“ปล่อย!” หินเดินมากระชากตัวผมออกจากอ้อมกอดพ่อเลี้ยง
“อย่ามายุ่งกับฟ้า! กูจะฆ่ามึง!” เขาตะโกนลั่น แต่พ่อเลี้ยงกลับดูไม่มีความกลัวสักนิด
“หินอย่า!” ผมรีบกอดรั้งเขาไว้
“ปล่อย! หินจะฆ่ามัน! มันจูบฟ้า! มันกอดฟ้า!”
ผมรั้งเขาไว้จนสุดแรง แต่ก็ทำได้เพียงรั้ง เพราะผมตัวเล็กกว่ามาก
ปึก! ศอกกระแทกเข้าที่หน้าผมอย่างจังจนผมทรุดตัวลงด้วยความมึนและความเจ็บที่ปาก
“ฟ้า! เจ็บตรงไหนไหม”
“มะ..ไม่…” ผมจับปากตัวเองที่มีเลือดไหลออกมา
“หินขอโทษนะ… ขอโทษนะ…”
“ทำครามเจ็บตัวมากๆ ระวังเขาจะหนีมาอยู่กับฉันนะ”
คำพูดของพ่อเลี้ยงทำให้หัวใจผมแทบหยุดเต้น
“มึง!”
“หิน!” ผมรีบกอดแขนเขาไว้
“วันนี้ฉันกลับก่อนละ… อย่าลืมข้อเสนอนะคราม” พ่อเลี้ยงพูดทิ้งท้ายไว้แล้วจากไป เหลือแต่ความเงียบระหว่างเราสองคน หินอุ้มผมไปที่เตียงแล้วพยายามดูแผลที่ปาก แต่ผมเบือนหน้าหนี
“ฟ้า หันหน้ามา”
“ผมไม่เป็นไร”
“บอกให้หันมา!”
“โอ๊ย!” แก้มผมถูกบีบอย่างแรง “ผมเจ็บ…”
“ทำไมฟ้าให้มันจูบ ให้มันกอด ฟ้าใจง่าย!” คำตวาดนั้นทำให้ผมหน้าชา จู่ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง
“ผะ..ผมไม่ได้ทำอะไรแบบที่หินพูดเลยนะ”
“ไม่ทำได้ไง ก็เห็นฟ้าจูบมันแล้วกอดกับมัน”
“แล้วผมยอมเหรอ…”
“ก็เหมือนยอม… ฟ้าแปลกไป… ฟ้ายุ่งกับคนอื่น ฟ้าไม่ควรจะไปกอดไปจูบกับใครนอกจากหิน! ฟ้าใจง่าย! ฟ้าหลายใจ!”
เพียะ! ผมตบไปที่ใบหน้าเขาอย่างแรง มือผมรับรู้ถึงความเจ็บเช่นกัน
“ทะ..ทำไมถึงไม่เข้าใจผม ฮึก..ก..ก… อธิบายก็ยังไม่เข้าใจอีก… ชะ..ใช่ ผมใจง่าย ไปกอดไปจูบเขาเอง ยอมเขาทุกอย่าง… พอใจหรือยัง!”
หินมองผมตาขวาง
ผมลุกจะออกไปข้างนอกแต่เขาจับแขนผมไว้ ผมพยายามจะแกะมือและผลักเขาออก
“ปล่อย!”
“ไม่! ฟ้าจะไปไหน”
“ถ้ายังพูดกันไม่รู้เรื่อง ผมก็จะไปอยู่ที่อื่นสักพัก!”
หินเบิกตากว้าง “ไม่! อย่าไปจากหินนะ!” เขาตะโกนคลั่งแล้วกระชากแขนผมอย่างแรงจนผมเสียหลักล้มลง ทำให้หน้าผากกระแทกเข้ากับขอบเตียง
“ฟ้า!”
ผมรับรู้ถึงแรงกอดและเสียงร้องตกใจสุดขีด ผมพยายามมองใบหน้าของเขาก่อนที่สติของผมค่อยๆ ดับวูบลง
ooooOoooo
ภาพแรกที่เห็นหลังจากลืมตาขึ้นมาคือเพดานสีขาว กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทำให้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของผม ผมมองไปที่แขนตัวเองซึ่งมีสายน้ำเกลืออยู่ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องจึงแน่ใจว่าที่นี่คือโรงพยาบาล ผมนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บที่หน้าผากและที่ปาก ผมสัมผัสที่หน้าผากก็เจอกับผ้าพันแผล แม้จะไม่เจ็บมากนัก แต่ก็พอที่จะทำให้ผมรู้สึกมึนหัวนิดๆ พยายามย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ผมทะเลาะกับหินจนเสียหลักล้มลง หน้าผากกระแทกกับขอบเตียง เจ็บกายว่าเจ็บแล้ว แต่เจ็บหัวใจนั้นยิ่งกว่า ทำไมเขาไม่เชื่อใจผม อีกทั้งยังพูดให้ผมเจ็บช้ำน้ำใจอีก
“คราม… ฟื้นแล้วเหรอ” ป้าณีเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถือของพะรุงพะรัง แล้วรีบวางของก่อนจะเดินเข้ามาหาผม
“ปะ..ป้าณี…” ผมรีบเช็ดน้ำตา แต่ป้าณีกลับลูบหัวของผม
“ร้องไห้ให้พอเถอะ… ถ้ามันจะสบายใจกว่า”
“ฮึก..ก..ก… เราทะเลาะกันเพราะเขาไม่เชื่อใจผม …ผมเสียใจ…”
“ตอนนี้เขาก็กำลังสงบสติอารมณ์อยู่ในกรงขังนะ… เขากำลังสำนึกผิดและลงโทษตัวเอง”
ผมเบิกตากว้าง “กรงขัง!”
“ก็กรงขังเดิมที่เขาเคยถูกจับขังนั่นแหละจ้ะ ตรงคอกม้า”
ผมถอนหายใจ นึกว่าหินจะถูกตำรวจจับไปแล้ว
“เมื่อสองวันก่อนเขาอุ้มครามออกมาจากกระท่อมแล้วร้องไห้เสียงดังจนปลุกคนงานที่เมาเหล้าตื่นกันหมดเลย ป้าเองก็ตกใจวิ่งออกมานอกบ้าน ก็เห็นครามสลบอยู่ในอ้อมกอด ใบหน้ามีแต่เลือด”
ป้าณีมองหน้าผมแล้วพูดต่อ
“เขาพร่ำแต่ขอโทษครามตลอดเลย พอเราจะพาครามมาโรงพยาบาล เขาก็คลั่งจะตามมาด้วยจนคนงานต้องห้ามไว้ เพราะถ้าพามา โรงพยาบาลได้แตกแน่ๆ สุดท้ายเขาก็ยอมนะและขอเข้าไปอยู่ในกรงขังด้วยตัวเอง”
ผมเม้มปากแล้วเช็ดน้ำตา “ยะ..อย่าทำร้ายหินนะครับ…” ผมเอ่ยบอกเสียงสั่น แม้เขาจะพูดทำร้ายจิตใจหรือทำร้ายผมมากแค่ไหน ผมก็ยังรักเขา แต่ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเจอเขาตอนนี้…
ooooOoooo
“เอ้า! น้ำ!” ลุงดำเปิดประตูกรงขังแล้ววางน้ำให้หน้าประตู แต่หินยังคงนั่งนิ่งตรงมุมไม่ขยับไปไหน ได้แต่เหม่อลอยจนลุงดำถอนหายใจและเอ่ยเรียก
“ไอ้บ้า! ดื่มน้ำสักหน่อยเหอะ เอ็งซึมไป เมียเอ็งก็ยังไม่กลับจากโรงพยาบาลหรอก” หินยังคงนั่งเงียบ
“ก็งี้แหละ เอ็งไปทำร้ายครามทำไม เฮ้อ... ข้าล่ะปวดหัวกับคนหนุ่มจริงๆ” ลุงดำส่ายหน้าอย่างระอาใจ
พอได้ยินลุงดำพูด หินก็กำมือแน่นและตะโกน “ขอโทษ ฮึก..ก… หินขอโทษ! ฟ้ากลับมา!”
ปังๆๆๆ
หินใช้มือทุบกรงขังไม้อย่างแรงจนสั่นไปทั้งกรง
“เฮ้ยๆๆ ไอ้บ้าหยุดๆ เดี๋ยวมือก็หักหรอก” ลุงดำจะเข้าไปข้างใน แต่เสียงของพ่อเลี้ยงทำให้หยุดชะงัก
“ยังอาละวาดอยู่อีกหรือไง” พ่อเลี้ยงเอ่ยเมื่อมองไปที่หินซึ่งตอนนี้เจ้าตัวกำลังใช้มือทุบกรงขังไม้อย่างแรง แต่พอได้ยินเสียงของพ่อเลี้ยงเขาก็หยุดนิ่งและรีบพุ่งมาที่ประตู ลุงดำจึงรีบล็อกประตูทันที หินมองพ่อเลี้ยงตาขวาง มือกำกรงขังแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมา
“มึง! มึงจูบฟ้า! กูจะฆ่ามึง! ปล่อยกูออกไป!” หินตะโกนแล้วยื่นมือมาออกมานอกกรงขัง แต่เพราะพ่อเลี้ยงยืนห่างพอสมควรจึงไม่ถึงตัว
“เฮ้อ... ทีให้ออกละไม่ออก ข้าคงให้เอ็งออกมาทำร้ายพ่อเลี้ยงไม่ได้หรอก ไม่สิ ถ้าออกมา ข้ากลัวว่าจะยั้งมือยั้งตีนกับเอ็งไม่ได้นะ ไอ้บ้า”
“หึ” พ่อเลี้ยงมองหินแล้วแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เอ่อ… พ่อเลี้ยงครับ แล้วจะไปเยี่ยมครามตอนไหนครับ แล้วอาการเป็นยังไงบ้างครับ” ลุงดำเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ก็จะไปแล้วล่ะ แต่อยากแวะมาที่นี่สักหน่อย ส่วนอาการตามที่หมอบอกก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะ แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย อ้อ... ลุงดำช่วยขับรถไปบอกคนงานที่ไร่ส้มตอนนี้เลยนะ ว่าเย็นนี้ฉันจะนำเงินเดือนไปให้”
“ครับ” ลุงดำรับคำแล้วรีบขับรถยนต์คันเก่าๆ ออกไปที่ไร่ส้ม
หินยังคงมองพ่อเลี้ยงด้วยดวงตาแข็งกร้าวไม่ลดละ เส้นเลือดแขนปูดเพราะกำซี่ไม้ของกรงไว้แน่นด้วยความโกรธ
“กูจะฆ่ามึง”
พ่อเลี้ยงกอดอก “เชิญ… ทำร้ายครามไม่พอ มาลงที่ฉันต่อก็ได้”
ดวงตาหินสั่นไหว
พ่อเลี้ยงยิ้ม “เลิกแสดงละครดีกว่าไหม คุณชายภูมิ ฉันสืบประวัตินายมาแล้ว นายหายตัวไปเมื่อสิบปีก่อน ญาติแจ้งว่าเสียชีวิตไปแล้ว แต่นายยังมีชีวิตอยู่แล้วเป็นบ้า”
พ่อเลี้ยงมองตอบไปยังนัยน์ตาของอีกฝ่าย
“ทำไมนายถึงเป็นบ้า ถ้าเป็นตามที่ครามบอกจริงว่านายคือผู้ที่รู้รหัสและรู้กุญแจว่าอยู่ที่ไหน พวกนั้นไม่มีทางทำให้นายเป็นบ้าแน่นอน …นอกจากนายจะแกล้งบ้า”
หินยืนนิ่ง…
พ่อเลี้ยงยิ้มแล้วเดินไปที่รถยนต์ของตนเอง ท่าทางการสันนิษฐานของเขาจะถูกต้อง เพราะคนบ้านั้นยืนอึ้ง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่น่าสงสัยอยู่อีก พ่อเลี้ยงมองรูปภาพในมือก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยังคงยืนนิ่ง แล้วขมวดคิ้ว
ท่าทางจะซับซ้อนกว่าที่คิด…
ooooOoooo
“ครามฟื้นหรือยังครับ” พ่อเลี้ยงเอ่ยถามเมื่อเปิดประตูห้องพักผู้ป่วย
“ฟื้นแล้วค่ะ พอฟื้นมาก็ร้องไห้แล้วก็หลับไปอีก แต่ตอนนี้หมอบอกว่ามีไข้นิดหน่อยค่ะ”
พ่อเลี้ยงพยักหน้า “อืม… ป้าไปพักเถอะ เดี๋ยวผมเฝ้าครามเอง”
“ค่ะ” ป้าณีเอ่ยแล้วออกจากห้องไป
พ่อเลี้ยงมองร่างบางที่นอนหลับไปพร้อมกับคราบน้ำตา นั่นทำให้เขายิ่งโทษตัวเองเพราะคิดลองใจมากเกินไป หลังจากนั่งเฝ้าได้สักพัก ฟ้าครามก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นอีกครั้ง
“นะ..น้ำ” พ่อเลี้ยงรีบเดินมาที่เตียงแล้วหยิบหลอดใส่แก้วน้ำ พยุงร่างบางขึ้นดื่มแล้วค่อยๆ ปล่อยให้นอนลงตามเดิม
“คราม…”
“พะ..พ่อเลี้ยง” ครามเบิกตากว้างแล้วพยายามจะหนี
“ครามใจเย็นๆ ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ”
“เเต่ตอนนั้นคุณ… จูบผม…”
“เอ่อ… ขอโทษจริงๆ นะ” พ่อเลี้ยงถอนหายใจแล้วทรุดนั่งข้างๆ เตียง
“พอดีอยากลองใจนิดหน่อยน่ะ”
“ลองใจ? ลองใจใครเหรอครับ”
“หิน”
ครามย่นคิ้วไม่เข้าใจ “ลองใจทำ.. แค่กๆๆ”
“ถ้าเธอหายดีแล้วฉันค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง แต่ถ้าเธอหายดีเธอต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านกับฉัน”
“ผม… ผม… ไม่อยากเป็นแม่ให้คุณหนูดี”
พ่อเลี้ยงกะพริบตาอึ้งก่อนจะปล่อยขำ “นี่เธอกังวลคำนี้นี่เอง เป็นแม่นมน่ะ… อืม… จะว่าไงดี เป็นแม่หนูดี แต่ไม่ได้เป็นเมียฉันเข้าใจไหม”
ครามนั่งนิ่งไม่ค่อยเข้าใจ
“หนูดีไม่มีคนดูแล พี่เลี้ยงคนเก่าก็มีครอบครัวไปแล้ว เลยเหลือแค่แม่บ้านที่พอจะดูแลให้ได้ แต่ก็อยู่ด้วยตลอดไม่ได้ ฉันจึงอยากให้เธอดูแลหนูดี”
“ก็คุณพูดกำกวมทำไมล่ะครับ… แล้วยังจูบผมอีก”
“ฉันขอโทษ เธอเลยเจ็บตัวแบบนี้ ฉันไม่คิดว่าหมอนั่นจะโกรธขนาดนี้… มันอยู่นอกเหนือการคาดเดาของฉัน”
ครามหน้าเจื่อนลง เขาไม่ได้ฟังประโยคสุดท้าย เพราะแค่ได้ยินว่าตนเองบาดเจ็บเพราะใคร แม้จะเป็นอุบัติเหตุ เขาก็ไม่อยากฟังอะไรแล้ว
“แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะไปอยู่บ้านคุณได้หรอกครับ… ผม…”
“ยังเป็นห่วงหมอนั่นอีกเหรอ ทั้งๆ เขาทำร้ายขนาดนี้”
ครามนิ่งก่อนที่น้ำตามันจะไหลออกมาดื้อๆ “มันแค่อุบัติเหตุน่ะครับ และอีกอย่าง เราก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา ผม… ผมทนได้ครับ” ครามยิ้มทั้งน้ำตาจนพ่อเลี้ยงที่กำลังฟังได้แต่สงสาร
พ่อเลี้ยงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลูบหัวอีกฝ่าย ถ้าดูจากหน้าตา ครามอายุน่าจะไม่เกินยี่สิบปี ยังเป็นแค่รุ่นลูกของเขาอยู่เลย…
“งั้นแบบนี้ ฉันจะให้ครามไปอยู่กับฉันจนกว่าหมอนั่นจะหายคลั่ง ถ้าหายคลั่งเมื่อไรเธอค่อยกลับไป ยิ่งเธอป่วยแบบนี้อยู่คนเดียวในกระท่อมคงไม่ไหวแน่ ส่วนป้าณีแกก็แก่แล้ว จะให้ เทียวไปเทียวมาก็คงไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม”
“…ครับ… ขอบคุณมากนะครับ” ครามยกมือไหว้
“อืม… เธอก็เหมือนลูกฉันนั่นแหละ อายุยังน้อยอยู่เลยนี่”
กริ๊งงงงง! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พ่อเลี้ยงจึงรีบเดินออกไปนอกห้องเพื่อรับสาย แต่ด้วยความรีบจึงทำให้ชนเข้ากับใครบางคนที่ระเบียงทางเดิน จนอีกฝ่ายล้มลง
“ผมขอโทษ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เป็นสิวะ…” อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างดี หน้าตาหล่อดั่งนายแบบแต่นิสัย…
พ่อเลี้ยงเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายเมื่อได้ยินคำตอบรับ
“เพชรรีบๆ มาได้แล้ว เดี๋ยวหลงห้องหรอก!” เสียงเพื่อนตะโกนบอก เพชรมองหน้าพ่อเลี้ยงอย่างไม่พอใจก่อนจะรีบเดินตามเพื่อนไป
พ่อเลี้ยงยิ้มพลางนึกขำ “เป็นเด็กหรือไงถึงหลง” แต่ก็ไม่วายที่อีกฝ่ายจะหันมามองเขาแล้วส่งนิ้วกลางให้เหมือนได้ยิน
“ให้ตายสิ เด็กหนุ่มสมัยนี้น่าจับลงโทษจริงๆ”