ณ ศาลากลางสระน้ำ
“อย่าท้อสิครับ… พี่ยังมีผมนะ” มือเล็กกุมมือหนาที่ตอนนี้แทบไร้เรี่ยวแรง เด็กน้อยวัยแปดขวบไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่ม ม.ปลาย ปีสุดท้ายที่นั่งข้างๆ นั้นเศร้าเพราะเหตุใด แม้อีกฝ่ายจะตัวโตกว่า แต่ฟ้าครามก็ยังปลอบใจแม้ตนเองจะอายุน้อยกว่ามากก็ตาม
“ขอบใจนะน้องฟ้า… พี่ไม่เป็นไรแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่ภูมิ ผมเห็น แม่ ป้า ลุงก็ร้องไห้กันด้วย มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ภูมิเม้มปากแน่น กัดฟันกรอด มือหนาก็กำแน่นจนเผลอบีบมือเล็ก ทำให้ฟ้าครามเผลอร้องด้วยความเจ็บ
“พี่ขอโทษนะ น้องฟ้าเจ็บมากไหม”
“มะ..ไม่เจ็บครับ แต่พี่ภูมิ…” ฟ้าครามหยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วเอื้อมเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย
“ตอนนี้พี่ไม่เหลือใครอีกแล้ว… สิ่งสำคัญสำหรับพี่ตอนนี้มีแค่น้องฟ้า…”
ฟ้าครามไม่เข้าใจในความหมาย แม้นิสัยจะเกินวัย แต่คำพูดของคนข้างๆ นั้นฟังดูโตเกินกว่าจะเข้าใจ ฟ้าครามทำได้เพียงกุมมืออีกฝ่ายเพื่อปลอบใจ
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ น้องฟ้าอย่าลืมคำที่พี่บอกน้องฟ้าครั้งที่แล้วนะ จำได้ไหม”
ฟ้าครามพยักหน้า
“ดีมาก พี่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่ พี่อยากอยู่กับน้องฟ้าแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่พี่คิดว่าอีกไม่นานพวกนั้นต้องเล่นงานพี่แน่นอน” ภูมิกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าว
“น้องฟ้า อาจจะไวเกินไปที่พี่พูดแบบนี้ แต่เพราะพี่อาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว พี่ชอ..”
“ภูมิ! มึงอยู่นี่เองตามหาตั้งนาน” น้ำเสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้นและภาพความทรงจำในตอนนั้นก็ขาดห้วงไป แต่ถึงอย่างนั้นก็พอที่จะให้ผมจำเรื่องราวของคนตรงหน้านี้ได้...
ผมลืมพี่ภูมิไปได้ยังไงกัน…
ปลายสายถูกตัดไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ รู้แค่มือผมสั่น ผมวางหูโทรศัพท์กลับคืนที่ของมัน ก่อนจะค่อยๆ หันมาเผชิญกับคนตรงหน้า…
“ฟ้า… เป็นอะไรเหรอ ฟ้าตัวสั่น” หินจะเข้ามาหาผมแต่ผมกลับถอยห่าง
“มะ..ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร”
“แต่ฟ้า…”
“ก็บอกไม่เป็นไรไง!” ผมหยุดชะงัก เผลอตวาดเขาไปเสียแล้ว… หินหยุดนิ่งก้มหน้าเมื่อผมตวาดใส่
“คะ..คือ… ผม…” ผมปิดหน้าตัวเองแล้วทรุดตัวลงอย่างหมดแรง
ผมทำอะไรลงไป ผมทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ไปได้ยังไง ผมควรทำยังไงดี
“ฟ้า… ฟ้าร้องไห้ทำไม…” หินรีบย่อตัวลงแล้วกอดผมที่กำลังสะอื้นไห้ไว้ในอก
“ร้องทำไม… อย่าร้องนะ…” ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนปลอบแต่กลับร้องไห้ไปกับผม
“ขอโทษ… พี่ภูมิ ผมขอโทษ” ผมเอ่ยชื่อเขาออกไป ก่อนจะผละตัวหินออกแล้วมองไปที่นัยน์ตาของอีกฝ่ายที่กำลังสั่นไหว… เขาจะจำได้ไหมนะว่าตัวเองเป็นใคร
“ฟะ..ฟ้า…”
“คุณจำตัวเองได้ไหม… พี่ภูมิ…”
ทุกอย่างหยุดชะงัก เราสองคนมองหน้ากันนิ่ง… หินไม่พูดอะไรเลย… เขาจำไม่ได้สินะว่าตัวเองเป็นใคร แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง…
“หิน คราม กินข้า..” ป้าณีหยุดชะงักเมื่อเห็นเราสองคนมีน้ำตานองหน้า
“เป็นอะไรกัน ร้องไห้ทำไม”
“เอ่อ… ปะ..เปล่าครับป้า” ผมรีบเช็ดน้ำตาแล้วกุมมือหนาให้ลุกยืนตาม
“ไม่เป็นไรกันจริงๆ นะ” ป้าณีถามย้ำ
“ครับ…”
“เฮ้อ… ไปกินข้าวกันจ้ะ ทุกคนรออยู่”
ผมกุมมือหนาแล้วพาไปกินข้าวด้วยกัน ใบหน้าของหิน… ผมไม่อาจละสายตาไปได้เมื่อรู้ความจริงว่าเขาคือพี่ภูมิคนนั้น… คนที่ผมลืมเรื่องราวของเขาไปจนเกือบหมด จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมสนิทกับพี่เขามาก แล้ววันหนึ่งพี่เขาก็หายไป พี่ภูมิหายไปแล้วโดนขังไว้อยู่อย่างนั้นตลอดเลยเหรอ... ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเศร้าใจ ผมสงสารเขา...
เย็นวันนั้นหลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ยืนมองของบางอย่างที่ผมเก็บซุกเอาไว้ตลอดการเดินทาง ตั้งแต่ออกมาจากบ้านหลังนั้น …ผมอยากจะทิ้งมันไปแต่ว่า…
“ฟ้า…” เสียงเรียกของหินหลังจากไปอาบน้ำมา ผมรีบเก็บของชิ้นนั้นไว้ในห่อผ้าแล้วซุกไว้ในตู้เสื้อผ้าทันที
“มา เดี๋ยวผมขยี้ผมให้” ผมหยิบผ้าขนหนูแล้วเช็ดผมให้เขา หินนั่งนิ่งแต่โดยดี แต่ผมรู้สึกว่าวันนี้เขานิ่งผิดปกติ รู้สึกสงบกว่าทุกวัน…
“ฟ้า… ภูมิคือใครเหรอ” ผมหยุดมือแล้วสวมกอดเขาจากด้านหลัง
“ผมจะเล่าให้ฟังนะ… ทุกอย่างที่เป็นคุณ…”
เราสองคนนั่งอยู่บนเตียง ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องที่ได้ยินจากแม่
“คุณชื่อภูมิ เป็นลูกชายของนายท่านคนก่อน จะเรียกว่าเป็นหลานแท้ๆ ของคุณนายอมรก็ได้ เพราะพ่อของคุณเป็นพี่ชายของคุณนายอมร”
ผมสูดหายใจแล้วเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้
“แต่คุณพ่อคุณแม่ของคุณเสียไปเมื่อสิบปีก่อน …ด้วยอุบัติเหตุ…”
หินนัยน์ตาสั่นไหว ค่อยๆ ยกมือกุมหัว
“คุณอมรและคุณเกริกต้องการครอบครองสมบัติจึงขังคุณไว้ในกระท่อมและบอกทุกคนว่าคุณตายไปแล้ว… แต่บางอย่างที่พวกเขายังไม่สามารถเอาไปได้ก็คือสมบัติในตู้เซฟ…”
หินกำมือตัวเองแน่นเมื่อได้ยินคำนี้…
“พินัยกรรมเขียนไว้ว่าต้องใช้กุญแจร่วมกับรหัสในการเปิดเท่านั้น หากตู้เซฟถูกเปิด โดยสิ่งอื่นจะถือเป็นโมฆะและจะมอบสมบัตินั้นให้กับการกุศลทันที…”
หินมองหน้าผมแล้วพึมพำ “กุญแจ… กุญแจ… ร..หัส… รหัส… กุญ…”
“คะ..คุณรู้เรื่องกุญแจและรหัสตู้เซฟไหม”
หินหันมามองผมทันที ดวงตาดุดันเปลี่ยนเป็นคนละคน
“ไม่ให้! ไม่ให้! ไม่ให้!” จู่ๆเ ขาก็เกิดคลั่งขึ้นมา
“หะ..หิน”
“กุญแจ… รหัส… จะให้ใครไม่ได้เด็ดขาด! พวกมัน พวกมันฆ่าพ่อกับแม่! อ๊ากกกกก” เสียงตะโกนคลั่งเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ผมเพิ่งรู้จักเขากลับมาอีกครั้ง เป็นน้ำเสียงที่น่ากลัวแต่ก็แฝงด้วยความเศร้า… ผมเข้าใจดีว่าเขารู้สึกแบบไหน …เขากำลังเศร้าใจ…
“พะ..พี่ภูมิ”
หินหยุดตะโกนหายใจหอบ
“…ไม่มีใครจะเอาอะไรจากพี่ทั้งนั้น… สงบใจหน่อยสิครับ” ผมกอดเขาและซบลงตรงอก มือหนาค่อยๆ กอดผมตอบ
“พ่อ… แม่… ฮือๆๆ ทิ้งไป… ทิ้งไป… ฮือๆๆ” หินร้องไห้สะอื้นกอดผมแน่นแล้วซุกที่ซอกคอผม
“…พวกมันทำร้าย… ทำร้าย… และฆ่า… ภะ..”
ผมปล่อยให้คนตัวโตพึมพำทั้งน้ำตา จนสักพักทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ
หินนั่งนิ่งโดยมีผมนั่งกุมมือไว้
“อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า”
หินมองผม
“คุณอยากกลับไปทวงทุกอย่างที่เป็นของคุณไหม… ผมจะพาไป เพราะคุณคือทายาทที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่คนที่ตายไปแล้ว”
แวบหนึ่งผมเห็นแววตาของเขาสั่นไหวและตกใจ
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะอยู่ข้างๆ คุณ”
“มะ..ไม่”
“ทำไมล่ะครับ คุณเป็นทายาทนะครับ จะปล่อยให้คนพวกนั้นมีชีวิตที่สุขสบาย ส่วนคุณก็ถูกตามล่าอยู่อย่างนี้เหรอครับ”
หินยังคงนิ่ง
“.....”
“ไม่อยากไป… ไม่เอา…” เขาพูดแล้วล้มตัวนอนตะแคงหันหลังให้
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะอยากให้เขากลับไปทวงคืนทุกอย่าง แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องรักษาอาการของหินไปก่อน เพื่อให้เขากลับมาเป็นพี่ภูมิคนเดิม
ooooOoooo
ผมมองสิ่งนั้นในกระสอบด้วยความสงสัย แล้วมองไปยังของที่ผมซุกเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า สลับไปมา ทุกอย่างล้วนเป็นการปิดบังซึ่งกันและกัน ผมคงต้องละทิ้งทุกอย่างแล้วหันมาช่วยเหลือพี่ภูมิแทน เขาควรที่จะทวงคืนทุกอย่าง ไม่ใช่มาเป็นคนบ้าอยู่แบบนี้ ผมหยิบของที่ซุกไว้แล้วตัดสินใจทิ้งลงถังขยะ
ooooOoooo
“พวกมันไปอยู่ที่ไหนกัน ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วนะคุณเกริก!” คุณนายอมรแทบกรีดร้อง
เพล้ง!
“โธ่เว้ย!” คุณเกริกสบถแล้วปัดแก้วน้ำลงจากโต๊ะ
“นี่เราจะไม่มีทางได้สมบัติในตู้เซฟใช่ไหม! มันคิดจะหักหลังเราหรือไง!”
การกระทำทุกอย่างอยู่ในสายตาของฝนที่แอบมองอยู่ เธอภาวนาขอให้ทั้งสองคนนั้นปลอดภัย ต่อให้เธอจะไม่ได้เจอหน้าลูกอีกเลยก็ยอม
“แกจะไปไหนตาเพชร” คุณนายอมรเอ่ยถามลูกชายที่กำลังสะพายกระเป๋าลงเดินมาจากชั้นสอง
เพชรไม่ตอบ แต่เดินออกไปจากตัวบ้าน
“ตาเพชร! จะไปไหน ฉันถาม!” เธอเดินตามออกไป
“ไปที่อื่น ผมเบื่อบ้าน”
“เบื่ออะไรของแก อ๋อ… นี่แกยังไม่เลิกสนใจครามมันอีกหรือไง”
“ใช่ ผมบอกไว้ก่อนนะ การที่พ่อกับแม่ทำกับครามแบบนี้ทำให้ผมโกรธมาก แล้วก็จะไม่ยกโทษให้ด้วย”
“กะ..แก ลูกทรพี! ถ้าแกรักมันมากก็ไปอยู่กับมันซะ!” คุณเกริกตะโกนไล่
“ผมไปแน่ ไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
“จะ..จะไปไหน” คุณนายอมรเอ่ยถามตะกุกตะกัก
“ที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ที่นี่” พูดจบ เพชรก็เดินไปที่รถยนต์ของตนเอง
“เพชร! จะไปไหน”
“ปล่อยมันคุณหญิง!”
“คุณ! นั่นลูกนะ” คุณหญิงรีบวิ่งไปคว้ามือลูกชายไว้ “จะไปไหน บอกแม่มาก่อน!”
เพชรถอนหายใจ
“บอกแม่มา…”
“ผมจะไปเชียงใหม่... ไปอยู่กับเพื่อนสักพัก”
“ทำไมต้องไปถึงเชียงใหม่… จะกลับมาใช่ไหม”
“…ครับ…”
คุณนายอมรค่อยๆ ปล่อยมือลูกชายก่อนที่เพชรจะขับรถออกไป ทุกอย่างเหลือเพียงความเงียบ... ดวงตาเศร้ายามมองลูกชายขับรถออกไปจากบ้าน แต่ไม่นานก็เปลี่ยนกลับมาแข็งกร้าว คุณนายอมรกำมือแน่นจนจิกเข้าไปในเนื้อตัวเองด้วยความน้อยใจในโชคชะตา ทั้งๆ ที่เธอเป็นลูกสาวของบ้านนี้เหมือนกัน แต่พ่อแม่ของตนกลับยกมรดกมหาศาลให้แต่พี่ชาย… ส่วนตัวเธอนั้นได้รับสมบัติเพียงน้อยนิด ใช้ได้ไม่นานก็หมด สุดท้ายก็ต้องขายบ้านที่อยู่กับสามี ก่อนจะย้ายมาอยู่กับพี่ชาย จนกระทั่งมีแพรวและเพชร ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องวางแผนฆ่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ และจับลูกชายของคนทั้งสองขังจนเป็นบ้า! แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือตู้เซฟที่เก็บสมบัติมหาศาลไว้ ซึ่งเธอยังไม่สามารถเปิดออกมาได้ เพราะไม่มีรหัสและกุญแจ…
“ทุกอย่างต้องเป็นของฉัน… แผนการของฉันต้องสำเร็จ!”