Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561  (อ่าน 72298 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆนะติ๊น

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จะว่าไปก็สงสารไนท์นะ แต่ตัวเองเป็นคนปล่อยมือติ๊นไปเองจะด้วยเหตุผลไหนก็แล้วแต่
ก็ควรรับกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินไปให้ได้นะ เป็นกำลังใจให้ไนท์เริ่มต้นใหม่กับคนที่ใช่นะ
ส่วนติ๊นก็ยินดีด้วยที่โมให้โอกาสอีกครั้ง หวังว่าจะรักษามันไปนานๆ นะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
กว่าจะดีกันได้ ลุ้นแทบแย่

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จะจบแล้วหรอ เค้ายังไม่สวีทกันเลยยยยยยยยย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไนท์นิสัยไม่ดี!

ติ๊นง้อน่ารักมาก
และหมอโมก็เขินได้น่ารักมาก

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 13 I'm Yours


ธีร์ทัศน์กระชับมือที่กำข้อมือเล็กเอาไว้แน่น รอกระทั่งสัญญาณไฟจราจรสีเขียวเป็นสัญลักษณ์รูปคนเดินประกฏขึ้นจึงพาน้องชายเดินข้ามไปอีกฝั่งของถนนเป็นที่ตั้งของร้านขนมและเครื่องดื่มซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังนัก ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปเขาก็พบใครคนหนึ่งกำลังนั่งรออยู่แล้ว จะว่าไปก็ไม่ได้เจอกันเสียนานนับแต่วันที่พ่อของอีกฝ่ายไปลาลูกชายออกจากโรงเรียนสอนศิลปะ


“นายมีอะไรถึงได้นัดเรามาที่นี่” คนเพิ่งมาถึงกล่าวพร้อมพลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแบบเคาน์เตอร์ที่หันหน้าออกสู่ถนน รอจนน้องชายปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงจึงนั่งลงข้าง ๆ กัน


“จะมาคุยเรื่องพ่อโมกับพี่ติ๊น ฉันคิดว่าพวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง” นภธรณ์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขืนฝากความหวังไว้ที่ป๊า มีหวังพังหมด รายนั้นดูท่าจะไม่เชียร์พี่ติ๊นอยู่แล้ว”


“นายคิดจะทำอะไรอีก นี่ก็เกือบเดือนแล้วนะ ป่านนี้หมอโมมีคนมาจีบไปแล้วมั้ง”


“ไม่มีทางเพราะถ้าป๊าไม่ให้ผ่าน ใครก็อย่าได้แหลมหน้าเข้ามา”


“นายจะทำยังไง ในเมื่อคราวก่อนฉันอุตส่าห์อาศัยช่วงที่พี่ติ๊นป่วยให้ธรณ์ไปบอก พ่อนายก็ไม่ยอมไปเยี่ยมเลย ใจแข็งเป็นบ้า” ธีร์ทัศน์ถอนหายใจพลางก้มหน้าดูรายการเครื่องดื่มก่อนจะหันไปร้องสั่งโกโก้ปั่นให้น้องกับพนักงานที่เดินผ่านมา


“เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกน่ะ” พูดจบก็อ้าปากงับหลอดดูดน้ำแอปเปิลไซรัปผสมโซดาที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นคำพูดที่ฟังดูเชยไปสักหน่อยแต่มันก็น่าจะใช้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้


“แล้วพี่นอฟจะทำยังไงครับ” หนุ่มน้อยที่สะพายกระเป๋าเป้ใบโตถามด้วยความสงสัย


“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่รับรองว่าถ้าสำเร็จมันต้องสุดยอดมากแน่ ๆ” ว่าแล้วคนพูดก็ยักคิ้วให้หนึ่งครั้ง


เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของคนที่เขายกให้เป็นฮีโร่รองจากพี่ชายแท้ ๆ ความฮึกเหิมแบบเด็ก ๆ ก็จุดขึ้นในแววตา เด็กชายยิ้มกว้าง รู้สึกอยากให้นภธรณ์คิดออกเร็ว ๆ


“เฮ้อ! เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ ไหน ๆ เจอนายก็ดีแล้ว วันอาทิตย์นี้ว่างไหม”


“มีอะไร”


“วันอาทิตย์ที่จะถึงเป็นวันเกิดธรณ์ ว่าจะชวนนายไปปาร์ตี้ที่บ้าน แม่ให้ชวนเพื่อน ๆ ของธรณ์ที่เรียนศิลปะด้วยกันไปด้วยน่ะ เสาร์นี้ทุกคลาสจะปิดคอร์สแล้ว”


“แต่ฉันไม่ใช่...” นภธรณ์มุ่นคิ้วก่อนจะโพล่งขึ้น “นึกออกแล้ว!”


“อะไรของนาย” คนชวนเกาหัวเมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนอารมณ์เอาดื้อ ๆ


“ก็วิธีที่จะช่วยให้พี่ติ๊นกับพ่อโมคืนดีกันไง” นภธรณ์ยิ้มกริ่ม


“พี่นอฟเล่าเร็ว ๆ ฮะ ธรณ์อยากรู้” เด็กชายละล่ำละลัก แทบลืมโกโก้เย็นที่พนักงานร้านเพิ่งยกมาวางไปเลย


“ทัศน์ นายโทรไปบอกพี่ติ๊น ขออนุญาตจัดงานวันเกิดให้ธรณ์ที่แกลเลอรี ส่วนฉันจะโทรชวนพ่อโม”


“อ้าว แล้วงานวันที่บ้านฉันล่ะ”


“ก็จัดเหมือนเดิม ปล่อยให้พ่อโมกับพี่ติ๊นฉลองกันสองคน”


“ตาย ๆ ถ้างานนี้พี่ติ๊นรู้ว่าฉันโกหกละก็มีหวังโดนดุเหมือนคราวก่อนแน่ ๆ”


“นายก็โกหกให้มันเนียน ๆ สิ แต่ถ้าพี่ติ๊นรู้เหตุผลที่พวกเราทำลงไป พี่ติ๊นไม่มีทางโกรธหรอกเชื่อฉันสิ ส่วนพ่อโมก็คงทำได้แค่บ่น แต่ก็ไม่ระคายผิวฉันหรอก”


“แล้วหมอโมจะมาเหรอครับ คราวก่อนบอกว่าพี่ติ๊นไม่สบายยังไม่ยอมไปหาเลย” หนุ่มน้อยว่าพลางดูดน้ำในแก้ว


“ต้องมาสิ ฉันจะบอกพ่อโมว่าคุณแม่ของพวกนายอยากให้พ่อโมมาร่วมงานมาก” ขึ้นเสียงสูงที่คำสุดท้ายเสียธีร์ทัศน์ต้องเบ้หน้า  “อ้างว่ามีธุระอยากคุยด้วย อย่างพ่อโมน่ะต้องไม่ยอมเสียมารยาทหรอก ระหว่างนี้พวกนายก็คอยกันท่าอย่าให้คุณแม่ของพวกนายกับพ่อโมได้เจอกันก็แล้วกัน”


คนพี่พยักหน้าหงึก ๆ ในขณะที่คนน้องยื่นมือไปข้างหน้าพร้อมกับร้องขึ้น “ขบวนการกามเทพน้อยยย!”


สองหนุ่มสบตากันก่อนจะรับคำอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ่…”


ในเวลาเดียวกันที่แผนกกุมารเวชศาสตร์ของโรงพยาบาลยังคงเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่มารอรับการรักษา นายแพทย์เอกรงค์ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าหลังจากพยาบาลเดินเข้ามาแจ้งว่าเขาไม่มีคนไข้ที่ต้องตรวจอีกแล้ว ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตั้งใจจะพักสายตาสักหน่อยก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อประตูบานเลื่อนถูกแง้มออกร่างสูงของใครคนหนึ่งก็แทรกตัวเข้ามา กุมารแพทย์หนุ่มยืดตัวขึ้นจ้องมองคนที่เดินมาหยุดตรงหน้าอย่างแปลกใจ แต่ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือรอยยิ้มของเขาที่ทำให้ความเหนื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง


“มาทำอะไรที่นี่ บอกติ๊นตั้งแต่เมื่อคืนที่คุยกันแล้วนี่นาว่าวันนี้ผมต้องอยู่เวร”


“อยากมากินข้าวด้วยครับ” ศุกลบอก นั่นมันแค่เสี้ยวเดียวของเหตุผล แต่ลึก ๆ แล้วมันคือความคิดถึงต่างหาก  ตั้งแต่ปรับความเข้าใจกันได้ก็เกือบเดือนแล้วแต่เขาและเอกรงค์ก็แทบไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยเนื่องจากอีกฝ่ายต้องทำงานทุกวันแม้แต่เทศกาลปีใหม่ที่ควรจะได้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่รักก็ยังไม่ได้หยุด คุยโทรศัพท์กันทุกวันมันจะเหมือนมาเจอหน้ากันได้อย่างไร


“เมื่อก่อนยังกินคนเดียวได้เลยไม่ใช่เหรอ” พูดจบเจ้าของห้องก็ลุกขึ้นก่อนจะถอดเสื้อกาวน์แขวนแล้วหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือใส่ลงในกระเป๋ากางเกง


“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนนี่” ศุกลทำคิ้วมุ่น


“ไม่เหมือนตรงไหน” คนถามกอดอกรอฟังคำตอบ


“ตรงที่ตอนนี้ผมมีโม แล้วโมเองก็มีผม อีกอย่างโมเคยบอกว่ากินคนเดียวไม่อร่อย”


เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเคยพูดแบบนั้นเอกรงค์ก็ยิ้มเขินก่อนจะเอ่ย “ไปเถอะ หิวแล้ว” กำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ถูกคว้าตัวไปกอดเสียก่อน แผ่นหลังแนบชิดกับแผงอกอุ่น อยากจะอยู่อย่างนี้นาน ๆ แต่ก็จำใจต้องผละออกเพราะเกรงว่าจะมีใครเข้ามาเห็น กระนั้นแขนแกร่งก็ยังกระชับแน่นไม่ยอมให้ไปง่าย ๆ


“เดี๋ยวครับ โมอยากกินอะไร” ปากได้รูปกระซิบถามที่ข้างหู


“อ...อะไรก็ได้ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ของอร่อยมีตั้งเยอะ”


“อร่อยสู้ผมได้หรือเปล่า” พูดจบศุกลก็แกล้งงับเบา ๆ ที่ซอกคอขาวเล่นเอาคุณหมอหันขวับทำตาเขียวใส่


หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย เอกรงค์ก็เดินมาส่งศุกลที่ลานจอดรถหลังโรงพยาบาล รอกระทั่งอีกฝ่ายเข้าไปนั่งในรถ แต่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานกระจกติดฟิล์มก็ถูกเลื่อนลง 


“โมว่างหรือเปล่าครับ”


เอกรงค์ยกหน้าฬิกาข้อมือแล้วพยักหน้า “ติ๊นมีอะไรหรือเปล่า”


“ถ้าโมไม่รีบไปไหน ช่วยขึ้นมานั่งด้วยกันก่อนได้ไหม”


กุมารแพทย์หนุ่มพยักหน้า แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แววตาและน้ำเสียงจริงจังของคนพูดก็ทำให้เขาตัดสินจได้ไม่ยาก ร่างสูงเดินอ้อมไปอีกทางก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปนั่งข้างกัน


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


“อยากให้โมไปด้วยกันหน่อย” พูดจบศุกลก็ออกรถ เมื่อเคลื่อนห่างจากลานกว้างมาได้หน่อยก็เลี้ยวขึ้นสู่อาคารจอดรถสูงสิบชั้นกระทั่งมาจอดสนิทที่ช่องจอดริมสุดบนชั้นสุดท้ายของอาคาร
   

เอกรงค์ทอดตามองออกไปนอกแผงซีเมนต์ที่ก่อขึ้นเป็นคันกั้น เพิ่งสังเกตว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงและมีขนาดใหญ่โตกว่าเหลือเกิน แม้จะไร้ซึ่งดวงดาวที่เคยประดับประดาเกลื่อนฟ้าแต่แสงสีนวลของดาวบริวารดวงเดียวของโลกดวงนี้ก็ช่วยขจัดความน่ากลัวของความมืดมิดออกไปได้
   

“เพิ่งรู้ว่าตรงนี้ก็วิวสวยเหมือนกันนะ” คุณหมอเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตายังคงมองไปข้างหน้า แสงไฟระยิบระยับจากตึกรามบ้านช่องที่อยู่เบื้องล้างแม้จะไม่สวยเท่าแสงดาวหรือเทียบไม่ได้กับแสงจันทร์วันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า หากแต่องค์ประกอบทั้งหมดกลับทำให้ภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้นสวยงามยิ่งนัก “ขอบคุณมากนะที่พามาดู”
   

“ผมไม่ได้จะพาโมมาดูพระจันทร์สักหน่อย”
   

“อ้าว แล้วติ๊นพาผมมาบนนี้ทำไม อย่าบอกนะว่าอดใจไม่ไหวเลยต้อง...”


คำพูดสองแง่สองง่ามทำศุกลเริ่มมันเขี้ยว ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งเท้ากับพวงมาลัยรถยนต์แล้วเอี้ยวตัวจ้องมองเสี้ยวหน้าอาบแสงจันทรา “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงโมจะว่ายังไง” เมื่อเห็นเอกรงค์ไม่ตอบอะไรจึงขยับเข้าใกล้เลื่อนมือขึ้นประคองแก้มของอีกฝ่าย


กุมารแพทย์หนุ่มห้ามด้วยการกุมมือใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่ง พยายามควบคุมเสียงของตนเองให้เป็นปกติทั้งที่หัวใจตอนนี้เต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก “ไม่เอาเดี๋ยวเสื้อยับ”


“ถ้าอย่างนั้นถอดก่อนออกดีไหมครับ”


“ผมต้องไปทำงานต่อนะ” คนอายุมากกว่ากลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วบอกเมื่อจู่ ๆ แววตาขี้เล่นก็หม่นลง  “ร...รอเลิกงานก่อนได้ไหม”


เพียงเท่านั้นคนฟังคลี่ยิ้มกว้าง ศุกลไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเช่นนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่ยอมตามน้ำก็เพราะอยากจะแกล้งคนปากเก่งเล่นเท่านั้นเอง “รอมาตั้งนานแล้วนี่ครับ รอต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป แต่ที่ผมพาโมมาที่นี่เพราะผมมีเรื่องอยากจะพูดกับโมต่างหาก” พูดจบเจ้าของรถก็รั้งบางอย่างจากเบาะหลัง ซึ่งมันก็คือกุหลาบสีแดงที่ถูกจัดเป็นช่อพันด้วยผ้ากระสอบฝีมือตัวเอง


“อะไร” เอกรงค์ถามเขินๆ อายุขนาดนี้ มีแฟนมาตั้งหลายคนใช่ว่าจะเดาไม่ถูกแต่ก็ยังไม่วายแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะท่าทางน่าเอ็นดูของชายหนุ่มตรงหน้านั่นเอง


“ร...เรา...” ศุกลเอ่ยขึ้น กำลังจะพูดต่อเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น จิตรกรหนุ่มยิ้มเก้อ ๆ ขณะควักโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย “ว่าไงทัศน์”


ในขณะที่เอกรงค์เองก็มองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่ดันมาสั่นอะไรกันตอนนี้ขึ้นมาดูชื่อคนคนโทรมา เมื่อเห็นว่าเป็นลูกชายของเพื่อนจึงกดรับในที่สุด “ไงไอ้ตัวแสบ...มีอะไรก็รีบ ๆ ว่ามา ฉันกำลังยุ่ง”


“อืม...ได้สิพี่อนุญาต...ทัศน์จะทำอะไรบ้างว่ามาเลย ถ้าขาดเหลืออะไรเดี๋ยวพี่ช่วย” ศุกลบอกพร้อมกับหันไปสบตาคนข้าง ๆ เมื่อได้ยินเขาพูดขณะแนบหูกับโทรศัพท์


“วันอาทิตย์เหรอ...ขอคิดดูก่อนนะแล้วจะบอกอีกที แค่นี้นะ”


“แค่นี้นะทัศน์ แล้วเจอกัน”


ต่างคนต่างเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วหันมาสบตากันเขิน ๆ ในที่สุดก็เป็นศุกลที่พูดขึ้น


“ทัศน์โทรมาน่ะครับ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของทุกคอร์ส ตามธรรมเนียมเราจะปิดทำการหนึ่งถึงสองสัปดาห์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับคอร์สใหม่ พอดีวันอาทิตย์เป็นวันเกิดของธรณ์ เด็ก ๆ ก็เลยคุยกันว่าอยากจะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่บ้านของผม”


“เจ้านอฟก็โทรมาชวนผมเหมือนกัน บอกว่าป๊ามันไม่ว่างไปส่ง แม่ของเด็กสองคนก็อยากเจอผม ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร”


“ก็ไปสิครับ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ปาร์ตี้กับเด็ก ๆ น่าสนุกดีออก บ้านผมก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง”


“เรื่องนั้นน่ะช่างก่อนเถอะ กลับมาที่เรื่องของติ๊นดีกว่า เมื่อกี้จะพูดอะไร”


ศุกลก้มมองช่อดอกไม้ในมือคิดทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้า ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนรอ


“ค...คือ ผม...”


เอกรงค์ทอดตามองท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของอีกฝ่ายรู้สึกลุ้นตามไปด้วย แต่เมื่อศุกลยังคงอ้ำอึ้งเขาจึงยื่นไม้ตาย “ถ้าไม่พูดผมจะไปแล้วนะ”


“เรามาแฟนกันนะครับ” ประโยคนั้นรวดเร็วแต่ชัดถ้อยชัดคำ คนพูดถอนใจก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อในที่สุดก็ได้พูดมันออกไป ทั้งที่ต่างคนต่างรู้สถานกันอยู่แล้ว แต่ศุกลก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีที่ไม่ได้ทำให้เป็นกิจจะลักษณะ “นะครับ”


เอกรงค์พยักหน้า รับช่อดอกไม้มาถือไว้ก่อนจะเอ่ยปากแซว “ทำเป็นเด็กวัยรุ่นไปได้”


“ก็ผมยังไม่เคยขอโมเป็นแฟนนี่นา อีกอย่างนี่มันก็การขอเป็นแฟนครั้งแรกของผมด้วย” คนพูดยกมือขึ้นเกาคอแก้เขิน “มันไม่มีราคาค่างวดอะไร เพราะผมคิดว่าโมคงมีของพวกนั้นครบหมดแล้ว ผมมีแค่ดอกไม้ช่อเดียวที่เคยตั้งใจไว้ว่าถ้าจะขอโมเป็นแฟนจะทำแบบนี้ให้”


“ผมชอบ ชอบทุกอย่างที่ติ๊นทำให้นั่นแหละ ขอบคุณนะ” กุมารแพทย์หนุ่มพูดจากใจจริง มันให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เพิ่งรู้จักกับความรักเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาเคยพบกับการถูกขอเป็นแฟนมาแล้วหลายรูปแบบ และทุก ๆ ครั้งก็ดูจะโรแมนติกและสมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ ทั้งสถานที่และของขวัญที่ได้รับ แต่มันกลับสู้ครั้งนี้ไม่ได้เลย...


...ไม่ใช่ห้องอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูแต่เป็นบนชั้นสูงสุดของอาคารจอดรถ ไม่มีแสงจากโคมระย้ามีแต่แสงจากดวงจันทร์ดวงโตกลางท้องฟ้า ไม่มีดอกไม้นับร้อยดอกในตะกร้าที่ดูเหมือนกับยกสวนมาไว้ตรงหน้า มีแค่กุหลาบเพียงไม่กี่ดอกที่คนให้ลงทุนจัดเป็นช่อเองกับมือ


สองคนสบตากันอยู่เพียงไม่นาน เอกรงค์ก็นึกได้ว่ายังมีภารกิจสำคัญที่รอเขาอยู่ “ต้องไปแล้วนะ”


“เดี๋ยวครับ” ศุกลว่าพร้อมกับคว้าข้อมือเอาไว้


“หืม?”


“หมอโมไม่มีรางวัลให้น้องติ๊นเหรอครับ”


เอกรงค์กลั้นยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตาละห้อย มือเรียวยกขึ้นแตะที่แก้มเย็นเฉียบเบา ๆ เหมือนที่เคยทำกับเด็ก ๆ ที่มักจะงอแงเวลามาหาหมอ “น้องติ๊นอยากได้อะไรครับบอกหมอโมซิ”


“ไม่เอาวิตามินซี”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นลูกอมหรือขนมหวาน ๆ เนอะ แต่วันนี้หมอโมไม่ได้พกลูกอมมาเสียด้วยสิ ติดไว้ก่อนได้ไหม”


“หมอโมก็ให้เป็นอย่างอื่นแทนสิครับ ที่หวาน ๆ เหมือนกัน”


“อะไร” กุมารแพทย์หนุ่มเสียงแข็งขึ้นมานิดเมื่อไปต่อไม่ถูก


ศุกลตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะโน้มหน้าเข้าหา ยกมือขึ้นเชยคางมนแล้วขโมยจุมพิตจากกลีบปากแสนหวาน จูบนั้นยาวนานจนมือขาวที่กำแน่นต้องคลายออกเพราะเกรงว่าดอกไม้จะช้ำ เอกรงค์วางกุหลาบช่องามบนหน้าตักแล้วเลื่อนมือขึ้นเกาะบ่าแกร่ง จูบครั้งนี้ของศุกลไม่เหมือนกับจูบครั้งไหน ๆ ไม่ได้แฝงความดุดันโหยหาเหมือนตอนแรกเริ่มที่คบหาด้วยความสัมพันธ์ที่บางคนให้นิยามมันว่า “ฉาบฉวย” แม้ในช่วงต้นจะดูเงอะงะอย่างคนไม่ประสาราวกับจูบแรกของวัยรุ่นแต่หลังจากนั้นกลับนุ่มนวลอ่อนโยนและค่อย ๆ ลึกซึ้งจนเขาแทบถอนตัวไม่ขึ้น


“ติ๊น พ...พอเถอะ ผมต้องไปทำงานแล้ว” นายแพทย์เอกรงค์เอ่ยขึ้นเมื่อริมฝีปากร้อนกดจูบที่ซอกคอในขณะที่มือใหญ่ที่เคยคลึงเคล้นอยู่ที่สะโพกกำลังเลื่อนต่ำลงมาที่หน้าขาของตนเอง จิตรกรหนุ่มคล้ายจะหยุด แต่เมื่อกลีบปากเลื่อนขึ้นมาชิดใบหูเอกรงค์ก็ได้ยินค่ำว่า “ไม่พอ ยังไม่พอ” ซ้ำ ๆ


คุณหมอกัดปากแน่นเพื่อสะกดอารมณ์หวามไหว ใช้สองมือดันไหล่กว้างแล้วขยับตัวออกห่าง พลันดวงตาสองคู่ก็สบกันอีกครั้ง


“อย่าดื้อนะครับคนเก่ง เดี๋ยวหมอโมไม่รักนะ”


คนฟังทำจมูกย่นจำใจปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแต่ก็ไม่วายบ่นงึมงำ “โมเล่นพูดแบบนี้ผมก็ต้องยอมน่ะสิ”


“ดีมาก” เอกรงค์ยิ้มน้อย ๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะแก้มสาก “ขอบคุณมากนะ ขอบคุณตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาทักยัยมุก”


“ผมก็ขอบคุณเหมือนกัน วันนั้นที่เกียวโตทาวเวอร์” จิตรกรหนุ่มหยุดไปชั่วอึดใจแล้วถามเรื่องที่ยังสงสัย “ทำไมโมถึงยอมคุยกับผม”


“ก็เห็นว่าน่ารักดี”


“แล้วทำไมไม่จีบ”


“ไม่อยากหลอกเด็ก เดี๋ยวเสียการเรียน” คนอายุมากกว่าหัวเราะ


“แต่ก็ยังไปแอบสืบเรื่องผมจากคนที่สถานทูต” ศุกลเลิกคิ้วล้อ


“ยัยมุกบอกเหรอ”


“ครับ แล้วผม...ใช่สเป็กโมหรือเปล่า”


เอกรงค์ไม่ได้ตอบเพียงแต่ยักคิ้วให้ กระนั้นรอยบุ๋มที่ข้างแก้มก็พอจะบอกอะไรได้มากมาย


“โม” ศุกลรั้งข้อมือคนพูดเอาไว้อีกครั้ง


“หืม?”


“รักนะครับ”


“ผมรู้แล้ว” พูดจบคุณหมอก็ใช้เรียวนิ้วเสยผมของอีกฝ่าย “ขับรถกลับดี ๆ ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกผมด้วยนะ แล้วเดี๋ยววันอาทิตย์เจอกัน”


คนอายุน้อยกว่าพยักหน้ายิ้ม ๆ รอกระทั่งคุณหมอเปิดประตูลงจากรถเดินลับเข้าไปในอาคารที่เชื่อมกับอาคารจอดรถจึงเอนหลังพิงเบาะยิ้มกับดวงจันทร์ที่ยังคงส่องสว่างอยู่ตรงหน้า อยากเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันอาทิตย์ไว ๆ


....


คาดิลแลคสีดำถอยเข้าจอดเคียงคู่กับโฟล์กสวาเกนในโรงรถของ Light&Shade อีกครั้ง ทันทีที่เงียบเสียงเครื่องยนต์ร่างสูงของกุมารแพทย์หนุ่มก็ก้าวลงมายืน เขากวาดตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่ดูเงียบเชียบจนผิดสังเกต มีเพียงนักท่องเที่ยวไม่กี่คนคนที่เดินเข้าออกเพื่อชมนิทรรศการในแกลเลอรี เอกรงค์เดินตรงไปยังเรือนกระจกไม่เห็นมีใครอยู่จึงอ้อมไปที่ด้านหลังแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังสตูดิโอที่อยู่ชั้นสอง ในที่สุดเขาก็พบเจ้าของบ้านที่นั่น


“ทำไมบ้านเงียบจัง เด็ก ๆ ไปไหนกันหมด ไหนว่าจะจัดงานวันเกิดให้ธรณ์ไง”


กุมารแพทย์หนุ่มถามกับคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอน เขาแต่งตัวเรียบง่ายแต่ก็ดูรู้ว่าน่าจะกำลังออกไปไหน


“เมื่อเช้าทัศน์โทรมาบอกผมว่าเปลี่ยนไปจัดงานที่บ้านแล้วละครับ เพราะถูกคุณแม่ดุที่มาใช้ที่นี่เป็นสถานที่จัดงาน คิดว่านอฟจะบอกคุณแล้วเสียอีก”


“ไม่เห็นบอกเลย โทรปลุกผมตั้งแต่เช้า แถมยังเร่งให้รีบมาที่นี่ด้วยซ้ำ ตอนที่คุยกันล่าสุดก็ยังได้ยินเสียงเด็ก ๆ ดังลั่น คิดว่าทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้วผมก็เลยรีบมา”

   
ศุกลยิ้มให้ พอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดจึงเดินไปหยุดที่โต๊ะริมหน้าต่าง จัดการจุดกำยานหอมแล้วใส่ลงในภาชนะดินเผาสลักลวดลายบิดเบี้ยวที่นักเรียนในคลาสเคยให้เป็นของขวัญ ท่าทางไม่รีบร้อนของเขาสร้างความแปลกใจให้แก่คนที่เพิ่งมาถึงอยู่ไม่น้อย


“เปลี่ยนไปจัดงานที่บ้านแล้วทำไมติ๊นยังไม่รีบไปล่ะ”


“ทัศน์บอกให้ผมช่วยรออยู่ที่นี่ก่อนครับ เพราะมีเพื่อน ๆ หลายคนที่ยังติดต่อไม่ได้ เผื่อใครมาที่นี่ผมจะได้คอยบอก”


“คงไม่มีใครมาแล้วมั้ง ติ๊นรีบไปเถอะเดี๋ยวเด็ก ๆ รอแย่”


“แล้วโมล่ะครับ”


“ผมคงไม่ไปแล้วละ ขับรถไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนถูกเรียกไปช่วยดูเคสหนัก กว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว เจ้านอฟยังโทรปลุกตั้งแต่เช้าอีก”


“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ไปเหมือนกัน” เจ้าของบ้านหันมายิ้ม นั่นคือความตั้งใจของเขานับตั้งแต่ได้ฟังเรื่องราวจากปากของเอกรงค์


“ทำไมล่ะเด็ก ๆ อุตส่าห์ชวนนะ” คุณหมอมุ่นคิ้วมองตามร่างสูงที่เดินมาหยุดตรงหน้า


“ชวนอะไรล่ะครับ ผมว่ามันเป็นแผนมากกว่า”


“แผน?” เอกรงค์ทวนคำ เพราะนอนน้อยแถมยังตื่นเช้าสมองจึงประมวลผลไม่ทัน


“ก็แผนที่จะทำให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันไง”


“อีกแล้วเหรอ” คนพูดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นผมควรจะต้องไปบ้านธรณ์แล้วจัดการกับเจ้าสามแสบนั่นใช่ไหม”


ศุกลส่ายหน้าน้อย ๆ ทอดตามองคุณหมอใจดีที่ตอนนี้สวมหน้ากากยักษ์ไปเสียแล้ว


“ไม่ต้องไปหรอกครับ”


“ทำไมล่ะ หลอกกันแบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าไม่อบรมกันบ้างเดี๋ยวจะเคยตัว”


“อย่าไปว่าเด็ก ๆ เลยครับ ก็พวกเขาอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันนี่นา” ยิ้มหวานของจิตรกรหนุ่มเรียกร้อยยิ้มของคุณหมอได้อีกครั้ง


“แล้วผมควรจะทำยังไงดี” เอกรงค์ถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว


“ก็อยู่ด้วยกันต่อไงครับ”


“เพื่อให้เป็นไปตามแผนของเด็ก ๆ น่ะเหรอ”


“ไม่ใช่ แต่เพราะผมอยากให้โมอยู่ต่อต่างหาก”


กุมารแพทย์หนุ่มเสมองไปทางอื่นถือโอกาสสืบเท้าเดินสำรวจ สายลมเย็นที่พัดมาเป็นระยะพาเอากลิ่นหอมของกำยานฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ในที่สุดดวงตาก็สะดุดเข้ากับเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ที่ถูกทำให้ขาดเพราะแรงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบของใครคนหนึ่ง


“น่าเสียดายจัง”


“ไม่ต้องเสียดายหรอกครับ คนวาดก็อยู่ตรงนี้แล้ว ที่สำคัญคนเป็นแบบก็อยู่ด้วยกันที่นี่” เจ้าของบ้านยิ้มกริ่ม “โมเคยสัญญากับผมไว้ ลืมแล้วหรือยัง”


“ไม่ลืมหรอกน่า” คนพูดทำจมูกย่น


“ถ้าอย่างนั้นผมเตรียมอุปกรณ์ก่อนน่ะ”


เอกรงค์พยักหน้า เดินไปนั่งลงบนโซฟากึ่งเตียงนอน ที่ข้างล่างเป็นลิ้นชัก ยกสูงจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ฟูกนุ่ม ๆ ถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาว วางทับด้วยหมอนสีเดียวกัน ตาคมมองตามเจ้าของร่างสูงที่กำลังเดินไปเดินมา ทุกอิริยาบถถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำจนกระทั่งเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นวางบนขาตั้ง ส่วนบนแท่นไม้ข้าง ๆ ก็เต็มไปด้วยหลอดสี พู่กัน น้ำมันสน เกรียงและแผ่นกระเบื้องสำหรับผสมสี


“พร้อมหรือยังครับ” ศุกลเดินมาหยุดตรงหน้าคนที่กำลังนั่งเท้าคางใจลอย


“อื้อ แล้วผมต้องทำยังไงบ้าง” คุณหมอถามพร้อมกับลุกขึ้นยืน


“ก็ต้องถอดเสื้อผ้าออก เสื้อคลุมอยู่ในห้องนอนครับ...ถ้าโมเขิน”


เอกรงค์พยักหน้า กำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่เปิดอยู่แต่ก็ต้องหยุดเพราะความภาพหนึ่งแล่นขึ้นในหัว เขาหันกลับมาสบตาคนอายุน้อยกว่าอีกครั้งพลางยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ


“ถอดให้หน่อย”


“พ...พูดว่าอะไรนะครับ”


“ผมบอกว่าให้ถอดให้หน่อย ทำไมต้องทำหน้าตกใจด้วยทีกับ ‘เขา’ ยังทำให้เลย”


คนฟังส่ายหัวให้กับความเจ้าคิดเจ้าแค้นของคุณหมอก่อนจะเอื้อมปลดกระดุมทีละเม็ด ไม่นานเสื้อเชิ้ตสีหวานก็ลงไปอยู่แทบเท้า
ศุกลลดมือลงต่ำทำท่าจะปลดเข็มขัดแต่ก็ถูกอีกฝ่ายปัดออก


“พอแล้ว รู้แล้วว่ากล้า” พูดจบเอกรงค์ก็เดินหนีเข้าไปในห้อง เป็นอีกครั้งที่การลองเชิงของเขาพังพินาศลงด้วยน้ำมือบวกกับสายตาของอีกฝ่าย



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-01-2017 16:39:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


กุมารแพทย์หนุ่มกลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ พบว่าเสื้อเชิ้ตของตนเองถูกแขวนไว้อย่างเรียบร้อยที่ข้างหน้าต่าง ส่วนศุกลกำลังจุดกำยานอันใหม่ใส่ลงในถ้วยดินเผา มันหอมเสียจนอยากจะล้มตัวลงนอนฟังเพลงเบา ๆ แล้วหลับยาว ๆ จนถึงเช้า


“ผมต้องนั่งตรงไหน”


“ที่เดย์เบดนั่นครับ ผมเพิ่งซื้อมาใหม่ ให้โมประเดิมคนแรกเลย ส่วนโมอยากจะทำท่าไหนก็แล้วแต่โมเลยครับ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเอกรงค์ก็เดินไปหยุดยังเดย์เบดกำลังจะดึงสายรัดเอวออกก็นึกขึ้นมาได้จึงหันกลับมาบอกคนที่กำลังจ้องตนเองไม่ยอมวางตา


“หันหลังไปก่อน”


ศุกลยิ้มพร้อมกับยกสองมืออย่างยอมจำนนแล้วหันหลังกลับ เงี่ยหูฟุงเสียงบ่นขมุบขมิบของคนข้างหลัง


“จริง ๆ ติ๊นต้องแก้ผ้าด้วยถึงแฟร์”


“ถ้าผมทำอย่างนั้นกลัวว่าเราจะไม่ได้วาดรูปกันน่ะสิครับ” จิตรกรหนุ่มยิ้มกับตัวเอง ไม่ใช่...จริง ๆ เขายิ้มให้รับเจ้าของเงาสะท้อนในกระจกนั่นต่างหาก


เสื้อคลุมอาบน้ำค่อย ๆ ถูกถอดออกเผยให้เห็นแผ่นหลังเนียน ไม่ช้าผ้าเนื้อนุ่มก็เลื่อนตกลงมาระกับบั้นท้ายงอนงามก่อนจะลงไปกองอยู่กับพื้น เอกรงค์หย่อนตัวลงนั่งหาท่าที่คิดว่าน่าจะสบายสำหรับการต้องอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลานาน ๆ ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะนอนคว่ำลงแล้วดึงหมอนมากอดเหมือนกับตอนที่อ่านหนังสือหรือเล่นคอมพิวเตอร์ เป็นท่าที่เขาให้นิยามว่าท่าที่พร้อมจะหลับได้เสมอ


“ผมหันไปได้หรือยังครับ”


“หันมาได้แล้ว”


ได้ยินเสียงตอบ ศุกลจึงค่อยหันกลับไปช้า ๆ ตาคมทอประกายวิบวับเมื่อพบว่าภาพที่เขาเห็นจากเงาสะท้อนบนระนาบกระจกนั้นน่ารักสู้สิ่งที่เห็นด้วยตาอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เลย คนตรงหน้าดูจะเขินเล็กน้อยยามที่สายตาของเขาไล่สำรวจตั้งแต่ปลายเท้า เรียวขาจนกระทั่งเนินเนื้อที่รับกับช่วงเอวสอบเข้านิด ๆ 


“ลงมือสักทีสิ มองอยู่นั่นแหละ”


จิตรกรหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหยิบดินสอขึ้นร่างภาพ เมื่อได้โครงร่างที่ถูกใจแล้วเขาจึงบีบสีที่ต้องการลงบนแผ่นกระเบื้อง ซึ่งสีที่เขาเลือกใช้เป็นสีน้ำตาล ขาวและดำเพื่อให้ได้ภาพที่เป็นสีโมโนโครม จากนั้นก็หยดน้ำมันสนเพื่อลดความหนืดลงแล้วจัดการผสมส่วนผสมทั้งหมดด้วยเกรียงแล้วใช้พู่กันแตะสีระบายลงบนผืนผ้าใบโดยเริ่มจากดวงตากลมโตที่กำลังสบกันอยู่ในขณะนี้


เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง คนที่นอนเป็นแบบโดยไม่ได้ขยับไปไหนยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอด ๆ เห็นศุกลเดินออกไปจากห้องจึงรีบคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วรีบไปดูผลงานทันที


“วาดเก่งจัง” เอกรงค์พำพึมขณะที่คนวาดเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง


“เมื่อยหรือเปล่าครับ วันนี้พอก่อนไหม” ศุกลกล่าวพร้อมกับวางถาดใส่เครื่องดื่มเย็น ๆ ลงบนโต๊ะ “ที่จริงก็เหลือแค่เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องมีแบบก็ได้ ผมจำได้หมดแล้ว” คนพูดหันมายิ้ม


“แล้วรูปนั้นล่ะติ๊นจะทำยังไง จะทิ้งเหรอ”


“เก็บไว้อย่างนี้แหละครับ รูปใครก็ไม่รู้” เจ้าของร่างสูงกล่าวเมื่อเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง


“หมายความว่ายังไง” เอกรงค์หันกลับมาถาม “ผมสงสัยมานานแล้วเวลาที่ใครถาม ทำไมติ๊นถึงตอบว่ารูปใครก็ไม่รู้”


“ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่ครับว่าเขาเป็นใคร รู้แค่เขายิ้มน่ารักแล้วผมก็ชอบ เลยเก็บภาพของเขาที่พอจะจำได้มาวาด”


“แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าเขาเป็นใคร”


“รู้แล้วครับ” ศุกลบอกพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นประคองเอวสอบนิด ๆ แตะจมูกลงกับปลายจมูกของอีกฝ่าย แกล้งถูไปมาเบา ๆ แล้วผละออก “รู้ว่าเป็นโมของผม”


“ผมไปเป็นของติ๊นตั้งแต่เมื่อไร” คนอายุมากกว่าว่าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ขยี้จมูกของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว แต่จิตรกรหนุ่มไม่ตอบคำถามนั้น


ศุกลสบตานิ่งแล้วพูดความในใจที่เก็บไว้มานาน “โมรู้ไหมว่าผมอิจฉาแค่ไหนเวลาที่เห็นเขาได้กอดได้จับมือโม ผมอยากจูบ อยากสัมผัสโม ให้โมลืมเขา”


คำพูดที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กขี้อิจฉาทำให้เอกรงค์เพิ่งกระจ่าง ที่แท้ความดุดันและโหยหาที่เขารู้สึกได้จากรสจูบของคนตรงหน้า รวมถึงปฏิกิริยาที่พร้อมจะจู่โจมเสมอยามเมื่อเขาลองหยั่งเชิงมันมีที่มาจากเรื่องนี้นี่เอง


“อยู่กันสองคนทำไมยังพูดถึงคนอื่นอีก” พูดจบกุมารแพทย์หนุ่มก็วาดแขนคล้องคอของคนที่ความสูงไล่เลี่ยกันเอาไว้ ออกแรงโน้มอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหู “ผมอยากเป็นของติ๊น อยากเป็นโมของติ๊นคนเดียว”


“โม...” ศุกลครางเบา ๆ เมื่อประโยคง่าย ๆ กำลังจะกระชากสติของตนเองจนกระเจิง


“แต่ผมไม่ได้เอามานะ” เอกรงค์บอกเมื่อขยับห่างออกมาเล็กน้อย


“อะไรครับ วิตามินซี ลูกอมหรือว่าขนม”


“ไอ้บ้า! ไม่ใช่ของพวกนั้น ผ...ผมหมายถึง...”


“ผมมี” ว่าแล้วก็กดปลายจมูกลงบนเนื้อแก้มขึ้นสีเสียงดังฟอด “รับรองว่ามากพอถึงเช้าแน่ครับ”


“เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้วนะ” คุณหมอส่งสายตาคาดโทษ


“ก็เรียนรู้มาจากโมไง” ศุกลยกยิ้มมุมปากก่อนจะรั้งแขนที่โอบรัดรอบคอออกแล้วจูงมือคนเขินเดินเข้าไปในห้องนอน


...


เสียงดนตรีจังหวะสนุก ๆ ถูกแทรกด้วยเสียงเฮของเด็ก ๆ ที่ดังขึ้นเป็นระยะ นอกจากจะฉลองวันเกิดให้ลูกชายคนเล็กแล้วผู้เป็นแม่ยังเตรียมของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับจับฉลากให้กับเพื่อน ๆ ของลูกที่มาร่วมงานด้วย ใช้โอกาสนี้จัดกิจกรรมวันปีใหม่ชดเชยให้ลูก ๆ ไปในคราวเดียวกัน


นภธรณ์ก้มมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะลุกขึ้นหันหลังให้ความวุ่นวายในขณะที่เด็ก ๆ กำลังแกะกล่องของขวัญ เดินออกมาที่ศาลานั่งเล่นซึ่งอยู่หลังบ้าน ตัวเลขดิจิทัลที่หน้าจอโทรศัพท์บอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสาม หากนับจากครั้งสุดท้ายที่เขาโทรไปเร่งเอกรงค์ก็เฉียดสามชั่วโมงเข้าไปแล้ว อีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าถูกหลอกแต่ไม่ยักโทรกลับมาเพื่อต่อว่าซึ่งดูจะผิดวิสัยของคุณหมอขี้บ่น ความวิตกกังวลจึงผุดขึ้นในใจของคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีวางแผนนี้ขึ้นมา


“มาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปแกะของขวัญล่ะ” ธีร์ทัศน์เอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามายืนข้าง ๆ


“นายว่าป่านนี้พ่อโมกับพี่ติ๊นจะเป็นยังไงบ้าง”


“ก็คงปรับความเข้าใจกันได้แล้วมั้ง หรือถ้าแย่หน่อยหมอโมก็คงหนีกลับเพราะรู้ว่าถูกพวกเราหลอก”


“จะแบบไหน พ่อโมก็น่าจะโทรมาต่อว่าฉันนี่นา แต่นี่เงียบไปเลย”


“ถ้าอย่างนั้นนายก็ลองโทรไปสิ ฉันว่าหมอโมไม่ว่าอะไรหรอก หมอโมน่ะใจดีจะตายไป”


“จะดีเหรอ”


“ดีสิ อย่างน้อยนายก็จะได้สบายใจไง”


นภธรณ์พยักหน้าก่อนจะตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาเอกรงค์ รออยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะกดรับจนสายตัดไปเอง


“ไม่รับน่ะ”


“อืม...ลองอีกครั้งไหม ถ้าคราวนี้ไม่รับเดี๋ยวตอนงานเลิกฉันไปหาหมอโมเป็นเพื่อนนายก็ได้”


นภธรณ์กดโทรออกอีกครั้งแต่ก็เป็นเหมือนเดิม กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังไม่ละความพยายามจนในที่สุดเอกรงค์ก็รับสาย


“พ่อโม อยู่ที่ไหนครับ ผ...ผม...”


พูดยังไม่ทันจบปลายสายก็สวนขึ้นมาทันควัน “ยุ่งอยู่ แค่นี้ก่อนนะนอฟ ไว้เสร็จธุระจะโทรหา”


“อะ...อ้าว วางสายไปแล้ว”


“หมอโมว่าไงบ้าง”


“บอกว่ายุ่งอยู่” นภธรณ์เกาหัวแกรก “สงสัยอยู่ฟิตเนสมั้ง เสียงฟังดูเหนื่อย ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรหรอก ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า” พูดจบก็โอบไหล่เพื่อนก่อนจะพากันเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

...



สวัสดีค่ะ ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายในความรับผิดชอบของเราแล้ว

ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะว่า leggy จะสรุปเรื่องราวทั้งหมดนี้ยังไง

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-01-2017 16:48:48 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
แผนร้ายมาก 3แสบเอ้ย!!!

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เขินๆ ดีกันได้เสียที

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ร้ายนักนะเด็กๆ พวกนี้

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
จ้าาาา  ฟิตเนสส  :hao6:
ดีกันแล้ว อะไร ๆ ก็ดูน่ารักไปหมด  :katai2-1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
หมอโมกำลังออกกำลังกายกับพี่ติ๊นอยู่ไงเด็กๆ 555
 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
เด็กๆ กามเทพน้อย  น่ารักจ้า

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
กำลังออกกำลังกายเหงื่อท่วมตัวเชียวแหละ 555555   :hao6:

ชอบท่อนนี้  สองหนุ่มสบตากันก่อนจะรับคำอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ่…”  เห็นภาพตามเลยว่า 2 หนุ่มกำลังกลอกตาบนใส่น้องเล็ก  55555 น่ารักจังเด็กๆ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เดี๋ยว ๆ !!!!

ทำไมมันตัดเข้าประตูห้องนอนล่ะ!

ฉันแค่อยากรู้ว่า หมอโมเป็นของติ๊น หรือ พี่ติ๊นเป็นของหมอโม ???

โธ่!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เตรียมไว้ยันเช้าเลยหรอติ๊น แต่นี่ยังไม่ค่ำเลยนะ 55555

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ประวัติหมอโมโชกโชนจริง ๆ
เด็ก ๆ น่ารัก เจ้าแผนการณ์

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กร๊ากกกกกก หมอโมยุ่งกับอารายคะ

จะจบแล้วอาาาาาา คิดถึงหมอโมแย่เลยทฮืออออ

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เวลากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มของสองคนนี้มันต้องมีคนโทรเข้ามาตลอดเลยนะ 5555
 
เค้ากำลังออกกำลังกายกันอยู่ค่ะเด็กๆ  ไม่ต้องห่วงนะคะ  ภารกิจของขบวนการกามเทพน้อย สำเร็จลงด้วยดีแล้วค่ะ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 14 รักของเรา



“คืนดีกันแล้วใช่ไหม”


คำพูดที่หลุดออกจากปากแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของเพื่อนสนิทในขณะกำลังนั่งกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหารทำเอาข้าวคำที่ตักใส่ปากไปแทบติดคอ


ปรเมษฐ์เลื่อนแก้วน้ำใบบัวบกส่งให้แล้วดึงมือกลับไปเท้าไว้ที่ปลายคางพลางจ้องตาคนที่ยกแก้วน้ำขึ้นซดอักๆ  “จะเล่าอะไรก็รีบเล่าก่อนที่ฉันจะโกรธ”


เอกรงค์วางแก้วลงพร้อมกับยิ้มแห้ง “ก็ไม่มีอะไร… แค่เขามาขอโทษอย่างตรงไปตรงมา ฉันก็เลยยกโทษให้มันก็แค่นั้นแหละ”


“แค่นั้นจริงเหรอ”


“แล้วเขาก็ขอเป็นแฟน”


ปรเมษฐ์เลิกคิ้ว


“แล้ว… แล้ว…”


“ได้กันแล้วใช่ไหม”


เอกรงค์กรอกตาหลบ หมอนี่มันไปแอบอยู่ใต้เตียงหรือไงเนี่ย ถึงได้รู้ไปเสียทุกอย่าง เอ๊ะ! หรือว่าศุกลฝากรอยอะไรไว้ แต่เมื่อเช้าก่อนออกมาก็สำรวจดูดีแล้วนี่นาว่าไม่มี


ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูกและรีบเฉลยก่อนที่เพื่อนรักจะมโนไปไกลว่าเขารู้ได้อย่างไร ...แววตาคนมีความรักนี่น่าเบื่อชะมัด “ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้น เพราะนายน่ะแหละเมื่อวานฉันเลยโดนนอฟมันโกรธเสียยกใหญ่ กว่าจะถามเอาความกันได้ว่าเรื่องอะไรทะเลาะกันบ้านแทบแตก”


“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”


“ก็มันคิดว่าฉันชวนนายไปฟิตเนสทั้งที่มันวางแผนให้นายได้อยู่กับหมอนั่นน่ะสิ แต่ฉันอยู่เวรไม่ได้กลับบ้านมันก็เลยคิดว่าฉันโกหก เรื่องก็ยิ่งไปกันใหญ่” แล้วเท้าคางลงบนโต๊ะพร้อมกับกรีดยิ้มยียวน “ว่าแต่… อยากรู้จังว่าไปออกกำลังกันอีท่าไหน เล่นเวทหรือว่าคาร์ดิโอกันนะ”


คนฟังหน้าแดงแปร๊ด “เฮ้ย!... ขอโทษที ไม่ได้ตั้งใจ ก็นอฟมันโทรจิก ฉันกลัวมันคิดมากเลยรีบรับรีบวาง” เอกรงค์รีบขอโทษ รู้สึกผิดจริงๆ “เอ่อ… แล้ว… นายบอกไปว่ายังไง ไปฟิตเนสใช่ไหม”


ปรเมษฐ์เลิกคิ้ว “นายก็รู้ว่าฉันกับมันไม่เคยมีความลับต่อกัน”


“แล้วยังไงล่ะ” เอกรงค์พยายามทำเสียงให้เป็นปกติทั้งที่หัวใจเต้นรัวรอฟังคำตอบ คิดว่ายังไงเพื่อนรักก็คงไม่หักหลังกันอยู่แล้ว


“ฉันเป็นหมอสูติฯ ไม่ใช่หมอเด็กเหมือนนายเลยไม่ค่อยสันทัดเรื่องพัฒนาการเด็กอายุสิบหกกับเพศศึกษา”


“อย่ามัวแต่เล่นลิ้น ตกลงนายบอกอะไรนอฟ”


“สอนวิธีการทำลูก” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ ราวกับมันเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ


“ไอ้โป้!” เอกรงค์แทบอยากจะมุดหนีลงไปอยู่ใต้โต๊ะแล้วตอนนี้ เจอนภธรณ์คราวหน้าเขาจะทำตัวอย่างไรถูก “เพราะนายเป็นเสียแบบนี้ละนะนอฟมันถึงได้แก่แดดเกินวัยแบบนั้น”


“เฮ้ย! มาโทษฉันคนเดียวได้ยังไงวะก็ช่วยเลี้ยงมาด้วยกัน แต่ก็ดีแล้วล่ะ ฉันเลยถือโอกาสสอนเรื่องการใช้ถุงยางกับวิธีคุมกำเนิดเพราะยังไม่พร้อมจะเลี้ยงหลานอีกคน แค่มันคนเดียวก็ปวดหัวจะตายแล้ว” พูดจบปรเมษฐ์ก็ก้มหน้ากินข้าวต่อไม่ทุกข์ไม่ร้อนปล่อยให้เพื่อนนั่งอมข้าวทำอะไรไม่ถูก


ยิ่งเสียงทุ้มของอีกคนที่เป็นตัวการดังขึ้นทักทายเขาก็ยิ่งหน้าร้อนไปหมด


“สวัสดีครับ” จิตรกรหนุ่มกล่าวกับคนที่นั่งอยู่กับคนรักของตนและเดินเข้ามาร่วมวง ช่วงนี้คลาสเรียนต่างๆ ปิดหมดแล้วและอยู่ในช่วงรับสมัครเด็กรุ่นใหม่เขาจึงมีเวลามาหาเอกรงค์เมื่อคิดถึงได้บ่อย ๆ โดยไม่ต้องอาศัยการส่งข้อความทางโทรศัพท์เหมือนเคย


“เออ” ปรเมษฐ์พยักหน้ารับ “ต่อไปนี้เรียกหมอโป้นะ”


“ครับ” คนฟังเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ดูจะญาติดีขึ้นมานิดหน่อยทั้งที่เจอกันครั้งก่อนสายตาที่มองมาแทบจะฆ่ากันได้


“ตามนั้นแหละแฟนคนก่อนๆ ของโมก็เรียกแบบนี้ เรียกรวบยอดให้เหมือนๆ กันเวลาทักฉันจะได้ไม่งง” นายแพทย์ปรเมษฐ์สรุปง่ายๆ


“แต่ผมไม่เหมือนแฟนคนก่อนๆ ของโมนะครับ” ศุกลรีบบอก


“ยังไง”


“ก็เพราะผมจะไม่วันเป็น ‘อดีต’ น่ะสิ”


“ผ่านปีแรกให้ได้ก่อนค่อยมาคุย” ปรเมษฐ์ว่ามีเสียงเยาะอยู่ในที


“ตกลงครับพี่โป้”


สรรพนามที่ลงท้ายเรียกสายตาเฉียบคมให้เหลียวมามอง “ไม่ต้องมาตีซี้”


“ไม่ได้ตีซี้ครับ ผมแค่ให้เกียรติเรียกไปตามลำดับอาวุโส”


“ไม่ต้องมานับญาติด้วย”


“ไม่นับไม่ได้หรอกครับเพราะโมเป็นคุณพ่อน้องนอฟซึ่งเป็นลูกชายของคุณ เพราะฉะนั้นผมเรียกพี่โป้ถูกแล้วครับ”


“ตรรกะอะไรของแกวะ”


“ตกลงตามนี้นะครับพี่โป้” คนอายุน้อยกว่าสรุปพร้อมกับยิ้มกว้าง


คราวนี้ปรเมษฐ์ไม่ตอบ แต่วางช้อนลงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาเต็มที่  ไอ้จิตรกรไส้แห้งคนนี้มันชักจะกวนประสาทเกินไปแล้ว
เมื่อเห็นสองหนุ่มทำท่าจะวางมวยเอกรงค์จึงรีบแทรกขึ้น “ติ๊นมีธุระอะไรหรือเปล่า เมื่อวานก็บอกไปแล้วนี่ว่าวันนี้ผมอยู่เวร”


“ไม่ได้มีธุระอะไรครับแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายก็เลยมาหาหมอ” ศุกลรีบตีหน้าเศร้าเล่าอาการ


“ป่วยเป็นอะไร”


“ไม่รู้สิครับ มันปวดหัว ตัวร้อน นอนไม่หลับ ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะมีไข้ กินอะไรก็ไม่อร่อย แถมยังหวิวๆ ในอกด้วย”


“แหม เป็นเยอะเลยนะ” ปรเมษฐ์พึมพำในลำคอ “เป็นหนักขนาดนี้ไม่น่ารอด”


“ถึงตายก็คงตายตาหลับเพราะตอนนี้ผมได้มาเห็นหน้าคนที่รักแล้ว” จิตรกรหนุ่มว่าพร้อมกับเหลือบตามองคนที่ย่นปากใส่ตนเอง
ส่วนปรเมษฐ์ก็กรีดยิ้มเย็นตอบกลับไปพร้อมกับกระซิบ “ฉันจองเป็นเจ้าภาพคืนแรกนะ”


ศุกลยังไม่ทันจะเถียง จู่ๆ เอกรงค์ก็ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินหนีไปอีกทาง “โมจะไปไหน”


กุมารแพทย์หนุ่มหันกลับมาครึ่งๆ “อิ่มแล้ว จะกลับไปทำงาน… ฝากเก็บจานด้วยนะโป้”


“เออ”


ได้ฟังดังนั้นศุกลก็หันไปกล่าวลาปรเมษฐ์ก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ตามไปเดินคู่กัน


“ทำไมต้องไปต่อปากต่อคำกับโป้ด้วย” เอกรงค์กระซิบเสียงเครียด “หรือว่าไม่ชอบใจที่โดนหมอนั่นต่อว่าเรื่องผม”


“ถ้าเรื่องนั้นผมเข้าใจครับ” คนอายุน้อยกว่ารีบบอก “ผมผิดอย่างที่เขาว่าจริงๆ แล้วก็ไม่โกรธด้วย... ยังไงดี... มันเหมือนโดนตบหน้าหน้าแรงๆ ให้ได้สติน่ะ และพอมาคิดดูดีๆ ผมว่าเขาก็ไม่ได้เกลียดผมนะแค่ห่วงโมมากกว่า คล้ายๆ พ่อตาหมั่นไส้ลูกเขย ไม่สิ! อารมณ์แม่ผัวลูกสะใภ้น่ะ แต่ถ้าโมไม่อยากให้ผมยุ่ง วันหลังผมจะไม่พูดอะไรแล้ว”


เพราะศุกลมีสีหน้าสลดลงเอกรงค์จึงรีบพูดต่อ “ไม่ใช่ไม่ชอบหรืออะไรอย่างนั้นหรอก คือ… ยังไงดี โป้มันเป็นคนฉลาดน่ะ แล้วก็เก็บรายละเอียดเก่ง มันจับได้เรื่อง ‘วันนั้น’ แล้วมันก็เพิ่งจะแซวผมไปก่อนที่ติ๊นจะมาถึงนี่แหละ… ถ้ายิ่งไปกวนมันมากๆ ผมกลัวมันจะเอาคืนน่ะสิ”


“เอาคืนยังไงครับ” ศุกลถาม


“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่แซวน่ะแหละ… ตะ... แต่… ผมอายนี่”


ริมฝีปากจุดรอยยิ้มเอ็นดูคนอายุมากกว่าที่หน้าแดงไปถึงหู ศุกลเหลียวมองซ้ายขวาเห็นปลอดคนจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ตอนทำเรื่องน่าอายกว่านี้ไม่เห็นอายนะครับ”


สิ้นเสียงของคนรักเอกรงค์ก็หน้าร้อนวาบเมื่อภาพความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว


“เพิ่งจะรู้ว่าโมนี่ไม่ใช่โมโนโทนธรรมดานะ แต่ร้อนแรงยิ่งกว่าสีแดงทุกเฉดรวมกันเสียอีก”


ภาพชายหนุ่มตัวสูงปรากฏขึ้นแจ่มชัดก่อนที่จะถูกผลักให้หงายหลังลงไปนอนแผ่บนเตียง คนผลักซึ่งสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำดึงสายผูกที่เอวออกแล้วรั้งชุดให้พ้นตัวร่วงลงไปกองอยู่แทบเท้าเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าที่ก้าวขึ้นทาบทับ และภาพหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยประติดประต่อเท่าไร จำได้ลางๆ แค่รสจูบที่ยังหวานลิ้น ลมหายใจที่หอบดังอยู่ข้างหูกับ… ความร้อนที่ท่วมท้นอยู่ในร่างกาย


“ไอ้บ้า!” เอกรงค์เบี่ยงตัวออกห่างแล้วเดินหนีเข้าห้องทำงานของตนไป


ศุกลยิ้มกว้างขึ้นอีก เขาเปิดประตูตามเข้าไปและไม่ลืมที่จะปิดล็อกอย่างเรียบร้อย


คนในชุดกาวน์ยืนอยู่หน้าโต๊ะไม่พูดไม่จา จิตรกรหนุ่มเหลียวมองซ้ายขวาเห็นเตียงที่ใช้สำหรับตรวจคนไข้จึงลองใช้มือกดๆ หยั่งน้ำหนักดูจนแน่ใจว่าแข็งแรงพอจะให้ผู้ใหญ่นั่งได้จึงกระโดดขึ้นนั่ง


“คุณหมอครับ” ศุกลแกล้งดัดเสียงเป็นเด็กอ้อน “ทำไมหันหลังให้น้องติ๊นแบบนั้นละครับ น้องติ๊นไม่สบายนะ”


“อย่ามา”


“หมอโมตรวจให้น้องติ๊นหน่อยสิครับ” ศุกลยังไม่เลิกแกล้ง “หัวใจน้องติ๊นมันเต้นแปลกๆ หมอโมลองฟังดูสิครับว่ามันเป็นอะไร”


เอกรงค์เหลือบมองทางหางตาเห็นเด็กโข่งนั่งจ๋องอยู่บนเตียงก็ผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยด้วย เบื่อตัวเองที่ใจอ่อนง่ายดายพร้อมทั้งหยิบหูฟังและเดินเข้าไปหา ไหนๆ ก็มีอุปกรณ์พร้อมแล้วลองตามน้ำดูหน่อยว่าจะมามุกไหน คิดได้ดังนั้นกุมารแพทย์หนุ่มก็สอดหูฟังเข้าในเสื้อและเงียบฟังอยู่อึดใจก่อนจะแกล้งเอ่ยเสียงเครียด “ท่าทางจะอาการหนักจริงๆ ด้วย”


“ทำไมละครับ”


“ก็ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนี่นา… สงสัยติ๊นจะเป็นคนไม่มีหัวใจ”


“จะมีได้ยังไงละครับก็ใจผมให้โมไปหมดแล้ว” ไม่พูดเปล่ายังยกสองแขนขึ้นรวบตัวคนตรงหน้าเข้ามาประชิดแล้วซบหน้าลงบนอก


อุณหภูมิร่างกายที่เริ่มสูงขึ้นหลอมละลายใจที่แข็งให้อ่อนยวบ เอกรงค์วางสองมือลงบนแนวบ่าแล้วลูบไล้เบาๆ ไปจนถึงต้นคอ “มาอ้อนกันถึงที่แบบนี้ตกลงมีอะไรกันแน่… ไปทำความผิดอะไรไว้ใช่ไหมบอกผมมาเดี๋ยวนี้นะ”


ศุกลซุกหน้าเข้าลึกในอกกว้างแล้วสูดกลิ่นกายอีกฝ่ายเข้าจนเต็มปอด “ไม่มีจริงๆ ครับ”


“บอกมาเดี๋ยวนี้”


“บอกไปแล้วไงว่าคิดถึง”


“ติ๊น!”


เมื่อเสียงทุ้มเข้มขึ้นอีกครั้ง ศุกลก็รู้ว่าคงถ่วงเวลาไว้ได้อีกไม่นาน และไม่ช้าก็เร็วเขาก็คงต้องสารภาพอยู่ดี “เอ่อ… คือโมจำรูปที่เราวาดกันเมื่อวันก่อนได้ไหม”


เอกรงค์หลบตา ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยจริงๆ “มีอะไร”


“ก็เมื่อเช้าอากาศดี ผมเลยเอาลงมาเก็บรายละเอียดที่ห้องข้างล่าง”


“แล้ว…”


“จู่ๆ ไอ้ดลกับไอ้พีก็แวะมาหาโดยไม่บอกก่อน… แล้ว… คือ ผมเก็บไม่ทันน่ะ พวกมันก็เลย…”


“ติ๊น!”


ศุกลพยักหน้า “โดนแซวใหญ่เลย พอพวกมันกลับผมก็เลยรีบชิ่งมาบอกโมก่อนโมจะแวะไปเผื่อพวกมันจะย้อนศรกลับมาอีก… แล้วถ้าเอ่อ… ยังไงโมไม่ต้องไปที่ light & shade สักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ดีนะ”


“อย่าว่าแต่อาทิตย์สองอาทิตย์เลยผมจะไม่ไปเหยียบบ้านติ๊นอีกแล้ว ไหนตอนวาดสัญญาว่าจะไม่ให้ใครเห็นไง นี่ผมโกรธจริงๆ นะ” ยิ่งคิดถึงหน้ายิ่งแดง ตอนที่เขาเห็นแม้จะเป็นเพียงภาพร่างที่นอนกอดหมอนอยู่บนเตียง ทั้งที่มั่นใจว่าตอนนั้นกำลังง่วงจนตาปรือแท้ๆ แต่คนวาดกลับวาดออกมาได้ยั่วยวนยิ่งกว่าภาพวาดในตำนานของไททานิคอีก แล้วนี่บอกว่าเอามาเก็บรายละเอียด...


โอ๊ยยยย เขาอยากจะเอาสเต็ทรัดคอตายเสียตอนนี้เลย


“ง้อ” ศุกลรีบบอกพร้อมทั้งกอดเอวแน่นขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามจะแกะออก “ขอโทษนะครับ”


“ไม่ต้องมาขอโทษเลย!”


“ไม่เอาน่าโม ผมไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้ผมเถอะนะ… นะ นะ โมอยากได้อะไรผมยอมทุกอย่างเลย”


ข้อเสนอนั้นสร้างความสนใจให้กุมารแพทย์หนุ่มไม่น้อย “ทุกอย่างเลยเหรอ”


“ครับ”


“ยกเว้นเดือนกับดาวที่เหลือได้หมดเลยครับ”


“แน่ใจนะ”


“ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้นครับ”


รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนมุมปาก เอกรงค์ดันไหล่คนตัวโตกว่าให้ออกห่างเล็กน้อย “หมู่นี้ผมยุ่งๆ น่ะไม่มีเวลาซักผ้า ถูบ้านเลย”


“เรื่องแค่นี้เอง ผมจัดการให้ เดี๋ยวแถมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนซักผ้าห่มให้ด้วย จะให้เริ่มงานวันไหนดีครับ”


“พรุ่งนี้” เอกรงค์ว่า “แปดโมงมารับผมด้วยนะ เพราะผมไปหาติ๊นไม่ได้สักพักนี่นา”


“ได้ครับ”


“อ้อ… มาแต่ตัวนะอุปกรณ์ไม่ต้องเพราะที่ห้องผมมีให้พร้อมแล้ว”


“ครับ” ศุกลรับคำ “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ขอวางมัดจำก่อนได้ไหมครับ”


“มั่วหรือเปล่า ผมสิต้องเป็นคนวาง”


“อย่างนั้นโมก็วางสิ” แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นคล้องรอบคอคนที่กำลังยืนอยู่ให้ก้มหน้าลงมาหาจนปลายจมูกแตะกันเป็นการส่งสัญญาณว่าของมัดจำที่ต้องการคืออะไร


ริมฝีปากของกุมารแพทย์หนุ่มคลี่ออกจนเห็นรอยบุ๋มลึกที่ข้างแก้ม เอกรงค์ค่อยขยับหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากรับรู้ถึงละไอความความร้อนจากอีกฝ่าย


ศุกลหัวใจเต้นรัว กลีบปากเผยอออกเล็กน้อยอย่างรอคอย แต่แทนที่เอกรงค์จะประกบริมฝีปากทาบทับลงมาให้หายคิดถึงเขากลับดีดมะกอกเข้ากลางหน้าผากดังเป๊ะ! จนจิตรกรหนุ่มหน้าหงาย


“โอ๊ย!” ว่าพลางยกมือขึ้นกุมหน้าผากส่งเสียงร้องโอดโอย “โมใจร้าย”


“โทษฐานที่ให้คนอื่นเห็นรูปของผมไง” พูดจบก็คว้าเสื้อศุกลให้ลุกขึ้นยืนแล้วดึงไปโยนทิ้งไว้ที่หน้าประตู “แล้วก็กลับไปได้แล้ว ผมจะทำงาน” ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าดังปัง!


กุศลคอตก มองบานประตูตาละห้อยด้วยความรู้สึกผิด กำลังจะหมุนตัวกลับแต่เมื่อเสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นเขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูและพบว่ามาจากคนที่อยู่หลังประตูนั่นเอง


“ห้ามสายนะ”


พลันริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกช้าๆ จิตรกรหนุ่มเคาะโทรศัพท์กับปลายคางพลางขบคิดว่าพรุ่งนี้หลังจากทำงานบ้านเสร็จแล้วมีเวลาเหลือเขาจะทำอะไรต่อดี...


....


“ผมว่าอันนี้ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะ” ศุกลเท้าเอวถามคนที่นั่งกลั้นขำจนหน้าขึ้นริ้วบนโซฟา พอมาถึงบ้านเอกรงค์ก็ส่งถุงใบหนึ่งให้เขาบอกว่าให้เปลี่ยนไปใส่ชุดนี้เพื่อชุดที่ใส่มาจะได้ไม่เปื้อน รีบเปิดออกดูด้วยความดีใจหลงคิดว่าอีกฝ่ายซื้อของขวัญให้ ที่ไหนได้มันกลับกลายเป็นผ้ากันเปื้อนลูกไม้สีขาว และเจ้าตัวก็บังคับให้ใส่ ‘แค่นั้น’


“อยู่สิ ก็ติ๊นสัญญาแล้วนี่ว่าจะยอมทำทุกอย่าง” เอกรงค์ขำท้องแข็งจนแทบลงไปนอนกลิ้งบนพื้นแล้ว


“เจ้าเล่ห์นักนะ”


“ขอบคุณที่ชม” เอกรงค์ว่า “เอ้า! อย่ามัวแต่อู้สิรีบไปทำเข้า ชักช้าเดี๋ยวไม่ให้กินข้าวนะ”


“คร้าบบบนายท่าน” ศุกลลากเสียงประชดแล้วเดินหน้าบูดไปอีกทาง


แต่ดูแล้วการที่เอกรงค์บอกให้มาช่วยงานบ้านนั้นน่าจะเป็นเรื่องโกหกมากกว่าเพราะหลังจากที่เดินวนจนรอบห้องก็ยังไม่เจอกองผ้าที่ยังไม่ได้ซัก และทุกห้องก็สะอาดเรียบร้อยดี จะมีก็แต่เตียงที่ยังไม่ได้เก็บเท่านั้น ศุกลจึงเปิดตู้หาเครื่องนอนชุดใหม่มาเปลี่ยนให้แล้วเดินออกมาหาเจ้าของห้องเพื่อถามหางานอื่น


“โม ผมเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้แล้วคุณจะ… อ้าว หลับไปแล้วเหรอ” ศุกลเดินเข้าไปชะโงกง้ำอยู่เหนือตัวคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังตาโตแกล้งแซวเรื่องไฝที่ก้นเขาอยู่เลย จิตรกรหนุ่มไล้มือไปตามแก้มนิ่มและแกล้งจิ้มเล่นเบาๆ ตรงตำแหน่งที่เป็นลักยิ้ม “โม… ตื่นเถอะ ไปนอนในห้องผมปูเตียงให้ใหม่ห้อม หอม~ น่านอนกว่าตรงนี้เยอะเลยนะ นี่โม… ถ้าไม่ตื่นผมจะปล้ำแล้วนะคุณเจ้าหญิงนิทรา”


เอกรงค์ปรือตาขึ้นมองข้างหนึ่งพร้อมกับงึมงำถามทั้งที่จริงๆ เขารู้สึกตัวได้สักพักแล้ว “ติ๊นจะทำอะไรนะ”


“ปล้ำ”


“อย่างนั้นนอนต่อดีกว่า”


“แน่ะ! ดูพูดเข้า เดี๋ยวปล้ำจริงๆ นะ เล่นมาอ่อยผมซะขนาดนี้”


“ไม่ได้อ่อยซะหน่อย” เอกรงค์พลิกตัวบิดขี้เกียจ กำลังจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่มือใหญ่กลับคว้าเข้าที่หัวไหล่กดให้นอนลงบนโซฟาตามเดิมพร้อมกับที่อีกฝ่ายก้าวขึ้นทาบทับ และเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวของศุกลมีเพียงผ้ากันเปื้อนบางๆ ผืนเดียวเอกรงค์จึงรับรู้ได้ชัดเจนถึงอะไรบางอย่างดุนดันอยู่บริเวณหน้าขาของตน นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่ง “ติ๊นไม่เอา… อย่าแกล้งสิ”


“ไม่เอาไม่ได้แล้วครับ” ศุกลกระซิบ “ตอนนี้โมมีตัวเลือกแค่สองทาง”


“อะไร”


“โซฟาหรือที่เตียง”


“ดีนะไม่มีระเบียงด้วย” เอกรงค์พูดยิ้มๆ


“ไม่มีปัญหานะครับ”


คนฟังตาโตขึ้นทันที “ไอ้บ้า! ผมล้อเล่น”


“ตกลงยังไงดีครับ”


“ก็… แล้วแต่ติ๊นสิ”


“แล้วแต่ผมได้ไง วันนี้ผมมีหน้าที่ตามใจโมทุกอย่างนี่นา ผมเดินวนจนรอบบ้านแล้วนะ ไม่เห็นมีอะไรใหทำเลย ตกลงโมให้ผมมาบ้านนี่มีแผนอะไรกันแน่ครับ”


“ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากอยู่ด้วยกันทั้งวันเพราะนานๆ ผมจะว่างสักที” เอกรงค์ยอมรับ “แต่ถ้าจะให้ออกไปเที่ยวข้างนอกก็เหนื่อยเกินไป”


“แค่นั้นบอกตรงๆ ก็ได้นี่ครับ”


“บอกตรงๆ แล้วจะได้เห็นติ๊นใส่ผ้ากันเปื้อนเหรอ” เอกรงค์หัวเราะ “เอาคืนเรื่องที่ให้คนอื่นเห็นรูปผมไง”


“นอกจากนี้แล้ว โมอยากทำอะไรอีก บอกมาสิแค่อยากให้อยู่ด้วย ทำอาหารให้กิน นอนกอดกันเฉยๆ หรือว่าอยากได้มากกว่านั้นครับ”


“เหมาหมดเลยได้ไหม”


“แบบนี้ทำเหมือนซ้อมเลยนะครับ”


“ซ้อมอะไร?”


“อยู่ด้วยกันไง”


“ไร้สาระน่าของแบบนั้นไม่จำเป็นหรอก” เอกรงค์ว่า “พร้อมเมื่อไหร่ก็ย้ายเข้ามาเลยนะ เตียงออกจะกว้างที่ว่างเหลือเฟือ”


“มีโปรโมชั่นอื่นอีกไหมครับ”


“อยู่วันนี้แถมฟรีเจ้าของห้องไง” เอกรงค์บอก “ห้องผมมีทีวีแถมฟรีไวไฟด้วยนะ สนใจป่าววว”


ศุกลหลุบตาลงต่ำอย่างครุ่นคิดแล้วดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้ก่อนจะจูบหนักๆ ลงบนข้อนิ้ว “คงไม่ได้หรอกครับ”


“มันเร็วไปสินะ ไม่เป็นไรผมเข้าใจ”


“เปล่าครับ” ศุกลบอก “ที่ตรงนั้นเป็นสมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้ และ light & shade ก็เป็นความฝันของผม ถ้าจะอยู่ด้วยกันโมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายย้ายมา”


“ไม่เอาดีกว่า” เอกรงค์บอก เพราะบ้านอีกฝ่ายเป็นที่เรียนศิลปะด้วย แค่ไปๆ มาๆ ยังพอว่าแต่ถ้าเข้าๆ ออกๆ ทุกวันเขาก็เขินเด็กๆ ที่มาเรียนเหมือนกัน “แต่ถ้าเป็นแบบนี้เราจะห่างกันหรือเปล่า”


“นั่นน่ะสินะ อยู่ห่างกันแค่สองแยกไฟแดงเรายังหากันตั้งสามปี” ศุกลพูดยิ้มๆ “ต่อให้อยู่ไกลกันมากกว่านี้ ก็ใกล้กันได้ครับถ้าเราทำให้ใกล้กัน”


“ติ๊นจะทำยังไง”


“ผมใช้คำว่า ‘เรา’ นะ” ศุกลเว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อสบตาอีกฝ่ายให้ชัดๆ “มาพยายามด้วยกันนะ”


“แน่นอนอยู่แล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยไหม” ศุกลบอกพลางกดจูบลงกลางหน้าผากก่อนจะลากริมฝีปากลงมาตามสันจมูกอย่างเชื่องช้าและแผ่วค่อยราวกับอยากตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายที่อยากให้เวลาวันนี้ผ่านไปช้าๆ


เขาหยุดริมฝีปากลงบริเวณเหนือริมฝีปากและกระซิบถาม “ได้ไหมครับ”


“จะมาขออะไรกันตอนนี้เล่า” รอยยิ้มกว้างลากเต็มริมฝีปากก่อนที่เอกรงค์จะกระชับวงแขนดึงตัวอีกฝ่ายลงมาหา “นี่ผมนอนรอตั้งนานแล้วนะ”


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ส่งท้าย


3 ปีต่อมา...


ประตูบานเลื่อนของห้องทำงานถูกเปิดออกพร้อมกับการมาของสูตินรีแพทย์เจ้าของใบหน้าคมคาย ปรเมษฐ์ทอดตามองชายหนุ่มที่กำลังนั่งเขี่ยอาหารในกล่องบนโต๊ะทำงานก่อนจะสืบเท้าเข้าไปหยุดตรงหน้า กอดอกจ้องเจ้าของท่าทางซังกะตายในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยขึ้น 


“ถ้าไม่ไหวก็หยุดเถอะ จะฝืนทำไม”


เอกรงค์เงยหน้าขึ้นมองพลันลมหายใจเหนื่อยหน่ายก็ถูกเป่าผ่านโพรงจมูก “ฉันยังอยากลองต่ออีกนิด เผื่อว่าจะปรับตัวได้”


“นี่ยังจะคิดปรับตัวอีกเหรอ นายปล่อยเวลามาขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องลองต่อแล้วละ แค่ฉันเห็นสภาพนายตอนนี้ก็รู้แล้วว่าต้องไปไม่รอด”


“ต...แต่...มันน่าเสียดายนะ...”


“เสียดายแล้วต้องมานั่งฝืนทนอย่างนี้น่ะเหรอ ตัดใจบอกเลิกไปเถอะ” พูดจบนายแพทย์ปรเมษฐ์ก็นั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้าม วางมือแล้วเคาะหปลายนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะห่าง ๆ


“ถ้ามันพูดกันง่าย ๆ อย่างนั้นก็ดีน่ะสิ” เอกรงค์อ้อมแอ้ม


“ถ้านายไม่พูดฉันจะพูดเอง” ปรเมษฐ์กล่าวขึงขัง “เจ้านอฟมันจะได้รู้สักทีว่าฝีมือการทำข้าวกล่องของมันห่วยแตกมาก” ว่าแล้วก็ดึงกล่องข้าวตรงหน้าของเพื่อนรักเข้ามาใกล้พร้อมกับมองอย่างพิจารณา อาหารที่นภธรณ์บอกว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ตั้งใจทำและฝากมาให้เอกรงค์ในระหว่างที่พ่อครัวตัวจริงอย่างศุกลต้องเดินทางไปต่างประเทศหากนับจนถึงวันนี้ก็ร่วมหนึ่งสัปดาห์แล้ว
ข้างในประกอบด้วยข้าวกล้องสุก ๆ ดิบ ๆ แบบที่เขาถูกบังคับให้กินเกือบทุกเช้า โปะด้วยผักต้มกับมันฝรั่งเละ ๆ วางข้างอกไก่ย่างที่น่าจะเรียกว่าอกไก่ผจญเพลิงมากกว่า เพราะคนทำมัวแต่คุยโทรศัพท์กับเพื่อน อกไก่ที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียวจึงแทบจะไหม้เกรียม “เพื่อสุขภาพจริง ๆ กินแล้วไม่อ้วน เพราะต้องเททิ้งอย่างเดียว” พูดจบก็ดันกล่องออกจากตัวทำท่าขนลุกขนพอง


“มันก็พอกินได้อยู่นะ เอาน่า เจ้านอฟมันอุตส่าห์ตื่นมาทำให้ทุกเช้า”


“ก็นายไปพูดแบบนี้น่ะสิ มันถึงได้มั่นใจในฝีมือทำกับข้าวของตัวเองนัก ฉันเลยพลอยซวยไปด้วย นอฟน่ะโตแล้วนะ จิตวิทยาเด็กของนายใช้กับมันไม่ได้แล้ว ฉันว่ากว่าเจ้าติ๊นจะกลับมานายได้ผอมเป็นไม้เสียบผีเพราะต้องทนกินอาหารฝีมือลูกชายฉันแน่ ๆ”


เอกรงค์มุ่นคิ้ว ใช้ส้อมเขี่ยมันฝรั่งต้มจนเละพลางนึกถึงข้าวกล่องแสนอร่อยที่ศุกลทำมาให้เป็นมื้อกลางวันเกือบทุกวันที่อีกฝ่ายติดธุระจนไม่สามารถมานั่งกินข้าวด้วยกันได้


“จะว่าไปก็เร็วเหมือนกันนะ เผลอเดี๋ยวเดียวสามปี เคยคิดไหมว่ามาไกลกว่าเป้าแล้ว” คำพูดของเพื่อนทำเอากุมารแพทย์หนุ่มยิ่งมุ่นคิ้วหนัก


“นายหมายความว่ายังไง”


“ก็ปกติเวลาคบใครฉันเห็นนายตั้งเป้าเอาไว้ไม่ใช่เหรอว่าที่สุดแล้วความรักจะต้องสมบูรณ์แบบ นายถึงได้ทุ่มเทจนแทบถวายหัว”


“ก็ใช่อยู่หรอก ถึงมันจะเป็นความสัมพันธ์ที่อาจจะดูฉาบฉวยในสายตาใคร แต่ลึก ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนแฟนบ่อย ๆ หรอกนะ อยากจะคบนาน ๆ อยู่กันไปจนแก่จนเฒ่าได้ก็ยิ่งดี แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นแบบที่คิดไว้ทุกที”


“แล้วคนนี้ล่ะ คิดว่าจะไปไกลได้แค่ไหน”


“ไม่รู้เหมือนกัน ครั้งนี้ไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรทั้งนั้น” เอกรงค์ส่ายหัวยิ้ม ๆ


“แต่ฉันเห็นคำตอบอยู่ในแววตากับรอยยิ้มของนายนะ”


คนฟังเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองเพื่อนรักที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า ใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจออยู่ 2-3 ครั้งจึงเอ่ยขึ้น


“นี่ไง” พูดจบก็วางโทรศัพท์ลงกลางโต๊ะ


“เฮ้ย! แอบถ่ายตั้งแต่เมื่อไร” เอกรงค์ถามเขิน ๆ เมื่อเห็นว่าภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็คือภาพของเขากับศุกลที่นั่งกันคนละฝั่งของโต๊ะในโรงอาหาร สองคนต่างมีรอยยิ้มให้กัน ใบหน้าเปี่ยมสุขราวกับกำลังได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศจากภัตราคารในโรงแรมชื่อดังกับคนที่รู้ใจ


“เจ้านอฟมันส่งมาให้ฉันดูเพื่อเป็นการยืนยันว่าแผนการของมันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี”


“น่าจะนานมากแล้วนะ” เอกรงค์ว่า เขาจำเสื้อเชิ้ตสีหวานที่ซื้อเป็นของขวัญครบรอบวันที่ตกลงเป็นแฟนกันได้ดี ตอนแรกศุกลก็อิดออดไม่ยอมใส่ตามประสาหนุ่มศิลปินที่มีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แต่เมื่อเขาแสร้งทำน้อยอกน้อยใจเข้าหน่อยก็ใจอ่อนยอมใส่แต่โดยดี


“ถ้าเทียบกับแฟนคนก่อน ๆ ของนาย ฉันบอกได้เลยว่าเจ้าติ๊นนี่ถือว่าธรรมดามาก ก็น่าแปลกนะคนธรรมดา ๆ กลับเป็นคนที่ทำให้นายไม่ต้องวางมาดเนี้ยบตลอดเวลา ไม่ต้องกระหืดกระหอบไปให้ทันนัด ไม่ต้องกินอาหารในภัตตาคารหรู ๆ แค่กินข้าวในโรงอาหารด้วยกันก็มีความสุขได้ ฉันพูดแบบนี้ถูกหรือเปล่า”


“อือ” กุมารแพทย์หนุ่มตอบไม่เต็มเสียงก่อนจหลุบตาลงต่ำ


“แบบนี้ละมั้งถึงไม่ต้องคาดหวังอะไร ปล่อยให้มันเป็นแบบที่มันควรจะเป็น แค่รู้ว่าวันนี้ยังรักกันก็พอ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมองราวกับไม่เชื่อว่าจะได้ฟังคำพูดเหล่านี้จากคนที่ร้างราจากการมีความรักมาเกือบครึ่งชีวิตอย่างเขา ปรเมษฐ์จึงกระแอมแก้เก้อเบา ๆ “ก็จำ ๆ เขามาพูดน่ะ ว่าแต่ตั๋วเครื่องบินนั่นล่ะจะเอายังไง”
พูดจบก็มองเลยไปยังตั๋วเครื่องบินที่ยังคงเสียบอยู่กับสมุดบันทึกข้างเครื่องคอมพิวเตอร์


“ก...ก็...”


“อันนี้น่ะน่าเสียดายกว่าข้าวกล่องเจ้านอฟอีกนะ ขืนทิ้งมีหวังคนให้เสียใจแย่”


“อยากทำอะไรไม่ปรึกษาเองนี่ เซอไพรส์อะไรไม่เข้าท่า รู้ทั้งรู้ว่าฉันมีภาระเยอะ”


“เฮ้อ...ตามใจโว้ย” ปรเมษฐ์ยักไหล่ ลุกขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจากนั้นจึงเดินไปที่ประตู แต่แล้วร่างสูงก็หยุดก่อนจะหันมากล่าว “ฉันรู้ว่านายเป็นคนมีเหตุผล แต่เรื่องบางเรื่องน่ะเอาความรู้สึกตัดสินบ้างก็ได้ มันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนหรอก”


เอกรงค์มองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อย ๆ ถูกบดบังด้วยบานประตูขนาดใหญ่พลางถอนใจเฮือก เขาเข้าใจความหมายในคำพูดที่ปรเมษฐ์กล่าวทิ้งท้ายได้ในทันทีหากแต่สมองกลับยังคงคิดค้านความต้องการในส่วนลึกของตนเอง...


....


“ขอบคุณนะครับพี่ติ๊น”


“ไม่เป็นไร ก็สัญญากันไว้แล้วนี่นาว่าถ้าทัศน์สอบชิงทุนของ KUAD ได้พี่จะมาส่ง” ศุกลว่าพลางตบเบา ๆ บนบ่าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปี “ตั้งใจเรียนล่ะ อย่าทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง แล้วอย่าลืมโทรหาน้องบ้างล่ะ พี่ชายมาเรียนไกลแบบนี้คงเหงาแย่”


“ผมฝากให้นอฟช่วยดูแลน้องแทนผมแล้วละครับ แต่จะหมั่นโทรหาบ่อย ๆ” ธีร์ทัศน์ยิ้ม 


“ขอบใจมากนะติ๊นที่อุตส่าห์ทิ้งงานมาเป็นธุระให้ทั้งเรื่องที่เรียนของเจ้าทัศน์แล้วก็เรื่องตั๋วเครื่องบินกับที่พัก” วิศวกรร่างสูงใหญ่กล่าวพร้อมกับหันไปยิ้มให้ภรรยา “เลยเหมือนได้มาฮันนีมูนรอบสอง” 


“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ถ้ามีอะไรก็บอกกับโยชิฮิสะซังได้เลยนะครับ เขามีหน้าที่ดูแลนักเรียนทุนที่นี่ ไม่ต้องเกรงใจ”


“แล้วนี่จะไม่อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนจริง ๆ เหรอจ๊ะ นี่ยังคุยกันบนเครื่องอยู่เลยว่าเดี๋ยวถึงแล้วจะชวนติ๊นทานข้าวด้วยกันสักหน่อย”


“ขอบคุณมากครับคุณแม่ แต่วันนี้ไม่สะดวกจริง ๆ พอดีผมมีธุระต้องไปทำน่ะครับ ยังไงผมถือโอกาสลาเลยก็แล้วกันนะครับ” จิตรกรหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้สองสามีภรรยาที่เดินมาส่งที่หน้าโรงแรม


“ถ้าอย่างนั้นผมเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์นะพี่ติ๊น”


ศุกลพยักหน้าพลางรั้งเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วเดินนำศิษย์รักไปยังที่รอรถประจำทางซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล


“เสียดายจังเลยนะครับ หมอโมน่าจะมาด้วยกัน”


“อือ...น่าเสียดาย แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา เขาก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเนอะ” ศุกลตอบเรียบ ๆ


“ดีจังเลยนะครับ ตั้งแต่พี่ติ๊นคบกับหมอโม ผมเห็นหมอโมทำงานแทบจะไม่มีวันหยุดเลยแต่ก็ไม่เคยเห็นสองคนจะทะเลาะกันเรื่องนี้”


“ใครว่าล่ะ” คนพูดอมยิ้ม “ก่อนพี่จะมาส่งทัศน์ที่เกียวโตก็ยังทะเลาะกันอยู่เลย ชวนให้มาด้วยกันก็บอกว่าลางานไม่ได้” นึกถึงย้อนไปถึงวันที่ทะเลาะกันเพราะเขาดันเอาตั๋วเครื่องบินไปยื่นให้ทั้งที่ไม่ได้ปรึกษาเจ้าตัวมาก่อนจนถูกบ่นเสียยกใหญ่แล้วอดขำไม่ได้ ศุกลเผลอส่ายหัวเบา ๆ จนธีรทัศน์นึกเป็นห่วง


“อย่าคิดมากเลยครับพี่ติ๊น คิดเสียว่าเป็นสีสันของชีวิต”


“นั่นสินะ ขอบใจนะทัศน์” จิตรกรหนุ่มยิ้มให้ “รถมาแล้วพี่ไปก่อนนะ”


เมื่อรถประจำทางปรับอากาศคันใหญ่จอดสนิท ตัวรถฝั่งประตูก็ค่อย ๆ เอียงลงเพื่อให้คนโดยสารก้าวขึ้นลงได้สะดวก ศุกลก้าวขึ้นไปบนรถก่อนกวาดตามองหาที่นั่งซึ่งพอจะเหลืออยู่บ้าง จากนั้นก็เดินไปนั่งที่ริมหน้าต่างทอดตามองทิวทัศน์สองข้างทางที่เต็มไปด้วยผู้คน บนถนนแน่นขนัดไปด้วยรถรา ดังนั้นจึงทำให้รถบัสที่โดยสารมาเคลื่อนไปได้อย่างช้า ๆ ผ่านพิพิธภัณฑ์ มหาวิทยาลัย แม่น้ำ จนกระทั่งมาหยุดที่จุดหมายปลายทางในตอนใกล้ค่ำ จิตรกรหนุ่มก้าวลงจากรถและเลือกที่จะหันหลังให้ผู้คนนับพันที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมารอบ ๆ บริเวณของสถานีรถไฟเกียวโตมุ่งหน้าสู่หอคอยสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า บรรยากาศบนเกียวโตทาวเวอร์เงียบสงบต่างจากข้างล่างอย่างสิ้นเชิง มันยังคงยืนอย่างโดดเดี่ยวรอคอยการมาเยือนของนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาแล้วจากไป แต่สำหรับศุกลแล้วคนที่เขารอมีเพียงคนเดียวเท่านั้น...


ตาคมทอดมองแสงไฟระยิบระยับที่ติดขึ้นท่ามกลางความมืด ในที่สุดเกียวโตก็สว่างไสวขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคิดถึงแทรกซึมเข้ากลางหัวใจ วันนี้ก็ไม่ต่างกับเมื่อหกปีก่อน ศุกลตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหวังว่าจะได้ยินเสียงคนที่ปลายสายสุดท้ายก็ได้ฟังแค่เสียงจากระบบตอบรับอัตโนมัติ ชายหนุ่มหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจนได้เวลาปิดทำการของหอคอยจึงหันหลังกลับแต่แล้วร่างของเขาก็ปะทะเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมา


“Sorry” ศุกลเอ่ยขึ้นโดยทันทีก่อนจะมองหน้าคนที่ตนเองเพิ่งทำให้เจ็บให้เต็มตา


“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มสวมเสื้อโค้ทสีดำเอ่ยขึ้น 


“คนไทยหรอกเหรอครับ”


“ใช่ครับ ผมเป็นคนไทย” พูดจบเขาก็เดินผ่านร่างสูงกว่าไปหยุดชิดริมผนังกระจกแล้วมองออกไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่ศุกลก็ไม่อาจรู้ได้


“มาเที่ยวเหรอครับ” จิตรกรหนุ่มถามพร้อมกับลอบมองเงาสะท้อนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ปรากฏลาง ๆ บนระนาบใส


“มาตามหาแฟนน่ะ”


“แล้วเจอหรือยังครับ”


คนถูกถามถอนใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาช้า ๆ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มจนเกิดรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม “เจอแล้ว”


ศุกลเองก็ยิ้มกว้างไม่ต่างกันก่อนจะโผเข้าสวมกอดคนที่ไม่พบหน้ากันกว่าหนึ่งสัปดาห์ ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับซอกคอขาวสูดกลิ่นกายที่โหยหาให้เต็มปอดแล้วกระซิบเบา ๆ “นึกว่าโมจะไม่มาเสียแล้ว”


“กลัวจะมีเด็กร้องไห้เลยต้องรีบตามมา”


“ผมคิดถึงจะแย่อยู่แล้วรู้ไหม” พูดจบศุกลก็ขยับห่างออกมาสบตาคนในอ้อมแขน


“คิดว่าติ๊นคิดถึงเป็นคนเดียวหรือไง หืม?” ว่าพลางยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคนตัวสูงให้เข้าที่ก่อนจะไล้ฝ่ามือลงประคองแก้มสาก


“โมคิดถึงผมด้วยเหรอ” ศุกลกล่าวพร้อมกับรั้งมือที่แนบอยู่กับแก้มมากุมไว้ ดวงตาสองคู่ยังสบกันนิ่ง ในที่สุดก็เป็นเอกรงค์ที่เอ่ยขึ้น


“ถ้าไม่คิดถึงจะบินตามมา ว่าแต่...ผมรู้นะว่าเรารู้จักกันครั้งแรกที่นี่แต่ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ”


“ก็เพราะว่าเราได้พบกันครั้งแรกที่นี่ในวันนี้ของเมื่อหกปีก่อนไงครับ โมจำได้ไหม”


“จะโกรธไหมถ้าผมบอกว่าเรื่องวันเวลาไม่อยู่ในหัวผมเลย มีแต่ตารางเวรเต็มไปหมด”


“ไม่โกรธหรอกครับ” ว่าแล้วจิตกรหนุ่มก็ใช้สองมือประคองเอวสอบเข้านิด ๆ เอาไว้ “เดี๋ยวผมจำให้โมเอง แค่โมจำว่าโมเคยเจอผมที่นี่ก็พอแล้ว”


“ปากหวาน” เอกรงค์ส่งยิ้มให้คนตรงหน้า อดคิดไม่ได้ว่าหนุ่มศิลปินนี่ช่างเก็บรายละเอียดดีจริง ๆ เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าแบบนี้แหละที่เรียกว่าผู้ชายโรแมนติกในความคิดของเขา


“ปากคุณหมอหวานกว่า” พูดจบก็โน้มหน้าเข้าหาหวังจะฉกชิมกลีบปากสีเรื่อเพื่อตอกย้ำในสิ่งที่ตนเองกล่าว แต่กลับถูกเอกรงค์ปรามไว้ดดยการยกแตะปลายนิ้วที่ริมฝีปากอุ่นก่อนจะกล่าว


“อย่าน่า คนเยอะ”


ศุกลเลิกคิ้วก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครอื่นนอกจากพวกเขา “เยอะที่ไหนกันครับ ก็เห็นอยู่ว่ามีแค่เราสองคน” พูดจบก็แกล้งงับเบา ๆ ที่ปลายนิ้วทำเอาคุณหมอก้มหน้างุด


“เหนื่อยไหมครับ” ทันทีที่จบคำถามก็ได้ยินเสียงงึมงำเบา ๆ


“มาก อยากแช่น้ำอุ่น”


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับโรงแรมกันนะครับ” ศุกลกระซิบแล้วจับอีกฝ่ายก่อนจะพากันเดินไปที่ลิฟต์ ทันทีที่ออกจากอาคารสูงก็พากันวิ่งข้ามถนนในจังหวะที่สัญญาณคนเดินข้มปรากฏขึ้น


สองคนจับมือกันวิ่งฝ่าความหนาวเย็นหลบหลีกผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ภายในสถานีรถไฟกระทั่งเข้าสู่ตรอกเล็ก ๆ ที่แสนเงียบเชียบ ในที่สุดคนตามก็ชะลอฝีเท้าลงพร้อมกับรั้งแขนแกร่งที่ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้วิ่งชนิดม้วนเดียวจบเช่นนี้ 


“ด...เดี๋ยว...ติ๊น” เอกรงค์เรียก ถ้าคำขาด ๆ หาย ๆ เพราะต้องแบ่งหายใจทางปาก “จะรีบไปไหน”


“พาโมกลับไปแช่น้ำอุ่นไงครับ” ศุกกลตอบหน้าซื่อ


“แค่นั้นเหรอ”


“ครับ”


เอกรงค์มองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ไม่รู้ว่านี่แกล้งกันอยู่หรืออีกฝ่ายไม่รู้จริง ๆ นะว่าเขากำลังคิดอะไร กุมารแพทย์หนุ่มขยับเข้าใกล้ก่อนจะยกมือขึ้แตะแผงอกกว้างออกแรงดันจนร่างสูงติดกับกำแพง


“แล้วถ้าผมอยากได้มากกว่านั้นล่ะ”


“เช่นอะไรครับ” คำถามนั้นมาพร้อมกับสองมือที่เคล้นคลึงเบา ๆ ที่สะโพก
คนอายุมากกว่ายกมุมปากขึ้นน้อย ๆ เมื่อนึกถึงฉายา ‘พี่ติ๊นหน้ามนคนซื่อ’ ที่นภธรณ์ใช้เรียกชายหนุ่มตรงหน้า แท้จริงแล้วเขาน่ะเจ้าเล่ห์ชนิดหาตัวจับยากต่างหาก


“คิดนานจัง”


“รู้แล้วยังแกล้งถาม รีบไปเถอะ” ว่าแล้วก็รั้งมือคนรักให้เดินต่อ แต่ศุกลกลับแกล้งขืนตัวจนเอกรงค์ต้องหันมาส่งสายตาดุเป็นระยะ ๆ


ทันทีที่ถึงโรงแรมเอกรงค์ก็จับการเก็บกระเป๋าเดินทางใบโต ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่จากนั้นจึงกลับออกมาในชุดยูกาตะสีเข้มซึ่งเป็นชุดใส่นอนที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นสุกลจึงเดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้องสี่เหลี่ยมแล้วกลับมานั่งลงที่เตียง ลองทิ้งน้ำหนักตัวทดสอบความยืดหยุ่นของที่นอนแล้วอมยิ้มคนเดียว พลันหูก็ได้ยินเสียงเคาะเบา ๆ ก่อนจะที่คนด้านนอกจะแตะคีย์การ์ดแล้วหมุนลูกบิดดันประตูเข้ามา


“ไปไหนมา” เอกรงค์ถามคนที่อยู่ในชุดเดียวกัน


“ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวมมาครับ”


“นี่ผมอาบน้ำนานไปเหรอ”


“เปล่า” ศุกลว่า จากนั้นจึงเดินมานั่งลงข้างกัน “กลัวไม่ทันใจโมต่างหาก”


คนฟังเสมองไปทางอื่น แต่เมื่อจิตรกรหนุ่มเอื้อมมือรั้งสายคาดเอวออกก็เหมือนเป็นการถอดสลักคลายโซ่ที่พันธนาการจิตใต้สำนึกปลดปล่อยความรู้สึกโหยหาให้โลดแล่นอีกครั้ง 


ชั่วพริบตาชุดยูกาตะสำหรับสวมใส่เวลานอนก็ถูกปลดออกกองลงกับพื้น หากแต่ร่างกายกลับรู้สึกอุ่นด้วยอ้อมกอดที่ต่างคนแสนคิดถึง ศุกลดันอีกฝ่ายลงกับเตียงก่อนจะตามไปทาบทับร่างนั้นเอาไว้ทั้งตัว ผิวเนื้อแนบสนิทจนรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิกายที่พลุ่งพล่านของกันและกัน จิตรกรหนุ่มบรรจงแตะจูบเบา ๆ ที่สองแก้มจนพอใจก่อนจะเลื่อนมากลืนกินกลีบปากที่เผยอออกรับ ดูดดึงอย่างเชื่องช้าแต่แต่หนักหน่วงจนทำให้เอกรงค์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง มือขาวที่เคยกำผ้าปูที่นอนแน่นค่อย ๆ คลายออก แล้วยกขึ้นลูบไล้ไปบนแผ่นหลังเย็นเฉียบที่แน่นด้วยมัดกล้ามอย่างห้ามใจไม่อยู่ เสียงเรียกพร่ำคำว่ารักที่ข้างหูกับ ความหวานซึ้งของรสจูบจุดอารมณ์หวามไหวลุกโชนที่กลางอกก่อนจะแล่นไปทั่วทุกอณูกายราวกับเปลวไฟที่ค่อย ๆ ลาม ดวงตาไหวระริกจ้องมองคนอายุน้อยกว่าที่จู่ ๆ ก็ขยับห่างออกเบี่ยงตัวเอื้อมหยิบบางอย่างจากลิ้นชักข้างเตียง และเมื่อกลับมาสบตากันอีกครั้ง เอกรงค์ก็รู้สึกร้อนวาบไปทั้งใบหน้า นั่นเพียงเพราะซองอลูมิเนียมเล็ก ๆ ที่ศุกลใช้ริมฝีปากเม้มมุมหนึ่งเอาไว้ แม้จะไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก แต่แววตาที่ส่งมาก็พอจะสื่อความหมายให้รู้ถึงความปรารถนาภายในใจได้ทั้งหมด กุมารแพทย์หนุ่มสบตานิ่ง แล้วคว้าต้นเหตุมาไว้กับตัวเสียก่อนที่มันจะทำให้ทั้งร่ายกายและหัวใจเสียการควบคุมไปมากกว่านี้


“หมอโมรู้ไหมครับว่ามันใช้ยังไง” 


คนฟังอมยิ้มทันทีที่ได้ฟังถ้อยคำของพ่อศิลปินคนซื่อ เม้มปากอย่างมันเขี้ยวอยู่เพียงชั่วกลั้นลมหายใจก่อนจะพลิกตัวดันร่างอีกฝ่ายลงกับเตียงแล้วขึ้นนั่งทับบนตัวอย่างรู้งาน


“สอนไม่เคยจำ”


“หมอโมสอนไม่เก่งไง” ศุกลยกยิ้มมุมปาก


“เดี๋ยวก็รู้” เอกรงค์ส่ายหัวน้อย ๆ ทอดตามองคนใต้ร่างอย่างเอ็นดู ก่อนจะเริ่มนำเข้าสู่บทเรียนอย่างเชื่องช้า และคงต้องใช้เวลาเป็นชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าจะสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติจนครบ....


“ผมชดเชยให้จนพอใจโมหรือยังนะ” ศุกลกระซิบถามหลังจากบทเรียนแรกเพิ่งสิ้นสุดลงไป ริมฝีปากหยักก่อนกดจูบลงที่ซอกคอแล้วไล่ลงมาตามลาดไหล่เปลือยเปล่า สองแขนแกร่งโอบรัดของคนรักที่กำลังหลับตาพริ้มจากด้านหลัง เสียงพึมพำเบา ๆ ว่า “ยังไม่พอ” ชวนให้อยากจะเริ่มบทเรียนใหม่เสียเดียวนี้


“แต่พรุ่งนี้เราต้องไปเที่ยวกันหลายที่นะครับ อุตส่าห์มาญี่ปุ่นด้วยกันทั้งที” ปากพูดไปเช่นนั้นหากแต่ปลายจมูกยังคงคลอเคลียลำคอระหงไม่ห่าง


เอกรงค์ปรือตาขึ้นอีกครั้งแล้วขยับตัวหันกลับมาซุกหน้ากับอกกว้างเป็นจังหวะเดียวกับที่คนอายุน้อยกว่าพลิกตัวนอนหงายปล่อยให้เขาได้ทาบทับลงไปตามใจชอบ “ที่ผมมาผมไม่ได้อยากไปเที่ยวไหนนี่ แค่อยากอยู่กับติ๊น”


จิตรกรหนุ่มยิ้มกว้างไม่รู้ว่าเพราะประโยคซื่อตรงนั้นหรือเพราะไอร้อนจากร่างกายของคนพูดกันแน่ที่ให้หัวใจที่เพิ่งสงบลงได้เพียงไม่นานกลับเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ศุกลกดจูบลงกลางกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก่อนจะใช้มือเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นสบตากัน


“รักนะครับ”


เอกรงค์ยิ้มตอบ ขยับร่างขึ้นกดปลายจมูกเข้าข้างศีรษะของคนรักแทนคำตอบของตน นึกถึงคำที่เคยตกลงกันในห้องใต้หลังคา ศุกลไม่เคยโกหกว่าถ้าวันใดที่เขาเข้าไปในหัวใจอีกฝ่ายได้จะพูดคำว่ารักให้ฟังจนเบื่อ และน่าแปลกเพราะตอนนี้เขาก็ฟังอยู่ทุกวันจนเข้าสู่ปีที่สามแล้วแต่กลับไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเลยสักนิดเดียว ศุกลทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าชีวิตไม่ใช่นิยายรักที่จบลงด้วยความรักของตัวละครเอกแล้วเรื่องจะจบ แต่ชีวิตของพวกเขานับจากนี้มันคือการช่วยกันประคับประคองความรักที่มีต่อกันไปให้ไกลที่สุดเท่าที่สองคนจะทำได้ต่างหาก


...จบ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2017 20:18:56 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
leGGyDan:

จบแล้วสำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้...
(เรื่องสั้นค่ะ อ่านไม่ผิด ด้วยตัวพล็อตเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวาซับซ้อนให้คิดเยอะขัดกับทางของทั้งเราและพี่นัท...
ของรายนั้นคือตัวเอกได้เจอกันตั้งแต่หน้าแรก จีบ ได้กัน เต็มไปด้วยความหื่นแถมต้องทำการบ้านโดยการดูหนังโป๊มาเขียน nc อีก...
ที่เราเหมือนกันคือความชอบเวิ่นค่ะ แค่ 14 ตอนแต่ปาร้อยกว่าหน้าเลยนะตัว...อย่าทำเป็นเล่นไป)
เราตั้งใจเขียนเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ชั่ววูบซึ่งเกิดจากความเศร้าจนไม่คิดว่าจะยิ้มได้อีกครั้ง
เหมือนคนเพิ่งอกหักที่จมอยู่กับความเศร้า
หมอโมในเรื่องก็คงเป็นเหมือนเราในตอนนั้นที่อยากจะยิ้ม ทำงานในแต่ละวันไปเหมือนไม่มีอะไรทั้งที่ในใจเคว้งคว้าง
อยากจะหาใครสักคนมาเติมเต็ม
แล้วผู้ชายคนนี้ก็เข้ามา...
ขอบคุณ ขุ่นพี่ที่ตามใจน้อง (อีกแล้ว) ทั้งที่ตัวเองร่ำๆ อยากจะปิดเพจวันละสามเวลาหลังอาหารด้วยความอินดี้ที่ธีสิสป.เอกไม่ถึงไหนสักที
ขอบคุณ คนอ่านที่แวะเวียนเข้ามาและไม่ผ่านไปเฉยๆ แต่ทิ้งคอมเมนต์ไว้เปนหลักฐานว่า 'กาลครั้งหนึ่ง' เราเคยยิ้มมาด้วยกัน
ปล.พบกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามีแพลนจะเปิดเรื่องใหม่เร็วๆ นี้


แนบรูป*



ถธปทฟ:

ตามใจตั้งแต่เขียนนิยายยันแนบรูป...

ในที่สุดเราก็มาถึงตอนสุดท้ายของเรื่องที่ตั้งแต่แรกตกลงกันไม่ได้ว่าจะจัดอยู่ในหมวดเรื่องสั้นหรือเรื่องยาวดี
จากวันที่หลวมตัวยอมเขียนเรื่องนี้ตามคำชวนของลูกหมูมีทั้งความเครียดและความขำปน ๆ กันไปค่ะ
หลายครั้งที่แอบคิดว่า ตัวละครมันจะไปได้สุดตามที่เราแต่ละคนอยากให้เป็นไหม เรื่องทั้งหมดจะออกมายังไง
มีหลายครั้งที่อยากจะเลิกเขียนเอาดื้อ ๆ แต่ก็ต้องขอบคุณลูกหมูมาก ๆ ค่ะ ที่ช่วยประคองกันมาจนถึงตอนจบ
ขอบคุณที่มาชวนทำอะไรให้พอยิ้มได้ในช่วงเวลาที่เศร้าสุด ๆ
ติ๊นเองก็คงเหมือนกับเราในช่วงเวลานั้นเช่นกัน วันหนึ่งที่ขาดคนที่รัก ทุกอย่างเหมือนประดังประเดเข้ามา
เหมือนอยู่ตัวคนเดียว แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดต่อไป

เราอยู่กันมาถึง 3 เดือนเลยนะตัว เป็นการช่วยกันเขียนที่สนุกดีค่ะ
รู้สึกต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่งยวด เวลาถูกลากเข้า nc เพราะฉะนั้นเราต้องชิงทิ้งติ่งไว้ก่อน
ขืนปล่อยมาถึงมือเรา มันก็จะกลายเป็น nc2+ อย่างที่ลูกหมูว่า
แต่สุดท้ายก็ลูกหมูอีกนั่นแหละที่บิ๊วจน nc2+ กลายเป็น 20+ (นี่เรียก nc แล้วใช่ไหม ถ้าแบบนี้เรียก nc ไม่ต้องดูหนังโป๊ก็ได้มั้ง)
ขอบคุณและทวง nc อีกได้ที่เพจ leGGyDan นะคะ

ในที่สุดก็ถึงเวลาบ๊ายบายแล้วนะ เราขอใช้เพลงฮิตสมัยเป็นลูกเสือสำรองบอกลาตัวเองตรงนี้...

ก่อนจากกัน...ขอสัญญา
ฝากประทับตรึงตรา จนกว่า จะพบกันใหม่
โบกมืออำลา สัญญาด้วยหัวใจ
เพราะความรัก ติดตรึงห่วงใย
ด้วยใจผูกพันมั่นคง...

หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันในอีกสัก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า
สุดท้ายขอบคุณผู้อ่านทุกท่านสำหรับการติดตาม ของคุณทุก ๆ คอมเม้นและทุก ๆ กำลังใจที่ส่งให้พวกเราค่ะ

ปล. เราไม่ได้มีแพลนจะเปิดเรื่องใหม่นะ แต่เราแพลนว่าจะได้อ่านเรื่องใหม่ของลูกหมูเร็ว ๆ นี้ค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2017 20:25:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
จบแบบหวานๆละมุนๆ เขินเป็นบางตอน เศร้าบ้าง อึดอัดบ้าง แต่ก็เลิกอ่านไม่ได้ ขอบคุณทั้งสองคนเลย รอติดตามผลงานต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอบคุณทั้งสองท่านสำหรับงานเขียนดีๆ นะคะ  เป็นกำลังใจให้นะคะ เขียนงานใหม่ๆมาอีกนะ รออ่านเสมอ
อ่านจบแล้วอิ่มใจ ในที่สุดลุงหมอหน้าเด็กก็สมหวังกับรักที่รอคอย
ใครจะคิดว่าแรกพบสบตากับใครสักคนมันจะนำพาให้ได้พบกันอีกครั้ง
ถ้าเคมีตรงกันแล้ว  อย่างที่ต้องการคือจังหวะเวลา.... แต่จังหวะเวลานี่ละตัวแสบเลย
 บางทีจังหวะเวลาไม่ใช่ของเรา รอจนกว่าเวลาจะใช่ ดันมีลมพัดหวนมาทดสอบหัวใจให้หวั่นไหวใจแกว่งอีก
ดีนะที่ติ๊นหน้ามนคนซื่อ ตื้อเท่านั้นจนได้รับความไว้วางใจจากหมอโมคืนมาได้ เลยแฮปปี้มีความสุขกันมาจนป่านนี้

ปล.ชอบความตรงไปตรงมาของหมอโมมาก พอรู้ว่าใช่นางก็ใส่เกียร์ลุยจีบๆๆ จนได้มา 555 เป็นนายเอกต้นแบบเลยนะเนี่ย



ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จบซะแล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะคะ  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด