บทที่ 19
“ขอโทษที่มารบกวนครับ”
“เดี๋ยวค่ะน้อง…”
พาร์ดึงประตูปิดทั้งที่พี่นันพูดไม่ทันจบ แต่ประตูทำออกมาให้มีจังหวะสโลว์ก่อนปิดสนิท
ผมเลยแอบเห็นพาร์ดึงมือถือออกมากดอะไรสักอย่างผ่านช่องประตู ไม่ทันมองมากกว่านั้นก็ต้องดึงสายตามองเพื่อนร่วมรุ่นที่นั่งอยู่ใกล้ประตู
มันลุกพรวดอย่างกล้าหาญ ตรงไปดึงประตูคู่เปิดออกจนสุด ไม่มีใครร้องห้าม สงสัยทั้งห้องจะใคร่รู้ว่าคิดทำอะไรเหมือนกันแน่ๆ เจ้าตัวคลี่ยิ้มให้พาร์ที่ยังยืนอยู่หน้าห้อง โค้งตัวเก้าสิบองศาทำความเคารพตามแบบองค์รักษ์ในการ์ตูน ผายมือเข้ามาได้ในห้อง
“เชิญเจ้าชายเสด็จพะย่ะค่ะ”
เสียงหัวเราะชอบใจดังลั่นห้องกลบเสียงมือถือของผมพอดิบพอดี รีบดึงออกมาเตรียมจับพลิกคว่ำให้เงียบ แต่กลับดังแค่สั้นๆ ก็หยุด สรุปว่าไม่ใช่โทรอย่างที่คาดเดาครับ
PAR: ประชุมอยู่ก็ไม่บอก รอหน้าห้องนะ
ผมนิ่วหน้า เงยหน้าจ้องเจ้าของข้อความเมื่อกี้ พาร์กำลังยืนทำหน้าอึ้งใส่คนเล่นบทองค์รักษ์ตรงหน้า ก่อนกดพิมพ์ข้อความโต้กลับไปอย่างอดไม่อยู่
TEE: จะให้บอกตอนไหน? แล้วจะขึ้นมาหาถึงห้องทำไมไม่บอก!
พาร์ก้มมองโทรศัพท์ในมือสักพัก ก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามาทางโซนที่นั่งเรียน ท่าทางเหมือนหาอะไรบางอย่าง ไม่ต้องเดาให้ยุ่งยาก มองหาผมแหงๆ
หลบสิครับ จะรอให้โดนหาเจอทำไม…แต่แค่ปุ๊บหน้ากับโต๊ะยังทำไม่ได้ เมื่อยัยหว้าเล่นจับมือผมชูขึ้น โบกไปมาอย่างร่าเริง
“ทีอยู่นี่ค่า! ขึ้นมาเลยๆ”
ไม่ใช่แค่พาร์มองมา มองกันทั้งห้องเลยครับ แต่ผู้มาเยือนหันกลับไปมองรุ่นพี่หน้าห้องอย่างลังเล
“เข้ามาได้ค่ะ” พี่นันรีบบอกผ่านไมค์ “ถ้าเป็นน้องพาร์ พวกเราพร้อมต้อนรับเต็มที่ ใช่ไหมทุกคน”
“ช่ายยยย!!”
“จะให้เรียกทีลงมา หรือจะขึ้นไปหาเองดีคะ?”
ที่ใช้คำว่าขึ้น เพราะโต๊ะเรียนสร้างตามขั้นบันไดครับ แบ่งเป็นสองฝั่ง ซ้ายสุด ตรงกลาง ขวาสุด จะเว้นว่างเป็นทางกว้างประมาณสองคนเดิน
“ผมขอขึ้นไปหาเองครับ”
“เดี๋ยวไปส่งพะย่ะค่ะ” เพื่อนผมยังพยายามสวมบทองครักษ์ไม่เลิก
พาร์อ้าปากจะปฏิเสธ แต่โดนพี่นันพูดแทรกด้วยเสียงสนุกสนานซะก่อน
“ส่งให้ถึงที่นั่งฝั่งซ้าย แถวที่สี่เลยค่ะ”
เมื่อได้รับคำอนุมัติ เพื่อนผมจัดหนักทันที จงใจเดินนำถึงทางเดินตรงกลาง แล้วพาเดินช้าๆ มาหยุดที่หัวโต๊ะตรงกลุ่มผม
“ถึงแล้วพะย่ะค่ะ”
พวกผมกลั้นหัวเราะกันจนตัวสั่น ไม่มีใครกล้าหัวเราะดังๆ เพราะผู้มาเยือนเล่นเข้าโหมดระวังตัว หน้านิ่งขรึม ไม่พูดไม่จา แถมยังแผ่รังสีชวนให้รู้สึกโคตรเกรงใจ พี่นันยังไม่กล้าพูดแซวผ่านไมค์เลย เอาแต่ยืนยิ้มขำ รอพาร์หาที่นั่ง
ลูกหว้ารีบดันนนท์ให้เขยิบไปจนสุดหัวโต๊ะ พร้อมเขยิบก้นตามไปติดๆ เพื่อเว้นช่องให้คนมาใหม่แทรกตัวนั่งได้ เพื่อนในกลุ่มทำหน้าเอือมระอาใส่ทันที เจตนาชัดมากเพื่อน แถมแววตาลูกหว้ายังสื่อชัดว่า
ต้องการนั่งข้างคนหล่อ มีปัญหา?
โอเค กูยอมมึง
ผมขยับไปอีกด้านเปิดช่องให้กว้างขึ้น ปล่อยคนพึ่งมาใหม่แทรกตัวนั่งตรงที่เว้นไว้ให้
ปากพาร์ขยับไร้เสียงให้ผมอ่านเอาเองว่า เพื่อนมึง-แกล้ง-กู
“น้อมส่งเสด็จ”
เพื่อนผมก็ยังไม่เลิกเล่น โค้งตัวเคารพเก้าสิบองศาอีกรอบ ก่อนรีบเผ่นกลับไปที่นั่งตัวเองหลังโดนพาร์ส่งสายตาหมายหัว สร้างเสียงหัวเราะเบาๆ กระจายไปทั่วห้อง
“ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะคะน้องพาร์ เอ่อ แล้วเมื่อกี้พี่พูดถึงไหนแล้วเนี่ย?”
“เดี๋ยวค่ะ” มลรีบยกมือขัด พูดด้วยน้ำเสียงเริงร่าไม่แพ้คนเป็นพี่สาว “แล้วพี่นันจะไม่ถามเจ้าชายของเราหน่อยเหรอคะว่ามาทำอะไรที่นี่?”
คำถามจงใจแกล้งชัดๆ
“ถามทำไมค่ะ มันเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว จริงไหมทุกคน?”
“จริงงง!!”
รับส่งลูกกันได้เยี่ยม!
ถ้าเรื่องไม่เข้าตัว ผมคงได้หัวเราะสนุกสนานเหมือนเพื่อนไปแล้ว แต่นี่ชักเข้าใจความรู้สึกของผู้ตกเป็นเหยื่อโดนแซว
“พี่นันครับ” แค่ผมส่งเสียง ทั้งห้องเริ่มเงียบกริบ “เพื่อนหัวรังนกของเรากำลังรอพี่ปล่อยตัวไปทานข้าวนะครับ” คนโดนอ้างสำลักน้ำลายไอแค่กๆ แถมโดนสายตาคนทั้งห้องเบนไปหา “ถ้าช้ากว่านี้ พี่อาจต้องให้คนหามไปส่งโรงพยาบาล เพราะเพื่อนผมท้องทะลุเป็นรูก็ได้นะครับ”
“จริงด้วย มาเข้าเรื่องก่อนเร็ว”
พี่นันยอมเปลี่ยนเรื่องให้ตามคาด
ระหว่างท่านประธานปี4 กำลังพูดสรุป คนข้างๆ กลับสะกิดไม่เลิก ผมหันไปมองด้วยความรำคาญ เห็นพาร์เอี้ยวตัวมานิดหน่อย พูดเสียงแผ่ว
“อาการเป็นไงบ้าง?”
ผมเลิกคิ้ว “ดีขึ้นแล้วมั้ง”
บอกไม่ถูกเท่าไหร่ แต่ไอ้ที่ง่วงๆ มึนๆ แบบเมื่อเช้า มันไม่มีแล้วนี่ครับ ตอนนี้สติแจ่มใสดี
“แน่นะ?”
“อือ”
แววตามันดูไม่เชื่อเท่าไหร่ สงสัยเพราะเมื่อเช้าเห็นผมกำลังแอบคายยาลดไข้ทิ้งในห้องน้ำแหงๆ
“ขอจับหน่อย”
ผมสะดุ้งหลังโดนหลังมือเพื่อนทาบหน้าผาก ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร พาร์ก็เลื่อนหลังมือลงมาแนบกับแก้มแทน
เสียงกรีดร้องดังระงมทั่วห้องจนผมสะดุ้งโหยง ไม่ต้องหันไปมองยังรู้เลยครับ กำลังตกเป็นเป้าสายตาผองเพื่อนและรุ่นพี่แน่ๆ แต่พาร์ดันไม่สนใจ เอาแต่ขมวดคิ้วเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง มือก็ไม่เอาออก จนผมต้องเป็นฝ่ายดึงมือมันลงเอง
“จะทำอะไรหัดดูสถานที่หน่อย” กระซิบเสียงห้วนดุใส่
“ตัวไม่ร้อนแล้วนี่”
มันใช่เรื่องที่ควรสนใจตอนนี้ไหม!
ผมชักปวดหัว ไม่แคร์สายตาคนอื่นเกินไปแล้วนะเฮ้ย!
“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าดีขึ้นแล้ว มึงควรจะ…”
“แอ่ม!” พี่นันกระแอมไอผ่านไมค์ “สองคนตรงนั้นอย่าพึ่งทำคนโสดในห้องตาร้อนผ่าวค่ะ ปลดโหมดโลกส่วนตัว แล้วกลับมาฟังพี่พูดสรุปก่อนเร็ว”
พี่ครับ พวกผมไม่ได้เข้าโลกส่วนตัวสักหน่อย
“อย่าลืมไปลงชื่อจองปืนฉีดน้ำในวันพรุ่งนี้ เริ่มแปดโมงที่หน้าตึกคณะ หมดเขตสั่งซื้ออุปกรณ์กิจกรรมในวันสุดท้ายของการสอบหรือก็คือวันที่15 ธันวาคม ส่วนใครสนใจออกแบบเสื้อ สามารถยื่นส่งได้ถึงอาทิตย์ที่สองหลังเปิดเทอมสอง ถ้าใครจำรายละเอียดฟอร์มเสื้อที่พี่พูดไปเมื่อครู่ไม่ได้ ไปดูได้ที่ห้องสโมฯคณะได้ค่ะ...รับทราบ?”
พวกผมส่งเสียงขานรับพร้อมกัน “ทราบ!”
“มีใครสงสัยอะไรไหมคะ?...ว้าว ยกมือกันเยอะเลย เอาน้องผู้หญิงที่ยืดมือจนสุด แถมยังโบกไปมาตรงนั้นแล้วกันค่ะ”
“สรุปว่าคู่ที่พี่บอกให้เราช่วยดูแล พวกเขาคบกันจริงๆ เหรอคะ?”
ท่าทางจะเป็นคำถามโดนใจ คนในห้องถึงได้ส่งเสียงกันใหญ่ ว่าแต่ใครคือคู่ที่รุ่นพี่ให้ดูแลล่ะเนี่ย?
“คำถามนี้พี่ก็อยากรู้ แต่ต้องถามจากเจ้าตัวดีกว่า น้องพาร์น้องทีตอบคำถามนี้ได้ไหมคะ?”
ฮะ! หมายถึงพวกผมเรอะ!
“ตอนนี้ไม่ใช่ครับ” พาร์ตอบ
“ตอนนี้ไม่ใช่ แต่อนาคตไม่แน่ใช่ไหมคะ?”
ฮิ้วววว!
ผมไม่ปล่อยช่องว่างให้โดนแซวมากกว่านี้ รีบตะโกนถามพี่นันอย่างเรียกร้องความสนใจสุดๆ
“เลิกแล้วใช่ไหมครับ ถ้างั้นพวกผมไปก่อนนะครับ”
ไม่คิดรอคำตอบ คว้าแขนดึงพาร์ลุกขึ้น ส่งคำชวนชิ่งหนีให้ไวที่สุดผ่านแววตา แต่อุปสรรค์คือ ยัยหว้าเล่นยกขาขวางทางออก ประกาศชัด ห้ามพาคนหล่อหนีตอนนี้ มองตาก็รู้ว่ามันอยากกินข้าวเที่ยงกับพาร์ให้สาสมกับที่คราวก่อนมัวแต่อยู่ในห้องน้ำเลยอด
แต่มึงก็ควรเข้าใจด้วยว่ากูอยู่ไม่ได้โว้ย!
ผมดึงพาร์ออกอีกทาง ศิกับมินต์แค่มองยิ้มๆ ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด พ้นช่วงโต๊ะเรียนออกมาตรงแถวทางเดินก็เดินสะดวกแล้ว
“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว จะรีบไปไหนกันคะเนี่ย?”
พี่ครับ มาถามอะไรตอนจะเปิดประตู
ระหว่างที่ผมกรอกตาคิดหาคำแก้ต่าง คนโดนลากติดมือมาด้วยกลับตอบแทนแบบสบายๆ
“พวกผมมีนัดกับพี่ดินครับ”
“อ้าว แต่นี่มันจะเที่ยงแล้วนะคะ”
“เลยต้องรีบไปหาก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรทานทีหลังครับ”
“อ้อ งั้นฟังพี่พูดสักนิดนะ น้องทีสั่งเสื้อจากทางคณะได้ตามปกติ แต่เรื่องปืนฉีดน้ำต้องคุยกับทางนิติก่อนค่ะ”
“คุย?” ผมทวนคำ มองนิติหนึ่งเดียวในห้องนี้ด้วยความฉงน “ทำไม? หรือว่ามันมีปืนประจำตำแหน่ง?”
“เปล่า แต่มันมีธรรมเนียมให้ฝ่ายสามีซื้อปืนฉีดน้ำให้”
ผมเลิกคิ้วสูง “ซื้อให้เนี่ยนะ?”
“เออ เพราะเขาถือว่าเป็นเครื่องรางให้ฝ่ายสะใภ้อยู่รอดปลอดภัยจนจบงาน สรุปง่ายๆ ก็เหมือนเป็นการแก้เคล็ดไม่ให้มึงโดนจับตัวไปในวันงานง่ายๆ นั่นแหละ”
กรี๊ดดดด!
“มีแก้เคล็ดด้วยอ่ะ”
“อ้ายยย ใช้แทนเครื่องราง”
…ไม่แน่หลังจากนี้เพื่อนร่วมรุ่น โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง อาจต้องไปซื้อยาอมแก้เจ็บคอกันคนละซอง
“แล้วน้องพาร์คิดไว้หรือยังคะ ว่าให้น้องทีซื้อจากคณะพี่ หรือจากคณะนิติ?”
“ผมกะตามใจทีครับ เลยว่าจะพาไปดูที่นิติก่อน ถ้าไม่ชอบใจค่อยมาลงชื่อที่อีคอน เดี๋ยวผมตามมาจ่ายเงินให้ทีหลัง”
“หูยยย”
“เทคแคร์ดีเป็นบ้า!”
“พี่ชักอิจฉาน้องทีเหมือนกัน” รายนี้พูดใส่ไมค์เลยครับ ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ “รู้ไหมค่ะ ส่วนใหญ่สามีไม่ดูแลดีแบบนี้หรอกค่ะ ถ้าไม่ถามพอเป็นพิธี ก็ซื้อให้เลยโดยไม่ถามความเห็นกันสักคำ แน่นอนว่าไม่มีทางได้เลือกว่าจะซื้อจากคณะไหนด้วย เพราะเล่นลงชื่อจองจากฝั่งคณะสามีเรียบร้อย น้องทีโชคดีมากกก”
“โอ๊ย ได้เจอผู้ชายประเภทดูแลเอาใจใส่ทั้งที ก็ดันเจอเมื่อตอนสายไปแล้ว”
“อยากได้แบบนี้สักคนบ้างงง!”
ขณะที่สาวๆ ส่งเสียงคร่ำครวญยกใหญ่ ฝ่ายเพื่อนผู้ชายก็หัวเราะขำผมที่กำลังทำหน้าไม่ถูก
“งั้นตกลงกันได้แล้วบอกพี่ด้วยนะคะ แล้ว…” แววตาพี่นันพราวระยับ “น้องพาร์สนใจจ่ายค่าเสื้อให้น้องทีด้วยไหมคะ”
ฮิ้วววว!!
“คงไม่ครับ” พาร์พูดยิ้มๆ “ทีไม่ยอมหรอก”
“แหมๆ รู้ใจกันซะด้วย”
เพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงรุ่นพี่บางคนส่งเสียงกิ๊วก๊าวกันใหญ่เลยครับ ประมาณว่าถ้าพวกผมไม่อาย คงไม่มีใครเลิกแซว หนทางรอดมีแต่ชิ่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่พอดันประตูเปิด พี่นันก็ถามมาอีกประโยค
“แล้วกลางวันนี้ จะพาน้องทีไปกินข้าวที่ไหนคะ?”
ปล่อยพวกผมไปที่ชอบๆ เถอะพี่!
“ก็…แล้วแต่ทีครับ”
“หูยยย…อะไรๆ ก็ที”
“ทำไมแฟนฉันไม่น่ารักอย่างนี้บ้าง!”
“พาไปกินนอกม. เลย”
“ใช่ๆ ช่วงบ่ายพวกเราไม่มีเรียนแล้ว”
พาร์เลิกคิ้วมองหน้าผม แต่ผมเบือนหน้าหันไปต่อปากต่อคำกับคนในห้อง
“ช่วยถามพาร์กันก่อนเถอะว่าตอนบ่ายมีเรียนหรือเปล่า!”
เพื่อนทั้งห้องพากันส่งยิ้มแห้งๆ มาให้
“เวลามีจำกัด พวกผมขอตัวก่อนนะครับ”
ผมพูดปิดท้าย ดึงพาร์ออกจากห้อง ไม่สนใจเสียงร้องเรียกอีกแล้ว ลากจนพ้นห้องเรียนมาได้สักระยะ ค่อยผ่อนฝีเท้า ปล่อยมือออก พลางพ่นลมหายใจยาวเหยียด ก่อนหันไปฉะกับคนที่กำลังเดินตาม
“สรุปมึงมาหากูทำไมเนี่ย?”
“มาดูอาการป่วยของมึง แต่ดูเหมือนจะห่วงมากไป” พาร์ยิ้มนิดๆ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
…ผมควรซึ้งใจใช่ไหม?
แต่อารมณ์สุดจะก่ำกึ่ง ไม่ดีและไม่แย่ บอกไม่ถูกจริงๆ แต่เอาเป็นว่า จะไม่โกรธเรื่องที่โผล่มาให้โดนแซวคู่แล้วกัน
“แล้วเรื่องพี่ดิน?”
“นัดจริง แต่บ่ายโมงนู้น แล้วช่วงบ่ายกูก็ไม่มีเรียนแล้ว” พาร์ว่า
“งั้นถ้าไม่มีเรื่องนัดพี่ดินก็กลับบ้านได้สิ?”
“ใช่ พรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียน มึงล่ะ?”
“ไม่มีเหมือนกัน”
หลายวิชาปิดคอร์สแล้วครับ ที่จริงสัปดาห์นี้ควรได้หยุดอยู่บ้านอ่านหนังสือ แต่บางคอร์สสอนไม่ทัน เลยมีเรียนสัปดาห์นี้ด้วย บางคอร์สอาจารย์ก็แค่นัดมาสรุปกับแนะแนวข้อสอบ (เหมือนคาบเรียนเมื่อกี้)
“พุธถึงศุกร์ล่ะ?” พาร์ถามต่อ
“มีพฤหัสบ่ายกับศุกร์เช้า”
“งั้นพุธกับพฤหัสคงไม่ได้ไปด้วยกัน”
ผมพยักหน้าให้ สมองบันทึกไว้แล้วว่าพาร์ไม่ได้ไปมหาลัยวันพฤหัส
“แล้ว…จะไปกินข้าวที่ไหน?”
พาร์ถามมา แต่ผมชะงักเท้า กวาดสายตามองแถวลิฟต์ มีหลายคนที่ยืนรอลิฟต์อยู่หันมามองเหมือนกัน ก่อนหันไปซุบซิบกันเอง นั่นทำให้นึกได้ว่าตัวเองพึ่งตกเป็นข่าวกับคนที่เดินตามไม่ห่างหมาดๆ เลยเลือกเดินลงบันไดแทน เดินกันเงียบๆ จนผ่านไปหลายชั้น คนที่เดินตามก็เอ่ยทวงคำตอบ
พอผมเงียบ พาร์ก็พูดอีก “ถ้ามึงไม่รู้ กูจะเสนอแล้วนะ”
ผมหยุดเดินตรงที่พักเท้า หันไปมองคนอยู่ขั้นบันไดสูงกว่า “มาว่าสิ”
“ไปกินร้านลึกลับที่สุดในม.กันเถอะ”
-------------
ร้านที่พาร์พูดถึง เป็นร้านขายขายข้าวแกงธรรมดานี่แหละครับ
แต่จะเรียกว่าร้านก็ไม่ถูก เหมือนซุ้มอาหารกลางแจ้งมากกว่า
ป้าคนขายขับรถเข้ามาเองกับสามี (เห็นว่าเป็นผู้ปกครองของศิษย์เก่า บ้านอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย) แล้ววางโต๊ะยาวพับเก็บได้ปูผ้าคลุมโต๊ะอีกที ก่อนวางบรรดาถาดกับข้าวคลุมปิดด้วยพลาสติกห่ออาหารเรียงรายกันไป รสชาติอาหารอร่อยดี ราคาแพงกว่าในโรงอาหารพอสมควร (แต่ไม่แพงกว่าร้านข้าวแกงข้างนอก)
กับข้าวมีประมาณหกอย่าง เมนูประจำร้าน และเป็นของขึ้นชื่อคือไก่คาราเกะครับ (แต่คนส่วนใหญ่ที่นี่เรียกไก่ทอด) กินทีเดียวติดใจจริงๆ
ผมเคยกินหนเดียว แต่เคยมาเยือนถึงสี่ครั้ง สองครั้งแรกชวด ได้กินครั้งที่สาม ครั้งสี่เสี่ยงดวงมาอีกปรากฏว่าชวดครับ มีคนเคยให้ข้อสังเกตไว้ว่า ลุงป้าจะขับรถมาถึงช่วงก่อนเที่ยงยี่สิบนาทีเป็นประจำ ถ้าเลยจากเวลานี้แล้วไม่เห็น แสดงว่าไม่ได้มา
แต่กว่าผมกับพาร์จะมาถึงก็เที่ยงสิบห้าแล้ว ยิ่งเข้าใกล้ตึกคณะวิทยาศาสตร์ยิ่งลุ้นตัวโก่ง แต่จุดหมายของเราอยู่เลยไปอีกครับ จุดตั้งซุ้มอาหารอยู่ใกล้ตึกLab คนไม่มีวิชาแลปอย่างพวกผมต้องใช้วิธีลุ้นเอาตอนมาเยือน ไม่ก็ให้สายสืบ (เด็กวิทย์ที่มีเรียนแลป) คอยส่งข่าวมาบอก
ส่วนสถานที่กินข้าว…ถ้าผู้ดีหน่อยก็เลือกม้านั่งหิน (ที่มีไม่ถึงแปดชุด) ลดระดับลงมาก็ขอบกระถางไม้ใหญ่ (ส่วนใหญ่ก็ทำเป็นที่ให้คนนั่งเล่นอยู่แล้ว) ลดมาอีกก็หย่อนก้นแถวก้อนหิน ไม่ก็ขอนไม้ประดับสวน (ในจุดที่พอนั่งได้) หรือนั่งตรงขอบทางเดินเอา แต่สวนใหญ่นั่งพื้นสนามหญ้าครับ ถ้าใครกลัวมดก็หาอะไรมาปูรองก็ได้
เรื่องร้อนก็ลืมไปได้เลย แถวนี่เย็นสบายพอสมควร เพราะต้นไม้เยอะครับ อากาศเลยชื้นๆ สวนก็ไม่ได้ใหญ่มาก ร่มเงาจากไม้ใหญ่เลยแผ่ปกคลุมทั่วถึงมาก นอกจากได้กินกลางแจ้งท่ามกลางธรรมชาติ อีกจุดหนึ่งที่ผมชอบก็คือภาชนะกินข้าว
มันเป็นถาดกระดาษทรงสี่เหลี่ยมปูด้านในด้วยใบตองครับ และเพราะต้องถือกินอย่างเดียว อาหารที่มีขายเลยทำออกมาเป็นชิ้นพอดีคำตักใส่ปากได้สบาย
“เฮ้ย! ขาย!”
ผมอุทานหลังเห็นนักศึกษายืนต่อแถวกันอยู่ประมาณหกคน ความรู้สึกตอนนี้ยังกับถูกรางวัลใหญ่ รีบลากกันไปเข้าแถวสิครับ รออะไร (เดี๋ยวไก่ทอดหมด)
เนื่องจากไก่ทอดเป็นที่ต้องการมากมาย แต่จำนวนมีจำกัด ป้าแกเลยไม่ขายไก่ทอดอย่างเดียว แต่ต้องซื้อกินคู่กับข้าว ใครกินข้าวกันมาแล้วก็ต้องคิดหนักหน่อย และเพราะใช้วิธีขายตามใจคนตั้งร้านเป็นหลัก ลูกค้าเลยค่อนข้างน้อย แถมคนในพื้นที่ส่วนมากเป็นเด็กเรียน มักไม่ค่อยสนใจพวกข่าวลือ ผมกับพาร์เลยได้นั่งกินข้าวอย่างสบายใจ
“มึงรู้จักร้านนี้อยู่แล้ว?”
พาร์ชวนคุย หลังเราดื่มดำกับรสชาติไก่ทอดมาพักใหญ่
“เคยมากับเพื่อนในกลุ่ม เห็นว่าเปิดอ่านเจอบทความเกี่ยวกับมหาลัยของพวกรุ่นพี่”
“ทางเน็ท?”
“ใช่มั้ง”
“งั้นก็คงเหมือนกู พอได้แวะมา กูก็ติดใจเลยล่ะ”
“ถูก ไก่ทอดอร่อย”
“ก็ใช่ แต่กูหมายถึงสภาพแวดล้อมรวมๆ ของที่นี่ มันดีกว่าที่โรงอาหาร”
ผมพยายามจับใจความว่าพาร์ต้องการจะสื่อถึงอะไร
…ที่นี่กับโรงอาหาร สิ่งที่แตกต่างก็มีเรื่องจำนวนคน เรื่องสถานที่เปิดกับปิด ความสะดวกสบายทางโรงอาหารดีกว่า แต่บางครั้งก็ต้องเจอสายตาคนรอโต๊ะว่างเร่งให้รีบกิน
“เพราะสงบ ไม่วุ่นวาย นั่งชิวได้เรื่อยๆ อากาศก็ดี มึงเลยชอบล่ะสิ”
พาร์คลี่ยิ้มทันทีที่ผมพูดจบ “แล้วมึงชอบที่นี่หรือเปล่า?”
“ชอบสิ”
ไม่งั้นตอบตกลงมากินข้าวที่นี่ทำไม
ผมตักข้าวเข้าปาก เหลือบมองพาร์ที่หัวเราะเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ
“ตอนมากินข้าวที่นี่ครั้งแรกกูเคยคิดว่า ถ้าจะเดตกับใครสักคนในมหาลัย จะเลือกพาคนนั้นมากินข้าวกลางวันที่นี่”
ผมเกือบพ่นข้าวในปากออกมา ดีนะ ยกมือปิดทัน
“แต่กูโดนเพื่อนหาว่าบ้า แถมยังขู่อีกว่าอาจโดนคู่เดตด่า ความประทับใจติดลบแน่นอน ทำเอาความมั่นใจของกูดิ่งลงเหว ล้มเลิกคิดเรื่องนี้ไปเลย”
ผมพยายามเคี้ยวข้าวในปาก นึกตามที่พาร์พูด เพื่อนพาร์พูดถูกครับ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากมาเดตกลางธรรมชาติแบบนี้กับผู้ชายหรอก พวกเธอสารพัดปัญหาตั้งแต่มดเยอะ นั่งพื้นไม่สะดวก ไม่พอใจอาหารตั้งแต่ธรรมดาเกินไปจนถึงมีให้เลือกน้อย และอีกสารพัดที่ผมเดาใจไม่ออก ความไม่พอใจหลายเรื่องทับถมมากเข้าก็คงระเบิดอารมณ์ออกมา
“…ผู้หญิงคงโมโหจริงๆ นั่นแหละ เพราะเธอคงคาดหวังว่ามึงจะพาไปเดตในสถานที่ดีๆ ซึ่งจะกลายเป็นความทรงจำเมื่อนึกหวนคิดทีหลังล่ะมั้ง”
พาร์ถอนหายใจ แววตาเหมือนอยากแย้งว่าที่นี่ไม่ดีตรงไหน แต่ไม่พูด
“คงงั้น แต่คนที่กูอยากพามาคือมึงนี่หว่า”
ผมว่าจะปล่อยผ่านแล้วนะ
“สรุปมึงชวนกูมาเดตที่นี่?”
พาร์ทำหน้างงวูบหนึ่ง ก่อนเบิกตากว้าง ท่าทางทั้งอึ้งทั้งตกใจ
“ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่าไง?”
“เฮ้ย! เปล่า กูหมายถึงมึงที่ไม่ใช่มึง แบบว่า…”
ถ้อยคำหลังเริ่มแผ่ว สงสัยจะเริ่มรู้ตัวว่ามากินข้าวด้วยกันตามลำพัง แล้วแก้มมันก็ขึ้นสี รีบลุกย้ายที่จากนั่งประจันหน้าหนีมานั่งข้างผมแทน แต่เว้นช่องไฟมากพอให้น้องหมาตัวใหญ่มานอนแทรกกลางได้ครับ
“อย่าพึ่งมองมานะ ขอกูเวลาตั้งสติแปบ”
“เออ”
ผมตักข้าวเข้าปากต่อ นึกอยากส่ายหัวให้คนข้างๆ เดาคนที่มันอยากเดตด้วยไม่ยากหรอก...ตัวผมในสภาพผู้หญิงตามจินตนาการมันแน่ๆ
“ที”
“หือ?”
“มึงคิดว่า ‘เดต’ คืออะไร?”
ผมขมวดคิ้ว “ถามทำไม”
“แค่อยากรู้…ในความคิดมึง เดตมีความหมายว่ายังไง”
ผมเปิดฝาขวดน้ำเปล่า ซื้อจากป้าเขานั่นแหละ (เลยมีแต่น้ำเปล่าไม่แช่เย็นขาย)
“ทำความรู้จักก่อนคบหากันล่ะมั้ง”
“ส่วนของกูคือ ศึกษาตัวตนของคนที่รู้สึกดีๆ ด้วย ไม่ต้องถึงขั้นชอบหรือรักก็ได้ ขอแค่ทำความรู้จักกันไปก่อน ประมาณว่ามากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน”
“อ่าฮะ แล้วพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม?”
ผมดูดน้ำ พลางมองพาร์ที่ก้มหน้านิ่งเงียบ แต่อึดใจต่อมามันกลับเงยหน้ากะทันหัน
“มาเดตกันไหม”
!?!!############
ด้วยความที่ตอนนี้สั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาลงให้อีกตอนนะ