Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561  (อ่าน 72302 ครั้ง)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยยยยยย ลุ้นไปอี๊กกกกก
รอวันไปทะเล คึคึ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
อ้าววววว หมอโมสายอ้อย กลายเป็นสายอ่อยไปแล้ว โดนรุกกลับ 5555
ไปยั่วเขาดีนัก พอเขาเล่นด้วย เขินซะงั้น  :hao7:

ครูติ๊นแอบเจ้าเล่ห์ ทำเขินทำเอียงทำอาย ที่ไหนได้ ร้ายนะคะ  :hao3:

ไปทะเลที่ไหนคะครูติ๊น  เสม็ดหรือเปล่าาาาา  :hao6:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
หวานมาก  ประชิดรักกันไวมากค่ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
อ้อยพอกันแบบนี้ คงคืบหน้าในเร็ววัน สมกับที่แก๊งเด็กๆอุตส่าห์วางแผนเชียร์

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2

ออฟไลน์ Tukkk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เรื่องน่ารักมากจริงๆ อ่านห้าตอนรวดอิ่มใจเลยครับ
เพิ่งรู้ว่าชื่อคนแกะสลักเดวิดออกเสียงว่ามิเกลันเจโล อ่านผิดมาทั้งชีวิต 555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ชอบมากเลยค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อ้าว ๆ โผพลิกอีกละ พี่ติ๊นมันร้าย ไม่ได้ใสซื่อเลยเหอะ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ่านแล้วยิ้มแก้มแตกค่ะะ
แอบเชียร์คู่ตัวแสบด้วยค่ะ :katai3:

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ใครว่าพี่ติ๊นเป็นฤาษี

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
น่าสนใจน่าติดตามตามมาจาก Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ  :pig2: :pig2:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ตอนยังทำตัวไม่ถูกพี่ติ๊นก็ดูพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง แต่พอเจอทางเท่านั้นล่ะ พี่ติ๊นรุกไว๊ไวเนอะ

หมอโมก็ชัดเจนเสมอเลย...ชอบบบบบบบ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 6 I , sea , U


เมื่อถึงคราวที่รอคอยอะไรสักอย่างเวลาก็เหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าแกนโลกมันหยุดหมุนไปเสียแล้ว...


นับจากวันแลกจูบแรกให้แก่กันและกันก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว และเป็นสองสัปดาห์ที่ศุกลทรมานยิ่งกว่าการรอคอยครั้งไหนๆ เพราะเขาแทบติดต่อกับเอกรงค์ไม่ได้เลย ดูเหมือนจู่ๆ อีกฝ่ายก็ยุ่งขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่มีแม้โทรศัพท์หรือข้อความมาหา โทรไปกว่าจะรับก็รอจนสายเกือบตัดแถมยังรีบรับรีบวาง ทั้งยังไม่มารับส่งนภธรณ์เหมือนอย่างเคย ครั้นไปถามเอากับเด็กหนุ่มก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ท่าเดียวและไม่มีคำอธิบายใดๆ อีก จนเขาเริ่มหวั่นใจว่าคืนนั้นทำอะไรให้ไม่ถูกใจหรือเปล่า แต่หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายครั้งก็พบว่าไม่น่าใช่เพราะตอนนั้นเอกรงค์เป็นฝ่ายเริ่มก่อนและหลังจากจูบกันก็แสดงท่าทีพอใจอยู่ไม่น้อย


“หรือว่ามีคนใหม่”


ทันทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัว จิตรกรหนุ่มก็อยากจะเอาหัวโขกเฟรมผ้าใบให้รู้แล้วรู้รอดที่กล้าคิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้ ไม่มีทางที่เอกรงค์จะนอกใจเขา เว้นเสียแต่ว่า… เขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้น…


ร่างสูงลุกพรวดขึ้นทันทีพร้อมกับคว้ากุญแจรถตั้งใจจะไปหาที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่เดินไปถึงแค่หน้าประตูก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่รู้ว่าบ้านเอกรงค์อยู่ที่ไหน ที่ทำงานก็เคยไปหาแค่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่เจอกันจะเป็นอีกฝ่ายที่มาหาอย่างสม่ำเสมอ ศุกลยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่คนปลายสายปล่อยให้รอจนสัญญาณตัดไป


ศุกลมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆ ดับลง ก่อนจะเบนสายตาไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะที่เขาวงกลมทับวันที่จะพาเด็กๆ ไปออกค่ายไว้ จนแล้วจนรอดเอกรงค์ก็ไม่ยอมตบปากรับคำว่าจะไปด้วย กระทั่งปลายสัปดาห์ที่แล้วที่เขาตื๊อถาม ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตอบตกลง เพียงแค่ผ่านค่ำคืนนี้ไปก็จะถึงวันนัด ฟันกัดริมฝีปากจนช้ำ ในใจคิดจะให้โอกาสอีกวัน… แค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าหากพรุ่งนี้เอกรงค์ไม่มา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไปตามให้ได้


เช้าวันรุ่งขึ้นอาจารย์ทั้งสามคนของ Light&shade ก็มายืนเช็กชื่อนักเรียน เตรียมข้าวของขึ้นรถบัสปรับอากาศลายตัวการ์ตูนมินเนี่ยนหน้าตาตลก แต่คนที่ยืนอยู่ข้างรถนั้นดูจะไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย


“เป็นอะไรวะติ๊น” ภาดลถามพลางใช้ข้อศอกสะกิด “ท้องผูกขี้ไม่ออกหรือไงวะ ยิ้มหน่อยสิเด็กๆ กลัวหมดแล้ว”


“นั่นสิ แป๊บๆ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เดี๋ยวก็ดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ” พีระให้ข้อสนับสนุน “มีอะไรหรือเปล่าวะ”


“ก็… ก็นี่ใกล้เวลารถออกแล้วเจ้านอฟยังไม่มาเลย ฉันก็เลยเป็นห่วง” ศุกลตอบและนั่นเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง


“หรือว่าจะไม่มาแล้ว” ข้อสันนิษฐานของภาดลทำเอาหัวใจของคนรอร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม จนกระทั่งธีร์ทัศน์ที่เพิ่งก้าวขึ้นรถเหลียวกลับมาบอกข่าว


“นอฟมันตื่นสายครับ ป๊ากำลังขับรถมาส่ง มันเพิ่งโทรบอกผมตะกี้นี้เอง”


“อ้อ” เพียงเท่านั้นจิตรกรหนุ่มก็ค่อยใจชื้นขึ้น แม้จะยังแอบติดใจเล็กๆ ว่าทำไมวันนี้ธีร์ทัศน์ถึงเรียกคนที่มาส่งนภธรณ์ว่า ‘ป๊า’ ก็ตาม


สิบห้านาทีต่อมารถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์เจ็ดสีดำสนิทราวกับห้วงรัตติกาลก็แล่นปราดเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตู สร้างเสียงฮือฮาให้เด็กๆ ที่อยู่บนรถ กรูกันมาเกาะหน้าต่างดูด้วยไม่เคยเห็นยนตกรรมที่สวยหรูขนาดนี้มาก่อน


ศุกลมองเพื่อนทั้งสองซึ่งส่ายหน้าพร้อมกันเป็นเชิงไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน และในขณะที่กำลังถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นของผู้ปกครองเด็กคนไหน ประตูรถก็เปิดออกพร้อมกับที่ลูกชายเจ้าของรถก้าวลงมา


เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายดอกชบาสีแดงสดใสกับกางเกงขาสามส่วน บนสันจมูกโด่งวางแว่นกันแดดแบรนด์ดังไว้อย่างเหมาะเจาะ


“เท่มากเลยหัวหน้า”


เสียงธีร์ธรตะโกนลงมาจากรถพร้อมกับเป่าปากเชียร์ นภธรณ์จึงยกมือโบกให้ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าเป้บนเบาะยกขึ้นพาดบ่าแล้วหยุดค้างไปหนึ่งจังหวะ ทำราวกับตนเป็นนายแบบในชุดฤดูร้อนและถนนปูนหน้าแกลเลอรีนั้นเป็นแคทวอร์คก็ไม่ปาน


“ปัญญาอ่อน” ธีร์ทัศน์ที่นั่งมองมาจากบนรถพึมพำพลางเหล่ตามองดูน้องชายของตนที่ทำตาเป็นประกายวิบวับเมื่อเห็นไอดอลของตน


“ขอโทษครับที่มาช้า” นภธรณ์บอกพลางยกมือสวัสดีคนอายุมากกว่าทั้งสาม


“ล… แล้ว…” ศุกลถามยังไม่ทันจบประโยคประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออกพร้อมกับที่ใครคนหนึ่งก้าวลงมา หากนั่นก็ยังไม่ใช่คนที่สายตามองหา แต่กลับเป็นชายหนุ่มตัวสูงไหล่กว้างผึ่งผายรับกับเอวสอบ ถึงจะสวมเสื้อเชิ้ตเนื้อดีทับด้วยเสื้อสูทตัวหนาหากก็พอจะเห็นความหนั่นแน่นของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ตรงช่วงแขนและอก เขาเดินไปเปิดประตูรถตอนหลังและยื่นมือเข้าไปดึงแขนใครอีกคนลงมา


“ถึงแล้วโม ตื่นเถอะ”


“พ่ออยู่นั่นไง” นภธรณ์บุ้ยใบ้กับศุกลที่ยืนมองอยู่


“ขอบใจนะที่มาส่ง” คนที่เพิ่งลืมตาตื่นบอก มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้ตาให้สว่างพลางก้าวลงมายืนข้างรถ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำทะเลไล่ระดับจากสีอ่อนตรงช่วงปกไปจนเข้มที่ชายเสื้อเหมือนภาพที่ศุกลวาดไว้ไม่มีผิด กางเกงขายาวเรียบร้อยที่เคยเห็นสวมใส่อยู่เสมอถูกเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลเหมือนผืนทรายกับรองเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมง ดูท่ากุมารแพทย์หนุ่มจะใส่ใจกับการไปออกค่ายวันนี้เป็นพิเศษ จนทำให้หัวใจของคนที่มองอยู่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ดูจะใส่ใจมากเกินไป… มากจนศุกลเริ่มไม่สบอารมณ์นั่นก็คือผู้ชายมาดเท่คนนั้นที่โอบเอวโอบไหล่เอกรงค์ด้วยความห่วงใยราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ


“กลับวันอาทิตย์เย็นใช่ไหม เดี๋ยวมารับนะ” บอกพลางใช้มือเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าจนเข้าที่ก่อนจะช่วยหยิบกระเป๋าส่งให้สะพายขึ้นหลัง


“ขอบคุณนะโป้” เอกรงค์กล่าว พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ยืนรออยู่ความง่วงงุนจากการอดนอนเพราะเข้าเวรติดกันมาหลายวันก็ปลิวหายไปกับสายลม รอยยิ้มกว้างกระจายเต็มหน้าจนคนที่ยืนอยู่ข้างกันสังเกตเห็นและอดที่จะมองตามไม่ได้ ทันทีที่เห็นสายตาซึ่งจ้องเขม็งมาด้วยความไม่พอใจ ปรเมษฐ์ก็เข้าใจทุกสิ่งอย่าง เขาเอื้อมมือไปคว้าไหล่คนตัวเล็กกว่าที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถให้หันกลับมาและหอมเข้าที่แก้มฟอดใหญ่ “เดินทางดีๆ แล้วอย่าลืมของฝากล่ะ ‘คุณพ่อน้องนอฟ’” ท้ายประโยคที่จงใจเน้นเป็นพิเศษทำให้คนที่แอบฟังอยู่เม้มริมฝีปากแน่น


“เออ” เอกรงค์รับคำพร้อมกับขืนตัวออกห่าง มุ่นคิ้วด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่าวันนี้เพื่อนรักจะมามุกไหน


ในขณะที่ปรเมษฐ์หยักยิ้มมุมปากอย่างพึงใจที่ทำให้ใครบางคนควันออกหูได้ เขายังคงทำเป็นลอยหน้าลอยตาแกล้งจัดผมจับปกเสื้อให้เอกรงค์เพื่อกวนน้ำให้ขุ่นยิ่งขึ้นไปอีก “ฉันฝากดูแลนอฟด้วยนะโม”


“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วน่า” เอกรงค์โบกมือลาเพื่อนรักและยืนรอจนกระทั่งรถหรูแล่นออกไปจึงเดินมาขึ้นรถ กำลังจะเอ่ยปากทักคนที่ไม่ได้เห็นหน้าเสียหลายวัน หากแต่ศุกลกลับหันหลังหนี ก้มๆ เงยๆ เช็กของที่ต้องเอาไปด้วยอีกครั้งให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรตกหล่น


คุณหมอยังรีรออยู่อีกหลายนาที แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จง่ายๆ เขาจึงจำใจเดินขึ้นรถไปก่อน


“นั่นเหรอป๊านาย” ธีร์ทัศน์ถามเพื่อนที่เพิ่งเดินมาขึ้นรถ “เท่เป็นบ้าเลย ไหนเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นหมอไง โกหกหรือเปล่า ฉันนึกว่าบอสใหญ่ของบริษัทไหนเสียอีก”


“บอสเบิ๊ดอะไรล่ะ ป๊าฉันเป็นหมอสูติฯ ธรรมดาๆ ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับพ่อโมนั่นแหละ” นภธรณ์ถอดแว่นกันแดดออกเสียบตรงปกเสื้อพลางมองหาที่นั่งซึ่งยังพอมีเหลืออีกหลายที่ตรงด้านหลัง เพราะพีระซึ่งเป็นธุระจัดการเรื่องการเดินทางเลือกรถมินิบัสขนาด 20 ที่นั่งทั้งที่มีเด็กๆ ไปกัน 13 คนกับผู้ใหญ่อีก 4 คนเพื่อให้นั่งกันสบายๆ และเผื่อซื้อของฝากขากลับ


“แล้วก็เป็นคนที่ผ่าตัดทำคลอดให้เจ้าตัวแสบนี่ด้วย” เอกรงค์ที่เดินผ่านมาพอดีบอกทั้งรอยยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นโยกศีรษะของธีร์ธรอย่างเอ็นดู


“จริงเหรอครับ” เด็กชายตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ยิ่งเป็นปลื้มลูกพี่มากขึ้นอีก นั่นเพราะเป็นนภธรณ์เป็นลูกชายของนายแพทย์ที่ทำคลอดตนเอง รู้แบบนี้แล้วยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเท่เป็นบ้า


“เขาชื่อหมอปรเมษฐ์ ชื่อเล่นปีโป้น่ะ” คนรู้ดีที่สุดให้ข้อมูลเพิ่ม “ถ้าไม่เชื่อธรก็ลองโทรถามคุณแม่ดูก็ได้”


ศุกลขึ้นรถมาเป็นคนสุดท้าย เขาส่งสัญญาณบอกคนขับให้ปิดประตูก่อนจะมาหยุดยืนตรงกลางทางเดินค่อนมาทางด้านหน้ารถพร้อมกับตบมือสามครั้งเรียกความสนใจจากเด็กๆ ซึ่งกำลังคุยกันเสียงดังลั่น “เอาล่ะทุกคนรถจะออกแล้วพร้อมกันหรือยังครับ”


“พร้อมแล้วครับ/ค่ะ” เด็กๆ หันมาตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน


“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งประจำที่ให้เรียบร้อยนะครับ เรากำลังจะมุ่งหน้าไปสวนสนประดิพัทธ์กัน”


“เย้!”


ศุกลหันไปบอกให้คนขับเคลื่อนรถได้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมนั่งลง คอยเดินตรวจดูไปตามที่นั่งต่างๆ ว่าเด็กๆ นั่งกันเรียบร้อยดีและไม่มีใครลืมอะไร จนกระทั่งถึงตำแหน่งค่อนไปทางท้ายรถที่เอกรงค์ยังยืนคุยอยู่กับสามแสบ


“ขอโทษที่ให้รอนะติ๊นพอดีเจ้านอฟมันตื่นสาย” ด้วยความดีใจที่ได้เจอหลังจากไม่เห็นหน้ากันหลายวันเขาจึงเผลอหลุดปากเรียกชื่ออย่างสนิทสนม


“ผมรู้แล้ว เจ้านอฟบอกผมแล้ว” น้ำเสียงของศุกลยังฟังดูนุ่มทุ้มเหมือนอย่างเคยหากแต่ห้วนไปอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นเอกรงค์ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังยุ่งและเครียดกับการดูแลเด็กๆ ที่พ่อแม่ฝากฝังมามากกว่า ซึ่งเขาก็เข้าใจในจุดนั้นดีเพราะตนเองก็เป็นกุมารแพทย์


“อ้อ… แล้วติ๊น”


“เราตกลงกันแล้วนะครับว่าจะเรียกชื่อเฉพาะตอนที่อยู่ด้วยกันสองคน” ศุกลกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนก่อนจะเพิ่มเสียงขึ้น “รถกำลังจะออก รีบหาที่นั่งได้แล้วครับหมอโม” เน้นเสียงในตอนท้ายราวกับเป็นคนไม่รู้จักกันและเดินกลับไปนั่งที่เบาะตอนหน้าซึ่งเว้นว่างไว้


ถึงจะตั้งใจพูดให้ได้ยินกันแค่สองคนแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของนภธรณ์ซึ่งกำลังชะเง้อหาที่สำหรับวางกระเป๋าได้ เด็กหนุ่มถอนใจแรง นึกอยากจะตบกบาลพี่ติ๊นสักทีโทษฐานเรื่องเยอะ นี่ถ้าเป็นธีร์ทัศน์พูดแบบนี้คงได้กะโหลกเบี้ยวเพราะมือของเขาไปแล้ว กับแค่เรื่องเรียกชื่อไม่รู้ว่าจะอะไรนักหนา


เอกรงค์มองตามหลังงงๆ กำลังจะเดินตามไปง้อ นภธรณ์ก็หันมาดึงแขนเสื้อไว้เสียก่อน


“รถออกแล้ว เอาไว้แวะจุดพักรถแล้วค่อยไปเคลียร์นะกันครับ”


กุมารแพทย์หนุ่มหันไปมองคนที่ตอนนี้เห็นเพียงศีรษะโผล่พ้นขอบเบาะขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้งก่อนจะเดินตามเด็กหนุ่มไปนั่งลงตรงเบาะหลัง


“เขางอนอะไรของเขา” เอกรงค์กอดอกครุ่นคิด ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด


“คงจะเป็นเรื่องที่พ่อโมหายไปตั้งสองอาทิตย์โดยไม่บอกกันมั้งครับ” เด็กหนุ่มว่า อันที่จริงเขารู้มาตลอดว่าเอกรงค์หายไปไหน ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวห้ามไว้จึงไม่พูด “ผมบอกพ่อโมแล้วว่าให้บอกพี่ติ๊นไปตรงๆ”


คนอายุมากกว่าพยักหน้า นั่นฟังดูเข้าเค้ามากทีเดียว “ไม่เอาหรอกเรื่องอะไรจะบอกเรื่องน่าอายแบบนั้น”


นภธรณ์ถอนหายใจเป็นหนที่สอง “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจครับ ไปง้อกันเองก็แล้วกัน” พูดจบก็เสียบหูฟังเข้ากับหู เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง


เอกรงค์นั่งเอนหลังพิงพนักฟังเสียงหวานที่เครือเพลงผ่านริมฝีปากเด็กหนุ่ม ในใจคิดถึงวิธีการร้อยแปดอย่างที่จะง้อใครบางคนแล้วเขาก็เผลอหลับไปในอีกอึดใจต่อมา


กุมารแพทย์หนุ่มมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นภธรณ์สะกิดปลุกเพื่อขอทางผ่านไปเข้าห้องน้ำ เขาขยี้ตาสู้แสงตะวันที่เริ่มขึ้นสูงพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้รถมินิบัสแวะจอดที่จุดพักรถบนถนนเพชรเกษมเพื่อให้ทุกคนได้ยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำและเติมเสบียงที่ร่อยหรอให้เต็มก่อนจะยิงยาวไปถึงปลายทาง


เอกรงค์เดินลงจากรถเป็นคนสุดท้าย กวาดตามองซ้ายทีขวาทีเห็นพีระนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าร้านสะดวกซื้อจึงเดินเข้าไปหาในขณะที่อีกฝ่ายให้คำตอบพร้อมกับชี้มือโดยที่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ


“ห้องน้ำอยู่ทางโน้นครับคุณหมอ”


“ผมไม่ได้มองหาห้องน้ำครับ” เอกรงค์รีบบอก “ผมหาติ๊นอยู่น่ะ คุณเห็นเขาไหมครับ”


พีระพยักหน้าและยังคงชี้มือไปทางเดิม “หมอนั่นไปห้องน้ำครับ”


คุณหมอกล่าวขอบคุณจากนั้นจึงเดินไปตามที่บอก ระหว่างทางผ่านร้านกาแฟสดจึงแวะซื้อเอสเปรสโซเย็นมาสองแก้วเพราะเขาสังเกตว่าศุกลไม่ชอบหวาน ส่วนตัวเขาพอใจในรสชาติของคาปูชิโนที่สุดแต่ดูท่าวันนี้ปริมาณคาเฟอีนในนั้นจะไม่เพียงพอที่จะปลุกประสาทให้ตื่นจึงเปลี่ยนมากินกาแฟดำแทน พร้อมกันนั้นยังซื้อแซนด์วิซ คุกกี้และขนมปังมาอีกถุงใหญ่เพื่อเตรียมไปง้อขอคืนดี


เอกรงค์ยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าห้องน้ำระหว่างนั้นก็เช็กเสื้อผ้าหน้าผมกับกระจกรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของใครสักคนที่จอดอยู่จนมั่นใจว่าตัวเองดูดีและไม่ลืมที่จะทดสอบกลิ่นปาก แต่แล้วเขาเบะปากเล็กน้อยกับกลิ่นน้ำลายบูดของตนเองจึงรีบหยิบสเปรย์กลิ่นมินต์ที่พกติดตัวเสมอเวลาเดินทางขึ้นมาพ่นไปสองฟืดใหญ่ เมื่อได้กลิ่นที่พึงใจแล้วก็ยืนพิงเสาตั้งท่ารอ เมื่อเห็นคนตัวสูงเดินออกมาจึงรีบพุ่งเข้าไปหา


“กาแฟไหมติ๊น” ยกถุงใส่แก้วกาแฟให้ดูพร้อมกับยิ้มกว้าง


ตาคมเหลือบลงมองแก้วในมือครั้งหนึ่งก่อนจะตวัดขึ้นสบตาคนถือ “ผมยังไม่หิว คุณต่างหากที่ต้องกิน ท่าทางจะง่วงมากเห็นหลับมาตลอดทางเลยนี่ เมื่อคืนไปอดนอนทำอะไรมาล่ะครับ”


คำพูดคำจาที่ยังฟังดูห่างเหินทำให้เอกรงค์เริ่มสะกิดใจ “ติ๊นโกรธอะไรผม บอกมาสิทำปั้นปึ่งเงียบไปแบบนี้ผมง้อไม่ถูกนะ”
ศุกลหันมาเผชิญหน้า โตๆ กันแล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำตัวเหมือนเด็กๆ “เมื่อคืนผมโทรหาคุณก็ไม่รับ วันนี้จะมาช้าก็ไม่โทรบอกแถมยังให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาส่งแล้วยังมาหอมแก้มทำสวีทต่อหน้าผมอีก”


เอกรงค์อึ้งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ตอนนั้นเขายังงัวเงียอยู่แถมปรเมษฐ์ก็เคยหยอกเล่นแบบนี้หลายครั้งจึงไม่ได้สนใจ ตอนนี้รู้แล้วว่าหมอนั่นทำแบบนี้เพราะเจตนาจะแกล้งยั่วอีกคนนี่เอง คอยดูเถอะไอ้เพื่อนตัวดีกลับไปจะจัดการให้หนักเลย “โป้เป็นแค่เพื่อน ที่ทำแบบนั้นแค่แกล้งเล่น”


“แน่ใจเหรอว่าแค่แกล้ง ผมไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย”


“จริงๆ นะติ๊น ถ้าไม่เชื่อผมไปถามเจ้านอฟดูก็ได้” เอกรงค์เสียงดังขึ้นเล็กน้อย “แต่ผมว่ามันไม่จำเป็นเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะผมคือคนที่คุณควรจะเชื่อใจมากที่สุดไง”


“แล้วเรื่องหอมแก้มล่ะ”


“มันคงอยากแกล้งติ๊นนั่นแหละเพราะผมเล่าเรื่องติ๊นให้มันฟังอยู่บ่อยๆ”


“ทุกอย่างเลยเหรอ” ศุกลยกมือขึ้นกอดอก “แม้แต่เรื่องที่เราเจอกัน เรื่องที่ผมเรียกคุณว่าพ่อน้องนอฟ รวมทั้งเรื่อง… จูบ… คุณก็เล่าให้ฟังหมดเลยเหรอ”


เอกรงค์พยักหน้ายอมรับ “ฟังนะติ๊น โป้มันไม่มีทางชอบผม เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะโป้มันรักแม่เจ้านอฟมากไง”


“ก็เห็นว่าเขาทิ้งไปตั้งแต่เกิดไม่ใช่เหรอ” ศุกลยังคงหาเหตุผลมาอ้างทั้งที่แท้จริงในใจให้อภัยจนหมดแล้ว ไม่สิ! จะว่าไปเขายอมตั้งแต่เห็นมาชะเง้อคอยืนรอหน้าประตูห้องน้ำแล้ว อุตส่าห์แกล้งถ่วงเวลาล้างมือจนเปื่อยเพื่อปั้นหน้าถมึงทึงออกมาหาแต่พอเห็นหน้าจ๋อยๆ กับเสียงอ่อยๆ แล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้


“เอาอย่างนี้” เอกรงค์พูดอย่างจนใจจะอธิบาย “ติ๊นจะให้ผมง้อยังไงบอกมาเลยดีกว่า รถกำลังจะออกและกาแฟก็เริ่มละลายแล้ว หรือเราจะไปทะเลทั้งๆ ที่ยังทะเลาะกันแบบนี้”


ศุกลเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มกับแผนการที่เพิ่งคิดได้ในหัวก่อนจะพูดเสียงเรียบทว่าจริงจัง “จูบผมสิ”


“ว่าไงนะ” คนง้อตาโตขึ้นทันที


“จูบผมตรงนี้ ตอนนี้ แล้วผมจะยกโทษให้โม” คนแกล้งงอนเน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์


เอกรงค์เหลียวมองรอบกายเห็นผู้คนเดินกันขวักไขว่ก่อนจะหันกลับมาจ้องตาคนตรงหน้า “จะเอาแบบนี้ใช่ไหม? ได้!”


เพียงก้าวขาแค่ครั้งเดียวกุมารแพทย์หนุ่มก็เข้าประชิดตัวคนตัวสูง มือข้างที่ว่างยกขึ้นคว้าหลังคอพร้อมกับเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ได้องศาที่เหมาะสม ริมฝีปากของทั้งสองเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้วหากศุกลไม่เป็นฝ่ายถอยหนีไปเสียเอง


“ด… เดี๋ยวก่อน”


“อะไร!” ถึงคราวกุมารแพทย์หนุ่มเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง ศุกลจะรู้บ้างไหมว่าเขาต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนที่จะไม่มาเจอกันตั้งสองสัปดาห์ แล้วทำมาเป็นพูดดีว่าจะให้เวลาเขาเตรียมตัว คอยดูนะถ้าทำให้ถุงยางที่ซื้อมาเป็นหมัน จนลูกเจ้านอฟบวชเขาก็จะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด


ศุกลหันมองรอบตัวอย่างเลิ่กลั่กก่อนจะคว้าหมับเข้าที่มือของคนตรงหน้าดึงไปหลบตรงซอกข้างหลังห้องน้ำซึ่งดูจะปลอดคน


“ตกลงคุณจะเอายังไงกันแน่” เอกรงค์มุ่นคิ้ว ไม่ทันสังเกตว่าแก้มขาวของคนที่ทำเป็นนิ่งมาโดยตลอดเริ่มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย


จิตรกรหนุ่มใช้หัวแม่โป้งไล้วนไปรอบๆ หลังมือนุ่มที่ยังคงจับไว้ด้วยทำอะไรไม่ถูกก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม “ผมไม่คิดว่าโมจะเอาจริงนี่นา”


“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าติ๊นจะล้อผมเล่นแบบนี้” เอกรงค์ว่า “ทำเจ้าแง่แสนงอนเป็นเด็กไปได้ แล้วก็บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็ก หืมมม?”


ปลายเสียงที่ลากจนหวานทำให้คนฟังหลุดยิ้มออกมาในที่สุด “เชื่อแล้วครับว่าปราบเด็กเก่ง”


“หึงก็บอกมาตรงๆ สิว่าหึง ผมจะได้รีบอธิบายให้เข้าใจตั้งแต่ตอนนั้น” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วหัวแม่มือเชยปลายคางคนตรงหน้าให้เงยขึ้นสบตาแล้วจับปลายจมูกที่ทำเชิดใส่เขาอยู่นานสองนานบิดไปมาด้วยความมันเขี้ยว “แต่จะว่าไปติ๊นหึงแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”


“ตรงไหน” เพราะเริ่มเจ็บจมูกที่ถูกบิด ศุกลจึงสะบัดศีรษะหนีแล้วชนหน้าผากเข้าด้วยกันเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับอะไรบนหน้าของเขาได้อีก


“ก็ตรงที่จะได้รู้ไงว่าผมสำคัญกับติ๊น” บอกพลางเหลือบสายตาลงมองริมฝีปากที่อยู่ห่างไปแค่คืบ ลมหายใจอุ่นของอีกฝ่ายรดลงที่ปลายจมูกมันช่างเย้ายวนให้ใจปั่นป่วนจนอยากจะแตะจูบลงไปเสียให้ได้


“แต่ผมว่าไม่เห็นดีเลย” ศุกลพูดเสียงเรียบ “รู้ไหมว่าผมคิดไปต่างๆ นานา”


“ไม่ทำอีกแล้ว” เอกรงค์อดใจไม่ไหวแล้วตอนนี้ เขาประทับริมฝีปากลงบนกลับปากหยักลึกที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้าซึ่งศุกลก็ตอบรับทันทีด้วยการรวบตัวของคนที่ดูเหมือจะตัวบางกว่าเข้ามาปะทะกับอกกว้าง ทั้งบดเบียดและขบเม้มริมฝีปากบางให้สมกับที่คิดถึงมาตลอดสองสัปดาห์


“ผมกลัว” จิตรกรหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วในตอนที่ริมฝีปากผละออกจากกันเพื่อพักหายใจ


“อะไร”


“โมหายไปสองสัปดาห์ โทรศัพท์หาก็ไม่ค่อยว่างรับ ถามกับเจ้านอฟก็บอกไม่รู้ จะไปหาที่โรงพยาบาลก็กลัวไปรบกวน อยากไปหาที่บ้านก็ไม่รู้ว่าบ้านโมอยู่ไหน แล้วผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโมเลย ยิ่งเห็นผู้ชายคนนั้นสนิทกับโม แถมยังดูรู้จักโมในแบบที่ผมไม่รู้จัก ผมก็เลย…”


“ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับติ๊นเหมือนกัน” เอกรงค์บอก “เพราะแบบนี้เราถึงต้องเรียนรู้กันและกันไง ผมรู้จักโป้ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งจนวันนี้ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว แต่กับติ๊นเพิ่งได้คุยกันแค่สองเดือน ติ๊นต้องเข้าใจนะว่าเวลาเหล่านั้นมันทดแทนไม่ได้ แต่ผมสัญญาว่าจะชดเชยให้และติ๊นก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย ถ้ามัวมางอนเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้นี่เราจะยิ่งเสียเวลาที่จะทำความรู้จักกันไปตั้งสอง ไม่สิ! สามชั่วโมงแล้วนะรู้ไหม”


ศุกลพยักหน้า “ขอโทษครับที่ผมทำตัวเป็นเด็กๆ”


“จะว่าแก่ก็พูดมาตรงๆ เถอะ” เอกรงค์หัวเราะลงคอ


“ไม่ใช่สักหน่อย ผมเองที่ทำอะไรไม่เข้าท่า”


“ถือว่าผมได้เรียนรู้ว่าตอนติ๊นโกรธจะเป็นยังไงแล้วจะง้อยังไงไง”


ทั้งสองยิ้มให้กัน นัยน์ตาคมของศุกลกดลงมองริมฝีปากฉ่ำที่เพิ่งผละออกมา ในขณะที่เนื้อปากแดงนั้นก็เม้มเข้ากันหลายต่อครั้งราวกับจะยั่วเย้า ฝ่ามือหยาบกร้านที่ยังคล้องอยู่รอบเอวเลื่อนขึ้นแตะลงบนแนวสันหลังแม้จะแค่แผ่วเบาแต่กลับทำให้ร่างในอ้อมแขนสะดุ้งเข้าหา ดวงตาสองคู่ยังคงสบกันนิ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ถึงความต้องการลึกๆ ของกันและกัน ใบหน้าค่อยๆ ขยับเข้าหากันอีกครั้ง จนสัมผัสกับลมหายใจที่ต่างก็ร้อนผ่าว ริมฝีปากกำลังจะได้ครอบครองในสิ่งที่ใจถวิลหา แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของทั้งสองคนดังขึ้นพร้อมๆ กัน ส่งผลให้ต่างฝ่ายต่างถอนหายใจเฮือกก่อนจะกดรับสาย


“ว่าไงไอ้ดล”


“แกขี้เสร็จหรือยังวะ เราจะได้ไปกันสักที”



“ว่าไงเจ้านอฟ”


“ง้อกันเสร็จหรือยัง รถจะออกแล้วนะครับ”



ทั้งสองสบตากันอีกหนก่อนจะตอบคนในสายของตนออกไปพร้อมกัน “กำลังจะไป”


พวกเขาเดินกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง เอกรงค์กำลังจะนั่งลงตรงตำแหน่งเดิมแต่ปรากฏว่านภธรณ์เอากระเป๋าเป้มาวางขวางไว้


“ถ้าพ่อโมมีเรื่องจะคุยกับพี่ติ๊นก็ไปนั่งหลังเลยครับ ผมง่วง ผมจะนอนแล้ว” แกล้งพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน


ศุกลเหลือบตามองเอกรงค์ครั้งหนึ่งแล้วรับมุกที่ถูกส่งมาให้ “ถ้าอย่างนั้นเราไปนั่งกันตรงโน้นก็ได้ครับ หมอโมจะได้อธิบายเรื่องการวิธีจัดการเด็กดื้อให้ผมฟังต่อ” ว่าแล้วก็ออกเดินนำไปนั่งที่เบาะยาวแถวหลังสุด


กุมารแพทย์หนุ่มหันมาตบไหล่ลูกชายกำมะลอครั้งหนึ่งก่อนจะออกเดินตามไป “นั่นสิครับเรื่องมันยาวเสียด้วย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าถึงทะเลแล้วจะอธิบายจบหรือเปล่า”


ศุกลรอให้อีกฝ่ายนั่งลงเรียบร้อยจึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูโดยทำทีเป็นหยิบแก้วกาแฟในถุง “ไม่จบก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมมีเวลาฟังทั้งชีวิต”


คนฟังทำไม่ใส่ใจ ตามองถุงใส่แก้วกาแฟพร้อมกับกล่าว “ติ๊นลดกาแฟลงหน่อยก็ดีนะ ถึงจะไม่ใส่น้ำตาลแต่กินวันละหลายแก้วก็ไม่ดีนะ…” พูดเตือนยังไม่ทันจบประโยคก็ขาดๆ หายๆ เมื่อปลายจมูกโด่งฝากรอยไว้ที่ข้างแก้ม


“หอมจัง” จิตรกรหนุ่มว่าพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “หมายถึงกาแฟน่ะครับ ก็ทั้งหอมและอร่อยขนาดนี้จะเลิกง่ายๆ ได้ยังไง”


ทั้งสองใช้ช่วงเวลาที่เหลือของการเดินทางบอกเล่าเรื่องราวของกันและกัน ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าไปจนเรื่องไร้สาระ และนั่นทำให้ศุกลรู้ว่าจริงๆ แล้วครอบครัวของเอกรงค์เป็นครอบครัวของคนที่ทำงานเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมโดยแท้ไม่ใช่ครอบครัวหมอหรือนักวิชาการอย่างที่เขาคิดไว้


“พ่อผมทำงานให้กรมศิลปากรน่ะ มีหน้าที่ดูแลและซ่อมแซมโบราณสถานต่างๆ รวมไปถึงภาพจิตรกรรมตามฝาผนังอะไรพวกนี้”


“มิน่าล่ะโมถึงชื่อเอกรงค์” แล้วศุกลก็ทำหน้านึกขึ้นได้ “ถ้าอย่างนั้นชื่อโมก็คงไม่ได้มาจากแตงโมหรือโมเลกุลน่ะสิ แต่เป็นโมโนโครม”


“ปิ๊งป่อง!” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับแล้วจึงเล่าต่อ “ผมมีน้องอีกสามคน ทุกคนทำงานด้านนี้หมด คนหนึ่งก็เป็นนักโบราณคดี อีกคนเป็นช่างปั้น ส่วนน้องคนสุดท้องเป็นภัณฑารักษ์อยู่พิพิธภัณฑ์ในตัวจังหวัด แม่ก็เป็นครูนาฏศิลป์ มีแต่ลูกชายคนโตนี่แหละที่ผ่าเหล่าผ่ากอ ไม่ใช่ว่าพ่อไม่พยายามสอนผมนะ แต่เข็นไม่ขึ้นจริงๆ ผมมันเหมือนผมคนพิการ ไม่มีสมองซีกขวามาแต่กำเนิด”
ฟังแล้วจิตรกรหนุ่มก็หัวเราะ ภาพเมื่อตอนสอนให้ระบายสีทะเลเมื่อสองอาทิตย์ก่อนลอยขึ้นมาสนับสนุนสิ่งที่อีกฝ่ายได้พูดจบลงไป


“ผมก็เลยมาเป็นหมอ” เอกรงค์สรุปง่ายๆ “เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละ แล้วติ๊นล่ะทำไมถึงมาเป็นจิตรกรวาดรูปได้”


“เรื่องของผมง่ายกว่าโมอีก” ศุกลกล่าว “พ่อผมเป็นจิตรกร เห็นพ่อวาดรูปทุกวันมันรู้สึกผูกพันน่ะ ก็เลยขอให้พ่อสอน ตั้งแต่นั้นก็คิดมาโดยตลอดว่าจะต้องเรียนศิลปะและเป็นศิลปินให้ได้”


“เรียกว่าคาบแปรงกับจานสีมาเกิดเลยสินะ”


ศุกลเลิกคิ้วเล็กน้อยกับชื่ออุปกรณ์ที่อีกฝ่ายเรียกขาน กระนั้นก็มิได้ทักท้วงอะไรเพียงแต่อมยิ้มมุมปากและเล่าต่อ “ผมอยากเป็นเหมือนพ่อ อยากถ่ายทอดเรื่องราวลงไปในภาพทุกภาพและแสดงให้ทุกคนได้เห็น”


“ติ๊นก็ทำได้แล้วไง” เอกรงค์บอก “ภาพของติ๊นมีเรื่องราวอยู่เต็มไปหมดจนผมสัมผัสได้เลยล่ะ”


คำชมกับรอยยิ้มจริงใจที่กดจนแก้มบุ๋มถูกส่งมาทำให้เขินจนพูดไม่ออก ศุกลจึงได้แต่พยักหน้าขอบคุณเงียบๆ


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2016 08:38:20 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


รถมินิบัสซึ่งขับมาด้วยความเร็วค่อยชะลอลงเมื่อเลี้ยวเข้าทางปูนแคบๆ ที่ขนาบด้วยทิวสนเรียงรายไปทั้งสองข้างทางและเมื่อรถเคลื่อนต่อมาได้หน่อย สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็คือผืนน้ำและแผ่นฟ้าสีสดกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจนแยกไม่ออกว่าตรงไหนคือจุดที่ฟ้ากับน้ำมาจรดกัน ทั้งหมดผสมไล่เรียงกันอย่างงดงามจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา


“ดูนั่นสิโม เรามาถึงแล้ว”


กุมารแพทย์หนุ่มหันไปทันอ่านป้ายมีข้อความ ‘สวนสนประดิพัทธ์ กองทัพบกเพื่อชาติ ศาสตร์ กษัตริย์และประชาชน’ พอดี “เป็นพื้นที่ของทหารแต่เข้าพักได้ด้วยเหรอ”


“ครับ ที่นี่เขาเปิดให้คนทั่วไปเข้าพักได้ ผมเห็นว่าหาดทรายสวยและสงบ คลื่นทะเลก็ไม่แรงมากเหมาะกับเด็กๆ ก็เลยเลือกมาที่นี่”


“ใส่ใจดีจัง”


“ต้องใส่ใจสิครับ ก็ถ้าลูกเขาเป็นอะไรขึ้นมาโมช่วยทำใช้ให้ผมไม่ได้นี่นา” คำพูดคุ้นหูมาพร้อมกับนัยน์ตาพราวระยับทำเอากุมารแพทย์หนุ่มต้องเบือนหน้าหนี เห็นทีครั้งต่อไปจะพูดจะแซวอะไรต้องคิดให้หนักหน่อยแล้ว


ในที่สุดมินิบัสก็จอดสนิทที่บริเวณลาดจอด ศุกลลุกไปช่วยพีระขนของลงจากรถ ในระหว่างนั้นภาดลก็ดำเนินการติดต่อเพื่อเข้าพักจนเรียบร้อยและวิ่งกลับมาพาทุกคนไปยังบ้านพัก ทั้งกลุ่มเดินเลียบหาดไปราวห้าร้อยเมตรก็มาถึงบังกะโลที่จองไว้ ด้านหน้าอาคารปูนมีป้ายไม้ปักอยู่บนพื้นทรายสีขาวละเอียดเขียนว่า ‘บ้านทรายทอง1’


เห็นป้ายนั้นแล้วเอกรงค์ก็นึกขันในใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพจมานที่มือหนึ่งลากกระเป๋าอีกมือถือชะลอมเข้าบ้านสว่างวงศ์ยังไงพิกล ทั้งที่ความเป็นจริงที่มาของชื่อนั้นหาได้เกี่ยวข้องกับนวนิยายชื่อดังแม้แต่น้อย เพียงแต่เปรียบเทียบลักษณะของเม็ดทรายเท่านั้น จะเห็นได้จากมีทั้งบ้านทรายเงินและบ้านทรายแก้วตั้งอยู่ถัดออกไป


คณะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มเพื่อเข้าบังกะโลที่พักได้หลังละ 6 คน ประกอบด้วยเด็ก 5 คนต่อคุณครู 1 คน หลังจากแบ่งสรรปันส่วนกันเรียบร้อย ศุกลที่ใช้เส้นสายมาตั้งแต่ที่บ้านก็เดินยิ้มแฉ่งมาพร้อมกับกุญแจบ้านทรายทอง 3 สำหรับตัวเขาเอง สองพี่น้องตัวที นภธรณ์และเอกรงค์


“เอาล่ะเด็กๆ แยกย้ายกันเข้าห้องพักแล้วเก็บของให้เรียบร้อยนะครับ พี่จะให้เวลาครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วทุกคนไปรวมกันที่นี่นะครับ” พีระบอก


“เราจะเริ่มเขียนรูปกันเลยเหรอครับ” ก้องยกมือถาม สร้างสีหน้าผิดหวังให้เพื่อนๆ หลายคนเพราะเสียงเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่งนั้นช่างยั่วเย้าให้อยากกระโจนลงไปสัมผัสความชุ่มช่ำเสียเหลือเกิน


เมื่อเห็นเด็กๆ เริ่มออกอาการจ๋อยคุณครูทั้งสามคนก็เริ่มมองหน้ากันทำอะไรไม่ถูก


ศุกลกำลังคิดหาคำพูดปลุกใจอะไรสักอย่างแต่ยังคิดไม่ออก กุมารแพทย์หนุ่มก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน


“ใช่แล้วครับก้อง แล้วถ้าไม่เขียนรูปก้องอยากทำอะไรก่อนครับ” เอกรงค์ใช้วิธีตั้งคำถามกลับเพื่อให้เด็กๆ ได้ทบทวนวัตถุประสงค์ในการมาทะเลด้วยตนเอง


“ก็… อยากเล่นน้ำ”


“ตอนนี้เพิ่งจะบ่าย แดดกำลังแรง หมอคิดว่าไม่เหมาะกับการเล่นน้ำนะครับ ไว้วาดรูปเสร็จแดดร่มลมตกค่อยมาเล่นกันดีไหม”


“ถ้ามืดแล้วจะเขียนรูปไม่ได้ด้วยครับ” ศุกลให้เหตุผลในฝั่งของตน “แสงจะหมด แทนที่เราจะได้ศึกษาแสงเงาในการเขียนภาพซีสเคปด้วยสีน้ำ เราก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการมาทะเลครั้งนี้เลย”


เด็กๆ เริ่มพยักหน้าคล้อยตาม


“ตกลงตามนี้นะครับ เขียนรูปเสร็จแล้วค่อยมาเล่นน้ำกัน” เอกรงค์สรุปและทุกคนก็ส่งเสียงตอบรับมีความคิดเป็นเอกฉันท์ เขาจึงย้ำสิ่งที่พีระพูดไปแล้วอีกครั้ง “ทุกคนเอาของไปเก็บที่ห้อง เสร็จแล้วหยิบกระดานกับแปรงทาสีแล้วมารวมกันที่นี่นะครับ” สิ้นคำกุมารแพทย์หนุ่มก็เกิดความเงียบขึ้นทันที เด็กๆ หันมองหน้ากันอึดใจก่อนก้องจะยกมือโบกไปมาในอากาศ


“เขาเรียกว่าพู่กันครับหมอโมไม่ใช่แปรงทาสี” แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะคิกคัก ในขณะที่คนถูกท้วงหน้าเหวอไปทันที


“แปรงทาสีคืออันใหญ่ๆ ที่เอาไว้ใช้ทาบ้าน ส่วนที่ใช้วาดรูปเราเรียกว่าพู่กันครับหมอโม” ก้องอธิบายเพิ่ม
“หืมมม” คนไม่รู้ยิ่งออกอาการงงหนักกว่าเดิม “ทำไมเรียกแปรงไม่ได้ล่ะ ทีอันที่พวกผู้หญิงใช้ระบายสีที่แก้มยังเรียกว่าแปรงปัดแก้มเลย”


“หมอโม...” พิมพ์ลากเสียงอย่างอ่อนใจ “อันนั้นก็คนละแบบกันนะคะ”


“ครับๆ ตามนั้นครับ” เอกรงค์หัวเราะแหะยอมจำนนก่อนจะหันไปทำตาเขียวปัดใส่คนที่ยืนปิดปากกลั้นหัวเราะอยู่ข้างกัน เขาหันไปยิ้มหวานให้เด็กๆ อีกครั้งก่อนจะยื่นมือไปแอบบิดเนื้อบนท่อนแขนแกร่งที่กอดอกทำไม่รู้ไม่ชี้พร้อมกับกระซิบลอดไรฟัน


“ทำไมติ๊นไม่บอกผม”


ศุกลสะดุ้งโหยง ถอยหนีไปครึ่งก้าวพลางถูท่อนแขนที่เป็นปื้นแดง “อะไรครับ เรื่องแปรงทาสีน่ะเหรอ”


“ก็ใช่น่ะสิ ทำผมหน้าแตกต่อหน้าเด็กๆ เลยเห็นไหม”


“ก็ผมเห็นหมอโมชอบเรียกแบบนั้นจนเหมือนเป็นคำติดปากไปแล้ว แล้วมันก็น่ารักดีผมเลยไม่อยากแก้”


กุมารแพทย์หนุ่มกอดอกฉับ “ไม่ได้นะเป็นครูบาอาจารย์ปล่อยให้นักเรียนเรียกผิดๆ ถูกๆ ได้ยังไง”


“ก็โมไม่ใช่ลูกศิษย์นี่นา” ศุกลรีบแก้ตัว “หรืออยากเป็น? ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เรามาติวเข้มกันสองต่อสองไหม ผมจะได้สอนโมระบายสีท้องฟ้าให้สวยๆ เอ๊ะ! หรือต้องรอลูกชายหลับก่อน”


“รอไม่ได้ก็ไม่ต้องรอนะ” เอกรงค์ว่า


คนอายุน้อยกว่าอมยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตัดรอนเสียทีเดียวจึงแสร้งรำพึงกับตัวเอง “แถวนี้น่าจะมีร้านขายยานะผมจะได้ไปซื้อยานอนหลับมายัดขนมปังให้เจ้านอฟกิน”


“พูดมากน่า เข้าบ้านเถอะ” เอกรงค์ว่า


“พร้อมจะเรียนแล้วเหรอครับ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น” คุณหมอส่ายหัวดิกก่อนจะทำเสียงดุ “เอาของเก็บ ไปเร็ว”

ศุกลเดินนำสมาชิกบ้านทรายทอง 3 ที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายไปยังบังกะโลหลังที่อยู่ริมสุด เมื่อเห็นห้องซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จิตรกรหนุ่มก็ยิ้มกว้างมากขึ้นอีก เพราะไม่ว่าจะคำนวณโดยใช้สมการไหนเขาก็ต้องได้นอนกับเอกรงค์แน่นอน “ทัศน์นอนกับธรห้องนั้นนะ ส่วนนอฟก็แล้วแต่จะนอนคนเดียวหรือจะไปนอนกับสองแสบก็ได้ ส่วนหมอโม...” ทำเป็นครุ่นคิดอยู่อึดใจ แต่ใครคนหนึ่งกลับเสนอความคิดออกมาเสียก่อน


“ผมจะนอนกับพ่อโม” นภธรณ์เอ่ยขึ้นเรียบๆ สร้างความแปลกใจให้ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ธีร์ทัศน์ยังแอบดึงชายเสื้อพร้อมกับถลึงตาใส่ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงทำตัวเป็นก้างขวางคอขึ้นมาเสียเฉยๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบว่าอะไรและเดินนำเข้าห้องไป


“เอ่อ...” จิตรกรหนุ่มเหลียวมองคนที่หันมาส่งยิ้มบางให้


“นอฟนอนคนเดียวไม่ได้น่ะ ยิ่งถ้าแปลกที่ก็จะนอนไม่หลับแถมยังกลัวผีมากเสียด้วย”


“ถ้าอย่างนั้นก็มานอนกับพวกผมก็ได้นี่นา” ธีร์ทัศน์เสนอ “ก็... ก็... พี่ติ๊นกับหมอโมจะได้...”


“ตกลงหมอโมนอนกับนอฟนะ ส่วนพี่จะนอนคนเดียวตรงห้องนั้น” ศุกลรีบสรุป ถึงคิดว่าเด็กๆ จะรู้เรื่องของพวกเขาและช่วยเชียร์แต่ก็ไม่อยากให้ต้องมาลำบากใจ เขาอยากให้ทุกคนมาวาดรูป ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสนุกสนามและได้มิตรภาพกับความทรงจำดีๆ กลับไป ส่วนเรื่องของเขากับเอกรงค์... เวลาตั้งสองวันหนึ่งคืน ไม่คิดว่าโอกาสจะหมดไปกะอีแค่เรื่องต้องแยกห้องนอนแน่
ตกลงกันเรียบร้อยต่างคนต่างก็แยกกันเข้าห้องตัวเอง


“มีแผนอะไรอีกล่ะ” เอกรงค์ถามเด็กหนุ่มที่นอนแผ่หราอยู่บนเตียง “ร้อยวันพันปีก็นอนคนเดียวมาตลอด วันนี้เกิดจะนอนไม่ได้อะไรขึ้นมา”


เด็กหนุ่มพลิกตัวกลับมานอนคว่ำ ยกมือทั้งสองขึ้นรองปลายคางไว้แล้วกรีดยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำเป็นรู้ทัน แต่ก็รับมุกดีนี่นา เลิกเป็นหมอแล้วไปเปิดคาเฟ่ด้วยกันดีกว่า”


“ไม่เอาหรอก”


“นั่นสินะ เพราะดูท่าบางคนอยากไปเป็นแฟนจิตรกรมากกว่า โอ๊ย!” จอมวางแผนร้องลั่นเมื่อหมอนหนุนใบใหญ่ถูกโยนเข้าเต็มหน้า


“เป็นเด็กเป็นเล็ก”


นภธรณ์ตั้งท่าจะเถียงต่อ แต่เมื่อเห็นอาวุธถูกดึงกลับไปอยู่ในมือพ่อโมของเขาในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็พลิกตัวลงเตียงอีกฟากคว้าอุปกรณ์วาดรูปแล้ววิ่งแผล็วออกจากห้องไปทิ้งให้กุมารแพทย์หนุ่มยืนเท้าเอวบ่นอยู่คนเดียว


“เอาเถอะ! วันนี้จะยกโทษให้ก็ได้เพราะการแอบย่องเข้าห้องคนอื่นตอนดึกๆ ดื่นๆ มันก็น่าตื่นเต้นดีไม่น้อยนี่นา” เอกรงค์คิดในใจ
เมื่ออกจากห้องเขาก็พบว่าศุกล พีระและภาดล นำเด็กๆ เดินลงหาดไปแล้ว หลังจากทบทวนเทคนิคการวาดคร่าวๆ พวกเขาก็ปล่อยให้เด็กๆ แยกย้ายกันไปหามุมที่ชอบและลงมือวาดภาพของตนมาส่งซึ่งหัวข้อในการวาดก็ไม่ยากไม่ง่าย ‘ทะเลในความทรงจำ’ โดยมีกำหนดส่งผลงานคือพรุ่งนี้เช้าก่อนเดินทางกลับ


เอกรงค์ซึ่งเป็นคนเดียวในคณะที่ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับการวาดภาพสีน้ำเลยเงือกที่จะนอนเอนหลังจิบน้ำผลไม้อยู่บนเตียงผ้าใบริมชายหาดมองดูคุณครูทั้งสามคอยเดินไปหาเด็กคนนั้นทีคนนี้ทีเพื่อให้คำแนะนำและช่วยแก้ไขจุดบกพร่อง ถึงจะโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นศิลปิน แต่เขากลับไม่เคยคิดว่าการวาดภาพหรือระบายสีนั้นมันน่าสนใจหรือเท่ตรงไหน แต่ในขณะที่เฝ้าดูคนตัวสูงหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มสีจากจานแล้วแตะลงไปบนกระดาษที่ขึงจนตึงบนกระดาน เมื่อสีเจอกับความชุ่มของน้ำก็ฟุ้งกระจายดูแล้วคล้ายก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า และเมื่อแตะอีกสีลงไปก็ทำให้เกิดมิติขึ้นด้วยคุณสมบัติโปร่งใสของสีที่ผสานซ้อนทับกันสร้างความรู้สึกมหัศจรรย์ยามเมื่อได้มอง กุมารแพทย์หนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้าย้อนมองน้ำสั้มคั้นในแก้วที่น้ำแข็งเริ่มละลาย ด้วยตัดสินใจไม่ได้ว่าภาพที่วาดหรือตัวคนวาด อย่างไหนกันแน่ที่น่ามองมากกว่า และอย่างไหนกันที่ทำให้หัวใจของของเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอกข้างซ้ายเช่นนี้


หลังจากฝึกวาดภาพกันจนได้ผลงานเป็นที่น่าพอใจของทั้งครูและนักเรียนบวกกับแสงอาทิตย์ที่เริ่มจางลงศุกลก็ให้เด็กๆ เก็บอุปกรณ์ ในที่สุดก็มาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย พีระเป่าลมลูกบอลใบโตแล้วนำทีมเด็กๆ กลุ่มหนึ่งเล่นลิงชิงบอลอยู่บนชายหาด ในขณะที่ภาดลดำผุดดำว่ายเล่นคลื่นอยู่กับกลุ่มเด็กที่ค่อนข้างโตกว่า ส่วนธีร์ทัศน์กับธีร์ธรที่เปลี่ยนเป็นชุดเล่นน้ำก็รีบวิ่งตัวปลิวตามลงไปสมทบด้วยความตื่นเต้นปล่อยให้นภธรณ์ซึ่งยังอยู่ในชุดเดิมดึงแว่นกันแดดออกมาสวม ใส่หูฟังแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงผ้าใบ ในขณะที่ศุกลยืนเท้าเอวมองดูเด็กๆ กับทะเลสีฟ้าครามสดใสก่อนจะเหลียวมองคนที่เตียงผ้าใบเป็นที่ตั้งตั้งแต่ช่วงบ่าย เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าตอนนี้เอกรงค์เปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าอวดเรียวขาขาวเนียนที่มีเพียงไรขนอ่อนสีน้ำตาลปกคลุมเล็กน้อยเท่านั้น


พลันลูกกระเดือกก็ขยับเคลื่อนลงช้าๆ เมื่อเขาพยายามกลืนน้ำลายให้เบาเสียงมากที่สุด เพราะกลัวว่าคนที่แอบมองดูอยู่จะรู้ว่าเขากำลังคิดอกุศล กำลังชั่งใจระหว่างชวนแยกกันไปเดินเล่นสองต่อสองกับชวนลงเล่นน้ำเพื่อแอบดูรูปร่างที่ถูกเสื้อตัวหลวมนั้นปกปิดไว้ให้หายข้องใจ ในที่สุดเสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นมาจากทะเลก็ช่วยเขาตัดสินใจ


“คุณหมอไม่ลงมาเล่นน้ำด้วยกันเหรอครับ” ภาดลป้องปากตะโกนถาม


“ผมขอผ่านดีกว่าครับ” เอกรงค์โบกมือปฏิเสธ


“หมอโมมาเถอะครับ น้ำเย็นมากเลยนะ” ธีร์ทัศน์ส่งเสียงเรียกอีกแรง


“หมอโม!” ธีร์ธรเสริมทัพ หากคำตอบของกุมารแพทย์หนุ่มก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


“ไม่ต้องอายไปหรอกครับใครๆ ก็มีพุงกันทั้งนั้นแหละ” ภาดลว่า แต่เจ้าตัวนั้นกลับสวมกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวอวดกล้ามท้องที่ถึงจะมีไม่มากแต่ก็ค่อนข้างเป็นลอนสวยทีเดียว


“หมอโม!!!”


เด็กคนอื่นๆ พากันออดอ้อน ริมฝีปากของคนที่เฝ้าดูอยู่ยกมุมขึ้นน้อยๆ ไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าทำไมเจ้าตัวดูภูมิใจกับฉายานั้นนัก นี่ขนาดแค่เทียวไปเทียวมารับนภธรณ์ไม่ได้ลงมาคลุกคลีอะไรมากมายเอกรงค์ยังเป็นขวัญใจเด็กๆ ที่มาเรียนศิลปะขนาดนี้ ฟังจากที่เจ้าตัวเล่าก็คาดเดาได้ว่าบางทีอาจเพราะเป็นพี่ชายคนโตที่ต้องช่วยแม่ดูแลน้องๆ เนื่องจากพ่อออกไปทำงานต่างจังหวัดและต้องค้างคืนบ่อยๆ มันจึงค่อยๆ หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนรักเด็กและเป็นจุดเริ่มต้นของการมุ่งมั่นมาเป็นกุมารแพทย์


“ก็ได้ๆ” เพราะทนแรงเซ้าซี้ไม่ไหวกุมารแพทย์หนุ่มจึงยอมลุกจากที่นอนผ้าใบในที่สุด


“เอาจริงเหรอ?” ศุกลท้วงเมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้สองมือจับชายเสื้อยืดตัวโคร่งที่สวมไว้เตรียมจะถอดออกเพื่อลงไปเล่นน้ำ


“ทำไมล่ะ?” เอกรงค์หันมาย่นคิ้วใส่ก่อนจะดึงเสื้อยืดพ้นออกทางศีรษะโยนพาดไว้บนพนักแล้ววิ่งลุยทรายลงทะเลไปหาทุกคน “มาแล้วๆ”


“ทางนี้ครับหมอโม” เด็กๆ โบกมือเรียกเข้ากลุ่ม ขายาวกระโจนเพียงครั้งเดียวก็ส่งให้ร่างพุ่งออกไปลอยคอดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเลแล้ว


“ปิดปากด้วยครับพี่ติ๊นน้ำลายหกหมดแล้ว” นภธรณ์ที่นอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆ กระซิบ


ศุกลสะดุ้งโหยงยกหลังมือขึ้นเช็ดปากก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าถูกเด็กหลอก เขารีบปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรเลย… ไม่เลยสักนิด แม้ผิวกายใต้ร่มผ้านั้นจะขาวดูเนียนมือจนอยากจะเรียกกลับขึ้นฝั่งมาช่วยทาครีมกันแดดให้ด้วยความเป็นห่วงกลัวผิวจะเสีย หุ่นผอมแต่ไม่ได้บอบบางอย่างที่เคยคิด กลับกันมันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมัดสวยสมส่วนปราศจากไขมันส่วนเกินจนเขาต้องแอบก้มลงจับพุงตัวเองและรีบแขม่วซ่อนขั้นไขมันที่เริ่มเกินมาเป็นชั้นไว้


“คิดว่าพ่อโมหุ่นขี้ก้างล่ะสิ เสียใจด้วยนะครับ จริงๆ แล้วพ่อโมน่ะเป็นพวกรักสุขภาพสุดๆ วันๆ กินแต่อาหารคลีน ว่างๆ ก็ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสกับป๊าตลอด”


“ใครจะไปรู้ล่ะก็เห็นทำกระมิดกระเมี้ยนแบบนั้น”


“แผนล่อเหยื่อให้ติดกับของพ่อโมได้ผลจริงๆ ด้วยแฮะ เห็นทีวันหลังต้องยืมไปใช้บ้างแล้ว” นภธรณ์รำพึงกับตัวเอง


“นายว่าอะไรนะ”


“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มเว้นวรรคไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “เพื่อเป็นการไถ่โทษเรื่องที่ขอพ่อโมไปนอนด้วย ผมจะเล่าอะไรดีๆ ให้พี่ติ๊นฟัง”


ศุกลเหล่ตามองคนที่อายุน้อยกว่าเกือบรอบแต่กลับดูก๋ากั่นเกินวัย นึกหวั่นใจกับการคบเด็กสร้างบ้านกลัวจะโดนหลอกแต่เพราะเป็นเรื่องของเอกรงค์จึงหันไปรอฟังด้วยความสนใจ “ไหนลองว่ามาสิ”


“พ่อโมตื่นเต้นมากเลยนะที่จะได้มาเที่ยวกับพี่ติ๊นวันนี้”


“ไม่ต้องมาโกหกเข้าข้างกันเลย พี่ตื๊ออยู่ตั้งหลายวันกว่าเขาจะตอบตกลง”


“พ่อก็ทำฟอร์มไปอย่างนั้แหละ จริงๆ คือแลกเวรไม่ได้น่ะ อาทิตย์นี้ไม่รู้ฤกษ์ดีอะไรมีแต่คนจะไปธุระ เดิมพ่อโมวางแผนว่าจะหยุดช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พอเปลี่ยนแผนทีนี้เลยกลายเป็นต้องขึ้นเวรลากยาวมาตั้งแต่ต้นเดือน แทบไม่ได้หยุดพักเลย พี่ติ๊นก็เห็นนี่ว่าพ่อโมไม่ได้มารับมาส่งผมเพราะแค่เวลานอนยังไม่พอ เมื่อเช้าป๊าเพิ่งไปรับมาจากโรงพยาบาลแล้วปล่อยให้งีบมาในรถ”


“เพราะแบบนี้พ่อนายก็เลยหงุดหงิดฉันสินะที่ทำให้เพื่อนเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ” ศุกลลองคิดตาม “เมื่อเช้าก็เลยแกล้งหอม เอ่อ… ทำแบบนั้น”


“มากกว่านั้นอีกครับ” นภธรณ์ว่า “อาทิตย์ก่อนเป็นวันเกิดป๊า พวกเรานัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าว แล้วพ่อโมก็เบี้ยวไปขึ้นเวร”


“เอ่อ…” ศุกลไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี ถึงจะรู้สึกผิดแต่ก็ดีใจที่อีกฝ่ายเห็นว่าเรื่องของเขาสำคัญ


“พี่ติ๊นไม่ต้องคิดมากหรอกครับ” นภธรณ์รีบพูดต่อ “เราคุยกันแล้ว ป๊าไม่ได้โกรธ ส่วนผมก็โอเค อันที่จริงผมต้องขอบคุณพี่ติ๊นด้วยซ้ำเพราะนานๆ ผมจะได้กินข้าวกับป๊าสองคนสักที”


“นอฟ” จิตรกรหนุ่มเรียกเกรงๆ “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วพี่ขอถามตรงๆ เลยละกันว่าป๊านายกับโมน่ะ… ขอโทษนะเพราะพี่เห็นนายเรียกโมว่าพ่อ”


“พวกเขาเป็นแค่เพื่อนกันครับ” นภธรณ์ยืนยัน “ถ้าหากผมจะเชียร์ทั้งสองคนจริงน่ะ รับรองพี่ติ๊นไม่ได้เห็นแม้แต่ขาอ่อน สบายใจเถอะครับเห็นแบบนั้นน่ะพ่อโมเป็นคนจริงจังนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบโดนหักอกบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพ่อโมเข็ดกับความรักสักที ทั้งที่บางคนอกหักแค่ครั้งเดียวก็ไม่กล้าเริ่มต้นใหม่แล้วแท้ๆ”


เด็กหนุ่มไม่ได้เจาะจงจะว่าใครเป็นพิเศษแค่พูดเปรียบเปรยให้ฟัง แต่มันกลับกระแทกหัวใจคนอายุมากกว่าที่นั่งฟังอยู่เข้าอย่างจัง


ศุกลไม่ถามอะไรอีกและทอดสายตามองไปยังผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวเห็นเป็นระลอกคลื่นลูกเล็กๆ กระทบหาดทรายสีขาว เห็นคนที่ตอนนี้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับจังหวะการเต้นของหัวใจหยอกล้อแย่งบอลกับธีร์ธรก่อนจะแกล้งล้มลงให้เจ้าหนูตัวแสบแย่งลูกบอลไปได้ เอกรงค์ตีมือจนน้ำกระจายทำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันดูน่าสนุกจนเขาเผลอยิ้มตามไปด้วย โดยเฉพาะตอนที่ธีร์ทัศน์เข้าไปช่วยดึงมือคนอายุมากกว่าลุกขึ้นยืนแต่คลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้าฝั่งมาพอดีปะทะทั้งสองล้มลงไปนอนกลิ้งกอดกันบนผืนทราย นั่นทำให้เขานึกอยากหายตัวไปแลกที่กันเสียเดี๋ยวนี้


ดูเหมือนคนในทะเลจะรู้ตัวว่าถูกมองเมื่อทั้งสองหันมาพร้อมกัน


“นอฟ!” ธีร์ทัศน์ส่งเสียงเรียกเพื่อนพร้อมทั้งโบกมือเรียก


นภธรณ์ขยับแว่นตาเลื่อนลงมองก่อนจะตะโกนตอบออกไป “ตามสบายเลยพวก ฉันกลัวผิวเสีย”


“ติ๊น!” คราวนี้เป็นเสียงเอกรงค์ตะโกนขึ้นมา


“ผมก็...” กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เพราะคลื่นม้วนตัวกลับลงทะเลพอดีจึงทำให้เห็นรูปร่างส่วนที่เคยแช่อยู่ในน้ำ กางเกงขาสั้นเปียกชุ่มแนบเนื้อเป็นส่วนโค้งเว้าชัดเจน น้ำหนักของน้ำรั้งขอบกางเกงลงต่ำจนเห็นแนวกล้ามเนื้อแข็งแรงช่วงเชิงกราน


“ติ๊น!”


แทบไม่ต้องรอให้เสียงทุ้มนั้นเรียกซ้ำเป็นหนที่สาม ศุกลถอดเสื้อเขวี้ยงทิ้งแล้ววิ่งตัวปลิวไปทันที


“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
อ๊ายยยย คุณหมอโมคะ? สกิลและเทคกะติกของคุณหมอนี่ บอกเลยว่า .. เมพฝุดๆ ศิลปินคนซื่อแบบติ๊น ถามคำเดียว .. รับมือไหวไหม??? ฮาาาาาา โอ๊ยยย ฟินง่ะ ชอบจังฟิลผู้ใหญ่จีบกันแบบนี้ งืออออ  :-[

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ยอมแทคติคหมอโม!!!!!

คือออยั่วติ๊นให้เดินตามทางตัวเองดั่งใจมาก กรีีดดดดดด


พี่ติ๊นอย่าทนๆๆๆ รุกเยอะๆ สนองกลหมอโมหน้อย 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
หมอโมนี่ก็ฟอร์มเยอะเหมือนกันนะ
มาทะเลคราวนี้จะมีอะไรดีๆให้ลุ้นไหมนะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เล่นน้ำๆๆๆๆ กิ้วๆๆๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ปรบมือให้หมอโมเลย 555555  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
หมอโออ่อยมากกกก

รักเด็กนอฟ :)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
หมอโมแซ่บมากค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หมอโมมีการวางแผนอย่างจริงจังอ่ะ
ขอให้ถุงยางหมดนะทริปนี้ 5555555

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
มาแล้ว  วาบหวิวเล็กน้อยถึงปานกลาง  อิอิ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 7 Night


เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าก็อันตรายเกินกว่าจะเล่นน้ำต่อได้ เหล่าผู้ใหญ่จึงพาเด็กๆ ไปทานข้าวเย็นก่อนจะปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย


พวกเด็กๆ เข้าบ้านไปนั่งเล่นเกม ดูทีวี บ้างก็นอนหลับ ในขณะที่พวกผู้ใหญ่ซึ่งมีกันอยู่สี่คนปลีกวิเวกออกมานั่งล้อมวงรอบเตาปิ้งบาร์บีคิวที่ทำจากถังน้ำมันขนาดสิบสิตรผ่าครึ่งซึ่งทางที่พักจัดหาไว้ให้ พีระกำลังลำเลียงอาหารทะเลทั้งกุ้ง หอย ปืหมึกขึ้นวางบนตะแกรงหลังจากรอถ่านในเตาระอุจนได้ที่เห็นเป็นก้อนสีแดงสว่างวาบ ในขณะที่คนอื่นช่วยกันจัดโต๊ะและเตรียมน้ำจิ้ม


“เสียดายจังน่าจะมีเหล้า” ภาดลบ่นพลางเทน้ำอัดลมใส่แก้วน้ำแข็งเสิร์ฟให้ทุกคนในวง


“มีเด็กๆ มาด้วยจะมาเมาเละเทะได้ยังไงวะ” ศุกลว่า


“ก็อย่าให้เมาสิ เอาแค่กรึ่มๆ พอเป็นสีสันใช่ไหมครับคุณหมอ” ภาดลหันหาพวก


“นั่นน่ะสิครับ” เอกรงค์พยักหน้าเห็นด้วย


“คุณ!” ศุกลหันมาทำหน้าดุ


กุมารแพทย์หนุ่มหัวเราะลงคอ “ล้อเล่นน่า ใครจะไปทำจริงๆ ล่ะ”


“ไม่หิวเหรอ” ศุกลกระซิบถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะแทบไม่แตะอะไรเลยนอกจากหมึกสองสามชิ้น “กินกุ้งไหม”


“กินสิ ผมชอบกุ้งมากนะ แต่มันยังร้อนอยู่เลยว่าจะรอให้เย็นก่อน”


“ถ้ารอให้เย็นก็ไม่ทันเจ้าพวกนี้น่ะสิ” ศุกลเลื่อนจานใส่กุ้งเผามาตรงหน้าแล้วบรรจงแกะเปลือกออกจนเหลือแต่เนื้อขาวกับมันกุ้งสีแดงไหลเยิ้มดูน่ากิน จิ้มน้ำจิ้มในถ้วยแล้วยื่นไปตรงหน้า “ไม่ร้อนแล้ว”


เอกรงค์กำลังจะรับมา แต่คนแกะกุ้งกลับชักมือหนีพร้อมกับยักคิ้วครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณบอกให้กินจากมือเขา
มือขาวเอื้อมไปแอบหยิกเนื้ออ่อนตรงต้นขาแรงๆ ครั้งหนึ่งจนศุกลหน้าเหยเก ก่อนจะเหลือบตามองคนอื่นๆ เห็นพีระกับภาดลมัวแต่คุยกันอยู่อย่างออกรสโดยไม่สนใจพวกเขา จึงรีบหันมางับกุ้งทั้งตัวเข้าปากเคี้ยวหยับๆ


“อร่อยไหม” ศุกลยิ้มแก้มแทบปริ “ผมทำน้ำจิ้มเองนะ”


“อืม” เอกรงค์ชูนิ้วโป้งให้สองนิ้วแล้วหยิบกุ้งตัวต่อไปซึ่งถูกแกะไว้ให้แล้วมากินต่อ


“จิ้มเยอะขนาดนั้นไม่เผ็ดเหรอ ผมใช้พริกขี้หนูสวนนะ”


“สบายมาก” เอกรงค์ว่า “กินตอนนี้เดี๋ยวค่อยไปซี้ดตอนดึกๆ” พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาให้ครั้งหนึ่ง


คนที่กำลังแกะกุ้งอยู่ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ  พลางเอื้อมมือไปเช็ดคราบมันกุ้งที่เลอะอยู่ให้คนอายุมากกว่า เขาแตะปลายนิ้วหัวแม่โป้งลงตรงรอยบุ๋มข้างแก้มก่อนจะไล้หนักๆ ไปจนถึงมุมปาก กำลังจะดึงมือกลับก็โดนริมฝิปากนุ่มนั้นรั้งไว้


ตาคมตวัดขึ้นสบตาคู่สวยที่มองมา ปลายลิ้นตวัดเอารสหวานของมันกุ้งคืนจากปลายนิ้วพร้อมกันนั้นก็ฝากอารมณ์หวามไหวจนใจสั่นกลับคืนไปให้เป็นของตอบแทน


ศุกลดึงมือกลับมาได้ในที่สุด ได้ยินเสียงภาดลบ่นแว่วๆ มาทำนองว่าเสียดายที่ไม่ได้ซื้อหอยนางรมสดมาด้วย แต่เขากลับคิดว่าโชคดีแล้วที่ไม่ได้ซื้อมาเพราะแค่นี้ ความร้อนแรงของ ‘ทะเลเผา’ ตรงหน้าก็พาให้น้ำลายสอแล้ว


“จะว่าไปคิดถึงบรรยากาศแบบนี้จังเลยนะ” จู่ๆ พีระก็เปิดประเด็นขึ้นมา “พวกเราไม่ได้มาทะเลด้วยกันนานแล้วเนอะทั้งที่เมื่อก่อนมาบ่อยมากแท้ๆ โดยเฉพาะแกน่ะแหละไอ้ติ๊นที่เป็นตัวตั้งตัวตี คนชอบทะเล ไหงจู่ ๆ เบื่อทะเลได้วะ”


“ใช่ๆ” ภาดลเห็นด้วย “ครั้งสุดท้ายก็งานบายเนียร์โน่นเลยใช่ไหม ที่พวกเราไปฉลองกันที่เสม็ด ตอนนั้นมีไอ้ไนท์แล้วก็เพื่อนๆ ในรุ่นกับน้องๆ รวมกันเกือบสี่สิบคนมั้ง แล้วก็หน้าหนาวแบบนี้แหละ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสด ทะเลงี้ใสแจ๋วจนเห็นแนวปะการัง มันยังสวยติดตาฉันมาจนมาถึงทุกวันนี้เลยว่ะ”


“อืม” ศุกลพยักหน้าและปล่อยให้ความทรงจำในช่วงเวลานั้นกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง


“ตกกลางคืนก็กินเหล้าเมาเละเทะ ฉันยังจำได้อยู่เลยว่าตื่นมาตอนเช้าไปนอนกอดขวดเหล้าอยู่ใต้ต้นมะพร้าว” พีระเล่าต่อ


“ของแกยังดีไอ้พี เป็นขวดเหล้ากับต้นมะพร้าวฉันนี่เกือบเสียตัวให้คุณนวล”


“ใครคือคุณนวลวะ สวยไหม? ทำไมฉันจำไม่ได้วะ” พีระเกาหัวแกรก “ฉันจำได้แค่ว่าแกหายไปแล้วก็กลับมาตอนเช้า”


“สวยเสยอะไรล่ะ คุณนวล หมาเจ้าของรีสอร์ทไง ไม่รู้ไปมุดกรงมันอีท่าไหน ดีนะเจ้าของเขาไม่เอาปืนมาไล่ยิง” ภาดลเฉลยความลับที่เก็บงำมาหลายปี


ทุกคนพากันหัวเราะครืนก่อนที่เอกรงค์จะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้


“แล้วติ๊นล่ะ”


เพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหันมาหาคนสุดท้ายในกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่มีวีรกรรมอะไรเลย


“เออว่ะ” พีระพึมพำ “ตอนนั้นแกหายหัวไปไหนวะ ฉันจำได้แค่ว่าเห็นแกกับไอ้ไนท์หายไปเข้าห้องน้ำกันสองคน แต่ขากลับมามีแค่ไนท์คนเดียว”


“ฉันง่วงก็เลยหนีไปนอนน่ะ” ศุกลบอกเรียบๆ


“ไอ้บ้านี่ทิ้งเพื่อนนี่หว่า” ภาดลแกล้งทำท่าฟันศอกใส่หยอกๆ


“ก็ไม่อยากไปแย่งคุณนวลจากคนบางคน” ศุกลพูดยิ้มๆ


“แล้วตั้งแต่นั้นมากลุ่มเราก็ไม่เคยไปทะเลด้วยกันอีกเลย” พีระสรุป


ภาดลวางแก้วพร้อมกับโบกมือไม่เห็นด้วย “แกพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะเว้ยไอ้พี พวกเราสามคนยังมาด้วยกันตลอดมีแต่ไอ้ติ๊นคนเดียวนี่แหละที่ชวนเท่าไรก็ไม่ยอมมา”


พีระตบตักฉาด “ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสนี้ต้อนรับติ๊นกลับสู่ทะเลอีกครั้ง มา! ชนแก้ว!!!” แล้วชูแก้วขึ้นในอากาศ คนอื่นๆ พากันทำตามรวมทั้งเอกรงค์ที่นั่งขำไม่หยุดกับท่าทางเหมือนคนเมาดิบของสองเพื่อนซี้ทั้งที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมสักนิด


แต่ทันทีที่ลดแก้วลง รอยยิ้มก็พลันเลือนหายไปจากหน้าของกุมารแพทย์หนุ่ม นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ก้อนน้ำแข็งในแก้วซึ่งถือค้างไว้ ริมฝีปากขบเม้มซ้ำไปซ้ำมาด้วยตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอ่ยออกไปดีหรือไม่ แล้วก็คิดได้ว่าถึงจะลำบากใจแต่ก็ไม่ควรให้อะไรมันคาราคาซังไปแบบนี้ เขาสะกิดเข้าที่ต้นขาคนนั่งข้างๆ ก่อนจะกระซิบที่ได้ยินกันแค่สองคน “คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอ”


“ก็…” ศุกลเงียบไป เขาคิดว่าเข้าใจคำถามแต่ยังไม่รู้จะตอบยังไง


“กับไนท์” เมื่อไม่ได้คำตอบเอกรงค์จึงถามคำถามให้ยาวขึ้นกว่าเดิม “ใช่ไหม เขาคือ ‘เพื่อนสนิท’ คนที่ติ๊นเคยพูดถึงใช่ไหม”


“ครับ” ศุกลพยักหน้ารับ “ผมบอกรักเขาวันนั้น แล้วมันก็จบลงทันทีตอนที่เขาบอกว่าเขาคิดกับผมแค่เพื่อนกันและเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว”


“ติ๊นยังไม่ลืมเขาใช่ไหม”


ศุกลนิ่งไปอึดใจก่อนจะตัดสินใจตอบอย่างตรงไปตรงมา “ครับ”


เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสอง เสี้ยวนาทีที่ปราศจากสุ้มเสียงใดนั้นเองที่สายน้ำส่งเสียงครืนครางราวกับจะตอกย้ำบางสิ่ง


“ทะเลตอนกลางคืน…” เอกรงค์รำพึงกับตัวเองในใจ “กลางคืน…” แล้วริมฝีปากก็เม้มสนิทเข้าหากันเมื่อสมองดันประมวลผลลัพท์ที่ไม่เข้าท่า


ถ้าหากนี่คือการมาในสถานที่แห่งความหลัง… ถ้าหากว่าทะเลในตอนกลางคืนนั้นมีความหมายถึงผู้ชายคนนั้น…


‘คนที่ไม่เคยลืม’


ประกอบกับภาพของความสนิทสนม และสายตาเอื้ออาทรที่สองคนมีให้กันซึ่งได้เห็นมาด้วยตาตนเองตอนที่รัตติเขตช่วยไปเป็นแบบวาดรูปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ความรู้สึกเจ็บก็แล่นปราดขึ้นมาในอก


“มีอะไรครับ” ศุกลถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปและในความมืดสลัวก็คล้ายๆ กับเห็นว่าสีหน้านั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก


“เปล่า” เอกรงค์รีบปฏิเสธ “ท่าทางผมจะเมามันกุ้งน่ะ ขอตัวไปเดินรับลมหน่อยนะ”


“ไปสิ เดี๋ยวผมไปเป็น…”


“ผมอยากไปคนเดียว” กุมารแพทย์หนุ่มยกมือห้ามเป็นการยืนยันคำพูดพร้อมกับลุกเดินจากไป


นัยน์ตาสีเข้มมองตามแผ่นหลังร่างโปร่งที่ค่อยๆ ถูกความมืดกลืนหาย ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่เขาไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรในเมื่อต้องยอมรับจนหมดใจว่านั่นคือความจริงที่เขายังคงคิดถึงรัตติเขตอยู่ กระนั้นก็ยังอยากพิสูจน์ให้เห็นเช่นกันว่าเขาก็พร้อมที่จะเปิดหัวใจให้ใครสักคนเข้ามา และใครคนนั้นก็คือคนที่เพิ่งจะเดินจากไปนั่นเอง


ศุกลครุ่นคิดอย่างร้อนรนพลางชะเง้อคอมองคนที่หายไปนานสองนาน กำลังคิดว่าจะลุกไปตามหูก็แว่วได้ยินเสียงกีตาร์โปร่งลอยมาตามลม นัยน์ตาสีเข้มหันไปเห็นที่มาของเสียงซึ่งก็คือกลุ่มนักศึกษาที่พักอยู่บังกะโลหลังถัดออกไปกำลังล้อมวงร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน





“ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ ดูสิพ่อโมเดินงอนไปโน่นแล้ว” นภธรณ์ที่ยังไม่นอนและเกาะขอบหน้าต่างบังกะโลสังเกตุการณ์อยู่ตลอดบ่นงึมงำ


“นั่นสิ” ธีร์ทัศน์ซึ่งแอบดูอยู่ด้วยกันพยักหน้า “แล้วทางนี้ก็ไม่คิดจะง้อด้วยนะ อ้าวๆๆๆ แล้วนั่นเดินไปทางไหนล่ะพี่ติ๊น หมอโมเขาเดินไปอีกทางไม่ใช่หรือไง”


“พี่ติ๊นของนายนี่ไม่ได้เรื่องเลย”


“แล้วทีนี้แผนการที่จะทำให้ทั้งสองคนร้อนรนเพราะโดนจับแยกห้องของเราก็ยิ่งเหลวเป๋วน่ะสิ”


“ก็นั่นน่ะสิ” นภธรณ์ถอนหายใจ “แบบนี้ไม่ได้คุยกันยันเช้าแน่ๆ สงสัยเราต้องเปลี่ยนแผนแล้วละ”


“นั่นสิ แล้วนายจะเอาไง” ธีร์ทัศน์ถามคนต้นคิดและเพราะเป็นแผนการ18+++ แบบอันคัทพวกเขาจึงต้องตัดเจ้าตัวเล็กออกไปชั่วคราว


“ก็ไม่ยังไง ตอนนี้ธรนอนหลับไปแล้ว นายไม่อยากกวนน้องก็เลยหอบเกมมาเล่นกับฉันที่ห้อง เดี๋ยวที่เหลือฉันดราม่าเอง”


“แล้วถ้าหมอโมอาสาไปนอนกับธรเองล่ะ”


นภธรณ์นิ่วหน้าคิดอยู่อึดใจ “เท่าที่ฉันรู้จักพ่อโมมา… ถ้าธรหลับไปแล้วพ่อโมน่าจะเกรงใจจนไม่กล้ากวนนะ ที่น่ากลัวมากกว่าน่ะคือถ้าโกรธจริงๆ พ่อโมจะนอนโซฟาไม่ก็ยอมไปนอนตากยุงข้างนอกโน่นเลย”


“แบบนี้ก็เรื่องใหญ่น่ะสิ” ธีร์ทัศน์เริ่มคิดหนัก “ถ้าดูแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น ฉันก็แค่กลับห้องไปนอนกับน้อง หมอโมก็จะไม่ต้องนอนข้างนอก แล้ว… แล้ว… แล้วยังไงต่อล่ะนอฟ พวกเขาสองคนก็ยังทะเลาะกันอยู่ดี”


“ถ้าอย่างนั้นเราก็ใช้แผน C ไง”


“อะไรวะ” ธีร์ทัศน์ยิ่งงงหนักกว่าเดิม แผน B ยังไม่มีแล้วแผน C มันโผล่มาตอนไหน


“ช่างมัน!” นภธรณ์สรุปง่ายๆ “ทะเลาะกันเองก็หัดง้อกันเองละกัน วุ้ย! โตๆ กันแล้วทำไมต้องมาเป็นภาระเราด้วยเนี่ย”


“นั่นน่ะสิ”


เด็กหนุ่มสองคนกอดอกแล้วถอนหายใจพร้อมกันก่อนจะหันไปเกาะขอบหน้าต่างแอบดูสถานการณ์ต่อไป





เท้าย่ำหนักๆ ไปบนผืนทรายอย่างสะเปะสะเปะตามจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่มั่นคง


จริงอย่างที่ปรเมษฐ์เคยว่าไว้… เขามันคนใจง่าย หลงรักใครง่ายดายเกินไป เชื่อว่าการที่ได้พบใครสักคนเป็นพรหมลิขิต ทุ่มเทให้เต็มร้อยเพราะคิดว่านี่จะเป็นรักสุดท้าย ด้วยเหตุนี้ถึงได้เจอกับความรักที่ผิดหวังมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยหลาบจำ เมื่อหัวใจยังคงเชื่อมั่นว่าจะเจอใครสักคนที่รักเขาจริงๆ


ลมหายใจเริ่มปั่นป่วนเพราะความเหนื่อย ฝีเท้าก็หยุดลงในที่สุด นัยน์ตาทอดมองไปบนท้องฟ้าเวิ้งว้างว่างเปล่าที่แผ่ออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ในสถานที่ซึ่งไร้ตึกรามบ้านช่องและแสงไฟจากหลอดนีออนทำให้แสงดาวดวงเล็กๆ ดูโดดเด่นระยิบระยับ มันช่างไร้เหตุผลจริงๆ กับการที่จะตกหลุมรักคนแปลกหน้าในต่างแดน และมันยิ่งยากขึ้นไปอีกที่จะได้รักกัน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เอกรงค์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


…นั่นน่ะสินะ ในเมื่อแค่นี้มันก็ยากพออยู่แล้ว แล้วจะมาทำให้เรื่องมันยากขึ้นไปอีกทำไม…


ในที่สุดใจก็เริ่มเย็นลงปล่อยความน้อยเนื้อต่ำใจค่อยๆ ปลิวหายไปกับสายลม กุมารแพทย์หนุ่มเดินย้อนกลับไปตามทางพลันหูก็แว่วทำนองเพลงที่เคยฟังดังคลอมากับเสียงกีตาร์โปร่ง หากนั่นก็ยังไม่คุ้นเท่าเสียงทุ้มที่กำลังขับขานบทเพลงนั้น


“อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล ว่าสิ่งที่ทำให้คนรักกัน หรือเป็นเพียงเพราะรอยยิ้ม...รอยนั้นเมื่อวันแรกเจอ…”


ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้อง แต่หัวใจกลับโลดแล่นสวนทางกับโน้ตดนตรีที่เนิบช้า และเมื่อเข้าไปใกล้มากพอในระยะหนึ่งสายตาก็ได้เห็นว่าใครเป็นคนขับร้องบทเพลงนั้น


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ศุกลนั่งไขว้ห้างลงบนเก้าอี้ผ้าใบมือทั้งสองประคองกีตาร์โปร่งตัวที่ไปหยิบยืมมาจากกลุ่มนักศึกษาลงบนต้นขาอย่างนุ่มนวล เขาค่อยวางปลายนิ้วลงบนสายพลางหลับตาลงเพื่อนึกถึงตัวโน้ตในแต่ละห้องของบทเพลงที่อยู่ในความทรงจำ ริมฝีปากฮึมฮัมเป็นทำนองอยู่ครู่หนึ่งจนเริ่มมั่นใจก่อนปลายนิ้วจะค่อยๆ กรีดลงไปบนสายกีตาร์แล้วริมฝีปากก็เริ่มถ่ายทอดเนื้อเพลงที่เขาขอใช้แทนความรู้สึกของหัวใจในตอนนี้ ฝากผ่านสายลมช่วยไปกระซิบบอกให้ใครคนนั้นได้ยินที


เอกรงค์ยืนเงียบฟังอยู่ใต้เงาของความมืด แล้วริมฝีปากก็ค่อยเหยียดออกช้าๆ และกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนร้องเงยหน้าขึ้นมาเห็นและบังเอิญสบตากันพอดี


กุมารแพทย์หนุ่มทำเป็นเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าตรงจุดนั้นไม่มีใครยืนอยู่อีกแล้วนอกจากเขา เห็นคนดีดกีตาร์แอบพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ ส่งมาให้เป็นเชิงบอก


‘ให้คุณน่ะแหละครับ’


เอกรงค์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้าซ่อนยิ้มกว้างที่ทำเอาแก้มแทบแตก หากยังแอบกางนิ้วห่างๆ ไว้แอบสบตากันเป็นระยะ
เขารอให้ตัวโน้ตสุดท้ายปลิวหายไปกับสายลมและศุกลส่งกีตาร์คืนให้นักศึกษาเรียบร้อยจึงปั้นหน้านิ่งเดินเข้าไปหา


“พี่ร้องเพราะจังวันหลังมาร้องด้วยกันอีกนะครับ” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาบอก


“ขอบคุณที่ให้ยืมนะ” ศุกลกล่าวขอบคุณอีกครั้งพลางโบกมือส่งบรรดาหนุ่มๆ ที่เดินกลับไปยังบังกะโลของตน


“อ้าว คุณหมอกลับมาแล้วเหรอครับ” พีระทัก “เสียดายจังเมื่อกี้ไอ้ติ๊นมันร้องเพลง คุณหมอมาฟังไม่ทัน ถึงหน้ามันจะเหมือนหมาแต่เสียงนี่หวานเหมือนนกเลยนะครับ”


“หวานขนาดนั้นเลยเหรอ” เอกรงค์ถามยิ้มๆ “ชักอยากจะฟังซะแล้วสิ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ขอซื้อตัวไปร้องให้ฟังก่อนนอนสักเพลงได้ไหม”


“ไม่ต้องซื้อหรอกครับคุณหมอ พวกผมยกให้เลย ไหนๆ ก็นอนบ้านเดียวกันแล้ว”


“แต่อย่าเสียงดังนักล่ะติ๊นเดี๋ยวจะปลุกเด็กๆ ตื่นหมด” ภาดลสำทับ


เอกรงค์หัวเราะคิกคักในลำคอพลางชำเลืองมองคนข้างตัวทางหางตา “ขอโทษนะครับ ผมง่วงแล้วขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”


“เชิญตามสบายเลยครับ” ภาดลว่า


“ฉันก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” ศุกลรีบบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน “นี่ก็ดึกแล้วพวกแกก็ไปนอนได้แล้วมั้ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”


“ขอเป๊บซี่หมดขวดนี้ก่อนแล้วจะไป” พีระโบกมือไล่แล้วหันไปชนแก้วกับเพื่อนต่อ


ทั้งสองหันหลังให้ทะเลที่ตอนนี้เป็นเพียงสีดำมืดคงมีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าตรงนั้นมีทะเลอยู่ เหมือนกับคนสองคนที่แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รับรู้ถึงกันและกันได้ผ่านไอความร้อนบางๆ ที่สัมผัสผ่านหัวไหล่กับหลังมือที่บังเอิญมาแตะโดนกันเป็นระยะ


“ง่วงแล้วเหรอ” ศุกลทำลายความเงียบขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้อง


“ก็พูดอยู่” เอกรงค์บอกพลางยกมือขึ้นกำลูกบิดห้องของตนซึ่งอยู่ติดกัน


ศุกลเหลียวมองด้วยหางตา เห็นมือเรียวกำลังหมุนลูกบิดช้าๆ ฟันขาวขบลงบนริมฝีปากแน่น… ต้องทำอย่างไรถึงจะยื้อเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันสองคนไว้ให้นานกว่านี้


ยังไม่ทันจะได้คำตอบอีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาเสียก่อน


“เปิดไม่ได้”


“โมว่าไงนะ”


“ประตูเปิดไม่ได้” เอกรงค์พูดซ้ำพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายที่เดินเข้ามาช่วยดู


ศุกลวางมือลงบนลูกบิดและขยับก๊อกแก๊กอยู่สองสามครั้งโดยหารู้ไม่ว่าอีกฟากของบานประตูนั้นมีสองแสบนั่งหัวชนกันปิดปากหัวเราะคิกคักทั้งยังพิงประตูไว้เพื่อให้ได้ว่าจะไม่มีใครผ่านเข้ามาได้ “ไม่ได้ติดอะไรหรอก เหมือนจะล็อกไว้มากกว่า”


เอกรงค์ขยับตัวมายืนหน้าประตูอีกครั้งพร้อมกับยกมือขึ้น


“โมจะทำอะไร” ศุกลถามพร้อมกับรั้งข้อมือที่กำลังจะสัมผัสบานประตูไว้ได้ทันพอดี


“ก็เรียกให้นอฟมาเปิดไง”


“ล็อกประตูหนีแบบนี้ โมเดาไม่ออกเหรอว่าวันนี้ลูกชายไม่ได้อยากให้นอนด้วย”


“แล้วติ๊นจะให้ผมไปนอนที่ไหน”


ท่อนแขนแกร่งคล้องหลวมๆ ลงรอบเอวสอบจากทางด้านหลังแล้วรั้งให้มาชิดอก ศุกลวางคางเกยลงบนบ่าแล้วกระซิบที่ข้างหู “ต้องถามด้วยเหรอ”


“ต้องถามสิ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของห้องเขาจะเต็มใจให้นอนด้วยหรือเปล่า” บอกอย่างไว้เชิงทั้งที่หัวใจโดดเข้าไปนั่งรอบนเตียงเรียบร้อยแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นตอบเลยว่าไม่เต็มใจ”


“อ้าว” เอกรงค์ร้องฮือ จะหันไปต่อว่าก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ริมฝีปากหยักนั้นฉกปิดลงมาพอดี


“เพราะผมไม่อยากให้นอน” กระซิบกับริมฝีปากนุ่มที่ยังคงคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง “หรือโมคิดว่าไงครับ”


คนในอ้อมแขนไม่ตอบเพียงแต่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนอกกว้างเต็มที่พร้อมกับสอดมือเข้าที่หลังศีรษะแล้วโน้มคออีกฝ่ายลงมาจูบ...
ทันที่ที่ประตูปิดลงสองร่างทาบทับกันอยู่บนเตียงใหญ่ แต่ส่วนที่แนบสนิทจนไร้ช่องว่างเห็นจะเป็นริมฝีปากที่ราวกับมีแม่เหล็กคนละขั้วติดกัน ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดหาความหวานราวกับมีน้ำผึ้งป่าซ่อนอยู่


“ได้ข่าวว่ายอมอดหลับอดนอนขึ้นเวรเพื่อมาเที่ยวกับผมเหรอ” จิตรกรหนุ่มกระซิบถามเมื่อผละออกจากริมฝีปากแดงช้ำจากการบดขยี้ของตนพลางเคลื่อนตัวลงต่ำ


คนถูกเผยความลับตาโตด้วยความตกใจ “ติ๊นรู้ได้ยังไง เจ้านอฟบอกใช่ไหม ปากสว่างจริงๆ เลย อุตส่าห์ย้ำแล้วนะว่าอย่าบอก พอกันเลยทั้งพ่อทั้งลูก”


“ทำไมผมถึงไม่ควรจะรู้เรื่องนี้ล่ะ” ศุกลถาม


“ก็มันดูไม่เท่นี่นา”


“อะไรคือเท่ การที่โมยอมทำเพื่อผมถึงขนาดนี้ต่างหากที่เท่จนทำให้ผมใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย”


“ไม่ต้องมาพูดเอาใจ”


“ถ้าอย่างนั้นไม่เอาใจ แต่…” ตาคมละจากนัยน์ตาคู่สวยหลุบมองลงต่ำ ผ่านริมฝีปากของคนที่อยู่ตรงหน้า ผ่านหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะไปจนถึงเรียวขายาวที่แอบมองมาตั้งแต่เช้า แล้วตวัดกลับขึ้นมาสบสายตา “เอาอย่างอื่นแทนได้ไหม”


“อะไร” เอกรงค์ถามกลับ


ศุกลยกตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรวบข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วยกขึ้นกดไว้เหนือศีรษะราวกับบอกเป็นนัยว่าตอนนี้ได้ตกเป็นจำเลยของเขาแล้ว


“ชอบแบบนี้เหรอ” คนอยู่ข้างล่างถามยิ้มๆ


“ไม่ได้ชอบ แต่ต้องกันไว้ก่อน”


“ยังไง”


คิ้วเข้มขมวดมุ่นเจ้าหากัน “ก็แบบว่า…”


“แบบนี้เหรอ?” สิ้นคำ เอกรงค์ก็พลิกตัวกลับรวดเร็ว กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งคู่สลับตำแหน่งกันเสียแล้ว ร่างโปร่งทิ้งน้ำหนักตัวนั่งคร่อมลงบนหน้าขาแข็งแรงนั้นเต็มที่พลางใช้มือข้างเดียวดึงเสื้อยืดออกทางศีรษะแล้วโยนทิ้งลงข้างเตียง


“จะทำอะไรครับ ไหนโมเคยบอกว่าจะยอมให้ผมตีไง”


“เปลี่ยนใจแล้ว” คนที่พลิกเป็นฝ่ายคุมเกมกรีดยิ้มพราย “ผมจะทำให้ติ๊นลืมเขา”


ศุกลมองรอยบุ๋มที่กดลงข้างแก้ม มือใหญ่เอื้อมขึ้นรั้งรอบกรอบหน้า ใช้ปลายนิ้วโป้งแตะไล้เสี้ยวพระจันทร์ราวกับอยากจะขโมยยิ้มมีเสน่ห์นี้มาไว้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว


เขาลากฝ่ามือช้าๆ ลงมาตามลำคอระหงผ่านหน้าอกที่เห็นเป็นกล้ามสวยมาจนถึงจุดเดียวที่ดูจะอ่อนไหวมากที่สุด และทันทีที่ปลายนิ้วแข็งเย็นแตะลงไป ก็ราวกับไปกดปุ่มให้ร่างโปร่งนั้นสั่นสะท้าน ยิ่งปลายนิ้วเสียดสีจนเกิดความร้อนมือเรียวที่กำคอเสื้อของเขาก็คลายออกช้าๆ แล้วเปลี่ยนมาเป็นจิกหัวไหล่ทั้งสองของเขาไว้แน่น


จิตรกรหนุ่มไม่ปล่อยเวลาให้เลยผ่าน เขาดันตัวขึ้นจากเตียงมือเลื่อนลงจับสะโพกแล้วรั้งต้นขาเรียวนั้นให้เปลี่ยนมาเกี่ยวรอบเอวเขาไว้แทน ในขณะที่ริมฝีปากเข้าครอบครองจุดที่ปลายนิ้วสัมผัสอยู่เมื่อครู่


“ติ๊น…”


“วันนี้ผมไม่ยอมให้โมมายั่วแล้วทิ้งไปดื้อๆ แบบคราวที่แล้วหรอกนะ” กระซิบทั้งที่ยังไม่คลายริมฝีปากจากยอดเนื้ออ่อนที่เริ่มเป็นไตแข็ง


“ไม่ได้จะหนีสักหน่อย” เสียงหวานเริ่มแตกพร่า เอกรงค์แข็งใจขยุ้มมือลงบนเรือนผมนุ่มเล้วรั้งศีรษะอีกฝ่ายออกจากอก “ผมลืมหยิบถุงยางมาจากกระเป๋าที่ห้อง”


ตาคมตวัดขึ้นมอง ก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเอาของที่ถามหาออกมา “คิดว่าซื้อมาคนเดียวหรือไง”


“น… นี่พกของแบบนี้ติดตัวตลอดเวลาเลยเหรอ”


“แค่วันนี้แหละ” จิตรกรหนุ่มใช้ฟันคาบมุมซองไว้เพื่อที่จะได้เหลือมือข้างหนึ่งดึงเสื้อของตัวเองออกบ้าง เขาโยนมันลงไปกองข้างตัวที่ถูกเจ้าของทิ้งไปก่อนหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่จ้องเขาไม่วางตา “ผมถอดให้แบบแฟร์ๆ แล้วนะ คราวนี้โมไม่มีอะไรมาอ้างได้แล้วนะ





เด็กหนุ่มสองคนในห้องที่อยู่ติดกันเคลื่อนกำลังพลจากหลังประตูมาซุ่มดักฟังอยู่ข้างกำแพง


“เงียบเลย ทำอะไรกันอยู่วะ” ธีร์ทัศน์แนบใบหูสนิทกับผนังปูนในขณะที่นภธรณ์อาศัยตัวช่วยเป็นกระดาษม้วนเป็นกรวยหากมันก็ไม่ได้ช่วยให้เสียงที่อยากได้ยินชัดขึ้นเลยสักนิด


“นั่นน่ะสิ”


“สงสัยจะนอนกันไปแล้วมั้ง”


“จับมือ มองตา นอนคุยกันจนฟ้าสาง” นภธรณ์ต่อให้ “ถ้าทำแบบนั้นจริงเราก็เลิกเชียร์แล้วเปลี่ยนเป็นอนุโมทนาบุญส่งสองคนนั่นไปบวชเถอะ เรื่องแบบนี้แม้แต่เด็กยังคิดได้เลยปะ”


“เด็กเปรตน่ะสิ”


นภธรณ์ฟาดมือใส่ศีรษะผู้ร่วมขบวนการไปหนึ่งทีโดนฐานกวนประสาท “เฮ้ย! เงียบๆ ฟังสิๆ เหมือนจะมีอะไรเคลื่อนไหวแล้ว โอ๊ย! ฟังไม่ชัดเลยทำไงดีวะ”


“ลองไปดูที่หน้าต่างไหม” ธีร์ทัศน์เสนอพลางบุ้ยใบ้ออกไปด้านนอกซึ่งเป็นระเบียงแคบๆ ไว้สำหรับวางคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศ


“แคบแบบนี้จะไหวเรอะ” นภธรณ์ว่าเพราะชะโงกหน้าออกไปมองเห็นพื้นที่เหลือพอแค่ให้วางเท้าได้เท่านั้น


“ลูกคุณหนู” ธีร์ทัศน์ยันตัวขึ้นบนขอบหน้าต่างก่อนจะปีนข้ามลงไปอย่างดาย


“อะไร! นายว่าใครลูกคุณหนูวะทัศน์” คนโดนปรามาสเริ่มฉุน นภธรณ์ยันมือลงบนกรอบหน้าต่างที่สูงถึงกลางอก พยายามจะดันตัวข้ามไป แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนที่อีกคนเพิ่งจะทำเลย เด็กหนุ่มเหลียวมองซ้ายแลขวาหาตัวช่วยก่อนจะลากเก้าอี้มาวางใต้ขอบหน้าต่างแล้วปีนขึ้นไป


“มาเร็ว” ธีร์ทัศน์เร่งพร้อมกับส่งมือให้





เสียงก๊อกแก๊กที่นอกหน้าต่างปลุกเด็กชายที่นอนหลับอยู่ให้ห้องข้างๆ ให้ตื่นขึ้นมา


ธีร์ธรใช้หลังมือขยี้ตาพลางลุกขึ้นนั่งและกวาดตามองหาพี่ชาย “พี่ทัศน์”


ส่งเสียงเรียกไปในความมืด หากก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ นอกจากเสียงของตัวเองที่สะท้อนกลับไปกลับมาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
เด็กชายห่อตัวในโปงผ้าเหลือแต่ลูกตา เริ่มใจคอไม่ดีเมื่อรู้ตัวว่าถูกทิ้งให้อยู่ลำพังในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านของตน


“พี่ทัศน์” ส่งเสียงเรียกออกไปอีกครั้ง แต่ตำตอบก็ยังเป็นความเงียบจนชวนขนลุกเช่นเคย จะมีก็แค่เพียงเสียงก๊อกแก๊กจากนอกหน้าต่าง


คนตัวเล็กมองหาที่มาของเสียงหวาดๆ แล้วทันใดนั้นเงาสีดำทะมึนก็ทาบทับลงมาบนกระจก มันมีรูปร่างคล้ายคนตัวใหญ่ เพียงแต่มีสี่แขน และ… และ… สองหัว…


“พี่ทัศน์?...” เสียงของเด็กชายขาดหายก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสะอื้นและร้องตะโกนสุดเสียง “ผีหลอกกกกก!”





“เสียงธรนี่เกิดอะไรขึ้น” ธีร์ทัศน์บอกอย่างร้อนรนเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของน้องชาย เขาดันอกนภธรณ์อย่างแรงให้ถอยกลับเข้าไปในห้องจนอีกฝ่ายเสียหลักตกจากเก้าอี้และคว้าคอเสื้อเขาล้มกลิ้งลงมาด้วยกัน


โครม!


“ไอ้บ้า! ทำบ้าอะไรวะ” นภธรณ์บ่นกับคนที่นอนทับอยู่บนตัว ทั้งจุกและเจ็บไปทั้งหลัง


“ธรร้องไห้ ฉันต้องรีบไปดูน้อง”





เสียงโครมที่ดังมาจากห้องข้างๆ ยิ่งทำให้เด็กชายขวัญเสีย เมื่อเรียกหาเท่าใดพี่ชายก็ไม่มาเขาก็วิ่งแผล็วล้มลุกคลุกคลานลงจากเตียงไปที่ประตู พยายามจะดึงเปิดออกแต่มือเล็กๆ นั้นก็สั่นจนเกินจะควบคุม


“พี่ทัศน์! พี่ทัศน์ช่วยธรด้วย… ฮืออออ”


ประตูห้องเปิดผัวะออก เจ้าของชื่อใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อเห็นน้ำหูน้ำตาน้องชายที่ไหลอาบสองแก้ม


“ธรเป็นอะไร”


เสียงของพี่ชายเพียงคนเดียวเหมือนสวรรค์มาโปรด ธีร์ธรโผเข้ากอดเอวพี่ชายแน่น “พี่ทัศน์ช่วยด้วย ผีหลอก”


“ธ… ธรว่าไงนะ”


“ผีหลอก!”


ไม่รอให้เด็กชายพูดซ้ำสอง คนที่กลัวผีจนขึ้นสมองเผ่นแน่บไปหาผู้ปกครองของตนทันที


“พ่อโม!”





“เดี๋ยวก่อนติ๊น” เอกรงค์ใช้สันมือดันหน้าผากคนที่นัวเนียอยู่บนหน้าอกให้ออกห่าง “เสียงอะไรน่ะ”


ทั้งสองสบตากันเลิ่กลั่กยังไม่ทันจะได้คิดอะไร เสียงรัวมือก็ดังลงบนประตูพร้อมๆ กับเสียงตะโกนเรียกดังลั่น


“พ่อโมเปิดประตูหน่อย!”


“พี่ติ๊นนนน!”


“แง!”


“เกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ” เอกรงค์ผลักคนตัวสูงจนหงายหลังก่อนจะกระโดดลงจากเตียง เขาคว้าเสื้อยืดที่ตกอยู่บนพื้นมาสวมเพื่อซ่อนรอยที่ใครบางคนฝากไว้แล้วพุ่งไปที่ประตู


“อะไรกันเด็กๆ”


นภธรณ์พุ่งเข้ากอดพ่อโมของตนเต็มวงแขนปากก็โวยวายไปด้วย “ผีอะ ผีหลอก!”


“ขอนอนด้วยคนนะครับ” ธีร์ทัศน์หน้าซีด เขาเองก็กลัวจนขาสั่นไม่แพ้กันในขณะที่เจ้าตัวแสบในอ้อมแขนเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว


“ไม่มีอะไรหรอกเด็กๆ เดี๋ยวพี่ไปดูให้นะ” ศุกลที่ใส่เสื้อเรียบร้อยแล้วเดินตามออกมา เขาทำท่าจะออกไปแต่กุมารแพทย์หนุ่มยกมือปรามไว้พร้อมกับส่งสายตาบอกให้ปลอบทุกคนก่อน จิตรกรหนุ่มจึงย่อตัวลงเพื่อให้ตัวเสมอกับคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม “ธรไม่เป็นอะไรนะครับ”


“ธ… ธร… กลัวผีครับพี่ติ๊น” ตอบทั้งที่ยังสะอื้นฮัก


“ไม่เป็นไรนะครับ พี่ทัศน์ก็อยู่ พี่นอฟ หมอโมแล้วก็พี่ติ๊นด้วย ผีไม่มาหลอกแล้วครับ ธรหยุดร้องนะเดี๋ยวพี่พาไปนอน”


“ไม่เอา” เด็กชายร้องลั่นพร้อมกับกอดเอวพี่ชายแน่นขึ้นอีก


“พ่อโม”


เสียงหวานของคนขี้แยที่ดังอู้อี้อยู่บนหัวไหล่ทำให้กุมารแพทย์หนุ่มถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปดึงประตูเปิดให้กว้างขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็นอนด้วยกันหมดนี่เลยละกัน”


“โม?” ศุกลทำปากขมุบขมิบเรียก


เอกรงค์หันไปสบตาจิตรกรหนุ่มที่ส่งค้อนวงใหญ่มาให้ เขาหรี่ตาลงคล้ายจะดุพลางยกสองแขนขึ้นลูบไหล่ลูบหลังเด็กหนุ่มที่กอดเอวไว้แน่น “ไปนอนกันเถอะครับเด็กๆ”


ถึงจะแสนเสียดายจนอกจะแตกมากแค่ไหน แต่เมื่อศุกลเห็นสายตาอ่อนโยนของกุมารแพทย์หนุ่มยามกอดปลอบเด็กพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ทีละคนหัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วกลับแรงขึ้นไปอีกหากด้วยจังหวะที่ต่างไปจากเดิม ยิ่งยามริมฝีปากแต้มรอยบุ๋มชัด เขาก็คลี่ยิ้มกว้างตามไปโดยไม่รู้ตัว ศุกลไม่ว่าอะไรอีกและเดินออกจากห้องไปขนหมอนกับผ้าห่มจากห้องข้างๆ มาให้พอดีกับจำนวนคน


เตียงใหญ่แคบไปถนัดเมื่อมีคนนอนเบียดกันถึงห้าคน นภธรณ์หลับไปทั้งที่ยังคงโอบเอวเอกรงค์ไว้แน่น ในขณะที่สองแสบกอดแขนจิตกรหนุ่มไว้คนละข้างจนไม่อาจขยับตัวได้


ทั้งสองคนที่ยังไม่อาจข่มตาหลับนอนสบตากันในความมืด


“ขอโทษนะ” เอกรงค์กระซิบพลางยกแขนข้างที่ว่างเอื้อมข้ามตัวธีร์ธรไปแตะมือลงบนผิวแก้มคนที่ดูจะผิดหวังไม่น้อย “วันหลังจะชดเชยให้นะ”


ศุกลแกล้งทำเป็นงอนไม่ตอบ เอกรงค์จึงไล้ปลายนิ้วเบาๆ ไปตามริมฝีปากหวังจะง้อให้ยิ้ม


นัยน์ตาจริงจังหลุบลงมองปลายนิ้วเรียวที่เกาอยู่ข้างแก้มราวกับเขาเป็นเด็กทารกก่อนจะหันไปงับไว้ด้วยความมันเขี้ยว เขาแกล้งขบเรียวนิ้วนั้นเล่นเบาๆ ในขณะที่ยังทิ้งสายตาให้สบกันไว้ เห็นแววตาขี้เล่นวูบไหวจึงใช้ทั้งริมฝีปากและปลายลิ้นดูดดึงราวกับกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง


“ติ๊น!” เอกรงค์กระซิบเสียงพร่าด้วยอารมณ์หวามไหมที่ติดขึ้นอีกครั้งยิ่งนานไปยิ่งเผลอคล้อยตามจนปล่อยให้ปลายลิ้นแลบเลียลึกจนถึงโคนนิ้ว เขากลั้นใจดึงมือออกและไม่ลืมตีแก้มคนลามกไปครั้งหนึ่ง


ศุกลหัวเราะโดยไม่มีเสียงทั้งที่นัยน์ตาพราวระยับ “ฝันดีนะครับ” กระซิบบอกก่อนจะปิดตาลงและหลับสนิทในนาทีถัดมา
ในขณะคนที่เขาอวยพรให้ยังนอนตาแข็งต่อไปอีกเกือบชั่วโมงจึงสงบใจหลับตาลงได้ในที่สุด


...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ....



ตอนนี้ก็ยังเป็นฝีมือ leGGyDan อยู่นะคะ ^^



ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อารายยยอ่าาาา 55555 เด็กๆนี่น้าาา  อดไปก่อนนะ พี่ติ๊น

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด