พบรัก ▪×วันที่8×▪
หงิ๋งง~
เฮือก!
เสียงครางสูงที่ได้ยินเรียกสติของผมให้กลับเข้าร่างอย่างรวดเร็วจนเกือบหงายหลังตกโซฟา และเมื่อตั้งสติได้สองขาก็รีบก้าวตรงไปยังกรงที่ภายในมีสุนัขตัวใหญ่และลูกอีกสามตัวส่งเสียงครางหงิ๋งๆ ประสานเสียงกันอยู่
“ครั้งนี้มีอะไรอีกล่ะ” ผมถามโดยไม่ต้องการคำตอบแม้ดวงตาจะใกล้ปิดเต็มที
ตอนนี้เป็นเวลาตีสองครึ่งซึ่งสมควรแก่การนอนหลับพักผ่อนเป็นที่สุด ทว่าการดูแลลูกสุนัขในช่วงแรกเกิดนั้นจำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้ผมต้องนั่งเฝ้าเกือบทั้งคืน ซึ่งแน่นอนว่าก็มีบ้างที่เผลอหลับไป แต่พอได้ยินเสียงครางก็จะสะดุ้งทันทีราวกับร่างกายรับรู้ได้ว่ามีสุนัขอยู่ใกล้ๆ
อันที่จริงถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่กลัวสุนัขเท่าเมื่อก่อนแต่ก็ใช่ว่าจะเลิกกลัวอย่างสิ้นเชิง อย่างเวลาที่ผมออกไปข้างนอก หากพบสุนัขตัวอื่นที่ไหน ผมก็พร้อมจะเดินเลี่ยงอย่างไม่ลังเล แต่กับสุนัขที่บ้านผมไม่ได้เดินหนีอีกแล้ว แถมยังสามารถลูบหัวได้แล้วด้วย
มันสุดยอดมากๆ จนบางครั้งผมยังคิดเลยว่านี่ตัวเองกำลังฝันอยู่รึเปล่า ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้...วันที่ผมสามารถอยู่ร่วมกับสุนัขได้โดยไม่รู้สึกอยากหลีกหนีอย่างเมื่อก่อน
“ไหนๆ ใครฉี่ออกมาเอ่ย?” ผมพูดก่อนจะเปิดกรงออกมาเพื่อทำความสะอาด แต่พออ้าประตูกรงออกได้เพียงนิดเดียว มะนาวก็เบียดจนออกมาได้ในที่สุด
“มะนาว!” เรียกไปก็เท่านั้นเพราะเจ้าของชื่อกระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาแทนที่ผมเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าใจว่าในกรงมันทั้งแคบทั้งแข็งแต่อย่างน้อยก็ห่วงลูกบ้างสิ ผมยกมือขึ้นกุมหน้าผากเมื่อได้ยินเสียงกรนของมะนาวดังขึ้น ...นอนเร็วจริง
หงิ๋ง~
เสียงครางเล็กๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ผมละสายตาจากมะนาวกลับมายังกรงที่ตอนนี้เหล่าลูกสุนัขทั้งสามตัวกำลังครางเสียงแหลมพลางขยับร่างกายหมายจะตามหาแม่ที่บัดนี้ไปนอนสบายอยู่บนโซฟาด้วยขาสี่ข้างที่ยังไม่มีแรงมากพอแม้แต่จะพยุงตัว ท่าทางตอนลูกสุนัขกำลังพยายามคลานช่างน่าเอ็นดูจนผมหลุดยิ้มออกมา
“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะ หนาวรึเปล่าฮืม” ผมถามก่อนจะอุ้มลูกสุนัขทั้งสามออกมาวางไว้บนผ้าที่จัดเตรียมไว้อย่างเบามือ
แกร็ก!
“สวัสดีครับพี่ใบไผ่” คำทักทายดังขึ้นในทันที่ประตูบ้านถูกเปิดอ้าออกพร้อมต้นว่านที่เดินเข้ามาในบ้านด้วยความคุ้นเคย
“ไงต้นว่าน มาก็ดีเลย มะนาวทิ้งลูกอีกแล้ว” ได้โอกาสก็ขอฟ้องซะหน่อย
ตั้งแต่ที่ลูกสุนัขทั้งสามตัวเกิดมา ต้นว่านก็มาช่วยดูแลอยู่เสมอแต่จะมาในช่วงประมาณตีสามแบบนี้ แล้วก็จะเฝ้ายาวถึงตอนผมตื่นเลยล่ะ
“อีกแล้วเหรอครับ เฮ้อ...” ต้นว่านถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาหา
“แบบนี้ต้นสน ราตรี ต้นโมกจะหนาวไหมเนี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรามีผ้าห่มไว้ให้แถมยังไม่ได้เปิดแอร์อีก” อีกฝ่ายบอก
“อืม แบบนั้นก็ดี” ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาตอนนี้คงไม่มีร้านไหนเปิดแน่
“พี่ไปพักเถอะ เดี๋ยวผมดูต่อเอง” พูดจบต้นว่านก็นั่งลงข้างๆ พร้อมกับช่วยจัดการทำความสะอาดกรงต่อจากผม
“ได้ๆ จริงสิต้นว่าน พี่มีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ” ผมหันหลังกลับเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ต้องคุยกับอีกฝ่าย ความจริงก็คิดมาหลายวันแล้วแต่เพราะเหนื่อยๆ และเบลอๆ เลยไม่ได้บอกไปเสียที
“อะไรครับ”
“เรามาตอนตีสามแบบนี้ที่บ้านไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“ไม่ครับ มีถามบ้างแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“พี่ว่าเราไม่ควรออกบ้านมาตอนดึกๆ นะ เดี๋ยวนี้ยิ่งอันตรายอยู่”
ขนาดช่วงกลางวันยังไม่ค่อยปลอดภัยเลย นี่ตอนกลางคืนแถมยังค่อนข้างเปลี่ยวด้วย
“ถ้าผมไม่มาแล้วพี่จะดูแลไหวเหรอครับ”
“ไม่ไหว” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด
“เห็นไหม ผมมาได้ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วงนี้สอบเสร็จแล้วไม่มีเรียนละ”
“งั้น...ต้นว่านก็มาค้างที่นี่สิ”
กึก! มือของอีกฝ่ายที่กำลังผูกถุงขยะชะงักค้าง
“...พี่ว่าอะไรนะครับ”
“พี่บอกว่าให้เรามาค้างที่บ้านนี้ดีไหม จะได้ไม่ต้องมาช่วงดึกๆ แบบนี้ ” ผมบอกอีกรอบ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว”
“เราไหวแต่พี่เป็นห่วงนะ” เดินมาดึกๆ ดื่นๆ ผมค่อนข้างเป็นห่วง
“...พี่ใบไผ่”
“มาค้างนี่นะ ถือว่าเห็นแก่พี่เถอะต้นว่าน” ผมพูดแกมขอร้อง แต่ถ้ามันยังไม่ได้ผลคงต้องมีอ้อนกันบ้าง
การอ้อนถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอายสำหรับผม แต่พอคนที่จะอ้อนเป็นต้นว่านกลับรู้สึกว่าไม่เป็นไร แถมหน้าตาตอนที่เห็นผมพูดเสียงอ้อนก็น่ารักมาก ...เรียกว่าใบหน้าหล่อๆ นั่นน่ารักขึ้นมาทันตา
“ถ้าตอนนี้ผมไม่ยอม ต่อไปพี่คงอ้อนสินะ”
“ก็รู้นี่...” ผมยิ้มให้กับคำพูดของคนรู้ทันและไม่มีคำแก้ตัวใดๆ
“ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมนอนโซฟาเอง”
“ไม่ๆ พี่ไม่ให้เราโซฟาแน่ จะมานอนโซฟาไม่ได้นะ ไปนอนเตียงนุ่มๆ ดีกว่า” ให้มาค้างตามความเอาแต่ใจของตัวเองแล้วยังจะให้นอนที่แคบๆ อย่างโซฟาได้ยังไงกัน อีกอย่างในบ้านนี้ก็มีห้องว่างอีกตั้งหลายห้อง อย่างห้องบนชั้นสองนั่นก็แทบจะไม่ได้ขึ้นไปเลยด้วยซ้ำ
“พี่จะให้ผมนอนในห้องเหรอ?” ต้นว่านถามย้ำ
“ใช่สิ เราเลือกเอาเลย ชั้นหนึ่งก็มีห้องเล็กอยู่นะ แต่ถ้านอนไม่สบายก็ไปชั้นสองได้”
“พี่เอาใจผมมากไปแล้วนะ”
“ไม่ได้เอาใจสักหน่อย” ผมรีบสวนกลับ การกระทำของผมบ่งบอกถึงความเอาใจตรงไหนกัน
“แบบนี้เขาเรียกเอาใจครับ ความจริงพี่ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ผมจะนอนยังไงก็ได้แค่มีผ้าปูหน่อยผมก็นอนได้แล้ว”
“เราพูดเหมือนพี่เป็นคนใจร้ายที่จะปล่อยให้คนในครอบครัวต้องนอนพื้นอย่างงั้นแหละ” ผมอดไม่ได้ที่จะบ่นกลับไปด้วยเสียงเคืองๆ ตอนนี้ต้นว่านถือเป็นครอบครัวของผมเพราะอย่างนั้นจะให้ไปนอนพื้นได้ยังไงกัน
มันคงแปลกที่เรียกคนที่ไม่ใช่สายเลือดว่าคอบครัวแต่มันก็เป็นคำที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ...อีกฝ่ายอาจไม่รู้ตัว แต่ต้นว่านค่อยๆ เปิดใจผมออกทีละน้อย
ความจริงที่พูดออกไปว่าครอบครัวคงเป็นการย้ำถึงสถานะของความสัมพันธ์ที่ชัดเจนขึ้นเพราะถ้าขืนคิดว่าต้นว่านเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่ง ผมคงไม่อาจห้ามใจตัวเองที่เริ่มชอบอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ ผมไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ความรู้สึกของตัวเอง แม้จะตกใจไปบ้างแต่ก็ยอมรับมันได้ในทันที
...ทว่าถึงจะรับได้ แต่ก็ไม่เคยคิดจะบอกต้นว่านให้รู้หรอก
ผมพอใจกับสถานะของพวกเราในตอนนี้ และอยากจะอยู่ในฐานะพี่น้องกับต้นว่านไปเรื่อยๆ การที่มีต้นว่านเข้ามาร่วมในการใช้ชีวิตหลังเสียพ่อกับแม่ไปทำให้ผมมีความสุขมาก
ในแต่ละวันเราพูดคุย…
เราทะเลาะ…
เรายิ้ม…
และเราหัวเราะไปด้วยกันเสมอ
สำหรับผมตอนนี้ต้นว่านเป็นคนพิเศษ
“พี่พูดว่าครอบครัวอีกแล้ว ผมไม่ใช่พี่น้องของพี่นะ” อีกฝ่ายพึมพำพร้อมก้มหน้าลง
“พี่ทำเราลำบากใจสินะ” ผมถามไปตามตรง
“เปล่า ผมดีใจ แต่พี่...”
“แค่นั้นพอแล้ว แค่รู้ว่าเราดีใจก็พอ พี่ไม่อยากฟังประโยคหลังคำว่า ‘แต่’ ” ผมต้องรีบพูดแทรกเพราะรู้ว่าหลังคำว่า ‘แต่’ คงไม่ใช่ประโยคที่น่ายินดีนัก ต้นว่านเป็นคนคิดมากและขี้กังวลโดยเฉพาะเรื่องที่ฐานะของเราแตกต่างกัน
“พี่ใบไผ่...พี่ดื้อมากนะ รู้ตัวไหม” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ดื้อ? พี่เนี่ยนะ?”
ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยมีคนบอกว่าผมดื้อก็ครั้งนี้ ขนาดพ่อกับแม่ยังไม่เคยพูดเลย มีแต่บอกว่าอยากให้ผมดื้อบ้างไม่ใช่เป็นเด็กดีทำตามคำสั่งทุกอย่างแบบนั้น
“ครับดื้อสุดๆ ไปพักเถอะพี่ใบไผ่” พูดย้ำเสร็จก็ลุกขึ้นตรงไปห้องครัวพร้อมกับถุงขยะที่คาดว่าจะเอาไปทิ้ง
“พี่ดื้อตรงไหนกัน?” ผมลุกตามไปเพื่อถามสิ่งคาใจ
“บอกสามวันก็ยังไม่หมดเลยครับ”
“ฮะ?” นี่ผมดื้อขนาดนั้นเลย
“ไม่รีบไปนอนเดี๋ยวตื่นไม่ไหวนะครับ” พูดจบอีกฝ่ายก็ดันหลังผมให้เดินไปยังห้องนอน
“เดี๋ยวสิ พี่ยัง...”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ” อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะฟังแถมยังปิดประตูห้องนอนให้เสร็จสรรพ เจ้าของบ้านอย่างผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงงงวย
อะไรเนี่ย? สรุปแล้วผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองดื้อตรงไหน
แม้จะผ่านไปหลายสัปดาห์แล้วที่ต้นว่านเข้ามาอาศัยด้วยแต่ความงงงวยยังคงมีอยู่ วันนี้ต้นว่านออกไปมหาลัยแต่เช้าด้วยเรื่องอะไรสักอย่างซึ่งผมก็ไม่ได้ถามซักไซ้อะไร ถ้าต้นว่านอยากบอกก็คงบอกเอง
ครืดดด~
เสียงสั่นเพียงครั้งเดียวของเครื่องมือสื่อสารทำให้รู้ว่ามีคนส่งข้อความมา ผมเปิดอ่านด้วยความสงสัยแต่แล้วภาพที่แนบมาทำเอาผมถึงกับต้องรีบขยายมันออกโดยด่วน
ภาพที่ส่งมาเป็นภาพของต้นว่านขณะที่กำลังเดินอยู่บนเวทีขนาดใหญ่ และคนส่งภาพนี้มาให้คือบอล เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของต้นว่าน
ตั้งแต่แลกเบอร์กับเพื่อนๆ ของต้นว่านเมื่อคราวก่อนนั้นจนกระทั่งตอนนี้ พวกเราก็ยังไม่เคยได้ติดต่อกันเลยสักครั้ง ด้วยความสงสัยผมจึงส่งข้อความกลับไปถามว่าต้นว่านมีงานแสดงอะไรหรือเปล่าถึงได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีแบบนั้น แต่คำตอบที่ได้ทำเอาดวงตาผมเบิกกว้างขึ้นก่อนจะหรี่ลงอย่างรวดเร็ว
‘เดือนหน้าเป็นงานรับปริญญาของพวกเราครับ’
นั่นคือข้อความที่บอลส่งกลับมา
ผมแปลกใจที่ต้นว่านไม่ได้เล่าให้ฟัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็สัญญากันไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะให้ผมไปด้วย ...หรือว่าอีกฝ่ายจะลืมสัญญานั่นไปแล้ว
ผมได้แต่คิดเรื่องนี้ตลอดทั้งวันไม่ว่าจะเป็นตอนทำความสะอาดกรง ตอนที่พามะนาวออกไปวิ่งเล่น หรือแม้แต่ตอนเช็ดตัวลูกสุนัขที่ตอนนี้เริ่มเดินได้ จนกระทั่งต้นว่านกลับมาก็ยังคิดเรื่องนี้อยู่ในหัวตลอด
“พี่ใบไผ่ วันนี้ผมทำกับข้าวไม่อร่อยเหรอครับ” เด็กหนุ่มตรงหน้าถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล คงเป็นเพราะผมยังคิดมากเรื่องนี้อยู่เลยทำให้กินมื้อเย็นน้อยกว่าปกติ
“เปล่า คือพี่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ” ผมปฏิเสธไป
“เรื่องงานเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิง” จะบอกได้ยังไงละว่าเป็นเรื่องของคนตรงหน้านั่นแหละ
“แปลว่าช่วงนี้พี่คงไม่ว่างใช่ไหมครับ” แม้ต้นว่านจะเอ่ยเสียงเบาแต่ผมกลับได้ยินคำถามนั้นอย่างชัดเจน
“ว่างสิ....ทำไมเหรอ” หรือที่ต้นว่านถามนี่เพราะกำลังจะบอกผมใช่ไหม ...เรื่องงานรับปริญญาเดือนหน้านั่นน่ะ
“คือ...พี่อาจลืมไปแล้ว แต่ผมเคยสัญญาไว้...”
ผมอยากจะส่ายหัวออกไปแรงๆ ว่าไม่ได้ลืมแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะรู้เลยได้แต่นิ่งไว้
“คือเดือนหน้าผมจะรับปริญญาแล้ว พี่จะไปได้ไหมครับ”
“ไปสิ...ไปแน่นอน!” ผมตอบเสียงดังจนเหมือนกับจะตะโกน พร้อมส่งยิ้มกว้างจนอีกฝ่ายสะดุ้ง แต่ตอนนี้ผมไม่สนหรอก ในที่สุดต้นว่านก็ไม่ได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้จริงๆ ด้วย
“ผมจะรอนะพี่ใบไผ่” รอยยิ้มที่ส่งตอบมาทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นเร็วขึ้น ความสุขที่มีมันมากจนแทบทะลัก
เดือนต่อมาหรือก็คือวันรับปริญญาของต้นว่าน ทั้งที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอดแต่พอถึงวันจริงก็ดันมีเรื่องเข้ามาขัดจนได้ เรื่องที่ว่าก็คือการประชุมของบริษัทนั่นเอง ถึงจะอยากเลื่อนวันประชุมออกไปมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการประชุมว่าด้วยเรื่องของการเซ็นสัญญากับเหล่าบริษัทคู่ค้าในต่างประเทศที่มีกำหนดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และเพราะแบบนั้นผมถึงได้นั่งกอดอกกระดิกขาไปมาด้วยอารมณ์ที่เริ่มคลุกกรุ่นจากความหงุดหงิด
ผมไม่ได้หงุดหงิดที่ต้องมาประชุมในช่วงเช้า แต่เพราะมีนัดไปงานรับปริญญาของต้นว่านเลยอยากรีบจบการประชุมนี่ให้เร็วที่สุด แต่ทว่า...
“บริษัทมาแตงของฝรั่งเศสเราควรตัดการเซ็นสัญญาออกไปดีกว่า จากการร่วมงานตลอดปีก็พอรู้แล้วนี่ว่าเป็นยังไง ขนส่งสินค้าให้ก็ช้าแถมยังมาเร่งบริษัทเราอีก” หัวหน้าฝ่ายต่างประเทศแทบจะตบโต๊ะเมื่อกล่าวถึงข้อมูลนี้ และแน่นอนว่าคนคนนี้ก็เป็นหนึ่งในเลขาผมเหมือนกัน ...คุณเปรมฤดี ศรีรัตรนหรือเปรม
เลขาของผมทุกคนมักจะพ่วงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกันหมดที่ทำแบบนี้เพราะทำให้สามารถสอบถามข้อมูลของแต่ละแผนกได้โดยไม่ต้องวิ่งไปถามหัวหน้าฝ่ายให้เสียเวลาไปเปล่าๆ แต่การที่มีเลขาพ่วงตำแหน่งอื่นก็มีข้อเสียหลายๆ เลยอยากจะหาคนมารับตำแหน่งเลขาอีกสักคน ซึ่งก็มีเล็งๆ ไว้แล้วล่ะ...
นักศึกษาที่พึ่งจบใหม่...อย่างต้นว่านไงล่ะ
ดูจากไหวพริบและการวิเคราะห์ข้อมูลถือว่าเยี่ยมยอด เอามาฝึกงานสักระยะก็เรียกใช้ได้เลย
“ฉันไม่เห็นด้วยนะ การที่เราลดการเซ็นสัญญาจะทำให้กำไรของบริษัทตกไป จริงอยู่ที่ทางบริษัทมาแตงอาจนำสินค้ามาให้ช้าแต่พวกเราก็สามารถขนส่งสินค้าได้สำเร็จนี่” จาตุรงค์ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายโลจิสติกส์พ่วงตำแหน่งเลขาออกความเห็นบ้าง
ตอนนี้ห้องประชุมบนชั้น 6 แทบลุกเป็นไฟเมื่อเปรมกับรงมีความเห็นไม่ตรงกัน ทั้งที่ปกติสองคนนี้ออกจะเข้ากันได้ดีแท้ๆ
โอ้ย...นี่ผมรีบนะ
“คุณจาตุรงค์เอาแต่คิดถึงกำไรมากเกินไปนะคะ การที่เราไม่ต่อสัญญากับมาแตงไม่ได้ทำให้กำไรบริษัทลดลงแน่นอนเพราะมีอีกตั้งหลายบริษัทที่อยากมาเซ็นสัญญากับบริษัทเรา” เปรมค้านขึ้นมาทันควัน
“คุณเปรมฤดีก็ใจแคบเกินไปนะครับ แค่การนำสินค้ามาส่งช้า หากเราบอกทางมาแตงไป เขาก็สามารถจัดการได้อยู่แล้ว...”
“แล้วเราบอกไปกี่ครั้งแล้วล่ะ เราบอกมาทั้งปีแล้วยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย”
“หยุด หยุดแค่นั้นแหละทั้งคู่!” สุดท้ายคนที่ทนไม่ไหวก็คือผมเอง ขืนปล่อยให้เถียงกันแบบนี้คงได้ไปงานรับปริญญาต้นว่านสายแน่
“แต่ประธาน.../บอสคะ...” ขนาดเรียกยังพร้อมกันเลย
“ผมมีนัดต่อ ไม่ได้ว่างมาฟังพวกคุณเถียงกันหรอกนะ”
สีหน้าของทั้งคู่สลดไปทันที แม้จะน่าสงสารแต่ตอนนี้ต้องรีบจบการประชุมที่ดูหาสาระไม่ได้นี่เสียก่อน
ถ้ารู้ว่าประชุมด่วนนี่คือการมานั่งเถียงกันอยู่เป็นชั่วโมงผมคงไม่เข้าหรอก
“ผมขอสรุปเลยละกัน เราจะหยุดเซ็นสัญญากับบริษัทมาแตง...”
“เยส!” เปรมฤดีถึงกับตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ
อย่าได้แปลกใจที่พนักงานบริษัทผมเป็นแบบนี้ ผมเป็นคนบอกให้ทุกคนแสดงตัวตนของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ เมื่อเราเข้ามาอยู่ในบริษัทก็เหมือนกับมีครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีอะไรต้องบอกต้องช่วยกัน
เพียงแต่คำสั่งของหัวหน้าครอบครัวหรือประธานบริษัทอย่างผมถือเป็นที่สุด
“ผมหมายถึงหยุดเป็นการชั่วคราว ถ้าทางบริษัทมาแตงอยากเซ็นสัญญากับทางบริษัทเราอีกก็ต้องมีข้อบังคับและสัญญาที่ชัดเจนกว่าเดิมเพื่อที่เราจะได้ควบคุมคุณภาพของการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องบริษัทอื่นๆ ก็เอาตามที่เสนอกันมาก่อนหน้านี้เลย จบการประชุม”
เมื่อพูดจบผมก็แทบจะวิ่งออกจากห้องประชุมไปยังรถของตัวเองทันที แต่ถึงจะรีบก็ยังไม่ลืมดอกไม้ช่อใหญ่ที่ถูกจัดแต่งอย่างประณีตสำหรับมอบเป็นของขวัญจบการศึกษาให้กับต้นว่าน
บรรยากาศทั้งในและนอกรั้วของมหาวิทยาลัยเป็นไปอย่างคึกคัก นอกจากจะมีเหล่านักศึกษามากมายแล้วยังเต็มไปด้วยร้านค้า ทั้งขายดอกไม้ ตุ๊กตา สายคาดและอื่นๆ อีกหลายร้าน แม้แต่ร้านอาหารยังมีมาตั้งเลย
“เลยเวลารับมาแล้วนี่นา...” ผมถอนหายใจออกมา ขนาดรีบสุดๆ แล้วยังมาไม่ทันดูต้นว่านรับปริญญาอีก แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ขอเอาช่อดอกไม้นี่ไปให้พร้อมคำอวยพรละกัน
พูดแบบนั้นก็จริงแต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้นว่านอยู่ไหน...
“ไอ้ว่าน! มาถ่ายรูปรวมกัน!” เสียงตะโกนที่ฟังดูคุ้นๆ ว่าจะเป็นเสียงเพื่อนสักคนของต้นว่านเรียกให้ผมเดินตามไป และเจอกับกลุ่มของนักศึกษาที่มีเหล่าผู้ปกครองล้อมรอบอยู่ ชุดจบการศึกษาสีฟ้าทองดูเข้ากับอีกฝ่ายมากจนเผลอยิ้มออกมา
จะเข้าไปตอนนี้ดีไหมนะหรือควรรอก่อนดี
“โอ๊ะ...นั่นพี่ไผ่นี่นา พี่ไผ่ครับ!” เสียงตะโกนเรียกดังลั่นทำเอานักศึกษาที่อยู่รอบๆ หันมามองผมเป็นตาเดียว
“เอ่อ...เรียกดังเกินไปแล้ว” ผมบ่นอุบอิบพลางก้าวยาวๆ เข้าไปหากลุ่มเด็กที่หันมาหา
ต้นว่านเองเมื่อเห็นผมก็ส่งยิ้มมาให้ทำเอาหัวใจเต้นแรงเลยล่ะ
“โหย ดอกไม้ช่อใหญ่มาก ของผมสินะ” บอลถามด้วยแววตาเป็นประกาย
“ฝันอยู่สินะไอ้บอล” กันหันไปตบหัวคนพูดประโยคเพ้อฝันเป็นการเตือน
“คิกๆ พี่มีให้ทุกคนแหละ แต่ช่อใหญ่นี่...ยินดีด้วยที่จบการศึกษานะต้นว่าน” ผมบอกพร้อมกับยื่นช่อดอกไปสีขาวแซมสีอื่นๆ ไปให้ต้นว่านพร้อมรอยยิ้มกว้างเพื่อแสดงความยินดีในวันพิเศษ
“ขอบคุณครับพี่ใบไผ่ ผมดีใจมากที่พี่มา” คนรับช่อดอกไปตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“อิ้ววว~ ไอ้ว่านเรายิ้มไม่หุบเลยวุ้ย” เสียงแซวนี้มาจากเป้ยเพื่อนอีกคนของต้นว่าน
“ไม่หุบบ้าอะไร” คนถูกพาดพิงหันไปบ่นเพื่อนตัวเอง
“พี่ใผ่แล้วของพวกผมล่ะ” เพื่อนสนิทของต้นว่านที่ชื่อน้ำถามพร้อมแบมืออกมาเตรียมรับของ
“น้ำ เสียมารยาทน่า พี่ไม่ต้องให้ก็ได้นะครับ” ต้นว่านรีบเข้ามาจัดการเพื่อนตัวเองแทบจะทันที
“ไม่เป็นไรๆ พี่มีให้จริงๆ อ่ะ...” พูดจบก็หยิบดอกไม้ที่ทำจากธนบัตร 1,000 ออกมาจากถุงแล้วยื่นให้กับเพื่อนสนิทของต้นว่านทีละคน
“ขอบคุณครับพี่ไผ่!” เด็กทั้งสี่คนตอบรับหน้าบานด้วยความดีใจสุดๆ
ผมถึงกับหลุดขำออกมาเมื่อเห็นใบหน้าพวกนั้น ดูจะดีใจมากยิ่งกว่าตอนสอบเข้าได้อีกมั้งเนี่ย
“พี่ใบไผ่ นั่น...”
“ไม่เอาสิ วันรับปริญญาทั้งทีอย่าบ่นพี่เลย...นะ” คนที่รู้ตัวว่ากำลังจะมีคำบ่นตามมารีบยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายเบาๆ
ต้นว่านคงไม่พอใจที่ผมให้เป็นเงินถึงแม้ว่ามันถูกพับเป็นดอกกุหลาบก็ตาม ผมคิดว่าให้แบบนี้ดีกว่าให้ดอกไม้ธรรมดาเพราะเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะแห้งเหี่ยวเฉาลง อันที่จริงในช่อดอกไม้ของต้นว่านเองก็มีนะแต่ผมให้ทางร้านใส่หลบๆ เอาไว้
“ก็ได้ครับ”
ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมจำนน
“ต้นว่าน” ผมหันไปมองตามเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนที่เรียกต้นว่านด้วยความสนใจ และเห็นคนสี่คนเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ไม่ต้องถามก็พอเดาได้ว่าพวกเขาคือครอบครัวของต้นว่าน
“พ่อ แม่ ไงดา ผา..” ต้นว่านขานรับพร้อมเดินเข้าไปกอดพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีด้วยที่เรียนจบ!” ทั้งครอบครัวพูดขึ้นพร้อมกัน
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
“จ้า ว่าแต่ช่อดอกไม้สวยๆ นี่ใครให้มา คงไม่ใช่แฟนลูกใช่ไหม”
คำถามนั้นทำเอาคนให้อย่างผมสะดุ้งพร้อมใบหน้าที่เห่อแดงเล็กน้อย
แฟนเหรอ...
“ไม่ใช่ครับแม่ ผมขอแนะนำนะ คนนี้คือพี่ใบไผ่ที่จ้างผมไปดูแลบ้านครับ” ต้นว่านแนะนำพลางเบนสายตามาหา ทุกคนหันมามองผมอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ว้าว เทพบุตรของหนู” เด็กสาววัยรุ่นที่คาดว่าเป็นน้องของต้นว่านวิ่งเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าแดงๆ
“สวัสดีครับ พี่ชื่อใบไผ่...”
“หนูชื่อแก้วมุกดา เรียก ‘ดา’ ก็ได้ค่ะ พี่ทั้งหล่อทั้งสวยเลย...น่ารักจังค่ะ”
“ขอบคุณ” สรุปว่าที่พูดมาคือผมหล่อ สวย หรือว่าน่ารักล่ะ ...ทั้งสามคำไม่น่าจะเอามารวมกันได้มั้ง
“เดี๋ยวเถอะดา อย่าเสียมารยาทกับผู้ใหญ่สิ สวัสดีจ้ะ ขอบใจที่เอ็นดูต้นว่านลูกชายป้านะ” คุณแม่ของต้นว่านดึงลูกสาวตัวเองให้ถอยหลังก่อนจะเดินมาทักทาย
“ผมขอเรียกคุณน้าได้ไหมครับ เพราะยังดูสาวอยู่เลย” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม
“แหม...พ่อหนุ่มนี่ละก็ มาเป็นลูกเขยบ้านน้าไหมล่ะ” คุณแม่ของต้นว่านเกือบจะอายม้วนแต่ก็ยังเอ่ยแซว
“นี่คุณ พูดอะไรแบบนั้นกัน ขอโทษด้วย...ลูกชายฉันคงสร้างเรื่องให้เธอเยอะเลย ยังไงก็ขอฝากเขาด้วยนะ” คุณพ่อของต้นว่านเดินมาทักทายบ้าง
“ผมสิสร้างเรื่องให้เขาตลอด ถ้าไม่มีต้นว่านผมคงแย่”
“ได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจ ผาทักทายพี่เขาหน่อยสิ”
“สวัสดีครับผมชื่อจันผา เรียก ‘ผา’ ก็ได้ครับ” เด็กผู้ชายตรงหน้าดูจะเป็นพวกขี้อายเพราะแทบจะไม่สบตาเลยระหว่างพูด
“สวัสดีครับ เรียกพี่ไผ่ก็ได้นะ” ผมทักทายตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
“ครับ พี่ไผ่”
น้องผาเหมือนต้นว่านที่อยู่ในร่างเด็กน้อยน่ารักเลย
“ตอนผมเป็นเด็ก ผมไม่ได้น่ารักเหมือนผาหรอกนะ” เหมือนถูกรู้ทัน ต้นว่านพูดขึ้นโดยใช้สายตามองมายังผมประมาณว่า...‘ผมรู้นะว่าพี่คิดอะไร’
“เหรอ... แต่ตอนนี้เราน่ารักสำหรับพี่นะ” อีกฝ่ายเบนหน้าหนีเมื่อได้ยินสิ่งที่บอกออกไป
อ้าว...หันหน้าหนีกันทำไมล่ะ
“ต้นว่าน?”
“...”
“นี่...ต้นว่านครับ” ผมเรียกซ้ำเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมหันมาหาสักที “ต้น...”
“พอเลยครับ อย่าได้เรียกผมด้วยน้ำเสียงที่กำลังจะทำเชียว” ต้นว่านหันมาทำหน้าเข้มใส่ รู้ทันอีกว่าผมกำลังจะใช้เสียงอ้อนๆ
“ทำไมล่ะ”
“พี่ใบไผ่”
“ก็พี่อยากรู้นี่” ถึงจะทำสายตาน่ากลัวก็ไม่กลัวหรอกนะ
“ผมไม่คุยกับพี่แล้ว แม่ครับ...เรามาถ่ายรูปกัน” พูดจบอีกฝ่ายก็เดินไปหาแม่ตัวเอง ทิ้งให้ผมยืนอยู่คนเดียว
“หนีกันตลอด”
“คุณดูไม่เหมือนกับนายจ้างในแบบที่ฉันคิดไว้เท่าไหร่” ผมยิ้มเกร็งๆ ให้กับคำพูดของคุณพ่อต้นว่าน
นี่เห็นหมดแล้วสินะ...น่าอายจัง
“อยู่กับต้นว่านทีไร ผมก็มักเป็นแบบนี้แหละครับ เป็นนิสัยที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมี” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ต้นว่านเองก็เหมือนกัน”
“ครับ?” อะไรกันที่ว่าเหมือน
“ตอนที่เขาอยู่กับคุณก็ไม่เหมือนตอนอยู่กับฉันหรือคนอื่นในบ้าน”
ผมเงยหน้าขึ้นไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลอย่างไม่เข้าใจ
“บางทีคุณกับต้นว่าน...อาจจะใจตรงกันก็ได้นะ” พอพูดจบอีกฝ่ายก็เดินไปหาคนที่กำลังผลัดกันถ่ายรูป ปล่อยให้ผมยืนงงกว่าเดิมว่าสิ่งที่ได้ยินหมายความว่ายังไง
“ฮะ?”
“พี่ไผ่มาถ่ายรูปด้วยกันนะคะ” เสียงของดาดังขึ้นพร้อมกับมือที่คว้าตัวผมไปถ่ายรูป
ไม่ใช่แค่ดาเท่านั้น แต่คณะเพื่อนของต้นว่านก็พากันมาถ่ายด้วย ภาพถ่ายหมู่ในพิธีจบการศึกษาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ในหัวผมยังคงงงอยู่และงงต่อไปตลอดงานรับปริญญานั่นแหละ
ที่คุณอาพูดนี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่นะ?
............................................................
สวัสดีค่ะ
อัพต่อเรียบร้อบ
มีคอมเม้นท์บอกว่าชื่อลูกมะนาวมีแต่ต้นๆทั้งเลย
เราอยากบอกว่าตัวเราค่อนข้างชอบชื่อพวกนี้แต่เวลาเรียกจริงอาขสับสนไปบ้างแหละเนอะ555
มีอีกคอมเม้นท์นึงที่อยากรู้เพศของลูกๆที่เกิดมาทั้งตัว
ต้นสน(สีดำล้วน)-เป็นตัวผู้
ราตรี(สีขาวน้ำตาลคล้ายมะนาว)-เป็นตัวเมีย
ต้นโมก(สีข้าวล้วน)-เป็นตัวเมียเช่นกันค่ะ
ตอนหน้ามาดูกันว่าใบไผ่จะทำยังไงเพื่อให้ได้ตัวต้นว่านเข้ามาอยู่ในบริษัท
ขอบคณทุกๆคอมเม้นท์และทุกๆกำลังใจนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
บ๊ายบาย^^
-Rewrite- >> สำหรับเรื่องพบรักตอนนี้กำลังมีการเปิดพรีออเดอร์อยู่นะคะหากสนใจสามารถเข้าไปสั่งซื้อกันได้ค่ะ >>
www.bookishhouse.comหรือเข้าไปอ่านรายละเอียดในเพจเราได้ค่ะ
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪