนคือนิพพานแล้วค่ะตอนนี้”



“อ๋อ กลายเป็นคู่จริงขึ้นมางี้เหรอ” ไอ้จั๊มพ์วางโทรศัพท์ลงอย่างเดิม ทั้งโต๊ะมีกิ๋งที่ดูจะมีความสุขจนตัวลอย กับพีมที่มองมายิ้มๆ



“ใช่แล้ว สนใจเป็นอีกสักคู่ไหมจ๊ะ”



“ไม่ล่ะ เราเกรงใจ”



กิ๋งยู่หน้า หันมาทางผมอย่างเดิม



“ซีนก็ตอบตกลง?”



“ก็...อือ”



“ทำไม”



“อะไรทำไม”



“ไปชอบน้องตอนไหน”



“อันนี้ก็...ไม่รู้”



“อย่าเอาอะไรจากมันเลย รู้ตัวว่าไอ้โซลชอบก็ดีเท่าไหร่แล้ว” เพื่อนข้างตัวว่าหน่ายๆ “กิ๋งก็รู้ว่าเพื่อนตัวเองเป็นยังไง”



“ก็รู้แหละ แต่อยากให้พูดออกมาบ้างนี่นา” หัวเราะคิกคัก “เป็นครั้งแรกที่เห็นซีนมีอาการแบบนี้”



“จับไว้ให้มั่นเลยนะน้องโซลเนี่ย” ผมไม่คิดว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากพีม...



“ใช่! น้องเขาทุ่มเท่าไหร่ซีนรู้ไหม”



“แล้วกิ๋งรู้เหรอ”



“ไม่รู้!” อีกฝ่ายหน้าบึ้ง “ตามจีบคนอย่างซีน จากที่เราเดาเลยนะ ถ้าไม่พูดตรงๆ ซีนคงไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนอื่นมาชอบหรอกใช่ไหม”



ตอนแรกก็ใช่ แต่หลังๆ ก็แอบคิดนิดนึง...ก็ดูการกระทำมันสิ



“เกิดเป็นน้องโซลนี่เหนื่อยแย่”



“ทำไมเรารู้สึกผิดแปลกๆ”



“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก” สาวผมบ๊อบเงยหน้าขึ้นมาจากถูหน้าไปกับโต๊ะ “ให้น้องโซลเจอของยากน่ะดีแล้ว คิกๆ”




ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 28-06-2017 11:20:17
.

.

.

ผมทำหน้างงคนเดียวในโต๊ะ “หมายความว่าไง”



“ก็แหม...แต่ก่อนน้องโซลเจ้าชู้จะตาย ที่จริงก็ไม่เชิงเจ้าชู้หรอกแค่ควงไม่ซ้ำหน้า”



“แล้วมันต่างกันตรงไหน”



 “ก็ผู้หญิงวิ่งเข้าหาเอง ส่วนน้องเขาก็หล่อเลือกได้ มีของดีมาเสนอตรงหน้า ใครจะไม่เอาล่ะจริงไหม”



“กิ๋งก็ว่าไปนั่น รู้ลึกขนาดนั้นได้ยังไง”



“โถ่พีม น้องโซลน่ะดังจะตาย ที่ไม่ได้เป็นเดือนเพราะน้องเขาไม่อยากประกวด แต่ครั้งนั้นที่โดนดึงไปเล่นละครเวทีน่ะโดนสาวๆ หมายตาเพียบ น้องเขาไม่ค่อยคบใครจริงจังเท่าไหร่ แต่เห็นว่าส่วนใหญ่ก็เล่นกับทุกคนนะ”



“นี่เป็นนักสืบหรือเปล่า” เริ่มหมั่นไส้ตงิดๆ รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันหน้าตาดีขนาดไหน ที่ไอ้น้องกันบอกนั่นก็ด้วย แต่ไม่คิดว่าจะมีสาวตามเป็นกระบวนขนาดนี้



“เรื่องแบบนี้เขาเม้าท์กันจะตาย”



“โอ๊ะโอ คุณนายเอกซีรีส์ดังหน้าบูดแล้วแฮะ” คนพูดเท้าแขนลงกับโต๊ะหันมามองผมล้อๆ



“กูแค่หิว สั่งมาอีกจานได้ไหม”



ไอ้จั๊มพ์ส่งเสียงหึ ก่อนจะยักไหล่ “ก็ได้ครับ เดี๋ยวกูไปสั่งให้”



“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิจ๊ะ”



“เราเปล่า” ผมถอนหายใจ นั่งฟังอยู่เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรสักหน่อย...โอเค ที่จริงก็แค่หมั่นไส้



“แต่เหมือนว่าตั้งแต่ขึ้นปีสองมาก็ไม่ควงใครเลย ปฏิเสธทุกคน ไม่สิ มีคนหนึ่งบอกว่ายังคุยกับน้องโซลอยู่ แต่ไม่รู้มโนไปเองหรือเปล่า เพราะไม่เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันเลย”



“กิ๋งนี่วงในสุดๆ” ไอ้จั๊มพ์ที่เพิ่งเดินกลับมาว่า



“แน่สิ เรื่องหนุ่มหล่อ จะพลาดได้ไง” ว่าแล้วก็เชิดหน้าขึ้น “อ้อ ซีนอย่าใส่ใจเรื่องนั้นเลย เพราะยังไงโซลก็ชอบซีนมาตั้งเกือบปีนี่”



“หือ...” ผมขมวดคิ้ว “กิ๋งรู้ได้ไง”



“ก็...เดา น้องไม่สนใครเลย รู้อีกทีก็เป็นแฟนซีนแล้ว แสดงว่าซุ่มจะจีบอยู่น่ะสิ ใช่ไหมจั๊มพ์”



“ใช่ๆ โอ้ยมึงแค่จับโยงๆ ก็รู้ได้แล้ว”



เหรอวะ...ถ้าผมไม่รู้จากปากมันก็อาจคิดได้ว่ามันชอบคนอื่นก่อนผมก็ได้นี่



“ใช่แล้วครับ!!”



เสียงที่ดังขึ้นข้างหูกับมือที่วางลงบนไหล่ทำผมสะดุ้งสุดตัว ไอ้น้องกันโผล่หน้ามายิ้งแฉ่ง ข้างหลังมันคือไอ้โซล ไมค์และบอล



“เผาเพื่อนผมกันเหรอครับ”



“ตอนนี้กำลังเกรียมได้ที่เลยค่ะ” กิ๋งตอบ ไอ้น้องกันทำหน้าเหรอหรา หันไปพึมพำกับไอ้โซลว่าซวยแล้วเพื่อน



“..มาได้ไง”



“ตามเสียงหัวใจมาสิครับ” เพื่อนสนิทไอ้โซลยิ้มหวาน กิ๋งไม่มีท่าทีตกใจที่เห็นบุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนา ซ้ำยังเชิญชวนให้พวกมันนั่งด้วยกันอีก พอดีกับพนักงานเอาขนมหวานมาเสริฟ เลยได้ขยายโต๊ะนั่งอัดกันตรงมุมอับๆ นี่



“น้องโซลหล่อกว่าในทีวีอีกนะเนี่ย” พีมทักขึ้นหลังทุกคนแนะนำตัวกันเรียบร้อย คนถูกชมกล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ผมมองทั้งสองคนสลับกัน แล้วก็คิดได้ว่ามันมาที่นี่ก็ดีเหมือนกัน แม้ไอ้โซลจะดูเกร็งๆ ก็เถอะ



“พวกพี่คุยเรื่องเมื่อกี้ต่อก็ได้นะครับ”



“กันจะแก้ต่างให้เพื่อนเหรอ”



“เปล่า ผมจะช่วยเผา” ทำหน้าตาจริงจัง “เรื่องมันมีเยอะมาก”



ไอ้โซลแอบยกนิ้วกลางให้เพื่อน บอลกับไมค์ก็พูดพร้อมกันว่า ‘พอๆ กับเรื่องของมึงนั่นแหละ’



“พี่บอกซีนเฉยๆ ว่าน้องโซลน่ะฮอตม้ากมาก”



“ไม่หรอกครับ”



กิ๋งย่นจมูก “ถ่อมตัวแล้วดูหล่อขึ้นอีกเป็นกอง แหม ใครจะไม่รู้จักโซล สถาปัตย์ฯ”



“เพื่อนกิ๋งนี่ไง” ไอ้จั๊มพ์พยัดเพยิดมาทางผม



“รายนี้ช่างเถอะ”



ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนข้างๆ เลยตีขามันใต้โต๊ะ สายตาทุกคนคอยชำเลืองมองเรายิ้มๆ เหมือนแค่ผมขยับตัวเอียงไปทางมันนิดนึงก็พร้อมจะแซวขึ้นทันที



พอได้มาฟังเรื่องพวกนี้ผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองรู้เรื่องไอ้โซลน้อยมาก ถึงไม่มีใครบอกผมก็พอเดาได้อยู่แล้วล่ะ หน้าตาอย่างมันน่ะ แต่ที่จริงผมคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามันเคยคบใครมาบ้าง เคยทำตัวยังไง เพราะตอนนี้มันก็...ดีนี่



“เอาอะไรอีกไหมครับ”



“ไม่เอา อิ่มแล้ว”



“อ้าว เมื่อกี้บอกหิว”



“ก็เลี่ยน ไม่อยากกินแล้ว”



เพื่อนสนิทโคลงศีรษะ ไม่เซ้าซี้ต่อ



“จะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ”



“คงไม่แล้วล่ะ” ผมหันไปมองกิ๋งที่หันไปคุยกับไอ้น้องกันอย่างออกรส ไม่ได้สนใจผมแล้ว ว่าแต่สองคนนี้ไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันเลย



“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”



“ไอ้ต่ายมันไล่เพราะมินท์มาบ้าน พวกผมเลยมาเดินเล่นกันเฉยๆ แล้วก็เจอพี่ บังเอิญเนอะ” แววตามันไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่ก็ไม่เห็นว่าเพื่อนผมคนไหนเช็คอินที่นี่ จะว่ามันเดินหาก็เกินไปหน่อย



“แล้วมึงจะไปไหนต่อเปล่าล่ะ”



“ไม่ครับ คงแยกย้ายกันเลย”



“งั้นเราไปซุปเปอร์กันก่อนกลับด้วย ของจะหมดอีกแล้ว”



“จะทำอาหารเหรอครับ”



“อืม แต่ครั้งนี้กูทำเองนะ”



“ทำไมล่ะครับ ผมอยากช่วย”



“ช่วยให้พังน่ะสิ เกือบเผาครัวแล้วนะวันนั้น ไข่ก็ไม่ได้กิน”



“เสียดายเหมือนกัน รู้งี้ผมน่าจะปิดเตาแก๊สก่อน”



“คนละประเด็นไหม”



“อ้าว พี่เสียดายไข่ ส่วนผมก็เสียดายพี่ไง”



“มึงนี่ วันก่อนก็...” ผมพูดไม่ออก “ไม่รู้แหละ กูจะทำเอง”



“ซีนรุกเองเลย?”



“ม...ไม่ใช่! เราหมายถึงทำอาหาร!” ผมแหวขึ้น ถึงเพิ่งได้สังเกตว่าทุกคนมองมาทางนี้กันหมด “กิ๋งอะ..”



“หน้ามันจะร้องไห้แล้วนั่น”



“โอ๋ ไม่แซวแล้ว” กิ๋งยกมือหมุนไปหมุนมาตรงหน้าผม “รักหรอก”



“รักน้อยลงก็ได้นะ”



“พอมีคนข้างๆ ก็ไม่ต้องการความรักของเพื่อนเลยเหรอ”



“พีม...” เจ้าของชื่อหัวเราะ ไม่รู้ไปหัดพูดจาแบบนี้มาจากไหน แล้วยังโคลงหัวไปมาอย่างน่ารักอีก แต่ผมเริ่มจะแบะปาก ว่าแล้วเชียวมารวมตัวกันแบบนี้ มีแค่เพื่อนตัวเองผมยังถูกรุมไม่พอหรือไง เพื่อนไอ้โซลทั้งสามคนยังมายิ้มตาหยีใส่แบบนั้นอีก



จะจำไว้เลย...ต่อไปผมจะไม่มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว



หมดเวลาไปเกือบทั้งวัน ถ้าเจ้าแม่งานอย่างกิ๋งไม่มีธุระต้องไปทำต่อก็ไม่รู้จะแยกย้ายกันตอนไหน ไอ้น้องกันทำท่าอาลัยอาวรณ์ผมอยู่นานจนไอ้โซลยกขาไล่ บอลกับไมค์เลยหิ้วเพื่อนตัวเองกลับไป 



“ไปก่อนนะ ไว้มาเมาท์กันใหม่” ผมย่นจมูก เมาท์เรื่องผมน่ะสิ



“พี่ดีใจด้วยนะ” พีมยิ้มให้ไอ้โซล ผมเห็นว่ามันไม่เกร็งอย่างในตอนแรกแล้ว และกล้าสบตาเพื่อนของผมตรงๆ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ



“ขอบคุณครับพี่พีม”



“จ้า ไว้เจอกันใหม่นะ”



“แล้วมึงจะไปไหนต่อ” หลังจากพีมเดินตามกิ๋งไปแล้ว ผมก็หันไปถามไอ้จั๊มพ์ มันกดโทรศัพท์ยิกๆ



“กลับบ้านแหละ มึงถ่ายเสร็จวันไหนวะ”



“ใกล้ๆ เปิดเทอมล่ะมั้ง”



“เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว สู้นะมึง”



“กูเริ่มชินแล้ว แต่โคตรอยากพัก”



“เปล่า กูบอกไอ้โซล สู้นะ ทั้งต้องทำงาน ทั้งต้องดูแลมัน”



“จั๊มพ์ มึงเพื่อนกูไหม...”



“ไม่เหนื่อยเลยครับ” ไอ้เด็กข้างๆ ว่าขึ้นยิ้มๆ “ผมเต็มใจดูแลเพื่อนพี่”   



“หึ...” ไอ้จั๊มพ์แบะปากเหมือนหมั่นไส้ สบตากับไอ้โซล ก่อนผลักหัวผมเบาๆ “ฝากมันด้วย”





“คิดอะไรอยู่ครับ”



ผมส่ายหน้า ขณะมองไอ้จั๊มพ์ลงบันไดเลื่อนไป         



“ผมไม่รู้ว่าพี่ได้ยินอะไรมาบ้าง แต่อยากให้รู้ว่าตั้งเจอพี่ ผมไม่เคยมองใครอีก”



ผมทำหน้าเหรอหรา “กูไม่ได้คิดเรื่องนี้สักหน่อย” มาพูดอะไรกลางห้างวะ “กำลังคิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรกินดี”



“อ้าว ก็นึกว่าคิดมาก”



“อดีตมันก็คืออดีต” ที่จริงผมแอบคิดนิดนึง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาใส่ใจขนาดนั้น สิ่งที่ไอ้น้องกันเคยบอกไม่รู้ว่าจริงแค่ไหน แต่สิ่งที่ไอ้โซลทำให้ผมเห็น นั่นน่ะที่ทำให้ผมไม่ได้สนใจคำพูดของกิ๋งมานัก แม้จะมีหมั่นไส้หน่อยๆ ก็เถอะ



“สรุปเย็นนี้กินไรดี”



“เอาไข่เจียวใส่หอมอีกรอบไหมครับ”



“มึงห้ามเข้าครัวนะ”



“ผมจะยืนให้กำลังใจห่างๆ”



ทำไมผมรู้สึกเหมือนจะไม่ได้กำลังใจอะไรเลย “แล้วทำอะไรอีกดีอะ”



“สปาเก็ตตี้”



“มันเข้ากับไข่เจียวตรงไหน”



“พี่ไม่รู้อะไร ไข่เจียวกินได้กับทุกอย่าง”



ผมทำหน้าเอือม ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นข้อมูล “เอาสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาแล้วกัน ต้องซื้ออะไรบ้างเนี่ย”



“มันจะเผ็ดนะครับ”



“ไม่เป็นไร พอกินได้ ม้าเคยสอนว่าจะลองทำเองหลายครั้งแล้ว อืม...หมูเรายังเหลือ หรือเอาทะเล ไข่ก็ยังมี...” ผมแคปหน้าจอสำหรับสิ่งที่ต้องซื้อเอาไว้ ที่จริงเลือกทำสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาเพราะครั้งที่ไปกินข้าวบ้านผมเห็นไอ้โซลเหมือนจะชอบมาก “แล้วมีอะไรอีกนะ”



“หอมไง”



“เออใช่ หอมหัวใหญ่”



“แล้วก็หอมฟอดใหญ่ๆ ด้วย”



“…”



“อ้าว เชฟไม่อยากได้กำลังใจเหรอครับ”



“ไปเล่นไกลๆ เลย”



ผมถอนหายใจ ยกมือปิดแก้มตัวเองอัตโนมัติ...หวังว่าเย็นนี้คงไม่เป็นแบบวันนั้นหรอกนะ





----------------------------------
 

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-06-2017 12:36:08
อร๊ายยยย ฟินนนนนนนนนนนนนนน
 :z2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 28-06-2017 14:09:48
น่ารักจุง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-06-2017 14:34:23
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-06-2017 17:22:12
โซล ซีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ช่วงนี้ซีน โดนสัมภาษณ์ จิ้น จากแฟนคลับ
จากเพื่อนซะซีนไปไม่เป็นเลย

ซีน รู้แล้วว่าโซลฮ็อตขนาดไหน
แต่เลิกหมดเพราะมาจีบซีน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-06-2017 18:44:48
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 28-06-2017 19:59:35
นี่อยากเป็นแฟนคลับที่ไปอยู่ตรงนั้นเลยอะ
โซลซีนอีสเรียลลลล
ซีนเขินตัวบิดตัวแดงไปหมดแล้ววว
โซลก้ขยันสร้างกระแส สร้างกองทัพให้ตัวเองจัง
อ่านแล้วเขินนนนน รอค่าาาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 28-06-2017 21:42:28
พี่ซีนคนขี้เขิน

อิอิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 28-06-2017 22:34:50
ฮืออออ เรียลมากกกก คือถ้าเราเป็นแฟนคลับตรงนั้นเราต้องตายอย่างสงบด้วยแน่ๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 29-06-2017 09:14:33
เอิ่มมม จะผิดมั้ยถ้าเรื่องนี้แล้วแอบไปฟินกะซีรี่ย์ ที่ออนแอร์อยู่ อ้ากกกก

ทำไมเขิน 55555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-06-2017 15:47:38
สงสารแฟนคลับในทวิตเตอร์ ฟินแบบมโน เราคือคนรู้ว่าเขาคบกันจริงงงงง  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-06-2017 21:48:23
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-07-2017 09:21:04
หวานกันจนน่าอิจฉา
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 21 - (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 02-07-2017 22:41:25
     Wait for the kitchen scene. :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 05-07-2017 21:17:44



ตอนที่ 22







[Soul’s part]



พี่ซีนเปลี่ยนไป ไม่สิ...พี่ซีนแปลกไป



‘อดีตมันก็คืออดีต’



ใช่...พี่ซีนบอกแบบนั้น



แต่ผมไม่เข้าใจว่าพี่ซีนเป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นที่อยู่ๆ ก็เมินผมไปเสียอย่างนั้น ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ไม่ได้ลวนลามตามใจอยากเลยสักนิด พี่ซีนบอกให้อาบน้ำ ผมก็อาบ บอกให้ดูทีวีรอ ผมก็ทำตาม ไม่ได้ขัดใจเลย



...อย่างนั้นก็มีอยู่เรื่องเดียวไม่ใช่หรือไง



“พี่ซีน”



“แป๊บนะ พี่โป้งครับ ตรงนี้ผมต้อง...” แล้วคนตัวบางก็เดินไปหาผู้กำกับทันที ฉากต่อไปไม่มีอะไรยากด้วยซ้ำ แต่เหมือนพี่ซีนปลีกตัวออกไปหาพี่โป้งอยู่ตลอดเวลา แล้วนี่ก็รอบที่ร้อยของวันแล้วมั้งที่ผมพยายามจะคุยด้วย



“พี่ซีน”



“อ้าว พี่บัว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”



“พี่ซี—”



“น้องซีนคะ มาดูตรงนี้หน่อย” ไม่พี่โป้งก็พี่ปุ้ย แล้วยิ่งพอพี่บัวมาก็ไปขลุกอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ปกติพี่ซีนเองไม่ได้สนิทกับพี่บัวขนาดนั้น แต่เหมือนพยายามหลบเลี่ยงผมมากกว่า



ผมอยากให้เวลาเดินเร็วกว่านี้ อยากเคลียร์ให้รู้เรื่อง เมื่อวานหลังกินข้าวเสร็จมีใครส่งข้อความาหาเจ้าตัวก็ไม่รู้ แต่นั่นเป็นสาเหตุที่อีกคนนิ่งเงียบใส่ผม ถามก็บอกไม่มีอะไรแต่ท่าทางของเขามันไม่ใช่เลย



ผมไม่รู้ว่าพี่ซีนได้ยินอะไรมากจากพี่กิ๋งบ้าง ไม่รู้ว่าใครส่งข้อความมาหาและข้อความนั่นบอกว่าอะไร ถ้าให้ผมลองย้อนกลับไปมองตัวเองก่อนที่จะเจอพี่ซีนผมก็ยอมรับว่ามีเยอะอยู่เหมือนกัน สาวๆ ในมหา’ลัยสวยน้อยกันที่ไหน แล้วบางคนผมแทบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรด้วยซ้ำ ไม่มีพันธะอะไรจะเล่นด้วยหน่อยก็ไม่เสียหายใช่หรือเปล่า แต่ให้ผมสาบานเลยก็ได้ว่าตั้งแต่ชอบพี่ซีน ผมก็ไม่สนคนอื่นอีก ไม่ว่าจะน้องหน้าหมวยๆ นั่น หรือรุ่นพี่ในคณะที่คุยกันมาสักพัก



ไม่รู้เรียกว่าหึงได้หรือเปล่า...แต่คิดว่าไม่ อารมณ์หึงหวงนั่นเหมือนผมมีต่อเขาฝ่ายเดียว ผมว่าพี่ซีนน่าจะรับรู้ว่าผมมองเขาคนเดียว ใส่ใจเขาอยู่คนเดียวและค่อนข้างจะเปิดเผยให้คนอื่นเห็นด้วยซ้ำ อีกคนเลยไม่คิดมากกับเรื่องแบบนี้ ต่างกันกับพี่ซีน รายนี้ชอบใส่ใจความรู้สึกทุกคน ที่จริงผมนอยด์อยู่บ้างแต่ไม่อยากทำตัวงี่เง่าเกินไป ยกเว้นเวลาไอ้พระรองนั่นทำอะไรเกินขอบเขต นึกแล้วยังโมโหไม่หาย ผมอยากกระทืบมันให้มากกว่านี้ ไม่สนว่าใครจะมองยังไงทั้งนั้น ยิ่งเห็นพี่ซีนจะร้องไห้เพราะมันผมก็ยิ่งอยากซัดมันเข้าไปอีก



สงสารคนอื่นแต่ไม่สงสารผมบ้างเลย...พี่ซีนน่ะไม่เคยรู้หรอกว่าผมหวงเขาขนาดไหน



ไม่รู้ว่าความรู้สึกของพี่ซีนที่มีต่อผมมันมีมากเท่าไหร่ และทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยพูดคำคำนั้นออกมาเลยสักครั้ง แต่แค่พี่ซีนยังอยู่กับผม เท่านั้นก็พอแล้วหรือเปล่า...ผมพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้น



ทั้งที่อยากจะโลภให้ได้มากกว่านี้ แต่ผมก็เลือกที่จะให้เวลากับอีกคน



ผมไม่อยากไปยุ่มย่ามกับโทรศัพท์ของเขา แม้อยากรู้ใจจะขาดว่ารับรู้เรื่องอะไรมา อยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่ท่าทีของพี่ซีนไม่เหมือนหึงผมสักนิด ตอนนี้เหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่างมากกว่า เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ผมเลยไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้พี่ซีนโกรธตอนไหน



“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”



“เลิกกองก่อนนะ”



“แต่...”



“โซล” อีกคนเม้มปากแน่น “ไม่ใช่ตอนนี้”



“ผมแค่อยากรู้ว่าพี่เป็นอะไร ทำไม...”



“อย่าเพิ่งถามได้ไหม”



“…”



“ทั้งหมดนั่นก็เพราะมึง..”



“แล้วผมทำอะไร บอกผมสิ ผมขอโทษ”



“..อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย”



...แต่ผมแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว...



เวลาผมเข้าใกล้ อีกคนก็เก็บโทรศัพท์ลงอย่างกับมีความลับ ทั้งที่พี่ซีนไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนที่พี่ซีนคุยด้วยคือไอ้พระรองนั่น ผมไม่คิดว่าพี่ซีนจะชอบไอ้นั่นหรอก เพียงแต่เขาค่อนข้างขี้ใจอ่อนและยังรู้สึกผิดกับเหตุการณ์นั้นอยู่ด้วย ไม่รู้ไอ้นั่นมันจะสำออยอะไรให้คนของผมเห็นใจ



ผมมองตามคนตัวบางที่เดินออกมาจากฉาก พี่ซีนไม่มองผมเลยด้วยซ้ำ พอเช็คมอนิเตอร์เสร็จก็หายไปกับพี่ปุ้ย รายนั้นก็แปลก ดูให้ความร่วมมือกับพี่ซีนแปลกๆ อาจเพราะเรื่องของไอ้พระรองนั่น มันต้องพักงานทั้งที่เพิ่งเข้าวงการ ถ้าเรื่องนี้ไม่โดนปิดเงียบ ความเสียหายไม่เกิดแค่ที่ตัวผมแต่รวมไปถึงซีรีส์เรื่องนี้ด้วย ผมยอมรับว่าคิดน้อยไปหน่อย ขอโทษไปแล้วและพี่ปุ้ยก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับกันพี่ซีนออกจากผมแทน นี่คือการลงโทษใช่ไหม...?



ผมพยายามนึกหาสาเหตุอีกครั้ง นึกย้อนไปว่าตัวเองทำอะไรลงไปมั่ง แต่ก็หาไม่เจอสักเหตุผล โทรศัพท์ผมไม่ได้เงียบ มีคนทักมาเรื่อยๆ และผมก็ปฏิเสธไปหมดเช่นกัน



พี่ซีนเดินกลับมา ถ้าไม่ได้เข้าฉากเขาไม่อยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมชักเริ่มหงุดหงิด มันร้อนใจไปหมด อีกคนจะรู้ไหมว่าการพยายามเมินผมมันทรมานผมขนาดไหน



ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจกันแน่...



เราอยู่ในฉากที่ถูกเซ็ทขึ้นเป็นห้องครัว พี่ซีนใส่ผ้ากันเปื้อนสีดำ ผมเอาแต่จับจ้องคนที่ก้มหน้าก้มตาดูบทอย่างเดียว



“มึงหันหลังอยู่แบบนี้ ไอ้โซลมึงเท้าแขนไว้ตรงนี้”



คิ้วผมกระตุกอยู่หน่อยๆ เมื่อพี่โป้งสาธิตให้ดู ฉากอื่นน่ะได้แต่ฉากนี้มัน...



“ไอ้ซีนมึงหันมา” คนตัวบางค่อยๆ หันมาตามคำสั่ง “จ้องสักพัก แล้วมึงเอาแขนขึ้นมาโอบ”



พี่ซีนประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ฉากนี้คงจะเป็นฉากที่เขาไม่อยากแสดงมากที่สุด ตามปกติแค่ผมแตะนิดแตะหน่อย เจ้าตัวก็หน้าแดงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำนองนี้เลย



“โซลมึงทำแบบนี้...”



“เดี๋ยวพี่” ผมร้องห้ามตอนที่พี่โป้งก้มหน้าลงไปหาพี่ซีน



“ไม่ได้ทำจริง กูจะทำให้มึงดูเนี่ย”



ผมรู้ แต่มันใกล้ไปเว้ย



“แล้วเลื่อนลงมา...” พี่ซีนหลับตาแน่น ขณะที่ผมอยากจะเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน “ค่อยๆ นะ แบบนี้...”



“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”



สุดท้ายผมก็ห้ามตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปแทรกระหว่างสองคนนี้ไม่ได้ ผมรู้ว่ามันเป็นงาน แต่อารมณ์ของผมตอนนี้เริ่มจะควบคุมยากขึ้นทุกที



พี่โป้งทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร แล้วบอกให้ผมทำให้ดู



ผมเท้าแขนลงกับเคาน์เตอร์ พี่ซีนสะดุ้งน้อยๆ ดูเกร็งกว่าที่พี่โป้งทำเสียอีก คนตัวบางค่อยๆ หันหน้ามา สบตาผมไม่ถึงวิก็หลบ



“อย่าเพิ่งซีน”



แต่คำสั่งของผู้กำกับทำให้เขาต้องหันกลับมาจ้องผมอีกครั้ง



ผมใช้ปลายจมูกแตะลงบนข้างแก้มของอีกคน ไล้เบาๆ อยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมา พี่ซีนตัวสั่น ทั้งหัวใจยังเต้นแรงจนผมสัมผัสได้



“เออ ประมาณนี้ เอาเลยนะ”



พี่ซีนผินหน้าหนีกลับไปทันที ในใจผมร้อนเป็นไฟ เขาจะรู้ตัวไหมว่ามีอิทธิพลต่อผมมากเท่าไหร่



“…แอคชั่น”



พี่ซีนเหมือนยังไม่พร้อม แต่ผมจะไม่รอแล้ว ในเมื่ออีกคนไม่คิดบอกเหตุผลที่เมินเฉย ผมก็จะลองใจร้ายกับคนตรงหน้าดูสักครั้ง



อีกฝ่ายห่อไหล่เข้าหากันขณะที่ผมจงใจพ่นลมหายใจใส่ ในตอนที่อีกคนหันมาแววตาวูบไหวไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อน แต่กลับยิ่งเพิ่มความสงสัยในสิ่งที่คนตรงหน้ารับรู้มา



ผมทำตามที่เราซักซ้อม แต่อย่างว่า...ผมมันพวกชอบนอกบทนี่ ผมไล้ปลายจมูกไปตามโครงหน้าของเขา ริมฝีปากผมเฉียดมุมปากเขาไปเพียงเล็กน้อย เท่านั้นก็พอให้อีกคนเกือบเบือนหน้าหนี



ใบหน้าผมเคลื่อนต่ำลงมา เปลี่ยนจากปลายจมูกเป็นริมฝีปากประทับไปตามลำคอขาวเนียน ผมทาบตัวแนบชิดกับเขามากขึ้น และสัมผัสก็หนักหน่วงมากขึ้นเช่นเดียวกัน



พี่ซีนตัวสั่นมากกว่าเดิม เขาเชิดหน้าขึ้นขณะที่มือจิกเสื้อผมแน่นและพยายามดันตัวผมออก



“อ..อ๊ะ!”



“..คัท…คัทโว้ย!”



ผมยอมผละออกมาจ้องใบหน้าของอีกคนที่แดงก่ำ ที่ลำคอของเขาขึ้นร่องรอยสีแดงช้ำ...และในตอนนั้นเองที่ผมใจอ่อนยวบ นัยน์ตาอีกคนสั่นไหวตื่นตกใจกับสิ่งที่ผมทำ ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่น



“ไอ้ซีนไปพักก่อน ไอ้โซลเตรียมเข้าฉากต่อไป”



“ผมขอตัวแป๊บ”



ไม่รอคำตอบรับจากพี่โป้ง ผมก็รีบเดินตามพี่ซีนไปทันที ไหล่บางตรงหน้าห่อเข้าหากัน ผมใช้อารมณ์กับเขาและพี่ซีนกำลังกลัว อยากดึงอีกคนเข้ามากอด แต่พอเมื่อผมทำตามใจอยากก็โดนผลักออกทันที



“พี่ซีน”



“อย่า...”



“ผม...ผมขอโทษ”



“ไปเตรียมตัวเถอะ”



“เราคุยกันก่อนไม่ได้เหรอ ผมไม่เข้าใจทำไมพี่เป็นแบบนี้ ถ้าผมทำอะไรผิด ผมขอโทษ แค่พี่บอกมา ผมขอโทษ...”



“มึงขอโทษเรื่องอะไร”



“ทุกเรื่องที่พี่ไม่พอใจ ผมไม่รู้แต่ผมขอโทษ ถ้าพี่ไม่ชอบผมจะไม่ทำอีก...ไม่ว่าเรื่องอะไร”



“ไปเถอะ อย่าให้ทีมงานรอ”



“ถ้าเรื่องไอ้พระรองนั่น ผมไปขอโทษมันก็ได้ ผมผิดเองที่คิดไม่รอบคอบ ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก”



“โซล”



“ผมขอ...”



“กูอยากอยู่คนเดียว”



...ความผิดของผม มันหนักหนาถึงขนาดที่พี่ไม่รับคำขอโทษของผมเลยเหรอ...



ผมไม่มีสมาธิเลยสักนิด จากที่เคยได้รับคำชมบ่อยๆ กลายเป็นคำตำหนิ การที่ไม่แยกความรู้สึกส่วนตัวออกจากงานพลอยทำให้คนอื่นเขาเหนื่อยเพิ่มไปด้วย พี่โป้งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะเข้าวันใหม่อยู่แล้ว ทุกคนเพลียเหมือนกันหมด แต่ยังมีผมเป็นตัวถ่วงอีก



“มึงอย่าวอกแว่กได้ไหม ตอนนี้มึงกำลังทำอะไรอยู่”



“..ขอโทษครับ”



“พักไหม”



“ไม่เป็นไรครับ”



“งั้นเอาใหม่ คราวนี้ดีๆ นะมึง”



ผมพยักหน้ารับคำเนือยๆ ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมด ไม่มีกำลังใจจะทำอะไรสักนิด แต่เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของผู้กำกับผมก็ต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นทันที แล้วก็โดนพี่โป้งก็สั่งคัทอีกรอบ



“มึงทำอะไรของมึงวะโซล”



ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ยกมือขึ้นปิดใบหน้าที่เหนื่อยล้าเกินไปของตัวเอง วันนี้เหมือนผมทำอะไรก็ผิดไปหมด เมื่อกี้ผมเต็มที่แล้วนะ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพักเพราะถ้าพี่ซีนยังเป็นอยู่อย่างนี้ ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น



แต่ในตอนที่ผมเงยหน้าขึ้น พี่ซีนกลับยืนอยู่ตรงหน้า...พร้อมกับเค้กก้อนโตในมือ



“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...”



เสียงพี่ปุ้ยดังขึ้นคนแรก ตามมาด้วยเสียงทีมงานทุกคน ผมนั่งนิ่งอึ้งท่ามกลางเสียงร้องเพลงวันเกิด



นี่มันอะไรกันวะครับ...



พี่ปุ้ยพุ่งเข้ามากอดกอดผมแล้วเขย่าไปมา ผมแทบจะทรุดลงกับพื้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ พี่ซีนเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ พอเพลงจบก็พยัดเพยิดให้ผมเป่าเทียน



“สุขสันต์วันเกิดค่ะน้องโซล โอ๋ ไม่ร้องน้า”



ยกมือขึ้นปิดหน้าอีกรอบ ไม่มีน้ำตาสักหยด พี่ปุ้ยยังกอดผมไม่ปล่อย ทีมงานรอบตัวกล่าวขอโทษที่หลอกผม พี่โป้งเองก็ด้วย



“คือ...พี่ปุ้ยวางแผนนะ กูไม่เกี่ยว”



“พี่วางแผน แต่ทุกคนแสดงดีเกินไป”



“เมื่อกี้ไม่ได้ถ่ายจริงนะ” ผู้กำกับว่าขึ้น “กูโคตรตลกหน้ามึง”



ผมพรูลมหายใจ ลูบหน้าตัวเองแรงๆ “พวกพี่ครับ ผมจะบ้าตาย” 



“ที่จริงจะเซอร์ไพรส์เที่ยงคืนเป๊ะ แต่คนแถวนี้ทนเห็นน้องโซลหงอยไม่ได้แล้วค่ะ นี่เร่งให้พี่เอาเค้กออกมาตั้งแต่สามทุ่ม”



คนถูกพูดถึงเฉไฉสายตาไปทางอื่น ผมหลุดยิ้มออกมา แค่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องล้อเล่นก็โล่งเหมือนความทุกข์ที่มีได้จางหายไปหมด พี่ซีนเดินเข้ามาขยี้หัวผม



“เครียดเลยดิ”



ยังจะมายิ้มอีกนะคนเรา...ผมคว้าเอวอีกคนเข้ามากอด พี่ซีนไม่ได้ขัดขืน และมือเขาก็ลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น



“ไม่ได้โกรธผมแน่นะ”



“ให้โกรธเรื่องอะไรเล่า”



“เมื่อวานอยู่ๆ พี่ก็ไม่คุยกับผม”



“พี่เป็นคนไลน์ไปหาเองค่ะ บอกให้ทำงอนน้องโซลเอาไว้ กลัวว่าเพิ่งมางอนเอาตอนนี้จะไม่เนียน”



แต่นี่เนียนไปหรือเปล่า...ผมเครียดหัวแทบแตก



“ขอโทษนะคะ เล่นพระเอกทั้งทีก็ต้องจัดหนักกันหน่อย”



“ไม่เป็นไรครับ” ผละออกจากอีกคน ยกมือไหว้ทีมงานรอบตัว “ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนมาก เล่นซะผมไปไม่เป็นเลย”



คนต้นคิดหัวเราะถูกอกถูกใจ มีใครจะวางแผนได้ดีกว่านี้อีกไหม ให้พี่ซีนโกรธผมตั้งแต่เมื่อวานจนตอนนี้เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ผมลืมไปเลยว่าจะถึงวันเกิดตัวเอง ไม่ได้นึกถึงมันด้วยซ้ำ



“เล่นใหญ่นะครับ”



อีกคนยักไหล่ “เก่งปะละ”



...น่ามันเขี้ยวจริงๆ









“ยังไม่เลิกคิดอีกเหรอ”



“ผมเกือบจะเป็นบ้าก็เพราะพี่นะครับ”



หลอกกันมาทั้งวัน ผมเหมือนวิญญาณยังไม่เข้าร่าง จะดีใจก็ยังงงๆ อยู่



“สัญญาได้ไหมครับว่ามีอะไรจะบอกผมตรงๆ …แบบนั้นมันทรมานมากเลย”



“เฮ้ย เมื่อกี้แค่ล้อเล่น อย่าเครียดๆ”



“ผมรู้ แต่ถ้าวันไหนที่พี่ไม่พอใจอะไรผมจริงๆ บอกผมนะ”



“อืม มึงก็เหมือนกัน..” พี่ซีนอ้ำอึ้ง หูเขาแดงนิดๆ  “..กูไม่เคยคบใครมาก่อน ถ้า...ถ้าทำอะไรให้ไม่พอใจ...บอกได้”



น่าแปลกที่ผมน้อยใจเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่พออีกคนพูดอย่างนี้กลับคิดว่าที่เป็นเขาแบบนี้มันดีมากอยู่แล้ว จะบอกให้เลิกทำตัวให้ผมหวงก็คงไม่ได้ เพราะเขาไม่ต้องทำอะไรผมก็หวงอยู่แล้ว



“อ้อ มึงคิดว่ากูคุยกับเฟิร์สล่ะสิ คุยกับไอ้ทิมต่างหาก มันถามเรื่องมึงนั่นแหละ” อีกคนย่นจมูก ก่อนบ่นพึมพำว่าเพื่อนถามอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด



“ส่วนเรื่องเฟิร์สน่ะ...กูผิดเอง กูจะระวังตัวมากกว่านี้”



“…”



“ขอโทษนะ”



...ใครจะทนแววตาหงอยๆ ของเขาได้กัน แค่เขานึกถึงผมบ้างเท่านั้นหัวใจก็พองโตขึ้นมา



“ผมต่างหากที่ทำให้พี่หนักใจ”



“ไม่หรอก...” เขาว่าพลางสั่นหัว พี่ซีนแค่เป็นห่วงผม ส่วนผมน่ะมันอารมณ์ร้อนเกินไป



“แต่มึงบอกว่าจะขอโทษเฟิร์ส”



“นั่นพี่หลอกผม ถือเป็นโมฆะ”



เขาอ้าปากเหมือนจะด่าแต่โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นก่อน “อ๊ะ เที่ยงคืนแล้ว…” แววตาสุกใสจ้องมองผม “สุขสันต์วันเกิด มีความสุขมากๆ นะ”



ผมมีหลากหลายคำพูดที่อยากจะพูดออกไป แต่ในตอนนั้นหัวใจผมอัดแน่นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง อยากขอบคุณที่ตอบรับความรู้สึกของผม ที่อยู่ตรงนี้กับผม และเป็นความสุขของผม...แต่ผมกลับตอบออกไปได้เพียงประโยคสั้นๆ เท่านั้น...



“ขอบคุณครับ”



“ไม่มีของขวัญเลย จะซื้อเมื่อวานแต่มึงมาหาก่อน” เขามุ่ยหน้า ท่าทางน่ารักจนอยากจับฟัดมันตรงนี้ ตรงที่พวกผมอยู่เป็นมุมอับที่ไม่มีทีมงานเพ่นพ่านเสียด้วยสิ...



“อยากให้ของขวัญผมเหรอ” ผมถาม อีกคนเลิกคิ้วนิดๆ ผมเลยชี้ไปที่แก้มของตัวเอง เท่านั้นคนตรงหน้าก็ฟาดมือลงมาเลย “โอย รุนแรงตลอด”



เขาอมยิ้ม...น่ารักมากจริงๆ ไม่รู้ว่าสายตาที่ผมใช้มองอีกคนเป็นแบบไหนเขาถึงหลบตาผม ผมเขี่ยแก้มเขาเบาๆ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นร่อยรอยที่ผมทำ



“เจ็บหรือเปล่า” ลูบต้นคออีกฝ่ายเบาๆ ดีที่มันอยู่ในที่ที่ปกเสื้อปิดเอาไว้ได้



“เจ็บสิ...กัดมาได้” พี่ซีนแยกเขี้ยวทั้งที่หน้าขึ้นสี “คืนนี้นอนโซฟาไปเลย”



“ได้ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย “แต่แค่คืนเดียวนะ”



ผมคิดจะทำจริง เพราะการที่เขาน่ารักขึ้นทุกวันจะทำให้ผมอดใจไม่ไหว



“ที่จริงของขวัญน่ะ ไม่ต้องหรอกครับ”



“…”



“แค่พี่อยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”



เป็นของขวัญให้กับชีวิตผมแล้ว...ผมเป็นคนแรกของเขา แต่สิ่งที่เขาไม่เคยรู้คือเขาก็เป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกมากมายขนาดนี้ มีอิทธิพลต่อหัวใจมากเสียจนผมกลัว...



“อย่าทิ้งผมนะ”



“บอกตัวเองเถอะ” เขาจิ้มที่หน้าอกของผม “สาวเยอะนี่”



...ไหนใครบอกไม่สนใจอดีตกัน...ผมวางมือลงบนศีรษะเขา ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปลอยผมเบาๆ “ไม่มีวันนั้นครับ”



ผมจะทำให้เขาเห็นว่ามันไม่ใช่คำสัญญาลอยๆ คำว่าตลอดไปหน้าตาเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่กลับมั่นอกมั่นใจเหลือเกินกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ก็จะให้ทำยังไง...ในเมื่อหัวใจของผมมันไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว



“ไม่มีวันนั้นเหมือนกัน...”



ความรู้สึกนับร้อยวิ่งวนกันให้วุ่น พี่ซีนจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม ผมชอบทั้งเวลาที่เขาเขินอาย และเวลาที่เขาทำใจกล้าทั้งที่หน้าแดงอย่างนี้



“..ปากไม่แข็งแล้วแฮะ” มือผมเลื่อนลงมากุมใบหน้าของเขาเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ แตะริมฝีปากเขาเบาๆ ใครๆ ก็ว่าประสบการณ์ผมโชกโชน แต่ใครเหล่านั้นจะรู้บ้างว่าแค่สัมผัสคนตรงหน้าเพียงเท่านี้ก็ทำเอาใจผมสั่นเหมือนสาวน้อยที่เพิ่งมีประสบการณ์ครั้งแรก ยิ่งครั้งแรกที่เราจูบกันผมแทบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ มันทั้งประหม่า ไม่กล้า แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการมากกว่านั้น



เขาหอมหวาน น่าเชยชิมไปหมด และผมติดกับเต็มๆ



ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว...คนตรงหน้ามีเวทย์มนตร์หรือไงกัน...





“อะแฮ่ม!”





พี่ซีนสะดุ้งเฮือก รีบร้อนผละออกจากผม ผมหันขวับไปทางต้นเสียง พี่โป้งยืนทำหน้าเอือมอยู่อีกมุมหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกล



“เฮ้ย พี่มาตอนไหน”



“กูอยู่ตรงนี้นานแล้ว” พี่โป้งว่าฉุนๆ “ทำไมกูต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ด้วยวะ”



พี่ซีนกำเสื้อผมแน่น ก้มหน้างุดซบอยู่ที่อก ผมลูบหลังเขาเบาๆ ไม่รู้จะกล้าสู้หน้าผู้กำกับได้อีกหรือเปล่า เห็นคิสซีนไปเต็มๆ เสียด้วย



“กูคุยโทรศัพท์อยู่ ไอ้พวกนี้แม่งมาสวีทกันเฉย”



“งั้นพี่ก็ไปได้แล้ว”



“เออ!” ผู้กำกับกระแทกเสียง ก่อนเดินผ่านพวกผมเขาเหลือบมองพี่ซีนนิดนึง “ตอนแรกก็ว่าจะรอพวกมึงวิ้ดวิ้วกันเสร็จก่อน กลัวพวกมึงอาย แต่นี่แม่งไม่เสร็จสักที กลับไปต่อที่ห้องนู่น เดี๋ยวมีคนแอบถ่ายพวกมึงก็ซวยหรอก โว๊ะ!”



ต่อที่ห้องอะไรล่ะครับ...เจอแบบนี้พี่ซีนจะให้ผมเข้าใกล้หรือเปล่าก็ไม่รู้



น่าจะกลับไปเคลียร์ที่ห้องตั้งแต่แรก...เฮ้อ



 



---------------------------------------------

พระเอกเราถอนหายใจหนักมาก....

ติชมได้ค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆ นะคะ

เจอกันตอนหน้าน้า ^ ^

#โซลซีน #ข้างหลังฉาก

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 05-07-2017 21:49:53
ฮาาาาา ขำก็ขำ สงสารก็สงสารน้องโซลผู้ถูกแกล้งแถมยังรู้ชะตากรรมตัวเองเป็นอย่างดี ฮาาาา

จริงๆ อ้อนๆพี่เขาหน่อย พี่เขาก็ใจอ่อนแล้วแหละ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 05-07-2017 21:55:04
อู้ยยยยใจกหายใจคส่ำหมด คิดว่าจะได้ซดมาม่าซะแล้ววว
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-07-2017 22:30:10
คนอ่านก็งง เหมือนโซลเลย   :katai1:
นึกตามด้วยโซลทำอะไรให้ซีนโกรธนะ  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 05-07-2017 22:55:09
สงสารน้องโซล


5555555555555+
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 05-07-2017 23:06:56
โซลโดนแกล้ง555แต่คงหายงอนได้ง่ายนะค่ะได้จุ๊ฟซีนแล้วนิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 05-07-2017 23:32:18
โซลโดนแกล้งแล้วสภาพน่าสงสารมากอะ
คิดว่าถ้าเป็นดราม่าจริงๆ โซลคงอาการหนักจริงๆแหละ
โอ๋ๆมากอดดดปลอบบบ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 06-07-2017 00:21:46
อื้อหือออ เซอรไพรส์ แบบ จัดหนักมาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-07-2017 00:38:19
ทุกคนในกองเล่นใหญ่มากจริงๆ แอบใจเสียตามเลย 5555
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-07-2017 00:59:40
ใจหายหมดดด เราก็หงอยตามโซล พี่ซีนแกล้งแรงอ่ะฮืออ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 06-07-2017 13:03:55
นะ.. นอกจากหลอกน้องโซล แล้ว ยังหลอกคนอ่านด้วยย...
ไรท์ททททท... 55+
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 06-07-2017 14:16:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 22 - (05/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 06-07-2017 14:44:35
 :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 13-07-2017 21:27:48

ตอนที่ 23







ฉากจูบถูกตัดออก...ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นการดี



เราถ่ายกันไปแล้วฉากหนึ่ง เหลืออีกสามแต่โดนตัดไปสอง วันนี้เหลืออยู่ไม่กี่ฉากก็เสร็จสิ้นระยะเวลาสามเดือนกับการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้แล้ว



จะว่าดีใจก็ดีใจแต่ก็แอบใจหายอยู่เหมือนกัน ทุกคนดูแลผมดีมากยิ่งพี่ปุ้ยด้วยแล้ว ผมเกือบใจอ่อนยอมเล่นซีรีส์ให้พี่แกอีกเรื่อง สมัยนี้ซีรีส์วายกำลังเป็นที่นิยม พี่ปุ้ยบอกว่าคาร์แรคเตอร์อย่างผมเหมาะกับหลายเรื่องเลย...ผมควรดีใจไหม



“ตัดออกอีกก็ได้นะผมว่า”



“เดี๋ยวกูโบกให้ ฉากนี้สำคัญมาก กูให้เวลามึงเตรียมตัว”



ผมย่นจมูก เห็นบอกสำคัญทุกฉากนั่นแหละ พี่โป้งเดินไปจัดแจงนู่นนี่ ผมมองบทในมือก็ต้องถอนหายใจ ไม่ชินกับอะไรแบบนี้เลยให้ตายเถอะ



“ไอ้โซลมึงนั่งดีไหม ลองนั่งลงดิ๊” ไอ้พระเอกนั่งลงบนพนักโซฟา ขณะที่ผมยืน “แบบนี้ดีกว่าไหม เวลาไอ้ซีนเขย่งขึ้นไปจูบมึงจะได้ไม่ดูทุลักทุเล”



บอกให้มันนั่งเฉยๆ ก็พอแล้ว พี่แกจะขยายความเพื่อ…



“ผมห่างกับมันไม่เท่าไหร่เองเถอะ”



“มึงเขย่งจนจะบัลเล่ต์อยู่แล้วยังจะมาพูดดี”



ผมจะเถียงต่อแต่พี่โป้งก็ปัดๆ มือไม่รับฟังแล้ว อะไรวะ ซ้อมกันเมื่อกี้ไอ้โซลมันแกล้งผมต่างหาก!



“อ้อ ไอ้ซีน กูขออินเนอร์แบบวันนั้นน่ะ”



“พี่โป้ง!!!”



“เออ กูอยู่นี่ไง”



“พี่...ฮึ่ย!” ผมฮัดฮัด ทำอะไรไม่ได้ พี่โป้งมองมาตาใสเหมือนไม่ได้พูดอะไรที่ร้ายแรง เรื่องวันนั้นทรมานผมแทบตาย วันต่อไปก็ต้องเจอพี่โป้ง ต้องพยายามทำงานในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดโดยมีคนเห็นเหตุการณ์ส่งสายตาล้อๆ มาให้ อยากหนีออกไปจากตรงนั้นจะแย่!



“อย่าพูดสิพี่ เดี๋ยวพี่ซีนงอนผม”



“เป็นสีสันไงมึง อย่าเอาแต่รักกันอย่างเดียว”



“ไม่เอาหรอก วันนั้นพี่น่าจะรออีกนิด พี่ซีนไม่ให้ผมเข้าใกล้เลย”



“ให้กูรอ กูก็ไม่ได้ทำการทำงานกันพอดี”



ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะ พยายามจะบอกให้เลิกพูดเรื่องพวกนี้กันได้แล้ว ผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะเว้ย



“แต่จะว่าไปมุมตอนนั้นมันดีมาก...”



“ผมว่าเราเริ่มถ่ายกันเลยดีกว่า!”



“ฟีลมาแล้วเหรอ เออๆ วันนี้มาแปลกว่ะ”



ผมส่งสายตาเคืองๆ ให้ผู้กำกับที่ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ได้ ปกติพี่โป้งไม่ค่อยล้อ แต่ตอนนี้ไม่รู้อะไรเข้าสิง เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายอาทิตย์แล้วยังเอามาล้ออยู่ได้!



“...แอคชั่น”



ผมมองไอ้คนที่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงหน้า มันใส่ชุดนักศึกษาที่ผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมอยู่ในชุดลำลอง เป็นฉากที่มันมาที่ห้องของผมเพื่อช่วยเก็บของ อยู่ๆ ผมก็นึกถึงวันแรกที่เจอไอ้โซลขึ้นมา มันเคยบอกว่าทุกครั้งที่ผมเจอมันไม่มีครั้งไหนที่เป็นเรื่องบังเอิญ...ในอกผมรู้สึกตื้นตันแปลกๆ ไม่รู้เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการถ่ายทำหรือเพราะนึกถึงช่วงเวลาที่มันเริ่มต้นเข้ามาในชีวิต...จะอะไรก็แล้วแต่



คำพูดที่ถูกท่องซ้ำไปซ้ำมากำลังจะถูกถ่ายทอดผสมผสานไปกับความรู้สึกเบื้องลึกของตัวผมเอง



“ไม่อยากจะเชื่อเลย...”



“…”



“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะ...”



“ได้กัน?”



“คบกัน!!”



ไอ้พระเอกในเรื่องนี่เป็นตัวทำลายความซึ้งที่แท้จริง



“ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า”



“…”



“แต่เป็นฝันที่โคตรดีเลย ดีจนไม่อยากตื่น”



“...”



“กูดีใจนะที่ได้รู้จักมึง”



“…”



“ถ้านี่เป็นฝันจริงๆ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วมึงหายไป...”



“ไม่มีวันนั้น”



‘ไม่มีวันนั้นครับ’



ไอ้โซลไม่รู้หรอกว่า...สายตาและน้ำเสียงของมันหนักแน่นขนาดไหน



“มึงช่วยเป็นคนแรกและคนเดียวของกูได้ไหม”



“นั่นหมายถึงคำว่าตลอดไปหรือเปล่า”



“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก...” ผมยิ้มบางเบา “แค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ”



ผมอินกับบทเหรอ...กำลังอินกับมันใช่ไหม...



ทำไมเหมือนตัวมันเบาแปลกๆ อย่างกับจะลอยขึ้นไปได้ ในตอนที่เห็นสายตาของไอ้โซลมองมา ตอนที่มันยกยิ้มขึ้นเล็กๆ และในตอนที่ผมแนบริมฝีปากลงไป…



“คัท! เยี่ยมมาก เสร็จแล้วโว้ย!”



ผมค่อยๆ ผละออกจากมัน ท่ามกลางเสียงเฮของทีมงานผมเหมือนถูกกล่องที่มองไม่เห็นครอบหัวเอาไว้ ภาพทุกอย่างดูช้าไปหมด เสียงจอกแจ่กจอแจเหมือนดังอยู่ไกลห่างออกไป



เรายิ้มให้กันอยู่อย่างนั้น มันเป็นความดีใจที่เราร่วมทำสิ่งนี้กันมาจนสิ้นสุด เป็นความตื้นตันที่อธิบายไม่ถูก แต่รู้ตัวอีกทีผมก็เดินเข้าไปหาไอ้โซลที่อ้าแขนไว้รอแล้ว



สามเดือนเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากแต่เชื่องช้าเมื่อนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ความทรงจำใหม่ๆ ที่เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก มองไปเห็นทีมงานรอบๆ ตัวยังนึกถึงวันที่มากองถ่ายวันแรกอยู่เลย วันนั้นตื่นเต้นจนมือเย็นไปหมด



ต่อไปคงกลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติอีกครั้ง นี่ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่ให้ผมได้เรียนรู้โลกอีกใบหนึ่ง ไม่คิดว่าการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้ตามที่ม้าขอร้องจะทำให้ผมได้อะไรดีๆ กลับไปมากมาย ประสบการณ์ ผู้คน รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ด้วย...ไอ้โซล





สามเดือนที่จบลง...แต่เหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง













งานเลี้ยงปิดกล้องจัดขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมมาถึงในช่วงหัวค่ำพร้อมไอ้โซล ผมเดินเข้าไปทักทายทีมงานทุกคน แค่ช่วงเริ่มต้นทุกคนก็สนุกสนานกันแล้ว



ร้านไม่ใหญ่มาก พอมีทีมงานและนักแสดงอัดกันเข้ามาก็ดูเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นดี ผมเดินไปทั่วงานแต่ไม่ยักจะเห็นเฟิร์ส ไม่คิดว่าหมอนั่นจะไม่มานะ



หนิงแต่งตัวจัดเต็ม ทั้งที่คนอื่นใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่พอนั่งๆ กินอาหารไปก็เห็นเริ่มแกะแอกเซสซอรีออกทีละอย่าง บ่นว่าร้อนมั่ง คับมั่ง อีกนิดคงถอดเข็มขัดเพราะเห็นกินไม่หยุด สงสัยละเว้นการไดเอทไปแล้ว



และช่วงเวลาที่ผมไม่อยากให้มาถึง...ก็มาถึงจนได้



หลังจากหนิงขึ้นไปเปิดเวทีเป็นคนแรก ผมและไอ้โซลก็ถูกลากขึ้นไปร้องเพลง จะบ้าตาย ผมร้องเพลงเป็นที่ไหน



“เอาเพลงที่ผมเล่นกีตาร์ที่บ้านไอ้ต่ายดีไหม”



ผมรีบส่ายหน้า นึกถึงวันนั้นขึ้นมาทีไรก็หน้าร้อนขึ้นมาตลอด ทั้งที่ผมเมามากแต่กลับจำทุกคำพูด น้ำเสียง และสายตาของมันได้แม่นยำ



สุดท้ายก็เลือกเป็นเพลงที่ทั้งผมและมันรู้จัก ไม่ค่อยได้ยินเสียงผมหรอก ส่วนใหญ่ยืนโยกไปตามทำนองกับอ้าปากตามเนื้อไปอย่างนั้นเอง ระหว่างร้องไอ้พระเอกมันก็ขยับเข้ามาใกล้ ทำมาซบมั่ง เอามือมาโอบมั่ง พี่ๆ ข้างล่างวี๊ดว๊ายกันใหญ่ ที่จริงผมจะทำเล่นด้วยก็ได้แต่ติดตรงที่ว่ามีคนรู้ว่าเราคบกันจริงๆ อยู่ ผมเลยแค่หัวเราะแล้วผลักมันออกเบาๆ



เอาจริงทีมงานก็เหมือนรู้กันอยู่...ยิ่งวันที่เฟิร์สเล่นนอกบทและไอ้โซลก็โมโหมากขนาดนั้นด้วย



ไม่ปล่อยให้ไมค์ว่าง ผมกับไอ้โซลร้องไปสองสามเพลง แล้วก็มีนักแสดงคนอื่นขึ้นมาร้องด้วย แต่ละคนเต้นลืม ลืมไปเลยว่ามีกล้อง โดนถ่ายกันถ้วนหน้าแต่ไม่มีใครสน ไอ้ตัวโจ๊กเต้นผีเสื้อราตรีไปสองรอบ ไม่รู้สนุกอะไรขนาดนั้น บอกให้หนิงร้องอีกรอบอยู่นั่น



ผมลงมาจากเวที นั่งดูดน้ำแก้กระหาย ไม่ได้เต้นอะไรกับเขาเลยแต่หัวเราะจนเหนื่อย เหมือนการทำงานที่หนักหนาถูกนำมาปลดปล่อยเอาในวันนี้ สักพักเฟิร์สก็มา ผมมองตามหมอนั่นเดินไปทักทายทีมงานและขอโทษที่มาช้า เฟิร์สยังไม่ทันได้นั่งด้วยซ้ำก็ถูกไอ้แว่นดึงขึ้นไปบนเวทีแล้ว



เพลงสนุกสนานจบลง พระรองของเรื่องเลือกแต่เพลงช้า ความหมายของมันยังทำให้ผมแอบเศร้าใจ ผมหลุบตาลง ไม่อยากมองหน้าคนที่อยู่บนเวทีอีก ไอ้โซลกลับมาจากห้องน้ำตอนไหนไม่รู้ มันฉวยมือผมไปกุม ลูบหลังมือเบาๆ



สักพักนักแสดงและทีมงานคนอื่นก็ขึ้นไปร้องบ้าง บรรยากาศหม่นๆ กลับมาสนุกสนานอีกครั้ง เหมือนเมื่อสักครู่ทุกคนแค่พักเหนื่อยกันเฉยๆ พี่ปุ้ยจะจับผมขึ้นไปบนเวทีอีกผมเลยอ้างจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วปลีกตัวออกมาข้างนอกเสียเลย มองหาไอ้พระเอกก็เห็นเต้นอยู่กับทีมงานอีกโต๊ะ



ข้างๆ ร้านเป็นสวนถูกประดับด้วยไฟดวงเล็กๆ เต็มไปหมด ถ้าร้านเปิดปกติออกมากินข้างนอกต้องบรรยากาศดีมากแน่ๆ อากาศตอนกลางคืนท่ามกลางต้นไม้แบบนี้เย็นใช่เล่น ผมถูแขนตัวเองไปมา ตัดสินใจกลับเข้าไปข้างในดีกว่า แต่ในตอนที่หันหลังไปก็พบใครบางคนที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว



“..เฟิร์ส”



“อืม...หวัดดี”



“เรา...ออกมาสูดอากาศน่ะ อากาศดีเนอะ”



“เหมือนซีนจะหนาวนะ” อีกคนว่าขำๆ ใบหน้าของเฟิร์สไร้ร่องรอยในวันนั้น การที่เห็นรอยยิ้มของเขาในวันนี้ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด



“วันนั้น...ขอโทษนะ”



เฟิร์สส่ายหน้าช้าๆ เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างผม



“ไม่หรอก อย่าขอโทษเลย เราผิดเอง”



แสงไฟสะท้อนสายตาเศร้าหมองของคนตรงหน้า ผมรู้ว่าผมควรรีบออกห่างจากเฟิร์ส มันไม่ใช่ว่าผมไม่ระวังตัว...แต่ความรู้สึกลึกๆ มันบอกว่าเฟิร์สไม่ใช่คนอันตราย และใช่...ผมมันเป็นคนขี้ใจอ่อน ขี้สงสาร และยังเชื่อว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้...



“เราอยากเข้าหาซีนทีละนิดเพราะกลัวว่าจะลำบากใจ” เฟิร์สว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ มือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง หากคนมองเผินๆ ก็เหมือนเรากำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป



“ตอนนั้นคิดแค่ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอซีนแล้ว ก็เลยอยากลองดู...”



“…”



“ลองทำแบบที่ไอ้โซลทำดูน่ะ เราเห็นซีนเขินมันหลายครั้งแล้ว”



ผมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง



“เราลองสู้ดู เผื่อว่าซีนจะหวั่นไหวกับเราสักนิดก็ยังดี แต่เราลืมนึกไปว่าซีนรู้สึกแบบนั้นแค่กับมัน”



“…”



“ซีนไม่ผิดหรอกที่ไม่บอกเรื่องความสัมพันธ์กับเด็กนั่น เราเองต่างหากที่ไม่ควรไปทำอย่างนั้น คงทำให้ซีนลำบากใจแย่ ขอโทษนะ”



“..ไม่เป็นไร” เสียงผมเบาหวิว สงสารคนตรงหน้าแต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง



“เราจะกลับแล้ว”



“ทำไมล่ะ”



แผลเรายังไม่หายดี ไว้หายดีเมื่อไหร่ เจอกันใหม่นะ”



ใบหน้าสะอาดสะอ้านนั้นยกยิ้มบาง แผลที่ว่าคงไม่ใช่ภายนอกร่างกายที่สายตาสามารถมองเห็นได้



“กลับเข้าไปเถอะ เด็กนั่นตามหาให้วุ่นแล้วมั้ง”



“ไม่เข้าไปด้วยกันจริงๆ เหรอ..”



“..เราจะตัดใจได้ยังไงเนี่ย..”



“อะไรนะ”



“เปล่า...” เฟิร์สหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ผมมองอย่างไม่เข้าใจ



“จะกลับก็กลับสิวะ ลีลาอยู่ได้” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง ไอ้โซลเดินหน้ามุ่ยเข้ามาหาผม ขณะที่เฟิร์สยักไหล่ยิ้มๆ



“หึ ตายยากจริงๆ”



เด็กข้างตัวส่งเสียงจิ๊จ๊ะ เอามือมาอังหน้าผม “เข้าไปข้างในสิครับ ดูสิ เสื้อผมก็ถอดออก”



“ก็ข้างในมันร้อนนี่” เสื้อกันหนาวมันถูกสวมลงบนตัวผมอีกครั้ง ตอนอยู่ในร้านผมถอดพาดไว้บนเก้าอี้ ขยับตัวมากๆ เหงื่อมันก็ออก ใส่เสื้อหนาๆ นี่เข้าไปผมจะเป็นลมเอา



“ดูแลเขาดีๆ แล้วกัน”



“ไม่ต้องบอกกูก็ทำอยู่แล้ว”



“อืม...ดีแล้ว” เฟิร์สว่า มองไปที่ไอ้โซล “หมัดหนักดีนะ”



“ทำไม อยากโดนอีก?”



“ครั้งนี้กูไม่ยอมหรอกนะ”



“กูไม่ต่อยคนแบบไม่มีเหตุผลหรอก”



ผมมองทั้งสองสลับกันไปมา...คำพูดคำจายังเหมือนเดิมแต่ผมไม่รู้สึกถึงรังสีทะมึนแปลกๆ จากทั้งสองคนแล้ว



ผมสะกิดไอ้โซล มันมองงงๆ แต่พอเห็นผมพยัดเพยิดไปทางเฟิร์สมันก็ชักสีหน้า



“เร็วเข้า”



“พี่ครับ”



“โซล..” ผมแสร้งตีหน้าเศร้า ที่จริงไอ้โซลจะไม่ทำก็ได้แต่ถ้าทำก็ดี มีมิตรไว้ดีกว่ามีศัตรูไม่ใช่เหรอ แล้วมันก็จำยอม แต่ก็ไม่วายส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ



“โทษ”



“ฮะ?”



“พี่ซีนบอกให้พูด แม่งอย่ามาหัวเราะนะเว้ย!”



ที่จริงผมก็แอบกลั้นขำ และถึงแม้ว่าคำขอโทษของมันจะไม่เต็มใจก็เถอะ แต่มันก็ดูอ่อนลงอยู่บ้างแล้ว...บางอย่างมันต้องใช้เวลา



เฟิร์สหยุดขำหากแต่มุมปากยังประดับรอยยิ้มบางๆ ไว้ “กูก็ขอโทษว่ะ”



ไม่ใช่แค่ไอ้โซลแต่ผมก็อึ้งไปเหมือนกัน ยิ่งคนข้างๆ ผมทำหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่



“อือ ช่างมึงเหอะ” ไอ้โซลตอบปัดๆ เหมือนไม่อยากฟัง



“ไอ้โซลเป็นน้องเรา แต่เรียกเราว่ามึงอะซีน”



“นี่มึงฟ้องพี่ซีนต่อหน้ากูเลยเหรอ เชี่ยนี่” ไอ้โซลโวยวาย จะว่าไปแล้วเฟิร์สก็พูดถูกแฮะ...



“มองผมแบบนั้นทำไม ไม่ได้หรอก ผมเรียกมันแบบนั้นไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกเคารพด้วย”



ผมมุ่ยหน้า ยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำแต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเรียกพี่หรอก แค่มันยอมขอโทษก็ดีแค่ไหนแล้ว



“เข้าไปข้างในได้แล้วครับ” มันว่า รุนหลังผมให้เดินนำไป



“ส่วนมึงน่ะ...” ผมชะงัก คนด้านหลังก็หยุดเดิน “พี่ปุ้ยถามหา”



...ผมลอบยิ้ม...



หวังว่าสักวัน...เราคงมองหน้ากันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ







สุดท้ายเฟิร์สก็ตามเข้ามาในงานอีกครั้ง พี่ปุ้ยเห็นปั๊บก็ดึงเจ้าตัวให้ขึ้นไปบนเวทีทันที



“ไอ้เฟิร์สไม่เอาเพลงเศร้าแล้วนะ นี่นึกว่ากูนั่งอยู่ในร้านเหล้า” พี่โป้งตะโกนบอก ทุกคนหัวเราะลั่นเห็นด้วยกับประโยคของผู้กำกับ



หมอนั่นก็ไม่ทำให้ผิดหวัง จัดเพลงโยกมันส์ๆ ไปหลายเพลง สักพักทั้งทีมงานและนักแสดงก็เต็มเวที ข้างล่างก็ไม่น้อยหน้า ลุกขึ้นเต้นกันบริเวณโต๊ะของตัวเอง



“เมื่อกี้ออกไปข้างนอกแล้วเจอเฟิร์สพอดี”



ไอ้โซลเอียงหน้าลงมาฟังสิ่งที่ผมบอก ไม่รู้ว่าตอนเห็นผมกับเฟิร์สยืนอยู่ด้วยกันวินาทีแรกมันทำหน้ายังไง แต่ไม่ได้โผงผางอย่างครั้งล่าสุดที่เจอกัน



ไอ้โซลพยักหน้า “ผมเห็นพี่ตั้งแต่เดินออกไปนอกร้านแล้ว”



มันหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของผม



“สบายใจแล้วใช่ไหมครับ”



เป็นผมเองที่เอื้อมไปกุมมือหนาเอาไว้ รู้สึกปั่นป่วนภายในอย่างประหลาดเลยเอาหัวโขกไหล่มันอยู่อย่างนั้น



...ขอบคุณที่เข้าใจ...



วกกลับมาที่เพลงช้า บวกกับไฟสลัวๆ ยิ่งทำให้ตาผมปรือปรอย สายตามัวไปหมด หัวเริ่มจะเอนไปซบไอ้คนข้างๆ ที่พาดแขนไว้บนพนักเก้าอี้ของผม ดนตรีเอื่อยๆ กับเสียงใสๆ ของหนิงกลายเป็นเหมือนเพลงกล่อม



“ไหวไหม”



“ง่วง”



“นอนเลยก็ได้”



“อยากอาบน้ำ”



“เดี๋ยวอาบให้”



ผมตื่นขึ้นมานิดนึง หมายถึงเหนียวตัวเว้ย...แต่เพราะกินไปเยอะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฝืนหนังตาแทบจะไม่ไหว แต่คิดเอาไว้ว่าจะไม่ยอมหลับตอนขึ้นรถเด็ดขาด



ไอ้โซลพูดอะไรอีกก็ไม่รู้ ผมเพียงครางอืออาตอบ ตาจะปิดอยู่รอมร่อ สุดท้ายแล้วก็ทิ้งหัวลงบนไหล่มัน ก่อนที่สติจะดับไป สัมผัสเบาๆ ข้างขมับทำให้ริมฝีปากผมยกยิ้มขึ้นบางๆ



...สบายเหมือนกันแฮะ...







------------------

ทำไมมีความสุขกันขนาดนี้555555

เหมือนจะจบเลยแต่ยังค่ะ เรื่องนี้มี 30 ตอนนะคะ

เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ #ข้างหลังฉาก #โซลซีน

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-07-2017 21:35:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-07-2017 22:36:34
พี่ซีนคนดีต่อใจมากๆๆๆๆๆๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 13-07-2017 23:16:59
อ่านตอนก่อน ยอมรับว่างงไปเลย ซีนงอนอะไร มาม่าอะไรวะไม่รุ้
พอมาเบิร์ดเดย์เท่านั้นแหล่ะ แหมปล่อยอินี้กลุ้มยุ่นาน ขนาดไม่เกี่ยวอะไรกะเค้า
แล้วก็หวานกันได้อีกนะคู่นี้ อิจที่สุด
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-07-2017 23:31:53
โซล ซีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แล้วซีน ก็แสดงแบบอินกับเรื่องได้
เพราะหวนคิดแรกๆที่ได้เจอกับโซล
ที่ไม่เคยบังเอิญเลยสักครั้ง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-07-2017 23:38:38
เคลียร์กันแล้วนะพระเอก พระรองงง

หาคู่ให้พระรองที ฮ่า ๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 14-07-2017 10:09:22
หมั่นไส้

ชิชิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 14-07-2017 12:04:28
ดีต่อใจมากกกอะตอนนี้
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-07-2017 17:31:49
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-07-2017 18:01:27
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-07-2017 18:49:02
อย่าเพิ่งจบนะดีแล้ว  :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 15-07-2017 08:52:34
โซลต้องอดใจแค่ไหนในการไม่ขย้ำพี่ซีนอ่ะ
ทำอะไรก็ดีต่อใจไปหมด  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 23 - (13/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 15-07-2017 12:02:37
อยากแกล้งโซลเห็นมีความสุขละอยากแกล้ง555
รักค่าาา...รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 19-07-2017 21:56:10



ตอนที่ 24







“เลิกดูได้แล้ว”



ผมเดินวนไปวนมาอย่างนี้สิบรอบได้ ไอ้เจ้าของห้องก็ไม่ยอมเปลี่ยนช่อง เอาแต่ดูรายการที่ผมกับมันไปออกเพื่อโปรโมทซีรีส์อยู่ได้ อายนะเว้ย!



“ผมบอกว่าอย่าเขินต่อหน้าคนอื่นไงครับ”



มันขมวดคิ้ว ในโทรทัศน์มีผมที่ก้มหน้าน้อยๆ แก้มยังเห็นสีชัดไม่เท่าไหร่ แต่หูขึ้นสีแดงเข้มชัดเจนมาก เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่อยากดู!



“ก็ดูมึงพูดสิ!”



ว่าอยู่แล้วเชียว ไม่ใช่แค่รายการแรกที่พวกผมไปออก แต่แทบทุกรายการที่หลังจากถามเรื่องเกี่ยวกับซีรีส์ก็ชอบหันมาชงผมกับไอ้โซล มันก็เล่นด้วยตลอด แล้วพอผมเป็นอย่างนี้ก็มาทำไม่พอใจ จะเอายังไงวะ



“ผมผิดเหรอ...โอเค ผมผิดเอง”



มันยกมือยอมแพ้ ตบที่ว่างข้างๆ



“มานั่งนี่สิครับ ผมไม่ดูแล้ว” มันว่า ชูรีโมต์ขึ้นมากดช่องอื่น “เปลี่ยนช่องแล้ว”



ในจอโทรทัศน์เปลี่ยนเป็นรายการเพลงแทน ผมเลยเลิกเดินวนไปวนมารอบห้องแล้วนั่งลงข้างๆ



“จะไปบ้านพี่บ่ายนี้เลยหรือเปล่า”



“เย็นๆ ได้ไหม ขี้เกียจอาบน้ำอะ” ผมว่า ตั้งแต่ตื่นมาทำแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้ว พวกผมมีแค่ขนมปังตกถึงท้อง นี่ก็ว่าจะสั่งอะไรมากินกันเพราะผมขี้เกียจทำอาหาร



“ข้ออ้างอยากอยู่กับผมนานๆ ล่ะสิ”



“ไปเก็บของเลยดีกว่า”



“เฮ้ย ไม่เอาแบบนั้นสิครับ” จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นก็ถูกมันดึงให้นั่งลงอย่างเดิม มือที่กุมข้อมือผมเอาไว้เลื่อนมาโอบรอบเอวอย่างรวดเร็ว แถมยังแกะออกยากอีกด้วย



“มะรืนก็เปิดเทอมแล้วนะ”



“ก็เพราะแบบนั้นน่ะสิครับ”



“มึงลืมเหรอว่าเราอยู่มหา’ลัยเดียวกัน”



“เหมือนกันที่ไหนล่ะครับ ตลอดสามเดือนพี่อยู่กับผมตลอดเวลาเลยนะ”



“จะให้ถ่ายซีรีส์อีกเรื่องหรือไง”



“ได้เล่นกับพี่ ผมก็ยอมเหนื่อย”



“ไม่เอาด้วยหรอก” ผมมุ่ยหน้า ตอนปิดกล้องรู้สึกใจหายนะแต่ถ้าให้เล่นอีกผมขอบาย



“อยู่กับผมอีกสักคืนนะครับ ขอเวลาผมหน่อย”



“อืม” ผมตบแปะๆ ที่หน้ามันเบาๆ ไอ้เด็กตัวโตทำเหมือนเราจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ มันก็จริงที่เราตัวติดกันตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ใช่ว่าผมต้องไปอยู่บ้านเหมือนเดิมแล้วจะขาดการติดต่อกันไปเสียหน่อย



งานเกี่ยวกับวงการบันเทิงจบลงเร็วกว่าที่ผมคาดเอาไว้ ที่จริงเรามีแฟนมีทที่จะจัดขึ้นด้วย แต่ปัญหาหลายอย่างทำให้มันต้องถูกยกเลิกไปทั้งที่กระแสซีรีส์เรื่องนี้ดีมากพอสมควร บวกกับการที่ทั้งผมและไอ้โซลไม่มีใครคิดรับงานอื่นอีก ทุกอย่างเลยกลับสู่ความปกติเพียงแค่ไม่กี่วัน...ยกเว้นในโซเชียลน่ะนะ แต่ไม่แน่ว่าถ้าซีรีส์จบพวกเขาอาจจะลืมพวกผมไปเลยก็ได้



“แล้วอยากกินอะไร ผมจะโทรสั่ง”



“เดี๋ยวกูทำเองดีกว่า ของยังเหลือ เอาไว้มึงก็ไม่ทำ” เพิ่งคิดได้ว่ามันไม่ทำอาหาร ที่ซื้อมายังเหลืออยู่เยอะเลย



“พูดให้ผมเศร้าอีกแล้ว”



“อย่าเว่อร์ได้ไหม”



ไอ้โซลโอดครวญไม่เลิก เกาะติดผมไปที่ครัวด้วย



“พี่ไม่เข้าใจผมหรอก”



“ก็แค่ใช้ชีวิตแบบตอนที่เรายังไม่รู้จักกัน”



“พี่พูดแบบนั้นอีกผมจูบจริงๆ ด้วย”



ผมเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ ยังไม่ได้พูดอีกรอบเลยแต่แม่งจะทำจริง!



ที่จริงผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นหรอก แค่หมายถึงแต่ก่อนมันก็อยู่คนเดียวได้ ไม่มีผมมันก็ไม่ตายสักหน่อย อีกอย่างผมว่ามันต้องหาทางมาเจอผมได้บ่อยแน่ ขนาดเลิกกองเหนื่อยๆ มันยังเคยไปส่งผมที่บ้านมาแล้วเลย เราต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง ถึงจะคบกันก็ใช่ว่าต้องตัวติดกันตลอดเวลา



“แฟนคนอื่นมึงเป็นอย่างนี้ไหมเนี่ย”



“ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยต่างหาก” เสียงมันดังอยู่ข้างหู สองแขนโอบผมไว้หลวมๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่ของผม



“กูไปตึกสถาปัตย์ฯ ออกบ่อย” ไม่บ่อยขนาดนั้น แต่เหมือนจะได้ไปบ่อยเร็วๆ นี้ “อยู่แบบนี้กูทำกับข้าวไม่ได้นะ”



“…”



“มื้อสุดท้ายแล้วนะโซล”



“พี่ซีน!”



เด็กนั่นผละออก จ้องผมด้วยสายตาจริงจังติดจะไม่พอใจเล็กๆ ด้วย ผมกลั้นขำ ก็เห็นดราม่านักเลยช่วยบิวท์



“ว่างๆ จะมาทำให้กิน” คนตรงหน้าเหมือนเด็กที่ไม่ยอมห่างจากผู้ปกครอง ผมเอื้อมไปขยี้หัวมันจนยุ่ง “มึงจะว่างหรือเปล่าเถอะ”



“ว่างตลอด”



“กูจะรอดู”



“ใจผมมันรู้สึกโหวงๆ”



“เราอยู่ด้วยกันตลอด พอจะห่างมันเลยแปลกๆ เป็นธรรมดา เดี๋ยวมึงก็ชิน”



“พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ...”



ผมใช้กำปั้นเขกหัวมันเบาๆ “มึงมีโทรศัพท์เอาไว้ทำอะไร”



“เหมือนกันที่ไหน...”



“ไปตอกไข่ไป”



“ผมอยากขังพี่ไว้ที่นี่จริงๆ เลยให้ตาย...”









หกโมงเย็นผมวิ่งหาของไปทั่วห้องมัน หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็อาบน้ำแต่งตัว ดูหนังอยู่หน้าโซฟากับไอ้โซลแล้วก็หลับกันไปทั้งสองคน ตื่นมาก็ฟ้ามืดแล้ว



“เร็วโซล ป๊าม้ารอ”



ถึงผมจะยังไม่ได้กลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิมแต่ตอนเย็นผมจะเข้าไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ครั้งนี้ไอ้โซลอิดออด เดินลากเท้าไปหยิบของทีละอย่าง แบบนี้กี่ทุ่มจะไปถึงบ้านผมวะเนี่ย



“กูหยิบกุญแจรถมาแล้ว”



ผมเดินไปลากแขนมัน พอจะถึงหน้าประตูอีกฝ่ายก็ยื๊อเอาไว้



“หืม?”



ไอ้โซลไม่พูดอะไร มันดูหงุดหงิดใจ กระตุกข้อมือผมให้เข้าไปหาแล้วกอดเอาไว้



“เป็นอะไร...” มันเริ่มทำให้ผมใจเสียไปด้วย ของของผมที่ห้องมันก็ยังไม่ได้เก็บ แล้วผมก็รับปากมันไปแล้วว่าอยู่ที่นี่อีกคืนหนึ่ง



“มีเรื่องอื่นอีกเหรอ”



“ผมมีแต่เรื่องของพี่นั่นแหละ” สองแขนกระชับรอบตัวผมแน่นขึ้น บางทีไอ้โซลก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า บางทีก็กลายเป็นเด็กที่ไม่สนใจเหตุผลอะไร แต่สภาพตอนนี้นี่มันเด็กโข่งชัดๆ



“มึงทำอย่างกับกูจะไปเรียนต่อต่างประเทศ”



“พี่ไม่เข้าใจผมหรอก...” น้ำเสียงมันอู้อี้อยู่ที่ไหล่ ปลายจมูกมันไล่ขึ้นมาถึงกกหู ผมย่นคอเพราะจั๊กจี้ก่อนจะถูกมันกดจมูกลงบนแก้ม “เพราะผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน”



ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่หน้าตาตอนนี้ของมันทำให้ผมยกมือขึ้นกอดมันตอบ



แม้แต่ตัวมันยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ตอนนี้ถึงพูดอะไรมันก็ไม่ฟัง ปล่อยมันงอแงไปแบบนี้แหละ เดี๋ยวพอเปิดเทอม พอไอ้โซลชินก็คงหายจากอาการนี้เอง













           

“ฮ...เฮียคัท!?”



“เออ”



“เฮีย!?”



“เออ ทำอย่างกับเห็นผี”



“แล้วเฮียมาได้ไง!? ตอนไหน!?”



ตรงหน้าผมคือพี่ชายสายเลือดเดียวกันที่กำลังนั่งพาดขายาวไปกับโซฟาตัวใหญ่ หน้าตาที่ไอ้จั๊มพ์เคยพูดลับหลังว่าหล่อแต่เหมือนยากูซ่าฉิบหายดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เฮียคัทจ้องผมสลับกับมองเลยไปด้านหลังเล็กน้อย



“นั่งเครื่องบินมา ถึงเมื่อคืน...แล้วก็เพิ่งรู้ว่าน้องตัวเองไม่ได้อยู่บ้าน”



“ทำไมไม่บอกผมอะ แล้ว...แล้วผมก็บอกไปแล้วไงว่าต้องค้างกับโซลน่ะ”



“ปิดกล้องแล้วไม่ใช่เหรอ”



“ก็...ก็ใช่”



“คืนนี้กลับมานอนบ้านแล้วใช่ไหม” เฮียคัทเลิกคิ้ว มันไม่ใช่ประโยคคำถามแต่น้ำเสียงเอื่อยๆ ที่เน้นทุกพยางค์มีความหมายว่าผมต้องกลับมาอยู่บ้านตัวเองนับจากวันนี้



ผมอึกอัก เพิ่งจะรับปากไอ้โซลไปเอง ไม่คิดว่ากลับบ้านมาจะเจอเฮียแบบนี้ คิดหาเหตุผลที่จะกลับไปนอนห้องไอ้โซลอีกคืนไม่ได้เลย



“เรื่องขับรถชนยังไม่เคลียร์นะซีน”



จบกัน...ผมยิ้มแหย เฮียคัทไม่ได้ดุแต่ก็ไม่ได้ใจดี บางเรื่องผมโดนตามใจแต่กลับบางเรื่องผมก็ขัดเฮียไม่ได้เลย



“ส่วนมหา’ลัยเดี๋ยวเฮียไปส่ง”



“เอ่อ...นี่โซล ที่เล่นซีรีส์ด้วยกันน่ะ” ผมหันไปแนะนำคนข้างหลังแทน ไอ้โซลยกมือไหว้ ขณะที่เฮียคัทแค่ปรายตามองเล็กน้อย แล้วผมจะตื่นเต้นทำไมวะเนี่ย



“มาบ้านเราบ่อยเหรอ”



“ก็มาบ้าง...” ผมตอบอ้อมแอ้ม ที่เฮียรู้เพราะเห็นว่าปิ๊กมี่เดินเข้ามาหาไอ้โซลหน้าตาเฉย นอกจากเพื่อนสนิทสามคนนั้นของผมแล้ว ปิ๊กมี่ก็ไม่เล่นกับใครอีกถ้าไม่ใช่คนที่มาบ้านผมบ่อยจริงๆ



“ม้าบอกว่ามึงคอยมารับมาส่งน้องกูเหรอ”



“ครับ”



“ขอบใจ” ว่าเสียงห้วน ปกติเฮียคัทไม่ใช่คนประเภทเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว แต่กับไอ้โซลไม่เห็นต้องทำหน้าไม่ชอบใจขนาดนั้นเลยนี่...หรือเฮียจะรู้เรื่องของผมกับมัน...



“เฮียไม่อยู่ไม่เท่าไหร่ มึงมีคนคอยบริการดีขนาดนี้เลยเหรอวะ”



“ก็...เด็กมันมีน้ำใจ” ผมว่า อยู่ๆ ก็ไม่กล้าสบตาพี่ชาย “หรือเฮียจะให้ผมขับเอง?”



“ก็ดีแล้วไง เฮียยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ทั้งที่หน้าบึ้งขนาดนั้นน่ะนะ...ผมก้าวมายืนบังไอ้โซลเอาไว้ อยากให้ป๊าม้าทำอาหารเสร็จเร็วๆ กลัวว่าเฮียจะสงสัยอะไรมากกว่านี้



“แล้วเฮียจะทำโหดทำไม”



“เฮียเปล่า” พี่ชายของผมตอบหน้าตาย สายตาเรียบนิ่งทำเอาผมเผลอกลืนน้ำลาย “มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกเฮียไหม”



“อ...อะไร”



“เฮียถามมึงนะ”



“เยอะ” หมายถึงเรื่องในกองถ่าย “ก็เฮียไม่ตอบแชทผมเอง”



“เฮียดูซีรีส์ที่มึงแสดง แล้วก็รายการที่มึงไปออก”



“ผมยังไม่เคยดูเลยนะ”



“แสดงดี” อีกฝ่ายว่าขณะตวัดสายตามองพวกผมที่ยืนอยู่ทางเข้าห้องนั่งเล่น “ไอ้รายการพวกนั้นก็แสดงใช่ไหม”



...ผมอยากจะหายไปจากตรงนี้จริงๆ



“..มันก็ต้องสร้างกระแสบ้าง” ผมตอบเสียงเบา ในใจโหวงชอบกล กังวลกับไอ้คนด้านหลังที่เอาแต่นิ่งเงียบ



ผมตั้งตัวไม่ทันตอนที่เข้าบ้านมาแล้วเห็นพี่ชายตัวเองกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น แล้วก็ยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะบอกเรื่องระหว่างผมกับไอ้โซลยังไง...ไม่ได้อยากให้มันเป็นความลับ แต่แค่เห็นหน้าเฮียตอนนี้ผมก็กลืนคำพูดทั้งหมดลงคอแล้ว



เงียบไปสองอึดใจ เจ้าของบ้านอีกคนก็ลุกขึ้นนั่งดีๆ พลางถอนหายใจ “แล้วจะยืนตรงนั้นอีกนานไหม”



ผมทำหน้างง แต่พอเห็นพี่ชายกระดิกมือเรียกก็เข้าใจ เดินเข้าไปกอดอย่างที่ทำเป็นประจำ



“ได้พักบ้างไหม ทำไมผอมลงแบบนี้วะ”



“เพิ่งปิดกล้องไปเอง”



“ม้านะม้า เอาลูกไปทรมาน เฮียบอกแล้วเห็นไหม...” บลาบลาบลา...ที่ไม่ตอบแชทผมเพราะรอมาบ่นต่อหน้าแบบนี้หรือเปล่าวะ “ไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้วนะเว้ย เฮียไม่ยอมนะ”



“อย่างกับเฮียขัดม้าได้”



“นี่มึงก็อยากแสดงเหรอ”



“เปล่า อยากเถียงเฮียเฉยๆ”



ก็แหม ทำเป็นโหดแต่ก็สู้ม้าไม่ได้อยู่ดี เฮียคัทรัดตัวผมแน่นขึ้น กดจมูกลงบนแก้มผมเต็มฟอด



“โอ้ย เจ็บนะเฮีย หนวดก็ไม่โกน”



“ช่างมึง”



กว่าเฮียจะหยุดแก้มผมก็แดงเถือกเพราะตอหนวดของเฮียคัทนั่นแหละ ไม่ได้มีความขัดเขินอะไรสักนิด ผมไม่รู้ว่าบ้านอื่นเป็นยังไง พวกเราทำแบบนี้กันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เฮียคัทยังทำเหมือนผมเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา



“แล้วจะกลับไปอีกวันไหน”



“เพิ่งมาถึงก็จะไล่เลยเหรอวะ”



“ผมถามเฉยๆ”



“เรื่องของเฮียเหอะน่า”



“อ้าว” พี่ใคร ทำไมเป็นงี้



“มาก็ไม่บอกผม”



“มึงรู้จักคำว่าเซอร์ไพรส์ไหม” ผมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ คำนี้ผมน่ะรู้จักแต่ไม่คิดว่าคนอย่างเฮียคัทจะทำอะไรแบบนี้กับเขาเป็นหรอก



“แต่เฮียไม่อยากเจอเรื่องเซอร์ไพรส์เลยว่ะ”



“ม...หมายความว่าไง”



ผมนั่งตัวแข็ง หน้าผมตอนนี้ต้องตื่นมากแน่ๆ



อีกฝ่ายไม่ตอบ มือที่ลูบหัวผมอยู่กดให้ผมซบลงกับอก แรงกอดที่แน่นกว่าเก่าทำให้ผมใจเต้นแรง...เฮียพูดเหมือนเฮียรู้...



“ไปกินข้าวเถอะ”















“ผมว่าแล้วเชียว ลางสังหรณ์แม่นฉิบ...”



ไอ้โซลพ่นลมหายใจฮึดฮัด บรรยากาศกินข้าวเย็นผ่านไปด้วยดี...มั้ง เฮียคัทไม่ได้พูดอะไรอีกแต่แสดงความไม่ชอบใจออกมาทางสีหน้าชัดเจน และแน่นอนว่าผมกลับไปกับไอ้โซลไม่ได้ ข้ออ้างร้อยแปดที่ผมคิดเอาไว้แต่ไม่กล้ายกขึ้นมาพูด กลัวว่าเฮียคัทจะสงสัยมากไปกว่านี้



“เราบอกไปเลยไม่ได้เหรอ...”



“มึงก็เห็นหน้าเฮียคัท แค่บอกว่าสร้างกระแสเฮียยังไม่พอใจเลย”



“…”



“เอาน่า ยังไงกูก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี นี่ก็เร็วกว่าเดิมวันนึง”



“ผมไม่ได้เตรียมใจด้วยซ้ำ”



เรายืนกันอยู่นอกบ้าน แค่ผมบอกจะออกมาส่งไอ้โซล เฮียก็มองด้วยสายตาแปลกๆ แล้ว เฮียคัทไม่เหมือนเฟิร์ส เพราะนี่คือพี่ชายผม ไอ้โซลอาจไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ไปมากกว่ายอม



“หรือว่าผมควรจะเข้าไปคุย...”



“เฮียคัทอารมณ์ไม่ดีอยู่ อย่าเพิ่งทำอะไรนะเว้ย” ผมดันตัวมันเอาไว้ เฮียคัทโกรธใครก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน เท่าที่เฮียเคยดูแลผมมา เฮียไม่ค่อยให้ใครเข้ามายุ่งกับผมสักเท่าไหร่ ผมกลัวว่าเฮียจะทำอะไรไอ้โซลน่ะสิ…



“ยังไม่ใช่ตอนนี้โซล” ผมว่า พยายามให้มันใจเย็น “เดี๋ยวกูจะคุยกับเฮียเอง”



“แต่ผม...”



“กลับไปก่อนนะ” ผมส่งแววตาแกมขอร้องไปให้ “ไว้เจอกันที่มหา’ลัย”



“อีกตั้งวันหนึ่ง!?”



“ให้ทำยังไงเล่า”



เด็กตรงหน้าถอนหายใจอย่างปลงตก ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเกือบห้านาทีถึงยอมก้าวขึ้นรถ



“ผมไปแล้วนะ”



“อืม ขับรถดีๆ”



“พี่ซีน...” อีกฝ่ายทำหน้าตาเคร่งเครียด เรียกให้ผมก้มลงไปหาก่อนมันจะกดริมฝีปากลงบนแก้มผมเต็มๆ 



“นี่หน้าบ้านนะ!”



“เข้าบ้านเถอะครับ เดี๋ยวผมโทรหานะ”



“รีบไปเลย” ผมกุมแก้มตัวเอง โบกมือไล่ มาบ้านผมครั้งที่แล้วมันก็เอาแต่ใจไปเยอะแล้วนะ เกรงใจป๊าม้าผมบ้างสิโว้ย



ไอ้คนขับเบนซ์หัวเราะ บอกให้ผมเดินเข้าไปในบ้านก่อนมันถึงออกรถไป















เออ...มันแปลกจริงๆ นั่นแหละ





‘มึงมีโทรศัพท์เอาไว้ทำอะไร’

‘เหมือนกันที่ไหน...’





ไอ้โซลพูดถูก...มันไม่เหมือนกันเลยสักนิด



แปลก...การที่ไม่มีไอ้โซลอยู่ตรงนี้น่ะ อาจเพราะช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ผมอยู่กับมันตลอดเวลา ไม่ว่าจะกลับบ้านไปเอาของ ไปกองถ่าย เลิกกองก็กลับห้องมัน เห็นหน้ามันตลอดเวลา ผมก็เลยอาจจะแค่...ยังไม่ชิน



...ใช่ไหม





(คิดถึงผมล่ะสิ)



“ฝันไปเหอะ”



(แต่ผมคิดถึงพี่นะ)



“จะเว่อร์ไปไหน เพิ่งห่างไม่กี่ชั่วโมง”



(ผมนอนไม่หลับจริงๆ นะเนี่ย)



น้ำเสียงโอดครวญทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ



“เพิ่งสองทุ่ม จะง่วงได้ไง”



(ผมอยากเห็นหน้าพี่)



“ไม่ให้เห็นเว้ย”



(คอยดูที่มหา’ลัยผมบุกไปถึงห้องแน่)



“ทำตัวน่ากลัวว่ะ”



เสียงหัวเราะดังมาตามสาย พรุ่งนี้ต่อให้ไอ้โซลชวนไปไหนผมคงไปไม่ได้ คงได้เจอกันที่มหา’ลัยอย่างเดียว



“นี่...ไม่ใช่ว่ากินแต่ข้าวกล่องนะ สั่งมากินไม่ก็ออกไปซื้อ เข้าใจไหม”



(ผมไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น)



ไอ้บ้านี่... “งั้นก็อยู่อย่างนั้นไปนั่นแหละ”



(พี่ซีน...)



“ที่กูทำไว้ยังเหลือ เวฟเอาแล้วกัน”



(ทำไมพี่ทำเหมือนเราจะไม่ได้เจอกันนานแบบนี้ล่ะ)



“มึงนั่นแหละที่ทำก่อน” ผมก็บอกอยู่ว่าเดี๋ยวก็เจอ วุ๊ย นี่ผมก็เป็นบ้าตามมันไปแล้ว



(พี่ชายพี่โหดมากปะ)



“ไม่เอานะโซล ห้ามมีเรื่อง”



(จะต่อยพี่เขยได้ไงเล่า ไม่ยกน้องให้ก็ซวยดิ)



ผมย่นคอ พูดอะไรแบบนี้วะ จั๊กจี้เว้ย



(ที่จริง...ยอมให้พี่ชายพี่กระทืบยังดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้เลย…)



“…”



(ผมอยากเจอพี่)



น้ำเสียงหงอยๆ นั่นทำเอาผมใจยวบ



“อืม...กูก็...” ผมเม้มปาก “อยากเจอมึ...”



ปัง!



“ทำอะไร”



“เฮีย!!” ผมกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอนหน้าตื่น “ตกใจหมด!”



“คุยกับใคร”



“อ...ไอ้จั๊มพ์”



“ไอ้เชี่ยทิมมันเปลี่ยนเบอร์เหรอวะ เฮียโทรไม่ติด”



“เปลี่ยนได้หลายเดือนแล้ว เฮียจะโทรหามันทำไม”



“เอาเบอร์มาดิ๊” ผมกดตัดสายอีกคนอย่างรวดเร็ว เปิดหาเบอร์เพื่อนสนิทแล้วรีบกดลงในโทรศัพท์ให้พี่ชายที่ยืนทำหน้ายักษ์อยู่ปลายเตียง



“เฮียจะโทรหามันทำไม” ผมถามอีกครั้ง นี่มันก็ยังไม่ดึกมากแต่ธุระอะไรที่ต้องทำหน้าดำคร่ำเครียดขนาดนั้น



“โทรไปด่า”



“ฮะ!?”



“ด่าทำมะ...”



พี่ชายผมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ส่งสายตาดุมาให้ “ตามเฮียมาที่ห้อง”



“ทำไม!?”



“ตะโกนเพื่อ” เฮียว่าเสียงฉุน เหมือนว่าไอ้ทิมจะไม่รับ เฮียคัทก็กดตัดสาย “วันนี้คำถามมึงเยอะนะ เฮียกลับมาจะมานอนกับเฮียไม่ได้เลยเหรอ”



“เปล่า ก็...ก็นึกว่ามีอะไร”



“แล้วนั่นคุยเสร็จแล้วเหรอ”



“เสร็จแล้ว”



“ตามมาเร็วๆ”



“รู้แล้วๆ”



ผมพรูลมหายใจออกมาตอนที่เฮียออกจากห้องไป รีบส่งข้อความไปหาไอ้โซลให้มันอย่าเพิ่งโทรมาอีกเพราะตั้งแต่วินาทีนี้จนกว่าผมจะได้ไปมหา’ลัยคงได้ตัวติดอยู่กับเฮียคัทตลอดเวลาแน่



ปัง!



“ยังไม่มาอีก”



“ผมกำลังจะไปนี่ไง!”



หัวใจจะวาย!



เฮียคัทยืนขำ ทำประตูห้องคนอื่นจะพังอยู่แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะอีก ผมเดินกระแทกเท้าผ่านหน้าเฮียไป ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ อะไรแบบนี้…



อย่างกับคนทำความผิด!









-----------------------------------

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน

หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-07-2017 22:31:07
 :mew5: เฮียหรือร็อตไวเลอร์กันแน่ ดุชิบ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-07-2017 22:31:44
เหมือนโดนพี่คัทแกล้งเลยอะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 19-07-2017 22:55:01
ตายๆๆๆๆ โซลตายแน่ๆๆ  :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 19-07-2017 22:55:26
โถ...เฮีย  เหมือนคุณพ่อหวงลูกสาวเลยเนี่ย
หวงมากกก ขี้แกล้งด้วย
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 19-07-2017 23:12:46
ปา คู่ ใส่นางที เอาแบบ ฮอท ๆๆๆ จะได้ไปหวงเมียแทนน้องงงง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 20-07-2017 03:12:49
พี่คัทรู้อยู่แล้วแน่ๆเลยอะ
นี่ว่าเฮียแกแกล้ง บวกกับอาการหวงน้องด้วย
อาจจะมีผสมความหมั่นไส้เล็กๆที่ปิดบัง
สงสารโซลเลยอะจุดนี้ 55555555
อาการหนักมากกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 20-07-2017 05:06:11
แกล้งแน่ๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-07-2017 09:38:04
เฮียคัท หวงน้องอะไรเบอร์นั้น  :z3:

โซล มีลางสังหรณ์เป๊ะมาก  o22
โซล คงต้องเข้าหาเฮียคัทตรงๆแล้วนะ  :เฮ้อ:
ไม่งั้นถูกแกล้งไม่ยั้งแน่ๆ เพราะหวงน้องจริง
กับต้องการให้คนแมนๆมาปกป้องซีน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 20-07-2017 09:48:27
เฮียคัทดุมากกกกกก

โซลลูก หนูต้องผ่านด่านเฮียเขาให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-07-2017 13:08:47
ทำไมเฮียคัทดุจังล่ะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 20-07-2017 13:47:42
จะดุจะหวงน้องอะไรขนาดนี้เฮียคัท กลัวหัวหดกันหมดแล้ว :z10:
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 20-07-2017 14:59:02
สงสารน้องโซล
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 21-07-2017 01:04:06
เฮียคัทขี้แกล้ง
หัวข้อ: Re: 「Behind the scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 24 - (19/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 22-07-2017 00:18:12
เฮียจะโหดไปไหนนั่นน้องนะ โซลลำบากแน่ท่าทางพี่จะไม่ยอมยกให้ง่ายๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 25-07-2017 19:57:05



ตอนที่ 25







“เชี่ย เฮียคัทกลับมา?”



“เอออะดิ”



“แล้วเรื่องมึงกับไอ้โซล...”



“ยังไม่มีใครรู้ เห็นหน้าเฮียแล้วกูไม่กล้าพูดเลย”



“เฮียไม่ปล่อยไอ้โซลแน่”



ไอ้นี่...คนยิ่งเครียดๆ อยู่ “กูไม่เคยคบใครมาก่อนเลยก็ไม่รู้จะบอกเฮียยังไง คือกูไม่รู้ว่าทำไมกูต้องกังวลขนาดนี้ แต่กูคิดว่าถ้าบอกไปเฮียจะไม่พอใจแน่ๆ”



เคยบอกเรื่องที่ชอบพีม เฮียยังซักประวัติพีมซะสะอาดเลย มาคณะผมเพื่อมาดูหน้าด้วย แต่เพราะยังไม่เคยคบใครจริงเลยไม่รู้ว่าเฮียคัทจะว่ายังไงกับเรื่องนี้



“มึงคิดถูกแล้วแหละ”



“ทำไม”



“มึงรู้ไหม พอเฮียมึงเรียนจบจากที่นี่ เฮียมึงบอกให้พวกกูทุกคนดูแลมึง” เพื่อนสนิทว่าสีหน้าจริงจัง “แบบห้ามให้ใครมายุ่งกับมึงเลย”



“อ...อะไรวะ ทำไม กูอ่อนขนาดนั้น?”



“ใช่”



“เชี่ยจั๊มพ์”



“อ้าว ก็ถามเอง” มันยักไหล่ “แต่ที่ปล่อยไอ้โซลเข้ามาเพราะเห็นว่ามันจริงใจ...ใช้ได้”



“ฮะ...ปล่อย? หมายความว่าเรื่องโซลมึงรู้ตั้งแต่แรกเหรอ”



“เปล๊า กูไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย”



“มึงพูดอะไร กูงงไปหมดแล้ว” ผมยกมือลูบหน้า เฮียคัทบอกพวกนี้ให้ดูแลผมน่ะไม่แปลกหรอก กลัวแต่ผมจะโดนรังแกอยู่นั่นทั้งที่ผมโตขนาดนี้แล้ว



“จะบอกแค่ว่าเฮียหวงมึงมากนะ มึงอาจไม่รู้เพราะเวลาอยู่กับเฮียคัทไม่มีใครกล้าเข้าหามึงอยู่แล้ว” เฮียคัทห่วงผมมาก นั่นคือสิ่งที่ผมรู้ เฮียกรองคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่แปลกใจว่าทำไมเพื่อนผมถึงมีแต่หน้าเดิมๆ แต่พอเฮียไปเรียนต่อก็คิดว่าปล่อยผมแล้ว ที่ไหนได้ให้ไอ้พวกนี้คุมนี่หว่า



“กูว่ากูคุยกับเฮียได้ เฮียไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น”



“ไอ้ความเป็นห่วงน่ะมีเหตุผลนะ แต่ความหวงเนี่ย ยกเหตุผลมาร้อยแปดเขาก็ไม่ฟังหรอก ก่อนมึงจะอ้าปากอธิบายกูว่าไอ้โซลก็เละเป็นโจ๊กแล้ว”



“อย่าพูดให้กลัวสิวะ”



“แต่ก็ไม่แน่ อาจแค่หมัดสองหมัด อย่าซีเรียสเลย มึงบีบน้ำตานิดๆ หน่อยๆ เฮียก็ยอมแล้ว”



“กูโตแล้วนะโว้ย”



“โตแล้วก็เป็นน้องเฮียคัทเหมือนเดิมเปล่าวะ แล้วมึงก็ติดเฮียอย่างกับอะไร จำตอนที่ร้องไห้อยู่สนามบินไม่ได้ไง?”



“ตอนนั้นบรรยากาศมันพาไป!”



คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลอกตา “ยังไงเฮียก็เข้าใจมึงอยู่แล้วแหละ นั่นเขาก็แค่เป็นห่วงแล้วก็หวงอีกนิดหน่อย”



“แต่เหมือนเฮียคัทรู้เลยว่ะ พูดกับกูแปลกๆ” ผมกัดปาก คิดไม่ตกกับเรื่องนี้สักที ผมมองไอ้จั๊มพ์อย่างเคร่งเครียด เล่าเรื่องวันที่ไอ้โซลมาที่บ้านให้มันฟังอย่างละเอียด



“แล้วมึงคิดว่าใครมองพวกมึงไม่ออกบ้าง”



“มันดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ!?” ที่จริงผมก็ไม่ได้ปิดบัง แต่ไม่ได้ป่าวประกาศเหมือนกัน คิดว่าพวกผมไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อนะ



“โอย จะรอดไหมเพื่อนกู” ไอ้จั๊มพ์ตบหน้าผากตัวเอง “คนอื่นอาจไม่รู้ แต่คนใกล้ตัวพวกมึงน่ะดูยังไงก็รู้ เอาเป็นว่าถ้ายังไม่อยากให้เฮียมึงรู้ก็ห่างๆ กันไว้ก่อน ติดต่อกันได้แต่อย่ามากเพราะแค่รุ่นพี่รุ่นน้องไม่โทรคุยกันตอนดึกๆ หรอก โอเค๊?”



“แล้วแบบ...ถ้าออกไปข้างนอกด้วยกัน...” ผมถามเผื่อ...ให้ตาย ทำไมต้องเครียดขนาดนี้ด้วยวะ



“ก็ได้อยู่ ทำเหมือนมันเป็นเพื่อนมึงคนหนึ่งอะแหละ ไปดูหนังฟังเพลง เรื่องธรรมด๊า!”



“กลัวเฮียคัททำอะไรโซลว่ะ”



“นี่มึงเป็นเอามากนะเนี่ย”



“…”



“ห่วงแฟนอะดิ๊”



“เดี๋ยวกูต่อยให้”



“อะแหม...เพื่อนกูพัฒนาวุ๊ย ที่จริงมันก็ทั้งน่าเครียดแล้วก็ไม่น่าเครียดนะเรื่องนี้”



“ยังไง”



มันโคลงศีรษะ ทำไมชอบพูดให้งง “ก็ต้องรอดูกันไป พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกไอ้โซลด้วย มันจะได้เตรียมตัวโดนต่อย—”



“เชี่ยจั๊มพ์!”



“ล้อเล่นน่า ห่วงจังแฟนมึงเนี่ย!”



“หยุดล้อได้แล้ว กูจริงจังนะ”



“คร้าบๆ” อีกฝ่ายรับคำ แต่มิวายพึมพำให้ผมได้ยิน “...ไอ้โซลได้ยินมันต้องดีใจมากแน่ๆ”



“กูเกลียดมึง!”



               







เพราะไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกเท่าไหร่ ตอนนี้ผมเลยเพิ่งรู้ว่าผมตกเป็นเป้าสายตาพอสมควร เมื่อเช้าเอาแต่คิดเรื่องเฮียคัท ไม่ได้สนใจอะไร พอเดินออกมาเข้าห้องน้ำคนเดียวเพิ่งสังเกตว่าผู้คนรอบข้างมองผมแบบไม่ปิดบังเท่าไหร่



มีน้องผู้หญิงหลายคนทำท่าอยากเข้ามาทักแต่ไม่กล้า ยืนซุบซิบกันแบบที่ผมได้ยินเต็มๆ ผมเลยหันไปยิ้มให้พวกเธอเล็กน้อย พวกเธอถึงกล้าเข้ามาขอถ่ายรูป



“ชอบพี่มากเลยค่ะ หนูดูทุกตอนเลย”

“พี่ซีนมีงานอื่นอีกไหมคะ”



“ไม่มีแล้วครับ ขอบคุณมากครับ”



“อา...เป็นอย่างที่ให้สัมภาษณ์จริงๆ ด้วย” เธอพึมพำกับเพื่อนอีกคน

“ว่าแต่พี่โซลล่ะคะ”



“โซลก็…” ผมชี้ทางไปคณะมัน “อยู่สถาปัตย์ฯ อะครับ”



สองสาวหัวเราะ “ไม่ได้มาด้วยกันเหรอคะ”



“อ๋อ เปล่าครับ”



ผมตอบไปแบบงงๆ เห็นพวกน้องเขาหัวเราะแล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าจะมาด้วยกันได้ไง เราอยู่กันคนละคณะนะ ไม่ได้ตัวติดกันด้วย!



พอหมดจากสองสาวก็มีทั้งรุ่นน้องและรุ่นเดียวกันเข้ามาขอถ่ายรูปอีกจำนวนหนึ่ง ผมออกมาตอนช่วงระหว่างเปลี่ยนคาบพอดีเลยเจอคนเยอะ กว่าจะหลุดมาได้ก็ผ่านไปหลายสิบนาทีแล้ว



ผมรีบทำธุระ แต่พอกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำก็มีคนคนหนึ่งเดินสวนเข้ามาพอดี จะไม่อะไรเลยถ้าคนนั้นไม่ดึงมือผมกลับเข้าไปในห้องน้ำด้วย!



“เฮ้ย!!”



“ชู่ว ผมเอง”



“ซ...โซล!?”



ผมเบิกตากว้าง...ไม่ใช่เพราะสัมผัสหยุ่นนุ่มที่ข้างแก้มแต่เพราะนี่มันในห้องน้ำมหา’ลัย!



“ทำอะไร เดี๋ยวมีคนมาเห็น!”



“ผมดูแล้ว ไม่มีใครอยู่แถวนี้”



“ต..แต่...”



“งั้นเข้ามาในนี้” มันดึงผมเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ริมสุด ปิดประตูล็อกกลอนอย่างรวดเร็ว



“มึงจะบ้าเหรอ!” ผมพยายามดันตัวมันออกจากประตู “มีคนเข้ามาทำไง!?”



“พี่ก็อย่าเสียงดังสิครับ” ไอ้โซลเบียดตัวเข้ามา ห้องน้ำก็เล็กจะตายอยู่แล้ว อัดกันเข้ามาสองคนแบบนี้ขยับตัวทีก็ลำบาก แล้วก็ต่อให้พูดเบาแค่ไหนเสียงมันก็ก้องโว้ย!



“กอดก่อนเร็ว”



“กอดบ้าอะไร ร้อนจะตายแล้ว”



“อบอุ่นๆ” มันไม่ฟังผมสักนิด แค่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ต้องก้าวเข้ามาหาก็รวบผมไว้ได้ทั้งตัวแล้ว



เหงื่อผมแตกพลั่ก ร้อนก็ส่วนหนึ่ง กลัวคนมาเจอก็ส่วนหนึ่ง



“เมื่อกี้เห็นพี่โซลแวบๆ ด้วยแหละ”



เสียงผู้หญิงดังขึ้นหน้าห้องน้ำทำผมตัวแข็งทื่อ มองหน้าไอ้โซลอย่างตื่นๆ แต่มันแค่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ



“หายไปเร็วมาก”

“มาหาพี่ซีนแน่ๆ เลยอะแก๊!”



แล้วพวกเธอก็ยืนกรี๊ดกันอยู่สักพักก่อนเสียงจะเงียบหายไป ผมลอบถอนหายใจ รู้ว่าพวกเธอเข้ามาในนี้ไม่ได้แต่ก็เผลอกลั้นหายใจ



“เอ๊ะ หรือว่าอยู่ในห้องน้ำ”



เสียงน้องคนเดิมกลับมาอีกครั้ง ผมที่กำลังจะดันไอ้โซลออกชะงักทันที ไอ้โซลทำหน้าตกใจแบบเสแสร้ง ดูมันสนุกที่ได้ทำแบบนี้



“ไม่นะ ฉันเห็นเดินไปแถวๆ นั้น”

“เรายืนรอดีไหม”

“บ้าเหรอแก เดี๋ยวเขาก็หาว่าโรคจิตหรอก” ใช่ครับ...อย่ามายืนแถวนี้เลย

“อยากเห็นพี่โซลอยู่กับพี่ซีนนี่นา ขอรูปคู่สักครั้งจะตั้งใจเรียนเลย” พี่ให้สิบรูปเลย แต่พวกน้องไปยืนรอที่อื่นเถอะนะ

“งั้นเราไปนั่งรอตรงนู้นกันเถอะ พี่ซีนเรียนอยู่ข้างบน ถ้าลงมาก็เห็น”



ในใจผมลุ้นจะแย่ รอให้เพื่อนอีกคนของน้องเขาตอบตกลงแล้วออกไปจากหน้าห้องน้ำชายเสียที ตอนนี้หายใจผมยังพยายามหายใจเบาๆ เลย กลัวไปหมดแล้ว แต่ไอ้คนที่กอดผมอยู่เอาแต่ยกยิ้มน่าหมั่นไส้ ยิ่งมันเห็นผมเป็นอย่างนี้มันก็ยิ่งแกล้ง เราแนบชิดกันมาก ผมไม่กล้าขยับเท่าไหร่เพราะกลัวไปกระทบอะไรแล้วมันส่งเสียงที่น่าสงสัยออกไป ไอ้โซลเลยได้ใจใหญ่ กดริมฝีปากลงมาบนแก้มผมซ้ำๆ จนผมต้องหลับตาปี๋



“หรือว่า...พี่โซลมารอรับพี่ซีน!?”

“ใช่! ต้องใช่แน่ๆ เลย!”

“ไปๆๆ รีบไปจองที่!”



ผมพรูลมหายใจออกมาอีกรอบ ทุบไปที่ไอ้คนสร้างเรื่องแบบไม่เบาแรง



“ออกไปเลยนะ”



“ผมคิดถึงนะเนี่ย”



“ไอ้บ้า ตอนเย็นก็เจอ”



เมื่อเช้าพอผมถึงมหา’ลัยมันก็โทรมาปั๊บอย่างกับรู้เวลา เย็นนี้ผมบอกเฮียคัทไว้แล้วว่าจะไปเดินห้างกับไอ้จั๊มพ์ เฮียก็ไม่ว่าอะไร แค่อย่ากลับดึก



“แล้วนี่ไม่มีเรียนหรือไง”



“ว่างก็รีบมาหาเลยครับ”



“มาดีๆ สิโว้ย”



“ยืนคุยกันข้างนอกผมทำแบบนี้ได้ที่ไหน” มันจะยื่นหน้าเข้ามาอีก ผมก็รีบเบี่ยงตัวหลบจนสะดุดขาตัวเองนั่งลงไปบนชักโครก



ห้องน้ำนี่ก็แคบจัง!



“มึงออกไปก่อนเลย”



“ขออีกรอบ”



“เข้ามาอีกเย็นนี้กูโทรให้เฮียมารับนะ”



“โถ่ นี่ผมโดดมาหาเลยนะ”



“ไหนมึงบอกว่าว่างไง”



ไอ้โซลปิดปากที่กำลังจะเถียงลง “ร้อนเนอะ เดี๋ยวผมออกไปก่อน”



ดูมันเถอะ!



ผมนั่งอยู่ในนั้นอีกไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงมันส่งเสียงเรียกให้ออกมา ในกระจกสะท้อนผมที่เหงื่อท่วมตัว ผมวักน้ำล้างหน้าก่อนจะเดินออกไปหาไอ้โซลที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ



มีรุ่นน้องหลายคนที่ผ่านมาทางนี้กำลังขอมันถ่ายรูป ไม่รู้ว่าใช่พวกเดียวกับรุ่นน้องที่ยืนคุยกันหน้าห้องน้ำเมื่อสักครู่หรือเปล่า พอเห็นผมก็เหมือนเจอผี หันไปวี๊ดว๊ายกันแบบไม่ปิดบังก่อนจะขอถ่ายคู่กับผมด้วย



“พี่โซลมาทำอะไรที่คณะบัญชีคะ”



“เดินเล่นครับ”



“แน่ใจเหรอคะ”



มันยักไหล่ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไรอีก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมขณะยกโทรศัพท์ของน้องคนหนึ่งขึ้นมาถ่ายไปหลายรูป แล้วยื่นกลับคืนให้น้องเขา



“นี่ครับ”



“พี่ซีนลืมรหัสไอจีเหรอคะ”



“ครับ? ไม่นะ”



น้องเขาหัวเราะ “ล้อเล่นค่ะ หนูหมายถึงพี่ไม่ค่อยอัปเลย”



“ขอโทษครับ ไม่รู้จะอัปอะไร”



“อัปรูปคู่กับพี่โซลก็ได้ค่ะ” เธอมองไปที่คนข้างๆ ผม “พวกหนูตามพวกพี่ตลอดนะคะ ถ้าซีรีส์จบต้องคิดถึงมากแน่ๆ เลย”



“พี่จะพยายามนะ” ผมเกาต้นคอ ไม่เคยเป็นแฟนคลับใครแต่เข้าใจว่าการชอบอะไรสักอย่างมันเป็นยังไง “ถ้าเจอพวกพี่ที่ไหนก็ทักได้ เข้ามาคุยได้นะ”



เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ขอกับพี่ซีนอีกรูปนะคะ พี่โซลถ่ายให้หน่อยค่ะ”



แล้วไอ้พระเอกก็กลายเป็นตากล้องไปโดยปริยายเมื่อน้องคนอื่นก็ขอให้ถ่ายให้ด้วย



“เอ่อ...ขอโทษนะคะ”



“ครับ?” ไอ้โซลยิ้มรับ น้องอีกคนที่เข้ามาทักก้มหน้าเขินอาย



“ไม่ทราบว่าตึกเรียนรวมไปทางไหนเหรอคะ” น่าจะเป็นเด็กปีหนึ่ง แต่ท่าทางเหมือนน้องเขาเข้ามาถามเล่นๆ มากกว่าแฮะ เพื่อนอีกคนก็กลั้นขำอยู่ด้านหลัง



“ใกล้ๆ โรงอาหารเภสัชน่ะ ที่มีหมานอนอยู่ด้านล่างเยอะๆ ไปถามคนแถวนั้นอีกทีนะครับ”



ทั้งสองคนมองไปตามที่ไอ้โซลชี้ พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มอายๆ “แล้ว...ทางไปหัวใจพี่โซลล่ะคะ…ไปทางไหน”



ผมหลุดขำ...ไอ้พระเอกโดนแล้วไง เหมือนน้องเขาอยากแหย่เล่นมากกว่า แต่ผมลืมไปว่ามันชอบเล่นด้วยนัก…อะไรแบบนี้เนี่ย



ไอ้โซลยกยิ้ม หันนิ้วโป้งมาทางผม “ต้องถามคนนี้แล้วล่ะครับ”



“คะ?”



“เพราะหัวใจผมอยู่ที่เขา”



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



ผมฟาดไปที่ต้นแขนมันทันที เสียงพวกน้องเขาทำให้คนแถวนั้นตกใจกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่บางคนพอเห็นหน้าพวกผมก็คงคิดว่าน้องสองคนนี้แค่กรี๊ดดาราเฉยๆ



“จริงเหรอคะเนี่ย”



“พวกพี่...” น้องผมสั้นใช้นิ้วชี้จิ้มกันจึกๆ ช้อนตามองอย่างมีความหมาย



ไอ้โซลโคลงศีรษะ แต่รอยยิ้มมันทำให้พวกน้องเขาดีดดิ้นกันมากกว่าเดิม แล้วมันก็ตัดบทพวกเธอไปเสียอย่างนั้น



“ตั้งใจเรียนนะครับ”



“ค่า!!!”



“กลับไปเรียนเลย” ผมว่าขึ้นในตอนที่เหลือแค่พวกผมสองคน เวลานี้คงมีเรียนกันเสียส่วนใหญ่ ล่างตึกเลยมีนักศึกษาแค่ประปราย แอบดีใจที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย นอกนั้นก็ไม่มีใครสนใจพวกผม



“หมดคาบแล้วมั้ง” มันมองนาฬิกาที่ข้อมือ ผมก็มีเรียนนี่หว่า…คว้าข้อมือมันมาดูมั่ง ฉิบหาย! ครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว



“กูขึ้นเรียนก่อน มึงมีเรียนต่อหรือเปล่า”



“ฝากเพื่อนเลคเชอร์แล้ว”



“ไม่เอา รีบไปเลย” ผมโบกมือไล่ ทำไมมันเป็นเด็กแบบนี้เนี่ย ไอ้โซลเดินลากเท้าจนเหมือนจะลงไปคลานอยู่แล้ว “เจอกันตอนเย็น”



ผมมองซ้ายมองขวา เอื้อมมือไปลูบหน้ามันเบาๆ “นะโซล”



“ผมจะไปได้ยังไงเนี่ย” มันโยกหัวผมไปมา ก่อนจะยอมถอยห่างออกไปอย่างจำใจ “งั้นเลิกแล้วผมโทรหานะ”



“อื้ม”



อีกคนพยัดเพยิดหน้าไปทางลิฟท์ เหมือนจะบอกว่าให้ผมขึ้นไปก่อน...มันถึงหันหลังเดินจากไป



               







กลับมาถึงบ้านเฮียคัทกำลังอาบน้ำอยู่พอดี...เลยไม่เห็นว่ารถที่มาส่งผมไม่ใช่รถไอ้จั๊มพ์



ผมเลยขึ้นไปอาบน้ำบ้าง พอลงมาก็เจอเฮียกำลังนั่งอ่านหนังสือระหว่างรอม้าทำอาหารอยู่



“กินไรยัง”



“กินแล้ว” ลูบหัวปิ๊กมี่เบาๆ ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ “เฮียทำอะไร”



อีกคนสายตาไล่ตามหนังสือแต่กลับเปิดโทรทัศน์เอาไว้ด้วย “เปลืองไฟว่ะ”



“มันโฆษณาเฉยๆ เฮียดูหนังอยู่”



ว่าไม่ทันไร หนังที่ว่าก็มา มันเหมือนเป็นหนังหลายปีที่แล้ว ผมไม่คุ้นเท่าไหร่



“เกี่ยวกับอะไรอะ”



เฮียคัทปิดหนังสือ เปลี่ยนมาตั้งใจจ้องจอตรงหน้าแทน แขนข้างหนึ่งพาดไหล่ผมไว้



“ดูสิ”



ตัวละครหลักเป็นผู้ชายคนหนึ่ง มันเหมือนดำเนินมาครึ่งเรื่องแล้ว เหมือนว่าเขามีปัญหาอะไรบางอย่าง สายตาคนรอบข้างที่มอง สายตาของคนในครอบครัวที่ไม่เข้าใจตัวเขา ผมไม่ค่อยชอบหนังหม่นๆ แบบนี้สักเท่าไหร่แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสะท้อนเรื่องราวชีวิตออกมาได้ดี เขาคนนั้นดูไม่มีความสุข



ผมเอนพิงตัวเฮียคัท กำลังจะละสายตาออกจากสายตาเศร้าสร้อยของผู้ชายคนนั้น แต่เมื่อในจอตัดภาพไปอีกฉาก ผมก็ตัวแข็งทื่อ...



เขาคนนั้นกำลังจูบกับผู้ชายคนหนึ่ง...มันดูไม่ยากว่าทั้งสองรักกัน และก็กระจ่างว่าความหม่นหมองในเรื่องเกิดจากอะไร



ลมหายใจผมสะดุดในตอนที่เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายของตัวเอง สายตาที่ผมอ่านไม่ออก มือที่ลูบหัวผมแผ่วเบา



ผมซบหน้าลงกับอกของเฮีย สองมือที่โอบรอบเอวกำเสื้อเฮียแน่น เฮียคัทกดจูบข้างขมับผมเบาๆ ขณะที่ความรู้สึกผมในตอนนั้น...ตีพันกันยุ่งวุ่นวาย






ต่อด้านล่างค่า

หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 25-07-2017 19:57:40
.

.

.


“พี่กินโคนที่สองแล้วนะครับ จะกินข้าวได้ไหมเนี่ย”



“ก็มันอร่อยอะ”



วันนี้ไม่มีเรียนบ่ายเลยมาเดินเล่นกันที่ห้างใกล้ๆ มหา’ลัย ไอศกรีมชาเขียวในมือโคนใหญ่ ผมตักกินแต่เนื้อไอศกรีม พอหมดก็ยื่นโคนให้คนข้างๆ “ช่วยกินหน่อยดิ”



“โคน?”



“อืม กูไม่ชอบกินอะ” อันที่แล้วเผลอทิ้ง รู้สึกเสียดาย ถ้าไอ้จั๊มพ์อยู่ก็ให้มันกินแทนเพราะมันชอบมาก



“ทำไมไม่สั่งใส่ถ้วยล่ะครับ”



“ลืม”



ไอ้โซลทำหน้าลำบากใจ มองโคนไอศกรีมหน้าเครียด



“ไม่โดนปากกูซะหน่อย กูใช้ช้อนตักเหอะไม่ได้เลีย”



“ผมไม่ได้อะไรกับปากพี่ จูบก็จูบมา—”



“นี่!” ใช้ศอกกระทุ้ง ไอ้นี่ชอบพูดอะไรออกมาโต้งๆ ดีนะไม่ได้มีใครเดินอยู่ใกล้



“ผมกินได้ แต่...”



“ไม่เป็นไร กูแค่เสียดาย เอาทิ้งก็ได้”



“งอนเหรอครับ”



“จะบ้า” ผมตาโต “งอนอะไรไร้สาระ แค่ไอติมเอง”



มันทำหน้าไม่เชื่อ “งอนได้น้า ผมอยากง้อ”



ผมสั่นหน้า คนอะไรอยากหาเรื่องใส่ตัวเองวะ ผมทิ้งโคนไอศกรีมลงในถังขยะข้างบันไดเลื่อน สายตาพลันเหลือบไปเห็นคนที่เดินตามมาข้างหลังยกกล้องถ่ายรูปขึ้นพอดี



ผมไม่ได้สนใจ แม้จะยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่กับการมีคนมาขอถ่ายรูปหรือแอบถ่ายรูปแบบนี้ แต่ก็แค่ใช้ชีวิตปกติไปแบบไม่ได้คิดอะไร



ไม่ได้เข้าโซเชียลมาสักพัก กดเข้าไปดูแฮชแท็กนั้นก็ตามคาด รูปผมกับไอ้โซลวันนี้เต็มไปหมด มีเป็นคลิปตอนลงบันไดเลื่อนด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีรูปตอนอยู่ใต้ตึกคณะผมกับพวกรูปแคปจากในซีรีส์





@behindsoulscene

170815 #โซลซีน ใต้ตึกคณะบัญชีค่ะ ตกใจมากที่เห็นโซลอยู่ด้วย แอดไม่เข้าใจเลยค่ะว่าเด็กถาปัดมาอยู่คณะบัญชีได้ไง



@behindsoulscene

คลิปใต้ตึกบัญชีค่ะ ขอโทษที่มือสั่น แอดฟินมากไปหน่อย *คำเตือน ตอนโซลพูดเสร็จปิดเสียงไปเลยก็ได้นะคะ.... pic.twitter.com/19snSmZ7nw #โซลซีน



@behindsoulscene

170816 มีคนเจอ #โซลซีน ที่ห้าง xxx ค่ะ



@behindsoulscene

170817 มีคนเจอ #โซลซีน ที่ร้าน xxx ค่ะ



@meengenmai

ตัวจริงเฟรนลี่ทั้งสองคนเลยค่ะ พี่โซลหล่อมากกกกกกกกกก #โซลซีน



@ishipyounaokay

โอ้โห ตึกใกล้กันมากเลยเนอะ มาตึกบัญชีเพื่อมาเดินเล่น อมวัดมาพูดก็ไม่เชื่ออออ #โซลซีน



@kukkrup

อะไรคือพอน้องพูดละคนพี่ตีแขนน้องอ่า โว้ยยยยยยยย เหลือแค่ประกาศว่าคบกันแค่นั้นแหละ!! #โซลซีน



@nongwaii

ไปหากันถึงคณะ ไปเดินห้างกันสามวันติด แฟนไม่แฟนก็ดูเอา #โซลซีน



@bemyn19

ตอนพี่โซลบอกหัวใจผมอยู่ที่เขานี่แบบกรี๊ดดดดดดๆๆๆๆๆ จนหมาเห่า ไม่ชิปแล้วคู่นี้!! T_T #โซลซีน



@oohhoo

ไม่ใช่แฟนให้เอารองเท้ามาลูบหน้าเลยยยย ฮืออออออออออ #โซลซีน



@kungpeuak

ตั้งแต่เปิดเทอมเราเห็นพี่โซลมารับพี่ซีนทุกวันเลยค่ะ..........จากคนนั่งเฝ้าใต้ตึก #โซลซีน



@iammeoww

อยากย้ายมหา’ลัยยย ; _____ ; #โซลซีน





เพิ่งรู้ว่าถ่ายคลิปกันเอาไว้ด้วย งั้นแสดงว่าน้องที่เป็นแอดมินแอคเคาท์นี้ก็เป็นรุ่นน้องในมหา’ลัย และดีไม่ดีเป็นรุ่นน้องคณะผมด้วยน่ะสิ นี่พวกเขาเฝ้าสังเกตกันขนาดนี้เลยเหรอ...เหมือนพวกเขาจะรู้ว่าพวกผมคบกันจริงๆ เลยแฮะ



ผมว่าจะอัปรูปลงไอจีกับไอ้โซลตามที่น้องคนนั้นขออยู่หรอกนะ มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรมากมาย แต่ติดที่ว่า...เฮียคัทก็จะรู้น่ะสิว่าผมอยู่กับมัน



หรือจะอัปลงทวิตเตอร์ เฮียคัทไม่เล่นนี่นา...ผมสั่นหัว เอาไว้ก่อนดีกว่า ยังไงพวกน้องเขาก็เจอผมกับไอ้โซลทั้งที่คณะแล้วก็เวลาออกไปข้างนอกอยู่แล้วนี่ ก็เห็นอยู่ว่าพวกผมอยู่ด้วยกัน รูปคู่อะไรไม่ต้องหรอกเนอะ ที่จริงผมอยากตอบแทนพวกเขาบ้าง นอกจากบางคนที่คอยซื้อขนมให้แล้ว ความรักความชอบที่พวกเขามีให้มันเป็นความรักอีกประเภทหนึ่งที่ผมเพิ่งเคยได้รับ ผมรับรู้แต่ไม่รู้จะตอบแทนกลับยังไง



...หรือว่าจะลงรูปคู่ดี



“มึงอัปไอจีหน่อยดิ”



“ครับ?”



“โทรศัพท์” ผมแบมือ อีกคนทำหน้าไม่เข้าใจ “เมื่อวานมีน้องคนหนึ่งบอกให้อัปรูปไง”



“เขาบอกพี่ไม่ใช่เหรอครับ” มันว่าอย่างนั้นแต่ก็ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงวางบนมือผม



“ก็เหมือนกันนั่นแหละ”



ไอ้โซลไม่ว่าอะไรดูเหมือนจะชอบใจด้วยซ้ำ



เราไม่มีรูปคู่ที่ถ่ายเองเลย มีแต่โดนคนอื่นถ่าย ไอ้โซลนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จะให้ผมลุกเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยก็จะดูจริงจังเกินไปไหม ผมไม่รู้จะทำยังไง เห็นเงาตัวเองกับอีกคนสะท้อนในกระจกของร้านพอดีเลยยกกล้องไปทางนั้น



soul_kr  กินข้าว



ไอ้โซลหัวเราะตอนรับเครื่องมือสื่อสารกลับไป



“อะไร ก็น้องเขาขอมา”



“รูปคู่ไม่ใช่เหรอครับ”



“นั่นไม่คู่เหรอ”



“มันต้องหน้าแนบกันซี่”



“แค่นี้ก็ดีแล้ว” ยืนห่างเป็นกิโลในเฟรมเดียวก็ถือว่ารูปคู่เถอะ!



“ทำไมพี่ถึงทำตามที่น้องเขาขอล่ะครับ” ไอ้โซลถาม เพราะปกติผมไม่ค่อยเล่นด้วยกับพวกน้องเขาเท่าไหร่ มีแต่มันที่เซอร์วิสให้



“อยากทำอะไรให้พวกเขาบ้างน่ะ พวกเราไม่ได้รับงานอื่นอีก ไม่มีผลงานอะไรให้พวกเขาได้ตาม แค่รูปคู่เองที่พวกเขาอยากเห็น ไม่ได้ขออะไรยากนี่”



“งั้นอัปให้สักสิบรูปเลยดีไหม”



“มึงหยุดเลย แค่นั้นก็พอแล้ว”



“รูปมัวๆ นี่น่ะเหรอครับ” มันจ้องจอโทรศัพท์แล้วเหลือบขึ้นมองผม “รูปคู่เรารูปแรกพี่เป็นคนถ่าย ดีจัง”



“อะ...” ผมเกาแก้ม ทำหน้าไม่ถูก ลืมไปว่าส่วนใหญ่มีแต่มันชอบแอบถ่ายตอนผมเผลอ และครั้งแรกผมก็แอบถ่ายมันตอนเผลอเหมือนกัน “กินข้าวไปเหอะน่า”



“ฟีดแบคดีมากนะครับ” เหมือนว่ามันจะเลิกหิวแล้ว แตะหน้าจอเลื่อนขึ้นแล้วนั่งยิ้มอยู่นั่น



รูปมัวจริงๆ แหละ เห็นไม่ค่อยชัด แต่รู้ว่าเป็นผมกับไอ้โซลที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ ไม่รู้ว่าอีกคนดีใจอะไรนักหนา ผมจะยิ้มตามแล้วเนี่ย



เป็นรูปคู่ที่ไม่ได้ดีเท่าไหร่เลย แต่พอเห็นว่าไอ้คนตรงหน้า...เฮ้ย ไม่ใช่ ผมหมายถึงพวกแฟนคลับเขามีความสุขกันแล้ว...



...อัปบ่อยๆ ดีไหมนะ

         







“เฮียไม่มีอะไรทำแล้วเหรอ”



ผมใช้ผ้าขยี้ผมที่เพิ่งสระ เกือบอาทิตย์แล้วที่มานอนห้องเฮียคัท จะกลับไปนอนห้องตัวเองแล้วแต่เฮียไม่ยอม ผมปิดโทรศัพท์เอาไว้ ปกติผมไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ แต่เมื่อวานแชทคุยกับไอ้โซลจนเฮียสงสัยว่าที่กดหน้าจอยิกๆ น่ะคุยกับใครนักหนา



“ตอนกลางวันเฮียอ่านหนังสือเถอะ มึงไม่เห็นเอง”



“พ่อคนขยัน”



“เดี๋ยวโดน ไปเป่าผม มันจะไม่สบาย”



ผมที่กำลังจะก้าวขึ้นเตียงชะงัก กะว่านั่งไปนานๆ เดี๋ยวมันก็แห้งเอง แต่ขี้เกียจเถียงกับเฮียเลยยอมเดินไปหยิบไดร์มาเป่าผมแต่โดยดี



“มันเสียงดังนะ เฮียดูหนังอยู่ไม่ใช่ไง”



“รีบทำสิ”



“ให้ผมไปเป่าห้องตัวเองเปล่า”



เฮียคัทเหลือบมอง เอ่ยเสียงเข้ม “จะให้เฮียเป่าให้ไหม”



ที่จริงผมไม่เคยกลัวเฮีย แต่เวลานี้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แปลกๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า



ที่คิดว่าไอ้โซลจะชินกับการไม่มีผมอยู่ด้วยน่ะ...ไม่เลย มันอาการหนักขึ้นทุกวัน นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว ผมไปมหา’ลัยทุกวันแม้วันที่ไม่มีเรียน แต่ผมไม่ได้บอกเฮียคัทว่าทุกครั้งหลังเลิกเรียนน่ะไปกับไอ้โซล ไม่ใช่ไอ้จั๊มพ์...ในใจมันยังหวั่นๆ กลัวเฮียสงสัยนู่นนี่ไปหมด



พอผมแห้งผมก็ล้มตัวลงบนเตียง เขยิบไปใกล้ๆ คนหน้าเข้ม “เรื่องอะไรอีกอะ”



เก็บคำพูดไม่ทันเมื่อเลื่อนสายตาไปที่จอ ไม่น่าจะใช่หนังที่เฮียคัทมีแผ่น เพราะเฮียชอบแนวแอคชั่น มันเป็นหนังที่ช่องหนึ่งในโทรทัศน์เอามาฉาย เป็นแนวสมัยก่อนและเหมือนจะคับคล้ายคับคลากับเรื่องที่เฮียดูเมื่อวันก่อนๆ ด้วย...



“หนังรัก...” ขณะที่ผมกำลังจะหันหลังหนีไม่เอาคำตอบ เฮียก็สวนขึ้นมาก่อน “ของเพศที่สาม”



ผมตอบรับเสียงเบา ในใจระส่ำไปด้วยความหวาดกลัวอีกอย่างหนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น...



“ดูกับเฮียก่อนสิ” เสียงทุ้มต่ำว่าในตอนที่ผมหันหลังหนี ผมขบริมฝีปาก เลื่อนตัวขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงข้างพี่ชายแต่โดยดี



“พรุ่งนี้ผมมีเรียนนะ”



“มึงไปเรียนเช้าทุกวันเลยเนอะ”



“ไปนั่งเล่นกับเพื่อน...ผมปีสี่แล้วนะ”



“เกี่ยว?”



“อื้ม เดี๋ยวจบแล้วไง”



เฮียทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าผมจะมีอารมณ์อาลัยอาวรณ์เพื่อนอะไรขนาดนี้ ซึ่งก็จริง...เพราะรูปผมนั่งอยู่ใต้ตึกสถาปัตย์น่ะว่อนเต็มทวิตเตอร์เลย



พอดูไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าผมจดจ่อกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า เหมือนกับเฮียคัมที่ไม่ละสายตาเลยสักนิด เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง อารมณ์บีบคั้นต่างๆ ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดีมากเสียจนมือผมเผลอกำผ้าปูที่นอนแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้



“ก็เพราะครอบครัวและสังคมไม่ยอมรับ...” อยู่ๆ เฮียก็พูดขึ้น “เลยมีปัญหาตามมามากมาย”



ลมหายใจผมสะดุด แต่น้ำเสียงเรียบเรื่อยของเฮียยังเอ่ยต่อ



“ไม่ว่าจะสมัยก่อนหรือสมัยนี้ เฮียว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่...ความคิดคนน่ะนะ”



“...ยังไง”



“ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับกันไง”



ใจผมสั่นไปหมด...



“ครอบครัวเสียใจ ตัวของเขาเองก็เสียใจ สังคมก็รังเกียจ...”



“…”



“มึงว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง”



ตัวผมเย็นเฉียบ...สายตาจับอยู่ที่ภาพยนตร์ตรงหน้า ในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากจอสี่เหลี่ยมจอใหญ่ มันเป็นคำถามธรรมดา...ใช่ไหม



เฮียต้องการจะบอกอะไรกันแน่...



“...ผมไม่รู้”



ในตอนนั้น...หัวผมว่างเปล่าไปหมดเลย









---------------------------------

อ้าว.....เฮีย......

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 25-07-2017 20:10:47
ปักกกกกกก

เฮียคัททท ตะเตือนใจแรงๆ ฮือออออ ตอนจบหนังในเรื้องจะเป็นไงไม่รู้ แต่เรื่องของโซลซีนจบแฮปปี้มีความสุขแน่นอนค่ะเฮียยยย .... (ใช่มั้ยคะ?5555555)

หวานกันแบบนี้อีกไม่นานแฟนคลับรู้แน่นอน เตรียมตัวแห่ขันหมาก เอ้ย แถลงข่าวได้เลยยย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-07-2017 20:25:31
 :hao7:
เฮียจะมาทำเป็นบีบคั้นแบบอ้อมๆ ได้ไง
สงสารน้องซีน บ้างเถอะพูดไปเลยดีกว่า
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 25-07-2017 20:32:09
อ้าว เฮีย พูดบลัฟกันแบบนี้เลยเหรอ น้องเสียใจนะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 25-07-2017 20:42:53
ก็รู้นะว่าเฮียหวังดี (แล้วก็หวงด้วย)

นี่คงเป็นวิธีแสดงความหวังดีแบบเฮียๆ สินะ....เฮ้ออออออ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 25-07-2017 20:45:00
สงสารซีนนนนนนนนนนน

 :z10:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-07-2017 20:48:37
เฮีย ไม่อยากให้น้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับหนัง
ความรักของเพศเดียวกัน
ที่ครอบครัวเสียใจ ไม่ยอมรับ สังคมรังเกียจ
คนที่รักกัน ก็ไม่มีความสุข
จนต้องแยกจากกัน เลิกลากัน
แม้ว่าสังคมปัจจุบันเปิดกว้างกว่าเดิมก็ตาม
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 25-07-2017 20:54:18
ซีนบอกความจริงไปเลยดีกว่าอยู่แบบหลบๆอย่างนี้จะทนไปได้นานแค่ไหน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 25-07-2017 21:13:08
เฮียยยยยยยยยย  :z3:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-07-2017 21:43:47
ลากเฮียคัทไปเก็บเลย ทำตัวขัดใจคนอ่าน  :katai1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 25-07-2017 23:04:28
เฮียกดดันแบบนิ่งๆเลยอ่ะ ไม่ห้ามไม่พูดตรงๆ แต่ก็ไม่ปล่อย เครียดแทนโซลซีนเลย มาม่ามาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 26-07-2017 03:56:28
นี่เข้าใจว่าเฮียเป็นห่วงแหละ แต่ไม่ได้หมายความว่าเฮียไม่ผิดเลยนะ
เค้าว่าเหรียญมันมีสองด้านเสมอ
เฮียอ่จจะคิดว่าซีนมองเห็นแต่ด้านที่มีความสุข เพราะอยู่ในสังคมเล็กๆที่คนรับได้
เป็นห่วงน้องกลัวน้องเสียใจ กลัวน้องรับไม่ได้ถ้าเจอความโหดร้ายของสังคมตีกลับมา
แต่เฮียก้ไม่ได้ลองเปิดใจที่จะมองดูอีกด้านของเหรียญที่มันมีความสุขเลยนะ
มันควรจะให้น้องเปิดใจยอมเล่าแล้วพูดเตือนกันตรงๆรึป่าว
มันน่าจะดีกว่าการมาบลัฟน้องทำน้องกลัว เครียด แล้วก้ไม่กล้าปรึกษาตัวเองด้วยนะสิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 26-07-2017 05:53:50
เฮียก็...
แค่ครอบครัวยอมรับ มันก็น่าจะพอแล้วป้ะ
เดี๋ยวนี้โลกมันเปิดกว้างมากแล้วเฮียย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 26-07-2017 15:23:37
เฮี้ยยยยยยยยยเฮีย ขอร้องเฮียคัทอย่ามาต้มน้ำรอ พี่จะไม่ยอมให้ Fc โซลซีนแกะห่อมาม่าแน่นอน ปลายเดือนเงินเดือนออกแล้ว เราไม่ซดมาม่า กอดห่อมาม่าให้แน่น
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-07-2017 19:52:27
เฮียคัทมาแบบนิ่งๆแต่กดดันสุดๆ น่ากลัวมาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 25 - (25/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-07-2017 20:26:03
เราว่าเฮียคัทมาดี  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 02-08-2017 18:32:54
               





ตอนที่ 26







ผมไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้...ไม่เชิงหรอก ที่จริง...ผมไม่ได้นึกถึงมันมากกว่า



ผมไม่รู้ว่าปล่อยใจให้เอนเอียงไปหาไอ้โซลตอนไหน ความรู้สึกมันเกิดขึ้นเพราะอะไร...ผมก็ไม่รู้



แค่ยอมรับใจตัวเอง...และปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึก



เท่านั้นเอง...ผมคิดแค่นั้นจริงๆ



“สวัสดีครับป้าใจ”



“สวัสดีจ้ะ แหม โตขึ้นแล้วหล่อตามพี่ชายมาเลยนะ”



ผมยิ้มแห้งๆ กลับไปให้เพื่อนของม้า ไม่บ่อยนักหรอกที่เพื่อนม้าจะมาที่บ้าน ที่จริงก็ไม่เชิงเพื่อน เรียกว่าเพื่อนทางธุรกิจน่าจะดีกว่า ลูกชายเธอกำลังจะแต่งงาน



“แล้วคัทมีคนรู้ใจหรือยังล่ะจ๊ะ”



“ไม่มีครับ ผมขอเรียนจบก่อน” เฮียตอบเสียงนิ่ง พี่ชายผมเป็นประเภทไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัว ยิ่งการเข้างานสังคมกับป๊าม้าแล้วต้องเจอพวกคุณหญิงคุณนายถามข่าวคราวว่าชีวิตช่วงนี้กำลังทำอะไรอยู่ เฮียจะเบ้หน้าในใจทันที



“แล้วซีนล่ะ” เธอไม่ได้ใส่ใจอะไร เห็นเฮียคัทเป็นอย่างนี้มานานแล้ว กลับหันมาหาผมแทน ซึ่งคำถามนี้ทำให้ผมสะดุด



“ลูกสาวป้าว่างน้า”



เธอกล่าวขำขัน ผมเลยได้แต่หัวเราะแหยๆ ไปด้วยโดยไม่ได้ตอบคำถามนั้น



ผมไม่ค่อยชอบไปออกงานกับป๊าม้าถ้าไม่โดนบังคับ และค่อนข้างโชคดีที่ครอบครัวเราไม่ได้อยากจะขยายธุรกิจที่มีอยู่ให้ใหญ่โตมากมายจนต้องเกี่ยวดองกับครอบครัวอื่น แม้อาแปะจะเคยเปรยๆ ว่าลูกสาวของเพื่อนเขาแอบบอกว่าถูกใจเฮียคัทมากก็ตาม



ถ้าเทียบกับญาติคนอื่นแล้ว ครอบครัวผมชอบการมีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่หวือหวาและค่อนข้างเป็นส่วนตัวแต่ก็ยินดีต้อนรับเพื่อนฝูงเสมอ



“ซีนนี่ดังใหญ่แล้วนา ลูกสาวเพื่อนป้าก็บอกอยากเจอ”



“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”



“ได้ไงกัน แล้วนี่จะดันลูกเข้าวงการตามรอยตัวเองเลยไหม”



ม้าส่ายหน้ายิ้มๆ “เจ้าตัวไม่ชอบ เขายอมเล่นให้เรื่องเดียวก็ปลื้มแล้ว”



“เสียดาย ป้ายังคิดเลยนะว่าเรื่องต่อไปอาจได้เป็นพระเอก สมัยเนี้ยพวกที่แสดงหนังแสดงละครเกย์ๆ เนี่ยดังเร็ว”



“ไม่หรอกครับ”



“จริงนะลูก ลูกชายของคุณการันต์ก็อยากเป็นดารา ได้เล่นเป็นเกย์เหมือนกันที่ชื่อนิวน่ะ แฟนคลับเยอะเชียว”



ม้าเคยเป็นดารามาก่อนก็จริง แต่นิสัยช่างเม้าท์นี่ไม่ใช่ม้าผมเลย ได้แต่นิ่งเงียบนั่งฟัง



“ตอนแรกคุณการันต์ก็หวั่นใจแทบแย่ไปเล่นบทนัวเนียกับผู้ชายแบบนั้น ตอนนี้ได้เป็นพระเอกชื่อดังแล้ว คุณเขาถึงปลื้ม” เธอว่า ก่อนจะลดเสียงเบาประโยคถัดไป “ก็นะ...ถ้าเป็นไปทางนั้นจริงๆ ครอบครัวขายหน้าแย่ คุณการันต์เองเคยร่ำๆ ว่าอยากอุ้มหลานอยู่ด้วย”



รอยยิ้มผมค้างอยู่อย่างนั้น...



“อย่างบ้านคุณวิลา คราวก่อนไปงานไม่เห็น สงสัยไม่กล้าสู้หน้า”



“เห็นว่าไปต่างประเทศ เขาไปดูงานล่ะมั้ง”



“ดูงานอะไรล่ะเธอ อายน่ะสิไม่ว่า เลี้ยงลูกมาให้เป็นแบบนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้ พี่นะเลี้ยงตาภัทรอย่างดี ตอนนี้ถึงได้เป็นฝั่งเป็นฝา เนี่ยที่บอกว่าไปต่างประเทศพี่ว่าเป็นข้ออ้าง—”



“อาหารพร้อมแล้วครับ” เฮียคัทขัดขึ้น เธอชะงักนิดหน่อยแต่พอเห็นป๊าผมเดินเข้ามาก็ยิ้มรับทักทายทันที



“มาบ้านนี้ทีไรได้ทานฝีมือคุณปราณตลอดเลยนะคะ”



“ครับ บ้านเราชอบทำอาหารทานกันเอง เชิญคุณใจเลยครับ” ป๊าผมผายมือ ป้าใจก็กับม้าก็ลุกขึ้นเดินตามไป



ผมยังนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ในหัวคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าไม่อยากอยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยอีกแล้ว



“ไอ้นั่นจะมาตอนไหน”



“ฮ...ฮะ?”



“ก็จะออกไปกับไอ้โซลไม่ใช่เหรอ”



“เดี๋ยวกินข้าวก่อนก็ได้..”



“ไปเลยเดี๋ยวบอกม้าให้ นัดไว้กี่โมงหรือจะให้เฮียไปส่ง”   



ผมส่ายหน้า มองหน้าจอเครื่องมือสื่อสารไอ้โซลส่งข้อความมาว่าใกล้ถึงแล้ว



“แล้วเฮียล่ะ”



“จะให้เฮียไปด้วย?”



“..เปล่า”



เป็นครั้งแรกที่ผมบอกเฮียคัทว่าจะออกไปข้างนอกกับไอ้โซล เมื่อคืนเฮียแค่พยักหน้ารับรู้ คงคิดว่าเราเพิ่งนัดเจอกันตามประสาคนเคยทำงานด้วยกันเฉยๆ



สายตาของเฮียไม่ได้เคลือบไปด้วยความคลางแคลงใจแต่มันเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ นั่นทำให้ผมกลัวว่าเฮียจะทำร้ายไอ้โซลหรือเปล่า แต่ตอนนี้...



“นั่นมันใช่ไหม ไปสิ” เฮียพยัดเพยิดไปทางหน้าบ้าน เห็นรถคันคุ้นตาจอดอยู่ ผมมองเฮียคัทที่ขมวดคิ้วแน่น แต่ปากกลับบอกให้ผมออกไปหาไอ้โซล



“รีบกลับ”



“..อื้อ”



“ไม่อยากไปก็บอกมันได้นะ หรือจะให้เฮียไปบอกให้”



“เปล่าๆ แค่อากาศมันร้อนเฉยๆ”



ผมว่า หยิบของที่จำเป็นออกมา ไม่เข้าใจเฮียคัทเลยให้ตาย



..เวลานี้เหมือนมีมวลคลื่นบางอย่างรายล้อมอยู่รอบตัว และมันกำลังบีบเข้าหาผมช้าๆ







               

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”



“หือ…เปล่านี่”



ผมปฏิเสธ เหลือบมองตามที่ไอ้โซลมอง ไอศกรีมในมือเริ่มละลาย ผมเลยตักขึ้นกินทีละนิดทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกอยากแม้แต่น้อย



“ช่วยหน่อย”



“หมดนี่?”



“อือ” ผมยื่นให้มันทั้งโคน “ไหนว่าไม่รังเกียจ”



“นั่นพูดจริงครับแต่ผมอิ่ม...”



ผมแสร้งถอนหายใจ “กูทิ้งก็ได้”



“ล้อเล่นครับ เอามาๆ” อีกคนเอื้อมมือมาฉวยไป “งอนจริงเหรอเนี่ย”



…ซะที่ไหนล่ะ ที่จริงเราเพิ่งกินข้าวเที่ยงกันมาแล้วมันก็กินไปเยอะมาก ผมจะแกล้งมันเฉยๆ แอบเห็นมันเบ้หน้าตอนกลืนไอศกรีมรสชาเขียวลงไป



“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ ก็ชอบไม่ใช่หรือไง กูไปห้องมึงวันแรกชาเขียวเต็มห้อง”



“นั่นก็...”



“รีบกินเข้าไปเลย มันละลายแล้ว”



ไอ้โซลกินจนหมดและรีบกระดกน้ำตามไปหลายอึก ผมกลั้นขำ ปรบมือให้มัน “เก่งมากกก”



มันหายใจเข้าลึกหันมายิ้มเย็นๆ ให้ เอื้อมแขนมาวางไว้อีกด้านนึงของผม เหมือนโอบกลายๆ “ขอรางวัลให้คนเก่งหน่อยสิครับ”



“นี่ในห้างนะเว้ย”



“ใครจะสนใจครับ แค่แฟนหยอกล้อกัน เรื่องธรรมดาน่า” มันว่าน้ำเสียงสบายๆ ทั้งๆ ที่ผู้หญิงหลายคนแอบมองเราอย่างไม่ปิดบังแบบนี้เนี่ยนะ ผมเห็นพวกเธอยกกล้องขึ้นมาด้วย



“นู่น ดูคู่นู้นสิ” มันกระซิบอยู่ข้างหู ผมมองไปตามทางที่มันบอก เห็นคู่รักคู่หนึ่งเดินกอดเอวกันกระหนุงกระหนิง “เรายอมได้เหรอ”



“หยุดเลย ต้องขนาดนั้นไหม” ผมรีบปราม จะต้องไปเดินกอดตัวติดหนึบกันแบบนั้นทำไม ที่จริงก็เรื่องธรรมดาแหละ แต่ผมไม่ใช่พวกที่จะมาทำแบบนั้นนี่



“มัดตัวพี่ติดกับผมได้ ผมทำไปแล้ว”



“มึงเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกวันแล้วนะ”



“จะทำให้พี่หลอนจนลืมผมไม่ได้เลย”



ตอนแรกพูดเล่น ตอนนี้เริ่มกลัวจริงแล้ว ผมเอนตัวออกห่าง ค้ำมือไปโดนมือมัน คนตรงข้างๆ ก็ร้องโอย



ผมจับมือที่มีพลาสเตอร์แปะไว้ที่นิ้วชี้ขึ้นมาดู “ไปโดนอะไรมา”



“คัตเตอร์บาดครับ”



“ไม่ระวังเลย ปล่อยให้บาดได้ไง”



“ใจลอยคิดถึงใครบางคนแถวนี้แหละครับ เฮ้อ” มันแสร้งตีหน้าเศ้รา เอาหน้ามาถูที่ไหล่ “สงสารผมหน่อย มาอยู่กับผมหน่อย”



“มีงานมีการก็ทำไปสิ กูจะรบกวนมึงเปล่าๆ”



“พี่มาอยู่ด้วยงานผมจะเสร็จเร็วขึ้นเยอะเลยครับ จะได้มีเวลาอยู่กับพี่”



เพราะแขนมันยังโอบรอบตัวผมอยู่ขณะที่ผมยังจับมือมันเอาไว้ไม่ปล่อยทำให้เราใกล้กันมาก แต่ผมไม่ได้สนใจว่าคนรอบข้างจะมองยังไง เอาแต่เกลี่ยมือมันเบาๆ



“อาทิตย์หน้านะ”



“พูดจริง?”



“อื้ม”



ขอเวลาคิดก่อนแล้วกันว่าจะบอกเฮียว่าอะไร กับป๊าม้าไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว



“รางวัลสำหรับคนเก่งล่ะ ผมยังไม่ลืมนะ”



ยังไม่จบเรื่องนี้ใช่ไหม... “จะให้ทำอะไรล่ะ”



“กลางห้างแบบนี้ไม่ค่อยสะดวกเลยแฮะ...” มันมองซ้ายมองขวา “หรือเราจะกลับไปดูหนังที่ห้องกันดี”



ผมฟาดไปที่ต้นขามัน “ทะลึ่ง!”



“ผมยังไม่ได้บอกเลยจะทำอะไร” ไอ้โซลหัวเราะ “คิดลามกนะเนี่ย”



คำพูดคำจากับสายตาที่มองมาไม่ได้ชวนคิดเลย!



อีกนานกว่าจะได้เข้าไปในโรงหนัง ผมนั่งรอจนเมื่อย แต่ไม่รู้ว่าแฟนคลับที่ยืนหลบมุมตรงเสาไกลๆ ตรงนู้นเมื่อยกว่าไหม หลายคนมองมาที่เรา ผมไม่ค่อยได้สนใจ ส่วนไอ้โซลนี่เรียกว่าโคตรไม่สนใจเลยดีกว่า มันทำตัวเหมือนไม่มีใครรู้จัก ไม่ใช่พระเอกซีรีส์ที่กำลังออนแอร์อยู่ขณะนี้ และเพราะพวกเราไม่สนด้วยว่าใครจะรู้ว่าเรากำลังคบกันอยู่มันเลยทำตัวตามใจอยากแต่ก็ไม่ถึงกับมากมายเพราะเราอยู่ในที่สาธารณะ



“ใกล้ไปแล้ว”



“เดี๋ยวผมตกเฟรม”



“ยื่นมือออกไปอีกสิ”



“ผมเมื่อย”



แก้มมันจะแนบหน้าผมอยู่แล้ว ผมทำหน้านิ่งใส่กล้อง แต่พอไอ้คนข้างๆ เอาหัวมาโขกเบาๆ ผมก็หลุดยิ้มออกมา ได้ยินเสียงวี๊ดว๊ายของแฟนคลับรอบข้างที่แอบมองอยู่ บางคนก็ยิ้มให้พวกเราเห็นเลย ผมก็ยิ้มตอบ ตอนนี้ในแท็กคงมีรูปวันนี้เต็มไปหมดแน่ๆ นอกจากรูปแอบถ่ายแล้ว ยังคงมีรูปที่พวกเราถ่ายด้วยกันเมื่อกี้ในไอจีไอ้โซลอีกด้วย



นั่งไปอีกสักพัก กลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่มองพวกเรามานานก็เดินเข้ามาคุยด้วยเพราะไอ้โซลยิ้มให้ ทีผมยิ้มให้ไม่เห็นจะเดินเข้ามาคุยด้วยเลย...ลำเอียงชัดๆ



ไอ้โซลยังเล่นกับทุกการชงของพวกน้องเขา อาจเพราะมันขี้เล่นเลยดูเข้าถึงง่ายกว่าผมล่ะมั้ง ส่วนใหญ่ถ้ามีแค่ผมพวกเธอจะดูเกรงใจกว่าตอนที่มีไอ้โซลอยู่ด้วย



“แล้วนี่...ทำไมต้องโอบคะ” สายตาพวกเธอมองแขนไอ้โซลที่ยังเหมือนโอบผมไว้กลายๆ อยู่



คนโดนจับผิดลอยหน้าลอยตา ตอบหน้าซื่อ “พี่ซีนขี้หนาวครับ”



“กอดเลยไหมคะ”



“อืม...” มันเขยิบเข้ามาใกล้ผมกว่าเดิม “พี่แพ้แรงยุซะด้วยสิ”



“ว๊ายยยยยยยย”



“มึงนี่...” ผมตีมันไปเบาๆ



“ไอจีวันนั้นใครอัปเหรอคะ”



“ที่กินข้าวกันน่ะเหรอครับ”



พวกเธอพยักหน้า มองพวกผมอย่างรอลุ้นกับคำตอบ ไม่รู้ว่าทำไมสงสัย อาจเพราะผมถือกล้องหรือเปล่า



“ใครถ่ายก็คนนั้นแหละครับ”



“จริงเหรอคะพี่ซีน?”



พวกเธอมองมาแบบอึ้งๆ ผมก็พยักหน้ารับ “ครับ พี่อัปเอง”



“แอคใครก็เหมือนกันใช่ไหมคะ”



“ครับ”



“กรี๊ดดดดดดดดดดดด”

“พี่ซีนเล่นด้วยเฉย แงงงงงงง หนูจะร้องไห้”



ผมไม่ได้เล่น...ก็พูดจริงนี่ แต่ผมหมายถึงจะผมหรือไอ้โซลอัปก็เหมือนกัน เพราะแฟนคลับแค่อยากเห็นรูป ‘เรา’ ไม่ใช่หรือไง



“ได้เวลาแล้ว ดูเรื่องเดียวกันหรือเปล่าครับเนี่ย”



ไอ้โซลถาม พวกเธอสั่นหัว หัวเราะแหะๆ “ไม่ได้ดูค่ะ มาตามพวกพี่เฉยๆ”



“งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ” พวกผมลุกขึ้น พวกเธอก็แหวกทางให้ “กลับบ้านดีๆ นะครับ”



“ค่า” ตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียงอย่างเคย ผมโบกมือบ๊ายบายให้ พวกเธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นมองพวกผมเดินเข้าไปในโรงหนัง…เหมือนส่งพวกผมไปไหนสักที่เลยแฮะ มองไปก็รู้สึกตลกแล้วก็น่ารักดี







               

“ถ้ากลัวก็มานอนกับผมได้นะ”



“ไม่ได้กลัว” ผมกลอกตา แค่สะดุ้งในโรงหนังนิดหน่อยเอง ก็เสียงเอฟเฟคมันน่าตกใจนี่



“เวลาปิดไฟในห้องมันอาจมีอะไรออกมาจากความมืดได้นะ”



พูดไปก็ไม่กลัวหรอก “กูนอนกับเฮียคัทอยู่แล้วเว้ย”



“เฮ้อ อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์หน้า” สีหน้ามันยอมแพ้ ล้มเลิกที่จะหว่านล้อมให้ผมไปห้องมันวันนี้เลย



“พี่ครับ”



“หืม?”



“ถ้ามีคนถามว่าเราเป็นอะไรกันล่ะ”



“แล้วเราเป็นอะไรกันล่ะ”



“แฟนไง”



หน้าร้อนขึ้นมาหน่อยๆ ยังไม่ชินกับคำนี้เท่าไหร่ “อืม”



“ผมพูดได้ใช่ไหม”



ไม่บ่อยนักที่จะเห็นสีหน้าไม่มั่นใจของไอ้โซล อย่างว่าที่พวกเราเป็นอยู่ไม่ได้ปิดบังใคร แต่ก็ไม่ได้โพทะนาให้ทุกคนรู้เหมือนกัน แล้วไม่มีใครเคยถามตรงๆ ด้วยเราเลยไม่มีใครพูด



ไม่คิดว่าไอ้โซลจะกังวลเรื่องนี้



“ได้สิ...โกหกมันไม่ดีนะ”



ไม่เคยเรียนพระพุทธเหรอ เขาบอกว่าให้รักษาศีลไง



“ทำไมต้องมาถามเรื่องนี้กับกูด้วย”



“ผมกลัวว่าพี่อาจไม่อยากให้ใครรู้”



“กูรู้สึกเป็นคนที่แย่ว่ะ” ผมดึงมันมายืนหลบตรงมุมมุมหนึ่ง “โซล ถ้ามีอะไรบอกกูได้ บางทีกูก็ไม่รู้ว่ามึงคิดยังไง แต่กลับตีความไปความมึงคิดเหมือนกู ขอโทษที”



“…”



“กูพอใจที่เราเป็นแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรับรู้แต่ก็ไม่ได้ปิดบังเป็นความลับ ไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องต่อหน้าคนอื่น”



“…”



“ถ้ามีใครมาถามตรงๆ” ผมลูบต้นคออายๆ “กูก็จะบอกเขาว่าเราคบกันจริงๆ”



มันพรูลมหายใจ ใบหูขึ้นสีแดงจนผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกรอบ “ผมอาจกังวลเกินไป พี่ไม่ได้แย่นะครับ”



ไม่รู้ว่าการคบใครต้องทำยังไงบ้างหรอกนะ ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกรักใคร่ชอบพอ แต่เราต้องค่อยๆ พยายามปรับตัวเข้าหากัน และความเข้าใจกันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ



“มีอะไรเราก็คุยกัน ตกลงไหม”



“ตกลงครับ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ยกยิ้มบางๆ “ผมชอบเวลาพี่พูดคำว่าเรา”



มองหน้ามันแล้วลืมทุกอย่างไปหมดเลย ในใจเบาสบาย ถ้าโทรบอกเฮียว่าจะไปค้างห้องมันวันนี้เลยได้ไหมนะ...



“แล้วนี่ได้ไหมครับ” ไอ้โซลฉวยมือผมไปกุมเอาไว้



“จับไปแล้วค่อยมาถาม” ผมย่นจมูก เราออกก้าวเดินกันอีกครั้ง



“งั้นแปลว่าได้”



ผมโคลงศีรษะ ไม่พูดอะไรเพียงแค่กระชับมือมันตอบกลับไปเบาๆ เท่านั้น



ระหว่างทางมีคนมองพอสมควร แทบทุกครั้งที่ผมเงยหน้าขึ้นจากพื้นจะเห็นรอยยิ้ม ไม่ก็แววตาตื่นตะลึงของเหล่าผู้หญิงที่มองมา ครั้งแรกที่เคยเดินจับมือกับมันแบบนี้ ให้ตายเถอะ...เขินจะมุดลงดินอยู่แล้ว



“โซลซีน แก๊ๆๆ”

“ใช่ปะ...ทำไมเดินจับมือ ฮือออ”

“พี่ซีนกับโซลปะ”

“ถ่ายรายการอะไรหรือเปล่า”

“ไม่เห็นมีกล้องเลย เมื่อกี้ก็เพิ่งไปดูหนังกันมาเองไม่ใช่เหรอ”

“แล้วทำไมจับมือ!?”



พวกเธออยู่ห่างไปจากพวกผมไม่กี่ขั้นบันได เสียงซุบซิบ(?)นั้นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาบางๆ ไอ้โซลก็เช่นกัน สักพักเสียงก็เงียบไป พวกเธอคงไม่ได้เดินตามมา



เรามาที่ร้านหนังสือ ผมกวาดตามองผู้คนที่เดินเข้าเดินออกแล้วบังเอิญไปสบสายตากับผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาดูแคลนทำให้ผมตัวชา ผมหันหน้าหนี ลมหายใจสะดุดอีกครั้งเมื่อเห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมองตรงมาทางนี้ด้วยแววตาอย่างเดียวกัน...



เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตบจนหน้าหันเพื่อให้ออกมาพบเจอกับความจริง และผมได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของเฮียคัทดังขึ้นมาในหัวแทบจะในทันที



‘ครอบครัวเสียใจ ตัวของเขาเองก็เสียใจ สังคมก็รังเกียจ...’



ความอุ่นในใจถูกแทนที่ด้วยความเยือกเย็นของความรู้สึกบางอย่าง และนั่นทำให้ผมสะบัดมืออีกคนออกราวกับโดนไฟช็อต             

 

“เป็นอะไรครับ” ไอ้โซลมีสีหน้าตกใจ



“ป...เปล่า” ผมเอ่ยเสียงสั่น “..จะดูหนังสือน่ะ”



ผมหยิบหนังสือมั่วๆ ออกมาเล่นหนึ่ง ทำทีเป็นดูมันไปอย่างนั้นทั้งที่ก็เพื่อไม่อยากสบตาคนข้างกาย ไอ้โซลไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงเดินตามผมเงียบๆ แต่ผมรู้ว่ามันคงอยากจะถาม



“ไม่มีที่อยากได้” ผมว่าขึ้น เห็นวัยรุ่นกลุ่มนั้นยังคงอยู่ที่เดิมก็เดินเลี่ยงมาอีกทาง “กลับกันเถอะ”



“แล้วพี่ไม่ไป...”



“กูอยากกลับแล้ว”



“แต่ไหนบอกว่าอยาก...”



“ตอนนี้อยากกลับแล้ว!” ผมสวนขึ้นเสียงแข็ง รู้สึกเหมือนเสียการควบคุม รู้แค่ไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว นัยน์ตาคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ผมเสมองไปทางอื่น เอ่ยเสียงอ่อนลงกว่าเดิม



“..เฮียไม่ให้กลับดึก แล้วกูก็เหนื่อยแล้วด้วย”



“...ก็ได้ครับ”



ไอ้โซลเอื้อมมาจะจับมืออีกรอบแต่ผมเบี่ยงตัวหลบแทบจะทันที เราต่างชะงักด้วยกันทั้งคู่ และพอสบตาคนตรงหน้า ผมรู้สึกว่าได้ไปแตะสิ่งของเปราะบางบางอย่าง เพียงนิดเท่านั้น...แต่กลับเกิดรอยร้าวขึ้นขนาดใหญ่



“...ไปกันเถอะ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเดินนำมันออกมาจากที่นั่น



แต่ละก้าวเชื่องช้า หนักอึ้งในอก มันมาจากหลายพันความคิดตีกันวุ่นในสมอง ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนลูกโป่งที่ลอยสูงขึ้นจากพื้น ขณะที่กำลังหลงนึกว่าตัวเองอยู่สูงเสียดฟ้ากลับถูกกระเบื้องหลังคาบ้านสักหลังเจาะแตกร่วงตกลงสู่พื้นดิน



สายตาเหล่านั้นเหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงความรู้สึกผมจนยับเยิน



‘ก็เพราะครอบครัวและสังคมไม่ยอมรับ...เลยมีปัญหาตามมามากมาย’

‘ไม่ว่าจะสมัยก่อนหรือสมัยนี้ เฮียว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่...ความคิดคนน่ะนะ’

‘ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับกันไง’




ผมเพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้นเอง สิ่งที่เฮียพูด...



อาจเป็นเพราะเราได้รับแต่รอยยิ้มและคำสนับสนุนเสมอมา จนลืมนึกไปว่านอกจากสายที่มองมาอย่างยินดีแล้ว...ยังมีสายตารังเกียจชิงชังพวกเราอยู่ด้วย



‘ก็นะ...ถ้าเป็นไปทางนั้นจริงๆ ครอบครัวขายหน้าแย่ คุณการันต์เองเคยร่ำๆ ว่าอยากอุ้มหลานอยู่ด้วย’

‘อย่างบ้านคุณวิลา คราวก่อนไปงานไม่เห็น สงสัยไม่กล้าสู้หน้า’




“กลับเลยใช่ไหมครับ”



“...”



“พี่ซีน เป็นอะไรหรือเปล่า”



“…”



“พี่ซีน?”



“ม..ไม่เป็นไร แค่...แค่ง่วงเฉยๆ”



“โกรธผมเหรอ”



“เปล่า มึงไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย”



“แล้วพี่เป็นอะไร”



“เปล่า ออกรถสิ”



“เราคุยกันให้รู้เรื่องก่อนดีไหม”



“โซล กูไม่ได้เป็นอะไร ออกรถสักที”



“เรามาคุยกันก่อนเถอะ ผมไม่อยากค้างคาแบบนี้”



“มึงไม่ได้ทำอะไร กูอยากกลับบ้านแล้วโซล”



“พี่ซีนครับ เมื่อกี้เรายังดีๆ กันอยู่เลย ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจหรือเปล่า”



“ก็บอกว่าเปล่าไง!”



ทั้งห้องโดยสารเงียบจนได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของผม ความรู้สึกผิดในใจก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแต่คำขอโทษกลับไม่ถูกเอื้อนเอ่ยออกไป



ตลอดทางผมจมอยู่ในห้วงความคิด จิกมือชื้นเหงื่อเข้าหากันแน่น ผ่านมาไม่กี่นาทีแต่ในหัวปวดตุบๆ จนแทบระเบิด มันเต็มไปด้วยคำถามที่เหมือนจะมากมายแต่เปล่าเลย มีเพียงคำถามเดียวแต่กลับถูกถามย้ำซ้ำๆ กับตัวเองอยู่อย่างนั้น



รถจอดสนิทที่หน้าบ้านของผม ผมปลดเข็มขัดนิรภัยออก ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ มือหนาก็หยุดการเคลื่อนไหวของผมเอาไว้



“บอกผมได้หรือยังครับ”



ผมดึงมือตัวเองออกจากการกอบกุม ตอนนี้ผมกำลังสับสน ผมไม่สามารถตอบอะไรได้ทั้งนั้น



“ไม่มีอะไรจริงๆ”



“แต่พี่เป็นอย่างนี้เนี่ยนะ?” น้ำเสียงมันเริ่มจะมีน้ำโห ไอ้โซลพยายามข่มอารมณ์ทั้งที่ผมทำตัวโคตรจะงี่เง่าขนาดนี้



“กูแค่เหนื่อยเฉยๆ”



“ผมไม่เข้าใจ อยู่ๆ พี่ก็เหมือนไม่พอใจผม คงไม่เซอร์ไพรส์อะไรอีกใช่ไหม”



“ไม่มีอะไรทั้งนั้น กูจะเข้าบ้านแล้ว”



“คุยกันก่อนเถอะครับ”



“บอกว่าเหนื่อยไงโซล ไม่เข้าใจเหรอ”



“ใช่ครับผมไม่เข้าใจพี่” มันกำข้อมือผมเอาไว้แน่น “และเราต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่อง”



ในใจอึดอัดจนแทบระเบิด อยากหายไปจากตรงหน้ามันเดี๋ยวนี้ ผมกระชากแขนตัวเองกลับแต่คนตรงหน้าไม่ยอมปล่อย เรายื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น ผมอยากออกไปจากตรงนี้ ผมอยากอยู่คนเดียว ผมสับสน ผมไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจใครทั้งนั้น ไม่อยากคุย ไม่อยากพูดอะไร แต่พันธนาการนี้มันแน่นหนาเกินไป ผมเจ็บข้อมือไปหมด เจ็บจนน้ำตาซึม เจ็บลงไปถึงข้างใน



“..ฮึก...”



“…”



“..ปล่อย”



มันทำตามคำขอของผม แต่เพียงเสี้ยววิอ้อมกอดคนตรงหน้าก็เข้ามาแทนที่ และนั่นกลับยิ่งทำให้ผมร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม



ทำไม



ในหัวผมมีแต่คำๆ นี้



ทำไม



ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย



ทำไม



“ฮึก...ฮือ...” เสียงสะอื้นผมดังก้องไปทั้งห้องโดยสาร อ้อมแขนมันปลอบประโลมผมด้วยความอบอุ่นอย่างที่ผมเคยได้รับเสมอมา



แต่ทำไม...             



ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไม่กี่นาทีก่อนเราจะเพิ่งเข้าอกเข้าใจกันดีหยกๆ แต่ในตอนนี้เหมือนกับเราไม่เคยเข้าใจซึ่งกันและกันเลยด้วยซ้ำ



หรือไม่ก็เป็นเพราะผมเอง…



ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ผมผละออกจากมัน มือข้างหนึ่งเกลี่ยน้ำตาให้ผมแผ่วเบา



ยิ่งผมมองหน้าไอ้โซล น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับไหลลงมาเรื่อยๆ ในใจมันคงมีคำถามมากมายซึ่งไม่ต่างกันกับผมเลย...แต่ผมกลับได้คำตอบอย่างหนึ่งกับตัวเอง...





“กูว่าเรา...ควรหยุดเรื่องของเราไว้แค่นี้เถอะ”





...ในตอนนั้นผมเอาแต่คิดว่าถ้าเฮียคัทรู้เข้า เฮียจะไม่พอใจมากแน่ๆ เฮียค่อนข้างจะห่วงผมมาก ถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่เพราะตอนเด็กๆ ตัวผมเล็กกว่าเด็กคนอื่นเลยมีเฮียคอยปกป้องอยู่ตลอดและดูแลผมจนมาถึงทุกวันนี้



ผมกลัวเฮียคัทจะทำอะไรไอ้โซล



แต่อย่างหนึ่งที่ผมลืมคิดไปคือ...เฮียจะรับได้เหรอเรื่องที่ผมคบกับมัน ไม่ใช่แค่เฮียคัท แต่ป๊ากับม้าอีกด้วย แล้วญาติล่ะ แล้วคนอื่นที่รู้จักครอบครัวผมอีกล่ะ...ถ้าทุกคนรู้จะเกิดอะไรขึ้น



ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเด็กแล้วก็ตัวเล็กขนาดนี้มาก่อน



ตอนที่ตัดสินใจคบกับไอ้โซลผมไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ



ผมก็แค่...ทำตามใจตัวเอง



แต่ตอนนี้ผมกลัวว่าครอบครัวจะเสียหน้าเพราะผม กลัวป๊ากับม้าจะเสียใจในตัวผมคนนี้  ครอบครัวเรามีหน้ามีตาและถ้าหากผมเป็นคนทำลายชื่อเสียงนั้น ทำให้ทุกคนต้องขายหน้าและผิดหวัง...ถ้าอย่างนั้นผมขอหยุดทุกอย่างไว้จะดีกว่า



“...พี่พูดอะไรน่ะ..” น้ำเสียงคนตรงหน้าแผ่วเบาเหมือนเป็นแค่คำรำพึง



“..อย่าให้กูต้องพูดอีกเลย” ผมพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไป



“มึงว่าเราทำแบบนี้มันถูกแล้วเหรอ”



“ผม...ผมทำอะไรผิด บอกผมมาสิ”



“ไม่ มึงไม่ผิด”



“ไหนพี่บอกว่ามีอะไรให้คุยกันไง”



“ก็กำลังคุยอยู่นี่ไง บอกอยู่นี่ไงว่ามันผิดน่ะ!”



“หมายถึงที่เรา...คบกันน่ะเหรอครับ”



“คือกู...” ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผาก “มึงมั่นใจแล้วเหรอเรื่องของเรา...”



“ผมไม่ได้คบพี่เล่นๆ นะครับ”



“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น กูหมายถึง...กูเป็นผู้ชายนะ แล้วมึงก็...”



“เราคบกันมาสักพักแล้วนะครับ”



“ก็ใช่...ขอโทษนะโซลแต่ตอนนี้กูพยายามถามตัวเองอยู่ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกต้องหรือเปล่า”



“มันมีตรงไหนที่ผิดเหรอครับ”



“..ไม่มี..แต่...”



“ถ้าคำตอบพี่คือไม่มีแล้วยังมีอะไรที่พี่ข้องใจอีก”



“กูเคยคิดว่ามันไม่ผิดนะ แต่คนอื่น...”



“นี่มันเรื่องของเราสองคนไม่ใช่หรือไง”



“แต่ไม่ได้มีเราแค่สองคนบนโลกนี้นะโซล! ป๊าม้ากูรู้จะเป็นยังไง! กูไม่อยากให้พวกเขาเสียใจ ไม่อยากให้พวกเขาขายหน้า!”



คนตรงหน้านิ่งไป ผมไม่สนใจน้ำตาที่นองเต็มหน้า นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราทะเลาะกันแรงขนาดนี้...และจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน



“..รู้ไหมว่าผมจะดีใจมากถ้ามันเป็นแค่การเซอร์ไพรส์”



ผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน...แต่มันไม่ใช่



“กูขอโทษ”



“…”



“..เราอย่าเจอกันอีกเลยได้ไหม”



เงียบไปเพียงอึดใจ “...ได้สิครับ”



“…”



“ถ้ามันคือความต้องการของพี่”



...น้ำเสียงมันอ่อนแรงเหลือเกิน...



“..ฮึก..”



“แต่ผมอยากให้พี่รู้...”



“…”



“ผมรักพี่”



“…”



“ต่อให้พี่เป็นเพศอะไรก็ได้ในโลกนี้ผมก็รักพี่...เพราะผมรักพี่”



“…”



“ต่อให้คนทั้งโลกเกลียดผม ก็ทำให้ผมเลิกรักพี่ไม่ได้”



“…”



“เข้าบ้านเถอะครับ มันดึกแล้ว”



ในตอนที่น้ำตาคนตรงหน้ากำลังไหลลงมา...



ในอกบีบรัดจนรวดร้าวไปหมด อยากเข้าไปโอบกอดมันเอาไว้แต่ตัวกลับไม่ขยับ หัวสมองหนักอึ้งด้วยร้อยพันความคิดแต่กลับคิดอะไรไม่ออกเลยสักนิดเดียว



นี่ผม...กำลังทำอะไรอยู่



ไม่สิ...นี่ผม...ทำอะไรลงไป



เหมือนกับความสุขเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเป็นเพียงฝันกลางวัน ที่ได้จมดิ่งไปเพียงชั่วคราวแล้วก็ต้องตื่นขึ้นมาพบกับโลกแห่งความจริง



ทุกอย่างที่เราร่วมสร้างกันมาพังครืนลงมาในพริบตาเดียว...ด้วยน้ำมือของผมเอง



ผมมันแย่...แย่มากจริงๆ



--------------------------

มีคนถามว่าม่าไหม ...มันก็ม่านะคะ...แต่เฮียคัทไม่ได้พาม่าเท่านั้นเอง....

ชีวิตจะมีแต่รสหวานไม่ได้หรอกนะซีน . _ .

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 02-08-2017 19:21:27
ฮือออออออออออ ดราม่าาา ม่ายยยยยยย
ถึงจะเตรียมใจไว้บ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
ต้นๆตอนยังหวานอยู่เลย หง่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-08-2017 20:08:00
เข้าใจว่าพี่ซีนเครียด กดดัน แต่พี่ซีนก็ไม่ควรตัดสินใจในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้นนะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 02-08-2017 20:12:28
ซีนคิดมากไปป้ะ  ไม่โอเคเลยแบบนี้
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-08-2017 20:58:30
โอยยยย แย่แล้ว สงสารทั้งคู่เลย

ให้เวลาตัวเองค่อยๆคิดนะซีน คิดดีๆ อย่างนี้โอเคแล้วจริงหรือ?
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-08-2017 21:33:08
คิดจะรักใครใจต้องนิ่งนะซีน
อะไร พากันเสียน้ำตาทำไม
 :ling1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-08-2017 21:54:44
อืมมม......ชีวิตไม่ได้มีแต่รสหวาน มีแต่ความสุขอย่างเดียว
ยังมีรสขม มีความทุกข์ อีก  :mew2:

ตกลงกันแล้วว่าจะยอมรับถ้ามีใครถาม จะบอกว่าคบกัน
แต่พอซีนเจอสายตา ท่าทางดูถูกเหยียดหยาม  ซีนก็นึกถึงคำพูดเฮียคัท

ซีน ไม่มั่นคง รักโซล แต่ซีนบอกเลิกโซลซะและ
ซีน ยังไม่ได้แก้ปัญหา แต่ซีนกลัวปัญหา ไม่ปรึกษาใครเลย
ยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่รับได้หรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 02-08-2017 22:00:08
จะมีดราม่ากี่่ตอนคะเพราะจะขอไม่อ่านเนอะ
เราตามอ่านเห็นความทุ่มเทของโซลมาตั้งแต่แรก
และเราไม่อยากเกลียดซีนที่ไม่เข้มแข็งเลย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 02-08-2017 22:18:48
สงสารโซลอะ คือรู้เลยว่าโซลทุ่มไปทุกอย่าง

แล้วเราว่าโซลไม่น่าจะชอบชาเขียวด้วย

ถ้าเลิกไปก็ดีนะ เพราะซีนลังเลเหลือเกิน

เราเห็นมีแต่โซลที่เป็นคนเข้าหาซีนก่อนตลอด

หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 02-08-2017 22:25:50
       เข้าใจพี่ซีนนะที่กดดันตัวเองเพราะคนนอกแต่ที่กลัวจริงๆคือกลัวคนในครอบครัวจะเสียใจมากกว่า
อย่างเดียวที่จะทำให้พี่ซีนผ่านมันไปได้คือกำลังใจจากคนในครอบครัวและความรักที่มั่นคงของโซล
รออ่านความรักของทั้งคู่ในบทต่อไปนะค่ะ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 02-08-2017 22:55:20
อะไรของซี๊นน :katai1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 02-08-2017 23:14:14
ซีนแค่กลัวเท่านั้นแหละ ถ้าซีนรักจริงก็ต้องกล้าเผชิญปัญหาด้วยกันกับโซล ในเมื่อคิดจะรักก็ต้องยอมรับสิ่งที่จะตามมา โซลรู้ถึงเรื่องนั้นอยู่แล้วและพร้อมที่จะเผชิญ แล้วซีนล่ะ? ทำอะไรอยู่? อีกอย่างนะซีน ความรักไม่มีถูกผิด ในเมื่อมีรัก นั่นก็คือรัก ถูกผิดคือสิ่งที่คนสร้างขึ้นมาเองเท่านั้น และค่าของมันในแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อย่ารีบกลัวนักเลย อย่าเพิ่งคิดไปเองว่าพ่อแม่จะรับไม่ได้ และอย่าได้แคร์สังคมมากกว่าหัวใจของคนที่รักเรา
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-08-2017 23:20:45
ถ้าแคร์คนทั้งโลก ก็เลิก ดีแล้วค่ะ

แต่ถ้า แคร์ คนที่เรารัก ควรคุยกัน

แล้วลองไฟท์ด้วยกันมั้ยค่ะซีน

ตัดสินใจโดยที่ยังไม่ได้ลองมันใช่เหรอเนี่ย

เพลียจิต #แอบเข้าข้างน้องโซล
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 02-08-2017 23:34:17
สงสารโซลทั้งๆที่รักมากและหนักแน่นขนาดนี้
ซีนหวั่นไหวง่ายไปแล้ว ปุบปับเลิกเลย
งั้นก็ให้ซีนอยู่โดยที่ไม่มีโซลดูบ้าง
#ทีมโซล ชิชะ :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 03-08-2017 08:26:14
นี่คือตัวอย่างของคำว่าอารมณ์ชั่ววูบที่แท้จริงอะ
ตอนกำลังเครียดๆนอยด์ๆตัดสินใจอะไรไปไม่ทีถูกหรอก
ซีนนังใหม่มากๆอะ แถมเจอแต่ด้านดีๆ
พอเจอคนมาชี้ให้เห็นความจริงและโดนกับตัวเองเลยเสียหลัก
สงสารโซลมาก ยอมซีนทุกอย่าง ครั้งนี้ก้เช่นกัน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 04-08-2017 09:52:48
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: kyungploy ที่ 04-08-2017 10:36:32
ปกติอ่านนิยายแล้วดราม่าแนวนี้เราไม่เคยโกรธนายเกเลยนะคะ แต่นี่เรื่องแรกเลย..
สงสารโซลอะ คือแสดงออกและมั่นคงกับซีนมากๆ แล้วดูผลลัพธ์ที่ได้กลับมาสิ
เข้าใจว่าทั้งโลกไม่ได้มีแค่โซลซีนสองคน แต่แบบ จับมือกันแก้ปัญหาสิ ช่วยกันคิดว่าควรทำยังไง
ไม่ใช่อยู่ๆก็ทิ้งไปแบบนี้ โอ้ยหงุดหงิดๆๆๆๆ ดราม่ากี่ตอนคะ จะขอไม่อ่าน ; ;
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 04-08-2017 20:37:39
อะไรของนางเนียะ  :z3:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-08-2017 12:23:04
นี่ไง เราว่าแล้วเรื่องมันต้องไม่ได้เกิดจากเฮียคัททั้งหมด เฮียคัทอาจกำลังช่วยซีนแก้ปัญหาก็ได้ ส่วนโซลหายไปเลยลูก ไม่ต้องไปง้อไปตามแล้ว เหนื่อยใจ พี่ซีนแคร์ทุกอย่างแต่ไม่แคร์เลยว่าโซลจะรู้สึกยังไง ทำไมไม่ลองสู้สักตั้ง  :katai1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 06-08-2017 08:55:41
ให้เวลาโซลทำใจตอนหน้าอีกตอน และขอให้เจอคนใหม่ที่รักและเข้าพร้อมสู้และเคียงข้างไปด้วยกันนะโซล ส่วนพี่ซีนก็ขอให้โชคดีและมีความสุขกับสิ่งที่เลือกและตัดสินใจไปนะคะ (เปลี่ยนนายเอกแม่งเลย ลำไย)


กระโดดเตะหม้อต้มมาม่า สับเบรกเกอร์ดึงคัทเอาท์ตัดน้ำตัดไฟ ดูสิคนเขียนจะต้มมาม่ายังงัย 5555555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 06-08-2017 17:22:58
ทำไมไม่ถามความคิดของโซลบ้างเลยล่ะซีน คิดไปเองแบบนี้ไม่แฟร์กับโซลเลย :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-08-2017 21:38:47
ซีนนี่ยังไง ไหนว่ามีอะไรจะคุยกันไง เอาเข้าจริงๆก็คิดเองตัดสินใจเองคนเดียว
ไม่สนใจความรุ้สึกโซลบ้าง ผิดหวังกับซีนนะ
แล้วโซลจะเป็นยังไงเนี่ยะทุ่มหมดใจไปขนาดนั้น :ling3:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: noppnopp ที่ 06-08-2017 22:30:15
ไม่ได้ชอบเสพดราม่า แต่มันก็คือเรื่องจริงในสังคมอ่ะเนอะ ไหนๆก็พากันมาม่าขนาดนี้แล้ว ช่วยเอาให้สุดนะครับ เอาให้หนัก เอาให้ดาวน์กว่านี้อีก เอาแบบ พากันโดดน้ำตายเลย ฮ่าๆๆๆๆ  :ling2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 26 - (2/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 07-08-2017 23:20:41
เรื่องนี้มุ้งมิ้งน่ารักมากๆเพิ่งจะเข้ามาอ่านเป็นกำลังใจให้คนแต่งคับ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 08-08-2017 22:42:10



ตอนที่ 27







แสงสว่างดับวูบ ผมพบว่าตัวเองนั่งอยู่ในห้องมืด ถูกกล่าวหาว่าเป็นนักโทษทั้งที่ไม่มีแม้ความผิด



ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวและปวดตา เมื่อคืนหลังจากวิ่งลงมาจากรถไอ้โซลผมก็ตรงเข้ามาที่ห้องนอนของตัวเอง ป๊าม้าและเฮียคัทเห็นผมร้องไห้ แต่ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ไม่มีกะจิตกะใจจะแสร้งกลั้นน้ำตา และไม่มีคำตอบใดใดจะให้พวกเขาเช่นกัน



ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปมากขนาดไหน แต่เหมือนกับว่าเท่าไรก็ไม่พอ...เพราะมันไม่สามารถชดใช้น้ำตาเพียงหยดเดียวของไอ้โซลได้เลย



ผมมาถึงคณะในตอนสาย ขอเฮียคัทขับรถมาที่มหา’ลัยเอง เฮียรู้ว่าผมมีอะไรบางอย่างในใจ เฮียรู้ว่าผมกำลังกำลังมีปัญหา แต่สุดท้ายผมก็ขอร้องจนเฮียยอม



ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ผมคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว



รู้สึกถึงความหม่นหมองที่เกิดจากตัวเอง แต่ผมไม่สามารถฝืนยิ้มหรือแสร้งทำเป็นสบายดีได้เลยจริงๆ



“เชี่ย...” เสียงเพื่อนสนิทอุทานเมื่อเห็นผม “เป็นอะไร”



ผมส่ายหน้าทั้งที่น้ำตาคลอเต็มหน่วย



“มานี่...มานี่”



พอได้รับอ้อมกอดของมันผมก็ปล่อยโฮลงมาอย่างไม่อาย ผมไม่รู้จะหันไปหาใคร ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับใคร มีแค่พวกเพื่อนผมที่รู้ว่าผมคบกับไอ้โซล มันอึดอัดจะแย่ในตอนที่ร้องไห้แล้วไม่รู้จะบอกเฮียคัทว่าร้องเพราะอะไร



“ทะเลาะกับไอ้โซลเหรอ”



“ทำไงดี...ฮึก ทำไง...”



“ใจเย็นๆ” มันลูบหลังผม “เชี่ยเอ๊ย ทำไมมึงร้องหนักขนาดนี้ฮะ ร้องตั้งแต่เมื่อคืนใช่ไหม”



“ฮือ...ทำไง..”



“มันเคยรับปากว่าจะไม่ทำให้มึงเสียใจ ไม่เท่าไหร่ก็ออกลายแล้ว เชี่ยนี่ต้องจัดการ”



“ไม่...ไม่ใช่” ไม่รู้ว่าไปรับปากอะไรกันตอนไหน แต่ไม่ใช่ไอ้โซลที่ทำร้ายผม



“อย่าปกป้องมัน แม่งทำงี้กับเพื่อนกูได้ไง!”



“..จั๊มพ์” ผมคว้าชายเสื้อมันเอาไว้ “กู...กูเอง ฮึก...กูบอกเลิกโซล”



“…”



“กูทำร้ายมันเอง...กูเอง”



เพื่อนสนิทนิ่งไปก่อนจะนั่งลงอย่างเดิม



“มึงทำอะไรซีน..”



“ก..กู ฮึก เมื่อวาน...”



“ใจเย็น ค่อยๆ พูด”



ผมพยายามเค้นเสียงเพื่อนเล่าทุกอย่างให้คนตรงหน้าฟัง ยิ่งพูดยิ่งเหมือนผมโง่เง่าที่ทำอะไรบ้าๆ ลงไปแบบนั้น แต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว



“เรื่องนี้มัน...พูดยากว่ะ” ไอ้จั๊มพ์ถอนหายใจหลังจากรับฟังทุกอย่าง “แต่มึงก็ไม่น่าตัดสินใจเร็วขนาดนั้น หมายถึงมึงน่าจะ...”



“มันดีแล้ว ตัดตั้งแต่ตอนนี้ ดีแล้ว...” ก่อนที่เราจะถลำลึกไปมากกว่านี้ “ให้มันเกลียดกู...ยิ่งดี”



“ถ้ามันดีแล้วร้องทำไม รู้ไหมร้องมาสองชั่วโมงแล้วนะ”



พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้มาเป็นชั่วโมง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้โดดคาบแรกไปแล้ว ไอ้จั๊มพ์ปาดน้ำตาบนหน้าผมออกลวกๆ



“กูไม่อยากให้ป๊าม้าเสียใจ”



“นั่นกูเข้าใจ...”



“กูทำถูกแล้วใช่ไหม”



เพื่อนสนิทไม่ตอบ ผมซบลงกับไหล่มันอีกรอบ ในตอนนี้มันทรมานเกินไป เหมือนนี่ไม่ใช่โลกที่ผมรู้จัก



“เลิกร้องไห้ได้แล้ว” เสื้อมันชุ่มไปหมด “ล้างหน้าล้างตาแล้วไปกินข้าวกัน”



ผมพยักหน้าช้าๆ เริ่มปวดหัวอีกแล้ว



“จะไปกินข้างนอกไหม”



“ดูสภาพกูสิ..”



“งั้นไปคณะที่คนน้อยๆ แล้วกัน”



เรามากันที่โรงอาหารคณะเภสัช ผมก้มหน้าก้มตาเดินเพราะดวงตาที่บวมเป่ง ไม่ได้มองทางเลยแม้แต่นิด เอาแต่เกาะแขนเพื่อนสนิทเอาไว้



“เฮ้ยมึง...” ไอ้จั๊มพ์หยุดเดินดื้อๆ “กูว่าไปคณะเราเหอะว่ะ ที่นี่คนเยอะ”



ผมเออออตามที่มันว่า ปกติเภสัชคนน้อยแต่ไม่แน่ว่าคนอาจแห่มาที่นี่เพราะคิดแบบพวกเรา ตอนนี้ที่นี่คนคงเยอะ อย่างว่า...อะไรๆ มันก็เปลี่ยนได้



ขณะที่พวกผมกำลังจะหันหลังกลับ น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น



“อ้าวพี่ซีน มากินข้าวเหรอครับ”



ไอ้น้องกันโบกมือทักทายเสียงดัง เรียกให้ผมต้องมองไปทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ใครหลายคนก็มองมาทางผม รวมถึงคนที่นั่งอยู่ข้างไอ้น้องกันด้วย...



ผมเผลอก้าวถอยหลังในตอนที่ไอ้โซลเงยหน้าขึ้น มือกำเสื้อเพื่อนสนิทแน่นเมื่อก้อนสะอื้นแล่นมาจุกอยู่ที่คอ



“พี่ซีนครับ ทางนี้ๆ ...เฮ้ย มึงจะไปไหน”



“เชี่ยโซล เฮ้ย!”



ไอ้จั๊มพ์ดึงตัวผมหันหลังกลับ เดินไปตามแรงจูงของมัน ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือไอ้โซลที่ลุกขึ้นเดินหนีทันทีที่เห็นหน้าผม ก่อนสายตาผมจะพร่าเบลอไปด้วยน้ำตา



“นี่นะ ที่ว่าดีแล้วของมึง”



“ฮึก...ฮือ..”



“ลองคิดใหม่ดีไหม คิดดีๆ ค่อยๆ คิด”



“มัน..ฮึก ดีแล้ว...ดีแล้วจริงๆ”



“เออๆ แม่ง..” มันจิ๊ปาก ลูบหัวผมเบาๆ “ถ้ามึงตัดสินใจแล้ว กูก็ไม่อยากพูดอะไรอีก”



“เข้าใจกูใช่ไหม มึงเข้าใจกูใช่ไหม ฮือ...”



“กูเข้าใจๆ”



กลายเป็นว่าทั้งวันมันปลอบผมอยู่แบบนั้น ไม่ได้เข้าเรียนสักวิชา ทุกสิ่งทุกอย่างดูเขวไปหมด เหมือนผมไม่สามารถทรงตัวเพื่อยืนขึ้นเดินได้เลย แต่ผมคิดว่าไม่นานผมก็คงจะผ่านเรื่องนี้ไปได้...และลืมมันไป



แค่ต้องใช้เวลา...ผมขอแค่เวลาเท่านั้น



“ให้กูไปส่งไหม”



“กูเอารถมา”



ไอ้จั๊มพ์ทำหน้าไม่เชื่อใจเท่าไหร่



“ไม่เป็นไร กูร้องจนเหนื่อยแล้ว” ผมพยายามยกยิ้ม แต่ก็ได้เพียงนิดเท่านั้น “ขอบคุณมึงมาก”



มันถอนหายใจ เดินเข้ามากอดผมอีกรอบ “มีอะไรโทรหากูนะซีน”



“อืม” ผมรีบผละออกจากมัน ก่อนที่น้ำตาจะไหลอีกรอบ



“เดี๋ยวไปส่งที่รถ”



“ไม่ต้องหรอกน่า กูไม่ใช่เด็กนะ”



“เหมือนมึงจะล้มพับไปตรงนี้ต่างหาก”



“ไม่ขนาดนั้นเว้ย ไปเหอะ ถึงบ้านเดี๋ยวกูบอก”



“เออๆ ก็ได้ โทรนะไม่ไลน์”



ผมรับคำครั้งสุดท้ายถึงได้แยกจากมัน ไอ้จั๊มพ์จอดรถอยู่อีกฝั่งเพราะที่เต็ม พอหลุดจากมันจิตใจผมก็ห่อเหี่ยวลงอีกครั้ง นี่ผ่านไปยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แล้วต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันผมถึงจะผ่านเรื่องนี้ไปได้เสียที...



ผมยืนนิ่งอยู่ข้างรถตัวเอง ตอนนี้เย็นมากแล้ว ใจนึงผมอยากพักแต่อีกใจก็ไม่อยากกลับบ้านเท่าไหร่ ยิ่งเห็นหน้าป๊าม้าและเฮียคัทผมยิ่งรู้สึกผิด ทุกคนรักผมมากแต่ผมกลับทำให้พวกเขาเสียใจ และปฏิเสธไม่ได้ว่าสายตาคนเหล่านั้นที่ผมเจอทำให้ผมรู้สึกแย่มากจนไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าด้วยเลย



ความคิดทุกอย่างหยุดลงในตอนที่เสียงโทรศัพท์ดัง เฮียคัทโทรมาตาม ผมถอนหายใจ มีอะไรผมบอกที่บ้านตลอดและที่ผมเป็นตอนนี้ทุกคนรับรู้แต่ไม่ได้คาดคั้นจะให้ผมเล่า ผมควรจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด เป็นเหมือนเดิม...ก่อนที่จะรู้จักไอ้โซล



ผมทำทุกอย่างอย่างเอื่อยเฉื่อย เปิดหลังรถเพื่อหยิบร่มออกมา ช่วงนี้หน้าฝนเผื่อต้องลงไปไหนแล้วฝนตกจะได้ไม่ลำบาก แต่ในตอนที่ปิดประตูลงร่างสูงโปร่งของคนคนหนึ่งก็มายืนอยู่ข้างๆ



“คุยกันหน่อยได้ไหมครับ”



ผมเผลอก้าวถอยหลังอีกครั้ง...ร่องรอยใต้ตาของมันทำให้กระบอกตาร้อนผ่าว



“ร...เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”



“พี่ครับ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เรื่องนี้เรา...”



“มันจบแล้วโซล ไม่เข้าใจหรือไง”



ผมกัดปากแน่นแต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ แววตาคนตรงหน้าเว้าวอน ความเสียใจฉายชัดซึ่งมันไม่ต่างจากผมเลย



“มันไม่ง่ายเกินไปเหรอครับ”



“ยิ่งปล่อยไว้นานมันยิ่งจะแย่ แค่นี้กูก็จะไม่ไหวแล้ว..”



“ผมไม่รู้จะทำยังไง เราต้องจบกันแบบนี้จริงๆ เหรอ พี่...พี่ไม่รู้สึกอะไรกับผมหน่อยเหรอ เรามาคุยกันใหม่ได้ไหม ผมยอมทุกอย่าง”



“ไม่ใช่แบบนั้นะโซล...” มันไม่ได้ผิดอะไรเลย ที่เราควรหยุดตอนนี้เพราะแค่นี้ความรู้สึกที่ผมมีต่อมันก็มากเกินแล้ว



“แอบคบกันก็ได้ พี่ไม่อยากบอกใครผมก็จะไม่บอก เรื่องเราจะเป็นความลับ ขอแค่เรายังเหมือนเดิมได้ไหม ให้ผมทำยังไงก็ได้” ตามันแดงก่ำ น้ำตาเจียนจะไหล ผมเบืยนหน้าหนีจากคนตรงหน้า เราทรมานไม่ต่างกันแต่มันควรหยุด...และควรจบลงตรงนี้



“ความลับไม่มีในโลกหรอกโซล สักวันทุกคนก็ต้องรู้”



“ผมทำไม่ได้”



“ต้องทำได้โซล”



“ผมทำไม่ได้จริงๆ ผมรักพี่...”



อย่าร้องไห้...ได้โปรด อย่าร้องไห้ต่อหน้าผมและอย่าพูดคำคำนั้นออกมา



“งั้นเราหาทางออกด้วยกันไม่ได้เหรอครับ”



“ไม่เห็นสายตาที่คนอื่นมองเราเหรอ ไม่ว่ายังไงครอบครัวของเราก็จะเสียใจ! เสียหน้า! มึงเข้าใจไหม กูไม่อยากให้ป๊าม้าเป็นแบบนั้น พวกเขาจะอายที่มีลูกแบบกู!”



“…”



“มัน...มันเป็นความผิดพลาด”



“…”



“ขอร้องโซล...”



มองหน้ามันไม่ได้อีกแล้ว ทั้งๆ ที่พูดออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่เป็นคนตัดทุกอย่างแต่ทำไมผมเจ็บขนาดนี้ ผมได้รสฝาดเฝื่อนในปาก กลั้นสะอื้นจนหายใจไม่ออก ไม่อยากพูดออกไปแบบนั้นเลย ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าเป็นแบบนี้ เมื่อวานเรายังมีช่วงเวลาที่มีความสุขกันอยู่เลย



ทำไมทุกอย่างมันกลับกลายเป็นแบบนี้...ทำไม



เป็นอีกวันที่ผมขังตัวเองอยู่ในห้อง ดีที่ป๊าม้ากลับจากบริษัทดึกและตอนเช้าผมออกไปมหา’ลัยทีหลังทำให้เราแทบไม่ได้คุยกัน ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ รู้ว่าทำอย่างนี้ทุกคนจะเป็นห่วงแต่ผมไม่สามารถพูดคุยและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เลย เฮียคัทเคาะห้องรอบที่ห้าแล้ว ก็บอกไปเพียงไม่เป็นอะไร ผมแค่อยากอยู่คนเดียว แน่นอนว่าเฮียไม่เชื่อแต่คงอยากให้ผมบอกเอง



ผมควรจะใช้เวลาที่มีทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เชิงว่าถูกหรือผิดแต่มันเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่เหรอ...ถ้าผมคิดได้เร็วกว่านี้ก็คงไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้น



หรือว่าผมควรจะทบทวนตัวเอง...ว่าที่จริงแล้วมันเป็นแค่ความเผลอไผลชั่วครู่ เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาเราใกล้ชิดกันบ่อย หรือเพราะแค่หลงไปกับอาการใจเต้นแปลกๆ เวลามันอยู่ใกล้ๆ เวลามันพูดหรือทำอะไรให้…แค่นั้นหรือเปล่า



ไม่รู้...ผมไม่รู้



ไม่รู้อะไรเลย



หลายอย่างตีรวนกันเต็มไปหมด สมองผมหนักอึ้ง ทั้งที่ไม่รู้อะไรสักอย่างแต่ในใจกลับเจ็บแปลบ น้ำตาผมไหลออกมาเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็สะอื้นจนตัวโยน ล้มตัวลงกับเตียง งอตัวร้องไห้กับหมอนใบใหญ่



ทำไมต้องเป็นแบบนี้



สายตาของคนรอบข้างที่มองว่ามันผิดแปลก ร่างกายตอบสนองโดยการสะบัดมือไอ้โซลออก แววตามันสะท้อนความตกใจและ...เจ็บปวด



ไม่ต่างกันเลย...เพราะในตอนนั้นผมเพิ่งรู้ว่าผมได้ทำความรู้สึกของเราแตกออกเป็นเสี่ยงๆ



‘กูว่าเรา...หยุดเรื่องของเราไว้แค่นี้เถอะ’



ทำไมผมพูดออกไปแบบนั้น ทำไมวะ ทำไมผมทำกับมันแบบนั้น



“ขอโทษ...”



ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่วันแรกที่เจอมันจนวันที่ผมทำร้ายมันฉายทับซ้อนกันไปมา แต่ความชัดเจนอย่างหนึ่งที่ผมรับรู้และไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้คือความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ความเผลอไผล...



...ไม่อย่างนั้นมันจะเจ็บขนาดนี้เหรอ...



 “โซล...ฮึก...กูขอโทษ”








-------------------------------------

พี่ซีนจะโดนว่าเพิ่มมั้ยเนี่ย..

ให้เวลาพี่ซีนกันหน่อยนะคะ...มีแต่คนทีมโซล..

เดี๋ยวเราเชียร์พี่ซีนเอง พี่ซีนสู้ววววว * */
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 08-08-2017 22:50:15
โกรธซีนแล้ว อ่อนแอเกินไปมั้ยอ่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-08-2017 22:59:18
ช่วงสับสนนะเข้าใจ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 08-08-2017 23:33:17
น้ำตาคลอตลอดเลยอะ เข้าใจฟีลนะ แต่มันก็แบบ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 09-08-2017 00:00:33
โซลหาคนใหม่ไปเลย อย่าได้แคร์ เกลียดชะมัดพวกชอบโลเล
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 09-08-2017 00:40:52
พี่ซีนอ่อนแอเกินไปอะ อ่อนแอจนทำร้ายคนอื่นไปหมด
อ่อนแอจนปกป้องใครไม่ได้ซักคนแม้แต่ความรู้สึกตัวเอง
ตอนคบตกลงยินยอมกันทั้งสองฝ่าย
แต่พอจะเลิกกลับเป็นเรื่องของคนๆเดียวโดยที่อีกคนไม่มีโอกาสอะไรเลย
สงสารโซลอะ ทุ่มไปเกินร้อย อยู่ดีๆพื้นที่ยืนก้ถล่มลงมา
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 09-08-2017 01:39:25
บางทีก็รำคาญนะคะ

อยากให้พูดออกมามากกว่า
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-08-2017 05:16:50
พี่ซีนอ่อนแอเกินไปอะ อ่อนแอจนทำร้ายคนอื่นไปหมด
อ่อนแอจนปกป้องใครไม่ได้ซักคนแม้แต่ความรู้สึกตัวเอง
ตอนคบตกลงยินยอมกันทั้งสองฝ่าย
แต่พอจะเลิกกลับเป็นเรื่องของคนๆเดียวโดยที่อีกคนไม่มีโอกาสอะไรเลย
สงสารโซลอะ ทุ่มไปเกินร้อย อยู่ดีๆพื้นที่ยืนก็ถล่มลงมา

จริง ซีนอ่อนแอมากกกกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 09-08-2017 23:50:24
 :hao5: :mew6:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 10-08-2017 02:06:30
      สงสารทั้งคู่เลยค่ะ
รักกันแต่จำเป็นที่จะต้องหยุดความรู้สึก
เรื่องแบบนี้หลายคนอาจอึดอัดว่าทำไมตัวละครไม่ชัดเจนไม่สู้มากกว่านี้
มันจะง่ายมากค่ะถ้าพวกเค้าเกิดในครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น
แต่ซีนเกิดในครอบครัวที่อบอุ่นและรักครอบครัวมาก
ความกดดันจากคนนอกเป็นแค่แรงเสริมที่ทำให้กลัวว่าจะทำให้คนที่บ้านรับไม่ได้แต่จริงที่ซีนกลัวไม่ใช่
กลัวคนนอกจะมองแบบไหน แต่ กลัวคนภายนอกจะมองพ่อ แม่ ของเค้าแบบไหน
ซีนคงไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักคือพ่อและแม่ต้องมาเจอผลกระทบจากสิ่งที่ตัวเองทำ
และกลัวเค้าจะเสียใจและอาย
อย่างเดียวที่จะผ่านไปได้คือความเข้าใจความอบอุ่นภายในครอบครัวจะทำให้ซีนผ่านไปได้และมีแรงคว้าความรักกลับมาอีกครั้ง
รอพ่อแม่พี่ซีนออกโรงปกป้องความรู้สึกลูกตัวเองค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
      ในเวลาที่ลูกเสียศูนย์พ่อและแม่คือหลักยึดที่ดี :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-08-2017 02:50:35
พี่ซีนตีค่าความรักของโซลเป็นแค่ความผิดพลาดเหรอ เลิกแล้วมันดีขึ้นไหมอ่ะคะ ลองคิดดู
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 10-08-2017 03:52:40
เอ้อออ เศร้า สู้ต่อนะโซลอย่าเพิ่งถอย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 10-08-2017 06:28:59
อ่านไปอ่านมาก็รำคาญเด้อ ดูไม่มีสติอ่ะ อะไร
นี่อารมณ์ล้วนๆ 555555555555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 10-08-2017 06:40:52
ก็ยังไม่ได้บอกพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ คิดไปเองแบบนี้ โซลหาคนใหม่เหอะ ซีนเป็นแบบนี้ คบกันก็คงคบได้ไม่นานหรอก
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 10-08-2017 09:41:14
เอาตรง ๆ เป็นการอ่านที่รำคาญ มาก

เหอ ๆ #นี่อินมากพูดเลย คนรักก่อนแม่งเจ็บมากอ่ะ สงสารพระเอก

หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 10-08-2017 21:14:30
เมื่อเธอพร้อมฉันก็พร้อมไปด้วยกัน แต่ดูทีท่าแล้วโซลคงต้องไปคนเดียวเพราะพี่ซีนไม่พร้อม รอเค้าพร้อม หรือหาคนที่พร้อม ?
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-08-2017 16:38:38
เฮ้อ ซีนไม่น่าเป็นแบบนี้เลย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 27 - (8/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: A45pro ที่ 11-08-2017 18:40:34
สงสารทั้งคู่แฮะ ซีนก็ไม่เคยต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ชีวิตมีแต่เรื่องดีๆด้านดีๆ พอมาเจออะไรมากระทบนิดเดียวก็เลยไม่รู้ทำไง ต้องหนีจากตรงนั้นไป เพราะไม่อยากให้ครอบครัวเสียใจ อีกอย่างซีนไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่าจะมามีแฟนเป็นผู้ชาย
ส่วนโซล ตอนนี้คงเฟลมาก โซลต้องเป็นหลักให้ซีนนะ เข้มแข็งอีกนิด เดี๋ยวก็คงเข้ามจกัน ฮรืออออออ // อีนี่อินมากกกกก
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 15-08-2017 20:26:41



ตอนที่ 28







ต้องตื่นมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาไปอีกกี่วัน...



สองวันเท่านั้นแต่ผมรู้สึกว่าเวลามันเดินช้าเหลือเกิน ทุกวินาทียาวนาน กัดกินความทุกข์ทรมานให้ขยายวงกว้าง เหมือนนั่งจมอยู่ในบ่อลึก อึดอัด คับแคบ หาทางออกไม่ได้ แม้แต่เรี่ยวแรงจะยืนก็ยังทำไม่ได้เลย



ผมเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่ามันไม่ผิดใช่ไหมแต่คำตอบที่ผุดขึ้นมากลับเป็นแววตาที่มองเราอย่างรังเกียจของคนเหล่านั้น



แต่บางทีผมก็คิดว่าสิ่งที่ผมทำลงไปนั่นแหละคือความผิดพลาด



เสียงอาจารย์หน้าห้องไม่เข้าหูผมเลยสักนิด แรงสะกิดของไอ้จั๊มพ์เป็นตัวบอกว่าหมดคาบแล้ว เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย ได้แต่หวังให้เวลาเดินเร็วกว่านี้ เผื่อว่าจะช่วยเยียวยาข้างในใจผมได้บ้าง



สภาพผมทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พวกแฟนคลับเหมือนอยากจะเข้ามาทักแต่ก็ถอยห่างออกไป ผมไม่สบตาพวกเธอสักนิด ถ้าได้คุยกันเรื่องที่พวกเธอถามคงไม่พ้นเรื่องไอ้โซล...



แต่หนีไม่พ้นกิ๋งกับพีม เจอหน้ากันตอนเช้าประโยคทักทายก็เป็นชื่อไอ้โซล แต่พอเห็นหน้าผมก็ปิดปากฉับ ไม่รู้เพราะสภาพผมย่ำแย่ขนาดนั้นหรือเปล่าพวกเธอเลยไม่ถามอะไร และทั้งที่ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรแต่สองคนนั้นก็ให้กำลังใจผมให้ผ่านมันไปด้วยดี



...ผมก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน



“มึงดูแย่กว่าเมื่อวานอีกนะ”



เพื่อนสนิทเอ่ยขึ้นเบาๆ ตอนที่เรานั่งกันอยู่โรงอาหารของคณะ ต้องขอบคุณไอ้จั๊มพ์ที่พยายามกันผมออกจากคนอื่นและรับหน้าแทนทั้งหมดเพราะผมไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยหรือทำอะไรทั้งนั้น



“เดี๋ยวก็ดีเอง”



“คือ...มึงคิดดีแล้วใช่ไหม”



“มันมีทางที่ดีกว่านี้ด้วยเหรอวะ”



“มีเยอะแยะ มึงลองคิดดูอีกทีนะ”



“จั๊มพ์ ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ครอบครัวกูต้องเสียใจเหมือนเดิม”



“นั่นมันก็...” อีกคนถอนหายใจ “กูลองมาคิดๆ ดูแล้วมึงควรจะลองคุยกับพวกเขาดูก่อน”



ผมคิดจนสมองจะระเบิดแต่ไม่เห็นทางออกไหนที่จะดีไปกว่านี้เลย



“ไอ้สองตัวนั้นก็เป็นห่วงมึงนะ”



“อืม...พวกมันเป็นไงบ้าง”



“ยุ่งๆ แต่ก็สบายดีกว่ามึงแหละ”



“ดีแล้ว...” อย่าให้ใครต้องมาอยู่ในความรู้สึกนี้เลย...มันทรมานมากจริงๆ



ไอ้จั๊มพ์ถอนหายใจอีกครั้ง “จะไปซื้อน้ำ เอาน้ำอะไร”



“..น้ำเปล่า”



ในหัวผุดภาพงานเลี้ยงที่บ้านของต่าย มือหนาที่ยื่นแก้วน้ำให้ สายตาและทุกคำพูดในวันนั้นยังตรึงอยู่ในหัวของผม เป็นสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำว่าที่ผมทำลงไปมันแย่มากขนาดไหน



เส้นบะหมี่ในถ้วยตรงหน้าเย็นจนชืด กินไปไม่กี่คำก็วางตะเกียบ รู้สึกแสบจมูกจนต้องก้มหน้าลง ป่านนี้ไอ้โซลจะเป็นยังไงบ้าง จะอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ แววตาอ้อนวอนของมันทำให้ผมอยากด่าตัวเอง



ไอ้โซลชอบพูดว่าผมใจร้าย...



และผมก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ...ทั้งใจร้าย โง่เง่า บ้าบอ ถ้าขออะไรสักอย่างได้...ผมก็ขอแค่ให้มันเจ็บปวดน้อยกว่าผม



“ให้มันได้อย่างนี้สิ”



ขวดน้ำวางลงตรงหน้าพร้อมกับมือของเพื่อนสนิทที่ลูบหลังเบาๆ



ผมสูดลมหายใจเข้าลึก “ขอโทษที ทำมึงเหนื่อยไปด้วย”



“กูเพื่อนมึงนะ” มันนั่งลงข้างๆ จับมือผมเอาไว้แน่น “มึงไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ซีน กูถึงเป็นห่วงมึงมาก ไม่ต้องคิดว่ากูจะเหนื่อยอะไรทั้งนั้น มีอะไรบอกกู โทรหากูจะดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่เป็นไร เข้าใจไหม”



“อื้ม..”



“ให้กูไปนอนด้วยไหมหรือจะมาบ้านกู ช่วงนี้มึงไม่โอเคแบบนี้ที่บ้านจะเป็นห่วงมากนะ”



“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย”



“คำว่าเดี๋ยวของมึงไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าอีกกี่วัน กี่เดือนหรือกี่ปี ตัดคนคนนึงออกจากชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น มึงรู้อยู่แก่ใจซีน”



“แต่มันจะดีขึ้นเอง กูเชื่อแบบนั้น” ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ตาม



“แล้วจะบอกที่บ้านว่ายังไงที่มึงเป็นแบบนี้”



“ไม่รู้เหมือนกัน กูคิดอะไรไม่ออกเลยจั๊มพ์”



“ให้กูคุยให้ไหม คุยกับเฮียคัทก่อนก็ได้”



“ไม่...ไม่เอา” ผมบีบมือมันแน่น “กูไม่อยากให้พวกเขารู้จั๊มพ์ ไม่เอานะ”



“เฮียมึง ป๊าม้ามึงรักมึงมาก เขาจะไม่ยอมให้ลูกมีความสุขเลยเหรอวะ แล้วเขายอมให้มึงแสดงหนังเกย์ได้ไง”



“ม้าคิดแค่ว่ามันเป็นการแสดงจั๊มพ์ ม้าอยากให้กูเข้าวงการ แล้วบทนี้มันท้าทาย ม้าแค่อยากให้ลอง ถ้าเป็นจริงไม่รู้ม้าจะรับได้ไหม แล้วไหนจะเพื่อนป๊า เพื่อนม้า ญาติๆ พวกเขามีหน้ามีตาในสังคม กูไม่อยากให้พวกเขาเสียหน้า เสียใจที่มีหลานแบบกู”



“มึงคิดถึงแต่พวกเขา แล้วไอ้โซลล่ะ...”



“…”



“ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนนะเว้ย”



“แต่เรื่องแบนี้ใครจะยอมรับได้บ้าง” ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ทั้งที่คิดว่ายุคสมัยนี้มันเปิดเผยได้มากกว่าเดิม อย่างที่เฮียคัทว่า...ผู้คนไม่เคยเปิดใจ



“พวกเขารับได้ไม่ได้มึงรู้ได้ไง มีแต่มึงคิดไปเองทั้งนั้น ลองคุยก่อนสิวะ”



“ถ้าบอกไปแล้วป๊าม้ารับไม่ได้ล่ะหรือต้องจำใจยอมรับล่ะ แค่กูเสียใจคนเดียวมันไม่เป็นอะไรหรอก”



“แล้วมึงคิดว่าพวกเขาจะดีใจหรือเสียใจมากกว่ากันที่เห็นมึงเป็นแบบนี้”



“…”



“อีกอย่างนะไม่ใช่แค่มึงเสียใจคนเดียว ไอ้โซลน่ะ...รักมึงขนาดไหน มึงรู้ดีที่สุดซีน”











ผมมานอนเล่นอยู่ที่บ้านไอ้จั๊มพ์ ตื่นขึ้นมาก็เห็นมันนอนคว่ำหน้าเล่นแล็ปท็อปอยู่ข้างๆ มันเหลือบมามองนิดหน่อยตอนที่ผมขยับตัว ผมตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาเพื่อนสนิท แทบไม่ได้ทำอะไรแต่รู้สึกเหนื่อยจนเหมือนคนไม่มีแรง



ทั้งคำพูดของคนอื่นทั้งความคิดของตัวเองอัดกันแน่นในหัว สังคม ครอบครัว ไอ้โซล เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเรียบลื่นในทุกด้าน ผมคิดว่าตัวเองมีเหตุผลมากมายที่ทำอย่างนั้นลงไป ในขณะที่อีกใจก็เพียรบอกว่าผมมันโง่เง่าสิ้นดี



เหมือนคนทำอะไรไม่ยั้งคิด คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ใช่แค่กลัวครอบครัวเสียใจแต่สายตาคนเหล่านั้นฝังแน่นลึกในอก เป็นเหมือนเสี้ยนหนามชิ้นเล็กแต่แฝงความเจ็บไว้ทุกขณะที่แม้ไม่ได้สัมผัส ผมจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้ยังไงท่ามกลางผู้คนที่มองเราเป็นตัวประหลาด



“จั๊มพ์..”



“หือ”



“มึงรังเกียจกูไหม”



“บ้าเหรอวะ! นี่มันไปกันใหญ่แล้ว” ไอ้จั๊มพ์ว่าเสียงฉุน เลื่อนแล็ปท็อปออกแล้วลุกขึ้นนั่ง มันเสยผมขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะยื่นมือมากุมหน้าผมให้มองตรงไปที่มัน “ฟังนะซีน มึงจะเป็นอะไรแม่งก็เพื่อนกูไหมวะ กูไม่ได้คบมึงเพราะมึงเป็นผู้ชายเหมือนกู ชอบผู้หญิงหรือว่ามีเงินหนา เรารู้จักกันมากี่ปีแล้วทำไมถึงถามกูแบบนี้ เห็นกูเป็นคนยังไง”



 “ก..ก็...ฮึก..”



“กูไม่สนใครทั้งนั้นซีน กูแคร์ความรู้สึกเพื่อนกูมากกว่า”



“…”



“กูรักมึง ครอบครัวมึงก็รักมึง มึงกลัวว่าเขาจะเสียใจเพราะมึงคบผู้ชาย แล้วดูสภาพมึงตอนนี้สิ คนที่พวกเขารักทรมานขนาดนี้มึงว่าพวกเขาจะทนได้ไหม มันก็เหมือนที่มึงทนเห็นพวกเขาเสียใจไม่ได้ มึงอยากให้พวกเขามีความสุข แล้วรู้หรือเปล่าว่าความสุขของพวกเขาก็คือการที่มึงมีความสุขไง”



“…”



“ใครจะไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักมีความสุขบ้าง”



“…”



“อย่าทำแบบนี้เลยซีน ตอนนี้ทุกฝ่ายก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันหรอก”



“แล้วจะทำ..ฮึก..ยังไงล่ะ..” ในเมื่อทุกอย่างพังลงไปหมดแล้ว “ต้องทำยังไง..ฮือ..”



“บอกป๊าม้ามึงเรื่องนี้ซะ พวกเขาเข้าใจอยู่แล้ว”



“…”



มันเกลี่ยหยดน้ำที่หางตาออกให้ “ให้กูพาไปไหม”



“ย..ยังก่อน...” ผมกลัว “...กูขอเวลา”



“ไม่เป็นไร กูไม่ได้เร่งหรือบีบคั้นมึง ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร..”



“..จั๊มพ์..ฮือ..”



“ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เชื่อกู”











เวลาไม่มีวันหมดแต่ไม่สามารถย้อนคืนมาได้ เช่นเดียวกับความรู้สึกที่สูญเสียไปและไม่มีวันเรียกกลับคืน



ตอนที่ออกมาจากบ้านไอ้จั๊มพ์เพิ่งรู้ว่าฟ้ามืดแล้ว ผมไม่รู้วันไม่รู้คืน ใช้ชีวิตโดยการจมอยู่ในห้วงความคิดเดิมๆ ที่ถึงแม้เพิ่มเติมอะไรเข้าไปก็ไม่ตกตะกอนเสียที



ผมจะรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่ออยู่กับไอ้จั๊มพ์ อยู่กับคนที่สามารถระบายออกมาได้เต็มที่ สามารถพูดคุยและมันก็เข้าใจผม แต่ในตอนที่อยู่คนเดียวหรือพบเจอคนอื่น หัวใจผมก็กลับมาห่อเหี่ยวจนอยากจะปิดกั้นทุกอย่างออกจากตัว



โทรศัพท์นิ่งเงียบขาดการติดต่อจากไอ้โซลมาตั้งแต่วันนั้น ตอนที่ผมต้องกลับมาอยู่บ้านมันโอดครวญแทบแย่ แล้วในเวลานี้ล่ะ...



จะเป็นยังไงบ้าง



ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังไขว้เขวไปมา คำตอบในใจมั่วไปหมด ไม่มั่นคงสักอย่างรวมถึงจิตใจ เมื่อสักครู่ผมคิดอยากจะบอกป๊ากับม้าไปเลย แต่พูดน่ะมันง่ายเอาเข้าจริงผมก็คงหนีขึ้นห้องตัวเองเหมือนเดิม ไม่พร้อมจะรับความเสียใจที่มากกว่านี้อีกแล้วถ้าผลลัพธ์มันออกมาแย่



หรือถ้าหลังจากบอกครอบครัวผมแล้วมันยังไงต่อล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้เกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจชั่ววูบของผม ถูกผิดผมไม่รู้แต่ผมทำมันลงไปแล้ว ถ้ากลับไปแก้ไขได้ผมก็ยังคงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงอยู่ดี



ถนนตรงหน้าพร่ามัว ผมปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอีกครั้ง ผมร้องไห้บ่อยไปแล้ว สองวันที่นานเหมือนสองปีผมเพิ่งรู้สึกถึงมันจริงๆ ก็ตอนนี้ ระยะเวลาสามเดือนที่ผมคิดว่าได้ซึบซับช่วงเวลาที่อยู่กับไอ้โซลกลับผ่านไปรวดเร็วเหมือนเพียงแค่หมุนเข็มนาฬิกา และโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวมันก็จบลงอย่างรวดเร็วด้วยเพียงการตัดสินใจของผมเช่นกัน



พยายามบอกไอ้จั๊มพ์ บอกตัวเองว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นแต่ที่เห็นมันกลับแย่ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่วินาทีที่ผมบอกเลิกมันที่จริงผมยังไม่เห็นทางออกของเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เพิ่งบอกมันไปว่ามีอะไรให้คุยกัน แต่ไม่กี่นาทีให้หลังผมกลับกลืนคำพูดของตัวเองไปเสียอย่างนั้น



ผมต้องทำยังไงกับการที่ต้องทำเป็นว่าลืมคนคนหนึ่งที่สำคัญต่อผมมาก



...มันต้องทำยังไง...ต้องทำยังไง



“ทำไม่ได้...ฮึก” พยายามปลอบตัวเองว่ามันแค่ผ่านมาไม่กี่วันอาจยากสักหน่อย แต่ผมจะไม่ไหวแล้ว



ผมคิดถึงมัน



อยากเจอ อยากให้เราเป็นเหมือนเดิม อยากให้มีแค่เรา ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเรื่องของเราแต่ก็อยากให้ทุกคนเข้าใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ ตรงไหนที่เรียกว่าผิด พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาทำกับพวกเราแบบนี้ ตัดสินพวกเราแบบนี้ ในสมองย้อนแย้งกันไปหมดและนั่นทำให้ผมทำอะไรไม่ได้สักอย่าง



คำบอกรักของมันไม่ได้ทำให้หัวใจพองโตแต่กลับทำให้หัวใจผมบีบรัดจนรวดร้าวไปหมด อยากเข้าไปกอดจะแย่แต่ทำได้เพียงยืนมองมันอ้อนวอนผมอยู่อย่างนั้น



‘แค่พี่อยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว’



ไอ้โซลไม่ได้ต้องการอะไรเลย...



‘อย่าทิ้งผมนะ’

‘บอกตัวเองเถอะ’

‘ไม่มีวันนั้นครับ’

‘ไม่มีวันนั้นเหมือนกัน...’




คำพูดของผมมันเชื่อไม่ได้สักอย่าง ไม่มีความมั่นใจ โลเล เขวตามคนอื่น ไม่เคยทำให้ไอ้โซลมั่นใจในความรู้สึกที่มีให้มันได้



ไอ้โซลไม่ได้ต้องการอะไรเลย...นอกจากความรักของผม



ที่ผ่านมามีแต่ผมที่เป็นฝ่ายรับสิ่งดีๆ จากมันตลอด ผมที่นอกจากไม่เคยทำอะไรให้มันแล้วยังหยิบยื่นความเจ็บปวดให้กับมันอีก



ผมมันแย่...โคตรแย่



และตอนนี้ผมคิดถึงมันจริงๆ ให้ตาย...



มือผมกำพวงมาลัยแน่น ในใจไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เลย บนถนนเปล่าเปลี่ยวผมเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหักเข้าข้างทาง รถพุ่งขึ้นไปบนฟุตบาทขณะที่เสียงเบรกดังลั่น



ผมแค่หวัง...หวังว่าไอ้โซลจะตามมา คอยตามดูอยู่ห่างๆ



แต่ไม่มี...ไม่มีใคร



ไอ้โซลไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ ไม่ใช่ยอดมนุษย์ ผมเพิ่งระลึกได้ในวินาทีนั้น มันเป็นคนธรรมดา ไม่มีพลังวิเศษอะไร เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรัก แล้วผมล่ะ...เคยทำอะไรให้มันบ้างไหม



ผมฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย เสียงร้องไห้ดังก้องไปทั้งห้องโดยสาร



ทั้งที่เป็นคนตัดความสัมพันธ์แต่กลับร้องเรียกหา ผมมันหน้าไม่อาย เคยโดนเอาใจสารพัด เคยถูกดูแลแทบทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะทำอะไรผมรู้ว่าจะมีมันอยู่ข้างๆ ตลอด ไอ้โซลไม่เคยยอมแพ้ มันวิ่งตามผมมานาน...แต่ในวันนี้มันคงจะเหนื่อยแล้ว



ผมยังจะเรียกร้องเอาอะไรอีกวะ เป็นคนบอกให้มันไม่ต้องมาเจอไม่ใช่หรือไง ทำกับมันแบบนั้นก็สมควรแล้วที่มันจะหันหลังให้ ทั้งที่รู้อย่างนั้น...ทั้งๆ ที่ผมรู้อย่างนั้น



…แต่ตอนนี้ผมอยากกอดมันเหลือเกิน







---------------------------------------

เศร้าให้พอ

มีทั้งคนที่เข้าใจพี่ซีนและไม่เข้าใจ ไม่เป็นไรค่ะ555555

อีกสองตอนก็จบแล้วค่ะ มาม่าจะหมดหม้อแล้ว ก็ค่อยปิดท้ายด้วยของหวาน /ฮ่า

ขอบคุณทุกคอนเมนต์ค่ะ ขอบคุณมากๆ เลย

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 15-08-2017 20:33:52
นี่เศร้าไม่สุดค่ะ

สงสารโซลอยู่
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-08-2017 20:35:57
 :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-08-2017 20:39:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 15-08-2017 20:44:01
โซลน่าสงสาร ในเมื่อซีนคิดว่าดีแล้ว ก็ดีแล้ว ดูเหมือนซีนไม่ได้รักโซลเลย ยังไม่ทันลองพูดกับพ่อแม่ด้วยซ้ำ ก็เลิกกันง่ายๆ ไม่มั่นคงแบบนี้ อย่าคบกันเลย พออะไรมากระทบหน่อย ซีนก็ชิงยอมแพ้เรื่อยไป โซลหาคนใหม่ดีกว่า
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-08-2017 20:51:25
ซีน ตีตนไปก่อนไข้  :really2:
เลยทุกข์หนัก เจ็บปวดรวดร้าวกันไปทั้งซีน โซล  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-08-2017 20:55:33
เอาตรง ๆ เข้าใจความคิดซีนนะ แต่อย่างที่บอกถ้าแคร์คนอื่นมากไป

มันก็ต้องจบ สุดท้ายเจ็บกันไปหมด นี่ถ้าไม่ติดว่าโซลให้ใจนาง จะยุให้หาใหม่

หาคนที่พร้อมจะเดินไปด้วยกัน #อินมากฮ่า ๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 15-08-2017 21:17:54
อย่าเพิ่งจบได้ไหม ไม่อยากให้โซลอภัยให้ซีนง่ายๆอะ อยากให้ซีนเป็นฝ่ายง้อโซลบ้าง เอาแบบนานๆเลย ให้คุ้มกับความรู้สึกที่เสียไป
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 15-08-2017 21:56:51
ฮืออออ ซีน ลูกกกก เอาให้สุดค่ะ

แล้วต้องตัดสินใจได้แล้วนะว่าจะทำยังไงต่อไป

เอาใจช่วยนะลูกกกกก

คิดว่าตอนนี้คงไม่มีใครมีความสุขสักคนล่ะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-08-2017 22:42:11
แอบรำคาญซีนหน่อยๆ ไม่สู้อะไรเลยกลัวนุ่นนี่นั่นไปหมด อ่อนแอขนาดนี้อยู่มาถึงอายุเท่านี้ได้ยังไง
สงสารโซลเลยมารักกับคนแบบนี้
นี่ว่าเฮียกับพ่อแม่คงรู้แล้วล่ะแค่รอให้เจ้าตัวเปิดปากพูด
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: noppnopp ที่ 15-08-2017 22:48:13
เอาให้สุด ดิ่งลงไปอีก

เอาให้ตายกันไปข้างนึงเลย

 :katai4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 16-08-2017 00:49:18
อีก2ตอนจบดราม่าหรือ2ตอนจบเรื่องคะ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 16-08-2017 00:52:56
เสิร์ฟของหวานด่วนนนน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-08-2017 01:31:04
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 16-08-2017 08:27:03
       ความกลัวในสิ่งที่เราคิดและตัดสินใจไปเองว่าคนรอบตัวคนที่เรารักจะรับเราไม่ได้มันทรมานเสมอค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ รอพี่ซีนเคลียร์ทุกๆอย่างให้ลงตัวโซลเตรียมตัวมารับคนรักกลับไปปลอบทีนะค่ะ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 16-08-2017 12:51:30
เข้าใจซีนนะว่ากลัวทำคนที่รักเสียใจ แคร์คนรอบตัวงี้
แต่ซีนแคร์ทุกคนยกเว้นตัวเองกับโซล ซึ่งเป็นคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดอะ
เราเลยสงสารโซลมากกว่าจะเห็นใจซีน
ถ้าแคร์คนอื่นมากจนยอมลงมีดกับหัวใจตัวเอง
แล้วจะมาเสียใจทีหลังทำไมถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกแล้ว
ถ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้หวังว่าซีนจะได้บทเรียนแล้วเข้มแข็งขึ้น
เพราะถ้าไม่โซลก้คงต้องเจ็บไปเรื่อยๆเป็นระยะตลอดเวลาที่คบกันนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 28 - (15/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-08-2017 15:02:25
ไปให้สุดค่ะพี่ซีน ยังได้อีกกกก เอาให้เสียใจกันให้หมดดด ครอบครัวก็เสียใจที่พี่ซีนเป็นงี้อ่ะ ลองคุยกันก่อนไหมมมมม
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 24-08-2017 11:43:38



ตอนที่ 29







“บอกว่าถึงบ้านแล้วให้โทรหา”



“กูลืม โทษที”



“โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง กูรอมึงทั้งคืนจนต้องโทรไปหาเฮียคัท”



“ฮ...เฮียว่าไงบ้าง”



“บอกแค่มึงเข้าห้องไปแล้ว ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ได้ถามอะไรกูด้วย”



“เหรอ...” ผมเอ่ยเสียงเบา ขอโทษมันไปอีกหลายครั้ง ไม่ได้อยากทำตัวให้ทุกคนเป็นห่วงแต่ผมก็ชอบทำตัวน่าเป็นห่วงมาตลอดอยู่แล้ว



ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง หาแต่เรื่องให้คนอื่นลำบากด้วย โตขนาดนี้ยังจัดการดูแลตัวเองไม่ได้เลย ที่จริงผมควรจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ได้แล้ว หากแต่ใจในกลับขลาดกลัว ผมยังไม่พร้อม...ไม่พร้อมจริงๆ



“จะกลับบ้านเลยหรือเปล่า”



ไอ้จั๊มพ์ถามตอนเดินออกมาจากอาคารเรียน แน่นอนว่าไม่ เฮียคัทอยู่บ้านตลอด ผมกลัวว่าจะไม่มีข้ออ้างหลบอยู่แต่ในห้องของตัวเองเพราะนี่เพิ่งบ่ายกว่าๆ



“ไปบ้านมึงได้ไหม”



“ออกไปพบเจอผู้คนมั่งเถอะ เอาแต่ขังตัวเองแบบนี้มันจะยิ่งแย่นะ”



ผมส่ายหน้าทันที นึกถึงวันที่สะบัดมือไอ้โซลออก “กูไม่อยากเจอใครจั๊มพ์ กูอยากอยู่กับมึง” เพราะผมไม่รู้จะคุยเรื่องนี้กับใครแล้ว...



“งั้นก็ไปเก็บของมาค้างบ้านกูซะ”



“ไม่ได้หรอก แค่นั้นป๊าม้าก็เป็นห่วงจะแย่แล้ว”



“รู้ตัวนี่”



“มึง...” ผมหยุดเดิน ก้มหน้าลงจนชิดอก “ไหนว่าจะไม่เร่งกูไง”



“ไม่ได้อยากเร่งหรอกแต่เห็นมึงเป็นแบบนี้กูไม่โอเคว่ะ”



“..กูขอโทษ”



“กูไม่ได้ลำบากอะไร แต่ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งกูก็อยากให้มึงมีความสุข ตอนไอ้โซลจะจีบมึงกูกังวลมาก ทั้งตัวไอ้โซล ทั้งเรื่องที่พวกมึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่เห็นมึงไม่อะไรกูเลยคิดว่ามึงรับได้ ครอบครัวมึงก็ไม่น่าจะว่าอะไรเพราะพวกเขาก็รักมึงจะตาย แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้”



“…”



“เป็นไปได้กูไม่อยากให้มึงรู้จักกับมันเลย”



เพื่อนสนิทเบือนสายตาไปทางอื่น ขมวดคิ้วแน่น ถ้าเป็นไปได้ผมก็ยังอยากรู้จักกับมันอยู่ดี...น่าแปลกที่อยากลองลิ้มรสความสุขชั่วครู่แม้รู้ว่าหลังจากนั้นจะได้รับความเจ็บปวดที่เกินคาดก็ตาม



“กูจะบอกป๊าม้า...แต่ขอเวลาเตรียมใจสักสองสามวันนะ”



“อืม”









“อย่าเอาแต่นอน ลุกขึ้นมา”



“กูไม่อยากทำอะไรนี่หว่า”



“หาอย่างอื่นบ้าง พักใจหน่อย เดี๋ยวแม่งก็เปื่อยตายหรอก สภาพมึงเหมือนของเหลวแล้วนะตอนนี้”



“ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย” ผมแยกเขี้ยว ลุกขึ้นตามแรงดึงของมัน ตั้งแต่มาถึงบ้านไอ้จั๊มพ์ต่างคนก็ต่างนอนจนตอนนี้เย็นแล้วพวกผมยังไม่ได้กินอะไรเลย



“ไปทำอาหารซะ กูจะเป็นลูกมือให้”



“มึงก็ทำเป็นเหอะ ทำให้กูกินหน่อยไม่ได้เหรอ”



“กูทำอร่อยสู้มึงไม่ได้หรอก”



หน้ามันไม่ได้รู้สึกตามที่พูดสักนิด แต่กัดฟันชมมาขนาดนี้ผมจะทำให้ก็ได้วะ



มองเจ้าของบ้านที่กำลังเอาของสดออกมาจากตู้เย็น ปากก็พึมพำกับตัวเองไม่หยุดว่าจะทำอะไรดี



“เอาง่ายๆ นะ กูหิวจนตาลายแล้ว”



ผมพยักหน้าอือออ รับของที่มันยื่นมาให้



“ข้าวมี แล้วก็มีต้มยำทะเลที่แม่ซื้อไว้เดี๋ยวเอาไปอุ่น”



“กินแค่นั้นก็พอแล้วมั้ง”



“ทำอีกอย่าง เอาไข่เจียวหมูสับแล้วกันง่ายๆ”



“เออๆ เอานี่ไปเก็บแล้วเอาหมูสับมา” ผมยื่นผักชีคืนให้มัน จะเอาออกมาทำอะไรก็ไม่รู้



ผมตอกไข่ใส่ถ้วยลงไปสามฟอง ไอ้จั๊มพ์ก็ตอกลงไปเพิ่มอีกสอง อยู่กันแค่สองคนแต่ผมว่ามันกินหมดแน่นอน ผมใส่หมูลงไป ตีให้เข้ากัน ไอ้จั๊มพ์เดินไปคุ้ยๆ อะไรสักอย่างสักอย่างในตู้แล้วเอามายื่นให้



“ใส่หอมด้วย”



“…”



“ไม่ชอบเหรอ มึงก็กินได้นี่”



ผมส่ายหน้า รับหัวหอมใหญ่ในมือมันมาเพื่อเอาไปหั่น



ลืมไปได้แค่นิดเดียวจริงๆ ...ไม่ได้นึกถึงมันแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นจริงๆ



มันวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอด หันไปทางไหนก็เจอแต่มัน



“เฮ้ย ร้องไห้ทำไม มีดบาด?”



“กู..ส..แสบตา”



“เอามาๆ กูทำเอง”



เพื่อนสนิทแย่งทุกอย่างไปจัดการ ผมเพียงยืนนิ่งมองอยู่ข้างๆ



ไอ้โซลทำอาหารไม่เป็น แค่ไข่เจียวง่ายๆ ยังทำพังเลย ผมบอกอย่ากินพวกอาหารแช่แข็งเยอะ มันจะฟังผมไหม ได้ทำตามที่ผมบอกหรือเปล่า ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง อยู่ไหน ทำอะไรอยู่ คำถามเดิมๆ ยังคงผุดขึ้นมาย้ำเตือนว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมันไม่ใช่แค่ความเผลอไผล เพราะอย่างนั้นมันจึงไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้แต่นิด



“เชี่ย กูว่าไม่ใช่แสบตาแล้ว”



“โทษที คือกู...” ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาออก “กูไปตักข้าวรอนะ”



เหนื่อยกับตัวเองเต็มทน ขณะที่เฝ้ารอทุกอย่างดีขึ้นแต่ดูเหมือนเวลาจะเดินช้าเสียเหลือเกิน เหมือนหนึ่งนาทีกลายเป็นหกพันวินาที ความเจ็บปวดในวันนั้นเหมือนแผลสดที่เลือดไม่เคยหยุดไหล



“กินเข้าไปบ้างเหอะ ลดพัดมาเบาๆ ตัวมึงก็จะปลิวอยู่แล้ว”



“จะอ้วกแล้วนะ ไม่ไหวว่ะ”



“ใจหรือกระเพราะ”



“จั๊มพ์...”



“กลัวปล่อยไว้นานกว่านี้มึงจะตรอมใจว่ะซีน ถ้ายังไม่อยากบอกก็มาอยู่กับกูสักพักเถอะ ดีกว่าขังตัวเองอยู่คนเดียวในห้องน่ะ”



“กูไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอก แค่อยากอยู่คนเดียวเฉยๆ”



“นั่นยิ่งทำให้มึงฟุ้งซ่านนะ”



“กูจะบอกทุกคนแต่ไม่ใช่วันนี้”



“พรุ่งนี้? มะรืน?”



“จั๊มพ์...” ผมเอ่ยเรียกอีกคนเสียงแผ่ว เอื้อมมือไปจับแขนมันเอาไว้ ถ้ามันไม่เข้าใจผม ผมก็ไม่เหลือใครแล้ว “ไม่รู้จริงๆ ฮึก...กูขอโทษ แต่ยังไงก็ไม่ใช่วันนี้”



“เออ โทษว่ะ กูแค่ไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้” มันลุกขึ้นมาปลอบ “กูอยู่ข้างๆ มึงเหมือนเดิมแหละน่า”



น้ำตาอย่างกับสั่งได้ ผมห้ามตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องรอจนกว่าร่างกายจะเหนื่อยถึงหยุดไปเอง ถ้าสั่งน้ำตาได้แบบนี้ตอนถ่ายซีรีส์ก็ดีสิ ไอ้โซลจะได้ไม่ต้อง...



อา...ไอ้โซลอีกแล้ว



ไอ้จั๊มพ์เปิดหนังตลกให้ดูหนึ่งเรื่องก่อนผมจะกลับบ้าน มันก็ช่วยให้ผมเลิกคิดเรื่องอื่นไปได้ชั่วขณะหนึ่งในตอนที่ผมโฟกัสที่เรื่องราวของมัน เพียงแต่ผมไม่สามารถหัวเราะออกมาได้เท่านั้นเอง



“กี่โมงแล้วะเนี่ย อ้าว แบตหมด” มันโยนโทรศัพท์ไปไว้บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนเดิมก่อนจะบิดขี้เกียจ “ดูโทรศัพท์มึงดิ๊”



“กูปิดเครื่อง ดูนาฬิกาบนโต๊ะมึงดิ”



“ห่า ปิดเครื่องเพื่อ เดี๋ยวเฮียมึงได้ฆ่ากูหรอก”



“บอกเฮียไว้แล้วว่ามาบ้านมึง”



ไอ้จั๊มพ์ลุกจากเตียงไปดูนาฬิกาตั้งโต๊ะ “สองทุ่ม! เดี๋ยวกูได้โดนฆ่าจริงๆ แน่ กลับบ้านไปได้แล้วหรือกูไปส่งดี”



“กูขับเองน่า”



“ดีๆ เลย เปิดเครื่องด้วย เฮียมึงอกจะแตกตายแล้วป่านนี้”



ผมพยักหน้าเนือยๆ ไอ้จั๊มพ์ออกมาส่งหน้าบ้าน รอจนผมขับออกไป ไม่ได้เปิดเครื่องตามที่มันบอก บางทีก็คิดว่าขอจมกับตัวเองให้สุดแล้วเดี๋ยวผมคงจะเหนื่อยกับมันไปเอง และในตอนนั้นมันคงดีขึ้น



ผมปิดประตูรถ ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก มองเข้าไปในตัวบ้าน ที่จริงเวลานี้เป็นเวลาครอบครัว เรามักจะอยู่พร้อมหน้าเพื่อกินข้าวและพูดคุย และตอนนี้ผมทำบรรยากาศแย่ไปหมด อยากกอดพวกเขาแต่กลัวไปหมดทุกอย่าง ผมสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน ไฟยังสว่างแต่ภายในบ้านเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ทำให้ผมเอะใจ



“ซีน” ผมสะดุ้ง หันไปทางต้นเสียง “มานี่หน่อยสิ”



“เฮียมีอะไร ผม...”



“มาหาเฮียหน่อย”



ผมขบริมฝีปากแน่น ก้าวเดินไปทางห้องนั่งเล่นอย่างจำใจ...ไม่ได้มีแค่เฮียคัทแต่ป๊าม้าก็อยู่ด้วย



“ทำไมปิดเครื่อง”



“..แบตหมด”



“กินอะไรมาแล้วใช่ไหม”



“อื้ม..”



“มานั่งนี่สิ” เฮียตบที่ว่างข้างตัว ผมลังเล บรรยากาศน่าอึดอัดนี่ทำให้ผมอยากวิ่งหนี ทำไมป๊ากับม้าถึงไม่พูดอะไรสักคำ...



ผมไม่ได้ก้าวเข้าไปหาเฮีย ยังคงยืนอยู่ที่เดิมแต่เฮียก็ไม่ว่าอะไร “ช่วงนี้เรียนหนักเหรอ”



“..ก็ไม่เท่าไหร่”



“กับไอ้พวกนั้นยังคบกันอยู่หรือเปล่า”



“คบสิ ทำไมเฮียถามแบบนั้น”



“ถ้าอย่างนั้นซีนมีปัญหาอะไร”



“…”



ผมกลืนน้ำลาย จ้องพี่ชายด้วยแววตาสั่นระริก



“เฮียแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” ผมเพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะหน้าโซฟามีหนังสือสองสามเล่มวางอยู่ มันเป็นนิตยสารซุบซิบดาราที่บ้านผมไม่เคยมี...



“เมื่อไหร่จะบอกเฮียเหรอ เฮียรอให้มึงเป็นคนพูดออกมาเองนะ”



...และในนั้น มันมีรูปผมกับไอ้โซล...



ผมเบิกตากว้าง ในอกวูบโหวงจนน่ากลัว รูปตอนงานเลี้ยงปิดกล้องที่ผมซบมัน รูปตอนอยู่ในห้างที่พวกเราจับมือกัน...และรูปที่กองถ่าย ถึงจะถูกถ่ายจากที่ไกลๆ แต่มันดูออกว่าเป็นพวกผมและเรากำลังจูบกัน...



“แฟนคนที่โซลพูดถึง...คือซีนใช่ไหม”



“ป..ป๊า..ผม...”



“ซีนมาหาม้าซิ”



“ผ..ผม...ฮึก..”



ไม่รู้ว่าน้ำตาพรั่งพรูออกมาตอนไหน ตัวผมสั่นไปหมด มองไม่เห็นสีหน้าของทั้งสามคน ผมกัดปากแน่นแต่ไม่อาจเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ได้



ผมเดินเข้าไปหาม้า คุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าสบตาผู้หญิงที่ผมรักที่สุด



“ผมขอโทษ..ฮึก..ขอโทษครับ..”



“…”



“…”



“…”



“ขอโทษ..ผมขอ..ฮึก..ฮือ..ขอโทษจริงๆ...”



“ซีน” เสียงผู้หญิงตรงหน้าเอ่ยเรียกเสียงสั่น มือที่เลี้ยงดูผมตั้งแต่เล็กจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้แน่น “ขึ้นมานั่งนี่ แล้วบอกม้าว่าขอโทษทำไม”



ดวงตาม้าแดงก่ำ นั่นยิ่งพาลให้น้ำตาผมไหล “ก็ผม..ค..คบกับโซล..”



“แล้วขอโทษทำไม”



“ฮึก...ม้าไม่โกรธเหรอ ไม่ผิดหวังเหรอ อึก...ผมทำให้ป๊าม้าต้องขายหน้า ทำให้ครอบครัวเราต้องอาย คนอื่นจะมองยังไงว่ามีลูกชายเป็น ฮึก...แบบนี้ ผมขอโทษ...”



“ป๊าโกรธนะ”



“ฮือ...ผมขอโทษ..”



“โกรธที่ซีนปิดบัง แล้วเอาแต่คิดว่าตัวเองทำผิด”



“ซีนฟังนะ ม้าเลี้ยงซีนมาอย่างดี ซีนเป็นเด็กดี ไม่เคยทำให้ม้าเสียใจ ม้าภูมิใจในตัวซีนนะ” มือนุ่มนิ่มนั่นกุมใบหน้าของผมเอาไว้ ก่อนจะโอบกอดในตอนที่ผมสะอื้นจนตัวโยน



“ม้าแคร์คนที่ม้ารักเท่านั้น ลูกมีความรัก โซลก็เป็นคนดี ไม่มีเหตุผลที่ม้าต้องเสียใจจริงไหม”



“..ฮือ...จ..จริงเหรอ..ม้าพูดจริงเหรอ..ฮึก..”



“ซีน เราเป็นแค่คนคนหนึ่งที่รักคนอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง”



“ฮือ..ม้า...”



“ไม่มีทางที่เราจะทำให้คนบนโลกนี้ชอบเราได้หมดทุกคนหรอกนะ แล้วถ้าเราเอาแต่ไปแคร์คนอื่น เราจะเอาเวลาไหนไปมีความสุขกับคนที่เรารักล่ะ”



“ไม่ต้องสนใจคำพูดคนอื่นหรอกนะซีน เสียความรู้สึกแล้วยังเสียเวลาเปล่าๆ ป๊าสนใจแต่ความรู้สึกซีนเพราะซีนเป็นคนที่ป๊ารัก เป็นครอบครัวของป๊า หน้าตาทางสังคมอะไรนั่นเป็นแค่เปลือกนอก เห็นลูกป๊าไม่มีความสุขนี่สิที่ทำให้ป๊าเจ็บปวด”



“มีงานอะไรม้ากับป๊าก็จะไปเหมือนเดิม ไม่อายด้วย ลูกม้าไม่ได้ฆ่าใครนะ”



“อือ เลิกคิดมากได้แล้ว”



“ต..แต่เฮีย..พูดแบบนั้นกับผม...”



“ก็เพราะกูรู้ว่ามึงจะเป็นแบบนี้ไง...” เฮียคัทถอนหายใจ ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้แต่มันก็ยังไหลออกมาไม่หยุด “เฮียเฝ้าดูมึงมาตั้งแต่เล็ก ดูแลมึงมาตลอด เฮียรู้ว่ามึงเติบโตมายังไง แบบไหนเพราะอย่างนั้นเฮียถึงกลัวว่ามึงจะรับไม่ได้กับสิ่งที่มึงต้องเจอ”



เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเฮียคัททำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้...



“เฮียผิดเองที่ให้มึงหลบแต่อยู่ข้างหลัง เฮียขอโทษ เฮียไม่สนว่ามึงจะรักผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่คนนั้นมันเป็นคนดี ดูแลมึงได้ก็พอ”



“..ฮือ..เฮีย..”



“จะเป็นอะไรซีนก็ยังเป็นน้องเฮียเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ”



ผมโผเข้ากอดพี่ชาย ปล่อยโฮออกมาอีกระลอกใหญ่



“เฮียรักมึงมากนะ”



ในใจยังเต็มไปด้วยคำขอโทษ เหมือนผมดูถูกว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น เหมือนกับว่าผมดูถูกความรักของพวกเขา พยายามจะกางปีกปกป้องโดยไม่รู้ว่านั่นคือการทำร้ายทั้งตัวเองและความรู้สึกของพวกเขาด้วย...ผมไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของเรื่องนี้จะออกมาเป็นยังไง คิดแต่ว่าไม่อยากให้ครอบครัวของผมเสียใจเพราะผมรักพวกเขามากจริงๆ



หากแต่ในตอนนี้ข้างในใจที่ขาดแหว่งถูกเติมเต็มโดยความรักของครอบครัว ในวินาทีนี้เองที่ผมรู้ว่าต่อไปไม่ว่าจะเจออะไรร้ายแรงจากโลกภายนอก...ผมก็ยังมีพวกเขาคอยอยู่เคียงข้างเสมอ











พอเปิดเครื่องผมถึงรู้ว่ามีหลายคนพยายามติดต่อผม น่าจะเพราะข่าวที่เพิ่งออกไป แน่นอนว่ามันทำให้กระแสซีรีส์พุ่งขึ้นแต่ผมไม่ได้สนใจมันสักนิด ในใจสั่นกลัวหน่อยๆ ...อาจเพราะตอนนี้ทุกคนรู้เรื่องของผมกับไอ้โซลแล้ว



แฟนคลับคงดีใจแต่ผู้คนบางคนอาจไม่ชอบใจ...



“ที่เฮียพูดมาแสดงว่าเฮียรู้อยู่แล้วเหรอเรื่องผมกับโซล..” ตั้งแต่วันแรกที่เฮียกลับมาบ้าน เฮียก็มีท่าทีสงสัยพวกผมทั้งสองอยู่แล้ว



“ท่าทางพวกมึงออกจะชัด สายตาที่มันมองมึงใครก็ดูออก อีกอย่างนะซีน เฮียตามดูมึงในโซเชียลก็รู้แล้วว่ามึงไปไหนมาไหนกับใครบ้าง”



ผมหันขวับไปมองคนข้างกาย ตัวชาวาบ



“ฮ...เฮียรู้มาตลอดเลยเหรอ...”



“อืม” มือลูบหัวผมอยู่อย่างนั้นขณะที่สายตามองไปทางโทรทัศน์จอใหญ่ “รู้ว่ามึงไม่กล้าบอกแต่เฮียก็อยากให้มึงเป็นคนพูดออกมาเอง”



“ผมไม่ได้อยากโกหกนะ ตอนนั้นผม...”



“เฮียเข้าใจ ไม่เป็นอะไรแล้ว” ผมกอดเฮียเอาไว้แน่น แอบเช็ดน้ำตาที่คลอขึ้นมากับเสื้อพี่ชายเพราะความรู้สึกผิด



“ทะเลาะกับมันอยู่ใช่ไหม”



“…”



“..หืม”



ผมส่ายหัว ปิดตาลงช้าๆ “..ผมบอกเลิกโซลแล้ว”



เฮียคัทชะงัก เงียบไปหลายอึดใจก่อนน้ำเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยขึ้น “อืม...ดี”



“คัท”



เฮียถอนหายใจ “โถ่ ม้า”



“เพิ่งบอกไปเองไม่ใช่เหรอว่าขอแค่เป็นคนดีดูแลน้องได้”



“ก็ซีนมันเข้าใจผิด แต่ผมไม่ได้หมายความ...”



“เงียบไปเลย”



ม้านั่งลงโซฟาอีกข้างของผม ลูบหลังเหมือนปลอบ “ซีนจะปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอ”



“ผมทำลงไปแล้ว มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”



“ม้าคิดว่าซีนรู้ว่าต้องทำอะไรนะ”



สัมผัสอบอุ่นวางอยู่บนศีรษะ ประมุขของบ้านแย้มรอยยิ้มบาง “ผ่านมันไปให้ได้ ลูกป๊าเก่งอยู่แล้ว”



ผมจะผ่านมันไปยังไง...



แล้วจะให้ผมทำยังไงเหรอ...ในเมื่อทุกอย่างมันพังลงไปหมดแล้ว พังด้วยน้ำมือของผมเอง ถ้าไม่นับเรื่องที่กลัวป๊าม้าและเฮียคัทจะเสียใจ ก็เป็นผมเองที่หวาดกลัวต่อสายตาคนเหล่านั้นจนทำร้ายความรู้สึกของคนที่ควรจะแคร์ที่สุดไป











“ไง”



“ไม่ไง”



“เย็นนี้ไปดูกูเตะบอลเปล่า”



“เตะกากๆ อะนะ”



“กูเตะเข้าลูกนึงเลยนะเว้ย” ไอ้ทิมเขกหัวผมเบาๆ นั่งลงฝั่งตรงกันข้าม



“ไอ้โฟร์ล่ะ”



“ซื้อหนมอยู่ ไอ้จั๊มพ์อยู่ตึกรวมใช่ไหม โทรบอกมันแวะรับไอ้โฟร์ที่โรงอาหารถาปัดหน่อยดิ”



ไอ้ทิมไอ้โฟร์มาหาผมบ่อย ตลอดอาทิตย์นี้ผมเจอพวกมันทุกวัน ตอนแรกมันขอโทษขอโพยยกใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ด้วยในช่วงที่ผมเจอปัญหาแต่ผมไม่ได้อะไรสักหน่อย เข้าใจที่พวกมันยุ่ง



หลังจากข่าวออก ผมมามหา’ลัยตามปกติแม้จะต้องเดินก้มหน้าก็ตาม...มันไม่ใช่ข่าวหน้าหนึ่งตามหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่ด้วยกระแสของซีรีส์ทำให้คนสนใจพอสมควร มีคนจะติดต่อขอโทรศัพท์มาสัมภาษณ์แต่พี่ปุ้ยบอกจะจัดการให้ทั้งหมด แก้ข่าวเป็นพวกเราแค่ซ้อมบทเฉยๆ ส่วนเรื่องคบจริงหรือไม่นั้น รูปวันที่เราจับมือกันกลางห้างก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้ว ถึงแม้ผมไม่ได้รับงานในวงการต่อแต่เพราะซีรีส์ยังออนแอร์อยู่มันเลยเหมือนกับเป็นความรับผิดชอบของผมที่ต้องจัดการเรื่องนี้อยู่ดี



หนิงกับเฟิร์สก็โทรมาหา ให้กำลังใจผมกับเรื่องนี้ ผมขอบคุณทั้งสอง เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าผมกับไอ้โซลจบความสัมพันธ์ลงแล้ว



ไม่มีแฟนคลับคนไหนกล้าเข้ามาทักหรือมาคุยกับผม อาจเพราะผมเดินก้มหน้าก้มตา ตัวติดกับไอ้จั๊มพ์ตลอดเวลาหรืออาจเพราะริมฝีปากที่ยังคงยกยิ้มยากอยู่อย่างเดิม



ผมอยากขอโทษพวกเธอจริงๆ เพราะทั้งหมดมันเป็นเพราะผมเอง



ไม่นานไอ้จั๊มพ์กับไอ้โฟร์ก็มาถึง บ่ายแก่ๆ ใต้ตึกคณะบัญชี ใช่ว่าไม่มีเรียน มีแต่พวกโดดทั้งนั้น ผมรู้ว่าเพื่อนพยายามปลอบใจผม พยายามทำให้ผมยิ้ม ถึงแม้กับครอบครัวผมจะเข้าใจกันแล้วแต่ผลจากการตัดสินใจทำอย่างนั้นลงไป...สิ่งที่เสียไป ผมไม่มีวันได้คืน



“ซีน เย็นนี้ไปดูกูเตะบอลไหม”



“กูชวนไปแล้ว”



ไอ้โฟร์ร้องอ้าว พวกมันพยายามชวนผมออกไปข้างนอก ทำกิจกรรมต่างๆ ต่อให้ผมลืมเรื่องไอ้โซลไปแต่มันก็แค่ช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นผมก็นึกถึงแต่มันเหมือนเดิม



“ไปหน่อยน่า”



“กูไม่ชอบดูบอลซะหน่อย”



“ดูพวกกูไง ไม่ได้ให้ดูลูกบอล”



“กวนตีน”



ไอ้จั๊มพ์แกะขนมวางไว้ตรงกลางโต๊ะ “แล้วเย็นนี้มึงจะไปไหน”



“กลับบ้านไง”



“บ้านไม่หนีมึงหรอกน่า”



“ปกติกูก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นสักหน่อย”



ไอ้ทิมถอนหายใจ “ซีน รู้ไหมว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาหน้าตามึงเป็นยังไง”



“เออ ช่วยกูพูดหน่อย แม่งเห็นหัวอ่อนอย่างนี้พูดโคตรยาก” ไอ้จั๊มพ์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ



“มึงเคลียร์กับครอบครัวแล้วก็จริงแต่มึงดูไม่มีความสุข”



“เดี๋ยวมันก็ดี”



“ประโยคนี้อีกแล้ว” ไอ้จั๊มพ์ว่า



“เดี๋ยวของมึงนี่นานเท่าไหร่” ไอ้โฟร์เสริม



ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตัวผมเองก็ได้แต่รอให้เวลามันช่วยเยียวยา เพียงแต่เวลามันเดินช้าขณะที่คนรอบข้างเริ่มจะร้อนใจ



“กูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ะทิม” ผมเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นแทน ได้ยินเสียงไอ้จั๊มพ์พึมพำด่า



“อะไร”



“ตอนที่เฮียคัทกลับมาเฮียขอเบอร์มึงไปบอกจะโทรไปด่า เรื่องอะไรวะ”



“อ้อ...” มันดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง ทำหน้าเซ็งเมื่อนึกถึงสิ่งที่ผมถาม “ก็เรื่องที่ปล่อยให้ไอ้โซลมันเข้าหามึงได้ไง”



“ฮะ..?”



ไอ้จั๊มพ์ตบไหล่ข้างหนึ่งของผม “กูบอกมึงแล้วว่าเฮียให้พวกกูคอยดูมึง”



“ก็ใช่แต่...ต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ”



เฮียคัทรู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกจริงๆ สินะ ดีไม่ดีรู้ก่อนกลับมาด้วยซ้ำไป



“วันหนึ่งอยู่ๆ ไอ้โซลก็เดินเข้ามาหากูกับไอ้โฟร์แล้วบอกว่ามันกำลังจะได้แสดงซีรีส์กับมึง” ไอ้ทิมเคาะนิ้วมือลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ มันจ้องหน้าผม แขนข้างหนึ่งยกขึ้นเท้ากับโต๊ะ



“มันบอกพวกกูว่าชอบมึง...กูเห็นมันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แน่นอนว่ากูต้องกันมันออกจากมึงอยู่แล้ว แต่มันบอกว่ามองมึงมาเกือบปี พอๆ กับที่กูก็ได้ข่าวว่ามันหยุดคั่วผู้หญิงไปทั่วเหมือนกัน”



“…”



“กูไม่ได้ไว้ใจมันขนาดนั้น แต่ไม่เคยเห็นมันอาการหนักขนาดนี้มาก่อนเลยคอยเฝ้าดูพวกมึงอยู่ห่างๆ ก็แค่เปิดทางให้แต่ไม่ได้ช่วยมันหรอกนะ”



ผมเม้มปาก ไม่เคยรู้ว่าไอ้โซลบอกเพื่อนผมและพวกมันก็ปิดเงียบมาโดยตลอด



“แต่ตอนพวกนั้นแซวกูมึงยังหัวเราะกับพวกมันอยู่เลย”



“อ่อ อันนั้นลืมตัว”



อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ...



ข้างในใจเหมือนเกิดประกายไฟเล็กๆ พอให้อบอุ่น



“มึงก็ด้วยเหรอจั๊มพ์” มันหันมาหาคนข้างๆ มันเคยพูดอะไรน่าสงสัยออกมาสองสามครั้ง



“อืม ที่จริงมันเหมือนมาขออนุญาตว่ะ”



“ก็ไอ้จั๊มพ์แม่งเหมือนเป็นพ่อไอ้ซีนขึ้นทุกวัน”



“อ้าว กูเป็นห่วงมันไหมล่ะ” ไอ้จั๊มพ์แยกเขี้ยวใส่ไอ้โฟร์ “กูเคยได้ยินเรื่องของมันมาบ้างแต่มันดูจริงใจดีเลยลองปล่อยดูสักครั้ง ที่จริงช่วงแรกกูก็แซวไปอย่างนั้นเอง...”



มันยกยิ้ม “แต่มึงเสือกคล้อยตามมันจริงๆ”



“ก..ก็...”



“หึ ความรู้สึกมันห้ามไม่ได้นี่นะ...ก็แปลกดีที่ได้เห็นมึงมีความรัก นอกจากพีมที่ชอบไม่ชอบยังไม่รู้ตัวเลย” ผมถอนหายใจ จะวกมากัดทำไมวะ “แล้วไอ้โซลก็ทำให้พวกกูเห็นว่ามันดูแลมึงได้อย่างที่เคยรับปากไว้”



“เฮียคัทด่ากูฉิบหายวายวอด แต่มึงก็รู้เฮียแค่ห่วงเท่านั้นแหละ”



“ตอนนี้มันอาจกำลังรอมึงอยู่ก็ได้นะซีน”



ผมแค่นหัวเราะให้กับตัวเอง ส่ายหน้าให้ไอ้โฟร์ “กูทำกับมันขนาดนั้นน่ะนะ ไม่มีทางหรอก”



แล้วประกายไฟก็ดับลงด้วยความจริงที่ว่าผมทำร้ายความรู้สึกของมันไปแล้ว



“มันเกลียดกูแล้วล่ะ”



“เฮอะ เกลียดเหรอ” ไอ้โฟร์ทำหน้าเหมือนผมพูดอะไรบ้าๆ ออกมา “สภาพมันตอนนี้เหมือนมึงไม่มีผิด อาจแย่กว่าด้วยซ้ำ”



“มึงกลัวอะไรอยู่ซีน”



ผมหลบสายตาไอ้จั๊มพ์



“..กูรู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวกูเอง”



“งั้นมึงก็รู้ว่าต้องจัดการกับมันยังไงใช่ไหม”



“..คงงั้น”



“บางอย่างต้องใช้เวลาแต่บางอย่างไม่ควรเสียเวลา”



ผมก้มหน้ามองตักนิ่ง พอเหลือบสายตาขึ้นก็เห็นเพื่อนสนิททั้งสามจ้องผมเพื่อเอาคำตอบ ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยเอื้อมมือไปจับแขนคนข้างตัวเอาไว้



“จั๊มพ์...”



แต่มันผลักหัวผมเบาๆ “ไม่ต้องเลย กูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้แล้วซีน”



“กูเป็นคนทำร้ายมันนะ เป็นคนบอกไม่ให้มันมาเจออีก จะให้กูแบกหน้าเข้าไปขอคืนดีมันได้ยังไง”



“มึงทำมันเสียใจจะไม่รับผิดชอบหน่อยเหรอ ก็มึงไล่มันไงมันเลยไม่กล้ามาหามึงอีก เพราะงั้นมึงนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายเข้าหามันบ้าง”



สายตาไอ้จั๊มพ์เอาจริง ผมมองไปที่เพื่อนสนิทอีกสองคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม



ไอ้โฟร์ส่ายหน้า “กูเห็นด้วยกับไอ้จั๊มพ์”



“หิวน้ำว่ะ มึงชอบกินชาเขียวปั่นที่คณะกูไม่ใช่เหรอซีน” แล้วขวดน้ำในมือไอ้ทิมคืออะไร...


.

.

ต่อด้านล่างค่ะ






หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 24-08-2017 11:44:16

.

.

.




ผมไม่ได้เจอไอ้โซลมาตั้งแต่วันนั้น ไม่เจอ ไม่เห็นข่าวคราว ถึงแม้ผมอยากจะรู้ว่ามันเป็นยังไงบ้างแต่ก็ไม่กล้าถามคนที่ใกล้ชิดกับมัน



เจอมันแล้วยังไง กระโดดกอดเหรอ บ้าไปแล้ว ผมจะกล้ามองหน้ามันไหมยังไม่รู้เลย ในใจผมสั่นไหว มันตื่นกลัว กลัวเพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง ระหว่างทางไปคณะสถาปัตย์ฯ ผมขอให้ไม่เจอมัน...



ใต้ตึกคณะไม่ว่างเปล่า กลุ่มนักศึกษาผู้ชายกลุ่มใหญ่ทำผมใจหล่นวูบ แต่ก็ไม่มีใครที่คุ้นหน้า ผมลอบถอนหายใจ โดนพวกนี้ลากมาจนได้



“พวกมึง...กูขอตั้งตัวก่อนไม่ได้เหรอ เจอมันแล้วไงวะ จะให้กูพูดกับมันยังไง กูยังไม่พร้อมยังไม่กล้าเจอมันนะพวกมึง กูขอร้อง”



“ซีน” ไอ้ทิมจับไหล่เหมือนให้ผมใจเย็นลง “กูแค่มาซื้อน้ำ”



“งั้นกูกลับคณะ”



“มาเป็นเพื่อนกูหน่อย”



“ทิม ไม่เอา กูขอร้อง”



“ใจเย็นซีน ตั้งสติก่อน เดินเข้าไปกับพวกกู มันอยู่แถวนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าเจอ...ตอนนั้นมึงจะรู้เองว่าควรทำยังไง”



ผมไม่เชื่อคำพูดมันสักนิด แต่เหมือนกับว่าต่อให้ผมลงไปนอนร้องไห้อยู่บนพื้นพวกมันก็จะลากผมเข้าไปให้ได้



ผมกำแขนเสื้อไอ้จั๊มพ์แน่น เดินอยู่ข้างหลังไอ้ทิมกับไอ้โฟร์ ไม่รู้รอบข้างเป็นยังไง ผมไม่กล้ามองใครเลยด้วยซ้ำ



ผมอยากเจอไอ้โซลแต่ผมกลัว...กลัวว่าความเจ็บปวดอาจจะเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิม



เรากำลังจะเดินเข้าไปในร้านน้ำใต้คณะสถาปัตย์ฯ ไอ้ทิมกับไอ้โฟร์บังทางด้านหน้าจนเกือบมิด ประตูกระจกทำให้ผมเห็นว่ามีนักศึกษาในร้านไม่เยอะเท่าไหร่ ผมขอแค่ไม่เจอไอ้โซล ความพร้อมที่จะเผชิญหน้าติดลบ...ยังไม่ใช่วันนี้



ไอเย็นจากในร้านทำให้ผมก้าวขาไม่ออก ไอ้จั๊มพ์เลยเปลี่ยนมากำข้อมือผมเอาไว้แทน มีนักศึกษานั่งอยู่ประปราย โต๊ะละไม่กี่คน บางคนก็มาคนเดียว ผมเกือบจะโล่งใจแต่ลืมไปว่ายังมองไม่ทั่วร้าน แล้วในตอนนั้นเองเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น



“อ้าว หวัดดีคร้าบพี่ๆ”



เสียงไอ้น้องกัน...ตัวผมชาวาบ จะขืนมือที่ถูกกุมอยู่ออกไอ้จั๊มพ์ก็ไม่ปล่อย รุ่นน้องของเพื่อนทั้งสองทักทายรุ่นพี่พวกมันเสียงดัง ก่อนที่เสียงจะค่อยๆ แผ่วลงในตอนที่พวกนั้นเห็นผมที่ยืนอยู่ข้างหลัง



“..พี่ซีน” ผมจำต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้ แล้วดวงตาไม่รักดียังกวาดไปทั้งโต๊ะราวกับกำลังมองหาใครสักคน เพื่อนไอ้โซลอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ผมจำหน้าได้บ้างเหมือนจะอยู่กันแทบจะครบทุกคนยกเว้นก็แต่มัน...ใจนึงก็โล่งแต่อีกใจกลับรู้สึกผิดหวัง



ไอ้น้องกันนิ่งไปได้เพียงอึดใจมันก็ถลาเข้ามาผม “คิดถึงจังเลยครับ”



ผมว่าพวกนี้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างผมกับไอ้โซล ถึงไอ้น้องกันยังทำตัวเป็นปกติแต่ผมก็รู้สึกไม่กล้าสู้หน้าพวกมันอยู่ดี



“มาซื้อน้ำเหรอครับหรือมานั่งตากแอร์ ให้ผมเลี้ยงน้ำไหม” มันถามอย่างกระตือรือร้น ขณะที่ผมไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง



“เดี๋ยวกูสั่งให้ ไปนั่งเหอะ เอาเหมือนเดิมใช่ไหม”



ผมพยักหน้าให้ไอ้ทิม ไอ้จั๊มพ์ปล่อยข้อมือผมแล้วเมื่อรู้ว่าผมไม่มีทางหันหลังวิ่งหนีออกจากที่นี่ได้แน่



“คุยกับผมหน่อยซี่”



“ป..เป็นไงบ้าง” ไอ้จั๊มพ์กับไอ้โฟร์เดินไปนั่งโต๊ะถัดไป ปล่อยผมไว้กับเพื่อนสนิทของไอ้โซลที่พอผมเอ่ยปากถามหน้าตามันก็ระริกระรี้ขึ้นมา



“เหนื๊อยเหนื่อยครับ งานเยอะมากเลย”



“อืม ตั้งใจแล้วกัน”



“พี่ซีนนั่งก่อนสิครับ” ไมค์เลื่อนเก้าอี้ออกให้ เพื่อนไอ้โซลจ้องผมกันทั้งโต๊ะ ผมอึกอัก ไม่รู้ว่าไอ้โซลอยู่ไหน มีเรียนวันนี้หรือเปล่า จะมาหาเพื่อนมันที่นี่ไหม ถึงมันไม่มาแต่จะให้ผมที่ทำเพื่อนพวกมันเสียใจนั่งร่วมโต๊ะด้วยเนี่ยนะ



แค่หน้าพวกนี้ผมยังไม่กล้าจะมองเลย...



“ไม่...ไม่เป็นไร..พี่..”



“อยู่กับผมก่อนน้า ไม่เจอนานผมคิดถึง”



“ไอ้กันอย่าเยอะมึงน่ะ”



“กูแค่จะคุยกับพี่ซีนของกู”



“เต็มปากเต็มคำ พี่เขาเอือมมึงจะแย่แล้ว เดี๋ยวไอ้...” บอลชะงัก ก่อนจะหมุนตัวไปหาเพื่อนอีกคน “ไอ้แม็กมันจะเอาน้ำอะไรนะ กูลืม เดี๋ยวโทรหามันแป๊บ”



ไอ้น้องกันยักไหล่ มองหน้าผมยิ้มๆ “อย่าไปสนมันเลย พี่ซีนอยู่กับผมนะๆๆๆๆๆๆ”



ผมมีสีหน้าลำบากใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงนั่งด้วยอย่างไม่ลังเลแต่นี่ไม่เหมือนเดิมแล้ว



“พี่ซีนรำคาญผมเหรอครับ..”



หน้าตามันหงอยลงทันตา ทำไมมันยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ผมแค่เจอมันก็ทำหน้าไม่ถูกด้วยซ้ำ



“ไม่...ไม่ใช่แบบนั้น”



“ผมก็คิดว่าพี่ไม่ได้รำคาญผมซะหน่อย” ไม่เท่าไหร่ก็เผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมาอีกครั้ง ไอ้น้องกันกอดแขนข้างหนึ่งของผมเอาไว้ ผมจะเดินไปหาเพื่อนก็ทำไม่ได้ จะดึงออกก็กลัวทำให้มันรู้สึกแย่



“วันนี้พี่มากับเพื่อน ไว้วันหลังค่อยคุยกันนะ”



“วันไหนล่ะครับ พี่ไม่มาที่นี่หลายวันแล้วนะ”



“เราเจอกันที่อื่นก็ได้นี่”



ไอ้น้องกันนิ่งไปนิด เหมือนจะยอม “จะว่าไปผมยังไม่มีเบอร์พี่เลยแฮะ”



“เอาโทรศัพท์มาสิ” ผมกดเบอร์ตัวเองให้มันไป แต่เด็กนี่ก็ยังไม่ยอมปล่อยสักที “ไว้เจอกันนะ”



“โถ่ พี่ซีนครับ จะไม่ใจอ่อนให้ผมหน่อยเหรอ”



“วันนี้ไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวพวกพี่ต้องรีบไปแล้ว”



“คนน่ารักมักใจร้ายนี่สงสัยจะจริง”



ไอ้น้องกันทำหน้าบึ้ง ผมเริ่มจะดึงแขนตัวเองออก เรายื้อยุดกันอยู่ตรงนั้น นี่มันไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้หรือไม่แคร์ว่าผมกับเพื่อนมันจะแตกหักกันขนาดไหนกันแน่ ไมค์พยายามบอกให้ไอ้กันปล่อยผมไปซะ ผมหันไปขอความช่วยเหลือกับเพื่อนของผมแต่ไอ้จั๊มพ์กับไอ้โฟร์กลับนั่งมองดูนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น



ในร้านมีเพียงกลุ่มตรงนี้ที่เสียงดัง พอทุกคนพร้อมใจกันหยุดพูดคุย ผมก็ได้ยินเสียงกระดิ่งตรงประตูหน้าร้าน อดหันไปมองสาเหตุของความเงียบไม่ได้ แต่เมื่อพอหันไปสบตากับคนที่เพิ่งมาใหม่ ดวงใจทั้งดวงก็กระตุกวูบ…



ไอ้โซลหยุดยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้ามันนิ่งอึ้ง ครั้งล่าสุดที่เราพบกันมันเต็มไปด้วยความเสียใจ รอยน้ำตาไม่เคยจางหายและในแววตายังฉายชัดถึงความเจ็บปวด



และเพียงเสี้ยววินาทีที่ผมกะพริบตา ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินห่างออกไปไกล ความหวังเล็กๆ ดับวูบ หัวใจผมเหมือนถูกขว้างลงเหว รู้ชัดในตอนนั้นว่าเราไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก   



ไม่เห็นเหมือนที่ไอ้ทิมบอกเลย...ผมไม่รู้เลยว่าควรทำยังไง



รู้แค่ว่ามันสมควรแล้วกับสิ่งที่ผมทำ



หรือให้ตามมันออกไปเหรอ...ผมก็อยากทำอย่างนั้น อยากเข้าไปคุย อยากขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป แต่ในใจกลับรั้งเอาไว้เพราะผมรู้สึกละอายเหลือเกิน



ตอนที่ผมหันหลังให้มัน...ก็เจ็บแบบนี้ใช่ไหม



ผมไม่ได้ยินเสียงรอบข้างหรือไม่ก็อาจเพราะไม่มีใครปริปากพูดอะไร ไอ้โซลหายไปจากกรอบสายตาแล้ว...หายไปนานแล้ว แต่ผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม



ไอ้น้องกันพูดอะไรสักอย่างแต่หัวสมองผมมันตื้อไปหมด ในหูดังอื้ออึงเหมือนมีใครฟาดท่อนไม้ใส่อย่างแรง



ไอ้จั๊มพ์เดินเข้ามาดึงผมออกจากไอ้น้องกัน ผมเดินตามแรงจูงไปที่รถ รู้สึกเหมือนคนไม่มีสติ เคยชินกับการมีมันคอยตามตลอดจนเคยตัว พอวันหนึ่งที่ทำมันเจ็บกลับยังคิดว่ามันจะยังวิ่งตามตัวเองอยู่



“กลับกันเถอะ...” ผมเอ่ยเสียงแผ่ว ไอ้จั๊มพ์เพียงสตาร์ทรถ พวกมันทั้งสามดูนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน



“ขอโทษว่ะซีน กูไม่คิดว่ามันจะเดินหนีออกไปแบบนั้น”



“..ไม่เป็นไรหรอกทิม มันสมควรแล้ว มึงอย่าคิดมากเลย”



“มันอาจยังตั้งตัวไม่ทันเฉยๆ ก็ได้นะ” ไอ้โฟร์พยายามปลอบ “เข้มแข็งไว้นะมึง อย่าเพิ่งยอมแพ้”



“กูรู้ว่าพวกมึงหวังดี ขอบคุณจริงๆ”



“…”



“…”



“…”



“แต่กูไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว”



ถ้าต้องเห็นไอ้โซลหันหลังให้ผมแบบนั้น...ไม่ต้องเจอมันเลยยังดีกว่า







               

“นั่งซึมกะทืออยู่ได้ เบื่อก็โทรให้เฮียคัทมารับ”



ผมสั่นหัว แนบใบหน้าลงกับโต๊ะ วันนี้ให้เฮียคัทมาส่งและบอกว่าจะกลับกับไอ้จั๊มพ์แต่มันติดทำงานที่คณะ ผมเลยนั่งอยู่กับมันจนค่ำ



“นั่งเหม่อมาหลายชั่วโมงแล้วนะ”



“ปล่อยกูเหอะน่า”



มันบ่นมาหลายรอบแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่นั่งอยู่เฉยๆ อีก หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นค่าเวลา



ปกติผมไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลอยู่แล้วเลยไม่รู้จะเล่นอะไร เกมในเครื่องที่โหลดมาเล่นไปเล่นมาแล้วเบื่อผมก็ลบ นั่งแตะๆ หน้าจออยู่อย่างนั้น รู้ตัวอีกทีก็เข้ามาในแอปนกสีฟ้าแล้ว



ไม่ได้เข้ามานานมาก ไม่อยากเห็นรูปที่พวกเราอยู่ด้วยกัน มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงช่วงเวลาขณะนั้น ในตอนที่ผมไม่ได้คิดอะไรมากมาย ในตอนที่ยังคิดว่ามีแต่ผู้คนชื่นชอบพวกเรา



ข้อความที่ผมเห็นเต็มไปด้วยถ้อยคำโอดครวญ ผมไม่ได้หวังจะเห็นถ้อยคำยินดีอะไรเพราะคิดว่าใครๆ ที่เจอผมและไอ้โซลก็คงดูออกว่าพวกเรากำลังมีปัญหากัน





@behindsoulscene

คิดถึงพวกเขาจังเลยค่ะ ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ เราขอให้ไม่ต้องมีข่าวคอนเฟิร์มความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้ มารอ #โซลซีน ไปด้วยกันนะคะทุกคน T _ T



@umeij87

พี่ซีนเหมือนมีปัญหาอะไรสักอย่างเลยค่ะ เราเดินสวนหลายครั้งแต่ไม่กล้าทัก #โซลซีน



@ishipyounaokay

ช่วงนี้ทั้งคู่ยุ่งหรือเปล่า เราขอให้เป็นแบบนั้น... #โซลซีน



@meengenmai

พอข่าวออกก็ไม่เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันเลย คณะพี่ซีนโซลก็ไม่มา คณะโซลพี่ซีนก็ไม่ไป พี่ซีนกลับมาใช้รถตัวเองได้สักพักแล้วด้วย #โซลซีน





ส่วนใหญ่แล้วคนที่อัปเดตข่าวคราวของพวกผมก็คือรุ่นน้องที่มหา’ลัยนี่เอง ผมรู้ว่าหลายคนจับตามองแต่ก็ไม่สามารถปิดบังความรู้ของตัวเองได้เลย ไม่ได้อยากทำให้พวกเขากระวนกระวายกันอย่างนี้แต่ถึงผมทำหน้าตาสดชื่นแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ได้เห็นผมไปไหนมาไหนกับไอ้โซลอยู่ดี



ผมเลื่อนลงมาดูเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดอยู่ที่ข้อความบางข้อความ...ก้อนเนื้อในอกเต้นหนักหน่วง มือที่ถือเครื่องมือสื่อสารอยู่รู้สึกอ่อนแรง ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย...





@kungpeuak

หวังว่าที่บ้านทั้งสองจะยอมรับพวกเขานะคะ กลัวมากเลย เหมือนว่าคุณพ่อพี่โซลจะเป็นนักการเมืองด้วย... #โซลซีน



@oohhoo

ที่บ้านพี่ซีนใจดีกันมากเลยนะคะ เราเคยคุยกับทั้งคุณพ่อคุณแม่พี่ซีนใจดีมากๆ กลัวว่าฝั่งครอบครัวของพี่โซลจะไม่โอเคจัง ลูกคนเดียวด้วย #โซลซีน



@iammeoww

สังคมเคยแคบยังไงก็แคบอยู่ยังงั้น ฮืออออ ปล่อยให้เขารักกันไม่ได้เหรอ #โซลซีน



@kukkrup

จะฟินทั้งทีก็ฟินไม่สุด ข่าวจะออกทำไมเนี่ย! ไม่อยากได้คอนเฟิร์มอะไรทั้งนั้นแค่เห็นพวกเขาไปไหนมาไหนกันเราก็มีความสุขมากแล้ว!! #โซลซีน



@wongentt_

ที่จริงเราเห็นทั้งพี่ซีนทั้งโซลโทรมๆ ก่อนข่าวจะออกอีกนะคะ ไม่รู้ว่ามีปัญหากันก่อนหน้านั้นหรือเปล่า #โซลซีน


@hannabe1
@wongentt  เราคิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ นี่คิดว่าพี่ซีนทะเลาะกับที่บ้าน เพราะก่อนข่าวออกอาทิตย์ก่อนไม่เห็นไปกับพี่โซลแล้ว มีวันนึงเราเห็นพี่จั๊มพ์กอดพี่ซีนที่ใต้ตึกด้วยอะ ; - ;;;;; #โซลซีน



@nongwaii

เราว่าครอบครัวพี่ซีนน่าจะโอเคนะ แงงงงงง วอนพ่อตารับลูกสะใภ้ด้วยย #โซลซีน





ไม่ได้ต่างกันเลย ขณะที่ผมสติแตก บอกเลิกมัน ขว้างทิ้งคำสัญญาของเรา ฟูมฟายกลัวว่าครอบครัวจะเสียใจ ผมกลับไม่เคยคิดถึงใจมันเลยว่ามันเองก็อาจกำลังแย่อยู่เหมือนกันแต่กลับไม่คิดจะปล่อยมือผม



ทั้งที่เราควรจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน แต่ที่ผมทำคือสะบัดมือมันออก วิ่งหนีความจริง เอาแต่หลบอยู่หลังคนอื่น สนใจแต่ตัวเองไม่นึกถึงความรู้สึกของมันเลยสักนิดทั้งที่นี่เป็นเรื่องของเรา



“เสร็จแล้ว กลับกัน...เถอะ..” เพื่อนสนิทชะงัก ก่อนจะเดินมายืนบังผมจากคนอื่นที่กำลังทยอยกันกลับ พอเหลือแค่เรามันก็นั่งลงข้างๆ ผม



“..ไอ้โซล?”



ผมเพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาไหลในตอนที่ไอ้จั๊มพ์ยื่นมือมาเช็ดออกให้ “ถึงกูจะเห็นว่ามันหันหลังให้มึงแต่กูก็ยังคิดว่ามันรอมึงอยู่นะ”



“มัน...มันอาจจะเหนื่อยที่ต้องวิ่งตามกูแล้วก็ได้”



“วิ่งมานานไอ้เหนื่อยมันก็ต้องมีบ้างแต่ไม่ได้ว่าจะหยุดวิ่งสักหน่อย อาจจะแค่พัก”



“...”



“ถ้ารู้ว่ามันเหนื่อย มึงก็จะรอให้มันหายเหนื่อยแล้ววิ่งตามมึงต่อเหรอ มึงก็วิ่งไปหามันบ้างสิวะ”



“กูก็อยากทำอย่างนั้นนะแต่...”



“ไม่มีแต่แล้วซีน”



“…”



“มันรอมึงอยู่”



ผมอยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม...



ไม่ว่าจะเลือกทางไหนผลลัพธ์ก็คือความเจ็บปวด จะเจอหรือไม่เจอไอ้โซลก็ทรมานไม่ต่างกันเลย



การจะแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุซึ่งก็คือตัวผมเอง ความคิดคนอื่นเราเข้าไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่สามารถเป็นที่พออกพอใจของทุกคนได้ ดังนั้นที่เราทำได้คือจัดการกับความคิดของตัวเอง



“จะกลับบ้านเลยไหม”



“..ฮึก..” ผมส่ายหน้า “พากู..ฮึก...พากูไปหาโซลที..”









เราต่ำในบางที่ สูงในบางที่ หรือที่จริงเราแค่ยืนอยู่กับที่ มีแต่ความคิดคนอื่นที่ขับเคลื่อนคำนิยามเหล่านั้น



ผมไม่เคยคิดอคติกับคนอื่นถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อน และไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในวันที่ได้ลิ้มรสความรู้สึกที่ถูกมองอย่างแปลกแยกทำให้ผมคิดวิ่งหนีจากที่ตรงนั้นเพื่อที่จะกลับไปยืนในจุดเดิมของตัวเอง



ที่จริงแล้วผมมันก็แค่คนขี้ขลาด หนีปัญหา เห็นแก่ตัว ทั้งๆ ที่ควรจะเลือกรักษาคำว่าเราแต่กลับเลือกรักษาความรู้สึกของตัวเอง



กล่องโดยสารเคลื่อนขึ้นสูง ผมมองตัวเลขที่ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่เต้นรัว ผมบอกให้ไอ้จั๊มพ์กลับไปทั้งที่ไม่รู้ว่าไอ้โซลอยู่ห้องหรือเปล่า และไม่รู้ว่ามันจะรับคำขอโทษของผมหรือไม่



น่าแปลกที่ในใจหวาดหวั่นแต่ฝีเท้าแต่ละก้าวกลับมั่นคง ไอ้โซลเคยให้คีย์การ์ดเอาไว้ ผมไม่เคยใช้เลยสักครั้งและในตอนนี้ผมก็ไม่มีสิทธ์ใช้มันแล้ว เอื้อมมือสั่นไหวไปกดกริ่งด้านข้าง นิ้วมือผมจิกเข้าหากันแน่น สมองคิดอะไรไม่ออกด้วยซ้ำแต่ใจกลับสั่งให้ผมมาที่นี่



ถ้าหากมันเปิดประตูออกมาเจอผมจะเป็นยังไง มันจะทำสีหน้าแบบไหน จะยิ้ม ยินดีหรือเสียใจ ถ้าหากมันไม่ต้อนรับผมแล้วผมจะทำยังไงต่อ ผมหลับตาลงแน่นความคิดบีบรัดให้อยากก้าวถอยหลังกลับ



...เพราะผมทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นมันหันหลังให้ผมอีกครั้ง



บานประตูเปิดออกกว้างโดยไม่ทันตั้งตัว คนตัวสูงตรงหน้ายืนยิ้มค้างเมื่อเห็นผม ไอ้น้องกันดูตกตะลึงกว่าเมื่อบ่ายที่เราเจอกันเสียอีก



“…พี่ซีน…”



ผมเห็นไอ้โซลยืนอยู่กลางห้อง เห็นลางๆ ผ่านม่านน้ำตาว่าเพื่อนมันก็อยู่ด้วยเต็มไปหมด กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งในอากาศ ทุกอย่างเงียบกริบขณะที่ผมเดินตรงเข้าไปในห้องและสวมกอดมันเอาไว้



สัมผัสได้ว่าก้อนเนื้อในอกมันเต้นรัว หากแต่ความเงียบงันทำให้ผมกลัวจนต้องกระชับเรียวแขนโอบมันไว้แน่นกว่าเดิม



“เอ่อ…พวกกูกลับก่อนแล้วกัน”



มีเพียงเสียงปิดประตู หลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกคน ซุกหน้าเข้ากับอกกว้าง ไม่สนใจกลิ่นบุหรี่จากตัวมันแม้แต่นิด ผมกำเสื้อมันแน่น ขมริมฝีปากจนเจ็บไปหมด



เวลาไอ้โซลเคยเงียบใส่ผมแบบนี้ นั่นหมายความว่าผมต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าในใจมันคิดอะไร ไม่รู้ว่าตอนนี้มันต้องการให้ผมทำอะไร ถ้าหากมันไม่ได้อยากได้คำขอโทษของผมล่ะ ถ้าหากมันอยากให้ผมไม่ต้องมาเจอมันอีกล่ะ…ผมจะทำยังไง



หวาดกลัวคำตอบแต่ผมก็ค่อยๆ ผละออกจากมัน มือสองข้างตกลงข้างลำตัวเปลี่ยนมาจิกชายเสื้อตัวเองเอาไว้ สายตาเห็นเพียงปลายเท้าของตัวเอง



“..ขอโทษ..ฮึก” น้ำตาหยดลงบนพื้นขณะผมหลับตาแน่นก่อนจะกลั้นใจเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า “กูขอโทษ”



“…”



“ที่กูทำกับมึง..ฮึก..แบบนั้น...ทั้งๆ ที่เราควรจะก้าวผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันแต่กูกลับวิ่งหนีและทิ้งมึงไว้ กูมันขี้ขลาดเอง”



“…”



“ตอนนี้...ฮึก ไม่ว่าใครจะมองยังไงกูก็ไม่สนใจแล้ว”



“…”



“การคบกับมึงไม่ใช่ความผิดพลาดโซล”



ไอ้โซลยังคงเงียบ ผมอ่านสายตาของมันไม่ออก น้ำตาไหลไม่หยุดและมีเพียงเสียงสะอื้นของผมที่ดังก้องไปทั้งห้อง



“สิ่งเดียวที่ผิดพลาดในชีวิตกูคือทำให้มึงเสียใจ”



ถ้าสิ่งที่ไอ้โซลต้องการคือความรักของผม...ผมก็จะบอกว่ามันได้สิ่งที่ต้องการไปแล้ว



“กูรักมึง”



“…”



“ขอโทษ..ฮือ..ใครจะเกลียดก็ช่างกูไม่สนใจแล้ว โซล..ฮึก กูรัก…อื้อ..”



เสียงของผมถูกกลืนหาย ไอ้โซลตวัดแขนโอบรัด ริมฝีปากถูกบดเบียดด้วยความโหยหา ผมยกแขนโอบรอบลำคอคนตรงหน้า ถูกดันให้ก้าวถอยหลัง ชนอะไรมั่วไปหมด เราไม่ได้ผละออกจากกันขณะที่แผ่นหลังผมสัมผัสกับเตียง...กลิ่นบุหรี่กับรสขมปร่ากำลังทำให้ผมมึนเมา



ก้อนเนื้อในอกของเราต่างเต้นรัว ผมหอบหายใจ สายตาไม่ละไปจากคนตรงหน้า ไอ้โซลกดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง เราสบตากันท่ามกลางแสงสว่างจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามา ผมไม่คิดเอ่ยปากห้ามขณะที่ใบหน้าของมันเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง นุ่มนวล อ่อนหวาน...รสฝาดเฝื่อนของแอลกอฮอล์กลับกลายเป็นหวานละมุน สัมผัสหยุ่นนุ่มพรมไปทั่ว มือไม้ผมคว้าสะเปะสะปะ ความแนบชิดที่เกินพอดีพรากสติผมหลุดหายไปพร้อมๆ กับอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกาย



ไอ้โซจูบซับน้ำตาที่ยังไหลรินลงมาไม่ขาด แววตาผมสั่นไหว มือหนาลูบศีรษะผมเบาๆ เพื่อปลอบประโลมให้หายตื่นกลัว



“ผมคิดถึงพี่แทบบ้า”



น้ำเสียงสั่นเครือกระซิบอยู่ข้างหู ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าของอีกคน ไอ้โซลจรดหน้าผากลงมาก่อนที่เราจะแลกเปลี่ยนลมหายใจกันอีกครั้ง บางอย่างหมุนวนในหัว เกิดความรู้สึกเจ็บแปล็บทว่าวาบหวามทุกที่ที่ริมฝีปากมันเคลื่อนผ่าน ลมหนาวจากเครื่องปรับอากาศต้องผิวเนื้อหากแต่ถูกความร้อนรุ่มกลบไปจนหมด   



หลากอารมณ์สาดซัดเหมือนเกลียวคลื่น เราถูกขับเลื่อนด้วยความโหยหา ความเจ็บปวดถูกโอบล้อมด้วยความสุขสม หัวสมองว่างเปล่าขณะที่ความรู้สึกของพวกเรากำลังถูกเติมให้เต็ม เรียวนิ้วประสานกันแนบแน่น กลีบปากคนตรงหน้าคลอเคลียไม่ห่าง ลมหายใจถี่กระชั้นก่อนผมจะรู้สึกตัวลอยสูงละลิ่ว



น้ำตาหยดสุดท้ายกลิ้งหล่นซึมซาบลงไปบนผืนผ้า สายตาคนตรงหน้ากวาดมองอย่างไม่เชื่อสายตาหากแต่ประกายแวววาวบางอย่างกลับฉายชัดยิ่งกว่า



“..ผมรักพี่..”









[Soul’s part]



ไม่อยากจะเชื่อเลย...



เมื่อสองสามวันที่แล้วมีแฟนคลับคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม ถามว่าทำไมพี่ซีนไม่มาหาผมที่คณะ ผมทำได้เพียงยิ้มบางๆ ตอบกลับไป ไม่คิดโทษเธอหรือโทษใคร ผมแค่ไม่รู้จะบอกพวกเธอยังไงว่าความสุขของพวกเธอได้หายไปแล้ว...ความสุขของผมด้วยเช่นกัน



แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในตอนนี้พี่ซีนกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของผมแล้ว



คำพูดของเขาในวันนั้นทิ่มแทงผมอยู่เสมอเมื่อนึกถึง ผมไม่โกรธเพียงแต่เสียใจ...เสียใจมากๆ เท่านั้นเอง



ผมเคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันแต่ในตอนนั้นความรู้สึกที่มีต่อพี่ซีนมันมากมายจนปัดทุกอย่างทิ้งไปหมด ผมมองเขามานานและเตรียมใจกับเรื่องนี้มาแล้ว แต่กับเขามันไม่ใช่ ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาสะบัดมือผมออก แต่จะมีสักกี่เหตุผลกันนอกจากสายตาของคนภายนอกที่มองมาอย่างหยามเหยียด



วันนั้นผมเห็นบางอย่างในแววตาของเขา มันมีความสับสน เจ็บปวด เสียใจ และความแตกหักของอะไรบางอย่าง พนันเลยว่าทั้งชีวิตเขาไม่เคยต้องมาอยู่ในจุดที่แย่แบบนี้ ผมเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว อ้อนวอนขอร้อง ผมยอมทุกอย่างจริงๆ ขอแค่พี่ซีนยังอยู่กับผม



ในวันนั้นเขาก็ขอร้องผมเหมือนกัน...ขอร้องให้เราอย่าเจอกันอีก พี่ซีนในวันนั้นดูน่าสงสารเกินกว่าที่ผมจะดื้อดึงไหว เขากำลังรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ผมโทษตัวเองที่ดึงเขาลงมาพบเจอกับอะไรแบบนี้



วันนี้ที่ผมเจอเขา...รู้ไหมว่าผมอยากเข้าไปกอดแค่ไหน คิดถึงเขาจนจะบ้า รู้ตัวอีกทีก็เดินหันหลังกลับ กลัวว่าจะเผลอคว้าเขาเข้ามากอด กลัวเขาจะเอ่ยปากตัดรอนความสัมพันธ์อีกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมจะปล่อยเขาไป แต่ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันต้องใช้เวลาและผมก็จะให้เวลากับเขา



ต่อให้ต้องเริ่มจากติดลบร้อยผมก็จะทำ



ผมได้ยินข่าวคราวของพี่ซีนตลอด เป็นห่วงแทบตายแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมปล่อยให้เขาได้คิดทบทวนและรอคอยการตัดสินใจของเขา



และขอบคุณมากจริงๆ ที่เขากลับมาหาผม



ผมไม่คิดว่าเขาเห็นแก่ตัว ใครก็ไม่อยากให้คนที่รักเสียใจกันทั้งนั้น ไม่ผิดเลยถ้าเขาจะเลือกครอบครัว



พี่ซีนขยับตัวเล็กน้อย ผมดึงเสื้อที่ร่นลงมาขึ้นให้ เขาส่งเสียงอืออาอย่างคนกึ่งหลับกึ่งตื่น



“นอนต่อเถอะครับ เพิ่งตีสองเอง”



“อือ...” ผมจับมือที่เขากำลังขยี้ตาเอาไว้ ร้องไห้ไปตั้งเยอะ ตาแดงหมดแล้ว “โซล”



“ครับ”



นัยน์ตาเขาสั่นไหวก่อนจะเสหลบ ผมว่าเขาเพิ่งตื่นเต็มตา เลือกใช้หมอนเป็นที่กำบัง มือเล็กๆ กำเสื้อผมแน่น ผมยิ้มขำ...พี่ซีนกำลังอาย



“แบบนั้นจะหายใจไม่ออกนะครับ”



“อย่ามอง...”



“ผมคิดถึงพี่นะครับ” ไม่อย่างนั้นจะนอนมองอย่างนี้มาเป็นชั่วโมงเหรอ



พี่ซีนชะงัก ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา



“..เรื่องนี้ป๊าม้ากูไม่ได้ว่าอะไร” เขาเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเคลือบไปด้วยหยาดน้ำ “แล้วครอบครัวมึงโอเคกับเรื่องนี้หรือเปล่า...มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”



“…”



“ขอโทษที่ไม่นึกถึงมึงบ้างเลย”



“กับพ่อตอนแรกมีปัญหานิดหน่อยแต่ไม่เป็นอะไรแล้วครับ” ผมกดจูบลงบนผมนุ่มนิ่มของเขา เกลี่ยใต้ตาบวมช้ำเบาๆ ไม่อยากให้เขาร้องไห้แล้ว



“พวกเขาเป็นห่วงเราเป็นธรรมดาแหละครับ และผมก็เข้าใจที่พี่กังวลเรื่องนี้”



หยดน้ำกลิ้งหล่นจนได้ “ยังโกรธอยู่หรือเปล่า”



“ผมไม่เคยโกรธพี่ได้หรอก...ชู่ว พอแล้วครับ”



“คิดว่ามึงจะเกลียดกูแล้ว”



ที่พี่ซีนกล้าพูดคำนี้ออกมาก็เพราะไม่รู้สินะว่าผมรอเขาอยู่ตลอด ไม่รู้สินะว่าผมดีใจแค่ไหนที่เห็นเขายืนอยู่หน้าห้อง และไม่รู้สินะว่าคำว่ารักเพียงคำเดียวของเขาทำให้ผมหลงลืมทุกคำพูดที่เขาเคยพูดกับผม และถึงผมจะหันหลังให้เขาก็ตาม ไม่ใช่เพราะว่าเกลียดเลย



“คิดว่าผมจะยอมเสียพี่ไปง่ายๆ เหรอ”



“มึงเดินหนีกู”



“ผมแค่ถอยกลับไปตั้งตัว อดทนไม่เจอตั้งหลายวัน อยู่ๆ ก็มาให้ผมเห็นซะนี่ อยากเข้าไปกอดก็ทำไม่ได้”



“ขอ...” พี่ซีนหยุดคำขอโทษเอาไว้แล้ววาดแขนโอบรอบตัวผมไว้แทน



“มึงบ้าไปแล้วโซล โกรธกูก็ยังดี” เขาแบะปาก น้ำตาปริ่มขอบตาอีกแล้ว



“ทำไงให้เลิกร้องไห้ดี หืม”



“กูรู้สึกผิดอยู่นะ”



“งั้นต้องเอาใจผมมากๆ รักผมมากๆ นะรู้ไหม”



เขาพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง ให้ตาย...ธรรมดาเวลาขู่ฟ่อยามที่ผมพูดจาอย่างนี้ใส่ก็ว่าน่ารักเป็นบ้าแล้ว เลเวลความน่ารักของเขามันจะมีที่สิ้นสุดบ้างไหม



ขณะที่หัวใจผมกำลังทำงานหนัก มือเรียวก็กอบกุมมือของผมเอาไว้ ไม่บ่อยที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาก่อน ผมรู้ว่าเขาทำอะไรแบบนี้ไม่เก่ง และเพราะอย่างนี้ถึงรู้สึกว่ามันพิเศษ...





“กูจะไม่ปล่อยมือมึงอีกแล้ว”









-----------------------------

ตอนหน้าจบแล้วค่ะ ^^

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 24-08-2017 12:47:08
โด่ โซลน่าจะเล่นตัวกว่านี้หน่อยนะ หมั้นไส้ซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-08-2017 13:53:46
โซลน่าจะแกล้งคืนหน่อย ไม่สะใจเลยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 24-08-2017 15:23:45
โอยยยยย ในที่สุด ก็จับมือกันอีกครั้ง

ยินดีด้วยนะทั้งคู่เลยย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 24-08-2017 15:31:05
อย่างทีบอกว่าครอบครัวคือตัวแปรที่สำคัญ เรื่องนี้ความสัมพันธ์จะเดินหน้าหรือถอยหลังครอบครัวคือตัวแปรที่สำคัญ
และแล้วตัวแปรนั้นก็เป็นตัวแปรที่ดีที่ช่วยคลี่คลายทุกอย่างไปในทางที่ดี
    :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 24-08-2017 15:45:29
 :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 24-08-2017 16:03:14
รู้สึกโล่งมากหลังจากอึมครีมมาหลายตอน ทั้งสองคนมีครอบครัวและเพื่อนที่น่ารักมากเลยนะคะ

กอดดดด
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 24-08-2017 20:11:41
โล่งใจเลยอะ ฮือออออออออออ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-08-2017 20:45:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 24-08-2017 22:07:43
หมั่นไส้เฮียคัท!!!
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 24-08-2017 22:24:36
โฮ....ตกลงพี่ซีนคิดไปเอง กลัวไปเอง

น้องโซลก้อน่ารัก.  รอพี่ซีนอยู่ตลอด

Happy Ending หวานๆน้าาาา

 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:

...
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-08-2017 22:42:35
เศร้าตามไปซะหลายวัน เฮ้อ..
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-08-2017 23:00:36
คืนดีกันแล้ว โลกกำลังจะเป็นสีชมพูแว้ววว

แต่ตอนหน้าจะจบแล้วเหรอ อยากอยูกับโซลซีนไปนานๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 24-08-2017 23:45:54
ร้องไห้ตามเลยย สงสาร
สงสารทั้งคู่เลยอะฮืออออ
โซลคือรอแบบรออยู่ตลอดเลย ไม่เคยที่จะไม่รอเลย
ตอนที่พี่ซีนกลับมาหาแล้วไปกอดนี่แบบจะร้องแล้ววว นั้มตาา
ตอนหน้าจะจบแล้ว ไม่อยากให้จบเลย
ไม่มีอะไรจะอ่านแล้ว นี่ก้สงสารตัวเองไปอีกก ฮือออ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 25-08-2017 05:42:07
ดีกันซักที  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 25-08-2017 11:17:56
โอ้ยยย

ใจหายใจคว่ำอยู่หลายตอนเลย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-08-2017 12:03:52
เฮ้อออออ โล่งอกไปที
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 27-08-2017 22:08:50
คนอ่านเพลียมากค่ะน้องซีน กว่าจะมาถึงจุดนี้ดีใจด้วยนะคะ
โซลน่าจะเอาคืนหนักๆหน่อย(บนเตียง). อิอิ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 29 - (24/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 28-08-2017 21:58:31
คิดว่าจะมีการเสียเลือดกันซะแล้วววว แค่กๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 31-08-2017 21:22:56

ตอนที่ 30







[Soul’s Part]



พ่อกับแม่ของพี่ซีนไม่ว่าอะไรน่ะใช่...แต่พี่ซีนลืมใครอีกคนหนึ่งไปหรือเปล่า



“รู้จักกันสามเดือนก็คบกันแล้ว? นี่มึงล่อลวงน้องกูหรือเปล่าวะ!?”



ผู้ชายที่นั่งตรงหน้าขมวดคิ่วแน่น ไม่ต้องฟังจากคำพูดแต่แค่สายตาเวลามองผมก็รู้แล้วว่าไม่ชอบใจ



“เฮีย...” พี่ซีนนั่งอยู่ข้างพี่ชายของตัวเอง พอก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้เหมือนผมกับเขาจะเข้าใกล้กันไม่ได้เลย ว่าแล้วเชียว มีน้องแบบนี้จะไม่หวงได้ไง คราวก่อนก็จ้องผมอย่างกับจะเข้ามาต่อย



“เงียบไปเลย เฮียคุยกับมันอยู่”



“ไม่ได้ล่อลวงครับ ผมจริงใจกับน้องพี่”



“กูจะรู้ได้ไงว่ามึงจริงใจ”



“คัท” แม่พี่ซีนเอ่ยปราม สีหน้าค่อนข้างเหนื่อยใจ “น้องโตแล้วนะ”



“โตแล้วก็โดนหลอกได้”



นอกจากผมกับพี่ซีนจะเปิดเผยความสัมพันธ์กันแล้ว พี่ชายของเขาก็แสดงความรู้สึกว่าไม่ชอบขี้หน้าผมอย่างเปิดเผยเช่นกัน



“ผมไม่ได้หลอกครับ”



“เงียบไปเลยกูคุยกับม้าอยู่”



“คัทนั่นแหละเงียบ”



ผมยกยิ้มในใจ คนที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านอยู่ข้างผมเห็นๆ 



“เรื่องแบบนี้จะช้าจะเร็วไม่สำคัญหรอก มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของทั้งสองคน”



“ม้าไม่ห่วงน้องเลยอะ”



“คัทนั่นแหละไม่เปิดใจ ม้าเห็นโซลมารับมาส่งซีน ดูแลซีน ปุ้ยเองก็เคยบอกม้าว่าอยู่ที่กองถ่ายโซลดูแลซีนไม่ห่าง ใช่ว่าม้าไม่สนใจลูกสักหน่อย”



“แต่มัน...”



“อยากเห็นน้องร้องไห้อีกเหรอคัท”



“ไม่ใช่แบบนั้นนะม้า..”



ใบหน้าของเขาไม่สบอารมณ์แต่ไม่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และทั้งวันก็ไม่ปล่อยพี่ซีนให้ห่างจากตัวเขาเลยด้วย



แม่ง ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นกับปิ๊กมี่นะเว้ย มาสวัสดีครอบครัวแฟนอย่างเป็นทางการแต่โดนปล่อยให้อยู่กับหมาขาสั้นที่เหมือนจะสงสารผมเลยนั่งอยู่เป็นเพื่อน ส่วนพี่ซีนก็โดนพี่ชายดึงเอาไว้ให้อยู่ใกล้ๆ ตัวตลอด



“คัทค่อนข้างหวงน้องน่ะ”



พ่อพี่ซีนเดินเข้ามานั่งโซฟาตัวถัดไปจากผม ปิ๊กมี่ก็ลุกเดินไปหา ผมอยู่ตัวคนเดียวอย่างจริงจัง อย่าใช้คำว่าค่อนข้างเลย ให้เรียกว่าโคตรหวงเลยจะดีกว่า ถ้าพ่อแม่พี่ซีนไม่อยู่ผมว่าพี่แกพุ่งเข้ามาต่อยผมแล้ว



“พี่ซีนน่าหวงจริงๆ แหละครับ”



“แต่ก่อนซีนชอบโดนรังแกน่ะ คัทดูแลน้องมาตั้งแต่เด็ก ใครรังแกน้องเจ้านั่นซัดน่วมทุกคน ขนาดเพื่อนแกล้งเล็กๆ น้อยๆ บางทียังโหดใส่เลย น้องเขา เขาแกล้งได้คนเดียว” พ่อพี่ซีนหยิบหนังสือพิมพ์ตรงหน้ากางออกดู อิริยาบถสบายๆ ไม่คิดว่าผมเป็นแขก “คัทตามน้องแทบจะทุกฝีก้าว เพราะแบบนั้นเจ้านั่นเลยเป็นห่วงซีนกว่าใคร ไม่ยอมปล่อยน้องสักที”



ชายตรงหน้าเหล่ตามองผม “หรือไม่ก็ลองให้คัทต่อยสักหมัดสองหมัดดู เผื่อจะหวงน้อยลงบ้าง”



“คุณอาครับ...”



“ล้อเล่น” เขาหัวเราะ “เรียกป๊าเถอะ เรียกแบบซีนนั่นแหละ”



“อ่า..ครับ...ป๊า”



รู้สึกเขินแปลกๆ ไม่ชินปาก อีกอย่างคือรู้สึกเหมือนแต่งเข้าบ้านพ่อตาแม่ยาย



สามแม่ลูกหายขึ้นไปบนห้องด้วยกัน ปล่อยให้ผมนั่งคุยไปเรื่อยกับประมุขของบ้าน พ่อกับแม่พี่ซีนกำลังจะไปดูงานต่างประเทศ อีกไม่กี่ชั่วโมงน้องชายของพ่อพี่ซีนจะมารับไปสนามบินด้วยกัน



ผมไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่ แต่รู้ความจริงอย่างหนึ่งว่า...อย่าว่าแต่พี่ชายพี่ซีนหวงเลยครับ พ่อพี่ซีนที่ทำเป็นมานั่งคุยด้วยเพลินๆ แต่ซักประวัติผมจนสะอาดก็ไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไหร่เลย



“ไปกันได้แล้วค่ะคุณ” แม่พี่ซีนเข้ามาตาม “โทษทีนะโซล ไม่ได้หาของว่างให้ทานเลย”



“ไม่เป็นไรครับคุณน้า”



“ไว้เจอกันอีกทีนะจ๊ะ”



“ครับ” พ่อพี่ซีนเดินเข้ามาตบบ่าผม “ฝากด้วยนะ”



“ครับป๊า”



“เรียกป๊าแล้วทำไมไม่เรียกม้าบ้างล่ะ”



“ม้ามีลูกชายแค่สองคนนะ” พี่ชายพี่ซีนขัดอีกตามเคย



“ได้ลูกชายเพิ่มอีกคน หล่อซะด้วย ดีๆ ม้าชอบ ถ้าม้ากลับมาไว้มาที่บ้านใหม่นะโซล”



“ได้ครับ”



ลูกชายคนโตของบ้านส่งเสียงไม่พอใจ พี่ซีนยืนอยู่ข้างพี่ชายตัวเอง เขามุ่ยหน้าใส่ผมขณะที่ใบหน้าเขาขึ้นสีแดงอ่อนๆ ผมยักไหล่น้อยๆ ก็จะให้ทำไงได้ล่ะ พ่อตาแม่ยายเอ็นดูผมซะขนาดนี้ J











“ออกมากับกูดิ๊”



ผมอยู่บ้านพี่ซีนจนถึงช่วงค่ำ ตอนนี้พี่ซีนกำลังทำอาหารอยู่ในครัว พี่ชายเขาก็เดินหน้านิ่งเข้ามาเรียก ผมเดินตามออกมาข้างนอก อีกคนจุดบุหรี่ยี่ห้อดังสูบ ผมอยากถอยตัวให้ห่างจากเขาเพราะเดี๋ยวพี่ซีนไม่ให้เข้าใกล้อีก



“เอาไหม”



“ไม่ครับ”



“ไม่สูบ?”



“เลิกแล้วครับ พี่ซีนไม่ชอบ”



“หึ” เขาจุดยิ้มมุมปาก “ทำได้แค่เลิกบุหรี่เหรอวะ”



“คุยกับผมตรงๆ เลยดีกว่า”



“กูก็ไม่ได้พูดอ้อมค้อมนะ” พวกเรายืนอยู่ข้างบ้าน ไฟจากในบ้านสาดแสงมาได้นิดเดียว แต่ผมเห็นแววตาไม่ชอบใจได้ชัดเจน



“มึงหลอกน้องกูเปล่าวะไอ้เหี้ย น้องกูยิ่งอ่อนๆ อยู่ด้วย มันคบกับมึงเร็วจัง”



“คือผม...”



“อยากกระทืบมึงฉิบหายแต่เดี๋ยวน้องกูงอแง แม่งมีดีอะไรมาทำให้น้องกูโกรธกูฮะ”



เขาดูหัวเสีย และเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าด้วยซ้ำ



“อย่างไอ้ซีนแม่งไม่น่าจะไว้ใจใครเร็วขนาดนี้”



“ผมรักพี่ซีน”



“เหอะ”



“ผมไม่มีอะไรมายืนยันนอกจากคำพูด ผมขอแค่เวลาให้ผมได้แสดงให้พี่เห็นว่าคำพูดของผมมันจริงหรือเปล่า แต่ถ้าพี่จะบอกให้เลิกยุ่ง ผมบอกเลยว่าไม่เด็ดขาด”



“คำพูดดีนี่”



“ขอบคุณครับ”



เขาตวัดสายตามอง ดุนลิ้นข้างกระพุ้งแก้ม “กูไม่เห็นความดีเหี้ยอะไรในตัวมึงทั้งนั้น แต่ที่กูยอมเพราะน้องกูรักมึง”



ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง มีญาติแต่ก็ไม่ได้รักใคร่อะไรกันมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าผมไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้ชายตรงหน้าในฐานะพี่ชายของคนคนหนึ่ง แต่ถ้าลองคิดว่าผมเป็นเขา ผมก็หวงและห่วงพี่ซีนมากเหมือนกัน



“ซีนเคยล้ม เลือดไหลเป็นทาง ขาอักเสบแค่ยืนยังจะยืนไม่ไหว กูแทบอยากอุ้มมันไว้ตลอดเวลาแต่มันงอแงอยากเดินเอง...มันไม่ล้มอีกเพราะกูจับมันไว้ตลอด และทั้งๆ ที่มันอยากเดินเองแต่มันก็กำมือกูแน่นมากเหมือนกัน”



“…”



“กูไม่อยากให้น้องล้ม รู้ว่าทำแบบนั้นโตไปมันแย่แน่ๆ แต่ก็คิดว่ามีกูอยู่ทั้งคน”



“…”



“กูทนดูน้องกูเจ็บไม่ได้จริงๆ แต่มันคงถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือให้น้องกูเดินเองแล้วใช่ไหม”



ผมอยากบอกเขาว่าพี่ซีนมีผมอยู่ ถึงผมไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเราจะไม่ล้มลง แต่ถ้าเมื่อวันนั้นมาถึงเราจะประคับประคองซึ่งกันและกัน



“ตอนเด็กๆ กูชอบแกล้งมันนะแต่พอมันร้องไห้ก็เป็นคนปลอบมันตลอด...”



เขาอัดควันเข้าปอดเหมือนพยายามระงับอารมณ์ พี่ชายพี่ซีนมองตามควันสีเทาที่กลืนหายไปกับความมืดยามค่ำคืน



“ตอนนั้นเห็นมันร้องไห้แล้วตลกดี”



“…”



“แต่ถ้ามึงทำมันร้องไห้กูไม่ตลกด้วย เข้าใจนะโซล”



ผมอ่านแววตาเขาไม่ออก รู้แต่ว่ามันไม่ใช่ความยินดี



“วันนั้นพี่กระทืบผมได้เลย”



ไม่เป็นอะไรเลย แค่นี้ก็ดีแล้ว เพราะผมรู้ว่าวันหนึ่งเขาจะเห็นสิ่งที่ผมทำและยอมรับว่าผมสามารถดูแลน้องชายของเขาได้ดีไม่น้อยไปกว่าเขาเลย



“แต่ถ้าร้องไห้เพราะมีความสุขนี่ไม่นับใช่ไหมครับ”



พี่ชายคนรักส่งเสียงเหอะ เขาใช้เท้าขยี้บุหรี่ที่ถูกทิ้งลงบนพื้น



“มั่นใจจังนะ”



“มีอะไรอีกไหมครับ พี่ซีนอยู่ในบ้านคนเดียว”



“ยังเหลืออีก”



จังหวะที่ผมกำลังจะอ้าปากถาม...พี่ชายพี่ซีนก็พุ่งเข้ามา...



ผัวะ!



ไอ้เหี้ย...มือหรือตีน



“ที่มึงมายุ่งกับน้องกู ล่อลวงน้องกู ทำมันโกรธกูเพราะกูด่ามึง แล้วคืนนี้ยังมานอนบ้านกูอีก”



ไปโกรธกันตอนไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับผมวะ ผมขยับปาก ร้าวไปทั้งกรามแล้วมั้ง รู้แล้วว่าแม่งไม่พอใจจริงๆ ที่มาแย่งน้องไป



“ทั้งหมดรวมในหมัดเดียว นี่โปรโมชั่นสุดๆ เลยนะ”



ควรดีใจสินะ ผมกัดฟันยิ้มรับ “สิทธิพิเศษสำหรับน้องเขยใช่ไหมครับ”



ผัวะ!



“ส่วนนี่คือที่มึงกวนตีน”



ผมได้รสฝาดของเลือด แค่ฟันไม่หลุดก็เป็นบุญแล้วมั้ง เชี่ยหมัดหนักฉิบหาย!



พอพวกเราเดินเข้าไปในบ้าน พี่ซีนกำลังจัดโต๊ะอาหาร เขาตกใจมากที่เห็นใบหน้าผม ในตอนนั้นผมอยากโดนชกอีกสักหมัดเพื่อเรียกคะแนนสงสาร พี่ซีนหันไปต่อว่าพี่ชายของตัวเอง เขาทำเป็นเหมือนไม่สนใจแต่ดูก็รู้ว่าหัวเสียที่โดนน้องโกรธ



และคืนนั้นที่คนเจ็บอย่างผมควรจะมีคนดูแลเอาใจใส่ไม่ห่าง แต่ไอ้เฮียคัทของพี่ซีนดันมาฉกตัวพี่ซีนไปนอนกับตัวเองหน้าตาเฉย



ผมนอนมองเพดานในห้องนอนของพี่ซีน น้ำแข็งก็ต้องประคบเอง ยาก็ต้องทาเอง



แม่ง ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่แฟนนะ...







               

[Scene’s Part]



“เฮียจะไปแล้วเหรอ”



“ไม่ไปมั้ง มาถึงสนามบินแล้วเนี่ย ทำหน้าหงอยทำไม” ผมยืนอยู่กับเฮียคัทสองคน ป๊าม้ามาส่งแต่เพราะมีงานด่วนที่บริษัทเลยทิ้งผมไว้ที่นี่กับเฮีย



“แล้วจะมาอีกไหม”



“มึงเป็นเด็กเหรอวะซีน” เฮียคัทหัวเราะ เดินเข้ามากอดคอ



“อะไรเล่า”



“บินไปหาเฮียบ้าง เฮียคิดถึง”



“อือ ถ้าว่างนะ”



ครั้งก่อนที่มาส่งเฮียคัทว่าใจหายแล้ว แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกใจหายยิ่งกว่า



“โตแล้ว ไม่มีเฮียปกป้องแบบเด็กๆ แล้วนะ อย่าไปงอแงใส่ไอ้เด็กโซลมันมากล่ะ น่าเกลียดจะตายตอนมึงร้องไห้น่ะ”



“ไม่เคยงอแงซะหน่อย..”



“หึ” เฮียใช้กำปั้นเขกหัวผมเบาๆ ก่อนจะกดหัวผมซบกับไหล่ตัวเอง “ไม่ต้องกลัวนะซีน เฮียและป๊ากับม้าอยู่ข้างซีนเสมอนะ”



“..ฮึก..”



ผมกอดเฮียแน่น อุ่นใจที่มีเฮียอยู่เสมอเพราะผมรู้ว่าเขาจะปกป้องผมจากทุกอย่าง



“เนี่ยนะไม่งอแง” มือนั้นลูบหลังผมเบาๆ “เดี๋ยวไอ้โซลมารับ มึงก็ลืมเฮียแล้ว”



“ผมรักเฮีย”



“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดีๆ มีอะไรให้บอกเฮียนะ”



“อื้อ” ผมผละออก จะว่าอายก็อายที่น้ำตาแตกกลางสนามบินแต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อย



“พูดก็มาถึงเลย ตายยากเว้ย”



“ขอบคุณที่อวยพรให้น้องเขยนะครับ” ไอ้โซลว่า ริมฝีปากมันยกยิ้มจนเห็นเขี้ยว



ความสัมพันธ์ของสองคนนี้จะว่าดีก็ไม่เชิง มันเหมือนเฮียคัทจำใจมากกว่า และทั้งที่เคยโดนต่อยไปแล้วไอ้เด็กตัวโตนี่ก็ไม่ได้กลัวพี่ชายผมเลย



“ไอ้ห่านี่ กวนตีนฉิบ” เฮียถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “..แต่ก็ดีจะได้อยู่กับน้องกูนานๆ”



“เฮียจะซึ้งทำไมล่ะ!”



“น้ำตาแตกอีกแล้ว เฮียไปเรียนนะเว้ยไม่ได้ไปรบหรือมึงทำอะไรน้องกูวะ”



“เฮ้ยเปล่าพี่ เมื่อคืนยังเขินที่ผมหยอดอยู่เลย”



เฮียคัทโยกหัวผมไปมา ดึงผมเข้าไปกอดแน่นๆ แล้วดันผมไปหาไอ้โซล



“เอาไปโอ๋ต่อที กูโอ๋มายี่สิบกว่าปีแล้ว เมื่อย”



ไอ้โซลโอบผมไว้หลวมๆ มันไม่ใช่การจากลาที่น่าเศร้าเพราะเดี๋ยวเฮียก็กลับมา แต่มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก...ผมเคยคิดว่าผมโตแล้ว แต่เหมือนกับว่าผมเพิ่งเคยได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตบทแรกเท่านั้นเอง



“หวังว่ากูจะไม่ได้กระทืบมึงนะ”



“ไม่รู้สิครับ แต่ไม่คิดว่าจะมีวันนั้นนะ”



ไอ้โซลกุมมือผม ในท่าทางขี้เล่นแฝงความจริงจังเอาไว้ในแววตา



เฮียคัทหลุดยิ้มออกมาบางๆ หันหลังเดินเข้าเกทไปโดยไม่พูดอะไร



ผมเป็นเด็กที่หลบอยู่หลังพี่ชาย เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เด็ก...และยังคงเป็นอย่างนั้นเสมอมา



โลกมันโหดร้าย เป็นประโยคที่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเจอกับตัว



อย่างที่ม้าว่า...จะให้ทุกคนมาชอบเรามันเป็นไปไม่ได้ ผมพบเห็นแต่คนที่ชื่นชอบ มองมาด้วยแววตาชื่นชมตั้งแต่เล็ก อาจเพราะฐานะดี รูปร่างหน้าตาดี เรียนดีหรืออะไรก็ตามแต่



ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเหมือนกับว่าไม่เคยเดินบนเส้นทางขรุขระเพราะมีพี่ชายคอยให้ขึ้นขี่หลังอยู่เสมอ...ตอนนี้ผมควรลงเดินเองได้แล้วสินะ



ควรออกหน้าเผชิญกับปัญหา ออกจากที่กำบังและก้าวผ่านอุปสรรค์ด้วยตัวเองเสียที



ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ว่าผมจะต้องอยู่คนเดียว โดดเดี่ยว เพราะวันไหนที่ผมเหนื่อยล้า ก็ยังมีอ้อมกอดของครอบครัวที่เปิดอ้ารับผมเสมอ



ผมกระชับมือคนข้างๆ แน่น ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร สิ่งที่ผมจะทำคือกุมมือคู่นี้ไว้ให้แน่นกว่าเดิมและเราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน





ต่อด้านล่างค่ะ





หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 31-08-2017 21:23:27
.

.

.


บทส่งท้าย







“กินข้าวไหน”



“ไปกินกับพวกไอ้ทิมไอ้โฟร์เปล่าล่ะ”



“อย่าเอาเพื่อนมาอ้างได้ไหมถ้าจะไปหาเด็กมึงน่ะ”



“พวกมันอยู่คณะเดียวกัน ไปหาใครก็เหมือนกันนั่นแหละ”



“หราาาาา” ไม่ใช่แค่ไอ้จั๊มพ์แต่กิ๋งกับพีมที่กำลังเก็บของก็ประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน



ผมมุ่ยหน้า ชอบรุมตลอด “พีม อย่าไปตามพวกนี้มากนะรู้ไหม” ผมว่า เดี๋ยวนี้แซวเก่งขึ้นทุกวัน



“เราเพิ่งรู้ว่าทำแบบนี้ก็สนุกดี”



แหนะ ดูสิ “แล้วจะไปด้วยกันเปล่าเนี่ย”



“ไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้มีนัดที่อื่นแล้ว” กิ๋งเป็นฝ่ายตอบ เหล่ตาไปหาพีม “ก็ไม่ใช่ซีนคนเดียวซะหน่อยที่โลกเป็นสีชมพู”



พีมตีกิ๋งเบาๆ เจ้าตัวยู่หน้า ผมยิ้มขำ พีมคุยกับคนคนหนึ่งอยู่และดูจะไปกันด้วยดีเสียด้วย



“กิ๋งก็รีบๆ มีน้า จะเรียนจบแล้วเนี่ย”



“ดูถูกเราเหรอจั๊มพ์” สาวผมบ๊อบสะบัดหน้าขึ้น “จะว่ามีก็มีน่ะนะ แต่ฉันมีชีวิตเพื่ออธิษฐานให้ผู้ชายได้กันเท่านั้นแหละจ่ะ!”



“โหย อุดมการณ์แน่วแน่”



ผมหัวเราะ ที่จริงก็เห็นว่ากิ๋งมีคนคุยๆ อยู่เหมือนกัน โบกมือลาสองสาว ขึ้นรถไอ้จั๊มพ์ไปคณะสถาปัตย์ฯ ที่ช่วงนี้ผมไปบ่อยเหลือเกิน



หลายอาทิตย์แล้วที่พวกเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ไปไหนมาไหนด้วยกัน ผมไม่ได้เข้าไปดูในทวิตเตอร์แต่ก็พอรู้ว่าแฟนคลับน่าจะรู้แล้วแหละว่าพวกเราคบกันจริง อาจเพราะพวกเราเพิ่งกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไม่นานเลยยังไม่มีใครกล้าเข้ามาถาม ยิ่งเห็นผมคนเดียวยิ่งเหมือนไม่มีใครกล้า นั่นทำให้ผมคิดว่าช่วงที่ผ่านมาสภาพผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือยังไง แต่พอพวกเธอเห็นผมกับไอ้โซลนี่เดินเข้ามาทักกันไม่หวาดไม่ไหวเลย



“ว่าไงจ๊ะ ซีน ถาปัด”



ผมจิ๊ปากใส่ไอ้โฟร์ “เดี๋ยวโดน”



“ก็แหม มาบ่อยเหลือเกิน นึกว่าซิ่วมาคณะกูแล้ว”



ทั้งโต๊ะที่มีทั้งเพื่อนผมและเพื่อนไอ้โซลยิ้มขำกันใหญ่ ผมนั่งลงข้างไอ้โซล โรงอาหารสถาปัตย์ฯ คนเยอะอย่างเดิม เพิ่มเติมคือหลายคนมองมาทางนี้ อาจเพราะไอ้น้องกันที่ผิวปากแซวเมื่อกี้หรือไม่ก็เพราะสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับไอ้โซล



“เอาจริงๆ นะกูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเฮียคัทจะปล่อยมึงลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้”



“ผมรักน้องเขานะพี่ ไม่ได้ขโมยทองเขา”



“สำหรับเฮียคัทไอ้ซีนนี่ยิ่งกว่าเพชร” ไอ้ทิมว่าพลางทำหน้าแขยง “กูเคยโดนมาแล้ว นี่มึงไม่โดนอะไรมั่งเหรอ”



“ใครบอกล่ะ โดนมาสองหมัดเนี่ย”



“เชี่ย!” เพื่อนผมอุทานพร้อมกัน “แค่สองหมัด!?”



“นี่พวกมึง เฮียกูไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นไหม ที่ต่อยเพราะมึงกวนตีนเฮียด้วยเหอะ” ประโยคหลังผมหันไปหาคนข้างๆ



“อ้าว วันนั้นพี่ยังเข้าข้างผมอยู่เลยนะ”



“ก็เฮียทำเกินไป แต่มึงไม่เป็นอะไรแล้วนี่”



วันนั้นผมตกใจแทบแย่ ไม่รู้ว่าออกไปด้วยกันตอนไหนแต่พอผมทำอาหารเสร็จก็ไม่เห็นอยู่ในบ้านทั้งสองคนแล้ว ผมเห็นว่านั่งอยู่ในบ้านด้วยกันได้ตั้งหลายชั่วโมง คิดว่าเฮียคงไม่ทำอะไรไอ้โซล ที่ไหนได้กลับมาปากแตกซะงั้น พอผมโกรธเฮียก็ไม่สะท้กสะท้านอะไรด้วย หนำซ้ำยังมาลากผมไปนอนห้องตัวเองอีก



“ถามจริง พวกแฟนคลับเขาไม่รู้จริงๆ เหรอว่าพวกมึงคบกัน”



“กูว่าก็น่าจะรู้แล้วแหละ” รูปก็เห็นขนาดนั้น ถึงพี่ปุ้ยจะแก้ให้ว่าแค่ซ้อมกันเฉยๆ เพื่อไม่ให้พวกเราเสื่อมเสียก็เถอะ แต่ทั้งจับมือกันในที่สาธาณะ ทุกวันนี้ก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน มันก็น่าจะรู้แล้วนะ



“มึงไม่ประกาศไปเลยล่ะ”



“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย แค่พวกเรารู้กันก็พอแล้ว”



“โอย กูอยากจะอ้วก”



“แค่ใจเราตรงกันก็เพียงพอแล้วใช่ไหมครับที่รัก” ไอ้ทิมทำเสียงหล่อ



“กูตลก” ไอ้โฟร์หัวเราะ “กูไม่คิดจะได้เห็นไอ้ซีนในมุมนี้เลยจริงๆ”



“กูหมายถึงแค่คนใกล้ตัวรับรู้ก็พอแล้วโว้ย ไม่ใช่แบบนั้น!”



“อะจ้าาาา”



กวนตีน









               

“มึงไม่มีเรียนหรือไง”



“ทีพี่ยังไม่มีเลย ผมขอไม่มีบ้างไม่ได้หรือไง”



“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ”



“ล้อเล่นครับ เดี๋ยวไปส่งพี่แล้วจะกลับไปทำงานแล้วเนี่ย”



ใต้ตึกคณะสถาปัตย์ฯ มีคนอยู่ประปราย แต่ไปแน่นขนัดในร้านน้ำ ผมเลยได้ชาเขียวปั่นออกมานั่งกินอยู่ข้างนอก ร้อนก็ร้อน จะกลับก็ไม่ได้โดนไอ้เด็กนี่รั้งให้นั่งอยู่นี่ก่อน



“ขึ้นไปนั่งคุยบนรถก็ได้มั้ง”



“ไม่เอา มันเหมือนผมเตรียมตัวกำลังจะไปส่งพี่”



“กูร้อน เหงื่อออกเต็มแล้วเนี่ย”



“เดี๋ยวผมพัดให้นะครับคุณชาย”



ไอ้โซลใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหน้าให้ ก่อนจะใช้สมุดพัดให้อย่างที่พูดจริงๆ



“สบายไหมครับ”



“อยากได้แอร์อยู่ดี”



“แอร์ห้องผมเย็นนะ”



“กูขี้หนาวซะด้วยสิ”



“มีผมให้กอดอยู่ทั้งคน ยังกังวลอะไรอีก”



มันยกยิ้มได้ใจ เออ ผมเถียงแพ้!



เหงื่อมันก็ไหลย้อยลงมาไม่หยุด สงสารนะ อยากเอาผ้าเช็ดหน้าอีกด้านซับให้เหมือนกัน เหงื่อตัวเองก็ออก ร้อนก็ร้อนเหมือนกันยังอาสาพัดให้ผมอีก แต่ช่วยไม่ได้ ก็ใครให้มันชวนมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ สมน้ำหน้าแล้ว



“นวดให้ด้วยดีไหมครับ”



“เดี๋ยวถีบให้ ไม่ต้องเขยิบเข้ามา”



มันยังกวนไม่หยุด ทำตัวเหมือนผมเป็นคุณชายจริงๆ แค่นี้คนอื่นที่มองมาก็มองผมแปลกๆ แล้ว คิดว่าผมใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญให้มันทำแบบนี้หรือไง มันทำเองทั้งนั้น



“พอแล้ว”



“ทำไมล่ะครับ”



“คนอื่นเขาคิดว่ามึงเป็นทาสกูน่ะสิ”



“ทั้งที่จริงเราเป็นแฟนกันน่ะเหรอ”



ผมดึงสมุดมาจากมือมันแล้วเคาะหัวมันไปทีหนึ่ง



“เอ่อ...พี่โซลพี่ซีนคะ”



“ครับ?”



“หนูให้ค่ะ”



รุ่นน้องตรงหน้ายื่นพัดให้ “ที่จริงหนูสั่งทำมาขายให้คนที่ชอบพวกพี่ นี่ยังไม่เคยใช้นะคะ”



“เท่าไหร่ครับ พี่ขอซื้อดีกว่า” ไอ้โซลรับมาพลางควักกระเป๋าตังค์



“ไม่เอาค่ะๆ หนูอยากให้ แค่พวกพี่รับไว้ก็ดีใจแล้วค่ะ”



“ขอบคุณนะครับ น่ารักมากเลย” ผมว่า พัดในมือเป็นรูปผมกับไอ้โซลหัวโต ด้านหลังมีชื่อของผมกับมันด้วย



“พี่ซีนบ่นร้อนพอดี ขอบคุณมากครับ”



“งั้นหนูขออนุญาตถ่ายรูปได้ไหมคะ ถ่ายพวกพี่กับพัดน่ะค่ะ”



“ได้ครับ”



ไอ้โซลชูพัดขึ้น นึกว่าน้องจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่าย ที่ไหนได้น้องเอากล้องดิจิทัล! ผมเพิ่งสังเกตว่ากระเป๋าที่น้องสะพายอยู่คือกระเป๋ากล้อง รูปแรกแฟลชสาดเต็มตา น้องบอกขอโทษตื่นเต้นไปหน่อย ถ่ายไปหลายรูปจนน้องเขาพอใจก็ขอตัวไปเรียน



เหมือนกับว่าพอเห็นน้องคนแรกเดินเข้ามาคุยแล้วพวกผมคุยเล่นด้วยคนอื่นๆ ก็เลยเข้ามาหาบ้าง ยืนล้อมเป็นวงใหญ่เลย เหมือนจะอึดอัดแต่ไม่เลย พวกเขาพัดใหญ่พวกผมด้วยซ้ำจนผมเกรงใจ



“พี่ซีนย้ายคณะเหรอคะ” นั่นไง ถามเหมือนไอ้โฟร์เลย



“อยู่บัญชีเหมือนเดินแหละครับ”



“ได้ดูซีรีส์บ้างไหมคะ ตอนหน้าก็จบแล้วน้า”



“ไม่ได้ดูเลยครับ พี่ซีนไม่ให้ดู”



“อ้าว ทำไมล่ะคะ”



“พี่อายครับ”



“อายอะไรค้าาาาาาา”



อายที่ตัวเองแสดงครับ พวกน้องใจเย็นๆ



“แล้วพี่ซีนห้ามพี่โซลได้ด้วยเหรอ ถึงพี่โซลดูพี่ซีนจะรู้ได้ไง”



“นั่นน่ะสิ พี่ซีนจะรู้ได้ไงน้า”



“พี่โซลอ่าาาาาาา”



มันดูชอบใจที่ทำให้พวกเธอโอดครวญกันได้ ถึงผมจะไปค้างที่ห้องมันบ้างก็จริงแต่ไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลาเสียหน่อย



“ฉากในห้องครัวถ่ายไปกี่เทคคะ”



“เทคเดียวผ่านครับผม” ไอ้โซลว่าพลางขยิบตา เสียงวี๊ดว๊ายก็ดังขึ้นตามทันที ได้ยินเสียงใครแว่วๆ ว่าทำบ่อยเหรอด้วย ไม่ใช่นะครับ!



“พวกพี่คิดว่าฉากไหนยากสุดคะ” พวกผมเหมือนโดนพิธีกรรายการสักรายการสัมภาษณ์



“ทุกฉากที่มีพี่ซีนครับ”



“ทำไมล่ะคะ”



“เพราะพี่อยากเล่นนอกบทตลอดเลย”



“ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”



เอาเข้าไปเถอะ...เอาไปเข้า ผมขบริมฝีปาก คว้าพัดจากมือไอ้คนข้างๆ มาพัดเองซะเลย อากาศร้อนดีนัก!



“พี่ซีนล่ะคะ”



“อืม...ฉากร้องไห้ครับ”



“แต่ที่ดูพี่ซีนแสดงดีมากเลยนะคะ ร้องออกมาเยอะมาก”



ไอ้โซลหลุดขำ ผมเลยชกไปทีไหล่มันทีนึง



“พี่โซลทำอะไรพี่ซีนหรือเปล่า”



“เฮ้ยพี่เปล่า” มันทำหน้าเหรอหรา “..หมายถึงไม่ได้ทำตรงๆ น่ะนะ”



“ห้ามรังแกพี่ซีนของพวกเรานะ!”



“พี่ไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย” ที่จริงมันทำไปแล้วต่างหาก



“แล้วพี่ซีนร้องไห้ได้ยังไงคะ!”



“พี่แค่พูดว่าหมาพี่ซีนจะตายเท่านั้นเอง”



“พี่โซลนิสัยไม่ดีเลย!!!!”



“ทำไมพี่โซลเป็นคนแบบนี้!”



“โถ่ ปิ๊กมี่ของพี่ซีน”



ขวัญใจแฟนคลับโดนโป้งซะแล้วมั้งเนี่ย ผมยิ้มขำ พยักหน้าเห็นด้วยกับทุกคน



“ได้ทีรุมเลยนะครับ”



ผมลอยหน้าลอยตา หมั่นไส้มานานแล้วเหอะ



“พี่ซีนชอบอะไรนอกจากชาเขียวไหมคะ”



“ไม่ค่อยมีแล้วครับ”



“พี่โซลชี้ตัวเองทำไมคะ หนูหมายถึงของกินไม่ใช่คน…หรือว่านี่กินได้ด้วยเหรอคะ”



“พี่โซลกินได้ปะคะพี่ซีน”



มาถามผมทำไมกัน แล้วดูสายตาแต่ละคนสิ พวกน้องเขาเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอทำไมมันกะลิ้มกะเหลี่ยมได้ขนาดนั้น ผมเลยยกพัดขึ้นมาบังหน้าเหลือแต่ตาเอาไว้



“จะกินได้ไงเล่า”



“นี่ไม่มีเรียนกันเหรอครับ”



“ไล่เหรอคะพี่โซล”



“พวกเราคุยกับพี่ซีนอยู่นะคะ”



ไอ้พระเอกอ้าปากค้าง เหมือนว่าจะตกจากบัลลังก์คนโปรดแล้วจริงๆ



พวกเธอหัวเราะ “เดี๋ยวจะขึ้นเรียนแล้วค่ะ”



“บอกมันไปขึ้นเรียนด้วยหน่อยสิ” ผมว่า ชี้ไปที่คนข้างๆ



“โดดเลยค่ะพี่โซล”



“นั่งอยู่นี่แหละค่ะ เรียนทำไม”



อ้าว ทุกคนครับ ทำไมทำงี้



คุยกันไปเรื่อย บางคนก็ขอตัวไปเรียนเลยเหลืออยู่ไม่กี่คน พวกเธอถ่ายรูปพวกผมไปเยอะมากทั้งที่เหงื่อผมออกเต็มตัวขนาดนี้ แล้วผมก็ยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้ว



“พรุ่งนี้มีซีนจะมาอีกไหมคะ หนูจะเอาของมาให้”



“อืม...ไม่รู้เหมือนกัน” พวกผมเดินมาที่ลานจอดรถของคณะ พวกน้องเขาก็ขอตามมาส่ง ผมหันกลับไปหาที่ไอ้โซลคุยกับน้องคนหนึ่งอยู่ด้านหลัง “โซล พรุ่งนี้ตกลงว่าไง”



“แล้วแต่พี่เลยครับ”



“งั้นพรุ่งนี้พี่มาอีกก็ได้”



ที่จริงยังตกลงกันไม่ได้ว่าตอนเที่ยงจะออกไปกินข้าวข้างนอกมหา’ลัยดีหรือเปล่า ไม่ใช่อะไรหรอก ผมเพิ่งนึกได้ร้านเบเกอรี่ที่เฟิร์สเคยบอกเลยถามเฟิร์สว่ามันอยู่ตรงไหน จะให้ไอ้โซลเลยพาไปซื้อด้วยเพราะตอนเย็นมันไม่ว่าง แต่ไม่เป็นไรไปวันหลังก็ได้



เกือบจะถึงรถไอ้โซล ผมเลยบอกให้พวกเธอกลับไปเรียนได้แล้ว กำลังจะโบกมือลา น้องคนหนึ่งก็เอ่ยเรียกพวกผมเอาไว้ก่อน



น้องเขาดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูด เพื่อนข้างตัวก็ดูหลุกหลิกเหมือนคนทำผิด



“เอ่อคือ...ที่พวกพี่จับมือกันกลางห้างวันนั้น พวกพี่เป็นอะไรกันเหรอคะ”



เป็นครั้งแรกที่พวกเธอถามเรื่องนี้หลังจากพวกผมกลับมาเป็นเหมือนเดิม ที่น้องเขาดูกล้าๆ กลัวๆ แบบนี้ อย่าบอกนะว่าน้องเขาใช้เวลาเตรียมใจกันมาเป็นอาทิตย์



เกิดความเงียบขึ้น ผมแค่อึ้งเล็กน้อย เพื่อนคนอื่นของน้องก็คอยให้กำลังใจคนที่กล้าถามเรื่องนี้กับพวกผมตรงๆ ผมแอบขำในใจ น้องเขาสูดลมหายใจเข้าลึก



“รุ่นพี่รุ่นน้องกันแน่เหรอคะ”



น้องเขาพยายามทำเหมือนกำลังพูดเล่นแบบแต่ก่อน ต่างกันที่ตอนนี้พวกน้องเขาไม่ได้เล่นและในใจลึกๆ ผมรู้ว่าผมเขาก็รู้คำตอบ



ผมหันไปมองไอ้โซลที่ก็มองผมอยู่เหมือนกัน ให้ตาย...ยังไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคนอื่นเลยนะนอกจากครอบครัวและเพื่อน ผมเม้มปากแน่น ไม่ได้อายที่จะบอก ผมหมายถึง...ผมเขิน ความร้อนมาสุมกันที่แก้ม หาอะไรมาปิดหน้าก็ไม่ได้ เก็บพัดเข้ากระเป๋าไปแล้ว



พวกเธอเงียบ จ้องผมอย่างรอคำตอบ กลายเป็นผมที่ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกบ้าง ผมเอื้อมมือไปกุมมือคนข้างๆ เอาไว้...



“รุ่นพี่รุ่นน้องไม่จับมือกันหรอก..”



เห็นประกายความดีใจอยู่ในแววตาของมัน...เข้าใจแล้ว นี่สินะคือสิ่งที่ผมควรรักษาเอาไว้



“ส..สรุปแล้วพวกพี่...”



ผมยิ้ม แม้หน้าจะร้อนไปหมดและข้างในอกพองโตจนจะระเบิด



“…”





@kungpeuak

‘พวกเราคบกันครับ’ ชัดเจนนะคะชาวโลกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก #โซลซีน



@behindsoulscene

170916 วันที่ได้เข้าใจคำว่าฟินจนวูบที่แท้จริง...ไปดูกันเอาเองค่ะทุกคน แอดจะร้องไห้แล้ว T_T pic.twitter.com/16lnSpZ2cs #โซลซีน



@oohhoo

พวกเราคบกันครับพวกเราคบกันครับพวกเราคบกันครับพวกเราคบกันครับพวกเราคบกันครับพวกเราคบกันครับพวกเราคบกันครับพวกเราคบกันครับ #โซลซีน



@iammeoww

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด นี่พี่ซีนพูดเองเลยนะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด #โซลซีน



@ishipyounaokay

ตรงนั้นมีคนอยู่ไม่เยอะ โทรศัพท์เราแบตหมดเลยไม่ได้ถ่าย คลิปที่แอดมินถ่ายมาเห็นแค่ครึ่งตัว ที่จริงตอนนั้นพี่ซีนจับมือพี่โซลด้วยค่ะ (ಥ﹏ಥ) #โซลซีน



@usKiioM

เป็นคู่แรกที่เราคิดว่ารักกันจริงแน่เลย และก็จริงๆ ด้วย!!!!!!!!!! T_______________________________________T #โซลซีน



@nongwaii

ย้อนดูโมเม้นท์เก่าๆ คือเห็นเลยนะคะว่าที่ชงไปเรื่องจริงทั้งนั้น โยนไม้พายของจริงโว้ยยยยยยย!!! #โซลซีน



@kukkrup

เราร้องไห้เลยอะ ดีใจมากๆ ที่กลับมาเป็นเหมือนเดิม แสดงว่าเคลียร์เรื่องที่บ้านแล้วใช่ไหมคะ #โซลซีน



@meengenmai

ไม่รู้ว่าปัญหาที่เจอคืออะไร แต่ขอบคุณที่พวกพี่ผ่านปัญหานั้นไปได้นะคะ เราลุ้นอยู่ทางนี้แทบตาย เห็นพี่ซีนตาแดงๆ แล้วปวดใจ ; _ ; #โซลซีน



@tingjating

ดูคลิปวนไปร้อยรอบแล้ว พี่ซีนหน้าแดงมากกกกกกก ฮือออออออ รักกันนานๆ นะคะ จะถวายตัวเป็นแฟนคลับคู่นี้ตลอดปัยยย T///////////T #โซลซีน



@ppreaSh

สิ้นสุดการชิป #โซลซีน คู่จิ้นในวันนั้น วันนี้เขาเป็นคู่จริงแล้วค่า!!!






End.









-----------------------------------

จบแล้วค่ะ เฮ้ T_T/ เป็นนิยายเรื่องแรกที่แต่งจบ ฮึกก แต่ก่อนคือแต่งครึ่งๆ กลางๆ ไม่เคยจบเลย

เกือบปีแหนะ ประคองมาอย่างทุลักทุเล มีทั้งช่วงที่ฮึด ที่ท้อแล้วก็ท้อมาก55555 การจะดึงสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาเนี่ย ยากจริงๆ แต่ก็จะฝึกนต่อไป T T/

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากนะคะ เป็นยังไงบ้างบอกกันได้ จะเก็บไว้พัฒนาต่อไปค่ะ

เจอกันเรื่องหน้านะคะ(ถ้ามีโอกาส) ฮี่ๆ ^ ^

+++ แจ้งข่าวค่ะ +++

เรื่องนี้จะได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ฟาไฉนะคะ ภายในสิ้นปีนี้จะได้เห็นโซลซีนออกมาเป็นรูปเล่ม ฮึกก


เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ ^-^

หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 31-08-2017 21:55:39
 :mc4: ดีใจด้วยค่ะที่แต่งจบแล้ว  :mew1:  ... แต่ก็ใจหายคิดถึงโซล&ซีน.... ชอบนะค่ะ. ขอสารภาพว่า...แอบหยุดอ่านตอนหน่วงๆด้วยค่ะ...(ขอโทษ  :call: ...คือคนอ่านใจบางมากกก) กลับมาอ่านอีกที่ตอนที่ไม่หน่วงแล้ว
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 31-08-2017 22:01:48
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะคะ ติดตามตลอดเลย สนุกมากๆเลยค่ะ รอเรื่องต่อไปอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 31-08-2017 22:15:00
โอ้ยยย

อยากจะชิปต่อเลยค่ะ

มาค่ะ ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว

หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 31-08-2017 22:18:27
ในที่สุดๆๆๆ พีคคือพี่ซีนเป็นคนพูดเองไง...ฮือออออออออ นี่คือฟินตามแฟนคลับไปด้วยแล้วเนี่ย

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 31-08-2017 22:49:55
จบได้อย่างน่ารักดีนะจ๊ะ  :z2: :z2:
แต่..ขอตินิ้ดดดดนึง เฮียคัตไม่ใช่พี่เขยจ้าไปเรียกอย่างนั้นได้อย่างไร
พี่เขย คือสามีของพี่สาวนะจ๊ะ / น้องเขยคือสามีของน้องสาว
โซลควรเรียกว่าพี่เมียจ้าาาา เพราะโซลคือน้องเขยเฮียคัต
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 31-08-2017 23:04:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 31-08-2017 23:14:58
นี่เข้าใจแฟนคลับเลยอะ ที่บอกฟินจนวูบ ดีใจจนร้องไห้
แต่คิดว่าคู่ชิปเราคบกันจริงๆก้กรี้ดดดแล้วว
โซลซีนอีสสเรียลลนะคะะ
ในที่สุดก้เดอนทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ยัฃไม่อยากให้จบเลยค่ะ
เรื่องนี้คือน่ารักมากกกก ตอนจีบกันคือหวานมาก เขินมากก
แต่พอดราม่าก้วูบบกันเลยทีเดียว แต่มันมีที่มาที่ไปสมเหตุสมผลของมันดีค่ะ
ฟีลกู๊ดน่ารักอบอุ่นซัก90% อีก10%นี่ยกให้ความหน่วง
ชอบความมั่นคงของโซลมาก โซลรักพี่ซีนมากกกแบบมากกจริงๆอะ
พี่ซีนก้น่ารักโดยเฉพาะเวลาเขิน เป็นคนน่าแกล้งมากกก
ถึงดราม่าจะเกินเพราะพี่ก้เถอะ แต่เราจะไม่ว่าแล้วเพราะพี่เรียนรู้แล้วว
แคร์แค่คนที่แคร์เรา แล้วชีวิตจะมีความสุขขึ้นเยอะค่ะ
ขอบคุณสำหรับริยายดีๆน่ารักๆแบบนี้นะคะ
รอตอนพิเศษและจะรอติดตามเรื่องต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: SweetyPhawin ที่ 31-08-2017 23:25:13
โซลน่าจะเรียกเฮียคัทว่าพี่แฟนนะคะ  พี่เขยใช้สำหรับคนที่จะมาเป็นแฟนกับพี่ของโซลนะคะ

รอรูปเล่มค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 01-09-2017 00:43:07
ขอบคุณสำหรับนิยายดีค่าาาา รักกกกก  :กอด1: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-09-2017 02:57:02
โหยยยยขำแฟนคลับ ฟินจนวูบ 5555555 อยากให้มีสเปเชียลตอนแฟนคลับอีกค่ะ อยากรู้จักแอดมิน 555555 สนุกมากเลย นี่เราอ่านมานานขนาดนี้เลยเหรอ ไม่อยากให้จบ ถึงจะเคยโกรธพี่ซีนแต่ก็ยอมให้นะคะ เพราะเป็นแฟนคลับปิ๊กมี่ 5555 ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆอีกเรื่องนะคะ จะติดตามเรื่องต่อไปแน่นอนค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: noppnopp ที่ 01-09-2017 07:25:57
เย้ จบอย่างสวยงาม

มาให้กำลังใจนะครับ

แล้วก็รอสอยรูปเล่มด้วย 5555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-09-2017 13:21:40
แฟนคลับนางน่ารัก 555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 01-09-2017 14:57:03
จบได้อย่างน่ารักดีนะจ๊ะ  :z2: :z2:
แต่..ขอตินิ้ดดดดนึง เฮียคัตไม่ใช่พี่เขยจ้าไปเรียกอย่างนั้นได้อย่างไร
พี่เขย คือสามีของพี่สาวนะจ๊ะ / น้องเขยคือสามีของน้องสาว
โซลควรเรียกว่าพี่เมียจ้าาาา เพราะโซลคือน้องเขยเฮียคัต

จริงด้วย ฮือออ ขอบคุณมากค่ะที่บอก คห.447 ด้วยนะคะ ; - ;;;
เราแก้ใหม่แล้วน้า ขอโทษด้วยค่ะ

หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 01-09-2017 20:49:39
หวานยาวไปค่ะ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-09-2017 22:55:31
จบแบบฟินๆ ชอบใจเฮียมากต่อยไปสองหมัด อิอิ
ทวิตตอนท้ายนี่มันใช่มากกกกกก มะไหร่คู่จิ้นช้านจะเป็นคู่จริงบ้าง อิจ #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-09-2017 23:20:55
จบแบบฟินๆ ขำแฟนคลับทิ้งไม้พาย ไม่ต้องชงไม่ต้องชิป เพราะคู่นี้เค้าเรียลค่ะ 555555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 02-09-2017 12:54:22
พี่คัทได้น้องเขย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: SIRINN ที่ 02-09-2017 19:46:38
อ่านจบแล้ว น่ารักมาก  :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PeachMint ที่ 03-09-2017 00:54:31
สิบ สิบ สิบ ไปเลยจ้า
ปวดแก้มไปหมด.  :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 04-09-2017 23:59:50
เรื่องนี้มันดีงามมากๆๆ o13
ขอบคุณค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก : ตอนที่ 30 + บทส่งท้าย (End.) - (31/8/60)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 05-09-2017 01:33:00
ขอบคุณคนแต่งจร้า เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 06-09-2017 15:31:38



ตอนพิเศษ



กันและกัน







“อะไร”



“มึงนั่นแหละอะไร”



“มึงนั่งจ้องกูทำไม”



“แล้วมึงนั่งหน้าบึ้งทำไม”



“…”



“ทะเลาะกับไอ้โซล?”



“เปล่า”



“โกรธมันฝ่ายเดียว?”



“…”



“กูเดาถูกเหรอเนี่ย”



ผมถอนหายใจให้เพื่อนสนิทแสนรู้



“มันทำอะไรให้มึงโกรธได้วะ เอาใจมึงจะตายไม่ใช่เหรอ”



“กูไม่ได้โกรธหรอก ก็แค่...”



“แค่?”



“มันทำงานตลอดเลย บอกแต่ไม่มีเวลา คือ...กูไม่ได้หมายความว่าต้องเจอกันทุกวัน อยู่ด้วยกันบ่อยๆ ขนาดนั้น แต่มึงเข้าใจกูใช่ไหมว่าปกติแล้วมันหากูบ่อย”



“ไม่โกรธเลยเนอะ”



ไอ้จั๊มพ์ยิ้มขำ “เครียดอะไรของมึง”



“ก็แค่รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เครียด”



“คิ้วขมวดตั้งแต่มาถึงแล้วนะ”



“ก็แค่ร้อน”



“แล้วที่พูดออกมาเมื่อกี้ล่ะ”



ผมจิ๊ปาก “แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ”



ไอ้จั๊มพ์พยักหน้าพลางขยับปากว่า ‘อ้อเหรอ’ อย่างน่าหมั่นไส้ อากาศร้อนอบอ้าวซะจนผมหาอะไรมากลบความร้อนรุ่มในใจตัวเองไม่ได้เลย ผมเปิดกระเป๋ากะจะหาอะไรขึ้นมาพัดก็คว้าได้พัดที่น้องแฟนคลับเคยให้มา เห็นหน้าไอ้คนที่ไม่ค่อยได้เจอหลายวันก็หยุดความคิดที่จะหยิบมันขึ้นมาพัดคลายร้อน



เครื่องมือสื่อสารสั่นพร้อมๆ กับหน้าจอที่สว่างวาบขึ้น ผมเพียงปรายตามองพอเห็นว่าเป็นใครก็เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่แตะต้องไอ้เครื่องที่สั่นขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง



“มันส่งข้อความมา?”



“อือ”



“แล้วไม่ตอบอะ”



“...”



“ตอบมันหน่อยเหอะ ป่านนี้กระวนกระวายไม่เป็นอันทำอะไรแล้วมั้ง”



“มันไม่สนหรอก ก็ทำงานอยู่ไม่ใช่ไง”



“นี่ขนาดไม่โกรธนะ ถ้าโกรธจะขนาดไหนวะ”



ผมกอดอก หันหน้าไปทางอื่น ให้ตาย ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้สักหน่อย แต่...อากาศมันร้อน ทำให้ผมหงุดหงิดไปหมด!



“นั่น โทรมาแล้ว”



ผมถอนหายใจอีกรอบ สุดท้ายแล้วก็หยิบขึ้นมากดรับจนได้



(อยู่ไหนครับ)



“มหา’ลัย”



“ทำอะไรอยู่เหรอครับ ไม่ตอบข้อความผมเลย”



“ไม่เห็น โทษที”



“เวลานี้พี่เลิกเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ จะไปไหนต่อหรือเปล่า”



“มีเรียนชดน่ะ”



“อ่า...ครับ” เสียงมันเงียบไปพักหนึ่ง “เย็นนี้ผมอาจไม่ได้ไปหา...”



“อืม ไม่เป็นไร ทำงานไปเถอะ”



ผมกดตัดสาย ไอ้โซลเป็นอย่างนี้มาเป็นเดือนแล้ว ผมไม่รู้หรอกนะว่าคณะมันทำงานยังไงบ้างน่ะ แต่กำลังพยายามเข้าใจอยู่ ผมแค่กำลังอยู่ในช่วง ‘พยายาม’



“คำว่าไม่เป็นไรของมึงไม่ห้วนไปเหรอ”



“พูดดีด้วยแล้วนะ”



“สะบัดหางเสียงใส่ขนาดนั้นน่ะนะ”



ผมกลอกตา ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่าคณะมันงานเยอะหรอก เพื่อนผมสองคนก็อยู่คณะนั้น แต่พวกเราไม่ได้นัดเจอกันบ่อยมากขนาดที่ทุกวี่ทุกวันเลยไม่รู้ว่ามันจะไม่มีเวลาขนาดนี้



ข้างนอกก็ร้อน ข้างในห้องก็หนาว แล้วฝนยังมาตกอีก เสื้อกันหนาวผมก็ไม่ได้เอามาด้วย แต่ดีนะที่ผมพกร่มติดกระเป๋าเอาไว้ อาจารย์พูดอะไรไม่เข้าหัวสักนิดเมื่อเพื่อนสนิทของผมเอาแต่พูดทั้งคาบ โทรศัพท์ผมสั่นอีกครั้งและก็เป็นคนเดิมที่ส่งข้อความมา



soul.kr ผมมารับนะ

soul.kr รออยู่ข้างล่างตึกนะครับ



ผมชะงักไปพักใหญ่...ไหนบอกไม่ว่างไง ทั้งที่ไม่พอใจมันอยู่มากและคิดอยากจะปล่อยให้มันนั่งรอไปนานๆ แต่มือผมกลับกวาดของบนโต๊ะลงกระเป๋า อีกไม่กี่นาทีก็เลิกเรียนแล้ว ผมบอกไอ้จั๊มพ์ว่าจะออกไปก่อน มันเหมือนรู้ใจ แบะปากให้ ผมอาศัยตอนที่อาจารย์หันหลังย่องไปหลังห้องแล้วเปิดปิดประตูให้เสียงเบาที่สุด



ผมปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ไม่อยากรอลิฟท์เลยวิ่งลงมาจากชั้นห้า ไอ้โซลนั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะตัวยาว พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าเสื้อมันเปียกไปครึ่งตัว



“เลิกเร็วจังครับ”



“ทำไมเปียกแบบนี้”



หน้าตามันอิดโรย ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าช่วงที่เคยไปซ้อมการแสดงกับมันก็เคยเจอมันในสภาพนี้ แต่ไม่นึกว่าจะไม่มีเวลามากขนาดนั้น



“ผมกลัวพี่กลับก่อนก็เลยรีบมา”



“ไหนว่าทำงานไง”



“เดี๋ยวพาพี่ไปกินข้าวก่อนแล้วผมถึงจะกลับไปทำงาน”



ไอ้โซลยังคงยิ้ม ผมพูดไม่ออก ทำเพียงแค่หยิบร่มในกระเป๋าออกมาและเดินไปขึ้นรถมัน



“ไม่เอา” ผมปฏิเสธเสื้อกันหนาวที่มันยื่นมาให้ “มึงน่ะถอดเสื้ออกเลยแล้วใส่ตัวนี้เข้าไป เดี๋ยวจะไม่สบาย”



“พี่จะหนาวนะครับ”



“เบาแอร์ก็ได้นี่” ผมว่าพลางปรับแอร์ไปด้วย “แล้วนี่จะถอดเองหรือให้ถอดให้”



“…?”



อยากตบปากตัวเองจริงๆ นี่มันไม่ใช่ประโยคที่จะเอามาขู่หรือเปล่าวะ แต่เห็นมันยังนิ่งอยู่ผมเลยพลั้งปากออกไปแบบนั้น ไอ้โซลดูอึ้งไปนิดก่อนจะปรับเบาะเอนลงให้เคลื่อนไหวสะดวกขึ้น



“เอาสิครับ”



ผมอยากจะแก้ตัวแต่พอเห็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มเหนื่อยๆ ของมัน มือก็ยื่นออกไปจับชายเสื้อของมันเอาไว้แล้ว “ยกแขนขึ้นสิ”



อีกคนทำตามอย่างว่าง่าย ผมดึงเสื้อที่มันใส่อยู่ออกมา แล้วใช้ส่วนที่แห้งเช็ดหัวให้มัน



“รีบใส่เสื้อสิ”



ไอ้โซลยื่นเสื้อกันหนาวสีดำกลับคืนมาให้ แววตาสื่อความหมายบางอย่าง



“มึงเป็นเด็กหรือไง” ผมว่า แต่ก็รับเสื้อมาคลี่ออกวาดคลุมไปทางด้านหลังมัน พอมันสอดแขนเข้ามาทั้งสองข้างแล้วผมก็รูดซิปขึ้นให้จนสุด



ผมหอบหายใจ แค่ใส่เสื้อทำไมถึงกินพลังงานไปมากขนาดนี้ก็ไม่รู้



“แล้วเราจะไปกินข้าวที่ไหนกันดี”



“มึงกลับไปทำงานเถอะ”



“ทำไมล่ะครับ ไม่เป็นไร ผม...”



“เหนื่อยมากใช่ไหม ขอโทษที”



รู้ทั้งรู้ว่าไอ้โซลต้องกังวลกับเรื่องของผมมาก และผมก็ทำให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จนได้ เด็กตรงหน้ากำลังรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่มันก็พยายามเต็มที่แล้วกับการแบ่งเวลามาให้ผม



“ผมคิดถึงพี่”



“อืม”



เหมือนกัน...



“ผมอยากมาหาพี่มากแต่ผมก็คิดว่ารีบทำให้เสร็จไปเลยดีกว่าแล้วเอาเวลาตรงนั้นมาอยู่กับพี่”



“…”



“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเจอพี่นะครับ”



“อืม เข้าใจแล้ว”



มันก็มีเหตุผลของตัวเอง เราแค่ไม่เข้าใจกันเฉยๆ



“รถกูจอดอยู่ตรงนั้นเอง กลับไปแล้วก็อาบน้ำก่อนนะ หาอะไรกินด้วย”



“ผมไปกับพี่ก่อนได้นะครับ”



“เตรียมพรีเซ็นต์อยู่ไม่ใช่ไง”



ทั้งที่ผมตัดสายมัน เอาแต่ใจด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ ทำไมยังตามเอาใจผมอยู่ได้



“ขับรถดีๆ” ผมขยี้หัวที่ยังคงเปียกของมัน “สู้ๆ นะเว้ย”



ให้ตาย...ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลยจริงๆ ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผาก มือข้างหนึ่งกำลังจะเปิดประตูรถลงไปแล้ว แต่อะไรดลใจผมก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจว่าใช่หน้าตาหงอยๆ ของมันหรือเปล่า...ผมยืดตัวเข้าไปหาคนที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น กดริมฝีปากลงบนแก้มของมันเร็วๆ ก่อนจะรีบผละออก



ปัง!



ผมรีบเดินไปที่รถตัวเอง ขาพันกันไปหมด เสียงฝนเริ่มซาแล้ว เมื่อกี้ไม่ได้มองหน้าไอ้โซลเลย มันคงจะอึ้งไปอยู่เหมือนกัน



“พี่ซีน!”



จะเรียกอีกทำไมวะ



“รักนะครับ!”



ผมยกมือขึ้นปิดหน้า วิ่งไปที่รถตัวเองโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับ



จะบ้าตาย หน้าร้อนจนจะไหม้แล้วเว้ย!







ผมคิดว่าเราตัวติดกันเกินไป ตั้งแต่ตอนที่ถ่ายซีรีส์ด้วยกันและถึงผมจะกลับมาอยู่บ้านแต่เราก็เจอกันทุกวัน บางอาทิตย์ผมไปค้างที่คอนโดมันด้วยซ้ำ ไอ้โซลมีงานตลอดก็จริงแต่ก็สามารถแบ่งเวลามาอยู่กับผมได้ แต่ช่วงนี้หนักหน่อย มีทั้งงานที่ต้องส่งทุกอาทิตย์แล้วยังมีโปรเจกต์ที่ต้องส่งตอนมิดเทอมอีก



หน้าตาอิดโรยทำผมใจอ่อนยวบ ผมไม่ได้อยากจะโกรธหรือนอยด์ไอ้โซลเลยจริงๆ แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าเราอาจจะเจอกันบ่อยไปเลยทำให้มันเบื่อหรือเปล่า ผมยอมรับว่าฟุ้งซ่านอยู่ช่วงหนึ่ง และเป็นอยู่แบบนั้นเป็นพักๆ ตอนแรกผมก็ไม่ได้อะไรมากหรอก แต่พอบ่อยๆ เข้ามันก็เริ่มทำให้ผมเริ่มคิดว่าเรื่องที่คิดเพ้อเจ้อนั้นอาจเป็นเรื่องจริง



‘ถาปัดก็แบบเนี้ย ไม่เห็นไอ้ทิมกับไอ้โฟร์เหรอ กูเคยซื้อข้าวซื้อน้ำเข้าไปให้ไอ้โฟร์ จำได้ไหมช่วงนั้นที่มันทะเลาะกับแฟนเพราะไม่มีเวลาให้ โคตรน่าสงสาร งานต้องเดินแต่ใจแม่งจะไม่ไหวอยู่แล้ว’



‘อ้อ แล้วมึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะนอกใจหรอกนะ เวลานอนยังจะไม่มีเลย จะเอาเวลาไหนไปหาคนอื่น’



‘ไม่ใช่มันไม่อยากมาหามึงหรอกแต่มันต้องทำงาน’



‘เข้าใจมันหน่อย มึงเป็นกำลังใจสำคัญของมันเลยนะ’




นั่นแหละที่ผมไม่อยากโกรธ...



‘แต่ถ้าอยากใกล้ชิดมันล่ะก็...’



ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย...



‘ถ้ามันไม่มีเวลามาหามึง มึงก็ไปหามันสิ ยากอะไร’



นี่คือสิ่งที่ไอ้จั๊มพ์พูดกรอกหูผมตลอดทั้งชั่วโมงเรียน



ผมยืนชั่งใจอยู่หน้าประตูห้องไอ้โซล ไม่ได้มาหลายอาทิตย์แล้ว ไม่รู้ว่าควรกดกริ่งหรือใช้คีย์การ์ดที่มีเปิดเข้าไปเลย ส่วนใหญ่ผมมาพร้อมกับมันตลอด มีสองสามครั้งเองที่เคยเข้ามาเอาของในห้องคนเดียว ไม่รู้ตอนนี้มันทำอะไรอยู่ อาจจะกำลังทำงานแล้วมันจะเดินมาเปิดประตูให้ได้เหรอ รบกวนมันหรือเปล่า แล้ว...ทำไมผมไม่โทรหามันก่อนวะ



ห้านาทีผ่านไปผมเริ่มจะเมื่อยขา ของในมือก็หนัก แล้วพอสิบนาทีผมก็เริ่มจะทนไม่ไหว ปวดขาแล้วนะเว้ย!



เปิดเข้าไปเลยแล้วกัน!



“เอ่อ...”



ไอ้โซลนั่งอยู่ข้างล่างโซฟา บนโต๊ะมีแล็ปท๊อป รอบข้างระเกะระกะไปด้วยกระดาษ ไม้ ขวดกาวและอุปกรณ์ต่างๆ มันดูอึ้งที่เห็นผมกำลังเดินเข้าไปหา



“ก...กินอะไรหรือยัง”



เจ้าของห้องลุกขึ้น เดินข้ามของที่เกลื่อนอยู่ตามพื้นเข้ามาหา หน้าตาดูเบลอๆ “พี่..มาหาผมเหรอ..”



อ้าว ห้องนี้มีคนอื่นนอกจากมันด้วยเหรอ “ก็ใช่ไง กูรบกวนเหรอ คือ...”



“ไม่ครับ ไม่” อีกฝ่ายฉวยของในมือไปถือ รอยยิ้มกว้างของมันทำให้ผมหน้าร้อนกว่าเดิม ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้ซะด้วยสิ มันเคยชวนมาอยู่เหมือนกัน บอกว่ามานั่งเป็นกำลังใจเฉยๆ ก็ได้แต่ผมกลัวจะรบกวน ไม่คิดว่ามันจะทำหน้าดีใจขนาดนั้น...



“เดี๋ยวทำอาหารให้ ไปทำต่อเถอะ”



ผมคว้าเอาของที่ซื้อมามาถือไว้แทน มันยืนมองเฉยๆ แบบนี้ชักจะทำตัวไม่ถูกแล้วนะเว้ย



“คิดถึงผมล่ะสิ”



“สงสารเฉยๆ หรอก”



ผมเดินหนีเข้าครัว แยกของที่จะทำเอาไว้ข้างนอกแล้วยัดของที่เหลือเข้าตู้เย็น



“นี่ มึงชอบไข่เจียวหรือไข่ดาวมากกว่ากัน”



“ชอบพี่ที่สุดครับ”



“บอกแล้วไงว่าห้ามเข้าครัว” ไม่น่าถามเลย เสียสมาธิหมด ผมโบกมือไล่ให้มันออกไปแต่มันกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม ไอ้โซลเดินเข้ามากอดผมไว้หลวมๆ แทน



“ดีใจจังเลย ต่อให้ไม่ได้กินข้าวทั้งวันก็ยังมีแรงทำงานนะเนี่ย”



“พูดดีไปเถอะ ตั้งแต่เช้ากินอะไรหรือยัง”



“เรียบร้อยแล้วครับ”



“กินอะไร”



“มาม่า” ไอ้เด็กที่เกาะอยู่ด้านหลังยิ้มแห้งเมื่อผมหันไปมองด้วยสายตาขุ่นๆ “มันง่ายสุดแล้วจริงๆ ผมไม่อยากเสียเวลาออกไปซื้อข้างนอกนี่ครับ”



“ทำไมไม่บอกกูล่ะ”



“พี่ก็ต้องทำงานของพี่เหมือนกันไง”



“แต่กูมีเวลาเยอะกว่ามึงก็แล้วกัน” นี่แสดงว่านอกจากตอนเย็นบางวันที่ผมกับมันไปหาอะไรกินกัน นอกนั้นมันก็กินแต่ของแบบนี้ตลอดเลยน่ะสิ



“ถ้าไม่ว่างไม่เป็นไรนะครับ แต่ถ้าว่างแล้วมาหาผมจะดีใจมากเลย”



“อืม”



ผมเอาผักไปล้าง มันก็เกาะตามเป็นลูกลิงเลย



“กูขยับตัวลำบากนะ”



“ผมห้ามใจลำบากเหมือนกันนะ อยู่ๆ ก็มาหา ผมอ้อนให้มาตั้งหลายทีไม่เห็นมาเลย”



“ก็มึงทำงาน ไม่อยากกวน จะให้กูมานั่งทำอะไรอยู่เล่า”



“ไม่ใช่ว่าโกรธผมด้วยเหรอ” มันยิ้มอย่างรู้ทัน



ผมสะบัดใบโหระพาที่เปียกน้ำใส่มัน “เปล่าสักหน่อย”



“ไม่โกรธก็ไม่โกรธ แต่งอนผมชัดๆ อา...ทำให้งอนบ่อยๆ ดีไหม”



“โรคจิตเหรอ”



“ล้อเล่นครับ เวลายิ่งไม่ค่อยมีกลัวง้อไม่เต็มที่”



แต่ทั้งๆ ที่ทำงานอยู่พอรู้ว่าผมโกรธก็รีบมาหาที่คณะ รู้สึกผิดจริงๆ ให้ตาย ผมเอี้ยวตัวมาหาเด็กตัวโต เห็นหน้าเพลียๆ เลยเอาน้ำไปแตะๆ ที่หน้ามัน



“ก้มลงมาหน่อย”



ไอ้โซลทำตามที่ผมบอกงงๆ ผมเลิกชายเสื้อตัวเองขึ้นเพื่อเช็ดหน้าให้มัน



“ได้นอนกี่ชั่วโมงเนี่ย”



“พี่...”



“หืม”



พอผมปล่อยชายเสื้อลงถึงเพิ่งคิดได้...เชี่ย ผมทำอะไรลงไปฮะ



ผมมองส่วนหนึ่งของเสื้อตัวเองที่เปียก...สาบานว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ มันคงตกใจที่ผมทำแบบนี้แต่ผมก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน



“เอ่อ..คือ...”



“พี่ทำให้ผมไม่มีสมาธิทำงานนะครับ”



ก็หน้ามันดูง่วงเองนี่ผมผิดตรงไหน!



“ง..งั้นออกไปเลย กูจะทำกับข้าวแล้ว”



“ไปอยู่แล้วครับ” มันว่าก่อนจะกดจมูกลงมาที่แก้มผมแรงๆ ครั้งหนึ่ง “ก่อนที่จะไม่ได้ทั้งกินข้าวทั้งทำงาน”
     

         

ผมทำเป็ดพะโล้ผัดพริกแกง โปะไข่เจียวลงไปด้วย เดินถือจานออกมาก็เห็นมันนั่งติดๆ ปะๆ อะไรสักอย่างอยู่



“โทษทีครับ พี่เหยียบขึ้นมาบนโซฟาเลย”



ผมทำตามที่มันบอก ไอ้โซลนั่งอยู่ข้างล่าง ผมเลื่อนของที่วางไว้บนโซฟาออก เลือกที่ที่ใกล้กับมันที่สุด



“หอมมากเลย เดี๋ยวแป๊บนะครับ”



“ไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูทำอะไรให้มึงกินอะ”



“พี่ทำอะไรผมก็กินหมดแหละ”



“ถ้าใส่ยานอนหลับลงไปล่ะ”



“จะทำร้ายผมได้ลงคอเลยเหรอ นี่ผมกำลังทำเพื่ออนาคตของเราเลยนะ”



“เอาปัจจุบันให้รอดก่อนไหม”



“ปัจจุบันก็ส่งผลถึงอนาคตไงครับ ผมกำลังทำปัจจุบันให้ดี เรียนจบจะได้เลี้ยงพี่ได้”



ผมแบะปาก ใครจะให้เลี้ยงกัน...แต่ในลำคอกลับส่งเสียงอือออกไปเบาๆ



ผมไม่น่าคิดเองเออเองไปแบบนั้นเลยจริงๆ ไอ้โซลพยายามแบ่งเวลา ยังใส่ใจทั้งที่ยุ่ง เรายังคุยกันทุกวันเหมือนเดิม ผมยังได้รับข้อความและโทรศัพท์จากมันเสมอ อาจจะแค่น้อยลง เป็นข้อความสั้นๆ หรือคุยกันไม่ถึงนาทีก็ตาม เราเจอกันไม่ทุกวันแต่ไม่ใช่ว่าไม่เจอ เวลาพักจากการทำงานมันก็มาหาผม ไอ้โซลทำดีที่สุดแล้ว เหลือแต่ผมที่ต้องเข้าใจมันเท่านั้นเอง



“อ้าปาก”



“ครับ?” ไอ้โซลเงยหน้าขึ้นมา มองผมงงๆ



“นี่ไง อ้าปาก” ผมจ่อช้อนไปตรงหน้า ท่าทางมันคงไม่วางมือมากินข้าวง่ายๆ “เคี้ยวไปทำไปไม่ได้เหรอ”



“…”



“ทำไม ดูแลบ้างไม่ได้?”



ชักจะฉุนแล้วนะเว้ย มานั่งมองด้วยสายตาแปลกๆ อยู่นั่นแหละ ผมทำตัวไม่ถูก มือไม้เก้กังไม่รู้จักเอาไว้ตรงไหนทั้งที่ถือจานข้าวอยู่แท้ๆ



“มาป้อนข้าวหรือมาหาเรื่องครับเนี่ย” มันว่าขำๆ อ้าปากรับข้าวคำโตไปแต่โดยดี



ผมย่นจมูก ยังจะกวนอีก เดี๋ยวได้หาเรื่องจริงๆ หรอก ผมป้อนมันจนหมด หาน้ำมาให้ดื่มแล้วไปล้างจาน นั่งดูมันทำงานต่ออีกหน่อย อยากช่วยแต่คิดว่างานแบบนี้คงไม่เหมาะกับผม โปรแกรมอะไรที่มันทำผมก็ไม่เข้าใจสักนิด แต่พวกที่ทำเป็นนี่ก็ดูเท่ดีแฮะ



ไอ้โซลดูเครียดกับงานตรงหน้าไม่น้อย ผมเกือบจะงี่เง่าใส่แล้วเชียว หรืองี่เง่าไปแล้วก็ไม่รู้ แต่พอมาเห็นมันทำงานก็โกรธไม่ลงแล้ว เวลานอนยังจะไม่มี จะมีเวลามาง้อได้ยังไง แค่นี้มันก็เหนื่อยพอแล้ว ผมไม่อยากหาเรื่องให้มันเหนื่อยเพิ่ม



“โซล เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ นัดทำงานกับไอ้จั๊มพ์ไว้อะ”



“ตอนนี้เลยเหรอครับ”



“อื้อ จะเอาอะไรก็บอกนะ เดี๋ยวซื้อเข้ามาให้”



ผมเก็บของ ขยี้หัวมันไปทีหนึ่ง “เจอกัน”



“เหมือนงานผมมีแววว่าจะเสร็จเร็วล่ะ”



“ทำไม จะถึงเดดไลน์?”



“นั่นก็ด้วย อีกอย่างคือผมจะได้รีบไปอยู่กับพี่ไง”



ตอนนี้ไม่ได้จีบแล้วแต่ยังหยอดได้หยอดดี ผมโน้มตัวลงไปใกล้ ยกยิ้มให้มันนิดๆ “งั้นขอให้เสร็จเร็วๆ แล้วกันนะ”



“หึหึ”



เหมือนผมจะพลาดเอง...ไม่น่าไปท้าทายมันแบบนั้นเลยนะว่าไหม สายตามันโคตรไม่น่าไว้ใจเลยจริงๆ แต่เห็นว่าถึงจะเสร็จชิ้นนี้ก็ยังมีชิ้นอื่นต่ออีกนี่ มันคงไม่ได้ว่างง่ายๆ หรอกใช่ไหม...?





หลังจากนั้นผมก็มาหามันทุกวัน บางทีก็แค่ซื้อข้าวเข้ามาให้เพราะผมมีงานต้องทำ บางวันก็มาอยู่ด้วยทั้งวัน ช่วยตัดกระดาษ ประกอบโมเดลบ้าง เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พอช่วยได้ ที่จริงมันเป็นสิ่งที่ไอ้จั๊มพ์บอกมาว่าเป็นทางเดียวที่จะได้ใกล้ชิดกับไอ้โซล— บ้าเอ๊ย ผมก็แค่อยากช่วยมันเฉยๆ หรอกน่า ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน นอนก็ไม่ได้นอน สงสารหรอกถึงมาขลุกอยู่ด้วยแบบนี้



พูดไม่ทันขาดคำ ผมเดินเข้าไปในห้องเห็นมันหลับอยู่บนโซฟา ชุดยังเป็นชุดเดิมของเมื่อวานอยู่เลย ผมเอาของไปเก็บในครัว ก่อนเดินเข้าไปเอาผ้าห่มผืนเล็กในห้องนอนเพื่อมาห่มให้มัน ผมนั่งลงด้านล่าง มองมันที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว



ใต้ตาคล้ำๆ สภาพโทรมๆ น้ำไม่ได้อาบทำไมมันยังดูดีขนาดนี้กันฮะ หมั่นไส้จนอยากยื่นมือไปบีบจมูกโด่งๆ นั่นแต่ก็กลัวทำมันตื่น ไม่ใช่ไม่มีอะไรทำแต่ผมไม่อยากทำอะไร หนังสือนอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า ข้าวก็รอมันตื่นขึ้นมากินพร้อมกัน



ผมวางแขนกับโซฟาเท้าคางมองมันอยู่อย่างนั้น



...หลับสบายไปแล้วนะไอ้เด็กนี่



รู้ไหมว่าห้องมันหนาวมาก เปิดแอร์กี่องศากัน แล้วผมที่นั่งบนพื้นมันเย็นนะเว้ย



แสบท้องแล้วด้วย...เมื่อไหร่จะตื่น



ผมเกือบจะหลับตามมันไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเปลือกตาของมันลืมขึ้นก่อน ผมสะดุ้งเด้งตัวออก ไอ้โซลหยีตา ลูบหน้าตัวเองแรงๆ



“อืม...มาตั้งแต่ตอนไหนครับ”



“พ...เพิ่งมา” เสียงผมสั่นเล็กๆ ยังตกใจไม่หาย แล้วผมก็ยังนั่งจ้องมันใกล้ขนาดนั้นด้วย!



“ลุกขึ้นมากินข้าวได้แล้ว”



ไอ้โซลบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นอย่างเบลอๆ “พี่จะจูบผมเหรอ”



“บ้าสิ!”



“งั้นจ้องผมตอนหลับทำไม”



“ไม่ต้องมายิ้มเลย กูหิวข้าวแล้ว รอให้ตื่นตั้งนาน”



“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิครับ” มันยิ้มได้ใจ “แล้วไหนว่าเพิ่งมาไง”



“ก..ก็แค่ครึ่งชั่วโมง”



“หลงผมแล้วล่ะสิ จ้องนานขนาดนั้น”



“ไม่ใช่ซะหน่อย! กูก็..แค่...” แค่อะไรวะ!



แล้วทำไมมันต้องมาไล่ต้อนแบบนี้ด้วยเล่า!



“แค่กำลังคิดว่าจะปลุกมึงดีหรือเปล่า”



ไอ้โซลพยักหน้าหงึกหงัก “อย่างนี้นี่เอง”



กวนตีนไหมล่ะ!



ไอ้โซลหัวเราะ ดึงข้อมือผมลงไปนั่งข้างๆ มัน “วันนี้นอนที่นี่ได้หรือเปล่า”



“ไม่นอน”



“จะงอนผมในช่วงที่ผมมีเวลาพักผ่อนแค่สองสามชั่วโมงแบบนี้เหรอครับ”



“งานใครก็ทำไปสิ กูเกี่ยวไรด้วย”



“งานจะเดินได้ไงถ้าไม่มีกำลังใจ”



แขนมันโอบผมไว้แน่น เอาคางมาเกยที่ไหล่ พอรู้ว่าผมขี้ใจอ่อน ยิ่งกับเรื่องมันด้วยแล้วมันก็ชอบทำแบบนี้ตลอดเลยจริงๆ!



“กูอยู่นี่แล้วมันแตกต่างยังไง กูก็อ่านหนังสือในห้องอยู่ดี” ผมเคยมาค้างแล้ว มันทำงานอยู่ด้านนอก ผมก็นั่งอ่านหนังสือในห้องนอน ไม่ได้คุยกันสักนิด



“พี่อยู่กับผม ผมก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าพี่ทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใครไง”



“ห่วงตัวเองก่อนไหม” ผมพยัดเพยิดไปที่กองงานตรงหน้ามัน



“ห่วงตัวเองด้วยไง ถึงบอกให้พี่ค้างเนี่ย”



“อืม ก็ได้”



“หื้อ ยอมง่ายจัง”



ผมแกะมือมันออก เดินไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนพื้น “ก็เพราะกูเตรียมของมาแล้วน่ะสิ” ก่อนจะแลบลิ้นใส่มันที่นั่งอึ้งอยู่ที่เดิม



“มากินข้าวได้แล้ว หิว!”



เราอาจจะเหมือนเด็กน้อยที่เดินเตาะแตะ ซึ่งในแต่ละวันที่ผ่านไปแต่ละย่างก้าวของเราจะค่อยๆ แข็งแรงและมั่นคงขึ้น ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่งที่พยายาม แต่มันหมายถึงเราทั้งสองที่พยายามเข้าใจและปรับตัวเข้าหาซึ่งกันและกัน



อ่า...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมยอมรับก็ได้



ที่จริงผมแค่อยากเจอมันเท่านั้นเอง...แต่ไม่ได้หลงแบบที่มันโม้ไปเองหรอกนะ!





-----------------------------------------

ถึงจะแต่งจบไปแล้วแต่เราก็ตามอ่านคอมเมต์เรื่อยๆ ขอบคุณมากๆ เลย

สำหรับหนังสือถ้ามีอะไรคืบหน้าเราจะมาอัปเดตหรือติดตามได้ในทวิตเตอร์นะคะ

พบกับตอนพิเศษอีก 5 ตอนได้ในเล่มน้า ^ - ^///

 :pig4:

หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-09-2017 15:49:39
มีเวลาที่ซีน น้อยใจ โซลด้วย
เรื่องเดิมคือโซลทำงานหนักมาก ไม่มีเวลาให้ซีน
ถึงแม้จะเข้าใจ
แต่ซีน ก็อดน้อยใจ งอน ไมได้
แต่สุดท้ายก็ถ้าโซลไม่ว่างซีนก็ไปหาสิ ก็จบ
ได้อยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างสบายใจ มีความสุข  :impress2:
ขอบคุณไรท์ มาลงตอนพิเศษให้  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
รอตอนใหม่นะ  :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-09-2017 16:15:45
หยยยยยยย น่ารักเน๊อะ อยากมีโมเม้นแบบนี้บ้างจัง
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 06-09-2017 17:09:58
อ่อยเค้าเข้าไปนะคะ พี่ซีน

555+
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 06-09-2017 20:48:01
พี่ซีนขี้งอนมั่กมาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 06-09-2017 20:54:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 06-09-2017 21:19:50
ชอบเวลาพี่ซีนตบตีกับตัวเองแบบนี้ น่าเอ็นดู...ฮาาาาา
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 06-09-2017 22:18:30
น่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-09-2017 22:54:49
อยากมีโซลเป็นของเราบ้าง  :ling1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 07-09-2017 16:38:37
ถามปัตย์งานเยอะนรกแตกจริงๆอะ เข้าใจเลยย
จนาดนี่ไม่ได้เรียนยังกลัวแทนน
พี่ซีนต้องเข้าใจน้องง อย่านอยด์บ่อยนะะ
โซลไม่ว่างมาหาก้ไปหาเองเลยย
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 09-09-2017 00:17:05
คือหนึ่งในความฝันอยากเห็นคู่จิ้นซีรีย์รักกันจริงๆ555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-09-2017 00:55:21
ซีนน่ารักอ่ะ งอนบ้างไรบ้างแต่ก็ฃน่ารักอยู่ดี ดูแต่ละอย่างที่ทำให้โซลสิจะไม่หลงได้ไง o18
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: whoami ที่ 09-09-2017 07:31:19
งื้อออออออ ฟีลกู๊ดมากๆ ฟินตั้งแต่ต้นจนจบเลย ชอบ อร้าย  :-[ :o8: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-09-2017 13:29:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 09-09-2017 20:24:48
คือน่ารัก #โซลซีน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 10-09-2017 16:32:27
เป็นเรื่องที่น่ารักมากกกกกก
เขินเว่อร์ ซีนน่ารักน่าขโมย
โซลคือทุกอย่างคือซีนจริงๆ
ขอบคุณนะคะ เราอินมากช่วงดราม่าร้องไห้ตามซีนตลอด55555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Napa ที่ 11-09-2017 17:51:38
 :mew1: :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 12-09-2017 19:31:37
แฟนคลับน่ารัก

โซลซีน จับมือกันไป พยายามไปด้วยกัน
น้องโซลน่ารักรัก หยอดได้หยอดดี หยอดตลอดเวลา
พี่ซีลก็เขินจัง

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: +MooN+ ที่ 13-09-2017 15:11:09
โซลซีน คู่จิ้น คู่จริง โอ้ย...น่ารักอะ :L1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 13-09-2017 17:59:44
ฟินจริงๆ สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-09-2017 21:20:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 16-09-2017 21:45:45
โอ้ยยยย ฟีลลิ่งมันมาเต็มทั้งเรื่อง อ่านไปเขินไป ยิ้มคนเดียวอีก 555555 น่ารักมากเลยง้า
  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 16-09-2017 21:54:22
 :3125:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 16-09-2017 22:03:48
 :hao5: :hao5: สนุก ถึงตอนร้องไห้จะหน่วงหน่อยๆ แต่เราชอบตอนหวานๆๆๆ ฟินแบบจิกหมอน เขิลมาก
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: barjaku ที่ 17-09-2017 10:56:12
อ่านถึงตอนจบแหละ ถึงฉากเฮียคัทต่อยโซลเพราะ โกรธที่ซีนร้องไห้เพราะเฮียคัทด่าซีนเรื่องของโซล what ทำไมพี่น้องคู่นี้เด็กแบบนี้อารมณ์ล้วนๆ อยากให้จบไม่happyเรื่องแรกสงสารพระเอก อยู่กับความโลเลของนายเอก และความเอาแต่ใจของพี่นายเอก....ขอโทษที่อ่านไม่จบนะฮะ ขอหยุดไว้ที่ฉากนี้ล่ะกันถึงจะอีกแค่นิดเดียว
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 23-09-2017 18:02:34
#โซลซีน น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrInCeZzAoFz ที่ 25-09-2017 21:44:27
ดีกับใจมากกกก
ชอบบบบ
 :katai2-1: :katai2-1:
น่ารักมากๆ เลย
พอดราม่าก็ทำเอาน้ำตาแตกตามเลยทีเดียว
ชอบเฮียคัท
ถึงเฮียจะหวงซีนมาก ก็คิดว่าที่เฮียให้เปิดหนังให้ซึนดูคงไม่ใช่เพราะไม่ชอบ
แต่เพราะอยากให้ได้รับรู้มากกว่า
แต่แล้วซีนก็คิดมากจนได้เพราะมันก็มีหลายๆ คำพูดจากหลายๆ คนละเนาะ
จะสับสนก็ไม่แปลก
แต่ซีนร้องไห้ทีนี่ก็ร้องตาม
แบบโซลนี่มีขายที่ไหนนน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: meenlove2 ที่ 05-10-2017 18:48:03
งื้อออออ คู่นี้น่ารักกกกกกก มีงอแงง๊องแง๊งไปบ้าง แต่ก็นั่นล่ะ...ชีวิตคู่ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด..เนอะ

อ่านแล้วบางทีก็หมั่นไส้น้องโซล มีความเจ้าเล่ห์และล่อลวงตลอดเวลา ถถถ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Missmu ที่ 13-10-2017 23:47:51
มาตามอ่าน รวดเดียวจบค่าาาา  :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 14-10-2017 16:27:55
อ่าาาา น่ารักอะ
 :heaven :heaven :heaven
ถ้ามีคู้จริงบ้างก็ดีเน้ออ :katai5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 18-10-2017 21:34:33
โอ้ยยยย ทำไมน่ารัก หลงรักเลยยย  :กอด1:
 :L2: :pig4: :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 20-10-2017 14:06:35
เวลาอ่านที่แฟนคลับคอมเม้นท์นี่นึกถึงตัวเองเลย 555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ขอบฟ้าสีจาง ที่ 27-10-2017 00:03:03
เพิ่งได้มาอ่านตามรีวิวในทวิตเตอร์  สำนวนลื่นไหลดีมาก  ตอนเขาหวานกันก็ทำเราเขินตาม  พอถึงช่วงดราม่าก็ทำน้ำตาซึมตามได้อีกเหมือนกัน  ตั้งตารอเล่มออกเลยค่ะ  //อยากมีพี่ซีนเป็นของตัวเอง  อ่านแล้วได้แต่พูดว่าหนูรู้กกกกกกกกกก  :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Quasar77 ที่ 27-10-2017 15:58:01
 :mew1:  พี่ซีนน่ารักมากอ่าาาาา  รักพี่ซีนนนนนนนน  :o8:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : กันและกัน - (6/9/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 27-10-2017 17:38:58
เย้ อ่านทีเดียวจบเล้ยยย
ชอบอ่ะ อยากมีโมเม้นมิ้งๆ แบบนี้มั่ง
เขินเลยตอนน้องขอพี่คบอ่ะ เสมือนโลกนี้มีเพียงเราสองงี้
อิจฉาเบอร์แรง อิอิ
ปล.เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่มาแบ่งบันจ้า
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 02-11-2017 18:47:54




วาเลนไทน์ปีนี้







[Soul’s Part]



แดดร้อนเหมือนปีที่แล้วเลย ต่างกันที่ผมไม่ได้หน้าตาบึ้งตึง สายตาผมยังจับจ้องไปที่ร้านน้ำใต้ตึกคณะตัวเองอย่างเคย วันนี้เพื่อนผมก็อยู่กันครบแบบเมื่อปีก่อนเปี๊ยบ



“เลิกทำหน้าเพ้อๆ สักที!”



“ไม่เข้าใจก็เงียบๆ น่า”



“กูไม่อินแต่หมั่นไส้โว้ย!”



“วันนี้กูเห็นมึงได้เบอร์มาหลายคนนะ”



“มายื่นให้เอง ไม่ได้อยากได้สักหน่อย”



ผมเหมือนได้มองตัวเองในอดีต ไม่ต่างกับไอ้กันเลย เล่นสนุก มีความสุขกับการที่ได้อะไรมาง่ายๆ และไม่ยั่งยืน แต่ตอนนี้ผมมีคนที่ทำให้ผมมีความสุขกว่าชีวิตเมื่อก่อนเสียอีก



ประตูร้านน้ำเปิดออก คนตัวบางเดินถือแก้วชาเขียวปั่นมาทางนี้ ท่ามกลางนักศึกษาที่พลุกพล่าน ในสายตาผมกลับเห็นแต่เขา...ผมมันเพ้อจริงๆ นั่นแหละ



“ไม่กินอะไรจริงดิ”



“อยากกินกับพี่”



เขาส่งเสียงเหอะ วันนั้นบังคับให้ผมกินเค้กชาเขียวจนหมด ถึงได้เฉลยว่าเขารู้แล้วว่าผมไม่ชอบชาเขียว ให้ตาย...ไปหัดอ้อนแบบนั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ ผมหลงกลเต็มๆ เรื่องชอบไม่ชอบชาเขียวนี่ผมไม่เคยบอกเขาว่าชอบ แต่พี่ซีนน่าจะคิดว่าผมชอบเพราะวันแรกที่ไปห้องผมมีแต่ขนมรสชาเขียวเต็มไปหมด แล้วพอพี่ซีนเข้าใจไปแบบนั้นผมจะปฏิเสธก็เริ่มจะไม่กล้า เลยตามน้ำไปอย่างจนตั้งหลายเดือน



“พี่โซลคะ”



“อูย งานจะเข้าไหมหนอ”

“ซวยแล้วเพื่อน”



เพื่อนรอบข้างพึมพำเมื่อน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม



“ครับ?”



“ขอติดสติกเกอร์ได้ไหมคะ”



สายตาที่ส่งมาทำให้ผมรู้ว่าน้องเขาไม่ใช่แฟนคลับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังมีหลายคนที่พยายามเข้าหาผม ผมไม่รู้ว่ามีใครรู้เรื่องผมกับพี่ซีนบ้างเพราะพวกเราไม่ได้เปิดตัวกันขนาดนั้น แต่จากที่พี่ซีนพูดไปวันนั้นและแฟนคลับก็เอาไปอัปลงทวิตเตอร์เท่านั้นก็น่าจะชัดเจนและรู้กันเป็นวงกว้างแล้วไม่ใช่เหรอ



ผมไม่อยากทำให้น้องเขาเสียหน้าหรอก แต่ผมเลือกรักษาความรู้สึกของคนของผมก่อนเป็นอันดับแรกแม้ว่าเขาจะดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรด้วยเลยก็เถอะ



“ได้ไหมครับ”



“หืม?”



“ให้น้องเขาติดได้ไหม”



“ก็...ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่” พี่ซีนตอบอ้อมแอ้ม ได้ยินอย่างนั้นเลยให้น้องเขาติดรูปหัวที่ดวงเล็กๆ ที่อกด้านซ้าย



“มาขอทำไมเล่า”



“มีเจ้าของแล้ว จะให้คนอื่นเอาหัวใจมาแปะมั่วซั่วได้ไงล่ะครับ”



“มันก็แค่เทศกาลน่า ดูนี่กันยังเอามาแปะไว้เลย” พี่ซีนเบี่ยงตัวยืดอกให้ดู ไอ้เชี่ยกันมันติดตรงอกด้านซ้ายเลย ทำไมผมเพิ่งเห็นวะ!



“พี่ก็ยอมน่ะนะ?”



“แค่สติกเกอร์เอง หรือมึงคิดจริง?”



“เปล่านะครับ” จะงอนสักหน่อย เกือบงานเข้าตัวแล้วไหมล่ะ



หันไปสบตาไอ้กันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม มันทำหน้าเย้ยผม เชี่ยนี่ นอกจากช่วยสืบเรื่องพี่ซีนแล้วก็ไม่เห็นความดีของมันอีกเลย อย่าให้มันมีบ้างนะ ผมจะขอให้เป็นรักมันหลงยิ่งกว่าที่ผมเป็น!



“นี่ จริงจังเหรอ..” เสียงคนข้างตัวดึงสายตาผมกลับไปหาเขา พี่ซีนยู่หน้า พูดเสียงเบา “มันไม่ใช่หัวใจจริงๆ สักหน่อย ทำเครียดไปได้”



“แล้วหัวใจจริงๆ อยู่กับใครล่ะครับ”



“อยู่กับตัวเองไง ไม่มีหัวใจก็ตายสิ”



แฟนใคร น่ารักแล้วยังกวนด้วย



“ก็แค่หัวใจคนอื่นที่ให้มา กูไม่ได้เอาหัวใจไปให้ใครสักหน่อย” เขาเริ่มหน้าบึ้ง ทั้งที่แก้มขึ้นสีระเรื่อจนมาถึงหูแล้ว “แล้วกันก็เพื่อนมึง น้องกู”



ผมหุบยิ้มกับประโยคหลังนี่แหละ!



“ไปเป็นพี่เป็นน้องกันตอนไหน”



ไอ้กันโพล่งขึ้นทันที “พี่น้องที่พลัดพราก ไม่รู้จักเหรอ เขาเรียกว่าถูกชะตาเว้ย”



“พี่อยากนับญาติกับคนแบบนี้เหรอ”



“มึงนี่ชอบว่าเพื่อนนะโซล”



“แค่มันทำเป็นอ้อนพี่ พี่ก็ปกป้องมันแล้วเหรอครับ”



“กูเป็นลูกคนสุดท้อง เจอรุ่นน้องทำตัวเป็นเด็กใส่แบบนี้มันก็น่าเอ็นดูอยู่เหมือนกัน” ไอ้กันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเอาใจ พี่ซีนเอื้อมมือไปลูบหัวมัน ถ้าผมไม่ได้ตาฝาดเหมือนเห็นหูกับหางมันสั่นดิ๊กๆๆ ด้วย



“ผมก็เคยอ้อนพี่นะ!”



“แล้วมึงอยากเป็นน้องกูเหรอ”



“ก็ไม่น่ะสิครับ”



“อื้อ จบไหม”



“จบครับ” ไม่จบได้ไงล่ะ ไม่เคยคิดอยากเป็นน้องเขาสักวินาทีเดียว ตอนนี้เป็นมากกว่ารุ่นน้องแล้วด้วย



“งั้นก็ยิ้มหน่อย นู่น น้องเขาถือกล้องอยู่นะ” พี่ซีนดึงแก้มผมเบาๆ



มีคนมองมาทางนี้เยอะ ผมไม่รู้ว่ามองอะไร แต่มีบางกลุ่มมองผมกับพี่ซีน จำหน้าได้บ้างเพราะบางคนมาหาบ่อย แต่วันนี้เหมือนพวกน้องเขาไม่กล้าเข้ามา อาจเพราะเพื่อนผมอยู่เยอะก็ได้ มีน้องคนหนึ่งยกกล้องขึ้นผมเลยเอาแขนพาดไหล่คนข้างๆ เอาไว้ แล้วก็โดนพี่ซีนฟาดไปเต็มๆ



เขินรุนแรงตลอด



ไม่น่าเชื่อจริงๆ เมื่อปีที่แล้วผมยังนั่งกุมขมับไม่รู้จะเข้าหาพี่เขายังไงดีอยู่เลย ที่จริงก็ต้องขอบคุณไอ้กันมากจริงๆ ที่บังเอิญไปได้ยินเรื่องที่พี่ซีนจะไปแคสซีรีส์ ไม่อย่างนั้นบทพระเอกคงตกเป็นของไอ้เฟิร์สนั่น และทุกวันนั้นเราคงยังไม่ได้รู้จักกัน ผมคงจะป๊อดต่อไปเรื่อยๆ



ก่อนจะไปเจอกันตอนถ่ายทำซีรีส์ไอ้กันแนะนำว่าน่าจะสร้างความประทับใจสักหน่อย พี่กิ๋งบอกไอ้กันว่าพี่ซีนรักหมามาก...แต่ไม่ได้บอกว่ารักแค่หมาตัวเอง



ไอ้กันถามจากพี่กิ๋งเลยรู้ว่าพวกพี่เขามีนัดกับรุ่นพี่ ซึ่งนัดกันที่มหา’ลัย ผมรอกับมันอยู่ทางที่รถพี่ซีนจะขับผ่าน พอเห็นทะเบียนที่คุ้นตา ผมก็พุ่งตัวออกไปพร้อมกับลูกหมาในมือ



เจ็บฉิบหาย...ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมกำลังทำอะไรที่โง่และบ้ามากๆ



และนั่นก็จริง ครั้งแรกที่เราได้ยืนใกล้กันขนาดนั้น ครั้งแรกที่เราได้คุยกัน พี่ซีนไม่ได้ประทับใจเลยสักนิด กลับอารมณ์เสียอีกต่างหาก อาจเพราะว่านัดวันนี้ของเขามีพี่พีมอยู่ด้วย



ตอนเจอกันช่วงแรกผมไม่ได้อยากจะกวนเขาหรอกนะ แต่ไม่รู้จะเข้าหายังไงแล้ว ผมกลัวตัวเองหลุดแสดงอาการออกมาทำให้เขารู้และเขาอาจจะรังเกียจ ฉะนั้นผมเลยต้องทำเป็นเล่นเอาไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด



ผมไม่ได้อยากจะรุกเข้าหาเขาขนาดนั้น แต่พอยิ่งได้อยู่ใกล้ก็ยิ่งอยากดูแล ผมเผลอแสดงอะไรหลายๆ อย่างออกไป ทั้งคำพูดทั้งการกระทำ ยิ่งเห็นพี่ซีนมีอาการเหมือนจะหวั่นไหวผมยิ่งได้ใจ อยากได้มากกว่านั้น



“เฮ้ย กินจริงเหรอเนี่ย” เขาร้องเสียงหลง หลังจากผมวางแก้มชาเขียวปั่นของเขาลงแล้วทำหน้าพะอืดพะอม



“พี่ยังกินได้ทำไมผมจะกินไม่ได้”



“ก็มึงไม่ชอบ”



ผมไม่ฟังเขา ยกขึ้นมาดูดเรื่อยๆ



“ไม่ชอบก็อย่ากิน มันเสียของ”



“ผมอยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงชอบมันนักหนา”



“นี่ของกินนะเว้ย”



“พี่ก็ชอบผมคนเดียวสิ”



เขามุ่ยหน้า ถ้าไม่ติดว่าตรงนี้คนเยอะล่ะก็นะ...



“อย่าเพิ่ง” พี่ซีนหยุดมือผมที่กำลังจะกินของโปรดเขา เขาวางแก้วไว้ตรงหน้าแล้วถ่ายรูปมัน เสร็จแล้วก็ยื่นให้ผม “อยากกินก็กินเลย กินให้หมดด้วย”



“ผมไม่อยากแย่งพี่นะ”



เขาหันมาแบะปากใส่ก่อนจะจิ้มๆ ในโทรศัพท์ คงจะอัปรูป จำได้ว่าปีที่แล้วเขาก็อัปรูปแก้วชาเขียวปั่น วันนั้นผมก็นั่งอยู่ตรงนี้และอัปรูปแบบเดียวกับเขา ขณะที่ผมนั่งยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียวไอ้ไมค์ก็ดีดกีตาร์เป็นเพลงรักให้ ทุกอย่างเหมือนเดิมเลยเมื่อไอ้ไมค์มันเริ่มเกากีตาร์เป็นเพลงรักขึ้นมาอีกรอบ มันหันมาขยิบตาให้ผม



ผมยกยิ้ม มองคนข้างกาย เพลงรักที่ไอ้ไมค์กำลังเล่นอยู่ไม่ได้มีผมที่นั่งยิ้มอยู่คนเดียวอีกแล้ว



ผมกุมมือเขา เห็นเขาขบริมฝีปากเล็กน้อยแต่ก็กุมมือผมตอบ



“มึงรู้ไหม ทำไมกูถึงร้องไห้เรื่องปิ๊กมี่”



“เพราะมันเป็นเหมือนครอบครัวของพี่”



“อืมใช่ แล้วก็เพราะเวลากูรักอะไรก็อยากให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ” เขาขบริมฝีปากอีกครั้ง ดวงตาที่เสหลบกลับเงยขึ้นสบตาผม “อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะโซล”



เสียงของเขามันเบาแต่กลับหนักแน่นในความรู้สึก ตั้งแต่วันแรกที่เจอเขา ไอ้ก้อนเนื้อที่กำลังเต้นแรงอยู่ขณะนี้มันก็เป็นของเขาแล้ว



“พี่ก็อยู่กับผมไปนานๆ นะครับ”



รอยยิ้มของเขายังเหมือนเดิม สว่างไสวและน่าหลงใหล วันแรกที่ผมเจอเขาคือที่นี่แต่เขายืนห่างออกไปไกล แต่ในวันนี้เขาอยู่ตรงหน้าผม แย้มรอยยิ้มที่ทำให้ผมตกหลุมได้ซ้ำๆ



วันวาเลนไทน์ปีนี้...เราได้อยู่ด้วยกัน 





sscene ได้มาบ่อยจริงๆ ด้วย



soul_kr @sscene ไม่ได้มาซื้อน้ำอย่างเดียวแล้วด้วย J







----------------------------------

โฮะๆ ใครจำพระเอกของเราในวันวาเลนไทน์ตอนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพี่ซีนได้บ้างคะ5555555

เป็นอีกหนึ่งในตอนพิเศษนะคะ แต่เป็นตอนพิเศษตอนสุดท้ายจริงๆ แล้วค่ะ(ที่จะลงในเว็บ)

ตอนพิเศษอื่นๆ เจอกันในเล่มนะค้า ^ ^/

ขอฝากเพจด้วยน้า https://www.facebook.com/zongpei96/

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่า <3

หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 02-11-2017 19:29:28
มีความหวาน  :-[ :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-11-2017 20:29:30
อยากอ่านพาร์ทแฟนคลับผู้ถือกล้องจังค่าาา ฟินไปถึงโลกหน้าาาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 02-11-2017 23:49:07
ปิ๊กมี่เป็นอะไรคะ

คิดถึงคู่นี้จัง
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 02-11-2017 23:53:08
หวานนนนน
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 03-11-2017 00:07:46
น้ำตาลยังยอมแพเลยค่ะหวานอะไรกันขนาดนี้ :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 03-11-2017 09:48:59
คิดถึงคู่นี้ตังเลย แงงงง น่ารักก
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-11-2017 19:37:47
คิดถึงโซลซีนมากเลย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 03-11-2017 20:14:19
น่ารักมากเลยคู่นี้ ขอบเวลาเค้าหยอดกัน

เขินนนนนนนย >////<
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: +MooN+ ที่ 03-11-2017 21:25:44
โอ้ย....เบาหวานขึ้นตา :-[
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 05-12-2017 12:17:54
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกก
เราเขิลจนเบาหวานจะขึ้นตา?? :o8:
รอหนังสือนะค๊าาาาาา ไม่พลาดแน่ๆค่ะ :man1: :กอด1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 07-12-2017 22:25:37
สนุกมากกกกกก
เขินตลอดทั้งเรื่องเลย
ตอนเฮียคัทก็นึกว่าจะมาม่าหนักละ
แต่ก็ไม่เท่าที่คิด
ขอบคุณที่แต่งมาจนจบนะคะ
จะรอติดตามเรื่องต่อไปนะ
หวังว่าจะเป็นเรื่องของกันนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 08-12-2017 21:57:13
เพิ่งได้อ่าน ดีจริงๆเลยค่ะเรื่องนี้ ฟินนนนนน ดีต่อใจมากกกกก ถูกที่ถูกเวลาเหลือเกิน ได้อ่านตอนภาวะน้ำตาลในชีวิตขาดแคลนแบบนี้ มันดีย์  :o8:  /  คนเขียนอยู่ด้อมไหนคะ? ทุกช้อตที่หวีดในทวิตมันใช่มากเลย สหายร่วมอุดมการณ์เราแน่ๆ เราสัมผัสได้ 555555

ขอบคุณนะคะสำหรับผลงานดีๆแบบนี้ เขียนดีค่ะชื่นชม เป็นกำลังใจให้นะคะ จะติดตามแน่นอนถ้ามีผลงานใหม่ออกมา คราวนี้ไม่พลาด จะเกาะติดแบบ live ไปด้วยกันเลยค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :pig4:  :กอด1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: กวังกีเมย์บี ที่ 26-12-2017 00:58:13
ชอบบบบบสั่งแล้วเรียบร้อยยยยยย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pwstz ที่ 28-12-2017 20:26:33
โซลซีน น่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-12-2017 00:18:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 06-01-2018 09:47:54
โซลซีนน่ารักกก ขอบคุณมากค่า
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: BeauBeeiiz ที่ 20-01-2018 16:45:47
สนุกมากกก ชอบตอนโซลซีนอยู่ด้วยกัน แล้วเถียงกันไปมาอ่ะ

น่ารัก และขอบความเรียลตรงที่ มีความพายเรือในทวิตเตอร์

รู้สึก เหมือนตัวเองตอนชิปคู่อื่นๆ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Panamapaper ที่ 21-01-2018 18:40:14
 :sad4: :o12: แต่งดีมากกกกกก เขินจนปวดแก้ม 5555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 24-01-2018 03:59:04
น่ารักจังเลยยย ดีใจด้วยนะจ๊ะโซลคนป๊อด 55555
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: palm-metto ที่ 26-01-2018 09:28:33
สนุกมากกกกก
อ่านยาวจนจบเลยยยย
ชอบทั้งเนื้อเรื่อง ตัวละคร ทุกอย่างเลย
อีกอย่างคือดูเรียล ดูจริงจัง ถึงขั้น อยากตามอ่าน #โซลซีน
หรืออยากให้พวกเค้ามีชีวิตจริงๆเลยอ่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆนะคะ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 27-01-2018 18:50:39
น่ารักมาก ๆ ....................... ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: JustMin ที่ 29-01-2018 00:16:16
ขอบคุณนะคะ สนุกมากๆเลย อยากให้มีตอนพิเศษอีกจัง คิดถึงๆๆ #โซลซีน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 06-02-2018 23:09:34
อ่านไปเขินไป
ทำไมน่ารักแบบนี้
นิยายสนุกมากค่ะ
รักซีน รักโซล  :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 10-02-2018 21:40:51
ชอบมากๆ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dadt ที่ 12-02-2018 09:08:46
เพิ่งอ่านจบ เราสงสารเฟิร์สมากเลย ซีนเหมือนให้ความหวังเพราะไม่ปฎิเสธให้ชัดเจน โซลก็กันท่าจนน่าเกลียด ทั้งที่น่าจะแข่งกันแบบแฟร์ๆมากกว่า

งงเรื่องดราม่าครอบครัว ถ้าพ่อแม่จะไม่ชอบคู่ชาย/ชาย ก็ไม่น่ายอมให้ลูกแสดงตั้งแต่แรก ยิ่งพ่อของโซลเป็นนักการเมือง ยิ่งไม่น่ายอมง่ายๆ เราเลยไม่อินกับดราม่าอ่ะค่ะ รู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล

เราชอบสำนวนคนเขียนน้าาา อ่านง่ายดี แต่พล็อตยังต้องปรับปรุงอีกนิดนึงจ้า
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 31-08-2018 08:21:54
สนุกมากกก  :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: tong_x_zhi ที่ 15-09-2018 22:19:33
น่ารักดีครับ  ขอบคุณที่แต่ง และแบ่งปันมาให้อ่านกันนะครับ
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Bejae ที่ 18-11-2018 21:27:23
ตลกแฟนคลับ เหมือนเห็นตัวเองยังไงไม่รู้ :laugh: :m20:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:27:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 14-05-2020 23:13:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 03-01-2021 16:05:52
 :-[