- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175132 ครั้ง)

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
«ตอบ #60 เมื่อ13-09-2016 16:22:56 »

 :pig4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
«ตอบ #61 เมื่อ13-09-2016 18:50:42 »

แต่งเลยๆๆ 55555

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
«ตอบ #62 เมื่อ13-09-2016 19:10:38 »

ให้กลับไปเปลี่ยนที่โรงยิมเพราะจะได้แต่งตั้งสะใภ้คณะรึป่าวคะ งานนี้ทีก็ไปคบคนอื่นไม่ได้แล้วสิ คงสมใจพาร์ล่ะ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
«ตอบ #63 เมื่อ13-09-2016 19:49:45 »

ดูเป็เคะราชินี

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
«ตอบ #64 เมื่อ13-09-2016 20:34:52 »

 :mew4:

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
«ตอบ #65 เมื่อ13-09-2016 22:02:38 »

พี่เภสัชคงจะเอ็นดูท่านชายทีน่าดูเลย55555555 อยากอ่านตอนแต่งตั้งเป็นสะใภ้คณะแล้ว~

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
«ตอบ #66 เมื่อ16-09-2016 14:18:50 »

บทที่ 12

สุดท้ายก็กลับมาจนได้…ผมมองเหม่อแดนประหารด้วยความรู้สึกก่ำกึ่งระหว่างอยากหนีไปให้ไกลกับภาระหน้าที่ค้ำคอ

“อย่าลีลา เปิดประตูเร็วๆ จะเปลี่ยนไหม เสื้อผ้าน่ะ”

ผมถอนหายใจ ยกมือข้างที่ว่างผลักประตูโรงยิม…

กึก…กึกๆๆ

อ้าว? ไม่ขยับเลยครับ เหมือนล็อกจากข้างใน

เรามองหน้ากัน สุดท้ายก็โทรหาพี่นัน

[อ้อ ไปเข้าประตูเล็กเมื่อเช้าเลย น้องทีจำได้ใช่ไหม]

“ประตูที่ราชินีเข้ามาเหรอครับ?”

[ใช่ๆ]

หลังวางสาย ผมลากพาร์ไปทางประตูลับ คลำทางจนเจอประตูไม้ที่ว่า ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นรุ่นพี่สองคนเมื่อบ่ายนั่งคุยเล่นกันอยู่บนม้วนพรมแดง (พรมแดงม้วนเก็บแล้วพี่เขาเอามานั่ง เหมือนนั่งบนขอนไม้น่ะ)

…นี่พวกพี่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลยเหรอครับ?

พอเห็นพวกผมเดินเข้าใกล้ก็รีบลุกขึ้นยืนประดุจทหารเฝ้าประตู “มีธุระอะไรแถวนี้น้อง”

“พี่นันให้พวกเราเข้าทางนี้ครับ” ผมบอกตามตรง ปล่อยให้พี่ๆ กวาดตาสำรวจ

“น้องเมื่อตอนบ่าย ลูกสาวฝั่งเศรษฐศาสตร์นี่หว่า”

“แล้วนี่…เด็กคณะเราเอง”

“น่าจะใช่นะ”

“อือ ไม่ผิดตัวแน่”

สองรุ่นพี่ซุบซิบกันสักพัก ก็ยอมเปิดประตูปล่อยพวกผมเข้าไป

“ทางนี้เข้าได้อย่างเดียว แต่ออกไม่ได้นะน้อง” พูดทิ้งท้ายแค่นั้นก็งับประตูปิด

ผมลากพาร์ที่ยืนขมวดคิ้วไปทิศตรงข้ามกับทางออกด้านนอก 

“เฮ้ย จะไป…”

“ชี่ อย่าเสียงดังสิ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน” ผมว่า

ไหนๆ ห้องน้ำก็อยู่แค่ตรงนั้น

“ของกูน่ะได้ แต่ของมึง…เปลี่ยนชุดได้แล้ว?”   

“กูทนอายในโรงพยาบาลมากพอแล้ว เข้าใจนะ”

พาร์ยอมหุบปากโดยดี

ผมก็แอบสงสัยว่า มันเอาของไปเก็บไว้ไหน เพราะห้องพักนักกีฬายังคล้องแม่กุญแจอยู่เลย จนเห็นพาร์เดินไปไขกุญแจช่องล็อกเกอร์ติดฝาผนังในห้องน้ำนั่นแหละ สิ่งที่ต่างจากห้องน้ำหญิงอีกอย่างคือไอ้ชั้นวางของ ฝั่งนู้นทำจากไม้แบ่งเป็นช่องๆ ทุกช่องมีตะกร้าสำหรับใส่ของ แต่ฝั่งนี้เป็นชั้นเหล็ก แต่ละช่องมีกุญแจพร้อม กว้างพอยัดเป้ทั้งใบเข้าไปได้ (เพราะเจ้านี่ล่ะมั้ง ห้องน้ำฝั่งนี้เลยดูแคบกว่า)   

เราใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นานครับ แต่มาเสียเวลาตรงล้างเครื่องสำอางไม่ออก!

“พอๆ หน้าถลอกหมดแล้ว”

“ก็มัน…” คำพูดถูกขัดขวางเมื่อโดนผ้าขนหนูโบะหน้า ก็ได้แต่รับมาเช็ดน้ำออก

“สงสัยเป็นแบบกันน้ำ”

“มึงรู้ได้ไง?”

“แม่กูเคยใช้”

พาร์บอกระหว่างเก็บของลงเป้ แถมยังช่วยเก็บเสื้อผ้าที่ผมถอดออกพับลงถุงให้ด้วย

“ไปได้แล้วมั้ง นี่เกือบสิบสองนาทีแล้ว”

ผมจำใจเดินตามหลังพาร์ที่คล้องเป้กับไหล่เดินนำหน้า เหยียบย่างเข้าสู่สนามบาสปุบ พวกผมตกเป็นเป้าสายตาประชาชีทันที กลางสนามบาสมีหลายคนยืนอยู่…โฆษก พี่นัน พี่ดิน พี่น้ำ ผู้ช่วยกรรมการทั้งสอง ไม่ค่อยคุ้นหน้าอีกสองสามคน ผมมองรอบๆ แปลกใจที่คนในโรงยิมไม่น้อยลงเลย

…ไม่ใช่ว่ารอผมกลับมาหรอกนะ   

“มากันแล้ว ใช้เวลานานจัง หลงทางหรือไง?” พี่นันเท้าเอวใส่

“ขอโทษครับ พอดีพวกเรา…” พาร์กำลังจะพูด แต่โดนพี่โฆษกพูดขัด

“เสียเวลามากพอแล้ว เริ่มทำพิธีมอบตัวต่อดีกว่า ใครโดนเลือกไว้ล่ะ?”

คณะนิติเงียบฉี่ พี่โฆษกเลยหันไปมองคนแต่งตั้ง

“ใครวะดิน?”

“เด็กปี1 ชื่อเมธิชัย แต่ไม่รู้หายหน้าไปไหน โทรไปก็ไม่รับสาย”

“อ้าว…”

เป็นพาร์ที่ตอบคำถาม “ขี่มอเตอร์ไซค์ไปโรงพยาบาลแล้วครับ”

เฮ้ย! ไอ้ยักษ์นั่นเรอะ?!

“อ้าว งั้น…”

“เอาพาร์แทนได้ไหมพี่!”

ผมพูดโพล่งออกมา ไม่สนใจทุกสายตาที่หันมองผมเป็นตาเดียว นาทีนี้สมองคิดทำยังไงก็ได้ที่ผมไม่ต้องจับคู่ไอ้กับยักษ์นั้น! เมื่อรอบข้างยังเงียบ ผมเลยแจกแจงเหตุผลยาวเหยียด พูดโน้มน้าวเต็มที่ “ผมสนิทกับพาร์มากกว่า น่าจะทำงานรวมกันได้ดีกว่าคนไม่รู้จัก อีกอย่างไม่ต้องเสียเวลาทำความรู้จักใหม่ด้วยครับ”

“นั่นสิๆ” พี่โฆษกพยักหน้ายิ้มๆ แววตาพราวระยับเหมือนขบขัน “ทางนิติว่าไง”

“ด้วยอำนาจประธานปี4 ผมขอถอนคนเก่าออก และแต่งตั้งนายภควัติเป็นตัวแทนคณะตั้งแต่วินาทีนี้”

คำตอบมายาวเหยียด แถมพี่ดินยังจับบ่าพาร์ พูดสั้นๆ “พี่ขอฝากด้วยนะ”

ผมเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เหลือบมองเพื่อนที่กำลังทำหน้านิ่ง แต่แววตาจ้องคาดโทษใส่ก็แอบรู้สึกผิด…เอาไว้ผมจะชดเชยให้ทีหลังแล้วกัน

“แล้วทางอีคอนขัดข้องไหมครับ?” พี่โฆษกถาม

“ไม่ค่ะ”

…พี่นันยิ้มกว้างมากครับ

“โอเค งั้นผมในฐานะประธานปี4 คณะรัฐศาสตร์ มาเพื่อเป็นพยานแต่งตั้งสามีและสะใภ้คณะ และเป็นตัวแทนส่งมอบลูกสาวจากคณะเศรษฐศาสตร์ให้แก่นิติศาสตร์”

ผมสะดุ้งเมื่อโดนพี่โฆษกจับมือผมไปวางบนมือพาร์ที่โดนพี่เขายกขึ้นมาเหมือนกัน

“หลังจากนี้พวกเธอจะเป็นตัวแทนผูกสัมพันธ์ระหว่างสองคณะ จะทำอะไรก็คิดถึงส่วนรวมเข้าไว้ล่ะ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของคนสองคนอีก แต่ถ้ามีปัญหาส่วนตัวก็เคลียร์กันดีๆ อย่าทำให้เสียไปถึงส่วนรวม แค่นี้แหละ”

แปะๆๆ เสียงตบมือต่อเนื่องดังก้องทั่วโรงยิม

ผมขมวดคิ้วสงสัย คิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่พิธีมันดูรวบรัดชอบกล รอจนเสียงตบมือเงียบลง รุ่นพี่รัฐศาสตร์ก็อ้าปากเอ่ยถาม

“แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู อยากได้อะไร?”

ฮะ?

สมองเกิดอาการมึนงงกะทันหัน…หมายความว่าไงครับ?

แต่พาร์กลับตอบเสียงดังฟังชัด “สร้อยข้อมือครับ”         

“ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม จัดการสั่งทำ แล้วส่งให้สองคนนี้ด้วย หมดหน้าที่ผมแล้ว ขอตัวล่ะ”

พี่ปี 4 จากรัฐศาสตร์ ผู้มาเป็นโฆษกประจำงาน กรรมการการแข่งบาส พ่วงด้วยตำแหน่งพยานและแต่งตั้งสามีสะใภ้คณะ เดินจากไปอย่างเท่ ท่ามกลางเสียงตบมือของทุกคน

ผมมองตามแผ่นหลังเฮียแกไปด้วยอารมณ์บอกไม่ถูก…โดนสองคณะใช้งานได้คุ้มค่ามากครับ

งานนี้พี่แกได้ค่าตัวหรือทำฟรีหว่า?

หมับ!

เฮ้ย!!

ผ…ผมถูกพี่ดินดึงตัวไปกอด!

“ยินดีต้อนรับนะไอ้น้อง”

ฮะ?

“ค…ครับ” ผมตอบรับ หลังโดนปล่อยตัว แอบเหล่มองข้างๆ พาร์โดนพี่นันสวมกอดเหมือนกัน (มิน่า พี่นันถึงได้ยิ้มกว้าง) ผมเซถลาตามแรงดึงข้อมือ มองคนดึงงงๆ

พี่ดินจูงมือพาผมออกเดินไปเรื่อยๆ แรกๆ ไม่เข้าใจ จนสักพักถึงได้รู้

“…พี่ดิน”

“หือ?”

“ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์หายากที่ถูกพี่จูงออกมาโชว์ตัวเลยอ่ะ”

“พรืด…” พี่แกปล่อยหัวเราะ ฉีกยิ้มอารมณ์ดีมากกว่าเก่า “เข้าใจปล่อยมุข”

ผมพูดจริงจังต่างหาก!

คิดแล้วก็อยากถอนหายใจแรงๆ ไม่มีใครเข้าใจเลยวุ้ย

หลังเดินโชว์ตัวครบทุกด้าน พี่ดินก็พาไปส่งถึงด้านนอกอย่างดี พาร์ตามมาสมทบที่หลัง คนนี้ก็โดนพี่นันควงแขนเดินโชว์ตัวเหมือนกัน

“ไว้เจอกันวันจันทร์นะน้องๆ” พี่ดินพูดลายิ้มๆ

ตามด้วยพี่นันที่โบกมือให้ “บ๊ายบายจ๊ะ กลับบ้านกันดีๆ นะ”

ยังไม่ทันขานรับ ประตูโรงยิมก็ดึงปิด ด้วยความสงสัยผมเลยเดินไปเปิดประตูดู…ล็อกครับ

“แปลกวะมึง…นี่เราโดนไล่ออกมาก่อนใช่ปะ?”

“เห็นๆ อยู่”

“ทำไมวะ?”

“ถ้ารู้กูคงไม่ทำหน้างงแข่งกับมึง”

ผมย่นคิ้วมองพาร์…พึ่งสังเกตว่าในมือเพื่อนหิ้วถุงใส่เสื้อคลุมอาบน้ำอยู่

“มึงไม่ได้ทิ้งไว้ในห้องน้ำ?”

“ไม่ใช่ต้องเอาไปคืนรุ่นพี่มึงเรอะ?”

ผมเงียบ พาร์เงียบ

“…เอาไปโยนทิ้งไว้ท้ายรถก่อนแล้วกัน”

พาร์ผงกหัว “ความคิดดี…แล้วมึงควรไปเปลี่ยนรองเท้าที่รถด้วย”

ผมก้มมองอวัยวะส่วนล่างสุด สลิปเปอร์สภาพเยิ่นๆ กระแทกเข้าตาเป็นอย่างแรก

เออวะ ผมใส่ติดเท้าเดินไปเดินมาเฉย

…ก็นุ่มสบายเท้าดีนะครับ

ระหว่างเดินกลับไปที่รถ ผมโดนคนข้างๆ โบกหัวจนเจ็บจี๊ด

“อะไรวะ?!”

“ทำโทษมึง”

หน้าพาร์ทะมึนมาก ผมเลยสงบเสงี่ยมอย่างยอมรับผิด นี่มันพึ่งหายมึนงง แล้วนึกขึ้นได้ใช่ไหม?

กุญแจรถยังอยู่ที่พาร์ ผมเลยเปิดประตูข้างคนขับขึ้นไปนั่ง พาร์ออกรถตามปกติ ต้องมารอลุ้นหลังออกนอกมหาลัย ผมค้นพบว่าพาร์จะขับรถเร็วสองกรณีคือ รีบมากกับอารมณ์หงุดหงิดสุดขีด หลังลุ้นตัวเกร็ง ผมก็ผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่

…ไม่เร็วท้านรก แต่แผ่รังสีบ่งบอกอารณ์ไม่ค่อยดี จนในรถบรรยากาศอึกครึ้มพอประมาณ

ผมทนอยู่สักพักใหญ่ๆ ก็เอ่ยชวนหลังนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

“…ไปวัดกันไหม?”

รถเบรกเอี๊ยดกะทันหัน ดีที่ว่ารถกำลังจะติดพอดี คือมึงค่อยๆ เหยียบเบรกได้ไหมวะ   

“มึงว่าอะไรนะ!”

“กูชวนไปวัด” ผมมองพาร์มึนๆ มันตกใจอะไร?

“มึงจะ…วัด?”

ผมงงหนักกว่าเก่า จะเว้นช่องไฟทำเผื่อ แต่ก็ตอบไป “เออ”

พาร์ทำหน้าปั้นยาก “คือ…กูเข้าใจมึงนะ แต่ถึงทำอย่างนั้นก็ไม่ช่วยให้มึงรอดพ้นคำว่าสะใภ้คณะหรอก”

ผมถอนหายใจ “กูรู้ แต่กูก็อยากไปวัดอยู่ดี”

พาร์เลียริมฝีปาก ทำหน้าลำบากใจยิ่งกว่าเก่า “งั้น…รอกลับบ้านก่อนแล้วกัน”

ผมมองหน้าพาร์งุนงงสุดขีด ทำไมต้องรอกลับบ้าน? ให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้เรอะ?...นี่ผมชวนมันไปทำบุญนะ ไม่ได้ชวนไปเล่นอะไรโลดโผน มันเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ย?

แต่ดีอย่างครับ พาร์ไม่แผ่รังสีไม่สบอารมณ์ใส่ผมแล้ว

ผมทำหน้างง เมื่อพาร์เลี้ยวรถเข้าห้างสรรพสินค้าใกล้โรงเรียนของสองสาว

“ไหนว่าจะไปรับน้อง”

“เด็กพวกนั้นมาเดินเที่ยวที่นี่”

อ้อ สงสัยทนอุดอู้ในโรงเรียนต่อไม่ไหว

หลังหาที่จอดได้เรียบร้อย ผมก็คว้ากระเป๋าตังค์กับมือถือติดตัวลงมา พาร์ก็เหมือนกัน หยิบแค่สองอย่าง แล้วทิ้งเป้ไว้ในรถ อ้อ ผมเปลี่ยนรองเท้าแล้วนะ อย่าคิดว่าผมจะกล้าใส่สลิปเปอร์เดินเข้าห้าง หน้ายังไม่หนาพอครับ

พอเดินเข้าตัวห้างปุบ สายตามากมายต่างจ้องตรงมา ผมชินนะ เจอบ่อยๆ เวลามากับคนหน้าตาดี…ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมครับ กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ของผมมีคนหน้าตาดีมากอยู่ถึงสี่คน (ทั้งที่ตอนเด็กๆ ไม่เห็นฉายแววว่าจะหล่อ) ผมเลยไม่เกร็ง หันไปคุยกับพาร์ตามปกติ

“นัดน้องไว้ที่ไหน”

มันกดพิมพ์ไลน์พักหนึ่งก็ตอบ “กินไก่ทอดอยู่ ขึ้นไปหาได้เลย”

ผมชะโงกดูหน้าจอ กะแล้ว ยัยน้ำบอกชื่อร้านกับชั้นมา ตามด้วยรูปไก่ทอดของผู้พัน แต่น้องสาวบอกชั้นผิดครับ เล่นบอกชั้นสูงสุดที่เป็นโรงหนัง สงสัยเจ้าตัวจะลงไปแถวใต้ดินมา แล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปร้านอาหาร เลยนับชั้นเกินไปสองชั้น เบอร์ดี้ก็ไม่แย้ง สมแล้วที่เป็นพวกหลงทางในห้างเหมือนกันทั้งคู่

“ชักอยากพาน้องมาปล่อยทิ้งในห้างสักครึ่งวัน...”

พาร์ดีดนิ้วใส่หน้าผากผม โทษฐานคิดแกล้งน้อง

“ได้ร้องไห้กันพอดี”

“เพื่อจะจำทางอะไรขึ้นมาได้บ้าง”

“เดี๋ยวโตกว่านี้ก็เริ่มหัดจำทางเองแหละ”

ผมหัวเราะในคอ ระหว่างเดินข้างพาร์ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบน “กลัวว่าสิบเจ็ดแล้วก็ยังหลงในห้าง…ถ้าเป็นงั้นจริง ความผิดมึงเลยนะ”

พาร์มองผม สายตาสงสัย ผมเฉลยให้

“เพราะมึงขัดขวางกู น้องเลยไม่ได้เรียนรู้ทิศทางด้วยตัวเอง”

“งั้นรออายุสิบห้าก่อน ถ้ายังจำทางไม่ได้ ค่อยใช้แผนของมึง”

“อีกสามปี…น่าจะไม่สนุกแล้ว”

“เหอะ หางโผล่แล้วมึง”

ผมหัวเราะ “ก็ได้ๆ กูอยากแกล้งด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็อยากให้หัดจำทางไว้ เผื่อไม่มีเรา น้องจะได้ดูแลตัวเองได้บ้าง ไม่ใช่ อะไรๆ ก็พี่ชายเหมือนทุกวันนี้”

“กูชอบแบบตอนนี้มากกว่า เพราะถ้าเป็นอย่างที่มึงว่า กูคงบ่นเหงา”

“เดี๋ยวมึงมีแฟนขึ้นมา กูจะหัวเราะให้”

“ทำไม?”

ผมเลิกคิ้ว “ไม่เคยมีแฟน?”

พาร์ส่ายหัว ไม่น่าเชื่อว่าจะครองตัวโสดจนถึงตอนนี้ ผมนึกว่าอาจเคยมีแล้วสักคนหรือสองคนซะอีก เพราะประเภทแบบพาร์ จะคบใครสักคนใช้เวลาคิดนานแน่ๆ พอคบแล้วก็คงนานเป็นปีๆ และคงไม่น่าบอกเลิกก่อน นอกจากฝ่ายหญิงทนไม่ไหวบอกเลิกเอง

“มึงติดน้อง?”

“ก็เหมือนมึง”

ผมหัวเราะ “กูห่างจากน้องได้ เดี๋ยวช่วงใกล้สอบ กูจะทิ้งน้องไปนอนบ้านย่า มึงล่ะจะเอาไง?”

“หมายความว่า มึงจะอยู่บ้านแค่อาทิตย์หน้า แล้วจะหายหน้าไปเลยจนกว่าจะสอบเสร็จ”

“อาจนานกว่านั้น เป็นเดือน ไม่ก็เดือนนิดๆ เพราะกูกะหนีเที่ยวต่อ” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำตัวอิสระทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม เพราะกลับไปให้เห็นหน้าปุบ จะโดนเกาะเป็นตังเมปับ หนีเที่ยวไม่ได้อีกแล้ว นอกจากขนน้องไปด้วย”

“ช่วงปีใหม่มึงจะไม่อยู่กับครอบครัว?”

“แล้วแต่ บางปีก็อยู่ บางปีก็ไม่…แต่ปีนี้จะไม่อยู่ กูไม่ได้เจอเพื่อนเก่าแก่สมัยมัธยมนานแล้ว เลยว่าจะไปกับพวกนั้น ส่วนมึง ถ้าอยากใช้ชีวิตวัยรุ่นก็ตามกูไป แต่ถ้าอยากอยู่กับน้องก็ไม่ต้อง กูบอกมึงแค่นี้แหละ อ้อ นี่เป็นความลับ ห้ามหลุดให้คนที่บ้านรู้เด็ดขาด”

“มึงจะหนีเที่ยวไม่บอกพ่อแม่ด้วย?”

“เปล่า รอออกมาก่อน ค่อยโทรไปบอกพ่อทีหลัง ขืนบอกที่บ้านเดี๋ยวน้องรู้ น้องๆ เราหูดีจะตาย ความรู้สึกไวด้วย”

ผมกับพาร์เงียบ จนถึงบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปชั้นสาม

“กูไปด้วย”

“หือ?”

“ถ้ากูไม่อยู่ เบอร์ดี้ก็ต้องอยู่คนเดียว สมัยก่อนกูเลยไม่ได้ทำอะไรแบบที่เพื่อนๆ ทำกัน ยกเว้นตอนไปเรียนต่างประเทศ บอกตามตรง ตอนนี้คิดถึงช่วงเวลาอิสระนั่นเหมือนกัน เพราะงั้นกูจะไปกับมึงด้วย”

อ้อ เพราะเบอร์ดี้อยู่บ้านผมแล้ว พาร์เลยไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลอีก

ผมพยักหน้าหงึกๆ ลดเสียงลง “งั้นศุกร์หน้าแอบกลับมาเก็บเสื้อผ้าตอนเที่ยงที่บ้าน แวะไปดูน้องอันเล่นละคร แล้วค่อยไปบ้านย่ากู”

“นี่มึงจะไม่อยู่บอกรักพ่อเรอะ”

“กูทำการ์ดทิ้งไว้ให้พ่อทุกปี เพราะตอนเด็กๆ กูไม่ได้อยู่กับพ่อ โตมาแล้วกูเลยไม่สะดวกใจถ้าจะอยู่ให้การ์ดกับมือในวันพ่อวะ เลยชอบแอบหนีไปนู้นนี่ในวันพ่อประจำ อีกอย่าง…พ่อทำหน้าเศร้าตอนกูไม่ให้การ์ด ทั้งที่ปีนั้นกูอยู่ตรงหน้าเขาแท้ๆ หลังจากนั้นกูเลยทิ้งการ์ดให้ตลอด แต่ตัวกูไม่เคยอยู่ ก็เห็นพ่อดูมีความสุขดีนี่”

“…มึงเสียใจใช่ไหม”

“ก็นิดหน่อย” ผมยิ้ม “แต่ก็เข้าใจ เขาได้แบบนั้นทุกปีเลยชิน พอไม่ได้เลยเศร้า กูเลยถือว่าวันนั้นเป็นวันอิสระ ให้น้องๆ อยู่อ้อนพ่อซะให้พอ เพราะถ้ากูอยู่ด้วย บางทีน้องก็มาขลุกอยู่กับกูมากกว่าเขา”

“แล้วมึงไม่อยากอ้อนพ่อหรือไง?”

“ไม่นะ มันเลยวัยนั้นมาแล้ววะ” ผมหยุดคิดสักพักก็บอกพาร์ “วันพ่อน่ะ ไม่ใช่สื่อถึงผู้ให้กำเนิดอย่างเดียว แต่ความหมายลึกกว่านั้น มันหมายถึงผู้เลี้ยงดูเรามาด้วย เพราะงั้นวันพ่อหรือวันแม่กูจะไปอยู่บ้านย่ามากกว่า”

“แล้วมึงก็ทิ้งแค่การ์ดให้พ่อกับแม่แค่นั้น?”

“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสิ” ผมลากพาร์มานั่งตรงที่เขาจัดไว้ให้ ไม่ไกลจากบันไดเลื่อนเท่าไหร่ “คืองี้กูจะเขียนถ้อยคำจากใจลงการ์ดประจำ แต่กูไม่เคยพูดออกมา ถ้าเขาได้ตัวกู เขาจะไม่ได้ถ้อยคำพวกนั้น เพราะกูจะไม่เขียนลงการ์ดส่งให้แน่ๆ มันน่าอายออก ส่วนบ้านย่า พวกเขาอยากได้ตัวกูมาอยู่ข้างๆ มากกว่าถ้อยคำจากใจในการ์ด อธิบายแบบนี้มึงเข้าใจยัง?”

“ก็พอเข้าใจ แต่ก็…”

ผมยิ้มให้เพื่อนที่ดูจะสับสน อธิบายเพิ่มอย่างใจเย็น

“บ้านย่าได้กอดกูตั้งแต่เด็ก แต่พ่อกับแม่ไม่ เขาได้ถ้อยคำประโลมจิตใจจากกูมาตลอดเลยรอคอยมันทุกๆ ปี เพราะมีกูแค่คนเดียวที่เขียนให้แบบนั้น แล้วถ้าเขาอยากได้ความอบอุ่นก็กอดน้องๆ แทนได้ ตรงข้ามกับบ้านย่าที่มีแค่กู เขาเลยอยากได้ตัวกูไปอยู่ข้างๆ พูดคุย กอดกัน กินข้าวด้วยกัน มากกว่าอยากได้การ์ดที่มีถ้อยคำในใจเพียงใบเดียว”

“แต่ปู่ย่ามึงอยู่ต่างประเทศ”

“อือ”

“…จะกลับมา?”

“เปล่า แต่กูก็จะไปที่นั่นเหมือนทุกปี มันเป็นความเคยชินของกูเหมือนกัน”

พาร์พ่นลมหายใจ “บ้านมึงเข้าใจยากวะ”

“ก็นะ” ผมยักไหล่  “ไปเถอะ น้องบ่นแย่แล้วมั้ง” 

ผมกับพาร์เดินอ้อมไปอีกฝั่ง เตรียมขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสี่

“…ถ้ากูจะไปกับมึง กูต้องเตรียมของให้พ่อล่วงหน้าใช่ไหม”

“ทุกทีทำอะไรให้ลุงแทนล่ะ?”

ผมถาม อยากรู้ว่าบ้านอื่นเป็นแบบไหน

“ส่วนใหญ่ก็…ทำขนมเค้กไว้ฉลองกันน่ะ”

“งั้นเหรอ ต้องกินข้าวพร้อมหน้าด้วยไหม?”

“อื้อ บางทีทำกินเองที่บ้าน ไม่ก็ไปกินข้าวนอกบ้าน”

“แบบนี้ก็แย่สิ มึงพึ่งกลับประเทศมาด้วย ค่อยตามกูไปทีหลังก็ได้นะ”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวน้องร้องตามไปด้วย อีกอย่าง กูว่าปีนี้จะทำอะไรใหม่ๆ ให้พ่อบ้าง ทำแบบเดิมๆ ซ้ำพ่อก็รู้ทันหมดแล้ว พ่อกูชอบอะไรที่มันคาดไม่ถึงน่ะ”

“อ้อ งั้นก็ตามใจ”

เราหยุดคุยเรื่องของอนาคตไว้แค่นั้น ร้านจุดหมายอยู่ข้างหน้า ช่วงเย็นๆ ในร้านคนเริ่มเยอะ มองหาไม่นานก็ต้องผงะ รีบสะกิดคนข้างๆ อย่างไว

“อะไร?”

“เอ่อ กลุ่มตรงนั่น น้องเรา?”

“เออ นั่นแหละ”

“กี่คนวะนั่น?”

“แปด ไม่รวมน้องก็หก มึงนับเองไม่เป็นหรือไง”

“กูนึกว่าตาฝาด…ถอยก่อนได้มะ”

“ทำไมวะ?”

“กูขอไลน์ถามน้องก่อนว่าต้องจ่ายให้หรือเปล่า เผื่อตังค์ไม่พอ จะได้ไปเบิกทัน”

พาร์ตบหัวผมครับ “แหกตาดูดีๆ น้องสั่งมานั่งกินกันแล้ว มึงไม่พร้อมเจอเพื่อนน้องก็บอกมา”

“ก็มึงเคยบอกว่า เป็นสาววายทั้งกลุ่ม”

“ใช่ แล้วใครบางคนแถวนี้ก็บอกว่าไม่ควรหลบหน้า”

“เฮ้ย ไม่เคยพูด”

“มึงไม่พูดประโยคแบบกู แต่มึงเคยพูดแนวๆ นั้น”

“และกูจำได้ว่ามึงบรรยายกลุ่มน้องได้น่ากลัวโคตร ถึงกูจำไม่ได้แล้วว่ามึงพูดอะไรไปบ้างก็เถอะ”

“นั่น น้องโบกมือให้แล้ว มึงหมดสิทธิ์หนีแล้ว”

############

ตอบ: คุณ BlueCherries ยังไม่ถึงค่ะ เรื่องนี้มีทั้งหมดประมาณเกือบหกสิบตอนค่ะ ส่วนแต่ละตอนจะสั้นยาวไม่เท่ากันอยู่ที่ตัวเนื้อหาในตอนนั้นๆ ค่ะ เลยทำให้แต่ละตอนสั้นยาวแตกต่างกันไป

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
«ตอบ #67 เมื่อ16-09-2016 18:13:44 »

ทั้งกลุ่มด้วย ตายแน่ๆ 55555

ออฟไลน์ dekzappp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
«ตอบ #68 เมื่อ16-09-2016 19:50:57 »

เพิ่งได้อ่าน เพราะสะดุดกับชื่อเรื่อง

แหมะสองหนุ่นมนี่โคตรจะมุ้งมิ้ง. อยากรวมกลุ่มกับแก๊งน้องสาวจังเลยยย

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
«ตอบ #69 เมื่อ16-09-2016 21:02:48 »

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
« ตอบ #69 เมื่อ: 16-09-2016 21:02:48 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
«ตอบ #70 เมื่อ16-09-2016 21:19:31 »

ตายยๆๆๆ เข้าดงละ รอดยากกกก

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
«ตอบ #71 เมื่อ16-09-2016 22:32:04 »

เอ ทำไมพายเลือกสร้อยข้อมือ?

ปกติถ้าสร้อยคอน่าจะหลบๆได้ดีกว่านะ

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
«ตอบ #72 เมื่อ16-09-2016 22:58:56 »

เป็นสะใภ้คณะแค่นี้ถึงกับต้องชวนพาร์ไปวัดเลยหรอคะที? กร๊ากกกก
ไปเจอน้องๆทั้งกลุ่มนี่เด็ดแน่นอน อยากได้พี่ชายแบบทีกับพาร์แล้วสิ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
«ตอบ #73 เมื่อ18-09-2016 16:41:54 »

บทที่ 13
(น้ำ)

สวัสดีค่ะ น้ำเอง

ตอนนี้น้ำอยู่กับเพื่อนๆ ที่อยากตามมาดูพี่ชายของเรา แบบว่าโม้ไปเยอะค่ะ แต่พอพี่ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ปุ๊บ ฝ่ายน้ำกลับโดนเซอร์ไพรส์ซะเอง

พี่ชายของน้ำแต่งหน้า!

กำลังจะอ้าปากถาม พี่พาร์ก็ยกนิ้วแตะริมฝีปากให้เงียบไว้

โอเคค่ะ…ขอน้ำตั้งสติแปบ

“จ้องหน้าพี่ทำไม?”

รีบส่ายหัวขวับๆ ให้พี่ที ก็น้ำไม่นึกว่าแค่ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอาง พี่ชายแท้ๆ จะน่ารักขึ้นขนาดนี้ ใจเริ่มเอนเอียงอยากให้พี่พาร์เป็นฝ่ายรุกขึ้นมาเลย แต่นิสัยพี่ทีแมนกว่าอ่ะ ตัดสินใจลำบากจัง

“สวัสดีอีกครั้งครับน้องๆ” พี่พาร์เอ่ยทักทาย   

“ไม่ใช่พึ่งเจอหน้า..?”

มีกระซิบถามกันด้วย แต่พี่จ๋า น้ำได้ยินนะ แบบว่าฝึกมานาน

“คุยทางโทรศัพท์ตอนอยู่โรงพยาบาล”

พี่ทีเตะขาพี่พาร์เฉยเลย สีหน้าพี่จ๋าแลดูหงุดหงิด

“ไม่ทักน้องๆ ล่ะ”

หลังโดนเตือน พี่ทีรีบคลายสีหน้า คลี่ยิ้มสว่างไสวส่งผลให้รอบด้านสดใสโดยพลัน...

“สวัสดีสาวน้อยทั้งหลาย”

...พี่จ๋า เพื่อนน้ำติดสตันกันหมดแล้ว ก็นะ คนหนึ่งดันหล่อมาก อีกคนก็ยิ้มได้สุดยอด คนเคยชินอย่างน้ำกับเบอร์ดี้เลยต้องช่วยสะกิดปลุกเพื่อนๆ จนได้สติทุกคน แล้วค่อยพูดแนะนำ

“หกคนนี้เพื่อนพวกเราที่โรงเรียนค่ะ ส่วนทางนี้พี่ชายพวกฉันเอง” ขยับมือไปทางพี่ๆ ทีละคน “คนนี้พี่ที คนนี้พี่พาร์”

“สะ สวัสดีค่ะ”

เพื่อนๆ เสียงตะกุกตะกักมาก แต่พี่ทั้งสองพากันยิ้มรับไม่ถือสา 

ตอนนี้สายตาน้ำโฟกัสแต่พี่ชาย มองพี่พาร์สะกิดพี่ทีให้ดูโต๊ะว่างข้างๆ ที่พึ่งมีคนลุกไป พากันเดินไปยกช่วยโต๊ะมาต่อกับโต๊ะพวกเรา พี่ทีเรียกพนักงานให้ช่วยเก็บโต๊ะ ก่อนวกกลับมาช่วยพี่พาร์ยกเก้าอี้

“จะกินอะไรไหม?” พี่พาร์ถาม

พี่ทีพึ่งหย่อนก้นนั่งถึงกับชะงักเลยค่ะ

“หิว?”

“นิดหน่อย กลางวันกินข้าวไปนิดเดียว กลัวจุกตอนลงสนาม”

สนามอะไรหว่า…

“งั้นซื้อแค่ชุดบ็อกเซ็ตมาแบ่งกัน ยังไงตอนเย็นต้องพาน้องๆ ไปกินข้าวอยู่ดี”

อยากอ้าปากแย้งจัง ที่กินอยู่ตอนนี้ก็ทำพวกน้ำอิ่มถึงพรุ่งนี้แล้ว

แต่มันติดตรงที่พี่ทั้งสองคนจะซื้อมาแบ่งกัน (เสียงเอคโค่ในหัว)

โอ๊ย จินตนาการพุ่งกระฉูด

พี่พาร์พยักหน้า เดินผละไปซื้อของกิน ส่วนพี่ทีกวาดสายตามองทางนี้ ดันเผลอหลบตาซะงั้น

เอ่อ น้ำไม่ได้ตั้งใจนะ แบบว่ายังไม่ชินกับใบหน้าพี่จ๋าตอนนี้อ่ะ

พอมองคนอื่นๆ พบว่าหลบตากันเป็นแถว สีหน้าแต่ละคนดูเขินๆ แม้แต่สาวห้าวคนเดียวของกลุ่มยังแก้มแดงๆ ถึงเราไม่ปริปากพูด แต่ในไลน์กลุ่มข้อความกระหน่ำมาก

ฮันนี่ใครว่าหวาน: พี่ทีเนี่ย พี่ชายแน่นะ ไม่ใช่พี่สาว
Nam: พี่ชายของแท้ ผู้หญิงที่ไหนจะสูงเท่าพี่ฉัน
ถึงเป็นนกก็นกตัวผู้: พวกแกควรอายนะ พี่เขาน่ารักกว่าพวกแกอีก
ดูๆ ไปมีส่วนคล้ายน้ำไม่น้อย อนาคตเพื่อนเราคงน่ารักแบบนี้…ฉันจีบแกตอนนี้ทันปะ

Nam: 555 เสียใจยะ ถ้าฉันจะมองคนเพศเดียวกัน ตัวเลือกแรกคงเป็นเบอร์
Birdie: สติกเกอร์หมีถอนหายใจ
Birdie:  อย่าเลยจิ๊บ ขืนเอาน้ำเดินทางสายนี้ มันคงผันตัวไปเป็นคู่แข่งแกแทน เสียดายความน่ารักที่มันมีติดตัวหน่อย
ถึงเป็นนกก็นกตัวผู้: จะบอกว่ามันแมนกว่าฉัน
Birdie:  ตอนแรกไม่คิด แต่พึ่งเห็นชัดตอนได้อยู่โรงเรียนหญิงล้วนนี่แหละ
Nam: (ยืดอก) พี่ชายฝึกมาดี…แต่เบอร์ไม่ไหวนะ พี่พาร์โอ๋มากไปหน่อย คุณหนูมาก

Birdie: สติกเกอร์มองค้อน
Birdie: ไม่ได้พูดถึงเรื่องใช้แรงซะหน่อย
เตี้ยแล้วไง: พอๆ ไปทะเลาะกันเองรอบนอก มาว่าด้วยเรื่องพี่ชายของพวกแกกันต่อ
ฮันนี่ใครว่าหวาน: เห็นด้วย
Nam: ว่ามา

พิมพ์ไปก็สงสัยไป เพื่อนจะถามอะไร

เตี้ยแล้วไง: พี่เขาคบกันจริงๆ หรือเป็นแค่เรื่องจิ้น…?

ตรงประเด็นมาก งั้นเอาคำตอบแนวเดียวกันไปเลย

Nam: ตอนนี้อย่างหลัง แต่ต่อไปมันต้องเป็นแบบแรก!

สติกเกอร์ถูกใจมารัวๆ

ถึงเป็นนกก็นกตัวผู้: หยุดๆ พวกแกอย่าพึ่งมโนมาก สงสารพี่เขาหน่อย

โดนสาวห้าวเบรก ก็ได้ส่งสติกเกอร์ถอนหายใจกับโอเคไปให้
เพื่อนๆ ก็รัวสติกเกอร์กันมา เป็นอันตกลงว่าจะไม่ออกนอกหน้าให้มากนัก

ฟ้าใส: เดี๋ยวนะ น้ำกับเบอร์เข้าวงการวาย เพราะพี่ชาย?’
Nam: ช่าย
Birdie: สติกเกอร์ช่าย
ฟ้าใส: ตั้งแต่เมื่อไหร่
Nam: ประถมมั้ง

มีเบอร์ดี้ช่วยขยายความเพิ่ม

Birdie: เราคุยเรื่องพี่ชายกันบ่อยๆ จิ้นว่าถ้าพี่ชายสองคนอยู่ด้วยกันจะเป็นยังไง รูปแบบไหน
แต่มาเจอหนทางสว่างจริงๆ ก็ตอนได้เจอพวกแก
Nam: ช่ายๆ ตอนเห็นหน้าปกมังงะยาโอยที่พวกแกถือนะ แทบพุ่งเข้าใส่ แบบว่ามันใช่
สาวสายมังงะวาย: แต่ฉันไม่เห็นพวกแกสองคนสนใจ 3D คู่อื่นเท่าไหร่นี่
Nam: ไม่รู้ดิ มันไม่ฟินเท่าพวกพี่ชายอ่ะ แต่เห็นก็แอบมองนะ 555

สาวสายมังงะวาย: งั้นระหว่างมังงะเรื่องที่ชอบมากกับเรื่องพี่ชาย แบบไหนฟินกว่า
Nam: ตอบยาก บางทีพี่ๆ ก็ทำให้ขัดใจอ่ะ แต่ในมังงะไม่
Birdie: ถ้าตามจุดประสงค์หลัก พวกเราอ่านมังงะ ดูอนิเมะ ลามไปถึงอ่านนิยายวาย เพื่อพวกพี่
เพราะงั้นเราฟิน 2D เหมือนพวกแกก็จริง แต่บางทีก็น้อยกว่าตอนฟินเรื่องพี่อ่ะ

Nam: สติกเกอร์ชูนิ้วโป้ง
Nam: อย่างที่เบอร์บอก
สาวสายมังงะวาย: ไม่เข้าใจวะ
Nam: เอาน่า สังเกตดูเดี๋ยวก็เข้าใจ เนอะเบอร์
Birdie: สติกเกอร์พยักหน้า

พวกเราหยุดสนทนาผ่านไลน์แค่นั้น เงยหน้าปุ๊บเห็นพี่พาร์กำลังหย่อนก้นนั่งพอดี สายตาแลงุนงงระหว่างมองพี่ทีนั่งขมวดคิ้วฝั่งตรงข้าม แล้วกวาดมองมาทางนี้ น้ำทำได้แค่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ ก่อนก้มหน้าจิ้มเนื้อไก่ทอดเข้าปาก

…คงไม่เป็นไรมั้ง แค่น้องๆ หลบตา ไม่ชวนคุยเท่านั้นเอง

“เป็นไร? คิ้วจะชนกันอยู่แล้ว”

ได้ยินเสียงพี่ทีถอนหายใจ

ค่อยๆ ชำเลืองมองทีละนิด เห็นพี่ทีกำลังจ้องอะไรบางอย่างบนโต๊ะ เลยมองตาม  เจอถ้วยซอสจิ๋วสองใบตรงหน้า โธ่ ทำไมไม่กดใส่จานมาล่ะพี่พาร์ จะได้แบ่งกันจิ้ม เผื่อมีโมเมนต์หลังมือกระทบกัน หัวชนกัน…ไม่ก็ก้มหน้าเข้ามาใกล้กัน

“ซอสพริกผสมซอสมะเขือเทศ?”

พี่อ่ะ พูดขึ้นมาตอนนี้ทำไม ภาพในความคิดกระจายเลย

“ไม่ชอบ?”

“เปล่า” พี่ทีหยิบเฟรนซ์ฟรายจิ้มซอสเข้าปาก “แค่แปลกใจ ไม่คิดว่าทำเหมือนกัน…อ้อ ลืมไป ลุงแทนเป็นคนสอนนี่หว่า จะกินเหมือนกันคงไม่แปลก”

“เคยมากินกับพ่อ…เมื่อไหร่?”

“ตอนยังเด็ก”

พี่พาร์นิ่งไปสักพัก ก็พยักเพยิบใส่ของบนโต๊ะ “จะเอาอะไร?”

“ไก่”

หลังพี่ทีตอบ พี่พาร์ก็คว้าเบอร์เกอร์แกะเข้าปาก แล้วดูนั่น บ็อกเซ็ตชุดเดียวแบ่งได้เท่าเทียมสุดๆ คนหนึ่งได้เบอร์เกอร์ คนหนึ่งได้น่องไก่ชิ้นใหญ่ น่องไก่เล็กสองชิ้นก็แบ่งคนละอัน เฟรนช์ฟรายแบ่งกันกิน

แม้แต่น้ำยังดูดร่วมหลอดเลยอ่ะ!!

มือถือสั่น ก้มมองปุ๊บเจอข้อความโดนใจปั๊บ
ฉันคือสาววาย: อ้ายย! จูบทางอ้อมชัดๆ

สติกเกอร์เห็นด้วยเต็มไปหมด กดข้อความส่งตามไปติดๆ

Nam: เห็นปะ บอกแล้วว่าพี่ชายเนี่ยแหละ ฟิน..!
เตี้ยแล้วไง: ยะ แม่คนหวงพี่ ถึงว่าหวงจังเลย
ถึงเป็นนกก็นกตัวผู้: แบบนี้เรียกว่าหวงพี่ชายไว้ให้พี่ชายเพื่อน ฮิ้ว…
Birdie: 555 ไม่เถียง
Nam: มันคือความจริง

กลับมานั่งสังเกตการณ์พี่ๆ อีกครั้ง เอ…ก็รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกพี่แปลกไปนิดหน่อย ไม่รอช้ารีบพิมพ์ถามยืนยันผ่านไลน์ทันที

Nam: บรรยากาศรอบตัวพวกพี่เปลี่ยนไป รู้สึกเหมือนกันไหมเบอร์
Birdie: อือ กำลังแปลกใจอยู่
สาวสายมังงะวาย: ยังไงวะ?

เหลือบมองอีกหน หาคำมาบรรยายความรู้สึกตอนนี้ แล้วพิมพ์บอกเพื่อนๆ

Nam: มันละมุนละไมยังไงไม่รู้
เตี้ยแล้วไง: อย่าให้ฉันต้องแปลไทยเป็นไทย
ฟ้าใส: ยัยน้ำหมายถึงอ่อนโยนล่ะมั้ง
Nam: ไม่เชิง บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่แบบ…เอาเป็นว่าดีกว่าเมื่อเช้าแล้วกัน
ฉันคือสาววาย: แล้วตอนนี้ต่างจากเมื่อเช้ายังไง จุดประเด็นแล้วช่วยเคลียร์ให้หายข้องใจด้วย
Nam: เมื่อเช้ามันหยาบกระด้างกว่านี้อ่ะ
ฮันนี่ใครว่าหวาน: ไม่ต่างจากเดิมเลยยัยน้ำ
Birdie: น้ำอธิบายไม่ถูกหรอก เอาเป็นว่า…
Birdie: พวกพี่ๆ ดูสนิทสนมมากกว่าเมื่อเช้าแล้วกัน ตอนนี้เลิกถามแล้วมองพี่ๆ ต่อเถอะ

ขอบคุณที่ช่วยนะเพื่อนเลิฟ

ของกินตรงหน้าดูหมดความหมายทันที ได้เขี่ยเล่นไปมาระหว่างส่องพี่ๆ ฝ่ายพี่ชายกินเร็วมาก แปบเดียวก็กวาดลงท้องซะเรียบ

“ไปเติมน้ำนะ”

“เออ”

พี่ทีลุกจากโต๊ะ ได้โอกาสที่รอคอยมานาน น้ำรีบโผล่ถามสิ จะรออะไร

“พี่พาร์ ทำไมพี่ทีแต่งหน้าล่ะ?”

“กิจกรรมคณะ”

พูดแล้วยิ้มขำคืออะไรคะ?

“ทำไมถึงห้ามไม่ให้น้ำทักล่ะ”

“พี่แค่อยากแกล้ง…เสียดายทีเอากระดิ่งออกแล้ว ไม่งั้นเวลาเดินจะมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งด้วย”

“กระดิ่ง? ไม่เข้าใจค่ะ ขอคำอธิบายเพิ่ม”

“ก็…ทีโดนจับเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ เหมือนโดนจับแต่งคอสเพลย์นั่นแหละ”

คอสเพลย์...ภาพหูแมวติดกระดิ่ง ไม่ก็ปลอกคอกระดิ่งลอยวูบเข้ามาในหัว ตามด้วยภาพพี่ทีใส่ของพวกนั้น ร้องเมี้ยวทั้งแบบหน้าเซ็ง และแบบหน้ายิ้ม โอ๊ย…จะแบบไหนๆ ก็อยากเห็นอ่ะ!

“มีรูปไหม? น้ำอยากเห็น”

“เบอร์ด้วย” ท่าทางรายนี้จะคิดเหมือนกันแน่ๆ

“ตอนนี้ไม่มีหรอก”

ฟังแล้วก็หงอยสิ

“แต่คิดว่าเดี๋ยวก็มีคนแชร์ลงเน็ต ถ้าเจอ พี่จะเซฟเก็บไว้ให้ดู”

ความร่าเริงฟื้นคืนชีพ “สัญญาแล้วนะ!”

“รูปอะไร?”

โอ๊ะ คนถูกกล่าวถึงกลับมาแล้ว…แล้วนั่งลงข้างพี่พาร์เฉย

บะ แบบว่าก็เข้าใจนะ พี่ทีคงขี้เกียจแทรกตัวระหว่างโต๊ะไปนั่งฝั่งตรงข้าม เพราะพึ่งมีกลุ่มใหญ่ลากโต๊ะมาจับกลุ่มใกล้ๆ แต่น้ำน่ะจิ้นไปนู้นแล้ว

โฮก เหมือนแฟนนั่งคู่กันมากๆ ไม่พอ…มียื่นแก้วน้ำ ส่งต่อมือถึงมือ ปลายนิ้วสัมผัสกัน ตาสบตา     

“รูปกิจกรรมวันนี้ พวกน้องอยากเห็น”

แต่ไหงประโยคพูดถึงไม่โรแมนติกเลย น้ำเซ็ง

“มีคนถ่ายรูปเก็บไว้?”

“น่าจะมีมั้ง”

ดูพี่จ๋าทำหน้าเข้า สีหน้าบอกชัดเลยว่า ขอให้ไม่มี ฮ่าๆๆ มันต้องเป็นภาพที่พี่ทีคิดว่าน่าอายแหงๆ น้ำอยากเห็นชะมัด!

ก้มมองมือถือบนตักที่กำลังสั่น เพื่อนส่งข้อความมาในไลน์

ฉันคือสาววาย: แกๆ
เตี้ยแล้วไง: ทักคนไหนระบุตัวตนด้วย
ฉันคือสาววาย: น้ำกับเบอร์
Birdie: สติกเกอร์หมีขาวเอียงคอสงสัย
Nam: อาราย
ฉันคือสาววาย: ขอถามคำถามพี่ชายพวกแกได้ปะ?
Nam: ลองดูดิ

บอกปัดไป เพราะอยากสังเกตการณ์ต่อจะแย่

“หนูมีคำถามค่ะ”

สะดุ้งเลย ไม่นึกว่าเพื่อนกล้าทำจริง แต่พอสังเกตอาการเพื่อนดีๆ ภายนอกท่าทางขึงขังจริงจัง แต่แววตาดูสั่นไหวเหมือนกลัวโดนโกรธ

“ทำหน้าเหมือนกลัวโดนพี่กัดเลย ถามได้ครับ”

โธ่…พี่ที พูดแบบนี้เพื่อนน้ำก็ไม่เกรงใจสิ

“งั้นขอถามพี่ทีค่ะ ทำไมถึงคบกับพี่พาร์คะ?”

โอ้ ลูกตรง ทำพี่ทีชะงักเลยค่ะ

พี่จ๋า อย่าองค์ลงนะ เพื่อนน้ำแค่ถามแบบรวมๆ จะหมายถึงเพื่อนก็ได้ แบบแฟนก็ดี

…แล้วเอนตัวไปกระซิบอะไรกับพี่พาร์คะ

น้ำก็จ้องตาไม่กระพริบสิ เพราะ ช...ชิดมาก ไม่อยากบอก ขยับเข้าไปอีกนิด หอมแก้มเลยดีกว่าค่ะ

“คำถามเมื่อกี้…” พี่ทีพูดยิ้มๆ หลังผละออกห่างพี่พาร์ “ไม่รู้สิครับ รู้ตัวอีกทีก็สนิทกันไปแล้ว”

ขอน้ำอ้าปากค้างสักนิด อะไรดลใจให้พี่จ๋าตอบแบบนี้หนอ ฟังแล้วเคลิ้ม...ชะงักกึก หลังเห็นแววตาพี่ชายวิบวับแปลกๆ เหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้ง เอ่อ พี่คงไม่...

“ขอถามพี่พาร์ค่ะ คิดว่าวันนี้พี่ทีน่ารักไหม?”

คำถามแสนโดนใจจนทิ้งเรื่องตงิดใจเมื่อครู่ เพื่อมาลุ้นคำตอบ

“อืม”

มาคำเดียว แต่โดนใจกว่า! อ๊ายยย

“ขอถามพี่ทั้งสองคนค่ะ ชอบอะไรในตัวอีกฝ่ายคะ?”

พี่พาร์ตอบก่อน “ไม่เหมือนชาวบ้าน”

พี่พาร์จ๋า ทีหลังดูหน้าพี่ทีก่อนตอบนะ นิ่วหน้าไม่ชอบใจแล้วนั่น

“พี่ทีล่ะ”

ครุ่นคิดพักใหญ่ พวกน้ำกำมีดกำส้อม ลุ้นตัวโก่ง ขอคำตอบฟินๆ นะพี่ชาย

“ไม่รู้สิ แต่อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจดี”

ได้แต่กรีดร้องถูกอกถูกใจในหัว โอ๊ย อยากทุบโต๊ะ

“กรี๊ดดด” แว่วเสียงกรีดร้องเบาๆ เลยชำเลืองดู

…พี่จ๋า ทำน้ำกับเบอร์ดี้ฟินไม่พอ ทำเพื่อนน้ำที่อ่านแต่มังงะ ดูอนิเมะ ไม่เคยสนใจผู้ชายของจริง ฟินตามไปด้วยแล้ว แม้แต่หญิงห้าวคนเดียวของกลุ่มยังหลุบตาลง แก้มแดงเลยนั่น

สาวสายมังงะวาย: ฉันขอสมัครเป็นแฟนคลับพี่ชายพวกแกด้วยคน!
ฉันคือสาววาย: ฉันสมัครด้วย!
ฮันนี่ใครว่าหวาน: ด้วยคน
ตามด้วยสติกเกอร์อ้อนวอนมาอีกสอง
Nam: เข้าใจที่บอกแล้ว?
เตี้ยแล้วไง: จะรับไม่รับ ตอบมาแค่คำเดียว!

โอ๊ะ เหมือนโดนขู่

Nam: รับอยู่แล้ว
ฟ้าใส: พี่ๆ เอียงหัวกระซิบอะไรกันอีกแล้ว

รีบเงยหน้าดูทันที เห็นพี่ทีกระซิบบางอย่าง พี่พาร์ยิ้มขำยกใหญ่

โอ๊ย น้ำอยากรู้~ คุยอะไรกันอยู่คะ

“ขอถามบ้างค่ะ เวลาพวกพี่อยู่ด้วยกัน มักทำอะไรคะ?”

“ช่วยกันเลี้ยงน้องสิครับ”

พี่อ่ะ! ตอบแบบที่โรแมนติกกว่านี้หน่อยสิ

สายตาเพื่อนๆ ตวัดมองมาเลย

“พี่ล้อเล่น” หันขวับมองคนพูดทันที พี่ทีกำลังคลี่ยิ้มพราวเสน่ห์แอบมีเลศนัย

“ความจริงแล้ว มัน-เป็น-ความลับ”

ตอบมาแบบนี้ฆ่ากันชัดๆ เลยเถอะ!

ระหว่างตายอย่างสงบ แว่วเสียงเพื่อนสักคนพึมพำขึ้นมา

“ใครมีทิชชู่ ขอหน่อย เลือดกำเดาจะไหล”

-------------

ปิดท้ายก่อนจากลาด้วยพี่ทั้งสองแชร์ค่าไอศกรีมเจ้าอร่อยมาเลี้ยงน้องๆ ได้มาคนละถ้วยเล็ก ถ้าใหญ่กว่านี้คงกินไม่ไหว อิ่มมาก แถมพาเดินไปส่งถึงทางเชื่อมรถไฟฟ้า

“เย็นมากแล้ว อย่าเถลไถลล่ะ”

พี่พาร์พูดจบ พี่ทีก็เสริม

“กลับถึงบ้านแล้ว ไลน์บอกน้องสาวพี่ด้วยนะ”   

แอบโดนเพื่อนๆ มองเขม็งด้วยสายตาอิจฉาตาร้อน…ยืดอกรับสิ (ภูมิใจมาก)

คงจะจากด้วยดี ถ้าสาวห้าวตัวใหญ่ของกลุ่มไม่สะดุดเชือกผูกรองเท้า มันก็บ้าใส่ชุดพละมา ที่จริงใส่เกือบทุกวัน จนโดนครูเขม่นแล้วเขม่นอีก มันคงไม่มีอะไรถ้าเพื่อนไม่ไปพุ่งชนพี่ที

ไม่มีใครตั้งตัวทันสักราย แม้แต่พี่ทีที่กำลังเสียหลักหงายท้อง…

“โอ๊ะ”

“ว้าว…”

นาทีนี้อยากขอบคุณเพื่อนมาก นึกแล้วก็หยิบมือถือออกมากดแชะเก็บภาพประวัติศาสตร์ พี่พาร์โอบรอบเอวพี่ทีไว้ในวงแขนแนบแน่น

“เอ่อ กูไม่ได้ตั้งใจนะ”

คนสะดุดล้มแล้วเผลอไปกระแทกโดนพี่ทีเข้าสู่อ้อมกอดพี่พาร์พูดอ้อมแอ้ม พวกเรารีบตบบ่าเพื่อนตัวโตทันที

“ทำได้ดีมาก!”

“ฮะ?”

“ไม่ต้องทำหน้าสงสัย รีบก้มผูกเชือกรองเท้าเหอะ”

ทั้งทีพึ่งอารมณ์ดีสุดขีดจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องมาอารมณ์เสีย เพราะไอ้บ้าตรงหน้าที่เข้ามาขายขนมจีบพี่จ๋าช่วงที่พวกเราไปเข้าห้องน้ำ

แล้วพี่พาร์หายไปไหน ถึงปล่อยพี่ทียืนคนเดียวเนี่ย!

“เอาไงน้ำ?”

“ไม่เห็นต้องถาม”

รีบจ้ำเท้าเข้าไปแทรกอย่างไว ส่งสัญญาณให้เบอร์ดึงพี่ทีที่กำลังหงุดหงิดออกห่างไปก่อน

“เดี๋ยวสิครับ!”

รีบขยับมาดักคนแปลกหน้าอีกรอบ อย่าหวังจะได้ตามพี่จ๋าง่ายๆ

“ขอโทษนะคะ พี่คนเมื่อกี้มีแฟนแล้ว” ว่าแล้วก็เปิดภาพโอบกันเมื่อกี้ให้ดู พร้อมสำทับ “ถ้าไม่หล่อเท่านี้หรือมากกว่านี้ พี่ชายหนูไม่แลหรอกค่ะ อีกอย่างแฟนพี่ชายหึงโหดนะคะ ถ้าไม่อยากตาย อย่ามายุ่งดีกว่าค่ะ”

พูดจบก็ปล่อยปลากระโห้ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นแหละ หึ

“เดี๋ยวก่อนน้อง…”

ไอ้บ้านั่นกล้ามาจับไหล่!

“หน้าตาดีกับโหดแล้วไง แฟนไม่ได้อยู่แถวนี้ซะหน่อยนี่น้องสาว”

กวนประสาทมาก! แต่ก็ยิ้มหวานส่งให้ “แฟนไม่อยู่ น้องสาวอยู่ค่ะ”

“แล้วไง?” มันกล้ามาจับข้อมือแล้วบีบข่มขู่ “ตัวเล็กแค่นี้มีปัญญาทำอะไรพี่ได้”

น้ำถือว่าเป็นการคุกคามล่ะนะ…

ผัวะ!

แตะอัดกระแทกกลางหว่างขาไปหนึ่งที พอมันงอตัวกุมเป้าปุ๊บ ก็หมุนตัวเตะข้อพับให้ล้มไปนั่งแหมะกับพื้น ข้อดีเวลาเพศหญิงลงมือ คือไม่มีใครกล้ามายุ่งค่ะ ต่อให้อยู่กลางสายตาประชาชีก็เถอะ ความจริงอยากอัดมากกว่านี้ แต่คำสอนของอาจารย์มันฝังหัว เลยจำต้องถอย

“ถ้าอยากเป็นกระสอบทรายก็แวะมาให้เห็นหน้าอีกนะคะ”

ยิ้มหวานส่งท้าย แล้วเดินจากมาแบบนางพญา เห็นพี่ทีขมวดคิ้วหน้าทะมึนอยู่ไม่ไกล มีเบอร์ดี้คล้องแขนจับล็อกตัวแน่น ก็รีบเดินเข้าหา

“มันทำอะไรน้ำ!”

หูย…สายตาพี่ทีอย่างโหด

“เอาไว้ครั้งหน้า ถ้าเขาเสนอหน้ามาให้เห็นอีก พี่ทีค่อยกระทืบเผื่อน้ำแล้วกัน”

ดูจากสีหน้าพี่จ๋ายามมองไอ้หน้าเขียวหน้าซีดบนพื้นเขม็ง พี่ชายคงกำลังจดจำหน้าตาอีกฝ่ายเข้าสมอง เจอกันครั้งหน้าโดนหมายหัวชัวร์ หุๆๆ หวังว่าจะไม่โผล่หน้ามาให้พี่จ๋ากระทืบเล่นนะ

“พอเลยทั้งสองคน ไปจากตรงนี้ก่อนค่ะพี่ที”

เบอร์ดี้ลากแขนพี่จ๋าให้ออกเดิน พี่คงจำหน้าอีกฝ่ายได้แล้ว เลยยอมก้าวขาตามแรงดึง เจอพี่พาร์ขึ้นบันไดเลื่อนมาถึงพอดี ในมือมีถุงสีเขียวใบเล็กจากร้านวัตสัน

“พี่พาร์!” เบอร์ดี้ร้องเรียกพี่ชายอย่างดีใจ แต่น้ำแยกเขี้ยวให้

“พี่พาร์ทิ้งพี่ทีไว้คนเดียวได้ไง!”

“…เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“นิดหน่อยค่ะ แต่จัดการเรียบร้อยแล้ว เรารีบกลับกันเถอะ” เบอร์ดี้รีบบอกรัวๆ “เดี๋ยวน้องอันรอนาน”

แอบขำสีหน้าเบอร์ พยายามกลบเกลื่อนมาก แต่ไม่เนียนเลยเพื่อน

“เดินนำก่อนเลยน้องๆ เดี๋ยวพี่เดินคู่กับทีเอง”

เบอร์ดี้ไม่ปล่อยพี่ทั้งสองคุยกันแน่ เพราะกลัวความลับแตก จัดการคล้องแขนดึงพี่พาร์จ้ำเท้าเดินนำหน้า ปล่อยพี่ชายทั้งสองมีสีหน้าสงสัย

“เบอร์ดี้เป็นอะไร?”

“รายนั้นปิดบังพี่พาร์เรื่องไปเรียนศิลปะป้องกันตัวกับพวกเรามา”

“ปิดทำไมล่ะ” พี่ทีทำหน้าไม่เข้าใจ

“ก็…พวกเราไม่เคยซนต่อหน้าพี่พาร์เลยอ่ะ”

พี่ทีย่นคิ้วแล้ว ฮ่าๆๆ

จะว่าพวกน้ำสองมาตรฐานก็ได้ กับพี่ทีซนจนได้แผลมายังไง พี่ทีก็ช่วยทำแผลไปพลางฟังพวกเราเล่าวีรกรรม ฟังจบก็ช่วยแนะนำบ้าง พูดดุบ้าง แต่กับพี่พาร์ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้าเห็นเราดูแลตัวเองได้ในระดับไม่น่าเป็นห่วงแล้ว คงปล่อยมือให้เดินเองแน่ๆ เพราะงั้นอยู่เป็นเด็กดีเรียบร้อยน่ารัก ให้พี่พาร์คอยดูแลและตามใจดีกว่าเยอะ

“เรื่องที่พวกเราโดนส่งไปเรียนศิลปะป้องกันตัวถือเป็นความลับกับพี่พาร์นะ”

“ทำไมบอกไม่ได้?”

“พี่พาร์ไม่ชอบความรุนแรงค่ะ”

แถไปแล้วเรียบร้อย พี่ทีดูท่าจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง น้ำปล่อยพี่ทีครุ่นคิดไป พูดซ้ำไม่ได้หรอก เดี๋ยวโดนสงสัย ก็ได้แต่หวังว่าพี่ทีจะไม่เผลอทำตัวโหดต่อหน้าพี่พาร์เข้า ไม่งั้นความแตกแหงๆ ได้ยินเบอร์เล่าว่าช่วงไปเรียนต่างประเทศ พี่พาร์ก็ใช่ย่อย ทั้งไปเรียนชกมวยด้วยเหตุผลคิดถึงบ้าน ชื่นชอบความเร็วจนได้ลงสนามเถื่อน มีเรื่องชกต่อยจนเคยเข้าเฝือกมาแล้ว

…แย่แล้ว น้ำเจอพี่พาร์โหมดสุภาพบังตา ไม่เคยเห็นโหมดโหดสักครั้งเลยนึกภาพไม่ออก แบบนี้พี่พาร์ก็มีโอกาสพลิกมารุกพี่ทีได้น่ะสิ!

“พี่ทีห้ามยอมแพ้นะ”

“ฮะ? พูดเรื่องอะไร?”                                               

“พี่แมนใช่ไหม”

“แน่นอน”

“งั้นต้องแมนกว่านี้นะ ต้องเป็นชายเหนือชายให้ได้”

ทำไมพี่จ๋าทำหน้าเอือมระอาล่ะ

“น้ำจริงจังนะ!”

อ้าว เดินหนีอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกที! น้ำเซ็ง!

-------------

เสียงไลน์ดังขึ้นพร้อมๆ กัน พวกเราที่นั่งอยู่เบาะหลังหันมองหน้ากัน ก่อนดึงมือถือออกมาเปิดดู เพื่อนๆ ที่แยกกันไปเมื่อครู่ ส่งภาพมาในไลน์กลุ่มที่พึ่งเปลี่ยนชื่อหมาดๆ ชื่อ BxB ย่อมาจาก Brother ทั้งสองตัวค่ะ แค่เห็นรูปน้ำก็อยากกรี๊ดแล้ว ช็อตเด็ดพี่ทีกับพี่พาร์กอดกันเมื่อกี้ มุมอย่างสวย แต่รูปต่อมาอยากกรี๊ดหนักกว่า

ภาพคู่ของพี่พาร์กับพี่ที! ไม่รู้ไปกอดคอให้ถ่ายรูปตั้งแต่เมื่อไหร่

Nam: เอามาจากไหน
ฉันคือสาววาย: ขอถ่ายรูปมาสิ เมื่อกี้แบบเต็มตัว มีแบบครึ่งตัวด้วย

แล้วก็ส่งรูปมา เห็นแล้วถึงกับตายอย่างสงบ รู้แก่ใจว่าเพราะมุมกล้อง
แต่มันเหมือนพี่ทีขโมยหอมแก้มพี่พาร์เลยอ่ะ เห็นแล้วมันฟิน!

Birdie: เก็บไว้ได้ แต่ห้ามเอาไปเผยแพร่ที่ไหนเด็ดขาด

ข้อความของเบอร์ดึงสติกลับมา รีบพิมพ์สำทับลงไปทันที

Nam: ถ้ารู้ว่าหลุดนะ หึๆๆ
ฉันคือสาววาย: รู้แล้วยะ ไอ้คนหวงพี่ทั้งคู่
ฮันนี่ใครว่าหวาน: แกๆ ฉันมีอะไรจะเสนอ…

ตากวาดอ่านข้อความจากเพื่อนจนจบ อุทานอย่างคาดไม่ถึง รีบพิมพ์ตอบกลับอย่างเร็ว

Nam: ไอเดียดีมาก ขอยืมไปใช้นะ
ฮันนี่ใครว่าหวาน: เอาเลย แล้วแอบถ่ายวีดีโอมาให้ดูด้วยนะ
ฉันคือสาววาย: รอดูด้วยคน
สาวสายมังงะวาย: ฉันด้วยๆ
Nam: แน่นอน
พี่ทั้งสองจ๋า…รอถึงบ้านก่อนเถอะ!

############

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
«ตอบ #74 เมื่อ18-09-2016 18:43:49 »

มีน้องเป็นสาววายตัวจริงขนาดนี้ พวกพี่ที่รักน้องมากจะเซอร์วิสน้องยังไงคะ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
«ตอบ #75 เมื่อ18-09-2016 19:29:22 »

 :hao3:

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
«ตอบ #76 เมื่อ18-09-2016 20:06:31 »

อยากจิไปสิง2สาวจริงๆ คงฟินน่าดู มีพี่ชายกันทั้งคู่พอดีก็จับให้พี่คู่กันเองเลยเกร๋ๆ

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
«ตอบ #77 เมื่อ18-09-2016 21:20:54 »

สนุกดีค่ะ ติดตามๆ  :-[

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
«ตอบ #78 เมื่อ18-09-2016 22:10:18 »

นี้อินเนอร์จริงหนูเกตุคนเขียนหรือเปล่าคะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
«ตอบ #79 เมื่อ19-09-2016 00:23:16 »

แบบนี่ก้อได้หรา 55555 มีเซอร์วิทแฟนด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
« ตอบ #79 เมื่อ: 19-09-2016 00:23:16 »





ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
«ตอบ #80 เมื่อ19-09-2016 00:35:07 »

อยากไปนั่งฟินกับน้องน้ำจัง
ชอบเรื่องนี้จังเลยค่ะ สนุกมาก
 o13

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #81 เมื่อ21-09-2016 00:05:34 »

บทที่ 14

ผมเดินหนาวนิดๆ เข้าห้องนอนตัวเอง สภาพตอนนี้เหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว ส่วนเสื้อนักศึกษากับกางเกงเปียกโชกตากอยู่ระเบียงห้องน้องอันแล้วครับ 

“น้องอันล่ะ”

พาร์เงยหน้าถาม ทั้งที่ยืนผูกเชือกกางเกงเลอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า   

“จับอาบน้ำ กล่อมนอนแล้ว”

“ให้กินยาหรือเปล่า?”

“ป้อนยาน้ำไปแล้ว”

“ตัวร้อนไหม?”

“อุ่นๆ แต่หลับสนิทสักคืน พรุ่งนี้น่าจะดีขึ้น”

สีหน้าพาร์ดูวางใจระดับหนึ่ง “งั้นเดี๋ยวกูออกไปดูสองสาวเอง ส่วนมึงรีบเข้าไปอาบน้ำไป๊”

มันโยนผ้าขนหนูมาให้ พร้อมโบกมือไล่ ผมเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย

จัดการสระผมอีกรอบทั้งที่พึ่งสระไปเมื่อเช้า ไปโดนฝนกันมาครับ

นึกย้อนไปแล้วก็เซ็ง…หลังออกจากร้านอาหารพวกผมเห็นแล้วล่ะว่าฝนหลงฤดูทำท่าจะตก เลยรีบเดินกึ่งวิ่งไปที่รถ แต่ดันเทลงมาซะก่อน เปียกมะล่อกมะแลกกันหมดทั้งห้าชีวิต

ฝนตกรถติดคือคำยอดฮิต

พวกผมติดอบู่บนท้องถนน ต้องทนอยู่สภาพตัวเปียกๆ ขนาดเบาแอร์จนสุดแล้ว สองสาวยังจามไปหลายที ส่วนเจ้าตัวเล็ก ผมจับถอดเสื้อผ้าออกหมดตั้งแต่แรก ใช้หมอนผ้าห่มคลุมตัวให้น้องอย่างเดียว ขืนไม่ทำอย่างนี้กว่าจะถึงบ้าน น้องอันได้ไข้ขึ้นแน่ๆ ครับ และขัดใจน้องให้ไปนั่งด้านหลังกับพวกพี่สาว

กลับสู่เวลาปัจจุบัน ระหว่างเช็ดตัวหลังอาบน้ำเสร็จ ผมเหลือบมองกระจกห้องน้ำอีกรอบด้วยความขัดตา พาร์เล่นชโลมกระจกจนเต็มไปด้วยฟองสบู่ นึกคึกอะไรไม่รู้ถึงอยากทำความสะอาดกระจกตอนนี้

อย่าหวังว่าผมจะช่วยทำความสะอาดให้ล่ะ     

หลังเดินออกจากห้องน้ำ ไร้วี่แววรูมเมท…ไม่รู้ทางสองสาวเป็นยังไงบ้าง 

ผมนึกระหว่างหยิบเสื้อยืดตัวใหญ่มาสวมหัว (จิกมาจากตู้เสื้อผ้าลุงนิก) ท่อนล่างเป็นบ็อกเซอร์ที่สภาพเหมือนกางเกงขาสั้นมากกว่ากางเกงใน สไตล์ชุดนอนผมเป็นแบบนี้แหละ ใส่นอนสบายกว่าชุดนอนอีกครับ

ระหว่างกำลังเช็ดผมให้แห้ง พาร์ก็เปิดประตูเข้ามา พร้อมถือถาดใส่แก้วน้ำสี่ใบ (ว่างเปล่าไปแล้วสอง) กับกระปุกยาลดไข้อีกหนึ่ง พร้อมประโยคบอกเล่า “ให้สองสาวกินยาดักไปแล้ว บังคับเข้านอนเรียบร้อย”

“มีไข้ปะ?”

“ยังไม่แสดงอาการ เท่าที่จับวัดด้วยปรอท อุณหภูมิยังปกติ”

ผมพยักหน้า คงต้องรอดูพรุ่งนี้อีกที

“เลื่อนนัดไปก่อนแล้วกัน”

นัด? ผมทวนคำในใจ หยุดคิดสักพัก อ้อ มันนัดไปเที่ยวห้างพรุ่งนี้นี่หว่า

“ไปวันอาทิตย์แทนแล้วกัน แต่ถ้าน้องๆ ป่วยก็เลื่อนไปอาทิตย์หน้า…ไม่ได้แล้วนี่หว่า” อาทิตย์หน้าพวกผมไปบ้านย่ากันแล้วครับ “งั้นเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดแล้วกัน”

“ไปกันแค่สองคนก่อนก็ได้” พาร์วางถาดลงโต๊ะหนังสือ “ยังไงก็ต้องไปซื้อของเข้าบ้านให้เรียบร้อยก่อน เพราะขืนรอพ่อแม่กู…อย่าหวังเลย!”

ผมยิ้มแห้งแทนคำตอบ เวลาพาร์พูดเรื่องพวกนี้ ฟังอย่างเดียวเป็นทางออกดีสุดแล้วครับ

“มากินยาเลย”

ผมพาดผ้าขนหนูไว้กับคอ เดินไปหยิบยาจากมือพาร์ใส่ปาก กรอกน้ำตามลงท้อง แล้วต้องหยุดมองพาร์แกะลูกอมเอาปาก มันเห็นผมมองก็ยื่นลูกอมอีกเม็ดส่งให้ 

“…มึงต้องกินลูกอมหลังกินยาด้วยเรอะ?”

“แปลกตรงไหน?”

แปลกตรงบ้านผมไม่ทำกันไง ผมกลั้นขำ เดาออกเลยว่าพาร์เกลียดของขม ตอนนี้ในหัวเลยมีแต่เมนูกับข้าวที่มีรสขมหมุนวนเวียนเต็มไปหมด แค่มะระอย่างเดียวก็ได้หลายเมนูแล้วครับ หึๆๆ

“ที”

ผมรีบเลิกคิ้วถามกลับ กลบสีหน้าให้มิด เดี๋ยวแผนชั่ว เอ้ย แผนกลั่นแกล้งหลุดออกไป 

“เงยหน้าหน่อย”

ผมงงสิ “ทำไม?”

พาร์ชูแผ่นเยื่อขาวๆ ให้เห็น แวบแรกไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่ทันถามก็โดนประคองแก้ม พร้อมสัมผัสเปียกๆ เย็นๆ ไล่จากหน้าผากลงมาแผ่วเบา อ้อ ทิชชู่เปียกนี่เอง

“หลับตา”

ผมทำตามพร้อมถาม “…เอามาเช็ดหน้ากูทำไม?” 

“นี่ลืมจริงๆ เรอะ”

“ลืมอะไร”

พาร์เงียบพักใหญ่กว่าจะเฉลย “หน้ามึงยังไม่ได้เช็ดเครื่องสำอางออก”

เออวะ! เดี๋ยว…

“อย่าพึ่งขมวดคิ้ว”

…นี่ผมเอาสภาพใบหน้าโบะเครื่องสำอางเดินร่อนทั่วห้างไม่พอ ดันไปเจอเพื่อนน้องในสภาพนั้นอีก (ถึงว่าทำไมหลบตาผมจัง) แล้วไหนจะสายตาแปลกๆ ที่มองมาตอนยืนอยู่คนเดียวในห้าง เรื่องมีตัวผู้เข้ามาจีบ (ร้อยวันพันปีไม่เคยเจอ!) ไหนจะสายตาแปลกๆ ของครูน้องอัน

สาเหตุมาจากเรื่องนี้เองเรอะ!

“ทำไมไม่เตือนกูวะ?!”

“เตือนอะไร”

ฟังจากน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยก็เดาได้ครับ พาร์จงใจ!

ผมขบเคียวฟันด้วยความหงุดหงิด “มึงแกล้งกู!”

“กล่าวหาๆ แค่ไม่ได้เตือนเฉยๆ มึงอยากลืมเองทำไม”

ในหัวนึกภาพเพื่อนยักไหล่ ทำหน้าช่วยไม่ได้ออกเลยอ่ะ!

ผมทั้งหมั่นไส้ทั้งหงุดหงิด ยกเรื่องที่นึกออกมาแย้งทันควัน “กูมีหลักฐานว่ามึงแกล้ง”

“เหรอ ลองว่ามา”

“รู้ทั้งรู้ว่าสองสาวอยู่กับเพื่อนก็ไม่ยอมบอกให้รู้ล่วงหน้า เพราะมึงอยากให้กูเอาสภาพหนังหน้าไปโชว์ให้น้องๆ ดูใช่ไหม!”

“อ้อ กูแค่ลืมบอก และมันก็ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ น้ำหนักไม่เพียงพอ”

“แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าเป็นหลักฐาน?”

“จับได้คาหนังคาเขา”

ผมรู้สึกคันมือคันเท้าอยากกระทืบเพื่อนสุดๆ แต่เห็นแก่ที่มันเช็ดหน้าให้อย่างแผ่วเบา ผมยอมข่มใจเปลี่ยนเรื่องก็ได้ “เสร็จยัง?” อยากลืมตาจะแย่แล้ว

“อีกนิด”

“เร็วๆ เลย ลบให้เกลี้ยงด้วยนะ”

“มึงเกลียดเครื่องสำอาง?”

ผมย้อนถามกลับด้วยเสียงออกแนวประชด “แล้วมึงล่ะ ชอบไหม?”

“ถ้าอยู่บนหน้าในเวลาจำเป็นก็พอไหว”

อ้อเรอะ

“แต่กูไม่ชอบวะ และโชคดีที่งานครั้งนี้ไม่โดนจับแต่งหญิง ไม่งั้นคงรู้สึกแย่กว่านี้”

“…จำได้ว่าสมัยก่อน มึงไม่ได้เกลียดเรื่องพวกนี้”

ผมรีบลืมตา ผงะนิดหน่อย ไม่คิดว่าพาร์ยืนหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนี้ แต่ไม่ได้ถอยหนี เลือกจ้องตาพาร์ตรงๆ เพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ “หมายความว่าไง?”

“ก็ตอนเด็กๆ” พาร์หยุดลังเล “กูไม่พูดแล้วดีกว่า”

ผมจับล็อกคอพาร์ เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันหนีไปพร้อมถ้อยคำค้างคาใจ 

“บอกมา!”

เราสบตากันพักใหญ่ ก่อนพาร์จะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน “กูบอกแล้ว ปล่อยเลย!”

ผมยอมทำตาม มองเพื่อนถอยห่างไปก้าวหนึ่ง “ว่ามาให้ไว”

“ก็มึงชอบแต่งชุดกระโปรงน่ารักๆ ให้ถ่ายรูปเก็บไว้ อั๊ก”

ผมมองเพื่อนด้วยสายตาเฉียบคมระหว่างดึงกำปั้นกลับ มันคงนึกไม่ถึงว่าผมจะออกกำลังยามดึก เลยเปิดช่องให้ผมต่อยท้องเต็มหมัด ตอนนี้เลยนิ่วหน้างอตัวท่าทางจะจุก แต่ผมไม่ปล่อยให้พาร์ตั้งตัว อาศัยเทคนิคเหวี่ยงมันลงเตียง รีบตามขึ้นไปนั่งทับท้องเพื่อน

เริ่มหักนิ้วกร๊อบๆ แสยะยิ้มเหี้ยม

“กูจะทำให้มึงลืมเรื่องเหี้ยนั่นไปให้หมดเลย!”

ผมเหวี่ยงหมัดกะเอาให้สลบในทีเดียว แต่พาร์ดันยกมือรับทัน แถมยังออกแรงบีบหมัดขวาผมซะแรงเหมือนเป็นการเตือน ผมขมวดคิ้วทดลองเหวี่ยงหมัดอีกข้าง รับทันอีกแล้ว

…ไหนยัยน้ำบอกว่าพาร์ไม่ชอบความรุนแรงไง ผมว่าตรงข้ามมากกว่า ไม่งั้นพาร์จะรับหมัดคนที่ผ่านการฝึกมาแล้วทันได้ไง

“มึงโมโหอะไร?!”

พาร์ถามเสียงเข้ม ฟังดูก็รู้ว่าเริ่มหงุดหงิด 

“ก็มึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรออกมาล่ะ!”

แววตาพาร์ดูครุ่นคิด ผมสะบัดมือตัวเองออก แต่พาร์ตอบสนองไวมาก คว้าข้อมือผมมากำซะแน่น เหมือนกลัวผมจะออกแรงเหวี่ยงหมัดใส่อีก

“แล้วกูพูดผิดตรงไหน?”

“แล้วใครใช้ให้มึงพูดออกมา! เดี๋ยว…ทำไมถึงรู้วะ?!”

เรื่องน่าอายพรรค์นั่นน่าจะหายไปตามกาลเวลา…

“ถามช้าไปไหม” มันพูดประชดใส่ ก่อนเฉลย “บ้านกูมีรูปมึงเป็นอัลบั้ม”

ถ้าผมกระอักเลือดได้ คงพ่นใส่หน้าพาร์ตอนนี้

“ไม่ต้องแถว่าเป็นรูปน้องน้ำ…”

ผมหุบปากฉับ เพราะมันดักถูกทาง

“เพราะกูเห็นรูปมึงตั้งแต่สามขวบ” พูดถึงตรงนี้พาร์ก็ถอนหายใจ “ตอนแรกคิดว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องที่โตมากับพี่ชายน้องน้ำ เพราะกูเคยได้ยินแม่บอกว่าพี่ชายน้องน้ำต้องไปอยู่บ้านคุณย่าของเขา แวะมาเยี่ยมบ้านทีจะหนีบลูกพี่ลูกน้องมาด้วยก็ไม่แปลก แต่…กูมาเข้าใจกระจ่างก็ตอนเห็นไอ้นั่น”

พาร์ชี้นิ้วไปทางด้านหลังผม จำต้องเอี้ยวตัวมองตาม เห็นบอร์ดไม้ตรงผนังห้องใกล้ประตูทางเข้าออก มีรูปถ่ายหลายใบแปะอยู่ในนั้น ทั้งรูปถ่ายเดียวๆ ของผม ถ่ายกับครอบครัว ถ่ายกับกลุ่มเพื่อนสนิท หลากหลายช่วงอายุตั้งแต่อนุบาลยันงานเฟรชชี่ไนน์ที่พึ่งผ่านมาเดือนกว่าๆ   

…ถ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ผมคงเก็บภาพในบอร์ดเข้ากรุ ไม่ยอมให้พาร์เห็นแล้วรู้ความจริงแน่ๆ 

“แล้วบ้านมึงมีรูปกูได้ไง?”

ภาพตั้งแต่สามขวบเลยนะ ไหนพ่อบอกว่าพึ่งเจอลุงแทนตอนยัยน้ำเข้าอนุบาลไง

“ได้มาจากน้าอรนั่นแหละ มึงน่าจะสงสัยตั้งแต่กูกับน้องเรียกพ่อแม่มึงว่า ‘น้า’ แล้ว”

ผมกระพริบตา จริงด้วยครับ คำว่า ‘น้า’ เรียกญาติฝ่ายแม่นี่น่า

“แล้ว?”

“แม่กูเป็นย่ารหัสของแม่มึง”

“ฮะ! แบบสายรหัสของคณะอ่ะนะ”

“เออ”

โลกโคตรกลม!

“จะถามอะไรอีกไหม”

“ป้าเจนอัดรูปถ่ายเพิ่มไปทำไม” 

“ก็แม่กรี๊ดกร๊าดมึงจะตาย บอกน่ารักอย่างนู้นน่ารักอย่างนี้”

“แค่น่ารักเนี่ยนะ?”

“เออ! ทั้งที่พ่อแม่ตกลงกันว่ามีลูกแค่คนเดียว แต่เพราะมึงดันน่ารักเกินไป พ่อแม่กูเลยเกิดอยากได้ลูกสาวขึ้นมาอีกคนน่ะสิ!”

ย้ำจริงว่าน่ารัก เออ ผมรู้ตัว ไม่งั้นคงไม่เกิดเรื่องเกือบโดนปล้ำหรอก

ผมถามอีก “แล้วไม่รู้ชื่อเด็กในรูปหรือไง”

“ชื่อทีแล้วไง ชื่อเหมือนกัน แต่อาจคนละความหมายก็ได้ อย่างย่อมาจากไม้ที ตัวอักษรที หรืออะไรที่มันน่ารักสมเป็นเด็กผู้หญิง”

ผมจ้องพาร์เขม็ง “นี่มึงคิดว่าเด็กในรูปเป็นผู้หญิง!”

“น่ารักขนาดนั้นจะให้คิดว่าเป็นผู้ชายได้ไง!”

“เดี๋ยวนี้เด็กผู้ชายน่ารักก็มีเยอะแยะ”

“แล้วกูเคยเจอตัวจริงซะที่ไหนวะ” พาร์ว่าสวนกลับ หน้าดำทะมึน “เห็นแค่ในรูปใครจะไปแยกเพศออก!” 

“กูอยากจะบ้า!!”

“กูต่างหากที่อยากพูดคำนั้น!”

“มึงจะอยากบ้าทำไม” ผมตวัดเสียงหงุดหงิดใส่ “ตราบาปของกู ไม่ได้เกี่ยวกับมึงเลย”

“ใครว่าไม่เกี่ยว!”

แววตาพาร์ดุดันขึ้นกะทันหัน น้ำเสียงห้วนจัดเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดหัวเสีย ผมที่กำลังหงุดหงิดพอกันเลยสวนคำใส่อย่างต้องการหาคนทะเลาะด้วย

“ไม่มีทางเกี่ยวได้หรอกโว้ย!”

“เกี่ยวเต็มๆ ต่างหาก?! รักแรกของกูดันกลายเป็นมึงเนี่ย!”

!!?!!


ผมติดสตันไปเกือบสิบวิ ก่อนสบตาพาร์แบบคนกำลังมึนได้ที แอบคิดในใจว่าหูฝาดฟังเพี้ยนหรือเปล่า

“เมื่อกี้…พูดว่า…อะไรนะ?”

“ก็บอกว่ารักแรกของกูเป็น…”

พาร์อ้าปากชะงักค้างแค่นั้น แววตาดูตื่นตระหนกก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหว มันเม้มปากเบือนหน้าหนี ใบหูแดงจัด 

แม่งเอ้ย!

ผมเบือนหน้าหนีบ้าง รู้สึกหน้าร้อนๆ ชอบกล

โอเค…ผมไม่ได้ฟังผิด

ความเงียบบังเกิดทันที ต่างคนต่างไร้คำพูดใดๆ อยู่นาน

“…ละ ลุกไปจากตัวกูได้แล้ว”

ผมสะดุ้ง รีบผละออกห่างดุจต้องของร้อน ยึดมุมเตียงคนละฟากเป็นที่สถิต บรรยากาศโคตรกระอักกระอวนใจ

“เอ่อ เดี๋ยวกูไป…” ผมพยายามนึกหาข้ออ้างขอเผ่นออกจากห้องเพื่อไปตั้งหลักก่อน

แต่พาร์กลับโผล่ขึ้นมาเสียงดัง “มึงไม่ต้องคิดมากหรอก มันแค่ความรักแบบเด็กๆ แล้วมึงก็แต่งหญิงถ่ายรูปจนถึงแค่แปดขวบ หลังจากนั้นทั้งที่กูเห็นว่าเด็กในรูปใส่กางเกงมาตลอดก็ไม่คิดเอะใจเลย เพราะงั้นมึงไม่ผิดหรอก!”

คำพูดฟังดูไม่แคร์ก็จริง แต่น้ำเสียงไปคนละทางเลยเพื่อน

ผมขมวดคิ้วหลังจับอารมณ์บางอย่างของพาร์ได้ ลังเลสักพักก็เอ่ยปากถาม “เอ่อ อย่าบอกนะว่ามึง…ยังชอบคนในรูปถ่ายจนถึงตอนนี้?”

พาร์เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไร้คำพูด เห็นอาการเพื่อนแล้ว ผมรู้สึกเจ็บจี๊ด ดุจโดนลูกธนูเสียบปักใส่มโนธรรมเลยครับ

นี่เองเหรอสาเหตุที่มันทำตัวเพี้ยนๆ ตั้งแต่คืนวันพุธยันค่ำเมื่อวาน

ผมเลียริมฝีปากอย่างลำบากใจ ทั้งที่ในหัวได้ข้อสรุปว่าควรพูดอธิบายให้เพื่อนฟัง แต่ดันเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากเอ่ยถึง…เอาวะ

“พาร์”

คนถูกเรียกยอมหันมาสบตาด้วย ผมเริ่มต้นพูดช้าๆ ชัดๆ

“เอ่อ คือกูไม่ได้ตั้งใจแต่งหญิงหลอกมึงนะ แต่แม่กูชอบ เพราะเขาอยากได้ลูกสาว แล้วตอนเด็กๆ กูไม่ได้อยู่กับแม่…ก็แค่อยากทำอะไรให้แม่ดีใจบ้าง” พูดถึงตรงนี้ผมก็ชักหน้าเครียด “แต่กูรู้แล้วว่าทำแบบนั้นไม่ดี มันทำให้กูเกือบโดนปล้ำ…”

“เกือบจะโดนอะไรนะ!?”

ผมสะดุ้งโหยง รู้ว่าน่าตกใจ แต่ไม่เห็นต้องตะโกนใส่กันเลย

“โดนปลุกปล้ำอ่ะ โว้ย! อย่าให้พูดซ้ำได้มะ กระดากปากนะ”

“ใครทำมึง!”

แววตาพาร์โคตรน่ากลัว จนผมต้องรีบเบรกอารมณ์เพื่อน

“ฟังอีกที กูแค่เกือบโดน เข้าใจไหม แค่เกือบอ่ะ!”

ดูคนฟังจะอารมณ์เย็นลง…นิดหนึ่ง

“นี่ใช่ไหมสาเหตุที่มึงเลิกแต่งหญิงตอนแปดขวบ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าแย่ลงทันทียามนึกถึงเรื่องนั้น

“…ไอ้เลวนั่นเป็นคนสวนมาใหม่เลยยังไม่ได้สิทธิ์มีที่พักในรั้วบ้านคุณย่า มันมาทำงานแค่เสาร์อาทิตย์ แล้วเป็นวันที่กูต้องแต่งหญิงไปหาแม่ คือตั้งแต่เข้าชั้นประถม กูต้องไปอยู่กับพ่อแม่เดือนละสองครั้ง เลยเลือกไปค้างทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ก็กลับ แล้ววันนั้นพ่อกับแม่ต้องไปทำธุระต่อ เลยมาส่งเร็วกว่าทุกที แล้วมันก็…”

สองมือกำผ้าปูที่นอนแน่น รู้สึกเลยว่าร่างกายกำลังสั่น 

“พอแล้วๆ ไม่ต้องไปนึกถึงมันอีก กูขอโทษที่ถาม!”

ผมหลุดจากภวังค์ ระงับอารมณ์พักหนึ่ง ก่อนพูด “จะขอโทษทำไม กูอยากเล่า เพราะมึงมีสิทธิ์รู้…”

ผมยิ้มนิดหนึ่งให้คลายกังวล แล้วเล่าต่อ

“เอ่อ บ้านย่ากูหลังใหญ่มากๆ เป็นบ้านสวน ต้นไม้เลยเยอะคล้ายป่า กูโดนอุ้มไปที่ทึบๆ แล้วก็…นั่นแหละ” ผมเล่าข้ามๆ ไม่อยากทั้งพูดทั้งนึกถึง “พอมันเห็นว่าเป็นเด็กผู้ชายก็ผงะ รีบถอยห่าง หลังจากนั้นไม่ถึงสามสิบวินาที หมาตัวใหญ่ประจำบ้านก็โผล่พรวดเข้ามา กระโจนเข้างับไอ้ใจทรามน้อยตั้งโด่กลางตัวจนเกือบขาดเสียงร้องโหยหวนของมันเรียกคนอื่นเข้ามา”

ผมหยุดกลืนน้ำลาย

“หลังจากนั้นกูก็ปลอดภัย…ถ้าไม่นับว่ามีอาการค้างเคียงจนต้องพบจิตแพทย์อ่ะนะ ส่วนไอ้เลวนั่นโดนดำเนินคดี เอ่อ โดนตัดไอ้นั่นทิ้งด้วย ได้ยินพวกผู้ใหญ่ซุบซิบกันว่า หมอจำเป็นต้องตัดทิ้ง เพราะถึงเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากนั้นกูเลยค่อนข้างต่อต้าน…คนรูปร่างแบบเพื่อนมึง” 

พาร์ไม่ได้โง่ครับ แปบเดียวก็ปะติปะต่อเรื่องราวได้

“หมายถึงชัย?”

ผมพยักหน้าหงึกๆ เห็นสีหน้าทะมึนของพาร์ก็ไม่กล้าเล่าต่อ

สมัยยังเด็ก ผมอาการหนักกว่านี้เยอะครับ เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ผู้ชายตัวสูงใหญ่กว่าทั้งนั้น

ผมปฏิวัติตัวเองหลายเรื่อง (ทั้งทางที่ดีขึ้นและแย่ลง) เช่น ตัดผมให้สั้นลง เลิกยุ่งเกี่ยวชุดเด็กผู้หญิง ไม่ไปเจอพ่อแม่ (ไม่ใช่ไม่อยากเจอ ผมแค่ไม่กล้าออกจากบ้าน) ขังตัวเองอยู่แต่ภายในตัวบ้าน เริ่มต้นออกกำลังกายและดื่มนมอย่างจริงจัง เอาปืนอัดลมออกมาฝึกยิงกระป๋องน้ำ และอีกหลายๆ เรื่อง ที่สร้างความวุ่นวายไปทั้งบ้าน

เดือดร้อนลูกสาวลุงหมอที่เรียนสาขาจิตแพทย์ต้องมาอยู่กับผมเกือบตลอดเวลา แม้แต่ลุงนิกยังต้องโทรเรียกเพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นให้มาสอนศิลปะการต่อสู้ให้ ผมเรียนหนังสืออยู่บ้านแทนไปโรงเรียนชั่วคราว กว่าจะกล้าออกไปเผชิญโลกนอกรั้วบ้านก็หลังจากผมทำอาจารย์หลังกระแทกพื้นได้นั่นแหละ 

ผมไปโรงเรียนอีกทีก็ขึ้นชั้น ป.4 แล้ว (โดนทางโรงเรียนจับสอบวัดผลด้วยครับ) อารมณ์เหมือนเด็กเข้าใหม่มาก มีเพื่อนแค่ส่วนน้อยที่จำได้ว่าผมคือใคร (ส่วนใหญ่คือพวกสนิทกันตั้งแต่อนุบาลไม่ก็สนิทตอนเข้าเรียน ป.1) การเรียนอยู่บ้านก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ผลการเรียนของผมออกมาดี เพราะเนื้อหาพวกนี้เคยเรียนผ่านไปแล้ว ด้านกีฬาก็โอเค ที่แย่คือเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ กว่าจะเข้าที่เข้าทาง พยายามมากทีเดียวครับ (โชคดีที่เป็นโรงเรียนชายล้วน)

“หลังจากนี้กูจะคอยกั้นคนรูปร่างแบบชัยให้”

“ขอบคุณ…เอ่อ พาร์” ผมมองเพื่อนนิ่งๆ “กูมีเรื่องจะตกลงกับมึง”

มันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

“คือกูเป็นผู้ชาย ถึงจะมีแผลใจยังไงก็เป็นผู้ชายอยู่ดี ดังนั้นอย่ามาทำเหมือนกูเป็นผู้หญิงเด็ดขาด! กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น และหวังว่าหลังจากนี้มึงจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วย”

“…เปลี่ยนในทางไหน” พาร์พูดแล้วถอนหายใจ “รู้ไหม ประโยคเมื่อกี้อย่างกับคนพูดปฏิเสธอ้อมๆ ว่าคบกันไม่ได้เลยวะ”

ฟังแล้วก็ถึงกับชะงัก “เฮ้ย ไม่ได้หมายความอย่างนั่น แค่จะบอกว่าอย่าสงสาร หรืออ่อนข้อให้กู…เป็นไปได้ช่วยทำตัวเหมือนเดิมจะดีมาก”

พาร์หรี่ตาลง “งั้นตากูพูดบ้าง”

“ว่ามาเลย”

“เด็กผู้หญิงในรูปถ่าย…กูแค่มีความรู้สึกดีๆ ให้ ยังไม่ถึงขั้นชอบพออยากได้เป็นแฟน ไม่มีความคิดอยากครอบครอง ไม่งั้นกูคงมาทำความรู้จักนานแล้ว”

ไหนๆ มันก็เปิดใจขนาดนี้ ขอถามให้หายคาใจดีกว่า

“แล้วเรียกรักแรกทำไม?”

“…”

โอเค ผมเปลี่ยนคำถามก็ได้ “แล้ว…มีรักครั้งที่สองยัง?”

“…”

หน้าเพื่อนบ่งบอกชัดเลยว่ายังไม่มี เห็นแล้วชักกลุ้มแทน

นี่ผมเผลอทำบาปลงไปโดยไม่รู้ตัวใช่ไหม!

“เอาเป็นว่ากูพอจะปลงได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่…คงมองมึงเหมือนเดิมไม่ไหว”

เรื่องนี้ผมเข้าใจ เพื่อนดันเคยแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงนี่น่า

“กูชอบเอามึงตอนนี้ไปเปรียบเทียบสมัยเด็กอยู่เรื่อย” พูดแล้วก็ถอนหายใจอีก “เอาเป็นว่าปล่อยกูไปสักพักเถอะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง”

…เดี๋ยวนะ เรากำลังเข้าใจเรื่องเดียวกันอยู่ใช่ไหม

ผมไม่กล้าถาม กลัวคำตอบอย่างบอกไม่ถูก ก็อาการพาร์ตอนนี้อย่างกะคนพึ่งอกหักมา ลังเลอยู่พักใหญ่ ค่อยคลานเข้าใกล้ ตบบ่าเพื่อนพร้อมพูดปลอบ

“เขาว่ารักแรกไม่สมหวัง แต่รักครั้งต่อไปจะมีหวังเยอะนะ”

“คงงั้น” พาร์รับคำ ก่อนสลับโหมดกลับมาทำตัวตามปกติโคตรเร็ว “แล้วมึงจะเช็ดเครื่องสำอางต่อไหม”

ผมชะงัก “ยังไม่หมดอีกเรอะ!”

“คงหมดนานแล้ว ถ้าใครบางคนไม่ต่อยท้องกูก่อน”

“งะ งั้นเดี๋ยวกูไปเช็ดเองในห้องน้ำ…” ผมชะงักเมื่อนึกถึงกระจก จ้องคนตรงหน้าเขม็ง “มึงทำอะไรกับกระจกห้องน้ำไว้ ไปจัดการคืนสภาพเดิมให้มันด่วน”

“เฮ้ย”

พาร์ลุกพรวดวิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมขอเดาว่ามันลืมแหงๆ

“ที!” เสียงพาร์ตะโกนจากในห้องน้ำ “ทิชชูเปียกอยู่ในถุงเขียวบนโต๊ะหนังสือ..!”

ผมลงจากเตียงไปเปิดถุงเขียวดู ตะโกนบอกอีกฝ่าย “เจอแล้ว!”

ดึงซองทิชชู่เปียกออกมา เดินไปหยุดหน้าตู้เสื้อผ้า ต้องขอบคุณมารดาที่เคารพ ผู้เลือกซื้อตู้เสื้อผ้ามีกระจกติดอยู่ด้านหน้าแบบนี้ให้ ผมเลยไม่ต้องไปง้อกระจกในห้องน้ำ

-------------

ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก หอบหายใจอย่างแรง ตั้งสติพักใหญ่กว่าจะเข้าใจว่าเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน ข้างหูยังได้ยินเสียงหมีคำรามอยู่เลย สมจริงมากครับ สงสัยจะดูสารคดีกับน้องอันมากไปหน่อย แต่ไอ้ความอึดอัดเหมือนถูกหมีรัดแน่น ทำไมยังไม่หายไปไหนซะที…เผลอขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นจริง

ผมถูกกอดจริงๆ โดนคนนอนร่วมเตียงนี่แหละ!    

แขนก็ก่าย ขาก็ก่าย หนักก็หนัก อึดอัดอีกต่างหาก

มันเห็นผมเป็นหมอนข้างหรือไง!

ที่สำคัญ เห็นหน้ามันปุ๊บ ไอ้คำว่า ‘รักแรก’ ก็โผล่เข้ามาในหัวทันที

“พาร์!”

“อือ…”

มันครางงึมงำกลับมา ท่าทางยังไร้สติ เลยยกแขนเพื่อนออกเอง ดันตัวให้มันนอนหงายเหมือนเดิมได้ก็ถอนหายใจโล่งอก…จริงอย่างที่พาร์บอก ให้มองเหมือนเดิมคงยาก แต่ผมต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ไม่งั้นพวกเราคงได้ลำบากใจกันทั้งคู่ 

…ว่าแต่อยู่ด้วยกันมาตั้งสามคืน ต่างคนต่างนอนที่ใครที่มันดี ไหงคืนนี้มันรุกล้ำอาณาเขตผมเล่า แต่พอผ้าห่มหลุดจากตัวปุ๊บ ผมก็เข้าใจ

หนาวสุดๆ เลยครับ

คว้ารีโมตปรับอุณหภูมิอย่างไว ก่อนรีบวางรีโมตคืนหัวเตียง สองมือตะคลุบชายผ้าห่มผืนใหญ่ก่อนจะถูกพาร์ดึงไปม้วนกอดหมด (มันกลับมานอนตะแคงข้างอีกแล้ว)

“พาร์! นี่ผ้าห่มฝั่งกู”

กระชากก็แล้ว ได้มาหน่อยเดี๋ยว แปบๆ มันก็ม้วนเข้าไปกอดใหม่ เอาฝั่งของตัวเองไปกอดด้วย ผมออกแรงกระชากอยู่ตั้งนาน ก่อนพบว่าเสียแรงเปล่าชัดๆ

“แล้วกูกับมึงจะเอาอะไรห่ม ปล่อยเลยเร็วๆ มันหนาว!”

คุยกับคนหลับ เหมือนพูดกับต้นไม้ ไร้การตอบสิ้นดี!

ผมมองพาร์ขดตัวกอดผ้าห่มแน่นด้วยความปลงสนิท

ท่าทางจะหนาว แต่ไม่ยักปล่อยผ้าห่มออกจากอ้อมกอด อากัปกิริยาอย่างกะคนติดหมอนข้าง เห็นแล้วอยากถอนหายใจยาว ไอ้หมอนข้างประจำเตียงก็โดนเตะโด่งออกนอกห้องตั้งแต่พาร์มาอยู่ด้วย (เพราะไม่มีที่สำหรับวางหมอนข้างแล้ว) สำหรับผมมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่พาร์…มองท่าทางเพื่อนแล้วก็เผลอถอนหายใจออกมาอีกรอบ ท่าทางจะเป็นพวกติดหมอนข้าง

ผมสองจิตสองใจอย่างหนัก ท้ายสุดความง่วงกับหนาวก็คว้าชัยไปจนได้…เอาวะ

“กูขอผ้าห่มคืน แล้วมึงจะกอดกูแทนหมอนข้างก็ตามใจ”

เงียบกริบ…แถมยังไม่ยอมปล่อยผ้าห่มอีก!

ผมเลยต้องเสียเวลาแกะผ้าห่มออกมาแทน หลุดปุ๊บก็สะบัดคลุมตัวทั้งคู่ มันขยับเข้ามากอดก็ปล่อยไป

เฮ้อ…เหนื่อย

รู้อย่างนี้ผมปล่อยมันกอดตั้งแต่ต้น ดีกว่าทนหนาวทนง่วง นั่งแกะผ้าห่มอยู่ได้ตั้งนานสองนาน

“อย่ากอดแน่นนะโว้ย กูไม่อยากฝันร้ายแล้วตื่นกลางดึกอีกรอบ”

คิดเรื่องนี้แล้วเซ็ง มันคือหมีสีน้ำตาลตัวโตร่วมสองเมตรในความฝันผมชัวร์ แม่ง ตอนตกในวงแขนของหมีบ้านั่น ผมนึกว่าจะถูกจับกินแล้ว

กลัวแทบตาย ไอ้บ้าเอ้ย!

-------------
   
เช้านี้ผมตื่นมาด้วยอารมณ์ไม่สดใสนัก….

ไม่สิสมควรเรียกว่าขุ่นมัวสุดๆ มากกว่า

ผมตะกายขึ้นจากพื้นมานั่งเท้าคางกับฟูกด้วยอารมณ์หงุดหงิด เจ็บก็เจ็บ แต่รู้สึกเคืองมากกว่า สายตาจ้องเขม็งใส่รูมเมทที่ลงไปยืนอีกฝั่งของเตียงด้วยท่าทางเหมือนคนกำลังตื่นตระหนกสุดขีด มันพยายามลูบหน้าตั้งสติใหม่อยู่ รอจนพาร์เข้าสู่ภาวะปกติ ผมถึงเอ่ยถามด้วยความคับข้องใจสุดๆ     

“ถีบกูตกเตียงทำไม?!”

มันปิดปากเงียบใส่ผม

เมื่อคืนก็ก่อเรื่อง! ตื่นเช้ามาก็ยังก่อเรื่อง!

ผมโบกมือไล่ทันทีระหว่างปีนกลับขึ้นเตียง “จะไปไหนก็ไป” เพราะเวลานี้คือช่วงที่พาร์ตื่นออกไปวิ่งตอนเช้า แน่นอนผมโคตรง่วง ต่อให้โดนลากก็ไม่ไปแน่

แปลก พาร์ไม่ได้ลากผมไปด้วยอย่างทุกที ช่างเถอะ นอนต่อดีกว่าครับ 

ผมตื่นอีกครั้ง เพราะเสียงน่ารำคาญบางอย่าง ฟังเหมือนตัวอะไรสักอย่างร้องครวญคราง

ผงกหัวขึ้นจากหมอน อากาศเย็นฉ่ำ ได้กลิ่นดินชื้นน้ำฝนจากข้างนอกพัดตามลมเข้ามา แอร์ถูกปิดแล้วแน่ๆ เพราะพาร์เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทเหมือนทุกเช้าที่ผมทำ

เห็นแก่ทำตัวมีประโยชน์ ผมยอมยกโทษเรื่องเมื่อคืนกับเมื่อเช้าให้ก็ได้

ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เจอพาร์นอนหงายทับผ้าห่ม โชว์พุงไร้ไขมัน เสื้อก็ไม่ใส่ สวมแค่กางเกงขาสั้นสำหรับอยู่บ้าน ได้กลิ่นสบู่ด้วย และไอ้เสียงร้องนั่นดังออกจากท้องคนหลับอยู่นี่เอง

เหลือบมองเวลาปุ๊บ ผมรีบลงจากเตียงปั๊บ พุ่งตัวเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

ออกจากห้องนอนก็แวะไปดูน้องๆ ก่อน ยังหลับกันอยู่แน่ๆ ไม่งั้นคงมาตะแง๊วก่อกวนถึงเตียง เพื่อขออาหารเช้าจากผมแล้ว (มันเลยเวลาตั้งโต๊ะมาสองชั่วโมงแล้วครับ)

น้องอันไม่มีไข้ แต่สองสาวตัวร้อนผ่าวทั้งคู่ เลยต้องลงมาเอาแผ่นเจลลดไข้ไปแปะหน้าผากให้น้องๆ หยิบยางมัดผมสีฟ้าสดใสของน้ำมายืมใช้ก่อน ระหว่างลงมาที่ครัวก็เดินรวบผมไปด้วย

เมนูวันนี้คงไม่พ้นข้าวต้ม

############

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #82 เมื่อ21-09-2016 00:39:29 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #83 เมื่อ21-09-2016 01:43:54 »

โอ้ยยย!! เค้าจะบอกรักกันแบบนี้ก้อได้หรา

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #84 เมื่อ21-09-2016 07:26:59 »

รอตอนต่อไปคะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #85 เมื่อ21-09-2016 08:31:19 »

 :pig4:

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #86 เมื่อ21-09-2016 12:44:34 »

พาร์กับทีนี่เค้ามีความสัมพันดีๆกันตั้งแต่เด็กเลยใช่มั้ยเนี่ย เขินแปป
พูดไปทีตอนเด็กๆก็น่าสงสารนะ เกือบโดนข่มขืนแนะ ฮืออ มาต่ออ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #87 เมื่อ21-09-2016 13:21:10 »

อ่ออออออ  งี้นี่เองงงงง

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #88 เมื่อ21-09-2016 14:43:36 »

โธ่

รักแรกของน้องพาร์ ตอนเจอธีร์แต่งหน้าเลยเหมือนเห็นรักแรกเลย?

พาร์น่ารักอ่าาาาา

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
«ตอบ #89 เมื่อ21-09-2016 15:35:39 »

อยากอ่านต่ออีกและ ตามทันแล้ว
สุดยอดดดดดด สนุกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ตามติด พาร์ ที ชลนที ด้วยคน
เรื่องนี้ ทำให้ได้ข้อคิดเรื่องที่แม่อยากได้ลูกสาว
เลยให้ลูกชายไว้ผมยาวใส่กระโปรง
คือ มีผลต่อคนที่เห็น ทั้งคนเห็นตัวจริง และรูปถ่าย
พาร์ ที  :mew1: :mew1: :mew1:
เหมาะสมกันจริงๆ ทุกด้านเลย น่ารัก
รอตอนใหม่ ใจจดจ่อ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2016 05:20:09 โดย ทฟเืนสรฟ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด