#37 (100%)
สนามบินสุวรรณภูมิ
“มีอะไรโทรหาพี่นะรู้ไหม อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว”
“อื้อ ถ้าเลโทรหาพี่วินตอนตีสามพี่วินจะรับไหมอะ”
“มึงก็อย่าโทรมาตอนตีสามสิวะ”
“เอ้า!” ฮิมมองสองพี่สองที่กำลังคุยกัน เขาเดินเข้าไปสะกิดน้องเล เป็นการบอกว่าถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว น้องหันมามองเขาก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปกอดวินแน่นๆ “เลจะโทรหาทุกวันรับสายเลด้วยนะ”
“อือ พี่เคลียร์งานที่นี้เสร็จแล้วจะรีบบินไปหา” เจ้าของใบหน้าคมก้มลงจูบหน้าผากขาวทีนึง “โชคดีครับ”
“รักพี่วินนะ”
“รักเหมือนกัน” เลโบกมือลา เจ้าตัวเดินออกห่าง แต่คนที่จะขึ้นเครื่องด้วยกลับไม่ยอมเดินตาม ฮิมยืนนิ่งจนเสียงนุ่มเอ่ยเรียก
“พี่ฮิม” เขาหันไปมองน้อง
“เลเดินเข้าเกตไปก่อนได้ไหมครับ พี่มีเรื่องจะคุยกับวิน” ประโยคดังกล่าวทำเอาคนฟังแสดงสีหน้าเป็นคนกังวลขึ้นมาอย่างชัดเจน เลรู้ว่าหลังจากวันนั้นทั้งสองยังไม่ได้หันหน้าคุยกันแบบจริงจัง และเพราะรู้ทั้งความคิดของพี่วินและพี่ฮิม นั่นทำให้เขาอดเป็นกังวลไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นคนเป็นกังวลก็ยังพยักหน้ายอมและไม่ลืมทิ้งท้าย
“อย่าต่อยกันในสนามบินนะ ไม่งั้นเลจะโกรธ”
ว่าจบน้องก็เดินออกไปก่อน ฮิมหลังมามองหน้าเพื่อนตรงหน้า มันนิ่งจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ วินเริ่มต้นพูด
“กูจะไม่ขอโทษที่กูต่อยมึง ยิ่งกูรู้ว่าในอาหารของเลมียาพิษ กูยิ่งรู้สึกว่ามึงสมควรโดน”
“กูไม่อยากได้คำขอโทษ กูรู้ตัวว่าเรื่องนี้กูสมควรโดนต่อย” เขาทำน้องชายแท้ๆ ของอีกฝ่ายเฉียดตาย เทียบกันแล้วฮิมควรจะโดนหนักกว่าต่อยด้วยซ้ำ
วินแสยะยิ้ม “งั้นมึงอยากพูดอะไร”
“ไปอังกฤษครั้งนี้ กูจะไม่สัญญาว่าเลจะไม่เป็นอะไร” เขาเคยสัญญาไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทำไม่ได้ ดังนั้นคราวนี้ฮิมจึงจะไม่ให้สัญญาอีก ที่อังกฤษไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องเป็นกังวล แต่เขาไม่สามารถรู้อนาคตล่วงหน้า ดังนั้นถ้าเกิดมีอะไรบังเอิญเกิดขึ้นมาจริงๆ ถึงฮิมจะไม่ให้สัญญา “แต่กูจะดูแลน้องมึงให้ได้ดีที่สุด”
“กูยอมให้เลไปอังกฤษ เพราะกูกลัวว่าน้องจะเป็นบ้าก่อนถ้ายังอยู่ที่ไทย กูยอมให้มึงดูแลเลอีก อังกฤษถิ่นมึง ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงอย่าให้น้องกูตาย กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเล”
“กูก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเล” ฮิมซ้ำ “เลจะไม่ตายถ้ากูยังไม่ได้ตายก่อน”
“งั้นก็ขอให้มึงไม่ตายไว” ร่างสูงยกยิ้ม ฮิมตั้งใจจะหมุนตัวกลับถ้าไม่โดนอีกฝ่ายเรียกเอาไว้เสียก่อน “ฮิม”
วินว่า “ถึงกูเข้าหามึงเพราะเล แต่กูก็เห็นมึงเป็นเพื่อนสนิท กูอาจจะไม่สนิทที่สุดสำหรับมึง แต่มึงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดสำหรับกู”
พูดตรงๆ วินจมปลักกับอีกฝ่ายเพราะเรื่องของเลมานานหลายปี เขาไม่ค่อยมีเพื่อนคนอื่นเพราะมัวแต่สังเกตุการณ์ฮิม ถึงจะเข้าหาเพราะเลก็จริง ถึงจะยังโกรธมันด้วย แต่วินสามารถเรียกเต็มปากว่าคนตรงหน้าคือเพื่อนสนิทที่สุดของเขา
“มึงตัวติดกับกูมาเกือบ 7 ปี ถ้าไม่สนิทกูก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว” เป็นคำตอบที่ทำให้คนฟังแสยะยิ้ม วินมองนาฬิการ่างสูงตัดบทก่อนที่จะยืดเยื่อกว่าเดิม
“โชคดี”
“มึงด้วย”
“ฝันเถอะ กูโชคร้ายตั้งแต่ที่น้องกูรักมึง”
“มึงโชคร้าย แต่เลน่ะโชคดี ถ้ามึงจะให้พวกกูเลิกกัน มึงก็ไปหาคนที่ดีกว่ากูทุกอย่างในทุกด้านมาให้ได้แล้วกัน”
“อย่าให้กูหาเจอ”
“ก็ขอให้เจอ เพราะยังไงกูก็ดีที่สุดสำหรับเล”
“มั่นหน้า”
“น้องมึงพูดเอง”
ไม่มีใครพูดอะไรต่อหลังจากนั้น พวกเขาแสยะยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินแยกกันออกไปคนละทาง
“คุยอะไรกับพี่วินเหรอ” ผมถามพี่ฮิมหลังจากที่เครื่องบินส่วนตัวทะยานขึ้นฟ้าเป็นที่เรียบร้อย ตอนที่พี่ฮิมขึ้นเครื่องอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากที่เครื่องบิน take-off เสร็จ ร่างสูงก็สั่งไวท์มาดื่ม ผมว่าพี่ฮิมอารมณ์ดีก็เลยอยากรู้ว่าคุยอะไรกัน “บอกเลหน่อย”
แก้วไวท์ถูกนำมาจ่อปากผม “ดื่มไหม”
“เปลี่ยนเรื่อง!”
“คุยทั่วไป”
“ไม่จริง ถ้างั้นจะให้เลเดินออกมาก่อนทำไม”
มือหนาวางแก้วไวท์ลง ก่อนจะยอมสารภาพ “คุยเรื่องน้องนั่นแหละ”
“แล้วยังไง พี่วินกีดกันเราเหรอ!”
“ก็คงอยากจะทำอยู่หรอก” ฮิมหัวเราะ “แต่เปล่าครับ ไม่ได้พูดเรื่องนั้นกัน”
“แล้วคุยอะไรกัน” อีกคนโน้มใบหน้าเข้าข้างหูเหมือนจะกระซิบ ทว่าไม่ได้พูดอะไร โดนพี่ฮิมฉกเข้าจูบที่แก้มแทน “พี่ฮิมอะ!”
“พี่ไม่ได้ทะเลาะกัน รู้แบบนี้โอเคไหมครับ” เลถอนหายใจ ยอมแล้ว ไม่บอกก็ไม่บอก
ผมคว้าแก้วไวท์ของพี่ฮิมมาดื่ม ร่างสูงเห็นดังนั้นจึงสั่งเปิดแชมเปญแทน ดื่มพอมึนแล้วพี่ฮิมถึงพาผมไปที่เตียงนอน เราเดินทางตอนกลางคืน ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อน แต่เหมือนเจ้าของเครื่องบินจะไม่อยากพักผ่อน เขาถึงได้เอาแต่ก่อกวนร่างกายผม กลิ่นอ่อนของแอลกอฮอล์ทำให้ติดอารมณ์ได้ง่าย และกว่าที่ฤทธิ์ของไวท์ผสมแชมเปญจะหมดลงก็กินเวลาไปกว่า 4 ชั่วโมง ทนแทนด้วยกลิ่นเหงื่อไคล
พี่ฮิมนอนคร่อมด้านบน ร่างสูงดูดยอดอกบวมช้ำเล่นก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แขนแกร่งกอดผมที่ใกล้จะสลบอยู่ร่อมร่อเข้าแนบอก ตามด้วยกระซิบเสียงทุ้มที่ข้างหู
“กลับบ้านเรากัน”
บ้านของเรา…
หลายชั่วโมงต่อมา
ตอนที่ขึ้นเครื่องบินเลยังไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ หรือจะเป็นตอนเดินลงจากเครื่องบิน สัมผัสอากาศหนาวจัดกว่าประเทศไทยอยู่มากโขผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ กระทั่งเดินทางจากสนามบินฮีทโธรว์ใกล้ถึงคฤหาสน์ที่เคยอยู่มาตั้งแต่เด็กนั่นแหละถึงได้รู้สึกใจเต้นหน่อย ยิ่งพอเริ่มเห็นหลังคาของคฤหาสน์ ความรู้สึกจึงฉายชัดว่ามาถึงแล้วจริงๆ…
ประเทศอังกฤษ
วันต่อมา
“คนดี” เสียงทุ้มกระซิบ ฮิมยกมือทาบหน้าผากร้อนจัดของคนข้างกายแล้วถอนหายใจ
เลเป็นไข้
พวกเขามาถึงที่อังกฤษแล้ว ตอนนี้อุณหภูมิที่อังกฤษยังไม่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าหนาวที่สุด แต่สำหรับเลที่อยู่เมืองไทยซึ่งอุณหภูมิบางวันพุ่งขึ้นสูงถึงสี่สิบองศา แถมน้องพึ่งได้มาอังกฤษในรอบครึ่งปี อากาศที่ยังหนาวไม่สุดสำหรับคนที่อังกฤษก็เลยกลายเป็นหนาวสุดๆ สำหรับเล อีกทั้งยังโดนเขารังแกบนเครื่องบินมาก่อน ร่างกายที่อ่อนล้าแถมยังปรับสภาพไม่ทันอีก ส่งผลให้เลเป็นไข้สูง หมดสติตั้งแต่มาถึงคฤหาสน์และหลับยาวข้ามวันจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น
“พี่ฮิมไปกินข้าวกับคุณพ่อก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวแม่เฝ้าน้องเลให้เอง” นัยน์ตาคมมองสุภาพสตรีที่เดินเข้ามาในห้อง ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินเข้าไปกอดทักทาย เป็นคุณแม่ของเขาเอง “เราสูงขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย จะสูงกว่าพ่อแล้วหรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจครับ”
“ยักษ์ทั้งคู่เลยจริงๆ” คุณหญิงของบ้านหัวเราะ ร่างเพรียวเดินมาหาคนที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง “น้องเลของคุณแม่ก็สวยขึ้นอีกแล้ว”
เขายังไม่ยอมเดินออกจากห้อง “ฮิมเป็นห่วงน้อง”
“คุณหมอฉีดยาให้ก็คงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ คุณพ่อมีเรื่องจะคุยกับพี่ฮิมด้วย บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญนะคะ ไปหาพ่อเราหน่อยเดี๋ยวน้องเลจะโดนโวย” คนเป็นแม่รู้ดีว่าจะจัดการกับลูกชายของตัวเองยังไง จุดอ่อนที่สุดของฮิมก็คือเล น้องเลและนายใหญ่ของบ้านเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งถ้าลูกชายยังดึงดันที่จะอยู่กับคนป่วย คนที่จะโดนเจ้าของบ้านโวยไม่ใช่ใครนอกจากเล จะว่าฮิมก็ได้ แต่มีโอกาสมากกว่าที่คุณพ่อจะว่าใส่คู่กัดตัวเองซึ่งฮิมก็รับรู้ได้ ร่างสูงจึงถอนหายใจก่อนจะยอมเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี
คุณหญิงหัวเราะเมื่อเห็นภาพบรรยากาศเก่าทับซ้อน ร่างบางนั่งลงบนเตียง มือเรียวทาบเข้าที่หน้าผากขาว อุณหภูมิร้อนจัดที่สัมผัสได้บ่งบอกว่าเรื่องที่เลมีไข้ไม่ใช่เรื่องโกหก นิ้วเรียวไล้ไปตามโครงหน้า จบด้วยการเกลี่ยปรอยผมทัดหูแล้วกวาดสายตามอง
“เลเหมือนเธอมากจริงๆ เลยนะ ซาร่า”
ราวกับว่าหลับนานเป็นชาติ ผมลืมตามองเพดานหรูด้านบนด้วยความรู้สึกมึนงงว่าตัวเองมาอยู่ที่ไหน ครั้นจะยันตัวขึ้นจากเตียงอาการโลกหมุนก็ถล่มเข้าใส่จนต้องล้มลงไปนอนดังเดิม
เวียนหัวจัง
“ตื่นแล้วเหรอคะน้องเล” เสียงอันคุ้นเคยของคนที่คุ้นเคยทำให้ผมเบิกตากว้าง ภาพของคนตรงหน้าเป็นการย้ำความทรงจำของผมที่ลืมไปชั่วขณะว่าเราพึ่งมาถึงอังกฤษกัน “เมื่อวานสลบอยู่หน้าบ้านเลย ทุกคนเป็นห่วงแทบแย่”
“คุณแม่” อีกฝ่ายเดินเข้ามาให้ผมกอด พร้อมทั้งลูบหัวผมเบาๆ “เลคิดถึงจัง”
คุณแม่ที่ผมเรียกก็คือคุณแม่ของพี่ฮิม จะมีแต่คุณลุงเท่านั้นแหละที่ผมไม่เรียกว่าคุณพ่อ เพราะดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่อยากให้ผมเรียกแบบนั้น
“คิดถึงเหมือนกันค่ะ น้องเลยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ไหมคะ”
“เลเวียนหัว” ผมตอบ “เลหลับไปนานหรือเปล่า?”
“1 วันค่ะ”
“อื้อ” ยังดีที่ไม่นานมาก “พี่ฮิมล่ะครับ”
“พึ่งเดินไปกินข้าวกับคุณพ่อ น้องเลหิวไหมคะ เดี๋ยวคุณแม่ให้คนยกอาหารมาให้กินที่นี่”
“เลออกไปกินกับพี่ฮิมก็ได้” ต้องไปไหว้คุณลุงด้วย ไม่ไหว้เดี๋ยวโดนบ่น ขี้เกียจเถียงกับคุณลุง
“งั้นไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน” ว่าจบผมก็ถูกประคองเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นถึงได้ออกจากห้อง ขณะเดินก็กวาดสายตาสำราจคฤหาสน์ที่ไม่ได้มาเกือบครึ่งปีไปพลาง
ที่นี่ใหญ่มาก ผมไม่สามารถบรรยายได้ว่ามันใหญ่ขนาดไหน เพราะแค่ที่ดินก็กว้างจนไม่รู้จะพูดยังไง
ตัวคฤหาสน์ออกเป็นสไตล์โมเดิร์นหน่อยๆ ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างที่หลายคนใฝ่ฝัน ห้องดูหนังขนาดใหญ่ ห้องดนตรี ห้องคาราโอเกะ ห้องเล่นเกม ห้องสังสรรค์ มีส่วนที่เป็นบาร์ครบครั้นพร้อมกับแอลกอฮอล์ และห้องอื่นๆ อีกมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
มีแทบทุกอย่างที่ต้องการเลยจริงๆ
คุณแม่พาผมเดินมาที่ห้องรับประทานอาหาร ภาพแรกที่เห็นคือพี่ฮิมกำลังนั่งคุยเรื่องอะไรสักอย่างกับคุณลุง คุณลุงหรือคุณพ่อของพี่ฮิมเป็นคนสังเกตุเห็นเลก่อน บทสนทนาระหว่างอีกฝ่ายกับลูกชายจึงชะงัก คิ้วเข้มเลิกขึ้นคล้ายแปลกใจ เป็นผลให้พี่ฮิมที่นั่งหันหลังให้ผมอยู่ต้องหันมามอง
“ตื่นแล้วเหรอ” ผมเดินไปกอดพี่ฮิมจากทางด้านหลัง อีกฝ่ายยกมือทาบหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ “ยังตัวร้อนอยู่เลย มากินข้าวเหรอครับ”
“อื้อ”
“กินข้าว กินยาแล้วไปนอนต่อนะ”
“พี่ฮิมไปนอนกับเลด้วยได้ไหม” ผมอ้อน และในจังหวะนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นมา
“นอนเองไม่เป็นเหรอ” เจ้าของเสียงคือคนที่ทำท่านั่งอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนจะไม่สนใจแต่รู้นะว่าแอบฟังอยู่ตลอด...
คุณลุง
เจ้าของตำแหน่งพ่อของพี่ฮิม นายใหญ่ของบ้าน ประธานบริษัทแฮมินตันซึ่งนำเข้า ส่งออกและผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ยักษ์ผู้คุมบังเหียนกว่า 84 สาขาทั่วโลก ยังไม่รวมธุรกิจอื่นอีก แต่ละเดือนกอบโกยจำนวนเงินไปได้มหาศาล ตัวเลขในบัญชีและทรัพย์สินทั้งหมดของคนๆ นี้ เผลอๆ อาจจะมากกว่าเงินในกระทรวงการคลังของประเทศบางประเทศเสียอีก
“ไปทักทายคุณพ่อหน่อย คนดี” ฮิมกระซิบ มือหนาดันตัวเลไปทางคุณลุง ผมเลยต้องจำใจยอมเดินไปหาร่างสูงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ อ้าแขนออกจะขยับเข้ากอด คนวางท่าปรายตามอง แต่สุดท้ายแล้วก็ยอมวางหนังสือพิมพ์ในมือลง ลุกขึ้นยืนเต็มตัวแล้วสวมเข้ากอดผม แถมหอมแก้มให้ด้วยข้างละหนึ่งที
“ยังเตี้ยเหมือนเดิมเลยนะ” ตามด้วยประโยคกัดเลน่ะนะ ผมตอกกลับ
“เลยังพัฒนาได้ แต่ดูจากอายุคุณลุงน่าจะหยุดพัฒนาแล้ว”
“ฉันพึ่งสี่สิบต้นๆ”
ผมยกยิ้มไม่ตอบอะไรขณะเดินมานั่งข้างๆ พี่ฮิม ทั้งคุณลุงทั้งคุณพ่อของพี่วิน ต่างมีลูกเร็วกันทั้งนั้นเลย
สองพ่อลูกต่อบทสทนาเรื่องธุรกิจกันต่อขณะที่ผมนั่งกินข้าวเงียบๆ ในอิ่ม แล้วถึงมาสังเกตุการณ์
พี่ฮิมกับคุณลุงเหมือนกันมาก
ทั้งหน้าตา บุคลิก นิสัยใจคอ ถึงบางส่วนจะต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็เหมือน โดยเฉพาะหน้าตาน่ะ…
คุณพ่อของพี่ฮิมในวัยสี่สิบต้นๆ ไม่ได้แก่อย่างที่ผมพูดกัดไปหรอก จะแก่ได้ยังไงก็ในเมื่อคุณแม่ยังสวยตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่เลย พูดกันตามตรงคือคุณลุงหล่อมาก หล่อแบบผู้ใหญ่ และกลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่มันทำให้ความหล่อของอีกฝ่ายฮอตขึ้นไปอีกหลายขุม เทียบกับพี่ฮิมในตอนนี้ เสน่ห์ของผู้ใหญ่ทำให้ฮิมยังสู้ไม่ได้แต่ผมคิดว่าถ้าพี่ฮิมอายุเท่าคุณลุงเมื่อไหร่ล่ะก็ บางทีอาจจะยิ่งกว่า…
ความคิดผมหยุดชะงักเมื่อคนที่ตัวเองกำลังลอบสังเกตุหันมาสบตาแล้วทำหน้าราวกับว่ารู้นะว่ามองอยู่ อีกฝ่ายเอามือเท้าคางแล้วยกยิ้มที่มุมปากให้ผม ปฏิกิริยาแบบนั้นแหละที่ไม่ว่าคุณลุงจะหล่อขนาดไหนเลก็ไม่อยากจะชม
ชมไปแล้วเดี๋ยวจะเหลิง!
พี่ฮิมซึ่งทันเหตุการณ์ถอนหายใจ ร่างสูงเห็นผมอิ่มเลยคะยั้นคะยอให้เลไปกินยาแล้วเข้านอน
“พี่ฮิมไปนอนกับน้อง”
“เดี๋ยวฮิมเข้าบริษัทกับพ่อ”
“พี่ฮิม”
“ฮิม”
“เลือก!/เลือก!”
“เล่นอะไรกันเป็นเด็ก” คุณแม่เป็นคนเข้ามายุติเหตุการณ์ “ฮิมพึ่งมาถึงอังกฤษ ถ้าคุณพ่อจะพาเข้าบริษัทเลยฉันไม่โอเคนะคะ”
ผมยกยิ้ม เลื่อนมือขึ้นไปโอบรอบลำคอแกร่งแล้วเข้าซบเข้าที่บ่า ดูจากคำพูดของคุณแม่ก็รู้แล้วว่าใครจะชนะ
“วันนี้พี่ฮิมไปอยู่กับน้องเล พักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยเข้าบริษัทกับคุณพ่อนะคะ”
“ครับ” พี่ฮิมขานรับ
“เลรักคุณแม่” ผมกระโดดเข้ากอดคุณแม่ทีนึงก่อนที่จะโดนร่างสูงโอบเอวพาเดินออกจากบริเวณนั้น เรากลับมาที่ห้อง ผมโดนบังคับให้กินยา จากนั้นล้มตัวนอนกอดกันบนเตียงแล้วจ้องตากันเงียบๆ “คิดถึงตอนเด็กจัง”
“หือ?”
“ตอนเด็กเราก็ชอบนอนจ้องตากันแบบนี้ แล้วฮิมก็ชอบเอามือมาปิดตาน้องแบบนี้” ผมเอื้อมไปจับมือพี่ฮิมมาปิดตาตัวเอง พอเห็นแต่ความคิดภาพในวัยเด็กก็เริ่มฉายชัด เราอยู่ด้วยกันในห้องนี้ นอนบนเตียงหลังนี้มาเกือบสิบๆ ปี
คิดถึงมากเลย
“ก็เลไม่นอน เป็นเด็กดื้อ” เสียงทั้มพูดถึงเรื่องเก่าๆ พี่ฮิมไม่ยอมแกะมือที่วางทาบดวงตาของผมออก “ตอนนี้ก็ด้วย”
“เลไม่ง่วง พึ่งตื่นเอง”
“แล้วไหนบอกอยากให้พี่นอนด้วย”
“ไม่อยากให้ฮิมไปกับคุณลุง” ผมสารภาพก่อนจะถูกพี่ฮิมรวบตัวเข้าไปกอด “ยังไม่ได้อาบน้ำเลย เหม็นนะ”
“ตอนเลยังไม่ตื่นพี่เช็ดตัวให้คนดีแล้ว”
“แอบแต๊ะอั๊งเลเปล่า” พี่ฮิมไม่ตอบแต่ขยับใบหน้าเข้ากับหอมแก้มผมแทน แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่น่าเชื่อเลยเนาะ”
“อะไรครับ”
“กลับอังกฤษคราวที่แล้ว เลยังไม่รู้เลยว่าพี่ฮิมรักเล” มือหนาที่ปิดตาผมอยู่ปิดแน่นยิ่งกว่าเดิม “แบบคนรัก”
“อืม”
“แล้วพอเลเข้ามหา’ลัยก็รู้เยอะขึ้นตั้งหลายเรื่องเลย”
“แบบปุ๊บปั๊บเลยน่ะสิ”
“พี่ฮิมว่าไม่ดีเหรอ” ผมจับมือที่ปิดตาตัวเองออก หันหน้าไปมองคนที่กำลังทำหน้าไม่สบอารมณ์นักด้วยท่าทีจริงจัง “เลว่าดีนะ”
“...”
“เพราะไม่อย่างนั้นกลับอังกฤษคราวนี้ พี่ฮิมก็คงยังไม่มีโอกาสที่จะหอมเลแบบนี้” ผมปีนขึ้นคร่อมร่างหนา จรดจมูกเข้ากับแก้มของอีกฝ่ายแล้วหอมฟอดใหญ่ “จูบเลแบบนี้”
ตามด้วยการทาบริมฝีปากเข้าด้วยกัน สอดปลายลิ้นแทรกเข้าไปในด้านใน พัวพันกับฝ่ายตรงข้ามแล้วถอนออกด้วยสัมผัสเนิบนาบ เกิดเส้นน้ำยืดตามระยะห่างก่อนจะขาดออกจากกัน
“แล้วก็แบบนี้…” ผมปลดกระดุมเสื้อออก ตั้งใจจะจับมือพี่ฮิมมาวางทาบที่หน้าอกแต่อีกฝ่ายกลับตึงมือตัวเองเอาไว้ นัยน์ตาคมวาบวับหากแฝงด้วย
“ทำแบบนี้เดี๋ยวไข้ไม่ลดนะ” ผมยิ้ม จับมือพี่ฮิมทาบที่อกก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบคนด้านใต้
“ลดวันหน้าก็ได้” คราวนี้พี่ฮิมไม่ถามความคิดผมอีก ร่างสูงพลิกตัวคร่อมทับ ไล้มือปลดทุกอย่างที่อยู่บนร่างกายออก ก่อนจะเริ่มการล่าบนเตียง
สถานที่อันคุ้นเคยทำให้ make love ในครั้งนี้ต่างออกไป ทุกครั้งที่พี่ฮิมสัมผัส ภาพในวัยเด็กจะฉายชัดเข้ามาในหัว เรื่องราวต่างๆ มากมายตั้งแต่เด็กไหลเข้าสู่สมองและจมลงในกองราคะ ก่อนจะมลายหายไปในยามที่หยาดอารมณ์ถูกปลดปล่อยออกพร้อมกับความคิด ราวกับว่าสมองขาวโพลน ผมลืมทุกสิ่ง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ สิ่งเดียวที่ตกค้างอยู่ในหัวคือคำว่า
“เลรักพี่ฮิม”
วันต่อมาไข้ลด (ลดเพราะพี่ฮิมป้อนยาและเช็ดตัวให้ตลอดทั้งคืน) เราจึงตกลงว่าจะไปเที่ยวกัน แต่เริ่มจากเข้าบริษัทของคุณลุงในตอนเช้า เลเคยมาไม่กี่ครั้ง มาครั้งนี้จึงแทบอ้าปากค้าง ผมที่คุ้นชินกับความรวยอยู่แล้วยังต้องตะลึงในความอลังการ เมื่อบริษัทหลักของแฮมินตันใหญ่กว่าบริษัทรองที่กรุงเทพสามเท่าจะได้ เริ่มคิดใหม่แล้วจริงๆ ว่าในอนาคตพี่ฮิมจะรวยขนาดไหนเมื่อดูจากบริษัทที่ออกจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้
พี่ฮิมไปดูงานกับคุณลุง ส่วนเลเสียเวลาตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายอยู่กับคลังรถของแฮมินตันที่ได้รับการขนานนามว่าใหญ่ที่สุดในโลก สวรรค์บนดินสำหรับผมและคนที่รักรถเป็นชีวิตจิตใจ
ช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จ ผมกับพี่ฮิมเลือกที่จะขับรถชมเมือง ต่อด้วยการไปล่องเรือแม่น้ำเทมส์ลอดใต้สะพาน London Bridge จูบกันบนจุดสูงสุดของ London eye ไปกินข้าวเย็นที่ภัตตาคารสุดหรู แล้วปิดท้ายทริปด้วยการเลี้ยวรถเข้าโรงแรม ที่ไม่กลับบ้านเพราะกิจกรรมที่เราจะทำต่อไปนี้ ที่นี่มันสะดวกกว่า
กิจกรรมที่ว่านั้น เลไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากนอนจมอยู่ใต้ร่างหนา เสพสมกามอารมณ์และปล่อยให้คนด้านบนขึ้นควบครั้งแล้วครั้งเล่าไปค่อนคืน สิ้นสุดเมื่อฟ้าใกล้สว่าง ตอนที่น้ำรักของคนกำกับจังหวะบนเตียงอัดแน่นจนเอ่อล้นช่องทาง เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก้มลงนอนแนบตรงหน้าอก ถูกกระซิบคำบอกรักจากนั้นก็หลับไปพร้อมกัน
มีความสุขที่สุดเลย
(100%)
น้องเลลืมพี่วินอีกแล้ว!
#วิศวะแดนแฟนมีเกียร์