Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561  (อ่าน 72345 ครั้ง)

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ติ๊นก็ต้องเจอเย็นชาใส่แบบนี้บ้าง
จะได้รู้จักคุณค่า เหอะๆ

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ติ๊นจะได้รู้ว่าหมอโมไม่ใช่ของตายนะ

ออฟไลน์ kung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
อย่ายอมง่ายๆนะโม คนโลเลอย่างติ๊นไม่คู่ควรกับคนดีๆแบบโมเลย เป็นเราๆจะไม่ยุ่งกับติ๊นอีกต่อไป ไม่ไหวอะ เหลาะแหละ เห็นคนอื่นดีกว่าเรา รักเราแต่เจือกไปจูบไปแคร์คนอื่นมากกว่า จบค่ะ ไม่เอาพระเอกแบบนี้ได้มั้ย ไม่ใช่ว่าผิดครั้งเดียวแล้วให้อภัยไม่ได้แต่เราว่าติ๊นยังรักโมไม่มากพอ #อืนี่อินเว่อวัง555 #ทีมโม #สำหรับอิติ๊นเอานี่ไปข่ะ :z6: :z6: o13

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยติ๊น ไปรักกับไนท์ไป ง่ายดี
หมอโมไม่ควรจะมาเจ็บปวดเพราะคนโลเลพรรค์นี้
ที่บรรยายความรู้สึกหมอโม มันเจ็บ อินมาก มันใช่ทุกอย่าง คนนอกใจก็คือนอกใจ เกลียดติ๊น

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารหมอโมมมมมมมมม โกรธนานๆเลยนะๆๆๆๆ

ตอนที่แล้วโมโหติ๊นมาก ตอนนี้ก็เช่นกัน 55555

ปีโป้ดูแลโมดีกว่าติ๊นเป็นไหนๆ เสียดายที่เป็นเพียงเพื่อนจัง

ทีมหมอโมค่ะ หวงหมอโม ติ๊นไม่ต้องมายุ่งเลยนะ 55

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ติ๊นน้าาาาา ทำไมทำแบบนี้
นึกถึงคนปัจจุบันหน่อยซี่ ไนท์เคยปฏิเสธไป ถึงจะให้เหตุผลว่าตอนนั้นกลัวก็เถอะ มีโอกาสแล้วไม่รับไว้จะมาเอาอะไรตอนนี้

หมอโมอย่าไปสนนะ ต้องเอาให้รู้สึกผิดสุด ๆ ไปเลย  :ling1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 11 โอกาส


ประโยคที่เพิ่งจบลงดูดเอาออกซิเจนรอบ ๆ ตัวหายไปด้วยหรือไรศุกลจึงรู้สึกอึดอัดราวกับขาดอากาศหายใจเช่นนี้ ชายหนุ่มจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา อยากจะอธิบายแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จริง ๆ คือไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนมากกว่า นั่นเพราะยังไม่รู้แน่ถึงสาเหตุที่ทำให้เอกรงค์โกรธเขา แต่มันจะต้องเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนตามที่ปรเมษฐ์เคยพูดไว้อย่างแน่นอน


“ผมไม่รู้ว่าโมโกรธอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องของไนท์ มันไม่ได้เป็นอย่างที่โมคิด”


“คุณรู้เหรอว่าผมคิดอะไร”


“ม...ไม่รู้” คนพูดส่ายหัว “เพราะถ้ารู้ผมคงไม่ปล่อยให้โมเข้าใจผิดแบบนี้”


เอกรงค์ยังคงสบตานิ่ง นิ่งพอ ๆ กับร่างกายและหัวใจของตนเองในขณะนี้ “ต้องให้ผมเป็นฝ่ายพูดเหรอว่าเห็นหรือได้ยินอะไร ได้! ผมจะบอกให้ ผมเห็นตั้งแต่ต้นจนจบนั่นแหละ เห็นด้วยสองตาของตัวเอง เข้าใจแล้วว่าตลอดมาคนที่คุณรักคือใคร”


ศุกลสืบเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะสวมกอดให้หายคิดถึงพร้อมกับกระซิบ “ขอโอกาสให้ผมสักครั้งนะครับ”


“ปล่อยเถอะ ผมไม่อยากใช้กอดของคุณร่วมกับใคร” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าว แม้ไม่ได้ยกมือขึ้นปัดป้อง หากแต่น้ำเสียงราบเรียบนั้นกลับมีกำลังพอจะผลักไสคนฟังให้ออกห่างได้ ไม่ถึงอึดใจเขาก็รู้สึกได้ว่าแขนแกร่งนั้นค่อย ๆ คลายออกและร่างสูงก็ถอยห่างออกไปช้า ๆ


“ขอโทษครับ” ศุกลเอ่ยเสียงแผ่ว


“คุณกลับไปเถอะ” เอกรงค์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ จ้องตาเขม็ง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีไม่ทีท่าจะขยับจึงรั้งกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ผมบอกให้กลับไปไง”


ดวงตาคู่นั้นเรียบเฉยไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ แต่เมื่อสังเกตดี ๆ กลับพบว่ายังมีรอยยิ้มจาง ๆ แฝงอยู่ เอกรงค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของหนุ่มศิลปินผู้นี้ได้เลย “ถ้าอย่างนั้นผมไปเอง”


“ด...เดี๋ยว โม” มือใหญ่กำลังจะเอื้อมรั้งแต่ก็ต้องชะงักเพราะน้ำเสียงเด็ดขาด


“อย่ามาแตะต้องตัวผม!”


ดังนั้นศุกลที่ในตอนแรกคิดจะยื้อไว้จึงจำต้องหลีกทางปล่อยให้คนที่กำลังหงุดหงิดเดินผ่านไปได้ง่าย ๆ เมื่อได้ยินเสียงเลื่อนเปิดประตู จิตรกรหนุ่มจึงเดินตามออกไปเงียบ ๆ เว้นระยะห่างพอสมควรพอให้เห็นอีกคน กระทั่งถึงลานจอดรถ รอจนคาดิลแลคสีดำเคลื่อนลับตาไป


สายลมหนาวพัดพาเอาควันจาง ๆ ของกำยานอินเดียสำหรับจุดบูชาพระพิฆเณศวร์ลอยคลุ้งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ หากแต่วันนี้บ้านกลับดูเงียบเหงาพอ ๆ กับหัวใจของผู้เป็นเจ้าของ ศุกลเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ยกมือขึ้นก่ายหน้าฝากพร้อมกับคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา คำพูดตัดพ้อของเอกรงค์ยังคงดังแว่วอยู่ในโสตประสาทและและบาดลึกอยู่ไปถึงขั้วหัวใจ


"เรียกแบบไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะยังไงผมก็ไม่ได้เป็นโมของติ๊นอยู่ดี"


จิตรกรหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ดวงตาที่ทอดมองเพดานว่างเปล่าปิดลงพร้อมกับภาพของใครคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง...


รอยยิ้ม...เมื่อวันแรกที่ได้พบกัน สายตาที่แฝงความนัย เสียงกระซิบบอกความรู้สึก กระทั่งกลิ่นหอมละมุนและผิวสัมผัสชวนหลงใหลของคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่แนบอกในค่ำคืนอันแสนหวาน ทั้งหมดนี้เขาเคยที่ว่าเป็นของเขา แต่วันนี้กลับไม่ใช่...


"อย่ามาแตะต้องตัวผม!"


ศุกลสะดุ้งเฮือกพร้อมกับลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขายันกายลุกขึ้นนั่งก่อนหยิบต้นกำเนิดเสียงออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับสาย


“ครับ พี่มุก”


“ติ๊น ปลายเดือนหน้าพี่จะบินกลับไทยนะจ๊ะ แต่ว่าจะแวะไปหาเจ้าเม่นก่อนก็เลยจะขอรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือที่ติ๊นเคยบอกว่าจะฝากซื้อน่ะ เดี๋ยวพี่จะให้เจ้าเม่นมันดูให้ ขืนหาซื้อเองคงไม่เจอแน่ ๆ ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นสักตัว” คนปลายสายหัวเราะคิก


“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นผมจะส่งอีเมลให้ก็แล้วกันนะครับ พอดีเป็นหนังสือที่เพื่อนฝากมาอีกที”


“ได้จ้ะ”


“รอบนี้กลับมาอยู่นานไหมครับพี่มุก”


“กลับมาอยู่ถาวรเลยจ้ะ แฟนมีเรียนจบแล้ว ต้องกลับมาใช้ทุนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ไทย”


“ดีเลยครับ ผมจะได้หาโอกาสเลี้ยงข้าวตอบแทนตามที่บอกพี่มุกไว้สักที”


“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อนเถอะจ้ะ ว่าแต่ติ๊นเถอะเป็นยังไงบ้าง คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” เสียงหวานของหญิงสาวคงเป็นสิ่งเดียวที่พอจะช่วยให้ศุกลมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างในยามนี้


“ยังไม่ถึงไหนเลยครับ” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะขื่น ๆ


“เอาน่า อุตส่าห์พยายามตั้งนาน สู้ ๆ จ้ะ พี่เป็นกำลังใจให้”


“ขอบคุณครับพี่มุก”


จิตรกรหนุ่มกดวางสาย ก่อนจะแตะหน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมสนทนา ดันปลายนิ้วเลื่อนอ่านข้อความเก่า ๆ  กระทั่งมาถึงข้อความสุดท้ายที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อวาน เกือบจะชนวันแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกคนจะเปิดขึ้นอ่าน ในที่สุดศุกลก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความเดิม ๆ แล้วกดส่งอีกครั้ง ไม่นานสัญลักษณ์ที่แสดงว่าข้อความนั้นถูกอ่านแล้วก็ปรากฏขึ้น แม้จะไม่มีถ้อยคำใด ๆ ตอบกลัวเหมือนเช่นเคย แต่เขาก็ยังรู้สึกดีที่อีกฝ่ายได้อ่านมัน...


...


ปรเมษฐ์เงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวยืดตัวมองข้ามไหล่คนฝั่งตรงข้ามและหยุดสายตายังร่างชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป หากเป็นเมื่อช่วงสองสัปดาห์ก่อนภาพนี้อาจจะเป็นภาพที่ไม่คุ้นตานัก แต่ในขณะนี้มันกลับกลายเป็นราวกับส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาหรือไม่ก็เอกรงค์ไปเสียแล้ว


“นี่จะสองอาทิตย์แล้วนะที่เขามานั่งเฝ้านายแบบนี้น่ะ”


“ช่างเขาสิ เดี๋ยวเบื่อก็เลิกไปเองแหละ” เอกรงค์ว่าขณะใช้ช้อนเขี่ยอาหารในจาน


“กลัวจะไม่เป็นอย่างนั้นสิ”


“ทำไมนายคิดแบบนั้น” กุมารแพทย์หนุ่มถามอย่างแปลกใจ


แม้แต่คนพูดเองก็ยังสงสัยในถ้อยคำของตนเอง นั่นสิ...อะไรกันที่ชวนให้คิดเช่นนั้น หรือเพราะเขารู้สึกได้ว่าศุกลต่างจากคนอื่น ๆ ที่เอกรงค์คบได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าวก็มีเหตุให้เลิกรากัน ยิ่งรายไหนจบกันเพราะเรื่องนอกใจด้วยแล้ว ก็ยิ่งพาให้คนที่ทุ่มเทในความรักอย่างเอกรงค์ถึงขนาดเกลียดยันเงาเลยทีเดียว 


“ไม่รู้เหมือนกัน” นายแพทย์ปรเมษฐ์ตอบห้วน ๆ เพราะเขาเองก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินเถอะ เดี๋ยวนายมีตรวจต่อไม่ใช่เหรอ”


คนฟังพยักหน้า กำลังจะลงมือรับทานอาหารต่อแต่ก็ยังมีเรื่องที่อดถามไม่ได้ “ไม่คิดจะฟังเขาอธิบายหน่อยเหรอ”


คำถามนั้นทำคนฟังชะงัก เอกรงค์วางช้อนลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ


ปรเมษฐ์กระแอมเบา ๆ แก้เก้อ แล้วจึงกล่าวอย่างมีมาด “ก็ไม่ได้จะเชียร์หรือเห็นอกเห็นใจอะไรหรอกนะ แต่ถ้าเป็นคนที่แล้ว ๆ มา ฉันยังเห็นนายให้โอกาสเขาได้อธิบายก็เท่านั้น”


“เห็น ๆ อยู่ยังต้องอธิบายอะไรอีก”


“อือ ก็จริง” ชายหนุ่มรอบถอนใจเมื่อได้พูด ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความต้องการของตัวเองต้องเลยสักนิด ที่ต้องทำก็เพราะนภธรณ์ขอร้องหลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากของเขาต่างหาก แต่คำตอบของเอกรงค์ก็มีข้อสรุปในตัวเองอยู่แล้ว


สองคนแยกกันที่หน้าโรงอาหารของโรงพยาบาล เอกรงค์เดินกลับขึ้นไปที่ห้องทำงานเพื่อเก็บของ เมื่อเรียบร้อยเขาก็กลับออกมาอีกครั้ง มองไปรอบ ๆ ให้แน่ใจว่าศุกลไม่ได้ตามมา กุมารแพทย์หนุ่มจึงเดินไปกดลิฟต์และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกเขาก็ก้าวเข้าไปข้างใน กำลังจะเอื้อมมือกดให้ประตูปิดก็มีมือหนึ่งรั้งบานโลหะให้แยกจากกันอีกครั้ง


“ไปด้วยครับ” ศุกลกล่าวพร้อมกับสบตาคนตรงหน้าจากนั้นจึงก้าวเข้ามายืนข้างกัน


“คุณมาทำไมอีก” ยังคงเป็นคำถามเดิม แต่ไม่รู้ว่านี่คือครั้งที่เท่าไรแล้วที่เอกรงค์พูดมันออกไป กุมารแพทย์หนุ่มถอนหายใจเบา ๆ แล้วแตะปลายนิ้วกดปุ่มให้ประตูลิฟต์ปิด ไม่มีใครในนี้นอกจากพวกเขาสองคน


“ผมมารอให้โมใจเย็นลง ยอมให้ผมได้อธิบาย” และนั่นก็เป็นประโยคที่ศุกลใช้ตอบเหมือนเช่นทุกครั้ง


“คุณไม่จำเป็นต้องอธิบาย”


“แต่โมกำลังเข้าใจผมผิด ผมกับ...” ศุกลกำหมัดแน่น ใจอยากจะรั้งตัวอีกฝ่ายมากอด แต่ก็ทำได้เพียงมองเท่านั้น ที่มาหาทุกวันก็เพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นลงแล้วรับฟังคำอิบาย ที่ยังมีหวังเพราะคิดว่าตนเองบริสุทธิ์ใจในเรื่องที่เกิดขึ้น


“พอได้แล้ว สิ่งที่คุณทำในวันนั้นมันทำให้ผมเข้าใจแล้วทุกอย่าง คุณกลับไปเถอะ” สิ้นเสียงของเอกรงค์ประตูลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้ง ก่อนจะก้าวห่างออกไปกุมารแพทย์หนุ่มก็ตัดสินใจปิดฉากความสัมพันธ์ทั้งหมดด้วยประโยคสั้น ๆ “ถ้าจะให้ดีก็อย่ามาเจอกันอีกเลย”


เพราะเจ็บกับเรื่องความรักมามากเหลือเกิน ครั้งนี้เอกรงค์จึงไม่คิดยื้อมันไว้อีก และมันก็ได้ผล เมื่อศุกลไม่ได้มาที่โรงพยาบาลอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น...


...


สัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมกำลังเริ่มต้นขึ้นพร้อม ๆ กับเดือนสุดท้ายของปีที่กำลังจะหมดลง บรรยากาศในกรุงเทพฯ ดูเงียบเหงาะเพราะผู้คนทยอยเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาในวันหยุดยาวที่จะมาถึง งานหยุด...แต่อาการป่วยไข้ไม่มีวันหยุด โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ก็ยังคงทำงานอย่างแข็งขัน บอร์ดใหญ่ที่เคยเป็นแหล่งให้ความรู้ขณะนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยกระดาษหลากสีสัน มีภาพคุณหมอและพี่พยาบาลใจดีปะติดสลับกับสติกเกอร์รูปสัตว์น่ารัก ๆ พร้อมด้วยกระดาษโน้ตเขียนข้อความอวยพรปีใหม่ของแต่ละคน ต้นคริสมาสต์พุ่มเตี้ย ๆ ประดับไฟด้วยสายรุ้งระยิบระยับถูกนำมาตั้งไว้ข้าง ๆ กัน และเกือบตลอดทั้งวันที่เพลงซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเทศกาลปีใหม่ถูกเปิดวนจนทุกคนในแผนกเผลอฮัมเพลงเหล่านี้ตามขณะทำหน้าที่ของตน   


“สวัสดีครับหมอโม”


เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้คนที่กำลังยืนเซ็นเอกสารที่เคาน์เตอร์พยาบาลต้องเหลียวมอง ภาพที่เห็นคือสองพี่น้องที่ไม่ได้พบกันเสียนาน พลันใบหน้าเคร่งขรึมก็กลับมีรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง


“มาทำอะไรที่นี่ครับสองหนุ่ม”


“ผมนัดเจอกับแม่ที่นี่ครับ พอดีแม่มาเยี่ยมเพื่อนครับ ธรณ์อยากดูปลา ผมก็เลยพาน้องแวะมา” ธีร์ทัศน์กล่าวหลังจากสะกิดน้องชายให้ยกมือไหว้ผู้ใหญ่


“ตัวมันใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่ผมมาให้หมอโมฉีดยาตั้งเยอะ” ว่าแล้วหนุ่มน้อยก็หันกลับไปมองเจ้าปลาสวยงามในตู้กระจกขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของผนังซึ่งกั้นระหว่างห้องโถงกับทางเดินอีกครั้ง “โอ้โห! ตัวนั้นท่าทางจะกินจุ”


เอกรงค์ทอดตามองเด็กชายที่ยังคงเพลิดเพลินกับการกระจกจกมองฝูงปลาเกล็ดวาวอย่างเอ็นดู ในที่สุดเขาก็ละสายตาหันมาถามธีร์ทัศน์ “เจอเจ้านอฟบ้างหรือเปล่า”


“เจอบ้างครับ ส่วนใหญ่จะโทรคุยกันเสียมากกว่า เสียดายที่นอฟไม่ได้ไปเรียนแล้ว ไม่อย่างนั้นวันเสาร์นี้คงได้ปาร์ตี้ปีใหม่กันที่บ้านพี่ติ๊น มีจับฉลากของขวัญด้วยนะครับ”


“อืม...น่าสนุกดีนะ” คนพูดฝืนยิ้มเมื่อชื่อของใครบางคนกำลังทำให้เรื่องที่พยายามจะลืมฉายชัดขึ้นบนฉากรับในห้วงความคิด


“แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเลื่อนออกไปหรือเปล่านะครับ” เด็กหนุ่มถอนใจ


“อ้าว ทำไมล่ะพี่ทัศน์” คนหันมาเริ่มหน้ามุ่ยหันมาพร้อมกับบ่นอู้อี้ “ธรณ์อุตส่าห์ทุบกระปุกมาซื้อของขวัญแล้วนะ”


“พี่ดลบอกว่าพี่ติ๊นไม่สบาย ถ้าหายไม่ทันก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะหายเมื่อไร ยาก็ไม่ยอมทาน พี่ดลกับพี่พีจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป”


“ถ้าอย่านั้นวันนี้เราชวนแม่ไปเยี่ยมพี่ติ๊นกันนะครับ”


“ไม่ได้หรอก” พูดพลางวาดแขนโอบไหล่น้อง “แม่บอกคุณยายไว้ว่าวันนี้จะซื้อผลไม้ไปคั้นให้ดื่ม ถ้าผิดสัญญาคุณยายเคืองแน่” ธีรทัศน์ละสายตาจากหน้าระห้อยของเด็กชายแล้วเงยหน้ามองอีกคนที่ยืนฟังเงียบ ๆ นึกได้ว่าตนเองกำลังทำให้ผู้ใหญ่เสียเวลาจึงเอ่ยขึ้น “อุ้ย! ขอโทษครับ มัวแต่ชวนหมอโมคุยเพลินเลย”


“ไม่เป็นไรครับ หมอไม่ได้รีบไหน เดี๋ยวก็จะกลับบ้านแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นเราก็ฝากหมอโมไปเยี่ยมพี่ติ๊นสิครับพี่ทัศน์”


“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงทัศน์ หมอโมเขาต้องรีบกลับไปพักผ่อน” พูดจบคนพี่ก็หันมากล่าวกับเอกรงค์ที่ยังคงยืนนิ่งปั้นหน้าไม่ถูก “ถ้าอย่างนั้นผมสองคนไม่รบกวนหมอโมแล้วครับ ได้เวลานัดแล้ว ผมพาน้องไปหาแม่ก่อนนะครับ สวัสดีครับ”


เมื่อเห็นพี่ชายยกมือไหว้ น้องชายก็ทำตาม จากนั้นสองพี่น้องก็จูงมือกันเดินออกไป...


เอกรงค์หยุดยืนที่หน้าเรือนกระจกภายในบริเวณของแกลเลอรีสีขาวซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลเพียงแค่ไม่กี่แยกไฟแดง เขายังหาคำตอบไม่ได้ว่าเหตุใดจึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ ซ้ำสปอร์ตซีดานสีดำคันนั้นก็จอดอยู่ในโรงรถเหมือนเมื่อวันที่ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกไม่มีผิด เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าทั่วทั้งบริเวณเงียบเชียบเพราะเลยเวลาที่แกลเลอรีปิดมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว มีเพียงแสงไฟที่รอดผ่านช่องหน้าต่างของชั้นบนซึ่งเป็นสตูดิโอเท่านั้นที่ทำให้คาดเดาได้ว่าเจ้าของบ้านน่าจะยังไม่นอน กุมารแพทย์หนุ่มจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปยังด้านหลังก่อนจะก้าวขึ้นบันไดวนที่นำขึ้นสู่ชั้นสองของตัวอาคาร ดวงตาจดจ้องที่ประตูห้องทางด้านซ้ายมือซึ่งเปิดแง้มอยู่ พลันขายาวก็ต้องชะงักเพราะวัตถุหนึ่งที่ปลิวกระทบกับบานไม้เนื้อแข็ง และเมื่อมันตกลงพื้นกระทั่งไถลมาหยุดที่ปลายเท้า เอกรงค์จึงได้รู้ว่ามันคือคัตเตอร์ที่เด็ก ๆ ใช้เหลาดินสอนั่นเอง


“อย่าทำให้เราเกลียดไนท์เลยนะ”


เมื่อได้ยินเสียงขึ้นจมูกของผู้เป็นเจ้าของบ้านก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่ธีรทัศน์พูดนั้นเป็นความจริง คุณหมอยังคงเลือกที่จะยืนนิ่งเงี่ยหูฟังความเป็นไปอยู่ตรงนั้น ในมือกำถุงใส่โจ๊กที่ซื้อมาจากโรงอาหารของโรงพยาบาลเอาไว้หลวม ๆ ไอร้อนเตือนให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ไม่ใช่แค่ความฝัน


“จะเกลียดก็ได้นะ” เสียงนั้นฟังดูสั่นไหว หากแต่ประโยคต่อมาของอีกคนกลับยังมั่นคงเหมือนเช่นเคย


“เราบอกแล้วไงว่าเราไม่มีวันเกลียดไนท์ มันจะไม่มีวันนั้น”


“หึ! ถ้าตอนนั้นถ้าเราไม่ขอให้เป็นเพื่อนกัน ติ๊นก็คงเกลียดเราไปแล้วนานแล้วใช่ไหม ตอบเราสิว่าใช่หรือเปล่า” ท้ายประโยคนั้นสั่นเครือปนสะอื้น


เอกรงค์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ได้ยินศุกลเรียกชื่ออีกฝ่ายแล้วเงียบไปจนอดคิดไม่ได้ว่าหรือสิ่งที่รัตติเขตพูดจะเป็นความจริงจนเขาไม่มีข้อโต้แย้ง


“ขอร้องละ ถ้าตอนนี้รักเราไม่ได้ก็ช่วยเกลียดเราทีเถอะ เราเข้าใจแล้วว่าการถูกให้ความหวังแล้วมาบอกกันว่าไม่ได้รักมันเป็นยังไง”


“หยุดเถอะไนท์ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”


“เกลียดเราเถอะนะติ๊น อย่าดีกับเราแบบนี้เลย ยิ่งติ๊นดีกับเราเท่าไร...”


“หยุดบอกให้เราทำในสิ่งที่ไนท์ต้องการสักทีเถอะ” เสียงนั้นราบเรียบแต่แข็งกร้าวจนน่าใจหาย “ต่อไปนี้ขอให้เราได้เป็นตัวของเราเองเถอะนะ เราบอกแล้วว่าจะเป็นเพื่อนก็คือเป็นเพื่อน จะให้เกลียดกันก็ทำไม่ได้ เรายังอยากเป็นเพื่อนกับไนท์นะ” คนพูดถอนหายใจเฮือกใหญ่ “วันนี้ไนท์กลับไปก่อนเถอะ เราอยากพักผ่อน”   


ทุกสรรพเสียงเงียบหายราวกับถูกดูดกลืนไปในห้วงอารมณ์เศร้าหมอง ไม่นานร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งก็แทรกผ่านประตูออกมา เขาชะงักเล็กน้อยพร้อมกับรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลลงอาบสองแก้มเมื่อเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบกันที่นี่อีกครั้ง ในขณะที่เอกรงค์เองก็วางหน้านิ่งเบือนหน้าไปทางอื่นรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินผ่านไปจึงขยับตัวพิงผนัง หลังจากนั้นไม่นานเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงลากปิดประตูรั้ว กุมารแพทย์หนุ่มจึงค่อย ๆ นั่งลงอย่างคนหมดแรง วางถุงโจ๊กไว้ข้างตัวซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่แสงไฟในห้องดับลงเหลือเพียงแสงรำไรของโคมไฟตั้งโต๊ะเท่านั้น


รอบกายกลับเงียบเชียบลงอีกครั้ง ได้ยินก็เพียงเสียงเข็มวินาทีจากนาฬิกาข้อมือ เอกรงค์ก้มมองเวลาที่หน้าปัด เห็นว่าควรกลับสักทีจึงยันกายลุกขึ้นยืนพลันกระแสลมอ่อน ๆ ก็พัดให้ประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ค่อย ๆ แง้มออกจนเกิดเสียงที่พอจะรั้งความตั้งใจของเขาเอาไว้ได้ ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าประตู เมื่อมองเข้าไปก็เห็นร่างของศุกลกำลังนอนขดอยู่ที่หน้าเฟรมสีน้ำมันขนาดใหญ่ แสงไฟอันน้อยนิดพอจะทำให้เห็นว่าที่ตรงกลางมีรอยขาดยาวเกือบหนึ่งไม้บรรทัดและคัตเตอร์ที่ตกอยู่หน้าห้องนี่กระมังที่เป็นต้นเหตุของร่องรอยนั่น กุมารแพทย์หนุ่มทอดตามองภาพตรงหน้าอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะค่อย ๆ ดึงประตูปิด และไม่ลืมที่จะคว้าถุงใส่อาหารติดมือมาด้วยเพื่อทำให้เหมือนตนเองไม่เคยมาที่นี่


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2016 06:26:37 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


งานเลี้ยงปีใหม่ถูกจัดขึ้นในอีกสองวันต่อมา หากแต่เจ้าของบ้านที่เพิ่งหายไข้มิได้อยู่ร่วมงานด้วย ดังนั้นหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ จึงตกอยู่กับพีระและธราดลซึ่งเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของ Light&Shade แม้จะผิดหวังนิดหน่อยที่พี่ติ๊นไม่อยู่ แต่กิจกรรมสุดพิเศษที่พี่ ๆ คนอื่น ๆ ช่วยกันจัดขึ้นก็ทำให้เด็ก ๆ ลืมเรื่องนี้ไปได้ในที่สุด และนั่นก็เป็นสิ่งที่ศุกลคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นโฟล์คสวาเกนสีขาวจึงถูกขับออกจากโรงรถตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลของรัฐที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาจอดรถที่ลานจอดแล้วตรงไปยังแผนกกุมารเวชศาสตร์เหมือนอย่างเคย แต่วันนี้กลับแปลกไปเพราะแทนที่จะพบกับดวงตาเฉยชาของเอกรงค์กลับพบสายตาไม่เป็นมิตรของนายแพทย์ปรเมษฐ์แทน จิตรกรหนุ่มเลือกที่จะนั่งอยู่ในมุมหนึ่งเหมือนทุกครั้งตามที่ได้สัญญากับตนเองเอาไว้ว่าจะรอจนกว่าอีกฝ่ายพร้อมที่จะรับฟังโดยไม่ทำให้ต้องรำคาญใจ แม้ผลักไสก็จะไม่ยอมแพ้ หรือหากจะหนีหน้าก็จะตามไปให้เจอกันให้ได้


“คุณมาทำอะไรที่นี่”


ศุกลเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่เดินมาหยุดก่อนจะตอบ “ผมมาหาโมครับ”


“เขาไม่อยากพบ คุณก็ไม่ควรมาอีก”


“ผมแค่...”


ยังพูดไม่ทันจบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ   


“โป้! อยู่นี่เองฉันเดินตามหาแกแทบแย่” หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดกระโปรงสีเรียบ ๆ ร้องทักพร้อมกับกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหา “มาหาโมโมก็ไม่อยู่ ไปหาแกที่ห้องก็ไม่เจอ ว่าจะมาชวนไปกินข้าวกลางวันสักหน่อย” เธอกล่าวก่อนจะมองเลยมายังศุกลที่กำลังลุกขึ้นยืน


“โมไม่อยู่ ฉันก็ว่าจะชวนไปก...กิน...” นายแพทย์ปรเมษฐ์เริ่มอธิบาย หากแต่หญิงสาวกลับไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเขาอีกต่อไป


“ติ๊น!”


“สวัสดีครับพี่มุก” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ เธอคือ “ดุจมุก” อดีตแอร์โฮสเตสสาวที่ผันตัวมาจับธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าเครื่องสำอางจากต่างประเทศนั่นเอง


“เสียดายจัง ไม่รู้ว่าจะเจอติ๊นที่นี่ เลยไม่ได้ถือหนังสือที่ฝากซื้อติดมาด้วย”


“ไม่เป็นไรครับ” ศุกลยิ้มบาง ๆ


“มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ” ดุจมุกแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว


“ผมมาหาคุณหมอเอกรงค์น่ะครับ”


“แหม...เรียกเสียเต็มยศเชียว” เจ้าของร่างบอบบางหัวเราะ “โมไม่อยู่หรอกจ้ะ พี่โทรไปถามแล้ว เห็นว่ากลับบ้านที่อยุธยาน่ะ”


“ยัยมุก!” พลันมือใหญ่ก็คว้าเข้าที่ต้นแขน ปรเมษฐ์ทำหน้าขึงขังขยับปากเพียงนิดให้เสียงรอดไรฟันพอได้ยินกันสองคน “แกไปบอกเขาทำไม”


“อ้าว ก็ต้องบอกสิ ไม่อย่างนั้นน้องติ๊นก็รอแย่เลย”


“มันก็เรื่องของเขาไหม”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”


“เอาไว้เราค่อยนัดกันใหม่นะ”


สาวสวยว่าพลางยกมือขึ้นโบกไหว ๆ รอกระทั่งหนุ่มรุ่นน้องเดินห่างออกไปจึงหันมาส่งยิ้มหวานให้คุณหมอมาดนิ่งที่ยืนหน้าตีหน้าขรึมอยู่ข้าง ๆ


“แกไปรู้จักหมอนั่นตอนไหน”


“ก็รู้จักพร้อมโมนั่นแหละ เคยบังเอิญเจอกันที่ญี่ปุ่น”


“แล้วยังไงต่อ”


“อะไรของแกที่ว่าแล้วยังไงต่อน่ะ”


“มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ ๆ แกกับเขาถึงได้ดูสนิทสนมกันแบบนี้ แกต้องมีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าให้ฉันกับโมฟังใช่ไหม”


“เรื่องนี้มันต้องให้พระเอกเขาเฉลยย่ะ ฉันน่ะเป็นแค่ตัวประกอบ ส่วนแกก็เป็นหมอทำคลอด เพราะฉะนั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฉันหิวแล้ว อยากคุยเรื่องที่เรียนต่อเฉพาะทางให้เจ้าเม่นด้วย เอ้อ...นี่ ฉันซื้อของฝากแกด้วยนะ” พูดจบหญิงสาวก็กอดหมับเข้าที่แขนแกร่งก่อนจะฉุดกระชากลากดึงกันไปไม่เว้นจังหวะให้ตนเองได้ตกเป็นผู้ต้องหาที่กำลังจะถูกนำตัวเข้าห้องสอบสวน


....


คาดิลแลคสีดำจอดสนิทที่หน้าบ้านทรงไทยใต้ถุนสูงมาตั้งแต่เมื่อตอนที่ฟ้ายังไม่สางจนกระทั่งตอนนี้ที่ความมืดได้โรยตัวลงปกคลุมไปทั้งบริเวณอีกครั้งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนจากตำแหน่งเดิมไปไหน กลิ่นจาง ๆ ของดอกราตรีที่ปลูกไว้ใกล้ศาลาท่าน้ำผสมกับกลิ่นเทียนอบที่ถูกจุดขึ้นสำหรับอบขนมเปี๊ยะไส้ถั่วซึ่งเจ้าของบ้านมักทำเป็นของแจกในเทศกาลปีใหม่เป็นกลิ่นหอมที่คนจากบ้านไปนานมักโหยหายามเมื่อจิตใจอ่อนแอ เอกรงค์เพิ่งอาบน้ำอาบท่าเสร็จหลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารมื้อเย็นฝีมือของ “เมขลา” น้องสาวคนสุดท้อง ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนออกมาในชุดสบายๆ ซึ่งเป็นเพียงแค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงผ้าขายาวสีเทาลายทาง ผมเผ้าถูกปล่อยเป็นธรรมชาติต่างกับตอนอยู่ที่ทำงาน เขาเดินตรงไปยังระเบียงหน้าบ้านก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้โยกของพ่อฟังเสียงขลุ่ยเพียงออที่น้องชายคนรองมักจะหยิบออกมาเป่ายามเมื่อสมาชิกในครอบครัวได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จะขาดก็แต่พ่อกับ “ประติมา” น้องชายซึ่งเป็นนักโบราณคดีที่อายุห่างกันสามปีเท่านั้น


“ทานขนมกันค่ะพี่ ๆ” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่เดินออกมาพร้อมกับจานขนมเอ่ยขึ้น


เอกรงค์ทอดตามองหญิงสาววัยย่างเบญจเพสอย่างเอ็นดู หลายต่อหลายคนคาดว่าเธอน่าจะเป็นครูสอนนาฏศิลป์ตามอย่างผู้เป็นแม่ แต่ด้วยความที่สนใจเรื่องราวในอดีตเธอจึงเลือกเรียนเอกประวัติศาตร์และสอบบรรจุเป็นภัณฑารักษ์ได้ตามที่ฝันเอาไว้ ความเจ้าระเบียบและใส่ใจคนอื่นมากกว่าตนเองทำให้น้องสาวคนเล็กผู้นี้กลายมาเป็นคนที่คอยดูแลพี่ ๆ จอมทะโมนอีกสองคนแทนแม่ในยามที่พี่ชายคนโตต้องไปทำงานไกลบ้าน


“พ่อบอกขิมหรือเปล่าว่าจะกลับตอนไหน”


“เดี๋ยวก็คงถึงมั้งคะ เมื่อกี้เห็นโทรคุยกับแม่อยู่” เธอกล่าวพลางวางจานขนมบนโต๊ะซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงขลุ่ยเงียบลง


“วันนี้พ่อไปที่ไหน ขิมรู้ไหม” วงพาทย์กล่าวขณะหยิบขนมก้อนกลมส่งเข้าปาก


“ไปวัดเชิงท่าค่ะ วันนี้มีนักศึกษาคณะโบราณคดีมาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เห็นว่ามาศึกษาจิตรกรรมฝาผนัง อาจารย์ที่พามาเป็นเพื่อนกับพี่ปั้นตั้งแต่สมัยเรียน รู้ว่าพี่ปั้นมีพ่อทำงานให้กรมศิลป์ก็เลยเชิญพ่อไปเป็นวิทยากร”


“ขิม เดี๋ยวลูกจัดเครื่องนอนอีกชุดนะลูก” ผู้เป็นแม่ที่เพิ่งเดินมาสมทบเอ่ยขึ้น


“ให้ใครเหรอคะแม่”


“แม่ก็ไม่ทันได้ถาม เห็นพ่อบอกว่าจะมีแขกมานอนด้วย ลูกจัดเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน จะให้เขานอนห้องไหนรอพ่อกลับมาค่อยถามเขาอีกที”


“ได้ค่ะแม่” เมขลารับคำ


สี่คนแม่ลูกคุยกันได้สักพักเสียงเครื่องยนต์รถจี๊ปคันเก่งของประติมาลูกชายคนที่สามก็แล่นเข้ามาจอด การสนทนาประสาแม่ ๆ ลูก ๆ จึงลงเพียงเท่านั้น หลังจากรถจอดสนิท “ดำรงค์” หรือ “ลุงรงค์” ที่คนในระแวกนี้และคนในกรมศิลป์ต่างพากันเรียกก็เดินนำขึ้นมาบนบ้าน


“ไง ตื่นแล้วเหรอลูกชาย” ผู้เป็นพ่อกล่าวทักทายอย่างอารมณ์ดี “มาถึงยังไม่ทันจะคุยกับพ่อแม่ได้สักเท่าไรก็หลับเป็นตายเลย”


“โธ่พ่อ...ก็งานมันหนักนี่นา ได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเอง”


“ถ้างานมันหนักขนาดนั้นก็กลับมาอยู่บ้านเราไหม เดี๋ยวพ่อจะฝากลุงธนูให้รับแกเป็นผู้ช่วย จะได้ตามลุงเขาไปวาดจิตรกรรมฝาผนังในวัดให้ทั่วอยุธยาเลย”


“พ่อก็รู้ว่าผมไม่เอาไหน ขืนผมไปช่วย มีหวังได้ป่วนไปกันหมด พานจะเสียมาถึงพ่อเปล่า ๆ” ลูกชายคนโตส่ายหัวดิก


“ถ้าอย่างนั้นสนใจมาขุดโครงกระดูกกับผมไหมล่ะครับคุณหมอ” ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มที่เดินพ้นซุ้มประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น


“ให้ฉันทำงานกับคนเถอะไอ้ปั้น”


“นึกว่าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ”


“เอาละ ๆ พ่อลูก มัวแต่คุยกันอยู่นั่นแหละ แล้วไหนล่ะจ๊ะแขกที่พ่อว่าน่ะ” อรอนงค์ถามกับผู้เป็นสามี


“เดินตาม ๆ กันมาเมื่อกี้นี่นา ไปไหนเสียแล้วล่ะ ติ๊น!” เมื่อเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงขานรับแว่วมาจากใต้ถุนบ้าน


“ต...ติ๊น?!?” เอกรงค์กล่าวเสียงแผ่ว อดคิดไม่ได้ว่าชื่อนี้ยังมีคนเอาไปตั้งเป็นชื่อลูกอีกหรือ


“มัวทำอะไรอยู่วะ” ประติมาหันไปกล่าวกับคนที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดมา จากนั้นก็หลีกทางให้เขาได้เข้ามาร่วมวงสนทนา


“สวัสดีครับ” ศุกลยกมือไหว้


“โธ่...ป้าก็นึกว่าแขกที่ไหน ที่แท้ก็ติ๊นนี่เอง”


เจ้าของชื่อยิ้มน้อย ๆ ก่อนเบนหน้ามาสบตาคนที่กำลังยืนตะลึงแวบหนึ่ง


“ขอโทษครับที่ไม่ได้บอกก่อน พอดีพี่ชาติโทรชวนเมื่อเช้าผมก็เลยเก็บกระเป๋ามาเลย”


“เห็นว่าทางนั้นเขาไม่ได้จัดที่หลับที่นอนไว้เผื่อ ก็เลยชวนมานอนบ้านเรา” ดำรงค์เสริม


“แล้วนี่กินข้าวกินปลากันมาเรียบร้อยหรือยังล่ะพ่อ”


“ทานกับอาจารย์สุชาติมาเรียบร้อยแล้วละ ยังไงคืนนี้แม่ช่วยเตรียมที่หลับที่นอนให้เจ้าติ๊นด้วยนะ” พูดจบก็หันมาหาลูกชายคนโต “ในนี้ก็คงมีเจ้าโมนี่ละมั้งที่ยังไม่รู้จักเจ้าติ๊น แล้วนั่นเป็นอะไร ทำหน้ายังกับเห็นผี”


“ปละ...เปล่าพ่อ” เอกรงค์กล่าวติด ๆ ขัด ๆ ก่อนวางหน้านิ่ง


ผู้เป็นพ่อพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “นี่ติ๊น รู้จักกันไว้สิ”


“รู้จักกันหลายปีแล้วละครับ” ศุกลเอ่ยขึ้น


“อ้าว ไปรู้จักกันได้ยังไง” ดำรงค์กล่าวอย่างแปลกใจพร้อมกับหันไปหาลูกชายคนโต


“ผ...ผมสิต้องถาม พ่อ แม่ แล้วก็น้อง ๆ ไปรู้จักเขาตอนไหน”


“ติ๊นก็เป็นลูกชายของลุงศักดิ์ที่เคยมาบ้านเราบ่อย ๆ ไง พี่โมจำลุงศักดิ์ได้ไหม” วงพาทย์แทรกขึ้น เท่านั้นความทรงจำในวัยเด็กก็หวนคืนมา


เอกรงค์พยักหน้างึก ๆ เขาจำ “ลุงศักดิ์” หรือ “ลุงสุรศักดิ์” ศิลปินจิตรกรรมไทยที่เคยมาเยี่ยมพ่อได้ดี แต่ไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายมีครอบครัวอยู่ที่ไหน แถมลูกชายของเพื่อนพ่อคนนี้ยังกลายมาเป็นคนที่เขาไม่อยากเห็นหน้าอีก


“แล้ววันนี้จะให้พี่ติ๊นนอนห้องไหนดีคะ ขิมจะได้จัดเครื่องนอนให้”


กุมารแพทย์หนุ่มยังคงวางขรึม กระทั่งผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นให้นอนกับเจ้าโมก็แล้วกันนะ”


“ครับ คุณลุง” ศุกลรับคำเบา ๆ ก่อนจะหันไปสบตาลูกชายคนโตของบ้านอย่างเกรงใจ


หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย หนุ่มกรุงเทพฯ ก็ถูกเจ้าถิ่นอย่างวงพาทย์และประติมารับน้องด้วยการให้ลงไปอาบน้ำท้าลมหนาวที่ท่าน้ำ ในขณะเอกรงค์เดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์กับปรเมษฐ์ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน


“แกรู้หรือเปล่าว่ายัยมุกมันไปรู้จักกับหมอนั่นตอนไหน” เป็นประโยคแรกที่คนโทรมาใช้แทนคำทักทาย


“หมอนั่นน่ะหมอไหน แกช่วยเกริ่นหน่อยได้ไหม จู่ ๆ ก็ถามขึ้นมาฉันงงไปหมดแล้ว” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวพลางยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง ไม่รู้วันนี้เป็นวันอะไรถึงได้มีแต่เรื่องให้ปวดหัว


“ก็วันนี้ครูสอนศิลปะนั่นมาหาแกที่โรงพยาบาล เจอกับยัยมุก คุยกันยังกับรู้จักกันมานาน แถมยัยมุกยังบอกอีกว่าแกกลับบ้าน ถามว่าไปรู้จักกันตอนไหนยัยมุกก็ตอบแค่ว่ารู้จักพร้อมกันกับแก แต่ฉันว่าสองคนนั่นมันดูสนิทสนมกันแปลก ๆ”


“เออ ฉันก็แปลกใจเหมือนกันว่าจู่ ๆ เขาก็มาโผล่ที่บ้านแถมยังรู้จักทุกคนในครอบครัวของฉันได้ยังไง เอาไว้ได้คำตอบจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ” เอกรงค์กดวางสายก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ปากบางเม้มแน่นก่อนจะเดินดิ่งไปยังศาลาท่าน้ำ


ลูกชายเจ้าของบ้านกวาดตามองหาคนที่เพิ่งเห็นหลังไว ๆ ว่าเดินมาทางนี้แต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว ทั้งที่อุปกรณ์อาบน้ำกับผ้าขาวม้าที่ใช้ผลัดก็วางอยู่บนบันไดแท้ ๆ มือเรียวรั้งขากางเกงขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่บันไดจุ่มปลายเท้าลงในน้ำเย็นเฉียบพลางคิดทบทวนเรื่องราวที่ปรเมษฐ์เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อร่างขาวโพลนทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำ


ศุกลยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วต้องชะงักเมื่อดวงตาสองคู่สบกัน “โม”


“มีอะไรอยากจะพูดไหม”


“ผมอยากอธิบายเรื่องไนท์” คนอายุน้อยกว่ายังยืนยันคำเดิม


“ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น ที่ผมอยากรู้คือคุณมาที่นี่ได้ยังไง”


“พี่มุกบอกผมว่าโมอยู่ที่นี่” จิตรกรหนุ่มตอบซื่อ ๆ


“มุก? แล้วคุณไปรู้จักกับมุกตอนไหน เจอกันก็แค่ครั้งเดียวแถมยังคุยกันอยู่ไม่กี่คำ”


“ผ...ผม...”


“เล่ามาให้หมด” เอกรงค์ว่า จ้องด้วยสายตาเอาเรื่อง “ระหว่างคุณกับมุกยังมีเรื่องที่ผมไม่รู้ใช่หรือเปล่า”


ศุกลไม่ได้แก้ต่าง และถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดดัก เขาก็ยินดีจะตอบอย่างซื่อตรงอยู่แล้ว “จำที่โมเคยถามผมได้ไหม เรื่องที่ว่าไม่คิดจะตามหากันบ้างหรือไง ผมยอมรับว่าไม่เคยคิด จนกระทั่งผมกับพี่มุกบังเอิญเจอกันที่สถานทูตเมื่อตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น พี่มุกบินไปตามข่าวน้องชายที่นั่น ส่วนผมกับนักเรียนไทยบางส่วนรับอาสาช่วยงานที่พอจะช่วยได้”


เอกรงค์มุ่นคิ้วเมื่อนึกได้ว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านมาได้ปีกว่า ๆ นี่เอง


“จากเหตุการณ์คราวนั้น ผมตัดสินใจถามเรื่องโมจากพี่มุก ถึงรู้ว่าโมเป็นใคร ทำงานที่ไหน ตอนที่ปิดเทอมผมมีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมบ้านก็เลยแอบไปที่โรงพยาบาล แต่ตอนนั้นโมคบกับคนอื่น...”


“ต...ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ” เอกรงค์กล่าวอย่างไม่เชื่อหู


“คิดจะตัดใจอยู่หลายรอบ จนกระทั่งเรียนจบกลับมาถึงได้รู้ว่าโมเลิกกับเขาแล้ว ผมก็เลยวาดรูปนั้นแล้วหาทางฝากไปกับเด็ก ๆ เผื่อว่าโมจะบังเอิญจำเรื่องของเราได้ แล้วโมก็จำได้จริง ๆ” คนเล่ายิ้มบาง “ส่วนเรื่องที่ผมรู้จักกับคุณลุงคุณป้าก็เพราะว่าตอนที่พ่อป่วย ท่านทั้งสองก็แวะมาเยี่ยมพวกเราบ่อย ๆ เมื่อตอนงานศพคุณลุงดำรงค์ก็มา ผมเองมีโอกาสมาที่นี่บ้างเลยได้รู้จักกับลูก ๆ ของท่าน รวมถึงรู้ว่าโมคือพี่ชายใจดีที่ขิมมักจะพูดถึงบ่อย ๆ”


เอกรงค์ถอนใจเฮือก ไม่รู้ว่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหรือคนตรงหน้ากันแน่ที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว


“โกรธผมหรือเปล่า”


คนถูกถามยังคงนั่งนิ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรให้ตรงกับความรู้สึกข้างในใจตอนนี้ ซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่าที่น้ำตาไหลอาบสองแก้มอยู่ในขณะนี้มีสาเหตุมาจากอะไร


“พูดจบแล้วใช่ไหม ถ้าพูดจบแล้วก็ไปได้แล้ว”


“ม...โม” ศุกลกล่าวพร้อมกับขยับเข้าใกล้จนแผงอกเกือบจะชิดกับหัวเข่าของอีกฝ่าย จิตรกรหนุ่มยกมือขึ้นหมายจะซับน้ำตา เพียงไม่ถึงคืบก็จะได้สัมผัส แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อนึกถึงประโยคที่เอกรงค์เคยพูด ‘อย่ามาแตะต้องตัวผม’


มือใหญ่เปลี่ยนเป็นกำแน่นระงับความปรารถนาของตนเอง จากนั้นจึงผละออกแล้วเดินขึ้นจากน้ำ คว้าขันใส่สบู่กับผ้าข้าวม้าเดินกลับขึ้นไปบนบ้าน...


...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


สวัสดีวันสุดท้ายของปีค่ะ
อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะก้าวผ่าน 366 วันนี้ไปด้วยกัน ขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ทุกคนค่ะ
สำหรับนิยายตอนนี้เราตั้งใจเขียนให้เป็นของขวัญให้กับผู้อ่าน
เป็นกำลังใจให้คนที่ยังต้องทำงานเพื่อคนอื่นทุก ๆ คนค่ะ
ขอให้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ มีความความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะคะ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2017 10:17:31 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ร้องไห้ส่งท้ายปีเก่าเหรอเนี่ยยยย โอ้ย เครียดอ่าาา

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
อารมณ์มันเศร้าอ่ะ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ยังมีความเสียใจที่ปิดกั้นไม่ให้โมเปิดใจยอมฟังติ๊นอยู่ ติ๊นเองก็คงต้องเรียนรู้ เพื่อน(ที่เคยแอบรัก)กับคนรักปัจจุบัน ไม่ได้ต่างแค่ชื่อกับสถานะ แต่การกระทำที่แสดงออกมันควรชัดเจนมากกว่านี้

สวัสดีปีใหม่ค่ะ ทั้งคุณ ถธปทฟ และ leGGy มีความสุขมากๆนะคะ สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่จน ขอพลังจงอยู่กับท่านค่ะ  :mc3: :mc2:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เป็นผลมาจากความไม่ชัดเจนของติ๊นตั้งแต่แรกนั่นแหละเลยทำให้โมไม่เชื่อใจ

ออฟไลน์ san

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 118
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ johnsonti

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
งงกับชื่อตัวละครมากค่ะ  ถ้าจะให้ดี ใช้ชื่อเล่นเหอะค่ะคุลน้อง  อ่านไม่รู้เรื่องค่ะ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
กุมารแพทย์หนุ่มยังคงวางขรึม กระทั่งผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นให้นอนกับเจ้าติ๊นก็แล้วกันนะ”

ตรงนี้หมายถึงให้นอนกับโมหรือเปล่าคะ


เห็นใจทั้งสองฝ่ายนะ

สวัสดีปีใหม่คุณถธปทฟ และ leGGy ขอให้แข็งแรงทั้งกายใจ ประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดปีค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
รู้สึกว่าติ๊นไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกอ่ะ
แต่ทำไมอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนพล๊อตเรื่องเปลี่ยนไป ฮ่าๆๆๆ


สวัสดีปีใหม่นะคะทั้งคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าและคุณleggy

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
กุมารแพทย์หนุ่มยังคงวางขรึม กระทั่งผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นให้นอนกับเจ้าติ๊นก็แล้วกันนะ”

ตรงนี้หมายถึงให้นอนกับโมหรือเปล่าคะ

ใช่แล้วค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ที่ช่วยทักค่ะ


รู้สึกว่าติ๊นไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกอ่ะ
แต่ทำไมอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนพล๊อตเรื่องเปลี่ยนไป ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะคะ
จริง ๆ พล็อตหลักของเรื่องเราวางกันมาแต่ต้นจนจบแล้ว
มีการกำหนดแล้วว่าแต่ละตอนจะพูดถึงอะไร
แล้วแต่ละคนก็แยกกันไปเขียน จากนั้นก็มาช่วยกันดูอีกครั้ง
จะมีเซอไพรส์กันเองบ้างในรายละเอียดที่ต่างคนต่างสอดแทรกเข้าไป
ซึ่งทั้งตัวเราและ leGGyDan จะแบ่งกันรับผิดชอบในความรู้สึกนึกคิดของตัวละครหลักของตัวเองค่ะ
ไม่มีใครรู้ว่าตัวละครของอีกคนคิดยังไง จนกระทั่งได้คุยกัน เหมือนคุยผ่านเพื่อนสนิทว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้คนแบบติ๊นจะคิดยังไง
หรือถ้าเจอเรื่องทำนองนี้ หมอโมจะพูดยังไง จะแสดงออกแบบไหน
ถ้าหากลองอ่านไปเรื่อย ๆ อาจจะพบที่มาที่ไปของการกระทำต่าง ๆ ที่ตัวละครแสดงออกมา
ฝากด้วยค่ะ ใกล้จบแล้ว ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2017 10:41:13 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮือออออปวดใจจจจจจ

ติ๊นไม่ทันได้อธิบายคดีเก่าเลยยยยย

โมอย่าเพิ่งตัดโอกาสแบบนี้สิ ปวดใจมากจ้าาา

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :hao5: คิดถึงคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามากกกกกกก ชอบภาษาและเรื่องราวแบบนี้มากเลยค่ะะะะะะ   :mew2:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
กว่าจะได้เจอ กว่าจะได้รัก อุปสรรคนิด ๆ หน่อย ๆ ถือเป็นสีสันเนาะ

สวัสดีปีใหม่จ้า

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :katai1: :katai1:  โอยจะเป็นไงต่อไปเนี่ย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ติ๊นต้องชัดเจนกว่านี้หน่อยนะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 12 อีกครั้ง


เอกรงค์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากระจ่างพลางคิดทบทวนสิ่งที่ศุกลเพิ่งเล่าให้ฟัง สายลมพัดมาแผ่วๆ คล้ายกับจะพาเอาเมฆหมอกในใจให้ลอยไป อยากจะอภัยให้แต่ยังมีเรื่องที่ติดใจอยู่อีกนิดเดียว เขาดึงขาขึ้นจากน้ำพร้อมกับยันตัวเตรียมจะลุกยืน แต่เพราะกระดานไม้เปียกชื้นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำทำให้ไถลล้มลงนั่งในท่าเดิมอีกครั้ง


“โอ๊ย!”


เอกรงค์ก้มหลังจนหน้าแทบชิดขาพลางใช้มือคลำบริเวณสะโพกที่เจ็บจนจุก อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ กระดูกกระเดี้ยวก็ใช่ว่าจะดี กำลังจะพยายามลุกขึ้นยืนมือข้างหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”


ศุกลมีสีหน้าตกอกตกใจไม่น้อย แววตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจากใจไร้ซึ่งการเสแสร้งจนเอกรงค์เกือบจะเผลอยื่นมือออกไปจับ แต่ก็สามารถข่มใจไว้ได้ทัน


“ผมไม่เป็นไร” ตอบสั้นๆ พร้อมกับพยายามจะลุกขึ้นยืนเองทั้งที่จุกไม่หาย


“แน่ใจนะครับ เมื่อกี้โมล้มเสียงดังมากเลย”


“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ” กุมารแพทย์หนุ่มยังปากแข็งทั้งที่ยังยืดตัวได้ไม่เต็มความสูงซ้ำตอนนี้ยังต้องใช้มือประคองเอวตัวเองไว้ด้วยซ้ำ


“เอาอย่างนี้ ถ้าโมไม่อยากให้ผมช่วย ผมไปตามน้องๆ โมให้ไหม”


“ไม่ต้อง!” เอกรงค์รีบหันไปคว้าแขนห้ามเมื่อเห็นคนอายุน้อยกว่าทำท่าจะร้องเรียกคนบนบ้านจริงๆ


“จริงนะ”


“เออ!” คุณหมอว่า ก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติในน้ำเสียงของคนตรงหน้า ทั้งที่แน่ใจว่าเมื่อกี้ตวาดใส่แต่ทำไมกลับยิ้มระรื่นได้ “มีอะไร”


“เปล่าครับ”


“ไม่มีอะไรแล้วยิ้มทำไม”


เพราะอีกฝ่ายเริ่มขึ้นเสียงดุจริงจัง… แต่ก็แค่ในระดับของคุณหมอเด็กเท่านั้น ศุกลจึงยอมรับออกไปตรงๆ “ก็…” พูดเพียงเท่านั้นพลางตวัดสายตาลงมองแขนตัวเอง


เอกรงค์มองตามแล้วเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าจับแขนแกร่งไว้แน่นมากแค่ไหน มันไม่ใช่แค่การคว้าเพราะตอนนี้เขาเผลอคล้องรอบท่อนแขนเปลือยนั้นไว้เพื่อช่วยพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่ แววตาอ่อนโอนกับรอยยิ้มบนเรียวปากที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันกับไออุ่นที่สัมผัสทำให้หัวใจที่เคยสงบนิ่งเต้นแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ


“เฮ้ย! อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ยังไม่ยกโทษให้” อารามตกใจทำให้เอกรงค์สะบัดมือออกรวดเร็วและขืนตัวออกห่างโดยลืมไปว่าพื้นมันลื่นและตัวเองยังไม่หายเจ็บหลัง


“ผมก็ยังไม่ได้คิด… ฮ...เฮ้ยยย!” ศุกลร้องเสียงหลงเมื่อเห็นคนอายุมากกว่าโงนเงนทำท่าจะล้ม ชายหนุ่มรีบขยับเข้าไปช่วยแต่อีกฝ่ายก็ผวาหนี จนในที่สุดเอกรงค์ก็หงายหลังตกลงน้ำไปจนได้


ร่างของกุมารแพทย์นุ่มกระทบกับผิวน้ำจนละอองน้ำแตกฉานซ่านเซ็นเป็นวงกว้าง เพียงไม่นานก็ทะลึ่งตัวขึ้นพร้อมกับใช้มือลูบหน้าลูบตาตัวเอง


“โม!”


“ไอ้บ้า!” เอกรงค์วักน้ำใส่คนที่ลอยคออยู่ตรงหน้า “กระโดดตามลงมาทำไม ไม่ต้องมาช่วยเลยผมว่ายน้ำแข็ง”


“ไม่ได้ช่วยแต่ตามมาเอาของที่โมเอาไปต่างหาก”


“อะไร!”


“ถ้าตอบว่าหัวใจจะโกรธไหม”


คนฟังหน้าแดงจนถึงหู เขาใช้มือตีน้ำกระจายใส่หน้าศุกลแล้วถีบตัวหนี แต่อีกฝ่ายก็ยังว่ายน้ำตามมาอย่างไม่ลดละ


“เดี๋ยวก่อนครับ ผมล้อเล่น” ศุกลบอก “ผมตามลงมาเอาผ้า ก็โมดึงผ้าขาวม้าของผมหลุดติดมือลงมาด้วย แล้วจะให้ผมเดินแก้ผ้าโทงๆ ขึ้นบ้านไปยังไงล่ะครับ”


“หืม?” เอกรงค์นึกออกในที่สุดว่าตัวเองพยายามไขว่คว้าอะไรสักอย่างตอนกำลังจะตก เขาเหลียวมองทางหางตาเห็นผ้าผืนที่ว่าลอยผลุบๆ โผล่ๆ และกำลังลอยไกลออกไป จึงว่ายตามไปเก็บคืนเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ “เอ้านี่” เขาหันมาเพื่อส่งผ้าขาวม้าคืนโดยไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายก็ว่ายน้ำตามมาจนประชิดตัว ใบหน้าของเขาจึงเกือบจะปะทะกับแผงอกแกร่งที่เปลือยเปล่า ถึงจะมืดจนมองแทบไม่เห็นอะไร แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิกายกับเสียงหัวใจที่คุ้นเคย จึงต้องตะโกนเสียงดังเพื่อซ่อนความความรู้สึกอยากจะใจอ่อนนั้นให้มิด


“ถอยไป!”


“ขอบคุณครับ” ศุกลกล่าวพร้อมกับยิ้มให้คนที่ลอยคอหนีไปปีนบันไดขึ้นจากน้ำแล้วเดินขึ้นบ้านไป ได้ยินเสียงโวยวายของน้องสาวคนเล็กบ่นดังมาแว่วๆ


“พี่โม! ไปทำอะไรมาถึงได้เปียกม่อล่อกม่อแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้ แล้วยังเดินย่ำไปทั่วอีก รีบเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดแล้วออกมาถูพื้นให้สะอาดเลยนะ”


“อย่าบ่นนักเลยน่ายัยขิม แกเป็นน้องก็ทำไปสิ!”


ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องซึ่งเดาว่าคงจะเกิดจากการที่เอกรงค์สะบัดศีรษะทำน้ำกระเด็นใส่น้องสาว


ศุกลอดยิ้มขำตามไม่ได้ ในฐานะลูกคนเดียวจึงรู้สึกอิจฉาหน่อยๆ ที่ตัวเองไม่มีพี่น้องให้ทะเลาะหรือเป็นห่วงเป็นใยบ้าง ตาคมเหลือบมองดูท้องฟ้าที่ดวงจันทร์ส่องสว่าง นึกถึงแก้มขาวที่เปลี่ยนสีของคนที่เพิ่งเดินขึ้นบ้านไปแล้วก็อดหัวใจพองโตไม่ได้ ประกอบกับการที่อีกฝ่ายยอมเดินลงจากบ้านเพื่อมาหานั่นหมายความว่าเขายังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม


...ต้องมีสิ หรือถ้ามันจะไม่มีเขานี่แหละที่จะเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง...


...


ที่โต๊ะอาหาร วันนี้สมาชิกของบ้านอยู่กันครบ ภาพพ่อกับแม่ที่ยังหยอกล้อกันเหมือนสมัยหนุ่มสาวสร้างความหมั่นไส้ให้ลูกๆ และภาพของพี่น้องที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องง่ายๆ ว่าใครจะได้ไก่ทอดชิ้นที่ใหญ่ที่สุดไปทั้งที่มีพอสำหรับทุกคน ทำให้ผู้ซึ่งจากบ้านไปทำงานในเมืองหลวงเพียงลำพังรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เอกรงค์ยิ้มกับตัวเองท่ามกลางบรรยากาศแสนคิดถึง แต่เมื่อช้อนคันหนึ่งยื่นมาวางชะอมชุบไข่ตัดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าคำโตให้ในจานก็ต้องหุบยิ้ม เขากวาดสายตามองตามมือนั่นไปแล้วก็ได้เห็นเจ้าของมือนั่งอมยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ พลันคิ้วเข้มก็ตวัดฉับเข้าหากัน เกือบลืมไปเลยว่ามีหมอนี่อยู่ด้วย


“เห็นน้องขิมบอกว่าโมชอบ” ศุกลบอก


เอกรงค์ย่นปาก จะทักตั้งแต่ตอนอยู่ที่ท่าน้ำแล้วว่าถือวิสาสะอะไรมาเรียกชื่อเขาห้วนๆ แต่จะพูดตอนนี้คงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ จะสงสัยและเขาคงต้องตอบคำถามยาวเหยียดเลยทีเดียวจึงยอมปล่อยเลยตามเลย เอื้อมมือตักน้ำพริกกะปิราดชิ้นชะอมก่อนจะตักใส่ปากเคี้ยวหยับๆ


คนผิดแต่อาหารไม่ผิด แล้วอาหารฝีมือแม่กับขิมก็อร่อยถูกปากมากๆ เสียด้วย ขนาดพ่อที่กินข้าวกับอาจารย์สุชาติมาแล้วยังอดไม่ไหวต้องขอกินอีกรอบ


“พวกพี่สองคนรู้จักกันได้ยังไงคะ”


เอกรงค์แทบสำลักข้าวเมื่อจู่ๆ น้องสาวคนเล็กก็เอ่ยขึ้นมากลางวง “ก็คือ… เอ่อ… พอดีเขาเป็นครูสอนศิลปะของเจ้านอฟลูกไอ้โป้น่ะ พี่เลยต้องไปรับไปส่งมันบ่อยๆ”


“อ้อ” เมขลากระตุกมุมปากอมยิ้มน้อยๆ ด้วยพอจะเข้าใจว่าพี่ชายตนคงต้องมีเรื่องอะไรปิดบังไว้มากกว่านั้นเพราะลูกชายคุณหมอปรเมษฐ์ก็โตเป็นหนุ่มแล้วไม่มีความจำเป็นต้องไปดูแลถึงขนาดนั้นสักหน่อย


“แต่ติ๊นบอกพ่อว่ารู้จักกันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ” คุณดำรงค์ละจากลูกชายหันไปถามแขกของบ้าน “ใช่ไหมติ๊น”


“เคยเจอกันตอนผมไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นแล้วหมอโมเขาไปเที่ยวกับเพื่อนเมื่อสามปีที่แล้วน่ะครับ”


เอกรงค์หันไปส่งสายตา หวังให้คนเล่าหยุด แต่กลับกลายเป็นว่าศุกลเล่าหมดแบบไม่กั๊ก


“ได้คุยกันสั้นๆ แต่ก็รู้สึกถูกคอกันดี แล้วก็บังเอิญกลับมาเจอกันอีกที่ไทย เพราะเขาเป็นหมอที่ดูแลลูกศิษย์ผมอยู่แล้วตอนหลังก็พาลูกชายเพื่อนมาเรียนด้วย เราก็เลยได้รู้จักกันมากขึ้น” จิตรกรหนุ่มเล่าไปยิ้มไป “โลกเรานี่มันกลมดีจังเลยนะครับ”


“แต่พ่อว่าบางทีมันอาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้นะ”


“พรหมเพริมลิขิตอะไรพ่อ ผมว่าพี่โมนี่แหละลิขิต” สบโอกาสวงพาทย์ก็รีบเข้ามาร่วมวงราวกับกลัวว่าจะพลาดโอกาสแซวพี่ชายคนโตของบ้าน “ดูสิ ติ๊นมันทั้งสูงขาวตี๋แถมยังอายุน้อยกว่า แฟนคนก่อนๆ ของพี่โมก็มาแนวๆ นี้ทั้งนั้นนี่”


“ไม่นะพี่พาทย์” ประติมาว่า “ผมว่าคนที่คบด้วยเมื่อปีกลายนั่นหล่อกว่า นิสัยก็ดีแถมยังเป็นนักกีฬาเสียด้วย น่าเสียดายที่เลิกกัน ผมเลยไม่มีเพื่อนเตะบอลด้วยเลย”


“ก็ดีแล้วไงจะได้ไม่มีใครมาหล่อแข่งกับพวกเรา” พี่ชายคนรองเสริม


“พวกแก!” เอกรงค์หันไปแยกเขี้ยวใส่แต่น้องๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นึกถึงหนุ่มนักกีฬาทีมชาติคนนั้นแล้วยังเสียดายอยู่หน่อยๆ แต่ในเมื่อไม่ใช่จะยื้อกันต่อไปก็คงไม่ไหว


“แต่ขิมชอบคนก่อนหน้ามากกว่านะคะ” เมขลาว่า “ที่เป็นลูกครึ่งเกาหลีน่ะ สปอร์ตใจดี โซล แถมยังทำอาหารเก่ง โอปป้าในฝันของสาวๆ เลยนะ เวลายิ้มตาเป็นสระอิ คนอะไรน่ารัก”


“ไอ้ผักน่ะเหรอ” วงพาทย์ถาม


“เขาชื่อปาร์ค” เอกรงค์แก้ไปโดยอัตโนมัติ


“แต่คนที่คบนานสุดนี่ต้องคนที่เป็นหมอ” ประติมาว่า “ตั้งสามปีเนอะ ตอนนั้นผมนึกว่าพี่จะจบกับคนนี้เสียอีก”


“ก็ใครใช้ให้แอบไปมีคนอื่นล่ะ” เอกรงค์ตอบทั้งที่ข้าวยังเต็มปากเจ็บวันนั้นยังจำไม่ลืม “เลิกพูดเรื่องเก่าๆ เถอะ”


“แล้วเมื่อไหร่แกจะพาคนใหม่มาแนะนำให้พ่อกับคนอื่นๆ รู้จักล่ะ” คุณดำรงค์ถามลูกชาย


“ตอนนี้ผมโสด”


“อ้าว เห็นเจ้าพาทย์บอกว่าที่แกเบี้ยวไม่กลับบ้านครั้งก่อนเพราะมีนัดกับแฟนไม่ใช่เหรอ”


“เลิกกันแล้วครับ”


“ยังไม่ได้เลิกเสียหน่อย” ศุกลโพล่งขึ้นหลังจากนั่งเงียบมานาน ในใจรู้สึกปวดหน่วงๆ อย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมานั่งฟังเรื่องราวของคนในอดีตของคุณหมอเนื้อหอม เขาเหลือบมองคนนั่งข้างๆ ที่ถือช้อนค้างในอากาศทำหน้าบอกบุญไม่รับในขณะที่คนอื่นๆ เงียบกริบแล้วจึงพูดต่อ “เห็นว่าแค่เข้าใจผิดกันนี่ครับ… ยังไม่ได้เลิกสักหน่อย”


“นั่นสินะ จะเลิกได้ยังไงในเมื่อยังไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับวางช้อนลง พาให้พี่น้องแอบสบตาเงียบๆ อย่างรู้กันก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะพูดขึ้น


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบคืนดีกันได้แล้ว ทะเลาะกันนานๆ มันไม่ดีนะลูก”


“จริงด้วยครับ” ศุกลพยักหน้าเห็นด้วย


“พ่อ!” เอกรงค์แทบจะอกแตกตายแล้วตอนนี้ จริงอยู่ว่าเขานึกขอบคุณครอบครัวมาตลอดที่เข้าใจในทุกๆ เรื่องตั้งแต่วิชาที่ชอบไปจนกระทั่งรสนิยมทางเพศ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เขาหันไปหาแม่และก็ดูเหมือนแม่จะเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือในแววตาแม่จึงใช้ศอกสะกิดพ่อเบาๆ


“พ่อ”


“จ๊ะแม่”


“เรื่องนั้นให้ลูกมันคิดเองเถอะ แม่ว่าโมก็คงมีเหตุผลแล้วก็คิดดีแล้วล่ะ”


ลูกชายคนโตถอนหายใจอย่างโล่งอกตั้งใจฟังแม่พูดต่อ


“แต่แม่ว่าหนักนิดเบาหน่อย ถ้าอีกฝ่ายเขายอมรับผิด เราอภัยให้ได้ก็ยอมๆ กันไปเถอะลูก อายุก็ปูนนี้แล้วใช่ว่าจะหาใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนสมัยหนุ่มๆ นะ”


ทั้งโต๊ะพากันหัวเราะครืนกับคำลงท้ายของแม่ เอกรงค์เหลียวมองคนนั่งข้างๆ ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้แล้วก็สะบัดหน้ากลับมากินข้าวต่อเงียบๆ ...


เมื่อถึงเวลาเข้านอน เอกรงค์หนีเข้าห้องมาก่อนเพราะทนเห็นภาพแขกไม่ได้รับเชิญตีซี้ครอบครัวไม่ได้ ไหนจะไปช่วยน้องสาวคนเล็กล้างจาน ปากก็พร่ำคุยเรื่องวิธีการซ่อมสีบนผนังโบสถ์กับราวกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปฯ มาเอง แถมยังนั่งฟังเจ้าพาทย์กับเจ้าปั้นโม้เรื่องงานของแต่ละคนอย่างไม่รู้จักเบื่อ ที่สำคัญคือเพิ่งรู้จากขิมว่าเมนูชะอมชุบไข่ทอดหมอนั่นก็แอบมาด้อมๆ มองๆ ช่วยแม่ทำด้วย มิน่าล่ะถึงได้นำเสนอจัง ดูท่าแล้วศุกลจะเข้ากับทุกคนในบ้านได้ดีกว่าลูกชายแท้ๆ อย่างเขาเสียอีก


กุมารแพทย์หนุ่มนั่งกอดอกทำหน้ายักษ์ใส่คนที่เปิดประตูเดินยิ้มแฉ่งเข้ามายืนตรงหน้า ยังไม่ได้เอ่ยปากไล่อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาเสียก่อน


“เดี๋ยวผมไปนอนข้างนอก” ไม่พูดเปล่า ศุกลก็หอบหมอนกับผ้าห่มขึ้นมาเตรียมจะเดินออกไป


“คุณจะไปนอนตรงไหน”


“ที่ตั่งหน้าทีวีไง” จิตรกรหนุ่มตีหน้าเศร้า


“ไม่ต้องเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโดนพ่อกับแม่ว่าโทษฐานดูแลแขกไม่ดี ปล่อยให้ออกไปนอนตากยุง”


“คุณไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมบอกว่ามานอนดูบอลจนเผลอหลับไปก็ได้”


“น่าเชื่อตายละ เมื่อเย็นคุณเพิ่งจะบอกกับพวกน้องๆ ผมว่าไม่ค่อยเล่นกีฬาแถมยังไม่ดูทีวีอีกไม่ใช่เหรอ”


ศุกลนึกแปลกใจระคนดีใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายยังสนใจเรื่องของเขาอยู่บ้าง “แล้วจะให้ทำยังไง อยู่แบบนี้โมก็นอนไม่หลับใช่ไหมล่ะ”


“เดี๋ยวผมไปนอนกับไอ้พาทย์เอง”


“ไม่ได้หรอก โมเป็นเจ้าของห้องนะ ผมไปเอง”


“แต่คุณเป็นแขก” เอกรงค์ตัดบทพร้อมกับลุกจากเตียงเดินไปที่ประตู กำลังจะดึงเปิดออกมือใหญ่ก็เอื้อมข้ามไหล่มาดันให้ปิดตามเดิม


“ผมก็ไม่ยอมให้โม ‘ไป’ เหมือนกัน” คนอายุน้อยกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยิ่งได้ฟังเรื่องคนรักคนก่อนๆ ของเอกรงค์ก็ยิ่งทำให้หัวใจร้อนรุ่ม คงจะอดทนรอให้อีกฝ่ายใจอ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะเขาต้องการเป็นคนปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่อดีตที่ผ่านเลยไป

“รู้ไหมว่าผมต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะหาโมเจอ แต่พอเจอแล้วกลับทำอะไรไม่ได้เลยเพราะ ‘เขา’ ผมอดทนอยู่เป็นปีเพื่อรอให้โมเลิกกับผู้ชายคนนั้น จนในที่สุดโมก็โสด ผมจะไม่ปล่อยโมไปเหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอีกแล้ว”


“แต่คุณจับไว้ทีเดียวสองคนไม่ได้หรอกนะ” เอกรงค์กระซิบเสียงแผ่วทว่าหนักแน่น


“โมบอกว่าโมเห็นกับตา ได้ยินกับหูใช่ไหม” ศุกลถาม “ถ้าอย่างนั้นโมได้ยินหรือเปล่าว่าผมปฏิเสธไนท์ว่ายังไง”


“มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เรายังคงรู้สึกในตอนนี้ เป็นความรู้สึกที่มาจากหัวใจ แต่วันนี้หัวใจของเรา เราให้คนอื่นไปแล้ว เราทำผิดต่อเขาไม่ได้ ขอโทษนะไนท์”


เอกรงค์พยักหน้า ใช่แล้ว เขาใจแข็งพอจะยืนฟังจนจบและนี่คือสาเหตุที่ทำให้ตัดใจจากศุกลไม่ขาดสักที… แต่ถ้าตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังวนเวียนอยู่รอบตัวอีกฝ่ายเช่นนี้ สักวันเรื่องแบบนี้ก็คงเกิดขึ้นอีก


“ตอนนี้หัวใจของผมอยู่ที่โมนะ” ศุกลขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเผื่อคนฟังจะได้ยินไม่ชัด “จริงๆ นะเชื่อผมเถอะ ให้โอกาสผมอีกครั้งนะครับ”


คนฟังไม่ได้ขยับหนี มือที่กำเป็นหมัดแน่นค่อยๆ คลายออก ไม่ได้รู้สึกพ่ายแพ้หรือชนะ แต่เขาไม่ต้องการให้มันจบลงแบบนี้ จบในแบบที่รู้ว่าจะต้องเสียใจภายหลัง เขาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า “รู้ไหมว่าผมโกรธเรื่องอะไร”


“เรื่องที่ผมจูบกับไนท์”


“นั่นแค่ 50%” เอกรงค์ว่า “ส่วนอีก 950% ที่เหลือ เป็นเพราะคุณไม่ชัดเจนต่างหาก”


ศุกลอึ้งไปเล็กน้อย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกระทำของตนเองจะดูเป็นความไม่ชัดเจนในสายตาคู่นี้ ทั้งที่ตัดใจจากรัตติเขตมาได้ตั้งนานแล้วและมั่นใจว่าความรู้สึกที่มีในตอนนี้คือความบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งคิดมาตลอดว่าเอกรงค์เป็นผู้ใหญ่พอ แต่ลืมนึกไปว่านั่นคือความคิดของตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว ลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน โชคดีแค่ไหนที่ไม่ถูกถามว่าทำไมจึงจูบกับรัตติเขต เพราะเขาเองก็ตอบไม่ได้ จะด้วยความเผลอไผลหรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันทำให้คนที่เขารักจริงๆ ต้องเสียใจ คิดมาถึงตรงนี้ความรู้สึกผิดก็ยิ่งแล่นขึ้นกลางใจอยากจะกล่าวคำขอโทษสักร้อยสักพันครั้ง “ผม…”


“ถึงผมจะโตมาในครอบครัวที่ยอมรับในตัวผม แต่ผมก็เข้าใจนะว่าทุกคนไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้อยากให้คุณไปป่าวประกาศกับใครๆ ว่าเป็นอะไรกับผม แต่ผมแค่อยากได้ ‘สิ่งยืนยัน’ ว่าเรารักกันใช่ไหม ไม่ใช่ความรู้สึกที่ว่าผมตามคุณอยู่ฝ่ายเดียว”


“ผมขอโทษ” ศุกลบอก “แต่อย่างที่คุณรู้แล้วว่าผมเคยอกหักจากไนท์ ผมใช้เวลานานมากในการตั้งตัว ผมตัดใจได้ ไม่ได้หมายถึงผมจะสามารถลบเรื่องราวเกี่ยวกับเขาออกจากความทรงจำได้ แต่ผมอยากบอกโมว่าไนท์เป็นแค่อดีตที่ผมจะไม่กลับไปหาอีกแล้ว ตอนนี้ผมรักโมคนเดียวจริงๆ นะ”


“โอเค” เอกรงค์ตอบ เขาไม่ได้ใจอ่อนกับคำว่ารักที่คนตรงหน้ายอมบอกกับเขาเป็นครั้งแรก แต่เขาเลือกแล้วว่าจะให้โอกาสและจะไม่เสียใจทีหลัง


“อะไรคือโอเค”


“ก็ตามนั้นแหละ”


“ตกลงโมหายโกรธผมแล้วใช่ไหม”


“หายโกรธ แต่ยังไม่ยกโทษให้”


“หมายความว่าไง” ศุกลเลิกคิ้ว


“ก็เอาเป็นว่าไว้ติ๊นชัดเจนมากกว่านี้เมื่อไร ค่อยว่ากันก็แล้วกัน” พูดจบกุมารแพทยหนุ่มก็เตรียมจะเดินกลับไปขึ้นเตียง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ


ศุกลขยับตัวขวางพร้อมทั้งยกแขนสองข้างขึ้นคร่อมไว้ในขณะที่เอกรงค์กวาดตามองคนที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มตรงหน้า


“มีอะไรอีก”


“ผมก็อยากได้สิ่งยืนยันว่าเราคืนดีกันแล้ว” อันที่จริงแค่การที่อีกฝ่ายยอมเรียกชื่อเขาเหมือนเดิมนั่นก็ถือว่าชัดเจนแล้ว แต่เขาก็แค่อยากจะได้การยืนยันอีกนิดก็เท่านั้น


“ต้องการอะไร”


จิตรกรหนุ่มตอบคำถามด้วยการลดมือลงแล้วสอดเข้ารอบเอวสอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ขัดขืนจึงค่อยๆ รั้งตัวมากอดแนบอก “ขอโทษนะครับ”


เอกรงค์เองก็ตอบรับด้วยการซุกหน้ากับอกกว้างแล้วหลับตาลง เสียงหัวใจที่ดังอยู่ใกล้หูราวกับพยายามบอก ‘รัก’ ซ้ำๆ ให้เขาฟัง


…และเขาจะเชื่อแบบนั้นได้จริงๆ ใช่ไหม


....


“ติ๊นจะกลับกรุงเทพวันนี้หรือเปล่า” ดำรงค์ถามขึ้นหลังจากทุกคนรับประทานอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย


“ครับ” ศุกลตอบ


“ถ้าอย่างนั้นก็กลับพร้อมเจ้าโมมันเลยก็แล้วกัน” ผู้เป็นเจ้าบ้านกล่าวพลางหันมาหาลูกชายที่หิ้วกระเป๋าออกมาจากห้องพอดี “โม พ่อฝากติ๊นกลับกรุงเทพด้วยคนนะ”


เอกรงค์เหลือบมองคนอายุน้อยกว่าที่ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที อดถามไม่ได้ “ขามาคุณมายังไง”


“ผมกระโดดขึ้นรถมากับอาจารย์สุชาติครับ” จิตรกรหนุ่มตอบซื่อๆ


“ถ้าอย่างนั้นมาทางไหนก็ไปทางนั้น”


“ก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าอาจารย์สุชาติจะต้องอยู่ทำงานต่ออีกหลายวัน แต่ผมต้องกลับวันนี้นี่นา ขอติดรถไปด้วยนะครับ บ้านผมก็อยู่ห่างจากโรงพยาบาลที่โมทำงานไปแค่สองแยกไฟแดงเอง” ศุกลพยายามใส่ลูกอ้อนแต่เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะใจอ่อนจึงยื่นข้อเสนอใหม่ “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมออกค่าน้ำมันแล้วขับให้ด้วยโมจะได้นั่งสบายๆ ไงดีไหม”


เอกรงค์ทำจมูกย่น ไม่ได้อยากจะใจดำแต่ยังไม่อยากกลับไปเหยียบ Light & Shade เพราะกลัวจะเจอใครบางคนเข้า แต่เพราะทนแววตาเว้าวอนกับสายตากดดันจากคนในครอบครัวไม่ไหวจึงตอบตกลง “ผมขับเองแต่จ่ายค่าน้ำมันด้วย”


ศุกลรีบยกมือไหว้คุณดำรงค์และภรรยา รวมถึงไม่ลืมส่งยิ้มให้น้องสาวคนสุดท้องของบ้านก่อนจะคว้ากระเป๋าของตนแล้วเดินตามหลังกุมารแพทย์หนุ่มลงจากบ้านไป...


....


“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ศุกลเกาะหน้าต่างรถคาดิลแลคคุยกับคนขับเพราะยังไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไปง่ายๆ ถึงจะบอกว่าคืนดีกันแล้วแต่ตลอดหนึ่งชั่วโมงกว่าที่นั่งรถมาด้วยกัน เอกรงค์ก็ยังดูปั้นปึ่ง ชวนคุยอะไรก็เป็นลักษณะของการถามคำตอบคำ “ถึงคอนโดแล้วโทรหาผมด้วยนะ”


“รู้แล้ว” เอกรงค์รับคำก็พอดีกับเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง


“ติ๊น”


ทั้งสองหันไปมองตามเสียงเรียก และเห็นชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเดินออกมาจากประตูบ้าน


“ไนท์” เจ้าของบ้านกล่าวเสียงแผ่วเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่อีก


“กลับมาแล้วเหรอ เห็นดลบอกว่าติ๊นไปทำงานที่ต่างจังหวัดจะกลับวันนี้เราเลยมาดักรอ” รัตติเขตรีบเดินเข้ามาหา


“ผมกลับก่อนนะ” เอกรงค์กดกระจกรถขึ้นและเข้าเกียร์เตรียมจะถอยออก ถ้าซื้อหวยแล้วถูกแบบนี้ป่านนี้เขาคงกลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว


ศุกลมองคนตรงหน้าก่อนจะหันมองรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปแล้วตัดสินใจวิ่งตาม เขาตบลงบนกระจกบอกให้เอกรงค์หยุดรถและส่งสัญญาณให้ปลดล็อกประตู “รอก่อนครับ อย่าเพิ่งไป”


กุมารแพทย์หนุ่มสะดุ้งเฮือก ทันทีที่ศุกลเปิดประตูรถได้ก็คว้ามือของเขาแล้วดึงลงจากรถ พาเดินไปหาชายหนุ่มผิวเข้มที่ยืนรออยู่


“ไนท์” ศุกลเรียก “ไนท์ถามเราใช่ไหมว่าคนที่เรารักเป็นใคร… นี่ไงเขาอยู่นี่ เรากำลังคบกันอยู่” หลังจากที่ฟังเอกรงค์พูดว่าเขาไม่ชัดเจน เขาก็นอนคิดทบทวนอยู่ทั้งคืนว่าจะทำอย่างไรถึงเรียกความเชื่อใจคืนมาได้ แก้วที่ร้าวย่อมไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าเราประคองไว้ด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง แก้วใบนั้นก็ยังคงใส่น้ำต่อไปได้อีกนาน และศุกลก็เลือกวิธีนี้


เอกรงค์อึ้งไปเล็กน้อย หันมองศุกลสลับกับรัตติเขตที่หน้าซีดไปถนัด


“และนี่ก็คือเหตุผลที่เราคบกับไนท์ไม่ได้ เราทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับไนท์ เรายังคงความเป็นเพื่อนที่ดีนับตั้งแต่วันนั้น แต่จากนี้ไปเราคงไปไหนมาไหนกับไนท์แบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วถ้าหากไนท์ยังไม่เลิกคิดกับเราแบบนั้น หรือถ้าจำเป็นเราบอกไนท์ไว้เลยว่าเราคงพาเขาไปด้วยหรือไม่เราก็คงจะเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง เพราะเราไม่อยากทำให้เขาเสียใจอีกแล้ว”


เมื่อศุกลพูดจบเอกรงค์ก็พบว่าตัวเองกำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เพราะฝ่ามือที่กุมไว้แน่นทำให้เขาอุ่นใจและไม่รู้สึกหวั่นไหวที่จะมองกลับไป


“บอกกันแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว คิดอยู่แล้วเชียวว่าถ้าไม่เพราะตอนนั้นเราขอไว้ ติ๊นก็คงเลี่ยงที่จะไม่เจอเราอีกแล้ว ก็เราทำให้เจ็บนี่นะ” รัตติเขตว่า “ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวกลับก่อนนะ”


“ด...เดี๋ยว ไนท์มีธุระอะไรถึงมารอเราที่นี่” ศุกลถาม


“เคยมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วล่ะ” อดีตเพื่อนสนิทตอบเรียบๆ ใจจริงเขาอยากมาขอโทษเรื่องรูปนั่น แต่ตอนนี้พูดไม่ออกแล้ว


“เดี๋ยวก่อนครับ” เอกรงค์เรียก “คุณไม่มีแต่ผมมี”


“อะไรหรือครับ”


“เรื่องจูบวันนั้นผมจะให้แล้วไปเพราะถือว่าคุณยังไม่รู้แต่ตอนนี้คุณรู้แล้วเพราะฉะนั้นถ้าคุณทำแบบนั้นอีกละก็...”


“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก” รัตติเขตให้คำมั่นก่อนจะฟังจบด้วยซ้ำ “ผมไม่ชอบคนมีเจ้าของ”


“แล้วเรื่องรูปของผมที่คุณกรีดจนขาดนั่นล่ะ” เอกรงค์ถาม


“คนวาดก็อยู่นี่แล้ว อยากได้ก็ให้เขาวาดใหม่ก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินกลับไปขึ้นรถของตนแล้วขับออกไป


ถึงจะยังขัดใจเล็กน้อยที่ไม่ได้รับคำขอโทษ แต่เอกรงค์ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เมื่อปัญหาที่เป็นดั่งเมฆหมอกปกคลุมหัวใจถูกพัดออกไปเสียได้ เขาจะดึงมือที่ถูกกุมไว้กลับหากมือนั้นยิ่งบีบแน่นขึ้นจึงหันไปมองอีกคนและพบว่าศุกลกำลังมองมาที่เขาอยู่แล้วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“อะไร”


“ดีใจ”


“ดีใจเรื่องอะไร”


“โมยิ้มแล้ว” ศุกลตอบ “ผมไม่ได้เห็นโมยิ้มแบบนี้มาตั้งหลายอาทิตย์แล้วนะ คิดถึงรอยยิ้มหวานๆ แบบนี้จัง” ไม่พูดเปล่ายังยกมือขึ้นแตะเบาๆ ที่ข้างแก้มตรงที่เป็นรอยบุ๋ม


“เวอร์ไป๊” เอกรงค์เสไปมองทางอื่นเพราะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องกำลังยิ้มอยู่อย่างที่อีกฝ่ายบอก แล้วแก้มก็ต้องแดงด้วยแน่ๆ เพราะตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าหน้ามันร้อนไปหมดยิ่งเมื่อปลายนิ้วนั้นรุกรานลงมาบนผิวเนื้อมากเท่าใดใจยิ่งเต้นแรงเลือดยิ่งสูบฉีดมากขึ้นเท่านั้น


“ไม่เวอร์หรอก”


“พูดแบบนี้แสดงว่าถ้าผมไม่ยิ้มติ๊นก็ไม่ชอบผมแล้วสิ”


“ก็เลิกชอบมาตั้งนานแล้ว”


“หืมมม” คำพูดนั้นทำเอาคนฟังหันขวับกลับมาแทบไม่ทันในขณะที่คนพูดกดหน้าลงต่ำแล้วกระซิบที่ข้างหู


“เปลี่ยนเป็นรักแทน”


“เป็นบ้าอะไรจู่ๆ ก็พูดอยู่ได้” คนอายุมากกว่าบ่นแก้เขินพร้อมกับย่นคอหลบปลายจมูกที่กำลังพ่นลมร้อน นับตั้งแต่หายโกรธกันเมื่อคืนศุกลก็ขอนอนกอดเขาทั้งคืนและเอาแต่พูดคำนี้ซ้ำๆ จนเขาแทบจะเขินตายอยู่แล้ว


“กลัวโมไม่ได้ยิน”


เอกรงค์ไม่ได้ยิ้มเพราะดีใจที่ได้ฟังคำนั้น หากแต่เป็นเพราะเขาได้รับการยืนยันแล้วว่าจากนี้ไปจะมีแค่เขาคนเดียวที่ได้กุมมือนี้ไว้


“ติ๊น”


“ว่าไงครับ”


“ฝันดีนะ” พูดจบก็หันไปกดปลายจมูกเข้าข้างแก้มเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะผละออกแต่ก็ยังไม่อาจหลุดจากการเกาะกุมได้


“เดี๋ยวก่อนครับ เมื่อกี้นี้มันอะไร”


“เงินทอนค่าน้ำมันรถ” เอกรงค์บอกก่อนจะรั้งมือกลับ ขึ้นรถแล้วขับออกไป ทิ้งให้คนโดนขโมยหอมได้แต่ยืนลูบแก้มตัวเองเขินๆ มองตามจนสุดสายตา


...

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

เหลือที่ต้องเขียนกันอีกคนละ 1 ตอน ฝากด้วยค่ะ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด