Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561  (อ่าน 72278 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกก

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
โอยน่ารักกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เรื่องใหม่มาน่ารักอีกแล้ววว
หมอโมมีความเปรี้ยวมาก คึคึ
ส่วนพี่ติ้นท์จะสู้ได้ไหมน๊าาา
พี่ติ้นท์อาจต้องใช้กำลังเสริมจากสามหนุ่ม 555555

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ขำเด็ก ๆ ต้องเชียร์ เพราะหมอโมแก่ เอ๊ย...อายุมากแล้ว

ออฟไลน์ foamonp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หมออ่อยแรงอะไรเบอร์นี้ :hao3: เจ้าเด็กสามคนนั่นก็แสบใช่เล่น

ออฟไลน์ mpp

  • malynn
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ฮ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :hao7: :katai2-1:
มาแค่สามตอน แต่มันดีย์กับใจมากเลย ไม่ไหวแล้ววววว

ออกตัวก่อนว่าปกติเราเป็นคนไม่ชอบอ่านนิยายที่มีผู้แต่งสองคนสลับกันแต่งนะคะ แต่กับเรื่องนี้ ยอมให้เลยจริงๆ
สำนวนภาษาค่อนข้างกลมกลืน(เหมือนเป็นคนเดียวกันเลยด้วยซ้ำ) อ่านแล้วเพลินไม่มีที่รู้สึกสะดุดเลยค่ะ
ขอชื่นชมนักเขียนทั้งสองท่าน ณ คอมเมนท์นี้เลยนะคะ พวกคุณทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์สัมฤทธิ์ผลมากๆ
ชื่นชมจากใจจจจจจจจจจจจจจจจจจจส์เลยค่ะ -3-

ว่าแต่คุณหมอโมขี้อ้อยมากเลย ดูสิจะไปได้สักกี่น้ำ55555555555555555

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
หมออ่อยแรงมาก เล่นใหญ่มาก 5555

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 4 เข้าใจ


หลายวันมาแล้วจิตรกรหนุ่มยังคงเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่วิธีการร้อยแปดที่จะทำให้ได้รู้จักคนที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่คอยมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว แต่ยังมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ หัวใจให้เลือดลมสูบฉีดเล่นเสียอย่างนั้น จะออกปากไปว่าชอบก็ไม่กล้านั่นเพราะครั้งหนึ่งเคยแอบรักเพื่อน เป็นเพื่อนที่สนิทชนิดไปไหนไปกัน รู้ใจทุกเรื่องเพียงแค่มองตา หลงคิดมาแรมปีว่าอีกฝ่ายมีใจ  กระทั่งทบทวนอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าสารภาพรักออกไป แต่สุดท้ายภาพฝันก็พังทลายลงไม่เป็นท่าเมื่อเพื่อนยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเคยแล้วตอบกลับมา...


‘เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะติ๊น’


เจ็บเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะรักข้างเดียวก็คือการคิดไปเองว่าเขาก็รู้สึกเหมือนกันกับเรานี่แหละ


ศุกลถอนหายใจยืดยาว นัยน์ตาทอดมองเฟรมผ้าใบว่างเปล่าบนขาตั้งที่วางอยู่ตรงหน้า เช้าวันนี้เขาไม่มีสมาธิกับการวาดภาพเอาเสียเลยทั้งที่อากาศก็กำลังดี เมื่อฝนเม็ดสุดท้ายลาไปจากฟ้าลมหนาวก็กลับมาเยี่ยมเยือน Light and & Shade อีกครั้ง นั่นจึงพอทำให้ได้กลิ่นอายความเป็นธรรมชาติอยู่บ้างแม้จะอยู่ใจกลางเมืองหลวง


เมื่อสมองฟุ้งซ่านจนเกินจะทัดทาน จิตรกรหนุ่มก็โยนพู่กันลงโหลแก้วทรงสูงที่ใส่น้ำเอาไว้ค่อน กำลังจะลุกไปยืดเส้นยืดสายเสียงโครมครามสนั่นหวั่นไหวก็ดังมาจากชั้นล่างซึ่งเป็นห้องเรียนศิลปะ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของเด็ก


ศุกลรีบวิ่งลงบันไดทีละสองขั้นไปยังชั้นล่างพร้อมกับมองหาที่มาของเสียง ในที่สุดก็มาหยุดที่ห้องสอนวาดรูปของภาดล ทันใดนั้นใจก็แทบร่วงไปกองอยู่ตาตุ่ม เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือธีร์ธรซึ่งนอนอยู่บนพื้นข้างหน้าต่าง รอบตัวมีเศษปูนปลาสเตอร์แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายเกลื่อนซึ่งน่าจะเป็นรูปปั้นดาวิดที่เคยวางอยู่ตรงนั้น


“ธรพยายามจะปีนขึ้นไปครับ” ธีร์ทัศน์ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างน้องชายบอก “ขอโทษครับ ผมดูแลน้องไม่ดีเอง”


“ไม่ใช่ความผิดของทัศน์หรอก ครูต่างหาก” ภาดลเอ่ยขึ้น ที่คิดว่าสาเหตุมาจากตัวเองก็เพราะเขาดันทิ้งเด็กๆ เพื่อออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกห้องจนทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น


“เด็กๆ ถอยออกไปก่อน ระวังเหยียบเศษปูนด้วยนะ” ศุกลกล่าวขณะฝ่ากลุ่มเด็กๆ ที่กำลังมุงอยู่เข้าไป “ไม่เป็นไร ไม่ต้องตกใจนะ” พยายามปลอบคนอื่นๆ ที่กำลังเสียขวัญไปด้วยพลางนั่งคุกเข่าลงข้างเด็กชายใบหน้าเหยเก น้ำตานองอาบสองแก้มเพราะความเจ็บปวด สาเหตุคงมาจากบาดแผลลึกบนท่อนแขนข้างซ้าย ยิ่งเห็นเลือดของตัวเองไหลเลอะเปรอะเสื้อผ้าและหยดลงบนพื้นเด็กชายยิ่งร้องไห้ลั่น


“พี่ทัศน์ ผมเจ็บ” คนพูดเบะปากก่อนจะปล่อยโฮอีกครั้ง


“ไม่เป็นไรนะธร” ธีร์ทัศน์พยายามปลอบ แต่ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น


จิตรกรหนุ่มรีบคิดสะระตะรวดเร็ว เขากวาดตามองหาอะไรที่พอจะใช้กดห้ามเลือดได้ก่อนจะวิ่งไปคว้าผ้ามาผืนหนึ่ง พยายามเลือกผืนที่สะอาดที่สุดมากดห้ามเลือดและอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมแขนพลางหันไปสั่งการกับเพื่อนสนิท “เดี๋ยวฉันพาธรไปโรงพยาบาลเอง ฝากนายดูแลเด็กคนอื่นๆ ด้วย”


ภาดลพยักหน้ารับคำและหันไปกางแขนต้อนเรียกให้ทุกคนมารวมกัน


“ผมโทรบอกพ่อโมให้แล้ว” นภธรณ์ที่เพิ่งละจากโทรศัพท์บอก “พ่อให้รีบไปได้เลยครับตอนนี้กำลังว่างพอดีเดี๋ยวจะรออยู่ที่ห้องฉุกเฉิน”


“ขอบใจนะนอฟ” ศุกลกล่าวจากนั้นจึงวิ่งไปที่รถโดยมีธีร์ทัศน์วิ่งตามมาติดๆ


“ผมไปด้วยครับ”


“ไม่เป็นไร นายอยู่ที่นี่แหละทัศน์ โทรบอกคุณแม่ให้เรียบร้อย พี่จะรีบไปรีบกลับนะ” เขาวางคนน้องลงบนเบาะข้างคนขับและหันมาตบหลังปลอบคนพี่อีกครั้งก่อนจะวิ่งอ้อมไปขึ้นรถและขับออกไป


ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าประตูโรงพยาบาล ศุกลก็เห็นกุมารแพทย์หนุ่มยืนรออยู่แล้วที่หน้าห้องฉุกเฉินตามที่นภธรณ์บอก ดังนั้นเขาจึงจอดรถขวางไว้หน้าประตูและอุ้มเด็กชายลงนอนบนเปลที่อีกฝ่ายสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยเตรียมไว้


“คุณไปแจ้งชื่อขึ้นสิทธิ์ที่ฝ่ายทะเบียน เอารถไปจอดให้เรียบร้อยแล้วมานั่งรอผมตรงนี้นะ” เอกรงค์พูดรัวเร็วในขณะที่มือก็ตรวจดูอาการบาดเจ็บของธีร์ธรไปด้วย เขารับทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วจากนภธรณ์ หางตายังเห็นว่าศุกลไม่ยอมขยับไปไหนเขาจึงหันไปสบสายตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหนๆ “น้องธรจะปลอดภัยครับ”


“ผม…”


“เชื่อใจผมสิ ผมเป็นหมอนะ”


นัยน์ตาแน่วแน่กับรอยยิ้มที่ก่อให้เกิดรอยบุ๋มลึกลงไปในผิวแก้มทำให้หัวใจที่เต้นแรงของศุกลสงบลงบ้าง เขาพยักหน้ารับ ในที่สุดก็ยอมเดินแยกไปทำตามที่คุณหมอหนุ่มแนะนำ


เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ศุกลก็กลับมายังจุดที่อีกฝ่ายบอกให้รอ กำลังมองหาที่นั่งนางพยาบาลตรงจุดคัดกรองก็เดินมาแจ้งว่าเอกรงค์พาธีร์ธรไปเย็บแผลที่แผนกกุมารเวชเนื่องจากมีอุปกรณ์ครบครันกว่า ดังนั้นเขาจึงเดินไปตามทางที่เธอบอกจนมาหยุดยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตูบานเลื่อนที่ติดป้ายบนระนาบกระจกขุ่นไว้ว่า ‘ห้องทำแผล’ กำลังนึกกังวลว่ามาถูกที่หรือไม่ก็พอดีได้ยินเสียงทุ้มของเอกรงค์ดังออกมาจากอีกฟากของประตูกเท่านั้นก็ค่อยใจชื้นขึ้นเล็กน้อย


นัยน์ตาสีดำสนิทมองผ่านช่องประตูบานเลื่อนที่แง้มอยู่จึงเห็นร่างสูงของนายแพทย์เอกรงค์ เพิ่งสังเกตว่าภาพของเขาในวันนี้เป็นสิ่งไม่คุ้นตาเอาเสียเลย นั่นคงเพราะเสื้อกาวน์ยาวสีขาวที่สวมทับชุดทำงานซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลคดูเป็นงานเป็นการ ท่าทางขี้เล่นราวกับระเหยไปในอากาศนับตั้งแต่วินาทีที่ธีร์ธรถูกพาตัวมาถึง แต่กระนั้นแววตาซึ่งกำลังทอดมองเด็กชายที่นอนสะอึกสะอื้นอยู่บนเตียงก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และนั่นทำให้หัวใจของศุกลเต้นแรงอีกครั้ง หากแต่มันไม่ใช่จังหวะเดิม ไม่เหมือนตอนที่ตกใจกลัวว่าธีร์ธรจะเป็นอะไรไป


“หมอจะฉีดยาชาให้ จะเจ็บมากกว่าตอนฉีดวัคซีนนิดหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นพอน้องธรรู้สึกชาๆ หมอจะเย็บแผลให้นะครับ”


“ครับ” เด็กชายพยักหน้ารับเข้าใจขั้นตอน แต่ก็ยังเบะปากกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่


“ผมพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม” จิตรกรหนุ่มเอ่ยออกไป


“พี่ติ๊น” ธีร์ธรร้องด้วยความดีใจและทำท่าจะลุกจากเตียงพุ่งเข้ามาหา นางพยาบาลที่ช่วยอยู่จึงต้องออกแรงกดให้เร่างเล็กนอนลงตามเดิม


“คุณมาก็ดีเลย มาช่วยปลอบน้องธรหน่อย แกจะได้ไม่กลัว” นายแพทย์เอกรงค์ว่าพลางหันไปบอกพยาบาล เธอจึงขยับหลีกทางและสอนว่าศุกลควรจะวางมือลงตรงไหนอย่างไร เมื่อเรียบร้อยจึงเปลี่ยนหน้าที่ไปช่วยเตรียมส่งอุปกรณ์ในการเย็บแผลให้คุณหมอ


ตอนนี้ศุกลยืนค้อมหลังเล็กน้อยอยู่ตรงหัวเตียง มือข้างหนึ่งโอบรอบลำตัวเด็กชายไว้ในขณะที่อีกมือช่วยจับตรึงบริเวณต้นแขนข้างซ้ายที่พอล้างเลือดออกจนหมดและหยุดเลือดได้แล้วก็เห็นรอยฉีกขาดยาวประมาณห้าเซนติเมตรบริเวณท้องแขน


“มีแค่แผลฉีกขาดแผลเดียวครับ อย่างอื่นปลอดภัยดี” เสียงของเอกรงค์ฟังดูอู้อี้เล็กน้อยเมื่อเขาคาดผ้าปิดปากปิดจมูก


ทันทีที่ปลายเข็มแทงทะลุผิวเนื้อธีร์ธรที่หยุดร้องไห้ไปแล้วครั้งหนึ่งก็เริ่มน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตกอีกครั้ง ศุกลจึงก้มหน้าลงให้เด็กชายเกาะคอและสะอื้นกับปกเสื้อ “เข้มแข็งไว้คนเก่ง หมอโมกำลังช่วยอยู่นะครับแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”


และสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ไม่ได้เกินจริงเลย เมื่อกุมารแพทย์หนุ่มใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็สามารถเย็บแผลและพันแขนด้วยผ้าก๊อซสะอาดให้เป็นอันเรียบร้อย


“เสร็จแล้วครับคนเก่ง” เอกรงค์บอกกับเด็กชาย แต่นัยน์ตาแอบปรายไปยังคนหัวเตียงที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวไหมนะว่าท่าทีลุ้นระทึกของเขาในทุกๆ ครั้งที่ปลายเข็มแทงผ่านผิวเนื้อนั้นน่าเอ็นดูยิ่งกว่าคนเจ็บเสียอีก เล่นเอาคนเป็นหมอมือไม้สั่นเสียสมาธิจนเกือบจะผูกปมไหมผิดไปก็หลายหน คิดผิดจริงๆ ที่เรียกให้เข้ามาช่วย รู้อย่างนี้ให้นั่งรออยู่ข้างนอกเสียก็ดีหรอก


“เดี๋ยวพี่พาไปล้างหน้าล้างตานะคะ” นางพยาบาลสาวเอ่ยขึ้น ตอนนั้นเองที่ศุกลเพิ่งสังเกตว่าเธอสวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูสลับฟ้าลายการ์ตูนดูน่ารักเหมือนครูโรงเรียนอนุบาลเพื่อช่วยลดความกลัวและความเครียดของเด็กๆ ที่มาโรงพยาบาล


เด็กชายที่ตอนนี้กลับมาร่าเริงราวต่างจากเมื่อครู่เป็นคนละคนโดดผลุงลงจากเตียงได้ก็ส่งมือให้ ยอมให้นางพยาบาลสาวจูงมือ แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่วายหันมาชี้นิ้วกำชับกับผู้ปกครองจำเป็น “เดี๋ยวผมกลับมานะ พี่ติ๊นอย่าไปเถลไถลที่ไหนล่ะ เดี๋ยวเราจะหลงกัน”


“คร้าบบบผม” ศุกลยิ้มขันๆ มองตามร่างเล็กที่เดินห่างจนกระทั่งลับตาไปพร้อม ๆ กับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาที่ค่อย ๆ เลือนหาย


“เป็นอะไรหรือเปล่า” เอกรงค์หันไปถามคนที่จู่ๆ ก็เงียบไป


“แค่กำลังคิดว่าแกคงเข็ดเรื่องเล่นซนไปอีกสักพัก”


“ไม่ครับ ผมหมายถึงคุณ เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”


ได้ยินดังนั้นศุกลจึงถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่คิดจะปิดบัง “โธ่ ผมก็ต้องเครียดสิครับ เกิดลูกเต้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาละก็ไม่มีปัญญาทำใช้หรอกนะ”


“นั่นสิ จะเสียสละท้องให้ผมก็ทำไม่ได้เสียด้วย” เอกรงค์กล่าวเสียงเรียบ


“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ” ศุกลทำตาโตเหลียวมองคนที่เพิ่งจะถอดผ้าผิดปากผิดจมูกโยนทิ้งลงถังขยะแล้วหันมายิ้มให้


“ไม่มีอะไร แค่อยากให้คุณยิ้ม” กุมารแพทย์หนุ่มบอก “แล้วตอนนี้คุณก็ยิ้มแล้ว ดีจัง เดี๋ยวรอออกไปพร้อมกันนะครับ ผมจะไปรับเจ้านอฟน่ะ นี่ก็ได้เวลาเลิกเรียนพอดีเลย”


“คุณไม่ต้องทำงานแล้วเหรอครับ” ที่ถามเช่นนั้นก็เพราะเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายนิดๆ


“ผมอยู่เวรเมื่อคืนครับ จริงๆ เช้านี้ต้องออกเวร กำลังจะกลับบ้านพอดีเจ้านอฟก็โทรมาเสียก่อน ผมเลยอยู่รอ”


“ขอบคุณมากนะครับ”


“ไม่เป็นไร” เอกรงค์กล่าวพลางหันไปล้างมือที่อ่างจนสะอาด


“แต่ว่าก่อนจะกลับ ผมขอดูนั่นหน่อยได้ไหมครับ”


ประโยคนั้นดูจะสร้างความสงสัยให้กับกุมารแพทย์หนุ่มอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันจะได้ถาม ศุกลก็ถือวิสาสะเอื้อมมือไปดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมา และถกแขนเสื้อกาวน์ขึ้นจนเกือบถึงข้อศอกเห็นเป็นรอยข่วนเล็กๆ บริเวณข้อมือเรียงขนานกันไปสามรอย ซึ่งเขาแอบเห็นตอนที่เอกรงค์กำลังถอดผ้าปิดปากปิดจมูกและรู้สึกติดใจมาสักพักแล้วว่าทำไมคนที่เป็นห่วงและดูแลคนอื่นดีขนาดนี้ถึงไม่สนใจดูแลตัวเองบ้าง


“ไปโดนอะไรมาครับ”


“โดนน้องธรข่วนตอนจับล้างแผลน่ะ ตอนนั้นแกคงขวัญเสียแล้วก็เจ็บมาก แผลแค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก เรื่องปกติน่ะ”


“แต่ตอนนี้น้องธรทำแผลเรียบร้อยแล้ว แล้วคุณหมอไม่คิดขจะทำแผลให้ตัวเองบ้างเหรอครับ” ศุกลว่า “เอาอย่างนี้ ทำเองคงไม่ถนัด ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตทำให้ก็แล้วกัน”


“ตามสบายครับ” เอกรงค์อำนวยความสะดวกเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือให้และนั่งลงบนเก้าอี้ ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งลงฝั่งตรงข้าม นัยน์ตาคมพินิจดูคนที่วางมาดเป็นหมออาสาดูแลก้มๆ เงยๆ อยู่เหนือแผล แอบคิดว่าคุณหมอจำเป็นมือคงจะหนักจนต้องแสบแน่ๆ ตามประสาคนที่จับแต่แปรงทาสี


ศุกลช้อนตาขึ้นมองใบหน้าอ่อนโยนที่บัดนี้แต้มด้วยรอยย่นเล็กๆ ตรงหว่างคิ้ว อีกฝ่ายคงจะกลัวแสบกระมัง ชายหนุ่มโคลงหัวน้อยๆ พลันรอยยิ้มก็จุดขึ้นมุมปากเมื่อจิตรกรหนุ่มแตะสำลีชุบยาฆ่าเชื้อลงมาบนผิวเนื้ออย่างแผ่วราวกับกำลังใช้พู่กันเบอร์ศูนย์พิเศษ* ตัดเส้นเก็บรายละเอียดของภาพเขียนลายไทยเหมือนที่พ่อเคยสอน ในขณะที่มือหยาบกร้านก็ประคองรอบท่อนแขนของอีกฝ่ายไว้อย่างทะนุถนอม


“เป็นไงบ้างครับ” ศุกลถามเมื่อพันผ้าให้จนเสร็จ


“พันได้ห่วยแตกมาก” คุณหมอหนุ่มยิ้มขันกับผ้าก๊อซที่ถูกพันจนหนาเตอะ ตอนนี้เขาเหมือนคนแขนหักมากกว่าถูกเด็กข่วนเสียอีก แล้วดูสิมีการผูกโบตรงปลายด้วยน่ารักจริงๆ


“นี่ผมตั้งใจสุดๆ แล้วนะ” ศุกลเกาแก้มหัวเราะแหะๆ จะให้บอกไปตรงๆ ได้อย่างไรว่าเขามัวแต่เขินที่ได้จับมือหมอก็เลยเผลอพันเสียเพลินเลย


“ก็มันห่วยจริงๆ นี่” เอกรงค์กล่าวพลางแก้ผ้าก๊อซออกโยนทิ้งและหยิบม้วนใหม่ขึ้นมา “ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิ ผมจะสอนให้ว่าวิธีการที่ถูกต้องน่ะมันต้องทำยังไง”


จิตรกรหนุ่มออกอาการประหม่าเล็กน้อยเมื่อฝ่ามือขนาดพอๆ กันแต่นุ่มนิ่มผิดกันลิบลับประกบทับลงมาบนมือของตนเองก่อนจะค่อยๆ จับมือสอนพันช้าๆ


“อย่าพันแน่นนักสิคุณผมเจ็บ”


คุณหมอจำเป็นสะดุ้งเฮือก รีบคลายผ้าก๊อซออกเล็กน้อยก่อนจะพันกลับไปใหม่ จัดการตัดเมื่อได้ความหนาที่พอดีและพับเก็บชายติดพลาสเตอร์เรียบร้อย


“ขอบคุณมากนะครับ”


ศุกลได้แต่เพียงพยักหน้ารับหงึกหงัก จะให้เขาพูดอะไรได้ในเมื่อหัวใจมันดันเต้นแรงไม่หยุด ยิ่งเมื่อรอยบุ๋มบนผิวแก้มปรากฏชัด ใจมันก็ยิ่งสั่นจนเจ้าของอย่างเขายากจะควบคุม...

(มีต่อค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2016 21:57:01 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

ทันทีที่รถจอดสนิทหน้าแกลเลอรีสีขาว เด็กชายก็เปิดประตูลงจากรถวิ่งตัวปลิวและพุ่งไปหาพี่ชายที่ยืนรออยู่ด้านหน้า


“ธร!”


“พี่ทัศน์!”


ทั้งสองสวมกอดกันแนบแน่นราวกับน้องชายเป็นวีรบุรุษที่เพิ่งรอดตายมาจากสมรภูมิรบก็ไม่ปาน


“พี่ทัศน์ไม่ต้องตกใจนะ แผลยาวแค่นี้เอง” พูดพลางยกนิ้วชี้ขึ้นทำท่าทำทางประกอบ “หมอโมเย็บให้แล้วสัปดาห์หน้าไปตัดไหมได้ บอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง”

 
“เก่งมาก แบบนี้สิถึงสมเป็นน้องชายพี่” ธีร์ทัศน์ชูนิ้วโป้งให้สองมือ


“อื้อ!” ผู้เป็นน้องพยักหน้าให้อย่างแข็งขันแล้วทั้งสองก็ตีมือกันครั้งหนึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนในที่นั้นได้เป็นอย่างดี ยกเว้นก็แค่คนเดียวที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ


“ปัญญาอ่อน” นภธรณ์กรอกตามองบน “แล้วดูสิ พูดอย่างกับพวกมันสองคนจะไม่กลับบ้านไปหาแม่ด้วยกัน”


“กลับกันเถอะนอฟ” เอกรงค์ลดกระจกรถลงกวักมือเรียกลูกชาย เพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันนี้จึงเลิกคลาสเร็วกว่าปกติและคนอื่นๆ ก็กลับกันไปหมดแล้ว


“ครับพ่อ”


“เดี๋ยวก่อนสิ” ศุกลรีบเดินเข้ามายืนข้างรถ


“มีอะไรหรือครับ” เอกรงค์ถามงงๆ


“ไหนๆ ก็มาแล้วไม่เข้ามาดื่มกาแฟด้วยกันหน่อยเหรอครับ” เจ้าของบ้านรู้ว่าคำชวนนั้นงี่เง่าสิ้นดี นั่นเพราะอีกฝ่ายเพิ่งเลิกงานมาเหนื่อยๆ ควรจะได้กลับไปพักผ่อน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเองยังมีเรื่องที่อยากคุยด้วย แม้ตอนนี้จะยังนึกหัวข้อไม่ออกก็ตาม “เอ่อ... ถือว่าแทนคำขอบคุณที่ช่วยดูแลธรก็ได้ครับ” หัวข้อนี้นับว่าไม่เลวเลย


“อยู่ก่อนก็ได้นะพ่อ ผมเองก็อยากคุยเรื่องเกมกับทัศน์ต่ออีกแป๊บหนึ่งพอดี” นภธรณ์ว่าพร้อมทั้งกรีดยิ้มกว้าง ส่วนธีร์ทัศน์ก็หันมาขยิบตาให้ครั้งหนึ่งเมื่อเอกรงค์ยอมเปิดประตูรถลงมา สองหนุ่มสบตาอย่างรู้กันเพราะพวกเขาเพิ่งจะได้ฟังอะไรเด็ดๆ มาจากเจ้าตัวแสบที่อุทิศตนทำหน้าที่สายสืบให้พี่ชายทั้งสองเป็นอย่างดีแม้จะเจ็บหนัก


เจ้าของบ้านหายเข้าไปในเรือนหลังเล็กก่อนจะกลับมาออกมาพร้อมถาดใส่กาแฟหอมกรุ่นสองถ้วยกับจัดคุกกี้จัดใส่จานเป็นของว่างให้เด็ก ๆ ที่กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะเล็กๆ ในสวนด้านหลัง เมื่อได้ขนมแล้วก็ชักชวนกันไปนั่งเล่นที่ม้านั่งใต้ต้นจำปีซึ่งเป็นมุมโปรดของหลาย ๆ คนที่มาเรียนที่นี่


“ขอบคุณครับพี่ติ๊น” เอกรงค์เอ่ยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนถ้วยกาแฟให้


“ยังไม่เลิกเรียกผมแบบนั้นอีก”


“แล้วคุณคิดได้หรือยังล่ะว่าจะเรียกผมว่าอะไร”


“พ่อน้องนอฟไง”


“นั่นไง ก็ถ้าคุณยังไม่เลิกเรียกผมแบบนั้นผมก็จะไม่เลิกเรียกคุณว่าพี่ติ๊นเหมือนกัน” คนพูดยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ

...


“ชักช้าจริง” ธีร์ทัศน์ที่แอบดูอยู่ตรงมุมตึกกระซิบกระซาบ


นภธรณ์ตะบบมือลงกดศีรษะผู้ร่วมขบวนการให้ย่อตัวลงแล้วชะโงกหน้าออกมาดูบ้าง “ชักช้ายืดยาดจนเต่ากัดยางแบบนี้จีบกันกี่ชาติถึงจะได้เป็นแฟนวะ”


“เพราะแบบนี้พวกเราถึงต้องออกโรงไง” ทั้งสองหันมาพยักหน้าให้กันเป็นอันเริ่มต้นทำตามแผนได้


ธีรทัศน์ยืดตัวขึ้นก่อนจะออกจากที่ซ่อนเดินตรงไปยังสวนหลังบ้านแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ติ๊นครับ”


“มีอะไรเหรอทัศน์” ศุกลถามเด็กหนุ่มที่ดูมีสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด


“แม่โทรตามให้กลับบ้านแล้ว แต่ผมหาธรไม่เจอ ไม่รู้แอบไปเล่นซนที่ไหนครับ พี่ติ๊นกับหมอโมเห็นน้องผ่านมาทางนี้บ้างไหมครับ”


ผู้ใหญ่สองคนหันสบตากันก่อนจะเป็นเอกรงค์ที่ส่ายหน้าแทนคำตอบ


“เหมือนฉันจะเห็นไอ้ตัวเล็กนั่นวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองนะ” นภธรณ์ที่เดินมาจากอีกฝั่งบอกพร้อมกันชี้นิ้วข้ามไหล่ไปยังบันไดที่ด้านนอกตัวอาคารซึ่งทอดขึ้นสู่ชั้นสอง


“ชั้นสองเป็นสตูดิโอของพี่ติ๊นไม่ใช่เหรอ ซนไม่เข้าเรื่องเลยธรนี่”


“มาสิ เดี๋ยวพี่พาไปดู” ศุกลวางแก้วกาแฟและลุกขึ้นยืน


นภธรณ์ที่มีท่าทีสนอกสนใจรีบบอก “ผมไปด้วย”


“แล้วเกี่ยวอะไรกับแกเจ้านอฟ” เอกรงค์ปรามลูกชาย “แกนี่ก็ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”


“ก็ผมอยากขึ้นไปดูตั้งนานแล้วนี่นาว่าสตูดิโอของพี่ติ๊นเป็นยังไง เห็นครูดลบอกว่าไม่ค่อยมีใครได้ขึ้นไปถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทกันจริงๆ เรื่องอะไรจะพลาด พ่อโมจะไปด้วยกันหรือเปล่า”


“เสียมารยาท เขาก็บอกอยู่ว่าไม่ให้คนอื่นขึ้น”


“ไปด้วยกันก็ได้ครับ ไม่ได้มีความลับอะไรหรอก เป็นห้องที่ผมเอาไว้เขียนรูปแล้วก็เก็บของของพ่อ”


เมื่อได้รับอนุญาต ทั้งหมดจึงตรงไปยังเรือนกระจกก่อนจะเรียงแถวเดินขึ้นบันไดโดยมีเจ้าของบ้านนำ ตามด้วยเอกรงค์ ธีร์ทัศน์และนภธรณ์เดินรั้งท้าย


ชั้นสองนั้นแบ่งออกเป็นสองเป็นโถงกว้างที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ศิลปะ ทั้งขาตั้งวาดรูปและหุ่นนิ่ง ด้านหนึ่งมีประตูห้องซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกรับแสงแดดยามเช้า ฝั่งตรงข้ามเป็นบันไดห้องเก็บของ


“ในห้องนั้นหรือเปล่าครับ” นภธรณ์เอ่ยขึ้นหลังจากกวาดมองรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของธีร์ธร


“ธรไม่น่าจะเข้าไปนะ นั่นห้องนอนพี่ ปกติจะล็อกเอาไว้” กระนั้นศุกลก็ยังไขกุญแจปลดล็อกลูกบิดก่อนจะผลักประตูเข้าไปดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครมาแอบซ่อนอยู่แน่ๆ


“ตรงนี้ก็ไม่มีครับ ไปไหนนะไอ้แสบ” ธีร์ทัศน์กอดอกครุ่นคิดหลังจากสำรวจที่หลังเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่เรียบร้อยแล้ว


“แล้วถ้าเป็นบนนั้นล่ะครับ” นภธรณ์ชี้มือขึ้นไปตรงมุมหนึ่งของห้อง บนเพดานไม้มีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาดพอให้คนลอดได้และมีบันไดไม้แบบพับเก็บได้พาดยาวลงมา


“นั่นห้องเก็บของใต้หลังคา” เจ้าของบ้านบอก


“เจ้าธรต้องขึ้นไปเล่นบนนั้นแน่ๆ” ธีร์ทัศน์ส่ายศีรษะอย่างระอาในความซนของน้องชาย กำลังจะปีนขึ้นไปเจ้าของบ้านก็คว้าไหล่ไว้เสียก่อน


“เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอง ตกลงมาจะแย่ พวกนายรออยู่ตรงนี้แหละ” แล้วศุกลเอื้อมมือเกาะก่อนจะรั้งตัวเองขึ้นแล้วเริ่มต้นไต่ขั้นบันไดขึ้นไป


“พ่อก็ขึ้นไปด้วยกันสิครับ” นภธรณ์บอกพลางใช้ข้อศอกสะกิด


“อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันวะ”


“ก็เผื่อไอ้แสบนั่นไปเล่นซนจนแผลฉีก พ่อจะได้รีบช่วย รีบพาลงมาไง”


เหตุผลฟังดูเข้าที เอกรงค์จึงคว้าขั้นบันไดที่เป็นแค่แท่งไม้ทรงเหลี่ยมปีนตามขึ้นไป แม้ห้องเก็บของใต้หลังจะสูงจากพื้นขึ้นไปไม่มากแต่บันไดที่เป็นลักษณะยึดติดไปกับฝาปิดช่องประตูสามารถพับเก็บได้ก็ชันเอาการจนเขารู้สึกว่าเด็กแปดขวบไม่น่าขึ้นมาได้ ขนาดผู้ใหญ่อย่างเขายังค่อนข้างทุลักทุเลทีเดียว


“ระวังหัวนะครับ” ศุกลที่ขึ้นไปถึงก่อนด้วยความรวดเร็วส่งมือให้จับและฉุดอีกฝ่ายขึ้นมายืนข้างกัน


มันเป็นห้องเพดานต่ำทรงสามเหลี่ยมทำให้ต้องเดินค้อมหลังเล็กน้อย ข้างในนั้นสะอ้านสะอ้าน มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อย่างเฟรมผ้าใบที่ยังไม่ได้ถูกใช้งาน และภาพที่วาดเสร็จแล้วถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ มีกระจกกลมตรงจั่วหลังคาทั้งสองฝั่ง ประกอบกับภายในทาสีขาวทำให้ห้องสว่างแม้จะไม่ได้เปิดไฟ


“ที่นี่เป็นหลุมหลบภัยของคุณเหรอ” เอกรงค์ตั้งข้อสังเกต


ศุกลอมยิ้มมุมปาก “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ บางทีเวลาผมหัวตื้อคิดงานไม่ออกก็เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งในนี้ ดูรูปที่พ่อเคยวาดไว้ อ่านร่างตำราเก่าๆ หรือบันทึกที่พ่อเคยเขียนเวลาไปวาดลายไทยตามวัดต่างๆ” พูดจบยิ้มก็ค่อยๆ จาง เช้านี้เป็นอีกวันที่ความคิดถึงทำให้เขาต้องมาหมกตัวอยู่บนนี้ และด้วยความรีบร้อนออกไปจึงลืมพับบันไดเก็บกลับคืน รู้สึกเป็นความผิดของตัวเองครึ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เด็กชายปีนขึ้นมาเล่นซนได้ “ธร! อยู่ไหนครับ ออกมาเถอะคุณแม่โทรมาตามแล้วครับ”


“ผมอยู่นี่ครับพี่ติ๊น” เสียงของธีร์ธรดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง...ภายในห้องนี้?


จิตรกรหนุ่มหันไปถอนหายใจอย่างโล่งอกกับคนที่ขึ้นมาด้วยกัน และสืบเท้าเข้าไปหา “อยู่ไหนครับ ออกมาได้แล้ว”


“อยู่นี่ครับ ตรงนี้ไง”


“ตรงไหน” ศุกลเดินไปจนถึงด้านในสุดก็ยังไม่เห็นตัว “น้องธร”


“ตรงนี้ครับ”


คิ้วหนามุ่นเข้าหากันเมื่อจับทิศของเสียงได้แน่ชัด ศุกลเดินไปที่ช่องกระจก ก้มลงไปมองเห็นเด็กชายยืนตะโกนเจื้อยแจ้วขึ้นมาจากชั้นล่างตรงกับหน้าต่างพอดี “อ้าว? ไปทำอะไรตรงนั้น”


สิ้นคำถามก็นึกถึงความไม่ชอบมาพากลขึ้นมาได้ ยังไม่ทันขอความเห็นจากอีกคน หูก็แว่วได้ยินเสียง ตึง!


“เสียงอะไรน่ะ” เอกรงค์เหลียวมองซ้ายขวาด้วยความไม่คุ้นสถานที่ กว่าจะเห็นที่มาของเสียงก็เมื่อบันทางขึ้นถูกพับเก็บพร้อมกับผาปิดตรงช่องที่พวกเขาปีนขึ้นมาถูกมือดีดันปิดเสียแล้ว


ศุกลรีบปราดเข้าไปดู แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงผลักสักแค่ไหนมันก็ไม่ยอมเปิดออก เพราะตอนนี้มันถูกลงกลอนล็อกจากอีกฝั่งอย่างแน่นหนา


“เปิดได้ไหม”


เจ้าของบ้านส่ายศีรษะอย่างจนใจ ทั้งสองจึงพากันเดินไปที่หน้าต่างเพื่อตะโกนเรียกสามแสบให้มาช่วยเปิด


“ผมว่าเราคงโดนขังแล้วล่ะ ฝีมือเจ้านอฟแน่ๆ” เอกรงค์กล่าวเรียบๆ เมื่อเห็นรถคาดิลแลคของตนเพิ่งถอยออกจากที่จอดโดยมีนภธรณ์เป็นคนขับและซ้ำยังลดกระจกลงโบกมือหย็อยๆ ให้ “ขอโทษด้วยนะครับ”

 
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ อันที่จริงมันก็แผนของเจ้าสองพี่น้องนั่นด้วย” ศุกลบอกพลางพยักเพยิดไปที่เด็กหนุ่มซึ่งเดินจูงมือน้องชายพ้นรั้วบ้านไปอย่างอารมณ์ดี “ผมคิดอยู่แต่แรกแล้วว่าต้องมีอะไร แต่อยากรู้ว่าเด็กๆ คิดอะไรอยู่เลยปล่อยไปตามน้ำ”


“แล้วตกลงแผนการนี้ดีไหม” กุมารแพทย์หนุ่มถาม


คนฟังดึงสายตาจากรถแท็กซี่ที่สองพี่น้องโดยสารไป หันมามองเจ้าของร่างสูงที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร “แล้วคุณว่ายังไง”


เอกรงค์ไหวไหล่ “ก็ดี ว่าแต่เราจะเริ่มจากอะไรกันดีล่ะ”


“อะไรที่ว่านี่คืออะไรครับ”


“ก็เด็กๆ เขาอยากให้เราอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอค เราก็ทำตามแผนการสิ ไหนๆ ก็ตามน้ำแล้ว ผมจะให้โอกาสคุณเริ่มก่อน” เอกรงค์พูดด้วยทีท่าสบายๆ พลางนั่งลงบนพื้นเอาหลังพิงผนังไว้และเหยียดขาไปด้านหน้า


“ก็ได้” ศุกลนั่งลงข้างกัน “ถ้าอย่างนั้นผมขอดูบัตรประชาชน”


“บัตรประชาชน?”


“ใช่ครับ จะได้เลิกเถียงกันสักทีว่าจะเรียกกันว่าอะไร เอามาเร็วๆ ครับ” พูดพร้อมกับแบมือรอ มองคุณหมอหนุ่มที่บ่นขมุบขมิบ แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบสิ่งที่เขาต้องการส่งให้


“นี่ครับ”


“เฮ้ย!”


“ตกใจในความหล่อเหรอ แหมเขินจัง” อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขาคงเป็นคนแรกของประเทศกระมังที่กล้องของสำนักงานเขตไม่อาจทำอันตรายให้ระคายผิวหน้าได้”


“จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกัน คุณอายุมากกว่าผมตั้งเกือบรอบ” ศุกลละล่ำละลัก แวบหนึ่งแอบคิดว่าต้องยกมือไหว้อีกฝ่ายหรือเปล่า


“ไม่ถึงสักหน่อย” เจ้าของดึงบัตรประชาชนกลับมาใส่คืนในกระเป๋า “คุณอายุยี่สิบหกใช่ไหม เราอายุห่างกันแค่แปดปีเอง”


“แค่นั้นเรียกเองเหรอครับ” ศุกลว่า “เอาอย่างนี้ผมจะเทียบให้เห็นภาพ ตอนคุณอายุสิบหก ผมแค่แปดขวบเองนะแบบนี้ไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ”


“ไม่เลย” เอกรงค์ตอบหน้าตาเฉย “ผมเป็นหมอเด็กนะ ผมรักเด็กจะตาย พวกพยาบาลที่โรงพยาบาลชอบเรียกผมว่ามือปราบเด็ก รู้ไหมว่าทำไม เพราะว่าเด็กแบบไหนผมก็ปราบได้หมด เห็นจะมียากก็แค่คนเดียวแหละ” เว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อหันไปสบตาคนที่นั่งข้างกันให้ชัดๆ “คุณนี่ไง”


“แน่ละสิ ผมไม่ใช่เด็กนี่”


“คุณน่ะเด็กโข่งชัดๆ”


“ไม่ใช่สักหน่อย”


“ทำไมคุณถึงวาดรูปผม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอ้อมไปไกลเอกรงค์จึงเอ่ยถามตรงๆ และออกแปลกใจนิดหน่อยเพราะคาดว่าคงได้รับคำตอบเป็นความอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้ศุกลกลับตอบออกมาทันที


“ก็เพราะรอยยิ้มของคุณมันแปลก”


“แปลกยังไง”


“แปลกตรงที่มันทำให้ใจผมสั่น”


เอกรงค์เม้มปากด้วยมันเขี้ยว ตอบแบบนี้ไม่ใช่ลังเลแล้ว แต่มันออกแนวเล่นตัวมากกว่า “เขาว่าอาการใจสั่น ถ้าไม่เกิดจากโรค ก็กลัว หรือไม่ก็...” หยุดนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ตกลงคุณรู้หรือยังว่าตัวเองชอบใคร”


“คิดว่ารู้แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจ” ศุกลตอบ ท้ายประโยคฟังไม่หนักแน่นพอๆ กับหัวใจในตอนนี้ “ผม...เคยอกหัก มันเกินจะรับไหวสำหรับผม จู่ๆ คนที่เข้ามาให้ความหวังก็บอกกับผมว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน”


“คุณตัดปัญหานั้นไปได้เลยเพราะผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อน ผมมีเพื่อนเยอะแล้ว”


“แล้วคุณอยากเป็นอะไร” คนฟังถามเรียบๆ


“ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากให้ผมเป็นอะไรมากกว่า” เอกรงค์ว่า


“เป็นคุณพ่อน้องนอฟ”


“พอดีเลย เด็กมันขาดแม่ คุณสนใจจะมาเป็นแม่ให้มันไหมล่ะ”


ฟังแล้วจิตรกรหนุ่มก็หัวเราะด้วยชอบความตรงไปตรงมาเช่นนี้ “ตกลงผมเรียกพี่โมนะ”


“ว้า! เสียดายจัง นึกว่าจะเรียกที่รักเสียอีก”


“ถ้าไม่ปล่อยมือกันไปเสียก่อน ผมจะเรียกให้ฟังจนเบื่อเลย”


“ถ้าอย่างนั้นเรียกว่าโมเฉยๆ พอ” คุณหมอหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์รีบต่อรอง “แล้วผมก็จะเรียกติ๊นว่าติ๊นเหมือนกัน”


ศุกลอมยิ้มมุมปาก ไหนๆ อีกฝ่ายก็ยอมลดอายุมาหาถึงขนาดนี้ เขาจะยอมทำตัวแก่ขยับขึ้นไปหาสักหน่อยจะเป็นไรไป ไหนๆ เพื่อนๆ ก็ชอบแซวว่าเขาทำตัวเป็นฤาษีอยู่แล้ว “ก็ได้ครับ แต่อนุญาตให้เรียกเฉพาะเวลาอยู่กันสองคนเท่านั้นนะ”


“ทำไมล่ะ” นายแพทย์เอกรงค์บ่นอย่างแสนเสียดาย อยากประกาศให้โลกรู้ใจจะขาดว่าเขากับคนตรงหน้าเป็นแฟนกันแล้ว... หรือยังนะ? ช่างเถอะ! เอาเป็นว่าตอนนี้ติ๊นเป็นแฟนเขาแล้วก็พอ


“ก็...” แก้มขาวซับสีเลือดขึ้นเล็กน้อย “ผมอายเด็กๆ น่ะ”


“ติ๊น”


“อะ...อะไรครับ” จิตรกรหนุ่มละล่ำลักถาม เมื่อจู่ๆ คนอายุมากกว่าก็เรียกเสียงหวานพร้อมกับแตะปลายนิ้วลงมาที่ข้างแก้ม


“ก็สีที่สว่างขึ้นไง” เอกรงค์บอก คลับคล้ายคลับคราว่าได้ยินคนตรงหน้าสอนธีร์ทัศน์เมื่อหลายวันก่อน “เวลาติ๊นเขินน่ารักจัง” พร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้เพื่อซ่อนประโยคต่อมาว่า ‘เดี๋ยวอดใจไม่ไหวก็จับปล้ำเสียหรอก’ ไว้ในใจ


กุมารแพทย์หนุ่มผ่อนลมหายใจยาวทั้งดีใจและโล่งอกที่หาข้อสรุปให้กับระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาได้สักที ดวงตาอ่อนโดยนทอดมองไปยังผนังสีขาวนวลพลางหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา


“ถามจริงๆ เถอะ ตั้งเกือบสามปีมาแล้ว คุณไม่คิดจะตามหาผมด้วยวิธีอื่นนอกจากวาดรูปเลยเหรอ แบบที่เห็นในพันทิปเยอะแยะ ‘มีใครรู้จักผู้ชายหล่อๆ ที่ไปเที่ยวเกียวโตช่วงเดือนตุลาคมแล้วแวะร้านร้อยเยนบ้างครับ’ อะไรทำนองนี้ นี่ถ้าเจ้าเด็กสองคนนั่นไม่ทัก เราจะได้เจอกันไหม”


เจ้าของภาพวาดหัวเราะกับหัวข้อกระทู้ “ก็เพราะผมไม่ได้คิดจะตามหาน่ะสิครับ”


คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง


“เรื่องของเรามันเป็นเหมือนพรหมลิขิต คิดดูสิต่างบ้านต่างเมืองข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลหลายพันกิโล ข้ามโซนเวลา ในเมืองที่คนไม่พลุกพล่าน ในร้านท้องถิ่นเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจ ใครจะคิดว่าจะผมจะได้เจอคนพูดภาษาเดียวกัน”


“ไม่คิดว่าจะเจอเนื้อคู่ก็บอกมา” เอกรงค์หันมาขยิบตาให้เรียกเสียงหัวเราะจากศุกลไปได้อีกครั้ง


“ประกอบกับที่...”


ถึงจังหวะที่จะต้องเรียกชื่อ เจ้าของชื่อก็หูผึ่งรีบขยับเข้าไปรอฟังทันที “โม” พร้อมกับป้องปากกระซิบเชียร์


“ประกอบกับที่โม...” เม้มปากเล็กน้อย คิดอยู่แล้วว่าครั้งแรกต้องเขิน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเขินขนาดนี้ ยิ่งได้เห็นคนฟังกำหมัดขึ้นในอากาศพร้อมกับร้อง ‘Yes!’ เบาๆ ในลำคอ เขายิ่งแทบไปไม่เป็น “ประกอบกับที่โมบอกว่า ‘แล้วพบกันใหม่’ ผมก็เลยคิดเข้าข้างตัวเองว่าคงมีสักวันที่โลกจะเหวี่ยงให้เราได้มาเจอกันอีก”


“นอกจากสามแสบนั่นแล้ว ตกลงนี่ฉันต้องขอบคุณแกนโลกที่ทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่องด้วยเรอะ” เอกรงค์ทำปากขมุบขมิบบ่นกับตัวเอง


“ว่าแต่ผม แล้วโ...” ครั้งที่สองนั้นก็ไม่ได้ง่ายขึ้นเลยสักนิด แต่พอเห็นนัยน์ตาพราวระยับของคนที่รอฟัง ศุกลก็ยอมเอ่ยออกไปทั้งที่ยังเขินมากก็ตาม “แล้วโมล่ะ ไม่คิดจะตามหาผมบ้างเหรอ”


“ใครว่าล่ะติ๊น” เอกรงค์รีบแก้ต่างให้ตัวเอง “ผมจับยามสามตาทุกวัน แต่ไม่คิดว่าติ๊นจะมาแอบอยู่ในแกลเลอรีเล็กๆ แบบนี้” พร้อมกับเสยผมขึ้นทำท่าเบิกเนตรประกอบ


“ขอโทษนะที่เล็ก” แอบกลั้นหัวเราะเพราะคนอายุมากกว่าดูจะมั่นใจในโหวงเฮ้งเงินล้านของตนมากทีเดียวในขณะที่ตัวเขากลับอายจนต้องปัดผมหน้าม้าลงมาปิดไว้


“ไม่รู้อย่างอื่นเล็กแบบนี้หรือเปล่า”


“หืมมมม”


“ผมหมายถึงหัวใจน่ะ” เอกรงค์รีบพูดแม้นั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ใจคิดทีแรกก็ตาม “ไม่รู้หัวใจของติ๊นจะเล็กเกินไปจนไม่ยอมรับผมเข้าไปอยู่ข้างในหรือเปล่า”


“แคบๆ ก็ดีแล้วนี่ครับ ถ้าเข้ามาได้โมก็จะได้อยู่คนเดียวไง”


“เออจริง” แล้วกุมารแพทย์หนุ่มก็เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง เมื่อเสียงหัวเราะจางลงริมฝีปากก็ค่อยๆ เหยียดออกเป็นรอยยิ้มพร้อมกับสบตาคนตรงหน้านิ่งเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปอย่างซื่อตรง “ชอบนะ”


ศุกลไม่ตอบ ได้พยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มคืนกลับไป


ตาคมเหลือบลงมองฝ่ามือที่วางอยู่ข้างกัน รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิกายที่แตกต่าง เอกรงค์ค่อยๆ ยกนิ้วก้อยขึ้นแตะเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขยับหนีจึงค่อยเลื่อนมือขึ้นวางทับ ซึ่งฝ่ามือหยาบกร้านนั่นก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการหงายขึ้นก่อนจะค่อยสอดนิ้วกุมกันไว้


แสงแดดยามเย็นสาดเป็นไรเข้ามาทางกระจกหน้าต่างทำให้อากาศในห้องใต้หลังคาอุ่นขึ้นบ้างแล้ว หากแต่คนสองคนกลับค่อยขยับเข้าหากันทีละนิด… ทีละนิด… จนอุณหภูมิกายส่งถึงกันผ่านตั้งแต่ช่วงหัวไหล่ไปจนถึงเรียวขายาวที่เหยียดไปข้างหน้า


ศุกลหวนนึกถึงวันคืนที่เขาได้แต่นั่งมองสีดำของท้องฟ้าและลากเส้นต่อจุดผ่านดวงดาวเป็นรอยยิ้มของใครคนหนึ่งที่ติดตรึงอยู่ในใจมาหลายปี ย้อนไปจนถึงวันแรกที่พวกเขาได้พบกันที่ร้านเล็กๆ ในเมืองที่เงียบสงบแห่งนั้น


“โม… คราวหน้าเราไปเที่ยวเกียวโตด้วยกันไหม” ถามไปแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบสักที ศุกลหันไปและพบว่าอีกฝ่ายคงล่วงหน้าเขาไปเสียแล้ว “หลับเหรอ? ก็คงใช่ล่ะเห็นว่าเพิ่งเลิกงานมานี่นา” ค่อยเอี้ยวตัวไปรั้งรอบลำคอหนาให้พิงลงมาบนหัวไหล่ แต่อีกฝ่ายกลับล้มลงบนมานอนหนุนบนหน้าตักเสียอย่างนั้น ซ้ำริมฝีปากยังคลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วยนั่นเพราะเอกรงค์ไม่ได้แกล้งหากแต่หลับไปจริงๆ


เขาใช้หลังมือไล้ไปตามแก้มขาวที่นุ่มเนียนมือก่อนจะก้มหน้าลงฝากรอยประทับริมฝีปากไว้ตรงนั้น “ฝันดีนะครับพ่อหนุ่มร้านร้อยเยนของผม”



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...



หมายเหตุ *พู่กันเบอร์ศูนย์พิเศษ http://www.hhkint.com/images/product/91008-00.jpg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2016 22:00:04 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เขินๆๆๆ ขอบคุณสามแสบจริงๆ
ที่ขังพี่ติ้นท์กับพ่อโมไว้บนห้องใต้หลังคา
ถ้าเป็นตอนกลางคืนแล้วมีดาวตกนี่ใช่เลย ฮ่าาาาาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เดี๋ยวๆ ๆ ๆ !!!

อะไรยังไง?! คบกันแล้วเรอะ!

อย่างไรก็ตาม...อ่านแล้วละมุนมากค่ะ

#หมอโมจอมบุกกับพี่ติ๊นไร่อ้อย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
จีบกันต่ออีกนิดสิ
หมอโมตลก
นี่หมอโมกินเด็กเรอะ นึกว่าจะให้เด็กกินซะอีก

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เพิ่งเห็น อ่านแล้วเขิน ต้องขอบคุณสามแสบที่ให้ทั้งคู่ได้คุยกัน

ปล.คนแต่ง คนหนึ่งแนวศิลป์ อีกคนก็สายสุขภาพ มาจับคู่กันได้ เก่งจริงๆ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
หนุ่มไร่อ้อยทั้งคู่เบยยย อีกคนก็ช่างรุก อีกคนก็อ้อยมากกก ละมุนน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
3 แสบรู้งานที่สุดดดด

พระนายคบกันแล้วอะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เล่นสารภาพกันแบบนี้ ทำเรารู้สึกเขินแทนเลยอ่ะ :-[

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
อร๊ายยยยย ฟินค่าาาา จะมัวแต่ยืดยาดกันอยู่ไย? อายุปูนนี้กันแล้ว (?) คบกันแบบนี้เลยทันใจมากๆค่ะ  :-[

ปล. กระโดดเข้ามาเกาะขอบจอคอมพ์ฯ ด้วยคนค่ะ ผ่านไปตั้ง 4 ตอนแล้วเพิ่งเจอ งือออออ นักเขียนมือทอง 2 คนแพ๊คคู่มาแบบนี้ไม่ติดตามไม่ได้แล้ววว  o13

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
คิดว่าพี่ติ๊นเป็นพระเอกมาตลอดเลย


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ hibatsumoe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
มีความอ้อยทั้งคู่เลยยยย หมอโมอ้อยน่ารักมากกกกก
อยากสัมผัสลักยิ้มนั้น ><
งานละมุนสุดๆ  :o8:

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
ขำความหมอโม
ร้ายมาก อ้อยมาก และเสี่ยวมาก ว้อยยยยยยยยยยย
แต่ก็ยินดีด้วยค่ะ ได้เป็นแฟนกันสักทีแบบบนี้ไม่ต้องลุ้นนาน
นี่ก็เขินจะตายละ โอ้ยๆๆๆ >__<
ต้องขอบคุณความดีความชอบของเจ้าสามแสบ
อย่าลืมไปเลี้ยงขนมเด็กๆ นะคะ 555555555555555

ออฟไลน์ PYonG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

หมอโมโคตรอ้อยยย 5555
ชอบจังค่ะอ่านแล้วนุ่มๆ ละมุนๆเลย ฮื่อออ  :o8: :o8:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 5 จูบแรก


เอกรงค์ปรือตาขึ้นอีกครั้งหลังจากได้นอนเต็มอิ่ม รู้สึกหนักจึงยกมือขึ้นสัมผัสสิ่งแปลกปลอมที่แนบอยู่กับข้างแก้ม ในที่สุดเขาก็พบว่ามันคือมือของคนที่อุตส่าห์สละตักเป็นหมอนให้หนุน ถึงจะหยาบกร้านไปสักหน่อยแต่อุ่นเสียจนไม่อยากจะละไปไหน


“ตื่นแล้วเหรอครับ” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพลางไล้นิ้วหัวแม่มือลงตรงที่เคยมีรอยบุ๋มยามเมื่ออีกฝ่ายแย้มยิ้ม


“ทำติ๊นเมื่อยหรือเปล่า” ขยับตัวนอนหงายสบตาอย่างรอคอย


“ไม่ครับ” นัยน์ตาสีเข้มสบตอบในขณะที่มือยังคงประคองแก้มนิ่มไม่ห่าง


“ถ้าอย่างนั้นนอนต่อนะ”


“ได้ยังไงครับ นี่เย็นแล้วนะ ผมว่าโมโทรตามเจ้าลูกชายตัวดีให้มาปลดล็อกประตูแล้วรับโมกลับไปพักเถอะ”

“ก็อยากนอนต่อที่นี่นี่นา ที่คอนโดไม่มีตักใครให้หนุน” สายตาออดอ้อนของกุมารแพทย์หนุ่มทำเอาคนฟังต้องโครงศีรษะ


ศุกลยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “อย่าดื้อสิครับ ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ เด็กดื้อยังพอน่ารัก แต่ผู้ใหญ่ดื้อไม่น่ารักเลย”


“ไม่น่ารักจริง ๆ น่ะเหรอ” เอกรงค์ยันกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้ราวกับเกรงว่าจะไม่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ปากบางยังคงถามซ้ำ “ไม่น่ารักจริงน่ะเหรอ หืม?”


นัยน์ตาสีนิลยังไม่อาจละจากดวงตาของคนช่างสงสัย เห็นปอยผมสีเข้มที่ปกติเจ้าตัวจะเซ็ตไว้เนี้ยบเสมอตกลงมาปรกตาจึงยกมือขึ้นเสยให้เข้าที่เปิดให้เห็นหน้าผากกว้าง “น่าตี”


“กล้าก็ลอง จะไม่หนีไปไหนเลย” พูดจบก็แกล้งโถมเข้าหาให้หน้าผากชนกันก่อนจะที่ริมฝีปากสีสวยจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาหากแต่ทำเอาหัวใจคนฟังสั่นไหว “ยอมให้ติ๊นตี”


ศุกลเม้มปากแน่นกดคมฟันลงเพื่อสะกดใจตัวเองเมื่อไม่ใช่เพียงแค่ผิวเนื้อเหนือแนวคิ้วเท่านั้นที่สัมผัสกัน หากแต่ปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายยังแตะลงชิดกับปลายจมูกของตนเองซ้ำยังแกล้งส่ายไปมาเบา ๆ ให้รู้สึกจั๊กจี้นัก จิตรกรหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยพลางกดตาลงต่ำมองกลีบปากเย้ายวนพร้อมกับคมฟันที่ค่อย ๆ คลายให้เลือดเดินเป็นปกติ ลมหายใจร้อนอวลติดปลายจมูกเป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ถึงอุณหภูมิภายในร่างกายของกัน ในที่สุดหน้าคมก็เป็นฝ่ายโน้มเข้าหาราวต้องมนตร์สะกด เวลานี้เขาคงไม่ต่างอะไรกับแมลงภู่ที่หลงรูปดอกไม้ เหลือเพียงอย่างเดียวก็คือการดูดชิมเกสรให้รู้ว่าหอมหวานติดลิ้นเพียงใด  แต่แล้วก็เหมือนถูกไล่ไปให้ไกล ๆ เมื่อหูได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ


“ไม่แกล้งแล้ว” เอกรงค์ยิ้มจนแก้มบุ๋ม กำลังจะผละออกก็ถูกมือหนาตรึงเข้ากับต้นแขนทั้งสอง เพียงศุกลออกแรงเล็กน้อยร่างของเขาก็ถูกจับพลิกกลับจนแผ่นหลังแนบไปกับผนังห้อง กลายเป็นว่าขณะนี้สองคนสลับตำแหน่งกันเสียแล้ว


“ต...ติ๊น จะทำอะไร” จู่ ๆ ก็หายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น เอกรงค์ใช้สองมือกำแขนเสื้อของอีกฝ่ายแน่น ตาสองคู่ยังคงสบกันนิ่งหากแต่กุมารแพทย์กลับรู้สึกว่าใบหน้าคมนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ


“จะตีคนดื้อ” ศุกลตอบพร้อมกับคลี่ยิ้ม “จะได้รู้ว่าไม่ควรเที่ยวไปแกล้งใครแบบนี้”


“เพิ่งรู้ว่าคนจะตีกันเขาทำท่านี้” คุณหมอยังไม่วายปากเก่ง


“แล้วปกติท่านี้เขาทำอะไรกัน” พลันแววตาที่เคยสงบนิ่งก็วับวาวขึ้น


เสียงกระซิบพร่าเป็นดั่งตัวเร่งปฏิกิริยาพาหัวใจให้วาบไหว เอกรงค์เพิ่งยอมรับกับตัวเองเดี๋ยวนี้ว่าแม้อายุอานามจะเลยเลขสามมาหลายปี หากแต่ประสบการณ์ความรักช่างน้อยนัก แฟนคนสุดท้ายเลิกรากันไปนานแค่ไหนต้องนับนิ้วมือจนหมดผสมกับนิ้วเท้าด้วยกระมังจึงจะครบตามจำนวน “ก...ก็...จูบ”


“แล้วได้ไหมครับ” คนอายุน้อยกว่าถาม


ถึงจะเป็นคำถามตรงไปตรงมา แต่เจือความประหม่าอยู่ในทีและมันก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของคนเกิดก่อนได้ นายแพทย์เอกรงค์เอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นคว้าคอเสื้อของจิตรกรหนุ่ม ดวงตาจ้องเขม็งจนศุกลเดาว่าการกระทำทั้งหมดคือการต่อต้าน


“ข...ขอโทษครับ ทำให้โมลำบากใจใช่ไหม”


“เปล่า แค่จะบอกว่า...” เอกรงค์รั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนจะเงยหน้า “นี่จูบแรกของเรานะ ช่วยทำให้ประทับใจหน่อย”


สิ้นประโยคกึ่งสั่งกึ่งขอร้องรอยยิ้มของคนฟังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ศุกลโน้มหน้ากดตาลองมองหาที่หมาย ทันทีที่เนื้อปากสัมผัสกันเพียงนิด เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น


“ไอ้ติ๊น!!! หายหัวไปไหนวะ”


เจ้าของชื่อชะงักพลางถอนใจเฮือกรีบผละออกพร้อมกับจ้องมองคนตรงหน้าที่ออกอาการ ‘เสียดาย’ ไม่ต่างกัน กระนั้นต่างคนก็ต่างก็สบตายิ้มเขิน และเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกอีกครั้ง จิตรกรหนุ่มก็รีบคลานไปที่ช่องประตูทันที


“อยู่ที่นี่”


“ไอ้ติ๊น!!! อยู่นี่น่ะ อยู่ไหนวะ” พีระร้องลั่นก่อนจะหุบปากแล้วเงี่ยหูฟังให้แน่


“อยู่บนนี้ เปิดให้หน่อย”


ได้ยินเสียงแว่วมาจากเพดานด้านบนจึงเงยหน้าขึ้น


“บนห้องใต้หลังคา”


“ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นวะ” พูดจบนักออกแบบมาดกวนก็เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะรั้งเก้าอี้ขึ้นวางซ้อนบนโต๊ะแล้วปีนขึ้นไปปลดล็อกเปิดช่องประตูพร้อมกับดึงบันไดลง รอกระทั่งเจ้าของบ้านและแขก? ไต่ลงมายืนข้างกัน


“ขอบใจนะที่ช่วยเปิดให้”


“เออ ว่าแต่แกกับคุณหมอเถอะ ทำอีท่าไหนถึงติดอยู่บนนั้นวะ”


“ยังไม่ได้ทำท่าไหนครับ” กุมารแพทย์ปากไวกล่าว พาเอาคนข้าง ๆ หันขวับ เขายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งก่อนจะพูดใหม่ “ผมหมายถึงไม่ได้ทำอีท่าไหนครับ จู่ ๆ ประตูมันก็ปิดล็อกของมันเอง”


“น่าแปลกจังเลยนะครับ สงสัยต้องเรียกช่างมาดูแล้วละมั้ง” คนพูดเกาหัวพลางเงยหน้าขึ้นมองสำรวจบนเพดาน


“เออ ๆ ช่างมันเถอะน่า แกน่ะมีอะไรถึงได้ตะโกนเรียกฉันเสียงลั่นบ้าน”


“ฉันเพิ่งมาถึง เห็นลุงร้านเครื่องเขียนเขาเอากระดาษเขียนสีน้ำที่แกสั่งมาส่ง จะเรียกให้ไปจ่ายตังค์ไง” พีระกอดอกสาธยายต่อ “นี่สั่งมาสำหรับเอาไปออกค่ายใช่ไหม”


“อือ” เจ้าของบ้านตอบเสียงเรียบ


“ลุงแกก็ดี๊ดีเนอะ เย็นแล้วยังเอาของมาส่ง”


“เออ” ศุกลตอบส่ง ๆ


“อะไรวะ นี่แกพูดเป็นอยู่แค่นี้เองเหรอ แล้วดูทำหน้าเข้า แล้วนั่นหู...” พูดจบก็แปะสองมือเข้ากับสองแก้มของเพื่อนก่อนจะจับบิดซ้ายทีบิดขวาทีราวกับที่อยู่ในมือเป็นเพียงลูกบอลกลม ๆ “ทำไมหูแดงแบบนี้วะ”


“ไม่มีอะไร” ทำลากเสียงกลบเกลื่อนแล้วแกะมือของเพื่อนออก “ลงไปข้างล่างไป จะให้ไปจ่ายตังค์ไม่ใช่เหรอ รีบจ่ายลุงแกจะได้รีบ ๆ กลับ จะค่ำแล้ว” ว่าแล้วศุกลก็เดินนำออกไป ทิ้งให้เพื่อนได้แต่สงสัยในอาการของตนเอง


“อะไรของมันวะ แค่มาตามไปจ่ายตังค์ทำไมต้องหงุดหงิดอะไรขนาดนี้” พีระบ่น ส่วนเอกรงค์นั้นได้แต่โคลงศีรษะแล้วอมยิ้มขัน ๆ ...


เช้าวันต่อมาเมื่อเหล่าผู้ร่วมขบวนการมากันพร้อมหน้า ศุกลก็จัดการอบรมเด็ก ๆ เสียยกใหญ่ และถือเป็นการถูกอบรมครั้งที่สองของนภธรณ์ ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่ขับรถไปคืนให้เอกรงค์ที่คอนโดหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายต้องนั่งแท็กซี่กลับ เด็กหนุ่มเท้าคางตั้งใจฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดกับสองพี่น้องที่นั่งก้มหน้าสำนึกผิด และหลังจากที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี...หมายถึงพี่ติ๊นของพวกเขาบ่นจนพอใจ ธีร์ทัศน์ก็เอ่ยขึ้น


“ยิ้มอะไรของนาย โดนดุขนาดนี้ยังทำหน้าระรื่น”


“ยิ้มตามพ่อโม”


“หมายความว่ายังไง เมื่อวานนายยังโทรมาเล่าอยู่เลยว่าโดนหมอโมดุตอนที่เอารถไปคืน”


“ดุก็ส่วนต่อว่า ยิ้มก็ส่วนยิ้มสิ เห็นยิ้มคนเดียวมาตั้งแต่เมื่อคืน”


“แปลกจัง หมอโมจะยิ้มเรื่องอะไรกัน โดนเราขังไว้แบบนั้น”


“ไม่รู้สิ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าระหว่างที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกันมันต้องมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นแน่”


“ไม่ลองถามพ่อ! นายดูล่ะ” ธีรทัศน์เน้นเสียงจนอีกคนหันขวับ


“ถามแล้ว แต่พ่อโมไม่ตอบ”


“นายถามว่าอะไร”


“ก็ถามว่าทำอะไรกันบ้างตอนอยู่ในห้องใต้หลังคานั่น พ่อโมตอบแค่ว่าคุยกันธรรมดา เรื่องทั่ว ๆ ไป หลับเสียเป็นส่วนใหญ่”


“โธ่...อุตส่าห์ทำให้ได้อยู่กันสองคนยังจะหลับอีก”


“แต่ฉันว่ามันต้องไม่ใช่แค่คุยกันธรรมดาแน่ ต้องมีอะไรมากกว่านั้น คอยสังเกตดูแล้วกัน แต่ถ้ายังมัวชักช้ากันอยู่ พวกเราก็ต้องออกโรงอีกครั้ง”


พูดจบนภธรณ์ก็ยื่นมือไปข้างหน้าพลางสบตาผู้ร่วมทีมทั้งสอง “พวกนายจะร่วมมือกับฉันไหม”


ธีรทัศน์นิ่งคิด แม้ศุกลจะดุเรื่องเมื่อวาน แต่มันก็ไม่ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเขาก็วางมือซ้อนลงบนมือเจ้าของแววตาเจ้าเล่ห์


“ผมด้วย” เด็กชายธีร์ธรเอ่ยเสียงใสเขย่งปลายเท้าวางมือบนมือของพี่ชาย “ขบวนการกามเทพน้อยยย!!!”


“อะไรของนาย”


“ก็ชื่อทีมเราไงครับพี่นอฟ พอผมบอกว่าขบวนการกามเทพน้อย พวกพี่ก็ต้องร้อง ‘เฮ่’”


“ปัญญาอ่อน” ว่าแล้วก็ชักมือกลับ พาเอาวงแตก


“ทำไมล่ะครับ ผมว่าน่ารักจะตาย เนอะพี่ทัศน์เนอะ” คนเป็นน้องหันไปขอความเห็น ในขณะที่พี่ชายซึ่งปกติจะตามใจทุกอย่างหากแต่ครั้งนี้กลับยิ้มแห้ง ๆ


“ไร้สาระ ชื่อบ้าอะไรวะ ฟังแล้วยังกับเด็กสามขวบเล่นขายของ”


“ก็ผมอยากให้พวกเรามีชื่อทีมนี่นา ไม่รู้แหละ ถ้าพี่นอฟไม่ยอมให้ใช้ชื่อนี้ ผมจะไม่ร่วมมือด้วย แล้วก็จะฟ้องพี่ติ๊น”


“เออ ๆๆ ก็ได้ ๆ” นภธรณ์ขยี้หัวตัวเอง จำใจยื่นมือไปข้างหน้าอีกครั้ง


และเมื่อมือของพี่ชายวางทับลงไป ธีร์ธรก็วางมือของตนเองลงบ้าง เด็กชายอมยิ้มอย่างพอใจแล้วเอ่ยขึ้น “ขบวนการกามเทพน้อยยย!!!” เมื่อต้นเสียงว่าอย่างนั้น


ที่เหลือก็รับพร้อมกัน “เฮ่!”   


เวลาบ่ายโมงเป็นเวลาที่เด็กหนุ่มสาวจากต่างโรงเรียนมารวมตัวกันที่ Light & Shade จากนั้นจึงพากันเดินเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยหุ่นปูนปลาสเตอร์และโต๊ะวาดรูปซึ่งสามารถปรับพื้นระนาบให้เอียงในองศาที่ต้องการ แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายคือการสอบเข้าเรียนในคณะศิลปะของมหาวิทยาลัยที่ตนเองใฝ่ฝัน ดังนั้นนอกจากอ่านหนังสือเพื่อให้มีความรู้แล้วการเตรียมความพร้อมทางด้านทักษะจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


ศุกลซึ่งรับหน้าที่สอนวิชาวาดเส้นให้กับเด็ก ๆ กลุ่มนี้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว หลังจากเขาได้สอนพื้นฐานการให้น้ำหนักแสงเงารูปทรงต่าง ๆ การวาดภาพหุ่นนิ่ง (Still life) การวาดภาพคนเหมือนแบบครึ่งตัวโดยให้จับคู่กันเป็นแบบมาแล้วในสัปดาห์ก่อน ๆ วันนี้จึงเป็นวันที่ให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสวาดภาพคนแบบเต็มตัวบ้าง ชายหนุ่มชะเง้อคอยาวเมื่อเห็นว่าจวนจะได้เวลา แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าพีระซึ่งรับอาสาหามานั่งเป็นแบบให้จะโผล่หัวมาสักที   


“เอาละครับเด็ก ๆ เตรียมกระดาษและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยนะครับ เดี๋ยวพี่ขออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่” จิตรกรหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องอย่างร้อนรน เขาควักโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก่อนจะกดโทรหาเพื่อนรัก ยังไม่ทันจะได้ยินเสียงสัญญาณศุกลก็กดตัดสายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาพร้อมกับใครอีกคน


“ไงติ๊น ไม่เจอกันนานเลย” ชายหนุ่มผิวสีแทนที่เดินคู่มากับพีระยกมือขึ้นทักทาย


“เฮ้ย มาได้ไง” เจ้าของบ้านร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนแปลกใจ


“ไอ้ไนท์มันว่างอยู่ ฉันเลยชวนมันมายืนเป็นแบบให้แก ฉันไม่อยากโชว์หุ่นขี้ก้างว่ะ อายน้อง ๆ” พีระสาธยายพลางลูบหน้าท้องที่เริ่มอุดมไปด้วยไขมันของตนเอง


“พอดีเพิ่งลาออกจากงานน่ะ ไม่มีอะไรทำ ไอ้พีชวน เราเลยมา ติ๊นไม่ว่าใช่ไหม”


“จะว่าเรื่องอะไร รีบไปเถอะ เด็ก ๆ นั่งรอแล้ว” พูดจบศุกลก็เดินนำเพื่อนทั้งสองเข้าไปด้านใน


จิตรกรหนุ่มแนะนำคนที่จะมานั่งเป็นแบบตลอดสามชั่วโมงของการเรียนให้เด็ก ๆ ได้รู้จักก่อนจะปล่อยให้รัตติเขตได้ทำหน้าที่ของตนเอง


ทันทีที่ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งรูปร่างสูงโปร่งปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ ที่หน้าท้องซึ่งเกิดจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ บรรดาเด็กสาวที่นั่งอยู่แถวหน้าก็หันสบตากันหัวเราะคิกคัก รัตติเขตรั้งเสื้อออกจากตัวพาดบนเก้าอี้ และเมื่อเลื่อนมือลงปลดเข็มขัดก็เล่นเอาใครหลายคนถึงกับกลื่นน้ำลายเอื๊อกตามด้วยถอนใจอย่างโล่งอก? ที่เห็นว่ายังเหลือกางเกงบ๊อกเซอร์อีกหนึ่งตัว


“พี่ติ๊นครับ ครั้งนี้วาดฟิกเกอร์แล้วครั้งต่อ ๆ ไปจะมีวาดนู้ดไหมครับ” คำถามของเด็กหนุ่มหลังห้องทำเอาสาว ๆ ข้างหน้าพากันยืดตัวตรงตั้งใจใจรอฟังคำตอบ


ศุกลหันไปยิ้มให้รัตติเขต มาเจอตัวแสบวันแรกก็โดนรับน้องเสียแล้ว


“ก้องอยากวาดเหรอ” คนสอนถามกลับ


“เปล่าครับ ผมถามแทนพวกผู้หญิงน่ะครับ” สิ้นเสียงคนกล้า เสียงโห่ฮาของหนุ่ม ๆ แถวหลังก็ดังขึ้นเป็นกำลังหนุน


“ถ้าอย่างนั้นให้ก้องเป็นแบบดีไหม” ศุกลพูดกลั้วหัวเราะ ยังไม่ทันจะจบประโยคเด็กสาวแถวหน้าก็ส่งเสียงปฏิเสธปน ๆ มากับเสียงยี้จนต้องปรามกัน “เอาละ ๆ เรียนกับพี่ที่นี่คงได้แต่พอร์เทรตกับฟิกเกอร์ ส่วนนู้ดคงต้องรอไปเรียนตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ถ้าอาจารย์เขาสอนเขียนนะ ตอนนี้มาฟังพี่ติ๊นอธิบายการวาดฟิกเกอร์ก่อนดีกว่า” พูดจบจิตรกรหนุ่มก็หันไปส่งสัญญาณให้คนเป็นแบบให้ยืนประจำที่ที่หน้าห้อง จากนั้นก็เริ่มสอนเนื้อหาก่อนจะปล่อยให้เด็ก ๆ ลงมือวาด เมื่อผ่านไปสักพักจึงเดินไปรอบ ๆ เพื่อคอยให้คำแนะนำแก่เด็ก ๆ


เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ชั่วโมงสุดท้ายของการเรียน จากที่ยืนเป็นแบบรัตติเขตก็ลุกเริ่มขยับตัวเดินไปดูผลงานที่เด็ก ๆ วาดบ้าง เขาช่วยให้คำแนะนำพร้อมกับจับดินสอลงแสงเงาเพิ่มในส่วนที่เห็นว่ายังขาดจนครูตัวจริงพอจะมีเวลาแวบออกมาเพื่อเตรียมของว่างให้กับคนที่รับอาสาเป็นแบบและอีกคนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งสีขาวใต้ต้นจำปีที่ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร


“มารอรับนอฟเหรอครับ ทำไมถึงมานั่งตรงนี้ล่ะครับ” ศุกลที่ถือถาดใส่ของว่างกล่าวก่อนจะวางแก้วน้ำแดงเย็นเฉียบกับจานคุกกี้ลงบนโต๊ะ ยังไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติจึงเอ่ยขึ้น “วันนี้น่าจะเกินเวลาหน่อยนะครับ เพราะว่าไอ้ดลมันฝากคลาสไว้ ไอ้พีก็เลยชวนเด็ก ๆ ปั้นดิน”


“ขอบคุณครับ” เอกรงค์ตอบสั้น ๆ


“ถ้าอย่างนั้นผมเข้าไปข้างในก่อนนะ” พูดจบก็ทิ้งให้คนที่วันนี้เอาแต่ปั้นหน้านิ่งนั่งแข็งเป็นหินอยู่ตรงนั้น
กุมารแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือกก่อนจะเอื้อมมือคว้าคุกกี้โยนใส่ปากเคี้ยวกล้วม ๆ มองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก


เมื่อศุกลเดินเข้าเข้ามายังเรือนกระจกก็เป็นเวลาเดียวกับกับที่พีระเลิกคลาสเรียนศิลปะเด็กพอดี เด็ก ๆ บางส่วนทยอยกันกลับบ้าน ในขณะที่บางส่วนก็เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่ห้องวาดเส้นซึ่งอยู่ข้าง ๆ กันอย่างสนอกสนใจ ศุกลวางน้ำและขนมไว้บนโต๊ะ เห็นว่ารัตติเขตกำลังช่วยแก้ไขผลงานของเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งกลางห้องจึงเดินเข้าไปหา


“ไนท์ กินขนมก่อนสิ”


“เอออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วละ” หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกล่าวขณะดวงตายังจดจ้องอยู่กับปลายดินสอ EE ที่กำลังลากไปมาอยู่บนกระดาษปรู๊ฟ


“โอ้โห พี่ไนท์แก้ให้พิมพ์เสียสวยเลยค่ะ” เจ้าของภาพว่า “พิมพ์อยากลงแสงเงาเก่ง ๆ แบบพี่ไนท์บ้างจัง”


“น้องพิมพ์ก็ต้องฝึกบ่อย ๆ สิคะ ก่อนพี่ไนท์จะสอบติดคณะที่จบมา พี่ไนท์ก็เหมือนน้องพิมพ์นี่แหละ ไปเรียนตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ฝึกฝนเยอะ ๆ” ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นหันมาขอความเห็นของคนที่ด้านหลัง “ดูให้หน่อยสิติ๊น ดีหรือยัง”


“อืม เราว่าตรงนี้น่าจะเก็บรายละเอียดอีกนิดนะ” พูดจบก็รั้งดินสอแท่งเล็กจากมือของอีกคนก่อนจะจรดลงตรงตำแหน่งของกระดูกไหปลาร้าตวัดข้อมือไปมาอยู่ไม่กี่ครั้งพื้นที่ตรงนั้นเด่นชัดขึ้น “เรียบร้อย” ศุกลวางดินสอลงพร้อมกับยืดตัวขึ้น ถอยห่างออกไปมองผลงานของเด็กสาว


“ขอบคุณมากค่ะพี่ติ๊นพี่ไนท์ พิมพ์สัญญาว่างานชิ้นต่อ ๆ ไปจะทำให้ได้ดีกว่านี้ค่ะ”


“ต้องทำให้ได้ดีกว่าที่พวกพี่ทำสิ” จิตรกรหนุ่มกล่าว


“อืม...” สาวน้อยเลิกคิ้วแล้วยิ้มกว้าง “จะพยายามค่ะ”


คนสอนพยักหน้าพอใจก่อนกล่าวเลิกคลาสแล้วหันไปพูดกับนายแบบกิตติมศักดิ์ “ใส่เสื้อก่อนสิ จะได้ไปกินขนม”
ได้ฟังดังนั้นรัตติเขตจึงเดินไปที่เก้าอี้ กำลังจะเอื้อมมือคว้าเสื้อเชิ้ตก็พอดีเห็นมือตัวเองเต็มไปด้วยคราบกราไฟต์จึงชะงัก เหลียวกับมากล่าวกับคนที่เดินตามมา “หยิบให้หน่อยได้ไหม มือเราเลอะ”


ศุกลไม่ได้ตอบแต่เดินไปหยิบเสื้อของอีกฝ่ายแล้วช่วยสวมให้ มือใหญ่ค่อย ๆ ติดกระดุมตั้งแต่เม็ดล่างจนกระทั่งเม็ดรองสุดท้าย


“ไปล้างมือก่อนดีกว่า เดี๋ยวเราพาไป” พูดจบร่างสูงก็เดินนำไปยังอ่างล้างมือริมหน้าต่าง...


“ใครวะ นายรู้จักไหม”


นภธรณ์ที่ยืนเกาะกรอบประตูเอ่ยขึ้นขณะมองตามสองคนที่กำลังเดินไปยังอ่างน้ำ


“เห็นพี่พีบอกว่าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนะ แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจะเห็นโผล่มาที่นี่” ธีร์ทัศน์ว่าพลางเหลียวหลังเห็นเอกรงค์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพอดี


“ธร มือเลอะแบบนั้นจับรองเท้าขาว ๆ ก็เปื้อนหมดน่ะครับ” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าว


“ผมยังไม่ได้ล้างมือครับ จะมาเรียกพี่ทัศน์ไปดูผลงานที่ปั้น พอดีเชือกมันหลุด”


ธีรทัศน์ก้มลงมองตามเสียงพบว่าน้องชายกำลังก้มผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ เขาจึงย่อตัวลงแล้วจัดการผูกให้


“ขอบคุณครับพี่ทัศน์”


“ไปล้างมือสิธร” จู่ ๆ นภธรณ์ก็เอ่ยขึ้น “ไปล้างข้างในโน้น” ว่าแล้วก็บุ้ยปากไปอีกทาง


“ไปล้างห้องปั้นก็ได้ครับ ธรยังปั้นไม่เสร็จเลย”


“ล้างตอนนี้นี่แหละ มา! พี่พาไป” พูดจบเด็กหนุ่มก็รั้งแขนเล็กให้เดินเข้าไปด้วยกัน เมื่อถึงอ่างน้ำก็เปิดก๊อกก่อนจะจับมือน้อง...


“พ...พี่นอฟ ก๊อก...” เด็กชายเหลียวมองคนตัวสูงกว่าที่ยืนซ้อนหลัง ยึดหัวไหล่แล้วหมุนตัวเขาไปคนละทิศกับก๊อกน้ำ “อยู่ น...นี่...” ยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกได้ถึงแรงดันจากมือใหญ่ ธีร์ธรเงยหน้าขึ้นสบตาคนเจ้าแผนการเป็นเชิงขอร้อง วันนี้เขาไม่อยากถูกมองว่าเป็นตัวสร้างปัญหาติดต่อกันเป็นวันที่สอง


เด็กชายตัวจ้อยพยายามขืนร่างไม่ยอมไปตามแรงง่าย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่สองมือซึ่งมีแต่คราบดินเกรอะกรังประทับลงไปบนชายเสื้อของชายหนุ่มแปลกหน้าเข้าเสียแล้ว


"พี่นอฟ!!!" ธีร์ธรร้องเสียงหลง


“ธร!!!” ทั้งเอกรงค์ ธีรทัศน์ หรือแม้แต่ศุกล ต่างร้องขึ้นพร้อมกัน


“ผ...ผมขอโทษครับ” เด็กชายก้มหน้าสำนึกในความผิด


“เดินสะดุดเชือกผูกรองเท้าละสิ” นภธรณ์เอ่ยขึ้นก่อนจะอาศัยจังหวะนั่งลงรั้งเชือกรองเท้าของเด็กชายออกแล้วผูกใหม่ ดูไม่ค่อยเนียนสักเท่าไรแต่ก็เป็นสิ่งที่พอจะทำได้ในตอนนี้


“ไม่เป็นไรครับ” เป็นรัตติเขตที่เอ่ยขึ้นก่อนจะเอื้อมมือหมุนปิดก๊อกน้ำตรงหน้าของตนเอง


“ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปข้างบนก่อน เดี๋ยวเราหาเสื้อให้เปลี่ยน” ศุกลกล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันมาบอกเด็กชาย “ไม่เป็นไรครับธร รีบล้างมือเถอะ”


“ครับ” เด็กชายรับคำเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองค้อนตัวต้นเหตุที่กำลังยืนขึ้น อยากจะปลดเขาออกจากตำแหน่งพี่ชายสุดเจ๋งเสียเดี๋ยวนี้


ธีร์ทัศน์รอน้องล้างมือจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยจึงกล่าว “เอ่อ...ผมพาน้องไปเก็บของก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็กระตุกมือเพื่อนที่ยังคงยืนอึ้งเมื่อเห็นว่าแผนก้างขวางคอที่ตนเองคิดได้สด ๆ กลับเป็นการยืดเวลาให้สองหนุ่มได้อยู่ด้วยกัน “นอฟ ไปเถอะ นัดกันว่าจะไปดูหนังไม่ใช่เหรอ”


นภธรณ์หันขวับจ้องหน้าคนที่กำลังขยิบตาให้ “อ...เอ้อ ใช่ ๆ” พูดพลางหันไปหาเอกรงค์ “วันนี้ผมกลับเองนะพ่อ ขอโทษทีที่ไม่ได้โทรบอก นัดกับทัศน์ไว้จะไปดูหนังน่ะ”


กุมารแพทย์หนุ่มพยักหน้าส่ง ๆ หากอยู่ในช่วงเวลาปกติเขาคงได้เทศนาเสียกัณฑ์ใหญ่โทษฐานที่อีกฝ่ายทำให้เสียเวลา แต่ตอนนี้มีเรื่องอย่างอื่นให้ต้องสนใจมากกว่าเขาจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านไป


ตามคมมองตามเแผ่นหลังของสองคนที่เดินตามกันออกจากห้องเพื่อไปเปลี่ยนชุด ริมฝีปากขยับคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง เมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดีและเพราะเป็นสายจากโรงพยาบาลเขาจึงรีบกดรับ “ได้… เดี๋ยวพี่ไป” ตอบสั้นๆ แล้วกดวางสายก็พอดีกับที่ร่างสูงเดินไปลับสายตา


เอกรงค์ถอนหายใจทิ้งแรงๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถทั้งที่ยังไม่ได้คุยอะไรกับคนที่อยากเจอหน้าเลยสักประโยคเดียว


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


พีระและรัตติเขตกลับไปแล้วตั้งแต่เมื่อตอนหัวค่ำ ส่วนนักเรียนคนอื่น ๆ ก็กลับไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงคาดิลแลคสีดำที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาจอดเมื่อนาทีก่อน ไฟหน้าแกลเลอรีดับลง เป็นสัญญาณบอกให้คนผ่านมาผ่านไปได้ทราบว่าขณะนี้ถึงเวลาปิดทำการของ Light & Shade แล้ว แต่เจ้าของรถก็ยังรั้นที่จะเปิดประตูลงมา


“ลืมอะไรหรือเปล่าครับ” ศุกลเอ่ยเมื่อเอกรงค์เดินเข้ามาในห้องเรียนวาดเส้นที่ขณะนี้โต๊ะเก้าอี้ถูกจัดคืนที่เป็นระเบียบเรียบร้อย เฟรมสีน้ำมันที่คุณลุงเจ้าของร้านเครื่องเขียนเอามาส่งเมื่อวันก่อนถูกแก้เชือกออกแล้วใส่ไว้ในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่แบบมีหูหิ้ว ข้างในยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ อีกทั้งพู่กันและจานผสมสี มันถูกเตรียมไว้ราวกับรอการเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่ง
กุมารแพทย์หนุ่มยังคงปั้นหน้านิ่งมองดูชายหนุ่มที่กำลังใช้พู่กันเกลี่ยสีฟ้าลงบนผืนผ้าใบขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กบนขาตั้งที่ถูกระบายด้วยสีน้ำเงินเอาไว้ก่อนแล้ว


“ลืมว่าวันนี้ยังไม่ได้คุยกับติ๊นเลย” พูดจบก็ลากเก้าอี้แบบมีล้อมานั่งข้าง ๆ


“เรื่องอะไรเหรอครับ”


“ต้องมีหัวเรื่องด้วยเหรอถึงจะคุยได้” กุมารแพทย์หนุ่มถามเสียงห้วน


คนฟังอมยิ้มก่อนจะวางพู่กันลง “ก็ไม่ขนาดนั้น” ส่ายหัวน้อย ๆ แล้วกล่าวต่อ “ดูเครียด ๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ลองวาดรูปไหมจะได้หาย”


เอกรงค์มุ่นคิ้วจ้องมองพู่กันในมือของคนที่ไม่รู้เอาเสียว่าวันนี้ก่อเรื่องอะไรให้หัวใจของเขาต้องร้อนรุ่มบ้าง กุมารแพทย์หนุ่มคว้าของที่อีกฝ่ายส่งให้มาถือไว้อย่างเสียไม่ได้ ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็เอื้อมมือดึงเก้าอี้ที่เขานั่งไปจนชิด


“เข้ามาใกล้ ๆ สิครับ นั่งห่างขนาดนั้นเมื่อยแย่”


“วาดรูปอะไร” คุณหมอถามเสียงห้วน ตาทอดมองรอยดินสอจาง ๆ บนผืนผ้าใบ


“ทะเลตอนกลางคืนครับ ปลายเดือนเราจะพาเด็ก ๆ ไปออกค่ายที่ทะเลกัน ก็เลยนึกอยากวาดทะเลขึ้นมา”


คนที่ไม่ค่อยจะเข้าใจศิลปะสักเท่าไรพยักหน้าก่อนจะ ‘ทิ่ม’ พู่กันลงบนผ้าใบแล้วลากขึ้นลงราวกับกำลังทาสีฝาบ้าน แต่ว่ากันตามจริงช่างทาสีฝาบ้านยังทำได้พลิ้วกว่านี้หลายขุมนัก


“ระบายได้ห่วยแตกมาก” ศุกลพูดกลั้วหัวเราะ


คำพูดคุ้นหูนี้เล่นเอาคนฟังหางคิ้วกระตุก เข้าใจทันทีว่าทางใครก็ทางใคร ศาสตร์ใครก็ศาสตร์มันขึ้นมาทันที


“สอนหน่อยระบายยังไง” เอกรงค์นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ถามไปแบบนั้น ไม่รู้ว่าอารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อสักครู่หายไปไหนหมด สงสัยจะจริงอย่างที่จิตรกรหนุ่มเคยบอกว่าศิลปะเป็นเสมือนเครื่องบำบัดช่วยทำให้ใจเย็นลงได้… หรือบางทีอาจเป็นแค่เพราะได้เห็นว่าในสายตาของคนตรงหน้ากลับมามีเขาอยู่ในนั้นอีกครั้ง


“แบบนี้ครับ” พูดจบศุกลก็ขยับเข้านั่งซ้อนหลังแล้วจับมืออีกฝ่ายให้ลากปลายพู่กันไปบนระนาบผ้าใบในแนวขวางโดยเกลี่ยรอยต่อระหว่างสีน้ำเงินและสีฟ้าให้กลืนกัน เมื่อผ่านไปได้เกือบครึ่งของพื้นที่จึงเอ่ยขึ้น “เราจะไล่สีจากเข้มลงมาอ่อน ทีนี้ก็แตะสีขาวเกลี่ยลงไปบ้าง”


คุณหมอที่ดูจะอารมณ์เย็นขึ้นทำตามที่ว่าโดยการแตะปลายพู่กันกับสีขาวในจานสีก่อนจะเกลี่ยต่อลงมาจากสีฟ้าที่ระบายไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำได้ดีขึ้นจึงปล่อยมือ


“อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง” จู่ ๆ คนสอนก็พูดขึ้นที่ข้างหู


กุมารแพทย์หนุ่มหยุดมือก่อนจะปรายตาเจ้าของคางมนที่พาดลงมาบนบ่า “รู้ด้วยเหรอว่าผมเป็นอะไร”


“ผมไม่รู้หรอก จริง ๆ ไม่กล้าเดามากกว่า เดี๋ยวโมหาว่าผมเข้าข้างตัวเอง”


เอกรงค์มองปลายพู่กันที่ยังคงทำหน้าที่ของมันด้วยจังหวะเนิบ ๆ หากแต่กล้ามเนื้อใต้อกเสื้อของเขาในขณะนี้กลับบีบตัวเร็วแรงจนแทบควบคุมไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแสนอุ่นที่เอวทั้งสองข้าง


“ก็ลองเดามาสิ” เป็นประโยคบอกเล่ากึ่งออกคำสั่ง


“มีรางวัลไหม”


“ว่าไงนะ”


“ถ้าผมเดาถูก โมจะให้อะไรเป็นรางวัล”


คนอายุมากกว่าไม่ได้ตอบ นั่นเพราะลมหายใจอุ่นที่เป่ารดลงมาบนผิวแก้มทำให้ให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว


“เดาว่าหึง” ศุกลกดยิ้มมุมปากเมื่ออีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ นิ่งไปพร้อมกับมือที่จับพู่กัน “ถูกหรือเปล่า”


กุมารแพทย์หนุ่มเอี้ยวตัวหนีในขณะปากยังพร่ำบ่น “แบบนี้แล้วยังกล้าถามหารางวัล”


“แสดงว่าถูก” จิตรกรหนุ่มคลี่ยิ้มมากกว่าเก่า มองใบหูเจือสีแดงที่ผมเส้นเล็กไม่อาจซ่อนมันพ้นสายตาได้ “ถ้าหึง วันหลังโมมาเป็นแบบให้ผมไหม”


“ให้มาโชว์หุ่นต่อหน้าเด็ก ๆ น่ะเหรอ”


“ใช่”


“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวสาว ๆ แถวหน้าไม่มีสมาธิวาดรูปกันพอดี”


“มัวแต่ชวนกันดูพุงหมอโม?”


“กล้ามต่างหาก”


“กล้ามหรือก้าง ผอมจะแย่แล้ว เดี๋ยวผมไปหาอะไรให้กินดีกว่า” พูดจบศุกลก็ลุกขึ้น


“เดี๋ยว” เอกรงค์ว่าพลางลุกตามก่อนจะวาดแขนทั้งสองข้างเกี่ยวยึดคอแกร่งเอาไว้พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “แก้ผ้าต่อหน้าเด็ก ๆ น่ะผมไม่กล้า แต่ถ้าอยู่กันสองคนแล้วติ๊นแก้ด้วยผมก็ว่าแฟร์นะ”


“ไม่ต้องพูดแล้ว” จิตรกรหนุ่มยิ้มกริ่ม ใช้มือทั้งสองข้างยึดสะโพกคนช่างพูดเอาไว้หลวม ๆ “ผมไม่ชอบฟังทฤษฎี”


สิ้นเสียงนั้น กุมารแพทย์หนุ่มก็กำด้ามพู่กันแน่นเมื่อจู่ ๆ ริมฝีปากก็ถูกครอบครองด้วยจุมพิตแสนหวาน เนื้อปากบางถูกดูดดึงเบา ๆ จนขึ้นสีแดงระเรื่อ ศุกลไม่ได้เร่งรัดหรือรีบร้อน กลับกัน...รสจูบของเขาช่างเนิบนาบเชื่องช้าแต่แฝงด้วยความร้อนแรงเสียจนเอกรงค์แทบใจขาดยามที่กลีบปากจำต้องผละออกจากกันเพื่อกอบโกยอากาศ


แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็เหมือนมีแรงดึงดูดให้ผิวเนื้อกลับมาแนบชิดบดเบียดกันครั้งแล้วครั่งเล่า จนให้อดคิดไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังจะใช้จุมพิตอันดูดดื่มนี้ชดเชยช่วงเวลายาวนานที่ต้องไกลกันหรือไร และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...เอกรงค์ก็พร้อมจะตอบรับรสสัมผัสให้ลึกซึ้งเพื่อตอกย้ำว่านับจากนี้จะไม่ห่างไปไหนอีก หากสิ่งที่ศุกลประทับใจในตัวเขาคือรอยยิ้มเมื่อวันแรกที่ได้พบกันแล้วละก็ สำหรับเขา...จิตรกรหนุ่มผู้นี้ก็ได้มอบจูบแรกที่ยากจะลืมเลือนให้เช่นกัน...


เสียงหอบถี่และความฉ่ำหวานในโพรงปากทำให้ศุกลเผลอคลึงเคล้นที่สะโพกแน่นก่อนจะสอดมือเข้าลูบไล้ผิวอุ่นใต้ชายเสื้อเชิ้ตเนื้อดี ค่อย ๆ ลากวนขึ้นมากระทั่งถึงกลางแผ่นหลังของคนในอ้อมแขน ชายเสื้อที่ร่นขึ้นและผิวสัมผัสหยาบกร้านหากแต่อ่อนโยนนั้นส่งผลให้เรี่ยวแรงที่เคยมีเหือดหายจนนายแพทย์เอกรงค์จำต้องปล่อยพู่กันตกลงสู่พื้น สองแขนโอบกระชับรอบคอของอีกฝ่ายแน่นขึ้นส่วนหนึ่งก็เพื่อประคองร่างกายอันอ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งรนไฟไม่ให้ต้องลงไปกองอยู่แทบเท้าของชายผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความหวามไหวนี้ และก่อนที่สมองจะปราชัยให้แก่เสียงเรียกร้องในหัวใจกุมารแพทย์หนุ่มก็เลื่อนมือขึ้นประคองสองแก้มของคนอายุน้อยกว่าเอาไว้


พยายามข่มใจจนในที่สุดก็สามารถละจากริมฝีปากมีมนต์ได้ แต่ถึงกระนั้นศุกลก็ไม่ยอมหยุด ยังคงแตะจูบซ้ำ ๆ บนซอกคอขาวบางช่วงบางตอนก็ดูดเม้มเบา ๆ จนเจ้าของลำคอระหงอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะทิ้งร่องรอยแห่งการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเอาไว้ให้อวดสายตาคนอื่นหรือไม่


“ต...ตรงนี้ ไม่...ได้ ต...ติ๊น...พ...พอก่อน” เอกรงค์ได้ยินเสียงตนเองขาดหายเป็นห้วง ๆ ก็ให้รู้สึกร้อนไปทั้งสองแก้ม ทั้งที่เป็นเริ่มก่อนแท้ ๆ แต่สุดท้ายกลับถูกต้อนให้จนอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเสียได้ สองมือเลื่อนลงเกาะบ่าหนาเอาไว้ พร้อมกับออกแรงต้านเล็กน้อยเพื่อสนับสนุนคำพูดของตนเอง       


“ถ้าตรงนี้ไม่ได้ก็ไปในห้องนอนไหมครับ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”


ศุกลยิ้มให้พลางแตะปลายจมูกลงบนพวงแก้มนิ่มแล้วขยับมากระซิบพร่าชิดใบหู “ยั่วกันแล้วจู่ ๆ จะทิ้งไปเฉย ๆ แบบนี้เหรอ หรือว่ามีแผนการอะไรบอกมาเสียดี ๆ” แกล้งกดคมฟันลงบนผิวเนื้ออ่อนด้วยความมันเขี้ยว


เอกรงค์ครางฮือก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ด้วยความจั๊กจี้ เลื่อนหน้าห่างออกมาสบตายอมรับอย่างดุษณี “ก็แค่อยากรู้ว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่า”


“แล้วรู้หรือยังครับว่าคิดเหมือนกันไหม”


“อื้อ รู้แล้ว”


“รู้ว่าอะไร” พูดจบสองแขนแกร่งก็เลื่อนลงคล้องเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ นัยน์ตาสีดำสนิททอดตามองริมฝีปากยวนใจที่กำลังจะตอบข้อสงสัย


“ก...ก็รู้ว่าติ๊นคิดอะไร”


“แล้วเหมือนกันกับที่โมคิดหรือเปล่าครับ” ศุกลจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ราวกับจะค้นหาคำตอบให้ได้ก่อนที่คนตรงหน้าจะคิดหาทางหลีกเลี่ยงได้สำเร็จ แต่ผิดคาดเมื่อคุณหมอหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ


“ถ้าอย่างนั้นทำไมเรา...” คนอายุน้อยกว่าเว้นจังหวะ กลืนน้ำลายลงคอ ยอมรับว่ามันยากที่จะพูดออกมาตรง ๆ


“ย...ยังไม่ใช่วันนี้”


ประโยคนั้นทำเอาคนฟังยิ้มกว้าง ศุกลกระชับวงแขนจนสองร่างแนบชิด “ถ้าอย่างนั้นผมให้เวลาโมเตรียมตัวอีกสองสัปดาห์ ปลายเดือนนี้ไปทะเลกับพวกเด็ก ๆ กันนะ แล้วค่อยไปว่ากันต่อที่นั่น”


“ถามหรือยังว่าอยากไปด้วยหรือเปล่า”


“ไม่ถาม เพราะผมอยากให้โมไป ไปด้วยกันนะครับ” ว่าแล้วก็เตรียมจะขอคำมั่นสัญญาจากแก้มขาวสักฟอดแต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยปลายนิ้วของคนอายุมากกว่า


“ไม่รับปากนะ ไม่รู้ว่าจะแลกเวรได้หรือเปล่า” เอกรงค์กล่าวอย่างไว้เชิง แต่ในใจกลับนึกถึงกางเกงว่ายน้ำตัวเก่งกับแว่นกันแดดที่ไม่ได้หยิบออกมาใส่เสียนาน...



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2016 14:36:45 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ทะเลต้องหวานแน่ๆเลย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ใครมาเห็นฉันตอนนี้เขาคงคิดว่า นี่คนสติไม่ดี

นั่งยิ้ม กัดปาก หน้าแดง แถมทึ้งผมตัวเองเบา ๆ

วั๊ย! เขินระดับ 10

ละมุนกับใจเหลือเกิน
หมอไร่อ้อยกับจิตรกรสายยั่ว

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
โว่ววววว ๆๆๆๆๆ เห็นนุ่มๆ ซอฟๆ ก็ไม่ใช่ไม่เป็นงานนะคร้าคุณจิตรกรรรร   555555  :laugh:

ไม่แน่ใจไปได้ไหม? แต่คิดไปถึงของที่ต้องเตรียมไปแล้ว เอิ่มมมม คุณหมอคร้าาาา ไม่เอา ไม่ปากแข็งน้าาา 55555

ขอบคุณคร่าาา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
มันต้องอย่างนี้สิพี่ติ๊น!!!!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด