ตอนที่ 10 อากาศ
แม้เวลาจะผ่านไปสามวันแล้วศุกลก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ ผิดต่อรัตติเขตคนที่เขาเคยมอบใจให้แต่สุดท้ายก็จำต้องคงความเป็นเพื่อนเอาไว้ตลอดมา เมื่อได้รู้ความจริงว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่อาจตอบรับความรู้สึกนั้นได้เพียงเพราะความกลัวทุกอย่างมันก็สายเกินกว่าจะเรียกความรู้สึกที่เคยมีกลับคืนมาได้ ภาพน้ำตาที่ร่วงรินเป็นสายจึงยังคงติดอยู่ในสองตา และด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเอกรงค์ที่ถึงจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ที่เขาเผลอไผลไปจูบกับคนอื่นก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศ ช่วงสามวันมานี้เขาจึงไม่ได้ติดต่อไปหาอีกฝ่ายเลยเพื่อปรับอารมณ์ของตนเอง
ย่างเข้าเดือนธันวาคมอากาศก็เริ่มเย็นลงอีก จิตรกรหนุ่มจึงหอบเอาการบ้านรูปวาดของเด็กๆ ออกมานั่งตรวจตรงม้านั่งใต้ต้นจำปีที่กำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ หวังจะให้แสงแดดอุ่นๆ ช่วยคลายความหนาว แต่หนาวกายไม่เท่าหนาวใจ…เขารู้อยู่ว่าทำไมตัวเองถึงไม่ติดต่อไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมเอกรงค์ถึงไม่ยอมติดต่อมา… คิดถึง อยากเจอ อยากกอดแน่นๆ แล้วหอมแรงๆ สักฟอดลงบนแก้มบุ๋มน่ามันเขี้ยวนั่น พลันภาพเรือนร่างขาวเนียนใต้แสงจันทร์ที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กปกปิดส่วนล่างปรากฏขึ้นในห้วงความคิดส่งผลให้แก้มร้อนผ่าว จิตรกรหนุ่มละมือจากรูปวาดและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะส่งข้อความหา แต่ครั้นจะพิมพ์ไปตรงๆ ว่าคิดถึงอยากเจอก็นึกเขินขึ้นมาเสียเฉยๆ เขาพิมพ์แล้วลบสลับไปมาอยู่หลายรอบจนกระทั่งได้ข้อความที่คิดว่าที่พอใจที่สุดจึงกดส่ง
“วันนี้จะมารับนอฟหรือเปล่าครับ”
ตบท้ายด้วยตัวการ์รูปสุนัขพันธ์คอร์กี้ตัวเล็กน่ารักทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสังเกตได้ว่าข้อความอรุณสวัสดิ์และบอกฝันดีที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ถูกเปิดอ่าน คิ้วเข้มย่นเข้าหากันอยู่อึดใจ นิ้วหัวแม่มือขยับปัดไปมาบนหน้าจอสัมผัสเพื่อหาหมายเลขโทรศัพท์ กำลังจะกดโทรออกแต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงยุ่งมากๆ เพราะสามวันมานี้เอกรงค์ไม่ได้มารับนภธรณ์เหมือนอย่างเคย ศุกลจึงวางโทรศัพท์ลงและเฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตั้งใจว่าหากวันนี้อีกฝ่ายไม่มารับเจ้าลูกชายกำมะลออีกละก็ คงจะเป็นทางนี้เองที่ต้องเป็นฝ่ายไปหา
จิตรกรหนุ่มดึงสมาธิกลับมาตรวจผลงานเด็กๆ อีกครั้งเพื่อฆ่าเวลา ทว่าก็ยังคงไม่มีข้อความตอบกลับกระทั่งใกล้เสร็จหูจึงแว่วเสียงภาดลบอกเลิกคลาสพร้อมกับเสียงล้อรถบดพื้นถนนดังขึ้นที่หน้าบ้านหัวใจก็โลดขึ้นทันที ศุกลรีบเก็บงานเข้าลวกๆ แล้วเอาที่ทับกระดาษทับไว้กันปลิวพร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปต้อนรับผู้ที่เพิ่งมาถึง
“มาเร็วนะครับวันนี้” เอ่ยทักออกไปแต่ทันทีที่เห็นเต็มตารอยยิ้มก็พลันจางลงเล็กน้อย “ว่าไงไนท์”
ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งยิ้มแห้ง “เอาภาพห้องที่เสร็จสมบูรณ์แล้วมาให้ดูน่ะ” น้ำเสียงขาดหายไปเล็กน้อยเมื่อรู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อจะมาเจอเท่านั้น ในเมื่อมีวิธีการมากมายที่จะส่งภาพให้ดูทั้งโปรแกรมสนทนา ข้อความ อีเมลหรือแม้แต่ปริ้นต์ออกมาแล้วให้แมสเซนเจอร์นำมาส่ง แต่ที่ต้องขับรถมาเพราะยังอยากมาหา มาเจอหน้าแม้จะอกหักไปแล้วก็ตาม “ขอโทษนะถ้าการมาของเราทำให้ติ๊นลำบากใจ แต่เราคิดว่าถึงจะไม่ได้คบกันแบบนั้น เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”
ศุกลไม่ได้ตอบในทันทีเพราะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจจนไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ
รัตติเขตเม้มปากสนิทครั้งหนึ่งคล้ายกับจะพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นนิดๆ “ไม่ได้สินะ… ขอโทษนะติ๊น… เราคงขอติ๊นมากไป”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะหมุนตัวกลับ ศุกลจึงรีบเอื้อมมือรั้งไว้ “ได้สิ”
“อืม… ขอบใจนะ” ริมฝีปากค่อยคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม
ศุกลยิ้มตอบ อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังอยากเก็บมิตรภาพและความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันไว้
เสียงล้อรถบดถนนดังขึ้นอีกครั้ง จิตรกรหนุ่มจึงละสายตาจากคนตรงหน้าในทันทีพร้อมกับนึกในใจ ‘มาแล้วเหรอ… วันนี้มาชะ… ช้า… จัง…’ และเป็นอีกครั้งที่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นนายแพทย์มาดนิ่งในชุดสูทสุดเนี้ยบก้าวลงจากรถและเดินตรงมาหา
“สวัสดีครับ” ปรเมษฐ์เอ่ยทัก
“ครับ… คุณมีธุระอะไรหรือครับ” ถามเกรงๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่แฝงมาในน้ำเสียงอย่างชัดเจนและท่าทีที่ดูเหมือนไม่กลัวใครนั่น
“ผมมารับนอฟ”
สิ้นคำผู้เป็นพ่อ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกมากับพี่น้องสองทีก็ส่งเสียงเรียกด้วยความดีใจราวกับเป็นเด็กเล็กๆ พร้อมทั้งวิ่งเข้ามาหา “ป๊า!”
ธีร์ทัศน์กับธีร์ธรยกมือไหว้พ่อเพื่อน “สวัสดีครับ”
ปรเมษฐ์พยักหน้ารับ
“เกิดอะไรขึ้นทำไมวันนี้ถึงมารับผมได้… แล้วพ่อโมไปไหน?” นภธรณ์เอ่ยถามเพราะเท่าที่จำได้ทุกครั้งที่พ่อมารับเขาด้วยตนเองนั้นแทบไม่เคยมีเรื่องดีเลย ถ้าไม่ใช่เพราะโดนครูประจำชั้นตามเรื่องที่เขาสอบตก ก็ต้องเป็นเรื่องอาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกเข้าห้องเย็น
ศุกลเหลือบตามองเจ้าของนัยน์ตานิ่งสนิท รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน
ปรเมษฐ์วางมือลงบนบ่าลูกชายแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ผมจะมาขอลาลูกออกจากการเรียนศิลปะที่นี่ครับ”
“ทะ… ทำไม มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับจู่ๆ ถึงได้...” เจ้าของชั้นเรียนถามพลางสบตานภธรณ์ซึ่งก็มีทีท่าตกใจไม่แพ้กัน
ธีร์ทัศน์ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะถามอะไรสักอย่าง ในขณะที่นภธรณ์เหลือบมองพ่อของตัวเองอีกครั้งเห็นท่าไม่ดีจึงขยิบตาและพยักเพยิดเป็นเชิงให้กลับไปก่อนแล้วจะโทรไปเล่าให้ฟังทีหลัง ดังนั้นธีรทัศน์จึงกล่าวลาทุกคนก่อนจะกอดคอน้องชายเดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่นอกรั้ว
ปรเมษฐ์ถอนใจเบาก่อนจะตอบอย่างเย็นชาเมื่อเห็นว่าตรงนี้มีแต่คนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมด “ก็มันหมดความจำเป็นแล้วนี่ครับ”
“คุณหมายความว่ายังไงครับ” ศุกลถาม รู้สึกใจคอไม่ดีกับคำว่า ‘หมดความจำเป็น’
“นอฟเป็นคนหัวทึบด้านการวาดรูปครับ พรสวรรค์เดียวที่เขามีคือการร้องเพลง หลังจากเรียนวาดรูปกับคุณมาหลายเดือนผมยอมรับว่าฝีมือแกดีขึ้น แต่จะเรียนไปทำไมในเมื่อนี่ไม่ใช่สิ่งที่แกรักเลยสักนิด… คนเราจะมามัวเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ได้รักทำไมในเมื่อมีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าอยู่แล้ว”
“ป๊า” นภธรณ์เรียกเสียงแผ่ว ยอมรับจนหมดใจว่าที่ปรเมษฐ์พูดนั้นถูกทุกถ้อยคำ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้มีโอกาสเจอเพื่อนๆ ที่นี่อีก
นายแพทย์ปรเมษฐ์เลื่อนมือโอบไหล่ลูกชายเต็มวงแขนพร้อมกับตัดบท “กลับกันเถอะนอฟ วันนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวป๊าพาไป”
“เดี๋ยวก่อนครับ” ศุกลเรียก “ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
“แต่ผมไม่มี” ตอบทั้งที่ไม่หันมา
“เรื่องหมอโม” จิตรกรหนุ่มโพล่งออกไป ถึงจะฟังดูเข้าใจยากไปสักหน่อย แต่ก็คิดว่าตนเองเข้าใจในทุกๆ ถ้อยคำที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ…
‘อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่ได้รักในเมื่อมีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า’
และศุกลก็คิดถูกเมื่อคนอายุมากกว่ายอมหันมาเผชิญหน้าพร้อมกับบอกลูกชาย “นอฟไปรอที่รถ”
“แต่ผม…”
“ไปรอที่รถ” ปรเมษฐ์พูดซ้ำ น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดุดันหรือเฉียบขาดแต่แฝงด้วยความจริงจังที่ทำให้เด็กหัวดื้ออย่างนภธรณ์ต้องยอมแต่โดยดี รอกระทั่งลูกชายพ้นสายตาจึงกล่าวต่อ “ไม่เข้าใจที่ผมเปรียบเทียบเหรอครับ พวกศิลปินนี่หัวทึบกว่าที่คิดนะ เอาอย่างนี้ ผมจะพูดให้ชัดๆ ไปเลยก็แล้วกันว่าเลิกยุ่งกับโมสักทีในเมื่อตอนนี้คุณมีคนอื่นแล้ว”
ศุกลกัดฟันกรอด รู้สึกเหมือนโดนตบหน้า “คุณหมายความว่ายังไง”
“แล้วเมื่อสามวันก่อนคุณไป ‘จูบ’ กับใครมาล่ะ”
“ผมไม่ได้…” เว้นวรรคไปเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้และหันไปมองชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่ยังคงยืนอยู่ด้วยกัน …หรือนี่คือสาเหตุที่เอกรงค์ขาดการติดต่อไปและปรเมษฐ์มาลานภธรณ์ออก ในเมื่อเด็กหนุ่มยอมมาเรียนเพื่อเป็นข้ออ้างให้เอกรงค์มาหาเขาได้บ่อยๆ การที่ทำแบบนี้มันหมายความว่าอีกฝ่ายจะไม่มาเจอกันแล้วอย่างนั้นหรือ “ค… คุณเข้าใจผิดแล้วเราไม่ได้...”
“นอกใจก็คือนอกใจ มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลและที่มาที่ไปหรอก” ปรเมษฐ์แทรกขึ้น “อีกอย่างนะ คนที่คุณควรพูดด้วยมากที่สุดคือโมต่างหาก แต่ผมคิดว่ามันก็สายเกินไปแล้วล่ะ เพราะเขาคงไม่กลับมาหาคุณอีกแล้ว”
“คุณหมายความว่ายังไง โมไปไหน”
“ผมจะบอกให้ก็ได้ แต่คุณช่วยตอบคำถามผมมาข้อหนึ่งได้ไหมครับ” ปรเมษฐ์ยื่นข้อเสนอ
“อะไร”
“คุณเป็นอะไรกับโม”
“เรา…” ศุกลพูดติดขัด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงตอบคำถามง่ายๆ นี้ออกไปไม่ได้ ยิ่งเห็นนัยน์ตาของรัตติเขตที่มองมายิ่งรู้สึกหวิวๆ ในอก
“ไม่อยากตอบหรือตอบไม่ได้ครับ” ปรเมษฐ์พูดต่อ คล้ายกับจะเยาะอยู่ในน้ำเสียง “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกอะไรคุณสินะ” ว่าแล้วก็ล้วงสองมือลงในกระเป๋าและหันหลังกลับ
“เดี๋ยวก่อน…”
“มีอะไรอีกล่ะครับ”
“แล้วคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยก่อนสืบเท้าเข้าหาและชะโงกหน้าเข้าไปใกล้พอจนเห็นรอยสีแดงจางๆ ที่ยังคงอยู่ตรงข้างซอกคอขาว เขาใช้ปลายนิ้วชี้รั้งปกเสื้อเชิ้ตให้แบะออกจนเห็นชัด “คุณคิดว่าคนที่รู้เรื่องของโมดีทุกอย่าง รู้ถึงขนาดว่ามีไฝที่ขาอ่อนกี่เม็ดจะไม่รู้เรื่องแค่นี้เหรอ” พูดจบก็จิ้มนิ้วแรงๆ ลงไปครั้งหนึ่งราวกับจะย้ำเตือนถึงความผิดที่อีกฝ่ายทำลงไป ตวัดสายตาขึ้นสบก่อนจะเดินไปขึ้นรถ
“ทำไมป๊าทำแบบนี้” นภธรณ์ที่นั่งกอดอกหน้าตูมอยู่บนเบาะหน้าถามทันทีที่ประตูปิดลง ถึงจะไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน แต่เมื่อเห็นสายตาแข็งกร้าวของปรเมษฐ์บวกกับเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนที่จู่ๆ ป๊าก็ผลุนผลันออกจากบ้านไปทันทีหลังจากรับโทรศัพท์ของเอกรงค์ เขาก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง และมันก็คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียด้วยเพราะตัวเขาเองก็ไม่เห็นหน้าเอกรงค์อีกเลยนับจากวันนั้น
“เรื่องของผู้ใหญ่ โตแล้วก็เข้าใจเองแหละ”
“ทั้งปี” นภธรณ์ยังไม่เลิกบ่น
ปรเมษฐ์สตาร์ทรถแล้วขับออกไป “ตกลงจะกินอะไร… เนื้อย่างสินะ”
ลูกชายย่นปาก เบื่อพ่อตัวเองตรงที่รู้ดีว่าต้องเอาอาหารอะไรมาล่อเขาถึงยอมปิดปากเงียบนี่แหละ
หลังจากรถแล่นออกมาได้สักพัก นภธรณ์ก็ตัดสินใจถามสิ่งที่ยังคาใจอยู่อีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้นกับพ่อโมเหรอครับ”
“เรื่องเดิม” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ พลางยกมือขึ้นวางบนศีรษะลูกชายและลูบหนักๆ อย่างแสนรัก “แกเองก็โตเป็นหนุ่มแล้ว ตัวอย่างมีให้เห็น ดูแล้วจำไว้ล่ะว่าอย่าไปเที่ยวยกหัวใจให้ใครง่ายๆ”
“ทำเป็นพูด ตัวเองก็โดนเขาทิ้งไปไม่ใช่หรือไง” ‘เขา’ ในที่นี้คือ ‘แม่แท้ๆ’ ที่ทิ้งไปนับตั้งแต่วันลืมตาดูโลก จะเรียกว่าอกตัญญูก็ได้ แต่เขาโตมาด้วยนมวัวไม่ใช่นมแม่ และคนที่เลี้ยงดูเขาคือป๊ากับเพื่อนๆ ของป๊าไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่มีแม้รูปถ่ายสักใบคนนั้น
“เจ็บเจียนตายเลยล่ะ ป๊าถึงรู้ไงว่าการเสียของรักไปให้คนอื่นน่ะมันรู้สึกยังไง”
“แล้ว… คนที่เป็นผู้ใหญ่เขาไม่คิดจะสู้เพื่อ ‘คนที่เขารัก’ เลยเหรอครับ” นภธรณ์เลียบเคียงถาม
“ป๊าทำเต็มที่แล้ว”
“แน่ใจเหรอครับ”
“แน่ใจสิ” ปรเมษฐ์ว่า “สู้เพื่อคนที่ไม่มีใจยังไงก็ไม่มีวันชนะ ป๊าเลยเลือกที่ปล่อยเขาไปแล้วขอสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นแทน”
“อะไรครับ”
“แกไง” มือใหญ่โยกศีรษะที่ยังคงจับไว้เบาๆ ครั้งหนึ่ง
“ไม่ต้องมาปากหวาน วันก่อนป๊าก็ปล่อยให้ผมนอนคนเดียว”
“ก็เขียนโน้ตทิ้งไว้แล้วไงว่าโดนตามไปทำคลอดด่วน ไม่เอาไม่งอนน่าอยากได้อะไรไหนบอกป๊ามาสิครับคนเก่ง”
“ถ้าอย่างนั้นเล่าเรื่องพ่อโมให้ฟังหน่อยตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตอนนี้พ่อโมอยู่ไหน”
“นอฟ” ปรเมษฐ์เหลือบตามองลูกชายและพูดเสียงหวานพร้อมกับยิ้มกว้างแข็งๆ ราวกับตัดกระดาษไปแปะไว้บนหน้า “ดูปากป๊านะครับ… ฝัน-ไป-เถอะ!”
(มีต่อค่ะ)