พิมพ์หน้านี้ - Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-10-2016 22:49:30

หัวข้อ: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-10-2016 22:49:30
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะคะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-10-2016 22:50:09
เขาจะรู้ไหมนะ

ว่ารอยยิ้มเมื่อวันแรกที่พบกันมันยังคงตราตรึง

อยู่ในหัวใจของใครคนหนึ่งและจะเป็นเช่นนั้นไปอีกนานแสนนาน


Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ

เรื่องย่อ :
‘ศุกล’ ได้ทุนไปเรียนระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยที่ประเทศญี่ปุ่น บังเอิญได้พบกับ ‘เอกรงค์’ บนเกียวโตทาวเวอร์ ไม่เคยคิดเลยว่าอีก 3 ปีให้หลัง โชคชะตาจะนำพาให้ได้มาพบเขาอีกครั้งที่โรงเรียนสอนศิลปะของตนเองเพียงเพราะภาพที่คนวาดให้ชื่อว่า ‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนดำเนินไปด้วยดีหาก ‘รัตติเขต’ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าที่ศุกลเคยสารภาพความรู้สึกที่มีให้รู้ไม่หวนคืนมาอีกครั้ง ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงเกิดขึ้น ซ้ำพวกผู้ใหญ่ยังต้องหัวหมุนเมื่อเด็ก ๆ ที่สถาปนาตัวเองว่าเป็น ‘แก๊งกามเทพน้อย’ ยื่นมือเข้าช่วย


เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)




สารบัญ

ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3503558#msg3503558)
ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3505132#msg3505132)
ตอนที่ 3 แสงและเงา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3506039#msg3506039)
ตอนที่ 4 เข้าใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3508665#msg3508665)
ตอนที่ 5 จูบแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3511074#msg3511074)
ตอนที่ 6 I , sea , U (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3520311#msg3520311)
ตอนที่ 7 Night (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3521060#msg3521060)
ตอนที่ 8 ลมหวน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3524175#msg3524175)
ตอนที่ 9 ตะกอน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3525008#msg3525008)
ตอนที่ 10 อากาศ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3535051#msg3535051)
ตอนที่ 11 โอกาส (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3546783#msg3546783)
ตอนที่ 12 อีกครั้ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3556276#msg3556276)
ตอนที่ 13 I'm Yours (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3557732#msg3557732)
ตอนที่ 14 รักของเรา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3575810#msg3575810)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-10-2016 22:53:33










Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ

โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า และ leGGyDan



ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง



‘Light and Shade’ คือชื่อของอาคารไม้สองชั้นสีขาวหลังคาจั่วแวดล้อมด้วยแมกไม้เขียวชอุ่มตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง เมื่อพ่อซึ่งเป็นศิลปินที่มีความชำนาญด้านศิลปะไทยสิ้นบุญลงตั้งแต่หนึ่งปีก่อน ลูกชายคนเดียวจึงสืบทอดเจตนารมณ์โดยบูรณะซ่อมแซมบ้านหลังนี้ซึ่งเป็นมรดกชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้โดยไม่คิดขาย แม้จะมีนายทุนให้ราคาดีก็ตาม


เรือนหลังเล็กซึ่งเป็นพื้นที่พักผ่อนที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวถูกสร้างขึ้นใหม่แยกจากเรือนหลักเยื้องมาทางด้านหลังเกือบติดกำแพงบ้าน แต่ก็ยังมีที่ทางเหลือพอสำหรับปลูกต้นไม้ใบหญ้า ที่นี่นอกจากจะมีเรือนหลังใหญ่ไว้ให้บริการเช่าพื้นที่สำหรับแสดงผลงานศิลปะแก่นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไปแล้ว เจ้าของยังต่อเติมปีกด้านซ้ายออกไปโดยชั้นบนนั้นเป็นสตูดิโอเขียนภาพ ภายในโถงด้านล่างที่ล้อมรอบด้วยผนังกระจกกรอบลูกฟักถูกแบ่งเป็นสัดส่วนตามประเภทของศิลปะที่มีการเปิดสอนให้แก่ผู้สนใจ


โต๊ะเก้าอี้ถูกออกแบบขึ้นโดยเฉพาะเพื่อให้เหมาะกับประโยชน์ใช้สอย อุปกรณ์ศิลปะถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ง่ายต่อการนำออกมาใช้งาน ทั้งกระดานวาดรูป กระดานเขียนแบบ หุ่นปูนปลาสเตอร์ ขาตั้งสำหรับวาดภาพสีน้ำมัน แท่นพิมพ์ แท่นหมุนขึ้นรูปสำหรับทำงานปั้น รวมไปจนถึงเตาเผาเซรามิกเล็ก ๆ หลังโรงรถ แม้อุปกรณ์ต่าง ๆ จะรองรับผู้เรียนได้จำนวนไม่มากนัก แต่ก็พอที่จะสามารถทำให้แต่ละคนสามารถค้นพบตัวเองได้อย่างไม่ยาก ที่นี่จึงเป็นดั่งจุดเริ่มต้นของคนมีฝันหลาย ๆ คน 


“Once upon a time กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ”


เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายพึมพำขณะไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนโปสเตอร์อาร์ตมันในกรอบอะคริลิคใสที่ติดตั้งอย่างถาวรกับกำแพงปูนเปลือยตรงทางเข้าซึ่งเป็นจุดให้ข่าวสารแก่ผู้ผ่านไปมาเกี่ยวกับนิทรรศการที่จะมีการจัดแสดงในแต่ละเดือน ธีร์ทัศน์กระชับกระดานวาดรูปในมือก่อนจะเดินเข้าไปภายในบริเวณอันแสนร่มรื่น


เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่เขาไม่ได้แวะมาที่นี่ สังเกตว่าขณะนี้ต้นโมกที่เจ้าของบ้านปลูกเอาไว้ต่างพร้อมใจกันออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมเย็น ทำเอาลืมกลิ่นควันจากท่อไอเสียของยวดยานที่นอกรั้วไปเลย เมื่อมองเข้าไปในเรือนกระจกก็พบว่ามีทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังนั่งเขียนรูปบนผืนผ้าใบกันอย่างขะมักเขม้น โดยมีพี่ ๆ นักศึกษาศิลปะหรือศิลปินมืออาชีพคอยให้คำแนะนำ


ธีร์ทัศน์ยิ้มกับตัวเองนึกถึงตอนที่ตัดสินใจคุยแบบเปิดอกกับแม่เมื่อช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเพื่อจะขอเรียนต่อด้านศิลปะซึ่งเป็นสิ่งที่สนใจ เมื่อแม่ไม่ขัดข้องเขาก็สอบถามจากเพื่อน ๆ และขอคำแนะนำจากรุ่นพี่จนกระทั่งมาเจอโรงเรียนสอนศิลปะแห่งนี้ เมื่อแรกก้าวเข้ามาที่นี่ก็พบว่าไม่ได้มีเพียงแต่เด็ก ๆ อย่างเขาเท่านั้นที่สนใจในศิลปะ ผู้ใหญ่หลายคนก็แวะเวียนมาบ่อยครั้งหากมีเวลาว่าง แม้ต่างวัยต่างสถานะต่างภาระหน้าที่แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือความฝันที่จะได้ทำในสิ่งที่รัก ขายาวยังคงก้าวไปตามทางเดินที่โรยด้วยก้อนกรวดสีขาวประดับด้วยซีเมนต์หล่อเป็นรูปใบบัวขนาบข้างด้วยต้นโมกพุ่มเตี้ย ๆ ผ่านลานกระเบื้องหินหยาบกระทั่งมาหยุดยังอาคารหลักซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับแสดงนิทรรศการ


“ขอทางหน่อยครับน้อง”


เด็กหนุ่มรีบชักเท้ากลับพร้อมกับเอี้ยวตัวเปิดทางให้สองคนที่ช่วยกันยกเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่คลุมทับด้วยผ้าขาวผ่านไปได้สะดวก กำลังจะหันหลังกลับเพราะคิดว่าเด็กอย่างตนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามแต่เสียงที่คุ้นเคยก็ทำให้เขาต้องหยุดความคิดนั้น


“อ้าวทัศน์ หายหน้าไปนานเลย”


“สวัสดีครับพี่ติ๊น” ธีร์ทัศน์ยกมือไหว้ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกปีผู้เป็นเจ้าของ Light and Shade เมื่อแรกพบกันเมื่อกลางปีก่อนผมเผ้ายังยาวรุงรังหนวดเคราเฟิ้มจนแม่ของเขาเกิดความลังเลที่จะส่งให้ลูกชายคนโตมาเรียนที่นี่ หลังจากนั้นไม่นานพี่ติ๊นก็ตัดผมสั้น ไม่รู้ว่ามีใครบอกหรือเป็นความต้องการส่วนตัวกันแน่ แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในความคิดของธีร์ทัศน์มันช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีและน่าเชื่อถือขึ้นตั้งเยอะ ประกอบกับหน้าตาผิวพรรณที่บ่งบอกว่าไม่พ่อหรือแม่ต้องมีเชื้อสายจีนยิ่งทำให้แทบจะไม่มีสาว ๆ คนไหนอยากขาดเรียนในคลาสวาดเส้นของครูติ๊นเลยสักคน


“สอบเสร็จแล้วเหรอ” เจ้าของบ้านถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเหมือนเช่นเคย


“วันนี้วันสุดท้ายครับ ก็เลยแวะมา”


“อืม พี่ฝากลูกกวาดไปบอกแล้วนี่นาว่าคลาสสีน้ำมันจะเริ่มสัปดาห์หน้า ลูกกวาดลืมหรือเปล่านะ” พูดพลางยกมือขึ้นเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก นั่นเพราะมันสั้นเกินกว่าจะรวบขึ้นไปรวมกับกลุ่มผมที่ด้านหลังซึ่งมัดไว้ครึ่งศีรษะได้


“ไม่ลืมหรอกครับ ลูกกวาดบอกผมแล้ว แต่วันนี้ผมจะแวะเอางานเข้ามาให้พี่ติ๊นช่วยแนะนำ แล้วก็จะมาถามด้วยว่าคลาสศิลปะเด็กของพี่ดลเต็มหรือยัง พอดีน้องปิดเทอมน่ะครับ แม่เลยอยากให้มาเรียนศิลปะดู น่าจะดีกว่าอยู่บ้านเล่นเกมเฉย ๆ”


“พี่ไม่แน่ใจนะ เข้ามาก่อนสิ ไอ้ดลอยู่ข้างในพอดี” พูดจบคนตัวสูงก็เดินนำเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ที่ปูด้วยไม้ขัดมัน


ที่นั่นธีร์ทัศน์พบหนุ่มสาวหลายคนกำลังช่วยกันติดตั้งภาพวาดสีน้ำมันเข้ากับผนังสีขาว บางคนรับอาสาจัดสปอรต์ไลท์หันทำมุมพอเหมาะเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ผลงาน มันเป็นบรรยากาศที่เขาคุ้นเคยดีเมื่อกำลังจะมีนิทรรศการศิลปะเกิดขึ้นในแกลเลอรีแห่งนี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือการได้พบกับ ‘ภาดล’ ซึ่งเป็นครูสอนศิลปะในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งกับ ‘พีระ’ ที่เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ในบริษัททำแอนิเมชันอยู่ด้วยกันที่นี่ด้วย ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนสนิทของศุกลซึ่งปกติจะไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนที่เป็นแกลเลอรีสักเท่าไร เพราะหน้าที่หลักของพวกเขาก็คือการเข้ามาสอนศิลปะตามวันเวลาที่ถูกกำหนดขึ้นเท่านั้น 


“ไอ้ดล แกมาช่วยฉันดูซิว่าจะเอารูปไหนไปทำสูจิบัตร” คนนั่งที่เท้าคางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เจ้าของชื่อจึงวางมือจากการติดตั้งเฟรมผ้าใบเดินมานั่งลงข้าง ๆ แล้วดึงเม้าส์มาคลิกเสียเอง


“สวัสดีคร้าบบบพี่ ๆ” คำทักทายสั้น ๆ ส่งผลให้บรรดาผู้ใหญ่ที่กำลังช่วยกันทำงานอย่างแข็งขันต้องหยุดยิ้มให้เด็กหนุ่มจอมทะเล้นที่กำลังยกมือไหว้รอบทิศ


“ไงทัศน์” ภาดลยกมือขึ้นทักทาย


“น้องแวะมาถามเรื่องคอร์สศิลปะเด็กของแกน่ะ ตอนนี้เต็มหรือยังวะ” ศุกลกล่าวก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง


“ยังนะ ยังรับได้อีก 2-3 คน ถามทำไมเหรอ”


“แม่จะให้น้องมาเรียนน่ะครับ”


“น้องชายของทัศน์ อืม...ชื่อธรใช่ไหม จำได้ว่าเคยเจอหนหนึ่ง ที่เข้าไปป่วนห้องปั้นของไอ้พีเสียเละเลย”


“โอ้ย...นึกถึงแล้วยังขนลุกไม่หาย” พีระทำขนพองสยองเกล้ายกมือขึ้นลูบแขนตัวเอง ทำเอาคนเป็นพี่ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เมื่อนึกถึงวีรกรรมของน้องชายสุดแสบ


“ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วนะ”


“แปดขวบครับ”


“ดีเลย เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ในคลาสก็อายุราว ๆ นี้แหละ ฝากไปบอกคุณแม่นะว่าพามาได้เลย”


“ครับ ขอบคุณครับพี่ดล” ธีร์ทัศน์ยิ้มกว้างพลางปลดเป้สะพายหลังนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นวางกระดานวาดรูปลงข้างตัวแล้วมองสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าบนผนังสีขาวภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่บัดนี้เต็มไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมันจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นภาพทิวทัศน์ ภาพของผู้คนในอิริยาบถต่าง ๆ แต่ที่แปลกตาเห็นจะเป็นสีสันกับรอยแปรงที่ทำให้เกิดเป็นพื้นผิวบนผืนระนาบผ้าใบจนอดสงสัยไม่ได้ “นิทรรศการของใครน่ะพี่ ทำไมคราวนี้พวกพี่ลงมาทำงานด้วยตัวเองล่ะครับ”


“ของพวกพี่เองน่ะ ทำกับเพื่อน ๆ สมัยมหาวิทยาลัย เปิดให้เข้าชมสิ้นเดือนนี้” พีระกล่าว


“แล้วภาพไหนของพี่พีครับ”


“ที่ไอ้ติ๊นกำลังติดโน่น” เจ้าของภาพบุ้ยปากไปอีกทาง


ได้ฟังดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเบนสายตามองไปยังเจ้าของผมเส้นเล็กยาวระต้นคอที่กำลังช่วยกันกับเพื่อน ๆ ติดตั้งเฟรมสีน้ำมันเข้ากับผนัง “สวยจัง” ว่าแล้วก็ลุงพรวดขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ “ทีแปรงแบบนี้ไม่เคยเห็นเลยครับ”


“เคยเห็นแต่แบบที่เกลี่ยจนเรียบใช่ไหม” ศุกลหันมายิ้ม “แบบนี้น่ะเป็นลักษณะเด่นของศิลปะลัทธิประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสต์ไง รอยทีแปรงแบบหยาบ ๆ เป็นการลงสีอย่างรวดเร็ว เพราะศิลปินต้องการบันทึกแสงและสีที่ตาได้เห็น ณ ช่วงเวลานั้น ภาพส่วนใหญ่ของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์ก็เลยเป็นภาพวาดกลางแจ้ง ไม่ใช่วาดในสตูดิโอ เป็นการทำลายกฎแบบเดิม ๆ ของยุคคลาสิก ศิลปินมีชื่อในลัทธินี้ที่ทัศน์น่าจะเคยได้ยินชื่อก็อย่างเช่น โมเนต์ เรอนัวร์ แล้วก็เดอกาส์ ส่วนคอนเซปต์แบบละเอียดของนิทรรศการคราวนี้ต้องถามไอ้พี” ว่าพลางมองเลยไปยังคนต้นคิด


“คอนเซปต์คืออะไรเหรอครับพี่พี” ธีร์ทัศน์หันไปถามด้วยความสนใจ


“อันที่จริงจะเรียกว่ามันเป็นการรียูเนียนก็ได้ เพราะหลังจากเรียนจบมา 3-4 ปี ทั้งรุ่นก็ไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันอีกเลย ไอ้ติ๊นก็ได้ทุนไปเรียนต่อ บางคนก็กลับตั้งรกรากที่บ้านเกิด มีลูกมีเต้ากันไปก็เยอะ คอนเซปต์งานนี้ก็เป็นการนำเสนอเรื่องราวความประทับใจของพวกเราในช่วงเวลาที่แยกย้ายกันไป โดยเอาแนวทางการสร้างงานของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์มาใช้ ภาพเขียนของแต่ละคนก็เลยเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือทิวทัศน์ต่าง ๆ ที่ได้พบเจอแล้วเกิดความประทับใจ เหมือนเป็นการมาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องต่าง ๆ ผ่านภาพเขียน จะมีก็ของไอ้ติ๊นนี่แหละที่แปลกกว่าชาวบ้าน”


“ภาพของพี่ติ๊นเหรอครับ” เด็กหนุ่มหันกลับไปมองคนที่ถูกกล่าวถึงเมื่อสักครู่ เห็นเขากำลังค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกจากเฟรมผ้าใบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เพื่อเตรียมยกขึ้นติตตั้งกับผนัง มันกินพื้นที่หนึ่งในสามของผนังด้านขวามือ เป็นภาพเสี้ยวหน้าของใครคนหนึ่งที่ถูกจัดวางในแนวนอนทิ้งบริเวณว่างด้านข้างและไม่ลงลายละเอียดของฉากหลังมากนัก ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าหน้าในมุมก้มเล็กน้อยที่แสดงรายละเอียดตั้งแต่เหนือคิ้วลงมากระทั่งปลายคาง ที่โดดเด่นคงจะเป็นรอยยิ้มที่มีการเน้นด้วยแสงและสีเห็นแล้วพลอยยิ้มตามไปด้วย


“ชื่อภาพอะไรของมันนะ” ภาดลถามคนข้าง ๆ พร้อมกับกวาดตามองเลย์เอาท์ของสูจิบัตรที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก


“รอยยิ้มวันแรกเจอ” อีกคนตอบทันควันราวกับท่องจำจนขึ้นใจ “ตกลงแกจะบอกได้หรือยังวะว่านั่นรูปใคร”


“ไม่รู้เหมือนกัน” ศุกลกล่าวทั้งที่ไม่ได้หันมา คำตอบนั้นทำเอาคนรอฟังพากันเกาหัวแกรก ๆ ในขณะที่เจ้าของภาพเองยังคงอมยิ้มน้อย ๆ ให้กับภาพวาดฝีมือตนเองพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายหลายปีก่อนที่เขามีโอกาสได้ทุนไปศึกษาศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านศิลปะและการออกแบบของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-10-2016 22:56:34
(ต่อค่ะ)

“โม แกอยู่ไหนเนี่ย เรารอแกอยู่ในร้านร้อยเยนนะ รีบ ๆ มาล่ะ อืม ๆ รีบมา...แค่นี้นะ”


ศุกลเงยหน้าขึ้นจากชั้นแขวนข้าวของเครื่องใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้านก่อนจะมองเลยไปยังร่างเล็กของหญิงสาวในชุดเสื้อโค้ทสีเข้มความยาวระดับเข่า มันน่าจะอุ่นพอที่จะทำให้เธอสามารถไปไหนมาได้อย่างสบายยามเมื่อต้องมาอยู่ต่างถิ่นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียสเช่นนี้


“มาเที่ยวเหรอครับ” เป็นคำถามที่ถามด้วยภาษาคุ้นลิ้นซึ่งนาน ๆ จะได้เอื้อนเอ่ยนับแต่มาอยู่ที่นี่ได้เกือบปี


คนถูกจู่โจมมีท่าทางลังเลเล็กน้อย มือกำโทรศัพท์แน่นก่อนจะหันกลับมาดูให้แน่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เห็นว่าไม่ใช่เพื่อนที่กำลังรอมาแกล้งกันให้ตกอกตกใจ หากแต่เป็นชายหนุ่มผิวขาวที่เพิ่งเดินสวนกันเมื่อสักครู่ คาดว่าเขาน่าจะเป็นชาวเอเชียแต่ไม่ได้เผื่อใจไว้ว่าจะเป็นคนชาติเดียวกันเลยสักนิด ดังนั้นเธอจึงทำใจดีสู้เสือฝืนยิ้มออกมา “ค...ค่ะ”


หญิงสาวเลือกที่จะตอบเพียงสั้น ๆ ทั้งที่จริงแล้วเธอมาส่งน้องชายซึ่งเป็นนักเรียนแพทย์แลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนารา แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มและท่าทางของคนแปลกหน้าที่ดูเป็นมิตรซ้ำยังสื่อสารด้วยภาษาที่คุ้นเคย ดังนั้นเธอจึงถามกลับด้วยถ้อยคำเดียวกัน “มาเที่ยวเหมือนกันเหรอคะ”


“เปล่าครับ ผมเรียนที่นี่”


“มาเรียนไกลจัง เรียนที่มหาวิทยาลัยเกียวโตเหรอคะ” เจ้าของพวงแก้มขึ้นสีเลือดฝาดเพราะอากาศเย็นเฉียบกล่าวขณะที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคู่สนทนา ผมยาวถูกมัดรวบเป็นหางม้าแล้วส่งไปไว้ด้านหลังจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้นหาความจริงใจในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่าย คิ้วหนาคู่นั้นก็ช่างรับกับหน้าผากและโครงหน้าคมสันอย่างเหมาะเจาะ คงดีไม่น้อยหากเขาจะซื้อมีดโกนที่อยู่ใกล้ ๆ มือนั่นกลับไปโกนไรหนวดเหนือริมฝีปากด้วย


“เกียวโต ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ น่ะครับ” ชายหนุ่มยังคงยิ้ม “ดีใจจังที่ได้เจอคนไทยที่นี่”


หญิงสาวยิ้มนิด ๆ ตอบกลับ ในใจยินดีเช่นกันที่ได้พบเพื่อนร่วมชาติในดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ นั่นเพราะหลายวันที่ผ่านมาเธอรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเข้าใจอาการใบ้รับประทานเข้าไปทุกที แต่ยังไม่ทันได้สนทนาต่อเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน


“อ...เอ้อ ขอโทษนะคะ สงสัยเพื่อนโทรมาแล้ว ขอตัวตัวก่อนนะคะ”


“ครับ โชคดีนะครับ เที่ยวให้สนุก” ศุกลกล่าวพลางโบกมืออำลาแล้วเดินจากมาเพื่อส่งคืนความเป็นส่วนตัวให้แก่อีกฝ่าย


หนุ่มนักเรียนทุนหยิบของ 2-3 อย่างลงตะกร้าก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองมาที่ตนเอง...


“โม ทางนี้ ๆ” สาวสวยทำกระซิบกระซาบเพราะบรรยากาศในร้านมันช่างเงียบเชียบเสียเหลือเกิน


“คนอื่นล่ะ” ชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยขึ้น


“แยกย้ายกันไปช็อปปิ้งหมดแล้ว ว่าแต่แกเถอะไปไหนมา”


“ไปเจอเพื่อนมาน่ะ ไม่เจอกันนาน ตั้งแต่มันแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ เลยคุยกันยาว”


“เพิ่งรู้นะว่าแกมีเพื่อนอยู่เกียวโตด้วย” หญิงสาวกล่าวขณะเขย่งปลายเท้าหวังจะรั้งกล่องกระดาษสีสวยมาใส่ลงในตะกร้าแต่ก็คว้าไม่ถึง ได้แต่ยืนมองคนตัวสูงกว่าที่กำลังหยิบมันลงมาให้อย่างง่ายดาย


มือขาววางกล่องกระดาษสีสาวลายดอกซากุระลงในตะกร้าก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “แกก็มีคนรู้จักอยู่ที่นี่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”


“ใคร?”


“ก็ผู้ชายผมยาวที่ยืนคุยกันเมื่อกี้ รู้จักกันเหรอ”


“อ๋อ คนไทยน่ะ เขาเข้ามาทัก คงได้ยินที่เราคุยโทรศัพท์กับแกมั้ง”


“นึกว่าญี่ปุ่นหรือเกาหลีเสียอีก” พูดพลางเลื่อนสายตาไปยังแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนอยู่ไกล ๆ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย ในที่สุดเขาก็เดินออกจากร้านไป


“เนอะ เซอ ๆ ติสต์ ๆ เหมือนพระเอกซีรีส์ เห็นเขาบอกว่ามาเรียนมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับศิลปะที่นี่น่ะ” หญิงสาวสาธยายขณะเดินดูของไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อไม่เห็นเพื่อนเดินตามมาเธอจึงย้อนกลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง “โม มัวยืนเหม่ออะไรอยู่ ไปจ่ายเงินกันเถอะ จะได้รีบกลับโรงแรม เราเมื่อยขาจะแย่แล้ว”


“ป...ไปสิ ส่งตะกร้ามา เราช่วยถือตะกร้าให้” พูดจบชายหนุ่มก็รับตะกร้าจากมือของเพื่อนสาวมาถือเอาไว้เองก่อนจะพากันเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์

....


ศุกลเดินฝ่าอากาศหนาวเย็นช่วงหัวค่ำมุ่งหน้าไปยังสถานีเกียวโตซึ่งเป็นทั้งสถานีรถไฟและจุดจอดรถประจำทางที่ให้บริการรับส่งผู้โดยสารรอบเมือง ตั้งใจจะขึ้นรถเมล์เพื่อกลับไปยังหอพักซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย แต่แล้วบทเพลงซิมโฟนีที่ดังขึ้นราวกับมีวงออเคสตรามาบรรเลงอยู่ ณ ที่นี้จริง ๆ กอปรกับแสงสีที่สาดกระทบละอองน้ำพุหน้าสถานีก็ทำให้ชายหนุ่มต้องเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ คล้ายถูกแรงดึงดูด เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับแสงแปลบปลาบจากแฟล็ชหน้ากล้อง ผู้คนที่ยืนชมการแสดงน้ำพุประกอบแสงสีเสียงต่างพูดคุยกันด้วยภาษาที่หลากหลาย


หนุ่มนักเรียนไทยยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของหอคอยสีขาวทรงคล้ายแท่งเทียนซึ่งทอดลงบนระนาบกระจกอาคาร อดคิดไม่ได้ว่าการยืนตระหง่านอย่างเดียวดายนั้นจะให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือแสนเฉกเช่นกับความรู้สึกของเขาในขณะนี้หรือไม่ แม้รอบกายจะประกอบด้วยสรรพเสียงและผู้คนนับพัน แต่เสียงที่ได้ยินและภาพที่ได้เห็นอยู่ในขณะนี้กลับไม่ได้ทำให้อุ่นใจเลยสักนิด


เจ้าของร่างสูงตัดสินใจหันหลังให้ฝูงชนก่อนจะเดินดิ่งไปยังตึกของโรงแรมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของหอคอยเกียวโต จัดการซื้อตั๋วก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสูงสุด ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากบรรยากาศด้านล่าง บนนี้เงียบสงบและแทบจะไม่มีใครนอกจากเขากับนักท่องเที่ยวผมสีทองอีกไม่กี่คน รอบ ๆ โถงทรงกระบอกเป็นผนังกระจกใส สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยตึกสูงบดบังจนแทบไม่สามารถมองเห็นถนนหนทาง กล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญถูกตั้งประจำจุดต่าง ๆ ข้าง ๆ กันคือแผนที่บอกตำแหน่งของวัดสำคัญ ๆ ในเกียวโต


ชายหนุ่มเดินไปหยุดยังจุดหนึ่งก่อนจะหยิบเหรียญร้อยเยนจากกระเป๋ากางเกงหยอดลงในช่องใส่เหรียญแล้วแนบดวงตาลงกับจอมองภาพ ในใจอยากรู้เหลือเกินว่ากล้องส่องทางไกลนี้จะทำให้เขาสามารถมองเห็นได้ไกลเพียงใด คงดีไม่น้อยหากมันจะทำให้สามารถมองเห็นไปถึงที่ที่จากมาได้ แต่เมื่อปล่อยให้สมองซีกซ้ายทำหน้าที่บ้าง ความมีเหตุมีผลก็ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่กำลังคิดนั้นเป็นไปไม่ได้ ศุกลยืดตัวขึ้นก่อนจะผละออกจากกล้องส่องทางไกลความสูงระดับอก เมื่อหันหลังกลับก็เกือบจะชนเข้ากับใครคนที่หนึ่งที่เดินผ่านมา


“Sorry!” นักเรียนทุนกล่าวด้วยความเคยชิน


“No problem! ไม่เป็นไรครับ”   


ศุกลมุ่นคิ้วด้วยสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าสามารถสื่อสารเป็นภาษาไทยกับตนเองได้


“ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ” คนพูดยิ้มน้อย ๆ “ผมเห็นคุณยืนคุยกับเพื่อนของผมที่ร้านร้อยเยนเมื่อชั่วโมงก่อน”


ทันทีข้อสงสัยในหัวถูกเฉลยก็ค่อยยิ้มออก “อ๋อ...ที่แท้คุณก็มากับคุณผู้หญิงคนนั้นนี่เอง เธอไปไหนเสียล่ะครับ”


“บ่นว่าเมื่อยก็เลยกลับโรงแรมไปก่อนน่ะครับ”


“มากันได้หลายวันหรือยังครับ” ถามพลางรอบสำรวจใบหน้าอาบแสงสีนวลจากโคมไฟบนเพดานให้ถ้วนถี่ ขนคิ้วหนาเรียงเส้นสวยรับกับดวงตาและสันจมูกดูคมคายตามแบบมาตรฐานชายไทยทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต่างออกไปเห็นจะไม่พ้นรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มแบบที่ศุกลคิดว่าคนแปลกหน้าเช่นเขาไม่คู่ควรจะได้รับเสียด้วยซ้ำ 

 
“เกือบสัปดาห์แล้วละ พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว ขืนอยู่ต่อเดี๋ยวที่ทำงานเชิญให้ออกกันพอดี” คำพูดติดตลกซ้ำไม่มีหางเสียงแทนที่จะทำให้รู้สึกถึงความเป็นกันเองกลับทำให้คนฟังคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ใหญ่กว่าที่สายตาประมาณได้ ดังนั้นศุกลจึงกล่าวด้วยถ้อยคำที่ฟังดูสุภาพที่สุด   


“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณตามสบายนะครับ”


“จะกลับแล้วเหรอ”


คนถูกถามเพียงแต่พยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นผมลงไปพร้อมกับคุณเลยก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินนำไปที่ลิฟต์เพื่อลงมายังชั้นล่างก่อนจะพากันเดินข้ามมาที่อีกฝั่งของถนนซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับสถานีรถไฟเกียวโต


“ลาก่อนครับ” คนเดินนำหันมากล่าวเมื่อถึงป้ายรถเมล์ เป็นคำบอกลาที่ศุกลพูดติดปาก เขามักจะกล่าวคำนี้ทุกครั้งที่มีบังเอิญเจอคนไทยในเกียวโต นั่นเพราะไม่รู้ว่าหากกลับประเทศไทยแล้วจะมีโอกาสได้เจอกับคนเหล่านั้นอีกหรือไม่ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันก็ได้


“แล้วพบกันใหม่”


“ครับ?”


ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทตัวหนาเป่าลมผ่านริมฝีปากเพื่อให้ความอบอุ่นแก่สองมือก่อนจะทวนคำ “ผมบอกว่าแล้วพบกันใหม่” รอยยิ้มยังคงแต้มอยู่บนใบหน้าของผู้พูดราวกับมั่นใจในถ้อยคำที่กล่าวออกมาเสียเต็มประดา “เชื่อสิ ผมเป็นหมอดู”


สมองซีกซ้ายคงจะทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องกระมัง ศุกลจึงนึกขันทันทีเมื่อได้ฟังประโยคนั้นชัดเจน ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเพื่อเป็นการอำลาอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นไปบนรถเมล์พร้อมกับความคิดที่ว่ามันจะเช่นนั้นได้อย่างไรกันถึงทฤษฎีจะบอกว่าโลกกลมก็เถอะ



...


สวัสดีค่ะ ไม่พบกันนานเลย...
เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้สึกไม่ต่างกัน กว่าจะผ่าน 19 วันนี้มาได้มาทรมานเหลือเกิน
มันเป็นช่วงเวลาที่เหมือนคนไม่มีวิญญาณ ไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากรับรู้เรื่องราวใด ๆ
อยากอยู่อย่างเดียว...คืออยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน สุดท้ายเราก็พบว่ามันคือความจริง
เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ ร้องไห้ได้...แต่ต้องสัญญากับตัวเองนะว่าจะกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม

เราเคยบอกว่าเราคงหยุดเขียนนิยายไปอีกนาน ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันความตั้งใจนั้นก็ยังอยู่ค่ะ
จนกระทั่งน้อง leGGyDan มาชวนทำโปรเจ็กต์วันวาเลนไทน์
ตัวเราเองมีเหตุการณ์ที่ประทับใจอยู่เหตุการณ์หนึ่งเลยเล่าให้ฟัง สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นพล็อตแล้วตกลงกันว่าจะช่วยกันเขียนค่ะ
พอจะมีเวลาก็เลยรีบเขียนบทแรกแล้วส่งให้ leGGyDan น้องจะได้เอาไปเขียนต่อ
ปรากฏว่าน้องบอกว่าให้โพสต์เลยไม่ต้องรอวาเลนไทนแล้วด้วยเหตุผลว่า “จะได้เยียวยาหัวใจคนอ่านด้วย”
เราก็เลยมาโพสต์ในคืนนี้ หวังว่าจะช่วยให้คนอ่านรู้สึกดีขึ้น มีกำลังใจ มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อไปค่ะ

ขอบคุณ leGGyDan ที่มาชวนทำโปรเจ็กต์นี้ เป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจเลยว่าจะต้องเขียนออกมา
เพราะการเปิดเรื่องใหม่สำหรับเราคือการมีภาระ มีสิ่งที่ต้องคิดเพิ่มขึ้น แต่เริ่มเขียนแล้วก็ตั้งใจว่าจะเขียนให้จบค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หมายเหตุ ตัวอย่างภาพศิลปะลัทธิประทับใจ (Impressionism) http://bit.ly/2fkmQ58
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 31-10-2016 23:12:25
เห็นชื่อคนเขียนก็รีบกดเข้ามาอ่านเลย
เขียนกับพี่เลคกี้ด้วย เราชอบทั้งคู่เลยค่ะ!
จะรอติดตามนะคะ
เรื่องนี้เป็นหนุ่มศิลปินกับคุณหมอรึเปล่าเอ่ย? (เดาจากอาชีพของตัวละครในเรื่องที่ผ่านๆ มาของพี่เลคกี้ 555555)

ดีใจที่คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ากลับมาเขียนนิยายเยียวยาอีกครั้งนะคะ
ขอบคุณพี่เลคกี้ด้วยที่ชวนกันกลับมา 55555555555

รออ่านตอนหน้า บรรยายถึงแกลลอรี่แล้วอยากจะไปสมัครเป็นนักเรียนของหนุ่มๆ บ้างจังเลยค่ะ ฮอลลลล

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 31-10-2016 23:12:39
ขอบคุณคุณท้องฟ้าที่ได้เขียนเรื่องนี้ออกมาค่ะ เห็นชื่อคุณมาโพสต์นิยายแล้วก็ดีใจมากๆ ช่วงเวลานี้อยากจะยิ้มให้ได้มากที่สุดค่ะ

ขอตัวอ่านเนื้อเรื่องก่อนนะคะ ^_____^
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-11-2016 00:19:17
ดีใจมากที่เห็นกลับมาอัพเรื่องใหม่
เราชอบผู้แต่งทั้งสองคนเลยค่ะ จะติดตามเรื่องนี้แน่นอน

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-11-2016 06:53:02
เห็นชื่อคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าก็พุ่งเข้ามาเลย

คิดถึงมากกกกกก ไปอ่านเรื่องเก่า ๆ ซ้ำ ๆ ให้ชุ่มชื่นหัวใจบ่อย ๆ ค่ะ

อยากไปสมัครเรียนที่นี่บ้าง ครู ๆ ท่าทางน่ากิน เอ๊ย! สอนเก่ง

ว่าแต่...หนุ่มปริศนาเป็นใครนะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 01-11-2016 07:25:14
เยียวยาหัวใจจริงๆค่ะ บรรยากาศละมุนๆจนอยากไปเรียนวาดรูปด้วยเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (31-10-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 01-11-2016 12:10:25
แค่เห็นคนชื่อคนแต่งก็กรี๊ดแล้วค่ะ
รีบเข้ามาเจิม
เปิดเรื่องได้น่าสนใจมากๆ ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 02-11-2016 23:09:12
ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ


โบราณว่าไว้ฝนตก แดดออก ลูกจะคลอดมันเป็นอะไรที่ควบคุมและเลือกเวลาไม่ได้ ดังนั้น แม้จะเป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกแผนกกุมารเวชศาสตร์ของโรงพยาบาลรัฐย่านใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ก็ยังคงมีผู้ป่วยเด็กและผู้ปกครองนั่งรอคิวตรวจอยู่เนืองแน่น


ผนังโดยรอบถูกตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์ลายตัวการ์ตูนน่ารักและติดดอกไม้ขนาดเล็กใหญ่อยู่ทั่วไปจึงดูแปลกตาและสดใสกว่าแผนกอื่นๆ ของโรงพยาบาล แม้แต่บอร์ดใหญ่ที่มีไว้ให้ความรู้เรื่องโรคซึ่งตอนนี้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ยังเป็นภาพคุณกระต่ายสีชมพูผูกโบสีแดงยิ้มแฉ่งเห็นฟันหน้าขนาดใหญ่ถือแครอทชี้ชวนให้ดูภาพคุณกระต่ายตัวอื่นที่มีอาการป่วยสำคัญที่เป็นแล้วต้องรีบมาโรงพยาบาลรวมไปถึงวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น


ห้องตรวจที่มีอยู่ราวยี่สิบห้องเรียงรายไปตามทางเดิน ทุกห้องแลดูวุ่นวายมีทั้งผู้ปกครองเดินเข้าและคุณพยาบาลวิ่งสวนออกไปเมื่อเด็กทุกคนไม่ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจรักษาง่ายๆ เหมือนผู้ใหญ่ ยกเว้นหลังประตูห้องตรวจหมายเลขหกที่ดูเหมือนจะสงบกว่าใครจนน่าแปลกใจ


แต่เมื่อสังเกตดูป้ายบนหน้าห้องที่ติดชื่อ ‘นายแพทย์เอกรงค์’ เป็นผู้อออกตรวจในวันนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนในแผนกกุมารเวชก็ถึงกับร้องอ๋อ เพราะคุณหมอคนนี้ขึ้นชื่อเป็นอย่างดีเรื่องการรับมือเด็ก ไม่ว่าจะแสบเซี้ยวเปรี้ยวซ่าหรือเจ้าน้ำตาโยเยขนาดไหน เขาจะหาทางจัดการได้เรียบร้อยทุกรายไปจนพยาบาลแถวนี้แอบแซวกันอยู่บ่อยๆ ว่าเป็น ‘มือปราบเด็ก’ และบางครั้งก็มักจะแอบแซวต่อไปว่ามัวแต่สู้กับเด็กแล้วเมื่อไรกันนะถึงจะมีใครมาปราบความโสดของคุณหมอคนนี้ลงได้สักที ทั้งที่หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วอะไร ตาโตรับจมูกโด่งจะมีก็แค่หน้าผากกว้างเปิดโหงวเฮ้งรับทรัพย์ไปตามวัยที่ล่วงเลยมาจนถึงเลขสามแล้วก็เท่านั้นเอง


“เจ็บนิดหน่อยเหมือนมดกัดนะครับ”


เสียงทุ้มที่ดัดให้หวานเป็นเสียงที่สองเอ่ยขึ้นพร้อมกับเข็มคมกริบที่ปักตั้งฉากลงบนต้นแขนยังผลให้เด็กชายตัวเล็กจ้อยคาดวัยไม่เกิดแปดปีหลับตาปี๋พร้อมกับกัดปากกลั้นเสียงครางของตน


“อื๊ออออ” ใบหน้าของเด็กชายธีร์ธรเหยเกด้วยความเจ็บปวด ยิ่งคุณหมอหนุ่มกดปลายกระบอกฉีดยาดันยาให้เข้าไปยิ่งรู้สึกปวดจนสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไหลผ่านเข้ามาในผิวเนื้อ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็เข้มแข็งเกินกว่าจะร้องไห้งอแงเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน


ปลายเข็มถูกดึงจนพ้นเนื้ออ่อนแล้วคุณหมอหนุ่มจึงกดสำลีหยุดเลือดให้และกลับมาพูดด้วยเสียงปกติซึ่งฟังดูดุกว่าเดิมเล็กน้อย “เสร็จแล้วครับ”


“หมอโมโกหก” เด็กชายธีร์ธรหันมาชูนิ้วโป้งใส่พร้อมกับทำแก้มป่อง


“หมอไม่ได้โกหกนะครับ แค่มดมันตัวใหญ่ไปหน่อยเอง” เอกรงค์พูดกลั้วขำพลางทิ้งเข็มใช้แล้วลงถังขยะติดเชื้อที่วางอยู่ใต้โต๊ะ
เขากับเด็กชายสนิทกันมากพอจะหยอกเอินได้เพราะดูแลกันมาหลายปี นับตั้งแต่ตอนที่ปรเมษฐ์เพื่อนของเขาซึ่งเป็นหมอสูติฯ ผ่าตัดทำคลอดก่อนกำหนดให้เพราะมีภาวะแทรกซ้อนรกลอกตัวตอนอายุครรภ์ได้เพียงสามสิบสัปดาห์ จำได้ว่าเขาถูกตามตัวกลางดึกให้ไปช่วยดูแลเด็กทารกเนื้อตัวซีดเซียวและจากเด็กตัวเล็กน้ำหนักแค่หนึ่งกิโลกรัมกว่าๆ ต้องนอนตู้อบในวันนั้นก็ได้รับการเฝ้าประคบประหงมจนตอนนี้ตัวโตตามวัยและมายืนเถียงเขาจ้อยๆ ได้


เอกรงค์อมยิ้มมุมปากกับท่าทีแสนงอนของเด็กชาย เปิดลิ้นชักหยิบซองพลาสติกใสขนาดเล็กที่บรรจุเม็ดยาทรงรีสีส้มไว้ราวสิบเม็ดให้ “ยาวิเศษ รางวัลสำหรับคนเก่งที่ไม่ดิ้นและไม่ร้องไห้ครับ”


“เย้!” จอมแก่นรีบแบมือออกรับ แต่คุณหมอกลับดึงคืนไป


“เวลาผู้ใหญ่ให้ของต้องพูดว่าอะไรก่อนครับ”


“หมอโมยังหนุ่มอยู่เลยไม่ใช่ผู้ใหญ่สักหน่อย” เด็กชายธีร์ธรว่าด้วยความเป็นเด็กยังไม่รู้ประสา ผู้ใหญ่คนอื่นอาจจะยอมปล่อยผ่านเพราะดูน่าเอ็นดู แต่สำหรับกุมารแพทย์อย่างเขาแล้วเรื่องเล็กๆ ในวันนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในวันหน้า เด็กจะไม่รู้จักการให้ความเคารพ มารยาทพื้นฐานและการกล่าวขอบคุณ


“น้องธรครับ” เอกรงค์พูดซ้ำ พร้อมกับมองตาให้รู้ว่าไม่ได้ล้อเล่น


“ขอบคุณครับคุณหมอ” เด็กชายกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ ยังผลให้ใบหน้าที่ตีขรึมอยู่คลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้างทันที “เก่งมากครับน้องธร”


ทันทีที่รับรางวัลมาเด็กชายก็แกะออกเทใส่มือและส่งเข้าปากเคี้ยวแจ๊บๆ


‘ยาวิเศษ’ ที่เขาให้ไปนั้นก็แค่วิตามินซีธรรมดาๆ ที่ให้อมเล่น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเด็กๆ ถึงได้ชื่นชอบกันนักจนบ่อยครั้งที่เขาสามารถเอามาต่อรองอะไรหลายๆ อย่าง อย่างได้ผลดีพอๆ กับตุ๊กตาตัวเล็กๆ ที่หมอหลายๆ คนชอบใช้


“สวย”


“อร่อยสิครับ ไม่ใช่สวย” เอกรงค์แก้ให้แต่เด็กชายกลับส่ายหัวดิกพร้อมกับลุกจากที่นั่งและเอื้อมมือมาแตะที่มุมปากข้างขวาของเขา ตรงที่ผิวแก้มบุ๋มลงไปเป็นรอยเล็กๆ


“นี่” เด็กชายพูดซ้ำ “สวย”


“เขาเรียกว่าลักยิ้มครับ”


“สวยจัง”


เอกรงค์ยิ่งคลี่ยิ้มกว้างขึ้นทำให้รอยบุ๋มลึกชัดใเด็กชายก็ยิ่งจิ้มเล่น …เหมือนจันทร์เสี้ยว... เขาต่อในใจ ใครๆ ก็พูดแบบนั้น แต่วันนี้เขากลับได้ยินคำตอบที่แตกต่างออกไปเป็นครั้งแรกในชีวิต


“เหมือนรูปวาดของพี่ติ๊นเลย”


“ใครคือพี่ติ๊นครับ” เอกรงค์ถามเพราะจำได้ว่าธีร์ธรมีพี่แท้ๆ ชื่อธีร์ทัศน์


“พี่ติ๊นคือพี่ติ๊นครับ”


“ครูที่โรงเรียนเหรอครับ” คุณหมอหนุ่มลองเปลี่ยนคำถามใหม่เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ


เด็กชายพยักหน้า “พี่ติ๊นสอนวาดรูป”


“อ้อ” เอกรงค์พยักหน้าเริ่มจะเข้าใจก็พอดีกับคนที่จะช่วยไขข้อข้องใจเดินเข้าประตูมา


“ขออนุญาตครับ” เด็กชายในชุดนักเรียนกล่าวพลางยกมือไหว้ วันนี้เขาทำหน้าที่แทนคุณแม่พาน้องชายมาฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพราะกลับจากที่เรียนวาดรูปพร้อมกัน “เจ้าตัวแสบก่อปัญหาอะไรหรือเปล่าครับหมอโม” ถามเพราะเห็นเข้ามานานจนผิดสังเกต จริงๆ เขาควรจะเข้ามาด้วยตั้งแต่ทีแรกถ้าไม่ใช่เจ้าน้องชายห้ามไว้เพราะอายถ้าต้องโดนเห็นตอนทำหน้าตาประหลาด


“ไม่มีอะไรหรอกทัศน์ พอดีเสร็จเร็วเลยคุยอะไรกันนิดหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ นี่ก็ทุ่มกว่าแล้วเดี๋ยวจะถึงบ้านดึก” ธีร์ทัศน์บอกพลางส่งกระเป๋าเป้คืนให้น้องชายรับไปสะพายใส่หลังเตรียมพร้อมออกเดินทาง


“เดินทางดีๆ ล่ะ ฝากสวัสดีคุณแม่ด้วย”


“ครับหมอโม”


“เดี๋ยวนะทัศน์” เอกรงค์เรียกไว้เพราะยังคงติดใจชื่อที่ธีร์ธรเอ่ยขึ้นมาไม่หาย “พี่ติ๊นคือใครเหรอ”


“อ้อ” ธีร์ทัศน์ร้อง “พี่ติ๊นเป็นครูสอนวาดรูปที่ Light and Shade ที่ผมไปเรียนวาดรูปด้วยตอนนี้ไงครับ”


คนรอคำตอบพยักหน้ารับ


“เหมือนเนอะพี่” เด็กชายธีร์ธรดึงชายเสื้อพี่ชายพร้อมกับชี้มือ


“อะไร” พี่ชายมีสีหน้างุนงง แต่เมื่อมองตามปลายนิ้วเล็กๆ ของน้องที่ไปสิ้นสุดลงบนใบหน้าของคุณหมอซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะก็ถึงบางอ้อ “เหมือนจริงๆ ด้วย”


“พวกนายหมายถึงฉันหน้าเหมือนรูปวาดของพี่ติ๊นอะไรนี่ใช่ไหม” เอกรงค์ถาม ยิ่งนึกแปลกใจไปกันใหญ่


“ไม่เชิงว่าเป็นใบหน้าหรอกครับ” ธีร์ทัศน์อธิบายเพิ่ม “เพราะรูปที่พี่ติ๊นวาดมันมีแค่ครึ่งหน้า ส่วนที่เห็นชัดคือตั้งแต่สันจมูกมาจนถึงปาก และมันก็เหมือนกับหมอโมมากเลย แต่คงไม่ใช่หรอกครับ พวกจิตรกรน่ะอารมณ์ติสต์จะตาย ดูอย่างรอยยิ้มของโมนาลิซาสิ แล้วผมว่าตอนวาดพี่ติ๊นคงจะละเมอฝันถึงสาวที่แอบชอบหรือแฟนเก่ามากกว่าเพราะพี่ติ๊นตั้งชื่อภาพนั้นว่า ‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’”


“รอยยิ้มวันแรกเจอ” เอกรงค์ทวนคำ


“ครับ” ธีร์ทัศน์ตอบพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดภาพและยกเทียบกับใบหน้าคุณหมอหนุ่ม “นี่ไงๆ หมอโมก้มหน้าลงหน่อย นั่นแหละ แบบนั้นแหละ”


“เหมือนเป๊ะเลย” เด็กชายธีร์ธรร้องเสียงดังพร้อมกับตบมือเปาะแปะ


“ตาถึงนะเราน่ะ” คนพี่หันไปชูนิ้วโป้งให้น้องชาย


“ผมเก่งใช่ไหมล่า”


“ไหนขอฉันดูหน่อย” เอกรงค์เอียงคอมองตามภาพก่อนจะส่งโทรศัพท์คืน ยังไงก็ไม่รู้สึกว่ามันคล้ายกับเขาสักนิด


“พี่ติ๊นจัดแสดงภาพนี้ไว้ที่แกลเลอรีของ Light and Shade ด้วยนะครับ จัดรวมกับเพื่อนๆ มีภาพสวยๆ เยอะแยะเลย ถ้าหมอโมว่างๆ ลองแวะไปดูก็ได้นะครับจะได้รู้ว่าพวกผมสองคนพูดจริงหรือเปล่า” โปรโมทงานให้ศุกลเสร็จสรรพธีร์ทัศน์ก็หันไปหาน้องชาย “ไปกันเถอะธร”


“ครับผ้ม!” เด็กชายธีร์ธรทำท่าตะเบ๊ะขึงขังพร้อมกับตบเท้า ทั้งสองยกมือไหว้คุณหมอหนุ่มอีกครั้งก่อนจะกลับออกไป


คล้อยหลังสองพี่น้อง ห้องตรวจก็กลับมาสู่ความเงียบสงบอีกครั้งก่อนที่เสียงทุ้มหวานจะดังออกมาจากมุมห้องตรงทางเชื่อมออกไปยังทางเดินด้านหลัง เด็กหนุ่มวัยเดียวกับธีร์ทัศน์เดินเข้ามา เขาร่างสูงโปร่งหน้าตาดี ถึงจะเป็นถ้อยคำซ้ำๆ เชยๆ ที่ใครๆ พูดกัน แต่นั่นไม่ผิดเลยที่จะบอกว่าเด็กหนุ่มคนนี้หล่อเหลาเหมือนรูปสลัก เมื่อคิ้วตาปากนั้นเป็นเส้นโครงชัดและถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะบนเรียวหน้ารูปไข่รับกับเรือนผมสีน้ำตาลตามธรรมชาติซึ่งหยักศกนิดๆ   


“ไม่ลองไปดูสักหน่อยเหรอ” ‘นภธรณ์’ ยุ เขาได้ยินเรื่องที่สองพี่น้องเล่าให้ฟังทั้งหมดเพราะยืนรับลมอยู่ที่ระเบียง อันที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่เสียงของสองคนนั้นไม่ใช่เบาๆ เลย


เอกรงค์ส่ายศีรษะทันทีพร้อมกับเก็บของใส่กระเป๋าเมื่อผู้ช่วยพยาบาลหน้าห้องเดินมาส่งสัญญาณว่าไม่มีคนไข้ที่เขาต้องตรวจแล้ว “ไม่ล่ะ นายก็รู้ว่าฉันไม่ถนัดพวกงานศิลปะ”


“นั่นสินะ” นภธรณ์นั่งเท้าคางลงบนโต๊ะ “งานเลี้ยงปีใหม่ของโรงพยาบาลปีก่อนที่พ่อโดนเรียกขึ้นไปร้องเพลงนั่นนึกแล้วยังสยองไม่หาย ผมอยู่ข้างล่างแอบเห็นเพื่อนๆ พ่อเอามือปิดหูส่งเสียงโหยหวนกันใหญ่”


“แหม ใครจะร้องเพราะเหมือนนายล่ะ” เอกรงค์ว่า “เอาจริงๆ นะเจ้านอฟถ้านายจะเรียนได้เก่งสักครึ่งหนึ่งของร้องเพลงป่านนี้ไอ้โป้มันคงดีใจตาย”


ถึงเด็กหนุ่มจะเรียกเอกรงค์ว่าพ่อ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดแม้แต่น้อย ไม่ใช่หลานหรือลูกพี่ลูกน้องอะไรด้วย นภธรณ์เป็นลูกชายของ ‘ปรเมษฐ์’ หรือ ‘ปีโป้’ เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์ ซึ่งดันพลาดท่าไปทำผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ท้องสมัยเรียนอยู่ปีสาม หลังจากที่ฝ่ายผู้หญิงหนีหายไป ปรเมษฐ์ซึ่งทะเลาะใหญ่โตกับครอบครัวเพราะไม่ยอมบอกว่าใครเป็นแม่เด็กจึงประกาศว่าจะเลี้ยงลูกเองและแยกตัวมาอยู่คอนโดด้วยกันสองคนพ่อลูกตอนนภธรณ์อายุได้แค่สองเดือน แน่นอนว่าผลกรรมนั้นไม่ได้ตกอยู่ที่เจ้าตัวคนเดียว แต่มันรวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทด้วย ที่จู่ๆ ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกลายเป็นคุณพ่อจำเป็น


แต่คงมีแค่เขานี่แหละที่นภธรณ์ชอบเรียกว่าพ่อจนติดปากในขณะที่เรียกคนอื่นๆ ว่าพี่หรืออาแล้วแต่อารมณ์และสถานการณ์ คงเพราะเขาเป็นคนไปรับไปส่งเด็กคนนี้ที่โรงเรียนและช่วยติวหนังสือให้เป็นประจำ แต่คนอื่นๆ กลับมองว่าเขาเหมือนแม่ที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชในทุกๆ เรื่องมากกว่า ก็จะไม่ให้เขาบ่นได้ยังไงในเมื่อเพื่อนรักดันรักสนุกโดยไม่คิดป้องกัน แถมยังชอบเล่นกับลูกแบบแผลงๆ แล้วไหนจะตามใจจนเคยตัวอีก


ว่าไปแล้วการที่เอกรงค์สามารถจัดการเด็กซนๆ คนอื่นได้อยู่หมัดคงเป็นเพราะมีนภธรณ์นี่แหละเป็นเครื่องเตือนใจ เหนื่อยๆ เมื่อไร นึกถึงหน้าเด็กคนนี้แล้วก็จะเกิดฮึกเหิมขึ้นมาทันทีว่าไม่มีเด็กคนไหนบนโลกนี้ที่เขารับมือไม่ได้อีกแล้ว


“รายนั้นน่ะคงเฉยๆ ผมว่าคนที่ดีใจน่ะพ่อมากกว่ามั้ง แหมให้สอนเลขแค่นี้ทำเป็นบ่นเช้าบ่นเย็น” นภธรณ์ว่า ก็ช่วยไม่ได้นี่นา พ่อของเขาให้มาแต่หน้าตาแต่ไม่ยอมแบ่งสมองมาให้บ้างเลย


“แล้วตกลงไอ้วิชาที่ตกน่ะสอบผ่านหรือยังล่ะ”


“ระดับผมซะอย่าง”


“ตกอีกรอบ?”


“ผ่านสิครับ!” นภธรณ์ยืดตัวขึ้นกอดอกฉับ แต่ถึงจะทำหน้าหงิกเป็นมะเหงกยังไงความหล่อนั้นก็ไม่ลดลงเลย


เอกรงค์ยิ้มขันและเก็บกระเป๋าต่ออย่างไม่ใส่ใจท่าทางงอนเป็นเด็กน้อยนั่น สักพักเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน “ตกลงพ่อโมจะไปดูหน้าเขาไหมผมจะไปเป็นเพื่อน”


“หน้าใคร?”


“ก็พี่ติ๊นอะไรนั่นไง พ่อติดใจไม่ใช่เหรอว่าทำไมถึงวาดรูปเหมือนพ่อ”


“ถ้าฉันจะติดใจอยากไปดู ก็เพราะรูปที่เขาวาดไม่ใช่คนวาดสักหน่อย”


“แต่ถ้าเขาไม่ได้มีซัมติงรองอะไรกับพ่อเขาจะวาดรูปพ่อออกมาได้ยังไง”


“ก็มโนไง  คิดไปเอง”


นภธรณ์ถอนหายใจเสียงดังเฮือก “ฟังนะครับ คุณพ่อโมผู้ไม่เข้าใจศิลปะ ศิลปินน่ะอาจจะเหมือนพวกเพ้อๆ สติไม่เต็ม แต่ผลงานทุกชิ้นล้วนมีสิ่งที่เรียกว่า ‘แรงบันดาลใจ’ นะครับและแรงบันดาลใจของพี่ติ๊นอะไรนี่ก็คือ ‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’ ซึ่งมันก็ดันมาเหมือนรอยยิ้มของพ่อเป๊ะ”


เอกรงค์เหลียวมามองคนหัวทึบที่จู่ๆ ก็พูดจาเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที


“เอาเป็นว่าพ่อไม่ต้องไปดูเพราะคนวาดอย่างที่ผมว่าก็ได้ แต่พ่อกล้าสาบานไหมว่าไม่อยากเห็น ‘ภาพรอยยิ้มที่เหมือนกันกับของพ่อ’ น่ะ” พูดจบนภธรณ์ก็ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “ผมไปรอที่รถนะ”


แล้วเด็กหนุ่มก็ใช้สองมือล้วงกระเป๋าเดินผิวปากออกไป ทว่าเดินยังไม่ทันจะพ้นกรอบประตูห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกด้วยซ้ำ เสียงเรียกชื่อก็ดังขึ้นจากด้านหลัง


“เจ้านอฟ”


นภธรณ์หันไปก็พอดีกับที่ของสิ่งหนึ่งถูกโยนมาตรงหน้า เขายกมือข้างเดียวขึ้นรับไว้ก่อนจะแบออกดูและพบว่ามันเป็นพวงกุญแจรถคาดิลแลคคู่ใจของเอกรงค์ ริมฝีปากหยักยิ้มขึ้นทันทีพร้อมกับเงยหน้าสบตาเจ้าของรถ


“สตาร์ทรถรอเลย ขอเอาของเก็บก่อนเดี๋ยวจะตามไป” เอกรงค์บอก


“ครับผม”


การเดินทางไป Light and Shade ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเมื่อมันคือแกลเลอรีเปิดใหม่ที่เอกรงค์ขับรถผ่านในระหว่างทางมาทำงานทุกวัน หากแต่ไม่เคยจะสนใจมอง ขับรถออกจากโรงพยาบาลผ่านเพียงแค่สองไฟแดง รถคาดิลแลคสีดำสนิทก็มาจอดเทียบหน้าประตูแกลลอรีสีขาวเปิดไฟสว่างตัดกับสีบรรยากาศยามค่ำคืน ชายหนุ่มเปิดประตูเดินลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้นมองอาคารไม้สูงสองชั้นตรงหน้า อึดใจต่อมานภธรณ์ก็เดินมายืนข้างกัน


“อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนี้”


เอกรงค์เหลียวมองเด็กหนุ่มที่หันมายิ้มให้


“Light” นภธรณ์พยักเพยิดไปยังอาคารสีขาวตรงหน้า ซึ่งมีดวงจันทร์สีเงินส่องสว่างเป็นฉากหลังกระทบลงมาเห็นเป็นเงาทาบทับไปบนรถคาดิลแลคสีดำอย่างพอดิบพอดี “and shade... แสงและเงาไงครับ” ว่าไปตามที่เคยเรียนมาและพอจะเข้าหัวอยู่บ้าง


เอกรงค์ย่นคิ้ว ยังคงไม่เข้าใจว่ามันเป็นภาพที่สวยตรงไหน แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเข้าใจอากัปกิริยานั่นจึงไม่อธิบายอะไรต่อและรีบเอ่ยชวน


“เข้าไปกันเถอะครับ”


“แต่ป้ายนั่นเขียนว่าปิดแล้ว” คุณหมอชี้ไปที่ป้ายด้านหน้าซึ่งบอกเวลาเปิดปิด 09.00 – 20.00 น.


นภธรณ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “เพิ่งเกินมาแค่สิบนาที แถมประตูก็ยังเปิดอยู่แสดงว่าเขายังยินดีต้อนรับเราอยู่นะครับ” พูดหน้าตาเฉยพร้อมกับเดินนำไป


“เดี๋ยวก่อน...” กุมารแพทย์หนุ่มยกมือจะห้าม แต่ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มก็เดินผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านในเสียแล้ว เขาจึงต้องตามเข้าไปอย่างเสียไม่ได้ “อย่าเสียมารยาทสินอฟ”


แต่พอได้เข้ามาก็ลืมความคิดที่จะพานภธณ์ออกไปเสียสนิท


ด้านในนั้นเป็นห้องโถงกว้าง บนผนังสีขาวสะอาดติดภาพเขียนไว้รายเรียง มีภาพคนในอิริยาบทต่างๆ รวมไปถึงภาพวิวทิวทัศน์สวยงาม มันดูเป็นสวรรค์บนดินแห่งหนึ่งของคนรักศิลปะเลยทีเดียว


เอกรงค์ได้ยินเสียงร้องว้าวเบาๆ จากเด็กหนุ่มที่มาด้วยกัน นึกขำอยู่ในใจว่าบางทีน่าจะเป็นนภธรณ์น่ะแหละที่อยากมาเองเสียมากกว่า เพราะเจ้าตัวเพิ่งบอกว่าสอบซ่อมผ่านแล้วหลังจากที่นั่งติวเข้มกับเขาอยู่หลายวัน บางที่นี่อาจจะเป็นการอ้อนขอของรางวัลกลายๆ ก็เป็นได้


เขาหันซ้ายแลขวามองหาเจ้าของแกลเลอรีหรือคนอื่นๆ เพื่อจะขออนุญาตแต่ก็ไม่เห็นใคร ในแกลเลอรีนั้นเงียบสนิทมีเพียงเสียงเพลงฮัมผ่านริมฝีปากของนภธรณ์ดังแว่วมา เอกรงค์มองไปที่โต๊ะซึ่งน่าจะเป็นจุดต้อนรับเห็นสูจิบัตรใส่อยู่ในโหลเซรามิคจึงหยิบขึ้นมาเปิดดู เห็นท่าทางไม่เลวจึงเดินแยกตัวไปดูอีกทางเพราะไม่อยากขัดอารมณ์สุนทรีย์ของเด็กหนุ่ม


เขาเดินดูภาพวาดสีน้ำมันที่ประดับประดาอยู่บนฝาผนังไปเรื่อยๆ บางภาพก็เข้าใจได้ แต่บางภาพก็ทำให้เขาต้องหยุดยืนมองอยู่หลายนาทีเพื่อให้สมองซีกขวาได้ทำงาน เป็นภาพที่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่านี่หรือคือสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ศิลปะ’ เพราะตามความเห็นของเขาแล้ว ภาพของเด็กๆ ที่ขีดๆ เขียนๆ เล่นยังดูน่ารักและเข้าใจง่ายกว่าอีก...แบบนี้มันเรียกว่าอะไรนะ... แอ๊บสแตรคเหรอ? หรืออะไรอิมๆ นิดๆ นะเหมือนเคยเรียนในวิชาสังคมเรื่องประวัติความเป็นมาของศิลปะสมัยม.ปลาย แต่ตอนนี้ความรู้ส่วนนั้นเขาคืนครูผู้สอนไปหมดแล้ว


เดินมาได้ครู่หนึ่ง เสียงฮัมเพลงของนภธรณ์ก็จางลงไปเรื่อยๆ หากยังพอได้ยินว่ายังอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน เขาเดินผ่านภาพแล้วภาพเล่า จนในที่สุดเท้าทั้งสองก็พามาหยุดอยู่หน้าภาพวาดสีน้ำมันบนเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ และนี่คือภาพที่ทำให้เขาต้องเดินทางมาที่นี่


‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’


เอกรงค์มองดูภาพตรงหน้าราวกับโดนมนตร์สะกด เขาไม่เคยสนใจงานศิลปะ ไม่เข้าใจความงามของกลิ่นสีและทีแปรงที่ป้ายไปปาดมา แต่ในภาพนี้ราวกับมันมีพลังงานอะไรบางอย่างซ่อนอยู่จนไม่อาจละสายตาไปได้ ทั้งที่เป็นแค่ภาพวาดเสี้ยวหน้าในมุมก้มเล็กน้อยที่มีแค่ส่วนคิ้วเรื่อยลงมาจนถึงปลายคางตามที่ธีร์ทัศน์บอก แต่ราวกับริมฝีปากบนผืนใบนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้และพยายามเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่างกับเขา


ว่าแต่ว่า... อะไรบางอย่างนั่นมันคืออะไรกันล่ะ?


เอกรงค์สะบัดศีรษะแรงๆ สองถึงสามครั้งเมื่อรู้สึกว่าตนเองชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่ แค่ภาพวาดจะมาบอกอะไรได้ ไอ้อาการมวนๆ โหวงๆ ในช่องท้องไม่ใช่ความตื่นเต้นอะไรหรอก นี่น่าจะเป็นเพราะปวดท้องต้องการปลดทุกข์มากกว่า... ใช่แน่ ต้องเป็นเพราะเหตุนี้แหละ


เขาเหลียวซ้ายแลขวาหาทางไปห้องน้ำ เห็นอยู่สุดทางจึงเดินตรงเข้าไป
หลังจากจัดการธุระเสร็จ เอกรงค์ก็มายืนล้างมือตรงอ่างหน้าห้องน้ำ ในจังหวะที่ล้างฟองสบู่ออกจนเกือบหมดสายตาก็เหลือบขึ้นมองเงาในกระจก


เขามองเงาสะท้อนของตัวเอง จ้องลึกเข้าไปในดวงตา ก่อนจะค่อยๆ หันไปทางซ้าย แล้วก็กลับคะแคงหน้าไปทางขวา ก้มๆ เงยๆ อยู่หลายมุมรวมทั้งแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่หลายท่าเพื่อยืนยันความคิดของตนเอง


“ไม่เห็นจะเหมือนสักหน่อย เราออกจะหล่อกว่าตั้งเยอะ” เอกรงค์สรุปสั้นๆ อย่างพึงใจ เขายิ้มให้กับเงาตัวเองในกระจกอีกครั้งในขณะที่เสียงทุ้มดังแว่วมาจากด้านนอก


“สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”


เอกรงค์เหลียวตามเสียงทัก และทันทีที่สายตาสบเข้ากับชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเข้มลึก หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย แรง... จนเขาอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไรเมื่อในที่สุดเขาก็ได้พบคนที่ขโมยหัวใจของเขาไปนับตั้งแต่วันแรกที่เจอ...  อีกครั้ง


...



leGGY สวัสดีค่ะ

ถึงเวลาส่งคนของเรามาสู้ค่ะ หลังจากที่ปล่อยให้พี่ติ๊นทำคะแนนนำไปก่อน

มีคนทายถูกว่าอีกฝ่ายต้องเป็นหมอแน่ๆ ทีแรกเราก็คิดจะไม่เอาเหมือนกันค่ะ

แต่คิดไปคิดมากว่าจะขอคุณพี่ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าผู้ใจแข็งดั่งหินผาแต่งงาน เอ๊ย! แต่งนิยายด้วยได้นั่นก็ยากแล้ว

ตามสำนวนนางยิ่งยากกว่า แล้วยังจะมาเล่นท่ายากเอาอาชีพไกลตัวเห็นทีจะไม่รอด

เลยคิดว่าเอาทางถนัดของแต่คนมาเจอกันดีกว่า เลยมาลงตัวที่ หนุ่มศิลปิน × หมอเด็ก

เป็นกำลังใจให้คุณหมอโมของเราด้วยนะคะ

#ทีมหมอโมหัวเถิก #เล่นเองเจ็บน้อยกว่า #หมอโมไม่ได้กล่าว

ส่งต่อตอนหน้า #ตอนที่3 ให้คุณพี่ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าค่ะ #ยิ้มหวาน

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 02-11-2016 23:31:07
น่ารักมาก  ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 03-11-2016 00:16:04
ซื้อหวยทำไมไม่ถูกอย่างนี้บ้าง!
5555555555555555555555555

อ่านตอนนี้แล้วเลือกไม่ถูกเลยว่าจะอยู่ทีมใครดี
หนุ่มศิลปินก็ดี คุณหมอเด็กก็น่ารักเหลือเกิน
เถิกแล้วไงใครสน ดูอย่างวิคเตอร์คลุง ณ ยูริออนไอซ์สิคะ!
เถิกยังก๊าวใจจะตาย เราว่าหมอโมต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

5555555555

อยากรู้จังว่าใครจะจีบใครก่อน
แต่ดูทรงแล้วน่าจะเป็นหมอโมรึเปล่า? ชอบเขามาตั้งแต่แรกแล้วนี่ >_<
ตั้งแต่ตอนที่เจอกันอยู่ญี่ปุ่นใช่มั้ย? บรรยากาศโรแมนติกไปอี๊กกก ฮอลลล

อยากไปดูเค้าจีบกัน
สามารถยื่นใบสมัครเป็นนักเรียนของพี่ติ๊นได้ที่ไหนคะ? เผื่อว่าหมอโมจะแวะมาให้เราเต๊าะเล่นบ่อยๆ บ้าง
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ  :-[
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 03-11-2016 02:32:37
เขินหนักมากกกก ในที่สุดก็เจออีกครั้ง
แหม น่าเชื่อจริงๆค่ะว่าเป็นหมอดู แม่นอะไรขนาดนี้
ดีนะที่มีพ่อสื่อคู่พี่น้องที่ดี สองคนนี้เลยได้มาเจอกัน
คัร้งหน้าคงต้องให้ของขวัญที่ใหญ่กว่าวิตามินซีแล้วล่ะค่ะคุณหมอ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 03-11-2016 07:20:55
#ทีมหมอเด็ก ผู้ชายอย่างหมอโมนี่เทวดาชัดๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-11-2016 08:19:24
เขาเจอกันแล้ว... :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 03-11-2016 08:19:37
กรี๊ดดดด :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-11-2016 11:54:51
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (01-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-11-2016 14:04:24
เรื่องน่ารักจังเลย อ่านไปยิ้มไป
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (02-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 03-11-2016 17:17:35
//เข้ามาปาหัวใจใส่อย่างก้าวร้าว กี๊สสสสสส
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (02-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 03-11-2016 19:01:36
กร๊าวววววใจ :)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (02-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 03-11-2016 23:23:39


ทั้ง หมอโม และ น้องศุกล  อ่านแล้ว ละมุนหัวใจเหลือเกินนนนนน :กอด1:

//มาต่อไวไว แบบนี่รักตายเลย :mew1:


 ตกลง  คนที่เป็นหมอดู จะมีเฉลยไหมฮะ  ว่าทำไมแม่นๆๆๆ  จัง
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 04-11-2016 01:49:09
ตอนที่ 3 แสงและเงา


แม้ล่วงเลยมาจนเข้าสู่ปีที่สามหากแต่ภาพของอีกฝ่ายกลับมิได้เลือนหายไปในกาลเวลา ตรงข้าม...เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของกุมารแพทย์หนุ่ม เอกรงค์จ้องหน้าคนตัวสูงที่เพิ่งเดินผ่านกรอบประตูเข้ามาไม่วางตา แม้ผมยาวจะถูกตัดจนสั้น หนวดเคราถูกโกนจนเหี้ยน ร่างกายไม่ได้ผอมแห้งเหมือนเมื่อครั้งที่บังเอิญพบกันที่ต่างแดน


ว่าไปแล้วทุกสิ่งดูเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น เหลือก็แต่ดวงตาคู่นั้นที่ยังคงไว้ซึ่งแรงดึงดูดไม่เสื่อมคลาย อันที่จริงเขาพอจะรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่บ้างนับจากบอกลากันคราวนั้น ทั้งหมดคงต้องยกความดีความชอบให้แก่เพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมซึ่งทำงานอยู่ในสถานทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายที่หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสได้รู้ข่าวคราวของนักเรียนทุนคนนี้อีกเลย


“ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ” แต่ดูเหมือนฝ่ายที่ตกใจจะเป็นคนพูดเสียมากกว่าทันทีที่เห็นหน้ากันชัด ๆ “พ...พอดีเห็นว่าคุณหายเข้ามานานแล้ว แล้วแกลเลอรีของเราก็กำลังจะปิด ผมเลยเข้ามาดู เผื่อว่าจะมีอะไรให้ช่วย”


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ขวัญอ่อนขนาดนั้น” เอกรงค์คลี่ยิ้ม หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มของตนเองกำลังทำให้หัวใจคนมองปั่นป่วน “แต่ถ้าจะช่วยละก็ ช่วยปิดที่นี่ให้ช้าลงแล้วพาผมเดินชมภาพในนี้สักหน่อยจะได้ไหมครับ ไหน ๆ ก็ตั้งใจมาแล้ว ไม่อยากให้เสียเที่ยว”


“ค...ครับ ช...เชิญทางนี้” เจ้าของแกลเลอรีรับคำก่อนจะเดินนำคู่สนทนาออกมายังห้องโถงด้านนอก


แม้ตำแหน่งการเดินจะเหลื่อมกันอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในการที่คุณหมอจะลอบสำรวจเสี้ยวหน้าของชายที่ความสูงพอ ๆ กันได้ ตาคมมองเลยไปยังเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังยืนรออยู่ กำลังจะอ้าปากอีกฝ่ายก็ตะโกนลั่น


“พ่อ! ทำไมเข้าห้องน้ำนานจัง พี่เขาจะปิดบ้านแล้ว”


ถ้อยคำนั้นทำเอาคนเดินนำชะงัก ศุกลหยุดก่อนจะได้ยินประโยคสวนกลับแว่วมาจากด้านหลัง


“ใครพ่อนาย พี่เว้ย! เรียกให้มันถูก” ว่าแล้วก็สาวเท้ามาหยุดข้าง ๆ รีบแก้ตัวด้วยเกรงว่าอีกคนที่เพิ่งพบกันจะเข้าใจผิด “น...นี่ลูกชายเพื่อนผม”


“อะไรวะ ยอมให้เรียกพ่อมาได้ตั้งนานสองนาน วันนี้เกิดอยากจะเป็นพี่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น” เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก


“เออ วันนี้ขอเป็นพี่สักวันนะนอฟ แล้วก็...อ...เอ้อ พี่ขอเวลาสิบห้านาที นายจะไปรอที่รถก็ไปก่อนเลย”


“อ้าวพ่อ!” นภธรณ์ร้องเสียงหลง


“พี่!”


“เออ ๆ พี่ก็พี่” คนอ่อนวัยสุดในที่นั้นถอนใจเฮือก “ผมยังไม่ได้บอกพี่โมสักคำว่าอยากไปรอที่รถ”


“บอก!”


“บอกตอนไหน”


“ก็ตอนนี้ไง พี่บอกให้นายไปรอที่รถ” ว่าแล้วก็โยนกุญแจให้เป็นครั้งที่สอง


“โอเค กระจ่าง” นภธรณ์คว้ากุญแจรถยนต์ที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศได้ก็เดินบ่นกระปอดกระแปดออกไป


ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะลับสายตา ศุกลก็เอ่ยขึ้นเนื่องจากกลัวว่าจะกินเวลาที่อีกฝ่ายได้กำหนดไว้เมื่อสักครู่ “เริ่มจากภาพนี้เลยก็แล้วกันนะครับ จะไม่ได้ไม่เสียเวลาของคุณ” กล่าวพลางผายมือไปยังภาพเขียนสีน้ำมันที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด


“ผมอยากดูภาพนั้นมากกว่า” กุมารแพทย์หนุ่มตอบแบบไม่มีหางเสียงก่อนจะเดินมุ่งไปยังผนังฝั่งตรงข้าม เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบลงจึงถามขึ้น “คุณวาดภาพนี้หรือเปล่า”


“ครับ”


“คอนเซ็ปต์คืออะไรเหรอ”


“คอนเซ็ปต์ของนิทรรศการครั้งนี้ก็คือความประทับใจเมื่อได้เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตครับ” ศิลปินหนุ่มเลือกที่จะตอบเช่นนั้น ทั้งที่มีแต่เขาคนเดียวที่แม่นยำในคอนเซ็ปต์ของผลงานตนเองที่สุด


“ไม่เอาทั้งงานสิครับ ผมอยากรู้แค่ภาพนี้” เอกรงค์ยังไม่ละความพยายาม


“ก็ตามชื่อภาพนั่นละครับ”


คนฟังถอนใจเบา ๆ พลางก้มลงมองป้ายที่ติดอยู่ข้าง ๆ ซึ่งแสดงรายละเอียดของภาพ “อืม...รอยยิ้มวันแรกเจอ” ริมฝีปากสวยพึมพำเบา ๆ จากนั้นก็หันกลับมาสบตาเจ้าของภาพ “ที่จริงผมไม่ค่อยเข้าใจในศิลปะสักเท่าไรหรอก แล้วก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสเข้ามาในแกลเลอรีด้วย แต่ที่มาวันนี้เพราะมีคนบอกผมว่ารูปที่คุณวาดเหมือนผม ก็เลยมาดูให้แน่ว่าจริงหรือเปล่า”
เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของอีกฝ่ายคุณหมอหนุ่มจึงค่อย ๆ สืบเท้าเข้ามาใกล้ “ช่วยถ่ายรูปให้ผมดูหน่อยได้ไหม”


“ค...ครับ ขอโทรศัพท์ด้วย”


เอกรงค์โคลงหัวน้อย ๆ “ผมลืมไว้ในรถน่ะ คงต้องรบกวนคุณแล้วละ”


“ครับ” เจ้าของแกลเลอรีรับคำแล้วจึงดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง ตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วมองอีกฝ่ายผ่านหน้าจอในมือ


“บอกผมด้วยนะว่ามุมมันได้แล้วหรือยัง” ว่าพลางก้มหน้าลงเป็นมุมเดียวกับในภาพแล้วยิ้มน้อย ๆ


“แค่นั้นละครับพอแล้ว อยู่นิ่ง ๆ นะครับ” พูดจบศุกลก็แตะปลายนิ้วลงบนระนาบสัมผัสเพื่อบันทึกภาพ


“เหมือนไหม” อีกฝ่ายก้าวเข้าหาพร้อมกับยื่นหน้าดูภาพที่ถ่ายได้ มันใกล้เสียจนศุกลเองไม่กล้าหายใจเพราะกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ นั่นช่างมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเหลือเกิน


“เหมือนสิ มันจะไม่เหมือนได้ยังไง ก็...”


“ก็เพราะคุณวาดรูปผม” ต้นแบบของรอยยิ้มในภาพชิงตอบก่อน “เจอกันแค่ครั้งเดียวแต่วาดเหมือนขนาดนี้มีนัยอะไรหรือเปล่า”


ศุกลยังคงวางหน้านิ่งทอดตามองเจ้าของแก้มบุ๋มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่คิดเลยว่าคำพูดของเขาในวันนั้นจะเป็นจริงในอีกสามปีให้หลัง ขณะสมองกำลังทบทวนเหตุการณ์แต่หนหลัง ดวงตาก็ยังไม่ละจากรอยยิ้มนั้น และมันก็ค่อย ๆ กว้างขึ้น


“ไม่แกล้งแล้ว” เอกรงค์หัวเราะในลำคอเบา ๆ “กลับดีกว่าครบสิบห้านาทีพอดี ไว้ค่อยมาใหม่ รู้แล้วว่าอยู่ที่นี่” ยังไม่ทันจบประโยคดีก็เดินผ่านร่างของคนที่กำลังอยู่ในอาการงุนงงไปยังประตู


จิตรกรหนุ่มเดินตามแขกผู้มาเยือนกระทั่งพ้นชายคาอาคารสองชั้น เห็นไฟท้ายรถคาดิลแลคที่จอดติดเครื่องอยู่ใกล้กับโรงรถ เกรงว่าเมื่อไปถึงตรงนั้นแล้วจะไม่มีโอกาสได้ถามอีกจึงเอ่ยขึ้น  “เดี๋ยวครับ ที่บอกว่าเป็นหมอดูน่ะจริงหรือเปล่า”


“ทำนายแม่นขนาดนี้ยังไม่เชื่ออีกเหรอ” คนถูกถามยิ้มขัน ๆ มองอีกฝ่ายที่กำลังพยักหน้าไม่ประสา


“ก็แค่คิดว่ามันไม่น่าเชื่อ”


“ถ้าอย่างนั้นผมจะทำนายต่ออีกเรื่อง เผื่อคุณจะเชื่อ” ปากสวยยังคงยิ้มส่งผลให้ผิวเนื้อที่ข้างแก้มด้านขวาบุ๋มลึกลงจนแต่เมื่อรวมกับองค์ประกอบอื่น ๆ บนใบหน้าแล้วกลับเป็นสิ่งชวนมองยิ่งนัก “ผมทำนายว่าคุณจะได้พบผมอีกจนเบื่อหน้ากันไปเลย คอยดูแล้วกันว่าจะแม่นไหม” เพื่อไม่ให้เป็นการออกตัวแบบล้อฟรีกุมารแพทย์หนุ่มจึงกล่าวต่อ “ผมจะพาน้องชายมาเรียนศิลปะน่ะ อยากให้คุณช่วยแนะนำคอร์สที่น่าจะเหมาะกับคนวาดรูปไม่เอาไหนแบบมันหน่อย ปิดเทอมแล้วไม่อยากให้อยู่บ้านเปล่า ๆ เอาไว้ผมจะไปขออนุญาตพ่อมันแล้วกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”


“ค...ครับ”


“อย่าลืมส่งรูปให้ผมด้วยนะ” พูดยังไม่ทันขาดคำก็แบมือรอ


“อะไรครับ” ศุกลมุ่นคิ้ว มองกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ


“โทรศัพท์คุณไง ยังไม่มีเบอร์กันแล้วจะส่งรูปให้ผมได้ยังไง เอามาสิ” เอกรงค์กลั้นยิ้ม ดวงตาติดอยู่กับคนที่กำลังหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกจากกระเป๋า ดูงงก ๆ เงิ่น ๆ จนเขาต้องรีบคว้าโทรศัพท์จากมือมากดหมายเลขพร้อมบันทึกชื่อของตนเองเสร็จสรรพก่อนจะกดโทรออก รอกระทั่งไอ้แสบที่นั่งรออยู่ในรถลดกระจกตะโกนขึ้นท่ามกลางไฟสลัว ‘พ่อโม มีคนโทรมาคร้าบบบ!!!’ ถึงจะขัดใจกับคำนำหน้าชื่ออยู่บ้าง แต่ก็พอใจกับภาพรวมที่เกิดขึ้นมากกว่า คุณหมอยกยิ้มน้อย ๆ พลางคืนโทรศัพท์ให้ในขณะที่ดวงตาสองคู่ยังสบกันนิ่ง แต่แล้วรอยยิ้มบนหน้าของเอกรงค์ก็จางหาย นัยน์ตาขี้เล่นถูกแทนที่ด้วยแววจริงจังก่อนจะกล่าว


“คราวนี้คงไม่ต้องพูดว่าลาก่อนแล้วนะ” สิ้นสุดถ้อยคำนั้นรอยยิ้มก็จุดขึ้นบนใบน้าอีกครั้ง “แล้วเจอกันครับ” พูดจบก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถก่อนจะขับออกไป...


....


ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อนทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ แทบเป็นอัมพาต ในตรอกซอกซอยมีแต่น้ำท่วมขัง  Light & Shade เองก็ได้รับผลกระทบนั้น หลายวันมาแล้วศุกลตัดสินใจปิดบ้านเพื่อรอให้ทุกอย่างคืนสู่สภาวะปกติ กระทั่งเมื่อวันก่อนฝนกระหน่ำตกลงมาอีกครั้งอย่างกับจะสั่งลาเดือนสุดท้ายของช่วงปลายฝนต้นหนาว อดคิดถึงคำพ่อไม่ได้ว่า ‘นั่นคือฝนสั่งฟ้า และอีกไม่นานลมหนาวก็จะมา’


เห็นทีจะจริงเพราะในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ณ ตอนนั้นเต็มไปด้วยข่าวประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาที่เพื่อน ๆ ต่างส่งต่อให้กัน ในเนื้อข่าวแจ้งว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม และนี่ก็เพิ่งขึ้นเดือนใหม่มาได้เพียงไม่กี่วัน ในที่สุด Light & Shade ก็เปิดทำการอีกครั้ง ศุกลโผล่หน้าเข้าไปในห้องเรียนศิลปะเด็กที่ภาดลรับอาสามาสอนให้ในช่วงวันหยุดซึ่งคลาดเคลื่อนไปจากกำหนดการเดิมเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน


ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เพราะเด็กโข่งที่กำลังนั่งเท้าคางทำหน้ายู่อยู่ที่หลังห้อง ไม่รู้ว่าผู้ปกครองนภธรณ์คิดอย่างไรกันจึงได้ส่งเด็กหนุ่มมาเรียนในสิ่งที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ถนัด ซ้ำเจ้าตัวยังบอกอีกว่าหากไม่ยอมมาเรียนก็จะถูกตัดค่าขนม ตัวเขาในสถานะของผู้สอนก็ช่วยได้เพียงแค่จัดคอร์สที่เหมาะสมและไม่ยากจนเกินไปให้เท่านั้น


“เด็ก ๆ ลองมองไปรอบ ๆ ตัวซิครับว่าเราเห็นอะไรบ้าง” คุณครูดลที่ยืนอยู่หน้าห้องเริ่มนำเข้าสู่บทเรียน


“ต้นไม้ครับ” ธีร์ธรยืดตัวตะโกนสุดเสียง


“แล้วต้นไม้ของน้องธรเป็นสีอะไรครับ”


“สีเขียวครับ” เด็กชายตอบฉะฉาน


“หนูเห็นท้องฟ้าค่ะครูดล” อีกคนแทรกขึ้น


“ท้องฟ้าของแป้งหอมสีอะไรคะ บอกครูดลได้ไหม”


“ตอนเช้าเป็นสี...สีฟ้าค่ะ บางวันมีก้อนเมฆสีขาว ตอนเย็น ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีส้ม แล้วก็ดำจนมองไม่เห็นอะไรเลย”


“เก่งมากครับ” เจ้าของคำถามกล่าวอย่างพอใจ “เห็นไหมครับเด็ก ๆ ว่ารอบตัวของเราเต็มไปด้วยสี เมื่อกี้ที่ธรบอกว่าต้นไม้เป็นสีเขียว เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามันเขียนจริงไหม” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบกิ่งโมกที่เสียบเอาไว้ในตะกร้าขึ้นมาชูให้เด็ก ๆ ดู


“ข้างบนสีเขียวอ่อนครับครู” เด็กชายที่สวมแว่นสายตาหนาเตอะเอ่ยขึ้น


“ข้างล่างเขียวเข้มค่ะ” อีกคนเสริม


“เก่งมาก เห็นไหมว่าแค่กิ่งไม้กิ่งเดียวยังประกอบไปด้วยใบไม้สีไม่เหมือนกันเลย แถมเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงจ้า ๆ เราอาจจะเห็นเป็นสีหนึ่ง ในขณะที่ถ้าเมฆลอยมาบังดวงอาทิตย์เราก็อาจจะเห็นใบไม้เป็นอีกสี เพราะฉะนั้นถ้าเราจะวาดภาพให้สวยเราก็ต้องเรียนรู้เรื่องสีกันก่อน วันนี้ครูดลจะชวนเด็ก ๆ มาช่วยกันผสมสี ก่อนอื่นเราต้องรู้จักแม่สีก่อน เด็ก ๆ รู้ไหมว่าแม่สีมีสีอะไรบ้าง” ภาดลยืดคอมองคนนั่งข้างหลังสุด “น้องนอฟตอบได้ไหมครับ”


เจ้าของชื่อลอบถอนหายใจเบา ๆ ขยับปากตอบทั้งที่มือยังเท้าคาง เสียงที่ได้ยินจึงอู้อี้แต่ก็ยังจับใจความได้ “สีแดง เหลือง น้ำเงินครับ”


“เยี่ยมครับ ถ้าอย่างนั้นนอฟก็น่าจะตอบได้ว่าเมื่อเราเอาแม่สีแต่ละสีมาผสมกันจะได้สีอะไรบ้าง”


“สีแดงผสมกับสีเหลืองได้สีส้ม สีเหลืองผสมกับสีน้ำเงินได้สีเขียว สีน้ำเงินผสมกับสีแดงได้สีม่วงคร้าบบบ” ตอบอย่างเสียไม่ได้กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงชื่นชมจากคนถามและเสียงอื้ออึงของพวกเด็ก ๆ ราวกับสิ่งที่พูดออกไปเมื่อครู่เป็นความรู้ใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบสุดยอดจิตรกรเอกของโลกก็ไม่ปาน


“พี่นอฟสุดยอด” เด็กชายหัวโจกประจำห้องยกนิ้วหัวแม่มือให้ก่อนจะย้ายข้าวของเดินมานั่งลงข้าง ๆ กัน


“ถามสักคำไหมว่าฉันอยากนั่งกับนายหรือเปล่า” นภธรณ์พูดพลางทอดถอนใจ อดนึกต่อว่าเอกรงค์ไม่ได้ ไม่รู้ไปหว่านล้อมท่าไหนปรเมษฐ์พ่อของเขาจึงอนุญาตให้มาเรียนศิลปะที่นี่ ทั้งที่ตั้งใจว่าปิดเทอมนอนเล่นเกมอยู่ที่บ้านให้สบายใจเสียหน่อยหลังจากต้องอดทนติวหนังสือมานาน


“พี่ติ๊นช่วยดูงานให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” เสียงของธีร์ทัศน์ดังขึ้นจากด้านหลังส่งผลให้เจ้าของบ้านต้องละสายตาจากกลุ่มของเด็ก ๆ ในห้อง


“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นไปนั่งที่ม้านั่งนั่นก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินนำเด็กหนุ่มไปยังม้านั่งสีขาวใต้ต้นจำปีต้นใหญ่ที่พ่อปลูกเอาไว้


“นี่ครับ” ธีร์ทัศน์นั่งลงพร้อมกับส่งกระดานให้ครูสอนวาดเส้นของเขาดูภาพที่ร่างด้วยดินสอบนกระดาษปอนด์ซึ่งถูกหนีบด้วยตัวหนีบ


“ฝีมือดีนี่ การบ้านเหรอ”


“เปล่าครับ ผมกะว่าจะวาดประกวด แต่กติกาของเขาคือให้ใช้สีโมโนโครม ลองหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแล้วแต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”


“อืม...ถ้าให้อธิบายตอนนี้ สีโมโนโครมหรือสีเอกรงค์ก็คือการใช้สีหลักหรือสีที่เด่นเพียงสีเดียวแต่มีหลายค่าน้ำหนัก”


“มันทำยังไงเหรอครับพี่ติ๊น”


“การใช้สีเอกรงค์*...สมมติถ้าเราเอาสีน้ำเงินเป็นสีหลัก เอาง่าย ๆ ก็ลองผสมขาวลงไปนี่แหละ “จำได้ไหมที่พี่เคยสอนว่า ขาวกับดำไม่ใช่สี มันคือแสงและเงา” รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าจึงอธิบายต่อ "ดังนั้นผสมสีน้ำเงินกับขาวจะได้ค่าน้ำหนักของสีที่อ่อนลงหรือสว่างขึ้นเรียกว่า ‘Tint’ แต่ถ้าผสมด้วยดำ ค่าน้ำหนักสีจะเข้มขึ้น เรียกว่า ‘Shade’ เล่าให้ฟังแบบนี้พอเห็นภาพไหม”


“เข้าใจขึ้นตั้งเยอะเลยครับพี่ติ๊น” ธีร์ทัศน์ยิ้มกว้าง “อืม...ชื่อของพี่ติ๊นต้องมาจาก ‘Tint’ แน่ ๆ”


“ไม่รู้สิ ต้องไปถามพ่อดู เอาไว้ได้เจอกับพ่อเมื่อไรแล้วพี่จะกลับมาบอกนะ”


“ม...ไม่ต้องกลับก็ได้ครับ ถึงตอนนั้นพี่ก็อยู่กับพ่อเถอะ” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะแหะ ๆ


“ล้อเล่นน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่หาหนังสือที่มีภาพประกอบมาให้อ่านก็แล้วกันนะ”


“ขอบคุณครับพี่ติ๊น เสร็จเมื่อไรจะเอามาให้พี่ติ๊นดูเป็นคนแรกเลย ถึงตอนนั้นจะถามว่าฝีมือแบบนี้พอจะไปเป็นรุ่นน้องพี่ติ๊นที่ KUAD** ได้หรือเปล่า”


“ก็ต้องฝึกให้มาก ๆ สิ แต่ว่าถ้าได้ไปจริง ๆ ล่ะก็พี่จะบินไปส่งถึงหัวกระไดมหาวิทยาลัยเลยดีไหม”


“พี่สัญญาแล้วนะ” เด็กหนุ่มยื่นมือให้จับ


“สัญญา” พูดจบศุกลก็ประกบมือลงไปก่อนจะเขย่าเบา ๆ ย้ำคำสัญญาลูกผู้ชาย


เสียงกระแอมเบา ๆ เป็นผลให้มือที่กุมกันแน่นต้องคลายออก เมื่อสองคนหันกลับไปมองตามทิศทางของเสียงก็พบร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังเดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ


“สวัสดีครับหมอโม” เป็นธีร์ทัศน์ที่เอ่ยขึ้นและไม่ลืมที่จะยกมือไหว้


“สวัสดีครับทัศน์”


“มารับนอฟเหรอครับ” ว่าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “เดี๋ยวก็คงเลิกแล้วละครับ ผมก็มารอรับน้องกลับเหมือนกัน”
กุมารแพทย์หนุ่มไม่ได้ว่าอย่างไร อันที่จริงเขาจะปล่อยให้นภธรณ์กลับเองก็ได้ เพราะรายนั้นชอบความอิสระอยู่แล้ว หากแต่อีกฝ่ายเป็นเหตุผลให้เขาสามารถมาที่นี่ได้บ่อย ๆ มารับหน่อยจะเป็นไรไป


“ถ้าอย่างนั้นหมอโมนั่งรอตรงนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปข้างในแล้ว” พูดจบหนุ่มม.ปลายก็ลุกขึ้นก่อนจะหันไปกล่าวกับอีกคน  “ผมไปข้างในก่อนนะครับพี่ติ๊น”


ศุกลเพียงพยักหน้าน้อย ๆ แล้วเงยขึ้นมองคนที่พักนี้ได้เจอกันบ่อยจริงตามที่เขาได้ทำนายเอาไว้ ที่จะไม่แม่นอยู่อย่างเดียวเห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า ‘เห็นหน้าจนเบื่อ’ เพราะนี่ก็เกือบเดือนแล้วความรู้สึกนั้นกลับยังไม่ผุดขึ้นในใจเลยสักนิด


“ขอนั่งด้วยคนนะครับพี่ติ๊น” ไม่ต้องรอให้เชิญเอกรงค์ก็นั่งลง


“แน่ใจเหรอว่าคุณต้องเรียกผมแบบนี้”


“ก็เรียกแทนเด็ก ๆ ไง ทำไมต้องทำซีเรียสด้วย แค่เรียกพี่ติ๊นเอง” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวอย่างสบายอารมณ์


“ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณพ่อน้องนอฟก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม”


“บอกไงแล้วว่าเจ้านอฟไม่ใช่ลูกผม” คนพูดมุ่นคิ้วน้อย ๆ เมื่อถูกขัดใจ


“รู้แล้ว บอกหลายรอบแล้ว” เจ้าของบ้านกล่าวก่อนจะทอดตามองถัดขึ้นไปจากเรือนกระจกซึ่งเขาใช้เป็นสตูดิโอสำหรับเขียนภาพ ซึ่งปกติไม่ได้อนุญาตให้ใครขึ้นไปง่าย ๆ เนื่องจากต้องการจำกัดไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวอีกทั้งยังเป็นห้องที่เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ของพ่ออีกด้วย หน้าต่างบานกระทุ้งถูกเปิดเอาไว้จึงได้ยินบทเพลงพระราชนิพนธ์ลมหนาวจากเครื่องเล่นซีดีแว่วอยู่ไกล ๆ อากาศเริ่มเย็นลงแบบนี้ทีไรก็ห้ามใจไม่ให้คิดถึงเสียงฮัมเพลงของพ่อไม่ได้เลย


“รู้แล้วก็ไม่ควรเรียกแบบนี้ ฟังดูห่างเหินยังไงไม่รู้”


ศุกลเหลียวมองด้วยหางตาก่อนจะถาม “แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”


“ไม่บอก คุณคิดเอาเองสิ” เจ้าของแก้มบุ๋มยิ้มพลางต่อเองในใจ ‘แต่ถ้าจะเรียกที่รักก็ไม่ว่าอะไร’


“คุณนี่ทำตัวเป็นเด็ก”


“ส่วนคุณ...” เอกรงค์ทำท่าครุ่นคิด “ก็ทำตัวแก่เกินวัย พวกศิลปินเขาเป็นแบบนี้กันทุกคนไหมนะ นิ่ง ๆ ขรึม ๆ คาดเดายากจัง ผมนึกว่าจะบ้า ๆ บอ ๆ พูดไม่รู้เรื่องเสียอีก”


ศุกลดึงสายตากลับมายังคนข้าง ๆ “ผมก็นึกว่าเป็นหมอจะต้องภูมิฐานน่าเชื่อถือ พูดจามีหลักการกว่านี้”


“เป็นเด็ก แต่เถียงคำไม่ตกฟาก”


“ถ้ารู้ตัวว่าอายุมากกว่าก็เลิกเรียกผมว่าพี่ติ๊นได้แล้ว”


“เอาไว้ตอนที่คุณรู้ว่าควรจะเรียกผมว่าอะไร ผมจะเลิกเรียกก็แล้วกัน แต่ผมรู้ว่ากว่าจะถึงวันนั้นก็คงอีกนาน” ตั้งใจลากเสียงเพื่อเน้นความหมายของคำสุดท้าย


“รู้ไปหมดทุกอย่าง” ศุกลบ่นงึมงำ


“ผมไม่ได้รู้ไปหมดทุกอย่าง แต่ผมพยายามจะรู้ให้ได้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่ผมชอบต่างหาก แล้วคุณล่ะ รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่คุณชอบบ้างหรือเปล่า เอาแค่เรื่องง่าย ๆ ก่อนก็ได้ อย่างเช่นรู้หรือยังว่าตัวเองชอบใคร”


เหมือนโดนซัดด้วยหมัดตรงเข้ากลางหน้า ในหัวมึนงงไปหมดจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในขณะที่เอกรงค์เองมองคนหน้านิ่งแล้วทำผิวปากไม่ใส่ใจ ต่างคนต่างไม่รู้เลยว่าการสนทนาของพวกเขากำลังอยู่ในสายตาอีกสองคู่


“คิดไว้ไม่มีผิดว่าพ่อโมต้องมีแผนการ ยังแปลกใจไม่หายว่าทำถึงได้อยากให้เรามาเรียนที่นี่นัก ฮึ่ย!”


“เราก็คิด คิดว่าผมเราต้องหลุดเป็นกำแน่ นายช่วยเอามือออกจากหัวของเราก่อนได้ไหม แสบไปหมดแล้ว” ธีร์ทัศน์เอ่ยขึ้นกับคนที่กำลังเอามือจิกผมของเขาอยู่


“อุ้ย! โทษ ๆ ลืมตัว” นภธรณ์กล่าวพร้อมกับรีบปล่อยมือจากเส้นผมของอีกฝ่ายทันที


“เราว่าหมอโมต้องชอบพี่ติ๊นแน่ ๆ หรือนายว่ายังไง”


“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะมองใครด้วยสายตาแบบนั้น คุยกับใครไม่เกินสิบประโยคมั้ง ถึงจะเป็นคนไข้ก็เถอะ...”


“พี่ทัศน์ พี่นอฟ ดูอะไรกันอยู่ครับ” ธีร์ธรร้องขึ้นเมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองคนกำลังเกาะหุ่นปูนปลาสเตอร์รูปดาวิด*** ที่มีเพียงส่วนหัวลงมาถึงลำคอซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะที่ริมหน้าต่าง ท่าทางลับล่อชวนให้สงสัยนัก เด็กชายไม่รอช้าทำท่าจะปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะจนพี่ชายต้องรีบคว้าตัวไว้


“อ๋อ แอบดูหมอโมกับพี่ติ๊นคุยกันนี่เอง”


นภธรณ์ส่งเสียงชู่ “เงียบน่า ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” จากนั้นก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ธีร์ทัศน์นั่งลง


ทั้งหมดลงมานั่งสุมหัวอยู่กับพื้นห้องเรียนวาดเส้นที่ขณะนี้เหลือเพียงพวกเขาสามคน


“แล้วนายจะเอายังไงต่อ จะเชียร์หรือจะขัดขวาง แต่ถ้าเป็นเราเราเชียร์ เพราะมันจะเป็นการดีต่อตัวหมอโม” ธีร์ทัศน์ออกความเห็น


“ทำไมนายถึงคิดว่ามันจะดีต่อพ่อโมล่ะ” นภธรณ์ถาม


“หมอน่ะคงอายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้วน่ะสิ”


“อืม...ก็ถ้าเป็นเพื่อนพ่อตั้งแต่สมัยเรียน...” คนพูดกลอกตาขึ้นพลางใช้ความคิด “เออ มันก็จริง”


“เชียร์สิพี่ ต้องเชียร์” ธีร์ธรกล่าวพลางตีมือแปะ ๆ


“รู้เหรอว่าเขาพูดเรื่องอะไรกัน” นภธรณ์เอ่ยขึ้น


“รู้ ก็เชียร์ให้หมอโมจีบพี่ติ๊นไง ธรพูดถูกใช่ไหมล่ะ”


“นายให้น้องกินอะไรวะถึงได้แสนรู้แบบนี้” คนที่ดูเจ้าแผนการที่สุดในกลุ่มทอดถอนใจ


“กินเหมือนที่พ่อนายให้กินนั่นแหละ” ธีร์ทัศน์สวนกลับ


“อ๋อ! กระดูก” เด็กชายตัวจ้อยเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปตีมือกับพี่ชายเพื่อแสดงให้รู้ถึงความเป็นพวกเดียวกัน


“ไม่ใช่เว้ย!” นภธรณ์ส่ายหัวหน่าย ๆ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่มาร่วมหัวจมท้ายกับสองพี่น้องนี่...


พอย่างเข้าหน้าหนาวฟ้าก็มืดเร็วกว่าปกติ ทั้งที่เลยหกโมงเย็นมาไม่ถึงยี่สิบนาทีแต่บรรยากาศรอบ ๆ กลับดูราวกับนั่นคือเวลาเลิกงานของดวงอาทิตย์ ทั่วบริเวณเงียบเชียบอาจด้วยเพราะเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน บรรดาผู้ใหญ่ที่เคยมานั่งเขียนรูปแทบจะไม่มีให้เห็น เวลานี้หลายคนคงนั่งดื่มกินสังสรรค์ฉลองเงินเดือนออกกันอยู่ที่ร้านบรรยากาศน่านั่งที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพฯ  ศุกลเดินมาส่งเด็ก ๆ ที่รถคาดิลแลคสีดำ ไม่ลืมกล่าวขอบคุณเจ้าของรถที่รับอาสาไปส่งพี่น้อง ‘สองที’ ให้ เจ้าของบ้านมองตามรถหรูที่ค่อย ๆ เคลื่อนพ้นแนวกำแพงปูนเปลือย ในใจครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะรู้เกี่ยวกับชายหนุ่มเจ้าของรถมากกว่านี้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว


“ทำไงดีวะ”



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...



สวัสดีค่ะ

เรื่องนี้สนุกตรงที่เวลาคนหนึ่งเขียนตอนของตัวเองเสร็จจะรีบส่งให้อีกคนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะเขียนอะไรต่อ

ส่วนอีกคนก็รีบเขียน เพราะอยากรู้ตอนต่อไป แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นตอน ๆ ไป จนได้ออกมาเป็นแบบนี้

ทำลายทุกกฎ 100 หน้ากว่าจะเจอกัน นิยายมีล้านตอนหรือไง ปาไปครึ่งเล่มแล้วยังไม่เจอกัน

เรื่องนี้เจอกันแล้วนะคะ หวังว่าคนอ่านจะยิ้มไปกับพวกเราค่ะ

สำหรับตอนที่ 4 คงต้องฝาก leGGy ให้ช่วยดูแลค่ะ


 หมายเหตุ * ตัวอย่างการใช้สีเอกรงค์ http://www.1freewallpapers.com/magic-blue-iceberg/ja
** KUAD คือ KYOTO UNIVERSITY OF ART & DESIGN
*** ประติมากรรม ดาวิด (David) สร้างโดยมิเกลันเจโล (Michelangelo) ดาวิด เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ของอิสราเอล
ดาวิด (อ่านตามพระคัมภีร์ภาษาไทย) แปลว่า ที่รัก ค่ะ ดูรูปและเรื่องราวได้ที่ https://mrvop.wordpress.com/2010/08/16/david/ นะคะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 04-11-2016 02:39:55
หมอแม่งขี้อ่อยอะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 04-11-2016 06:49:12
หมอเด็กที่เจ้าเล่ห์ที่สุดดดด
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 04-11-2016 07:27:37
 :hao6: ชอบ ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-11-2016 07:44:17
นี่หมอหรือทหารหน่วยจู่โจมคะ ???

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Khan_htt ที่ 04-11-2016 07:47:14
กรี๊ดดดดดด รุกเร็วร รุกแรง ต้องหมอโมเท่านั้น  :z2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-11-2016 08:07:49
หมอออกตัวแรง...
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 04-11-2016 08:15:30
น่ารักมากกกก ชอบพี่ติ๊นค่ะ
เด็กๆก็แอบแซวผู้ใหญ่นะ 555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-11-2016 10:43:10
น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกก

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 04-11-2016 10:59:03
โอยน่ารักกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-11-2016 20:34:26
เรื่องใหม่มาน่ารักอีกแล้ววว
หมอโมมีความเปรี้ยวมาก คึคึ
ส่วนพี่ติ้นท์จะสู้ได้ไหมน๊าาา
พี่ติ้นท์อาจต้องใช้กำลังเสริมจากสามหนุ่ม 555555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 04-11-2016 22:46:47
ขำเด็ก ๆ ต้องเชียร์ เพราะหมอโมแก่ เอ๊ย...อายุมากแล้ว
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: foamonp ที่ 04-11-2016 23:31:07
หมออ่อยแรงอะไรเบอร์นี้ :hao3: เจ้าเด็กสามคนนั่นก็แสบใช่เล่น
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: mpp ที่ 05-11-2016 19:29:37
ฮ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :hao7: :katai2-1:
มาแค่สามตอน แต่มันดีย์กับใจมากเลย ไม่ไหวแล้ววววว

ออกตัวก่อนว่าปกติเราเป็นคนไม่ชอบอ่านนิยายที่มีผู้แต่งสองคนสลับกันแต่งนะคะ แต่กับเรื่องนี้ ยอมให้เลยจริงๆ
สำนวนภาษาค่อนข้างกลมกลืน(เหมือนเป็นคนเดียวกันเลยด้วยซ้ำ) อ่านแล้วเพลินไม่มีที่รู้สึกสะดุดเลยค่ะ
ขอชื่นชมนักเขียนทั้งสองท่าน ณ คอมเมนท์นี้เลยนะคะ พวกคุณทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์สัมฤทธิ์ผลมากๆ
ชื่นชมจากใจจจจจจจจจจจจจจจจจจจส์เลยค่ะ -3-

ว่าแต่คุณหมอโมขี้อ้อยมากเลย ดูสิจะไปได้สักกี่น้ำ55555555555555555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 3 แสงและเงา (04-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 05-11-2016 21:11:56
หมออ่อยแรงมาก เล่นใหญ่มาก 5555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 07-11-2016 21:39:23
ตอนที่ 4 เข้าใจ


หลายวันมาแล้วจิตรกรหนุ่มยังคงเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่วิธีการร้อยแปดที่จะทำให้ได้รู้จักคนที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่คอยมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว แต่ยังมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ หัวใจให้เลือดลมสูบฉีดเล่นเสียอย่างนั้น จะออกปากไปว่าชอบก็ไม่กล้านั่นเพราะครั้งหนึ่งเคยแอบรักเพื่อน เป็นเพื่อนที่สนิทชนิดไปไหนไปกัน รู้ใจทุกเรื่องเพียงแค่มองตา หลงคิดมาแรมปีว่าอีกฝ่ายมีใจ  กระทั่งทบทวนอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าสารภาพรักออกไป แต่สุดท้ายภาพฝันก็พังทลายลงไม่เป็นท่าเมื่อเพื่อนยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเคยแล้วตอบกลับมา...


‘เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะติ๊น’


เจ็บเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะรักข้างเดียวก็คือการคิดไปเองว่าเขาก็รู้สึกเหมือนกันกับเรานี่แหละ


ศุกลถอนหายใจยืดยาว นัยน์ตาทอดมองเฟรมผ้าใบว่างเปล่าบนขาตั้งที่วางอยู่ตรงหน้า เช้าวันนี้เขาไม่มีสมาธิกับการวาดภาพเอาเสียเลยทั้งที่อากาศก็กำลังดี เมื่อฝนเม็ดสุดท้ายลาไปจากฟ้าลมหนาวก็กลับมาเยี่ยมเยือน Light and & Shade อีกครั้ง นั่นจึงพอทำให้ได้กลิ่นอายความเป็นธรรมชาติอยู่บ้างแม้จะอยู่ใจกลางเมืองหลวง


เมื่อสมองฟุ้งซ่านจนเกินจะทัดทาน จิตรกรหนุ่มก็โยนพู่กันลงโหลแก้วทรงสูงที่ใส่น้ำเอาไว้ค่อน กำลังจะลุกไปยืดเส้นยืดสายเสียงโครมครามสนั่นหวั่นไหวก็ดังมาจากชั้นล่างซึ่งเป็นห้องเรียนศิลปะ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของเด็ก


ศุกลรีบวิ่งลงบันไดทีละสองขั้นไปยังชั้นล่างพร้อมกับมองหาที่มาของเสียง ในที่สุดก็มาหยุดที่ห้องสอนวาดรูปของภาดล ทันใดนั้นใจก็แทบร่วงไปกองอยู่ตาตุ่ม เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือธีร์ธรซึ่งนอนอยู่บนพื้นข้างหน้าต่าง รอบตัวมีเศษปูนปลาสเตอร์แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายเกลื่อนซึ่งน่าจะเป็นรูปปั้นดาวิดที่เคยวางอยู่ตรงนั้น


“ธรพยายามจะปีนขึ้นไปครับ” ธีร์ทัศน์ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างน้องชายบอก “ขอโทษครับ ผมดูแลน้องไม่ดีเอง”


“ไม่ใช่ความผิดของทัศน์หรอก ครูต่างหาก” ภาดลเอ่ยขึ้น ที่คิดว่าสาเหตุมาจากตัวเองก็เพราะเขาดันทิ้งเด็กๆ เพื่อออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกห้องจนทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น


“เด็กๆ ถอยออกไปก่อน ระวังเหยียบเศษปูนด้วยนะ” ศุกลกล่าวขณะฝ่ากลุ่มเด็กๆ ที่กำลังมุงอยู่เข้าไป “ไม่เป็นไร ไม่ต้องตกใจนะ” พยายามปลอบคนอื่นๆ ที่กำลังเสียขวัญไปด้วยพลางนั่งคุกเข่าลงข้างเด็กชายใบหน้าเหยเก น้ำตานองอาบสองแก้มเพราะความเจ็บปวด สาเหตุคงมาจากบาดแผลลึกบนท่อนแขนข้างซ้าย ยิ่งเห็นเลือดของตัวเองไหลเลอะเปรอะเสื้อผ้าและหยดลงบนพื้นเด็กชายยิ่งร้องไห้ลั่น


“พี่ทัศน์ ผมเจ็บ” คนพูดเบะปากก่อนจะปล่อยโฮอีกครั้ง


“ไม่เป็นไรนะธร” ธีร์ทัศน์พยายามปลอบ แต่ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น


จิตรกรหนุ่มรีบคิดสะระตะรวดเร็ว เขากวาดตามองหาอะไรที่พอจะใช้กดห้ามเลือดได้ก่อนจะวิ่งไปคว้าผ้ามาผืนหนึ่ง พยายามเลือกผืนที่สะอาดที่สุดมากดห้ามเลือดและอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมแขนพลางหันไปสั่งการกับเพื่อนสนิท “เดี๋ยวฉันพาธรไปโรงพยาบาลเอง ฝากนายดูแลเด็กคนอื่นๆ ด้วย”


ภาดลพยักหน้ารับคำและหันไปกางแขนต้อนเรียกให้ทุกคนมารวมกัน


“ผมโทรบอกพ่อโมให้แล้ว” นภธรณ์ที่เพิ่งละจากโทรศัพท์บอก “พ่อให้รีบไปได้เลยครับตอนนี้กำลังว่างพอดีเดี๋ยวจะรออยู่ที่ห้องฉุกเฉิน”


“ขอบใจนะนอฟ” ศุกลกล่าวจากนั้นจึงวิ่งไปที่รถโดยมีธีร์ทัศน์วิ่งตามมาติดๆ


“ผมไปด้วยครับ”


“ไม่เป็นไร นายอยู่ที่นี่แหละทัศน์ โทรบอกคุณแม่ให้เรียบร้อย พี่จะรีบไปรีบกลับนะ” เขาวางคนน้องลงบนเบาะข้างคนขับและหันมาตบหลังปลอบคนพี่อีกครั้งก่อนจะวิ่งอ้อมไปขึ้นรถและขับออกไป


ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าประตูโรงพยาบาล ศุกลก็เห็นกุมารแพทย์หนุ่มยืนรออยู่แล้วที่หน้าห้องฉุกเฉินตามที่นภธรณ์บอก ดังนั้นเขาจึงจอดรถขวางไว้หน้าประตูและอุ้มเด็กชายลงนอนบนเปลที่อีกฝ่ายสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยเตรียมไว้


“คุณไปแจ้งชื่อขึ้นสิทธิ์ที่ฝ่ายทะเบียน เอารถไปจอดให้เรียบร้อยแล้วมานั่งรอผมตรงนี้นะ” เอกรงค์พูดรัวเร็วในขณะที่มือก็ตรวจดูอาการบาดเจ็บของธีร์ธรไปด้วย เขารับทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วจากนภธรณ์ หางตายังเห็นว่าศุกลไม่ยอมขยับไปไหนเขาจึงหันไปสบสายตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหนๆ “น้องธรจะปลอดภัยครับ”


“ผม…”


“เชื่อใจผมสิ ผมเป็นหมอนะ”


นัยน์ตาแน่วแน่กับรอยยิ้มที่ก่อให้เกิดรอยบุ๋มลึกลงไปในผิวแก้มทำให้หัวใจที่เต้นแรงของศุกลสงบลงบ้าง เขาพยักหน้ารับ ในที่สุดก็ยอมเดินแยกไปทำตามที่คุณหมอหนุ่มแนะนำ


เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ศุกลก็กลับมายังจุดที่อีกฝ่ายบอกให้รอ กำลังมองหาที่นั่งนางพยาบาลตรงจุดคัดกรองก็เดินมาแจ้งว่าเอกรงค์พาธีร์ธรไปเย็บแผลที่แผนกกุมารเวชเนื่องจากมีอุปกรณ์ครบครันกว่า ดังนั้นเขาจึงเดินไปตามทางที่เธอบอกจนมาหยุดยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตูบานเลื่อนที่ติดป้ายบนระนาบกระจกขุ่นไว้ว่า ‘ห้องทำแผล’ กำลังนึกกังวลว่ามาถูกที่หรือไม่ก็พอดีได้ยินเสียงทุ้มของเอกรงค์ดังออกมาจากอีกฟากของประตูกเท่านั้นก็ค่อยใจชื้นขึ้นเล็กน้อย


นัยน์ตาสีดำสนิทมองผ่านช่องประตูบานเลื่อนที่แง้มอยู่จึงเห็นร่างสูงของนายแพทย์เอกรงค์ เพิ่งสังเกตว่าภาพของเขาในวันนี้เป็นสิ่งไม่คุ้นตาเอาเสียเลย นั่นคงเพราะเสื้อกาวน์ยาวสีขาวที่สวมทับชุดทำงานซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลคดูเป็นงานเป็นการ ท่าทางขี้เล่นราวกับระเหยไปในอากาศนับตั้งแต่วินาทีที่ธีร์ธรถูกพาตัวมาถึง แต่กระนั้นแววตาซึ่งกำลังทอดมองเด็กชายที่นอนสะอึกสะอื้นอยู่บนเตียงก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และนั่นทำให้หัวใจของศุกลเต้นแรงอีกครั้ง หากแต่มันไม่ใช่จังหวะเดิม ไม่เหมือนตอนที่ตกใจกลัวว่าธีร์ธรจะเป็นอะไรไป


“หมอจะฉีดยาชาให้ จะเจ็บมากกว่าตอนฉีดวัคซีนนิดหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นพอน้องธรรู้สึกชาๆ หมอจะเย็บแผลให้นะครับ”


“ครับ” เด็กชายพยักหน้ารับเข้าใจขั้นตอน แต่ก็ยังเบะปากกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่


“ผมพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม” จิตรกรหนุ่มเอ่ยออกไป


“พี่ติ๊น” ธีร์ธรร้องด้วยความดีใจและทำท่าจะลุกจากเตียงพุ่งเข้ามาหา นางพยาบาลที่ช่วยอยู่จึงต้องออกแรงกดให้เร่างเล็กนอนลงตามเดิม


“คุณมาก็ดีเลย มาช่วยปลอบน้องธรหน่อย แกจะได้ไม่กลัว” นายแพทย์เอกรงค์ว่าพลางหันไปบอกพยาบาล เธอจึงขยับหลีกทางและสอนว่าศุกลควรจะวางมือลงตรงไหนอย่างไร เมื่อเรียบร้อยจึงเปลี่ยนหน้าที่ไปช่วยเตรียมส่งอุปกรณ์ในการเย็บแผลให้คุณหมอ


ตอนนี้ศุกลยืนค้อมหลังเล็กน้อยอยู่ตรงหัวเตียง มือข้างหนึ่งโอบรอบลำตัวเด็กชายไว้ในขณะที่อีกมือช่วยจับตรึงบริเวณต้นแขนข้างซ้ายที่พอล้างเลือดออกจนหมดและหยุดเลือดได้แล้วก็เห็นรอยฉีกขาดยาวประมาณห้าเซนติเมตรบริเวณท้องแขน


“มีแค่แผลฉีกขาดแผลเดียวครับ อย่างอื่นปลอดภัยดี” เสียงของเอกรงค์ฟังดูอู้อี้เล็กน้อยเมื่อเขาคาดผ้าปิดปากปิดจมูก


ทันทีที่ปลายเข็มแทงทะลุผิวเนื้อธีร์ธรที่หยุดร้องไห้ไปแล้วครั้งหนึ่งก็เริ่มน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตกอีกครั้ง ศุกลจึงก้มหน้าลงให้เด็กชายเกาะคอและสะอื้นกับปกเสื้อ “เข้มแข็งไว้คนเก่ง หมอโมกำลังช่วยอยู่นะครับแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”


และสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ไม่ได้เกินจริงเลย เมื่อกุมารแพทย์หนุ่มใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็สามารถเย็บแผลและพันแขนด้วยผ้าก๊อซสะอาดให้เป็นอันเรียบร้อย


“เสร็จแล้วครับคนเก่ง” เอกรงค์บอกกับเด็กชาย แต่นัยน์ตาแอบปรายไปยังคนหัวเตียงที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวไหมนะว่าท่าทีลุ้นระทึกของเขาในทุกๆ ครั้งที่ปลายเข็มแทงผ่านผิวเนื้อนั้นน่าเอ็นดูยิ่งกว่าคนเจ็บเสียอีก เล่นเอาคนเป็นหมอมือไม้สั่นเสียสมาธิจนเกือบจะผูกปมไหมผิดไปก็หลายหน คิดผิดจริงๆ ที่เรียกให้เข้ามาช่วย รู้อย่างนี้ให้นั่งรออยู่ข้างนอกเสียก็ดีหรอก


“เดี๋ยวพี่พาไปล้างหน้าล้างตานะคะ” นางพยาบาลสาวเอ่ยขึ้น ตอนนั้นเองที่ศุกลเพิ่งสังเกตว่าเธอสวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูสลับฟ้าลายการ์ตูนดูน่ารักเหมือนครูโรงเรียนอนุบาลเพื่อช่วยลดความกลัวและความเครียดของเด็กๆ ที่มาโรงพยาบาล


เด็กชายที่ตอนนี้กลับมาร่าเริงราวต่างจากเมื่อครู่เป็นคนละคนโดดผลุงลงจากเตียงได้ก็ส่งมือให้ ยอมให้นางพยาบาลสาวจูงมือ แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่วายหันมาชี้นิ้วกำชับกับผู้ปกครองจำเป็น “เดี๋ยวผมกลับมานะ พี่ติ๊นอย่าไปเถลไถลที่ไหนล่ะ เดี๋ยวเราจะหลงกัน”


“คร้าบบบผม” ศุกลยิ้มขันๆ มองตามร่างเล็กที่เดินห่างจนกระทั่งลับตาไปพร้อม ๆ กับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาที่ค่อย ๆ เลือนหาย


“เป็นอะไรหรือเปล่า” เอกรงค์หันไปถามคนที่จู่ๆ ก็เงียบไป


“แค่กำลังคิดว่าแกคงเข็ดเรื่องเล่นซนไปอีกสักพัก”


“ไม่ครับ ผมหมายถึงคุณ เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”


ได้ยินดังนั้นศุกลจึงถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่คิดจะปิดบัง “โธ่ ผมก็ต้องเครียดสิครับ เกิดลูกเต้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาละก็ไม่มีปัญญาทำใช้หรอกนะ”


“นั่นสิ จะเสียสละท้องให้ผมก็ทำไม่ได้เสียด้วย” เอกรงค์กล่าวเสียงเรียบ


“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ” ศุกลทำตาโตเหลียวมองคนที่เพิ่งจะถอดผ้าผิดปากผิดจมูกโยนทิ้งลงถังขยะแล้วหันมายิ้มให้


“ไม่มีอะไร แค่อยากให้คุณยิ้ม” กุมารแพทย์หนุ่มบอก “แล้วตอนนี้คุณก็ยิ้มแล้ว ดีจัง เดี๋ยวรอออกไปพร้อมกันนะครับ ผมจะไปรับเจ้านอฟน่ะ นี่ก็ได้เวลาเลิกเรียนพอดีเลย”


“คุณไม่ต้องทำงานแล้วเหรอครับ” ที่ถามเช่นนั้นก็เพราะเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายนิดๆ


“ผมอยู่เวรเมื่อคืนครับ จริงๆ เช้านี้ต้องออกเวร กำลังจะกลับบ้านพอดีเจ้านอฟก็โทรมาเสียก่อน ผมเลยอยู่รอ”


“ขอบคุณมากนะครับ”


“ไม่เป็นไร” เอกรงค์กล่าวพลางหันไปล้างมือที่อ่างจนสะอาด


“แต่ว่าก่อนจะกลับ ผมขอดูนั่นหน่อยได้ไหมครับ”


ประโยคนั้นดูจะสร้างความสงสัยให้กับกุมารแพทย์หนุ่มอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันจะได้ถาม ศุกลก็ถือวิสาสะเอื้อมมือไปดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมา และถกแขนเสื้อกาวน์ขึ้นจนเกือบถึงข้อศอกเห็นเป็นรอยข่วนเล็กๆ บริเวณข้อมือเรียงขนานกันไปสามรอย ซึ่งเขาแอบเห็นตอนที่เอกรงค์กำลังถอดผ้าปิดปากปิดจมูกและรู้สึกติดใจมาสักพักแล้วว่าทำไมคนที่เป็นห่วงและดูแลคนอื่นดีขนาดนี้ถึงไม่สนใจดูแลตัวเองบ้าง


“ไปโดนอะไรมาครับ”


“โดนน้องธรข่วนตอนจับล้างแผลน่ะ ตอนนั้นแกคงขวัญเสียแล้วก็เจ็บมาก แผลแค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก เรื่องปกติน่ะ”


“แต่ตอนนี้น้องธรทำแผลเรียบร้อยแล้ว แล้วคุณหมอไม่คิดขจะทำแผลให้ตัวเองบ้างเหรอครับ” ศุกลว่า “เอาอย่างนี้ ทำเองคงไม่ถนัด ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตทำให้ก็แล้วกัน”


“ตามสบายครับ” เอกรงค์อำนวยความสะดวกเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือให้และนั่งลงบนเก้าอี้ ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งลงฝั่งตรงข้าม นัยน์ตาคมพินิจดูคนที่วางมาดเป็นหมออาสาดูแลก้มๆ เงยๆ อยู่เหนือแผล แอบคิดว่าคุณหมอจำเป็นมือคงจะหนักจนต้องแสบแน่ๆ ตามประสาคนที่จับแต่แปรงทาสี


ศุกลช้อนตาขึ้นมองใบหน้าอ่อนโยนที่บัดนี้แต้มด้วยรอยย่นเล็กๆ ตรงหว่างคิ้ว อีกฝ่ายคงจะกลัวแสบกระมัง ชายหนุ่มโคลงหัวน้อยๆ พลันรอยยิ้มก็จุดขึ้นมุมปากเมื่อจิตรกรหนุ่มแตะสำลีชุบยาฆ่าเชื้อลงมาบนผิวเนื้ออย่างแผ่วราวกับกำลังใช้พู่กันเบอร์ศูนย์พิเศษ* ตัดเส้นเก็บรายละเอียดของภาพเขียนลายไทยเหมือนที่พ่อเคยสอน ในขณะที่มือหยาบกร้านก็ประคองรอบท่อนแขนของอีกฝ่ายไว้อย่างทะนุถนอม


“เป็นไงบ้างครับ” ศุกลถามเมื่อพันผ้าให้จนเสร็จ


“พันได้ห่วยแตกมาก” คุณหมอหนุ่มยิ้มขันกับผ้าก๊อซที่ถูกพันจนหนาเตอะ ตอนนี้เขาเหมือนคนแขนหักมากกว่าถูกเด็กข่วนเสียอีก แล้วดูสิมีการผูกโบตรงปลายด้วยน่ารักจริงๆ


“นี่ผมตั้งใจสุดๆ แล้วนะ” ศุกลเกาแก้มหัวเราะแหะๆ จะให้บอกไปตรงๆ ได้อย่างไรว่าเขามัวแต่เขินที่ได้จับมือหมอก็เลยเผลอพันเสียเพลินเลย


“ก็มันห่วยจริงๆ นี่” เอกรงค์กล่าวพลางแก้ผ้าก๊อซออกโยนทิ้งและหยิบม้วนใหม่ขึ้นมา “ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิ ผมจะสอนให้ว่าวิธีการที่ถูกต้องน่ะมันต้องทำยังไง”


จิตรกรหนุ่มออกอาการประหม่าเล็กน้อยเมื่อฝ่ามือขนาดพอๆ กันแต่นุ่มนิ่มผิดกันลิบลับประกบทับลงมาบนมือของตนเองก่อนจะค่อยๆ จับมือสอนพันช้าๆ


“อย่าพันแน่นนักสิคุณผมเจ็บ”


คุณหมอจำเป็นสะดุ้งเฮือก รีบคลายผ้าก๊อซออกเล็กน้อยก่อนจะพันกลับไปใหม่ จัดการตัดเมื่อได้ความหนาที่พอดีและพับเก็บชายติดพลาสเตอร์เรียบร้อย


“ขอบคุณมากนะครับ”


ศุกลได้แต่เพียงพยักหน้ารับหงึกหงัก จะให้เขาพูดอะไรได้ในเมื่อหัวใจมันดันเต้นแรงไม่หยุด ยิ่งเมื่อรอยบุ๋มบนผิวแก้มปรากฏชัด ใจมันก็ยิ่งสั่นจนเจ้าของอย่างเขายากจะควบคุม...

(มีต่อค่ะ)

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 07-11-2016 21:39:46
(ต่อค่ะ)

ทันทีที่รถจอดสนิทหน้าแกลเลอรีสีขาว เด็กชายก็เปิดประตูลงจากรถวิ่งตัวปลิวและพุ่งไปหาพี่ชายที่ยืนรออยู่ด้านหน้า


“ธร!”


“พี่ทัศน์!”


ทั้งสองสวมกอดกันแนบแน่นราวกับน้องชายเป็นวีรบุรุษที่เพิ่งรอดตายมาจากสมรภูมิรบก็ไม่ปาน


“พี่ทัศน์ไม่ต้องตกใจนะ แผลยาวแค่นี้เอง” พูดพลางยกนิ้วชี้ขึ้นทำท่าทำทางประกอบ “หมอโมเย็บให้แล้วสัปดาห์หน้าไปตัดไหมได้ บอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง”

 
“เก่งมาก แบบนี้สิถึงสมเป็นน้องชายพี่” ธีร์ทัศน์ชูนิ้วโป้งให้สองมือ


“อื้อ!” ผู้เป็นน้องพยักหน้าให้อย่างแข็งขันแล้วทั้งสองก็ตีมือกันครั้งหนึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนในที่นั้นได้เป็นอย่างดี ยกเว้นก็แค่คนเดียวที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ


“ปัญญาอ่อน” นภธรณ์กรอกตามองบน “แล้วดูสิ พูดอย่างกับพวกมันสองคนจะไม่กลับบ้านไปหาแม่ด้วยกัน”


“กลับกันเถอะนอฟ” เอกรงค์ลดกระจกรถลงกวักมือเรียกลูกชาย เพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันนี้จึงเลิกคลาสเร็วกว่าปกติและคนอื่นๆ ก็กลับกันไปหมดแล้ว


“ครับพ่อ”


“เดี๋ยวก่อนสิ” ศุกลรีบเดินเข้ามายืนข้างรถ


“มีอะไรหรือครับ” เอกรงค์ถามงงๆ


“ไหนๆ ก็มาแล้วไม่เข้ามาดื่มกาแฟด้วยกันหน่อยเหรอครับ” เจ้าของบ้านรู้ว่าคำชวนนั้นงี่เง่าสิ้นดี นั่นเพราะอีกฝ่ายเพิ่งเลิกงานมาเหนื่อยๆ ควรจะได้กลับไปพักผ่อน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเองยังมีเรื่องที่อยากคุยด้วย แม้ตอนนี้จะยังนึกหัวข้อไม่ออกก็ตาม “เอ่อ... ถือว่าแทนคำขอบคุณที่ช่วยดูแลธรก็ได้ครับ” หัวข้อนี้นับว่าไม่เลวเลย


“อยู่ก่อนก็ได้นะพ่อ ผมเองก็อยากคุยเรื่องเกมกับทัศน์ต่ออีกแป๊บหนึ่งพอดี” นภธรณ์ว่าพร้อมทั้งกรีดยิ้มกว้าง ส่วนธีร์ทัศน์ก็หันมาขยิบตาให้ครั้งหนึ่งเมื่อเอกรงค์ยอมเปิดประตูรถลงมา สองหนุ่มสบตาอย่างรู้กันเพราะพวกเขาเพิ่งจะได้ฟังอะไรเด็ดๆ มาจากเจ้าตัวแสบที่อุทิศตนทำหน้าที่สายสืบให้พี่ชายทั้งสองเป็นอย่างดีแม้จะเจ็บหนัก


เจ้าของบ้านหายเข้าไปในเรือนหลังเล็กก่อนจะกลับมาออกมาพร้อมถาดใส่กาแฟหอมกรุ่นสองถ้วยกับจัดคุกกี้จัดใส่จานเป็นของว่างให้เด็ก ๆ ที่กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะเล็กๆ ในสวนด้านหลัง เมื่อได้ขนมแล้วก็ชักชวนกันไปนั่งเล่นที่ม้านั่งใต้ต้นจำปีซึ่งเป็นมุมโปรดของหลาย ๆ คนที่มาเรียนที่นี่


“ขอบคุณครับพี่ติ๊น” เอกรงค์เอ่ยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนถ้วยกาแฟให้


“ยังไม่เลิกเรียกผมแบบนั้นอีก”


“แล้วคุณคิดได้หรือยังล่ะว่าจะเรียกผมว่าอะไร”


“พ่อน้องนอฟไง”


“นั่นไง ก็ถ้าคุณยังไม่เลิกเรียกผมแบบนั้นผมก็จะไม่เลิกเรียกคุณว่าพี่ติ๊นเหมือนกัน” คนพูดยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ

...


“ชักช้าจริง” ธีร์ทัศน์ที่แอบดูอยู่ตรงมุมตึกกระซิบกระซาบ


นภธรณ์ตะบบมือลงกดศีรษะผู้ร่วมขบวนการให้ย่อตัวลงแล้วชะโงกหน้าออกมาดูบ้าง “ชักช้ายืดยาดจนเต่ากัดยางแบบนี้จีบกันกี่ชาติถึงจะได้เป็นแฟนวะ”


“เพราะแบบนี้พวกเราถึงต้องออกโรงไง” ทั้งสองหันมาพยักหน้าให้กันเป็นอันเริ่มต้นทำตามแผนได้


ธีรทัศน์ยืดตัวขึ้นก่อนจะออกจากที่ซ่อนเดินตรงไปยังสวนหลังบ้านแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ติ๊นครับ”


“มีอะไรเหรอทัศน์” ศุกลถามเด็กหนุ่มที่ดูมีสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด


“แม่โทรตามให้กลับบ้านแล้ว แต่ผมหาธรไม่เจอ ไม่รู้แอบไปเล่นซนที่ไหนครับ พี่ติ๊นกับหมอโมเห็นน้องผ่านมาทางนี้บ้างไหมครับ”


ผู้ใหญ่สองคนหันสบตากันก่อนจะเป็นเอกรงค์ที่ส่ายหน้าแทนคำตอบ


“เหมือนฉันจะเห็นไอ้ตัวเล็กนั่นวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองนะ” นภธรณ์ที่เดินมาจากอีกฝั่งบอกพร้อมกันชี้นิ้วข้ามไหล่ไปยังบันไดที่ด้านนอกตัวอาคารซึ่งทอดขึ้นสู่ชั้นสอง


“ชั้นสองเป็นสตูดิโอของพี่ติ๊นไม่ใช่เหรอ ซนไม่เข้าเรื่องเลยธรนี่”


“มาสิ เดี๋ยวพี่พาไปดู” ศุกลวางแก้วกาแฟและลุกขึ้นยืน


นภธรณ์ที่มีท่าทีสนอกสนใจรีบบอก “ผมไปด้วย”


“แล้วเกี่ยวอะไรกับแกเจ้านอฟ” เอกรงค์ปรามลูกชาย “แกนี่ก็ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”


“ก็ผมอยากขึ้นไปดูตั้งนานแล้วนี่นาว่าสตูดิโอของพี่ติ๊นเป็นยังไง เห็นครูดลบอกว่าไม่ค่อยมีใครได้ขึ้นไปถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทกันจริงๆ เรื่องอะไรจะพลาด พ่อโมจะไปด้วยกันหรือเปล่า”


“เสียมารยาท เขาก็บอกอยู่ว่าไม่ให้คนอื่นขึ้น”


“ไปด้วยกันก็ได้ครับ ไม่ได้มีความลับอะไรหรอก เป็นห้องที่ผมเอาไว้เขียนรูปแล้วก็เก็บของของพ่อ”


เมื่อได้รับอนุญาต ทั้งหมดจึงตรงไปยังเรือนกระจกก่อนจะเรียงแถวเดินขึ้นบันไดโดยมีเจ้าของบ้านนำ ตามด้วยเอกรงค์ ธีร์ทัศน์และนภธรณ์เดินรั้งท้าย


ชั้นสองนั้นแบ่งออกเป็นสองเป็นโถงกว้างที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ศิลปะ ทั้งขาตั้งวาดรูปและหุ่นนิ่ง ด้านหนึ่งมีประตูห้องซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกรับแสงแดดยามเช้า ฝั่งตรงข้ามเป็นบันไดห้องเก็บของ


“ในห้องนั้นหรือเปล่าครับ” นภธรณ์เอ่ยขึ้นหลังจากกวาดมองรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของธีร์ธร


“ธรไม่น่าจะเข้าไปนะ นั่นห้องนอนพี่ ปกติจะล็อกเอาไว้” กระนั้นศุกลก็ยังไขกุญแจปลดล็อกลูกบิดก่อนจะผลักประตูเข้าไปดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครมาแอบซ่อนอยู่แน่ๆ


“ตรงนี้ก็ไม่มีครับ ไปไหนนะไอ้แสบ” ธีร์ทัศน์กอดอกครุ่นคิดหลังจากสำรวจที่หลังเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่เรียบร้อยแล้ว


“แล้วถ้าเป็นบนนั้นล่ะครับ” นภธรณ์ชี้มือขึ้นไปตรงมุมหนึ่งของห้อง บนเพดานไม้มีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาดพอให้คนลอดได้และมีบันไดไม้แบบพับเก็บได้พาดยาวลงมา


“นั่นห้องเก็บของใต้หลังคา” เจ้าของบ้านบอก


“เจ้าธรต้องขึ้นไปเล่นบนนั้นแน่ๆ” ธีร์ทัศน์ส่ายศีรษะอย่างระอาในความซนของน้องชาย กำลังจะปีนขึ้นไปเจ้าของบ้านก็คว้าไหล่ไว้เสียก่อน


“เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอง ตกลงมาจะแย่ พวกนายรออยู่ตรงนี้แหละ” แล้วศุกลเอื้อมมือเกาะก่อนจะรั้งตัวเองขึ้นแล้วเริ่มต้นไต่ขั้นบันไดขึ้นไป


“พ่อก็ขึ้นไปด้วยกันสิครับ” นภธรณ์บอกพลางใช้ข้อศอกสะกิด


“อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันวะ”


“ก็เผื่อไอ้แสบนั่นไปเล่นซนจนแผลฉีก พ่อจะได้รีบช่วย รีบพาลงมาไง”


เหตุผลฟังดูเข้าที เอกรงค์จึงคว้าขั้นบันไดที่เป็นแค่แท่งไม้ทรงเหลี่ยมปีนตามขึ้นไป แม้ห้องเก็บของใต้หลังจะสูงจากพื้นขึ้นไปไม่มากแต่บันไดที่เป็นลักษณะยึดติดไปกับฝาปิดช่องประตูสามารถพับเก็บได้ก็ชันเอาการจนเขารู้สึกว่าเด็กแปดขวบไม่น่าขึ้นมาได้ ขนาดผู้ใหญ่อย่างเขายังค่อนข้างทุลักทุเลทีเดียว


“ระวังหัวนะครับ” ศุกลที่ขึ้นไปถึงก่อนด้วยความรวดเร็วส่งมือให้จับและฉุดอีกฝ่ายขึ้นมายืนข้างกัน


มันเป็นห้องเพดานต่ำทรงสามเหลี่ยมทำให้ต้องเดินค้อมหลังเล็กน้อย ข้างในนั้นสะอ้านสะอ้าน มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อย่างเฟรมผ้าใบที่ยังไม่ได้ถูกใช้งาน และภาพที่วาดเสร็จแล้วถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ มีกระจกกลมตรงจั่วหลังคาทั้งสองฝั่ง ประกอบกับภายในทาสีขาวทำให้ห้องสว่างแม้จะไม่ได้เปิดไฟ


“ที่นี่เป็นหลุมหลบภัยของคุณเหรอ” เอกรงค์ตั้งข้อสังเกต


ศุกลอมยิ้มมุมปาก “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ บางทีเวลาผมหัวตื้อคิดงานไม่ออกก็เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งในนี้ ดูรูปที่พ่อเคยวาดไว้ อ่านร่างตำราเก่าๆ หรือบันทึกที่พ่อเคยเขียนเวลาไปวาดลายไทยตามวัดต่างๆ” พูดจบยิ้มก็ค่อยๆ จาง เช้านี้เป็นอีกวันที่ความคิดถึงทำให้เขาต้องมาหมกตัวอยู่บนนี้ และด้วยความรีบร้อนออกไปจึงลืมพับบันไดเก็บกลับคืน รู้สึกเป็นความผิดของตัวเองครึ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เด็กชายปีนขึ้นมาเล่นซนได้ “ธร! อยู่ไหนครับ ออกมาเถอะคุณแม่โทรมาตามแล้วครับ”


“ผมอยู่นี่ครับพี่ติ๊น” เสียงของธีร์ธรดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง...ภายในห้องนี้?


จิตรกรหนุ่มหันไปถอนหายใจอย่างโล่งอกกับคนที่ขึ้นมาด้วยกัน และสืบเท้าเข้าไปหา “อยู่ไหนครับ ออกมาได้แล้ว”


“อยู่นี่ครับ ตรงนี้ไง”


“ตรงไหน” ศุกลเดินไปจนถึงด้านในสุดก็ยังไม่เห็นตัว “น้องธร”


“ตรงนี้ครับ”


คิ้วหนามุ่นเข้าหากันเมื่อจับทิศของเสียงได้แน่ชัด ศุกลเดินไปที่ช่องกระจก ก้มลงไปมองเห็นเด็กชายยืนตะโกนเจื้อยแจ้วขึ้นมาจากชั้นล่างตรงกับหน้าต่างพอดี “อ้าว? ไปทำอะไรตรงนั้น”


สิ้นคำถามก็นึกถึงความไม่ชอบมาพากลขึ้นมาได้ ยังไม่ทันขอความเห็นจากอีกคน หูก็แว่วได้ยินเสียง ตึง!


“เสียงอะไรน่ะ” เอกรงค์เหลียวมองซ้ายขวาด้วยความไม่คุ้นสถานที่ กว่าจะเห็นที่มาของเสียงก็เมื่อบันทางขึ้นถูกพับเก็บพร้อมกับผาปิดตรงช่องที่พวกเขาปีนขึ้นมาถูกมือดีดันปิดเสียแล้ว


ศุกลรีบปราดเข้าไปดู แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงผลักสักแค่ไหนมันก็ไม่ยอมเปิดออก เพราะตอนนี้มันถูกลงกลอนล็อกจากอีกฝั่งอย่างแน่นหนา


“เปิดได้ไหม”


เจ้าของบ้านส่ายศีรษะอย่างจนใจ ทั้งสองจึงพากันเดินไปที่หน้าต่างเพื่อตะโกนเรียกสามแสบให้มาช่วยเปิด


“ผมว่าเราคงโดนขังแล้วล่ะ ฝีมือเจ้านอฟแน่ๆ” เอกรงค์กล่าวเรียบๆ เมื่อเห็นรถคาดิลแลคของตนเพิ่งถอยออกจากที่จอดโดยมีนภธรณ์เป็นคนขับและซ้ำยังลดกระจกลงโบกมือหย็อยๆ ให้ “ขอโทษด้วยนะครับ”

 
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ อันที่จริงมันก็แผนของเจ้าสองพี่น้องนั่นด้วย” ศุกลบอกพลางพยักเพยิดไปที่เด็กหนุ่มซึ่งเดินจูงมือน้องชายพ้นรั้วบ้านไปอย่างอารมณ์ดี “ผมคิดอยู่แต่แรกแล้วว่าต้องมีอะไร แต่อยากรู้ว่าเด็กๆ คิดอะไรอยู่เลยปล่อยไปตามน้ำ”


“แล้วตกลงแผนการนี้ดีไหม” กุมารแพทย์หนุ่มถาม


คนฟังดึงสายตาจากรถแท็กซี่ที่สองพี่น้องโดยสารไป หันมามองเจ้าของร่างสูงที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร “แล้วคุณว่ายังไง”


เอกรงค์ไหวไหล่ “ก็ดี ว่าแต่เราจะเริ่มจากอะไรกันดีล่ะ”


“อะไรที่ว่านี่คืออะไรครับ”


“ก็เด็กๆ เขาอยากให้เราอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอค เราก็ทำตามแผนการสิ ไหนๆ ก็ตามน้ำแล้ว ผมจะให้โอกาสคุณเริ่มก่อน” เอกรงค์พูดด้วยทีท่าสบายๆ พลางนั่งลงบนพื้นเอาหลังพิงผนังไว้และเหยียดขาไปด้านหน้า


“ก็ได้” ศุกลนั่งลงข้างกัน “ถ้าอย่างนั้นผมขอดูบัตรประชาชน”


“บัตรประชาชน?”


“ใช่ครับ จะได้เลิกเถียงกันสักทีว่าจะเรียกกันว่าอะไร เอามาเร็วๆ ครับ” พูดพร้อมกับแบมือรอ มองคุณหมอหนุ่มที่บ่นขมุบขมิบ แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบสิ่งที่เขาต้องการส่งให้


“นี่ครับ”


“เฮ้ย!”


“ตกใจในความหล่อเหรอ แหมเขินจัง” อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขาคงเป็นคนแรกของประเทศกระมังที่กล้องของสำนักงานเขตไม่อาจทำอันตรายให้ระคายผิวหน้าได้”


“จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกัน คุณอายุมากกว่าผมตั้งเกือบรอบ” ศุกลละล่ำละลัก แวบหนึ่งแอบคิดว่าต้องยกมือไหว้อีกฝ่ายหรือเปล่า


“ไม่ถึงสักหน่อย” เจ้าของดึงบัตรประชาชนกลับมาใส่คืนในกระเป๋า “คุณอายุยี่สิบหกใช่ไหม เราอายุห่างกันแค่แปดปีเอง”


“แค่นั้นเรียกเองเหรอครับ” ศุกลว่า “เอาอย่างนี้ผมจะเทียบให้เห็นภาพ ตอนคุณอายุสิบหก ผมแค่แปดขวบเองนะแบบนี้ไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ”


“ไม่เลย” เอกรงค์ตอบหน้าตาเฉย “ผมเป็นหมอเด็กนะ ผมรักเด็กจะตาย พวกพยาบาลที่โรงพยาบาลชอบเรียกผมว่ามือปราบเด็ก รู้ไหมว่าทำไม เพราะว่าเด็กแบบไหนผมก็ปราบได้หมด เห็นจะมียากก็แค่คนเดียวแหละ” เว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อหันไปสบตาคนที่นั่งข้างกันให้ชัดๆ “คุณนี่ไง”


“แน่ละสิ ผมไม่ใช่เด็กนี่”


“คุณน่ะเด็กโข่งชัดๆ”


“ไม่ใช่สักหน่อย”


“ทำไมคุณถึงวาดรูปผม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอ้อมไปไกลเอกรงค์จึงเอ่ยถามตรงๆ และออกแปลกใจนิดหน่อยเพราะคาดว่าคงได้รับคำตอบเป็นความอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้ศุกลกลับตอบออกมาทันที


“ก็เพราะรอยยิ้มของคุณมันแปลก”


“แปลกยังไง”


“แปลกตรงที่มันทำให้ใจผมสั่น”


เอกรงค์เม้มปากด้วยมันเขี้ยว ตอบแบบนี้ไม่ใช่ลังเลแล้ว แต่มันออกแนวเล่นตัวมากกว่า “เขาว่าอาการใจสั่น ถ้าไม่เกิดจากโรค ก็กลัว หรือไม่ก็...” หยุดนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ตกลงคุณรู้หรือยังว่าตัวเองชอบใคร”


“คิดว่ารู้แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจ” ศุกลตอบ ท้ายประโยคฟังไม่หนักแน่นพอๆ กับหัวใจในตอนนี้ “ผม...เคยอกหัก มันเกินจะรับไหวสำหรับผม จู่ๆ คนที่เข้ามาให้ความหวังก็บอกกับผมว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน”


“คุณตัดปัญหานั้นไปได้เลยเพราะผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อน ผมมีเพื่อนเยอะแล้ว”


“แล้วคุณอยากเป็นอะไร” คนฟังถามเรียบๆ


“ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากให้ผมเป็นอะไรมากกว่า” เอกรงค์ว่า


“เป็นคุณพ่อน้องนอฟ”


“พอดีเลย เด็กมันขาดแม่ คุณสนใจจะมาเป็นแม่ให้มันไหมล่ะ”


ฟังแล้วจิตรกรหนุ่มก็หัวเราะด้วยชอบความตรงไปตรงมาเช่นนี้ “ตกลงผมเรียกพี่โมนะ”


“ว้า! เสียดายจัง นึกว่าจะเรียกที่รักเสียอีก”


“ถ้าไม่ปล่อยมือกันไปเสียก่อน ผมจะเรียกให้ฟังจนเบื่อเลย”


“ถ้าอย่างนั้นเรียกว่าโมเฉยๆ พอ” คุณหมอหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์รีบต่อรอง “แล้วผมก็จะเรียกติ๊นว่าติ๊นเหมือนกัน”


ศุกลอมยิ้มมุมปาก ไหนๆ อีกฝ่ายก็ยอมลดอายุมาหาถึงขนาดนี้ เขาจะยอมทำตัวแก่ขยับขึ้นไปหาสักหน่อยจะเป็นไรไป ไหนๆ เพื่อนๆ ก็ชอบแซวว่าเขาทำตัวเป็นฤาษีอยู่แล้ว “ก็ได้ครับ แต่อนุญาตให้เรียกเฉพาะเวลาอยู่กันสองคนเท่านั้นนะ”


“ทำไมล่ะ” นายแพทย์เอกรงค์บ่นอย่างแสนเสียดาย อยากประกาศให้โลกรู้ใจจะขาดว่าเขากับคนตรงหน้าเป็นแฟนกันแล้ว... หรือยังนะ? ช่างเถอะ! เอาเป็นว่าตอนนี้ติ๊นเป็นแฟนเขาแล้วก็พอ


“ก็...” แก้มขาวซับสีเลือดขึ้นเล็กน้อย “ผมอายเด็กๆ น่ะ”


“ติ๊น”


“อะ...อะไรครับ” จิตรกรหนุ่มละล่ำลักถาม เมื่อจู่ๆ คนอายุมากกว่าก็เรียกเสียงหวานพร้อมกับแตะปลายนิ้วลงมาที่ข้างแก้ม


“ก็สีที่สว่างขึ้นไง” เอกรงค์บอก คลับคล้ายคลับคราว่าได้ยินคนตรงหน้าสอนธีร์ทัศน์เมื่อหลายวันก่อน “เวลาติ๊นเขินน่ารักจัง” พร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้เพื่อซ่อนประโยคต่อมาว่า ‘เดี๋ยวอดใจไม่ไหวก็จับปล้ำเสียหรอก’ ไว้ในใจ


กุมารแพทย์หนุ่มผ่อนลมหายใจยาวทั้งดีใจและโล่งอกที่หาข้อสรุปให้กับระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาได้สักที ดวงตาอ่อนโดยนทอดมองไปยังผนังสีขาวนวลพลางหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา


“ถามจริงๆ เถอะ ตั้งเกือบสามปีมาแล้ว คุณไม่คิดจะตามหาผมด้วยวิธีอื่นนอกจากวาดรูปเลยเหรอ แบบที่เห็นในพันทิปเยอะแยะ ‘มีใครรู้จักผู้ชายหล่อๆ ที่ไปเที่ยวเกียวโตช่วงเดือนตุลาคมแล้วแวะร้านร้อยเยนบ้างครับ’ อะไรทำนองนี้ นี่ถ้าเจ้าเด็กสองคนนั่นไม่ทัก เราจะได้เจอกันไหม”


เจ้าของภาพวาดหัวเราะกับหัวข้อกระทู้ “ก็เพราะผมไม่ได้คิดจะตามหาน่ะสิครับ”


คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง


“เรื่องของเรามันเป็นเหมือนพรหมลิขิต คิดดูสิต่างบ้านต่างเมืองข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลหลายพันกิโล ข้ามโซนเวลา ในเมืองที่คนไม่พลุกพล่าน ในร้านท้องถิ่นเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจ ใครจะคิดว่าจะผมจะได้เจอคนพูดภาษาเดียวกัน”


“ไม่คิดว่าจะเจอเนื้อคู่ก็บอกมา” เอกรงค์หันมาขยิบตาให้เรียกเสียงหัวเราะจากศุกลไปได้อีกครั้ง


“ประกอบกับที่...”


ถึงจังหวะที่จะต้องเรียกชื่อ เจ้าของชื่อก็หูผึ่งรีบขยับเข้าไปรอฟังทันที “โม” พร้อมกับป้องปากกระซิบเชียร์


“ประกอบกับที่โม...” เม้มปากเล็กน้อย คิดอยู่แล้วว่าครั้งแรกต้องเขิน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเขินขนาดนี้ ยิ่งได้เห็นคนฟังกำหมัดขึ้นในอากาศพร้อมกับร้อง ‘Yes!’ เบาๆ ในลำคอ เขายิ่งแทบไปไม่เป็น “ประกอบกับที่โมบอกว่า ‘แล้วพบกันใหม่’ ผมก็เลยคิดเข้าข้างตัวเองว่าคงมีสักวันที่โลกจะเหวี่ยงให้เราได้มาเจอกันอีก”


“นอกจากสามแสบนั่นแล้ว ตกลงนี่ฉันต้องขอบคุณแกนโลกที่ทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่องด้วยเรอะ” เอกรงค์ทำปากขมุบขมิบบ่นกับตัวเอง


“ว่าแต่ผม แล้วโ...” ครั้งที่สองนั้นก็ไม่ได้ง่ายขึ้นเลยสักนิด แต่พอเห็นนัยน์ตาพราวระยับของคนที่รอฟัง ศุกลก็ยอมเอ่ยออกไปทั้งที่ยังเขินมากก็ตาม “แล้วโมล่ะ ไม่คิดจะตามหาผมบ้างเหรอ”


“ใครว่าล่ะติ๊น” เอกรงค์รีบแก้ต่างให้ตัวเอง “ผมจับยามสามตาทุกวัน แต่ไม่คิดว่าติ๊นจะมาแอบอยู่ในแกลเลอรีเล็กๆ แบบนี้” พร้อมกับเสยผมขึ้นทำท่าเบิกเนตรประกอบ


“ขอโทษนะที่เล็ก” แอบกลั้นหัวเราะเพราะคนอายุมากกว่าดูจะมั่นใจในโหวงเฮ้งเงินล้านของตนมากทีเดียวในขณะที่ตัวเขากลับอายจนต้องปัดผมหน้าม้าลงมาปิดไว้


“ไม่รู้อย่างอื่นเล็กแบบนี้หรือเปล่า”


“หืมมมม”


“ผมหมายถึงหัวใจน่ะ” เอกรงค์รีบพูดแม้นั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ใจคิดทีแรกก็ตาม “ไม่รู้หัวใจของติ๊นจะเล็กเกินไปจนไม่ยอมรับผมเข้าไปอยู่ข้างในหรือเปล่า”


“แคบๆ ก็ดีแล้วนี่ครับ ถ้าเข้ามาได้โมก็จะได้อยู่คนเดียวไง”


“เออจริง” แล้วกุมารแพทย์หนุ่มก็เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง เมื่อเสียงหัวเราะจางลงริมฝีปากก็ค่อยๆ เหยียดออกเป็นรอยยิ้มพร้อมกับสบตาคนตรงหน้านิ่งเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปอย่างซื่อตรง “ชอบนะ”


ศุกลไม่ตอบ ได้พยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มคืนกลับไป


ตาคมเหลือบลงมองฝ่ามือที่วางอยู่ข้างกัน รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิกายที่แตกต่าง เอกรงค์ค่อยๆ ยกนิ้วก้อยขึ้นแตะเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขยับหนีจึงค่อยเลื่อนมือขึ้นวางทับ ซึ่งฝ่ามือหยาบกร้านนั่นก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการหงายขึ้นก่อนจะค่อยสอดนิ้วกุมกันไว้


แสงแดดยามเย็นสาดเป็นไรเข้ามาทางกระจกหน้าต่างทำให้อากาศในห้องใต้หลังคาอุ่นขึ้นบ้างแล้ว หากแต่คนสองคนกลับค่อยขยับเข้าหากันทีละนิด… ทีละนิด… จนอุณหภูมิกายส่งถึงกันผ่านตั้งแต่ช่วงหัวไหล่ไปจนถึงเรียวขายาวที่เหยียดไปข้างหน้า


ศุกลหวนนึกถึงวันคืนที่เขาได้แต่นั่งมองสีดำของท้องฟ้าและลากเส้นต่อจุดผ่านดวงดาวเป็นรอยยิ้มของใครคนหนึ่งที่ติดตรึงอยู่ในใจมาหลายปี ย้อนไปจนถึงวันแรกที่พวกเขาได้พบกันที่ร้านเล็กๆ ในเมืองที่เงียบสงบแห่งนั้น


“โม… คราวหน้าเราไปเที่ยวเกียวโตด้วยกันไหม” ถามไปแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบสักที ศุกลหันไปและพบว่าอีกฝ่ายคงล่วงหน้าเขาไปเสียแล้ว “หลับเหรอ? ก็คงใช่ล่ะเห็นว่าเพิ่งเลิกงานมานี่นา” ค่อยเอี้ยวตัวไปรั้งรอบลำคอหนาให้พิงลงมาบนหัวไหล่ แต่อีกฝ่ายกลับล้มลงบนมานอนหนุนบนหน้าตักเสียอย่างนั้น ซ้ำริมฝีปากยังคลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วยนั่นเพราะเอกรงค์ไม่ได้แกล้งหากแต่หลับไปจริงๆ


เขาใช้หลังมือไล้ไปตามแก้มขาวที่นุ่มเนียนมือก่อนจะก้มหน้าลงฝากรอยประทับริมฝีปากไว้ตรงนั้น “ฝันดีนะครับพ่อหนุ่มร้านร้อยเยนของผม”



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...



หมายเหตุ *พู่กันเบอร์ศูนย์พิเศษ http://www.hhkint.com/images/product/91008-00.jpg
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-11-2016 22:09:05
เขินๆๆๆ ขอบคุณสามแสบจริงๆ
ที่ขังพี่ติ้นท์กับพ่อโมไว้บนห้องใต้หลังคา
ถ้าเป็นตอนกลางคืนแล้วมีดาวตกนี่ใช่เลย ฮ่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-11-2016 22:15:39
เดี๋ยวๆ ๆ ๆ !!!

อะไรยังไง?! คบกันแล้วเรอะ!

อย่างไรก็ตาม...อ่านแล้วละมุนมากค่ะ

#หมอโมจอมบุกกับพี่ติ๊นไร่อ้อย
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-11-2016 22:44:06
จีบกันต่ออีกนิดสิ
หมอโมตลก
นี่หมอโมกินเด็กเรอะ นึกว่าจะให้เด็กกินซะอีก
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-11-2016 23:33:44
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-11-2016 00:53:32
เพิ่งเห็น อ่านแล้วเขิน ต้องขอบคุณสามแสบที่ให้ทั้งคู่ได้คุยกัน

ปล.คนแต่ง คนหนึ่งแนวศิลป์ อีกคนก็สายสุขภาพ มาจับคู่กันได้ เก่งจริงๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 08-11-2016 05:53:56
หนุ่มไร่อ้อยทั้งคู่เบยยย อีกคนก็ช่างรุก อีกคนก็อ้อยมากกก ละมุนน
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-11-2016 07:06:41
เขาจีบกัน~~~~~
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 08-11-2016 07:59:27
3 แสบรู้งานที่สุดดดด

พระนายคบกันแล้วอะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-11-2016 08:01:44
เล่นสารภาพกันแบบนี้ ทำเรารู้สึกเขินแทนเลยอ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 08-11-2016 19:35:18
อร๊ายยยยย ฟินค่าาาา จะมัวแต่ยืดยาดกันอยู่ไย? อายุปูนนี้กันแล้ว (?) คบกันแบบนี้เลยทันใจมากๆค่ะ  :-[

ปล. กระโดดเข้ามาเกาะขอบจอคอมพ์ฯ ด้วยคนค่ะ ผ่านไปตั้ง 4 ตอนแล้วเพิ่งเจอ งือออออ นักเขียนมือทอง 2 คนแพ๊คคู่มาแบบนี้ไม่ติดตามไม่ได้แล้ววว  o13
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 08-11-2016 21:49:03
คิดว่าพี่ติ๊นเป็นพระเอกมาตลอดเลย

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 09-11-2016 23:48:37
มีความอ้อยทั้งคู่เลยยยย หมอโมอ้อยน่ารักมากกกกก
อยากสัมผัสลักยิ้มนั้น ><
งานละมุนสุดๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 10-11-2016 00:41:10
ขำความหมอโม
ร้ายมาก อ้อยมาก และเสี่ยวมาก ว้อยยยยยยยยยยย
แต่ก็ยินดีด้วยค่ะ ได้เป็นแฟนกันสักทีแบบบนี้ไม่ต้องลุ้นนาน
นี่ก็เขินจะตายละ โอ้ยๆๆๆ >__<
ต้องขอบคุณความดีความชอบของเจ้าสามแสบ
อย่าลืมไปเลี้ยงขนมเด็กๆ นะคะ 555555555555555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 4 เข้าใจ (07-11-2559) ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PYonG ที่ 10-11-2016 16:31:40

หมอโมโคตรอ้อยยย 5555
ชอบจังค่ะอ่านแล้วนุ่มๆ ละมุนๆเลย ฮื่อออ  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-11-2016 13:07:05
ตอนที่ 5 จูบแรก


เอกรงค์ปรือตาขึ้นอีกครั้งหลังจากได้นอนเต็มอิ่ม รู้สึกหนักจึงยกมือขึ้นสัมผัสสิ่งแปลกปลอมที่แนบอยู่กับข้างแก้ม ในที่สุดเขาก็พบว่ามันคือมือของคนที่อุตส่าห์สละตักเป็นหมอนให้หนุน ถึงจะหยาบกร้านไปสักหน่อยแต่อุ่นเสียจนไม่อยากจะละไปไหน


“ตื่นแล้วเหรอครับ” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพลางไล้นิ้วหัวแม่มือลงตรงที่เคยมีรอยบุ๋มยามเมื่ออีกฝ่ายแย้มยิ้ม


“ทำติ๊นเมื่อยหรือเปล่า” ขยับตัวนอนหงายสบตาอย่างรอคอย


“ไม่ครับ” นัยน์ตาสีเข้มสบตอบในขณะที่มือยังคงประคองแก้มนิ่มไม่ห่าง


“ถ้าอย่างนั้นนอนต่อนะ”


“ได้ยังไงครับ นี่เย็นแล้วนะ ผมว่าโมโทรตามเจ้าลูกชายตัวดีให้มาปลดล็อกประตูแล้วรับโมกลับไปพักเถอะ”

“ก็อยากนอนต่อที่นี่นี่นา ที่คอนโดไม่มีตักใครให้หนุน” สายตาออดอ้อนของกุมารแพทย์หนุ่มทำเอาคนฟังต้องโครงศีรษะ


ศุกลยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “อย่าดื้อสิครับ ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ เด็กดื้อยังพอน่ารัก แต่ผู้ใหญ่ดื้อไม่น่ารักเลย”


“ไม่น่ารักจริง ๆ น่ะเหรอ” เอกรงค์ยันกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้ราวกับเกรงว่าจะไม่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ปากบางยังคงถามซ้ำ “ไม่น่ารักจริงน่ะเหรอ หืม?”


นัยน์ตาสีนิลยังไม่อาจละจากดวงตาของคนช่างสงสัย เห็นปอยผมสีเข้มที่ปกติเจ้าตัวจะเซ็ตไว้เนี้ยบเสมอตกลงมาปรกตาจึงยกมือขึ้นเสยให้เข้าที่เปิดให้เห็นหน้าผากกว้าง “น่าตี”


“กล้าก็ลอง จะไม่หนีไปไหนเลย” พูดจบก็แกล้งโถมเข้าหาให้หน้าผากชนกันก่อนจะที่ริมฝีปากสีสวยจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาหากแต่ทำเอาหัวใจคนฟังสั่นไหว “ยอมให้ติ๊นตี”


ศุกลเม้มปากแน่นกดคมฟันลงเพื่อสะกดใจตัวเองเมื่อไม่ใช่เพียงแค่ผิวเนื้อเหนือแนวคิ้วเท่านั้นที่สัมผัสกัน หากแต่ปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายยังแตะลงชิดกับปลายจมูกของตนเองซ้ำยังแกล้งส่ายไปมาเบา ๆ ให้รู้สึกจั๊กจี้นัก จิตรกรหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยพลางกดตาลงต่ำมองกลีบปากเย้ายวนพร้อมกับคมฟันที่ค่อย ๆ คลายให้เลือดเดินเป็นปกติ ลมหายใจร้อนอวลติดปลายจมูกเป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ถึงอุณหภูมิภายในร่างกายของกัน ในที่สุดหน้าคมก็เป็นฝ่ายโน้มเข้าหาราวต้องมนตร์สะกด เวลานี้เขาคงไม่ต่างอะไรกับแมลงภู่ที่หลงรูปดอกไม้ เหลือเพียงอย่างเดียวก็คือการดูดชิมเกสรให้รู้ว่าหอมหวานติดลิ้นเพียงใด  แต่แล้วก็เหมือนถูกไล่ไปให้ไกล ๆ เมื่อหูได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ


“ไม่แกล้งแล้ว” เอกรงค์ยิ้มจนแก้มบุ๋ม กำลังจะผละออกก็ถูกมือหนาตรึงเข้ากับต้นแขนทั้งสอง เพียงศุกลออกแรงเล็กน้อยร่างของเขาก็ถูกจับพลิกกลับจนแผ่นหลังแนบไปกับผนังห้อง กลายเป็นว่าขณะนี้สองคนสลับตำแหน่งกันเสียแล้ว


“ต...ติ๊น จะทำอะไร” จู่ ๆ ก็หายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น เอกรงค์ใช้สองมือกำแขนเสื้อของอีกฝ่ายแน่น ตาสองคู่ยังคงสบกันนิ่งหากแต่กุมารแพทย์กลับรู้สึกว่าใบหน้าคมนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ


“จะตีคนดื้อ” ศุกลตอบพร้อมกับคลี่ยิ้ม “จะได้รู้ว่าไม่ควรเที่ยวไปแกล้งใครแบบนี้”


“เพิ่งรู้ว่าคนจะตีกันเขาทำท่านี้” คุณหมอยังไม่วายปากเก่ง


“แล้วปกติท่านี้เขาทำอะไรกัน” พลันแววตาที่เคยสงบนิ่งก็วับวาวขึ้น


เสียงกระซิบพร่าเป็นดั่งตัวเร่งปฏิกิริยาพาหัวใจให้วาบไหว เอกรงค์เพิ่งยอมรับกับตัวเองเดี๋ยวนี้ว่าแม้อายุอานามจะเลยเลขสามมาหลายปี หากแต่ประสบการณ์ความรักช่างน้อยนัก แฟนคนสุดท้ายเลิกรากันไปนานแค่ไหนต้องนับนิ้วมือจนหมดผสมกับนิ้วเท้าด้วยกระมังจึงจะครบตามจำนวน “ก...ก็...จูบ”


“แล้วได้ไหมครับ” คนอายุน้อยกว่าถาม


ถึงจะเป็นคำถามตรงไปตรงมา แต่เจือความประหม่าอยู่ในทีและมันก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของคนเกิดก่อนได้ นายแพทย์เอกรงค์เอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นคว้าคอเสื้อของจิตรกรหนุ่ม ดวงตาจ้องเขม็งจนศุกลเดาว่าการกระทำทั้งหมดคือการต่อต้าน


“ข...ขอโทษครับ ทำให้โมลำบากใจใช่ไหม”


“เปล่า แค่จะบอกว่า...” เอกรงค์รั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนจะเงยหน้า “นี่จูบแรกของเรานะ ช่วยทำให้ประทับใจหน่อย”


สิ้นประโยคกึ่งสั่งกึ่งขอร้องรอยยิ้มของคนฟังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ศุกลโน้มหน้ากดตาลองมองหาที่หมาย ทันทีที่เนื้อปากสัมผัสกันเพียงนิด เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น


“ไอ้ติ๊น!!! หายหัวไปไหนวะ”


เจ้าของชื่อชะงักพลางถอนใจเฮือกรีบผละออกพร้อมกับจ้องมองคนตรงหน้าที่ออกอาการ ‘เสียดาย’ ไม่ต่างกัน กระนั้นต่างคนก็ต่างก็สบตายิ้มเขิน และเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกอีกครั้ง จิตรกรหนุ่มก็รีบคลานไปที่ช่องประตูทันที


“อยู่ที่นี่”


“ไอ้ติ๊น!!! อยู่นี่น่ะ อยู่ไหนวะ” พีระร้องลั่นก่อนจะหุบปากแล้วเงี่ยหูฟังให้แน่


“อยู่บนนี้ เปิดให้หน่อย”


ได้ยินเสียงแว่วมาจากเพดานด้านบนจึงเงยหน้าขึ้น


“บนห้องใต้หลังคา”


“ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นวะ” พูดจบนักออกแบบมาดกวนก็เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะรั้งเก้าอี้ขึ้นวางซ้อนบนโต๊ะแล้วปีนขึ้นไปปลดล็อกเปิดช่องประตูพร้อมกับดึงบันไดลง รอกระทั่งเจ้าของบ้านและแขก? ไต่ลงมายืนข้างกัน


“ขอบใจนะที่ช่วยเปิดให้”


“เออ ว่าแต่แกกับคุณหมอเถอะ ทำอีท่าไหนถึงติดอยู่บนนั้นวะ”


“ยังไม่ได้ทำท่าไหนครับ” กุมารแพทย์ปากไวกล่าว พาเอาคนข้าง ๆ หันขวับ เขายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งก่อนจะพูดใหม่ “ผมหมายถึงไม่ได้ทำอีท่าไหนครับ จู่ ๆ ประตูมันก็ปิดล็อกของมันเอง”


“น่าแปลกจังเลยนะครับ สงสัยต้องเรียกช่างมาดูแล้วละมั้ง” คนพูดเกาหัวพลางเงยหน้าขึ้นมองสำรวจบนเพดาน


“เออ ๆ ช่างมันเถอะน่า แกน่ะมีอะไรถึงได้ตะโกนเรียกฉันเสียงลั่นบ้าน”


“ฉันเพิ่งมาถึง เห็นลุงร้านเครื่องเขียนเขาเอากระดาษเขียนสีน้ำที่แกสั่งมาส่ง จะเรียกให้ไปจ่ายตังค์ไง” พีระกอดอกสาธยายต่อ “นี่สั่งมาสำหรับเอาไปออกค่ายใช่ไหม”


“อือ” เจ้าของบ้านตอบเสียงเรียบ


“ลุงแกก็ดี๊ดีเนอะ เย็นแล้วยังเอาของมาส่ง”


“เออ” ศุกลตอบส่ง ๆ


“อะไรวะ นี่แกพูดเป็นอยู่แค่นี้เองเหรอ แล้วดูทำหน้าเข้า แล้วนั่นหู...” พูดจบก็แปะสองมือเข้ากับสองแก้มของเพื่อนก่อนจะจับบิดซ้ายทีบิดขวาทีราวกับที่อยู่ในมือเป็นเพียงลูกบอลกลม ๆ “ทำไมหูแดงแบบนี้วะ”


“ไม่มีอะไร” ทำลากเสียงกลบเกลื่อนแล้วแกะมือของเพื่อนออก “ลงไปข้างล่างไป จะให้ไปจ่ายตังค์ไม่ใช่เหรอ รีบจ่ายลุงแกจะได้รีบ ๆ กลับ จะค่ำแล้ว” ว่าแล้วศุกลก็เดินนำออกไป ทิ้งให้เพื่อนได้แต่สงสัยในอาการของตนเอง


“อะไรของมันวะ แค่มาตามไปจ่ายตังค์ทำไมต้องหงุดหงิดอะไรขนาดนี้” พีระบ่น ส่วนเอกรงค์นั้นได้แต่โคลงศีรษะแล้วอมยิ้มขัน ๆ ...


เช้าวันต่อมาเมื่อเหล่าผู้ร่วมขบวนการมากันพร้อมหน้า ศุกลก็จัดการอบรมเด็ก ๆ เสียยกใหญ่ และถือเป็นการถูกอบรมครั้งที่สองของนภธรณ์ ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่ขับรถไปคืนให้เอกรงค์ที่คอนโดหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายต้องนั่งแท็กซี่กลับ เด็กหนุ่มเท้าคางตั้งใจฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดกับสองพี่น้องที่นั่งก้มหน้าสำนึกผิด และหลังจากที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี...หมายถึงพี่ติ๊นของพวกเขาบ่นจนพอใจ ธีร์ทัศน์ก็เอ่ยขึ้น


“ยิ้มอะไรของนาย โดนดุขนาดนี้ยังทำหน้าระรื่น”


“ยิ้มตามพ่อโม”


“หมายความว่ายังไง เมื่อวานนายยังโทรมาเล่าอยู่เลยว่าโดนหมอโมดุตอนที่เอารถไปคืน”


“ดุก็ส่วนต่อว่า ยิ้มก็ส่วนยิ้มสิ เห็นยิ้มคนเดียวมาตั้งแต่เมื่อคืน”


“แปลกจัง หมอโมจะยิ้มเรื่องอะไรกัน โดนเราขังไว้แบบนั้น”


“ไม่รู้สิ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าระหว่างที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกันมันต้องมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นแน่”


“ไม่ลองถามพ่อ! นายดูล่ะ” ธีรทัศน์เน้นเสียงจนอีกคนหันขวับ


“ถามแล้ว แต่พ่อโมไม่ตอบ”


“นายถามว่าอะไร”


“ก็ถามว่าทำอะไรกันบ้างตอนอยู่ในห้องใต้หลังคานั่น พ่อโมตอบแค่ว่าคุยกันธรรมดา เรื่องทั่ว ๆ ไป หลับเสียเป็นส่วนใหญ่”


“โธ่...อุตส่าห์ทำให้ได้อยู่กันสองคนยังจะหลับอีก”


“แต่ฉันว่ามันต้องไม่ใช่แค่คุยกันธรรมดาแน่ ต้องมีอะไรมากกว่านั้น คอยสังเกตดูแล้วกัน แต่ถ้ายังมัวชักช้ากันอยู่ พวกเราก็ต้องออกโรงอีกครั้ง”


พูดจบนภธรณ์ก็ยื่นมือไปข้างหน้าพลางสบตาผู้ร่วมทีมทั้งสอง “พวกนายจะร่วมมือกับฉันไหม”


ธีรทัศน์นิ่งคิด แม้ศุกลจะดุเรื่องเมื่อวาน แต่มันก็ไม่ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเขาก็วางมือซ้อนลงบนมือเจ้าของแววตาเจ้าเล่ห์


“ผมด้วย” เด็กชายธีร์ธรเอ่ยเสียงใสเขย่งปลายเท้าวางมือบนมือของพี่ชาย “ขบวนการกามเทพน้อยยย!!!”


“อะไรของนาย”


“ก็ชื่อทีมเราไงครับพี่นอฟ พอผมบอกว่าขบวนการกามเทพน้อย พวกพี่ก็ต้องร้อง ‘เฮ่’”


“ปัญญาอ่อน” ว่าแล้วก็ชักมือกลับ พาเอาวงแตก


“ทำไมล่ะครับ ผมว่าน่ารักจะตาย เนอะพี่ทัศน์เนอะ” คนเป็นน้องหันไปขอความเห็น ในขณะที่พี่ชายซึ่งปกติจะตามใจทุกอย่างหากแต่ครั้งนี้กลับยิ้มแห้ง ๆ


“ไร้สาระ ชื่อบ้าอะไรวะ ฟังแล้วยังกับเด็กสามขวบเล่นขายของ”


“ก็ผมอยากให้พวกเรามีชื่อทีมนี่นา ไม่รู้แหละ ถ้าพี่นอฟไม่ยอมให้ใช้ชื่อนี้ ผมจะไม่ร่วมมือด้วย แล้วก็จะฟ้องพี่ติ๊น”


“เออ ๆๆ ก็ได้ ๆ” นภธรณ์ขยี้หัวตัวเอง จำใจยื่นมือไปข้างหน้าอีกครั้ง


และเมื่อมือของพี่ชายวางทับลงไป ธีร์ธรก็วางมือของตนเองลงบ้าง เด็กชายอมยิ้มอย่างพอใจแล้วเอ่ยขึ้น “ขบวนการกามเทพน้อยยย!!!” เมื่อต้นเสียงว่าอย่างนั้น


ที่เหลือก็รับพร้อมกัน “เฮ่!”   


เวลาบ่ายโมงเป็นเวลาที่เด็กหนุ่มสาวจากต่างโรงเรียนมารวมตัวกันที่ Light & Shade จากนั้นจึงพากันเดินเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยหุ่นปูนปลาสเตอร์และโต๊ะวาดรูปซึ่งสามารถปรับพื้นระนาบให้เอียงในองศาที่ต้องการ แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายคือการสอบเข้าเรียนในคณะศิลปะของมหาวิทยาลัยที่ตนเองใฝ่ฝัน ดังนั้นนอกจากอ่านหนังสือเพื่อให้มีความรู้แล้วการเตรียมความพร้อมทางด้านทักษะจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


ศุกลซึ่งรับหน้าที่สอนวิชาวาดเส้นให้กับเด็ก ๆ กลุ่มนี้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว หลังจากเขาได้สอนพื้นฐานการให้น้ำหนักแสงเงารูปทรงต่าง ๆ การวาดภาพหุ่นนิ่ง (Still life) การวาดภาพคนเหมือนแบบครึ่งตัวโดยให้จับคู่กันเป็นแบบมาแล้วในสัปดาห์ก่อน ๆ วันนี้จึงเป็นวันที่ให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสวาดภาพคนแบบเต็มตัวบ้าง ชายหนุ่มชะเง้อคอยาวเมื่อเห็นว่าจวนจะได้เวลา แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าพีระซึ่งรับอาสาหามานั่งเป็นแบบให้จะโผล่หัวมาสักที   


“เอาละครับเด็ก ๆ เตรียมกระดาษและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยนะครับ เดี๋ยวพี่ขออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่” จิตรกรหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องอย่างร้อนรน เขาควักโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก่อนจะกดโทรหาเพื่อนรัก ยังไม่ทันจะได้ยินเสียงสัญญาณศุกลก็กดตัดสายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาพร้อมกับใครอีกคน


“ไงติ๊น ไม่เจอกันนานเลย” ชายหนุ่มผิวสีแทนที่เดินคู่มากับพีระยกมือขึ้นทักทาย


“เฮ้ย มาได้ไง” เจ้าของบ้านร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนแปลกใจ


“ไอ้ไนท์มันว่างอยู่ ฉันเลยชวนมันมายืนเป็นแบบให้แก ฉันไม่อยากโชว์หุ่นขี้ก้างว่ะ อายน้อง ๆ” พีระสาธยายพลางลูบหน้าท้องที่เริ่มอุดมไปด้วยไขมันของตนเอง


“พอดีเพิ่งลาออกจากงานน่ะ ไม่มีอะไรทำ ไอ้พีชวน เราเลยมา ติ๊นไม่ว่าใช่ไหม”


“จะว่าเรื่องอะไร รีบไปเถอะ เด็ก ๆ นั่งรอแล้ว” พูดจบศุกลก็เดินนำเพื่อนทั้งสองเข้าไปด้านใน


จิตรกรหนุ่มแนะนำคนที่จะมานั่งเป็นแบบตลอดสามชั่วโมงของการเรียนให้เด็ก ๆ ได้รู้จักก่อนจะปล่อยให้รัตติเขตได้ทำหน้าที่ของตนเอง


ทันทีที่ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งรูปร่างสูงโปร่งปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ ที่หน้าท้องซึ่งเกิดจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ บรรดาเด็กสาวที่นั่งอยู่แถวหน้าก็หันสบตากันหัวเราะคิกคัก รัตติเขตรั้งเสื้อออกจากตัวพาดบนเก้าอี้ และเมื่อเลื่อนมือลงปลดเข็มขัดก็เล่นเอาใครหลายคนถึงกับกลื่นน้ำลายเอื๊อกตามด้วยถอนใจอย่างโล่งอก? ที่เห็นว่ายังเหลือกางเกงบ๊อกเซอร์อีกหนึ่งตัว


“พี่ติ๊นครับ ครั้งนี้วาดฟิกเกอร์แล้วครั้งต่อ ๆ ไปจะมีวาดนู้ดไหมครับ” คำถามของเด็กหนุ่มหลังห้องทำเอาสาว ๆ ข้างหน้าพากันยืดตัวตรงตั้งใจใจรอฟังคำตอบ


ศุกลหันไปยิ้มให้รัตติเขต มาเจอตัวแสบวันแรกก็โดนรับน้องเสียแล้ว


“ก้องอยากวาดเหรอ” คนสอนถามกลับ


“เปล่าครับ ผมถามแทนพวกผู้หญิงน่ะครับ” สิ้นเสียงคนกล้า เสียงโห่ฮาของหนุ่ม ๆ แถวหลังก็ดังขึ้นเป็นกำลังหนุน


“ถ้าอย่างนั้นให้ก้องเป็นแบบดีไหม” ศุกลพูดกลั้วหัวเราะ ยังไม่ทันจะจบประโยคเด็กสาวแถวหน้าก็ส่งเสียงปฏิเสธปน ๆ มากับเสียงยี้จนต้องปรามกัน “เอาละ ๆ เรียนกับพี่ที่นี่คงได้แต่พอร์เทรตกับฟิกเกอร์ ส่วนนู้ดคงต้องรอไปเรียนตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ถ้าอาจารย์เขาสอนเขียนนะ ตอนนี้มาฟังพี่ติ๊นอธิบายการวาดฟิกเกอร์ก่อนดีกว่า” พูดจบจิตรกรหนุ่มก็หันไปส่งสัญญาณให้คนเป็นแบบให้ยืนประจำที่ที่หน้าห้อง จากนั้นก็เริ่มสอนเนื้อหาก่อนจะปล่อยให้เด็ก ๆ ลงมือวาด เมื่อผ่านไปสักพักจึงเดินไปรอบ ๆ เพื่อคอยให้คำแนะนำแก่เด็ก ๆ


เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ชั่วโมงสุดท้ายของการเรียน จากที่ยืนเป็นแบบรัตติเขตก็ลุกเริ่มขยับตัวเดินไปดูผลงานที่เด็ก ๆ วาดบ้าง เขาช่วยให้คำแนะนำพร้อมกับจับดินสอลงแสงเงาเพิ่มในส่วนที่เห็นว่ายังขาดจนครูตัวจริงพอจะมีเวลาแวบออกมาเพื่อเตรียมของว่างให้กับคนที่รับอาสาเป็นแบบและอีกคนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งสีขาวใต้ต้นจำปีที่ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร


“มารอรับนอฟเหรอครับ ทำไมถึงมานั่งตรงนี้ล่ะครับ” ศุกลที่ถือถาดใส่ของว่างกล่าวก่อนจะวางแก้วน้ำแดงเย็นเฉียบกับจานคุกกี้ลงบนโต๊ะ ยังไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติจึงเอ่ยขึ้น “วันนี้น่าจะเกินเวลาหน่อยนะครับ เพราะว่าไอ้ดลมันฝากคลาสไว้ ไอ้พีก็เลยชวนเด็ก ๆ ปั้นดิน”


“ขอบคุณครับ” เอกรงค์ตอบสั้น ๆ


“ถ้าอย่างนั้นผมเข้าไปข้างในก่อนนะ” พูดจบก็ทิ้งให้คนที่วันนี้เอาแต่ปั้นหน้านิ่งนั่งแข็งเป็นหินอยู่ตรงนั้น
กุมารแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือกก่อนจะเอื้อมมือคว้าคุกกี้โยนใส่ปากเคี้ยวกล้วม ๆ มองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก


เมื่อศุกลเดินเข้าเข้ามายังเรือนกระจกก็เป็นเวลาเดียวกับกับที่พีระเลิกคลาสเรียนศิลปะเด็กพอดี เด็ก ๆ บางส่วนทยอยกันกลับบ้าน ในขณะที่บางส่วนก็เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่ห้องวาดเส้นซึ่งอยู่ข้าง ๆ กันอย่างสนอกสนใจ ศุกลวางน้ำและขนมไว้บนโต๊ะ เห็นว่ารัตติเขตกำลังช่วยแก้ไขผลงานของเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งกลางห้องจึงเดินเข้าไปหา


“ไนท์ กินขนมก่อนสิ”


“เอออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วละ” หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกล่าวขณะดวงตายังจดจ้องอยู่กับปลายดินสอ EE ที่กำลังลากไปมาอยู่บนกระดาษปรู๊ฟ


“โอ้โห พี่ไนท์แก้ให้พิมพ์เสียสวยเลยค่ะ” เจ้าของภาพว่า “พิมพ์อยากลงแสงเงาเก่ง ๆ แบบพี่ไนท์บ้างจัง”


“น้องพิมพ์ก็ต้องฝึกบ่อย ๆ สิคะ ก่อนพี่ไนท์จะสอบติดคณะที่จบมา พี่ไนท์ก็เหมือนน้องพิมพ์นี่แหละ ไปเรียนตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ฝึกฝนเยอะ ๆ” ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นหันมาขอความเห็นของคนที่ด้านหลัง “ดูให้หน่อยสิติ๊น ดีหรือยัง”


“อืม เราว่าตรงนี้น่าจะเก็บรายละเอียดอีกนิดนะ” พูดจบก็รั้งดินสอแท่งเล็กจากมือของอีกคนก่อนจะจรดลงตรงตำแหน่งของกระดูกไหปลาร้าตวัดข้อมือไปมาอยู่ไม่กี่ครั้งพื้นที่ตรงนั้นเด่นชัดขึ้น “เรียบร้อย” ศุกลวางดินสอลงพร้อมกับยืดตัวขึ้น ถอยห่างออกไปมองผลงานของเด็กสาว


“ขอบคุณมากค่ะพี่ติ๊นพี่ไนท์ พิมพ์สัญญาว่างานชิ้นต่อ ๆ ไปจะทำให้ได้ดีกว่านี้ค่ะ”


“ต้องทำให้ได้ดีกว่าที่พวกพี่ทำสิ” จิตรกรหนุ่มกล่าว


“อืม...” สาวน้อยเลิกคิ้วแล้วยิ้มกว้าง “จะพยายามค่ะ”


คนสอนพยักหน้าพอใจก่อนกล่าวเลิกคลาสแล้วหันไปพูดกับนายแบบกิตติมศักดิ์ “ใส่เสื้อก่อนสิ จะได้ไปกินขนม”
ได้ฟังดังนั้นรัตติเขตจึงเดินไปที่เก้าอี้ กำลังจะเอื้อมมือคว้าเสื้อเชิ้ตก็พอดีเห็นมือตัวเองเต็มไปด้วยคราบกราไฟต์จึงชะงัก เหลียวกับมากล่าวกับคนที่เดินตามมา “หยิบให้หน่อยได้ไหม มือเราเลอะ”


ศุกลไม่ได้ตอบแต่เดินไปหยิบเสื้อของอีกฝ่ายแล้วช่วยสวมให้ มือใหญ่ค่อย ๆ ติดกระดุมตั้งแต่เม็ดล่างจนกระทั่งเม็ดรองสุดท้าย


“ไปล้างมือก่อนดีกว่า เดี๋ยวเราพาไป” พูดจบร่างสูงก็เดินนำไปยังอ่างล้างมือริมหน้าต่าง...


“ใครวะ นายรู้จักไหม”


นภธรณ์ที่ยืนเกาะกรอบประตูเอ่ยขึ้นขณะมองตามสองคนที่กำลังเดินไปยังอ่างน้ำ


“เห็นพี่พีบอกว่าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนะ แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจะเห็นโผล่มาที่นี่” ธีร์ทัศน์ว่าพลางเหลียวหลังเห็นเอกรงค์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพอดี


“ธร มือเลอะแบบนั้นจับรองเท้าขาว ๆ ก็เปื้อนหมดน่ะครับ” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าว


“ผมยังไม่ได้ล้างมือครับ จะมาเรียกพี่ทัศน์ไปดูผลงานที่ปั้น พอดีเชือกมันหลุด”


ธีรทัศน์ก้มลงมองตามเสียงพบว่าน้องชายกำลังก้มผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ เขาจึงย่อตัวลงแล้วจัดการผูกให้


“ขอบคุณครับพี่ทัศน์”


“ไปล้างมือสิธร” จู่ ๆ นภธรณ์ก็เอ่ยขึ้น “ไปล้างข้างในโน้น” ว่าแล้วก็บุ้ยปากไปอีกทาง


“ไปล้างห้องปั้นก็ได้ครับ ธรยังปั้นไม่เสร็จเลย”


“ล้างตอนนี้นี่แหละ มา! พี่พาไป” พูดจบเด็กหนุ่มก็รั้งแขนเล็กให้เดินเข้าไปด้วยกัน เมื่อถึงอ่างน้ำก็เปิดก๊อกก่อนจะจับมือน้อง...


“พ...พี่นอฟ ก๊อก...” เด็กชายเหลียวมองคนตัวสูงกว่าที่ยืนซ้อนหลัง ยึดหัวไหล่แล้วหมุนตัวเขาไปคนละทิศกับก๊อกน้ำ “อยู่ น...นี่...” ยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกได้ถึงแรงดันจากมือใหญ่ ธีร์ธรเงยหน้าขึ้นสบตาคนเจ้าแผนการเป็นเชิงขอร้อง วันนี้เขาไม่อยากถูกมองว่าเป็นตัวสร้างปัญหาติดต่อกันเป็นวันที่สอง


เด็กชายตัวจ้อยพยายามขืนร่างไม่ยอมไปตามแรงง่าย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่สองมือซึ่งมีแต่คราบดินเกรอะกรังประทับลงไปบนชายเสื้อของชายหนุ่มแปลกหน้าเข้าเสียแล้ว


"พี่นอฟ!!!" ธีร์ธรร้องเสียงหลง


“ธร!!!” ทั้งเอกรงค์ ธีรทัศน์ หรือแม้แต่ศุกล ต่างร้องขึ้นพร้อมกัน


“ผ...ผมขอโทษครับ” เด็กชายก้มหน้าสำนึกในความผิด


“เดินสะดุดเชือกผูกรองเท้าละสิ” นภธรณ์เอ่ยขึ้นก่อนจะอาศัยจังหวะนั่งลงรั้งเชือกรองเท้าของเด็กชายออกแล้วผูกใหม่ ดูไม่ค่อยเนียนสักเท่าไรแต่ก็เป็นสิ่งที่พอจะทำได้ในตอนนี้


“ไม่เป็นไรครับ” เป็นรัตติเขตที่เอ่ยขึ้นก่อนจะเอื้อมมือหมุนปิดก๊อกน้ำตรงหน้าของตนเอง


“ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปข้างบนก่อน เดี๋ยวเราหาเสื้อให้เปลี่ยน” ศุกลกล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันมาบอกเด็กชาย “ไม่เป็นไรครับธร รีบล้างมือเถอะ”


“ครับ” เด็กชายรับคำเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองค้อนตัวต้นเหตุที่กำลังยืนขึ้น อยากจะปลดเขาออกจากตำแหน่งพี่ชายสุดเจ๋งเสียเดี๋ยวนี้


ธีร์ทัศน์รอน้องล้างมือจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยจึงกล่าว “เอ่อ...ผมพาน้องไปเก็บของก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็กระตุกมือเพื่อนที่ยังคงยืนอึ้งเมื่อเห็นว่าแผนก้างขวางคอที่ตนเองคิดได้สด ๆ กลับเป็นการยืดเวลาให้สองหนุ่มได้อยู่ด้วยกัน “นอฟ ไปเถอะ นัดกันว่าจะไปดูหนังไม่ใช่เหรอ”


นภธรณ์หันขวับจ้องหน้าคนที่กำลังขยิบตาให้ “อ...เอ้อ ใช่ ๆ” พูดพลางหันไปหาเอกรงค์ “วันนี้ผมกลับเองนะพ่อ ขอโทษทีที่ไม่ได้โทรบอก นัดกับทัศน์ไว้จะไปดูหนังน่ะ”


กุมารแพทย์หนุ่มพยักหน้าส่ง ๆ หากอยู่ในช่วงเวลาปกติเขาคงได้เทศนาเสียกัณฑ์ใหญ่โทษฐานที่อีกฝ่ายทำให้เสียเวลา แต่ตอนนี้มีเรื่องอย่างอื่นให้ต้องสนใจมากกว่าเขาจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านไป


ตามคมมองตามเแผ่นหลังของสองคนที่เดินตามกันออกจากห้องเพื่อไปเปลี่ยนชุด ริมฝีปากขยับคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง เมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดีและเพราะเป็นสายจากโรงพยาบาลเขาจึงรีบกดรับ “ได้… เดี๋ยวพี่ไป” ตอบสั้นๆ แล้วกดวางสายก็พอดีกับที่ร่างสูงเดินไปลับสายตา


เอกรงค์ถอนหายใจทิ้งแรงๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถทั้งที่ยังไม่ได้คุยอะไรกับคนที่อยากเจอหน้าเลยสักประโยคเดียว


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-11-2016 13:08:40
(ต่อค่ะ)


พีระและรัตติเขตกลับไปแล้วตั้งแต่เมื่อตอนหัวค่ำ ส่วนนักเรียนคนอื่น ๆ ก็กลับไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงคาดิลแลคสีดำที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาจอดเมื่อนาทีก่อน ไฟหน้าแกลเลอรีดับลง เป็นสัญญาณบอกให้คนผ่านมาผ่านไปได้ทราบว่าขณะนี้ถึงเวลาปิดทำการของ Light & Shade แล้ว แต่เจ้าของรถก็ยังรั้นที่จะเปิดประตูลงมา


“ลืมอะไรหรือเปล่าครับ” ศุกลเอ่ยเมื่อเอกรงค์เดินเข้ามาในห้องเรียนวาดเส้นที่ขณะนี้โต๊ะเก้าอี้ถูกจัดคืนที่เป็นระเบียบเรียบร้อย เฟรมสีน้ำมันที่คุณลุงเจ้าของร้านเครื่องเขียนเอามาส่งเมื่อวันก่อนถูกแก้เชือกออกแล้วใส่ไว้ในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่แบบมีหูหิ้ว ข้างในยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ อีกทั้งพู่กันและจานผสมสี มันถูกเตรียมไว้ราวกับรอการเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่ง
กุมารแพทย์หนุ่มยังคงปั้นหน้านิ่งมองดูชายหนุ่มที่กำลังใช้พู่กันเกลี่ยสีฟ้าลงบนผืนผ้าใบขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กบนขาตั้งที่ถูกระบายด้วยสีน้ำเงินเอาไว้ก่อนแล้ว


“ลืมว่าวันนี้ยังไม่ได้คุยกับติ๊นเลย” พูดจบก็ลากเก้าอี้แบบมีล้อมานั่งข้าง ๆ


“เรื่องอะไรเหรอครับ”


“ต้องมีหัวเรื่องด้วยเหรอถึงจะคุยได้” กุมารแพทย์หนุ่มถามเสียงห้วน


คนฟังอมยิ้มก่อนจะวางพู่กันลง “ก็ไม่ขนาดนั้น” ส่ายหัวน้อย ๆ แล้วกล่าวต่อ “ดูเครียด ๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ลองวาดรูปไหมจะได้หาย”


เอกรงค์มุ่นคิ้วจ้องมองพู่กันในมือของคนที่ไม่รู้เอาเสียว่าวันนี้ก่อเรื่องอะไรให้หัวใจของเขาต้องร้อนรุ่มบ้าง กุมารแพทย์หนุ่มคว้าของที่อีกฝ่ายส่งให้มาถือไว้อย่างเสียไม่ได้ ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็เอื้อมมือดึงเก้าอี้ที่เขานั่งไปจนชิด


“เข้ามาใกล้ ๆ สิครับ นั่งห่างขนาดนั้นเมื่อยแย่”


“วาดรูปอะไร” คุณหมอถามเสียงห้วน ตาทอดมองรอยดินสอจาง ๆ บนผืนผ้าใบ


“ทะเลตอนกลางคืนครับ ปลายเดือนเราจะพาเด็ก ๆ ไปออกค่ายที่ทะเลกัน ก็เลยนึกอยากวาดทะเลขึ้นมา”


คนที่ไม่ค่อยจะเข้าใจศิลปะสักเท่าไรพยักหน้าก่อนจะ ‘ทิ่ม’ พู่กันลงบนผ้าใบแล้วลากขึ้นลงราวกับกำลังทาสีฝาบ้าน แต่ว่ากันตามจริงช่างทาสีฝาบ้านยังทำได้พลิ้วกว่านี้หลายขุมนัก


“ระบายได้ห่วยแตกมาก” ศุกลพูดกลั้วหัวเราะ


คำพูดคุ้นหูนี้เล่นเอาคนฟังหางคิ้วกระตุก เข้าใจทันทีว่าทางใครก็ทางใคร ศาสตร์ใครก็ศาสตร์มันขึ้นมาทันที


“สอนหน่อยระบายยังไง” เอกรงค์นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ถามไปแบบนั้น ไม่รู้ว่าอารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อสักครู่หายไปไหนหมด สงสัยจะจริงอย่างที่จิตรกรหนุ่มเคยบอกว่าศิลปะเป็นเสมือนเครื่องบำบัดช่วยทำให้ใจเย็นลงได้… หรือบางทีอาจเป็นแค่เพราะได้เห็นว่าในสายตาของคนตรงหน้ากลับมามีเขาอยู่ในนั้นอีกครั้ง


“แบบนี้ครับ” พูดจบศุกลก็ขยับเข้านั่งซ้อนหลังแล้วจับมืออีกฝ่ายให้ลากปลายพู่กันไปบนระนาบผ้าใบในแนวขวางโดยเกลี่ยรอยต่อระหว่างสีน้ำเงินและสีฟ้าให้กลืนกัน เมื่อผ่านไปได้เกือบครึ่งของพื้นที่จึงเอ่ยขึ้น “เราจะไล่สีจากเข้มลงมาอ่อน ทีนี้ก็แตะสีขาวเกลี่ยลงไปบ้าง”


คุณหมอที่ดูจะอารมณ์เย็นขึ้นทำตามที่ว่าโดยการแตะปลายพู่กันกับสีขาวในจานสีก่อนจะเกลี่ยต่อลงมาจากสีฟ้าที่ระบายไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำได้ดีขึ้นจึงปล่อยมือ


“อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง” จู่ ๆ คนสอนก็พูดขึ้นที่ข้างหู


กุมารแพทย์หนุ่มหยุดมือก่อนจะปรายตาเจ้าของคางมนที่พาดลงมาบนบ่า “รู้ด้วยเหรอว่าผมเป็นอะไร”


“ผมไม่รู้หรอก จริง ๆ ไม่กล้าเดามากกว่า เดี๋ยวโมหาว่าผมเข้าข้างตัวเอง”


เอกรงค์มองปลายพู่กันที่ยังคงทำหน้าที่ของมันด้วยจังหวะเนิบ ๆ หากแต่กล้ามเนื้อใต้อกเสื้อของเขาในขณะนี้กลับบีบตัวเร็วแรงจนแทบควบคุมไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแสนอุ่นที่เอวทั้งสองข้าง


“ก็ลองเดามาสิ” เป็นประโยคบอกเล่ากึ่งออกคำสั่ง


“มีรางวัลไหม”


“ว่าไงนะ”


“ถ้าผมเดาถูก โมจะให้อะไรเป็นรางวัล”


คนอายุมากกว่าไม่ได้ตอบ นั่นเพราะลมหายใจอุ่นที่เป่ารดลงมาบนผิวแก้มทำให้ให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว


“เดาว่าหึง” ศุกลกดยิ้มมุมปากเมื่ออีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ นิ่งไปพร้อมกับมือที่จับพู่กัน “ถูกหรือเปล่า”


กุมารแพทย์หนุ่มเอี้ยวตัวหนีในขณะปากยังพร่ำบ่น “แบบนี้แล้วยังกล้าถามหารางวัล”


“แสดงว่าถูก” จิตรกรหนุ่มคลี่ยิ้มมากกว่าเก่า มองใบหูเจือสีแดงที่ผมเส้นเล็กไม่อาจซ่อนมันพ้นสายตาได้ “ถ้าหึง วันหลังโมมาเป็นแบบให้ผมไหม”


“ให้มาโชว์หุ่นต่อหน้าเด็ก ๆ น่ะเหรอ”


“ใช่”


“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวสาว ๆ แถวหน้าไม่มีสมาธิวาดรูปกันพอดี”


“มัวแต่ชวนกันดูพุงหมอโม?”


“กล้ามต่างหาก”


“กล้ามหรือก้าง ผอมจะแย่แล้ว เดี๋ยวผมไปหาอะไรให้กินดีกว่า” พูดจบศุกลก็ลุกขึ้น


“เดี๋ยว” เอกรงค์ว่าพลางลุกตามก่อนจะวาดแขนทั้งสองข้างเกี่ยวยึดคอแกร่งเอาไว้พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “แก้ผ้าต่อหน้าเด็ก ๆ น่ะผมไม่กล้า แต่ถ้าอยู่กันสองคนแล้วติ๊นแก้ด้วยผมก็ว่าแฟร์นะ”


“ไม่ต้องพูดแล้ว” จิตรกรหนุ่มยิ้มกริ่ม ใช้มือทั้งสองข้างยึดสะโพกคนช่างพูดเอาไว้หลวม ๆ “ผมไม่ชอบฟังทฤษฎี”


สิ้นเสียงนั้น กุมารแพทย์หนุ่มก็กำด้ามพู่กันแน่นเมื่อจู่ ๆ ริมฝีปากก็ถูกครอบครองด้วยจุมพิตแสนหวาน เนื้อปากบางถูกดูดดึงเบา ๆ จนขึ้นสีแดงระเรื่อ ศุกลไม่ได้เร่งรัดหรือรีบร้อน กลับกัน...รสจูบของเขาช่างเนิบนาบเชื่องช้าแต่แฝงด้วยความร้อนแรงเสียจนเอกรงค์แทบใจขาดยามที่กลีบปากจำต้องผละออกจากกันเพื่อกอบโกยอากาศ


แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็เหมือนมีแรงดึงดูดให้ผิวเนื้อกลับมาแนบชิดบดเบียดกันครั้งแล้วครั่งเล่า จนให้อดคิดไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังจะใช้จุมพิตอันดูดดื่มนี้ชดเชยช่วงเวลายาวนานที่ต้องไกลกันหรือไร และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...เอกรงค์ก็พร้อมจะตอบรับรสสัมผัสให้ลึกซึ้งเพื่อตอกย้ำว่านับจากนี้จะไม่ห่างไปไหนอีก หากสิ่งที่ศุกลประทับใจในตัวเขาคือรอยยิ้มเมื่อวันแรกที่ได้พบกันแล้วละก็ สำหรับเขา...จิตรกรหนุ่มผู้นี้ก็ได้มอบจูบแรกที่ยากจะลืมเลือนให้เช่นกัน...


เสียงหอบถี่และความฉ่ำหวานในโพรงปากทำให้ศุกลเผลอคลึงเคล้นที่สะโพกแน่นก่อนจะสอดมือเข้าลูบไล้ผิวอุ่นใต้ชายเสื้อเชิ้ตเนื้อดี ค่อย ๆ ลากวนขึ้นมากระทั่งถึงกลางแผ่นหลังของคนในอ้อมแขน ชายเสื้อที่ร่นขึ้นและผิวสัมผัสหยาบกร้านหากแต่อ่อนโยนนั้นส่งผลให้เรี่ยวแรงที่เคยมีเหือดหายจนนายแพทย์เอกรงค์จำต้องปล่อยพู่กันตกลงสู่พื้น สองแขนโอบกระชับรอบคอของอีกฝ่ายแน่นขึ้นส่วนหนึ่งก็เพื่อประคองร่างกายอันอ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งรนไฟไม่ให้ต้องลงไปกองอยู่แทบเท้าของชายผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความหวามไหวนี้ และก่อนที่สมองจะปราชัยให้แก่เสียงเรียกร้องในหัวใจกุมารแพทย์หนุ่มก็เลื่อนมือขึ้นประคองสองแก้มของคนอายุน้อยกว่าเอาไว้


พยายามข่มใจจนในที่สุดก็สามารถละจากริมฝีปากมีมนต์ได้ แต่ถึงกระนั้นศุกลก็ไม่ยอมหยุด ยังคงแตะจูบซ้ำ ๆ บนซอกคอขาวบางช่วงบางตอนก็ดูดเม้มเบา ๆ จนเจ้าของลำคอระหงอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะทิ้งร่องรอยแห่งการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเอาไว้ให้อวดสายตาคนอื่นหรือไม่


“ต...ตรงนี้ ไม่...ได้ ต...ติ๊น...พ...พอก่อน” เอกรงค์ได้ยินเสียงตนเองขาดหายเป็นห้วง ๆ ก็ให้รู้สึกร้อนไปทั้งสองแก้ม ทั้งที่เป็นเริ่มก่อนแท้ ๆ แต่สุดท้ายกลับถูกต้อนให้จนอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเสียได้ สองมือเลื่อนลงเกาะบ่าหนาเอาไว้ พร้อมกับออกแรงต้านเล็กน้อยเพื่อสนับสนุนคำพูดของตนเอง       


“ถ้าตรงนี้ไม่ได้ก็ไปในห้องนอนไหมครับ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”


ศุกลยิ้มให้พลางแตะปลายจมูกลงบนพวงแก้มนิ่มแล้วขยับมากระซิบพร่าชิดใบหู “ยั่วกันแล้วจู่ ๆ จะทิ้งไปเฉย ๆ แบบนี้เหรอ หรือว่ามีแผนการอะไรบอกมาเสียดี ๆ” แกล้งกดคมฟันลงบนผิวเนื้ออ่อนด้วยความมันเขี้ยว


เอกรงค์ครางฮือก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ด้วยความจั๊กจี้ เลื่อนหน้าห่างออกมาสบตายอมรับอย่างดุษณี “ก็แค่อยากรู้ว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่า”


“แล้วรู้หรือยังครับว่าคิดเหมือนกันไหม”


“อื้อ รู้แล้ว”


“รู้ว่าอะไร” พูดจบสองแขนแกร่งก็เลื่อนลงคล้องเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ นัยน์ตาสีดำสนิททอดตามองริมฝีปากยวนใจที่กำลังจะตอบข้อสงสัย


“ก...ก็รู้ว่าติ๊นคิดอะไร”


“แล้วเหมือนกันกับที่โมคิดหรือเปล่าครับ” ศุกลจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ราวกับจะค้นหาคำตอบให้ได้ก่อนที่คนตรงหน้าจะคิดหาทางหลีกเลี่ยงได้สำเร็จ แต่ผิดคาดเมื่อคุณหมอหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ


“ถ้าอย่างนั้นทำไมเรา...” คนอายุน้อยกว่าเว้นจังหวะ กลืนน้ำลายลงคอ ยอมรับว่ามันยากที่จะพูดออกมาตรง ๆ


“ย...ยังไม่ใช่วันนี้”


ประโยคนั้นทำเอาคนฟังยิ้มกว้าง ศุกลกระชับวงแขนจนสองร่างแนบชิด “ถ้าอย่างนั้นผมให้เวลาโมเตรียมตัวอีกสองสัปดาห์ ปลายเดือนนี้ไปทะเลกับพวกเด็ก ๆ กันนะ แล้วค่อยไปว่ากันต่อที่นั่น”


“ถามหรือยังว่าอยากไปด้วยหรือเปล่า”


“ไม่ถาม เพราะผมอยากให้โมไป ไปด้วยกันนะครับ” ว่าแล้วก็เตรียมจะขอคำมั่นสัญญาจากแก้มขาวสักฟอดแต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยปลายนิ้วของคนอายุมากกว่า


“ไม่รับปากนะ ไม่รู้ว่าจะแลกเวรได้หรือเปล่า” เอกรงค์กล่าวอย่างไว้เชิง แต่ในใจกลับนึกถึงกางเกงว่ายน้ำตัวเก่งกับแว่นกันแดดที่ไม่ได้หยิบออกมาใส่เสียนาน...



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 11-11-2016 13:28:34
ทะเลต้องหวานแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-11-2016 14:21:44
ใครมาเห็นฉันตอนนี้เขาคงคิดว่า นี่คนสติไม่ดี

นั่งยิ้ม กัดปาก หน้าแดง แถมทึ้งผมตัวเองเบา ๆ

วั๊ย! เขินระดับ 10

ละมุนกับใจเหลือเกิน
หมอไร่อ้อยกับจิตรกรสายยั่ว
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 11-11-2016 15:58:21
โว่ววววว ๆๆๆๆๆ เห็นนุ่มๆ ซอฟๆ ก็ไม่ใช่ไม่เป็นงานนะคร้าคุณจิตรกรรรร   555555  :laugh:

ไม่แน่ใจไปได้ไหม? แต่คิดไปถึงของที่ต้องเตรียมไปแล้ว เอิ่มมมม คุณหมอคร้าาาา ไม่เอา ไม่ปากแข็งน้าาา 55555

ขอบคุณคร่าาา
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-11-2016 16:25:27
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 11-11-2016 16:31:00
มันต้องอย่างนี้สิพี่ติ๊น!!!!!!
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-11-2016 18:41:57
โอ้ยยยยยย ลุ้นไปอี๊กกกกก
รอวันไปทะเล คึคึ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 11-11-2016 20:31:26
อ้าววววว หมอโมสายอ้อย กลายเป็นสายอ่อยไปแล้ว โดนรุกกลับ 5555
ไปยั่วเขาดีนัก พอเขาเล่นด้วย เขินซะงั้น  :hao7:

ครูติ๊นแอบเจ้าเล่ห์ ทำเขินทำเอียงทำอาย ที่ไหนได้ ร้ายนะคะ  :hao3:

ไปทะเลที่ไหนคะครูติ๊น  เสม็ดหรือเปล่าาาาา  :hao6:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 11-11-2016 21:14:26
หวานมาก  ประชิดรักกันไวมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-11-2016 02:01:02
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-11-2016 05:32:51
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 12-11-2016 09:47:55
อ้อยพอกันแบบนี้ คงคืบหน้าในเร็ววัน สมกับที่แก๊งเด็กๆอุตส่าห์วางแผนเชียร์
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 12-11-2016 12:27:07
ลงชื่อติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Tukkk ที่ 12-11-2016 12:53:59
ชอบบบบบ.  :o8:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-11-2016 16:33:10
เรื่องน่ารักมากจริงๆ อ่านห้าตอนรวดอิ่มใจเลยครับ
เพิ่งรู้ว่าชื่อคนแกะสลักเดวิดออกเสียงว่ามิเกลันเจโล อ่านผิดมาทั้งชีวิต 555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-11-2016 19:38:09
ชอบมากเลยค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 13-11-2016 21:54:07
อ้าว ๆ โผพลิกอีกละ พี่ติ๊นมันร้าย ไม่ได้ใสซื่อเลยเหอะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 13-11-2016 22:49:22
อ่านแล้วยิ้มแก้มแตกค่ะะ
แอบเชียร์คู่ตัวแสบด้วยค่ะ :katai3:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 14-11-2016 14:41:06
ใครว่าพี่ติ๊นเป็นฤาษี
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 15-11-2016 02:16:34
น่าสนใจน่าติดตามตามมาจาก Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ  :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 5 จูบแรก (11-11-2559) p.2 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 18-11-2016 23:19:48
ตอนยังทำตัวไม่ถูกพี่ติ๊นก็ดูพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง แต่พอเจอทางเท่านั้นล่ะ พี่ติ๊นรุกไว๊ไวเนอะ

หมอโมก็ชัดเจนเสมอเลย...ชอบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 24-11-2016 01:00:27
ตอนที่ 6 I , sea , U


เมื่อถึงคราวที่รอคอยอะไรสักอย่างเวลาก็เหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าแกนโลกมันหยุดหมุนไปเสียแล้ว...


นับจากวันแลกจูบแรกให้แก่กันและกันก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว และเป็นสองสัปดาห์ที่ศุกลทรมานยิ่งกว่าการรอคอยครั้งไหนๆ เพราะเขาแทบติดต่อกับเอกรงค์ไม่ได้เลย ดูเหมือนจู่ๆ อีกฝ่ายก็ยุ่งขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่มีแม้โทรศัพท์หรือข้อความมาหา โทรไปกว่าจะรับก็รอจนสายเกือบตัดแถมยังรีบรับรีบวาง ทั้งยังไม่มารับส่งนภธรณ์เหมือนอย่างเคย ครั้นไปถามเอากับเด็กหนุ่มก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ท่าเดียวและไม่มีคำอธิบายใดๆ อีก จนเขาเริ่มหวั่นใจว่าคืนนั้นทำอะไรให้ไม่ถูกใจหรือเปล่า แต่หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายครั้งก็พบว่าไม่น่าใช่เพราะตอนนั้นเอกรงค์เป็นฝ่ายเริ่มก่อนและหลังจากจูบกันก็แสดงท่าทีพอใจอยู่ไม่น้อย


“หรือว่ามีคนใหม่”


ทันทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัว จิตรกรหนุ่มก็อยากจะเอาหัวโขกเฟรมผ้าใบให้รู้แล้วรู้รอดที่กล้าคิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้ ไม่มีทางที่เอกรงค์จะนอกใจเขา เว้นเสียแต่ว่า… เขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้น…


ร่างสูงลุกพรวดขึ้นทันทีพร้อมกับคว้ากุญแจรถตั้งใจจะไปหาที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่เดินไปถึงแค่หน้าประตูก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่รู้ว่าบ้านเอกรงค์อยู่ที่ไหน ที่ทำงานก็เคยไปหาแค่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่เจอกันจะเป็นอีกฝ่ายที่มาหาอย่างสม่ำเสมอ ศุกลยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่คนปลายสายปล่อยให้รอจนสัญญาณตัดไป


ศุกลมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆ ดับลง ก่อนจะเบนสายตาไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะที่เขาวงกลมทับวันที่จะพาเด็กๆ ไปออกค่ายไว้ จนแล้วจนรอดเอกรงค์ก็ไม่ยอมตบปากรับคำว่าจะไปด้วย กระทั่งปลายสัปดาห์ที่แล้วที่เขาตื๊อถาม ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตอบตกลง เพียงแค่ผ่านค่ำคืนนี้ไปก็จะถึงวันนัด ฟันกัดริมฝีปากจนช้ำ ในใจคิดจะให้โอกาสอีกวัน… แค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าหากพรุ่งนี้เอกรงค์ไม่มา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไปตามให้ได้


เช้าวันรุ่งขึ้นอาจารย์ทั้งสามคนของ Light&shade ก็มายืนเช็กชื่อนักเรียน เตรียมข้าวของขึ้นรถบัสปรับอากาศลายตัวการ์ตูนมินเนี่ยนหน้าตาตลก แต่คนที่ยืนอยู่ข้างรถนั้นดูจะไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย


“เป็นอะไรวะติ๊น” ภาดลถามพลางใช้ข้อศอกสะกิด “ท้องผูกขี้ไม่ออกหรือไงวะ ยิ้มหน่อยสิเด็กๆ กลัวหมดแล้ว”


“นั่นสิ แป๊บๆ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เดี๋ยวก็ดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ” พีระให้ข้อสนับสนุน “มีอะไรหรือเปล่าวะ”


“ก็… ก็นี่ใกล้เวลารถออกแล้วเจ้านอฟยังไม่มาเลย ฉันก็เลยเป็นห่วง” ศุกลตอบและนั่นเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง


“หรือว่าจะไม่มาแล้ว” ข้อสันนิษฐานของภาดลทำเอาหัวใจของคนรอร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม จนกระทั่งธีร์ทัศน์ที่เพิ่งก้าวขึ้นรถเหลียวกลับมาบอกข่าว


“นอฟมันตื่นสายครับ ป๊ากำลังขับรถมาส่ง มันเพิ่งโทรบอกผมตะกี้นี้เอง”


“อ้อ” เพียงเท่านั้นจิตรกรหนุ่มก็ค่อยใจชื้นขึ้น แม้จะยังแอบติดใจเล็กๆ ว่าทำไมวันนี้ธีร์ทัศน์ถึงเรียกคนที่มาส่งนภธรณ์ว่า ‘ป๊า’ ก็ตาม


สิบห้านาทีต่อมารถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์เจ็ดสีดำสนิทราวกับห้วงรัตติกาลก็แล่นปราดเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตู สร้างเสียงฮือฮาให้เด็กๆ ที่อยู่บนรถ กรูกันมาเกาะหน้าต่างดูด้วยไม่เคยเห็นยนตกรรมที่สวยหรูขนาดนี้มาก่อน


ศุกลมองเพื่อนทั้งสองซึ่งส่ายหน้าพร้อมกันเป็นเชิงไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน และในขณะที่กำลังถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นของผู้ปกครองเด็กคนไหน ประตูรถก็เปิดออกพร้อมกับที่ลูกชายเจ้าของรถก้าวลงมา


เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายดอกชบาสีแดงสดใสกับกางเกงขาสามส่วน บนสันจมูกโด่งวางแว่นกันแดดแบรนด์ดังไว้อย่างเหมาะเจาะ


“เท่มากเลยหัวหน้า”


เสียงธีร์ธรตะโกนลงมาจากรถพร้อมกับเป่าปากเชียร์ นภธรณ์จึงยกมือโบกให้ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าเป้บนเบาะยกขึ้นพาดบ่าแล้วหยุดค้างไปหนึ่งจังหวะ ทำราวกับตนเป็นนายแบบในชุดฤดูร้อนและถนนปูนหน้าแกลเลอรีนั้นเป็นแคทวอร์คก็ไม่ปาน


“ปัญญาอ่อน” ธีร์ทัศน์ที่นั่งมองมาจากบนรถพึมพำพลางเหล่ตามองดูน้องชายของตนที่ทำตาเป็นประกายวิบวับเมื่อเห็นไอดอลของตน


“ขอโทษครับที่มาช้า” นภธรณ์บอกพลางยกมือสวัสดีคนอายุมากกว่าทั้งสาม


“ล… แล้ว…” ศุกลถามยังไม่ทันจบประโยคประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออกพร้อมกับที่ใครคนหนึ่งก้าวลงมา หากนั่นก็ยังไม่ใช่คนที่สายตามองหา แต่กลับเป็นชายหนุ่มตัวสูงไหล่กว้างผึ่งผายรับกับเอวสอบ ถึงจะสวมเสื้อเชิ้ตเนื้อดีทับด้วยเสื้อสูทตัวหนาหากก็พอจะเห็นความหนั่นแน่นของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ตรงช่วงแขนและอก เขาเดินไปเปิดประตูรถตอนหลังและยื่นมือเข้าไปดึงแขนใครอีกคนลงมา


“ถึงแล้วโม ตื่นเถอะ”


“พ่ออยู่นั่นไง” นภธรณ์บุ้ยใบ้กับศุกลที่ยืนมองอยู่


“ขอบใจนะที่มาส่ง” คนที่เพิ่งลืมตาตื่นบอก มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้ตาให้สว่างพลางก้าวลงมายืนข้างรถ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำทะเลไล่ระดับจากสีอ่อนตรงช่วงปกไปจนเข้มที่ชายเสื้อเหมือนภาพที่ศุกลวาดไว้ไม่มีผิด กางเกงขายาวเรียบร้อยที่เคยเห็นสวมใส่อยู่เสมอถูกเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลเหมือนผืนทรายกับรองเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมง ดูท่ากุมารแพทย์หนุ่มจะใส่ใจกับการไปออกค่ายวันนี้เป็นพิเศษ จนทำให้หัวใจของคนที่มองอยู่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ดูจะใส่ใจมากเกินไป… มากจนศุกลเริ่มไม่สบอารมณ์นั่นก็คือผู้ชายมาดเท่คนนั้นที่โอบเอวโอบไหล่เอกรงค์ด้วยความห่วงใยราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ


“กลับวันอาทิตย์เย็นใช่ไหม เดี๋ยวมารับนะ” บอกพลางใช้มือเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าจนเข้าที่ก่อนจะช่วยหยิบกระเป๋าส่งให้สะพายขึ้นหลัง


“ขอบคุณนะโป้” เอกรงค์กล่าว พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ยืนรออยู่ความง่วงงุนจากการอดนอนเพราะเข้าเวรติดกันมาหลายวันก็ปลิวหายไปกับสายลม รอยยิ้มกว้างกระจายเต็มหน้าจนคนที่ยืนอยู่ข้างกันสังเกตเห็นและอดที่จะมองตามไม่ได้ ทันทีที่เห็นสายตาซึ่งจ้องเขม็งมาด้วยความไม่พอใจ ปรเมษฐ์ก็เข้าใจทุกสิ่งอย่าง เขาเอื้อมมือไปคว้าไหล่คนตัวเล็กกว่าที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถให้หันกลับมาและหอมเข้าที่แก้มฟอดใหญ่ “เดินทางดีๆ แล้วอย่าลืมของฝากล่ะ ‘คุณพ่อน้องนอฟ’” ท้ายประโยคที่จงใจเน้นเป็นพิเศษทำให้คนที่แอบฟังอยู่เม้มริมฝีปากแน่น


“เออ” เอกรงค์รับคำพร้อมกับขืนตัวออกห่าง มุ่นคิ้วด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่าวันนี้เพื่อนรักจะมามุกไหน


ในขณะที่ปรเมษฐ์หยักยิ้มมุมปากอย่างพึงใจที่ทำให้ใครบางคนควันออกหูได้ เขายังคงทำเป็นลอยหน้าลอยตาแกล้งจัดผมจับปกเสื้อให้เอกรงค์เพื่อกวนน้ำให้ขุ่นยิ่งขึ้นไปอีก “ฉันฝากดูแลนอฟด้วยนะโม”


“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วน่า” เอกรงค์โบกมือลาเพื่อนรักและยืนรอจนกระทั่งรถหรูแล่นออกไปจึงเดินมาขึ้นรถ กำลังจะเอ่ยปากทักคนที่ไม่ได้เห็นหน้าเสียหลายวัน หากแต่ศุกลกลับหันหลังหนี ก้มๆ เงยๆ เช็กของที่ต้องเอาไปด้วยอีกครั้งให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรตกหล่น


คุณหมอยังรีรออยู่อีกหลายนาที แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จง่ายๆ เขาจึงจำใจเดินขึ้นรถไปก่อน


“นั่นเหรอป๊านาย” ธีร์ทัศน์ถามเพื่อนที่เพิ่งเดินมาขึ้นรถ “เท่เป็นบ้าเลย ไหนเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นหมอไง โกหกหรือเปล่า ฉันนึกว่าบอสใหญ่ของบริษัทไหนเสียอีก”


“บอสเบิ๊ดอะไรล่ะ ป๊าฉันเป็นหมอสูติฯ ธรรมดาๆ ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับพ่อโมนั่นแหละ” นภธรณ์ถอดแว่นกันแดดออกเสียบตรงปกเสื้อพลางมองหาที่นั่งซึ่งยังพอมีเหลืออีกหลายที่ตรงด้านหลัง เพราะพีระซึ่งเป็นธุระจัดการเรื่องการเดินทางเลือกรถมินิบัสขนาด 20 ที่นั่งทั้งที่มีเด็กๆ ไปกัน 13 คนกับผู้ใหญ่อีก 4 คนเพื่อให้นั่งกันสบายๆ และเผื่อซื้อของฝากขากลับ


“แล้วก็เป็นคนที่ผ่าตัดทำคลอดให้เจ้าตัวแสบนี่ด้วย” เอกรงค์ที่เดินผ่านมาพอดีบอกทั้งรอยยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นโยกศีรษะของธีร์ธรอย่างเอ็นดู


“จริงเหรอครับ” เด็กชายตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ยิ่งเป็นปลื้มลูกพี่มากขึ้นอีก นั่นเพราะเป็นนภธรณ์เป็นลูกชายของนายแพทย์ที่ทำคลอดตนเอง รู้แบบนี้แล้วยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเท่เป็นบ้า


“เขาชื่อหมอปรเมษฐ์ ชื่อเล่นปีโป้น่ะ” คนรู้ดีที่สุดให้ข้อมูลเพิ่ม “ถ้าไม่เชื่อธรก็ลองโทรถามคุณแม่ดูก็ได้”


ศุกลขึ้นรถมาเป็นคนสุดท้าย เขาส่งสัญญาณบอกคนขับให้ปิดประตูก่อนจะมาหยุดยืนตรงกลางทางเดินค่อนมาทางด้านหน้ารถพร้อมกับตบมือสามครั้งเรียกความสนใจจากเด็กๆ ซึ่งกำลังคุยกันเสียงดังลั่น “เอาล่ะทุกคนรถจะออกแล้วพร้อมกันหรือยังครับ”


“พร้อมแล้วครับ/ค่ะ” เด็กๆ หันมาตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน


“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งประจำที่ให้เรียบร้อยนะครับ เรากำลังจะมุ่งหน้าไปสวนสนประดิพัทธ์กัน”


“เย้!”


ศุกลหันไปบอกให้คนขับเคลื่อนรถได้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมนั่งลง คอยเดินตรวจดูไปตามที่นั่งต่างๆ ว่าเด็กๆ นั่งกันเรียบร้อยดีและไม่มีใครลืมอะไร จนกระทั่งถึงตำแหน่งค่อนไปทางท้ายรถที่เอกรงค์ยังยืนคุยอยู่กับสามแสบ


“ขอโทษที่ให้รอนะติ๊นพอดีเจ้านอฟมันตื่นสาย” ด้วยความดีใจที่ได้เจอหลังจากไม่เห็นหน้ากันหลายวันเขาจึงเผลอหลุดปากเรียกชื่ออย่างสนิทสนม


“ผมรู้แล้ว เจ้านอฟบอกผมแล้ว” น้ำเสียงของศุกลยังฟังดูนุ่มทุ้มเหมือนอย่างเคยหากแต่ห้วนไปอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นเอกรงค์ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังยุ่งและเครียดกับการดูแลเด็กๆ ที่พ่อแม่ฝากฝังมามากกว่า ซึ่งเขาก็เข้าใจในจุดนั้นดีเพราะตนเองก็เป็นกุมารแพทย์


“อ้อ… แล้วติ๊น”


“เราตกลงกันแล้วนะครับว่าจะเรียกชื่อเฉพาะตอนที่อยู่ด้วยกันสองคน” ศุกลกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนก่อนจะเพิ่มเสียงขึ้น “รถกำลังจะออก รีบหาที่นั่งได้แล้วครับหมอโม” เน้นเสียงในตอนท้ายราวกับเป็นคนไม่รู้จักกันและเดินกลับไปนั่งที่เบาะตอนหน้าซึ่งเว้นว่างไว้


ถึงจะตั้งใจพูดให้ได้ยินกันแค่สองคนแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของนภธรณ์ซึ่งกำลังชะเง้อหาที่สำหรับวางกระเป๋าได้ เด็กหนุ่มถอนใจแรง นึกอยากจะตบกบาลพี่ติ๊นสักทีโทษฐานเรื่องเยอะ นี่ถ้าเป็นธีร์ทัศน์พูดแบบนี้คงได้กะโหลกเบี้ยวเพราะมือของเขาไปแล้ว กับแค่เรื่องเรียกชื่อไม่รู้ว่าจะอะไรนักหนา


เอกรงค์มองตามหลังงงๆ กำลังจะเดินตามไปง้อ นภธรณ์ก็หันมาดึงแขนเสื้อไว้เสียก่อน


“รถออกแล้ว เอาไว้แวะจุดพักรถแล้วค่อยไปเคลียร์นะกันครับ”


กุมารแพทย์หนุ่มหันไปมองคนที่ตอนนี้เห็นเพียงศีรษะโผล่พ้นขอบเบาะขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้งก่อนจะเดินตามเด็กหนุ่มไปนั่งลงตรงเบาะหลัง


“เขางอนอะไรของเขา” เอกรงค์กอดอกครุ่นคิด ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด


“คงจะเป็นเรื่องที่พ่อโมหายไปตั้งสองอาทิตย์โดยไม่บอกกันมั้งครับ” เด็กหนุ่มว่า อันที่จริงเขารู้มาตลอดว่าเอกรงค์หายไปไหน ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวห้ามไว้จึงไม่พูด “ผมบอกพ่อโมแล้วว่าให้บอกพี่ติ๊นไปตรงๆ”


คนอายุมากกว่าพยักหน้า นั่นฟังดูเข้าเค้ามากทีเดียว “ไม่เอาหรอกเรื่องอะไรจะบอกเรื่องน่าอายแบบนั้น”


นภธรณ์ถอนหายใจเป็นหนที่สอง “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจครับ ไปง้อกันเองก็แล้วกัน” พูดจบก็เสียบหูฟังเข้ากับหู เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง


เอกรงค์นั่งเอนหลังพิงพนักฟังเสียงหวานที่เครือเพลงผ่านริมฝีปากเด็กหนุ่ม ในใจคิดถึงวิธีการร้อยแปดอย่างที่จะง้อใครบางคนแล้วเขาก็เผลอหลับไปในอีกอึดใจต่อมา


กุมารแพทย์หนุ่มมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นภธรณ์สะกิดปลุกเพื่อขอทางผ่านไปเข้าห้องน้ำ เขาขยี้ตาสู้แสงตะวันที่เริ่มขึ้นสูงพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้รถมินิบัสแวะจอดที่จุดพักรถบนถนนเพชรเกษมเพื่อให้ทุกคนได้ยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำและเติมเสบียงที่ร่อยหรอให้เต็มก่อนจะยิงยาวไปถึงปลายทาง


เอกรงค์เดินลงจากรถเป็นคนสุดท้าย กวาดตามองซ้ายทีขวาทีเห็นพีระนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าร้านสะดวกซื้อจึงเดินเข้าไปหาในขณะที่อีกฝ่ายให้คำตอบพร้อมกับชี้มือโดยที่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ


“ห้องน้ำอยู่ทางโน้นครับคุณหมอ”


“ผมไม่ได้มองหาห้องน้ำครับ” เอกรงค์รีบบอก “ผมหาติ๊นอยู่น่ะ คุณเห็นเขาไหมครับ”


พีระพยักหน้าและยังคงชี้มือไปทางเดิม “หมอนั่นไปห้องน้ำครับ”


คุณหมอกล่าวขอบคุณจากนั้นจึงเดินไปตามที่บอก ระหว่างทางผ่านร้านกาแฟสดจึงแวะซื้อเอสเปรสโซเย็นมาสองแก้วเพราะเขาสังเกตว่าศุกลไม่ชอบหวาน ส่วนตัวเขาพอใจในรสชาติของคาปูชิโนที่สุดแต่ดูท่าวันนี้ปริมาณคาเฟอีนในนั้นจะไม่เพียงพอที่จะปลุกประสาทให้ตื่นจึงเปลี่ยนมากินกาแฟดำแทน พร้อมกันนั้นยังซื้อแซนด์วิซ คุกกี้และขนมปังมาอีกถุงใหญ่เพื่อเตรียมไปง้อขอคืนดี


เอกรงค์ยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าห้องน้ำระหว่างนั้นก็เช็กเสื้อผ้าหน้าผมกับกระจกรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของใครสักคนที่จอดอยู่จนมั่นใจว่าตัวเองดูดีและไม่ลืมที่จะทดสอบกลิ่นปาก แต่แล้วเขาเบะปากเล็กน้อยกับกลิ่นน้ำลายบูดของตนเองจึงรีบหยิบสเปรย์กลิ่นมินต์ที่พกติดตัวเสมอเวลาเดินทางขึ้นมาพ่นไปสองฟืดใหญ่ เมื่อได้กลิ่นที่พึงใจแล้วก็ยืนพิงเสาตั้งท่ารอ เมื่อเห็นคนตัวสูงเดินออกมาจึงรีบพุ่งเข้าไปหา


“กาแฟไหมติ๊น” ยกถุงใส่แก้วกาแฟให้ดูพร้อมกับยิ้มกว้าง


ตาคมเหลือบลงมองแก้วในมือครั้งหนึ่งก่อนจะตวัดขึ้นสบตาคนถือ “ผมยังไม่หิว คุณต่างหากที่ต้องกิน ท่าทางจะง่วงมากเห็นหลับมาตลอดทางเลยนี่ เมื่อคืนไปอดนอนทำอะไรมาล่ะครับ”


คำพูดคำจาที่ยังฟังดูห่างเหินทำให้เอกรงค์เริ่มสะกิดใจ “ติ๊นโกรธอะไรผม บอกมาสิทำปั้นปึ่งเงียบไปแบบนี้ผมง้อไม่ถูกนะ”
ศุกลหันมาเผชิญหน้า โตๆ กันแล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำตัวเหมือนเด็กๆ “เมื่อคืนผมโทรหาคุณก็ไม่รับ วันนี้จะมาช้าก็ไม่โทรบอกแถมยังให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาส่งแล้วยังมาหอมแก้มทำสวีทต่อหน้าผมอีก”


เอกรงค์อึ้งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ตอนนั้นเขายังงัวเงียอยู่แถมปรเมษฐ์ก็เคยหยอกเล่นแบบนี้หลายครั้งจึงไม่ได้สนใจ ตอนนี้รู้แล้วว่าหมอนั่นทำแบบนี้เพราะเจตนาจะแกล้งยั่วอีกคนนี่เอง คอยดูเถอะไอ้เพื่อนตัวดีกลับไปจะจัดการให้หนักเลย “โป้เป็นแค่เพื่อน ที่ทำแบบนั้นแค่แกล้งเล่น”


“แน่ใจเหรอว่าแค่แกล้ง ผมไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย”


“จริงๆ นะติ๊น ถ้าไม่เชื่อผมไปถามเจ้านอฟดูก็ได้” เอกรงค์เสียงดังขึ้นเล็กน้อย “แต่ผมว่ามันไม่จำเป็นเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะผมคือคนที่คุณควรจะเชื่อใจมากที่สุดไง”


“แล้วเรื่องหอมแก้มล่ะ”


“มันคงอยากแกล้งติ๊นนั่นแหละเพราะผมเล่าเรื่องติ๊นให้มันฟังอยู่บ่อยๆ”


“ทุกอย่างเลยเหรอ” ศุกลยกมือขึ้นกอดอก “แม้แต่เรื่องที่เราเจอกัน เรื่องที่ผมเรียกคุณว่าพ่อน้องนอฟ รวมทั้งเรื่อง… จูบ… คุณก็เล่าให้ฟังหมดเลยเหรอ”


เอกรงค์พยักหน้ายอมรับ “ฟังนะติ๊น โป้มันไม่มีทางชอบผม เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะโป้มันรักแม่เจ้านอฟมากไง”


“ก็เห็นว่าเขาทิ้งไปตั้งแต่เกิดไม่ใช่เหรอ” ศุกลยังคงหาเหตุผลมาอ้างทั้งที่แท้จริงในใจให้อภัยจนหมดแล้ว ไม่สิ! จะว่าไปเขายอมตั้งแต่เห็นมาชะเง้อคอยืนรอหน้าประตูห้องน้ำแล้ว อุตส่าห์แกล้งถ่วงเวลาล้างมือจนเปื่อยเพื่อปั้นหน้าถมึงทึงออกมาหาแต่พอเห็นหน้าจ๋อยๆ กับเสียงอ่อยๆ แล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้


“เอาอย่างนี้” เอกรงค์พูดอย่างจนใจจะอธิบาย “ติ๊นจะให้ผมง้อยังไงบอกมาเลยดีกว่า รถกำลังจะออกและกาแฟก็เริ่มละลายแล้ว หรือเราจะไปทะเลทั้งๆ ที่ยังทะเลาะกันแบบนี้”


ศุกลเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มกับแผนการที่เพิ่งคิดได้ในหัวก่อนจะพูดเสียงเรียบทว่าจริงจัง “จูบผมสิ”


“ว่าไงนะ” คนง้อตาโตขึ้นทันที


“จูบผมตรงนี้ ตอนนี้ แล้วผมจะยกโทษให้โม” คนแกล้งงอนเน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์


เอกรงค์เหลียวมองรอบกายเห็นผู้คนเดินกันขวักไขว่ก่อนจะหันกลับมาจ้องตาคนตรงหน้า “จะเอาแบบนี้ใช่ไหม? ได้!”


เพียงก้าวขาแค่ครั้งเดียวกุมารแพทย์หนุ่มก็เข้าประชิดตัวคนตัวสูง มือข้างที่ว่างยกขึ้นคว้าหลังคอพร้อมกับเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ได้องศาที่เหมาะสม ริมฝีปากของทั้งสองเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้วหากศุกลไม่เป็นฝ่ายถอยหนีไปเสียเอง


“ด… เดี๋ยวก่อน”


“อะไร!” ถึงคราวกุมารแพทย์หนุ่มเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง ศุกลจะรู้บ้างไหมว่าเขาต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนที่จะไม่มาเจอกันตั้งสองสัปดาห์ แล้วทำมาเป็นพูดดีว่าจะให้เวลาเขาเตรียมตัว คอยดูนะถ้าทำให้ถุงยางที่ซื้อมาเป็นหมัน จนลูกเจ้านอฟบวชเขาก็จะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด


ศุกลหันมองรอบตัวอย่างเลิ่กลั่กก่อนจะคว้าหมับเข้าที่มือของคนตรงหน้าดึงไปหลบตรงซอกข้างหลังห้องน้ำซึ่งดูจะปลอดคน


“ตกลงคุณจะเอายังไงกันแน่” เอกรงค์มุ่นคิ้ว ไม่ทันสังเกตว่าแก้มขาวของคนที่ทำเป็นนิ่งมาโดยตลอดเริ่มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย


จิตรกรหนุ่มใช้หัวแม่โป้งไล้วนไปรอบๆ หลังมือนุ่มที่ยังคงจับไว้ด้วยทำอะไรไม่ถูกก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม “ผมไม่คิดว่าโมจะเอาจริงนี่นา”


“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าติ๊นจะล้อผมเล่นแบบนี้” เอกรงค์ว่า “ทำเจ้าแง่แสนงอนเป็นเด็กไปได้ แล้วก็บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็ก หืมมม?”


ปลายเสียงที่ลากจนหวานทำให้คนฟังหลุดยิ้มออกมาในที่สุด “เชื่อแล้วครับว่าปราบเด็กเก่ง”


“หึงก็บอกมาตรงๆ สิว่าหึง ผมจะได้รีบอธิบายให้เข้าใจตั้งแต่ตอนนั้น” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วหัวแม่มือเชยปลายคางคนตรงหน้าให้เงยขึ้นสบตาแล้วจับปลายจมูกที่ทำเชิดใส่เขาอยู่นานสองนานบิดไปมาด้วยความมันเขี้ยว “แต่จะว่าไปติ๊นหึงแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”


“ตรงไหน” เพราะเริ่มเจ็บจมูกที่ถูกบิด ศุกลจึงสะบัดศีรษะหนีแล้วชนหน้าผากเข้าด้วยกันเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับอะไรบนหน้าของเขาได้อีก


“ก็ตรงที่จะได้รู้ไงว่าผมสำคัญกับติ๊น” บอกพลางเหลือบสายตาลงมองริมฝีปากที่อยู่ห่างไปแค่คืบ ลมหายใจอุ่นของอีกฝ่ายรดลงที่ปลายจมูกมันช่างเย้ายวนให้ใจปั่นป่วนจนอยากจะแตะจูบลงไปเสียให้ได้


“แต่ผมว่าไม่เห็นดีเลย” ศุกลพูดเสียงเรียบ “รู้ไหมว่าผมคิดไปต่างๆ นานา”


“ไม่ทำอีกแล้ว” เอกรงค์อดใจไม่ไหวแล้วตอนนี้ เขาประทับริมฝีปากลงบนกลับปากหยักลึกที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้าซึ่งศุกลก็ตอบรับทันทีด้วยการรวบตัวของคนที่ดูเหมือจะตัวบางกว่าเข้ามาปะทะกับอกกว้าง ทั้งบดเบียดและขบเม้มริมฝีปากบางให้สมกับที่คิดถึงมาตลอดสองสัปดาห์


“ผมกลัว” จิตรกรหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วในตอนที่ริมฝีปากผละออกจากกันเพื่อพักหายใจ


“อะไร”


“โมหายไปสองสัปดาห์ โทรศัพท์หาก็ไม่ค่อยว่างรับ ถามกับเจ้านอฟก็บอกไม่รู้ จะไปหาที่โรงพยาบาลก็กลัวไปรบกวน อยากไปหาที่บ้านก็ไม่รู้ว่าบ้านโมอยู่ไหน แล้วผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโมเลย ยิ่งเห็นผู้ชายคนนั้นสนิทกับโม แถมยังดูรู้จักโมในแบบที่ผมไม่รู้จัก ผมก็เลย…”


“ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับติ๊นเหมือนกัน” เอกรงค์บอก “เพราะแบบนี้เราถึงต้องเรียนรู้กันและกันไง ผมรู้จักโป้ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งจนวันนี้ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว แต่กับติ๊นเพิ่งได้คุยกันแค่สองเดือน ติ๊นต้องเข้าใจนะว่าเวลาเหล่านั้นมันทดแทนไม่ได้ แต่ผมสัญญาว่าจะชดเชยให้และติ๊นก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย ถ้ามัวมางอนเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้นี่เราจะยิ่งเสียเวลาที่จะทำความรู้จักกันไปตั้งสอง ไม่สิ! สามชั่วโมงแล้วนะรู้ไหม”


ศุกลพยักหน้า “ขอโทษครับที่ผมทำตัวเป็นเด็กๆ”


“จะว่าแก่ก็พูดมาตรงๆ เถอะ” เอกรงค์หัวเราะลงคอ


“ไม่ใช่สักหน่อย ผมเองที่ทำอะไรไม่เข้าท่า”


“ถือว่าผมได้เรียนรู้ว่าตอนติ๊นโกรธจะเป็นยังไงแล้วจะง้อยังไงไง”


ทั้งสองยิ้มให้กัน นัยน์ตาคมของศุกลกดลงมองริมฝีปากฉ่ำที่เพิ่งผละออกมา ในขณะที่เนื้อปากแดงนั้นก็เม้มเข้ากันหลายต่อครั้งราวกับจะยั่วเย้า ฝ่ามือหยาบกร้านที่ยังคล้องอยู่รอบเอวเลื่อนขึ้นแตะลงบนแนวสันหลังแม้จะแค่แผ่วเบาแต่กลับทำให้ร่างในอ้อมแขนสะดุ้งเข้าหา ดวงตาสองคู่ยังคงสบกันนิ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ถึงความต้องการลึกๆ ของกันและกัน ใบหน้าค่อยๆ ขยับเข้าหากันอีกครั้ง จนสัมผัสกับลมหายใจที่ต่างก็ร้อนผ่าว ริมฝีปากกำลังจะได้ครอบครองในสิ่งที่ใจถวิลหา แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของทั้งสองคนดังขึ้นพร้อมๆ กัน ส่งผลให้ต่างฝ่ายต่างถอนหายใจเฮือกก่อนจะกดรับสาย


“ว่าไงไอ้ดล”


“แกขี้เสร็จหรือยังวะ เราจะได้ไปกันสักที”



“ว่าไงเจ้านอฟ”


“ง้อกันเสร็จหรือยัง รถจะออกแล้วนะครับ”



ทั้งสองสบตากันอีกหนก่อนจะตอบคนในสายของตนออกไปพร้อมกัน “กำลังจะไป”


พวกเขาเดินกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง เอกรงค์กำลังจะนั่งลงตรงตำแหน่งเดิมแต่ปรากฏว่านภธรณ์เอากระเป๋าเป้มาวางขวางไว้


“ถ้าพ่อโมมีเรื่องจะคุยกับพี่ติ๊นก็ไปนั่งหลังเลยครับ ผมง่วง ผมจะนอนแล้ว” แกล้งพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน


ศุกลเหลือบตามองเอกรงค์ครั้งหนึ่งแล้วรับมุกที่ถูกส่งมาให้ “ถ้าอย่างนั้นเราไปนั่งกันตรงโน้นก็ได้ครับ หมอโมจะได้อธิบายเรื่องการวิธีจัดการเด็กดื้อให้ผมฟังต่อ” ว่าแล้วก็ออกเดินนำไปนั่งที่เบาะยาวแถวหลังสุด


กุมารแพทย์หนุ่มหันมาตบไหล่ลูกชายกำมะลอครั้งหนึ่งก่อนจะออกเดินตามไป “นั่นสิครับเรื่องมันยาวเสียด้วย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าถึงทะเลแล้วจะอธิบายจบหรือเปล่า”


ศุกลรอให้อีกฝ่ายนั่งลงเรียบร้อยจึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูโดยทำทีเป็นหยิบแก้วกาแฟในถุง “ไม่จบก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมมีเวลาฟังทั้งชีวิต”


คนฟังทำไม่ใส่ใจ ตามองถุงใส่แก้วกาแฟพร้อมกับกล่าว “ติ๊นลดกาแฟลงหน่อยก็ดีนะ ถึงจะไม่ใส่น้ำตาลแต่กินวันละหลายแก้วก็ไม่ดีนะ…” พูดเตือนยังไม่ทันจบประโยคก็ขาดๆ หายๆ เมื่อปลายจมูกโด่งฝากรอยไว้ที่ข้างแก้ม


“หอมจัง” จิตรกรหนุ่มว่าพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “หมายถึงกาแฟน่ะครับ ก็ทั้งหอมและอร่อยขนาดนี้จะเลิกง่ายๆ ได้ยังไง”


ทั้งสองใช้ช่วงเวลาที่เหลือของการเดินทางบอกเล่าเรื่องราวของกันและกัน ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าไปจนเรื่องไร้สาระ และนั่นทำให้ศุกลรู้ว่าจริงๆ แล้วครอบครัวของเอกรงค์เป็นครอบครัวของคนที่ทำงานเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมโดยแท้ไม่ใช่ครอบครัวหมอหรือนักวิชาการอย่างที่เขาคิดไว้


“พ่อผมทำงานให้กรมศิลปากรน่ะ มีหน้าที่ดูแลและซ่อมแซมโบราณสถานต่างๆ รวมไปถึงภาพจิตรกรรมตามฝาผนังอะไรพวกนี้”


“มิน่าล่ะโมถึงชื่อเอกรงค์” แล้วศุกลก็ทำหน้านึกขึ้นได้ “ถ้าอย่างนั้นชื่อโมก็คงไม่ได้มาจากแตงโมหรือโมเลกุลน่ะสิ แต่เป็นโมโนโครม”


“ปิ๊งป่อง!” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับแล้วจึงเล่าต่อ “ผมมีน้องอีกสามคน ทุกคนทำงานด้านนี้หมด คนหนึ่งก็เป็นนักโบราณคดี อีกคนเป็นช่างปั้น ส่วนน้องคนสุดท้องเป็นภัณฑารักษ์อยู่พิพิธภัณฑ์ในตัวจังหวัด แม่ก็เป็นครูนาฏศิลป์ มีแต่ลูกชายคนโตนี่แหละที่ผ่าเหล่าผ่ากอ ไม่ใช่ว่าพ่อไม่พยายามสอนผมนะ แต่เข็นไม่ขึ้นจริงๆ ผมมันเหมือนผมคนพิการ ไม่มีสมองซีกขวามาแต่กำเนิด”
ฟังแล้วจิตรกรหนุ่มก็หัวเราะ ภาพเมื่อตอนสอนให้ระบายสีทะเลเมื่อสองอาทิตย์ก่อนลอยขึ้นมาสนับสนุนสิ่งที่อีกฝ่ายได้พูดจบลงไป


“ผมก็เลยมาเป็นหมอ” เอกรงค์สรุปง่ายๆ “เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละ แล้วติ๊นล่ะทำไมถึงมาเป็นจิตรกรวาดรูปได้”


“เรื่องของผมง่ายกว่าโมอีก” ศุกลกล่าว “พ่อผมเป็นจิตรกร เห็นพ่อวาดรูปทุกวันมันรู้สึกผูกพันน่ะ ก็เลยขอให้พ่อสอน ตั้งแต่นั้นก็คิดมาโดยตลอดว่าจะต้องเรียนศิลปะและเป็นศิลปินให้ได้”


“เรียกว่าคาบแปรงกับจานสีมาเกิดเลยสินะ”


ศุกลเลิกคิ้วเล็กน้อยกับชื่ออุปกรณ์ที่อีกฝ่ายเรียกขาน กระนั้นก็มิได้ทักท้วงอะไรเพียงแต่อมยิ้มมุมปากและเล่าต่อ “ผมอยากเป็นเหมือนพ่อ อยากถ่ายทอดเรื่องราวลงไปในภาพทุกภาพและแสดงให้ทุกคนได้เห็น”


“ติ๊นก็ทำได้แล้วไง” เอกรงค์บอก “ภาพของติ๊นมีเรื่องราวอยู่เต็มไปหมดจนผมสัมผัสได้เลยล่ะ”


คำชมกับรอยยิ้มจริงใจที่กดจนแก้มบุ๋มถูกส่งมาทำให้เขินจนพูดไม่ออก ศุกลจึงได้แต่พยักหน้าขอบคุณเงียบๆ


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 24-11-2016 01:01:12
(ต่อค่ะ)


รถมินิบัสซึ่งขับมาด้วยความเร็วค่อยชะลอลงเมื่อเลี้ยวเข้าทางปูนแคบๆ ที่ขนาบด้วยทิวสนเรียงรายไปทั้งสองข้างทางและเมื่อรถเคลื่อนต่อมาได้หน่อย สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็คือผืนน้ำและแผ่นฟ้าสีสดกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจนแยกไม่ออกว่าตรงไหนคือจุดที่ฟ้ากับน้ำมาจรดกัน ทั้งหมดผสมไล่เรียงกันอย่างงดงามจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา


“ดูนั่นสิโม เรามาถึงแล้ว”


กุมารแพทย์หนุ่มหันไปทันอ่านป้ายมีข้อความ ‘สวนสนประดิพัทธ์ กองทัพบกเพื่อชาติ ศาสตร์ กษัตริย์และประชาชน’ พอดี “เป็นพื้นที่ของทหารแต่เข้าพักได้ด้วยเหรอ”


“ครับ ที่นี่เขาเปิดให้คนทั่วไปเข้าพักได้ ผมเห็นว่าหาดทรายสวยและสงบ คลื่นทะเลก็ไม่แรงมากเหมาะกับเด็กๆ ก็เลยเลือกมาที่นี่”


“ใส่ใจดีจัง”


“ต้องใส่ใจสิครับ ก็ถ้าลูกเขาเป็นอะไรขึ้นมาโมช่วยทำใช้ให้ผมไม่ได้นี่นา” คำพูดคุ้นหูมาพร้อมกับนัยน์ตาพราวระยับทำเอากุมารแพทย์หนุ่มต้องเบือนหน้าหนี เห็นทีครั้งต่อไปจะพูดจะแซวอะไรต้องคิดให้หนักหน่อยแล้ว


ในที่สุดมินิบัสก็จอดสนิทที่บริเวณลาดจอด ศุกลลุกไปช่วยพีระขนของลงจากรถ ในระหว่างนั้นภาดลก็ดำเนินการติดต่อเพื่อเข้าพักจนเรียบร้อยและวิ่งกลับมาพาทุกคนไปยังบ้านพัก ทั้งกลุ่มเดินเลียบหาดไปราวห้าร้อยเมตรก็มาถึงบังกะโลที่จองไว้ ด้านหน้าอาคารปูนมีป้ายไม้ปักอยู่บนพื้นทรายสีขาวละเอียดเขียนว่า ‘บ้านทรายทอง1’


เห็นป้ายนั้นแล้วเอกรงค์ก็นึกขันในใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพจมานที่มือหนึ่งลากกระเป๋าอีกมือถือชะลอมเข้าบ้านสว่างวงศ์ยังไงพิกล ทั้งที่ความเป็นจริงที่มาของชื่อนั้นหาได้เกี่ยวข้องกับนวนิยายชื่อดังแม้แต่น้อย เพียงแต่เปรียบเทียบลักษณะของเม็ดทรายเท่านั้น จะเห็นได้จากมีทั้งบ้านทรายเงินและบ้านทรายแก้วตั้งอยู่ถัดออกไป


คณะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มเพื่อเข้าบังกะโลที่พักได้หลังละ 6 คน ประกอบด้วยเด็ก 5 คนต่อคุณครู 1 คน หลังจากแบ่งสรรปันส่วนกันเรียบร้อย ศุกลที่ใช้เส้นสายมาตั้งแต่ที่บ้านก็เดินยิ้มแฉ่งมาพร้อมกับกุญแจบ้านทรายทอง 3 สำหรับตัวเขาเอง สองพี่น้องตัวที นภธรณ์และเอกรงค์


“เอาล่ะเด็กๆ แยกย้ายกันเข้าห้องพักแล้วเก็บของให้เรียบร้อยนะครับ พี่จะให้เวลาครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วทุกคนไปรวมกันที่นี่นะครับ” พีระบอก


“เราจะเริ่มเขียนรูปกันเลยเหรอครับ” ก้องยกมือถาม สร้างสีหน้าผิดหวังให้เพื่อนๆ หลายคนเพราะเสียงเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่งนั้นช่างยั่วเย้าให้อยากกระโจนลงไปสัมผัสความชุ่มช่ำเสียเหลือเกิน


เมื่อเห็นเด็กๆ เริ่มออกอาการจ๋อยคุณครูทั้งสามคนก็เริ่มมองหน้ากันทำอะไรไม่ถูก


ศุกลกำลังคิดหาคำพูดปลุกใจอะไรสักอย่างแต่ยังคิดไม่ออก กุมารแพทย์หนุ่มก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน


“ใช่แล้วครับก้อง แล้วถ้าไม่เขียนรูปก้องอยากทำอะไรก่อนครับ” เอกรงค์ใช้วิธีตั้งคำถามกลับเพื่อให้เด็กๆ ได้ทบทวนวัตถุประสงค์ในการมาทะเลด้วยตนเอง


“ก็… อยากเล่นน้ำ”


“ตอนนี้เพิ่งจะบ่าย แดดกำลังแรง หมอคิดว่าไม่เหมาะกับการเล่นน้ำนะครับ ไว้วาดรูปเสร็จแดดร่มลมตกค่อยมาเล่นกันดีไหม”


“ถ้ามืดแล้วจะเขียนรูปไม่ได้ด้วยครับ” ศุกลให้เหตุผลในฝั่งของตน “แสงจะหมด แทนที่เราจะได้ศึกษาแสงเงาในการเขียนภาพซีสเคปด้วยสีน้ำ เราก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการมาทะเลครั้งนี้เลย”


เด็กๆ เริ่มพยักหน้าคล้อยตาม


“ตกลงตามนี้นะครับ เขียนรูปเสร็จแล้วค่อยมาเล่นน้ำกัน” เอกรงค์สรุปและทุกคนก็ส่งเสียงตอบรับมีความคิดเป็นเอกฉันท์ เขาจึงย้ำสิ่งที่พีระพูดไปแล้วอีกครั้ง “ทุกคนเอาของไปเก็บที่ห้อง เสร็จแล้วหยิบกระดานกับแปรงทาสีแล้วมารวมกันที่นี่นะครับ” สิ้นคำกุมารแพทย์หนุ่มก็เกิดความเงียบขึ้นทันที เด็กๆ หันมองหน้ากันอึดใจก่อนก้องจะยกมือโบกไปมาในอากาศ


“เขาเรียกว่าพู่กันครับหมอโมไม่ใช่แปรงทาสี” แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะคิกคัก ในขณะที่คนถูกท้วงหน้าเหวอไปทันที


“แปรงทาสีคืออันใหญ่ๆ ที่เอาไว้ใช้ทาบ้าน ส่วนที่ใช้วาดรูปเราเรียกว่าพู่กันครับหมอโม” ก้องอธิบายเพิ่ม
“หืมมม” คนไม่รู้ยิ่งออกอาการงงหนักกว่าเดิม “ทำไมเรียกแปรงไม่ได้ล่ะ ทีอันที่พวกผู้หญิงใช้ระบายสีที่แก้มยังเรียกว่าแปรงปัดแก้มเลย”


“หมอโม...” พิมพ์ลากเสียงอย่างอ่อนใจ “อันนั้นก็คนละแบบกันนะคะ”


“ครับๆ ตามนั้นครับ” เอกรงค์หัวเราะแหะยอมจำนนก่อนจะหันไปทำตาเขียวปัดใส่คนที่ยืนปิดปากกลั้นหัวเราะอยู่ข้างกัน เขาหันไปยิ้มหวานให้เด็กๆ อีกครั้งก่อนจะยื่นมือไปแอบบิดเนื้อบนท่อนแขนแกร่งที่กอดอกทำไม่รู้ไม่ชี้พร้อมกับกระซิบลอดไรฟัน


“ทำไมติ๊นไม่บอกผม”


ศุกลสะดุ้งโหยง ถอยหนีไปครึ่งก้าวพลางถูท่อนแขนที่เป็นปื้นแดง “อะไรครับ เรื่องแปรงทาสีน่ะเหรอ”


“ก็ใช่น่ะสิ ทำผมหน้าแตกต่อหน้าเด็กๆ เลยเห็นไหม”


“ก็ผมเห็นหมอโมชอบเรียกแบบนั้นจนเหมือนเป็นคำติดปากไปแล้ว แล้วมันก็น่ารักดีผมเลยไม่อยากแก้”


กุมารแพทย์หนุ่มกอดอกฉับ “ไม่ได้นะเป็นครูบาอาจารย์ปล่อยให้นักเรียนเรียกผิดๆ ถูกๆ ได้ยังไง”


“ก็โมไม่ใช่ลูกศิษย์นี่นา” ศุกลรีบแก้ตัว “หรืออยากเป็น? ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เรามาติวเข้มกันสองต่อสองไหม ผมจะได้สอนโมระบายสีท้องฟ้าให้สวยๆ เอ๊ะ! หรือต้องรอลูกชายหลับก่อน”


“รอไม่ได้ก็ไม่ต้องรอนะ” เอกรงค์ว่า


คนอายุน้อยกว่าอมยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตัดรอนเสียทีเดียวจึงแสร้งรำพึงกับตัวเอง “แถวนี้น่าจะมีร้านขายยานะผมจะได้ไปซื้อยานอนหลับมายัดขนมปังให้เจ้านอฟกิน”


“พูดมากน่า เข้าบ้านเถอะ” เอกรงค์ว่า


“พร้อมจะเรียนแล้วเหรอครับ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น” คุณหมอส่ายหัวดิกก่อนจะทำเสียงดุ “เอาของเก็บ ไปเร็ว”

ศุกลเดินนำสมาชิกบ้านทรายทอง 3 ที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายไปยังบังกะโลหลังที่อยู่ริมสุด เมื่อเห็นห้องซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จิตรกรหนุ่มก็ยิ้มกว้างมากขึ้นอีก เพราะไม่ว่าจะคำนวณโดยใช้สมการไหนเขาก็ต้องได้นอนกับเอกรงค์แน่นอน “ทัศน์นอนกับธรห้องนั้นนะ ส่วนนอฟก็แล้วแต่จะนอนคนเดียวหรือจะไปนอนกับสองแสบก็ได้ ส่วนหมอโม...” ทำเป็นครุ่นคิดอยู่อึดใจ แต่ใครคนหนึ่งกลับเสนอความคิดออกมาเสียก่อน


“ผมจะนอนกับพ่อโม” นภธรณ์เอ่ยขึ้นเรียบๆ สร้างความแปลกใจให้ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ธีร์ทัศน์ยังแอบดึงชายเสื้อพร้อมกับถลึงตาใส่ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงทำตัวเป็นก้างขวางคอขึ้นมาเสียเฉยๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบว่าอะไรและเดินนำเข้าห้องไป


“เอ่อ...” จิตรกรหนุ่มเหลียวมองคนที่หันมาส่งยิ้มบางให้


“นอฟนอนคนเดียวไม่ได้น่ะ ยิ่งถ้าแปลกที่ก็จะนอนไม่หลับแถมยังกลัวผีมากเสียด้วย”


“ถ้าอย่างนั้นก็มานอนกับพวกผมก็ได้นี่นา” ธีร์ทัศน์เสนอ “ก็... ก็... พี่ติ๊นกับหมอโมจะได้...”


“ตกลงหมอโมนอนกับนอฟนะ ส่วนพี่จะนอนคนเดียวตรงห้องนั้น” ศุกลรีบสรุป ถึงคิดว่าเด็กๆ จะรู้เรื่องของพวกเขาและช่วยเชียร์แต่ก็ไม่อยากให้ต้องมาลำบากใจ เขาอยากให้ทุกคนมาวาดรูป ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสนุกสนามและได้มิตรภาพกับความทรงจำดีๆ กลับไป ส่วนเรื่องของเขากับเอกรงค์... เวลาตั้งสองวันหนึ่งคืน ไม่คิดว่าโอกาสจะหมดไปกะอีแค่เรื่องต้องแยกห้องนอนแน่
ตกลงกันเรียบร้อยต่างคนต่างก็แยกกันเข้าห้องตัวเอง


“มีแผนอะไรอีกล่ะ” เอกรงค์ถามเด็กหนุ่มที่นอนแผ่หราอยู่บนเตียง “ร้อยวันพันปีก็นอนคนเดียวมาตลอด วันนี้เกิดจะนอนไม่ได้อะไรขึ้นมา”


เด็กหนุ่มพลิกตัวกลับมานอนคว่ำ ยกมือทั้งสองขึ้นรองปลายคางไว้แล้วกรีดยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำเป็นรู้ทัน แต่ก็รับมุกดีนี่นา เลิกเป็นหมอแล้วไปเปิดคาเฟ่ด้วยกันดีกว่า”


“ไม่เอาหรอก”


“นั่นสินะ เพราะดูท่าบางคนอยากไปเป็นแฟนจิตรกรมากกว่า โอ๊ย!” จอมวางแผนร้องลั่นเมื่อหมอนหนุนใบใหญ่ถูกโยนเข้าเต็มหน้า


“เป็นเด็กเป็นเล็ก”


นภธรณ์ตั้งท่าจะเถียงต่อ แต่เมื่อเห็นอาวุธถูกดึงกลับไปอยู่ในมือพ่อโมของเขาในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็พลิกตัวลงเตียงอีกฟากคว้าอุปกรณ์วาดรูปแล้ววิ่งแผล็วออกจากห้องไปทิ้งให้กุมารแพทย์หนุ่มยืนเท้าเอวบ่นอยู่คนเดียว


“เอาเถอะ! วันนี้จะยกโทษให้ก็ได้เพราะการแอบย่องเข้าห้องคนอื่นตอนดึกๆ ดื่นๆ มันก็น่าตื่นเต้นดีไม่น้อยนี่นา” เอกรงค์คิดในใจ
เมื่ออกจากห้องเขาก็พบว่าศุกล พีระและภาดล นำเด็กๆ เดินลงหาดไปแล้ว หลังจากทบทวนเทคนิคการวาดคร่าวๆ พวกเขาก็ปล่อยให้เด็กๆ แยกย้ายกันไปหามุมที่ชอบและลงมือวาดภาพของตนมาส่งซึ่งหัวข้อในการวาดก็ไม่ยากไม่ง่าย ‘ทะเลในความทรงจำ’ โดยมีกำหนดส่งผลงานคือพรุ่งนี้เช้าก่อนเดินทางกลับ


เอกรงค์ซึ่งเป็นคนเดียวในคณะที่ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับการวาดภาพสีน้ำเลยเงือกที่จะนอนเอนหลังจิบน้ำผลไม้อยู่บนเตียงผ้าใบริมชายหาดมองดูคุณครูทั้งสามคอยเดินไปหาเด็กคนนั้นทีคนนี้ทีเพื่อให้คำแนะนำและช่วยแก้ไขจุดบกพร่อง ถึงจะโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นศิลปิน แต่เขากลับไม่เคยคิดว่าการวาดภาพหรือระบายสีนั้นมันน่าสนใจหรือเท่ตรงไหน แต่ในขณะที่เฝ้าดูคนตัวสูงหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มสีจากจานแล้วแตะลงไปบนกระดาษที่ขึงจนตึงบนกระดาน เมื่อสีเจอกับความชุ่มของน้ำก็ฟุ้งกระจายดูแล้วคล้ายก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า และเมื่อแตะอีกสีลงไปก็ทำให้เกิดมิติขึ้นด้วยคุณสมบัติโปร่งใสของสีที่ผสานซ้อนทับกันสร้างความรู้สึกมหัศจรรย์ยามเมื่อได้มอง กุมารแพทย์หนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้าย้อนมองน้ำสั้มคั้นในแก้วที่น้ำแข็งเริ่มละลาย ด้วยตัดสินใจไม่ได้ว่าภาพที่วาดหรือตัวคนวาด อย่างไหนกันแน่ที่น่ามองมากกว่า และอย่างไหนกันที่ทำให้หัวใจของของเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอกข้างซ้ายเช่นนี้


หลังจากฝึกวาดภาพกันจนได้ผลงานเป็นที่น่าพอใจของทั้งครูและนักเรียนบวกกับแสงอาทิตย์ที่เริ่มจางลงศุกลก็ให้เด็กๆ เก็บอุปกรณ์ ในที่สุดก็มาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย พีระเป่าลมลูกบอลใบโตแล้วนำทีมเด็กๆ กลุ่มหนึ่งเล่นลิงชิงบอลอยู่บนชายหาด ในขณะที่ภาดลดำผุดดำว่ายเล่นคลื่นอยู่กับกลุ่มเด็กที่ค่อนข้างโตกว่า ส่วนธีร์ทัศน์กับธีร์ธรที่เปลี่ยนเป็นชุดเล่นน้ำก็รีบวิ่งตัวปลิวตามลงไปสมทบด้วยความตื่นเต้นปล่อยให้นภธรณ์ซึ่งยังอยู่ในชุดเดิมดึงแว่นกันแดดออกมาสวม ใส่หูฟังแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงผ้าใบ ในขณะที่ศุกลยืนเท้าเอวมองดูเด็กๆ กับทะเลสีฟ้าครามสดใสก่อนจะเหลียวมองคนที่เตียงผ้าใบเป็นที่ตั้งตั้งแต่ช่วงบ่าย เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าตอนนี้เอกรงค์เปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าอวดเรียวขาขาวเนียนที่มีเพียงไรขนอ่อนสีน้ำตาลปกคลุมเล็กน้อยเท่านั้น


พลันลูกกระเดือกก็ขยับเคลื่อนลงช้าๆ เมื่อเขาพยายามกลืนน้ำลายให้เบาเสียงมากที่สุด เพราะกลัวว่าคนที่แอบมองดูอยู่จะรู้ว่าเขากำลังคิดอกุศล กำลังชั่งใจระหว่างชวนแยกกันไปเดินเล่นสองต่อสองกับชวนลงเล่นน้ำเพื่อแอบดูรูปร่างที่ถูกเสื้อตัวหลวมนั้นปกปิดไว้ให้หายข้องใจ ในที่สุดเสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นมาจากทะเลก็ช่วยเขาตัดสินใจ


“คุณหมอไม่ลงมาเล่นน้ำด้วยกันเหรอครับ” ภาดลป้องปากตะโกนถาม


“ผมขอผ่านดีกว่าครับ” เอกรงค์โบกมือปฏิเสธ


“หมอโมมาเถอะครับ น้ำเย็นมากเลยนะ” ธีร์ทัศน์ส่งเสียงเรียกอีกแรง


“หมอโม!” ธีร์ธรเสริมทัพ หากคำตอบของกุมารแพทย์หนุ่มก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


“ไม่ต้องอายไปหรอกครับใครๆ ก็มีพุงกันทั้งนั้นแหละ” ภาดลว่า แต่เจ้าตัวนั้นกลับสวมกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวอวดกล้ามท้องที่ถึงจะมีไม่มากแต่ก็ค่อนข้างเป็นลอนสวยทีเดียว


“หมอโม!!!”


เด็กคนอื่นๆ พากันออดอ้อน ริมฝีปากของคนที่เฝ้าดูอยู่ยกมุมขึ้นน้อยๆ ไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าทำไมเจ้าตัวดูภูมิใจกับฉายานั้นนัก นี่ขนาดแค่เทียวไปเทียวมารับนภธรณ์ไม่ได้ลงมาคลุกคลีอะไรมากมายเอกรงค์ยังเป็นขวัญใจเด็กๆ ที่มาเรียนศิลปะขนาดนี้ ฟังจากที่เจ้าตัวเล่าก็คาดเดาได้ว่าบางทีอาจเพราะเป็นพี่ชายคนโตที่ต้องช่วยแม่ดูแลน้องๆ เนื่องจากพ่อออกไปทำงานต่างจังหวัดและต้องค้างคืนบ่อยๆ มันจึงค่อยๆ หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนรักเด็กและเป็นจุดเริ่มต้นของการมุ่งมั่นมาเป็นกุมารแพทย์


“ก็ได้ๆ” เพราะทนแรงเซ้าซี้ไม่ไหวกุมารแพทย์หนุ่มจึงยอมลุกจากที่นอนผ้าใบในที่สุด


“เอาจริงเหรอ?” ศุกลท้วงเมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้สองมือจับชายเสื้อยืดตัวโคร่งที่สวมไว้เตรียมจะถอดออกเพื่อลงไปเล่นน้ำ


“ทำไมล่ะ?” เอกรงค์หันมาย่นคิ้วใส่ก่อนจะดึงเสื้อยืดพ้นออกทางศีรษะโยนพาดไว้บนพนักแล้ววิ่งลุยทรายลงทะเลไปหาทุกคน “มาแล้วๆ”


“ทางนี้ครับหมอโม” เด็กๆ โบกมือเรียกเข้ากลุ่ม ขายาวกระโจนเพียงครั้งเดียวก็ส่งให้ร่างพุ่งออกไปลอยคอดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเลแล้ว


“ปิดปากด้วยครับพี่ติ๊นน้ำลายหกหมดแล้ว” นภธรณ์ที่นอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆ กระซิบ


ศุกลสะดุ้งโหยงยกหลังมือขึ้นเช็ดปากก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าถูกเด็กหลอก เขารีบปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรเลย… ไม่เลยสักนิด แม้ผิวกายใต้ร่มผ้านั้นจะขาวดูเนียนมือจนอยากจะเรียกกลับขึ้นฝั่งมาช่วยทาครีมกันแดดให้ด้วยความเป็นห่วงกลัวผิวจะเสีย หุ่นผอมแต่ไม่ได้บอบบางอย่างที่เคยคิด กลับกันมันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมัดสวยสมส่วนปราศจากไขมันส่วนเกินจนเขาต้องแอบก้มลงจับพุงตัวเองและรีบแขม่วซ่อนขั้นไขมันที่เริ่มเกินมาเป็นชั้นไว้


“คิดว่าพ่อโมหุ่นขี้ก้างล่ะสิ เสียใจด้วยนะครับ จริงๆ แล้วพ่อโมน่ะเป็นพวกรักสุขภาพสุดๆ วันๆ กินแต่อาหารคลีน ว่างๆ ก็ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสกับป๊าตลอด”


“ใครจะไปรู้ล่ะก็เห็นทำกระมิดกระเมี้ยนแบบนั้น”


“แผนล่อเหยื่อให้ติดกับของพ่อโมได้ผลจริงๆ ด้วยแฮะ เห็นทีวันหลังต้องยืมไปใช้บ้างแล้ว” นภธรณ์รำพึงกับตัวเอง


“นายว่าอะไรนะ”


“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มเว้นวรรคไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “เพื่อเป็นการไถ่โทษเรื่องที่ขอพ่อโมไปนอนด้วย ผมจะเล่าอะไรดีๆ ให้พี่ติ๊นฟัง”


ศุกลเหล่ตามองคนที่อายุน้อยกว่าเกือบรอบแต่กลับดูก๋ากั่นเกินวัย นึกหวั่นใจกับการคบเด็กสร้างบ้านกลัวจะโดนหลอกแต่เพราะเป็นเรื่องของเอกรงค์จึงหันไปรอฟังด้วยความสนใจ “ไหนลองว่ามาสิ”


“พ่อโมตื่นเต้นมากเลยนะที่จะได้มาเที่ยวกับพี่ติ๊นวันนี้”


“ไม่ต้องมาโกหกเข้าข้างกันเลย พี่ตื๊ออยู่ตั้งหลายวันกว่าเขาจะตอบตกลง”


“พ่อก็ทำฟอร์มไปอย่างนั้แหละ จริงๆ คือแลกเวรไม่ได้น่ะ อาทิตย์นี้ไม่รู้ฤกษ์ดีอะไรมีแต่คนจะไปธุระ เดิมพ่อโมวางแผนว่าจะหยุดช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พอเปลี่ยนแผนทีนี้เลยกลายเป็นต้องขึ้นเวรลากยาวมาตั้งแต่ต้นเดือน แทบไม่ได้หยุดพักเลย พี่ติ๊นก็เห็นนี่ว่าพ่อโมไม่ได้มารับมาส่งผมเพราะแค่เวลานอนยังไม่พอ เมื่อเช้าป๊าเพิ่งไปรับมาจากโรงพยาบาลแล้วปล่อยให้งีบมาในรถ”


“เพราะแบบนี้พ่อนายก็เลยหงุดหงิดฉันสินะที่ทำให้เพื่อนเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ” ศุกลลองคิดตาม “เมื่อเช้าก็เลยแกล้งหอม เอ่อ… ทำแบบนั้น”


“มากกว่านั้นอีกครับ” นภธรณ์ว่า “อาทิตย์ก่อนเป็นวันเกิดป๊า พวกเรานัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าว แล้วพ่อโมก็เบี้ยวไปขึ้นเวร”


“เอ่อ…” ศุกลไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี ถึงจะรู้สึกผิดแต่ก็ดีใจที่อีกฝ่ายเห็นว่าเรื่องของเขาสำคัญ


“พี่ติ๊นไม่ต้องคิดมากหรอกครับ” นภธรณ์รีบพูดต่อ “เราคุยกันแล้ว ป๊าไม่ได้โกรธ ส่วนผมก็โอเค อันที่จริงผมต้องขอบคุณพี่ติ๊นด้วยซ้ำเพราะนานๆ ผมจะได้กินข้าวกับป๊าสองคนสักที”


“นอฟ” จิตรกรหนุ่มเรียกเกรงๆ “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วพี่ขอถามตรงๆ เลยละกันว่าป๊านายกับโมน่ะ… ขอโทษนะเพราะพี่เห็นนายเรียกโมว่าพ่อ”


“พวกเขาเป็นแค่เพื่อนกันครับ” นภธรณ์ยืนยัน “ถ้าหากผมจะเชียร์ทั้งสองคนจริงน่ะ รับรองพี่ติ๊นไม่ได้เห็นแม้แต่ขาอ่อน สบายใจเถอะครับเห็นแบบนั้นน่ะพ่อโมเป็นคนจริงจังนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบโดนหักอกบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพ่อโมเข็ดกับความรักสักที ทั้งที่บางคนอกหักแค่ครั้งเดียวก็ไม่กล้าเริ่มต้นใหม่แล้วแท้ๆ”


เด็กหนุ่มไม่ได้เจาะจงจะว่าใครเป็นพิเศษแค่พูดเปรียบเปรยให้ฟัง แต่มันกลับกระแทกหัวใจคนอายุมากกว่าที่นั่งฟังอยู่เข้าอย่างจัง


ศุกลไม่ถามอะไรอีกและทอดสายตามองไปยังผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวเห็นเป็นระลอกคลื่นลูกเล็กๆ กระทบหาดทรายสีขาว เห็นคนที่ตอนนี้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับจังหวะการเต้นของหัวใจหยอกล้อแย่งบอลกับธีร์ธรก่อนจะแกล้งล้มลงให้เจ้าหนูตัวแสบแย่งลูกบอลไปได้ เอกรงค์ตีมือจนน้ำกระจายทำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันดูน่าสนุกจนเขาเผลอยิ้มตามไปด้วย โดยเฉพาะตอนที่ธีร์ทัศน์เข้าไปช่วยดึงมือคนอายุมากกว่าลุกขึ้นยืนแต่คลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้าฝั่งมาพอดีปะทะทั้งสองล้มลงไปนอนกลิ้งกอดกันบนผืนทราย นั่นทำให้เขานึกอยากหายตัวไปแลกที่กันเสียเดี๋ยวนี้


ดูเหมือนคนในทะเลจะรู้ตัวว่าถูกมองเมื่อทั้งสองหันมาพร้อมกัน


“นอฟ!” ธีร์ทัศน์ส่งเสียงเรียกเพื่อนพร้อมทั้งโบกมือเรียก


นภธรณ์ขยับแว่นตาเลื่อนลงมองก่อนจะตะโกนตอบออกไป “ตามสบายเลยพวก ฉันกลัวผิวเสีย”


“ติ๊น!” คราวนี้เป็นเสียงเอกรงค์ตะโกนขึ้นมา


“ผมก็...” กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เพราะคลื่นม้วนตัวกลับลงทะเลพอดีจึงทำให้เห็นรูปร่างส่วนที่เคยแช่อยู่ในน้ำ กางเกงขาสั้นเปียกชุ่มแนบเนื้อเป็นส่วนโค้งเว้าชัดเจน น้ำหนักของน้ำรั้งขอบกางเกงลงต่ำจนเห็นแนวกล้ามเนื้อแข็งแรงช่วงเชิงกราน


“ติ๊น!”


แทบไม่ต้องรอให้เสียงทุ้มนั้นเรียกซ้ำเป็นหนที่สาม ศุกลถอดเสื้อเขวี้ยงทิ้งแล้ววิ่งตัวปลิวไปทันที


“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 24-11-2016 03:45:36
อ๊ายยยย คุณหมอโมคะ? สกิลและเทคกะติกของคุณหมอนี่ บอกเลยว่า .. เมพฝุดๆ ศิลปินคนซื่อแบบติ๊น ถามคำเดียว .. รับมือไหวไหม??? ฮาาาาาา โอ๊ยยย ฟินง่ะ ชอบจังฟิลผู้ใหญ่จีบกันแบบนี้ งืออออ  :-[
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-11-2016 10:54:09
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 24-11-2016 13:48:36
ยอมแทคติคหมอโม!!!!!

คือออยั่วติ๊นให้เดินตามทางตัวเองดั่งใจมาก กรีีดดดดดด


พี่ติ๊นอย่าทนๆๆๆ รุกเยอะๆ สนองกลหมอโมหน้อย 555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 24-11-2016 14:36:51
หมอโมนี่ก็ฟอร์มเยอะเหมือนกันนะ
มาทะเลคราวนี้จะมีอะไรดีๆให้ลุ้นไหมนะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 24-11-2016 15:29:12
เล่นน้ำๆๆๆๆ กิ้วๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-11-2016 17:52:17
ปรบมือให้หมอโมเลย 555555  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 24-11-2016 20:08:22
หมอโออ่อยมากกกก

รักเด็กนอฟ :)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-11-2016 22:12:51
หมอโมแซ่บมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-11-2016 22:49:15
หมอโมมีการวางแผนอย่างจริงจังอ่ะ
ขอให้ถุงยางหมดนะทริปนี้ 5555555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 6 I,sea,U (24-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 24-11-2016 22:54:31
มาแล้ว  วาบหวิวเล็กน้อยถึงปานกลาง  อิอิ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-11-2016 02:25:02
ตอนที่ 7 Night


เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าก็อันตรายเกินกว่าจะเล่นน้ำต่อได้ เหล่าผู้ใหญ่จึงพาเด็กๆ ไปทานข้าวเย็นก่อนจะปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย


พวกเด็กๆ เข้าบ้านไปนั่งเล่นเกม ดูทีวี บ้างก็นอนหลับ ในขณะที่พวกผู้ใหญ่ซึ่งมีกันอยู่สี่คนปลีกวิเวกออกมานั่งล้อมวงรอบเตาปิ้งบาร์บีคิวที่ทำจากถังน้ำมันขนาดสิบสิตรผ่าครึ่งซึ่งทางที่พักจัดหาไว้ให้ พีระกำลังลำเลียงอาหารทะเลทั้งกุ้ง หอย ปืหมึกขึ้นวางบนตะแกรงหลังจากรอถ่านในเตาระอุจนได้ที่เห็นเป็นก้อนสีแดงสว่างวาบ ในขณะที่คนอื่นช่วยกันจัดโต๊ะและเตรียมน้ำจิ้ม


“เสียดายจังน่าจะมีเหล้า” ภาดลบ่นพลางเทน้ำอัดลมใส่แก้วน้ำแข็งเสิร์ฟให้ทุกคนในวง


“มีเด็กๆ มาด้วยจะมาเมาเละเทะได้ยังไงวะ” ศุกลว่า


“ก็อย่าให้เมาสิ เอาแค่กรึ่มๆ พอเป็นสีสันใช่ไหมครับคุณหมอ” ภาดลหันหาพวก


“นั่นน่ะสิครับ” เอกรงค์พยักหน้าเห็นด้วย


“คุณ!” ศุกลหันมาทำหน้าดุ


กุมารแพทย์หนุ่มหัวเราะลงคอ “ล้อเล่นน่า ใครจะไปทำจริงๆ ล่ะ”


“ไม่หิวเหรอ” ศุกลกระซิบถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะแทบไม่แตะอะไรเลยนอกจากหมึกสองสามชิ้น “กินกุ้งไหม”


“กินสิ ผมชอบกุ้งมากนะ แต่มันยังร้อนอยู่เลยว่าจะรอให้เย็นก่อน”


“ถ้ารอให้เย็นก็ไม่ทันเจ้าพวกนี้น่ะสิ” ศุกลเลื่อนจานใส่กุ้งเผามาตรงหน้าแล้วบรรจงแกะเปลือกออกจนเหลือแต่เนื้อขาวกับมันกุ้งสีแดงไหลเยิ้มดูน่ากิน จิ้มน้ำจิ้มในถ้วยแล้วยื่นไปตรงหน้า “ไม่ร้อนแล้ว”


เอกรงค์กำลังจะรับมา แต่คนแกะกุ้งกลับชักมือหนีพร้อมกับยักคิ้วครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณบอกให้กินจากมือเขา
มือขาวเอื้อมไปแอบหยิกเนื้ออ่อนตรงต้นขาแรงๆ ครั้งหนึ่งจนศุกลหน้าเหยเก ก่อนจะเหลือบตามองคนอื่นๆ เห็นพีระกับภาดลมัวแต่คุยกันอยู่อย่างออกรสโดยไม่สนใจพวกเขา จึงรีบหันมางับกุ้งทั้งตัวเข้าปากเคี้ยวหยับๆ


“อร่อยไหม” ศุกลยิ้มแก้มแทบปริ “ผมทำน้ำจิ้มเองนะ”


“อืม” เอกรงค์ชูนิ้วโป้งให้สองนิ้วแล้วหยิบกุ้งตัวต่อไปซึ่งถูกแกะไว้ให้แล้วมากินต่อ


“จิ้มเยอะขนาดนั้นไม่เผ็ดเหรอ ผมใช้พริกขี้หนูสวนนะ”


“สบายมาก” เอกรงค์ว่า “กินตอนนี้เดี๋ยวค่อยไปซี้ดตอนดึกๆ” พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาให้ครั้งหนึ่ง


คนที่กำลังแกะกุ้งอยู่ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ  พลางเอื้อมมือไปเช็ดคราบมันกุ้งที่เลอะอยู่ให้คนอายุมากกว่า เขาแตะปลายนิ้วหัวแม่โป้งลงตรงรอยบุ๋มข้างแก้มก่อนจะไล้หนักๆ ไปจนถึงมุมปาก กำลังจะดึงมือกลับก็โดนริมฝิปากนุ่มนั้นรั้งไว้


ตาคมตวัดขึ้นสบตาคู่สวยที่มองมา ปลายลิ้นตวัดเอารสหวานของมันกุ้งคืนจากปลายนิ้วพร้อมกันนั้นก็ฝากอารมณ์หวามไหวจนใจสั่นกลับคืนไปให้เป็นของตอบแทน


ศุกลดึงมือกลับมาได้ในที่สุด ได้ยินเสียงภาดลบ่นแว่วๆ มาทำนองว่าเสียดายที่ไม่ได้ซื้อหอยนางรมสดมาด้วย แต่เขากลับคิดว่าโชคดีแล้วที่ไม่ได้ซื้อมาเพราะแค่นี้ ความร้อนแรงของ ‘ทะเลเผา’ ตรงหน้าก็พาให้น้ำลายสอแล้ว


“จะว่าไปคิดถึงบรรยากาศแบบนี้จังเลยนะ” จู่ๆ พีระก็เปิดประเด็นขึ้นมา “พวกเราไม่ได้มาทะเลด้วยกันนานแล้วเนอะทั้งที่เมื่อก่อนมาบ่อยมากแท้ๆ โดยเฉพาะแกน่ะแหละไอ้ติ๊นที่เป็นตัวตั้งตัวตี คนชอบทะเล ไหงจู่ ๆ เบื่อทะเลได้วะ”


“ใช่ๆ” ภาดลเห็นด้วย “ครั้งสุดท้ายก็งานบายเนียร์โน่นเลยใช่ไหม ที่พวกเราไปฉลองกันที่เสม็ด ตอนนั้นมีไอ้ไนท์แล้วก็เพื่อนๆ ในรุ่นกับน้องๆ รวมกันเกือบสี่สิบคนมั้ง แล้วก็หน้าหนาวแบบนี้แหละ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสด ทะเลงี้ใสแจ๋วจนเห็นแนวปะการัง มันยังสวยติดตาฉันมาจนมาถึงทุกวันนี้เลยว่ะ”


“อืม” ศุกลพยักหน้าและปล่อยให้ความทรงจำในช่วงเวลานั้นกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง


“ตกกลางคืนก็กินเหล้าเมาเละเทะ ฉันยังจำได้อยู่เลยว่าตื่นมาตอนเช้าไปนอนกอดขวดเหล้าอยู่ใต้ต้นมะพร้าว” พีระเล่าต่อ


“ของแกยังดีไอ้พี เป็นขวดเหล้ากับต้นมะพร้าวฉันนี่เกือบเสียตัวให้คุณนวล”


“ใครคือคุณนวลวะ สวยไหม? ทำไมฉันจำไม่ได้วะ” พีระเกาหัวแกรก “ฉันจำได้แค่ว่าแกหายไปแล้วก็กลับมาตอนเช้า”


“สวยเสยอะไรล่ะ คุณนวล หมาเจ้าของรีสอร์ทไง ไม่รู้ไปมุดกรงมันอีท่าไหน ดีนะเจ้าของเขาไม่เอาปืนมาไล่ยิง” ภาดลเฉลยความลับที่เก็บงำมาหลายปี


ทุกคนพากันหัวเราะครืนก่อนที่เอกรงค์จะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้


“แล้วติ๊นล่ะ”


เพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหันมาหาคนสุดท้ายในกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่มีวีรกรรมอะไรเลย


“เออว่ะ” พีระพึมพำ “ตอนนั้นแกหายหัวไปไหนวะ ฉันจำได้แค่ว่าเห็นแกกับไอ้ไนท์หายไปเข้าห้องน้ำกันสองคน แต่ขากลับมามีแค่ไนท์คนเดียว”


“ฉันง่วงก็เลยหนีไปนอนน่ะ” ศุกลบอกเรียบๆ


“ไอ้บ้านี่ทิ้งเพื่อนนี่หว่า” ภาดลแกล้งทำท่าฟันศอกใส่หยอกๆ


“ก็ไม่อยากไปแย่งคุณนวลจากคนบางคน” ศุกลพูดยิ้มๆ


“แล้วตั้งแต่นั้นมากลุ่มเราก็ไม่เคยไปทะเลด้วยกันอีกเลย” พีระสรุป


ภาดลวางแก้วพร้อมกับโบกมือไม่เห็นด้วย “แกพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะเว้ยไอ้พี พวกเราสามคนยังมาด้วยกันตลอดมีแต่ไอ้ติ๊นคนเดียวนี่แหละที่ชวนเท่าไรก็ไม่ยอมมา”


พีระตบตักฉาด “ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสนี้ต้อนรับติ๊นกลับสู่ทะเลอีกครั้ง มา! ชนแก้ว!!!” แล้วชูแก้วขึ้นในอากาศ คนอื่นๆ พากันทำตามรวมทั้งเอกรงค์ที่นั่งขำไม่หยุดกับท่าทางเหมือนคนเมาดิบของสองเพื่อนซี้ทั้งที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมสักนิด


แต่ทันทีที่ลดแก้วลง รอยยิ้มก็พลันเลือนหายไปจากหน้าของกุมารแพทย์หนุ่ม นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ก้อนน้ำแข็งในแก้วซึ่งถือค้างไว้ ริมฝีปากขบเม้มซ้ำไปซ้ำมาด้วยตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอ่ยออกไปดีหรือไม่ แล้วก็คิดได้ว่าถึงจะลำบากใจแต่ก็ไม่ควรให้อะไรมันคาราคาซังไปแบบนี้ เขาสะกิดเข้าที่ต้นขาคนนั่งข้างๆ ก่อนจะกระซิบที่ได้ยินกันแค่สองคน “คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอ”


“ก็…” ศุกลเงียบไป เขาคิดว่าเข้าใจคำถามแต่ยังไม่รู้จะตอบยังไง


“กับไนท์” เมื่อไม่ได้คำตอบเอกรงค์จึงถามคำถามให้ยาวขึ้นกว่าเดิม “ใช่ไหม เขาคือ ‘เพื่อนสนิท’ คนที่ติ๊นเคยพูดถึงใช่ไหม”


“ครับ” ศุกลพยักหน้ารับ “ผมบอกรักเขาวันนั้น แล้วมันก็จบลงทันทีตอนที่เขาบอกว่าเขาคิดกับผมแค่เพื่อนกันและเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว”


“ติ๊นยังไม่ลืมเขาใช่ไหม”


ศุกลนิ่งไปอึดใจก่อนจะตัดสินใจตอบอย่างตรงไปตรงมา “ครับ”


เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสอง เสี้ยวนาทีที่ปราศจากสุ้มเสียงใดนั้นเองที่สายน้ำส่งเสียงครืนครางราวกับจะตอกย้ำบางสิ่ง


“ทะเลตอนกลางคืน…” เอกรงค์รำพึงกับตัวเองในใจ “กลางคืน…” แล้วริมฝีปากก็เม้มสนิทเข้าหากันเมื่อสมองดันประมวลผลลัพท์ที่ไม่เข้าท่า


ถ้าหากนี่คือการมาในสถานที่แห่งความหลัง… ถ้าหากว่าทะเลในตอนกลางคืนนั้นมีความหมายถึงผู้ชายคนนั้น…


‘คนที่ไม่เคยลืม’


ประกอบกับภาพของความสนิทสนม และสายตาเอื้ออาทรที่สองคนมีให้กันซึ่งได้เห็นมาด้วยตาตนเองตอนที่รัตติเขตช่วยไปเป็นแบบวาดรูปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ความรู้สึกเจ็บก็แล่นปราดขึ้นมาในอก


“มีอะไรครับ” ศุกลถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปและในความมืดสลัวก็คล้ายๆ กับเห็นว่าสีหน้านั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก


“เปล่า” เอกรงค์รีบปฏิเสธ “ท่าทางผมจะเมามันกุ้งน่ะ ขอตัวไปเดินรับลมหน่อยนะ”


“ไปสิ เดี๋ยวผมไปเป็น…”


“ผมอยากไปคนเดียว” กุมารแพทย์หนุ่มยกมือห้ามเป็นการยืนยันคำพูดพร้อมกับลุกเดินจากไป


นัยน์ตาสีเข้มมองตามแผ่นหลังร่างโปร่งที่ค่อยๆ ถูกความมืดกลืนหาย ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่เขาไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรในเมื่อต้องยอมรับจนหมดใจว่านั่นคือความจริงที่เขายังคงคิดถึงรัตติเขตอยู่ กระนั้นก็ยังอยากพิสูจน์ให้เห็นเช่นกันว่าเขาก็พร้อมที่จะเปิดหัวใจให้ใครสักคนเข้ามา และใครคนนั้นก็คือคนที่เพิ่งจะเดินจากไปนั่นเอง


ศุกลครุ่นคิดอย่างร้อนรนพลางชะเง้อคอมองคนที่หายไปนานสองนาน กำลังคิดว่าจะลุกไปตามหูก็แว่วได้ยินเสียงกีตาร์โปร่งลอยมาตามลม นัยน์ตาสีเข้มหันไปเห็นที่มาของเสียงซึ่งก็คือกลุ่มนักศึกษาที่พักอยู่บังกะโลหลังถัดออกไปกำลังล้อมวงร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน





“ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ ดูสิพ่อโมเดินงอนไปโน่นแล้ว” นภธรณ์ที่ยังไม่นอนและเกาะขอบหน้าต่างบังกะโลสังเกตุการณ์อยู่ตลอดบ่นงึมงำ


“นั่นสิ” ธีร์ทัศน์ซึ่งแอบดูอยู่ด้วยกันพยักหน้า “แล้วทางนี้ก็ไม่คิดจะง้อด้วยนะ อ้าวๆๆๆ แล้วนั่นเดินไปทางไหนล่ะพี่ติ๊น หมอโมเขาเดินไปอีกทางไม่ใช่หรือไง”


“พี่ติ๊นของนายนี่ไม่ได้เรื่องเลย”


“แล้วทีนี้แผนการที่จะทำให้ทั้งสองคนร้อนรนเพราะโดนจับแยกห้องของเราก็ยิ่งเหลวเป๋วน่ะสิ”


“ก็นั่นน่ะสิ” นภธรณ์ถอนหายใจ “แบบนี้ไม่ได้คุยกันยันเช้าแน่ๆ สงสัยเราต้องเปลี่ยนแผนแล้วละ”


“นั่นสิ แล้วนายจะเอาไง” ธีร์ทัศน์ถามคนต้นคิดและเพราะเป็นแผนการ18+++ แบบอันคัทพวกเขาจึงต้องตัดเจ้าตัวเล็กออกไปชั่วคราว


“ก็ไม่ยังไง ตอนนี้ธรนอนหลับไปแล้ว นายไม่อยากกวนน้องก็เลยหอบเกมมาเล่นกับฉันที่ห้อง เดี๋ยวที่เหลือฉันดราม่าเอง”


“แล้วถ้าหมอโมอาสาไปนอนกับธรเองล่ะ”


นภธรณ์นิ่วหน้าคิดอยู่อึดใจ “เท่าที่ฉันรู้จักพ่อโมมา… ถ้าธรหลับไปแล้วพ่อโมน่าจะเกรงใจจนไม่กล้ากวนนะ ที่น่ากลัวมากกว่าน่ะคือถ้าโกรธจริงๆ พ่อโมจะนอนโซฟาไม่ก็ยอมไปนอนตากยุงข้างนอกโน่นเลย”


“แบบนี้ก็เรื่องใหญ่น่ะสิ” ธีร์ทัศน์เริ่มคิดหนัก “ถ้าดูแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น ฉันก็แค่กลับห้องไปนอนกับน้อง หมอโมก็จะไม่ต้องนอนข้างนอก แล้ว… แล้ว… แล้วยังไงต่อล่ะนอฟ พวกเขาสองคนก็ยังทะเลาะกันอยู่ดี”


“ถ้าอย่างนั้นเราก็ใช้แผน C ไง”


“อะไรวะ” ธีร์ทัศน์ยิ่งงงหนักกว่าเดิม แผน B ยังไม่มีแล้วแผน C มันโผล่มาตอนไหน


“ช่างมัน!” นภธรณ์สรุปง่ายๆ “ทะเลาะกันเองก็หัดง้อกันเองละกัน วุ้ย! โตๆ กันแล้วทำไมต้องมาเป็นภาระเราด้วยเนี่ย”


“นั่นน่ะสิ”


เด็กหนุ่มสองคนกอดอกแล้วถอนหายใจพร้อมกันก่อนจะหันไปเกาะขอบหน้าต่างแอบดูสถานการณ์ต่อไป





เท้าย่ำหนักๆ ไปบนผืนทรายอย่างสะเปะสะเปะตามจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่มั่นคง


จริงอย่างที่ปรเมษฐ์เคยว่าไว้… เขามันคนใจง่าย หลงรักใครง่ายดายเกินไป เชื่อว่าการที่ได้พบใครสักคนเป็นพรหมลิขิต ทุ่มเทให้เต็มร้อยเพราะคิดว่านี่จะเป็นรักสุดท้าย ด้วยเหตุนี้ถึงได้เจอกับความรักที่ผิดหวังมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยหลาบจำ เมื่อหัวใจยังคงเชื่อมั่นว่าจะเจอใครสักคนที่รักเขาจริงๆ


ลมหายใจเริ่มปั่นป่วนเพราะความเหนื่อย ฝีเท้าก็หยุดลงในที่สุด นัยน์ตาทอดมองไปบนท้องฟ้าเวิ้งว้างว่างเปล่าที่แผ่ออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ในสถานที่ซึ่งไร้ตึกรามบ้านช่องและแสงไฟจากหลอดนีออนทำให้แสงดาวดวงเล็กๆ ดูโดดเด่นระยิบระยับ มันช่างไร้เหตุผลจริงๆ กับการที่จะตกหลุมรักคนแปลกหน้าในต่างแดน และมันยิ่งยากขึ้นไปอีกที่จะได้รักกัน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เอกรงค์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


…นั่นน่ะสินะ ในเมื่อแค่นี้มันก็ยากพออยู่แล้ว แล้วจะมาทำให้เรื่องมันยากขึ้นไปอีกทำไม…


ในที่สุดใจก็เริ่มเย็นลงปล่อยความน้อยเนื้อต่ำใจค่อยๆ ปลิวหายไปกับสายลม กุมารแพทย์หนุ่มเดินย้อนกลับไปตามทางพลันหูก็แว่วทำนองเพลงที่เคยฟังดังคลอมากับเสียงกีตาร์โปร่ง หากนั่นก็ยังไม่คุ้นเท่าเสียงทุ้มที่กำลังขับขานบทเพลงนั้น


“อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล ว่าสิ่งที่ทำให้คนรักกัน หรือเป็นเพียงเพราะรอยยิ้ม...รอยนั้นเมื่อวันแรกเจอ…”


ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้อง แต่หัวใจกลับโลดแล่นสวนทางกับโน้ตดนตรีที่เนิบช้า และเมื่อเข้าไปใกล้มากพอในระยะหนึ่งสายตาก็ได้เห็นว่าใครเป็นคนขับร้องบทเพลงนั้น


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-11-2016 02:25:26
(ต่อค่ะ)


ศุกลนั่งไขว้ห้างลงบนเก้าอี้ผ้าใบมือทั้งสองประคองกีตาร์โปร่งตัวที่ไปหยิบยืมมาจากกลุ่มนักศึกษาลงบนต้นขาอย่างนุ่มนวล เขาค่อยวางปลายนิ้วลงบนสายพลางหลับตาลงเพื่อนึกถึงตัวโน้ตในแต่ละห้องของบทเพลงที่อยู่ในความทรงจำ ริมฝีปากฮึมฮัมเป็นทำนองอยู่ครู่หนึ่งจนเริ่มมั่นใจก่อนปลายนิ้วจะค่อยๆ กรีดลงไปบนสายกีตาร์แล้วริมฝีปากก็เริ่มถ่ายทอดเนื้อเพลงที่เขาขอใช้แทนความรู้สึกของหัวใจในตอนนี้ ฝากผ่านสายลมช่วยไปกระซิบบอกให้ใครคนนั้นได้ยินที


เอกรงค์ยืนเงียบฟังอยู่ใต้เงาของความมืด แล้วริมฝีปากก็ค่อยเหยียดออกช้าๆ และกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนร้องเงยหน้าขึ้นมาเห็นและบังเอิญสบตากันพอดี


กุมารแพทย์หนุ่มทำเป็นเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าตรงจุดนั้นไม่มีใครยืนอยู่อีกแล้วนอกจากเขา เห็นคนดีดกีตาร์แอบพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ ส่งมาให้เป็นเชิงบอก


‘ให้คุณน่ะแหละครับ’


เอกรงค์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้าซ่อนยิ้มกว้างที่ทำเอาแก้มแทบแตก หากยังแอบกางนิ้วห่างๆ ไว้แอบสบตากันเป็นระยะ
เขารอให้ตัวโน้ตสุดท้ายปลิวหายไปกับสายลมและศุกลส่งกีตาร์คืนให้นักศึกษาเรียบร้อยจึงปั้นหน้านิ่งเดินเข้าไปหา


“พี่ร้องเพราะจังวันหลังมาร้องด้วยกันอีกนะครับ” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาบอก


“ขอบคุณที่ให้ยืมนะ” ศุกลกล่าวขอบคุณอีกครั้งพลางโบกมือส่งบรรดาหนุ่มๆ ที่เดินกลับไปยังบังกะโลของตน


“อ้าว คุณหมอกลับมาแล้วเหรอครับ” พีระทัก “เสียดายจังเมื่อกี้ไอ้ติ๊นมันร้องเพลง คุณหมอมาฟังไม่ทัน ถึงหน้ามันจะเหมือนหมาแต่เสียงนี่หวานเหมือนนกเลยนะครับ”


“หวานขนาดนั้นเลยเหรอ” เอกรงค์ถามยิ้มๆ “ชักอยากจะฟังซะแล้วสิ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ขอซื้อตัวไปร้องให้ฟังก่อนนอนสักเพลงได้ไหม”


“ไม่ต้องซื้อหรอกครับคุณหมอ พวกผมยกให้เลย ไหนๆ ก็นอนบ้านเดียวกันแล้ว”


“แต่อย่าเสียงดังนักล่ะติ๊นเดี๋ยวจะปลุกเด็กๆ ตื่นหมด” ภาดลสำทับ


เอกรงค์หัวเราะคิกคักในลำคอพลางชำเลืองมองคนข้างตัวทางหางตา “ขอโทษนะครับ ผมง่วงแล้วขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”


“เชิญตามสบายเลยครับ” ภาดลว่า


“ฉันก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” ศุกลรีบบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน “นี่ก็ดึกแล้วพวกแกก็ไปนอนได้แล้วมั้ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”


“ขอเป๊บซี่หมดขวดนี้ก่อนแล้วจะไป” พีระโบกมือไล่แล้วหันไปชนแก้วกับเพื่อนต่อ


ทั้งสองหันหลังให้ทะเลที่ตอนนี้เป็นเพียงสีดำมืดคงมีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าตรงนั้นมีทะเลอยู่ เหมือนกับคนสองคนที่แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รับรู้ถึงกันและกันได้ผ่านไอความร้อนบางๆ ที่สัมผัสผ่านหัวไหล่กับหลังมือที่บังเอิญมาแตะโดนกันเป็นระยะ


“ง่วงแล้วเหรอ” ศุกลทำลายความเงียบขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้อง


“ก็พูดอยู่” เอกรงค์บอกพลางยกมือขึ้นกำลูกบิดห้องของตนซึ่งอยู่ติดกัน


ศุกลเหลียวมองด้วยหางตา เห็นมือเรียวกำลังหมุนลูกบิดช้าๆ ฟันขาวขบลงบนริมฝีปากแน่น… ต้องทำอย่างไรถึงจะยื้อเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันสองคนไว้ให้นานกว่านี้


ยังไม่ทันจะได้คำตอบอีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาเสียก่อน


“เปิดไม่ได้”


“โมว่าไงนะ”


“ประตูเปิดไม่ได้” เอกรงค์พูดซ้ำพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายที่เดินเข้ามาช่วยดู


ศุกลวางมือลงบนลูกบิดและขยับก๊อกแก๊กอยู่สองสามครั้งโดยหารู้ไม่ว่าอีกฟากของบานประตูนั้นมีสองแสบนั่งหัวชนกันปิดปากหัวเราะคิกคักทั้งยังพิงประตูไว้เพื่อให้ได้ว่าจะไม่มีใครผ่านเข้ามาได้ “ไม่ได้ติดอะไรหรอก เหมือนจะล็อกไว้มากกว่า”


เอกรงค์ขยับตัวมายืนหน้าประตูอีกครั้งพร้อมกับยกมือขึ้น


“โมจะทำอะไร” ศุกลถามพร้อมกับรั้งข้อมือที่กำลังจะสัมผัสบานประตูไว้ได้ทันพอดี


“ก็เรียกให้นอฟมาเปิดไง”


“ล็อกประตูหนีแบบนี้ โมเดาไม่ออกเหรอว่าวันนี้ลูกชายไม่ได้อยากให้นอนด้วย”


“แล้วติ๊นจะให้ผมไปนอนที่ไหน”


ท่อนแขนแกร่งคล้องหลวมๆ ลงรอบเอวสอบจากทางด้านหลังแล้วรั้งให้มาชิดอก ศุกลวางคางเกยลงบนบ่าแล้วกระซิบที่ข้างหู “ต้องถามด้วยเหรอ”


“ต้องถามสิ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของห้องเขาจะเต็มใจให้นอนด้วยหรือเปล่า” บอกอย่างไว้เชิงทั้งที่หัวใจโดดเข้าไปนั่งรอบนเตียงเรียบร้อยแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นตอบเลยว่าไม่เต็มใจ”


“อ้าว” เอกรงค์ร้องฮือ จะหันไปต่อว่าก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ริมฝีปากหยักนั้นฉกปิดลงมาพอดี


“เพราะผมไม่อยากให้นอน” กระซิบกับริมฝีปากนุ่มที่ยังคงคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง “หรือโมคิดว่าไงครับ”


คนในอ้อมแขนไม่ตอบเพียงแต่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนอกกว้างเต็มที่พร้อมกับสอดมือเข้าที่หลังศีรษะแล้วโน้มคออีกฝ่ายลงมาจูบ...
ทันที่ที่ประตูปิดลงสองร่างทาบทับกันอยู่บนเตียงใหญ่ แต่ส่วนที่แนบสนิทจนไร้ช่องว่างเห็นจะเป็นริมฝีปากที่ราวกับมีแม่เหล็กคนละขั้วติดกัน ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดหาความหวานราวกับมีน้ำผึ้งป่าซ่อนอยู่


“ได้ข่าวว่ายอมอดหลับอดนอนขึ้นเวรเพื่อมาเที่ยวกับผมเหรอ” จิตรกรหนุ่มกระซิบถามเมื่อผละออกจากริมฝีปากแดงช้ำจากการบดขยี้ของตนพลางเคลื่อนตัวลงต่ำ


คนถูกเผยความลับตาโตด้วยความตกใจ “ติ๊นรู้ได้ยังไง เจ้านอฟบอกใช่ไหม ปากสว่างจริงๆ เลย อุตส่าห์ย้ำแล้วนะว่าอย่าบอก พอกันเลยทั้งพ่อทั้งลูก”


“ทำไมผมถึงไม่ควรจะรู้เรื่องนี้ล่ะ” ศุกลถาม


“ก็มันดูไม่เท่นี่นา”


“อะไรคือเท่ การที่โมยอมทำเพื่อผมถึงขนาดนี้ต่างหากที่เท่จนทำให้ผมใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย”


“ไม่ต้องมาพูดเอาใจ”


“ถ้าอย่างนั้นไม่เอาใจ แต่…” ตาคมละจากนัยน์ตาคู่สวยหลุบมองลงต่ำ ผ่านริมฝีปากของคนที่อยู่ตรงหน้า ผ่านหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะไปจนถึงเรียวขายาวที่แอบมองมาตั้งแต่เช้า แล้วตวัดกลับขึ้นมาสบสายตา “เอาอย่างอื่นแทนได้ไหม”


“อะไร” เอกรงค์ถามกลับ


ศุกลยกตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรวบข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วยกขึ้นกดไว้เหนือศีรษะราวกับบอกเป็นนัยว่าตอนนี้ได้ตกเป็นจำเลยของเขาแล้ว


“ชอบแบบนี้เหรอ” คนอยู่ข้างล่างถามยิ้มๆ


“ไม่ได้ชอบ แต่ต้องกันไว้ก่อน”


“ยังไง”


คิ้วเข้มขมวดมุ่นเจ้าหากัน “ก็แบบว่า…”


“แบบนี้เหรอ?” สิ้นคำ เอกรงค์ก็พลิกตัวกลับรวดเร็ว กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งคู่สลับตำแหน่งกันเสียแล้ว ร่างโปร่งทิ้งน้ำหนักตัวนั่งคร่อมลงบนหน้าขาแข็งแรงนั้นเต็มที่พลางใช้มือข้างเดียวดึงเสื้อยืดออกทางศีรษะแล้วโยนทิ้งลงข้างเตียง


“จะทำอะไรครับ ไหนโมเคยบอกว่าจะยอมให้ผมตีไง”


“เปลี่ยนใจแล้ว” คนที่พลิกเป็นฝ่ายคุมเกมกรีดยิ้มพราย “ผมจะทำให้ติ๊นลืมเขา”


ศุกลมองรอยบุ๋มที่กดลงข้างแก้ม มือใหญ่เอื้อมขึ้นรั้งรอบกรอบหน้า ใช้ปลายนิ้วโป้งแตะไล้เสี้ยวพระจันทร์ราวกับอยากจะขโมยยิ้มมีเสน่ห์นี้มาไว้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว


เขาลากฝ่ามือช้าๆ ลงมาตามลำคอระหงผ่านหน้าอกที่เห็นเป็นกล้ามสวยมาจนถึงจุดเดียวที่ดูจะอ่อนไหวมากที่สุด และทันทีที่ปลายนิ้วแข็งเย็นแตะลงไป ก็ราวกับไปกดปุ่มให้ร่างโปร่งนั้นสั่นสะท้าน ยิ่งปลายนิ้วเสียดสีจนเกิดความร้อนมือเรียวที่กำคอเสื้อของเขาก็คลายออกช้าๆ แล้วเปลี่ยนมาเป็นจิกหัวไหล่ทั้งสองของเขาไว้แน่น


จิตรกรหนุ่มไม่ปล่อยเวลาให้เลยผ่าน เขาดันตัวขึ้นจากเตียงมือเลื่อนลงจับสะโพกแล้วรั้งต้นขาเรียวนั้นให้เปลี่ยนมาเกี่ยวรอบเอวเขาไว้แทน ในขณะที่ริมฝีปากเข้าครอบครองจุดที่ปลายนิ้วสัมผัสอยู่เมื่อครู่


“ติ๊น…”


“วันนี้ผมไม่ยอมให้โมมายั่วแล้วทิ้งไปดื้อๆ แบบคราวที่แล้วหรอกนะ” กระซิบทั้งที่ยังไม่คลายริมฝีปากจากยอดเนื้ออ่อนที่เริ่มเป็นไตแข็ง


“ไม่ได้จะหนีสักหน่อย” เสียงหวานเริ่มแตกพร่า เอกรงค์แข็งใจขยุ้มมือลงบนเรือนผมนุ่มเล้วรั้งศีรษะอีกฝ่ายออกจากอก “ผมลืมหยิบถุงยางมาจากกระเป๋าที่ห้อง”


ตาคมตวัดขึ้นมอง ก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเอาของที่ถามหาออกมา “คิดว่าซื้อมาคนเดียวหรือไง”


“น… นี่พกของแบบนี้ติดตัวตลอดเวลาเลยเหรอ”


“แค่วันนี้แหละ” จิตรกรหนุ่มใช้ฟันคาบมุมซองไว้เพื่อที่จะได้เหลือมือข้างหนึ่งดึงเสื้อของตัวเองออกบ้าง เขาโยนมันลงไปกองข้างตัวที่ถูกเจ้าของทิ้งไปก่อนหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่จ้องเขาไม่วางตา “ผมถอดให้แบบแฟร์ๆ แล้วนะ คราวนี้โมไม่มีอะไรมาอ้างได้แล้วนะ





เด็กหนุ่มสองคนในห้องที่อยู่ติดกันเคลื่อนกำลังพลจากหลังประตูมาซุ่มดักฟังอยู่ข้างกำแพง


“เงียบเลย ทำอะไรกันอยู่วะ” ธีร์ทัศน์แนบใบหูสนิทกับผนังปูนในขณะที่นภธรณ์อาศัยตัวช่วยเป็นกระดาษม้วนเป็นกรวยหากมันก็ไม่ได้ช่วยให้เสียงที่อยากได้ยินชัดขึ้นเลยสักนิด


“นั่นน่ะสิ”


“สงสัยจะนอนกันไปแล้วมั้ง”


“จับมือ มองตา นอนคุยกันจนฟ้าสาง” นภธรณ์ต่อให้ “ถ้าทำแบบนั้นจริงเราก็เลิกเชียร์แล้วเปลี่ยนเป็นอนุโมทนาบุญส่งสองคนนั่นไปบวชเถอะ เรื่องแบบนี้แม้แต่เด็กยังคิดได้เลยปะ”


“เด็กเปรตน่ะสิ”


นภธรณ์ฟาดมือใส่ศีรษะผู้ร่วมขบวนการไปหนึ่งทีโดนฐานกวนประสาท “เฮ้ย! เงียบๆ ฟังสิๆ เหมือนจะมีอะไรเคลื่อนไหวแล้ว โอ๊ย! ฟังไม่ชัดเลยทำไงดีวะ”


“ลองไปดูที่หน้าต่างไหม” ธีร์ทัศน์เสนอพลางบุ้ยใบ้ออกไปด้านนอกซึ่งเป็นระเบียงแคบๆ ไว้สำหรับวางคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศ


“แคบแบบนี้จะไหวเรอะ” นภธรณ์ว่าเพราะชะโงกหน้าออกไปมองเห็นพื้นที่เหลือพอแค่ให้วางเท้าได้เท่านั้น


“ลูกคุณหนู” ธีร์ทัศน์ยันตัวขึ้นบนขอบหน้าต่างก่อนจะปีนข้ามลงไปอย่างดาย


“อะไร! นายว่าใครลูกคุณหนูวะทัศน์” คนโดนปรามาสเริ่มฉุน นภธรณ์ยันมือลงบนกรอบหน้าต่างที่สูงถึงกลางอก พยายามจะดันตัวข้ามไป แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนที่อีกคนเพิ่งจะทำเลย เด็กหนุ่มเหลียวมองซ้ายแลขวาหาตัวช่วยก่อนจะลากเก้าอี้มาวางใต้ขอบหน้าต่างแล้วปีนขึ้นไป


“มาเร็ว” ธีร์ทัศน์เร่งพร้อมกับส่งมือให้





เสียงก๊อกแก๊กที่นอกหน้าต่างปลุกเด็กชายที่นอนหลับอยู่ให้ห้องข้างๆ ให้ตื่นขึ้นมา


ธีร์ธรใช้หลังมือขยี้ตาพลางลุกขึ้นนั่งและกวาดตามองหาพี่ชาย “พี่ทัศน์”


ส่งเสียงเรียกไปในความมืด หากก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ นอกจากเสียงของตัวเองที่สะท้อนกลับไปกลับมาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
เด็กชายห่อตัวในโปงผ้าเหลือแต่ลูกตา เริ่มใจคอไม่ดีเมื่อรู้ตัวว่าถูกทิ้งให้อยู่ลำพังในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านของตน


“พี่ทัศน์” ส่งเสียงเรียกออกไปอีกครั้ง แต่ตำตอบก็ยังเป็นความเงียบจนชวนขนลุกเช่นเคย จะมีก็แค่เพียงเสียงก๊อกแก๊กจากนอกหน้าต่าง


คนตัวเล็กมองหาที่มาของเสียงหวาดๆ แล้วทันใดนั้นเงาสีดำทะมึนก็ทาบทับลงมาบนกระจก มันมีรูปร่างคล้ายคนตัวใหญ่ เพียงแต่มีสี่แขน และ… และ… สองหัว…


“พี่ทัศน์?...” เสียงของเด็กชายขาดหายก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสะอื้นและร้องตะโกนสุดเสียง “ผีหลอกกกกก!”





“เสียงธรนี่เกิดอะไรขึ้น” ธีร์ทัศน์บอกอย่างร้อนรนเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของน้องชาย เขาดันอกนภธรณ์อย่างแรงให้ถอยกลับเข้าไปในห้องจนอีกฝ่ายเสียหลักตกจากเก้าอี้และคว้าคอเสื้อเขาล้มกลิ้งลงมาด้วยกัน


โครม!


“ไอ้บ้า! ทำบ้าอะไรวะ” นภธรณ์บ่นกับคนที่นอนทับอยู่บนตัว ทั้งจุกและเจ็บไปทั้งหลัง


“ธรร้องไห้ ฉันต้องรีบไปดูน้อง”





เสียงโครมที่ดังมาจากห้องข้างๆ ยิ่งทำให้เด็กชายขวัญเสีย เมื่อเรียกหาเท่าใดพี่ชายก็ไม่มาเขาก็วิ่งแผล็วล้มลุกคลุกคลานลงจากเตียงไปที่ประตู พยายามจะดึงเปิดออกแต่มือเล็กๆ นั้นก็สั่นจนเกินจะควบคุม


“พี่ทัศน์! พี่ทัศน์ช่วยธรด้วย… ฮืออออ”


ประตูห้องเปิดผัวะออก เจ้าของชื่อใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อเห็นน้ำหูน้ำตาน้องชายที่ไหลอาบสองแก้ม


“ธรเป็นอะไร”


เสียงของพี่ชายเพียงคนเดียวเหมือนสวรรค์มาโปรด ธีร์ธรโผเข้ากอดเอวพี่ชายแน่น “พี่ทัศน์ช่วยด้วย ผีหลอก”


“ธ… ธรว่าไงนะ”


“ผีหลอก!”


ไม่รอให้เด็กชายพูดซ้ำสอง คนที่กลัวผีจนขึ้นสมองเผ่นแน่บไปหาผู้ปกครองของตนทันที


“พ่อโม!”





“เดี๋ยวก่อนติ๊น” เอกรงค์ใช้สันมือดันหน้าผากคนที่นัวเนียอยู่บนหน้าอกให้ออกห่าง “เสียงอะไรน่ะ”


ทั้งสองสบตากันเลิ่กลั่กยังไม่ทันจะได้คิดอะไร เสียงรัวมือก็ดังลงบนประตูพร้อมๆ กับเสียงตะโกนเรียกดังลั่น


“พ่อโมเปิดประตูหน่อย!”


“พี่ติ๊นนนน!”


“แง!”


“เกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ” เอกรงค์ผลักคนตัวสูงจนหงายหลังก่อนจะกระโดดลงจากเตียง เขาคว้าเสื้อยืดที่ตกอยู่บนพื้นมาสวมเพื่อซ่อนรอยที่ใครบางคนฝากไว้แล้วพุ่งไปที่ประตู


“อะไรกันเด็กๆ”


นภธรณ์พุ่งเข้ากอดพ่อโมของตนเต็มวงแขนปากก็โวยวายไปด้วย “ผีอะ ผีหลอก!”


“ขอนอนด้วยคนนะครับ” ธีร์ทัศน์หน้าซีด เขาเองก็กลัวจนขาสั่นไม่แพ้กันในขณะที่เจ้าตัวแสบในอ้อมแขนเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว


“ไม่มีอะไรหรอกเด็กๆ เดี๋ยวพี่ไปดูให้นะ” ศุกลที่ใส่เสื้อเรียบร้อยแล้วเดินตามออกมา เขาทำท่าจะออกไปแต่กุมารแพทย์หนุ่มยกมือปรามไว้พร้อมกับส่งสายตาบอกให้ปลอบทุกคนก่อน จิตรกรหนุ่มจึงย่อตัวลงเพื่อให้ตัวเสมอกับคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม “ธรไม่เป็นอะไรนะครับ”


“ธ… ธร… กลัวผีครับพี่ติ๊น” ตอบทั้งที่ยังสะอื้นฮัก


“ไม่เป็นไรนะครับ พี่ทัศน์ก็อยู่ พี่นอฟ หมอโมแล้วก็พี่ติ๊นด้วย ผีไม่มาหลอกแล้วครับ ธรหยุดร้องนะเดี๋ยวพี่พาไปนอน”


“ไม่เอา” เด็กชายร้องลั่นพร้อมกับกอดเอวพี่ชายแน่นขึ้นอีก


“พ่อโม”


เสียงหวานของคนขี้แยที่ดังอู้อี้อยู่บนหัวไหล่ทำให้กุมารแพทย์หนุ่มถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปดึงประตูเปิดให้กว้างขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็นอนด้วยกันหมดนี่เลยละกัน”


“โม?” ศุกลทำปากขมุบขมิบเรียก


เอกรงค์หันไปสบตาจิตรกรหนุ่มที่ส่งค้อนวงใหญ่มาให้ เขาหรี่ตาลงคล้ายจะดุพลางยกสองแขนขึ้นลูบไหล่ลูบหลังเด็กหนุ่มที่กอดเอวไว้แน่น “ไปนอนกันเถอะครับเด็กๆ”


ถึงจะแสนเสียดายจนอกจะแตกมากแค่ไหน แต่เมื่อศุกลเห็นสายตาอ่อนโยนของกุมารแพทย์หนุ่มยามกอดปลอบเด็กพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ทีละคนหัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วกลับแรงขึ้นไปอีกหากด้วยจังหวะที่ต่างไปจากเดิม ยิ่งยามริมฝีปากแต้มรอยบุ๋มชัด เขาก็คลี่ยิ้มกว้างตามไปโดยไม่รู้ตัว ศุกลไม่ว่าอะไรอีกและเดินออกจากห้องไปขนหมอนกับผ้าห่มจากห้องข้างๆ มาให้พอดีกับจำนวนคน


เตียงใหญ่แคบไปถนัดเมื่อมีคนนอนเบียดกันถึงห้าคน นภธรณ์หลับไปทั้งที่ยังคงโอบเอวเอกรงค์ไว้แน่น ในขณะที่สองแสบกอดแขนจิตกรหนุ่มไว้คนละข้างจนไม่อาจขยับตัวได้


ทั้งสองคนที่ยังไม่อาจข่มตาหลับนอนสบตากันในความมืด


“ขอโทษนะ” เอกรงค์กระซิบพลางยกแขนข้างที่ว่างเอื้อมข้ามตัวธีร์ธรไปแตะมือลงบนผิวแก้มคนที่ดูจะผิดหวังไม่น้อย “วันหลังจะชดเชยให้นะ”


ศุกลแกล้งทำเป็นงอนไม่ตอบ เอกรงค์จึงไล้ปลายนิ้วเบาๆ ไปตามริมฝีปากหวังจะง้อให้ยิ้ม


นัยน์ตาจริงจังหลุบลงมองปลายนิ้วเรียวที่เกาอยู่ข้างแก้มราวกับเขาเป็นเด็กทารกก่อนจะหันไปงับไว้ด้วยความมันเขี้ยว เขาแกล้งขบเรียวนิ้วนั้นเล่นเบาๆ ในขณะที่ยังทิ้งสายตาให้สบกันไว้ เห็นแววตาขี้เล่นวูบไหวจึงใช้ทั้งริมฝีปากและปลายลิ้นดูดดึงราวกับกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง


“ติ๊น!” เอกรงค์กระซิบเสียงพร่าด้วยอารมณ์หวามไหมที่ติดขึ้นอีกครั้งยิ่งนานไปยิ่งเผลอคล้อยตามจนปล่อยให้ปลายลิ้นแลบเลียลึกจนถึงโคนนิ้ว เขากลั้นใจดึงมือออกและไม่ลืมตีแก้มคนลามกไปครั้งหนึ่ง


ศุกลหัวเราะโดยไม่มีเสียงทั้งที่นัยน์ตาพราวระยับ “ฝันดีนะครับ” กระซิบบอกก่อนจะปิดตาลงและหลับสนิทในนาทีถัดมา
ในขณะคนที่เขาอวยพรให้ยังนอนตาแข็งต่อไปอีกเกือบชั่วโมงจึงสงบใจหลับตาลงได้ในที่สุด


...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ....



ตอนนี้ก็ยังเป็นฝีมือ leGGyDan อยู่นะคะ ^^


หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 25-11-2016 05:56:43
อารายยยอ่าาาา 55555 เด็กๆนี่น้าาา  อดไปก่อนนะ พี่ติ๊น
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-11-2016 06:45:42
โธ่ เด็กๆ อ่ะ แต่ว่าไอ้ผีที่ว่าเนี่ยเราว่าเป็นไอ้นอฟกับทัศน์มากกว่ามั้ง
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-11-2016 10:54:48
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-11-2016 12:06:05
ขำพวกเด็กเล็กเด็กโตอ่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 25-11-2016 13:30:08
อดอีกแล้วพี่ติ๊น 5555

สงสารน้องธีร์
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 25-11-2016 22:40:26
ขอบคุณค่ะ  มาไวมาก  อดอีกตามเคย  อิอิ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-11-2016 22:51:31
ขำเด็กแสบทั้ง 3 ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 26-11-2016 11:23:16
อะโหยยยย เรือล่มมมมมม


55555555


ทั้งสงสารทั้งขำ เด็กๆน่ารักจริงๆ กลัวผีมานอนรวมกันหมด กร๊ากกกก
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 26-11-2016 19:32:08
โอ๊ย ชอบค่ะ

ขอบคุณสองผู้เขียน
ชอบตัวหนังสือของทั้งสองมาตลอด
จอมบรรยายทั้งคู่ด้วยค่ะ

รอ รอ รอ ค่ะ
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-11-2016 21:44:12
โอ้ยขำเด็กๆ 555555 สงสารพี่ติ๊น
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 7 Night (25-11-2559) p.3 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-11-2016 00:22:15
ขี้อ่อยอะไรกันขนาดนี้

สมน้ำหน้าเจ้าตัวแสบทั้งสองคน อยากรู้ดีนัก อดหมดเลย คนอ่านก็อดไปด้วย
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 30-11-2016 06:20:54
ตอนที่ 8 ลมหวน


แม้จะกลับจากออกค่ายมาได้เกือบหนึ่งสัปดาห์ เสียงคลื่นและความคาวเค็มของน้ำทะเลก็จางหายไปตั้งแต่มินิบัสเคลื่อนห่างจากหาดทรายสีขาว หากแต่แววตาพราวระยับที่สบกันนิ่งในความมืดด้วยระยะห่างเพียงช่วงแขนยังคงชัดเจนในความรู้สึก กลิ่นหอมจากเรือนกายที่เคยใกล้ชิดคล้ายยังติดที่ปลายจมูก การกระทำของใคนบางคนในค่ำคืนนั้นยังส่งผลให้หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึง เอกรงค์ปล่อยตัวพิงพนักเก้าอี้เมื่อคนไข้คนสุดท้ายเดินคล้อยหลังไปได้สักพัก ตากลมทอดมองประตูบานเลื่อนที่ปิดสนิทพลางยกปลายนิ้วเรียวขึ้นแตะที่มุมปากตนเองแล้วลากไปยังอีกฝั่งอย่างเชื่องช้า


ในหัวมีแต่หน้าคนที่ทิ้งจ้ำเล็ก ๆ เอาไว้ที่แหนือกระดูกไหปลาร้าต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องสวมเสื้อเชิ้ตติดกระดุมถึงคอและผูกเนคไทมาทำงานทุกวันจนบรรดาพยาบาลสาว ๆ ต่างพากันทักเพราะมันเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาพวกเธอสักเท่าไร กุมารแพทย์หนุ่มเลื่อนมือขึ้นถูผิวเนื้อเมื่อความร้อนแผ่ซ่านทั้งสองแก้มเมื่อนึกถึงคำพูดของตนเอง ‘วันหลังจะชดเชยให้’ ส่วนมือข้างที่เหลือคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะแตะปลายนิ้วพิมพ์ข้อความบางอย่างส่งถึงคนที่ยังไม่ได้พบหน้ากันเลยตั้งแต่อำลากันในเย็นวันที่กลับจากหัวหิน


เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าทำให้ศุกลต้องละสายตาจากแท่งถ่านสีดำปลายตัดที่กำลังลากไปมาบนกระดาษปรู๊ฟ มือที่ว่างหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนแบบขึ้นมากดอ่านข้อความเก่า ๆ ...


‘หิว’


จิตรกรหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ ทันทีที่เห็นข้อความจากโปรแกรมสนทนา ชายหนุ่มวางมือจากการวาดภาพหุ่นนิ่งด้วยเทคนิคชาร์โคลลุกขึ้นแล้วเดินไปล้างไม้ล้างมือก่อนจะออกไปนั่งรับลมที่ใต้ต้นจำปีหน้าบ้าน พิมพ์ข้อความแล้วส่งกลับไป


‘หิวแล้วทำไมไม่หาอะไรทานล่ะครับ’


ไม่ถึงอึดใจ อีกคนก็ตอบกลับมา ‘กินอะไรดี’


‘ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง เยอะแยะไป’


‘ไม่อร่อย’ เป็นข้อความที่ถูกส่งกลับมาตามด้วยตัวการ์ตูนยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้หัวใจคนอ่านเต้นแรงได้เท่ากับประโยคสั้น ๆ หลังจากนั้น ‘อยากกินติ๊นมากกว่า’


“หืม” ศุกลอุทานเบา ๆ พลางคลี่ยิ้มน้อย ๆ ดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอสัมผัส อดคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้ ถ้าบอกกันเสียอย่างนี้ตั้งแต่คืนนั้นก็จะได้ชวนกันหาอะไรกินให้อิ่มไปเลย


‘ขอโทษ ๆ มือไวไปหน่อย จะบอกว่ากินคนเดียวไม่อร่อย อยากกินกับติ๊นมากกว่า เดี๋ยวเย็น ๆ ไปหานะ’


จิตรกรหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในที่สุดก็ส่ายหัวดิกนึกตำหนิตัวเองที่เผลอปล่อยใจคิดอกุศล กำลังจะพิมพ์ข้อความตอบกลับก็พอดีกับที่มีสายเข้าเสียก่อน...


โฟล์กสวาเกนสีขาวก็แล่นเข้ามาจอดเทียบบาทวิถีหน้าร้านขายเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะขนาดสองคูหา ศุกลดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบกลับข้อความที่เอกรงค์ส่งมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน


‘ได้ครับ ผมมาทำธุระที่ร้านเครื่องเขียน แวะคุยกับเพื่อนแล้วจะรีบกลับ’   


เมื่อเรียบร้อยชายหนุ่มจึงเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้าน ไม่นานเขาก็กลับออกมาพร้อมกับกระดาษหอบใหญ่ ถุงใส่แผ่นไม้อัดและเครื่องมือสำหรับทำแม่พิมพ์แกะไม้รวมถึงสีโปสเตอร์บรรจุกล่องอีกจำนวนหนึ่ง จัดการวางของทั้งหมดที่เบาะหลังและจึงปิดประตู มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลาแต่คนที่นัดกันไว้ยังไม่มาจึงยืนรออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งโทรศัพท์ดังขึ้น


‘เราอยู่หน้าร้านเครื่องเขียนแล้วนะ’ ศุกลกล่าวทันทีที่กดรับสาย


‘เห็นแล้ว’ คนปลายสายตอบกลับ ฟังคล้ายมีสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เสียงหนึ่งนั้นชัดเจนจนเจ้าของนัยน์ตาสีเข้มต้องเหลียวหลังและภาพที่เห็นก็คือหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกำลังเดินใกล้เข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มให้


“รอนานไหม”


คนถูกถามส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง การปรากฏตัวของรัตติเขตทำให้ศุกลลืมเสียงเตือนข้อความเข้าที่เพิ่งดังขึ้นเมื่อครู่ไปเสียสนิท “เราทำธุระเสร็จพอดี ขอโทษนะที่ต้องให้ไนท์มาเจอที่นี่”


“ไม่เป็นไร เราผิดเองที่โทรไปนัดกะทันหัน”


“เฮ้ย ดูพูดเข้า ฟังแล้วห่างเหินยังไงก็ไม่รู้” จิตรกรหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ถ้าอย่างนั้นไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟฝั่งโน้นดีไหม”


“ร้านกาแฟ” คนเพิ่งมาถึงทวนคำ


“เครื่องดื่มอย่างอื่นก็มี ไม่ได้มีแค่กาแฟอย่างเดียว เราจำได้หรอกน่าว่าไนท์ไม่ดื่มกาแฟ”


จบประโยคนั้นอีกฝ่ายก็ค่อยยิ้มออก “ไปสิ”


ศุกลและรัตติเขตยืนรอจังหวะที่รถว่างก่อนจะพากันเดินไปยังร้านเล็ก ๆ ที่อยู่อีกฝั่งของถนน ภายในร้านตกแต่งเรียบง่าย บรรยากาศเงียบสงบเหมาะจะเป็นที่พักผ่อนของหนุ่มสาววัยทำงานยิ่งนัก ศุกลเองมักจะแวะสั่งกาแฟดื่มอยู่บ่อย ๆ เมื่อต้องมาสั่งอุปกรณ์ศิลปะหรือมารับของจากคุณลุงเจ้าของร้านเครื่องเขียน


“โกโก้ร้อนสองแก้วครับ” คนตัวสูงกว่ากล่าวกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ แต่เมื่อนึกขึ้นได้จึงเหลียวกลับมาถามอีกคนที่เดินมาหยุดยืนข้างกัน “ยังชอบโกโก้เหมือนเดิมหรือเปล่า”


“อื้อ ชอบเหมือนเดิมแหละ”


ศุกลพยักหน้าก่อนจะย้ำกับพนักงานอีกครั้งแล้วจึงเดินนำเพื่อนเก่าไปนั่งที่โต๊ะฝั่งซึ่งสามารถมองเห็นรถที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจน


“ติ๊นล่ะ ไม่ชอบดื่มกาแฟแล้วเหรอ” รัตติเขตเอ่ยขึ้น “เมื่อก่อนจำได้ว่าเวลานัดกันทำงานส่งอาจารย์ที่ตึกทีไรต้องซื้อกาแฟกระป๋องตุนกันเป็นโหล”


“ก็ยังดื่มอยู่นะ แต่พยายามจะดื่มให้น้อยลงน่ะ มีคนเขาบอกว่าดื่มมาก ๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพ แต่จู่ ๆ จะให้เลิกแบบหักดิบก็คงไม่ได้ มันต้องใช้เวลาน่ะ” พูดจบก็อมยิ้มเมื่อนึกถึงคนที่เตือนให้ตนเองลดการดื่มกาแฟลง


สองคนคุยกันได้ไม่กี่คำ พนักงานก็ยกโกโก้ร้อนสองถ้วยมาเสิร์ฟ


“ไนท์มีอะไรหรือเปล่าถึงนัดเราออกมา”


“มีเรื่องอยากรบกวนหน่อย”


“รบกวนอะไรกัน ไนท์ว่ามาเลย” จิตรกรหนุ่มกล่าว


“คือ...เพื่อนเรามันจะรีโนเวทโรงแรมน่ะ ต้องการอะไรที่เป็นไทย ๆ ก็เลยอยากให้ติ๊นช่วย...” ว่าแล้วก็ยกถ้วยโกโก้ขึ้นเป่าพลางลอบสังเกตที่ท่าของอีกฝ่าย เมื่อเห็นศุกลไม่ได้แสดงท่าทีอึดอัดจึงกล่าวต่อ “ถ...ถ้าติ๊นไม่สะดวก ช่วยแนะนำคนอื่นให้เราก็ได้”


“สะดวกสิ แต่บอกก่อนนะว่าเราไม่เก่ง ยิ่งลายไทยด้วย”


“ระดับลูกชายอาจารย์สุรศักดิ์ศิลปินศิลปะไทยเนี่ย แถมยังได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย ถ้าแบบนี้ไม่เรียกเก่ง อย่างเราก็ห่วยบรม”


“เราไม่เก่งขนาดนั้นหรอก”


“อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยน่า เราเองก็ยังเคยให้ติ๊นสอนนะ จำไม่ได้เหรอ” คนพูดเงยหน้าขึ้นสบตาพร้อมกับยิ้มให้


และนั่นก็ทำให้ศุกลได้หวนนึกถึงเหตุการณ์บางช่วงบางตอนเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาศิลปะที่ขณะนี้เริ่มเลือนรางไปบ้างตามกาลเวลา


“เอาละครับ วันนี้ผมจะให้นักศึกษาจัดเก้าอี้เป็นสองฝั่ง เดี๋ยวเราจะมาวาดพอร์ตเทรตกัน” ชายหนุ่มวัยสามสิบห้าเจ้าของหนวดเครารุงรังที่ยืนอยู่กลางห้องกล่าว ยังไม่ทันจะอธิบายรายละเอียดความโกลาหลก็เริ่มขึ้นเมื่อนักศึกษาชายหญิงต่างลากม้านั่งตัวยาวที่ด้านหนึ่งมีพนักเป็นโครงโลหะรูปตัวยูเหลี่ยมสูงจากที่นั่งขึ้นมาเกือบสามสิบเซ็นติเมตร หาที่เหมาะ ๆ สำหรับการเขียนภาพของตนเอง ทันทีที่เสียงขาเก้าอี้โลหะซึ่งเสียดสีกับแผ่นกระเบื้องยางค่อย ๆ จางลง คนสอนก็อธิบายต่อ “ให้ดูเพื่อนที่นั่งอีกฝั่งเป็นแบบนะครับ”


“แล้วถ้าอยากวาดคนข้าง ๆ ล่ะครับอาจารย์” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนมองผ่านร่างใหญ่ของหญิงสาวผู้รั้งตำแหน่งประธานรุ่นไปหยุดยังหน้าหวานของสาวน้อยที่นั่งห่างออกไป


“จะข้างไหนก็เอาสักข้างก็แล้วกัน แต่ภายในวันนี้เอาไปส่งไว้ที่โต๊ะผม”


“แกจะวาดฉันเหรอ” สาวร่างใหญ่เอ่ยขึ้น


“ใครว่าล่ะ ฉันจะวาดบัวต่างหาก” ว่าแล้วก็หันไปยิ้มกับเจ้าของหน้ารูปไข่ก่อนกล่าวกับชายหนุ่มซึ่งนั่งถัดจากเธอไป “ไอ้ไนท์แลกที่กัน”


เจ้าของชื่อเตรียมจะลุกแต่ถูกห้ามไว้


“ไนท์อย่าไปแลก ไนท์นั่งข้างบัวนั่นแหละดีแล้ว”
   

“อะไรวะ เกี่ยวอะไรกับแกยัยจอย ฉันพูดกับไนท์”
   

“เอาละ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน” อาจารย์รีบห้ามทัพก่อนที่สองคนจะเถียงกันจนไม่เป็นอันทำอะไร “บางทีคนที่นั่งข้าง ๆ กันสมัยเรียนน่ะ ต่อไปอาจจะเป็นแฟนกันก็ได้ใครจะไปรู้ อย่างสองคนนี้ไง เถียงกันไปสุดท้ายก็รักกัน” สิ้นประโยคของอาจารย์เสียงเป่าปากโห่ร้องก็ดังขึ้นเกรียวกราว ศุกลที่ไม่ได้ยินดียินร้ายกับคำพูดดังกล่าวละสายตามจากภาพตรงหน้ามองดินสอในมือก่อนจะจรดปลายแหลมลงบนกระดาษบรู๊ฟ จากนั้นจึงลากไปมาเกิดเป็นโครงหน้าซึ่งมีแต่เขาที่รู้ว่าเป็นของใคร


“ฉันว่าสองคนนั่นน่ะต้องเป็นแบบที่อาจารย์พูดว่ะ” ภาดลกล่าวพลางบุ้ยปากไปยังสองหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“ไอ้ไนท์กับยัยบัวน่ะเหรอ”


“อือ เห็นตัวติดกันชนิดเห็นบัวต้องเห็นไนท์ เจอไนท์ที่ไหนต้องเจอบัวที่นั่น ฉันว่าสอนคนนี้ชักจะยังไง ๆ แล้วละ หรือแกว่าไงไอ้ติ๊น” สิ้นเสียงนั้น ตาสองคู่ก็จับจ้องไปที่หนุ่มผมยาวที่กำลังฝนปลายดินสอกับเนื้อกระดาษชนิดบาง น้ำหนักอ่อนเข้มทำให้เกิดเป็นพื้นผิวที่ดูมีมิติราวกับเนรมิต


“ไม่รู้โว้ย ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น” พูดจบก็ลุกวางกระดานวาดรูปพิงกับพนักแล้วเดินไปเหลาดินสอที่หลังห้อง


“แหม...ทำเป็นไม่สนใจ” พีระบ่นขมุบขมิบก่อนจะลงมือร่างภาพคนเหมือนครึ่งตัวที่อาจารย์กำหนดให้ผลัดกันเป็นแบบ โดยให้นักศึกษานั่งกันคนละฝั่งของห้อง
   

“แกหมายความว่ายังไงวะไอ้พี” คนข้าง ๆ กระซิบถาม


“ก็ฉันเห็นไอ้ติ๊นมันชอบมองยัยบัวบ่อย ๆ น่ะสิ แกไม่สังเกตเหรอ”


ภาดลได้แต่ส่ายหน้ามองตามร่างสูงที่เดินกลับมานั่งประจำที่ของตนเองอีกครั้ง


ศุกลคว้ากระดานตั้งบนหน้าตักโดยพาดปลายด้านหนึ่งไปกับพนักม้านั่งเหมือนเดิมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแบบของตนซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง จากนั้นจึงลงแสงเงาในภาพต่อกระทั่งผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงภาพวาดคนเหมือนของเขาและเพื่อน ๆ ก็ทยอยกันเสร็จเรียบร้อย


“โอ้โห สวยว่ะไอ้ติ๊น” คนที่เดินผ่านมาเอ่ยขึ้น


เมื่อได้ยิน ทั้งภาดลและพีระจึงวางมือแล้วยื่นหน้ามองภาพนั้นบ้าง


“อ้าว นี่แกวาดไอ้ไนท์หรอกเหรอ ฉันนึกว่าแกวาดรูปบัวเสียอีก” ภาดลว่าขณะยื่นหน้าเข้ามาใกล้


“แล้วแกวาดใครวะไอ้ดล”


“นี่ไง ฉันวาดยัยขวัญ สวยกว่าตัวจริงไหม”


“เออ ๆ สวย ๆ เก่งว่ะ วาดลิงให้เหมือนคนได้” พีระหัวเราะก่อนจะเบนสายตาไปยังหญิงสาวผอมแห้งที่นั่งอยู่ข้างตู้ใส่โครงกระดูกจำลอง อดคิดในใจไม่ได้เลยว่ารูปร่างของเธอกับโครงกระดูกนั่นช่างใกล้เคียงกันเสียเหรอเกิน “เพื่อน ๆ มาดูเร็ว ไอ้พีมันวาดลิงให้เป็นคนได้”


คนขี้เล่นยังพูดไม่ทันขาดคำเพื่อน ๆ ก็กรูกันเข้ามา ตามด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปดของคนที่ภาดลใช้เป็นแบบ


“ฉันเป็นคน! ลิงอะไรจะสวยขนาดนี้ นี่น่ะเขาเรียกงามอย่างมีคุณค่าโว้ย”


เสียงเอะอะโวยวายเริ่มคลี่คลายลงเมื่อใกล้หมดชั่วโมงเรียน บรรดานักศึกษาต่างวางผลงานของตนไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงทยอยกันออกจากห้อง


“เฮ้ย ไอ้พี กินข้าวกันก่อนนะแล้วค่อยกลับบ้าน หิวจะแย่แล้วว่ะ” ภาดลเอ่ยขึ้น


“เออ ๆ เดี๋ยวขอเก็บของก่อน” ว่าแล้วก็หันไปหาอีกคนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน “ไอ้ติ๊น กินข้าวกัน”


“พวกแกไปกินกันเลย ฉันยังไม่หิวน่ะ ว่าจะเก็บรายละเอียดต่ออีกหน่อย”


“แค่นี้ก็เอแล้ว จะละเอียดไปไหนวะ” พีระลุกขึ้นก่อนจะเดินไปส่งงาน “ถ้าอย่างนั้นฝากเอางานของทุกคนไปไว้ที่ห้องอาจารย์สันติด้วยนะ ฉันสองคนไปกินข้าวก่อน ถ้าจะกินก็ตามไปที่โรงอาหารนะ”


“อือ” ศุกลตอบส่ง ๆ มือยังคงจับดินสอตวัดไปมา เมื่อเสียงพื้นรองเท้าผ้าใบเสียดสีกับแผ่นกระเบื้องยางห่างออกไปภายในห้องนั้นก็เงียบเชียบลง เงียบจนได้ยินเสียงกราไฟต์เสียดสีกับกระดาษดังมาจากอีกฝั่ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นพบว่าในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างกระจกแบบผลักออกเรียงรายตลอดแนวขณะนี้เหลือเพียงเขากับเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งเท่านั้น


‘ถ้าไม่ทักก็ไม่รู้ว่าจะได้เริ่มทำความรู้จักกันตอนไหน’ เพราะถือคตินี้ศุกลจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดชะโงกมอง แต่อีกฝ่ายก็ไวพอที่จะดึงกระดานเข้าชิดอกเพื่อซ่อนเร้นภาพที่ตนเองวาด หากแต่ยังไม่ไวเท่ากับมือหนาที่รั้งข้อมือเล็กเอาไว้


“เดี๋ยวเสื้อเปื้อน”


เมื่อนึกขึ้นได้ รัตติเขตจึงขยับกระดานวาดรูปให้ห่างจากตัวเล็กน้อยโดยกะว่ามันน่าจะรอดพ้นจากสายตาเจ้าของมือใหญ่ที่ค่อย ๆ คลายออกจากข้อมือตนเอง


“ขอดูรูปหน่อยสิ”


“ดูทำไม” คนถูกจู่โจมมีท่าทีอิดออด


“นายวาดรูปเราไม่ใช่เหรอ”


“น...นายรู้ได้ยังไง” เงยหน้าขึ้นสบตาหนุ่มผมยาวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ


“ก็เห็นน่ะสิ อยากดูว่าเสร็จแล้วจะหล่อกว่าตัวจริงหรือเปล่า” ศุกลทำพูดติดตลกให้อีกฝ่ายคลายความกังวล


“ฝีมือเราสู้นายไม่ได้หรอก”


คนฟังส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งของร้องอีกครั้ง “นะ...เราขอดูหน่อย”


เมื่อทนการรบเร้าไม่ไหว รัตติเขตจึงจำใจวางกระดานวาดรูปพาดกับพนักพิงของม้านั่งซึ่งทำจากโลหะ ปากก็บ่นพึมพำไปด้วย “บอกแล้วว่าฝีมือเราห่วย”


“ห่วยที่ไหนกัน ลงน้ำหนักเพิ่มอีกหน่อยก็ใช้ได้” ว่าแล้วก็ใช้เท้าเกี่ยวขาเก้าอี้มาใกล้แล้วนั่งลงข้าง ๆ รั้งดินสอจากมือของอีกฝ่าย จัดการลงแสงเงาเพิ่มให้


และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์หนึ่งซึ่งทำให้รัตติเขตกลายมาเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่มเห็นที่จะไม่พ้นครั้งที่ไปคัดลอกภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดสำคัญแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ


“บัวไปไหนวะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย” ผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่มนักศึกษาเอ่ยขึ้นหลังจากกวาดตามองแล้วพบว่าจำนวนสมาชิกลดลงจากเมื่อช่วงเช้า


“นั่งอยู่ที่หน้าโบสถ์กับกานต์น่ะ”


ศุกลพยักหน้าก่อนจะนึกได้ “ทำไมปล่อยแฟนไว้กับคนอื่นวะ”


“ไม่ใช่โว้ย เรากับบัวเป็นเพื่อนกันตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่าแล้ว สอบติดที่เดียวกัน แถมบัวยังไม่ได้สนิทกับใครเราก็เลยไปไหนมาไหนด้วยกัน” รัตติเขตอธิบายก่อนจะถามในสิ่งที่สงสัย “นายยิ้มอะไร”


“นี่นายกับบัวไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกเหรอ”


“ก็ไม่ได้เป็นน่ะสิ”


“เข้าใจผิดมาตั้งนาน” คนตัวสูงกว่ายิ้มกว้างกว่าเดิม “เขามีแฟนแล้วก็เลยเป็นหมาหัวเน่าว่าอย่างนั้นเถอะ”


“คงใช่” อีกฝ่ายตอบเสียงเนือย ๆ “ตอนนี้วบัวสนิทกับจอย แล้วกานต์ก็เป็นเพื่อนของจอยตั้งอยู่โรงเรียนเก่าน่ะ”


“อืม...กานต์...ที่เรียนสาขาออกแบบเครื่องประดับใช่ไหม” เมื่อได้รับคำตอบเป็นที่แน่ชัดศุกลจึงกล่าวต่อ “ก็ว่าทำไมมันถึงมาลงศิลปะไทยเป็นวิชาเลือก ที่แท้เพราะแบบนี้นี่เอง”


“แล้วนายล่ะ ไม่ได้ชอบบัวหรอกเหรอ เห็นใคร ๆ เขาก็พูดกันแบบนั้น”


“รอให้ปิกัสโซกลับมาเกิดใหม่ก่อนเถอะถึงจะเป็นไปได้”


“เวอร์ว่ะ” รัตติเขตยิ้มขัน ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็แสดงอาการที่ไม่ต่างกัน



นัยน์สีเข้มจับจ้องควันสีขาวที่ลอยเคลียอยู่กับผิวของของเหลวที่น้ำตาลเข้มในแก้วเซรามิกสีขุ่นแบบมีหูจับ พลางใช้ช้อนคนจนเกิดเสียงกังวานยามเมื่อโลหะกระทบผิวดินปั้นที่ผ่านกระบวนการเผาด้วยความร้อนสูง ยอมรับว่านั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุข สนุกสุดเหวี่ยงที่สุด อดคิดไม่ได้เลยว่าโลกใช้เวลาหมุนรอบตัวเองเท่าเดิม ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์เท่าเดิม เข็มนาฬิกาก็ยังเคลื่อนไปด้วยอัตราความเร็วเท่าเดิม แต่คนเรากลับรู้สึกว่าบางวันก็ผ่านไปช้าเหลือเกิน บางเดือนเผลอเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้วจนทำให้บางปีผ่านไปไวอย่างไม่น่าเชื่อ ในความเป็นเพื่อนสำหรับเขานั้นทำให้ต้องกลับมานั่งคิดว่าช่วงเวลาสุดสนุกมันผ่านไปไวเหลือเกิน เหมือนยังรับน้องด้วยกัน วาดรูป เที่ยวหอศิลป์ นั่งรถเมล์ด้วยกัน กินหมูกระทะ กินข้าวในโรงอาหารด้วยกัน ไปออกค่าย เขียนลายไทย ถ่ายรูปด้วยกันอยู่เมื่อ 2-3 วันก่อน วันนี้กลับต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของแต่ละคน


“ติ๊น...”


“ติ๊น...”


“ฮะ? ว่าอะไรนะ”


“คิดอะไรอยู่วะ คนจนโกโก้เย็นหมดแล้วมั้ง”


“ป...เปล่า” ศุกลรีบปฏิเสธก่อนยกโกโก้ขึ้นดื่มแล้วถาม “ว่าแต่นายเถอะ ทำไมไม่รับทำเสียเอง ตอนนี้ก็ว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ”


“ห่างมานานแล้วว่ะ กลัวทำให้เขาได้ไม่ดี อีกอย่างงานที่ทำก็เป็นงานออกแบบบูธไม่ก็อีเวนท์ ติ๊นก็รู้ว่าเราไม่เก่ง สมัยเรียนยังให้ติ๊นช่วยอยู่บ่อย ๆ” คนพูดยิ้มเขิน “เอาเป็นว่ารับปากแล้วนะว่าจะช่วย”


“อื้อ ช่วยอยู่แล้ว จะให้เริ่มเมื่อไรบอกได้เลยเราจะได้ทำตัวให้ว่าง”


“คงไม่รบกวนเวลาติ๊นขนาดนั้นหรอก แค่อยากให้ไปดูสถานที่ด้วยกันแล้วก็ออกแบบให้หน่อยน่ะ ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ช่าง”


“อย่างนั้นก็ได้ ไนท์นัดมาก็แล้วกัน”


สองคนนั่งคุยกันกระทั่งบ่ายคล้อยจึงได้ร่ำลากัน ขณะรอพนักงานคิดเงิน เสียงโทรศัพท์ของรัตติเขตก็ดังขึ้น


“ครับ เป็นอะไรมากไหมครับ”


ศุกลสังเกตเห็นความวิตกกังวลระคนตกใจในใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เมื่อรับเงินทอนจากพนักงานเรียบร้อยแล้วเขาจึงยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น      


“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ...พี่ส่งรายละเอียดให้ผมด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบไป”


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” จิตรกรหนุ่มเอ่ยถามคนที่ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์


“พี่เขยโทรมาบอกว่าพี่สาวเราความดันขึ้นสูงน่ะ เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ตอนนี้ใกล้คลอดแล้วด้วยก็เลยพาไปโรงพยาบาล”


“ไม่เป็นไรน่า” พูดจบก็เลื่อนมือไปกุมมือเย็นเฉียบของคนตรงหน้าพร้อมกับบีบเบา ๆ “นายรีบไปดูพี่นันท์เถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”


....


คาดิลแลคสีดำแล่นเข้ามาจอดในบริเวณของ Light&Shade ตั้งแต่เมื่อสามสิบนาทีก่อน เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกให้รู้ว่าเหลืออีกเพียงห้านาทีจะหนึ่งทุ่มแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าโฟล์กสวาเกนสีขาวที่เคยจอดอยู่ในโรงรถจะกลับมาสักที เอกรงค์กอดอกเอนหลังพิงรถคู่ใจทอดตามองไปยังเรือนกระจกที่ยังพอมีบรรดาผู้ใหญ่ที่อาศัยเวลาหลังเลิกงานมาทำงานศิลปะให้เห็นอยู่บ้าง กุมารแพทย์หนุ่มตัดสินใจรั้งโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงเป็นรอบที่ห้าเพื่อโทรหาคนที่ทำให้เขาต้องมายืนท้องร้องอยู่ตรงนี้ แต่ผลก็เหมือนกับครั้งก่อน ๆ ที่อีกคนไม่ยอมรับสาย ซ้ำข้อความที่เขาส่งไปก็ไม่ได้ถูกเปิดอ่าน


“ไปอยู่ไหนนะ หรือว่ารถเสีย” เจ้าของริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง ก้มมองนาฬิกาข้อมือ พลันเสียงเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้น


‘ขอโทษครับ เพิ่งเห็นว่าโมโทรหา ผมปิดเสียงไว้’


‘ติ๊นอยู่ไหน’


‘โรงพยาบาลครับ ผมมาเป็นเพื่อนเพื่อน พี่สาวเขาป่วย โมถึงบ้านหรือยัง’


‘เพิ่งถึงน่ะ แล้วทางโน้นเป็นยังไงบ้าง’ เอกรงค์ตอบกลับถามประสาคุณหมอที่เห็นความปลอดภัยของคนไข้สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง


‘ความดันขึ้นสูงครับ เธอตั้งครรภ์ใกล้คลอด คุณหมอบอกว่าไม่มีอาการครรภ์เป็นพิษ แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวัง’


‘ถ้าอย่างนั้นไปอยู่กับเพื่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว’


กุมารแพทย์หนุ่มพอจะยิ้มได้บ้างเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ถูกส่งกลับมาคือรูปการ์ตูนแสดงสีหน้ารู้สึกผิดกับข้อความ ‘ขอโทษครับ อย่าลืมทานข้าวด้วยนะ พรุ่งนี้เจอกันครับ สัญญาเลยว่าจะไปนั่งทานข้าวเป็นเพื่อน’


‘ครับ’ เอกรงค์ทอดตามองข้อความสุดท้ายของตนเองพลางถอนหายใจเบา ๆ เมื่อแน่ว่าคงไม่มีถ้อยคำใด ๆ ถูกส่งกลับมาแล้ว ปลายนิ้วเรียวแตะหน้าจอสัมผัสเลื่อนหาชื่อของคนที่นึกถึงอยู่เสมอยามเมื่อไม่ต้องการทำอะไรเพียงลำพัง กระทั่งเจอชื่อของปรเมษฐ์ ข้อความสั้น ๆ จึงถูกส่งออกไป


‘อยู่ไหนวะ กินข้าวกัน’


‘กินข้าวบ้าอะไร ทำงานโว้ย’


‘อย่ามาโม้ วันนี้แกออกเวรเย็น’


‘ลงจากตึกมาได้หน่อยก็โดนโทรตามให้ไปห้องรอคลอด จะกินข้าวให้อร่อยสักหน่อย’ ข้อความนั้นถูกส่งมาพร้อมกับรูปถ่าย
กุมารแพทย์หนุ่มแตะปลายนิ้วเพื่อขยายภาพ มันเป็นภาพของปรเมษฐ์ในชุดกางเกงสแลคสวมทับเสื้อเชิ้ตสีเข้ม แขนเสื้อที่ถูกถกขึ้นลวก ๆ แสดงให้รู้ว่าอีกฝ่ายเลิกงานและกำลังเตรียมตัวขับรถกลับคอนโดเหมือนทุกครั้ง จุดที่เขานั่งคือภายในโรงอาหารของโรงพยาบาล แต่นั่นก็ไม่ทำให้เอกรงค์สนใจจนต้องจ้องเขม็งเท่ากับชายหนุ่มสองคนที่กำลังนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน แม้จะเล็กจนต้องใช้ปลายนิ้วขยายจนสุดแต่ก็ชัดเจนแบบที่สามารถทำให้ในใจรู้สึกหวิว ๆ ได้


...


วันต่อมา ทันทีที่ก้าวออกจากห้องตรวจเอกรงค์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าศุกลนั่งรออยู่ที่ด้านนอก การรักษาสัญญาของจิตรกรหนุ่มทำให้ความเหน็ดเหนื่อยของคุณหมอที่เกิดจากการต้องตรวจคนไข้ตั้งแต่เช้ายันค่ำมลายสิ้น รอยบุ๋มที่ข้างแก้มส่งให้ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นน่ามองขึ้นเป็นกอง เอกรงค์เกาแก้มเขิน ๆ ขณะเดินเข้าไปหาคนที่กำลังลุกขึ้น ในหัวโล่งราวกับถูกล้างข้อมูลออกจากสมองทั้งที่นั่งคิดนอนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นวานมาทั้งคืน


“มานานแล้วเหรอ”


“ครับ ชดเชยที่ปล่อยให้โมรอเมื่อวาน” ศุกลตอบ ดวงตาไม่ละจากรอยยิ้มบนดวงหน้าคมคาย “อย่าโกรธนะ”


“โกรธ” เอกรงค์ตอบหน้านิ่ง


“อ้าว นึกว่าจะใจดีกับเด็กทุกคนเสียอีก”


“ล้อเล่นหรอกน่า ไปทานข้าวกันดีกว่า ผมหิวจะแย่แล้ว” พูดจบกุมารแพทย์หนุ่มที่วันนี้สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าถิ่นก็เดินนำไปที่โรงอาหาร


วันนี้ผู้คนไม่มากนัก ที่กำลังนั่งรับประทานอาหารและยืนต่อคิวซื้อผลไม้เห็นจะเป็นญาติคนไข้ที่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล ฝั่งที่ติดกับร้านขายน้ำมีนักเรียนแพทย์กลุ่มหนึ่งกับบรรดานางพยาบาลที่รอเข้าเวร โรงอาหารในยามนี้จึงมีโต๊ะว่างให้เลือกนั่งจำนวนมากผิดกับตอนกลางวันลิบลับ   


“โมอยากทานอะไร เดี๋ยวผมไปซื้อให้” ศุกลเอ่ยขึ้นเมื่อคุณหมอหยุดที่โต๊ะซึ่งว่างอยู่


“ติ๊นอยากทานอะไรก็ซื้อมาเลย ผมทานได้หมด” เอกรงค์ว่า ที่ตอบไปแบบนั้นก็เพราะอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายชอบกินอะไรก็เท่านั้น


“ถ้าอย่างนั้นนั่งรอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมมา”


หายไปพักหนึ่งศุกลก็เดินกลับมาพร้อมกับถาดซึ่งมีเกาเหลาหมูใส่ใบตำลึงสองชามกับน้ำเปล่าอีกสองขวด


“เกาเหลาเหรอ น่าทานจัง”


“เห็นนอฟบอกว่าโมชอบทานอาหารเพื่อสุขภาพ ผมพยายามหาสลัดผักแล้วแต่ไม่มีเลย ก็เลยคิดว่าเมนูนี้น่าจะดีที่สุด”


“ค่ำแล้วน่ะ แม่ค้าเริ่มทยอยกันเก็บร้าน ถ้ามาตอนเที่ยงจะมีของกินให้เลือกเยอะกว่านี้อีกนะ ส่วนคนก็เยอะตามไปด้วยจนบางทีผมก็ซื้อแซนด์วิชจากร้านสะดวกซื้อกินให้พอท้องอิ่ม” พูดจบเอกรงค์ก็ลงมือจัดการกับเกาเหลาหมูที่ส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ตรงหน้า


“เหนื่อยไหม” จู่ ๆ คนอายุน้อยกว่าก็ถามขึ้น


“มาก แต่ทำยังไงได้ มันเป็นหน้าที่น่ะ” แม้ปากจะบอกว่าเหนื่อยแต่ใบหน้ากลับยังแต้มด้วยรอยยิ้ม


“ดูเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวมาทำเพื่อคนอื่นจริง ๆ นะครับ ทั้งหมอทั้งพยาบาลเลย”


“อืม คนเข้าใจพวกเราอย่างติ๊นก็มีอยู่ แต่คนที่ไม่เข้าใจก็มีอีกเยอะ เพราะอย่างนี้ไงหมอและพยาบาลส่วนใหญ่ถึงได้เลือกคู่ครองเป็นคนอาชีพเดียวกัน อาชีพอย่างเราไม่มีเวลาไปเจอใครมากนักหรอก บางคนก็เลือกเป็นโสด”


“แต่ในมุมมองของคนนอกอย่างผม ผมกลับมองว่าคนสายนี้เก่ง ก็เลยต้องมีคู่ครองเป็นคนเก่ง ๆ ด้วยกัน เพื่อให้ศีลเสมอกัน”
เอกรงค์ฟังแล้วได้แต่ทอดถอนใจ “ก็คิดกันเสียแบบนี้สินะ ถึงไม่มีใครกล้ามาจีบหมอ”


“แล้วถ้าคิดจะจีบหมอต้องทำยังไงบ้างครับ” พูดจบศุกลก็เปิดฝาขวดน้ำพลาสติก ใส่หลอดลงไปแล้ววางไว้ให้ใกล้มือของคนที่นั่งตรงข้ามกัน


“ก็แค่ใช้ความเข้าใจ เข้าใจในงานของเรา ดอกไม้ไม่ต้องขอข้าวสักกล่องก็พอ ช่วยไปจ่ายค่าน้ำไฟโทรศัพท์ให้จะดีมาก หรือว่าง ๆ มารีดผ้าให้บ้างจะเป็นพระคุณอย่างสูง”


“ไม่มีเวลาขนาดนั้นเลย?”


“แล้วที่เห็นอยู่นี่คิดว่ายังไงล่ะ”


“ก็...ยังเห็นมีเวลาไปตามจีบจิตรกร”


“นั่นเขาเรียกว่ารู้จักแบ่งเวลา” เอกรงค์ยักคิ้ว “พยายามขนาดนั้นแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าจีบติ...ด...ระ...หรือ...” พูดไม่ทันจบ เสียงเตือนข้อความเข้าก็ดึงความสนใจของคนฟังไปเสียแล้ว


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 30-11-2016 06:21:44
(ต่อค่ะ)



ศุกลดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงวางบนโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วเลื่อนอ่านข้อความไปก็ตักอาหารเข้าปากไปด้วย และตั้งแต่นาทีนั้นเอกรงค์ก็รู้สึกราวกับตนเองเป็นเพียงแค่อากาศก็ไม่ปาน


“เป็นอะไรหรือเปล่าติ๊น ทำไมขมวดคิ้วแบบนั้น”


“เพื่อนส่งข้อความมาน่ะครับ บอกว่าพี่สาวอาการไม่ค่อยดี”


กุมารแพทย์หนุ่มวางช้อน เมื่อนึกได้จึงเอ่ยขึ้น “อยู่โรงพยาบาลไหนเหรอ”


“อยู่ที่นี่แหละครับ”


“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”


"เห็นว่าต้องผ่าเอาเด็กออกครับ” 


คนอายุมากกว่าพยักหน้า คงจะเป็นเคสหนักที่ปรเมษฐ์ถูกเรียกตัวให้ไปช่วยตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นเป็นแน่ เขานิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ย “ไปอยู่กับเพื่อนไหม”


“ครับ?” จิตรกรหนุ่มเงยหน้าขึ้น เพราะใจที่จดจ่ออยู่กับข้อความบนหน้าจอสัมผัสจึงทำให้เขาไม่ทันได้ฟังประโยคเมื่อครู่


“ช่วงเวลาแบบนี้เขาก็คงเหมือนกับญาติคนไข้อื่น ๆ ที่ต้องการกำลังใจ ต้องการใครสักคนนั่งข้าง ๆ กัน”


“แต่ว่าผม...”


“รีบไปเถอะ คุณนั่งอยู่นี่แถมทำหน้าแบบนั้น ผมเห็นแล้วกินข้าวไม่อร่อย” เอกรงค์หัวเราะ


“ข...ขอโทษครับ”


“ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ แล้วเดี๋ยวไว้ค่อยโทรคุยกันก็ได้”


ศุกลยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งโรงอาหาร ชายหนุ่มมองชื่อที่ปรากฏที่หน้าจอก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงไนท์... ... ใจเย็น ๆ นะทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี พี่นันท์กับหลานต้องปลอดภัย ไนท์อยู่ตรงนั้นก่อนนะ เราอยู่ที่โรงพยาบาลนี่แหละ เดี๋ยวเรารีบไป”


ก่อนจากไปก็ไม่ลืมค้อมศรีษะเล็กน้อยให้คนฝั่งตรงข้ามเพื่อขอบคุณที่เขาเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น



ขายาวก้าวถี่ ๆ เพื่อให้ทันหัวใจที่ขณะนี้ไปถึงแผนกสูติ-นรีเวชของโรงพยาบาลแล้ว ระหว่างทางสวนเข้ากับพี่เขยของรัตติเขตที่กำลังจะไปจัดการเรื่องเอกสารการเบิกจ่ายจึงได้ทราบว่าขณะนี้เพื่อนของเขาอยู่ที่ใด ในที่สุดศุกลก็มาหยุดที่หน้าห้องผู้ป่วยวิกฤต เห็นรัตติเขตนั่งอยู่ที่เก้าอี้เยื้องกับประตูห้องจึงเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ วางมือลงแล้วบีบเบา ๆ บนบ่าของคนที่กำลังโน้มตัวไปข้างหน้าใช้ศอกทั้งสองข้างยันกันหน้าขา ดวงตาหม่นมองจ้องมองสองมือที่ประสานกันแน่น


“เราทำอะไรไม่ถูกเลยติ๊น” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง


“เล่าให้เราฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น”


“วันนี้พี่นันท์ตัวบวม ความดันก็ไม่ลดลง เลยถูกย้ายเข้ามาในห้องวิกฤต คุณหมอแจ้งว่าพี่นันท์มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ต้องผ่าคลอด แต่ตอนนี้เกล็ดเลือดต่ำมาก คุณหมอกำลังประสานงานเรื่องหาเลือดให้อยู่เพราะเกล็ดเลือดไม่พอ ก่อนจะที่เรากับพี่กิตจะออกมา พี่นันท์บอกว่าถ้าหากไม่ไหวจริง ๆ แล้วต้องเลือกให้พี่กิตเลือกลูก” คนขวัญเสียกล่าวน้ำตานองหน้า


“อย่าคิดมากนะ เช็ดน้ำตาก่อน เดี๋ยวไม่หล่อเว้ย” ว่าแล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ แต่แทนที่รัตติเขตจะใช้มันเช็ดน้ำตาเขากับกำผ้าผืนบางที่ถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยจนแน่น ใช้มือข้างที่เหลือปาดคราบแห่งความกังวลระคนเสียใจที่ชุ่มอยู่ใต้สองตา “เราเชื่อว่าทั้งพี่นันท์และหลานจะต้องปลดภัยแน่ ๆ หมอที่นี่เก่ง ๆ ทุกคน เขาจะต้องช่วยอย่างเต็มที่แน่ ๆ” พูดแล้วก็อดนึกถึงแววตามุ่งมั่นของใครบางคนไม่ได้


“ขอบใจมากนะติ๊น เรารบกวนติ๊นอยู่เรื่อยเลย”


“ไม่เป็นไร ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่”


รัตติเขตสบตานิ่ง แววแห่งความปรารถนาดีที่ส่งผ่านทางดวงตาของอีกฝ่ายเป็นสิ่งช่วยยืนยันถ้อยคำที่เพิ่งพูดจบลงได้เป็นอย่างดี เชื่อแล้วว่าความเป็นเพื่อนที่ศุกลได้มอบให้นั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้วันเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
เมื่อเห็นว่าจวนหมดเวลาเยี่ยม รัตติเขตจึงเข้าไปลาพี่สาวของเขาก่อนจะเดินออกมาที่ลานจอดรถพร้อมกับศุกลเมื่อตอนเกือบสามทุ่ม


“ขอบใจมากนะติ๊น”


“นับหรือป่าวว่าวันนี้พูดคำนี้กี่ครั้งแล้ว”หลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินแทรกตัว


“ก็เราอยากขอบใจจริง ๆ”


คนฟังพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วกล่าว “ตามใจแล้วกัน ไม่แซวแล้ว” จังหวะนั้นดวงตาก็บังเอิญเห็นใครคนหนึ่งกำลังแทรกตัวเดินไปตามช่องว่างระหว่างรถที่จอดเรียงรายกันอยู่ เกรงว่าหากรั้งรอเขาจะไปถึงรถและขับออกไปเสียก่อนจึงร้องขึ้น “โม!”


เอกรงค์ที่เพิ่งกดปล็ดล็อกรถชะงักก่อนจะหันมาตามเสียง รอกระทั่งสองคนเดินเข้ามาใกล้จึงยิ้มให้


“นึกว่าคุณกลับไปแล้วเสียอีก”


“ผมมีตรวจคนไข้บนหอผู้ป่วยนะ เพิ่งเสร็จ กำลังจะกลับพอดี” พูดจบก็ค้อมศีรษะให้หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่เคยเจอกันแล้วหนหนึ่ง


“เอ้อ ลืมแนะนำเลย ไนท์นี่หมอโม พ่อของเจ้านอฟ หมอโมนี่ไนท์เพื่อนผมครับ หนห่อนที่เจอกันยังไม่ได้แนะนำให้รู้จักกันเลย”


“สวัสดีครับ” เอกรงค์ทักทายด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับก่อนนะติ๊น”


“เออ ขับรถดี ๆ นะ ถึงบ้านแล้วบอกเราด้วย”


คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าก่อนจะกล่าวคำอำลาคุณหมอ “ไปก่อนนะครับ”


เอกรงค์ละสายตาจากรัตติเขตที่เดินหันหลังให้มองคนที่ยืนจ้องหน้าตนเองอยู่ ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงของเจ้างของร่างเล็กที่เพิ่งเดินห่างออกไปก็ดังขึ้น


“ติ๊น”


พลันดวงตาสองคู่ก็ละออกจากกัน


“ว่าไง”


“เราลืมคืนผ้าเช็ดหน้าให้”


“ไม่เป็นไร ไนท์เก็บไว้เถอะ”


รัตติเขตพยักหน้ายิ้ม ๆ เก็บผ้าเช็ดหน้าในมือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินไปที่รถของตนเอง ไม่นานสปอร์ตซีดานสีเงินก็ถูกขับออกไป


“ผมเดินไปส่งที่รถนะ”


“ผมเดินอยู่ทุกวัน แค่นี้ไม่หลงหรอก” คุณหมอตอบห้วน ๆ ก่อนเดินไปที่รถโดยมีศุกลเดินตามพลางยิ้มขัน ๆ


มือขาวดึงเปิดประตูหากแต่คนที่เดินมาซ้อนข้างหลังกลับใช้มือใหญ่ดันให้ปิดลงอีกครั้ง ไฟสีนวลจากโคมติดปลายเสาที่ตั้งอยู่ไกล ๆ ทำให้พอจะเห็นเงาสะท้อนของอีกคนบนกระจก รอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายพาให้คนมองต้องมุ่นคิ้ว


“ยิ้มอะไร” พูดพร้อมหมุนตัวกลับมารอฟังคำตอบ หากแต่ร่างสูงที่ก้าวเขาประชิดทำให้ต้องถอยกรูดจนหลังแนบไปกับรถ   


ศุกลทำเหลียวซ้ายแลขวาแล้วกล่าว “แถวนี้ติดป้ายห้ามไม่ให้ยิ้มเหรอครับ” ยังพูดไม่ทันจบก็วาดแขนข้ามไหล่คนตัวเล็กกว่าแล้วเท้าลงที่เหนือประตูรถ “ไม่เห็นมีเลย”


เอกรงค์ที่ตอนนี้ใจเต้นระส่ำเบือนหน้าไปอีกทาง แต่นั่นกลับเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแกล้งทิ้งปลายจมูกลงมาเขี่ยแก้มเล่น
“โกรธเหรอครับ” ปากหยักกระซิบทั้งที่ตอนนี้แทบจะแนบไปกับผิวเนื้อซับสีเลือดฝาดแล้ว


“เปล่า”


“โกหก จมูกจะยาวนะ” ว่าแล้วก็ขยับห่างออกมายกมือข้างที่เหลือบีบจมูกของคนหน้าตูมเบา ๆ “หึงก็บอกว่าหึง”


กุมารแพทย์หนุ่มมุ่นคิ้วพลางปัดมือใหญ่ออก “ถอยไป ผมจะกลับแล้ว”


ศุกลทอดตามองเจ้าของหน้าตูมอย่างเอ็นดู ยอมถอยห่างออกมาเพียงนิดให้อีกฝ่ายสามารถหมุนตัวกลับไปเปิดประตูได้ เอกรงค์เข้าไปในในรถ จัดการติดเครื่อง แต่เมื่อคนอายุน้อยกว่าใช้หลังนิ้วเคาะเบา ๆ เขาก็ลดกระจกลง เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงมา


“จะไปทั้งที่ยังงอนแบบนี้น่ะเหรอครับ”


เอกรงค์คลายมือที่กำพวงมาลัยก่อนจะหันมาถาม “ผมต้องงอนติ๊นเรื่องอะไร”


“อืม...เรื่องผ้าเช็ดหน้า ใช่หรือเปล่าครับ”


“มันเป็นของของติ๊น ติ๊นอยากจะให้ใครมันก็เรื่องของติ๊น ก็ถูกแล้วนี้” น้ำเสียงเย็นตากับแววตาเรียบเฉยทำให้ศุกลยิ่งมันใจว่าตนเองเดาถูก


กระนั้นรอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลา ชายหนุ่มล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบบางสิ่งออกมา


“ถ้าอย่างนั้นผมก็มีของจะให้โมเหมือนกัน”


เอกรงค์ลอบถอนใจก่อนจะเบนหน้ามองคนพูดด้วยความสงสัย


“อะไร”


คนอายุน้อยกว่ายิ้มกริ่ม เลื่อนมือที่ยังคงกำบางอย่างขึ้น ทันทีที่เขาเดาะลิ้นซองอะลูมิเนียมเคลือบพลาสติกก็ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วราวกับเสกได้ ศุกลยิ้มพรายเข้าใกล้จนต่างคนต่างรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนของกันและกัน


“คราวก่อนยังไม่ได้ใช้เลย”


“ถ้าอยากใช้นักก็แกะออกมาแล้วเป่าเล่นสิ”


“โมอยากให้ทำอย่างนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ” ศุกลเลิกคิ้วล้อ “ถ้าอย่างนั้นผมจะเก็บไว้ทำแบบนั้น”


กำลังจะชักมือกลับ อีกฝ่ายก็ทำท่าจะคว้า แต่เขาก็อาศัยความเร็วกว่าหลบไปอีกทาง ดังนั้นสิ่งที่คุณหมอปากแข็งคว้าได้จึงเป็นเพียงอากาศเท่านั้น


“เอามา”


“ก็โมบอกเองว่าให้ผมไปเป่าเล่น”


“เอามาเดี๋ยวนี้เลย”


“หายงอนก่อนแล้วจะให้”


คนจนมุมถอนใจก่อนจะกล่าวอ้อมแอ้ม “หายแล้ว”


เมื่อได้ยินดังนั้น ยิ้มกว้างก็ระบายใบทั้งใบหน้า กำลังจะวางของลงบนมือที่แบรออยู่ก็เปลี่ยนใจ จิตรกรหนุ่มขยับตัวเข้าไปในรถทิ้งสายตาสบดวงตาไหวระริก เลื่อนมือต่ำลงแล้วสอดซองเล็ก ๆ นั่นในกระเป๋ากางเกงของเอกรงค์ที่ยังคงนั่งนิ่ง ก่อนจะผละออกริมฝีปากหยักก็แกล้งแตะลงที่ใบหูแดงแปร๊ดจนอีกฝ่ายสะดุ้ง เอกรงค์กดคมฟันบนกลีบปากบางหวังจะสะกดความรู้สึกหวามไหวที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขากำลังจะทำได้หากอีกฝ่ายไม่กล่าวทิ้งท้ายด้วยประโยคนั้น...


“ฝากไว้ก่อนนะครับ แล้วจะแวะมาเอา”



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 30-11-2016 06:40:15
หึงก็บอกว่าหึงสิ หมอโม น่ารักไปน้าาา
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 30-11-2016 07:16:39
หึหึหึหึ เด็กมันร้ายยยย หมอโมคนเก่งเจอลูกง้อเบาๆเข้าไป แพ้ทางเลย ...

ห้ามว่าหมอโมงี่เง่านะ ก็ไนท์มันชัดขนาดนั้น หมอโมก็ต้องมีคิดมั่งแหละ #ทีมหมอโม
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-11-2016 07:48:27
เป็นใครก็คงหึงเหมือนกันเนอะหมอโมมีให้ผ้าเช็ดหน้าแบบนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 30-11-2016 09:03:01
น่ารักมากกกกก
ติ๊นตอนนี้จากที่ดูนิ่งๆ ใจดี กลายเป็นแฟนสุดฮอตไปเลยน
รู้จักบริหารเสน่ห์มากก
ทำเอาหมอโมไปไม่เป็น :ling1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-11-2016 09:32:13
ถ้าเราเป็นหมอโมเราไม่เลือกติ้นหรอก หึ!!!!!
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-11-2016 11:32:20
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 30-11-2016 14:11:20
โอ๊ยยย ขัดใจ!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 30-11-2016 14:11:34
โอ๊ยยยย งอนนานๆหน่อยจิหมอโมๆๆๆ

ข่วนหน้าติ๊น10ที! ทำหมอโมงอนได้ไงยะ

จบตอนได้โซ ดามฮอตมากกกก ติ๊นนนนนนน


ลืมที่บ่นติ๊นมาทั้งตอนไปชั่วขณะ 55555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 30-11-2016 14:22:54
มีหึงค๊ามีหึง  เด็กเขาก็ได้ฟินจริงๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: LALYNN ที่ 30-11-2016 16:01:11
เราว่าติ๊นง้อแบบนี้ก็น่ารัก แต่ถ้าให้หมอโมหึงแบบนี้เรื่อยๆ มันจะเป็นเสี้ยนในใจนะคะ
ถ้ารู้ว่าเรื่องอะไรจะทำให้อีกคนไม่สบายใจแล้วล่ะก็ ควรเคลียร์กันให้ชัดเจน
แล้วติ๊นก็ควรสร้างความมั่นใจให้หมอโมด้วย กับเรื่องบางเรื่องเช่น คนเก่าๆของแฟน
มันห้ามใจให้ไม่คิดแทบไม่ได้หรอก มันเป็นเสี้ยนเล็กๆที่จะคอยตำรอวันเป็นแผลอักเสบ
ทางที่ดีติ๊นควรเว้นระยะจากไนท์ มีให้เท่าที่เพื่อนคนหนึ่งมีให้กัน และควรให้หมอโมรับรู้
ไนท์เหมือนยังมีเยื่อใยอะไรบางอย่าง ติ๊นควรตัดตรงนั้นซะ ทำตัวแค่เพื่อนทั่วๆไปพอ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-11-2016 17:50:35
น้องติ๊นจะรุกไปถึงไหน
แค่นี้พี่โมก็มือไม้สั่นแล้ว
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 8 ลมหวน (30-11-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-11-2016 21:07:19
ก็ยังดีที่ติ๊นรู้อารมณ์หมอโม แต่ไม่ควรทำให้หึงให้งอนบ่อย ๆ ไม่ดีน้า
ไนท์กับติ๊นสมัยเรียนมันก็น่าจิ้นอยู่
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-12-2016 15:19:19
ตอนที่ 9 ตะกอน



‘คิดถึง’


เอกรงค์ปั้นหน้านิ่งปรายตามองข้อความสั้น ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะที่ไม่รู้ว่าถูกส่งมาเป็นครั้งที่เท่าไรนับตั้งแต่รุ่งสาง เพราะเพิ่งออกเวรเมื่อตอนพระอาทิตย์ขึ้นจึงไปหงีบหลับที่ห้องพักที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เกือบแปดโมงเช้า กว่าจะทำธุระส่วนตัวอาบน้ำอาบท่าก็ปาไปเกือบเก้าโมง ได้เวลาที่จะต้องตรวจคนไข้พอดีจึงไม่ทันได้อ่านหรือตอบกลับข้อความที่ถูกส่งมาหลังจากนั้น เมื่อพยาบาลส่งสัญญาณว่าไม่มีคนไข้แล้วจึงใช้ปลายนิ้วเรียวเลื่อนอ่านตัวอักษรที่รวมกันเป็นคำว่าคิดถึงนับร้อยข้อความพลันรอยยิ้มแรกของวันก็กระจายทั่วใบหน้า


‘อยากเจอจัง ทำยังไงดี’


กุมารแพทย์หนุ่ม เท้าคางจ้องมองคำถามตรงหน้า ในที่สุดจึงพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ‘มัวแต่ส่งข้อความก็คงได้เจอหรอก’


‘ถ้าอย่างนั้นไปหานะครับ’   


‘หาให้เจอนะ ผมจะกลับบ้านแล้ว’


‘เจอแน่ครับ ผมจอดรถที่คอนโดของโมแล้ว รีบกลับมาเร็ว ๆ นะ’


“อ้าวเฮ้ย!” นายแพทย์เอกรงค์อุทานพร้อมกับลุกพรวดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเล่นมัดมือชกกันเช่นนี้ ที่เขาบอกว่าจะกลับบ้านนั่นคือบ้านที่ต่างจังหวัดต่างหากไม่ใช่ที่คอนโดสักหน่อย กุมารแพทย์หนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจกดโทรศัพท์ถึงใครคนหนึ่ง รอไม่นานปลายสายก็กล่าวทักทายด้วยเสียงเข้มกังวาน หากใครได้ฟังก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเขาคนนั้นจะต้องเป็นชายหนุ่มรูปร่างใหญ่แน่ ๆ


“ไงครับคุณหมอ เห็นแม่บอกว่าวันนี้จะกลับบ้านเหรอ ออกเดินทางหรือยัง”


“เออ บอกแม่ไว้แบบนั้นแหละ”


“แต่...” คนพูดหัวเราะ


“รู้ได้ยังไงวะว่ามีแต่”


“ผมเป็นน้องพี่นะ แค่ได้ยินเสียงหายใจก็รู้ไปถึงไหน ๆ แล้ว”


“เวอร์แล้วไอ้พาทย์ ถ้าแกทำได้ขนาดนั้นก็เลิกขุดหม้อขุดไหแล้วไปเปิดสำนักเถอะ”


“แล้วว่ายังไงครับ คราวนี้ติดเคส ติดหวัด หรือว่า...”


“อะไรวะ”


“ติดแฟน”


“แฟนพ่อแกสิ”


“อ้าว แฟนพ่อผมก็แม่พี่นะ”


“เออ ลืม ๆ” เอกรงค์มุ่นคิ้วเมื่อจนมุม ในบรรดาน้องทั้งสามคน ก็ ‘วงพาทย์’ น้องชายคนรองที่อายุห่างกันเพียงแค่ช่วงหัวปีท้ายปีนี่แหละที่ถือว่าเป็นคู่ปรับสำคัญของเขา “ติดแฟนที่ไหนกัน ติดธุระโว้ย ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วย”


“ได้คร้าบบบ ว่าแต่จะกลับบ้านอีกทีเมื่อไรพี่ เกิดแม่ถาม ผมจะได้ตอบถูก”


“อืม...ก็คงไปว่างอีกทีเดือนหน้าโน่นเลย บอกขิมให้ตำน้ำพริกะปิไว้ให้กินหน่อยนะ คิดถึงถึงฝีมือจะแย่ ที่กรุงเทพฯ หาร้านอร่อย ๆ ไม่ได้เลย”


“ได้ครับ แล้วจะให้ผมส่งแผนที่ให้ไหม”


“เอามาทำไมวะ”


“ก็พี่โมไม่ได้กลับบ้านเป็นชาติแล้ว ผมกลัวจะหาทางกลับไม่ถูกเลยจะส่งแผนที่ไปให้ไง”


“ไอ้พาทย์!”


“หยุดเลย ไม่ต้องบ่น ผมฟังแม่บ่นคนเดียวก็พอแล้ว”


“ไอ้นี่...” พี่ชายคนโตส่ายหัวยิ้ม ๆ “เออ เอาไว้เจอกันนะ แค่นี้ละ”


หลังจากกดวางสายคุณหมอก็คว้ากระเป๋ากับกุญแจรถเดินออกจากห้องไป ไม่ถึงยี่สิบนาทีคาดิลแลคสีดำก็เลี้ยวเข้าประตูของคอนโดสูงใกล้สถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสินซึ่งเป็นคันกั้นเปิดปิดอัตโนมัติสำหรับผู้พักอาศัย หางตาเหลือบไปเห็นโฟล์คสวาเกนสีขาวจอดอยู่ข้างทางเข้าก็ทำให้ความก้ำกึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหลุดออกจากความคิด เมื่อรถจอดสนิทเอกรงค์ก็เปิดประตูลงมาแล้วเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของรถทรงโบราณในทันที


“รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”


“โมลืมแล้วเหรอครับว่า ลูกชายโมเชียร์ผม”


“ฝีมือเจ้านอฟอีกแล้วเหรอ” นายแพทย์เอกรงค์ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจในความเจ้ากี้เจ้าการของลูกชายเพื่อนสนิท


“นี่ถ้าให้คีย์การ์ดได้คงให้แล้วละ” ศุกลหัวเราะในลำคอในขณะที่ตาคมยังจับจ้องที่ใบหน้าของคนอายุมากกว่า “รอนานแล้ว หิวน้ำจัง”


“ร้านฝั่งโน้นก็มีขาย”


“ถ้าอย่างนั้นผมบอกลาเลยก็แล้วกัน ซื้อน้ำเสร็จก็จะกลับแล้ว” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มมุมปากทำท่าจะหมุนตัวกลับก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ


“ด...เดี๋ยวติ๊น ไหนบอกว่าคิดถึงไง”


“ก็คิดถึงน่ะสิครับ แต่ไม่รู้ว่าคนที่ผมคิดถึงเขาจะคิดถึงผมหรือเปล่า ขนาดบ่นหิวน้ำยังไล่ให้ไปซื้อเลย”


“ไม่ได้ไล่ แค่คิดว่าทำไมไม่ไม่ซื้อน้ำดื่มก่อน ทนอยู่ทำไม”


“ก็รอโมไงครับ แล้วโมรู้ไหมว่าต้องทำยังไง” ศุกลทำหน้าเฉไฉกอดอกรอฟังคำตอบ


เอกรงค์ส่ายหัวหนัก ๆ ทำเป็นไม่ใส่ใจสายตาวิบวับที่อีกฝ่ายจงใจมอบให้ “ไปคุยกันข้างบน” ว่าแล้วก็เดินนำไป...


กุมารแพทย์หนุ่มแตะคีย์การ์ด เปิดประตูพร้อมกับเชิญให้คนมาใหม่เข้าไปข้างใน เมื่อได้รับอนุญาตศุกลก็เดินแทรกประตูเข้าไป รอกระทั่งมือขาวดึงประตูปิดจึงสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังให้สมกับที่คิดถึงทันที


“จั๊กจี้” เอกรงค์กล่าวเมื่อกลีบปากอ่อนโยนแตะลงที่ซอกคอซ้ำ ๆ


“คิดถึงจะแย่”


“ปล่อยก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”


ศุกลยอมทำตามอย่างว่าง่าย นั่นเพราะเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรแถมเวลาที่จะอยู่ด้วยกันก็ยังมีอีกทั้งคืน ตาคมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินลับเข้าไปในครัวพลางยกมุมปากขึ้น เขาคิดเช่นนั้นและจะทำให้มันเป็นจริงถึงแม้จะยังไม่ได้เอ่ยปากขอเจ้าของห้องก็ตาม


จิตรกรหนุ่มถือวิสาสะเดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้องซึ่งตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เน้นการใช้สีขาว ดำและน้ำตาล ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกขนาดใหญ่มองลงไปจะเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขนาบข้างตึกรามบ้านช่อง ดวงอาทิตย์ดวงโตเคลื่อนต่ำลงกระทั่งเลือนหายไปหลังริ้วเมฆ เห็นภาพเช่นนี้ก็ให้หวนนึกถึงเมื่อครั้งต้องใช้ชีวิตคนเดียวในต่างประเทศ ซ้ำเมื่อกลับมาอยู่ประเทศไทยได้ไม่นานก็ต้องสูญเสียผู้เป็นพ่อ แดดร่มลมตกทีไรความรู้สึกเหงาก็มักเข้าแทรกซึมในรอยแยกของหัวใจที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มอยู่ร่ำไป


“ห้องสวยจัง โมแต่งเองเหรอ” ศุกลเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนจะละสายตาจากภาพสวยงามแต่ลึก ๆ กลับเจือด้วยความเศร้าหมอง


“เปล่า เจ้าของเดิมเขาทำไว้น่ะ” เอกรงค์ตอบขณะเดินออกจากครัวมาหยุดตรงหน้าแล้วส่งแก้วน้ำให้ “ดื่มน้ำก่อน”


“ขอบคุณครับ” ศุกลรับน้ำมาดื่มก่อนจะวางแก้วไว้บนโต๊ะทำงานที่มีตำราแพทย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ในขณะที่อีกฝ่ายเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาสีดำ


ขายาวยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ที่โต๊ะทำงาน กวาดตามองภาพถ่ายในกรอบที่วางอยู่ เห็นว่านอกจากจะมีภาพครอบครัวแล้วยังมีภาพของเอกรงค์ในวันรับปริญญาที่ถ่ายคู่กับชายหนุ่มที่ไปส่งเมื่อวันที่ไปออกค่ายที่หัวหินด้วย ศุกลย่นจมูกก่อนจะคว้าภาพนั้นแล้วจับคว่ำลงแล้วจึงกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“แสดงว่าเจ้าของเดิมต้องหัวศิลป์มากแน่ ๆ เลย หรือไม่ก็มีที่ปรึกษาเป็นมัณฑนากร ถึงได้ตกแต่งเสียดูน่าสนใจแถมใช้พื้นที่คุ้มค่าแบบนี้”


“อืม...เห็นว่าเขาเป็นดีไซเนอร์นะ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าออกแบบอะไร เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีน่ะ เขาแต่งงานก็เลยย้ายไปอยู่ด้วยกัน” พูดจบคุณหมอก็บิดขี้เกียจก่อนจะเอนหลังแนบไปกับพนักโซฟา


“หิวหรือเปล่า เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทาน” ศุกลเสนอตามประสาคนมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเอง นั่นเพราะการต้องไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานานทำให้เขาต้องหัดหยิบจับงานที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นงานของผู้หญิง


“ในตู้เย็นมีแต่น้ำเปล่า ของสดกับไข่หมดไปตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนยังไม่มีเวลาไปซื้อเลย” พูดไปก็ปิดปากหาวหวอด ๆ “ตอนนี้ที่ทำได้คงเป็นติ๊นต้ม”


เจ้าของร่างสูงยิ้มพรายก่อนจะเดินมานั่งลงข้าง ๆ แล้วกระซิบ “อยากกินไหม จะทำให้กิน”


“ชอบกินแบบสด ๆ มากกว่า แบบลากไปกินในน้ำ”


“ถ้าอย่างนั้นโมเตรียมตัวเลย เดี๋ยวผมจะเตรียมน้ำอุ่นให้” พูดทั้งที่ปลายจมูกยังคลอเคลียอยู่กับใบหู “อยากถูกลากไปกินในน้ำ”


“อย่าทำให้ขำได้ไหม ง่วงนอนจะแย่แล้ว” เอกรงค์บ่นงึมงำ แทบไม่มีแรงยกหนังตาที่คอยจะปิดลงอยู่เรื่อย


“พูดเรื่องจริง” ศุกลว่าพลางยกมือขึ้นแตะลงข้างแก้มนิ่ม ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยวนเบา ๆ ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย ได้ยินเสียงคำรามฮือในลำคอของคนง่วงแล้วก็อดยิ้มไม่ได้


“ง่วง...” พูดจบก็รั้งมือใหญ่ออกก่อนจะโถมเข้าหาคนช่างแกล้งกระทั่งลงไปทาบทับกันอยู่บนโซฟา   


“ถ้าอย่างนั้นก็นอนนะครับ” จิตรกรหนุ่มบอกพร้อมกับใช้สองแขนคล้องเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ “เอาไว้รวบยอดไปชดเชยคราวหน้าก็แล้วกัน”


เมื่อพูดจบก็ได้ยินคนในอ้อมกอดหัวเราะลงคอจนต้องยกหัวขึ้นมองว่าอีกฝ่ายหลับจริงหรือแกล้งทำกันแน่ แต่ยังไม่ทันดูให้แน่ใจร่างของเอกรงค์ก็ยุกยิกเสียก่อน กุมารแพทย์หนุ่มขยับตัวอยู่หลายรอบแต่ดูเหมือนจะไม่เข้าที่สักที เล่นเอาคนที่ยอมสละตัวเองเป็นทั้งที่นอนและหมอนต้องกัดกรามแน่น สะกดใจไม่ให้วูบไหวไปกับสัมผัสที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหรือไม่กันแน่


ศุกลกระชับท่อนแขนแน่นขึ้นเมื่อหน้าขาเสียดสีกับร่างกายที่ยังไม่มีโอกาสได้จับต้อง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คลอเคลียอยู่กับปลายจมูกนั่นยิ่งแล้วใหญ่ มันพาให้หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว


“ถ้าขยับอีกทีละก็ ผมจะไม่ยอมให้นอนแล้วนะ” พูดลอย ๆ หากแต่มันได้ผลเมื่อจู่ ๆ คนในอ้อมแขนก็นิ่งไปราวกับถ่านหมด


นอนไปได้เกือบชั่วโมง นายแพทย์เอกรงค์ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อหูได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือ เมื่อปรือตาขึ้นก็เห็นว่าคนใต้ร่างไม่ได้กอดตนเองอีกต่อไป แต่กำลังใช้สองมือประคองกดโทรศัพท์โดยมีเขานอนเกะกะอยู่ในวงแขน


“ขอโทษครับ ผมทำให้ตื่นใช่ไหม” ศุกลกล่าวแล้วจึงกอดอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้ง


“กี่โมงแล้ว” คนเพิ่งตื่นกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย


“สองทุ่มครับ”


คนฟังพยักหน้าปิดปากหาว ยังไม่ทันได้กล่าวถ้อยคำใด ๆ คนที่กอดเขาอยู่ก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง


“โมจำพี่สาวของเพื่อนที่ผมไปเยี่ยมมาเมื่อวันก่อนได้ไหม เพื่อนผมส่งข้อความมาบอกว่าตอนนี้คุณหมอช่วยไว้ได้จนปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกแล้วนะ”


“ดีจัง” เอกรงค์พึมพำกับตัวเอง เมื่อแนบหูลงกับอกแกร่งก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ


“ทุกคนดีใจกันใหญ่ นี่ส่งรูปหลานมาให้ดูด้วยนะ ตอนนี้นอนอยู่ในตู้อบ ตัวแดงเชียว โมอยากดูไหม”


เอกรงค์คราง ‘ไม่...’ ในลำคอกำลังจะหลับตาลง เสียงเตือนสายเข้าก็ดังขึ้นข้างหูจนตอนนี้เขาตาสว่างเสียแล้ว ชายหนุ่มยันตัวผละออกจากแผงอกอุ่น ลุกขึ้นนั่งขยี้ตาพร้อมกับอ้าปากหาวเสียงดัง


“ไปอาบน้ำดีกว่า” พูดจบก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน


ศุกลขยับตัวขึ้นนั่งเป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์สั่นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ข้อความ แต่เป็นสายเข้า


“ไงไนท์ อื้อ...เห็นแล้วละ น่าเกลียดน่าชังเชียว...” กล่าวขณะเดินไปหยุดที่ผนังกระจก เห็นว่าบนถนนยังคงมากไปด้วยรถรา ตึกรามบ้านเรือนเปิดไฟสว่างไสวตอกย้ำคำกล่าวที่ว่ากรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรคือมหานครที่ไม่เคยหลับใหล...


จิตรกรหนุ่มชะเง้อคอมองหาเจ้าของห้องที่หายเข้าไปในห้องเกือบหนึ่งชั่วโมงในขณะที่ปากก็กล่าวคำลาคนที่ปลายสาย ศุกลยืนทอดตามองแสงไฟบนยอดตึกอยู่ครู่หนึ่งจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของเอกรงค์จึงถือวิสาสะอีกครั้ง ขายาวก้าวไปหยุดที่หน้าห้องนอนยกมือขึ้นบิดลูกบิดและในที่สุดก็พบว่ามันถูกล็อกจากข้างในจึงตัดสินใจเคาะเรียก


“โม ยังอาบน้ำไม่เสร็จอีกเหรอ”


เงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงตอบกลับแว่ว ๆ


“ยัง จะกลับแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นผมฝากปิดไฟด้วยนะ”


ศุกลมุ่นคิ้วเมื่อพบว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ‘ผมไม่ได้มาเพื่อจะปิดไฟให้คุณหรอกนะ’ ชายหนุ่มนิ่งนึก แต่แล้วในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคง่าย ๆ ออกไป


“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะ ฝันดีครับ”


สิบนาทีต่อมาประตูห้องนอนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างสูงที่พันท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูสีขาวเพียงผืนเดียวก้าวออกมากวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นว่าไฟที่เคยเปิดสว่างถูกปิดเหลือเพียงโคมไฟข้างโซฟาเพียงดวงเดียว ภายในห้องไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดนอกจากตัวเขาเองดังนั้นเอกรงค์จึงแน่ใจว่าศุกลกลับไปแล้ว กุมารแพทย์หนุ่มเดินไปรั้งผ้าม่านบริเวณผนังกระจกเข้าหากันเพื่อกำบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่จะสาดเข้ามาในยามเช้า จากนั้นจึงหันเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง ยังไม่ทันที่มือจะดึงประตูให้ปิดสนิทร่างสูงที่โถมเข้าประชิดก็ทำให้สะดุ้งโหยง แผ่นหลังเปลือยสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากอกแกร่ง คิดจะหนีแต่ก็ช้ากว่าสองมือใหญ่ที่ยึดเอวสอบไว้แน่น


“คนใจร้าย” ศุกลกระซิบเสียงพร่า แอบสูดกลิ่นสบู่อาบน้ำจากตัวของอีกฝ่าย


“ไหนว่ากลับแล้วไง”


“จะกลับได้ยังไงครับ เพิ่งคุยกับโมไปได้ไม่มีกี่ประโยคเอง”


“แล้วจะคุยกับผมอีกกี่ประโยคถึงจะพอ สิบ ร้อย หรือว่าพันประโยค”


“มีอีกเป็นล้านประโยคที่อยากคุย แต่วันนี้ไม่อยากคุยแล้ว อยากต่อว่า” พูดจบมือหนาก็จับคนตัวเล็กกว่าให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน “คนคิดถึงยังจะบอกให้กลับ”


ศุกลกดตาลงต่ำมองกล้ามเนื้อช่วงเชิงกรานที่โผล่พ้นขอบผ้าขนหนูก่อนจะไล่ลามเลียขึ้นมาจนกระทั่งถึงกระดูกไหลปลาร้า แม้จะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนไปทะเล หากแต่ความรู้สึกมันช่างผิดกันลิบลับ ในวันนั้นเขาเห็นอีกฝ่ายในแบบที่จับต้องไม่ได้ แต่สำหรับวันนี้รับรองว่าเขาจะจับให้ช้ำคามือไปเลย


“ดึกแล้ว” ปากพูดไปทั้งที่ก่อนหน้าและตอนนี้คิดตรงข้าม ‘ก็ที่อาบน้ำเป็นนานสองนานก็เพราะ...’ เอกรงค์ก้มหน้าเผลอกัดริมฝีปากและส่ายหัวเมื่อจู่ ๆ ความคิดก็โลดแล่นไปไกลแสนไกล


“อะไรครับ”


“อ...อะไร”


“ทำท่าแบบนั้นหมายความว่ายังไง แล้วทำไมหน้าแดง กำลังคิดอะไรอยู่ หืม?”


“เปล่านี่” คนพูดเงยหน้าขึ้นสบตา ใช้มือทั้งสองข้างยันแผงอกแกร่งเอาไว้ “ออกไปก่อน ผมจะใส่เสื้อผ้า”


“เดี๋ยวผมใส่ให้ แต่ต้องรอเช้านะ” ศุกลกล่าวพลางเลื่อนสองมือขึ้นจับไหล่กลมกลึง โน้มหน้าเข้าหาแล้วแตะริมฝีปากลงที่ข้างแก้มก่อนย้ายมาดูดชิมความหวานของกลีบปากสีเรื่อที่เผยอขึ้นรับรสสัมผัสโดยมิได้ขัดขืน


เอกรงค์หลับตาเมื่อปากร้อนเลื่อนต่ำขบเม้มตามแนวสันกรามเรื่อยลงมาตามซอกคอ ในที่สุดความปรารถนาภายในใจก็ถึงจุดที่ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไปซ้ำยังถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อพิสูจน์ได้ว่าศุกลเองก็คิดไม่ต่างกันกับเขา


สองร่างเกี่ยวรัดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ยิ่งเห็นรอยที่เคยฝากไว้ยังไม่จางลงก็ยิ่งเหมือนเดิมเชื้อไฟให้ลุกโหม จิตรกรหนุ่มฝังริมฝีปากซ้ำ ๆ อย่างหลงใหลที่เหนือเนินกระดูกราวกับผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังเมามายในรสหวานของเกสรดอกไม้ก็ไม่ปาน 


“ชอบนักก็เอาใส่กระเป๋ากลับบ้านไปด้วยเลยดีไหม”


คำถามนั้นทำให้เผลอยิ้มทั้งที่ริมฝีปากยังเคลียคลอกับแนวกระดูกยาวเว้าลึกใต้หัวไหล่ คนอายุน้อยกว่าหัวเราะลงคอก่อนจะแกล้งงับเบา ๆ แล้วผละออก “อยากเอาไปทั้งตัวเลย” พร้อมกันนั้นมือหยาบก็ลากลงมาตามเนื้อตัวนวลเนียน สัมผัสความเว้าโค้งนุ่มมือ กระทั่งหยุดยังยอดเนื้อสีหวานที่แตะลงทีไรก็พาให้ร่างของคนในอ้อมแขนสั่นสะท้านทุกทีไป ยังไม่วายแกล้งไล้วนจนแข็งเป็นไตก่อนจะขยับไล่ลงมายังหน้าท้องซึ่งประดับด้วยมัดกล้ามเป็นลอนสวย


ความเชื่องช้าเนิบนาบในสัมผัสเล่นเอาเอกรงค์หายใจไม่ทั่วท้อง เผลอใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอแกร่งเป็นผลให้สองร่างยิ่งแนบชิด และเมื่อมือใหญ่บีบเคล้นลงที่สะโพกกุมารแพทย์หนุ่มก็ยิ่งเบียดเข้าหาอย่างไม่รู้ตัว


“จะเอาโมกลับไปเป็นแบบวาดรูป สมัยเรียนอาจารย์เคยให้วาดแต่นู้ดผู้หญิง อยากลองวาดผู้ชายบ้าง”


“แล้วทำไมไม่ให้คนอื่นเป็นแบบล่ะ” คนสงสัยถามเสียงขาด ๆ หาย ๆ เมื่อมือกร้านเริ่มรุกรานปั้นท้ายของตน


“ถ้าไม่ใช่โม...ก็ไม่อยากวาด” พูดจบก็ฝังจมูกลงที่ข้างแก้มขาว


“ปากหวาน” เอกรงค์ไม่คิดหลบ และเพราะในหัวยังมีข้อสงสัยอีกมากจึงถามต่อ “แล้วคนเป็นแบบต้องทำยังไงบ้าง” 


“ก็...ถอดเสื้อผ้า ส่วนท่าทางแบบไหน นั่งหรือนอนคนวาดจะเป็นคนบอกเอง”


“แล้วติ๊นอยากให้ผมทำท่าทางแบบไหน”


“แบบนี้ไง” พูดจับก็ดันร่างของคนช่างสงสัยจนเซไปด้านหลังกระทั่งหงายลงไปนอนบนเตียงด้วยกัน


รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของคนอายุน้อยกว่าขณะที่เขาแทรกเข่าลงระหว่างท่อนขาซึ่งถูกอำพรางด้วยผ้าขนหนู ชายผ้าที่ถลกขึ้นดูหมิ่นเหม่เมื่อจนเห็นเนื้อขาวที่โคนขาดูหมิ่นเหม่เหลือเกิน แขนแกร่งยันกับที่นอนล้อมไว้ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน ในขณะที่ดวงตาสองคู่ยังสบกันไม่ลดละ


“ของที่ฝากไว้ยังอยู่หรือเปล่าครับ” ร่างสูงโน้มลงกระซิบที่ข้างหู ทำเอาหัวใจคนฟังเต้นระส่ำ เมื่อเห็นเอกรงค์พยักหน้า จิตรกรหนุ่มจึงกล่าวต่อ “นึกว่าเอาไปใช้กับใครแล้วเสียอีก”


“ก็รอใช้กับคนให้นี่แหละ” ว่าแล้วก็ผลักอกกำยำให้ห่างตัว ก่อนจะหันไปดึงลิ้นชักข้างเตียง หยิบเอาของที่ศุกลถามหาออกมา “เอ้านี่ ถ้าไม่พอยังมีอีกโหล”


“ผมลืมวิธีใช้มันไปแล้วทำยังไงดี”


คุณหมอกัดปากอย่างมันเขี้ยว จ้องหน้าเจ้าของดวงตามวาววับพลางส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความเจ้าเล่ห์แสนกล ในที่สุดเอกรงค์ก็โยนของในมือลงข้างตัวก่อนจะดันหน้าอกของอีกฝ่ายให้พลิกหงายพร้อมกับโถมกายเข้าหา มือหนึ่งคว้าหมับเข้าที่เอวกางเกงออกแรงดึงเป็นสัญญาณให้เจ้าของดวงตาทอประกายที่ยังสบกันลุกขึ้นนั่ง


ศุกลใช้สองมือจับต้นขาขาวรั้งอีกฝ่ายเข้ามาชิดอย่างรู้งาน ส่งเรียวขาขาวทอดไปทางด้านหลังให้เกี่ยวกับเอวของตนเองเอาไว้ ท่าทางของคุณหมอตอนนี้จึงไม่ต่างจากลูกลิงกอดคอเจ้าของแน่น ที่ดูเกะกะสายตาเห็นจะเป็นผ้าขนหนูที่หลุดร่นจนเผยปั้นท้ายยวนใจ มือใหญ่หมายจะดึงสิ่งปิดบังออกแต่แล้วร่างเล็กที่โผเข้าหาก็ทำให้ต้องเลิกล้มความคิดเปลี่ยนเป็นบีบขยำสะโพกมนเพื่อหักห้ามใจแทน


“อย่าใจร้อนนัก ผมบอกแล้วไงว่าจะชดเชยให้” เอกรงค์กระซิบใบริมหูก่อนจะลากปลายจมูกพรมจูบไปใบทั่วหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากบางมาหยุดที่กลีบปากหยักแตะปลายลิ้นลากวนแล้วจงใจขบลงเบา ๆ ไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งส่งให้อารมณ์ของคนถูกกระทำยิ่งพลุ่งพล่าน


“รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำให้ผมคลั่ง”


ประโยคกระท่อนกระแท่นเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกุมารแพทย์หนุ่มได้อย่างไม่ยาก ปลายนิ้วเรียวแตะลงที่บ่ากว้างจากนั้นจึงค่อย ๆ ลากลงมาตามเนื้อแน่นกระทั่งหยุดที่แนวขอบกางเกง จัดการคลายหัวเข็มขัดอย่างคล่องแคล่ว กำลังจะปลดกระดุมกางเกงยังไม่ทันรูดซิปก็เปลี่ยนใจเลื่อนมือไปรั้งโทรศัพท์ที่ศุกลใส่ไว้ในกระเป๋าด้านหลังออกมาเมื่อจู่ ๆ มันก็ส่งเสียงสั่นเตือนขัดจังหวะขึ้นเสียได้ เตรียมจะกดตัดสายแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อผู้เป็นเจ้าของเอ่ยขึ้น


“เดี๋ยวครับ ขอผมดูหน่อยว่าใครโทรมา”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเอกรงค์จึงส่งโทรศัพท์คืนให้ ศุกลรับมันไปในขณะที่มือข้างหนึ่งยังไม่ห่างจากปั้นท้ายเนียน นัยน์ตาคมจ้องหน้าจอสัมผัสนิ่งและเนิ่นนานราวกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง


“รับเถอะ บางทีเขาอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวขณะซบหน้าลงบนบ่าแกร่งทอดตามองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ข้างเตียง เลขดิจิทัลแสดงว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มครึ่งแล้ว เพียงชั่วอึดใจก็ได้ยินศุกลก็เอ่ยขึ้น


“ไนท์ มีอะไรเปล่า”


จากนั้นคนที่ปลายสายก็พูดสวนเข้ามาอย่างรีบร้อน


“อือ ใจเย็น ๆ นะ โทรหาประกันหรือยัง... อืม... ได้ ๆ ... มีอะไรโทรมานะ”


เสียงเงียบไปแล้ว...


ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลงรวมถึงความร้อนรุ่มด้วยแรงแห่งไฟปรารถนา จะมีก็แต่หัวใจของเจ้าของท่อนแขนแกร่งที่เริ่มคลายออกกระมังที่ยังคงเต้นรัวด้วยความร้อนรนเพราะเรื่องของใครอีกคนที่เพิ่งวางสายไป และนั่นก็ทำให้เอกรงค์รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง กุมารแพทย์หนุ่มวางมือทั้งสองข้างบนบ่าหนาก่อนจะเลื่อนใบหน้าออกห่างเพียงเล็กน้อยพอให้ปลายจมูกได้สัมผัสกัน


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


ศุกลแตะจูบเบา ๆ ที่กลีบปากของคนช่างยั่วในขณะที่มือหนึ่งกำโทรศัพท์แน่น “เพื่อนผมขับรถไปชนคนน่ะครับ ทำอะไรไม่ถูกเลยโทรมา”


เสียงเตือนข้อความเข้าที่ถูกปรับเป็นระบบสั่นเอาไว้ก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้ง และดูว่าจะถี่เหลือเกินจนเจ้าของต้องเลื่อนสายตาลงมองเป็นระยะ


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาเพื่อนเถอะ”


“แล้วคุณล่ะ”


“ผมไม่อยากให้ครั้งแรกของเรากับหุ่นยนต์หรอกนะ หมดอารมณ์พอดี” กุมารแพทย์หนุ่มว่า ก่อนจะรั้งผ้าขนหนูขึ้นอำพรางช่วงล่างพร้อมกับลุกขึ้น คว้าเสื้อผ้าที่เตรียมไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสำหรับใส่นอน ร่างสูงเดินอ้อมเตียงมาหยุดยืนต่อหน้าคนที่กำลังใส่เข็มขัดและจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่


“เดี๋ยวผมไปส่ง” เตรียมจะไปเปิดประตูก็ถูกมือใหญ่ของศุกลรั้งเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก


“ว่าไงไนท์... อื้อ รอเดี๋ยวนะ...” คนตัวสูงกว่ากล่าวพร้อมกับค่อย ๆ คลายมือออก ดังนั้นเอกรงค์จึงเดินนำอีกฝ่ายออกจากห้องนอน


“...เรากำลังจะไปแล้ว ไนท์ใจเย็น ๆ นะ”


เมื่อศุกลก้าวพ้นประตูห้องก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกลา แต่เพราะโทรศัพท์ที่ยังถือแนบอยู่กับหูเขาจึงทำได้เพียงแค่ส่งสายตาให้คนที่เดินมาส่งเท่านั้น


“ไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมง เราน่าจะถึงสถานีตำรวจ...” กล่าวพร้อมกับก้าวเข้าประชิดตัวเจ้าของห้อง ตั้งใจจะจูบลาแต่เอกรงค์กลับใช้มือดันแผงอกของเขาเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าน้อย ๆ ดังนั้นจิตรกรหนุ่มจึงถอยห่างออกมาก่อนจะค้อมศีรษะให้ จากนั้นขายาวก็ก้าวไปที่ลิฟท์อย่างรีบร้อนพอ ๆ กับหัวใจในตอนนี้....


(มีต่อค่ะ)

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-12-2016 15:19:55
(ต่อค่ะ)


ภาพเขียนสีน้ำมันในแกลเลอรีถูกปลดลงเพื่อเตรียมพื้นที่ให้แก่ลูกค้ารายใหม่ที่ต้องการเช่าพื้นที่จัดแสดงผลงานขในนิทรรศการซึ่งจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลายภาพถูกติดป้ายจอง ในขณะที่อีกหลายภาพถูกซื้อไปโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้นิยมงานศิลป์ เหลือก็แต่ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่เพียงภาพเดียวที่เจ้าของไม่ยอมขายแม้คนซื้อจะเสนอราคาที่ค่อนข้างสูงก็ตาม


“เสียดายว่ะที่คราวก่อนไม่ได้มาแสดงงานด้วย” รัตติเขตที่วันนี้อาสามาช่วยเอ่ยขึ้นขณะรั้งเฟรมสีน้ำมันออกจากผนังแล้วส่งให้คนที่นั่งอยู่กับพื้น ทั้งหมดก็เพื่อตอบแทนศุกลที่อยู่เป็นเพื่อนเมื่อวันที่พี่สาวของเขาต้องเข้าโรงพยาบาลซ้ำยั้งเป็นธุระให้เมื่อวันที่เกิดอุบัติเหตุนั่นด้วย “ไอ้ดลมันโทรไปชวนตอนที่กำลังเตรียมเสนองานลูกค้าพอดี”


“ไม่เป็นไรนี่ ไว้คราวหน้าก็ได้” ศุกลว่าพลางห่องานด้วยพลาสติกกันกระแทก เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เขียนรายละเอียดการจองลงในกระดาษแล้วติดเอาไว้ด้วยกระดาษกาวอย่างแน่นหนารอจัดส่งให้กับลูกค้าต่อไป


“เอ้อ ลืมบอกเลย”


“อะไรเหรอ”


“เพื่อนเราชอบมากเลยนะ ลายฉลุฉากกั้นในห้องที่ติ๊นช่วยเขียนแบบให้น่ะ ตอนเป็นโมเดลว่าสวยแล้ว เมื่อวันก่อนช่างเขาเอางานตัวอย่างมาส่ง ลองวางในห้องจัดแสงเรียบร้อยแล้วสวยมากเลย”


“ถ่ายรูปมาให้ดูบ้างสิ”


“ได้ ไว้จะให้มันส่งรูปมาให้นะ”


“แล้วตอนนี้ทางนั้นเหลืออะไรบ้าง”


“ก็เหลือพวกลวดลายสีทองที่ต้องเขียนบนผนังแหละ ดีนะที่ติ๊นช่วยแนะนำรุ่นน้องให้หลายคน งานเลยไปได้ไว คิดว่าน่าจะทันกำหนดที่เขาจะเปิดให้บริการพอดี”


“ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีกก็บอกนะ”


“เท่านี้ก็ช่วยเยอะมากแล้วละ” รัตติเขตกล่าวขณะเดินไปหยุดที่ภาพสุดท้ายซึ่งเขาคนเดียวคงไม่อาจปลดมันลงมาได้ อ่านจากป้ายแสดงรายละเอียดจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของศุกลนั่นเอง “รูปนี้ของติ๊นเหรอ”


“ใช่” เจ้าของภาพเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่หยุดยืนอยู่ที่ผนังฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปช่วยอีกฝ่ายปลดภาพลงมาวางพิงไว้ด้านล่าง


“สวยจัง ยังไม่มีใครซื้อเหรอ”


“มี แต่เราไม่ขายน่ะ”


“แล้วถ้าเราขอล่ะ ซื้อก็ได้”


ศุกลส่ายหัวยิ้ม ๆ “ถ้าไนท์ชอบเดี๋ยวเราวาดรูปอื่นให้”


“แสดงว่าหวงมาก รูปใครเหรอ บอกได้ไหม”


“ไม่รู้เหมือนกัน” เป็นประโยคเดิมที่จิตรกรหนุ่มมักตอบเมื่อถูกถามคำถามนี้ เพราะเขาเลือกที่จะจดจำภาพนี้ด้วยความรู้สึก ณ ตอนที่ได้พบกับคนในภาพนั่นเอง “บังเอิญเจอกันเมื่อนานมาแล้วน่ะ”


“ยิ้มสวยจัง เหมือนเคยเห็นที่ไหน” รัตติเขตนิ่งนึก แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตนเองได้ “แล้วจะเอาไปไว้ไหนเหรอ เราจะได้ช่วยยก”


“คงเก็บไว้บนสตูดิโอน่ะ วางไว้อย่างนี้ก่อนแหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไอ้พีกับไอ้ดลมาช่วยจัดสถานที่ค่อยให้พวกมันช่วยยก”


“คงไม่ใช่แค่ภาพของคนที่บังเอิญเจอกันแล้วมั้ง” รัตติเขตหยั่งเชิง และเมื่อพอจะมองเห็นคำตอบที่แฝงอยู่ในท่าทีของอีกฝ่ายจึงได้เปลี่ยนเรื่อง “เออ พูดถึงสองคนนั่น เห็นมาโม้ให้ฟังว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนไปเที่ยวทะเลกันมาเหรอ ฟังแล้วเรายังแปลกใจไม่หายที่พวกนั้นลากติ๊นไปทะเลได้ ตอนที่กลับจากญี่ปุ่น จะชวนไปฉลองสักหน่อย ชวนเท่าไรก็ไม่ยอมไป”


“พาเด็ก ๆ ไปออกค่ายมาน่ะ”


“น่าสนุกว่ะ”


“เออ เด็กน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ผู้ใหญ่นี่สิสนุกจนออกนอกหน้า” พูดไปก็ยิ้มไปเพราะในหัวมีแต่ภาพของคนบางคนที่หกล้มหกลุกอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น


“ใคร ไอ้พีเหรอ ท่าทางจะเมาหัวทิ่มอีกตามเคย”


“ใครว่าล่ะ งานนี้แอลกอฮอล์ไม่มีสักหยด”


“เป็นไปได้เหรอ” รัตติเขตถามอย่างแปลกใจ


“มีแต่เด็ก ๆ ก็เลยชนแก้วน้ำอัดลมแทน แต่พวกมันสองตัวก็ยังหัวทิ่มเหมือนคนเมาได้”


สองคนพากันหัวเราะ


เจ้าของนัยน์สีเข้มทอดตามองคนตัวเล็กกว่า ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้หัวเราะด้วยกันแบบนี้ นึกย้อนกลับไปก็คงตั้งแต่งานเลี้ยงอำลาว่าที่บัณฑิตเมื่อสามปีก่อนกระมัง เพราะหลังจากนั้นเขาก็ต้องเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น แม้แต่ปริญญาบัตรก็ไม่ได้เข้ารับพระราชทานพร้อมกับเพื่อน ๆ โชคดีที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลทำให้พอจะรู้ข่าวคราวกันบ้าง หลังจากกลับจากประเทศญี่ปุ่นจึงมีโอกาสกันในงานแต่งงานของเพื่อนร่วมรุ่นแต่ก็คุยกันน้อยคำนักหากเทียบกับตำแหน่งเพื่อนสนิทที่มอบให้กัน ศุกลทอดตามองภาพเขียนสีน้ำมันตรงหน้า นึกถึงคำพูดติดตลกของพีระเมื่อตอนไปออกค่ายที่หัวหินที่ว่า ‘ต้อนรับกลับสู่ทะเลอีกครั้ง’ ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะตั้งแต่กลับจากทะเลเสม็ดคราวนั้น เขาก็ไม่คิดไปทะเลอีกเลย แม้เพื่อน ๆ จะรบเร้าทั้งตอนที่มีโอกาสกลับมาเมืองไทยในระยะเวลาสั้น ๆ หรือตอนที่มาอยู่ถาวรแล้วก็ตาม


หากถามหาสาเหตุก็คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ แล้วต้นเหตุก็คือคนที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าในเวลานี้...


“มีความลับอะไรวะ ถึงได้ชวนเราออกมาที่นี่” รัตติเขตเอ่ยขึ้นพลางทอดตามองแผ่นหลังกว้าง สองเท้ายังก้าวตามไปบนผืนทรายเม็ดละเอียดที่ชุ่มไปด้วยน้ำ


“มีของจะให้” คนเดินนำหยุดก่อนจะหันมายิ้ม มือยังคงไพล่หลังราวกับซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้


“อะไร” คนตัวเล็กกว่าเลิกคิ้ว เพิ่งสังเกตว่าวันนี้หนวดเครารกครึ้มถูกโกนจนเหี้ยน ผมเผ้าที่เคยยาวรุงรังก็ถูกรวบเป็นจุกที่กลางหัวค่อนไปทางท้ายทอยดูเรียบร้อยผิดหูผิดตา ทั้งที่ปกติจะปล่อยตามธรรมชาติ ไม่ได้หวีซ้ำยังมีกลิ่นสาบให้ต้องไล่กันเข้าร้านตัดขนหมาอยู่บ่อย ๆ


เมื่อได้โอกาส ศุกลก็เลื่อนมือที่กำหลวม ๆ ขึ้นมาตรงหน้าจากนั้นจึงค่อยคลายนิ้วทั้งห้าออกเผยให้เห็นแหวนโลหะสีเงินเกลี้ยง ๆ ที่วงรอบด้านในสลักรูปหัวใจเอาไว้


“แหวนเหรอ ให้เราเนื่องในโอกาสอะไร”


คนตัวสูงคลี่ยิ้มตาหยี ข่มอารมณ์ตื่นเต้น ขยับปากสั่นเทาก่อนจะตัดสินใจเอ่ยความในที่เก็บซ่อนมาแสนนานออกไป “เรา...เราตั้งใจให้ไนท์ เพราะเรา...เราชอบไนท์ คบกับเรานะ”


คำสารภาพสั้น ๆ ทำเอาคนฟังยืนนิ่ง ดวงตาสะท้อนแสงจันทร์มิได้แสดงออกถึงความยินดียินร้ายใด ๆ


“เราชอบไนท์จริง ๆ นะ” กล่าวพลางรั้งมืออีกฝ่ายขึ้นมาแล้ววางแหวนวงนั้นลงบนฝ่ามือนุ่ม แต่วินาทีนั้นเองรัตติเขตก็กำแน่นพร้อมกับชักมือกลับ


“ถ้าติ๊นให้ด้วยเหตุผลนี้ ร...เรา เรารับไว้ไม่ได้หรอก”


“ท...ทำไม” ปากหยักถามเสียงแผ่ว แม้แต่หูของตนเองก็ยังแทบจะไม่ได้ยิน


“เราไม่ได้คิดกับติ๊นเกินกว่าความเป็นเพื่อน เพราะฉะนั้นเรารับมันไว้ไม่ได้หรอก” รัตติเขตเม้มปากแน่นมองคนตรงหน้าอย่างตัดสินใจ ในที่สุดจึงกล่าวต่อ “กลับไปหาพวกนั้นกันเถอะ”


เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งกำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่กลับถูกมือใหญ่คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน


“เราชอบไนท์ ชอบมานานแล้ว ไนท์เป็นรักแรกของเรานะ ไนท์เองก็รู้สึกดี ๆ กับเราไม่ใช่เหรอ” ศุกลพูดแข่งกับเสียงคลื่นในทะเลขณะที่มือใหญ่เลื่อนลงกำข้อมือเล็กของคนที่เอาแต่จะถอยห่างไว้แน่น


รัตติเขตส่ายหน้า พยายามแกะมือของอีกฝ่ายไปด้วย “เราคิดกับติ๊นแค่เพื่อน”


คนฟังชะงัก เมื่อตั้งสติได้จึงว่า “แล้วที่ผ่านมามันคืออะไร ที่ไนท์ทำดีกับเรา คอยเป็นห่วงเป็นใยเรา ทั้งที่คนอื่น ๆ พากันพูดถึงเรา ไอ้พีไอดลแซวไนท์ก็ไม่เคยปฏิเสธ ไนท์จะบอกว่าทั้งหมดนี้เราคิดไปเองอย่างนั้นเหรอ”


“ร...เราขอโทษ...ถ้าหากสิ่งที่เราทำมันทำให้ติ๊นคิดมาก อีกอย่าง...ร...เรา...มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”


ศุกลนิ่งไปพักใหญ่ ก้มมองโลหะวับวาวบนฝ่ามือ ในที่สุดปากหยักก็ขยับอีกครั้ง “ข...เข้าใจแล้ว”


ชายหนุ่มกล่าวสั้น ๆ นั่นเพราะหากเขาพูดอะไรไปยืดยาวกว่านี้ ความรู้สึกเสียใจก็คงล้นทะลักออกมาทางดวงตาเป็นแน่ มือใหญ่กำแหวนวงเล็กเอาไว้แน่น แน่นเสียจนเส้นเอ็นที่ข้อมือปูดโปนหากแต่มืออีกข้างกลับค่อย ๆ คลายออกจากไม่คิดเหนี่ยวรั้งอีกต่อไป


“เราไปหาพวกนั้นกันเถอะ”


“ไนท์กลับไปก่อนเถอะ เราอยากอยู่ตรงนี้สักพัก”


คนฟังพยักหน้า แต่ก่อนจะเดินย้อนกลับไปทางทิศที่มองเห็นแสงไฟอยู่ลิบ ๆ เขาก็อ่ยขึ้น


“เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะติ๊น”


เจ้าของดวงตาแดงก่ำเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับหลับตาลงถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคออย่างยากลำบากพอ ๆ กับการประคับประคองหัวใจที่เสียสูญ หูได้ยินเสียงคนตรงหน้ายังคงย้ำประโยคเดิม


“เป็นเพื่อนกันนะติ๊น”


ศุกลลืมตาขึ้นอีกครั้งพูดพร้อมกับเบือนหน้าไปทางอื่น “เราขอเวลาหน่อยนะ แต่จะพยายามทำให้ได้ สัญญาว่าจะเป็นเพื่อนที่ดี ส่วนเรื่องวันนี้คิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เราไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็ใช้เวลาคิดเพียงชั่วอึดใจก่อนจะปาของที่อยู่ในมือออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ติ๊น!”



“ขอโทษนะ” คนพูดไล้มือไปบนผิวขรุขระที่เกิดจากการทับกันของเนื้อสีน้ำมันบนเฟรม


“เมื่อกี้ว่าไงนะ” ศุกลที่ถูกเรียกความคิดกลับมาเอ่ยขึ้นเมื่อเขาไม่ได้ทันได้ฟังสิ่งที่เพื่อนเพิ่งกล่าวจบลงไป


“เราบอกว่าเรื่องที่ทะเลวันนั้นน่ะ...ขอโทษนะ”


“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ คนไม่ได้ชอบจะบังคับให้ชอบได้ยังไง จริงไหม”


“ม...ไม่จริง”


จิตรกรหนุ่มหันกลับไปมองอีกฝ่ายให้เต็มตา รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ


“ถ้าเราบอกว่าเราโกหก ติ๊นจะโกรธเราไหม”


“โกหก? โกหกเราเรื่องอะไร” ศุกลฝืนยิ้ม ภาวนาให้สิ่งที่คิดไปล่วงหน้าไม่เป็นความจริง


“เราโกหกว่าเราอยากเป็นเพื่อนกับติ๊น” คนตัวเล็กหันมากล่าว “แต่เราไม่ได้โกหกเรื่องที่เรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว เพราะคนที่เราชอบเขาก็อยู่ตรงหน้าเรา”


“แล้วทำไมตอนนั้น...”


“ขอโทษจริง ๆ ที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะเราไม่แน่ใจว่าเราจะทนไหวไหมถ้าต้องอยู่ไกลกัน อีกอย่างเราไม่อยากให้ติ๊นเอาตัวเองมาผูกติดกับเรา เกือบสามปีเชียวนะ เราไม่อยากปิดโอกาสที่ติ๊นจะได้เจอกับใครสักคน ขอโทษที่ทำให้ต้องเสียใจนะ”


“อย่าคิดมากเลย เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว” เจ้าของแกลเลอรี่ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ถ้าตอนนั้นคบกัน ไม่รู้จะเป็นยังไงเนอะ”


“มันต้องดีสิ เราเชื่อแบบนั้น” ศุกลคลี่ยิ้มกับตัวเอง “ยังไงเราก็ไม่ปล่อยให้ระยะทางหรือเวลามาเป็นอุปสรรคแน่ ๆ”
เมื่อได้ฟังรัตติเขตก็สาวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมกับถามสิ่งที่ใจอยากรู้ “คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงเหรอ”


“อื้อ จริงสิ ถ้ามีไทม์แมชชีนจะพาย้อนกลับไปแล้วพิสูจน์ให้ดู”


“ไม่ต้องย้อนกลับไปถึงตอนนั้นหรอก ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ แล้วเราก็อยากพิสูจน์” เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งยังคงสบตานิ่ง ในที่สุดก็ถามคำถามสุดท้ายเพื่อสลายตะกอนในใจ “คบกับเราได้ไหม”


“ไนท์” ศุกลเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ในใจประกอบไปด้วยหลายความรู้สึกทั้งสับสนระคนเสียใจรวมถึงเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้รู้เหตผลที่แท้จริง หากอีกฝ่ายพูดประโยคเหล่านี้เสียตั้งแต่วันนั้น เขาคงกระโดดตัวลอย แต่วันนี้ความรู้สึกกลับต่างไป


“ได้ไหมติ๊น” ปากหยักถามซ้ำก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นคล้องคอโน้มคนตัวสูงมาลงมาใกล้จนแทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน


“ร...เรา เราทำแบบนั้นไม่ได้” ในใจมีเพียงเหตุผลเดียว หากแต่ไม่อยากทำร้ายเพื่อนมากไปกว่านี้


แม้ประโยคนั้นจะบั่นทอนความหวัง แต่รัตติเขตที่เคยปล่อยโอกาสหลุดมือไปแล้วครั้งหนึ่งกลับพร่ำบอกตนเองว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำสอง


“ทำไมล่ะ ติ๊นบอกว่าเราเป็นรักแรกของติ๊น ติ๊นจะลืมเราได้จริง ๆ เหรอ” พูดพร้อมกับแตะปลายจมูกลงบนแก้มสากก่อนจะไล่ลงมาใกล้ริมฝีปากที่ยังไม่ยอมเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ๆ


ราวกับเข็มนาฬิกาหมุนกลับตาลปัตรย้อนไปยังช่วงเวลานั้น...ช่วงเวลาแห่งการสารภาพ จิตรกรหนุ่มประคองเอวสอบอย่างเผลอไผล นัยน์ตาสีดำสนิทไม่อาจละจากดวงหน้าของคนที่เคยมอบหัวใจให้ได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลีบปากสีสวยแตะลงมาที่ริมฝีปากของตนเองเสียแล้ว เป็นสัมผัสแผ่วเบา ไม่ลึกซึ้งหากแต่อุ่นซ่านพอจะทำให้สมองซีกซ้ายหยุดหาเหตุผล ส่วนสมองซีกขวาก็ไม่พร้อมที่จะรับรู้ความสุนทรีย์ใด ๆ ในหัวว่างเปล่าจะมีก็แต่หัวใจเท่านั้นที่ยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อตรง


“เรารักติ๊น” คนตัวเล็กกระซิบเสียงแผ่ว “รักตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน รู้ไหมว่าเราดีใจแค่ไหนที่รู้ว่าติ๊นวาดรูปเรา รู้ไหมเราดีใจแค่ไหนตอนที่รู้ว่าติ๊นไม่ได้ชอบบัว”


รัตติเขตเลื่อนริมฝีปากไปตามแนวสันกรามจงใจขบเม้มเบา ๆ ให้เกิดรอยที่ซอกคอขาวราวกับจะประกาศกลาย ๆ ให้ ‘ใครคนนั้น’ ที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ได้รู้ว่าหัวใจของชายผู้นี้เคยเป็นของเขามาก่อน “แล้วเราก็ดีใจที่สุดตอนที่ติ๊นบอกว่ารักเรา แต่เราก็ยังทำเรื่องโง่ที่สุด วันนี้เราเลยอยากจะขอโอกาส ได้ไหมติ๊น ตอบเราสิว่าได้หรือเปล่า”


กลีบปากสีหวานย้อนกลับมาจุดยังตำแหน่งแรกอีกครั้ง ศุกลขบกรามแน่นเมื่อรู้สึกว่ารัตติเขตกำลังพยายามมอบจุมพิตแสนลึกซึ้งให้ ตัดสินใจแกะท่อนแขนที่เหนี่ยวรั้งลำคอของตนเองก่อนจะเลื่อนขึ้นจับที่ต้นแขนของคนตรงหน้าซึ่งอยู่ในอารามตกใจ


“หยุดเถอะไนท์ เราขอร้อง”


“ท...ทำไม ติ๊นไม่ได้รู้สึกกับเราเหมือนเดิมแล้วเหรอ”


“ความรู้สึกของเราไม่เคยเปลี่ยน เรารู้สึกกับไนท์ยังไงก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม เรายังจำความรู้สึกในวันแรกที่เจอกับไนท์จนกระทั่งความรู้สึกในวันสุดท้ายที่ทะเล...” คนพูดหยุดเพื่อให้เวลาตัวเองได้ทบทวน “มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เรายังคงรู้สึกในตอนนี้ เป็นความรู้สึกที่มาจากหัวใจ แต่วันนี้หัวใจของเรา เราให้คนอื่นไปแล้ว เราทำผิดต่อเขาไม่ได้ ขอโทษนะไนท์”


ทันทีที่ประโยคเชือดเฉือนสิ้นสุดลง น้ำตาคนฟังก็ร่วงหล่น รัตติเขตขยับตัวให้หลุดจากมืออุ่นที่โหยหามาแสนนาน ถอยห่างพร้อมกับรีบปาดน้ำตา พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้วกล่าว


“เพิ่งรู้ว่าเป็นติ๊นมันเจ็บแบบนี้ เพิ่งรู้ว่าคำพูดของเราในวันนั้นมันทำให้ติ๊นต้องเสียใจมากขนาดไหน ถ้าตอนนั้นเราไม่คิดอะไรโง่ ๆ เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อใจติ๊น วันนี้คนที่ได้หัวใจติ๊นคงเป็นเรา”


“ไนท์ ร...ร้องไห้เหรอ” เจ้าของนัยน์สีเข้มซึ่งฉาบเคลือบด้วยแววแห่งความอาทรสืบเท้าเข้าใกล้ ตั้งใจจะเอื้อมมือซับน้ำตา แต่ก็จะต้องชะงักด้วยถ้อยคำที่เป็นดั่งประกาศิต


“อย่าเข้ามา เราไม่เป็นไร” รัตติเขตกล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือ กระนั้นก็ยังฝืนยิ้ม เพิ่งรู้ซึ้งถึงความความเจ็บปวดที่ถูกปฏิเสธโดยคนที่ชอบก็วันนี้...



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 01-12-2016 16:08:06
แล้วพร่ติ๊นปล่อยให้เค้ารุกได้ไง เนี่ยยย ปฏิเสธให้เข้มแข็งหน่อยสิ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ที่ 01-12-2016 16:32:31
ว่าแล้ววววว ว่าไนท์ต้องชอบติ๊นแน่ๆ ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้าง
ทีนี้หมอโมก็จะเห็นรอย แล้วก็ตู้มมมม
เพราะนี่ก็คิดว่าหมอโมก็คงไม่พอใจแหละ น่าจะคิดมากแต่ไม่กล้าพูดออกไป
สมน้ำหน้าค่ะไนท์ ไม่ชอบคนแบบนี้เลยพอเขาบอกชอบก็ปฏิเสธ แต่พอผ่านไปก็มาบอกชอบเขา
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 01-12-2016 17:28:35
โหยยยยยยย อิติ๊นนนนน ว่าแล้วไงๆๆ  ตอนแรกยังวางใจคิดว่าติ๊นก็แค่เฟรนด์ลี่น่าา แค่คนอบอุ่น ใจดี(ไปทั่ว)  นี่ไม่ใช่ละ ไม่ใช่ละ รักเก่าชัดๆ  :ling3:  แล้วหมอโมจะทำยังไง? นางเซนส์แรงนะ แต่นางเป็นผู้ใหญ่ไง นิ่ง เป็นเมียหลวงที่ดี สงบ รอตบอย่างเดียว ถ้าติ๊นเคลียร์ไม่ขาด อย่าหวังจะได้แอ้มหมอโม โก่งค่าตัวไว้ค่ะหมอ อึ้บไว้ก่อน อึ้บไว้ ให้มองแค่ตาพอ อย่างเพิ่งให้กิน  :hao3:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-12-2016 18:48:31
เราว่าหมอโมต้องมีเซนส์ในเรื่องนี้แน่ๆ และคงเก็บความไม่พอใจไว้ในใจอยู่ลึกๆ ไม่บอกติ๊น
หวังว่าตอนหน้าติ๊นจะเคลียร์เรื่องต่างๆ ได้หมดนะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-12-2016 19:51:53
 :L2: :L1: :pig2: :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-12-2016 20:48:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-12-2016 20:53:13
ขุ่นมัวที่สุด!
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2016 20:58:12
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-12-2016 21:08:02
รอดูว่าจะยังไงกันต่อ ตกลงติ๊นจะเอายังไงกันแน่ ถ้ายังรักไนท์ก็กลับไปสิ ยังถอนตัวทัน หมอโมน่าจะเจ็บไม่นานหรอก ดีกว่าทำตัวลังเลอยู่อย่างนี้
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 01-12-2016 21:43:40
ไนท์มีการฝากรอยที่ระลึกไว้อีก
หมอโมเห็นคงมีเรื่องให้เคลียร์ (ถ้าหมอโมยอมเคลียร์)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 01-12-2016 23:41:42
อื้ออหื้อออ นึกว่าจะจบที่หมอโมมาเห็นช็อตนี้พอดีซะอีก  :katai1: นั่งลุ้นบรรทัด 555

//ไนท์พลาดแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-12-2016 00:10:39
หึ้ยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: LALYNN ที่ 02-12-2016 00:21:53
ช่วยเปิดตัวหมอโมระบุสถานะที่ชัดเจน แล้วตัดจบปัญหาแบบไร้เยื่อใยด้วยค่ะติ๊น
บอกแล้วไงว่าถ้าไม่เคลียร์ให้ชัด มันจะเป็นเสี้ยนในใจของหมอโม
#ทีมหมอโม ชวดอีกแล้ว ดึงผ้าเช็ดตัวปิดไปก่อน 5555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-12-2016 01:21:11
หง่า...พูดไม่ออก
ก็แล้วทำไมปล่อยเวลาให้เนิ่นนานขนาดนี้ ไนท์เอ๊ย คิดว่าติ๊นเป็นของตายหรือไง
ก็อยากให้สมหวังกันอยู่หรอก แต่หมอโมของฉันทำผิดอะไรต้องมาค้างเติ่งเพราะเพื่อนเก่าเนี่ย
ติ๊นจะเอายังไง จะกลับไปทางเก่าหรือจะเดินหน้า อย่าจับปลาหลายมือ ไม่ชอบ
ปล.ว่าแต่ห้องหมอโม เป็นห้องเก่าพี่ตังชิมิ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 02-12-2016 02:20:03
ทำไมไม่ซื้อหวยแล้วถูกแบบนี้มั่งงง
ไนท์ชอบติ๊นจริงๆด้วย ไม่งั้นคงไม่มีท่าทีอะไรแบบนี้
รู้สึกไม่โอเคกับไนท์เท่าไหร่เลย
ก็แหม ขัดจังหวะคนกำลังจะได้กันนี่นา  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 02-12-2016 09:24:49
ดูติ๊นกับโมรักกันเร็วไป ไฟติดเร็ว
พูดจาแหย่กันไปมาเรื่องอย่างว่า แต่ไม่ได้กันซักที
แล้วไหนจะมีไนท์เข้ามาอีก

ส่วนตัวเราว่าติ๊นแปลกๆ คือเป็นคนทำงานศิลปะ น่าจะเป็นคนลุ่มลึก เซนซิทีฟ แบบไวเรื่องความรู้สึกคน
นี่แบบอะไรอะ เหมือนทำไรไม่นึกถึงใจโมเท่าไหร่ ปล้ำๆ กันอยู่ มีรับโทสับมั่งไรมั่งตลอด คือมันหลายทีแล้ว สมควรโดนแม่ๆ ในนี้รุมด่าแหล่ะ ถูกล๊าววววววว 555555

รอดูตอนต่อไปว่าโมจะเอายังไง นิ่งๆ แบบนี้ ขอให้แบบเป็นภูเขาที่รอวันปะทุ ระเบิดทีระเบิดให้หนัก

แต่อย่าว่าเรานะ คือเหมือนความสัมพันธ์มันเกิดเร็ว แอบถูกใจกันมาก่อนก็จริง แต่พอมาเจอกันแล้ว ความสัมพันธ์มันดูฉาบฉวย ไม่ลึกซึ้ง แบบดูไม่ได้ศึกษาใจคออะไรกันเท่าไหร่ นี่ก็เจอกันก็ไม่กี่หนเอง แล้วแทบทุกหนก็ดูจะแบบเป็นความสัมพันธ์ทางกายเป็นเมนหลัก ถ้าเป็นเหตุการณ์จริง ติ๊นจะกลับไปหาไนท์ หรือมีคนใหม่ เราเป็นโมคงไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่มั้ง ไม่รู้จะเอาอะไรมาระเบิด มันยังไม่ได้ผูกพันธ์อะไรเท่าไหร่อะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-12-2016 11:17:03
เราเห็นด้วยกับความคิดเห็นบนๆ หลายความคิดเห็นนะ ที่ว่ามันเร็วเกินไป และดูฉาบฉวยเกินไปยังไงก็ไม่รู้
คือเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ยังศึกษาดูใจกันไม่ดีพอและอย่างที่ว่าดูเหมือนจะเน้นความสัมพันธ์ทางกายกันจัง
แต่คงเพราะว่าต่างคนก็เป็นผู้ชายมั้ง ถึงไม่ได้คิดอะไรเหมือนผู้หญิงอย่างเราๆ แบบที่ต้องเริ่มนับจาก 0 ถึง 100 อะไรแบบนั้น
รอดูต่อไปค่ะ ว่าหมอโมจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงต่อไป เราว่าคงได้มีเคลียร์กันเร็วๆ นี้แน่ๆ
ไม่มีใครชอบนะหรอกกับสถานการณ์แบบนี้น่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 03-12-2016 06:34:20
ติ๊นนน ง้อหมอโมด่วนเลยนะ

ไนท์คือเธอมาแบบหักอกเขาแล้วจะกลับมาแบบสวยงามงี้หรอ

ไม่ใช่ป่าวววววว มันไม่ง่ายขนาดนัน้นะ


ติ๊นก็เหลือเกินจริงๆ มีเผลอใจนิดนึง ไม่ยกหมอโมให้แล้วววว
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 03-12-2016 07:15:55
ตอบได้ชัดเจน ช่วยไม่ได้นะไนท์ตอนนั้นไม่รับเอง ดันกลัวระยะทางเฮ้อ...
ดีละจะได้ให้ติ๊นไปเคลียกะหมอโมต่อ น่าจะคิดไปถึงไหนมั้งป่านนี้
แหมะโดนใจจริง วันนี้หัวใจของเรา เราให้คนอื่นไปแล้ว 555555 ซะจายยยยย o13
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-12-2016 18:43:06
ไนท์ชอบติ๊นจริงๆด้วย แต่กลับมาตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 06-12-2016 14:24:09
โอยยยย จิกแล้วตบติ้นได้ เค้าจะทำ   :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 9 ตะกอน (01-12-2559) p.4 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 06-12-2016 18:27:02
การกระทำของติ๊นขัดกับคำพูดของตัวเองจริงๆ
บอกว่าให้ใจหมอโมไปแล้ว แต่พอไนท์โทรมาลืมนัดทิ้งหมอโมให้รอเฉยเลย
ฉาบฉวยและไม่ให้ความสำคัญกับหมอโมเพียงพอ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-12-2016 01:19:09
ตอนที่ 10 อากาศ


แม้เวลาจะผ่านไปสามวันแล้วศุกลก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ ผิดต่อรัตติเขตคนที่เขาเคยมอบใจให้แต่สุดท้ายก็จำต้องคงความเป็นเพื่อนเอาไว้ตลอดมา เมื่อได้รู้ความจริงว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่อาจตอบรับความรู้สึกนั้นได้เพียงเพราะความกลัวทุกอย่างมันก็สายเกินกว่าจะเรียกความรู้สึกที่เคยมีกลับคืนมาได้ ภาพน้ำตาที่ร่วงรินเป็นสายจึงยังคงติดอยู่ในสองตา และด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเอกรงค์ที่ถึงจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ที่เขาเผลอไผลไปจูบกับคนอื่นก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศ ช่วงสามวันมานี้เขาจึงไม่ได้ติดต่อไปหาอีกฝ่ายเลยเพื่อปรับอารมณ์ของตนเอง


ย่างเข้าเดือนธันวาคมอากาศก็เริ่มเย็นลงอีก จิตรกรหนุ่มจึงหอบเอาการบ้านรูปวาดของเด็กๆ ออกมานั่งตรวจตรงม้านั่งใต้ต้นจำปีที่กำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ หวังจะให้แสงแดดอุ่นๆ ช่วยคลายความหนาว แต่หนาวกายไม่เท่าหนาวใจ…เขารู้อยู่ว่าทำไมตัวเองถึงไม่ติดต่อไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมเอกรงค์ถึงไม่ยอมติดต่อมา… คิดถึง อยากเจอ อยากกอดแน่นๆ แล้วหอมแรงๆ สักฟอดลงบนแก้มบุ๋มน่ามันเขี้ยวนั่น พลันภาพเรือนร่างขาวเนียนใต้แสงจันทร์ที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กปกปิดส่วนล่างปรากฏขึ้นในห้วงความคิดส่งผลให้แก้มร้อนผ่าว จิตรกรหนุ่มละมือจากรูปวาดและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะส่งข้อความหา แต่ครั้นจะพิมพ์ไปตรงๆ ว่าคิดถึงอยากเจอก็นึกเขินขึ้นมาเสียเฉยๆ เขาพิมพ์แล้วลบสลับไปมาอยู่หลายรอบจนกระทั่งได้ข้อความที่คิดว่าที่พอใจที่สุดจึงกดส่ง


“วันนี้จะมารับนอฟหรือเปล่าครับ”


ตบท้ายด้วยตัวการ์รูปสุนัขพันธ์คอร์กี้ตัวเล็กน่ารักทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสังเกตได้ว่าข้อความอรุณสวัสดิ์และบอกฝันดีที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ถูกเปิดอ่าน คิ้วเข้มย่นเข้าหากันอยู่อึดใจ นิ้วหัวแม่มือขยับปัดไปมาบนหน้าจอสัมผัสเพื่อหาหมายเลขโทรศัพท์ กำลังจะกดโทรออกแต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงยุ่งมากๆ เพราะสามวันมานี้เอกรงค์ไม่ได้มารับนภธรณ์เหมือนอย่างเคย ศุกลจึงวางโทรศัพท์ลงและเฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตั้งใจว่าหากวันนี้อีกฝ่ายไม่มารับเจ้าลูกชายกำมะลออีกละก็ คงจะเป็นทางนี้เองที่ต้องเป็นฝ่ายไปหา


จิตรกรหนุ่มดึงสมาธิกลับมาตรวจผลงานเด็กๆ อีกครั้งเพื่อฆ่าเวลา ทว่าก็ยังคงไม่มีข้อความตอบกลับกระทั่งใกล้เสร็จหูจึงแว่วเสียงภาดลบอกเลิกคลาสพร้อมกับเสียงล้อรถบดพื้นถนนดังขึ้นที่หน้าบ้านหัวใจก็โลดขึ้นทันที ศุกลรีบเก็บงานเข้าลวกๆ แล้วเอาที่ทับกระดาษทับไว้กันปลิวพร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปต้อนรับผู้ที่เพิ่งมาถึง


“มาเร็วนะครับวันนี้” เอ่ยทักออกไปแต่ทันทีที่เห็นเต็มตารอยยิ้มก็พลันจางลงเล็กน้อย “ว่าไงไนท์”


ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งยิ้มแห้ง “เอาภาพห้องที่เสร็จสมบูรณ์แล้วมาให้ดูน่ะ” น้ำเสียงขาดหายไปเล็กน้อยเมื่อรู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อจะมาเจอเท่านั้น ในเมื่อมีวิธีการมากมายที่จะส่งภาพให้ดูทั้งโปรแกรมสนทนา ข้อความ อีเมลหรือแม้แต่ปริ้นต์ออกมาแล้วให้แมสเซนเจอร์นำมาส่ง แต่ที่ต้องขับรถมาเพราะยังอยากมาหา มาเจอหน้าแม้จะอกหักไปแล้วก็ตาม “ขอโทษนะถ้าการมาของเราทำให้ติ๊นลำบากใจ แต่เราคิดว่าถึงจะไม่ได้คบกันแบบนั้น เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”


ศุกลไม่ได้ตอบในทันทีเพราะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจจนไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ


รัตติเขตเม้มปากสนิทครั้งหนึ่งคล้ายกับจะพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นนิดๆ  “ไม่ได้สินะ… ขอโทษนะติ๊น… เราคงขอติ๊นมากไป”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะหมุนตัวกลับ ศุกลจึงรีบเอื้อมมือรั้งไว้ “ได้สิ”


“อืม… ขอบใจนะ” ริมฝีปากค่อยคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม


ศุกลยิ้มตอบ อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังอยากเก็บมิตรภาพและความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันไว้


เสียงล้อรถบดถนนดังขึ้นอีกครั้ง จิตรกรหนุ่มจึงละสายตาจากคนตรงหน้าในทันทีพร้อมกับนึกในใจ ‘มาแล้วเหรอ… วันนี้มาชะ… ช้า… จัง…’ และเป็นอีกครั้งที่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นนายแพทย์มาดนิ่งในชุดสูทสุดเนี้ยบก้าวลงจากรถและเดินตรงมาหา


“สวัสดีครับ” ปรเมษฐ์เอ่ยทัก


“ครับ… คุณมีธุระอะไรหรือครับ” ถามเกรงๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่แฝงมาในน้ำเสียงอย่างชัดเจนและท่าทีที่ดูเหมือนไม่กลัวใครนั่น


“ผมมารับนอฟ”


สิ้นคำผู้เป็นพ่อ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกมากับพี่น้องสองทีก็ส่งเสียงเรียกด้วยความดีใจราวกับเป็นเด็กเล็กๆ พร้อมทั้งวิ่งเข้ามาหา “ป๊า!”


ธีร์ทัศน์กับธีร์ธรยกมือไหว้พ่อเพื่อน “สวัสดีครับ”


ปรเมษฐ์พยักหน้ารับ


“เกิดอะไรขึ้นทำไมวันนี้ถึงมารับผมได้… แล้วพ่อโมไปไหน?” นภธรณ์เอ่ยถามเพราะเท่าที่จำได้ทุกครั้งที่พ่อมารับเขาด้วยตนเองนั้นแทบไม่เคยมีเรื่องดีเลย ถ้าไม่ใช่เพราะโดนครูประจำชั้นตามเรื่องที่เขาสอบตก ก็ต้องเป็นเรื่องอาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกเข้าห้องเย็น


ศุกลเหลือบตามองเจ้าของนัยน์ตานิ่งสนิท รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน


ปรเมษฐ์วางมือลงบนบ่าลูกชายแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ผมจะมาขอลาลูกออกจากการเรียนศิลปะที่นี่ครับ”


“ทะ… ทำไม มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับจู่ๆ ถึงได้...” เจ้าของชั้นเรียนถามพลางสบตานภธรณ์ซึ่งก็มีทีท่าตกใจไม่แพ้กัน


ธีร์ทัศน์ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะถามอะไรสักอย่าง ในขณะที่นภธรณ์เหลือบมองพ่อของตัวเองอีกครั้งเห็นท่าไม่ดีจึงขยิบตาและพยักเพยิดเป็นเชิงให้กลับไปก่อนแล้วจะโทรไปเล่าให้ฟังทีหลัง ดังนั้นธีรทัศน์จึงกล่าวลาทุกคนก่อนจะกอดคอน้องชายเดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่นอกรั้ว


ปรเมษฐ์ถอนใจเบาก่อนจะตอบอย่างเย็นชาเมื่อเห็นว่าตรงนี้มีแต่คนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมด “ก็มันหมดความจำเป็นแล้วนี่ครับ”


“คุณหมายความว่ายังไงครับ” ศุกลถาม รู้สึกใจคอไม่ดีกับคำว่า ‘หมดความจำเป็น’


“นอฟเป็นคนหัวทึบด้านการวาดรูปครับ พรสวรรค์เดียวที่เขามีคือการร้องเพลง หลังจากเรียนวาดรูปกับคุณมาหลายเดือนผมยอมรับว่าฝีมือแกดีขึ้น แต่จะเรียนไปทำไมในเมื่อนี่ไม่ใช่สิ่งที่แกรักเลยสักนิด… คนเราจะมามัวเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ได้รักทำไมในเมื่อมีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าอยู่แล้ว”


“ป๊า” นภธรณ์เรียกเสียงแผ่ว ยอมรับจนหมดใจว่าที่ปรเมษฐ์พูดนั้นถูกทุกถ้อยคำ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้มีโอกาสเจอเพื่อนๆ ที่นี่อีก


นายแพทย์ปรเมษฐ์เลื่อนมือโอบไหล่ลูกชายเต็มวงแขนพร้อมกับตัดบท “กลับกันเถอะนอฟ วันนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวป๊าพาไป”


“เดี๋ยวก่อนครับ” ศุกลเรียก “ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”


“แต่ผมไม่มี” ตอบทั้งที่ไม่หันมา


“เรื่องหมอโม” จิตรกรหนุ่มโพล่งออกไป ถึงจะฟังดูเข้าใจยากไปสักหน่อย แต่ก็คิดว่าตนเองเข้าใจในทุกๆ ถ้อยคำที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ…


‘อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่ได้รักในเมื่อมีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า’


และศุกลก็คิดถูกเมื่อคนอายุมากกว่ายอมหันมาเผชิญหน้าพร้อมกับบอกลูกชาย “นอฟไปรอที่รถ”


“แต่ผม…”


“ไปรอที่รถ” ปรเมษฐ์พูดซ้ำ น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดุดันหรือเฉียบขาดแต่แฝงด้วยความจริงจังที่ทำให้เด็กหัวดื้ออย่างนภธรณ์ต้องยอมแต่โดยดี รอกระทั่งลูกชายพ้นสายตาจึงกล่าวต่อ “ไม่เข้าใจที่ผมเปรียบเทียบเหรอครับ พวกศิลปินนี่หัวทึบกว่าที่คิดนะ เอาอย่างนี้ ผมจะพูดให้ชัดๆ ไปเลยก็แล้วกันว่าเลิกยุ่งกับโมสักทีในเมื่อตอนนี้คุณมีคนอื่นแล้ว”


ศุกลกัดฟันกรอด รู้สึกเหมือนโดนตบหน้า “คุณหมายความว่ายังไง”


“แล้วเมื่อสามวันก่อนคุณไป ‘จูบ’ กับใครมาล่ะ”


“ผมไม่ได้…” เว้นวรรคไปเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้และหันไปมองชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่ยังคงยืนอยู่ด้วยกัน …หรือนี่คือสาเหตุที่เอกรงค์ขาดการติดต่อไปและปรเมษฐ์มาลานภธรณ์ออก ในเมื่อเด็กหนุ่มยอมมาเรียนเพื่อเป็นข้ออ้างให้เอกรงค์มาหาเขาได้บ่อยๆ การที่ทำแบบนี้มันหมายความว่าอีกฝ่ายจะไม่มาเจอกันแล้วอย่างนั้นหรือ “ค… คุณเข้าใจผิดแล้วเราไม่ได้...”


“นอกใจก็คือนอกใจ มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลและที่มาที่ไปหรอก” ปรเมษฐ์แทรกขึ้น “อีกอย่างนะ คนที่คุณควรพูดด้วยมากที่สุดคือโมต่างหาก แต่ผมคิดว่ามันก็สายเกินไปแล้วล่ะ เพราะเขาคงไม่กลับมาหาคุณอีกแล้ว”


“คุณหมายความว่ายังไง โมไปไหน”


“ผมจะบอกให้ก็ได้ แต่คุณช่วยตอบคำถามผมมาข้อหนึ่งได้ไหมครับ” ปรเมษฐ์ยื่นข้อเสนอ


“อะไร”


“คุณเป็นอะไรกับโม”


“เรา…” ศุกลพูดติดขัด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงตอบคำถามง่ายๆ นี้ออกไปไม่ได้ ยิ่งเห็นนัยน์ตาของรัตติเขตที่มองมายิ่งรู้สึกหวิวๆ ในอก


“ไม่อยากตอบหรือตอบไม่ได้ครับ” ปรเมษฐ์พูดต่อ คล้ายกับจะเยาะอยู่ในน้ำเสียง “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกอะไรคุณสินะ” ว่าแล้วก็ล้วงสองมือลงในกระเป๋าและหันหลังกลับ


“เดี๋ยวก่อน…”


“มีอะไรอีกล่ะครับ”


“แล้วคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”


มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยก่อนสืบเท้าเข้าหาและชะโงกหน้าเข้าไปใกล้พอจนเห็นรอยสีแดงจางๆ ที่ยังคงอยู่ตรงข้างซอกคอขาว เขาใช้ปลายนิ้วชี้รั้งปกเสื้อเชิ้ตให้แบะออกจนเห็นชัด “คุณคิดว่าคนที่รู้เรื่องของโมดีทุกอย่าง รู้ถึงขนาดว่ามีไฝที่ขาอ่อนกี่เม็ดจะไม่รู้เรื่องแค่นี้เหรอ” พูดจบก็จิ้มนิ้วแรงๆ ลงไปครั้งหนึ่งราวกับจะย้ำเตือนถึงความผิดที่อีกฝ่ายทำลงไป ตวัดสายตาขึ้นสบก่อนจะเดินไปขึ้นรถ


“ทำไมป๊าทำแบบนี้” นภธรณ์ที่นั่งกอดอกหน้าตูมอยู่บนเบาะหน้าถามทันทีที่ประตูปิดลง ถึงจะไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน แต่เมื่อเห็นสายตาแข็งกร้าวของปรเมษฐ์บวกกับเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนที่จู่ๆ ป๊าก็ผลุนผลันออกจากบ้านไปทันทีหลังจากรับโทรศัพท์ของเอกรงค์ เขาก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง และมันก็คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียด้วยเพราะตัวเขาเองก็ไม่เห็นหน้าเอกรงค์อีกเลยนับจากวันนั้น


“เรื่องของผู้ใหญ่ โตแล้วก็เข้าใจเองแหละ”


“ทั้งปี” นภธรณ์ยังไม่เลิกบ่น


ปรเมษฐ์สตาร์ทรถแล้วขับออกไป “ตกลงจะกินอะไร… เนื้อย่างสินะ”


ลูกชายย่นปาก เบื่อพ่อตัวเองตรงที่รู้ดีว่าต้องเอาอาหารอะไรมาล่อเขาถึงยอมปิดปากเงียบนี่แหละ


หลังจากรถแล่นออกมาได้สักพัก นภธรณ์ก็ตัดสินใจถามสิ่งที่ยังคาใจอยู่อีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้นกับพ่อโมเหรอครับ”


“เรื่องเดิม” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ พลางยกมือขึ้นวางบนศีรษะลูกชายและลูบหนักๆ อย่างแสนรัก “แกเองก็โตเป็นหนุ่มแล้ว ตัวอย่างมีให้เห็น ดูแล้วจำไว้ล่ะว่าอย่าไปเที่ยวยกหัวใจให้ใครง่ายๆ”


“ทำเป็นพูด ตัวเองก็โดนเขาทิ้งไปไม่ใช่หรือไง” ‘เขา’ ในที่นี้คือ ‘แม่แท้ๆ’ ที่ทิ้งไปนับตั้งแต่วันลืมตาดูโลก จะเรียกว่าอกตัญญูก็ได้ แต่เขาโตมาด้วยนมวัวไม่ใช่นมแม่ และคนที่เลี้ยงดูเขาคือป๊ากับเพื่อนๆ ของป๊าไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่มีแม้รูปถ่ายสักใบคนนั้น


“เจ็บเจียนตายเลยล่ะ ป๊าถึงรู้ไงว่าการเสียของรักไปให้คนอื่นน่ะมันรู้สึกยังไง”


“แล้ว… คนที่เป็นผู้ใหญ่เขาไม่คิดจะสู้เพื่อ ‘คนที่เขารัก’ เลยเหรอครับ” นภธรณ์เลียบเคียงถาม


“ป๊าทำเต็มที่แล้ว”


“แน่ใจเหรอครับ”


“แน่ใจสิ” ปรเมษฐ์ว่า “สู้เพื่อคนที่ไม่มีใจยังไงก็ไม่มีวันชนะ ป๊าเลยเลือกที่ปล่อยเขาไปแล้วขอสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นแทน”


“อะไรครับ”


“แกไง” มือใหญ่โยกศีรษะที่ยังคงจับไว้เบาๆ ครั้งหนึ่ง


“ไม่ต้องมาปากหวาน วันก่อนป๊าก็ปล่อยให้ผมนอนคนเดียว”


“ก็เขียนโน้ตทิ้งไว้แล้วไงว่าโดนตามไปทำคลอดด่วน ไม่เอาไม่งอนน่าอยากได้อะไรไหนบอกป๊ามาสิครับคนเก่ง”


“ถ้าอย่างนั้นเล่าเรื่องพ่อโมให้ฟังหน่อยตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตอนนี้พ่อโมอยู่ไหน”


“นอฟ” ปรเมษฐ์เหลือบตามองลูกชายและพูดเสียงหวานพร้อมกับยิ้มกว้างแข็งๆ ราวกับตัดกระดาษไปแปะไว้บนหน้า “ดูปากป๊านะครับ… ฝัน-ไป-เถอะ!”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-12-2016 01:25:24
(ต่อค่ะ)


ในตอนที่รถของปรเมษฐ์ยังไม่ทันจะสตาร์ทออกไปศุกลก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความร้อนรน แต่ทันทีที่กดโทรออกสัญญาณก็ตัดไปเป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติที่บอกให้รู้ว่าปลายสายนั้นปิดเครื่องไว้ ‘หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้งานในขณะนี้…’


“เกิดอะไรขึ้น” จิตรกรหนุ่มเริ่มอยู่ไม่สุข เขาจึงลองเข้าโปรแกรมสนทนาและส่งข้อความหา ‘โมอยู่ที่ไหน ผมอยากเจอคุณ’
แน่นอนว่าไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ไม่แม้จะขึ้นข้อความว่า ‘อ่านแล้ว’ ให้รู้ว่าข้อความนั้นได้ถูกส่งไปถึงคนปลายทางเหมือนเช่นข้อความก่อนหน้านี้


“มีอะไรหรือเปล่า” รัตติเขตที่ยังคงไม่ไปไหนถามด้วยความเป็นห่วง


“ไม่เกี่ยวกับไนท์หรอก”


“ไม่จริงหรอก ฟังจากที่ผู้ชายคนนั้นพูดมันเกี่ยวกับเราเต็มๆ เลยนะ… แล้วคนที่ชื่อโมนั่นคือคุณหมอที่ติ๊นแนะนำให้รู้จักวันนั้นใช่ไหม”


“ใช่”


“เขาคือคนที่ทำให้ติ๊นปฏิเสธเราใช่ไหม”


ศุกลไม่ตอบเพราะกำลังหมกมุ่นอยู่กับการติดต่อเอกรงค์ให้ได้ ถ้าหากเพียงเขาจะทันฉุกใจคิดถึงการกระทำของปรเมษฐ์อีกสักนิด ก็คงจะรู้ว่ามันสายเกินไปแล้วจริงๆ


...


“อะไร” กุมารแพทย์หนุ่มถามคนตรงหน้าที่จู่ๆ ก็กางแขนสองข้างออกแล้วรวบตัวเขาไว้ในวงแขน


นับจากวันที่กลับจากทะเล เอกรงค์ก็เทศนาปรเมษฐ์กับลูกชายเสียกัณฑ์ใหญ่โทษฐานแกล้งให้ศุกลหึง ดังนั้นปรเมษฐ์จึงไม่กล้าเป็นฝ่ายกอดก่อน แต่วันนี้เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วเขาจึงไม่คิดว่าต้องสนใจสายตาของใคร แม้ทั้งสองจะยืนอยู่หน้าห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกของแผนกกุมารเวชซึ่งผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ “นึกว่าจะไม่เจอหน้านายเสียแล้ว”


“อย่าเวอร์น่าโป้ นายก็รู้ว่าคนอย่างฉันไม่มีวันให้เรื่องแบบนี้มาทำให้เสียงาน” ปากว่าอย่างนั้นแต่กลับยกสองมือขึ้นโอบรอบไหล่และวางคางเกยลงบนบ่า ถ้าหากไม่มีความอบอุ่นของอ้อมแขนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะผ่านค่ำคืนที่แสนทรมานนั้นมาได้อย่างไร


หลังเลิกงานระหว่างทางขับรถกลับคอนโค นายแพทย์เอกรงค์ไม่ลืมที่จะจอดแวะหน้าแกลเลอรีสีขาวที่อยู่ห่างจากโรงพยาบาลไปสองแยกไฟแดงเหมือนทุกครั้ง แม้ว่าวันนี้จะไม่มีข้ออ้างในการมารับลูกชายของเพื่อนสนิทเพราะคลาสสอนศิลปะถูกยกเลิกเนื่องจากจะปลดภาพลงเพื่อให้ผู้เช่ารายใหม่ได้ใช้แสดงงาน แต่ก็นึกเข้าข้างตัวเองว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาคืบหน้าจนคนอื่นคงไม่คิดสงสัยอะไรแล้ว หรือต่อให้คิด เขาก็คงตอบกลับไปว่าเป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาจะไปที่ Light & Shade เมื่อไรก็ได้ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ คิดถึง...อยากเจอหน้าเจ้าของบ้านเท่านั้นเอง


เอกรงค์ชะลอรถเพื่อเข้าเทียบหน้าโรงรถที่ตอนนี้เกือบจะเป็นที่จอดประจำของเขาไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าวันนี้มีรถสปอร์ตซีดานสีเงินจอดอยู่ คิ้วเรียวย่นเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เข้าออกที่นี่มาสองเดือนจนเกือบจะสามเดือนแล้วยังไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน สงสัยจะเป็นลูกค้าที่มาขอซื้อภาพหรือผู้เช่ารายใหม่มาดูสถานที่กระมัง


เพราะทางเข้าออกเป็นถนนปูนแคบๆ เอกรงค์จึงขับรถเลยไปจอดเยื้องไปด้านนอกเพื่อไม่ให้กีดขวางแล้วจึงลงจากรถ เดินเข้าไปในแกลเลอรีสีขาวอย่างเงียบเชียบ ถ้าหากศุกลมีแขกหรือลูกค้าอยู่จริงๆ จะได้ไม่เป็นการเสียมารยาทและรีบปลีกตัวกลับ นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบๆ เห็นหลายภาพถูกปลดลงวางกับพื้นพร้อมแปะป้ายจองไว้ก็อดยิ้มไม่ได้กับสิ่งที่เป็นหนึ่งในความสำเร็จทางอาชีพของอีกคน และนั่นทำให้เขาเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าภาพ ‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’ ถูกใครมาขอซื้อไปหรือยัง ถ้ายังเขาจะได้ทุ่มหมดตัวซื้อเก็บไว้เอง คิดได้ดังนั้นขายาวจึงเปลี่ยนเส้นทางเลี้ยวไปอีกฝั่ง แต่ก่อนที่ภาพนั้นจะปรากฏสู่สายตาหูก็แว่วเสียงคนคุยกัน


“สวยจัง ยังไม่มีคนซื้อเหรอ”


“มี แต่เราไม่ขายน่ะ”


ยังนึกไม่ออกว่าเสียงแรกเป็นใครแต่เสียงที่ตอบกลับไปนั้นคือเจ้าของผลงานไม่ผิดแน่ เอกรงค์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รู้สึกดีใจที่ศุกลก็อยากเก็บไว้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่เห็นด้วย


“แล้วถ้าเราขอล่ะ ซื้อก็ได้”


“ถ้าไนท์ชอบเดี๋ยวเราวาดรูปอื่นให้”


ชื่อนั้นให้เอกรงค์สืบเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น เขาไม่ได้ไม่เชื่อใจศุกลแต่บอกตามตรงว่าไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นสักนิด นับตั้งแต่วันที่มาเป็นแบบให้วาดรูป ไปจนถึงตอนเจอกันที่ลานจอดรถ... ปกติคนเราเอาผ้าเช็ดหน้าคนอื่นมาใช้นั่นก็ผิดสุขลักษณะมากพออยู่แล้ว แต่นี่ส่งคืนทั้งที่ยังไม่ได้ซักแถมจำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นต่อหน้าเขา… ขอโทษนะหนู มุกเก่ายุค90 แบบนั้นน่ะทางนี้ใช้มาก่อน... นั่นยังไม่รวมถึงเรื่องที่โทรหาศุกลตอนที่ขับรถไปชน ก็ได้ข่าวว่ามีพ่อแม่พี่น้อง ถ้าศุกลมีอาชีพเป็นตำรวจหรือทนายความเขายังพอหยวน แต่นี่ดันโทรหาเพื่อนเก่าที่นาน ๆ เจอกันแถมยังเป็นจิตรกร… คือจะให้ช่วยไปพ่นสีทำตำแหน่งที่ชน? โทรเคลมประกันง่ายกว่าไหม? ไร้สาระจริงๆ


“แสดงว่าหวงมาก รูปใครเหรอ บอกได้ไหม”


“ไม่รู้เหมือนกัน”


บทสนทนาต่อมาทำให้เอกรงค์นึกเสียดายเล็กๆ เพราะคิดว่าศุกลจะบอก… หรืออย่างน้อยก็ควรจะพูดเป็นนัยอะไรสักอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดมากเลย ไม่เลยสักนิดจนกระทั่งได้ฟังเรื่องเล่าต่อมา และนั่นคือสิ่งที่แทบทำให้หัวใจสลาย


“ถ้าตอนนั้นคบกัน ไม่รู้จะเป็นยังไงเนอะ”


“มันต้องดีสิ เราเชื่อแบบนั้น ยังไงเราก็ไม่ปล่อยให้ระยะทางหรือเวลามาเป็นอุปสรรคแน่ ๆ”


“คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงเหรอ”


“อื้อ จริงสิ ถ้ามีไทม์แมชชีนจะพาย้อนกลับไปแล้วพิสูจน์ให้ดู”


“ไม่ต้องย้อนกลับไปถึงตอนนั้นหรอก ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ แล้วเราอยากพิสูจน์… คบกับเราได้ไหม”


ทุกสรรพเสียงเงียบหายไปเมื่อสองคนขยับตัวเข้าหากัน และทดแทนช่วงเวลาที่หายไปด้วยรอยจูบ มือเรียวกำเป็นหมัดแน่น เนื้อตัวสั่นระริกด้วยทำอะไรไม่ถูกกับทุกๆ อากัปกิริยาที่เห็นเต็มสองตา จนกระทั่งเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งนั้นลืมตาขึ้นมาสบตากับเขา แทนที่จะหยุดรัตติเขตกลับฝากรอยสีกุหลาบไว้ที่ข้างซอกคอแล้วถามย้ำในสิ่งที่ต้องการ ส่วนศุกลก็ไม่มีทีท่าจะปฏิเสธ ถึงแม้ไม่ได้หันมาให้เห็นหน้าแต่วงแขนที่โอบรัดกันไว้อย่างเต็มใจนั้นคงไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมอีกแล้ว


เอกรงค์แทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพาตัวเองกลับขึ้นรถและขับออกมาได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถน้ำมันหมดจอดตายอยู่ข้างทางในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เขาจึงตัดสินใจโทรขอความช่วยเหลือจากที่พึ่งเดียวเหมือนกับทุกๆ ครั้ง


ปรเมษฐ์ขับตาม GPRS ของโทรศัพท์มือถือหาเขาจนเจอในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา… และเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เกิดเรื่อง เพื่อนคนนี้จะกอดเขาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไร ปรเมษฐ์ย้ำเสมอว่าตัวเองพูดไม่เก่ง ด่าเตือนสติได้แต่ปลอบใจใครไม่เป็น แต่แค่นี้มันก็ดีจนเกินพอแล้ว… แค่กอดแน่นๆ ที่ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ลำพัง


“ไม่เวอร์หรอก” ปรเมษฐ์กระซิบ “เพราะสายตานายมันว่างเปล่าจนน่ากลัวน่ะสิ”


“ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง ฉันน่าจะเชื่อคำเตือนของนายที่ว่า ‘รักแรกพบ’ น่ะมันไม่มีจริง”


“เชื่อกันง่ายๆ ก็ไม่ใช่นายน่ะสิ คนดื้อด้าน! สมน้ำหน้า ฉันเตือนแล้วใช่ไหมว่าระวังจะโดนหมอนั่นหลอกฟันแล้วทิ้ง พวกศิลปินน่ะอารมณ์อ่อนไหว คล้อยตามอะไรง่ายๆ หมอนั่นก็แค่เล่นกับนายคลายเหงาเท่านั้นเอง พอคนเก่ากลับมานายก็เป็นหมาหัวเน่า” แล้วคนปากจัดก็อดไม่ได้ที่จะจัดเบาๆ ไปหนึ่งยก


ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้คงมีต่อยกันให้ตายไปข้าง แต่เพราะเป็นปรเมษฐ์ จึงทำให้เอกรงค์ค่อยยิ้มออกแม้จะเป็นยิ้มแกร็นๆ ก็ตาม “ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้โป้ แกว่าใครโดนใครฟันวะ”


“อ้าว… ตกลงไอ้ที่ขนซื้อยกโหลไปนั่นยังไม่ได้ใช้?”


เอกรงค์พยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าโชคดีแล้ว ขืนมีอะไรกันนายคงเจ็บหนักกว่านี้” ปรเมษฐ์ถอนหายใจอย่างโล่งอก


“เข็ดแล้ว”


“ขอให้จริง” ปรเมษฐ์หัวเราะลงคอแล้วรั้งตัวเพื่อนรักมากอดปลอบใจและเอ่ยลาเป็นครั้งสุดท้าย


เอกรงค์กำลังจะเดินเข้าประตูไปอยู่แล้วเมื่อคนที่มาส่งเรียกไว้อีกครั้ง


“โม!”


กุมารแพทย์หนุ่มสบตาเพื่อนรักเดาไม่ออกว่าจะมาไม้ไหนอีก


ปรเมษฐ์ขบกรามแน่นด้วยรู้จักเพื่อนตัวเองดี เอกรงค์เป็นคนรักใครก็จะทุ่มเท ถึงจะผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับรูปแบบความรักที่ในสายตาของเขาเรียกว่าฉาบฉวย แต่อีกฝ่ายเรียกว่าเรียนรู้กันและกัน… เขาจึงไม่ขอวิจารณ์ตรงนั้นเพราะบทเรียนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างของเขาที่เจ็บครั้งเดียวก็เกินพอ แต่วันนี้ไม่พูดอะไรเลยเห็นทีจะไม่ได้เพราะสายตาคู่นั้นมันยังคงว่างเปล่าเกินไป...และที่สำคัญคือมันต่างจากทุกครั้ง


“ถึงฉันจะไม่เชื่อในเรื่องรักแรกพบ แต่ฉันเชื่อในโชคชะตานะ”


“อืม”


“การได้พบกับใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่มันคือโชคชะตา และการจากลาก็เป็นเพราะโชคชะตาเหมือนกัน”


เอกรงค์พยักหน้า เข้าใจว่าคนพูดไม่เก่งกำลังพยายามพูดเปรียบเทียบกับเรื่องของตัวเองให้ฟัง “อืม”


ปรเมษฐ์เม้มปากสนิทครั้งหนึ่งนึกไม่ออกแล้วควรจะพูดอะไรนอกจาก “แล้วมันจะผ่านไป”


“อืม” ไม่ฝืนยิ้มตอบเพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หากแต่พยักหน้ารับคำอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตรวจ



เอกรงค์ถอนใจแรงหลังจากคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาซ้ำแล้วซ้ำอีก คนไข้คนสุดท้ายเพิ่งกลับออกไป ตอนนี้จึงเหลือแค่เขาในห้องแคบๆ ที่แสนเงียบเชียบ กุมารแพทย์หนุ่มทิ้งศีรษะที่ดูเหมือนจะหนักอึ้งไปหมดลงบนโต๊ะ ระนาบกระจกที่สัมผัสผิวแก้มให้ความรู้สึกเย็นเฉียบจนสะดุ้งแต่ก็ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของหัวใจที่ราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง การที่ต้องพยายามทำตัวให้เหมือนปกติทั้งที่หัวใจกำลังอ่อนแอนั้นเผาผลาญพลังงานมากกว่าที่คิด


ไม่ว่าจะใช้น้ำปริมาณมากมายแค่ไหนล้างตาก็ไม่อาจลบภาพคนสองคนที่กอดจูบกันอย่างดูดดื่มได้เลย และเสียงของผู้ชายคนนั้นก็ยังคงดังก้องอยู่ในหูซ้ำๆ ว่า ‘คบกันนะติ๊น’


ใจจริงวันนั้นอยากเดินเข้าไปแยกสองคนออกจากกันแล้วเคลียร์กันให้จบไปเลยด้วยซ้ำ แต่เขาทำไม่ได้…
อย่าเรียกความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกนี้ว่าหึงเลย แค่น้อยใจยังไม่กล้า เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเขากับศุกลไม่ได้เป็นอะไรกัน ในเมื่อมีแค่เขาที่เป็นฝ่ายบอกรัก และอีกฝ่ายก็แค่ให้โอกาสทำความรู้จัก ถึงจะดูเหมือนว่าคบกันแต่ไม่มีช่วงตอนไหนของความสัมพันธ์ที่จะบอกว่าเราเป็นของกันและกัน… ไม่เหมือนคนๆ นั้น คนที่ศุกลเคยรักหมดหัวใจและตอนนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนี้อยู่


เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ขอบตาก็ร้อนผ่าว แต่น้ำตากลับไม่ไหลสักหยด บางทีอาจเป็นเพราะความเจ็บปวดที่มีมันมากจนเกินไป หรือจะถึงเวลาแล้วที่เขาควรหยุดไล่ตามแล้วถอยออกมา


ภาพเมื่อยามได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแล้วผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งคนนั้นแทรกเข้ามา ปรากฏชัดขึ้นในห้วงความคิดอีกครั้ง… และในทุกๆ ครั้งคนที่ถูกลืมหรือถูกมองข้ามไปจะต้องเป็นเขาเสมอ…


นึกถึงข้าวในจานที่วางทิ้งไว้โดยยังไม่ได้แตะต้องสักคำ…


นึกถึงรอยยิ้มที่ถูกส่งไปถึงผู้ชายคนนั้นทั้งที่มีเขานอนทับอยู่บนตัว อุณหภูมิกายอาจเป็นของเขาแต่เสียงหัวใจที่เต้นแรงอยู่หลังอกเป็นเพราะกำลังคุยกับอีกคน…


‘ดีจัง’


ถ้อยคำแหบแห้งที่กล่าวออกไปในตอนนั้นไม่ได้หมายถึงแม่และเด็กที่ถูกช่วยไว้ได้อย่างปลอดภัยอย่างที่ศุกลเข้าใจ แต่ประโยคเต็มคือ ‘ดีจังที่ได้เป็นคนที่ติ๊นให้ความสนใจ’ ต่างหาก


นึกถึงวงแขนแกร่งที่โอบรัดอยู่รอบกายเปลือยเปล่า แต่หัวใจกลับบินไปอยู่ข้างกายคนอื่น…


นึกถึง ‘จูบ’ ที่ไม่ได้เป็นของเขาแค่คนเดียว...


‘ส่วนเกิน’


คำๆ นี้คงใช้นิยามตัวตนของเขาในตอนนี้ได้ดีที่สุด แต่เมื่อลองคิดดูอีกทีให้เป็นแบบนั้นยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยครั้งหนึ่งเขายังเคยได้เป็นส่วนเกินอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่แค่ ‘อากาศ’ ที่ศุกลไม่เคยมองเห็น


เสียงเคาะประตูเบาๆ ปลุกเอกรงค์ให้ตื่นจากภวังค์ เขาตบหน้าตัวเองแรงๆ ครั้งหนึ่งเพื่อเรียกสติสตังให้กลับคืนมาก่อนจะเอ่ย “เชิญครับ”


ทันทีที่สิ้นคำอนุญาตนางพยาบาลสาวก็เยี่ยมหน้าเข้ามา “หมอโม มีเพื่อนมาหาค่ะ”


“ขอบคุณครับ” เอกรงค์รีบหันไปเก็บกระเป๋าเพราะไม่อยากให้ปรเมษฐ์รอนาน นอกจากจะช่วยปลอบใจเขาแล้วอีกฝ่ายยังปลีกเวลามากินข้าวเป็นเพื่อนได้ทุกวันอย่างน้อยวันละมื้อเพราะไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียว


เสียงประตูเลื่อนเปิดออกทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงเบื่อที่จะรอข้างนอกแล้ว


“แป๊บนะโป้” นายแพทย์เอกรงค์กล่าวขณะยังง่วนกับการเก็บข้าวของลงกระเป๋า


“โม”


เสียงทุ้มแหบพร่าที่เรียกชื่อตนเองทำให้เจ้าของชื่อต้องเหลียวไปมองเพราะนั่นไม่ใช่เสียงของเพื่อนรัก แต่เป็นเสียงของคนที่เขาพยายามจะตัดขาดการติดต่อมาตลอดสามวันนี้ ทั้งไม่ไปหา ไม่โทรศัพท์และไม่อ่านข้อความ เขาไม่ได้คิดจะลองใจหรือแกล้งงอนให้อีกฝ่ายมาง้อ เขารู้ดีว่าถ้าเขาหายไปอีกฝ่ายก็คงไม่ตามหา... ขนาดกอดอยู่ในอ้อมแขนยังมองไม่เห็นหัวกัน นับประสาอะไรกับการที่ทำงานอยู่ห่างกันไปตั้งสองแยกไฟแดง สักวันก็คงจะลืมกันไปเอง... เหมือนอย่างที่ปรเมษฐ์พูดไว้ ‘แล้วมันจะผ่านไป’


“มีอะไรหรือครับ”


“ผมอยากคุยกับโม” ศุกลหอบแฮ่ก หลังจากหาที่จอดรถได้เขาก็วิ่งพรวดเดียวขึ้นบันไดมาจนถึงที่นี่ รู้สึกดีใจที่ลางสังหรณ์ของตนไม่ผิดที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ที่ทำงาน


“เรื่องอะไรครับ”


“ก็... เรื่อง...” ศุกลอึกอัก เขาไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนเมื่ออีกฝ่ายได้แสดงอาการเศร้าเสียใจ อันที่จริงเอกรงค์ดูปกติมาก... มากเสียจนเขาใจเสีย เพราะเมื่อประเมินจากการแสดงออกของปรเมษฐ์ เขามั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้โกหก เอกรงค์รู้เรื่องระหว่างเขากับรัตติเขตจะด้วยวิธีการใดนั้นยังไม่อาจทราบได้ แต่ในตอนนี้ที่เขาอยากรู้มากกว่าคือภายใต้ท่าทีเฉยชานั้นเอกรงค์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่


เจ้าของห้องเหลือบมองครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายบ่า “ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ผมขอตัวนะ”


“ดะ... เดี๋ยวสิโม” คำเรียกที่ฟังดูห่างเหินผิดวิสัยของเจ้าตัวทำให้ศุกลรีบหันไปคว้าต้นแขนไว้และลองถามหยั่งเชิง “โมโกรธอะไรผมอยู่หรือเปล่า เราตกลงกันแล้วนี่นาว่าถ้าอยู่กันสองคนให้เรียกติ๊นได้”


สิ้นคำถาม คำตอบที่จิตรกรหนุ่มได้รับในทันทีคือการที่คนตรงหน้าตวัดสายตาลงมองมือของเขาเหยียดๆ ก่อนจะรั้งต้นแขนกลับไปราวกับรังเกียจกันเสียเต็มประดา


“โม...” ศุกลหน้าซีด มั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายโกรธ แต่ก็ยังมั่นใจว่าจะต้องง้อให้ได้หรืออย่างน้อยก็ต้องอธิบายให้เข้าใจกัน นั่นคือสิ่งที่เขาคิดกระทั่งน้ำเสียงเย็นชานั้นเอ่ยคำพูดที่ราวกับจะเป็นการตัดเยื่อใยทั้งหมด


“เรียกแบบไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ‘เพราะยังไงผมก็ไม่ได้เป็นโมของติ๊นอยู่ดี’” ดวงตาไม่แสดงความรู้สึกกวาดมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “ตกลงมีเรื่องอะไรจะพูดไหม ถ้าไม่มีผมขอตัวนะครับคุณศุกล”


...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: heroves ที่ 15-12-2016 02:07:21
โอ้ยยยย ให้ตายเถอะ บีบคั้นหัวใจเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-12-2016 03:27:23
จัดไปค่ะหมอโม ในเมื่อติ๊นทำตัวไม่ชัดเจน หมอก็ไม่ต้องทน ควรรู้เสียบ้างว่าคนที่ติ๊นบอกเต็มปากว่ามอบใจให้ก็มีหัวใจ มีความรู้สึก ใช่จะละเลยกันได้ง่าย ๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 15-12-2016 06:21:41
บีบใจเกินไปแล้วววว ปวดร้าวว
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-12-2016 08:35:46
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-12-2016 09:40:48
โอ๊ยยยยยย ขอตอนต่อไปด่วนค่ะ อยากรู้จริงว่าติ๊นจะได้มีโอกาสอธิบายมั้ย เพราะโมทั้งโกรธและเสียใจขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-12-2016 10:39:00
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-12-2016 11:19:53
โอ้ยยยย มันปวดใจเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 15-12-2016 11:51:24
สงสารโมจังเลย ติ๊นคะกล้าๆหน่อย แสดงออกน่ะ ทำเป็นไหม พูดคุย บอกสิ หมอโมเป็นคนมีเหตุผลอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: LALYNN ที่ 15-12-2016 13:01:52
อยากเป็น #ทีมหมอโป้ ค่ะ!!!!!!!
ติ๊นเติ๊นอะไรไม่ต้องเอาแล้วหมอโม หมอโป้นี่ของพรีเมี่ยมอยู่ใกล้มือเลยนะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 15-12-2016 17:57:38
อ๊าคคคคคค เอาปืนมายิงดิฉันทิ้งเลยเถอะ!  หมอโมเวอร์ชั่นถอดใจนี่ ช่างสมเป็นราชินีเคะของดิฉันนัก เฉยชา มองเหยียดได้อย่างปวดหัวใจสุดๆ  จุกไหมหล่ะติ๊น?  หวานไหมหล่ะจูบครั้งใหม่กับรักแรกที่เผลอใจไปในเวลาที่เลือกคนข้างตัวไปแล้ว? เอาอิติ๊นมันให้หนักเลยหมอโม  :z6:

ผิดไหมที่เผลอจิ้น โป้โม ~~
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 15-12-2016 18:37:03
ติ๊นก็ต้องเจอเย็นชาใส่แบบนี้บ้าง
จะได้รู้จักคุณค่า เหอะๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 15-12-2016 19:40:28
ติ๊นจะได้รู้ว่าหมอโมไม่ใช่ของตายนะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 15-12-2016 19:46:21
อย่ายอมง่ายๆนะโม คนโลเลอย่างติ๊นไม่คู่ควรกับคนดีๆแบบโมเลย เป็นเราๆจะไม่ยุ่งกับติ๊นอีกต่อไป ไม่ไหวอะ เหลาะแหละ เห็นคนอื่นดีกว่าเรา รักเราแต่เจือกไปจูบไปแคร์คนอื่นมากกว่า จบค่ะ ไม่เอาพระเอกแบบนี้ได้มั้ย ไม่ใช่ว่าผิดครั้งเดียวแล้วให้อภัยไม่ได้แต่เราว่าติ๊นยังรักโมไม่มากพอ #อืนี่อินเว่อวัง555 #ทีมโม #สำหรับอิติ๊นเอานี่ไปข่ะ :z6: :z6: o13
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-12-2016 20:16:21
สงสารหมอโมอ่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-12-2016 20:52:06
มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยติ๊น ไปรักกับไนท์ไป ง่ายดี
หมอโมไม่ควรจะมาเจ็บปวดเพราะคนโลเลพรรค์นี้
ที่บรรยายความรู้สึกหมอโม มันเจ็บ อินมาก มันใช่ทุกอย่าง คนนอกใจก็คือนอกใจ เกลียดติ๊น
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 15-12-2016 21:42:56
สงสารหมอโมมมมมมมมม โกรธนานๆเลยนะๆๆๆๆ

ตอนที่แล้วโมโหติ๊นมาก ตอนนี้ก็เช่นกัน 55555

ปีโป้ดูแลโมดีกว่าติ๊นเป็นไหนๆ เสียดายที่เป็นเพียงเพื่อนจัง

ทีมหมอโมค่ะ หวงหมอโม ติ๊นไม่ต้องมายุ่งเลยนะ 55
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 16-12-2016 22:03:22
ติ๊นน้าาาาา ทำไมทำแบบนี้
นึกถึงคนปัจจุบันหน่อยซี่ ไนท์เคยปฏิเสธไป ถึงจะให้เหตุผลว่าตอนนั้นกลัวก็เถอะ มีโอกาสแล้วไม่รับไว้จะมาเอาอะไรตอนนี้

หมอโมอย่าไปสนนะ ต้องเอาให้รู้สึกผิดสุด ๆ ไปเลย  :ling1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-12-2016 22:32:52
ว่าแล้วเชียว
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 10 อากาศ (15-12-2559) p.5 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 18-12-2016 20:10:31
 :mew5: :mew5: :mew5: :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-12-2016 00:09:38
ตอนที่ 11 โอกาส


ประโยคที่เพิ่งจบลงดูดเอาออกซิเจนรอบ ๆ ตัวหายไปด้วยหรือไรศุกลจึงรู้สึกอึดอัดราวกับขาดอากาศหายใจเช่นนี้ ชายหนุ่มจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา อยากจะอธิบายแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จริง ๆ คือไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนมากกว่า นั่นเพราะยังไม่รู้แน่ถึงสาเหตุที่ทำให้เอกรงค์โกรธเขา แต่มันจะต้องเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนตามที่ปรเมษฐ์เคยพูดไว้อย่างแน่นอน


“ผมไม่รู้ว่าโมโกรธอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องของไนท์ มันไม่ได้เป็นอย่างที่โมคิด”


“คุณรู้เหรอว่าผมคิดอะไร”


“ม...ไม่รู้” คนพูดส่ายหัว “เพราะถ้ารู้ผมคงไม่ปล่อยให้โมเข้าใจผิดแบบนี้”


เอกรงค์ยังคงสบตานิ่ง นิ่งพอ ๆ กับร่างกายและหัวใจของตนเองในขณะนี้ “ต้องให้ผมเป็นฝ่ายพูดเหรอว่าเห็นหรือได้ยินอะไร ได้! ผมจะบอกให้ ผมเห็นตั้งแต่ต้นจนจบนั่นแหละ เห็นด้วยสองตาของตัวเอง เข้าใจแล้วว่าตลอดมาคนที่คุณรักคือใคร”


ศุกลสืบเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะสวมกอดให้หายคิดถึงพร้อมกับกระซิบ “ขอโอกาสให้ผมสักครั้งนะครับ”


“ปล่อยเถอะ ผมไม่อยากใช้กอดของคุณร่วมกับใคร” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าว แม้ไม่ได้ยกมือขึ้นปัดป้อง หากแต่น้ำเสียงราบเรียบนั้นกลับมีกำลังพอจะผลักไสคนฟังให้ออกห่างได้ ไม่ถึงอึดใจเขาก็รู้สึกได้ว่าแขนแกร่งนั้นค่อย ๆ คลายออกและร่างสูงก็ถอยห่างออกไปช้า ๆ


“ขอโทษครับ” ศุกลเอ่ยเสียงแผ่ว


“คุณกลับไปเถอะ” เอกรงค์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ จ้องตาเขม็ง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีไม่ทีท่าจะขยับจึงรั้งกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ผมบอกให้กลับไปไง”


ดวงตาคู่นั้นเรียบเฉยไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ แต่เมื่อสังเกตดี ๆ กลับพบว่ายังมีรอยยิ้มจาง ๆ แฝงอยู่ เอกรงค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของหนุ่มศิลปินผู้นี้ได้เลย “ถ้าอย่างนั้นผมไปเอง”


“ด...เดี๋ยว โม” มือใหญ่กำลังจะเอื้อมรั้งแต่ก็ต้องชะงักเพราะน้ำเสียงเด็ดขาด


“อย่ามาแตะต้องตัวผม!”


ดังนั้นศุกลที่ในตอนแรกคิดจะยื้อไว้จึงจำต้องหลีกทางปล่อยให้คนที่กำลังหงุดหงิดเดินผ่านไปได้ง่าย ๆ เมื่อได้ยินเสียงเลื่อนเปิดประตู จิตรกรหนุ่มจึงเดินตามออกไปเงียบ ๆ เว้นระยะห่างพอสมควรพอให้เห็นอีกคน กระทั่งถึงลานจอดรถ รอจนคาดิลแลคสีดำเคลื่อนลับตาไป


สายลมหนาวพัดพาเอาควันจาง ๆ ของกำยานอินเดียสำหรับจุดบูชาพระพิฆเณศวร์ลอยคลุ้งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ หากแต่วันนี้บ้านกลับดูเงียบเหงาพอ ๆ กับหัวใจของผู้เป็นเจ้าของ ศุกลเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ยกมือขึ้นก่ายหน้าฝากพร้อมกับคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา คำพูดตัดพ้อของเอกรงค์ยังคงดังแว่วอยู่ในโสตประสาทและและบาดลึกอยู่ไปถึงขั้วหัวใจ


"เรียกแบบไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะยังไงผมก็ไม่ได้เป็นโมของติ๊นอยู่ดี"


จิตรกรหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ดวงตาที่ทอดมองเพดานว่างเปล่าปิดลงพร้อมกับภาพของใครคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง...


รอยยิ้ม...เมื่อวันแรกที่ได้พบกัน สายตาที่แฝงความนัย เสียงกระซิบบอกความรู้สึก กระทั่งกลิ่นหอมละมุนและผิวสัมผัสชวนหลงใหลของคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่แนบอกในค่ำคืนอันแสนหวาน ทั้งหมดนี้เขาเคยที่ว่าเป็นของเขา แต่วันนี้กลับไม่ใช่...


"อย่ามาแตะต้องตัวผม!"


ศุกลสะดุ้งเฮือกพร้อมกับลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขายันกายลุกขึ้นนั่งก่อนหยิบต้นกำเนิดเสียงออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับสาย


“ครับ พี่มุก”


“ติ๊น ปลายเดือนหน้าพี่จะบินกลับไทยนะจ๊ะ แต่ว่าจะแวะไปหาเจ้าเม่นก่อนก็เลยจะขอรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือที่ติ๊นเคยบอกว่าจะฝากซื้อน่ะ เดี๋ยวพี่จะให้เจ้าเม่นมันดูให้ ขืนหาซื้อเองคงไม่เจอแน่ ๆ ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นสักตัว” คนปลายสายหัวเราะคิก


“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นผมจะส่งอีเมลให้ก็แล้วกันนะครับ พอดีเป็นหนังสือที่เพื่อนฝากมาอีกที”


“ได้จ้ะ”


“รอบนี้กลับมาอยู่นานไหมครับพี่มุก”


“กลับมาอยู่ถาวรเลยจ้ะ แฟนมีเรียนจบแล้ว ต้องกลับมาใช้ทุนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ไทย”


“ดีเลยครับ ผมจะได้หาโอกาสเลี้ยงข้าวตอบแทนตามที่บอกพี่มุกไว้สักที”


“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อนเถอะจ้ะ ว่าแต่ติ๊นเถอะเป็นยังไงบ้าง คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” เสียงหวานของหญิงสาวคงเป็นสิ่งเดียวที่พอจะช่วยให้ศุกลมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างในยามนี้


“ยังไม่ถึงไหนเลยครับ” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะขื่น ๆ


“เอาน่า อุตส่าห์พยายามตั้งนาน สู้ ๆ จ้ะ พี่เป็นกำลังใจให้”


“ขอบคุณครับพี่มุก”


จิตรกรหนุ่มกดวางสาย ก่อนจะแตะหน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมสนทนา ดันปลายนิ้วเลื่อนอ่านข้อความเก่า ๆ  กระทั่งมาถึงข้อความสุดท้ายที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อวาน เกือบจะชนวันแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกคนจะเปิดขึ้นอ่าน ในที่สุดศุกลก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความเดิม ๆ แล้วกดส่งอีกครั้ง ไม่นานสัญลักษณ์ที่แสดงว่าข้อความนั้นถูกอ่านแล้วก็ปรากฏขึ้น แม้จะไม่มีถ้อยคำใด ๆ ตอบกลัวเหมือนเช่นเคย แต่เขาก็ยังรู้สึกดีที่อีกฝ่ายได้อ่านมัน...


...


ปรเมษฐ์เงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวยืดตัวมองข้ามไหล่คนฝั่งตรงข้ามและหยุดสายตายังร่างชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป หากเป็นเมื่อช่วงสองสัปดาห์ก่อนภาพนี้อาจจะเป็นภาพที่ไม่คุ้นตานัก แต่ในขณะนี้มันกลับกลายเป็นราวกับส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาหรือไม่ก็เอกรงค์ไปเสียแล้ว


“นี่จะสองอาทิตย์แล้วนะที่เขามานั่งเฝ้านายแบบนี้น่ะ”


“ช่างเขาสิ เดี๋ยวเบื่อก็เลิกไปเองแหละ” เอกรงค์ว่าขณะใช้ช้อนเขี่ยอาหารในจาน


“กลัวจะไม่เป็นอย่างนั้นสิ”


“ทำไมนายคิดแบบนั้น” กุมารแพทย์หนุ่มถามอย่างแปลกใจ


แม้แต่คนพูดเองก็ยังสงสัยในถ้อยคำของตนเอง นั่นสิ...อะไรกันที่ชวนให้คิดเช่นนั้น หรือเพราะเขารู้สึกได้ว่าศุกลต่างจากคนอื่น ๆ ที่เอกรงค์คบได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าวก็มีเหตุให้เลิกรากัน ยิ่งรายไหนจบกันเพราะเรื่องนอกใจด้วยแล้ว ก็ยิ่งพาให้คนที่ทุ่มเทในความรักอย่างเอกรงค์ถึงขนาดเกลียดยันเงาเลยทีเดียว 


“ไม่รู้เหมือนกัน” นายแพทย์ปรเมษฐ์ตอบห้วน ๆ เพราะเขาเองก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินเถอะ เดี๋ยวนายมีตรวจต่อไม่ใช่เหรอ”


คนฟังพยักหน้า กำลังจะลงมือรับทานอาหารต่อแต่ก็ยังมีเรื่องที่อดถามไม่ได้ “ไม่คิดจะฟังเขาอธิบายหน่อยเหรอ”


คำถามนั้นทำคนฟังชะงัก เอกรงค์วางช้อนลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ


ปรเมษฐ์กระแอมเบา ๆ แก้เก้อ แล้วจึงกล่าวอย่างมีมาด “ก็ไม่ได้จะเชียร์หรือเห็นอกเห็นใจอะไรหรอกนะ แต่ถ้าเป็นคนที่แล้ว ๆ มา ฉันยังเห็นนายให้โอกาสเขาได้อธิบายก็เท่านั้น”


“เห็น ๆ อยู่ยังต้องอธิบายอะไรอีก”


“อือ ก็จริง” ชายหนุ่มรอบถอนใจเมื่อได้พูด ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความต้องการของตัวเองต้องเลยสักนิด ที่ต้องทำก็เพราะนภธรณ์ขอร้องหลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากของเขาต่างหาก แต่คำตอบของเอกรงค์ก็มีข้อสรุปในตัวเองอยู่แล้ว


สองคนแยกกันที่หน้าโรงอาหารของโรงพยาบาล เอกรงค์เดินกลับขึ้นไปที่ห้องทำงานเพื่อเก็บของ เมื่อเรียบร้อยเขาก็กลับออกมาอีกครั้ง มองไปรอบ ๆ ให้แน่ใจว่าศุกลไม่ได้ตามมา กุมารแพทย์หนุ่มจึงเดินไปกดลิฟต์และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกเขาก็ก้าวเข้าไปข้างใน กำลังจะเอื้อมมือกดให้ประตูปิดก็มีมือหนึ่งรั้งบานโลหะให้แยกจากกันอีกครั้ง


“ไปด้วยครับ” ศุกลกล่าวพร้อมกับสบตาคนตรงหน้าจากนั้นจึงก้าวเข้ามายืนข้างกัน


“คุณมาทำไมอีก” ยังคงเป็นคำถามเดิม แต่ไม่รู้ว่านี่คือครั้งที่เท่าไรแล้วที่เอกรงค์พูดมันออกไป กุมารแพทย์หนุ่มถอนหายใจเบา ๆ แล้วแตะปลายนิ้วกดปุ่มให้ประตูลิฟต์ปิด ไม่มีใครในนี้นอกจากพวกเขาสองคน


“ผมมารอให้โมใจเย็นลง ยอมให้ผมได้อธิบาย” และนั่นก็เป็นประโยคที่ศุกลใช้ตอบเหมือนเช่นทุกครั้ง


“คุณไม่จำเป็นต้องอธิบาย”


“แต่โมกำลังเข้าใจผมผิด ผมกับ...” ศุกลกำหมัดแน่น ใจอยากจะรั้งตัวอีกฝ่ายมากอด แต่ก็ทำได้เพียงมองเท่านั้น ที่มาหาทุกวันก็เพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นลงแล้วรับฟังคำอิบาย ที่ยังมีหวังเพราะคิดว่าตนเองบริสุทธิ์ใจในเรื่องที่เกิดขึ้น


“พอได้แล้ว สิ่งที่คุณทำในวันนั้นมันทำให้ผมเข้าใจแล้วทุกอย่าง คุณกลับไปเถอะ” สิ้นเสียงของเอกรงค์ประตูลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้ง ก่อนจะก้าวห่างออกไปกุมารแพทย์หนุ่มก็ตัดสินใจปิดฉากความสัมพันธ์ทั้งหมดด้วยประโยคสั้น ๆ “ถ้าจะให้ดีก็อย่ามาเจอกันอีกเลย”


เพราะเจ็บกับเรื่องความรักมามากเหลือเกิน ครั้งนี้เอกรงค์จึงไม่คิดยื้อมันไว้อีก และมันก็ได้ผล เมื่อศุกลไม่ได้มาที่โรงพยาบาลอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น...


...


สัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมกำลังเริ่มต้นขึ้นพร้อม ๆ กับเดือนสุดท้ายของปีที่กำลังจะหมดลง บรรยากาศในกรุงเทพฯ ดูเงียบเหงาะเพราะผู้คนทยอยเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาในวันหยุดยาวที่จะมาถึง งานหยุด...แต่อาการป่วยไข้ไม่มีวันหยุด โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ก็ยังคงทำงานอย่างแข็งขัน บอร์ดใหญ่ที่เคยเป็นแหล่งให้ความรู้ขณะนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยกระดาษหลากสีสัน มีภาพคุณหมอและพี่พยาบาลใจดีปะติดสลับกับสติกเกอร์รูปสัตว์น่ารัก ๆ พร้อมด้วยกระดาษโน้ตเขียนข้อความอวยพรปีใหม่ของแต่ละคน ต้นคริสมาสต์พุ่มเตี้ย ๆ ประดับไฟด้วยสายรุ้งระยิบระยับถูกนำมาตั้งไว้ข้าง ๆ กัน และเกือบตลอดทั้งวันที่เพลงซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเทศกาลปีใหม่ถูกเปิดวนจนทุกคนในแผนกเผลอฮัมเพลงเหล่านี้ตามขณะทำหน้าที่ของตน   


“สวัสดีครับหมอโม”


เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้คนที่กำลังยืนเซ็นเอกสารที่เคาน์เตอร์พยาบาลต้องเหลียวมอง ภาพที่เห็นคือสองพี่น้องที่ไม่ได้พบกันเสียนาน พลันใบหน้าเคร่งขรึมก็กลับมีรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง


“มาทำอะไรที่นี่ครับสองหนุ่ม”


“ผมนัดเจอกับแม่ที่นี่ครับ พอดีแม่มาเยี่ยมเพื่อนครับ ธรณ์อยากดูปลา ผมก็เลยพาน้องแวะมา” ธีร์ทัศน์กล่าวหลังจากสะกิดน้องชายให้ยกมือไหว้ผู้ใหญ่


“ตัวมันใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่ผมมาให้หมอโมฉีดยาตั้งเยอะ” ว่าแล้วหนุ่มน้อยก็หันกลับไปมองเจ้าปลาสวยงามในตู้กระจกขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของผนังซึ่งกั้นระหว่างห้องโถงกับทางเดินอีกครั้ง “โอ้โห! ตัวนั้นท่าทางจะกินจุ”


เอกรงค์ทอดตามองเด็กชายที่ยังคงเพลิดเพลินกับการกระจกจกมองฝูงปลาเกล็ดวาวอย่างเอ็นดู ในที่สุดเขาก็ละสายตาหันมาถามธีร์ทัศน์ “เจอเจ้านอฟบ้างหรือเปล่า”


“เจอบ้างครับ ส่วนใหญ่จะโทรคุยกันเสียมากกว่า เสียดายที่นอฟไม่ได้ไปเรียนแล้ว ไม่อย่างนั้นวันเสาร์นี้คงได้ปาร์ตี้ปีใหม่กันที่บ้านพี่ติ๊น มีจับฉลากของขวัญด้วยนะครับ”


“อืม...น่าสนุกดีนะ” คนพูดฝืนยิ้มเมื่อชื่อของใครบางคนกำลังทำให้เรื่องที่พยายามจะลืมฉายชัดขึ้นบนฉากรับในห้วงความคิด


“แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเลื่อนออกไปหรือเปล่านะครับ” เด็กหนุ่มถอนใจ


“อ้าว ทำไมล่ะพี่ทัศน์” คนหันมาเริ่มหน้ามุ่ยหันมาพร้อมกับบ่นอู้อี้ “ธรณ์อุตส่าห์ทุบกระปุกมาซื้อของขวัญแล้วนะ”


“พี่ดลบอกว่าพี่ติ๊นไม่สบาย ถ้าหายไม่ทันก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะหายเมื่อไร ยาก็ไม่ยอมทาน พี่ดลกับพี่พีจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป”


“ถ้าอย่านั้นวันนี้เราชวนแม่ไปเยี่ยมพี่ติ๊นกันนะครับ”


“ไม่ได้หรอก” พูดพลางวาดแขนโอบไหล่น้อง “แม่บอกคุณยายไว้ว่าวันนี้จะซื้อผลไม้ไปคั้นให้ดื่ม ถ้าผิดสัญญาคุณยายเคืองแน่” ธีรทัศน์ละสายตาจากหน้าระห้อยของเด็กชายแล้วเงยหน้ามองอีกคนที่ยืนฟังเงียบ ๆ นึกได้ว่าตนเองกำลังทำให้ผู้ใหญ่เสียเวลาจึงเอ่ยขึ้น “อุ้ย! ขอโทษครับ มัวแต่ชวนหมอโมคุยเพลินเลย”


“ไม่เป็นไรครับ หมอไม่ได้รีบไหน เดี๋ยวก็จะกลับบ้านแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นเราก็ฝากหมอโมไปเยี่ยมพี่ติ๊นสิครับพี่ทัศน์”


“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงทัศน์ หมอโมเขาต้องรีบกลับไปพักผ่อน” พูดจบคนพี่ก็หันมากล่าวกับเอกรงค์ที่ยังคงยืนนิ่งปั้นหน้าไม่ถูก “ถ้าอย่างนั้นผมสองคนไม่รบกวนหมอโมแล้วครับ ได้เวลานัดแล้ว ผมพาน้องไปหาแม่ก่อนนะครับ สวัสดีครับ”


เมื่อเห็นพี่ชายยกมือไหว้ น้องชายก็ทำตาม จากนั้นสองพี่น้องก็จูงมือกันเดินออกไป...


เอกรงค์หยุดยืนที่หน้าเรือนกระจกภายในบริเวณของแกลเลอรีสีขาวซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลเพียงแค่ไม่กี่แยกไฟแดง เขายังหาคำตอบไม่ได้ว่าเหตุใดจึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ ซ้ำสปอร์ตซีดานสีดำคันนั้นก็จอดอยู่ในโรงรถเหมือนเมื่อวันที่ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกไม่มีผิด เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าทั่วทั้งบริเวณเงียบเชียบเพราะเลยเวลาที่แกลเลอรีปิดมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว มีเพียงแสงไฟที่รอดผ่านช่องหน้าต่างของชั้นบนซึ่งเป็นสตูดิโอเท่านั้นที่ทำให้คาดเดาได้ว่าเจ้าของบ้านน่าจะยังไม่นอน กุมารแพทย์หนุ่มจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปยังด้านหลังก่อนจะก้าวขึ้นบันไดวนที่นำขึ้นสู่ชั้นสองของตัวอาคาร ดวงตาจดจ้องที่ประตูห้องทางด้านซ้ายมือซึ่งเปิดแง้มอยู่ พลันขายาวก็ต้องชะงักเพราะวัตถุหนึ่งที่ปลิวกระทบกับบานไม้เนื้อแข็ง และเมื่อมันตกลงพื้นกระทั่งไถลมาหยุดที่ปลายเท้า เอกรงค์จึงได้รู้ว่ามันคือคัตเตอร์ที่เด็ก ๆ ใช้เหลาดินสอนั่นเอง


“อย่าทำให้เราเกลียดไนท์เลยนะ”


เมื่อได้ยินเสียงขึ้นจมูกของผู้เป็นเจ้าของบ้านก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่ธีรทัศน์พูดนั้นเป็นความจริง คุณหมอยังคงเลือกที่จะยืนนิ่งเงี่ยหูฟังความเป็นไปอยู่ตรงนั้น ในมือกำถุงใส่โจ๊กที่ซื้อมาจากโรงอาหารของโรงพยาบาลเอาไว้หลวม ๆ ไอร้อนเตือนให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ไม่ใช่แค่ความฝัน


“จะเกลียดก็ได้นะ” เสียงนั้นฟังดูสั่นไหว หากแต่ประโยคต่อมาของอีกคนกลับยังมั่นคงเหมือนเช่นเคย


“เราบอกแล้วไงว่าเราไม่มีวันเกลียดไนท์ มันจะไม่มีวันนั้น”


“หึ! ถ้าตอนนั้นถ้าเราไม่ขอให้เป็นเพื่อนกัน ติ๊นก็คงเกลียดเราไปแล้วนานแล้วใช่ไหม ตอบเราสิว่าใช่หรือเปล่า” ท้ายประโยคนั้นสั่นเครือปนสะอื้น


เอกรงค์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ได้ยินศุกลเรียกชื่ออีกฝ่ายแล้วเงียบไปจนอดคิดไม่ได้ว่าหรือสิ่งที่รัตติเขตพูดจะเป็นความจริงจนเขาไม่มีข้อโต้แย้ง


“ขอร้องละ ถ้าตอนนี้รักเราไม่ได้ก็ช่วยเกลียดเราทีเถอะ เราเข้าใจแล้วว่าการถูกให้ความหวังแล้วมาบอกกันว่าไม่ได้รักมันเป็นยังไง”


“หยุดเถอะไนท์ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”


“เกลียดเราเถอะนะติ๊น อย่าดีกับเราแบบนี้เลย ยิ่งติ๊นดีกับเราเท่าไร...”


“หยุดบอกให้เราทำในสิ่งที่ไนท์ต้องการสักทีเถอะ” เสียงนั้นราบเรียบแต่แข็งกร้าวจนน่าใจหาย “ต่อไปนี้ขอให้เราได้เป็นตัวของเราเองเถอะนะ เราบอกแล้วว่าจะเป็นเพื่อนก็คือเป็นเพื่อน จะให้เกลียดกันก็ทำไม่ได้ เรายังอยากเป็นเพื่อนกับไนท์นะ” คนพูดถอนหายใจเฮือกใหญ่ “วันนี้ไนท์กลับไปก่อนเถอะ เราอยากพักผ่อน”   


ทุกสรรพเสียงเงียบหายราวกับถูกดูดกลืนไปในห้วงอารมณ์เศร้าหมอง ไม่นานร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งก็แทรกผ่านประตูออกมา เขาชะงักเล็กน้อยพร้อมกับรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลลงอาบสองแก้มเมื่อเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบกันที่นี่อีกครั้ง ในขณะที่เอกรงค์เองก็วางหน้านิ่งเบือนหน้าไปทางอื่นรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินผ่านไปจึงขยับตัวพิงผนัง หลังจากนั้นไม่นานเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงลากปิดประตูรั้ว กุมารแพทย์หนุ่มจึงค่อย ๆ นั่งลงอย่างคนหมดแรง วางถุงโจ๊กไว้ข้างตัวซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่แสงไฟในห้องดับลงเหลือเพียงแสงรำไรของโคมไฟตั้งโต๊ะเท่านั้น


รอบกายกลับเงียบเชียบลงอีกครั้ง ได้ยินก็เพียงเสียงเข็มวินาทีจากนาฬิกาข้อมือ เอกรงค์ก้มมองเวลาที่หน้าปัด เห็นว่าควรกลับสักทีจึงยันกายลุกขึ้นยืนพลันกระแสลมอ่อน ๆ ก็พัดให้ประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ค่อย ๆ แง้มออกจนเกิดเสียงที่พอจะรั้งความตั้งใจของเขาเอาไว้ได้ ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าประตู เมื่อมองเข้าไปก็เห็นร่างของศุกลกำลังนอนขดอยู่ที่หน้าเฟรมสีน้ำมันขนาดใหญ่ แสงไฟอันน้อยนิดพอจะทำให้เห็นว่าที่ตรงกลางมีรอยขาดยาวเกือบหนึ่งไม้บรรทัดและคัตเตอร์ที่ตกอยู่หน้าห้องนี่กระมังที่เป็นต้นเหตุของร่องรอยนั่น กุมารแพทย์หนุ่มทอดตามองภาพตรงหน้าอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะค่อย ๆ ดึงประตูปิด และไม่ลืมที่จะคว้าถุงใส่อาหารติดมือมาด้วยเพื่อทำให้เหมือนตนเองไม่เคยมาที่นี่


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 31-12-2016 00:25:11
(ต่อนะคะ)


งานเลี้ยงปีใหม่ถูกจัดขึ้นในอีกสองวันต่อมา หากแต่เจ้าของบ้านที่เพิ่งหายไข้มิได้อยู่ร่วมงานด้วย ดังนั้นหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ จึงตกอยู่กับพีระและธราดลซึ่งเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของ Light&Shade แม้จะผิดหวังนิดหน่อยที่พี่ติ๊นไม่อยู่ แต่กิจกรรมสุดพิเศษที่พี่ ๆ คนอื่น ๆ ช่วยกันจัดขึ้นก็ทำให้เด็ก ๆ ลืมเรื่องนี้ไปได้ในที่สุด และนั่นก็เป็นสิ่งที่ศุกลคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นโฟล์คสวาเกนสีขาวจึงถูกขับออกจากโรงรถตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลของรัฐที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาจอดรถที่ลานจอดแล้วตรงไปยังแผนกกุมารเวชศาสตร์เหมือนอย่างเคย แต่วันนี้กลับแปลกไปเพราะแทนที่จะพบกับดวงตาเฉยชาของเอกรงค์กลับพบสายตาไม่เป็นมิตรของนายแพทย์ปรเมษฐ์แทน จิตรกรหนุ่มเลือกที่จะนั่งอยู่ในมุมหนึ่งเหมือนทุกครั้งตามที่ได้สัญญากับตนเองเอาไว้ว่าจะรอจนกว่าอีกฝ่ายพร้อมที่จะรับฟังโดยไม่ทำให้ต้องรำคาญใจ แม้ผลักไสก็จะไม่ยอมแพ้ หรือหากจะหนีหน้าก็จะตามไปให้เจอกันให้ได้


“คุณมาทำอะไรที่นี่”


ศุกลเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่เดินมาหยุดก่อนจะตอบ “ผมมาหาโมครับ”


“เขาไม่อยากพบ คุณก็ไม่ควรมาอีก”


“ผมแค่...”


ยังพูดไม่ทันจบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ   


“โป้! อยู่นี่เองฉันเดินตามหาแกแทบแย่” หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดกระโปรงสีเรียบ ๆ ร้องทักพร้อมกับกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหา “มาหาโมโมก็ไม่อยู่ ไปหาแกที่ห้องก็ไม่เจอ ว่าจะมาชวนไปกินข้าวกลางวันสักหน่อย” เธอกล่าวก่อนจะมองเลยมายังศุกลที่กำลังลุกขึ้นยืน


“โมไม่อยู่ ฉันก็ว่าจะชวนไปก...กิน...” นายแพทย์ปรเมษฐ์เริ่มอธิบาย หากแต่หญิงสาวกลับไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเขาอีกต่อไป


“ติ๊น!”


“สวัสดีครับพี่มุก” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ เธอคือ “ดุจมุก” อดีตแอร์โฮสเตสสาวที่ผันตัวมาจับธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าเครื่องสำอางจากต่างประเทศนั่นเอง


“เสียดายจัง ไม่รู้ว่าจะเจอติ๊นที่นี่ เลยไม่ได้ถือหนังสือที่ฝากซื้อติดมาด้วย”


“ไม่เป็นไรครับ” ศุกลยิ้มบาง ๆ


“มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ” ดุจมุกแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว


“ผมมาหาคุณหมอเอกรงค์น่ะครับ”


“แหม...เรียกเสียเต็มยศเชียว” เจ้าของร่างบอบบางหัวเราะ “โมไม่อยู่หรอกจ้ะ พี่โทรไปถามแล้ว เห็นว่ากลับบ้านที่อยุธยาน่ะ”


“ยัยมุก!” พลันมือใหญ่ก็คว้าเข้าที่ต้นแขน ปรเมษฐ์ทำหน้าขึงขังขยับปากเพียงนิดให้เสียงรอดไรฟันพอได้ยินกันสองคน “แกไปบอกเขาทำไม”


“อ้าว ก็ต้องบอกสิ ไม่อย่างนั้นน้องติ๊นก็รอแย่เลย”


“มันก็เรื่องของเขาไหม”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”


“เอาไว้เราค่อยนัดกันใหม่นะ”


สาวสวยว่าพลางยกมือขึ้นโบกไหว ๆ รอกระทั่งหนุ่มรุ่นน้องเดินห่างออกไปจึงหันมาส่งยิ้มหวานให้คุณหมอมาดนิ่งที่ยืนหน้าตีหน้าขรึมอยู่ข้าง ๆ


“แกไปรู้จักหมอนั่นตอนไหน”


“ก็รู้จักพร้อมโมนั่นแหละ เคยบังเอิญเจอกันที่ญี่ปุ่น”


“แล้วยังไงต่อ”


“อะไรของแกที่ว่าแล้วยังไงต่อน่ะ”


“มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ ๆ แกกับเขาถึงได้ดูสนิทสนมกันแบบนี้ แกต้องมีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าให้ฉันกับโมฟังใช่ไหม”


“เรื่องนี้มันต้องให้พระเอกเขาเฉลยย่ะ ฉันน่ะเป็นแค่ตัวประกอบ ส่วนแกก็เป็นหมอทำคลอด เพราะฉะนั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฉันหิวแล้ว อยากคุยเรื่องที่เรียนต่อเฉพาะทางให้เจ้าเม่นด้วย เอ้อ...นี่ ฉันซื้อของฝากแกด้วยนะ” พูดจบหญิงสาวก็กอดหมับเข้าที่แขนแกร่งก่อนจะฉุดกระชากลากดึงกันไปไม่เว้นจังหวะให้ตนเองได้ตกเป็นผู้ต้องหาที่กำลังจะถูกนำตัวเข้าห้องสอบสวน


....


คาดิลแลคสีดำจอดสนิทที่หน้าบ้านทรงไทยใต้ถุนสูงมาตั้งแต่เมื่อตอนที่ฟ้ายังไม่สางจนกระทั่งตอนนี้ที่ความมืดได้โรยตัวลงปกคลุมไปทั้งบริเวณอีกครั้งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนจากตำแหน่งเดิมไปไหน กลิ่นจาง ๆ ของดอกราตรีที่ปลูกไว้ใกล้ศาลาท่าน้ำผสมกับกลิ่นเทียนอบที่ถูกจุดขึ้นสำหรับอบขนมเปี๊ยะไส้ถั่วซึ่งเจ้าของบ้านมักทำเป็นของแจกในเทศกาลปีใหม่เป็นกลิ่นหอมที่คนจากบ้านไปนานมักโหยหายามเมื่อจิตใจอ่อนแอ เอกรงค์เพิ่งอาบน้ำอาบท่าเสร็จหลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารมื้อเย็นฝีมือของ “เมขลา” น้องสาวคนสุดท้อง ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนออกมาในชุดสบายๆ ซึ่งเป็นเพียงแค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงผ้าขายาวสีเทาลายทาง ผมเผ้าถูกปล่อยเป็นธรรมชาติต่างกับตอนอยู่ที่ทำงาน เขาเดินตรงไปยังระเบียงหน้าบ้านก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้โยกของพ่อฟังเสียงขลุ่ยเพียงออที่น้องชายคนรองมักจะหยิบออกมาเป่ายามเมื่อสมาชิกในครอบครัวได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จะขาดก็แต่พ่อกับ “ประติมา” น้องชายซึ่งเป็นนักโบราณคดีที่อายุห่างกันสามปีเท่านั้น


“ทานขนมกันค่ะพี่ ๆ” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่เดินออกมาพร้อมกับจานขนมเอ่ยขึ้น


เอกรงค์ทอดตามองหญิงสาววัยย่างเบญจเพสอย่างเอ็นดู หลายต่อหลายคนคาดว่าเธอน่าจะเป็นครูสอนนาฏศิลป์ตามอย่างผู้เป็นแม่ แต่ด้วยความที่สนใจเรื่องราวในอดีตเธอจึงเลือกเรียนเอกประวัติศาตร์และสอบบรรจุเป็นภัณฑารักษ์ได้ตามที่ฝันเอาไว้ ความเจ้าระเบียบและใส่ใจคนอื่นมากกว่าตนเองทำให้น้องสาวคนเล็กผู้นี้กลายมาเป็นคนที่คอยดูแลพี่ ๆ จอมทะโมนอีกสองคนแทนแม่ในยามที่พี่ชายคนโตต้องไปทำงานไกลบ้าน


“พ่อบอกขิมหรือเปล่าว่าจะกลับตอนไหน”


“เดี๋ยวก็คงถึงมั้งคะ เมื่อกี้เห็นโทรคุยกับแม่อยู่” เธอกล่าวพลางวางจานขนมบนโต๊ะซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงขลุ่ยเงียบลง


“วันนี้พ่อไปที่ไหน ขิมรู้ไหม” วงพาทย์กล่าวขณะหยิบขนมก้อนกลมส่งเข้าปาก


“ไปวัดเชิงท่าค่ะ วันนี้มีนักศึกษาคณะโบราณคดีมาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เห็นว่ามาศึกษาจิตรกรรมฝาผนัง อาจารย์ที่พามาเป็นเพื่อนกับพี่ปั้นตั้งแต่สมัยเรียน รู้ว่าพี่ปั้นมีพ่อทำงานให้กรมศิลป์ก็เลยเชิญพ่อไปเป็นวิทยากร”


“ขิม เดี๋ยวลูกจัดเครื่องนอนอีกชุดนะลูก” ผู้เป็นแม่ที่เพิ่งเดินมาสมทบเอ่ยขึ้น


“ให้ใครเหรอคะแม่”


“แม่ก็ไม่ทันได้ถาม เห็นพ่อบอกว่าจะมีแขกมานอนด้วย ลูกจัดเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน จะให้เขานอนห้องไหนรอพ่อกลับมาค่อยถามเขาอีกที”


“ได้ค่ะแม่” เมขลารับคำ


สี่คนแม่ลูกคุยกันได้สักพักเสียงเครื่องยนต์รถจี๊ปคันเก่งของประติมาลูกชายคนที่สามก็แล่นเข้ามาจอด การสนทนาประสาแม่ ๆ ลูก ๆ จึงลงเพียงเท่านั้น หลังจากรถจอดสนิท “ดำรงค์” หรือ “ลุงรงค์” ที่คนในระแวกนี้และคนในกรมศิลป์ต่างพากันเรียกก็เดินนำขึ้นมาบนบ้าน


“ไง ตื่นแล้วเหรอลูกชาย” ผู้เป็นพ่อกล่าวทักทายอย่างอารมณ์ดี “มาถึงยังไม่ทันจะคุยกับพ่อแม่ได้สักเท่าไรก็หลับเป็นตายเลย”


“โธ่พ่อ...ก็งานมันหนักนี่นา ได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเอง”


“ถ้างานมันหนักขนาดนั้นก็กลับมาอยู่บ้านเราไหม เดี๋ยวพ่อจะฝากลุงธนูให้รับแกเป็นผู้ช่วย จะได้ตามลุงเขาไปวาดจิตรกรรมฝาผนังในวัดให้ทั่วอยุธยาเลย”


“พ่อก็รู้ว่าผมไม่เอาไหน ขืนผมไปช่วย มีหวังได้ป่วนไปกันหมด พานจะเสียมาถึงพ่อเปล่า ๆ” ลูกชายคนโตส่ายหัวดิก


“ถ้าอย่างนั้นสนใจมาขุดโครงกระดูกกับผมไหมล่ะครับคุณหมอ” ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มที่เดินพ้นซุ้มประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น


“ให้ฉันทำงานกับคนเถอะไอ้ปั้น”


“นึกว่าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ”


“เอาละ ๆ พ่อลูก มัวแต่คุยกันอยู่นั่นแหละ แล้วไหนล่ะจ๊ะแขกที่พ่อว่าน่ะ” อรอนงค์ถามกับผู้เป็นสามี


“เดินตาม ๆ กันมาเมื่อกี้นี่นา ไปไหนเสียแล้วล่ะ ติ๊น!” เมื่อเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงขานรับแว่วมาจากใต้ถุนบ้าน


“ต...ติ๊น?!?” เอกรงค์กล่าวเสียงแผ่ว อดคิดไม่ได้ว่าชื่อนี้ยังมีคนเอาไปตั้งเป็นชื่อลูกอีกหรือ


“มัวทำอะไรอยู่วะ” ประติมาหันไปกล่าวกับคนที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดมา จากนั้นก็หลีกทางให้เขาได้เข้ามาร่วมวงสนทนา


“สวัสดีครับ” ศุกลยกมือไหว้


“โธ่...ป้าก็นึกว่าแขกที่ไหน ที่แท้ก็ติ๊นนี่เอง”


เจ้าของชื่อยิ้มน้อย ๆ ก่อนเบนหน้ามาสบตาคนที่กำลังยืนตะลึงแวบหนึ่ง


“ขอโทษครับที่ไม่ได้บอกก่อน พอดีพี่ชาติโทรชวนเมื่อเช้าผมก็เลยเก็บกระเป๋ามาเลย”


“เห็นว่าทางนั้นเขาไม่ได้จัดที่หลับที่นอนไว้เผื่อ ก็เลยชวนมานอนบ้านเรา” ดำรงค์เสริม


“แล้วนี่กินข้าวกินปลากันมาเรียบร้อยหรือยังล่ะพ่อ”


“ทานกับอาจารย์สุชาติมาเรียบร้อยแล้วละ ยังไงคืนนี้แม่ช่วยเตรียมที่หลับที่นอนให้เจ้าติ๊นด้วยนะ” พูดจบก็หันมาหาลูกชายคนโต “ในนี้ก็คงมีเจ้าโมนี่ละมั้งที่ยังไม่รู้จักเจ้าติ๊น แล้วนั่นเป็นอะไร ทำหน้ายังกับเห็นผี”


“ปละ...เปล่าพ่อ” เอกรงค์กล่าวติด ๆ ขัด ๆ ก่อนวางหน้านิ่ง


ผู้เป็นพ่อพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “นี่ติ๊น รู้จักกันไว้สิ”


“รู้จักกันหลายปีแล้วละครับ” ศุกลเอ่ยขึ้น


“อ้าว ไปรู้จักกันได้ยังไง” ดำรงค์กล่าวอย่างแปลกใจพร้อมกับหันไปหาลูกชายคนโต


“ผ...ผมสิต้องถาม พ่อ แม่ แล้วก็น้อง ๆ ไปรู้จักเขาตอนไหน”


“ติ๊นก็เป็นลูกชายของลุงศักดิ์ที่เคยมาบ้านเราบ่อย ๆ ไง พี่โมจำลุงศักดิ์ได้ไหม” วงพาทย์แทรกขึ้น เท่านั้นความทรงจำในวัยเด็กก็หวนคืนมา


เอกรงค์พยักหน้างึก ๆ เขาจำ “ลุงศักดิ์” หรือ “ลุงสุรศักดิ์” ศิลปินจิตรกรรมไทยที่เคยมาเยี่ยมพ่อได้ดี แต่ไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายมีครอบครัวอยู่ที่ไหน แถมลูกชายของเพื่อนพ่อคนนี้ยังกลายมาเป็นคนที่เขาไม่อยากเห็นหน้าอีก


“แล้ววันนี้จะให้พี่ติ๊นนอนห้องไหนดีคะ ขิมจะได้จัดเครื่องนอนให้”


กุมารแพทย์หนุ่มยังคงวางขรึม กระทั่งผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นให้นอนกับเจ้าโมก็แล้วกันนะ”


“ครับ คุณลุง” ศุกลรับคำเบา ๆ ก่อนจะหันไปสบตาลูกชายคนโตของบ้านอย่างเกรงใจ


หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย หนุ่มกรุงเทพฯ ก็ถูกเจ้าถิ่นอย่างวงพาทย์และประติมารับน้องด้วยการให้ลงไปอาบน้ำท้าลมหนาวที่ท่าน้ำ ในขณะเอกรงค์เดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์กับปรเมษฐ์ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน


“แกรู้หรือเปล่าว่ายัยมุกมันไปรู้จักกับหมอนั่นตอนไหน” เป็นประโยคแรกที่คนโทรมาใช้แทนคำทักทาย


“หมอนั่นน่ะหมอไหน แกช่วยเกริ่นหน่อยได้ไหม จู่ ๆ ก็ถามขึ้นมาฉันงงไปหมดแล้ว” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวพลางยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง ไม่รู้วันนี้เป็นวันอะไรถึงได้มีแต่เรื่องให้ปวดหัว


“ก็วันนี้ครูสอนศิลปะนั่นมาหาแกที่โรงพยาบาล เจอกับยัยมุก คุยกันยังกับรู้จักกันมานาน แถมยัยมุกยังบอกอีกว่าแกกลับบ้าน ถามว่าไปรู้จักกันตอนไหนยัยมุกก็ตอบแค่ว่ารู้จักพร้อมกันกับแก แต่ฉันว่าสองคนนั่นมันดูสนิทสนมกันแปลก ๆ”


“เออ ฉันก็แปลกใจเหมือนกันว่าจู่ ๆ เขาก็มาโผล่ที่บ้านแถมยังรู้จักทุกคนในครอบครัวของฉันได้ยังไง เอาไว้ได้คำตอบจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ” เอกรงค์กดวางสายก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ปากบางเม้มแน่นก่อนจะเดินดิ่งไปยังศาลาท่าน้ำ


ลูกชายเจ้าของบ้านกวาดตามองหาคนที่เพิ่งเห็นหลังไว ๆ ว่าเดินมาทางนี้แต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว ทั้งที่อุปกรณ์อาบน้ำกับผ้าขาวม้าที่ใช้ผลัดก็วางอยู่บนบันไดแท้ ๆ มือเรียวรั้งขากางเกงขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่บันไดจุ่มปลายเท้าลงในน้ำเย็นเฉียบพลางคิดทบทวนเรื่องราวที่ปรเมษฐ์เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อร่างขาวโพลนทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำ


ศุกลยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วต้องชะงักเมื่อดวงตาสองคู่สบกัน “โม”


“มีอะไรอยากจะพูดไหม”


“ผมอยากอธิบายเรื่องไนท์” คนอายุน้อยกว่ายังยืนยันคำเดิม


“ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น ที่ผมอยากรู้คือคุณมาที่นี่ได้ยังไง”


“พี่มุกบอกผมว่าโมอยู่ที่นี่” จิตรกรหนุ่มตอบซื่อ ๆ


“มุก? แล้วคุณไปรู้จักกับมุกตอนไหน เจอกันก็แค่ครั้งเดียวแถมยังคุยกันอยู่ไม่กี่คำ”


“ผ...ผม...”


“เล่ามาให้หมด” เอกรงค์ว่า จ้องด้วยสายตาเอาเรื่อง “ระหว่างคุณกับมุกยังมีเรื่องที่ผมไม่รู้ใช่หรือเปล่า”


ศุกลไม่ได้แก้ต่าง และถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดดัก เขาก็ยินดีจะตอบอย่างซื่อตรงอยู่แล้ว “จำที่โมเคยถามผมได้ไหม เรื่องที่ว่าไม่คิดจะตามหากันบ้างหรือไง ผมยอมรับว่าไม่เคยคิด จนกระทั่งผมกับพี่มุกบังเอิญเจอกันที่สถานทูตเมื่อตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น พี่มุกบินไปตามข่าวน้องชายที่นั่น ส่วนผมกับนักเรียนไทยบางส่วนรับอาสาช่วยงานที่พอจะช่วยได้”


เอกรงค์มุ่นคิ้วเมื่อนึกได้ว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านมาได้ปีกว่า ๆ นี่เอง


“จากเหตุการณ์คราวนั้น ผมตัดสินใจถามเรื่องโมจากพี่มุก ถึงรู้ว่าโมเป็นใคร ทำงานที่ไหน ตอนที่ปิดเทอมผมมีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมบ้านก็เลยแอบไปที่โรงพยาบาล แต่ตอนนั้นโมคบกับคนอื่น...”


“ต...ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ” เอกรงค์กล่าวอย่างไม่เชื่อหู


“คิดจะตัดใจอยู่หลายรอบ จนกระทั่งเรียนจบกลับมาถึงได้รู้ว่าโมเลิกกับเขาแล้ว ผมก็เลยวาดรูปนั้นแล้วหาทางฝากไปกับเด็ก ๆ เผื่อว่าโมจะบังเอิญจำเรื่องของเราได้ แล้วโมก็จำได้จริง ๆ” คนเล่ายิ้มบาง “ส่วนเรื่องที่ผมรู้จักกับคุณลุงคุณป้าก็เพราะว่าตอนที่พ่อป่วย ท่านทั้งสองก็แวะมาเยี่ยมพวกเราบ่อย ๆ เมื่อตอนงานศพคุณลุงดำรงค์ก็มา ผมเองมีโอกาสมาที่นี่บ้างเลยได้รู้จักกับลูก ๆ ของท่าน รวมถึงรู้ว่าโมคือพี่ชายใจดีที่ขิมมักจะพูดถึงบ่อย ๆ”


เอกรงค์ถอนใจเฮือก ไม่รู้ว่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหรือคนตรงหน้ากันแน่ที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว


“โกรธผมหรือเปล่า”


คนถูกถามยังคงนั่งนิ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรให้ตรงกับความรู้สึกข้างในใจตอนนี้ ซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่าที่น้ำตาไหลอาบสองแก้มอยู่ในขณะนี้มีสาเหตุมาจากอะไร


“พูดจบแล้วใช่ไหม ถ้าพูดจบแล้วก็ไปได้แล้ว”


“ม...โม” ศุกลกล่าวพร้อมกับขยับเข้าใกล้จนแผงอกเกือบจะชิดกับหัวเข่าของอีกฝ่าย จิตรกรหนุ่มยกมือขึ้นหมายจะซับน้ำตา เพียงไม่ถึงคืบก็จะได้สัมผัส แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อนึกถึงประโยคที่เอกรงค์เคยพูด ‘อย่ามาแตะต้องตัวผม’


มือใหญ่เปลี่ยนเป็นกำแน่นระงับความปรารถนาของตนเอง จากนั้นจึงผละออกแล้วเดินขึ้นจากน้ำ คว้าขันใส่สบู่กับผ้าข้าวม้าเดินกลับขึ้นไปบนบ้าน...


...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


สวัสดีวันสุดท้ายของปีค่ะ
อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะก้าวผ่าน 366 วันนี้ไปด้วยกัน ขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ทุกคนค่ะ
สำหรับนิยายตอนนี้เราตั้งใจเขียนให้เป็นของขวัญให้กับผู้อ่าน
เป็นกำลังใจให้คนที่ยังต้องทำงานเพื่อคนอื่นทุก ๆ คนค่ะ
ขอให้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ มีความความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะคะ
 
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 31-12-2016 06:20:46
ร้องไห้ส่งท้ายปีเก่าเหรอเนี่ยยยย โอ้ย เครียดอ่าาา
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 31-12-2016 07:04:25
อารมณ์มันเศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 31-12-2016 10:35:15
ยังมีความเสียใจที่ปิดกั้นไม่ให้โมเปิดใจยอมฟังติ๊นอยู่ ติ๊นเองก็คงต้องเรียนรู้ เพื่อน(ที่เคยแอบรัก)กับคนรักปัจจุบัน ไม่ได้ต่างแค่ชื่อกับสถานะ แต่การกระทำที่แสดงออกมันควรชัดเจนมากกว่านี้

สวัสดีปีใหม่ค่ะ ทั้งคุณ ถธปทฟ และ leGGy มีความสุขมากๆนะคะ สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่จน ขอพลังจงอยู่กับท่านค่ะ  :mc3: :mc2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-12-2016 10:42:55
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 31-12-2016 11:01:32
เป็นผลมาจากความไม่ชัดเจนของติ๊นตั้งแต่แรกนั่นแหละเลยทำให้โมไม่เชื่อใจ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: san ที่ 31-12-2016 11:42:08
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-12-2016 11:54:14
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: johnsonti ที่ 31-12-2016 13:08:10
งงกับชื่อตัวละครมากค่ะ  ถ้าจะให้ดี ใช้ชื่อเล่นเหอะค่ะคุลน้อง  อ่านไม่รู้เรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 31-12-2016 19:41:34
 :hao4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 31-12-2016 23:10:22
กุมารแพทย์หนุ่มยังคงวางขรึม กระทั่งผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นให้นอนกับเจ้าติ๊นก็แล้วกันนะ”

ตรงนี้หมายถึงให้นอนกับโมหรือเปล่าคะ


เห็นใจทั้งสองฝ่ายนะ

สวัสดีปีใหม่คุณถธปทฟ และ leGGy ขอให้แข็งแรงทั้งกายใจ ประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดปีค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-12-2016 23:50:18
 :L2: :pig4:

Happy 2017 to both writers!
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-01-2017 00:34:07
รู้สึกว่าติ๊นไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกอ่ะ
แต่ทำไมอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนพล๊อตเรื่องเปลี่ยนไป ฮ่าๆๆๆ


สวัสดีปีใหม่นะคะทั้งคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าและคุณleggy
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-01-2017 10:31:11
กุมารแพทย์หนุ่มยังคงวางขรึม กระทั่งผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นให้นอนกับเจ้าติ๊นก็แล้วกันนะ”

ตรงนี้หมายถึงให้นอนกับโมหรือเปล่าคะ

ใช่แล้วค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ที่ช่วยทักค่ะ


รู้สึกว่าติ๊นไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกอ่ะ
แต่ทำไมอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนพล๊อตเรื่องเปลี่ยนไป ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะคะ
จริง ๆ พล็อตหลักของเรื่องเราวางกันมาแต่ต้นจนจบแล้ว
มีการกำหนดแล้วว่าแต่ละตอนจะพูดถึงอะไร
แล้วแต่ละคนก็แยกกันไปเขียน จากนั้นก็มาช่วยกันดูอีกครั้ง
จะมีเซอไพรส์กันเองบ้างในรายละเอียดที่ต่างคนต่างสอดแทรกเข้าไป
ซึ่งทั้งตัวเราและ leGGyDan จะแบ่งกันรับผิดชอบในความรู้สึกนึกคิดของตัวละครหลักของตัวเองค่ะ
ไม่มีใครรู้ว่าตัวละครของอีกคนคิดยังไง จนกระทั่งได้คุยกัน เหมือนคุยผ่านเพื่อนสนิทว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้คนแบบติ๊นจะคิดยังไง
หรือถ้าเจอเรื่องทำนองนี้ หมอโมจะพูดยังไง จะแสดงออกแบบไหน
ถ้าหากลองอ่านไปเรื่อย ๆ อาจจะพบที่มาที่ไปของการกระทำต่าง ๆ ที่ตัวละครแสดงออกมา
ฝากด้วยค่ะ ใกล้จบแล้ว ^^

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 03-01-2017 00:34:49
ฮือออออปวดใจจจจจจ

ติ๊นไม่ทันได้อธิบายคดีเก่าเลยยยยย

โมอย่าเพิ่งตัดโอกาสแบบนี้สิ ปวดใจมากจ้าาา
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 04-01-2017 09:16:12
 :hao5: คิดถึงคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามากกกกกกก ชอบภาษาและเรื่องราวแบบนี้มากเลยค่ะะะะะะ   :mew2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-01-2017 20:06:57
กว่าจะได้เจอ กว่าจะได้รัก อุปสรรคนิด ๆ หน่อย ๆ ถือเป็นสีสันเนาะ

สวัสดีปีใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 05-01-2017 20:26:48
 :katai1: :katai1:  โอยจะเป็นไงต่อไปเนี่ย
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 11 โอกาส (31-12-2559) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-01-2017 19:12:38
ติ๊นต้องชัดเจนกว่านี้หน่อยนะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 12-01-2017 23:33:05
ตอนที่ 12 อีกครั้ง


เอกรงค์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากระจ่างพลางคิดทบทวนสิ่งที่ศุกลเพิ่งเล่าให้ฟัง สายลมพัดมาแผ่วๆ คล้ายกับจะพาเอาเมฆหมอกในใจให้ลอยไป อยากจะอภัยให้แต่ยังมีเรื่องที่ติดใจอยู่อีกนิดเดียว เขาดึงขาขึ้นจากน้ำพร้อมกับยันตัวเตรียมจะลุกยืน แต่เพราะกระดานไม้เปียกชื้นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำทำให้ไถลล้มลงนั่งในท่าเดิมอีกครั้ง


“โอ๊ย!”


เอกรงค์ก้มหลังจนหน้าแทบชิดขาพลางใช้มือคลำบริเวณสะโพกที่เจ็บจนจุก อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ กระดูกกระเดี้ยวก็ใช่ว่าจะดี กำลังจะพยายามลุกขึ้นยืนมือข้างหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”


ศุกลมีสีหน้าตกอกตกใจไม่น้อย แววตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจากใจไร้ซึ่งการเสแสร้งจนเอกรงค์เกือบจะเผลอยื่นมือออกไปจับ แต่ก็สามารถข่มใจไว้ได้ทัน


“ผมไม่เป็นไร” ตอบสั้นๆ พร้อมกับพยายามจะลุกขึ้นยืนเองทั้งที่จุกไม่หาย


“แน่ใจนะครับ เมื่อกี้โมล้มเสียงดังมากเลย”


“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ” กุมารแพทย์หนุ่มยังปากแข็งทั้งที่ยังยืดตัวได้ไม่เต็มความสูงซ้ำตอนนี้ยังต้องใช้มือประคองเอวตัวเองไว้ด้วยซ้ำ


“เอาอย่างนี้ ถ้าโมไม่อยากให้ผมช่วย ผมไปตามน้องๆ โมให้ไหม”


“ไม่ต้อง!” เอกรงค์รีบหันไปคว้าแขนห้ามเมื่อเห็นคนอายุน้อยกว่าทำท่าจะร้องเรียกคนบนบ้านจริงๆ


“จริงนะ”


“เออ!” คุณหมอว่า ก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติในน้ำเสียงของคนตรงหน้า ทั้งที่แน่ใจว่าเมื่อกี้ตวาดใส่แต่ทำไมกลับยิ้มระรื่นได้ “มีอะไร”


“เปล่าครับ”


“ไม่มีอะไรแล้วยิ้มทำไม”


เพราะอีกฝ่ายเริ่มขึ้นเสียงดุจริงจัง… แต่ก็แค่ในระดับของคุณหมอเด็กเท่านั้น ศุกลจึงยอมรับออกไปตรงๆ “ก็…” พูดเพียงเท่านั้นพลางตวัดสายตาลงมองแขนตัวเอง


เอกรงค์มองตามแล้วเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าจับแขนแกร่งไว้แน่นมากแค่ไหน มันไม่ใช่แค่การคว้าเพราะตอนนี้เขาเผลอคล้องรอบท่อนแขนเปลือยนั้นไว้เพื่อช่วยพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่ แววตาอ่อนโอนกับรอยยิ้มบนเรียวปากที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันกับไออุ่นที่สัมผัสทำให้หัวใจที่เคยสงบนิ่งเต้นแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ


“เฮ้ย! อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ยังไม่ยกโทษให้” อารามตกใจทำให้เอกรงค์สะบัดมือออกรวดเร็วและขืนตัวออกห่างโดยลืมไปว่าพื้นมันลื่นและตัวเองยังไม่หายเจ็บหลัง


“ผมก็ยังไม่ได้คิด… ฮ...เฮ้ยยย!” ศุกลร้องเสียงหลงเมื่อเห็นคนอายุมากกว่าโงนเงนทำท่าจะล้ม ชายหนุ่มรีบขยับเข้าไปช่วยแต่อีกฝ่ายก็ผวาหนี จนในที่สุดเอกรงค์ก็หงายหลังตกลงน้ำไปจนได้


ร่างของกุมารแพทย์นุ่มกระทบกับผิวน้ำจนละอองน้ำแตกฉานซ่านเซ็นเป็นวงกว้าง เพียงไม่นานก็ทะลึ่งตัวขึ้นพร้อมกับใช้มือลูบหน้าลูบตาตัวเอง


“โม!”


“ไอ้บ้า!” เอกรงค์วักน้ำใส่คนที่ลอยคออยู่ตรงหน้า “กระโดดตามลงมาทำไม ไม่ต้องมาช่วยเลยผมว่ายน้ำแข็ง”


“ไม่ได้ช่วยแต่ตามมาเอาของที่โมเอาไปต่างหาก”


“อะไร!”


“ถ้าตอบว่าหัวใจจะโกรธไหม”


คนฟังหน้าแดงจนถึงหู เขาใช้มือตีน้ำกระจายใส่หน้าศุกลแล้วถีบตัวหนี แต่อีกฝ่ายก็ยังว่ายน้ำตามมาอย่างไม่ลดละ


“เดี๋ยวก่อนครับ ผมล้อเล่น” ศุกลบอก “ผมตามลงมาเอาผ้า ก็โมดึงผ้าขาวม้าของผมหลุดติดมือลงมาด้วย แล้วจะให้ผมเดินแก้ผ้าโทงๆ ขึ้นบ้านไปยังไงล่ะครับ”


“หืม?” เอกรงค์นึกออกในที่สุดว่าตัวเองพยายามไขว่คว้าอะไรสักอย่างตอนกำลังจะตก เขาเหลียวมองทางหางตาเห็นผ้าผืนที่ว่าลอยผลุบๆ โผล่ๆ และกำลังลอยไกลออกไป จึงว่ายตามไปเก็บคืนเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ “เอ้านี่” เขาหันมาเพื่อส่งผ้าขาวม้าคืนโดยไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายก็ว่ายน้ำตามมาจนประชิดตัว ใบหน้าของเขาจึงเกือบจะปะทะกับแผงอกแกร่งที่เปลือยเปล่า ถึงจะมืดจนมองแทบไม่เห็นอะไร แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิกายกับเสียงหัวใจที่คุ้นเคย จึงต้องตะโกนเสียงดังเพื่อซ่อนความความรู้สึกอยากจะใจอ่อนนั้นให้มิด


“ถอยไป!”


“ขอบคุณครับ” ศุกลกล่าวพร้อมกับยิ้มให้คนที่ลอยคอหนีไปปีนบันไดขึ้นจากน้ำแล้วเดินขึ้นบ้านไป ได้ยินเสียงโวยวายของน้องสาวคนเล็กบ่นดังมาแว่วๆ


“พี่โม! ไปทำอะไรมาถึงได้เปียกม่อล่อกม่อแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้ แล้วยังเดินย่ำไปทั่วอีก รีบเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดแล้วออกมาถูพื้นให้สะอาดเลยนะ”


“อย่าบ่นนักเลยน่ายัยขิม แกเป็นน้องก็ทำไปสิ!”


ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องซึ่งเดาว่าคงจะเกิดจากการที่เอกรงค์สะบัดศีรษะทำน้ำกระเด็นใส่น้องสาว


ศุกลอดยิ้มขำตามไม่ได้ ในฐานะลูกคนเดียวจึงรู้สึกอิจฉาหน่อยๆ ที่ตัวเองไม่มีพี่น้องให้ทะเลาะหรือเป็นห่วงเป็นใยบ้าง ตาคมเหลือบมองดูท้องฟ้าที่ดวงจันทร์ส่องสว่าง นึกถึงแก้มขาวที่เปลี่ยนสีของคนที่เพิ่งเดินขึ้นบ้านไปแล้วก็อดหัวใจพองโตไม่ได้ ประกอบกับการที่อีกฝ่ายยอมเดินลงจากบ้านเพื่อมาหานั่นหมายความว่าเขายังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม


...ต้องมีสิ หรือถ้ามันจะไม่มีเขานี่แหละที่จะเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง...


...


ที่โต๊ะอาหาร วันนี้สมาชิกของบ้านอยู่กันครบ ภาพพ่อกับแม่ที่ยังหยอกล้อกันเหมือนสมัยหนุ่มสาวสร้างความหมั่นไส้ให้ลูกๆ และภาพของพี่น้องที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องง่ายๆ ว่าใครจะได้ไก่ทอดชิ้นที่ใหญ่ที่สุดไปทั้งที่มีพอสำหรับทุกคน ทำให้ผู้ซึ่งจากบ้านไปทำงานในเมืองหลวงเพียงลำพังรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เอกรงค์ยิ้มกับตัวเองท่ามกลางบรรยากาศแสนคิดถึง แต่เมื่อช้อนคันหนึ่งยื่นมาวางชะอมชุบไข่ตัดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าคำโตให้ในจานก็ต้องหุบยิ้ม เขากวาดสายตามองตามมือนั่นไปแล้วก็ได้เห็นเจ้าของมือนั่งอมยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ พลันคิ้วเข้มก็ตวัดฉับเข้าหากัน เกือบลืมไปเลยว่ามีหมอนี่อยู่ด้วย


“เห็นน้องขิมบอกว่าโมชอบ” ศุกลบอก


เอกรงค์ย่นปาก จะทักตั้งแต่ตอนอยู่ที่ท่าน้ำแล้วว่าถือวิสาสะอะไรมาเรียกชื่อเขาห้วนๆ แต่จะพูดตอนนี้คงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ จะสงสัยและเขาคงต้องตอบคำถามยาวเหยียดเลยทีเดียวจึงยอมปล่อยเลยตามเลย เอื้อมมือตักน้ำพริกกะปิราดชิ้นชะอมก่อนจะตักใส่ปากเคี้ยวหยับๆ


คนผิดแต่อาหารไม่ผิด แล้วอาหารฝีมือแม่กับขิมก็อร่อยถูกปากมากๆ เสียด้วย ขนาดพ่อที่กินข้าวกับอาจารย์สุชาติมาแล้วยังอดไม่ไหวต้องขอกินอีกรอบ


“พวกพี่สองคนรู้จักกันได้ยังไงคะ”


เอกรงค์แทบสำลักข้าวเมื่อจู่ๆ น้องสาวคนเล็กก็เอ่ยขึ้นมากลางวง “ก็คือ… เอ่อ… พอดีเขาเป็นครูสอนศิลปะของเจ้านอฟลูกไอ้โป้น่ะ พี่เลยต้องไปรับไปส่งมันบ่อยๆ”


“อ้อ” เมขลากระตุกมุมปากอมยิ้มน้อยๆ ด้วยพอจะเข้าใจว่าพี่ชายตนคงต้องมีเรื่องอะไรปิดบังไว้มากกว่านั้นเพราะลูกชายคุณหมอปรเมษฐ์ก็โตเป็นหนุ่มแล้วไม่มีความจำเป็นต้องไปดูแลถึงขนาดนั้นสักหน่อย


“แต่ติ๊นบอกพ่อว่ารู้จักกันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ” คุณดำรงค์ละจากลูกชายหันไปถามแขกของบ้าน “ใช่ไหมติ๊น”


“เคยเจอกันตอนผมไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นแล้วหมอโมเขาไปเที่ยวกับเพื่อนเมื่อสามปีที่แล้วน่ะครับ”


เอกรงค์หันไปส่งสายตา หวังให้คนเล่าหยุด แต่กลับกลายเป็นว่าศุกลเล่าหมดแบบไม่กั๊ก


“ได้คุยกันสั้นๆ แต่ก็รู้สึกถูกคอกันดี แล้วก็บังเอิญกลับมาเจอกันอีกที่ไทย เพราะเขาเป็นหมอที่ดูแลลูกศิษย์ผมอยู่แล้วตอนหลังก็พาลูกชายเพื่อนมาเรียนด้วย เราก็เลยได้รู้จักกันมากขึ้น” จิตรกรหนุ่มเล่าไปยิ้มไป “โลกเรานี่มันกลมดีจังเลยนะครับ”


“แต่พ่อว่าบางทีมันอาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้นะ”


“พรหมเพริมลิขิตอะไรพ่อ ผมว่าพี่โมนี่แหละลิขิต” สบโอกาสวงพาทย์ก็รีบเข้ามาร่วมวงราวกับกลัวว่าจะพลาดโอกาสแซวพี่ชายคนโตของบ้าน “ดูสิ ติ๊นมันทั้งสูงขาวตี๋แถมยังอายุน้อยกว่า แฟนคนก่อนๆ ของพี่โมก็มาแนวๆ นี้ทั้งนั้นนี่”


“ไม่นะพี่พาทย์” ประติมาว่า “ผมว่าคนที่คบด้วยเมื่อปีกลายนั่นหล่อกว่า นิสัยก็ดีแถมยังเป็นนักกีฬาเสียด้วย น่าเสียดายที่เลิกกัน ผมเลยไม่มีเพื่อนเตะบอลด้วยเลย”


“ก็ดีแล้วไงจะได้ไม่มีใครมาหล่อแข่งกับพวกเรา” พี่ชายคนรองเสริม


“พวกแก!” เอกรงค์หันไปแยกเขี้ยวใส่แต่น้องๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นึกถึงหนุ่มนักกีฬาทีมชาติคนนั้นแล้วยังเสียดายอยู่หน่อยๆ แต่ในเมื่อไม่ใช่จะยื้อกันต่อไปก็คงไม่ไหว


“แต่ขิมชอบคนก่อนหน้ามากกว่านะคะ” เมขลาว่า “ที่เป็นลูกครึ่งเกาหลีน่ะ สปอร์ตใจดี โซล แถมยังทำอาหารเก่ง โอปป้าในฝันของสาวๆ เลยนะ เวลายิ้มตาเป็นสระอิ คนอะไรน่ารัก”


“ไอ้ผักน่ะเหรอ” วงพาทย์ถาม


“เขาชื่อปาร์ค” เอกรงค์แก้ไปโดยอัตโนมัติ


“แต่คนที่คบนานสุดนี่ต้องคนที่เป็นหมอ” ประติมาว่า “ตั้งสามปีเนอะ ตอนนั้นผมนึกว่าพี่จะจบกับคนนี้เสียอีก”


“ก็ใครใช้ให้แอบไปมีคนอื่นล่ะ” เอกรงค์ตอบทั้งที่ข้าวยังเต็มปากเจ็บวันนั้นยังจำไม่ลืม “เลิกพูดเรื่องเก่าๆ เถอะ”


“แล้วเมื่อไหร่แกจะพาคนใหม่มาแนะนำให้พ่อกับคนอื่นๆ รู้จักล่ะ” คุณดำรงค์ถามลูกชาย


“ตอนนี้ผมโสด”


“อ้าว เห็นเจ้าพาทย์บอกว่าที่แกเบี้ยวไม่กลับบ้านครั้งก่อนเพราะมีนัดกับแฟนไม่ใช่เหรอ”


“เลิกกันแล้วครับ”


“ยังไม่ได้เลิกเสียหน่อย” ศุกลโพล่งขึ้นหลังจากนั่งเงียบมานาน ในใจรู้สึกปวดหน่วงๆ อย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมานั่งฟังเรื่องราวของคนในอดีตของคุณหมอเนื้อหอม เขาเหลือบมองคนนั่งข้างๆ ที่ถือช้อนค้างในอากาศทำหน้าบอกบุญไม่รับในขณะที่คนอื่นๆ เงียบกริบแล้วจึงพูดต่อ “เห็นว่าแค่เข้าใจผิดกันนี่ครับ… ยังไม่ได้เลิกสักหน่อย”


“นั่นสินะ จะเลิกได้ยังไงในเมื่อยังไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับวางช้อนลง พาให้พี่น้องแอบสบตาเงียบๆ อย่างรู้กันก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะพูดขึ้น


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบคืนดีกันได้แล้ว ทะเลาะกันนานๆ มันไม่ดีนะลูก”


“จริงด้วยครับ” ศุกลพยักหน้าเห็นด้วย


“พ่อ!” เอกรงค์แทบจะอกแตกตายแล้วตอนนี้ จริงอยู่ว่าเขานึกขอบคุณครอบครัวมาตลอดที่เข้าใจในทุกๆ เรื่องตั้งแต่วิชาที่ชอบไปจนกระทั่งรสนิยมทางเพศ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เขาหันไปหาแม่และก็ดูเหมือนแม่จะเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือในแววตาแม่จึงใช้ศอกสะกิดพ่อเบาๆ


“พ่อ”


“จ๊ะแม่”


“เรื่องนั้นให้ลูกมันคิดเองเถอะ แม่ว่าโมก็คงมีเหตุผลแล้วก็คิดดีแล้วล่ะ”


ลูกชายคนโตถอนหายใจอย่างโล่งอกตั้งใจฟังแม่พูดต่อ


“แต่แม่ว่าหนักนิดเบาหน่อย ถ้าอีกฝ่ายเขายอมรับผิด เราอภัยให้ได้ก็ยอมๆ กันไปเถอะลูก อายุก็ปูนนี้แล้วใช่ว่าจะหาใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนสมัยหนุ่มๆ นะ”


ทั้งโต๊ะพากันหัวเราะครืนกับคำลงท้ายของแม่ เอกรงค์เหลียวมองคนนั่งข้างๆ ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้แล้วก็สะบัดหน้ากลับมากินข้าวต่อเงียบๆ ...


เมื่อถึงเวลาเข้านอน เอกรงค์หนีเข้าห้องมาก่อนเพราะทนเห็นภาพแขกไม่ได้รับเชิญตีซี้ครอบครัวไม่ได้ ไหนจะไปช่วยน้องสาวคนเล็กล้างจาน ปากก็พร่ำคุยเรื่องวิธีการซ่อมสีบนผนังโบสถ์กับราวกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปฯ มาเอง แถมยังนั่งฟังเจ้าพาทย์กับเจ้าปั้นโม้เรื่องงานของแต่ละคนอย่างไม่รู้จักเบื่อ ที่สำคัญคือเพิ่งรู้จากขิมว่าเมนูชะอมชุบไข่ทอดหมอนั่นก็แอบมาด้อมๆ มองๆ ช่วยแม่ทำด้วย มิน่าล่ะถึงได้นำเสนอจัง ดูท่าแล้วศุกลจะเข้ากับทุกคนในบ้านได้ดีกว่าลูกชายแท้ๆ อย่างเขาเสียอีก


กุมารแพทย์หนุ่มนั่งกอดอกทำหน้ายักษ์ใส่คนที่เปิดประตูเดินยิ้มแฉ่งเข้ามายืนตรงหน้า ยังไม่ได้เอ่ยปากไล่อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาเสียก่อน


“เดี๋ยวผมไปนอนข้างนอก” ไม่พูดเปล่า ศุกลก็หอบหมอนกับผ้าห่มขึ้นมาเตรียมจะเดินออกไป


“คุณจะไปนอนตรงไหน”


“ที่ตั่งหน้าทีวีไง” จิตรกรหนุ่มตีหน้าเศร้า


“ไม่ต้องเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโดนพ่อกับแม่ว่าโทษฐานดูแลแขกไม่ดี ปล่อยให้ออกไปนอนตากยุง”


“คุณไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมบอกว่ามานอนดูบอลจนเผลอหลับไปก็ได้”


“น่าเชื่อตายละ เมื่อเย็นคุณเพิ่งจะบอกกับพวกน้องๆ ผมว่าไม่ค่อยเล่นกีฬาแถมยังไม่ดูทีวีอีกไม่ใช่เหรอ”


ศุกลนึกแปลกใจระคนดีใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายยังสนใจเรื่องของเขาอยู่บ้าง “แล้วจะให้ทำยังไง อยู่แบบนี้โมก็นอนไม่หลับใช่ไหมล่ะ”


“เดี๋ยวผมไปนอนกับไอ้พาทย์เอง”


“ไม่ได้หรอก โมเป็นเจ้าของห้องนะ ผมไปเอง”


“แต่คุณเป็นแขก” เอกรงค์ตัดบทพร้อมกับลุกจากเตียงเดินไปที่ประตู กำลังจะดึงเปิดออกมือใหญ่ก็เอื้อมข้ามไหล่มาดันให้ปิดตามเดิม


“ผมก็ไม่ยอมให้โม ‘ไป’ เหมือนกัน” คนอายุน้อยกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยิ่งได้ฟังเรื่องคนรักคนก่อนๆ ของเอกรงค์ก็ยิ่งทำให้หัวใจร้อนรุ่ม คงจะอดทนรอให้อีกฝ่ายใจอ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะเขาต้องการเป็นคนปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่อดีตที่ผ่านเลยไป

“รู้ไหมว่าผมต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะหาโมเจอ แต่พอเจอแล้วกลับทำอะไรไม่ได้เลยเพราะ ‘เขา’ ผมอดทนอยู่เป็นปีเพื่อรอให้โมเลิกกับผู้ชายคนนั้น จนในที่สุดโมก็โสด ผมจะไม่ปล่อยโมไปเหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอีกแล้ว”


“แต่คุณจับไว้ทีเดียวสองคนไม่ได้หรอกนะ” เอกรงค์กระซิบเสียงแผ่วทว่าหนักแน่น


“โมบอกว่าโมเห็นกับตา ได้ยินกับหูใช่ไหม” ศุกลถาม “ถ้าอย่างนั้นโมได้ยินหรือเปล่าว่าผมปฏิเสธไนท์ว่ายังไง”


“มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เรายังคงรู้สึกในตอนนี้ เป็นความรู้สึกที่มาจากหัวใจ แต่วันนี้หัวใจของเรา เราให้คนอื่นไปแล้ว เราทำผิดต่อเขาไม่ได้ ขอโทษนะไนท์”


เอกรงค์พยักหน้า ใช่แล้ว เขาใจแข็งพอจะยืนฟังจนจบและนี่คือสาเหตุที่ทำให้ตัดใจจากศุกลไม่ขาดสักที… แต่ถ้าตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังวนเวียนอยู่รอบตัวอีกฝ่ายเช่นนี้ สักวันเรื่องแบบนี้ก็คงเกิดขึ้นอีก


“ตอนนี้หัวใจของผมอยู่ที่โมนะ” ศุกลขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเผื่อคนฟังจะได้ยินไม่ชัด “จริงๆ นะเชื่อผมเถอะ ให้โอกาสผมอีกครั้งนะครับ”


คนฟังไม่ได้ขยับหนี มือที่กำเป็นหมัดแน่นค่อยๆ คลายออก ไม่ได้รู้สึกพ่ายแพ้หรือชนะ แต่เขาไม่ต้องการให้มันจบลงแบบนี้ จบในแบบที่รู้ว่าจะต้องเสียใจภายหลัง เขาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า “รู้ไหมว่าผมโกรธเรื่องอะไร”


“เรื่องที่ผมจูบกับไนท์”


“นั่นแค่ 50%” เอกรงค์ว่า “ส่วนอีก 950% ที่เหลือ เป็นเพราะคุณไม่ชัดเจนต่างหาก”


ศุกลอึ้งไปเล็กน้อย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกระทำของตนเองจะดูเป็นความไม่ชัดเจนในสายตาคู่นี้ ทั้งที่ตัดใจจากรัตติเขตมาได้ตั้งนานแล้วและมั่นใจว่าความรู้สึกที่มีในตอนนี้คือความบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งคิดมาตลอดว่าเอกรงค์เป็นผู้ใหญ่พอ แต่ลืมนึกไปว่านั่นคือความคิดของตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว ลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน โชคดีแค่ไหนที่ไม่ถูกถามว่าทำไมจึงจูบกับรัตติเขต เพราะเขาเองก็ตอบไม่ได้ จะด้วยความเผลอไผลหรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันทำให้คนที่เขารักจริงๆ ต้องเสียใจ คิดมาถึงตรงนี้ความรู้สึกผิดก็ยิ่งแล่นขึ้นกลางใจอยากจะกล่าวคำขอโทษสักร้อยสักพันครั้ง “ผม…”


“ถึงผมจะโตมาในครอบครัวที่ยอมรับในตัวผม แต่ผมก็เข้าใจนะว่าทุกคนไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้อยากให้คุณไปป่าวประกาศกับใครๆ ว่าเป็นอะไรกับผม แต่ผมแค่อยากได้ ‘สิ่งยืนยัน’ ว่าเรารักกันใช่ไหม ไม่ใช่ความรู้สึกที่ว่าผมตามคุณอยู่ฝ่ายเดียว”


“ผมขอโทษ” ศุกลบอก “แต่อย่างที่คุณรู้แล้วว่าผมเคยอกหักจากไนท์ ผมใช้เวลานานมากในการตั้งตัว ผมตัดใจได้ ไม่ได้หมายถึงผมจะสามารถลบเรื่องราวเกี่ยวกับเขาออกจากความทรงจำได้ แต่ผมอยากบอกโมว่าไนท์เป็นแค่อดีตที่ผมจะไม่กลับไปหาอีกแล้ว ตอนนี้ผมรักโมคนเดียวจริงๆ นะ”


“โอเค” เอกรงค์ตอบ เขาไม่ได้ใจอ่อนกับคำว่ารักที่คนตรงหน้ายอมบอกกับเขาเป็นครั้งแรก แต่เขาเลือกแล้วว่าจะให้โอกาสและจะไม่เสียใจทีหลัง


“อะไรคือโอเค”


“ก็ตามนั้นแหละ”


“ตกลงโมหายโกรธผมแล้วใช่ไหม”


“หายโกรธ แต่ยังไม่ยกโทษให้”


“หมายความว่าไง” ศุกลเลิกคิ้ว


“ก็เอาเป็นว่าไว้ติ๊นชัดเจนมากกว่านี้เมื่อไร ค่อยว่ากันก็แล้วกัน” พูดจบกุมารแพทยหนุ่มก็เตรียมจะเดินกลับไปขึ้นเตียง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ


ศุกลขยับตัวขวางพร้อมทั้งยกแขนสองข้างขึ้นคร่อมไว้ในขณะที่เอกรงค์กวาดตามองคนที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มตรงหน้า


“มีอะไรอีก”


“ผมก็อยากได้สิ่งยืนยันว่าเราคืนดีกันแล้ว” อันที่จริงแค่การที่อีกฝ่ายยอมเรียกชื่อเขาเหมือนเดิมนั่นก็ถือว่าชัดเจนแล้ว แต่เขาก็แค่อยากจะได้การยืนยันอีกนิดก็เท่านั้น


“ต้องการอะไร”


จิตรกรหนุ่มตอบคำถามด้วยการลดมือลงแล้วสอดเข้ารอบเอวสอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ขัดขืนจึงค่อยๆ รั้งตัวมากอดแนบอก “ขอโทษนะครับ”


เอกรงค์เองก็ตอบรับด้วยการซุกหน้ากับอกกว้างแล้วหลับตาลง เสียงหัวใจที่ดังอยู่ใกล้หูราวกับพยายามบอก ‘รัก’ ซ้ำๆ ให้เขาฟัง


…และเขาจะเชื่อแบบนั้นได้จริงๆ ใช่ไหม


....


“ติ๊นจะกลับกรุงเทพวันนี้หรือเปล่า” ดำรงค์ถามขึ้นหลังจากทุกคนรับประทานอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย


“ครับ” ศุกลตอบ


“ถ้าอย่างนั้นก็กลับพร้อมเจ้าโมมันเลยก็แล้วกัน” ผู้เป็นเจ้าบ้านกล่าวพลางหันมาหาลูกชายที่หิ้วกระเป๋าออกมาจากห้องพอดี “โม พ่อฝากติ๊นกลับกรุงเทพด้วยคนนะ”


เอกรงค์เหลือบมองคนอายุน้อยกว่าที่ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที อดถามไม่ได้ “ขามาคุณมายังไง”


“ผมกระโดดขึ้นรถมากับอาจารย์สุชาติครับ” จิตรกรหนุ่มตอบซื่อๆ


“ถ้าอย่างนั้นมาทางไหนก็ไปทางนั้น”


“ก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าอาจารย์สุชาติจะต้องอยู่ทำงานต่ออีกหลายวัน แต่ผมต้องกลับวันนี้นี่นา ขอติดรถไปด้วยนะครับ บ้านผมก็อยู่ห่างจากโรงพยาบาลที่โมทำงานไปแค่สองแยกไฟแดงเอง” ศุกลพยายามใส่ลูกอ้อนแต่เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะใจอ่อนจึงยื่นข้อเสนอใหม่ “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมออกค่าน้ำมันแล้วขับให้ด้วยโมจะได้นั่งสบายๆ ไงดีไหม”


เอกรงค์ทำจมูกย่น ไม่ได้อยากจะใจดำแต่ยังไม่อยากกลับไปเหยียบ Light & Shade เพราะกลัวจะเจอใครบางคนเข้า แต่เพราะทนแววตาเว้าวอนกับสายตากดดันจากคนในครอบครัวไม่ไหวจึงตอบตกลง “ผมขับเองแต่จ่ายค่าน้ำมันด้วย”


ศุกลรีบยกมือไหว้คุณดำรงค์และภรรยา รวมถึงไม่ลืมส่งยิ้มให้น้องสาวคนสุดท้องของบ้านก่อนจะคว้ากระเป๋าของตนแล้วเดินตามหลังกุมารแพทย์หนุ่มลงจากบ้านไป...


....


“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ศุกลเกาะหน้าต่างรถคาดิลแลคคุยกับคนขับเพราะยังไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไปง่ายๆ ถึงจะบอกว่าคืนดีกันแล้วแต่ตลอดหนึ่งชั่วโมงกว่าที่นั่งรถมาด้วยกัน เอกรงค์ก็ยังดูปั้นปึ่ง ชวนคุยอะไรก็เป็นลักษณะของการถามคำตอบคำ “ถึงคอนโดแล้วโทรหาผมด้วยนะ”


“รู้แล้ว” เอกรงค์รับคำก็พอดีกับเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง


“ติ๊น”


ทั้งสองหันไปมองตามเสียงเรียก และเห็นชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเดินออกมาจากประตูบ้าน


“ไนท์” เจ้าของบ้านกล่าวเสียงแผ่วเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่อีก


“กลับมาแล้วเหรอ เห็นดลบอกว่าติ๊นไปทำงานที่ต่างจังหวัดจะกลับวันนี้เราเลยมาดักรอ” รัตติเขตรีบเดินเข้ามาหา


“ผมกลับก่อนนะ” เอกรงค์กดกระจกรถขึ้นและเข้าเกียร์เตรียมจะถอยออก ถ้าซื้อหวยแล้วถูกแบบนี้ป่านนี้เขาคงกลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว


ศุกลมองคนตรงหน้าก่อนจะหันมองรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปแล้วตัดสินใจวิ่งตาม เขาตบลงบนกระจกบอกให้เอกรงค์หยุดรถและส่งสัญญาณให้ปลดล็อกประตู “รอก่อนครับ อย่าเพิ่งไป”


กุมารแพทย์หนุ่มสะดุ้งเฮือก ทันทีที่ศุกลเปิดประตูรถได้ก็คว้ามือของเขาแล้วดึงลงจากรถ พาเดินไปหาชายหนุ่มผิวเข้มที่ยืนรออยู่


“ไนท์” ศุกลเรียก “ไนท์ถามเราใช่ไหมว่าคนที่เรารักเป็นใคร… นี่ไงเขาอยู่นี่ เรากำลังคบกันอยู่” หลังจากที่ฟังเอกรงค์พูดว่าเขาไม่ชัดเจน เขาก็นอนคิดทบทวนอยู่ทั้งคืนว่าจะทำอย่างไรถึงเรียกความเชื่อใจคืนมาได้ แก้วที่ร้าวย่อมไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าเราประคองไว้ด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง แก้วใบนั้นก็ยังคงใส่น้ำต่อไปได้อีกนาน และศุกลก็เลือกวิธีนี้


เอกรงค์อึ้งไปเล็กน้อย หันมองศุกลสลับกับรัตติเขตที่หน้าซีดไปถนัด


“และนี่ก็คือเหตุผลที่เราคบกับไนท์ไม่ได้ เราทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับไนท์ เรายังคงความเป็นเพื่อนที่ดีนับตั้งแต่วันนั้น แต่จากนี้ไปเราคงไปไหนมาไหนกับไนท์แบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วถ้าหากไนท์ยังไม่เลิกคิดกับเราแบบนั้น หรือถ้าจำเป็นเราบอกไนท์ไว้เลยว่าเราคงพาเขาไปด้วยหรือไม่เราก็คงจะเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง เพราะเราไม่อยากทำให้เขาเสียใจอีกแล้ว”


เมื่อศุกลพูดจบเอกรงค์ก็พบว่าตัวเองกำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เพราะฝ่ามือที่กุมไว้แน่นทำให้เขาอุ่นใจและไม่รู้สึกหวั่นไหวที่จะมองกลับไป


“บอกกันแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว คิดอยู่แล้วเชียวว่าถ้าไม่เพราะตอนนั้นเราขอไว้ ติ๊นก็คงเลี่ยงที่จะไม่เจอเราอีกแล้ว ก็เราทำให้เจ็บนี่นะ” รัตติเขตว่า “ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวกลับก่อนนะ”


“ด...เดี๋ยว ไนท์มีธุระอะไรถึงมารอเราที่นี่” ศุกลถาม


“เคยมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วล่ะ” อดีตเพื่อนสนิทตอบเรียบๆ ใจจริงเขาอยากมาขอโทษเรื่องรูปนั่น แต่ตอนนี้พูดไม่ออกแล้ว


“เดี๋ยวก่อนครับ” เอกรงค์เรียก “คุณไม่มีแต่ผมมี”


“อะไรหรือครับ”


“เรื่องจูบวันนั้นผมจะให้แล้วไปเพราะถือว่าคุณยังไม่รู้แต่ตอนนี้คุณรู้แล้วเพราะฉะนั้นถ้าคุณทำแบบนั้นอีกละก็...”


“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก” รัตติเขตให้คำมั่นก่อนจะฟังจบด้วยซ้ำ “ผมไม่ชอบคนมีเจ้าของ”


“แล้วเรื่องรูปของผมที่คุณกรีดจนขาดนั่นล่ะ” เอกรงค์ถาม


“คนวาดก็อยู่นี่แล้ว อยากได้ก็ให้เขาวาดใหม่ก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินกลับไปขึ้นรถของตนแล้วขับออกไป


ถึงจะยังขัดใจเล็กน้อยที่ไม่ได้รับคำขอโทษ แต่เอกรงค์ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เมื่อปัญหาที่เป็นดั่งเมฆหมอกปกคลุมหัวใจถูกพัดออกไปเสียได้ เขาจะดึงมือที่ถูกกุมไว้กลับหากมือนั้นยิ่งบีบแน่นขึ้นจึงหันไปมองอีกคนและพบว่าศุกลกำลังมองมาที่เขาอยู่แล้วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“อะไร”


“ดีใจ”


“ดีใจเรื่องอะไร”


“โมยิ้มแล้ว” ศุกลตอบ “ผมไม่ได้เห็นโมยิ้มแบบนี้มาตั้งหลายอาทิตย์แล้วนะ คิดถึงรอยยิ้มหวานๆ แบบนี้จัง” ไม่พูดเปล่ายังยกมือขึ้นแตะเบาๆ ที่ข้างแก้มตรงที่เป็นรอยบุ๋ม


“เวอร์ไป๊” เอกรงค์เสไปมองทางอื่นเพราะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องกำลังยิ้มอยู่อย่างที่อีกฝ่ายบอก แล้วแก้มก็ต้องแดงด้วยแน่ๆ เพราะตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าหน้ามันร้อนไปหมดยิ่งเมื่อปลายนิ้วนั้นรุกรานลงมาบนผิวเนื้อมากเท่าใดใจยิ่งเต้นแรงเลือดยิ่งสูบฉีดมากขึ้นเท่านั้น


“ไม่เวอร์หรอก”


“พูดแบบนี้แสดงว่าถ้าผมไม่ยิ้มติ๊นก็ไม่ชอบผมแล้วสิ”


“ก็เลิกชอบมาตั้งนานแล้ว”


“หืมมม” คำพูดนั้นทำเอาคนฟังหันขวับกลับมาแทบไม่ทันในขณะที่คนพูดกดหน้าลงต่ำแล้วกระซิบที่ข้างหู


“เปลี่ยนเป็นรักแทน”


“เป็นบ้าอะไรจู่ๆ ก็พูดอยู่ได้” คนอายุมากกว่าบ่นแก้เขินพร้อมกับย่นคอหลบปลายจมูกที่กำลังพ่นลมร้อน นับตั้งแต่หายโกรธกันเมื่อคืนศุกลก็ขอนอนกอดเขาทั้งคืนและเอาแต่พูดคำนี้ซ้ำๆ จนเขาแทบจะเขินตายอยู่แล้ว


“กลัวโมไม่ได้ยิน”


เอกรงค์ไม่ได้ยิ้มเพราะดีใจที่ได้ฟังคำนั้น หากแต่เป็นเพราะเขาได้รับการยืนยันแล้วว่าจากนี้ไปจะมีแค่เขาคนเดียวที่ได้กุมมือนี้ไว้


“ติ๊น”


“ว่าไงครับ”


“ฝันดีนะ” พูดจบก็หันไปกดปลายจมูกเข้าข้างแก้มเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะผละออกแต่ก็ยังไม่อาจหลุดจากการเกาะกุมได้


“เดี๋ยวก่อนครับ เมื่อกี้นี้มันอะไร”


“เงินทอนค่าน้ำมันรถ” เอกรงค์บอกก่อนจะรั้งมือกลับ ขึ้นรถแล้วขับออกไป ทิ้งให้คนโดนขโมยหอมได้แต่ยืนลูบแก้มตัวเองเขินๆ มองตามจนสุดสายตา


...

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

เหลือที่ต้องเขียนกันอีกคนละ 1 ตอน ฝากด้วยค่ะ

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-01-2017 00:12:30
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-01-2017 01:07:52
ดีกันแล้ว ดีใจจัง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 13-01-2017 02:49:21
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 13-01-2017 06:56:16
คืนดีกันสักทีนะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 13-01-2017 10:51:27
โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆนะติ๊น
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-01-2017 13:32:20
จะว่าไปก็สงสารไนท์นะ แต่ตัวเองเป็นคนปล่อยมือติ๊นไปเองจะด้วยเหตุผลไหนก็แล้วแต่
ก็ควรรับกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินไปให้ได้นะ เป็นกำลังใจให้ไนท์เริ่มต้นใหม่กับคนที่ใช่นะ
ส่วนติ๊นก็ยินดีด้วยที่โมให้โอกาสอีกครั้ง หวังว่าจะรักษามันไปนานๆ นะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 13-01-2017 16:00:45
กว่าจะดีกันได้ ลุ้นแทบแย่
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-01-2017 23:28:09
จะจบแล้วหรอ เค้ายังไม่สวีทกันเลยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 12 อีกครั้ง (12-01-2560) p.6 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-01-2017 22:38:08
ไนท์นิสัยไม่ดี!

ติ๊นง้อน่ารักมาก
และหมอโมก็เขินได้น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-01-2017 01:16:57
ตอนที่ 13 I'm Yours


ธีร์ทัศน์กระชับมือที่กำข้อมือเล็กเอาไว้แน่น รอกระทั่งสัญญาณไฟจราจรสีเขียวเป็นสัญลักษณ์รูปคนเดินประกฏขึ้นจึงพาน้องชายเดินข้ามไปอีกฝั่งของถนนเป็นที่ตั้งของร้านขนมและเครื่องดื่มซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังนัก ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปเขาก็พบใครคนหนึ่งกำลังนั่งรออยู่แล้ว จะว่าไปก็ไม่ได้เจอกันเสียนานนับแต่วันที่พ่อของอีกฝ่ายไปลาลูกชายออกจากโรงเรียนสอนศิลปะ


“นายมีอะไรถึงได้นัดเรามาที่นี่” คนเพิ่งมาถึงกล่าวพร้อมพลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแบบเคาน์เตอร์ที่หันหน้าออกสู่ถนน รอจนน้องชายปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงจึงนั่งลงข้าง ๆ กัน


“จะมาคุยเรื่องพ่อโมกับพี่ติ๊น ฉันคิดว่าพวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง” นภธรณ์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขืนฝากความหวังไว้ที่ป๊า มีหวังพังหมด รายนั้นดูท่าจะไม่เชียร์พี่ติ๊นอยู่แล้ว”


“นายคิดจะทำอะไรอีก นี่ก็เกือบเดือนแล้วนะ ป่านนี้หมอโมมีคนมาจีบไปแล้วมั้ง”


“ไม่มีทางเพราะถ้าป๊าไม่ให้ผ่าน ใครก็อย่าได้แหลมหน้าเข้ามา”


“นายจะทำยังไง ในเมื่อคราวก่อนฉันอุตส่าห์อาศัยช่วงที่พี่ติ๊นป่วยให้ธรณ์ไปบอก พ่อนายก็ไม่ยอมไปเยี่ยมเลย ใจแข็งเป็นบ้า” ธีร์ทัศน์ถอนหายใจพลางก้มหน้าดูรายการเครื่องดื่มก่อนจะหันไปร้องสั่งโกโก้ปั่นให้น้องกับพนักงานที่เดินผ่านมา


“เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกน่ะ” พูดจบก็อ้าปากงับหลอดดูดน้ำแอปเปิลไซรัปผสมโซดาที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นคำพูดที่ฟังดูเชยไปสักหน่อยแต่มันก็น่าจะใช้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้


“แล้วพี่นอฟจะทำยังไงครับ” หนุ่มน้อยที่สะพายกระเป๋าเป้ใบโตถามด้วยความสงสัย


“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่รับรองว่าถ้าสำเร็จมันต้องสุดยอดมากแน่ ๆ” ว่าแล้วคนพูดก็ยักคิ้วให้หนึ่งครั้ง


เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของคนที่เขายกให้เป็นฮีโร่รองจากพี่ชายแท้ ๆ ความฮึกเหิมแบบเด็ก ๆ ก็จุดขึ้นในแววตา เด็กชายยิ้มกว้าง รู้สึกอยากให้นภธรณ์คิดออกเร็ว ๆ


“เฮ้อ! เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ ไหน ๆ เจอนายก็ดีแล้ว วันอาทิตย์นี้ว่างไหม”


“มีอะไร”


“วันอาทิตย์ที่จะถึงเป็นวันเกิดธรณ์ ว่าจะชวนนายไปปาร์ตี้ที่บ้าน แม่ให้ชวนเพื่อน ๆ ของธรณ์ที่เรียนศิลปะด้วยกันไปด้วยน่ะ เสาร์นี้ทุกคลาสจะปิดคอร์สแล้ว”


“แต่ฉันไม่ใช่...” นภธรณ์มุ่นคิ้วก่อนจะโพล่งขึ้น “นึกออกแล้ว!”


“อะไรของนาย” คนชวนเกาหัวเมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนอารมณ์เอาดื้อ ๆ


“ก็วิธีที่จะช่วยให้พี่ติ๊นกับพ่อโมคืนดีกันไง” นภธรณ์ยิ้มกริ่ม


“พี่นอฟเล่าเร็ว ๆ ฮะ ธรณ์อยากรู้” เด็กชายละล่ำละลัก แทบลืมโกโก้เย็นที่พนักงานร้านเพิ่งยกมาวางไปเลย


“ทัศน์ นายโทรไปบอกพี่ติ๊น ขออนุญาตจัดงานวันเกิดให้ธรณ์ที่แกลเลอรี ส่วนฉันจะโทรชวนพ่อโม”


“อ้าว แล้วงานวันที่บ้านฉันล่ะ”


“ก็จัดเหมือนเดิม ปล่อยให้พ่อโมกับพี่ติ๊นฉลองกันสองคน”


“ตาย ๆ ถ้างานนี้พี่ติ๊นรู้ว่าฉันโกหกละก็มีหวังโดนดุเหมือนคราวก่อนแน่ ๆ”


“นายก็โกหกให้มันเนียน ๆ สิ แต่ถ้าพี่ติ๊นรู้เหตุผลที่พวกเราทำลงไป พี่ติ๊นไม่มีทางโกรธหรอกเชื่อฉันสิ ส่วนพ่อโมก็คงทำได้แค่บ่น แต่ก็ไม่ระคายผิวฉันหรอก”


“แล้วหมอโมจะมาเหรอครับ คราวก่อนบอกว่าพี่ติ๊นไม่สบายยังไม่ยอมไปหาเลย” หนุ่มน้อยว่าพลางดูดน้ำในแก้ว


“ต้องมาสิ ฉันจะบอกพ่อโมว่าคุณแม่ของพวกนายอยากให้พ่อโมมาร่วมงานมาก” ขึ้นเสียงสูงที่คำสุดท้ายเสียธีร์ทัศน์ต้องเบ้หน้า  “อ้างว่ามีธุระอยากคุยด้วย อย่างพ่อโมน่ะต้องไม่ยอมเสียมารยาทหรอก ระหว่างนี้พวกนายก็คอยกันท่าอย่าให้คุณแม่ของพวกนายกับพ่อโมได้เจอกันก็แล้วกัน”


คนพี่พยักหน้าหงึก ๆ ในขณะที่คนน้องยื่นมือไปข้างหน้าพร้อมกับร้องขึ้น “ขบวนการกามเทพน้อยยย!”


สองหนุ่มสบตากันก่อนจะรับคำอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ่…”


ในเวลาเดียวกันที่แผนกกุมารเวชศาสตร์ของโรงพยาบาลยังคงเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่มารอรับการรักษา นายแพทย์เอกรงค์ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าหลังจากพยาบาลเดินเข้ามาแจ้งว่าเขาไม่มีคนไข้ที่ต้องตรวจอีกแล้ว ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตั้งใจจะพักสายตาสักหน่อยก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อประตูบานเลื่อนถูกแง้มออกร่างสูงของใครคนหนึ่งก็แทรกตัวเข้ามา กุมารแพทย์หนุ่มยืดตัวขึ้นจ้องมองคนที่เดินมาหยุดตรงหน้าอย่างแปลกใจ แต่ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือรอยยิ้มของเขาที่ทำให้ความเหนื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง


“มาทำอะไรที่นี่ บอกติ๊นตั้งแต่เมื่อคืนที่คุยกันแล้วนี่นาว่าวันนี้ผมต้องอยู่เวร”


“อยากมากินข้าวด้วยครับ” ศุกลบอก นั่นมันแค่เสี้ยวเดียวของเหตุผล แต่ลึก ๆ แล้วมันคือความคิดถึงต่างหาก  ตั้งแต่ปรับความเข้าใจกันได้ก็เกือบเดือนแล้วแต่เขาและเอกรงค์ก็แทบไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยเนื่องจากอีกฝ่ายต้องทำงานทุกวันแม้แต่เทศกาลปีใหม่ที่ควรจะได้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่รักก็ยังไม่ได้หยุด คุยโทรศัพท์กันทุกวันมันจะเหมือนมาเจอหน้ากันได้อย่างไร


“เมื่อก่อนยังกินคนเดียวได้เลยไม่ใช่เหรอ” พูดจบเจ้าของห้องก็ลุกขึ้นก่อนจะถอดเสื้อกาวน์แขวนแล้วหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือใส่ลงในกระเป๋ากางเกง


“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนนี่” ศุกลทำคิ้วมุ่น


“ไม่เหมือนตรงไหน” คนถามกอดอกรอฟังคำตอบ


“ตรงที่ตอนนี้ผมมีโม แล้วโมเองก็มีผม อีกอย่างโมเคยบอกว่ากินคนเดียวไม่อร่อย”


เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเคยพูดแบบนั้นเอกรงค์ก็ยิ้มเขินก่อนจะเอ่ย “ไปเถอะ หิวแล้ว” กำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ถูกคว้าตัวไปกอดเสียก่อน แผ่นหลังแนบชิดกับแผงอกอุ่น อยากจะอยู่อย่างนี้นาน ๆ แต่ก็จำใจต้องผละออกเพราะเกรงว่าจะมีใครเข้ามาเห็น กระนั้นแขนแกร่งก็ยังกระชับแน่นไม่ยอมให้ไปง่าย ๆ


“เดี๋ยวครับ โมอยากกินอะไร” ปากได้รูปกระซิบถามที่ข้างหู


“อ...อะไรก็ได้ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ของอร่อยมีตั้งเยอะ”


“อร่อยสู้ผมได้หรือเปล่า” พูดจบศุกลก็แกล้งงับเบา ๆ ที่ซอกคอขาวเล่นเอาคุณหมอหันขวับทำตาเขียวใส่


หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย เอกรงค์ก็เดินมาส่งศุกลที่ลานจอดรถหลังโรงพยาบาล รอกระทั่งอีกฝ่ายเข้าไปนั่งในรถ แต่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานกระจกติดฟิล์มก็ถูกเลื่อนลง 


“โมว่างหรือเปล่าครับ”


เอกรงค์ยกหน้าฬิกาข้อมือแล้วพยักหน้า “ติ๊นมีอะไรหรือเปล่า”


“ถ้าโมไม่รีบไปไหน ช่วยขึ้นมานั่งด้วยกันก่อนได้ไหม”


กุมารแพทย์หนุ่มพยักหน้า แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แววตาและน้ำเสียงจริงจังของคนพูดก็ทำให้เขาตัดสินจได้ไม่ยาก ร่างสูงเดินอ้อมไปอีกทางก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปนั่งข้างกัน


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


“อยากให้โมไปด้วยกันหน่อย” พูดจบศุกลก็ออกรถ เมื่อเคลื่อนห่างจากลานกว้างมาได้หน่อยก็เลี้ยวขึ้นสู่อาคารจอดรถสูงสิบชั้นกระทั่งมาจอดสนิทที่ช่องจอดริมสุดบนชั้นสุดท้ายของอาคาร
   

เอกรงค์ทอดตามองออกไปนอกแผงซีเมนต์ที่ก่อขึ้นเป็นคันกั้น เพิ่งสังเกตว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงและมีขนาดใหญ่โตกว่าเหลือเกิน แม้จะไร้ซึ่งดวงดาวที่เคยประดับประดาเกลื่อนฟ้าแต่แสงสีนวลของดาวบริวารดวงเดียวของโลกดวงนี้ก็ช่วยขจัดความน่ากลัวของความมืดมิดออกไปได้
   

“เพิ่งรู้ว่าตรงนี้ก็วิวสวยเหมือนกันนะ” คุณหมอเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตายังคงมองไปข้างหน้า แสงไฟระยิบระยับจากตึกรามบ้านช่องที่อยู่เบื้องล้างแม้จะไม่สวยเท่าแสงดาวหรือเทียบไม่ได้กับแสงจันทร์วันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า หากแต่องค์ประกอบทั้งหมดกลับทำให้ภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้นสวยงามยิ่งนัก “ขอบคุณมากนะที่พามาดู”
   

“ผมไม่ได้จะพาโมมาดูพระจันทร์สักหน่อย”
   

“อ้าว แล้วติ๊นพาผมมาบนนี้ทำไม อย่าบอกนะว่าอดใจไม่ไหวเลยต้อง...”


คำพูดสองแง่สองง่ามทำศุกลเริ่มมันเขี้ยว ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งเท้ากับพวงมาลัยรถยนต์แล้วเอี้ยวตัวจ้องมองเสี้ยวหน้าอาบแสงจันทรา “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงโมจะว่ายังไง” เมื่อเห็นเอกรงค์ไม่ตอบอะไรจึงขยับเข้าใกล้เลื่อนมือขึ้นประคองแก้มของอีกฝ่าย


กุมารแพทย์หนุ่มห้ามด้วยการกุมมือใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่ง พยายามควบคุมเสียงของตนเองให้เป็นปกติทั้งที่หัวใจตอนนี้เต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก “ไม่เอาเดี๋ยวเสื้อยับ”


“ถ้าอย่างนั้นถอดก่อนออกดีไหมครับ”


“ผมต้องไปทำงานต่อนะ” คนอายุมากกว่ากลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วบอกเมื่อจู่ ๆ แววตาขี้เล่นก็หม่นลง  “ร...รอเลิกงานก่อนได้ไหม”


เพียงเท่านั้นคนฟังคลี่ยิ้มกว้าง ศุกลไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเช่นนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่ยอมตามน้ำก็เพราะอยากจะแกล้งคนปากเก่งเล่นเท่านั้นเอง “รอมาตั้งนานแล้วนี่ครับ รอต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป แต่ที่ผมพาโมมาที่นี่เพราะผมมีเรื่องอยากจะพูดกับโมต่างหาก” พูดจบเจ้าของรถก็รั้งบางอย่างจากเบาะหลัง ซึ่งมันก็คือกุหลาบสีแดงที่ถูกจัดเป็นช่อพันด้วยผ้ากระสอบฝีมือตัวเอง


“อะไร” เอกรงค์ถามเขินๆ อายุขนาดนี้ มีแฟนมาตั้งหลายคนใช่ว่าจะเดาไม่ถูกแต่ก็ยังไม่วายแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะท่าทางน่าเอ็นดูของชายหนุ่มตรงหน้านั่นเอง


“ร...เรา...” ศุกลเอ่ยขึ้น กำลังจะพูดต่อเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น จิตรกรหนุ่มยิ้มเก้อ ๆ ขณะควักโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย “ว่าไงทัศน์”


ในขณะที่เอกรงค์เองก็มองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่ดันมาสั่นอะไรกันตอนนี้ขึ้นมาดูชื่อคนคนโทรมา เมื่อเห็นว่าเป็นลูกชายของเพื่อนจึงกดรับในที่สุด “ไงไอ้ตัวแสบ...มีอะไรก็รีบ ๆ ว่ามา ฉันกำลังยุ่ง”


“อืม...ได้สิพี่อนุญาต...ทัศน์จะทำอะไรบ้างว่ามาเลย ถ้าขาดเหลืออะไรเดี๋ยวพี่ช่วย” ศุกลบอกพร้อมกับหันไปสบตาคนข้าง ๆ เมื่อได้ยินเขาพูดขณะแนบหูกับโทรศัพท์


“วันอาทิตย์เหรอ...ขอคิดดูก่อนนะแล้วจะบอกอีกที แค่นี้นะ”


“แค่นี้นะทัศน์ แล้วเจอกัน”


ต่างคนต่างเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วหันมาสบตากันเขิน ๆ ในที่สุดก็เป็นศุกลที่พูดขึ้น


“ทัศน์โทรมาน่ะครับ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของทุกคอร์ส ตามธรรมเนียมเราจะปิดทำการหนึ่งถึงสองสัปดาห์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับคอร์สใหม่ พอดีวันอาทิตย์เป็นวันเกิดของธรณ์ เด็ก ๆ ก็เลยคุยกันว่าอยากจะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่บ้านของผม”


“เจ้านอฟก็โทรมาชวนผมเหมือนกัน บอกว่าป๊ามันไม่ว่างไปส่ง แม่ของเด็กสองคนก็อยากเจอผม ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร”


“ก็ไปสิครับ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ปาร์ตี้กับเด็ก ๆ น่าสนุกดีออก บ้านผมก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง”


“เรื่องนั้นน่ะช่างก่อนเถอะ กลับมาที่เรื่องของติ๊นดีกว่า เมื่อกี้จะพูดอะไร”


ศุกลก้มมองช่อดอกไม้ในมือคิดทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้า ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนรอ


“ค...คือ ผม...”


เอกรงค์ทอดตามองท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของอีกฝ่ายรู้สึกลุ้นตามไปด้วย แต่เมื่อศุกลยังคงอ้ำอึ้งเขาจึงยื่นไม้ตาย “ถ้าไม่พูดผมจะไปแล้วนะ”


“เรามาแฟนกันนะครับ” ประโยคนั้นรวดเร็วแต่ชัดถ้อยชัดคำ คนพูดถอนใจก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อในที่สุดก็ได้พูดมันออกไป ทั้งที่ต่างคนต่างรู้สถานกันอยู่แล้ว แต่ศุกลก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีที่ไม่ได้ทำให้เป็นกิจจะลักษณะ “นะครับ”


เอกรงค์พยักหน้า รับช่อดอกไม้มาถือไว้ก่อนจะเอ่ยปากแซว “ทำเป็นเด็กวัยรุ่นไปได้”


“ก็ผมยังไม่เคยขอโมเป็นแฟนนี่นา อีกอย่างนี่มันก็การขอเป็นแฟนครั้งแรกของผมด้วย” คนพูดยกมือขึ้นเกาคอแก้เขิน “มันไม่มีราคาค่างวดอะไร เพราะผมคิดว่าโมคงมีของพวกนั้นครบหมดแล้ว ผมมีแค่ดอกไม้ช่อเดียวที่เคยตั้งใจไว้ว่าถ้าจะขอโมเป็นแฟนจะทำแบบนี้ให้”


“ผมชอบ ชอบทุกอย่างที่ติ๊นทำให้นั่นแหละ ขอบคุณนะ” กุมารแพทย์หนุ่มพูดจากใจจริง มันให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เพิ่งรู้จักกับความรักเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาเคยพบกับการถูกขอเป็นแฟนมาแล้วหลายรูปแบบ และทุก ๆ ครั้งก็ดูจะโรแมนติกและสมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ ทั้งสถานที่และของขวัญที่ได้รับ แต่มันกลับสู้ครั้งนี้ไม่ได้เลย...


...ไม่ใช่ห้องอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูแต่เป็นบนชั้นสูงสุดของอาคารจอดรถ ไม่มีแสงจากโคมระย้ามีแต่แสงจากดวงจันทร์ดวงโตกลางท้องฟ้า ไม่มีดอกไม้นับร้อยดอกในตะกร้าที่ดูเหมือนกับยกสวนมาไว้ตรงหน้า มีแค่กุหลาบเพียงไม่กี่ดอกที่คนให้ลงทุนจัดเป็นช่อเองกับมือ


สองคนสบตากันอยู่เพียงไม่นาน เอกรงค์ก็นึกได้ว่ายังมีภารกิจสำคัญที่รอเขาอยู่ “ต้องไปแล้วนะ”


“เดี๋ยวครับ” ศุกลว่าพร้อมกับคว้าข้อมือเอาไว้


“หืม?”


“หมอโมไม่มีรางวัลให้น้องติ๊นเหรอครับ”


เอกรงค์กลั้นยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตาละห้อย มือเรียวยกขึ้นแตะที่แก้มเย็นเฉียบเบา ๆ เหมือนที่เคยทำกับเด็ก ๆ ที่มักจะงอแงเวลามาหาหมอ “น้องติ๊นอยากได้อะไรครับบอกหมอโมซิ”


“ไม่เอาวิตามินซี”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นลูกอมหรือขนมหวาน ๆ เนอะ แต่วันนี้หมอโมไม่ได้พกลูกอมมาเสียด้วยสิ ติดไว้ก่อนได้ไหม”


“หมอโมก็ให้เป็นอย่างอื่นแทนสิครับ ที่หวาน ๆ เหมือนกัน”


“อะไร” กุมารแพทย์หนุ่มเสียงแข็งขึ้นมานิดเมื่อไปต่อไม่ถูก


ศุกลตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะโน้มหน้าเข้าหา ยกมือขึ้นเชยคางมนแล้วขโมยจุมพิตจากกลีบปากแสนหวาน จูบนั้นยาวนานจนมือขาวที่กำแน่นต้องคลายออกเพราะเกรงว่าดอกไม้จะช้ำ เอกรงค์วางกุหลาบช่องามบนหน้าตักแล้วเลื่อนมือขึ้นเกาะบ่าแกร่ง จูบครั้งนี้ของศุกลไม่เหมือนกับจูบครั้งไหน ๆ ไม่ได้แฝงความดุดันโหยหาเหมือนตอนแรกเริ่มที่คบหาด้วยความสัมพันธ์ที่บางคนให้นิยามมันว่า “ฉาบฉวย” แม้ในช่วงต้นจะดูเงอะงะอย่างคนไม่ประสาราวกับจูบแรกของวัยรุ่นแต่หลังจากนั้นกลับนุ่มนวลอ่อนโยนและค่อย ๆ ลึกซึ้งจนเขาแทบถอนตัวไม่ขึ้น


“ติ๊น พ...พอเถอะ ผมต้องไปทำงานแล้ว” นายแพทย์เอกรงค์เอ่ยขึ้นเมื่อริมฝีปากร้อนกดจูบที่ซอกคอในขณะที่มือใหญ่ที่เคยคลึงเคล้นอยู่ที่สะโพกกำลังเลื่อนต่ำลงมาที่หน้าขาของตนเอง จิตรกรหนุ่มคล้ายจะหยุด แต่เมื่อกลีบปากเลื่อนขึ้นมาชิดใบหูเอกรงค์ก็ได้ยินค่ำว่า “ไม่พอ ยังไม่พอ” ซ้ำ ๆ


คุณหมอกัดปากแน่นเพื่อสะกดอารมณ์หวามไหว ใช้สองมือดันไหล่กว้างแล้วขยับตัวออกห่าง พลันดวงตาสองคู่ก็สบกันอีกครั้ง


“อย่าดื้อนะครับคนเก่ง เดี๋ยวหมอโมไม่รักนะ”


คนฟังทำจมูกย่นจำใจปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแต่ก็ไม่วายบ่นงึมงำ “โมเล่นพูดแบบนี้ผมก็ต้องยอมน่ะสิ”


“ดีมาก” เอกรงค์ยิ้มน้อย ๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะแก้มสาก “ขอบคุณมากนะ ขอบคุณตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาทักยัยมุก”


“ผมก็ขอบคุณเหมือนกัน วันนั้นที่เกียวโตทาวเวอร์” จิตรกรหนุ่มหยุดไปชั่วอึดใจแล้วถามเรื่องที่ยังสงสัย “ทำไมโมถึงยอมคุยกับผม”


“ก็เห็นว่าน่ารักดี”


“แล้วทำไมไม่จีบ”


“ไม่อยากหลอกเด็ก เดี๋ยวเสียการเรียน” คนอายุมากกว่าหัวเราะ


“แต่ก็ยังไปแอบสืบเรื่องผมจากคนที่สถานทูต” ศุกลเลิกคิ้วล้อ


“ยัยมุกบอกเหรอ”


“ครับ แล้วผม...ใช่สเป็กโมหรือเปล่า”


เอกรงค์ไม่ได้ตอบเพียงแต่ยักคิ้วให้ กระนั้นรอยบุ๋มที่ข้างแก้มก็พอจะบอกอะไรได้มากมาย


“โม” ศุกลรั้งข้อมือคนพูดเอาไว้อีกครั้ง


“หืม?”


“รักนะครับ”


“ผมรู้แล้ว” พูดจบคุณหมอก็ใช้เรียวนิ้วเสยผมของอีกฝ่าย “ขับรถกลับดี ๆ ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกผมด้วยนะ แล้วเดี๋ยววันอาทิตย์เจอกัน”


คนอายุน้อยกว่าพยักหน้ายิ้ม ๆ รอกระทั่งคุณหมอเปิดประตูลงจากรถเดินลับเข้าไปในอาคารที่เชื่อมกับอาคารจอดรถจึงเอนหลังพิงเบาะยิ้มกับดวงจันทร์ที่ยังคงส่องสว่างอยู่ตรงหน้า อยากเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันอาทิตย์ไว ๆ


....


คาดิลแลคสีดำถอยเข้าจอดเคียงคู่กับโฟล์กสวาเกนในโรงรถของ Light&Shade อีกครั้ง ทันทีที่เงียบเสียงเครื่องยนต์ร่างสูงของกุมารแพทย์หนุ่มก็ก้าวลงมายืน เขากวาดตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่ดูเงียบเชียบจนผิดสังเกต มีเพียงนักท่องเที่ยวไม่กี่คนคนที่เดินเข้าออกเพื่อชมนิทรรศการในแกลเลอรี เอกรงค์เดินตรงไปยังเรือนกระจกไม่เห็นมีใครอยู่จึงอ้อมไปที่ด้านหลังแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังสตูดิโอที่อยู่ชั้นสอง ในที่สุดเขาก็พบเจ้าของบ้านที่นั่น


“ทำไมบ้านเงียบจัง เด็ก ๆ ไปไหนกันหมด ไหนว่าจะจัดงานวันเกิดให้ธรณ์ไง”


กุมารแพทย์หนุ่มถามกับคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอน เขาแต่งตัวเรียบง่ายแต่ก็ดูรู้ว่าน่าจะกำลังออกไปไหน


“เมื่อเช้าทัศน์โทรมาบอกผมว่าเปลี่ยนไปจัดงานที่บ้านแล้วละครับ เพราะถูกคุณแม่ดุที่มาใช้ที่นี่เป็นสถานที่จัดงาน คิดว่านอฟจะบอกคุณแล้วเสียอีก”


“ไม่เห็นบอกเลย โทรปลุกผมตั้งแต่เช้า แถมยังเร่งให้รีบมาที่นี่ด้วยซ้ำ ตอนที่คุยกันล่าสุดก็ยังได้ยินเสียงเด็ก ๆ ดังลั่น คิดว่าทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้วผมก็เลยรีบมา”

   
ศุกลยิ้มให้ พอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดจึงเดินไปหยุดที่โต๊ะริมหน้าต่าง จัดการจุดกำยานหอมแล้วใส่ลงในภาชนะดินเผาสลักลวดลายบิดเบี้ยวที่นักเรียนในคลาสเคยให้เป็นของขวัญ ท่าทางไม่รีบร้อนของเขาสร้างความแปลกใจให้แก่คนที่เพิ่งมาถึงอยู่ไม่น้อย


“เปลี่ยนไปจัดงานที่บ้านแล้วทำไมติ๊นยังไม่รีบไปล่ะ”


“ทัศน์บอกให้ผมช่วยรออยู่ที่นี่ก่อนครับ เพราะมีเพื่อน ๆ หลายคนที่ยังติดต่อไม่ได้ เผื่อใครมาที่นี่ผมจะได้คอยบอก”


“คงไม่มีใครมาแล้วมั้ง ติ๊นรีบไปเถอะเดี๋ยวเด็ก ๆ รอแย่”


“แล้วโมล่ะครับ”


“ผมคงไม่ไปแล้วละ ขับรถไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนถูกเรียกไปช่วยดูเคสหนัก กว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว เจ้านอฟยังโทรปลุกตั้งแต่เช้าอีก”


“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ไปเหมือนกัน” เจ้าของบ้านหันมายิ้ม นั่นคือความตั้งใจของเขานับตั้งแต่ได้ฟังเรื่องราวจากปากของเอกรงค์


“ทำไมล่ะเด็ก ๆ อุตส่าห์ชวนนะ” คุณหมอมุ่นคิ้วมองตามร่างสูงที่เดินมาหยุดตรงหน้า


“ชวนอะไรล่ะครับ ผมว่ามันเป็นแผนมากกว่า”


“แผน?” เอกรงค์ทวนคำ เพราะนอนน้อยแถมยังตื่นเช้าสมองจึงประมวลผลไม่ทัน


“ก็แผนที่จะทำให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันไง”


“อีกแล้วเหรอ” คนพูดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นผมควรจะต้องไปบ้านธรณ์แล้วจัดการกับเจ้าสามแสบนั่นใช่ไหม”


ศุกลส่ายหน้าน้อย ๆ ทอดตามองคุณหมอใจดีที่ตอนนี้สวมหน้ากากยักษ์ไปเสียแล้ว


“ไม่ต้องไปหรอกครับ”


“ทำไมล่ะ หลอกกันแบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าไม่อบรมกันบ้างเดี๋ยวจะเคยตัว”


“อย่าไปว่าเด็ก ๆ เลยครับ ก็พวกเขาอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันนี่นา” ยิ้มหวานของจิตรกรหนุ่มเรียกร้อยยิ้มของคุณหมอได้อีกครั้ง


“แล้วผมควรจะทำยังไงดี” เอกรงค์ถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว


“ก็อยู่ด้วยกันต่อไงครับ”


“เพื่อให้เป็นไปตามแผนของเด็ก ๆ น่ะเหรอ”


“ไม่ใช่ แต่เพราะผมอยากให้โมอยู่ต่อต่างหาก”


กุมารแพทย์หนุ่มเสมองไปทางอื่นถือโอกาสสืบเท้าเดินสำรวจ สายลมเย็นที่พัดมาเป็นระยะพาเอากลิ่นหอมของกำยานฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ในที่สุดดวงตาก็สะดุดเข้ากับเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ที่ถูกทำให้ขาดเพราะแรงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบของใครคนหนึ่ง


“น่าเสียดายจัง”


“ไม่ต้องเสียดายหรอกครับ คนวาดก็อยู่ตรงนี้แล้ว ที่สำคัญคนเป็นแบบก็อยู่ด้วยกันที่นี่” เจ้าของบ้านยิ้มกริ่ม “โมเคยสัญญากับผมไว้ ลืมแล้วหรือยัง”


“ไม่ลืมหรอกน่า” คนพูดทำจมูกย่น


“ถ้าอย่างนั้นผมเตรียมอุปกรณ์ก่อนน่ะ”


เอกรงค์พยักหน้า เดินไปนั่งลงบนโซฟากึ่งเตียงนอน ที่ข้างล่างเป็นลิ้นชัก ยกสูงจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ฟูกนุ่ม ๆ ถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาว วางทับด้วยหมอนสีเดียวกัน ตาคมมองตามเจ้าของร่างสูงที่กำลังเดินไปเดินมา ทุกอิริยาบถถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำจนกระทั่งเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นวางบนขาตั้ง ส่วนบนแท่นไม้ข้าง ๆ ก็เต็มไปด้วยหลอดสี พู่กัน น้ำมันสน เกรียงและแผ่นกระเบื้องสำหรับผสมสี


“พร้อมหรือยังครับ” ศุกลเดินมาหยุดตรงหน้าคนที่กำลังนั่งเท้าคางใจลอย


“อื้อ แล้วผมต้องทำยังไงบ้าง” คุณหมอถามพร้อมกับลุกขึ้นยืน


“ก็ต้องถอดเสื้อผ้าออก เสื้อคลุมอยู่ในห้องนอนครับ...ถ้าโมเขิน”


เอกรงค์พยักหน้า กำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่เปิดอยู่แต่ก็ต้องหยุดเพราะความภาพหนึ่งแล่นขึ้นในหัว เขาหันกลับมาสบตาคนอายุน้อยกว่าอีกครั้งพลางยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ


“ถอดให้หน่อย”


“พ...พูดว่าอะไรนะครับ”


“ผมบอกว่าให้ถอดให้หน่อย ทำไมต้องทำหน้าตกใจด้วยทีกับ ‘เขา’ ยังทำให้เลย”


คนฟังส่ายหัวให้กับความเจ้าคิดเจ้าแค้นของคุณหมอก่อนจะเอื้อมปลดกระดุมทีละเม็ด ไม่นานเสื้อเชิ้ตสีหวานก็ลงไปอยู่แทบเท้า
ศุกลลดมือลงต่ำทำท่าจะปลดเข็มขัดแต่ก็ถูกอีกฝ่ายปัดออก


“พอแล้ว รู้แล้วว่ากล้า” พูดจบเอกรงค์ก็เดินหนีเข้าไปในห้อง เป็นอีกครั้งที่การลองเชิงของเขาพังพินาศลงด้วยน้ำมือบวกกับสายตาของอีกฝ่าย



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-01-2017 01:17:47
(ต่อนะคะ)


กุมารแพทย์หนุ่มกลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ พบว่าเสื้อเชิ้ตของตนเองถูกแขวนไว้อย่างเรียบร้อยที่ข้างหน้าต่าง ส่วนศุกลกำลังจุดกำยานอันใหม่ใส่ลงในถ้วยดินเผา มันหอมเสียจนอยากจะล้มตัวลงนอนฟังเพลงเบา ๆ แล้วหลับยาว ๆ จนถึงเช้า


“ผมต้องนั่งตรงไหน”


“ที่เดย์เบดนั่นครับ ผมเพิ่งซื้อมาใหม่ ให้โมประเดิมคนแรกเลย ส่วนโมอยากจะทำท่าไหนก็แล้วแต่โมเลยครับ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเอกรงค์ก็เดินไปหยุดยังเดย์เบดกำลังจะดึงสายรัดเอวออกก็นึกขึ้นมาได้จึงหันกลับมาบอกคนที่กำลังจ้องตนเองไม่ยอมวางตา


“หันหลังไปก่อน”


ศุกลยิ้มพร้อมกับยกสองมืออย่างยอมจำนนแล้วหันหลังกลับ เงี่ยหูฟุงเสียงบ่นขมุบขมิบของคนข้างหลัง


“จริง ๆ ติ๊นต้องแก้ผ้าด้วยถึงแฟร์”


“ถ้าผมทำอย่างนั้นกลัวว่าเราจะไม่ได้วาดรูปกันน่ะสิครับ” จิตรกรหนุ่มยิ้มกับตัวเอง ไม่ใช่...จริง ๆ เขายิ้มให้รับเจ้าของเงาสะท้อนในกระจกนั่นต่างหาก


เสื้อคลุมอาบน้ำค่อย ๆ ถูกถอดออกเผยให้เห็นแผ่นหลังเนียน ไม่ช้าผ้าเนื้อนุ่มก็เลื่อนตกลงมาระกับบั้นท้ายงอนงามก่อนจะลงไปกองอยู่กับพื้น เอกรงค์หย่อนตัวลงนั่งหาท่าที่คิดว่าน่าจะสบายสำหรับการต้องอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลานาน ๆ ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะนอนคว่ำลงแล้วดึงหมอนมากอดเหมือนกับตอนที่อ่านหนังสือหรือเล่นคอมพิวเตอร์ เป็นท่าที่เขาให้นิยามว่าท่าที่พร้อมจะหลับได้เสมอ


“ผมหันไปได้หรือยังครับ”


“หันมาได้แล้ว”


ได้ยินเสียงตอบ ศุกลจึงค่อยหันกลับไปช้า ๆ ตาคมทอประกายวิบวับเมื่อพบว่าภาพที่เขาเห็นจากเงาสะท้อนบนระนาบกระจกนั้นน่ารักสู้สิ่งที่เห็นด้วยตาอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เลย คนตรงหน้าดูจะเขินเล็กน้อยยามที่สายตาของเขาไล่สำรวจตั้งแต่ปลายเท้า เรียวขาจนกระทั่งเนินเนื้อที่รับกับช่วงเอวสอบเข้านิด ๆ 


“ลงมือสักทีสิ มองอยู่นั่นแหละ”


จิตรกรหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหยิบดินสอขึ้นร่างภาพ เมื่อได้โครงร่างที่ถูกใจแล้วเขาจึงบีบสีที่ต้องการลงบนแผ่นกระเบื้อง ซึ่งสีที่เขาเลือกใช้เป็นสีน้ำตาล ขาวและดำเพื่อให้ได้ภาพที่เป็นสีโมโนโครม จากนั้นก็หยดน้ำมันสนเพื่อลดความหนืดลงแล้วจัดการผสมส่วนผสมทั้งหมดด้วยเกรียงแล้วใช้พู่กันแตะสีระบายลงบนผืนผ้าใบโดยเริ่มจากดวงตากลมโตที่กำลังสบกันอยู่ในขณะนี้


เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง คนที่นอนเป็นแบบโดยไม่ได้ขยับไปไหนยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอด ๆ เห็นศุกลเดินออกไปจากห้องจึงรีบคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วรีบไปดูผลงานทันที


“วาดเก่งจัง” เอกรงค์พำพึมขณะที่คนวาดเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง


“เมื่อยหรือเปล่าครับ วันนี้พอก่อนไหม” ศุกลกล่าวพร้อมกับวางถาดใส่เครื่องดื่มเย็น ๆ ลงบนโต๊ะ “ที่จริงก็เหลือแค่เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องมีแบบก็ได้ ผมจำได้หมดแล้ว” คนพูดหันมายิ้ม


“แล้วรูปนั้นล่ะติ๊นจะทำยังไง จะทิ้งเหรอ”


“เก็บไว้อย่างนี้แหละครับ รูปใครก็ไม่รู้” เจ้าของร่างสูงกล่าวเมื่อเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง


“หมายความว่ายังไง” เอกรงค์หันกลับมาถาม “ผมสงสัยมานานแล้วเวลาที่ใครถาม ทำไมติ๊นถึงตอบว่ารูปใครก็ไม่รู้”


“ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่ครับว่าเขาเป็นใคร รู้แค่เขายิ้มน่ารักแล้วผมก็ชอบ เลยเก็บภาพของเขาที่พอจะจำได้มาวาด”


“แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าเขาเป็นใคร”


“รู้แล้วครับ” ศุกลบอกพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นประคองเอวสอบนิด ๆ แตะจมูกลงกับปลายจมูกของอีกฝ่าย แกล้งถูไปมาเบา ๆ แล้วผละออก “รู้ว่าเป็นโมของผม”


“ผมไปเป็นของติ๊นตั้งแต่เมื่อไร” คนอายุมากกว่าว่าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ขยี้จมูกของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว แต่จิตรกรหนุ่มไม่ตอบคำถามนั้น


ศุกลสบตานิ่งแล้วพูดความในใจที่เก็บไว้มานาน “โมรู้ไหมว่าผมอิจฉาแค่ไหนเวลาที่เห็นเขาได้กอดได้จับมือโม ผมอยากจูบ อยากสัมผัสโม ให้โมลืมเขา”


คำพูดที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กขี้อิจฉาทำให้เอกรงค์เพิ่งกระจ่าง ที่แท้ความดุดันและโหยหาที่เขารู้สึกได้จากรสจูบของคนตรงหน้า รวมถึงปฏิกิริยาที่พร้อมจะจู่โจมเสมอยามเมื่อเขาลองหยั่งเชิงมันมีที่มาจากเรื่องนี้นี่เอง


“อยู่กันสองคนทำไมยังพูดถึงคนอื่นอีก” พูดจบกุมารแพทย์หนุ่มก็วาดแขนคล้องคอของคนที่ความสูงไล่เลี่ยกันเอาไว้ ออกแรงโน้มอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหู “ผมอยากเป็นของติ๊น อยากเป็นโมของติ๊นคนเดียว”


“โม...” ศุกลครางเบา ๆ เมื่อประโยคง่าย ๆ กำลังจะกระชากสติของตนเองจนกระเจิง


“แต่ผมไม่ได้เอามานะ” เอกรงค์บอกเมื่อขยับห่างออกมาเล็กน้อย


“อะไรครับ วิตามินซี ลูกอมหรือว่าขนม”


“ไอ้บ้า! ไม่ใช่ของพวกนั้น ผ...ผมหมายถึง...”


“ผมมี” ว่าแล้วก็กดปลายจมูกลงบนเนื้อแก้มขึ้นสีเสียงดังฟอด “รับรองว่ามากพอถึงเช้าแน่ครับ”


“เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้วนะ” คุณหมอส่งสายตาคาดโทษ


“ก็เรียนรู้มาจากโมไง” ศุกลยกยิ้มมุมปากก่อนจะรั้งแขนที่โอบรัดรอบคอออกแล้วจูงมือคนเขินเดินเข้าไปในห้องนอน


...


เสียงดนตรีจังหวะสนุก ๆ ถูกแทรกด้วยเสียงเฮของเด็ก ๆ ที่ดังขึ้นเป็นระยะ นอกจากจะฉลองวันเกิดให้ลูกชายคนเล็กแล้วผู้เป็นแม่ยังเตรียมของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับจับฉลากให้กับเพื่อน ๆ ของลูกที่มาร่วมงานด้วย ใช้โอกาสนี้จัดกิจกรรมวันปีใหม่ชดเชยให้ลูก ๆ ไปในคราวเดียวกัน


นภธรณ์ก้มมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะลุกขึ้นหันหลังให้ความวุ่นวายในขณะที่เด็ก ๆ กำลังแกะกล่องของขวัญ เดินออกมาที่ศาลานั่งเล่นซึ่งอยู่หลังบ้าน ตัวเลขดิจิทัลที่หน้าจอโทรศัพท์บอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสาม หากนับจากครั้งสุดท้ายที่เขาโทรไปเร่งเอกรงค์ก็เฉียดสามชั่วโมงเข้าไปแล้ว อีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าถูกหลอกแต่ไม่ยักโทรกลับมาเพื่อต่อว่าซึ่งดูจะผิดวิสัยของคุณหมอขี้บ่น ความวิตกกังวลจึงผุดขึ้นในใจของคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีวางแผนนี้ขึ้นมา


“มาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปแกะของขวัญล่ะ” ธีร์ทัศน์เอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามายืนข้าง ๆ


“นายว่าป่านนี้พ่อโมกับพี่ติ๊นจะเป็นยังไงบ้าง”


“ก็คงปรับความเข้าใจกันได้แล้วมั้ง หรือถ้าแย่หน่อยหมอโมก็คงหนีกลับเพราะรู้ว่าถูกพวกเราหลอก”


“จะแบบไหน พ่อโมก็น่าจะโทรมาต่อว่าฉันนี่นา แต่นี่เงียบไปเลย”


“ถ้าอย่างนั้นนายก็ลองโทรไปสิ ฉันว่าหมอโมไม่ว่าอะไรหรอก หมอโมน่ะใจดีจะตายไป”


“จะดีเหรอ”


“ดีสิ อย่างน้อยนายก็จะได้สบายใจไง”


นภธรณ์พยักหน้าก่อนจะตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาเอกรงค์ รออยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะกดรับจนสายตัดไปเอง


“ไม่รับน่ะ”


“อืม...ลองอีกครั้งไหม ถ้าคราวนี้ไม่รับเดี๋ยวตอนงานเลิกฉันไปหาหมอโมเป็นเพื่อนนายก็ได้”


นภธรณ์กดโทรออกอีกครั้งแต่ก็เป็นเหมือนเดิม กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังไม่ละความพยายามจนในที่สุดเอกรงค์ก็รับสาย


“พ่อโม อยู่ที่ไหนครับ ผ...ผม...”


พูดยังไม่ทันจบปลายสายก็สวนขึ้นมาทันควัน “ยุ่งอยู่ แค่นี้ก่อนนะนอฟ ไว้เสร็จธุระจะโทรหา”


“อะ...อ้าว วางสายไปแล้ว”


“หมอโมว่าไงบ้าง”


“บอกว่ายุ่งอยู่” นภธรณ์เกาหัวแกรก “สงสัยอยู่ฟิตเนสมั้ง เสียงฟังดูเหนื่อย ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรหรอก ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า” พูดจบก็โอบไหล่เพื่อนก่อนจะพากันเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

...



สวัสดีค่ะ ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายในความรับผิดชอบของเราแล้ว

ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะว่า leggy จะสรุปเรื่องราวทั้งหมดนี้ยังไง

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 15-01-2017 06:28:16
แผนร้ายมาก 3แสบเอ้ย!!!
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 15-01-2017 07:22:29
เขินๆ ดีกันได้เสียที
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-01-2017 08:21:45
ร้ายนักนะเด็กๆ พวกนี้
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 15-01-2017 09:34:56
จ้าาาา  ฟิตเนสส  :hao6:
ดีกันแล้ว อะไร ๆ ก็ดูน่ารักไปหมด  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-01-2017 10:40:00
หมอโมกำลังออกกำลังกายกับพี่ติ๊นอยู่ไงเด็กๆ 555
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-01-2017 11:11:37
เด็กๆ กามเทพน้อย  น่ารักจ้า
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 15-01-2017 11:18:05
กำลังออกกำลังกายเหงื่อท่วมตัวเชียวแหละ 555555   :hao6:

ชอบท่อนนี้  สองหนุ่มสบตากันก่อนจะรับคำอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ่…”  เห็นภาพตามเลยว่า 2 หนุ่มกำลังกลอกตาบนใส่น้องเล็ก  55555 น่ารักจังเด็กๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-01-2017 11:47:33
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-01-2017 14:14:22
เดี๋ยว ๆ !!!!

ทำไมมันตัดเข้าประตูห้องนอนล่ะ!

ฉันแค่อยากรู้ว่า หมอโมเป็นของติ๊น หรือ พี่ติ๊นเป็นของหมอโม ???

โธ่!
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-01-2017 18:00:37
เตรียมไว้ยันเช้าเลยหรอติ๊น แต่นี่ยังไม่ค่ำเลยนะ 55555
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-01-2017 22:57:07
ประวัติหมอโมโชกโชนจริง ๆ
เด็ก ๆ น่ารัก เจ้าแผนการณ์
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 17-01-2017 07:34:05
กร๊ากกกกกก หมอโมยุ่งกับอารายคะ

จะจบแล้วอาาาาาา คิดถึงหมอโมแย่เลยทฮืออออ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 13 I'mYours (15-01-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 05-02-2017 00:53:12
เวลากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มของสองคนนี้มันต้องมีคนโทรเข้ามาตลอดเลยนะ 5555
 
เค้ากำลังออกกำลังกายกันอยู่ค่ะเด็กๆ  ไม่ต้องห่วงนะคะ  ภารกิจของขบวนการกามเทพน้อย สำเร็จลงด้วยดีแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 10-02-2017 19:24:39
ตอนที่ 14 รักของเรา



“คืนดีกันแล้วใช่ไหม”


คำพูดที่หลุดออกจากปากแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของเพื่อนสนิทในขณะกำลังนั่งกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหารทำเอาข้าวคำที่ตักใส่ปากไปแทบติดคอ


ปรเมษฐ์เลื่อนแก้วน้ำใบบัวบกส่งให้แล้วดึงมือกลับไปเท้าไว้ที่ปลายคางพลางจ้องตาคนที่ยกแก้วน้ำขึ้นซดอักๆ  “จะเล่าอะไรก็รีบเล่าก่อนที่ฉันจะโกรธ”


เอกรงค์วางแก้วลงพร้อมกับยิ้มแห้ง “ก็ไม่มีอะไร… แค่เขามาขอโทษอย่างตรงไปตรงมา ฉันก็เลยยกโทษให้มันก็แค่นั้นแหละ”


“แค่นั้นจริงเหรอ”


“แล้วเขาก็ขอเป็นแฟน”


ปรเมษฐ์เลิกคิ้ว


“แล้ว… แล้ว…”


“ได้กันแล้วใช่ไหม”


เอกรงค์กรอกตาหลบ หมอนี่มันไปแอบอยู่ใต้เตียงหรือไงเนี่ย ถึงได้รู้ไปเสียทุกอย่าง เอ๊ะ! หรือว่าศุกลฝากรอยอะไรไว้ แต่เมื่อเช้าก่อนออกมาก็สำรวจดูดีแล้วนี่นาว่าไม่มี


ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูกและรีบเฉลยก่อนที่เพื่อนรักจะมโนไปไกลว่าเขารู้ได้อย่างไร ...แววตาคนมีความรักนี่น่าเบื่อชะมัด “ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้น เพราะนายน่ะแหละเมื่อวานฉันเลยโดนนอฟมันโกรธเสียยกใหญ่ กว่าจะถามเอาความกันได้ว่าเรื่องอะไรทะเลาะกันบ้านแทบแตก”


“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”


“ก็มันคิดว่าฉันชวนนายไปฟิตเนสทั้งที่มันวางแผนให้นายได้อยู่กับหมอนั่นน่ะสิ แต่ฉันอยู่เวรไม่ได้กลับบ้านมันก็เลยคิดว่าฉันโกหก เรื่องก็ยิ่งไปกันใหญ่” แล้วเท้าคางลงบนโต๊ะพร้อมกับกรีดยิ้มยียวน “ว่าแต่… อยากรู้จังว่าไปออกกำลังกันอีท่าไหน เล่นเวทหรือว่าคาร์ดิโอกันนะ”


คนฟังหน้าแดงแปร๊ด “เฮ้ย!... ขอโทษที ไม่ได้ตั้งใจ ก็นอฟมันโทรจิก ฉันกลัวมันคิดมากเลยรีบรับรีบวาง” เอกรงค์รีบขอโทษ รู้สึกผิดจริงๆ “เอ่อ… แล้ว… นายบอกไปว่ายังไง ไปฟิตเนสใช่ไหม”


ปรเมษฐ์เลิกคิ้ว “นายก็รู้ว่าฉันกับมันไม่เคยมีความลับต่อกัน”


“แล้วยังไงล่ะ” เอกรงค์พยายามทำเสียงให้เป็นปกติทั้งที่หัวใจเต้นรัวรอฟังคำตอบ คิดว่ายังไงเพื่อนรักก็คงไม่หักหลังกันอยู่แล้ว


“ฉันเป็นหมอสูติฯ ไม่ใช่หมอเด็กเหมือนนายเลยไม่ค่อยสันทัดเรื่องพัฒนาการเด็กอายุสิบหกกับเพศศึกษา”


“อย่ามัวแต่เล่นลิ้น ตกลงนายบอกอะไรนอฟ”


“สอนวิธีการทำลูก” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ ราวกับมันเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ


“ไอ้โป้!” เอกรงค์แทบอยากจะมุดหนีลงไปอยู่ใต้โต๊ะแล้วตอนนี้ เจอนภธรณ์คราวหน้าเขาจะทำตัวอย่างไรถูก “เพราะนายเป็นเสียแบบนี้ละนะนอฟมันถึงได้แก่แดดเกินวัยแบบนั้น”


“เฮ้ย! มาโทษฉันคนเดียวได้ยังไงวะก็ช่วยเลี้ยงมาด้วยกัน แต่ก็ดีแล้วล่ะ ฉันเลยถือโอกาสสอนเรื่องการใช้ถุงยางกับวิธีคุมกำเนิดเพราะยังไม่พร้อมจะเลี้ยงหลานอีกคน แค่มันคนเดียวก็ปวดหัวจะตายแล้ว” พูดจบปรเมษฐ์ก็ก้มหน้ากินข้าวต่อไม่ทุกข์ไม่ร้อนปล่อยให้เพื่อนนั่งอมข้าวทำอะไรไม่ถูก


ยิ่งเสียงทุ้มของอีกคนที่เป็นตัวการดังขึ้นทักทายเขาก็ยิ่งหน้าร้อนไปหมด


“สวัสดีครับ” จิตรกรหนุ่มกล่าวกับคนที่นั่งอยู่กับคนรักของตนและเดินเข้ามาร่วมวง ช่วงนี้คลาสเรียนต่างๆ ปิดหมดแล้วและอยู่ในช่วงรับสมัครเด็กรุ่นใหม่เขาจึงมีเวลามาหาเอกรงค์เมื่อคิดถึงได้บ่อย ๆ โดยไม่ต้องอาศัยการส่งข้อความทางโทรศัพท์เหมือนเคย


“เออ” ปรเมษฐ์พยักหน้ารับ “ต่อไปนี้เรียกหมอโป้นะ”


“ครับ” คนฟังเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ดูจะญาติดีขึ้นมานิดหน่อยทั้งที่เจอกันครั้งก่อนสายตาที่มองมาแทบจะฆ่ากันได้


“ตามนั้นแหละแฟนคนก่อนๆ ของโมก็เรียกแบบนี้ เรียกรวบยอดให้เหมือนๆ กันเวลาทักฉันจะได้ไม่งง” นายแพทย์ปรเมษฐ์สรุปง่ายๆ


“แต่ผมไม่เหมือนแฟนคนก่อนๆ ของโมนะครับ” ศุกลรีบบอก


“ยังไง”


“ก็เพราะผมจะไม่วันเป็น ‘อดีต’ น่ะสิ”


“ผ่านปีแรกให้ได้ก่อนค่อยมาคุย” ปรเมษฐ์ว่ามีเสียงเยาะอยู่ในที


“ตกลงครับพี่โป้”


สรรพนามที่ลงท้ายเรียกสายตาเฉียบคมให้เหลียวมามอง “ไม่ต้องมาตีซี้”


“ไม่ได้ตีซี้ครับ ผมแค่ให้เกียรติเรียกไปตามลำดับอาวุโส”


“ไม่ต้องมานับญาติด้วย”


“ไม่นับไม่ได้หรอกครับเพราะโมเป็นคุณพ่อน้องนอฟซึ่งเป็นลูกชายของคุณ เพราะฉะนั้นผมเรียกพี่โป้ถูกแล้วครับ”


“ตรรกะอะไรของแกวะ”


“ตกลงตามนี้นะครับพี่โป้” คนอายุน้อยกว่าสรุปพร้อมกับยิ้มกว้าง


คราวนี้ปรเมษฐ์ไม่ตอบ แต่วางช้อนลงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาเต็มที่  ไอ้จิตรกรไส้แห้งคนนี้มันชักจะกวนประสาทเกินไปแล้ว
เมื่อเห็นสองหนุ่มทำท่าจะวางมวยเอกรงค์จึงรีบแทรกขึ้น “ติ๊นมีธุระอะไรหรือเปล่า เมื่อวานก็บอกไปแล้วนี่ว่าวันนี้ผมอยู่เวร”


“ไม่ได้มีธุระอะไรครับแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายก็เลยมาหาหมอ” ศุกลรีบตีหน้าเศร้าเล่าอาการ


“ป่วยเป็นอะไร”


“ไม่รู้สิครับ มันปวดหัว ตัวร้อน นอนไม่หลับ ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะมีไข้ กินอะไรก็ไม่อร่อย แถมยังหวิวๆ ในอกด้วย”


“แหม เป็นเยอะเลยนะ” ปรเมษฐ์พึมพำในลำคอ “เป็นหนักขนาดนี้ไม่น่ารอด”


“ถึงตายก็คงตายตาหลับเพราะตอนนี้ผมได้มาเห็นหน้าคนที่รักแล้ว” จิตรกรหนุ่มว่าพร้อมกับเหลือบตามองคนที่ย่นปากใส่ตนเอง
ส่วนปรเมษฐ์ก็กรีดยิ้มเย็นตอบกลับไปพร้อมกับกระซิบ “ฉันจองเป็นเจ้าภาพคืนแรกนะ”


ศุกลยังไม่ทันจะเถียง จู่ๆ เอกรงค์ก็ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินหนีไปอีกทาง “โมจะไปไหน”


กุมารแพทย์หนุ่มหันกลับมาครึ่งๆ “อิ่มแล้ว จะกลับไปทำงาน… ฝากเก็บจานด้วยนะโป้”


“เออ”


ได้ฟังดังนั้นศุกลก็หันไปกล่าวลาปรเมษฐ์ก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ตามไปเดินคู่กัน


“ทำไมต้องไปต่อปากต่อคำกับโป้ด้วย” เอกรงค์กระซิบเสียงเครียด “หรือว่าไม่ชอบใจที่โดนหมอนั่นต่อว่าเรื่องผม”


“ถ้าเรื่องนั้นผมเข้าใจครับ” คนอายุน้อยกว่ารีบบอก “ผมผิดอย่างที่เขาว่าจริงๆ แล้วก็ไม่โกรธด้วย... ยังไงดี... มันเหมือนโดนตบหน้าหน้าแรงๆ ให้ได้สติน่ะ และพอมาคิดดูดีๆ ผมว่าเขาก็ไม่ได้เกลียดผมนะแค่ห่วงโมมากกว่า คล้ายๆ พ่อตาหมั่นไส้ลูกเขย ไม่สิ! อารมณ์แม่ผัวลูกสะใภ้น่ะ แต่ถ้าโมไม่อยากให้ผมยุ่ง วันหลังผมจะไม่พูดอะไรแล้ว”


เพราะศุกลมีสีหน้าสลดลงเอกรงค์จึงรีบพูดต่อ “ไม่ใช่ไม่ชอบหรืออะไรอย่างนั้นหรอก คือ… ยังไงดี โป้มันเป็นคนฉลาดน่ะ แล้วก็เก็บรายละเอียดเก่ง มันจับได้เรื่อง ‘วันนั้น’ แล้วมันก็เพิ่งจะแซวผมไปก่อนที่ติ๊นจะมาถึงนี่แหละ… ถ้ายิ่งไปกวนมันมากๆ ผมกลัวมันจะเอาคืนน่ะสิ”


“เอาคืนยังไงครับ” ศุกลถาม


“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่แซวน่ะแหละ… ตะ... แต่… ผมอายนี่”


ริมฝีปากจุดรอยยิ้มเอ็นดูคนอายุมากกว่าที่หน้าแดงไปถึงหู ศุกลเหลียวมองซ้ายขวาเห็นปลอดคนจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ตอนทำเรื่องน่าอายกว่านี้ไม่เห็นอายนะครับ”


สิ้นเสียงของคนรักเอกรงค์ก็หน้าร้อนวาบเมื่อภาพความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว


“เพิ่งจะรู้ว่าโมนี่ไม่ใช่โมโนโทนธรรมดานะ แต่ร้อนแรงยิ่งกว่าสีแดงทุกเฉดรวมกันเสียอีก”


ภาพชายหนุ่มตัวสูงปรากฏขึ้นแจ่มชัดก่อนที่จะถูกผลักให้หงายหลังลงไปนอนแผ่บนเตียง คนผลักซึ่งสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำดึงสายผูกที่เอวออกแล้วรั้งชุดให้พ้นตัวร่วงลงไปกองอยู่แทบเท้าเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าที่ก้าวขึ้นทาบทับ และภาพหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยประติดประต่อเท่าไร จำได้ลางๆ แค่รสจูบที่ยังหวานลิ้น ลมหายใจที่หอบดังอยู่ข้างหูกับ… ความร้อนที่ท่วมท้นอยู่ในร่างกาย


“ไอ้บ้า!” เอกรงค์เบี่ยงตัวออกห่างแล้วเดินหนีเข้าห้องทำงานของตนไป


ศุกลยิ้มกว้างขึ้นอีก เขาเปิดประตูตามเข้าไปและไม่ลืมที่จะปิดล็อกอย่างเรียบร้อย


คนในชุดกาวน์ยืนอยู่หน้าโต๊ะไม่พูดไม่จา จิตรกรหนุ่มเหลียวมองซ้ายขวาเห็นเตียงที่ใช้สำหรับตรวจคนไข้จึงลองใช้มือกดๆ หยั่งน้ำหนักดูจนแน่ใจว่าแข็งแรงพอจะให้ผู้ใหญ่นั่งได้จึงกระโดดขึ้นนั่ง


“คุณหมอครับ” ศุกลแกล้งดัดเสียงเป็นเด็กอ้อน “ทำไมหันหลังให้น้องติ๊นแบบนั้นละครับ น้องติ๊นไม่สบายนะ”


“อย่ามา”


“หมอโมตรวจให้น้องติ๊นหน่อยสิครับ” ศุกลยังไม่เลิกแกล้ง “หัวใจน้องติ๊นมันเต้นแปลกๆ หมอโมลองฟังดูสิครับว่ามันเป็นอะไร”


เอกรงค์เหลือบมองทางหางตาเห็นเด็กโข่งนั่งจ๋องอยู่บนเตียงก็ผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยด้วย เบื่อตัวเองที่ใจอ่อนง่ายดายพร้อมทั้งหยิบหูฟังและเดินเข้าไปหา ไหนๆ ก็มีอุปกรณ์พร้อมแล้วลองตามน้ำดูหน่อยว่าจะมามุกไหน คิดได้ดังนั้นกุมารแพทย์หนุ่มก็สอดหูฟังเข้าในเสื้อและเงียบฟังอยู่อึดใจก่อนจะแกล้งเอ่ยเสียงเครียด “ท่าทางจะอาการหนักจริงๆ ด้วย”


“ทำไมละครับ”


“ก็ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนี่นา… สงสัยติ๊นจะเป็นคนไม่มีหัวใจ”


“จะมีได้ยังไงละครับก็ใจผมให้โมไปหมดแล้ว” ไม่พูดเปล่ายังยกสองแขนขึ้นรวบตัวคนตรงหน้าเข้ามาประชิดแล้วซบหน้าลงบนอก


อุณหภูมิร่างกายที่เริ่มสูงขึ้นหลอมละลายใจที่แข็งให้อ่อนยวบ เอกรงค์วางสองมือลงบนแนวบ่าแล้วลูบไล้เบาๆ ไปจนถึงต้นคอ “มาอ้อนกันถึงที่แบบนี้ตกลงมีอะไรกันแน่… ไปทำความผิดอะไรไว้ใช่ไหมบอกผมมาเดี๋ยวนี้นะ”


ศุกลซุกหน้าเข้าลึกในอกกว้างแล้วสูดกลิ่นกายอีกฝ่ายเข้าจนเต็มปอด “ไม่มีจริงๆ ครับ”


“บอกมาเดี๋ยวนี้”


“บอกไปแล้วไงว่าคิดถึง”


“ติ๊น!”


เมื่อเสียงทุ้มเข้มขึ้นอีกครั้ง ศุกลก็รู้ว่าคงถ่วงเวลาไว้ได้อีกไม่นาน และไม่ช้าก็เร็วเขาก็คงต้องสารภาพอยู่ดี “เอ่อ… คือโมจำรูปที่เราวาดกันเมื่อวันก่อนได้ไหม”


เอกรงค์หลบตา ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยจริงๆ “มีอะไร”


“ก็เมื่อเช้าอากาศดี ผมเลยเอาลงมาเก็บรายละเอียดที่ห้องข้างล่าง”


“แล้ว…”


“จู่ๆ ไอ้ดลกับไอ้พีก็แวะมาหาโดยไม่บอกก่อน… แล้ว… คือ ผมเก็บไม่ทันน่ะ พวกมันก็เลย…”


“ติ๊น!”


ศุกลพยักหน้า “โดนแซวใหญ่เลย พอพวกมันกลับผมก็เลยรีบชิ่งมาบอกโมก่อนโมจะแวะไปเผื่อพวกมันจะย้อนศรกลับมาอีก… แล้วถ้าเอ่อ… ยังไงโมไม่ต้องไปที่ light & shade สักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ดีนะ”


“อย่าว่าแต่อาทิตย์สองอาทิตย์เลยผมจะไม่ไปเหยียบบ้านติ๊นอีกแล้ว ไหนตอนวาดสัญญาว่าจะไม่ให้ใครเห็นไง นี่ผมโกรธจริงๆ นะ” ยิ่งคิดถึงหน้ายิ่งแดง ตอนที่เขาเห็นแม้จะเป็นเพียงภาพร่างที่นอนกอดหมอนอยู่บนเตียง ทั้งที่มั่นใจว่าตอนนั้นกำลังง่วงจนตาปรือแท้ๆ แต่คนวาดกลับวาดออกมาได้ยั่วยวนยิ่งกว่าภาพวาดในตำนานของไททานิคอีก แล้วนี่บอกว่าเอามาเก็บรายละเอียด...


โอ๊ยยยย เขาอยากจะเอาสเต็ทรัดคอตายเสียตอนนี้เลย


“ง้อ” ศุกลรีบบอกพร้อมทั้งกอดเอวแน่นขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามจะแกะออก “ขอโทษนะครับ”


“ไม่ต้องมาขอโทษเลย!”


“ไม่เอาน่าโม ผมไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้ผมเถอะนะ… นะ นะ โมอยากได้อะไรผมยอมทุกอย่างเลย”


ข้อเสนอนั้นสร้างความสนใจให้กุมารแพทย์หนุ่มไม่น้อย “ทุกอย่างเลยเหรอ”


“ครับ”


“ยกเว้นเดือนกับดาวที่เหลือได้หมดเลยครับ”


“แน่ใจนะ”


“ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้นครับ”


รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนมุมปาก เอกรงค์ดันไหล่คนตัวโตกว่าให้ออกห่างเล็กน้อย “หมู่นี้ผมยุ่งๆ น่ะไม่มีเวลาซักผ้า ถูบ้านเลย”


“เรื่องแค่นี้เอง ผมจัดการให้ เดี๋ยวแถมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนซักผ้าห่มให้ด้วย จะให้เริ่มงานวันไหนดีครับ”


“พรุ่งนี้” เอกรงค์ว่า “แปดโมงมารับผมด้วยนะ เพราะผมไปหาติ๊นไม่ได้สักพักนี่นา”


“ได้ครับ”


“อ้อ… มาแต่ตัวนะอุปกรณ์ไม่ต้องเพราะที่ห้องผมมีให้พร้อมแล้ว”


“ครับ” ศุกลรับคำ “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ขอวางมัดจำก่อนได้ไหมครับ”


“มั่วหรือเปล่า ผมสิต้องเป็นคนวาง”


“อย่างนั้นโมก็วางสิ” แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นคล้องรอบคอคนที่กำลังยืนอยู่ให้ก้มหน้าลงมาหาจนปลายจมูกแตะกันเป็นการส่งสัญญาณว่าของมัดจำที่ต้องการคืออะไร


ริมฝีปากของกุมารแพทย์หนุ่มคลี่ออกจนเห็นรอยบุ๋มลึกที่ข้างแก้ม เอกรงค์ค่อยขยับหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากรับรู้ถึงละไอความความร้อนจากอีกฝ่าย


ศุกลหัวใจเต้นรัว กลีบปากเผยอออกเล็กน้อยอย่างรอคอย แต่แทนที่เอกรงค์จะประกบริมฝีปากทาบทับลงมาให้หายคิดถึงเขากลับดีดมะกอกเข้ากลางหน้าผากดังเป๊ะ! จนจิตรกรหนุ่มหน้าหงาย


“โอ๊ย!” ว่าพลางยกมือขึ้นกุมหน้าผากส่งเสียงร้องโอดโอย “โมใจร้าย”


“โทษฐานที่ให้คนอื่นเห็นรูปของผมไง” พูดจบก็คว้าเสื้อศุกลให้ลุกขึ้นยืนแล้วดึงไปโยนทิ้งไว้ที่หน้าประตู “แล้วก็กลับไปได้แล้ว ผมจะทำงาน” ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าดังปัง!


กุศลคอตก มองบานประตูตาละห้อยด้วยความรู้สึกผิด กำลังจะหมุนตัวกลับแต่เมื่อเสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นเขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูและพบว่ามาจากคนที่อยู่หลังประตูนั่นเอง


“ห้ามสายนะ”


พลันริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกช้าๆ จิตรกรหนุ่มเคาะโทรศัพท์กับปลายคางพลางขบคิดว่าพรุ่งนี้หลังจากทำงานบ้านเสร็จแล้วมีเวลาเหลือเขาจะทำอะไรต่อดี...


....


“ผมว่าอันนี้ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะ” ศุกลเท้าเอวถามคนที่นั่งกลั้นขำจนหน้าขึ้นริ้วบนโซฟา พอมาถึงบ้านเอกรงค์ก็ส่งถุงใบหนึ่งให้เขาบอกว่าให้เปลี่ยนไปใส่ชุดนี้เพื่อชุดที่ใส่มาจะได้ไม่เปื้อน รีบเปิดออกดูด้วยความดีใจหลงคิดว่าอีกฝ่ายซื้อของขวัญให้ ที่ไหนได้มันกลับกลายเป็นผ้ากันเปื้อนลูกไม้สีขาว และเจ้าตัวก็บังคับให้ใส่ ‘แค่นั้น’


“อยู่สิ ก็ติ๊นสัญญาแล้วนี่ว่าจะยอมทำทุกอย่าง” เอกรงค์ขำท้องแข็งจนแทบลงไปนอนกลิ้งบนพื้นแล้ว


“เจ้าเล่ห์นักนะ”


“ขอบคุณที่ชม” เอกรงค์ว่า “เอ้า! อย่ามัวแต่อู้สิรีบไปทำเข้า ชักช้าเดี๋ยวไม่ให้กินข้าวนะ”


“คร้าบบบนายท่าน” ศุกลลากเสียงประชดแล้วเดินหน้าบูดไปอีกทาง


แต่ดูแล้วการที่เอกรงค์บอกให้มาช่วยงานบ้านนั้นน่าจะเป็นเรื่องโกหกมากกว่าเพราะหลังจากที่เดินวนจนรอบห้องก็ยังไม่เจอกองผ้าที่ยังไม่ได้ซัก และทุกห้องก็สะอาดเรียบร้อยดี จะมีก็แต่เตียงที่ยังไม่ได้เก็บเท่านั้น ศุกลจึงเปิดตู้หาเครื่องนอนชุดใหม่มาเปลี่ยนให้แล้วเดินออกมาหาเจ้าของห้องเพื่อถามหางานอื่น


“โม ผมเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้แล้วคุณจะ… อ้าว หลับไปแล้วเหรอ” ศุกลเดินเข้าไปชะโงกง้ำอยู่เหนือตัวคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังตาโตแกล้งแซวเรื่องไฝที่ก้นเขาอยู่เลย จิตรกรหนุ่มไล้มือไปตามแก้มนิ่มและแกล้งจิ้มเล่นเบาๆ ตรงตำแหน่งที่เป็นลักยิ้ม “โม… ตื่นเถอะ ไปนอนในห้องผมปูเตียงให้ใหม่ห้อม หอม~ น่านอนกว่าตรงนี้เยอะเลยนะ นี่โม… ถ้าไม่ตื่นผมจะปล้ำแล้วนะคุณเจ้าหญิงนิทรา”


เอกรงค์ปรือตาขึ้นมองข้างหนึ่งพร้อมกับงึมงำถามทั้งที่จริงๆ เขารู้สึกตัวได้สักพักแล้ว “ติ๊นจะทำอะไรนะ”


“ปล้ำ”


“อย่างนั้นนอนต่อดีกว่า”


“แน่ะ! ดูพูดเข้า เดี๋ยวปล้ำจริงๆ นะ เล่นมาอ่อยผมซะขนาดนี้”


“ไม่ได้อ่อยซะหน่อย” เอกรงค์พลิกตัวบิดขี้เกียจ กำลังจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่มือใหญ่กลับคว้าเข้าที่หัวไหล่กดให้นอนลงบนโซฟาตามเดิมพร้อมกับที่อีกฝ่ายก้าวขึ้นทาบทับ และเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวของศุกลมีเพียงผ้ากันเปื้อนบางๆ ผืนเดียวเอกรงค์จึงรับรู้ได้ชัดเจนถึงอะไรบางอย่างดุนดันอยู่บริเวณหน้าขาของตน นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่ง “ติ๊นไม่เอา… อย่าแกล้งสิ”


“ไม่เอาไม่ได้แล้วครับ” ศุกลกระซิบ “ตอนนี้โมมีตัวเลือกแค่สองทาง”


“อะไร”


“โซฟาหรือที่เตียง”


“ดีนะไม่มีระเบียงด้วย” เอกรงค์พูดยิ้มๆ


“ไม่มีปัญหานะครับ”


คนฟังตาโตขึ้นทันที “ไอ้บ้า! ผมล้อเล่น”


“ตกลงยังไงดีครับ”


“ก็… แล้วแต่ติ๊นสิ”


“แล้วแต่ผมได้ไง วันนี้ผมมีหน้าที่ตามใจโมทุกอย่างนี่นา ผมเดินวนจนรอบบ้านแล้วนะ ไม่เห็นมีอะไรใหทำเลย ตกลงโมให้ผมมาบ้านนี่มีแผนอะไรกันแน่ครับ”


“ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากอยู่ด้วยกันทั้งวันเพราะนานๆ ผมจะว่างสักที” เอกรงค์ยอมรับ “แต่ถ้าจะให้ออกไปเที่ยวข้างนอกก็เหนื่อยเกินไป”


“แค่นั้นบอกตรงๆ ก็ได้นี่ครับ”


“บอกตรงๆ แล้วจะได้เห็นติ๊นใส่ผ้ากันเปื้อนเหรอ” เอกรงค์หัวเราะ “เอาคืนเรื่องที่ให้คนอื่นเห็นรูปผมไง”


“นอกจากนี้แล้ว โมอยากทำอะไรอีก บอกมาสิแค่อยากให้อยู่ด้วย ทำอาหารให้กิน นอนกอดกันเฉยๆ หรือว่าอยากได้มากกว่านั้นครับ”


“เหมาหมดเลยได้ไหม”


“แบบนี้ทำเหมือนซ้อมเลยนะครับ”


“ซ้อมอะไร?”


“อยู่ด้วยกันไง”


“ไร้สาระน่าของแบบนั้นไม่จำเป็นหรอก” เอกรงค์ว่า “พร้อมเมื่อไหร่ก็ย้ายเข้ามาเลยนะ เตียงออกจะกว้างที่ว่างเหลือเฟือ”


“มีโปรโมชั่นอื่นอีกไหมครับ”


“อยู่วันนี้แถมฟรีเจ้าของห้องไง” เอกรงค์บอก “ห้องผมมีทีวีแถมฟรีไวไฟด้วยนะ สนใจป่าววว”


ศุกลหลุบตาลงต่ำอย่างครุ่นคิดแล้วดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้ก่อนจะจูบหนักๆ ลงบนข้อนิ้ว “คงไม่ได้หรอกครับ”


“มันเร็วไปสินะ ไม่เป็นไรผมเข้าใจ”


“เปล่าครับ” ศุกลบอก “ที่ตรงนั้นเป็นสมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้ และ light & shade ก็เป็นความฝันของผม ถ้าจะอยู่ด้วยกันโมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายย้ายมา”


“ไม่เอาดีกว่า” เอกรงค์บอก เพราะบ้านอีกฝ่ายเป็นที่เรียนศิลปะด้วย แค่ไปๆ มาๆ ยังพอว่าแต่ถ้าเข้าๆ ออกๆ ทุกวันเขาก็เขินเด็กๆ ที่มาเรียนเหมือนกัน “แต่ถ้าเป็นแบบนี้เราจะห่างกันหรือเปล่า”


“นั่นน่ะสินะ อยู่ห่างกันแค่สองแยกไฟแดงเรายังหากันตั้งสามปี” ศุกลพูดยิ้มๆ “ต่อให้อยู่ไกลกันมากกว่านี้ ก็ใกล้กันได้ครับถ้าเราทำให้ใกล้กัน”


“ติ๊นจะทำยังไง”


“ผมใช้คำว่า ‘เรา’ นะ” ศุกลเว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อสบตาอีกฝ่ายให้ชัดๆ “มาพยายามด้วยกันนะ”


“แน่นอนอยู่แล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยไหม” ศุกลบอกพลางกดจูบลงกลางหน้าผากก่อนจะลากริมฝีปากลงมาตามสันจมูกอย่างเชื่องช้าและแผ่วค่อยราวกับอยากตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายที่อยากให้เวลาวันนี้ผ่านไปช้าๆ


เขาหยุดริมฝีปากลงบริเวณเหนือริมฝีปากและกระซิบถาม “ได้ไหมครับ”


“จะมาขออะไรกันตอนนี้เล่า” รอยยิ้มกว้างลากเต็มริมฝีปากก่อนที่เอกรงค์จะกระชับวงแขนดึงตัวอีกฝ่ายลงมาหา “นี่ผมนอนรอตั้งนานแล้วนะ”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 10-02-2017 19:34:13
ส่งท้าย


3 ปีต่อมา...


ประตูบานเลื่อนของห้องทำงานถูกเปิดออกพร้อมกับการมาของสูตินรีแพทย์เจ้าของใบหน้าคมคาย ปรเมษฐ์ทอดตามองชายหนุ่มที่กำลังนั่งเขี่ยอาหารในกล่องบนโต๊ะทำงานก่อนจะสืบเท้าเข้าไปหยุดตรงหน้า กอดอกจ้องเจ้าของท่าทางซังกะตายในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยขึ้น 


“ถ้าไม่ไหวก็หยุดเถอะ จะฝืนทำไม”


เอกรงค์เงยหน้าขึ้นมองพลันลมหายใจเหนื่อยหน่ายก็ถูกเป่าผ่านโพรงจมูก “ฉันยังอยากลองต่ออีกนิด เผื่อว่าจะปรับตัวได้”


“นี่ยังจะคิดปรับตัวอีกเหรอ นายปล่อยเวลามาขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องลองต่อแล้วละ แค่ฉันเห็นสภาพนายตอนนี้ก็รู้แล้วว่าต้องไปไม่รอด”


“ต...แต่...มันน่าเสียดายนะ...”


“เสียดายแล้วต้องมานั่งฝืนทนอย่างนี้น่ะเหรอ ตัดใจบอกเลิกไปเถอะ” พูดจบนายแพทย์ปรเมษฐ์ก็นั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้าม วางมือแล้วเคาะหปลายนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะห่าง ๆ


“ถ้ามันพูดกันง่าย ๆ อย่างนั้นก็ดีน่ะสิ” เอกรงค์อ้อมแอ้ม


“ถ้านายไม่พูดฉันจะพูดเอง” ปรเมษฐ์กล่าวขึงขัง “เจ้านอฟมันจะได้รู้สักทีว่าฝีมือการทำข้าวกล่องของมันห่วยแตกมาก” ว่าแล้วก็ดึงกล่องข้าวตรงหน้าของเพื่อนรักเข้ามาใกล้พร้อมกับมองอย่างพิจารณา อาหารที่นภธรณ์บอกว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ตั้งใจทำและฝากมาให้เอกรงค์ในระหว่างที่พ่อครัวตัวจริงอย่างศุกลต้องเดินทางไปต่างประเทศหากนับจนถึงวันนี้ก็ร่วมหนึ่งสัปดาห์แล้ว
ข้างในประกอบด้วยข้าวกล้องสุก ๆ ดิบ ๆ แบบที่เขาถูกบังคับให้กินเกือบทุกเช้า โปะด้วยผักต้มกับมันฝรั่งเละ ๆ วางข้างอกไก่ย่างที่น่าจะเรียกว่าอกไก่ผจญเพลิงมากกว่า เพราะคนทำมัวแต่คุยโทรศัพท์กับเพื่อน อกไก่ที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียวจึงแทบจะไหม้เกรียม “เพื่อสุขภาพจริง ๆ กินแล้วไม่อ้วน เพราะต้องเททิ้งอย่างเดียว” พูดจบก็ดันกล่องออกจากตัวทำท่าขนลุกขนพอง


“มันก็พอกินได้อยู่นะ เอาน่า เจ้านอฟมันอุตส่าห์ตื่นมาทำให้ทุกเช้า”


“ก็นายไปพูดแบบนี้น่ะสิ มันถึงได้มั่นใจในฝีมือทำกับข้าวของตัวเองนัก ฉันเลยพลอยซวยไปด้วย นอฟน่ะโตแล้วนะ จิตวิทยาเด็กของนายใช้กับมันไม่ได้แล้ว ฉันว่ากว่าเจ้าติ๊นจะกลับมานายได้ผอมเป็นไม้เสียบผีเพราะต้องทนกินอาหารฝีมือลูกชายฉันแน่ ๆ”


เอกรงค์มุ่นคิ้ว ใช้ส้อมเขี่ยมันฝรั่งต้มจนเละพลางนึกถึงข้าวกล่องแสนอร่อยที่ศุกลทำมาให้เป็นมื้อกลางวันเกือบทุกวันที่อีกฝ่ายติดธุระจนไม่สามารถมานั่งกินข้าวด้วยกันได้


“จะว่าไปก็เร็วเหมือนกันนะ เผลอเดี๋ยวเดียวสามปี เคยคิดไหมว่ามาไกลกว่าเป้าแล้ว” คำพูดของเพื่อนทำเอากุมารแพทย์หนุ่มยิ่งมุ่นคิ้วหนัก


“นายหมายความว่ายังไง”


“ก็ปกติเวลาคบใครฉันเห็นนายตั้งเป้าเอาไว้ไม่ใช่เหรอว่าที่สุดแล้วความรักจะต้องสมบูรณ์แบบ นายถึงได้ทุ่มเทจนแทบถวายหัว”


“ก็ใช่อยู่หรอก ถึงมันจะเป็นความสัมพันธ์ที่อาจจะดูฉาบฉวยในสายตาใคร แต่ลึก ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนแฟนบ่อย ๆ หรอกนะ อยากจะคบนาน ๆ อยู่กันไปจนแก่จนเฒ่าได้ก็ยิ่งดี แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นแบบที่คิดไว้ทุกที”


“แล้วคนนี้ล่ะ คิดว่าจะไปไกลได้แค่ไหน”


“ไม่รู้เหมือนกัน ครั้งนี้ไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรทั้งนั้น” เอกรงค์ส่ายหัวยิ้ม ๆ


“แต่ฉันเห็นคำตอบอยู่ในแววตากับรอยยิ้มของนายนะ”


คนฟังเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองเพื่อนรักที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า ใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจออยู่ 2-3 ครั้งจึงเอ่ยขึ้น


“นี่ไง” พูดจบก็วางโทรศัพท์ลงกลางโต๊ะ


“เฮ้ย! แอบถ่ายตั้งแต่เมื่อไร” เอกรงค์ถามเขิน ๆ เมื่อเห็นว่าภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็คือภาพของเขากับศุกลที่นั่งกันคนละฝั่งของโต๊ะในโรงอาหาร สองคนต่างมีรอยยิ้มให้กัน ใบหน้าเปี่ยมสุขราวกับกำลังได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศจากภัตราคารในโรงแรมชื่อดังกับคนที่รู้ใจ


“เจ้านอฟมันส่งมาให้ฉันดูเพื่อเป็นการยืนยันว่าแผนการของมันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี”


“น่าจะนานมากแล้วนะ” เอกรงค์ว่า เขาจำเสื้อเชิ้ตสีหวานที่ซื้อเป็นของขวัญครบรอบวันที่ตกลงเป็นแฟนกันได้ดี ตอนแรกศุกลก็อิดออดไม่ยอมใส่ตามประสาหนุ่มศิลปินที่มีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แต่เมื่อเขาแสร้งทำน้อยอกน้อยใจเข้าหน่อยก็ใจอ่อนยอมใส่แต่โดยดี


“ถ้าเทียบกับแฟนคนก่อน ๆ ของนาย ฉันบอกได้เลยว่าเจ้าติ๊นนี่ถือว่าธรรมดามาก ก็น่าแปลกนะคนธรรมดา ๆ กลับเป็นคนที่ทำให้นายไม่ต้องวางมาดเนี้ยบตลอดเวลา ไม่ต้องกระหืดกระหอบไปให้ทันนัด ไม่ต้องกินอาหารในภัตตาคารหรู ๆ แค่กินข้าวในโรงอาหารด้วยกันก็มีความสุขได้ ฉันพูดแบบนี้ถูกหรือเปล่า”


“อือ” กุมารแพทย์หนุ่มตอบไม่เต็มเสียงก่อนจหลุบตาลงต่ำ


“แบบนี้ละมั้งถึงไม่ต้องคาดหวังอะไร ปล่อยให้มันเป็นแบบที่มันควรจะเป็น แค่รู้ว่าวันนี้ยังรักกันก็พอ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมองราวกับไม่เชื่อว่าจะได้ฟังคำพูดเหล่านี้จากคนที่ร้างราจากการมีความรักมาเกือบครึ่งชีวิตอย่างเขา ปรเมษฐ์จึงกระแอมแก้เก้อเบา ๆ “ก็จำ ๆ เขามาพูดน่ะ ว่าแต่ตั๋วเครื่องบินนั่นล่ะจะเอายังไง”
พูดจบก็มองเลยไปยังตั๋วเครื่องบินที่ยังคงเสียบอยู่กับสมุดบันทึกข้างเครื่องคอมพิวเตอร์


“ก...ก็...”


“อันนี้น่ะน่าเสียดายกว่าข้าวกล่องเจ้านอฟอีกนะ ขืนทิ้งมีหวังคนให้เสียใจแย่”


“อยากทำอะไรไม่ปรึกษาเองนี่ เซอไพรส์อะไรไม่เข้าท่า รู้ทั้งรู้ว่าฉันมีภาระเยอะ”


“เฮ้อ...ตามใจโว้ย” ปรเมษฐ์ยักไหล่ ลุกขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจากนั้นจึงเดินไปที่ประตู แต่แล้วร่างสูงก็หยุดก่อนจะหันมากล่าว “ฉันรู้ว่านายเป็นคนมีเหตุผล แต่เรื่องบางเรื่องน่ะเอาความรู้สึกตัดสินบ้างก็ได้ มันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนหรอก”


เอกรงค์มองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อย ๆ ถูกบดบังด้วยบานประตูขนาดใหญ่พลางถอนใจเฮือก เขาเข้าใจความหมายในคำพูดที่ปรเมษฐ์กล่าวทิ้งท้ายได้ในทันทีหากแต่สมองกลับยังคงคิดค้านความต้องการในส่วนลึกของตนเอง...


....


“ขอบคุณนะครับพี่ติ๊น”


“ไม่เป็นไร ก็สัญญากันไว้แล้วนี่นาว่าถ้าทัศน์สอบชิงทุนของ KUAD ได้พี่จะมาส่ง” ศุกลว่าพลางตบเบา ๆ บนบ่าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปี “ตั้งใจเรียนล่ะ อย่าทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง แล้วอย่าลืมโทรหาน้องบ้างล่ะ พี่ชายมาเรียนไกลแบบนี้คงเหงาแย่”


“ผมฝากให้นอฟช่วยดูแลน้องแทนผมแล้วละครับ แต่จะหมั่นโทรหาบ่อย ๆ” ธีร์ทัศน์ยิ้ม 


“ขอบใจมากนะติ๊นที่อุตส่าห์ทิ้งงานมาเป็นธุระให้ทั้งเรื่องที่เรียนของเจ้าทัศน์แล้วก็เรื่องตั๋วเครื่องบินกับที่พัก” วิศวกรร่างสูงใหญ่กล่าวพร้อมกับหันไปยิ้มให้ภรรยา “เลยเหมือนได้มาฮันนีมูนรอบสอง” 


“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ถ้ามีอะไรก็บอกกับโยชิฮิสะซังได้เลยนะครับ เขามีหน้าที่ดูแลนักเรียนทุนที่นี่ ไม่ต้องเกรงใจ”


“แล้วนี่จะไม่อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนจริง ๆ เหรอจ๊ะ นี่ยังคุยกันบนเครื่องอยู่เลยว่าเดี๋ยวถึงแล้วจะชวนติ๊นทานข้าวด้วยกันสักหน่อย”


“ขอบคุณมากครับคุณแม่ แต่วันนี้ไม่สะดวกจริง ๆ พอดีผมมีธุระต้องไปทำน่ะครับ ยังไงผมถือโอกาสลาเลยก็แล้วกันนะครับ” จิตรกรหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้สองสามีภรรยาที่เดินมาส่งที่หน้าโรงแรม


“ถ้าอย่างนั้นผมเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์นะพี่ติ๊น”


ศุกลพยักหน้าพลางรั้งเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วเดินนำศิษย์รักไปยังที่รอรถประจำทางซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล


“เสียดายจังเลยนะครับ หมอโมน่าจะมาด้วยกัน”


“อือ...น่าเสียดาย แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา เขาก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเนอะ” ศุกลตอบเรียบ ๆ


“ดีจังเลยนะครับ ตั้งแต่พี่ติ๊นคบกับหมอโม ผมเห็นหมอโมทำงานแทบจะไม่มีวันหยุดเลยแต่ก็ไม่เคยเห็นสองคนจะทะเลาะกันเรื่องนี้”


“ใครว่าล่ะ” คนพูดอมยิ้ม “ก่อนพี่จะมาส่งทัศน์ที่เกียวโตก็ยังทะเลาะกันอยู่เลย ชวนให้มาด้วยกันก็บอกว่าลางานไม่ได้” นึกถึงย้อนไปถึงวันที่ทะเลาะกันเพราะเขาดันเอาตั๋วเครื่องบินไปยื่นให้ทั้งที่ไม่ได้ปรึกษาเจ้าตัวมาก่อนจนถูกบ่นเสียยกใหญ่แล้วอดขำไม่ได้ ศุกลเผลอส่ายหัวเบา ๆ จนธีรทัศน์นึกเป็นห่วง


“อย่าคิดมากเลยครับพี่ติ๊น คิดเสียว่าเป็นสีสันของชีวิต”


“นั่นสินะ ขอบใจนะทัศน์” จิตรกรหนุ่มยิ้มให้ “รถมาแล้วพี่ไปก่อนนะ”


เมื่อรถประจำทางปรับอากาศคันใหญ่จอดสนิท ตัวรถฝั่งประตูก็ค่อย ๆ เอียงลงเพื่อให้คนโดยสารก้าวขึ้นลงได้สะดวก ศุกลก้าวขึ้นไปบนรถก่อนกวาดตามองหาที่นั่งซึ่งพอจะเหลืออยู่บ้าง จากนั้นก็เดินไปนั่งที่ริมหน้าต่างทอดตามองทิวทัศน์สองข้างทางที่เต็มไปด้วยผู้คน บนถนนแน่นขนัดไปด้วยรถรา ดังนั้นจึงทำให้รถบัสที่โดยสารมาเคลื่อนไปได้อย่างช้า ๆ ผ่านพิพิธภัณฑ์ มหาวิทยาลัย แม่น้ำ จนกระทั่งมาหยุดที่จุดหมายปลายทางในตอนใกล้ค่ำ จิตรกรหนุ่มก้าวลงจากรถและเลือกที่จะหันหลังให้ผู้คนนับพันที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมารอบ ๆ บริเวณของสถานีรถไฟเกียวโตมุ่งหน้าสู่หอคอยสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า บรรยากาศบนเกียวโตทาวเวอร์เงียบสงบต่างจากข้างล่างอย่างสิ้นเชิง มันยังคงยืนอย่างโดดเดี่ยวรอคอยการมาเยือนของนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาแล้วจากไป แต่สำหรับศุกลแล้วคนที่เขารอมีเพียงคนเดียวเท่านั้น...


ตาคมทอดมองแสงไฟระยิบระยับที่ติดขึ้นท่ามกลางความมืด ในที่สุดเกียวโตก็สว่างไสวขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคิดถึงแทรกซึมเข้ากลางหัวใจ วันนี้ก็ไม่ต่างกับเมื่อหกปีก่อน ศุกลตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหวังว่าจะได้ยินเสียงคนที่ปลายสายสุดท้ายก็ได้ฟังแค่เสียงจากระบบตอบรับอัตโนมัติ ชายหนุ่มหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจนได้เวลาปิดทำการของหอคอยจึงหันหลังกลับแต่แล้วร่างของเขาก็ปะทะเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมา


“Sorry” ศุกลเอ่ยขึ้นโดยทันทีก่อนจะมองหน้าคนที่ตนเองเพิ่งทำให้เจ็บให้เต็มตา


“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มสวมเสื้อโค้ทสีดำเอ่ยขึ้น 


“คนไทยหรอกเหรอครับ”


“ใช่ครับ ผมเป็นคนไทย” พูดจบเขาก็เดินผ่านร่างสูงกว่าไปหยุดชิดริมผนังกระจกแล้วมองออกไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่ศุกลก็ไม่อาจรู้ได้


“มาเที่ยวเหรอครับ” จิตรกรหนุ่มถามพร้อมกับลอบมองเงาสะท้อนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ปรากฏลาง ๆ บนระนาบใส


“มาตามหาแฟนน่ะ”


“แล้วเจอหรือยังครับ”


คนถูกถามถอนใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาช้า ๆ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มจนเกิดรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม “เจอแล้ว”


ศุกลเองก็ยิ้มกว้างไม่ต่างกันก่อนจะโผเข้าสวมกอดคนที่ไม่พบหน้ากันกว่าหนึ่งสัปดาห์ ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับซอกคอขาวสูดกลิ่นกายที่โหยหาให้เต็มปอดแล้วกระซิบเบา ๆ “นึกว่าโมจะไม่มาเสียแล้ว”


“กลัวจะมีเด็กร้องไห้เลยต้องรีบตามมา”


“ผมคิดถึงจะแย่อยู่แล้วรู้ไหม” พูดจบศุกลก็ขยับห่างออกมาสบตาคนในอ้อมแขน


“คิดว่าติ๊นคิดถึงเป็นคนเดียวหรือไง หืม?” ว่าพลางยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคนตัวสูงให้เข้าที่ก่อนจะไล้ฝ่ามือลงประคองแก้มสาก


“โมคิดถึงผมด้วยเหรอ” ศุกลกล่าวพร้อมกับรั้งมือที่แนบอยู่กับแก้มมากุมไว้ ดวงตาสองคู่ยังสบกันนิ่ง ในที่สุดก็เป็นเอกรงค์ที่เอ่ยขึ้น


“ถ้าไม่คิดถึงจะบินตามมา ว่าแต่...ผมรู้นะว่าเรารู้จักกันครั้งแรกที่นี่แต่ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ”


“ก็เพราะว่าเราได้พบกันครั้งแรกที่นี่ในวันนี้ของเมื่อหกปีก่อนไงครับ โมจำได้ไหม”


“จะโกรธไหมถ้าผมบอกว่าเรื่องวันเวลาไม่อยู่ในหัวผมเลย มีแต่ตารางเวรเต็มไปหมด”


“ไม่โกรธหรอกครับ” ว่าแล้วจิตกรหนุ่มก็ใช้สองมือประคองเอวสอบเข้านิด ๆ เอาไว้ “เดี๋ยวผมจำให้โมเอง แค่โมจำว่าโมเคยเจอผมที่นี่ก็พอแล้ว”


“ปากหวาน” เอกรงค์ส่งยิ้มให้คนตรงหน้า อดคิดไม่ได้ว่าหนุ่มศิลปินนี่ช่างเก็บรายละเอียดดีจริง ๆ เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าแบบนี้แหละที่เรียกว่าผู้ชายโรแมนติกในความคิดของเขา


“ปากคุณหมอหวานกว่า” พูดจบก็โน้มหน้าเข้าหาหวังจะฉกชิมกลีบปากสีเรื่อเพื่อตอกย้ำในสิ่งที่ตนเองกล่าว แต่กลับถูกเอกรงค์ปรามไว้ดดยการยกแตะปลายนิ้วที่ริมฝีปากอุ่นก่อนจะกล่าว


“อย่าน่า คนเยอะ”


ศุกลเลิกคิ้วก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครอื่นนอกจากพวกเขา “เยอะที่ไหนกันครับ ก็เห็นอยู่ว่ามีแค่เราสองคน” พูดจบก็แกล้งงับเบา ๆ ที่ปลายนิ้วทำเอาคุณหมอก้มหน้างุด


“เหนื่อยไหมครับ” ทันทีที่จบคำถามก็ได้ยินเสียงงึมงำเบา ๆ


“มาก อยากแช่น้ำอุ่น”


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับโรงแรมกันนะครับ” ศุกลกระซิบแล้วจับอีกฝ่ายก่อนจะพากันเดินไปที่ลิฟต์ ทันทีที่ออกจากอาคารสูงก็พากันวิ่งข้ามถนนในจังหวะที่สัญญาณคนเดินข้มปรากฏขึ้น


สองคนจับมือกันวิ่งฝ่าความหนาวเย็นหลบหลีกผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ภายในสถานีรถไฟกระทั่งเข้าสู่ตรอกเล็ก ๆ ที่แสนเงียบเชียบ ในที่สุดคนตามก็ชะลอฝีเท้าลงพร้อมกับรั้งแขนแกร่งที่ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้วิ่งชนิดม้วนเดียวจบเช่นนี้ 


“ด...เดี๋ยว...ติ๊น” เอกรงค์เรียก ถ้าคำขาด ๆ หาย ๆ เพราะต้องแบ่งหายใจทางปาก “จะรีบไปไหน”


“พาโมกลับไปแช่น้ำอุ่นไงครับ” ศุกกลตอบหน้าซื่อ


“แค่นั้นเหรอ”


“ครับ”


เอกรงค์มองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ไม่รู้ว่านี่แกล้งกันอยู่หรืออีกฝ่ายไม่รู้จริง ๆ นะว่าเขากำลังคิดอะไร กุมารแพทย์หนุ่มขยับเข้าใกล้ก่อนจะยกมือขึ้แตะแผงอกกว้างออกแรงดันจนร่างสูงติดกับกำแพง


“แล้วถ้าผมอยากได้มากกว่านั้นล่ะ”


“เช่นอะไรครับ” คำถามนั้นมาพร้อมกับสองมือที่เคล้นคลึงเบา ๆ ที่สะโพก
คนอายุมากกว่ายกมุมปากขึ้นน้อย ๆ เมื่อนึกถึงฉายา ‘พี่ติ๊นหน้ามนคนซื่อ’ ที่นภธรณ์ใช้เรียกชายหนุ่มตรงหน้า แท้จริงแล้วเขาน่ะเจ้าเล่ห์ชนิดหาตัวจับยากต่างหาก


“คิดนานจัง”


“รู้แล้วยังแกล้งถาม รีบไปเถอะ” ว่าแล้วก็รั้งมือคนรักให้เดินต่อ แต่ศุกลกลับแกล้งขืนตัวจนเอกรงค์ต้องหันมาส่งสายตาดุเป็นระยะ ๆ


ทันทีที่ถึงโรงแรมเอกรงค์ก็จับการเก็บกระเป๋าเดินทางใบโต ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่จากนั้นจึงกลับออกมาในชุดยูกาตะสีเข้มซึ่งเป็นชุดใส่นอนที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นสุกลจึงเดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้องสี่เหลี่ยมแล้วกลับมานั่งลงที่เตียง ลองทิ้งน้ำหนักตัวทดสอบความยืดหยุ่นของที่นอนแล้วอมยิ้มคนเดียว พลันหูก็ได้ยินเสียงเคาะเบา ๆ ก่อนจะที่คนด้านนอกจะแตะคีย์การ์ดแล้วหมุนลูกบิดดันประตูเข้ามา


“ไปไหนมา” เอกรงค์ถามคนที่อยู่ในชุดเดียวกัน


“ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวมมาครับ”


“นี่ผมอาบน้ำนานไปเหรอ”


“เปล่า” ศุกลว่า จากนั้นจึงเดินมานั่งลงข้างกัน “กลัวไม่ทันใจโมต่างหาก”


คนฟังเสมองไปทางอื่น แต่เมื่อจิตรกรหนุ่มเอื้อมมือรั้งสายคาดเอวออกก็เหมือนเป็นการถอดสลักคลายโซ่ที่พันธนาการจิตใต้สำนึกปลดปล่อยความรู้สึกโหยหาให้โลดแล่นอีกครั้ง 


ชั่วพริบตาชุดยูกาตะสำหรับสวมใส่เวลานอนก็ถูกปลดออกกองลงกับพื้น หากแต่ร่างกายกลับรู้สึกอุ่นด้วยอ้อมกอดที่ต่างคนแสนคิดถึง ศุกลดันอีกฝ่ายลงกับเตียงก่อนจะตามไปทาบทับร่างนั้นเอาไว้ทั้งตัว ผิวเนื้อแนบสนิทจนรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิกายที่พลุ่งพล่านของกันและกัน จิตรกรหนุ่มบรรจงแตะจูบเบา ๆ ที่สองแก้มจนพอใจก่อนจะเลื่อนมากลืนกินกลีบปากที่เผยอออกรับ ดูดดึงอย่างเชื่องช้าแต่แต่หนักหน่วงจนทำให้เอกรงค์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง มือขาวที่เคยกำผ้าปูที่นอนแน่นค่อย ๆ คลายออก แล้วยกขึ้นลูบไล้ไปบนแผ่นหลังเย็นเฉียบที่แน่นด้วยมัดกล้ามอย่างห้ามใจไม่อยู่ เสียงเรียกพร่ำคำว่ารักที่ข้างหูกับ ความหวานซึ้งของรสจูบจุดอารมณ์หวามไหวลุกโชนที่กลางอกก่อนจะแล่นไปทั่วทุกอณูกายราวกับเปลวไฟที่ค่อย ๆ ลาม ดวงตาไหวระริกจ้องมองคนอายุน้อยกว่าที่จู่ ๆ ก็ขยับห่างออกเบี่ยงตัวเอื้อมหยิบบางอย่างจากลิ้นชักข้างเตียง และเมื่อกลับมาสบตากันอีกครั้ง เอกรงค์ก็รู้สึกร้อนวาบไปทั้งใบหน้า นั่นเพียงเพราะซองอลูมิเนียมเล็ก ๆ ที่ศุกลใช้ริมฝีปากเม้มมุมหนึ่งเอาไว้ แม้จะไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก แต่แววตาที่ส่งมาก็พอจะสื่อความหมายให้รู้ถึงความปรารถนาภายในใจได้ทั้งหมด กุมารแพทย์หนุ่มสบตานิ่ง แล้วคว้าต้นเหตุมาไว้กับตัวเสียก่อนที่มันจะทำให้ทั้งร่ายกายและหัวใจเสียการควบคุมไปมากกว่านี้


“หมอโมรู้ไหมครับว่ามันใช้ยังไง” 


คนฟังอมยิ้มทันทีที่ได้ฟังถ้อยคำของพ่อศิลปินคนซื่อ เม้มปากอย่างมันเขี้ยวอยู่เพียงชั่วกลั้นลมหายใจก่อนจะพลิกตัวดันร่างอีกฝ่ายลงกับเตียงแล้วขึ้นนั่งทับบนตัวอย่างรู้งาน


“สอนไม่เคยจำ”


“หมอโมสอนไม่เก่งไง” ศุกลยกยิ้มมุมปาก


“เดี๋ยวก็รู้” เอกรงค์ส่ายหัวน้อย ๆ ทอดตามองคนใต้ร่างอย่างเอ็นดู ก่อนจะเริ่มนำเข้าสู่บทเรียนอย่างเชื่องช้า และคงต้องใช้เวลาเป็นชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าจะสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติจนครบ....


“ผมชดเชยให้จนพอใจโมหรือยังนะ” ศุกลกระซิบถามหลังจากบทเรียนแรกเพิ่งสิ้นสุดลงไป ริมฝีปากหยักก่อนกดจูบลงที่ซอกคอแล้วไล่ลงมาตามลาดไหล่เปลือยเปล่า สองแขนแกร่งโอบรัดของคนรักที่กำลังหลับตาพริ้มจากด้านหลัง เสียงพึมพำเบา ๆ ว่า “ยังไม่พอ” ชวนให้อยากจะเริ่มบทเรียนใหม่เสียเดียวนี้


“แต่พรุ่งนี้เราต้องไปเที่ยวกันหลายที่นะครับ อุตส่าห์มาญี่ปุ่นด้วยกันทั้งที” ปากพูดไปเช่นนั้นหากแต่ปลายจมูกยังคงคลอเคลียลำคอระหงไม่ห่าง


เอกรงค์ปรือตาขึ้นอีกครั้งแล้วขยับตัวหันกลับมาซุกหน้ากับอกกว้างเป็นจังหวะเดียวกับที่คนอายุน้อยกว่าพลิกตัวนอนหงายปล่อยให้เขาได้ทาบทับลงไปตามใจชอบ “ที่ผมมาผมไม่ได้อยากไปเที่ยวไหนนี่ แค่อยากอยู่กับติ๊น”


จิตรกรหนุ่มยิ้มกว้างไม่รู้ว่าเพราะประโยคซื่อตรงนั้นหรือเพราะไอร้อนจากร่างกายของคนพูดกันแน่ที่ให้หัวใจที่เพิ่งสงบลงได้เพียงไม่นานกลับเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ศุกลกดจูบลงกลางกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก่อนจะใช้มือเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นสบตากัน


“รักนะครับ”


เอกรงค์ยิ้มตอบ ขยับร่างขึ้นกดปลายจมูกเข้าข้างศีรษะของคนรักแทนคำตอบของตน นึกถึงคำที่เคยตกลงกันในห้องใต้หลังคา ศุกลไม่เคยโกหกว่าถ้าวันใดที่เขาเข้าไปในหัวใจอีกฝ่ายได้จะพูดคำว่ารักให้ฟังจนเบื่อ และน่าแปลกเพราะตอนนี้เขาก็ฟังอยู่ทุกวันจนเข้าสู่ปีที่สามแล้วแต่กลับไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเลยสักนิดเดียว ศุกลทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าชีวิตไม่ใช่นิยายรักที่จบลงด้วยความรักของตัวละครเอกแล้วเรื่องจะจบ แต่ชีวิตของพวกเขานับจากนี้มันคือการช่วยกันประคับประคองความรักที่มีต่อกันไปให้ไกลที่สุดเท่าที่สองคนจะทำได้ต่างหาก


...จบ...
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 10-02-2017 19:49:51
leGGyDan:

จบแล้วสำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้...
(เรื่องสั้นค่ะ อ่านไม่ผิด ด้วยตัวพล็อตเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวาซับซ้อนให้คิดเยอะขัดกับทางของทั้งเราและพี่นัท...
ของรายนั้นคือตัวเอกได้เจอกันตั้งแต่หน้าแรก จีบ ได้กัน เต็มไปด้วยความหื่นแถมต้องทำการบ้านโดยการดูหนังโป๊มาเขียน nc อีก...
ที่เราเหมือนกันคือความชอบเวิ่นค่ะ แค่ 14 ตอนแต่ปาร้อยกว่าหน้าเลยนะตัว...อย่าทำเป็นเล่นไป)
เราตั้งใจเขียนเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ชั่ววูบซึ่งเกิดจากความเศร้าจนไม่คิดว่าจะยิ้มได้อีกครั้ง
เหมือนคนเพิ่งอกหักที่จมอยู่กับความเศร้า
หมอโมในเรื่องก็คงเป็นเหมือนเราในตอนนั้นที่อยากจะยิ้ม ทำงานในแต่ละวันไปเหมือนไม่มีอะไรทั้งที่ในใจเคว้งคว้าง
อยากจะหาใครสักคนมาเติมเต็ม
แล้วผู้ชายคนนี้ก็เข้ามา...
ขอบคุณ ขุ่นพี่ที่ตามใจน้อง (อีกแล้ว) ทั้งที่ตัวเองร่ำๆ อยากจะปิดเพจวันละสามเวลาหลังอาหารด้วยความอินดี้ที่ธีสิสป.เอกไม่ถึงไหนสักที
ขอบคุณ คนอ่านที่แวะเวียนเข้ามาและไม่ผ่านไปเฉยๆ แต่ทิ้งคอมเมนต์ไว้เปนหลักฐานว่า 'กาลครั้งหนึ่ง' เราเคยยิ้มมาด้วยกัน
ปล.พบกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามีแพลนจะเปิดเรื่องใหม่เร็วๆ นี้


แนบรูป*
(https://www.mx7.com/i/c37/07aXSI.jpg)

ถธปทฟ:

ตามใจตั้งแต่เขียนนิยายยันแนบรูป...

ในที่สุดเราก็มาถึงตอนสุดท้ายของเรื่องที่ตั้งแต่แรกตกลงกันไม่ได้ว่าจะจัดอยู่ในหมวดเรื่องสั้นหรือเรื่องยาวดี
จากวันที่หลวมตัวยอมเขียนเรื่องนี้ตามคำชวนของลูกหมูมีทั้งความเครียดและความขำปน ๆ กันไปค่ะ
หลายครั้งที่แอบคิดว่า ตัวละครมันจะไปได้สุดตามที่เราแต่ละคนอยากให้เป็นไหม เรื่องทั้งหมดจะออกมายังไง
มีหลายครั้งที่อยากจะเลิกเขียนเอาดื้อ ๆ แต่ก็ต้องขอบคุณลูกหมูมาก ๆ ค่ะ ที่ช่วยประคองกันมาจนถึงตอนจบ
ขอบคุณที่มาชวนทำอะไรให้พอยิ้มได้ในช่วงเวลาที่เศร้าสุด ๆ
ติ๊นเองก็คงเหมือนกับเราในช่วงเวลานั้นเช่นกัน วันหนึ่งที่ขาดคนที่รัก ทุกอย่างเหมือนประดังประเดเข้ามา
เหมือนอยู่ตัวคนเดียว แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดต่อไป

เราอยู่กันมาถึง 3 เดือนเลยนะตัว เป็นการช่วยกันเขียนที่สนุกดีค่ะ
รู้สึกต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่งยวด เวลาถูกลากเข้า nc เพราะฉะนั้นเราต้องชิงทิ้งติ่งไว้ก่อน
ขืนปล่อยมาถึงมือเรา มันก็จะกลายเป็น nc2+ อย่างที่ลูกหมูว่า
แต่สุดท้ายก็ลูกหมูอีกนั่นแหละที่บิ๊วจน nc2+ กลายเป็น 20+ (นี่เรียก nc แล้วใช่ไหม ถ้าแบบนี้เรียก nc ไม่ต้องดูหนังโป๊ก็ได้มั้ง)
ขอบคุณและทวง nc อีกได้ที่เพจ leGGyDan นะคะ

ในที่สุดก็ถึงเวลาบ๊ายบายแล้วนะ เราขอใช้เพลงฮิตสมัยเป็นลูกเสือสำรองบอกลาตัวเองตรงนี้...

ก่อนจากกัน...ขอสัญญา
ฝากประทับตรึงตรา จนกว่า จะพบกันใหม่
โบกมืออำลา สัญญาด้วยหัวใจ
เพราะความรัก ติดตรึงห่วงใย
ด้วยใจผูกพันมั่นคง...

หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันในอีกสัก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า
สุดท้ายขอบคุณผู้อ่านทุกท่านสำหรับการติดตาม ของคุณทุก ๆ คอมเม้นและทุก ๆ กำลังใจที่ส่งให้พวกเราค่ะ

ปล. เราไม่ได้มีแพลนจะเปิดเรื่องใหม่นะ แต่เราแพลนว่าจะได้อ่านเรื่องใหม่ของลูกหมูเร็ว ๆ นี้ค่ะ

หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 10-02-2017 20:14:34
จบแบบหวานๆละมุนๆ เขินเป็นบางตอน เศร้าบ้าง อึดอัดบ้าง แต่ก็เลิกอ่านไม่ได้ ขอบคุณทั้งสองคนเลย รอติดตามผลงานต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 10-02-2017 21:11:02
ขอบคุณทั้งสองท่านสำหรับงานเขียนดีๆ นะคะ  เป็นกำลังใจให้นะคะ เขียนงานใหม่ๆมาอีกนะ รออ่านเสมอ
อ่านจบแล้วอิ่มใจ ในที่สุดลุงหมอหน้าเด็กก็สมหวังกับรักที่รอคอย
ใครจะคิดว่าแรกพบสบตากับใครสักคนมันจะนำพาให้ได้พบกันอีกครั้ง
ถ้าเคมีตรงกันแล้ว  อย่างที่ต้องการคือจังหวะเวลา.... แต่จังหวะเวลานี่ละตัวแสบเลย
 บางทีจังหวะเวลาไม่ใช่ของเรา รอจนกว่าเวลาจะใช่ ดันมีลมพัดหวนมาทดสอบหัวใจให้หวั่นไหวใจแกว่งอีก
ดีนะที่ติ๊นหน้ามนคนซื่อ ตื้อเท่านั้นจนได้รับความไว้วางใจจากหมอโมคืนมาได้ เลยแฮปปี้มีความสุขกันมาจนป่านนี้

ปล.ชอบความตรงไปตรงมาของหมอโมมาก พอรู้ว่าใช่นางก็ใส่เกียร์ลุยจีบๆๆ จนได้มา 555 เป็นนายเอกต้นแบบเลยนะเนี่ย


หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-02-2017 21:39:30
จบซะแล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-02-2017 21:47:06
 :3123: :3123: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-02-2017 22:28:42
มันนุ่มละมุนมาก

อบอุ่นกับทุก ๆ ความสัมพันธ์ในเรื้องนี้

ขอบคุณคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าและ leGGy ที่ทำใหคนอ่านได้อ่านไปยิ้มไป
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 11-02-2017 00:32:50
ต่อเรื่องกันได้ดี ออกจะละมุนละไม บลูนิดๆเพ้อหน่อยๆกับความหลังและรักในอนาคต

ฝีมือ ถธปทฟ.  กับ  LeGGyDan เชื่อขนมกินได้เชียว

 :กอด1:  :L2:  :pig4:  :pig4:  :pig4:

....
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-02-2017 00:54:10
เป็นความหื่นที่ลงตัว ก๊าก....
อ่านเพลิน ไม่อยากให้จบ เหมือนแอบดูชาวบ้าน จิตมาก คนอ่านนี่แหละ
ชอบความมีชีวิตชีวาของตัวละคร ตัวประกอบอย่างหมอโป้และเด็ก ๆ ก็น่ารักน่าเอ็นดู
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักและอบอุ่นเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: LoveRead ที่ 11-02-2017 01:51:30
อุ่นมากๆเลยค่ะ ละมุนละไมสุดๆ
ชอบทุกคัวละครเลย เหมือนสัมผัสได้จริงๆ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: arnis ที่ 11-02-2017 02:05:37
 :mew1:ขอบคุณสำหรับเรื่องอบอุ่นเรื่องนี้ค่ะ nc ขัดอารมณ์ไปหน่อย เล่นตัดไปประตู หัวเตียง ตลอด
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 11-02-2017 11:27:30
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-02-2017 17:28:13
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Once:กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ ตอนที่ 14 รักของเรา (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGy
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 11-02-2017 20:28:30
สนุกค่ะ

ขอบคุณคนเขียนทั้งสองมาก
รอติดตามเรื่องต่อๆ ไปนะคะ
ขอเพียงอย่านาน

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 13-02-2017 02:54:11
เรื่องนี้ให้ความรู้สึกที่อิ่มดีจริงๆ ขอบคุณทั้งสองคนมากค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 13-02-2017 13:05:57
ชอบหมอโม รักเค้าแต่ก็รักตัวเองด้วย ในเมื่อเค้าไม่ชัดเจนก็ถอย แต่เมื่อเค้ามาขอโอกาส โมก็พร้อมลุย ฮา :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 13-02-2017 15:27:48
จบสะแล้ว เราอ่านผลงานของทั้งสองนักเขียนเลยค่ะ

เพราะฉะนั้นตอนเปิดเรื่องนี้มาดีใจมากที่มาโคกัน

เรื่องนี้ncแล้วหรอคะ 555555 ก็ได้คะๆ

อยากอ่านเรื่องใหม่ของทั้งคู่เลยค่ะ จะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 15-02-2017 11:59:09
ขอบคุณทั้งสองคนสำหรับเรื่องสั้นสนุกๆนี้นะคะ
จะติดตามผลงานของทั้งคู่ต่อไปค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 15-02-2017 17:43:00
ขอบคุณมากคร้าบบบบบ หวาน น่ารัก ดีต่อหัวใจอย่างยิ่ง  :L2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 17-02-2017 05:08:45
พออ่านจบใจเรามันเกว่งๆยังไงไม่รู้มีใครเป็นแบบเดียวกันบ้าง
เข้าใจว่าอ่านิยายแต่มันอินกับตัวละครไปแล้วรู้สึกรักและผูกพันกับหมอโมและศุกลไปแล้ว
กาลครั้งหนึ่งฉันเคยอ่าน :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-02-2017 06:12:29
หลัง 3 ปีต่อมาทำเอาชักลังเลว่ายังไงแน่ ฮา
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 19-02-2017 23:49:15
ตอนทีทั้งสองคนทะเลาะกัน เรารู้สึกว่า เหยย สามปีเชียวนะกว่าจะหากันเจอ
ต้องมาผิดใจกันเพราะคนๆนี้หรอ ไม่นะ ต้องง้อให้ได้นะ
แล้วหมอโมก็ใจแข็งจนหวั่นเลยเชียว ดีนะที่พี่ติ๊นเขาถึกทน ยอมง้อไม่ท้อถอย
ชอบความตรงไปตรงมาของหมอโมด้วย ก็ชอบอ่ะ เห็นว่าน่ารัก เลยเข้ามาคุย
บ้าแล้วววว เขินเลย ทำไมทำตัวน่ารักแบบนี้
ขอบคุณที่เขียนนิยายฟีทเจอร์ริ่งกันนะคะ ทั้งสองคนเป็นนักเขียนในดวงใจเรามา
แฮปปี้ตั้งแต่ชื่อคนเขียนแล้ว กดอ่านแบบไม่ลังเล เป็นกำลังใจให้ต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 25-02-2017 15:47:15
อิ่มจริงๆอ่านเรื่องนี้ ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 04-03-2017 16:04:01
 :L1: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: palm-metto ที่ 17-03-2017 22:36:59
หู้ยยย สนุกมากชอบมาก
ชอบตัวละคร ชอบพล็อต ปมดราม่าที่เรียกน้ำตาได้ด้วย หรือว่าจะตอนที่เค้าจีบกัน นี่น่ารักแบบเขิลเบาๆ ไปกับทั้งคู่
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-03-2017 08:37:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 19-03-2017 08:16:39
สนุกๆ ไม่น่าพลาดได้อ่านตอนที่แต่งจบเสียแล้ว
มันเป็นเรื่องราวที่ดีต่อใจนะ ความรักที่ไม่งี่เง่า
แต่มีความเข้าใยเต็มเปี่ยม
แม้จะไม่เข้าใจกัน เข้าใจกันผิด เหมือนจะมีมือที่สาม
แต่ก็ฝ่าฟันมันมาได้
ความรักมั้ยก็เท่านี้อ่ะ
ดีใจกับติ๊นและหมอโม ตั้งแต่หากันจนเจอ
ผ่านอุปสรรคมาด้วยกัน จนได้รักกัน
ขอบคุณนักเขียนทั้งสองคนมาก
ขอบอกว่าอินสุด o13
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: basanti ที่ 22-03-2017 15:32:52
ขอบคุณ ถธปทฟ. กับ LeGGyDan นะคะ :pig4:

หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 28-03-2017 19:38:11
ละมุนละไมมากกกกกกก o13 o13 o13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 14-04-2017 19:31:33
เพราะเราทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ และมีภาระหน้าที่ในชีวิตไม่ต่างกัน หมอโมยุ่งแค่ไหน คนอ่านก็ยุ่งไปไม่น้อยกว่ากัน ฮรือออ โปรดอภัยให้ข้าน้อย เห็นจับมือกันเขียนเรื่องนี้มาได้ชาติเศษ แต่คนอ่านงานเข้าขัดกับค่าตอบแทน หัวยุ่ง หัวหมุน จนชีวิตนี้ คิดว่าจะไม่ได้อ่านนิยายอีกแล้ว พอสบโอกาส มีวันหยุดยาวสงกรานต์ก็ไม่รอช้าเลยที่จะเข้ามาอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ใครว่านักเขียนดองนิยาย นี่คนอ่านก็ดองนิยายไว้อ่าน จนเปรี้ยวปรี๊ดเลยค่ะ ล้องห้าย

อยากจะขอบคุณที่ฟ้าส่งนักเขียนทั้งสองคนมาให้ได้ ft. กัน
ทำให้เกิดความกลมกล่อม ลงตัว อย่างหาที่สุดมิได้
NC ที่เราไม่สามารถคาดหวังได้ ก็ได้อ่าน โฮรรรรรร
ลุ้นกับแต่ละตอน แต่ละฉาก จิกหมอน จิกผ้าห่ม จนเป็นรอยยับย่น
คือถ้าหมอจะขยันขายอ้อยขนาดเน้
เป็นติ๊น จะไม่ทน
แล้วทุกฉากทุกตอนที่ไนท์เข้ามาขัด ไม่ว่าจะโทรมา ส่งข้อความมา หรือมาเอง
ทำให้นึกถึงฉากหมอวินทร์โดนเปิดประตูใส่หน้ายังไงยังงั้น
นี่หมอโมมีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกับหมอวินทร์หรืออย่างไร
ช่างมีชะตากรรมไม่ต่างกันเลย โถๆๆๆๆ

ขอบคุณเหลือเกินที่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานดีๆมาให้ได้เสพ
จะรอผลงานของทั้งสองคนต่อไปค่ะ สู้ๆทั้งคนเขียนและคนอ่านนะคะ ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 17-07-2017 15:29:11
งือออออ ละมุนหัวใจเหลือเกินค่ะ
ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องราวดีๆ
อ่านแล้วมีความสุขมากๆ เลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนทั้งสองท่านเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 11-12-2017 20:28:31
โหววววววว

เราไปอยู่ที่ไหนมา ถึงไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้

นักเขียนที่ชอบสองคน มาเขียนด้วยกัน

จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก   :L2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (จบ) (10-02-2560) p.7 ถธปทฟ & leGGyDan
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 04-11-2018 21:59:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-11-2018 19:10:14
นิยายเปิดให้จองแล้วนะคะ
ผู้อ่านสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เพจ สนพ. เฮอร์มิทนะคะ

รายละเอียดของส่วนที่เป็นเนื้อหา มีดังนี้ค่ะ

#Onceกาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ มีตอนพิเศษ 1 ตอนที่ช่วยกันเขียนค่ะ เรากับ leGGyDan จะนำทุกคนกลับไปที่ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง เพื่อพาคุณหมอเอกรงค์กับศุกลไปทำภารกิจสำคัญที่ศาลเจ้าฟูชิมิ (ศาลเจ้าจิ้งจอก) ในตอนพิเศษที่ชื่อว่าแก้บนค่ะ

ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ หวังว่าทุกคนจะมีความสุขค่ะ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 20-11-2018 10:36:20
ตอนพิเศษ 1 ตอน!  :hao5:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: LUX-SAMA ที่ 08-12-2018 14:34:04
 :กอด1:
กลับมาอ่านรอบที่ 3 แล้ว ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 17-01-2019 22:37:36
น่ารักดีค่ะ
ชอบแก้งกามเทพน้อย 5555+
น่ารัก
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆ
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: TeuyHom ที่ 03-03-2019 18:28:53
ตินโม น่ารักจริงๆเลย อ่านไปเขินไป
 :oo1: :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 07-08-2019 13:44:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
เดี่ยวมาอ่านนะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 09-08-2019 06:29:21
 :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 14-08-2019 09:54:40
 :pig4: :ruready :pig4:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 15-08-2019 09:07:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
เป็นความรักที่ดีงาม
ปรบมือให้คนแต่งทั้ง2เลยคะ
ขอให้มีผลงานออกมาอีกนะ
 :mew1:
 :mew1:
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 29-03-2020 22:21:44
พรหมลิขิตมากๆ โลกเหวี่ยงให้ฉันมาเจอเธอ><

ชอบหมอโมมากที่ใจแข็งเพราะนายติ๊นก็ไม่ชัดเจนจริงๆ คือไนท์โทรมาทีไรต้องไปหาตลอดใครมันจะไปทนได้ เราว่าหมอโมนี่กะเทจริงเลยแหละ5555 ดีที่ยังกลับมาจูนกันติด สาวๆหนุ่มๆท่องไว้นะคะ จะรักใครก็ควรชัดเจน ไม่ว่าความรักครั้งนี้มันจะปังหรือจะบ้งก็ตามให้ถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว อย่าไปเหมือนนังติ๊นนะที่แอบกั๊ก(อย่าบอกว่าไม่กั๊ก เนี่ยแหละกั๊กของจริง) พอหมอโมจะเทถึงกล้าจะแข็งใส่ไนท์


ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ สนุก><
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Pawana ที่ 17-04-2020 18:54:13
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
เริ่มหัวข้อโดย: YoKu ที่ 19-04-2020 11:04:01
ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับนิยายฮีลใจ (จัดประเภทโดยเราเอง 55)

ลุ้นหมอโมจนเกือบเหนื่อยเลยค่ะ ดีใจที่หมอได้เจอความรักดีๆซะที
ไม่งั้นอาจต้องอยู่เป็นภาระของคุณพ่อปรเมษฐ์และน้องนอฟไปตลอด
ส่วนพี่ติ๊นนั้น ไม่อยากพูดถึง ยังเคืองเรื่อง เพื่อน คนนั้นอยู่ค่ะ 5555