ตอนที่ 6 I , sea , U
เมื่อถึงคราวที่รอคอยอะไรสักอย่างเวลาก็เหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าแกนโลกมันหยุดหมุนไปเสียแล้ว...
นับจากวันแลกจูบแรกให้แก่กันและกันก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว และเป็นสองสัปดาห์ที่ศุกลทรมานยิ่งกว่าการรอคอยครั้งไหนๆ เพราะเขาแทบติดต่อกับเอกรงค์ไม่ได้เลย ดูเหมือนจู่ๆ อีกฝ่ายก็ยุ่งขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่มีแม้โทรศัพท์หรือข้อความมาหา โทรไปกว่าจะรับก็รอจนสายเกือบตัดแถมยังรีบรับรีบวาง ทั้งยังไม่มารับส่งนภธรณ์เหมือนอย่างเคย ครั้นไปถามเอากับเด็กหนุ่มก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ท่าเดียวและไม่มีคำอธิบายใดๆ อีก จนเขาเริ่มหวั่นใจว่าคืนนั้นทำอะไรให้ไม่ถูกใจหรือเปล่า แต่หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายครั้งก็พบว่าไม่น่าใช่เพราะตอนนั้นเอกรงค์เป็นฝ่ายเริ่มก่อนและหลังจากจูบกันก็แสดงท่าทีพอใจอยู่ไม่น้อย
“หรือว่ามีคนใหม่”
ทันทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัว จิตรกรหนุ่มก็อยากจะเอาหัวโขกเฟรมผ้าใบให้รู้แล้วรู้รอดที่กล้าคิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้ ไม่มีทางที่เอกรงค์จะนอกใจเขา เว้นเสียแต่ว่า… เขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้น…
ร่างสูงลุกพรวดขึ้นทันทีพร้อมกับคว้ากุญแจรถตั้งใจจะไปหาที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่เดินไปถึงแค่หน้าประตูก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่รู้ว่าบ้านเอกรงค์อยู่ที่ไหน ที่ทำงานก็เคยไปหาแค่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่เจอกันจะเป็นอีกฝ่ายที่มาหาอย่างสม่ำเสมอ ศุกลยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่คนปลายสายปล่อยให้รอจนสัญญาณตัดไป
ศุกลมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆ ดับลง ก่อนจะเบนสายตาไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะที่เขาวงกลมทับวันที่จะพาเด็กๆ ไปออกค่ายไว้ จนแล้วจนรอดเอกรงค์ก็ไม่ยอมตบปากรับคำว่าจะไปด้วย กระทั่งปลายสัปดาห์ที่แล้วที่เขาตื๊อถาม ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตอบตกลง เพียงแค่ผ่านค่ำคืนนี้ไปก็จะถึงวันนัด ฟันกัดริมฝีปากจนช้ำ ในใจคิดจะให้โอกาสอีกวัน… แค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าหากพรุ่งนี้เอกรงค์ไม่มา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไปตามให้ได้
เช้าวันรุ่งขึ้นอาจารย์ทั้งสามคนของ Light&shade ก็มายืนเช็กชื่อนักเรียน เตรียมข้าวของขึ้นรถบัสปรับอากาศลายตัวการ์ตูนมินเนี่ยนหน้าตาตลก แต่คนที่ยืนอยู่ข้างรถนั้นดูจะไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย
“เป็นอะไรวะติ๊น” ภาดลถามพลางใช้ข้อศอกสะกิด “ท้องผูกขี้ไม่ออกหรือไงวะ ยิ้มหน่อยสิเด็กๆ กลัวหมดแล้ว”
“นั่นสิ แป๊บๆ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เดี๋ยวก็ดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ” พีระให้ข้อสนับสนุน “มีอะไรหรือเปล่าวะ”
“ก็… ก็นี่ใกล้เวลารถออกแล้วเจ้านอฟยังไม่มาเลย ฉันก็เลยเป็นห่วง” ศุกลตอบและนั่นเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง
“หรือว่าจะไม่มาแล้ว” ข้อสันนิษฐานของภาดลทำเอาหัวใจของคนรอร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม จนกระทั่งธีร์ทัศน์ที่เพิ่งก้าวขึ้นรถเหลียวกลับมาบอกข่าว
“นอฟมันตื่นสายครับ ป๊ากำลังขับรถมาส่ง มันเพิ่งโทรบอกผมตะกี้นี้เอง”
“อ้อ” เพียงเท่านั้นจิตรกรหนุ่มก็ค่อยใจชื้นขึ้น แม้จะยังแอบติดใจเล็กๆ ว่าทำไมวันนี้ธีร์ทัศน์ถึงเรียกคนที่มาส่งนภธรณ์ว่า ‘ป๊า’ ก็ตาม
สิบห้านาทีต่อมารถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์เจ็ดสีดำสนิทราวกับห้วงรัตติกาลก็แล่นปราดเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตู สร้างเสียงฮือฮาให้เด็กๆ ที่อยู่บนรถ กรูกันมาเกาะหน้าต่างดูด้วยไม่เคยเห็นยนตกรรมที่สวยหรูขนาดนี้มาก่อน
ศุกลมองเพื่อนทั้งสองซึ่งส่ายหน้าพร้อมกันเป็นเชิงไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน และในขณะที่กำลังถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นของผู้ปกครองเด็กคนไหน ประตูรถก็เปิดออกพร้อมกับที่ลูกชายเจ้าของรถก้าวลงมา
เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายดอกชบาสีแดงสดใสกับกางเกงขาสามส่วน บนสันจมูกโด่งวางแว่นกันแดดแบรนด์ดังไว้อย่างเหมาะเจาะ
“เท่มากเลยหัวหน้า”
เสียงธีร์ธรตะโกนลงมาจากรถพร้อมกับเป่าปากเชียร์ นภธรณ์จึงยกมือโบกให้ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าเป้บนเบาะยกขึ้นพาดบ่าแล้วหยุดค้างไปหนึ่งจังหวะ ทำราวกับตนเป็นนายแบบในชุดฤดูร้อนและถนนปูนหน้าแกลเลอรีนั้นเป็นแคทวอร์คก็ไม่ปาน
“ปัญญาอ่อน” ธีร์ทัศน์ที่นั่งมองมาจากบนรถพึมพำพลางเหล่ตามองดูน้องชายของตนที่ทำตาเป็นประกายวิบวับเมื่อเห็นไอดอลของตน
“ขอโทษครับที่มาช้า” นภธรณ์บอกพลางยกมือสวัสดีคนอายุมากกว่าทั้งสาม
“ล… แล้ว…” ศุกลถามยังไม่ทันจบประโยคประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออกพร้อมกับที่ใครคนหนึ่งก้าวลงมา หากนั่นก็ยังไม่ใช่คนที่สายตามองหา แต่กลับเป็นชายหนุ่มตัวสูงไหล่กว้างผึ่งผายรับกับเอวสอบ ถึงจะสวมเสื้อเชิ้ตเนื้อดีทับด้วยเสื้อสูทตัวหนาหากก็พอจะเห็นความหนั่นแน่นของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ตรงช่วงแขนและอก เขาเดินไปเปิดประตูรถตอนหลังและยื่นมือเข้าไปดึงแขนใครอีกคนลงมา
“ถึงแล้วโม ตื่นเถอะ”
“พ่ออยู่นั่นไง” นภธรณ์บุ้ยใบ้กับศุกลที่ยืนมองอยู่
“ขอบใจนะที่มาส่ง” คนที่เพิ่งลืมตาตื่นบอก มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้ตาให้สว่างพลางก้าวลงมายืนข้างรถ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำทะเลไล่ระดับจากสีอ่อนตรงช่วงปกไปจนเข้มที่ชายเสื้อเหมือนภาพที่ศุกลวาดไว้ไม่มีผิด กางเกงขายาวเรียบร้อยที่เคยเห็นสวมใส่อยู่เสมอถูกเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลเหมือนผืนทรายกับรองเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมง ดูท่ากุมารแพทย์หนุ่มจะใส่ใจกับการไปออกค่ายวันนี้เป็นพิเศษ จนทำให้หัวใจของคนที่มองอยู่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ดูจะใส่ใจมากเกินไป… มากจนศุกลเริ่มไม่สบอารมณ์นั่นก็คือผู้ชายมาดเท่คนนั้นที่โอบเอวโอบไหล่เอกรงค์ด้วยความห่วงใยราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“กลับวันอาทิตย์เย็นใช่ไหม เดี๋ยวมารับนะ” บอกพลางใช้มือเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าจนเข้าที่ก่อนจะช่วยหยิบกระเป๋าส่งให้สะพายขึ้นหลัง
“ขอบคุณนะโป้” เอกรงค์กล่าว พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ยืนรออยู่ความง่วงงุนจากการอดนอนเพราะเข้าเวรติดกันมาหลายวันก็ปลิวหายไปกับสายลม รอยยิ้มกว้างกระจายเต็มหน้าจนคนที่ยืนอยู่ข้างกันสังเกตเห็นและอดที่จะมองตามไม่ได้ ทันทีที่เห็นสายตาซึ่งจ้องเขม็งมาด้วยความไม่พอใจ ปรเมษฐ์ก็เข้าใจทุกสิ่งอย่าง เขาเอื้อมมือไปคว้าไหล่คนตัวเล็กกว่าที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถให้หันกลับมาและหอมเข้าที่แก้มฟอดใหญ่ “เดินทางดีๆ แล้วอย่าลืมของฝากล่ะ ‘คุณพ่อน้องนอฟ’” ท้ายประโยคที่จงใจเน้นเป็นพิเศษทำให้คนที่แอบฟังอยู่เม้มริมฝีปากแน่น
“เออ” เอกรงค์รับคำพร้อมกับขืนตัวออกห่าง มุ่นคิ้วด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่าวันนี้เพื่อนรักจะมามุกไหน
ในขณะที่ปรเมษฐ์หยักยิ้มมุมปากอย่างพึงใจที่ทำให้ใครบางคนควันออกหูได้ เขายังคงทำเป็นลอยหน้าลอยตาแกล้งจัดผมจับปกเสื้อให้เอกรงค์เพื่อกวนน้ำให้ขุ่นยิ่งขึ้นไปอีก “ฉันฝากดูแลนอฟด้วยนะโม”
“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วน่า” เอกรงค์โบกมือลาเพื่อนรักและยืนรอจนกระทั่งรถหรูแล่นออกไปจึงเดินมาขึ้นรถ กำลังจะเอ่ยปากทักคนที่ไม่ได้เห็นหน้าเสียหลายวัน หากแต่ศุกลกลับหันหลังหนี ก้มๆ เงยๆ เช็กของที่ต้องเอาไปด้วยอีกครั้งให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรตกหล่น
คุณหมอยังรีรออยู่อีกหลายนาที แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จง่ายๆ เขาจึงจำใจเดินขึ้นรถไปก่อน
“นั่นเหรอป๊านาย” ธีร์ทัศน์ถามเพื่อนที่เพิ่งเดินมาขึ้นรถ “เท่เป็นบ้าเลย ไหนเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นหมอไง โกหกหรือเปล่า ฉันนึกว่าบอสใหญ่ของบริษัทไหนเสียอีก”
“บอสเบิ๊ดอะไรล่ะ ป๊าฉันเป็นหมอสูติฯ ธรรมดาๆ ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับพ่อโมนั่นแหละ” นภธรณ์ถอดแว่นกันแดดออกเสียบตรงปกเสื้อพลางมองหาที่นั่งซึ่งยังพอมีเหลืออีกหลายที่ตรงด้านหลัง เพราะพีระซึ่งเป็นธุระจัดการเรื่องการเดินทางเลือกรถมินิบัสขนาด 20 ที่นั่งทั้งที่มีเด็กๆ ไปกัน 13 คนกับผู้ใหญ่อีก 4 คนเพื่อให้นั่งกันสบายๆ และเผื่อซื้อของฝากขากลับ
“แล้วก็เป็นคนที่ผ่าตัดทำคลอดให้เจ้าตัวแสบนี่ด้วย” เอกรงค์ที่เดินผ่านมาพอดีบอกทั้งรอยยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นโยกศีรษะของธีร์ธรอย่างเอ็นดู
“จริงเหรอครับ” เด็กชายตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ยิ่งเป็นปลื้มลูกพี่มากขึ้นอีก นั่นเพราะเป็นนภธรณ์เป็นลูกชายของนายแพทย์ที่ทำคลอดตนเอง รู้แบบนี้แล้วยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเท่เป็นบ้า
“เขาชื่อหมอปรเมษฐ์ ชื่อเล่นปีโป้น่ะ” คนรู้ดีที่สุดให้ข้อมูลเพิ่ม “ถ้าไม่เชื่อธรก็ลองโทรถามคุณแม่ดูก็ได้”
ศุกลขึ้นรถมาเป็นคนสุดท้าย เขาส่งสัญญาณบอกคนขับให้ปิดประตูก่อนจะมาหยุดยืนตรงกลางทางเดินค่อนมาทางด้านหน้ารถพร้อมกับตบมือสามครั้งเรียกความสนใจจากเด็กๆ ซึ่งกำลังคุยกันเสียงดังลั่น “เอาล่ะทุกคนรถจะออกแล้วพร้อมกันหรือยังครับ”
“พร้อมแล้วครับ/ค่ะ” เด็กๆ หันมาตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งประจำที่ให้เรียบร้อยนะครับ เรากำลังจะมุ่งหน้าไปสวนสนประดิพัทธ์กัน”
“เย้!”
ศุกลหันไปบอกให้คนขับเคลื่อนรถได้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมนั่งลง คอยเดินตรวจดูไปตามที่นั่งต่างๆ ว่าเด็กๆ นั่งกันเรียบร้อยดีและไม่มีใครลืมอะไร จนกระทั่งถึงตำแหน่งค่อนไปทางท้ายรถที่เอกรงค์ยังยืนคุยอยู่กับสามแสบ
“ขอโทษที่ให้รอนะติ๊นพอดีเจ้านอฟมันตื่นสาย” ด้วยความดีใจที่ได้เจอหลังจากไม่เห็นหน้ากันหลายวันเขาจึงเผลอหลุดปากเรียกชื่ออย่างสนิทสนม
“ผมรู้แล้ว เจ้านอฟบอกผมแล้ว” น้ำเสียงของศุกลยังฟังดูนุ่มทุ้มเหมือนอย่างเคยหากแต่ห้วนไปอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นเอกรงค์ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังยุ่งและเครียดกับการดูแลเด็กๆ ที่พ่อแม่ฝากฝังมามากกว่า ซึ่งเขาก็เข้าใจในจุดนั้นดีเพราะตนเองก็เป็นกุมารแพทย์
“อ้อ… แล้วติ๊น”
“เราตกลงกันแล้วนะครับว่าจะเรียกชื่อเฉพาะตอนที่อยู่ด้วยกันสองคน” ศุกลกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนก่อนจะเพิ่มเสียงขึ้น “รถกำลังจะออก รีบหาที่นั่งได้แล้วครับหมอโม” เน้นเสียงในตอนท้ายราวกับเป็นคนไม่รู้จักกันและเดินกลับไปนั่งที่เบาะตอนหน้าซึ่งเว้นว่างไว้
ถึงจะตั้งใจพูดให้ได้ยินกันแค่สองคนแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของนภธรณ์ซึ่งกำลังชะเง้อหาที่สำหรับวางกระเป๋าได้ เด็กหนุ่มถอนใจแรง นึกอยากจะตบกบาลพี่ติ๊นสักทีโทษฐานเรื่องเยอะ นี่ถ้าเป็นธีร์ทัศน์พูดแบบนี้คงได้กะโหลกเบี้ยวเพราะมือของเขาไปแล้ว กับแค่เรื่องเรียกชื่อไม่รู้ว่าจะอะไรนักหนา
เอกรงค์มองตามหลังงงๆ กำลังจะเดินตามไปง้อ นภธรณ์ก็หันมาดึงแขนเสื้อไว้เสียก่อน
“รถออกแล้ว เอาไว้แวะจุดพักรถแล้วค่อยไปเคลียร์นะกันครับ”
กุมารแพทย์หนุ่มหันไปมองคนที่ตอนนี้เห็นเพียงศีรษะโผล่พ้นขอบเบาะขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้งก่อนจะเดินตามเด็กหนุ่มไปนั่งลงตรงเบาะหลัง
“เขางอนอะไรของเขา” เอกรงค์กอดอกครุ่นคิด ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด
“คงจะเป็นเรื่องที่พ่อโมหายไปตั้งสองอาทิตย์โดยไม่บอกกันมั้งครับ” เด็กหนุ่มว่า อันที่จริงเขารู้มาตลอดว่าเอกรงค์หายไปไหน ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวห้ามไว้จึงไม่พูด “ผมบอกพ่อโมแล้วว่าให้บอกพี่ติ๊นไปตรงๆ”
คนอายุมากกว่าพยักหน้า นั่นฟังดูเข้าเค้ามากทีเดียว “ไม่เอาหรอกเรื่องอะไรจะบอกเรื่องน่าอายแบบนั้น”
นภธรณ์ถอนหายใจเป็นหนที่สอง “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจครับ ไปง้อกันเองก็แล้วกัน” พูดจบก็เสียบหูฟังเข้ากับหู เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
เอกรงค์นั่งเอนหลังพิงพนักฟังเสียงหวานที่เครือเพลงผ่านริมฝีปากเด็กหนุ่ม ในใจคิดถึงวิธีการร้อยแปดอย่างที่จะง้อใครบางคนแล้วเขาก็เผลอหลับไปในอีกอึดใจต่อมา
กุมารแพทย์หนุ่มมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นภธรณ์สะกิดปลุกเพื่อขอทางผ่านไปเข้าห้องน้ำ เขาขยี้ตาสู้แสงตะวันที่เริ่มขึ้นสูงพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้รถมินิบัสแวะจอดที่จุดพักรถบนถนนเพชรเกษมเพื่อให้ทุกคนได้ยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำและเติมเสบียงที่ร่อยหรอให้เต็มก่อนจะยิงยาวไปถึงปลายทาง
เอกรงค์เดินลงจากรถเป็นคนสุดท้าย กวาดตามองซ้ายทีขวาทีเห็นพีระนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าร้านสะดวกซื้อจึงเดินเข้าไปหาในขณะที่อีกฝ่ายให้คำตอบพร้อมกับชี้มือโดยที่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ
“ห้องน้ำอยู่ทางโน้นครับคุณหมอ”
“ผมไม่ได้มองหาห้องน้ำครับ” เอกรงค์รีบบอก “ผมหาติ๊นอยู่น่ะ คุณเห็นเขาไหมครับ”
พีระพยักหน้าและยังคงชี้มือไปทางเดิม “หมอนั่นไปห้องน้ำครับ”
คุณหมอกล่าวขอบคุณจากนั้นจึงเดินไปตามที่บอก ระหว่างทางผ่านร้านกาแฟสดจึงแวะซื้อเอสเปรสโซเย็นมาสองแก้วเพราะเขาสังเกตว่าศุกลไม่ชอบหวาน ส่วนตัวเขาพอใจในรสชาติของคาปูชิโนที่สุดแต่ดูท่าวันนี้ปริมาณคาเฟอีนในนั้นจะไม่เพียงพอที่จะปลุกประสาทให้ตื่นจึงเปลี่ยนมากินกาแฟดำแทน พร้อมกันนั้นยังซื้อแซนด์วิซ คุกกี้และขนมปังมาอีกถุงใหญ่เพื่อเตรียมไปง้อขอคืนดี
เอกรงค์ยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าห้องน้ำระหว่างนั้นก็เช็กเสื้อผ้าหน้าผมกับกระจกรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของใครสักคนที่จอดอยู่จนมั่นใจว่าตัวเองดูดีและไม่ลืมที่จะทดสอบกลิ่นปาก แต่แล้วเขาเบะปากเล็กน้อยกับกลิ่นน้ำลายบูดของตนเองจึงรีบหยิบสเปรย์กลิ่นมินต์ที่พกติดตัวเสมอเวลาเดินทางขึ้นมาพ่นไปสองฟืดใหญ่ เมื่อได้กลิ่นที่พึงใจแล้วก็ยืนพิงเสาตั้งท่ารอ เมื่อเห็นคนตัวสูงเดินออกมาจึงรีบพุ่งเข้าไปหา
“กาแฟไหมติ๊น” ยกถุงใส่แก้วกาแฟให้ดูพร้อมกับยิ้มกว้าง
ตาคมเหลือบลงมองแก้วในมือครั้งหนึ่งก่อนจะตวัดขึ้นสบตาคนถือ “ผมยังไม่หิว คุณต่างหากที่ต้องกิน ท่าทางจะง่วงมากเห็นหลับมาตลอดทางเลยนี่ เมื่อคืนไปอดนอนทำอะไรมาล่ะครับ”
คำพูดคำจาที่ยังฟังดูห่างเหินทำให้เอกรงค์เริ่มสะกิดใจ “ติ๊นโกรธอะไรผม บอกมาสิทำปั้นปึ่งเงียบไปแบบนี้ผมง้อไม่ถูกนะ”
ศุกลหันมาเผชิญหน้า โตๆ กันแล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำตัวเหมือนเด็กๆ “เมื่อคืนผมโทรหาคุณก็ไม่รับ วันนี้จะมาช้าก็ไม่โทรบอกแถมยังให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาส่งแล้วยังมาหอมแก้มทำสวีทต่อหน้าผมอีก”
เอกรงค์อึ้งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ตอนนั้นเขายังงัวเงียอยู่แถมปรเมษฐ์ก็เคยหยอกเล่นแบบนี้หลายครั้งจึงไม่ได้สนใจ ตอนนี้รู้แล้วว่าหมอนั่นทำแบบนี้เพราะเจตนาจะแกล้งยั่วอีกคนนี่เอง คอยดูเถอะไอ้เพื่อนตัวดีกลับไปจะจัดการให้หนักเลย “โป้เป็นแค่เพื่อน ที่ทำแบบนั้นแค่แกล้งเล่น”
“แน่ใจเหรอว่าแค่แกล้ง ผมไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย”
“จริงๆ นะติ๊น ถ้าไม่เชื่อผมไปถามเจ้านอฟดูก็ได้” เอกรงค์เสียงดังขึ้นเล็กน้อย “แต่ผมว่ามันไม่จำเป็นเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะผมคือคนที่คุณควรจะเชื่อใจมากที่สุดไง”
“แล้วเรื่องหอมแก้มล่ะ”
“มันคงอยากแกล้งติ๊นนั่นแหละเพราะผมเล่าเรื่องติ๊นให้มันฟังอยู่บ่อยๆ”
“ทุกอย่างเลยเหรอ” ศุกลยกมือขึ้นกอดอก “แม้แต่เรื่องที่เราเจอกัน เรื่องที่ผมเรียกคุณว่าพ่อน้องนอฟ รวมทั้งเรื่อง… จูบ… คุณก็เล่าให้ฟังหมดเลยเหรอ”
เอกรงค์พยักหน้ายอมรับ “ฟังนะติ๊น โป้มันไม่มีทางชอบผม เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะโป้มันรักแม่เจ้านอฟมากไง”
“ก็เห็นว่าเขาทิ้งไปตั้งแต่เกิดไม่ใช่เหรอ” ศุกลยังคงหาเหตุผลมาอ้างทั้งที่แท้จริงในใจให้อภัยจนหมดแล้ว ไม่สิ! จะว่าไปเขายอมตั้งแต่เห็นมาชะเง้อคอยืนรอหน้าประตูห้องน้ำแล้ว อุตส่าห์แกล้งถ่วงเวลาล้างมือจนเปื่อยเพื่อปั้นหน้าถมึงทึงออกมาหาแต่พอเห็นหน้าจ๋อยๆ กับเสียงอ่อยๆ แล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้
“เอาอย่างนี้” เอกรงค์พูดอย่างจนใจจะอธิบาย “ติ๊นจะให้ผมง้อยังไงบอกมาเลยดีกว่า รถกำลังจะออกและกาแฟก็เริ่มละลายแล้ว หรือเราจะไปทะเลทั้งๆ ที่ยังทะเลาะกันแบบนี้”
ศุกลเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มกับแผนการที่เพิ่งคิดได้ในหัวก่อนจะพูดเสียงเรียบทว่าจริงจัง “จูบผมสิ”
“ว่าไงนะ” คนง้อตาโตขึ้นทันที
“จูบผมตรงนี้ ตอนนี้ แล้วผมจะยกโทษให้โม” คนแกล้งงอนเน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์
เอกรงค์เหลียวมองรอบกายเห็นผู้คนเดินกันขวักไขว่ก่อนจะหันกลับมาจ้องตาคนตรงหน้า “จะเอาแบบนี้ใช่ไหม? ได้!”
เพียงก้าวขาแค่ครั้งเดียวกุมารแพทย์หนุ่มก็เข้าประชิดตัวคนตัวสูง มือข้างที่ว่างยกขึ้นคว้าหลังคอพร้อมกับเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ได้องศาที่เหมาะสม ริมฝีปากของทั้งสองเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้วหากศุกลไม่เป็นฝ่ายถอยหนีไปเสียเอง
“ด… เดี๋ยวก่อน”
“อะไร!” ถึงคราวกุมารแพทย์หนุ่มเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง ศุกลจะรู้บ้างไหมว่าเขาต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนที่จะไม่มาเจอกันตั้งสองสัปดาห์ แล้วทำมาเป็นพูดดีว่าจะให้เวลาเขาเตรียมตัว คอยดูนะถ้าทำให้ถุงยางที่ซื้อมาเป็นหมัน จนลูกเจ้านอฟบวชเขาก็จะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด
ศุกลหันมองรอบตัวอย่างเลิ่กลั่กก่อนจะคว้าหมับเข้าที่มือของคนตรงหน้าดึงไปหลบตรงซอกข้างหลังห้องน้ำซึ่งดูจะปลอดคน
“ตกลงคุณจะเอายังไงกันแน่” เอกรงค์มุ่นคิ้ว ไม่ทันสังเกตว่าแก้มขาวของคนที่ทำเป็นนิ่งมาโดยตลอดเริ่มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
จิตรกรหนุ่มใช้หัวแม่โป้งไล้วนไปรอบๆ หลังมือนุ่มที่ยังคงจับไว้ด้วยทำอะไรไม่ถูกก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม “ผมไม่คิดว่าโมจะเอาจริงนี่นา”
“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าติ๊นจะล้อผมเล่นแบบนี้” เอกรงค์ว่า “ทำเจ้าแง่แสนงอนเป็นเด็กไปได้ แล้วก็บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็ก หืมมม?”
ปลายเสียงที่ลากจนหวานทำให้คนฟังหลุดยิ้มออกมาในที่สุด “เชื่อแล้วครับว่าปราบเด็กเก่ง”
“หึงก็บอกมาตรงๆ สิว่าหึง ผมจะได้รีบอธิบายให้เข้าใจตั้งแต่ตอนนั้น” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วหัวแม่มือเชยปลายคางคนตรงหน้าให้เงยขึ้นสบตาแล้วจับปลายจมูกที่ทำเชิดใส่เขาอยู่นานสองนานบิดไปมาด้วยความมันเขี้ยว “แต่จะว่าไปติ๊นหึงแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”
“ตรงไหน” เพราะเริ่มเจ็บจมูกที่ถูกบิด ศุกลจึงสะบัดศีรษะหนีแล้วชนหน้าผากเข้าด้วยกันเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับอะไรบนหน้าของเขาได้อีก
“ก็ตรงที่จะได้รู้ไงว่าผมสำคัญกับติ๊น” บอกพลางเหลือบสายตาลงมองริมฝีปากที่อยู่ห่างไปแค่คืบ ลมหายใจอุ่นของอีกฝ่ายรดลงที่ปลายจมูกมันช่างเย้ายวนให้ใจปั่นป่วนจนอยากจะแตะจูบลงไปเสียให้ได้
“แต่ผมว่าไม่เห็นดีเลย” ศุกลพูดเสียงเรียบ “รู้ไหมว่าผมคิดไปต่างๆ นานา”
“ไม่ทำอีกแล้ว” เอกรงค์อดใจไม่ไหวแล้วตอนนี้ เขาประทับริมฝีปากลงบนกลับปากหยักลึกที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้าซึ่งศุกลก็ตอบรับทันทีด้วยการรวบตัวของคนที่ดูเหมือจะตัวบางกว่าเข้ามาปะทะกับอกกว้าง ทั้งบดเบียดและขบเม้มริมฝีปากบางให้สมกับที่คิดถึงมาตลอดสองสัปดาห์
“ผมกลัว” จิตรกรหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วในตอนที่ริมฝีปากผละออกจากกันเพื่อพักหายใจ
“อะไร”
“โมหายไปสองสัปดาห์ โทรศัพท์หาก็ไม่ค่อยว่างรับ ถามกับเจ้านอฟก็บอกไม่รู้ จะไปหาที่โรงพยาบาลก็กลัวไปรบกวน อยากไปหาที่บ้านก็ไม่รู้ว่าบ้านโมอยู่ไหน แล้วผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโมเลย ยิ่งเห็นผู้ชายคนนั้นสนิทกับโม แถมยังดูรู้จักโมในแบบที่ผมไม่รู้จัก ผมก็เลย…”
“ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับติ๊นเหมือนกัน” เอกรงค์บอก “เพราะแบบนี้เราถึงต้องเรียนรู้กันและกันไง ผมรู้จักโป้ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งจนวันนี้ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว แต่กับติ๊นเพิ่งได้คุยกันแค่สองเดือน ติ๊นต้องเข้าใจนะว่าเวลาเหล่านั้นมันทดแทนไม่ได้ แต่ผมสัญญาว่าจะชดเชยให้และติ๊นก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย ถ้ามัวมางอนเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้นี่เราจะยิ่งเสียเวลาที่จะทำความรู้จักกันไปตั้งสอง ไม่สิ! สามชั่วโมงแล้วนะรู้ไหม”
ศุกลพยักหน้า “ขอโทษครับที่ผมทำตัวเป็นเด็กๆ”
“จะว่าแก่ก็พูดมาตรงๆ เถอะ” เอกรงค์หัวเราะลงคอ
“ไม่ใช่สักหน่อย ผมเองที่ทำอะไรไม่เข้าท่า”
“ถือว่าผมได้เรียนรู้ว่าตอนติ๊นโกรธจะเป็นยังไงแล้วจะง้อยังไงไง”
ทั้งสองยิ้มให้กัน นัยน์ตาคมของศุกลกดลงมองริมฝีปากฉ่ำที่เพิ่งผละออกมา ในขณะที่เนื้อปากแดงนั้นก็เม้มเข้ากันหลายต่อครั้งราวกับจะยั่วเย้า ฝ่ามือหยาบกร้านที่ยังคล้องอยู่รอบเอวเลื่อนขึ้นแตะลงบนแนวสันหลังแม้จะแค่แผ่วเบาแต่กลับทำให้ร่างในอ้อมแขนสะดุ้งเข้าหา ดวงตาสองคู่ยังคงสบกันนิ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ถึงความต้องการลึกๆ ของกันและกัน ใบหน้าค่อยๆ ขยับเข้าหากันอีกครั้ง จนสัมผัสกับลมหายใจที่ต่างก็ร้อนผ่าว ริมฝีปากกำลังจะได้ครอบครองในสิ่งที่ใจถวิลหา แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของทั้งสองคนดังขึ้นพร้อมๆ กัน ส่งผลให้ต่างฝ่ายต่างถอนหายใจเฮือกก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงไอ้ดล”
“แกขี้เสร็จหรือยังวะ เราจะได้ไปกันสักที”
“ว่าไงเจ้านอฟ”
“ง้อกันเสร็จหรือยัง รถจะออกแล้วนะครับ”
ทั้งสองสบตากันอีกหนก่อนจะตอบคนในสายของตนออกไปพร้อมกัน “กำลังจะไป”
พวกเขาเดินกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง เอกรงค์กำลังจะนั่งลงตรงตำแหน่งเดิมแต่ปรากฏว่านภธรณ์เอากระเป๋าเป้มาวางขวางไว้
“ถ้าพ่อโมมีเรื่องจะคุยกับพี่ติ๊นก็ไปนั่งหลังเลยครับ ผมง่วง ผมจะนอนแล้ว” แกล้งพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน
ศุกลเหลือบตามองเอกรงค์ครั้งหนึ่งแล้วรับมุกที่ถูกส่งมาให้ “ถ้าอย่างนั้นเราไปนั่งกันตรงโน้นก็ได้ครับ หมอโมจะได้อธิบายเรื่องการวิธีจัดการเด็กดื้อให้ผมฟังต่อ” ว่าแล้วก็ออกเดินนำไปนั่งที่เบาะยาวแถวหลังสุด
กุมารแพทย์หนุ่มหันมาตบไหล่ลูกชายกำมะลอครั้งหนึ่งก่อนจะออกเดินตามไป “นั่นสิครับเรื่องมันยาวเสียด้วย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าถึงทะเลแล้วจะอธิบายจบหรือเปล่า”
ศุกลรอให้อีกฝ่ายนั่งลงเรียบร้อยจึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูโดยทำทีเป็นหยิบแก้วกาแฟในถุง “ไม่จบก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมมีเวลาฟังทั้งชีวิต”
คนฟังทำไม่ใส่ใจ ตามองถุงใส่แก้วกาแฟพร้อมกับกล่าว “ติ๊นลดกาแฟลงหน่อยก็ดีนะ ถึงจะไม่ใส่น้ำตาลแต่กินวันละหลายแก้วก็ไม่ดีนะ…” พูดเตือนยังไม่ทันจบประโยคก็ขาดๆ หายๆ เมื่อปลายจมูกโด่งฝากรอยไว้ที่ข้างแก้ม
“หอมจัง” จิตรกรหนุ่มว่าพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “หมายถึงกาแฟน่ะครับ ก็ทั้งหอมและอร่อยขนาดนี้จะเลิกง่ายๆ ได้ยังไง”
ทั้งสองใช้ช่วงเวลาที่เหลือของการเดินทางบอกเล่าเรื่องราวของกันและกัน ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าไปจนเรื่องไร้สาระ และนั่นทำให้ศุกลรู้ว่าจริงๆ แล้วครอบครัวของเอกรงค์เป็นครอบครัวของคนที่ทำงานเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมโดยแท้ไม่ใช่ครอบครัวหมอหรือนักวิชาการอย่างที่เขาคิดไว้
“พ่อผมทำงานให้กรมศิลปากรน่ะ มีหน้าที่ดูแลและซ่อมแซมโบราณสถานต่างๆ รวมไปถึงภาพจิตรกรรมตามฝาผนังอะไรพวกนี้”
“มิน่าล่ะโมถึงชื่อเอกรงค์” แล้วศุกลก็ทำหน้านึกขึ้นได้ “ถ้าอย่างนั้นชื่อโมก็คงไม่ได้มาจากแตงโมหรือโมเลกุลน่ะสิ แต่เป็นโมโนโครม”
“ปิ๊งป่อง!” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับแล้วจึงเล่าต่อ “ผมมีน้องอีกสามคน ทุกคนทำงานด้านนี้หมด คนหนึ่งก็เป็นนักโบราณคดี อีกคนเป็นช่างปั้น ส่วนน้องคนสุดท้องเป็นภัณฑารักษ์อยู่พิพิธภัณฑ์ในตัวจังหวัด แม่ก็เป็นครูนาฏศิลป์ มีแต่ลูกชายคนโตนี่แหละที่ผ่าเหล่าผ่ากอ ไม่ใช่ว่าพ่อไม่พยายามสอนผมนะ แต่เข็นไม่ขึ้นจริงๆ ผมมันเหมือนผมคนพิการ ไม่มีสมองซีกขวามาแต่กำเนิด”
ฟังแล้วจิตรกรหนุ่มก็หัวเราะ ภาพเมื่อตอนสอนให้ระบายสีทะเลเมื่อสองอาทิตย์ก่อนลอยขึ้นมาสนับสนุนสิ่งที่อีกฝ่ายได้พูดจบลงไป
“ผมก็เลยมาเป็นหมอ” เอกรงค์สรุปง่ายๆ “เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละ แล้วติ๊นล่ะทำไมถึงมาเป็นจิตรกรวาดรูปได้”
“เรื่องของผมง่ายกว่าโมอีก” ศุกลกล่าว “พ่อผมเป็นจิตรกร เห็นพ่อวาดรูปทุกวันมันรู้สึกผูกพันน่ะ ก็เลยขอให้พ่อสอน ตั้งแต่นั้นก็คิดมาโดยตลอดว่าจะต้องเรียนศิลปะและเป็นศิลปินให้ได้”
“เรียกว่าคาบแปรงกับจานสีมาเกิดเลยสินะ”
ศุกลเลิกคิ้วเล็กน้อยกับชื่ออุปกรณ์ที่อีกฝ่ายเรียกขาน กระนั้นก็มิได้ทักท้วงอะไรเพียงแต่อมยิ้มมุมปากและเล่าต่อ “ผมอยากเป็นเหมือนพ่อ อยากถ่ายทอดเรื่องราวลงไปในภาพทุกภาพและแสดงให้ทุกคนได้เห็น”
“ติ๊นก็ทำได้แล้วไง” เอกรงค์บอก “ภาพของติ๊นมีเรื่องราวอยู่เต็มไปหมดจนผมสัมผัสได้เลยล่ะ”
คำชมกับรอยยิ้มจริงใจที่กดจนแก้มบุ๋มถูกส่งมาทำให้เขินจนพูดไม่ออก ศุกลจึงได้แต่พยักหน้าขอบคุณเงียบๆ
(มีต่อค่ะ)