-Rewrite- When we found love พบรัก ▪×พบรักพิเศษ×▪ P.9 5/06/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -Rewrite- When we found love พบรัก ▪×พบรักพิเศษ×▪ P.9 5/06/61  (อ่าน 102191 ครั้ง)

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อยากให้ลูกมะนาวออกมาเเล้ว

ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
จะรออ่านนะ :mew1:

ออฟไลน์ yozz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฮืออออ น่ารักมากเลย  :o8: อยากเลี้ยงหมาขึ้นมาทันที
ปล.เรียนที่ไหนคะ เวลาสอบเหลืออาทิตย์เหมือนกันเลย เศร้าใจ :hao5:

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
 :o8: น่ารักจริง ๆ เลยน่ะ ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือพวกหูหางบ่อยมาก รู้สึกดีกับใจมาก ๆ เราชอบงานของคุณมาก ๆ เลยน่ะ มันเป็นอะไรที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้รู้สึกดีน่ะ สงสัยพ่อแม่ของใบไผ่คงจับไปผสมก่อนที่จะไปเที่ยวแน่ ๆ เลยน่ะ เลยเหมือนทิ้งมรดกมีชีวิตให้กับลูกชายคนเดียวเลยและยังเป็นกามเทพให้กับลูกด้วยน่ะเนี่ย อยากรู้จังว่าระหว่างต้นว่านกับใบไผ่ใครเป็นรุกใครเป็นรับ เดาไม่ออกจริง ๆ เลย  :hao3:
ป.ล.ขอให้คุณคนเขียนทำสอบได้ตามที่หวังไว้น่ะจ้ะ สู้ ๆ คนอ่านรอได้เสมอจ้ะ  :mew1:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
กอดขาคุณ nicedog

อ่านสือสอบสุ้ๆนะคะ ขอเกรดบี :D

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
 :mc4: :mc4: :mc4:โล่งมากที่มะนาวมีสามีที่ดีไม่พันธุ์ทางอิอิ :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
พบรัก ▪×วันที่6×▪



หลายสัปดาห์ผ่านไปตั้งแต่ผมย้ายจากคอนโดมาอยู่ที่บ้านเดี่ยวหลังสีขาวของพ่อกับแม่เพื่อดูแลมะนาวที่ใกล้คลอดเต็มที แต่ด้วยความที่ตัวเองนั้นกลัวสุนัขเสียเหลือเกินเลยจำเป็นต้องมีผู้ช่วยดูแล ซึ่งก็คือ ‘ต้นว่าน’ นักศึกษามหา’ลัยปี 4 ที่ผมเพิ่งจ้างมาทำงานได้ไม่ถึงเดือน


ค่าจ้างต่อวันที่ให้ดูเหมือนจะมากเกินไปตามคาด สามพันบาทต่อวันอาจดูมากสำหรับคนอื่นและมันก็มากสำหรับผมด้วย แต่ถ้าให้จากความพอใจสามพันบาทที่ให้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ คิดถูกจริงๆ ที่เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ เพราะอีกฝ่ายคงไม่ยอมง่ายๆ แน่ และก็เป็นอย่างที่คาดแต่สิ่งที่คืนกลับไม่ใช่เงินที่ให้ไปแต่เป็นคำพูดประโยคหนึ่งจากต้นว่านมาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยได้ยิน...


‘ถ้าพี่จะให้ค่าจ้างสามพันผมก็จะรับไว้ แต่บอกเลยว่าผมจะทำทุกอย่างให้คุ้มกับเงินสามพันที่พี่ให้แน่!’


ตอนแรกผมก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะคิดว่าต้นว่านคงจะดูแลบ้านกับมะนาวให้เป็นพิเศษ แต่พอวันต่อมาเท่านั้นแหละ…ผมถึงได้เห็นความตั้งใจของเขา


ตามปกติแล้วในตอนเช้าผมมักจะหาอะไรรองท้องก่อนไปประชุมหรือเข้าไปเซ็นเอกสารสำคัญเสมอ ทว่าเช้าวันนั้นต่างไปจากทุกวันเพราะบนโต๊ะทานอาหารมีขนมปังปิ้งกับกาแฟรสกลมกล่อมถูกวางไว้อยู่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร


ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมต้นว่านถึงเข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ ก็เพราะผมให้กุญแจสำรองไว้ตั้งแต่วันแรกที่จ้างงาน แล้วก็ไม่เพียงแค่มื้อเช้าเท่านั้นที่เพิ่มเข้ามา มื้อเย็นก็ยังเป็นอีกมื้อที่มีเชฟต้นว่านคอยทำให้ทาน โดยแต่ละวันนั้นแทบจะไม่ซ้ำรายการกันเลยทีเดียว และที่น่าแปลกคือรสชาติกลับอร่อยกว่าที่คิดไว้มาก


ส่วนมื้อกลางวันก็จะมีแค่วันที่ผมไม่ต้องออกไปทำงานที่บริษัท และต้นว่านไม่มีเรียนเท่านั้น เขาถึงจะกลับมาทำให้ อย่างวันนี้เองก็เช่นกัน


“พี่ใบไผ่จะเอาต้มจืดหมูสับหรือผัดกระเพราหมูสับดีครับ” เสียงทุ้มของเชฟประจำบ้านดังขึ้นจากทางห้องครัวซึ่งอยู่ติดกัน


“เอาต้มจืดดีกว่า” ผมตะโกนกลับไปโดยที่สายตายังไม่ละมือจากเอกสารที่เพิ่งถูกส่งมายังหน้าจอโทรศัพท์


หงิ๋ง~


“เฮ้ย!” ผมเผลอปล่อยโทรศัพท์มือถือลงพื้นเสียงดังตุ๊บ เมื่ออยู่ๆ ก็ถูกจมูกชื้นๆ สีดำสะกิดเข้าบริเวณปลายเท้า


สิ่งมีชีวิตสี่ขาขนฟูหนึ่งเดียวของบ้านเงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้ราวกับรู้สึกสนุกที่ได้เห็นท่าทางหวาดกลัว นี่ถ้าคนอื่นมาเห็นคงจะขำแน่ๆ ที่ท่านประธานอย่างผมกระโดดขึ้นโซฟาหนีสุนัขโดยไม่สนแม้แต่โทรศัพท์ของตัวเอง


ตอนนี้มะนาวกำลังท้องป่องเพราะตั้งท้องลูกสามตัว แม้ผมจะไม่รู้สึกยินดีนักที่จะมีสุนัขตัวใหญ่แบบนี้เพิ่มขึ้นแต่เพราะท่าทางของต้นว่านที่ดูไม่อยากให้ขายลูกของมะนาวนั่นเรียกรอยยิ้มจากผมได้ ก็เลยยอมเลี้ยงเหล่าลูกสุนัขซึ่งกำลังจะเกิดมาเพิ่มพร้อมมีเงื่อนไขว่าอีกฝ่ายจะต้องทำตามสัญญา นั่นคือการคอยดูแลและฝึกพวกมันอย่างดี


อันที่จริงแล้วถึงต้นว่านไม่พูดผมก็ไม่คิดจะขายหรอก การที่มะนาวท้องมีทางเดียวคือพ่อกับแม่พาไปผสมพันธุ์ นั่นหมายความว่าลูกๆ ของมะนาวที่กำลังจะเกิดมาคือความตั้งใจของพ่อกับแม่ ...รู้แบบนี้แล้วจะให้ขายลูกสุนัขพวกนั้นไปได้ยังไงกัน


“พี่ใบไผ่เกิดอะไร...อุ๊บ!” ต้นว่านรีบวิ่งออกมาจากครัวทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง แต่พอเห็นผมกระโดดขึ้นไปหลบมุมอยู่บนโซฟาก็ยกมือสองข้างขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้หลุดขำออกมา


“เลิกขำแล้ว ทำอะไรสักอย่างสิ” ผมกัดฟัดพูดออกไปพร้อมร่างกายที่สั่นขึ้นเรื่อยๆ จะไม่ให้สั่นได้ยังไงล่ะในเมื่อมะนาวกระโดดขึ้นมาบนโซฟาตัวเดียวกับผมแล้ว


“ครับๆ มะนาวมานี่”


เพียงประโยคเดียวสุนัขตัวโตก็เลิกยุ่งกับผมแล้วหันไปสนใจต้นว่านที่นั่งยองๆ เรียกมันแทน


“โอ๊ะ อย่ากระโดดสิ ท้องอยู่นะ!” เสียงทุ้มบอกกับสุนัขที่วิ่งเข้าไปหาพร้อมกับกอดกันกลมดิ๊ก มะนาวเองก็ส่งเสียงครางราวกับรู้สึกดีที่ถูกต้นว่านกอด ผมได้แต่มองภาพนั้นและรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของบ้านหลังนี้อย่างบอกไม่ถูก


จะมีวันที่ผมสามารถสัมผัสหรือเล่นกับสุนัขได้แบบนั้นบ้างไหมนะ? อยู่ๆ คำถามนี้ก็ผุดขึ้น ทั้งที่ตลอดเวลากว่า 28 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีครั้งไหนที่คิดว่าอยากสัมผัสหรือเล่นกับสุนัขเลยสักครั้งเดียว


ตั้งแต่ได้เจอกับต้นว่านรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนผมอย่างช้าๆ และผมคิดว่าต้นว่านสามารถทำมันได้สำเร็จด้วยเพียงแต่คงต้องใช้เวลานานกว่านี้สักนิด


“ห้ามกระโดดนะรู้ไหม ต้องอยู่เฉยๆ ด้วย” ระหว่างที่ต้นว่านกำลังลูบขนสามสีนั้นไปมาผมก็ค่อยๆ ย้ายลงไปนั่งโซฟาตามเดิมโดยใช้มือเอื้อมลงไปเก็บโทรศัพท์ที่ตกอยู่ไม่ไกล


ไม่กี่นาทีต่อมาต้มจืดหมูสับและไข่เจียวกุ้งก็เสร็จ คนท้องว่างอย่างผมไม่รอให้ต้นว่านมาเรียกเพราะแค่กลิ่นของอาหารที่ลอยมาก็มาพอจะบอกให้รู้ได้ แม้แต่มะนาวยังเปลี่ยนที่นอนไปอยู่ในครัวแทนเลย



“กินด้วยสิต้นว่าน” เป็นอีกครั้งที่ผมใช้มือคว้าแขนคนตรงหน้าที่พอทำอาหารเสร็จก็จะรีบเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นแทน


ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาต้นว่านคอยดูแลบ้านให้ทั้งหมด ทั้งเก็บกวาด ทำความสะอาด และจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ บอกได้เลยว่าเหมือนมีบ้านหลังใหม่ที่มองไปทางไหนก็สะอาดน่ามองเป็นที่สุด


ต้นว่านทำทุกอย่างได้ดีแต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้...


“ผมกินมาแล้วครับ”


ข้ออ้างเดิมๆ ที่ฟังมาแล้วไม่รู้กี่รอบทำเอาผมหมดความอดทน ไม่ว่าจะวันไหนก็อ้างแต่แบบนี้ แล้วสุดท้ายมื้อกลางวันก็ถูกนำไปจัดการต่อในมื้อเย็นเพราะถ้าทิ้งไปทั้งแบบนั้นมันก็เสียของ วันนี้แหละผมต้องทำให้อีกฝ่ายมานั่งกินด้วยกันให้ได้


“กินแล้วก็กินอีกได้” ผมจะไม่ยอมเหมือนวันก่อนๆ อีกแล้ว


“ผมอิ่มครับ”


“ต้นว่าน”


“พี่กินเถอะ” อีกฝ่ายพูดโดยไม่หันมามองหน้า


ไม้แข็งใช้ไม่ได้กับต้นว่าน ...ผมรู้ดี


และอะไรที่ใช้ได้กับต้นว่าน ...ผมก็รู้ดีเช่นกัน


แต่การจะให้ทำบ่อยๆ มันก็มีอายกันบ้าง ยิ่งอายุขนาดนี้ก็ยิ่งอายเข้าไปใหญ่


“ต้นว่าน” ผมเปลี่ยนจากเสียงโทนแข็งให้อ่อนลงจนสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเกร็งตัวขึ้นอัตโนมัติ “กินมื้อเที่ยงกับพี่นะ” น้ำเสียงอ้อนๆ ถูกส่งออกไปในที่สุด


แม้จะรู้สึกอาย แต่พอคนที่อ้อนเป็นต้นว่านผมกลับไม่ได้รู้สึกแย่อย่างที่คิด มีทฤษฏีที่บอกว่าเมื่อมีครั้งที่หนึ่งก็จะมีครั้งที่สองตามมา และเมื่อมีครั้งที่สองก็จะมีครั้งที่สามและที่สี่ตามมาเช่นกัน ...ผมว่ามันจริงนะ พอมีการอ้อนครั้งแรกก็มีครั้งสองและสามตามมาจนตอนนี้ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่อ้อนอีกฝ่ายแบบนี้


การกินข้าวคนเดียวมันเหงานะ ในเมื่อมีคนอยู่ด้วยก็ควรจะกินด้วยกันสิไม่ใช่เดินหนีไปทำอย่างอื่นแบบนี้


“อย่ามาอ้อนผมนะ” ต้นว่านนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบกลับมา


“มากินด้วยกันเถอะ” แต่ผมก็ยังอ้อนต่อไป


“พี่ใบไผ่”


“นะ...นะ...กินด้วยกันนะ” พูดเองก็อายเองแฮะ


“...”


“ต้นว่าน”


“...ปกติพี่กินข้าวกับลูกจ้างรึไง” คำถามหนึ่งดังขึ้นราวกับเสียงกระซิบแต่ผมก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน


“ไม่กินหรอก...”


“เห็นไหมล่ะ”


“ก็ที่บ้านพี่ไม่เคยมีลูกจ้างนี่”


“...”


“แล้วถึงต้นว่านจะเป็นลูกจ้างแล้วยังไงล่ะ มีกฎที่ไหนห้ามกินข้าวกับลูกจ้างตัวเองเหรอ” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง


ต้นว่านมักเป็นแบบนี้ตลอด ชอบเลี่ยงที่จะทำอะไรล้ำเส้นความเป็นลูกจ้างกับนายจ้าง ชอบทำเหมือนกับตัวเองอยู่ต่ำกว่ามากๆ ทั้งที่ความจริงผมไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด ถ้ารู้สึกดีเวลาอยู่กับใครผมก็จะอยู่ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องการก็ตาม


ในเมื่อต้นว่านดื้อ ผมก็จะเอาแต่ใจให้มากกว่า และจะให้มากจนอีกฝ่ายลืมคำว่า ‘ฐานะ’ ไปเลย


“พี่ใบไผ่...”


น้ำเสียงของต้นว่านเริ่มอ่อนลงทำให้ผมรู้ว่าโอกาสมาแล้ว


“กินด้วยกันเนอะ”


“...ก็ได้”


“เยส!” สุดท้ายลูกอ้อนก็เป็นฝ่ายชนะ



พวกเรานั่งจัดการมื้อเที่ยงของตัวเองไปเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศรอบๆ เลยมีเพียงเสียงหายใจของมะนาวที่นอนอยู่ใต้โต๊ะกินข้าวเท่านั้น


“พี่ทำเราลำบากใจสินะ” ระหว่างกินผมก็เอ่ยถามอีกฝ่ายไปตามตรง


ผมไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดแบบนี้เลย มันรู้สึกว่าความอยากอาหารลดลงจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว


“พี่ต่างหากที่ต้องลำบากใจ” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามตอบกลับ


“ไม่เลยสักนิด”


“พี่ทำหน้าเหมือนกำลังเครียด”


“พี่ทำเพราะเราทำหน้าเครียดแถมแผ่บรรยากาศน่าอึดอัดก่อนนั่นแหละ” ผมเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ เรื่องนี้ผมไม่ผิดสักนิด คนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับคือต้นว่านเองแท้ๆ จะมาโทษกันแบบนี้ได้ไง


“ผมเปล่า...”


“เปล่าที่ไหน”


“...”


นั่นไง...เงียบอีกละ ต้นว่านเป็นเหมือนเด็กที่เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองหมด ขืนเป็นแบบนี้สักวันคงได้เป็นไมเกรนแน่


“พี่ไม่เคยคิดว่าต้นว่านเป็นลูกจ้าง เราเป็นเหมือนน้องคนนึงและเป็นคนในครอบครัวพี่ เพราะงั้นพี่อยากให้เรามองพี่ด้วยสายตาที่เหมือนมองมะนาวบ้าง”


ทั้งที่คิดว่าจะไม่พูดแต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเปิดอกคุยกับต้นว่านไปตรงๆ การปล่อยให้ค้างคามันไม่ใช่นิสัยผม


“ผมไม่ได้...”


“เรามองมะนาวเหมือนเป็นสิ่งสำคัญและมีค่ามาก ทุกครั้งที่คุยเล่นกับมะนาว มันเหมือนเรากำลังคุยกับครอบครัว แต่พอเป็นพี่ เรากลับทำเหมือนว่าพี่...เป็นคนนอก” ทันทีที่พูดจบผมก็รีบก้มหน้าลงเพื่อหลบดวงตาคมสีน้ำตาลที่กำลังจ้องมองมา


ตอนนี้เหมือนความอดทนที่มีมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ผมอาจดูบ้าที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสุนัข แต่มันไม่มีอะไรจะเห็นชัดมากไปกว่านี้อีกแล้ว เส้นกั้นระหว่างผมกับต้นว่านมันอาจเป็นเส้นบางๆ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะก้าวเข้าไป


“พี่ใบไผ่...ผมไม่ได้คิดแบบนั้น พี่กำลังเข้าใจผิด”


“งั้นก็อธิบายให้พี่เข้าใจทีสิ”


อธิบายให้เข้าใจว่าสิ่งที่ต้นว่านคิดคืออะไรกันแน่?


“พี่ใบไผ่เป็นคนที่อ่อนโยน ใจดี ใจกว้าง มีเมตตา...มีทุกๆ อย่างเพียบพร้อมแม้กระทั่งฐานะ ถึงผมไม่รู้ว่าพี่ทำงานอะไรแต่จากที่พบพ่อกับแม่ของพี่ผมก็รู้ว่าฐานะของพี่กับผมมันต่างกันขนาดไหน...”


“...ต่างแล้วยังไง” สุดท้ายก็วกมาเรื่องฐานะอีกจนได้


“เพราะความต่างนั่นทำให้ผมกลัว กลัวว่าตัวเองจะพึ่งพิงความใจดีของพี่มากเกินไป ถ้าผมขอ พี่ใบไผ่ก็จะให้...”


“พี่ไม่ได้ใจดีขนาด...” สิ่งที่ผมกำลังจะพูดแทรกขาดห้วงไปเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบกับดวงตาคมที่จ้องมา สายตานั้นเหมือนกำลังบอกว่าให้ผมหยุดและฟังในสิ่งที่เขากำลังจะบอก


“ถึงพี่พูดแบบนั้น แต่ถ้าผมขอจริงๆ ผมก็มั่นใจว่าพี่จะให้ พี่ไว้ใจคนง่ายไป พี่อาจมองว่าผมเป็นคนดีที่ช่วยดูแลมะนาวและบ้านของพี่ แต่ในความจริงถ้าผมไม่ได้เป็นแบบนั้นล่ะ พี่เคยเดินดูของที่อยู่ในบ้านไหมว่ามันหายไปรึเปล่า พี่เคยระแวงที่ให้กุญแจสำรองกับใครก็ไม่รู้แบบผมไหม”


เหมือนอีกฝ่ายเองก็อัดอั้นไม่แพ้กันเลยยิงคำถามมากมายจนแทบไม่หยุดหายใจ คิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดเข้าหากันแน่นราวกับเครียดกับเรื่องนี้มานานแล้ว


นี่ผมปล่อยให้ต้นว่านคาใจมานานขนาดนี้ได้ยังไงกัน...


ผมมีเหตุผลมากมายที่อยากพูดออกไป แต่สำหรับตอนนี้มันคงไม่จำเป็นแล้ว คำพูดยืดยาวคงไม่สำคัญเท่าประโยคเดียวที่อยากให้ต้นว่านได้ยิน และผมหวังว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของผมที่สื่อผ่านไป...


“พี่ดูเราออก และพี่เชื่อใจเรา”


“ผมรู้ว่าพี่จะตอบแบบนั้น และคำตอบนั่นทำให้ผมกลัว พี่คาดหวังในตัวผมสูงเกินไป ถ้าวันหนึ่งผมจนตรอกจนทำลายความเชื่อใจที่พี่มีให้ ถึงตอนนั้นพี่จะทำยังไง” ดวงตาคมที่จ้องมาสั่นระริก


“พี่ทำอะไรกับอนาคตที่ยังไม่มาถึงไม่ได้ พี่รู้แค่ปัจจุบันพี่เชื่อใจเราและจะเชื่อต่อไป”


“ต่อให้ในอนาคตผมอาจจะทำลายมันงั้นเหรอ”


“ใช่ ต่อให้เป็นแบบนั้นพี่ก็จะเชื่อ...จะเชื่อให้ถึงที่สุด” สำหรับผมต้นว่านไม่ใช่เด็กที่จะทำลายความเชื่อใจที่มีให้หรอก


ไม่ทำแน่...ผมเชื่อแบบนั้น


“เข้าใจแล้วครับ ขอโทษที่ทำให้พี่ลำบากใจมาตลอดนะครับ” อีกฝ่ายหลับลงสักพักก่อนจะลืมขึ้น รอยยิ้มที่ส่งมาให้ครั้งนี้น่ามองกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเห็น จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไป


“เหมือนกัน เราน่ะเป็นเด็กดีนะต้นว่าน” ผมลุกขึ้นเดินไปกอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆ พลางลูบหัวอีกฝ่ายไปมาอย่างเบามือ คนที่ถูกกอดไม่ได้พูดอะไร เอาแต่นั่งนิ่งๆ ให้ทำแบบนั้นจนผมพอใจ



หลังจากที่พวกเราได้พูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจในสิ่งที่ค้างคาใจกันมาตลอดเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเปลี่ยนบรรยากาศกันที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในโซนที่ทำให้ผมต้องหันซ้ายขวาระแวงไปตลอดทาง ทว่าเด็กที่มาด้วยกลับเข็นรถเข็นอย่างอารมณ์ดี ซึ่งโซนที่ว่านั่นก็คือ ‘โซนสัตว์เลี้ยง’ นั่นเอง


ถ้าเป็นแค่โซนที่ขายของสำหรับสัตว์เลี้ยงธรรมดาๆ คงจะไม่มีปัญหา แต่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาภายในโซนนี้ได้อย่างอิสระทำให้ผมต้องคอยหวาดระแวงไปเสียทุกทิศทุกทาง


“พี่ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ถึงที่นี่จะให้สัตว์เข้าได้แต่ก็ต้องให้อยู่ในรถเข็นเท่านั้นเพราะงั้นไม่ต้องกังวลไปนะครับ” ต้นว่านอธิบายเพื่อเพิ่มความสบายใจซึ่งก็ช่วยได้จริงๆ


“อืม แล้วเรากำลังจะไปไหนกัน” เดินมาตั้งนานแล้วผมยังไม่รู้เลยว่าจุดหมายของการมายังโซนสัตว์เลี้ยงนี่คืออะไร


“เราจะไปดูกรงกัน ช่วงนี้ต้องให้มะนาวอยู่ในกรงให้ชินไว้เพราะเวลาคลอดลูกจะดูแลง่ายกว่า”


“อ้อ ได้ๆ ”


“มีของหลายอย่างต้องเตรียมก่อนที่ลูกของมะนาวจะเกิด แต่...” พูดมาถึงตรงนี้ต้นว่านที่เข็นรถอยู่ก็หยุดชะงัก


“แต่?”


“...ค่าใช้จ่ายมันอาจสูงตามไปด้วย”


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เอาที่ต้นว่านคิดว่าดีเลย เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ”


ก็บอกแล้วว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสักนิด


“พี่มีงบเท่าไหร่เหรอ?”


ดูเหมือนต้นว่านจะไม่เข้าใจคำว่าเต็มที่ของผมนะ


“มีมากกว่าที่ต้นว่านคิดละกัน”


“ถ้าเงินไม่พอจ่าย ผมไม่รู้ด้วยนะ” อีกฝ่ายบ่นพลางเข็นรถเข็นต่อไปโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะที่ไล่หลังสักนิด


การเลือกกรงใช้เวลานานกว่าที่คิด และสาเหตุไม่ใช่เพราะเรื่องราคาแต่เป็น...


“สีฟ้าสวยกว่าสีน้ำตาลตั้งเยอะ” ผมบอกต้นว่านที่ตัดสินใจเลือกซื้อกรงขนาดใหญ่สีน้ำตาล และกำลังถือไปวางที่เค้าเตอร์ข้างๆ
ก็สีน้ำตาลดูแก่จะตาย สีฟ้าสวยกว่าตั้งเยอะ...


“แต่สีน้ำตาลมันทำมาจากวัสดุที่คงทนกว่า แถมราคาก็ถูกกว่าสีฟ้าที่ทำจากวัสดุที่สเป็กต่ำกว่าด้วยนะครับ” ต้นว่านอธิบายด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดที่ผมไม่ยอมท่าเดียว


“ถึงจะอย่างนั้น แต่สีฟ้าน่ะ...”


“พี่ใบไผ่”


“ก็ได้...สีน้ำตาลก็ได้” เมื่อถูกขึ้นเสียงใส่ ผมก็ต้องยอมเอากรงสีน้ำตาลนั่นจนได้


ผมเดินหน้ามุ่ยตามหลังต้นว่านที่มุ่งหน้าไปยังมุมอาหารสุนัข ยิ่งถูกเมินก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนขัดใจ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแท้ๆ นี่ตัวผมชักจะบ้ากันไปใหญ่แล้วที่มานั่งเถียงเรื่องไร้สาระอย่างเรื่องสีของกรงสุนัขแบบนี้


“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจยาวๆ เมื่อคิดได้ว่าตัวทำอะไรลงไป


ทำท่าเหมือนเด็กอายุ 7 ขวบที่โดนพ่อแม่ขัดใจงั้นแหละ...


“พี่ใบไผ่”


“หืมม์?” ผมขานรับเสียงเรียก


“เดี๋ยวกลับไป ผมซื้อสีฟ้าไปทากรงให้ได้นะครับ”


ผมกระพริบตาปริบๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างโชว์ฟันเกือบทุกซี่


“ยิ้มมากไปแล้ว” อีกฝ่ายพึมพำเบาๆ


“ก็มันดีใจที่ต้นว่านเป็นห่วงความรู้สึกพี่น่ะ”


ต้นว่านเป็นเด็กที่ใจดีที่สุดเลย...


“พูดเหมือนทุกครั้งผมไม่ห่วงอย่างนั้นแหละ”


“อืมๆ ปกติเอาแต่เลี่ยงๆ นี่นา”


“พี่ใบไผ่...”


“ครับผม”


“ไปซื้อของกันต่อเถอะครับ” พูดจบก็เดินต่อไปจนถึงชั้นวางอาหารสุนัขที่ยาวเป็นสิบเมตร แถมยังยาวเต็มทั้งสองฝั่งทำเอาผมตาลายไปหมดเลย


ครั้งก่อนที่ซื้ออาหารไปผมก็ไม่ได้มาซื้อที่นี่ เลยไม่รู้ว่าอาหารสุนัขจริงๆ มันมีให้เลือกมากมายขนาดนี้


“เยอะมาก” ผมเดินไล่มองตามถุงอาหารแต่ละยี่ห้อด้วยความสนใจ


จากที่ไล่อ่านแต่ละยี่ห้อก็จะเน้นไปคนละแบบ อย่างยี่ห้อนี้จะเน้นสำหรับให้สุนัขขนสวยและขับถ่ายเป็นก้อน ส่วนอีกยี่ห้อนอกจากจะขนสวยแล้วยังช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงด้วย เรียกได้ว่ามีหลากหลายสูตรจนแทบเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว


“พี่ใบไผ่มานี่หน่อยครับ”


“ได้” ผมตอบพลางเดินไปหาต้นว่านที่กำลังยืนมองอาหารเม็ดสองแบบที่อยู่ติดกันด้วยใบหน้าครุ่นคิด


“พี่ว่าซื้อถุงไหนดี?”


“ไหนๆ ดูหน่อย... ถุงนี้เหมาะสำหรับสุนัขกำลังตั้งครรภ์ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมและบำรุงแม่สุนัขให้แข็งแรง อีกถุงก็เหมาะสำหรับสุนัขตั้งครรภ์เหมือนกันแต่มีช่วยเพิ่มวิตามินให้กับแม่สุนัขไปจนถึงลูกสุนัข อืม...เอาทั้งสองแบบไปเลยสิ” ผมแทบไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าดีทั้งสองแบบก็เอาทั้งคู่เลยสิ


“สองถุงเลย? พี่ได้ดูราคาไหมว่ามันเท่าไหร่”


ผมเบนสายตาไปมองป้ายราคาที่แปะอยู่ “ก็ไม่แพงเท่าไหร่นี่ เอาไปอย่างละสอง ไม่สิ สักสามถุงเลยก็ได้” ซื้อตุนไว้ก่อนย่อมดีกว่าอาหารหมดแล้วต้องรีบขับมาซื้อ ดีไม่ดีครั้งหน้าของอาจหมดก็ได้


อาหารหนึ่งถุงหนักสามกิโลกรัม ราคาอยู่ที่พันห้าร้อยบาท ...ก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย


“พี่เพิ่งจะซื้อกรงที่ราคาเป็นหมื่นไปนะ แล้วพี่จะซื้ออันนี้ตั้งหกถุง?”


“น่าๆ พี่จ่ายได้น่า”


“ผมรู้ว่าพี่จ่ายได้ แต่เงินพี่จะไม่เหลือเอานะ”


ฟังจากที่พูดมา ต้นว่านคงคิดว่าผมเอาเงินเก็บมาซื้อสินะ จริงๆ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดเสียทีเดียว แต่แค่จ่ายไปสองหมื่นสามหมื่น ยังไงๆ ขนหน้าแข้งผมไม่ร่วงหรอก


“เหลือน่า”


“ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าพี่ทำงานอะไร”


“ถึงอยากรู้ พี่ก็ไม่บอกหรอก” ผมยิ้มๆ แล้วจัดการหยิบอาหารเม็ดที่ว่าวางลงบนรถเข็น


“แกล้งกันนี่”


“งั้นเราก็หาเอาสิ”


“พูดเหมือนถ้ากดกูเกิ้ลหาแล้วจะเจอทันทีงั้นเหละ” ต้นว่านพูดยิ้มๆ


“แน่นอน”


ถ้าใส่ชื่อ ‘กิตติพิชญ์ ศิริวัฒนิวงศ์’ ลงไป ไม่ใช่แค่รูปภาพเท่านั้นที่จะขึ้นบนจอ แต่ข้อมูลทั้งหมดรวมถึงประวัติการทำงานก็จะปรากฏมาให้อ่านได้ไม่ยากเช่นกัน


“กลับไปจะลองหาดูเลย”


“จะหาน่ะรู้ชื่อจริงพี่รึยัง?” ผมถามกลับเพราะเท่าที่จำได้รู้สึกว่าต้นว่านจะไม่รู้


“พี่ก็บอกมาสิ” ดูเหมือนอีกฝ่ายก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่รู้


“ไม่บอก”


“พี่ใบไผ่”


อ่า...นี่สินะคือความสนุกที่ได้แกล้งน้อง


“ครับต้นว่าน”


“ไม่ต้องมาทำเสียงหวานเลย”


หลังจากนั้นพวกเราก็เดินซื้ออาหารเสริมอื่นๆ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นในการเตรียมความพร้อมสำหรับลูกสุนัขทั้งสามตัวกันต่อ


ค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการจับจ่ายใช้สอยในวันนี้ทำให้ต้นว่านมีสีหน้าแปลกๆ อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนกับคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่างเมื่อเห็นยอดเงินรวมบนหน้าจอเครื่องคิดเงินของพนักงานแคชเชียร์ แต่สำหรับผมที่จ่ายด้วยบัตรเครดิตก็ไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไร โดยปกติผมไม่ใช่พวกใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนัก ยอดบัตรเครดิตแต่ละครั้งเลยไม่สูงมาก แต่ครั้งนี้ดูจะมากเป็นประวัติการณ์ ทว่ามันน่าแปลกตรงที่รู้สึกว่ามีความสุขมากกว่าจะมาเสียดายเงินที่จ่ายไป


“ต้นว่านรอพี่แป๊บนึงนะ” ผมหันไปบอกต้นว่านที่กำลังยกของใส่ท้ายรถอยู่


“พี่จะไปไหนเหรอครับ”


“ลืมซื้อของนิดหน่อยน่ะ”


“ให้ผมเข้าไปช่วยถือไหม”


“ไม่เป็นไรๆ แค่ของเบาๆ เองน่า” พูดจบผมก็วกกลับเข้ามาซื้อของที่เพิ่งนึกขึ้นได้อีกครั้ง


สิ่งที่ผมวิ่งกลับเข้ามาซื้อคือโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง แน่นอนว่าไม่ใช่ของตัวเองแต่เป็นของต้นว่านนั่นแหละ ตั้งแต่ครั้งก่อนที่โทรศัพท์ถูกเหยียบพังไปอีกฝ่ายก็ไร้เครื่องมือสื่อสารอย่างสิ้นเชิง การมาห้างครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ซื้อของให้ต้นว่านสักหน่อย


อันที่จริง...การซื้อน่ะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การทำให้อีกฝ่ายยอมรับไปใช้น่ะยากยิ่งกว่า



“อ่ะ...พี่ให้” ผมยื่นถุงกระดาษสีน้ำเงินเข้มให้ต้นว่านหลังจากที่ขึ้นมานั่งอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว


“ให้ผมถือ?”


“เปล่า...พี่ให้เรา”


“ให้ผม? นี่มันโทรศัพท์...พี่ใบไผ่” เป็นอย่างที่คาดไว้ เพราะทันทีที่เห็นของภายในถุง ต้นว่านก็หันมาสบตาอย่างจริงจัง


“พี่ซื้อให้เพราะมีเหตุผลนะ” ผมต้องรีบพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นถุงมาคืน


“เหตุผล? ห้ามบอกว่าเพราะติดต่อผมลำบากด้วย”


“...” ผมนิ่งไปเพราะเหตุผลที่จะบอกมันเหมือนกับที่คนตรงหน้าห้ามไว้เป้ะๆ


“พี่นี่น้า...”


“จะรับไว้ไม่ได้เหรอ” สุดท้ายก็ต้องใช้ไม้ตายโดยการหันไปถามเสียงอ่อย


ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้วก็อยากให้ต้นว่านเอาไปใช้


“ก็ไม่ใช่ไม่ได้...”


“พูดแล้วนะ” ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินแบบนั้น รู้สึกเหมือนระยะห่างของพวกเราเริ่มลดลงบ้างแล้ว


“ขอบคุณนะครับ” ต้นว่านบอกพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้เช่นกัน


พอกลับมาถึงบ้านต้นว่านก็จัดการยกของทั้งหมดลงจากรถ ทั้งอาหาร อุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้แต่กรงสีน้ำตาลเข้าไปในบ้าน โดยที่มีผมคอยช่วยแค่ตอนยกกรงเท่านั้น นอกนั้นอีกฝ่ายเป็นคนจัดการเองทั้งหมด ตอนแรกผมก็ไม่ยอมแต่พอถูกสายตาแข็งๆ นั่นจ้องมาก็ทำเอายอมทุกครั้งไป ...ทำไมถึงไม่กล้าขัดขืนสายตานั่นกันนะ?


ไม่ใช่เพราะกลัว...มันอาจเป็นเหตุผลที่ง่ายกว่านั้น


ไม่แน่นะผมอาจจะแค่...ไม่อยากให้ต้นว่านโกรธก็ได้

...................................................................................

สวัสดีค่ะ

ความจริงตอนนี้แต่งเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแต่เนื่องจากข่าวที่ได้รับสร้างความตกใจเกินกว่าจะมาอัพไหว

เลยเปลี่ยนมาอัพในวันนี้แทนค่ะ

สำหรับตอนนี้ความสัมพันธู์ของทั้งคู่ก็พัฒนาไปอีกขั้น

ค่อยๆเรียนรู้และรู้จักกันมากขึ้นทีละน้อย

ตอนหน้ามารอลุ้นกันนะคะว่าจะมีเหตุการณือะไรเกิดขึ้น

ขอบคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจและคอมเม้นท์ให้เสมอนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

บ๊ายบาย

-Rewrite- >> มารีตอนสุดท้ายของวันค่ะ ไว้วันอื่นจะมารีเพิ่มนะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 21:40:22 โดย nicedog »

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
 :impress3: น่ารักจ้า อ่านแล้วเหมือนเข้ามาปลอบประโลมใจที่กำลังเศร้าเลยจ้ะ  :mew1: ชอบใบไผ่จังเลยน่ารัก ส่วนต้นว่านก้อน่ารักกว่า เราเดาว่าใบไผ่น่าจะเป็นเมะส่วนต้นว่านก้อเป็นเคะแน่ ๆ ไม่น่าผิดน้า  :hao3:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
มีคำถามค่าาาา

หน้าร้อนน้องมะนาวไม่แย่เอาเหรอคะ ไทยร้อนกว่าบ้านเกิดเขาตั้งเยอะ กลัวจะร้อนจัดแล้วเครียดอ่ะค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
ขอบคุณที่มาอัพนะคะ
เราเข้าโซเชียลไม่ได้เลย น้ำตาไหลตลอด
เลยต้องหันมาทำอย่างอื่นแทนไปก่อน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ค่อยเป็นค่อยไป รักกันนานๆ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
อยากอ่านต่อ

ออฟไลน์ darksnow

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แพ้ลูกอ้อนพี่ใบไผ่ตามเคยนะต้นว่าน หึหึ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
น่ารัก

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
                                    :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
                                              เรามีความสุขกับนิยายเรื่องนี้จังอยาดอ่านเยอะๆอ่านไม่หยุด555
                                                                      รีบๆมาต่อนะ
                                                                         :pig4:

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
สายเปปย์สุดๆเลยนะเนี่ย 5555

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ตามอ่านนน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
น่ารักมาก ชอบแนวพล็อตเรื่องง ละภาษาของคุณทุกเรื่องเลยคะ แบบว่าเราชอบเคะแก่กว่า ยิ่งเรื่องจดหมายเราชอบมาก เสียดายเราจองหนังสือไม่ทัน :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
พบรัก ▪×วันที่7×▪



ช่วงค่ำหลังจากที่นักศึกษาปีสุดท้ายอย่างผมดูแลบ้านของนายจ้างผู้ใจดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ตรงกลับบ้านของตัวเองทันที บ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากบ้านของพี่ใบไผ่พอสมควรทำให้ใช้เวลาในการเดินกลับประมาณ 15 นาที


“กลับมาแล้วครับ” ผมพูดเสียงเบาเพื่อไม่เป็นการรบกวนคนที่อยู่ข้างใน เวลาประมาณนี้ทุกคนในบ้านคงจะเข้านอนกันไปสักพักแล้ว


“วันนี้ก็กลับดึกอีกแล้วเหรอว่าน” เสียงของแม่ดังขึ้นพร้อมกับหันมามองผมด้วยความเป็นห่วง ข้างๆ แม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวของบ้านก็มีพ่อที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่


แม่ของผมทำงานรับจ้างที่ร้านขายดอกไม้ในช่วงเช้าถึงบ่าย ส่วนตอนเย็นก็รับงานเสริมเป็นพนักงานที่ร้านอาหารข้างทางแห่งหนึ่ง


“ครับ พ่อกับแม่ยังไม่นอนอีกเหรอ นี่มันดึกแล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นไม่ไหวหรอก” พูดจบก็เดินเข้าไปหาทั้งคู่


“บอกตัวเองดีกว่ามั้ง เดี๋ยวนี้กลับดึกทุกวันเลยนี่” พ่อหันมาพูดบ้าง


พ่อของผมเป็นคนตรงๆ เวลาอยากพูดอะไรก็จะพูดไปตามนิสัยที่ติดมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่มีร่างกายแข็งแรงจึงทำงานพวกขนของ หรือบางครั้งก็จะรับจ้างซ่อมหลังคาหรือว่าห้องน้ำบ้าง ถึงแม้ว่าทั้งพ่อและแม่จะออกไปทำงานกันทุกวันแต่ค่าใช้จ่ายก็ยังมีมากกว่ารายได้อยู่ดี ส่วนสาเหตุที่เป็นแบบนั้น อย่างแรกอาจเพราะเงินที่หามาได้ต้องเก็บไว้จ่ายค่าเช่าบ้านที่เพิ่งปรับราคาขึ้น 

อย่างที่สองคือน้องอีกสองคนของผมกำลังจะเข้าเรียนชั้นมัธยมฯ ปลายคนนึงกับมหาวิทยาลัยอีกคนนึง ทำให้ครอบครัวเราต้องเก็บเงินออมไว้ใช้สำหรับจ่ายทั้งค่าสมัคร ค่าเสื้อผ้า และอุปกรณ์การเรียนต่างๆ


“นิดหน่อยเองพ่อ นี่ครับแม่”


ผมยื่นเงินค่าจ้างที่ได้จากพี่ใบไผ่ให้แม่ไปสองพันบาท และเก็บเอาไว้ใช้เองหนึ่งพันบาท อาจฟังดูเยอะที่เก็บเอาไว้เองตั้งหนึ่งพัน แต่ความจริงแล้วในหนึ่งพันนี้ผมต้องเอาไปใช้เป็นค่าวัตถุดิบในการทำอาหารแต่ละมื้อให้พี่ใบไผ่ด้วย และส่วนที่เหลือก็เอาไปใช้เป็นค่าใช่จ่ายอื่นๆ สำหรับการเรียน  ส่วนมากก็จะมีเหลือเก็บอยู่ครึ่งหนึ่งซึ่งก็จะเก็บออมเอาไว้เพื่อซื้อบ้าน เพื่อที่ครอบครัวเราจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแบบนี้ทุกๆ เดือน


“เอามาให้แม่อีกแล้ว ...ตั้งสองพัน ว่านบอกแม่หน่อยว่าสรุปแล้วลูกทำงานอะไรกันแน่ถึงได้เงินเยอะขนาดนี้” แม่รับเงินไปพร้อมหันมาถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ใช่แค่แม่คนเดียวแต่พ่อเองก็หันมารอคำตอบเช่นเดียวกัน


“ผมช่วยดูแลบ้านนะครับ”


“แค่ดูแลบ้านจะได้วันนึงเยอะขนาดนี้ได้ยังไง” แม่ยังคงตื้อถาม


ก็อย่างที่แม่ว่าละครับ แค่ดูแลบ้านจะได้ค่าจ้างขนาดนี้ได้ยังไง...


เรื่องนี้คนที่อยากรู้ที่สุดก็คือตัวผมเองนี่แหละ ก็รู้ว่าพี่เขารวยแต่ไม่รู้ว่ารวยขนาดไหนถึงได้จ้างคนดูแลบ้านวันละตั้งสามพันแถมยังไม่เคยมาเดินดูตรวจเช็คความเรียบร้อยเลยสักนิด


“แกคงไม่ได้ทำอะไรอันตรายใช่ไหม” ครั้งนี้เป็นพ่อที่ถาม


“ไม่แน่นอนครับ พี่...คนที่จ้างผมเขาเป็นคนที่ค่อนข้างรวยแล้วก็ใจดีมากๆ เขาบอกว่าจะให้เงินตามความพอใจของตัวเอง แล้วก็ได้มาอย่างที่เห็นนี่แหละ” ผมบอกไปโดยไม่ปิดบัง


“ถึงจะบอกว่าใจดีแต่นี่มันก็มากไป” แม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม “ลูกไม่ควรไปรบกวนเขา คราวหน้าก็บอกไปเลยว่ารับไม่ได้”


“ผมบอกไปไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้วครับ” พูดถึงตรงนี้ภาพความทรงจำเมื่อตอนเย็นก็กลับมาอีกครั้ง


เจ้าตัวบอกเองแท้ๆ ว่าจะให้ตามความพอใจ แต่ทำไมถึงให้สามพันเท่ากันหมดก็ไม่รู้ ถึงจะไม่ได้ไปทำทุกวันก็เถอะ แถมพอจะคืนก็ช่างหาแผนมารับมือได้ไม่เว้นวัน


อย่างวันแรกก็หนีเข้าห้องนอน


วันที่สองก็หนีไปเข้าห้องน้ำบอกว่าปวดท้อง


วันที่สามที่คิดว่าคงไม่มีทางหนีเข้าห้องไหนได้แน่ๆ เพราะดักไว้หมดแล้ว แต่เหมือนพี่เขาจะรู้ทันเลยเปลี่ยนมาพูดด้วยประโยคเศร้าๆ แทนเสียอย่างนั้น...


‘มันเป็นความพอใจของพี่ที่จะให้เรา เป็นแบบนั้นเราจะรับมันไว้ไม่ได้เลยเหรอ’


ไม่รู้ว่าพี่ใบไผ่ไปเรียนรู้วิธีการพูดแบบนี้มาจากไหน แต่ขอบอกว่ามันได้ผลดีสุดๆ


และที่เหมือนหมัดน๊อกก็คือเย็นวันนี้...


ไม่มีการหนีเข้าห้อง


ไม่มีการพูดเสียงเศร้า


แต่เป็นการพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่ทำเอาคนฟังถึงกับทำตัวไม่ถูก ยิ่งดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนั่นมองมาอย่างร้องขอ ผมก็แทบจะยอมทุกอย่างตามที่อีกฝ่ายต้องการ


“เท่าที่ฟัง... ดูเหมือนจะเป็นคนที่ใจแข็งน่าดูนะ” พ่อบอกเสียงเข้ม


“ไม่หรอกครับ ก็แค่ดื้อเท่านั้นแหละ”


ใช่...ท่าทางแบบนั้นเหมือนเด็กที่ดื้อมากๆ แถมยังเอาแต่ใจตัวเองสุดๆ ต่อให้ไม่บอกก็รู้ได้เลยว่าพี่ใบไผ่เป็นลูกคนเดียวแน่


“พูดจาแบบนั้นกับผู้ใหญ่มันไม่ดีนะว่าน ในเมื่อเขาให้เรามากขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณเขาด้วยนะ”


“ครับแม่”


“ไว้มีโอกาสแม่จะทำขนมไปฝากดีกว่าเนอะ แต่ไม่รู้ว่าฝีมือแม่จะถูกปากเขาไหม”


“ลองดูก็ได้ครับแม่”


“ได้เลยจ้ะ เราขึ้นไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้านี่”


“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับพ่อแม่”



ผมเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ถัดไปด้านหลัง พยายามเปิดประตูห้องนอนให้เบาที่สุดเพราะในห้องนั้นมีน้องๆ ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง น้องคนแรกของผมเป็นผู้หญิงชื่อแก้วมุกดา หรือ ดา ดาเป็นผู้หญิงหน้าตาปกติธรรมดาทั่วๆ ไปแต่มีความเป็นมิตรสูงไม่ว่าจะกับผู้ชายหรือผู้หญิงด้วยกันก็ตาม ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นม. 6 เทอมสุดท้าย และอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมแล้ว ส่วนน้องคนสุดท้องเป็นผู้ชายชื่อจันผา หรือ ผา ผาเป็นเด็กผู้ชายที่ค่อนข้างขี้อายผิดกับผมและดาอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ก็เรียนอยู่ชั้นม. 3 อีกไม่กี่เดือนก็จะขึ้นชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกับดา


อย่างที่เคยบอกไป เรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนของน้องๆ ถือว่าหนักอยู่มาก แต่อีกไม่นานผมก็จะจบมหาวิทยาลัยแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นผมตั้งใจว่าจะรีบหางานเพื่อจะได้ช่วยพ่อแม่แบ่งเบาภาระได้สักที


เมื่อสมัยผมเรียนชั้นมัธยมปลาย ผมก็บอกพ่อกับแม่หลายครั้งแล้วว่าไม่จำเป็นต้องให้เรียนมหาลัยก็ได้แต่พ่อกับแม่ก็ยังยืนกรานให้ผมเรียนจนจบปริญญาตรี ดังนั้นเมื่อผมเรียนจบแล้ว ผมก็จะพยายามส่งน้องๆ ให้ได้เรียนถึงปริญญาตรีเหมือนกัน และถ้าคนไหนอยากเรียนปริญญาโทต่อ ผมก็จะหาเงินส่งเอง


“อื้อ...พี่ว่าน” เสียงหวานติดแหบนิดๆ ของดาดังขึ้นเมื่อผมเปิดโคมไฟหัวเตียง ภายในห้องขนาดเล็กนี้มีเตียงอยู่สองฝั่งซึ่งฝั่งแรกเป็นของดา และฝั่งที่สองเป็นของผมที่ใช้นอนกับผา


“โทษที นอนต่อเถอะเดี๋ยวพี่จะปิดไฟแล้ว” ผมบอกเสียงเบา


“ไม่เป็นไรค่ะ พี่กลับดึกอีกแล้วเหรอ”


“อืม มีอะไรรึเปล่า” ผมถามก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงของดาพลางลูบเส้นผมสีดำของเธอเบาๆ


“เปล่า...แต่พี่คงไม่ได้ทำงานอะไรแปลกๆ ใช่ไหม”


“อะไรที่ว่าแปลกล่ะ”


“ก็...อย่างไปเป็นกิ๊กของสาวใหญ่อะไรแบบนี้”


“ฮึ...พูดบ้าๆ น่า” ผมหลุดขำออกมาเมื่อได้ยิน


“พูดจริงนะ ก็พี่ชายของดาหล่อจะตายไป เพื่อนดาบางคนยังอยากเป็นแฟนพี่เลย”


“เว่อร์ไป นอนได้แล้ว” ผมปิดการสนทนาโดยการบอกฝันดี ก่อนจะกลับไปยังเตียงตัวเอง


ผมหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องใหม่ในถุงกระดาษสีน้ำเงินเข้มที่เพิ่งได้ออกมาชาร์ตทิ้งไว้ตามคู่มือการใช้งาน แค่เห็นก็รู้ว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ค่อนข้างมีราคาแพง ซึ่งมันไม่ค่อยเหมาะกับผมเท่าไรนัก แต่ว่าถ้าพี่ใบไผ่ให้มา...ผมก็จะรับมันไว้


วันนี้พวกเราคุยกันจนเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ค้างคาใจมาตลอดหรือเรื่องอื่นๆ หัวใจที่เคยปิดสนิทแถมลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาค่อยๆ ถูกไขออกทีละชั้น จนบัดนี้กลับเปิดรับตัวตนของอีกฝ่ายเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ผมสัมผัสได้ว่าเส้นที่ตัวเองขีดขั้นไม่ให้พี่เขาเดินเข้ามาตอนนี้มันเอาไม่อยู่แล้ว


“พี่ใบไผ่...” พี่ทำอะไรกับผมกันแน่ ทำไมแม้แต่ตอนที่หลับถึงได้คิดถึงแต่เรื่องของพี่อยู่แบบนี้


การดูแลบ้านให้พี่ใบไผ่ทำให้มีกิจวัตรประจำวันหลายๆ อย่างเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ต้องออกไปเดินตลาดเพื่อหาซื้อของมาทำอาหารง่ายๆ ให้เจ้าของบ้านก่อนที่จะออกไปเรียนต่อ ไม่ใช่แค่มื้อเช้าแต่บางวันผมก็จะทำมื้อกลางวันให้ด้วย ส่วนมื้อเย็นนั้นทำเป็นปกติอยู่ทุกวัน


นอกจากทำอาหารให้พี่เขาทานแล้ว ผมยังต้องนั่งกินเป็นเพื่อนด้วย ปกติผมมักหลีกเลี่ยงมาตลอดแต่เพราะถูกทั้งคำพูดและสายตาเศร้าๆ นั่นมองมาทำให้ความอดทนที่มีมาตลอดหลายสัปดาห์พังทลายลง หลายวันมานี้ผมเลยต้องกินมื้อกลางวันกับพี่ใบไผ่ตลอด


ทั้งที่คิดว่าถ้าแค่กลางวันก็คงไม่เป็นไร แต่วันนี้กลับ…


“ต้นว่านกินข้าวด้วยกันก่อนสิ” น้ำเสียงอบอุ่นของเจ้าของบ้านดังขึ้นพร้อมกับคว้าแขนผมที่กำลังจะเดินเลี่ยงไปทำความสะอาดกรงของมะนาวหลังจากเตรียมมื้อเย็นเสร็จ


“ก็กินมื้อกลางวันด้วยแล้วไงครับ” ผมตอบกลับไปโดยไม่หันไปมองใบหน้าของพี่ใบไผ่


ถ้าหันไปมองก็คงต้องยอมเหมือนทุกทีแน่ ครั้งนี้แหละจะไม่ยอมทำตามพี่อีกแล้ว


“กลางวันก็ส่วนกลางวันสิ ต้นว่านไม่หิวเหรอ”


“ผมกินมาแล้วครับ” ที่บอกไปไม่ได้โกหกนะ ผมกินมื้อเย็นตั้งแต่ตอนออกไปซื้อวัตถุดิบมาทำกับข้าวแล้ว


“...”


“พี่ใบไผ่...” ความเงียบและสัมผัสของมือที่หายไปทำให้ผมหันไปมองคนด้านหลังด้วยความรู้สึกสังหรณ์แปลกๆ


“ไม่อยากกินกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ”


เพียงแค่ได้ยินเสียงเศร้าปนหง๋อยของคนขี้งอนนั่น ผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนเพดานบ้านอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะตามมาคืออะไร


ห้ามสบตากับพี่เขาเด็ดขาด! นั่นเป็นประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา


“ต้นว่าน...”


นั่นไง มันมานแล้ว น้ำเสียงเศร้าๆ นั่น


“พี่กินเถอะครับ ผมต้องไปทำความสะอาดกรงมะนาวอีก”


“เพิ่งทำไปตอนบ่ายเองนี่”


“สุนัขใกล้คลอดต้องดูแลทำความสะอาดเป็นพิเศษครับ” ผมยังคงยืนยันคำเดิม แต่รู้ได้เลยว่าถ้าเสียงเศร้าๆ มันใช้ไม่ได้ผล อีกไม่นานไม้เด็ดต้องออกมาแน่


“กินกับพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอ”


นั่นไงล่ะ...น้ำเสียงอ้อนๆ ที่ทำเอาหัวใจที่สงบนิ่งถึงกับกระตุก


“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอได้ยินเสียงแบบนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน


“งั้นกินด้วยกันเนอะ เดี๋ยวพี่ตักข้าวให้นะ”


ผมก้มหน้าลงพลางถอนหายใจให้กับน้ำเสียงของพี่ใบไผ่ที่เต็มไปด้วยความดีใจนั่น


ต่อให้ไม่สบสายตา...ก็ต้องยอมอีกฝ่ายทุกทีสิน่า


หลังมื้อเย็นผ่านพ้นไป ผมก็จัดการทำความสะอาดกรงมะนาวพร้อมใช้ผ้าเปียกเช็ดตัวให้ ช่วงใกล้คลอดแบบนี้จำเป็นต้องให้มะนาวอยู่นิ่งๆ เลยให้อยู่แต่ในกรง จะมีให้ออกมาบ้างก็แค่ตอนช่วงบ่ายและเย็นตามแต่โอกาสจะอำนวย


เวลาผ่านไปจนถึงสามทุ่ม ผมก็เตรียมตัวกลับบ้านตามปกติ โดยก่อนกลับก็เดินไปหาพี่ใบไผ่ที่นอนเอนตัวอยู่บนโซฟาตัวยาวสีน้ำตาล ดวงตาคู่สวยที่มักเปล่งประกายอยู่เสมอปิดลงเหมือนต้องการพักผ่อน


“ถ้าจะนอนไปนอนในห้องดีกว่านะพี่” ผมบอกก่อนก้าวเข้าไปเขย่าตัวเจ้าของบ้านเบาๆ


“ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายตอบกลับพร้อมปรือตาขึ้นมา


“นอนที่นี่มันไม่สบายตัวนะ”


“อืม...แต่ต้องเฝ้ามะนาวนี่ ไม่ต้องห่วงหรอกกลับได้แล้วเดี๋ยวพ่อกับแม่เป็นห่วงนะ” พี่ใบไผ่บอกพลางเปลี่ยนกิริยาบทจากนอนมานั่ง รอยยิ้มที่แสดงให้เห็นนั้นดูอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก


“พี่ไหวแน่นะ” ผมถามย้ำ


“ไหวสิ ฝันดีต้นว่าน”


“ครับ ฝันดีครับ”


แม้จะไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไหว แต่ผมก็ตัดสินใจกลับบ้านตามปกติ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพี่ใบไผ่ดูจะสนิทกับมะนาวมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนจะเข้าไปนอนในห้องทันทีที่ผมกลับบ้านก็เปลี่ยนมานอนโซฟาแทน แถมยังมีบางครั้งที่พี่ใบไผ่เดินมาสะกิดผมให้เอามะนาวออกจากกรงด้วย...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นถือเป็นสัญญาณที่ดี



ถ้าลูกของมะนาวเกิดพี่ใบไผ่จะทำหน้ายังไงนะ...


ผมคิดเรื่องนั้นตลอดจนกระทั่งผล๋อยหลับไปบนเตียงโดยที่มีน้องชายนอนอยู่ข้างๆ



ครืดดด~ ครืดดดด~


แรงสั่นของโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ชาร์ตอยู่ข้างเตียงไม่ทำให้ผมตื่นขึ้นอย่างที่ควรเป็น อาจเพราะร่างกายรู้ว่ายังไม่ใช่เวลาตื่นเลยพยายามขืนสุดชีวิตไม่ให้ลืมตา


“พี่ว่านครับ” เสียงเรียกจากน้องชายมาพร้อมแรงเขย่า


ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดมิด แม้ไม่มองนาฬิกาก็รู้ได้ว่ายังไม่ถึงเวลาตื่นแน่นอน “...ผา? มีอะไรเหรอ” ถามน้องชายเสียงงัวเงีย


“โทรศัพท์พี่มันสั่นน่ะ”


“โทรศัพท์? อ่า...โทษทีที่ทำให้ตื่น” ผมบอกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมามองหน้าจอ ดึกขนาดนี้ใครกันที่โทรมา


“พี่ใบไผ่?” ผมร้องเสียงหลงเมื่อหน้าจอปรากฏชื่อของคนที่ไม่น่าจะโทรมาเวลานี้มากที่สุด หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?


“ครับพี่”


(ต้นว่าน ดีจังที่รับแล้ว พี่โทรไปตั้งหลายรอบแล้วรู้ไหม) น้ำเสียงร้อนรนจากปลายสายนั้นทำให้รู้ว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่


“เกิดอะไรขึ้นครับ” ตอนนี้ความงัวเงียที่มีหายไปทันตา


(มะนาวน่ะสิ ครางเสียงเหมือนเจ็บเลย...แล้ว...แล้วก็มี...มี...)


“ใจเย็นๆ พี่ ค่อยพูดหายใจเข้าก่อน” ขืนยังพูดติดขัดอยู่แบบนี้คงฟังไม่รู้เรื่องแน่


(อืม...มีน้ำอะไรไม่รู้ไหลออกมาจากช่องคลอดด้วย)


“น้ำนั่นแปลว่าใกล้คลอดแล้วครับ”


(คลอด? แล้ว...แล้วพี่ต้องทำยังไง)


“เอ่อ...พี่ต้องรอให้ลูกออกมาก่อน จากนั้นค่อยดูว่ามีเมือกหุ้มอยู่ไหมถ้ามีก็ช่วยเอาออกแล้วก็...”


(ไม่ไหวๆ พี่ทำไม่ได้หรอกต้นว่าน) อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงสั่น


“พี่ใบไผ่”


(มาหาพี่ได้ไหม)


“ครับ?”


(ต้นว่านมาหาพี่ตอนนี้ได้รึเปล่า)


“ได้ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”




(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2018 20:58:18 โดย nicedog »

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)



วางสายเสร็จผมก็เรียบแต่งตัวก่อนจะวิ่งออกจากบ้านไปท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้ายามค่ำคืน สองขาของผมวิ่งตรงไปยังบ้านหลังนั้นด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ร่างกายสามารถทำได้ พอไปถึงก็รีบไขกุญแจเข้าไปภายในโดยไม่รีรออะไรทั้งสิ้น


“ต้นว่าน” แค่เปิดประตูบานสีขาวเข้าไปเจ้าของบ้านก็ตะโกนเรียกชื่อดังลั่น


“ใจเย็นครับพี่ มะนาวเป็นยังไงบ้าง?”


“ออกมาแล้วล่ะ” น้ำเสียงสั่นๆ ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง


“อ่า...ทุกตัวรึยังครับ” ผมถามต่อโดยที่ตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับฟังข่าวดีจากพี่ใบไผ่


“ยังๆ แค่ตัวแรก ไปดูกัน” พี่ใบไผ่บอกก่อนจะคว้ามือผมดึงให้ตรงไปยังกรงสีฟ้าที่วางไว้ข้างโซฟาสีน้ำตาล


สุนัขพันธุ์เชคโกสโลวัคเกี้ยน วูล์ฟด็อกที่ก่อนผมจะกลับมีเพียงตัวเดียว ตอนนี้กลับเพิ่มมาเป็นสองตัว ลูกสุนัขพันธุ์เดียวกันแต่เป็นสีดำทั้งร่างนอนหลับตาอยู่บริเวณหน้าท้องของมะนาว มันเป็นภาพที่ทำยิ้มตามได้ในทันที


“สุดยอดเลย”


“อืม สุดยอดเลย” พี่ใบไผ่พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยโดยสายตายังจ้องไปยังกรงตรงหน้า


“พี่ใบไผ่ ดูนั่นๆ ออกมาอีกตัวแล้ว” ผมคว้าตัวพี่เขามาดูใกล้ๆ พร้อมกับชี้ไปยังลูกสุนัขตัวใหม่สีขาวแซมน้ำตาลปนดำนิดๆ ที่กำลังออกมาจากช่องคลอดช้าๆ


“อ่า...สีขาวน้ำตาล อ๊ะมีสีดำแซมด้วย คล้ายมะนาวเลย” ผมเห็นด้วยกับพี่ใบไผ่ ลูกสุนัขตัวที่สองนี้มีสามสีคล้ายมะนาว


“เดี๋ยวตัวสุดท้ายก็คงออกมา” ตอนนี้มือของผมกับพี่ใบไผ่กุมกันไว้แน่นอย่างลืมตัว มีเพียงแค่ความสุขและความยินดีรวมไปถึงความตื่นเต้นที่เห็นลูกสุนัขกำลังเกิดเท่านั้น


“อ๊ะ...ออกมาแล้ว สีขาวล้วนด้วย”


“ขาวจั๊วทั้งตัวเลย” ผมพูดเบาๆ เมื่อเห็นลูกสุนัขตัวสุดท้ายออกมา


ลูกสุนัขทั้งสามตัวขยับตัวเล็กน้อย ก่อนที่มะนาวขยับเข้าใกล้ๆ เพื่อเลียทำความสะอาดลูกของตัวเองทีละตัว โดยเริ่มจากตัวสีดำไปยังตัวขนสามสี และสีขาวตามลำดับ


“เราต้องทำอะไรบ้าง” พี่ใบไผ่หันมาถามเหมือนคนเพิ่งนึกขึ้นได้ คงเพราะก่อนหน้านี้ตื่นเต้นอยู่กับการได้เห็นลูกสุนัขคลอดกับตาจนลืมไปว่าต้องทำอะไร


“คิดว่าไม่ต้องแล้วครับ” ผมบอกเมื่อเห็นลูกสุนัขทั้งสามตัวเริ่มดูดนมแม่แล้ว


“กินนมด้วย น่ารักจังเลย”


พอบรรยากาศอันแสนตื่นเต้นกลับสู่สภาวะปกติ สติที่หายไปก็ค่อยๆ กลับเข้าร่างอีกครั้ง สัมผัสของมือที่กุมแน่นทำเอาผมรู้สึกเขินเล็กน้อย แล้วยิ่งเห็นใบหน้าด้านข้างที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างของพี่ใบไผ่ก็พานให้หัวใจที่เต้นรัว ความตื่นเต้นเมื่อครู่กลับมาทำให้ใจเต้นรัวอีกครั้ง


สายตาอบอุ่นของพี่ใบไผ่ยังคงจ้องไปยังลูกสุนัขทั้งสามตัวโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองก็ตกเป็นเป้าสายตาของผมเช่นกัน ผมเฝ้ามองพี่เขาราวกับมีอะไรบางอย่างดึงดูดไว้จนไม่สามารถละสายตาได้


“สุดยอดเลยต้นว่าน” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่มือที่กุมกัน แต่พี่ใบไผ่คว้าคอผมเข้าไปกอดแน่น


“พี่ใบไผ่...” อ้อมกอดอุ่นๆ กำลังทำให้ผมทำตัวไม่ถูก


“ขอบคุณที่รีบมาหาพี่นะต้นว่าน” ทันทีที่พูดจบก็เหมือนร่างของพี่ใบไผ่เทเข้าหาผมอย่างรวดเร็วจนแทบรับร่างนั้นไว้ไม่ทัน


“พี่ใบไผ่?” ยิ่งไม่มีเสียงตอบรับยิ่งทำให้เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี “พี่ใบไผ่? พี่...”


พอรู้ว่าคนตรงหน้าหมดสติไปเรียบร้อยแล้วผมก็รีบเปลี่ยนไปสัมผัสใบหน้าขาวที่ดูหมองลงเล็กน้อย ไม่ใช่แค่ใบหน้าแต่ใต้ตาก็คล้ำมากจนเห็นได้ชัด


นี่พี่อดนอนมากี่คืนแล้วเนี่ย? ยิ่งคิดคิ้วผมก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้น


“ทำไมไม่บอกกันล่ะ ถ้าพี่บอกผมจะได้มาช่วยดูไง” จะโทษพี่ใบไผ่ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกเพราะคนที่อยู่ด้วยตลอดอย่างผมกลับไม่เคยเอะใจถึงเรื่องนี้เลย


ผมตัดสินใจอุ้มพี่ใบไผ่เข้าไปยังห้องนอนที่อยู่ไม่ไกล ด้วยร่างกายที่เป็นผู้ชายเหมือนกันทำให้ค่อนข้างหนักเวลาอุ้ม แต่ถ้าถามว่ามากไหมก็บอกได้เลยว่าไม่มากเท่าตอนที่ถูกเพื่อนกระโดดขึ้นหลังหรอก


“ฝันดีนะครับ ที่เหลือผมจะจัดการต่อเอง” ผมบอกเจ้าของบ้านที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ก่อนจะกลับออกมาเฝ้ามะนาวและลูกของมันที่เพิ่งเกิดใหม่ทั้งสามตัวตลอดทั้งคืน



เมื่อแสงแดดยามเช้าเข้ามาทางหน้าต่าง ผมก็ทำการเลื่อนม่านเพื่อปิดไม่ให้แสงนั้นโดนมะนาวและลูกๆ อีกสามตัวมากจนเกินไป อาหารสุนัขแบบเปียกถูกจัดใส่ชามเพื่อเพิ่มแรงให้กับแม่สุนัขที่เพิ่งคลอด


“เก่งมากมะนาว เธอเก่งที่สุดเลย” ผมบอกพร้อมกับลูบขนนุ่มๆ ของมะนาวไปมา ช่วงคลอดใหม่ยังไม่ควรไปแตะลูกสุนัขมากนักเพราะมือเราอาจมีเชื้อโรคได้


แกร็ก!


เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้นพร้อมกับร่างโปร่งของพี่ใบไผ่ที่เดินงัวเงียออกมา เส้นผมสีน้ำตาลที่ยาวระต้นคอกระเซิงจนเหมือนรังนกขนาดย่อมแถมยังยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ตาอีก...ทำท่าทางเหมือนเด็กๆ เลย


“พี่ไปนอนต่อก็ได้นะ ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว” ผมบอก


“หื้อ? ต้นว่าน! เรามาได้ยังไง” น้ำเสียงตกใจนั่นเหมือนจะบอกว่าพี่ใบไผ่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปแล้ว


“พี่ลืมแล้วเหรอ”


“เดี๋ยว...ขอปรับสมองแป๊บนะ ใช่ๆ เมื่อคืนพี่โทรเรียกต้นว่านมา” ผมพยักหน้าเมื่อสิ่งที่ได้ยินเป็นจริงตามนั้น “แล้วก็มะนาว...มะนาวคลอดลูก!!” ครั้งนี้พี่ใบไผ่ตะโกนพร้อมกับวิ่งตรงไปที่กรงสุนัขซึ่งภายในมีลูกๆ ของมะนาวทั้งสามตัวนอนหลับขดซ้อนอยู่บริเวณท้องของแม่มัน


“ชู่วว์... เสียงดังไปแล้วครับพี่”


“โทษที พี่ตื่นเต้นไปหน่อย” อีกฝ่ายหันมาบอกเสียงอ่อย


“พี่เปลี่ยนไปมากนะ” ถ้าเทียบกับเมื่อตอนแรกที่เจอกัน


“เปลี่ยน? ยังไง”


“ถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่ไม่มีทางวิ่งเข้ามาหามะนาวแบบนี้หรอก ถ้าจะมีก็คงเป็นวิ่งหนีหรือกระโดดขึ้นโซฟามากกว่า” ภาพของพี่ใบไผ่ตอนกระโดดหนีมะนาวไปอยู่บนโซฟายังติดตาจนถึงทุกวันนี้ นึกถึงทีไรก็หลุดขำออกมาทุกที


“อย่าพูดแต่เรื่องน่าอายแบบนั้นสิ” ใบหน้าที่เห่อแดงขึ้นเล็กน้อยทำให้รู้ว่าพี่เขาคงอายอย่างที่พูดจริงๆ


“ตอนนี้พี่ดูไม่กลัวมะนาวแล้ว”


“อืม คงไม่กลัวเท่าเมื่อก่อน ต้องขอบคุณต้นว่านที่ทำให้พี่มีความกล้าที่จะต่อสู้กับความกลัว” อีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเอง


“พูดเกินไปแล้วครับ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวพี่”


ใช่...มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม


“ไม่เลย ถ้าคนที่พี่เจอหน้าบ้านหลังนี้ไม่ใช่ต้นว่าน พี่คงไม่มีวันที่ได้เข้าใกล้สุนัขเหมือนอย่างวันนี้” คำพูดจากปากของพี่ใบไผ่ผมรับรู้ได้เลยว่ามันออกมาจากใจและความรู้สึกจริงๆ


“ผมดีใจที่ช่วยพี่ได้...” พี่เองก็ช่วยผมมามากเหมือนกัน


“อืม”


“แต่เรื่องนั้นกับเรื่องที่ผมจะพูดมันคนละเรื่องกันนะ” อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องที่ต้องพูดกับคนตรงหน้าให้ได้อยู่


“เรื่องอะไร?”


“พี่รู้ตัวไหมว่าเมื่อคืนตัวเองสลบไปน่ะ”


“สลบ...พี่น่ะนะ” น้ำเสียงนั้นคล้ายจะบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดนัก


“ใช่ และผมเป็นคนอุ้มพี่ไปห้องนอนเอง”


“อุ้ม? เราอุ้มพี่” ดูเหมือนฝ่ายที่ได้ยินจะตกใจสุดๆ เพราะดวงตาสีสวยนั่นเบิกกว้าง แถมใบหน้าขาวๆ ก็แดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด


“ครับ หนักมากเลย” ขอเสริมอีกหน่อยละกัน


“เอ่อ ขอโทษนะ ที่ทำให้ลำบาก”


“ครับ เพราะงั้นครั้งหน้าก็อย่าฝืนตัวเองอีก ถ้าไม่ไหวก็บอกเดี๋ยวผมจะช่วยพี่เอง...เข้าใจนะ”


ใจความสำคัญทั้งหมดที่ร่ายยาวมาคือจุดนี้แหละ ผมไม่อยากให้พี่ใบไผ่ฝืนจนทรุดลงแบบนี้อีก ถ้าหากเมื่อคืนพี่ใบไผ่ไม่ได้โทรมา ผมคงได้มาเจอพี่สลบในตอนเช้าเป็นแน่


“เราทำตัวเหมือนเป็นพ่อพี่เลย” อีกฝ่ายบ่นอุบอิบแต่ใบหน้านั้นกลับยิ้มกว้างเหมือนกำลังมีความสุข


“พี่เหมือนดีใจที่ถูกบ่นนะ”


“อืม การที่บ่นก็แปลว่าต้นว่านห่วงพี่ พี่ดีใจนะ”


“ผมพูดตอนไหนว่าห่วง”


“ไม่พูดก็รู้น่า...”


ครืดดด~ ครืดดด~


แรงสั่นของเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นขัดการสนทนาของพวกเรา


“เฮ้อ วุ่นแต่เช้าอีกแล้วเหรอเนี่ย” เสียงบ่นของพี่ใบไผ่ดังขึ้น เจ้าตัวลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์สีดำที่วางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายแต่ไม่ได้กดรับ ดูเหมือนจะไม่ใช่สายเรียกเข้าอย่างที่คิดไว้ตอนแรก สีหน้าที่ผ่อนคลายและเต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดในทันทีที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความ


ความรู้สึกแรกเมื่อผมเห็นใบหน้าตึงเครียดนั้นคือ...อยากช่วย


“โอ้ย สมองไม่แล่นเอาซะเลย ทำไมต้องมาพร้อมกันด้วยเนี่ย” พี่ใบไผ่ระบายเสียงแข็งพร้อมยกมือขยี้เส้นผมสีน้ำตาลของตัวเองแรงๆ จนฟูฟ่องกว่าเดิม


“พี่ใบไผ่”


“หืมม์? โทษทีนะ แต่ช่วงนี้ที่ไม่ได้นอนไม่ใช่เพราะต้องดูแลมะนาวอย่างเดียวหรอก”


“งานที่บริษัทเหรอครับ” นี่เป็นสิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้


“อืม บริษัทพี่ทำเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครั้งก่อนก็เพิ่งจะเพิ่มชนิดสินค้าในการขนส่งไป แต่ตอนนี้ดันมาเจอปัญหาทางต่างประเทศต่ออีก”


“ทำไมครับ”


“ตอนนี้มีหลายบริษัทในประเทศต่างๆ ที่ต้องการทำสัญญากับบริษัทพี่ ซึ่งถ้าปกติมันก็คงไม่ยุ่งยาก แต่เพราะระยะเวลาที่เหลื่อมล้ำกันอยู่ทำให้ไม่สามารถตกลงรับงานได้เท่าที่ควรจะเป็น”


“พี่ก็ปฏิเสธบางที่ไปสิ” เรื่องนี้ไม่น่าแก้ปัญหายากนี่


“ก็อยากทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่มันจะทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเสียหายน่ะสิ แค่เรื่องเวลาเหลื่อมล้ำกันก็จัดการไม่ได้” พี่ใบไผ่อธิบายต่อ


“งั้นพี่ก็จัดการขนส่งให้พวกเขาก็ได้นี่”


“อ๊ะ...ก็บอกอยู่ไงว่าเวลามันเหลื่อมกัน”


“ในเมื่อมันเหลื่อมกันพี่ก็ทำให้มันต่อกันพอดีสิครับ”


การทำเรื่องพวกนี้อาจเป็นเรื่องที่ต้องกำหนดวันและเวลาอย่างชัดเจนก็จริง แต่เราก็สามารถทำให้เป็นเรื่องง่ายๆ ได้เพียงแค่เรามีระบบการขนส่งที่รวดเร็ว


“สมมติว่าบริษัทในประเทศ A และ ประเทศ B ต้องการส่งของประเภทเดียวกันไปยังบริษัท C ในไทย แต่ของทั้งสองประเทศมาถึงไม่พร้อมกัน และกำหนดส่งงานเหลื่อมกันอยู่ 2 วัน ซึ่งพี่สามารถเลือกรับได้แค่เจ้าเดียวเท่านั้นเพราะตอนนี้ตารางงานของบริษัทแน่นมาก ก็แล้วทำไมพี่ไม่ลองคุยกับบริษัท C ดูละครับว่าเขาสามารถรอของไปส่งพร้อมกันได้หรือไม่ ส่วนมากแล้วบริษัทต่างๆ มักจะเผื่อเวลาสำหรับกรณีฉุกเฉินเอาไว้ 4-5 วันอยู่แล้ว ถ้าเราขอเลื่อนเวลาออกไปอีก 2 วัน แล้วส่งพร้อมกัน ทางนั้นน่าจะเห็นด้วยกับเรานะ เพราะนอกจากเราจะสามารถประหยัดเวลาและไม่ต้องวิ่งซ้ำสองรอบแล้ว บริษัท A, B และ C ก็ยังสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งได้อีกด้วย” ผมลองแสดงความคิดเห็นของตัวเองดู เผื่อจะช่วยอะไรอีกฝ่ายได้บ้าง


“จริงด้วยสิ” ดูเหมือนพี่ใบไผ่จะรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคืออะไร


“แบบนี้ก็ไม่เครียดแล้วนะพี่ เดี๋ยวผมทำมื้อเช้าให้” พูดจบผมก็เตรียมลุกไปเตรียมมื้อเช้าง่ายๆ แต่กลับถูกมือของอีกคนรั้งเอาไว้


“เราเรียนโลจิสติกส์เหรอ”


“เปล่าครับ ผมเรียนบริหาร”


“เรานี่เก่งมากเลยนะต้นว่าน”


“ฮะ? เอ่อ...ขอบคุณครับ” คำชมที่ได้รับทำเอาเขินอยู่หน่อยๆ


“พี่พูดจริงนะ นี่ถ้าจบแล้วมีบริษัทไหนที่เราเล็งไว้มั้ย” พี่ใบไผ่ยังคงถามต่อ


“ยังไม่มีบริษัทไหนเป็นพิเศษนะครับ เอ่อ...พี่พูดเหมือนผมเลือกงานได้เลยงั้นแหละ”


“ก็ได้น่ะสิ เราน่ะเก่งจริงๆ เลขาพี่บางคนยังไม่ได้เท่าเราเลย”


“ขอบคุณครับ” ผมเกาหัวตัวเองด้วยความเก้อเขิน


“เอาเถอะ พี่อยากกินข้าวต้มหมู มีของทำไหม” อยู่ๆ คนตรงหน้าก็เปลี่ยนเรื่อง


“มีครับ” ผมได้แต่ทำหน้างงๆ โดยไม่ได้ถามอะไรต่อ


มื้อเช้าง่ายๆ ตามความต้องการของพี่ใบไผ่ได้ผ่านไปจนถึงช่วงบ่าย โชคดีที่วันนี้ผมไม่มีเรียนเลยไม่ต้องวิ่งกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านอีกรอบเพื่อไปมหาลัยต่อ ตลอดหลายชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน พี่ใบไผ่เอาแต่อยู่หน้ากรงของมะนาวสลับกับดูอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ไปด้วย


...ไม่แน่ว่าอาจจะทำงานอยู่ก็ได้


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมเลยเดินเข้าไปนั่งข้างๆ อีกฝ่าย


“พี่ใบไผ่ไปทำงานเถอะครับ เดี๋ยวผมดูให้เอง”


“งาน? อ้อ...นี่เหรอ เปล่าๆ ไม่ได้ทำงาน” ไม่พูดเปล่า แต่ยังโบกโทรศัพท์ในมือให้ดูอีกด้วย “พี่ไม่ได้ทำงานหรอกก็เรื่องยุ่งๆ ได้เราช่วยจนเสร็จไปแล้วไง” พี่ใบไผ่บอกยิ้มๆ


“งั้นพี่ทำอะไรอยู่ครับ” ในเมื่อไม่ได้ทำงานแล้วจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาทำไม จะว่าถ่ายรูปก็ไม่ใช่เพราะเพิ่งถ่ายด้วยกันไปก่อนหน้านี้เอง


“กำลังคิดชื่อของเจ้าตัวน้อยทั้งสามอยู่น่ะ”


“ชื่อ...” ได้ยินแบบนั้นผมก็ตาลุกวาว ...จะว่าไปยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยนี่นะ


“ใช่ๆ พี่จะให้เราช่วยตั้ง”


“ไม่ดีมั้งครับ พี่เป็นเจ้าของนะ” ผมส่ายหน้า


“เหมือนพี่จะเคยบอกแล้วนะว่าคนดูแลมะนาวมีสิทธิ์มากกว่าเจ้าของน่ะ” พี่ใบไผ่ย้อนคำพูดเดิมซึ่งเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว


“นั่นก็ใช่ แต่ว่า...”


“พี่ตั้งไว้แล้วสองตัว จะให้เราตั้งอีกตัวนะ”


เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังคำพูดผมเลยสักนิด แต่เอาเถอะ การที่ได้ตั้งชื่อลูกสุนัขนี่เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นสุดๆ


“พี่ตั้งว่าอะไรครับ”


“ลองทายไหม” อีกฝ่ายบอกพร้อมยักคิ้วมาให้


“คำใบ้ล่ะครับ” ไหนๆ ก็ขอลองหน่อยละกัน


“ชื่อเหมือนพี่กับเรา”


“เหมือนผมกับพี่?” ทำไมพอได้ยินประโยคนั้นแล้วถึงรู้สึกวูบวาบที่หัวใจแปลกๆ นะ


“ใช่ เหมือนต้นว่านกับใบไผ่ สองตัวที่พี่ตั้งก็เป็นชื่อต้นไม้เหมือนกัน”


“มันเยอะนะครับ ลำดวน บัวสรรค์ จำปา จำปี เอ่อ...บุนนาค” ผมพยายามพูดชื่อต้นไม้ที่พอจะนึกออกให้มากที่สุด


“ชื่อพวกนั้นเหมือนคนรุ่นปู่เลยนะ”


“พี่เฉลยมาดีกว่าครับ” ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่พอกลับมาคิดมันก็จริงอย่างที่ว่า...ชื่อที่บอกไปนี่รุ่นปู่ชัดๆ


“ก็ได้ ตัวสีดำชื่อต้นสน ส่วนตัวสีน้ำตาลขาวแซมดำชื่อราตรี ชื่อพวกนี้น่ารักไหม” บอกเสร็จก็หันมาถามความเห็นผมเสียงใส


“ครับ เหมาะมากเลย”


“ตัวสุดท้ายชื่ออะไรดีต้นว่าน?” พี่ใบไผ่ถามต่อ


“นั่นสิครับ นี่พี่คงไม่ได้คิดไม่ออกเลยโยนมาให้ผมคิดใช่ไหม”


“เปล่าสักหน่อย พี่กะจะให้เราตั้งแต่แรกแล้ว” อีกฝ่ายไม่เสียเวลาคิดคำตอบสักนิด และนั่นก็ทำให้ผมยิ้มออก


ลูกสุนัขตัวสุดท้ายเป็นสีขาวทั้งตัวทำให้มันดูบริสุทธิ์มาก เหมือนกับพี่ใบไผ่ที่มักจะทำตัวออดอ้อนเป็นเด็ก รวมทั้งยังมีรอยยิ้มที่สว่างไสวราวกับแสงอาทิตย์ ฉะนั้นชื่อของสุนัขตัวนี้ผมอยากสื่อถึงสีขาวของมันบวกกับชื่อที่ตั้งผมอยากให้เป็นต้นไม้เหมือนกับตัวอื่นๆ


“คิดได้แล้ว...” ใช้เวลาไม่นานชื่อหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัว


“อะไร ชื่ออะไรล่ะ” พี่ใบไผ่ถามด้วยน้ำเสียงลุ้นๆ


“ต้นโมกครับ” ผมตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มไปให้คนด้านข้าง


ต้นโมก เป็นต้นไม้มงคลที่หลายคนคงรู้จักกันดี ตัวดอกสีขาวบริสุทธิ์และส่งกลิ่นหอมรัญจวนไปทั่วบริเวณที่ปลูก ไม่มีชื่อไหนเหมาะกับลูกสุนัขตัวสีขาวไปมากกว่านี้แล้วในความคิดผม


“ต้นโมก เวลาเรียกสั้นๆ คงเหลือแค่โมก...น่ารักจังเลย แบบนี้ครอบครัวของเราก็ชื่อต้นไม้เหมือนกันหมดเลยเนอะ”


พี่ใบไผ่อาจพูดมันออกมาโดยไม่ทันได้คิดถึงความหมายแฝงที่พานให้คนฟังอย่างผมใจเต้นแรงเมื่อได้ยินคำว่า...ครอบครัวของเรา เส้นกั้นระหว่างเราที่พังทลายลง ตอนนี้เหมือนภายในหัวใจถูกอีกฝ่ายลุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ จนยากที่จะไล่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นออกไป

...................................................

สวัสดีค่ะ

มาอัพต่อแล้ว

สำหรับตอนนี้ค่อนข้างแต่งยากเพราะส่วนตัวไม่มีประสบการณ์เห็นสุนัขคลอดลูกมาก่อน

นี่ก็แต่งสุดความสามารถแล้ว อยากจะมีสังครั้งในชีวิตที่ได้เห็นเหมือนกัน

ยิ่งแต่ยิ่งรู้สึกว่าชอบพี่ใบไผ่มากๆๆๆ

เหมือนเป็นชายในฝันของเรา 555 (มโนไปไกล)

ขอบคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจและคอมเม้นท์มาตลอดนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

ปล.ขอตอบที่คุณ เสพศิลป์ คอมเม้นท์หน่อยนะคะ สำหรับเรื่องจดหมายเห็นว่าทางสนพ.อาจมีรีปริ้นอีกช่วงปีหน้าค่ะ

บ๊ายบาย


-Rewrite- >> สำหรับเรื่องพบรักตอนนี้กำลังมีการเปิดพรีออเดอร์อยู่นะคะหากสนใจสามารถเข้าไปสั่งซื้อกันได้ค่ะ >> www.bookishhouse.comหรือเข้าไปอ่านรายละเอียดในเพจเราได้ค่ะ


nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2018 20:59:19 โดย nicedog »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
มีการใจเต้น

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พอน้องเรียนจบก็จองตัวน้องไปเป็นเลขาเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ darksnow

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่ใบไผ่จะจองตัวต้นว่านมาทำงานด้วยใช่มั้ยล้าา ส่วนต้นว่านโดนแอคแทคพี่ใบไผ่ เต็มๆแพ้หมดรูปละ 55 มาเป็นทาสพี่ใบไผ่ซะดีๆ ครอบครัวต้นไม้~~

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หื้อๆๆ อยากให้ลูกสาวที่บ้านท้องบ้าง อยากมีหลานๆ

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ครอบครัวต้นไม้ น่ารักจัง

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
                                     :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
                  เราเคยเห็นหมาที่บ้านออกลูกครั้งนึงมันออกมา3ตัวเหมือนในเรื่องเลยแต่รอดแค่2อีกตัวตาย
  ตอนนั้นที่บ้านเราลุ้นมากเพราะมันออกลูกครั้งแรกมันดูตื่นๆมากเลยร้องหยิ่งๆใหญ่เลยเวลามันปวดท้องตอนออกลูก
  อ่านตอนนี้แล้วทำให้นึกถึงตอนนั้นเลย  สนุกมากนะแย่งกันตั้งชื่อลูกหมา
  ตอนนั้นที่บ้านเราตั้งตัวผู้สีขาวว่ากล้วยหอม  ตัวเมียสีนำ้ตาลขาวว่าลำใย 
  อีกตัวส้มโอตัวนี้แหละที่ตายสีสวยมากสีน้ำตายผสมดำ
แล้วลูกของมะนาวทั้งสามตัวเพศอะไรบ้างละคนอ่านแบบเราอยากรู้ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
รออ่านตอนต่อไปนะ :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
มาแล้ววววว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด