เขาจะรู้ไหมนะ
ว่ารอยยิ้มเมื่อวันแรกที่พบกันมันยังคงตราตรึง
อยู่ในหัวใจของใครคนหนึ่งและจะเป็นเช่นนั้นไปอีกนานแสนนาน
Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ
เรื่องย่อ :
‘ศุกล’ ได้ทุนไปเรียนระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยที่ประเทศญี่ปุ่น บังเอิญได้พบกับ ‘เอกรงค์’ บนเกียวโตทาวเวอร์ ไม่เคยคิดเลยว่าอีก 3 ปีให้หลัง โชคชะตาจะนำพาให้ได้มาพบเขาอีกครั้งที่โรงเรียนสอนศิลปะของตนเองเพียงเพราะภาพที่คนวาดให้ชื่อว่า ‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนดำเนินไปด้วยดีหาก ‘รัตติเขต’ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าที่ศุกลเคยสารภาพความรู้สึกที่มีให้รู้ไม่หวนคืนมาอีกครั้ง ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงเกิดขึ้น ซ้ำพวกผู้ใหญ่ยังต้องหัวหมุนเมื่อเด็ก ๆ ที่สถาปนาตัวเองว่าเป็น ‘แก๊งกามเทพน้อย’ ยื่นมือเข้าช่วย
เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)
สารบัญ
ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3503558#msg3503558)
ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3505132#msg3505132)
ตอนที่ 3 แสงและเงา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3506039#msg3506039)
ตอนที่ 4 เข้าใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3508665#msg3508665)
ตอนที่ 5 จูบแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3511074#msg3511074)
ตอนที่ 6 I , sea , U (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3520311#msg3520311)
ตอนที่ 7 Night (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3521060#msg3521060)
ตอนที่ 8 ลมหวน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3524175#msg3524175)
ตอนที่ 9 ตะกอน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3525008#msg3525008)
ตอนที่ 10 อากาศ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3535051#msg3535051)
ตอนที่ 11 โอกาส (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3546783#msg3546783)
ตอนที่ 12 อีกครั้ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3556276#msg3556276)
ตอนที่ 13 I'm Yours (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3557732#msg3557732)
ตอนที่ 14 รักของเรา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.msg3575810#msg3575810)
Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ
โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า และ leGGyDan
ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง
‘Light and Shade’ คือชื่อของอาคารไม้สองชั้นสีขาวหลังคาจั่วแวดล้อมด้วยแมกไม้เขียวชอุ่มตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง เมื่อพ่อซึ่งเป็นศิลปินที่มีความชำนาญด้านศิลปะไทยสิ้นบุญลงตั้งแต่หนึ่งปีก่อน ลูกชายคนเดียวจึงสืบทอดเจตนารมณ์โดยบูรณะซ่อมแซมบ้านหลังนี้ซึ่งเป็นมรดกชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้โดยไม่คิดขาย แม้จะมีนายทุนให้ราคาดีก็ตาม
เรือนหลังเล็กซึ่งเป็นพื้นที่พักผ่อนที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวถูกสร้างขึ้นใหม่แยกจากเรือนหลักเยื้องมาทางด้านหลังเกือบติดกำแพงบ้าน แต่ก็ยังมีที่ทางเหลือพอสำหรับปลูกต้นไม้ใบหญ้า ที่นี่นอกจากจะมีเรือนหลังใหญ่ไว้ให้บริการเช่าพื้นที่สำหรับแสดงผลงานศิลปะแก่นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไปแล้ว เจ้าของยังต่อเติมปีกด้านซ้ายออกไปโดยชั้นบนนั้นเป็นสตูดิโอเขียนภาพ ภายในโถงด้านล่างที่ล้อมรอบด้วยผนังกระจกกรอบลูกฟักถูกแบ่งเป็นสัดส่วนตามประเภทของศิลปะที่มีการเปิดสอนให้แก่ผู้สนใจ
โต๊ะเก้าอี้ถูกออกแบบขึ้นโดยเฉพาะเพื่อให้เหมาะกับประโยชน์ใช้สอย อุปกรณ์ศิลปะถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ง่ายต่อการนำออกมาใช้งาน ทั้งกระดานวาดรูป กระดานเขียนแบบ หุ่นปูนปลาสเตอร์ ขาตั้งสำหรับวาดภาพสีน้ำมัน แท่นพิมพ์ แท่นหมุนขึ้นรูปสำหรับทำงานปั้น รวมไปจนถึงเตาเผาเซรามิกเล็ก ๆ หลังโรงรถ แม้อุปกรณ์ต่าง ๆ จะรองรับผู้เรียนได้จำนวนไม่มากนัก แต่ก็พอที่จะสามารถทำให้แต่ละคนสามารถค้นพบตัวเองได้อย่างไม่ยาก ที่นี่จึงเป็นดั่งจุดเริ่มต้นของคนมีฝันหลาย ๆ คน
“Once upon a time กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ”
เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายพึมพำขณะไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนโปสเตอร์อาร์ตมันในกรอบอะคริลิคใสที่ติดตั้งอย่างถาวรกับกำแพงปูนเปลือยตรงทางเข้าซึ่งเป็นจุดให้ข่าวสารแก่ผู้ผ่านไปมาเกี่ยวกับนิทรรศการที่จะมีการจัดแสดงในแต่ละเดือน ธีร์ทัศน์กระชับกระดานวาดรูปในมือก่อนจะเดินเข้าไปภายในบริเวณอันแสนร่มรื่น
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่เขาไม่ได้แวะมาที่นี่ สังเกตว่าขณะนี้ต้นโมกที่เจ้าของบ้านปลูกเอาไว้ต่างพร้อมใจกันออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมเย็น ทำเอาลืมกลิ่นควันจากท่อไอเสียของยวดยานที่นอกรั้วไปเลย เมื่อมองเข้าไปในเรือนกระจกก็พบว่ามีทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังนั่งเขียนรูปบนผืนผ้าใบกันอย่างขะมักเขม้น โดยมีพี่ ๆ นักศึกษาศิลปะหรือศิลปินมืออาชีพคอยให้คำแนะนำ
ธีร์ทัศน์ยิ้มกับตัวเองนึกถึงตอนที่ตัดสินใจคุยแบบเปิดอกกับแม่เมื่อช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเพื่อจะขอเรียนต่อด้านศิลปะซึ่งเป็นสิ่งที่สนใจ เมื่อแม่ไม่ขัดข้องเขาก็สอบถามจากเพื่อน ๆ และขอคำแนะนำจากรุ่นพี่จนกระทั่งมาเจอโรงเรียนสอนศิลปะแห่งนี้ เมื่อแรกก้าวเข้ามาที่นี่ก็พบว่าไม่ได้มีเพียงแต่เด็ก ๆ อย่างเขาเท่านั้นที่สนใจในศิลปะ ผู้ใหญ่หลายคนก็แวะเวียนมาบ่อยครั้งหากมีเวลาว่าง แม้ต่างวัยต่างสถานะต่างภาระหน้าที่แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือความฝันที่จะได้ทำในสิ่งที่รัก ขายาวยังคงก้าวไปตามทางเดินที่โรยด้วยก้อนกรวดสีขาวประดับด้วยซีเมนต์หล่อเป็นรูปใบบัวขนาบข้างด้วยต้นโมกพุ่มเตี้ย ๆ ผ่านลานกระเบื้องหินหยาบกระทั่งมาหยุดยังอาคารหลักซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับแสดงนิทรรศการ
“ขอทางหน่อยครับน้อง”
เด็กหนุ่มรีบชักเท้ากลับพร้อมกับเอี้ยวตัวเปิดทางให้สองคนที่ช่วยกันยกเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่คลุมทับด้วยผ้าขาวผ่านไปได้สะดวก กำลังจะหันหลังกลับเพราะคิดว่าเด็กอย่างตนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามแต่เสียงที่คุ้นเคยก็ทำให้เขาต้องหยุดความคิดนั้น
“อ้าวทัศน์ หายหน้าไปนานเลย”
“สวัสดีครับพี่ติ๊น” ธีร์ทัศน์ยกมือไหว้ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกปีผู้เป็นเจ้าของ Light and Shade เมื่อแรกพบกันเมื่อกลางปีก่อนผมเผ้ายังยาวรุงรังหนวดเคราเฟิ้มจนแม่ของเขาเกิดความลังเลที่จะส่งให้ลูกชายคนโตมาเรียนที่นี่ หลังจากนั้นไม่นานพี่ติ๊นก็ตัดผมสั้น ไม่รู้ว่ามีใครบอกหรือเป็นความต้องการส่วนตัวกันแน่ แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในความคิดของธีร์ทัศน์มันช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีและน่าเชื่อถือขึ้นตั้งเยอะ ประกอบกับหน้าตาผิวพรรณที่บ่งบอกว่าไม่พ่อหรือแม่ต้องมีเชื้อสายจีนยิ่งทำให้แทบจะไม่มีสาว ๆ คนไหนอยากขาดเรียนในคลาสวาดเส้นของครูติ๊นเลยสักคน
“สอบเสร็จแล้วเหรอ” เจ้าของบ้านถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเหมือนเช่นเคย
“วันนี้วันสุดท้ายครับ ก็เลยแวะมา”
“อืม พี่ฝากลูกกวาดไปบอกแล้วนี่นาว่าคลาสสีน้ำมันจะเริ่มสัปดาห์หน้า ลูกกวาดลืมหรือเปล่านะ” พูดพลางยกมือขึ้นเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก นั่นเพราะมันสั้นเกินกว่าจะรวบขึ้นไปรวมกับกลุ่มผมที่ด้านหลังซึ่งมัดไว้ครึ่งศีรษะได้
“ไม่ลืมหรอกครับ ลูกกวาดบอกผมแล้ว แต่วันนี้ผมจะแวะเอางานเข้ามาให้พี่ติ๊นช่วยแนะนำ แล้วก็จะมาถามด้วยว่าคลาสศิลปะเด็กของพี่ดลเต็มหรือยัง พอดีน้องปิดเทอมน่ะครับ แม่เลยอยากให้มาเรียนศิลปะดู น่าจะดีกว่าอยู่บ้านเล่นเกมเฉย ๆ”
“พี่ไม่แน่ใจนะ เข้ามาก่อนสิ ไอ้ดลอยู่ข้างในพอดี” พูดจบคนตัวสูงก็เดินนำเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ที่ปูด้วยไม้ขัดมัน
ที่นั่นธีร์ทัศน์พบหนุ่มสาวหลายคนกำลังช่วยกันติดตั้งภาพวาดสีน้ำมันเข้ากับผนังสีขาว บางคนรับอาสาจัดสปอรต์ไลท์หันทำมุมพอเหมาะเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ผลงาน มันเป็นบรรยากาศที่เขาคุ้นเคยดีเมื่อกำลังจะมีนิทรรศการศิลปะเกิดขึ้นในแกลเลอรีแห่งนี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือการได้พบกับ ‘ภาดล’ ซึ่งเป็นครูสอนศิลปะในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งกับ ‘พีระ’ ที่เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ในบริษัททำแอนิเมชันอยู่ด้วยกันที่นี่ด้วย ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนสนิทของศุกลซึ่งปกติจะไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนที่เป็นแกลเลอรีสักเท่าไร เพราะหน้าที่หลักของพวกเขาก็คือการเข้ามาสอนศิลปะตามวันเวลาที่ถูกกำหนดขึ้นเท่านั้น
“ไอ้ดล แกมาช่วยฉันดูซิว่าจะเอารูปไหนไปทำสูจิบัตร” คนนั่งที่เท้าคางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เจ้าของชื่อจึงวางมือจากการติดตั้งเฟรมผ้าใบเดินมานั่งลงข้าง ๆ แล้วดึงเม้าส์มาคลิกเสียเอง
“สวัสดีคร้าบบบพี่ ๆ” คำทักทายสั้น ๆ ส่งผลให้บรรดาผู้ใหญ่ที่กำลังช่วยกันทำงานอย่างแข็งขันต้องหยุดยิ้มให้เด็กหนุ่มจอมทะเล้นที่กำลังยกมือไหว้รอบทิศ
“ไงทัศน์” ภาดลยกมือขึ้นทักทาย
“น้องแวะมาถามเรื่องคอร์สศิลปะเด็กของแกน่ะ ตอนนี้เต็มหรือยังวะ” ศุกลกล่าวก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“ยังนะ ยังรับได้อีก 2-3 คน ถามทำไมเหรอ”
“แม่จะให้น้องมาเรียนน่ะครับ”
“น้องชายของทัศน์ อืม...ชื่อธรใช่ไหม จำได้ว่าเคยเจอหนหนึ่ง ที่เข้าไปป่วนห้องปั้นของไอ้พีเสียเละเลย”
“โอ้ย...นึกถึงแล้วยังขนลุกไม่หาย” พีระทำขนพองสยองเกล้ายกมือขึ้นลูบแขนตัวเอง ทำเอาคนเป็นพี่ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เมื่อนึกถึงวีรกรรมของน้องชายสุดแสบ
“ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วนะ”
“แปดขวบครับ”
“ดีเลย เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ในคลาสก็อายุราว ๆ นี้แหละ ฝากไปบอกคุณแม่นะว่าพามาได้เลย”
“ครับ ขอบคุณครับพี่ดล” ธีร์ทัศน์ยิ้มกว้างพลางปลดเป้สะพายหลังนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นวางกระดานวาดรูปลงข้างตัวแล้วมองสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าบนผนังสีขาวภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่บัดนี้เต็มไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมันจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นภาพทิวทัศน์ ภาพของผู้คนในอิริยาบถต่าง ๆ แต่ที่แปลกตาเห็นจะเป็นสีสันกับรอยแปรงที่ทำให้เกิดเป็นพื้นผิวบนผืนระนาบผ้าใบจนอดสงสัยไม่ได้ “นิทรรศการของใครน่ะพี่ ทำไมคราวนี้พวกพี่ลงมาทำงานด้วยตัวเองล่ะครับ”
“ของพวกพี่เองน่ะ ทำกับเพื่อน ๆ สมัยมหาวิทยาลัย เปิดให้เข้าชมสิ้นเดือนนี้” พีระกล่าว
“แล้วภาพไหนของพี่พีครับ”
“ที่ไอ้ติ๊นกำลังติดโน่น” เจ้าของภาพบุ้ยปากไปอีกทาง
ได้ฟังดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเบนสายตามองไปยังเจ้าของผมเส้นเล็กยาวระต้นคอที่กำลังช่วยกันกับเพื่อน ๆ ติดตั้งเฟรมสีน้ำมันเข้ากับผนัง “สวยจัง” ว่าแล้วก็ลุงพรวดขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ “ทีแปรงแบบนี้ไม่เคยเห็นเลยครับ”
“เคยเห็นแต่แบบที่เกลี่ยจนเรียบใช่ไหม” ศุกลหันมายิ้ม “แบบนี้น่ะเป็นลักษณะเด่นของศิลปะลัทธิประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสต์ไง รอยทีแปรงแบบหยาบ ๆ เป็นการลงสีอย่างรวดเร็ว เพราะศิลปินต้องการบันทึกแสงและสีที่ตาได้เห็น ณ ช่วงเวลานั้น ภาพส่วนใหญ่ของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์ก็เลยเป็นภาพวาดกลางแจ้ง ไม่ใช่วาดในสตูดิโอ เป็นการทำลายกฎแบบเดิม ๆ ของยุคคลาสิก ศิลปินมีชื่อในลัทธินี้ที่ทัศน์น่าจะเคยได้ยินชื่อก็อย่างเช่น โมเนต์ เรอนัวร์ แล้วก็เดอกาส์ ส่วนคอนเซปต์แบบละเอียดของนิทรรศการคราวนี้ต้องถามไอ้พี” ว่าพลางมองเลยไปยังคนต้นคิด
“คอนเซปต์คืออะไรเหรอครับพี่พี” ธีร์ทัศน์หันไปถามด้วยความสนใจ
“อันที่จริงจะเรียกว่ามันเป็นการรียูเนียนก็ได้ เพราะหลังจากเรียนจบมา 3-4 ปี ทั้งรุ่นก็ไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันอีกเลย ไอ้ติ๊นก็ได้ทุนไปเรียนต่อ บางคนก็กลับตั้งรกรากที่บ้านเกิด มีลูกมีเต้ากันไปก็เยอะ คอนเซปต์งานนี้ก็เป็นการนำเสนอเรื่องราวความประทับใจของพวกเราในช่วงเวลาที่แยกย้ายกันไป โดยเอาแนวทางการสร้างงานของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์มาใช้ ภาพเขียนของแต่ละคนก็เลยเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือทิวทัศน์ต่าง ๆ ที่ได้พบเจอแล้วเกิดความประทับใจ เหมือนเป็นการมาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องต่าง ๆ ผ่านภาพเขียน จะมีก็ของไอ้ติ๊นนี่แหละที่แปลกกว่าชาวบ้าน”
“ภาพของพี่ติ๊นเหรอครับ” เด็กหนุ่มหันกลับไปมองคนที่ถูกกล่าวถึงเมื่อสักครู่ เห็นเขากำลังค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกจากเฟรมผ้าใบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เพื่อเตรียมยกขึ้นติตตั้งกับผนัง มันกินพื้นที่หนึ่งในสามของผนังด้านขวามือ เป็นภาพเสี้ยวหน้าของใครคนหนึ่งที่ถูกจัดวางในแนวนอนทิ้งบริเวณว่างด้านข้างและไม่ลงลายละเอียดของฉากหลังมากนัก ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าหน้าในมุมก้มเล็กน้อยที่แสดงรายละเอียดตั้งแต่เหนือคิ้วลงมากระทั่งปลายคาง ที่โดดเด่นคงจะเป็นรอยยิ้มที่มีการเน้นด้วยแสงและสีเห็นแล้วพลอยยิ้มตามไปด้วย
“ชื่อภาพอะไรของมันนะ” ภาดลถามคนข้าง ๆ พร้อมกับกวาดตามองเลย์เอาท์ของสูจิบัตรที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
“รอยยิ้มวันแรกเจอ” อีกคนตอบทันควันราวกับท่องจำจนขึ้นใจ “ตกลงแกจะบอกได้หรือยังวะว่านั่นรูปใคร”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ศุกลกล่าวทั้งที่ไม่ได้หันมา คำตอบนั้นทำเอาคนรอฟังพากันเกาหัวแกรก ๆ ในขณะที่เจ้าของภาพเองยังคงอมยิ้มน้อย ๆ ให้กับภาพวาดฝีมือตนเองพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายหลายปีก่อนที่เขามีโอกาสได้ทุนไปศึกษาศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านศิลปะและการออกแบบของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น...
(มีต่อค่ะ)