พิมพ์หน้านี้ - - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: KatzeP ที่ 12-07-2016 09:40:46

หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 12-07-2016 09:40:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
 
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
ยินดีต้อนรับสู่เรื่องชลนทีค่ะ
(https://www.picz.in.th/images/2018/05/20/zUSPCf.png)
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ:
เพราะน้องสาวคิดจับคู่พี่ชายเพื่อนให้
ผม...นายชลนทีจึงต้องพบจุดพลิกผันในชีวิต
เจอกันครั้งแรกคืออึ้ง ครั้งที่สองคือตะลึง แล้วครั้งอื่นๆ ล่ะ!?


สารบัญ

บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3422046#msg3422046)   บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3423348#msg3423348)   บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3434860#msg3434860)   บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3435646#msg3435646)   บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3436478#msg3436478)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3448003#msg3448003)   บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3452531#msg3452531)   บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3458146#msg3458146)   บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3463906#msg3463906)   บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3466841#msg3466841)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3469993#msg3469993)   บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3472225#msg3472225)   บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3473761#msg3473761)   บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3475667#msg3475667)   บทที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3478182#msg3478182)
บทที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3480743#msg3480743)   บทที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3483596#msg3483596)   บทที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3483654#msg3483654)   บทที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3487838#msg3487838)   บทที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3488507#msg3488507)
บทที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3491049#msg3491049)   บทที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3496611#msg3496611)   บทที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3497251#msg3497251)   บทที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3500036#msg3500036)   บทที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3502686#msg3502686)
บทที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3505417#msg3505417)   บทที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3507650#msg3507650)   บทที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3513304#msg3513304)   บทที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3518634#msg3518634)   บทที่ 30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3523194#msg3523194)
บทที่ 31 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3528178#msg3528178)   บทที่ 32 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3531389#msg3531389)   บทที่ 33 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3535260#msg3535260)   บทที่ 34 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3539841#msg3539841)   บทที่ 35 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3542797#msg3542797)
บทที่ 36 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3546074#msg3546074)   บทที่ 37 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3549636#msg3549636)   บทที่ 38 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3553037#msg3553037)   บทที่ 39 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3557338#msg3557338)   บทที่ 40 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3561454#msg3561454)
บทที่ 41 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3564982#msg3564982)   บทที่ 42 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3572873#msg3572873)   บทที่ 43 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3579552#msg3579552)   บทที่ 44 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3591914#msg3591914)   บทที่ 45 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3593105#msg3593105)
บทที่ 46 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3596793#msg3596793)   บทที่ 47 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3599036#msg3599036)   บทที่ 48 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3601880#msg3601880)   บทที่ 49 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3605094#msg3605094)   บทที่ 50 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3609284#msg3609284)
บทที่ 51 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3611899#msg3611899)   บทที่ 52 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3614634#msg3614634)   บทที่ 53 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3618066#msg3618066)   บทที่ 54 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3620172#msg3620172)   บทที่ 55 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3624404#msg3624404)
บทที่ 56 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3629293#msg3629293)   บทที่ 57 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3632392#msg3632392)   บทที่ 58 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3637546#msg3637546)   บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3643841#msg3643841)

ตอนพิเศษ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3554795#msg3554795)   ตอนพิเศษ 2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3645315#msg3645315)   ตอนพิเศษ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3650261#msg3650261)
:catrun:
นิยายเรื่องอื่นของเรา:
『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.0) (เรื่องของภูยำ)
   

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12-07-2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 12-07-2016 09:54:29

บทที่ 1

ครอบครัวของผมมีกันห้าคน คนรู้จักมักเรียกเราว่าครอบครัวสายน้ำ เนื่องจากชื่อสามพี่น้องประจำบ้านเกี่ยวข้องกับน้ำหมดเลย

ผมชื่อชลนที น้องสาวชื่อวาริ เจ้าตัวเล็กชื่ออัณณ์

ช่วยไม่ได้ครับ พ่อแม่ผมดันพบรักกันบนสะพานข้ามแม่น้ำนี่น่า (ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เอาชื่อสะพานหรือส่วนประกอบสะพานมาใช้เป็นชื่อพวกผม)

และตอนนี้ผมกำลังปวดหัวตุบๆ อยากได้พาราสักแพง ถ้ารู้อนาคตล่วงหน้า ผมจะไม่ยอมตามใจน้องสาวพามาเดินห้างไกลจากบ้าน (แต่ใกล้มหาลัยของผม) แน่ 

“พี่อ่ะ ทำไมทำแบบนี้!!”

ผมเมินน้อง จ้ำเท้าหนีให้ห่างจากร้านหนังสือจุดเกิดเหตุให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ น้องสาววัยสิบสามวิ่งตามหลังมาติดๆ ส่งเสียงบ่นไม่หยุดจนผมขี้เกียจฟัง

“พี่ที!” น้องคล้องแขนซ้ายผม ออกแรงกระชากให้ผมหยุดเดิน 

“อะไร” ผมถามเสียงห้วนกลับ อารมณ์ผมตอนนี้ไม่เชิงดีเท่าไหร่ จะให้ดียังไงไหวก็น้องสาวผมเล่น…อึ๋ย!

“พี่หนีออกมาแบบนี้ได้ไง” 

“แล้วทำไมพี่หนีไม่ได้”

ยัยน้ำทำหน้างอใส่ผม “น้ำอุตส่าห์หวังดีนะ!”

“หวังดี?” ผมทวนคำเสียงขุ่น พลางดึงน้องหลบจากกลางทางเดินมายืนคุยกันข้างผนังกระจกร้านอาหารใกล้ๆ 

“หวังดีมากด้วย” ยัยน้ำพูดย้ำอีกหน “ก็พี่คบใครไม่เคยเกินสองอาทิตย์ก็โดนเขาบอกเลิกหมด”

“แล้วไง?”

“น้ำเลยหาคู่ให้พี่ไง รับรองคนนี้ดีมาก ดูแลพี่ได้แน่นอนค่ะ”

ยิ่งฟังผมยิ่งปวดหัว สรุปว่าสาเหตุที่ทำให้ผมต้องหนีหน้าตื่นออกจากร้านหนังสือ เพราะผมโดนสาวเจ้ามากหน้าหลายตาบอกเลิกหลังคบได้ไม่นาน…หรือต้องโทษตัวเองดี ไม่งั้นผู้หญิงคงไม่ตีจากกันง่ายๆ ผมได้ฟังเหตุผลบอกเลิกตั้งแต่ดีเกินไปยันล่าสุดที่ทำผมเงิบ

เด็กเกินกว่าจะมีแฟน

นี่คืออะไร!

ผมเข้ามหาลัยแล้วนะ ถึงจะพึ่งเข้าได้แค่สามเดือนกว่าก็เถอะ แถมคนพูดยังมีอายุเท่ากัน ไม่ใช่รุ่นพี่สักหน่อย เธอทำผมกลุ้มใจมากกว่าเศร้าอีกนะขอบอก

“พี่ที!”

เสียงน้องสาวตะโกนใส่ระยะประชิดทำผมสะดุ้ง ตกใจจนถ้อยคำที่คิดไว้ในหัวหล่นกระจัดกระจายต่อไม่ติด เมื่อกี้ผมคร่ำครวญถึงไหนแล้วเนี่ย ไม่ๆ ต้องสนใจน้องก่อนสิ 

“อ…อะไร”

“เหม่ออะไรอยู่เนี่ย น้ำเรียกตั้งหลายที”

ผมมองหน้างอของน้องสาวอย่างเฉยชา ก็นะ เห็นจนชินตา “ตอนนี้กำลังสนใจอยู่เนี่ย พูดมาสิ”

“ตกลงพี่จะคบ เอ้ย ดูใจกับเขาปะ?”

แค่ได้ยินคำถาม อาการปวดหัวนอกจากไม่ทุเลาลง ซ้ำยังเพิ่มมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว

จะพูดถึงมันทำไม!

ผมเมินหนีสายตาวาววับของน้องสาวด้วยความหงุดหงิด นึกถึงวีรกรรมสุดป่วงของน้องเมื่อครู่ อยากโกรธจนแทบระเบิด แต่อารมณ์อยากดำดินหนีกลับบ้านมีมากกว่า ไม่นึกไม่ฝันว่าน้องแท้ๆ จะเอาพี่ชายไป…ไป…อึ๋ย! ไม่เอา อย่าไปนึกๆ

“พี่” น้ำเขย่าแขนผม แถมทวงถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คำตอบล่ะ?” 

“ไม่!” ตอบทันที ไร้ความลังเล พลางขยับตัวเดินต่อ “และพี่อยากกลับบ้านแล้ว”

ยัยน้ำรีบเดินขวางหน้า ผมจำต้องหยุดเดินก่อนจะชนน้องล้ม

“ทำไมอ่ะ!” แววตายัยน้ำดูข้องใจสุดๆ “เขาไม่ดีตรงไหน พี่ถึงไม่ชอบเนี่ย”

ผมถอนหายใจยาวเหยียด บางทีน้องผมคงลืม ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองพูดย้ำช้าชัด “นี่พี่ชายของเธอนะ พี่ชายยย!”

“ก็พี่ชายน่ะสิ ย้ำทำไมเนี่ย?”

ผมกรอกตามองเพดานด้านบน รู้สึกอยากแงะสมองน้องออกดูว่าข้างในมีอะไรอยู่บ้าง แต่ขอพูดประเด็นหลักที่ทำให้ผมเผ่นหนีออกมาก่อนเถอะ

“แล้วเธอสนับสนุนให้พี่ชายแท้ๆ ดูใจกับผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ?!” 

ยัยน้ำพยักหน้าหงึกๆ ชวนให้อารมณ์เสียเพิ่มอีก

“จะทำตัวเป็นแม่สื่อพี่ไม่ว่า แต่ทำไมต้องจับคู่พี่กับผู้ชายไม่ทราบ!”

“น้ำชอบนี่น่า”

ผมลองนึกถึงรูปร่างหน้าตาอีกฝ่าย…ดูดีไม่หยอก สเป็คชายในฝันน้องผมเลยนะนั่น คิดถึงตรงนี้ก็นึกอะไรบางอย่างได้ น้ำเสียงที่พูดกับน้องเลยอ่อนลง

“อยากเป็นแฟนเขาก็เป็นเองสิ อย่าเอาพี่ไปอ้าง”

แต่ยัยน้ำดันเถียงกลับมาทันที “น้ำไม่อยากได้เองนะ น้ำจะให้พี่ต่างหาก!”

ความอดทนของผมหมดลงทันทีหลังน้องพูดจบ ผมพ่นลมออกทางจมูก เบี่ยงตัวหลบน้องเดินหน้าต่อ อย่าคิดว่าหนีพ้น แปบเดียวน้องก็เดินกึ่งวิ่งตามผมมาติดๆ ซ้ำยังพูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด

“พี่หนีอีกแล้วนะ มันเสียมารยาทรู้ไหม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน น้ำยังพูดกับเขาไม่ทันรู้เรื่อง พี่ก็ชิ่งหนีเฉยเลย”

ใครไม่หนีก็บ้าแล้ว!

“ฟังน้ำอยู่ไหมเนี่ย!”

“ไม่อยากฟัง!”

“พี่อ่ะ!”

ผมเมินคนข้างตัวที่ทำท่าขัดใจมาก พยายามปล่อยวางความหงุดหงิด แต่ยัยน้ำก็ยังพูดกรอกหูไม่ได้หยุดจนผมต้องหยุดฝีเท้า หันไปประจันหน้ากับน้อง

“ฟังพี่นะ” ผมพยายามทำใจให้เย็น พูดอธิบายให้น้องที่ยังเด็กเข้าใจ “พี่ไม่เคยคิดอยากมีแฟนเป็นผู้ชาย ยิ่งผู้ชายที่ว่าเป็นคนแปลกหน้าด้วยยิ่งไม่คิด เข้าใจนะ”

“แต่น้ำรู้จักนี่!”

ยัง…ยังไม่ยอมจบอีก!

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แบบจงใจให้น้องเห็น “แล้วไง?”

“เขาชื่อพี่พาร์ อายุเท่าพี่เลย น้องสาวพี่เขาเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกับน้ำ”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็ร้องอ้อในใจ พี่ชายเพื่อนนี่เอง มิน่าเมื่อกี้ถึงเดินดุ่มๆ เข้าไปหาแบบไม่กลัวเกรง แถมยังกล้าพูดจาบ้าๆ ให้เขาฟังอีก

“น้ำว่าพี่ต้องเคยเจอหน้ากันบ้างแหละ อย่างเวลาไปงานกิจกรรมโรงเรียนน้ำ ตอนน้ำไปค้างบ้านเพื่อน แล้วพี่โดนแม่ใช้ให้มารับน้ำอ่ะ”

“มั่นใจจริง” ผมประชด

“มั่นมากค่ะ น้ำกับเบอร์สนิทกันตั้งแต่ป.1 พี่ก็ได้เจอเบอร์ออกบ่อย”

เบอร์?

“เดี๋ยวนะ” ผมยกมือขอเวลานอก เพื่อนน้องสาวมีคนชื่อนี้ด้วยเหรอ ถึงจำหน้าและชื่อเพื่อนน้องไม่ค่อยได้ แต่คนที่ยัยน้ำไปค้างด้วยประจำมีแค่คนเดียวนี่หว่า ผมเลยถามให้แน่ใจว่าใช่คนเดียวกัน “เบอร์ที่ว่าคือเบอร์ดี้”

“อื้อ”

อ้อ พี่น้องตระกูลกอล์ฟนี่เอง

คนน้องผมเจอบ่อย ไม่น้องผมไปเล่นบ้านเขา เขาก็มาเล่นที่บ้านผม ส่วนคนพี่ได้ยินแต่ชื่อมานานทั้งจากน้องสาว น้องชาย แม่ แม้แต่พ่อก็ยังพูดถึง นับแล้วก็รู้จักกันทั้งบ้านนี่หว่า แต่ผมกลับไม่เคยได้เจอตัวตรงๆ สักครั้ง ล่าสุดได้ยินว่าต้องไปต่างประเทศสองหรือสามปีเนี่ยแหละ กลับมาแล้วเหรอ? เออ คงกลับมาแล้วแหละ เมื่อกี้พึ่งเห็นหน้ากันไปหยกๆ

“พี่นึกออกแล้วใช่ไหม?”

“นึกน่ะออก แต่พี่ไม่เคยเจอหรอก เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”

“แต่…”

“หรืออยากให้พี่เล่าวีรกรรมวันนี้ให้แม่ฟัง หึหึ” ผมหัวเราะให้ดูโรคจิต พร้อมคำขู่แสนศักดิ์สิทธิ์ “โดนตัดค่าขนมแน่น้ำ”

“พี่อ่ะ!”

-------------

หากมีใครถามว่า เหตุการณ์ไหนคือตราบาปในชีวิต ผมจะตอบทันทีว่า วันที่น้องสาวเดินเข้าไปหาผู้ชายหน้าตาดีตัวสูงพอๆ กัน แล้วพูดว่า ‘พี่ค่ะ ช่วยคบกับพี่ชายน้ำได้ไหม’ ยัง…ยังเลวร้ายไม่พอ เพราะมีตอกย้ำอีกประโยค ‘พี่จะเป็นพี่เขยหรือพี่สะใภ้น้ำ น้ำรับได้หมดเลยค่ะ ขอแค่เป็นพี่ก็พอ’

เป็นอีกคืนที่ผมสะดุ้งตื่นตอนเช้ามืด มีอาการเหงื่อแตกพลั่ก หอบหายใจถี่แรง หัวใจเต้นเร็ว แถมออกอาการขนหัวลุกเหมือนดูหนังสยองขวัญหมาดๆ อ่า สยองมากๆ เลยล่ะ ผมยังจำการสบตาครั้งแรกหลังประโยคเด็ดสุดของน้องจบลงได้อยู่เลย คิดแล้วก็โขกหัวกับหมอนข้างรัวๆ 

เลิก! เลิกคิดดด! แต่ถ้ามันหลุดจากหัวง่ายๆ ผมคงไม่เก็บมาฝันร้าย…มีทางเดียวต้องไปคลาดเครียด!

คิดได้ก็ลุกพรวด คว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมุ่งหน้าเข้าห้องน้ำ จัดการแปรงฟันล้างหน้า เปลี่ยนแค่กางเกงนอนขายาวมาเป็นขาสั้น มองนาฬิกาตีห้าครึ่งพอดี เวลานี้คงมีขาประจำหลายคนมาวิ่งออกกำลังกายแล้วล่ะครับ

จากที่นึกว่าตื่นคนแรกของบ้าน แต่มีคนตื่นเช้ากว่าผมอีก เจ้าตัวเล็กวัยห้าขวบ…เจ้าหนูอัณณ์เปิดประตูห้องตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องผมเปิดปิด ห้องน้องอยู่ตรงข้ามห้องผมเองครับ แน่นอนว่าทั้งห้องผมห้องน้องไม่เคยล็อกประตู วันดีคืนดีถ้าเจ้าตัวเล็กไม่อยากนอนคนเดียวก็มักเข้ามานอนกับผมประจำ

“อันไปด้วย”

ไม่พูดเปล่า โผมาเกาะขาผมแน่นเชียว เข้าใจคิดนะ เพราะถ้าโอบเอวผม น้องไม่มีทางทำได้แน่ๆ แขนสั้นเกิน

“จะไปจริงอ่ะ พี่ไปวิ่งนะ”

ผมถามย้ำขำๆ สองปีก่อนเหตุการณ์ก็ประมาณนี้ แต่ตอนนั้นน้องคนเล็กยังไม่สนิทกับผมเท่าไหร่ พอพาไปวิ่งไม่ถึงสิบนาที น้องก็ได้แผลที่หัวเข่าร้องไห้จ้าให้ผมอุ้มกลับบ้านใส่ยา หลังจากนั้นไม่เคยขอตามผมไปวิ่งอีกเลย แต่คราวนี้เจ้าตัวเล็กกลับทำหน้าลังเลไม่ถอยหนีอย่างทุกที ชวนให้ประหลาดใจเล็กๆ และมากกว่าเดิมเมื่อใบหน้ากลมๆ พยักหน้าขึ้นลง

“ไปด้วย”

ไปด้วยพี่ไม่ว่า แต่ไอ้สองมือชูขึ้นสูงส่งสัญญาณให้อุ้มนี่คืออะไรครับ? จะให้พี่แบกไปเรอะ!

ผมกวาดตาขึ้นลง น้องชายผมไม่ได้อ้วน แต่เด็กห้าขวบนี่หนักเอาเรื่องนะครับ ถ้าอุ้มแปบๆ ยังพอไหวอยู่

อุ๊ แค่สบตาใสกระจ่างไร้เดียงสา สีหน้าออดอ้อนขอความเห็นใจ จากที่คิดจะพูดเกลี้ยกล่อมให้อยู่บ้านก็ขอชักธงขาวยอมเปลี่ยนแผนโดยพลัน…ให้น้องขี่หลังพาเดินชมหมู่บ้านยามรุ่งสางแทน โดยไม่ลืมทิ้งโน้ตแปะไว้หน้าห้องน้องชาย เดี๋ยวคนเกือบแก่สองคนที่บ้านจะตกใจนึกว่าลูกชายคนเล็กหายตัวไป

กว่าจะกลับมาฟ้าก็สว่างแล้ว ผมรีบจูงน้องขึ้นชั้นบน พาไปอาบน้ำก่อนมาไล่จับลูกลิงแต่งชุดนักเรียน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาจอดในบ้าน ไม่กี่อึดใจก็มีเสียงคุยไม่ได้ศัพท์แว่วเข้าหู   

…เช้านี้เราน่าจะมีแขก แต่ใครกันมาหาได้เช้ามาก

“เส็ดยางงง…”

ผมฟังน้องลากเสียงยาวถามเป็นหนที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน “อีกนิด” รีบจัดการหวีผมให้น้อง เสร็จเรียบร้อยคนที่นั่งเตะขาไปมากลางอากาศแก้เบื่อก็ถือกระเป๋ากับถุงเท้า วิ่งปร๋อออกจากประตูที่เปิดอ้าทิ้งไว้ ผมในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวพันเอวเดินตามออกมาเพื่อกลับไปแต่งตัวที่ห้องตัวเองบ้าง ระหว่างอยู่ตรงทางเดินหูแว่วเสียงฝีเท้าเล็กกระแทกบันไดไม้ขัดมัน และเสียงดุน้องของผู้เป็นพ่อ

“อย่าวิ่งลงบันได!”

เจ้าตัวเล็กชะงักกึก ก่อนค่อยๆ เดินย่องลงบันไดแทน ผมส่ายหน้าให้น้องเลือกเดินไปห้องตัวเองดีกว่า อ้อ ผมอาบน้ำพร้อมน้องไปแล้วนะครับ อย่าคิดว่าผมซักแห้งเชียว

สิบห้านาทีต่อมาผมลงมาข้างล่าง เดินไปห้องครัวเตรียมกินข้าว ที่โต๊ะมีแค่แม่กับน้องชาย พอถามหาคนไม่อยู่กลายเป็นว่าพ่อกับน้องสาวออกจากบ้านแล้ว ผมมองนาฬิกา วันนี้พ่อออกจากบ้านเร็วกว่าทุกวัน

“แขกล่ะครับ?” ถามเพราะไม่เห็นคนแปลกหน้าในบ้าน

“ออกไปพร้อมพ่อแล้วล่ะ” แม่ตอบผม ยื่นแก้วนมอุ่นๆ ให้อย่างรู้ใจ “แต่เหลืออีกคน แม่ว่าจะให้ติดรถทีไปนะลูก ยังไงก็ทางเดียวกัน ไปส่งเขาหน่อยนะ”

ผมลดแก้วนมในมือลงหลังจิบไปสองคำใหญ่ “ยังไงครับ?”

“ลูกเพื่อนพ่อกับแม่น่ะ เรียนที่เดียวกับทีนั่นแหละ พอดีรถของพ่อแม่เขาเสียเมื่อเช้า เขาเลยยกรถให้ใช้แทนไปก่อน แม่เห็นว่าไปกับทีได้ก็เลยให้เขาอยู่รอ”

“…ให้ผมไปส่งที่มหาลัยอย่างเดียว หรือจะให้รับกลับมาด้วยครับ”

คุณนายประจำบ้านครุ่นคิด “แม่ไม่แน่ใจว่าเขาเลิกเรียนกี่โมง ลองถามดูแล้วกันลูก ถ้าใกล้เคียงกันก็รับกลับมาด้วยดีกว่า อ้อ อย่าลืมวันนี้ลูกต้องไปรับอันที่โรงเรียนด้วยนะ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “น้องเลิกเย็น?”

“ใช่จ๊ะ มีซ้อมการแสดงต่อตอนเย็น คุณครูแจ้งมาตั้งแต่วันศุกร์แล้ว ก่อนไปหาน้องก็ซื้อของกินรองท้องไปฝากด้วยก็ดี ถึงตอนนั้นเจ้าตัวเล็กของเราคงหิวน่าดู”

ผมกับแม่หัวเราะขำทั้งคู่ ขณะที่เจ้าของเรื่องเคี้ยวแซนวิชแฮมไม่สนใจใครทั้งสิ้น ผมนั่งลงประจำที่ เหลือบมองอาหารอีกชุดที่วางทิ้งไว้ แต่เจ้าของหายไปไหนไม่รู้จึงออกปากถาม

“แล้วแขกของแม่ไปไหนแล้วครับ”

“เข้าห้องน้ำลูก อีกเดี๋ยวคงมา”

แซนวิชสองชิ้นที่น้องผมยังแทะไม่หมดสักที ไม่รู้แทะอะไรนานนัก ผมกัดไม่กี่คำก็ลงท้องหมดแล้ว เลยคว้าเหยือกกระเบื้องเคลือบตรงหน้าเทนมแก้วที่สองมากินฆ่าเวลา ยังไงผมต้องรอน้องกินเสร็จก่อนอยู่ดี เพราะวันนี้เจ้าตัวเล็กไปโรงเรียนกับผม 

ระหว่างกำลังดื่มนม แขกของแม่ก็เดินเข้ามา เพียงแค่เห็นหน้าอีกฝ่าย ผมก็สำลักนมที่กำลังจะกลืนลงคอทันที

“แค่กๆๆ”

“ตายแล้ว ดื่มไม่ระวังเลยลูก”

แม่ส่งทิชชู่ให้ ก่อนหันไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วสะอาดวางตรงหน้าผม พลางลูบหลังช่วยให้หายสำลักเร็วขึ้น ผมไออยู่สักพักจนดีขึ้น ยกน้ำเปล่าดื่มเล็กน้อย อาการสำลักจึงหายไป

…ระหว่างนั้นไม่คิดสบตากับแขกของแม่สักครั้งเดียว แม้ว่าเขาจะเดินมานั่งข้างผมก็ตาม 

“อ๊ะ ครั้งแรกเลยนะที่เห็นทั้งสองคนอยู่พร้อมหน้ากัน ทุกทีคลาดกันไปคลาดกันมาตลอด” คุณนายของบ้านพูดยิ้มๆ พลางผายมือแนะนำให้เด็กทั้งสองรู้จักกัน “ลูกที คนนั่งข้างลูกชื่อ ‘พาร์’ จ๊ะ ส่วนทางนี้ลูกชายคนโตของน้าเองชื่อเล่นเต็มๆ ว่า 'นที' แต่ใครๆ เรียกเหลือแค่ ‘ที’ ทุกที”

แม่ครับ…ทำไมไม่ทำเหมือนผมไร้ตัวตนล่ะครับ จะแนะนำให้รู้จักทำมายย! 

“ยังไงก็สนิทกันไว้นะจ๊ะ”

ผมกับคนข้างตัวขานรับเสียงแผ่วกันทั้งคู่ บอกตามตรงผมไม่อยากสนิทกับลูกเพื่อนแม่คนนี้เลยอ่ะ งานนี้ต้องโทษลูกสาวคนดีของแม่ ก่อเรื่องจนผมกับลูกเพื่อนแม่เข้าหน้ากันไม่ติดแล้วเนี่ย

“ตอนนี้รีบกินเถอะจ๊ะ เดี๋ยวไปเรียนกันไม่ทัน”

หลังเจอประโยคของแม่ที่ดูเข้าอกเข้าใจชีวิตเด็กวัยเรียน บนโต๊ะอาหารไม่มีใครพูดอะไรอีก สำหรับผมมันเป็นประโยคช่วยชีวิตของแท้ ไม่งั้นแม่อาจสงสัยว่าทำไมผมไม่ชวนแขกของบ้านคุย…เป็นเรื่องแน่ๆ ครับ

-------------

อึดอัด…อึดอัดโว้ยย!!

ผมตะโกนลั่นในใจ เพียงสิบนาที ไม่สิ ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กที่คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้วลงจากรถ บรรยากาศที่พอสดใสอยู่บ้างแปรเปลี่ยนเป็นดำมืดทันควัน แค่เงียบยังไม่เท่าไหร่ แต่อึดอัดจนอยากกระอักเลือดออกมาเนี่ย อะไรก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น!

ผมพยายามสูดลมหายใจข่มกลั้นอารมณ์ที่จวนเจียนระเบิดม่านอดทนทิ่มแทงใส่ศัตรู

โอ๊ย พอๆๆ

ผมตั้งสติกลับสู่ปัจจุบัน พอดีกับสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว จึงใช้สมาธิทั้งหมดทุ่มไปกับการขับรถ พยายามลืมๆ ว่ามีตุ๊กตาหน้ารถติดมาด้วย เส้นทางสู่มหาลัยรถติดเช่นเคยเหมือนทุกวัน แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าจะติดนานเกินไปแล้วเฮ้ย!

“…นี่”

โฮ…เทพแห่งท้องถนนโปรดช่วยลูกช้างด้วยเถิด ลูกช้างไม่อยากติด ณ รถ (อ่านว่านรกก็ได้ หมายถึงบนรถก็ดี) แบบนี้นานๆ 

“นี่!”

“ฮะ!” ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงดังกะทันหัน ตวัดมองคนเรียกหน้าตื่นๆ “ม…มีอะไร”

เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าคู่กรณีชัดเจนแจ่มแจ้ง (ครั้งก่อนเห็นจากระยะไกลกว่านี้เยอะ) ตาคม จมูกโด่ง ริมฝีปากบางสวย เป็นผู้ชายที่ดูดีทุกมุมมองจริงๆ ผมเม้มปากอย่างอิจฉา (ทำไมผมไม่เกิดมาหล่อทุกองศาอย่างนี้บ้าง) ว่าแต่รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้า…ที่ไหนหว่า ไม่นานมานี้ซะด้วย

ผมพยายามนึก ก่อนร้องอ้อในใจ ในเพจเจ๊ดาด้าเคยลงรูปคนข้างๆ ผมด้วย

“ยังฟังอยู่ไหม!”

น้ำเสียงกระแทกกระทั้นดึงให้ผมหลุดจากภวังค์ เจอสายตาไม่สบอารมณ์จ้องเขม็งตรงมาเป็นอันดับแรก

“เอ่อ…” จะพูดว่าไม่ได้ฟังก็กระไรอยู่

“ไม่ได้ฟังสินะ” พาร์ถอนหายใจระหว่างเอนหลังพิงเบาะ

“ก็…ถามใหม่สิ คราวนี้จะตั้งใจฟัง”

…ถึงสายตาจากอีกฝ่ายจะดูไม่เชื่อเอาซะเลยก็ตาม

“งั้นเอาคำถามสั้น ง่าย รู้เรื่อง ตรงประเด็นที่สุดไป”

พาร์เงียบไปครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“นายชอบฉัน?”

############
ขอฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ เจอกันใหม่ตอนหน้านะ :bye2:
------------

Talk (13-07-2016)
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ :pig4:

ถึง คุณ Janny
ประโยคไม่นับพ่อแม่ เราหมายถึงชื่อพ่อกับแม่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับน้ำค่ะ เลยใช้ว่าไม่นับพ่อแม่ค่ะ แต่คิดไปคิดมาเราว่าตัดประโยคนี้ทิ้งดีกว่า ขอบคุณที่มาแจ้งให้ทราบนะคะ ^^

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: GenZ ที่ 12-07-2016 11:11:46
ชอบน้องคนที่สาม บทไม่เยอะแต่ดูคริ้วดีอ่า

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-07-2016 17:05:04
รออ่านอีกค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YuuYuu ที่ 12-07-2016 18:29:37
โอ๊ย อิพาร์ตาบ้า อยู่ดีๆ มาถามอย่างนั้น โคตรมั่นใจในตัวเองเลอ มันใช่เหรอนายยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 12-07-2016 18:47:49
คุณน้องน้ำนี่หวังดีกับพี่มากจริงๆค่ะ นี่น้องจะเอาไปแต่งนิยายวายแ่ะเนี่ย 5555555 แต่น่ารักดีค่ะ เราคิดว่าถ้าน้องแนะนำให้เขารู้จักกันดีๆเขาก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้นะคะ แต่มารู้จักกันแบบนี้มันตราตรึงกว่าแหละค่ะ ประทับอยู่ในใจมาก สงสารทีจังเลย แอร๊ยยย แต่เราแอบคิดนะคะว่าพาร์นี่น่าจะเคยรู้จักทีมาก่อนรึเปล่า? เอ... ไม่เดาดีกว่า เรารอตอนต่อไปนะค้าาา

ปล. ประโยคแรก ครอบครัวของผมมีกันห้าคน ถ้าไม่นับพ่อกับแม่  อันนี้มันน่าจะถ้านับพ่อกับแม่ด้วย ไหมอ่ะคะ เพราะพี่น้อง 3 คน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 14-07-2016 00:44:29
บทที่ 2

ผมเกือบเอาลูกรักจูบท้ายคันข้างหน้า ดีกระทืบเบรกทัน คันหน้าคลานไปได้อีกหน่อยก็หยุด ผมเลยดึงเบรกมือหันไปเขม็งคนข้างๆ “มึงถามเหี้ยอะไร!”

พาร์ชะงักเล็กน้อย “ถามว่ามึงชอบกูใช่ไหม”

“กูเนี่ยนะชอบมึง! เอาสมองส่วนไหนคิด!”

“น้องสาวมึงถามอะไรกูล่ะ!”

“กูไม่อยากจำ!”

“แต่สีหน้ามึงบอกชัดว่าจำได้!”

“แล้วมึงล่ะจำไปทำไม!”

จังหวะรถกำลังเคลื่อนตัวต่อ ผมเลยหันไปสนใจท้องถนน ความตึงเครียดแผ่ไปทั่วรถมากกว่าเก่า แม้รถจะหยุดนิ่งอีกครั้ง ภายในรถก็ยังเงียบจนกระทั่งพาร์พูดขึ้นก่อน

“สรุปมึงไม่ได้คิดแบบนั้น?”

“ไม่คิด!” พร้อมถามกลับ “มึงล่ะ”

“ไม่เหมือนกัน”

ผมโล่งใจขึ้นทันที ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา รถขยับเป็นเต่าคลานีกระยะหนึ่งก็ติดอีกแล้ว ผมที่ชักเซ็งๆ เรื่องบนท้องถนนเลยหันไปหันข้างๆ อย่างต้องการเพื่อนคุย

“วันนั้นกูอยากมุดดินหนีกลับบ้านมาก” ผมเปิดประเด็นที่ยังค้างคาในใจ

“หมายถึงวันเสาร์?”

“นั่นแหละ ถามจริง ตอนนั้นรู้สึกยังไง”   

“ตกใจสิ” พาร์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกหรอก นอกจากอึ้ง”

“ก็จริง” ขนาดผมยังอึ้งเลย และอึ้งอีกรอบตอนเจอคำถามของมันเมื่อกี้

โดนคนเพศเดียวกันถามว่าชอบเขาไหม นี่มัน…รอยด่างในชีวิตของลูกผู้ชายที่เคยมีแฟนสาวมาแล้วเกือบสิบคนชัดๆ (น้ำตาจะไหล)

หลังจากนั้นผมกับพาร์ต่างพยายามหาเรื่องมาชวนคุย (สงสัยไม่อยากให้บรรยากาศกลับไปอึดอัดอย่างตอนแรกอีก) คิดเรื่องไหนออกก็เอามาพูดหมด แม้กระทั่งเอาเรื่องน้องสาวมาเผา

“มิน่า! ถึงคิดทำตัวเป็นแม่สื่อให้เรา!”

พาร์ส่ายหน้า “นี่ยังน้อย ช่วงนี้กูโดนน้องกรอกหูให้ฟังอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน รำคาญจะแย่”

“นั่นยังดี กูเจอหนังสือการ์ตูนเป็นตั้งเลยเหอะ เปิดดูปุ๊บปิดแทบไม่ทัน”

“อย่างน้อยมึงก็เลือกได้ว่าจะอ่านหรือไม่อ่าน แต่กูเลือกไม่ฟังไม่ได้”

“มึงปวดรูหู แต่กูต้องเมื่อยปากกว่าจะกล่อมให้น้องเอาการ์ตูนอย่างนั้นกลับไป”

พวกผมเผลอมองหน้ากัน ก่อนจะเผลอปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นรถทั้งคู่ 

“มึงน่าสงสารวะ” ผมว่ากลั้วหัวเราะ พาร์เลยสวนมาทันที

“มึงก็เหมือนกัน…รู้ไหมกรณีสองสาว เขาเรียกว่าอะไร?”

“อะไรล่ะ?”

“เรียก ‘สาววาย’ สองสาวน่าจะติดมาจากเพื่อนในโรงเรียน เพราะตอนประถมไม่เห็นเป็น”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย น้องพึ่งมีอาการพิลึกแบบนี้ก็ตอนย้ายโรงเรียนเข้าชั้นมัธยมต้นนี่แหละ ว่าแต่…

“ผู้หญิงกับตัววายเกี่ยวกันยังไง” พูดไปก็นึกถึงสาวๆ กับหนึ่งในตัวพยัญชนะภาษาอังกฤษทั้งยี่สิบหก บอกตามตรงผมหาความเกี่ยวข้องไม่เจอ

เหมือนคนข้างตัวจะเดาความคิดผมออก ถึงได้เน้นย้ำว่า “มึงคิดผิด!”

“อ้าว?”

“กูบอกอยู่ว่าแบบน้องเรา มันต้องหมายถึงคำเรียกแทนตัวสาวๆ ผู้ชื่นชอบเรื่องรักใคร่ของชายกับชาย กูขอเตือนมึงอย่าเสนอหน้าไปให้เพื่อนน้องสาวเห็น ไม่งั้นมึงจะโดนจิ้น!”

“จิ้น…”

“หมายถึงจินตนการไปเอง ไหงทำหน้าไม่เข้าใจเล่า”

“จิ้นน่ะเข้าใจ แต่นึกภาพไม่อกว่าจิ้นอะไรยังไง”

“อย่ารู้เลย เฮ้ยๆ ข้างหน้าไปกันแล้ว”

ไม่พูดเปล่ายังตบไหล่กันซะแรงจนเจ็บแปลบ ผมรีบเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งปล่อยรถให้ค่อยๆ ไหลต่อไปเรื่อยๆ จนหยุดอีกครั้งถึงได้หันไปเขม็งใส่

“ช่วยเบามือหน่อย นี่คน ไม่ใช่กระสอบทราย”

“เอ่อ โทษที”

พาร์กระแอมไอ ทำท่าจะพาเปลี่ยนเรื่อง แต่โดนผมพูดขัดก่อน “ตกลงว่าจิ้นแบบไหน?”

“อย่ารู้ดีกว่า”

“เล่ามา”

พาร์เลียริมฝีปาก ท่าทางลำบากใจจะพูดถึง “คืองี้…ประมาณว่าระหว่างมองหน้ากู คุยกับกู แต่ในหัวเพื่อนน้องมีภาพตัวกูแสดงความรักกับใครไม่รู้ที่เป็นผู้ชายเหมือนกันนี่มันก็…ไม่ไหวนะ”

“ห๊ะ!!”

“กูถึงได้บอกว่าอย่ารู้ไง”

“ล…แล้วมึงไปรู้มาจากไหน?”

“ได้ยินตอนเดินผ่านหน้าห้องน้ำหญิง เสียงมันก้องดังออกมาถึงทางเดิน กูเลยได้ยินชัดแจ๋วแบบไม่ต้องแอบฟัง”

ผมทำหน้าปั้นยาก “แต่จะให้หลบหน้าเพื่อนน้องนี่มันก็…”

“งั้นมึงต้องทำใจล่วงหน้า” พาร์แนะนำสั้นๆ เงียบไปพักหนึ่งก็พูดต่อ “แต่กูเคยเตือนพวกน้องๆ ไปแล้วว่าอย่าให้มากเกินไป บางคนก็ไม่ชอบ”

ผมถามกลับอย่างระมัดระวัง “มึงล่ะ…โอเคหรือเปล่า”

“ไม่รู้ แต่เห็นหน้าน้องแล้วโกรธไม่ลง…มึงล่ะ?”

“กึ่งๆ ล่ะมั้ง” ผมตอบไปแบบกลางๆ ทั้งที่ความจริงค่อนข้างเฉยๆ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

“…เพื่อนกูเคยบอกว่ามันคือความรัก”

นึกถึงคนรอบตัวที่ได้คบกับคนเพศเดียวกัน ผมก็ยิ้มออกมา “เพื่อนมึงอาจพูดถูกก็ได้”

“…อาจเหมือนรักของชายหญิงมั้ง”

ฟังจากน้ำเสียงพาร์ ท่าทางคนพูดคงข้องใจไม่น้อย ผมหัวเราะ พูดเล่นขำๆ

“ถ้ามึงข้องใจนักก็ลองมีความรักกับผู้ชายดูสิ”

พาร์ส่ายหน้า “กูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

“ผู้ชาย?” ผมแกล้งถามยิ้มๆ

“ไม่ใช่!”

“สวยไหม?”

“น่าจะสวย”

อะไรคือน่าจะสวย?

“จีบไปยัง?”

“ยังหาตัวไม่เจอ”

ผมกระพริบตา ชักเริ่มงง “งั้นมึงรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง?”

“อยู่มหาลัยเรา”

ผมรอแล้วรอเล่า ไม่เห็นมีคำพูดเพิ่มเติม เลยถามด้วยเสียงไม่อยากเชื่อ “มึงมีข้อมูลแค่นี้!”

“อือ”

มันทำผมเงิบไปเลย “เอ่อ ขอให้มึงหาตัวคนที่ชอบเจอเร็วๆ”

“ขอบใจ”

เกือบชั่วโมงรถถึงเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย ผมคิดจะไปส่งพาร์ที่ตึกคณะ ยังไม่ทันถามชื่อคณะ เจ้าตัวก็บอกว่าวันนี้เรียนตึกรวม ฟังชื่อตึกปุ๊บผมร้องอ้าวในใจปั๊บ ที่เดียวกัน ดีเหมือนกันครับจะได้ไม่ต้องวนไปมา ยิ่งช่วงใกล้เวลาเรียนหาที่จอดรถยากจะตาย

หลังพากันลงรถ พวกผมเดินไปตึกเรียนรวมพร้อมกัน ระหว่างนั้นผมก็ถาม “เลิกกี่โมง”

“สี่โมงครึ่ง” พาร์ตอบทั้งที่แววตาสงสัยว่าถามไปทำไม

“กูเลิกห้าโมง ถ้าไม่รีบ กลับพร้อมกันก็ได้ แต่ต้องแวะไปรับเจ้าตัวเล็กก่อนเข้าบ้านนะ”

“ยังไงก็ได้ เพราะกูต้องไปบ้านมึงอยู่ดี”

ผมทำหน้างง “ทำไมล่ะ?”

“แม่มึงไม่ได้บอกเหรอว่ากูกับน้องต้องรอพ่อแม่ขับรถไปรับกลับบ้าน”

“กูจำได้แค่ว่าบ้านมึงรถเสีย”

“รถของพ่อเสีย ที่ทำงานพ่อแม่ไกลกว่าเลยให้เอารถกูไปใช้ก่อน”

“บ้านมึงมีรถแค่สองคัน?”

“มีมอเตอร์ไซค์อีกคัน แต่ตอนนี้โดนล็อกล้ออยู่ในโรงรถ” พูดถึงตรงนี้สีหน้าพาร์แลดูหม่นหมอง สงสัยจะอยู่ในช่วงโดนลงโทษงดใช้ชั่วคราว ผมตบหลังให้กำลังใจเพื่อนใหม่ไปที

“เหลือรถแค่คันเดียวคงลำบากหน่อย”

“อือ บ้านกูเลยมาขอรบกวนอยู่นี่ไง”

ผมพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว ถ้าจำไม่ผิดบ้านพาร์ไม่ได้อยู่ไกลเท่าไหร่ ถ้ารู้ทางลัดในซอกซอยต่างๆ ก็ถือว่าใกล้ครับ ผมเคยขี่จักรยานไปรับน้องสาวบ้าง เอาน้องเขาไปส่งบ้าง คิดถึงตรงนี้จู่ๆ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาจนต้องออกปากถาม

“ทั้งที่คนในบ้านเราดูสนิทกันดี แต่ทำไมกูไม่เคยเจอมึง?”

พาร์สบตากับผม เอ่ยแค่สองคำ “นั่นสิ”

“พาร์โว้ย!! ทางนี้ๆ”

เสียงร้องเรียกดังลั่นดึงความสนใจจากพวกผม รวมถึงหลายคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ผมเห็นเจ้าของเสียงชูมือโบกแสดงตัวไม่ไกล แถวนี้คนนั่งรอเข้าเรียนตรงโต๊ะหินอ่อนเยอะครับ ตามใต้ต้นไม้ก็มี หากไม่ร้องเรียกอาจไม่ทันสังเกต ยกเว้นว่าตรงนั้นเป็นที่รวมตัวประจำ

พาร์โบกมือกลับให้รู้ว่าได้ยินแล้ว ก่อนหันมาหาผม “คาบสุดท้ายเรียนไหน?”

“ตึกนี่แหละ”

พาร์พยักหน้ารับ ชี้นิ้วไปทางโต๊ะหินอ่อน “จะรออยู่แถวนั้น แต่ถ้าหาไม่เจอค่อยไปเจอกันที่ลานจอดรถ”

“งั้นไปรอที่รถเลยก็ได้ จอดที่เดิมไม่ย้ายแน่”

วันนี้ผมเรียนที่ตึกเดิมทั้งวัน กลางวันก็อาศัยห้องอาหารใต้ตึกเอา ไม่ได้ขยับรถไปไหนแน่นอน

“ก็ได้ ไปนะ”

ผมมองแผ่นหลังคู่กรณีที่กลายเป็นเพื่อนใหม่ห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนละสายตาออกเดินต่อบ้าง

นานแล้วที่ผมไม่ได้เจอคนที่คุยกันแล้วสนุก เคมีเข้ากันได้ทันทีแบบนี้ อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี มิน่าน้องๆ ผมถึงชื่นชอบพี่พาร์นักหนา…สงสัยผมเจอผู้ท้าชิงตำแหน่ง ‘พี่ชายสุดที่รัก’ เข้าให้แล้วล่ะมั้ง 

“ที”

ผมหันมองคนเรียก เจอเพื่อนต่างคณะชื่อเอก (สมัยมัธยมเคยอยู่ห้องเดียวกัน) ก็แอบเลิกคิ้วแปลกใจ ทุกทีเห็นยิ้มร่าทักทายตามประสาคนรู้จักมานาน แต่ทำไมวันนี้เดินหน้าเครียดเข้าหาได้ล่ะเนี่ย

“มึงรู้ข่าวยัง?”

ผมทำหน้างง “ข่าวอะไร”

“แฟนเก่าคนล่าสุดของมึง ควงหนุ่มใหม่แล้ว แม่ง พึ่งบอกเลิกมึงไม่ถึงสี่วัน”

ผมตบไหล่เพื่อนที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน “ช่างเถอะ กูไม่อยากสนเรื่องนี้แล้ว”

“แต่มึงควรเคืองนะโว้ย เพื่อนยัยพวกนั้นเอาเรื่องมึงไปพูดเสียๆ หายๆ ซะสนุกปาก หาว่าไร้น้ำยาบ้างล่ะ เด็กน้อยบ้างล่ะ แค่จูบยังไม่กล้าก็มี กูได้ยินแล้วอยากกระทืบให้จมดิน ติดแต่ว่าดันเป็นเพศหญิงน่ะสิ”

ฟังคำพูดเพื่อน ผมได้แต่กำหมัดแน่น แม้สีหน้าเรียบเฉยก็ตาม

“จริง กูฟังยังเคืองเลย” นัท เพื่อนร่วมห้องม.ปลายเข้ามาแจมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ครับ

“ใช่ปะ” มีคนสนับสนุน เอกรีบรับทั้งที่ไม่ได้สนิทกับนัท แต่น่าจะเคยเห็นหน้าหรือคุยกันบ้างตามประสาอยู่โรงเรียนเดียวกันตั้งแต่ประถมยันจบม.ปลาย “มึงไม่ควรปล่อยไว้นะโว้ย เกิดข่าวลือกระจายมากกว่านี้ สาวๆ ไม่รับรักมึงขึ้นมาคงแย่”

“จริง” นัทพยักหน้าสนับสนุนเป็นลูกคู่เชียว “ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ?”

“เอก แล้วมึงอ่ะ หน้าคุ้นๆ อ้อ คนที่เตะหน้าแข้งกูตอนแข่งบอลห้องนี่หว่า”

“โทษๆ ตอนนั้นกูไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่ได้ว่าสักหน่อย ตกลงชื่อไร”

“นัท”

ผมส่ายหัว มองเพื่อนมัธยมสองคนเดินคุยเรื่องเก่าๆ กันเพลิน คงลืมไปแล้วว่าผมเดินตามหลังอยู่ เลยขอแยกตัวไปโต๊ะกลุ่มตัวเองบ้างโดยไม่ได้บอกลาพวกมัน

เรื่องเลิกรากับแฟน ผมชาชินนานแล้ว หลังๆ แทบไม่เจ็บปวดด้วยซ้ำ จะหลงเหลือเพียงเสียความรู้สึก โกรธ และหมดศรัทธากับพวกผู้หญิงไปพอสมควร ยิ่งหลังเจอพวกเธอเอาเรื่องผมไปพูดจาแย่ๆ จนเกิดข่าวลือในมหาลัย ทั้งที่ผมให้เกียรติ์คนที่คบด้วยเสมอ ไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากพลาดซ้ำรอยพ่อแม่ที่มีผมก่อนเวลาอันควร…ผมไม่อยากให้เด็กที่เกิดมาต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน

มันคือความตั้งใจแน่วแน่ แต่บรรดาแฟนเก่าที่ผ่านมาไม่เคยเข้าใจ (ทั้งที่พวกเธอเป็นฝ่ายเดินมาขอคบก่อน) ตรงข้ามพวกเพื่อนๆ พอรู้ความคิดผมปุ๊บ สนับสนุนทุกราย แต่ไม่เคยมีใครทำได้จริงสักคน ดีอยู่อย่างมันทำให้พวกเพื่อนคิดป้องกันอย่างจริงจัง 

เอกกับนัทไม่ใช่สองรายแรกที่เดินมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้า คิดว่าผมไปรู้ข่าวลือจากไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่พวกเพื่อนสมัยมัธยมที่กระจายไปตามคณะต่างๆ เดินหน้าบูดบึ้งคาบข่าวมาบอกน่ะ   

เดินจนใกล้ถึงโต๊ะประจำ เสียงเรียกชื่อผมลากยาวจนน่าเป็นห่วงคนพูด (กลัวจะหมดลมหายใจ เดือดร้อนให้เพื่อนต้องแบกไปเติมออกซิเจนถึงห้องพยาบาล)

“ไอ้ที~”

ไม่ต้องมองหา ผมก็รีบขยับตัวหลบแล้ว เลยทันเห็นหว้ากอ เอ้ย ลูกหว้าพุ่งตรงมายังจุดที่ผมอยู่เมื่อกี้ประดุจนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล แล้วเซถลาเลยผ่านผมไปอีกระยะ  ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปนั่งร่วมกลุ่มกับเพื่อนอีกสี่คน ได้เจอเจ้าพวกนี้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของผมก็ค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น

กลุ่มผมมีกันหกคนครับ แบ่งตามชุดนักศึกษาก็ชายสาม หญิงสาม แต่ความจริงชายสอง หญิงสี่ต่างหาก เพราะไอ้เด็นตกเป็นเมียคนอื่นไปแล้ว

ผมทักทายนนท์ ศิ มินต์ตามลำดับ แกล้งข้ามอีกคนไปดื้อๆ 

“แล้วกูล่ะครับ คิดจะทักกันบ้างไหม”

ผมปรายตามองเด็นที่นั่งข้างนนท์ แกล้งทำหน้าตกใจ “อ้าว มึงหรอกเหรอ กูคิดว่าเพื่อนไม่แมนของไอ้นนท์ซะอีก”

“ไอ้ที! แค่กูมีผัว ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่แมนนะมึง”

“เหรอ” ผมลากเสียงยาว สายตามองมันไม่เชื่อถือ “มึงอาจไม่รู้ตัวนะ แต่เดี๋ยวนี้มึง…ส๊าวสาว ไม่เชื่อถามไอ้นนท์ดูก็ได้”

“จริง” นนท์รับเป็นลูกคู่ให้ผมตามที่เตี๊ยมกันไว้เมื่อวาน บอกเพื่อนหน้าตาย “มึงโตจนแตกเนื้อสาวแล้ว”

แล้วมันก็นั่งหน้าเครียด คิ้วขมวดจนจะพันกันอยู่แล้ว พวกผมปล่อยให้เด็นคิดเองเงียบๆ อันที่จริงนี่เป็นการเตือนอย่างหนึ่ง และมันก็ขี้หึงเกิน เดี๋ยวสามีมันไม่ปลื้ม แล้วพาลเบื่อมันขึ้นมา พวกผมนี่แหละที่ต้องคอยเช็ดน้ำตาให้ แต่ถ้าเพื่อนผมโดนทิ้งจริง ผมไปตั๊นหน้าสามีเพื่อนแน่ โทษฐานทำเพื่อนผมเสียเอกราช แล้วไม่รับผิดชอบให้ถึงที่สุด

หมับ!

สองแขนเล็กโอบรัดคอผมแน่น โอ๊ย ลูกหว้า คิดจะฆ่ากันใช่ไหม! ก่อนเพื่อนจะฆาตกรรมเพื่อนท่ามกลางพยานตรงหน้าตึก ใครสักคนก็ช่วยแงะลูกหว้าออกจากผมได้สักที

“แค่กๆๆ” เช้านี้ผมไอไปกี่รอบแล้ววะ

“เล่นอะไรเนี่ย” ศิดุเพื่อนสาว

“ก็มันเมินเรานี่!”

“พุ่งจู่โจมใส่แบบนั้นเป็นกูก็หนีเถอะ” นนท์พึมพำเบาๆ แต่ไม่อาจรอดพ้นหูนรกของลูกหว้าได้ เลยได้รับการแจกค้อนไปวงใหญ่ๆ

ผมรับน้ำที่พึ่งเปิดขวดจากมินต์ น้ำเย็นๆ ช่วยได้มากจริงๆ พอกลับเป็นปกติเลยออกปากถาม ถือเป็นการง้อไปในตัว “อ๊ะ สนใจแล้ว มีอะไรพูดมาเลย”

“หึ” ลูกหว้าสะบัดหน้าใส่ผมครับ แต่วินาทีต่อมากลับหันหน้าส่งแววตาเปล่งประกายเหมือนครู่นี้ไม่ได้งอนใส่

…งอนพอเป็นพิธีจริงๆ

“ไปรู้จักรองเดือนนิติได้ไงอ่ะ!”

ผมขมวดคิ้ว “หมายถึงใคร?”

“ก็คนที่มึงเดินคุยก่อนมาเจอพวกกูไง”

ผมนิ่วหน้า ก่อนมาถึงโต๊ะประจำกลุ่มได้คุยตั้งหลายคน แต่คนอื่นไม่มีใครอยู่นิติสักคน ยกเว้นเพื่อนใหม่ที่ผมยังไม่รู้คณะเลยลองถามดู “หมายถึงพาร์?”

“ใช่ๆ พาร์ ภควัติ วิวัฒน์ชัย รองเดือนนิติ หล่อมากกก”

โอ้ มาทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง แถมนามสกุล เอ่อ หน้าตาดีขนาดนั้นเป็นได้แค่รอง ผมชักอยากเห็นหน้าเดือนนิติแล้ว

“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นค่ะคุณที” ลูกหว้าพูดสุภาพประชดผม พร้อมช่วยตอบสิ่งที่ผมสงสัยดุจเป็นพยาธิแฝงตัวในท้อง “หน้าตาเดือนนิติแย่กว่ารองค่ะ”

“อ้าว” มินต์อุทาน “ไหงเป็นได้แค่รองล่ะ?”

“เขาไม่เอาน่ะสิ บอกว่าไม่มีเวลา เพราะต้องดูแลน้องสาว” ลูกหว้าชักตาเพ้อๆ ร้องกรี๊ดเบาๆ ดีที่ยังพอรู้จักเกรงใจหน้าตาเพื่อนบ้าง “หล่อ เท่ แฟมิลี่แมน นี่แหละพ่อของลูก!”

“ในฝัน” ศิพูดเสริมทันควัน เลยได้รับค้อนไปอีกวง

“จะไม่ฝันแล้วยะ ใช่ไหมเพื่อนที เพื่อนสุดหล่อ”

ผมมองแววตาเว้าวอน แลดูอ้อนบาทาชอบกล ก่อนตัดความหวังเพื่อนซึ่งหน้า “ยากวะ อุปสรรคเยอะเกิน”

“ยังไง”

เห็นเพื่อนสนใจจริงจัง ผมเลยสนอง “อย่างแรก คนหล่อคู่แข่งเยอะ 2. น้องสาวน่าจะหวงพี่ชาย 3. เขาจะเอามึงรึเปล่าเถอะ”

ข้อที่4.ผมละไว้ในใจ เพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวอยากเปิดเผยให้คนอื่นรู้เรื่องมีคนชอบแล้วแค่ไหน

เพื่อนผมที่เหลือส่งเสียงถูกอกถูกใจ โดยเฉพาะเหตุผลข้อที่3. ทำเอาลูกหว้านั่งหน้ามุ่ย

“ไม่เชียร์แล้วยังกระทืบซ้ำอีก”

“กูแค่บอกด้วยความหวังดี มึงจะได้ไม่เพ้อมาก” ผมหยุดพูดไม่กี่วิก็พูดต่อ หลังทนเห็นเพื่อนทำหน้าหมาหงอยไม่ได้ “ถ้าแค่แนะนำเพื่อนกับเพื่อนน่ะได้ ที่เหลือมึงต้องพยายามเอาเอง”

“โอ๊ยที กูรักมึง” ว่าแล้วลูกหว้าก็โผเข้ามากอด

เออ รักกูแค่เฉพาะตอนนี้แหละ

“แต่!” ผมรีบพูดขัด “มึงต้องรู้อีกอย่างก่อนไปจีบเขา”

“ว่ามาเลย”

“น้องสาวเขาคงไม่รับมึงเป็นพี่สะใภ้ง่ายๆ” ผมเตือนแบบอ้อมๆ ว่าให้ยอมตัดใจ “เห็นว่าเล็งตัวพี่สะใภ้ไว้แล้ว”

“อ้อ ถ้าแค่นั้นไม่กลัวหรอก”

ผมถอนหายใจ ลูกอ้อมไม่ได้ผลก็ต้องลูกตรง “คือพารอาจจะมี…” กำลังเอ่ยประโยคสำคัญ แต่เสียงไลน์ดังขัดจังหวะซะก่อน ว่าจะไม่สนใจ แต่ลูกหว้าหันไปเมาส์กับคนอื่นแล้ว ผมเลยหยิบสมาท์โฟนออกมาดูพบว่าเป็นข้อความไลน์จากยัยน้ำ

หืม? ชวนเข้ากลุ่ม

ผมตอบรับไปครับ ขึ้นตัวเลขมาสอง ผมเดาว่าสองสาว อ๊ะ สามแล้ว น่าจะเป็นพาร์ เพราะชื่อกลุ่มคือ

[River X Golf]

เออ เข้าใจคิด นี่ถ้าเจ้าตัวเล็กเล่นไลน์เป็น คงโดนลากมาร่วมกลุ่มด้วยแหง เสียงแจ้งเตือนไลน์กระหน่ำทันทีจนต้องกดเปิดเสียง สองสาวส่งมารัวๆๆ จนผมสงสัยว่าไม่มีเรียนกันเรอะ มันแปดโมงกว่าแล้วนะ ถึงอย่างนั้นก็ไล่อ่านอยู่ดี ข้อความทั่วไปครับ ถามว่าอยู่ไหน เมื่อเช้าเป็นไงบ้าง พวกพี่เจอกันหรือยัง มาสะดุดเอาหลังพาร์ ผู้พิมพ์ข้อความเร็วกว่าผมตอบคำถามสองน้องสาวไปหมดสิ้น ส่วนผมได้แต่ส่งสติกเกอร์ไปยืนยันว่ายังอยู่เท่านั้น

Birdie: วันนี้พวกพี่จะกลับบ้านด้วยกันเหรอค่ะ!

ไม่ต้องส่งสติกเกอร์เขินอายต่อท้ายประโยคก็ได้นะครับน้องเบอร์ดี้

PAR: ใช่
NaM: กรี๊ดดดดดดดด

จะพิมพ์เสียงกรีดร้องมาทำไมฮะยัยน้ำ ดูท่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกสะดุด เพราะข้อความจากพาร์หายไปเหมือนกัน 

NaM: เค้กๆ แวะซื้อเค้กมาให้ด้วยนะ
TEE: จะเอาไปทำอะไร

คราวนี้ข้อความแรกของผมขึ้นมาแล้ว หุหุ ไม่พิมพ์เสียเปล่าแล้วโว้ย

ถึงจะดีใจ แต่เชื่อเถอะ เพราะใครบางคนไม่ยอมพิมพ์ตอบต่างหาก คิดแล้วเซ็ง สงสัยผมต้องหัดฝึกจิ้มตัวอักษรเร็วๆ ไม่งั้นพิมพ์ตามคนในกรุ๊ปนี้ไม่ทันแหง

NaM: ฉลองสิ เนอะเบอร์
Birdie:  อื้อๆ พวกหนูอยากกินเค้กค่ะ
ตามด้วยสติกเกอร์ยิ้มแป้น

หลังจากนั้นเป็นข้อความตอบโต้ของสองสาวกับพาร์เรื่องเค้กล้วนๆ ผมพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพาร์ชอบของหวานมาก ข้อมูลนี่แน่นปึก จนได้ข้อสรุปว่าพวกผมจะแวะไปรับเค้กให้ (พาร์สั่งทำกับทางร้านไปแล้ว เร็วดีจริงๆ)

PAR: งั้นพวกพี่ไปรับเค้กก่อน ค่อยไปรับน้องอัน

ผมกับสองสาวส่งสติกเกอร์โอเคไปให้ แบบนี้ก็ดีครับ ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา รับน้องแล้วตรงกลับบ้านได้เลย

TEE: ไปเรียนกันได้แล้ว 

น้องๆ ส่งสติกเกอร์ตกลงกันมา แต่ก่อนจากยังพากันทิ้งระเบิดให้พวกผมอีก

Birdie: ถ้าพวกพี่จะคบกัน พวกหนูสนับสนุนนะ
ต่อท้ายด้วยสติกเกอร์สู้ๆ
NaM: ช่ายๆ ไม่ต้องถึงขั้นคบก็ได้ค่ะ ดูใจกันเฉยๆ ก่อนก็ได้

ตั้งแต่ผมอธิบายความหมายของคำว่าดูใจให้น้องสาวฟัง ยัยน้ำมักเอาคำนี้มาใช้บ่อยเหลือเกิน

แน่นอนว่าฝ่ายพี่อย่างพวกผมขึ้นแค่อ่าน ผมกดล็อกหน้าจอดื้อๆ วางมือถือไว้บนโต๊ะ หันไปสนใจบทสนทนาของเพื่อนๆ คุยกันสนุกเชียว ระหว่างฟังนนท์เล่าเรื่องตลกที่ได้พบเจอมาเมื่อวาน สายตาผมเลื่อนหยุดที่ลูกหว้าแทนคนเล่า พร้อมลอบถอนหายใจเงียบๆ

ถ้าเพื่อนคนนี้คิดจีบรองเดือนนิติจริงๆ ต้องรู้อุปสรรคใหญ่ก่อน คิดแล้วก็ได้แต่บอกในใจ เพราะไม่อยากขัดรอยยิ้มร่าของลูกหว้าตอนนี้ 

เพื่อนเอ๋ย พาร์มีคนที่ชอบแล้ว…แถมน้องสาวของคนที่มึงถูกใจกำลังสมคบคิดกับน้องกู เพราะอยากให้พี่ชายคบกันเองอีก!

แค่คิดถึงสองสาวผมก็กลุ้มใจทันที เฮ้อ…

############

ประกาศๆ ตอนนี้เรื่องชลนทีเปิดเกมให้เล่นค่ะ  >> จิ้มโลด (https://www.facebook.com/KatzePalm/posts/833037013463252?notif_t=like&notif_id=1468480927093775) <<
หมดเขตวันที่ 28 ก.ค. 2559
(หมดเขตเล่นเกมแล้วค่ะ)   

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 14-07-2016 08:48:13
อ่ะแน่ะๆ พอลองเปิดใจคุยกันดีๆก็เข้ากันได้ดีกว่าที่คิดใช่ไหมคะะ เราเดาว่าคนที่พาร์แอบชอบนี่ทีนี่แหละค่ะ แต่อาจจะเป็นเวอร์ชั่นแต่งหญิงตอนเด็ฏหรืออะไรงี้ 55555555 แต่ความจริงเป็ฯเพื่อนกันไปก่อนแบบนี้เราว่าดีแล้วล่ะค่ะ คือมันก็เหมือนการค่อยๆรู้จักกันไปอ่ะ มันน่าจะดีกว่านะคะ  :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-07-2016 16:38:27
 :mew1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 16-07-2016 17:52:23
อย่าบอกนะว่า
คนที่พาร์ชอบในวัยเด็ก คือ ที
ถ้าใช่นี่จะเป้นยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 16-07-2016 20:38:19
ทีน่ารัก :mew1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่3] P.1 (28/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 28-07-2016 11:30:41
บทที่ 3

นับจากวันที่ได้คุยกับพาร์ครั้งแรก เวลาก็ผ่านมาสามวันแล้ว 

พอรถติดผมก็ชำเลืองมองเพื่อนร่วมทางที่หลายวันนี้คอยช่วยแชร์ค่าน้ำมัน แถมพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยผู้ดูแลน้องทั้งสาม เหมือนมี่คนมาช่วยแบ่งเบาภาระอย่างบอกไม่ถูก แต่วันนี้ผมเห็นพาร์ทำหน้าขรึมตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ใกล้จะถึงบ้านก็ยังทำหน้าแบบเดิม

เท่าที่ลอบสังเกตเป็นระยะตั้งแต่ขึ้นรถมา ผมคิดว่าพาร์…เหมือนคนครุ่นคิดอะไรบางอย่างไม่ตก

ใจอยากถามจะแย่ แต่กลัวโดนเพื่อนด่ากลับว่าเสือก เพราะผมกับมันพึ่งรู้จักกัน

“มึงจะมองกูอีกนานไหม”

ผมสะดุ้งเมื่อเป้าหมายหันขวับมาสบตาด้วย แววตาของอีกฝ่ายดูกล่าวหาปนระแวดระวัง

“กูไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ แค่สงสัยเอง”

ผมพูดโผล่ไปแล้วก็แอบมานึกทีหลัง แบบนี้เรียกว่าร้อนตัวชัดๆ จึงพยายามทำหน้านิ่งเฉยให้เห็น

“…สงสัยอะไร”

“มึงเป็นอะไร”

“กู?” พอผมพยักหน้ายืนยัน พาร์ก็ลดมือที่ชี้ตัวเองลง “ ..ปกติดี”

“คนปกติที่ไหนทำหน้าเครียดตั้งแต่เช้าแบบมึง”

“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกน่า”

“ไม่ร้ายแรงก็น่าจะบอกกันได้”

พูดจบผมก็นึกอยากเอาหัวโขกพวงมาลัยขึ้นมาทันที จะไปคาดคั้นมันทำไม ไม่ใช่น้องซะหน่อย เพื่อนสนิทยิ่งไม่ใช่ จะโดนหาว่าจุ้นจ้านไหมเนี่ย!

ระหว่างกำลังจะอ้าปากพูดแก้ต่างให้ตัวเอง อีกฝ่ายกลับถอนหายใจพูดออกมาก่อน

“กำลังคิดว่ารบกวนบ้านมึงไปต่อไปแบบนี้คงไม่ดี”

ผมทำหน้าสงสัย บ้านผมไม่เห็นมีใครเดือดร้อนสักคน พ่อต้องไปรับส่งน้ำอยู่แล้ว เพิ่มเบอร์ดี้ไปคนไม่เห็นเป็นไร ส่วนผมไม่เดือดร้อนเลยสักนิด แถมมันยังช่วยให้ผมมีเวลาว่างเป็นของตัวเองมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“…ทำไมล่ะ หรือเกรงใจ?”

“ก็…ทำนองนั้น”

ผมขมวดคิ้วพูดท้วงตามที่รู้สึก “ไม่ใช่มั้ง ถ้าเกรงใจจริงคงไม่ขอความช่วยเหลือบ้านกูแต่แรก”

พาร์พ่นลมหายใจเบาๆ “ไม่มีทางเลือกต่างหาก รถพ่อดันเสียตอนเช้าพอดี เลยต้องเอาเบอร์ดี้ฝากไปโรงเรียนกับน้ำ ส่วนกูโดนรั้งตัวไว้หลังจากรู้ว่าเรียนมหาลัยเดียวกับมึง”

“ถ้าแม่กูไม่รั้ง มึงจะไปมหาลัยยังไง”

“นั่งวินออกมาขึ้นรถเมล์”

ได้ยินแล้วก็เผลอถอนหายใจ “ต่อให้อยู่ต่างมหาลัยแม่กูก็รั้งมึงอยู่ดี คงให้ติดรถออกไปถึงถนนใหญ่” 

“ทำไม?”

“เพราะตอนเช้าคนใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์เยอะจะตาย ต้องโทรไปจองคิวล่วงหน้า ถึงโทรไปบอกตอนนั้นก็ต้องรอจนถึงคิวอยู่ดี ช้ากว่ารอออกไปพร้อมกูอีก”

พาร์ทำหน้านึกขึ้นได้ “กูลืมไปว่าพื้นที่ทางฝั่งมึงต้องทำแบบนี้”

ผมพยักหน้าเข้าใจ ฝั่งบ้านผมเป็นหมู่บ้านใหญ่ ส่วนฝั่งบ้านพาร์เป็นหมู่บ้านเล็ก ถนนก็ออกกันคนละเส้น ถ้าไม่มีซอยลัดทะลุไปได้ล่ะก็ต้องอ้อมไปไกลน่าดู     

“ขนาดกูยังเคยลืม หลังโดนลงโทษวิ่งรอบสนามกลางแดดร้อนตั้งสามรอบ กูเลยจำแม่น”

“ไปโรงเรียนสาย?”

“เออ สมัยมัธยม แล้วดันเจอเวรอาจารย์โหดอีก เหนื่อยก็เหนื่อยคอนี่แห้งเป็นผง แต่แวบมากินน้ำไม่ได้ เข้าห้องเรียนหลังชาวบ้านไปคาบหนึ่งดันเจอภรรยาแก โหดพอกัน แย่กว่านั้นคาบสามดันเป็นวิชาพละ เจอสอบเก็บคะแนนต้องจัดทีมแข่งกับเพื่อน เหนื่อยสัดๆ กลับบ้านปุ๊บกูหลับเลย”

แว่วเสียงหัวเราะคนฟัง ผมขับรถอยู่เลยไม่ได้หันไปมอง แต่หัวเราะขนาดนี้คงไม่ทำหน้าเครียดแล้วมั้ง หลังจากนั้นต่างคนต่างเงียบ แต่บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าตอนแรก

“กูเกรงใจบ้านมึงก็จริง แต่อีกเรื่องคือพ่อกับแม่ สีหน้าพวกท่านไม่ดีเท่าไหร่”

“เพราะเกรงใจบ้านกู?”

“ไม่ใช่หรอก” พูดถึงตรงนี้ ผมได้ยินเสียงพาร์ถอนหายใจยาว “การต้องแวะมาบ้านมึงทุกเช้าค่ำ ทำให้บ้านกูต้องตื่นเร็วกว่าที่เคย กว่าจะกลับก็ดึกพอสมควร กูกับน้องไม่เท่าไหร่ อยู่บ้านมึงก็ได้นั่งเล่นพักผ่อน แต่พ่อกับแม่คงไม่ ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าพักผ่อนไม่พอ ถ้ายังฝืนทำแบบนี้อีก…กว่ารถจะซ่อมเสร็จคงได้ไปนอนโรงพยาบาลกันก่อน”

ผมเริ่มเป็นกังวลตามทันที “…จะได้รถคืนเมื่อไหร่”

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็อีกสองเดือน”

“ช้า”

“ต้องรออะไหล่นำเข้ามา”

“ไปส่งซ่อมที่ไหน ไม่มีรถให้ขับแทนระหว่างซ่อมเหรอ”

“อู่คนรู้จัก ไว้ใจได้ ราคาไม่แพง แต่ไม่มีรถให้ขับแทนหรอก”

“แล้ว…มึงจะทำยังไง”

“กูบอกพ่อจะเอามอเตอร์ไซค์มาใช้ แต่พ่อกูไม่ยอม ตอนนี้เลยจนปัญญาคิดไม่ออกอยู่เนี่ย”

“ทำไมพ่อไม่ให้ใช้ล่ะ”

“เดือนก่อนกูหวิดโดนเสยมา ได้แผลกลับมานิดหน่อย ส่วนรถสุดหวงมีรอยถลอก พ่อรู้เข้าเลยยึดคืน ยังบอกด้วยว่าดีที่วันนั้นน้องไม่ได้ซ้อนท้ายไปด้วย กูมาคิดดูถ้าวันนั้นน้องไปด้วยคงแย่ เลยยอมให้ยึดง่ายๆ แล้วเปลี่ยนมาขับสี่ล้อแทน ถึงใจจริงกูจะชอบสองล้อมากกว่าสี่ล้อก็เถอะ”

ผมว่าไม่น่านิดหน่อย ไม่งั้นท่านบิดาของเพื่อนคงไม่ถึงขั้นยึดรถลูกหรอก

เราไม่ได้คุยกันต่อ เพราะผมเปิดไฟเลี้ยวเตรียมเข้าซอยบ้าน ครู่เดียวรถเข้าจอดที่ประจำ พวกผมคว้ากระเป๋าเป้เดินลงจากรถ ระหว่างเดินเข้าบ้านก็ตบบ่าปลอบเพื่อน

“ค่อยๆ คิด มันต้องมีทางออก จะให้ช่วยอะไรก็บอกแล้วกัน”

“ขอบใจ”

ผมมองรอยยิ้มที่พาร์ส่งให้ก็ยิ้มกลับ แล้วนึกในใจ

พรุ่งนี้วันเสาร์แล้ว คุณลุงคุณป้าคงได้พักผ่อนเต็มที่สักที

-------------

วันนี้เป็นวันแรกที่จะไม่เห็นพี่น้องตระกูลกอล์ฟอยู่บ้านเรา ขนาดเจ้าตัวเล็กที่ผมพึ่งจูงลงมาจากชั้นบนยังวิ่งหน้างงเข้ามาถามหาสองคนนั้นถึงในห้องครัว

“วันนี้วันเสาร์” ผมอธิบายพลางตักข้าวต้มใส่ถ้วย “เป็นวันหยุด พี่พาร์กับพี่เบอร์ดี้ต้องอยู่บ้านเขาสิ”

เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกๆ ไม่รู้เข้าใจแค่ไหน เพราะน้องอันเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“อันไม่เอากระเทียม”

ผมยิ้มขำ วางถ้วยข้าวของน้องลง หยิบชามกระเทียมเจียวหอมกลิ่นน้ำปลามาโชว์คนตัวเล็กสูงยังไม่พ้นขอบโต๊ะ “พี่ทำเอง เค็มนิดๆ ไม่มีเปลือกกระเทียม เอาไหม?”

เจ้าตัวเล็กกลับคำทันที “อันเอา”

สำหรับคนวัยอย่างผม ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์แบบนี้ถ้าหนีไปตากแอร์เย็นๆ ในห้าง ก็คงนัดรวมกลุ่มไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน หรือใช้เวลาอยู่ร่วมกับแฟน ที่กล่าวมาทั้งหมด ผมเคยได้ทำไม่กี่ครั้ง นอกนั้นไม่เป็นเพื่อนเล่นให้น้อง ก็เป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่บ้าน เบื่อๆ ค่อยพาน้องไปเที่ยวข้างนอก จะเป็นอิสระก็ต่อเมื่อน้องไม่อยู่บ้านในวันหยุด เช่น ไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน เรียนพิเศษ หรือพ่อแม่พาออกไปไหน แต่วันนี้น้องดันอยู่พร้อมหน้า คนหายคือพ่อแม่ครับ

คนแก่และคนเกือบแก่หนีลูกไปเที่ยวอีกแล้ว…มิน่าถึงปลุกผมตั้งแต่ไก่ไม่โห่ ไล่ให้ไปซื้อของสดที่ตลาดมาตุนไว้ในตู้เย็น นี่คงกะให้ลูกๆ อยู่บ้านรอแหงๆ

“พี่จ๋าหิว”

น้ำเดินหัวยุ่งทั้งชุดนอนตรงมากอดคอผมจากด้านหลัง อันนั่งตักผมอยู่แหงนหน้ามองพี่สาวทั้งที่ปากยังเคี้ยวข้าวต้มหมูสับ ผมรีบดันหัวอันลง กลัวน้องสำลักข้าว

“ไปตักเองเลยอยู่ในครัว”

“ไม่อ๋าวว พี่จ๋าตักให้หน่อย” ไม่พูดเปล่า มีการถูหัวกับไหล่ออดอ้อนซะด้วย

ใครว่าเด็กผู้หญิงโตเร็ว น้องอายุสิบสามกับตอนแปดขวบ ไม่เห็นต่างสักนิด ผมจำต้องอุ้มน้องอันนั่งพื้น ลูบหัวเจ้าตัวเล็กบอก “เดี๋ยวพี่มา ส่วนน้ำ แปรงฟันล้างหน้ายัง?”

“เรียบร้อยแล้วค่า”

ขนาดล้างแล้วหน้ายังไม่เลิกง่วง สงสัยแอบนอนดึกแน่ๆ ถึงรู้ทันผมก็ไม่ดุน้องสาว เห็นแก่ที่เป็นวันหยุด ลองทำวันธรรมดาสิ จะดึงแก้มให้ยืดเลย

“งั้นก็นั่งรอดีๆ อย่าไปแกล้งน้องล่ะ”

“ปรุงให้น้ำด้วยนะ”

นี่ก็อีก โตจนปรุงรสชาติที่ชอบได้แล้วก็ไม่ทำเอง…เฉพาะตอนมีผมอยู่ด้วยหรอก เคยบังเอิญเจอน้องร้านก๋วยเตี๋ยว คนเยอะน้องไม่ทันเห็นผมที่เข้าไปนั่งอยู่ก่อนกับแฟนเก่า ผมเลยได้เห็นน้องปรุงเองเป็นบุญตา แต่แอบฮานิดๆ ยัยน้ำคร่ำเคร่งกับการกะปริมาณเครื่องปรุงให้เท่ากับที่ผมทำให้น้องกินทุกครั้งสุดๆ เพื่อนคนอื่นกินกันไปห้านาที น้องผมพึ่งปรุงก๋วยเตี๋ยวเสร็จ

ผมตักข้าวต้มใส่ชามใบโปรดของน้องสาว เหยาะพริกไทยนิด โรยกระเทียมเจียว ต้นหอมผักชี แยกซีอิ๊วใส่ถ้วยใบเล็ก ยกไปให้น้องถึงที่พร้อมถาม

“จะเอานมหรือน้ำผลไม้?”

“น้ำผลไม้” บอกเสร็จ ยัยน้ำก็คว้าช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า

ผมคว้าแก้วของน้องอันไปเติมเพิ่มด้วย ก่อนวกกลับมานั่งที่เดิม ยังไม่ทันดูน้องๆ กินข้าวด้วยซ้ำ เจ้าตัวเล็กก็เดินมานั่งแหมะบนตักผมแล้ว มือป้อมๆ ถือช้อนไม่ยอมปล่อย ส่วนอีกข้างพยายามยื่นไปลากชามเซรามิกลายการ์ตูนเรื่องโปรดเข้าหาตัว ปลายนิ้วเล็กห่างขอบชามเป็นวา…มีความพยายามดี แม้คว้าอากาศหลายครั้งหลายหน

ผมกลั้นยิ้ม ถ้าน้องอันลุกขึ้นยืนก่อนรับรองถึงแน่ แต่เหมือนเจ้าตัวไม่คิดทำ

ยัยน้ำก็เริ่มเป่าข้าวไป จ้องน้องคนเล็กไป กำช้อนช่วยลุ้นด้วยนะนั่น

กลายเป็นผมที่กลั้นหัวเราะไม่ไหว จัดการยกชามข้าวต้มมาวางแหมะตรงหน้าน้องอันให้ รอยยิ้มดีใจของเจ้าตัวเล็กทำผมเผลอตัวยิ้มตาม พอเงยหน้ามองน้องสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม เห็นกำลังนั่งอมยิ้มดูอยู่ สบตาผมปุ๊บก็แกล้งเสตามองชามข้าวต้ม แก้มเริ่มขึ้นสี

…จอมแกล้งน้องประจำบ้านก็เขินเป็นแฮะ

ผมหัวเราะในใจ ยัยน้ำรักน้องผมดูออก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบ เพราะช่วงน้องอันเกิดใหม่ๆ น้องสาวคงรู้สึกเหมือนตัวเองโดนทิ้ง เหมือนโดนแย่งความรักความสนใจจากพ่อแม่

ช่วงนั้นผมยังไม่ได้มาอยู่ที่นี่ พอรู้ข่าวว่าน้องคนเล็กเกิดก็ซื้อข้าวของเตรียมไปเยี่ยม แต่เอาจริงผมมาก็หลังจากแม่กับน้องกลับมาอยู่บ้านแล้ว ผมค่อนข้างจะตื่นเต้น เพราะช่วงยัยน้ำเกิด ผมไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ความตื่นเต้นก็ลดลงหลังเห็นน้องสาววัยแปดขวบแอบนั่งมองจากบนบันไดด้วยแววตาซึมๆ เลยเข้าไปคุยด้วย ก่อนตัดสินใจขอพ่อกับแม่พาน้องสาวไปอยู่ด้วยสักพัก

ช่วงอยู่ด้วยกันก็พยายามปรับทัศนะคติน้ำไม่เกลียดน้องคนเล็ก พาไปเยี่ยมน้องชายบ่อยๆ ให้รู้ว่าเลี้ยงเด็กทารกเหนื่อยมาก พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้เหมือนเก่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผลคือน้ำเข้าใจ แต่ด้านอารมณ์ยังก่ำกึ่ง คงก่อเกิดเป็นความสับสนในใจน้องสาวล่ะมั้ง นิสัยยัยน้ำเลยเป็นแนวพี่ชอบแกล้งน้องต่อหน้า แต่แอบใจดีแบบไม่แสดงออกแบบนี้

“พี่ที!” ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เห็นน้องสาวกำลังทำหน้าเอาเรื่องอยู่ฝั่งตรงข้าม “อย่ามาแกล้งเหม่อนะ”

“ฮะ?”

“ตอบน้ำมาเลย ขอความจริงล้วนๆ ด้วย”

“ให้ตอบอะไร” ผมงง

“ที่ถามเมื่อกี้ไง”

“ถามอะไรล่ะ”

“พี่เหม่อจริงเหรอเนี่ย!”

“พี่แค่กำลังคิดเรื่องเธอ” ผมพูดยิ้มๆ และได้ผลชะงัก น้องสาวทำหน้าสนใจมาก

“เรื่องไหน?”

“ตอนเด็กๆ” ผมหยุดพูดอย่างจงใจ ยัยน้ำก็เหมือนสนใจหนักกว่าเดิม “เธอเห็นพี่เป็นลูกพี่ลูกน้องนี่น่า”

คนฟังอ้าปากเหวอ ก่อนเถียงกลับมาไฟแลบ “ก็ใครจะไปรู้ว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ น้ำนึกว่าพี่เป็นลูกชายของลุงนิกนี่น่า แล้วนานๆ พี่ก็มาบ้านสักที”

“เพราะมีน้ำแล้วไง พี่เลยไม่ค่อยมา”

น้ำเม้มปาก เลื่อนสายตามองผมสลับกับอันไปมาสักพัก ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะ ว่าแต่พี่ไปถึงไหนกับพี่พาร์แล้ว”   

“ฮะ!” ผมทำหน้าเหวอ ไม่นึกว่าน้องจะถามเรื่องนี้ “ก…ก็ไม่ถึงไหน”

“อะไร ตั้งสามวัน จะไม่คืบหน้าเลยได้ไง”

...จะให้คืบหน้าไปไหนล่ะ มันหยุดแค่คำว่า ‘เพื่อน’ นั่นแหละน้องสาว

“เอางี้นอกจากไปกลับด้วยกันแล้ว พวกพี่ทำอะไรร่วมกันอีก”

“กินข้าว”

แววตาน้องเปล่งประกายขึ้นทันที “กินข้าวเที่ยงด้วยกันเหรอ”

“ครั้งเดียว”

แววตาหม่นแสงเลยครับ ฮะๆ แกล้งน้องสนุกดีจัง

ผมอมยิ้มมองน้องสาวทำหน้าขัดอกขัดใจ ปากบางสวยบ่นงึมงำไม่หยุด พอสังเกตหน้าตายัยน้ำดีๆ โตเป็นสาวเมื่อไหร่คงน่ารักน่าเอ็นดูไม่หยอก ว่าแล้วก็ก้มสำรวจหน้าน้องอัน พ่อผมน้ำเชื้อไม่ค่อยดีนะเนี่ย ลูกสามคนถึงได้แม่มามากกว่าพ่อ โดยเฉพาะยัยน้ำ ก๊อปปี๊ความน่ารักของแม่มาเห็นๆ ส่วนน้องอันต้องรอลุ้นตอนโตจะเป็นหนุ่มมาดน่ารักหรือเปล่า ผิวเจ้าตัวเล็กขาวสุดๆ ได้แม่มาเต็มๆ ผิดกับผมที่ผิวขาวเหลืองตามต้นฉบับพ่อ

พูดถึงเรื่องนี้ก็เรื่องเล่าจากพ่อ เพราะอายุห่างกันห้าปี ก่อนเข้าไปจีบพ่อเลยไปเฝ้าดูแม่อยู่พักหนึ่งหลังบังเอิญเจกันตรงสะพานข้ามแม่น้ำ พ่อบ่นใหญ่ว่าแม่มีแมลงตามตอมเยอะสุดๆ แต่จู่ๆ ภาพแม่ก็เปลี่ยนเป็นน้องแทน ผมหุบยิ้มทันที…ในอนาคตผมคงได้เป็นพี่หวงน้องแหงเลย     

“วันนี้พี่พาร์จะมาบ้านเราไหม”

ผมทำหน้างงหลังได้ยินคำถาม “ทำไมมาถามพี่ล่ะ?”

“พี่ต้องรู้สิ”

ผมย่นคิ้วเข้าหากัน ทำไมต้องรู้? ใจคิดอย่างปากพูดอีกอย่าง “เบอร์ดี้ไม่ได้บอกเหรอว่าจะมาหรือไม่มา”

“น้ำพูดถึงพี่พาร์ต่างหาก!”

ผมงงกับน้องสาว ถ้าเบอร์ดี้บอกมา พาร์ก็ต้องมา เหมือนน้ำจะไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ผมจึงปิดปากเงียบ นั่งฟังน้องสาวบ่นไปเรื่อย พอใจเมื่อไหร่ก็หยุดเองแหละ

“แล้วพี่รู้หรือเปล่าว่าเมื่อวานพี่พาร์เป็นอะไร”

ช่วงนี้อะไรๆ ก็พี่พาร์ พี่ชายแท้ๆ อย่างผมใกล้ตกกระป๋องแล้วมั้ง

ผมพ่นลมหายใจ ตอบสั้นๆ “รู้”

“บอกน้องมาเลย”

“พาร์แค่กังวลใจเรื่องของลุงแทนกับป้าเจน” เห็นน้องสาวทำหน้าไม่เข้าใจ ผมเลยเล่าเรื่องที่รู้ว่าเมื่อวานให้ฟัง พร้อมพูดสำทับ “เพราะงั้นสองวันนี้น้ำอย่าพึ่งไปรบกวนคนบ้านนู้นล่ะ”

-------------

ระหว่างเรียนวิชาคาบบ่ายของวันจันทร์ ผมรู้สึกถึงแรงสั่นในกระเป๋าเลยดึงมือถือออกมาดูด้วยความแปลกใจ เห็นชื่อคนโทรเข้ามาคือพาร์ก็ยิ่งประหลาดใจ พาร์ไม่เคยโทรมาหาก่อน ถ้ามีธุระก็ส่งข้อความทางไลน์ประจำ

ผมตัดสินใจรับสาย ดีที่ตอนนี้เรียนห้องใหญ่เลยมุดหัวไปใต้โต๊ะ ลดเสียงคุยโทรศัพท์ได้

“มีอะ…”

[อยู่ไหน]

น้ำเสียงร้อนรนของพาร์ทำผมตื่นตัว รีบบอกห้องเรียนกับชื่อตึกไป

[ลงมาเลย กูกำลังจะไปหา ถ้าโดดไม่ได้ก็ลงมาส่งกุญแจรถให้กู]

พูดจบตัดสายไปเฉย ผมขมวดคิ้วย้ายตัวเองไปนั่งยองๆ กับพื้น เก็บมือถือใส่เป้ สะกิดบอกเพื่อนนั่งข้างๆ ให้เก็บของบนโต๊ะมาให้หน่อย ก่อนฉีกกระดาษสมุดจด เขียนบอกเพื่อนถึงสาเหตุโดดเรียนว่า ‘งานเข้า ต้องไปเดี๋ยวนี้’ ก่อนมุดๆ คลานๆ หลบออกมาจากห้องเรียน ผมเลยได้ประสบการณ์โดดเรียนครั้งแรกตั้งแต่เข้ามหาลัย

ผมโชคดีครับ เพราะต้นคาบมีสอบย่อยเช็คชื่อไปแล้ว คิดว่าท้ายคาบอาจารย์คงไม่เช็คชื่อแล้ว

ลงมาชั้นล่างปุ๊บก็รีบหันซ้ายขวามองหาพาร์…สงสัยยังไม่มา

หลังยืนรอแถวหน้าตึกสักพัก ผมก็เห็นมอเตอร์ไซค์สีดำแถบแดงคันสวยวิ่งพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว เบรกเอี๊ยดตรงหน้าให้ขวัญผวา ฝุ่นฟุ้งกระจายจนต้องเบือนหน้าหลบ หลับตาหนี ยังไม่ทันได้ลืมตาก็โดนฉุดแขนออกมาจากจุดเดิม

เฮ้ยๆๆ

รีบลืมตาเจอพาร์กำลังลากผมไปลานจอดรถ สีหน้าดูซีดๆ แถมเคร่งเครียดผิดกับทุกทีอย่างน่าสงสัย

“รถจอดไหน”

ผมรีบชี้นิ้วบอก รับรู้ว่าเพื่อนอยู่ในโหมดจริงจัง

“เอากุญแจมา กูขับเอง”

ผมยื่นส่งให้ รีบขึ้นไปนั่งฝั่งข้างคนขับ…นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ชมฝีมือการขับรถของพาร์

ลูกรักของผมเคลื่อนตัวสู่ถนนสายหลักของมหาวิทยาลัยอย่างนุ่มนวล โอ้ ขับดียิ่งกว่าผมอีก สงสัยคงต้องขอคำแนะนำบ้างแล้ว หลังแน่ใจว่าเพื่อนไม่เอาลูกรักผมไปชนอะไรเข้าแน่นอนก็ดึงเข็มขัดมาคาด เอนหลังพิงเบาะอย่างสบายใจ

หือ…

ผมมองพาร์เปลี่ยนเกียร์กะทันหันหลังรถเข้าถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย สีหน้าพาร์แปรเปลี่ยนดูทั้งนิ่งทั้งเย็นชา น่ากลัวจนผมต้องหุบปากฉับ ไม่กล้าถามอะไรทั้งนั้น แรงกระชากในวินาทีต่อมาดันตัวผมติดเบาะยิ่งกว่าเดิม ตาเปิดกว้างตกใจมองทิวทัศน์ด้านนอกเปลี่ยนเร็วเสียจนท้องวูบโหวง ใจผมเต้นตุบตับด้วยความกลัว

..
.
แค่ก้าวลงจากรถ ขาผมก็สั่นกึกๆ คงทรุดไปนั่งกับพื้นแล้วถ้าแรงแขนที่เกาะประตูไม่ดีพอ

แม่เจ้า นึกว่าจะตายซะแล้ว 

หลังสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ตั้งสมาธิไม่กี่วินาทีก็ผลักประตูรถปิด ปล่อยให้พาร์จัดการกดล็อกรถ พลางลอบมองเพื่อนนักซิงอย่างคาดโทษ

ผมจะไม่ให้พาร์ขับรถช่วงถนนโล่งอีกเด็ดขาด!!

แต่จากสีหน้าเพื่อนและสถานที่ ผมไม่กล้าถ่วงเวลาหรอก ดูก็รู้ว่าพาร์กำลังรีบมากจึงพยายามจ้ำเท้าตามหลังเพื่อนทั้งที่ขายังอ่อนแรง ไปไม่ทันฟังเพื่อนพูดกับประชาสัมพันธ์ก็ต้องรีบตามเข้าลิฟต์ให้ทัน

หวุดหวิด…เมื่อกี้เกือบถูกประตูลิฟต์หนีบแล้วไหมล่ะ

ผมชำเลืองมองเพื่อนระหว่างกล่องสี่เหลี่ยมเลื่อนตัวขึ้นสูงเรื่อยๆ พยายามลืมว่าเพื่อนใจร้ายขนาดไม่กดเปิดประตูลิฟต์รอ

…ว่าแต่ใครเป็นอะไร พาร์ถึงต้องรีบเหาะมาโรงพยาบาลไกลจากมหาลัยขนาดนี้

ลิฟต์หยุดชั้นสี่ ขาผมที่กลับมาแข็งแรงดีจ้ำตามหลังพาร์ไปติดๆ มันหยุดเคาะห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง ก่อนเปิดเข้าไปทันทีที่ได้ยินเสียงขานรับจากข้างใน

“น้องพาร์!”

ผมยกมือไหว้คนอยู่ในห้องตามเพื่อน แอบกวาดสำรวจห้องผู้ป่วยพิเศษเห็นเตียงคนไข้สองเตียง ยังไม่ทันเห็นหน้าคนไข้ชัดๆ ก็มีหญิงสูงวัยชาวต่างชาติรูปร่างสมบูรณ์มาก สูงพอๆ กับพวกผม เสื้อผ้าน่าจะมีราคาแพงไม่น้อย ที่สำคัญแค่ยืนตรงหน้าก็บดบังวิสัยทัศน์พวกผมจนหมด 

“ป้าขอโทษที่เรียกมาระหว่างเรียน แต่ป้าไม่รู้จะติดต่อใครดี”

ภาษาไทยชัดเป๊ะ…ฟังจากประโยคที่ดูเอื้ออาทรต่อกัน ผมขอเดาว่าคุณป้าคนนี้คงเติบโตในเมืองไทยเป็นแน่

“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ รบกวนเป็นธุระให้มากขนาดนี้”

“สมควรแล้วต่างหาก ยังไงป้าก็เป็นเจ้านายของพวกเขา พาร์ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษานะลูก ป้าจัดการให้แล้ว”

“ขอบคุณมากครับ”

ผมรีบยกมือไหว้ตามพาร์อีกหน

“งั้นป้ากลับไปทำงานก่อนนะ มีอะไรโทรหาป้าได้เลย แล้วฝากบอกคนหัวดื้อสองคนนี้ด้วยนะจ๊ะ ไม่หายไม่ต้องกลับมาให้ป้าเห็นหน้า”

“จะบอกให้ครับ”   

“เลิกงานแล้วป้าจะมาเยี่ยมใหม่นะ”

“ครับ”

ผมรีบขยับหลบจากประตูตามพาร์ ปล่อยหญิงสูงวัยแต่งตัวดูดีคนนั้นเดินออกไป พอหันมองในห้องอีกครั้งจึงเห็นใบหน้าสองผู้ป่วยชัดๆ คิ้วสองข้างเผลอขมวดเข้าหากัน ก่อนเหลือบมองเพื่อนที่กำลังเดินไปข้างเตียงคนป่วย

…เรื่องที่พาร์กังวลเกิดขึ้นจนได้

############

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่4] P.1 (28/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 29-07-2016 12:35:48
บทที่ 4

[อะไรนะ! แล้วตอนนี้ลูกอยู่ไหน]

“ทีอยู่โรงพยาบาลกับพาร์ครับ มาตั้งแต่ช่วงบ่าย…”

ผมหนีบมือถือกับไหล่ หยิบเงินจ่ายให้พนักงานร้าน 7-11 พอนึกได้ว่าหลุดปากเรื่องโดดเรียนก็ได้แต่นึกใจเสีย กลัวโดนดุ แต่มารดาที่เคารพ
เหมือนจะสนใจอีกเรื่องมากกว่า

[หมอบอกว่าไงบ้าง]

“โหมทำงานหนักเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ ให้นอนดูอาการวันหนึ่ง ถ้าดีขึ้นพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้ครับ”

[งั้นช่วงหัวค่ำพวกแม่จะแวะไปหานะ]

ผมตอบรับระหว่างเห็บตังค์ทอนลงกระเป๋าเงิน “งั้นทีฝากซื้อข้าวเย็นกับเอาเสื้อผ้ามาที่นี่ ขอสองชุดนะแม่ ชุดนักศึกษาด้วยครับ”

[จะอยู่เฝ้าด้วยเหรอลูก?]

“ทีกะจะอยู่ช่วยพาร์ครับ”

ถ้าเฝ้าสองคนได้นะ ผมยังไม่ได้ถามหมอเลยว่าได้หรือเปล่า

[ดีจ๊ะ งั้นแม่ฝากด้วยนะ]

หลังวางสายผมยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงพร้อมกระเป๋าตังค์ หิ้วถุงเสบียงเดินออกจาก 7-11 ระหว่างทางผ่านร้านดอกไม้ เห็นสีสันของมันแล้วก็อดแวะเข้าไปไม่ได้

ร้านนี้ผมสะดุดตาตั้งแต่ขามาแล้ว เป็นร้านตอนลึกเหมือนซอยถนน แปลกดีครับ ถามว่ากว้างไหม มองแล้วกว้างอยู่นะครับ พอดีมันเป็นสองร้านติดกัน แล้วกั้นกลางด้วยกระจก ฝั่งซ้ายเป็นพวกดอกไม้สด ฝั่งขวาเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ มองทะลุกันได้ แค่ความสวยของดอกไม้ก็กินขาดแล้ว การตกแต่งอย่างอื่นเลยดูเรียบๆ มองดูสบายตา ผมอยากได้ดอกไม้ประดิษฐ์มากกว่าเลยเดินเข้าฝั่งขวา

ผมไม่กล้าซื้อของสด ไม่รู้ว่ามีใครแพ้เกสรดอกไม้หรือเปล่า

“อยากได้แบบไหนคะ?” พี่พนักงานในร้านเดินมาถามหลังเห็นผมยืนดูอยู่สักพัก

“แบบที่ช่วยให้บรรยากาศในห้องคนป่วยดูสดใสขึ้นครับ”

ผมย้ำหนักที่คำว่าสดใส เพราะมันคือเหตุผลหลักที่ผมแวะเข้าร้านนี้เลยล่ะ

“จะเอาไปปักแจกันใช่ไหมคะ?”

“เอ่อ มีพวกตะกร้าไหมครับ” ผมถามกลับ จำได้ว่าตอนเพื่อนผมป่วยสมัยมัธยม มีเพื่อนชายใจหญิงในห้องเอามาเป็นของเยี่ยมไข้ ผมเห็นแล้วชอบนะ เวลากลับบ้านจะได้ยกทั้งตะกร้ากลับได้เลย

“มีค่ะ ของอยู่หลังร้าน เดี๋ยวพี่เอาแฟ้มให้ น้องเลือกแบบจากภาพถ่ายได้เลย”

ผมเลือกตะกร้าสานสีขาวขนาดกะทัดรัดผูกริบบิ้นสีทองกับแดงมา ส่วนสีดอกไม้ประดิษฐ์ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่คนขายทั้งเลือกทั้งจัด เพราะความรู้ด้านนี้ของผมเป็นศูนย์ พอพี่เขาจัดเสร็จออกมาดูน่ารักดี น้ำกับเบอร์ดี้เห็นเข้าต้องชอบแน่ๆ ผมเห็นดอกทานตะวันประดิษฐ์สวยดีเลยซื้อเพิ่มสามดอก พี่พนักงานผูกริบบิ้นสีแดงที่ก้านดอกทานตะวันแถมให้ด้วย

หลังจ่ายเงินก็หอบข้าวของทั้งหมดกลับห้องพักฟื้นพิเศษอย่างทุลักทุเล แต่เห็นเวลาแล้วก็แอบสะดุ้งอยู่ในใจ ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอออกมานานขนาดนี้

นึกถึงคนเฝ้าห้องหน้านิ่งก็แอบทำหน้าแหยง…คงไม่นึกว่าผมกลับไปแล้วหรอกนะ

-------------

ผมยิ้มเจื่อนเล็กน้อยยามสบตาคนมาช่วยเปิดประตูให้ สงสัยคงรำคาญเสียงกุกกักหน้าห้อง หลังผมพยายามเปิดประตูเองอยู่พักหนึ่ง พาร์ไม่พูดหรือยิ้มตอบ ทำแค่กวาดสายตามองข้าวของที่ผมซื้อตั้งแต่ถุงใส่น้ำขวด พวกขนม ตะกร้าดอกไม้ แล้ววกกลับมาหยุดที่ดอกทานตะวัน

“ซื้อมาทำไม”

ผมทำหน้าประหลาดกับคำถามแรกของคนที่เงียบมาตลอดตั้งแต่ถึงรถ จนผมเอ่ยปากขอไปเดินเล่น มันก็ไม่พูดอะไรสักคำเดียว

“…เอานี่ไปก่อน”

ผมส่งถุงของกินกับน้ำดื่มให้พาร์ถือ เดินผละเข้าด้านในห้องหามุมวางตะกร้าดอกไม้กับดอกทานตะวัน ระหว่างนั้นก็คอยเหลือบมองพาร์เป็นระยะ หวังอย่างยิ่งว่าของกินที่ซื้อมาจะช่วยให้ใครบางคนเลิกแผ่รังสีทะมึนสักที และนั่นเป็นเหตุผลที่สองของการต้องหาของสีสันสดใสมาวางในห้อง ไม่งั้นผมคงได้เผ่นหนีขอไปเดินเล่นข้างนอกอีกรอบแน่

เมื่อหามุมวางดอกไม้เหมาะๆ ได้แล้ว ผมก็ถอยมายืนดูผลงาน

ก็…โอเคนะ

หลังชื่นชมความสดใสของมันสักพัก ก็ทำใจหมุนตัวเดินไปมุมโซฟาที่บรรยากาศตรงข้ามกับสีสันดอกไม้เหลือเกิน

…น่าจะเหลือดอกทานตะวันสักดอกถือติดมือมาวางใกล้ๆ พาร์จริงๆ 

พอเข้าไปใกล้ปุ๊บก็โดนถามประโยคเดิมปั๊บ “ซื้อมาทำไม”

ผมหาที่นั่งให้ตัวเองห่างจากพาร์หน่อย คว้าขวดน้ำดื่มในถุงมาแกะเปิดออก “ดอกไม้หรือของกิน?”

“ดอกไม้”

“ทำลายความอึมครึมไง” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ หยิบหลอดเสียบในขวดดูดน้ำดับกระหาย ไม่สนใจสายตาขวางๆ ของอีกคน กินน้ำจนพอใจผมก็พูดต่อ “เพราะมีตัวปล่อยพลังงานด้านลบอยู่แถวนี้...แย่เนอะ”

ผมแกล้งทำเป็นสนใจขนมถุงใหม่ นี่ขนาดไม่หันไปมองยังรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทง

“…นึกว่ากลับไปแล้ว”

ผมยิ้มเจื่อน…ก็น่าอยู่หรอก

“กูอยู่เฝ้าเองก็ได้ มึงกลับไปเถอะ”

ปล่อยมันอยู่คนเดียวเนี่ยนะ?

ผมย่นคิ้วมองคนปล่อยพลังงานด้านลบไม่เลิก เห็นแบบนี้ใครจะกล้าปล่อยให้อยู่คนเดียวกัน และอีกอย่างคุณลุงคุณป้าใจดีกับผมจะตาย ขนาดไปต่างประเทศยังซื้อของมาฝาก ผมควรอยู่ช่วยสิ ถือเป็นตัวแทนครอบครัวก็ได้ คิดได้แบบนั้นจึงแกล้งหูทวนลมทำเป็นไม่ได้ยินถ้อยคำไล่กลับ

ผมไม่พูด พาร์ก็ไม่พูด กินขนมกันเงียบกริบ น่าอึดอัดอย่างยิ่ง กินเสร็จก็ยึดโซฟาคนละมุม สรรหากิจกรรมทำ ผมหยิบพวกชีทเรียนมาอ่านฆ่าเวลา เบื่อแล้วก็หยิบมือถือมานั่งเล่นเงียบๆ

ช่วงเย็นหน่อย น่าจะสักห้าโมงกว่าๆ คุณป้าชาวต่างชาติคนเดิมแวะมาเยี่ยมอีกหน พร้อมของกินเต็มสองมือ เสียดายคนป่วยทั้งสองยังไม่ตื่น คุณป้าเลยหยุดคุยกับพวกผมนิดหน่อยก็ขอตัวกลับ ผมมองบรรดาของกินทั้งหลายวางเต็มโต๊ะกระจกหน้าโซฟาก็ได้แต่ถอนหายใจ

…ถ้ารู้ล่วงหน้าคงไม่บอกให้แม่เอาอาหารเย็นมาหรอกครับ

ผมมองพาร์อีกรอบ กลับไปนั่งขรึมเมินผมตามเดิมอีกแล้ว

เฮ้อ...จัดการเองก็ได้วะ

ผมเดินไปดูชื่อหมอเจ้าของไข้คุณลุงคุณป้า คนเดียวกันครับ จดจำชื่อคุณหมออยู่สักพักก็หิ้วของกินสามในสี่ที่พวกเรากินไม่หมดแน่ๆ และเดี๋ยวจะมีของแม่มาเพิ่มอีก เลยเหลือไว้แต่อะไรที่ผมอยากกิน ของที่พาร์หรือน้องๆ ชอบมากไว้ แล้วออกจากห้อง

“เดี๋ยวกูมา”

ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ผมยักไหล่เดินตรงไปถามหาคุณหมอกับพวกนางพยาบาล ได้ความว่าคุณหมอตรวจคนไข้อยู่เลยแบ่งของเป็นสองส่วน เยอะหน่อยให้พวกพี่นางพยาบาล แล้วขอฝากอีกส่วนให้คุณหมอด้วย

...คุณป้าต่างชาติถ้าเกิดรู้เข้าก็อย่าโกรธผมเลย ของดีๆ กินเหลือมันน่าเสียดาย สู้เอาไปให้คนอื่นตั้งแต่รู้ว่ากินไม่หมดดีกว่า ผมคิดของผมเอง ถ้าไม่เหมาะสมก็ขอโทษด้วยนะครับ     

ผมเดินกลับมาก็เจอสภาพหยุดเวลาในห้อง จดๆ จ้องๆ คนนั่งนิ่งไม่ขยับครู่หนึ่งก็เบือนหน้าหนีไปดูคนป่วยทั้งสองที่ยังไม่ตื่น คุณลุงคุณป้าหลับสนิทยาวนานขนาดนี้ เพราะฤทธิ์ยาแหง

ใกล้หกโมงเย็นคนป่วยทั้งสองถึงพากันตื่นไล่เลี่ยกัน และคนนั่งนิ่งเหมือนหุ่นก็ลุกพรวดให้ผมตกใจ มองตามหลังคนเดินเร็ว แปบเดียวก็ไปหยุดยืนระหว่างปลายเตียงทั้งสอง

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าฝืน!”

พาร์ไม่ได้ตะโกน พูดธรรมดาด้วยน้ำเสียงเข้มกว่าปกติ ก่อนตามด้วยพายุสารพัดถ้อยคำดุจนผมยังเหนื่อยแทนคนพูด ได้แต่กรอกตามองเพดานห้อง รู้แล้วล่ะว่ามันอมน้ำลายจนบูดเพื่ออะไร เก็บออมแรงเตรียมพ่นไฟแลบใส่พ่อแม่หลังตื่นแล้วนี่เอง ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ยังพอจับใจความได้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก พอชำเลืองมองผู้ป่วยทั้งสองมีสีหน้าเจื่อนๆ กันทั้งคู่

เสียงประตูห้องพักเปิดออก แว่วเสียงคุ้นหูของน้องอันมาก่อนใคร คนในห้องชะงักพากันหันไปมองประตูเป็นตาเดียว แม่ของผมพาสองสาวกับเจ้าตัวเล็กมาเยี่ยมได้จังหวะมากครับ

นู้น...สองคนแก่บนเตียงทำหน้าอย่างกับเห็นแม่พระมาโปรด

พาร์จำยอมปล่อยคนป่วยกับคนมาเยี่ยมคุยกัน เดินกลับมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟา คว้าขวดน้ำที่กินเหลือกระดกอึกๆ แบบไม่สนใจหลอด หมดแล้วก็คว้าขวดใหม่แกะ

...คงกำลังชดเชยน้ำลายที่เสียหลังบ่นไปเยอะล่ะมั้ง ความจริงมันก็แค่คอแห้งนั่นแหละ

ผมเดาว่าตอนนี้พาร์น่าจะอารมณ์ดีขึ้นหลังได้ระบายออกไปตั้งเยอะ เลยลองถามข้อสงสัยตั้งแต่ฟังหมอแจกแจงอาการคนป่วย “เอ่อ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา…คุณลุงคุณป้า…ไม่ได้…พัก…” เสียงผมแผ่วลงทีละน้อยก่อนเงียบในที่สุด แอบเขยิบก้นออกห่างไปชิดขอบโซฟา เอาให้ไกลจากมนุษย์ผู้จู่ๆ ก็แผ่รังสีหงุดหงิดให้มากที่สุด

ผมไม่ได้กลัว แต่สัญชาตญาณร้องสั่งว่าให้ถอยดีกว่า

…เวลาพาร์อารมณ์เสียทีโคตรไม่น่าเข้าใกล้

บรรยากาศแถวโซฟาอึดอัดเป็นพิเศษ ขนาดเจ้าตัวเล็กยังไม่กล้าเข้าใกล้ แม้เห็นของชอบวางล่อตาก็เอาแต่เกาะขากางเกงแม่ เหลือบมองมาบ่อยๆ

เด็กมีสัญชาตญาณดีมากท่าจะจริง

ส่วนผมนั่งดูดน้ำแก้เครียดต่อไป ผมผิดเองที่ดันไปแตะเกล็ดย้อนมังกรเข้า จะง้อให้อารมณ์ดีก็หมดมุขแล้ว ก่อนหน้านี้ใช้วิธีหลอกล่อทั้งน้ำ ขนม ดอกไม้ หรือแม้แต่ชวนคุยคลายเครียด ไม่เห็นได้ผลสักอย่าง หรือจะรอให้พาร์ไปบ่นไฟแลบกับบิดามารดาที่เคารพต่อ ผมก็แอบสงสารคนแก่

คิดพลางลอบถอนหายใจ ผมไม่ชอบพาร์ที่เป็นแบบนี้เลย นอกจากทำให้อึดอัดและเครียดตามแล้ว ยังทำให้ผมนึกย้อนไปถึงตอนได้รู้จักกัน...

ลืมซะ ลืมไปซะ!

ผมรีบจับเรื่องแสนไม่น่าจดจำยัดใส่กล่องกระทืบฝังดินให้มิด ต่อจากนี้อย่าขุดขึ้นมาอีกเชียว!

แว่วเสียงกรี๊ดกร๊าดชอบใจของสองสาว หันมองตามเสียงเจอเด็กสาวทั้งสองกำลังมุงดูตะกร้าดอกไม้อยู่ครับ

หึๆ ผมบอกแล้วว่าพวกน้องเห็นต้องชอบ

“น่ารักอ่ะ คุณป้าคะ น้ำขอได้ไหม?”

“ป้าไม่แน่ใจว่าเป็นของตกแต่งของโรงพยาบาล…”

“ผมซื้อมาเองครับ” ผมรีบแสดงตัว คลี่ยิ้มนิดๆ ถือโอกาสนี้เดินไปร่วมกลุ่ม หลุดพ้นบรรยากาศอึมครึมเข้าสู่ความสดใส “เป็นของฝากเยี่ยม ดอกทานตะวันในห้องก็ด้วยครับ”

“ขอบใจจ๊ะ งั้นป้าให้หนูน้ำได้แล้วล่ะ” คุณป้าหัวเราะนิดๆ

“พี่ซื้อมาเหรอ ซื้อจากไหนอ่ะ”

“นี่ก็น่ารัก! พี่ที หนูขอเจ้าพวกนี้นะ” เบอร์ดี้ร้องขอทั้งที่กอดดอกทานตะวันแน่น

“พี่ให้เป็นของเยี่ยมแล้ว เธอต้องขอสองคนบนเตียงนู้น”

“แม่ หนูขอนะ”

“เฮ้ยๆ พ่อถือเป็นเจ้าของร่วมเหมือนกัน ทำไมไม่มีใครขอพ่อเลยล่ะ”

“พ่อไม่เข้ากับดอกไม้หรอก เจ้าของควรเป็นแม่มากกว่าค่ะ”

ผมหลุดหัวเราะเหมือนคนอื่น จริงครับ นอกจากคุณลุงเป็นเพศชายแล้ว ยังเลยวัยเข้ากับดอกไม้นานแล้วด้วย

และผมค้นพบว่าสองสาวของเราช่วยทำให้บรรยากาศในห้องผู้ป่วยสดใสได้ดีกว่าดอกไม้อีก

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่4] P.1 (28/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 29-07-2016 12:37:06
บทที่ 4 (ต่อ)

ให้ได้อย่างนี้สิ!

ผมนึกอย่างหงุดหงิดหลังโดนลูกชายเจ้าของคนไข้ถีบออกมาจากห้องคนป่วยด้วยเหตุผลโซฟานอนได้แค่คนเดียว ทั้งที่หมออนุญาตให้อยู่เฝ้าสองคนได้ แล้วยังโดนยึดเสื้อผ้ากับถุงนอนไปต่อหน้าต่อตาไม่พอ มีเลื่อนประตูปิดใส่หน้าสื่อชัดว่าไม่รับแขก   

พรุ่งนี้จะปล่อยให้ยืนคอยแถวหน้าโรงเรียนอนุบาลของน้องอันสักครึ่งชั่วโมง!

นึกคาดโทษใครบางคนในหัว หมุนตัวเดินผละจากมาอย่างหงุดหงิด

อ๊ะ งั้นผมก็ไปเรียนสายด้วยน่ะสิ บ้าเอ้ย! ลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้เรียนตึกเดียวกัน แถมเริ่มเรียนเวลาเดียวกันอีก

ผมเดินหัวเสียไปที่ลิฟต์ เกือบชนคนข้างหน้าดีนะเบรกตัวทัน กำลังจะอ้าปากพูดขอโทษ กลับโดนทักซะเอง

“อ้าว ไหนแม่บอกว่าทีจะค้างที่นี่”

ผมรีบเงยหน้าขึ้น พ่อผมเองครับ นึกว่าลงไปพร้อมพวกแม่แล้วซะอีก…ถ้ายังอยู่นี่แสดงว่าแวะที่ไหนสักแห่งมา

ตอนแรกผมนึกว่าไปห้องน้ำ แต่ในห้องคนป่วยก็มีนี่หว่า มาร้องอ้อในใจตอนเห็นโบชัวร์หลายใบในมือพ่อ มีตั้งแต่ตรวจสุขภาพของผู้ใหญ่ไปจนถึงเด็กเล็ก กับพวกโปรแกรมวัคซีนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ นึกอยากยกมือก่ายหน้าผาก

นี่ผมต้องมาฟังเสียงน้องร้องไห้ตอนโดนฉีดยาอีกแล้วเรอะ!

“สนใจนี่เหรอ?” พ่อโบกโบชัวร์ไปมาแถมยื่นให้อีก “ทีเอาไปอ่านก่อนก็ได้”

ผมรีบส่ายหัวรัวๆ ชวนพ่อเดินไปหน้าลิฟต์ด้วยกัน บอกตามตรงผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

“ยังไม่ตอบพ่อเลยนะ”

ตอบ? อ้อ...

“โดนพาร์ถีบออกมาครับ คืนนี้ผมเลยต้องกลับไปนอนบ้าน” ผมทำหน้าหงุดหงิดพลางกดปุ่มเรียกลิฟต์ “คนอุตส่าห์หวังดีไม่อยากให้นอนเฝ้าคนป่วยตั้งสองคนตามลำพัง มีคนช่วยดูแลเพิ่มดีกว่าเห็นๆ พ่อว่างั้นไหม”

อ้าว บิดาที่เคารพหัวเราะใส่ผมซะงั้น

“อะไรอ่ะ พ่อต้องเข้าข้างผมสิ!”

“ฮะๆ แล้วลูกไม่คิดว่าตอนนี้พาร์อยากอยู่ตามลำพังกับพวกลุงแทนบ้างล่ะ”

สมองผมผุดภาพเพื่อนแปลงร่างเป็นก๊อตซิล่าพ่นไฟขึ้นฟ้า แล้วบ่นฉอดๆๆ จนสองฮีโร่ฝ่ายธรรมะต้องนั่งคุกเข่าก้มหน้าก้มตาฟัง…คิดแล้วแอบสยองแทน

“เผื่อลูกยังไม่รู้ ลุงแทนกับป้าเจนเป็นพวกเสพติดงานทั้งคู่ พ่อได้ยินแม่บ่นมาเหมือนกันว่าที่เข้าโรงพยาบาลรอบนี้ เพราะหนีไปเคลียร์งานที่มีปัญหาถึงบริษัทแทนใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับบ้านในช่วงวันหยุด แต่ก่อนล้มโดนหามมาหาหมอแบบนี้ ทั้งคู่ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ๋งดีใช่ไหมล่ะ”

มีขยิบตาส่งให้ด้วย ผมทั้งอยากพยักหน้าและส่ายหัวพร้อมกัน

“ถ้าพ่อจะทำตาม ผมไม่เห็นด้วยนะ ไม่เท่เลย”

“นี่เลย! เดี๋ยวนะ ขอพ่อจดหน่อย” พ่อหยิบสมุดเล่มเล็กสำหรับพกติดตัว มีปากกาด้ามเท่าสมุดเสียบรอพร้อมใช้งาน มือขยับจดคำพูดของผมยิกๆ “พ่อจะเอาไปบอกลุงแทนของลูก ดูสิจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้มากน้อยแค่ไหน”

“งั้นเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการเทียวไปเทียวมาบ้านเรา”

“จะว่าเกี่ยวก็เกี่ยวอยู่ ปกติลุงป้าของลูกไม่ล้มง่ายๆ แบบนี้หรอก แค่ทำงานข้ามวันน่ะจิ๊บๆ พ่อคิดว่าเพราะพักผ่อนไม่พอเกือบทั้งสัปดาห์ แล้วเจอโต้รุ้งข้ามวันข้ามอีกคืน เลยจบด้วยการมานอนแหมะที่โรงพยาบาลนี่แหละ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ แบบนี้นี่เอง

“ส่วนลูกต้องเข้าใจพาร์หน่อย เด็กคนนั้นพึ่งพาตัวเองมาตลอด เลยไม่เข้าใจความคิดของลูก พอมีคนเสนอตัวช่วย พาร์คงเกรงใจ ไม่อยากให้มาลำบากด้วยเรื่องในครอบครัวตัวเอง แต่ถ้าช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็รับไว้นะ อย่างเสื้อผ้าของลูกไง”

แววตาของพ่อดูเข้าอกเข้าใจคนกล่าวถึงไม่น้อย นี่ล่ะมั้งที่ว่าผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน

“ส่วนลูกโตมากับหลายๆ คน ทุกคนช่วยกันดูแลจนลูกโตในระดับหนึ่ง เลยซึมซับเรื่องการร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันมาไม่น้อย กรณีของลูกเลยตรงข้ามกับพาร์ที่ยืนหยัดเข้มแข็งตามลำพัง” พูดถึงตรงนี้พ่อก็หัวเราะอีก “ถึงอย่างนั้นทั้งลูกทั้งพาร์กลับเข้ากันได้ดี พ่อแปลกใจจริงๆ”

ผมขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย “พ่อรู้ได้ไงว่าเราเข้ากันได้?”

“ก็พวกลูกพึ่งเจอหน้ากันแท้ๆ กลับดูสนิทเหมือนรู้จักกันมานาน…” พูดถึงตรงนี้พ่อก็หยุด ขยับหัวมาใกล้หูผม ลดเสียงลงเหลือกระซิบ “พ่อกับลุงแทนพนันกันด้วยล่ะว่าพวกลูกจะได้เจอหน้าจังๆ เมื่อไหร่”

ฮะ? พ่อผมกับพ่อพาร์พนันเรื่องนี้กันเนี่ยนะ?

“แต่กว่าได้เจอหน้ากันจริงๆ ตั้งเกือบสิบปีแบบนี้ พวกพ่อเลยโดนกินเรียบ พวกลูกนี่เหมือนแม่เหล็กจริงๆ ก่อนหน้าก็เอาแต่ผลักกันไปมาตลอด ส่วนเดี๋ยวนี้…”

“เดี๋ยวนะพ่อ! เกือบสิบปีนี่คืออะไร”

ผมพูดขัดอย่างข้องใจสุดๆ พ่อเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะยิ้ม

“งั้นพ่อเล่าอะไรให้ฟัง ลุงแทนเป็นเพื่อนสมัยมัธยมพ่อเอง พึ่งได้เจอกันอีกหนหลังส่งน้ำเข้าเรียนอนุบาล แต่สมัยนั้นน้องสาวเรากับเบอร์ดี้เรียนคนละห้องเลยไม่สนิทกันเท่าไหร่ บางครั้งลุงแทนก็ฝากลูกชายลูกสาวมาอยู่บ้านเรา แต่ช่วงนั้นลูกกำลังมีปัญหาไม่ยอมมาค้างที่บ้านพ่อ…ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น พ่อเข้าใจน่า อีกอย่างเพราะพ่อแม่ตัดสินใจยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงตั้งแต่เกิด ลูกจะห่างเหินกับพ่อแม่ก็ไม่แปลกหรอก”

พ่อโยกหัวผมไปมา เป็นเวลาเดียวกับลิฟต์ที่กดเรียกมาถึงพอดี เลยพากันเดินเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยม ข้างในมีแค่เราสองคน พ่อเลยเล่าต่อ “สองสาวน้อยเล่นด้วยกันบ่อยๆ พอเข้าประถมอยู่ห้องเดียวกันเลยเริ่มสนิทมากขึ้นเรื่อยๆ คบเป็นเพื่อนกันมาถึงปัจจุบัน อันนี้ลูกคงรู้แล้ว พวกพ่อก็เหมือนกันเจอกันบ่อยๆ เข้าก็สนิทกว่าสมัยเรียนหนังสืออีก”

ผมพึ่งได้รู้ถึงความสนิทสนมของสองบ้าน ความเป็นมายาวนานดีจริงๆ หลังครุ่นคิดถึงประเด็นที่พ่อต้องการสื่อบอกก็เอ่ยปากถาม

“หมายความว่า ผมควรรู้จักพาร์นานแล้ว?”

“ก็นะ ถ้าไม่เอาแต่เฉียดจะเจอกันหลายครั้งหลายหนก็ไม่ได้เจอสักทีน่ะ พวกแม่ๆ ยังบ่นอยู่เลยว่าพวกลูกไร้วาสนาต่อกัน ชวนไปทำบุญให้พวกลูกออกบ่อย จำสายสิญจน์ที่แม่เอามาผูกข้อมือให้ลูกได้ไหม”

ผมพยักหน้า สายสิญจน์เส้นแรกและเส้นเดียวที่ได้มาจากแม่ ทำไมจะจำไม่ได้ แม่บอกว่าไปดั้งด้นขอพระมาให้ ผมเลยผูกติดข้อมือตลอดตั้งแต่ป.6 จนขาดไปเมื่อตอนม.5

“แม่ให้มาเพราะผมเตรียมสอบเข้าม.1 นี่ครับ” ผมไปลองสนามโรงเรียนดังมา แต่ไม่ติดครับ ถึงติดผมก็ไม่คิดย้ายโรงเรียนหรอก ได้ยินแม่บ่นอยู่ว่าสายสิญจน์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทำผมรู้สึกผิดไปหลายวัน เพราะรู้ตัวดีว่าไม่ได้เตรียมตัวไปสอบเหมือนเด็กคนอื่น

พ่อหัวเราะอีกแล้ว “ใครบอก แม่กับป้าเจนไปขอมาเพื่อผูกดวงพวกลูกต่างหาก ไม่เชื่อไปถามพาร์สิ โดนบังคับผูกติดข้อมือเหมือนลูกนั่นแหละ สองคนนั้นบ่นใหญ่ว่าไม่ได้ผลบ้างล่ะ ไม่ศักดิ์สิทธิ์บ้างล่ะ ขนาดพาร์ย้ายเข้าโรงเรียนลูกตอนม.ต้น เรียนครบสามปี พวกลูกยังไม่รู้จักกันเลย”

“ฮะ! เรียนโรงเรียนเดียวกัน?!”

ตายล่ะหว่า ทำไมผมไม่เคยเจอ เอ๊ะ หรือเคยเห็นผ่านๆ?

“นี่ลูกพึ่งรู้? ไม่ไหวๆ ถ้าพาร์ไม่ไปเรียนต่างประเทศช่วง ม.ปลาย พวกพ่อว่าจะลุ้นต่ออีกสามปี”

ผมย่นหน้า แสดงว่าเรื่องผมกับพาร์เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ แฟมมิลี่มาหลายปีดีดัก โดยพวกผมไม่รู้เรื่องด้วยสักนิดสินะ

“แต่หลังจากเห็นพาร์กับทีในช่วงนี้ พ่อคิดว่าแม่เหล็กน่าจะสลับขั้วแล้วล่ะ”

พ่อหย่อนคำแซวทิ้งท้ายในช่วงลิฟต์เปิดออกที่ชั้นแรก คนพูดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีไปรวมกลุ่มกับพวกแม่ที่ยืนคอยอยู่ใกล้ประตูทางออก ปล่อยให้ผมเดินเคี้ยวฟันตามหลัง

ถ้าผมเดาไม่ผิด พ่อต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าสาวน้อยประจำบ้านกำลังวางแผนทำอะไรอยู่

แล้วทำไมไม่ห้ามน้องล่ะครับพ่อ!

แต่เชื่อไหม ผมว่าผมรู้คำตอบ เฮ้อ…มีพ่อหัวสมัยใหม่ก็น่ากลุ้มใจเหมือนกันนะครับ 

-------------

โชคดีครับคุณลุงคุณป้าไม่เป็นอะไรมาก วันนี้ (วันอังคาร) ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่คุณหมอให้ออกตอนเย็น แม่ผมอาสาไปรับทั้งคู่เอง เย็นนี้ผมเลยต้องไปรับน้องอันกับซื้อของกินตามลิสต์รายการยาวเหยียด เนื่องจากวันนี้ที่บ้านผมจะมีงานฉลองออกจากโรงพยาบาลกัน

PAR:  ตกลงไปซื้อของก่อนค่อยไปรับน้อง?
TEE:  ช่าย

ผมกดพิมพ์ส่งคำตอบให้พาร์ทางไลน์ ระหว่างเดินตามเพื่อนไปโรงอาหาร เวรเฝ้าโต๊ะวันนี้รู้สึกจะเป็นของศิ 

PAR:  เลิกห้าโมง?

ก็จำได้นี่หว่า ผมก๊อปปี๊คำตอบเมื่อกี้ส่งไปใหม่อีกครั้ง

TEE:  ช่าย
PAR:  งั้นเจอกันที่เดิม
TEE:  สติกเกอร์หมีขาวโอเค

ถึงโรงอาหารพวกเราก็แยกย้ายทำหน้าที่ นนท์อาสาซื้อข้าวให้ศิ เรื่องน้ำเลยตกเป็นหน้าที่ผม เพราะร้านข้าวที่ผมชอบอยู่ใกล้ร้านน้ำพอดี ซื้เสร็จก็กลับมารวมตัวกันที่โต๊ะอีกครั้ง

“อาทิตย์หนึ่งแล้วนะ”

ผมเงยหน้ามองเด็นที่จู่ๆ ก็พูดเปรยแบบไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร ไม่ใช่แค่ผม เพื่อนอีกสี่คนก็มองเด็นเหมือนกัน ต่างคนต่างงง ไม่เข้าใจว่ามันต้องการสื่ออะไร

“ที่มึงทะเลาะกับผัว?” ลูกหว้าเปิดประเดิมก่อนใคร

“ไม่ใช่ พวกกูยังหวานชื่นดี”

หวานบ้าอะไร! ผมยังโดนสามีมันโทรถามอยู่เลยว่า ช่วงนี้เมียมันไปกินรังแตนที่ไหนมา ผมเลยสวนไปว่า ถ้าอยากให้เมียหายหงุดหงิด เลิกไปสังสรรค์กับรุ่นพี่เกือบทุกวันได้แล้ว แม่ง ไปเมาเหมือนหมาจนเมียอารมณ์เสีย ยังไม่รู้ตัวอีก…ความจริงเด็นบอกผมว่ามันไปมีคนอื่นด้วย ผมก็ได้แต่ส่งหลักฐานว่ามันไปกับรุ่นพี่ในคณะให้เด็นดู

“แล้วอะไรคือหนึ่งอาทิตย์ของมึง” นนท์ถามเป็นคนที่สอง                 

เด็นจ้องผมทำไม?

“เพื่อนทีของเราให้หนุ่มหล่อคณะนิติติดรถไปกลับครบอาทิตย์แล้วน่ะสิ กูเลยคิดว่างานนี้ต้องมีซัมติง”

พอมีคนจุดประเด็น เพื่อนในกลุ่มก็หันขวับจ้องผมตาเป็นตาเดียว แววตาเปลี่ยนเชียวนะพวกมึง

“เอ…ยังไงหนอ เพื่อนทีช่วยให้ความกระจ่างกับพวกเราหน่อย”

ลูกหว้าพูดขึ้นก่อนใคร ผมมองรอยยิ้มแสยะของคนพูดด้วยความสยอง

“…มึงหึง?”

“จุ๊ๆ เรื่องแบบนี้เค้าไม่พูดกัน...”

“เพราะยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

ผมขำก๊ากหลังได้ยินประโยคเดียวของศิ แม่ธิดาผู้พูดความจริงตลอดกาลแผลงฤทธิ์ทีเดียวท่านิ้วแตะปากคลี่ยิ้มมีเลศนัยเสริมเสน่ห์ของลูกหว้าพังครืนในพริบตา ฮ่าๆๆ

“แม้แต่เพื่อนยังไม่ได้เป็นเลย” นนท์ตอกยี้กคน แววตาสั่นระริก

“หึ เรื่องนี้ต้องโทษคนนี้ค่ะ” อ้าว ผมโดนลูกหว้าชี้นิ้วป้ายความผิดเฉย “เมื่อไหร่คุณเพื่อนทีจะแนะนำให้รู้จักสักทีคะ?”

ผมยกสองมือเป็นเชิงยอมแพ้ “ขอโทษเถอะ กูถามให้แล้วนะ แต่พาร์ไม่อยากเจอมึงว่ะ”

เสียงหัวเราะดังกระจายรอบทิศ เรื่องนี้โทษผมไม่ได้นะครับ เพื่อนคนอื่นได้รู้จักกันไปแล้วด้วยความบังเอิญ เจอกันตอนกินข้าวเที่ยงเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว เพราะโรงอาหารกลางโต๊ะไม่พอนั่ง กลุ่มพาร์เลยมาขอแจมด้วย แต่ตอนนั้นลูกหว้าดันโดนข้าศึกบุกชิดประตูเมือง ไปขลุกในห้องน้ำซะนาน กว่าจะออกมาพวกพาร์ก็ไปแล้ว หลังจากนั้นยังไม่มีโอกาสได้เจออีกเลย นึกแล้วก็ส่ายหน้า ไร้วาสนาจริงๆ เพื่อนผม อ๊ะ ผมไปว่าคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นี่หว่า

“เรียกมากินข้าวด้วยกันเลย!”

“เฮ้ๆ ไม่ได้ยินที่เพื่อนทีบอกหรือครับเพื่อนหว้า เจ้าชายของมึงไม่อยากเจอหน้ามึงอ่ะ”

“หุบปากไปเลยอีเด็น มีแฟนอยู่วิศวะซะเปล่า ไม่เค๊ยไม่เคยลากก๊วนหนุ่มหล่อประจำวิศวะมากินข้าวกับกลุ่มเราสักครั้ง”

“คนละกลุ่มกันโว้ย สามีกูรู้จักแต่ไม่สนิท ฟังภาษาคนออกรึยัง!”

อ้อเหรอ ไม่สนิท ผมจะจำไว้นะเพื่อน

ผมตีเนียนหัวเราะขำไปพร้อมมินต์ ผู้รับชมการโต้คารมณ์ประจำกลุ่มเพียงอย่างเดียว ในกลุ่มเรา มินต์เรียบร้อยที่สุดแล้ว อ่อนหวาน มีน้ำใจ แต่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่

“แล้วตกลงเพื่อนทีจะนัดให้มะ? วันนี้เรียนตึกเดียวกันนี่”

ผมหัวเราะค้าง ไหงกลับมาประเด็นเดิมอีกแล้วล่ะ นึกว่าลูกหว้าจะออกทะเลกู่ไม่กลับแล้วซะอีก

“จะนัดก็รีบนัด นี่เที่ยงสิบห้าแล้ว เดี๋ยวพวกนั้นกินข้าวกันก่อน” ศิเอ่ยเตือน

ผมกรอกตานึกตารางเรียนเป้าหมายออกจากหัวสมอง พาร์ไม่ได้บอกผมหรอก แต่น้องสาวคนดีพยายามยัดมันเข้าสมองผมต่างหาก และทำสำเร็จด้วย เพราะผมทนเสียงน้องกรอกรูหูไม่ไหวเลยเอามานั่งอ่านนั่งท่องเอง แถมต้องไปทดสอบความจำกับน้องหลายคำถาม แทบร้องไชโยตอนน้องบอกผ่าน หลุดพ้นจากปีศาจน้อยได้ซะที 

“คงไม่ได้ ช่วงบ่ายพาร์เรียนอีกตึก ไม่ได้กินข้าวที่นี่”

“ม...หมายความว่าโอกาสมีแค่ตอนเช้า”

ผมมองท่าทางโอเวอร์แสนเศร้าของลูกหว้าด้วยความขำ เพราะวันนี้ลูกหว้ามาสายเลยไม่ทันได้เห็นพาร์เดินมากับผมเหมือนครั้งก่อน อีกอย่างผมกำลังสงสัย ลูกหว้าคิดจีบพาร์แน่เหรอ เห็นส่องคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ไม่เห็นเข้าหาใครแบบจริงจังสักคน แน่นอนเป้าหมายของลูกหว้าต้องเป็นหนุ่มหล่อครับ แต่โคตรต่างสไตล์กันเลย ให้อารมณ์เหมือนสาวๆ ตามปลื้มโอปป้าที่ชื่นชอบมากกว่า   

“ลืมบอก ศุกร์นี้พวกมึงมาเชียร์กูด้วย” นนท์เปิดประเด็นใหม่

“นนท์มีแข่ง?” มินต์ถามอย่างแปลกใจ

ผมแปลกใจเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่น่าจะมีแข่งกีฬาที่ไหน เพราะอีกสามอาทิตย์จะสอบปลายภาคแล้ว

“แข่งซ้อมมือเฉยๆ เล่นสนุกๆ แต่แอบเอาจริง”

“ฟังดูขัดแย้งนะ” เด็นตั้งข้อสงสัย

“มันเป็นศักดิ์ศรีของคณะ!”

“แข่งกับคณะอื่น?” ผมถาม นนท์ผงกหัวว่าใช่

“คณะอะไร? หนุ่มหล่อเยอะปะ?” ตาเป็นประกายมากไปแล้วลูกหว้า

“บ่ายศุกร์ของปี1 คณะเราไม่เรียน และที่ว่างตรงกันมีแค่คณะเดียว...”

ผมชะงัก ชักสังหรณ์ใจพิกล รอฟังนนท์พูดเฉลย

“เด็กนิติ”

นั่นไง ขณะที่ผมกุมขมับ ยัยลูกหว้ากลับดี้ด้าถามกลับได้รวดเร็วทันใจ

“หูย สรรค์เข้าข้างคนสวยแล้ว ว่าแต่แข่งอะไรอ่ะ?”

“บาส”

“คราวนี้เดิมพันอะไร” ศิถามด้วยความเคยชิน แข่งรอบนอกทีไรเป็นแบบนี้ทุกที

นนท์เม้มปาก ท่าทางลำบากใจจนพวกผมชักลุ้นตามการอ้าปากของเพื่อน

“สะใภ้คณะ”

ทั้งกลุ่มเงียบกริบ มองหน้ากันไปมา ก่อนเด็นถามหน้างง “มันคืออะไร”

ผมเบนสายตาจ้องนนท์เหมือนเพื่อนคนอื่น

นนท์ส่ายหน้าหวือว่าไม่รู้เหมือนกัน “แต่พวกรุ่นพี่พูดกับพวกกูปี1 เสียงเครียด แสดงว่ามันต้องสำคัญ”

ผมสะดุดหู รีบถามให้แน่ใจ “ปี1 ลงแข่งเอง?”

ทุกทีคละๆ ชั้นปีกันไป แต่ส่วนใหญ่ในทีมจะมีปี1 แค่คนเดียวนี่หว่า

นนท์ส่ายหน้า “กัปตันทีมเลือกจากรุ่นพี่ แต่สี่คนที่เหลือปีหนึ่งหมดวะ”

กลุ่มผมฮือฮากับข่าวใหม่ทันที ก่อนจะพูดอะไรมากกว่านั้น โทรศัพท์ทุกคนส่งเสียงแจ้งเตือนไลน์เข้า เสียงเฉพาะแบบที่รู้ได้ทันทีว่าจากประธานชั้นปี1

มล: แจ้งข่าว! รุ่นพี่เรียกรวมตัว บ่ายโมงที่ห้องเรียน 602 ณ อาคารเรียนรวมXXX

6 ตัวแรกหมายถึงชั้น ส่วน 02 คือเลขห้องครับ สถานที่ก็อาคารเรียนร่วมที่ผมอยู่ตอนนี้ มันมีหกชั้น ชั้นบนสุดมีแค่สองห้อง เป็นห้องใหญ่มาก ไม่ค่อยได้เปิดใช้หรอก นอกจากมีประชุมรวมทุกชั้นปี งานประชุมวิชาการ ไม่ก็งานบรรยายอะไรสักอย่างที่ต้องจุคนเยอะๆ   

“…หรือว่าจะเกี่ยวกับสะใภ้คณะอะไรนั่น?” ศิเปรยขึ้นมา

“ชัวร์!” ลูกหว้าลงความเห็น

จะใช่หรือไม่ ก็ต้องไปตามนัดอยู่ดีครับ

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่4] P.1 (28/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 29-07-2016 19:46:23
สนุกมากกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 30-07-2016 11:39:49
บทที่ 5

“สะใภ้คณะคือตำแหน่ง!”

พี่นัน ประธานคณะปี4 เพศหญิงตั้งแต่กำเนิดจนถึงปัจจุบันเอ่ยเกริ่นนำเรียกความสนใจได้อย่างดี 

ปี1 เกือบทั้งหมด (ต้องมีคนโดดเชื่อผมไหม) รวมผม นั่งนิ่งฟังรุ่นพี่อธิบายความเป็นมาของตำแหน่งประหลาดในห้องใหญ่มาก ผมและพวกเพื่อนๆ นึกว่าเดี๋ยวมีรุ่นพี่ปีอื่นมาสมทบ จึงพากันนั่งกระจุกรวมตัวแถวหน้าห้องตั้งแต่เข้ามาจนเลยเวลานัดไปโขก็มีแต่ปี1 ด้านหลังพวกเราตอนนี้เลยวังเวงสุดๆ 

“หรือถ้าให้เปรียบเทียบแบบเห็นภาพชัดๆ มันคือการเหมือนการสังเวยคนในคณะหนึ่งคนเป็นของเดิมพัน หากฝ่ายไหนแพ้ต้องยกคนๆ นั้นให้อีกฝ่ายโดยไม่มีข้อแม้ คล้ายกับยกลูกสาวไปของบรรณาการให้เมืองขึ้นนั่นแล”

ผมเริ่มมองเห็นภาพมากขึ้นแล้ว หูก็ฟังคำอธิบายต่อ

“จุดสำคัญอยู่ที่พิธีมอบตัวค่ะน้องๆ หลังแข่งจนรู้ผล ตัวแทนฝ่ายแพ้ต้องอยู่เฉยๆ รอให้ใครสักคนในฝ่ายชนะเลือกตัวไปเป็นคู่ หรือที่เรียกว่า ‘สามีเลือกคู่’ แต่ถ้าไม่มีใครเลือกในวันมอบตัวก็จะหลุดจากตำแหน่งสะใภ้เข้าสู่ตำแหน่ง ‘สาวใช้’ หรือที่เรียกว่า เบ้ ทันที ต้องโดนอีกคณะโขกสับให้เจ็บกระดองใจเล่นๆ โดยที่ไม่สามารถช่วยลูกคณะที่เป็นเบ้ได้เลย”

ท่านประธานกำหมัดแสดงท่าทางเจ็บปวดปนเศร้าได้น่าดูชมมาก ทำเอาเด็กปีหนึ่งเผลอกลืนน้ำลายลงคอเป็นแถบ วันนี้พี่แกฉายเดี่ยวครับ เพราะพี่คนอื่นติดเรียนกัน เห็นว่าพี่นันโดดมาเพื่อพบพวกเราเหล่าเด็กปี1 โดยเฉพาะ

“เมื่อเทียบกับอัตราส่วนการแข่งขัน คนที่ได้เป็นสะใภ้คณะมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ได้เป็นเบ้ทั้งนั้น เพราะทั้งได้คนช่วยงานแบบขัดขืนไม่ได้ฟรี ตรงนี้แหละที่ต่างกับสะใภ้คณะ เพราะทางคณะสามีต้องถามความยินยอมพร้อมใจก่อน และถ้าได้สามีดียังสามารถช่วยพูดคัดค้านได้อีกต่างหาก พูดง่ายๆ สถานะและศักดิ์ศรีของสองตำแหน่งต่างกันมาก ประหนึ่งเมียหลวงที่ได้รับการยอมรับอย่างดี กับเมียทาสที่ต้องไปให้เขาจิกหัวใช้นั่นแล”

เป็นคำอธิบายที่เห็นภาพชัดดีครับ ทำเอาพวกเรารับรู้ว่าพนันคราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

“แล้วพี่เรียกรวมเฉพาะเด็กปี1 ทำไมครับ”   

อันนี้ผมก็สงสัย

“เพราะมีกฎว่าต้องเลือกลูกสาวจากปี1 เท่านั้น”

เงียบฉี่…

“ผู้ชายไม่เกี่ยวใช่ไหมครับ”

“ชายหญิงเกี่ยวหมดค่ะ!”

เท่านั้นแหละเสียงผึ้งแตกรังดังกระหึ่ม จนรุ่นพี่ต้องเคาะไมโครโฟนให้รุ่นน้องเงียบ

“พวกพี่ช่วยทำฉลากมาให้แล้ว”

พี่นันยก เอ่อ ถุงดำ? ไม่สิ จากรูปทรงผมนึกถึงตะกร้าใบเล็กที่ผมใช้ใส่ขยะในห้องนอน แต่เพราะถูกหุ้มถุงดำ ผมเลยไม่แน่ใจว่าใช่อย่างเดียวกันไหม แต่ข้างในถุงดำต้องมีอะไรอยู่แน่นอนครับ ไม่ถังใบเล็กก็ตะกร้า พอพี่นันตะแครงให้ดู ผมเห็นแวบๆ ว่าด้านบนสุดถูกกรีดเป็นรูปกากบาทให้แค่สอดมือเข้าไปได้ เอ่อ ฉลากก็น่าจะอยู่ในนั่น

พี่นันล้วงหยิบให้ดูหนึ่งใบ เป็นฉลากม้วนแท่งกลมๆ ยาวประมาณสองข้อนิ้วมือ

“จับคนละ1ใบค่ะ ส่วนใหญ่เป็นกระดาษเปล่า มีเพียงใบเดียวปั๊มตราคณะเรา คนที่จับตราคณะได้จะเป็นลูกสาวคณะค่ะ”

ผมนึกถึงหนังจีนขึ้นมาเลย ‘หนึ่งใบ กำหนดชะตากรรม’ ...เป็นแบบนี้นี่เอง

“ใครสงสัยอะไรก็รีบถาม ถ้าไม่มีพี่จะให้นับจำนวนคน และเริ่มจับฉลากกันแล้วค่ะ”

ปี1 มองหน้ากัน ก่อนจะมีแนวหน้ายกมือถามกันสลอน ใครมันจะไปยอมเสี่ยงจับฉลากเลยเล่า อย่างน้อยขอถ่วงเวลาสักหน่อยก็ยังดี

“น้องผู้ชายที่นั่งข้างคนติดกิ๊บดอกไม้ชมพูค่ะ”

พี่นันชี้นิ้วทางพวกผม ทางขวาผมคือเด็น ไม่มีกิ๊บแน่ เลยหันซ้าย อ้อ กิ๊บของลูกหว้านี่เอง เด่นจนผมได้ถามคนแรกเลยวุ้ย

ผมรีบลดแขนลง ลุกขึ้นยืนเปล่งเสียงถาม “ข้อดีของสะใภ้คณะคืออะไรครับ”

“ได้รับสิทธิ์พิเศษเข้าออกตึกคณะสามีอย่างอิสระ แม้จะอยู่ในช่วงพิเศษห้ามคนนอกเข้าออกค่ะ นอกจากนี้ยังได้รับการดูแลอย่างดี เชื่อได้เลยว่าคนในคณะสามีไม่มีใครคิดร้ายด้วยแน่นอนค่ะ แต่หากประพฤติไม่ดีหรือทำความผิด สามีและสะใภ้ต้องรับโทษร่วมสองเท่านะคะ”

รอบข้างผมเกิดเสียงฮือฮาใหญ่ ผมแอบได้ยินเสียงของเพื่อนที่นั่งด้านหลัง

“เอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้นใครจะกล้าเลือกสะใภ้กัน…”

“เงียบๆ ค่ะ มีใครจะถามต่อไหมคะ น้องที่สวมสร้อยคอกางเขนค่ะ”

“กรณีสามี สามารถขึ้นตึกคณะของสะใภ้อย่างอิสระเหมือนกันไหมครับ”

“สามีได้รับสิทธิ์เช่นเดียวกับสะใภ้ค่ะ”

จากนั้นพี่นันชี้นิ้วอย่างเดียว คนที่ยกมือคิดว่าใช่ตัวเองก็ลุกขึ้นถาม หลังๆ บางคนลุกขึ้นถามเลยไม่รอให้ถูกชี้ตัวด้วยซ้ำ การถามตอบเลยไปค่อนข้างเร็ว

“สามีนี่ใครอาสาก็ได้เหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ถ้าใครนึกถูกชะตาลูกสาวตอนมอบตัวก็ยกมือตอบรับได้เลย ถือเป็นการให้เกียรติ์อีกคณะหนึ่งด้วย อ้อ มีข้อยกเว้นพิเศษ คณะที่เป็นพันธมิตรกัน ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะก็ต้องรับลูกสาวคณะที่แพ้เป็นสะใภ้ค่ะ”

“พี่ครับ ลูกสาวคืออะไรกันแน่ ต่างกับสะใภ้คณะตรงไหน”

“ลูกสาวเป็นคำใช้เรียกเหยื่อสังเวย เอ้ย พี่หมายถึงตัวแทนก่อนที่จะตบแต่งเข้าคณะอื่นค่ะ ถ้าแต่งแล้วถึงเรียกว่าสะใภ้คณะ”

“แล้วเรากับนิติเกี่ยวข้องกันไหมคะ”

“แหม พี่ว่าจะไม่บอกนะ ไม่นึกว่าจะมีคนถาม…นิติกับเราถือเป็นพันธมิตรกันค่ะ”

ท่ามกลางเสียงฮือฮาของเด็กปี1 ผมนั่งขมวดคิ้ว

…เป็นพันธมิตรกันแท้ๆ ไหงเลือกสะใภ้เป็นของเดิมพันเล่า

“ทำไมถึงเลือกเดิมพันเป็นสะใภ้คณะล่ะคะ”

มีคนยกมือถามให้แล้วครับ ผมหูผึ่งรอฟังเลย

พี่นันยิ้มแห้ง “พอดีสะใภ้คณะนิติคนก่อนเรียนจบไปปีที่แล้ว ทั้งสองคณะเลยต้องหาสะใภ้คนใหม่มาเกี่ยวดองกันไว้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นพันธมิตรของเราค่ะ เดิมพันของเรากับนิติจะเกิดขึ้นทุก 4 ปี พวกน้องนี่โชคดีสุดๆ”

ดีจริงเหรอ…ผมชักไม่แน่ใจ

“หมายความว่า เป็นการจับคู่ระหว่างเด็กปี1 คณะเรากับเด็กปี1 คณะนู้นใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ แต่พี่อยากเตือนว่า ถ้าไม่ใช่พันธมิตร ฝ่ายสามีจะเป็นใครก็ได้ตั้งแต่ปี1 ยัน ปี4”

“งั้นกรณีพันธมิตรจะต้องถูกระบุว่าเป็นปี1 เท่านั้นใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ มันเป็นกฎตั้งแต่แรกเริ่มประเพณี”

สรุปงานเข้าปี1 เต็มๆ ผมลอบถอนหายใจ

“สะใภ้คณะมีข้อดีแค่นี้เองเหรอคะ” 

“แค่นี้ก็เยอะแล้วนะยัยมล อ๊ะ แต่มีข้อดีอีกอย่าง เพราะได้รับการต้อนรับอย่างดี เวลาไปประสานงานจะรวดเร็วมากกว่าพี่ที่เป็นประธานปี4 ไปเองอีก” พี่นันตอบน้องสาวที่เป็นประธานชั้นปี1   

“พี่ครับ เอ่อ มันฟังดูไม่ต่างจากเบ้เลย”

เออ คิดเหมือนผม เห็นแววสะใภ้จะโดนใช้งานไปเยือนนิติบ่อยๆ เลยครับ

“ยังมีอีกค่ะ…” พี่นันไม่สนใจ พูดต่อหน้าตาย เหมือนพนักงานกำลังนำเสนอสินค้าให้คนสนใจ “สะใภ้คนไหนได้สามีหน้าตาดีนะ เอาไปควงอวดสบาย ไม่ต้องกังวลว่าไม่เหมาะสม ไม่มีใครในสองคณะมาแย่งชิงสามีให้เหนื่อย แถมใครต่างคณะมาจีบสามีก็ไม่ต้องห่วง เพื่อนยันรุ่นพี่ทั้งสองคณะช่วยเป็นหูเป็นตา คอยกีดกันให้หมดค่ะ”

แต่เหล่าคนฟังกลับทำหน้าแหยง “เอ่อ แบบนี้แสดงว่าจะไม่สามารถมีแฟนได้อีกแล้วสิครับ”

“ก็…แบบนั้นแหละค่ะ” พี่นันเสตาหลบ ตอบอ่อมแอ้ม

มันเป็นข้อดีตรงไหนครับเพ่!

“โหย ถ้ามันแย่ขนาดนี้ แล้วใครจะเลือกคนต่างคณะเป็นสะใภ้กันครับ”

นั่นสิ อีกอย่างจะสะใภ้หรือเบ้ก็เครือเดียวกันเห็นๆ เกิดมาเพื่อคอยรับใช้คนส่วนรวมชัดๆ

“แหมๆ ถ้าเจอว่าที่สะใภ้สวยหล่อ อย่าให้พวกพี่เห็นนะว่าแย่งกันยกมืออาสาน่ะ!”

เด็กปี1 เถียงไม่ออก พอมาลองคิดมุมกลับ ถ้าได้คนสวยหล่อมาครองก็คุ้มค่าอยู่นะ เชิดหน้าควงอวดตลอดสี่ปีได้สบาย ไม่ต้องกลัวถูกใครแย่งไป ไม่ต้องคอยเทคแคร์เหมือนแฟนก็ไม่หนีหายไปไหน

อืมม…ได้อย่างเสียอย่างจริงๆ

“ทางเราจับฉลาก แล้วทางนู้นล่ะคะ?”

“จับฉลากเหมือนกันค่ะ”

…คนหน้าตาดีมีเปอร์เซ็นต์แค่ 1 ใน 10 แล้วโอกาสได้จะเท่าไรเชียว ผมถอนหายใจเฮือก ในเมื่อข้อเสียมันเยอะกว่าข้อดี ผมขอตั้งนามใหม่ให้เลยว่า

ตำแหน่งหายนะแห่งปี!

ใครได้ไปถือเป็นบุคคลดวงตก ควรรีบเข้าวัดวา สวดมนตร์ทำบุญอย่างเร่งด่วน

หมดเวลาซักถามก็ได้เวลานับจำนวนปี1 ที่มาเข้าร่วมให้ชัดเจน ตามคาดมีคนโดดจริงๆ พี่นันใจร้ายพอจดชื่อคนโดดยิกๆ ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าเอาไปทำอะไร จากนั้นก็เรียกตามแถวนั่งโต๊ะเลคเชอร์ให้ออกไปจับฉลากเรื่อยๆ

“ห้ามเปิดดูก่อนนะน้องๆ ใครขัดคำสั่งพี่จะจับไปเป็นสะใภ้คณะแทนคนที่จับฉลากได้”

คำขู่น่ากลัวขนาดนี้ แล้วใครมันจะกล้า?

แต่ผมแอบสงสัย ทำไมไม่ให้ดูตั้งแต่แรกจับฉลากเลย หรือกลัวถ้ารู้ตัวคนจับแล้ว คนที่ต่อแถว แต่ไม่ได้จับจะเสียใจเนื่องจากไม่มีโอกาสได้ลุ้นกับเขา…ก็ไม่น่าใช่ คนไม่ได้จับก็คงรอลุ้นให้ฉลากหายนะตกในมือใครสักคนอยู่ดี

คิดไปคิดมาผมก็รู้สึกแปลกๆ หรือจะมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?

กว่าถึงตาผมและพวกพ้องเพื่อนสนิทที่นั่งแถวเดียวกัน ฉลากก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ผมล้วงหยิบด้วยใจตุ๋มๆ ต๋อมๆ ได้มาแล้วก็รีบหมุนฉลากดูภายนอกให้ทั่ว กระดาษบางแค่ 70 แกรม ไม่มีทางไม่ทิ้งร่องรอยหรอก อย่างน้อยก็น่าจะได้เห็นสีอื่นแต้มบนพื้นขาว

ไม่เจอแฮะ…ฟู่ โล่งใจล่ะ ผมอยู่ในกลุ่มคนส่วนใหญ่แน่นอน เดินกลับไปหย่อนก้นนั่งที่เดิมอย่างอารมณ์ดี ยังไม่ทันได้คุยกับลูกหว้า เด็นก็ตามมาสมทบ ผมเลิกคิ้วมองสีหน้าแปลกๆ ของเพื่อน ยังไม่ทันอ้าปากถาม ม้วนกระดาษในมือผมก็โดนฉกไปต่อหน้าต่อตา

เฮ้ย?!

“มึงทำอะ…”

ไม่ทันถาเอาเรื่อง ม้วนกระดาษก็ถูกโยนคืนมา ฉลากร่วงหล่นใส่ตัก ผมเกือบคว้าแทบไม่ทัน

เล่นอะไรวะ!

ผมขมวดคิ้ว กลิ้งม้วนกระดาษยับๆ ในอุ้งมือให้กลับมาเรียบเหมือนเดิม จึงได้สังเกตว่าม้วนกระดาษเปลี่ยนไป ด้วยความติดใจเลยหยิบมาหมุนสำรวจ

…รู้สึกจะสั้นกว่าเดิมนิดหนึ่ง

สายตาไปสะดุดกึกกับรอยหมึกสีน้ำเงินแวบๆ เห็นแค่นิดเดียวเท่านั้นแหละก็ทำผมเบิกตาโต อ้าปากหวอ แน่ใจร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่ามันคือของร้อน!

ไอ้เด็นนน!

“เอาของมึงคืนไปเลยนะ!” ผมกัดฟันพูดเสียงกระซิบใส่คนนั่งข้างๆ แววตาแทบจะฆ่าไอ้บ้าเด็นได้

“มึงก็รู้ว่ากูมีแฟนแล้ว” มันกระซิบกลับ

“เกี่ยวตรงไหน!”

“กูเป็นสะใภ้ไม่ได้หรอก”

“เป็นเบ้ไปสิ!” ผมประชดกลับทั้งที่รู้แก่ใจ คราวนี้ไม่มีสิทธิ์เลือกข้อนี้

“ถ้าแฟนกูรู้เข้าได้พาพวกไปถล่มนิติแน่ มึงก็รู้” มันพูดเสียงอ่อยๆ

“มึงคิดว่าคณะเราจะแพ้?”

“กูก็แค่ป้องกันไว้ก่อน”

“ข้ออ้างน่ะสิ” ผมสบถ “คิดว่ากูไม่รู้จักนิสัยสามีมึงเรอะ เผลอๆ รู้จักดียิ่งกว่ามึงอีก มันไม่มีทางยกพวกไปถล่มใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก เอาฉลากกูคืนมาได้แล้ว”

“นะๆ แลกกันเถอะ”

ไม่ต้องส่งสายตาวิ๊งๆ ใส่กูเลยไอ้ห่าราก!!

“ทำไมต้องเป็นกูวะ คนข้างมึงอีกฝั่งไม่ไปยุ่งล่ะ”

เด็นหันไปมองแล้วหันกลับมาส่ายหน้าทันที ก็แค่คนนั่งอีกด้านเป็นไอ้นนท์ ถึงมันจะลงแข่งบาสก็เป็นสะใภ้คณะได้เหอะ!

“มึงบกเหตุผลไม่ได้ก็เอาฉลากกูคืนมาเลย!” ผมแบมือขอคืน พร้อมกับลงเสียงต่ำข่มขู่เต็มพิกัด “และถ้ายังดื้อด้าน มึงจะเจ็บตัว”

“ตรงนั้นซุบซิบอะไรกัน..!” เสียงพี่นันตะโกนขึ้นมา

ผมกับมันสะดุ้ง รีบก้มหน้าก้มตาเหมือนเพื่อนคนอื่น ได้โอกาสไอ้เด็นกำฉลากไว้แน่นเลยครับ

เออ! ผมผิดเองที่ถือไม่ระวังเลยเปิดโอกาสให้เพื่อนขโมยได้

ได้แต่ตวัดสายตาเตือนเป็นครั้งสุดท้าย มันเอาแต่ส่ายหน้าดิกๆ ลูกเดียว

ไม่คืนใช่ไหม ได้! ผมเขี้ยวฟันระหว่างนึกวิธีจัดการ ตอนนี้ตบหัวไม่ได้ เตะหรือชกก็ไม่ได้ งั้นก็…

นึกภาพมารดาที่เคารพบิดหูทำโทษก็ขยับมือไปทางเพื่อน ก่อนหนีบเนื้อต้นขามันแล้วค่อยๆ บิด ไอ้เด็นสะดุ้งเฮือก แต่ไม่หลุดเสียงร้องสักแอะ คงรู้ตัวว่าร้องเมื่อไหร่เป็นเรื่องแน่ ผมก็ไม่อยากทำมันเจ็บมากกว่านี้หรอกเลยพูดเตือนเสียงกระซิบ

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวคืนมาเร็วๆ”

“ไม่”

ได้เลยไอ้ดื้อด้าน จากบิดเบาๆ ก็เพิ่มแรงหมุน เอาให้เจ็บจนสาแก่ใจผมเลยล่ะ หึๆ

เพื่อนชั่วของผมเม้มปากแน่น หน้าเริ่มเขียวๆ ซีดๆ ท่าทางทรมานอย่างหนัก

...มันเป็นพวกชอบความเจ็บปวดเปล่าวะเนี่ย เออ ทนได้ก็ทนไป อย่าคิดว่าผมเห็นใจนะไอ้ตัวซวย

เด็นเอียงขาหนี คิดว่าจะหนีได้? ผมเปลี่ยนจุดบิดใหม่ มันสะดุ้งแรงมาก แต่ไม่ยักร้องแฮะ...อดทนได้ดี ถ้าทนได้อย่างนี้อีกสักพัก ไม่แน่ ผมอาจปล่อยฉลากตัวเองให้มัน

“เอาฉลากกูคืนมาได้ยัง”

ผมถามเสียงเย็นกระตุ้นทิ้งท้าย พลางส่งสายตาพร้อมฆ่าคนแถมให้ด้วย หากครั้งนี้มันหุบปากยอมทนเจ็บเหมือนเดิม ผมจะปล่อยวางแล้ว

“ที…ทีจ๋า”

แต่มันดันทำความพยายามที่ผ่านมาศูนย์เปล่า เสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

“คืนมา!”

“ค เค้าเจ็บ…”

“คืนมา” ผมบิดแรงกว่าเดิม ไร้ความเห็นใจ มีแต่อยากถีบมันเพิ่มมากกว่า “ถ้ายังไม่คืนอีก กูจะทำให้เนื้อมึงหลุดติดมือมาเลยล่ะ”

“ที…”

ผมขมวดคิ้ว ยิ่งมันทำท่าน่าสงสาร มีน้ำตาหยดแหมะๆ ด้วย ยิ่งไม่ชอบใจอย่างแรง ทั้งที่เมื่อนาทีที่แล้วพึ่งแอบชมในใจว่าอดทนได้ดีไปหยกๆ แม่ง พอเริ่มส่งเสียงปุ๊บ พลิกเลย สาวแตกโคตรเร็ว ใครวะเคยเถียงกูว่ายังแมน

“คืนฉลากมา”

“เอาล่ะน้องๆ เปิดฉลากได้”

เหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิตไอ้เด็น ผมสบถในใจ ยอมปล่อยมือจากเนื้อเพื่อน ขณะที่ไอ้เด็นเป่าปากถอนหายใจ

โล่งอกเหรอมึง ได้ๆ

ผมอาศัยจังหวะที่มันกำลังคลี่ม้วนกระดาษฉกของตัวเองคืนมา เมินตาโตๆ ของมัน แล้วดีดฉลากหายนะกลับคืนเจ้าของ บอกตามตรง ผมเริ่มอารมณ์เสียนิดๆ แล้ว คลี่ฉลากตัวเองดู กระดาษเปล่าจริงๆ ครับ ดูเสร็จก็ขย้ำไว้ในอุ้งมือ นั่งกอดอกหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ นับหนึ่งถึงสิบให้ใจร่มๆ เข้าไว้   

“น้องคนไหนได้ตราคณะ ลุกขึ้นยืนเลยค่ะ” 

 เงียบฉี่…

ผมรู้อยู่แล้วว่าใคร ส่วนคนอื่นกวาดมองรอบห้องค้นหาผู้โชคร้าย เอ้ย ต้องโชคดีสิ ก็มันเป็นฉลากตราคณะใบเดียวท่ามกลางฉลากเปล่านับร้อยใบนี่นะ

“อ้าว น้องคนนั้นร้องไห้ทำไมคะ”

เหมือนพี่นันที่กวาดตามองหาผู้โชคดีจะสังเกตเห็นน้ำตาบนหน้าไอ้เด็นเข้า ทุกสายตามองมันที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หน้าโคตรเศร้า หยาดน้ำตาคลอเต็มเบ้าจนดูน่าสงสารหนักกว่าเดิม แต่กับผมดูขัดตาพิกล…ผู้หญิงหรือเพื่อนใจหญิงของผมยังแมนกว่ามันเลย อย่างน้อยพวกเธอไม่คิดเสียน้ำตาให้คนอื่นเห็นง่ายๆ 

แล้วมันก็ชี้นิ้วใส่ผม “เขาแย่งฉลากผมไปครับ”

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 30-07-2016 11:41:17
บทที่ 5 (ต่อ)

“ที พอเถอะ” ลูกหว้าพูดห้ามเชิงขอร้อง

“ไม่!”

“พี่เขาก็ตัดสินไปแล้ว มันผ่านไปแล้วมึง”

คำพูดลูกหว้าลอยผ่านเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา แต่ดันทิ้งตะกอนไปรวมกลุ่มก้อนความหงุดหงิดในร่าง

“หว้าพูดถูก มึงก็ชี้แจ้งพี่เขาไปแล้ว แถมมีพยานช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของมึงอีก แต่พี่นันก็ยังเลือกมึงอยู่ดีนะโว้ย” คราวนี้นนท์พูดบ้าง

ยิ่งฟังผมก็ยิ่งหงุดหงิด หน้าทะมึนเสียจนเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นไม่กล้ายอแย ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ มาให้กลุ่มผม…พวกนี้รู้ความจริงหมดแล้วว่า ผมไม่ใช่เจ้าของฉลากหายนะ

หลังโดนใส่ร้าย ผมลุกขึ้นโต้เสียงเรียบนิ่ง ทั้งที่ใจอารมณ์คุกรุ่นดุจภูเขาไฟรอระเบิด โชคดีมีเพื่อนที่นั่งข้างหลังกลุ่มผมช่วยเป็นพยานให้ เพราะสามคนนั่นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ยังขำพวกผมที่เล่นอะไรเป็นเด็กๆ จนพวกผมลุกขึ้นโต้เถียงต่อหน้ารุ่นพี่ ถึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องเล่นสนุกแบบที่คิด

ถึงอย่างนั้น รุ่นพี่ก็ฟันธงให้ผมรับตำแหน่งหายนะนั่นอยู่ดี ไม่สนใจคำโต้แย้งของผมและพยานเลยสักนิด! ยิ่งคิดผมยิ่งโมโห ทิ้งน้ำหนักตัวเองใส่เก้าอี้มีชีวิตที่ชื่อไอ้เด็นมากขึ้น อย่างที่ทุกท่านคิด ผมกำลังให้เพื่อนคุกเข่าคลานท่าหมาให้ผมนั่งกอดอกบนหลังเป็นการทำโทษมาสิบห้านาทีแล้ว 

“เอ่อ ทีพอเถอะ ไอ้เด็นท่าไม่ไหวแล้ว แขนสั่นระริกเลยมึง” นนท์พยายามพูดกล่อมต่อ

ผมตวัดสายตาใส่จนมันสะดุ้งโหยง มีแต่เพื่อนในกลุ่มผมนี่แหละที่ส่งเสียงน่ารำคาญเป็นระยะมาตั้งแต่ห้านาทีก่อนจนถึงตอนนี้ ผมดีใจที่พวกมันห่วงเพื่อน แต่ช่วยดูให้ลึกกว่านี้หน่อยได้ไหม!

ผมไม่มีอารมณ์อธิบาย เลยบอกกลับเสียงห้วน “กูยังไม่สะใจ”

“เด็นผิดก็จริง แต่ศิว่าพอเถอะนะ”

ผมพ่นลมหายใจหงุดหงิด ยอมลุกขึ้นผละออกห่างโดยดี เห็นแก่ศิที่นิ่งมองมานาน ปล่อยให้ไอ้เด็นล้มนอนคว่ำหมดสภาพที่พื้น เห็นท่าทางอ่อนแอเสมือนเป็นผู้หญิงโดนรังแกก็ยิ่งสร้างหงุดหงิดขับข้องใจมากกว่าเดิมหลายเท่า ถ้าไม่ระบายอารมณ์ออกมาบ้าง ผมคงอึดอัดใจตาย

หยิบสมาร์ทโฟนต่อสายตรงหาใครบางคน รอสายแปบเดียวก็มีคนรับ

[ว่าไงเพื่อน…]

“แฟนมึงเลวมาก” ผมกรอกเสียงราบเรียบลงไปแบบไม่สนใจว่าฝ่ายนั้นจะพูดจบประโยคหรือยัง

[ห๊ะ?]

“แฟนมึงทำกูเจ็บแสบน่าดู กูเลยว่าจะย้ายฝ่ายแล้ว”

[เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวก่อนโว้ย มันไปทำอะไรมึง]

ผมกระตุกยิ้มเหี้ยมหลังได้ยินคำถาม เหล่มองเพื่อนตัวดีที่รีบลุกขึ้นนั่งตั้งแต่ผมพูดประโยคแรกใส่โทรศัพท์ กะแล้วว่าท่าทางอ่อนแอเมื่อกี้คือตอแหลเรียกร้องความเห็นใจ

“โยนเสนียดให้กูรับเคราะห์แทนน่ะสิ!”

เด็นนั่งหน้าซีดเผือกทันที แต่ผมไม่สนใจ ฝ่ายสามีไอ้เด็นเงียบไป ก่อนจะพูดเสียงอ่อยๆ

[มึงโกรธมากเลยเหรอ]

“โคตรโกรธ! และเมียมึงผิดจริง ว่าไงจะรับเพื่อนเก่าซี้ปึกของมึงตั้งแต่ป.1 คนนี้เข้าพวก หรือจะเข้าข้างเมียสุดที่รักที่พึ่งคบได้แค่เดือนกว่า”

ไม่สิ ถ้านับดีๆ ก็เกือบสองเดือนแล้วนี่หว่า…คิดแล้วก็แอบกังวล จะว่าสั้นก็สั้น ยาวก็ยาว ผมกลัวใจเพื่อนสนิทคนนี้จริงๆ เรื่องของมันกับเมียจะรอดหรือจะร่วงก็คงบอกยาก

[…ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ]

ผมละเรื่องในความคิด แกล้งฉีกยิ้มระรื่นให้เมียเพื่อนเห็น แต่ใจแอบสงสารไอ้เด็น ลองเพื่อนผมพูดแบบนี้ แสดงว่าไม่ค่อยแคร์เมียคนนี้เท่าไหร่ ถ้าแคร์จริงคงช่วยพูดแทนเมียไปแล้ว เฮ้อ…แต่กรณีผมกลับตรงข้าม ไอ้ยำดูจะแคร์ความรู้สึกเพื่อนอย่างผมมากกว่าเยอะ ก็ดีใจอยู่ที่เพื่อนสนิทสิบสองปีให้ความสำคัญ แต่ดันดีใจไม่สุดยังไงไม่รู้

ผมครุ่นคิดสักพักก็พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เคยขอมันเอาไว้ เรื่องนี้คงทำให้เพื่อนลำบากใจไม่น้อย ยังไงเราก็พึ่งเข้าปี1 ยิ่งคณะมันระบบรุ่นพี่รุ่นน้องแรงด้วย

“รุ่นพี่คณะมึงชวนไปไหน ไปได้เลย กูไม่ห้ามแล้ว”

เมนหลักจบแค่นั้น แต่ผมแอบเสริมส่วนหลัง เพราะความหมั่นไส้ไอ้คนเริ่มทำน้ำตาปริ่มๆ อีกรอบ “ไม่ต้องสนใจเมียมึงด้วย ลองมันโกรธมึงสิ กูจะหาเมียให้มึงใหม่”

“ที!!”

ผมเมินเสียงกรีดร้องของเด็น ข้างหูยังมีเสียงหัวเราะขบขันของยำ มันคงรู้ว่าผมแค่พูดขู่

รู้จักกันดีก็งี้ มันน่ะพยาธินัมเบอร์วันในท้องผมเลย อารมณ์ผมจากที่เกือบทะลุจุดเดือดค่อยๆ ลงระดับลงมา รู้สึกคิดถูกที่เลือกโทรหามัน

[สรุป มึงจะย้ายข้างแน่ๆ]

“เออ” ผมตอบรับเต็มเสียง

[ต่อให้อนาคต กูทิ้งเพื่อนมึง มึงจะไม่ปรี่มาชกกูแล้ว?]

ผมขมวดคิ้วคิดหนัก ยังไงฝั่งไอ้เด็นก็เสียเปรียบกว่าเห็นๆ แต่พอเห็นหน้าเด็น อารมณ์ขุ่นมัวก็ตีขึ้นอก ตอบรับคำเพื่อนเก่าแก่ไปเต็มเสียง

“ตามที่มึงว่า”

[เป็นสายให้กูแทนเมีย?]

“เออ”         

[ช่วยกูปกปิดความผิด?]

ผมชะงักไปนิด ครุ่นคิดแล้วค่อยตอบ “จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วกัน” 

[งั้นขออีกอย่าง ถ้ากรณีพวกกูเลิกกัน มึงห้ามเป็นตัวกลางช่วยมันเคลียร์กับกูเด็ดขาด]

ผมย่นคิ้ว รู้สึกทะแม่งๆ แต่ก็ไม่ได้สักถามอะไรออกไป ในเมื่อมันพูดดักขนาดนี้ และผมย้ายไปอยู่ฝ่ายมันเต็มตัวแล้วนี่น่ะ คิดแล้วก็ตอบรับ

“ก็ได้ นับจากวันนี้กูจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของมึงกับเมียในทุกๆ กรณี โอเคไหม”

[…คราวนี้เมียกูพลาดสินะ ดันไปทำมึงโมโหเข้า]

“ถูก”

[ก็ได้ ดีล]

ผมยิ้มเมื่อได้ยินคำคุ้นหู ไม่ได้ยินคำนี้มานานตั้งแต่เข้ามหาลัย แอบคิดถึงเหมือนกัน ผมตอบรับคำเดียวกันไป “ดีล” ต่อจากนี้ผมกับมันอยู่ข้างเดียวกันเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ไม่นานผมขอย้ายมาอยู่ฝั่งไอ้เด็น หลังมันสังเวยเลือดกองหนึ่งให้เพื่อนผม…

[นัดรวมกลุ่มเพื่อนเก่าแก่คราวหน้ามาด้วยนะ มึงหมดข้ออ้างแล้ว]

“เออวะ กูลืมเลย”

[ดีที่ลืม มึงทำให้กลุ่มเราคนไม่ครบตลอด หลังๆ เลยไม่ค่อยมีใครอยากรวมกลุ่ม]

“พวกมึงเอาแต่นัดแดกเหล้าในผับ กูไม่อยากไปนี่หว่า”

คนมันไม่ชอบจะให้ทำยังไง ฝืนไปก็เท่านั้น สุดท้ายผมก็แอบแวบหนีกลับบ้านอยู่ดี

[มีว่าที่หมอตามไปคุม กลุ่มเราเลยแดกอย่างมีลิมิตตลอด มึงจะกลัวอะไร]

“ไม่ได้กลัว กูแค่ไม่ชอบที่แบบนั้น”

[งั้นนัดคราวหน้าโนแอลกอฮอล์ ไม่มีเสียงดังให้หนวกหู ไม่มีใครหิ้วหญิงมาสีให้รำคาญลูกตา แต่บางคนอาจหิ้วแฟนตัวจริงไปเปิดตัวกับมึง แดกหมูกระทะไม่ก็สุกี้ โอเคมะ]

“โอเค…” ผมตอบเสียงอ่อน พวกมันทั้งกลุ่มยอมละทิ้งวิถีชีวิตวัยรุ่นเพื่อผมเลยนี่น่า

[เออดี กูจะได้บอกพวกนั้นถูก แล้วหัดตอบข้อความในไลน์กรุ๊ปบ้าง มึงแทบจะไร้ตัวตนอยู่แล้ว]

“อ้าวๆ กูก็ส่งสติกเกอร์ไปรายงานตัวออกบ่อย”

[ไอ้หมีขาวนอนลอยตุบป่องแช่น้ำเล่นนั่นอ่ะนะ]

“ใช่ แทนว่ากูสบายดีไง”

[มึงเข้าใจคนเดียวน่ะสิ! พวกกูนึกว่ามึงชวนไปเล่นน้ำประจำ แต่พอจะไปสระว่ายน้ำ มึงเบี้ยวนัดทุกที]

เอิ่ม ผมผิดใช่ไหม?

[กูไม่คุยกะมึงแล้ว ปวดหัว]

สัญญาณตัดไปแล้วพร้อมกับผมที่อารมณ์เย็นขึ้นเยอะ ถึงอย่างนั้นก็ยังมองมือถือนิ่งๆ เพราะรู้จักนิสัยกันดี ผมถึงได้รู้สึกแปลกๆ…ยำกำลังเจอปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่คิดไปก็คงไม่ได้คำตอบ เลยเก็บมือถือลงกระเป๋า หันไปเจอสายตาไม่ชอบใจของบรรดาเพื่อนสนิทที่พึ่งรู้จักกันไม่นาน และแววตาแดงก่ำของไอ้เด็นที่ทำท่าจะเป่าปี่อีกแล้ว

เห็นแล้วรำคาญลูกตาชะมัด!

“มึงทำเกินไป” ลูกหว้าพูดเรียบๆ

ผมเลิกคิ้วสูง หย่อนก้นนั่งขอบโต๊ะเลคเชอร์ อยากถอนหายใจสักเฮือก “เป็นเก้าอี้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่เพราะพวกมึงพยายามพูดขอเวลาเลยลดเหลือสิบห้านาที แถมกูไม่ได้ลงน้ำหนักเต็มที่ มันเป็นผู้ชาย ไม่ได้อ่อนแอสักหน่อย แค่นี้ทำได้อยู่แล้ว”

ผมถึงหมั่นไส้อยู่นี่ไง เอาแต่เรียกร้องขอความเห็นใจไปทั่วทั้งรุ่นพี่ยันเพื่อน แถมยังกล้าโกหกเพื่อเอาตัวรอดอีก ผมเดาะลิ้น หรือต้องโทษคนรอบข้าง ไม่ก็สามีมันที่ตามเอาอกเอาใจมากเกินพอดี จนไอ้เด็นไม่เหลือความแมนปรากฏให้เห็นเหมือนช่วงแรกๆ ที่ได้รู้จัก ผมชอบเด็นตอนแรกเจอมากกว่าตอนนี้เยอะ ขนาดผมยังคิดแบบนี้ แล้วเพื่อนผมที่เป็นแฟนมันล่ะ ไม่ยิ่งโคตรเบื่อมันเหรอ 

ผมสบตาเด็นนิ่ง นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้ายของผม ก่อนที่จะไม่ยุ่งเรื่องนี้ตามที่บอกเพื่อนรักไป

“มึงบอกว่าตัวเองแมน แต่วันนี้กูหาความแมนของมึงไม่เจอเลยวะ กูหรือมึงควรผิดหวัง ส่วนพวกมึง” ผมกวาดตามองเพื่อนทีละคนที่เริ่มทำหน้าแปลกๆ “เลิกโอ๋มันได้แล้ว..!”

มือถือผมส่งเสียงได้จังหวะมาก เห็นชื่อคนโทรมาคือพาร์ก็รีบกดรับ กลัวเป็นเรื่องด่วนเหมือนคราวที่แล้ว

“เรื่องด่วน?”

พาร์เงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วถามกลับ

[…อารมณ์ไม่ดี?]

ผมชะงัก หรือผมจะได้พยาธิมาอยู่ในท้องเพิ่มอีกคน พยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง

“มึงโทรมาทำไม” ได้ยินเสียงลมเป่าฟู่เข้ามา สงสัยโดนถอนหายใจใส่

[ไม่มีเรียนแล้ว อาจารย์ติดธุระเลยเลิกก่อน]

ผมหันมองนาฬิกาติดผนังหลังห้องเรียน เกือบบ่ายสามแล้วเหรอ ฝั่งพาร์เลิกเร็วกว่าทุกที ส่วนฝั่งผมอาจารย์ยังไม่เข้าห้องทั้งที่เลยเวลาเรียนเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว มีเปอร์เซ็นต์ยกเลิกคลาสสูง

ก็ดี ผมหมดอารมณ์เรียน แถมเบื่อหน้าเพื่อนด้วย

“งั้นกลับพร้อมกันเลย”

ผมเดินไปหยิบเป้ตัวเองมาสะพายบ่า ไม่ต้องเก็บของ เพราะไม่ได้เอาอะไรออกมาสักอย่าง

[เอางั้น?]                             

ผมก้าวเท้ามุ่งหน้าไปประตูทางออก ไม่แม้แต่คิดเลี้ยวมองเพื่อนคนอื่นให้เสียเวลา ปากก็ตอบพาร์ไปสั้นๆ “อืม ไปเจอกันที่เดิม” ที่เดิมของพวกผมก็ที่รถนั่นแหละ

กลับเร็วแบบนี้ก็ดี จะได้มีเวลาตระเวนซื้อของเยอะหน่อย

-------------

“มึงเป็นอะไร”

ประโยคคุ้นหูเหมือนผมเคยถามอีกคนไปเมื่อวันศุกร์ ถ้าอารมณ์ดีกว่านี้ผมคงขำกับการสลับตำแหน่งทั้งคนพูดและคนขับรถ

ผมยกตำแหน่งหน้าพวงมาลัยรถให้พาร์ตั้งแต่ซื้อของเสร็จ พอรถจอดหน้าโรงเรียนอนุบาล ผมก็เป็นคนเข้าไปรับน้องอันออกมา เจอเจ้าตัวเล็กยิ้มร่าวิ่งมาหาทั้งที่หัวยังไม่ได้ถอดสายคาดกระดาษแข็งรูปหมาป่าออกถึงหน้าห้อง แอบเห็นมีน้องผู้หญิงเพื่อนร่วมห้องน้องอันสวมผ้าคลุมสีแดงด้วย โอ๊ะ นั่นขวานกระดาษ ไม่ต้องเดาแล้วครับ แสดงเรื่องหนูน้อยหมวกแดงแหงๆ

นี่น้องผมเล่นเป็นตัวร้ายหรือเนี่ย   

ผมถอดสายคาดหัวรูปหมาป่าส่งคืนครูที่วิ่งตามหลังมา พูดคุยนิดหน่อยก็จูงมือน้องกลับรถ อุ้มน้องนั่งตักที่ด้านหน้า ไม่กล้าให้นั่งเบาะหลัง กลัวเจ้าตัวเล็กไปซนใส่บรรดาอาหารที่วางไว้จนเละ

เด็กคือเด็ก เจอรถติดกับแอร์เย็นๆ แถมใช้พลังงานมาทั้งวัน แปบเดียวก็หลับซุกอกให้ผมกอด

ผมหลุดจากภวังค์เพราะแรงสะกิด เจอแววตาเจ้าของมือมองอย่างหน่ายใจ

“นี่มึงไม่ได้ฟังกูอีกแล้วใช่ไหม”

ผมไม่ได้ตอบ แต่พยักเพยิบหน้าให้มันดูถนนว่าจะไฟเขียวแล้ว พาร์รีบหันไปดู สัญญาณพึ่งเปลี่ยนสีพอดี ระหว่างนั้นผมลอบสังเกตสีหน้าคนขับรถ เมื่อเช้ายังอารมณ์ไม่ดีอยู่เลย แต่ตอนนี้…

“มึงอารมณ์ดีแล้ว?”

“เจอมึงอารมณ์เสีย กูเลยอารมณ์ดีขึ้น”

ผมโคลงหัวน้อยๆ ไม่ถือสาความกวนของเพื่อน เลือกถามเรื่องที่อยากรู้แทนการต่อปากต่อคำ

“คณะมึงเลือกลูกสาวยัง?”

“เลือกเมื่อวานเย็น”

“จริงดิ” ผมหันไปมองด้วยแววตาสนใจ “ใครได้ หน้าตาดีมะ?”

“กูจะรู้ได้ไง”

เออวะ ลืมไปว่ามันอยู่โรงพยาบาลกับผม 

“พวกเพื่อนก็ปิดปากเงียบ แกล้งกูกันชัดๆ คณะมึงล่ะ?”

“พึ่งเลือกวันนี้”

“ใครได้?”

ผมเอนหัวพิงกระจก สายตาทอดมองข้างทางยามห้าโมงกว่า “กู”

“ฮะ?”

“ก็บอกว่ากูไง”

“เฮ้ย จริงดิ ดวงดีขนาดนั้นเลย”

“เปล่า โดนเพื่อนโยนตำแหน่งมาให้”

“เลยอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้?”

“ไม่เชิง…ออกแนวผิดหวังมากกว่า”

“ยังไง?”

“เจอแย่งฉลากครั้งแรกไม่เท่าไร ดันโกหกเพื่อให้ตัวเองรอดในครั้งที่สอง แทนที่จะขอร้องให้ช่วยดีๆ ตั้งแต่ต้น มันน่าโมโหไหมล่ะ”

“หมายความว่าถ้าขอร้องดีๆ ไม่แย่งฉลากตั้งแต่แรก มึงจะยอมรับเคราะห์แทน?”

ผมหยุดคิดทบทวนให้ดีค่อยตอบ “อาจใช่ ต้องดูเหตุผลประกอบด้วย”

“จริงดิ? หาแฟนไม่ได้อีกตลอดสี่ปีเลยนะ”

“จะมีหรือไม่มีก็ช่างเถอะ”

ผมตั้งใจจะไม่ทดลองคบใครง่ายๆ อีกแล้ว ถ้าจะคบ…คนต่อไปผมขอคนที่ใช่อย่างเดียว

“งั้นแปลก มึงไม่น่าอารมณ์เสียขนาดนี้ หรือมีเหตุผลอื่น”

“ก็มี” ผมถอนหายใจสั้นๆ “ถ้าเป็นเพื่อนผู้หญิงคงไม่โกรธเท่านี้ แต่นี่ดันเป็นเพื่อนผู้ชาย...ที่ตกเป็นเมียเพื่อนสนิทสมัยเด็ก”

พาร์เงียบไปเลย ผมเลยระบายต่อ “ตอนแรกมันก็เป็นผู้ชายปกติดี ออกซนๆ แต่น่ารัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่วะ มันเปลี่ยนไปเยอะจนกูหาความเป็นเด็กผู้ชายในตัวเพื่อนไม่ได้…มึงว่าเพราะเสียตัวให้เพศเดียวกัน นิสัยเลยเปลี่ยนหรือเปล่า”

พาร์ครุ่นคิดพักใหญ่ “ไม่น่าใช่ เพื่อนกูเมื่อก่อนเป็นไงตอนนี้ก็เหมือนเดิม แค่ขาดอิสระในบางเรื่องเท่านั้นเอง เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนมากกว่า”

“…กูไม่อยากให้มันคบผู้ชายแล้วต้องกลายเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้มันเคยตัว ไม่สนใจคำเตือนคนอื่น ที่สำคัญกูไม่อยากได้เพื่อนเป็นแรดแทนมนุษย์”

“พึ่งรู้ว่ามึงปากเสียเอาเรื่อง”

“เหรอ”

“พูดต่อสิ อยากหาคนระบายด้วยไม่ใช่เหรอ”

ผมหันขวับมองพาร์ที่ยังตั้งอกตั้งใจขับรถ จู่ๆ ก็นึกคำพูดเมื่อวานของพ่อขึ้นมา อาจจริงอย่างที่พ่อบอก ผมกับพาร์ปรับตัวเข้าหากันได้เร็วมาก...ตามปกติใครมันจะไปเดาใจคนพึ่งรู้จักสองอาทิตย์ออก

“หรือไม่อยากเล่าแล้ว?”

เมื่อพาร์เปิดโอกาสให้ ผมก็รับไว้ “กูอาจเหมือนยุ่งเรื่องคนอื่นมากไป แต่ตอนมันสองคนจีบกัน กูเป็นคนกลางระหว่างพวกมัน รับรู้เรื่องราวมาตั้งแต่ต้น เคยเอ่ยเตือนพวกมันไปแล้วว่าถ้าใจยังไม่มั่นคงก็อย่าพึ่งรีบร้อน แล้วไง คบกันโคตรเร็ว พอๆ กับนอนด้วยกันเลย มีเรื่องเดือดร้อนทีก็โทรหากูให้วุ่น”

ผมถอนหายใจยาวเหยียด “…แย่กว่านั้น กูรู้จักเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กดี ถ้าฝ่ายเมียยังนิสัยเปลี่ยนไปแบบนี้ได้ขอเลิกสักวันแน่ แค่ทุกวันนี้กูยังใจตุ๋มๆ ต๋อมๆ ว่ามันจะหมดความอดทนกับเมียคนนี้เมื่อไหร่ กรณีเลวร้ายที่สุดคือมันไปเจอเป้าหมายใหม่ที่ดีกว่า…เพื่อนปัจจุบันของกูคงได้เปลี่ยนสถานะเหลือแค่เมียเก่าเร็วขึ้นแน่นอน”

“เป็นห่วงเพื่อน?”

“อืม”

“ฟังแล้ว กูว่ามึงลำเอียงเข้าข้างฝ่ายเมียมากกว่านะ”

“ก็มันเป็นฝ่ายเสียเปรียบนี่! มึงไม่คิดงั้นเหรอ?”

“เสียเปรียบยังไง ท้องไม่ได้สักหน่อย”

ผมทำหน้ายุ่ง ที่พาร์พูดก็ถูก แต่...

“ฝ่ายโดนทะลวง…เจ็บมากนะ”

รถเบรกกะทันหัน ดีนะอยู่ช่วงรถติด เคลื่อนตัวเท่าเต่าคลาน นอกจากหัวผงกไปข้างหน้าก็ไม่มีเกิดอะไรขึ้น ผมรีบลูบหลังปลอบน้องที่ทำท่างอแง แปบเดียวอันก็หลับต่อ เลยหันไปแยกเขี้ยวใส่คนขับรถไม่ระวัง กลับเจอพาร์ส่งสายตาแปลกๆ มองมาอยู่ก่อน

“…อะไร” ผมถามกลับอย่างระแวง

“มึง...เคยแล้ว?”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: prueksa ที่ 30-07-2016 12:23:12
รออ่านตอนต่อไป^^
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 30-07-2016 12:50:57
รอตอนต่อไปเลยยยยย

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-07-2016 15:42:43
ห๊ะ

ไม่ๆๆๆๆ น้องทียังซิงนะพาร์ อย่าเข้าใจผิดสิ

(จะพลิกล็อคมากถ้าลูกสาวนิติเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พาร์~ อิอิ)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 30-07-2016 15:55:37
555555 ก็คิดได้นะพาร์!!!!!
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 30-07-2016 22:54:09
 :mew5:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่6] P.1 (15/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 15-08-2016 01:03:03
บทที่ 6

“มึง…เคยแล้ว?”

“เคยอะไร” ผมระแวงเพิ่มอีกเท่าตัว ใจชักตงิดๆ มันคงไม่ได้หมายถึง…

พาร์ไม่ได้ตอบทันที แต่ไล่สายตาลงจ้องเบื้องล่างให้รู้สึกขนลุกวาบ

“ทะลวงก้…โอ๊ย ตบหัวทำไมวะ?!”

“ก็มึงคิดบ้าอะไรล่ะ!”

“อือ…” น้องอันครางเหมือนรำคาญเสียงตะโกนของพวกผม ทำให้เราเงียบกริบ มองจนแน่ใจว่าน้องหลับ ถึงลดเสียงคุยกันต่อ

“เมื้อกี้มึงบอกว่าเจ็บ” พาร์ยังไม่ยอมจับประเด็นนี้

ผมแยกเขี้ยวใส่มันทันที “ก็เจ็บน่ะสิ สภาพเพื่อนตอนนั้นโคตรแย่ นอนนิ่งเป็นผัก แถมมีเลือดออกด้วย เปื้อนผ้าปูเป็นวงเลยมึง” ทำท่าประกอบว่าไอ้วงเลือดนั้นใหญ่ขนาดไหน ไม่น้อยเลยนะครับ ตอนไปเห็นผมนี่หน้าซีดแข่งกับสามีไอ้เด็นที่ตัวมีแต่กลิ่นเหล้าหึ่ง จากท่าทางของมันคงสร่างเมาหลังเห็นเลือด ผมบอกให้ส่งเด็นไปโรงพยาบาล ไอ้คนเจ็บก็เอาแต่บอกว่าไม่ๆๆ

“รู้ได้ไง”

“ก็เห็นกับตา! ฝ่ายสามีโทรเรียกให้ไปช่วยมันด่วนตอนเจ็ดโมงเช้า กูต้องวิ่งเต้นไปทั่ว ซื้อโจ๊กเอย ผ้าอนามัยแบบสอดเอย ยาเอยให้อยู่เลย!”

พาร์ทำหน้าสงสัย “ผ้าอนามัย? เอามาทำอะไร”

“สอดตรงนั้นห้ามเลือด หยุดมองกูแบบนั้น กูไม่เคยใช้เองโว้ย!”

“กูจะเชื่อถ้ามึงอธิบายมา”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้ไม่อยากพูดถึงก็จำต้องพูดเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง     

“เห็นตรงนั้นเลือดออก เลยนึกถึงตอนน้องน้ำมีประจำเดือนครั้งแรก เป็นตรงไหนไม่เป็นดันเป็นที่สระว่ายน้ำ พ่อแม่ไปทำงานต่างจังหวัด โทรไปก็ไม่รับ กูเลยต้องบากหน้าไปถามข้อมูลสาวๆ แถวนั้นแทบตาย เจอลูกตบไปตั้งหลายที ดีนะได้พี่สาวใจดีคนหนึ่งยอมบอกข้อมูลให้หมดเปลือก และถ้ายัยน้ำไม่เถียงก่อนหน้านั้นว่าไม่ได้เป็นริดสีดวง กูคงส่งน้องเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว”

พาร์ตบบ่าผมเป็นเชิงเห็นใจ “กูพึ่งรู้ว่ามีแบบสอดด้วย กูซื้อให้น้องแบบแผ่นประจำ”

ผมเผยปากคาดไม่ถึง รีบคว้ามืออีกฝ่ายมาเขย่า เพราะอันขยับตัว เสียงของผมเลยไม่ดังไปกว่ากระซิบ

“เจอผู้ร่วมชะตากรรมแล้วโว้ย”

“ปล่อยๆ ข้างหน้าไปกันแล้ว”                                                                                                                     

รถเคลื่อนตัวจนเกือบพ้นสี่แยกอยู่แล้ว ดันไฟแดงขึ้นมาซะก่อน...ไม่เป็นไร คุยฆ่าเวลาได้  ผมมีคำถามหนึ่งในใจพอดี

“อายไหม?”

“เรื่องอะไร”

“ซื้อของพวกนั้น”

พาร์ทำหน้านึกครู่หนึ่งกว่าจะจำได้ว่าก่อนหน้านี้คุยเรื่องอะไรค้างไว้ “พูดถึงผ้าอนามัย?”

“เออ”

“ก็แค่แรกๆ ตอนหลังชักชิน”

เหมือนกัน แต่ถึงหน้าหนาขึ้นยังไงตอนโดนจ้องก็ยังแอบอายในใจอยู่ดีครับ แค่ไม่แสดงอาการให้รู้เหมือนช่วงแรกๆ เท่านั้นเอง ท่าทางที่ดีทำตัวเป็นปกติไปเรื่อยๆ แปบเดียวคนก็เลิกมองแล้ว

“กูว่าจะพาน้องไปเลือกซื้อเองอยู่”

“ดีเลย” ผมรีบสนับสนุน “เอาน้ำไปด้วย แต่มึงต้องแนะนำดีๆ เดี๋ยวจะเหมือนน้องกูที่มาบอกทีหลังว่าไม่เลือกเองแล้ว ที่พี่เลือกให้ใช้ดีกว่า”

“พรืด”

“ไม่ใช่เรื่องขำนะโว้ย กูกลุ้มแทบตาย บอกให้ไปคุยกับแม่ก็ไม่ยอม พูดเอาแต่ใจว่า พี่รู้แล้วแต่แม่ยังไม่รู้ พี่ต้องช่วยน้ำสิ” ผมดัดเสียงพูดให้เหมือนน้องที่สุด

แม่ง ประโยคฝังใจผมเลยนั่น

พาร์กลั้นขำจนหน้าแดง “คง…อายล่ะมั้ง”

“จะอายหรือเพราะอะไรก็ช่วยคิดหน่อยว่านี่พี่ชาย ไม่ใช่พี่สาว กูล่ะกลุ้ม”

“ต่างกับน้องกู พ่อแม่กูไม่ค่อยมีเวลาให้ เรื่องของน้องเลยตกเป็นหน้าที่กูหมด”

“มึงเองก็ลำบากนะ”

พาร์หัวเราะในคอ “มีน้องก็ดี ไม่เหงา”

“ไม่มีเวลาให้เหงาต่างหาก” ผมพูดแก้ ก่อนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “บทจะน่ารักก็ดีฉิบหาย บทจะร้ายก็เล่นเอาปวดหัว”

พาร์หัวเราะหึๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “เสาร์นี้ว่างไหม ไปเดินเล่น หาของกินในห้าง กับซื้อของเข้าบ้านกัน”

ผมเลิกคิ้ว “นึกไงชวนกู?”

“มึงเป็นเจ้าของรถ”

ผมร้องอ้อในใจ ถามต่อ “แล้วน้อง?”

“เอาไปด้วยสิ”

“ตัวเล็กด้วย?”

“เอาไปหมดนั่นแหละ”

“ถ้าพกอันไป มึงจะได้ตัวป่วนมาหนึ่ง ถ้าไม่ซนฉิบหาย ก็จะงอแงขอเล่นนั่นเล่นนี่ ไม่ก็จะซื้อของเล่นให้ได้” ผมเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี และให้เตรียมเผื่อใจล่วงหน้าว่าต้องปวดหัว

“กูเชื่อว่ามึงปราบน้องได้”

ผมพ่นลมหายใจ “จะเอาไงก็เอา”

“งั้นไปหาอะไรกิน เดินเล่นนิดหน่อย ก่อนกลับค่อยแวะซุปเปอร์ แล้วถือโอกาสพาน้องไปดูผ้าอนามัย”

“ได้”

ผมตอบรับ เดี๋ยววันศุกร์ค่อยถามแม่ว่าจะฝากซื้ออะไรบ้าง ต้องสำรวจข้าวของในห้องตัวเองกับของน้องด้วย

“ดูมึงรู้เรื่องนั้นมากกว่ากู ช่วยแนะนำเบอร์ดี้ให้หน่อยล่ะกัน”

“ฮะ?” ผมอุทาน จู่ๆ ได้ยินประโยคไม่ปะติปะต่อ ผมก็งงสิ “พูดถึงอะไร”

“นี่มึงเหม่ออีกแล้วเรอะ” พาร์ทำหน้าปลงใส่ “พูดเรื่องผ้าอนามัย มึงดูรู้ดีกว่า แนะนำให้น้องกูด้วย”

คำพูดของพาร์ทำผมอยากยกแขนก่ายหน้าผาก แค่ยัยน้ำยังแสนปวดหัว คนข้างๆ ดันอยากให้ผมปวดหัวหนักกว่าเดิมอีกหรือ! ผมสูดลมหายใจ ยื่นข้อเสนอที่น่าจะดีต่อทุกฝ่าย

“กูถ่ายทอดให้มึงดีกว่า”

“พูดอย่างกับเป็นเคล็ดวิชา”

“ก็ไม่ต่าง นี่กูเรียนรู้จากพี่สาวคนสวยที่นอนอาบแดดข้างสระว่ายน้ำเลยนะโว้ย”

“แล้วจะให้กูเอาเคล็ดวิชานั่นไปทำบ้าอะไร”

ผมชะงัก ดูมันคิดไปนู้น “ก็เอาไปถ่ายทอดให้น้องมึงอีกต่อไง”

“ยุ่งยากวะ มึงนั่นแหละ ถ่ายทอดให้น้องกู”

บ้าเอ้ย! วนกลับมาจุดเดิมอีกแล้วเรอะ!! แต่ผมยังไม่ยอมแพ้

“ให้มึงที่เป็นพี่ชายพูด เบอร์ดี้น่าจะสะดวกใจกว่า”

“มึงไม่ใช่พี่ชายเรอะ” พาร์สวนทันที “อย่าเสือกบอกว่าไม่ สองคนนั้นตัวติดเป็นปาท่องโก๋แต่เล็กยังกะฝาแฝด กูไม่ได้แบ่งแยกใครเป็นน้องของใครนานแล้ว หรือมึงไม่ใช่?”

คราวนี้ผมอยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก ยอมยกธงขาวโบกสะบัดไปมา

“…จริงตามที่มึงว่าทุกประการ”

เฮ้อ…ขอจบบทสนทนาว่าด้วยเรื่องไม่เกี่ยวกับผู้ชายอย่างพวกผมเพียงเท่านี้เถอะ

-------------

ครึ่งชั่วโมงต่อมาถึงบ้านสักที ถือว่าทำเวลาดีครับ

ผมอุ้มน้องอันเดินนำลิ่วเข้าบ้าน ปล่อยพาร์หิ้วของเท่าที่ขนไหวตามเข้ามา เจอกลุ่มผู้ใหญ่ทั้งสามนั่งคุยกันตรงโซฟารับแขก อ้าว กลับมาเร็วกว่าพวกผมอีก

“กลับมากันเร็วนะ” แม่เปรยอย่างประหลาดใจ

“รถไม่ค่อยติดครับ” ใครจะกล้าบอกว่าออกจากมหาวิทยาลัยก่อนเวลากัน “แล้วคุณลุงคุณป้าเป็นไงบ้างครับ”

“แข็งแรงดี”

คุณลุงเป็นคนตอบ หมุนแขนให้ดูซะด้วย ผมเชื่อครับ เพราะสีหน้าดูดีกว่าเมื่อวานมาก

“พาร์ล่ะลูก”

“กำลังขนของเข้ามาครับ ผมอุ้มน้องเข้ามาก่อน” พูดพร้อมวางน้องชายให้นอนหนุนตักแม่บนโซฟา “ผมไปช่วยพาร์ก่อนนะ”

ผมกับพาร์ช่วยกันเดินเข้าออกถึงสองรอบ ของกินเยอะมากครับ รวมเมนูโปรดหรืออยากกินของทุกคนตามแต่เมื่อวานใครเสนออะไรมา แต่เราตกลงกันไว้ว่าได้แค่คนละอย่างหรือสองอย่าง แต่ส่วนใหญ่ปาไปสามรายการทั้งนั้น คนเหนื่อยสุดเป็นพวกผมนี่แหละ ต้องออกตามล่าหาทุกรายการบนกระดาษจดให้เจอ ดีที่ยังระบุพิกัด หรือชื่อร้านให้ด้วย   

“สองหนุ่มจัดใส่จานเลยจ๊ะ อ้อ หุงข้าวทิ้งไว้ด้วยนะ”

“คร้าบ” ผมขานรับระหว่างช่วยพาร์แกะหนังยางรัดปากถุงกับข้าวออก 

กว่าพ่อ น้ำ เบอร์ดี้จะกลับมา ทุกอย่างก็ถูกจัดเรียงบนโต๊ะพร้อมทานแล้วครับ

“ฉลองกับการออกจากโรงพยาบาล ชน”

พ่อพูดเปิดวง ยื่นแก้วเบียร์มาข้างหน้า มีพ่อผมกินเบียร์อยู่คนเดียว ลุงแทนโดนภรรยาสั่งห้าม เพราะต้องขับรถกลับ โดนพาร์จ้องเขม็ง เพราะพึ่งออกจากโรงพยาบาล เกือบจะได้กินน้ำเปล่าแล้วครับ แต่ป้าเจนยืนแก้วให้ก่อน เลยได้กินน้ำโค้กเหมือนพวกผมแทน

ผมยกแก้วชนกับทุกคน แอบขำตัวเล็ก ยืนแขนจนสุดยังไม่ถึงครึ่งทางเลยครับ พอชนเหมือนคนอื่นไม่ได้ก็หน้ามุ่ยใหญ่ ตอนดึงแก้วกลับมาผมเลยแกล้งเลื่อนผ่านหน้าน้อง เจ้าตัวเล็กจ้องตามสักพักก่อนขยับเอาแก้วในมือมาแตะแก้วผมเบามาก แล้วอมยิ้มถูกใจอยู่คนเดียว

น้องเนี่ยแหละแหล่งพักใจชั้นยอด!!

“ครั้งที่เท่าไหร่แล้วแทน?” เสียงพ่อแซวเพื่อน

ผมเหลือบมองผู้ใหญ่ก่อนเบนสายตามองพาร์ ไม่รู้หรอกว่าครั้งอะไร แต่ผมขอเดาว่าครั้งที่นอนโรงพยาบาลชัวร์ ดูเอาจากสีหน้าพาร์น่ะ ผมแอบกลืนน้ำลาย…พ่อถามหัวข้ออันตรายทำไมเนี่ย!

“เยอะจนจำไม่ได้”

ลุงแทนตอบทำไมครับ นู้นลูกชายคนโตของลุงก่อน!

ผมแอบเสียวไส้แทน กลัวใครบางคนบ่นไฟแลบก๊อกสอง…ดีที่ไม่มี หัวข้อเริ่มเปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆ ขณะกลุ่มผู้ใหญ่คุยสัพเพเหระอย่างออกรส กลุ่มเด็กกำลังเกิดปัญหา เพราะของที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางโต๊ะ คอยหลอกล่อตาและใจแก่เหล่าเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้า

สองสาวไม่เท่าไร เจอแววตาดุๆ ของพาร์ก็พากันก้มหน้าตักข้าวเข้าปากอย่างสงบเสงี่ยม เหลือน้องอันที่ไม่ยอมชายตาแลใครหน้าไหนเลย หยุดที่เค้กสีขาวล้วนประดับด้วยสตอเบอรี่ลูกโตน่ากินตลอด ทายสิ มันคืออะไร...สตอเบอรี่ช็อตเค้กขนาดสองปอนด์ครับ

เดือดร้อนผมที่นั่งข้างๆ ต้องพูดดุ “อย่ามัวมองเค้ก กินข้าวด้วย”

“อันไม่อยากกินข้าว อันจะกินเค้ก”

เริ่มงอแงแล้วไง ผมปั้นหน้าเคร่ง น้ำเสียงห้วนดุระหว่างใช้มาตรการสุดท้ายปราบเด็กดื้อ

“ถ้าไม่ยอมกินข้าว พี่จะไม่ไห้อันกินเค้ก!”

ดวงตาใสซื่อเริ่มมีหยาดน้ำคลอ แต่น้องพยายามกลั้นไว้ เพราะรู้ว่าผมไม่ชอบ

“เลือกเอา จะกินข้าวด้วยเค้กด้วย หรืออดทั้งข้าวทั้งเค้ก”

เจ้าตัวเล็กไม่ตอบ มือเล็กจับช้อนตักข้าวเข้าปาก น้ำตาคลอแทบจะไหลแหมะๆ ท่าทางคงจำได้ว่าอดข้าวเย็นแล้วเป็นยังไง จะว่าผมโหดก็ได้ แต่น้องเคยดื้อเรื่องนี้มาหลายหนแล้ว แม่ก็กลุ้มใจ แต่ชอบใจอ่อนยอมน้องอยู่เรื่อย น้องก็ได้ใจสิครับ ยิ่งรู้ว่าแค่พูดดุไปอย่างนั้นยิ่งไม่เชื่อฟัง

ช่วงพ่อแม่ไม่อยู่ผมเลยจับน้องมาดัดนิสัยซะให้เข็ด ประท้วงอดข้าว ผมก็ให้น้องอด พูดขู่คำไหนทำตามทุกคำ ยัยน้ำเห็นผมในโหมดโหดยังขยาด หอบเสื้อผ้าหนีไปค้างกับเบอร์ดี้ตั้งหลายวัน หลังสองคนแก่กลับจากท่องเที่ยวแล้วรู้วีรกรรมของผมเข้า (น้องอันนี่แหละไปฟ้อง) ทั้งคู่ทำหน้าอึ้งมองผมสลับกับน้อง ไม่มีคำต่อว่า แต่พ่อตบหัวผมกับบางการกระทำที่ดูเกินเลยไปหน่อย หลังจากนั้นถ้าน้องดื้อ พ่อแม่ขู่ทันทีว่าจะส่งตัวให้ผมจัดการ บางครั้งก็พาตัวมาให้ช่วยจัดการจริงๆ…ไม่รู้ทำไมแทนที่น้องจะกลัวจนถอยห่าง กลับติดผมแจอยู่ดี

นั่งมองน้องกินข้าวสักพัก ก็จิ้มกุ้งทอดของโปรดน้องไปวางบนจานให้แทนคำชม

“อัน…” เจ้าตัวเล็กปาดหยาดน้ำตาที่คลออยู่ออก “อันจะกินอันนู้นด้วย”

ชี้นิ้วไปผมก็ตักให้ครับ ยอมกินได้แบบนี้วางใจได้ กำลังตักกับข้าวใส่จานตัวเองบ้างก็โดนแรงกระตุกแขนเสื้อรั้งไว้ก่อน เหลียวมองคนทางขวาอย่างสงสัย เจอยัยน้ำทำหน้าบึ้งตึง แววตาฉายชัดว่ากำลังงอน พึ่งรู้ตัวในวินาทีนั้น

กรรม! ลืมบริการน้องสาว

สำนึกแล้วก็รีบตักของโปรดให้น้ำบ้าง สีหน้าค่อยดีขึ้นหน่อย

เฮ้อ…เป็นพี่คนโตไม่ง่ายเลยครับ

ก่อนจะได้ตักกับข้าว กลับมีโดนช้อนส้อมคู่หนึ่งหนีบยำเห็ดหูหนูขาวมาวางในจานผม ขณะกำลังอึ้งก็มีเสียงถามสั้นๆ จากคนตักให้

“ไม่ชอบ?”

ผมรีบเอาส้อมไปขวางก่อนพาร์ตักออก “เปล่า…ขอบใจ”   

พาร์แค่ส่งยิ้มมาจากฝั่งตรงข้าม ชี้นิ้วใส่จานข้าว เหมือนบอกให้ผมกินข้าวเถอะ แต่…

“น่องไก่สามรสที่อยู่หน้ามึ...เอ้ย นายอ่ะ ของโปรด…” ผมทำปากว่า ‘กู’ แบบไร้เสียง

พาร์ทำหน้าตกใจรีบตักให้ผมเลย “ทำไมไม่บอก”                                 

จะให้ผมบอกตอนไหน หันไปเห็นอีกทีเหลือไม่ถึงครึ่ง ไม่ต้องถามว่าลงท้องใคร หลักฐาน (กระดูกไก่) ยังกองซ้อนกันในจานพาร์อยู่เลย

“เฮ้ย พอๆ ไม่ต้องเอามาหมดหรอก” ผมรีบร้องห้าม

แต่น่องไก่เล็กสี่ชิ้นสุดท้ายก็ลงมานอนแหมะในจานผมอยู่ดี

“น้ำมีข้อเสนอ!”

ผมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวหลังกินไปได้สักพัก จู่ๆ ยัยน้ำตะโกนลั่นกลางโต๊ะอาหารไม่พอ ยังลุกขึ้นยืนยกแขนเหนือหัว เรียกร้องความสนใจสุดๆ อย่าว่าแต่พวกผมชะงักเลย กลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหน่อยก็ชะงักเหมือนกัน

“เดี๋ยวเถอะยัยน้ำ เดี๋ยวพ่อจะเอาลูกไปให้คุณย่าอบรม”

เด็กหญิงวาริรีบดึงแขนลง เลื่อนเก้าอี้มานั่งตามเดิมอย่างไว แต่พอตั้งสติได้ก็โวยวายออกมา “พ่ออ่ะ คุณย่าอยู่ต่างประเทศจะมาอบรมน้ำได้ไง”

“ง่ายๆ ส่งลูกไปอยู่กับคุณย่าไง”

“ไม่มีทาง” ยืนยันเจตนารมณ์ไม่มีทางไปแน่ๆ ด้วยเสียงขึงขัง

“ก็ดี พ่อจะได้ซื้อตั๋วให้พี่ชายลูกคนเดียว”

แขนผมถูกยัยน้ำคว้ากอดหมับ “คนนี้ก็ห้ามค่ะ”

ผมผลักหัวน้องไปหนึ่งที “ถามความเห็นพี่ก่อนสิ”

“แล้วลูกอยากไปไหมล่ะ?” พ่อถาม

ผมพยักหน้ารับทันที ถ้าพูดตามตรงผมก็แอบคิดถึงคนทางนู้นเหมือนกัน

“พี่อ่ะ!”

“งั้นไปช่วงปิดเทอมไหม?”

ผมยังไม่ทันตอบ น้องสาวก็พูดแทรกเสียงดัง “น้ำไม่ให้ไปนะ!”

“งอแงเป็นเด็กเลย ดูอันสิ ยังไม่เห็นโวยวายเหมือนลูก” แม่บ่น

น้ำจ้องเจ้าตัวเล็กเขม็ง “พี่ทีจะไม่อยู่แล้ว อันยอมเหรอ” เริ่มหาแนวร่วมแล้วครับ

“ไม่อยู่?” เจ้าตัวเล็กทวนคำงงๆ ก่อนถามผม “ไปไหน? อันไปด้วย”

ผมชักปวดหัว คนหนึ่งร้องห้ามไม่ให้ไป อีกคนร้องตามจะไปด้วย แน่นอนว่าน้ำไม่พอใจคำตอบของน้องสุดๆ พ่อก็แหย่ไม่เลิก

“งั้นพ่อส่งลูกชายสองคนไปเที่ยวกับปู่ย่าแล้วกัน เพราะลูกสาวบอกไม่อยากไปนี่น่า”

“ถ้าพ่อทำจริงนะ น้ำจะโกรธให้ดู!”

“พอก่อนๆ เมื่อกี้ลูกจะเสนออะไรหือ?”

แม่เป็นฝ่ายห้ามทัพ ในขณะที่แขกของบ้านต่างพากันนั่งอมยิ้มขำตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

พอมีคนเตือนน้องก็ปล่อยแขนผม กระแอมไอ “น้ำว่าจะให้เบอร์ดี้มาค้างด้วยค่ะ”

แค่นั้นความสนใจของผมก็หดหายอย่างรวดเร็ว สองคนนี้ค้างด้วยกันบ่อยจะตาย ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ คิดพลางก้มหน้าตักข้าวเข้าปาก หูก็ฟังแม่กับป้าเจนบอกอนุญาตง่ายดายตามคาด

“แต่น้ำอยากให้พี่พาร์ค้างด้วย”

“แค่กๆๆ” ผมถึงกับสำลักข้าว พอกันกับพาร์ที่กำลังสำลักน้ำ

“ทำอะไรของลูก เลอะหมดเลย” ป้าเจนบ่น รับทิชชู่จากแม่แล้วส่งให้ให้ลูกชายเช็ดปาก ส่วนผมรีบคว้าแก้วน้ำโค้กมากระดกอึกๆ ก่อนข้าวติดคอตาย

“ทำไมล่ะ?” ลุงแทนถามน้ำอย่างประหลาดใจ

“ก็พี่พาร์ต้องไปกลับพร้อมพี่ทีนี่ค่ะ อยู่ค้างที่นี่เลย น้ำว่าสะดวกดีออก คุณลุงคุณป้าจะได้ไม่ต้องขับรถมารับส่งพี่พาร์กับเบอร์ดี้ให้เหนื่อยด้วย”

“ก็จริงนะ” พ่อเห็นด้วย

“งั้นพาร์มาค้างบ้านน้าเนี่ยแหละ” แม่สนับสนุน

ลุงแทนกับป้าเจนดูเกรงใจ แต่พูดไม่ออก เพราะที่น้ำพูดก็ถูก แหงล่ะน้องเล่นเอาเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังมาพูดนี่หว่า และผมก็ฟังมาจากพาร์ที่รู้ดียิ่งกว่าใครมาอีกต่อ

พ่อผมคงเข้าใจว่าเพื่อนกำลังลำบากใจเลยพูดขึ้นมา “ให้ลูกสองคนอยู่นี่ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ทำงานได้อย่างสบายใจได้เลย”

“งั้นฝากด้วยนะ”

อ้างเรื่องงานปุ๊บ ลุงแทนตอบรับทันที สมแล้วที่พ่อบอกว่าเป็นพวกเสพติดงาน

“งั้นให้พาร์นอนห้องข้างล่าง…”

“ไม่ดีค่ะ” น้ำรีบพูดแย้งพ่อ “ข้าวของในนั้นเยอะจนน้ำคิดว่าเป็นห้องเก็บของเข้าไปทุกทีแล้ว เพราะงั้นให้พี่พาร์ไปนอนห้องพี่ทีดีกว่าเยอะ”

ดีนะครับที่ในปากผมไม่มีอะไรอยู่ ไม่งั้นคงพ่นออกมาแน่นอน ผมกับพาร์สบตากันทันที ต่างคนรู้ตัวว่าโดนน้องเล่นงานเข้าให้แล้ว

“ห้องทีเหรอลูก?” แม่พึมพำ

“ก็ห้องพี่กว้างออก เตียงก็ตั้ง 5 ฟุต นอนสองคนได้สบาย อีกอย่างน้ำว่าให้อยู่ด้วยกันนี่แหละถือเป็นการแก้เคล็ดที่หลายปีมานี่พวกพี่ไม่รู้จักกันสักที แม่กับป้าเจนเห็นด้วยกับน้ำไหม”

สองผู้สูงอายุผงกหัวให้ทันที ยัยน้ำเข้าใจพูดโน้มน้าว แม่กับป้าเจนไม่ถึงขั้นงมงาย แต่ก็ใช่ว่าไม่เชื่อ

“เอาอย่างที่น้ำว่าแล้วกันลูก”

เห็นไหมครับ ป้าเจนสนับสนุนทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี่ไม่ถึงนาทียังทำหน้าลำบากใจอยู่เลย     

“แม่เห็นด้วยเหมือนกัน งั้นคืนนี้ลูกไปเก็บข้าวของในห้องให้เรียบร้อย เตรียมพื้นที่ให้พาร์ด้วยล่ะ เข้าใจไหมที”

ผมยิ้มแห้งแทนการตอบรับ ก็คำตอบมีแค่สองทาง เข้าใจกับไม่เข้าใจ ถ้าตอบอย่างหลัง แม่ก็แค่ทวนคำพูดให้ฟังใหม่ แล้วจะให้ผมตอบอะไรเล่า! 

“พาร์เองก็ไม่ต้องเกรงใจนะ อะไรที่จำเป็นต้องใช้ขนมาได้เลย ห้องลูกชายแม่กว้างอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวรก”

มาถึงขั้นนี้คงปฏิเสธไม่ทันแล้วครับ อีกอย่างต่อหน้าคุณลุงคุณป้าขืนพูดปฏิเสธไป แล้วเกิดโดนเข้าใจผิดว่ารังเกียจลูกชายพวกท่านขึ้นมาคงแย่ โอเค ผมจะพยายามปลงตกให้ได้เร็วๆ

“ให้ค้างคืนนี้เลยใช่ไหมคะ?” เบอร์ดี้ถามอย่างกระตือรือร้น

ฮะ!

“ก็ได้นะ ยังไงทั้งสองคนก็ใส่เสื้อผ้าลูกชายลูกสาวของน้าได้อยู่แล้ว” แม่ว่า

ป้าเจนกลับแย้ง “แต่พี่ว่าวันนี้ให้กลับบ้านกันก่อนดีกว่า”

“ใช่ครับ ผมกับเบอร์ดี้ต้องใช้หนังสือเรียนวันพรุ่งนี้ด้วย” พาร์รีบสนับสนุน

ทำได้ดีมากเพื่อน!

“งั้นพรุ่งนี้ให้ลูกๆ พี่จัดกระเป๋ามาเลยนะ”

แม่ครับจะรีบร้อนไปไหน!

ผมวางช้อนลง ความรู้สึกอยากอาหารถดถอย น้องตัวแสบยังกล้าเขยิบมาชิด พูดกระซิบเสียงระรื่น

“ดีจังเนอะพี่”

ผมหันมองน้องสาวที่ตั้งท่ากำหมัดส่งสัญญาณ ‘สู้ๆ’ มาให้

“ทีนี้พวกพี่จะได้คืบหน้าสักที!”

อย่าบอกนะที่ยัยน้ำเสนอให้พวกผมอยู่ด้วยกัน เพราะแค่ผมเคยตอบน้องไปว่าไม่ถึงไหน

ผมยกมือมากุมขมับ

เชื่อเขาเลย!

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่6] P.1 (15/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 15-08-2016 02:08:55
พาร์ต้องคิดแน่เลยว่าคนที่ใส่สายสิญจน์อีกคนต้องเป็นผู้หญิง555 สองสาวก็แสบพอดูนะเนี่ย รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่6] P.1 (15/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 15-08-2016 10:39:27
 :sad4:

แต่พาร์มีคนที่ชอบแล้วนี่นา ใครน้อออออออออ  :m16:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 7 (1/3)] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-08-2016 11:13:00
บทที่ 7 (1/3)

“ของล่ะจ๊ะพาร์”

แม่ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดดุได้ถูกจังหวะมาก ผมแอบสงสัยเหมือนกัน ทำไมถึงมีแต่ของน้องเบอร์ดี้กองอยู่หน้าบ้านผม เยอะจนตะลึงในแวบแรกที่เห็น ทำเอาคนพึ่งตื่นอย่างผมตาสว่าง แอบเผลอคิดไปเลยว่าน้องจะย้ายมาอยู่บ้านผมถาวร

“เย็นนี้ค่อยไปเอาครับ พอดี…”

ผมที่กำลังช่วยขนของเข้าบ้านลอบเงี่ยหูฟังจับใจความได้ประมาณพื้นที่รถเต็มแล้วเอาของใส่เพิ่มไม่ได้

…ก็จริง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเป็นแค่ของอ้างหว่า

หลังท่านแม่ผู้มาปลุกผมถึงในห้องเดินเข้าบ้านก็ค่อยกระดืบๆ ไปกระซิบถามคนกำลังยกของเดินตามมา “เมื่อกี้มึงไม่ได้พูดความจริงใช่ปะ?”

พาร์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “พูดจริง”

ผมจ้องหน้าเพื่อนด้วยสายตาไม่เชื่อ นานจนพาร์หลบตาไปเอง แถมยอมสารภาพด้วยเสียงแผ่วเบา

“…แค่ครึ่งเดียว”

นั่นไง!

ผมก้าวเท้าตามเพื่อนที่เดินนำไปก่อน วางของไว้แถวห้องนั่งเล่นก็วกกลับไปที่รถ ถามอย่างอดไม่อยู่

“หรือว่าเกี่ยวกับที่น้องสาวมึงหอบข้าวของมาเยอะแยะ?”

น้ำเสียงพาร์หน่ายสุดขีด “น้องกูทำคนในบ้านตะลึงแต่เช้า อึ้งจนไม่รู้จะอึ้งยังไง ถามไปได้ใจความว่า ตกลงกับน้ำตั้งแต่เมื่อวานว่าจะอยู่บ้านมึงยาวจนกว่ารถจะซ่อมเสร็จ หรืออาจอยู่นานกว่านั้นตามความพึงพอใจ”

“ฮะ?!” ผมอุทาน เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมขนของมาเยอะนัก “นี่แสดงว่าสองสาววางแผนกันไว้แล้ว”

“พูดเรื่องนี้แล้วปวดหัว พ่อแม่ยังพูดอะไรไม่ออก แถมเมื่อวานพึ่งอนุญาตไป กูเลยรับเคราะห์เต็มๆ ต้องดูแลน้องไม่พอ ยังต้องอยู่ยาวตามน้องอีก กะทันหันจนกูไม่รู้จะขนอะไรมาบ้านมึงดี”

ผมอดหัวเราะไม่ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าพาร์ก็ยิ่งขำ

“ไปดูของที่ห้องกูก่อนไหม อันไหนใช้ด้วยกันได้ มึงก็ไม่ต้องขนมาไง” คนฟังดันถอนหายใจ ผมเลิกคิ้วถามอย่างคาดเดา “หรือมึงไม่อยากมาอยู่บ้านกู?”

“มึงต่างหากที่น่าจะกำลังรำคาญ”

“ทำไมคิดงั้น?”

“กูกำลังเข้าไปยุ่งย่ามพื้นที่ส่วนตัวของมึงนี่หว่า”

ผมงงไปวูบหนึ่ง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะทันที “ฮ่าๆๆ คิดมากไปได้!”

พาร์เตะผมแรงมาก เจ็บน่องจี๊ดๆ ต้องซี๊ดปากแทนหัวเราะ

“กูลืมไปมึงไม่ปกติ!”

อ้าว ผมมองคนหัวเสียเดินนำหน้าไปนู้น ก็ได้แต่เดินกะเผลกตามหลัง “ด่ากูทำไมวะ”

พาร์มองเขม็งผมแวบหนึ่ง ยกของเดินทิ้งห่าง ส่งท้ายด้วยประโยคเดียวให้ผมติดใจเล่น

“ลืมมันไปเถอะ”

ระหว่างทางไปมหาลัย พาร์ไม่ปริปากพูดอะไรกับผมเลย แค่ส่งเสียงคำเดียวก็โดนสายตาหงุดหงิดจ้องใส่ จึงตัดสินใจปล่อยความเงียบคืนสู่บรรยากาศอย่างน้อยก็ได้นั่งฟังเพลงเพลินๆ มองวิวข้างทาง แต่พอไม่ต้องยุ่งกับพวงมาลัยก็รู้สึกว่างพิกล ชำเลืองมองคนกำลังอารมณ์ไม่ดี ผู้แย่งกุญแจรถผมไปตั้งแต่อยู่บ้าน ใจที่กังวลมาตลอดทางก็โล่งอกขึ้นโข แถมยังอยากโห่ร้องด้วยความยินดี

ท้องถนนรถเยอะขนาดนี้ ไม่ต้องเสี่ยงทัวร์นรกกับคนข้างๆ แล้วครับ

ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แค่ลงจากรถพารก็จัดการล็อกรถ ยัดกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง เดินแยกตัวไปอีกทางทันที ทิ้งเจ้าของรถอย่าผมมองตามหลังอย่างมึนงง

…มันแฮ๊บกุญแจรถผมไปทำบ้าอะไร?

ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย พาร์ไม่ทำรถผมหายหรอกมั้ง

-------------
 
อะไรวะ? ความโกรธรูปแบบใหม่หรือไง?

ก็พอรู้ตัวจากเหตุการณ์เมื่อวานว่าอาจไม่เป็นที่ต้อนรับของเพื่อนๆ คาดการณ์ไว้สารพัด เช่น โดนเพื่อนพูดไล่ พากันลุกเดินหนี ไม่ก็เมินเสมือนเราเป็นอากาศธาตุ แต่ความเป็นจริงกลับเกินกว่าที่คาดเดา แอบเหล่มองเพื่อนแต่ละคนที่ตามมานั่งกับผมอย่างสงสัย

…ไม่คุยกับผมไม่แปลก แต่เล่นไม่คุยกันเองด้วย แล้วไอ้อาการหลบสายตาผมนี่คืออะไร เป็นกันทุกคนไม่พอ คู่กรณีผมขาดเรียนอีก!

ได้แต่อดทนเรียนจนจบชั่วโมง พออาจารย์ปล่อยตัวก็รีบหันไปมองเพื่อนๆ พบว่าแต่ละคนเก็บของเสร็จแล้ว กระพริบตาอีกทีเห็นเพียงแผ่นหลังเพื่อนๆ เดินหายไปคนละทิศ ทางใครทางมันสุดๆ

…นี่มันอะไรกัน

ผมต้องการใครสักคนที่น่าจะช่วยตอบข้อข้องใจได้ กวาดมองรอบห้องก็เจอคนที่ต้องการตัวกำลังจะเดินผ่านประตู จึงรีบกวาดของลงเป้ลวกๆ วิ่งตามออกไปคว้าไหล่ รั้งตัวประธานชั้นปีอย่างมลให้หันมาได้ทันก่อนอีกฝ่ายเดินเข้าลิฟต์

“อะไรเนี่ย?!”

ผมไม่สนคำประท้วง ยิงคำถามใส่ทันที “เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มกู?”

อย่าแปลกใจที่ผมขึ้นมึงกูกับเพื่อนผู้หญิง ปกติไม่ทำถ้าไม่สนิทพอ แต่กลุ่มประธานชั้นปีที่คละกันทั้งชายหญิงเป็นข้อยกเว้นตั้งแต่งานกิจกรรมเฟรชชี่ที่ผ่าน ส่วนคนโดนถามตอนนี้เลิกคิ้วขึ้นสูง โบกมือไล่สมุนที่อยู่ในลิฟต์ให้ลงไปกันก่อน แล้วลากผมมายืนหลบทางชาวบ้าน ยกมือกอดอกย้อนถาม

“เมื่อวานมึงแผลงฤทธิ์อะไรไว้ ลืมแล้ว?”

“ไม่ลืม แล้วหลังกูกลับไปเกิดอะไรขึ้นอีก”

“ไม่เห็นมีอะไร อาจารย์ยกเลิกคลาส มึงน่าจะเดาออกถึงได้กลับก่อน ส่วนจะเกิดอะไรกับกลุ่มมึงหลังจากนั้น กูจะไปตรัสรู้ได้ไง”

ถึงผมจะเข้าใจ แต่ขอเหน็บมันหน่อยเถอะ “มึงเป็นประธานชั้นปีที่ไร้ประโยชน์จริงๆ”

“อ้าว ด่ากูอีก กูจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องไหม?”

“จำเป็น ไม่งั้นกูจะเลือกถามมึงไปทำไม”

“กูไม่ใช่พวกช่างเผือกนะ!”

“ถ้ามึงไม่เผือก มึงจะดูแลลูกทีมปี1 ทั้งคณะยังไงไม่ทราบ”

“กูมีวิธีของกูน่า”

“อ้อเรอะ แต่ตอนนี้ลูกทีมอย่างกูกำลังเดือดร้อน มึงไม่เห็นช่วยอะไรกูได้ เปลี่ยนวิธีเถอะมึง”

ผมแกล้งแหย่ไปอย่างนั้น แต่สงสัยไปกระตุ้นต่อมหงุดหงิดอีกฝ่ายเข้า ท่านประธานเลยจัดการกระทืบเท้าผมอย่างแรงไม่พอ ลงน้ำหนักขยี้อีก เจ็บสุดๆ แต่ภายนอกก็ยังทำหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่เจ็บ

“ไม่เจ็บ?”

“เจ็บ”

“ไมไม่ร้องวะ แล้วยืนเฉยเป็นตอไม้ให้กูเหยียบทำไม”

ผมฉีกยิ้มระรื่นต่างกับใจที่เจ็บจนน้ำตาแทบร่วง “กูไม่แสดงอาการให้มึงสมหวังหรอก”

มลทำหน้าเซ็งใส่ ยอมถอนเท้าออกโดยดี

อูย…อย่าดูถูกแรงของเพศหญิงเชียวนะครับ โดยเฉพาะสาวถึก!

“สรุปคือมึงโดนเพื่อนทิ้ง?”

“เห็นใครอยู่กับกูไหมล่ะ” ผมตอบระหว่างสะบัดเท้าข้างที่โดนเหยียบไปมา เจ็บจนเริ่มชาแล้วสิ

“งั้นมึงจะกินข้าวกับใคร?”

“คนเดียวมั้ง ไม่ก็อาจไปขอแจมกับเพื่อนต่างคณะที่รู้จักกัน”   

“งั้นมากินกับพวกกูดีกว่า ช่วงบ่ายจะไปนั่งเรียนกับพวกกูด้วยก็ได้”

“มลใจดีที่สุด!”

“เปล่า กูขี้เกียจวิ่งไล่จับมึงต่างหาก”

“หือ?” คำตอบของเพื่อนทำผมมึน “จะไล่จับกูทำไม”

“พวกรุ่นพี่ให้กูเอาตัวมึงไปถวายหลังกินข้าวเที่ยงกับเลิกเรียนน่ะสิ”

“ฮะ?!”

“นี่มึงลืมว่าตัวเองเป็นลูกสาวคณะใช่ไหม” มลกระซิบถาม

ผมใบ้กินทันที เพื่อนมลพูดถูกต้องแล้ว เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาหลังรู้ว่าพาตัวเองมาเจอกับอะไร กำลังจะก้าวเท้าถอยหนีเนียนๆ แต่ไม่ทันครับ โดนท่านประธานคล้องแขนจับล็อกตัวเรียบร้อย ผมไม่นิยมสะบัดผู้หญิงออกซะด้วย ยกเว้นบางประเภท เช่น พวกที่อยากลากผมขึ้นเตียง…

“ปะมึง เวลามีน้อย พี่ๆ นัดตอนเที่ยงครึ่ง”

ผมรู้สึกเสียใจก็ตอนนี้ เป็นความโง่ของตัวเองล้วนๆ ถึงได้เอาตัวมาให้เจ้าหน้าที่หมายเลขหนึ่งจับถึงที่ แล้วเจ้าหน้าที่หมายเลขอะไรไม่รู้จะจับผมไปเชือดแบบไหนล่ะเนี่ย

-------------

“ฮ่าๆๆ จับไอ้ทีไปเตรียมความพร้อมเนี่ยนะ นึกภาพมันเป็นสะใภ้ไม่ออกสักนิด”

“รุ่นพี่ถึงต้องจับมันไปเข้าคอร์สเตรียมพร้อมก่อนเป็นเจ้าสาวที่ดีไง” 

ผมรู้สึกโง่ก๊อกสอง เมื่อต้องนั่งร่วมโต๊ะกับสมุนท่านประธานทั้งสาม พูดจาแต่ละคำไม่มีเกรงใจกันสักนิด แถมยังแทงฉึกเข้ากลางใจดอกแล้วดอกเล่า แม้พวกมันจะลดเสียงลงเหลือแค่ให้ได้ยินเฉพาะในโต๊ะก็ตามเถอะ พวกคุณอย่ารู้จักพวกมันเลย เพราะผมจะไม่แนะนำ เรียกสมุนทอม สมุนชาย สมุนถึก ไปแล้วกัน เพราะสามหน่อนี้ประกอบไปด้วยชายแท้ หญิงทอม หญิงถึก

หลังสมุนทอมกับสมุนชายพูดจบ ท่านประธานที่เงียบมานานก็ออกความเห็นบ้าง

“เออเหมือน เข้าใจเปรียบเทียบ”

“ไอ้ทีของเราเตรียมแต่งออกนี่เอง ฮ่าๆๆๆ” สมุนทอมหัวเราะไม่เลิก

“แหม อยากรู้จังใครเป็นเจ้าบ่าว” สมุนถึกหัวเราะคิกๆ

ผมทำหน้าบึ้งหลังได้ยินประโยคแสลงรูหูรัวๆ “นี่พวกมึงไม่คิดว่าคณะเราจะชนะหรือไง”

คำถามของผมกลายเป็นตัวเร่งระดับเสียงหัวเราะเข้าไปอีก ผมนี่เบ้ปากใส่เพื่อนเลย

“มีอะไรน่าขำ?”

“มึงไม่รู้จริงอ่ะ ข่าวขึ้นชื่อของนิติเลยนะโว้ย”

ผมมองสมุนทอม “เรื่องไรวะ?”

สมุนทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนส่งยิ้มกริ่มให้ผมเรียงตัว แถมยังประสานเสียงอีก

“พวกกูไม่บอก!”

“ไม่เอา ไม่ทำหน้าอย่างนั้น” มลตีแก้มผมเบาๆ ทั้งที่ปากฉีกยิ้มขบขัน “มึงเป็นตัวแทนคณะเรานะ ต้องอย่าทำให้คณะเราเสียชื่อ รู้ไหม”

“กูอยากโดด!” ผมพูดจริงนะ พวกมันทำผมระแวง!

“อย่างทีไม่กล้าทำหรอก”

“อ้าวๆ พูดอย่างนี้ท้าทายใช่ไหม” 

“ไม่ใช่” สมุนชายรีบปฏิเสธ “กูหมายความว่า มึงเข้าใจคำว่าส่วนรวมดี ไม่งั้นช่วงกิจกรรมเฟรชชี่ที่ผ่านมาจะเจอหน้ามึงทุกงานได้ไง”

“ถูก พวกกูอยากกราบขอบคุณงามๆ ด้วยซ้ำที่มึงมาทุกนัดไม่พอ ยังเสียสละแรงกายมาช่วยพวกกูอีก”

ผัวะ

สมุนชายตบหัวสมุนทอม “ไอ้ทอมนี่ก็พูดเกินจริง ขืนไปกราบมัน ไอ้ทีได้อายุสั้นพอดี”

“กูแค่พูดเปรียบเทียบ!”

“พอๆ” ผมพูดขัดก่อนสมุนทั้งสองจะทะเลาะกันเอง “พวกมึงไม่ต้องขอบคุณอะไรทั้งนั้น กูคิดว่านั่นครั้งเดียวในชีวิต โดดไปเสียโอกาสแย่”

“นี่ก็ครั้งเดียวในชีวิต” มลว่า “โอกาสที่มึงจะได้เป็นตัวแทนท่ามกลางคนในรุ่นเป็นร้อย ยากจะตาย แล้วมึงก็ช่วยอ้าปากงับช้อนอย่างเดียวได้แล้ว บอกก่อนถึงเวลาปุ๊บ กูลากมึงออกไปปั๊บ ต่อให้ยังคาบช้อนคาปาก กูก็ไม่สน!”

โอเคครับท่านประธาน ขอบคุณที่ยังแจ้งเตือนให้รับรู้ล่วงหน้าครับ

ผมรีบก้มหน้าก้มตาโส้ยอาหารสิ้นคิดอย่างกะเพราะหมูสับไข่ดาวลงท้อง หูก็ฟังบทสนทนาที่เปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องอื่น น่าเสียดายไม่มีโอกาสได้ร่วมวงคุยด้วย กลุ่มนี้ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดในคณะ บรรยากาศคล้ายกับตอนอยู่กับเพื่อนที่โรงเรียนชายล้วนดีครับ

เข้าเที่ยงยี่สิบ มลเริ่มเร่งผมยิกๆ คำหลังๆ แทบไม่ได้เคี้ยว อาศัยกรอกน้ำให้ไหลลงท้องเอา

“ไอ้ทีเที่ยงยี่สิบห้าแล้ว”

“เออๆ กูพร้อมแล้ว”

“พวกมึง กูฝากเก็บจานให้ทีด้วย” มลร้องบอกคนอื่น

ชาย1 หญิง1 ทอม1 ต่างโบกมือสื่อว่าไม่ต้องห่วง แถมอวยชัยให้ผมไปดี ไม่ทันได้โต้เถียง ประธานรุ่นก็ลากผมออกจากห้องอาหารใต้ตึกเรียนรวมตรงดิ่งไปตึกคณะที่อยู่ใกล้ๆ พาไปเยือนถึงหน้าห้องสโมสรคณะ

“ถึงล่ะ” มลพยักหน้าไปทางประตู “ห้องกระซวกไส้มึง”

“พูดซะกูไม่อยากเข้า”

“เข้าไปเถอะน่า ไม่ตายหรอก”

“แค่เลี้ยงไม่โตใช่มะ”

มลกวาดมองผมขึ้นลง “มึงสูงแค่นี้แหละดีแล้ว มากกว่านี้จะไม่สมส่วนเปล่าๆ ไปๆ รีบเข้าไปเลย กูจะได้กลับไปกินข้าวต่อ”

ผมโดนรุนหลังไปถึงหน้าประตู มีท่านประธานเปิดให้เสร็จสรรพ พร้อมลากแขนผมเข้าไปประกาศลั่น

“พาตัวมาแล้วค่ะ!! มลไปกินข้าวต่อล่ะนะพี่ๆ สวัสดีค่ะ”

พูดรัวๆ จบประธานชั้นปีหนึ่งก็แวบหายไปจากห้อง…ตัดหางเพื่อนแสนดีอย่างผมไม่พอ ดันเอามาปล่อยกลางดงอิสสตรีทั้งแท้และไม่แท้นับยี่สิบกว่าคนด้วย ผู้ชายคนเดียวในห้องอย่างผมก็ผวาสิครับ

------------- 

“เป็นไงบ้าง”

คุณประธานเห็นหน้าผมปุ๊บรีบเดินดิ่งมาถามไม่พอ ยังดึงแขนลากตัวผมไปรวมกลุ่มตัวเองปั๊บ

…โปรดช่วยเห็นใจคนเดินโซเซเข้าห้องเรียนคาบบ่ายหน่อยเถอะ 

“ไม่ต้องถามแล้วยัยมล ไอ้ทีทำหน้าเป็นหมาป่วยขนาดนี้” สมุนทอมว่า ยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้ “อ๊ะนี่น้ำ กินซะ”

ผมโบกมือไม่เอา ขอถอนหายใจสักเฮือกดีกว่า สมุนถึกเอาสมุดมาพัดให้ พักหายใจหายคอครู่หนึ่งก็ทนสายจาที่จับจ้องไม่ไหว “พวกมึง…” แค่พูดสองคำ ทั้งสี่ก็ตั้งตารอฟังกันเต็มที่ อาการไม่ค่อยอยากเผือกเลย ผมนึกประชดในใจ

“อย่าเงียบสิเฮ้ย!”

ผมมองสมุนทอมพูดเร่งอย่างเอือมระอา ถอนหายใจอีกครั้งหนึ่งก็ยอมพูดระบายความอัดอั้นตันใจออกมา “…กูชักสับสนว่าต้องไปเป็นสะใภ้ หรือกำลังได้ลงแข่งประกวดชายงาม”

“อะไรนะ?”

“หือ?”

“หมายความว่าไง?”

“อธิบายให้มันเคลียร์ๆ หน่อย พวกกูงง”

ทั้งสี่พูดกันคนละประโยคในเวลาเดียวกัน ผมยกมือปิดหน้าด้วยความกลุ้มใจ เอ่ยบอกเสียงแผ่ว

“กูอาจต้องแต่งหญิงวะ”

“ห๊ะ?!” อุทานกันหมด

“เดี๋ยวๆๆ มึงรีบเงยหน้าอธิบายให้พวกกูรู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะ”

สมุนถึกพยายามดึงมือผมออก ไม่ได้ผลก็เล่นกระตุกเส้นผมเป็นกำมือ เจ็บจนต้องเงยหน้าปัดมือเพื่อนไปห่างๆ สีหน้าซังกะตาย

“จะให้อธิบายอะไร ตัวกูยังไม่เข้าใจเลย”

“พูดตามที่มึงเข้าใจนั้นแหละ”

ผมกรอกตามองเพดานห้องหลังได้ยินเสียงประสาน ที่พูดเมื่อกี้ออกจะตรงประเด็น

“งั้นกูจะสรุปให้ฟัง…แต่เลิกกระชากคอเสื้อกูเขย่าได้แล้ว เวียนหัว!”

“ก็บอกสักทีสิวะ ลีลาท่ามากอยู่ได้” สมุนทอมชักยัวะ

“รุ่นพี่จะจับกูแต่งคอสเพลย์ในวันศุกร์ คอนเซปอะไรไม่รู้ หน้าที่กูมีแค่ฝึกเดิน ยืน ยิ้ม นั่งอย่างเดียว แต่ไอ้ท่าที่จะต้องฝึกตุ๊ดฉิบหาย สงสัยกูจะได้ใส่กระโปรงวะ”

แทนที่จะเห็นใจ ดันพร้อมใจปล่อยก๊ากใส่หน้าผม ให้ต้องตบหัวเรียงคน ผู้หญิงก็ไม่เว้นครับ พวกผมเป็นแบบเนี่ยจะมารยาทดีด้วยไปทำไม

“อะแฮ่ม งั้นเย็นนี้มึงต้องฝึกถึงกี่โมง?”

ขอบคุณที่ตั้งสติกลับมาได้ ผมตอบคำถามท่านประธานเซ็งๆ

“รุ่นพี่ขอเวลาถึงสองทุ่ม แต่วันนี้กูมีธุระเลยขออยู่แค่ทุ่มเดียว” พูดถึงตรงนี้ผมก็ดึงมือถือกดเข้าไลน์ ส่งข้อความบอกพาร์ ดีที่วันนี้พาร์เลิกเรียนหกโมงเย็น “พรุ่งนี้กูเลยต้องอยู่ถึงสามทุ่มแทน”

ก่อนจะได้คุยอะไรกันมากกว่านี้ อาจารย์เดินเข้าห้องมาพอดี ทั้งกลุ่มหันไปสนใจเรียนกันหมด พวกเขาตั้งใจเรียนกันดีครับ ผลคะแนนสอบกลางภาคอยู่อันดับต้นๆ กันทุกคน เคยได้ยินว่าถ้าผลการเรียนแย่ หรือตกจะโดนรับการลงโทษเป็นพิเศษจากพี่นัน…เป็นประธานรุ่นกับสมุนคู่กายก็ลำบากเหมือนกัน

ผมหันไปฟังอาจารย์บ้าง แต่พบว่าตัวเองไม่มีสมาธิเรียนเลย เฮ้อ…

ช่วงห้าโมงเย็นสะใภ้คณะคนก่อนมาเยือนพร้อมอดีตสามีที่อยู่นิติ แวบแรกที่ได้เห็นหน้า ผมถึงกลับเคลิ้มสติหลุดไปชั่วขณะ สวยมากครับ นางฟ้าชัดๆ แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ผมขอมอบฉายานางฟ้าใจร้ายให้พี่เขาไปครองเลย เข้มงวดกับผมยิ่งกว่าพวกรุ่นพี่อีก เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่ามองคนแต่ภายนอกจริงๆ

การเจอพี่เบนคือคราวเคราะห์ แต่แฟนของพี่เบนคือผู้ช่วยชีวิตของผม 

“พอๆๆ พวกคุณจะจับน้องฝึกเป็นกระเทยหรือไง ไหนผมได้ยินว่าคอนเซปคือท่านชายไงครับ”

คนโดนฝึกอย่างผมพึ่งได้ยินคอนเซปครั้งแรกนี่แหละ

“ก็…น้องจะไปเป็นสะใภ้นี่ค่ะ”

“แล้วต้องให้น้องทำท่าตุ๊ดด้วยเหรอ สะใภ้ผู้ชายแท้ๆ ก็มี หรือพวกคุณเคยเห็นแต่อะไรไม่รู้ แล้วมาจับน้องฝึกให้เหมือนคนพวกนั้น?”

เงียบกริบเลยครับ หน้าเสียกันเป็นแถบ แม้แต่พี่เบนที่ได้ชื่อว่าสุดที่รักยังทำได้แค่ยิ้มแห้ง ไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังสนุกสนานร่วมมือฝึกผมกับพวกรุ่นพี่อยู่เลย

“ตอนแรกผมว่าจะไม่ยุ่ง แต่ทนดูไม่ไหวจริงๆ” พูดถึงตรงนี้ก็มองแฟนดุๆ “แทนที่เธอจะห้าม ดันไปร่วมวงด้วยอีก เขาเรียกเธอมาดูน้องเพื่อให้ทำความเข้าใจกับตำแหน่ง ไม่ใช่ให้เธอไปกลั่นแกล้งน้องตามอารมณ์นึกสนุก เวลายิ่งมีน้อยๆ อยู่”

“ขอโทษค่ะ” พี่เบนพูดเสียงอ่อยๆ

“มาขอโทษผมทำไม เธอกับพวกคุณควรขอโทษน้องนู้น”

พวกพี่ๆ หันมาขอโทษผมกันทุกคน ผมทำได้แค่ผงกหัวหงึกๆ รับ แอบส่งสายตาขอบคุณให้พี่นิติคนนั้นด้วย ขอบคุณจริงๆ ที่พี่ช่วยแย้งให้ เพราะตอนกลางวันผมแย้งเองรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจฟังสักคน บางทีการได้เป็นรุ่นน้องก็แย่นะครับ

“ขอบอกก่อน คณะผมต้องการสะใภ้ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งแสดงตัวตนแท้จริงออกมาได้ยิ่งดี ไม่ใช่ตัวตนที่รุ่นพี่อย่างพวกคุณปรุงแต่งให้ หรือยัดเหยียดให้ฝึก ผมแนะนำได้แค่ว่าพวกคุณควรเปลี่ยนวิธีฝึกน้องใหม่ทั้งหมด และช่วยจำไว้ว่างานนี้พวกคุณเป็นแค่ผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวหลัก เข้าใจไหมครับ?”

พวกรุ่นพี่รับคำเสียงแผ่ว จนโดนถามซ้ำอีกครั้ง ถึงตอบเสียงขันแข็งขึ้น

“ดี ผมให้เวลาพวกคุณไปประชุมกันใหม่ เธอก็ไปให้คำแนะนำรุ่นน้องด้วย ส่วนน้องปี1 มานั่งตรงนี้กับพี่”

ทุกคนกระจายตามคำสั่งทันที ผมตรงไปนั่งข้างพี่เขา พูดขอบคุณจากปากอีกครั้ง แต่กลับไม่มีการตอบรับใดๆ มีเพียงขวดชาดำรสน้ำผึ้งมะนาวถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมหลอด

“พี่ให้เป็นของปลอบขวัญ”

ผมรีบยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”

นั่งกันเงียบๆ ไม่ถึงอึดใจ พี่นิติก็ชวนผมคุย “มีเพื่อนอยู่คณะนิติหรือเปล่า”

“มีครับ”

“หญิงหรือชาย สนิทกันมากไหม”

ผมนึกถึงพาร์ทันที “ผู้ชายครับ สนิทไหม…น่าจะสนิท ครอบครัวพวกเรารู้จักกันด้วย”

“งั้นเหรอ…น่าเสียดาย”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ พี่เขาเสียดายอะไร?

“โดนเลือกได้ยังไงล่ะ จับฉลาก?”

“ครับ”

“จับได้เองหรือเปล่า?” ผมส่ายหน้า ฝ่ายพี่นิติกลับถอนหายใจเบาๆ “เป็นแบบนี้ทุกรุ่น”

หือ? หมายความว่าไงกัน?

“เอ่อ ผมขอถามได้ไหมครับ” พี่พยักหน้าอนุญาต “ที่ว่าเป็นทุกรุ่นคืออะไรครับ”

พี่นิติถอนหายใจอีกครั้ง “รู้ไหมไอ้คนจับฉลากได้ไม่เคยได้เป็นหรอก ต้องมีคนอาสาทำแทน ไม่ก็โดนโยนหน้าที่ให้ มีกรณีขอเปลี่ยนคนทีหลังด้วย สรุปว่ามันต้องมีเรื่องมีราวทุกรุ่น บางรุ่นก็ร้ายแรงหน่อย แต่เพราะอย่างนี้เลยทำให้เพื่อนหรือรุ่นพี่เห็นอุปนิสัยหรือจิตใจของคน”

ผมมองพี่เขาอึ้งๆ…ลึกซึ้งมากครับ เป็นมุมมองแบบที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ

“เอ่อ แล้วทางคณะนิติ ฝึกลูกสาวโหดเหมือนทางผมไหมครับ”

นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมแอบสงสัย

“ไม่หรอก ส่วนใหญ่จะตามใจน้องกัน ปล่อยน้องคิดคอนเซปเอง พวกรุ่นพี่แค่สรรหาอุปกรณ์หรือคอยอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ตามแต่น้องร้องขอมา”

ดีชะมัด! ฟังแล้วผมอยากย้ายคณะเลย

“เราอยากให้ลูกสาวแสดงความเป็นตัวตนออกมาให้หมด ถึงจะสุดโต่งไปบ้างก็ไม่เป็นไร ถือเป็นสีสันในงาน แต่เพราะแบบนี้ ส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยมีใครอยากได้ลูกสาวจากคณะพี่เท่าไหร่” พูดถึงตรงนี้พี่นิติก็หัวเราะหึๆ “เรื่องลูกสาวนิติถือเป็นเรื่องขึ้นชื่อของคณะพี่เลยล่ะ”

ผมร้องอ้อในใจเลยครับ ไอ้เรื่องนี้เองที่สมุนทั้งสามไม่ยอมบอกผม!

“น้องเลยตกที่นั่งลำบากหน่อย”

เอ๊ะ

“เอ่อ พี่พูดแบบนี้…แสดงว่าผมมีโอกาสเป็นสะใภ้คณะพี่สูงมาก?”

“มันขึ้นอยู่กับคณะน้องด้วย ถ้ายอมรับลูกสาวคณะพี่ได้ก็คงแข่งกันแบบแฟร์ๆ แต่ถ้าไม่ สงสัยจะมีเล่นตุกติก” ฟังพี่พูดแล้ว ผมเครียดเลย “เอาน่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ต้องทำหน้าเครียดหรอก”

...พี่พูดให้ผมปลงล่วงหน้าใช่ไหม?

“มาเป็นสะใภ้คณะพี่ดีนะ ยิ่งคู่กับคนรู้จักยิ่งดี เสียดายคนรู้จักน้องดันเป็นเพศเดียวกันนี่สิ”

ผมสะดุดหู รีบถามอย่างมีความหวัง “ไม่นิยมจับคู่คนเพศเดียวกันเหรอพี่”

“ไม่ค่อยนะ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับประธานปี4 ด้วย อย่างกรณีน้อง นันคงนึกสนุกเลยเลือกน้องแทนน้องผู้หญิง”

“หมายความว่าสะใภ้ต้องเป็นผู้หญิง?”

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 7 (2/3)] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-08-2016 12:59:41
บทที่7 (2/3)

“เรียกว่าลูกสาวคณะ ต้องเป็นเพศหญิงสิ”

“แต่พี่นันบอกว่าชายหญิงเกี่ยวหมดนะครับ”

“อ้าวเหรอ บางทีกฎอาจเปลี่ยนจากสมัยพี่มั้ง”

มันยังไงๆ อยู่นะ

“อ้อ พี่จำได้ล่ะ เรื่องปลีกย่อยอย่างเลือกคนที่เป็นลูกสาว นอกเหนือจากความเหมาะสม ส่วนใหญ่ประธานพี่4 ถูกใจใครก็เลือกคนนั้นแหละ บางครั้งก็ไม่มีเหตุผลหรอก สงสัยน้องเผลอทำตัวสะดุดตานันเข้ามั้ง”

หลังได้รับข้อมูลที่ทำผมจิตตกไปพักใหญ่ก็ได้เวลาเริ่มต้นฝึกแบบใหม่ ซึ่งทำผมสบายใจขึ้นโข ให้อารมณ์เหมือนฝึกมารยาทการเดิน ยืน นั่งกับคุณย่าในสมัยเด็กมากครับ ผลคือผมทำได้ดี พวกรุ่นพี่เลยค่อนข้างพอใจ

“งั้นไปเที่ยวงานลอยกระทงกันเถอะ”

เอ๊ะ…ลอยกระทง? ผมลืมไปซะสนิท

“ออกไปตอนนี้คงโดนเรียกไปช่วยงานมากกว่า”

“ไปสนุกที่ซุ้มคณะก็ดีนี่ พวกพี่เบนล่ะคะ?”

“พวกพี่ตั้งใจมางานลอยกระทงนี่แหละ แล้วก็แวะมาดูหน้าว่าที่สะใภ้คนใหม่ด้วย” พี่เบนส่งยิ้มผม

…คนนี้อีกคน ฟันธงไปแล้วว่าผมต้องเป็นแน่ๆ ใช่ไหม เฮ้อ~

เพราะเหตุนี้ผมเลยโดนปล่อยตัวเร็วกว่าที่ขอไว้ครึ่งชั่วโมง ถูกทิ้งให้ยืนเคว้งคว้างอยู่หน้าตึกคณะเศรษฐศาสตร์ พลางยืนครุ่นคิดสองจิตสองใจ จะไปซุ้มคณะตัวเองดีไหม เพราะเพื่อนๆ น่าจะอยู่กันที่นั่น หรือติดต่อไปหาพาร์ก่อนดี

ผมตัดสินใจโทรหาพาร์ เพราะขืนไปซุ้มคณะตัวเอง สงสัยได้อยู่ยาวจนเลยเวลานัดตอนทุ่มตรงแหง อีกอย่างผมไม่ต้องไปช่วยเฝ้าซุ้ม เพราะก่อนหน้านี้อยู่ฝ่ายเตรียมสถานที่ เริ่มทำตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แต่ทำเต็มที่จริงๆ แค่วันจันทร์ที่อยู่ยาวถึงสี่ทุ่ม นอกนั้นกลับก่อนไม่เกินหนึ่งทุ่ม

ผมเกรงใจคนต้องมารออย่างพาร์ มันมารอที่ใต้คณะเศรษฐศาสตร์จนเพื่อนผมแต่ละคนเริ่มมองเราแปลกๆ จนหลังๆ พาร์เลยหนีไปช่วยงานซุ้มคณะนิติ จะกลับเมื่อไหร่ก็ไลน์หาบ้าง ตกลงเวลาก่อนไว้ก่อนบ้าง ถึงเวลานัดค่อยไปเจอกันที่รถ

พาร์รับสายผมก็จริง แต่ทางนั้นเสียงดังหนวกหูจนผมฟังไม่รู้เรื่อง เลยกดปิดเปลี่ยนเป็นกดข้อความผ่านไลน์แทน

TEE: อยู่ไหน?
PAR: ซุ้มนิติ แล้วเมื่อกี้กดตัดสายทำไม
TEE: เสียงโคตรดัง กูฟังมึงไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวไปหา ซุ้มคณะมึงอยู่ตรงไหน
PAR: ไหนบอกโดนรุ่นพี่กักตัวถึงหนึ่งทุ่ม
TEE: โดนปล่อยตัวแล้ว
PAR: อ้อ งั้นมาสิ เดี๋ยวส่งรูปไปให้

พาร์ถ่ายรูปซุ้มคณะตัวเองกับรอบๆ ให้ผมดู ตามด้วยบอกพิกัดเป็นลายลักษณ์อักษร วงแคบลงก็จริง แต่ผมหาตั้งนานกว่าจะเจอซุ้มคณะนิติ

“เชิญครับๆ”

ผมส่ายหน้า อ้าปากกำลังบอกว่ามาหาเพื่อน แต่เมนูแผ่นกระดาษแข็งเคลือบพลาสติกดันมาอยู่ในมือ

…นี่เข้าข่ายยัดใส่มือนะครับ

แต่ก็ก้มมองเมนูอย่างสนใจ อยากรู้ว่าขายอะไรบ้าง พอเห็นก็ผิดหวังเล็กๆ ไม่ต่างจากทั่วไปเท่าไหร่ มีเครื่องดื่มร้อนเย็นง่ายๆ ไม่กี่อย่าง เมนูจากขนมปังปิ้ง ขนมปังเย็น ข้าวโพดคลุกเนย คุกกี้ มาสะดุดที่ภาพลูกเจี๊ยบในเปลือกไข่ มีกรอบคำพูดเขียนว่า ถือกินสะดวก ผมรีบกวาดมองด้านในไม่มีที่นั่งกินจริงๆ ครับ มีแต่โต๊ะคลุมด้วยผ้าสีแดง ด้านบนทำเป็นชั้นวางของแบบขั้นบันได ให้คนเลือกซื้อมองเห็นชัดถนัดตา

สินค้าวางขายทั้งหมดเป็นคุกกี้หลากหลายแบบ บรรจุในขวดโหลแก้วใบเล็กๆ น่ารัก ผูกริบบิ้นกับคล้องป้ายสำหรับเขียนข้อความแผ่นกลมๆ เพิ่มความสวยงาม มองไปเรื่อยก็สะดุดป้ายทำจากกระดาษวาดเขียนแผ่นใหญ่แปะติดชายผ้าคลุมโต๊ะ มีข้อความลงสีโปสเตอร์ตัวใหญ่มากเขียนว่า ‘ซื้อครบ 250 บาท มีสิทธิ์จับลูกบอลทำนายโชคชะตา’

ผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมซุ้มนี้ผู้หญิงโคตรเยอะ

เลื่อนสายตาขึ้นจากแผ่นป้ายก็มาสะดุดคุกกี้คุ้นตาเข้าอย่างจัง เพ่งมองจนแน่ใจว่าเคยกินมาก่อนแน่ๆ แต่ดันนึกไม่ออกว่าเคยกินตอนไหน 

“ตัดสินใจได้หรือยังครับ?”

ผมหลุดจากภวังค์ รีบยิ้มให้คนยืนรอรับออเดอร์ “เอาโกโก้เย็นแก้วหนึ่งครับ”

“ยี่สิบห้าบาทครับ”

หือ? เป็นระบบจ่ายเงินก่อนได้ของหรือเนี่ย ผมหยิบตังค์จ่ายไป

“รอสักครู่นะครับ หรือจะเข้าไปชมสินค้าข้างในก่อนก็ได้”

ผมพยักหน้าตอบรับ แม้ในซุ้มมีแต่ลูกค้าสาวๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่นักศึกษาสวมบทพนักงาน หรือลูกค้าบางคนก็เป็นผู้ชายนี่ครับ ผมเดาว่าน่าจะมากับแฟน ดังนั้นจะอายไปทำไม เดินดุ่มๆ ไปหยุดหน้าโหลคุกกี้ที่หมายตา หยิบขึ้นมาเพ่งดูคุกกี้ในระยะประชิด

ความรู้สึกมันบอกว่าใช่ แต่ให้แน่ใจต้องได้ชิม!

“เอาเจ้านี้ครับ”

“รับอย่างอื่นเพิ่มไหมครับ?”

ผมกวาดมองไปเรื่อยก็สะดุดอีกสองแบบ เลยหยิบส่งให้ไปอย่างละหนึ่ง

“เท่านี้นะครับ เอ่อ ผมรู้ว่าคุณลูกค้าคงไม่สนใจ แต่หากซื้อครบยอดจะได้จับลูกบอลทำนายโชคชะตานะครับ”

ผมผงกหัวแทนคำบอกว่ารู้แล้ว “เท่าไหร่ครับ?”

“120 ครับ”

อื้อหือ กระปุกแค่นั้นตั้ง 40 บาท กำไรสุดๆ แต่รูปแบบผลิตภัณฑ์โอเคอยู่ครับ ผมเลยยอมจ่าย ระหว่างรอโหลคุกกี้ใส่ถุง โกโก้ของผมก็มาส่ง รับมาดูด…รสชาติใช้ได้ เอ๊ะ มีคุกกี้วางให้ชิมด้วยนี่หว่า อยากตบหน้าผากตัวเองนัก ไม่ดูให้ดีก่อนซื้อ เอาวะ ชิมตอนนี้ก็ยังทัน

ผมหยิบคุกกี้ที่หมายตาเข้าปาก เคี้ยวสองสามทีก็เผลอพยักหน้า มันใช่ครับ รสชาติคุ้นปากแบบที่ไม่ได้กินมานาน อดมองคุกกี้ในโหลที่มีแค่หกชิ้นไม่ได้ น้อยเกินไป เสร็จน้องผมหมดแน่ เลยทำการซื้อเพิ่มอีกแบบละสามกระปุก

“ไม่สนใจคุกกี้แบบอื่นๆ เหรอครับ?”

ส่ายหน้าปฏิเสธทันที ผมเฉยๆ กับของหวานก็จริง แต่ถ้าเป็นของแบบที่ชอบจะพุ่งเข้าหาครับ   

“งั้นขอคิดราคาใหม่นะครับ…ทั้งหมด 480 บาทครับ”

ผมจ่ายเงินไป รับของมาหิ้ว กำลังจะเดินออกจากซุ้มก็นึกได้ตอนเห็นคำว่านิติศาสตร์ เออวะ ผมมาหาพาร์นี่หว่า แล้วมันอยู่ไหนเนี่ย?   

“คุณลูกค้าที่ซื้อคุ้กกี้ครับ! กลับมาจับลูกบอลก่อนครับ!!

…ตะโกนทำไมครับ หันมองกันทั้งซุ้มแล้ว

ผมจำเดินย้อนกลับไปหา ไม่งั้นอีกฝ่ายคงตะโกนเรียกไปเรื่อยๆ

“ได้สิทธิ์จับสองครั้งนะครับ”

ล้วงหยิบพลาสติกรูปทรงไข่หลากสีในกล่องขึ้นมาสองอัน ส่งให้พนักงานประจำซุ้มบิดออก แล้วยืนรอฟังด้วยความรู้สึกเฉยชา ถ้าเปลี่ยนมาเป็นน้องสาวอย่างน้ำหรือเบอร์ดี้คงยืนรออย่างตื่นเต้น สาวน้อยสองคนนั้นชอบเรื่องประเภทนี้สุดๆ     

“ความรักของคุณอยู่ใกล้แค่เอื้อม”

อาฮะ ฟังอันแรกจบก็รอฟังอันที่สอง

“หากหันหลังไปคุณอาจพบคนที่ใช่ครับ”

ผมแอบขำ แค่หันหลังเนี่ยนะ มันจะเป็นจริงได้ไง 

“จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกไหมครับ?”

“ใส่ไว้ในนี้เลยครับ”

กระดาษแผ่นยาวๆ ขนาดเท่าซองหลอดน้ำดื่มถูกสอดเข้าถุงคุกกี้ในมือผม เก็บไปให้สองสาวดู ต้องชอบกันแน่ๆ แต่พอหมุนตัวหันหลังเตรียมจากก็ต้องชะงักกึก ตาจ้องคนกำลังเดินเข้าซุ้มมาเขม็ง

…ผมยอมเชื่อคำทำนายขึ้นนิดหน่อยก็ได้ ถ้าคนที่ใช่แปลว่า ‘คนที่กำลังตามหาตัวอยู่’ ล่ะก็นะ

กำลังจะเดินเข้าไปหา แต่ต้องถอยหลบอย่างเร็ว เมื่อสาวๆ ในซุ้มวิ่งพรวดเข้าชาร์ตพาร์ แปบเดียวมันก็โดนล้อมทั้งหน้าทั้งหลัง…แว่วเสียงขอซื้อนั่นซื้อนี่ไม่มีหยุด ฟังแล้วปวดหัวแทน

“ขอโทษนะครับ!” พาร์ตะโกนขัดขึ้นมา “ผมหมดกะแล้ว”

แต่สาวๆ ไม่เชื่อครับ ผมฟังคำแย้งไม่ค่อยถนัด แต่มีคนหนึ่งเธอโผล่ออกมาเสียงดัง

“ถ้าหมดกะแล้วน้องจะกลับมาที่ซุ้มอีกทำไมล่ะคะ?”

“มาหาคนครับ” มันตอบเสียงดังฟังชัดเจนมาก

“อยู่นิติก็ต้องมาหาเพื่อนนิติ แค่ข้ออ้างนี่ค่ะ”

ผมขมวดคิ้วแทนเพื่อนเลย ส่วนพาร์ถอนหายใจ เลิกโต้เถียงกับผู้หญิงคนนั้น เปลี่ยนมากวาดสายตามองหาอะไรบางอย่าง พร้อมตะโกนเรียก

“ที!”

อ้าว ตะโกนชื่อผมทำไมวะ

“ที…ไอ้ที!! ถ้าอยู่นี่ก็ขานรับหน่อย ไม่งั้นกูจะไปหามึงที่อื่นแล้วนะ”

ผมจำใจต้องชูมือแสดงตัว คือผมก็ไม่หลบอะไรนะ แต่ทำไมมันไม่หันมองฝั่งนี้ฟะ

“อยู่นี่”

เท่านั้นแหละ สายตาคนทั้งซุ้มย้ายมาที่ผมหมด สองรอบแล้วนะโว้ย ผมเริ่มกระดากนิดๆ แล้วนะ

“เปิดทางให้หน่อยครับ ขอผมไปหาเขาหน่อย”

พาร์เอ่ยขออย่างสุภาพ แทรกตัวผ่านสาวๆ เข้ามาด้านใน หลุดจากกลุ่มก้อนตรงนั้นปุ๊บก็เดินสะดวกแล้วครับ เพราะด้านในโคตรโล่ง

เจอหน้าก็ขอถามหน่อยเถอะ “ไหนว่าอยู่ซุ้ม?”

“ตอนแรกอยู่ แต่ออกไปถ่ายรูปให้มึงปุ๊บ กูก็ได้วิ่งอย่างเดียวเลย นี่พึ่งวกกลับมาได้”

งงแค่วูบแรก ก่อนจะเข้าใจว่าอาจโดนสาวๆ ไล่กวด เลยฉีกยิ้มขำใส่มัน

ช่วยไม่ได้วะ อยากหน้าตาดีเอง

“แล้วซื้ออะไรตั้งเยอะแยะ”

ไม่ถามเปล่าแย่งถุงในมือผมไปเปิดดูอย่างไร้มารยาท

“อุดหนุนซุ้มคณะมึงไง” ตอบเสร็จก็เลิกคิ้วขึ้นสูง แปลกใจเมื่อเพื่อนนิ่งค้างนานเกินไปแล้ว

“พาร์…พาร์ ไอ้พาร์!”

มันสะดุ้ง รีบเงยหน้ามองผมหน้าตื่นๆ “อ…อะไร?”

“…เป็นไรวะ?”

“เปล่า” มันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามเหมือนสงสัยมาก “มึงรู้ปะว่าซื้ออะไรมา”

ผมมองมันด้วยสายตาเหมือนมองคนสติไม่ดี “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคุกกี้ยังจะถามอีก”

“ไม่…ไม่ใช่อย่างนั้น คือ…” พาร์เลียริมฝีปากท่าทางลำบากใจปนตื่นเต้นเล็กๆ “มันมีตั้งหลายอย่าง ทำไมมึงถึงเลือกแค่สามอย่างนี้ล่ะ”

ผมงง แต่ก็ตอบไปตามตรง “กูชอบน่ะสิ”

เห็นพาร์นิ่ง ก็เสริมไปอีกประโยค “เป็นรสชาติที่ไม่ได้กินนานมากแล้ว กูเลยคิดถึง”

“งะ งั้นเหรอ”

มันหลบตาผมทำไม?

…เอ๊ะ

“มึง…เขินเหรอ?” ถามอย่างไม่แน่ใจ

“เปล่า!”

ไม่เห็นต้องปฏิเสธจริงจังอย่างนั้นก็ได้ ดูมีพิรุธนะเพื่อน ผมรับถุงที่ยื่นมาให้เหมือนเป็นของร้อนงงๆ

“กลับเถอะ หรือจะไปเดินเที่ยวงานก่อน”

เปลี่ยนเรื่องซะงั้น ผมยอมปล่อยตามน้ำ ตอนแรกคิดจะกลับเลย แต่ได้กลิ่นหอมๆ ลอยตามลมซะก่อน ความตะกละวิ่งพรวดเข้าเส้นชัย เรื่องขนของเอาไว้ทีหลังนะเพื่อน

“ไปหาอะไรลงท้องกันก่อน” ผมเอ่ยชวน

“จะลอยกระทงไหม?”

“ขอดูก่อน ถ้าคนเยอะคงไม่”

ระหว่างเดินออกจากซุ้ม พาร์เอาแต่ยกนิ้วชี้แตะปากตัวเองใส่เพื่อนร่วมคณะที่กำลังยิ้มกรุ่มกริ่ม บางคนทำหน้าสนุกสนานตั้งท่าอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง พาร์รีบดึงข้อมือผมหนีเลย

อะไรของมัน?

-------------

“คุกกี้ฝีมือพี่พาร์นี่น่า!”

อะไรนะ?!

“อร่อยเหมือนเดิมเลย คิดถึงๆ น้ำไม่ได้กินขนมฝีมือพี่พาร์ตั้งสามปีแล้ว”

ผมรีบตวัดตามองเจ้าของผลงานที่รีบเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาด้วย ถ้อยคำที่พูดออกไปตอนอยู่ซุ้มนิติโผล่พรวดในหัวให้ผมเริ่มรู้สึกกระดากอายตาม นั่งเก้ออยู่สักพักก็เผลอขมวดคิ้ว

แล้วทำไมมันไม่บอกผมเล่า!

“คุกกี้ทั้งสามแบบของพี่พาร์หมดเลยใช่ป่าว?”

ผมมองน้ำสลับกับคนทำขนมที่พยักหน้ายืนยันว่าใช่

“พี่พาร์ทำขายแค่สามอย่างนี้แหละ” เบอร์ดี้ช่วยยืนยันอีกเสียง “ทางคณะพี่ให้คนทำขนมเป็น อบคุกกี้ออกมาวางขายสามอย่าง อย่างละ 50 กระปุก”

…ผมดันคว้าถูกหมดทั้งสามแบบอีก อย่างกับแฟนพันธุ์แท้! มิน่ามันถึงทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่ตอนนั้น

แอบรู้สึกกลุ้มใจ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ก็แค่ เอ่อ เมื่อก่อนได้กินบ่อยๆ ล่ะมั้ง ผมถึงจำรูปแบบไปจนถึงรสชาติได้ติดปากขนาดนี้ พยายามครุ่นคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่

‘ลูกชายของเพื่อนแม่ฝากมาให้ที เขาพึ่งหัดทำขนม’

ในหัวผุดภาพในอดีตอีกหลายฉากให้แอบหน้าซีด รีบหันไปจ้องพาร์ด้วยความไม่อยากเชื่อ

เด็กนั่นคือมันเหรอ? ไม่ใช่หรอกมั้ง…มั้งอะไรล่ะ! หลักฐานวางอยู่ต่อหน้าต่อตา!

ผมยกมือตบหน้าผาก

มันนี่เองสาเหตุที่ทำให้ผมเกิดแรงฮึดเริ่มต้นหัดเข้าครัวบ้าง แต่ขืนทำขนมหวานตามอาจโดนหาว่าเป็นเด็กขี้อิจฉาได้ เลยเลือกทำของคาวแทน ทำไปทำมาชักสนุก นานวันฝีมือย่อมพัฒนา จะว่าไปช่วง ม.ต้น เคยต้องแลกเปลี่ยนของกินกันด้วยนี่หว่า ตอนนั้นผมพึ่งมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ แม่คงเห็นผมหงอยๆ เลยมอบหน้าที่ทำกับข้าวใส่ปิ่นโตทุกเย็น ทุกเช้าก็ได้ของหวานใส่ปิ่นโตกลับมาเป็นของตอบแทน เป็นแบบนี้ตั้งสามปี ไม่ให้คุ้นปากก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่พอมันไปเรียนต่างประเทศก็ไม่ได้กินอีกจนผมลืมไปเลย

ขยี้หัวอย่างหงุดหงิดที่ไม่เอะใจตั้งแต่แรก ที่สำคัญกว่านั้น

ผมเสียตังค์ 480 บาทไปทำไม!

ถ้าเอาเงินส่วนนั้นไปซื้อวัตถุดิบ ฝากพาร์ทำให้กินยังได้ปริมาณเยอะกว่านี้ตั้งหลายเท่า คุ้มกว่าเห็นๆ เท้าคางกับโต๊ะกระจกหน้าโซฟาด้วยความเซ็ง เอาเถอะ ถือว่าอุดหนุนของที่เพื่อนทำขายแล้วกัน ถึงเงินจะเข้าคลังคณะนิติก็ตาม เฮ้อ…   

“ว่าแต่พวกพี่ไปลอยกระทงกันมาหรือเปล่า?”

“เปล่า”

หลังฟังคำตอบจากผม น้องทั้งสองหงอยไปเลย ส่วนน้องอันกัดคุกกี้มองพี่ๆ ตาแป๋ว ท่าทางไม่เข้าใจว่าคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เจ้าตัวเล็กยังไม่เคยไปลอยกระทงครับ ผมให้ลอยเรือกระดาษอยู่บ้านแทน แต่ปีนี้กะว่าจะพาลอยของจริง

“น้องอัน อยากไปเที่ยวกับพี่ไหม?”

พยักหน้าหงึกๆ ทันที

“งั้นกินขนมให้หมดก่อน ไปล้างมือ ค่อยออกมาหาพี่”

คนนี้ว่าง่าย สั่งอะไรทำหมด เฉพาะตอนจะได้ไปเที่ยวครับ

“ส่วนใครที่อายุเลยสิบขวบ ถ้าอยากไปด้วย ช่วยเตรียมตัวให้พร้อม เน้นเสื้อผ้าเคลื่อนไหวสะดวกนะ ใครไม่พร้อมพี่จะให้อยู่เฝ้าบ้าน”

เท่านั้นแหละ สองสาวพากันวิ่งตึงตังขึ้นบันไดไปชั้นสอง คาดว่าคงรีบถอดชุดนักเรียนออกอย่างไว คงเดาออกว่าผมจะพาไปลอยกระทง

ตอนแรกว่าจะไม่พาไปหรอก แต่พอดีระหว่างทางกลับบ้าน เจอเด็กสองคนกำลังจะเอากระทงไปขาย เป็นกระทงกาบกล้วยครับ ถ้าเป็นที่สมุทรสงครามคงไม่แปลก แต่น้องทำขายในกรุงเทพ ผมเห็นน่าสนใจดี เลยให้พาร์จอดรถข้างทาง

สองพี่น้องวัยประถมกับมัธยมต้นช่วยกันทำเอง แยกส่วนต่างๆ ใส่ถุงมา เห็นว่าค่อยประกอบตอนจะขาย เลยซื้อทั้งอย่างนั้นห้าชุด กะเอามาประกอบร่างเอง ได้กาบกล้วย ธูป ดอกดาวเรืองกับดอกเข็มมา ตอนเอาของไปวางเบาะหลัง พาร์ยังหันมองด้วยแววตาสงสัยอยู่เลย ฮ่าๆๆ

“ตกลงจะพาไปลอยไหน?” คำถามพาร์ดึงความคิดผมกลับสู่ปัจจุบัน

“อยากได้ที่มีกระแสน้ำหน่อย…คลองใกล้บ้านแล้วกัน คนน้อยดี ดูแลน้องง่าย”

พาร์ผงกหัวรับ นั่งรอน้องๆ พร้อมไม่นาน ในที่สุดก็ได้ออกจากบ้านกัน

อย่าถามถึงพ่อแม่ผมครับ โทรเร่งพวกผมให้รีบกลับยิกๆ ผมยังตระเวนกินไม่จุใจเลย พอกลับมาให้เห็นหน้าก็พากันหนีไปเที่ยวเรียบร้อย เห็นว่าจะไปดูพลุรำลึกความหลัง ก็ปล่อยคนแก่และเกือบแก่ไปครับ

ส่วนพ่อแม่พาร์…ผมก็ไม่กล้าถาม กลัวพาร์อารมณ์เสียใส่ แต่เดาว่าอาจจะยังอยู่ที่บริษัท คงรีบเคลียร์งานก่อนไปเที่ยวกับพ่อแม่ผมศุกร์นี้

ผมคอยบอกทางไปเรื่อยๆ จำได้ว่าเคยมากับพ่อและลุงนิกคนละครั้ง มาอีกรอบกับเพื่อนสมัยมัธยม ก็พอคลำทางได้ครับ เป็นท่าเทียบเรือหางยาวเล็กๆ ปกติเกือบร้างคน แต่พอเป็นวันเทศกาลก็มีคนแวะเวียนมาที่นี่พอประมาณ คิดว่าเป็นคนอาศัยอยู่แถวนี้

ลงจากรถมาก็เจอคนประปราย มีทั้งมาเป็นครอบครัว มาเฉพาะกลุ่มอย่างเด็กวัยรุ่นหรือวัยกลางคนรุ่นคุณลุงคุณปู่ บางคนก็ฉายเดี่ยวหรือมาเป็นคู่ ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ครับ สงบ ไม่วุ่นวาย

จูงมือน้องๆ มาหาที่ประกอบกระทงกาบกล้วยก่อน ไม่ยากครับ แค่เอาธูปปักตรงกลาง วางดอกไม้ จะลอยก็จุดธูปอธิษฐาน

ผมให้พาร์ไปลอยก่อน เป็นแบบอย่างให้น้องๆ ดู ปล่อยสองสาวเป็นรายต่อมา แล้วก็น้องอัน คนนี้ต้องระวังหน่อย เดี๋ยวตกน้ำ เรียบร้อยก็ให้พาร์คุมน้อง ตาผมลอยบ้าง เสร็จแล้วก็ออกห่างท่าเรือ ผมจูงมือน้องชายเดินเลียบคลองตามเจ้ากระทงกาบกล้วยที่ไหลตามกระแสน้ำเรื่อยๆ จนไปต่อไม่ได้ก็ยืนมองแสงธูปห่างออกไปจนดูไม่ออกแล้วว่าของใครเป็นของใคร

“ของอันนำล่ะ”

“ครับๆ” ผมขานรับขำๆ ลอยก่อนพี่ก็ต้องนำของพี่อยู่แล้ว “กลับกันดีกว่า มาพี่อุ้ม”

น้องแทบจะกระโดดใส่ นานๆ ผมจะออกปากขออุ้มที แต่ขืนไม่อุ้มกลับ คงอีกนานกว่าได้กลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ตามคาดเจ้าตัวเล็กเอาแต่มองในคลองไม่เลิก นี่ถ้าให้เดินเอง คงหยุดมองเป็นระยะ เผลอๆ อาจได้เดินตามกระทงอีกรอบ

กลับขึ้นรถ น้องอันก็ยังตื่นเต้นไม่เลิกสมกับมาลอยเป็นครั้งแรก ส่วนสองสาวกำลังงอน เพราะพี่พาร์ไม่ยอมพาไปงานลอยกระทงแบบที่มีซุ้มขายของและเล่นเกม ผมตะลึงหลังรู้เรื่อง ไม่คิดว่าพาร์จะใจแข็งกับการออดอ้อนของสองสาวได้ เพราะทุกทีไม่เห็นเคยปฏิเสธ ด้านหลังเลยเงียบกริบ มีแค่เสียงน้องอันเล่าความประทับใจเมื่อกี้ตั้งแต่ได้ถือกระทงไปลอยเองจนถึงมองกระทงคนอื่นลอยในน้ำ

หมดเรื่องเล่าก็เหลือบมองพี่สาวด้านหลังที มองหน้าผมที แววตาฉงนสงสัย ผมดึงแก้มน้องเบาๆ อย่างอดใจไม่อยู่ จะน่ารักไปไหนครับ

“เออใช่! ตัวเล็กจะเล่นเป็นหมาป่านี่น่า” ผมคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงไอเทมส่งตรงจากญี่ปุ่น ของฝากจากลุงนิก “เดี๋ยวพี่ไปรื้อหามาให้ ต้องเหมาะกับอันแน่ๆ”

คนอื่นพากันฉงน ถามมาผมก็ไม่ตอบ เอาไว้ผมรื้อเจอก่อนค่อยว่ากัน ถ้าไม่เจอเดี๋ยวพากันเสียดายเปล่าๆ ฮ่าๆๆ

สถานที่สุดท้ายที่แวะมาก่อนกลับคือบ้านพาร์ครับ

ผมกับพาร์ช่วยกันเลือกและออกความเห็น พวกผมใช้ของร่วมกันได้ อันไหนซ้ำ หรือไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้ที่นี่ สองสาวช่วยหยิบนั่นนี่จนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายก็ไล่ให้ไปรอข้างล่างกับน้องอัน ไม่มีตัวป่วนค่อยสงบขึ้นหน่อย แถมยังทำงานได้เร็วขึ้นด้วย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ขนของไปเก็บในรถหมด เข้ามาตามน้องๆ ขึ้นไปรอบนรถ ปล่อยพาร์เดินสำรวจบ้านให้เรียบร้อย แล้วค่อยขับตรงกลับบ้านผม

เรากลับถึงบ้านเกือบห้าทุ่ม พ่อแม่ยังไม่กลับตามคาด ผมไล่น้องๆ ไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นไปโรงเรียน

“ขนของเข้าห้องไปก่อนก็ได้ ขอพาตัวเล็กไปอาบน้ำนอนก่อน”

พาร์พยักหน้า แต่ตอนผมออกจากห้องน้อง ข้าวของกลับกองอยู่หน้าห้องผม ส่วนพาร์นั่งพิงกำแพงเล่นมือถืออยู่

“ทำไมไม่เข้าห้องวะ?”

“รอเจ้าของห้องเปิดประตู”

ผมงง “ห้องกูไม่เคยล็อก”

“เออน่า เปิดเข้าไปได้แล้ว”

ก็ได้แต่ทำตามทั้งที่มึนงง ช่วยเพื่อนยกของเข้าห้องจนเสร็จ ก็เริ่มชี้นิ้วบอกทีละจุด

“ห้องน้ำอยู่นั่น ตู้เสื้อผ้าแบ่งที่ให้แล้ว โต๊ะหนังสือผลัดกันใช้ได้ ยังมีโต๊ะญี่ปุ่นวางพิงตรงนั้นอีกตัว จะจัดของวางตรงไหนตามสบายเลย กุญแจรถหย่อนไว้ในแก้วน้ำลายกังฟูแพนด้าตรงตู้หนังสือ ผ้าเช็ดตัวเอาไปตากที่ระเบียงด้านนอก มีราวกับไม้แขวนเสื้ออยู่”

ผมพยายามนึก ลืมบอกรายละเอียดอะไรให้คนมาใหม่รู้อีก

“…อยากถามเพิ่มค่อยว่ากันทีหลัง”

ผมทิ้งท้ายแค่นั้นตามประสาคนนึกไม่ออกแล้ว ปล่อยพาร์มองสำรวจห้องไป ขอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ออกมาปุ๊บเจอพาร์กำลังจัดของเข้าตู้เสื้อผ้าอยู่ เห็นผมก็เอาแต่จ้องหน้านิ่งๆ ด้วยสายตาแปลกๆ จนต้องเอ่ยถาม

“มีอะไรติดหน้ากูเหรอ?”

ล้างโฟมออกไม่หมดหรือเปล่าหว่า

พาร์ไม่ตอบ แต่เบือนหน้าหนี สักพักก็ถอนหายใจยาวเหยียดใส่กระเป๋าเสื้อผ้า ผมเลยต้องวนกลับเข้าห้องน้ำไปส่องกระจกอีกรอบ

…ไม่มีนี่หว่า

ออกมาก็หยิบชีทเรียนมานั่งอ่านรอพาร์ แว่วเสียงถอนหายใจบ่อยเกิน เลยแอบชำเลืองมองรูมเมทหมาดๆ เป็นระยะ ไม่รู้เป็นไร เหม่อลอยบ้าง ทำหน้าเคร่งเครียดบ้าง บ้างครั้งก็ถอนหายใจ 

“…ถ้ามึงง่วงนอนก็ไปอาบน้ำก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาจัดต่อ”

พาร์สะดุ้ง นั่งยืดตัวตรง ความกระตือรือร้นกลับมา แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มเฉื่อยชา กลับไปนั่งก้มหน้าถอนหายใจเหมือนเดิม

“เอ่อ พาร์…มึงกำลังมีอาการโฮมซิกเหรอ?”

อ้าว คนเขาถามด้วยความเป็นห่วงแท้ๆ ดันตวัดสายตาหงุดหงิดใส่กันซะนี่

“เพราะมึงนั่นแหละ!”

พาร์ลุกพรวดหนีเข้าห้องน้ำ กระแทกประตูปิดเสียงดัง ปล่อยผมฉงนกับอาการผีเข้าผีออกของเพื่อน

เป็นอะไรของมัน?

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7 (3/3)] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-08-2016 13:04:32
บทที่7 (3/3)

ผมมัวแต่วุ่นวายเรื่องลูกสาวคณะ หน้าเพื่อนเจอแค่ในชั่วโมงเรียน แถมยังโดนล้อมหน้าหลังด้วยกลุ่มท่านประธานชั้นปี1 ที่โดนรุ่นพี่สั่งการห้ามผมหลบหนี ผู้คุมทั้งสี่รับคำ ทำตัวเคร่งครัด ไม่ยอมให้ผมคาดสายตาแม้แต่ในห้องน้ำ

“มึงจะดูกูฉี่ทำไม?!”

ผมกระโกนใส่ แม่งเอ้ย จ้องอย่างนี้ถึงกล้าควักออกมา ก็ฉี่ไม่ออกอยู่ดี

“ถ้ากูไม่มอง เกิดมึงปีนหน้าต่างหนี ทำไง?”

“แหกตาดู นี่มันชั้นสี่ ใครจะกล้าวะ”

“กูแค่แหย่เล่น ไปรอหน้าห้องน้ำนะ”

“เออ!”

มองจนมันหมุนตัว ไม่สนว่าจะออกไปหรือยัง ผมปวดฉี่จะแย่…ระหว่างกำลังมีความสุขกับการปลดทุกข์ เสียงประตูเปิดปิดไม่ได้ทำให้สนใจ ถ้าไม่ได้ยินเสียงตะโกนคุ้นหู

“ถ้าช้า กูเข้าไปตามแน่”   

มันเป็นทอมประสาอะไรถึงกล้าเข้าออกห้องน้ำชายเป็นว่าเล่นวะ!

และแล้วก็ถึงวันศุกร์ กับการตื่นโคตรเช้า

ผมอ้าปากหวาดวอดใหญ่ ระหว่างรอไข่แดงที่ทอดอยู่สุกกว่านี้ นี่ฟองสุดท้ายแล้วครับ ได้ที่ก็เทลงจานจัดการคีบไส้กรอกกับผักกาดแก้วลงไปสมทบ เรียบร้อยก็ยกจานสุดท้ายออกไปวางบนโต๊ะกินข้าว เหลือบมองเวลา หกโมงพอดี ผมต้องไปทำภารกิจต่อ นั่นคือไล่ปลุกทุกคน

เริ่มจากห้องน้องสาว มาที่ห้องตัวเอง…อ้าว ไม่อยู่

กวาดตามองหาแขกของบ้านที่ผันตัวเป็นรูมเมทตั้งแต่คืนวันพุธ ผู้มีพฤติกรรมแปลกๆ ตั้งแต่วันนั้น มีอาการเหมือนคนคิดไม่ตก เหม่อลอยเป็นระยะ และเมื่อวานเจอมันช่วงพักกลางวันที่โรงอาหารกลางก็ไม่กล้าทัก แต่เห็นสีหน้าพาร์คล้ายคนเริ่มปลงตกอะไรสักอย่าง…

แกร๊ก

ประตูห้องน้ำเปิดออก พาร์พันผ้าขนหนูผืนเดียวออกมา เห็นผมยืนหน้าห้องก็ชะงัก

“กูกะมาปลุก แต่มึงตื่นแล้วก็ดี งั้นกูไปดูน้องอันก่อนล่ะ”

ผมไม่รอคำตอบ ปิดประตูห้อง หมุนตัวเดินไปห้องสุดท้ายที่มีเจ้าของขี้เซายังหลับอยู่บนเตียง หลังปลุกจนตื่นก็อุ้มน้องอันเข้าไปนั่งในห้องน้ำ จับถอดชุดนอนออก เจ้าตัวเล็กยังผงกหัวหลับต่อลง เชื่อเขาเลย พอเจอน้ำอุ่นสาดตัวค่อยสะดุ้ง ได้สติโดยพลัน มาพร้อมอาการปากเบะ ตั้งท่าจะร้องไห้

“อันครับ พี่เคยบอกว่าไง”

เจ้าตัวเล็กรีบปาดน้ำตาที่คลออยู่ออกทันทีหลังโดนผมส่งเสียงดุ “เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆ”

หลังจากนี้ก็ง่ายครับ วันนี้ผมไม่เล่นกับน้อง แถมทำหน้านิ่งใส่ อันเลยว่าง่ายกว่าทุกที ผมปล่อยให้อันถือถุงเท้าลงไปข้างล่างเอง เข้าห้องตัวเองอีกรอบก็ไม่พบรูมเมทแล้ว หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จลงมาเจอภาพพาร์กำลังวุ่นวายกับการผูกผมถักเปียให้สองสาวตรงพื้นหน้าทีวี

ผมแอบยิ้ม เป็นภาพที่น่ารักดีครับ

เพราะเช้านี้ผมกับพาร์ถือว่าอายุมากสุดในบ้าน เราเลยตกลงแบ่งหน้าที่ดูแลน้องๆ วุ่นวายกันน่าดูกว่าจะต้อนเด็กๆ ขึ้นรถได้ ต้องออกเร็วหน่อยครับ ขับไปส่งสองสาวที่โรงเรียนก่อน ค่อยวนกลับมาส่งน้องอัน และไปมหาลัยเป็นที่สุดท้าย

สองสาวชวนพวกผมคุยไม่หยุด ผิดกับน้องอัน อุ้มมานั่งเบาะหน้าด้วยแปบเดียวก็พิงอกผมหลับแล้ว คงเพราะโดนปลุกตื่นเร็วกว่าทุกที

“พวกหนูเลิกบ่ายสามนะ แต่พวกพี่จะเลทก็ไม่ว่าค่ะ เบอร์กะน้ำจะไปรอที่ห้องสมุด”

เบอร์ดี้พูดขึ้นหลังฟังพวกผมเล่าว่าตอนบ่ายมีกิจกรรมของคณะ

“ถ้าไปรับ พี่จะไลน์ไปบอก” พาร์บอกน้อง

สองสาวลงจากรถโบกมือบ๊ายบายให้ ผมเปิดกระจกรถโบกมือไล่ให้เดินเข้าโรงเรียนได้แล้ว อยู่ดูจนแน่ใจว่าน้องสาวทั้งสองเดินเข้าประตูรั้วเรียบร้อยค่อยให้พาร์เคลื่อนรถต่อ ดีที่ตอนนี้ค่อนข้างเช้า ไม่งั้นพวกเราคงเจอบีบแตรใส่ไปแล้ว ฐานจอดแช่แถวหน้าประตูโรงเรียนนานเกินไป

“พวกผู้ใหญ่บอกว่าจะกลับเมื่อไหร่?”

ผมทวนความจำไม่กี่วิ “ช่วงเย็นวันอาทิตย์ เลทไม่เกินสองทุ่ม แต่เผื่อเจอรถติด อาจเลทลากยาวถึงสี่ทุ่ม” หลังผมพูดจบ พาร์ทำหน้ากังวลทันที เลยตบไหล่ปลอบ

“เดี๋ยวช่วยกันทำความสะอาดห้องว่างข้างล่าง เอาชุดทำงานคุณลุงคุณป้ามาแขวนทิ้งไว้ กลับดึกก็ไม่เป็นไร ค้างบ้านกูได้”

“ความคิดดี รบกวนด้วย”

อย่างที่ได้ยินครับ คนแก่ทั้งสี่ของพวกเราพากันหนีลูกไปเที่ยวต่างจังหวัด พาร์กับเบอร์ดี้ออกเสียงสนับสนุนทันทีตั้งแต่วันที่พวกท่านสอบถามหลังได้บัตรลดราคาโรงแรมที่แม่ผมได้มาจากผู้ปกครองของเพื่อนน้องอัน  ทั้งสี่ลางานวันศุกร์แค่วันเดียว เที่ยวต่ออีกสองวัน รวมเป็นทริปสามวันสองคืน ให้อารมณ์ไปฮันนี่มูนคู่มากครับ พี่น้องกอล์ฟดีใจมากที่พ่อแม่คิดไปเที่ยวกับเขาบ้าง ส่วนผมเฉยๆ เพราะพ่อแม่ผมหนีเที่ยวกันบ่อย

ไปถึงโรงเรียนอนุบาล เจ้าตัวเล็กโดนปลุกแทนที่จะลงเดินดีๆ กลับยกสองแขนเล็กโอบรอบคอผมแน่น เป็นอันว่า ผมต้องอุ้มน้องไปส่งถึงหน้าห้องเรียน คุณครูของน้องเลยเอ่ยเตือนวันแสดงที่จะจัดขึ้นศุกร์หน้า

“อย่าลืมเตือนผู้ปกครองด้วยนะคะ”

“ได้ครับ” ผมรับปาก วางคนเมาขี้ตาลงพื้น ดันหลังให้เข้าห้องเรียน “พี่ไปแล้วนะ”

“อื้อ”

น้องผงกหัว โบกมือบ๊ายบายให้ด้วย แต่ตัวเล็ก พี่ยืนอยู่ข้างหลังเราต่างหาก เพื่อนคนที่น้องผมเล่นด้วยบ่อยๆ คงนึกว่าน้องโบกมือทัก เลยเดินมาลากตัวคนยังไม่ตื่นดีเข้าไปเล่นด้วยกัน ปล่อยพี่ชายอย่างผมเดินขำกลับขึ้นรถ 

ถึงคำนวณเวลามาอย่างดีก็เสียเปล่า เมื่อเจอรถติดเข้าให้ พาร์นั่งเคาะพวงมาลัยพลางชำเลืองดูเวลาเป็นระยะ ถ้ายังไม่ขยับแบบนี้ได้สายกันทั้งคู่แน่ แต่วันนี้ผมโดดตามรับสั่งบรรดารุ่นพี่เลยไม่กังวลเท่าคนขับ รถคลานกระดืบๆ กว่าถึงหน้ามหาลัย พาร์ก็ถอนหายใจไปเรียบร้อย

“เลยมาครึ่งชั่วโมง กูเข้าเรียนไม่ได้แล้ว”

พาร์พูดเปรยออกมา ระหว่างเปิดไฟเลี้ยวรถเข้าสู่เขตการศึกษา

ผมทำหน้างงทันที “ทำไมล่ะ?”

“อาจารย์วิชานี้ชอบล็อกห้อง แกบอกไม่มีสมาธิสอน ถ้าเห็นนักศึกษาเดินเข้าๆ ออกๆ”

“อ้าว แล้วถ้าจะเข้าห้องน้ำล่ะ”

“อาจารย์มีพักเบรกให้สิบห้านาที วิชานี้เรียนยาวสี่ชั่วโมง ถ้าจะเข้าเรียนก็ต้องรอถึงช่วงพักอย่างเดียว”

“พักเมื่อไหร่”

“หลังครบสองชั่วโมง”

มีเวลาอีกชั่วโมงครึ่ง ให้ไปนั่งแกร่วคนเดียวก็น่าสงสาร “งั้นไปอยู่กับกูก่อนไหม”

พาร์ทำหน้าประหลาดใจใส่ผม “ไปเรียนกับมึงน่ะนะ?”

“เปล่า คาบเช้ากูโดด รุ่นพี่สั่งให้มาเตรียมตัวตั้งแต่แปดโมง นี่เลยเวลานัดแล้วเหมือนกัน”

“นัดเจอที่ไหน”

“วันนี้แข่งบาสกันที่ไหนก็นัดเจอที่นั่นแหละ”

-------------

“สายนะคะคุณน้อง”

แค่เดินพ้นประตูโรงยิมกลางเข้าไป ผมก็เจอรุ่นพี่ชายใจหญิงยืนเท้าเอวดักหน้า พี่คนนี้พอคุ้นหน้าบ้าง เพราะไปหาเพื่อนที่อยู่กลุ่มบุคลิกภาพสองหรือสามหนเนี่ยแหละ 

“พวกพี่นึกว่าน้องจะเบี้ยวซะแล้ว มาทางนี้เลยค่ะ”

ผมโดนฉุดหายไปในความมืด ข้างในมันสลัวๆ พอมีแสงจากด้านนอกเข้ามาบ้าง แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาเปิดใช้โรงยิมตามที่ไปขอมาตั้งแต่ต้น เลยใช้ระบบไฟฟ้าในโรงยิมไม่ได้ ผมเดาเอานะ ไม่งั้นพี่ๆ คงเปิดใช้นานแล้ว

แถวสนามบาส ผมเห็นกำลังสร้างอะไรสักอย่าง ไม่ทันดูให้ถนัดก็โดนลากเข้าทางเดินเลนเดียว ผ่านห้องพักนักกีฬาสองห้องที่หน้าประตูคล้องด้วยแม่กุญแจ ห้องน้ำชาย จนถึงมุมในสุด…   

“เข้าไปเลยคะ”

ผมชะงักเท้ากึก หลังเห็นสถานที่ต้องเข้าไป รีบส่งสายตาขอคำยืนยันอีกที รุ่นพี่พยักหน้า

ผมตวัดตากลับมาจ้องประตูบานนั้นอีกหน ด้านหน้าติดภาพตุ๊กตาสีดำสวมกระโปรงที่มักมีตุ๊กตาคู่แบบสวมกางเกงอยู่ใกล้ๆ เสมอ ไม่รวมอักษร W.C. ใต้ภาพ

…ให้เข้าไปจริงดิ?

############

จบบทที่ 7 แล้วค่ะ บทนี้ยาวหน่อยนะ ที่จริงเราอยากแบ่งแค่สองส่วน แต่ความจุมันเกินค่ะ เลยเหลือมาหน่อยหนึ่ง

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 21-08-2016 13:26:56
 :mew4:

พาร์กระสับกระส่ายนี่เป็นเพราะอะไรหนอ? เกิดอะไรขึ้น จากเรื่องคุกกี้หรือเปล่าาาาาาาาา?  :hao7:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YuuYuu ที่ 23-08-2016 22:09:37
ด้ายแดงพันกันให้วุ่นไปหมด ให้ตายเหอะ!
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 24-08-2016 03:32:20
เราชอบนิสัยทีจัง ดูเป็นพี่คนโตมากๆเลย

คือดูแล แต่ชัดเจน ดุเป็นดุ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 24-08-2016 09:02:42
เลิฟน้องทีค๊าาาาา ส่วนตาพาร์เนียแอบชอบเค้าใช่ไหม
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 25-08-2016 08:39:24
 :bye2:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-08-2016 18:14:10
ชอบนิสัยทีที่ดูแลน้องจัง ส่วนพาร์ดูกระสับกระส่ายแปลกๆ นะ เพราะทีเหรอ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 25-08-2016 19:37:56
ชอบเรื่องนี้มากอ่ะ  อบอุ่นตบอด อ่านปล้วยิ้มๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 25-08-2016 21:08:23
แสดงว่าคนที่พาร์ชอบต้องเป็นทีนะสิ :hao6:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่8] P.2 (29/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 29-08-2016 00:05:42
บทที่ 8

แว่วเสียงหัวเราะคิกคัก ตามด้วยเสียงพูดคุยตามประสาลูกผู้หญิงจากหลังบานประตู ดุจแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เพศชายอย่างผมไม่ควรเยื้องย่างเข้าใกล้ สองเท้าก้าวถอยห่างอัตโนมัติ ก่อนชนอะไรสักอย่างที่อยู่ด้านหลัง ผมรีบหันมอง กลัวเป็นพี่กระเทยคนนั้น แต่ความจริงดีกว่านั้นมากครับ

“ถอยทำไม?” พาร์ถามงงๆ ไม่สนใจสายตาผมที่มองใส่เสมือนเจอขอนไม้ขณะกำลังจมน้ำ

ผมรีบพลิกตัวหนีไปอยู่หลังมันทันที ถึงเคยสงสัย ด้านในห้องน้ำหญิงเป็นยังไง แต่ตอนนี้ไม่พร้อมเข้าไปพิสูจน์ครับ!

“เฮ้ย หลบไม”

“ก็นั่น…” ผมจับหน้าเกราะกำบังมีชีวิต บังคับให้เพื่อนเห็นสิ่งที่กำลังเผชิญชัดๆ “ตรงหน้ามึงเลย นั่นแหละ เหตุผลที่กูต้องหลบ”

“อะไรวะ ก็แค่ห้องน้ำ…”

“นะ น้อง น้อง…” เสียงติดอ่างฟังพิลึกหู ดึงความสนใจของเราทั้งคู่

หันไปเจอคนนำทาง…ผู้ถูกลืม คาดว่าพี่เขาคงพึ่งเห็นพาร์เดินตามเข้ามา ถึงได้เบิกตาโต อ้าปากพะงาบเป็นปลาขาดน้ำ ก่อนทำพวกผมสะดุ้งด้วยการแหกปากกรี๊ดเสียงแปดหลอดออกมาให้ปวดรูหู

ประตูห้องน้ำเปิดผัวะ!

สะดุ้งกันอีกหน พวกผมพร้อมใจถอยหลังหนีด้วยความตกใจ จนหลังชิดติดกำแพงของจริง

“อะไรๆ เมื่อกี้ใครกรี๊ด”

“เกิดอะไรขึ้น!?”

“มะ มะ แม่เจ้า!” พี่เจ้าของเสียงทรงพลังเมื่อครู่ ยกสองมือประสานกันตรงหน้าอกแบนราบที่ขยับขึ้นลงอย่างแรง อาการดุจคนพึ่งถูกประกาศชื่อเข้ารับรางวัลใหญ่

รุ่นพี่หญิงแท้เทียมนับสิบต่างพากันทำหน้างงใส่ ก่อนใครคนหนึ่งเอ่ยถาม “นี่แกเป็นอะไร?”

“นั่นไงยะ นั่นนะ บอกทีว่านีน่าไม่ได้ฝันไป!”

คนกลุ่มใหญ่เบนสายตาตามนิ้วชี้ มองตรงมาทางพวกผม บรรยากาศเงียบกริบจนผมเลิกลั่ก

หรือว่าห้ามพาคนของคณะคู่แข่งมา?

กำลังจะก้าวออกมาพูดเคลียร์ปัญหาที่ก่อโดยไม่รู้ตัว แต่ต้องเปลี่ยนเป็นอุดหูตัวเองแน่น เมื่อเหล่ารุ่นพี่พร้อมใจส่งเสียงกรีดร้องไม่พอ มีหลายคนตะโกนร้องเสียงดังอย่างคลุ้มคลั่ง

ผมเริ่มตาเหลือกยามแผ่นหลังตรงหน้าถอยอัดตัวผมติดกำแพงเรื่อยๆ สองมือที่คอยปกป้องรูหูจำต้องเปลี่ยนมาต้านกำแพงข้าศึก ออกแรงดันโต้กลับ…ดันออกไปก็เบียดกลับมาอีก ไม่มีที่สิ้นสุด ผมตะเบ็งเสียงใส่อย่างหมดความอดทน

“มึงจะถอยทำซากอะไร หลังกูติดกำแพงนานแล้ว”

พาร์หันขวับ ตวัดตามองกำแพง มองผม ก่อนมองไปข้างหน้าที่มีฝูง เอ้ย กลุ่มรุ่นพี่คืบคลานใกล้เข้ามาอย่างน่ากลัวกว่าเดิมอีก

“โอเค กูไม่ด่ามึงแล้ว”         

ผมหันซ้ายขวาหาทางหนีรอด เจอปุ๊บคว้าแขนเพื่อนปั๊บ พากันวิ่งเลียบข้างกำแพง เตรียมโกยเต็มที่…

“หยุดก่อนพวกมึง!!” หยุดหมดทั้งฝ่ายผม ฝ่ายรุ่นพี่ “น้องตกใจถอยหนีไปนู้นแล้ว!”

ขอบคุณมากครับที่สังเกตเห็น

ฝูงซอมบี้ เอ้ย ฝูงรุ่นพี่…ผิดๆ หมายถึงกลุ่มรุ่นพี่พากันชะงัก แต่ละนางเหมือนดึงสติกลับมาได้ ในสายตาผม พวกเธอเริ่มดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิมแล้ว แต่ก็ยังน่าระแวงอยู่ดี

“น้องพาร์มาทำอะไรแถวนี้คะ?”

“หรือว่านิติจะจองห้องน้ำชาย ไหงบอกไม่เอาแล้วไงคะ”

และอีกสารพัดคำถามด้วยท่วงทำนองเสนาะรูหูสุดๆ เพราะพูดลงหางเสียงทุกคำ

เป้าหมายของพวกเธอไม่ใช่ผม แต่เป็นพาร์ต่างหาก!

ผมได้ยินเสียงพาร์พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เลยเหล่มองไปหนหนึ่ง พร้อมกับคำถามต่างๆ เริ่มเงียบหาย ยิ่งเห็นเพื่อนผมเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา พี่คนที่ร้องห้ามคนอื่นๆ เลยถูกดันออกมาพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ

“พี่ขอโทษแทนเพื่อนๆ ด้วยนะจ๊ะ แบบว่าน้องพาร์ค่อนข้างโด่งดังน่ะ”

อ้อเรอะ…

“น้องไม่ค่อยปรากฏตัวบนสื่อ ภาพก็แสนหายาก พอได้…” คุณเธอเริ่มบิดตัวขวยเขินดุจสาวน้อยวัยแรกแย้ม “แบบว่าได้เจอจังๆ ไม่ทันให้ตั้งตัว พวกพี่เลย…เลยสติหลุดกันน่ะจ๊ะ”

ผมชักเห็นใจคนหล่อขึ้นมาทันที…อ้อ จำได้ล่ะ รุ่นผม (หมายถึงปี1 ทั้งมหาลัย) มีห้าคนได้เกิดทันทีที่เจ๊ดาด้า (เจ้าแม่ข่าวของม.) อัพรูปลงเฟสเมื่อสองเดือนก่อน กลายเป็นห้าหนุ่มหล่อประจำปี1 ที่สาวๆ ทั้งม. ต่างอยากรู้จักทั้งนั้น (อันนี้ผมขอพูดถึงเฉพาะฝ่ายชายนะครับ ฝ่ายหญิงก็มี แต่ช่วงนั้นผมไม่ได้ตามข่าว เพราะวุ่นวายกับบางเรื่องอยู่)

สี่ในห้าเคยขึ้นเวทีประกวดเดือนมหาลัยมาแล้ว ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งสงสัยจะ…

ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนที่ยืนเงียบผิดปกติ

น่าจะเป็นคนใกล้ตัวผมนี่แหละ

“แล้วสรุปว่าน้องพาร์มาทำอะไรแถวนี้คะ?”

หือ? ผมก้มลงมองข้อมือตัวเองที่ถูกเพื่อนกำไว้แน่น กำลังจะถาม ดันโดนกระชากมือชูขึ้นกลางอากาศ     

“มาเป็นเพื่อนทีครับ”

ผมทำหน้าเหวอ เล่นอะไรวะ?! แต่พอได้สบตากึ่งร้องขอก็ได้แต่ปิดปากเงียบ คิดดูสักหน่อยก็เข้าใจเหตุผล พาร์เล่นจับผมทำยันต์กันผีไม่บอกกล่าว แต่จะเอาไปสู้ฝูงซอมบี้ตรงหน้าไหวเรอะ

สายตารุ่นพี่พร้อมใจกันมองข้อมือที่ถูกพันธนาการของผม ก่อนตวัดสายตาทิ่มแทงปนสงสัยใส่ตรงๆ ทำผมแอบผวาอีกรอบ

ขอเถอะครับ! อย่าใช้แววตาดุจมองศัตรูคู่อาฆาตแต่ชาติปางก่อนเลย

“ไม่รบกวนทุกคนใช่ไหมครับ?”

พวกเธอสายตาย้ายไปทางพาร์อีกหน แววตาแต่ละคนอ่อนหวานลงทันที ต่างกับเมื่อกี้ลิบลับ! รุ่นพี่ทุกคนต่างตอบว่าได้หมด แถมผายมือเชื้อเชิญเข้าห้องน้ำหญิง มีบริการเปิดประตูให้พร้อม

อื้อหือ! ระดับการปรนนิบัติต่างกันประหนึ่งเจ้านายกับผู้ติดตามสุดๆ

“ขอบคุณครับ” ไม่พูดเปล่า ยังดึงผมให้ออกเดินตาม เป้าหมายคือประตูที่เปิดรออยู่

เฮ้ยๆ ผมรีบรั้งให้หยุดเดินด่วน ยื่นหน้ากระซิบข้างหู แอบกลัวพวกรุ่นพี่ได้ยิน

“จะเข้าไปจริงดิ?!”

“แล้วมีทางเลือกอื่น?” มันกระซิบกลับมา

“มีอยู่แล้ว ชิ่งหนีไง” ผมรีบชี้ทางสว่างให้

พาร์ถอนหายใจ ดึงแขนลากมาอยู่ด้านหน้า สองมือประทับจับไหล่ผมแน่น กระซิบเสียงเครียดข้างหู “มึงไม่เห็นกระดาษแปะหน้าประตูเมื่อกี้?”

“กระดาษ?” ผมไม่ได้มองอย่างอื่นนอกจากป้ายรูปตุ๊กตาสวมกระโปรงสีดำด้วยสิ “มีด้วยเหรอ?”

“ตัวพิมพ์สีดำหนาใหญ่เรียงกันว่า ‘ห้องแต่งตัวลูกสาวอีคอน’ ชัดไหมมึง”

ชัดเจน! ผมเห็นชะตากรรมที่จะเกิดล่วงหน้าเลยล่ะ

“ทางเลือกของมึงเหลือแค่สอง จะเดินเข้าไปดีๆ หรือ จะโดนฉุดเข้าไป เป็นกู…จะเลือกอย่างแรกนะ”

…มีคำแนะนำแถมให้ด้วย แต่อย่าพึ่งดันสิโว้ย!

ผมจิกเท้ากับพื้น ฝืนต้านเต็มกำลัง “มึงคงไม่ปล่อยกูเข้าไปคนเดียวใช่ไหม?”

แรงดันหลังชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะมากขึ้นเหมือนอยากดันผมให้เข้าไปข้างในเร็วๆ

ชัดเลย! ไอ้บ้าพาร์กะผลักผมเข้าไป แล้วชิ่งหนีแน่ๆ เรื่องอะไรจะยอมวะ!

ผมหมุนตัวออกซ้ายลอดแขนเพื่อน วกกลับมาด้านข้าง ตวัดแขนขวากอดคอพาร์ เปลี่ยนเป็นฝ่ายจับล็อกเสียเอง 

“เขาว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว” ผมกระซิบทิ้งท้าย ก่อนออกแรงลากมันเข้าดินแดนต้องห้าม

ขอบคุณการจราจรติดขัดเมื่อเช้าที่ทำให้ผมไม่ต้องเจอชะตากรรมนี้ตามลำพัง

ใช่ว่าพาร์จะยอมง่ายๆ กลายเป็นเกิดศึกยื้อยุดอยู่หน้าห้องน้ำให้เหล่าผู้ชมมองตาปริบๆ คนลากอาศัยจุดยุทธศาสตร์ได้เปรียบเป็นฝ่ายกำชัย แม้จะแค่คืบสั้นๆ ก็เริ่มเข้าใกล้ดินแดนต้องห้ามที่เปิดกว้างรออยู่ทีละนิด

“ปล่อยกู!”

“ไม่!”

“ที กูต้องไปเรียน”

“ยังไม่ถึงเวลา”

“ไอ้ที! ปล่อยโว้ย!!”

“ไม่มีทางงง!”

โอ๊ย…ลากผู้ชายตัวพอๆ กันเข้าห้องน้ำหญิงเนี่ย โคตรเปลืองแรงเลยครับ   

-------------

การอยู่กลางดงผู้หญิงนับสิบไม่ใช่เรื่องน่าสนุก แต่เป็นเรื่องชวนผวาครับ

ผมผู้เคยมีประสบการณ์มาก่อนไม่ปล่อยให้เพื่อนร่วมชะตาหนีหายไปไหนแน่ ยิ่งไอ้คนข้างๆ สามารถสยบเพศหญิงได้ด้วยการโปรยยิ้มครั้งเดียว (แม้จะเป็นยิ้มเหือดแห้งก็ตาม) ผมยิ่งต้องเกาะติดหนึบหนับ เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและจิตใจ (พอกันกับพาร์ที่เลือกยืนข้างผมตลอด สงสัยคิดแบบเดียวกัน)

“ก่อนอื่นน้องทีต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า นี่จ๊ะ เดินเข้าไปด้านในสุดได้เลย มันเป็นห้องอาบน้ำ”

ผมรับเสื้อยืดแขนสั้นสีดำกับกางเกงเลขายาวสีส้มจี๊ดมาถือ แน่นอนไม่ลืมลากไอ้คนข้างๆ ติดมือไปด้วยกัน ทางเดินมีแค่หนึ่ง แต่แทนที่จะเจอกำแพงตัน กลับเจอประตูครับ ติดป้ายบอกชัดเจนว่าเป็นห้องอาบน้ำ

ข้างในกว้างมาก น่าจะมากกว่าฝั่งห้องน้ำชายซะอีก ดูสะอาดเรียบร้อย แบ่งพื้นที่ด้านหน้าเป็นโซนเปลี่ยนเสื้อผ้า มีกระจกเงาขนาดเต็มตัวบานเล็กติดไว้ มีชั้นวางของ…โอ้โห มีกระทั่งสบู่แชมพูขวดเล็กๆ วางเรียงเตรียมให้พร้อมสรรพ ไม่ต้องพกมาเองเลยครับ

ส่วนด้านในเป็นโซนอาบน้ำ อยู่หลังม่านพลาสติกลายน่ารัก พื้นที่ส่วนนี้ใช้แค่หนึ่งในสาม ผมมองหาฝักบัวไม่เจอ…เจอแล้วครับ อยู่ด้านบนเกือบติดเพดานนี่เอง อันใหญ่มาก เปิดปุ๊บน้ำน่าจะกระจายลงมาเป็นวงกว้าง...ผมโดนเคาะหัวเรียกสติ ลูบหัวปอยๆ ระหว่างมองคนกระทำยืนกอดอกปั้นหน้ายักษ์อยู่ไม่ห่าง

…อ้อ ต้องเปลี่ยนชุดนี่หว่า

ผมรีบพาดชุดในมือไว้ไหล่ซ้ายของคนตรงหน้า พอมือว่างก็เริ่มปลดกระดุมชุดนักศึกษาอย่างเร็ว ถอดออกก็ฝากไว้ที่ไหล่ขวาพาร์ คว้าเสื้อยืดสีดำมาสวมหัว

ผัวะ!

“อะไร” ผมร้องออกมาทันทีที่โดนมันเตะสูงถึงก้น ไม่เจ็บหรอกครับ พาร์ไม่ได้เตะแรง มองหน้าปุ๊บก็เดาออกว่า มันทำเพราะอารมณ์หมั่นไส้ล้วนๆ

“กูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม”

“ถามว่า?” ผมถามไปสอดแขนเข้าเสื้อไป

“ลากกูเข้ามาทำบ้าอะไร”

ผมเริ่มปลดเข็มขัด แอบกวนประสาทมันเล็กน้อยแก้เครียด “ดูกูเปลี่ยนเสื้อผ้ามั้ง” ทั้งที่รู้ว่าถูกถามเรื่องลากมันเข้าห้องน้ำหญิงทำไม มาคิดดู พาร์ไม่มีธุระปะปังกับกลุ่มอีคอนจริงๆ นั่นแหละ

“จะให้มองอะไรอีก เห็นจนเริ่มชินแล้วเถอะ”

ผมหัวเราะทันที จริงครับ ผมก็เริ่มชินเหมือนกัน “เอาน่า อยู่เป็นเพื่อนก่อน”

พาร์ขมวดคิ้วทันที ผมไม่สนใจถอดกางเกงออก มันกระชากกางเกงผมไปถือให้ ยื่นกางเกงเลมาก็รับมาจับสวมสิ แต่พอผูกเชือกเสร็จกลับโดนพาร์ดึงออก จับผูกให้ใหม่

“ผูกแบบมึงกระโดดสองทีก็หลุดแล้ว”

“กูไม่ค่อยใช้กางเกงแบบนี้นี่หว่า” ผมว่า ก้มมองดูมือที่ผูกเชือกให้

“ใส่สบายดีออก มึงก็เห็นกูใส่นอนประจำ”

เออวะ ชุดนอนประจำตัวของพาร์คือกางเกงเลกับเสื้อกล้ามครับ น้องเบอร์ดี้ก็เห็นใส่กางเกงเลแบบขาสั้นบ่อยๆ…เดี๋ยว ผมโดนเปลี่ยนเรื่องนี่หว่า!

“สรุปมึงจะอยู่…” เสียงขาดหายกะทันหัน หลังผมเหลือบเห็นตรงช่องใต้ประตูเดี๋ยวมีแสงเดี๋ยวเป็นเงามืดชวนฉงน เพ่งดูมากเข้าก็เห็นลูกตาคู่หนึ่งกรอกไปมา

“เฮ้ย?!” 

ผมกระโดดถอยหนีทันที ไหล่กระแทกชั้นวางของใกล้ๆ เสียงของหล่นยังดังน้อยกว่าเสียงหัวใจผมเต้นอีก

“อะไร!” พาร์หันขวับ ท่าทางตกใจตาม

“นั่นๆๆ”

พาร์มองตามนิ้วผมชี้ สักพักก็หันกลับมา หน้ามีแต่เครื่องหมายคำถาม

ผมทำใจสักพักค่อยหันมองใหม่ ช่องใต้ประตูไม่มีเงามืดหรือของสั่นประสาทแล้ว ใจเริ่มสงบลง ตั้งสติก็นึกได้ว่า นั่นมันประตูเข้าออกห้องอาบน้ำ ข้างนอกอยู่กันตั้งสิบกว่าคนนี่หว่า คิ้วเริ่มขมวดชักเอะใจสงสัย แต่…พวกรุ่นพี่เนี่ยนะจะเล่นพิเรนทร์ก้มส่องช่องใต้ประตูดูรุ่นน้องผู้ชายเปลี่ยนเสื้อผ้า?

ไม่หรอกมั้ง แล้วถ้าไม่ใช่รุ่นพี่ งั้นไอ้ที่ผมเห็นมันคืออะไร…

“ไอ้ที!” เสียงพาร์ทำผมสะดุ้งโหยง ใจแทบร่วงหล่น “เหม่ออะไร เก็บของแล้วออกไปกันได้แล้ว พี่เขารอมึงอยู่”

“อะ อือ”

ผมพึ่งสังเกตว่า ทำขวดสบู่แชมพูหล่นกระจายเต็มพื้น ก้าวเท้าเตรียมก้มเก็บขวดพลาสติกกลมเล็กตรงหน้า… 

“ระวังเท้า!”

โครม!

ผมล้มหน้าคว่ำหลังไปเหยียบอะไรสักอย่างเข้า บอกช้าไปนะเพื่อน แต่ยังดีมีน้ำใจเข้ามาช่วยเหลือ และคงดีกว่านี้ถ้ามองพื้นให้ดีก่อนวิ่งเข้ามา ผมดันตัวเองขึ้นจากคนนอนเป็นเบาะเบื้องล่าง ถอยมานั่งบนพื้น อีกมือบีบจมูกรู้สึกเลยว่าเลือดกำเดาจะไหล

แหมะๆๆ

นั่นไง ไหลหยดลงพื้นแล้ว

“เฮ้ย! เลือดออกเลยเรอะ”

พาร์เด้งตัวขึ้นนั่งมองผม ท่าทางตกใจเกินคาด ผมโบกมือข้างที่ว่างสื่อว่าไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าเมื่อกี้ไม่ไปกระแทกโดนฟันพาร์เข้า ผมคงไม่ต้องเสียเลือดหรอก

“ขอทิชชู่” ส่งเสียงอู้อี้ เพราะบีบจมูกห้ามเลือดอยู่

พาร์รีบยันตัวขึ้นยืน ผมชำเลืองมองเห็นมันเบ้ปากนิดหน่อยระหว่างจับหลังหัว

...ก็นะ เล่นหงายหลังเพราะเหยียบขวดแชมพู ไม่ก็สบู่ หรืออาจเป็นของเหลวที่หกเลอะออกมา นึกแล้วก็อยากถอนหายใจสักที จะล้มเป็นเพื่อนก็ไม่ว่า แต่ทำไมต้องมาคว้าแขนผมที่กำลังเสียหลักอยู่แล้วด้วยเล่า จับไปก็ไม่ได้ช่วยพยุงตัว แถมยังพากันล้มเร็วกว่าเดิม เจ็บตัวไปตามๆ กัน

“หัวแตกปะ?”

ผมถามเสียงอู้อี้ หลังเห็นมันยืนคลำหัวอยู่นาน พาร์ส่ายหน้า ล้างมือหยิบทิชชู่ม้วนเป็นแท่งเตรียมให้ยัดจมูก ผมรับมาสอดทีละอัน

“ไปล้างมือก่อน”

ผมมองมือเปื้อนเลือดตัวเอง ลุกเดินไปล้างอย่างว่าง่าย  หันกลับมาก็พบว่าพาร์ช่วยเก็บของหล่นตามพื้นกลับคืนที่บางส่วนแล้ว เลยตรงเข้าไปช่วยเก็บ บางส่วนที่ใช้การไม่ได้ลงไปนอนในถังขยะ จนเหลือแค่หยดเลือดกับของเหลวสีขาวที่เป็นสบู่ไม่ก็แชมพูบนพื้น ผมเลือกจัดการรอยเลือดตัวเองก่อน แบ่งพื้นที่ทำงานจะได้เสร็จเร็วๆ ทิชชูทั้งม้วนถูกพวกผมใช้ไปเกือบหมด

หลังจัดการเรียบร้อย กำลังมองหาที่นั่งพิงหลัง…

“ฟังกูอยู่ไหม?”

ผมไม่ตอบ แต่นั่งลงพื้นก่อน มีคนเสนอมผมก็ไม่ขัดหรอก พอพาร์นั่งลงตาม ผมก็ขยับตัวหันหลังพิงหลังอีกฝ่าย ทำแบบนี้สบายดีครับ   

“เอานี่” ผ้าเช็ดหน้าเปียกหมาดๆ ถูกยื่นข้ามไหล่มา

“ก็รู้วิธีปฐมพยาบาลนี่กว่า แล้วไหงเมื่อกี้ดูทำอะไรไม่ถูกล่ะ” ผมถามระหว่างพับผ้าเช็ดหน้าวางแถวสันจมูก

“แค่จำได้เพราะเคยกำเดาไหลมาก่อน แต่เป็นเองกับเห็นคนอื่นเป็น ความรู้สึกต่างกันนี่ กูตกใจก่อนนึกได้ว่าต้องช่วยก็ไม่เห็นแปลก”

“นึกว่าชินจากน้องซะอีก” อย่างผมไง

“เบอร์ดี้ไม่ค่อยซนหรอก”

หือ? ทวนความจำที่มีก็เผลอย่นคิ้ว ทำไมผมเป็นคนทำแผลให้สองสาวประจำล่ะ ดีหน่อยตั้งแต่เข้า ม.1 น้องทั้งสองยังไม่มีแผลกลับมาให้เห็น

ก๊อกๆๆ

พวกผมหันมองประตู ได้ยินเสียงรุ่นพี่กระแอมไอ เอ่ยขออนุญาตเข้ามา ประตูเปิดออกทันทีเพราะไม่ได้ล็อก เห็นบรรดาไทยมุงออกันอยู่ด้านหน้า สายตาแต่ละคนประหลาดอย่างยิ่ง หลากหลายความรู้สึกจนผมอ่านไม่ออก

“ขอโทษที่รบกวน แต่พี่ช่างทำผมมาแล้ว กำลังรอน้องทีอยู่ข้างนอกค่ะ เอ่อ แล้วน้องทีไหวไหม”

ผมยันตัวลุกขึ้นยืน ลองดึงทิชชู่ออกมา ก้มหน้าแล้วรอสักพัก

“หยุดยัง?” พาร์ถาม ผมพยักหน้า ดึงทิชชู่อีกข้าง โยนทิ้งถังขยะ

“เสื้อผ้าน้องทีใส่ถุงนี่เลยค่ะ จะเอาไปเก็บที่รถก่อนก็ได้”

รุ่นพี่ยื่นถุงพลาสติกใสใบใหญ่ให้พาร์ พึ่งเห็นว่าระหว่างผมนั่งรอกำเดาหยุดไหล มันเอาเสื้อผ้าผมมาพับเล่นฆ่าเวลาล่ะมั้งถึงได้อยู่ในสภาพเรียบร้อยพร้อมลงถุงทันที

“ได้ครับ งั้นผมขอเอาไปเก็บก่อน...”

“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้” ผมแย้งทันที

พาร์เลิกคิ้วให้ผม ก่อนยิ้มขำ “เดี๋ยวมา”

มันทิ้งท้ายอย่างนี้ ผมค่อยสบายใจหน่อย

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่8] P.2 (29/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 29-08-2016 00:08:10
บทที่ 8 (ต่อ)

ช่างทำผมเป็นพี่ชายของรุ่นพี่ชื่อแนน เรียกตัวมาเป็นกรณีพิเศษ แถมไม่เสียตังค์ค่าตัวสักบาท และไม่ใช่ชายแท้ครับ ออกตัวให้เรียกว่า ‘เจ๊’ ตั้งแต่เจอหน้ากัน ผมถูกจับนั่งเก้าอี้มีพนักประจันหน้ากระจกเหนืออ่างล้างหน้า

“หัวกระเซิงมาก หวีผมบ้างหรือเปล่าจ๊ะ ดูสิผมพันกันยุ่งเลย”

“เอ่อ…วันนี้ลืมหวีครับ”

“พี่ได้ยินว่าน้องมีแฟนแล้ว คุณแฟนไม่ว่าเอาหรือจ๊ะ”

หมายถึงแฟนเก่า? ผมนึกถึงแฟนเก่าคนล่าสุดก่อนตอบไปตามตรง

“ก็เวลาไปเจอ จะรวบผมไว้ท้ายทอยเอาครับ”

“คิดไว้ยาว แต่ไม่ดูแล จะแย่เอานะ เจ๊แนะนำว่าตัดสั้นไปเลยดีกว่า”

ใครว่าผมอยากไว้ยาวกัน แค่ตอนนี้ยาวถึงบ่าก็รำคาญจะแย่ คิดถึงหัวเกรียนๆ ไม่ก็ทรงนักเรียนสมัยมัธยมที่สุด ติดแต่สาวน้อยที่บ้านมักมีญาณพิเศษ ขัดขวางตอนจะไปร้านทำผมทุกที หลังๆ เห็นหัวพี่ชายเป็นของเล่น ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องนั่งหวี จับมัดนู้นนี่ ไม่ก็ทดลองถักเปียแบบต่างๆ เท่าที่ความยาวเส้นผมอำนวย

“ขนาดหวียังไม่เป็นทรง ไม่ได้เข้าร้านทำผมนานแค่ไหนแล้วเนี่ย”

“…สี่เดือนครับ”

“ขี้เกียจเข้าร้านล่ะสิ”

ผมยิ้มแห้งแทนการตอบรับ เจ๊ทายผิดแล้ว… 

“มา เจ๊ตัดให้ อยากตัดทรงไหนล่ะ”

ถามกะทันหัน ผมจะตอบถูกได้ไง (ถึงดีใจก็เถอะ) สายตากวาดซ้ายมองขวา ตัวอย่างก็ไม่มี จะให้ใช้ทรงสมัยเรียนมัธยมก็…ผมชะงักมองพาร์ที่พึ่งเดินเข้ามานั่งขอบอ่างล้างหน้าใกล้ๆ เพ่งดูหัวเพื่อน สั้น ดูแลง่าย กว่าจะยาวอีกนาน ผมชี้บอกช่างทันที

“เอาแบบพาร์ครับ”

“รองทรงตัดสั้นสินะ”

“หยุดดด!” รุ่นพี่หญิงและผู้ฉิงตะโกนห้ามพร้อมเพรียง

“อย่าตัดนะเจ๊ พวกหนูยังอยากให้มัดรวบได้”

“จะรวบ?”

“ใช่เจ๊ ผมน้องยาวประมาณนี้แหละดีแล้ว”

“รวบแบบไหนล่ะ มัดรวบแถวต้นคอหรือครึ่งหัว?”

ผมมองผ่านกระจก เห็นพวกพี่สุมหัวกันอยู่ครู่หนึ่ง ตัวแทนก็พูดตอบ “เอาแบบครึ่งหัว เจ๊พอนึกภาพออกไหม พวกหนูมีภาพด้วยนะ ถึงเป็นภาพการ์ตูนก็เถอะ พอปรับใช้ได้ไหมเจ๊?”

“ไหนเอามาดูก่อน อ้อ เอาแบบมัดครึ่งหัวนะ ส่วนตรงยางรัดผมจะผูกเชือกที่เตรียมไว้ทับอีกที แล้วเสื้อผ้าล่ะ ขอเจ๊ดูแบบชุดหน่อย”

“นี่ค่ะ”

“แนวดีนะ คิดได้ไงเนี่ย?”

ผมหูผึ่ง ชักอยากรู้กับเขาบ้าง แต่โดนพาร์ชิงตัดหน้าขอดูก่อน มีเหลือบมองผมแล้วยิ้มขำด้วย เฮ้ย มันเป็นเสื้อผ้าแบบไหน อยากรู้ๆ

“ทำไมถึงกำหนดเสื้อผ้าแบบนี้ครับ?” พาร์ถามขึ้น

“ธีมฝั่งอีคอนคือจ่ายให้น้อยที่สุด เช่าชุดก็ไม่ได้ เลยระดมข้าวของที่หาได้ในบ้านมาใช้แก้ขัดก่อน คัดแยกของที่ใช้ได้เอามาดัดแปลงให้เข้ากับคอนเซปหลักของงานอีกทีจ๊ะ”

พาร์พยักหน้ารับรู้ ดูเข้าใจมากกว่าผมอีก

“งั้นเจ๊ขอเล็มให้เป็นทรงหน่อยแล้วกัน ปลายผมอาจจะสั้นลงนิดหน่อยเหลือประมาณต้นคอ ส่วนด้านหน้าเจ๊ว่าตัดสั้นลงกว่านี้ก็ดีนะ เอ่อ…แล้วจะทำสีไหม?”

ผมกำลังจะอ้าปากบอกเจ๊แกว่าไม่เอา…

“เวลาเหลือพอหรือเจ๊”

“โอ๊ย นี่มันพึ่งจะเก้าโมงยี่สิบห้า ทันอยู่แล้วจ๊ะน้องสาว เห็นว่าอยากได้สีเข้มๆ เจ๊เลยเตรียมสีน้ำตาลประกายทองกับน้ำตาลประกายแดงมาอย่างละกล่อง เท่าที่ดูน้องคนนี้ เจ๊แนะนำประกายแดงนะ”

“งั้นเอาเลยเจ๊”

“เดี๋ยวๆ สีดำก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องย้อมก็ได้”

ผมเชียร์ข้างพี่คนที่ช่วยแย้งให้อยู่ในใจ

“ยังไม่เห็นสีล่ะสิ สวยนะ พี่ฉันก็ทำ”

พวกพี่ๆ เริ่มเถียงกันเมามัน แบ่งเป็นสองฝ่ายคือพวกที่เห็นด้วยว่าควรย้อม กับพวกที่บอกว่าคงสีดำไว้ เมื่อตัดสินไม่ได้สักที ตัวแทนฝ่ายแกนนำทั้งสองกลุ่มก็หันขวับเอ่ยถาม

“น้องพาร์คิดว่าไงคะ?”

เอ๋า ไปถามพาร์ทำไมครับ พี่ต้องถามผมสิ!

“ขอดูสีก่อนครับ” พาร์ยื่นมือรับกล่องพลิกดูสักพักก็ส่งคืน “ก็น่าจะเหมาะกับทีดี”

“สีอะไรวะ?” ผมรีบถามก่อนจะหมดโอกาส

“น้ำตาลแดง”

“พูดให้ถูกต้อง คือสีน้ำตาลแบบช็อคโกแลต แต่เวลาโดนแดดจะเห็นเป็นสีน้ำตาลออกแดงค่ะคุณน้อง”

“ไม่เอา…” ผมกลืนคำพูดที่เหลือคงคอ เมื่อรุ่นพี่ฝ่ายคัดค้านย้ายฝ่ายกะทันหัน

“ถ้าสีนั้นโอเคเลยพี่ จับน้องย้อมโลด ได้ใช่ไหมจ๊ะน้องพาร์”

พาร์คลี่ยิ้มขำหลังสบตากับผมที่พยายามส่ายหน้าให้มันบอกปฏิเสธ “ตามสบายครับ”

ไอ้เวรเอ๊ย แทนที่จะช่วยกัน ดันกระทืบซ้ำซะนี่ จำไว้เลย!

“งั้นพี่เล็มให้เป็นทรงเสร็จแล้วจับย้อมเลยนะ”

ช่วยถามความเห็นเจ้าตัวหน่อยเถอะ! ผมได้แต่ร่ำร้องในใจ ในเมื่อความเป็นจริงไม่มีใครสนใจใยดีสักคน

-------------

ผมต้องเก็บตัวอยู่ในห้องน้ำตลอดช่วงเช้า แม้แต่ตอนกินข้าวกลางวันยังต้องกินข้าวกล่องในห้องน้ำหญิงเลย

นั่งตักข้าวกระเทียมหมูสับใส่ปากด้วยความอนาจตัวเองอย่างยิ่ง กินได้ครึ่งเดียวก็ชักฝืนต่อไม่ไหว ไม่ใช่อะไรครับ แค่กลิ่นกับข้าวกับกลิ่นบนหัวหลังย้อมเรียบร้อยกำลังตีกันเท่านั้นเอง อยากสระเอากลิ่นออกใจแทบขาด แต่โดนสั่งห้าม เจ๊บอกทิ้งข้ามวันยิ่งดี แต่กลับไปคืนนี้ยังไงผมก็จะไปสระออก ทนกลิ่นมันไม่ไหวจริงๆ 

เที่ยงครึ่งพวกพี่ๆ เริ่มทำหน้าจริงจังทันตา แต่ประกายตากลับแวววาวอย่างกับเจอของเล่นถูกใจ

ผมถอยกรูติดฝาผนังห้องน้ำ เบิกตาแทบถลนมองบรรดานางมาร เอ้ย สาวๆ ทั้งหลายตรงเข้ามาขย้ำผม วินาทีนั้นผมคิดถึงพาร์ทันที รู้อย่างนี้ไม่ปล่อยให้มันกลับไปเรียนหรอก

“เดี๋ยวพี่ ผมถอดเสื้อเองได้”

“ใจเย็นพี่ กางเกงบอกเซอร์ผมไม่ต้องถอด!”

“เฮ้ย มือพี่น่ะอย่าเลื้อยครับ!”

โอ๊ย ชีวิต ต่อไปใครจะกล้ารับผมเป็นเจ้าบ่าววะเนี่ย!

ผมโดนคนนู้นคนนี้จับแต่งตัวประดุจตุ๊กตาเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ หลังพ้นมรสุม ผมในสภาพโดนจับแต่งตัวใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ยืนหน้าซีดท่ามกลางรอยยิ้มสุขสมของสาวๆ ก่อนโดนลากไปยืนหน้ากระจกเงาบานใหญ่ เห็นสภาพตัวเองเต็มตาครั้งแรกถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ

คนในกระจกคือใคร?

“ดูดีเนอะ”

“อื้อ”

“โอ๊ย ไม่นึกไม่ฝันว่าน้องฉันจะดูหล่อก็ได้ ดูน่ารักก็ดี”

ผมยิ้มแห้งกับคำชม (ล่ะมั้ง) มันแปลกตาจนความมั่นใจหดหายไปหลายส่วน

ขณะนี้ผมสวมเสื้อยืดคอกลมแขนยาวสีดำไว้ด้านใน ท่อนล่างเป็นกางเกงสีดำเนื้อผ้าลื่นๆ ใส่สบายดีครับ แต่ขากางเกงยาวจนพี่ๆ ต้องพับให้แล้วใช้เชือกผูกรัดไว้ตรงข้อเท้า กลายเป็นกางเกงขาจั๊มทันที ตัวนอกเป็นเสื้อคลุมสีน้ำตาอ่อนมีลายดูหรูหน่อยๆ ชายเสื้อคลุมไม่ได้ดึงปิดหมดเหมือนตอนปกติ เปิดเผยพื้นที่ด้านหน้าเต็มๆ ส่วนผ้าพันเอวผูกมัดปมด้านข้าง รุ่นพี่ผูกผ้าพันเอวสีน้ำตาลทองให้ก่อน ค่อยผูกผ้าที่ติดมากับเสื้อคลุมทับให้อีกที…เอ๊ะ นี่มันเสื้อคลุมอาบน้ำนี่หว่า

ก้มมองสำรวจกางเกงอีกครั้ง น่าจะเป็นกางเกงนอนผ้าซาติน

“รองเท้าคู่นี้นะจ๊ะ”

ผมหันไปมอง รองเท้าสลิปเปอร์ครับท่าน ไอ้ที่เป็นรองเท้าแตะใส่อยู่กับบ้านนั่นแหละ ลายด้านบนแบบเดียวกับเสื้อคลุมเลยครับ

“ดูดีใช่ไหมล่ะ”

มันก็ดี…แต่ว่า…

“โอเคอยู่นะ”

“ช่ายๆ”

แต่ผมไม่โอเคด้วยสักนิด…พี่ๆ จะให้ผมแต่งอย่างนี้ไปเผชิญสายตาประชาชีในโรงยิมจริงๆ เหรอครับ?

“ผูกผมน้องใช้เชือกหรือผ้าดีอ่ะ”

“มีทั้งสองแบบเลย?”

“ก็เตรียมมาเผื่อๆ ไว้”

ผมมองพวกรุ่นพี่อย่างปลงตก แว่วคำว่า ‘อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด’ ของพี่นิติที่เป็นอดีตสามีขึ้นมาเลย

สักพักได้ยินเสียงกระดิ่ง หันไปมองเจอรุ่นพี่คนหนึ่งถือเชือกถักสีแดงห้อยกระดิ่งสีทองสองลูกเล็กตรงปลายเชือกทั้งสองด้าน

“เอาเส้นนี่แหละ”

ผงะเลยครับ รีบเอ่ยถามรัวเร็ว “เอาจริงเหรอพี่?!”

“น้องทีนั่งเลยค่ะ เจ๊หยุดกินข้าวแล้วมารวบผมให้น้องหน่อย”

“แปบๆ”

และแล้วหัวผมก็โดนจับมัดครึ่ง แถมมีเชือกผูกเป็นโบว์สวยงาม ขยับหัวที่จะได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งประดุจแมวมีปลอกคอ ขณะที่ผมทำหน้าซังกะตายก็โดนฉุดลุกยืน พี่ๆ พากันถอยชมดู ตบมือแปะๆ     

“เยี่ยม!”

“น้องทีดูเป็นท่านชายน้อยแล้ว”

“ดูๆ ไปเหมือนเด็กหนุ่มมากกว่าชายหนุ่มเนอะ”

“ช่ายยย”

…เหมือนโดนด่าว่ายังไม่โตเลยครับ ผมสูงถึงร้อยเจ็ดสิบแปดเลยนะพี่

“บำรุงหน้าด้วยอะไรมาจ๊ะน้องที หน้าเนี่ยใส๊ใส”

“ไม่ได้ทำอะไรเลย…” พูดไม่ทันจบประโยคก็มีพี่ผู้ฉิงเข้ามาเบียดประชิดตัว   

“สนใจมาเล่นซนในหัวใจพี่ไหมคะ” ไม่ว่าเปล่าพี่แกเอาตัวมาสีให้ผมขนลุกเล่นด้วย

“ฮิ้วววว!”

“เดี๋ยวโดนเจ้าของตัวจริงของน้องถีบเอาหรอกพวกมึง” 

“เห็นแบบนี้ ฉันไม่แปลกใจที่น้องทีได้ตำแหน่งหนุ่มหน้าตาดีอันดับสามมาครองแล้ว”

“อ้อ ตำแหน่งตอนเลือกเดือนคณะน่ะเหรอ”

“ตอนนั้นน้องทียังไม่ปล่อยตัวให้โทรมยะ ผมยังตัดสั้นเข้าทรงน่ารักอยู่ พึ่งหลังๆ ปล่อยกระเซิงมาก”

“ถ้าเป็นน้องทีตอนนี้ อาจได้รองมาครองนะ ฮ่าๆๆ”

“แล้วไม่คิดว่าจะสู้เดือนได้เหรอ…หึๆ คิดหนักๆ งั้นดูนี่ ทียิ้มเลย”

ผมฉีกยิ้มเหือดแห้งไปให้

“ไม่เอาแบบนี้ เอาที่ฝึกมาต่างหาก แบบจริงใจอ่ะน้องเหมือนที่พี่ไปเห็นตอนซ้อม”

ผมพยายามนึก ตอนไหนหว่า พี่คนนี้เคยไปเจอผมด้วย? เอ…หรือจะเป็นช่วงที่ผมกำลังยิ้มขำกับมุขตลก?

“อย่าช้า เร็ว!”

บอกเฉยๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องตบหลังซะแรงเลย อูย ผู้ชายก็เจ็บเป็นนะครับ ใครว่าอยู่กลางดงผู้หญิงแล้วดี ผมขอค้าน!

ผมพยายามนึกถึงเรื่องตลกให้ออก ใช้เวลาสักพักกว่าคลี่ยิ้มออกมาได้ รุ่นพี่สาวแท้สาวเทียมกรี๊ดกันสนั่น ท่าทางฟินน่าดู เผลอก้าวถอยหลังไปสองก้าว แอบรู้สึกหวาดระแวง กลัวพี่ๆ คลุ้มคลั่ง

“โอ๊ย ยิ้มละลายใจชัดๆ มิน่าถึงคว้าคนหล่อมาครองได้”

“ทำไมตอนเลือกเดือน น้องทีไม่แต่งตัวดีๆ แล้วไปยืนแจกยิ้มล่ะคะ โธ่ พี่ละเสียดายแทน”

พี่เสียดาย แล้วมาตีผมทำมายยย (หนีมาแล้วก็ยังตามมาตีอีก) ถึงพี่ใจหญิง แต่แรงมือเป็นของผู้ชายอยู่ดีนะครับ

“ถึงทำอย่างนั้นก็ไม่ได้เดือนมาครองหรอก ความเท่มีไม่พอ”

พี่พูดแบบนี้ผมก็ปวดใจเป็นนะ

“แต่ความน่ารักกระชากใจกินขาดยะ”

เอาแล้วครับ ศึกฝีปากของสาวแท้สาวเทียม

“ก็เหมาะกับพวกอยากเลี้ยงต้อยแบบแกนั่นแหละ น้องทีต้องระวังพวกป้ากระเทยให้ดีนะ พี่ล่ะเป็นห่วงจริงๆ”

“ยัยบ้า! คนมีเจ้าของแล้ว ฉันไม่สนหรอกยะ” พูดแล้วสะบัดหน้ามาทางผม “พี่ขอมองดูห่างๆ ก็พอใจแล้ว”

ฝ่ายพี่กระเทยกรี๊ดกร๊าดเห็นด้วยสุดฤทธิ์ ขณะที่ผู้ชมฝ่ายฝ่ายหญิงแต่กำเนิดหัวเราะร่า บางคนแค่ยิ้มบางๆ

เอ่อ พวกพี่ไม่สนใจดีแล้วครับ แต่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า คนโสดอย่างผมไปมีเจ้าของตั้งแต่เมื่อไหร่?

“หยุดๆ เลิกคุยเล่นกันก่อน เที่ยงสี่สิบห้าแล้วพวกแก เตรียมขั้นตอนต่อไปได้แล้ว”

อีกครั้งที่ผมผวาเมื่อโดนจับกดนั่งเก้าอี้ ได้แต่เบิกตาโตมองพี่สามคนหิ้วกล่องใบเล็กบ้าง กระเป๋าใบเล็กบ้างมาวางตรงอ่างล้างหน้า เปิดออกปุ๊บ บรรดาอุปกรณ์เสริมสวยของคุณผู้หญิงที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เกี่ยวข้องกันอยู่ตรงหน้าแล้วครับ อึ้งพักใหญ่ ตั้งสติได้ก็เห็นสาวๆ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นยี่ห้อเครื่องสำอางสนุกสนาน…ดุจมองเอเลี่ยนคุยกัน

แอบตั้งคำถามในใจ ถ้าน้องสาวโตขึ้น จะเป็นแบบนี้ไหมครับ?

ผมสะดุ้งเมื่อโดนมือปริศนาลูบแก้ม “เด็กอารายหน้าใสไม่พอ ผิวยังดีอีก”

“ไหนๆ”

กี่มือไม่รู้มาลูบๆ คลำๆ บางคนถึงขั้นดึงแก้มบ้าง หยิกแก้มบ้าง ระบมสิครับ

“เอ่อ พี่ๆ” ผมดันมือมากมายออกจากหน้า และถือโอกาสนี้บอกความต้องการ และเบนความสนใจไปเรื่องอื่น “ผมขอล่ะ อย่าละเลงมากไปนะพี่ เอาแบบน้อยที่สุดได้ยิ่งดี”

“ไม่ต้องห่วงๆ พวกพี่ชอบลุคตอนนี้ของน้องอยู่แล้ว แค่เติมนิดๆ หน่อยๆ ให้พอมีสีสันเอง”

…ผมจะเชื่อใจ หวังว่าไม่แต่งออกมาเหมือนนักแสดงงิ้วนะครับ

-------------

“ยู้ฮู้ทุกคน น้องพร้อมยัง?”

ในเวลาบ่ายโมงสิบนาทีท่านประธานปี4 โผล่หน้าให้เห็นในห้องน้ำหญิง ส่งเสียงสดใสร้องทักทายอย่างรื่นเริ่ง

ผมถูกพาออกไปดูตัวทันที พี่นันกวาดมองขึ้นลง ก่อนยกนิ้วโป้งให้บรรดาทีมงานแต่งตัว ก่อนหันมายิ้มให้ผม

“น้องทีดูดีนี่น่า”

ได้แต่ยิ้มแห้งรับคำชม บอกตามตรงหลังโดนปล่อยตัวรอพี่นันมารับ ผมยังไม่กล้ามองตัวเองในกระจก ได้แต่หันหลังยืนพิงขอบอ่างล้างหน้าตลอด กลัวรู้ความจริงแล้วไม่กล้าออกไปเผชิญโลกครับ

“สมเป็นลูกสาวคณะเราใช่ม้า”

พี่นันหัวเราะพร้อมพยักหน้า

“ตรงตามคอนเซปของพี่ไหมคะ?”

ไอ้คอนเซปคุณชายนั่นเหรอ ผมว่าเปลี่ยนเป็น ‘น้องชายโดนพี่สาวรุมรังแก’ ดูเหมาะกว่าเห็นๆ

“ก็…” พี่นันเอียงคอทำหน้าครุ่นคิด “เกินกว่าที่พี่นึกไว้นะ แต่ออกมาโอเคดีจ๊ะ ปะ น้องทีออกไปรอตรงจุดนัดกันเถอะ ป่านนี้ฝ่ายนิติมารอแล้วมั้ง”

“ยังนะคะพี่ ทางนู้นโทรมาบอกว่า อาจสายนิดหน่อย”

“อ้าวเหรอ งั้นไปรอดูลูกสาวคณะนิติก็ได้”

เหมือนผมโดนต้อนให้เดินถอยหลังออกมาจากห้องน้ำหญิงมากกว่าเดินออกมาเอง ทั้งที่ความจริงพวกรุ่นพี่ฝ่ายแต่งตัวแค่พร้อมใจออกมาส่ง แต่เล่นพูดอวยพรเกือบพร้อมกันแบบนี้ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับเลยยิ้มรับอย่างเดียว พอหันไปเห็นกำแพงฝั่งตรงข้ามห้องน้ำเท่านั้นแหละ ความสนใจถูกเทใส่ทันที

เป็นภาพวาดบนฝาผนังเหมือนจริงมาก พอบวกกับแสงไฟบนเพดานที่มีเป็นช่วงๆ เสมือนกำลังยืนอยู่บนถนนเก่าแก่สายหนึ่งตอนกลางคืน รายล้อมด้วยบ้านที่ก่อสร้างด้วยอิฐหลายหลังเรียงกันไป

ผมปล่อยให้พี่นันจูงมือนำทาง ตาก็มองภาพบนกำแพงตลอด ใจเต้นตึกๆ เหมือนกำลังหลงเข้ามาอยู่ในโลกแฟนตาซี รู้สึกตัวอีกทีตอนพี่นันปล่อยมือ   

“สวยจนพูดไม่ออกล่ะสิ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ

“ฝีมือรุ่นพี่ศิษย์เก่ากลุ่มหนึ่งน่ะ ลองมองฝั่งตรงข้ามสิ”

ผมหันมองฝั่งห้องพักนักกีฬาตามที่ถูกชี้ชวน อารมณ์แฟนตาซียุคโบราณหล่นหายทันทีเมื่อมาเจอแนวปัจจุบันกะทันหัน

ฝั่งนี้เป็นเสมือนอยู่ถนนสายหนึ่งที่มีร้านสะดวกซื้อสองร้านตั้งเปิดแข่งกัน แน่นอนว่าไอ้สองร้านนั้นคือห้องพักนักกีฬา ผมหันไปมองห้องน้ำ ก็เป็นห้องน้ำครับ แต่เป็นห้องน้ำสาธารณะที่ตั้งอยู่มุมสุดถนน ส่วนกำแพงทางตันเป็นภาพสวนสาธารณะที่ไม่ได้บอกยุคไหนไว้ แต่ผมว่าสามารถใช้ได้ทั้งสองยุค   

“ตอนเข้ามาไม่เห็นเหรอ?”

ผมพยักหน้าว่าใช่ พูดเสริม “ตอนนั้นยังไม่ได้เปิดไฟครับ ผมนึกว่ารูปที่เห็นลางๆ เป็นแค่ภาพประดับธรรมดาเลยไม่ได้สนใจ”

“งั้นเดี๋ยวเจอเรื่องเซอร์ไพรส์อีก”

ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย พี่นันอมยิ้ม ลากตัวผมมาอยู่ตรงกึ่งกลางร้านสะดวกซื้อทั้งสอง หันหน้าไปทางยุคแฟนตาซี 

“มองข้างหน้าไว้นะน้องที อย่าละสายตาล่ะ เดี๋ยวจะอดเห็นของเด็ด”

ผมทำตามอย่างสนใจปนสงสัย จากห้าเป็นสิบนาที แต่ก่อนจะได้ละสายตาเพื่อหันไปถามให้แน่ใจ ประตูบ้านอิฐหลังหนึ่งเปิดอย่างเร็วจนผมสะดุ้งโหยง

อะเฮ้ย! มันเปิดได้จริงๆ ครับ!!

รีบถลาไปลูบๆ คลำๆ เป็นประตูไม้ของจริงนี่หว่า ชะเง้อคอมองผ่านประตู...เชื่อมต่อกับด้านนอกโรงยิมนี่เอง

พี่ผู้หญิงมัดผมหางม้าคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้างงๆ “เอ่อ น้อง…ไม่เป็นไรนะ หน้าตาดูแตกตื่นชอบกล”

พี่นันหัวเราะร่วนทันทีที่ได้ยิน “ไม่มีไรหรอก เด็กใหม่พึ่งเคยเห็นลูกเล่นโรงยิมครั้งแรกน่ะ”

“อ้อ…หรือว่านี่ลูกสาวคณะเธอ?!” พี่คนนั้นชี้นิ้วใส่ผม

พี่นันฉีกยิ้มกว้าง ดึงผมถอยห่างบานประตูให้พี่คนนั้นเห็นผมชัดๆ ทั้งตัว

“ใช่แล้ว น้องคนนี้ชื่อที ส่วนนั่นมือขวาพวงตำแหน่งเลขาของประธานนิติปี4 ชื่อพี่น้ำจ๊ะ”

แทนที่จะได้ทักทายกันตามประสาคนพึ่งได้รู้จัก พี่น้ำกลับยกมือก่ายหน้าผาก ทำหน้าปวดหัว

“ทำไมไม่แจ้งบอกทางนี้ว่าลูกสาวคณะเธอเป็นผู้ชาย!”

“เซอร์ไพรส์ไง คณะเธอชอบทำคนอื่นตกใจอยู่เรื่อย ฉันเลยอยากลองบ้าง เป็นไงตกใจไหม?”

“ปวดหัวมากกว่าตกใจอีกยะ! เฮ้อ…รอให้ดินมาจัดการปัญหานี่เองแล้วกัน ไปล่ะ”

พี่น้ำทำท่าจะเดินผ่านพวกผมเข้าสู่สนามบาส แต่โดนพี่นันเรียกซะก่อน

“เดี๋ยว! คณะเธอจะมาเมื่อไหร่เนี่ย?”

“ใกล้แล้วมั้ง ดินให้ล่วงหน้ามาเปิดประตูกับปูพรมแดงรอก่อน”

ผมกับพี่นันหันตามนิ้วชี้ พึ่งสังเกตเห็นว่าตั้งแต่พื้นหน้าประตูยาวออกไปถึงถนนด้านนอก มีพรมสีแดงยาวสักสองเมตรปูอยู่จริงๆ ครับ

“อยากรู้ก็ยืนดูตรงนี้แหละ เดี๋ยวจะได้เห็นของดี”

พี่น้ำจากไปเกือบสิบนาทีได้ เสียงล้อบดถนนดังมาแต่ไกล รถแปลกหน้าวิ่งเข้ามาจอดเทียบประตูหลังกับพรมแดงได้พอดีเป๊ะ คนขับรถ & บอดี้การ์ดในชุดนักศึกษาชายต่างกรูลงจากรถ คนหนึ่งกางร่ม คนหนึ่งเปิดประตูรถให้ อีกคนยื่นแขนให้เกาะ

และแล้วองค์ราชินีในชุดกระโปรงสีฟ้าก็เสด็จลงจากรถอย่างสวยงาม

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่8] P.2 (29/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 29-08-2016 06:49:57
รอดูค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่8] P.2 (29/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-08-2016 10:41:02
รอค่ะ อยากรู้ทางฝั่งนิติคือใคร
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่8] P.2 (29/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 29-08-2016 18:11:18
รอลุ้นอีกฝ่าย ใครน้อออ แต่ผชแน่นอน กั่กๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่8] P.2 (29/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ~tOeY~ ที่ 29-08-2016 20:14:08
 :L2:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่8] P.2 (29/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 29-08-2016 21:15:45
อยากรู้ล้าววววววววว สนุกมากกกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่8] P.2 (29/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 29-08-2016 21:24:57
 :hao4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่9] P.2 (05/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 05-09-2016 20:49:02
บทที่ 9

การปรากฏตัวของลูกสาวคณะนิติศาสตร์ ทำฝ่ายผมอึ้ง ได้แต่จ้องมองตาปริบๆ

…องค์ราชินีจริงๆ ครับ เสื้อผ้าอย่างหรู ชายกระโปรงด้านหน้าสั้น แต่ด้านหลังลากยาวพื้น รองเท้าส้นเข็มทำจากแก้วสวยเวอร์ เครื่องประดับสะท้อนแสงแดดแสบตา เธอจัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้าสุดๆ แถมรูปร่างยังดีอีก แบบอกเป็นอก เอวเป็นเอว

เปร๊าะ

เสียงประหลาดทำคนเดินเชิดหน้าเมื่อครู่เซถลาเกือบหน้าคะมำ ดีที่เกาะแขนพี่ผู้ชายสวมแว่นอยู่ ขบวนราชินีหยุดชะงัก พวกเขาก้มมองพื้นใต้เท้าผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มกันหมด

พี่นันชะเง้อคอมองเหตุการณ์ ก่อนอุทานออกมา “ส้นเข็มหัก! ฮ่าๆๆ”

รุ่นพี่ผมหัวเราะไม่พอ ยังตบประตูรัวๆ พอผมละสายตาไปมองด้านนอกต่อก็ทันเห็นฉาก แม่ราชินีถอดรองเท้าแก้วออก โยนทิ้งข้ามหัวอย่างไม่ใยดี เดือดร้อนพี่ที่ทำหน้าที่เปิดประตูรถเมื่อครู่ต้องวิ่งตามไปเก็บ

อูย กล้ามาก

คนไม่กลัวโดนปรับคะแนนความประพฤติ เพราะทิ้งขยะไม่เป็นที่ในเขตมหาวิทยาลัยเดินเชิดหน้าเท้าเปลือยเปล่าตามพรมแดงอย่างเฉิดฉาย ทิ้งคนควงแขนอย่างพี่สวมแว่นถอยไปเดินตีคู่ไปกับคนถือร่ม มีอีกคนถือรองเท้าแก้ววิ่งตามหลัง เป็นภาพที่ตลกมาจนผมกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว

ส่วนพี่นัน…

“ฮ่าๆๆ โอ๊ย ปวดท้อง!”

เมื่อแม่ราชินีใกล้เข้ามา พวกผมก็พยายามกลั้นขำ ถอยเท้าห่างประตูปล่อยวงตลกคณะใหม่เข้ามา และแทบหลุดหัวเราะอีกครั้ง ยามเห็นองค์ราชีนีเดินออกจากบ้านอิฐซอมซ่อ และยืนอึ้งทำหน้าตะลึงประหนึ่งพึ่งออกมาเจอโลกแห่งความจริงแสนโหดร้าย

แต่ความจริงเธอคงอึ้งภาพบนฝาผนังมากกว่าครับ

“ยืนนิ่งทำไมเมย์?”

เสียงจากผู้ตามหลังดึงสติราชินีกลับมา ยังไม่ทันก้าวเดินก็โดนพี่สวมแว่นรุนหลังออกมาก่อน และดันต่อจนมาหยุดยืนหน้าพวกผม

“ไงนัน”

“หวัดดีดิน”

รองเท้ากับร่มที่หุบแล้วถูกโยนเข้ามาไม่แรง แต่เสียงของกลิ้งสะท้อนก้องทั่วทางเดิน ตรงประตูม้วนพรมแดงกำลังถูกยัดเข้ามาอีกผืน ส่งของเรียบร้อยพี่ทั้งสองก็โบกมือให้หยอยๆ ดึงประตูไม้ปิด

ปึง!

…ทำไมผมรู้สึกเหมือนองค์ราชินีโดนไล่ออกจากบ้าน

“พรืด” พี่นันหลุดหัวเราะออกมา “บะ บ้านหลังนั้นรับเลี้ยงราชินีไม่ไหวเรอะ เขาถึงไล่ออกมา”

พี่ดินเลิกคิ้วขึ้น หันกลับไปมองด้านหลังตัวเองแวบหนึ่งก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจ

“เปล่าหรอก แค่ราชินียาจกที่ยังไม่รู้ตัวต่างหาก โอ๊ย ตีพี่ทำไม”

“คอนเซปไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย!”

“พี่แค่ล้อเล่น”

“เฮฮากันดีนะ แถมยังลงทุนสุดๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวคงหมดไปหลายตังค์”

พี่ดินยิ้มเจื่อน “ก็ตามธีม อีกอย่างน้องเขาบอกว่าถ้าไม่จัดเต็ม จะไม่ยอมออกไปโชว์ตัวน่ะ โอ๊ย! พี่พูดความจริงนี่ครับ บิดเอวพี่ทำไมเล่า”

“แพงอะไรกัน ไม่งั้นส้นเข็มเมย์จะหักเมื่อกี้เหรอ  เมย์บอกพี่แล้วว่าไม่ไหวก็ไม่เชื่อ”

“แต่พี่ปูพรมให้เลยนะ”

“พรมแล้วไง? สุดท้ายก็...หัก”

…แน่ใจนะครับว่านั่นกระซิบ

“ฮ่าๆๆ” พี่นันตบกำแพงป๊าบๆ หัวเราะจนน้ำตาเล็ด เรียกคนต่างคณะหันมองเราอีกครั้ง “ละ ลูกสาวจับจับฉลากของนายน่าสนใจจริงๆ”

“ใครบอก นี่น้องเมย์ เป็นประธานชั้นปีหนึ่ง เธอยกมืออาสาเป็นเอง หลังจากคนจับฉลากไม่ยอมโผล่หัวออกมาสักทีจนปีหนึ่งเกือบโดนทำโทษทั้งรุ่น”

“พอกันเลย น้องฉันก็ถูกโยนเป็นแพะเหมือนกัน”

สองนิติหันมองทางผมตามการชี้นิ้วของพี่นัน ผมสบตาประธานสองชั้นปีที่ส่งยิ้มเป็นมิตรมา แต่สักพักฝ่ายปี1 กลับขมวดคิ้ว พลางกวาดตามองผมขึ้นลงหลายเที่ยวด้วยสีหน้าแปลกๆ มีสะกิดพี่ดินให้หันมองผมอีกคน แล้วซุบซิบอะไรกันสักอย่าง ครู่เดียวพี่ดินทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที

“นัน!”

“หือ?”

“ลูกสาวคณะเธอเพศอะไรกันแน่ ชายหรือหญิง?”

เฮ้ย! สภาพผมตอนนี้แย่ขนาดดูเพศไม่ออกเลยเรอะ!

“เห็นก็รู้แล้วนี่” พี่นันคลี่ยิ้มภูมิใจ ทั้งหล่อทั้งน่ารักใช่ไหมล่ะ”

...ขอแค่หล่ออย่างเดียวได้ไหมครับ

“ชายสินะ” พี่ดินทำหน้าปวดหัวทันที

การแสดงออกคล้ายพี่น้ำจนผมสะดุดใจ เผลอนึกในใจว่าต้องมีอะไรสักอย่างผิดพลาดแน่ๆ

“ชายแล้วไง ในเมื่อประชุมคราวก่อนมีการเปลี่ยนแปลงกฎให้เข้ากับยุคสมัย ลูกสาวคณะไม่จำเป็นต้องเพศหญิงอย่างเดียวแล้ว!”

“พูดแบบนี้แสดงว่าเผลอหลับในที่ประชุม”

“ไม่มี๊!”

“อย่ามาเถียง! สะใภ้เดิมพันเป็นอย่างที่เธอพูด แต่สะใภ้พันธมิตรไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย ยังใช้ลูกสาวเหมือนเดิม ยกเว้นมีการตกลงยินยอมจากทั้งสองฝ่ายก่อน”

พี่นันกระพริบตาปริบๆ “...แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน ก็ให้ผู้หญิงเลือกลูกสาวอีคอนสิ”

“ถ้าทำได้ก็ดีสิ!” พี่ดินนวดขมับ “จากเดิมที่ให้ใครก็ได้ในหมู่ปีหนึ่งเลือก ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะติดเงื่อนไขที่เพิ่มใหม่ในปีนี้”

“...เงื่อนไขอะไร? ทำไมฉันไม่รู้?”

“เพราะเธอหลับไง!” พี่ดินตอกย้ำด้วยเสียงดุ ก่อนพูดอธิบายต่อยาวเหยียด 

“ฟังให้ดี ไม่ว่าจะแข่งชิงแบบเดิมพันหรือพันธมิตร ปีนี้มีเงื่อนไขให้เลือกสามีคณะจากตัวแทนผู้ลงแข่งขันเท่านั้น และถ้าคณะผู้ชนะมีสะใภ้ทาสมากกว่าห้ามีสิทธิ์เลือกปฏิเสธสะใภ้ทาสด้วยการขอของอย่างอื่นที่มีค่าเท่ากันแทนได้ ยกเว้นสะใภ้พันธมิตรที่ยังคงกฎเดิมคือให้เลือกได้แค่สะใภ้คณะเอาไว้ แล้ววันนี้เราแข่งบาสชายกัน ขอย้ำว่าชาย! เธอจะให้น้องจับคู่กับผู้ชายด้วยกันเรอะ!”

ผมอ้าปากเหวอ สบถในใจลั่น ฉิบหายแล้วไง!

พี่นันก็ทำหน้าตื่นตระหนกทันที “ทำไงดีอ่ะดิน!”

คนโดนเรียกถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถ้าเธอแจ้งบอกก่อนล่วงหน้า ฉันคงเลือกลูกสาวเป็นผู้ชาย แล้วให้แข่งบาสหญิงแทน แต่นี่…เลยตามเลยแล้วกัน ยังไงก็เปลี่ยนตัวไม่ทันแล้ว”

“เฮ้ย! แต่ผม...” กำลังจะอ้าปากแย้ง แต่โดนพี่นันแย่งพูดก่อน

“งั้นถือว่ายินยอมจากสองคณะแล้วกัน”

“ตามนั้น” พี่ดินพูดเสียงปลงตก  หันมองผมด้วยแววตาสงสารหน่อยๆ “ก็หวังว่า…น้องจะทำใจยอมรับได้ล่ะนะ”

ไม่พี่! ผมทำใจไม่ได้!!

หมับ!

ไหล่ผมโดนจับบีบเบาๆ มีพี่นันมองมาด้วยแววตาขอโทษปนขอร้อง

“ถือว่าทำเพื่อคณะแล้วกันนะน้องที”

ผมเม้มปากเข้าหากัน ลำบากใจถึงขีดสุด แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายื่นเงื่อนไขหนึ่งให้พี่นัน

“แต่ห้ามแกล้งแพ้นะพี่ ถ้าสั่งให้แกล้งแพ้ ผมมีโกรธ!”

“ได้ๆ พี่ไม่ทำหรอกน่า ขอบคุณนะน้องที”

“ขอขัดจังหวะแปบ!” เสียงพี่ดินขึงขังกว่าเก่า จ้องพี่นันด้วยแววตาดุปนตำหนิมากกว่าเดิมหลายเท่า   

“เธอส่งข้อความมาบอกว่าจะยึดห้องน้ำหญิงเป็นที่แต่งตัวให้น้อง แสดงว่าเธอลากรุ่นน้องผู้ชายเข้าห้องน้ำหญิงใช่ไหม”

“ใช่ ฉันถึงท้าให้นายมายึดห้องน้ำชายไง”

พี่ดินดีดนิ้วใส่หน้าผากประธานฝ่ายผม “ยังไม่สำนึกอีก! จะเล่นอะไรคิดด้วยว่าควรหรือไม่ควร”

พี่นันลูบหน้าผากปรอยๆ หน้าสลดเป็นเด็กๆ แต่แววตาไม่ยอมแพ้

“ลูกสาวคณะนายไม่ใจเลยอ่ะ! สู้ลูกสาวฝั่งฉันก็ไม่ได้ ไม่ใช่แค่เข้าไปเฉยๆ นะ ยังกล้าอยู่ยาวตั้งหลายชั่วโมง!”

อีกครั้งที่ผมหลบสายตาเพื่อนปีหนึ่งด้วยกัน อย่ามองทิ่มแทงกันแบบนั้น เป็นไปได้ ผมก็อยากยืนกรานหนักแน่นเหมือนเธอนะ

ผัวะ!

“เงียบไปเลย! หัดสงสารลูกสาวคณะเธอหน่อย! ไปเมย์ เราไปเตรียมตัวกัน”

ผมมองพี่นันแลบลิ้นตามหลังพี่ดินที่ลากมือราชินีที่ทำหน้าอึ้งๆ ให้เดินตามมา

“…หน้าผากพี่แดงแหนะ”

“อย่าทักสิน้องที หมอนั่นก็ตบหน้าผากกันได้ ชิ” 

“สนิทกันดีนะครับ”

“ไม่อยากสนิทหรอก แต่ดันเรียนมัธยมที่เดียวกันมา เข้ามหาลัยแล้วก็ยังเจอหน้าทำงานร่วมกันอีก”

“แต่ครั้งนี้พี่เป็นฝ่ายผิดเต็มๆ เลยนะครับ”

“พี่ขอโทษ”

ผมจะบอกว่าโดนพี่ดินตีก็ไม่แปลกหรอกต่างหาก แต่สงสัยจะนึกว่าโดนผมต่อว่าหน้าเลยทั้งเศร้าทั้งสลด ผมจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน

“พี่ดินคนนั้นคือ…”

“อ้อ ประธานปี4 ของนิติไง มีมือซ้ายขวาอย่างละคน น้ำที่พึ่งเจอเมื่อกี้ กับ ตุ๋มโอ่ง กะเทยรูปร่างเหมือนชื่อ ลักษณะเด่นคือชอบผูกผ้าสีหวานๆ สวยๆ บนหัวประจำ ว่าแต่น้องทีพกมือมาหรือเปล่า”

ผมแหวกกระเป๋าเสื้อคลุมให้ดู สมาท์โฟนผมนอนนิ่งอยู่ในนั้น พี่นันพยักหน้าหงึกๆ

“พกติดตัวได้ แต่อย่าเอาออกมาเล่นให้เกินงาม มีอะไรเพิ่มเติมพี่จะติดต่อเข้าไลน์...มาแลกชื่อกันก่อน”

หลังเพิ่มเพื่อนเรียบร้อย พี่นันก็พูดชวนยิ้มๆ

“ไม่ต้องกังวลนะน้องที ปะ เราไปยืนรอโฆษกงานประกาศเรียกกันเถอะ”

...ไม่ต้องกังวลเหรอ

ผมถอนหายใจออกมาเงียบๆ สาวเท้าเดินตามหลังรุ่นพี่สาว

ยิ่งพี่พูดแบบนี้ผมยิ่งกังวลมากกว่าเก่าอีก เอาเถอะอะไรจะเกิดก็ปล่อยไปเถอะ ผมจะพยายามทำใจปลงตกไวๆ

-------------

เมื่อพิธีกรส่งสัญญาณเรียกตัว

ประธานชั้นปี4 ทั้งสองคณะก็ก้าวนำหน้าตีคู่กันมา โบกไม้โบกมือแลดูเป็นคนของประชาชนสุดๆ มีพวกผมที่เป็นลูกสาวคณะเดินตามหลังด้วยระยะห่างห้าก้าว ออกมาเจอผู้ชมมานั่งเชียร์อัดแน่นกว่าที่คาดก็เกือบผงะ

โอ๊ย! คนจะเยอะไปไหนครับ นี่การแข่งของปี1 ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมสายรหัสผมตั้งแต่ปี2 ยันปี4 ถึงยืนชิดติดขอบโบกธงส่งเสียงเชียร์ผมอยู่นั่นล่ะครับ! นี่มันจะบ่ายครึ่งแล้ว ไม่เข้าเรียนกันเหรอพี่ๆ !!

ถึงโคตรอายขนาดไหน ทำได้แต่ปั้นหน้าให้ปกติ ข่มใจก้าวเดินต่อไป พยายามทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาเป็นร้อยๆ คู่ที่จับจ้องมา ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกทั้งเกร็งทั้งประหม่าอยู่ดี

 “มาแล้วครับๆ นำมาโดยประธานชั้นปีพี่ใหญ่สุด ได้ข่าวว่าไปทำเรื่องของดเรียนช่วงบ่ายวันนี้ให้กับทุกชั้นปีมา โดยแลกกับเรียนชดเชยวันเสาร์นี้ ผมเลยเกิดข้อสงสัย ทำไมไม่นัดวันแข่งเป็นพรุ่งนี้แทนล่ะครับ”

พี่โฆษกส่งไมค์สองตัวให้พี่ดินกับพี่นัน

“ก่อนอื่นเลย ผมต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ต้องให้มาเรียนชดเชยในวันพรุ่งนี้” พี่ดินพูดขึ้นก่อน “เนื่องจากเด็กปี1 ทั้งสองคณะว่างช่วงบ่ายวันศุกร์ตรงกันพอดีจึงเลือกวันนี้ แต่กลับถูกเพื่อนๆ น้องๆ ส่งคำร้องต้องการมาดูอย่างล้นหลาม เลยต้องไปขอเลื่อนเวลาเรียนแทนครับ”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง เมื่อกี้ผมเห็น ว่ามีอาจารย์เข้ามาดูด้วยแวบๆ ไหนส่งสัญญาณให้รู้หน่อยครับว่าแอบไปนั่งตรงไหนกัน”

กลุ่มอาจารย์โบกมือให้สองสามที เป็นกลุ่มเล็กๆ แต่กลมกลืนกับกลุ่มนักศึกษารอบข้างมากครับ

“หน่วยสวัสดิการอย่าลืมไปเสิร์ฟน้ำให้พวกท่านด้วยนะครับ…ที่นี่เรามาสนใจตัวเอกของงานบ้าง”

ไมค์ถูกส่งต่อมาจากพี่ประธาน พวกผมรับมาถือเรียบร้อย โฆษกก็เอ่ยเกริ่นนำ

“แนะนำตัวหน่อยครับ”

แนะนำ? แบบไหน? แบบชื่อเต็มนามสกุลเต็ม หรือแค่ชื่อเล่นล่ะเนี่ย?

“สวัสดีค่ะ กมลชนก ชื่อเล่นเมย์ ปี1 คณะนิติค่ะ”

มีคนนำแล้วผมก็ตามสิ “ส่วนผม ชลนที ชื่อเล่นที ปี1 คณะเศรษฐศาสตร์ครับ” 

“คนหนึ่งมาแบบสวยสดงดงาม ส่วนอีกคน…แหวกแนวดีครับ ตั้งแต่ชุดยันเพศ แต่น้องแอบน่ารัก ผมปล่อยผ่านแล้วกัน”

พี่นันทำหน้าโล่งใจ ส่วนผมทำหน้ามึน เอ่อ ผมควรดีใจไหมครับที่โดนผู้ชายอายุมากกว่าชมว่าน่ารัก?

“หลายๆ คนคงรู้จักผมแล้ว แต่เด็กปี1 สองคนตรงนี้ยัง จึงขอแนะนำตัวอีกรอบ ผมชื่อรัฐ เป็นประธานปี4 คณะรัฐศาสตร์ วันนี้มาทำหน้าที่เป็นกรรมการ โฆษก พ่วงด้วยพยาน และเป็นผู้ทำการแต่งตั้งสามีสะใภ้คณะ ตามพันธะหน้าที่ของกลุ่มพันธมิตรครับ”

ผมมองพี่แกอึ้งๆ ตำแหน่งจะเยอะไปไหนครับ!

“ซึ่งผมได้แจ้งไปถึงสองคณะตั้งแต่ต้นว่า คอนเซ็ปลูกสาวคณะครั้งนี้คือ ‘ผู้สูงศักดิ์’ ไม่ทราบว่าลูกสาวทั้งสองคณะแต่งเป็นอะไรมาบ้างครับ?”

“องค์ราชินีค่ะ”

“ท่านชายครับ”

“ผ่านครับ ลูกสาวทั้งสองช่วยเดินไปเดินมาผ่านหน้าพี่หน่อย ขอทีละคนนะ”

ฝ่ายนิติเดินก่อนครับ

“โอ้ เชิดหน้าชูคอดุจนางพญา…รองเท้าหายไปไหนนี่ แต่ท่วงท่าการแสดงออกเข้ากับเสื้อผ้าได้ดีทีเดียว ให้ผ่านครับ มาถึงอีคอนกันบ้าง

อือหือ ท่านชายน้อยนี่เอง บุคลิกดีทีเดียวคงฝึกมาหนักน่าดู ส่วนเสื้อผ้า เอ่อ อินดี้ไปสักหน่อย แต่ลวดลายอันวิจิตรงดงามสีน้ำตาลทองบนเสื้อคลุม...อาบน้ำ? กะ ก็สวยดีนะครับ เข้ากันได้ดีกับลายรองเท้า...สลิปเปอร์? พรืด ขะ ขออภัย ผมขอเวลาหนึ่งนาที”

แล้วพี่โฆษกก็ใช้มือปังไมค์หัวเราะไม่หยุด เรียกเสียงหัวเราะดังก้องไปทั้งโรงยิมที่ทำเอาคนโดนจับแต่งตัวอย่างผมทำหน้าเซ็ง เกือบนาทีโฆษกถึงกลับมาทำหน้าที่ต่อ

“บุคลิกท่วงท่าเข้ากับเสื้อผ้า...” น้ำเสียงยังคงหลุดขำหน่อยๆ “ได้ดี ผมให้ผ่านเช่นกัน ทั้งคู่ทำการบ้านได้ดีจนไม่มีหลุดให้สะสมฉายากันเลย”

ฉายาอะไรหว่า…คือพวกพี่ช่วยสงสารเด็กปี1 ที่ยังไม่รู้ความด้วยเถอะ อธิบายให้ฟังที

“งั้นเอาฉายานี่ไปก่อน ‘ราชินีรองเท้าหาย’ กับ ‘ท่านชายน้อยแสนอินดี้’ ไปแล้วกัน”

ผมทำหน้ามึนๆ ฟังโฆษกพูดต่อ

“ต่อไปเป็นธีมจากคณะ ขึ้นอยู่กับดวงคนจับฉลากล้วนๆ แต่มีผลเกี่ยวข้องกับงบประมาณโดยตรง ถ้าผมจำไม่ผิดฝั่งนิติศาสตร์จับฉลากได้ ‘หรูหราฟู่ฟ่า แต่งบจำกัด’ ส่วนอีคอนจับฉลากได้ ‘ยาจก แต่สมฐานะ’ ผมขอถามนิติก่อน องค์ราชินีจัดเต็มขนาดนี้น่าจะใช้งบเกิน เอ หรือเพราะงบไม่พอ ราชินีเลยไม่มีรองเท้าใส่?”

เสียงฮาลั่นก้อง มีพี่ดินพูดแก้ความเข้าใจผิด แถมยังมีโชว์หลักฐานการใช้จ่ายว่าไม่เกินงบ และฮากันอีกครั้งเมื่อมีคนวิ่งมาส่งรองเท้าส้นหักให้ประชาชาชีดู 

ตาฝ่ายผมบ้าง

“ชุดทั้งตัวของลูกสาวคณะ เสียไปเท่าไหร่ครับ?”

“ศูนย์ค่ะ” พี่นันตอบยิ้มๆ

“อะไรนะครับ?”

“ไม่เสียเลยสักบาทค่ะ” พี่นันย้ำอีกรอบ ท่ามกลางเสียงฮือฮาที่เกิดขึ้น “ด้วยความอนุเคราะห์ล้วนๆ จากคนในคณะ ใครมีสิ่งของใช้งานได้ก็ส่งมาให้คัดเลือกเต็มไปหมดเลยค่ะ ขนาดช่างทำผมมืออาชีพยังไปขอร้องคนรู้จักให้มาช่วยทำให้น้องฟรีเลย”

“ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายบ้างใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ ด้วยงบยาจกของเราทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากต้องไปขอรับการบริจาคเงินเพิ่ม ก็ได้คนในคณะร่วมแรงร่วมใจไปหาผู้บริจาคใกล้ตัว”

“ช่วยระบุให้ชัดการนี่ได้ไหมครับว่าใกล้ตัวแค่ไหน?”

พี่นันหัวเราะคิกๆ “มีแฟนไว้ทำไมล่ะคะ ขอเศษเงินจากเขานิดๆ หน่อยๆ พอเอามารวมหลายๆ คนก็เยอะแล้วค่ะ ยิ่งใครมีแฟนรวยนะคะ อ้อนขอทีได้มาเป็นก้อนเลยค่ะ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าทางนี้จะแหกกฎให้คนในคณะบริจาคเงินกันเองหรอกค่ะ”

…นั่นไม่ได้เรียกว่าขอบริจาค แต่ควรเปลี่ยนมาใช้คำว่า ‘รีดไถจากแฟน’ แทนนะพี่นัน

“โอ้…เป็นวิธีที่น่ากลัวมาก” โฆษกพูดทั้งที่คิ้วขมวด “แต่คงไม่ใช่จากแฟนอย่างเดียวแน่ๆ เพราะผมก็โดนไปเหมือนกัน นี่เองสาเหตุที่น้องผมวิ่งข้ามคณะมาขอตังค์ค่าขนมเพิ่ม”

จากสีหน้าพี่เขา ผมว่าไม่ได้ขอธรรมดา แต่ผสมคำข่มขู่ด้วยแหงๆ

“อ้าว เป็นผู้บริจาคด้วยเหรอคะ งั้นไม่ต้องห่วงนะคะ เงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มา ทางเราไม่มีมุบมิบ วันนี้นำเงินที่ได้รับมาไปซื้อข้าวน้ำเลี้ยงแจกทุกคนในคณะ รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง และให้ความช่วยเหลือไปเมื่อกลางวันแล้วค่ะ ส่วนที่เหลืออีกเล็กน้อยจะนำไปบริจาคที่วัดในวันพรุ่งนี้ค่ะ ใครอยากจะร่วมทำบุญเพิ่มเติมก็เชิญไปหยอดกล่องตรงนั้นได้เลยค่ะ”

พี่นันผายมือให้เห็นกล่องห่อกระดาษขาวใบเล็ก เขียนตัวอักษรโตๆ ว่า กล่องรับบริจาค ผู้ถือกล่องจึงยกโชว์ให้เห็นกันชัดๆ ถนัดตา

“อ้อ ผมก็นึกสงสัยว่าคณะไหนสั่งทำข้าวกล่องจากทุกร้านอร่อยทั่วมหาลัย ขอบคุณสำหรับมื้อกลางวันอร่อยๆ ครับ” โฆษกว่า ก่อนพูดตลกปิดท้าย “แม้ว่าที่น้องขอไปจากผมจะมากกว่าค่าข้าวมื้อหนึ่งก็ตาม”

“ฮ่าๆๆ” คนฟังหัวเราะกันใหญ่

“ทางผมก็ต้องขอบคุณที่ทางเศรษฐศาสตร์ช่วยเตรียมข้าวกล่องเผื่อทีมงานทางนิติศาสตร์ด้วยนะครับ” พี่ดินกล่าวขึ้น

“ยินดีค่ะ”

“พักคุยกันเท่านี้ก่อนดีกว่า ป่านนี้คนที่ตากแดดรออยู่ด้านนอกคงบ่นกระจายแล้ว” โฆษกโบกมือส่งสัญญาณ ประตูโรงยิมเปิดออกด้วยระบบมือคน “ขอเชิญนักกีฬาเข้ามาได้เลยครับ”

เสียงเปิดตัวพยานศาลของท่านเปามาจากไหนกัน? จะว่าไปตอนพวกผมเดินเข้ามาก็มีเสียงประกอบฉากเปิดตัวเหมือนกัน แต่ตอนนั่นมัวแต่ตื่นเต้นเลยไม่สนใจฟัง

ทั้งสองทีมเดินเข้าประตูโรงยิมจากคนละฟากสนาม นำหน้าโดยกัปตันทีมพร้อมธงประจำคณะในมือ ฝั่งนิติศาสตร์มาในชุดสีฟ้าสดใส ส่วนฝั่งเศรษฐศาสตร์สีเหลืองอร่าม

ผมต้องยื่นมือไปรับธงของฝ่ายตรงข้าม งงไหม ผมก็งง

โฆษกประจำงานอธิบายว่า การแลกธงให้อีกคณะช่วยดูแลจนกว่าจะจบการแข่งขัน ถือเป็นการแสดงออกถึงไว้วางใจอะไรสักอย่าง ผมฟังไม่ค่อยถนัด เพราะเสียงกรีดร้องของสาวๆ ดังมากครับ เล่นทำผมหูอื้อ

“ตามข้อตกลงที่มีช้านาน ฝ่ายชนะจะได้ตัวลูกสาวจากอีกคณะมาครอง ต้องทำการแต่งตั้งสามีและสะใภ้คณะโดยพยานที่ถูกเชิญมา บุคคลที่เป็นสามีต้องเป็นเด็กปี1 และตามกฎใหม่ระบุเพิ่มเติมว่า ต้องเป็นนักกีฬาร่วมลงศึกชิงชัยเท่านั้น”

ได้ฟังตรงนี้เหมือนตอกย้ำความจริงอีกครั้ง ผมเหลือบมองบรรดาแผ่นหลังคนเสื้อสีฟ้าแวบเดียวก็แอบขนลุก

…ขอโดดตอนนี้ ยังทันไหมครับ

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่9] P.2 (05/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 05-09-2016 20:50:07
บทที่ 9 (ต่อ)

ผมกำลังประสบปัญหาอย่างที่สอง

“ยืนเฉยทำไม”

ผมที่กำลังยืนตัวแข็งทื่อ หันหน้าตามเสียงทัก อ้อ ไอ้นนท์นี่เอง พึ่งได้ยินเสียงมันในรอบสามวันได้มั้ง

“ขึ้นไปนั่งสิ”

ขึ้นหรือ…ผมหันมองเก้าอี้เสริมสำหรับลูกสาวคณะ แล้วกลืนน้ำลาย

“เป็นอะไรไอ้น้อง?” พี่กัปตันเดินเข้ามาถาม

ผมชี้นิ้วสั่นระริกใส่ของตรงหน้าที่ตั้งอยู่ข้างม้านั่งยาวของพวกนักกีฬา

“มันมาได้ไงครับพี่”

“สร้างขึ้นมากับมือสิ ของรวมแรงกายใจจากคณะเชียวนะ เห็นว่าเกณฑ์พวกฝีมือดีจากปี2 ยัน ปี4 มาเลย เมื่อสองวันก่อนพี่เดินผ่านไปใต้ตึกคณะยังเห็นนั่งทาสีใส่ไม้ เมื่อวานก็เห็นลงแว็กซ์ขัดเงา วันนี้เพื่อนพี่ยังถูกเกณฑ์ไปช่วยแบกมันมาโรงยิม เพราะงั้นอย่ามัวแต่มอง เอาธงไปปัก แล้วขึ้นไปนั่งได้แล้ว”

จะไม่ให้เอาแต่มองได้ไง! เล่นทำขั้นบันไดให้เดินขึ้นไปไม่พอยังใช้สีทากับผ้าประดับซะโคตรเด่น เห็นครั้งแรกผมถึงกับผงะ ไม่นึกไม่ฝันว่าเก้าอี้พนักสูงนั่นจะให้คนขึ้นไปนั่งจริงๆ

“ไม่ต้องกลัวไอ้น้อง พี่รับรองความแข็งแรง มีคนขึ้นไปกระโดดทดสอบมาแล้ว ไม่ถล่มลงมาแน่นอน”

ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น!

“หรือกลัวเมื่อย? เรื่องนี้ก็ไม่ต้องห่วงมีหมอนวางรองให้ทั้งก้นและหลัง”

ผมอยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก มองเก้าอี้มองรุ่นพี่ที่เป็นกัปตันทีมบาส ก่อนลอบถอนหายใจ จำยอมเดินเอาธงคณะนิติไปปักในฐาน ล็อกให้ด้ามธงตั้งอยู่กับพื้นได้ แล้วกลั้นใจเดินมาเหยียบบันไดขั้นแรกของเก้าอี้ที่ไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ที่สุด

ขอเป็นม้านั่งธรรมดาที่อยู่ข้างๆ ยังดีซะกว่า!

รู้สึกถึงสายตาจ้องมาเลยหันขวับ เจอไอ้นนท์ยืนฉีกยิ้มขันๆ มองมาไม่ขยับไปไหน ผมกวักมือเรียก มันชี้หน้าตัวเอง ผมพยักหน้ารอมันเดินเข้ามาหา

“แลกกันไหมมึง”

“ฮะ?” นนท์ทำหน้างง

“เก้าอี้น่ะ”

นนท์มองหน้าผม มองเก้าอี้สุดพิเศษ แล้วส่ายหน้าหวือ ถอยหลังช้าๆ พร้อมโบกมือลา “กูต้องลงไปวิ่งวอร์มร่างกายก่อน ไปนะ”

ชิ!

ผมมองบันไดอีกเจ็ดขั้นที่เหลือ ก็ได้แต่กลั้นใจเดินขึ้นไปให้จบๆ

เจ็ดขั้นยาวนานเหมือนเป็นสิบๆ ขั้น อารมณ์โคตรเหมือนตัวเองพึ่งรับตำแหน่งประมุขพรรคผู้ยิ่งใหญ่ในหนังกำลังภายในเลยครับ ขึ้นไปจนเห็นที่นั่งมีทั้งเบาะทั้งหมอนตามที่ได้ยินมา และต้องสะดุดกับมงกุฎดอกไม้สีเขียวแซมดอกสีขาวเล็กๆ ประปรายวางเหนือเบาะนั่งทรงสี่เหลี่ยม เลยหยิบมันขึ้นมาก่อนหย่อนก้นนั่ง แล้วต้องเพ่งหมุนของในมือ เผื่อจะเจอโพยใบเล็กๆ เสียบบอกไว้ว่ามีไว้ทำอะไร

เมื่อไม่เจอต้องพึ่งวิธีสุดท้าย…แอบชำเลืองมองเพื่อนร่วมชะตากรรมเพื่อหาแนวทาง...อ้าว สวมมงกุฎดอกไม้บนหัวแล้วครับ สีอย่างแจ่มเข้ากับเสื้อผ้าโทนฟ้าของเธอดี บวกกับท่านั่งดุจดั่งราชินี

ผมขอซูฮกให้เลย

พอมองของในมืออีกครั้ง ชักอยากถลาคุกเข่าขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยพลัน หากเป็นมงกุฎดอกไม้แบบราชินีทางนู้น ผมคงได้กัดลิ้นตาย เอ่อ เรียกมงกุฎดอกไม้ก็ไม่ถูก ของในมือผมเหมือนมงกุฎดอกหญ้าคงเหมาะกว่า แต่ยังไงก็ไม่เข้ากับเสื้อผ้าผมอยู่ดี

คิดแล้วก็จับมันแขวนทิ้งไว้ที่พนักเก้าอี้ดีกว่าต้องวางบนหัว แค่เชือกกระดิ่งพันเส้นผมอยู่ตอนนี้ก็กลุ้มมากพอแล้วครับ

เสียงตระโกนดังลั่นลอดเข้าไมค์จากฝั่งตรงข้ามทำผมสะดุ้งเฮือก

“องค์ราชินีเมย่า โปรดอวยพรให้แก่พวกข้าด้วย”

“โอ้ นักกีฬาฝั่งนิติไปล้อมวงขอรับพรจากองค์ราชินีกันแล้วครับ”

อื้อหือ เล่นคุกเข่าดุจอัศวินเตรียมไปรบ ฝ่ายราชินีกำลังนั่งให้โอวาทประดุจเป็นเจ้าผู้ปกครองเมืองจริงๆ

จัดเต็มมาก!

“ที” ผมรีบก้มหน้าลงตามเสียงเรียก เจอนนท์กับเพื่อนคุ้นหน้าทั้งสาม และรุ่นพี่อีกหนึ่ง

“จะให้พวกเราทำอะไร”

ฟังคำถามจบ ผมอยากยกแขนก่ายหน้าผาก ไหงมาถามกันล่ะ! ผมไม่รู้อะไรเลยพอๆ กับคนทั้งห้าที่ยืนแหงนหน้าจ้องเอาๆ สร้างแรงกดดันจนต้องโผล่สิ่งที่คิดออกไปดื้อๆ

“ระดมพลเตรียมไปตะลุมบอลกับพรรคอื่นแบบในหนังจีนแล้วกัน..!”

อย่าหัวเราะเลย ผมรู้ว่ามันโคตรไปคนละทางกับเสื้อผ้าและคอนเซป แต่คนมันคิดไม่ออกนี่!

พวกนักกีฬาฝั่งผมสุมหัวซุบซิบพลางหัวเราะเป็นระยะ ระหว่างนั่นมีคนวิ่งทั่กๆ มาส่งไมค์ให้ผมถึงที่ ผ่านไปสักพักก็เลิกคิ้วมองนักบาสทั้งห้ากระจายตัวยืนเรียงแถวหน้ากระดานสองแถว ระยะห่างประมาณกางแขนนิ้วชนกันได้ แถวหน้าสองคน แถวหลังสามคน ดูจากบนนี้เหมือนรูปสี่เหลี่ยมคางหมูเบี้ยวนิดๆ

สีหน้าแต่ละคนกลั้นยิ้ม แววตาเปล่งประกายสนุกสนาน พวกเขาพร้อมใจกันโค้งให้จนผมสะดุ้งโหยง

“ท่านชายน้อย! โปรดอวยชัยให้พวกเราด้วยเถิด”

ตะโกนก้องเสียงประสานเลยครับ แถมดังเข้าไมค์ที่ผมถืออยู่ด้วย

“ทางฝั่งอีคอนก็เริ่มขอคำอวยพรแล้วเช่นกันครับ”

เอาวะ อายเป็นอาย

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ในระหว่างนั้นใช้สมองคิดด่วนจี๋ ลอกบทพูดจากหนังจีนที่พอจำได้มาดัดแปลงให้พอไปได้กับสถานการณ์ตอนนี้

“ศัตรูเริ่มหยามหน้าเราหนัก ไปจัดการพวกมันซะ” ยกมือมาหยุดอยู่ตรงหน้าอก กำหมัดด้วยท่วงท่าหนักแน่น “ชัยชนะย่อมตกเป็นของเรา”

“ชัยชนะย่อมเป็นของเรา!” นักกีฬาทั้งห้าทวนคำสุดท้ายของผมอย่างฮึกเหิม

 “…บทพูดไม่เข้ากับหน้าตาเลยนะท่านชายน้อย อ้อ สายข่าวผมรายงานว่า ท่านชายน้อยไม่พอใจอย่างหนัก หลังรู้ว่าจบศึกอาจต้องไปตบแต่งในฐานะภรรยาผู้ชนะ ก่อนต้องเก็บตัวยาว ท่านชายเลยลากตัวว่าที่สามีมาหาเรื่องถึงในห้องแต่งตัวจนเลือดตกยางออก เรื่องนี้จริงไหมครับ?”

เสียงหัวเราะฮากระจายไปทั้งโรงยิม คงเพราะนึกว่าโฆษกกำลังเล่นมุข ผมสะบัดชายเสื้อคลุมหมุนตัวกลับไปนั่งเต๊ะท่าต่อ ไม่สนใจคำแซวที่ไม่รู้ไปเอาข่าวมาจากที่ไหน ถึงได้มีเรื่องมั่วปนกับเรื่องจริง

อย่างพาร์มาเกี่ยวอะไรด้วย อย่างที่สองผมมารู้เรื่องต้องจับคู่กับผู้ชายหลังจากนั้นเถอะ!

ว่าแต่ไมค์ในมือนี่ ต้องเอาไปคืนใคร?

มือถือในกระเป๋ากำลังสั่น ผมทำเนียนหยิบดู

‘ทำได้ดีมาก’

พี่นันส่งข้อความมาช้าไปไหมครับ เฮ้อ…

“นักกีฬาวอร์มร่างกายพร้อมแล้ว เชิญประจำที่ด้วยครับ อีกห้านาทีจะถึงกำหนดเปิดการแข่งขัน ผู้ช่วยกรรมการช่วยตรวจเช็คความพร้อมด้วยครับ”

-------------

ผมไม่ค่อยสนใจกีฬาบาสเกตบอล กติการู้งูๆ ปลาๆ เคยเรียนมาก็จริงครับ แต่ผมคืนครูไปหมดแล้วครับ อาศัยมองลูกลงห่วงกับสกอร์เปลี่ยนไปมาเป็นหลักมากกว่า ส่วนนักกีฬาวิ่งไปวิ่งมา ผมมองเพื่อนอย่างนนท์เป็นหลัก คนอื่นๆ ก็มีบ้าง ส่วนฝ่ายตรงข้ามมองผ่านตาเฉยๆ

เริ่มต้นการแข่งขันไม่นานคณะผมก็ขึ้นนำก่อน ฝ่ายนิติไล่ตามได้ดี คะแนนจึงไม่ได้ทิ้งห่างกันมาก

ผมดูไป แอบหาวไป จนเห็นนนท์โดนกรรมการเป่าฟาล์วหลังชนใครบางคนล้มในสนาม

มันรีบยื่นมือไปช่วยดึงผู้เล่นชุดสีฟ้าโพกผ้าบนหัวขึ้นจากพื้น ท่าทางอีกฝ่ายคงเจ็บหัวไม่น้อย โฆษกที่ผันตัวเป็นกรรมการเข้าไปคุยสักพัก เพราะมือยังถือไมค์พากย์การแข่งไปด้วย ทั้งโรงยิมเลยได้ยินเสียงไถ่ถามอาการ

“ผมไม่เป็นไร”


น้ำเสียงที่ช่วงนี้เริ่มคุ้นหูดึงความสนใจเข้าจังๆ จนต้องเพ่งมองคนเจ็บไม่วางตา ใกล้ๆ กรรมการและผู้ช่วยกรรมการอีกสองกำลังปรึกษากัน หลังเห็นว่าคนเจ็บไม่เป็นอะไรมากจึงปล่อยให้แข่งขันกันต่อ

ผมมองตามผู้เล่นเสื้อฟ้าหมายเลขสิบหกไปเรื่อย มองอยู่นานจนแน่ใจว่าใช่

ตายล่ะหว่า ผมจำรูมเมทตัวเองไม่ได้ครับ ก็พาร์เล่นใช้ผ้าผืนใหญ่โพกทั้งหัวแบบนั้น สงสัยจะกันเหงื่อไหลเข้าตา มันเล่นระวังตัวมาก เลี่ยงไม่เอาตัวไปปะทะกับใครเลย เน้นซู้ตระยะกลางถึงไกล แม่นจนผมแอบอึ้ง แต่พอมันว่างเป็นต้องคลำหลังหัวบ่อยๆ 

…ผลจากล้มกระแทกพื้นเมื่อเช้า หรือเพราะล้มเมื่อกี้กันแน่?

แรงสั่นของมือถือทำให้ผมละสายตาจากในสนาม เลื่อนมือถือออกมาดูข้อความจากพี่นัน

‘เดี๋ยวมีพักครึ่งสิบห้านาที น้องทีต้องไปแจกน้ำกับผ้าขนหนูให้ทีมนิตินะ’

‘ทำไมต้องเอาไปให้ฝั่งตรงข้ามด้วยครับ?’

‘แลกกันน่ะ เดี๋ยวแม่หนูราชินีจะมาแจกน้ำฝั่งเรา’

‘พี่ให้คนเตรียมของใส่กระติกแช่เย็นไว้แล้ว ลงมาหิ้วไปได้เลย’

‘ครับ’ ผมตอบรับ กดล็อกหน้าจอ

ช่วงพักครึ่งคณะผมนำอยู่สามคะแนน เห็นคุณราชินีขยับ ผมเลยลุกบ้าง ลงมาปุ๊บก็มีคนชี้บอกถึงตำแหน่งกระติกที่ว่า จัดการเดินหิ้วข้ามสนามบาส สวนทางกับองค์ราชินีพอดี โอ้ คุณเธอเตรียมพร้อมมากครับ เอาเข็นรถอาหารที่เคยเห็นตามโรงแรมมาใช้เลยอ่ะ

พอสาวเจ้าเหลือบมองมา สบตากันก็เชิดหน้าใส่ แสดงได้ตามบทบาทสุดๆ

ผมคลี่ยิ้มขำ ที่มั่นใจว่าเธอแสดงตามบท เพราะตอนสบตากัน แววตาราชินีแพรวพราวออกจะสนุกสนานน่ะสิ พอก้าวเท้ามาเยือนอีกฝั่งก็ชักรู้สึกกดดัน ยามมีสายตามากมายจ้องมา ไม่ว่าจากฝ่ายมาชม หรือฝ่ายนักกีฬา

...ช่วยเลิกจ้องเอาๆ ได้ จะเป็นพระคุณมากครับ!

ผมเลยเลือกเดินเข้าหาคนรู้จักก่อนเพื่อความอุ่นใจ พาร์กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อยืนหันหลังให้สนาม เลยไม่เห็นว่าผมเดินข้ามฟากมา

ผมตบที่ไหล่ พูดทักทาย “ไง ลงเล่นด้วยก็ไม่บอก แล้วหัวเป็นไงมั้ง?”

มันเอี้ยวตัวมองมา เลิกคิ้วแปลกใจ อึดใจต่อมากลับคลี่ยิ้มขำขันใส่กัน

“กูก็นึกอยู่ว่าทำไมได้ยินเสียงกระดิ่งในโรงยิม จากมึงนี่เอง แล้วมาทำไร?”

เห็นพาร์ไม่อยากตอบ ผมเลยชูกระติกในมือให้ดูแทน

“เอาน้ำมาส่ง”

“อ้อ วางตรงนั้นเลย”

ผมมองจุดที่พาร์ชี้ คงให้วางตรงมุมม้านั่งยาว กำลังจะเดินไป แต่สายตากลับเห็นคนยึดมานั่งเข้าก่อน

…หน้าโคตรเถื่อน ตัวใหญ่ยังกะยักษ์ สูงเกือบร้อยเก้าสิบที่นั่งอยู่ตรงนั้นเกือบทำผมช็อกตาย สมองก็ผุดภาพในอดีตขึ้นมาไม่อาจห้ามได้ ทุกความรู้สึกทุกสัมผัสยังตราตรึงสลักลึกในความทรงจำ มือเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ กระติกน้ำเลยถูกยัดใส่มือพาร์ ก่อนที่ผมจะทำมันตกพื้น

มันเลิกคิ้วมองของในมือสลับกับหน้าผมงงๆ

“มึงเป็นไร? ทำไมเหงื่อออกอย่างนั้น”

ผมไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น นอกจากโบกมือลา “ไปล่ะ”

พึ่งจะหมุนตัวก็โดนตวัดแขนล็อกคอเข้าให้จากด้านหลังจนผมสะดุ้งเฮือก กำลังจะออกอาการต่อต้านต้องชะงักเมื่อยินเสียงของพาร์

“มึงมีพิรุธ บอกมาซะดีๆ น้ำในกระติกกินไม่ได้ใช่ไหม!”

“ฮะ?” ผมที่กำลังตื่นกลัวถึงกับงุนงง หันมองพาร์ที่กำลังส่งสายตาคาดคั้นใส่ “ทำไมถึงกินไม่ได้ล่ะ?”

“ไม่เป็นไรพาร์ ถ้าแข่งกับพันธมิตรไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก”

พวกผมมองบุคคลที่สาม เป็นรุ่นพี่กัปตันทีมนิติเดิมมาแย่งกระติกน้ำไปเปิดเอง ของด้านในเป็นขวดน้ำดื่มธรรมดาแช่อยู่ในน้ำแข็งหลายขวด ผมเลยหันมองพาร์ที่ลดสีหน้าเคร่งขรึมลง 

“เรื่องแบบไหนเหรอ?”

พาร์พูดตอบ แต่ผมกลับไม่ได้ฟัง เพราะรีบเบี่ยงตัวเอาพาร์เป็นกันชนกั้นระหว่างผมกับเพื่อนร่วมทีมตัวใหญ่ยักษ์...น่ากลัว แต่พอสัมผัสถึงความอุ่นร้อนรอบคอ สัมผัสที่แตกต่างจากเมื่อตอนนั้นช่วยให้ผมคงสติได้

คนๆ นี้ไม่ใช่ แต่...ก็ยังกลัว

ผมกลัวคนตัวใหญ่ๆ หน้าตาเถื่อนๆ ถ้าสองลักษณะนี้อยู่ด้วยกันจะยิ่งหวาดกลัวเป็นพิเศษ เพราะสมัยยังเด็ก...ค เคยถูกคนตัวหนาใหญ่ หน้าเถื่อนๆ ห่ามๆ กระทำการ...ปลุกปล้ำ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง

แค่คิดถึงเรื่องนี้หน้าผมก็ซีดลงทันที แถมยังใจหายวูบตอนพาร์ปล่อยมือจากคอ เดินไปร่วมวงดื่มน้ำกับคนอื่น ได้แต่ถอยตัวเองออกห่างจุดกระติกน้ำเงียบๆ พยายามต่อสู้กับความกลัวในใจเอาเอง

คะ แค่เพื่อนร่วมทีมของพาร์....อยู่ร่วมพื้นที่ ตะ แต่ไม่เฉียดเข้าใกล้ น่าจะ…โอเค

เม้มปากชักไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทนอยู่ไหวไหม ในเมื่อความกลัวมันฝังรากลึกขนาดนี้


“น้องคนนั้นเอาด้วยไหม?”

ผมสะดุ้ง มองพี่กัปตันยื่นขวดน้ำดื่มให้ สูดลมหายใจเข้าทำใจกล้าเดินไปรับน้ำสำเร็จ แต่รู้ตัวอีกทีก็ขยับตัวไปอยู่ข้างพาร์แล้ว

“เป็นอะไร?”

ผมสะดุ้ง เห็นพาร์กำลังมองอยู่ก็รีบส่ายหน้า “…เปล่า” 

ตอบพร้อมกับเริ่มแกะพลาสติกออกจากฝาน้ำดื่ม

“แน่นะ มึงดูแปลกๆ”

ผมได้แต่เงียบ จังหวะนั่นเองมีคนตะโกนขึ้นมา “เฮ้ย มีซองผ้าเย็นด้วยโว้ย”

“ไหนๆ กูเอาด้วย!”

แม้แต่พาร์ยังกระโจนเข้าไปรุมล้อมรอบกระติกน้ำ ผมเลยถอยกลับมาหาที่นั่งห่างจากที่วางกระติกน้ำ และเก้าอี้นักกีฬาพอสมควร หลังพาร์ฉกซองผ้าเย็นได้ก็ยิ้มระรื่นตรงมาหาผม

“เอาไหม?”

ผมส่ายหน้า มันเลยหันไปโยนซองที่หยิบเกินมาหนึ่งกลับคืนกระติกน้ำ เจ้าซองน้อยเลยโดนหลายมือแย่งชิงยกใหญ่ตั้งแต่กลางอากาศ เป็นพี่กัปตันคว้าซองได้ก็รีบเดินหลบมานั่งกับพวกผม

“แข่งกับพันธมิตรดีแบบนี่แหละ”

พี่กัปตันบอกยิ้มๆ ระหว่างแกะผ้าเย็นออกจากซอง

ผมหูพึ่งทันที รีบหันไปถาม เพราะเมื่อกี้ตอนพาร์บอก ผมไมได้ฟังเลย

“ถ้าไม่ใช่กับพันธมิตรจะเป็นไงเหรอพี่?”

รุ่นพี่ทำหน้าเหมือนไม่อยากนึกถึง แต่โดนผมรบเร้าเพราะอยากรู้จัด สุดท้ายก็ถอนหายใจ ยอมเปิดปากบอก “…ทีมพี่เคยเจองูอยู่ในถังใส่น้ำ ผงะกันทุกราย เพื่อนพี่คนหนึ่งถึงขั้นหลุดร้องกรี๊ดออกมา ทำเพื่อนในทีมหันขวับไปมอง พวกพี่ตกใจเสียงร้องของมันมากกว่างูอีก”

“เฮ้ย เล่นกันแรงขนาดนั้นเลยเหรอพี่”

“ยิ่งกว่านี้ก็มี รุ่นพี่เจอยาถ่ายในน้ำดื่มด้วย สุดท้ายก็ไปเข้าห้องน้ำกันทุกคน ฝ่ายนู้นชนะไปเลย เลยมีคำสอนต่อๆ กันมาว่า ให้จำกันไว้ ของจากทีมตรงข้ามไว้ใจไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ต้องรับไว้ แต่อย่าไปแตะต้องดีที่สุด”

…ท่าทางศึกของจริง จะโหดมันฮากว่านี้แฮะ

“ว่าที่สะใภ้”

“ครับ?” ผมขานรับ แต่จะดีกว่านี้ถ้าช่วยเปลี่ยนคำเรียกนะพี่

“ชื่ออะไรล่ะเรา”

“ชื่อทีครับ” รีบบอก รู้ชื่อไว้เขาจะได้ไม่เรียกคำแสลงรูหู

พี่กัปตันยิ้มให้ “พี่ชื่อกันอยู่ปี3 เจ้าพวกนี้ไล่จากตรงนี้ก็พาร์ คงรู้จักอยู่แล้ว ตรงนู้นคือ เชน มีน ชัย”

คนถูกเรียกชื่อผงกหัวให้บ้าง ส่งยิ้มให้บ้าง บางคนก็เฉยๆ ผมฝืนส่งยิ้มเป็นมิตรตอบ แอบกลัวยักษ์เดินมาทางนี้มาก ดีที่อีกฝ่ายแค่เดินกลับไปแถวม้านั่ง ผมเลยหายใจคล่องคอหน่อย สักพักพี่กันก็ลุกขอตัวไปหาผ้าเย็นอีกผืน เหลือผมกับพาร์นั่งกันอยู่แถวนี้

“มึงไม่ไปนั่งกับคนอื่นล่ะ”

ผมรีบส่ายหน้า พาร์คงเข้าใจว่าผมไม่ชินกับคำแปลกหน้าถึงได้บอก

“มึงน่าจะจำเชนกับมีนได้”

“ทำไมล่ะ?”

“เคยนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกันหนหนึ่ง”

ผมพยายามครุ่นคิดพลางมองหน้าพวกเขาครู่ใหญ่ กว่าจะนึกออก “อ้อ เพื่อนกลุ่มมึง”

“อือ ยังมีอีกคน แต่มันนอนอยู่โรงพยาบาล”

ผมพยักหน้ารับรู้ “แต่กูอยากนั่งตรงนี้ มันสบายใจกว่า แล้ว…มึงจะกวาดตามองกูขึ้นลงอีกนานไหม”

เจอมันมองแบบนี้ เท้าผมออกอาการชักกระตุก อยากเตะใส่สักป้าบเหมือนกันนะ

“โทษที กูแค่อยากเปรียบเทียบ...ตอนแรกเห็นแบบวาดก็ดูเท่ดีอยู่หรอก แต่พออยู่บนตัวมึงกลับน่าเอ็นดูแทนซะงั้น”

“ฮะ? กูเนี่ยนะน่าเอ็นดู? ยังไง?”

พาร์ขย้ำแก้วเปล่าทิ้งลงตะกร้าใส่ขยะที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ยกมือชูแค่นิ้วชี้ออกมาวาดรูปสามเหลี่ยมบนหัวผมทั้งฝั่งซ้ายและขวา “เติมหูกับหางเพิ่มเข้าไป แถมมีเสียงกระดิ่งดังทุกย่างก้าว เป็นลูกหมาดีๆ นี่เอง”

นี่คือคำชมของมึง?

ผมถอนหายใจแรงๆ ก็รู้ตั้งแต่ต้นว่าไม่ค่อยเหมาะ แต่ไม่นึกว่าจะแย่ขนาดเป็นลูกหมา

“อย่างน้อยขอเป็นหมาที่โตแล้วได้ไหมวะ”

“พรืด”

“ขำอีก กูซีเรียสนะ พึ่งโดนรุ่นพี่บอกว่าเหมือนเด็กหนุ่มมากกว่า…เหมือนโดนด่าเลยวะ”

พาร์ขำไม่หยุด แต่จู่ๆ ก็ชะงักนิ่วหน้ากะทันหัน เดินหนีไปแถวม้านั่งยาวที่ผมไม่กล้าเข้าใกล้ ชะเง้อคอดูห่างๆ เห็นรื้อหาอะไรสักอย่างในกล่องสีขาว อ้อ กล่องปฐมพยาบาลของพวกนักกีฬา สักพักก็วกกลับมายื่นหลอดยาแก้พกช้ำตรงหน้าผม

“ให้ทำไม?”

ผมไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนสักหน่อย นอกจากบาดแผลที่ใจทำท่าจะปริหน่อยๆ

“ไม่ใช่ให้มึงใช้” พาร์ว่า “กูเจ็บตัวเพราะมึงเลย รับผิดชอบซะดีๆ”

ว่าแล้วก็หันหลังถกเสื้อขึ้นให้ผมดู รอยช้ำเขียวเป็นปื้นเลยครับ บางช่วงเริ่มออกม่วงแล้ว ใหญ่ขนาดนี้เกิดจากตอนล้มในห้องน้ำชัวร์ สรุปคือจะบอกให้ช่วยทายาใช่ปะ ผมนึกระหว่างหมุนฝาหลอด แต่เห็นเม็ดเหงื่อแล้วก็ต้องถอนหายใจ

“เอาผ้าขนหนูมาดิ แล้วมึงก็ไม่ระวังลื่นล้มเองเถอะ อย่ามาโทษกู”

“กูคงไม่ลื่นหรอก ถ้าไม่รีบจะไปช่วยมึงน่ะ” พาร์โต้กลับมาระหว่างดึงผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนคอมาให้

ผมยื่นมือไปรับ “ตกลงจะทวงบุญคุณ?”

“ทวงให้ช่วยรับผิดชอบต่างหาก”

“ถ้าแค่ต้องการคนช่วยทายาก็บอกสิ ทุกทีมึงพูดตรงจะตาย ทำไมคราวนี้ถึงพูดอ้อมโลกวะ”

“ที” พาร์เรียกผมเสียงเข้ม

ผมสบตาเพื่อนที่หันหน้ามามอง แววตามองผมตำหนินิดๆ แม้แต่ระดับเสียงก็ยังลดลงเหลือแค่กระซิบ

“ที่นี่คนเยอะ”

“แล้วไง?” ผมทำหน้าไม่เข้าใจ

มันถอนหายใจใส่ ไร้คำอธิบายใดๆ แค่หันหลังถกเสื้อขึ้นใหม่ เร่งให้ผมรีบจัดการเร็วๆ

อะไรของมัน?

ผมส่ายหน้า ช่วยเช็ดหลังจนแห้ง บีบยาออกมาทาให้จนเกือบทั่ว…มีเสียงโฆษกประกาศออกไมค์

“เชิญลูกสาวทั้งสองคณะมาที่กลางสนามบาสด้วยครับ”

อ้าว งานเข้า…

“อ้อ อย่ามามือเปล่า อัญเชิญใครสักคนในหมู่นักกีฬาคณะตรงข้ามออกมาเป็นเพื่อนด้วยนะครับ”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่9] P.2 (05/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 05-09-2016 21:18:54
ที~ ลากพาร์ไปเลยจ้า อยู่ใกล้ๆมือเนี่ย

แต่ความหลังทีนี่แย่มาเลยนะ กลายเป็นป่วยทันที
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่9] P.2 (05/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 05-09-2016 22:11:19
คือการเลือกสามีใช่ไหมคะ ให้เลือกนักีฬาฝ่ายตรงข้ามออกมา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่9] P.2 (05/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 08-09-2016 16:30:14
แหมๆพ่อพาร์คนซึน แค่ขอให้ทายาแค่นี้ทำเป็นพูดซะอ้อมโลก
ไปกลางสนามบาสแบบนี้ต้องมีไรเด็ดๆแน่เลย อยากอ่านต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่9] P.2 (05/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 08-09-2016 19:00:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่10] P.2 (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-09-2016 20:34:41
บทที่ 10

สิ้นเสียงประกาศ เป็นวินาทีที่ผมรู้สึกเหมือนเป็นตัวเชื้อโรค

…ใครเห็นเป็นถอยกรูด

ผมหรี่ตามองพาร์เป็นคนแรก รายนั้นยกสองมือขึ้นสูง “กูเจ็บมึงก็เห็นอยู่”

“เจ็บอยู่ก็ยังลงเล่นบาสได้นี่หว่า”

“กูลงแทนเพื่อนเถอะ! ไอ้บ้านั้นดันไปซดเหล้ากับเพื่อนต่างคณะ เช้าวันต่อมาโทรบอกกูว่ากำลังนอนแหมะอยู่โรงพยาบาลพร้อมเฝือกที่ขาแล้ว มึงจะให้มันลงเล่นพร้อมเฝือกหรือไง?!”

โอเค มันมีเหตุผล

ผมหันมองรายต่อไป เชนกับมีนสะดุ้งโหยง รีบพากันส่ายหน้าปฏิเสธสุดชีวิต เสียดายผมไม่สนิทกับสองคนนี้เลยไม่รู้จะลากออกไปด้วยกันยังไงดี

ส่วนรายที่สี่ หัวเราะฮาๆ เหมือนตัวเองไม่เกี่ยว…เดี๋ยวก่อน!

“พี่กันออกไปกับผมเถอะ”

“แค่กๆๆ” เจ้าของชื่อสำลักไอทันที มือโบกไปมา พยายามออกเสียง “พี่…ไม่เกี่ยว”

“ใครสักคนในหมู่นักกีฬา พี่ก็เป็นใครสักคนเหมือนกันนะครับ”

จบคำพูดของผม ปี1 พร้อมใจกันมองรุ่นพี่คนเดียวในกลุ่มเขม็ง เหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าหาพวกไม่ได้ เลยรีบชี้เหยื่อรายสุดท้าย “เอาชัยออกไปเลย รับรองขอปุ๊บ มันออกไปเป็นเพื่อนเราแน่ๆ”

“ไม่!”

“ฮะ?”

ผมพูดโดยไม่หันไปมองเจ้ายักษ์ใหญ่ “พอดีผมมีความทรงจำไม่ค่อยดีเกี่ยวกับคนตัวใหญ่ยักษ์ และหน้าเถื่อนน่ะ ถ้าเป็นไปได้อย่าให้คนรูปร่างแบบนั้นเข้าใกล้ผมเลย ผมขอ”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เป็นพาร์ที่ปรี่เข้ามาลากผมไปคุยห่างๆ กลุ่ม

“มึงเคยเจอชัย? มีเรื่องกันมา?”

ผมส่ายหน้า อธิบายเสริม “ไม่ว่าใครที่รูปร่างหน้าตาแนวเดียวกับเพื่อนมึง กูก็จะพูดอย่างนี้ใส่เหมือนกัน”

พาร์ขมวดคิ้วทันที “ร้ายแรงแค่ไหน?”

“มากกกก” ผมลากเสียงยาว พร้อมชูสองนิ้วทำหน้าจริงจัง “ถ้าถึงขีดสุดเมื่อไหร่ จะแตกออกเป็นสองกรณี ไม่กูหมดสติถูกแบกไปโรงพยาบาลซะเอง ก็สติแตกทำร้ายคนอื่นเข้าโรงพยาบาลแทน”

ผมกับพาร์สบตากันนิ่ง แววตามันดูสงสัยกึ่งไม่เชื่อ เลยต้องพูดยืนยันอีกรอบ

“เคยแล้วทั้งสองกรณี กลับไปถามพ่อแม่กูได้ แต่กรณีหลังเกิดแค่ครั้งเดียวช่วงม.ต้น ผู้ปกครองของคู่กรณีไม่ยอมความหาว่ากูทำเกินกว่าเหตุ แต่ศาลตัดสินว่ากูไม่มีความผิด เพราะถือว่ากูป้องกันตัว”

“ถึงขั้นขึ้นศาลกันเลยเรอะ!” พาร์กระซิบเสียงเครียด

ผมพยักหน้าอีก ครุ่นคิดพักหนึ่งก็พูดต่อ “มึงควรจะรู้ไว้ ถ้ากูสติหลุด ต่อให้คนตัวใหญ่กว่าแค่ไหน กูก็มีวิธีทำให้ล้มไปนอนราบกับพื้นในเสี้ยววินาที ต่อจากนั้นคือการกระทืบ…กระทืบไอ้ชาเขียวน้อยกลางตัวไม่ยั้งเลยมึง ที่คู่กรณีกูไม่ยอมความ ก็เพราะกูทำบ้านไอ้เหี้ยนั้นหมดสิทธิ์สืบทายาทน่ะ”

พาร์ทำหน้าตกตะลึงใส่ “มึง…ทำจริงๆ…”

“จริง แต่ตอนทำไม่รู้ตัวหรอก พอดีเพื่อนถ่ายคลิปตอนกูลงมือเก็บไว้ให้ดูย้อนหลัง เพราะมันนึกว่ากูโดน เอ่อ ผีเข้าสิง…ก็เหมือนอยู่นะ” ประโยคหลังผมพึมพำกับตัวเอง ย้อนนึกถึงภาพเคลื่อนไหวนั่นแล้วก็ยิ้มเจื่อน

ถึงไอ้บ้านั่นสมควรโดน แต่ในฐานะผู้ชายเหมือนกัน…ผมก็แอบกลัวตัวเองนะครับ

“…เอาเป็นว่า ถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้น กูก็ไม่มีอาการอะไร มึงไม่ต้องกลัวหรอก”

ผมตบบ่าพาร์ที่ทำหน้าเมื่อเจอระเบิดเวลาเคลื่อนที่ได้ กำลังจะเดินจาก ได้ยินเสียงโฆษกประกาศว่าเหลือสามนาที เลยหันไปถามเพื่อนเล่นๆ

“ตกลงมึงจะออกไปพร้อมกูไหม?”

…พาร์พยักหน้าครับ

และแล้วผมก็ได้ฤกษ์ไปหาพี่โฆษก พร้อมผู้ติดตามที่ยอมเดินตามหลังมาอย่างว่าง่าย

เอ่อ ผมไม่ได้ตั้งใจขู่มันนะครับ

กลางสนามนอกจากพี่โฆษกเจ้าประจำ ยังมีคุณราชินีพร้อมเหยื่อ…

ไอ้นนท์นี่!

มองหน้าเพื่อนตัวเองอย่างสงสัย อีกฝ่ายมองตอบยักไหล่ให้ผม จากท่าทางเดาได้เลยว่า มันเดินตามเขามาเองง่ายๆ

เหอะๆ มึงคิดจีบสาวทั้งที แต่ดันเลือกจีบผิดคนแล้วเพื่อน

“มากันครบแล้วนะครับ ลูกสาวทั้งสองคณะไม่ได้ฉุดกระชากลากถูนักกีฬามา ผ่านเงื่อนไขทั้งคู่ รอดพ้นฉายาลูกสาวไม่เอาอ่าวไปนะครับ”

ผมเข้าใจอย่างหนึ่งแล้ว ไอ้ฉายาที่ว่า สงสัยจะเป็นแนวด้านลบ ใครมีมากกว่าแพ้แหงเลยครับ

“เรารู้จักลูกสาวคณะไปแล้ว ขอทำความรู้จักตัวแทนนักกีฬาจากสองคณะบ้าง ประธานคณะทั้งสองส่งไมค์คืนมาหน่อยครับ”

นักกีฬาในทีมถูกประธานปี4 ใช้งาน แปบเดียวไมค์ก็ถูกส่งต่อให้พาร์กับนนท์คนละตัว

“กฤตานนท์ครับ ชื่อเล่นนนท์ ปี1 เศรษฐศาสตร์ครับ”

เสียงตอบรับจากกองเชียร์ฝั่งอีคอนดังเชียว ฝั่งนิติมีสาวๆ บางส่วน เพื่อนผมถือว่าพอมีชื่อเสียงจากการเล่นกีฬาหลายรายการ สาวๆ รู้จักเยอะ แต่เสียดายที่แฟนคลับมันไม่ค่อยมีคนจากนิติ ผิดกับคนข้างๆ ผม แค่ส่งเสียง ออกไมค์คำเดียว สาวๆ รุ่นเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสองฝั่งก็กรี๊ดกันสนั่นแล้ว

“เงียบกันก่อนครับ” พี่โฆษกพูดปราม

เสียงค่อยๆ ซาลง พาร์ต้องพูดแนะนำตัวใหม่ เพราะเมื่อกี้โดนกลบหมด

“ภควัติ ชื่อเล่นพาร์ ปี1 นิติศาสตร์ครับ”

“ฟังจากเสียงกรี๊ดกร๊าด ดูเหมือนลูกสาวอีคอนเลือกพาคนออกมาได้ถูกใจเหล่ากองเชียร์มาก”

ได้ยินเสียงตอบรับว่า ‘ใช่’ ดังจากแสตนเชียร์ประสานกันมาเลย

ผมยิ้มขำ เหลือบมองคนข้างตัวที่ทำหน้านิ่ง แต่แววตาแอบหน่ายก็ยิ่งขำ เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง มันถึงลีลาไม่ยอมออกมากับผมตั้งนาน

“ลูกสาวทั้งสอง แนะนำตัวเองตามบทบาทผู้สูงศักดิ์ และแนะนำคนที่พามาด้วยหน่อยว่าเกี่ยวข้องกันยังไง จะสั้นจะยาวไม่ว่า ให้ฝ่ายราชินีก่อนครับ เพราะเธอมาถึงก่อน”

นนท์ส่งไมค์ให้ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม พาร์ก็ส่งให้ผมเหมือนกัน

“ข้าคือราชินีเมย่า ส่วนเจ้านี้” ชี้นิ้วใส่นนท์ที่ทำหน้าเอ๋อ “ข้าซื้อมาจากตรงนั้นด้วยน้ำหนึ่งขวด”

คนชมฮากระจาย ผมหันหน้าหนีตัวสั่นตามแรงหัวเราะไร้เสียง

โธ่ เพื่อนผม มีค่าตัวแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวด อนาจมาก!

“ต…ตาฝั่งอีคอนครับ” พี่โฆษกพูดทั้งที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะ

ผมกระแอมไอเพื่อหยุดอาการขำ ครุ่นคิดแปบหนึ่งก็พูดบ้าง “เราคือท่านชายน้อย คนข้างๆ สหายเราเอง ช่วงนี้ชีวิตสหายลำบากพอประมาณ ม้าทรงตัวโปรดถูกท่านบิดาขอยืมไปใช้ จะไปไหนก็แสนลำบาก ปัจจุบันเลยต้องอาศัยขี่ม้าตัวเดียวกับเรามาเรียนประจำ”

พี่โฆษกสวนใส่ทันที “ไม่ใช่แค่มาเรียนล่ะมั้ง พี่เห็นขากลับก็ไปด้วยกันนี่ครับ”

ผมถามกลับทันที แม้ในใจจะสงสัยว่าสาวบางส่วนส่งเสียงกรี๊ดทำไมก็ตาม

“ไม่งั้นจะให้สหายเรากลับยังไงล่ะ?”

“ลูกสาวคนนี้ ไม่ตบมุขพี่เลยนะ”

อ้าว อยากให้ผมตบมุขก็ไม่บอก ว่าแต่เมื่อกี้พี่จะเล่นมุขอะไรครับ?

“ถามลูกสาวคณะหน่อย หากจำลองสถานการณ์ว่า ขณะนี้ชีวิตกำลังพลิกผัน กิจการล้มละลาย กำลังจะกลายเป็นยาจกไม่ช้า จะทำยังไงกัน แน่นอนว่าในคำตอบต้องเอาคนที่พามาด้วยเข้าไปเอี่ยวด้วยนะครับ ใครพร้อมก็ยกมือก่อนได้เลย พี่ให้เวลาคิดสามสิบวินาที”

สั้นชะมัด ผมรีบคิด นึกออกก็ยกมือขึ้น กลายเป็นว่าทางฝั่งราชินียังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เลย

“โอ้ ทางท่านชายยกมือแล้ว ว่ามาเลย”

“เราคงฝากน้องทั้งสองไว้ที่บ้านสหายก่อน จากนั้นมาดูว่ากิจการตัวไหนขายทิ้งไปได้บ้าง ตัวไหนยังควรเก็บไว้ เป็นไปได้เราคงขอยืมเงินสหายเพื่อใช้ตั้งตัวด้วย” ผมมองหน้าพาร์ “คงต้องขอความช่วยเหลือเยอะเลย หวังว่าสหายจะไม่คิดดอกเบี้ยแพงนัก”

ผมพูดติดตลกตอนท้ายให้พาร์คิ้วกระตุกเล่น

“ทางสหายพาร์จะว่ายังไงบ้างครับ จะให้ความช่วยเหลือหรือเปล่า?”

พาร์ขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆ ก็ถูกถาม แต่ก็รับไมค์ไป

“สหายขอมาก็ต้องให้ โดยเฉพาะหากบ้านเจ้านี่เดือดร้อน” ยกนิ้วโป้งชี้ทางผม “เทียบกับการขอความช่วยเหลือ ครอบครัวข้าไปรบกวนครอบครัวทางนั้นมากกว่าอีก”

“นี่หมายความว่าครอบครัวทั้งสองฝ่ายรู้จักกันดีใช่ไหมเนี่ย สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก?”

พาร์ไม่ตอบ ยัดไมค์ใส่มือผม แล้วยืนนิ่งเงียบ จนพี่โฆษกยิ้มแห้งถอยฉากไปถามฝั่งราชินีบ้าง แต่แม่หญิงคนงามกลับตอบก้ำปั้นทุบดินตามสเต็ปองค์ราชินีว่า

“เป็นไปได้ยากหากข้าคนนี้จะเป็นยาจก ต่อให้กิจการล้มละลายแล้วยังไง ในเมื่อข้ายังมีสมบัติเป็นกองภูเขาขายกินทั้งชาติยังเหลือ หรือต่อให้ไม่ขาย ข้าก็เอาเจ้าทาสตรงนั้นไปทำงานหาเงินก็ยังได้”

ผมไหล่สั่น นนท์โดนลดค่าตัวกลายเป็นทาสให้องค์ราชินีซะแล้ว ยังไม่จบครับ เพราะเธอจับปลายคางเพื่อนผมหันไปมา

“หน้าตาดีแบบนี้ เอาไปปล่อยเช่าก็ได้ราคาเช่นกัน”

“จะเอาทาสไปปล่อยเช่าที่ไหนครับ?” พี่โฆษกถามอย่างสงสัย

“หอนายโลม”

สามคำจบครับ ผมจับไหล่พาร์เป็นที่ยึด ก่อนเผลอทรุดลงไปนอนขำกลิ้งบนพื้นให้เสียกิริยา ดูหน้าไอ้นนท์สิ โคตรฮา เหวอได้ใจมาก เป็นไงล่ะมึง อยากตามออกมาเองดีนัก!

อึก…

“แค่กๆๆ”

ผมกลืนน้ำลายพลาด สำลักไอไม่หยุด เดือดร้อนพาร์ที่อยู่ข้างๆ ต้องช่วยลูบหลังให้

“อ้าว ลูกสาวทางนี้เป็นอะไรล่ะ”

พาร์ตอบแทนสั้นๆ “หัวเราะมากไปครับ”

พี่โฆษกทำหน้าเงิบไปวูบหนึ่ง ก่อนแกจะถอนหายใจเฮือก

“ลูกสาวรุ่นนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ มาถึงคำถามสุดท้าย…สุดท้ายจริงๆ ตอบจบปุ๊บอัญเชิญกลับถิ่นทันที สายข่าวพี่สืบมาได้ว่า ลูกสาวทั้งคู่มีความลับ พี่จดใส่กระดาษมาให้แล้ว ช่วยแสดงละครสักฉากให้เกี่ยวข้องกับประโยคในกระดาษนี้คู่กับคนที่พามาด้วยครับ”

ผมรับกระดาษโพสอิทสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเหลือง แอบเห็นทางฝั่งราชินีเป็นสีฟ้าแวบๆ ก้มมองดูถึงกับชะงัก ยื่นให้พาร์ดูก็ชะงักเหมือนกัน นี่พี่แกไปสืบข่าวมาจากไหนเนี่ย ผมอ่านทวนข้อความในกระดาษอีกครั้ง

‘แอบอยู่ด้วยกัน’

ผมกรอกตาขึ้นด้านบน กรณีพวกผมเรียกว่าแอบตรงไหน?

“ใครพร้อมก่อนยกมือเลย”

งานนี้ผมขอปรึกษาคนข้างๆ ก่อนดีกว่า ผมลากแขนพาร์ถอยห่าง ถามเสียงกระซิบ

“เอาไง”

“มึงขึ้นต้นประโยคมา เดี๋ยวช่วยโต้ให้”

“เอางั้น?”

ง่ายๆ อย่างนี้เลย?

พาร์พยักหน้า ผมสังเกตสักพักแล้ว เวลาตกเป็นเป้าสายตาคนจำนวนมาก พาร์จะดูนิ่งๆ ไม่ถามก็ไม่แสดงความเห็น ดูเป็นคนเข้าถึงยาก แถมยังแผ่รังสีประหลาดที่คนมองแอบรู้สึกเกรงใจ ไม่อยากไปรบกวน ผมพึ่งเคยเจอโหมดนี้ของพาร์ก็วันนี้เอง ครั้งแรกก็ตอนอยู่กับกลุ่มรุ่นพี่ในห้องน้ำ แต่ไม่ชัดเจนเท่าตอนนี้ ขอเดาเล่นๆ คงเป็นโหมดระวังตัวรูปแบบหนึ่งของพาร์มั้ง

พวกผมตัดสินใจช้ากว่าองค์ราชินี เพราะเธอจับเพื่อนผมนอนหงายกับพื้น เหยียบต้นขาด้วยเท้าเปลือยเปล่า และกำลังฟาดใส่ด้วยแส้ล่องหนให้เพื่อนผมโบกมือปัดไปมา แกล้งร้องโหยหวน…นนท์อาจจะร้องจริงๆ ก็ได้ ผมเห็นเธอขยี้ฝ่าเท้าลงเนื้อเพื่อนผมแบบเน้นๆ

ผมมองการแสดงสักพักก็เอียงหัวกระซิบถามคนข้างๆ “ประธานรุ่นมึง…เป็นพวกเอสเหรอ”

“…ไม่แน่ใจ อาจใช่ก็ได้ กูรู้แค่ว่ารุ่นกูไม่มีใครกล้าโดดหรือขัดคำสั่งเจ้าแม่ แค่ก…กูหมายถึงประธานเมย์เป็นหนที่สองสักคน”

ชัวร์แล้วครับ! องค์ราชินีชุดกระโปรงฟ้าตรงนั้นอยู่ในสายเอสแน่นอน ขอรับรองจากคำพูดกั๊กๆ จากพาร์เนี่ยแหละ! อ้อ เผื่อใครไม่รู้ เอส (S) ย่อมาจากซาดิสม์ (Sadism) ครับ

ไอ้นนท์ได้กลิ้งตามพื้นอีกหลายตลบ เปลี่ยนท่าหนีอีกหลายหน เรียกเสียงฮาจากคนดูไม่น้อย ผมยังเผลอขำ ที่ชอบก็ตอนมันกลิ้งหนีฝ่าเท้าน้อยๆ ที่กำลังจะกระทืบมันนั่นแหละ ขอบอกว่านั่นไม่ใช่การแสดง แต่เพื่อนผมหนีจริง เพราะคุณเธอชักมันในอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ คนอยู่ใกล้ๆ รู้เลยว่าราชินีเริ่มออกแรงลงน้ำหนักฝ่าเท้าหนักหน่วงขนาดไหน สุดท้ายเป็นพี่โฆษกที่บอกหมดเวลา ไม่แน่ใจเพราะทนสงสารไอ้นนท์ไม่ไหวหรือเปล่า

ทั้งสองถูกอัญเชิญกลับถิ่น เพื่อนผมเผ่นหนีไปรักษาสังขารที่น่าจะชอกช้ำพอๆ กับแผลใจ โดยมีรุ่นพี่รุ่นเพื่อนพร้อมใจเอาน้ำ เอาผ้าเย็น แม้กระทั่งยาแก้พกช้ำมาปลอบขวัญ ส่วนแม่ราชินีกำลังได้รับการปรนนิบัติพัดวีจากเหล่านักกีฬาสองคนอย่างเชนกับมีนอยู่ มีทั้งเอาน้ำมาให้ ช่วยพัดคลายร้อน แม้แต่พี่กันยังแอบเอาผ้าเย็นประเคนให้เลยครับ

“คู่เมื่อกี้ทำผมหวาดเสียวจริงๆ มาถึงคู่นี้บ้าง เมื่อกี้พี่ลืมบอก พี่ให้เวลาแค่หนึ่งนาทีนะ พร้อมยัง?”

ผมพยักหน้า พี่โฆษกนับสาม สอง เริ่ม

“มาอยู่ด้วยกันเถอะ” ผมโผล่ออกไปดื้อๆ

“ฮะ!” พาร์เผลออุทานออกไมค์ ผมว่าได้ยินเสียงอุทานจากคนอื่นๆ ด้วยนะ

ผมแสร้งถอนหายใจ “ท่านหญิงน้อยเบอร์ดี้ย้ายมาอยู่บ้านเราแล้ว สหายจะลำบากอยู่คนเดียวไปทำไม พาหนะใช้เดินทางก็ไม่มี สู้อยู่ด้วยกันเลยดีกว่าเป็นไหนๆ”

ดูเหมือนพาร์จะเริ่มตั้งสติได้ เงียบไปสักพักถึงเอ่ยประโยคเด็ด “ตกใจหมด นึกว่าเจ้าเอ่ยปากขอข้าแต่งงาน กำลังคิดอยู่ว่าข้ามขั้นตอนไปหน่อย ยังไม่ทันบอกรักข้าสักคำ”

เฮ้ย! มันเล่นผมแล้วไง

“คิดไปเรื่อย สรุปจะเอายังไง”

พาร์ถอนหายใจยาวเหยียด “เจ้าไม่รู้หรือ ข้าขนของไปอยู่บ้านเจ้าตามรับสั่งท่านแม่ของพวกเราสักพักแล้ว”

ผมปิ๊งไอเดียใหม่ เลยแกล้งทำหน้างงถามไป “ทำไมเราไม่เห็น สหายไปนอนที่ไหน?”

“ห้องเจ้าไง”

พาร์ตอบหน้าตายมาก แต่เรียกเสียงกรี๊ดดังสนั่น

ผมกะแล้วว่าเพื่อนต้องตอบอย่างนี้ เลยแสร้งทำหน้าช็อกสุดขีด ยกนิ้วสั่นระริกชี้หน้าเรียบเฉยของพาร์

“ช…เช่นนั้น คู่หมั้นปริศนาที่ไม่ยอมให้เราเห็นหน้าสักที…คนที่ท่านแม่ส่งมาร่วมเตียงกับเราตั้งแต่หลายคืนก่อน…คือ…คือ…”

“อือ ข้าเอง”

ใครใช้ให้มึงตอบ!

ผมพึ่งอ้าปาก ยังไม่ทันเอ่ยแก้เกม พาร์ก็ตอกย้ำลงมาอีกประโยคด้วยแววตาวาววับ กับริมฝีปากที่ยกขึ้นนิดหน่อยเหมือนคนกำลังกลั้นขำ

“และข้าจะไม่ยอมตกเป็นภรรยาของเจ้าหรอก จำไว้!”

การแสดงของผมก็ตัดจบแค่นั้น เพราะหมดเวลา บ้าเอ้ย!

เสียงกรีดร้องชอบอกชอบใจดังสนั่น

พาร์ดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใช่สิ! มันได้แกล้งผมคืนแล้วนี่

ผมทำหน้าบูด โธ่เว้ย! คนอุตส่าห์กะทิ้งท้ายให้คลุมเครือแท้ๆ

พี่โฆษกหัวเราะอยู่นาน ก่อนกระแอม “แฮ่ม พี่เชื่อแล้วว่าตระกูลพวกน้องผูกมิตรกันยาวนานถึงขั้นหมั้นหมายลูกชายทั้งสองไว้ แถมยังจับส่งเข้าเรือนหอเรียบร้อย หึๆๆ พี่จะรอดูนะว่า ใครจะได้รุกใคร”

ฟังแล้วอยากเอาหัวโขกหมอนข้างสักสิบครั้ง

ไหงถึงออกมาเป็นศึกชิงตำแหน่งบนเตียงเล่า! ผมไม่ได้ตั้งใจให้ออกมาในรูปแบบนี้ซะหน่อย! แค่อยากให้เป็นมุขตลกร้ายเฉยๆ

จบการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ของลูกสาวสองคณะ ก็ถึงพิธีการส่งธงคณะคืนเจ้าของ ไอ้ที่ผมฟังเพี้ยนคิดว่าส่งคืนตอนจบการแข่ง แท้จริงแล้วต้องทำตอนพักครึ่งครับ

เลยได้มาเยือนฝั่งนิติอีกครั้งด้วยการเดินครึ่งรอบสนามบาสตามเข็มนาฬิกาเช่นเดียวกับราชินี ตอนเดินเนี่ยต้องคอยมองกันไปมา เพื่อกะจังหวะให้ถึงที่หมายพร้อมๆ กัน ธงถูกส่งคืนถึงมือกัปตันอย่างปลอดภัย พี่กันส่งให้รุ่นน้องเอาไปปักใว้ใกล้ฐานบังลังก์ราชินี

ส่วนพี่แกอยู่คุยกับผมต่อ “สนิทกับพาร์มาก?”         

ผมนึกๆ ดูก็พยักหน้า หลังจากต้องอยู่บ้านเดียวกัน เห็นหน้าทุกวัน ช่วยกันเลี้ยงน้อง รสนิยมถูกกัน ผมเลื่อนขั้นให้พาร์เป็นเพื่อนสนิทยังได้

“เหรอ” พี่กันทำหน้าครุ่นคิด “งั้นเรื่องสะใภ้คณะ พี่คิดว่าทางพี่น่าจะเปลี่ยน…”   

หมับ!

พาร์คว้าไหล่ผม “โทษนะพี่ ส่วนมึง หลอดยากูล่ะ”

ยา? อ้อ ผมล้วงยาแก้พกช้ำจากกระเป๋าเสื้อคลุม ผ้าเช็ดหน้าที่ได้มาเมื่อเช้าติดมือมาด้วย พาร์คว้าผ้าเช็ดหน้าไปห่อน้ำแข็ง ดึงผ้าโพกหัวออกอย่างระมัดระวัง ก่อนเอาประคบหัวทันที

“ไม่เอายาแล้ว?”

“เอา ทาให้หน่อย”

ผมถอนหายใจชำเลืองมองฝั่งตัวเอง องค์ราชินียังอยู่ฝั่งผมเช่นกัน ตอนนี้คุณราชินีกำลังชี้นิ้วสั่งการอะไรสักอย่างกับนักกีฬาคณะผม สีหน้าคนถูกสั่งแม้เห็นไม่ชัด แต่ดูท่าทางออกว่ากำลังเงิบหนัก

ฮ่าๆๆ โดนเล่นเข้าให้แล้ว เธอแรงจริงๆ ครับ วู้!

ท่าทางยังพอมีเวลา ผมรีบถาม “จะให้ทาตรงไหนอีก? ด้านหน้า?”

ผมถกเสื้อพาร์ขึ้น เห็นรอยเขียว สีประมาณนี้วันสองวันก็น่าจะหายแล้ว

“ตรงนี้ไม่ค่อยเจ็บ ไม่ต้องทาหรอก” พาร์ว่า “กูเจ็บหัวมากกว่า”

ฟังแล้วน่ากังวลมาก “มึงควรไปหาหมอ”

“ยังไม่ต้อง ที่จริงก็พึ่งมาเจ็บหลังโดนศอกเพื่อนมึงตอนแย่งลูก”

สงสัยจะพูดถึงตอนนนท์เผลอทำฟาล์ว แล้วพาร์ล้มล่ะมั้ง

“ก่อนหน้านี้ไม่ไปถูกก็ไม่เจ็บ แต่ตอนนี้เจ็บๆ หายๆ ดูให้หน่อยดิ มันเป็นยังไงมั้ง”

พาร์นั่งยองๆ หันหลังให้ ผมพาร์สั้น แหวกนิดหน่อยก็เห็นถึงหนังหัว แต่ตอนนี้ดูไม่รู้ครับ เพราะไม่ได้ปูดเป็นลูกมะนาว ไม่มีรอยช้ำเขียวให้เห็น มีแต่รอยแดงๆ ที่ผมไม่แน่ใจว่าเจอยาแล้วจะแสบหรือเปล่า คิดแล้วก็หมุนฝายาปิด “ประคบน้ำแข็งไปก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยแวะหาหมอ”

พาร์พยักหน้า เปลี่ยนจากนั่งยองๆ เป็นขัดสมาธิ กดน้ำแข็งห่อผ้าเช็ดหน้าต่อไป

ผมหันมองฝั่งตัวเอง เห็นราชินีมองมาทางผมเช่นกัน ต่างคนต่างพยักหน้า ผมเดินไปหยิบธงสีเหลืองที่ฝากเพื่อนพาร์ชื่อมีนถือชั่วคราว แล้วเริ่มต้นเดินอีกครึ่งสนามตามเข็มนาฬิกาเพื่อกลับฝั่งคณะตัวเอง

ครึ่งหลังการเล่นดูไม่ร้อนแรงเท่าครึ่งแรก ให้อารมณ์เหมือนเล่นกับเพื่อนมากกว่าแข่งเอาจริงเอาจัง เอ หรือผมรู้สึกไปเอง คะแนนห่างสามคะแนนเท่าเดิมตลอด คณะนิติไม่รีบร้อนขึ้นนำ จนกระทั่งหลังพักเบรก เกมแข่งขันค่อยร้อนแรงและดุดันมากขึ้น มีทั้งฟาล์ว ทั้งล้ม คณะนิติพยายามขึ้นนำอยู่ คะแนนลดห่างกันเหลือสองคะแนน ช่วงหลังๆ ผมเลยเหลือบมองดูสกอร์บอร์ดบ่อยๆ ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบเต็มๆ ผมต้องลุ้นเป็นธรรมดา ตอนนี้แต่ละทีมผลัดกันขึ้นนำด้วยคะแนนต่างกันแค่หนึ่ง ยิ่งนาทีสุดท้ายยิ่งดุเดือด…

ก่อนกรรมการเป่านกหวีด คณะผมพลาดเปิดโอกาสให้ฝั่งนิติทำคะแนนขึ้นนำ แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจคะแนนหรือแม้แต่เสียงนกหวีดแล้ว เมื่อนักกีฬาฝั่งนิติถึงขั้นหิ้วปีกเพื่อนออกจากโรงยิม

เกิดอะไรขึ้น?

ผมพยายามชะเง้อมอง เห็นหน้าคนโดนหิ้วไม่ชัด แต่เหมือนจะหมดสติ…

กองเชียร์ฝั่งนู้นโห่ร้องน่าดู คงโกรธที่คนคณะตัวเองบาดเจ็บมั้ง

“ที”

ผมก้มหน้าตามเสียงเรียก เห็นนนท์มองตรงมา ก่อนขยับปากไม่ออกเสียงสองคำให้ผมอ่านเอาเอง

เรา – แพ้

“ห๊ะ?”

ผมรีบเดินลงไปสมทบนักกีฬาด้านล่างด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม ประชิดตัวเพื่อนได้ก็รีบยิงคำถามใส่

“จะแพ้ได้ไง ยังแข่งไม่จบซะหน่อย”

“พึ่งจบเมื่อกี้…เดี๋ยวนะ มึงคงไม่คิดว่าสัญญาณหมดเวลา คือสัญญาณขอเวลานอกหรอกนะ?”

ความเงียบจากผมคือคำตอบ ไอ้นนท์ถึงได้โบกหัวผมไปทีเป็นการแก้โง่

“ไปนู้นเลย พี่โฆษกรอมึงอยู่”

ฝ่ามือนักบาสเหงื่อซกทั้งสี่รุมตบหัวนนท์คนละป้าบ

“อย่าคิดว่าไล่เพื่อนแล้วจะหนีความผิดพ้น ฟังนะไอ้น้อง ไอ้บ้านี่แกล้งปล่อยให้อีกฝ่ายทำคะแนนขึ้นนำตั้งหลายลูก ดูยังไงก็จงใจชัดๆ”

“สม อยากหูดำดีนัก เป็นไงมึง เจอราชินีสายS เข้าให้ หนีหัวซุกหัวซุนเชียว”

“จงใจทำทีมแพ้ไม่พอ ยังทำเพื่อนเดือดร้อนอีก พี่นันย้ำหนักย้ำหนาว่าห้ามแพ้ ถ้าไม่อยากเจอบทลงโทษจากพี่แกโดยตรง”

ผมที่จับใจความได้แล้ว เริ่มหน้าทะมึนตามคนอื่น สองมือยกกอดอกเขม่นใส่เพื่อนตัวดี

แม่ง ทำผมต้องตกเป็นเครื่องบูชายัญถูกถวายให้คณะนิติศาสตร์ หลังจากนี้ต้องตกเป็นสะใภ้คณะ แค่คิดว่าจะถูกเรียกสะใภ้ให้แสลงรูหูอีกนานก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

ขอร่วมวงลงโทษด้วยการเตะข้อพับเข่าเพื่อนไปป้าบหนึ่ง ไอ้นนท์ทรุดฮวบนั่งแปะกับพื้น

“ขอโตดดด” ยกมือไหว้รอบวง สีหน้าดูสำนึกผิด “แต่ส่งไอ้ทีไปเป็นสะใภ้คณะทางนู้น ดีกว่าให้แม่ราชินีสายS มาเป็นสะใภ้คณะเรานะ!”

มึงแกล้งสำนึกผิดใช่ไหม!

“ที่นนท์พูดก็ถูก แม่ราชินีไม่เหมาะเป็นสะใภ้คณะหรอก ปล่อยให้อยู่เป็นหัวหน้าคุมนิติปี1 ไปเถอะ” ว่าแล้วก็ตบบ่าผมคล้ายปลอบใจ “เสียสละเพื่อคณะ ได้บุญยิ่งใหญ่นะเพื่อน”

“ไปเป็นสะใภ้แทนกูไหม”

หึ ส่ายหัวใหญ่ พูดน่ะง่าย แต่ทำใจลำบากโว้ย!

“ลูกสาวฝั่งอีคอนเชิญกลางสนามครับ”

เสียงนรกมาแล้ว!

ผมทำหน้าซังกะตาย ลากขาไปกลางสนาม เจอหน้าพี่โฆษกก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งใส่ พี่แกขำใหญ่ มีตบหลังปลอบใจผมอีกต่างหาก

“ผู้ที่จะรับคนนี้เป็นสะใภ้คณะก้าวเท้าออกมาเลย”

ตกลงนี่เข้าพิธีมอบตัวแล้ว? 

“ไม่ต้องเขินๆ ผมได้ยินมาว่าพวกรุ่นพี่ระบุตัวไว้ให้เรียบร้อย ไม่ต้องหลบ ไม่ต้องซ่อน เป็นน้องนักกีฬาปี1 คนไหนครับ?”

“ใจเย็นคร๊าบบ! มันหิ้วปีกเพื่อนออกไปเมื่อกี้ เดี๋ยวก็กลับมาครับ!”

โฆษกทำหน้าแปลกใจ “ไม่ใช่แกล้งทำเพื่อหลบออกไปก่อน แล้วค่อยมาเซอร์ไพส์ทีหลังเหรอ?”

เงียบกริบ…เหล่ากองเชียร์ฝั่งนิติมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ท่าทางไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่ตาเห็นเป็นจริงแค่ไหน

“อ๊ะ นั่นครับๆ กลับมาแล้ว...”

ผมกับโฆษกหันไปมองหน้าทางเข้าตามเสียง เห็นพาร์วิ่งหน้าเครียดเข้ามา

“ที!”

ผมสะดุ้งกับการถูกเรียกระยะไกล รีบตะโกนกลับ “อะไร!”

“กุญแจรถ!”

ผมทำหน้ามึน มองคนที่หยุดหอบหายใจตรงหน้า “อยู่กับมึงนี่”

“กูคืนให้มึงแล้ว ตอนมึงนั่งทำสีผม…” พูดถึงตรงนี้มันก็สบถออกมา วิ่งผ่านผมไปฝั่งเศรษฐศาสตร์ ตะโกนดังลั่น “พี่คนไหนที่แต่งตัวให้ทีเมื่อเช้า แล้วเก็บกุญแจรถไว้ยังไม่คืนน้อง ช่วยคืนให้ด้วยครับ! ผมขอตอนนี้เลย!!”

ผมกับพี่โฆษกวิ่งตามมาสมทบ ทันได้ยินที่พาร์ตะโกนชัดแจ๋ว พี่โฆษกช่วยพูดออกไมค์จนทุกคนได้ยินชัดเจน 

“กลุ่มพี่ๆ ที่ช่วยแต่งตัวให้น้องทีเมื่อเช้า ใครเก็บกุญแจรถน้องไว้ ส่งคืนเจ้าของด้วยครับ”

เกิดความชุลมุนฝั่งคนเชียร์คณะอีคอนไม่น้อย พักใหญ่ๆ กว่ากุญแจรถจะค่อยๆ ถูกส่งลงมา แต่คนร้อนใจกลับดึงไมค์ในมือพี่โฆษกเอนเข้าหา พูดกรอกเสียงลงไป

“โยนลงมาเลยครับ”

กุญแจถูกโยนลงมา พวกผมรีบถอยห่าง ปล่อยพาร์กระโดดขึ้นคว้าท่าอย่างเท่จนสาวๆ เผลอกรีดร้อง แต่คนได้กุญแจกลับโกยฝีเท้าไปประตูทางออก จนผมต้องรีบตะโกนถาม

“จะรีบไปไหนวะ?!”

“โรงพยาบาล!”

ผมยืนคุยกับพี่โฆษกนานหลายนาที คนที่นึกว่าขับรถออกไปแล้วกลับวิ่งหน้าตื่นเข้ามาอีกรอบ เรียกผมเสียงดังลั่นรอบที่สอง

“ไอ้ที! จอดรถไว้ตรงไหน?!”

“ที่เดียวกับเมื่อเช้าไง!”

“ไม่อยู่โว้ย!”

ผมตกใจสิ รีบวิ่งพรวดพราดไปหาพาร์ หน้าตื่นๆ

“รถหายเหรอ?!”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่10] P.2 (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-09-2016 21:07:33
อ่าว รถหาย?? โดนรถลากไปป่าวเน้อ??
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่10] P.2 (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 09-09-2016 22:46:16
ตอนต่อบทของพาร์ทีคือฟินมาก อยากจิเข้าไปเกาะขอบสนามดูจริงๆเลย
ทีจะได้เป็นสะใภ้นิติแบบเป็นทางการแล้วสิ ตื่นเต้นจัง ว่าแต่รถไปไหนนะ?
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่10] P.2 (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ~tOeY~ ที่ 09-09-2016 23:55:48
ตัดจบได้ค้างมากกก 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่10] P.2 (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-09-2016 02:50:21
ตามๆ มึนดี 5555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่10] P.2 (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 10-09-2016 05:23:40
อ้าว รถไปไหน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่10] P.2 (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 10-09-2016 09:37:01
โอ๊ยยยยย  ระทึกทุกๆสามบรรทัด!!!!!
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่10] P.2 (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 10-09-2016 12:24:59
 :hao4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 13-09-2016 16:10:40
บทที่ 11

ในลานจอดรถกลางแจ้งใกล้โรงยิม รถเยอะมากครับ จอดเต็มพื้นที่ไม่พอ ถนนด้านนอกยังจอดเรียงรางเป็นแถว สมแล้วที่ขนกันมาหมดคณะ รวมสองคณะเข้าไปโรงยิมกลางที่เล่าลือว่าจุคนได้มหาเยอะยังเกือบเต็ม

“เมื่อเช้าจอดตรงนี้ ถูกไหม?”

ผมชี้จุดจอดรถให้พาร์ช่วยยืนยัน

“ถูก”

ใบหน้าเราเคร่งเครียดทั้งคู่ เพราะตอนนี้มีรถสีขาวของใครไม่รู้มาจอดแทนที่เจ้าลูกรักสีน้ำเงินของผม

“มึงได้ขยับรถไปไหนหรือเปล่า?”

“กูจะขยับได้ไง กุญแจก็ไม่มี” ผมว่า “แล้วมึงมองหาจนทั่วแล้วใช่ไหม?”

“แค่คร่าวๆ แต่กูแน่ใจว่ากวาดดูหมดทุกพื้นที่”

“งั้นลองหาดูกันอีกรอบ”

ผมกับพาร์ตกลงแบ่งพื้นที่คนละครึ่ง แยกย้ายกันมองหาเจ้า Honda Jazz ของผม

รถผมดันเป็นรุ่นนิยมด้วย เห็นไกลๆ นึกว่าใช่ แต่เจอป้ายทะเบียนกลับไม่ใช่ ผิดหวังซ้ำไปมาสองสามหน ผมก็เลิกดีใจล่วงหน้า ดูฝั่งตัวเองจนทั่ว…ไม่เจอ ใจเสียหนักขึ้น แต่เสี้ยวหนึ่งแอบหวังฝั่งพาร์จะเจอ พอวิ่งย้อนกลับจุดนัดหมาย สีหน้าพาร์ก็ยังไม่เปลี่ยน ผมเม้มปาก ค่อยๆ หยุดฝีเท้า ยืนนิ่งห่างจากพาร์ช่วงใหญ่ ไม่กล้าฟังคำตอบจากปากเพื่อนตรงๆ

กลัว…กลัวมันจะหายไปจริงๆ

…ของขวัญชิ้นแรกจากครอบครัว ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่รวมถึงปู่ย่า และลุงนิกด้วย ทุกคนพร้อมใจหารเงินซื้อรถคันนี้มาฉลองเรียนจบชั้นมัธยมและสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ผมต้องการได้ ผมยังจำวันแรกที่ได้เห็นรถสีฟ้าคันนั้นจอดหน้าบ้าน พร้อมกับคนใกล้ตัวและคนทางไกลต่างยืนออกันอยู่ในไอแพคของพ่อประสานเสียงพูด ‘เซอร์ไพรส์’ ให้ผมที่พึ่งถูกน้องสาวลากลงจากเตียงมาดูของขวัญ

ความตื่นเต้นยังสู้ความดีใจที่มันเป็นของขวัญร่วมชิ้นแรกจากทุกคนไม่ได้

แต่ผมกลับ…ดูแลรักษา…ไม่ได้

“ที”

ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ทันทีที่โดนเรียก ตกใจเล็กๆ ยามเห็นพาร์ในระยะประชิด มันเข้ามาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เพียงเสี้ยววินาทีที่สบตากัน แววตาของพาร์มีทั้งคำขอโทษทั้งเสียใจอยู่ในนั้น

วินาทีต่อมาต้องอึ้งกว่าเดิม…ไม่คาดคิดว่าจะถูกกอด

“มึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้”

“กู…ไม่เป็นไร”

“แต่…”

ผมฝืนหัวเราะ “กูบอกน้องเสมอว่าอย่าร้องไห้ง่ายๆ ถ้ากูทำไม่ได้ก็แย่สิ เพราะงั้น…” ผมทิ้งหน้าผากไว้กับไหล่พาร์ หลับตาลง “ขออยู่แบบนี้สักพัก ขอกูตั้งสติหน่อย”

ผมใช้เวลาพักใหญ่ๆ กว่าจะเรียกสติกลับมาได้หมด และข่มซ่อนความเสียใจไว้ด้านใน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ ลูกขอ…โอกาสแก้ตัวสักครั้งได้ไหม

ผมลืมตาขึ้น ดันตัวเพื่อนออกห่าง พาร์ยอมปล่อยโดยดี ผมเปิดประเด็นอีกครั้งด้วยความข้องใจ

“กูไม่คิดว่ารถทั้งคันจะหายง่ายๆ หรอก”

“…กูไม่อยากใส่ร้ายใคร แต่กูสงสัยรุ่นพี่ของมึง”

“คิดว่ารุ่นพี่กูขโมย?”

“เพราะมีช่วงหนึ่งที่กุญแจรถไม่ได้อยู่ที่เราทั้งคู่” พาร์ตั้งข้อสังเกต “กูคิดว่ารถคงหายไปช่วงนั้น”

“ที่มึงพูดก็ถูก แต่เป็นไปได้ยาก เพราะถ้ารถหายเมื่อไหร่ รุ่นพี่ที่ถือกุญแจรถกูไว้จะตกเป็นเป้าทันที ต่อให้เป็นขโมยโง่แค่ไหนคงไม่ทำแบบนี้แน่ๆ”

“…ข้อมูลน้อยไปสินะ”

“อือ กลับไปถามรายละเอียดกันก่อนเถอะ”

ผมออกเดินนำ พาร์ก้าวตามติดๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้ามาเดินข้างๆ พูดเสียงเคร่งขรึม

“มึงไม่ต้องกังวล ถ้าภายในหนึ่งชั่วโมงยังไม่ได้รถคืน เรื่องถึงตำรวจแน่นอน”

ผมถอนหายใจ “กูห่วงความรู้สึกคนซื้อรถคันนั้นให้มากกว่าอีก ไม่รู้จะบอกพวกเขายังไงวะ…คงผิดหวังมาก กูได้มายังไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ…ถึงตอนหลังอาจได้รถคืนมา แต่ความรู้สึกที่เสียไปล่ะ มันไม่ได้กลับคืนมาด้วยหรอก”

“ขอโทษ…ถ้ากูคืนกุญแจให้โดยตรง เรื่องคงไม่เกิด”

ผมมองพาร์ แล้วยิ้มปลอบใจให้มันบ้าง “ขอโทษครั้งเดียวก็พอแล้วน่า”

“นี่กูพึ่งพูดครั้งแรก…”

“พาร์! ที! พวกมึงอยู่ไหนกันวะ?!”

เสียงตะโกนคุ้นๆ เฮ้ย เสียงไอ้นนท์นี่หว่า

“อยู่นี้โว้ย! ตรงนี้!”

“ออกมาหากูหน่อย! ตรงทางเข้าอ่ะ! กูมีข่าวด่วนต้องบอกพวกมึง!!”

พวกผมสบตากัน พลส่งข่าวมาหาถึงที่ ไม่ต้องย้อนกลับไปถามถึงโรงยิมให้เสียเวลาแล้ว เรารีบตรงไปหานนท์ เห็นมันกำลังเดินวนไปมา สีหน้ากระวนกระวาย เห็นหน้าพวกผมปุ๊บก็โผล่ถามประโยคแรก

“พวกมึงแจ้งตำรวจยังวะ?!”

“ยัง” พาร์เป็นคนตอบ

นนท์ถอนหายใจยาว ผมหรี่ตาลง ชี้นิ้วใส่หน้ามัน “อย่าบอกนะว่ามึงเอารถกูไป”

“เปล่าโว้ย!” มันรีบส่ายหัวยิกๆ “แต่รถมึงไม่ได้หายไปไหน ย้ำอีกครั้ง รถมึงไม่ได้หาย..! งานนี้ไม่มีขโมยแต่อย่างใด แม่ง พวกมึงสองตัวทำคนในโรงยิมวุ่นวายไปหมด พี่นันกับพี่ดินนะ หน้านี่อย่างกะ…”

“หยุดเพ้อก่อน! นาทีนี้ต้องได้เห็นรถทั้งคัน แล้วมึงจะพร่ำเพ้ออะไรค่อยว่ากันทีหลัง”

“เออๆ รถมึงจอดอยู่ฝั่งกะโน้น กูไปเห็นมากับตาแล้ว ถึงวิ่งมาบอกพวกมึงเนี่ย”

“นำไปเลย”

ระหว่างวิ่งตามคนนำทาง นนท์ก็บอกเล่าคร่าวๆ ว่า รถผมถูกรุ่นพี่ขอยืมไปขนข้าวขนน้ำเมื่อตอนกลางวัน เพราะจุของได้เยอะ

“พี่เขาก็กะจอดคืนที่เดิมหรือใกล้เคียง แต่ลานจอดเต็มแล้ว เลยต้องขับวนหาที่จอดด้านนอก กว่าจะได้ที่จอดเลยไกลหน่อย”

ไกลจริงๆ ครับ ถ้าไอ้นนท์ไม่นำทาง คาดว่าวันนี้คงหาไม่เจอหรอก

“นั่นไงรถมึง!”

ผมรีบมองป้ายทะเบียนก่อนเลย…ตรงเป๊ะ

เสียงปลดล็อกรถจากรีโมตในมือพาร์ช่วยยืนยันซ้ำสอง ได้เจอลูกรักอีกหน ผมทั้งดีใจทั้งโล่งใจ ขนาดพาร์ยังถอนหายใจออกมาเลย

“น้องสองคนแจ้งตำรวจหรือยัง?”

ผมพึ่งสังเกตเห็นรุ่นพี่สองคนยืนอยู่ข้างรถ พี่นันเป็นฝ่ายร้องถามเมื่อครู่ อีกคนไม่คุ้นหน้า ใบหน้าดูซีดเผือกสุดๆ คนนี้แหละที่เคลื่อนรถผมออกมา

“ยังครับ”

หลังได้ยินคำตอบจากผม รุ่นพี่ทั้งสองถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมสะกิดพาร์บุ้ยใบ้ให้มันเอารถไปรับเพื่อน แต่เจ้าตัวกลับหยุดยืนข้างๆ ไม่ไปไหน ขยับปากกลับมาว่าขอหนึ่งนาที แล้วส่งเสียงขรึมท่าทางเอาเรื่องไม่น้อยออกมา

“รุ่นพี่มีอะไรจะพูดไหมครับ”

พี่นันตบหลังคนข้างๆ เสียงดังฟังชัด คนเจ็บพยายามข่มอาการ พูดเสียงตะกุกตะกัก

“เอ่อ พี่ขอโทษนะ พี่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่…”

ผัวะ!

ฝ่ามือพี่นันโบกกระบาลคนพูดเข้าให้ “ไม่เป็นเรื่องใหญ่บ้านมึงสิ ทีหลังเอารถไปจอดไหนหัดบอกเจ้าของรถด้วย ดีนะน้องยังไม่แจ้งความน่ะ”

คนทำผิดกุมหัวครางเสียงอ่อย “ครับพี่”

“พี่ต้องขอโทษแทนน้องชายไม่มีหัวคิดด้วยเหมือนกัน ส่วนมึงมานี่เลย”

“โอ๊ย อย่าดึงหูผมสิพี่”

ผมมองไล่หลังด้วยความงง น้องชายเหรอ? หมายความว่าเป็นพี่ชายมลด้วยน่ะสิ ไม่เห็นมันบอกว่ามีพี่ชาย เอ้ย ประเด็นคือพี่น้องบ้านนี้เรียนคณะเดียวกันหมดเลยเหรอเนี่ย?

ระหว่างผมมองสองคนนั่นเดินออกห่าง ก็โดนพาร์ดึงตัวลากไปขึ้นรถ นนท์มองซ้ายขวาเหมือนช่างใจว่าจะตามพี่นันไปดี หรืออยู่กับพวกผมดี สุดท้ายก็เลือกวิ่งมาเปิดประตูหลัง พูดขอติดรถไปลงหน้าโรงยิม พาร์ไม่ได้ว่าอะไร เพราะต้องไปรับเพื่อนที่นั่นอยู่แล้ว

“อ้าว ยังไม่ปรับเบาะ…ดึงขึ้นยังไงวะที”

ผมมองตามเสียงเพื่อน ถึงเห็นว่าสองเบาะหลังถูกปรับลงราบกลายเป็นพื้นที่กว้าง คิดไปคิดมา ผมว่าปรับเบาะเตรียมรับคนป่วยเลยดีกว่า

“ทำอะไร?”

“เตรียมรับคนเจ็บไง” ผมยังไม่ทันลงมือทำอะไร ก็โดนพาร์ดันตัวกลับที่นั่งข้างคนขับ โบกมือไล่นนท์ขึ้นรถทั้งแบบนั้น

“ถ้าไม่ปรับ คนเจ็บนอนทั้งตัวไม่ได้นะมึง” ผมแย้งระหว่างพาร์ออกรถ

“นั่งยืดขาก็พอ เพื่อนกูเจ็บแค่ขา”

“อ้าว แต่กูเห็นหมดสตินี่หว่า”

“ทนเจ็บมากๆ ระยะเวลาหนึ่ง พอหมดช่วงต้องทน ร่างกายก็สั่งปิดตัวเองแบบนี้แหละ ไอ้มีนน่ะเป็นประจำ”

ผมทำหน้าประหลาดใจ “มึงพูดเหมือนรู้จักเขานานแล้ว ไม่ใช่พึ่งรู้จักตอนเข้ามหาลัยเหรอ”

“เปล่า ฟังเชนเล่ามาอีกที”

ผมทำหน้าหน่ายใส่พาร์ แม่ง พูดซะเหมือนรู้จริง เอาเถอะ ถ้าจำเป็นค่อยปรับเบาะใหม่ก็ได้

จู่ๆ พาร์ถามขึ้นเหมือนยังข้องใจไม่หาย “มีใครบอกมึงว่าจะขอยืมรถหรือเปล่า”

ผมนึกดูสักพัก “ไม่มี”

“ไม่มีได้ไง” นนท์แย้ง “กูได้ยินรุ่นพี่พูดกันว่าบอกมึงแล้ว”

“บอก? ตอนไหนวะ? ทำไมกูไม่รู้เรื่อง”

“ไม่รู้โว้ย ไปถามพวกรุ่นพี่กันเองนู้น”   

ผมขมวดคิ้วสักพักก็คลายสีหน้า เอาเถอะ ผมได้รถคืนแล้วนี่

“เช็ดของในรถดู มีอะไรหายหรือเปล่า”

พาร์เตือนเสียงเข้ม ผมรีบเริ่มเปิดเก๊ะหน้ารถดูเป็นอย่างแรก ก่อนเปิดช่องเก็บของตรงที่เท้าแขน ในรถไม่มีของมีค่าหรอกครับ แต่มีข้าวของบางชิ้นที่หากเอาไปขายเป็นของมือสองก็พอได้ราคาดีบ้าง อย่างแว่นตากันแดดอันโปรดของพาร์ เห็นว่าซื้อตอนเรียนอยู่ต่างประเทศ หรือปากกาโคตรแพงที่เป็นของฝากจากลุงนิก     

“ดูแล้วไม่น่าจะมีใครรื้อของ…”

“ลองรื้อดูสิ”

พาร์พึมพำ แม้จะเบา แต่ในรถแคบๆ เงียบๆ ผมได้ยินชัด และเชื่อเถอะไอ้นนท์ก็ต้องได้ยิน ผมเหลือบมองด้านหลัง สบตากับนนท์ที่กำลังจ้องผมเขม็งพอดี แววตาเหมือนจะถามว่าเจ้าของรถเป็นใครกันแน่ ผมอยากพูดแย้งใจจะขาด เพราะมีของพาร์อยู่ในรถด้วยหรอก มันเลยตกเป็นผู้เสียหายเหมือนกัน

กลัวยิ่งพูดแก้ยิ่งแย่ ผมเลยเลือกเมินสายตาข้องใจของคนด้านหลัง ก้มหน้าตรวจเช็คของต่อไป

“ไม่มีอะไรหาย” ผมสรุปหลังเช็คดูถี่ถ้วนแล้ว

เรื่องครั้งนี้เป็นบทเรียนของเราเลยครับว่าห้ามฝากกุญแจรถไปกับคนอื่น

“ข้างหลังมีถุงเสื้อผ้าด้วย ของมึงเหรอที”

ผมหันมองตามเสียงถามของนนท์ เห็นของที่มันยกให้ดูก็ร้องอ้อ “ชุดนักศึกษาที่กูใส่มาวันนี้ไง”

“เก่งวะ มึงพับซะเรียบร้อยเหมือนที่แม่กูทำให้เลย”

“อ้อ นั่นพาร์เป็นคนทำ…” ผมหุบปากฉับ หลังเห็นแววตาเพื่อนแปรเปลี่ยนเป็นจ้องจับผิดอีกครั้ง

ผมพูดอะไรผิด? ก็ไม่นี่หว่า

“…ข้างในถุงมีกางเกงลิงของมึงด้วยปะ?”

“จะมีได้ไง! กูต้องใส่อยู่กับตัวสิโว้ย!”

แว่วเสียงมันงึมงำว่าก็ยังดี…

ดีอะไรวะ?

“พูดถึงกางเกงในทำกูนึกได้” พาร์พูดขึ้นมาขัดจังหวะผมกำลังอ้าปากจะถาม “เมื่อวานตอนตากผ้า เจอบ็อกเซอร์เอวย้วยของมึงตั้งหลายตัว ถ้าถึงขั้นต้องใช้หนังยางมัดกันหลุด กูว่าเปลี่ยนเส้นยางขอบเอวใหม่ดีกว่า ไม่ก็โละทิ้งซื้อของใหม่”

ปากผมเลยอ้าค้าง ไม่นึกว่าพาร์จะเอาเรื่องนี้มาพูด

“ในตู้เสื้อผ้าก็มีย้วยน่าเกลียดอีกเพียบ มึงจะเก็บสะสมทำบ้าอะไร”

“ก็ถ้าซื้อใหม่มันน่าเสียดายออก เนื้อผ้ายังดีอยู่เลย” ผมถึงแก้ปัญหาเอาหนังยางมัดถุงกับข้าวมาใช้แทนไง แน่นอนว่าใส่เฉพาะตอนอยู่บ้านครับ “แล้วเรื่องเปลี่ยนขอบยาง กูทำไม่เป็นนี่หว่า”

ผมเคยลองนะ ไม่กี่วันต่อมาไอ้ด้ายที่ผมเย็บไว้ก็หลุดออกมาแล้ว เรื่องนี้ยัยน้ำยังทำได้ดีกว่าผมอีก แต่จะให้น้องสาวจับกางเกงในใช้แล้วนี่ก็…ดูไม่ควร ผมเลยไม่เคยขอให้น้องทำให้

“แล้วทำไมไม่จ้างคนอื่น?”

“กางเกงในใช้แล้วเนี่ยนะ เอ่อ กูอาจคิดมากเกินไป แต่มันเหมือนของใช้ส่วนตัวเปล่าวะ แล้วคนรับจ้างทำ กูเห็นมีแต่เพศหญิงทั้งนั้น”

พาร์ถอนหายใจ “ถ้าเป็นเพศชายโอเคใช่ไหม งั้นเดี๋ยวกูเปลี่ยนให้”

“ฮะ!” ผมเผลออุทาน “เดี๋ยวๆ มึงจะทำให้จริงอ่ะ?”

“อืม”

สีหน้าพาร์ปกติมากครับ เหมือนคุยเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ แต่ผมกลับรู้สึกทะแม่งๆ เหมือนมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง

“จ...จะดีเหรอ?”

“ถ้าไม่ดีจะถามมึงมั้ย!”

ผมสะดุ้งตกใจเสียงออกแนวหงุดหงิดของมัน “งะ งั้นฝากด้วย”

ตอบรับไปแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ทีหลัง แบบ…มันตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก จนต้องพูดอีกประโยคแก้เก้อ “ต...แต่ตัวเน่าๆ ไม่ต้องนะ”

“ประเภทนั้นกูจับโละทิ้งให้มึงอยู่แล้ว เดี๋ยวกลับไปกูจะรื้อไอ้ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ามึงออกมาจัดระเบียบให้ใหม่ด้วย”

ฟังจากน้ำเสียงเข้มๆ ของพาร์…ดูท่าคงอดทนกับสภาพตู้เสื้อผ้ารกๆ ของผมมาสักพักใหญ่

ผมเงียบกริบ บรรยากาศในรถเริ่มเงียบตาม ครู่หนึ่งถึงมีเสียงฟังดูเกรงใจมากจากคนโดนทิ้งนั่งด้านหลัง

“เอ่อ…ช่วยปล่อยให้กูลงตรงนี้ด้วย”

ผมหันมองนนท์งงๆ “มึงจะรีบลงทำไม?” หักเลี้ยวโค้งข้างหน้าก็ถึงจุดหมายแล้ว

ไอ้นนท์เมินผมเฉย หันไปร้องขอพาร์อีกครั้ง รถจอดปุ๊บรีบลงปั๊บ ก่อนประตูปิด ผมได้ยินมันพึมพำพยัญชนะไทย

“ก.ไก่ ข.ไข่ ค.ควาย...”

ผมขมวดคิ้ว เลื่อนกระจกหน้าต่างลง บอกอย่างหวังดี เข้าใจว่าไม่ได้ท่องนาน มีข้ามบ้างไม่แปลก ส่วนผมจำได้แม่น เพราะน้องอันท่องกรอกหูให้ฟังบ่อยๆ

“มึงท่องข้าม ฃ.ขวด วะ”

นนท์โต้กลับมาทันที “ก็กูไม่อยากได้ ฃ.ขวด แถมกูยังโดน ช.ช้าง ปาใส่หน้าอีก”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ “แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับ ‘ช.ช้าง’ วะ..?”

“มึงมันโง่..!” ไอ้นนท์ตะโกนทิ้งท้ายไล่หลังอย่างเจ็บแสบ “กูหมายถึงกขค.ชัดๆไง”

“พาร์ ถอยรถกลับ!”

“ไร้สาระ เพื่อนกูรออยู่”

ผมเลยนั่งหน้าบึ้ง ใจหงุดหงิด เดี๋ยวรอลงจากรถก่อนเถอะ จะจัดการชำระความมันแน่ อ้อ ต้องทบต้นทบดอกเรื่องที่มันทำผมเป็นสะใภ้คณะด้วย

-------------

ความชุลมุนเกิดขึ้นทันทีที่พาร์จอดตรงหน้ากลุ่มนักกีฬาเสื้อฟ้าที่ยืนรอตรงฟุตบาทใกล้ประตูทางเข้าออกหมายเลข 4 ...อย่างแรกประตูข้างทั้งสี่ด้านไม่ได้ปลดล็อก ก่อนใครจะทันทุบกระจก พาร์เลื่อนกระจกฝั่งผมลง ตะโกนข้ามหัวผมบอกคนด้านนอก

“ไปเปิดประตูท้ายรถ!” คนฟังพากันชะงัก ก่อนโยกย้ายคนเจ็บเข้าทางประตูหลังสุดแทน

อย่างที่สองคือการยกคนเจ็บที่กำลังหลับขึ้นรถ

“ค่อยๆ ยก”

“เฮ้ย ระวังเท้ามันหน่อย”

“พี่กันมาเป็นเบาะให้มันนั่งพิงที”

“ได้ๆ”

อย่างที่สาม พื้นที่รถมีจำกัด ผู้ชายสองก็ถือว่าเต็มแล้ว แต่จะขึ้นนั่งตรงปลายเท้าพี่กันก็ได้อีกคน  สองคนข้างนอกเลยกำลังตกลงกันอยู่ครับ 

“เป็นห่วงมันหนัก มึงขึ้นไป เดี๋ยวกูขี่มอเตอร์ไซค์ตาม…”

“ดูขนาดตัวกูหน่อย มึงควรขึ้นไป คอยระวังขาซ้ายมีนด้วย”

“แล้วมึง…”

“เดี๋ยวกูขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปเอง”

คนด้านหลังได้ข้อสรุป ผมก็ได้ข้อสรุปเช่นกัน จะทู่ซี้นั่งต่อไปเนี่ยแหละ! ไม่ใช่อะไร ก็ถ้าผมลง…จะกลายเป็นยืนบนฟุตบาทกับยักษ์นั่นตามลำพัง แค่คิดยังไม่ไหว

“ไมมึงมาช้า!” คนด้านหลังร้องถาม เสียงนี้น่าจะของเชน

“มีปัญหานิดหน่อย” พาร์ตอบระหว่างออกรถ “มันเป็นไงบ้าง”

“ได้สติครู่หนึ่งก็หลับต่อ ดูมันปวดข้อเท้ามากผิดปกติ” เสียงนี้ของพี่กัน “หมอนผ้าห่มตรงนี้พี่ขอยืมรองขาคนเจ็บนะ”

“ครับ” ผมเอ่ยอนุญาต

จากนั้นคนบนรถวิเคราะห์กันใหญ่ คนเจ็บเป็นอะไรกันแน่ จนได้ข้อสรุปว่าน่าจะกระดูกข้อเท้าร้าว

เท่าที่ผมจับใจความ พี่กันเดาว่ามีนคงล้มผิดท่าเลยเจ็บข้อเท้า แต่ก็ยังฝืนเล่นจนล้มซ้ำอีกหลายครั้ง เพื่อนร่วมทีมไม่ทันสังเกต เพราะควอเตอร์สุดท้ายเล่นกันแรงเร็ว แล้วมันก็ใช้เวลาแค่สิบนาที รู้ตัวกันอีกทีก็ตอนเพื่อนล้มก่อนกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาแค่แปบเดียว ตอนนั้นอาการมีนก็แย่แล้ว ตาดูลอยๆ บอกแค่เจ็บขาแล้วหมดสติไปเลย

ผมมัวหันไปคุยและฟังบทสนทนาเพลิน พอหันหน้ากลับมาเห็นทิวทัศน์นอกกระจกถึงกับชะงึกกึก รีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาด เอ่ยแนะนำคนด้านหลังตามประสาผู้มีประสบการณ์ไปโรงพยาบาลกับพาร์มาก่อน

“ข้างหลังระวังคนเจ็บด้วยครับ พาร์ขับรถเร็วนรกแตกมาก เบรกทีอาจมีหัวทิ่ม ทางที่ดีจับราวเหนือประตูกันด้วยครับ”

“ฮะ?”

สิ้นคำอุทานงงๆ พาร์ก็เปลี่ยนเกียร์ ส่วนผมรีบหลับตา ไม่มองให้เสียวสันหลังเป็นหนที่สอง

“เฮ้ยยย!”

“แว๊กกก! พ่อแก้วแม่แก้วจ๋า ช่วยลูกด้วยยย!”

เชน มึงร้องได้หนวกหูมาก

“หุบปากกันด้วยครับ!”

หลังคำประกาศิตจากคนขับ เงียบกริบทั้งคันรถ ได้ยินเสียงฟันใครสักคนกระทบดังกึกๆ ฟังแรกๆ ก็ขำอยู่ แต่นานเข้าชักน่ารำคาญแทน

“ที ส่งทิชชูไปให้อุดปากมันดิ เสียงฟันมันทำกูไม่มีสมาธิ เดี๋ยวได้ลงข้างทางกันหมด”

ผมฉวยโอกาสรถติดไฟแดง ตอบรับคำสั่งพาร์ รีบดึงทิชชู่ตรงหน้ารถไปสามแผ่น หันไปส่งให้พี่กัน ซึ่งส่งต่อให้เชน…คนรับรีบเอาไปยัดปากเองอย่างรู้หน้าที่

พ้นไฟแดงเล็กน้อย การขับแบบท้านรกก็มาเยือนอีก ไอ้คนขับก็ไม่เห็นใจผู้โดยสารสักนิด

คนน่าอิจฉาสุดคือคนเจ็บ…หลับไม่รู้เรื่องเลย

คราวนี้ระยะทางสั้นกว่าครั้งก่อนมาก ผมไม่ต้องทนนานเท่าหนแรก เลยไม่ค่อยมีอาการเท่าไหร่ แต่อีกสองคนไม่ใช่ พากันแข้งขาอ่อนมากน้อยตามรายบุคคล ส่วนคนเจ็บมีบุรุษพยาบาลยกตัวขึ้นเตียง เข็นเข้าด้านในอาคารตั้งแต่จอดรถเทียบทางเข้าแล้วครับ ทุกอย่างรวดเร็วมาก สงสัยมีใครติดต่อบอกทางโรงพยาบาลก่อน

ผมพยุงเชนเดินตามหลัง เห็นพาร์กับพี่กันสอบถามเรื่องคนเจ็บอยู่กับบุรุษพยาบาล ได้เรื่องแล้วค่อยเดินทางต่อ จนไปนั่งแหมะรวมตัวกันอยู่หน้าห้องรักษา หน้าพี่กันกับเชนยังซีดอยู่เลย เดือดร้อนพาร์ต้องซื้อชาขวดจากตู้หยอกเหรียญอัตโนมัติมาให้ทั้งคู่เป็นของปลอบขวัญ

ผมสะกิดพาร์ ชี้นิ้วใส่ตัวเอง มันโบกมือไล่ผมไปซื้อเอง อะไรวะ ไม่คิดปลอบขวัญผมเลย

“มึงทำกูเกือบฉี่ราด!” เชนต่อว่าเพื่อนทันทีหลังได้น้ำลงคอไปเกือบครึ่งขวด

“กูเคยขับเร็วกว่านี้ ระยะทางมากกว่านี้สองเท่า ทียังไม่เห็นเป็นไร”

“เป็นไปไม่ได้ มึงไม่ได้สังเกตเองมากกว่า”

เชนเถียง มีพี่กันผงกหัวเห็นด้วย ผมก็แอบอยู่ฝั่งนี้เหมือนกัน

“ใครบอกกูไม่สังเกต?” เมื่อได้รับสายตาไม่เชื่อหลายคู่ มันเลยร่ายยาวเพิ่มเติม “ไม่มีหลุดเสียงร้อง นั่งเงียบตลอดทาง จอดรถแล้วยังลงเดินตามกูได้”

ผมยิ้มแห้งรับสายตานับถือจากคนทั้งสอง ปากคันยิบๆ อยากบอกความจริงเหลือเกิน

ตกใจจนร้องไม่ออก เงียบก็ไม่แปลก ถ้าไม่เดินตาม มึงคงทิ้งกูยืนเอ๋ออยู่ลานจอดรถ!

“ต่างจากมึงสุดๆ เลยไอ้เชน” สายตาพาร์มองเพื่อนอย่างสังเวชสุดๆ “ไม่คิดว่าลงรถปุ๊บ จะนั่งแหมะกับพื้นปั๊บ เดือดร้อนให้ทีต้องหิ้วปีกมึงเดินตามพวกกูมาอีก พี่กันก็แค่หน้าซีด ยังไม่มีอาการเท่ามึงเลย”

…รายนั้นจับบ่าพาร์เป็นที่พยุงตัวแบบเนียนๆ พาร์เลยไม่รู้ว่าพี่แกก็แอบขาอ่อนแรงเหมือนกัน

“พอๆ ใครเจอมึงขับรถแบบนั้นก็กลัวทุกรายแหละ” ผมช่วยตัดบทก่อนสองนิติจะเถียงให้ยาว “นั่งพักตรงนี้กันก่อนนะ ผมขอพาพาร์ไปหาหมอก่อน”

“ฮะ?!” ประสานเสียงอุทานทั้งสามคน แล้วมันจะอุทานกับเขาทำไม

“พาร์เป็นอะไร?” พี่กันถามหน้าเคร่งทันที

พาร์อึกอัก ดูจากท่าทางคงไม่อยากบอกใคร ถึงว่าตอนอยู่โรงยิมใช้ผมช่วยทายาแค่คนเดียว

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ มันลื่นล้มหัวฟาดพื้นที่บ้านมาน่ะ”

“ที!”

โอ๊ย! ผมโดนมันดึงแก้มจนยืด อะไรวะ ก็ช่วยเปลี่ยนคำจาก ‘ลื่นล้มหัวฟาดพื้นในห้องน้ำ’ ให้แล้วไง

“มึงล้มซ้ำที่สนามด้วยนี่ รีบไปให้หมอตรวจเลย!” พี่กันโบกมือไล่

คนเจ็บถอนหายใจ เป็นฝ่ายดึงแขนผมออกไปหาหมอด้วยกัน โดยมีรุ่นพี่ตะโกนเตือนไล่หลัง

“อย่าลืมเอาสะใภ้คณะไปคืนด้วยนะ! ส่งตัวถึงโรงยิมได้ยิ่งดี เพราะสะใภ้มีแค่หนึ่งเดียว หามาแทนไม่ได้”

หลังได้ยิน พาร์จ้องผมเขม็ง เอ่ยถามโคตรตรง “ที่ตามมาถึงนี่ เพราะจะหาเรื่องโดด?”

“ตอนแรกไม่คิด แต่พอมีคนชี้โพรงให้หนี กูคิดขึ้นมาเลย”

“มึงเป็นคนของคณะกูแล้ว”

ผมยิ้มอย่างเป็นต่อ “กูจำได้ว่าต้องมอบตัวกับแต่งตั้งก่อนไม่ใช่เรอะ”

พาร์ส่งยิ้มคืนมา ตวัดแขนคล้องคอผม “ก็จริง ฮะๆๆ”

เราหัวเราะไปด้วยกันกับช่องโหว่ ถ้าไม่มีเรื่องรถจนผมพรวดพราดออกมา น่ากลัวว่าตอนนี้…

“กูไม่ปล่อยมึงหนีแน่”

ผมหัวเราะค้าง กัดฟันเค้นเขี้ยวหลังได้ยินคำกระซิบของคนข้างๆ กับรู้สึกถึงวงแขนหนีบแน่นกว่าเก่า

มันหลอกให้ผมตายใจว่าเป็นพวกเดียวกันครับ! 

หลังจากนั้นพาร์เล่นกอดคอผมไม่ปล่อย เกาะติดหนึบจนพยาบาลนึกว่ามันอาการหนัก เลยลัดคิวให้มันพบหมอเร็วกว่ากำหนด ไปห้องตรวจก็ยังลากผมเข้าด้วยกันอีก!

กูจะหนีไปไหนได้!

ผมพ่นลมหายใจ นั่งมองมันเล่าอาการให้หมอฟัง สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ร้องดังขัดจังหวะ ผมรีบกดปิดเสียง ขอตัวลุกไปคุยด้านนอก เป็นพี่นันโทรผ่านไลน์มา

“ครับ?”

[น้องทีอยู่ไหนคะ?]

ผมยิ้มเจื่อน รู้ทันทีโดนโทรตามตัวแน่ๆ “โรงพยาบาลครับ”

[อ้อ…แล้วคนเจ็บอาการเป็นไงบ้าง?]

“ส่งถึงมือหมอแล้วครับ แต่ผมไม่ทราบละเอียด พอดีพาพาร์มาหาหมอ…”

ผมพูดไม่ทันจบก็ต้องยกมือถือห่างหู แว่วเสียงร้องตกใจหลายคนมาตามสาย

ทางพี่นันเปิดลำโพงอยู่? 

[น้องพาร์เป็นอะไรคะ?!]

“หัวกระแทกพื้นครับ เลยมาให้หมอตรวจดู…” ยังพูดไม่ทันจบ ประตูห้องตรวจก็เปิดออก พี่พยาบาลเดินเข้ามาถาม

[คุณชลนทีใช่ไหมค่ะ คุณหมอเจ้าของไข้คุณภควัติต้องการพบตัวค่ะ]

“ครับ” ผมรีบขานรับ พูดรัวๆ ใส่ปลายสาย “ค่อยคุยกันทีหลังนะพี่”

[เดี๋ยวค่ะน้องที เสร็จธุระแล้ว ช่วยกลับมาที่โรงยิมด้วยนะคะ]

“ครับ”

ผมรีบรับคำ วางสายพลางเดินเร็วๆ ตรงเข้าห้องตรวจเดิมด้วยใจกังวล กลัวเพื่อนจะเป็นหนักกว่าที่คิด แต่พอคุยกับหมอสักพักความกังวลก็ลดน้อยลง

“สรุปคือ รูมเมทผมไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?”

“เท่าที่ตรวจเบื้องต้นนะ หลังจากนี้ต้องคอยสังเกตอาการเพื่อนให้ดี หากพบความผิดปกติตามที่หมอพูดบอกไปเมื่อครู่ให้รีบพาตัวมาโรงพยาบาลทันที”

“ครับ” ผมตอบรับ เหล่มองคนเจ็บที่ดูไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่

น่าหมั่นไส้ชะมัด! 

“อาทิตย์หน้าถ้ายังเจ็บอยู่แวะมาตรวจดูอีกหนได้ และหมออยากเตือนให้เล่นกีฬาแต่พอดี อย่ารุนแรงกันนัก คนนี้พกช้ำไปทั้งตัว ส่วนอีกคนหมอได้ยินจากพยาบาลว่าหามเข้ามาเลยนี่”

เออ คุณหมอครับ เข้าใจผิดแล้ว

ผมยิ้มแห้งๆ รู้สึกยุ่งยากเลยไม่คิดอธิบาย ออกจากห้องตรวจก็มานั่งรอตรงจุดจ่ายเงินและรอรับยา

“กี่โมงแล้ว?” พาร์ถามขึ้น

“บ่ายสามโมงกว่า”

“น้องเลิกแล้ว”

“จะโทรหาไหม?” ผมยื่นมือถือตัวเองให้ ปล่อยพาร์โทรคุยกับสองสาว นั่งรอสักพักชื่อพาร์ก็ประกาศ

“คุณภควัติ เชิญที่ช่องหมายเลขสามค่ะ”

เห็นพาร์ยังติดพันคุยกับน้องๆ เลยกดบ่ามันนั่งลงตามเดิม ลุกออกไปจ่ายเงินแทน พยาบาลให้ใบเสร็จไปรับยาตามช่องที่ระบุ ก็ได้ยามาหนึ่งหลอดกับถุงเจลขนาดเล็กสองอัน จะประคบร้อนก็แช่น้ำอุ่น จะประคบเย็นก็แช่ในตู้เย็น ผมใจเย็นฟังเภสัชแนะนำวิธีใช้ยาและถุงเจลตามหน้าที่ ถึงจะเบื่อที่ต้องฟังเรื่องที่รู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากพูดขัด ฟังครบแล้วก็พยักหน้ารับหงึกๆ ก่อนเดินจากมา พี่เขาพูดกับผมยิ้มๆ

“แต่งตัวแนวดีนะคะน้อง”

ผมติดสตันไปห้าวินาที…

“ข...ขอบคุณครับ”

เร่งฝีเท้าเดินจากมาอย่างไวด้วยความอับอาย

อ๊ากกก! ลืมไปเลย!! 

ความอายแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด ยามเห็นหน้าเพื่อนนั่งคุยโทรศัพท์ยิ้มๆ

ทำไมมันไม่ยอมบอกผมวะ?!

คิดแล้วเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อนลุกจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าโหดๆ ลากตัวมันออกจากโซนคนเยอะที่สุดตรงเข้าลานจอดรถกลางแจ้ง

“เฮ้ย เดี๋ยวๆ”

ผมไม่ฟัง จนมันออกแรงต้านดึงตัวกลับ ถึงได้ยอมหยุดลาก…ไม่อยากยอมรับ ถึงตัวเราจะพอๆ กัน แต่มันดันแรงเยอะกว่าตามประสาคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ต่างกับผมที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง

“มึงจะรีบไปไหน กูยังไม่ได้วางสายจากน้องเลย”

ผมกอดอก พูดเสียงเย็น “กูอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า กูต้องได้เปลี่ยนเดี๋ยวนี้!”

“…งั้นไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำโรงยิมแล้วกัน กูก็เก็บเสื้อผ้าไว้ที่นั่น”

พาร์พูดกับผมเสร็จ ก็กรอกเสียงลงเครื่องสื่อสารในมือ

“พี่ขอวางสายก่อนนะน้องๆ”

ให้ตายเถอะ คนไหนๆ ก็จะให้ผมกลับโรงยิมท่าเดียว

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-09-2016 16:18:00
จบตอนแล้วเหรอ ทำไมรู้สึกตอนมันสั้นๆ

นี่ได้ 30% ของเรื่องหรือยังอ่ะคะ??
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 13-09-2016 16:22:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-09-2016 18:50:42
แต่งเลยๆๆ 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 13-09-2016 19:10:38
ให้กลับไปเปลี่ยนที่โรงยิมเพราะจะได้แต่งตั้งสะใภ้คณะรึป่าวคะ งานนี้ทีก็ไปคบคนอื่นไม่ได้แล้วสิ คงสมใจพาร์ล่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 13-09-2016 19:49:45
ดูเป็เคะราชินี
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 13-09-2016 20:34:52
 :mew4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่11] P.2 (13/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 13-09-2016 22:02:38
พี่เภสัชคงจะเอ็นดูท่านชายทีน่าดูเลย55555555 อยากอ่านตอนแต่งตั้งเป็นสะใภ้คณะแล้ว~
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 16-09-2016 14:18:50
บทที่ 12

สุดท้ายก็กลับมาจนได้…ผมมองเหม่อแดนประหารด้วยความรู้สึกก่ำกึ่งระหว่างอยากหนีไปให้ไกลกับภาระหน้าที่ค้ำคอ

“อย่าลีลา เปิดประตูเร็วๆ จะเปลี่ยนไหม เสื้อผ้าน่ะ”

ผมถอนหายใจ ยกมือข้างที่ว่างผลักประตูโรงยิม…

กึก…กึกๆๆ

อ้าว? ไม่ขยับเลยครับ เหมือนล็อกจากข้างใน

เรามองหน้ากัน สุดท้ายก็โทรหาพี่นัน

[อ้อ ไปเข้าประตูเล็กเมื่อเช้าเลย น้องทีจำได้ใช่ไหม]

“ประตูที่ราชินีเข้ามาเหรอครับ?”

[ใช่ๆ]

หลังวางสาย ผมลากพาร์ไปทางประตูลับ คลำทางจนเจอประตูไม้ที่ว่า ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นรุ่นพี่สองคนเมื่อบ่ายนั่งคุยเล่นกันอยู่บนม้วนพรมแดง (พรมแดงม้วนเก็บแล้วพี่เขาเอามานั่ง เหมือนนั่งบนขอนไม้น่ะ)

…นี่พวกพี่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลยเหรอครับ?

พอเห็นพวกผมเดินเข้าใกล้ก็รีบลุกขึ้นยืนประดุจทหารเฝ้าประตู “มีธุระอะไรแถวนี้น้อง”

“พี่นันให้พวกเราเข้าทางนี้ครับ” ผมบอกตามตรง ปล่อยให้พี่ๆ กวาดตาสำรวจ

“น้องเมื่อตอนบ่าย ลูกสาวฝั่งเศรษฐศาสตร์นี่หว่า”

“แล้วนี่…เด็กคณะเราเอง”

“น่าจะใช่นะ”

“อือ ไม่ผิดตัวแน่”

สองรุ่นพี่ซุบซิบกันสักพัก ก็ยอมเปิดประตูปล่อยพวกผมเข้าไป

“ทางนี้เข้าได้อย่างเดียว แต่ออกไม่ได้นะน้อง” พูดทิ้งท้ายแค่นั้นก็งับประตูปิด

ผมลากพาร์ที่ยืนขมวดคิ้วไปทิศตรงข้ามกับทางออกด้านนอก 

“เฮ้ย จะไป…”

“ชี่ อย่าเสียงดังสิ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน” ผมว่า

ไหนๆ ห้องน้ำก็อยู่แค่ตรงนั้น

“ของกูน่ะได้ แต่ของมึง…เปลี่ยนชุดได้แล้ว?”   

“กูทนอายในโรงพยาบาลมากพอแล้ว เข้าใจนะ”

พาร์ยอมหุบปากโดยดี

ผมก็แอบสงสัยว่า มันเอาของไปเก็บไว้ไหน เพราะห้องพักนักกีฬายังคล้องแม่กุญแจอยู่เลย จนเห็นพาร์เดินไปไขกุญแจช่องล็อกเกอร์ติดฝาผนังในห้องน้ำนั่นแหละ สิ่งที่ต่างจากห้องน้ำหญิงอีกอย่างคือไอ้ชั้นวางของ ฝั่งนู้นทำจากไม้แบ่งเป็นช่องๆ ทุกช่องมีตะกร้าสำหรับใส่ของ แต่ฝั่งนี้เป็นชั้นเหล็ก แต่ละช่องมีกุญแจพร้อม กว้างพอยัดเป้ทั้งใบเข้าไปได้ (เพราะเจ้านี่ล่ะมั้ง ห้องน้ำฝั่งนี้เลยดูแคบกว่า)   

เราใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นานครับ แต่มาเสียเวลาตรงล้างเครื่องสำอางไม่ออก!

“พอๆ หน้าถลอกหมดแล้ว”

“ก็มัน…” คำพูดถูกขัดขวางเมื่อโดนผ้าขนหนูโบะหน้า ก็ได้แต่รับมาเช็ดน้ำออก

“สงสัยเป็นแบบกันน้ำ”

“มึงรู้ได้ไง?”

“แม่กูเคยใช้”

พาร์บอกระหว่างเก็บของลงเป้ แถมยังช่วยเก็บเสื้อผ้าที่ผมถอดออกพับลงถุงให้ด้วย

“ไปได้แล้วมั้ง นี่เกือบสิบสองนาทีแล้ว”

ผมจำใจเดินตามหลังพาร์ที่คล้องเป้กับไหล่เดินนำหน้า เหยียบย่างเข้าสู่สนามบาสปุบ พวกผมตกเป็นเป้าสายตาประชาชีทันที กลางสนามบาสมีหลายคนยืนอยู่…โฆษก พี่นัน พี่ดิน พี่น้ำ ผู้ช่วยกรรมการทั้งสอง ไม่ค่อยคุ้นหน้าอีกสองสามคน ผมมองรอบๆ แปลกใจที่คนในโรงยิมไม่น้อยลงเลย

…ไม่ใช่ว่ารอผมกลับมาหรอกนะ   

“มากันแล้ว ใช้เวลานานจัง หลงทางหรือไง?” พี่นันเท้าเอวใส่

“ขอโทษครับ พอดีพวกเรา…” พาร์กำลังจะพูด แต่โดนพี่โฆษกพูดขัด

“เสียเวลามากพอแล้ว เริ่มทำพิธีมอบตัวต่อดีกว่า ใครโดนเลือกไว้ล่ะ?”

คณะนิติเงียบฉี่ พี่โฆษกเลยหันไปมองคนแต่งตั้ง

“ใครวะดิน?”

“เด็กปี1 ชื่อเมธิชัย แต่ไม่รู้หายหน้าไปไหน โทรไปก็ไม่รับสาย”

“อ้าว…”

เป็นพาร์ที่ตอบคำถาม “ขี่มอเตอร์ไซค์ไปโรงพยาบาลแล้วครับ”

เฮ้ย! ไอ้ยักษ์นั่นเรอะ?!

“อ้าว งั้น…”

“เอาพาร์แทนได้ไหมพี่!”

ผมพูดโพล่งออกมา ไม่สนใจทุกสายตาที่หันมองผมเป็นตาเดียว นาทีนี้สมองคิดทำยังไงก็ได้ที่ผมไม่ต้องจับคู่ไอ้กับยักษ์นั้น! เมื่อรอบข้างยังเงียบ ผมเลยแจกแจงเหตุผลยาวเหยียด พูดโน้มน้าวเต็มที่ “ผมสนิทกับพาร์มากกว่า น่าจะทำงานรวมกันได้ดีกว่าคนไม่รู้จัก อีกอย่างไม่ต้องเสียเวลาทำความรู้จักใหม่ด้วยครับ”

“นั่นสิๆ” พี่โฆษกพยักหน้ายิ้มๆ แววตาพราวระยับเหมือนขบขัน “ทางนิติว่าไง”

“ด้วยอำนาจประธานปี4 ผมขอถอนคนเก่าออก และแต่งตั้งนายภควัติเป็นตัวแทนคณะตั้งแต่วินาทีนี้”

คำตอบมายาวเหยียด แถมพี่ดินยังจับบ่าพาร์ พูดสั้นๆ “พี่ขอฝากด้วยนะ”

ผมเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เหลือบมองเพื่อนที่กำลังทำหน้านิ่ง แต่แววตาจ้องคาดโทษใส่ก็แอบรู้สึกผิด…เอาไว้ผมจะชดเชยให้ทีหลังแล้วกัน

“แล้วทางอีคอนขัดข้องไหมครับ?” พี่โฆษกถาม

“ไม่ค่ะ”

…พี่นันยิ้มกว้างมากครับ

“โอเค งั้นผมในฐานะประธานปี4 คณะรัฐศาสตร์ มาเพื่อเป็นพยานแต่งตั้งสามีและสะใภ้คณะ และเป็นตัวแทนส่งมอบลูกสาวจากคณะเศรษฐศาสตร์ให้แก่นิติศาสตร์”

ผมสะดุ้งเมื่อโดนพี่โฆษกจับมือผมไปวางบนมือพาร์ที่โดนพี่เขายกขึ้นมาเหมือนกัน

“หลังจากนี้พวกเธอจะเป็นตัวแทนผูกสัมพันธ์ระหว่างสองคณะ จะทำอะไรก็คิดถึงส่วนรวมเข้าไว้ล่ะ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของคนสองคนอีก แต่ถ้ามีปัญหาส่วนตัวก็เคลียร์กันดีๆ อย่าทำให้เสียไปถึงส่วนรวม แค่นี้แหละ”

แปะๆๆ เสียงตบมือต่อเนื่องดังก้องทั่วโรงยิม

ผมขมวดคิ้วสงสัย คิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่พิธีมันดูรวบรัดชอบกล รอจนเสียงตบมือเงียบลง รุ่นพี่รัฐศาสตร์ก็อ้าปากเอ่ยถาม

“แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู อยากได้อะไร?”

ฮะ?

สมองเกิดอาการมึนงงกะทันหัน…หมายความว่าไงครับ?

แต่พาร์กลับตอบเสียงดังฟังชัด “สร้อยข้อมือครับ”         

“ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม จัดการสั่งทำ แล้วส่งให้สองคนนี้ด้วย หมดหน้าที่ผมแล้ว ขอตัวล่ะ”

พี่ปี 4 จากรัฐศาสตร์ ผู้มาเป็นโฆษกประจำงาน กรรมการการแข่งบาส พ่วงด้วยตำแหน่งพยานและแต่งตั้งสามีสะใภ้คณะ เดินจากไปอย่างเท่ ท่ามกลางเสียงตบมือของทุกคน

ผมมองตามแผ่นหลังเฮียแกไปด้วยอารมณ์บอกไม่ถูก…โดนสองคณะใช้งานได้คุ้มค่ามากครับ

งานนี้พี่แกได้ค่าตัวหรือทำฟรีหว่า?

หมับ!

เฮ้ย!!

ผ…ผมถูกพี่ดินดึงตัวไปกอด!

“ยินดีต้อนรับนะไอ้น้อง”

ฮะ?

“ค…ครับ” ผมตอบรับ หลังโดนปล่อยตัว แอบเหล่มองข้างๆ พาร์โดนพี่นันสวมกอดเหมือนกัน (มิน่า พี่นันถึงได้ยิ้มกว้าง) ผมเซถลาตามแรงดึงข้อมือ มองคนดึงงงๆ

พี่ดินจูงมือพาผมออกเดินไปเรื่อยๆ แรกๆ ไม่เข้าใจ จนสักพักถึงได้รู้

“…พี่ดิน”

“หือ?”

“ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์หายากที่ถูกพี่จูงออกมาโชว์ตัวเลยอ่ะ”

“พรืด…” พี่แกปล่อยหัวเราะ ฉีกยิ้มอารมณ์ดีมากกว่าเก่า “เข้าใจปล่อยมุข”

ผมพูดจริงจังต่างหาก!

คิดแล้วก็อยากถอนหายใจแรงๆ ไม่มีใครเข้าใจเลยวุ้ย

หลังเดินโชว์ตัวครบทุกด้าน พี่ดินก็พาไปส่งถึงด้านนอกอย่างดี พาร์ตามมาสมทบที่หลัง คนนี้ก็โดนพี่นันควงแขนเดินโชว์ตัวเหมือนกัน

“ไว้เจอกันวันจันทร์นะน้องๆ” พี่ดินพูดลายิ้มๆ

ตามด้วยพี่นันที่โบกมือให้ “บ๊ายบายจ๊ะ กลับบ้านกันดีๆ นะ”

ยังไม่ทันขานรับ ประตูโรงยิมก็ดึงปิด ด้วยความสงสัยผมเลยเดินไปเปิดประตูดู…ล็อกครับ

“แปลกวะมึง…นี่เราโดนไล่ออกมาก่อนใช่ปะ?”

“เห็นๆ อยู่”

“ทำไมวะ?”

“ถ้ารู้กูคงไม่ทำหน้างงแข่งกับมึง”

ผมย่นคิ้วมองพาร์…พึ่งสังเกตว่าในมือเพื่อนหิ้วถุงใส่เสื้อคลุมอาบน้ำอยู่

“มึงไม่ได้ทิ้งไว้ในห้องน้ำ?”

“ไม่ใช่ต้องเอาไปคืนรุ่นพี่มึงเรอะ?”

ผมเงียบ พาร์เงียบ

“…เอาไปโยนทิ้งไว้ท้ายรถก่อนแล้วกัน”

พาร์ผงกหัว “ความคิดดี…แล้วมึงควรไปเปลี่ยนรองเท้าที่รถด้วย”

ผมก้มมองอวัยวะส่วนล่างสุด สลิปเปอร์สภาพเยิ่นๆ กระแทกเข้าตาเป็นอย่างแรก

เออวะ ผมใส่ติดเท้าเดินไปเดินมาเฉย

…ก็นุ่มสบายเท้าดีนะครับ

ระหว่างเดินกลับไปที่รถ ผมโดนคนข้างๆ โบกหัวจนเจ็บจี๊ด

“อะไรวะ?!”

“ทำโทษมึง”

หน้าพาร์ทะมึนมาก ผมเลยสงบเสงี่ยมอย่างยอมรับผิด นี่มันพึ่งหายมึนงง แล้วนึกขึ้นได้ใช่ไหม?

กุญแจรถยังอยู่ที่พาร์ ผมเลยเปิดประตูข้างคนขับขึ้นไปนั่ง พาร์ออกรถตามปกติ ต้องมารอลุ้นหลังออกนอกมหาลัย ผมค้นพบว่าพาร์จะขับรถเร็วสองกรณีคือ รีบมากกับอารมณ์หงุดหงิดสุดขีด หลังลุ้นตัวเกร็ง ผมก็ผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่

…ไม่เร็วท้านรก แต่แผ่รังสีบ่งบอกอารณ์ไม่ค่อยดี จนในรถบรรยากาศอึกครึ้มพอประมาณ

ผมทนอยู่สักพักใหญ่ๆ ก็เอ่ยชวนหลังนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

“…ไปวัดกันไหม?”

รถเบรกเอี๊ยดกะทันหัน ดีที่ว่ารถกำลังจะติดพอดี คือมึงค่อยๆ เหยียบเบรกได้ไหมวะ   

“มึงว่าอะไรนะ!”

“กูชวนไปวัด” ผมมองพาร์มึนๆ มันตกใจอะไร?

“มึงจะ…วัด?”

ผมงงหนักกว่าเก่า จะเว้นช่องไฟทำเผื่อ แต่ก็ตอบไป “เออ”

พาร์ทำหน้าปั้นยาก “คือ…กูเข้าใจมึงนะ แต่ถึงทำอย่างนั้นก็ไม่ช่วยให้มึงรอดพ้นคำว่าสะใภ้คณะหรอก”

ผมถอนหายใจ “กูรู้ แต่กูก็อยากไปวัดอยู่ดี”

พาร์เลียริมฝีปาก ทำหน้าลำบากใจยิ่งกว่าเก่า “งั้น…รอกลับบ้านก่อนแล้วกัน”

ผมมองหน้าพาร์งุนงงสุดขีด ทำไมต้องรอกลับบ้าน? ให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้เรอะ?...นี่ผมชวนมันไปทำบุญนะ ไม่ได้ชวนไปเล่นอะไรโลดโผน มันเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ย?

แต่ดีอย่างครับ พาร์ไม่แผ่รังสีไม่สบอารมณ์ใส่ผมแล้ว

ผมทำหน้างง เมื่อพาร์เลี้ยวรถเข้าห้างสรรพสินค้าใกล้โรงเรียนของสองสาว

“ไหนว่าจะไปรับน้อง”

“เด็กพวกนั้นมาเดินเที่ยวที่นี่”

อ้อ สงสัยทนอุดอู้ในโรงเรียนต่อไม่ไหว

หลังหาที่จอดได้เรียบร้อย ผมก็คว้ากระเป๋าตังค์กับมือถือติดตัวลงมา พาร์ก็เหมือนกัน หยิบแค่สองอย่าง แล้วทิ้งเป้ไว้ในรถ อ้อ ผมเปลี่ยนรองเท้าแล้วนะ อย่าคิดว่าผมจะกล้าใส่สลิปเปอร์เดินเข้าห้าง หน้ายังไม่หนาพอครับ

พอเดินเข้าตัวห้างปุบ สายตามากมายต่างจ้องตรงมา ผมชินนะ เจอบ่อยๆ เวลามากับคนหน้าตาดี…ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมครับ กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ของผมมีคนหน้าตาดีมากอยู่ถึงสี่คน (ทั้งที่ตอนเด็กๆ ไม่เห็นฉายแววว่าจะหล่อ) ผมเลยไม่เกร็ง หันไปคุยกับพาร์ตามปกติ

“นัดน้องไว้ที่ไหน”

มันกดพิมพ์ไลน์พักหนึ่งก็ตอบ “กินไก่ทอดอยู่ ขึ้นไปหาได้เลย”

ผมชะโงกดูหน้าจอ กะแล้ว ยัยน้ำบอกชื่อร้านกับชั้นมา ตามด้วยรูปไก่ทอดของผู้พัน แต่น้องสาวบอกชั้นผิดครับ เล่นบอกชั้นสูงสุดที่เป็นโรงหนัง สงสัยเจ้าตัวจะลงไปแถวใต้ดินมา แล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปร้านอาหาร เลยนับชั้นเกินไปสองชั้น เบอร์ดี้ก็ไม่แย้ง สมแล้วที่เป็นพวกหลงทางในห้างเหมือนกันทั้งคู่

“ชักอยากพาน้องมาปล่อยทิ้งในห้างสักครึ่งวัน...”

พาร์ดีดนิ้วใส่หน้าผากผม โทษฐานคิดแกล้งน้อง

“ได้ร้องไห้กันพอดี”

“เพื่อจะจำทางอะไรขึ้นมาได้บ้าง”

“เดี๋ยวโตกว่านี้ก็เริ่มหัดจำทางเองแหละ”

ผมหัวเราะในคอ ระหว่างเดินข้างพาร์ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบน “กลัวว่าสิบเจ็ดแล้วก็ยังหลงในห้าง…ถ้าเป็นงั้นจริง ความผิดมึงเลยนะ”

พาร์มองผม สายตาสงสัย ผมเฉลยให้

“เพราะมึงขัดขวางกู น้องเลยไม่ได้เรียนรู้ทิศทางด้วยตัวเอง”

“งั้นรออายุสิบห้าก่อน ถ้ายังจำทางไม่ได้ ค่อยใช้แผนของมึง”

“อีกสามปี…น่าจะไม่สนุกแล้ว”

“เหอะ หางโผล่แล้วมึง”

ผมหัวเราะ “ก็ได้ๆ กูอยากแกล้งด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็อยากให้หัดจำทางไว้ เผื่อไม่มีเรา น้องจะได้ดูแลตัวเองได้บ้าง ไม่ใช่ อะไรๆ ก็พี่ชายเหมือนทุกวันนี้”

“กูชอบแบบตอนนี้มากกว่า เพราะถ้าเป็นอย่างที่มึงว่า กูคงบ่นเหงา”

“เดี๋ยวมึงมีแฟนขึ้นมา กูจะหัวเราะให้”

“ทำไม?”

ผมเลิกคิ้ว “ไม่เคยมีแฟน?”

พาร์ส่ายหัว ไม่น่าเชื่อว่าจะครองตัวโสดจนถึงตอนนี้ ผมนึกว่าอาจเคยมีแล้วสักคนหรือสองคนซะอีก เพราะประเภทแบบพาร์ จะคบใครสักคนใช้เวลาคิดนานแน่ๆ พอคบแล้วก็คงนานเป็นปีๆ และคงไม่น่าบอกเลิกก่อน นอกจากฝ่ายหญิงทนไม่ไหวบอกเลิกเอง

“มึงติดน้อง?”

“ก็เหมือนมึง”

ผมหัวเราะ “กูห่างจากน้องได้ เดี๋ยวช่วงใกล้สอบ กูจะทิ้งน้องไปนอนบ้านย่า มึงล่ะจะเอาไง?”

“หมายความว่า มึงจะอยู่บ้านแค่อาทิตย์หน้า แล้วจะหายหน้าไปเลยจนกว่าจะสอบเสร็จ”

“อาจนานกว่านั้น เป็นเดือน ไม่ก็เดือนนิดๆ เพราะกูกะหนีเที่ยวต่อ” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำตัวอิสระทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม เพราะกลับไปให้เห็นหน้าปุบ จะโดนเกาะเป็นตังเมปับ หนีเที่ยวไม่ได้อีกแล้ว นอกจากขนน้องไปด้วย”

“ช่วงปีใหม่มึงจะไม่อยู่กับครอบครัว?”

“แล้วแต่ บางปีก็อยู่ บางปีก็ไม่…แต่ปีนี้จะไม่อยู่ กูไม่ได้เจอเพื่อนเก่าแก่สมัยมัธยมนานแล้ว เลยว่าจะไปกับพวกนั้น ส่วนมึง ถ้าอยากใช้ชีวิตวัยรุ่นก็ตามกูไป แต่ถ้าอยากอยู่กับน้องก็ไม่ต้อง กูบอกมึงแค่นี้แหละ อ้อ นี่เป็นความลับ ห้ามหลุดให้คนที่บ้านรู้เด็ดขาด”

“มึงจะหนีเที่ยวไม่บอกพ่อแม่ด้วย?”

“เปล่า รอออกมาก่อน ค่อยโทรไปบอกพ่อทีหลัง ขืนบอกที่บ้านเดี๋ยวน้องรู้ น้องๆ เราหูดีจะตาย ความรู้สึกไวด้วย”

ผมกับพาร์เงียบ จนถึงบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปชั้นสาม

“กูไปด้วย”

“หือ?”

“ถ้ากูไม่อยู่ เบอร์ดี้ก็ต้องอยู่คนเดียว สมัยก่อนกูเลยไม่ได้ทำอะไรแบบที่เพื่อนๆ ทำกัน ยกเว้นตอนไปเรียนต่างประเทศ บอกตามตรง ตอนนี้คิดถึงช่วงเวลาอิสระนั่นเหมือนกัน เพราะงั้นกูจะไปกับมึงด้วย”

อ้อ เพราะเบอร์ดี้อยู่บ้านผมแล้ว พาร์เลยไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลอีก

ผมพยักหน้าหงึกๆ ลดเสียงลง “งั้นศุกร์หน้าแอบกลับมาเก็บเสื้อผ้าตอนเที่ยงที่บ้าน แวะไปดูน้องอันเล่นละคร แล้วค่อยไปบ้านย่ากู”

“นี่มึงจะไม่อยู่บอกรักพ่อเรอะ”

“กูทำการ์ดทิ้งไว้ให้พ่อทุกปี เพราะตอนเด็กๆ กูไม่ได้อยู่กับพ่อ โตมาแล้วกูเลยไม่สะดวกใจถ้าจะอยู่ให้การ์ดกับมือในวันพ่อวะ เลยชอบแอบหนีไปนู้นนี่ในวันพ่อประจำ อีกอย่าง…พ่อทำหน้าเศร้าตอนกูไม่ให้การ์ด ทั้งที่ปีนั้นกูอยู่ตรงหน้าเขาแท้ๆ หลังจากนั้นกูเลยทิ้งการ์ดให้ตลอด แต่ตัวกูไม่เคยอยู่ ก็เห็นพ่อดูมีความสุขดีนี่”

“…มึงเสียใจใช่ไหม”

“ก็นิดหน่อย” ผมยิ้ม “แต่ก็เข้าใจ เขาได้แบบนั้นทุกปีเลยชิน พอไม่ได้เลยเศร้า กูเลยถือว่าวันนั้นเป็นวันอิสระ ให้น้องๆ อยู่อ้อนพ่อซะให้พอ เพราะถ้ากูอยู่ด้วย บางทีน้องก็มาขลุกอยู่กับกูมากกว่าเขา”

“แล้วมึงไม่อยากอ้อนพ่อหรือไง?”

“ไม่นะ มันเลยวัยนั้นมาแล้ววะ” ผมหยุดคิดสักพักก็บอกพาร์ “วันพ่อน่ะ ไม่ใช่สื่อถึงผู้ให้กำเนิดอย่างเดียว แต่ความหมายลึกกว่านั้น มันหมายถึงผู้เลี้ยงดูเรามาด้วย เพราะงั้นวันพ่อหรือวันแม่กูจะไปอยู่บ้านย่ามากกว่า”

“แล้วมึงก็ทิ้งแค่การ์ดให้พ่อกับแม่แค่นั้น?”

“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสิ” ผมลากพาร์มานั่งตรงที่เขาจัดไว้ให้ ไม่ไกลจากบันไดเลื่อนเท่าไหร่ “คืองี้กูจะเขียนถ้อยคำจากใจลงการ์ดประจำ แต่กูไม่เคยพูดออกมา ถ้าเขาได้ตัวกู เขาจะไม่ได้ถ้อยคำพวกนั้น เพราะกูจะไม่เขียนลงการ์ดส่งให้แน่ๆ มันน่าอายออก ส่วนบ้านย่า พวกเขาอยากได้ตัวกูมาอยู่ข้างๆ มากกว่าถ้อยคำจากใจในการ์ด อธิบายแบบนี้มึงเข้าใจยัง?”

“ก็พอเข้าใจ แต่ก็…”

ผมยิ้มให้เพื่อนที่ดูจะสับสน อธิบายเพิ่มอย่างใจเย็น

“บ้านย่าได้กอดกูตั้งแต่เด็ก แต่พ่อกับแม่ไม่ เขาได้ถ้อยคำประโลมจิตใจจากกูมาตลอดเลยรอคอยมันทุกๆ ปี เพราะมีกูแค่คนเดียวที่เขียนให้แบบนั้น แล้วถ้าเขาอยากได้ความอบอุ่นก็กอดน้องๆ แทนได้ ตรงข้ามกับบ้านย่าที่มีแค่กู เขาเลยอยากได้ตัวกูไปอยู่ข้างๆ พูดคุย กอดกัน กินข้าวด้วยกัน มากกว่าอยากได้การ์ดที่มีถ้อยคำในใจเพียงใบเดียว”

“แต่ปู่ย่ามึงอยู่ต่างประเทศ”

“อือ”

“…จะกลับมา?”

“เปล่า แต่กูก็จะไปที่นั่นเหมือนทุกปี มันเป็นความเคยชินของกูเหมือนกัน”

พาร์พ่นลมหายใจ “บ้านมึงเข้าใจยากวะ”

“ก็นะ” ผมยักไหล่  “ไปเถอะ น้องบ่นแย่แล้วมั้ง” 

ผมกับพาร์เดินอ้อมไปอีกฝั่ง เตรียมขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสี่

“…ถ้ากูจะไปกับมึง กูต้องเตรียมของให้พ่อล่วงหน้าใช่ไหม”

“ทุกทีทำอะไรให้ลุงแทนล่ะ?”

ผมถาม อยากรู้ว่าบ้านอื่นเป็นแบบไหน

“ส่วนใหญ่ก็…ทำขนมเค้กไว้ฉลองกันน่ะ”

“งั้นเหรอ ต้องกินข้าวพร้อมหน้าด้วยไหม?”

“อื้อ บางทีทำกินเองที่บ้าน ไม่ก็ไปกินข้าวนอกบ้าน”

“แบบนี้ก็แย่สิ มึงพึ่งกลับประเทศมาด้วย ค่อยตามกูไปทีหลังก็ได้นะ”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวน้องร้องตามไปด้วย อีกอย่าง กูว่าปีนี้จะทำอะไรใหม่ๆ ให้พ่อบ้าง ทำแบบเดิมๆ ซ้ำพ่อก็รู้ทันหมดแล้ว พ่อกูชอบอะไรที่มันคาดไม่ถึงน่ะ”

“อ้อ งั้นก็ตามใจ”

เราหยุดคุยเรื่องของอนาคตไว้แค่นั้น ร้านจุดหมายอยู่ข้างหน้า ช่วงเย็นๆ ในร้านคนเริ่มเยอะ มองหาไม่นานก็ต้องผงะ รีบสะกิดคนข้างๆ อย่างไว

“อะไร?”

“เอ่อ กลุ่มตรงนั่น น้องเรา?”

“เออ นั่นแหละ”

“กี่คนวะนั่น?”

“แปด ไม่รวมน้องก็หก มึงนับเองไม่เป็นหรือไง”

“กูนึกว่าตาฝาด…ถอยก่อนได้มะ”

“ทำไมวะ?”

“กูขอไลน์ถามน้องก่อนว่าต้องจ่ายให้หรือเปล่า เผื่อตังค์ไม่พอ จะได้ไปเบิกทัน”

พาร์ตบหัวผมครับ “แหกตาดูดีๆ น้องสั่งมานั่งกินกันแล้ว มึงไม่พร้อมเจอเพื่อนน้องก็บอกมา”

“ก็มึงเคยบอกว่า เป็นสาววายทั้งกลุ่ม”

“ใช่ แล้วใครบางคนแถวนี้ก็บอกว่าไม่ควรหลบหน้า”

“เฮ้ย ไม่เคยพูด”

“มึงไม่พูดประโยคแบบกู แต่มึงเคยพูดแนวๆ นั้น”

“และกูจำได้ว่ามึงบรรยายกลุ่มน้องได้น่ากลัวโคตร ถึงกูจำไม่ได้แล้วว่ามึงพูดอะไรไปบ้างก็เถอะ”

“นั่น น้องโบกมือให้แล้ว มึงหมดสิทธิ์หนีแล้ว”

############

ตอบ: คุณ BlueCherries ยังไม่ถึงค่ะ เรื่องนี้มีทั้งหมดประมาณเกือบหกสิบตอนค่ะ ส่วนแต่ละตอนจะสั้นยาวไม่เท่ากันอยู่ที่ตัวเนื้อหาในตอนนั้นๆ ค่ะ เลยทำให้แต่ละตอนสั้นยาวแตกต่างกันไป
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-09-2016 18:13:44
ทั้งกลุ่มด้วย ตายแน่ๆ 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 16-09-2016 19:50:57
เพิ่งได้อ่าน เพราะสะดุดกับชื่อเรื่อง

แหมะสองหนุ่นมนี่โคตรจะมุ้งมิ้ง. อยากรวมกลุ่มกับแก๊งน้องสาวจังเลยยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-09-2016 21:02:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 16-09-2016 21:19:31
ตายยๆๆๆ เข้าดงละ รอดยากกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 16-09-2016 22:32:04
เอ ทำไมพายเลือกสร้อยข้อมือ?

ปกติถ้าสร้อยคอน่าจะหลบๆได้ดีกว่านะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่12] P.3 (16/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 16-09-2016 22:58:56
เป็นสะใภ้คณะแค่นี้ถึงกับต้องชวนพาร์ไปวัดเลยหรอคะที? กร๊ากกกก
ไปเจอน้องๆทั้งกลุ่มนี่เด็ดแน่นอน อยากได้พี่ชายแบบทีกับพาร์แล้วสิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 18-09-2016 16:41:54
บทที่ 13
(น้ำ)

สวัสดีค่ะ น้ำเอง

ตอนนี้น้ำอยู่กับเพื่อนๆ ที่อยากตามมาดูพี่ชายของเรา แบบว่าโม้ไปเยอะค่ะ แต่พอพี่ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ปุ๊บ ฝ่ายน้ำกลับโดนเซอร์ไพรส์ซะเอง

พี่ชายของน้ำแต่งหน้า!

กำลังจะอ้าปากถาม พี่พาร์ก็ยกนิ้วแตะริมฝีปากให้เงียบไว้

โอเคค่ะ…ขอน้ำตั้งสติแปบ

“จ้องหน้าพี่ทำไม?”

รีบส่ายหัวขวับๆ ให้พี่ที ก็น้ำไม่นึกว่าแค่ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอาง พี่ชายแท้ๆ จะน่ารักขึ้นขนาดนี้ ใจเริ่มเอนเอียงอยากให้พี่พาร์เป็นฝ่ายรุกขึ้นมาเลย แต่นิสัยพี่ทีแมนกว่าอ่ะ ตัดสินใจลำบากจัง

“สวัสดีอีกครั้งครับน้องๆ” พี่พาร์เอ่ยทักทาย   

“ไม่ใช่พึ่งเจอหน้า..?”

มีกระซิบถามกันด้วย แต่พี่จ๋า น้ำได้ยินนะ แบบว่าฝึกมานาน

“คุยทางโทรศัพท์ตอนอยู่โรงพยาบาล”

พี่ทีเตะขาพี่พาร์เฉยเลย สีหน้าพี่จ๋าแลดูหงุดหงิด

“ไม่ทักน้องๆ ล่ะ”

หลังโดนเตือน พี่ทีรีบคลายสีหน้า คลี่ยิ้มสว่างไสวส่งผลให้รอบด้านสดใสโดยพลัน...

“สวัสดีสาวน้อยทั้งหลาย”

...พี่จ๋า เพื่อนน้ำติดสตันกันหมดแล้ว ก็นะ คนหนึ่งดันหล่อมาก อีกคนก็ยิ้มได้สุดยอด คนเคยชินอย่างน้ำกับเบอร์ดี้เลยต้องช่วยสะกิดปลุกเพื่อนๆ จนได้สติทุกคน แล้วค่อยพูดแนะนำ

“หกคนนี้เพื่อนพวกเราที่โรงเรียนค่ะ ส่วนทางนี้พี่ชายพวกฉันเอง” ขยับมือไปทางพี่ๆ ทีละคน “คนนี้พี่ที คนนี้พี่พาร์”

“สะ สวัสดีค่ะ”

เพื่อนๆ เสียงตะกุกตะกักมาก แต่พี่ทั้งสองพากันยิ้มรับไม่ถือสา 

ตอนนี้สายตาน้ำโฟกัสแต่พี่ชาย มองพี่พาร์สะกิดพี่ทีให้ดูโต๊ะว่างข้างๆ ที่พึ่งมีคนลุกไป พากันเดินไปยกช่วยโต๊ะมาต่อกับโต๊ะพวกเรา พี่ทีเรียกพนักงานให้ช่วยเก็บโต๊ะ ก่อนวกกลับมาช่วยพี่พาร์ยกเก้าอี้

“จะกินอะไรไหม?” พี่พาร์ถาม

พี่ทีพึ่งหย่อนก้นนั่งถึงกับชะงักเลยค่ะ

“หิว?”

“นิดหน่อย กลางวันกินข้าวไปนิดเดียว กลัวจุกตอนลงสนาม”

สนามอะไรหว่า…

“งั้นซื้อแค่ชุดบ็อกเซ็ตมาแบ่งกัน ยังไงตอนเย็นต้องพาน้องๆ ไปกินข้าวอยู่ดี”

อยากอ้าปากแย้งจัง ที่กินอยู่ตอนนี้ก็ทำพวกน้ำอิ่มถึงพรุ่งนี้แล้ว

แต่มันติดตรงที่พี่ทั้งสองคนจะซื้อมาแบ่งกัน (เสียงเอคโค่ในหัว)

โอ๊ย จินตนาการพุ่งกระฉูด

พี่พาร์พยักหน้า เดินผละไปซื้อของกิน ส่วนพี่ทีกวาดสายตามองทางนี้ ดันเผลอหลบตาซะงั้น

เอ่อ น้ำไม่ได้ตั้งใจนะ แบบว่ายังไม่ชินกับใบหน้าพี่จ๋าตอนนี้อ่ะ

พอมองคนอื่นๆ พบว่าหลบตากันเป็นแถว สีหน้าแต่ละคนดูเขินๆ แม้แต่สาวห้าวคนเดียวของกลุ่มยังแก้มแดงๆ ถึงเราไม่ปริปากพูด แต่ในไลน์กลุ่มข้อความกระหน่ำมาก

ฮันนี่ใครว่าหวาน: พี่ทีเนี่ย พี่ชายแน่นะ ไม่ใช่พี่สาว
Nam: พี่ชายของแท้ ผู้หญิงที่ไหนจะสูงเท่าพี่ฉัน
ถึงเป็นนกก็นกตัวผู้: พวกแกควรอายนะ พี่เขาน่ารักกว่าพวกแกอีก
ดูๆ ไปมีส่วนคล้ายน้ำไม่น้อย อนาคตเพื่อนเราคงน่ารักแบบนี้…ฉันจีบแกตอนนี้ทันปะ

Nam: 555 เสียใจยะ ถ้าฉันจะมองคนเพศเดียวกัน ตัวเลือกแรกคงเป็นเบอร์
Birdie: สติกเกอร์หมีถอนหายใจ
Birdie:  อย่าเลยจิ๊บ ขืนเอาน้ำเดินทางสายนี้ มันคงผันตัวไปเป็นคู่แข่งแกแทน เสียดายความน่ารักที่มันมีติดตัวหน่อย
ถึงเป็นนกก็นกตัวผู้: จะบอกว่ามันแมนกว่าฉัน
Birdie:  ตอนแรกไม่คิด แต่พึ่งเห็นชัดตอนได้อยู่โรงเรียนหญิงล้วนนี่แหละ
Nam: (ยืดอก) พี่ชายฝึกมาดี…แต่เบอร์ไม่ไหวนะ พี่พาร์โอ๋มากไปหน่อย คุณหนูมาก

Birdie: สติกเกอร์มองค้อน
Birdie: ไม่ได้พูดถึงเรื่องใช้แรงซะหน่อย
เตี้ยแล้วไง: พอๆ ไปทะเลาะกันเองรอบนอก มาว่าด้วยเรื่องพี่ชายของพวกแกกันต่อ
ฮันนี่ใครว่าหวาน: เห็นด้วย
Nam: ว่ามา

พิมพ์ไปก็สงสัยไป เพื่อนจะถามอะไร

เตี้ยแล้วไง: พี่เขาคบกันจริงๆ หรือเป็นแค่เรื่องจิ้น…?

ตรงประเด็นมาก งั้นเอาคำตอบแนวเดียวกันไปเลย

Nam: ตอนนี้อย่างหลัง แต่ต่อไปมันต้องเป็นแบบแรก!

สติกเกอร์ถูกใจมารัวๆ

ถึงเป็นนกก็นกตัวผู้: หยุดๆ พวกแกอย่าพึ่งมโนมาก สงสารพี่เขาหน่อย

โดนสาวห้าวเบรก ก็ได้ส่งสติกเกอร์ถอนหายใจกับโอเคไปให้
เพื่อนๆ ก็รัวสติกเกอร์กันมา เป็นอันตกลงว่าจะไม่ออกนอกหน้าให้มากนัก

ฟ้าใส: เดี๋ยวนะ น้ำกับเบอร์เข้าวงการวาย เพราะพี่ชาย?’
Nam: ช่าย
Birdie: สติกเกอร์ช่าย
ฟ้าใส: ตั้งแต่เมื่อไหร่
Nam: ประถมมั้ง

มีเบอร์ดี้ช่วยขยายความเพิ่ม

Birdie: เราคุยเรื่องพี่ชายกันบ่อยๆ จิ้นว่าถ้าพี่ชายสองคนอยู่ด้วยกันจะเป็นยังไง รูปแบบไหน
แต่มาเจอหนทางสว่างจริงๆ ก็ตอนได้เจอพวกแก
Nam: ช่ายๆ ตอนเห็นหน้าปกมังงะยาโอยที่พวกแกถือนะ แทบพุ่งเข้าใส่ แบบว่ามันใช่
สาวสายมังงะวาย: แต่ฉันไม่เห็นพวกแกสองคนสนใจ 3D คู่อื่นเท่าไหร่นี่
Nam: ไม่รู้ดิ มันไม่ฟินเท่าพวกพี่ชายอ่ะ แต่เห็นก็แอบมองนะ 555

สาวสายมังงะวาย: งั้นระหว่างมังงะเรื่องที่ชอบมากกับเรื่องพี่ชาย แบบไหนฟินกว่า
Nam: ตอบยาก บางทีพี่ๆ ก็ทำให้ขัดใจอ่ะ แต่ในมังงะไม่
Birdie: ถ้าตามจุดประสงค์หลัก พวกเราอ่านมังงะ ดูอนิเมะ ลามไปถึงอ่านนิยายวาย เพื่อพวกพี่
เพราะงั้นเราฟิน 2D เหมือนพวกแกก็จริง แต่บางทีก็น้อยกว่าตอนฟินเรื่องพี่อ่ะ

Nam: สติกเกอร์ชูนิ้วโป้ง
Nam: อย่างที่เบอร์บอก
สาวสายมังงะวาย: ไม่เข้าใจวะ
Nam: เอาน่า สังเกตดูเดี๋ยวก็เข้าใจ เนอะเบอร์
Birdie: สติกเกอร์พยักหน้า

พวกเราหยุดสนทนาผ่านไลน์แค่นั้น เงยหน้าปุ๊บเห็นพี่พาร์กำลังหย่อนก้นนั่งพอดี สายตาแลงุนงงระหว่างมองพี่ทีนั่งขมวดคิ้วฝั่งตรงข้าม แล้วกวาดมองมาทางนี้ น้ำทำได้แค่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ ก่อนก้มหน้าจิ้มเนื้อไก่ทอดเข้าปาก

…คงไม่เป็นไรมั้ง แค่น้องๆ หลบตา ไม่ชวนคุยเท่านั้นเอง

“เป็นไร? คิ้วจะชนกันอยู่แล้ว”

ได้ยินเสียงพี่ทีถอนหายใจ

ค่อยๆ ชำเลืองมองทีละนิด เห็นพี่ทีกำลังจ้องอะไรบางอย่างบนโต๊ะ เลยมองตาม  เจอถ้วยซอสจิ๋วสองใบตรงหน้า โธ่ ทำไมไม่กดใส่จานมาล่ะพี่พาร์ จะได้แบ่งกันจิ้ม เผื่อมีโมเมนต์หลังมือกระทบกัน หัวชนกัน…ไม่ก็ก้มหน้าเข้ามาใกล้กัน

“ซอสพริกผสมซอสมะเขือเทศ?”

พี่อ่ะ พูดขึ้นมาตอนนี้ทำไม ภาพในความคิดกระจายเลย

“ไม่ชอบ?”

“เปล่า” พี่ทีหยิบเฟรนซ์ฟรายจิ้มซอสเข้าปาก “แค่แปลกใจ ไม่คิดว่าทำเหมือนกัน…อ้อ ลืมไป ลุงแทนเป็นคนสอนนี่หว่า จะกินเหมือนกันคงไม่แปลก”

“เคยมากินกับพ่อ…เมื่อไหร่?”

“ตอนยังเด็ก”

พี่พาร์นิ่งไปสักพัก ก็พยักเพยิบใส่ของบนโต๊ะ “จะเอาอะไร?”

“ไก่”

หลังพี่ทีตอบ พี่พาร์ก็คว้าเบอร์เกอร์แกะเข้าปาก แล้วดูนั่น บ็อกเซ็ตชุดเดียวแบ่งได้เท่าเทียมสุดๆ คนหนึ่งได้เบอร์เกอร์ คนหนึ่งได้น่องไก่ชิ้นใหญ่ น่องไก่เล็กสองชิ้นก็แบ่งคนละอัน เฟรนช์ฟรายแบ่งกันกิน

แม้แต่น้ำยังดูดร่วมหลอดเลยอ่ะ!!

มือถือสั่น ก้มมองปุ๊บเจอข้อความโดนใจปั๊บ
ฉันคือสาววาย: อ้ายย! จูบทางอ้อมชัดๆ

สติกเกอร์เห็นด้วยเต็มไปหมด กดข้อความส่งตามไปติดๆ

Nam: เห็นปะ บอกแล้วว่าพี่ชายเนี่ยแหละ ฟิน..!
เตี้ยแล้วไง: ยะ แม่คนหวงพี่ ถึงว่าหวงจังเลย
ถึงเป็นนกก็นกตัวผู้: แบบนี้เรียกว่าหวงพี่ชายไว้ให้พี่ชายเพื่อน ฮิ้ว…
Birdie: 555 ไม่เถียง
Nam: มันคือความจริง

กลับมานั่งสังเกตการณ์พี่ๆ อีกครั้ง เอ…ก็รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกพี่แปลกไปนิดหน่อย ไม่รอช้ารีบพิมพ์ถามยืนยันผ่านไลน์ทันที

Nam: บรรยากาศรอบตัวพวกพี่เปลี่ยนไป รู้สึกเหมือนกันไหมเบอร์
Birdie: อือ กำลังแปลกใจอยู่
สาวสายมังงะวาย: ยังไงวะ?

เหลือบมองอีกหน หาคำมาบรรยายความรู้สึกตอนนี้ แล้วพิมพ์บอกเพื่อนๆ

Nam: มันละมุนละไมยังไงไม่รู้
เตี้ยแล้วไง: อย่าให้ฉันต้องแปลไทยเป็นไทย
ฟ้าใส: ยัยน้ำหมายถึงอ่อนโยนล่ะมั้ง
Nam: ไม่เชิง บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่แบบ…เอาเป็นว่าดีกว่าเมื่อเช้าแล้วกัน
ฉันคือสาววาย: แล้วตอนนี้ต่างจากเมื่อเช้ายังไง จุดประเด็นแล้วช่วยเคลียร์ให้หายข้องใจด้วย
Nam: เมื่อเช้ามันหยาบกระด้างกว่านี้อ่ะ
ฮันนี่ใครว่าหวาน: ไม่ต่างจากเดิมเลยยัยน้ำ
Birdie: น้ำอธิบายไม่ถูกหรอก เอาเป็นว่า…
Birdie: พวกพี่ๆ ดูสนิทสนมมากกว่าเมื่อเช้าแล้วกัน ตอนนี้เลิกถามแล้วมองพี่ๆ ต่อเถอะ

ขอบคุณที่ช่วยนะเพื่อนเลิฟ

ของกินตรงหน้าดูหมดความหมายทันที ได้เขี่ยเล่นไปมาระหว่างส่องพี่ๆ ฝ่ายพี่ชายกินเร็วมาก แปบเดียวก็กวาดลงท้องซะเรียบ

“ไปเติมน้ำนะ”

“เออ”

พี่ทีลุกจากโต๊ะ ได้โอกาสที่รอคอยมานาน น้ำรีบโผล่ถามสิ จะรออะไร

“พี่พาร์ ทำไมพี่ทีแต่งหน้าล่ะ?”

“กิจกรรมคณะ”

พูดแล้วยิ้มขำคืออะไรคะ?

“ทำไมถึงห้ามไม่ให้น้ำทักล่ะ”

“พี่แค่อยากแกล้ง…เสียดายทีเอากระดิ่งออกแล้ว ไม่งั้นเวลาเดินจะมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งด้วย”

“กระดิ่ง? ไม่เข้าใจค่ะ ขอคำอธิบายเพิ่ม”

“ก็…ทีโดนจับเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ เหมือนโดนจับแต่งคอสเพลย์นั่นแหละ”

คอสเพลย์...ภาพหูแมวติดกระดิ่ง ไม่ก็ปลอกคอกระดิ่งลอยวูบเข้ามาในหัว ตามด้วยภาพพี่ทีใส่ของพวกนั้น ร้องเมี้ยวทั้งแบบหน้าเซ็ง และแบบหน้ายิ้ม โอ๊ย…จะแบบไหนๆ ก็อยากเห็นอ่ะ!

“มีรูปไหม? น้ำอยากเห็น”

“เบอร์ด้วย” ท่าทางรายนี้จะคิดเหมือนกันแน่ๆ

“ตอนนี้ไม่มีหรอก”

ฟังแล้วก็หงอยสิ

“แต่คิดว่าเดี๋ยวก็มีคนแชร์ลงเน็ต ถ้าเจอ พี่จะเซฟเก็บไว้ให้ดู”

ความร่าเริงฟื้นคืนชีพ “สัญญาแล้วนะ!”

“รูปอะไร?”

โอ๊ะ คนถูกกล่าวถึงกลับมาแล้ว…แล้วนั่งลงข้างพี่พาร์เฉย

บะ แบบว่าก็เข้าใจนะ พี่ทีคงขี้เกียจแทรกตัวระหว่างโต๊ะไปนั่งฝั่งตรงข้าม เพราะพึ่งมีกลุ่มใหญ่ลากโต๊ะมาจับกลุ่มใกล้ๆ แต่น้ำน่ะจิ้นไปนู้นแล้ว

โฮก เหมือนแฟนนั่งคู่กันมากๆ ไม่พอ…มียื่นแก้วน้ำ ส่งต่อมือถึงมือ ปลายนิ้วสัมผัสกัน ตาสบตา     

“รูปกิจกรรมวันนี้ พวกน้องอยากเห็น”

แต่ไหงประโยคพูดถึงไม่โรแมนติกเลย น้ำเซ็ง

“มีคนถ่ายรูปเก็บไว้?”

“น่าจะมีมั้ง”

ดูพี่จ๋าทำหน้าเข้า สีหน้าบอกชัดเลยว่า ขอให้ไม่มี ฮ่าๆๆ มันต้องเป็นภาพที่พี่ทีคิดว่าน่าอายแหงๆ น้ำอยากเห็นชะมัด!

ก้มมองมือถือบนตักที่กำลังสั่น เพื่อนส่งข้อความมาในไลน์

ฉันคือสาววาย: แกๆ
เตี้ยแล้วไง: ทักคนไหนระบุตัวตนด้วย
ฉันคือสาววาย: น้ำกับเบอร์
Birdie: สติกเกอร์หมีขาวเอียงคอสงสัย
Nam: อาราย
ฉันคือสาววาย: ขอถามคำถามพี่ชายพวกแกได้ปะ?
Nam: ลองดูดิ

บอกปัดไป เพราะอยากสังเกตการณ์ต่อจะแย่

“หนูมีคำถามค่ะ”

สะดุ้งเลย ไม่นึกว่าเพื่อนกล้าทำจริง แต่พอสังเกตอาการเพื่อนดีๆ ภายนอกท่าทางขึงขังจริงจัง แต่แววตาดูสั่นไหวเหมือนกลัวโดนโกรธ

“ทำหน้าเหมือนกลัวโดนพี่กัดเลย ถามได้ครับ”

โธ่…พี่ที พูดแบบนี้เพื่อนน้ำก็ไม่เกรงใจสิ

“งั้นขอถามพี่ทีค่ะ ทำไมถึงคบกับพี่พาร์คะ?”

โอ้ ลูกตรง ทำพี่ทีชะงักเลยค่ะ

พี่จ๋า อย่าองค์ลงนะ เพื่อนน้ำแค่ถามแบบรวมๆ จะหมายถึงเพื่อนก็ได้ แบบแฟนก็ดี

…แล้วเอนตัวไปกระซิบอะไรกับพี่พาร์คะ

น้ำก็จ้องตาไม่กระพริบสิ เพราะ ช...ชิดมาก ไม่อยากบอก ขยับเข้าไปอีกนิด หอมแก้มเลยดีกว่าค่ะ

“คำถามเมื่อกี้…” พี่ทีพูดยิ้มๆ หลังผละออกห่างพี่พาร์ “ไม่รู้สิครับ รู้ตัวอีกทีก็สนิทกันไปแล้ว”

ขอน้ำอ้าปากค้างสักนิด อะไรดลใจให้พี่จ๋าตอบแบบนี้หนอ ฟังแล้วเคลิ้ม...ชะงักกึก หลังเห็นแววตาพี่ชายวิบวับแปลกๆ เหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้ง เอ่อ พี่คงไม่...

“ขอถามพี่พาร์ค่ะ คิดว่าวันนี้พี่ทีน่ารักไหม?”

คำถามแสนโดนใจจนทิ้งเรื่องตงิดใจเมื่อครู่ เพื่อมาลุ้นคำตอบ

“อืม”

มาคำเดียว แต่โดนใจกว่า! อ๊ายยย

“ขอถามพี่ทั้งสองคนค่ะ ชอบอะไรในตัวอีกฝ่ายคะ?”

พี่พาร์ตอบก่อน “ไม่เหมือนชาวบ้าน”

พี่พาร์จ๋า ทีหลังดูหน้าพี่ทีก่อนตอบนะ นิ่วหน้าไม่ชอบใจแล้วนั่น

“พี่ทีล่ะ”

ครุ่นคิดพักใหญ่ พวกน้ำกำมีดกำส้อม ลุ้นตัวโก่ง ขอคำตอบฟินๆ นะพี่ชาย

“ไม่รู้สิ แต่อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจดี”

ได้แต่กรีดร้องถูกอกถูกใจในหัว โอ๊ย อยากทุบโต๊ะ

“กรี๊ดดด” แว่วเสียงกรีดร้องเบาๆ เลยชำเลืองดู

…พี่จ๋า ทำน้ำกับเบอร์ดี้ฟินไม่พอ ทำเพื่อนน้ำที่อ่านแต่มังงะ ดูอนิเมะ ไม่เคยสนใจผู้ชายของจริง ฟินตามไปด้วยแล้ว แม้แต่หญิงห้าวคนเดียวของกลุ่มยังหลุบตาลง แก้มแดงเลยนั่น

สาวสายมังงะวาย: ฉันขอสมัครเป็นแฟนคลับพี่ชายพวกแกด้วยคน!
ฉันคือสาววาย: ฉันสมัครด้วย!
ฮันนี่ใครว่าหวาน: ด้วยคน
ตามด้วยสติกเกอร์อ้อนวอนมาอีกสอง
Nam: เข้าใจที่บอกแล้ว?
เตี้ยแล้วไง: จะรับไม่รับ ตอบมาแค่คำเดียว!

โอ๊ะ เหมือนโดนขู่

Nam: รับอยู่แล้ว
ฟ้าใส: พี่ๆ เอียงหัวกระซิบอะไรกันอีกแล้ว

รีบเงยหน้าดูทันที เห็นพี่ทีกระซิบบางอย่าง พี่พาร์ยิ้มขำยกใหญ่

โอ๊ย น้ำอยากรู้~ คุยอะไรกันอยู่คะ

“ขอถามบ้างค่ะ เวลาพวกพี่อยู่ด้วยกัน มักทำอะไรคะ?”

“ช่วยกันเลี้ยงน้องสิครับ”

พี่อ่ะ! ตอบแบบที่โรแมนติกกว่านี้หน่อยสิ

สายตาเพื่อนๆ ตวัดมองมาเลย

“พี่ล้อเล่น” หันขวับมองคนพูดทันที พี่ทีกำลังคลี่ยิ้มพราวเสน่ห์แอบมีเลศนัย

“ความจริงแล้ว มัน-เป็น-ความลับ”

ตอบมาแบบนี้ฆ่ากันชัดๆ เลยเถอะ!

ระหว่างตายอย่างสงบ แว่วเสียงเพื่อนสักคนพึมพำขึ้นมา

“ใครมีทิชชู่ ขอหน่อย เลือดกำเดาจะไหล”

-------------

ปิดท้ายก่อนจากลาด้วยพี่ทั้งสองแชร์ค่าไอศกรีมเจ้าอร่อยมาเลี้ยงน้องๆ ได้มาคนละถ้วยเล็ก ถ้าใหญ่กว่านี้คงกินไม่ไหว อิ่มมาก แถมพาเดินไปส่งถึงทางเชื่อมรถไฟฟ้า

“เย็นมากแล้ว อย่าเถลไถลล่ะ”

พี่พาร์พูดจบ พี่ทีก็เสริม

“กลับถึงบ้านแล้ว ไลน์บอกน้องสาวพี่ด้วยนะ”   

แอบโดนเพื่อนๆ มองเขม็งด้วยสายตาอิจฉาตาร้อน…ยืดอกรับสิ (ภูมิใจมาก)

คงจะจากด้วยดี ถ้าสาวห้าวตัวใหญ่ของกลุ่มไม่สะดุดเชือกผูกรองเท้า มันก็บ้าใส่ชุดพละมา ที่จริงใส่เกือบทุกวัน จนโดนครูเขม่นแล้วเขม่นอีก มันคงไม่มีอะไรถ้าเพื่อนไม่ไปพุ่งชนพี่ที

ไม่มีใครตั้งตัวทันสักราย แม้แต่พี่ทีที่กำลังเสียหลักหงายท้อง…

“โอ๊ะ”

“ว้าว…”

นาทีนี้อยากขอบคุณเพื่อนมาก นึกแล้วก็หยิบมือถือออกมากดแชะเก็บภาพประวัติศาสตร์ พี่พาร์โอบรอบเอวพี่ทีไว้ในวงแขนแนบแน่น

“เอ่อ กูไม่ได้ตั้งใจนะ”

คนสะดุดล้มแล้วเผลอไปกระแทกโดนพี่ทีเข้าสู่อ้อมกอดพี่พาร์พูดอ้อมแอ้ม พวกเรารีบตบบ่าเพื่อนตัวโตทันที

“ทำได้ดีมาก!”

“ฮะ?”

“ไม่ต้องทำหน้าสงสัย รีบก้มผูกเชือกรองเท้าเหอะ”

ทั้งทีพึ่งอารมณ์ดีสุดขีดจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องมาอารมณ์เสีย เพราะไอ้บ้าตรงหน้าที่เข้ามาขายขนมจีบพี่จ๋าช่วงที่พวกเราไปเข้าห้องน้ำ

แล้วพี่พาร์หายไปไหน ถึงปล่อยพี่ทียืนคนเดียวเนี่ย!

“เอาไงน้ำ?”

“ไม่เห็นต้องถาม”

รีบจ้ำเท้าเข้าไปแทรกอย่างไว ส่งสัญญาณให้เบอร์ดึงพี่ทีที่กำลังหงุดหงิดออกห่างไปก่อน

“เดี๋ยวสิครับ!”

รีบขยับมาดักคนแปลกหน้าอีกรอบ อย่าหวังจะได้ตามพี่จ๋าง่ายๆ

“ขอโทษนะคะ พี่คนเมื่อกี้มีแฟนแล้ว” ว่าแล้วก็เปิดภาพโอบกันเมื่อกี้ให้ดู พร้อมสำทับ “ถ้าไม่หล่อเท่านี้หรือมากกว่านี้ พี่ชายหนูไม่แลหรอกค่ะ อีกอย่างแฟนพี่ชายหึงโหดนะคะ ถ้าไม่อยากตาย อย่ามายุ่งดีกว่าค่ะ”

พูดจบก็ปล่อยปลากระโห้ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นแหละ หึ

“เดี๋ยวก่อนน้อง…”

ไอ้บ้านั่นกล้ามาจับไหล่!

“หน้าตาดีกับโหดแล้วไง แฟนไม่ได้อยู่แถวนี้ซะหน่อยนี่น้องสาว”

กวนประสาทมาก! แต่ก็ยิ้มหวานส่งให้ “แฟนไม่อยู่ น้องสาวอยู่ค่ะ”

“แล้วไง?” มันกล้ามาจับข้อมือแล้วบีบข่มขู่ “ตัวเล็กแค่นี้มีปัญญาทำอะไรพี่ได้”

น้ำถือว่าเป็นการคุกคามล่ะนะ…

ผัวะ!

แตะอัดกระแทกกลางหว่างขาไปหนึ่งที พอมันงอตัวกุมเป้าปุ๊บ ก็หมุนตัวเตะข้อพับให้ล้มไปนั่งแหมะกับพื้น ข้อดีเวลาเพศหญิงลงมือ คือไม่มีใครกล้ามายุ่งค่ะ ต่อให้อยู่กลางสายตาประชาชีก็เถอะ ความจริงอยากอัดมากกว่านี้ แต่คำสอนของอาจารย์มันฝังหัว เลยจำต้องถอย

“ถ้าอยากเป็นกระสอบทรายก็แวะมาให้เห็นหน้าอีกนะคะ”

ยิ้มหวานส่งท้าย แล้วเดินจากมาแบบนางพญา เห็นพี่ทีขมวดคิ้วหน้าทะมึนอยู่ไม่ไกล มีเบอร์ดี้คล้องแขนจับล็อกตัวแน่น ก็รีบเดินเข้าหา

“มันทำอะไรน้ำ!”

หูย…สายตาพี่ทีอย่างโหด

“เอาไว้ครั้งหน้า ถ้าเขาเสนอหน้ามาให้เห็นอีก พี่ทีค่อยกระทืบเผื่อน้ำแล้วกัน”

ดูจากสีหน้าพี่จ๋ายามมองไอ้หน้าเขียวหน้าซีดบนพื้นเขม็ง พี่ชายคงกำลังจดจำหน้าตาอีกฝ่ายเข้าสมอง เจอกันครั้งหน้าโดนหมายหัวชัวร์ หุๆๆ หวังว่าจะไม่โผล่หน้ามาให้พี่จ๋ากระทืบเล่นนะ

“พอเลยทั้งสองคน ไปจากตรงนี้ก่อนค่ะพี่ที”

เบอร์ดี้ลากแขนพี่จ๋าให้ออกเดิน พี่คงจำหน้าอีกฝ่ายได้แล้ว เลยยอมก้าวขาตามแรงดึง เจอพี่พาร์ขึ้นบันไดเลื่อนมาถึงพอดี ในมือมีถุงสีเขียวใบเล็กจากร้านวัตสัน

“พี่พาร์!” เบอร์ดี้ร้องเรียกพี่ชายอย่างดีใจ แต่น้ำแยกเขี้ยวให้

“พี่พาร์ทิ้งพี่ทีไว้คนเดียวได้ไง!”

“…เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“นิดหน่อยค่ะ แต่จัดการเรียบร้อยแล้ว เรารีบกลับกันเถอะ” เบอร์ดี้รีบบอกรัวๆ “เดี๋ยวน้องอันรอนาน”

แอบขำสีหน้าเบอร์ พยายามกลบเกลื่อนมาก แต่ไม่เนียนเลยเพื่อน

“เดินนำก่อนเลยน้องๆ เดี๋ยวพี่เดินคู่กับทีเอง”

เบอร์ดี้ไม่ปล่อยพี่ทั้งสองคุยกันแน่ เพราะกลัวความลับแตก จัดการคล้องแขนดึงพี่พาร์จ้ำเท้าเดินนำหน้า ปล่อยพี่ชายทั้งสองมีสีหน้าสงสัย

“เบอร์ดี้เป็นอะไร?”

“รายนั้นปิดบังพี่พาร์เรื่องไปเรียนศิลปะป้องกันตัวกับพวกเรามา”

“ปิดทำไมล่ะ” พี่ทีทำหน้าไม่เข้าใจ

“ก็…พวกเราไม่เคยซนต่อหน้าพี่พาร์เลยอ่ะ”

พี่ทีย่นคิ้วแล้ว ฮ่าๆๆ

จะว่าพวกน้ำสองมาตรฐานก็ได้ กับพี่ทีซนจนได้แผลมายังไง พี่ทีก็ช่วยทำแผลไปพลางฟังพวกเราเล่าวีรกรรม ฟังจบก็ช่วยแนะนำบ้าง พูดดุบ้าง แต่กับพี่พาร์ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้าเห็นเราดูแลตัวเองได้ในระดับไม่น่าเป็นห่วงแล้ว คงปล่อยมือให้เดินเองแน่ๆ เพราะงั้นอยู่เป็นเด็กดีเรียบร้อยน่ารัก ให้พี่พาร์คอยดูแลและตามใจดีกว่าเยอะ

“เรื่องที่พวกเราโดนส่งไปเรียนศิลปะป้องกันตัวถือเป็นความลับกับพี่พาร์นะ”

“ทำไมบอกไม่ได้?”

“พี่พาร์ไม่ชอบความรุนแรงค่ะ”

แถไปแล้วเรียบร้อย พี่ทีดูท่าจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง น้ำปล่อยพี่ทีครุ่นคิดไป พูดซ้ำไม่ได้หรอก เดี๋ยวโดนสงสัย ก็ได้แต่หวังว่าพี่ทีจะไม่เผลอทำตัวโหดต่อหน้าพี่พาร์เข้า ไม่งั้นความแตกแหงๆ ได้ยินเบอร์เล่าว่าช่วงไปเรียนต่างประเทศ พี่พาร์ก็ใช่ย่อย ทั้งไปเรียนชกมวยด้วยเหตุผลคิดถึงบ้าน ชื่นชอบความเร็วจนได้ลงสนามเถื่อน มีเรื่องชกต่อยจนเคยเข้าเฝือกมาแล้ว

…แย่แล้ว น้ำเจอพี่พาร์โหมดสุภาพบังตา ไม่เคยเห็นโหมดโหดสักครั้งเลยนึกภาพไม่ออก แบบนี้พี่พาร์ก็มีโอกาสพลิกมารุกพี่ทีได้น่ะสิ!

“พี่ทีห้ามยอมแพ้นะ”

“ฮะ? พูดเรื่องอะไร?”                                               

“พี่แมนใช่ไหม”

“แน่นอน”

“งั้นต้องแมนกว่านี้นะ ต้องเป็นชายเหนือชายให้ได้”

ทำไมพี่จ๋าทำหน้าเอือมระอาล่ะ

“น้ำจริงจังนะ!”

อ้าว เดินหนีอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกที! น้ำเซ็ง!

-------------

เสียงไลน์ดังขึ้นพร้อมๆ กัน พวกเราที่นั่งอยู่เบาะหลังหันมองหน้ากัน ก่อนดึงมือถือออกมาเปิดดู เพื่อนๆ ที่แยกกันไปเมื่อครู่ ส่งภาพมาในไลน์กลุ่มที่พึ่งเปลี่ยนชื่อหมาดๆ ชื่อ BxB ย่อมาจาก Brother ทั้งสองตัวค่ะ แค่เห็นรูปน้ำก็อยากกรี๊ดแล้ว ช็อตเด็ดพี่ทีกับพี่พาร์กอดกันเมื่อกี้ มุมอย่างสวย แต่รูปต่อมาอยากกรี๊ดหนักกว่า

ภาพคู่ของพี่พาร์กับพี่ที! ไม่รู้ไปกอดคอให้ถ่ายรูปตั้งแต่เมื่อไหร่

Nam: เอามาจากไหน
ฉันคือสาววาย: ขอถ่ายรูปมาสิ เมื่อกี้แบบเต็มตัว มีแบบครึ่งตัวด้วย

แล้วก็ส่งรูปมา เห็นแล้วถึงกับตายอย่างสงบ รู้แก่ใจว่าเพราะมุมกล้อง
แต่มันเหมือนพี่ทีขโมยหอมแก้มพี่พาร์เลยอ่ะ เห็นแล้วมันฟิน!

Birdie: เก็บไว้ได้ แต่ห้ามเอาไปเผยแพร่ที่ไหนเด็ดขาด

ข้อความของเบอร์ดึงสติกลับมา รีบพิมพ์สำทับลงไปทันที

Nam: ถ้ารู้ว่าหลุดนะ หึๆๆ
ฉันคือสาววาย: รู้แล้วยะ ไอ้คนหวงพี่ทั้งคู่
ฮันนี่ใครว่าหวาน: แกๆ ฉันมีอะไรจะเสนอ…

ตากวาดอ่านข้อความจากเพื่อนจนจบ อุทานอย่างคาดไม่ถึง รีบพิมพ์ตอบกลับอย่างเร็ว

Nam: ไอเดียดีมาก ขอยืมไปใช้นะ
ฮันนี่ใครว่าหวาน: เอาเลย แล้วแอบถ่ายวีดีโอมาให้ดูด้วยนะ
ฉันคือสาววาย: รอดูด้วยคน
สาวสายมังงะวาย: ฉันด้วยๆ
Nam: แน่นอน
พี่ทั้งสองจ๋า…รอถึงบ้านก่อนเถอะ!

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 18-09-2016 18:43:49
มีน้องเป็นสาววายตัวจริงขนาดนี้ พวกพี่ที่รักน้องมากจะเซอร์วิสน้องยังไงคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 18-09-2016 19:29:22
 :hao3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 18-09-2016 20:06:31
อยากจิไปสิง2สาวจริงๆ คงฟินน่าดู มีพี่ชายกันทั้งคู่พอดีก็จับให้พี่คู่กันเองเลยเกร๋ๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 18-09-2016 21:20:54
สนุกดีค่ะ ติดตามๆ  :-[
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 18-09-2016 22:10:18
นี้อินเนอร์จริงหนูเกตุคนเขียนหรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-09-2016 00:23:16
แบบนี่ก้อได้หรา 55555 มีเซอร์วิทแฟนด้วย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่13] P.3 (18/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 19-09-2016 00:35:07
อยากไปนั่งฟินกับน้องน้ำจัง
ชอบเรื่องนี้จังเลยค่ะ สนุกมาก
 o13
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-09-2016 00:05:34
บทที่ 14

ผมเดินหนาวนิดๆ เข้าห้องนอนตัวเอง สภาพตอนนี้เหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว ส่วนเสื้อนักศึกษากับกางเกงเปียกโชกตากอยู่ระเบียงห้องน้องอันแล้วครับ 

“น้องอันล่ะ”

พาร์เงยหน้าถาม ทั้งที่ยืนผูกเชือกกางเกงเลอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า   

“จับอาบน้ำ กล่อมนอนแล้ว”

“ให้กินยาหรือเปล่า?”

“ป้อนยาน้ำไปแล้ว”

“ตัวร้อนไหม?”

“อุ่นๆ แต่หลับสนิทสักคืน พรุ่งนี้น่าจะดีขึ้น”

สีหน้าพาร์ดูวางใจระดับหนึ่ง “งั้นเดี๋ยวกูออกไปดูสองสาวเอง ส่วนมึงรีบเข้าไปอาบน้ำไป๊”

มันโยนผ้าขนหนูมาให้ พร้อมโบกมือไล่ ผมเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย

จัดการสระผมอีกรอบทั้งที่พึ่งสระไปเมื่อเช้า ไปโดนฝนกันมาครับ

นึกย้อนไปแล้วก็เซ็ง…หลังออกจากร้านอาหารพวกผมเห็นแล้วล่ะว่าฝนหลงฤดูทำท่าจะตก เลยรีบเดินกึ่งวิ่งไปที่รถ แต่ดันเทลงมาซะก่อน เปียกมะล่อกมะแลกกันหมดทั้งห้าชีวิต

ฝนตกรถติดคือคำยอดฮิต

พวกผมติดอบู่บนท้องถนน ต้องทนอยู่สภาพตัวเปียกๆ ขนาดเบาแอร์จนสุดแล้ว สองสาวยังจามไปหลายที ส่วนเจ้าตัวเล็ก ผมจับถอดเสื้อผ้าออกหมดตั้งแต่แรก ใช้หมอนผ้าห่มคลุมตัวให้น้องอย่างเดียว ขืนไม่ทำอย่างนี้กว่าจะถึงบ้าน น้องอันได้ไข้ขึ้นแน่ๆ ครับ และขัดใจน้องให้ไปนั่งด้านหลังกับพวกพี่สาว

กลับสู่เวลาปัจจุบัน ระหว่างเช็ดตัวหลังอาบน้ำเสร็จ ผมเหลือบมองกระจกห้องน้ำอีกรอบด้วยความขัดตา พาร์เล่นชโลมกระจกจนเต็มไปด้วยฟองสบู่ นึกคึกอะไรไม่รู้ถึงอยากทำความสะอาดกระจกตอนนี้

อย่าหวังว่าผมจะช่วยทำความสะอาดให้ล่ะ     

หลังเดินออกจากห้องน้ำ ไร้วี่แววรูมเมท…ไม่รู้ทางสองสาวเป็นยังไงบ้าง 

ผมนึกระหว่างหยิบเสื้อยืดตัวใหญ่มาสวมหัว (จิกมาจากตู้เสื้อผ้าลุงนิก) ท่อนล่างเป็นบ็อกเซอร์ที่สภาพเหมือนกางเกงขาสั้นมากกว่ากางเกงใน สไตล์ชุดนอนผมเป็นแบบนี้แหละ ใส่นอนสบายกว่าชุดนอนอีกครับ

ระหว่างกำลังเช็ดผมให้แห้ง พาร์ก็เปิดประตูเข้ามา พร้อมถือถาดใส่แก้วน้ำสี่ใบ (ว่างเปล่าไปแล้วสอง) กับกระปุกยาลดไข้อีกหนึ่ง พร้อมประโยคบอกเล่า “ให้สองสาวกินยาดักไปแล้ว บังคับเข้านอนเรียบร้อย”

“มีไข้ปะ?”

“ยังไม่แสดงอาการ เท่าที่จับวัดด้วยปรอท อุณหภูมิยังปกติ”

ผมพยักหน้า คงต้องรอดูพรุ่งนี้อีกที

“เลื่อนนัดไปก่อนแล้วกัน”

นัด? ผมทวนคำในใจ หยุดคิดสักพัก อ้อ มันนัดไปเที่ยวห้างพรุ่งนี้นี่หว่า

“ไปวันอาทิตย์แทนแล้วกัน แต่ถ้าน้องๆ ป่วยก็เลื่อนไปอาทิตย์หน้า…ไม่ได้แล้วนี่หว่า” อาทิตย์หน้าพวกผมไปบ้านย่ากันแล้วครับ “งั้นเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดแล้วกัน”

“ไปกันแค่สองคนก่อนก็ได้” พาร์วางถาดลงโต๊ะหนังสือ “ยังไงก็ต้องไปซื้อของเข้าบ้านให้เรียบร้อยก่อน เพราะขืนรอพ่อแม่กู…อย่าหวังเลย!”

ผมยิ้มแห้งแทนคำตอบ เวลาพาร์พูดเรื่องพวกนี้ ฟังอย่างเดียวเป็นทางออกดีสุดแล้วครับ

“มากินยาเลย”

ผมพาดผ้าขนหนูไว้กับคอ เดินไปหยิบยาจากมือพาร์ใส่ปาก กรอกน้ำตามลงท้อง แล้วต้องหยุดมองพาร์แกะลูกอมเอาปาก มันเห็นผมมองก็ยื่นลูกอมอีกเม็ดส่งให้ 

“…มึงต้องกินลูกอมหลังกินยาด้วยเรอะ?”

“แปลกตรงไหน?”

แปลกตรงบ้านผมไม่ทำกันไง ผมกลั้นขำ เดาออกเลยว่าพาร์เกลียดของขม ตอนนี้ในหัวเลยมีแต่เมนูกับข้าวที่มีรสขมหมุนวนเวียนเต็มไปหมด แค่มะระอย่างเดียวก็ได้หลายเมนูแล้วครับ หึๆๆ

“ที”

ผมรีบเลิกคิ้วถามกลับ กลบสีหน้าให้มิด เดี๋ยวแผนชั่ว เอ้ย แผนกลั่นแกล้งหลุดออกไป 

“เงยหน้าหน่อย”

ผมงงสิ “ทำไม?”

พาร์ชูแผ่นเยื่อขาวๆ ให้เห็น แวบแรกไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่ทันถามก็โดนประคองแก้ม พร้อมสัมผัสเปียกๆ เย็นๆ ไล่จากหน้าผากลงมาแผ่วเบา อ้อ ทิชชู่เปียกนี่เอง

“หลับตา”

ผมทำตามพร้อมถาม “…เอามาเช็ดหน้ากูทำไม?” 

“นี่ลืมจริงๆ เรอะ”

“ลืมอะไร”

พาร์เงียบพักใหญ่กว่าจะเฉลย “หน้ามึงยังไม่ได้เช็ดเครื่องสำอางออก”

เออวะ! เดี๋ยว…

“อย่าพึ่งขมวดคิ้ว”

…นี่ผมเอาสภาพใบหน้าโบะเครื่องสำอางเดินร่อนทั่วห้างไม่พอ ดันไปเจอเพื่อนน้องในสภาพนั้นอีก (ถึงว่าทำไมหลบตาผมจัง) แล้วไหนจะสายตาแปลกๆ ที่มองมาตอนยืนอยู่คนเดียวในห้าง เรื่องมีตัวผู้เข้ามาจีบ (ร้อยวันพันปีไม่เคยเจอ!) ไหนจะสายตาแปลกๆ ของครูน้องอัน

สาเหตุมาจากเรื่องนี้เองเรอะ!

“ทำไมไม่เตือนกูวะ?!”

“เตือนอะไร”

ฟังจากน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยก็เดาได้ครับ พาร์จงใจ!

ผมขบเคียวฟันด้วยความหงุดหงิด “มึงแกล้งกู!”

“กล่าวหาๆ แค่ไม่ได้เตือนเฉยๆ มึงอยากลืมเองทำไม”

ในหัวนึกภาพเพื่อนยักไหล่ ทำหน้าช่วยไม่ได้ออกเลยอ่ะ!

ผมทั้งหมั่นไส้ทั้งหงุดหงิด ยกเรื่องที่นึกออกมาแย้งทันควัน “กูมีหลักฐานว่ามึงแกล้ง”

“เหรอ ลองว่ามา”

“รู้ทั้งรู้ว่าสองสาวอยู่กับเพื่อนก็ไม่ยอมบอกให้รู้ล่วงหน้า เพราะมึงอยากให้กูเอาสภาพหนังหน้าไปโชว์ให้น้องๆ ดูใช่ไหม!”

“อ้อ กูแค่ลืมบอก และมันก็ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ น้ำหนักไม่เพียงพอ”

“แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าเป็นหลักฐาน?”

“จับได้คาหนังคาเขา”

ผมรู้สึกคันมือคันเท้าอยากกระทืบเพื่อนสุดๆ แต่เห็นแก่ที่มันเช็ดหน้าให้อย่างแผ่วเบา ผมยอมข่มใจเปลี่ยนเรื่องก็ได้ “เสร็จยัง?” อยากลืมตาจะแย่แล้ว

“อีกนิด”

“เร็วๆ เลย ลบให้เกลี้ยงด้วยนะ”

“มึงเกลียดเครื่องสำอาง?”

ผมย้อนถามกลับด้วยเสียงออกแนวประชด “แล้วมึงล่ะ ชอบไหม?”

“ถ้าอยู่บนหน้าในเวลาจำเป็นก็พอไหว”

อ้อเรอะ

“แต่กูไม่ชอบวะ และโชคดีที่งานครั้งนี้ไม่โดนจับแต่งหญิง ไม่งั้นคงรู้สึกแย่กว่านี้”

“…จำได้ว่าสมัยก่อน มึงไม่ได้เกลียดเรื่องพวกนี้”

ผมรีบลืมตา ผงะนิดหน่อย ไม่คิดว่าพาร์ยืนหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนี้ แต่ไม่ได้ถอยหนี เลือกจ้องตาพาร์ตรงๆ เพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ “หมายความว่าไง?”

“ก็ตอนเด็กๆ” พาร์หยุดลังเล “กูไม่พูดแล้วดีกว่า”

ผมจับล็อกคอพาร์ เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันหนีไปพร้อมถ้อยคำค้างคาใจ 

“บอกมา!”

เราสบตากันพักใหญ่ ก่อนพาร์จะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน “กูบอกแล้ว ปล่อยเลย!”

ผมยอมทำตาม มองเพื่อนถอยห่างไปก้าวหนึ่ง “ว่ามาให้ไว”

“ก็มึงชอบแต่งชุดกระโปรงน่ารักๆ ให้ถ่ายรูปเก็บไว้ อั๊ก”

ผมมองเพื่อนด้วยสายตาเฉียบคมระหว่างดึงกำปั้นกลับ มันคงนึกไม่ถึงว่าผมจะออกกำลังยามดึก เลยเปิดช่องให้ผมต่อยท้องเต็มหมัด ตอนนี้เลยนิ่วหน้างอตัวท่าทางจะจุก แต่ผมไม่ปล่อยให้พาร์ตั้งตัว อาศัยเทคนิคเหวี่ยงมันลงเตียง รีบตามขึ้นไปนั่งทับท้องเพื่อน

เริ่มหักนิ้วกร๊อบๆ แสยะยิ้มเหี้ยม

“กูจะทำให้มึงลืมเรื่องเหี้ยนั่นไปให้หมดเลย!”

ผมเหวี่ยงหมัดกะเอาให้สลบในทีเดียว แต่พาร์ดันยกมือรับทัน แถมยังออกแรงบีบหมัดขวาผมซะแรงเหมือนเป็นการเตือน ผมขมวดคิ้วทดลองเหวี่ยงหมัดอีกข้าง รับทันอีกแล้ว

…ไหนยัยน้ำบอกว่าพาร์ไม่ชอบความรุนแรงไง ผมว่าตรงข้ามมากกว่า ไม่งั้นพาร์จะรับหมัดคนที่ผ่านการฝึกมาแล้วทันได้ไง

“มึงโมโหอะไร?!”

พาร์ถามเสียงเข้ม ฟังดูก็รู้ว่าเริ่มหงุดหงิด 

“ก็มึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรออกมาล่ะ!”

แววตาพาร์ดูครุ่นคิด ผมสะบัดมือตัวเองออก แต่พาร์ตอบสนองไวมาก คว้าข้อมือผมมากำซะแน่น เหมือนกลัวผมจะออกแรงเหวี่ยงหมัดใส่อีก

“แล้วกูพูดผิดตรงไหน?”

“แล้วใครใช้ให้มึงพูดออกมา! เดี๋ยว…ทำไมถึงรู้วะ?!”

เรื่องน่าอายพรรค์นั่นน่าจะหายไปตามกาลเวลา…

“ถามช้าไปไหม” มันพูดประชดใส่ ก่อนเฉลย “บ้านกูมีรูปมึงเป็นอัลบั้ม”

ถ้าผมกระอักเลือดได้ คงพ่นใส่หน้าพาร์ตอนนี้

“ไม่ต้องแถว่าเป็นรูปน้องน้ำ…”

ผมหุบปากฉับ เพราะมันดักถูกทาง

“เพราะกูเห็นรูปมึงตั้งแต่สามขวบ” พูดถึงตรงนี้พาร์ก็ถอนหายใจ “ตอนแรกคิดว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องที่โตมากับพี่ชายน้องน้ำ เพราะกูเคยได้ยินแม่บอกว่าพี่ชายน้องน้ำต้องไปอยู่บ้านคุณย่าของเขา แวะมาเยี่ยมบ้านทีจะหนีบลูกพี่ลูกน้องมาด้วยก็ไม่แปลก แต่…กูมาเข้าใจกระจ่างก็ตอนเห็นไอ้นั่น”

พาร์ชี้นิ้วไปทางด้านหลังผม จำต้องเอี้ยวตัวมองตาม เห็นบอร์ดไม้ตรงผนังห้องใกล้ประตูทางเข้าออก มีรูปถ่ายหลายใบแปะอยู่ในนั้น ทั้งรูปถ่ายเดียวๆ ของผม ถ่ายกับครอบครัว ถ่ายกับกลุ่มเพื่อนสนิท หลากหลายช่วงอายุตั้งแต่อนุบาลยันงานเฟรชชี่ไนน์ที่พึ่งผ่านมาเดือนกว่าๆ   

…ถ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ผมคงเก็บภาพในบอร์ดเข้ากรุ ไม่ยอมให้พาร์เห็นแล้วรู้ความจริงแน่ๆ 

“แล้วบ้านมึงมีรูปกูได้ไง?”

ภาพตั้งแต่สามขวบเลยนะ ไหนพ่อบอกว่าพึ่งเจอลุงแทนตอนยัยน้ำเข้าอนุบาลไง

“ได้มาจากน้าอรนั่นแหละ มึงน่าจะสงสัยตั้งแต่กูกับน้องเรียกพ่อแม่มึงว่า ‘น้า’ แล้ว”

ผมกระพริบตา จริงด้วยครับ คำว่า ‘น้า’ เรียกญาติฝ่ายแม่นี่น่า

“แล้ว?”

“แม่กูเป็นย่ารหัสของแม่มึง”

“ฮะ! แบบสายรหัสของคณะอ่ะนะ”

“เออ”

โลกโคตรกลม!

“จะถามอะไรอีกไหม”

“ป้าเจนอัดรูปถ่ายเพิ่มไปทำไม” 

“ก็แม่กรี๊ดกร๊าดมึงจะตาย บอกน่ารักอย่างนู้นน่ารักอย่างนี้”

“แค่น่ารักเนี่ยนะ?”

“เออ! ทั้งที่พ่อแม่ตกลงกันว่ามีลูกแค่คนเดียว แต่เพราะมึงดันน่ารักเกินไป พ่อแม่กูเลยเกิดอยากได้ลูกสาวขึ้นมาอีกคนน่ะสิ!”

ย้ำจริงว่าน่ารัก เออ ผมรู้ตัว ไม่งั้นคงไม่เกิดเรื่องเกือบโดนปล้ำหรอก

ผมถามอีก “แล้วไม่รู้ชื่อเด็กในรูปหรือไง”

“ชื่อทีแล้วไง ชื่อเหมือนกัน แต่อาจคนละความหมายก็ได้ อย่างย่อมาจากไม้ที ตัวอักษรที หรืออะไรที่มันน่ารักสมเป็นเด็กผู้หญิง”

ผมจ้องพาร์เขม็ง “นี่มึงคิดว่าเด็กในรูปเป็นผู้หญิง!”

“น่ารักขนาดนั้นจะให้คิดว่าเป็นผู้ชายได้ไง!”

“เดี๋ยวนี้เด็กผู้ชายน่ารักก็มีเยอะแยะ”

“แล้วกูเคยเจอตัวจริงซะที่ไหนวะ” พาร์ว่าสวนกลับ หน้าดำทะมึน “เห็นแค่ในรูปใครจะไปแยกเพศออก!” 

“กูอยากจะบ้า!!”

“กูต่างหากที่อยากพูดคำนั้น!”

“มึงจะอยากบ้าทำไม” ผมตวัดเสียงหงุดหงิดใส่ “ตราบาปของกู ไม่ได้เกี่ยวกับมึงเลย”

“ใครว่าไม่เกี่ยว!”

แววตาพาร์ดุดันขึ้นกะทันหัน น้ำเสียงห้วนจัดเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดหัวเสีย ผมที่กำลังหงุดหงิดพอกันเลยสวนคำใส่อย่างต้องการหาคนทะเลาะด้วย

“ไม่มีทางเกี่ยวได้หรอกโว้ย!”

“เกี่ยวเต็มๆ ต่างหาก?! รักแรกของกูดันกลายเป็นมึงเนี่ย!”

!!?!!


ผมติดสตันไปเกือบสิบวิ ก่อนสบตาพาร์แบบคนกำลังมึนได้ที แอบคิดในใจว่าหูฝาดฟังเพี้ยนหรือเปล่า

“เมื่อกี้…พูดว่า…อะไรนะ?”

“ก็บอกว่ารักแรกของกูเป็น…”

พาร์อ้าปากชะงักค้างแค่นั้น แววตาดูตื่นตระหนกก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหว มันเม้มปากเบือนหน้าหนี ใบหูแดงจัด 

แม่งเอ้ย!

ผมเบือนหน้าหนีบ้าง รู้สึกหน้าร้อนๆ ชอบกล

โอเค…ผมไม่ได้ฟังผิด

ความเงียบบังเกิดทันที ต่างคนต่างไร้คำพูดใดๆ อยู่นาน

“…ละ ลุกไปจากตัวกูได้แล้ว”

ผมสะดุ้ง รีบผละออกห่างดุจต้องของร้อน ยึดมุมเตียงคนละฟากเป็นที่สถิต บรรยากาศโคตรกระอักกระอวนใจ

“เอ่อ เดี๋ยวกูไป…” ผมพยายามนึกหาข้ออ้างขอเผ่นออกจากห้องเพื่อไปตั้งหลักก่อน

แต่พาร์กลับโผล่ขึ้นมาเสียงดัง “มึงไม่ต้องคิดมากหรอก มันแค่ความรักแบบเด็กๆ แล้วมึงก็แต่งหญิงถ่ายรูปจนถึงแค่แปดขวบ หลังจากนั้นทั้งที่กูเห็นว่าเด็กในรูปใส่กางเกงมาตลอดก็ไม่คิดเอะใจเลย เพราะงั้นมึงไม่ผิดหรอก!”

คำพูดฟังดูไม่แคร์ก็จริง แต่น้ำเสียงไปคนละทางเลยเพื่อน

ผมขมวดคิ้วหลังจับอารมณ์บางอย่างของพาร์ได้ ลังเลสักพักก็เอ่ยปากถาม “เอ่อ อย่าบอกนะว่ามึง…ยังชอบคนในรูปถ่ายจนถึงตอนนี้?”

พาร์เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไร้คำพูด เห็นอาการเพื่อนแล้ว ผมรู้สึกเจ็บจี๊ด ดุจโดนลูกธนูเสียบปักใส่มโนธรรมเลยครับ

นี่เองเหรอสาเหตุที่มันทำตัวเพี้ยนๆ ตั้งแต่คืนวันพุธยันค่ำเมื่อวาน

ผมเลียริมฝีปากอย่างลำบากใจ ทั้งที่ในหัวได้ข้อสรุปว่าควรพูดอธิบายให้เพื่อนฟัง แต่ดันเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากเอ่ยถึง…เอาวะ

“พาร์”

คนถูกเรียกยอมหันมาสบตาด้วย ผมเริ่มต้นพูดช้าๆ ชัดๆ

“เอ่อ คือกูไม่ได้ตั้งใจแต่งหญิงหลอกมึงนะ แต่แม่กูชอบ เพราะเขาอยากได้ลูกสาว แล้วตอนเด็กๆ กูไม่ได้อยู่กับแม่…ก็แค่อยากทำอะไรให้แม่ดีใจบ้าง” พูดถึงตรงนี้ผมก็ชักหน้าเครียด “แต่กูรู้แล้วว่าทำแบบนั้นไม่ดี มันทำให้กูเกือบโดนปล้ำ…”

“เกือบจะโดนอะไรนะ!?”

ผมสะดุ้งโหยง รู้ว่าน่าตกใจ แต่ไม่เห็นต้องตะโกนใส่กันเลย

“โดนปลุกปล้ำอ่ะ โว้ย! อย่าให้พูดซ้ำได้มะ กระดากปากนะ”

“ใครทำมึง!”

แววตาพาร์โคตรน่ากลัว จนผมต้องรีบเบรกอารมณ์เพื่อน

“ฟังอีกที กูแค่เกือบโดน เข้าใจไหม แค่เกือบอ่ะ!”

ดูคนฟังจะอารมณ์เย็นลง…นิดหนึ่ง

“นี่ใช่ไหมสาเหตุที่มึงเลิกแต่งหญิงตอนแปดขวบ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าแย่ลงทันทียามนึกถึงเรื่องนั้น

“…ไอ้เลวนั่นเป็นคนสวนมาใหม่เลยยังไม่ได้สิทธิ์มีที่พักในรั้วบ้านคุณย่า มันมาทำงานแค่เสาร์อาทิตย์ แล้วเป็นวันที่กูต้องแต่งหญิงไปหาแม่ คือตั้งแต่เข้าชั้นประถม กูต้องไปอยู่กับพ่อแม่เดือนละสองครั้ง เลยเลือกไปค้างทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ก็กลับ แล้ววันนั้นพ่อกับแม่ต้องไปทำธุระต่อ เลยมาส่งเร็วกว่าทุกที แล้วมันก็…”

สองมือกำผ้าปูที่นอนแน่น รู้สึกเลยว่าร่างกายกำลังสั่น 

“พอแล้วๆ ไม่ต้องไปนึกถึงมันอีก กูขอโทษที่ถาม!”

ผมหลุดจากภวังค์ ระงับอารมณ์พักหนึ่ง ก่อนพูด “จะขอโทษทำไม กูอยากเล่า เพราะมึงมีสิทธิ์รู้…”

ผมยิ้มนิดหนึ่งให้คลายกังวล แล้วเล่าต่อ

“เอ่อ บ้านย่ากูหลังใหญ่มากๆ เป็นบ้านสวน ต้นไม้เลยเยอะคล้ายป่า กูโดนอุ้มไปที่ทึบๆ แล้วก็…นั่นแหละ” ผมเล่าข้ามๆ ไม่อยากทั้งพูดทั้งนึกถึง “พอมันเห็นว่าเป็นเด็กผู้ชายก็ผงะ รีบถอยห่าง หลังจากนั้นไม่ถึงสามสิบวินาที หมาตัวใหญ่ประจำบ้านก็โผล่พรวดเข้ามา กระโจนเข้างับไอ้ใจทรามน้อยตั้งโด่กลางตัวจนเกือบขาดเสียงร้องโหยหวนของมันเรียกคนอื่นเข้ามา”

ผมหยุดกลืนน้ำลาย

“หลังจากนั้นกูก็ปลอดภัย…ถ้าไม่นับว่ามีอาการค้างเคียงจนต้องพบจิตแพทย์อ่ะนะ ส่วนไอ้เลวนั่นโดนดำเนินคดี เอ่อ โดนตัดไอ้นั่นทิ้งด้วย ได้ยินพวกผู้ใหญ่ซุบซิบกันว่า หมอจำเป็นต้องตัดทิ้ง เพราะถึงเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากนั้นกูเลยค่อนข้างต่อต้าน…คนรูปร่างแบบเพื่อนมึง” 

พาร์ไม่ได้โง่ครับ แปบเดียวก็ปะติปะต่อเรื่องราวได้

“หมายถึงชัย?”

ผมพยักหน้าหงึกๆ เห็นสีหน้าทะมึนของพาร์ก็ไม่กล้าเล่าต่อ

สมัยยังเด็ก ผมอาการหนักกว่านี้เยอะครับ เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ผู้ชายตัวสูงใหญ่กว่าทั้งนั้น

ผมปฏิวัติตัวเองหลายเรื่อง (ทั้งทางที่ดีขึ้นและแย่ลง) เช่น ตัดผมให้สั้นลง เลิกยุ่งเกี่ยวชุดเด็กผู้หญิง ไม่ไปเจอพ่อแม่ (ไม่ใช่ไม่อยากเจอ ผมแค่ไม่กล้าออกจากบ้าน) ขังตัวเองอยู่แต่ภายในตัวบ้าน เริ่มต้นออกกำลังกายและดื่มนมอย่างจริงจัง เอาปืนอัดลมออกมาฝึกยิงกระป๋องน้ำ และอีกหลายๆ เรื่อง ที่สร้างความวุ่นวายไปทั้งบ้าน

เดือดร้อนลูกสาวลุงหมอที่เรียนสาขาจิตแพทย์ต้องมาอยู่กับผมเกือบตลอดเวลา แม้แต่ลุงนิกยังต้องโทรเรียกเพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นให้มาสอนศิลปะการต่อสู้ให้ ผมเรียนหนังสืออยู่บ้านแทนไปโรงเรียนชั่วคราว กว่าจะกล้าออกไปเผชิญโลกนอกรั้วบ้านก็หลังจากผมทำอาจารย์หลังกระแทกพื้นได้นั่นแหละ 

ผมไปโรงเรียนอีกทีก็ขึ้นชั้น ป.4 แล้ว (โดนทางโรงเรียนจับสอบวัดผลด้วยครับ) อารมณ์เหมือนเด็กเข้าใหม่มาก มีเพื่อนแค่ส่วนน้อยที่จำได้ว่าผมคือใคร (ส่วนใหญ่คือพวกสนิทกันตั้งแต่อนุบาลไม่ก็สนิทตอนเข้าเรียน ป.1) การเรียนอยู่บ้านก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ผลการเรียนของผมออกมาดี เพราะเนื้อหาพวกนี้เคยเรียนผ่านไปแล้ว ด้านกีฬาก็โอเค ที่แย่คือเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ กว่าจะเข้าที่เข้าทาง พยายามมากทีเดียวครับ (โชคดีที่เป็นโรงเรียนชายล้วน)

“หลังจากนี้กูจะคอยกั้นคนรูปร่างแบบชัยให้”

“ขอบคุณ…เอ่อ พาร์” ผมมองเพื่อนนิ่งๆ “กูมีเรื่องจะตกลงกับมึง”

มันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

“คือกูเป็นผู้ชาย ถึงจะมีแผลใจยังไงก็เป็นผู้ชายอยู่ดี ดังนั้นอย่ามาทำเหมือนกูเป็นผู้หญิงเด็ดขาด! กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น และหวังว่าหลังจากนี้มึงจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วย”

“…เปลี่ยนในทางไหน” พาร์พูดแล้วถอนหายใจ “รู้ไหม ประโยคเมื่อกี้อย่างกับคนพูดปฏิเสธอ้อมๆ ว่าคบกันไม่ได้เลยวะ”

ฟังแล้วก็ถึงกับชะงัก “เฮ้ย ไม่ได้หมายความอย่างนั่น แค่จะบอกว่าอย่าสงสาร หรืออ่อนข้อให้กู…เป็นไปได้ช่วยทำตัวเหมือนเดิมจะดีมาก”

พาร์หรี่ตาลง “งั้นตากูพูดบ้าง”

“ว่ามาเลย”

“เด็กผู้หญิงในรูปถ่าย…กูแค่มีความรู้สึกดีๆ ให้ ยังไม่ถึงขั้นชอบพออยากได้เป็นแฟน ไม่มีความคิดอยากครอบครอง ไม่งั้นกูคงมาทำความรู้จักนานแล้ว”

ไหนๆ มันก็เปิดใจขนาดนี้ ขอถามให้หายคาใจดีกว่า

“แล้วเรียกรักแรกทำไม?”

“…”

โอเค ผมเปลี่ยนคำถามก็ได้ “แล้ว…มีรักครั้งที่สองยัง?”

“…”

หน้าเพื่อนบ่งบอกชัดเลยว่ายังไม่มี เห็นแล้วชักกลุ้มแทน

นี่ผมเผลอทำบาปลงไปโดยไม่รู้ตัวใช่ไหม!

“เอาเป็นว่ากูพอจะปลงได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่…คงมองมึงเหมือนเดิมไม่ไหว”

เรื่องนี้ผมเข้าใจ เพื่อนดันเคยแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงนี่น่า

“กูชอบเอามึงตอนนี้ไปเปรียบเทียบสมัยเด็กอยู่เรื่อย” พูดแล้วก็ถอนหายใจอีก “เอาเป็นว่าปล่อยกูไปสักพักเถอะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง”

…เดี๋ยวนะ เรากำลังเข้าใจเรื่องเดียวกันอยู่ใช่ไหม

ผมไม่กล้าถาม กลัวคำตอบอย่างบอกไม่ถูก ก็อาการพาร์ตอนนี้อย่างกะคนพึ่งอกหักมา ลังเลอยู่พักใหญ่ ค่อยคลานเข้าใกล้ ตบบ่าเพื่อนพร้อมพูดปลอบ

“เขาว่ารักแรกไม่สมหวัง แต่รักครั้งต่อไปจะมีหวังเยอะนะ”

“คงงั้น” พาร์รับคำ ก่อนสลับโหมดกลับมาทำตัวตามปกติโคตรเร็ว “แล้วมึงจะเช็ดเครื่องสำอางต่อไหม”

ผมชะงัก “ยังไม่หมดอีกเรอะ!”

“คงหมดนานแล้ว ถ้าใครบางคนไม่ต่อยท้องกูก่อน”

“งะ งั้นเดี๋ยวกูไปเช็ดเองในห้องน้ำ…” ผมชะงักเมื่อนึกถึงกระจก จ้องคนตรงหน้าเขม็ง “มึงทำอะไรกับกระจกห้องน้ำไว้ ไปจัดการคืนสภาพเดิมให้มันด่วน”

“เฮ้ย”

พาร์ลุกพรวดวิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมขอเดาว่ามันลืมแหงๆ

“ที!” เสียงพาร์ตะโกนจากในห้องน้ำ “ทิชชูเปียกอยู่ในถุงเขียวบนโต๊ะหนังสือ..!”

ผมลงจากเตียงไปเปิดถุงเขียวดู ตะโกนบอกอีกฝ่าย “เจอแล้ว!”

ดึงซองทิชชู่เปียกออกมา เดินไปหยุดหน้าตู้เสื้อผ้า ต้องขอบคุณมารดาที่เคารพ ผู้เลือกซื้อตู้เสื้อผ้ามีกระจกติดอยู่ด้านหน้าแบบนี้ให้ ผมเลยไม่ต้องไปง้อกระจกในห้องน้ำ

-------------

ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก หอบหายใจอย่างแรง ตั้งสติพักใหญ่กว่าจะเข้าใจว่าเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน ข้างหูยังได้ยินเสียงหมีคำรามอยู่เลย สมจริงมากครับ สงสัยจะดูสารคดีกับน้องอันมากไปหน่อย แต่ไอ้ความอึดอัดเหมือนถูกหมีรัดแน่น ทำไมยังไม่หายไปไหนซะที…เผลอขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นจริง

ผมถูกกอดจริงๆ โดนคนนอนร่วมเตียงนี่แหละ!    

แขนก็ก่าย ขาก็ก่าย หนักก็หนัก อึดอัดอีกต่างหาก

มันเห็นผมเป็นหมอนข้างหรือไง!

ที่สำคัญ เห็นหน้ามันปุ๊บ ไอ้คำว่า ‘รักแรก’ ก็โผล่เข้ามาในหัวทันที

“พาร์!”

“อือ…”

มันครางงึมงำกลับมา ท่าทางยังไร้สติ เลยยกแขนเพื่อนออกเอง ดันตัวให้มันนอนหงายเหมือนเดิมได้ก็ถอนหายใจโล่งอก…จริงอย่างที่พาร์บอก ให้มองเหมือนเดิมคงยาก แต่ผมต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ไม่งั้นพวกเราคงได้ลำบากใจกันทั้งคู่ 

…ว่าแต่อยู่ด้วยกันมาตั้งสามคืน ต่างคนต่างนอนที่ใครที่มันดี ไหงคืนนี้มันรุกล้ำอาณาเขตผมเล่า แต่พอผ้าห่มหลุดจากตัวปุ๊บ ผมก็เข้าใจ

หนาวสุดๆ เลยครับ

คว้ารีโมตปรับอุณหภูมิอย่างไว ก่อนรีบวางรีโมตคืนหัวเตียง สองมือตะคลุบชายผ้าห่มผืนใหญ่ก่อนจะถูกพาร์ดึงไปม้วนกอดหมด (มันกลับมานอนตะแคงข้างอีกแล้ว)

“พาร์! นี่ผ้าห่มฝั่งกู”

กระชากก็แล้ว ได้มาหน่อยเดี๋ยว แปบๆ มันก็ม้วนเข้าไปกอดใหม่ เอาฝั่งของตัวเองไปกอดด้วย ผมออกแรงกระชากอยู่ตั้งนาน ก่อนพบว่าเสียแรงเปล่าชัดๆ

“แล้วกูกับมึงจะเอาอะไรห่ม ปล่อยเลยเร็วๆ มันหนาว!”

คุยกับคนหลับ เหมือนพูดกับต้นไม้ ไร้การตอบสิ้นดี!

ผมมองพาร์ขดตัวกอดผ้าห่มแน่นด้วยความปลงสนิท

ท่าทางจะหนาว แต่ไม่ยักปล่อยผ้าห่มออกจากอ้อมกอด อากัปกิริยาอย่างกะคนติดหมอนข้าง เห็นแล้วอยากถอนหายใจยาว ไอ้หมอนข้างประจำเตียงก็โดนเตะโด่งออกนอกห้องตั้งแต่พาร์มาอยู่ด้วย (เพราะไม่มีที่สำหรับวางหมอนข้างแล้ว) สำหรับผมมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่พาร์…มองท่าทางเพื่อนแล้วก็เผลอถอนหายใจออกมาอีกรอบ ท่าทางจะเป็นพวกติดหมอนข้าง

ผมสองจิตสองใจอย่างหนัก ท้ายสุดความง่วงกับหนาวก็คว้าชัยไปจนได้…เอาวะ

“กูขอผ้าห่มคืน แล้วมึงจะกอดกูแทนหมอนข้างก็ตามใจ”

เงียบกริบ…แถมยังไม่ยอมปล่อยผ้าห่มอีก!

ผมเลยต้องเสียเวลาแกะผ้าห่มออกมาแทน หลุดปุ๊บก็สะบัดคลุมตัวทั้งคู่ มันขยับเข้ามากอดก็ปล่อยไป

เฮ้อ…เหนื่อย

รู้อย่างนี้ผมปล่อยมันกอดตั้งแต่ต้น ดีกว่าทนหนาวทนง่วง นั่งแกะผ้าห่มอยู่ได้ตั้งนานสองนาน

“อย่ากอดแน่นนะโว้ย กูไม่อยากฝันร้ายแล้วตื่นกลางดึกอีกรอบ”

คิดเรื่องนี้แล้วเซ็ง มันคือหมีสีน้ำตาลตัวโตร่วมสองเมตรในความฝันผมชัวร์ แม่ง ตอนตกในวงแขนของหมีบ้านั่น ผมนึกว่าจะถูกจับกินแล้ว

กลัวแทบตาย ไอ้บ้าเอ้ย!

-------------
   
เช้านี้ผมตื่นมาด้วยอารมณ์ไม่สดใสนัก….

ไม่สิสมควรเรียกว่าขุ่นมัวสุดๆ มากกว่า

ผมตะกายขึ้นจากพื้นมานั่งเท้าคางกับฟูกด้วยอารมณ์หงุดหงิด เจ็บก็เจ็บ แต่รู้สึกเคืองมากกว่า สายตาจ้องเขม็งใส่รูมเมทที่ลงไปยืนอีกฝั่งของเตียงด้วยท่าทางเหมือนคนกำลังตื่นตระหนกสุดขีด มันพยายามลูบหน้าตั้งสติใหม่อยู่ รอจนพาร์เข้าสู่ภาวะปกติ ผมถึงเอ่ยถามด้วยความคับข้องใจสุดๆ     

“ถีบกูตกเตียงทำไม?!”

มันปิดปากเงียบใส่ผม

เมื่อคืนก็ก่อเรื่อง! ตื่นเช้ามาก็ยังก่อเรื่อง!

ผมโบกมือไล่ทันทีระหว่างปีนกลับขึ้นเตียง “จะไปไหนก็ไป” เพราะเวลานี้คือช่วงที่พาร์ตื่นออกไปวิ่งตอนเช้า แน่นอนผมโคตรง่วง ต่อให้โดนลากก็ไม่ไปแน่

แปลก พาร์ไม่ได้ลากผมไปด้วยอย่างทุกที ช่างเถอะ นอนต่อดีกว่าครับ 

ผมตื่นอีกครั้ง เพราะเสียงน่ารำคาญบางอย่าง ฟังเหมือนตัวอะไรสักอย่างร้องครวญคราง

ผงกหัวขึ้นจากหมอน อากาศเย็นฉ่ำ ได้กลิ่นดินชื้นน้ำฝนจากข้างนอกพัดตามลมเข้ามา แอร์ถูกปิดแล้วแน่ๆ เพราะพาร์เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทเหมือนทุกเช้าที่ผมทำ

เห็นแก่ทำตัวมีประโยชน์ ผมยอมยกโทษเรื่องเมื่อคืนกับเมื่อเช้าให้ก็ได้

ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เจอพาร์นอนหงายทับผ้าห่ม โชว์พุงไร้ไขมัน เสื้อก็ไม่ใส่ สวมแค่กางเกงขาสั้นสำหรับอยู่บ้าน ได้กลิ่นสบู่ด้วย และไอ้เสียงร้องนั่นดังออกจากท้องคนหลับอยู่นี่เอง

เหลือบมองเวลาปุ๊บ ผมรีบลงจากเตียงปั๊บ พุ่งตัวเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

ออกจากห้องนอนก็แวะไปดูน้องๆ ก่อน ยังหลับกันอยู่แน่ๆ ไม่งั้นคงมาตะแง๊วก่อกวนถึงเตียง เพื่อขออาหารเช้าจากผมแล้ว (มันเลยเวลาตั้งโต๊ะมาสองชั่วโมงแล้วครับ)

น้องอันไม่มีไข้ แต่สองสาวตัวร้อนผ่าวทั้งคู่ เลยต้องลงมาเอาแผ่นเจลลดไข้ไปแปะหน้าผากให้น้องๆ หยิบยางมัดผมสีฟ้าสดใสของน้ำมายืมใช้ก่อน ระหว่างลงมาที่ครัวก็เดินรวบผมไปด้วย

เมนูวันนี้คงไม่พ้นข้าวต้ม

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-09-2016 00:39:29
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-09-2016 01:43:54
โอ้ยยย!! เค้าจะบอกรักกันแบบนี้ก้อได้หรา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 21-09-2016 07:26:59
รอตอนต่อไปคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 21-09-2016 08:31:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 21-09-2016 12:44:34
พาร์กับทีนี่เค้ามีความสัมพันดีๆกันตั้งแต่เด็กเลยใช่มั้ยเนี่ย เขินแปป
พูดไปทีตอนเด็กๆก็น่าสงสารนะ เกือบโดนข่มขืนแนะ ฮืออ มาต่ออ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 21-09-2016 13:21:10
อ่ออออออ  งี้นี่เองงงงง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 21-09-2016 14:43:36
โธ่

รักแรกของน้องพาร์ ตอนเจอธีร์แต่งหน้าเลยเหมือนเห็นรักแรกเลย?

พาร์น่ารักอ่าาาาา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-09-2016 15:35:39
อยากอ่านต่ออีกและ ตามทันแล้ว
สุดยอดดดดดด สนุกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ตามติด พาร์ ที ชลนที ด้วยคน
เรื่องนี้ ทำให้ได้ข้อคิดเรื่องที่แม่อยากได้ลูกสาว
เลยให้ลูกชายไว้ผมยาวใส่กระโปรง
คือ มีผลต่อคนที่เห็น ทั้งคนเห็นตัวจริง และรูปถ่าย
พาร์ ที  :mew1: :mew1: :mew1:
เหมาะสมกันจริงๆ ทุกด้านเลย น่ารัก
รอตอนใหม่ ใจจดจ่อ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 22-09-2016 00:09:04
เรื่องนี้น่ารัก เราพลาดไปตั้งแต่แรกได้ไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 22-09-2016 08:02:04
 :hao4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่14] P.3 (21/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ~tOeY~ ที่ 23-09-2016 21:35:07
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 24-09-2016 17:28:26
บทที่ 15

ผมทำอาหารเช้าเสร็จ จะไปตามพาร์ลงมากินข้าวก่อน ค่อยไปปลุกน้องๆ ทีหลัง ออกจากครัวมุ่งหน้าไปยังบันได กลับต้องผงะ เมื่อเหลือบเห็นสองเท้าเปลือยเปล่าลอยอยู่กลางอากาศในระดับเหนือสายตาเล็กน้อย ใจแทบกระดอนออกจากอก ขวัญปลิวไปนู้น ขาแข็งทื่อเหมือนกับถูกตรึงกับพื้น

แว้กกก!! ผมเจอผี!

“ผมมีเรื่องจะปรึกษาพ่อหน่อย”

เอ๊ะ…

ผมพยายามตั้งสติ หลังได้ยินเสียงคุ้นเคยแทรกเข้ามาในโสตประสาท

“ก็…แค่กำลังสับสน”

ทำใจกล้าเพ่งมองอีกที คราวนี้ไล่มองขึ้นไปเรื่อยๆ เท้า ท่อนขา ชายกางเกงขาสั้น ลำตัว 

ให้ตาย!

ผมพ่นลมออกจากปาก ระบายความตึงเครียดออกจากร่าง เพื่อนผมเล่นนั่งตรงที่พักเท้า สอดขาทั้งสองผ่านซี่เสาไม้เล็กๆ ห้อยออกมาด้านนอกราวบันได แขนข้างหนึ่งจับมือถือแนบหู ส่วนอีกข้างยกมาก่ายหน้าผากวางแปะกับราวไม้   

ที่ปกติมี ทำไมไม่นั่ง!

ผมเดินเข้าใกล้เตรียมจะตะโกนไล่เพื่อนไปนั่งคุยแถวโซฟา

“ก็เรื่องคนในรูปถ่าย”

ชะงักกึก รูปถ่าย?

...เรื่องเดียวที่ลอยวูบเข้าหัวคือบทสนทนาของเมื่อคืน

รู้ตัวอีกที ผมดันเข้ามานั่งยองๆ หลบอยู่ใต้บันไดแล้ว พ่อผมวางกระถางต้นไม้ประดับไล่ตามระดับความสูงของช่องใต้บันได ก็มีพวกเดหลี เศรษฐีเรือนใน ปาล์มสิบสองปันนา และลิ้นมังกร ผมมุดเข้าไปเบียดกระถางปาล์มสิบสองปันนาครับ (มันกว้างสุดแล้ว)       

“ก็บอกไม่ถูก คงประมาณเขาไม่เหมือนอย่างที่นึกไว้ล่ะมั้ง”

…เรื่องที่ไม่ใช่เด็กผู้หญิงอ่ะนะ

ผมชักเหงื่อตก มาเจอพาร์ผิดจังหวะชัดๆ เดี๋ยวก่อน! เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ? เผื่อได้รู้ว่ามันตัดสินใจยังไงจะได้วางตัวถูก เข้าท่าๆ

“เพราะเจอตัวเป็นๆ แล้วนั่นแหละถึงได้รู้…พ่อรู้ได้ไง”

ลุงแทนรู้อะไร?

“แล้วทำไมไม่บอกผม?!”

ผมสะดุ้งตกใจเสียงตะโกนของพาร์ จนหัวเกือบโขกขอบกระถาง แต่หลังจากมันเงียบพักใหญ่ กลายเป็นเสียงหงอยแทนซะงั้น

“…ไม่ครับ ผมผิดเอง”

ผิดเรื่องอะไร? งงวุ้ย

“พึ่งรู้เมื่อคืนวันพุธ…เปล่า เขาไม่ได้บอก ผมเจอความจริงเอง”

ผมขยับตัวเปลี่ยนมานั่งกอดเข่า ตอนนี้เริ่มจับประเด็นได้นิดหน่อย หมายความว่าลุงแทนรู้อยู่แล้วว่าคนในรูปเป็นผู้ชาย แต่ไม่ได้บอกลูกชายสินะ

“ช็อกสิ”

ผมนึกถึงพฤติกรรมช่วงคืนวันพุธถึงวันพฤหัสแล้วเบ้ปาก

ไอ้ที่เงียบ แล้วครุ่นคิดตลอดเวลานั่นคือช็อก?

“ก็เสียศูนย์นิดหน่อย…นิดหน่อยจริงๆ ไม่ได้โกหก มันเทียบกับตอนรู้ว่าเด็กคนนั้นตายไม่ได้สักนิด”

ฮะ? ใครตายกัน? ผมชักสับสน นี่พาร์กำลังพูดเรื่องผมอยู่ใช่ไหม? หรือไม่ใช่?

“มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กนะพ่อ ผู้ชายเชียวนะผู้ชาย”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมแน่ใจแล้วว่าพาร์กำลังพูดถึงผมจริงๆ นั่นแหละ…แต่ช่วยเลิกสับสนเร็วๆ ได้ก็ดีนะเพื่อน

“…ชอบสิ แต่ชอบคนละความหมาย แบบเพื่อนมากกว่า...มันต่างกันออก”

หยุดแค่แบบเพื่อนน่ะดีแล้ว

พาร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถ้ารู้วิธีจัดการปัญหาตอนนี้ ผมจะโทรปรึกษาพ่อทำไม…ก็ใช่ ตอนนั้นผมมั่นใจความรู้สึกของตัวเอง แต่ตอนนี้มัน…ครับ อย่างที่พ่อบอก ผมไม่เคยมองผู้ชายในแง่นี้มาก่อน”

มึงเป็นชายแท้แน่นอน! โปรดอย่าเอาภาพกูสมัยสวมกระโปรงไปทำให้สับสนเลย

"ไอ้คำนั้นผมก็เคยได้ยิน รักมันไร้พรมแดนใช่ไหมล่ะ แต่…ครับๆ ตอนนี้ผมพยายามหาข้ออ้างไปเรื่อยแหละ...พ่อพูดถูก ผมทำใจยอมรับไม่ได้”

ผมลอบพ่นลมหายใจโล่งอก มึงรับไม่ได้ก็ถูกแล้ว

“ลังเล? ไม่รู้สิ ผมก็บอกไม่ถูก…พ่อลองถามมาสิ…สัมผัสได้ตามปกติ...ก็รู้สึกเฉยๆ …อยากสัมผัสเหรอ ก็ไม่นะ…ฮะ! กอด! กะ ก็เคย…ระ รู้สึกยังไง ตกใจสิ!... ตกใจแบบไหนใครจะไปรู้ครับ! ผมเผลอยันอีกฝ่ายตกเตียงก่อนจะทันตั้งสติคิดซะอีก”

ผมกรอกตามองพื้นบันได เยี่ยม! คราวหลังผมตกใจเมื่อไหร่จะถีบมันตกเตียงบ้าง!

“แปลกตรงไหน ผมไม่คิดจะไปนอนกอดอีกฝ่ายนี่!...ครับๆ ตื่นตระหนกเกิดเหตุก็ได้ แล้วพ่อว่าผมควรทำไงดี…ฮะ? อยู่ได้สิ…อันนั้นก็ได้ เมื่อคืนผมก็นอนหลับสนิทดี…อาจเพราะเหนื่อย อ้อ โล่งใจด้วยมั้ง…คือเราคุยเรื่องอดีตกัน จนผมได้คำตอบหายคาใจมา…เขารู้เพราะลูกชายพ่อเผลอหลุดปากบอกเองนี่แหละ…สารภาพรัก! ไม่! ผมไม่นับว่ามันเป็นการสารภาพรักแน่!!”

…ผมแอบอิจฉาพาร์นิดๆ ที่คุยกับพ่อได้ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องความรัก พ่อผมไม่เหมาะเป็นที่ปรึกษาเท่าไหร่ เพราะพ่อชอบออกความเห็นตามแต่ที่ตัวเขาเห็นว่ามันน่าสนุก! เช่น ถ้าผมเดินไปบอกพ่อว่า มีผู้ชายมาบอกชอบทีล่ะพ่อ ทำไงดี พ่อคงสวนกลับมาทันที ลองคบดูก็ไม่เสียหายนี่ลูก แค่นึกยังเผลอกุมขมับ

“ครับ เป็นวิธีที่ดีเลย…ขอบคุณมากครับ”

อ้าว เผลอสมาธิหลุดไปวูบเดียว พาร์วางสายซะงั้น

ผมคลานออกมา แอบชำเลืองมอง ได้จังหวะรีบออกจากที่ซ่อน กลับมาปักหลักในห้องครัว

…อุตส่าห์ไปแอบฟังเขา ก็ดันไม่ฟังบทสรุป แล้วตกลงพาร์จะเอายังไงต่อวะเนี่ย?   

ผมยืนถอนหายใจอยู่หน้าเตาแก๊ส นึกทบทวนสิ่งที่ได้ยินมาอีกรอบ

พาร์ดูจริงจังกับเด็กในรูปถ่ายมากเลยนะครับ (ถึงขั้นออกอาการเครียด ต้องโทรไปขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่) ความรู้สึกผิดตีขึ้นมาจุกอก พร้อมความกระอักกระอวนใจเมื่อเรื่องเข้าตัวเต็มๆ ใจเริ่มคิดถึงหมอนข้างเพื่อนยาก อยากไปโขกหัวใส่มันสักสิบทีจริงๆ

โว้ยยย! เจอผู้ชายแปลกหน้ามาจีบ ผมยังไม่เครียดเท่าตอนนี้เลย!

“ที”

ผมสะดุ้งโหยง รีบหันตามเสียงเรียก เจอพาร์ยืนอยู่ตรงทางเข้าออกของห้องครัว (ที่เป็นแค่ช่องประตู)

“วะ…ว่าไง?”

“ข้าวยังไม่เสร็จ?”

“ก็...”

เสียงท้องร้องประท้วงขออาหารจากคนแถวนี้ดังสนั่นขัดจังหวะผมพูด เจ้าของท้องยังต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอับอาย อารมณ์ตึงเครียดผ่อนลงทันตา ผมกลั้นยิ้มขำอยู่พักใหญ่กว่าจะเอ่ยต่อจนจบประโยค

“เสร็จแล้ว กำลังจะไปตามอยู่เนี่ย”

ยิ้มล้อ ระหว่างมองพาร์หย่อนก้นนั่งเก้าอี้ประจำ

“น้องล่ะ?”

พาร์เปลี่ยนเรื่อง ผมก็ตามน้ำ ไม่อยากแซวมาก กลัวถึงตาตัวเองบ้าง อาจโดนหนักกว่าก็ได้ ใครจะรู้

“ยังไม่ตื่นมั้ง เวลาน้องๆ ป่วย จะตื่นสายกว่าปกติ”

ผมหยิบชามตักข้าวต้มหมูสับ โรยกระเทียมเจียวที่ทำไว้นิดหน่อย ใส่ต้มหอม เหยาะพริกไทย (ขืนไม่ปรุงเบื้องต้นให้ คนท้องร้องคงกินแบบไร้การปรุงแน่ๆ)  แล้วยกไปเสิร์ฟถึงที่ บริการคนหิวหน่อยครับ

“งั้นเดี๋ยวกูไปตามลงมา…”

ผมรีบจับไหล่ดันตัวพาร์กลับไปนั่งที่เดิม

“กินก่อนดิ เดี๋ยวพวกตัวป่วนลงมา กว่าจะได้กินคงอีกนาน มึงทนหิวไม่ไหวหรอก”

ไหงมองกันแปลกๆ ผมพูดจริงนะ ต้องดูแลน้องจนเรียบร้อยนั่นแหละถึงจะได้กินข้าว เพราะงั้นกินก่อนแล้วค่อยไปดูแลน้องดีกว่า

ผมไปตักข้าวต้มมานั่งกินด้วย นั่งได้สักพักก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่ใช่อาหารไม่อร่อย แต่บรรยากาศระหว่างคนด้วยกันเงียบเกินไป ถึงอ้างเรื่องมารยาท เช่น เวลากินข้าวอย่าคุยกันก็เถอะ แต่อย่างน้อยช่วงที่หยุดใช้ช้อนคนข้าวต้มระบายความร้อน ก็น่าจะมีบทสนทนาอะไรบ้างสิ

ก็ได้! ผมเริ่มเอง!

“เรียนอีกอาทิตย์หนึ่งก็จะสอบแล้ว เร็วเนอะ”

“อือ”

“เริ่มอ่านหนังสือสอบยัง?”

“ยัง”

“มีวิชาไหนปิดคอร์สไปแล้วบ้างไหม”

“มี”

“เช้าหรือบ่าย?”

“บ่าย”

“แล้วเมื่อไหร่มึงจะเลิกตอบคำเดียววะ”

“ฮะ?”

อยากจะบ้า!

ดูหน้าไอ้คนตอบมาแค่คำเดียวสิ ง.งูลอยเต็มไปหมด แทบจะสลักคำว่า ‘งง’ ไว้กลางหน้าผากด้วยซ้ำ สรุปคือมันไม่รู้ตัวใช่ไหม!

“ช่างเถอะ” บอกปัดทันที ขี้เกียจอธิบาย เดี๋ยวสถานการณ์ย่ำแย่กว่านี้ ตักข้าวต้มมาเป่าให้คลายความร้อน แล้วเอาเข้าปาก

ผมยอมปิดปากเงียบ ทนอึดอัดก็ได้ครับ

หลังกินข้าวเสร็จ พาร์ขึ้นไปปลุกน้องๆ ส่วนผมอยู่ในครัวต่อแบ่งข้าวต้มใส่ชามเล็กไว้

คนป่วยกินไม่เยอะหรอกครับ ตักเยอะไปก็กินไม่หมด น่าเสียดายออก แล้วอย่าหวังว่าน้องทั้งสามจะมานั่งกินข้าวในห้องครัว ผู้รู้อย่างผมเลยต้องเตรียมทั้งข้าวทั้งน้ำใส่ถาด ยกออกไปวางบนโต๊ะกระจก (ย้ายโต๊ะไปอยู่ข้างโซฟาแล้ว เพื่อให้พรมนุ่มหน้าทีวีมีที่ให้น้องๆ นอนกลิ้งเล่นได้)

คนแรกที่ลงมาคือน้องอัน ท่าทางซึมๆ ผิดปกติ เจอหน้ากันปุ๊บก็โผเข้ามากอดขาผมปั๊บ

“อันเจ็บคอ” เสียงตัวเล็กแหบมาก

ผมอุ้มน้องขึ้นไปนั่งบนโซฟา คุกเข่ากับพื้น ประจันหน้าพร้อมซักถาม

“มีน้ำมูกไหม? ไอหรือเปล่า?”

เจ้าตัวเล็กส่ายหน้าถี่ๆ

ผมรินน้ำอุ่นใส่แก้วป้อนน้องก่อน แต่กินไปไม่กี่คำก็ส่ายหน้าไม่เอาแล้ว

“ดีขึ้นไหม?”

น้องส่ายหน้า ไม่พูด แต่ชูสองแขนเล็กหมายให้อุ้มอย่างเดียว เวลาน้องป่วยชอบอ้อนเป็นพิเศษ (ผมเข้าใจ เพราะผมก็เป็น) เลยขึ้นไปนั่งบนโซฟาข้างๆ น้องจะซุก ซบ หรือกอดก็ตามสะดวก แต่เจ้าตัวเล็กเล่นปีนมานั่งคร่อมตักกอดเอวแน่น เกาะติดประหนึ่งเป็นลูกลิง

…ท่าทางวันนี้คงไม่ปล่อยพี่ชายห่างตัวแน่ๆ

ดีนะครับ วันนี้อากาศเย็นสบาย ถ้าร้อนตับแตกอย่างทุกที อย่าหวังเลยว่าพี่จะให้กอดแบบนี้

“มากินข้าวกันดีกว่า”

น้องส่ายหน้าทันที

“พี่ป้อน”

อ๊ะ มีนิ่ง

“พี่ป้อนเชียวนะ ไม่เอาเหรอ?”

พยักหน้าแล้วครับ! ฮ่าๆๆ

ผมพยายามป้อนข้าวต้มน้อง ตักน้ำข้าวต้มให้เยอะหน่อย จะได้ลื่นลงคอง่ายๆ พอหมดน้องก็ไม่เอาเพิ่มแล้ว

…ว่าแต่สามคนข้างบนทำไมยังไม่ลงมาอีกหว่า

ผมแอบเหล่มองหัวลูกลิงที่ซบอกผมอยู่ ขืนอุ้มขึ้นชั้นบน ก็ต้องอุ้มลงมา ไม่ไหวๆ อยู่รอตรงนี้ดีกว่าครับ

นั่งกอดน้องเล่นสักพักก็นึกขึ้นได้ว่าลืมโทรหาลุงหมอ

ผมดึงมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงอย่างทุกลักทีเล กดโทรออก…รอสายอยู่พักใหญ่ไม่มีใครรับ สงสัยยุ่งกันอยู่ กำลังจะกดวางกลับมีคนรับซะก่อน น้ำเสียงคนพูดฟังหอบหน่อยๆ แต่ยังติดขี้เล่นเหมือนเดิม

[สวัสดีครับคุณหนู คุณพ่อติดประชุมครับ คุณหนูฝากข้อความกับพี่ได้เลย]

ผมคิ้วกระตุกยามได้ยินถ้อยคำไม่เข้าหู แต่ข่มอารมณ์หงุดหงิด พูดกลับด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ท้าชนให้รู้ดำรู้แดง ศึกนี้ใครจะเป็นฝ่ายยอมยกธงขาวก่อน!

“อรุณสวัสดิ์ครับนายแพทย์พีรพัฒน์ กระผมนายชลนทีมีเรื่องจะแจ้งให้นายแพทย์พีรพัฒน์ทราบดังนี้…”

[กรุณาอย่ากล่าวแบบนี้เลยครับ! ทางนี้ยิ่งฟังยิ่งปวดขมับตุบๆ]

“ถ้านายแพทย์พีรพัฒน์ยอมเลิกเรียกกระผมว่าคุณหนูก่อน กระผมอาจพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ”

[จะไม่เรียก ‘คุณหนู’ แล้วขอรับ ตกลงว่านายน้อยมีธุระอะไรให้บ่าวผู้นี้รับใช้ขอรับ]

พ้นจากคุณหนู ยังมาเจอนายน้อยอีก!

“ตอนแรกมีแค่เรื่องเดียว แม้มีข้อยิบย่อยเยอะสักหน่อยก็ตาม แต่ตอนนี้กระผมอยากแจ้งให้ทราบหลายเรื่อง เรื่องแรกช่วยเรียก ‘ที’ เฉยๆ ได้ไหมครับนายแพทย์พีรพัฒน์”

[เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะครับ ทายาทเจ้านาย]

“งั้นมากล่าวถึงข้อที่สองกันเถอะ นายแพทย์พีรพัฒน์ช่วยถือโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ก่อน แล้วโปรดเดินไปตามคนที่มีอำนาจมากกว่าคุณมารับสายกระผมแทนด้วยครับ”

[ฮะ!]

ผมเมินเสียงตกใจจากปลายสาย “อย่างเช่น พี่ๆ ของคุณ...”

[เดี๋ยวก่อนนน…]

“คำสั่งตรงจากทายาทเจ้านาย นายแพทย์พีรพัฒน์ไม่มีสิทธ์พูดขัดนะครับ”

[โอเค…พี่ยอมแพ้แล้ว]

เสียงระโหยมาเลย แต่ใครจะสน!

ผมกำมือดีใจกับชัยชนะที่ได้รับมา ในที่สุดก็ปราบลูกคนเล็กของลุงหมอสำเร็จจนได้ วู้!

[ตกลงเราโทรมาทำไม ขู่พี่ได้แบบนี้ไม่ได้ป่วยแน่นอน]

“แล้วใครว่าทีป่วย น้ำกับเบอร์ต่างหาก มีไข้ตัวร้อนตั้งแต่เช้า พี่จำเบอร์ดี้ได้ใช่ไหม”

[จำได้ ป่วยแค่สองคน?]

“น้องอันด้วย บอกเจ็บคอ แต่ไม่มีน้ำมูก ไม่มีไอ”

เจ้าตัวเล็กเงยหน้ามองผม พี่ไม่ได้เรียกครับ แค่พูดถึงเฉยๆ

[งั้นน้องทีไปวัดไข้สองสาวก่อน สังเกตอาการอื่นๆ แล้วไลน์หาพี่ เดี๋ยวพี่จะแวะไปตรวจให้ที่บ้าน…ตอนนี้อยู่บ้านอาอรรถใช่ไหม]

“สะดวกเหรอครับ?”

[ถามอะไรอย่างนั้น บ้านเราโทรมาทีอย่างกะเสียงเตือนภัย ใครกำลังว่างเป็นต้องถูกถีบส่งไปหาอย่างไว เอาเป็นว่าช่วยเตรียมข้าวให้สักมื้อจะขอบคุณมากๆ]

[คุณหมอพีรพัฒน์ค่ะ มีคนไข้…]

[ขอโทษนะครับ เจ้านายโทรมา ผมต้องรีบไปตรวจนอกสถานที่ รบกวนติดต่อแพทย์ท่านอื่นไปก่อนนะครับ]

[อ๊ะ ค่ะๆ รีบไปเถอะค่ะ เอ่อ เดี๋ยวดิฉันอยู่แจ้งให้ท่านทราบ หลังท่านออกจากห้องประชุมเองค่ะ]

[ครับ ฝากด้วยนะครับ อ้อ บอกคุณพ่อด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง]

ได้จังหวะ ผมก็รีบกรอกเสียงลงเครื่องสื่อสาร “พี่พีทไม่ต้องรีบมาก็…”

[ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะรีบไป!]

ตัดสายผมซะงั้น แถมน้ำเสียงส่งท้ายยังเคร่งเครียดเกินเหตุ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคุยเล่นสนุกกันอยู่เลย

จ้องมือถือสักพักก็เบ้ปาก ลูกคนสุดท้องของลุงหมอนิสัยยังเหมือนเดิมเป๊ะ

ก่อนจะเก็บมือถือ ผมคิดบางอย่างได้ เลยรีบปลดล็อกกดโทรออกหาคนข้างบน พาร์ไม่รับสาย สงสัยทิ้งเครื่องไว้ในห้องนอน เลยเปลี่ยนโทรเข้าเบอร์น้ำแทน สักพักใหญ่กว่าจะมีคนรับ

[กำลังลงไป] เสียงพาร์ครับ

“ทำไมช้า?”

[สองสาวไม่ยอมลุกจากเตียง พึ่งขุดขึ้นมาได้]

อ้อ

“’งั้นรีบลงมาแล้วกัน” ผมตัดสายแค่นั้น

สักพักได้ยินเสียงพาร์เอ่ยดุน้องๆ แถวบันได หันไปถึงได้เห็นสภาพสองสาวพร้อมลงไปนอนวัดพื้นทุกเมื่อ เสียวน้องกลิ้งม้วนตัวลงมาจริงๆ ลุ้นตามจนถึงชั้นล่างอย่างปลอดภัยค่อยโล่งใจหน่อย พอสองสาวเห็นหน้าผมก็ถลาตรงมาหา…

เปล่าครับ ไม่ได้วิ่งมากอดเหมือนน้องอัน แต่คว้าหมอนอิงข้างตัวผมคนละใบ แล้วทิ้งตัวนอนบนพรมนุ่มหน้าทีวีทันที จนผมต้องรีบยื่นเท้าขวางไม่ให้นอน

“มากินข้าวต้มกันก่อน! ใครไม่กิน พี่ไม่ให้นอนแน่”

“พี่ทีอ่ะ”

ผมเมินเสียงประสานของสองสาว พยักเพยิบให้เห็นข้าวต้มบนโต๊ะกระจก

“พี่จ๋าป้อน”

มาอีกคนแหละ

“อายเบอร์ไหม เบอร์ยังกินเองเลย”

ยัยน้ำส่ายหน้าขวับๆ ย้ำอีก “ป้อน!”

ผมถอนหายใจ อุ้มน้องอันไปนั่งข้างๆ “นั่งรอตรงนี้ก่อน”

“ม่าย”

เอาเข้าไป

“งั้นพี่ไม่ให้กอด” ดันตัวน้องออกห่างอีกหน ตัวเล็กทำท่าเบะปากเตรียมร้อง “ถ้าร้องไห้ พี่ก็ไม่ให้กอด”

นิ่งเลยครับ แต่น้ำตาคลอเชียว ผมขยี้หัวน้องชายเป็นคำชม ก่อนเดินไปหยิบชามข้าวต้มมานั่งป้อนน้องสาว ยัยน้ำนั่งพื้นพิงโซฟา อ้าปากรับเป็นลูกนกแรกเกิด ปากเคี้ยวทั้งที่ตาปิด ตัวน้องร้อนผ่าวๆ แค่ยื่นมือเข้าใกล้ตอนป้อนยังรู้สึกถึงไอร้อนเลยครับ…สงสัยต้องเช็ดตัวลดไข้ไปพลางๆ ระหว่างรอหมอมาถึง

ข้าวต้มหายไปครึ่งชาม แผ่นหลังของผมก็ถูกกระแทกอย่างแรง ดีนะช้อนยังไม่พ้นขอบชาม ไม่งั้นหกเลอะไปแล้ว เอี้ยวคอเหลียวมอง กะจะดุเจ้าตัวเล็ก แต่รู้สึกชื้นๆ ที่หลังเสื้อเข้าก่อน ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยิน เสื้อรอบเอวก็โดนกำแน่นจนยับ ก็ได้แต่ถอนหายใจ ปล่อยน้องคนเล็กกอดไปครับ

ผมป้อนน้องสาวจนหมดชามแล้ว ยัยน้ำยังอ้าปากรอรับอยู่เลย ตลกดี แต่อีกแง่ สติคงไม่เหลือแล้วมั้ง

“ที น้ำ”

ตอนแรกนึกว่าผมกับน้องโดนเรียก แต่พาร์แค่ส่งแก้วน้ำมาให้ครับ มีใส่หลอดให้ด้วย เอาใจใส่ดีแฮะ

ผมวางชามลง รับแก้วน้ำพร้อมยิ้มแทนคำขอบคุณ จ่อหลอดป้อนน้องสาวถึงปาก…หลอดโดยเคี้ยวครับ เหมือนผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ทั้งจากทั้งคนตัวเล็กและคนตัวโต ผมก็ขำนะ แต่จำต้องทน เอ่ยเตือนสติน้องสาวก่อนหลอดใช้งานไม่ได้   

“นี่หลอด ดูดอย่างเดียวพอ ไม่ต้องเคี้ยว”

น้ำปรือตามองนิดหนึ่ง ก่อนดูดน้ำไปครึ่งแก้วก็ผละออก

“นอนได้ยางง”

เสียงยานคางมาก หัวเริ่มตกตามแรงโน้มถ่วง พออนุญาตปุ๊บ ก็คลานไปทิ้งตัวนอนข้างเบอร์ดี้ทันที 

“อยู่นี่แหละ เดี๋ยวยกไปเก็บเอง”

พาร์ว่าหลังก้มหยิบชามข้าวต้มที่ผมวางทิ้งไว้ แถมแย่งแก้วน้ำในมือ เดินไปวางบนถาด ผมชะเง้อคอมองชามข้าวของน้องเบอร์ดี้ หายไปแค่ครึ่งเดียว ก็ยังดีครับ

“ฝากเอาน้ำใส่กะละมังกับผ้าขนหนูในห้องน้องอันลงมาให้ด้วยนะ”

คนกำลังยกถาดเดินเข้าครัว หันมามอง

“จะเช็ดตัวน้อง?”

ผมพยักนหน้า

“เอาเสื้อผ้าน้องลงมาด้วยไหม?”

ผมคิดสักพักก็ส่ายหัว “รอไข้ลดเหงื่อออกก่อน ค่อยเปลี่ยนทีเดียว เอาแค่แป้งลงมาก็พอแล้ว”

-------------

หลังจากยุ่งกับการดูแลน้องๆ พักใหญ่ๆ คุณหมอก็มาถึงสักที สภาพพี่พีทตอนแรกดูเนี๊ยบดีจนผมอึ้ง

แต่พอเข้าบ้านปุ๊บ พี่พีทตรงดิ่งไปห้องรับรองแขกที่ผมกับพาร์ช่วยกันทำความสะอาดเตรียมพร้อมใช้งาน เพราะไม่ได้ปิดประตู ผมเลยเห็นทุกช็อต ตั้งแต่พี่แกถอดเสื้อกราวแขวนหน้าตู้เสื้อผ้าอย่างดี ตามด้วยเสื้อเชิ้ต กางเกง เหลือแค่กางเกงในเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำ สิบห้านาทีต่อมาก็มีผ้าขนหนูพันเอว

“ที หาเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น หรือแค่บ็อกเซอร์ก็ได้ให้พี่หน่อย”

พาร์อาสาไปหยิบเอง ที่จริงในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดนอนนะครับ (ของลุงแทน) แต่สงสัยพี่แกจะไม่ชอบ

“พี่ขอกินข้าวก่อนได้ไหม”

“ในครัวมีข้าวต้มหมูสับอยู่ในหม้อ ตักเอาเลย”

ผมมองตามแผ่นหลังกึ่งเปลือยของคุณหมอหนุ่มหายลับเข้าครัว นึกภาพพี่เขานั่งกินข้าวในสภาพนี้แล้วต้องส่ายหัว หมดกันภาพลักษณ์ของคุณหมอ แต่ก็แอบสงสารนะครับ หน้าตาอิดโรยมาก พาร์ลงมาพร้อมเสื้อผ้า หันซ้ายขวาไม่เจอตัวก็เลิกคิ้วถาม ผมชี้นิ้วไปทางห้องครัว

“อ้อ แล้ว…เขาเป็นใคร?”

ถามช้าไปปะ

“ลูกชายลุงหมอ พึ่งเรียนจบไม่ถึงปี จะเรียกหมอพีท หมอพีรพัฒน์ หรือแค่พี่พีทเฉยๆ ก็ตามใจ”

พาร์พยักหน้า แววตายังข้องใจ “แล้วมาทำอะไร?”

“มาตรวจอาการน้องๆ”

พาร์อ้าปาก ท่าทางตกใจ แต่พอตั้งสติได้ก็ถามเสียงเครียด “มึงต้องจ่ายเท่าไหร่”

ผมงง “จ่ายอะไร?”

“ค่ารักษานอกสถานที่”

“อ้อ ไม่มี”

“อะไรนะ?!”

ผมนิ่วหน้าใส่คนทำเสียงดัง “ก็บอกว่าไม่มีไง ไม่ต้องเสียตังค์อ่ะ”

พาร์ทำหน้าไม่เชื่อ “ไม่เชื่อก็ตามใจ เอาเสื้อผ้าไปให้ แล้วถามคนเป็นหมอเองก็แล้วกัน”

พาร์ทำตามทันที พักใหญ่ๆ ก็เดินหน้ามึนกลับมาหาผม เปิดกระเป๋าเงิน ควักแบงค์ร้อยสองใบยื่นมาให้ผม

อะไรวะ?

“หมอบอกว่ามึงจ่ายไปสี่ร้อย หารครึ่งก็คนละสองร้อย”

ผมไม่รับ แต่ถามกลับ “…แน่ใจนะว่าฟังไม่ผิด?”

“เออ!”

“งั้นช่วยหันไปด้านหลัง มองทะลุให้ถึงครัว แล้วบอกกูด้วยว่ามึงเห็นอะไร”

“…หมอพีทนั่งทุบโต๊ะหัวเราะไม่หยุด”

ผมตบบ่าคนกำลังอึนได้ที โธ่ โดนแกล้งก็ยังไม่รู้ตัว เลยสงเคราะห์ช่วยเฉลยความจริง

“กระเป๋าตังค์กูอยู่บนห้อง แล้วจะจ่ายเงินให้หมอได้ยังไง”

“…”

พาร์เงียบไปเลยครับ ผมก็ปล่อยให้เพื่อนตั้งสติเอาเอง เอื้อมไปหยิบตัวต่อส่งให้น้องอันที่ยึดตักผมเป็นที่นั่ง ไม่ยอมลุกไปไหน 

“คนนั้น…” พาร์เกริ่น “ลูกพี่ลูกน้องเหรอ?”

“เปล่า ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดเลย” ตอบแล้วก็ลองมาครุ่นคิดดูอีกที “แต่ก็…เหมือนล่ะมั้ง ยังไงก็รู้จักมาตั้งแต่เด็ก”

“บ้านอยู่ละแวกเดียวกัน?”

“ไม่อ่ะ”

พาร์อ้าปากจะถามอะไรอีก แต่คนในหัวข้อสนทนากลับเดินหน้าหงอยเข้ามาหาซะก่อน

“น้องทีครับ”

ผมเลิกคิ้วสูง ไม่ได้แปลกใจเสียงออดอ้อน แต่กำลังสงสัยว่าพี่แกต้องการอะไรจากผมอีก

ของกินก็ให้ไปแล้วนี่หว่า

“ทำอะไรเพิ่มให้หน่อย แค่ข้าวต้มมันไม่พอยาไส้ครับ”

ฮะ!

“ไม่พอได้ไง ทีทำทิ้งไว้เผื่อมื้อเย็นเลยนะ!”

เย็นนี้ผมกะจะต้มข้าวในหม้อต่อ มันก็จะกลายเป็นโจ๊กให้กินอีกมื้อ 

“หมดแล้ว”

“หมด? ทั้งหม้อเลย?”

พี่แกยิ้มแห้ง ค่อยๆ เอาหม้อที่ถือซ่อนข้างหลังออกมาเอียงให้ผมดูความว่างเปล่าด้านใน

นี่พี่กินหรือสูบ?

“ยังไม่อิ่มอีกเหรอ?”

“ก็…ถมไปได้สักสี่ในห้าแล้ว”

ฟังแล้วอยากกุมขมับ “งั้นเดี๋ยวทีไปทำข้าวผัดให้”

พี่พีทฉีกยิ้ม รีบชูสองนิ้ว ไม่ได้หมายความในแง่ ‘สู้ๆ’ หรอก พี่แกขอสองจาน สมแล้วที่เคยตุตะมาก่อน แต่พึ่งมาผอมหุ่นดีก็หลังเรียนจบนี่แหละ ผมอุ้มน้องอันวางข้างๆ ลุกขึ้นคว้าหม้อในมือพี่พีทเดินเข้าครัวด้วยความปลงตก แว่วเสียงน้องอันร้องไห้จากด้านหลัง สงสัยจะโดนใครสักคนกักตัวไว้ไม่ให้เดินตามผมมา ก่อนจะได้ยินเสียงโหดของคุณหมอจบใหม่

“คนไหนเด็กดื้อ โดนหมอจับฉีดยาแน่ๆ”

เงียบกริบ

ฮ่าๆๆ

ผมออกมาอีกที พี่พีทเก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ฉบับพกพาลงกระเป๋าแล้ว กำลังแนะนำวิธีใช้ยาให้พาร์ฟัง ส่วนตัวเล็กหลับไปแล้วครับ พอพี่พีทสังเกตเห็นผมก็ฉีกยิ้มกว้าง

“เสร็จแล้ว?”

“วางอยู่บนโต๊ะ”

ความเริงร่าแผ่ออร่าคูณสอง…เหมือนน้องหมาเลยครับ ก่อนเดินผ่านยังก้มลงมาหอมแก้มกันฟอดใหญ่แทนคำขอบคุณอีก ผมชินโดนมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งหลังทำอาหารเป็นยิ่งโดนบ่อย แต่พอหันไปมองพาร์ แววตาเพื่อนเอาเรื่องสุดๆ เหมือนโกรธกันมาชาติเศษ

“ถามหน่อย”

“อะ อือ”

พาร์พยักเพยิบไปทางห้องครัว “เขาเป็นอะไรกับมึง?”   

ผมกระพริบตา “พี่ชาย…ล่ะมั้ง”

“ทำไมต้องมีมั้ง?”

เดี๋ยวนะ ทำไมน้ำเสียงขุ่นขนาดนั้นครับเพื่อน

“เอ่อ พาร์…มึงโกรธกูเรื่องอะไร?”

เงียบครับ ทั้งสีหน้าทั้งแววตาของพาร์ดูสับสนอย่างหนัก สุดท้ายก็เดินหนีผมดื้อๆ

อะไรของมัน 

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.3 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 24-09-2016 17:30:00
บทที่ 15 (ต่อ)

พี่พีทอยู่กับพวกผมยาวถึงเย็น ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก พี่แกยึดโซฟานอนยาวจนโดนโทรตามตัวไปเข้าเวรหรืออะไรสักอย่าง (ผมฟังไม่ถนัด) ถึงได้กุลีกุจรเข้าห้องน้ำ แต่งตัวซะเนี๊ยบเหมือนขามาอีกรอบ ย้ำเรื่องการใช้ยา แล้วเตรียมกลับอย่างไว

“เดี๋ยวผมเดินไปส่ง…”

“มึงอยู่เฝ้าน้องนั่นแหละ เดี๋ยวกูไปส่งเอง”

ผมมองพาร์แย่งของในมือคุณหมอหนุ่มไปช่วยถือ เดินนำหน้าไปนู้นแล้ว แต่เจ้าของกระเป๋าอย่างพี่พีทกลับยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิม ครู่เดียวพี่แกก็ฉีกยิ้มระรื่นแบบที่ผมเห็นยังแอบแหยง

เหอะๆ พาร์โดนพี่แกหมายหัวแล้วแน่ๆ…ในฐานะบุคคลน่าแกล้งแห่งปี หรือหลายปีน่ะนะ

ผมเลยไม่แปลกใจที่ได้เห็นหน้าตาบูดบึ้งตอนกลับเข้ามาของพาร์ แต่ที่ไม่เข้าใจ ทำไมผมถึงได้รับสายตาหงุดหงิดจากมันเล่า!

-------------

เมื่อน้องๆ ป่วยจนซ่าไม่ออก แต่ละคนเข้านอนกันเร็วมากครับ สองทุ่มครึ่งก็พากันหลับหมดแล้ว

เฮ้อ…ได้เวลาพักซะที

อาบน้ำเสร็จก็มานอนกลิ้งเล่นบนเตียงคลายเมื่อย สักพักรูมเมทที่เข้าไปอาบทีหลังก็ออกมา

“ที”

“หือ?”

“มีเรื่องจะถามหน่อย”

ผมงง ทุกทีเคยถามแบบนี้ที่ไหน เลยลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เพ่งมองเพื่อนด้วยแววตาสงสัย

จะจ้องหน้าทำไม

“มีอะไรจะถามก็พูดมาดิ”

พาร์เงียบไปอึดใจหนึ่งกว่าจะพูดออกมา “กูอยากได้อัลบั้มรูปถ่ายตั้งแต่เด็กของมึง…แบบปกติ”

ผมสะดุดหูสองจุด ได้ยินแล้วอารมณ์ต่างกันสิ้นเชิง แต่ขอพูดถึงอย่างแรกก่อน

“จะย้ำหาพระแสงอะไรไม่ทราบ!”

ยังดีที่มันไม่ถามว่า ‘มีไหม’ ต่อท้ายคำว่าปกติ ไม่งั้นผมคงกระโจนลงไปต่อยมันอีกหมัดแน่ๆ

พาร์ไม่พูด แต่โยนหลอดยาแก้พกช้ำจากโรงพยาบาลมาบนเตียง หล่นตุบข้างตัวผมพอดิบพอดี เห็นแล้วก็นึกได้ ทั้งวันมัวแต่วุ่นเรื่องนู้นเรื่องนี้ ลืมทายาให้มันเลย ผมโยนหมอนหนุน (ของพาร์) ให้ใช้รองหน้าอก รอเพื่อนนอนคว่ำ ระหว่างนี้ก็ถามย้ำคำติดใจอย่างที่สอง

“แล้วมึงจะ อยาก-ได้ ไปทำไม?”

ลองบอกว่าอยากได้ไว้ดูเล่นสิ ผมยันมันตกเตียงแน่

“อยากได้ไว้ดู…”

ผมง้างเท้าขึ้นแล้ว

“เฉยๆ”

…เพี้ยนไปแค่ประโยคหลัง ผมควรเตะมันดีไหมครับ แต่น้ำเสียงพาร์ไม่ได้ฟังดูโรคจิต ปล่อยผ่านแล้วกัน

วางเท้าลง ทรุดตัวนั่งขัดสมาธิ เตรียมทายาให้เพื่อน

“ขอถามให้แน่ใจ ดูเฉยๆ แล้วคืนเจ้าของ? หรือจะขอรูปถ่ายไปเก็บไว้ด้วย?”

“ทำไมถามแบบนี้?”

“ก็คำว่าอยากได้ของมึง มันครอบคลุมหลายอย่าง”

“กูใช้คำผิดเอง…ขอดูได้ไหม”

“งั้นตอบคำถามมาก่อน จะขอดูไปทำไม?”

พาร์เงียบไปนานจนผมทายาด้านหลังเสร็จ กำลังย้ายตัวเองไปทายาที่หัวเพื่อน

“…พ่อบอกว่าถ้ารู้สึกไม่โอเค และกูอยากถอย ให้ลองกลับไปยืนที่จุดเริ่มต้นดู”

“แล้ว?”

“จุดเริ่มต้นของกูกับเด็กคนนั้นคือรูปถ่าย กูเลยว่าจะเริ่มจากตรงนั้นใหม่อีกครั้ง”

อ้อ

“หลังจากนั้นล่ะ?”

“มึงเป็นเพื่อนที่ดี กูไม่อยากให้เรื่องสมัยเด็กมาทำลายมิตรภาพตอนนี้”

ผมบอกให้พาร์พลิกนอนหงาย

พาร์พ่นลมหายใจ ทำตามที่ผมสั่ง หน้าท้องเพื่อนช้ำกว่าเมื่อวาน (เมื่อเช้าก็ลืมสังเกต) สงสัยเพราะแรงหมัดของผมแหงๆ

“สรุปคือมึงจะถอยสินะ”

พาร์ไม่ตอบ แววตามันสับสนสิ้นดี แถมยังเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามอีกต่างหาก

“ตกลงจะบอกได้ยังว่าอยู่ไหน?”

ผมทายาไป ตอบคำถามไป “อัลบั้มรูปอยู่ชั้นล่างสุดของตู้หนังสือตรงนั้น”

ผมชี้นิ้วบอกพิกัด “แต่กูเอามาแค่บางส่วน ที่เหลืออยู่บ้านย่าหมด”

“ขอดูเท่าที่มีก่อนก็ได้”

ทายาให้มันเสร็จ ผมก็เดินไปล้างมือ ออกมาเจอเพื่อนนั่งเปิดอัลบั้มรูปอยู่ตรงปลายเตียง

…มันยิ้มอ่ะ

“รูปตอนเด็กของกูมีอะไรน่าขำหรือไง?”

พาร์ไม่ตอบ เหมือนจมสู่ภวังค์ไปแล้ว ได้แต่ส่ายหัวปลงๆ ปล่อยพาร์ไปเถอะครับ ส่วนผมหนีไปเล่นเกมออนไลน์ดีกว่า ไม่ได้เข้าเล่นนานจนลืมไปแล้วว่าล่าสุดเซฟตัวละครไว้ที่ไหน แล้วกระดาษจดชื่อกับรหัสล็อกอินไปวางอยู่ไหนเนี่ย

สุดท้ายผมหาไม่เจอ เอาวะ เปิดเกมไพ่ในคอมเล่นคลายเครียดก็ได้

“ที!”

ผมสะดุ้ง หลุดสมาธิจากเกมไพ่หลังเล่นมาพักใหญ่ แต่ก่อนจะได้หันไปหา คนเรียกกลับโผล่พรวด ยื่นรูปทั้งอัลบั้มวางกระแทกบนโต๊ะ

“คนนี้คือ ไอ้พี่หมอวันนี้?”

ผมเหลือบมองภาพที่พาร์ชี้ ตัวเองสมัยหกขวบกำลังหอมแก้มเด็กผู้ชายอายุมากกว่า

“อ้อ ใช่”

ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะโดนพี่พีทแกล้งบอกวันเกิดผิด ผมเลยเป็นคนเดียวที่ไม่มีของขวัญเตรียมไว้ให้ และถ้าไม่มีพี่แกจะยัดเหยียดตั๋วลงโทษฉบับพี่แกทำเองใส่มือ เพื่อเอาตัวรอดเฉพาะหน้า ผมเลยหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง พร้อมพูดแถให้มันกลายเป็นของขวัญให้ได้ จำไม่ได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง แต่สีหน้าพี่พีทเหวอสุดๆ พวกผู้ใหญ่หัวเราะร่วน แต่หลังจากนั้นเวลาพี่พีทเจอหน้าผม จะทำหน้าหมั่นไส้มาก

ผมออกจากภวังค์ก็พบว่า พาร์เก็บอัลบั้มรูปคืนที่เดิมแล้ว หน้าหงุดหงิดได้ที่ มือกำสมาร์ตโฟน อีกมือผลักประตูเปิดเตรียมออกจากห้อง

“จะไปไหน?”

“ช่างกูเถอะ!”

ประตูถูกกระแทกปิด แต่เสียงไม่ดังนัก สงสัยกลัวน้องๆ ตื่น ผมจ้องประตูต่ออย่างมึนๆ 

…วันนี้พาร์อารมณ์แปรปรวนชะมัดเลยครับ

-------------

วันอาทิตย์ก็เหมือนกับวันเสาร์ ต่างแค่น้องๆ เริ่มอาการดีขึ้น กลับมาร่าเริงถึงขั้นป่วน เรียกร้องอยากกินนู้นกินนี่ตั้งแต่เช้า ผมต้องแหกขี้ตามาทำแกงจืดเยื่อไผ่ใส่เห็ดหอมสับให้ หลังของคาวคือของหวาน พาร์เลยรับบทหนักเพราะเป็นคนเดียวในบ้านที่ทำของหวานอร่อย

“เยลลี่ๆ อยากกินเยลลี่ พี่พาร์ทำให้กินหน่อยยย”

นอกจากสองสาว พาร์ยังเจอสายตาออดอ้อนของเจ้าตัวเล็กด้วย

ผมเมินสายตาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้กลับมาทำตัวเป็นปกติอีกครั้ง พลางชำเลืองมองวิธีที่พาร์ใช้รับมือน้องๆ เพื่อศึกษาเป็นแนวทาง มันใช้เทคนิก 'ความเงียบ สยบทุกความเคลื่อนไหว' แต่ขอโทษเถอะ เพราะใช้กับสามคนนี้ไม่ได้ผลครับ พูดด้วยปากไม่ฟัง น้องๆ ก็เริ่มสกินชิพเข้าออดอ้อน สุดท้ายพาร์ทนไม่ไหว ชิ่งหนีขึ้นข้างบน ทิ้งน้องทั้งสามมองตามตาปริบๆ ก่อนหน้าบูดในเวลาต่อมา

“ทำไมให้กินไม่ได้อ่ะ แค่เยลลี่น้ำผลไม้เองนะ คั้นสดจากส้มแท้ๆ มีวิตามินซีสูงจะตาย ป้องกันหวัดด้วย หรือถ้าพี่พาร์ขี้เกียจ น้ำเสนอให้ใช้น้ำผลไม้กล่อง”

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่คั้นสดหรือกล่องหรอกน้องสาว แต่เพราะมันต้องเอาไปแช่ตู้เย็นก่อน ใครจะเอาของเย็นๆ ให้คนป่วยกินเล่า   

“รอหายก่อน เดี๋ยวพาร์ก็ทำให้เองแหละ” ผมพูดปลอบ

“พี่ทีทำได้ไหม?”

“ได้”

สายตาสามคู่มองสบตาผมปิ๊งๆ อย่างมีความหวัง

“แต่กินเข้าไปแล้ว อาจแหวะออกมานะ”

“ทำไมคะ?” เบอร์ดี้ทำหน้าสงสัย

“เพราะมันไม่อร่อยไง” ผมเฉลยด้วยรอยยิ้ม ได้แหย่น้องแล้วรู้สึกดีจัง

เสียงทำนองล้วนๆ ช่วงต้นเพลง Lost In The Echo ของ Linkin Park ดังขึ้นกะทันหัน…ริงโทนมือถือผมเอง หยิบขึ้นมาดูถึงกับชะงัก เมื่อเห็นชื่อคนกับภาพถ่ายเดี่ยวๆ ครึ่งตัวปรากฏบนหน้าจอ

สามีไอ้เด็นครับ 

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-09-2016 20:44:26
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:   อีพาร์หึงทีแน่ๆเลย55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 24-09-2016 21:31:34
 :hao4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-09-2016 21:36:20
อยากอ่านต่อ อะ สนุกกกกก :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
พาร์ คิดจะถอย อุตส่าห์ขอดูรูปเวอร์ชั่นปกติชาย
แต่พอเจอรูป ทีหอมแก้มพี่หมอ
อารมณ์เสียทันที หึงละสิ
สามีเดน โทรมาทำไมนะ
จะบอกเรื่องเลิกกับเดน ? :katai1: :katai1: :katai1:
ค้างงงงง ไร้ท รับผิดชอบบบบ เลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 24-09-2016 22:07:47
พาร์ยังจะต้องพิสูจน์ใจตัวเองอีกเรอะ เห็นชัดจะจะตาขนาดนี้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 24-09-2016 22:30:58
พาร์นี่ยังไง คือ หึง น้องทีเหรอคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-09-2016 22:41:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-09-2016 03:04:17
เอาอีกกกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 25-09-2016 20:20:15
อยากมีพี่ชายยยยย อยากได้พี่ชายแบบทีมากเลย ฮืออออ พี่ชายอะไรน่ารักตะมุตะมีแม่ศรีเรือนสุดๆ
พี่หมอนางมาพร้อมความหิวใช่มั้ย แถมยังทำให้พาร์หงุดหงิดอีก แล้วแบบนี้ทีจะง้อยังไงละเนี่ย????
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่15] P.4 (24/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 25-09-2016 20:39:47
โอ๊ยยยยย ดีทุกตอน อุ่นละมุน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 28-09-2016 08:47:48
บทที่ 16

ผมออกมารับสายที่ดังรอบสองตรงลานตากผ้าหลังบ้าน หลังหลอกล่อน้องๆ นั่งดูการ์ตูนสำเร็จหมาดๆ

“ไง ตื่นเช้าจัง” รีบทักก่อนโดนเพื่อนบ่นเรื่องรับสายช้าจนมันต้องโทรซ้ำ 

[เช้าบ้าอะไร จะสิบโมงอยู่แล้ว]

“ทุกทีเช้าวันอาทิตย์แบบนี้มึงชอบนอนอืดยาวถึงสิบ ไม่ก็สิบเอ็ดโมงประจำ”

[แต่วันนี้คณะกูมีนัดติวกับพวกรุ่นพี่ครับเพื่อน เรียนไปสองชั่วโมงแล้ว พึ่งได้พักเนี่ย]

“อ้อ เจอวินปะ?”

[เจอดิ กูเห็นหน้าจนเบื่อแล้ว แต่คุยด้วยไม่ได้ แถมไอ้วินโคตรเป็นคนของประชาชน เดินไปไหนมีแต่คนรู้จัก]

ผมหัวเราะทันที ใครไม่รู้จักเดือนวิศวะพ่วงตำแหน่งเดือนมหาลัยก็แย่แล้วครับ

[ว่าแต่ เกมทำเป็นไม่รู้จักกัน ของกลุ่มเราสิ้นสุดเมื่อไหร่นะ?]

ผมนึก “ไอ้คนเสนอบอกว่าช่วงเรียนคือไม่รู้จัก เพราะงั้นช่วงสอบก็น่าจะรู้จักได้แล้ว”

[อ้อ...รวมกลุ่มพอดีเลยนี่หว่า แต่ปีนี้จะติวให้กันรู้เรื่องเรอะ พวกเราแยกเรียนคนละคณะเลยนะโว้ย]

“วิชาพื้นฐานยังชนกันอยู่ อีกอย่างนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่กลุ่มเราได้รวมตัวช่วงสอบ คนในกลุ่มไม่มีใครอยากพลาดหรอก…สรุปมึงโทรมาชวนคุยเล่นสินะ”

ผมก็นึกว่ามันมีปัญหากับเมีย แต่ถ้าไม่มีการพูดถึง สถานการณ์คงยังอยู่ในความสงบล่ะมั้ง

[เปล่า แต่กูโทรมาทวง]

“ทวงไรวะ กูไม่ได้ติดเงินมึงนะ”

[ทวงความลับจากมึงต่างหาก! เพราะมึงแหกกฎกลุ่ม!]

“ฮะ? ความลับอะไร?”

ผมมีด้วยเหรอ?

[แล้วช่วงนี้มึงทำเรื่องอะไรไว้ล่ะ?!]

ผมงงหนักกว่าเดิม หยุดทบทวนพักใหญ่ ก่อนพูดออกไป “…ทะเลาะกับเมียมึง”

[ไม่ใช่เรื่องนี้! แล้วยังไม่คืนดีกันอีกเรอะ]

“หลังจากมีเรื่อง กูยุ่งตลอด จะเอาเวลาไหนไปเคลียร์ แล้วเมียมึงเป็นไงมั้ง”

[ไม่รู้]

“อ้าว”

[ทางกูก็ยุ่งๆ หลายเรื่องเหมือนกัน ไหนจะสอบ ไหนจะเรื่องโดนรุ่นพี่ฝึกโหดจนกูสับสนว่ามาเรียนวิศวะหรือเรื่องทหาร แล้วยังเรื่องศึกลูกสาวคณะอีก ไม่ได้เจอหน้ามันเกือบหกวันแล้วมั้ง…เดี๋ยว มึงพากูออกทะเล!!]

“มึงก็พายออกไปพร้อมกัน!”

[พายกลับเข้าฝั่งด่วน สรุปจะไม่ยอมรับว่ามีความลับกับเพื่อนฝูง?]

“ความลับอะไร? กูงงครับ”

[ไม่ต้องแกล้งทำงงกลบเกลื่อน ทีกูยังบอกทุกเรื่อง! หึ จำไว้เลยนะมึง]

ผมมองมือถือที่โดนตัดสายด้วยความมึนสุดขีด โทรกลับไปก็ไม่ยอมรับสาย

มันน้อยใจผมเรื่องอะไรวะเนี่ย?

ผมกดตัดสัญญาณครั้งที่สามทิ้ง ชักเริ่มหงุดหงิดเลยกดเข้าไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ พิมพ์ยาวเหยียดแล้วกดส่งไปทีเดียว

TEE: ยำยำเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ใครที่ว่างอยู่ไปคุยกับมันหน่อยดิ
TEE: แล้วมาบอกด้วยว่ามันน้อยใจเรื่องอะไร เพราะกูงงครับ

พักเดียวก็ขึ้นอ่านครบทุกคน (รวมถึงคู่กรณีผมด้วย)

YamYam: เออ กูมันบ้า! กูมันงี่เง่าที่น้อยใจมึง!
White Rabbit: เดี๋ยวๆๆ ก่อนอื่นนะ
White Rabbit: ช่วยเท้าความให้พวกกูรู้ก่อนว่า พวกมึงทะเลาะกันเรื่องอะไร
Wind: จริง พวกกูงงครับ
TEE: กูก็อยากรู้
Wind: อ้าว ไอ้ทีไม่รู้ งั้นมึงเล่าเลยไอ้ยำ
YamYam: ไอ้ทีมีความลับกับเพื่อน
Wind: อะ อ้าว คดีพลิก
White Rabbit: มีความลับอะไรคลายมาให้ไว
YamYam: ถูก มึงจะละเมิดกฎของเรา กลุ่มดาวลูกไก่ไม่ได้
TEE: กูไม่คิดจะมีความลับกับพวกมึง แต่กูงงครับ
TEE: ความลับห่าอะไรกูยังนึกไม่ออกเลยครับ
White Rabbit: ไอ้ทีพิมพ์โคตรช้า แต่กูก็เริ่มงงเหมือนมันอีกคนแล้ว ไอ้ยำขยายความดิ
YamYam: ไอ้ทีหนีไปมีแฟน!
Templar: แล้วมันแปลกตรงไหน มึงถึงมาโวยวายใส่เพื่อนเนี่ย
YamYam: แปลกตรงที่มันเปลี่ยนรสนิยมแล้วไม่บอกนี่แหละ!’

ฮะ?!

สติกเกอร์ตกใจมาเลยครับ เรียงรายมาตามบุคคลในกลุ่มที่มีกันเจ็ดคน (นับรวมผมด้วย)

กว่าผมพิมพ์ส่ง คนอื่นก็รัวสติกเกอร์กันครบแล้ว

TEE: ใครเปลี่ยนรสนิยม?!
YamYam: มึงไง เปลี่ยนไปชอบป่าไม้เหมือนกูก็ไม่ยอมบอก
YamYam: ต้องมารู้ข่าวจากปากคนอื่น น้อยใจวะ
White Rabbit: ไอ้ที!! อธิบายมาเลย!
TEE: จะให้อธิบายอะไร! กูยังไม่เข้าใจเลยโว้ยยย!
YamYam: ถ้ามึงยังไม่ยอมรับอีก กูจะแคปหน้าจอยื่นหลักฐานลงกลางกลุ่มแล้ว
TEE: เออ ยื่นมาเลย
White Rabbit: ไอ้ทีท้ามาแล้ว ยำยำทำด่วน หึๆ
Templar: มึงหัวเราะได้น่าเกลียดมากไวไว
White Rabbit: กูหัวเราะอารมณ์ดี เพราะกำลังจะได้ชมเรื่องน่าสนุกไง

ผมปล่อยไวไวกับเทมลับฝีปากผ่านตัวอักษร จนยำยำมาห้ามทัพเพื่อลงหลักฐาน แต่แค่ภาพแรกก็ทำผมชะงักกึก แต่นี่มีมาอีกสองภาพ

YamYam: เนี่ย! คนทั้งมหาลัยรู้ตำนานความรักของมึงกับรองเดือนคณะนิติกันหมดแล้วโว้ย!’
Wind: วี้ดวิ้ววว
Wind: งานนี้เพื่อนทีเป็นฝังเป็นฝาแน่แล้ว
White Rabbit: คนนี้ตัวจริงใช่ปะ
TEE: เดี๋ยวก่อน!
YamYam: มาดงมาเดี๋ยวอะไรอีกฮะ ถ้ามึงอยากถามหาแหล่งที่มา
YamYam: กูเอามาจากเพจข่าวประจำมหาลัยของเจ๊ดาด้า
YamYam: มีตั้งเกือบห้าสิบรูป ประจานความรักของมึงเต็มที่
YamYam: มีอะไรจะแย้งอีกไหมครับคุณเพื่อน
TEE: กูขอยืนยันอีกทีว่ากูไม่รู้เรื่อง เพราะงั้นขอไปศึกษาข้อมูลแปบ
TEE: แล้วจะมาตอบพวกมึงอย่างตรงไปตรงมา
White Rabbit: ห้ามหมกเม็ด!
TEE: เออ!
YamYam: ถ้าหมกล่ะก็ มึงจะได้ตำแหน่งเบ้ประจำกลุ่มตลอดช่วงสอบแน่ เข้าใจ๋?
TEE: เข้าใจ!

ผมเลื่อนกลับไปดูภาพแคปหน้าจออีกที กดขยายรอโหลดจนชัด ภาพแรกพาร์กำลังจูงมือผม รอบๆ ภาพถูกทำให้เบลอ แต่ยังพอเห็นถุงพลาสติกใสกับฝาโหลคุกกี้ในมืออีกข้าง ภาพที่สอง พาร์ก้มลงมากัดลูกชิ้นทอดในมือผม ภาพสุดท้ายพาร์ม้วนเส้นโซบะป้อนผมอยู่

…ภาพงานวันลอยกระทงแน่ๆ ถูกแอบถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? ไม่สิ ประเด็นคือทำไมถึงกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้ล่ะ?

ผมหมุนตัวเดินเข้าบ้านแบบมึนๆ กดเชื่อมต่อเฟสบุ้คที่ปล่อยร้างมาร่วมเดือนกว่า แต่ต้องสะดุ้งกับจำนวนคนขอเป็นเพื่อน ข้อความทั้งจากหน้าเพจทั้งข้อความลับกระหน่ำเข้ามาจนต้องรีบกดออกจากระบบ แล้วใช้บราวเซอร์ค้นหาเพจเจ๊ดาด้าแทน เข้าไปปุ๊บเห็นหัวข้อปักหมุดตั้งแต่เย็นวันศุกร์เป็นอย่างแรก

= ประกาศผลศึกชิงลูกสาวคณะ =
วันศุกร์บ่ายของวันนี้ นิติศาสตร์และเศรษฐศาสตร์เปิดศึกประเดิมนัดแรกของปีนี้ด้วยกีฬาบาสเกตบอล
ผลการแข่ง: นิติศาสตร์คว้าชัยเหนือเศรษฐศาสตร์ และได้ยอมรับลูกสาวเศรษฐศาสตร์เป็นสะใภ้

ตัวอักษรหมดแค่นั้น ด้านล่างเป็นคลิปวีดีโอสั้นๆ ผมกดลูกศรให้วิ่ง ท่านประธานนิติปี4 อย่างพี่ดินก็เริ่มขยับ พูดสรุปการแข่งขันคร่าวๆ เหมือนที่บอกเหนือวีดีโอ แต่ละเอียดกว่ามาก จนเจ๊ดาด้าโผล่มาร่วมเฟรมขอสัมภาษณ์ พี่ดินก็ให้

[เปิดศึกกันเร็วมากนะคะ ทุกทีดาด้าเห็นก็ช่วงเปิดเทอมสองนู้น]

[อ้อ พอดีมีเรื่องพวกเด็กปี1 เข้ามา ผมเลยจัดให้แข่งอย่างเป็นทางการซะเลย]

[เรื่องอะไรคะ?]

[เด็กปี1 แย่งสนามบาสกันครับ ผมหมั่นไส้ที่พวกเด็กๆ วางเดิมพันเรื่องเวลาใช้สนามบาส เลยจัดชุดใหญ่ให้รู้ซึ้งถึงเรื่องเดิมพันแท้จริง จะได้ไม่เอาเรื่องเดิมพันมาใช้พร่ำเพรื่อ]

[เรื่องนี้ดาด้าเห็นด้วยค่ะ แล้วไม่ทราบว่าปีนี้ทางนิติส่งใครเป็นลูกสาวคะ?]

[ประธานชั้นปี1 ของเราครับ]

[เอาเฮดน้องนุชสุดท้องออกโรงเองแบบนี้ ท่าทางจะมั่นใจมากนะคะ]

[พอตัวครับ]

[เห็นว่ารับลูกสาวอีคอนเข้าเป็นสะใภ้]

[ใช่ครับ]

[แสดงว่าเธอคนนั้นต้องมีดีอะไรสักอย่าง ดาด้าขอเดาว่าสวย]

[ฮ่าๆ ตามความคิดผมคือพอใช้ได้ครับ]

[ยิ้มแบบนี้แสดงว่าพี่ดินชอบเธอสินะคะ]

[ครับ เด็กคนนั้นตลกดี]

[ใครเป็นคนเลือกเธอคะ?]

[เด็กปี1 เป็นคนเลือกครับ]

[คู่ของเด็กปี1? แบบนี้ก็แย่สิคะ อาจโดนเข้าใจผิดได้นะ เอ๊ะ หรือเข้าใจถูก?]

[ผมเข้าใจปัญหาดีครับ แต่ก็ไม่อยากใช้อำนาจแยกคู่รักออกจากกัน กลัวผลกรรมส่งถึงตัวเองในอนาคตครับ]

[หมายความว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกันอยู่แล้ว?]

[ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า]

[ดาด้าอยากรู้แล้วค่ะ สองคนที่ว่าคือใครเอ่ย?]

[พาร์ นิติปี1 กับ ที อีคอนปี1 ครับ]

ฝ่ายคนมาสัมภาษณ์นั่งอ้าปากเหวอ  อุทานเสียงหลง [พาร์ น้องพาร์ที่เป็นรองเดือนนิติ?]

[ใช่ครับ]

[แล้วน้องทีที่ว่าคงไม่ใช่…]

[ก็ไม่รู้ว่าคิดถึงคนไหนในหัว แต่ถ้าชื่อชลนทีก็ใช่ครับ]

[ดาด้ามีรูป เอารูปน้องทีมาหน่อย]

สักพักก็มีคนวิ่งเข้าเฟรมเอารูปมาวางถึงมือเจ๊แก

[น้องทีคนนี้ใช่ไหมคะ?]

กล้องซูมไปที่รูปในมือเจ๊แก เห็นภาพตัวเองที่ยิ้มหัวเราะพร้อมกลุ่มเพื่อนตอนทำกิจกรรมรับน้องแล้วเซ็ง

ไม่ให้เซ็งไหวได้ไง ก็ไอ้รูปเนี่ยทำผมดังเพียงข้ามคืน เพราะเจ๊แกเล่นโพสลงพร้อมข้อความ ถึงไม่ติดโผหนุ่มฮอตหน้าใหม่ของมอ แต่ก็ติดอยู่ในใจเจ๊ดาด้านะจ๊ะ

[ใช่ครับ]

[ตายแล้ว ดาด้าอยากเป็นลม!]

[ทางอีคอนส่งทีมาเองนะครับ แล้วทางฝั่งผมก็แค่เลือกในฐานะผู้ชนะ ถ้าพาร์ไม่แสดงตัวก่อน ชะตะของทีอาจเปลี่ยนก็ได้ครับ]

[ดาด้าไม่สนใจเรื่องนั้นหรอกค่ะ แค่กำลังคิดว่าข่าวลือคราวนี้มีมูลความจริงแน่ๆ]

[ข่าวลืออะไรครับ?]

[คู่นี้กำลังคบกันอยู่น่ะสิค่ะ เมื่อกี้พี่ดินยังบอกเห็นเป็นคนรักเลยนี่ค่ะ]

[ใช่ครับ แต่ผมแค่เดานะ น้องทั้งสองยังไม่มีใครเอ่ยปากพูดชัดๆ สักคน พวกเพื่อนสนิทของน้องก็ยังไม่มีใครรู้ ผมเองแค่สังเกตจากพฤติกรรมเฉยๆ]

[อันที่จริงดาด้าสงสัยตั้งแต่เห็นสองคนนี้ไปกลับด้วยกันเป็นอาทิตย์แล้วค่ะ]

[แฮ่ม ผมขอไม่พูดถึงเรื่องส่วนตัวของรุ่นน้องนะ ดาด้ามีอะไรจะถามอีกไหมครับ?]

[ไม่แล้วค่ะ ขอบคุณที่แวะมาแจ้งข่าวถึงห้องชมรมของดาด้านะคะ]

พี่ดินยิ้มรับ พูดขอตัว แล้วลุกเดินออกไป

[ใครที่มีรูปเด็ดๆ ช่วยยืนยันความจริง ส่งมาหาดาด้าได้นะคะ]

ภาพวีดีโอตัดจบแค่นั้น ผมกดล็อกหน้าจอ คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

ทำไมพี่ดินต้องโกหก?

ผมเดินผ่านด้านหลังกลุ่มน้องๆ โชคดีที่สายตาแต่ละคนหยุดอยู่หน้าจอทีวี เลยขึ้นไปชั้นบนแบบเงียบๆ ได้ เข้าห้องตัวเองปุ๊บ รีบลงกลอนประตูก่อนเลย กั้นน้องโผล่มากวนครับ

“พาร์…”

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 28-09-2016 09:02:30
บทที่ 16 (ต่อ)

ผมหันกลับมาทันเห็นพาร์กำลังซุกอัลบั้มรูปไว้ใต้หมอน กะแล้วว่ามันต้องอยู่นี่ แต่…ไอ้อาการแสดงออกทางสีหน้าว่ากลัวโดนดุคืออะไร ผมไม่ได้โกรธสักหน่อย แถมเมื่อวานมันก็ขอแล้ว

“เอ่อ มึง…คือว่า…”

“ฟังนะ กู…”

พวกผมหุบปากฉับหลังประสานเสียงใส่กันไปเมื่อครู่ ความเงียบโรยตัวพักใหญ่ ก่อนจะถูกทำลายด้วยเสียงขึงขังของพาร์

“ขอโทษ! ต่อไปจะขออนุญาตก่อน”

ผมมองคนนั่งพิงขอบเตียงอยู่กับพื้นด้วยความมึน จูนสมองไม่ทัน

ขอโทษ? ขออนุญาต?

“พูดถึงเรื่องอะไรวะ?”

“ก็เรื่องหยิบอัมบั้มรูปมึงมานั่งดู...”

“อ้อ” ผมร้องขัดโดยไม่รอพาร์พูดจบประโยค “มึงขอตั้งแต่เมื่อคืน แต่ช่างเรื่องนี้ก่อน!”

“ฮะ?”

ผมเดินไปนั่งแปะกับพื้น ประจันหน้าพาร์

“ฟังนะ…”

แล้วไหงมันเล่นกลืนน้ำลายคงคอต่อหน้า ท่าทางหวาดหวั่นเกินเหตุ เห็นแล้วหมั่นไส้เลยยื่นมือถือเกือบเสยโดนหน้าเพื่อน (ที่จริงผมเล็งปลายคางไว้ แต่พาร์ดันโยกหัวหลบทัน)

“จะเล่นอะไร” น้ำเสียงห้วนดุ แถมยึดของที่เกือบได้ใช้เป็นอาวุธไปจากมือดื้อๆ

ผมรีบคว้ามือเพื่อนพลิกหงาย กดปลดล็อกหน้าจออย่างเร็ว กดเริ่มเล่นคลิปวีดีโออีกรอบ

“ดูซะ!”

พาร์ทำหน้างง แต่ก็ก้มดูจนจบ

ผมเอ่ยถามทันทีที่เพื่อนเงยหน้าขึ้น “คิดว่าไง?”

“…พี่ดินพูดชักจูงให้คนคิดไปทางเราเป็นแฟนกัน”

ผมชะงัก พาร์พูดประเด็นที่ผมไม่ทันคิด

“แล้วเรื่องแย่งสนามบาส โกหกใช่มะ?”

พาร์พยักหน้า “ถ้าบังเอิญเจอคณะมึงที่สนาม ส่วนใหญ่จะเล่นด้วยกันมากกว่า เห็นเชนบอกว่าฝ่ายนู้นนิสัยดีมีฝีมือ เล่นด้วยกันแล้วสนุก”

ว่าแล้ว เพราะผมสงสัยตั้งแต่เห็นไอ้นนท์คุยกับเพื่อนพาร์อย่างสนิทสนมแล้ว พอถามว่ารู้จักมาก่อน ก็เอาแต่ยิ้มอมภูมิ ไม่ตอบคำถามซะที

เสียงพี่ดินดังจากลำโพงอีกรอบ พาร์ฟังซ้ำสอง แล้วกดหยุด

“พี่ดินพูดเหมือนกูเสนอตัวยอมเลือกมึงเป็นสะใภ้เอง แล้วยังคำว่า ชะตะของทีเปลี่ยน อันนี้แปลได้ว่ามึงอาจถูกเลือกเป็นเบ้ก็ได้”

“แต่เราเลือกเบ้ไม่ได้นี่หว่า”

พาร์พยักหน้า “ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ พี่ดินบอกเหมือนเราแข่งเดิมพันกันจริงๆ”

ผมหยุดคิด “…หรือว่าพี่ดินจะไม่อยากให้คนรู้ว่าคณะเราเป็นพันธมิตรกัน?”

“น่าจะ”

“งั้นที่เราโดนไล่ออกจากโรงยิม เพราะพวกพี่กลัวเราจะคัดค้านแผนนี้หรือเปล่า”

“เป็นไปได้”

ต่างคนต่างจมภวังค์ความคิด ก่อนผมพูดโผล่ออกมา

“…กูว่าบางทีเรากำลังจะมีสงครามในมหาลัย”

พาร์เลิกคิ้ว แววตาดูสนใจ “ยังไง”

“ก็ตอนพี่นัน...หมายถึงพี่ประธานปี4 คณะกูพูดอธิบายเรื่องสะใภ้คณะ มันออกแนวๆ ระบบเมืองหรือไงนี่แหละ กูเลยลองสมมุติ ถ้าแทนมหาลัยเป็นดินแดนหนึ่ง คณะก็คือเมืองที่มีระบบปกครองเป็นของตนเอง การเดิมพันเท่ากับส่งทหารไปสู้รบกับอีกเมืองด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป มันลงล็อกเลยไม่ใช่เหรอ”

“เกมแนวสงคราม แถมเล่นกันทั้งมหาลัย...” พาร์ทวนพร้อมทำหน้ายุ่ง ”กูนึกภาพไม่ออก”

ผมยักไหล่ “แค่คาดเดา อาจไม่ใช่ก็ได้ แต่มันต้องเป็นอีเว้นต์ใหญ่น่าดู พวกรุ่นพี่ถึงจริงจังกัน”

พาร์ทำหน้าครุ่นคิด “แนวคิดของมึงทำให้กูคิดบางอย่างได้ ความสำคัญของลูกสาวคณะ”

ผมรอฟังอย่างสนใจ

“ลูกสาวคณะถือเป็นตัวแทนของคณะ ถ้าทำอะไรกับลูกสาว ก็เหมือนคณะที่ลูกสาวสังกัดอยู่โดนกระทำแบบนั้นด้วย ออกแนวหยามเกียรติกัน ที่สำคัญมีให้เลือกว่าจะรับเข้าเป็นสะใภ้หรือให้เป็นเบ้ กรณีเบ้ก็เหมือนตกเป็นเมืองขึ้นฝ่ายที่ชนะเลยนี่”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยหงึกๆ “แล้วสะใภ้คณะล่ะ? ตัวประกันหรือเปล่า?”

“เหมือนเป็นตำแหน่งไว้หน้าอีกฝ่ายมากกว่า ไม่ก็สำหรับผูกมิตรไมตรี เกี่ยวดองกันแล้วก็สามารถช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่กรณีของมึงน่าจะแตกต่างออกไป” พาร์ขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเอง “ต่างกันตรงไหนนะ”     

ผมครุ่นคิดตาม ก่อนเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “…ตำแหน่งของกูก็คล้ายทูตเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีอยู่นะ”

แววตาพาร์เปล่งประกายทันที “แต่ถูกปกปิดด้วยตำแหน่งสะใภ้คณะ…เหมือนซ่อนใบไม้ไว้ในป่า!”

เรามองตากัน แล้วคลี่ยิ้ม ชักรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้วสิ

“อย่างนี้นี่เอง รุ่นพี่ประธานปี4 คณะมึงถึงได้ย้ำนักย้ำหนาให้กูดูแลมึงให้ดี”

“พี่ดินไม่เห็นพูดให้กูดูแลมึง”

“เพราะมึงถือเป็นคนของคณะนิติแล้วนี่ แต่ที่กูสงสัยคือเราต้องแกล้งแสดงเป็นแฟนด้วยไหม?”

“ไลน์ถามพี่ดินเลย”

พาร์ทำตาม ส่งสมาท์โฟนของผมคืนมา เครื่องในมือสั่นทันทีเป็นระยะๆ พวกเพื่อนเก่าแก่กำลังพิมพ์โต้ตอบผ่านไลน์อยู่ สงสัยจะรอผมไปตอบคำถามอยู่ เลยจำต้องเข้าหน้าเพจเจ๊ดาด้าอีกรอบ เลื่อนผ่านหัวข้อปักหมุดลงมาก็เจอที่ยำยำบอกทันที มีคำบรรยายแค่ประโยคเดียว 

= ไม่จำเป็นต้องพูด แค่เห็นน่าจะเข้าใจ =

ด้านล่างเป็นภาพล้วนๆ ถึงห้ารูป แต่รูปสุดท้ายขึ้น +46 หมายความว่ายังมีอีกครับ ผมกดดูรูปแรก ไม่เห็นมีอะไร มีรูปลงจากรถคันเดียวกัน รูปต่อมาก็แค่ไปเจอกันที่รถ รูปเคยนั่งกินข้าวด้วยกันแค่หนเดียว แต่เล่นมีตั้งหลายรูปหลายมุมเลยเหมือนกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ หมดรูปช่วงปกติที่มีไม่ถึงสิบก็เป็นรูปช่วงงานลอยกระทงเลยครับ

อื้อหือ...คนถ่ายคนเดียวกันแหงๆ ฝีมือดีด้วย

“พี่ดินบอกว่าทำตัวตามปกติก็ได้ แต่ให้กูกับมึงตัวติดหนึบกันหน่อย แล้วถ้าจำเป็นต้องสวมบทคู่รักก็ช่วยทำให้ด้วย”

“อ่าฮะ…”

ผมตอบรับโดยที่สายตายังจับจ้องรูปโฟกัสไปที่พาร์เป็นหลัก จากมุมนี้เห็นชัดว่าสีหน้าพาร์กำลังเขินทั้งยังอมยิ้มมีความสุข ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นตอนที่มันเบือนหน้าหนีผมตอนอยู่ที่ซุ้มนิติ

ผมยกยิ้มขำ สรุปมันเขินจริงๆ สินะ

“ดูอะไรอยู่?”

ผมไม่พูด แต่พลิกหน้าจอให้มันเห็นเอง

“เฮ้ย!”

พาร์ตะปบแย่ง แต่ผมดึงมือถือหลบทัน

“มึงถ่ายเก็บไว้เรอะ!”

“ใส่ร้ายวะ ไม่เห็นกูยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เรอะ” ผมรีบชี้ภาพตัวเองที่ติดมาแค่บางส่วน แต่มากพอให้เดาออกว่าเป็นใคร

พาร์ขมวดคิ้ว “เอามาจากไหน”

“เพจเจ๊ดาด้า”

“อีกแล้วเหรอ” พาร์งึมงำ แต่อยู่ใกล้ขนาดนี้ ผมได้ยินชัด

“เออ มาเป็นรูปคู่ของกูกับมึงเลย”

“ดูด้วย”

ผมเหล่มอง “จอเล็กแค่นี้จะดูสองคนถนัดได้ไง ฉะนั้นดูผ่านมือถือมึงไป แต่ถ้าอยากมุงด้วยก็ช่วยลุกไปหยิบแท็บเล็ตบนโต๊ะให้หน่อย”

พาร์ลุกออกไปจริง แต่กลับมาพร้อมโต๊ะญี่ปุ่นกับโน้ตบุ้ค จอใหญ่ได้ใจกว่าแท็บเล็ต

“ประชด?”

“เปล่า” พาร์ปฏิเสธ แถมคำอธิบาย “ถ้าเกิดเจอรูปถูกใจจะได้เซฟง่ายหน่อย”

“อ้อ งั้นไปช่วงงานลอยกระทงเลย คนถ่ายเก่ง จับมุมก็สวย”

พอได้ยินอย่างนั้น พาร์เลยคลิกผ่านช่วงแรกๆ ไปเร็วมาก แล้วมาผ่อนจังหวะตอนเข้าช่วงงานลอยกระทง

“สวย รู้ไหมใครถ่าย?”

“ส่งข้อความไปถามเจ๊ดาด้าดิ แต่คนถ่ายไม่ยอมแสดงตัวหรอก”

“ทำไมล่ะ?”

“ภาพแอบถ่ายทั้งนั้น เขาคงกลัวโดนเราเล่นงานเหมือนกัน แล้วมึงก็ไม่ควรติดต่อไปด้วย เดี๋ยวฝ่ายนั่นเห็นมึงชอบ เกิดได้ใจแล้วตามถ่ายรูปเป็นสโตลเกอร์ มึงจะหนาว ดูจากภาพเซตงานลอยกระทงดิ มีแทบทุกช็อต คงเดินตามพวกเราตั้งแต่ที่ซุ้มนิติ”

พาร์เงียบไปเลยครับ ผมเลยเงียบตาม ตาดูแต่รูปอย่างเดียว

ความจริงมันก็ไม่น่ามีอะไร แต่พอมานั่งมองตามทีละรูปแบบนี้มัน

“…เหมือนเดทเลยเนอะ”

“แค่กๆๆ”

คนกดเปลี่ยนรูปสำลักน้ำลายกะทันหัน ไอไม่หยุดจนต้องช่วยลูบหลังให้ หน้าจอเลยหยุดที่รูปผมกำลังงับไอศกรีมโคน มีพาร์ยืนดูดน้ำข้างๆ กำลังชี้นิ้วให้ดูอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่พ้นร้านของกินน่าสนใจ

“พ...พูดอะไรออกมาเนี่ย”

“แล้วกูพูดผิดตรงไหน มุมมองคนถ่ายภาพมันสื่อออกมาแบบนี้นี่หว่า”

พาร์อ้ำๆ อึ้งๆ สุดท้ายก็เงียบ กลับไปคลิกดูรูปต่อจนหมด แล้วไล่ย้อนกลับมา คราวนี้เป็นการเซฟรูปที่ชอบลงเครื่องครับ ผมยังชี้บางรูปที่ชอบ แต่พาร์มองข้ามให้เซฟเก็บไว้ให้ด้วย เสร็จเรียบร้อยก็เป็นการส่งข้อความติดต่อเจ๊ดาด้า ฐานละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ไม่แจ้งขออนุญาตคนในภาพก่อน เรื่องนี้ผมปล่อยพาร์พิมพ์โต้กับเจ๊ไป เพราะดูท่าชำนาญ สงสัยรบกับเจ๊แกบ่อย

ส่วนผมกำลังพิมพ์โต้เถียงกับเพื่อนผ่านไลน์อย่างเมามันเหมือนกัน ว่าด้วยหัวข้อคือผมกับพาร์ไม่ได้เป็นแฟนกัน ก็ไม่รู้เชื่อมากเชื่อน้อย แต่หลังๆ หัวข้อเริ่มเปลี่ยน สงสัยจะเบื่อกันแล้ว ก็คุยเล่นไปเรื่อยครับ

White Rabbit: ออกทะเล ออกทะเล ออกทะเล
Wind: เออวะ กลับเข้าเรื่องไอ้ทีด่วน
Wind: ตกลงว่ากับรองเดือนนิติไม่ได้เป็นแฟนแน่นะ?

ยังไม่จบอีกเรอะ ประเด็นเนี่ย!

TEE: เออออออ!
YamYam: งั้นลากตัวมาเจอพวกกูหน่อย
TEE: ไม่ต้องห่วง ช่วงเก็บตัวช่วงสอบจนถึงช่วงไปเที่ยว พาร์ไปกับพวกเราอยู่แล้ว
White Rabbit: เยี่ยม
Templar: หึๆๆ สนุกแน่
YamYam: อีกอาทิตย์เจอกัน

ที่เหลือส่งสติกเกอร์บอกลากันมา เอาไว้ผมจะแนะนำเพื่อนกลุ่มดาวลูกไก่ให้รู้จักทีหลังนะครับ

“ที”

ผมเงยหน้ามองพาร์ เลิกคิ้วถาม “เจ๊ดาด้าไม่ยอมลบ?”

“เปล่า พึ่งหายไปเมื่อกี้ เจ๊แกคุยรู้เรื่องก็จริง แต่ฉลาด”

ผมมองตามที่พาร์ชี้นิ้วให้ดู เจ๊ขึ้นสเตตัสถึงสาเหตุที่รูปหายอย่างตรงไปตรงมา พูดในฐานะคนกลางที่ลำบากใจต่อการเสนอข่าวที่คนสนใจ แต่คนในภาพไม่ยินยอม

ผมหัวเราะ “เหมือนพวกเราเป็นตัวร้ายเลยวะ”

“สนใจทำไม เราไม่ใช่คนของสาธารณะซะหน่อย”

“แต่มึงตามเก็บไม่หมดหรอก ดูคนที่ตอบคอมเม้นต์ดิ บางคนยังเอารูปก่อนหน้านี้มาลงแทนเจ๊แกอยู่เลย”

“อ้อ อย่าไปสนใจเลย…กูเคยลองติดต่อไปเพื่อขอความร่วมมือ แต่ดันเจอประเภทหวังให้กูติดต่อไปหาตั้งแต่แรก มีตั้งแต่รอจีบยันขั้นขอคบเป็นแฟนตรงๆ แย่กว่านั้นบางรายทำถึงขั้นนำเสนอตัวเองเต็มที่จนกูเผ่นแทบไม่ทัน อีกประเภทคือพวกชอบสนใจเรื่องชาวบ้าน ถ้าหลงติดต่อไปจะโดนรัวคำถามมาไม่ยั้ง เจอแค่สองกรณี กูก็ขอบายแล้ว”

“แต่พาร์ นี่มันรูปคู่นะ ไม่ใช่รูปเดี่ยว”

พาร์ชะงัก “…จะประเภทไหน หรือมีเจตนายังไง กูก็ไม่ขอตามคุยเป็นรายบุคคลอีกแล้ว เข็ดวะ”

ผมขำสีหน้าเจื่อนของมันจริงๆ ท่าทางจะเจอมาแบบหนักหน่วง

เสียงริงโทนของผมกับพาร์ดังแทบจะพร้อมกัน

ผมเห็นชื่อคนโทรก็เผลอยิ้มขำ ยื่นให้พาร์ดู ทางนั้นก็ยื่นให้ดูเหมือนกัน เราสองคนโดนน้องสาวโทรหาครับ สงสัยสองสาวจะตามหาตัวพวกผมไม่เจอ (แล้วทำไมไม่ขึ้นมาดูชั้นบน?) ผมยกนิ้วชี้แตะปากให้พาร์เงียบไว้ มันเลยจัดการกดปิดเสียง วางมือถือของมันทิ้งให้สั่นอยู่บนเตียง

“ฮัลโหล”

[พี่อยู่ไหน?] เสียงน้ำดังลอดลำโพงให้พวกผมได้ยิน

“นั่นสินะ”

[พี่อ่ะ น้ำขอคำตอบดีๆ อย่างจริงจังด้วย]

ผมถอนหายใจเมื่อโดนน้องพูดดัก “อยู่บนห้อง”

[พี่พาร์ล่ะ]

“อยู่ข้างๆ ทำไมล่ะ?”

[น้ำให้เลือก พวกพี่จะลงมาเอง หรือให้พวกน้ำขึ้นไปหา?]

ผมสบตากับพาร์ รายนี้ชี้นิ้วใส่ประตูเลยครับ สื่อชัดว่าจะลงไปเอง พาร์ต่างกับผมตรงที่เป็นพวกหวงพื้นที่ส่วนตัว พลอยทำให้น้องสองคนของผมเลยไม่กล้าเข้าออกห้องนี้ตามอำเภอใจ ยัยน้ำเกรงใจพี่พาร์ แต่เจ้าตัวเล็กกลัวสายตาหงุดหงิดของรูมเมทผมครับ 

“เดี๋ยวลงไป”

หลังกดตัดสัญญาณ พวกเราลุกออกจากห้อง เตรียมลงไปข้างล่าง ระหว่างอยู่ตรงทางเดินก็แอบกระซิบคุยกัน

“ฟังจากเสียงยัยน้ำ ต้องมีแผนอะไรแน่ๆ”

พาร์พ่นลมหายใจ น้ำเสียงปลงตก “น่าจะชินได้แล้ว”

ผมหัวเราะ “ถ้าไม่ชิน กูคงเครียดไปแล้วว่ะ”

ลงมาปุ๊บก็เจอสองสาวดักอยู่หน้าบันได สีหน้าทั้งคู่ดูจริงจังปนตื่นเต้น แววตานี่วิบวับเชียว เก็บอาการกันไม่เป็นเลย

“พวกน้ำขอท้า!”

ผมเลิกคิ้วสูง ประหลาดใจเล็กๆ ไม่คิดฝันว่าน้องจะเริ่มต้นด้วยการขอท้าดวล

คราวนี้มาแปลก กระตุ้นความสนใจผมเต็มๆ “น่าสนใจ ว่ามาสิ”

“ถ้าพี่ทีเล่นเกมจ้องตากับพี่พาร์นานหนึ่งเพลงได้ น้ำอาสาล้างจานหนึ่งอาทิตย์”

ลงทุนดีแฮะ

“ถ้าพี่พาร์ทำได้ เบอร์จะช่วยตากผ้าหนึ่งอาทิตย์เหมือนกัน”

“แล้วถ้าพวกพี่แพ้?” พาร์ถามกลับ

“ทำอาหารตามที่น้องรีเควสหนึ่งอาทิตย์”

“พี่ให้แค่สามวัน” ผมต่อรองทันที

“ได้ไง ต้องอาทิตย์หนึ่งเท่ากันสิ”

“วันหนึ่งกินข้าวตั้งสามครั้ง สามวันเท่ากับเก้าครั้ง เลขเก้ามากกว่าเลขเจ็ด ถูกไหม?”

“ก็ใช่…”

“พี่เลยให้แค่สามวันไง”

“…สามวันก็ได้”

“งั้นก็ดีล”

ผมตกปากรับคำทันที มองสองสาวยิ้มๆ ดูท่าจะยังไม่มีใครเฉลียวใจว่าเงื่อนไขฝ่ายผมได้เปรียบกว่า แต่พาร์หรี่ตามองผมแล้ว คนนี้รู้ทัน แต่ไม่ยักจะช่วยน้องแย้ง

อ้อ ลืมไป พาร์ได้ผลประโยชน์เหมือนกันนี่หว่า ฮ่าๆๆ

“งั้นไปนั่งหน้าโซฟาเลยค่ะ”

สองสาวเปิดทางให้…เอ่อ ถ้าพี่ไม่ตอบตกลงคงดักไม่ให้ลงจากบันไดเลยใช่ไหม

พวกเราเดินไปนั่งบนพรม ผมแอบมองสีหน้าบูดบึ้งของตัวเล็ก ไม่รู้ยัยน้ำไปพูดอะไรกับน้อง อันถึงได้นั่งขัดสมาธิกอดอกนิ่งอยู่บนโซฟา ไม่วิ่งลงมาหาผมเหมือนทุกที 

“ใส่คนละข้างค่ะ”

ผมละสายตาจากน้องคนเล็กมาต้นเสียง เบอร์ดี้ส่งสายหูฟังมาให้คนละข้าง เราเลยต้องเขยิบก้นเข้าหากันมากขึ้น ยัดหูฟังเข้าหูเรียบร้อยก็ปล่อยน้องๆ ตรวจดูความเรียบร้อยก่อนเริ่มเกม

“น้ำจะเริ่มแล้วนะ”

“เดี๋ยว จ้องตาแค่หนึ่งเพลงใช่ไหม?”

“ช่าย ถ้าพี่สองคนหลบตากันถือว่าแพ้ คนใดคนหนึ่งหลบก็ถือว่าแพ้เหมือนกัน”

“ต้องจ้องตาจนถึงแค่ทำนองเพลงจบ หรือต้องรอให้ขึ้นเพลงใหม่ก่อนถึงละสายตากันได้”

“เอาอย่างแรก พร้อมยัง น้ำจะนับแล้วนะ”

ผมปล่อยให้น้องสาวนับสาม สอง หนึ่ง

ผมกับพาร์จ้องตากันตามกติกาเกม ทำนองเพลงเริ่มต้นพักหนึ่ง ก่อนเริ่มเข้าสู่ช่วงเนื้อร้อง

เหมือนเจอคนรู้จัก ตอนที่หลงทาง
เหมือนเจอต้นไม้ใหญ่ กลางทะเลทราย
เหมือนมาเจอของที่สำคัญ ที่ได้เคยทำหล่นหายไป
เหมือนชีวิตเราเจอกับแสงไฟ สว่างไสวเมื่อฉันได้มาพบเธอ

ลมหายใจผมสะดุด ยามเห็นแววตาพาร์สั่นไหวรุนแรง

เธอทำให้ฉันสุขใจเวลาที่พบกัน
เธอทำให้ฉันได้มา พบเจอกับสิ่งที่ขาดหาย
ได้มาเจอเธอ ทั้งชีวิตฉันเปลี่ยนไป
เพราะเธอคือความฝัน ที่ฉันต้องการจะรู้จัก
เธอคือความรักของคนที่มันเงียบเหงา และไม่เหลือใคร
เหมือนพบเจอคนรู้ใจ

เวรแล้ว! ใครเลือกเพลงวะ!

ผมเริ่มเหงื่อแตกพลั่กๆ ยิ่งสบตากันก็ยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้ง...เพลงนี้คือยาแรงสำหรับพาร์ชัดๆ!

ทำไงดีวะเนี่ย! ผมเริ่มหัวหมุน จะหลบก็ทำไม่ได้ แต่จะให้จ้องตาต่อจนจบเกมก็ท่าจะไม่ไหว

พลาดแล้ว พลาดจริงๆ ทำไมผมไม่ถามชื่อเพลงกับน้องก่อนวะเนี่ย

เหมือนมาเจอของที่สำคัญ
ที่ได้เคยทำหล่นหายไป
เหมือนชีวิตเราเจอกับแสงไฟ
สว่างไสวเมื่อฉันได้มาพบเธอ

ผมเม้มปาก สองมือกำกางเกงแน่น

เธอทำให้ฉันสุขใจเวลาที่พบกัน
เธอทำให้ฉันได้มา พบเจอกับสิ่งที่ขาดหาย

ใจผมกระตุกไปวูบหนึ่ง...

ได้มาเจอเธอ

เคยได้ยินว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ

ทั้งชีวิตฉันเปลี่ยนไป เพราะเธอคือความฝัน ที่ฉันต้องการจะรู้จัก

...มันคงจะจริง

เธอคือความรักของคนที่มันเงียบเหงา และไม่เหลือใคร

แววตาคู่เดียวตรงหน้าผมถึงเผลอสื่อความหมายบางอย่างออกมาให้รับรู้

เหมือนพบเจอคนรู้ใจ

อยากบอกให้เธอรู้
ทั้งหัวใจฉัน
อยากบอกให้เธอรู้
รักเธอทั้งหัวใจ…

ผมละสายตาหนีแววตาอ่อนหวานของพาร์ ก้มมองสีกางเกงที่กำแน่นจนยับ

เธอทำให้ฉันสุขใจเวลาที่พบกัน
เธอทำให้ฉันได้มา

วนซ้ำเป็นหนที่สาม

พบเจอกับสิ่งที่ขาดหาย

ตอกย้ำความรู้สึกอีกคนลงกลางใจ

ได้มาเจอเธอ ทั้งชีวิตฉันเปลี่ยนไป
เพราะเธอคือความฝัน ที่ฉันต้องการจะรู้จัก
เธอคือความรักของคนที่มันเงียบเหงา และไม่เหลือใคร
เหมือนพบเจอคนรู้ใจ
(เพลง: คนรู้ใจ - ชิน ชินวุฒ)

ผมเผลอพ่นลมออกจากปากเมื่อเพลงกลับสู่ทำนองสุดท้าย

จบซะที... 

“ที”

ผมทำเป็นไม่ได้ยิน หลับตาลง พยายามปรับอารมณ์ที่โดนปั่นป่วนให้กลับเข้าทีเข้าทาง

แต่เพลงที่คิดว่าจบแล้ว ดันส่งหมัดฮุดสุดท้ายมาตอนไม่ทันตั้งตัว

เหมือนเธอคือคนรู้ใจ

ได้ยินปุ๊บ แววตาสื่อความหมายของใครบางคนก็โผล่เข้ามาในห้วงความคิดปั๊บ อาการที่ทนข่มกักเก็บมาตั้งนานดันระเบิดออกมาจนได้ 

บ้าเอ้ย! 

ผมยกมือลูบหน้าร้อนผ่าวของตัวเองทันที

“ที…”

อย่ามาเรียกนะ!

“มึง…หน้าแด…”

โครมมม?!

เสียงอะไรสักอย่างหล่นกระแทกพื้นดังมาก ผมรีบหันไปมองด้วยความตกใจ

โซฟาเดี่ยวหงายหลังครับ

ยังไม่ทันมองมากกว่านี้ เจ้าตัวเล็กก็แหกปากร้องไห้เสียงดังลั่นบ้าน

############

ใครอยากฟังเพลงคนรู้ใจ ตามลิงค์นี้เลยค่ะ >>> https://www.youtube.com/watch?v=TzAZS04u9iY (https://www.youtube.com/watch?v=TzAZS04u9iY)
และขอแจ้งนิดนึงนะ ชลนทีกำลังจะปิดจองแล้วค่ะ
(จองได้ถึงสิ้นเดือนนี้ แต่โอนได้ถึงวันที่ 10 ตุลาค่ะ)
หากใครสนใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมไปที่เพจสำนักพิมพ์ตามลิงค์ด้านล่างได้เลยค่ะ
https://www.facebook.com/pobrakwithus/ (https://www.facebook.com/pobrakwithus/)
(http://www.mx7.com/i/dcb/v0gvCB.jpg)

ในรอบพรีฯ นี้จะมีสมุดบันทึกเป็นของแถมด้วยค่ะ (ถ้าซื้อหลังจากนี้จะไม่มีให้นะ)
ด้านในมีบันทึกของที และมีหน้าว่างไว้สำหรับให้เขียน
ก็ใช้ทั้งอ่านทั้งเขียนแบบทูอินวันเลยค่ะ : )
ตัวอย่างสมุดบันทึก
(https://scontent.fbkk5-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/14433131_884509951649291_7242421495339641053_n.jpg?oh=b50d74a0d2b05f1703839dcf6efc3763&oe=5879D4ED)
ป.ล. เรายังลงเรื่องนี้ที่นี่อยู่นะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-09-2016 09:50:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 28-09-2016 13:09:51
ปรบมือให้สาววายทั้งหลายยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-09-2016 13:43:05
เอ๊.....ตอนที่หันไปมองน้องอัน
นี่เรียกว่าหลบตาปะ มันฉุกเฉินนะ
เป็นแผนที่น้องน้ำ แกล้งทำโซฟาน้องอัน ล้มปะ
แต่ พาร์นี่แสดงออกผ่านทางสายตาว่าชอบที  :mew1: :mew1: :mew1:
ชอบบบบบ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
น้องอัน น่ากอด น่าฟัด
รอกลุ่มเพื่อนที เจอ พาร์
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:     
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-09-2016 17:50:13
อ่อยยยย!!
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 28-09-2016 19:58:16
ทีเขินได้ด้วย ยังไงนะยังไง ^^
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-09-2016 22:09:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 29-09-2016 12:55:55
อ่านเพียวๆว่าเขินปล้ว พอได้เปิดเพลงฟังตอนอ่านอีกนี่คืออยากจะระเบิดตัวตาย
ฟินมากไม่ไหวแล้ว ต้องขอบคุณแผนอันดีงามของคุณน้องสาวติดพี่ทั้ง2คนจริงๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 01-10-2016 21:38:10
อร้ายยยยยย  ทีมีหวั่นไหววววว :-[
พาร์ก็เผลอส่งสายตาให้อีก งุ้ยยยยยย เขินแรงงง
คนเขียนรีบมาต่อเร็วๆนะค้าาา :impress2:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-10-2016 23:26:44
เพิ่งได้เข้ามาอ่านรวดเดียวเลย สนุกมาก น่ารักมากด้วย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่16] P.4 (28/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dilokrittisak ที่ 01-10-2016 23:50:31
 :o8: :-[ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17] P.4 (02/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 02-10-2016 18:49:48
บทที่ 17

สองสาวนั่งคุกเข่าทำหน้าสลดอยู่บนพรมหน้าโซฟาในฐานะผู้เป็นต้นเหตุทำน้องคนเล็กของบ้านคิดทำเรื่องแผลงๆ จนเจ็บตัว

เจ้าตัวเล็กพึ่งพูดฟ้องทั้งน้ำตาเมื่อกี้ว่า โดนพี่สาวสั่งห้ามลงมาเหยียบโดนพรมหน้าโซฟาเด็ดขาด ถ้าทำไม่ได้จะโดนแกล้งหนักๆ แต่เพราะอยากลงเลยหาหนทางใหม่ ปีนป่ายที่พักแขน กระโดดข้ามจากโซฟายาวไปหาโซฟาเดี่ยว เจ้าตัวเล็กทำสำเร็จ แต่โซฟาบ้านผมเป็นแบบยกลอย (ด้านล่างโซฟาเป็นขาไม้ครับ) โซฟาเดียวคล้ายเก้าอี้อยู่แล้ว เลยไม่แปลกถ้าจะหงายหลังล้มโครม หลังโดนร่างเด็กห้าขวบกระโจนเข้าใส่อย่างแรง

น้องอันเลยได้รอยแดงตรงหน้าผากเป็นของฝากเลยครับ

“ที”

ผมยื่นมือไปรับน้ำแข็งห่อผ้าขนหนูจากพาร์ อีกมือลูบหลังเจ้าตัวเล็กที่เอาแต่ซุกหน้าสะอื้นกับไหล่ผมให้รู้ตัว

“มา เดี๋ยวพี่ช่วยทำให้ความเจ็บลดลง”

แต่ประคบน้ำแข็งท่านี้คงไม่ถนัด เลยให้น้องลุกยืน จับพลิกตัวร้อยแปดสิบองสา ค่อยดึงให้นั่งตักอีกรอบ ปล่อยน้องทิ้งตัวนอนพิงอก

“การแข่งเมื่อกี้…” พาร์พูดเกริ่นขึ้นมา

ดีที่มันยืนเท้าแขนกับขอบพนักพิงอยู่ด้านหลัง ผมเลยไม่จำเป็นต้องมองหน้าคนพูด

“พวกพี่เป็นพ่ายแพ้”

“แต่…” ผมพูดขัดก่อนสองสาวทำหน้าดีใจหลังได้ยินที่พาร์พูดสรุปไปเมื่อกี้ “เพื่อเป็นการลงโทษ รางวัลที่ได้มาพี่จะริบคืน”

“พี่อ่ะ!”

ผมเมินเสียงโอดครวญของน้องสาว “ตามนี่แหละ”

น้องสาวทำหน้าบูด เบอร์ดี้ถอนหายใจ แต่อย่าคิดว่าเรื่องจะจบนะ เพราะผมยังไม่คิดบัญชีอีกเรื่อง

หึๆๆ รอถึงมื้อเย็นก่อนเถอะ!

ผมหนีสองสาว ทิ้งพาร์ให้คอยดูแลน้องอยู่บ้าน หิ้วแค่ตัวเล็กออกมาด้วยกัน ถือโอกาสพาน้องอันมาเลี้ยงไอศกรีมปลอบใจ

ผมทำตามที่พูดทุกคำก็จริง แต่ในใจรู้ดียิ่งกว่า ผมแค่หาเรื่องออกนอกบ้าน…ไม่งั้นจะถ่วงเวลาจนถึงเย็นทำไม แถมยังมาจอดแช่อยู่ห่างจากซอยบ้านแค่สองซอยตั้งนาน

ไอ้อารมณ์ไม่อยากกลับบ้านไปเจอหน้าใครบางคนเป็นอย่างนี้นี่เอง

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่พวงมาลัย เหลือบมองเจ้าตัวเล็กนอนน้ำลายยืด หลับปุ๋ยตั้งแต่ขึ้นรถ สงสัยได้เล่นสนุกเต็มที่จนเพลีย ผมแอบอิจฉาน้อง ชักอยากย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกรอบ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องให้คิดมากจนปวดหัว

“เฮ้อ…”

ผมถอนหายใจยาวเหยียดส่งท้าย จำยอมจับพวงมาลัย เหยียบคันเร่ง ขับรถกลับบ้าน หนีไปก็ไม่ช่วยอะไรนี่ครับ แถมยังมีคนหิ้วท้องรอกินข้าวเย็นอีกสี่ชีวิต รวมผมก็ห้าล่ะ

ทันทีที่จอดรถคนโดนทิ้งอยู่บ้านก็พากันโผล่หน้ามาหา สองสาวเตรียมถลามาเอาเรื่อง แต่เห็นสีหน้าขรึมของผมมั้ง น้องถึงพากันถอยไปตั้งหลัก

ผมหันไปพูดกับพาร์สั้นๆ “อันหลับ อุ้มเข้าบ้านให้หน่อย”

ก่อนเปิดประตูหลังเอาวัตถุดิบมื้อเย็นลงจากรถปุ๊บก็เดินตรงดิ่งเข้าครัวเลย ขลุกอยู่ที่นั้นจนทำอาหารเสร็จ ยกไปวางบนโต๊ะเรียบร้อย ถึงตะโกนเรียกให้มากินข้าว

เมนูมื้อเย็นวันนี้เป็นข้าวผัดครับ ฟังดูธรรมดาใช่ไหม แต่สามคนที่เดินเข้ามาพากันชะงักกึกทันทีที่เห็น สองสาวชำเลืองมองผมอย่างหวาดๆ ตามประสาคนเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แม้แต่พาร์ยังขมวดคิ้วจ้องข้าวผัดสลับกับหน้าผม

“กินให้หมดนะ ห้ามเหลือ ห้ามเขี่ยทิ้ง ห้ามเอาไปให้คนอื่นกินแทนเด็ดขาด!”

ผมย้ำเสียงเข้มจนน้องอันที่พึ่งเดินเข้าครัวสะดุ้ง แถมขู่เพิ่มเสร็จสรรพ “ใครทำไม่ได้ ต่อไปก็หาข้าวกินเอาเอง แล้วอย่ามาเรียกร้องขอทำอะไรให้กินอีก”

ภายนอกผมยังปั้นหน้านิ่ง แต่ฝ่ายในใจขำก๊ากตั้งแต่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสองสาวกับพาร์แล้วครับ ผมหันไปคลี่ยิ้มให้ตัวเล็ก น้องถึงเลิกทำตัวกล้าๆ กลัวๆ รีบวิ่งเข้ามา ปีนเก้าอี้ขาสูงของเด็ก นั่งประจำที่เรียบร้อยก็ตักข้าวเข้าปาก ไม่มีอิดออด

ทั้งสามยอมนั่งลงจับช้อนบ้าง พาร์ยังมองข้าวผัดนิ่ง ยัยน้ำเขี่ยข้าวไปมา ส่วนเบอร์ดี้เหมือนพยายามเล็งหามุมจ้วงช้อน แต่หลังทั้งสามทำใจตักคำเล็กๆ เข้าปากปุ๊บ แต่ละคนรีบวางช้อนลงปั๊บ พากันยกน้ำดื่มตามด้วยสีหน้าปุเลี่ยนๆ ทันที

ผมขำรอบสองในใจ ตักข้าวผัดเข้าปากเคี้ยวแบบไม่สะทกสะท้าน

ยัยน้ำไม่ชอบปลาหมึกลวก ผมจัดการลวกแล้วสับให้ชิ้นเล็กลง เบอร์ดี้ไม่ชอบหัวหอม สบายครับ มีในข้าวผัดไม่แปลก ส่วนพาร์ นอกจากไม่ชอบของรสขมแล้ว ยังเกลียดถั่วลันเตาด้วย ผมเลยหั่นครึ่งผสมลงไปด้วยซะเลย แน่นอนว่ายังใส่มะเขือเทศกับไข่อยู่ เพิ่มข้าวโพดฝักอ่อนของโปรดผมเข้าไป ปรุงรส โรยพริกไทยกับต้นหอมซอย บีบมะนาวสักหน่อย ออกมาอร่อยดีออก

แต่ผมไม่กล้าทำให้น้องอันกิน เพราะน้องเกลียดถั่วลันเตาเหมือนกัน เวลาทำข้าวผัดอเมริกัน ห้ามใส่ลงไปเด็ดขาด น้องอันยอมอดข้าวประท้วงครับ เจ้าตัวเล็กเลยได้ข้าวไข่เจียวหมูสับราดซอสมะเขือเทศเป็นพิเศษคนเดียว ตักเข้าปากทั้งที่หน้างัวเงีย ไม่ได้รับรู้เลย ว่ามีสายตาอีกสามคู่มองอย่างอิจฉา

บรรยากาศบนโต๊ะเงียบกริบ ผมทำหน้านิ่งตักเข้าปากเคี้ยวช้าๆ หมดแล้วก็นั่งเท้าคางมองแต่ละคนที่ข้าวยังไม่หด สองสาวหน้าเจื่อน คงรู้แน่แล้วว่าผมคิดปักหลักเฝ้าจนกว่าจะหมดจาน เลยฝืนใจตักข้าวคำน้ำคำด้วยท่าทางพะอืดพะอมจนหมดจาน ก่อนรีบพากันลุกไปหยิบเยลลี่ผลไม้ในตู้เย็นออกมากินล้างปาก

ผมเห็นตั้งแต่ตอนเอาของสดที่ซื้อมาไปเก็บแล้วครับ สุดท้ายพาร์ก็ทนน้องสาวรบเร้าไม่ไหว ทำออกมาจนได้ เจ้าตัวเล็กนี่ตาวาวเลย ตักข้าวไข่เจียวคำสุดท้ายเข้าปากปุ๊บก็รีบไถลตัวลงจากเก้าอี้ วิ่งไปหน้าตู้เย็น แต่ยัยน้ำคงหมั่นไส้น้อง เลยปิดตู้เย็นยืนขวางไม่ให้น้องเปิดได้

ผมรอดูว่าน้องอันจะทำยังไง เจ้าตัวเล็กก็ใช่จะยอมพี่สาวทุกเรื่อง แต่เพราะอายุน้อยกว่าหลายปี ตัวเล็กกว่าเยอะ สู้ด้วยทีไรเลยแพ้ทุกที สุดท้ายก็ทำให้พี่สาวขยับจากจุดเดิมไม่ได้ แถมยังเป็นฝ่ายกระเด็นจากแรงกระแทกลงไปนั่งแปะกับพื้นซะเอง น้ำตาคลอเลยครับ แต่ไม่ร้องสักแอะ แค่ลุกขึ้นปาดหยาดน้ำตา หมุนตัวเดินกลับมาหาผม ชูมือขอให้อุ้ม

ผมยกตัวเล็กมานั่งตัก ปล่อยให้น้องซุกอกเหมือนปกติ ไม่คิดพูดอะไรทั้งที่เห็นตำตาว่าน้องคนรองแกล้งน้องคนเล็ก ผมไม่สปอยเจ้าตัวเล็กด้วยการให้ยัยน้ำเอาเยลลี่มาให้หรอก อุปสรรคเป็นอย่างหนึ่งที่ต้องเผชิญนี่ครับ ผมเลยปล่อยให้น้องคิดหาหนทางเอาของที่อยากได้มาเอง

ตอนนี้เลยเหลือคนเดียวที่ยังไม่ยอมกินข้าวผัด

“พี่พาร์กินข้าวเถอะ เพราะต่อให้ถ่วงเวลาถึงเที่ยงคืน พี่ทีก็พร้อมจะนั่งเฝ้านะ”

ผมกระตุกยิ้ม ก่อนรีบกลับมาปั้นหน้านิ่ง ขำที่น้องสาวพูดมากครับ นั่นน่ะประสบการณ์ตรงนะ

น้องเคยบอกผมว่า ยังไงก็ต้องกินลงท้อง สู้เอาเข้าปากตอนยังอร่อยดีกว่าตอนเย็นชืดไม่น่ากิน 

พาร์นิ่วหน้ามองผม ยัยน้ำ จานข้าว วนอยู่อย่างนี้สามรอบ ก่อนจำใจฝืนกินอีกคน แต่วิธีของพาร์ต่างออกไป เขี่ยเอาของไม่ชอบออกไปกองรวมๆ กันก่อน ตัดส่วนที่ไม่เป็นปัญหาเข้าปากเรื่อยๆ แล้วค่อยโกยของไม่ชอบใส่ช้อน ตักเข้าปากทีเดียวหมด เคี้ยวสักพักก็คว้าน้ำดื่มตาม เผ่นไปหยิบเยลลี่มากินล้างปากอีกคน

เจ้าตัวเล็กดิ้นจะลงพื้น ผมเลยปล่อยตัวน้อง พลางลุกยืนดึงจานเปล่าบนโต๊ะมาซ้อนกันเตรียมยกไปล้าง แว่วเสียงเจ้าตัวเล็กร้องขออย่างออดอ้อน

“น้องอันขอกินเยลลี่…นะ”   

ผมยกยิ้ม ไม่ต้องหันไปมองก็เดาได้ เจ้าตัวเล็กต้องได้กินแน่ ไม่เบอร์ดี้หยิบให้ ก็เป็นพาร์นั่นแหละ ส่วนยัยน้ำคงไม่ห้ามหรอก รายนั้นแพ้น้ำเสียงออดอ้อนของน้องคนเล็กจะตาย แต่ชอบตีหน้านิ่ง ปล่อยเบอร์ดี้ทำแทนตัวเอง ไม่ยอมแสดงออกให้น้องอันรู้สักที

…ท่ามากปากแข็งจนน้องอันรักพี่เบอร์มากกว่าเมื่อไหร่ ผมจะหัวเราะให้   

-------------

หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ผมเข้าห้องนอน ก็เห็นพาร์อาบน้ำนั่งอ่านชีสเรียนอยู่บนเตียงแล้ว เลยหยิบผ้าขนหนูไปอาบน้ำบ้าง ตอนเดินผ่านตู้เสื้อผ้า ผมลังเลชั่ววูบหนึ่ง แต่ก็เดินผ่านโดยไม่เอาเสื้อผ้าเข้าไปด้วย ทุกวันนี้ผมยังแต่งตัวข้างนอกอยู่เลย เพราะไม่เห็นรูมเมทสนใจร่างกายผมนี่ มองเฉยเหมือนเพื่อนผู้ชายคนอื่น

แต่วันนี้ผมไม่แน่ใจ และอยากลองทดสอบอะไรดูด้วย เลยจงใจยืนแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้าตั้งนาน คงผิดสังเกตจนพาร์มองมา แววตาปกติเหมือนทุกที ก่อนก้มมองชีสต่อ นั่นทำผมโล่งใจไปเยอะ…สงสัยสายตาอ่อนหวานนั่นจะแค่บทเพลงพาไปล่ะมั้ง

แต่ดันทำคนอื่นเครียดตั้งนานนะมึง!

พาร์เงยหน้าขึ้นมาอีกที เจอผมส่งสายตาหงุดหงิดเข้าพอดี เลยย่นคิ้วใส่

“มองกูอย่างนั้นทำไม”

ผมหันหน้าหนี สวมเสื้อยืดตัวใหญ่ปิดท้าย เอาผ้าขนหนูไปตาก มองเวลา แค่สามทุ่มกว่า แต่ผมอยากนอนแล้ว ระหว่างกำลังสอดตัวเข้าผ้าห่ม คนข้างๆ กลับพูดขัดขวาง

“อย่าพึ่งนอน มาคุยกันก่อน”

ใครสน

ผมทิ้งหัวบนหมอนหนุน หลับตาลงทันที แต่ต้องรีบลืมตากะทันหันเมื่อโดนพาร์ขึ้นคร่อม…ไม่ใช่ทั้งตัว แค่ส่วนบนเหมือนป้องกันไม่ให้ผมพลิกตัวหนีมากกว่า ไม่มีทางทีคุกคามทางเพศ ผมเลยผ่อนลมหายใจลง ปล่อยร่างกายให้คลายตัวจากอาการเกร็ง

“สองสาวบอกว่าถ้ามึงเอาของไม่ชอบใส่ลงไปให้กิน แสดงว่ากำลังโกรธ โมโห หรือไม่พอใจคนๆ นั่นอยู่ กูเลยอยากรู้ว่ามึงโมโหกูเรื่องอะไร?”

ผมไม่ตอบคำถาม ซ้ำเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากคุยด้วย

“เรื่องก่อนกินข้าวเที่ยงหรือเปล่า”

ผมยังเงียบ

“น้องบอกว่าได้แนวความคิดนี้มาจากเพื่อน เรื่องเพลงก็เลือกกันเอง เห็นว่าเหมาะกับเราดีเลยเลือกเพลงนั่นมา…มึงฟังกูอยู่หรือเปล่า”

ผมนอนหลับตานิ่ง ช่วยคิดว่าหลับไปแล้วทีเถอะ

“ที”

ผมสะดุ้ง เมื่อโดนลมหายใจร้อนรินรดต้นคอในระยะประชิด เฮ้ยๆๆ รีบลืมตา ยันหน้าคนด้านบนออกห่างแทบไม่ทัน

“จะทำอะไร!”

พาร์เลิกคิ้ว “ยอมคุยกับกูแล้ว?”

ผมเงียบอีกครั้ง

“สบตากับกูหน่อย มึงไม่ยอมสบตาด้วยตั้งแต่จบเพลงนั่น”

ผมพ่นลมหายใจใส่หน้ามันเลย ยอมสบตาด้วยเป็นครั้งที่สอง เอ๊ะ หรือสาม ในรอบครึ่งวัน แม้ใจจะแกว่งเล็กๆ กลัวได้เห็นความรู้สึกของอีกคนก็ตาม แต่ผมก็อยากเคลียร์ให้รู้เรื่องเหมือนกัน

“กูขอถามตรงๆ นะ มึงชอบกูจริงอ่ะ?”

เป็นพาร์ที่เงียบบ้าง แววตาสับสนเอาเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของผม

“กูเป็นผู้ชาย มึงก็เห็นอยู่ นี่คือความจริงนะพาร์ ความเป็นจริงตอนนี้ อย่าเอาเรื่องในอดีตมาปนกันได้ไหมวะ”

พาร์ผละออกห่าง ทิ้งตัวนอนข้างผม ยกแขนข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก ท่าทางกลุ้มใจเอาเรื่อง

“กูแค่อยากเตือน เก็บไปคิดให้ดี วันนี้มึงทำกูเขินได้ก็จริง แต่ก็แค่นั้น แล้วถ้ามากกว่านี้เมื่อไหร่ แล้วมึงกลับมาบอกทีหลังว่าไม่ใช่ นอกจากทำกูเสียใจแล้ว แม้แต่ความเป็นเพื่อนที่มีตอนนี้ก็คงไม่เหลือ…เข้าใจที่กูพูดใช่ไหม”

“อืม”

“แล้วก็… ถ้ามึงยังสับสนอยู่แบบนี้ ก็อย่ามองกูด้วยแววตาแบบนั้นอีก”

ผมพลิกตัวนอนหันหลังให้พาร์ พูดซ้ำอีกครั้ง

“กูขอ เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ก็อยากเป็นคนที่ถูกรัก และเป็นคนสำคัญสำหรับใครสักคนเสมอนั่นแหละ”

“…มึงสำคัญนะ”

ประโยคแรกได้ยินชัด แต่ประโยคหลังแผ่วมาก แต่ผมก็ยังได้ยิน

“สำคัญ…มาตั้งนานแล้ว”

ขอแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินดีกว่า

ผมหลับตาอีกครั้ง รู้สึกเพลียๆ สงสัยจะโดนเรื่องวันนี้สูบพลังงานไปเยอะมั้ง

-------------
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 02-10-2016 18:51:16
บทที่ 17 (ต่อ)

ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนพ่อแม่พวกเรากลับมาตอนไหน เผลอลืมไปด้วยซ้ำว่าพวกท่านจะกลับมา ต้องโทษพาร์ ทำผมคิดมากจนลืมเรื่องอื่นไปหมด

ผมปล่อยให้แม่ทาบหลังมือกับหน้าผาก

“…ตัวร้อนจริงๆ ด้วย”

พ่อเลิกคิ้ว แล้วยิ้มขำ “มีใครไปทำอะไรให้ทีเครียดหรือเปล่าเนี่ย”

“เป็นไข้ แล้วเกี่ยวอะไรกับเครียด?”

ลุงแทนถามอย่างไม่เข้าใจ บนตัวสวมชุดทำงานคุ้นตาแบบเดียวกับที่พาร์เอามาจากบ้านนู้นเลย แสดงว่าลุงแทนกับป้าเจนอยู่ค้างที่นี่…พาร์คงอยู่รอเปิดประตูให้พวกท่านแน่ๆ ไม่งั้นพวกท่านจะรู้ได้ไงว่าค้างที่นี่ได้

“ปกติเจ้าทีแข็งแรงจะตาย ยกเว้นว่าไปทำตัวพิลึกอย่างยืนตากฝนสักครึ่งวัน หรือไปซนจนบาดเจ็บกลับมา ไม่ก็มีเรื่องให้คิดมากจนเครียดเกินไป ร่างกายเลยประท้วงด้วยการเป็นไข้นี่แหละ”

พ่อไม่ต้องอธิบายจนเห็นภาพขนาดนั้นก็ได้ คนทำผมเครียดมองมาด้วยสายตารู้สึกผิดแล้วนั่น

“จะไปเรียนเหรอลูก แม่ว่าพักอยู่บ้านดีกว่านะ”

“ผมไม่เป็นอะไรหรอก แค่ตัวร้อนกว่าปกตินิดหน่อยเอง”

“ตามใจ ถ้ากลับมาแล้วเป็นหนักกว่าเดิม แม่จะให้หมอมาฉีดยาลูกถึงบ้าน!”

ผมยักไหล่ไม่แคร์ แม่เอาเรื่องนี้ขู่น้องได้ แต่ขู่ผมไม่สำเร็จหรอก ผมไม่ได้กลัวเข็มฉีดยานี่ครับ

กินข้าวเช้ากันเสร็จก็ถึงเวลาแยกย้าย พวกเราออกเป็นกลุ่มสุดท้าย โดยมีน้องอันพ่วงมาหนึ่ง เพราะวันนี้แม่ไม่ได้ออกไปไหน

“เลิกเรียนก็รีบกลับบ้านนะ เรื่องอัน เดี๋ยวแม่รับที่โรงเรียนเอง”

ผมพยักหน้าหงึกๆ

“งั้นน้าฝากทีด้วยนะพาร์”

“ครับ”

ตลอดทางไปมหาลัยมีแต่ความเงียบ แต่ไม่ได้อึดอัดเท่าที่คิด ช่วงกำลังเคลิ้มเกือบหลับ ผมได้ยินพาร์พูดอะไรสักอย่าง จนต้องรีบหันไปมอง

“พูดอีกทีสิ”

พาร์เม้มปาก แววตามองมาเหมือนคาดโทษ

อะไร ผมไม่ได้แกล้งนะ ก็คนมันได้ยินไม่ถนัดจริงๆ นี่หว่า

“กูบอกว่า เรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ”

“ฮะ?” ผมรีบเขยิบตัวนั่งดีๆ อาการง่วงเริ่มจางหาย “เริ่มแบบไหน?”

“กูลองคิดดูทั้งคืนแล้ว”

ผมอ้าปากเหวอ “ทั้งคืน! มึงไม่ได้นอนเรอะ แล้วมาขับรถ…ไปจอดข้างทางเลย เดี๋ยวกูขับเอง!”

“กูไม่ง่วงตอนนี้หรอกน่า จนกว่าจะพูดเคลียร์กับมึงให้รู้เรื่อง”

“งั้นไปถึงมหาลัยค่อยว่ากัน”

พาร์พ่นลมออกจากปาก “มึงถ่วงเวลา”

“แล้วแต่มึงคิด”

ผมเลยหลับไม่ลง ต้องคอยสังเกตอาการคนขับ กลัวพาร์หลับในเป็นบ้า แต่มันก็สามารถพาทั้งคนทั้งรถมาถึงลานจอดรถประจำวันจันทร์โดยสวัสดิภาพ แต่วันนี้ต่างจากทุกทีเมื่อเรานั่งอยู่ในรถกันต่อ

“นึกว่ามึงจะรีบลงจากรถซะอีก”

“กูไม่หนีหรอกน่า อยากจะพูดอะไรก็ว่ามาให้หมด”

พาร์เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเริ่มต้นพูดเข้าเรื่องตรงๆ ตามสไตล์ “หลังจากนี้กูจะมองมึงเป็นมึง”

ผมขมวดคิ้ว “ยังไง?”

“ก็มองแค่ตัวตนของคนที่ชื่อชลนที”

ถ้อยคำหวานหูเป็นบ้า!

“มึงจะจีบกู?”

“เปล่า” พาร์ปฏิเสธเร็วมาก “ทั้งมึงทั้งกูยังไม่มีใครแน่ใจทั้งคู่ เพราะงั้นเริ่มต้นแบบนี้ก่อนนี่แหละ มองแค่ตัวตนของกันและกัน ไม่ต้องเอาเรื่องเพศมาคิดให้หนักหัว”

ผมพ่นลมหายใจ “อย่างกับหนีความจริง”

“กูไม่ได้หนี!”

“รู้น่า แต่กูเห็นต่างจากมึง” ผมสบตาเพื่อนตรงๆ “การมองถึงตัวตนของอีกคนเป็นเรื่องดี แต่รูปกายภายนอกก็ส่งผลต่ออีกคนเช่นกัน อย่างเช่น…” ผมกรอกตามองออกไปนอกรถ เจอคู่รักชายหญิงกำลังเดินผ่านหน้าพอดี “เอาตัวอย่างคู่ข้างหน้านี่แหละ”

ผมชี้ให้พาร์มองตาม

“ถ้ากูกับมึงคบกันคงจับมือกระหนุงกระหนิงเดินเคียงคู่แบบนั้นไม่ได้หรอก หรือถ้าบังเอิญเจอญาติผู้ใหญ่ หรือเพื่อนที่ทำงานของพ่อแม่ มึงจะกล้าแนะนำกูเป็นแฟนหรือเป็นแค่เพื่อน?”

พาร์เงียบ ผมปล่อยเพื่อนครุ่นคิดพักใหญ่ แล้วพูดต่อ

“ถึงสมัยนี้ผู้คนจะยอมรับได้มากขึ้น แต่มันยังไม่เปิดกว้างพอ นี่คือสิ่งที่กูอยากเตือน แล้วก็ไม่ต้องใช้เวลาคิดทั้งคืนอีกล่ะ ค่อยๆ เก็บไปคิดทีละนิดดีกว่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้มึงคิดให้ตายคืนเดียวก็หาข้อสรุปไม่เจอหรอก”

ผมปลดล็อก กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ แต่โดนจับไหล่รั้งไว้เสียก่อน เลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

“ทำไมมึงดูรู้ดีจัง?”

ผมขมวดคิ้วใส่ “ทำไมถามแบบนี้?”

“เคยคบผู้ชายมาก่อน?”

ผมโบกหัวพาร์ไปหนึ่งที “ไม่เคยโว้ย!”

“แต่มึงดูรู้ดีในหลายเรื่องมาก จนกูอดสงสัยไม่ได้”

“จะสงสัยทำบ้าอะไร คราวก่อนกูก็เล่าเรื่องเพื่อนเก่ากับเพื่อนใหม่คบกันให้มึงฟังอยู่หยกๆ ทำไมไม่คิดว่ากูเรียนรู้เรื่องพวกนี้จากสองคนนั้นเล่า!”

“…จริงของมึง”

“มันเรื่องจริงต่างหาก!”

“แต่มึงเคยบอกว่าโตขึ้นจะแต่งงานกับผู้ชายนี่หว่า”

ประโยคโคตรเด็ด เกือบทำผมหัวทิ่มไปโขกคอนโซลรถ มันไปรู้เรื่องพรรค์นี้มาจากไหน?!

“ใครเล่าให้มึงฟัง?”

“เถอะน่า จริงหรือเปล่า?”

ผมนวดขมับ “…กูเคยพูดตอนสามขวบ”

“…กับพี่หมอพีท?”

“เออ”

ผมชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีมาคุที่แผ่ออกมาจากคนข้างๆ

“แล้วตอนนี้…ยังอยากจะแต่งอยู่ไหม?”

มันจะกัดฟันพูดทำเผื่อ!

“ใครจะไปอยาก!”

“…มึงไม่ได้แอบชอบหรือรักใครอยู่ในใจใช่ไหม?”

“ไม่มี!”

“ทั้งชายทั้งหญิง”

“เออ!”

“ก็ดี…”

ผมไม่รู้สึกดีด้วยสักนิด ฟังคำถามแต่ละอย่างของพาร์สิ!

“มึงให้กูไปคิด กูก็จะกลับคิดให้ดี แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน จนกว่ากูจะหาคำตอบมาให้มึงได้ ก็ช่วยทำหัวใจให้ว่างไร้เจ้าของไปก่อน…ได้หรือเปล่า?”

ผมแยกเขี้ยวใส่พาร์ทันที “ไม่ติดป้ายบอกจองไปเลยล่ะ!”

พาร์เลิกคิ้วขึ้น “ทำได้?”

“ไม่”

บนรถเงียบกริบทันที ผ่านไปสักพักพาร์ก็ไม่พูดอะไร แต่จ้องผมแทบจะพรุนอยู่แล้ว จนผมต้องพูดโผล่ออกมาอย่างทนไม่ไหว

“เรื่องหัวใจมันห้ามกันได้ซะทีไหน”

“…ก็จริง”

เสียงหงอยเป็นบ้า!

ผมพ่นลมหายใจออก คราวนี้เปิดประตูรถจากรถจริงๆ แล้ว แต่ก่อนจะผลักประตูปิด ก็บอกส่งท้ายให้ใครบางคนที่ทำหน้าเหมือนน้องหมาโดนเจ้าของทิ้งฟังชัดๆ

“อยากให้ว่างก็คอยดูแลเอาเองแล้วกัน”

พูดเองแท้ๆ แต่หน้าชักเริ่มร้อนผ่าวๆ…มานึกดูอีกทีโคตรน่าอายเลยนี่หว่า พูดไปได้ยังไงวะ!

ผมเลยเร่งฝีเท้าเดินจากมาก่อน ให้สู้หน้าพาร์ตอนนี้คงไม่ไหว

แต่สุดท้ายพาร์ก็ไล่ตามผมทันอยู่ดี ผมเหล่มองสีหน้าอมยิ้มของมัน บังเกิดความรู้สึกหมั่นไส้กลบฝังความอายซะสิ้น   

“โอ๊ย เตะขากูทำไมเนี่ย”

“หมั่นไส้!”

“หมั่นไส้มากจนต้องใส่มาเต็มแรง?”

“เออ!” ผมจ้องพาร์อย่างหาเรื่อง “จะถามอะไรอีกไหม”

“มะ ไม่แล้ว”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงสื่อว่าก็ดี

ระหว่างมองทางเดินข้างหน้า แว่วเสียงคนข้างๆ งึมงำเสียงเบา

“ไม่เอาถั่วลันเตาแล้วนะ”

ผมรีบเบือนหน้าหนีทั้งที่คลี่ยิ้มขบขัน…ดูท่าจะฝังใจ

-------------

“โย่ ไอ้ที”

ผมหยุดเดินพูดทักทายเพื่อนต่างคณะกลับ “ไง”

“ได้ข่าวว่ามีแฟนใหม่แล้ว” ยิ้มล้อเลียนมาเลย

“อ้อ…ก็…”

ผมตอบไม่ถูก เพราะเมื่อวานรับรู้แล้วว่าพวกรุ่นพี่อยากให้คนต่างคณะเข้าใจผิด

“เอาน่า กูเข้าใจ มึงคงผิดหวังจากผู้หญิงมาเยอะเลยลองเปลี่ยนเส้นทางสินะ”

“ฮะ?”

“ไม่ต้องห่วง ต่อให้มึงมีแฟนเป็นหนุ่มหล่อ กูกับมึงยังเป็นเพื่อนกันเสมอ”

ผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไอ้คนตรงหน้าโดนเรียกตัวซะก่อน เลยบอกลาผมลวกๆ แล้วเดินจากไปเลย

ก้าวเดินเกือบจะถึงใต้ตึกเรียนก็โดนทักอีกครั้ง แนวเดียวกันกับคนเมื่อกี้เลย แต่ผมได้ข้อมูลเพิ่ม

“มึงคบผู้ชายแบบนี้ก็ดี ไอ้ข่าวเสียๆ หายๆ ของมึงเลยพลิกกลับกลายเป็นเรื่องดีไปแทน ตอนนี้ฝ่ายที่เสียหน้าคือพวกที่เอามึงไปนินทา แถมพวกนั้นยังเจอพวกหมั่นไส้ หรือเคยมีเรื่องมาก่อนฉวยโอกาสตอนนี้ใส่ฟืนโหมไฟให้รุนแรงเหมือนเตรียมย่างกลางดงข่าวลือเลยล่ะ”

…ท่าทางเพื่อนผมจะสะใจมาก อ้อ ลืมไป คนพวกนั้นเคยเกือบทำให้มันต้องเลิกคบกับแฟนนี่หว่า

ผมเข้าใจทันทีว่าทำไมเพื่อนข้อมูลแน่น สงสัยแฟนมันจะเป็นหนึ่งในแกนนำใส่ฟืนในกองไฟแน่ๆ

หลังจากนั้นผมก็โดนเพื่อนต่างคณะเข้ามาพูดแสดงความยินดีบ้าง บางรายมาสอบถามด้วยความกังวลตั้งแต่เรื่องนิสัยพื้นฐานของพาร์ยันเรื่องบนเตียง (ตามเลเวลความสนิท ยิ่งสนิทมากเรื่องยิ่งเจาะลึก) ผมเลยไม่กล้าแวะไปโต๊ะประจำกลุ่ม จ้ำอ้าวหนีขึ้นไปถึงห้องเรียนอย่างเดียว

เข้าห้องเรียนปุ๊บ อย่างกับหลุดเข้ามาอีกโลก เพื่อนร่วมคณะเพียงแค่ยิ้มทักทายตามปกติ ชวนคุยเรื่องทั่วไป จนผมชักมึนๆ ว่าเผลอก้าวผ่านประตูย้อนอดีตมาหรือเปล่า สับสนหนักจนต้องปรี่ไปหากลุ่มประธานชั้นปี สุ่มหัวกับบรรดาสมุนทั้งสามเพื่อหาคำตอบ

“บอกกูตามตรงทีเถอะ กูงงมาก”

ลูกสมุนหัวเราะยกใหญ่กับเรื่องเล่า และท่าทางจนปัญญาของผม

“คำตอบแรก มึงไม่ได้ย้อนอดีตแต่อย่างใด เพราะกูยังจำเรื่องวันศุกร์ได้ ฮ่าๆๆ”

“คำถามที่สอง พวกกูจะแซวมึงไปทำไม อ้อ แต่ถ้าถึงเวลาต้องแซวก็ขอให้เตรียมทำใจไว้ล่วงหน้าด้วย”

“แต่มึงมีเรื่องต้องรู้วะที อย่างแรกเมื่อวันศุกร์ ชั้นปีเราคนไปไม่ครบ” ทอมกระซิบข้างหูผม “พี่นันสั่งให้ตัดคนพวกนี้ออกไป ให้รับรู้เท่าที่คนนอกรู้”

ผมขมวดคิ้วทันที “มีใครบ้าง?”

สมุนสาวถึกเอาใบรายชื่อคนขาดกิจกรรมมาผมดูเงียบๆ ส่วนใหญ่ก็พวกที่ไม่สนใจกิจกรรมคณะครับ แต่ผมสะดุดชื่อของไอ้เด็น…

“นี่ด้วยเหรอ?”

สมุนสาวถึกก้มมองชื่อที่ผมชี้ ก่อนพยักหน้ารับ “วันนั้นมันมาเรียน แต่หมดชั่วโมงก็หายหน้าไปเลย เห็นแยกไปนั่งเรียนตามลำพังด้วย”

ผมพยักหน้ารับรู้ทั้งที่ขมวดคิ้ว “แล้วเรื่องที่ต้องรู้อีกอย่างล่ะ?”

สมุนทั้งสามคลี่ยิ้ม เป็นสมุนทอมที่กระซิบบอกอีกครั้ง “จะหลอกศัตรูต้องหลอกพวกเดียวกันก่อน พี่เขาว่ามาอย่างนี้”

“สรุปคือ ที่จริงพวกกูต้องร้องแซวมึง แต่ดันรู้ความจริง อารมณ์ร่วมเลยไม่มี จึงแก้ปัญหาด้วยการมีข้อตกลงลับๆ ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ให้มึงลำบากใจ…กรณีมึงอยู่คนเดียวนะ แต่ถ้าคู่ของมึงโผล่มาเมื่อไหร่ แล้วเราเห็นช่องทางในการแซว มึงคงจะโดนเละวะ”

“ขอบใจสำหรับคำตอบตรงไปตรงมา”

สมุนชายแท้ยักไหล่ “มึงรู้ไว้ก็ดี จะได้ไม่มาโกรธพวกกูทีหลัง”

“แล้วพวกรุ่นพี่โกหกทำไม?”

สมุนทั้งสามมองหน้ากันอย่างปรึกษา และส่งสมุนสาวถึกมาอธิบาย

“เอ่อ เรื่องนี้พวกกูบอกอะไรมึงมากไม่ได้ แต่ที่ทำทุกอย่างเนี่ย เพื่อปกป้องมึงทั้งนั้น จำเรื่องนี้ไว้ให้ขึ้นใจนะที”

ผมจับประเด็นบางอย่างได้ทันที “กูไม่มีสิทธิ์รู้?”

สมุนทั้งสามพยักหน้า สมุนทอมส่งยิ้มให้กำลังใจ

“อีกไม่นานมึงจะเข้าใจ”

“แต่ถ้ามึงสงสัยมาก ไปถามจากฝ่ายนิติน่าจะได้คำตอบเร็วกว่า”

สมุนชายแท้พูดเสริม มีสมุนสาวถึกพยักหน้าเห็นด้วยหงึกๆ

ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นคว้ากระเป๋า พูดส่งท้าย “ขอบใจ”

ถึงไม่ได้คำตอบแน่ชัด แต่อย่างน้อยเพื่อนก็ช่วยชี้ทางไปสู่คำตอบให้

“จะลุกไปไหน? เดี๋ยวจารย์มาแล้วนะ”

“กลับกลุ่มกูสิ ตั้งแต่เกิดเรื่องยังไม่ได้ไปเคลียร์เลย”

“อ้อ งั้นก็โชคดี”

แต่ก่อนจะได้เดินจาก ผมเจอกับมลพึ่งเดินเข้าห้องเรียน มันรีบปรี่มาหาทันทีที่สบตา กระชากแขนผมให้ก้มลงไปหา เอ่ยกระซิบ “เด็นไม่ได้เข้าร่วมงานวันศุกร์ เพื่อนมึงทั้งกลุ่มรับรู้แล้ว เหลือแค่มึง…”

“กูรู้เรื่องจากสมุนของมึงแล้ว”

“รู้ใช่ไหมต้องทำยังไง”

“เออ ไม่หลุดปากบอกไปหรอก”

ท่านประธานพยักหน้าพอใจ ปล่อยแขนผมเป็นอิสระ “แล้วจะไปไหน?”

“กลับถิ่นกู”

“อ้อ ขอให้เคลียร์ได้เร็วๆ ล่ะ”

ผมไปถึงที่ประจำ นนท์ ศิ มินต์ คลี่ยิ้มต้อนรับผมทันที แต่ขาดไปสอง คู่กรณีของผมกับลูกหว้ายังไม่มาครับ

“หายไปไหนสอง?”

“ยังไม่มามั้ง” นนท์ว่า “วันนี้เห็นมึงเดินไปหากลุ่มประธาน พวกกูนี่ใจแป้วเลย นึกว่ามึงจะไม่กลับมาทางนี้แล้ว”

“แค่มีเรื่องไปถามเฉยๆ แต่กูมีเรื่องสงสัย เมื่อพุธที่แล้วเป็นอะไรกัน?”

ทั้งสามถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นนท์เป็นคนเล่า

“ก่อนเข้าเรียนลูกหว้าฟิวส์ขาด องค์ลงฉะไอ้เด็นต่อจากมึงไปน่ะสิ”

ผมเลิกคิ้วคาดไม่ถึง “ทำไมล่ะ?”

“ทั้งที่พวกเราเก็บคำพูดของทีมาคิด แต่เด็นทำตัวเหมือนมีอะไรเกิดขึ้น เพราะคิดว่ามีพวกเราสี่คนคอยให้ท้าย ลูกหว้าเลยโมโห” สาวน้อยไม่ค่อยพูดของกลุ่มร่ายยาวเหมือนอัดอั้นมานาน “วันนั้นที่หลบตา ขอโทษนะ พวกเราแค่รู้สึกตัวว่าเป็นฝ่ายผิดน่ะ”

“มินต์พูดถูก กูต้องขอโทษเหมือนกัน”

ศิเพียงแค่ถอนหายใจ โดยไม่ได้พูดอะไร เพื่อนคนนี้คงลำบากใจสุด ถึงไม่ได้รับคำขอโทษมา แต่แววตาศิก็สื่อความหมายนั้น แถมยังมีความกังวลปนกลุ้มใจอยู่ด้วย คงรู้สึกไม่ดีที่เห็นคนในกลุ่มเกิดเรื่องระหองระแหง

“เลยกลายเป็นว่าทั้งมึง ทั้งหว้า ทั้งเด็น ไม่มีใครกลับมารวมกลุ่ม…”

“ที!”

ลูกหว้าโผมากอดจากข้างหลังทั้งตัว “ขอโทษนะๆๆ”

“หนัก…ใครก็ได้เอาหมูลงจากตัวกูที”

“ไอ้บ้า! กูไม่มีห่วงยางตรงเอวสักหน่อย!”

แว่วเสียงหัวเราะจากอีกสามคน ลูกหว้านิ่งไป สักพักก็หัวเราะตามเพื่อนไปด้วย ผมยิ้ม ถึงคนจะยังไม่ครบ แต่บรรยากาศภายในกลุ่มก็กลับมาสดใสแล้ว

“…แล้วจะปล่อยกูได้ยัง?”

“ลืม” ลูกหว้ารีบผละออก ยิ้มทะเล้น “ลืมไปว่ามึงมีสามีแล้ว ต่อไปนี้เวลาแตะต้องมึงต้องระมัดระวัง”

ผมคิ้วกระตุก “ไม่เอาแล้วเหรอ พ่อของลูกน่ะ”

“ยอมถอยค่ะ พอดีรู้ตัวว่าหน้าสวยสู้เพื่อนไม่ได้”

“ฮ่าๆๆ จริง วันนั้นมึงโดนจับแต่งตัวซะพวกกูตะลึง”

“ลืมมันไปเถอะ!”

อาจารย์มา คู่กรณีของผมก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น พวกเรามองหน้ากัน

“สงสัยมันจะขาดเรียน”

ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยครับ

คาบนี้เป็นคาบสุดท้าย อาจารย์เลยแนะแนวเนื้อหาที่จะออกสอบส่งท้าย จบแล้วก็ปล่อยเลยทั้งที่ยังไม่หมดชั่วโมงเรียน

“ไปไหนกันดี?”

“ห้องอาหารไหม หรือห้องสมุด ไม่ก็ใต้ตึก…เอ่อ คงไปไม่ได้แล้วแหละ”

ลูกหว้าบุ้ยปากไปทางหน้าห้อง

“สวัสดีน้องๆ ทุกคน”

เสียงพี่นันดังออกจากลำโพง เรียกทุกสายตา รวมถึงผมหันไปหน้าห้อง ประธานปีสี่คราวนี้ไม่ได้ฉายเดี่ยว แต่ยกโขยงกันมาเลยครับ ไม่ได้มาตัวเปล่าด้วย ตอนผมหันไปมอง เห็นกำลังช่วยกันวางลังกระดาษสองสามกล่องลงพื้นแล้ว

“พวกพี่มีเรื่องจะแจ้งให้รู้ ขอเวลานิดหน่อยนะทุกคน”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 02-10-2016 20:01:02
บทที่ 18

“ท่านพี่ที่เคารพ อย่านานนะ ผมหิวข้าว ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ตื่นเลยครับ”

พี่นันค้อนขวับ “ทีหลังหันตื่นให้เช้ากว่านี้สิค่ะ จะได้มีเวลากินข้าว แล้วดูบนหัว ผมยุ่งยิ่งกว่ารังนก ลืมหวีผมแน่ๆ”

ทั้งห้องฮาครืน ยิ่งเจ้าของหัวยุ่งยิ่งกว่ารังนกรู้สภาพตัวเองก็ร้องถามหา ใครมีหวี เสียงหัวเราะยิ่งกระฮึ่มกว่าเดิม

“ไม่ต้องหวีแล้วค่ะ มาฟังพี่ก่อน” 

เสียงหัวเราะค่อยๆ เงียบลง พี่นันพยักหน้าพอใจ เริ่มพูดต่อ

“เรื่องที่จะพูดถึงคือกิจกรรมใหญ่ในเทอมสองค่ะ เนื่องจากต้องใช้เวลาเตรียมตัวนาน พวกพี่เลยจะมาเล่าและแจ้งหลายเรื่องให้รู้ไว้ก่อน”

แค่พี่นันขึ้นต้น พวกผมก็พากันตาวาวสนอกสนใจแล้วครับ ยิ่งเห็นภาพตัวอย่างกิจกรรมที่ผ่านมา (รุ่นพี่ฉายขึ้นสไลด์ผ่านโน้ตบุ้ค) ยิ่งให้ความสนใจมากกว่าเดิมหลายเท่า

“กิจกรรมนี้มีชื่อว่า ‘Water War’ แต่บางคนเรียกชื่อไทยๆ ว่า ‘สงครามสายน้ำ’ จะมีขึ้นสองวันในช่วงปลายเดือนมีนา ไม่ก็ต้นเมษา ส่วนใหญ่จะจัดในวันเสาร์อาทิตย์”

“เหมือนเล่นสงกรานต์ใช่ไหมครับ?”

“ไม่เหมือนค่ะ เรามีกฎการเล่น และทุกคนที่เข้าร่วมต้องปฏิบัติตามกฎ หากใครทำไม่ได้จะได้รับโทษคือ งดเข้าร่วมกิจกรรมถึงสองปีเชียวนะ”

พวกผมส่งเสียงฮือฮาเลยครับ โทษโหดเป็นบ้า

“อุปกรณ์หลักของกิจกรรมนี้คือปืนฉีดน้ำ งานนี้งดขัน กะละมัง กระป๋อง หรือของทุกประเภทที่ใช้ตักและสาด อ้อ สายยางก็ไม่ได้”

“พี่พูดแค่ว่างานนี้ยิงกันอย่างเดียวก็จบแล้วครับ”

“เดี๋ยวพวกน้องจะคิดลามกน่ะสิ แน่ะๆ อย่ามาส่ายหน้าเชียว พี่ไม่เชื่อหรอก เพราะสมัยพี่อยู่ปี1 เพื่อนผู้ชายของพี่ก็เคยคิด”

หัวเราะร่วนทั้งห้องเลยครับ

“พี่เชื่อว่าทุกคนรู้จักปืนฉีดน้ำอยู่แล้ว แถมยังมีติดบ้านแน่ๆ แต่ถ้าขืนมัวแต่ปั๊มลม ระยะยิงก็สั้น ถ้าเอามาใช้ในกิจกรรมนี้ น้องๆ แพ้แน่นอน เพราะงั้นเก็บไว้เล่นช่วงสงกรานต์ดีกว่า ปืนฉีดน้ำที่พวกพี่จะแนะนำคือเจ้าพวกนี้ เอาออกมาโชว์น้องหน่อยเร็ว”

ลังกล่องหนึ่งถูกเปิด แคทวอล์คโชว์ปืนฉีดน้ำก็ถูกเปิดแสดงให้ตื่นตาตื่นใจ ฝ่ายผู้ชายฮือฮามากกว่าครับ เพราะรูปร่างปืนฉีดน้ำดูเท่มาก คล้ายพวกปืนบีบีกันเลย

“เอ่อ ปืนฉีดน้ำแน่เหรอคะ?”

“แน่สิ มันเป็นปืนฉีดน้ำระบบออโต้น่ะ ต้องใส่ถ่านเล่นด้วย พี่คนไหนก็ได้แยกส่วนกระกอบหลักให้น้องดูหน่อย”

รุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งแกะที่ใส่ถ่าน เทออกมาให้ดู ใช้ถ่านสองเอล่ะมั้ง ผมมองไม่ถนัด แล้วดึงส่วนใส่แมกกาซีนออกมาชูให้เห็น แต่มีภาพประกอบบนสไลค์ด้วยครับ อ้อ ถ่านสองเอถึงสี่ก้อนเลยครับ

“เจ้าแมกกาซีนนี่ใช้สำหรับใส่น้ำจ๊ะ ถอดเข้าออกได้””

“แบบนี้ก็จุน้ำได้น้อยสิคะ?”

“ก็น้อยแหละ แต่พกแมกกาซีนสำรองไว้ถอดเปลี่ยนด้วยก็ได้ แต่เราไม่ได้จะเล่นเพื่อเปียกซะหน่อย” พี่นันยิ้มมีเลศนัย “ใครในที่นี่รู้จักหรือเคยเล่นบีบีกันมาก่อนบ้างไหม?”

เกือบครึ่งยกมือครับ รวมถึงผมด้วย

“ถือว่าไม่น้อยเลย สงครามสายน้ำเหมือนเล่นบีบีกันค่ะ ใครถูกยิงต้องออกจากเกม แต่เพราะเราเล่นถึงสองวัน ยาวนานมาก จึงมีกติกาพิเศษคือถ้าเสื้อแห้ง หรือเปลี่ยนเสื้อใหม่ก็ลงสนามได้อีกครั้งทันที ยกเว้นสามชั่วโมงสุดท้ายก่อนหมดกิจกรรมที่จะยกเลิกการกลับเข้าสนามใหม่ ใครโดนยิงแล้วต้องไปนั่งรอลุ้นในอาคารจนกว่ากิจกรรมจบค่ะ”

“เรื่องกฎต่างๆ และวิธีการเล่น เทอมหน้าจะมีแจกชีสให้ ได้รับแล้วก็เอาไปอ่านกันด้วย ไม่เข้าใจก็ไปถามพวกรุ่นพี่ในคณะดู พยายามทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนงดเข้าร่วมสองปีจะมาร้องห่มร้องไห้กับพวกพี่ไม่ได้นะ”

“ส่วนเรื่องปืนสามารถลงชื่อของยืมได้ค่ะ แต่มันมีจำนวนจำกัดก็ต้องแย่งกันหน่อย ใครเร็วใครได้ จะมีเปิดให้แย่งจองชื่อเช้าพรุ่งนี้ตั้งแต่แปดโมงเป็นต้นไปที่หน้าตึกคณะ ส่วนใครอยากครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวก็มาลงชื่อสั่งซื้อกันได้หลังพี่ปล่อยตัว พี่คนไหนดูแลเรื่องนี้ชูมือโชว์หน่อย”

พี่สองคนชูมือโบกไปมา

“มีพวกตัวอย่างให้ทดลองใช้ก่อนไหมครับ?”

“มีค่ะ เลิกแล้วก็ไปทดลองจับได้เลย ชอบรุ่นไหนก็จดจำไว้นะ แต่พี่ขอแนะนำว่าให้เลือกแบบที่ชอบและจับถนัดมือดีกว่า แต่ใครอยากขอเวลาคิด หรือศึกษาปืนแต่ละรุ่นก่อนก็ตามสบาย เพราะเราเปิดให้สั่งซื้อจนถึงสอบวันสุดท้ายที่ห้องสโมฯคณะค่ะ”

มีเวลาสองอาทิตย์นิดๆ ให้ตัดสินใจครับ

“มาพูดถึงอุปกรณ์จำเป็นต่อมากันดีกว่า พี่ขอนำเสนอเจ้านี่ค่ะ”

พี่นันชูแว่นตากันน้ำขึ้น ก่อนสวมเข้าที่หน้า ผมเคยเห็นวางขายในวันสงกรานต์ครับ ได้ยินคนอื่นเรียกกันว่าแว่นตาสงกรานต์หรือไงนี่แหละ

“บางคนที่บ้านอาจมีซื้อไว้แล้ว แต่กฎระบุว่าตัวเลนส์ต้องเป็นแบบใสเท่านั้น งดแบบที่เป็นสีๆ นะคะ ส่วนขาแว่นจะใช้สีอะไรก็ได้ อันนี้ไม่ห้าม ถ้าใครมีแบบที่ไม่ผิดกฎก็ขุดออกมาใช้ได้เลยค่ะ”

“ทำไมไม่ให้เอาเลนส์สีมาใช้คะ?”

“เพราะทางมหาลัยกลัวว่าใส่สีอื่นแล้ว อาจมองเห็นไม่ชัดจนเกิดอุบัติระหว่างทำกิจกรรมค่ะ”

ผมร้องอ้อในใจ หายข้องใจทันที

“หากใครไม่มีสามารถลงชื่อสั่งซื้อได้เช่นกัน อ้อ แว่นตาไม่มีให้ยืมเหมือนปืนฉีดน้ำ เพราะงั้นซื้อไปเถอะ ราคาไม่แพง แถมยังเอาไปใส่เล่นวันสงกรานต์ได้ด้วย เรื่องต่อมาคือรองเท้า งดใส่แตะหูหนีบหรือที่มันเปิดเปลือยนะคะ ถ้าไม่ให้ผิดกฎเลย พี่แนะนำรองเท้าแตะหัวโตค่ะ”

“มันเป็นรองเท้าแบบไหนเหรอคะ?”

“ก็แบบที่หัวใหญ่หน่อย หุ้มส่วนครึ่งเท้าบนหมด มีสายรัดข้อเท้า แต่ใครไม่อยากใช้ก็เลื่อนให้มันไปอยู่หลังเท้าได้ ยี่ห้อดังๆ ก็ตราจระเข้ไง”

หลายคนพยักหน้าหงึกๆ ว่านึกออกแล้ว…สงสัยพี่คนที่คุมพาวเวอร์พ้อยแอบหลับใน พี่นันพูดจบแล้ว รูปตัวอย่างรองเท้าพึ่งโผล่มาให้พวกผมเห็น พี่นันก็ไม่ได้เอะใจเลย พูดเรื่องต่อไปแล้ว

“มาพูดถึงเรื่องการแต่งตัวบ้าง พี่ขอพูดเรื่องกางเกงก่อนนะ สำหรับผู้หญิงห้ามนุ่งสั้น มากสุดได้แค่เหนือเข่านิดหน่อย แต่ถ้าไม่อยากให้หมิ่นแหม่จนเจอบทลงโทษ สามส่วนไปเลยดีกว่า แนะนำแบบที่มีกระเป๋าเยอะๆ ทางผู้ชายก็เหมือนกัน แต่ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะคงไม่มีใครนุ่งสั้นกุดมาหรอกใช่ไหม?”

พวกผมหัวเราะกันทันที เพื่อนร่วมคณะคนหนึ่งตะโกนพูดเล่นๆ

“อาจมีนะครับ”

“งั้นก็ช่วยเลือกแบบที่ยาวเลยครึ่งของต้นขากันหน่อย เพราะโชว์มากไป สาวไม่แล แต่อาจได้หนุ่มเหล่แทนนะจ๊ะ”

พากันสำลักลมเลยครับ พี่นันเล่นพูดซะเห็นภาพ

“มาพูดถึงท่อนบนบ้าง เจ้าเสื้อนี่สำคัญมากกกก เพราะมันคือตั๋วเข้าร่วมงาน ใครไม่มีคืองดเข้าร่วมแน่ๆ แม้แต่ประตูมหาลัยยังเดินผ่านเข้ามาไม่ได้เลยค่ะ อ้อ ช่วง Water War เดินผ่านประตูเล็กได้อย่างเดียวนะ ใครเอารถมาต้องไปหาที่จอดนอกมหาลัยเอาเองนะจ๊ะ”

เสียงโห่ดังมาเลย

“ทำไมล่ะครับ?”

“ขืนเอารถมาจอดจนเต็ม จะไม่มีพื้นที่ให้กางเต็นท์ใหญ่ของแต่ละคณะน่ะสิ สำคัญมากเลยนะน้องๆ เพราะเราต้องกางเต็นท์หลายหลัง แววตาอย่างรู้เชียว ส่วนใหญ่จะกางประมาณสามถึงห้าหลังค่ะ อันนี้ผันแปรตามจำนวนคนในคณะค่ะ และการมีหลายเต็นท์ นอกจากกระจายคนแล้ว ธงคณะยังมีที่เก็บซ่อนมากขึ้นด้วย คณะอื่นเลยต้องเสียเวลาสืบข่าวหรือค้นหาหน่อยว่าธงคณะถูกเก็บไว้ที่เต็นท์ไหนกันแน่”

“มีแย่งชิงธงคณะด้วยเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว เขาบุกชิงธงมา เราป้องกัน ถ้าเกิดถูกขโมยได้ เราก็ต้องบุกไปเอาธงคืน แต่เรื่องนี้ไว้ใกล้ๆ ค่อยพูดอีกที ขอวกกลับมาพูดถึงเสื้อกิจกรรมก่อน ชูเสื้อปีที่แล้วให้น้องๆ ดูหน่อย”

รุ่นพี่สามคนเปิดลัง หยิบเสื้อมากางให้เห็นคนละตัว มีทั้งเสื้อกล้าม เสื้อยืดคอกลม และเสื้อเชิ้ตครับ

“เจ้าเสื้อนี่ถูกเรียกว่าเครื่องแบบค่ะ ก็เรียกแบบขำๆ ล่ะนะ มีให้เลือกสามแบบตามที่เห็น แต่คนส่วนใหญ่สั่งกันหมดทั้งสามแบบ เพราะจะได้มีเปลี่ยนลงสนามต่อเลย พี่คิดว่าน้องหลายคนในที่นี้มีหัวสร้างสรรค์และอยากลองออกแบบเสื้อกันหลายคนแน่ๆ ดังนั้นพี่ขอพูดองค์ประกอบหลักที่เครื่องแบบต้องมีก่อนนะ ด้านหลังเสื้อจะเป็นชื่อคณะย่อๆ กับหมายเลขรุ่น นับรุ่นของมหาลัยนะคะ ไม่ใช่ของคณะ

ส่วนด้านหน้า เสื้อแต่ละแบบจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย เริ่มจากเสื้อกล้าม เราจะใช้เสื้อสีดำเป็นพื้น ตัวอักษรจะเป็นสีของคณะ ตรงกลางมักจะเป็นรูปวงกลมซ้อนกันสามวงเหมือนรูปเป้ามีสีขาว วงนอกสุดจะเป็นชื่อกิจกรรมและปี วงเล็กในสุดจะเป็นเลขโรมัน 1 ถึง 4 ตามแต่ว่าเราจะอยู่ชั้นปีไหน มุมเสื้อล่างด้านซ้ายจะเป็นชื่อเล่นเจ้าของเสื้อค่ะ”

“ทำไมต้องใส่ชื่อเล่นด้วยคะ?”

“เพราะต้องถอดเข้าออก บางทีรีบๆ ไม่ทันระวังอาจหยิบของคนอื่นไปใส่ได้ ระบุเจ้าของไว้ดีกว่า ไม่หลงไม่หายแน่นอน แต่ตรงหมายเลขชั้นปีกับชื่อเนี่ย ต้องไปหาใส่กันเองนะคะ ส่วนใหญ่ก็จ้างทำสติกเกอร์ติดเสื้อแล้วก็เอามารีดติดกันเองบ้าง จ้างติดบ้าง ใครมีฝีไม้ลายมืออยากรับจ็อบเพื่อนก็ใช้ช่วงนี้หารายได้พิเศษได้นะ”

“เสื้อเชิ้ตกับเสื้อยืดก็ต้องทำด้วยใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ เสื้อเชิ้ตชื่อจะอยู่ตรงอกฝั่งซ้ายเหนือกระเป๋าเสื้อ หมายเลขชั้นปีจะอยู่ตรงปกเสื้อด้านซ้าย ส่วนเสื้อยืดจะอยู่ตรงอกซ้ายทั้งคู่ โดยชื่อเล่นจะอยู่บน เลขชั้นปีจะอยู่ถัดลงมา”

“ตัวเลขนี่ต้องเป็นโรมันหมด หรือใช้เลขอารบิกก็ได้คะ?”

“แล้วแต่คนชอบ ส่วนใหญ่ใช้เลขโรมันกัน เพราะเห็นว่าคลาสสิกดี โดยเฉพาะเสื้อเชิ้ตนิยมใช้เลขโรมันกันสุดๆ แต่พี่เห็นบางคณะนัดกันใช้เลขไทยนะ”

“แล้วคณะเราล่ะครับ?”

“พวกพี่ชอบเลขโรมันค่ะ”

พวกผมพยักหน้าหงึกๆ เป็นอันว่าต้องใช้เลขโรมันยกคณะแหงๆ

“เสื้อกล้ามพี่พูดหมดแล้ว มาดูเสื้อยืดบ้าง แถบด้านขวาทั้งแถวจะเป็นชื่อกิจกรรม ส่วนปีจะอยู่ที่แขนเสื้อซ้ายค่ะ”

“เอ่อ พี่ค่ะ ปีเนี่ยต้องใส่เป็น พ.ศ. หรือ ค.ศ. ค่ะ แล้วต้องเป็นเลขโรมันด้วยไหม?”

“ค.ศ. และต้องใช้เลขอารบิกค่ะ อันนี้เรากำหนดรูปแบบตัวเลขไม่ได้ เพราะต้องใช้เหมือนกันหมดทั้งมหาลัยค่ะ”

คนถามพยักหน้าเข้าใจ พี่นันเลยพูดต่อ

“สีเสื้อยืดต้องเป็นสีคณะเท่านั้น คณะเราเลยจะเป็นสีเหลืองอ่อน ผู้หญิงควรใส่เสื้อกล้ามทับไว้นะคะ เพราะพี่ไม่แน่ใจ เวลาเสื้อเปียกน้ำจะเห็นถึงข้างในหรือเปล่า แต่ถ้าไม่อยากใส่ทับเพราะร้อน พี่แนะนำให้เก็บเสื้อยืดไว้ใช้เปลี่ยนกลับบ้านหลังจบกิจกรรมค่ะ อ้อ อย่าลืมพกกางเกงกับชุดชั้นในมาเปลี่ยนด้วยนะ”

“พี่ค่ะ เสื้อยืดเป็นสีเหลืองล้วนๆ เหรอคะ?”

“ไม่ค่ะ ตรงปลายแขนเสื้อกับตรงคอเสื้อจะเพิ่มเนื้อผ้าอีกชั้นหนึ่งเป็นสีดำค่ะ มีใครจะถามอะไรอีกไหมคะ? ถ้าไม่มีพี่จะพูดถึงเสื้อเชิ้ตแล้วนะ”

พี่นันกวาดมองไปรอบๆ เมื่อไม่มีใครถาม ก็พูดต่อ

“เสื้อเชิ้ตจะเป็นแบบแขนสั้น สามารถพับขึ้นมาได้มีสายคล้องกันหล่นด้วยค่ะ กระดุมเป็นสีดำ กระเป๋าเสื้อจะเป็นแบบพับลงมามีกระดุมติดกันของหล่น มีกระเป๋าทั้งฝั่งซ้ายและขวา ตรงซ้ายเสื้อช่วงล่างฝั่งขวาจะเป็นชื่อกิจกรรมกับปีค่ะ”

“รูปแบบเสื้อสวยนะคะ แต่แมนมาก พี่จะไม่ให้หนูรู้สึกสวยหน่อยเหรอ?”

หัวเราะกันเลยครับ เพราะคนพูดเป็นกระเทยสาวของรุ่น

“พี่ก็อยากให้น้องสวยนะ แต่ช่วงสงครามเราต้องการทุกเพศที่ถึกได้ค่ะ ถ้าใครถึกไม่ได้ ลำบากมาก ช่วงปิดเทอมไปฟิตร่างกายกันมาด้วยนะ”

อ้อ เพราะแบบนี้เอง ไอ้ยำยำถึงบ่นว่าโดนรุ่นพี่จับฝึกโหด

“พี่บอกรายละเอียดครบหมดแล้วนะ ใครจะส่งแบบตกแต่งเสื้อ ไปยื่นที่ห้องสโมฯคณะได้เลยค่ะ หมดเขตรับหลังเปิดเทอม2 สองสัปดาห์ หลังจากนั้นเราจะเปิดให้โหวตลงคะแนนอีกหนึ่งสัปดาห์ ประกาศผลแล้วถึงเปิดให้ลงชื่อจองเสื้อค่ะ เรื่องต่อไป…”

ผมดึงมือถือที่สั่นเป็นระยะตั้งแต่เมื่อกี้ขึ้นมาแอบเปิดดู พาร์ส่งข้อความมาครับ

“เดี๋ยวครับ เสื้อนี่ถือเป็นเป้ายิงหลักเลยใช่ไหมครับ?”

ผมเงยหน้าขึ้นมาด้วยความอยากรู้ ทันเห็นพี่นันยิ้มกริ่ม “ใช่ค่ะ”

“งั้นถ้าเกิดเปียกเพราะเหงื่อล่ะครับ แบบนี้ไม่ถือว่าโดนยิงด้วยเหรอ?”

พี่นันถอนหายใจ “ถือว่าทดสอบความซื่อสัตย์ โดนยิงหรือไม่โดน น่าจะรู้ตัวนะคะ”

“ใช้น้ำผสมสีก็ได้นี่ครับ ทำไมไม่ใช่ล่ะ?”

“ทางมหาลัยสั่งห้ามค่ะ เล่นได้แค่น้ำเปล่าไร้สีไร้กลิ่นค่ะ แต่ถ้าใครโกงแล้วโดนจับได้ จะโดนลงโทษงดร่วมกิจกรรมเดี๋ยวนั้น และถูกงดอีกสองปีด้วย”

“แล้วถ้ากรณีโดนยิง แต่ไม่รู้ตัวว่าโดนล่ะครับ?”

“ก็ถ้าเจอใครสะกิดบอก แล้วคิดว่าใช่ ก็ควรกลับมาฐานก่อนดีกว่า ถือเป็นการป้องกันไม่ให้โดนลงโทษค่ะ”

พวกผมส่งเสียงเซ่งแซ่เลย

“อย่างนี้ก็ถูกโกงได้”

“เป็นช่องโหว่ของเกมที่ต้องทำใจยอมรับวะ”

“อ้อ มีเรื่องโรแมนติกเกี่ยวกับเสื้อด้วยนะ” พี่นันพูดแทรกออกไมค์ รอจนพวกผมเงียบก็พูดต่อ “ว่ากันว่าในช่วง Water War ถ้าได้แลกเสื้อกับคนที่แอบชอบจะสมหวังในรักค่ะ”

สาวๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่เลยครับ แม้แต่ลูกหว้ายังทำตาเพ้อๆ

“ส่วนใหญ่คนที่มีแฟน ฝ่ายชายมักจะให้แฟนสวมเสื้อของตัวเองเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ถ้าได้เสื้อต่างคณะมาก็อย่าลืมสวมเสื้อคณะของเราทับนะ เดี๋ยวจะโดนเข้าใจผิดว่าอยู่อีกคณะหนึ่งค่ะ แต่ช่วงนั่งพัก หรือช่วงที่ไม่ได้จับปืนลงสนาม สามารถโชว์อวดเสื้อที่ได้มาเต็มที่เลยค่ะ ดังสโลแกนจงยืดอกภูมิใจซะ หากวันนั้นจะได้รับสายตาอิจฉาตาร้อนจากคนรอบข้าง เพราะงั้นงานนี้หนุ่มๆ ต้องลงทุนกันหน่อยนะจ๊ะ”

“หมายความว่าเราสั่งซื้อเสื้อแบบไหนจำนวนไหร่ก็ได้เหรอครับ?”

“หนึ่งคนสั่งซื้อเสื้อแต่ละแบบได้แค่ตัวเดียวค่ะ”

“งั้นถ้าเราเอาไปให้ผู้หญิง จำนวนครั้งตอนกลับเข้าสนามก็ลดลงด้วยใช่ไหมครับ?”

“เพราะแบบนั้นมันถึงได้มีความหมายไงค่ะ”

ฝ่ายหญิงกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ท่าทางจะถูกใจอีเว้นต์เลิฟเวอร์มาก

“นี่ตรูต้องเอาไปให้แฟนสินะ ขืนไม่ให้โดนโกรธแน่ๆ เฮ้อ” คนที่นั่งข้างหลังผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางจะเสียดายสิทธิ์สามครั้งจากเสื้อไม่น้อย

“จะยากอะไร ยังเหลือสองตัว ผึ่งตัวแรกไว้ ตอนกลับมาคงแห้งพอดีก็หยิบใส่ไปลงสนามต่อได้แล้ว”

“เออ จริงด้วย”

“เพราะแบบนี้ถึงต้องมีชื่อเจ้าของเสื้อนี่เอง ไม่งั้นคงหยิบผิดหยิบถูกกันน่าดู”

ผมพยักหน้าหงึกๆ แอบเห็นด้วยกับความคิดเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหลัง ก่อนก้มลงสนใจของในมือที่กำลังสั่นอีกครั้ง ยอมเลื่อนนิ้วกดเข้าแอพไลน์ ดูข้อความทั้งหมดที่พาร์ส่งมา
PAR: อาการเป็นไงบ้าง
PAR: ยังตัวร้อนหรือเปล่า
PAR: ทำไมตอบ
PAR: ลืมไปว่ายังเรียนอยู่ เลิกแล้วบอกด้วย

ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ น่ากลัวว่าพาร์คงโดนน้องสาวจับท่องตารางเรียนของผมเหมือนกันแน่ๆ ผมพ่นลมหายใจระหว่างพิมพ์ตอบ

TEE: เลิกแล้ว แต่ยังอยู่บนห้องเรียน

ขึ้นว่าอ่านแล้วไวมาก แปบเดียวพาร์ก็ส่งคำถามมาอีก

PAR: อาจารย์ออกไปยัง
TEE: ออกแล้ว
PAR: งั้นก็อย่าพึ่งลงมา
TEE: ทำไมล่ะ

ขึ้นว่าอ่าน แล้วเงียบไปเลย ผมมองมือถืองงๆ แต่เก็บลงกระเป๋ากางเกง ฟังพี่นันพูดต่อ

“วันเสาร์จะเป็นช่วงปีสามกับปีสีลงพื้นที่บุกกับป้องกัน ส่วนปีหนึ่งกับสองจะเป็นหน่วยดูแลอยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่เฝ้าสมบัติ สืบหาข้อมูล ดูแลแจกจ่ายเสบียง ปฐมพยาบาล และอีกสารพัดหน้าที่ ช่วงกลางคืนถ้าบางคนอยู่ค้างที่มหาลัยได้ เราจะเจอสงครามตอนกลางคืนในช่วงสี่ทุ่มถึงตีสาม ก่อนจะพักยาวเริ่มสงครามอีกรอบตอนแปดโมงเช้าของวันอาทิตย์ มีการสลับหน้าที่กัน ปีสามปีสี่จะถอยเป็นหน่วยดูแลเบื้องหลัง แล้วจะให้ปีหนึ่งปีสองลงพื้นที่บ้าง”

“ทำไมต้องมีการสลับหน้าที่ด้วยคะ?”

“มีหลายเหตุผลเลย ปีหนึ่งเข้าใหม่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว มีพี่ปีสองคอยประกบให้ข้อมูลวันแรก ศึกษาการเล่นของพวกปีสามปีสี่ไว้ก่อน พอถึงตาตัวเองเล่นบ้างจะได้ไม่สับสนว่าควรทำอะไรดี อย่างที่สอง ถึงจะกางเต็นท์ใหญ่แค่ไหน กระจายคนไปตามเต็นท์อื่นก็แล้ว แต่พื้นที่มีจำกัดอยู่ดี เลยจำเป็นต้องกระจายคนครึ่งหนึ่งออกมานอกเต็นท์คือพวกลงพื้นที่ แล้วให้หน่วยสนับสนุนทำงานตามหน้าที่อยู่ภายในเต็นท์ไป”

“เดี๋ยวนะครับ หมายความว่าวันแรกปีพี่สามปีสี่จะไม่ได้เข้าเต็นท์เลย”

“ใช่ค่ะ จะเข้าก็ต่อเมื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่บางคนก็ถอดเสื้อออกนอกเต็นท์ อ้อ แต่ผู้หญิงไม่ต้องกังวลปัญหานี่เหรอกนะ เพราะเรามีเต็นท์สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ คนดูแลเฝ้าเต็นท์ก็ผู้หญิง แถมยังเป็นเขตห้าม ไม่ให้ผู้ชายเข้าใกล้เด็ดขาดด้วย”

เหล่าเพื่อนเพศหญิงต่างพาถอนหายใจเลยครับ

“ภายในเต็นท์คือเซฟโซนใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ เป็นพื้นที่ห้ามเอาปืนฉีดน้ำยิงเข้าไปโดยเด็ดขาด แต่ถ้าลอบเข้าไปขโมยของบางอย่าง เช่น ธงคณะ เสบียง ของที่เป็นประโยชน์อย่างอื่น หรือแม้แต่ตัวประกัน สามารถทำได้ พูดง่ายๆ คือลอบเข้าไปโดยไม่พกอาวุธง่ายต่อการขโมยที่สุดแล้ว แต่มีข้อยกเว้นว่าห้ามทำแบบนี้กับเต็นท์ของผู้หญิงเด็ดขาด ยกเว้น คนที่บุกมาเป็นผู้หญิงด้วยกัน”

“แล้วถ้าคนนั่นเป็นผู้ชาย แต่แต่งหญิงล่ะครับ? คือเดี๋ยวนี้ผู้ชายหน้าเหมือนผู้หญิงก็มี”

แล้วคนรอบตัวจะเหล่มองผมทำไม

“ถ้าจับได้ จะโดนแขวนป้ายประจานเป็นคนหื่นกามค่ะ แล้วถ้าโดนซัดทอดเป็นผู้บงการ นอกจากจะโดนแขวนป้ายแบบเดียวกันแล้ว อาจโดนรุมสหบาทา และโด่งดังในเน็ทแบบข้ามคืนเลยก็ได้ ดังนั้นไม่ควรทำอย่างยิ่งค่ะ อ้อ แล้วถ้าใครโดนสั่งบังคับให้ทำ แต่แอบมาส่งข่าวบอกก่อนลงมือ พวกเราเพศหญิงพร้อมให้อภัยค่ะ”

พี่นันฉีกยิ้มหวานจ๋อย แต่ผมแอบขนลุกซู่

“เอ่อ…เต็นท์นี่ปิดหมดทุกด้านเลยใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ ป้องกันน้ำเข้าไปด้านใน แต่เต็นท์ฝั่งผู้ชายมีหน้าต่างด้วยนะ มันเป็นกฎค่ะ เอาไว้ให้สายสืบแอบไปกวาดตามองสอดส่องหาธง”

“เอ่อ แล้วเรื่องที่ค้างคืน”

“อ้อ บางส่วนให้นอนในเต็นท์ค่ะ บางส่วนก็ให้ไปนอนบนตึก ส่วนใหญ่พวกนอนเต็นท์จะเป็นพวกที่อยู่รอเล่นการบุกตอนกลางคืน แต่อีเวนต์บุกกลางคืน ผู้หญิงห้ามเข้าร่วม และห้ามค้างคืนค่ะ”

“ค้างก็ไม่ได้เหรอคะ?”

“ทางมหาลัยไม่อยากให้ผู้หญิงค้างค่ะ กลัวจะเกิดปัญหา เลยให้ทยอยกลับก่อนสองทุ่ม แล้วมาอีกทีตอนเจ็ดโมงเช้า ส่วนหนุ่มคนไหนจะไปส่งเพื่อนส่งแฟน ทำได้นะ แต่มาบอกรุ่นพี่หน่อย ไม่ใช่จู่ๆ ก็หายไปเลย เข้าใจไหมคะ?”

“ครับ”

พวกผมขานรับเกือบจะพร้อมกัน

“หลักๆ พี่ก็มาแจ้งเท่านี้แหละค่ะ อ้อ น้องที อยู่ตรงไหนเอ่ย?”

ทุกสายตามองผมเป็นตาเดียวทันทีที่ลูกหว้าจับมือผมชูขึ้นโบกไปมาให้พี่นันเห็น

“น้องทีพิเศษหน่อย เพราะตลอดงาน น้องทีจะไม่ได้อยู่กับเรา แต่ต้องไปอยู่กับนิติแทนค่ะ”

ผมเลิกคิ้วสูง “ทำไมครับ?”

“อืมม์…ถ้าอธิบายแบบง่ายที่สุด ตลอดช่วงสงครามน้องทีเป็นคนมีค่าหัวค่ะ ต้องถูกตามล่าตัวตลอดแน่ๆ ฝ่ายนิติโดยเฉพาะสามีเลยมีหน้าที่ปกป้องน้องทีให้อยู่รอดปลอดภัยจนกว่าสงครามสิ้นสุดค่ะ”

เพื่อนผมหลายคนผิวปากกันใหญ่ ไอ้นนท์รีบยกมือถามเลย

“แบบเดียวกับเจ้าหญิงในช่วงสงครามใช่ไหมครับ แบบว่าใครๆ ก็อยากได้ตัว”

พี่นันรีบพยักหน้าหงึกๆ “น้องพูดได้ตรงมาก สะใภ้ทุกคนถือเป็นเจ้าหญิงของงานค่ะ ใครจับเจ้าหญิงเป็นตัวประกันได้ก็เหมือนผู้ชนะเลย เพราะสามารถขอแลกตัวประกันด้วยอะไรก็ได้ เช่น ส่งปืนฉีดน้ำทั้งหมดมา ถ้าคณะที่ปกป้องเจ้าหญิงไม่ยินยอม แต่เลือกสู้ชิงตัวประกัน คณะอื่นอาจฉวยโอกาสนี้บุกไปถล่มคณะที่ป้องกันเจ้าหญิง แล้วยึดเต้นท์มาอย่างง่ายดาย”

“เดี๋ยวนะพี่ มียึดเต้นท์กันด้วยเหรอครับ?” ผมรีบถาม

“แน่นอน ไม่งั้นจะมีฝ่ายบุกทำไมล่ะค่ะ ก็เหมือนไปโจมตีเมืองเขา แล้วยึดมาเป็นของตัวเองนั่นแหละค่ะ”

เป็นกิจกรรมสมชื่อ ‘Water War’ มากครับ

“กรณีนี้จะเกิดได้ต่อเมื่อฝ่ายบุกทำให้ฝ่ายป้องกันแพ้หมดไม่เหลือคนคอยปกป้องฐานอีก หรือระหว่างสู้จะหาทางแกะตราคณะของฝ่ายป้องกัน แล้วเปลี่ยนเป็นของฝ่ายบุกแทนก็ได้ แต่ส่วนมากไม่นิยมทำ สู้รุกจนไม่เหลือคนแล้วค่อยๆ ปีนแกะตราที่ผูกเชือกออกจากตัวเต็นท์ยังง่ายกว่า”

แล้วพี่นันก็วกกลับมาเรื่องเดิมหน้าตายิ้มๆ “เพราะงั้นน้องที อย่าไปทำให้คณะนิติลำบากมากนักนะคะ”

ประตูห้องเรียนถูกเปิดกะทันหัน คนทั้งห้องหันไปมองเป็นตาเดียว คนเปิดก็ชะงักกึกท่าทางตกใจไม่แพ้กัน เกิดความเงียบแค่ครู่เดียว ก่อนเสียงโห่ร้องต้อนรับคนมาใหม่ดังกึกก้อง พอๆ กับเสียงเป่าปากแซว และเสียงกรี๊ดกร๊าด 

“เจ้าชายมาโว้ย!”

“กรี๊ด! เจ้าชาย!!”

“เจ้าชายยังหล่อเหมือนเดิมเลย”

ประโยครำพันที่พึ่งได้ยินสดๆ ร้อนๆ ส่งตรงจากลูกหว้าครับ ตานี่มองเพ้อไปแล้ว

ผัวะ!

“หยุดเลยมึง นั่นสามีเพื่อน”

ลูกหว้าค้อนนนท์ขวับ “รู้แล้วยะ กูแค่ชื่นชมเป็นอาหารตาเฉยๆ ไม่ได้คิดจะครอบครองซะหน่อย”

“อ้าวๆๆ” พี่นันส่งเสียงรื่นเริงใส่ไมค์ “น้องพาร์มาค่ะทุกคน ตบมือต้อนรับเจ้าชายของเราหน่อยเร็ว”

พาร์ยืนตัวแข็งทื่อเลยครับ ท่าทางจะตามเรื่องราวไม่ทัน

ผมหุบยิ้มขำไม่ลง ก็ตั้งแต่เรื่องลูกหว้ายันเรื่องพาร์ที่กำลังยืนทำตัวไม่ถูก จะว่าน่าสงสารก็ใช่ น่าหัวเราะก็ไม่เชิง ดันมาถูกจังหวะเอง ช่วยไม่ได้วุ้ย คิดแล้วก็เท้าคางกับโต๊ะ รอชมเรื่องน่าสนุก โดยไม่คิดออกไปช่วยให้ตกเป็นเป้าสายตาให้โดนแซวคู่

…ว่าแต่มันมาทำไมเนี่ย?

############

บทนี้ยาวเท่านี้ เราเลยแถมให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 02-10-2016 20:34:44
 :ling1:

อยากให้ถึงตอน water war เร็วๆจัง นทีคงเซ็งอย่างแรงที่ไม่ได้ลงไปลุย :D

แต่ถ้านทีฝีมือเจ๋งมากก็น่าแอบลงไปช่วยนะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-10-2016 20:45:22
เราชอบเนื้อเรื่องในช่วงที่อยู่มหาลัยของทั้งสองคนมากเลยอ่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 02-10-2016 21:06:27
เย้ๆๆๆ มาต่อแล้วๆ
ชื่มชมทีเวลาอยู่กับน้องๆ แล้วก็ชอบวิธีที่สอนน้องมากเลย :katai2-1:
พาร์แอบมีอาการน้าเวลาทีพูดถึงพี่หมอ หึงป่ะเนี่ยยยยย อิๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-10-2016 21:16:26
พาร์ ชอบทีแล้ว
อยากติดป้ายจองที ซะด้วย
ที ก็ยอมให้พาร์ ดูแล
     :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-10-2016 21:39:16
โอ้โหหหหห เป็นกิจกรรมมหาลัยที่น่าสนุกมาก น่าเล่นมากเลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-10-2016 21:59:00
อ่อยยย!! อยากเห็นสงคราม

เค้าคงมีใจให้กันแร้ว เพราะเริ่มใหม่ล้าวว!!
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 02-10-2016 22:30:20
พาร์เป็นห่วงกลัวทีไม่สบายหนักรึป่าวคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-10-2016 02:39:23
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 03-10-2016 02:56:54
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ นที นี้สุดยอดจริงๆ สามารถควบคุมน้องๆ ทุกคนอยู่หมัดหมดเลย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 03-10-2016 06:08:28
อ่านแบบไม่คิดอะไรก็น่าสนุกดีนะคะวอตอร์วอร์เนี่ย

แต่พอคิดว่าต้องร่วมเองแล้วรู้สึกน่ารำคาญทันทีเลย55

ไอ้ลูกสาวคณะตำแหน่งที่น่ารำคาญที่สุดก็ไม่ได้มาจากความสมัครใจ มาตำแหน่งเปล่าๆยังพอทน มีภาระอีกต่างหาก เราเจอนี่คงซิ่วเลยแหละค่ะ55 เข้าไปเรียน ไม่นึกว่าจะต้องเจออะไรขนาดนี้ วอแวแม้แต่เรื่องส่วนตัวคบใครไม่คบใครอีกต่างหาก แถมมีสร้างข่าวลือไม่ถามความสมัครใจอีก 5555 เป็นกิจกรรมที่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวไปไกลมาก

เอาเถอะ รอดูพาร์กับทีนะคะ555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 03-10-2016 20:33:39
รองาน water war  น่าสนุกอ่ะ

 :hao3:    o18   o18
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 05-10-2016 00:42:27
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่17-18] P.4 (02/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 05-10-2016 13:00:16
น่ารักอ่ะ ชอบๆ มาต่ออีก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 08-10-2016 09:01:10
บทที่ 19

“ขอโทษที่มารบกวนครับ”

“เดี๋ยวค่ะน้อง…”

พาร์ดึงประตูปิดทั้งที่พี่นันพูดไม่ทันจบ แต่ประตูทำออกมาให้มีจังหวะสโลว์ก่อนปิดสนิท

ผมเลยแอบเห็นพาร์ดึงมือถือออกมากดอะไรสักอย่างผ่านช่องประตู ไม่ทันมองมากกว่านั้นก็ต้องดึงสายตามองเพื่อนร่วมรุ่นที่นั่งอยู่ใกล้ประตู

มันลุกพรวดอย่างกล้าหาญ ตรงไปดึงประตูคู่เปิดออกจนสุด ไม่มีใครร้องห้าม สงสัยทั้งห้องจะใคร่รู้ว่าคิดทำอะไรเหมือนกันแน่ๆ เจ้าตัวคลี่ยิ้มให้พาร์ที่ยังยืนอยู่หน้าห้อง โค้งตัวเก้าสิบองศาทำความเคารพตามแบบองค์รักษ์ในการ์ตูน ผายมือเข้ามาได้ในห้อง

“เชิญเจ้าชายเสด็จพะย่ะค่ะ”

เสียงหัวเราะชอบใจดังลั่นห้องกลบเสียงมือถือของผมพอดิบพอดี รีบดึงออกมาเตรียมจับพลิกคว่ำให้เงียบ แต่กลับดังแค่สั้นๆ ก็หยุด สรุปว่าไม่ใช่โทรอย่างที่คาดเดาครับ

PAR: ประชุมอยู่ก็ไม่บอก รอหน้าห้องนะ

ผมนิ่วหน้า เงยหน้าจ้องเจ้าของข้อความเมื่อกี้ พาร์กำลังยืนทำหน้าอึ้งใส่คนเล่นบทองค์รักษ์ตรงหน้า ก่อนกดพิมพ์ข้อความโต้กลับไปอย่างอดไม่อยู่

TEE: จะให้บอกตอนไหน? แล้วจะขึ้นมาหาถึงห้องทำไมไม่บอก!

พาร์ก้มมองโทรศัพท์ในมือสักพัก ก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามาทางโซนที่นั่งเรียน ท่าทางเหมือนหาอะไรบางอย่าง ไม่ต้องเดาให้ยุ่งยาก มองหาผมแหงๆ

หลบสิครับ จะรอให้โดนหาเจอทำไม…แต่แค่ปุ๊บหน้ากับโต๊ะยังทำไม่ได้ เมื่อยัยหว้าเล่นจับมือผมชูขึ้น โบกไปมาอย่างร่าเริง

“ทีอยู่นี่ค่า! ขึ้นมาเลยๆ”

ไม่ใช่แค่พาร์มองมา มองกันทั้งห้องเลยครับ แต่ผู้มาเยือนหันกลับไปมองรุ่นพี่หน้าห้องอย่างลังเล

“เข้ามาได้ค่ะ” พี่นันรีบบอกผ่านไมค์ “ถ้าเป็นน้องพาร์ พวกเราพร้อมต้อนรับเต็มที่ ใช่ไหมทุกคน”

“ช่ายยยย!!”

“จะให้เรียกทีลงมา หรือจะขึ้นไปหาเองดีคะ?”

ที่ใช้คำว่าขึ้น เพราะโต๊ะเรียนสร้างตามขั้นบันไดครับ แบ่งเป็นสองฝั่ง ซ้ายสุด ตรงกลาง ขวาสุด จะเว้นว่างเป็นทางกว้างประมาณสองคนเดิน

“ผมขอขึ้นไปหาเองครับ”

“เดี๋ยวไปส่งพะย่ะค่ะ” เพื่อนผมยังพยายามสวมบทองครักษ์ไม่เลิก

พาร์อ้าปากจะปฏิเสธ แต่โดนพี่นันพูดแทรกด้วยเสียงสนุกสนานซะก่อน

“ส่งให้ถึงที่นั่งฝั่งซ้าย แถวที่สี่เลยค่ะ”

เมื่อได้รับคำอนุมัติ เพื่อนผมจัดหนักทันที จงใจเดินนำถึงทางเดินตรงกลาง แล้วพาเดินช้าๆ มาหยุดที่หัวโต๊ะตรงกลุ่มผม

“ถึงแล้วพะย่ะค่ะ”

พวกผมกลั้นหัวเราะกันจนตัวสั่น ไม่มีใครกล้าหัวเราะดังๆ เพราะผู้มาเยือนเล่นเข้าโหมดระวังตัว หน้านิ่งขรึม ไม่พูดไม่จา แถมยังแผ่รังสีชวนให้รู้สึกโคตรเกรงใจ พี่นันยังไม่กล้าพูดแซวผ่านไมค์เลย เอาแต่ยืนยิ้มขำ รอพาร์หาที่นั่ง

ลูกหว้ารีบดันนนท์ให้เขยิบไปจนสุดหัวโต๊ะ พร้อมเขยิบก้นตามไปติดๆ เพื่อเว้นช่องให้คนมาใหม่แทรกตัวนั่งได้ เพื่อนในกลุ่มทำหน้าเอือมระอาใส่ทันที เจตนาชัดมากเพื่อน แถมแววตาลูกหว้ายังสื่อชัดว่า

ต้องการนั่งข้างคนหล่อ มีปัญหา?

โอเค กูยอมมึง

ผมขยับไปอีกด้านเปิดช่องให้กว้างขึ้น ปล่อยคนพึ่งมาใหม่แทรกตัวนั่งตรงที่เว้นไว้ให้

ปากพาร์ขยับไร้เสียงให้ผมอ่านเอาเองว่า เพื่อนมึง-แกล้ง-กู

“น้อมส่งเสด็จ”

เพื่อนผมก็ยังไม่เลิกเล่น โค้งตัวเคารพเก้าสิบองศาอีกรอบ ก่อนรีบเผ่นกลับไปที่นั่งตัวเองหลังโดนพาร์ส่งสายตาหมายหัว สร้างเสียงหัวเราะเบาๆ กระจายไปทั่วห้อง

“ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะคะน้องพาร์ เอ่อ แล้วเมื่อกี้พี่พูดถึงไหนแล้วเนี่ย?”

“เดี๋ยวค่ะ” มลรีบยกมือขัด พูดด้วยน้ำเสียงเริงร่าไม่แพ้คนเป็นพี่สาว “แล้วพี่นันจะไม่ถามเจ้าชายของเราหน่อยเหรอคะว่ามาทำอะไรที่นี่?”

คำถามจงใจแกล้งชัดๆ

“ถามทำไมค่ะ มันเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว จริงไหมทุกคน?”

“จริงงง!!”

รับส่งลูกกันได้เยี่ยม!

ถ้าเรื่องไม่เข้าตัว ผมคงได้หัวเราะสนุกสนานเหมือนเพื่อนไปแล้ว แต่นี่ชักเข้าใจความรู้สึกของผู้ตกเป็นเหยื่อโดนแซว

“พี่นันครับ” แค่ผมส่งเสียง ทั้งห้องเริ่มเงียบกริบ “เพื่อนหัวรังนกของเรากำลังรอพี่ปล่อยตัวไปทานข้าวนะครับ” คนโดนอ้างสำลักน้ำลายไอแค่กๆ แถมโดนสายตาคนทั้งห้องเบนไปหา “ถ้าช้ากว่านี้ พี่อาจต้องให้คนหามไปส่งโรงพยาบาล เพราะเพื่อนผมท้องทะลุเป็นรูก็ได้นะครับ”

“จริงด้วย มาเข้าเรื่องก่อนเร็ว”

พี่นันยอมเปลี่ยนเรื่องให้ตามคาด

ระหว่างท่านประธานปี4 กำลังพูดสรุป คนข้างๆ กลับสะกิดไม่เลิก ผมหันไปมองด้วยความรำคาญ เห็นพาร์เอี้ยวตัวมานิดหน่อย พูดเสียงแผ่ว 

“อาการเป็นไงบ้าง?”

ผมเลิกคิ้ว “ดีขึ้นแล้วมั้ง”

บอกไม่ถูกเท่าไหร่ แต่ไอ้ที่ง่วงๆ มึนๆ แบบเมื่อเช้า มันไม่มีแล้วนี่ครับ ตอนนี้สติแจ่มใสดี     

“แน่นะ?”

“อือ”

แววตามันดูไม่เชื่อเท่าไหร่ สงสัยเพราะเมื่อเช้าเห็นผมกำลังแอบคายยาลดไข้ทิ้งในห้องน้ำแหงๆ 

“ขอจับหน่อย”

ผมสะดุ้งหลังโดนหลังมือเพื่อนทาบหน้าผาก ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร พาร์ก็เลื่อนหลังมือลงมาแนบกับแก้มแทน

เสียงกรีดร้องดังระงมทั่วห้องจนผมสะดุ้งโหยง ไม่ต้องหันไปมองยังรู้เลยครับ กำลังตกเป็นเป้าสายตาผองเพื่อนและรุ่นพี่แน่ๆ แต่พาร์ดันไม่สนใจ เอาแต่ขมวดคิ้วเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง มือก็ไม่เอาออก จนผมต้องเป็นฝ่ายดึงมือมันลงเอง

 “จะทำอะไรหัดดูสถานที่หน่อย” กระซิบเสียงห้วนดุใส่

“ตัวไม่ร้อนแล้วนี่”

มันใช่เรื่องที่ควรสนใจตอนนี้ไหม!

ผมชักปวดหัว ไม่แคร์สายตาคนอื่นเกินไปแล้วนะเฮ้ย!

“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าดีขึ้นแล้ว มึงควรจะ…” 

“แอ่ม!” พี่นันกระแอมไอผ่านไมค์ “สองคนตรงนั้นอย่าพึ่งทำคนโสดในห้องตาร้อนผ่าวค่ะ ปลดโหมดโลกส่วนตัว แล้วกลับมาฟังพี่พูดสรุปก่อนเร็ว”

พี่ครับ พวกผมไม่ได้เข้าโลกส่วนตัวสักหน่อย

“อย่าลืมไปลงชื่อจองปืนฉีดน้ำในวันพรุ่งนี้ เริ่มแปดโมงที่หน้าตึกคณะ หมดเขตสั่งซื้ออุปกรณ์กิจกรรมในวันสุดท้ายของการสอบหรือก็คือวันที่15 ธันวาคม ส่วนใครสนใจออกแบบเสื้อ สามารถยื่นส่งได้ถึงอาทิตย์ที่สองหลังเปิดเทอมสอง ถ้าใครจำรายละเอียดฟอร์มเสื้อที่พี่พูดไปเมื่อครู่ไม่ได้ ไปดูได้ที่ห้องสโมฯคณะได้ค่ะ...รับทราบ?”

พวกผมส่งเสียงขานรับพร้อมกัน “ทราบ!”

“มีใครสงสัยอะไรไหมคะ?...ว้าว ยกมือกันเยอะเลย เอาน้องผู้หญิงที่ยืดมือจนสุด แถมยังโบกไปมาตรงนั้นแล้วกันค่ะ”

“สรุปว่าคู่ที่พี่บอกให้เราช่วยดูแล พวกเขาคบกันจริงๆ เหรอคะ?”

ท่าทางจะเป็นคำถามโดนใจ คนในห้องถึงได้ส่งเสียงกันใหญ่ ว่าแต่ใครคือคู่ที่รุ่นพี่ให้ดูแลล่ะเนี่ย?

“คำถามนี้พี่ก็อยากรู้ แต่ต้องถามจากเจ้าตัวดีกว่า น้องพาร์น้องทีตอบคำถามนี้ได้ไหมคะ?”

ฮะ! หมายถึงพวกผมเรอะ!

“ตอนนี้ไม่ใช่ครับ” พาร์ตอบ

“ตอนนี้ไม่ใช่ แต่อนาคตไม่แน่ใช่ไหมคะ?”

ฮิ้วววว!

 ผมไม่ปล่อยช่องว่างให้โดนแซวมากกว่านี้ รีบตะโกนถามพี่นันอย่างเรียกร้องความสนใจสุดๆ

“เลิกแล้วใช่ไหมครับ ถ้างั้นพวกผมไปก่อนนะครับ”

ไม่คิดรอคำตอบ คว้าแขนดึงพาร์ลุกขึ้น ส่งคำชวนชิ่งหนีให้ไวที่สุดผ่านแววตา แต่อุปสรรค์คือ ยัยหว้าเล่นยกขาขวางทางออก ประกาศชัด ห้ามพาคนหล่อหนีตอนนี้ มองตาก็รู้ว่ามันอยากกินข้าวเที่ยงกับพาร์ให้สาสมกับที่คราวก่อนมัวแต่อยู่ในห้องน้ำเลยอด

แต่มึงก็ควรเข้าใจด้วยว่ากูอยู่ไม่ได้โว้ย!

ผมดึงพาร์ออกอีกทาง ศิกับมินต์แค่มองยิ้มๆ ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด พ้นช่วงโต๊ะเรียนออกมาตรงแถวทางเดินก็เดินสะดวกแล้ว

“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว จะรีบไปไหนกันคะเนี่ย?”

พี่ครับ มาถามอะไรตอนจะเปิดประตู

ระหว่างที่ผมกรอกตาคิดหาคำแก้ต่าง คนโดนลากติดมือมาด้วยกลับตอบแทนแบบสบายๆ

“พวกผมมีนัดกับพี่ดินครับ”

“อ้าว แต่นี่มันจะเที่ยงแล้วนะคะ”

“เลยต้องรีบไปหาก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรทานทีหลังครับ”

“อ้อ งั้นฟังพี่พูดสักนิดนะ น้องทีสั่งเสื้อจากทางคณะได้ตามปกติ แต่เรื่องปืนฉีดน้ำต้องคุยกับทางนิติก่อนค่ะ”

“คุย?” ผมทวนคำ มองนิติหนึ่งเดียวในห้องนี้ด้วยความฉงน “ทำไม? หรือว่ามันมีปืนประจำตำแหน่ง?”

“เปล่า  แต่มันมีธรรมเนียมให้ฝ่ายสามีซื้อปืนฉีดน้ำให้”

ผมเลิกคิ้วสูง “ซื้อให้เนี่ยนะ?”

“เออ เพราะเขาถือว่าเป็นเครื่องรางให้ฝ่ายสะใภ้อยู่รอดปลอดภัยจนจบงาน สรุปง่ายๆ ก็เหมือนเป็นการแก้เคล็ดไม่ให้มึงโดนจับตัวไปในวันงานง่ายๆ นั่นแหละ”

กรี๊ดดดด!

“มีแก้เคล็ดด้วยอ่ะ”

“อ้ายยย ใช้แทนเครื่องราง”

…ไม่แน่หลังจากนี้เพื่อนร่วมรุ่น โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง อาจต้องไปซื้อยาอมแก้เจ็บคอกันคนละซอง

“แล้วน้องพาร์คิดไว้หรือยังคะ ว่าให้น้องทีซื้อจากคณะพี่ หรือจากคณะนิติ?”   

“ผมกะตามใจทีครับ เลยว่าจะพาไปดูที่นิติก่อน ถ้าไม่ชอบใจค่อยมาลงชื่อที่อีคอน เดี๋ยวผมตามมาจ่ายเงินให้ทีหลัง”

“หูยยย”

“เทคแคร์ดีเป็นบ้า!”

“พี่ชักอิจฉาน้องทีเหมือนกัน” รายนี้พูดใส่ไมค์เลยครับ ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ “รู้ไหมค่ะ ส่วนใหญ่สามีไม่ดูแลดีแบบนี้หรอกค่ะ ถ้าไม่ถามพอเป็นพิธี ก็ซื้อให้เลยโดยไม่ถามความเห็นกันสักคำ แน่นอนว่าไม่มีทางได้เลือกว่าจะซื้อจากคณะไหนด้วย เพราะเล่นลงชื่อจองจากฝั่งคณะสามีเรียบร้อย น้องทีโชคดีมากกก”

“โอ๊ย ได้เจอผู้ชายประเภทดูแลเอาใจใส่ทั้งที ก็ดันเจอเมื่อตอนสายไปแล้ว”

“อยากได้แบบนี้สักคนบ้างงง!”

ขณะที่สาวๆ ส่งเสียงคร่ำครวญยกใหญ่ ฝ่ายเพื่อนผู้ชายก็หัวเราะขำผมที่กำลังทำหน้าไม่ถูก

“งั้นตกลงกันได้แล้วบอกพี่ด้วยนะคะ แล้ว…” แววตาพี่นันพราวระยับ “น้องพาร์สนใจจ่ายค่าเสื้อให้น้องทีด้วยไหมคะ”

ฮิ้วววว!!

“คงไม่ครับ” พาร์พูดยิ้มๆ “ทีไม่ยอมหรอก”

“แหมๆ รู้ใจกันซะด้วย”

เพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงรุ่นพี่บางคนส่งเสียงกิ๊วก๊าวกันใหญ่เลยครับ ประมาณว่าถ้าพวกผมไม่อาย คงไม่มีใครเลิกแซว หนทางรอดมีแต่ชิ่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่พอดันประตูเปิด พี่นันก็ถามมาอีกประโยค

“แล้วกลางวันนี้ จะพาน้องทีไปกินข้าวที่ไหนคะ?”

ปล่อยพวกผมไปที่ชอบๆ เถอะพี่!

“ก็…แล้วแต่ทีครับ”

“หูยยย…อะไรๆ ก็ที”

“ทำไมแฟนฉันไม่น่ารักอย่างนี้บ้าง!”

“พาไปกินนอกม. เลย”

“ใช่ๆ ช่วงบ่ายพวกเราไม่มีเรียนแล้ว”

พาร์เลิกคิ้วมองหน้าผม แต่ผมเบือนหน้าหันไปต่อปากต่อคำกับคนในห้อง

“ช่วยถามพาร์กันก่อนเถอะว่าตอนบ่ายมีเรียนหรือเปล่า!”

เพื่อนทั้งห้องพากันส่งยิ้มแห้งๆ มาให้

“เวลามีจำกัด พวกผมขอตัวก่อนนะครับ”

ผมพูดปิดท้าย ดึงพาร์ออกจากห้อง ไม่สนใจเสียงร้องเรียกอีกแล้ว ลากจนพ้นห้องเรียนมาได้สักระยะ ค่อยผ่อนฝีเท้า ปล่อยมือออก พลางพ่นลมหายใจยาวเหยียด ก่อนหันไปฉะกับคนที่กำลังเดินตาม

“สรุปมึงมาหากูทำไมเนี่ย?”

“มาดูอาการป่วยของมึง แต่ดูเหมือนจะห่วงมากไป” พาร์ยิ้มนิดๆ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

…ผมควรซึ้งใจใช่ไหม?

แต่อารมณ์สุดจะก่ำกึ่ง ไม่ดีและไม่แย่ บอกไม่ถูกจริงๆ แต่เอาเป็นว่า จะไม่โกรธเรื่องที่โผล่มาให้โดนแซวคู่แล้วกัน

“แล้วเรื่องพี่ดิน?”

“นัดจริง แต่บ่ายโมงนู้น แล้วช่วงบ่ายกูก็ไม่มีเรียนแล้ว” พาร์ว่า

“งั้นถ้าไม่มีเรื่องนัดพี่ดินก็กลับบ้านได้สิ?”

“ใช่ พรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียน มึงล่ะ?”

“ไม่มีเหมือนกัน”

หลายวิชาปิดคอร์สแล้วครับ ที่จริงสัปดาห์นี้ควรได้หยุดอยู่บ้านอ่านหนังสือ แต่บางคอร์สสอนไม่ทัน เลยมีเรียนสัปดาห์นี้ด้วย บางคอร์สอาจารย์ก็แค่นัดมาสรุปกับแนะแนวข้อสอบ (เหมือนคาบเรียนเมื่อกี้)

“พุธถึงศุกร์ล่ะ?” พาร์ถามต่อ

“มีพฤหัสบ่ายกับศุกร์เช้า”

“งั้นพุธกับพฤหัสคงไม่ได้ไปด้วยกัน”

ผมพยักหน้าให้ สมองบันทึกไว้แล้วว่าพาร์ไม่ได้ไปมหาลัยวันพฤหัส

“แล้ว…จะไปกินข้าวที่ไหน?”

พาร์ถามมา แต่ผมชะงักเท้า กวาดสายตามองแถวลิฟต์ มีหลายคนที่ยืนรอลิฟต์อยู่หันมามองเหมือนกัน ก่อนหันไปซุบซิบกันเอง นั่นทำให้นึกได้ว่าตัวเองพึ่งตกเป็นข่าวกับคนที่เดินตามไม่ห่างหมาดๆ เลยเลือกเดินลงบันไดแทน เดินกันเงียบๆ จนผ่านไปหลายชั้น คนที่เดินตามก็เอ่ยทวงคำตอบ

พอผมเงียบ พาร์ก็พูดอีก “ถ้ามึงไม่รู้ กูจะเสนอแล้วนะ”

ผมหยุดเดินตรงที่พักเท้า หันไปมองคนอยู่ขั้นบันไดสูงกว่า “มาว่าสิ”

“ไปกินร้านลึกลับที่สุดในม.กันเถอะ”

-------------

ร้านที่พาร์พูดถึง เป็นร้านขายขายข้าวแกงธรรมดานี่แหละครับ

แต่จะเรียกว่าร้านก็ไม่ถูก เหมือนซุ้มอาหารกลางแจ้งมากกว่า

ป้าคนขายขับรถเข้ามาเองกับสามี (เห็นว่าเป็นผู้ปกครองของศิษย์เก่า บ้านอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย) แล้ววางโต๊ะยาวพับเก็บได้ปูผ้าคลุมโต๊ะอีกที ก่อนวางบรรดาถาดกับข้าวคลุมปิดด้วยพลาสติกห่ออาหารเรียงรายกันไป รสชาติอาหารอร่อยดี ราคาแพงกว่าในโรงอาหารพอสมควร (แต่ไม่แพงกว่าร้านข้าวแกงข้างนอก)

กับข้าวมีประมาณหกอย่าง เมนูประจำร้าน และเป็นของขึ้นชื่อคือไก่คาราเกะครับ (แต่คนส่วนใหญ่ที่นี่เรียกไก่ทอด) กินทีเดียวติดใจจริงๆ

ผมเคยกินหนเดียว แต่เคยมาเยือนถึงสี่ครั้ง สองครั้งแรกชวด ได้กินครั้งที่สาม ครั้งสี่เสี่ยงดวงมาอีกปรากฏว่าชวดครับ มีคนเคยให้ข้อสังเกตไว้ว่า ลุงป้าจะขับรถมาถึงช่วงก่อนเที่ยงยี่สิบนาทีเป็นประจำ ถ้าเลยจากเวลานี้แล้วไม่เห็น แสดงว่าไม่ได้มา

แต่กว่าผมกับพาร์จะมาถึงก็เที่ยงสิบห้าแล้ว ยิ่งเข้าใกล้ตึกคณะวิทยาศาสตร์ยิ่งลุ้นตัวโก่ง แต่จุดหมายของเราอยู่เลยไปอีกครับ จุดตั้งซุ้มอาหารอยู่ใกล้ตึกLab คนไม่มีวิชาแลปอย่างพวกผมต้องใช้วิธีลุ้นเอาตอนมาเยือน ไม่ก็ให้สายสืบ (เด็กวิทย์ที่มีเรียนแลป) คอยส่งข่าวมาบอก

ส่วนสถานที่กินข้าว…ถ้าผู้ดีหน่อยก็เลือกม้านั่งหิน (ที่มีไม่ถึงแปดชุด) ลดระดับลงมาก็ขอบกระถางไม้ใหญ่ (ส่วนใหญ่ก็ทำเป็นที่ให้คนนั่งเล่นอยู่แล้ว) ลดมาอีกก็หย่อนก้นแถวก้อนหิน ไม่ก็ขอนไม้ประดับสวน (ในจุดที่พอนั่งได้) หรือนั่งตรงขอบทางเดินเอา แต่สวนใหญ่นั่งพื้นสนามหญ้าครับ ถ้าใครกลัวมดก็หาอะไรมาปูรองก็ได้

เรื่องร้อนก็ลืมไปได้เลย แถวนี่เย็นสบายพอสมควร เพราะต้นไม้เยอะครับ อากาศเลยชื้นๆ สวนก็ไม่ได้ใหญ่มาก ร่มเงาจากไม้ใหญ่เลยแผ่ปกคลุมทั่วถึงมาก นอกจากได้กินกลางแจ้งท่ามกลางธรรมชาติ อีกจุดหนึ่งที่ผมชอบก็คือภาชนะกินข้าว

มันเป็นถาดกระดาษทรงสี่เหลี่ยมปูด้านในด้วยใบตองครับ และเพราะต้องถือกินอย่างเดียว อาหารที่มีขายเลยทำออกมาเป็นชิ้นพอดีคำตักใส่ปากได้สบาย

“เฮ้ย! ขาย!”

ผมอุทานหลังเห็นนักศึกษายืนต่อแถวกันอยู่ประมาณหกคน ความรู้สึกตอนนี้ยังกับถูกรางวัลใหญ่ รีบลากกันไปเข้าแถวสิครับ รออะไร (เดี๋ยวไก่ทอดหมด)

เนื่องจากไก่ทอดเป็นที่ต้องการมากมาย แต่จำนวนมีจำกัด ป้าแกเลยไม่ขายไก่ทอดอย่างเดียว แต่ต้องซื้อกินคู่กับข้าว ใครกินข้าวกันมาแล้วก็ต้องคิดหนักหน่อย และเพราะใช้วิธีขายตามใจคนตั้งร้านเป็นหลัก ลูกค้าเลยค่อนข้างน้อย แถมคนในพื้นที่ส่วนมากเป็นเด็กเรียน มักไม่ค่อยสนใจพวกข่าวลือ ผมกับพาร์เลยได้นั่งกินข้าวอย่างสบายใจ

“มึงรู้จักร้านนี้อยู่แล้ว?”

พาร์ชวนคุย หลังเราดื่มดำกับรสชาติไก่ทอดมาพักใหญ่

“เคยมากับเพื่อนในกลุ่ม เห็นว่าเปิดอ่านเจอบทความเกี่ยวกับมหาลัยของพวกรุ่นพี่”

“ทางเน็ท?”

“ใช่มั้ง”

“งั้นก็คงเหมือนกู พอได้แวะมา กูก็ติดใจเลยล่ะ”

“ถูก ไก่ทอดอร่อย”

“ก็ใช่ แต่กูหมายถึงสภาพแวดล้อมรวมๆ ของที่นี่ มันดีกว่าที่โรงอาหาร”

ผมพยายามจับใจความว่าพาร์ต้องการจะสื่อถึงอะไร

…ที่นี่กับโรงอาหาร สิ่งที่แตกต่างก็มีเรื่องจำนวนคน เรื่องสถานที่เปิดกับปิด ความสะดวกสบายทางโรงอาหารดีกว่า แต่บางครั้งก็ต้องเจอสายตาคนรอโต๊ะว่างเร่งให้รีบกิน     

“เพราะสงบ ไม่วุ่นวาย นั่งชิวได้เรื่อยๆ อากาศก็ดี มึงเลยชอบล่ะสิ”

พาร์คลี่ยิ้มทันทีที่ผมพูดจบ “แล้วมึงชอบที่นี่หรือเปล่า?”

“ชอบสิ”

ไม่งั้นตอบตกลงมากินข้าวที่นี่ทำไม

ผมตักข้าวเข้าปาก เหลือบมองพาร์ที่หัวเราะเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ

“ตอนมากินข้าวที่นี่ครั้งแรกกูเคยคิดว่า ถ้าจะเดตกับใครสักคนในมหาลัย จะเลือกพาคนนั้นมากินข้าวกลางวันที่นี่”

ผมเกือบพ่นข้าวในปากออกมา ดีนะ ยกมือปิดทัน

“แต่กูโดนเพื่อนหาว่าบ้า แถมยังขู่อีกว่าอาจโดนคู่เดตด่า ความประทับใจติดลบแน่นอน ทำเอาความมั่นใจของกูดิ่งลงเหว ล้มเลิกคิดเรื่องนี้ไปเลย”

ผมพยายามเคี้ยวข้าวในปาก นึกตามที่พาร์พูด เพื่อนพาร์พูดถูกครับ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากมาเดตกลางธรรมชาติแบบนี้กับผู้ชายหรอก พวกเธอสารพัดปัญหาตั้งแต่มดเยอะ นั่งพื้นไม่สะดวก ไม่พอใจอาหารตั้งแต่ธรรมดาเกินไปจนถึงมีให้เลือกน้อย และอีกสารพัดที่ผมเดาใจไม่ออก ความไม่พอใจหลายเรื่องทับถมมากเข้าก็คงระเบิดอารมณ์ออกมา

“…ผู้หญิงคงโมโหจริงๆ นั่นแหละ เพราะเธอคงคาดหวังว่ามึงจะพาไปเดตในสถานที่ดีๆ ซึ่งจะกลายเป็นความทรงจำเมื่อนึกหวนคิดทีหลังล่ะมั้ง”

พาร์ถอนหายใจ แววตาเหมือนอยากแย้งว่าที่นี่ไม่ดีตรงไหน แต่ไม่พูด

“คงงั้น แต่คนที่กูอยากพามาคือมึงนี่หว่า”

ผมว่าจะปล่อยผ่านแล้วนะ

“สรุปมึงชวนกูมาเดตที่นี่?”

พาร์ทำหน้างงวูบหนึ่ง ก่อนเบิกตากว้าง ท่าทางทั้งอึ้งทั้งตกใจ

“ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่าไง?”

“เฮ้ย! เปล่า กูหมายถึงมึงที่ไม่ใช่มึง แบบว่า…”

ถ้อยคำหลังเริ่มแผ่ว สงสัยจะเริ่มรู้ตัวว่ามากินข้าวด้วยกันตามลำพัง แล้วแก้มมันก็ขึ้นสี รีบลุกย้ายที่จากนั่งประจันหน้าหนีมานั่งข้างผมแทน แต่เว้นช่องไฟมากพอให้น้องหมาตัวใหญ่มานอนแทรกกลางได้ครับ

“อย่าพึ่งมองมานะ ขอกูเวลาตั้งสติแปบ”

“เออ”

ผมตักข้าวเข้าปากต่อ นึกอยากส่ายหัวให้คนข้างๆ เดาคนที่มันอยากเดตด้วยไม่ยากหรอก...ตัวผมในสภาพผู้หญิงตามจินตนาการมันแน่ๆ

“ที”

“หือ?”

“มึงคิดว่า ‘เดต’ คืออะไร?”

ผมขมวดคิ้ว “ถามทำไม”

“แค่อยากรู้…ในความคิดมึง เดตมีความหมายว่ายังไง”

ผมเปิดฝาขวดน้ำเปล่า ซื้อจากป้าเขานั่นแหละ (เลยมีแต่น้ำเปล่าไม่แช่เย็นขาย)

“ทำความรู้จักก่อนคบหากันล่ะมั้ง”

“ส่วนของกูคือ ศึกษาตัวตนของคนที่รู้สึกดีๆ ด้วย ไม่ต้องถึงขั้นชอบหรือรักก็ได้ ขอแค่ทำความรู้จักกันไปก่อน ประมาณว่ามากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน”

“อ่าฮะ แล้วพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม?”

ผมดูดน้ำ พลางมองพาร์ที่ก้มหน้านิ่งเงียบ แต่อึดใจต่อมามันกลับเงยหน้ากะทันหัน

“มาเดตกันไหม”

!?!!

############
ด้วยความที่ตอนนี้สั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาลงให้อีกตอนนะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 08-10-2016 10:03:59
แหม แหม แหม แอบหวานกันสุดๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 08-10-2016 11:00:14
 o13
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 08-10-2016 12:02:51
กริ๊ดดดดดดดด น้องพาร์ชวนเดต

เป็นลมมมมม
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-10-2016 12:45:22
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 08-10-2016 13:19:10
มีชวนเดทท กันอ่ะแกรรรร ให้ทั้งตัวและหัวใจ
หิ้วววว กลุ่มแซวก็มาาา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 08-10-2016 14:11:07
อร้ายยยยย พาร์ชวนทีเดตด้วย  นี่กะจะจีบทีแล้วใช่มั้ยเนี่ยยยยยย :-[
ความเขินนั้นก็ไม่เข้าใครออกใคร  เพื่อนแซวพาร์กะทีแต่เรานี่บิดม้วนตัวตามไปหลายตลบละนะ
ชอบตอนพาร์วัดไข้ให้ทีอะ เขินแรง :o8:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-10-2016 15:06:12
ว้ายๆ ชวนไปเดทด้วย  :hao7:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 08-10-2016 16:11:50
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 08-10-2016 16:29:46
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 08-10-2016 17:00:35
ดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๅ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 08-10-2016 19:32:08
อ่านแล้วชอบบบบ  แล้วสรุปเด็มจะเอายังไงอ่ะ หืออออ

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-10-2016 19:53:09
เยี่ยม  o13   รอพรุ่งนี้อีกตอน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2016 20:33:01
ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
อ่านไป ยิ้มไป พาร์ ที :mew1: :mew1: :mew1:
พาร์ ชวนที เดต โดยไม่รู้ตัว แต่มาจากใจ
ชอบการพูดคุย โต้ตอบของ ที กับพาร์
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dilokrittisak ที่ 08-10-2016 20:57:11
รู้สึกไม่ได้อ่านนานมาก  :serius2:
เดี๋ยวตามอ่านใหม่แต่แรก  :mew3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-10-2016 23:03:31
เด่วๆคะคุณ แบบนี้ก้อได้หรา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่19] P.5 (08/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 09-10-2016 07:56:23
สนุกมากค่า :hao7: :katai4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-10-2016 08:02:17
บทที่ 20

“เดี๋ยวนะ…จะชวนไปเดตที่ไหนอีก ก็มึงเล่น....”

“ไม่ใช่แบบนั้น!”

ผมมองเพื่อนด้วยแววตางุดงง “กูไม่เข้าใจมึง”

พาร์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “กูไม่ได้หมายถึงเดตแบบไปเที่ยวด้วยกันเป็นครั้งๆ แต่…”

เห็นเงียบอยู่นานเหมือนกำลังเรียบเรียงความคิด ผมเลยรอฟังว่ามันจะพูดอะไร

“คืองี้ ‘มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน’ ของกู หมายความว่า อยู่กันแบบเพื่อน แต่จะเปิดโอกาสให้ลองพิจารณาดูว่าสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้ไกลมากกว่านี้ไหม หรือว่าควรหยุดแค่เพื่อนก็พอ”

“อ่าฮะ แล้ว?”

“นั่นแหละคือเดตที่ถามไปเมื่อกี้”

หลังฟัง ผมพยายามปรับความคิดใหม่

“เอ่อ พาร์ นั่นไม่เรียกว่าเดตแล้ว”

“ถือว่าเป็นเดตในแบบกูแล้วกัน คำตอบล่ะ?”

“…กะทันหันเกินไปไหม”

“มึงพูดว่าอะไรนะ?”

ผมพ่นลมออกจากปาก ไม่คิดทวนคำที่งึมงำไปเมื่อกี้

“กูรู้ว่ามึงไม่เคยมีแฟน แล้วเรื่องจีบ เคยปะ?”

พาร์จ้องเขม็งใส่ผมทันที จ้องอยู่นานจนผมมองกลับอย่างสงสัย มันดันส่งเสียงหึ เบือนหน้ากลับไปสนใจข้าวในมือแทนหน้าผม…ถึงจับความหมาย ‘หึ’ ของมันไม่ค่อยถูก แต่จากสีหน้ากับแววตาที่เห็นแวบเดียวเมื่อครู่ บอกผมทันทีว่ามันไม่ได้หัวเราะแน่ๆ ออกแนวด้านลบหน่อยๆ เหมือนกำลังไม่พอใจ

“เอ่อ ถ้าลำบากใจไม่ต้องตอบก็ได้”

คราวนี้มันพ่นลมหายใจเลย แถมพูดกับผมแบบไม่มองหน้าอีก

“อยากรู้ไปทำไม”

ท่าทางพาร์จะอารมณ์ไม่ค่อยดี ผมเลยบอกความคิดตัวเองไปตรงๆ

“งั้นช่วยฟังความเห็นกูหน่อย” ผมชูนิ้วชี้ขึ้นมา “หนึ่ง เมื่อเช้าเราพึ่งคุยจนได้ข้อสรุปหมาดๆ เที่ยงปุ๊บมาขอ เอ่อ เดตแบบฉบับมึงเลย แถมยังขอคำตอบทันทีอีก คือมึงจะรีบร้อนไปไหน?”

ผมพูดจบพาร์หันมามองทันที เลยตวัดนิ้วกลางชูเคียงคู่นิ้วชี้ พูดต่อ

“สอง ถ้าเป็นเดตแบบปกติ มึงควรสร้างความประทับใจ หรืออะไรสักอย่างมากกว่านี้ ทำให้คนที่มึงเอ่ยชวนรู้สึกอยากออกเดตด้วย แต่มึงเล่นใช่วิธีหลอกล่อกูมาแบบเนียนๆ บอกตามตรง กูแอบอึ้ง”

“ไม่ใช่!”

“หือ?”

“กูแค่ชวนมึงมากินข้าวเที่ยงธรรมดา ไม่ได้หลอกมาเดต!”

“อ้าวเหรอ…”

ผมปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ “งั้นไอ้ข้อสองถือว่ากูไม่ได้พูดแล้วกัน กลับมาข้อแรก ที่ถามไปว่าเคยจีบใครไหม เพราะมึงเหมือนคนไร้ประสบการณ์มาก แต่กูไม่มั่นใจหลังโดนเทคนิคหลอกเดตเข้าเลยลองถามดู แต่ถ้าไม่ใช่ งั้นที่กูเดาไว้น่าจะถูก…มึงน่าจะไร้ประสบการณ์จริงๆ”

พาร์เงียบไปเลยครับ ผมกระแอมไอ พูดต่อให้จบ

“ที่อยากแนะนำคือ หลังถามไปแล้ว มึงควรเว้นระยะให้อีกฝ่ายลองเก็บไปคิดดู ไม่ใช่ขอคำตอบเลย แต่ถ้ามึงตื้ออยากได้คำตอบตอนนี้ ก็จะได้คำตอบแนวปฏิเสธมา เอ่อ กูก็ไม่ได้อยากพูดให้รู้สึกแย่ แต่เรื่องพวกนี้โคตรพื้นฐาน พวกที่เชี่ยวชาญหน่อยจะมีจังหวะในการรุกและถอยมากกว่านี้เยอะ แต่บางทีก็เนียนจนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน…มองกูอย่างนั้นทำไม”

ผมรีบถาม หลังเห็นแววตาข้องใจสุดๆ จากพาร์ แล้วไอ้แววตาแบบนี้โคตรคุ้นจนตงิดในใจ

นี่มันคงไม่ถามว่า…

“มึงเคยโดนคนอื่นรุกจีบ?”

นั่นไง!

“เคยแล้วแปลกตรงไหน?”

“ผู้ชาย?”

“ทำไมต้องผู้ชายวะ! ไม่คิดว่าเป็นรุ่นพี่สาวสวยมั่งล่ะโว้ย!”

“กูไม่เชื่อว่ามีแต่ผู้หญิง”

ผมชะงัก ครุ่นคิดสักพักต้องยอมรับ “…ผู้ชายก็เคยมี”

หลังขึ้นชั้นมัธยมต้น ผมโดนพวกรุ่นพี่มากหน้าหลายตาตามตื้อพอสมควร แต่หลังเกิดเรื่องกระทืบหนอนน้อยคนอื่นถึงขั้นขึ้นศาล ไอ้คนที่เคยตามตื้อก็หายเรียบ ผมเลยได้อยู่อย่างสงบสุขจนเรียนจบ ม.6 จนล่าสุดมาเจอโดนจีบในห้างนั่นไง

“ว่าแล้ว”

ผมคิ้วกระตุก แม่งยังกับโดนหยามศักดิ์ศรี จนต้องโผล่พูดอีกประโยคพร้อมจ้องเขม็งใส่ “ไอ้ที่กูแนะนำมึง ส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์กูไปจีบชาวบ้านต่างหาก”

เข้าใจใช่ไหม เข้าใจใช่มายยย!

 แต่พาร์ดันไม่ตอบอะไรกลับมา เอาแต่ตักข้าวเข้าปาก ทิ้งตะกอนความข้องใจไว้ในตัวผม

“…ถ้ามึงมีเพื่อนพึ่งเริ่มหัดจีบคนอื่น มึงจะแนะนำเขาว่ายังไง?”

ผมชะงักช้อนที่เกือบได้เข้าปาก “ก็จะแนะนำให้ไปขอยืมเทคนิคเพื่อนมาใช้ไปพลางๆ ก่อน รอชั่วโมงบินสูงกว่านี้ค่อยคิดวิธีเอาเอง”

“งั้นเหรอ”

ผมมองอาการหงอยของคนข้างๆ ก็ชักอยากปลอบ “เอาน่า เรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆ เรียนรู้…ถ้ามึงสนใจ กูถ่ายทอดให้ได้นะ ไม่มีหมกเม็ดแน่นอน”

แต่ไอ้คนฟังกลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตักข้าวเข้าปากด้วยอาการสุดแสนเซ็งจิต แต่ก่อนจะเอาช้อนแตะปาก กลับเอ่ยอีกประโยค

“ขอไปเรียนรู้จากคนอื่นดีกว่า”

ตะกอนที่ยังลอยฟุ้งในตัวทำปฏิกิริยากับคำพูดเมื่อกี้ทันที ผมเผลอเอ่ยเสียงเย็นใส่เพื่อน

“มึงกำลังหยามกูใช่ไหม”

พาร์สะดุ้งโหยง รีบส่ายหัวปฏิเสธ แต่ผมยังจ้องเขม็งด้วยความหงุดหงิด อีกฝ่ายถึงยอมง้างปากอธิบาย

“กูไม่ได้หยามมึง แต่ลองคิดดิ เอาเทคนิคจากคนสอนมาใช้กับคนสอน มึงว่าจะไปรอดไหมล่ะ”

ปรอทอารมณ์ที่กำลังพุ่งขึ้นสูงกลับลดฮวบฮาบถึงขั้นติดลบ

…โอเค จบเรื่องนี้เถอะ!

-------------

“ที”

ผมเงยหน้าตามเสียงเรียก พี่ดินกำลังนั่งเท้าคางมองตรงมาอยู่ที่โต๊ะท่านประธาน มือหมุนปากกาเล่น ตรงหน้าคือเอกสารสารกองเป็นพรืด ส่วนผมยึดโต๊ะญี่ปุ่นนั่งพื้นอยู่กลางห้อง รอบตัวมีแฟ้มกระจายไม่ต่ำกว่าห้า เป็นแฟ้มอาวุธ (ปืนฉีดน้ำรูปแบบต่างๆ) และแฟ้มเครื่องประดับ (ขนาดคัดเหลือสร้อยข้อมือกับกำไลแล้วก็ยังมีตั้งสามแฟ้ม)

“เราไม่พอใจแผนการของพี่หรือเปล่า?”

“เอ๊ะ?”

“พี่เข้าใจ เรากับพาร์ต้องไม่ชอบใจแน่ๆ แต่ถ้าพี่ไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดแบบนี้ สงครามเริ่มเมื่อไหร่ เราจะถูกล่าตั้งแต่ต้นงานยันจบงานแน่ๆ”

“อ้อ เรื่องนั้นผมไม่โกรธพี่หรอก”

พี่ดินทำหน้าไม่เชื่อ “ไหนลองทวนเรื่องสะใภ้คณะให้พี่ฟังสิ เอาตามแบบที่เราเข้าใจก็ได้”

“ก็…สะใภ้คณะแบ่งออกสองประเภทคือ ได้มาจากเดินพันกับได้มาจากพันธมิตร กรณีได้จากเดิมพันต่อให้โดนจับตัวไป คณะสามีสามารถเลือกไม่ไปช่วยได้ แต่สะใภ้จากพันธมิตรต้องไปช่วยอย่างเดียว สรุปคือผมเป็นแรร์ไอเทมที่ใครๆ ก็ต่างอยากได้ตัว พี่เลยต้องคิดแผนปกปิดให้ผมเป็นแค่สะใภ้จากเดิมพัน จะได้ถูกหมายหัวน้อยลง”

“สรุปได้ถูกต้อง…แล้วทำไมยังทำหน้าเซ็งโลกแบบนั้นล่ะ?”

“พี่อยากรู้เหรอ?”

“ไม่อยากจะถามเรอะ เอางี้ ให้พี่ลองเดาดู”

พี่ดินหรี่ตาลง มองผมนิ่งพักใหญ่ “ทะเลาะกับพาร์มา?”

“…ดูเหมือนอย่างนั้นเหรอพี่?”

“ไม่เชิง แต่พี่เห็นพวกเราเดินเข้ามากันเงียบๆ ฟังพี่เงียบๆ ต่างคนต่างดูแฟ้ม ไม่พูดจากันสักคำ จนกระทั่งพาร์โดนเพื่อนโทรตามตัวให้ไปติวกับพวกปีสองกะทันหัน ก็เห็นมองหน้ากันแค่แวบเดียว พาร์ก็ผละจากไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีบอกกล่าวสักคำ ใครเห็นก็เดาออกทั้งนั้นว่าทะเลาะกันมา”

ตามที่พี่ดินว่า พี่นิติปีสองนัดรวมรุ่นน้อง เพื่อเปิดคอร์สติวกะทันหัน จะเลิกกี่โมงก็ไม่รู้ ผมเลยต้องมานั่งแกร่วรอพาร์อยู่ในห้องสโมฯนิติกับพี่ดินต่อ เพื่อศึกษาปืนฉีดน้ำแต่ละรูปแบบ พี่ดินบอกว่าไม่ใช่แค่ให้ผมเลือก แต่ต้องจำให้ได้ด้วย จะได้หลบหลีกถูก ส่วนแฟ้มเครื่องประดับ เอาไว้ก่อนดีกว่า ยังไงก็ต้องมาตัดสินใจร่วมกัน     

“เหม่อเลยนะเรา สรุปทะเลาะกันจริงๆ?”

ผมส่ายหน้า “ไม่ได้ทะเลาะครับ”

“ไม่ถึงขั้นทะเลาะ แค่มีเรื่องหมางใจกัน?”

“…ไม่เชิงครับ”

พี่ดินขมวดคิ้ว “งั้นสถานการณ์ระหว่างเรากับพาร์คืออะไร?”

“ก็…กระอักกระอวนใจล่ะมั้ง”

“อ้อ ลำบากใจเรื่องอะไรล่ะ? ลองพูดมา เพื่อพี่ช่วยแนะนำอะไรได้”

ผมถอนหายใจทันที มองท่าทางพึ่งพาได้ของพี่แก ครุ่นคิดตัดสินใจสักพักก็ลองเสี่ยงถามดู

“เอ่อ เรื่องที่ผมจะถามไม่เกี่ยวกับพาร์โดนตรง แต่มีผลเอี่ยวด้วยเฉยๆ พี่พร้อมจะฟังไหม?”

“ว่ามา”

ผมคิดเรียบเรียงคำพูด จุดประสงค์หลักคือได้ถามความคิดเห็นจากมุมมองคนอื่น ดังนั้นต้องไม่แย้มพรายให้พี่ดินรู้ความจริงเด็ดขาด

“คือผมมีเพื่อนคนหนึ่งค่อนข้างสนิท แต่เมื่อไม่นานมานี้ท่าทีของเพื่อนแปลกไป” ผมหยุดสังเกตสีหน้าพี่ดิน อีกฝ่ายไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลง ผมก็พูดต่อ “แบบว่าการกระทำบางครั้งดูเหมือนว่าชอบ บางครั้งก็ไม่”

พี่ดินเลิกคิ้วขึ้น “ชอบ? แบบที่อยากได้เป็นแฟน?”

“อือ”

“อ้อ แล้วไงต่อ?”

“ผมเลยไม่รู้ว่าควรจะจริงจังด้วยดี หรือปล่อยให้มันเป็นเรื่องเล่นๆ แบบไม่ต้องเก็บมาใส่ใจดี”

“พี่พอเข้าใจความลำบากใจของเราแล้ว แต่ยังไม่หมดแค่นี้ใช่ไหม เล่าต่อสิ”

“จู่ๆ วันนี้เขามาขอเดตด้วย” ผมเล่าแนวความคิดเดตของพาร์ พยายามพูดรายละเอียดเท่าที่จำได้ทั้งหมด “ผมฟังยังไงก็เหมือนขอดูใจชัดๆ แต่ดันเรียกว่าเดต เลยลองถามเจาะลึกดู ผลคือทางนั้นเป็นมือใหม่แกะกล่อง…ก็แค่นี้แหละ ตอนนี้ผมอยากได้ความเห็นของพี่”

“พี่ขอสรุปก่อน เอ่อ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนเราอยู่?”

ผมพยักหน้า

“เขามีท่าทีว่าชอบ แต่บางครั้งก็ไม่ชัดเจนพอ?”

“ใช่ ขนาดผมลงทุนเปลืองตัวลองใจมา อีกฝ่ายยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง”

“ฮะ!” พี่ดินทำหน้าตกใจ

“ก็ส่วนใหญ่เวลาชอบใครก็ต้องอยากสัมผัสใช่ไหมล่ะ ไม่ก็ต้องมีสายตาโลมเลียลามกบ้างแหละ แต่นี่เปลือยท่อนบนให้ดูยังเฉย แถมยังออกอาการสับสนว่าจะเอายังไงกันแน่ ครึ่งๆ กลางๆ จนผมไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี”

“เอ่อ เดี๋ยวนะ ฝ่ายนั้นเป็นผู้ชาย?”

ผมชะงัก เม้มปากครุ่นคิด ก่อนผงกหัวว่าใช่

พี่ดินเผยปากอ้าค้าง “เอ่อ แล้วสถานการณ์ตอนนี้ของเรากับเพื่อนคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็…ยังพออยู่ด้วยกันได้ แต่มันไม่เหมือนเดิม”

“พาร์รู้เรื่องนี้ด้วยสินะ”

ผมพยักหน้า

“ลำบากใจกันเพราะเรื่องนี้?”

ผมชะงัก แต่ก็ตอบแบบกลางๆ ไป “ประมาณนั้นครับ”

พี่ดินประสานมือเข้าหากัน สีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม

“จะว่ายังไงดี พี่คิดว่าเป็นปัญหานะ เพราะนี่มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเราอีกแล้ว แต่มันส่งผลกระทบถึงคณะด้วย พี่ไม่แน่ใจว่ามีใครบอกเราหรือยัง แต่สามีกับสะใภ้คณะมีกฎว่าห้ามมีแฟน”

“อ้อ ผมรู้แล้วครับ พี่นันเคยพูดแบบผ่านๆ”

“พี่ไม่รู้ว่ามีที่มายังไง หรือมาจากไหน แต่มีบังคับใช้กันเรื่อยมาหลายปี พวกสามีกับสะใภ้เลยได้คบกันเองเป็นส่วนใหญ่จนเหมือนเป็นคำสาปเลยล่ะ”

“คำสาป?”

“ถ้าดูจากสถิติคบกันเองที่ผ่านมามีเปอร์เซ็นต์สูงถึง98% คนอื่นเลยมองว่าเป็นคำสาป มีส่วนน้อยที่ไปคบกับคนอื่น ก็ได้คนที่จับคู่ด้วยช่วยกันปกปิด แต่ก็ไม่รอดกลายเป็นเรื่องฉาวมีประเด็นให้โดนโจมตีตลอด ที่สำคัญทำให้คณะฝ่ายสามีกับฝ่ายสะใภ้แตกหักกันอีก มันเลยยิ่งส่งเสริมประเด็นคำสาปเข้าไปใหญ่ จนเกิดเรื่องเล่าลือต่อๆ กันมาว่า ถ้าสามีสะใภ้ไม่คู่กันเอง จะเกิดหายนะ”

ผมเงียบด้วยความอึ้ง

“ถ้าให้พี่เดา เพื่อนของเราคงกลัวว่าจะโดนแย่งเราไปล่ะมั้ง เลยเริ่มออกอาการ ส่วนพาร์คงกังวลไม่อยากให้เกิดปัญหาในอนาคต”

พี่ดินเดาเป็นฉากๆ สมจริงยิ่งกว่าที่ผมคิดไว้สำหรับแถอีกครับ

“งั้นพี่ขอถามหน่อย เราชอบเพื่อนในแง่คนรักหรือเปล่า”

ผมส่ายหน้า 

“งั้นเราต้องแสดงออกให้ชัดเจนว่าเห็นเป็นแค่เพื่อน อย่าไปให้ความหวัง ในฐานะที่พี่เป็นประธานนิติปี4 พี่ก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนกัน เข้าใจไหม”

เล่นโดนจ้องให้รับปากอย่างเดียวแบบนี้ ผมเลยต้องรับปาก

“ดูเหมือนเรายังข้องใจนะ?”

ผมชะงัก “กะ…ก็”

ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดไง ผมเลยรู้สึกเหมือนคำตอบยังไม่โดนใจยังไงไม่รู้

ในใจคิดอย่าง ปากพูดอีกอย่าง “แล้วถ้าฝ่ายนั้นยังไม่ยอมหยุดล่ะครับ?”

พี่ดินนิ่วหน้า ครุ่นคิดเงียบๆ พักใหญ่ก็ดีดนิ้ว “ง่าย จับพาร์ทำแฟนซะ”

“ฮะ!!”

“ที่เพื่อนเราไม่ยอมหยุด อาจเพราะเห็นว่าเรายังไม่มีใคร เพราะงั้นไปทำให้เห็นว่าคำสาปเป็นจริงซะ คบกับพาร์ไปเลย เอาแบบหลอกๆ ก็ได้ ยังไงตอนนี้ทั่วทั้งมหาลัยก็คิดว่าเรากับพาร์คบกันเองอยู่แล้ว อ้อ เพราะเรื่องนี้ด้วยล่ะมั้ง เพื่อนเราถึงได้รีบร้อนมาบอกขอดูใจ แบบนี้ต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”

พี่แกดึงลิ้นชัก หยิบกระดาษเอสี่ออกมาวางบนโต๊ะ คว้าปากกาจดยิกๆ

“เดี๋ยวพี่เพิ่มแผนการให้ เอาแบบที่ฝ่ายนู้นรับรู้แล้วต้องขอถอยกลับไปเป็นแค่เพื่อนอย่างเดิมเลย”

พี่ดินครับ เดี๋ยวก่อนนนน!

“อ้อ เรื่องเครื่องประดับ พี่ไม่ให้เลือกสร้อยข้อมือแล้ว เอาเป็นกำไลแทน จะได้พลิกไปมาไม่ได้ ข้อความที่ต้องสลักลงตามธรรมเนียมก็ย้ายไปสลักด้านในกำไลแทน ส่วนด้านนอกทำให้เห็นเป็นกำไลคู่รักซะ เวลาเพื่อนเราเห็นจะได้ใช้เตือนสติว่า ทีมีคนรักแล้ว”

“เอ่อ พี่ครับ คือว่า…”

“ไหนๆ ก็ไปกลับด้วยกันอยู่แล้ว งั้นเพิ่มช่วงพักเที่ยงไปกินข้าวพร้อมกันด้วย อ้อ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรียน งั้นใครว่างแล้วก็ให้ไปคอยอีกคนที่ใต้ตึกเรียน ไม่สิ เสียเวลาเกิน…”

พี่ดินเอาแต่พึมพำกับตัวเอง ยอมเงยหน้ามองผมจนได้ กำลังโล่งใจอย่างน้อยพี่แกก็ยังฟังผม… 

“บอกพี่สิ อีกสามวันที่เหลือเรามีเรียนที่ไหน เริ่มกับเลิกกี่โมง”

ผมอ้าปากหวอ “คือว่า พี่…”

“อย่ามาอึกอัก พูดมาเร็วๆ”

แววตาพี่ดินโคตรดุ ผมเลยต้องบอก แต่เล่นซักถามรีดข้อมูลซะตัวผมแห้งกรอบ แม้แต่เวลาสอบยังต้องบอกพี่แก

“เดี๋ยวพี่ไปถามพวกปีหนึ่งแปบ แล้วจะจัดตารางเวลามาให้ เสร็จแล้วพี่จะเอามาให้ท่องจำ”

“ท่องจำ?”

“ใช่ จดจำไว้ในหัวก็ไม่ต้องกลัวคนอื่นรู้ ความก็ไม่แตก เดี๋ยวพี่ทดสอบเรากับพาร์เอง ถ้าจำไม่ได้ วันนี้ไม่ต้องกลับบ้าน!”

ผมอ้าปากกำลังจะพูด แต่โดนพี่แกโบกมือไล่

“ดูปืนฉีดน้ำฆ่าเวลาก่อนไป๊ เดี๋ยวพี่กลับมา”

ปึง

ประตูปิดไปแล้ว ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด ผมทิ้งหัวตัวเองวางแปะกับโต๊ะญี่ปุ่นทันที

พี่ประธานนิติที่เคารพไม่ฟังผมเลยยย!! (นึกเสียใจอย่างรุนแรงที่เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่แก)

ไอ้ทีหนอไอ้ที

ผมขยี้หัวตัวเองระบายความเครียด

“มึงจะขุดหลุมฝังตัวเองทำบ้าอะไรวะ!”

-------------

พี่ดินพูดจริงทำจริง ทุ่มหนึ่งแล้ว พวกผมก็ยังไม่ได้กลับบ้าน

กว่าพาร์จะกลับมาก็ปาไปห้าโมงครึ่งแล้ว ผมกำลังสอบปากเปล่ากับพี่ดินพอดี โชคดีที่ผ่านมาได้ในรอบนั้น (หลังพยายามแล้วล้มเหลวถึงสี่ครั้ง) ตอนแรกพาร์งงว่าพวกผมกำลังเล่นอะไรกัน (ถึงได้ดูซีเรียส) แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากพี่ดิน สีหน้ากับแววตาก็เปลี่ยนไป พาร์มีอาการนิ่งเงียบอย่างตรึกตรอง พี่ดินให้ท่องจำก็ยอมท่องอย่างว่าง่ายเกินคาด

โชคดีที่พี่ดินเล่าแค่คร่าวๆ พาร์เลยไม่รู้ว่าเป็นเรื่องของมันล้วนๆ (ไม่งั้นผมจะเอาหัวมุดลงไปซ่อนใต้โต๊ะญี่ปุ่นให้ดู) ส่วนเรื่องปืน ผมคงมาสั่งกับทางฝั่งนิติแทน  เพราะเท่าที่เห็นจากคณะตัวเอง แล้วมาเห็นจากนิติอีก ผมไม่เห็นความแตกต่างเลยครับ

กลับสู่ปัจจุบัน ผมหาวใส่แฟ้มตรงหน้า ชักอยากเลื้อยฟุบนอนตรงนี้…ถ้าอีกสิบนาที พาร์ยังไม่ผ่านอีก ผมหลับแน่

“ผ่าน”

ดุจถ้อยคำจากสรวงสวรรค์ พาร์ถอนหายใจ ส่วนผมโคตรดีใจ ก่อนสะดุ้งเมื่อพี่แกเตะกระถางดินเผาออกจากใต้โต๊ะประธาน ดูจากรูปทรงน่าจะเป็นกระถางปลูกต้นไม้

แชะ!

เปลวไฟเล็กๆ จุดติดกระดาษปุ๊บ พี่ดินก็ทิ้งกระดาษที่พวกผมถือท่องจำสองใบลงในกระถางปั๊บ ปล่อยเปลวไฟลามเลียกระดาษทั้งใบจนเหลือแค่ขี้เถ้า 

พวกผมอึ้งนานจนพี่แกสังเกตเห็น เลยยิ้มปลอบ “ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่ทำลายหลักฐานนะ เผื่อเราไม่รู้ ห้องสโมฯเองก็เป็นจุดที่คนต่างคณะชอบลอบเข้ามาหาข้อมูล”

งะ งั้นเหรอครับ

“พี่ขอพูดสรุปหน่อย ทั้งคู่ทำตามที่ท่องจำให้เรียบร้อย แล้วมะรืนนี้ค่อยมาเลือกปืนกับกำไลข้อมือต่อ”

“แต่มะรืนผมไม่ได้มา…”

พี่ดินตวัดสายตามองผมทันที

“พาร์เรียนแค่ช่วงเช้าสองชั่วโมงครึ่ง เที่ยงก็เลิกแล้ว ค่อยกลับด้วยกัน เวลามากพอให้เราเลือกทั้งปืนฉีดน้ำทั้งกำไล เอ่อ พาร์ ให้ทีเลือกของแทนได้ไหม”

พาร์พยักหน้าทันที

“งั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว เรื่องกำไลพี่คงไม่ช่วย แต่เรื่องปืนฉีดน้ำพี่ช่วยทีเลือกแน่ มะรืนพาร์ก็ไปเรียนให้สบายใจ เลิกแล้วค่อยมารับทีกลับ ใครมีปัญหาอะไรไหม?”

พวกผมเงียบ

“งั้นก็แยกย้าย พี่จะปิดห้อง กลับบ้านแล้วเหมือนกัน”

เมื่อโดนไล่ก็ต้องรีบเก็บของออกจากห้อง ตอนแรกว่าจะรอพี่ดินปิดประตู แต่พี่แกโบกมือว่าไม่ต้องรอ เลยเดินออกมาก่อน

“ใครจะขับ?”

“มึง”

ผมพยักหน้ารับรู้ มาถึงรถก็ไปขึ้นฝั่งคนขับ หลังจากนั้นคือความเงียบตลอดทาง ขับจะถึงบ้านก็ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แต่กลับไม่อึดอัดเท่าช่วงหลังเที่ยง ก็ดีครับ เพราะผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับพาร์ดี แต่ช่วงที่รถเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน เสียงพาร์แทรกความเงียบขึ้นมา น้ำเสียงเนิบนาบมาก

“สรุปว่ามีเพื่อนผู้ชายมาจีบมึงจริงๆ?”

“เอ่อ…” ผมพูดแค่นั้นก็หยุดเงียบ นานจนพาร์ทนไม่ไหว

“ไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ แต่กูต้องทำตามแผนพี่ดิน มึงเข้าใจใช่ไหม”

ผมย่นหัวคิ้วเข้าหากัน “กูก็ต้องทำเหมือนกัน”

หลังจากนั้นคือความเงียบ แต่ปนมากับความอึดอัด จนผมต้องเหยียบเบรกก่อนเลี้ยวเข้าซอยบ้าน หันไปมองคนข้างๆ ที่หันมองเหมือนกัน แววตาพาร์สงสัยว่าผมจอดรถทำไม 

“มึงเป็นอะไร?” ผมยิงคำถามใส่

“ฮะ? ไม่เป็น…ก็แค่เหนื่อย”

อ้อ จะว่าไปมันพึ่งไปโดนยัดความรู้มาตั้งหลายชั่วโมง กลับมาก็เจอพี่ดินบังคับให้ท่องจำอีก สมองคงล้าเกินอัตราแล้วมั้ง

ผมเลี้ยวรถเข้าซอยบ้าน พึมพำเสียงแผ่ว “…นึกว่างอนกันซะอีก”

“อะไรนะ?”

“กูบอกว่าหิวข้าว”

“แล้วทำไมไม่แวะกินก่อนกลับบ้าน”

ผมเหยียบเบรกหน้าบ้านพอดี “กูลืม มึงลงไปเปิดประตูรั้วดิ”

เอารถไปจอดเรียบร้อยก็พากันเดินเข้าบ้าน แค่เปิดประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ มีความสุขของสองสาวกับแม่ มีเสียงน้องอันแทรกมาด้วย พวกผมมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ก่อนรีบถอดรองเท้า เข้าไปดูด้านใน เจอเซอร์ไพส์ครับ น้องๆ กำลังแต่งคอสเพลย์กันอยู่ แถมพื้นหน้าโซฟาเต็มไปด้วยของมากมายที่ดูคุ้นตาผมมาก

“กลับมาแล้วเหรอลูก เป็นไงน้องๆ น่ารักไหม?”

ผมละสายตาจากข้าวของบนพื้น มามองน้องสาว…สองสาวกำลังโพสท่าแมวเหมียวใส่พวกผมซะน่ารัก ยัยน้ำเป็นแมวขาว เบอร์ดี้เป็นแมวดำ ส่วนเจ้าตัวเล็กวิ่งมาหาถึงที่ น่ารักสมเป็นลูกหมาป่าน้อยขนเทา

“แฮ่!”

มีร้องขู่ด้วยครับ ผมหัวเราะขำ “หมาป่าไม่ได้ร้องขู่อย่างเดียว แต่ร้องเหมือนหมาทั่วไปด้วย”

เจ้าตัวเล็กเอียงคอ ทำท่าคิดตาม ก่อนจะเปล่งเสียงเลียนแบบ

“โฮ่งๆ” แถมพวงหางสีเทาๆ ยังขยับส่ายไปมาอย่างน่าเอ็นดู

น่ารักวุ้ย!

ผมลูบหัวน้องอย่างอดใจไม่อยู่ แต่ต้องความระวังไม่ให้มือไปโดนกิ๊ปติดผมรูปหูหมาป่าเข้า

เจ้าหางสีเทาปุกปุยเป็นแบบพิเศษหน่อยครับ เพราะสามารถขยับตามอารมณ์คนใส่ได้ บ้านผมมีอยู่สามสี เทา ดำ และน้ำตาล (เมื่อสามปีก่อนลุงนิกส่งมาให้จากญี่ปุ่น)

ผมจูงมือน้องเดินไปทางโซฟา เอ่ยชมมารดาที่เคารพทันที

“แม่เก่งชะมัด หาเจอไวมาก”

เมื่อเช้าผมกระซิบบอกแม่ว่าช่วยหาให้หน่อย เพราะกะให้เจ้าตัวเล็กใส่ไปแสดงละครที่โรงเรียนครับ ตอนแรกผมว่าจะหาเองตั้งแต่คืนงานลอยกระทง แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ไปหา เลยต้องรบกวนมารดาที่เคารพแทน

“แน่นอน เพราะแม่ก็คิดถึงเหมือนกัน ไม่ได้เอามาเล่นตั้งสามปีแล้วนี่ แม่ยังเจอชุดคอสเพลย์กับพวกอุปกรณ์ทั้งหลายด้วยนะ เลยยกลงมาหมดเลย” แววตาแม่เปล่งประกายมีความสุขสุดๆ

อ่า แม่ผมเขาชอบจับลูกๆ เล่นแต่งตัวครับ โดยเฉพาะผมโดนไปเยอะสุด มีน้องๆ ดีนะครับ ช่วยดึงความสนใจจากแม่ไปได้เยอะ โดยเฉพาะเรื่องจับลูกคนโตมาเล่นแต่งคอสเพลย์ แล้วถ่ายรูปเก็บไว้เป็นกะตั้ก (ที่จริงก็เป็นความผิดผมด้วยที่ยอมแม่มาตั้งแต่เด็ก น้องผมเลยโดนตาม) 

“ทำไมไม่ให้น้องอันใส่เนโกะมิมิล่ะครับ” ผมถามถึงหูขยับได้

“แม่กลัวน้องทำพัง เลยยกให้สองสาวไปใช้แทน”

อ้อ

นอกจากหูแมวขยับได้ สองสาวยังสวมหางแมวด้วยครับ (ขยับไม่ได้) ตรงปลายผูกริบบิ้นติดกระดิ่ง เวลาเดินจะได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊ง ยังมีถุงเท้ายาวถึงต้นขาเป็นอุ้งเท้าแมว ถุงมือถึงศอกเป็นอุ้งเท้าแมวเหมือนกัน ส่วนชุดเป็นกระโปรงลูกไม้ สั้นและพลิ้วได้ใจมาก แต่น้องสาวทั้งสองใส่ขาสั้นกุดอีกตัวไว้ข้างในกันโป๊เรียบร้อย     

“พี่ทีมาใส่บ้างเลย”

ยัยน้ำถอดถุงมือแมวเหมียวออก ก้มหยิบของ ก่อนชูเข็มขัดพวงหางสีน้ำตาลขึ้นเหนือหัว เบอร์ดี้ทำตามก้มหยิบวิกผมสีน้ำตาลทอง เป็นลอนๆ แสนคุ้นตาขึ้นมา

“เบอร์ก็อยากเห็นค่ะ”

ผมเบ้ปาก อยากบอกสองสาวใจจะขาด ไอ้ของบนตัวเรากับเบอร์ดี้ รวมไปถึงของสารพัดที่วางอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเสื้อผ้า วิกผม ของตกแต่งเสริมสารพัด พี่ได้ลองใช้มาหมดแล้วครับ

“นะๆ ใส่ให้ดูหน่อย” 

“ไม่เอา” ผมส่ายหน้าปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด

“แต่น้ำอยากเห็น”

แววตายัยน้ำวิบวับสุดๆ เหมือนแม่ไม่มีผิด

“ขอขึ้นไปเก็บของก่อนนะครับ”

ผมเดินเลี่ยงหนีจากโซนอันตรายทันที และอาจอยู่เก็บตัวในห้องยาวจนกว่าคนข้างล่างจะเล่นแต่งตัวกันจนพอใจ แต่เดินไม่กี่ก้าวก็โดนมารดาจับคล้องแขนล็อกตัวเรียบร้อย 

“มา เดี๋ยวแม่จับทีใส่เอง”

เฮ้ย!

“ผมไม่เล่นนะแม่ โตขนาดนี้แล้ว ใส่ไปก็ไม่เหมาะ”

“ทียังไม่ได้ลองเลย แล้วรู้ได้ไงว่าไม่เหมาะ?”

แม่โต้มาซะผมเถียงไม่ออก

กระเป๋าเป้โดนแม่ดึงออกจากตัว “พาร์จ๊ะ น้าฝากเอากระเป๋าทีขึ้นไปเก็บบนห้องให้หน่อย”

“เดี๋ยวน้ำเอาไปให้พี่พาร์เอง”

น้องสาวมารับเป้จากมือแม่ ส่วนท่านแม่ที่เคารพของผมหรือ ลากตัวผมไปหยุดหน้าโซฟา แถมสั่งให้นั่งลงอีกต่างหาก พอผมต่อต้านไม่ทำตาม แม่ก็ไม่แคร์ พูดต่อหน้าตาย

“ถ้าไม่นั่งก็ยืนเฉยๆ แม่ใส่หางให้ก่อนก็ได้”

คุณนายของบ้านจัดการคล้องเข็มขัดหางหมาป่าให้ผมเรียบร้อย หมดสิทธิ์ขัดขืน ได้แต่กรอกตามองเพดานด้วยความเหนื่อยใจ

“พี่พาร์!”

ผมหันมองต้นเสียงเมื่อครู่ น้ำเสียงน้องเบอร์ดุชะมัด เจอสองสาวกำลังช่วยกันดุนหลังพาร์ไปทางบันได แต่คนโดนดันกลับหันมองทางผมด้วยแววตาสนอกสนใจสุดๆ

“พี่พาร์อ่ะ ขึ้นไปเก็บของก่อนเลย”

“ใช่ๆ พี่ขึ้นไปรอบนห้องดีกว่า อยู่อาบน้ำก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวค่อยลงมา”

เมื่อโดนดันถึงหน้าบันได พาร์จำต้องก้าวเท้าขึ้นไปก่อนสะดุดล้ม แต่ขึ้นโคตรช้า ท่าทางเหมือนไม่อยากไปสักนิดเดียว จนโดนน้องๆ เอ่ยเร่งเสียงดุอีกรอบ ถึงยอมขึ้นบันไดโดยดี

“ห้ามแอบมองลงมานะ ถ้าพวกน้ำรู้ จะโป้งพี่พาร์จริงๆ ด้วย”

“เบอร์ขึ้นไปคุมที่พาร์ดีกว่า”

แมวดำวิ่งพรวดตามพี่ชายขึ้นไป ผมเห็นแค่นั้น เพราะโดนมารดาจับหมุนตัวกะทันหัน แถมผลักให้นั่งโซฟาตอนไม่ทันตั้งตัว หูยังแว่วเสียงพาร์กับเบอร์ดี้ถกเถียงกันจากชั้นบน ก่อนเงียบไปหลังได้ยินเสียงประตูปิด พร้อมกับที่หัวผมโดนสวมวิก

“น้ำ มาช่วยแม่จัดเส้นผมให้เข้าที่ก่อนเร็ว”

“ค่ะ”

ผมทำหน้าเซ็ง เหลือบไปเห็นพ่อเดินลงมาจากชั้นสองพร้อมกล้องถ่ายรูปในมือ

…เอาแล้วครับ โดนจับถ่ายรูปแน่ๆ

“อ๊ะ จริงด้วย แม่มีเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ทีด้วยนะ ใส่ตอนนี้น่าจะเหมาะ”

เริ่มเหงื่อแตกพลั่กๆ “ทีไม่เอากระโปรงนะแม่!”

“ไม่ต้องห่วง กางเกงแน่นอน”

กางเกงก็โอเค แต่…

“เดี๋ยวน้ำติดกิ๊ปรูปหูหมาป่าให้เอง หรือพี่จะใช้เนโกะมิมิ?”

ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เอาแค่กิ๊ปก็พอ”

“ได้เลย”

อย่างที่คิด คุณนายไม่ได้เอาแค่เสื้อผ้าลงมา ยังหอบเครื่องสำอางลงมาด้วย เห็นแล้วผมผวา

“ทีไม่เอาเครื่องสำอาง!”

“ไม่ได้!” แม่ปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะอ่อนลง ส่งแววตาออดอ้อนอนุภาครุ่นแรงสมเป็นต้นฉบับ “แม่ไม่ได้จับลูกชายเล่นแต่งตัวนานแล้ว ตามใจแม่สักหน่อยเถอะ นะๆ”

ผมจะพูดอะไรได้ล่ะ!

“เดี๋ยวน้ำเป็นลูกมือให้แม่เอง”

อย่าถามถึงทางรอด เอี้ยวมองซ้ายเจอพ่อยืนยิ้มขำ มือนี่รัวชัตเตอร์เป็นระยะ เอี้ยวมองขวาเจอน้องอันเกาะที่เท้าแขนมองมาตาปริบๆ ด้านหน้าทั้งซ้ายขวาโดนผู้หญิงเพียงสองคนในครอบครัวประกบระยะประชิด หมดหนทาง จำต้องยอมให้แม่จับหน้าไปละเลงให้พอใจคนเกือบแก่

…เมื่อเช้ายังห่วงผมอยู่แท้ๆ แต่ไหงหลังฟ้ามืดถึงได้มารังแกกันล่ะครับแม่!

############

BlueCherries << ขอบคุณสำหรับคำผิดค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 09-10-2016 09:10:15
พาร์แอบหวงเลยอารมณ์เสียด้วยป้ะ แอบเครียดเรื่องจัจีบทีงี้

ทีแต่งคอสเพล์ รอๆๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 09-10-2016 09:36:20
อยากเห็นตอนแต่งเสร็จแล้วง่าาา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-10-2016 09:40:00
เครื่องสำอางค์ << ไม่มี ค์ นะคะ

อยากเห็นทีแล้วอ้าาาา ตัดจบได้อย่างน่าแค้นใจ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 09-10-2016 12:31:41
หึหึหึ รสนิยมเกียวกัน....ทั้งสองบ้าน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-10-2016 13:28:19
พาร์ สนใจที ชอบที เต็มร้อยแล้ว
พาร์ อยากดูที ที่กำลังแต่งคอสเพลย์มาก
ขนาดไม่ค่อยจะยอมจากที ขึ้นไปเก็บของข้างบนเลย
สรุป ที ต้องเล่นบทคู่รักพาร์ ตามคำแนะนำของพี่ดิน
โดยที่พาร์ ไม่เฉลียวใจเลยว่าคนที่มาชอบทึ ก็คือตัวพาร์เอง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 09-10-2016 15:34:17
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 09-10-2016 17:01:31
รอทีแต่งตัวเสร็จ

พาร์ เห็นทีมีแต่งแบบนี้  งานนี้มีหลงกับหลงทียิ่งกว่าเดิม  คึคึ

 :hao3:    :hao3:   :hao7:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-10-2016 19:50:10
งานนี้พาร์คงถอนตัวไม่ขึ้นแล้วล่ะ 5555555
อยากเห็นทีตอนแต่เสร็จแล้วจัง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 09-10-2016 21:53:54
แอบสงสารที 55555 แต่ก็อยากรู้ว่าตอนแต่งเสร็จจะเป็นยังไง ต้องน่ารักแน่ๆ
พาร์นี่สับสนกับความรู้สึกตัวเองได้อึนมาก  ขอให้รู้ตัวเร็วๆ นะ
รอตอนต่อไปค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-10-2016 22:56:51
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-10-2016 23:11:55
น่ารักแน่ๆ 555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 09-10-2016 23:39:59
มาตามอ่านรวดเดียวจ้ะ สนุกมากๆๆ รอพาร์มาเห็น ดูดิ้อดใจไหวมั้ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่20] P.5 (09/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 10-10-2016 00:46:43
ก็เพราะทีแต่งแล้วน่ารัก คุณแม่ถึงชอบจับทีแต่งตัวไง ลองถ้าทีร่างสูงใหญ่ ผิวเข้มหน้าดุ คุณแม่ก็คงไม่อยากแต่งหรอกนะ 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 12-10-2016 17:50:55
บทที่21

จบรายการแต่งหน้า ก็เป็นรายการแต่งตัวที่น่าปวดหัว

“แม่ไม่ใจร้ายบังคับลูกหรอก เลยมีสามทางให้ทีเลือก”

แค่เกริ่น ผมก็ไม่อยากฟังแล้ว แต่คุณนายแบมือออก ปล่อยน้ำ (ผู้เสนอตัวเป็นลูกมือ) หยิบของในถุงส่งถึงมือทีละชิ้น “เลกกิ้ง ถุงน่อง…” แม่พูดต่ออย่างลื่นไหล ไม่ชายตาแลสิ่งของ

ผมหรี่ตาลง คู่นี้เตี้ยมกันมาแน่ๆ

“หรือลูกอยากโกนขนหน้าแข้ง แม่ไม่ขัด แถมสนับสนุนด้วย”

ผมผงะกับตัวเลือกสุดท้าย รีบตอบแบบไม่ต้องคิด “เลกกิ้งครับ!”

“แหม น่าเสียดายจัง แต่ว่าเป็นหมาป่าทั้งทีต้องมีโชว์นิดๆ หน่อยๆ ดังนั้นแม่ขอเสนอนี่จ๊ะ”

ผมอ้าปากเหวอเมื่อได้เห็นเลกกิ้งในมือแม่ ช่วงต้นขาด้านหน้าโดนกรีดเป็นริ้วๆ แถมรอยกรีดทั้งสองขายังไม่เท่ากันอีก คือมันก็สวยดีหรอก แต่พอคิดว่าต้องมาอยู่บนขาตัวเองแทนที่จะได้เห็นจากสาวๆ ผมก็เผลอกลืนน้ำลายลงคอ

“สีดำช่วยอำพลางให้ขาลูกดูเล็กลง แถมหน้าขาทีไม่ค่อยมีขนอยู่แล้ว แม่ว่าแบบนี้เหมาะกับลูกที่สุด แต่ถ้าไม่ชอบ แม่แนะนำใส่ถุงน่องสีเนื้อกับขาสั้นแทนก็ได้นะลูก”

ผมแทบผงะกับขาสั้นของแม่ คือมันจะสั้นไปไหน!

“ถ้าลูกไม่ชอบถุงน่อง จะโกนขนหน้าแข้งออก แม่ยิ่งยินดีเข้าไปใหญ่”

“เป็นเลกกิ้งดีแล้วครับ!”

“โอเค ต่อไปเรื่องท่อนบน…”

ผมลุ้นระทึกยามแม่คลี่เสื้อตัวแรกให้ดู เป็นเสื้อกล้ามชายสายเดี่ยวสีดำครับ ค่อนข้างรัดรูป เห็นแล้วผมพ่นลมโล่งอกออกจากปากทันที อย่างน้อยแม่ก็ยังปรานีผมบ้าง   

“ไปใส่ในห้องน้ำเลยจ๊ะ?”

ผมทำตามอย่างว่าง่าย แต่พอเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา กลับต้องผงะ เพราะแม่เล่นกางเสื้อคลุมผ้าถักสีขาว คอกว้าง แขนเสื้อก็กกว้างยาวเลยข้อศอกนิดหน่อย ชายเสื้อเป็นพู่ๆ ห้อยลงมา

เอ่อ แบบนี้เรียกว่านำเสนอถึงหน้าห้องน้ำ…ก็คงไม่ผิด   

“แม่ครับ…คือ…” ผมชี้ไปที่เสื้อในมือแม่แบบหวั่นๆ

“แม่ชอบตัวนี้ที่สุดเลยลูก ดังนั้นลูกต้องใส่!”

ว่าแล้ว!

ผมจำใจรับเสื้อคลุมมาสวมทางหัว เรียบร้อยก็ปล่อยแม่จัดการจัดทรงผม หูหาง เสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แถมยังจับเสื้อคลุมให้เปิดไหล่ผมโชว์แค่ด้านเดียวอีก

“อืม…แม่ว่าเปลี่ยนวิกดีกว่า ทรงนี้ไม่ค่อยเข้ายังไงไม่รู้…รอตรงนี้นะลูก เดี๋ยวแม่เอามาให้ลอง”

“เดี๋ยวครับ!”

ไม่ทันแล้ว ไม่ถึงสองนาที แม่เล่นยกมาทั้งกล่อง ผมรีบระบุความต้องการก่อนเลย

“ไม่เอายาวมาก มัดได้ยิ่งดี!”

แม่กระพริบตา “งั้นเอายาวประมาณอก ผมหน้าม้า สไลด์ข้างนิดหน่อย เป็นลอนอ่อนๆ นี่ก็แล้วกัน…ย่อเลยลูก เร็วๆ อย่าอิดออด”

ผมพ่นลมหายใจ ย่อตัวให้แม่วางวิกที่ว่าใส่ คราวนี้เป็นสีน้ำตาลอ่อน ก่อนโดนลากเข้าห้องน้ำไปอยู่หน้ากระจก แบ่งเส้นผมเป็นสองส่วนจับตวัดมาข้างหน้าส่วนละฝั่ง แค่เริ่มต้นก็รู้เลยว่าแม่กะจับมัดสองข้าง

“อยากได้มัดสูงหรือต่ำดี?”

ผมนึกภาพตามแล้วเบ้ปากทันที “เอ่อ ทีว่าไม่ต้องมัดดีกว่า”

“แม่ตามใจลูกเลย ก้มมาให้แม่ติดหูก่อน”

แม่จัดเส้นผมให้เข้าที่เข้าทางอีกรอบ เรียบร้อยก็โดนดึงตัวไปโชว์ให้คนในครอบครัวที่นั่งรออยู่ตรงโซฟาเห็น ยัยน้ำเสียงเสียงร้องชอบใจทันที

“ว้าว! พี่น่ารัก แอบเซ็กซี่นิดๆ ด้วยอ่ะ”

“ใช่ไหมล่ะ” แม่พูดยิ้มๆ “แบบนี้เขาเรียกว่าอ่อนหวานปนเซ็กซี่จ๊ะ”

พ่อหัวเราะใหญ่ “เยี่ยมเลย!”

น้องอันมองคนนู้นคนนี้ ก่อนพูดบ้าง “น่ารัก”

เชื่อผมเถอะ เจ้าตัวเล็กแค่พูดตามพี่สาว

“ส่วนรองเท้า ใช้บู้ทนะลูก แม่วางไว้ให้อยู่หน้าบ้านแล้ว”

“อย่าบอกนะว่าส้นสูง!”

“ส้นเรียบจ๊ะ แม่ไม่อยากให้ลูกไปเดินสะดุดล้มที่ไหนอีก อ้อ ยาวประมาณหน้าแข้งแบบที่ลูกชอบด้วย”

ผมขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แถมแม่ยังแปลกๆ คือยังไงดีแบบว่า กึ่งบังคับกึ่งตามใจ ทั้งที่ทุกทีผมต้องตามใจแม่ตลอด   

“ตามพาร์ลงมาเร็ว แม่จะได้จับแต่งตัวต่อ”

ฮะ? พาร์ก็โดน?

“น้ำไลน์บอกเบอร์แล้วค่ะ น่าจะกำลังลงมา”

“ที พ่อขอถ่ายรูปหน่อย”

ยังไม่ทันตอบ เจ้าตัวเล็กก็โผมากอดขา พ่อเลยรัวชัตเตอร์ใหญ่

“สองหมาป่ามองกล้องหน่อยเร็ว ยิ้มหวานๆ ด้วย”

ร่างกายผมทำตามอัตโนมัติ พอตั้งสติได้พ่อก็กดถ่ายรูปไปแล้ว

…ความเคยชินนี่น่ากลัวจริงๆ

“ทีมองกล้อง คลี่ยิ้มด้วย นั่นแหละ”

แชะ

“อ้ายยย! พี่ทีน่ารัก!!”

ผมที่ยังคลี่ยิ้มค้าง หันมองตามเสียงร้องเบอร์ดี้ เจอสองพี่น้องตระกูลกอล์ฟกำลังเดินลงบันไดมาพอดี

อ่ะ เฮ้ย!

โครม!

เสียงหนักๆ กระแทกพื้นไม้ดังสนั่น น่าจะเรียกทุกคนในบ้านหันมองเป็นตาเดียว เจ้าของเสียงโครมครามเมื่อครู่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนตรงที่พักเท้ากลางบันได

“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะพาร์?”

แม่ร้องถามด้วยความเป็นห่วงคนตกบันได คนเจ็บได้น้องสาวช่วยประคองตัวลุกขึ้นยืน

“ผมไม่เป็นอะไร เอ่อ แค่…”

สายตาพวกผมประสานกันแค่ครู่เดียว พาร์ก็หลบสายตาหนีกันดื้อๆ

“พี่เขาแค่เหยียบบันไดพลาด เลยลื่นไถลลงมาค่ะ”

เบอร์ดี้ต่อให้ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แว่วเสียงยัยน้ำหัวเราะคิกคักเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรแน่นะ?” แม่ถามย้ำ

พาร์พยักหน้ายืนยัน

“ถ้าไม่เป็นไรก็ลงมาถ่ายรูปกันเร็ว” พ่อเอ่ยชวน

“เดี๋ยวค่ะ จับพาร์แต่งตัวก่อน”

…โชคดีนะเพื่อน แล้วจะรอดูว่าจะออกมาสวยแบบไหน

เวลาผ่านไปสิบห้านาที

แม่ลำเอียง!!

ผมทำหน้าบูดใส่คนพึ่งแต่งตัวเสร็จ

บนตัวพาร์ตอนนี้สวมเสื้อแขนกุดสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ โดนจับใส่วิกผมสีดำตัดสั้นทรงอย่างเท่ ใส่หางหมาป่ากับหูหมาป่าสีดำ แต่งหน้านิดหน่อยให้ขึ้นกล้อง ออกมาดูดีมากในแบบที่สาวๆ เห็นเป็นต้องร้องกรี๊ด ไม่ต้องมองหาตัวอย่างที่ไหนไกล นู้น สองสาวขอถ่ายรูปพี่พาร์ลงมือถือรัวๆ อยู่นั่นไง

ผมก็ลูกชายนะ ทำไมไม่จับผมแต่งตัวเท่ๆ แบบนั้นบ้าง!

“หมาป่าดำถือกำเนิด พาร์นี่หล่อจริงๆ แต่น้าว่าโล่งไปหน่อย จับใส่เครื่องประดับสักหน่อยก็ดีนะแม่”

“อ้อ แม่เตรียมให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะกระจก สองสาวเอาไปใส่ให้พี่เขาหน่อย”

น้องทั้งสองตอบรับ ยัยน้ำเดินมาใส่ให้ผมถึงที่ เบอร์ดี้เอาไปใส่ให้พาร์

แม้แต่เครื่องประดับยังต่าง!

“พี่เก็บอาการหน่อย แบบว่าแววตาพี่อิจฉาตาร้อนมาก”

ผมไม่เถียง เพราะมันคือความจริง!

“เอาล่ะ กลุ่มหมาป่าออกเดินทางไปก่อนเลย ส่วนลูกแมวน้อยรอไปพร้อมพวกพ่อ”

“ไป? ไปไหนครับ?” ผมรีบถามด้วยความมึน

“บ้านของการันต์”

มันเป็นชื่อร้านอาหารสไตล์ครอบครัวครับ แค่ได้ยินผมก็นึกถึงเพื่อนสนิทลุงนิกทันที ผมกำลังจะอ้าปากถาม แต่เหลือบไปเห็นปฏิทินแขวนเข้าก่อน

วันนี้มันสิ้นเดือนนี่หว่า บ้านของการันต์มีจัดกิจกรรมครับ ให้ลูกค้าแต่งคอสเพลย์ไปเซอร์ไพส์ลูกค้าคนอื่นได้ (จำกัดเดือนละครอบครัว) จะถูกเรียกว่า ‘ลูกค้าพิเศษ’ ของรางวัลคือได้กินฟรี ใครสนใจทางร้านจะให้ลงชื่อกับเบอร์โทรสำหรับติดต่อไว้ในกล่อง แล้วจะจับฉลากในวันที่หนึ่งของทุกเดือน เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัว และอีกกิจกรรมหนึ่งจะมีหมอมาตรวจสุขภาพฟรีด้วยครับ ซึ่งทั้งสองกิจกรรมไม่มีใครรู้ว่าจะเริ่มตอนไหน จะได้เจอไหมอยู่ที่ดวงล้วนๆ ครับ

“พวกพ่อไปสมัครกิจกรรมตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“พ่อเปล่า”

“แม่ก็เปล่า”

“อ้าว แล้ว…”

“พี่รันต์โทรมาขอความช่วยเหลือเมื่อเย็นเองลูก บอกว่าครอบครัวที่นัดแต่งคอสเพลย์วันนี้โทรมายกเลิกตอนเที่ยง จะโทรติดต่อลูกค้าคนอื่นก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครเตรียมตัวทัน เลยโทรมาหาพ่อ เพราะนึกได้ว่าทีชอบแต่งคอสฯ บ่อยๆ”

ผมแยกเขี้ยวใส่พ่อทันที “ใครชอบแต่งคอสฯ กัน!”

“โอเค” พ่อรีบชูสองมืออย่างยอมแพ้ “พ่อใช้คำผิดเอง สรุปคือบ้านเราอุปกรณ์พร้อม น่าจะช่วยได้ พอดีแม่กำลังจับน้องอันแต่งตัวอยู่ พ่อเลยตอบตกลงไป”

ผมพ่นลมหายใจ “ผมไม่ได้ว่าเรื่องช่วยลุงรันต์นะครับ แต่ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่า! จู่ๆ ก็จับแต่งตัว นึกว่าแค่ถ่ายรูปเล่นซะอีก”

“ก็ว่าจะถ่ายเล่นนะ แต่จะเอาไปถ่ายที่บ้านของการันต์ อีกอย่างสิทธิ์ลูกค้าพิเศษไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ต้องใช้ให้คุ้ม”

ผมเบ้ปาก “ปกติก็ได้ลดราคาอยู่แล้วนี่ครับ”

“แต่คราวนี้ฟรีทุกรายการ แม้แต่เมนูพิเศษ อีกอย่างพ่อว่าจะให้กระจายเป็นสามกลุ่ม กลุ่มหมาป่าไปโซนสนามหญ้า กลุ่มแมวเหมียวอยู่โซนห้องนั่งเล่น ส่วนพวกพ่อจะอยู่โซนระเบียงเอง”

ผมขมวดคิ้วรู้สึกเอะใจเล็กๆ “อย่าบอกนะว่าพวกพ่อก็จะแต่งคอสฯ ด้วย?”

พ่อยิ้ม “พี่รันต์บอกว่าเห็นแต่เด็กๆ แต่งคอสฯ ไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่อยากให้ทั้งครอบครัวคอสเพลย์ เลยอยากให้พวกพ่อไปสร้างกระแสหน่อย”

“แล้วโซนดาดฟ้า?”

“อ้อ นั่นก็ของพ่อ ไว้ดึกๆ จะแวะขึ้นไปสร้างสีสัน งานนี้ร้านไม่ปิด เราไม่กลับ เพราะงั้นกลุ่มหมาป่าไปเป็นทัพหน้าให้พวกพ่อหน่อย”

ผมยกมือเบรกพ่อ “ผมขอจับน้องอันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ไปที่นั่นน้องต้องไปเล่นเครื่องเล่นสนามแน่ ชุดที่ใส่อยู่ตอนนี้ไม่เหมาะครับ”

“เอ่อ แต่น้องต้องติดหูกับหางนะลูก แม่เลยว่าจะงด”

ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วยทันที ได้แต่จ้องคนอื่นเล่น น่าสงสารแย่

“ถ้าแม่จะให้น้องใส่ชุดนี้ไปโชว์คนอื่นก็ได้ แต่ทีขอเอาชุดพละไปเปลี่ยนให้น้องที่นู้นนะครับ”

พ่อยกมือห้ามไม่ให้แม่พูด “ตามใจลูกเลย งานนี้พ่อยกให้ทีกับพาร์ดูแลน้องอัน”

“อ้าว พวกน้ำล่ะ?”

“พวกลูกโตพอแก้ไขสถานการณ์เองได้แล้ว แต่ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจริงๆ บอกพี่พนักงาน หรือวิ่งมาหาพ่อแม่หรือไปหาพี่ๆ ก็ได้ ยังไงก็อยู่ใกล้กัน อีกอย่างพวกพ่อหรือพี่ๆ ก็คอยสังเกตอยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องกลัว…มีใครจะถามอะไรพ่ออีกไหม?”

พวกผมเงียบ

“ถ้าไม่มีก็แยกย้าย ใครจะเตรียมเอาอะไรไปก็หยิบกันเลย พวกพ่อขอแวบไปแต่งตัวก่อนล่ะ กลุ่มหมาป่าพร้อมแล้วก็ออกกันไปเลย”

“ครับ”

ผมรับคำ ทิ้งเจ้าตัวเล็กไว้ข้างล่าง ดึงพาร์ไปชั้นบนด้วยกัน

“เอากูขึ้นมาด้วยทำไม”

“เดี๋ยวกูไปเตรียมของให้น้องอัน ส่วนมึงเข้าไปเอากุญแจรถ กระเป๋าเงิน กับมือถือให้กูหน่อย อยู่ในเป้ทั้งหมดนั่นแหละ แล้วมึงจะเอาอะไรไปก็พกออกมาเลย”

แยกกันทำงาน เสร็จเร็วดีครับ

ผมเปิดประตูห้องน้องอันทิ้งไว้ ไม่ได้เปิดไฟ ให้แสงจากทางเดินสาดเข้ามาในห้องแทน เดินหลบหลีกกองของเล่นกับพวกหนังสืออย่างเคยชิน สงสัยต้องบังคับเจ้าตัวเล็กเก็บของในห้องอีกแล้ว บางชิ้นถ้าโดนเหยียบคงพัง ผมก็ก้มเก็บให้ก่อน

พาร์หยิบของเร็วกว่า แปบเดียวก็แวะมาหาผม พร้อมกับเจอสิ่งขีดขวางบนพื้น

“ไม่ต้องเก็บ เดี๋ยวน้องอันเคยตัว มึงมานั่งนี่ ช่วยพับชุดพละดีกว่า”

ผมโยนชุดพละน้องลงเตียง ปล่อยพาร์พับไปครับ ผมจำได้ว่าน้องมีเป้ผ้าอยู่ ค้นหาสักพักก็เจอ โยนไปทางเตียงให้พาร์เอาไปใส่ ผมปิดตู้เสื้อผ้า เดินเข้าไปหา

“ของกูใส่ไว้ในเป้น้อง…เฮ้ย!”

ผมเหยียบโดนอะไรบางอย่าง ขาไถลพรืดไปด้านหลัง ตัวพุ่งไปข้างหน้า วิดได้เอาหน้าฟาดขอบเตียงน้อง ดีที่พาร์กระชากตัวผมให้ล้มที่เตียงทันเวลา

โคมไฟหัวเตียงกระพริบครั้งหนึ่ง ก่อนจะปล่อยแสงสีส้มกระจายไปทั่วห้อง

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เกือบ” ผมพลิกตัวนอนหงาย เสยผมยาวยุ่งๆ ออกจากหน้า “ขอบใจ”

“มึงเหยียบรถน้อง”

พาร์ชูของเล่นที่เกือบทำผมหน้าแหก มันเป็นรถของเล่นแบบที่ให้เด็กใช้มือจับไถเอาครับ

“วางหัวเตียงเลย” ผมชี้สถานที่สถิตของในมือพาร์ มีพรรคพวกจอดรออยู่หลายคัน

พาร์ยันมือข้างหัวผม โน้มตัวข้ามผ่าน เอาของไปวางคืนที่เรียบร้อย ก่อนก้มมองผมที่อยู่ด้านล่างตัวมัน แล้วก็มองค้างอยู่อย่างนั้น นานจนผมขมวดคิ้วสงสัย

“พาร์?”

พาร์หลุดจากภวังค์ แต่แทนที่จะลุกออกไป กลับไล่สายตากวาดมองสำรวจผมช้าๆ แววตาค่อยๆ แปรเปลี่ยน ดูกระหายหิวแปลกๆ

มันกำลังทำอะไร? สวมบทหมาป่า…อืม เหมือน ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเป็นเหยื่อที่โดนหมาป่าตัวร้ายตะครุบได้เลยล่ะ ด้วยความอยากรู้ว่าเพื่อนจะเล่นอะไร ผมเลยนอนดูนิ่งๆ

พาร์หายใจแรงขึ้น ค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนผมเป็นฝ่ายหันหน้าหลบซะเอง สู้ไม่ไหวครับ อย่างกับจะโดนจูบ แต่ทำไมมันไม่หยุด ใกล้จนต้นคอผมสัมผัสถึงลมหายใจร้อนรินรด

มากไปแล้วมั้ง!

วูบหนึ่งผมเผลอคิดเลยว่ามันโดนวิญญาณหมาป่าเข้าสิงหรือเปล่า ถึงคิดจะขย้ำต้นคอเหยื่อ…   

“เฮ้ย!”

ที่ตกใจไม่ใช่อะไร แต่พอมันขยับแนบชิดมากเข้า ต้นขาผมเหมือนสัมผัสถึงบางอย่างที่ทำให้ผมตาสว่างทันใด

นี่ผมกำลังโดนคุกคามทางเพศนี่หว่า!

“พาร์ หยุดๆ…”

ผมรีบดันอกพาร์ออกห่าง อีกมือจัดการปิดปากดันหน้ามันออกด้วย แม่งเอ้ย โดนปลุกสัญชาตญาณหมาป่าตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย! นี่ถ้าผมรู้สึกตัวช้ากว่านี้อีกนิดจะเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากนึกเลยครับ

ผมสะดุ้งโหยง มันเลียฝ่ามือผมอ่ะ

“พาร์! ไอ้พาร์โว้ย! มึงตั้งสติหน่อย อย่าให้รูปลักษณ์ผู้หญิงหลอกมึงสิ!”

เตือนสติไปแล้ว ถ้าไม่ได้ผลอีก มันได้เจ็บตัวแน่!

ผมจ้องคนด้านบนนิ่ง ในใจเริ่มนับถอยหลัง แต่เหมือนคำพูดเตือนสติของผมจะสื่อไปถึง พาร์ดูจะได้สติกลับมา แถมยังทำหน้าตกใจ รีบผละอย่างไวไม่พอ ยังลุกพรวดเดินดุ่มๆ ไปไหนไม่รู้ ผมดันตัวขึ้นนั่งก็พบว่าพาร์กระแทกประตูห้องน้ำปิดไปแล้ว

เฮ้อ…

ผมลูบหน้าปลอบขวัญตัวเอง สงสัยหลังจากนี้ผมคงประมาทไม่ได้อีกแล้ว

หลังพาร์หายเข้าไปในห้องน้ำสิบกว่านาที คนในบ้านก็แห่กันขึ้นมาเมียงมองอยู่หน้าประตูห้องน้องอัน

“…ทำอะไรกัน?”

“เอ่อ พาร์ล่ะลูก?”

ผมชี้ห้องน้ำโดยไม่ละสายตาจากพ่อแม่…เสือดำกับเสือดาวครับ

ฝ่ายพ่อ เสื้อคอเต่าสีดำ (ขอเดาว่ามันต้องบาง ไม่งั้นพ่อคงไม่ใส่หรอก) ถลกแขนเสื้อยาวขึ้นมาถึงศอกเพิ่มความเท่ กางเกงยีนส์สีดำ ผมยุ่งๆ เหมือนผ่านการขยี้มาหมาดๆ อื้อหือ…ดูเด็กกว่าเดิมโข

ส่วนแม่ เสื้อตัวในเอวลอยนิดๆ สีดำ ใส่สูทลายเสือดาวทับ  กางเกงขาสั้นได้ใจสีดำ แถมบู้ทเลยเข่าลายเสือดาวอีก หูย สวยครับ…พ่อยอมให้แม่แต่งแบบนี้ได้ไงเนี่ย

“แอ่ม เอ่อ ที จะทำอะไร ปิดประตูไว้หน่อยก็ดีนะลูก”

“ฮะ?”

“คือเสียงมันลงไปถึงชั้นล่างเลยลูก เสียดายแม่ฟังไม่ถนัด เลยรู้แค่ลูกกำลังร้องห้ามพาร์เสียงหลงเท่านั้นเอง”

ผมอ้าปากเหวอ แค่มองตาพ่อแม่ เลยไปถึงสองสาวก็รู้แล้วว่าโดนเข้าใจผิดไปไกลโข ไม่ทันได้แก้ต่าง ประตูห้องน้ำที่ปิดตายมานานก็เปิดออก พาร์ชะงักกึกหยุดอยู่กับที่

“พาร์ออกมาแล้ว งั้นพวกพ่อลงไปก่อนนะ เดี๋ยวพ่อเอาอันไปด้วย เจอกันที่ร้านอาหารนะลูก”

ปึง

ปิดประตูแถมให้ด้วยครับ แต่เชื่อผมไหม ยังแนบหูแอบฟังกันอยู่ด้านนอกแหงๆ

“มีอะไรไปคุยกันที่รถ”

ผมบอกแค่นั้น หยิบเป้น้อง เดินไปเปิดประตู ตามคาดครับ กองกันอยู่หน้าห้องครบองค์ประชุม

“แหะๆ ไปกันจริงๆ แล้วเนอะพ่อ”

“ไปกันเถอะลูกๆ”

“อันจะไปกับพี่”

“เดี๋ยวค่อยไปเจอพี่ที่ร้านอาหาร ตอนนี้ไปกับแม่ก่อน”

ผมกำลังจะก้าวตามหลังทั้งคณะลงไปข้างล่าง แต่กลับโดนดึงแขนไม่ให้ลง เรายืนมองหน้ากันเงียบๆ จนได้ยินเสียงประตูข้างล่างเปิดปิด

“กูขอโทษ”

พูดแล้วยกมือปิดหน้านี่คืออะไร

“กูก็ไม่คิดว่าการที่ได้เห็นคนที่ชอบนอนแผ่ไร้การระวังตัวอยู่ข้างใต้มันจะ…”

พาร์พูดอึกๆ อักๆ ก่อนจะเงียบไปดื้อๆ 

ผมมองแก้มแดงๆ ที่ลอดนิ้วมือให้เห็น หูตั้งๆ พวงหางที่สะบัดไปมาเร็วๆ

…น่ารักแฮะ

สะดุ้งเฮือกกับความคิดเมื่อครู่ เดี๋ยวๆๆ มันมาได้ยังไง! ผมขมวดคิ้ว ครุ่นคิดหาคำตอบอย่างจริงจัง

ต่างคนต่างเงียบนานแค่ไหนไม่รู้ ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงพาร์อีกครั้ง

“กูขอโทษ”

ผมกระพริบตามองคนพูดที่ตอนนี้ลดมือลงไปแล้ว ทำหน้าเสียใส่กันอีกต่างหาก แถมหางยังตก…อารมณ์เปลี่ยนไวจนผมตามไม่ทัน

“เอ่อ…กูไม่โกรธมึงหรอก”

“จริงเหรอ?”

ผมมองหางที่เริ่มแกว่งไปมา

“อือ”

หางกลับมาสะบัดแรงๆ อีกรอบ แถมสีหน้าเจ้าของหางยังแช่มชื่น ส่งยิ้มให้อีกต่างหาก

…ให้ตายเถอะ

เป็นผมที่ยกมือปิดหน้าบ้าง ตอนแรกก็นึกว่าคิดไปเอง แต่มาตอนนี้ยิ่งกว่าแน่ใจ พาร์มีบรรยากาศเหมือนหมาตัวแรกในชีวิตของผมมาก มิน่าอยู่ด้วยแล้วถึงได้ผ่อนคลายสบายใจสุดๆ ยิ่งมีออฟชั่นหูกับหางเพิ่มเข้ามา

ขอสารภาพตามตรง ผมแพ้ทางครับ...อย่างแรงด้วย

“เป็นอะไร?”

“เปล่า” ผมรีบลดมือลง รีบปั้นหน้าปกติใส่ “ป่านนี้ออกไปกันหมดแล้วมั้ง เราก็รีบไปกันเถอะ”

ผมดึงมือข้อมือตัวเองออก รีบหมุนตัวเดินนำลงบันได ปล่อยพาร์ตามหลังมา

ก็หวังว่ามันจะไม่ทันสังเกตเห็นจุดอ่อนของผมเข้า

-------------

เนื่องจากต้องทำเวลา ผมเลยให้พาร์ขับ (เพราะมันขับเร็วกว่าผม) คอยบอกทางเรื่อยๆ จนเรามาถึงเวลาไล่เลี่ยกับพ่อ 

บ้านของการันต์ มีสองชั้นครับ ชั้นแรกเป็นลานจอดรถทั้งหมด ร้านอาหารจริงๆ อยู่ชั้นสอง ขึ้นไปจะเจอห้องเมนหลัก หรือที่เรียกว่า โซนนั่งเล่นบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง ทั้งที่ความเป็นจริงควรเรียกว่าโซนห้องอาหารมากกว่า ภายในตกแต่งโทนอบอุ่นและสบายๆ เหมือนนั่งกินข้าวในบ้าน ที่สำคัญเป็นห้องเดียวที่มีแอร์

โซนที่เหลือเป็นแบบโอเพ่นแอร์ (open air) หมดครับ ทางฝั่งซ้ายมีประตูกระจกเลื่อนเปิดออกไปเป็นระเบียงไม้ มีโต๊ะไม้แค่หกตัว ส่วนฝั่งขวาของห้องเมนหลักมีประตูกระจกเช่นกัน เชื่อมโซนสนามหญ้าเทียมเขียวขจี ไม่มีโต๊ะบริการสักตัวเดียว และเหนือห้องเมนหลักคือโซนดาดฟ้าครับ เป็นโซนที่มีโต๊ะบริการเยอะที่สุด

 จอดรถเสร็จ กลุ่มหมาป่า เสือ แมวก็รวมตัวกัน ดูความเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปพร้อมกัน พอพวกผมเข้าไปในร้านปุ๊บ สุดยอดเป็นจุดเด่นครับ คนหันมองกันให้พรึบ

“ครอบครัวผมขอนั่งแยกโซนตามที่แจ้งไว้ครับ”

“ทางร้านทราบแล้วครับ โซนระเบียงที่โต๊ะมีป้ายจองตั้งไว้ สามารถเข้าไปได้เลยครับ พนักงานในโซนจะดูแลให้เองครับ โซนห้องนั่งเล่นก็เช่นกัน โต๊ะอยู่ทางนั้นครับ ส่วนโซนสนามหญ้าช่วยมาทางนี้ก่อนนะครับ”

“ไม่เห็นมีโต๊ะเลยกินข้าวยังไง”

พาร์กระซิบถาม หลังมองผ่านกระจกออกไปโซนที่ว่า

“นั่งกินกับพื้น”

“ฮะ?”

“คอนเซปของโซนสนามหญ้าคือปิกนิก”

“ปิกนิกเนี่ยนะ?”

พนักงานพาพวกผมออกมาโซนสนามหญ้าพอดี ผมเลยพยักเพยิบให้พาร์ดูเหล่าคนปูเสื่อนั่งคุยหรือทานอาหารอย่างผ่อนคลาย ส่วนด้านซ้ายมือมีเครื่องเล่นสนามชุดใหญ่วางอยู่ครับ น้องอันมองตาเป็นประกายเชียว

“ทางเราปูเสื่อปิกนิกจองที่ให้แล้วครับ ตามผมมาเลยครับ”

อันที่จริงทางร้านจะมีรูปเสื่อให้เลือกลายได้ ขนาดของเสื่อก็ขึ้นกับครอบครัวลูกค้าที่มาใช้บริการโซนนี้ แล้วถ้าใครนั่งพื้นไม่ได้ ทางร้านมีเก้าอี้สนามแบบพับได้คอยบริการครับ…สงสัยเห็นเป็นพวกผมมั้งครับ ลุงรันต์เลยสั่งพนักงานให้ปูเสื่อรอเลย แต่พอมาเห็นเสื่อลายการ์ตูนเรื่องโปรดของน้อง ผมก็เข้าใจ

ลุงรันต์เอาใจน้องอันสุดๆ     

“เมนูวางอยู่บนเสื่อครับ อีกสักพักจะมีพนักงานมาจดรายการอาหาร ขาดเหลืออะไร หรือต้องการเรียกพนักงานยกมือค้างไว้นะครับ จะมีพนักงานที่ดูแลโซนนี้แวะมาหา”

“ครับ”

เจ้าตัวเล็กกระตุกชายเสื้อผม จิ้มที่หลังมือ “ปั๊มของอันล่ะ?”

“เดี๋ยวครับพี่” ผมเรียกพี่พนักงานที่กำลังจะเดินจากไป “ต้องปั๊มหลังมือเด็กก่อนหรือเปล่าครับ”

พนักงานเดินกลับมา “อ้อ ไม่ต้องครับ เพราะไม่จำกัดเวลาเล่น แต่ถ้าอยากได้ก็ปั๊มให้ได้ครับ”

เจ้าตัวเล็กคว่ำหลังมืออย่างรู้งาน เลยได้ตัวปั๊มหลากสีมา น้องยิ้มดีใจใหญ่ เพราะทุกทีได้แค่สีเดียว (เพื่อแบ่งแยกเวลาเล่นของเด็กๆ ไม่ให้จำนวนเด็กที่ใช้เครื่องเล่นสนามเยอะเกินไป ถ้าเป็นเด็กจากโซนอื่นเล่นได้แค่ชั่วโมงเดียว เด็กจากโซนสนามเล่นได้สองชั่วโมงครับ)

พวกผมถอดรองเท้าไว้ด้านนอก ค่อยไปนั่งบนเสื่อ หยิบเมนูอาหารออกมากาง ถึงตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่โซนสนามหญ้าสว่างมากครับ เหมือนตอนกลางวันเลยล่ะ

“อันอยากเล่น”

น้องอันกระตุกแขนเสื้อผม ชี้นิ้วไปทางเครื่องเล่นสนามที่วางกินพื้นที่หนึ่งในสาม   

“กินข้าวก่อน แล้วต้องเก็บหูหาง เปลี่ยนเป็นชุดพละด้วย ไม่งั้นพี่ไม่ให้ไปเล่น”

หงอยเลยครับ

ผมกางเมนูไว้ตรงกลาง ใครบังแสงก็เบี่ยงตัวหลบ ในฐานะที่เคยมาหลายครั้ง ผมเลยอธิบายให้คนมาครั้งแรกอย่างพาร์ฟัง

“โซนนี้ขายอาหารเป็นเซต ดูจากเมนูแล้วเลือกเซต A เซต B เป็นต้น เซตหนึ่งมีตั้งแต่ของกินเล่น อาหารจานหลัก ยันของหวานหรือผลไม้ แบ่งเป็นสามแบบให้เลือก ได้แก่

อาหารแบบฝรั่ง จะมาในรูปแบบตะกร้าหวายทรงสี่เหลี่ยมแบบที่เห็นใช้กันในต่างประเทศบ่อยๆ

อาหารแบบญี่ปุ่น จะมาในรูปแบบกล่องข้าวน่ารักๆ เด็กๆ ชอบมาก

อาหารแบบไทย จะมาในรูปแบบปิ่นโตสีพาสเทลสวย ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าจะได้ชั้นปิ่นโตสีอะไรมาบ้าง เพราะมีกิจกรรม ถ้าได้สีครบตามที่กำหนดไว้ เช่น สองสี สามสี สี่สี จะได้ของรางวัลเล็กใหญ่ตามแต่โชค”

ผมเว้นจังหวะ แล้วถาม

“ใครอยากกินอาหารแบบไหน?”

“อะไรอร่อย” พาร์ถาม

“ก็แล้วแต่คนชอบ”

“อันขอแบบที่กินง่ายๆ หมดเร็วๆ” ส่วนคนนี้จุดประสงค์ชัดมาก

“งั้นเอาอาหารญี่ปุ่นแล้วกัน”

ผมพลิกไปหน้าอาหารญี่ปุ่น “อยากได้เซตแบบไหนก็จิ้มเอา”

“ไม่มีแบบเลือกเซตเองเหรอ”

“มี แต่ราคาแพงกว่า ถ้าจะทำอย่างนั้น เลือกเซต แล้วสั่งของที่อยากกินเพิ่มยังถูกกว่าอีก”

“…แต่วันนี้เรากินฟรีนี่”

“เออใช่”

ผมรีบพลิกไปหน้าอาหารรายการเดี่ยวๆ ทันที “อยากกินอาหารแบบไหนสั่งมาได้เลย”

ระหว่างให้พาร์กับน้องอันเลือกรายการอาหาร ผมขอเพิ่มเติมรายละเอียดของโซนสนามหญ้าสักหน่อยนะครับ   

ขอบนอกสุดทั้งสามด้านของโซนหญ้าติดรั้วลูกกรงสูงเกือบสองเมตร ขึงด้วยเชือกลวดเหล็กแสตนเลสไขว้กันเป็นตาข่าย ป้องกันเด็กๆ ผลัดตกจากชั้นสอง พื้นที่หนึ่งในสามปูด้วยบล็อกยางสีเขียวเข้ม (สีเดียวกับพื้นหญ้า) ที่เหลือเกือบสองในสามปูด้วยหญ้าเทียมสีเขียวเข้มทั้งหมด (นุ่มเท้าดีครับ) ด้านบนเป็นหลังคาโค้ง (ป้องกันแดดฝน เวลาฝนตกจะมีกันสาดแนวดิ่งปิดรั้วทั้งสามด้านด้วย) ยิ่งตอนกลางคืนลมแถวนี้ดีมาก

ส่วนเครื่องเล่นสนามชุดใหญ่ มีทั้งให้ปีนป่าย ลอดอุโมงค์แบบต่างๆ สไลเดอร์ทั้งแบบวนแบบตรง บันไดขึ้นลง สะพานข้อต่อ สะพานแขวน คือเห็นแล้วอย่างกับฐานทัพของเด็กๆ (น้องอันถึงชอบมาก)

“อันเอาอันนี้”

เจ้าตัวเล็กตัดสินใจได้แล้ว เหลือพาร์ ส่วนผมมีเมนูประจำอยู่แล้ว หลังพาร์ตัดสินใจได้ พวกผมก็รอพนักงานมาเยือน แต่ดูเหมือนทางร้านจะวุ่นๆ ผมมาเข้าใจก็ตอนเห็นพนักงานมาตะโกนบอกว่า หมอมาถึงแล้ว

กลายเป็นว่ากิจกรรมสิ้นเดือนนี้ ทั้งหมอทั้งคอสเพลย์เลือกมาตอนกลางคืนทั้งคู่

“หมอ?” พาร์ทวนคำงงๆ

“หมอตรวจสุขภาพทั่วไปนี่แหละ จะมาทุกสิ้นเดือน ส่วนใหญ่เป็นหมอเด็ก ก็คงเลือกมาโซนสนามหญ้าล่ะมั้ง”

ดังที่ผมคาดเดา พนักงานถือเสื่อพับในรูปกระเป๋า พร้อมโต๊ะญี่ปุ่นพับได้เดินนำเข้ามา แน่นอนว่าพวกผมเด่นสะดุดตาแบบนี้ย่อมตกเป็นเป้าสายตาของหมอก่อนใครเพื่อน แต่หมอก็ตกเป็นเป้าสายตาพวกผมเหมือนกัน

ต่างคนต่างมองกันนิ่ง

ผมขมวดคิ้ว อีกฝ่ายขมวดคิ้ว แม้แต่พาร์ยังขมวดคิ้ว ส่วนน้องอันหนีมาหลบหลังผมแล้ว

คนมาใหม่ ไม่ใช่ใครอื่น นายแพทย์พีรพัฒน์ครับ

“คุณพนักงาน ผมไม่เอาเสื่อแล้ว ผมเจอญาติตัวเองน่ะ ขอไปนั่งกับพวกเขานะครับ”

แว่วเสียงพี่พีทบอกพนักงาน ผมไม่เถียงหรอก ถึงไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็เหมือนเป็นญาติกันจริงๆ นั่นแหละ

“เอ๊ะ จะดีเหรอครับ เดี๋ยวลูกค้าคนอื่นจะแวะมาหาคุณหมอเรื่อยๆ จะไปรบกวนญาติคุณหมอหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ ญาติผมมากันแค่สาม…เอ่อ ไม่สิ อยู่โซนหญ้าแค่สามคนครับ”

พี่พีทไม่รอพนักงานพูดอะไรอีก หิ้วกระเป๋าประจำตัว เดินตรงดิ่งมาหาพวกผม ยกมือทักทายเรียบง่าย พร้อมรอยยิ้มแฉ่ง

“ไง พี่ขอนั่งด้วยคนนะ อยู่คนเดียวมันเหงาน่ะ”

############
ถ้าตอนไหนสั้น เราคงมาลงให้ถี่กว่าปกตินะคะ 555

ขอแจ้งข่าวนิดนึง สำหรับผู้ที่จองชลนทีไว้
หนังสือมาถึงสำนักพิมพ์แล้วนะ
ทางสนพ. กำลังทยอยจัดส่งตามลำดับการโอนอยู่ค่ะ

และคืนนี้สองทุ่มที่เพจสำนักพิมพ์มีเปิดให้จองชลนทีรอบหลุดพรีฯ ด้วยนะ
มี 10 ชุดค่ะ ใครสนใจไปแย่งชิงได้ที่เพจสนพ.ตามลิงค์ด้านล่างได้เลยค่ะ
https://www.facebook.com/pobrakwithus/ (https://www.facebook.com/pobrakwithus/)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 12-10-2016 18:35:08
เห้ยยยยยย

ทีแต่งขึ้นอ่ะ แต่แหม่ คุณแม่คุณพ่อเห็นลูกจะโดนงาบแล้วไม่ช่วยเลยนะคะ ><
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-10-2016 18:40:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 12-10-2016 18:41:56
คราวนี้ศึกชิงนายเริ่มขึ้นแล้ว พาร์  vs หมอพี งานนี้ใครจะได้หัวใจทีไป มโนไปนั่น 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-10-2016 19:46:23
มีเรื่องให้หึงอีกล้าวววว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-10-2016 20:19:19
พาร์ เก็บอาการหื่นไม่ได้เลย :ling1: :ling1: :ling1:
อือออ......ก็เห็นคนที่ชอบอยู่ข้างล่าง อะจ๊ากกกก
บ้านนี้นิยมคอสเพลย์ทั้งบ้าน ไม่เว้นแขกที่มาอยู่ด้วย
ที แพ้ทางหมา พาร์ แพ้ทางคนรักแต่งหญิง
แล้วถ้าเป็นหญิงแท้ พาร์จะรู้สึกดีด้วยหรือเปล่า? :katai1: :katai1: :katai1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 12-10-2016 20:30:23
อร้ายยยยยยยย เกือบแล้ว เกือบได้จุ๊บกันแล้วววว :-[
พาร์นี่ก็...ขึ้นไวดีนะ หุๆ :hao6:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 12-10-2016 20:33:42
พาร์นายหื่นนะ 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 12-10-2016 21:36:07
สนุกกกกกกกก ป่วงดี
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 12-10-2016 22:51:06
พี่พีทมาแล้ว พาร์จะโดนแกล้งซะละม้างงงง 55
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 13-10-2016 22:21:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 14-10-2016 00:18:28
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่21] P.6 (12/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 18-10-2016 00:18:02
อ่านทันแล้วววว
น่าร้ากกกกกกกกก เชียร์ๆๆๆ พาร์สู้ๆๆ
ทีเริ่มหวั่นไหวพาร์(ในร่างหมา)แล้ววว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 22-10-2016 13:53:43
บทที่ 22

สุดท้ายพี่พีทก็ไม่ได้มานั่งร่วมเสื่อ เพราะผืนเล็กเกินไป พี่พนักงานเลยให้พวกผมลุก ก่อนเลื่อนเสื่อออก เพื่อให้วางเสื่อของพี่พีทไว้ข้างๆ พวกผมได้

พวกผมมอง พนักงานสองสามคนหิ้วของจัดแจงเตรียมพื้นที่ให้คุณหมอ บริการเต็มที่ทั้งโต๊ะญี่ปุ่นคลุมด้วยผ้าสีขาวสะอาดตา ทั้งน้ำดื่ม สมุดรายงานแบบฉีก ปากกา แม้แต่หมอนรองนั่งก็มีครับ เสร็จแล้วก็เดินจากไป พี่พีทไม่ทันนั่งก็มีพ่อแม่จูงบุตรหลานตรงมาหาแล้ว

“ที พี่ฝากสั่งอาหารให้ด้วย”

“อือ”

ผมขานรับ เปิดเมนูผ่านๆ แล้วเลือกเป็นเซตอาหารให้ถึงสอง เพราะดูท่าเซตเดียวคงเอาท้องพี่แกไม่อยู่ สักพักพนักงานก็มาจดออเดอร์ สั่งอาหารเรียบร้อย พนักงานทำหน้าแปลกใจ ก็นะเล่นสั่งตั้งสองเซต ผมเลยกระซิบบอกว่าเป็นของหมอถึงทำหน้าบางอ้อ เอ่ยถามต่อ

“รับน้ำเป็นอะไรดีครับ?”

“ชาเขียวเย็นครับ เอาแบบสองลิตร แล้วก็เพิ่มน้ำส้มเย็นของเด็กอีกหนึ่งครับ”

“น้ำส้มเป็นแก้วเก็บความความเย็นนะครับ”

ผมพยักหน้า

“รับเป็นแก้วเล็ก กลาง หรือใหญ่ดีครับ?”

ถ้าจำไม่ผิด แก้วเล็กขนาด 16 ออนซ์ กลาง 22 ออนซ์ ใหญ่นี่ 32 ออนซ์ล่ะมั้ง…เกือบลิตรเลยนะนั่น ผมชั่งใจว่าเอากลางหรือใหญ่ดี แต่พอเหลือบมองน้อง ไปเล่นกลับมาคงเหนื่อย

“แก้วใหญ่ครับ”

“ขอทวนรายการอาหารครับ…” พี่พนักงานพูดทวนทั้งหมด ก่อนจบท้าย “รบกวนรออาหารสักครู่นะครับ”

ตรงจุดที่ผมนั่งหันหน้าไปทางพี่พีทพอดี ผมเลยผงะหลังเห็นแถวสั้นๆ เมื่อครู่กลายเป็นแถวยาวเหยียด

…นายแพทย์พีรพัฒน์ฮอตจริงๆ

หลังนั่งรับลมคุยเล่นเกือบสี่สิบนาที พนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟ

“ขอโทษที่ให้รอนานครับ”

พนักงานกล่าว ระหว่างย่อตัววางห่อผ้าทรงสี่เหลี่ยมทั้งห้าตรงริมเสื่อ ก่อนปลดตะกร้าบุด้วยผ้าลายสวยๆ คล้องแขนมาวางไว้อีกหนึ่ง แล้วผละจากไป

ผมขำกลิ้งตั้งแต่เห็นแววตางงสุดขีดของพาร์แล้ว ดูท่ารายนี้จะไม่รู้จักห่อข้าวสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนน้องอันจัดการคว้าของตัวเองมาแกะผ้าออกแล้วครับ (ของเด็กลายผ้าเป็นรูปตัวการ์ตูน) พาร์เลยได้เห็นกล่องข้าวที่อยู่ด้านใน

“อันขอส้อม” เจ้าตัวเล็กนั่งฝั่งตรงข้ามแบมือขออุปกรณ์กินอาหาร

ผมรีบเอื้อมมือไปยกตะกร้ามาวางใกล้ๆ

ด้านในมีข้าวของหลายอย่างจัดเรียงเป็นระเบียบ มีทั้งกระติกน้ำสุญญากาศทรงกระบอกขนาดสองลิตร แก้วเก็บความเย็น (เปิดช่องเสียบหลอดให้ดูดได้เลย) แก้วพลาสติกสามใบ ซองน้ำจิ้มแบบฉีกบรรจุรวมในซองใสใบใหญ่ ซองหลอด ซองช้อนตะเกียบเท่าจำนวนคน ส่วนของเด็กจะเป็นซองช้อนส้อม (ถ้าตอนสั่งอาหาร ใครไม่ถนัดตะเกียบขอเปลี่ยนเป็นส้อมแทนได้ครับ) ซองทิชชู่ทั้งแบบแห้งและเปียก ถุงสำหรับใส่ขยะ ขวดน้ำเปล่าขนาด 330 ml สองขวด (ถ้าผมจำไม่ผิด เจ้านี่เป็นของแถม แต่ผมจำเงื่อนไขไม่ได้)

ผมหยิบซองช้อนส้อมแกะให้น้องอัน ก่อนกระจายให้คนอื่น ยกเว้นพี่พีทที่ยังติดคนไข้ตัวน้อย เลยสอดผ่านปมผ้าวางบนฝากล่องข้าวแทน เป็นเซตจะใส่กล่องข้าวใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงถึงสามชั้น ปกติเซตหนึ่งกินได้สองถึงสามคน (แต่สำหรับพี่พีทสองเซตถึงจะเรียกว่าอิ่ม)

ผมเหลือบเห็นคนด้านซ้ายมือนั่งเฉย ไม่สนกล่องข้าวสักที เลยถาม

“ไม่กินอ่ะ”

มันไม่หิวหรือไง มื้อเย็นก็ไม่มีอะไรตกท้อง นี่เรียกว่ามื้อดึกได้แล้ว อ้อ ไม่ต้องห่วงน้องๆ ถ้าไม่มีใครบ่นหิว แสดงว่าแม่ต้องหาอะไรให้กินรองท้องไปแล้ว

พาร์ไม่ตอบผมทันที แต่พิจารณาซองช้อนตะเกียบสักพัก ก็ชูเล็กน้อยให้ผมดู

“…เก็บกลับบ้านได้ไหม”

ผมหัวเราะทันที เข้าใจพาร์อยู่หรอก แต่ก็ตลก คือช้อน ส้อม และตะเกียบ ทำจากไม้ไผ่ครับ เป็นแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง สอดอยู่ในซองกระดาษครึ่งเดียวสกรีนตราร้านอาหาร แล้วหุ้มพลาสติกคลุมกันฝุ่นอีกที

…ก็เหมาะกับการเก็บไปดูเป็นที่ระลึกดีครับ หึๆ     

ผมเอนตัวไปกระซิบใกล้ๆ กันน้องอันได้ยินคำหยาบ

“เก็บได้ แต่มึงจะใช้อะไรกิน”

พาร์พ่นลมหายใจ หยิบมือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้แทน ถ่ายทุกอย่าง ตั้งแต่ห่อผ้ายันตัวอาหารในกล่อง ปล่อยพาร์ไปครับ ผมขอกินข้าวก่อนดีกว่า หิวจนแสบไส้

แชะ

ผมชะงักมือที่กำลังคีบอาหารเข้าปาก หันมองทางพาร์ก็เห็นกำลังยุ่งกับการถ่ายข้าวกล่อง ไม่ได้หันมือถือมาทางนี้อย่างที่คิด แต่ก็ไม่แน่ใจ ผมเอาอาหารใส่ปาก เคี้ยวไปจ้องหน้าพาร์ไปเพื่อดูพิรุธ สักพักก็ถอนสายตากลับมา

คิดไปเองมั้ง

หลังกินสองสามคำ ผมรู้สึกถึงสายตาจับจ้องมา เลยเงยหน้าดู เห็นน้องอันก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ คงไม่ใช่ เลยมองข้ามผ่านหัวน้องไปเจอคุณหมอกำลังมองมาทางนี้พอดี ผงะเลยครับ เคยเห็นน้องหมาหิวโซมองขออาหารไหม แววตาพี่พีทเป็นแบบนั้นเปี๊ยบ!

ผมเคยพูดถึงจุดอ่อนตัวเองไปครั้งหนึ่งแล้ว ขอสรุปอีกทีนะครับ ผมแพ้ทางคนที่เหมือนน้องหมา กรณีพาร์แค่บรรยากาศเหมือนหมาที่ผมสนิทสนมด้วย แต่กับพี่พีทมีนิสัยเหมือนหมามาตั้งแต่เด็กๆ

เอา-ข้าว-มา-ให้-หน่อย

ส่งสารมาแล้วครับ ผมส่ายหน้า ขยับปากไร้เสียงบ้าง

ทำ-งาน-ไป-ก่อน

หงอยไปเลย

“เอ่อ คุณหมอ ลูกชายดิฉันเป็นอะไรเหรอคะ?”

หงอยจนแม่ของเด็กเข้าใจผิด พี่พีทคงลืมตัวเหมือนกัน ถึงได้รีบฉีกยิ้มน้อยๆ กลับมารักษาภาพพจน์หมอเต็มที่ ปล่อยพี่แกแก้ตัวไปครับ รายนี้ลื่นเป็นปลาไหล

ผมมองห่อผ้ากล่องข้าวที่เหลืออยู่ถึงสอง…ขืนเอาไปให้ มีหวังโดนใช้ให้ป้อนข้าวต่อแหงๆ

“ที”

ผมละสายตา หันมองคนเรียก ไม่ทันได้เอ่ยปากถาม พาร์ก็คีบอะไรบางอย่างยัดเข้าปากผมแล้ว

“อร่อยไหม?”

ยังไม่ทันเคี้ยวเลยเถอะ!

ผมค่อยๆ เคี้ยวอย่างระวัง กรุบๆ กรอบๆ แต่จืดไปหน่อย ผมเดาไม่ออกว่าคืออะไร เลยเหลือบมองกล่องข้าวพาร์ น่าจะเป็นฟองเต้าหูห่อผักสามอย่างทอด แต่ผมชอบสาหร่ายพันฟองเต้าหูทอดมากกว่า จะมีรสเค็มเกลือนิดๆ 

ผมกลืนอาหารลงคอ มองแววตาคาดหวัง ก็ได้แต่พยักหน้าตอบ

“ก็ดี”

“ดี งั้นมาแบ่งกัน”

“ฮะ?” ผมอุทานงงๆ

“ไหนๆ ก็สั่งไม่เหมือนกันแล้ว…”

พาร์เอียงหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงแผ่วแล้วผละออก “กูอยากลองชิมหลายๆ แบบ”

ผมนิ่งไปเลย เหมือนมันไม่ได้หมายถึงอาหารตรงนี้ แต่…ไม่ๆ คงไม่ใช่หรอก ผมคงคิดมากไปเองตามประสาคนเกือบโดนคุกคามทางเพศมา

“ไม่ได้เหรอ?”

ผมเผยปากขึ้น หมาป่าตัวโตหน้านิ่ง แต่แววตาออดอ้อนอย่างแรง ผมตกปากรับคำดุจโดนสะกดจิต ตั้งสติได้เพราะน้ำเสียงเข้มกึ่งบังคับ

“งั้นหันมานี่เลย”

ไม่พูดเปล่า มันยังดึงกล่องข้าวในมือผมไปวางบนเสื่อ จับตัวผมให้ขยับหันไปหาทั้งตัว

“พาร์” ผมขมวดคิ้ว หลังต้องนั่งประจันหน้าด้วย “มันพิลึก…”

“นี่ของมึง”

พาร์ยัดกล่องข้าวใส่มือผมต่อ ส่วนมันน่ะเหรอคีบอาหารผมบ้าง อาหารตัวเองบ้าง เข้าปากหน้าตายมากไม่พอ ยังมีหน้ามาถามได้กวนประสาทมากจนผมคิ้วกระตุก

“ไม่กิน?”

ไอ้ความน่ารักที่เห็นก่อนหน้านี้ คือผมตาฝาดไปเองใช่ไหม!

ผมพ่นลมหายใจระบายความหงุดหงิด จับตะเกียบคืบอาหารเข้าปากบ้าง กินได้สักพักเจ้าตัวเล็กก็ประกาศเสียงดังจนพวกผมสะดุ้ง

“อันอิ่มแล้ว!”

แต่ผมบังคับให้น้องนั่งต่ออีกสิบนาที

“อันกินหมดเกลี้ยงแล้วนะ” น้องงอแงใส่

“แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด”

“อันเปลี่ยนเอง!” เจ้าตัวเล็กลุกยืน มือคว้าเป้

“งั้นระหว่างได้เล่นแค่ชั่วโมงเดียว กับเล่นไม่จำกัด แต่นั่งรอก่อนสิบนาที อันจะเลือกอะไรครับ?”

หมาป่าน้อยหางตก กลับมานั่งแปะกับเสื่อตามเดิม “…อันเลือกอย่างหลัง”

ผมพยักหน้า “แต่เมื่อกี้มีคนดื้อ พี่ลงโทษเพิ่มอีกห้านาที รวมเป็นนั่งรอสิบห้านาทีนะ”

“พี่อ่ะ!”

สองคำนี้เจ้าตัวเล็กจำมาจากยัยน้ำแหงๆ

“พูดอย่างนี้จะให้พี่เพิ่มอีกห้านาที?”

เจ้าตัวเล็กรีบยกมือปิดปากตัวเอง ส่ายหน้าปฏิเสธใหญ่

“นั่งเงียบๆ อีกสิบห้านาที แล้วพี่จะให้เปลี่ยนชุด”

“อันขอเปลี่ยนก่อนแล้วนั่งรอไม่ได้เหรอ”

ผมยิ้มให้กับความฉลาดของน้อง “ก็ได้ ถ้าใครบางคนสัญญาว่าจะนั่งรอจนครบเวลาที่กำหนดจริงๆ”

“น้องอันสัญญา”

“ถ้าพี่ไม่อนุญาต ห้ามลุกจากเสื่อ ตกลงไหม”

“อันตกลง”

“งั้นเปลี่ยนได้”

เจ้าตัวเล็กยิ้มแป้น รีบรูดซิบหยิบชุดพละของตัวเองออกมา แล้วค่อยๆ มองผมที่ยังนั่งกินข้าวเฉย ไม่สนใจจะช่วยน้องแต่งตัวเหมือนทุกที

“พี่ไม่ช่วยอันเหรอ?”

“เมื่อกี้ใครบางคนปากเก่งบอกจะเปลี่ยนชุดเองนี่”

น้องอันทิ้งเป้ทิ้งชุดพละ พุ่งตรงเข้าใส่กระแทกแผ่นหลังเต็มๆ จนเจ็บแปลบ แขนเล็กกอดรอบเอว ซุกหน้ากับแผ่นหลังผมนิ่งไปเลย…ดีครับ น้องจะได้อยู่นิ่งๆ สักครึ่งชั่วโมง รออาหารในท้องย่อยสักนิด ค่อยปล่อยตัวไปเล่น

พาร์มองผมที ชะโงกมองน้องอันที แล้วขยับปากถามแบบไร้เสียง

เป็น-ไร

ผมขยับปากตอบกลับ

กลัว-พี่ชาย-ไม่-สนใจ

พาร์เลิกคิ้วสูง ก่อนยกยิ้มขำแบบไร้เสียงใหญ่ แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู   

…อารมณ์เปลี่ยนอีกแล้ว 

ผมขมวดคิ้ว ช่วงนี้พาร์อารมณ์เปลี่ยนบ่อยจริงๆ ครับ บางครั้งก็กะทันหันจนผมตามไม่ทัน แต่คิดมากไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ปล่อยไปดีกว่าครับ ผมนั่งกินอาหารจนหมด เหลือบมองเวลา จะครึ่งชั่วโมงแล้ว ถึงเวลาปลอบเจ้าตัวเล็ก ผมขยับตัว น้องอันจับผมแน่นขึ้น ขืนจับแขนหรือลุกเดินหนีตอนนี้ ตัวเล็กมีปล่อยโฮแน่ครับ

“อัน มานั่งตักพี่สิ”

ทำตามแบบไม่ต้องสั่งซ้ำ เจ้าตัวเล็กไม่ได้ร้องไห้ แต่ถ้ามีอะไรไปกระทบอีกนิดก็ไม่แน่

“มีอะไรจะพูดกับพี่ไหม?” ผมถามเสียงนิ่งหน้านิ่ง

น้องเบะปาก น้ำตาเริ่มคลอ “อัน…ขอโทษ”

“งั้นฟังพี่บ้าง พี่ให้เรานั่งรอ เพราะหลังกินอิ่มๆ ไม่ควรไปวิ่งเล่น เดี๋ยวจะปวดท้องเล่นไม่สนุก แถมบางทีของกินในท้องอาจเดินขบวนออกมาทางปากอันแทน แล้วถ้าไปแหวะแถวเครื่องเล่น อันกับเพื่อนคนอื่นต้องอดเล่นจนกว่าพี่พนักงานจะทำความสะอาดเสร็จ ต้องรอนานยิ่งกว่าที่พี่บอกให้อันรออีก…เข้าใจที่พี่พูดไหม”

เจ้าตัวเล็กพยักหน้า ซบหัวที่อก กอดผมแน่น ก็ลูบหลังปลอบขวัญน้องไปครับ ดูท่าจะใจเสียหนัก

แชะ

ผมหันมองต้นเสียง นึกว่าพาร์เป็นคนถ่าย แต่เป็นพี่พนักงานครับ พี่เขาโค้งตัวให้เป็นการขอโทษที่ถ่ายรูปกะทันหัน แต่ผมส่ายหน้าสื่อว่าไม่เป็นไร เพราะลูกค้าพิเศษต้องยินยอมให้พนักงานถ่ายรูปเก็บไว้ เนื่องจากพรุ่งนี้ทางร้านจำเป็นต้องเอารูปลงเพจของร้าน เพื่อยืนยันเรื่องกิจกรรม และเป็นการโฆษณาร้านไปในตัว

“เอ่อ พี่ครับ” ผมเรียกพี่พนักงานที่กำลังเดินผ่าน คงไปถ่ายรูปพี่พีทต่อ

“ครับ?”

“หลังถ่ายรูปหมอพีทแล้ว ช่วยปล่อยตัวหมอพักทานข้าวหน่อยนะครับ เพราะดูเหมือนคุณหมอจะหิวมาก”

พี่พนักงานทำหน้าตกใจ “ขอบคุณที่เอ่ยเตือนครับ”

ผมกำลังจะบอกพี่เขาว่าข้าวพี่พีทอยู่ตรงนี้ พี่พนักงานก็จ้ำเท้าเดินผ่านไปแล้ว ดูท่าจะรีบไปถ่ายรูป

พอหันหน้ากลับมาผมก็สะดุ้ง พาร์กำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง จ้องผมเขม็งไม่พอ ยังส่งเสียงขึ้นจมูกเบือนหน้าหนีกันอีก

อะไรวะ?

-------------

ระหว่างผมช่วยน้องอันถอดหูหาง ก็ได้ยินเสียงพนักงานประกาศให้คุณหมอหยุดพักทานข้าวครึ่งชั่งโมง พักใหญ่ผมก็รู้สึกเหมือนมีใครมาข้างหลัง ไม่ทันหันไปมองก็โดนหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง

“ดีจังที่ทีอยู่แถวนี้ ไม่งั้นกว่าพี่จะได้กินข้าว คงช่วงหลังร้านปิด”

“อ้าว ไม่มีพักเบรกเหรอ?”

“มี แต่ได้กินแค่น้ำกับของว่างนิดหน่อย เพราะถ้าสั่งอาหารต้องรอครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ หมดพักเบรกพอดี”

“สั่งก่อนก็ได้นี่”

“เคยแล้ว แต่เขานึกว่าของคนอื่น เอาไปเสิร์ฟลูกค้าประจำ แต่ถึงบางครั้งได้มาก็กินไม่จุใจซะเลย พาลหิวมากกว่าเดิมอีก พี่เลยทนรอกินทีเดียวหลังร้านปิดน่ะ แล้วไหนข้าวพี่?”

ผมชี้นิ้ว พี่พีทตาโต

“สองเซต!” ถลาเข้าไปหาเลยครับ แถมยังคลี่ยิ้มส่งให้ผม ทั้งที่สองมือแกะผ้าห่อปิ่นโตไม่หยุด ไม่มีก้มมองสักนิด ชำนาญจนน่าทึ่ง “ไม่มีใครรู้ใจพี่เท่าเราแล้วจริงๆ”

ผมเบ้ปาก มันแปลกตรงไหน ในเมื่อโตมาด้วยกัน…แต่ไอ้รังสีทะมึนที่แผ่มาจากอีกด้านนี่คืออะไร ผมพึ่งหันไปมอง ก็เห็นพาร์ลุกพรวด เดินไปใส่รองเท้า

“ไปไหน?”

“ห้องน้ำ”   

พูดห้วนๆ จบหมาป่าดำก็ผละจากไปเลย แว่วเสียงพี่พีทหัวเราะขบขัน แต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะน้องอันจับบ่าผมใส่กางเกงพละขาสั้นอยู่ แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแทนที่จะวิ่งออกไปเลยอย่างทุกที กลับอยู่รายงานตัวกับผมก่อน

“อันไปเล่นแล้วนะ”

“อือ”

น้องยืนลังเล ก่อนถาม “ไม่โกรธอันแล้ว?”

“ไม่โกรธ”

เจ้าตัวเล็กค่อยยิ้มออก ขยับมาจุ๊บแก้มผมทีหนึ่ง แล้วผละจากไปอย่างร่าเริง ผมเลิกคิ้ว นานๆ น้องคนเล็กจะหอมแก้มขอบคุณผมสักที

ต้นตำรับหอมแก้มขอบคุณของบ้านผมมาจากคุณปู่ครับ ลุงนิก พ่อ เลยมาถึงรุ่นผมทั้งหมดเลยติดนิสัยหอมแก้มขอบคุณกันหมด ส่วนพี่พีทมาบ้านย่าผมบ่อยเลยซึมซับมา แต่เราโดนย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามไปทำกับคนนอกเด็ดขาด เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเหมือนคนในบ้าน แล้วพาลจะเกิดเรื่องเข้าใจผิดเหมือนสมัยลุงนิก

“คนเมื่อกี้ชื่ออะไร?”

ผมขยับตัวนั่งหันหน้าเข้าหาพี่พีท “พาร์”

“น่ารักดี”

ผมขมวดคิ้ว “พี่สนใจ?” 

พี่พีทหัวเราะ “น่ารักของพี่ยังแปลได้อีกความหมายหนึ่ง”

ในหัวผมมีคำตอบทันที น่าแกล้ง ขอไว้อาลัยให้มันล่วงหน้า แต่ไหนๆ ก็มีหมออยู่ตรงหน้า ถึงเป็นหมอเด็ก แต่ก็โตมากับวงการแพทย์ น่าจะรู้อะไรดีๆ เยอะ ขอปรึกษาเลยแล้วกัน

“ผมว่าช่วงนี้พาร์อารมณ์ไม่มั่นคง ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนผู้หญิงมีประจำเดือน พี่ว่าผมควรพามันไปหาหมอแผนกไหนดี?”

พี่พีทสำลักข้าวปั้น ผมรีบเทชาเขียวเย็นใส่แก้วให้แทบไม่ทัน พี่แกคว้าไปดื่มอึกๆๆ ก่อนวางแก้วเปล่าลง ขมวดคิ้วมองมา

“แน่ใจนะว่าเราเคยมีแฟนมาหลายคน”

“แน่สิ!”

“งั้นพี่ถามหน่อย คบนานสุดเท่าไหร่?”

“…สามอาทิตย์”

“อ้อ พี่ขอเดาเราคงไม่รู้จักอาการหึงหวง”

“รู้จัก”

“แล้วมันเป็นยังไง?”

“ก็...ไม่ชอบให้แฟนคุยกับเพศตรงข้าม”

“แล้วไงอีก”

“ตามเกาะแกะน่ารำคาญ ต้องรายงานตัวตลอดเวลา…ไม่ใช่เหรอ?”

พี่พีทถอนหายใจใส่เลย

“โอเค ทีไม่รู้จักก็ได้” ผมยกมือยอมแพ้

“เพราะเรายังไม่เคยรักใครจริงจัง แล้วคนที่คบเราก็ไม่ได้รู้สึกมากพอที่จะหึงหวงเรา”

ผมคิดตามแล้วพยักหน้า “คงงั้น แล้วพี่พูดถึงเรื่องนี้ทำไม?”

“พ่อหมาป่าดำไม่ได้ป่วย ไม่ต้องพาไปหาหมอ พาร์แค่กำลังมีความรัก”

ผมติดสตันไปสามวิ “เอ่อ…พี่แน่ใจนะว่ามันกำลังมีความรัก”

“แน่สิ แล้วลองคิดถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาดูสิ ช่วงไหนที่ฝ่ายนั้นอารมณ์แปรปรวน”

“เอ๊ะ…พี่อย่าบอกนะไอ้ที่หงุดหงิดอารมณ์เสียกะทันหัน เพราะหึงน่ะ”

“เออ!”

ผมทำหน้าเหวอ “หึงทีอ่ะนะ?”

“ไม่ใช่เราแล้วจะใคร”

พี่พีทคลี่ยิ้มกริ่ม “แฟนอนาคตของเจ้านั่นคงลำบากไม่น้อย เพราะนอกจากขี้หึงแล้ว ยังขี้หวงไม่เบา พี่ขอทำนายว่าถ้าโดนจับตัวได้แล้ว พ่อหมาป่าดำไม่มีทางปล่อยหลุดมือไปไหนแน่ๆ แถมยังไล่ฆ่าเห็บหมัดที่ตามเกาะแกะตายเรียบ”

ผมทำหน้าเหยเก “ขนาดนั้นเลย”

“ใช่แล้ว เราจะสะอาดหมดจด ขนสวยเงางาม ไร้แมลงร้ายก่อกวนเลยล่ะ”

พี่พีทพูดติดตลก หลังผมนึกภาพตาม ก็เห็นอีกภาพซ้อนเข้ามา หมาป่าขนสวยโดนหมาป่าดำมาเบียดกระแซะคลอเคลียอย่างสบายอกสบายใจ จนต้องยกนิ้วเอ่ยชมคนตรงหน้า

“พี่เปรียบเทียบเก่ง ทีเห็นภาพชัดแจ๋วเลยล่ะ”

คนข้าวเต็มปากยืดอกรับคำชม ผมเทชาเขียวให้พี่พีทเพิ่ม เทให้ตัวเองด้วย ระหว่างนั่งจิบชาเขียวเย็นๆ ก็นึกถึงอาการเมื่อกี้ของคนที่บอกไปห้องน้ำ แล้วเหลือบมองพี่พีท

อย่าบอกนะว่ามันเห็นพี่พีทเป็นคู่แข่ง?

ผมส่ายหน้าทันที คิดเข้าไปได้ยังไง

“ว่าแต่เราล่ะ สนใจพ่อหมาป่านั่นหรือเปล่า?”

ผมคลึงแก้วในมือเล่น ชั่งใจอยู่นานว่าจะแย้มบอกดีหรือเปล่า รายนี้แค่พูดไปสั้นๆ ก็เข้าใจผมแล้ว คิดไปคิดมาก็เลือกประโยคอ้อมโลกสุด แต่สื่อความหมายชัดที่สุด   

“เขาเหมือนเดซี่”

“เหมือนพี่เคยได้ยินเราพูดแบบนี้มาก่อน เมื่อไหร่นะ?”

อย่าพึ่งนึกออกเลย แต่ฟ้าไม่เมตตา ไม่สิ สมองพี่พีทไม่เมตตาต่างหาก

“อ้อ เด็กคนที่ทำขนมฝากแม่มาให้เราบ่อยๆ”

ผมจิบน้ำเงียบๆ พี่แกคลี่ยิ้มน่าหมั่นไส้

“คนเดียวกันล่ะสิ”

“แล้วแต่พี่จะคิด”

“ตอบแบบนี้คนเดียวกันชัวร์…แล้วคนสำคัญเมื่อตอนนั้น ยังสำคัญในตอนนี้อยู่หรือเปล่า”

“สำคัญสิ เพื่อนกันนี่”

“เพื่อนสินะ” น้ำเสียงล้อเลียนชะมัด

“แปลกตรงไหนล่ะ”

“ไม่แปลก” พี่พีทพูดเสียงสูง “แต่ถ้าเขารู้ว่าเราเก็บข้อ…อุ๊บ”

“กินไปเงียบๆ แล้วก็เหยียบเรื่องนั้นให้มิดด้วย!”

พี่พีทไม่เดือดร้อน เคี้ยวไส้กรอกหน้าตาเฉย แถมส่งแววตาล้อเลียนให้อีกต่างหาก

ผมพ่นลมหายใจ วางตะเกียบลงทีเดิม เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากพูดให้ฟัง

ผมโดนพี่แกสะกิด พยักเพยิบหน้าให้มองไปด้านหลัง เลยเอี้ยวตัวมองด้วยความสงสัย เจอผู้ถูกกล่าวถึงกำลังมองตรงมาด้วยสีหน้านิ่ง ยากเดาอารมณ์ แต่ที่ผมโล่งใจมากสุดคือระยะห่างมันมากพอ พาร์ไม่ได้ยินพวกผมคุยกันแน่ๆ

“ดูไว้” ผมสะดุ้งเมื่อโดนกระซิบข้างหู “นั่นคืออาการหึงหวง แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไม่มีสิทธิ์ เลยต้องอดทน”

ผมรับฟังเงียบๆ ก่อนรู้สึกโดนพี่แกลูบหัวอย่างเอ็นดู

“พี่เข้าใจว่าเราจะทำอะไร แต่ก็แอบสงสารพ่อหมาป่าตรงนั้น เพราะงั้นอย่าแกล้งเขาให้มากนักล่ะ จิ้งจอกน้อยของพี่”

“อย่างพี่มีสิทธิ์มาพูดเตือนด้วย?”

แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ “ก็ไม่มี แต่พี่ไม่อยากให้ใครบางคนเสียใจ เพราะงั้นอย่ามัวชักช้าล่ะ”

หลังพี่พีทผละออก ผมก็หันไปสบตาพี่แก

“ผมชอบช้าๆ ชัวร์ๆ และมั่นใจกับทางที่เลือกมากกว่า ยิ่งกับเส้นทางนี้พี่ก็รู้ว่ามันไม่ง่าย”

แววตาพี่พีทสั่นไหว ก่อนจะกลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“…พูดถึงเรื่องนี้พี่ยังกลัวอยู่เลย”

“ผมก็กลัว แล้วถ้าหลานคนโตอย่างผมคบผู้ชาย คุณย่าพิโรธได้โผล่ให้เห็นอีกรอบแน่นอน”

พูดไปแล้วก็แอบเสียวสันหลังวาบ ภาพในความทรงจำยังชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนบ้านที่ปลอดภัยมาตลอดกำลังจะถล่ม ได้แต่ซุกเดซี่หลบอยู่มุมห้องด้วยความกลัวจนตัวสั่นระริก ขนาดพี่พีทโตกว่าตั้งหลายปี ดันมาติดร่างแหวันระเบิดลง ก็ยังมาเบียดกอดผมแน่นเลย 

พี่พีททำหน้าเหยเก “เอ่อ สิทธิ์ของทีอยู่ที่ใครมากกว่ากัน? น้าอรรถ หรือว่า…”

“ลุกนิก” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด “พ่อเซ็นต์ยกทีให้ลุงนิกตั้งแต่ทีเกิดแล้ว ชื่อผู้ปกครองแท้จริงเลยเป็นชื่อลุงนิก ถึงลุงไม่อยู่ในประเทศ พวกเอกสารต่างๆ ของทางโรงเรียนก็ให้พ่อเซ็นต์แทนได้ เพราะนามสกุลเดียวกัน”

“ฟังดูน่าเสียใจ แต่ไม่ยักเห็นเราเสียใจ”

“ทำไมต้องเสียใจ? พ่อไม่ได้ไม่ต้องการที ลุงนิกก็ไม่เคยให้ทีเรียกพ่อ พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ ผู้ปกครองก็คือผู้ปกครอง จะยุ่งยากก็แค่เรื่องกฎหมายเท่านั้นแหละ”

พี่พีทยิ้มแห้ง “งั้นพ่อหมาป่าที่กำลังเดินมาจะขบหัวพี่ได้เจอปัญหาใหญ่แล้ว”

ผมพยักหน้า “ทีเองก็ต้องเสี่ยงหลายเรื่อง ถ้าไม่มั่นใจล่ะก็ ทีไม่ยอมเลือกทางนี้แน่”

“แม้คนนั้นจะเป็นคนที่ชอบ?”

“ชอบเรอะ” นึกแล้วก็ยิ้มขำ “จะใช่หรือเปล่ายังไม่แน่ด้วยซ้ำ เพราะถ้าใช่จริงๆ ผมจะเปลี่ยนความคิดหลังจากเกิดเรื่องคุณย่าองค์ลงทำไม แล้วก็…คงคบผู้หญิงไม่ได้หรอกนะพี่”

“ลุงนิกของนายยังคบผู้หญิงก่อนผู้ชายได้เลย”

ผมยักไหล่ “ไม่รู้สิ เรื่องแบบนี้ให้เวลาพิสูจน์ไปเถอะ”

“งั้นพี่ขอถามอีกข้อ” พี่พีทลดเสียงลง “ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ทีจะให้โอกาสแบบนี้ไหม?”

ผมลดเสียงตาม ให้พี่พีทได้ยินคนเดียว

“ไม่มีทาง”

พี่พีทส่งสัญญาณว่าหมาป่าดำเข้าใกล้เกินกว่าจะคุยเรื่องเดิมกันได้ เลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเรื่องอื่นไม่ถึงสามประโยคก็ต้องชะงัก เมื่อคนพึ่งเดินมาถึง ดึงแขนผมให้ลุกขึ้นยืนกะทันหัน สีหน้าเคร่งเครียดมาก

“อะไร?”

“ไปกับกูหน่อย”

############
ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปโดยไม่ได้มาบอก แต่คิดว่าน่าจะเข้าใจกันเนอะว่าเราหายไปเพราะอะไร
ป.ล.พรุ่งนี้เราจะมาลงชดเชยให้อีกตอนนะคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 22-10-2016 14:36:06
สู้ๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 22-10-2016 16:21:18
พาร์หึงแรงอ่ะ 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 22-10-2016 16:25:54
พี่พีทขี้แกล้งอะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-10-2016 16:58:13
หมอพีท ทำให้พาร์ ออกอาการหึงซะแล้ว
ที เป็นพี่ที่เยี่ยมมาก สอนน้องดูแลน้อง
อืมม.....เห็นอนาคตพาร์ เลย
ว่าถ้าเป็นแฟนกับพาร์ พาร์คงกลัวเมี...น่าดู
แต่พาร์ นี่ขี้หึงมากกกก ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกัน
หึงตั้งแต่ที โดนหอมแก้ม ทีสั่งอาหารให้
และที่บอกพนักงานให้เบรก ให้หมอทีกินข้าว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-10-2016 18:55:34
 o13 รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-10-2016 20:11:16
หมานี่หวงของสุดๆ 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 22-10-2016 20:22:40
น่ารักมาก หมาป่าหึงสุดๆแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-10-2016 21:05:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 22-10-2016 21:15:40
นทีนี่ให้ความรู้สึกเคะราชินีมากเลยค่ะ I can control everything ประมาณนี้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 22-10-2016 21:21:04
พาร์มีอาการตามที่พี่พีทพูดว่า

“แฟนอนาคตของเจ้านั่นคงลำบากไม่น้อย เพราะนอกจากขี้หึงแล้ว ยังขี้หวงไม่เบา พี่ขอทำนายว่าถ้าโดนจับตัวได้แล้ว พ่อหมาป่าดำไม่มีทางปล่อยหลุดมือไปไหนแน่ๆ แถมยังไล่ฆ่าเห็บหมัดที่ตามเกาะแกะตายเรียบ”

 :hao3:    :hao3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 22-10-2016 21:22:51
โอ๊ยชอบบบบบบ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่22] P.6 (22/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-10-2016 01:04:38
ว้าย พาร์หึงเลย พี่หมอพีทก็น่ารักอ่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 23-10-2016 14:27:20

บทที่ 23

“ลุก!”

ผมยังนั่งเฉย แม้ว่าข้อมือโดนกำแน่น “ไปไหน?”

พี่พีทส่ายหน้าใส่หลังเห็นผมทำตัวไม่ทุกข์ร้อน ขัดกับอารมณ์คุกรุ่นของพาร์สุดๆ

“อย่าพึ่งถาม”

“เขาชวนแล้วก็ไปสิ”

พี่พีทพูดขัดด้วยรอยยิ้ม คีบอาหารเข้าปาก ชมดูพวกผมด้วยแววตาสนอกสนใจ แต่สงสัยพาร์จะตีความสีหน้าพี่พีทผิด ถึงได้บีบข้อมือแรงกว่าเก่าจนผมเผลอนิ่วหน้าเพราะเริ่มเจ็บ

“จะพาไปดูสองสาว ลุกได้ยัง”

ถ้ามันพูดคำนี้ตั้งแต่แรก ผมคงเชื่อ รีบลุกไปดูน้องอย่างไว แต่พอได้ยินตอนนี้ความเชื่อว่าน้องจะเกิดเรื่องต่ำยิ่งกว่าสิบเปอร์เซ็นต์อีก ผมหันไปสบตาพี่พีทเป็นเชิงขอความเห็น พี่แกกำลังกลั้นขำจนตัวสั่น พยักหน้าสองทีช่วยยืนยัน พาร์น่าจะพยายามแยกผมกับพี่พีทออกจากกันอยู่

…ไร้ลูกเล่น มีแต่ลูกตรง สมเป็นมือใหม่แกะกล่องจริงๆ ครับ   

“น้องเป็นอะไร?” ผมแกล้งถามกลับ

พาร์อ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่ชะงักไป “…กูอธิบายไม่ถูก มึงต้องไปดูเอง”

พี่พีทแอบยกนิ้วชมว่าเริ่มใช้ได้ แถมยังกวักมือไล่ผมให้รีบไปอีกต่างหาก

ครับๆ ไปก็ไป 

ผมยอมลุกไปใส่รองเท้า พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนทั้งคู่กำลังส่งสายตาฟาดฟันกันพอดี ประหนึ่งเหมือนเห็นน้องหมาสองตัวกำลังข่มขู่ขับไล่ผู้รุกรานอาณาเขต ผมดันตัวขึ้นยืนก็แล้ว กอดอกมองเงียบๆก็แล้ว ไร้คนสนใจ สุดท้ายคนยืนมองอย่างผมก็หมดความอดทน

“จะไปดูน้องไหม? ถ้าไม่กูจะได้กลับไปนั่ง”

“ไป!”

ไม่พูดเปล่า คว้าข้อมือผมดึงตัวไปทันที มันพาผมมาหยุดตรงผนังกระจกใส กลายเป็นผมที่อึ้งบ้าง ไม่คิดว่าจะพามาส่องดูน้องจริงๆ

“ลุงร่างท้วมที่นั่งกับน้องๆ คือใคร?”

ผมนึกเอะใจ รีบกวาดตามองหาสองสาวจนเจอ น้องๆ กำลังเฮฮากับชายลักษณะตามที่พาร์ว่า ใบหน้าคุ้นตาผมมาก แถมบนโต๊ะยังมีอุปกรณ์ทานอาหารของคนที่4 แต่ตัวเจ้าตัวไม่อยู่ คาดว่าน่าจะไปห้องน้ำ ผมเคาะนิ้วกับกระจกอย่างครุ่นคิด

“นอกจากลุงร่างท้วม ยังมีอีกคน เป็นเด็กผู้หญิงวัยไล่เลียกับสองสาวใช่ไหม?”

“…ใช่”

จะตอบเสียงแผ่วไปไหน

ผมถอนหายใจ “กูว่ามึงรู้คำตอบอยู่แล้ว”

พาร์เงียบไปเลยครับ ผมสังเกตสีหน้าเพื่อนสักพักก็ได้ข้อสรุป มันรู้คำตอบอยู่แล้ว (ไม่แน่ใจว่าด้วยวิธีไหน) ก็แค่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างแยกผมออกห่างพี่พีท แต่การที่ผมโดนลากมาตรงนี้กลับทำให้ได้รู้ความจริงบางอย่าง

พ่อโกหกครับ ไม่สิ เรียกว่าชักจูงให้เข้าใจผิดประเด็นดีกว่า

ลุงรันต์น่าจะขอความช่วยเหลือจากพ่อจริงๆ แต่เรื่องนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม อืมม...ไม่สิ ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องลูกค้ายกเลิกเรื่องแต่งคอสเพลย์จริงเท็จแค่ไหน บางทีอาจเป็นลุงรันต์เองที่กั๊กกิจกรรมนี้ไว้ให้ครอบครัวผม เพื่อให้ลูกสาวคนเล็กได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนวัยเดียวกันบ้างก็ได้

ผมไม่โกรธที่โดนหลอก เพราะตัวลุงรันต์มีเหตุผลของตัวเอง พ่อก็ด้วย ผมมองชายร่างท้วมเจ้าของร้านแห่งนี้ด้วยแววตาอ่อนลง ก่อนพลิกตัวหันหลังพิงกระจก ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ผมขอเล่าเรื่องลุงรันต์ให้ฟังหน่อยนะหน่อย ลุงรันต์มีปัญหาด้านสุขภาพเลยมีลูกไม่ได้ จนป่านนี้ก็ยังครองตัวโสด แต่มีลูกบุญธรรมถึงสาม คนโตคือพี่พนักงานที่ออกมาต้อนรับและพาพวกผมไปส่งถึงเสื่อ คนที่สองน่าจะยุ่งอยู่ในครัว น้องญาเป็นคนที่สาม สามพี่น้องบ้านนี้มีเบื้องหลังแสนเศร้าหมด มาพูดถึงน้องญากันดีกว่า เธอประสบเหตุเมื่อสองปีก่อน จิตใจโดนกระทบอย่างรุนแรง หลังฟื้นที่โรงพยาบาล เธอก็กลายเป็นเพียงตุ๊กตาที่ยังมีลมหายใจ

การรักษาน้องญาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โชคดีที่มันได้ผล แม้จะใช้เวลานานแต่เธอค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ น้องญาพึ่งได้ออกมาใช้ชีวิตนอกโรงพยาบาลเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้เรียนหนังสืออยู่บ้าน (หมอยังไม่อนุญาตให้ไปโรงเรียน เนื่องจากสภาพแวดล้อม รวมไปถึงเรื่องเพื่อนสำหรับน้องญาถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะมันส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจโดยตรง) ที่ลุงรันต์เลือกน้องผม คงเห็นว่าเหมาะสมพอให้ลูกสาวเริ่มต้นเรียนรู้ถึงการมีเพื่อนสักคนล่ะมั้งครับ

“…แล้วมึงจะลูบหัวกูเล่นอีกนานไหม?”

ผมเอ่ยถามในที่สุด เห็นผมนิ่งเงียบตั้งนานก็ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวนะครับ แล้วนี่โดนลูบหัวไม่พอ ยังโดนถูแก้มอีก แต่พาร์ไม่ตอบ เหมือนไม่ได้ยิน ผมเลยพูดอีกประโยค     

“ขัดถูไปก็ใช่ว่ากูจะให้เลขเด็ดมึงได้”

“ก็ไม่ได้จะขอเลข” พาร์พูดสวนทันที มือยังไม่ยอมหยุด

“อ้อ จะขอพรสามข้อ?”

ผมประชดตัวเองเป็นตะเกียงที่ขัดถูแล้วจะมียักษ์โผล่ออกมาให้พรสามประการ

พาร์ชะงัก “…ถ้าให้กูก็เอา”

ไม่ค่อยเลยนะมึง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมีมากกกว่า ขอลองเล่นด้วยสักตั้งเถอะ

“ขอน่ะง่าย แต่จะให้ไหมต้องดูตามความเหมาะสม”

พาร์เลิกคิ้วสูง น้ำเสียงประหลาดใจ “สรุปคือมึงจะให้”

“ฟังชัดๆ อีกที พูดขอได้ แต่จะให้ไหมอีกเรื่อง”

พาร์ทำหน้าครุ่นคิด ผมปลดมือมันออกจากหัวจากแก้ม แล้วยืนรอว่ามันจะพูดขออะไร

“ได้สามข้อใช่ไหม”

“เออ”

“งั้นเรื่องแรก…สร้อยข้อมือ คืนนี้กลับไปเลือกกัน”

“ฮะ? สร้อยข้อมืออะไรวะ?”

“พี่ดินพูดอะไรไว้ล่ะ”

“อ้อ แต่มึงพูดผิด ต้องเป็นกำไลต่างหาก พี่ดินให้เปลี่ยนแล้ว”

“นั่นแหละ เลือกคืนนี้ พรุ่งนี้เอาไปสั่งทำเลย จะได้เสร็จเร็วๆ”

ผมรู้สึกตงิดในใจ เหมือนคำขอนี้มีอะไรแอบแฝง “...ต้องรีบขนาดนั้นเลย?”

พาร์พยักหน้า เห็นผมมองนิ่งจึงเสริมอีกประโยค “ขืนได้ช้า เจอพี่ดินลงโทษกูไม่รู้ด้วย”

ผมยิ้มแหยง ไม่ค่อยอยากเจอบทลงโทษจากพี่แกเลยครับ แค่เรื่องวันนี้ก็ทำผมเข็ดไปอีกนาน

“ได้”

สีหน้าพาร์ดูสดชื่นทันตา จนผมต้องหรี่ตาลง ต้องมีอะไรสักอย่างในคำขอแน่ๆ

“งั้นมาเรื่องที่สอง เป็นคำถาม มึงจะตอบกูไหม”

“ต้องดูก่อนว่าถามเรื่องอะไร” ผมระวังตัวมากขึ้น

“หอมแก้ม…”

พาร์งึมงำเสียงแผ่ว ผมสิสะดุ้งเลย นึกกลัวมันถาม หอมแก้มได้ไหม

“ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นหอมแก้ม?”

ผมพ่นลมหายใจโล่งอก หลังได้ยินคำถามเต็มประโยค เหลือบสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาบอกชัดว่าไม่ชอบใจสุดๆ ของคู่สนทนา

“…มันเป็นธรรมเนียมของบ้านกู” ตอบอย่างนี้คงดีที่สุด

“ธรรมเนียมอะไร”

“อยากรู้ลองสังเกตเอาเองสิ”

พาร์มองผมตาขวางทันที ผมยักไหล่ให้ ที่จริงมีวิธีง่ายกว่านี้อีก แค่เดินไปถามคนในครอบครัวผมก็ได้คำตอบแล้วครับ

“เรื่องที่สามล่ะ?”

“ติดไว้ก่อน”

“อย่านานล่ะ เกิดกูลืม มีอดแน่นอน”

ผมเดินผละจาก เตรียมกลับที่เดิม แต่โดนคว้าแขนไว้

“จะไปไหน?”

“กลับเสื่อสิ”

โอ๊ะ…พูดแค่นี้ หมาป่าดำก็ทำหน้าหงุดหงิดแล้ว   

“ไปเดินเล่นกัน” ผมยังไม่ทันอ้าปากก็โดนดึงตัวไปทางประตูกระจก “ช่วยพาชมสถานที่ให้คนพึ่งมาครั้งแรกรู้จักหน่อย”

ไปเดินดูคนเดียวก็ได้เหอะ!

ก็ได้แต่พูดในใจ เพราะอีกใจหนึ่งอยากสังเกตอาการพาร์อีกสักหน่อย เลยยอมเดินตามแรงดึงอย่างว่าง่าย แต่ขึ้นไปบนดาดฟ้าไม่ถึงห้านาที พาร์ก็ดึงผมลงมาข้างล่าง ตรงเข้าห้องน้ำแบบมึนๆ เข้ามาแล้วก็ยืนจ้องหน้ากันไม่เลิก

“มองหน้าทำไม? กูไม่ได้ปวดหนักแบบมึง ไปทำธุระส่วนตัวให้เสร็จไป๊”

ผมเอ่ยปากไล่ มองสีหน้าเหมือนคนท้องผูกอึไม่ออกของมันแล้วย่นหน้า หรือผมควรไปร้านขายยาซื้อที่สวนทวารมาให้มันใช้ดี หมาป่าดำท่าทางอารมณ์เสียพิกล จนคนในห้องน้ำชายที่มีเพียงคนเดียวถึงกับรีบทำธุระส่วนตัว ก่อนเผ่นหนีอย่างไว

“ที”

ไม่เรียกเปล่า มีดึงตัวผมเข้าไปหาอีก

อะไรวะ?

ช่องว่างระหว่างกันลดลงจนแทบไม่เหลือ รู้ตัวอีกทีก็โดนรวบไปกอดทั้งตัว เป็นอ้อมกอดรัดแน่น แต่ไม่อึดอัด ได้กลิ่นเหงื่อปนมาจางๆ ผมรู้สึกแปลกๆ จนต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากัน

“เรื่องที่สาม ขอกอดหน่อย”

คิ้วกระตุกเลยครับ มันเล่นกอดแล้วค่อยขอ ฉลาดมาก (ประชด) ก่อนสะดุ้งเฮือก ตบหลังพาร์หนึ่งทีเป็นการเตือน มันก็ยังไม่หยุด

“พาร์! มือน่ะนิ่งๆ ไม่ต้องมาลูบบั้นท้ายกู!”

“มึงต่างหากต้องอยู่นิ่งๆ” พาร์เถียงกลับมาไม่พอ มือยังลูบอยู่นั้น แถมบ่นงึมงำ “แม่ง ไอ้บ้านั่นก็มองจริง”

เดี๋ยวนะ…นี่มันกำลังหึงเรอะ!

ผมนึกทบทวนพฤติกรรมแปลกๆ ของพาร์อีกรอบ ทั้งลูบหัว ถูแก้ม แล้วยังลูบบั้นท้ายอีก คิดแล้วก็เบ้ปากกับพฤติกรรมล้าง ไม่สิ ลบสัมผัส เรียกว่า 'หึง' คงไม่ใช่ ใช้คำว่า 'หวง' เหมาะสมกว่าเยอะครับ แต่ผมไม่ได้โดนลวนลามซะหน่อย แค่โดนคนเมามองบั้นท้ายตาปรอยเองน่ะโว้ย มันใช่เรื่องที่ต้องเอามาใส่ใจไหม

‘นอกจากขี้หึงแล้ว ยังขี้หวงไม่เบา’

ถ้าผมได้ยินพี่พีทพูดประโยคนี้อีกครั้ง คงได้แต่สงบปากไร้คำโต้แย้งใดๆ แต่เรื่องนี้กับเรื่องที่มันกำลังทำไม่เกี่ยวกันซะหน่อย

“หยุดเลยนะมึง! แล้วปล่อยกูด้วย!”

แต่พาร์ล็อกตัวผมแน่น ดูท่าจะไม่เลิกง่ายๆ จนกว่าตัวมันจะพอใจ ผมเลยพูดโพล่งไปอีกประโยค

“นี่มึงกำลังเข้าข่ายลวนลามกูอยู่นะ ช่วยรู้ตัวหน่อย”

ชะงักเลยครับ ขอบคุณที่คำพูดแรงๆ ยังพอใช้ได้ผล

“เฮ้ย!”

ผมผลักตัวคนบีบก้นตัวเองออก รีบถอยหลังสร้างช่องว่างแล้วนิ่วหน้ามองอาการเพื่อนที่นับวันก็ยิ่งพิลึกขึ้นทุกที พาร์กำลังก้มหน้ามองมือตัวเอง กำๆ แบๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนแก้มมันจะขึ้นสีให้เห็นแค่แวบเดียว (ก็เล่นหมุนตัว หันหลังให้ผม จะเห็นมากกว่านี้ได้ไง)

ผมกลืนคำด่าลงท้องหลังหวนนึกถึงเรื่องสมัยมัธยมต้น เพื่อนผมคนหนึ่งกำลังยกไม้ยกมือเล่าฉากในเกมอยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงพุ่งมาจากไหนไม่รู้ ด้วยความตกใจเพื่อนคนนั้นเลยยกสองมือขึ้นป้องกันตัว กลายเป็นได้จับหน้าอกผู้หญิงครั้งแรกแบบไม่ได้ตั้งใจ แม้รู้ตอนหลังว่าเธอสะดุดล้ม แม้โดนสาวเจ้าตบหน้าหันผละจากไปนานแล้ว มันก็ยังกำๆ แบๆ มือไม่เลิก แถมยังพูดเพ้อถึงหน้าอกที่พึ่งได้สัมผัส

พาร์ไม่ได้มีนิสัยเหมือนเพื่อนผมคนนั้นหรอก แต่ผมรู้สึกเหมือนนี่เป็นครั้งแรกที่มันทำแบบนี้... 

แว่วเสียงเด็กร้องไห้ปานขาดใจจากด้านนอก ผมหันมองทางประตูด้วยความสงสัย พาร์เดินไปเปิดแล้วครับ พอไม่มีประตูกั้น ก็ได้ยินเสียงร้องถนัดหูมากกว่าเดิม ผมกับพาร์มองหน้ากัน ก่อนเร่งฝีเท้าออกมาดูสถานการณ์ด้านนอก

“อ๊ะ นั่นไงๆ พี่ๆ ไปเข้าห้องน้ำกันต่างหาก ไม่ได้ทิ้งเราสักหน่อย”

เสียงลุงรันต์ที่อุ้มน้องอันอยู่พูดนำขึ้นมาก่อนใคร ก่อนผมทันได้เห็นกลุ่มคนยืนออกันอยู่ครบองค์ประชุมด้วยซ้ำ

เจ้าตัวเล็กผงกหัวขึ้นมามอง ตาแดงจมูกแดง “พี่”

น้องอันร้องเรียกทั้งน้ำตา ดิ้นจะลง ลุงรันต์ปล่อยตัวลงพื้นแทบไม่ทัน น้องวิ่งมากอดผม ร้องให้อุ้มอย่างเดียว พอผมอุ้มปุ๊บก็กอดรอบคอผมแน่นปั๊บ

พ่อแม่ส่ายหัว แววตาคาดโทษเล็กๆ ผมยิ้มแห้งส่งให้ ก่อนสายตาสะดุดเด็กผู้หญิงที่ยืนใกล้ๆ สองสาว…น้องญา ไม่ได้เห็นหน้าพักใหญ่ สีหน้าดูสดใสมีความสุขกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันมาก เห็นแบบนี้ผมก็โล่งใจ ฉายาเด็กหญิงตุ๊กตาคงได้ฤกษ์โยนทิ้งลงถังขยะอย่างถาวรสักที

ครอบครัวเราเอ่ยขอโทษลุงรันต์ที่ทำให้ภายในร้านวุ่นวาย ลุงรันต์ไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ แต่พวกเรารู้สึกแย่ แถมเจ้าตัวเล็กยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด เลยต้องขอตัวกลับก่อน น้องอันเกาะติดผมหนึบ พอขึ้นรถไม่นานก็หลับ สงสัยร้องไห้จนเหนื่อย

พาร์คงเห็นเป็นจังหวะดีเลยเอ่ยถามเสียงเบา “ทำไมจู่ๆ น้องอันถึงร้องไห้”

ผมก้มมองน้องหลับปุ๋ยในอ้อมแขน “กูเดานะ เจ้าตัวเล็กคงนึกว่าโดนพวกเราทิ้ง”

พาร์ทำหน้าไม่เข้าใจ ผมเลยช่วยขยายความ

“หมายถึงหนีกลับก่อน”

“อ้อ แล้วทำไมน้องอันคิดแบบนั้น?”

“เพราะไม่เห็นพวกเรารอที่เสื่อล่ะมั้ง”

“แค่ไม่เห็นก็คิดในทางนั้นแล้ว?”

“…ประมาณปีที่แล้ว เจ้าตัวเล็กดื้อ เรียกให้กลับบ้านก็ไม่กลับ จะอยู่เล่นท่าเดียว กูเลยบอกน้องว่าถ้าอีกครึ่งชั่วโมงยังไม่กลับมาหา กูจะกลับก่อน พอครบเวลาน้องไม่มากูเลยไปข้อความร่วมมือจากพี่นัย เอ่อ ลูกชายลุงรันต์ที่เป็นพนักงานในร้าน ก่อนหนีไปแอบที่ดาดฟ้า รอเจ้าตัวเล็กรู้ตัววิ่งพล่านค่อยให้พี่นัยไปคุมสถานการณ์ กูฟังบทสนทนาของพี่นัยกับน้องอันผ่านมือถือตลอด พอได้จังหวะค่อยลงมา เจอหน้ากันปุ๊บก็เหมือนเมื่อกี้ เกาะติดหนึบไม่ยอมปล่อย”

“…ความผิดกูสินะ”

ผมเหลือบมองคนขับรถ ก่อนถอนหายใจ

“ไม่เชิงหรอก แต่สาเหตุจริงๆ อาจเพราะกูมากกว่า ก่อนเจ้าตัวเล็กไปเล่น เข้าใจว่าโดนพี่ชายโกรธนี่น่ะ ถึงยืนยันว่าไม่โกรธ แต่จู่ๆ พี่ชายหายตัวไป น้องคงนึกว่าโดนพี่โกรธแน่ๆ เลยโดนทิ้ง…อ๊ะ”

จังหวะนั้นผมมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้าหลายวันเข้าพอดี ผมไม่ได้แปลกใจถ้าเพื่อนจะมาเที่ยวกลางคืน ยิ่งแถวนี้สถานที่เที่ยวกลางคืนมีให้เลือกเยอะมากด้วย บังเอิญเจอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“มีอะไร?”

“เปล่าแค่เห็นเพื่อนเฉยๆ”

“ใคร?”

“เพื่อนกลุ่มกูที่มหาลัย...คนที่โยนฉลากลูกสาวคณะมาให้”

ผมหันไปมองอีกที ทั้งกลุ่มมีประมาณแปดคนได้ การแต่งตัวหรือท่าทางมองแปบเดียวก็รู้ว่าเป็นเกย์ออกสาวกับชายใจหญิง หน้าไม่คุ้นเลยสักคน ที่แย่กว่านั้นเด็นกลมกลืนไปกับกลุ่มนั้นมาก ผมละสายตาหลังรถที่ติดเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง

“ถอนหายใจทำไม?”

“ก็...บอกไม่ถูกวะ” ผมตอบพาร์ “เหมือนเพื่อนกูเลือกทางเดินให้ตัวเองแล้ว แต่เป็นทางที่กูเคยขัดขวาง”

“ขัดใจ?”

“เปล่า...แค่รู้สึกกังวลแทน” ผมหยุดพูดไปครู่หนึ่งก็พูดต่อ “อาจเพราะกูมีส่วนทำให้มันเดินทางสายนี้ด้วยล่ะมั้ง เลยรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ” 

“จะเอาตัวเองไปเกี่ยวทำไม” พาร์ตำหนิ “มึงไปบังคับให้เพื่อนเลือกทางสายนี้เหรอ?”

“เปล่า”

“งั้นมึงควรจะปล่อยวาง”

ผมหัวเราะเบาๆ “กูปล่อยวางตั้งแต่รับปากสามีมันว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้แล้ว แต่...แค่รู้สึกว่ามันคิดน้อยไปหน่อย ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เสียใจทีหลัง”

“ถือซะว่าปล่อยให้เรียนรู้เอาเอง”

ผมหันมองพาร์ครู่หนึ่ง “มึงนี่ พอเป็นเรื่องคนอื่นก็ใจร้ายเอาเรื่องนี่หว่า”

“กูเลือกแคร์เฉพาะคนที่ควรแคร์ด้วยเท่านั้น ไม่งั้นปวดหัวตาย”

“มึงพูดก็ถูก”

พาร์งึมงำอะไรสักอย่าง แต่ผมจับใจความไม่ถนัด รู้แต่ว่าพูดเกี่ยวกับผม เพราะได้ยินคำว่ามึง เลยหันไปมอง เห็นแก้มมันขึ้นสี ผมก็ไม่กล้าถามซ้ำแล้วครับ

ภายในรถเกิดความเงียบตลอดทางจนกระทั่งกลับถึงบ้าน แต่ก่อนลงจากรถพาร์กลับทิ้งท้ายอีกประโยค

“ที่กูพูดก่อนหน้านี้ กูพูดจริง”

...โทษเถอะ กูได้ยินไม่ชัดวะ

-------------

“อันมานอนกับแม่ดีกว่า”

“ม่ายย อันจะนอนกับพี่!”

“งั้นปล่อยพี่ไปอาบน้ำก่อน”

“ม่ายยย!”

ผมถอนหายใจก้มแกะมือเล็กออกจากขา จับตัวน้องในชุดนอนอุ้มตัวลอยไปวางบนโซฟาข้างแม่ เจ้าตัวเล็กเบะปากตั้งท่าจะระเบิดน้ำตาอีกรอบ

“รอพี่ตรงนี้ อาบน้ำเสร็จแล้วพี่จะลงมารับ ห้ามงอแง ห้ามลุกไปไหน ถ้าทำไม่ได้คืนนี้อันนอนคนเดียว เข้าใจไหมครับ”

น้ำตาหยดแหมะๆ แต่ก็พยักหน้ารับ

“ดีครับ” ผมลูบหัวน้อง “เดี๋ยวพี่มา”

ผมเดินขึ้นชั้นสอง กำลังจะเข้าห้องตัวเองก็เห็นพาร์เดินตามหลังมา ดูสีหน้าก็รู้ว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย

“อะไร?”

“เรื่องกำไลข้อมือ”

“อ้อ ไม่ลืมหรอก แต่ขออาบน้ำก่อน”

ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว เสร็จเรียบร้อยก็เหลือบมองเวลา เหลือเวลาอีกสิบหานาที พอไหว ดึงแฟ้มกำไลมาเปิดดูผ่านๆ แบบไหนถูกชะตาก็ดึงโพสอิทแผ่นจิ๋วแปะลงไป กว่าพาร์ที่เข้าไปอาบน้ำต่อจากผมออกมา ผมก็ปิดแฟ้มวางบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้ว

“กูคัดเลือกไว้เรียบร้อย ติดโพสอิทไว้ตรงรูปน่ะ มึงลองดูแล้วกัน ชอบแบบไหนก็เอาวงนั้นแหละ”

ผมเดินไปหยิบหมอนตัวเอง แต่ก่อนจะได้ออกไป กลับโดนคนนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวขวางทาง เลยเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถาม

“จะไปนอนกับน้อง?”

“เออ”

แล้วทำหน้าหงอยทำไม

“เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็กลับมานอนนี่”

สีหน้าดีขึ้นทันตา แต่แววตายังติดสงสัย “พูดจริง?”

“นี่มันห้องกู จะกลับมานอนห้องตัวเองแปลกตรงไหน? แล้วมีอะไรอีกไหม?”

“ไม่”

“งั้นรีบหลบเลย น้องอันอดทนได้แค่ครึ่งชั่วโมง นี่จะครบกำหนดอยู่แล้ว”

พาร์เบี่ยงตัวหลบให้ผมรีบเดินผ่าน แต่พอจะดึงประตูปิดได้สบตากันแวบหนึ่ง

…ไอ้ความรู้สึกผิดนิดๆ นี่มาจากไหน

แต่ผมต้องรีบปิดประตู วิ่งเข้าห้องนอนโยนหมอนลงเตียงเล็ก วิ่งลงไปข้างล่างทันได้ยินเสียงน้องร้องโวยวายอาละวาดของปีศาจตัวน้อย ดูท่าน้องอันคงหมดความอดทนแล้ว แต่ปีศาจตัวน้อยก็หายวับต่อตา ยามน้องหันมาเห็นผม น้องอันรีบโผมาหาให้อุ้ม ท่าทางงอแงหนักกว่าเดิมอีกครับ แต่ไม่แปลกหรอก เลยเวลานอนตามปกติไปนานแล้ว นี่คงง่วงมาก แต่ฝืนไม่ยอมนอนคงรอผมมาหามั้ง

“ทีพาน้องเข้านอนก่อนนะแม่”

“ไปเถอะ แล้วบอกพาร์หรือยังลูก”

“บอกแล้วครับ”

ระหว่างเดินไปขึ้นชั้นสองอีกรอบ ผมก็ตบหลังน้องกล่อมนอนไปด้วย ยัยน้ำที่นั่งหน้ายุ่งกับแม่ก็รีบตามหลังผมมาติดๆ

“พี่ตามใจอันเกินไป” น้ำเสียงไม่พอใจชัดเจน “แล้วพี่ก็ไม่น่าปล่อยพี่พาร์นอนคนเดียวด้วย”

“งั้นเราไปนอนเป็นเพื่อนพี่พาร์สิ”

น้องสาวส่ายหัวขวับๆ “เบอร์บอกว่าช่วงก่อนเข้านอน ถ้าพี่พาร์เข้าห้องแล้วอย่าไปกวน ยกเว้นมีเรื่องจะขอให้ช่วยแบบสมเหตุสมผล ตอนแรกน้ำก็ไม่เชื่อหรอก แต่หลังเจอสีหน้าหงุดหงิดปานจะขบหัวกันไปสองหน น้ำขอบายดีกว่า”

ผมหัวเราะขำ นอกจากหวงพื้นที่ส่วนตัวแล้ว พาร์ยังหวงช่วงเวลาส่วนตัวซะด้วย แต่กับผมไม่ยักเป็น…เพราะผมเป็นเจ้าของห้องมั้ง

วันรุ่งขึ้น น้องอันไม่ยอมไปเรียนหลังรู้ว่าพวกผมหยุดอยู่บ้าน ผมนี่รีบกลับคำพูดแทบไม่ทัน

“พี่แค่ล้อเล่น อันอยู่กินข้าวที่นี่ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน”

ผมรีบวิ่งขึ้นชั้นสอง เปิดประตูเข้าห้องตัวเองปุ๊บผงะปั๊บ ไอ้คนนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเหมือนเมื่อคืนกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงเล่นคอมครับ ฝ่ายนั้นก็ตกใจเหมือนกัน ถึงรีบพับฝาโน้ตบุ้คปิดกะทันหัน ผมรีบดึงประตูห้องปิดกันสองสาวเดินผ่านมาเห็น

“ยังดีที่มึงไม่เป็นชีเปลือยอยู่ในห้อง”

“ใครจะกล้า!”

“อาบน้ำยัง?”

“ยัง”

“งั้นกูอาบก่อน เดี๋ยวเราต้องทำเหมือนไปมหาลัย ต้องไปส่งแม่กับน้องอันด้วย”

“ทำไม?”

“กูบอกแม่ว่าวันนี้หยุดอยู่บ้าน เอารถกูไปใช้ก็ได้ เจ้าตัวเล็กรู้เข้ารีบบอกว่าจะอยู่บ้านด้วยทันที เลยต้องบอกไปว่าล้อเล่น”

ระหว่างเล่าให้ฟัง ผมก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูที่ตากไว้ตรงระเบียง ชะงักเล็กน้อยยามเห็นกางเกงนอนพาร์ตากอยู่ทั้งที่เมื่อคืนไม่มี พอจับดูยังเปียกอยู่เลยครับ แต่ไม่มีน้ำหยดแล้ว ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง เห็นพาร์เปิดฝาโน้ตบุ้คอีกรอบแล้ว ท่าทางจะดูหนังอยู่ล่ะมั้ง ด้วยความติดใจเลยกวาดตาสำรวจเตียง ผ้าปูยังชุดเดิม คงไม่ใช่ฉี่รดที่นอนแน่ งั้นก็เหลืออีกเหตุผล

“ฝันเปียกเหรอเนี่ย”

พาร์ดึงหูฟังออกข้างหนึ่งระหว่างถาม “เมื่อกี้พูดว่าอะไร?”

ผมยักไหล่สื่อว่าช่างมันเถอะ จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่เห็นต้องถามกับเจ้าตัว เพราะเรื่องแบบนี้เป็นธรรมชาติของผู้ชายแข็งแรงสุขภาพดีครับ

พวกผมรีบอาบน้ำแต่งตัวลงมา แม่กับน้องอันก็พร้อมออกจากบ้านแล้ว ส่วนพ่อกับสองสาวน่าจะทานข้าวอยู่ในครัว

“ไปเลยลูก เดี๋ยวแม่สาย พวกลูกค่อยไปหาข้าวเช้ากินนอกบ้านเอานะ”

ผมยื่นกุญแจรถให้พาร์ มันส่ายหัวไม่รับ สรุปผมต้องเป็นคนขับ น้องอันเลยต้องไปนั่งหลังกับแม่ เจ้าตัวเล็กงอนพี่พาร์ แต่คนถูกงอนกลับเอนตัวพิงเบาะหลับตั้งแต่ขึ้นรถ

ผมส่งแม่ลงบีทีเอสที่เป็นทางผ่าน ก่อนขับไปส่งตัวเล็กต่อ หลังออกจากโรงเรียนน้องก็เคว้งเล็กๆ ไม่รู้จะไปไหนดี พาร์ก็หลับได้หลับดี เหมือนอดนอนมาทั้งคืน สุดท้ายผมก็ต้องสะกิดปลุก

“หือ?” เสียงงัวเงียเป็นบ้า

“ไปไหนกันต่อดี? หรือว่าจะกลับบ้านเลย?”

“…ไปซื้อของเข้าบ้านกูก่อน”

มองเวลาเช้าขนาดนี้ นอกจากร้านสะดวกซื้อกับซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิด 24 ชั่วโมง ที่อื่นคงยังไม่เปิด

“หิวยัง? ไปกินข้าวก่อนไหม”

“ยังไงก็ได้”

“งั้นไปกินโจ๊กกัน แถวนี้มีร้านหนึ่งอร่อย ข้างๆ มีร้านข้าวต้มกับร้านน้ำเต้าหูปาท่องโก้ขายด้วย”

“อือ”

พาร์ทำท่าจะหลับอีกรอบ แต่สิบห้านาทีก็ถึงแล้ว ผมเลยชวนคุย “เมื่อคืนไม่ได้นอน?”

“นอน”

“อ้าว ทำไมดูง่วงแปลกๆ”

เหมือนถามจี้จุด พาร์เลยบ่นให้ฟัง “หลับก็ยาก ดันตื่นกลางดึกอีก…ที นั่นเพื่อนมึงหรือเปล่า ที่ยืนอยู่หน้าโรงแรมน่ะ ชื่ออะไรสักอย่างเหมือนยี่ห้อยาสีฟัน”

ผมมีเพื่อนคนไหนชื่อเหมือนยาสีฟันด้วย?

“อ้อ เดนๆ อะไรนี่แหละ”

เกือบได้เหยียบเบรก ดีนะตั้งสติทันเลยขับรถเลยผ่านหน้าโรงแรมไปก่อน แล้วค่อยวกกลับมาจอดฝั่งตรงข้าม ปลดเข็มขัดนิรภัยข้ามครึ่งตัวไปเปิดลิ้นชักรถอีกฝั่ง รู้สึกเหมือนพาร์สะดุ้ง

“ทำอะไร?”

“หากล้องส่องทางไกล”

เจอของที่ต้องการ ผมก็รีบลดกระจกหน้าต่างลงเล็กน้อย ยืดตัวแนบกล้องมองเหตุการณ์จากอีกด้านของถนน

“หน้าโรงแรมใช่ไหม”

“เออ อยู่กันเป็นกลุ่ม มองแล้วแบ่งฝ่ายละสามพอดี”

อย่างที่พาร์พูดมีกันหกคน ทั้งที่ยืนรวมกันแท้ๆ แต่พอมองแล้วแบ่งแยกฝ่ายรุกฝ่ายรับชัดเจนมาก มองแวบเดียวผมก็รู้ว่าเกย์ออกสาวกลุ่มเดียวกับที่เห็นเมื่อคืนแน่ๆ แล้วทำไมเหลือแค่สาม? ผมนิ่วหน้ายามเสื้อสภาพเสื้อผ้าฝ่ายพวกเด็น ไม่เรียบร้อยเลยสักคน แถมบางคนกระดุมน่าจะหายไปหลายเม็ด หน้าก็ดูซีดๆ

“พอแล้วที อันตราย”

พาร์ดึงไหล่ผม จัดการกดเลื่อนกระจกหน้าต่างปิด

“อันตรายยังไง?”

พาร์ขมวดคิ้วเหมือนไม่แน่ใจ “สามคนนั้น…กูว่าน่าจะใช่”

“ใช่อะไร?”

พาร์อ้ำอึ้ง สักพักก็พ่นลมหายใจออกยาวเหยียด “เอาเป็นว่าอันตราย ส่วนเพื่อนมึง...ดูจากรูปการณ์ กูว่าท่าจะซวย ดันไปหลงติดกับพวกตัวอันตรายเข้าซะแล้ว”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 23-10-2016 15:15:26
พี่ทีเหมือนคุณแม่ลูกอ่อนเลย น้องติดมาก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 23-10-2016 16:27:31
ถ้าพี่พาร์เป็นแฟนพี่ทีแล้วต้องยิ่งงอนเข้าไปอีกแน่ๆ เลย เพราะพี่พาร์ก็ห๊วง หวง พี่ที อิอิ

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 23-10-2016 16:32:48
เด็นอีกแล้วววว
ทีดูเป็นคุณแม่มือใหม่ 555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 23-10-2016 18:40:18
เห้อ เพื่อนนี่ตัวภาระของแท้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: waterlily ที่ 23-10-2016 19:00:42
พาร์เอ้ยขี้หวงเกินไปละ  :mew4: :call: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-10-2016 19:43:06
เวรกรรมแท้ๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-10-2016 20:17:38
น้องอัน รักที ติดพี่ที มากกว่าใครในครอบครัว
ขนาดพ่อแม่อยู่ ยังร้องหาแต่ที
พาร์ ก็ติดที มากขึ้น แถมยังติดตากับที
ที่แต่งหญิง จนกางเกงนอนเลอะ
เดน คบเพื่อนใหม่ผิดหรือเปล่า
ที มีเรื่องห่วงเดน เพิ่มอีกแน่เลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 23-10-2016 20:47:37
เกิดอะไรขึ้นนะ พาร์รู้ได้งัยอะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 23-10-2016 21:07:16
ชอบในความหวงความหึงของพาร์ นางน่ารัก555555

หวังว่าเด็นจะไม่สร้างปัญหามาให้ทีทีหลังนะ   :เฮ้อ:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 23-10-2016 21:29:54
พ่อหมาป่าคะ เก็บอาการโหน่ยยยยย ทั้งหึงทั้งหวงนะคะเนี่ย  :hao3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 23-10-2016 23:25:14
น้องอันติดพี่ชายมากๆ เพราะอยู่กับพี่มากเหรอ
แล้วพาร์จริงจังกับที่มากเลยนะนิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-10-2016 10:56:04
ทีเหมือนคุณแม่มากเลยอ่ะ 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 24-10-2016 22:56:20
พาร์...แนะนำจับทีทำเมียก่อนเลย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 26-10-2016 00:41:43
เด็น. อะไร ยังไง ทำไมมีเรื่องมาอีกแล้วว จริง ๆ น่าจะคุยกับเพื่อนให้รู้เรื่องไปเลย เด็นงองแงเกินอะเหมือนที่ทีบอกว่านิสัยไม่เหมือนผู้ชายเข้าไปทุกที. แต่ชอบหมาป่าตอนเปรียบเห็นภาพมาก ตลก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่23] P.7 (23/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-10-2016 01:38:13
น้องอันน่ารัก555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 27-10-2016 10:03:12
บทที่ 24

“ออกรถเถอะ ก่อนฝ่ายนั้นจะรู้ตัว” พาร์ว่า

“…เดี๋ยวกูขับรถวนกลับไป มึงถ่ายรูปทั้งกลุ่มให้หน่อย”

มันนิ่วหน้าเลยครับ

“ก็ร้านโจ๊กที่ว่าต้องไปทางนู้นนี่หว่า ยังไงก็ต้องผ่านหน้าโรงแรมอีกรอบอยู่ดี”

พาร์พ่นลมหายใจ ยอมรับปาก “ก็ได้”

โชคเข้าข้างเราครับ ดูเหมือนแถวหน้าโรงแรมรถติด เพราะมีรถทัวร์กำลังเลี้ยวออกไป จุดที่รถผมจอดอยู่ห่างจากกลุ่มนั้นไม่มาก พาร์เลยแอบถ่ายรูปสบาย ผมก็มองชัดถนัดตาขึ้นเหมือนกัน

“เหมือนกำลังโดนข่มขู่” ผมออกความเห็น     

“สามคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องด้านแบล็คเมล์เหยื่อ…น่าจะใช่พวกนี้ เมื่อคืนกูแค่อ่านผ่านตา”

“อ่านอะไร?”

“บทความแจ้งเตือนตัวอันตรายของชาวเกย์”

ผมแทบหัวทิ่มไปโขกพวงมาลัย “ของชาวอะไรนะ”

“เกย์…”

เหมือนพาร์พึ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกมา รีบหุบปากนั่งนิ่ง ปล่อยผมจ้องแล้วจ้องอีกก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

“มึงเป็นเกย์เรอะ!”

“เปล่า” ตอบแล้วเหลือบมองผม ก่อนงึมงำ “แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ”

ผมนิ่วหน้าหลังได้ยินประโยคหลัง “ดูเหมือนเมื่อคืนมึงไม่ได้แค่ฝันเปียกอย่างเดียว แต่ชักว่าวพิสูจน์ด้วยสินะ”

“ไม่ใช่!” แย้งกลับมาทันที หน้าทะมึน แต่ออกอาการเขินเล็กๆ “แล้วกูก็ไม่ได้ฝันเปียก”

“แล้วซักกางเกงนอนทำไม”

พาร์ออกอาการจะพูดก็ไม่พูด อึกอักอยู่นาน จนถนนข้างหน้าเริ่มไปต่อได้ ผมเลยต้องออกรถ

“…กูยอมรับว่าฝันเปียกก็ได้ แต่ตื่นก่อนจะเสร็จ”

“แล้วมึงก็ว่าวต่อ?”

“เปล่า กูคาใจมาก เลยลุกไปเปิดคอมหาข้อมูล แล้วก็…”

พาร์เงียบไปอีกครั้ง ให้ผมสงสัยถ้อยคำค้างๆ คาๆ ก่อนจะอ้าปากถาม มันก็พูดโพล่งประโยคที่เหลือออกมาก่อน

“ใช้แค่จินตนาการกับแม่นางทั้งห้าเฉยๆ”

“มึงไปค้นหาข้อมูลอะไร?”

ก็พอจะรู้ว่าเกี่ยวกับเกย์แน่ๆ…เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าเรื่องบนเตียง!!

“กูบอกไม่ได้”

“เรื่องบนเตียงใช่ไหม”

“ไม่บอกคือไม่บอก”

ถ้ามันเงียบ ผมยังพอเดาได้ว่าอาจจะจริง แต่เล่นพูดแบบนี้มันก็ไปได้ทั้งด้านใช่และไม่ใช่

“มึงทำกูปวดหัว”

พาร์สวนกลับทันที “เหมือนกัน”

ในรถเงียบไปพักหนึ่ง เป็นผมที่ทำลายความเงียบ “แล้วสามคนที่มึงว่าอันตรายยังไง?”

“…เป็นแบบลูกโซ่”

“อะไรนะ?” ผมถามซ้ำ เพราะได้ยินไม่ถนัด

ได้ยินเสียงพาร์ถอนหายใจ

“พวกมันใช้เหยื่อที่ตกได้แล้วไปหาเหยื่อใหม่ ซึ่งไม่พ้นกลุ่มเพื่อนสักกลุ่ม ประมาณว่าขายความไว้ใจของเพื่อนเพื่อเอาตัวรอด…วิธีการก็วางยาปลุกเพื่อนสามคน แล้วให้พวกมันที่เข้ามาทำทีเป็นเพื่อนต่างกลุ่มอย่างสุภาพช่วยพากลับไปส่งบ้าน แต่ความจริงโดนหิ้วเข้าโรงแรม”

ผมย่นหัวคิ้วเข้าหากัน “หมายความว่าเหยื่อแค่คนเดียว สามารถหาเหยื่อเพิ่มได้อีกสาม?”

“เออ”

“หลังตกเป็นเหยื่อแล้ว ต้องเจอกับอะไรบ้าง?”

“แบล็คเมล์ข่มขู่ เป็นคลิปวิดีโอเรื่องอย่างว่า เท่าที่อ่านมาส่วนใหญ่เหยื่อมักโดนรีดไถเงิน ยกเว้นบางรายที่พวกมันติดใจลีลา ก็ให้ใช้เรื่องนั้นแทนเงินได้ พอพวกมันเบื่อจะให้เหยื่อไปหาเหยื่อใหม่ เหยื่อเก่าก็หลุดพ้น แต่ต้องปิดปากเงียบ เพราะโดนขู่ส่งท้ายว่าถ้าเอาไปแฉ คลิปที่พวกมันสำรองเก็บไว้จะหลุดออกไปในโลกโซเซียล”

“มึงรู้ละเอียดขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีคนออกมาเตือน”

“ใช่ แต่เป็นการเตือนลับๆ ไม่ได้ขยายวงกว้าง และต้องมีรหัสผ่านถึงเข้าไปดูข้อมูลได้”

“มึงมี? ได้มายังไง”

“มีคนให้มา แต่เป็นแบบใช้ได้ครั้งเดียว”

ผมชะลอรถจอดเทียบฟุตบาท “เดี๋ยวค่อยพูดเรื่องนี้อีกที ลงไปกินข้าวกันก่อน”

“ไปซื้อของเข้าบ้านกูด้วย”

“เออ ไม่ลืมหรอก มึงอยากไปซื้อของที่ไหนล่ะ?”

“โลตัสแถวบ้านก็ได้”

-------------

ผมค้นพบความจริงอีกอย่าง…พาร์สมควรถูกจ้างเป็นพ่อบ้านมาก

โปรชัวร์คืออย่างแรกที่มันหยิบ มือถือคืออย่างที่สอง เข้าแอพไลน์พิมพ์คุยสักพัก ก็กดเข้าแอพเครื่องคิดเลข ผมเข็นรถตามต้อยๆ มองพาร์เลือกของ พลิกดูซะทั่ว โดยเฉพาะวันเดือนปีผลิตหรือวันหมดอายุ แถมที่หยิบลงรถเข็นส่วนใหญ่เป็นของลดราคา หรือมีโปรซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง

“บ้านมึงไม่ติดยี่ห้อ?”

“แค่บางอย่าง”

ไล่จากบล็อกของใช้ไปเรื่อยจนจบที่บล็อกของสด

“ไปเลือกสิ”

“ฮะ? ให้กูเลือก?”

“เออ จะซื้ออะไรเข้าตู้เย็นบ้านมึงก็ไปสิ”

ผมร้องอ้อในใจ “แล้วบ้านมึง?”

“อย่าหวังว่าพ่อแม่กูทำอาหารเป็น ยิ่งช่วงนี้แม่บ้านลาไปดูแลแม่ที่ต่างจังหวัด จะกลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ได้เน่าคาตู้เย็นแน่”

“เอ่อ อย่าบอกนะว่าเวลาลุงแทนกับป้าเจนเลิกงานเร็วชอบแวะมาที่บ้านกูนี่…ไม่ได้แวะมาเยี่ยมลูก?”

“แวะมาฝากท้องต่างหาก! สงสัยคงเริ่มเบื่อข้าวนอกบ้านแล้ว”

พาร์ก้มมองมือถือหลังได้ยินเสียงไลน์เข้า ก่อนเงยหน้ามองผมด้วยแววตาลำบากใจ

“พ่อกูฝากมึงทำกับข้าวเก็บเข้าตู้เย็นให้หน่อย”

ผมเลิกคิ้วระหว่างชี้นิ้วใส่ตัวเองเป็นเชิงถามซ้ำ พาร์พยักหน้ายืนยัน

“โทษนะ กูเผลอบอกเขาไปว่าพามึงมาด้วย”

“ไม่เป็นไร เอาแบบเก็บไว้แล้วอุ่นกินได้นะ”

“อือ”

ผมกำลังผละเดินไปเลือกของ ก็โดนเรียกซะก่อน

“ที เดี๋ยวกูจอดรถเข็นไว้แถวนี้นะ”

“จะไปไหน?”

“ดูวัตถุดิบทำขนม…พ่อกับแม่เรียกร้องมา”

 “อ้อ งั้นซื้อเผื่อบ้านกูด้วย”

“อือ”

-------------

ผมเคยมาบ้านพาร์หลายครั้ง ส่วนใหญ่อยู่รอน้องสาวตรงโซฟารับแขก ไม่ก็หน้าบ้าน ยกเว้นครั้งก่อนที่ได้ขึ้นไปชั้นบน ส่วนครั้งนี้ได้มาเยือนถึงห้องครัว ระหว่างหาอุปกรณ์ในครัว ผมก็เห็นพาร์ตามเข้ามา

“อ้าว ไม่เก็บของเหรอ?”

“ขืนเก็บให้ พ่อแม่ได้โทรมาถามกูว่าเก็บไว้ตรงไหนน่ะสิ แล้วมึงกำลังหาอะไร?”

ผมร่ายยาวถึงอุปกรณ์ที่ต้องการ ก็พวกของพื้นฐานในการทำครัว แต่กลายเป็นว่าพาร์ต้องมาช่วยผมหา

“มึงไม่เคยทำอาหารในบ้านตัวเอง?”

“ทำแต่ขนม”

แต่ผมว่ามันน่าจะทอดไข่ได้แหละ

พอได้ของครบ ต่างคนต่างทำส่วนของตัวเองครับ ทำไปทำมาชักเยอะ ผมเลยแบ่งใส่ถุงเก็บไว้ที่บ้านผมบ้าง แต่ก็ยังเยอะอยู่ดี ลุงแทนกับป้าเจนคงมีกินไปหลายวัน

“โทษที ลืมคิดว่าทำหลายอย่างต้องลดปริมาณลง”

“ไม่เป็นไร กูหุงข้าวแล้วนะ อยู่กินข้าวกลางวันที่นี่เลยแล้วกัน”

“แล้วนั้นมึงจะยกอาหารไปไหน?”

ผมร้องทัก ที่จริงสงสัยตั้งแต่เห็นพาร์ตักกับข้าวใส่ชามใบเล็กปิดพลาสติกหุ้มอาหารซะเรียบร้อยแล้ว

คนกำลังเดินออกจากครัวหันมามอง

“เอาไปฝากคุณป้าข้างบ้าน เขามักทำอาหารมาฝากบ้านกูบ่อยๆ”

พาร์หายไปสักพักก็กลับมา สีหน้าดูพิลึกหน่อยๆ ก่ำกึ่งระหว่างทำอะไรไม่ถูกกับเก้อเขินเล็กๆ พอมันเห็นหน้าผมก็กระแอมไอใส่

“เอ่อ ป้าเขาฝากขอบคุณมา”

“ไม่ได้พูดแค่นั้นใช่ไหม?”

ผมเดาถูกครับ พาร์ออกอาการอึกอักพูดไม่ออก แต่สักพักก็พูดให้ฟังตามตรง แต่ไม่สบตาผมเลย

“ป้าบอกว่ากูโชคดี…เจอแฟนทำกับข้าวเก่ง”

ผมทำหน้าเหวอ “เฮ้ย นี่ป้าแกรู้เปล่าว่ากูเป็นผู้ชาย”

“ตอนเรามาถึงเป็นช่วงที่ป้าข้างบ้านกำลังดูแลต้นไม้กระถางพอดี เขาเลยเห็นตั้งแต่มึงลงจากรถ ช่วยกูหิ้วของเข้าบ้านแล้ว”

“แล้วมึงไม่แย้งไปล่ะ?”

“แย้งทันที่ไหน กูติดสตันหลังได้ยิน ได้สติอีกที ป้าเขาก็เดินเข้าบ้านแล้ว”

“แล้วทำไมเขามองว่ากูเป็นแฟนมึงวะ”

“จะไปรู้เหรอ!”

เสียงเตาอบดังขึ้นเหมือนเสียงระฆังสั่งพักยกบนเวทีมวย พอได้กลิ่นขนมลอยมาจากเตาอบ ผมก็หันขวับ จ้องถาดที่พาร์ยกออกมาเขม็ง

“ไม่ต้องมองอย่างนั้น นี่ของมึง ส่วนของพ่อแม่กูแช่อยู่ในตู้เย็น”

ตาผมเป็นประกายทันที ถ้าเป็นสมัยเด็กผมคงพุ่งเข้ากอดด้วยความดีใจแล้ว แต่ตอนนี้ยิ้มให้อย่างเดียวแล้วกัน

…ไหงพาร์ยืนนิ่งไปเลยล่ะ

“พาร์?” ผมกลัวมันเผลอถาดคุกกี้หล่นจริงๆ (ผมเสียดาย)

คนโดนเรียกสะดุ้ง รีบสะบัดหน้าไปมา ผมมองอาการเพื่อนสักพัก ก็เหล่มองขวดเหล้าที่ยังวางทิ้งไว้บนโต๊ะ เห็นพาร์ผสมใส่ช็อคโกแลตนิดเดียวเองนะครับ แค่ชิมไม่น่าจะทำให้เมาได้ หรือเมากลิ่น?

“…โหล…”

“ฮะ?” ผมรีบดึงสายตากลับมามองคนพูด ได้ยินอะไรโหลๆ เนี่ยแหละ

“เอาขวดโหลให้หน่อย อยู่ในตู้ใกล้หัวมึง”

“อ้อ”

หยิบไปวางให้ ไม่วายแอบขโมยคุกกี้ใส่ปากหนึ่งชิ้น พาร์แค่มองผมเคี้ยวกรุบๆ ไม่ว่าอะไรสักคำ ผมต่างหากที่ต้องห้ามตัวเองไม่ให้หยิบคุกกี้ที่กำลังผึ่งให้เย็นเข้าปากอีก ไม่งั้นแทนที่ได้ขนมกลับไปกินหนึ่งขวดโหลใหญ่ จะกลายเป็นได้โหลเปล่ากลับบ้านแทน

สงสัยพาร์คิดถึงครัวที่บ้าน ถึงได้คันไม้คันมือทำขนมออกมาเพียบ ทำเสร็จก็แบ่งมาให้ผมชิม ถ้าผมถูกใจก็จัดการใส่กล่องบ้าง ขวดโหลบ้าง เอากลับไปกินบ้าน เยอะจนผมมองตาปริบๆ แต่ไม่เป็นไรครับ ที่บ้านมีคนช่วยกินแน่ๆ

เราอยู่บ้านพาร์ยาวถึงบ่ายสองกว่า ค่อยกลับไปบ้านผมต่อ เดี๋ยวช่วงเย็นต้องออกไปรับเจ้าตัวเล็ก ส่วนแม่น่าจะไปสมทบกับพวกพ่อ แล้วค่อยกลับมาด้วยกัน

หลังเข้าบ้านผม และเก็บของที่หิ้วกลับมาเรียบร้อย เราต่างขนหนังสือบ้าง ชีทบ้างออกมานั่งอ่านหนังสือที่ชั้นล่าง เพราะกินขนมได้ (ที่บ้านผมห้ามเอาของกินขึ้นชั้นสองครับ ยกเว้นป่วยจนลงมาไม่ไหวจริงๆ ถึงมีคนยกขึ้นไปให้)

อ่านไปสักพัก ก็รู้สึกเหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง เรื่องอะไรหว่า…

ระหว่างกำลังนึก คนนั่งอ่านหนังสือฝั่งตรงข้ามกลับเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

“วิชาเรียนรวม…” ผมเงยหน้ามอง รอว่าพาร์จะพูดอะไรต่อ “ลงเรียนด้วยกันไหม?”

ให้ตายเถอะ! สบถในใจกับการรุกกะทันหัน

ต่างคนต่างเงียบเนิ่นนาน มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษ แต่เชื่อเถอะครับ ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือหรอก

“…เรื่องกู มึงตัดสินใจแล้ว?”

พาร์พ่นลมหายใจ ไม่ได้ตอบคำถามผม แต่เอ่ยอีกเรื่อง “ก็แค่อยากลองเรียนด้วยกันสักครั้ง…ไม่ได้เหรอ?”

“…ลงเหมือนกันก็ใช่ว่าจะได้เรียนด้วยกัน”

“ไม่ต้องลงตามตารางหลักสูตรสิ”

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง “จะดึงวิชาบังคับที่เหมือนกันมาลงเรียนก่อน?”

“อือ”

“งั้นก็มีแค่ตัวเดียว”

“ไม่ มีอีก แต่ไว้ลงตอนปีสองก็ได้”

ผมครุ่นคิดสักพักก็ถอนหายใจ “นั่นเรียกกิจกรรมไม่ใช่เหรอ ที่ต้องไปค้างคืนที่อื่นด้วยน่ะ”

“ก็ใช่”

ผมเม้มริมฝีปากสักพักก็คลายออก “แค่สองคน?”

“แล้วแต่ ถ้าลำบากใจ ทั้งกูทั้งมึงดึงเพื่อนมาเรียนด้วยก็ได้ แต่เทอมหน้า...”

พาร์พูดแค่นั้นก็หยุด แต่ผมพอเข้าใจว่ามันหมายถึงเทอมหน้าลงวิชาเรียนรวมด้วยกัน

“…ถ้าแค่เรียนในห้องลงสองคนก็ได้ แต่ที่ได้ค้างคืน ไปเป็นกลุ่มสนุกกว่า”

พาร์คลี่ยิ้มทันที “งั้นเอาตามที่มึงว่า แต่กูขอเป็นกลุ่มเพื่อนนะ ไม่เอาเพื่อนทั้งคณะ”

ผมหัวเราะหึในคอ หลุบตามองชีทในมือ

“รอขึ้นปีสองก่อนค่อยมาว่ากัน ส่วนเทอมหน้า…ตามใจมึง”

กว่าผมจะนึกได้ว่าลืมเรื่องอะไรก็ช่วงบ่ายของวันพุธ ยำยำส่งข้อความมาทางไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่

   YamYam: เมียกูนอกใจวะ เล่นกกผู้ชายในห้องตัวเอง

ผมรีบยกมือปิดปาก ก่อนหลุดคำสบถออกมา สถานที่ไม่อำนวยครับ เพราะอยู่ร้านเครื่องประดับมีราคา แค่ใส่ชุดนักศึกษามาก็แปลกพอแล้ว นี่ยังมาสั่งทำกำไลคู่รักอีก ด้วยความที่พาร์เรื่องมากเอง ผมเลยให้มันออกหน้าไปเลย อยากได้แบบไหนตามสบาย ผมขอแค่เป็นแบบเรียบๆ และเป็นสีเงินก็พอ

เลื่อนข้อความมาเจอสติกเกอร์ถอนหายใจจากยำยำ ตามด้วยข้อความจากเพื่อนคนอื่น

Templar: มึงเห็นเองกับตา?
YamYam: เออ
Wind: ว่าแล้ว ช่วงหลังมึงห่างเมียมากไป
YamYam: คงงั้น พวกมึงอยู่ไหนกัน กูอยากเจอ
Templar: ยำไปอยู่กับไอ้วินก่อน
Templar: แล้วค่อยไปรวมตัวคอนโดไอ้ต่อตอนสี่โมงครึ่ง
Templar: พวกมึงด้วย มาให้ครบองค์ประชุม และค้างคืน
Templar: ใครจะมาเลทรีบบอกเนิ่นๆ ไม่งั้นเจอเกมลงโทษแน่

Wind: ยำ มาหากูที่คณะวิศวะ
Blue Sky: กูเลิกเรียนห้าโมงครึ่ง คงไปถึงตอนหกโมง
Templar: โอเค ไอ้หมอมาเลท มีใครอีกไหม
White Rabbit: ไอ้ทีเตรียมเสบียงให้พวกกูด้วย
Wind: เบียร์ด้วยก็ดีนะ เดี๋ยวพวกกูลงไปช่วยขน
Blue Sky: งดของมีแอลกอฮอลล์ กูให้แค่น้ำอัดลม

Wind: ว่าที่หมอเฮี๊ยบวะ
Blue Sky: รอสอบเสร็จก่อน กูถึงอนุญาต
Puzzle: แล้วทำไมเลือกคอนโดกูวะ
Templar: เพราะใหญ่รองจากบ้านไอ้ที
White Rabbit: อย่าเทียบๆ ไม่งั้นห้องไอ้ต่อจะเป็นแค่รังหนูในบ้านไอ้ที
Templar: กูลืมนึก

ผมหลุดขำนิดๆ และเชื่อว่ายำยำคงอารมณ์ดีขึ้นหลังได้อ่านข้อความที่เพื่อนๆ เถียงกัน ส่วนเรื่องที่ผมรู้มา ไว้เจอหน้ากันก่อนค่อยบอกนะเพื่อน

“ที”

ผมรีบเงยหน้าตามเสียงเรียก พาร์กวักมือเรียก เลยจำต้องลุกขึ้นไปยืนข้างมัน ให้พนักงานมองด้วยแววตาแปลกๆ

“เอาวงนี้นะ เป็นสแตนเลสทั้งวง”

ผมก้มมองแบบที่พาร์ชี้ให้ดู เป็นกำไลสีเงินเรียบไปทั้งวงอย่างที่ผมต้องการจริงๆ เลยพยักหน้า

“ระหว่างฟ้ากับน้ำเงิน ชอบสีไหนมากกว่ากัน?”

ถึงจะงงว่าถามไปทำไม แต่ก็ตอบ เพราะนึกว่าจะให้เพิ่มสีที่กำไล

“น้ำเงิน”

“เพิ่มไพลินตามที่บอกได้เลยครับ”

เฮ้ย!

“เดี๋ยวๆ”

ผมรีบคว้าไหล่พาร์ คือถึงจะมีคนออกค่าใช้จ่ายให้ แต่ถึงกับใส่อัญมณีเพิ่มนี่ก็เกินไปหน่อยนะ เหมือนพาร์จะรู้ว่าผมคิดอะไร ถึงได้ก้มกระซิบข้างหู

“แค่เม็ดเล็กๆ กะรัตเดียว แล้วค่าไพลินกูออกเอง”

“มึงบ้าเรอะ แพงจะตาย แล้วราคาเท่าไหร่?”

“อย่ารู้เลย”

“พาร์!”

“เอาน่า กูมีตังค์จ่ายแล้วกัน เงินสะสมที่กูหามาเองตอนเรียนไฮสคูล”

มองตาแล้วพาร์เอาจริงแน่

“…อย่าเลือกแพงล่ะ”

พาร์หัวเราะ “กูเลือกไปแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่ทำอะไรเกินตัวหรอก ไปนั่งรอไป๊”

“ไม่ล่ะ”

ผมไม่ไว้ใจให้พาร์จัดการเองแล้ว เลยอยู่ฟังพาร์คุยกับพนักงาน ท่าทางพาร์หาข้อมูลมาดีครับคุยได้ลื่นไหล ในขณะที่ผมเข้าใจมั้งไม่เข้าใจมั้ง ผมกับพาร์โดนวัดข้อมือข้างที่จะใส่ ผมเลือกมือข้างซ้าย จะได้ไม่เกะกะเวลาใช้มือขวา ส่วนพาร์เลือกมือขวาครับ

“ข้อความด้านในสลักตามนี้ครับ” พาร์ยื่นข้อความที่พี่ดินให้มาไป “ส่วนด้านนอก…”

เหล่มองผมทำไม?

พาร์ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนหัวเราะเบาๆ แล้วตวัดเขียนข้อความลงกระดาษเป็นตัวเขียนอังกฤษ ผมชะโงกดูก็อ่านไม่ออก เหมือนไม่ใช่ภาษาอังกฤษ

“ภาษาอะไร?”

“ภาษาบ้านเกิดปู่กู”

“ประเทศอะไรเล่า”

“ไม่บอก”

“แล้วที่เขียนไปแปลว่าอะไร”

“ยังไม่ถึงเวลารู้”

ผมทำหน้าบึ้งใส่ พาร์ไม่สนใจ หันไปคุยรายละเอียดกับพี่พนักงานต่อ

“สลักสองประโยคนี้ทั้งสองวงเลยครับ ให้สองประโยคนี้อยู่คนละฝั่ง ฝังไพลินไว้ตรงนี้…”

ฟังพาร์พูดสักพักก็ชักปวดหัว ละเอียดทุกจุดจริงๆ ว่าจะอยู่ฟังจนจบ แต่ไม่ไหว เดินหนีไปนั่งรอที่เดิมดีกว่า หลังนั่งรอพลางจ้องแผ่นหลังพาร์ครู่ใหญ่ก็เผลอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนหน้านี้ผมกับมันทะเลาะเรื่องกำไลพอสมควร แบบสำเร็จรูปก็ดีอยู่แล้ว แต่พาร์กลับไม่ถูกใจ จะสั่งทำท่าเดียว…ก็สมควรล่ะนะ ถ้ามันจะบอกความต้องการละเอียดยิบขนาดนี้

กว่าพาร์คุยกับพี่พนักงานเสร็จ ผมแทบหลับรอ

“กลับกัน”

พาร์ฉลาดเป็นบ้า เก็บใบเสร็จรับของไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ถ้าไม่อยากให้รู้ขนาดนี้ ผมไม่สนก็ได้

“แล้วจะได้ของเมื่อไหร่?”

“เดือนหน้า”

“เร็วชะมัด!”

“นี่ช้าแล้ว แต่กูอยากได้งานละเอียดเลยต้องให้เวลาทางช่างหน่อย”

“มึงดูจริงจังจนกูอึ้ง”

พาร์แค่ยิ้ม ไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำเดียว ผมมองอย่างหมั่นไส้ เตะขามันไปหนึ่งที รอยยิ้มไม่หายดูกว้างขึ้นด้วย ผมยอมเปลี่ยนเรื่องดีกว่า

“คืนนี้กูไปค้างห้องเพื่อนนะ”

รอยยิ้มหุบฉับ “ไปกับใคร”

“คนเดียวสิ”

เห็นมันหงุดหงิด ผมกลับอารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด ตัดสินใจไม่บอกรายละเอียด อยากอมพะนำดีนัก ขอทำบ้างแล้วกัน 

-------------

ผมเช็คของในเป้อีกครั้งว่าไม่ลืมอะไร ก่อนคล้องสายเป้ทั้งสองกับไหล่ เดินลงมาถึงชั้นล่างต้องผงะ มารดาที่เคารพกับน้องสาวที่น่ารัก กำลังยืนกอดอกมองเขม็งตรงมา ท่าทางเหมือนรอผมลงมายังไงอย่างนั้น

“พี่จะไปไหน?”

“คอนโดเพื่อน”

“เพื่อนคนไหนลูก”

ผมกำลังจะอ้าปากบอก เหลือบไปเห็นพาร์นั่งโซฟามองมาทางนี้พอดี แววตาไม่ต่างจากแม่หรือน้องสาวผมเลย

“อยากรู้ทำไมล่ะครับ? ทุกทีไม่เห็นเคยถาม”

“ตอนนี้แม่อยากรู้”

“น้ำก็อยากรู้”

“แต่ทีไม่อยากบอก” 

“พี่อ่ะ!” ยัยน้ำส่งเสียงขัดใจ

“งั้นแม่ไม่อนุญาตให้ลูกออกจากบ้าน!”

กลายเป็นผมที่อ้าปากค้างแทน ไหงวันนี้คุณนายของบ้านเข้มงวดจัง

“แต่ทีจำเป็นต้องไป งานนี้ไม่ไปไม่ได้” ผมพูดอย่างจริงจัง 

“งั้นเอาพาร์ไปด้วย แม่ถึงยอม”

ฮะ!

ผมหันมองคนนั่งตรงโซฟา ชักเริ่มตงิดๆ ใจ ว่ามันนี่แหละ สาเหตุที่แม่กับยัยน้ำโผล่มาดักหน้าผมถึงบันได

“แต่ทีกำลังจะสายนะแม่ รอพาร์เก็บของไม่ไหวหรอก”

ผมอ้างไปนู้น ที่จริงเหลือเวลาอีกเพียบ เพราะต้องแวะซื้อเสบียงติดมือไปตามที่เพื่อนขอ

“ถ้าอยากออกจากบ้าน ลูกต้องรอ”

ผมแอบเบ้ปาก พาร์ไปด้วยไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่มันไม่สนุกนี่สิ แล้วดูคนในบ้านเข้าข้างฝ่ายนู้นหมด อย่าถามหาพ่อนะ ยังไม่กลับ แถมมีคิวต้องไปรับตัวเล็กด้วย คงกลับบ้านมืดหน่อย ส่วนน้องสาวที่เหลืออีกคนก็ดูท่าจะเข้าข้างพี่ชายแท้ๆ เต็มที่

ผมยกมือยอมแพ้ “ครับๆ ทีอยู่รอแค่สิบนาทีนะ ช้ากว่านี้ให้มันตามทีไปเองแล้วกัน”

ถ้าตามถูกนะ

“พาร์ไปเก็บของเลยลูก ว่าแต่ค้างกี่คืน?”

“คืนเดียวครับ ถ้าต้องค้างเพิ่มเดี๋ยวทีกลับมาเก็บของที่บ้านเอง”

“ตามนั้นจ๊ะพาร์ อย่าลืมเอาชุดนักศึกษาติดไปด้วยนะ”

ดูสิ น้ำเสียงที่แม่พูดกับผมต่างกับพาร์สุดๆ ลำเอียงชัดๆ   

“งั้นทีมาช่วยแม่ทำครัวรอแล้วกัน”

อีกครั้งที่แอบเบ้ปาก ดูก็รู้ตั้งใจถ่วงเวลาผมชัดๆ แล้วขัดได้ที่ไหน ยัยน้ำก็ดีดี๊ช่วยแม่ด้วยการดึงเป้ออกจากไหล่ผม อุ้มไปวางแหมะบนโซฟา ปล่อยแม่ดึงผมเข้าครัว

ทำงานเป็นทีมดีจริงๆ

สิบห้านาทีต่อมา ผมก็โดนปล่อยตัวออกจากบ้าน โดยมีพาร์ตามหลังมาติดๆ ปลดล็อกรถปุ๊บขึ้นไปนั่งรอปั๊บเหมือนกลัวโดนทิ้ง ผมยักไหล่ เดินอ้อมไปขึ้นฝั่งข้างคนขับ ส่งกุญแจในมือให้ ในเมื่ออยากขับนักก็ปล่อยไปครับ

ผมคอยบอกทางเป็นระยะ ก่อนให้เลี้ยวรถแวะเข้าซุปเปอร์ใกล้คอนโดเพื่อน

พาร์เข็นรถให้ ส่วนผมเดินนำไปแผนกขนมขบเคี้ยว กวาดมาหลายอย่าง ต่อด้วยแผนกเครื่องดื่ม จบท้ายด้วยแผนกของสด ผมไลน์ถามเพื่อนแล้วว่ากินสุกี้ดีไหม หลายเสียงเห็นด้วย ที่ห้องต่อมีหม้อสุกี้ไฟฟ้าอยู่ กินแปดคนสบาย ตอนนั่งก็เบียดๆ กันหน่อย ผมเลยกวาดทั้งเนื้อทั้งผักมาเต็มที่ งานนี้ไม่อิ่มให้รู้ไป เหลือค่อยเอาไปทำอาหารเช้าต่อ เมนูก็รวมมิตรของสดที่เหลือผัดแห้งกับเส้นบะหมี่สำเร็จรูปครับ (หยิบบะหมี่สำเร็จรูปไปเผื่อแล้ว)

ผมเหลือบมองสีหน้าคนเข็นรถทุกครั้งที่เอาของไปใส่เพิ่ม หน้าพาร์ดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ดูจากแววตาแทบจะงับหัวผมอยู่แล้ว เดาความคิดมันไม่ยาก ต้องนึกว่าผมไปคอนโดพี่พีทแหงๆ ปล่อยพาร์เข้าใจผิดไปครับ นี่ก็ยังไม่บอกเพื่อนๆ เลยว่าจะเอาคนนอกกลุ่มไปด้วย

ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์จากผมแล้วกัน

หลังจ่ายเงิน ผมเก็บใบเสร็จอย่างดี (ต้องเอาไปยืนยันเวลาหารค่าใช้จ่าย) ขับรถไปต่ออีกนิดหน่อยก็ให้พาร์ขับเลี้ยวเข้าคอนโดเป้าหมาย ช่วยกันหิ้วของพะรุงพะรังกดลิฟต์ไปชั้น18

ผมเหลือบมองคนข้างๆ เป็นระยะ แผ่รังสีทะมึนยิ่งกว่าตอนอยู่ในซุปเปอร์อีก

หลังออกจากลิฟต์ตรงไปหน้าห้องเป้าหมาย ด้วยความที่มือไม่ว่าง เลยใช้เข่ากระแทกประตูแทนการกดกริ่ง สักพักประตูก็เปิดออก

“อ้าว ไมไม่เรียกลงไปช่วยหิ้ว”

นอกจากคนเปิดประตู ยังมีเดินตามออกมาอีกสองคน ไม่ต้องพูดพร่ำทักทาย พวกมันก็กรูมาช่วยผมหิ้วของแล้ว เมื่อมือเริ่มว่างผมก็ชี้คนที่ยืนห่างออกไปหน่อย

“ไปช่วยคนนู้นด้วย”

เพื่อนทั้งสามชะงักกึก หันมองตามนิ้วผม ต่างฝ่ายต่างยืนตัวแข็งทื่อ ท่าทางจะติดสตันกันหมดทั้งสี่คน

“…ใครวะที”

แต่มีคนหนึ่งตั้งสติได้เร็วครับ สมเป็นคนของประชาชนชาวมหาลัยเรา

“คนที่พวกมึงอยากรู้จักไง”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-10-2016 10:40:04
เค้าพากันมาเปิดตัวกับเพื้อนแล้ว 555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 27-10-2016 11:17:58
ขำพาร์จัง เด็กขี้หวง  :hao7:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 27-10-2016 11:29:45
เหยยยยยย เราพลาดเรื่องนี้ได้ยังไง มันดีงามพระราม8มากกก เราชอบมาก เราชอบนิสัยที ยิ่งตอนเรื่องของเดน คือมันตรงใจมาก คือเราไม่เข้าว่า ทำไมว่ามึีเพื่อนในกลุ่ม หลายคน มันชอบมีคนนึงที่ง่องแง๊งเกินไป เอาแต่ใจหน่อยๆ แล้วทำไมเพื่อนคนอื่นชอบโอ๋ คือ? เหตุผลเดียวกันที่ได้ยิน คือไม่อยากให้บรรยากาศในกลุ่มแย่ลง  เอิ่มมมม คือเราควรดัดนิสัยเพื่อนไหม ให้มองถึงส่วนรวมบ้าง อย่าเอาแต่ใจอย่างเดียว คุณไม่ใช้จุดศูนย์กลางของโลก ใจเค้าใจเรา คุณไม่อยากทำอย่างนู้น แล้วโยนให้เพื่อนทำมันสมควรแล้วหรือ ทั้งๆที่หน้าที่นี้ มันเป็นของคุณชัดๆ  เรื่องมีแฟนแล้วเปลี่ยนไป บางคนอาจจะคิดว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ซึ่งมันก็ใช่แหละ แต่ถ้าบางเรื่อง เราเป็นตัวแปลในเรื่องนั้นด้วย เช่น ประเด็น ของ เดน กับ ยำยำ คือต่างฝ่าย ต่างเป็นเพื่อนไง นี่จะเข้าหน้าใครไม่ติดแน่นอน ถ้ามันทะเลาะกัน เราอาจจะเข้าข้างฝ่ายที่ถูก แต่! ต่างฝ่ายอาจคิดว่าตัวเองถูกก็ได้  หลังจากอ่านเรื่องนี้ ตอนที่แลกเปลี่ยนกันว่า ที จะย้ายฝ่ายไปอยู่ฝั่งยำ จะทำเป็นเพิกเฉย ไม่สนใจอย่างที่แล้วมา แล้วยำยำ ก็มีข้อเสนอแปลกๆ ซึ่งทำให้รู้สึกว่า เหมือนยำจะเบื่อเดนไปแล้ว หรือดูเหมือนไม่รักเลย ทำไมพูดเรื่อง ไปกินเหล้ากับเพื่อน เดินกับสาวอยู่ในเรื่องที่ต่อรองกันด้วย แต่พอมาอ่านถึงตอนปัจจุบันก็เห็นได้ว่า ก็เดนเป็นซะแบบนี้ ถ้ายำไม่ติดต่อไป ทำไมไม่ติดต่อกลับไปเอง และยังไปนอนกับคนอื่นได้หน้าตาเฉยอีก มันใช่หรอวะ แต่! ยำยำ มันยังมีกะใจมาถามหาความจริงกับทีก่อน ด่วนสรุป แล้วเข้าไปโวยแล้วเลิกกัน ตอนแรกที่คิดว่ายำยำไม่รัก ปัดตกไปเลย  ทีนี่เลยเริ่มคิดละว่า ปกติผู้ชายคบกับผู้ชาย กับ ผู้ชายกับผู้หญิงคบกันนั้น อาจไม่เหมือนกันก็ได้ มันอยู่ที่สไตร์ของแต่ละคู่ 


โอยยย เบนบ่นอะไรเยอะแยะเนี่ย อย่าพึ่งเบื่อกันนะ เบนขี่บ่นเงี่ยแหละ


ปล. เราชื่อเดียวกับคนสวย พันธมิตรปีก่อนเลย 55555 เรียนจบแล้วด้วยเหมือนกัน สงสัยเป็นคนเดียวกัน 55555555555


ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-10-2016 19:11:58
อ่อยยย!! อยากอ่านต่อละเนี่ยยย

มาไวๆน้า
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 27-10-2016 19:28:45
อิอิ พามาโชว์ตัวอะดิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-10-2016 19:55:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 27-10-2016 20:00:22
เหวยยยยยย ทีเซอร์ไพร์เพื่อนได้สนุกมาก 555
ว่าแต่พาร์พอทีลองให้โอกาส ออกตัวแรงเลยนะ แต่ถ้าฟังจากที่ทีคุยกับคุณหมอ ทีก็เหมือนจะเล็งพาร์ไว้แล้วนิ แค่จะดูท่าทีให้แน่ใจแค่นั้นเอง เพราะปกติคนเราถ้าไม่คิดว่าจะจริงจัง คงไม่พาไปรู้จักเพื่อนสนิทแน่ๆ งานนี้พาร์ตกหลุมที รึ ทีหนีไม่พ้นพาร์กันแน่ 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-10-2016 20:21:23
พาร์ น่ารัก ชอบ ขี้หวง ขี้หึง รักทีไปแล้ว
แล้วเรื่องกำไล พาร์ ใส่รายละเอียด
แสดงความเป็นเจ้าของกันแน่เลย
คนในครอบครัวอยู่ฝ่ายพาร์หมดเลย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คนนึงชอบทำขนม อีกคนทำกับข้าว สมดุลเลย
พอเข้าคอนโดเพื่อนที ออร่าทะมึนของพาร์คงหาย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 27-10-2016 20:43:39
คุณหมาป่าตัวนี้นี่เชื่องกับทีดีจังเลยนะเนี่ย~ น่ารักจริงๆเลย อยากจิได้มาเลี้ยงไว้ที่บ้านสักตัวจัง //โดนทีตบ
ตอนหน้าก็ได้เวลาเปิดตัวคุณหมาป่าดำกับเดอะห์แก๊งของทีแล้วสินะ อยากรู้จริงๆเลยทีจะโดนแกล้งยังไงบ้าง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 27-10-2016 20:59:46
เปิดตัวสินะ
...... คิคิคิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 27-10-2016 22:08:48
ที พา ... สามี...มาเปิดตัว....ฮิ้ว.........
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 27-10-2016 22:54:17
เดนตัวปัญหาจริงๆ ด้วย หวังว่าคงไม่กลับมาสร้างปัญหาให้ทีอีกหรอกนะ เพื่อนนิสัยอย่างนี้เลิกคบเถอะ....
พาร์ที เคมีเขาเข้ากั๊นเข้ากันล่ะ ตอนหน้าเปิดตัวเพื่อนเขย งานนี้สนุกแน่
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-10-2016 20:54:22
สนุกกกกก  :-[
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 30-10-2016 11:20:49
กริ๊ดดดดดดด

น้องพาร์รุกเร็ว ป้าชอบบบบบ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 30-10-2016 14:29:29
พาร์ขี้หึงขี้หวงสุดๆ
ชอบที่พี่พีทแกล้งอ่ะ

เอามาเปิดตัวกะเพื่อนๆละ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: askmes ที่ 30-10-2016 15:23:27
รอติดตามมม
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่24] P.7 (27/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dilokrittisak ที่ 30-10-2016 15:48:24
ฮันน่ะ !
เปิดตัวสามี :o8:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 30-10-2016 20:33:30
บทที่ 25

“อยากรู้จัก?…อ้อ รองเดือนนิติคนนั้น!”

พาร์โดนเพื่อนตัวเล็กสุดในกลุ่มชี้นิ้วใส่หน้า

“หยุดๆ อย่าพึ่งถาม” ผมรีบปรามก่อนเพื่อนจะอ้าปากอีกรอบ ไม่รู้หรอกว่าจะถามหรือจะแซว “รอครบองค์ประชุมค่อยว่ากัน”

“อีกตั้งนาน!”

ไวไวทำท่าเหมือนจะลงแดง แต่ผมไม่สน “ถ้าไม่ช่วยหิ้วของก็หลีกทาง อย่ายืนเกะกะขวางหน้าประตู”

พอโดนเตือนสติ เพื่อนทั้งสามก็รีบไปช่วยพาร์หิ้ว ก่อนพากันเดินเข้ามาข้างใน

เลยช่วงทางเข้าที่มีตู้รองเท้า ก็เป็นพื้นยกระดับทั้งกว้างทั้งโล่ง ถ้าสงสัยว่าทำไมไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลย (ยกเว้นโทรทัศน์ติดผนังจอใหญ่ กับพวกภาพทิวทัศน์ติดผนังสวยๆ) เพราะพวกผมชอบมารบกวนที่นี่ตั้งแต่เจ้าของห้องย้ายเข้ามาอยู่ตอนม.5 ดังนั้นมันเลยยกพื้นที่ด้านนอกให้พวกผม แลกกับห้ามเข้าไปยุ่งในห้องนอนกับห้องทำงานเด็ดขาด พวกผมก็โอเค กินนอนเล่นอ่านหนังสือกันอยู่แถวนี้แหละ ทำความสะอาดง่ายดี

ทางด้านขวาเป็นโซนครัวครับ ลึกเข้าไปด้านในสุดเป็นห้องนอนกับห้องทำงาน (เห็นเจ้าของห้องบอกว่ามีประตูเชื่อมติดกัน ห้องทำงานเลยไม่มีประตูเข้าออกจากด้านนอก) ส่วนห้องน้ำมีห้องเดียว (ใช้อาบน้ำด้วย) อยู่ระหว่างโซนครัวกับห้องทำงาน

“ต่อไปไหน?”

“ไม่รู้ มันมาดักรอถึงหน้าคณะ โยนกุญแจห้องให้กูเสร็จก็หายหัวไปเลย ทิ้งกูยืนอึ้งท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของชาวสถาปัตย์”

คนพูดชื่อ ‘เทม’ มาจากเทมพลาร์ พ้องกับชื่อจริงของมัน นายอัศวินนั่นแหละ คนตั้งชื่อให้คือมารดาของมันที่คลั่งอัศวินสุดเท่ทางยุโรป คนนี้อยู่สถาปัตย์ครับ สาวๆ ให้คำนิยามสั้นๆ ว่าหนุ่มมาดเซอร์สุดเท่ แต่รสนิยมของลูกชายคนเล็กดูท่าจะไม่เป็นที่ปลื้มของมารดา เข้ามหาลัยปุ๊บมันรีบย้ายมาอยู่หอในปั๊บ อ้างว่าเป็นกฎของมหาลัย

“ก๊าก! เขาต้องสงสัยหนักแน่ว่าพวกมึงไปญาติดีกันตอนไหน เผลอๆ อาจนึกว่าพวกมึงมีซัมติงกันก็ได้”

เจ้าของเสียงรายต่อมา ‘ไวไว’ ครับ ชื่อเล่นจริงๆ คือ ไวท์ที่แปลว่าสีขาว สมัยเด็กคงออกเสียงยากมั้ง เลยไม่มีใครเรียกชื่อเล่นจริงๆ ของมันสักคน เรียกฉายาไวไวกันมาตลอด คนนี้ฝีเท้าเร็วสุดในหมู่พวกเรา อย่าเผลอไปท้าวิ่งแข่งเชียว แพ้แน่นอน เพื่อนคนนี้เรียนเภสัช ตัวเล็กสุดในกลุ่มเตี้ยกว่าผมประมาณห้าเซนติเมตรได้มั้ง สมัยก่อนน่ารักยังไง โตมาก็ยังน่ารัก คำเตือนนิสัยไม่เข้ากับหน้าตา

“แล้วหมาตัวไหนคิดเกมบ้าๆ นี่ขึ้นมา ขนาดเจอกันตอนประกวดเดือน พวกกูสี่คนต้องแยกไปนั่งคนละมุมกันเผลอพูดคุยไม่รู้ตัว อึดอัดสุดๆ แถมยังโดนเอาไปลือทั่วมหาลัยว่าไม่ถูกกัน ทั้งที่จบจากโรงเรียนเดียวกันเนี่ย ความผิดใครวะ?”

“กูจำได้ว่ามึงลงเสียงโหวตคนแรกว่าเห็นด้วยกับเกมนะ เพราะงั้นอย่ามาโทษคนคิดเกมอย่างกูฝ่ายเดียว”

ปล่อยสองคนนี้ลับฝีปากไป ผมวางของลงตรงเคาน์เตอร์ยาวที่กั้นระหว่างโซนด้านนอกกับโซนครัว พอนึกภาพเพื่อนสุดหล่อคนละสไตล์ทั้งสี่ก็คลี่ยิ้มขำ ถ้าเปิดตัวกลุ่มดาวลูกไก่เมื่อไหร่สงสัยคงได้เห็นคนอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึงแน่

“ทีจะรื้อของออกมาทำเลยใช่ไหม?”

คนถามกำลังช่วยผมหยิบของออกจากถุง หนุ่มหล่อที่สุดของกลุ่ม การันตีจากตำแหน่งเดือนคณะพ่วงเดือนมหาลัย ชื่อ ‘วิน’ (ที่แปลว่าลม) เรียนวิศวะโยธา คนนี้แหละที่ลูกหว้าอยากขอกินข้าวด้วยสักมื้อ (ฮะๆๆ)

“ใช่ แล้วยำล่ะ?”

“อยู่ในห้องน้ำ ปล่อยมันไป คงอยากคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวสักพัก”

ผมเลิกคิ้ว “ไหงไปอยู่ในห้องน้ำล่ะ ทุกทีเห็นชอบไปนั่งคิดแถวระเบียงนี่”

“กูไม่ไว้ใจ เกิดมันบ้านึกปีนระเบียงโดดท้าความสูงขึ้นมาจะทำยังไง ให้อยู่ในห้องน้ำนั่นแหละดีแล้ว แถมกูเก็บพวกของมีคมออกมาหมด รับรองปลอดภัย”

ผมตบหน้าผาก เหลือบมองทางห้องน้ำอย่างสงสารคนข้างใน นึกภาพออกเลย ก่อนยำจะเปิดประตูระเบียง วินต้องหันไปเห็นพอดี ถึงได้ลากตัวเพื่อนเข้าห้องน้ำ มันคงจะยืนเซ่อมองวินสำรวจห้องน้ำด้วยความงง มารู้ตัวอีกที วินก็ออกจากห้องน้ำปิดประตูขังมันไปแล้ว

“…อาการหนักขนาดหนัก?”

วินส่ายหน้า “กูแค่คิดเผื่อไว้ก่อน ไม่อยากวัวหายแล้วค่อยล้อมคอกทีหลัง”

ผมยิ้มแห้งกับข้อคิดประจำตัวเพื่อน มันก็ดีอยู่หรอก แต่บางทีก็มากไป แต่นิสัยนี้ก็มาจากเพื่อนในกลุ่มแต่ละคนเจอเหตุการณ์ไม่ค่อยดีมาทั้งนั้น แถมบางทียังลากเพื่อนคนอื่นไปติดลากแหอีกต่างหาก   

ผมออกจากภวังค์ ถามเรื่องในปัจจุบันที่น่าเป็นห่วงกว่า

“ตอนยำไปหามึง สภาพมันเป็นไงบ้าง?” 

“ท่าทางจะเครียดมาก สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างตลอดเวลา”

ผมพยักหน้ารับรู้ เหลือบมองห้องน้ำอีกที ไม่มีเสียงทุบประตู แสดงว่าคงจะปลงเลยนั่งคิดอะไรเงียบๆ อยู่ในนั้นล่ะมั้ง

ชื่อเล่นจริงๆ ของ ‘ยำยำ’ คือข้าวยำครับ แต่พวกผมเรียกว่ายำยำกัน (ไม่เกี่ยวข้องกับยี่ห้อบะหมี่สำเร็จรูปแต่อย่างใด มันย่อมาจากยำตีนผสมกับชื่อมัน) เพราะไอ้ยำยำชอบเจอเรื่องซวยๆ เบสิกสุดก็แค่ทะเลาะวิวาท หนักสุดก็…ช่างมันเถอะ สรุปคือไม่ช่วยก็ไม่ได้ อ้อ ลืมบอก ยำยำเรียนวิศวะเครื่องกลครับ

ส่วนที่เหลืออีกสอง ขอเอ่ยถึงเจ้าของห้องก่อน มันชื่อต่อ (เต็มๆ คือ ‘ตัวต่อ’ ที่หมายถึงของเล่น อย่าไปเอ่ยถึงแมลงนะครับ มีโกรธแน่) เรียนคณะบริหาร อยู่ไม่ไกลคณะผมเท่าไหร่ ได้เจอหน้าบ่อยกว่าเพื่อนคนอื่น เราก็มองกับผงกหัวเชิงทักทาย บางทีก็ยิ้มให้แล้วเดินผ่านเฉยๆ (ถ้าหมดช่วงเกมคงได้หยุดพูดคุยกันมากกว่านี้) นี่ก็หนุ่มหล่อพูดน้อย ภายนอกดูเป็นคนเงียบๆ โลกส่วนตัวสูง เจ้าเปลือกนี่มีสาเหตุจากครอบครัวที่เป็นนักธุรกิจชื่อดัง เพื่อนคนนี้เลยโดนที่บ้านเคี่ยวเข็ญหนักกว่าคนอื่น ถ้าไม่ใช่อยู่กับพวกผมหายากมากที่ต่อจะมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือแววตาสดใส       

คนสุดท้ายดูเป็นผู้ใหญ่สุดในกลุ่มผมแล้ว เลยถือว่าเป็นพี่ใหญ่ประจำกลุ่ม แถมหัวดีสุดๆ ชื่อกาย (เต็มๆ ก็สกายที่แปลว่าท้องฟ้า) หนุ่มแว่นหล่อเนียบคนละสไตล์กับเทมที่มักแต่งตัวเซอร์ได้ใจประจำ คนนี้ว่าที่คุณหมอครับ คาดว่าอนาคตคงปลีกตัวมารวมกลุ่มลำบากมาก (จนเจ้าตัวกังวลว่าอาจไม่มีเวลาให้พวกผม ฮะๆๆ) ผมไม่ได้เจอเพื่อนคนนี้สองเดือนแล้ว เพราะคณะแพทย์อยู่คนละฟากกับคณะผม แต่ได้ยินข่าวแว่วๆ เหมือนกันว่ามีสาวๆ ต่างคณะแอบตามไปส่องเพื่อนคนนี้ถึงที่ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้สักคน เพราะเกรงแววตาดุๆ จากเฮียแก (ฮา)

“แต่แปลก แทนที่ต่อจะแวะไปหาทีที่อยู่ใกล้กว่า ไหงไปหาไอ้เทมล่ะ”

ไวไวถามขึ้นมาระหว่างวางของในมือ นี่มันถือทะเลาะกับเทมจนลืมไปเลยสินะ ผมพ่นลมหายใจก่อนตอบคำถาม

“มันโทรมาหาแล้ว แต่พอดีกูพึ่งนั่งรถพ้นรั้วมหาลัย มันเลยบอกไม่เป็นไร”

“นั่ง?” ไวไวหันขวับมองผมสลับกับแขกของกลุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ “มึงไม่ได้ใช้คำว่าขับ แสดงว่านั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถน่ะสิ”

ผมทำหน้าเฉยกับคำจับผิด “สบายออก”

ไวไวเบ้ปากใส่ผม บ่นงึมงำอะไรสักอย่าง จับใช้ความได้แค่ว่าไม่สนุก หึหึ คู่หูของมึงโดนขังในห้องน้ำนี่น่ะ เลยไม่มีคนมาช่วยแซว

“กูไปเล่นเกมต่อล่ะ”

ไวไวผละไปเป็นคนแรก เหมือนรู้ตัวว่าอยู่ไปก็เกะกะเพื่อนเปล่าๆ เพราะสกิลทำอาหารของมันติดลบสุดๆ วินกับเทมมองหน้ากัน สองคนนี้ช่วยผมได้ทั้งคู่ แต่คงกำลังชั่งใจว่าใครจะไปอยู่เป็นเพื่อนไวไว

“วินไปเหอะ ขืนให้เทมไป เดี๋ยวพวกมันได้กัดกันตายพอดี โอ๊ย” ผมหันมองคนทำร้ายร่างกาย ตบหลังมาซะแรง “กูพูดอะไรผิด?”

“ไม่ผิด แต่ปากเสีย”

ผมกรอกตามองเพดานห้องด้วยความเซ็ง แล้วที่พวกมึงลับฝีปากกันไม่เสียกว่าหรือไง ผิดกับวินที่หัวเราะพลางเดินผละไปเล่นเกมแข่งรถกับไวไว (เป็นเครื่องเกมแบบที่เสียบต่อกับทีวีได้ครับ)

เหลืออีกหนึ่งหน่อที่ยืนข้างผมอย่างเงียบสงบ “พาร์ ไปเล่นกับพวกนั้นก่อนก็ได้”

เจ้าของชื่อส่ายหัวให้ ยืนยันจะอยู่ช่วย ผมมองอย่างไม่แน่ใจ แต่เอาเถอะ มีคนช่วยเพิ่มก็ดีกว่าไม่มี

พวกผมสามคนเลยอยู่เตรียมของสำหรับมือเย็น ดูพาร์อึ้งๆ หลังเห็นสกิลใช้มีดของพวกผมเข้า สงสัยจะรู้ว่าเป็นตัวถ่วง มันเลยผันไปทำหน้าที่เบ้เต็มตัว ทำทุกอย่างตามที่บอกตั้งแต่ล้างอุปกรณ์ไปจนถึงแรปปิดถาดอาหารที่เตรียมเสร็จแล้ว ก็วางเรียงไว้ที่เคาน์เตอร์นี่แหละครับ หมดแล้วค่อยมาหยิบสะดวกดี ไม่ต้องกลัวเสีย เพราะเล่นเปิดแอร์ซะเย็นเฉียบ ยกเว้นพวกเนื้อที่ผมไม่แน่ใจเลยเก็บเข้าตู้เย็นดีกว่า

“มาทำสุกี้กินที่นี่บ่อย?”

“อืม” ผมตอบพาร์ ไม่ได้หันไปมอง เพราะกำลังหั่นผักอยู่ “ช่วง ม.ปลาย มาบ่อยมาก แต่หลังเข้ามหาลัยวันนี้เป็นครั้งที่สอง”

“เพราะงั้นอย่าแปลกใจถ้าเห็นอุปกรณ์พร้อม” เทมพูดขึ้นขำๆ ก่อนหันมาบอกผม “มึงไปทำน้ำจิ้มสุกี้เหอะ เดี๋ยวทางนี้กูจัดการเอง”

“งั้นฝากด้วย”

ระหว่างยุ่งในครัวเหมือนผมได้ยินเสียงกริ่งห้องดังขึ้น สักพักได้ยินเสียงคุยกัน เจ้าของห้องกลับมาแล้วครับ ผมคิดถูก ต่อโผล่หน้ามาโซนครัวพร้อมถุงใส่กล่องขนมจีบเจ้าอร่อยที่พวกผมทั้งกลุ่มชอบมาก

“กูซื้อมาฝาก”

“มึงใช้คำผิด ต้องบอกว่า ‘แวะไปซื้อมาให้’ ถึงจะถูก” เทมว่าระหว่างรับของส่งให้พาร์เอาไปจัดใส่จาน

“ก็ตั้งใจขับรถแวะไปซื้อให้พวกมึงนั่นแหละ มีอะไรจะให้ช่วยไหม?”

“ใกล้เสร็จแล้วล่ะ มึงจะไปอาบน้ำหรือจะไปเล่นกับสองคนตรงนั้นก่อนก็ได้”

คนฟังพยักหน้า “แล้วยำไปไหน?”

“ห้องน้ำ วินขังมันไว้ บอกปล่อยยำคิดอะไรเงียบๆ สักพัก”

ต่อขมวดคิ้ว “แล้วแนะนำให้กูไปอาบน้ำ? จะให้อาบยังไง?”

ผมยิ้มแห้ง “กูลืม”

“อย่าถือสาไอ้ทีเลย ตอนนี้ในหัวมันคงกำลังนึกทวนสูตรน้ำจิ้มสุกี้อยู่”

“จะผิดพลาดก็ช่าง ขอออกมาอร่อยก็พอ ที่สำคัญห้ามให้เทมปรุงรส!”

เจ้าของชื่อเบ้ปากใส่ “ทีไม่ให้กูไปยุ่งอยู่แล้ว”

ผมหัวเราะ เทมไว้ใจเรื่องเตรียมวัตถุดิบได้ (เพราะโดนผมลากมาเป็นลูกมือบ่อย) แต่ด้านปรุงรสเข้าขั้นเลวร้าย เพราะเล่นปรุงแต่รสที่ตัวเองชอบ แต่คนอื่นกินด้วยไม่ได้

“ดี”

ต่อทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนผละไปนั่งมองเพื่อนสองคนเล่นเกม ผมเหลือบมองเทม อีกฝ่ายหันมาสบตาผมเหมือนกัน เราทั้งคู่คลี่ยิ้มอย่างพอใจที่เห็นเจ้าของห้องเลือกปล่อยเวลาผ่านไปเปล่าๆ ด้วยการมองเพื่อนเล่นสนุก แทนที่จะไปยุ่งกับตลาดหุ้น หรือเรื่องงานที่ทางครอบครัวมอบหมายให้ทำ แสดงว่ามันกะผ่อนคลายไปกับพวกผมเต็มที่

ทุกอย่างเตรียมเสร็จตอนห้าโมงครึ่ง เหลือแค่รอสมาชิกคนสุดท้ายมาถึง เราสามคนเลยไปร่วมกลุ่มกับพวกเล่นเกม

“ตกลงจะให้พวกกูคุยกับคนที่มึงพามาได้ยัง?”

ผมมองไวไว “คุยน่ะได้ แต่ห้ามถามจนกว่าเพื่อนจะครบ จะได้ไม่ต้องตอบซ้ำไปซ้ำมา”

“แล้วเมื่อไหร่กายจะมา” ไวไวโอดครวญ

“เห็นบอกว่าหกโมง แต่กูว่าน่าจะเลยนิดหน่อย” วินออกความเห็น เหลือบสายตามองห้องน้ำ “ทีไปลากยำออกจากห้องน้ำดิ”

โอ๊ะ คำสั่งอนุญาตปล่อยตัวมาแล้ว

“เป็นกูจะดีเหรอ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ “เพราะกูนะ มันถึงได้เจอเมียมันน่ะ”

เพื่อนๆ มองหน้ากัน เป็นวินที่โยนจอยในมือให้ต่อช่วยเล่น แล้วลุกไปเคาะประตูห้องน้ำ ผมเหลือบมองเห็นวินหายเข้าไปด้านใน ก็กระซิบถามไวไวเพื่อเก็บข้อมูล

“อาการยำหนักไหม?”

“หน้ายำนิ่งมาก เดาอารมณ์ยาก แต่คงจะเครียดอยู่บ้างแหละ”

ไวไวกระซิบกลับมา ก่อนจะร้องเสียงหลง เมื่อคนที่ไม่เคยอ้อมมือให้เพื่อนคนไหน ขับรถเบียดแซงขึ้นนำไปแล้ว ต่างจากวินที่มักจะแข่งแบบสูสีให้พอลุ้นสนุกสนานได้ทุกนัดแม้ว่าคู่แข่งฝีมือห่วยก็ตาม ที่แน่ใจว่าวินเก่ง เพราะต่อที่ว่าเก่งแล้วยังไม่เคยเอาชนะวินได้สักที

“เอาไงดี ทำตัวร่าเริงกันดีไหมเผื่อยำจะดีขึ้น”

ไวไวถามกลับมา ขณะที่คนอื่นฟังกันเงียบๆ

“ทำตัวตามปกติดีกว่า รอกินข้าวหมดก่อนค่อยว่ากัน เอ่อ กูมีข่าวเกี่ยวกับเมียยำจะบอกให้พวกมึงรู้ด้วย”

“ข่าวไร?”

“รอฟังพร้อมทุกคน และต้องหลังกินข้าวเท่านั้น” ผมพูดย้ำ ขืนพูดไปมีหวังได้ทำลายบรรยากาศน่ะสิ

“มึงเรื่องมาก อ้าว กูแพ้เลย” ไวไวหน้ามุ่ย ส่งจอยให้ผมเล่นต่อ

มองคนที่ต้องแข่งด้วย…สงสัยต้องเอาจริงสักหน่อยแล้ว

สิบนาทีต่อมา แพ้ตามคาด แต่ยังดีกว่าไวไวที่มัวแต่คุยกับผมจนไม่ได้เข้าเส้นชัย ผมส่งจอยให้พาร์ต่อ ตอนแรกมันส่ายหน้าไม่เอา ผมจ้องเขม็งจนมันถึงยอมรับจอยไปเล่น

เฮ้ย!

ผมมองรถสองคันเบียดแย่งขึ้นนำอับดับหนึ่งอย่างเมามัน แถมชั้นเชิงที่พาร์ใช้ดีกว่าของต่ออีกครับ สุดท้ายก็คว้าชัยชนะมาครอง ต่อขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยปากเองเลย

“ขออีกรอบ”

ผมกับไวไวมองหน้ากัน ดูเหมือนพวกเล่นเกมแข่งรถเก่งจะได้คู่แข่งคนใหม่มาท้าดวลด้วยแล้วครับ วินกับยำยำมารวมกลุ่มช่วงที่พวกผมกำลังส่งเสียงเชียร์สนุกสนาน ไปๆ มาๆ สองคนมาใหม่เลยส่งเสียงเชียร์ตาม พอต่อแพ้อีกรอบ ก็ต่อจอยต่อให้วิน

เจ้าข้าเอ๋ย มันหยดจริงๆ ครับ

“เฮ้ยๆ วินอย่าเสียแชมป์ที่ครองมาได้ตั้งหลายปีน่ะเว้ย”

วินคลี่ยิ้ม แววตาเอาจริงอย่างที่นานๆ จะได้เห็นสักหน แสดงว่าพาร์เก่งเอาเรื่อง แต่สุดท้ายวินขึ้นนำเข้าเส้นชัยแค่เฉียดฉิวไม่ถึงสิบวินาที

“เก่ง” วินเอ่ยชมคนแพ้ “เทคนิคดีด้วย เคยไปดูในสนามแข่งของจริง?”

“ก็คงใช่”

“เคยลงแข่งของจริงไหม?” ไวไวถามตาเป็นประกาย

พาร์พยักหน้า “แต่เราชอบแข่งมอเตอร์ไซค์มากกว่าพวกสี่ล้อ”

“งั้นเปลี่ยนมาแข่งแบบสองล้อกัน”

วินปรับรูปแบบเกมเสร็จก็ส่งจอยให้ยำยำ “ในกลุ่มยำเก่งสองล้อสุดแล้ว”

เกมใหม่กำลังจะเริ่มอีกครั้ง พวกผมเริ่มวางเดิมพัน ใครแพ้ต้องคีบอาหารในหม้อสุกี้ให้ผู้ชนะตามจำนวนที่เดิมพันไว้ เชียร์กันเต็มที่ครับ ผ่านไปสักพักถึงได้รู้ว่าพาร์เจ๋งจริง แต่ยำยำก็ไม่น้อยหน้าลอกเลียนเทคนิคจากพาร์โคตรไว แต่พาร์ก็ยังเป็นฝ่ายคว้าชัยอย่างงดงาม

“ของจริง มึงเก่งอย่างนี้ปะ?” ยำถาม

“ก็พอไหว”

“ไปแข่งกับกูไหม มีสนามประจำอยู่ เจ้าถิ่นพอไว้ใจได้”

พาร์นิ่งไปสักพักก่อนส่ายหน้า “พอแล้วดีกว่า ไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยง เรายังมีคนที่ต้องดูแล และอยากอยู่ดูแลไปนานๆ”

ทั้งกลุ่มเงียบกันไปเลยครับ ก่อนจะตบบ่าให้คนพูดเบาๆ คนละที

“รู้จักทีนานยัง?”

ผมมองไวไวที่พูดแทรก มีช่องหน่อยไม่ได้เลยนะมึง

“จะว่าสั้นก็สั้น ยาวก็ยาว”

คำตอบเชิงขบคิดจากพาร์ ทำให้เพื่อนๆ พากันเหล่มองผม แววตาแต่ละคนจ้องเขม็งจนผมเริ่มเหงื่อแตกซิกๆ แต่ใครจะกล้าบอก ขืนบอก ฝ่ายเพื่อนๆ คงร้องอ้อ ฝ่ายพาร์ก็จะได้ข้อมูลใหม่ ผมไม่อยากนึกว่าถ้ามันรู้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะงั้นพวกมึงไม่ต้องรู้ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ 

เสียงกริ่งห้องดังช่วยชีวิต หันมองนาฬิกาหกโมงกว่าแล้วครับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครมา

วินลุกไปเปิดประตูต้อนรับคนมาใหม่ที่แบกทั้งเป้ ชีทเรียน แถมเสื้อกาวน์สีขาว (เหมือนที่ผมเห็นคนใส่เรียนแถวตึกแลปวิทยาศาสตร์) คนช่วยเปิดประตูยื่นมือจะช่วยคนหอบข้าวของพะรุงพะรัง แต่กลับโดนส่ายหัวว่าไม่ต้อง

“ช้า!”

“ช้าโคตร”

“ช้าที่สุด”

“ช้าเกินไปแล้ว”

คนในห้องร้องโวยวายใส่คนกำลังใช้ขาถอดรองเท้าออก น้ำเสียงเชิงต่อว่าเล่นๆ ขำๆ แต่ก็ทำว่าที่หมอหงุดหงิดอยู่ดี

“หนวกหู แล้วใครสั่งให้รอ หิวก็กินไปก่อนสิ”

“ไม่ใช่หิว ดูนู้น ไอ้ทีพามาแหนะ แถมเล่นตัวไม่ครบองค์ประชุมไม่แนะนำอีกต่างหาก”

“นี่ครบแล้วแนะนำเลยมึง”

ผมเลิกคิ้ว ยิ้มเล็กๆ ใส่คู่หูบะหมี่สำเร็จรูป (ผมเรียกแบบนี้ประจำเวลาพวกมันรวมหัว หรือร่วมมือทำอะไรสักอย่าง) “ให้กายไปล้างหน้าล้างมือเตรียมกินข้าวก่อน”

“ไอ้ที!”

ผมยักไหล่ “จะรีบร้อนทำไม”

เพื่อนคนอื่นแค่ยิ้ม แต่ไวไวกับยำยำทำหน้าหงุดหงิดปนหมั่นไส้ใส่ผม ส่วนพาร์น่ะเหรอ ภายนอกนิ่งดีหรอก แต่แววตาจ้องคาดโทษใส่กัน ช่วยไม่ได้อยากตามมาเองนี่หว่า

“เร็วเลยไอ้หมอ จะไปทำอะไรก็รีบทำ แล้วรีบกลับมารวมกลุ่มด้วย”

ว่าที่หมอของกลุ่มดันแว่นขึ้น “งั้นรอกูอาบน้ำเดี๋ยว”

“สกาย?!”

ชื่อเล่นมาเต็มยศ คนโดนเรียกยกยิ้มตรงมุมปากขำขัน เดินเลยกลุ่มพวกผมไปวางของในมือกองรวมกับของคนอื่นที่จุดเดียวกัน ทิ้งไวไวทำหน้าหงุดหงิดหนักกว่าเดิม โดยมีคู่หูตบบ่าปลอบใจ

“มีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กแขวนอยู่ในห้องน้ำ มึงจะชุบน้ำใช้เช็ดหน้าเช็ดตัวก็ได้”

เจ้าของห้องตะโกนไล่หลัง มีเพียงมือของคนเข้าห้องน้ำยื่นออกมาโบกให้เห็นเป็นสัญญาณรับรู้

พวกผมใช้เวลาที่กายเข้าห้องน้ำ จัดเตรียมตั้งวงกินข้าวเย็น กายออกมาทุกอย่างก็พร้อม เรานั่งล้อมเป็นวงกลมกับพื้น มีหม้อสุกี้ใบใหญ่อยู่ตรงกลาง สารพัดของวางเรียงรายเต็มไปหมด และจากทุกสายตาที่จ้องเขม็งมาทำผมกรอกตาด้วยความเซ็ง

“พวกมึงนี่” ยื่นมือเปิดฝาน้ำซุปที่เริ่มเดือด คีบของสดลงไปวางเรียงในหม้อ “ถ้าไม่มีกูได้อดตายกันแน่ๆ”

“ก็มันไม่อร่อยเหมือนที่มึงทำให้”

“ไม่สวยด้วย ความอยากอาหารก็ลดลงสิ”

“ใช่ๆ มีมึงทำให้กิน อร่อยกว่าไปกินข้างนอกอีก”

เรียบร้อยก็ปิดฝา รอของในหม้อเดือด กวาดมองเพื่อนแต่ละคนที่รอคอยให้ผมเริ่มแนะนำตัว

“เอ่อ คนข้างๆ กูชื่อเทม ถัดไป…โอ๊ย ตบหัวกูทำไม?”

“มึงกวนประสาท เขามีแต่แนะนำคนมาใหม่ก่อน”

“แต่กูอยากเก็บไว้ที่หลังสุดจะได้ตื่นเต้นกัน”

“ตื่นเต้นบ้าอะไร!”

“พอๆ เถียงไปก็เท่านั้น เสียเวลา”

พี่ใหญ่ของกลุ่มพูดห้ามปรามผมกับเทม (ที่นั่งฝั่งซ้ายมือของผม) มันตบหัวอีกทีเป็นการส่งท้าย แววตาที่มองมามีแต่ความหมั่นไส้ล้วนๆ แต่คนทางขวาที่ถูกกล่าวถึงกลับยื่นถ้วยไข่ที่ตีให้แล้วเงียบๆ ผมมองอย่างคาดไม่ถึง มันรู้ได้ไงว่าผมต้องใช้…อ้อ จำมาตอนไปกินสุกี้ด้วยกันสินะ

ผมรับมา เหลือบมองเพื่อนๆ ที่จ้องเป็นตาเดียวก็ยิ้มแห้ง กระแอมไอแล้วเอ่ยต่อ

“ข้างเทมชื่อต่อ ถัดไปคือกาย วิน ไวไว ยำยำ” ผมไล่ชี้ทีละคนไปตามลำดับวนมาถึงคนทางขวามือ “ส่วนนี่พาร์ พวกมึงคนดังน่าจะพอคุ้นหน้ากันล่ะมั้ง”

“แล้วในกลุ่มเราใครไม่ดังบ้าง ถ้าไม่นับบอยแบนด์ประจำกลุ่ม ไอ้ทีก็มีแต่ข่าวลือเสียๆ ไวไวก็ดังในฐานะนักกรีฑาของมหาลัย คงมีแต่ตัวกูมั้ง ธรรมดาสุดแล้ว”

“เถื่อนที่สุดล่ะไม่ว่า ได้ข่าวพวกรุ่นพี่คณะมึงชอบมึงมากเลยนี่ จริงไหมวะวิน”

คนโดนถามพยักหน้า “ยำเข้ากับรุ่นพี่ได้ดีกว่ากูอีก”

“เพราะมึงหน้าตาดีเกิน พวกรุ่นพี่ผู้ชายเลยหมั่นไส้ต่างหาก เอ่อ ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จัก”

ผมปล่อยให้พูดทักทายขั้นพื้นฐานไป ส่วนตัวเองรีบยกฝาหม้อออก ก่อนน้ำที่เดือดเต็มที่จะดันล้นออกมาด้านนอก เมื่อไม่มีฝาระดับน้ำก็ลดลงเหลือแค่เดือดปุๆ ผมคีบเนื้อหมูสดแล่บางๆ คลุกไข่ในถ้วย ก่อนเอาไปจุ่มในหม้อทีละชิ้น ไม่ได้ทำหมดหรอกครับ ทำแค่พอกินก่อน ใส่อาหารทะเลตามเพราะสุกง่าย รอสักพักค่อยให้สัญญาณ

“ลุยกันได้แล้ว”

แต่ละคนรีบจับตะเกียบคีบแย่งของที่หมายตากันก่อนเลย

“เฮ้ย นั่นของกู!”

“กูเล็งไว้ก่อนมึงอีก”

ศึกตะเกียบถือกำเนิด

“ฉกไปต่อหน้ากูเลย”

“อยากคีบไม่แน่นทำไม”

ศึกขโมยคาตะเกียบก็กำเนิดแล้วเหมือนกัน 

ผมหัวเราะโยกตะเกียบหลบได้ปุ๊บก็รีบเอามาวางในชามก่อน ชามในมือถือเป็นเซฟโซนครับ ผมชอบกินสุกี้กับเพื่อน เพราะมันสนุกตรงได้แย่งกันนี่แหละ ผิดกับคนมาใหม่ที่ดูท่าจะอึ้ง นั่งมองเฉย จนผมต้องคีบเนื้อหมูบ้าง ผักบ้างใส่ถ้วยให้ เดี๋ยวหมดต้องรอรอบสองนานนะมึง

“กินดิ นั่งเฉยทำไม”   

“โหย มีคีบให้กันด้วยวะ”

ผมแยกเขี้ยวใส่คนพูด ไวไวทำหน้าล้อเลียนกลับมา และเหมือนคำแซวจะทำให้พาร์ได้สติ หลังนั่งมึนอีกสักพักก็เริ่มคีบของในหม้อกับเขาบ้างแล้ว พอของในหม้อหายเกลี้ยงก็กลับมายุ่งในชามตัวเอง ใครที่จัดการส่วนของตัวเองหมดแล้วก็หยุดมือ ยกน้ำอัดลมขึ้นจิบ ปล่อยผมเอาของลงหม้อรอบที่สอง ปิดฝาจะได้สุกเร็วๆ

“...เป็นการกินสุกี้ที่แปลกดี”

ผมหัวเราะให้เสียงงึมงำของพาร์ ฟังจากน้ำเสียงมันคงประหลาดใจจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ตอนไปกินกันสองคน เรากินไปลวกไป แต่กลุ่มผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ไอ้ที่ลวกไว้โดนฉกแย่งหมด คนเอาของลงหม้อไม่ได้กินกันพอดี ต้องใช้วิธีนี้แหละแฟร์ที่สุดแล้ว

“เฮ้ย มะนาวแช่อยู่ในตู้เย็น”

ผมมองเทมลุกไปโซนครัว สักพักกลับมาพร้อมชามมะนาวสองใบ หนีบขวดเกลือมาอีกต่างหาก ใบหนึ่งฝานเป็นแผ่นบางๆ อีกใบผ่าเป็นซีกๆ สำหรับบีบ

“ใครจะเอาอะไรบ้าง?”

ผมยื่นแก้วโค้กของตัวเองไปหามันเลย เทมหย่อนมะนาวฝานบางๆ ลงมาให้ ผมใช้นิ้วคนๆ ค่อยยกจิบ ก่อนนิ่วหน้า ร้องถามหาของที่ต้องการ

“ขวดเกลืออยู่ตรงหน้าใคร ส่งมาหน่อย”

ได้มาก็เหยาะเพิ่มลงไปเล็กน้อย รู้สึกถึงสายตาจ้องมา เลยหันไปมองสบตากับพาร์พอดี มันมองหน้าผมสลับแก้วโค้กในมือด้วยแววตาสนใจ เลยส่งแก้วให้

“ลองชิมดู”

พาร์รับไปชิม ก่อนทำหน้าประหลาด “อร่อยดี”

ผมรับแก้วตัวเองกลับมา “เอาปะ เดี๋ยวทำให้”

พาร์เลยส่งแก้วมาให้ พร้อมเสียงโห่จากสองคู่หูบะหมี่สำเร็จรูป   

“อภิสิทธิ์ชัดๆ เพื่อนฝูงที่คบกันมานานไม่เห็นเคยทำให้”

“โทษที แต่ทีเคยทำให้กูวะ”

“หุบปากไปเลยไอ้เทม มึงอยู่กับทีนานกว่าชาวบ้าน ไม่ต้องเอ่ยถึงโว้ย!”

ผมกับเทมเรียนอนุบาลมาด้วยกัน ส่วนคนอื่นมาเจอกันตอน ป.1 จำไม่ได้ว่ากิจกรรมอะไร แต่เขาให้จับกลุ่มจำนวนเท่านี้ พวกผมเป็นส่วนเกินของห้อง ประมาณว่าเพื่อนในห้องคนอื่นจับกลุ่มกันไปหมดแล้ว ผมกับเทมเลยไม่มีกลุ่มอยู่ ครูเรียกคนไม่มีกลุ่มมาหา จูงมือพามารวมกลุ่มกับเด็กต่างห้องก็คือไอ้พวกนี้นี่แหละ (น่าจะเป็นส่วนเกินเหมือนกัน) พร้อมคำพูดประโยคหนึ่งที่กลายเป็นชื่อกลุ่มพวกผมตั้งแต่นั้น

อ๊ะ เจ็ดคนพอดีเลย ชื่อกลุ่มดาวลูกไก่แล้วกันนะจ๊ะ

นี่แหละครับ จุดเริ่มต้นของพวกผม

ผมหัวเราะขำเรื่องในอดีต อันที่จริงก็น่าจะลืมไปแล้ว แต่รูปถ่ายหรือข้อความลายมือเด็กๆ เตือนความจำได้ดีเลยครับ หลังบีบมะนาวลงแก้วพาร์ (เพราะมันไม่น่าจะชอบรสขมจากเปลือกมะนาว) กับเหยาะเกลือลงไป ผมก็ส่งแก้วคืนเจ้าของ

“อย่าลืมคนก่อนล่ะ”

“ถามจริงนะ คบกันอยู่หรือเปล่า?”

“เปล่า” ผมกับพาร์ตอบพร้อมกัน

“นัดกันโกหกเปล่าเนี่ย”

“ใช่ซะที่ไหน!” ผมแย้งไปทันที

“งั้นก็แค่เพื่อน?”

ผมขมวดคิ้ว เหลือบมองคนข้างๆ อีกฝ่ายจิบน้ำเงียบๆ ไม่คิดจะช่วยผมตอบเลยครับ พอกวาดมองสายตาเพื่อนทุกคนที่กำลังรอคอยคำตอบ ผมก็ถอนหายใจ

“คงงั้น”

แต่ละคนแสดงออกต่างกันไปก็จริง แต่ดูเหมือนเพื่อนทุกคนจะเลือกไม่ถามมากกว่านี้ เปิดประเด็นคุยเรื่องอื่นแทน พอสุกี้รอบสองได้เวลากินก็รีบคีบแย่งกันอีกรอบ คนโดนแย่งไปต่อหน้าต่อตาก็ตะโกนด่าไอ้คนแย่ง แถมยังมีรายการแฉวีรกรรมสมัยเด็กเป็นการแก้แค้นด้วย ถ้าเป็นปกติเจ้าของเรื่องคงขำไปกับพวกผม แต่คราวนี้มีคนนอก…

“เกรงใจคนมาใหม่หน่อยโว้ย!”

“มึงใช้คำผิด ต้องบอกว่ารักษาหน้ากันหน่อยต่างหาก”

ต่อพูดเรียบๆ แต่ฟังยังไงก็เป็นการเอาคืนเทมชัดๆ

“ไอ้ที มึงแย่งเนื้อหมูกู!”

ผมที่กำลังคีบเนื้อหมูใส่ชามพาร์หันไปเถียง “ก็พวกมึงไม่เห็นใจคนพึ่งมาเลยนี่หว่า”

ผมพูดจริงนะ พาร์คีบอะไรได้ โดนแย่งหมด มันก็เฉยปล่อยวางมาก หลังๆ เลยคีบแต่ผักที่ไม่ค่อยมีใครแย่ง

“ส่วนมึงหัดแย่งคืนบ้าง ไม่งั้นมีอด” พาร์แค่ยิ้มท่าทางไม่ทุกข์ร้อนจนผมต้องหรี่ตาลง “อย่าบอกนะว่ากำลังหลอกล่อให้กูบริการมึงอยู่”

พาร์สะดุ้ง “เปล่า!”

ผมบุ้ยปากไปทางหม้อสุกี้ “งั้นต่อไปอย่ายอม ถ้ามึงยอมอีก เจอบทลงโทษแน่ๆ อย่างเช่น…” เอียงตัวกระซิบข้างหู “มะระผัดไข่”

พาร์หน้าถอดสีเลยครับ หลังจากนั้นผมก็ได้แย่งกินอย่างสบายอกสบายใจ เพราะลูกนกกล้าออกหาอาหารเองแล้ว

“เฮ้ย! พาร์!”

…แต่พอเห็นฝีมือพาร์แย่งคีบอาหารจากคนอื่น ผมขอยืนยัน ก่อนหน้านี้มันหลอกผมให้คอยดูแลชัดๆ

“อะ”

ผมมองอาหารทะเลหลายชนิดที่งมหายากกว่าเนื้อหมูในชาม…เอาเถอะ เห็นแก่ของไถ่โทษที่คีบมาให้เป็นระยะ ผมยอมยกโทษให้ก็ได้

“ไอ้ทีแม่งขี้โกงเป็นบ้า!”

“พาร์อย่าไปยอมโดนทีกุมจุดอ่อน เดี๋ยวกูแฉทีให้ฟัง เอาเรื่องไหนดี?”

ผมชะงักมือที่กำลังจะดึงหางกุ้งออกจากปาก

ไวไวฉีกยิ้มระรื่นตอบคำถามเทม “เอาเรื่องนี้ดีกว่า สมัยเด็กมีคนทำขนมมาฝากมันบ่อยๆ โดยเฉพาะคุกกี้ พวกมึงจำได้มะ?”

เฮ้ย! เดี๋ยว! อย่าพูดออกไป…

“กูจำได้ว่ามันเอาขนมมาอวดบ่อยๆ แต่ยอมให้ชิมแค่นิดเดียว”

“หวงขนมมาก”

“จำได้แค่ว่าขนมอร่อยดี”

เออ แฉให้พอใจพวกมึงเล…

“อ้อ” เทมลากเสียงยาว “ตอนนั้นไอ้ทีชอบคนทำขนมมากๆ เลยล่ะ”

ผมพ่นหางกุ้งไปแล้ว

ไอ้พวกบ้าเอ้ย! เล่นกูแล้วไง

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-10-2016 21:03:58
อ่อยยยย!! น่ารักงะ ดี้ดี
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-10-2016 21:20:13
เล่นทีเลยๆ แฉทีเยอะๆ
พาร์ ตามทีมา คราวนี้ได้รู้ เรื่องที เต็มๆ
ไม่ใช่พาร์ฝ่ายเดียวที่หลงที
ทีก็หลงพาร์ เหมือนกัน แต่เป็นหลงคุ้กกี้
คุ้กกี้ฝีมือพาร์ สุดยอด
พาร์ ปลาบปลื้มสุดๆ ไปแล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 30-10-2016 21:41:31
555 .. พาร์ เป็นรักแรกของ ที  ที เป็นรักแรกของ พาร์ ตกลงเค้าได้กัน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 30-10-2016 22:02:28
น้องทีโดนแล้ววววว เต็มๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 30-10-2016 22:38:48
ฮาอะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 30-10-2016 23:30:05
แฉขนาดนี้ คนทำคุ้กกี้ก็เขินแย่สิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 30-10-2016 23:43:09
อยากจะสงสารเดนนะ แต่รู้สึกสมน้ำหน้ามากกว่า
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 30-10-2016 23:57:54
อุ๋ย พาร์รู้แล้วว่าทีชอบคนทำคุ้กกี้มาให้มาก ทีนี้พาร์จะเอาไงต่อ จะคิดว่าตัวเองมีความได้เปรียบทีมากขึ้นมั้ย แต่เราว่ายังไงพาร์ก็ยอมทีอยู่แล้ว 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 31-10-2016 00:46:06
นั่นไง ทีโดนแฉซะแล้ว 55555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 31-10-2016 07:42:33
ค้างมากๆค่า รอตอนต่อไปอยู่นะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 31-10-2016 08:18:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 31-10-2016 22:41:47
นี่มันการกินสุกี้กระชับมิตรของพาร์และเดอะห์แก๊งค์ชัดๆ ว่าแล้วว่ายังไงทีก็หนีไม่พ้นต้องโดนเพื่อนแฉให้พาร์ฟัง
สงสารยำอ่ะ นางไม่เหมาะกับความเศร้าเลย ชื่อกลุ่มน่ารักมุ้งมิ้งไม่เข้ากับชายโฉดทั้งหลายเลย5555 //โดนทีถีบ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่25] P.8 (30/10/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 01-11-2016 08:58:14
ใจตรงกันสินะแหม่
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่26] P.8 (03/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 03-11-2016 11:21:03
บทที่ 26

ผมคันปากยิบๆ อยากด่าไอ้ไวไวมากที่สุด เรื่องมีตั้งเยอะ ทำไมต้องยกเอาเรื่องนี้มาพูดวะ แล้วไอ้เทม มึงนะมึง พูดอะไรออกไป แต่ที่แสดงออกทำได้แค่ยกน้ำดื่มอึกๆ

“ไอ้ที!?!”

“อะไร?” ตะโกนเรียกซะทำคนอื่นตกใจเกือบสำลักน้ำ

นิ้วไวไวชี้ที่หม้อสุกี้ให้ทุกคนมองตาม…หางกุ้งที่อยู่ในปากผมเมื่อกี้ บัดนี้ลงไปนอนลอยคอกลางน้ำเดือดปุๆ แล้วครับ ท่ามกลางความเงียบกริบ พี่ใหญ่ของกลุ่มถอนหายใจยาวเหยียด คีบหางกุ้งออกมาวางทิ้งบนทิชชู่

เหมือนเปิดสวิตช์ให้คนรอบข้างเคลื่อนไหว

“ซกมก!” คู่หูบะหมี่สำเร็จรูปตะโกนพร้อมกัน

“ช่างเถอะๆ กินต่อดีกว่า” วินว่า

เพื่อนๆ เริ่มคีบอาหารในหม้อสุกี้อีกครั้ง แต่บางคนคีบไปบ่นผมไปไม่หยุด จนเพื่อนคนอื่นต้องชวนคุยเรื่อยเปื่อยถึงเลิกบ่น

ผมเหล่มองหางกุ้งสีส้มบนทิชชู่สีขาว…ถูกช่วยชีวิตซะแล้ว ผมควรขอบคุณมันไหม

ชิ่ง…

ไม่สิ ยังไม่รอดนี่หว่า

ผมค่อยๆ ชำเลืองมองคนทางขวา ผงะทันทีที่เห็นแววตาข้องใจจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว เริ่มเหงื่อแตกพลั่กๆ รีบหันไปมองหม้อสุกี้แย่งกุ้งจากตะเกียบเทมไปวางใส่ชามพาร์

กินเข้าไปนะมึง จะได้ลืมๆ หรือนึกว่าหูฝาดก็ยังดี

“ไอ้ที!”

“โอ๊ย”

เทมเอาหัวมันมาโหม่งหัวผมเป็นการแก้แค้นที่ไปแย่งกุ้งมันครับ

“เล่นผิดกฎ จ่ายค่าปรับมาเลย”

เทมทำหน้าหงุดหงิด  ยอมยื่นชามในมือมาทางผม (ตามกฎที่ตั้งขึ้นมานานแล้วว่าห้ามทำร้ายร่างกายเพื่อนตอนแย่งสุกี้ หลังทำผิดต้องยินยอมให้เลือกอาหารอะไรก็ได้ในชาม หนึ่งชิ้นต่อหนึ่งการทำผิด) ผมคีบมาถึงสอง เลยเจอเทมโวยวายใส่   

“ได้แค่ชิ้นเดียวโว้ย เอาอีกชิ้นคืนมาเลย”

ผมโยกชามหลบ “สองน่ะถูกแล้ว มึงทำผิดสองกระทง ไม่สิ สามด้วยซ้ำ กูใจดีลดเหลือแค่สองเชียวนะ”

“สองสามบ้าอะไร! เอาคืนมา!”

“ไม่มีทาง เพราะมึงผิดจริง”

“กูผิดอะไรวะ?”

“ทำร้ายกู ทำร้ายกู และทำร้ายกู”

เทมทำหน้าเงิบใส่

ผมพูดจริงนะ ครั้งแรกมันบอกจะแฉผม ครั้งที่สองมันทิ้งระเบิดใส่ผม ครั้งที่สามมันทำร้ายร่างกายผม ความผิดสามกระทงชัดเจน!

หลังจ้องหน้ากันสักพัก เทมก็หันไปหาต่อที่อยู่ข้างๆ พูดฟ้องเป็นเด็กๆ

“ทีโกงกู”

“มึงเถียงสู้ทีไม่ได้ เลยจะมาขอค่าปลอบใจจากกูงั้นสิ”

ผมขำก๊าก คนโดนพูดดักคอทำหน้าบึ้ง เผยธาตุแท้ข่มขู่เอาของปลอบใจแทนเรียบร้อย สรุปไอ้เทมแค่หาเรื่องจิ๊กของในชามต่อแทนของที่เสียมาให้ผมครับ ฮ่าๆๆ

-------------

ตามหลักแล้ว หลังกินของคาวต้องตามด้วยของหวาน แต่กลุ่มผม หลังสุกี้ต้องขนมจีบ

“เอาขนมจีบไปอุ่นเลยไหม?”

“อือ”

ผมตอบวิน สองมือกำลังยุ่งกับการแกะน้ำจิ้มเทใส่ถ้วยเล็กตามจำนวนคนใส่ถาด คนอื่นๆ ยุ่งกับการเก็บกวาด เช็ดถูพื้น เพื่อตั้งวงขนมจีบอีกรอบเป็นการส่งท้ายมื้อเย็น ตอนผมเดินเอาถาดน้ำจิ้มออกมาวาง พื้นที่เคยเลอะเทอะเพราะสุกี้ตอนนี้สะอาดแล้วครับ

หือ?

ผมที่เกือบจะเดินกลับโซนครัวหยุดชะงักเท้า เพ่งมองเทมกับพาร์ยืนคุยกันหน้าห้องน้ำ

คุยอะไรกันวะ

ผมมองอย่างระแวง กำลังจะเดินไปหา

“ที! ไอ้ทีมาด่วน!!”

ผมมองทางครัวที ทางสองคนนั้นที ก่อนยอมเดินกึ่งวิ่งกลับครัว ฟังจากเสียงโวยวายของวินท่าจะเกิดปัญหาใหญ่ เข้าไปใกล้ก็เจอวินกับต่อมุงดูอะไรสักอย่าง ยืนบังจนเห็นแค่แผ่นหลังพวกมัน 

“มีอะไร?”

เพื่อนทั้งสองหันมาหน้าเครียด บอกให้อ้าปาก แล้วยัดอะไรบางอย่างใส่ปากผม

รสชาติอย่างนี้ขนมจีบ…พอเริ่มเคี้ยวก็พบปัญหาจนอยากคายทิ้ง

“กูทำอะไรผิด มันถึงได้แห้งแข็ง ไม่อร่อยเหมือนที่มึงเคยอุ่นให้”

ผมฝืนกลืนลงคอ ต่อรีบส่งแก้วน้ำเปล่าให้ เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย

“มึงลืมพรมน้ำ ไม่ก็ลืมเอาน้ำใส่ถ้วยเข้าไปเวฟพร้อมกัน แล้วก็อุ่นนานไปแล้ว หรือไม่ก็หลังเอาแรปออกคงลืมเอาที่ครอบมาปิดก่อนอุ่นด้วยใช่ไหม”

วินยิ้มเจื่อน ที่ผมพูดต้องมีถูกบ้างล่ะ

ต่อขมวดคิ้ว “มีวิธีแก้ไหม?”

ผมส่ายหน้า “แต่มีตั้งหลายกล่องคงไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่ก็แค่…ครึ่งกล่องเองไม่ใช่เหรอ”

ต่อพยักหน้าให้ผม ก่อนหันไปพูดกับวิน “งั้นมึงรับผิดชอบจานนี้ลงท้องไปเลย”

“ง่ะ”

ผมเห็นใจทันที กว่าจะเคี้ยวลงท้องหมด นรกชัดๆ

“เอ่อ เก็บไว้เป็นเกมลงโทษหลังกินขนมจีบดีกว่าไหม”

“ใช่ๆ” วินรีบสนับสนุน “ว่าแต่ตาใครเป็นคนคิดเกม?”

“กู แต่บอกตามตรงคิดไม่ออก มาช่วยกันคิดหน่อย”

ผมกับวินมองหน้ากัน แล้วหันมองคนต้องคิดเกม ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ที่จริงต่อคิดเกมได้ แต่มันออกแนวดูดีมีสาระเกินไป สมัยเด็กเลยไม่ค่อยมีใครชอบจนต่อเครียดทุกครั้งเวลาวนมาถึงตาตัวเองต้องคิดเกม หลังๆ เลยมาขอความเห็นจากเพื่อนมากกว่า

“จุดประสงค์ของการรวมตัวครั้งนี้คืออะไร?”

ผมพูดเกริ่น วินตอบทันที

“เพื่อยำยำ มันกำลังเจอปัญหา เลยอยากเจอพวกเรา”

“แล้วต่อคิดอยากทำให้ยำร่าเริงขึ้นแค่ตอนนี้ แล้วกลับไปเครียดอีก หรืออยากให้ยำพูดถึงปัญหาในตอนที่มีพวกเราอยู่ด้วยล่ะ”

“อย่างหลังสิ”

“งั้นก็คิดเกมที่ช่วยเพื่อนได้สิ เอาตามสไตล์ต่อ เครียดก็ไม่เป็นไรหรอก”

“กูเห็นด้วยกับที”

ต่อมองข้ามเคาน์เตอร์แบ่งเขตครัวออกไป พวกผมมองตามถึงเห็นว่ากำลังมองเพื่อนเตี้ยสุดในกลุ่ม

“คงได้เห็นไวไวหลับ”

พรืด

ผมกับวินปล่อยเสียงหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ ภาพสมัยเด็กผุดขึ้นมาในหัว ไวไวนั่งหลับน้ำลายไหลยืด ยำยำอ้าปากหาวหวอดๆ เทมตาจะปิดอยู่แล้ว ส่วนผมกับวินนั่งหัวเราะคิกคักกับสภาพเพื่อนแต่ละคน มีแค่ต่อกับกายดวลเกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง หาตัวผู้ชนะไม่ได้สักที

“กูออกความเห็นแล้ว ขอไปอุ่นขนมจีบที่เหลือก่อนล่ะ”

ผมปล่อยวินคุยกับต่อ แว่วเสียงวินมาเป็นระยะ

“งั้นเอาอย่างนี้ เป็นเกมที่ให้ยำระบายความเครียดออกมาบ้าง…”

หลังจากนั้นผมก็ไม่สนใจอีก จัดการอุ่นเรียบร้อยก็มาขอแรงสองคนที่ปรึกษากันเสร็จแล้ว มาช่วยยกออกไปวางข้างนอก…เหมือนในห้องเย็นน้อยลง

“ปรับแอร์แล้วเหรอ?”

“ใช่ ไอ้ไวบ่นหนาว” เทมว่า

พอนั่งรอบวงกันครบ กำส้อมในมือพร้อม เหรียญห้าก็ถูกดีดขึ้นบนอากาศ

“รอเหรียญกระทบพื้นก็เปิดศึกได้”

พวกผมขานรับพี่ใหญ่ของกลุ่ม รอฟังเสียงอย่างตั้งใจ

เคร้ง

ทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณ แต่ละคนก็รีบจิ้มขนมจีบที่หมายตา มีหลายแบบครับ ทั้งขนมจีบกุ้ง ปู หมู เห็ดหอมสับ สาหร่าย แต่ไส้ปูน้อยที่สุด ไส้กุ้งเป็นอันดับต่อมา เลยต้องแย่งกันหน่อย 

“เฮ้ย ปูหายไปไหนหมด”

“นั่นของกูโว้ย”

ผมไม่สนใจแย่งชิงกับคนอื่น ไส้ไหนก็อร่อยทั้งนั้น เลยขอเน้นปริมาณมากกว่ารสชาติ หลังจิ้มหมูกับเห็ดหอมเข้าปากหลายลูก จู่ๆ มีขนมจีบปูยื่นมาตรงหน้า พอหันมองเจ้าของส้อม กลับโดนถามสั้นๆ

“เอาไหม?”

ผมเลิกคิ้วประหลาดใจสุดๆ “ให้จริงดิ?”

“อือ”

“…ไม่มีขอแลกเปลี่ยนทีหลัง?” ผมถามอย่างระวัง

“ไม่มี”

ถึงบอกว่าไม่สน แต่ของดีมีน้อยชิ้นก็ล่อตาล่อใจมากโข ถึงอย่างนั้นผมก็ยังลังเล

“ตัดสินใจช้า อดไป…”

ผมรีบคว้าข้อมือพาร์ที่กำลังจะดึงกลับ รีบอ้าปากงับขนมจีบปูพร้อมเคี้ยวช้าๆ รสสัมผัสดีกว่าหมูหรือเห็ดหอมเยอะครับ อร่อยจนผมเสียดายถ้าต้องรีบกลืน

“อร่อยไหม?” พาร์ถามหลังผมยอมกลืนลงท้อง

“มากๆ”

“งั้นจ่ายมาได้แล้ว” พาร์แบมือตรงหน้าผม

ฮะ?

ผมทำหน้างง “จ่ายอะไร?”

“ค่าขนมจีบ จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ รับหมด”

ผมอ้าปากเหวอ ทำไมผมต้องจ่ายด้วย ในเมื่อคนซื้อมาคือต่อ ถ้าจะจ่าย ผมควรให้เงินกับต่อต่างหาก

“โหย เล่นขายขนมจีบตรงนี้ ไม่เกรงใจคนรอบข้างเลยยย”

“แต่ดูจากหน้ามึนงงของไอ้ที มันคงตามมุขไม่ทัน”

มุข?

ผมนึกทวนในใจ ก่อนติดสตันหลังเข้าใจ ขายขนมจีบที่ว่า หมายถึงกำลังสนใจอยากได้มาเป็นแฟน สรุปคือพาร์เล่นมุขจีบผมทางอ้อมครับ

“ทีตัวแข็งไปเลยวะ ฮ่าๆๆ”

“ไม่แปลก มันห่างหายจากการโดนผู้ชายจีบตั้งหลายปี สรุปมึงกำลังจีบทีสินะ”

“ก็…นะ”

“กล้าดีวะ”

“ไอ้ทีโหดนะ ระวังไว้ด้วยล่ะ”

ผมจิ้มขนมจีบสาหร่ายเข้าปากเงียบๆ อุตส่าห์ทำตัวกลืนไปกับบรรยากาศแล้วแท้ๆ ไอ้คนข้างๆ กลับไม่ยอมปล่อยผมไร้ตัวตน มีมากระซิบข้างหูเสียงแผ่ว

“กูนึกว่ามึงชอบแค่ขนมอย่างเดียวมาตั้งนาน แต่เพื่อนมึงยืนยันว่าทีชอบคนทำขนมมากกว่านั้นเยอะ…จริงหรือเปล่า”

“โอ๊ะ ไอ้ทีแก้มแดงวะ”

ผมจิ้มขนมจีบปาไปโดนหน้าผากไอ้ไวไวพอดี “ถ้ายังอยากมีปากไว้กินของอร่อย หุบปากมึงไปเลย!”

“ที ห้ามเอาของกินปาเล่น!”

ผมยิ้มแห้งให้กายที่ส่งสายตาดุมาให้ ส่วนคนโดนผมตวาดเหรอ จับส้อมที่ตกใส่ตัก เอาขนมจีบเข้าปากแล้วครับ แถมยังส่งแววตาล้อเลียนมาให้อีกต่างหาก ผมเลยแยกเขี้ยวส่งกลับไป

“พอดีเลย เกมครั้งนี้ต้องสนุกมากแน่ๆ”

ทุกสายตาหันไปมองวิน

“มึงคิดเกม?”

“เปล่า ต่อต่างหาก ชื่อเกมอะไรนะต่อ?”

“เกมอะไรวะ?” เทมถามลุ้นๆ

“เกมเลือก”

“ฮะ?”

วินหัวเราะเมื่อเห็นพวกผมทำหน้างง “ต่อหมายถึงเกมเลือกว่าจะพูดความจริงตรงๆ หรือเลือกจะโดนเพื่อนในกลุ่มแฉเรื่องน่าอาย แน่นอนว่าแฉในกลุ่มมันไม่สนุก เพราะงั้นบทลงโทษคือพรุ่งนี้จะโดนเอาเรื่องน่าอายไปแฉกับคนนอกกลุ่มที่มหาลัย แล้วแต่ว่าคนแฉจะเลือกไปแฉกับใคร”

“คนคิดเกมนี่มึงใช่ไหม!”

“โหดสัดๆ”

“อย่าใส่ร้าย กูแค่ให้คำแนะนำ เนอะต่อ”

คนถูกเอ่ยชื่อผงกหัวรับ แววตาเปล่งประกายขบขับ

“แล้วขนมจีบแข็งๆ นั่นล่ะ?” ผมรีบถาม

วินทำหน้าเจื่อน “ลงท้องกูหมดแล้ว”

นึกภาพวินกินไอ้นั่นไปคำ น้ำไปคำออกเลยครับ…เห็นแก่ที่มันยอมฟาดไอ้นั่นลงท้อง ผมยอมหุบปากเงียบก็ได้ ถึงจะรู้สึกว่างานนี้ตายแน่ก็ตาม

“งั้นกูไปเอาไม้ไอติมก่อนนะ”

ต่อลุกเดินไปห้องนอน คราวนี้เทมกับยำยำช่วยกันเก็บจานชามไปไว้ในครัว ส่วนผมลุกไปหยิบผ้าขี้ริ้วในห้องน้ำมาเช็ดพื้นอีกรอบ มีคนเดินตามหลังมา คงเป็นเพื่อนสักคนนั่นแหละ แต่พอได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดก็นึกแปลกใจเลยหันไปมอง ผงะสิ ไม่นึกว่าเป็นพาร์

“อะ…อะไร?”

พาร์จ้องหน้าผมไม่พูดอะไรสักแอะเดียว

“มองหน้าทำไม”

“กำลังมองคนใจร้าย ไม่คิดบอกกันเลยนะ”

น้ำเสียงตัดพ้อกันสุดๆ แถมยังเดินเข้ามาใกล้ ผมรีบถอยหลังด้วยความระแวง ไปๆ มาๆ ดันโดนต้อนหลังติดกำแพงซะงั้น

“เอ่อ มึงถอยไปยืนห่างๆ ก็ได้”

แต่พาร์กลับไม่ฟังผมเลย 

“ถ้าวันนี้เพื่อนมึงไม่หลุดพูดออกมา กูคงไม่มีวันได้รู้”

ผมอ้าปาก มองสีหน้าน้อยอกน้อยใจของคนตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ก่อนยืนตัวแข็งทื่อเมื่ออีกฝ่ายซบหน้ากับไหล่ สะดุ้งยามโดนโอบรอบเอวหลวมๆ 

“ตอนแรกกูไม่อยากเชื่อนะ คิดสารพัดว่าหูฝาดบ้างล่ะ ฟังผิดบ้างล่ะ อึดอัดคับข้องใจจนต้องไปขอคุยกับเพื่อนมึง”

ภาพพาร์กับเทมคุยกันแวบเข้ามาในหัวผมทันที วินาทีนี้อยากอ้าปากพ่นไฟใส่เพื่อนที่สุด!

มันแฉผมอีกแล้ว!

“กูไปตั้งคำถามเพื่อนมึงมาตั้งหลายเรื่อง ยืนยันจนแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด และคนที่ว่านั่นคือกูแน่ๆ”

พาร์เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสว่างไสวที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น

“ดีใจนะ…ดีใจมากๆ เลยล่ะ”

ผมเม้มปาก เบือนหน้าหนี แต่ต้องสะดุ้งเมื่อโดนลูบแก้มแผ่วเบา 

“แก้มแดงนะที”

เพราะใครล่ะ!

ผมผลักพาร์ออกห่าง มันดูตกใจปฏิกิริยาของผมพอสมควร หลังหายใจเข้าออกปรับอารมณ์สักพัก ผมก็พูดเสียงเฉียบขาดใส่มัน

“กูยังต้องไปเช็ดพื้น ถอยไป!”

พาร์รีบหลีกทางให้ ผมคว้าผ้าขี้ริ้วได้ก็เดิมดุ่มๆ ออกมานอกห้องน้ำ พอนึกได้ว่าลืมอะไรก็หันไปชี้นิ้วสั่งคนยืนอยู่ที่เดิม

“รองน้ำใส่ถังมาให้ด้วย”

“…อือ”

ก่อนผมจะปิดประตู แว่วเสียงพาร์งึมงำกับตัวเอง แต่เพราะในห้องน้ำเสียงก้อง ผมเลยพลอยได้ยินไปด้วย

“หนีหรือเนี่ย”

ผมปิดประตูใส่เสียงดัง

จะคิดยังไงก็เรื่องของมึง แต่คิดจะจับคนอย่างกู เร็วไปโว้ย!

เสียงมือถือไม่คุ้นหูดังขึ้นมาจากในห้องนอนเพื่อน พวกผมพร้อมใจกันเงียบ แว่วเสียงเจ้าของห้องพูดคุยลอดออกมาจากบานประตูที่ไม่ได้ปิด ครู่ใหญ่ต่อก็เดินหน้าเครียดออกมา

“โทษที คืนนี้กูต้องกลับไปนอนค้างที่บ้าน”

กายรีบเดินเข้าไปกอดคอต่อ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

ต่อส่ายหน้าทั้งที่ตีหน้าขรึม แต่พอโดนจ้องหนักเข้าก็ยอมเปิดปาก

“เรื่องธุรกิจที่บ้าน เหมือนจะมีหนอน พ่อเลยเรียกกูไปดูเขาจัดการปัญหานี้”

พวกผมไม่ได้พูดอะไร นอกจากกอด ตบหลัง ตบบ่าเบาๆ ให้กำลังใจ เพราะต่อเป็นลูกคนเดียวของบ้าน มันเลยต้องเป็นผู้สืบทอดธุรกิจพันล้านของครอบครัว อนาคตโดนปูทางไว้หมด แม้แต่เรื่องคณะมหาลัยก็ยังไม่มีสิทธิ์เลือก ดีที่มันปลงตกทำใจได้นานแล้ว เลยไม่ต้องห่วงเรื่องจะออกนอกลู่นอกทาง พวกผมกลัวแค่เรื่องเดียว กลัวเพื่อนจะเครียดมากเกินไป

“รถบ้านมึงจะมาเมื่อไหร่?”

“อีกสามสิบนาที”

กายหันมองพวกผม “ได้ยินแล้วใช่ไหม”

พวกผมขานรับ รีบแยกย้ายช่วยกันทำความสะอาดให้เรียบร้อย

“พวกมึงนอนค้างที่นี่ก็ได้”

ผมที่อยู่ใกล้ๆ ส่ายหัวให้เห็น ไม่ใช่ไม่อยากอยู่ แต่ถ้าอยู่แล้วพ่อแม่มันรู้เข้า คนที่โดนลงโทษคือต่อ ที่จริงเพื่อนผมไม่ได้หวงห้องทำงานหรือห้องนอนหรอก แต่ที่ไม่อยากให้พวกผมไปยุ่งก็เพราะในห้องมีเอกสารธุรกิจบ้านมันเยอะแยะ ถ้าเกิดเพื่อนเผลอไปซนจนเอกสารเสียหายขึ้นมา หรือเอกสารหายไป คงแย่ทั้งสองฝ่าย

“ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรๆ” วินขยี้หัวเพื่อนที่หน้านิ่ง แต่แววตาสลด “อีกไม่กี่วันก็ได้รวมกลุ่มกันอีกแล้ว”

“ใช่ๆ มึงไม่ต้องคิดมากหรอก” ไวไวตะโกนออกมาจากทางครัว

ครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกผมก็หอบหิ้วของลงมาพร้อมกัน ยืนส่งเจ้าของห้องที่มีรถมารอรับถึงหน้าคอนโดเรียบร้อย ก็เริ่มมองหน้ากันเอง ก่อนหันไปมองยำยำ เหมือนคนถูกมองจะรู้ตัว

“แยกย้ายเหอะ ไว้คราวหน้าค่อยคุยกัน”

“…เอางั้น?”

“อือ” ยำยำพยักหน้ายืนยัน “รอครบคนค่อยคุยกันทีเดียว”

พวกผมมองหน้ากันเองอีกรอบเป็นเชิงปรึกษา ก่อนพยักหน้ารับการตัดสินใจเจ้าของเรื่อง

“งั้นแยกย้าย” กายสรุป “ใครอยู่หอในก็รีบกลับ อย่าไปเถลไถลที่ไหนล่ะ”

“วินฝากยำด้วยล่ะ พวกกูไปนะ”

ไวไวกับเทมผละไปก่อน ไวไวยังขับรถไม่แข็ง แถมยังชอบหลงทาง เทมเลยขับมาให้ ที่รีบกลับคงเพราะต้องวนเข้ามหาลัยไปเอารถเทมก่อนประตูมหาลัยปิดล่ะมั้ง

คนที่เหลือบอกลากันเสร็จก็แยกย้าย ผมมองแผ่นหลังยำยำอย่างชั่งใจ

“ไม่กลับ?”

“เปล่า แค่กำลังคิดว่าบอกยำไปเลยดีไหม”

“ตามความคิดกู อีกสองสามวันค่อยบอกดีกว่า ถึงตอนนั้นเพื่อนมึงน่าจะมีสติรับฟังมากกว่าตอนนี้”

“…นั่นสินะ” ผมคล้อยตาม เพราะที่พาร์พูดก็ถูก

“แล้วเราล่ะ?”

ผมละสายตาจากแผ่นหลังเพื่อนหันมองพาร์ “ก็กลับไปนอนบ้านสิ”

“ไม่ใช่ กูหมายถึง…ขายขนมจีบให้แล้ว มึงล่ะให้จีบได้ยัง?”

ผมจ้องคนที่กล้าพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาหน้าตาเฉยอึ้งๆ แต่แววตาพาร์กลับนิ่งสงบมีประกายอยากรู้คำตอบแฝงอยู่ลึกๆ เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา และถูกทำลายด้วยรถที่ขับมาจอดใกล้ๆ กระจกรถถูกเลื่อนลง สิ่งแรกที่เห็นอีกแววตาดุๆ ของว่าที่หมอ

“ยืนเฉยให้ยุงหามทำไม ขึ้นรถกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้!”

“ไปแล้วๆ”

ผมรีบลากพาร์มาที่รถ ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ครุ่นคิด ดังนั้นพอเข้ามานั่งในรถ ผมเลยถามสิ่งที่อยากรู้ก่อน 

“มึงตัดสินใจแล้ว?”

“ใช่”

“ยังเหลือความลังเลสับสนอยู่ไหม”

“มี แต่ถ้าไม่ลองดู แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคำตอบถูกหรือผิด กูเลยคิดว่าสมควรเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างได้แล้ว”

ผมมองพาร์นิ่งๆ ระหว่างเอ่ยถามเสียงจริงจัง

“ถ้ากูไม่ให้คำตอบตอนนี้ มึงจะอ่านหนังสือสอบรู้เรื่องไหม?”

คนโดนถามหัวเราะร่วน “ถ้าเป็นอย่างนั้น กูคงอ่านไม่รู้เรื่องนานแล้ว…กูไม่ได้เร่งมึงนะที แค่ถามเฉยๆ ถ้าจะรอสอบเสร็จก่อน แล้วมึงค่อยคิดเรื่องของเราก็ได้ ไม่ว่าหรอก”

ผมพ่นลมหายใจโล่งอก “งั้นก็ตามที่มึงพูด”

“…ที”

“อะไร?”

“มึงกระตุ้นให้กูรู้สึกอยากล่ามึงวะ”

“อะไรนะ!”

พาร์ไม่ได้พูดอะไร นอกจากโน้มหน้ามาใกล้ ผมนึกว่ามันจะพูดกระซิบอะไรสักอย่าง แต่กลายเป็นว่าโดนหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง กะทันหันจนได้แต่ตะลึง

“รู้ไหมยิ่งมึงพยายามหนี กูก็ยิ่งอยากตามจับมึง”

ผมอ้าปากจะด่า แต่ไม่ทันพาร์ที่เอ่ยพูดต่อ

“ขอบคุณที่เมื่อก่อนก็ชอบกู”

ผมหุบปากฉับ กลืนคำด่าลงคอ เหลือบมองคนอารมณ์ดีเหลือเกิน จู่ๆ ความหมั่นไส้ก็พุ่งพรวดจนต้องยกมือกอดอกไว้ กันเผลอไปฟาดหัวคนกำลังขับรถออกจากที่จอด

…หอมแก้มคือคำขอบคุณ แต่สัมผัสเมื่อครู่ต่างออกไป จนผมรู้สึกเหมือนโดนฉวยโอกาสยังไงชอบกล

-------------

และแล้ววันศุกร์ก็มาเยือน ผมแวะห้องพ่อเอาการ์ดไปวางบนหมอนเรียบร้อยก็กลับมาช่วยพาร์ยกข้าวของที่เตรียมไปค้างบ้านย่าขึ้นรถ แต่พอเห็นสภาพเหงื่อท่วมตัวเพื่อนก็อดถามไม่ได้ (พาร์พึ่งปั่นจักรยานเอาของที่จะให้ลุงแทนไปไว้ที่บ้านมันมาครับ)

“จะขึ้นไปอาบน้ำอีกรอบก่อนไหม?”

พาร์ส่ายหน้า “แต่กูขอถามอีกที มึงแน่ใจนะว่าไปค้างบ้านย่า ไม่ใช้จะไปเดินป่าที่ไหน”

ผมเซ็งคำถามนี้สุดๆ “ถามอะไรหลายรอบนัก”

“ก็มันน่าสงสัยนี่ แล้วไอ้ใบรายการที่ให้มาสำหรับจัดของ ดูยังไงก็เหมือนเตรียมไปเที่ยวชัดๆ”

“แล้วมึงจัดของตามใบรายการปะ?”

“จัด”

“งั้นก็ไม่มีปัญหา อีกอย่างกูบอกมึงแล้วนะว่าสอบเสร็จจะไปเที่ยวต่อ”

พาร์นิ่งไปเลยครับ ท่าทางคงพึ่งนึกออก

“…นี่มึงจะไม่กลับบ้านจริงๆ ใช่ไหม?”

ผมถอนหายใจ “จำสภาพเจ้าตัวเล็กเมื่อวันจันทร์ได้ปะ มึงคิดว่ากูสมควรกลับมาให้น้องเห็นหน้าไหมล่ะ”

“…ไม่”

“ก็นั่นน่ะสิ นี่ดีนะยัยน้ำโตแล้ว เพราะสมัยก่อนก็ไม่ต่างกับน้องอันหรอก แต่ถ้ากูหายไปนานๆ ก็ไม่แน่ ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า”

ผมมองหน้าพาร์นิ่งๆ “กูว่าเราน่าจะตั้งเงื่อนไขกันหน่อย อย่างแรก กูกับมึงห้ามโผล่หน้าไปให้น้องๆ เห็นทุกกรณี”

“แม้แต่น้องเข้าโรงพยาบาล?”

มุมปากผมกระตุก “รู้ไหมกูเคยโง่โดนมารยาเด็กหลอกมาแล้ว แล้วมึงจะรู้ว่าน้องเรากล้ากว่าที่คิด เป็นไปได้อย่าเต้นตาม ไม่งั้นจะกลายเป็นการสนับสนุนให้น้องทำตัวเองบาดเจ็บ”

พาร์ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งใส่ผม

“แต่กูว่ามึงปิดมือถือไปเลยดีกว่า ก่อนปิดก็โทรไปรายงานตัวกับพ่อแม่ก่อน ถ้าเขารู้ว่าเราอยู่ในช่วงสอบ คงไม่ว่าอะไรหรอก แล้วค่อยโทรไปหาเป็นระยะก็ได้”

“ข้อต่อมาล่ะ”

“ห้ามบอกพิกัดว่าอยู่ไหน ไม่ว่าจะพ่อแม่หรือน้องถาม ห้ามบอกหมด กูเคยพลาดมาแล้ว ปรากฏว่าพ่อแม่ทนไม่ไหวพาน้องมาส่งถึงที่”

“…ยังมีอีกไหม”

“ข้อสุดท้าย ถ้ามึงเผลอใจอ่อนจนโดนจับตัวได้ กูจะทิ้งมึง…” แววตาคนฟังเปลี่ยนไปทันที ทำเอาผมผวา ไอ้ที่ยังพูดไม่จบเลยกลายเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ ให้อยู่กับน้องที่นี่”

ผมมองหน้าพาร์อย่างระวัง นึกสงสัยมันอารมณ์เสียเรื่องอะไร

“แค่นี้ใช่ไหม?”

“อือ”

จู่ๆ พาร์ก็ยิ้ม แต่แววตาไม่ยิ้มไปด้วยเลย

“กูไม่ให้มึงหนีเที่ยวคนเดียวแน่”

คนเดียว?

ผมมองคนที่หมุนตัวไปยกของขึ้นรถต่อ แล้วเพื่อนผมอีกหกคนทำไมไม่นับรวมด้วยเล่า

กว่าจะได้ฤกษ์ออกจากบ้านก็ปาไปเกือบบ่ายสามกว่าแล้ว ต้องรีบไปโรงเรียนน้องอันให้ทันบ่ายสามห้าสิบ วันนี้โรงเรียนน้องอันมีกิจกรรมวันพ่อครับ พ่อเลยขอหยุดงานไปอยู่กับน้องอันทั้งวัน ช่วงเช้ามีกิจกรรมอะไรบ้างผมไม่รู้ แต่ช่วงบ่ายเป็นต้นไปจะเป็นการแสดงของห้องต่างๆ ไล่ตามระดับชั้นอนุบาล1 ถึงอนุบาล3

พวกผมมาเลทไปสิบนาที เลยได้ยืนดูแถวด้านหลังเก้าอี้ที่จัดเตรียมให้ผู้ปกครอง หลบอยู่ตรงกำแพงใกล้ประตู แม้จะพอมีที่ว่างให้ไปนั่งก็ไม่กล้าเข้าไปครับ เพราะผู้ปกครองบางคนถ่ายวีดีโออยู่

“อ๊ะ”

หมาป่าน้อยออกโรงพอดี หางสีเทาส่ายไปมาไม่หยุด ดูท่าเจ้าตัวเล็กจะตื่นเต้น ครูคงฝึกน้องมาพอสมควร เลยไม่มีหลุดบท แต่ท่าทางแข็งๆ ดูจะเกร็งมากไปหน่อย หลังดูสักพักผมก็เอนหัวกระซิบกับพาร์

“หนูน้อยหมวกแดงปลอดภัยแน่นอน”

“เผลอๆ อาจโดนหนูน้อยหมวกแดงจับไปเลี้ยงก็ได้”

ผมส่งเสียงเหอะในคอ

“ใครจะยอมยกหมาป่าน้อยแสนน่ารักให้ง่ายๆ”

ผมพูดจริงจังแท้ๆ แต่คนฟังกลับหัวเราะใส่ซะงั้น

ระหว่างกำลังดูน้องแสดงละครเพลินๆ เสียงไลน์ที่ดังขึ้นรีบทำให้ผมหยิบมือถือขึ้นมา ดีนะครับไม่ได้ตั้งเสียงไว้ดัง แต่พอเห็นข้อความ ผมรีบคว้าแขนพาร์ลากออกมาจากห้องประชุมทันที

“ไปไหน?”

“อย่าพึ่งถาม ไปที่รถเร็ว มึงขับนะ กูขอแบบเร่งด่วน สถานที่ก็…”

“ใจเย็น แล้วช่วยบอกให้กูเข้าใจหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”

ผมรีบชูหน้าจอตัวเองให้พาร์ดูข้อความ

Wind: SOS ใต้ตึกคณะกู
Wind: ยำยำโกรธจัด ชกต่อยกับรุ่นพี่ปีสาม ไม่ฟังกูเลย

ผมรอจนพาร์อ่านจบก็ถามเรียบๆ แม้ในใจอยากหายตัวไปถึงจุดเกิดเหตุตอนนี้เลยด้วยซ้ำ 

“รีบไปได้ยัง?”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่26] P.8 (03/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-11-2016 21:12:25
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่26] P.8 (03/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-11-2016 21:37:38
อ้าว.....ทีไม่ใช่หลงแค่ขนม เท่านั้น
หลงคนทำขนมด้วย เพื่อนๆที รู้ดีกันจัง
พาร์ คงรู้สึกดีสุดๆ ที่ใจตรงกัน
แสดงว่าที รู้สิว่าพาร์ เป็นคนทำขนม
ที ต้องเป็นพี่ที่ทั้งดี ทั้งสอน ทั้งดูแลน้องดีมาก
เพราะทั้งน้องน้ำ น้องอันอัน ติดที มากกกกก
ที่ไม่บอกอะไรยำยำ กลายเป็นทำให้ยำยำ
รู้เรื่องจากที่อื่น แล้วระงับอารมณ์ไม่อยู่หรือเปล่า
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่26] P.8 (03/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 03-11-2016 21:43:32
พาร์...รู้แล้ว...ที..ก้อ...เตรียมตัวโดนจีบได้เลย...เค้าขายขนมจีบให้แล้ว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่26] P.8 (03/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-11-2016 22:56:23
มีความน่ารัก มีความดีเนาะ อิจ!!
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่26] P.8 (03/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-11-2016 23:59:49
ไม่ต้องจีบก็เหมือนเป็นแฟนกันแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 06-11-2016 19:45:19
บทที่ 27

ผมกับพาร์ติดแหงกอยู่บนท้องถนนมุ่งหน้าไปมหาลัย ทุกทีผมเฉย เพราะมันติดได้ติดดี ติดทุกวัน

“จะติดอะไรหนักหนา!”

พาร์หันมองผม ก่อนหยิบขวดน้ำยื่นส่งให้เงียบๆ ผมรับมาเปิดฝาดื่มอึกๆ ใช้น้ำระงับความร้อนในตัว ตอนกำลังปิดฝา มือถือที่เงียบไปนานส่งเสียงข้อความมา รีบคว้ามาเปิดดู

White Rabbit: ขอแก้ วินบอกผิด ยำมีเรื่องกับพี่ปีสอง แถมเป็นกลุ่มพี่รหัสมันอีก
White Rabbit: ตอนนี้ปีหนึ่งกับปีสองโดนรุ่นพี่ปีสามทำโทษอยู่

ตามด้วยภาพถ่าย มองแล้วน่าจะเป็นลานกว้างหลังตึกคณะวิศวะ ผมเห็นแค่กอดคอกันเป็นวงกลมวงใหญ่มาก

White Rabbit: พี่กับน้องสลับกันยืน โดนสั่งลุกนั่งมาตั้งแต่เมื่อกี้
White Rabbit: ไม่พร้อมให้เริ่มนับใหม่ โหดเป็นบ้า
TEE: มึงไปถึงนานยัง?
White Rabbit: ก็มาทันได้ยินว่ายำไปมีเรื่องกับคนชื่อภู
White Rabbit:พอพี่ปีสามถามหาเหตุผลกลับเงียบทั้งสองฝ่าย
White Rabbit:ไปๆ มาๆ เลยโดนทำโทษกันหมดทั้งสองรุ่น

TEE: ใครไปถึงแล้วบ้าง
White Rabbit: มีกูคนเดียว
White Rabbit: กายกำลังจะไปสอบย่อยตอนห้าโมงเย็น เลยเรียกกูไปหาที่คณะ ฝากกล่องปฐมพยาบาลมา
White Rabbit: ต่อปิดเครื่องเหมือนทุกทีที่กลับบ้าน ส่วนเทม…
Templar: กูต้องอยู่ช่วยรุ่นพี่ทำงาน ไปไม่ได้จริงๆ วะ

พูดถึงก็โผล่มาเลย

White Rabbit: เออ รู้แล้ว วินบอกแล้ว ปิดเครื่องไปก็ได้ถ้ามันทำให้มึงไม่มีสมาธิ
White Rabbit: แล้วมึงล่ะที ตอนนี้อยู่ไหน
TEE: กำลังไปมหาลัย ติดแหงะอยู่ที่เดิมสิบกว่านาทีแล้ว
White Rabbit: วันนี้ไม่มีเรียน?
TEE: มีแค่ช่วงเช้า นี่กลับบ้านไปเก็บของเตรียมไปบ้านย่ามา
White Rabbit: อ้อ งั้นมึงไม่ต้องมาก็ได้ เดี๋ยวกูคอยรายงานสดให้เอง
TEE: ยังไงกูก็ต้องผ่านหน้ามหาลัยอยู่ดี แต่จะไปถึงเมื่อไหร่ไม่รู้
White Rabbit: งั้นถึงมหาลัยก็บอกด้วย เผื่อย้ายที่ มึงจะได้มาหาถูก
TEE: เออ

กว่าพวกผมจะไปถึง ไวไวก็ส่งข้อความให้ไปเจอกันที่หอใน วินกับยำยำพักอยู่ด้วยกันครับ

ตึกที่พวกมันอยู่มีห้องน้ำรวมด้านนอกทุกชั้น ส่วนห้องพักซอยเป็นห้องเล็กเลยอยู่ได้แค่สองคน ผมเคยมาหนเดียวตอนช่วยเพื่อนขนของเข้าหอ ตอนนั้นยังไม่เปิดเทอมเลยไม่รู้ว่า…

ตึกนี้วิศวะทั้งนั้น!

มองไปทางไหนก็เห็นแต่เสื้อช็อป แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกเสื้อขาว (เสื้อนักศึกษา) มากกว่า ผมขอเดาว่าปี1 คณะวิศวะทั้งหมด เพราะอะไรน่ะเหรอ สภาพร่างกายแต่ละคนไม่สู้ดี ดูท่าระบมช่วงล่างกันสุดๆ บางคนถึงขั้นให้เพื่อนหิ้วปีก แน่นอนว่าหอนี้มีแต่บันได เลยไม่แปลกใจถ้าจะเห็นนั่งกองกันอยู่หน้าหอเต็มไปหมด

ลำบากก็ตรงเดินฝ่าพวกเขาขึ้นอาคารหอพักเนี่ยแหละ

“เฮ้ย น้องสองคนนั้นน่ะ”

โดนเรียกจนได้ ผมได้แต่หันไปยิ้มแห้งๆ ให้พี่แก ถ้าเรียกผมว่าน้อง เขาน่าจะอยู่ปีสอง

“จะขึ้นตึกใช่ไหมน้อง ไปชั้นไหน?”

“ชั้นสามครับ”

“เยี่ยมเลย แบกพวกพี่ไปส่งชั้นสามหน่อย”

ผมกับพาร์มองหน้ากัน ก่อนตรงเข้าไปช่วย ผมจับแขนพี่คนถามคล้องคอ พาร์ไปช่วยพี่อีกคน เดาว่าน่าจะเป็นรูมเมทกัน พวกผมขึ้นบันไดด้วยความทุลักทุเลมาก

“เจ็บเป็นบ้าเลย” พี่เขากัดฟันพูด ขณะก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นช้าๆ

“กูก็บอกมึงแล้วว่าให้รีบขึ้น นั่งพักก่อนก็แบบนี้แหละ” พี่อีกคนพูดไปครางเจ็บไป

“มื้อเย็นบะหมี่ถ้วยอีกแล้วแหงๆ”

“เออ สภาพแบบนี้ใครจะอยากขึ้นลงบันได”

“พูดถึงสภาพ คู่ผัวเมียตีกันนั่นน่าจะเดี้ยงหนักกว่าพวกเราวะ”

“คงงั้น กูเห็นเพื่อนช่วยกันหิ้วปีกตัวลอย แค่เดินยังไม่รอดด้วยซ้ำ”

“จะตีกันก็เป็นเรื่องปกติ แต่กูไม่เข้าใจเก็บไว้เคลียร์สองต่อสองไม่ได้หรือไง คนอื่นเลยพลอยซวยไปด้วยเลย”

“ฝ่ายน้องปรี่เข้าไปหามันนี่ กูว่าไอ้ภูไปก่อเรื่องอะไรมาแหงๆ”

“ดีนะมีคนไปกระซิบบอกพวกพี่ว่าเป็นเรื่องของผัวเมีย เขาถึงได้ปล่อยเราเร็ว ไม่งั้นได้เดี้ยงหนักกว่านี้แหง”

“มึงพูดถูก พี่เขาก็สุดๆ ถามคู่ผัวเมียว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ใครจะกล้าพูดประจานเรื่องส่วนตัว”

“พี่ไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก ภูคบเงียบๆ นี่น่ะ แต่มันก็เหลือเกิน ฝ่ายน้องมีแฟนอยู่แล้วก็ยังไปแย่งเขามาอีก”

“จับผัวเขามาทำเมีย กูล่ะปวดหัวกับไอ้ภูจริงๆ”

เฮ้ย!

ผมทำหน้าเหวอกับเรื่องที่ได้ยินมา เดี๋ยวๆๆ กำลังพูดเรื่องเพื่อนผมอยู่ใช่ไหม ใช่หรือเปล่า?

ไอ้ยำเนี่ยนะพลาดท่าตกเป็นเมียคนอื่น?!

“เฮ้ยน้อง ชั้นสามอยู่นี่”

ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ พึ่งเห็นว่ากำลังจะพาพี่แกขึ้นบันไดไปชั้นสี่

“ครับๆ เอ่อ ห้องพี่อยู่ทางไหนครับ?”

“ทางนู้น แต่ไม่ต้องไปส่งหรอก พวกพี่ไปกันเองได้ ขอบใจนะ”

ถ้าทางเดียวกันผมก็ว่าจะพยุงให้ แต่นี่คนละทางครับ เลยปล่อยพี่แกกับรูมเมทกอดคอพากันลากสังขารไม่สู้ดีจากไปแทน

ผมลูบหน้าพยายามตั้งสติ

มันบอกว่าผมมีความลับกับกลุ่ม มันก็มีเหมือนกันเถอะ (สบถด่าไอ้ยำในใจ)

“คิดมากกับเรื่องที่ได้ยินหรือไง?” พาร์ถามขึ้น คงสังเกตหลังเห็นผมหยุดยืนหน้าบันไดพักหนึ่งแล้ว

“สุดๆ แต่ยังไม่แน่ใจว่าถูกคน คงต้องไปหาข้อมูลเพิ่มอีกหน่อย”

“แล้วถ้าใช่…มึงจะทำยังไง?”

“เค้นคอไอ้ยำไง” ผมแสยะยิ้ม “ก่อนหน้านี้มันยังกล้าทำกับกูเลย”

พาร์มองผมนิ่งๆ สักพักก็ถอนหายใจ

“ทำท่าอย่างนั้นหมายความว่าไง?”

“ไม่มีอะไร นำทางไปห้องเพื่อนมึงดีกว่า”

ผมหรี่ตามองพาร์ ไม่เชื่อสักนิด แต่ก็ยอมหมุนตัวเดินนำไปห้องพักของสองวิศวะในกลุ่ม ถึงหน้าห้องเคาะประตูหนักๆ สองหน รอแปบเดียวประตูก็เปิดออก

ไวไวทำเสียงดีใจที่เห็นหน้ากัน “มึงมาได้จังหวะมาก มาช่วยกูหน่อย”

ผมโดนลากแขนเข้าไปข้างใน ได้กลิ่นยานวดฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ส่วนเจ้าของห้องทั้งสองนอนแผ่หมดสภาพอยู่ที่ฟูกบนพื้น

ตอนมาช่วยขนของคราวก่อน ผมติดใจสงสัยว่าทำไมห้องเพื่อนไม่มีเตียง พึ่งเข้าใจก็วันนี้ ดูเหมือนการไม่มีเตียงสองชั้นมาตั้งเกะกะในห้องเป็นเรื่องที่ดี เพราะถึงมีเพื่อนผมอาจเลือกนอนพื้นมากกว่าเตียงอยู่ดี   

“อย่ายื่นเหม่อ เอานี่ไปนวดให้วินดิ”

ผมรีบใช้สองมือประกบหลอดยาที่เพื่อนโยนมา ช้ากว่านี้อีกนิดได้ตกกระแทกใส่หัวแน่นอน

มองหน้าวินแล้วมองต้นขามัน ก่อนวกไปมองหน้าวินอีกอย่างลังเล

“จะให้กูทำให้แน่ๆ?”

“อือ ทำให้หน่อย”

เมื่อเจ้าของขาอนุญาต ผมเลยไปนั่งคุกเข่า จับเพื่อนถอดกางเกงขายาวออก

“เบาๆ กูเจ็บ”

แค่ถอดกางเกงวินยังร้อง ผมเหลือกางเกงขาสั้นให้มันนุ่งติดตัว แต่พอบีบยาใส่ฝ่ามือแล้วแตะที่ต้นขาด้านหน้า ไอ้วินดันหัวเราะสลับกับร้องเจ็บเป็นระยะ มันบ้าจี้ที่ต้นขาครับ ปกติไม่ให้ใครแตะหรอก แต่สงสัยวันนี้จะทายาให้ตัวเองไม่ไหวเลยยอมให้ผมทำ

“ฮ่าๆๆๆ ทีเจ็บ ฮ่าๆๆๆ เจ็บๆ ฮ่าๆๆ”

ฟังดูสิ น่าสงสารซะที่ไหน จบรายการทายาวินก็หอบแฮ่กๆ หมดแรงหนักกว่าเดิม จับแขนมันยกขึ้นมาก็ทำง่ายๆ พอปล่อยปุ๊บทิ้งไปบนฟูกปั๊บ 

“พอๆ เลิกแกล้งวินได้แล้ว ไปล้างมือกับกูดีกว่า”

ผมกับไวไวเดินออกมาล้างมือที่ห้องน้ำรวม กลับเข้าห้องอีกทีพาร์หายไปแล้ว

“พาร์ไปไหน?”

“ออกไปซื้อข้าวให้พวกกู”

อ้อ

“แล้วเรื่องเป็นมายังไง?”

“กูไม่รู้” วินว่า

พอทุกสายตามองเจ้าของเรื่อง กลับพบว่ายำหลับไปแล้ว ไม่รู้หลับตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่อยากกวนคนที่น่าจะหมดพลังงาน เลยเดินไปนั่งข้างๆ วิน ไวไวนั่งลงข้างผม เราเริ่มลดเสียงพูดคุยลง

“งั้นตอบคำถามกูมาก็ได้ หลังมึงพ้นโทษแล้ว ยำยังโดนต่ออีกหรือเปล่า?”

“เห็นสภาพมันน่าจะรู้ รุ่นพี่ปีสามสั่งให้มันไปกอดคอลุกนั่งกับรุ่นพี่ที่ไปมีเรื่องด้วย โดนไปเยอะจนเดินไม่ไหว กูกับไวเลยช่วยกันแบกมันกลับมา”
“ไอ้วินก็ทำท่าจะร่วง กว่าจะมาถึงห้องได้ เกือบพากันกลิ้งตกบันไดหลายรอบ” ไวไวพูดเสริม

“แล้วคนที่มันไปมีเรื่องด้วยชื่ออะไร?”

“พี่ภู” ประสานเสียงกันเลยครับ

ผมหันมองยำยำอย่างไม่เชื่อสายตา ไอ้ที่ได้ยินมาเรื่องจริงเหรอเนี่ย

“เอ่อ แล้วที่ว่าทะเลาะกับกลุ่มพี่รหัส?”

วินพ่นลมออกจากปาก

“ก่อนอื่นพวกมึงต้องรู้ก่อนว่าพวกกูมีพี่รหัสสองคน พี่คณะหนึ่งคน พี่สาขาอีกหนึ่งคน ส่วนใหญ่จะสนิทกับพี่สาขามากกว่า แต่ไอ้ยำไม่ใช่ จะพี่สาขาหรือพี่คณะมันเข้ากับเขาได้หมด”

“แล้ว?”

“พี่เต้เป็นพี่รหัสคณะของยำ ค่อนข้างถูกใจมัน เวลาไปกินไปเลี้ยงเลยลากยำไปด้วยตลอด พี่แกมีเพื่อนสนิทอยู่สองคนชื่อพี่นัทกับพี่ภู”

เพื่อนของพี่รหัสนี่เอง

“แล้วปัญหาอยู่ไหน?” ไวไวถามงงๆ “เท่าที่ฟังมาก็ดูญาติดีกันออก”

“พี่เต้ก็ไม่รู้ ยืนยันกับกูว่าก่อนหน้านี้ทั้งคู่สนิทกันดี แถมพี่ภูเป็นสารถีประจำกลุ่มตะเวนส่งเพื่อนในกลุ่มตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนยำเมายังเคยไปส่งที่หอ หรือบางครั้งยังให้ยำนอนค้างที่ห้องด้วยซ้ำ”

ผมชะงักกึก นี่เพื่อนผมเสียท่าเขา เพราะเมาเรอะ!

“พี่เต้เล่าตอนที่ยำไปหาเรื่องพี่ภูด้วย อยากฟังไหม?”

“เล่ามา”

“จู่ๆ ยำก็เดินตรงไปหาถึงโต๊ะพวกพี่เขา ก่อนจะชี้นิ้วใส่หน้าพี่ภูตะโกนว่า มึงมันจุดๆๆ”

“จุดทำบ้าอะไร!” ไวไวโวยวายใส่

“ก็มันหยาบ เอาเป็นว่าภาษาชาวบ้านของตัวเงินตัวทองแล้วกัน”

ไวไวทำท่าจะงับหัววิน ผมเลยรีบพูดห้ามทัพ

“เอาน่า วินแค่อยากให้เราผ่อนคลาย สรุปคือยำไปชี้หน้าด่ารุ่นพี่สินะ แล้วไงต่อ”

“คนโดนด่าทำหน้านิ่งเฉย ยำด่าใส่เป็นชุดทั้งเลวทั้งชั่วก็ยังเฉย ยำคงโมโหจัดเลยสอยหน้าอีกฝ่ายไปหนึ่งหมัด ถึงโดนชกหน้าหันก็ยังทำหน้าเฉย แถมพูดกลับมาด้วยว่า พอใจหรือยัง เลยโดนยำต่อยเข้าอีกหมัด”

“ฟังดูฝ่ายเพื่อนเราผิดเต็มๆ เลยนี่หว่า” ไวไวว่า

“แต่พี่เต้บอกว่ามันผิดปกติ พี่ภูไม่ใช่พวกยอมให้คนอื่นมาด่าหรือต่อยตัวเองง่ายๆ แบบนี้ แถมพี่นัทที่ปกติจะรีบเข้าไปสอยคนทำร้ายเพื่อนยังนั่งหน้าซีด ออกอาการอึกอักคล้ายไม่กล้าสู้หน้ายำ พี่เต้เลยอึ้งทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีทั้งยำทั้งพี่ภูก็ต่อยกันนัวเนียแล้ว”

“มีเงื่อนงำ”

“อะไรนะ?”

ผมรีบกลบเกลื่อน “กูบอกว่าน่าสงสัย แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไร?”

“พี่เต้บอกว่าจะไปเค้นคอเพื่อนมาให้ นี่กูรอโทรศัพท์อยู่…”

พูดไม่ทันขาดคำ เสียงมือถือวินก็แผดร้องทำนองเพลงออกมา ไวไวที่อยู่ใกล้สุดเอื้อมไปหยิบให้ แล้วส่งให้วิน

“ครับพี่เต้”

ผมหันไปเห็นมือถือยำหน้าจอกระพริบแสงสื่อว่ามีคนโทรเข้ามา ยำตั้งระบบเงียบไว้เหรอ? ผมนึกสงสัยเลยลุกเดินไปหยิบดู ชื่อคนโทรมาไม่คุ้นเลย

ชื่อเมี่ยง ใครวะ? เอ๊ะ หรือหมายถึง ของกิน? ใบชา? ไม่ก็ด่าทางอ้อมว่าดำ?

สายตัดไปแล้ว แต่สักพักก็โทรมาอีก จนรอบที่สามผมเลยกดรับสาย

“ครับ”

ปลายสายเงียบใส่ ไม่ได้ยินหรือไง

“ฮัลโหลๆ”

[มึงเป็นใคร!]

ผมผงะ ยกมือถือออกมาดูคำว่าเมี่ยงอีกรอบ เสียงโหดไปไหนครับ

“เพื่อนครับ ตอนนี้ยำหลับอยู่”

[เพื่อนคนไหน ชื่ออะไร คณะอะไร]

มาเป็นชุด…อ่า ผมเดาได้แล้วว่าปลายสายเป็นใคร ระหว่างตอบก็เหลือบมองคนหลับ

สามีหวงมึงสุดๆ เลยวะไอ้ยำ

“ผมเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กชื่อทีครับ เรียนคณะเศรษฐศาสตร์”

เหมือนผมจะได้ยินคำสบถ

[เมียมันอยู่ที่นั่นด้วย? เลิกกันไปแล้วไม่ใช่หรือไง]

ผมเลิกคิ้วรับรู้ข้อมูลใหม่ ก่อนตอบปฏิเสธพี่แก “เปล่าครับ ในห้องตอนนี้มีแต่เพื่อนสมัยเด็กทั้งนั้น”

[ใครบ้าง?]

อยากรู้จริงเหรอพี่?

“อ่ามีวิน ไวไว…” ลังเลว่าจะพูดชื่ออีกคนไปดีไหม แต่สุดท้ายก็พูด “และพาร์ครับ”

ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ ก่อนถามเสียงดุดันน้อยลง

“พาร์ นิติ กับ ที อีคอน ที่กำลังเป็นข่าวลือช่วงนี้?”

กะแล้ว ผมกรอกตามองเพดานห้อง “ใช่ครับ”

[อ้อ แล้วอาการเพื่อนเราเป็นไงบ้าง]

น้ำเสียงไม่โหดแล้วแฮะ

“ก็แย่ครับ แต่นวดยาให้แล้ว”

[ดี พี่ฝากดูแลด้วยแล้วกัน งั้นก็แค่นี้…]

“เดี๋ยวครับ ผมขอถามได้ไหม พี่ไปทำอะไรให้ยำโกรธ?”

[เรากับเมียมันอยู่คณะเดียวกันนี่…สนิทกันไหม?]

“เมื่อก่อนใช่ แต่หลังจากมีเรื่องทะเลาะก็ไม่ได้คุยกันเลยครับ”

ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ ก่อนพูดขึ้น

[พี่แค่ไม่พอใจที่เมียตัวเองมีเมีย เลยหาทางกำจัดเมียของเมียออกไปให้พ้นทาง ยำก็รู้เลยไม่เคยบอกพี่ว่าคนไหนเมียมัน แต่เหมือนเป็นเรื่องตลกเมียมันดันโผล่หน้ามาให้พี่เห็นเองถึงคณะ โวยวายใหญ่โตเรื่องยำมีคนอื่น…คงเห็นรอยที่พี่ทำไว้บนตัวยำมั้ง พี่ยอมรับว่าพี่เลว แต่เมียมันก็ใช่ว่าจะดี แค่ชี้โพรงให้ดู ถ้านิสัยดีจริงจะยอมมุดเข้าโพรงที่ดูยังไงก็ไม่ปลอดภัยไปทำไม]

ผมอ้าปากค้างกับอีกหนึ่งความจริงที่ได้รับรู้ หวนนึกถึงพฤติกรรมเด็นที่เริ่มออกอาการขี้หึงใส่ถึงขั้นตามไปราวียำถึงคณะ แม้แต่เพื่อนยำยังโดนหางเลข สรุปคือพี่นี่เองที่เป็นต้นเหตุ 

“ขออีกคำถามครับ พี่ได้ยำตั้งแต่เมื่อไหร่?”

[เกือบเดือนแล้วมั้ง แต่ฝ่ายเริ่มก่อนคือเพื่อนเรา พี่นอนของพี่อยู่ดีๆ มันนั่นแหละเมาจนเพี้ยนจะปล้ำพี่ แล้วใครจะยอม ในเมื่อมันอยากนัก พี่เลยจัดให้…ก็พึ่งรู้ตอนทำไปแล้วว่าพี่ได้เปิดซิงเพื่อนเรา]

ฟังแล้วได้แต่กุมขมับ “เอ่อ แล้วพี่รักเพื่อนผมหรือเปล่า?”

[ถ้าใช้คำว่าชอบก็ได้อยู่ พี่ยอมรับว่าเพื่อนเราน่ารัก ไม่แปลกถ้าสมัยก่อนมันจะเคยเกือบโดนปล้ำ]

ผมตกใจ “มันเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังด้วย?”

[ใช่สิ หลังมันได้สติแล้วรู้ว่าเสียตัวให้พี่ ก็ร้องไห้โวยวายหลุดออกมาหลายเรื่องเลยล่ะ อ้อ พี่นึกออกล่ะ คนที่ช่วยมันรอดพ้นเรื่องคราวนั้นคือเราใช่ไหม ยำพูดถึงเราบ่อย โดยเฉพาะเอามาขู่พี่ประจำว่าเราเป็นขาโหดของกลุ่ม ว่าแต่เราอยากสอยพี่ฟันร่วงหมดปากจริงหรือเปล่า]

ผมหัวเราะ พูดทีเล่นทีจริง “ถ้าพี่ทำเพื่อนผมเสียใจก็ไม่แน่ครับ”

[แล้วถ้าเพื่อนเราทำพี่เสียใจล่ะ?]

“ก็ต้องดูก่อนว่าเรื่องอะไร ถ้าเพื่อนผมผิดจริง…ผมก็อยู่ฝ่ายยำอยู่ดี”

ปลายสายหัวเราะ [พี่ชอบเรานะ ขอเบอร์หน่อยสิ]

“จะจีบผม?”

[มีไว้ปรึกษาเรื่องเพื่อนเราต่างหาก]

“เอาไอดีไลน์ไปแทนแล้วกันครับ”

[แปบนะ ไอ้นัทส่งกระดาษกับปากกามาให้หน่อย]

ผมถือสายรอสักพัก ปลายสายก็ส่งเสียงมา “บอกได้เลย”

ผมพูดบอกทีละตัวอักษร ปลายสายทวนมาอีกรอบ แต่ก่อนจะว่าสาย ผมร้องห้ามอีกหน

“พี่รู้ใช่ไหมว่ายำไม่ชอบพวกออกสาว”

[อ้อ แผลเป็นในใจหลังเกือบโดนกระเทยกับเกย์สาวรุมโทรมน่ะเหรอ]

ผมคลี่ยิ้มออกมา ดูเหมือนยำเปิดใจให้พี่คนนี้เยอะกว่าที่ผมคิดไว้

“ครับ มันเลยมีแผลใจติดตัวสองอย่าง ครั้งแรกมันซวยเพราะผม ดีที่ผมไปช่วยทัน ส่วนครั้งที่สอง มันทำตัวเอง พวกผมไปช่วยทันก็จริง แต่ก็เป็นแผลบาดลึก กว่ามันจะเป็นผู้เป็นคนทุกวันนี้ได้ พวกผมพยายามกันเยอะมาก เพราะงั้นอย่าสร้างแผลให้กับยำอีกได้ไหมครับ”

[เข้าใจแล้ว พี่จะพยายาม]

ผมคลี่ยิ้ม “พี่ผ่านด่านผมแค่ครึ่งเดียวครับ แล้วยังมีอีกหกด่านรอพี่อยู่ ถ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากพวกผมทั้งกลุ่มล่ะก็…ระวังจะโดนเพื่อนผมทิ้งนะครับ”

[โฮ่ ดูเหมือนยำไม่ได้พูดเรื่องเราเกินจริง]

“ผมถือว่าเป็นคำชมนะครับ”

ปลายสายหัวเราะ [คิดตามที่สบายใจเลย ฝากบอกเพื่อนๆ เราด้วย ถ้าได้โอกาสพี่จะไปเปิดตัวแน่ แต่อย่าพึ่งบอกเมียพี่ล่ะ]

ผมหัวเราะบ้าง “บอกไปก็ไม่สนุกสิครับ”

[พี่ชอบเราจริงๆ อยากได้พี่ชายเพิ่มสักคนไหม]

“ผมว่าเราไม่ควรอยู่ถ้ำเดียวกันนะ”

[ไม่มีทางกัดกันหรอก ออกจะคล้ายกันขนาดนี้]

“อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนครับ แล้วผมจะให้ความช่วยเหลือพี่…แค่ครึ่งเดียว”

[หึๆ งั้นฝากคุมความประพฤติลูกแมวเถื่อนของพี่หน่อย โดยเฉพาะเรื่องหาคู่ ไม่งั้นพี่คงได้ทำลูกแมวโมโหสุดขีดอีกรอบแน่นอน]

“คุมคนของตัวเองไม่ได้ ผมขอลดคะแนนพี่แล้วกัน”

[เฮ้ย]

“เหลือสามสิบห้าครับ ผมให้ความช่วยเหลือพี่เท่านี้แหละ”

ปลายสายสบถใส่ [เขี้ยวลากดินชะมัด!]

“ถ้าฝ่ายผมหาคู่เองคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่พี่อยากได้ก็ต้องพยายามหน่อยสิครับ”

ปลายสายพ่นลมหายใจ [เออ พี่ยอม]

สายโดนตัดไปแล้ว ผมคลี่ยิ้มกริ่มระหว่างลดมือถือลง จ้องมองชื่อ ‘เมี่ยง’ อย่างถูกใจพอสมควร ดูท่าเพื่อนผมคงไปไหนไม่รอดแล้ว แต่ก็ดี เพราะผมคิดมานานแล้วว่าอย่างยำไม่น่าจะดูแลใครไหว (ดูจากสถิติที่มันมีแฟนกี่คนก็ไม่เคยรอด)

หือ?

เหมือนผมจะรู้สึกถึงไอทะมึนอยู่ข้างซ้าย หันไปมองแทบผงะ พาร์ยืนถือถุงข้าวผัดสองกล่อง แววตาหงุดหงิดชัดเจนจ้องตรงมา

“อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อ…”

“คุยกับใคร!”

จะคนตรงหน้าก็ดี คนที่พึ่งว่างสายก็ดี ออกอาการเดียวกันเลย...

“คนพึ่งรู้จัก”

ผมพูดความจริงแท้ๆ แต่มันกลับทำหน้าไม่พอใจ ก้มลงมาดึงมือถือจากผมไปดูแล้วนิ่วหน้า ผมแย่งคืนจัดการกดลบข้อมูลสนทนาทิ้ง ให้ยำรู้ไม่ได้เด็ดขาด แล้วเอามือถือเพื่อนไปวางคืนที่เดิม แต่พอจะหันมาคุยกับอีกคน กลับโดนเมิน มันร้องถามเพื่อนผมให้วางข้าวไว้ตรงไหน พอวินตอบ ก็เดินผ่านผมไปเลย

…งอน? โกรธ? หรือว่าแค่หงุดหงิด?

ผมมองแผ่นหลังพาร์พลางอย่างครุ่นคิด ก่อนยักไหล่หลังได้ข้อสรุป

ปล่อยมันไป 

ผมย้ายไปนั่งที่เดิม ทันฟังวินเล่าพอดี

“พี่นัทสารภาพกับพี่เต้ว่า เมื่อวันพุธยำไปเห็นฉากรักบนเตียงของเขาเข้า เขาพึ่งมารู้ก็ตอนนั้นแหละว่าคนที่เขานอนด้วยเป็นแฟนของรุ่นน้อง”

“ฮ้า!!” ไวไวอุทานทันที แต่เรื่องยังไม่จบ

“พี่นัทบอกว่ายำกับเด็นมีปากเสียงกัน หลังจากนั้นเขาก็โดนยำลากตัวออกจากห้อง ตอนแรกนึกว่าจะโดนต่อย แต่ยำแค่ซักถาม พี่นัทเลยบอกไปตามตรงว่าเพื่อนที่ชื่อภูเป็นคนแนะนำเด็นให้”

ไวไวอ้าปากค้างไปแล้ว ส่วนผมเข้าใจสิ่งที่พี่ภูพูดให้ฟังชัดเจนก็ตอนนี้

ชี้โพรงให้คือการพาเด็นไปแนะนำกับเพื่อนตัวเอง ผมเม้มปาก บางทีเหยื่อล่ออาจเป็นเรื่องการลองใจ ผมจำได้ว่าเด็นเคยใช้วิธีนี้มาก่อน ยำโทรมาบ่นกับผมใหญ่ ถ้าจะใช้อีกครั้งคงไม่แปลก แต่มันพลาดตรงที่ครั้งนี้ยำไปช่วยไม่ได้ เพราะพี่ภูคงไม่ปล่อยยำมาหรอก เด็นเลยเสร็จเพื่อนพี่ภูสินะ   

เกือบเดือน…ช่วงที่เด็นเริ่มเปลี่ยนไปพอดี หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของยำกับเด็นก็เริ่มมีปัญหา ผมพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ทุกอย่างลงล็อกพอดีเป๊ะ พี่ภูคงรู้ตัวเหมือนกันถึงได้ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า ‘เลว’

ถึงได้รับคำตอบจนกระจ่าง ผมก็ยังรู้สึกเหมือนปัญหายังขมวดเป็นปมพันกันยุ่งเหยิงจนไม่รู้จะไปแก้ตรงไหนก่อนดี พอมองหน้าเพื่อนที่ยังหลับสนิทก็เผลอถอนหายใจอีกรอบ

ยำคงใช้เวลาถึงสองวันในการตามสืบเรื่องนี้ พอรู้ความจริงถึงได้โกรธจัดขนาดตามไปเอาเรื่องพี่ภูถึงใต้ตึกคณะวิศวะ แล้วนี่ถ้ามันรู้ว่าตอนนี้เด็นกำลังเจอกับเรื่องอะไร จะไม่โทษตัวเองมากกว่านี้หรือไง บางทีผมคงต้องหุบปากปิดเรื่องเด็นเป็นความลับ ค่อยแอบไปจัดการเอาเองดีกว่า

…แล้วทำไมต้องมามีเรื่องตอนใกล้สอบวะ!

ผมขยี้หัวตัวเองระบายความเครียด

โอ๊ย ปวดหัวโว้ย

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-11-2016 20:01:49
คดีพลิกไปอี๊กกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 06-11-2016 20:28:03
 :hao4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 06-11-2016 21:36:19
ยำยำ....เข้าสมาคมแม่บ้านกะ ที สินะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-11-2016 21:39:27
เดะก้องานเข้าตัวเองอีกหรอกคนเก่ง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 06-11-2016 22:13:33
ตอนเริ่มอ่านเหมือนเป็นเรื่องแอบรัก แต่ไปๆมาๆ เป็นนิยายสืบสวนสอบสวนรึป่าวนิ 555
แล้วก็พาร์ขี้หึงมากๆ เลยนะ ^^
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-11-2016 02:00:49
ไม่ควรหุบปากค่ะ ควรบอก ไม่งั้นปล่อยนานเด็นยิ่งเตลิดนะ ถึงไม่ใช่เพื่อนแล้วก็อดีตเพื่อนไหมล่ะ...
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 07-11-2016 09:02:46
ยอมรับว่าอ่านตอนนี้ลุ้นจริงๆ ว่าเรื่องยำเป็นยังไง มันเหมือนเรื่องชาวบ้า้นคืองานของเราที่ต้องรู้ 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 07-11-2016 13:20:23
ปวดประสาทกับเด็นจริงๆ นี่พึ่งเปลี่ยนจากชอบผู้หญิงจริงๆหรอ ทำไมทั่วถึงจัง หรือว่าค้นพบตัวตนเลยสนุกไปกับมัน กู่ไม่กลับแล้วละ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 07-11-2016 13:25:44
คดีพลิกซะงั้น 5555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-11-2016 16:31:12
อ้าว เป็นงั้นไป ยำยำเปลี่ยนสายซะแล้ว 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 07-11-2016 20:10:39
วุ่นวาย ยุ่งเหยิงไปหมด ยำเปลี่ยนสาย เรื่องเยอะจริง รอตอนต่อไปค่า :katai4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 09-11-2016 20:14:32
ยำเปลี่ยนสาย ชอบทีอ่ะรักและปกป้องเพื่อน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 09-11-2016 23:48:08
โอ้ยยยย คดีพลิกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่27] P.9 (06/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 10-11-2016 08:05:24
ปมใหญ่มาก

สุดท้ายยำก็เป็นเมีย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 14-11-2016 16:26:09
บทที่ 28

แม้วางแผนมาดีขนาดไหน ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่คิดหมด

ผมถอนหายใจหลังกดส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่ม ประกาศเลื่อนเวลาไปบ้านย่า เพราะปู่พึ่งโทรสายด่วนจากต่างประเทศถึงผม

[เจ้าทีอย่าพึ่งไปที่บ้าน]

“ฮะ? ทำไมครับ?”

นี่ผมอยู่ระหว่างทางแล้วนะ

เหมือนได้ยินเสียงปู่ถอนหายใจ [เจ้านิกพึ่งเห็นเมลเราเมื่อวาน ปู่โทรไปสั่งการคนของเราไปเตรียมบ้านให้พร้อมอยู่แล้ว ถึงมีการบำรุงดูแลเป็นระยะ มันก็ไม่สะอาดพอให้หลานไปอยู่ตอนนี้หรอก]

“ผมอยู่แค่นอกบ้านก็ได้ เดี๋ยวกางเต็นท์เอา”

[นอกบ้านยิ่งไม่ไหว เห็นว่าอุปกรณ์วางเต็มไปหมด กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ช่วงเที่ยงๆ ของวันอาทิตย์ แต่ปู่ว่าไปสักบ่ายสองหรือบ่ายสามดีกว่า]

“อ้าว แล้วสองคืนนี้จะให้ทีไปนอนไหน?”

[กลับไปนอนบ้านเจ้าอรรถสิ]

“กลับไม่ได้ครับ”

[หนีออกจากบ้านมา?]

ผมแย้งทันที “หนีน้องมาต่างหาก”

[อ้อ งั้นไปนอนโรงแรม…แปบนะ เจ้านิกจะคุยด้วย]

[ฮัลโหล ทีไปนอนบ้านแฝดก่อน]

ผมชะงัก เหลือบมองพาร์ที่กำลังขับรถ ก่อนพูดถึงที่อยู่อีกแห่ง

“แล้วคอนโดล่ะ? ลุงบอกว่าไม่ได้ให้เช่าแล้วนี่”

[ลุงขายไปแล้ว]

“ขายง่ายไปไหม?”

[ไม่เห็นเป็นไร คนเคยเช่าให้ราคาดีด้วย อีกอย่างทากะไม่ชอบนี่ถึงได้หนีไปซื้อบ้านแฝด ลุงก็ไม่รู้เก็บไว้ทำไม ขายทิ้งได้ก็ดี]

ผมกรอกตา ที่ทากะซังไม่ชอบ เพราะไม่มีอ่างให้แช่น้ำมากกว่า

[สองคืนนี้เราไปนอนบ้านแฝดก่อนไป๊]

“แต่…” ผมอึกอัก เพราะทากะซังหวงพื้นที่ส่วนตัวพอสมควร ถ้าพาเพื่อนไปค้างก็สมควรขออนุญาตก่อน

[ไม่ต้องมาแต่ ทากะยกชั้นสามให้เราแล้วแท้ๆ พอโตแล้วดันไม่ค่อยยอมกลับไปนอนบ้าน]

 “คือว่า…”

ผมพูดตะกุกตะกัก ความคิดวิ่งนำหน้าปาก ถ้าขอพาเพื่อนเข้าบ้าน โดนซักถามแน่ๆ ว่าเพื่อนคนไหน

โอ๊ย ใครจะกล้าบอก!

[มีปัญหาอะไร? ไม่อยากกลับบ้านหรือไง?] น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจสุดๆ

“ไม่ใช่!”

ผมเสยผมขึ้นอย่างลำบากใจ ไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากพูดความจริง สองจิตสองใจอย่างหนัก สุดท้ายก็พูดเบี่ยงประเด็น “ฟังก่อน ทีแค่จะบอกว่า…”

ว่าอะไรดีวะ ทิ้งระยะนานไม่ได้ด้วย เลยพูดโผล่เรื่องที่พึ่งคิดออกสดๆ ร้อนๆ

“ทีจำรหัสเข้าบ้านไม่ได้ครับ”

ปลายสายเงียบใส่ผม เอ หรือสายหลุดไปแล้ว?

“ฮัลโหลๆ”

[ลุงจะบอกแค่รอบเดียว ฟังให้ดี]

“ครับ”

[2 – 1 – 0 – 3]

เอ๊ะ?

[คุ้นๆ ไหม วันเกิดใครบางคนนี่น่ะ อีกสี่ตัวที่เหลือคงไม่ต้องให้บอกนะ]

ประชดเสร็จก็ตัดสายไปเลย เอาแล้วไง! ผมทำผู้ปกครองงอนซะแล้ว

มองมือถือด้วยสีหน้าเจื่อนสนิท มัวแต่กังวลอีกเรื่องจนลืมไปเลยว่ารหัสปลดล็อกประตูบ้านเป็นวันเดือนปีเกิดของตัวเอง

จะง้อยังไงดี ส่งเมล์? ไม่ยอมเปิดอ่านแหงๆ โทรไป? คงไม่รับสาย วิธีสุดท้ายพึ่งคุณปู่…ก็ต้องเล่าเรื่องพาร์ด้วยน่ะสิ นึกภาพออกเลยครับว่าต้องโดนปู่ซักยาวจนขาวสะอาด ผมขยี้หัวตัวเองระบายความเครียด ก่อนชะงัก

“เป็นอะไร?”

หันไปมองคนที่ยอมเปิดปากคุยด้วยครั้งแรกในรอบชั่วโมงกว่าๆ

“งานเข้า! ว่าแต่ยอมพูดกับกูแล้ว?”

คนโดนถามถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พึมพำอะไรสักอย่าง ผมฟังไม่ถนัด จับใจความได้แค่ ‘ถึงรอก็ไม่’ ด้วยน้ำเสียงฟังดูปลงตกชอบกล

“พูดดังๆ ดิ”

“กูกำลังสงสัยว่ามึงมีปัญหาอะไร”

“อ้อ ก็…หลายเรื่องอยู่”

“ถามได้ไหม”

ผมทำหน้าเครียด “ยังไม่พร้อมบอกตอนนี้”

“งั้นพร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอก”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ “ขอบใจ”

“…ไม่ไปบ้านย่ามึงแล้ว?”

“ค่อยเข้าไปวันอาทิตย์ช่วงบ่าย ตอนนี้กำลังซ่อมแซมกับทำความสะอาดครั้งใหญ่ให้พร้อมใช้งานอยู่”

“อ้อ กูได้ยินว่าปู่ย่ามึงอยู่ต่างประเทศ”

“อือ ตอนนี้บ้านหลังนั้นเลยไม่มีคนอยู่”

ที่จริงก็ไม่มีใครอยู่มาจะสามปีแล้ว ช่วงสอบพวกผมถึงชอบไปที่นั่นไง

“แล้วจะให้เปลี่ยนเส้นทางไหม?”

“ไม่ต้อง เพราะกูกะแวะร้านอาหารก่อนอยู่แล้ว”

ผมคอยบอกเส้นทางเป็นระยะ ใช้เวลาพักใหญ่ถึงที่หมาย เห็นเวลาใกล้นัดจองโต๊ะเต็มที่ เลยเร่งให้พาร์รีบเดินตามมา ร้านอาหารที่ว่าเป็นแบบบาร์แอนด์เรสเตอรองท์อยู่ติดท่าเรือมีสองชั้น ผมเคยมากับลุงนิกครับ ส่วนใหญ่ขึ้นไปนั่งชั้นสองที่คล้ายๆ ดาดฟ้า 

โต๊ะที่ผมจองไว้อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา แจ้งชื่อเรียบร้อยก็มีพนักงานเดินนำทาง

“ที”

“หือ?”

“หมายความว่าไง”

“ก็มากินข้าวไง”

“เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่ทำไม…” พาร์พูดค้างไว้แค่นั้น เพราะเรามาถึงโต๊ะพอดี

ผมชะงักหลังสบตาผู้หญิงโต๊ะข้างหน้าเข้า ต่างคนต่างอึ้ง ก่อนทางนั้นเป็นฝ่ายก้มหน้ามองจานข้าวหลบตาผมก่อน นิ่วหน้าทันที ไม่นึกว่าจะเจอแฟนเก่าที่นี่ (คนที่เท่าไหร่ไม่แน่ใจ)

เธอคงมากับแฟนหนุ่มคนปัจจุบัน เดาจากสองเหตุผล หนึ่ง โต๊ะของเธอมีผู้ชายร่วมโต๊ะแค่คนเดียว และสอง โต๊ะข้างๆ เป็นกลุ่มเพื่อนสาวทั้งแก๊งของเธอครับ คงตามมาดูแฟนใหม่ของเพื่อน ที่รู้เพราะผมเคยโดนมาแล้ว แถมเพื่อนกลุ่มนี้ยังเป็นจอมกระจายข่าวลือซะด้วย

ทำไมวันนี้ผมถึงเจอแต่เรื่องน่าปวดหัววะเนี่ย!

ผมทำเป็นมองไม่เห็น ทรุดตัวนั่ง เปิดเมนูออกดูผ่านๆ ทวนความจำสักหน่อยแล้วปิด มองพาร์ที่ดูอีกเล่มอยู่เงียบๆ จนมันเงยหน้าขึ้นมานั่นแหละ ผมถึงได้ถาม

“อยากกินอะไรก็สั่งเลย”

“ฮะ?”

พาร์ทำหน้าประหลาดใจ หันไปบอกพี่พนักงานว่าขอเวลาดูเมนูสักครู่ พอพ้นคนนอก มันก็ยิงคำถามมาทันที

“หมายความว่าไง?”

“อะไรล่ะ”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง บอกกูมา ทำไมถึงพามาที่นี่”

“แล้วทำไมเป็นที่นี่ไม่ได้?”

พาร์พ่นลมหายใจใส่ มันชี้นิ้วให้ดูสะพานพระรามแปดด้านหลัง แล้วชี้ไปทางท้องฟ้าสีแสดย้อมพื้นน้ำให้เป็นสีเดียวกัน “บรรยากาศแบบนี้ พากูมาเดตก็บอกมาตามตรง”

ผมเกือบสำลักน้ำลาย “ไม่ใช่…”

“งั้นบอกเหตุผลมาสิ ถ้าไม่บอก กูจะคิดว่ามึงพามาเดต”

ผมเม้มปากหลังโดนไล่ต้อน จำยอมเปิดปากบอก

“…ง้อมึง”

“อะไรนะ!?”

“จะเสียงดังทำไม!”

ไปเรียกความสนใจจากโต๊ะใกล้ๆ ทำบ้าอะไร! แค่นี้กลุ่มนั้นก็เมี่ยงมองแล้วมองอีก ท่าทางจะแอบฟังพวกผมคุยกันด้วยล่ะมั้ง พอดีกับพนักงานเดินผ่านมา ผมเลยเรียกเขา จัดการสั่งอาหารเองเสร็จสรรพ ผมสั่งกับข้าวไปห้าอย่าง เมนูประจำบ้านผมเอง ข้าวเปล่าอีกสองจาน (ที่จริงไม่ต้องสั่งก็ได้ เพราะกินกับข้าวเล่นก็อิ่มแล้ว แต่เหมือนเป็นธรรมเนียมว่า มีกับข้าวต้องมีข้าวสวยไปแล้ว) ส่วนเครื่องดื่ม…

“อยากได้เบียร์ ค็อกเทล หรือน้ำอัดลม?”

พาร์นิ่วหน้า “น้ำอัดลมก็พอ”

สั่งน้ำอัดลมให้พาร์ ค็อกเทลให้ตัวเอง คนนั่งตรงข้ามทำท่าจะขบหัวผม พอจะรู้ว่าไม่อยากให้กิน แต่มาถึงนี่ทั้งที่ขอหน่อยเถอะ ผมไม่ได้ขับรถอยู่แล้ว ต่อให้มีอาการมึนนิดๆ ก็สบายหายห่วง

“มึงมาร้านนี่บ่อย?”

พาร์ยิงคำถามมาอีกครั้ง เป็นคำถามที่ผมแอบลำบากใจ

“ก็…สามครั้งได้”

พาร์มองมาด้วยแววตาใคร่รู้ ผมเลยเล่าให้ฟัง ดีกว่ามันวกไปถามเรื่องก่อนหน้านี้

“ครั้งแรกโดนหิ้วตัวมาเป็นสักขีพยานลุงตัวเองหมั้นแฟน ครั้งที่สองลุงขอแฟนแต่งงาน”

พาร์ทำหน้าประหลาดใจ “ครั้งที่สองก็พามึงมา?”

“อือ” ผมยิ้มเข้าใจเรื่องที่พาร์จะสื่อ “ว่าไงดี…เหมือนมองพ่อกับแม่ที่เคยเกือบแยกทางขอแต่งงานกันล่ะมั้ง ดีใจล้วนๆ ที่มีวันนี้ได้สักที”

พาร์พยักหน้า พยายามทำความเข้าใจครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “แล้วครั้งที่สาม…”

ผมมองคนตรงข้าม ก่อนเบือนหน้ามองแม่น้ำ

“มากับมึงนี่ไง”

ระหว่างเราเกิดความเงียบขึ้น ผ่านไปครู่ใหญ่เครื่องดื่มมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมเทความสนใจไปยังแก้วของตัวเองแทน อื้อ! รสชาติโอเคเลย มิน่าพวกลุงชอบสั่งมากิน พอขอชิมบ้างกลับไม่ให้ตลอด เลยได้แต่จำชื่อค็อกเทล แล้วลองมาสั่งกินเองนี่แหละ

พอเงยหน้าขึ้นมาแทบผงะ พาร์กำลังนั่งเท้าคางกับโต๊ะ อมยิ้มใส่

“ยิ้มทำไม”

“บอกเหตุผลที่พากูมาที่นี่อีกทีสิ”

ยังไม่ลืมอีกเรอะ!

“ไม่เอา”

“ที”

ผมรีบก้มหน้าดูดน้ำ

“พูดอีกครั้งได้ไหม”

โอ๊ย เลิกทำอย่างนี้เถอะ

ผมมองเขม็งคนตรงหน้าที่ดันทำผมมโนเห็นหูกับหางบนตัวมัน

“…ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”

หงอยอีก!

แม่งเอ้ย พาร์จับจุดอ่อนผมได้แล้วมั้งเนี่ย ผมพ่นลมหายใจ เซ็งตัวเองที่ใจอ่อนยอมจนได้

“พามาง้อ! พอใจยัง”

พาร์ฉีกยิ้มสมใจ ท่าทางมีความสุขจนน่าหมั่นไส้ ผมเลยเตะขามันผ่านใต้โต๊ะไปหนึ่งที

“บอกไว้ก่อน คราวหน้าไม่มีแบบนี้แน่”

“หึๆ”

“หัวเราะอีก”

พาร์ยิ้มหนักกว่าเก่า แววตาพราวระยับ “เดี๋ยวมึงทนไม่ได้ก็ง้อกูเองแหละ”

ผมส่งเสียงเหอะในคอ เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย บางครั้งเราก็พากันเงียบ นั่งมองธรรมชาติ ซึมซับบรรยากาศ

แชะ

หืม?

ผมหันมองต้นเสียง ทันเห็นพาร์ลดมือถือลงพอดี เลยเลิกคิ้วขึ้นสูง

“ถ่ายรูปกู?”

“กูถ่ายสะพาน มึงแค่ติดมาเป็นของแถม”

ผมหรี่ตาลง ลากเสียงยาว “เหรอ~อ”

พาร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนผมทำหน้าไม่เชื่อใส่

เท่าที่สังเกตพฤติกรรมพาร์มาสักระยะ มันชอบหยิบอัลบั้มรูปของผมออกมาดูอยู่เรื่อย นึกถึงเรื่องนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อนึกได้ว่ากำลังจะไปที่ไหน

อ่า พาร์ต้องชอบบ้านแฝดมากแน่ๆ โดยเฉพาะชั้นสาม ทำไมน่ะเหรอ ก็ที่นั่นมีทั้งรูปถ่ายทั้งคลิปวีดีโอของผมตั้งแต่เกิดจนโตน่ะสิ ทั้งในประเทศ และตอนไปเที่ยวต่างแดน   

“…พาร์”

“หือ?”

“กูอยากได้คำสัญญา”

พาร์เลิกคิ้วสูง “เรื่อง?”

“สองวันนี้มึงต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือสอบมากกว่าทำอย่างอื่น”

อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจใส่ผม “ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”

ผมมองอย่างไม่เชื่อใจ

“แต่กูไม่ใจร้ายให้มึงอ่านแต่หนังสือเรียนหรอก” พูดพร้อมชูสองนิ้ว “กูจะให้มึงขึ้นชั้นสามบ้านแฝดได้แค่สองชั่วโมงต่อวัน”

“…ชั้นสามของบ้านมีอะไร?”

“ของที่มึงชอบมาก สวรรค์ของมึงเลยล่ะ”

พาร์ทำหน้าครุ่นคิดครู่ใหญ่ “ขอเป็นสามได้ไหม?”

“ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเอาเวลากินกับนอนมาใช้เด็ดขาด”

พาร์ทำหน้าลังเล “ถ้ากูเลือกสอง จะขึ้นไปชั้นสามได้แค่สองชั่วโมง? หรือเวลาพักกินข้าวก็ขึ้นไปได้ด้วย?”

ผมครุ่นคิด เหล่มองหน้ามันก็อดถอนหายใจไม่ได้

“เอาอย่างงี้ ช่วงกลางวันตั้งสมาธิกับการอ่านหนังสือไป ถ้าทำได้ดีก่อนนอนกูจะให้มึงขลุกอยู่กับของที่ชอบนานสามถึงสี่ชั่วโมงก็ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติ”

“ของรางวัลสินะ”

“จะคิดอย่างนั้นก็ได้”

“บอกได้ไหมของที่ว่าคืออะไร?”

“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง ตอนนี้กูบอกได้แค่...มึงน่าจะชอบมากจนอาจไม่สนใจหนังสือเรียน”

“ขนาดนั้น?”

“เออ สรุปว่าตกลงไหม?”

พาร์นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ตามที่มึงว่า”

อาหารทยอยมาเสิร์ฟทีละอย่าง พวกผมเลยกินไปคุยไป รอจนอาหารมาครบก็เริ่มลงมือตัดอาหารเข้าปากอย่างจริงจัง กินอย่างมีความสุขอยู่ดีๆ ดันมีเสียงไลน์กระหน่ำเข้ามาขัดอารมณ์ จำใจหยิบออกมาดู

อะไรเนี่ย? เพื่อนๆ นัดกันมาถล่มไลน์ผมหรือไง

ผมเลื่อนไล่ดูรายชื่อ มีทั้งเพื่อนสมัยมัธยม พวกลูกหว้า เพื่อนสมัยเด็กอย่างไวไว แล้วยังกลุ่มเพื่อนร่วมคณะ หือ? ไลน์จากเจ๊ดาด้านี่หว่า

ผมชั่งใจว่ากดเข้าไปดูดีไหม สุดท้ายความอยากรู้มีมากกว่า

J’Dada:
คุณน้องขา ส่งภาพคู่มาให้เจ๊หน่อย
ถ่ายตอนนี้เลยค่ะ หลายๆ ภาพก็ดีนะคะ เป็นคลิปวีดีโอยิ่งดี
เจ๊จะเอารูปกับข้อความไปตบยัยพวกนั้นถึงที่
เอาให้อับอายจนต้องหาปี๊บคลุมหัวเลยค่ะ

ผมงงสิครับ เลยไล่ไปเปิดดูข้อความจากเพื่อนคนอื่นเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม คนแรกที่ผมเลือกคือไวไว

White Rabbit: ไอ้ที มึงโดนยัยพวกนั้นเล่นงานอีกแล้ว

ตามด้วยลิงค์แนบมาให้ กดเข้าไปดูถึงบางอ้อ ข้อความไม่น่าอ่านเท่าไหร่ ออกแนวเสียดสีใส่ผมกับพาร์ แถมยังใส่สีตีไข่ซะเละเทะ อ่านแค่บรรทัดเดียวผมยังคิ้วกระตุก แล้วนี่ยังมีรูปภาพผมกับพาร์อยู่ข้างล่างข้อความอีก มิน่าเจ๊ดาด้าถึงปรี๊ดแตก

“พาร์”

“หือ?”

ผมยื่นมือถือให้ พยักเพยิบให้อ่านข้อความ ตอนแรกพาร์แค่ขมวดคิ้วสงสัย ก่อนจะทำหน้านิ่ง เงียบขรึมทันทีที่อ่าน โหมดนี้ของพาร์อ่านยากมากว่ากำลังคิดอะไรอยู่

พาร์หันหน้าจอมือถือมา ชี้ที่รูปพร้อมถาม “ใกล้มาก…อยู่แถวนี้?”

ผมพ่นลมหายใจ ส่งซิกให้พาร์รู้ว่ารูปถ่ายพวกนี้มาจากโต๊ะไหน แต่เพราะพาร์หันหลังอยู่เลยหันไปมองให้มีพิรุธไม่ได้ ผมเดาว่าพาร์น่าจะเปิดโหมดกล้องถ่ายรูปใช้ดูแทนกระจกเงาครับ เพราะเห็นจับมือถือผมเอียงไปมา สักพักถึงยื่นคืน ยังเข้าโหมดกล้องถ่ายรูปอยู่เลย

“พวกนั้น…ใคร?”

“เดี๋ยวค่อยบอก เจ๊ดาด้าอยากได้รูปคู่พวกเรา หรือเป็นคลิปวีดีโอก็ได้ มึงจะเอายังไง”

พาร์ฟังนิ่งๆ ก่อนวางช้อน

“เดี๋ยวกูมา”

ผมพยักหน้า ปล่อยพาร์ลุกออกไป เดาว่าน่าจะไปสงบสติอารมณ์ เลยใช้โอกาสนี้พิมพ์โต้ตอบกับเพื่อนๆ รวมไปถึงเจ๊แกว่าขอเวลาปรึกษาพาร์ก่อน พาร์หายไปพักใหญ่ถึงกลับมานั่งที่เดิม พร้อมพูดยิ้มๆ

“ทำตัวตามปกติ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่น”

ผมยักไหล่ “กูกะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว”

“ทำหน้าดีๆ ด้วย ยิ้มให้กูดูหน่อย”

ผมเลิกคิ้ว ก่อนฉีกยิ้มสดใสให้มันไปหนึ่งที “ใช่ได้มะ”

พาร์หัวเราะครับ เห็นมันผ่อนคลาย ผมเลยรู้สึกผ่อนคลายตาม เรากินไปคุยไปเรื่อยเปื่อย กวาดอาหารบนโต๊ะลงท้องซะเรียบ

“ของหวานไหม?”

ผมส่ายหน้า ตบพุงเบาๆ สื่อว่าอิ่มมาก ไม่ไหวแล้ว เราเลยเรียกเก็บเงิน แต่ดันโดนโต๊ะใกล้ๆ แย่งพนักงาน พี่พนักงานหันซ้ายหันขวา แต่สงสัยทนเสียงแปดหลอดไม่ไหว เลยเดินผ่านโต๊ะผมไปคิดเงินโต๊ะนั้นก่อน

ผมพยายามไม่สนใจทั้งที่เริ่มหงุดหงิด

อะไรวะ มาถึงก่อน และน่าจะกินเสร็จก่อนแท้ๆ ยังไม่ไปกันอีกเรอะ

พาร์เรียกพนักงานอีกคนให้เช็คบิล หลังคิดเงินเรียบร้อยก็เตรียมจะกลับ แต่เห็นฝ่ายนั้นลุกเหมือนกัน ผมเลยดึงพาร์หยุดก่อน ผมส่งสายตารู้ทันให้ อย่าหวังว่าผมจะเดินตามเกมไปมีเรื่องปะทะด้วยเด็ดขาด ผู้ชายอย่างพวกผมเสียเปรียบผู้หญิง ต่อให้ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แต่ในสายตาคนนอกคงไม่ใช่

“ไปถ่ายรูปคู่กันไหม”

ผมยิ้มกริ่ม เมื่อคนพวกนั้นมองเขม็งมา แต่หาข้ออ้างอยู่ต่อไม่ได้ แถมเพื่อนกับแฟนก็เดินนำไปแล้ว เลยหันก้นรีบตามคนคู่นั้นไป เดาได้เลยว่าหน้าด้านติดรถเขามาแหงๆ นี่ก็คงกลัวโดนทิ้งล่ะสิ

“เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ?”

ผมละสายตาพวกนั้นมองพาร์ “ไม่ได้ยิน?”

“…ได้ยิน”

“แล้วถามทำไม จะถ่ายไหมรูปน่ะ?”

พาร์ทำหน้าตกใจ “เอาจริง?”

“เออ วิวแถวนี้ก็สวยดี”

หลังพาร์หายอึ้งก็รีบลากผมไปเลย ดูท่าจะเล็งมุมเอาไว้แล้วมั้งเนี่ย เราถ่ายกันไปหลายแชะ แต่ส่วนใหญ่พาร์จับผมถ่ายรูปเดี่ยวมากกว่า ส่วนรูปคู่มีคนช่วยถ่ายให้ครับ เราบอกขอบคุณก่อนเดินจากมา แต่ก่อนลงบันได พาร์บอกให้ผมรอก่อน ได้แต่ชะเง้อมองตามหลังด้วยความสงสัย เห็นพาร์ไปคุยกับพี่พนักงานคนหนึ่ง อีกฝ่ายยื่นมือถือมาให้ จากรูปร่าง น่าจะเป็นมือถือของพาร์ครับ

ถึงว่าทำไมเมื่อกี้ใช้แต่มือถือผมถ่ายรูป ทำหล่นหายนี่เอง

พาร์รับของคืนก้มหน้ายุ่งกับมือถือพักใหญ่ ก่อนเปิดกระเป๋าตังค์หยิบแบงค์เทาให้อีกฝ่ายไปหนึ่งใบ

เฮ้ย! ไม่ใช่แล้วครับ ให้เงินเยอะขนาดนี้ พาร์ต้องไปจ้างพี่เขาทำอะไรให้สักอย่างแหงๆ

ผมเก็บความสงสัยจนกระทั่งขึ้นไปบนรถ

“มึงจ้างพี่พนักงานทำอะไร”

พาร์ทำหน้าตกใจ “รู้ได้ไง”

“เห็นมึงยื่นแบงค์เทาให้เขาก็เดาได้แล้ว”

พาร์ยิ้มแห้ง “ที่จริงกูจ้างเขาถ่ายคลิปห้าร้อย แต่งานออกมาดีมากเลยให้เพิ่มอีกห้าร้อย”

ผมขมวดคิ้ว “คลิป?”

พาร์หยิบมือถือเปิดให้ดู เห็นแวบๆ ว่ามีหลายคลิป ที่มันเปิดให้ดูภาพมุมกว้างที่เห็นทั้งโต๊ะผม และโต๊ะกลุ่มเพื่อนแฟนเก่า พอมาดูอย่างนี้เลยเกิดการเปรียบเทียบพฤติกรรมของลูกค้าทั้งสองโต๊ะ ทางฝั่งผมคือมากินข้าวกันจริงๆ ส่วนอีกฝั่งสนใจเรื่องชาวบ้านมากกว่าทานอาหาร ใครเห็นต้องมองว่าเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจ

“เจ๊ดาด้าอยากได้ใช่ไหม”

ผมเลิกคิ้ว “จะส่งไป?”

“อือ”

 ผมหัวเราะในคอ “เข้าใจคิด แล้วคลิปอื่นล่ะ?” ถามด้วยความอยากรู้ล้วนๆ

“ก็มีทั้งคลิปเฉพาะพวกเรา เฉพาะพวกนั้น อยากหาเรื่องนัก กูจะจัดให้สมใจ”

“…โกรธอยู่?”

“คิดว่าไงล่ะ?”

ผมไม่คิดตอบ เปลี่ยนไปถามอีกเรื่อง “มีไลน์เจ๊ดาด้า?”

“มี แต่ส่งไปทางเพจดีกว่า เอามือถือมึงมาหน่อย กูจะส่งรูปคู่เมื่อกี้ไปด้วย”

ผมยื่นมือถือให้ ปล่อยพาร์โอนข้อมูลลงเครื่อง แล้วส่งต่อให้เจ๊ดาด้า ผมเห็นมันหัวเราะหึๆ ตอนพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่างให้เจ๊แก น่าเสียดายผมอ่านไม่ทัน

“แล้วพวกนั้นเป็นใคร?”

ผมถอนหายใจ “เพื่อนแฟนเก่ากูเอง”

“เพื่อนแฟนเก่า?”

“เออ”

“ที่มึงไม่ทำอะไร เพราะเห็นแก่แฟนเก่า?”

“ว่างั้นก็ได้ เคยโดนข้อร้องไว้…แฟนเก่ากูคงลำบากใจเหมือนกัน เธอเป็นลูกไล่ให้ลูกสาวเจ้าของบ้านที่ไปอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็ก การตัดสินใจก็เหมือนถูกลิดรอนสิทธิ์ที่ควรได้ ถ้ากูไม่ทำตามที่โดนขอ คนเดือดร้อนไม่ใช่กู คิดซะว่าทำทาน ตัดปัญหาด้วยการมองพวกนั้นเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนที่แวะมาสร้างความเดือดร้อนให้เป็นครั้งคราว กูสงสัยว่าเมื่อไหร่จะเลิกตามรังควานสักทีอยู่”

“ปากมึงนี่...”

พาร์พูดไม่จบประโยค ฟังจากน้ำเสียงออกจะชอบใจด้วยซ้ำ มันวางมือถือสองเครื่องลงช่องเก็บของข้างเบาะ กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ขับออกจากที่จอด ผมส่งใบแสตมป์ตราจอดรถให้ พร้อมบอกทางต่อ 

“ไปสะพานพระรามแปด”

“ข้ามสะพาน?”

“อือ”

เราใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่คิด แต่ก็มาถึงจุดหมายจนได้ ตรงหน้าพวกผมคือบ้านแฝดสูงสามชั้นสไตล์โมเดิร์น พาร์อ่านออกเสียงป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บ้านแฝดฝั่งขวา

“โรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวโฮทากะ”

ก่อนลดสายตาอ่านออกเสียงป้ายผ้าที่ติดไว้ด้านล่าง “เปิดสอนภาษาญี่ปุ่น สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสมัครเรียนได้ที่ อ.โฮทากะ”

พาร์ทำหน้าฉงน มองป้ายทั้งสองสลับไปมาพร้อมถามงงๆ

“แต่เปิดสอนภาษาญี่ปุ่นเนี่ยนะ?”

ผมหัวเราะ สะกิดให้ลดสายตามองป้ายตรงประตูทางเข้า เขียนไว้ชัดเจนว่ารับสอนผู้สนใจเรียนศิลปะป้องกันตัว “บางทีลูกศิษย์ก็อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น แรกๆ สอนให้ฟรี แต่ไปๆ มาๆ ชักเยอะเกิน ทากะซังเลยเปิดคอร์สสอนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มอีกอย่าง”

“อ้อ” พาร์ทำหน้าหายข้องใจ

“ลงรถกันเถอะ”

ด้านหน้าอาคารทำเป็นลานจอดรถครับ จอดได้ประมาณเจ็ดถึงแปดคัน ผมให้พาร์จอดฝั่งซ้าย เดินไปหน่อยก็ถึงประตูบ้านแล้ว

กุญแจบ้านไม่มี แต่ใช้เครื่องปลดล็อกประตูที่ติดอยู่ตรงกำแพงได้ครับ ก่อนอื่นก็แสกนลายนิ้วมือยืนยันตัวตน กดเลขรหัสให้ถูกต้อง ประตูบ้านจะปลดล็อกให้ ถ้าขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งผิดพลาดสัญญาณกันขโมยจะดังขึ้นมาแทน บ้านของลูกศิษย์รุ่นแรกๆ อยู่ถัดไปนี่เอง รับรองเขาต้องวิ่งมาดูแน่ เจ้าของบ้านไม่อยู่ก็ไม่ต้องห่วง (ทากะซังกลับญี่ปุ่นช่วงเวลานี้ทุกปี เห็นว่าต้องไปช่วยงานโรงฝึกของครอบครัวที่นู้น)

ภายในบ้านมืดสนิท ผมกดเปิดสวิตซ์ไฟ ถอดรองเท้าก้าวขึ้นพื้นยกสูง หยิบรองเท้าแตะภายในบ้านสีน้ำตาลออกมาสองคู่ ใส่เองกับวางทิ้งไว้ให้พาร์

“บ้านสไตล์ญี่ปุ่น?”

ผมยักไหล่ ก็เจ้าของบ้านเป็นคนญี่ปุ่น มองพาร์ที่เอาแต่กวาดสายตาไปทั่วก็ลองถามดู

“…มึงสนใจ?”

“อือ”

“ให้กูพาชมบ้านไหม”

“นำเลย”

“งั้นมึงถอดรองเท้า แล้วใส่สลิปเปอร์ก่อน”

พาร์ทำตามอย่างว่าง่าย ผมกระแอมไอพูดเกริ่นนำ

“โล่ง เรียบง่าย อบอุ่น จัดสรรพื้นที่เป็นสัดส่วน และเป็นระเบียบมากๆ คือคำจำกัดความบ้านหลังนี้ของกู” ผมออกเดินนำพร้อมชี้นิ้วไปด้วย “ตรงนั้นเป็นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นอยู่ชั้นสอง ทางนั้นเป็นห้องครัว ส่วนโต๊ะตรงนี้ไว้กินข้าว”

“แล้วนั่นล่ะ?”

พาร์ชี้ไปที่ห้องหนึ่ง ซึ่งดูจากผนังเดาไม่ยากว่าต้องเป็นห้องใหญ่มาก

“อ้อ นั่นเป็นไฮไลท์ของบ้าน ไว้ค่อยลงมาดู ปะ ขึ้นชั้นสองกัน”

“ชั้นนี้มีแค่ห้องนอนใหญ่ ตรงกลางเป็นพื้นที่นั่งเล่น ส่วนทางนี้เป็นห้องทำงาน มีประตูเชื่อมไปบ้านแฝดติดกันได้ ตรงนั้นเป็นระเบียง ถ้ามองลงไปจะเห็นสวนแบบญี่ปุ่นข้างล่างด้วย”

“แล้วชั้นสาม?”

ดูท่าพาร์จะติดใจมาก ผมไม่ตอบ พาขึ้นไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่า

แค่ขึ้นมาถึงตรงทางพักเท้า พาร์ก็ชะงักแล้วครับ ผมเดินขึ้นไปรอข้างบน ปล่อยพาร์ค่อยๆ เดินขึ้นมา ตาจดจ้องมองรูปถ่ายติดผนังใบใหญ่ เป็นรูปวัยเด็กของผมไล่มาเรื่อยๆ ตามขั้นบันไดจนโต พอขึ้นมาถึงข้างบน พาร์ก็อ้าปากค้าง

“นะ นี่มัน…”

ผมสะกิดให้พาร์ละสายตาจากแกลอรี่ขนาดย่อม ชี้บอกรายละเอียดที่มันควรจะรู้

“ห้องนอนกูอยู่ทางซ้าย ชั้นนี้มีแค่ห้องนอนเดียวขนาดเล็กกว่าข้างล่าง ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่กว้างโล่งตามที่เห็น เป็นทั้งห้องทำงาน ห้องหนังสือ แล้วก็ห้องนั่งเล่นแบบทรีอินวัน แต่ที่พิเศษก็แกลอรี่วอลเปเปอร์ติดกำแพงนั่นแหละ ยังไม่นับรวมตู้เก็บซีดีตรงนั่นอีก…กูถึงเดาว่ามึงน่าจะชอบ”

“ซีดีอะไร?”

“คลิปวีดีโอกู มีทุกช่วงวัยตั้งแต่แบเบาะยันปัจจุบันเลยล่ะ แถมยังถ่ายทอดตัวตนตามธรรมชาติของกูอีก”

“ขออยู่ดู…”

ผมพูดขัดทันที “มึงสัญญาอะไรกับกูไว้”

พอนึกออก พาร์ก็ห่อเหี่ยวทันที ผมไม่กล้าให้พาร์อยู่นานกว่านี้เลยเอ่ยปากชวน

“ปะ ลงล่างกัน”

มันดันทำสีหน้าไม่อยากไปซะนี่ ผมต้องออกแรงลากพาร์ลงมาถึงชั้นล่าง มันก็ยังแหงนมองชั้นสามด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์อีก ปล่อยผมยืนหอบแฮ่กๆ ด้วยความเหนื่อย เหงื่อออกเหนียวตัวจนอยากอาบน้ำ

คำว่าอาบน้ำไปสะกิดให้ผมนึกบางอย่างออก

“พาร์” เรียกคนกำลังมองชั้นบนตาละห้อย “ไปดูไฮไลท์ของบ้านกัน น่าสนใจไม่แพ้ชั้นสามเลยล่ะ”

พาร์กลับมาทำหน้าสนอกสนใจอีกครั้ง

“ตามมา”

แต่แทนที่จะเปิดประตูเข้าห้องใหญ่ไปเลย ผมเลือกเปิดประตูเล็กข้างๆ แทน พาร์คงรู้สึกเหมือนโดนแกล้งเลยเตะขาผม ถามเสียงขุ่นอีกต่างหาก

“พากูมาดูห้องน้ำทำไม?”

ผมยอมรับก็ได้ว่าแกล้งเล่นนิดหน่อย แต่ก็แถให้พาร์ฟัง “เห็นประตูนั่นไหม มันเชื่อมไปอีกห้องได้ กูเลยพามาทางนี้ก่อน จะได้ตื่นเต้น”

พาร์หรี่ตามองประตูเลื่อนทำจากไม้ติดกระจกขุ่น

“เปิดเข้าไปได้เลย”

จากสีหน้าก็รู้ว่ามันไม่ไว้ใจ พอดันหลังให้รีบเปิด พาร์เลยจำยอมเลื่อนประตู ผมกะจังหวะถีบมันเข้าไปในห้องมืดๆ เปิดสวิชท์ไฟเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในห้อง พอพาร์ตั้งหลักเงยหน้าขึ้นมา ผมก็ได้เห็นสีหน้าตกตะลึงสมใจ

“นี่มัน”

บ่อแช่น้ำร้อนทรงสี่เหลี่ยมปูด้วยกระเบื้องขนาดประมาณผู้ใหญ่ลงไปพร้อมกันได้ถึงสี่คน ขอบบ่อเป็นไม้ครับ พื้นรอบๆ บ่อจนถึงส่วนสำหรับนั่งพักก็ปูด้วยไม้ นอกนั้นเป็นปูด้วยพื้นหินธรรมชาติแผ่นใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย ถัดออกไปเป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นที่ผมบอกว่ามองจากระเบียงชั้นสองลงมาก็เห็น

“ตกใจใช่ไหม?” ผมถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

“มาก”

ผมเดินตามเข้ามาพร้อมเลื่อนประตูปิด สองมือปลดกระดุมเสื้อตัวเองพลางบอกเล่าสถานที่ให้คนที่เอาแต่กวาดมองอย่างตื่นตาตื่นใจทั่วห้องฟังคร่าวๆ

“บ่อตรงนั้นสำหรับแช่น้ำร้อน ก่อนลงบ่อต้องชำระกายให้สะอาดก่อน เห็นจุดอาบน้ำไหม ตรงที่มีม้านั่งเตี้ยวางอยู่น่ะ”

“…เหมือนที่ล้างตัวแถวสระว่ายน้ำ?”

“ใช่ๆ” ผมถอดเสื้อออกโยนลงตะกร้าสูงทรงกลม “ถ้าไม่อยากใช้ฝักบัวก็รองน้ำจากก๊อกใส่กะละมังใบเล็กที่วางอยู่ใกล้ม้านั่งราดตัวเอาก็ได้ พวกแชมพูกับสบู่ก็วางอยู่ใกล้ๆ แต่ก่อนอาบน้ำก็ต้องมีผ้าขนหนู”

ผมตบตู้ไม้ข้างตัว รอพาร์หันมาก็เปิดตู้ให้ดู

“ชั้นบนสุดเป็นผ้าขนหนู ถัดมาเป็นยูกาตะ ที่เห็นพับวางอยู่มีแต่ของผู้ชาย สองชั้นล่างสุดวางของจิปาถะ ถาดตะกร้าทรงสี่เหลี่ยมนี่ไว้ใส่ของที่หยิบออกมาจากตู้ ขวดน้ำแร่ที่อยู่ชั้นล่างสุดเอาไว้ดื่มหลังขึ้นมาพัก”

ผมชี้นิ้วไปโต๊ะกับเก้าอี้ที่วางห่างจากบ่อน้ำร้อนไปหน่อย

“ถ้าแช่ต่อไม่ไหว ก็ไปนั่งพักดื่มน้ำตรงนั้นแหละ พักจนพอใจจะลงไปแช่อีกก็ได้”

แล้วชี้กลับมาที่ตะกร้าหวายใบใหญ่สองใบที่วางอยู่ข้างตู้ ใบหนึ่งเป็นทรงกลม อีกใบเป็นทรงเหลี่ยม

“เสื้อผ้าเค็มใส่ตะกร้ากลม ผ้าขนหนูหรือเสื้อคลุมที่เปียก ผึ่งให้แห้งแล้วใส่ตะกร้าเหลี่ยม แค่นี้แหละ เดี๋ยวกูจัดของใส่ถาดตะกร้าให้มึงเลยแล้วกัน…แล้วมองกูอย่างนั้นทำไม”

“มึง..จะอาบน้ำที่นี่?”

“บ้านนี้มีที่อาบน้ำแค่ตรงนี้”

“ฮะ?!”

ผมทำหน้างง “ตกใจทำไม? นี่กูว่าจะชวนมึงแช่น้ำร้อนต่อเลย”

รีบเอื้อมหยิบกล่องใบหนึ่งจากตู้ เปิดฝากล่อง อวดซองภาษาญี่ปุ่นมากมายด้านใน

“ผงแช่ตัวแบบออนเซนเชียวนะ มาแช่น้ำเล่นกันเถอะ”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 14-11-2016 19:18:09
เอิ่ม...ที ชวนพาร์อาบน้ำเหรอคะ ^^
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-11-2016 19:47:36
โอย.....ยิ่งอ่าน เท่าไรก็ไม่พอ อยากอ่านอีก :mew1: :mew1: :mew1:
ที รู้ใจพาร์ จริงๆ อาลัย อาวรณ์กับชั้นสาม
ที่สะสมภาพ วิดิโอของที
ทึ่งในความคิด ตัวตนที มากกกก
เป็นขาโหด เป้นพ่อครัว
เป็นสมองของกลุ่ม สมกับที่เรียนเศรษฐศาสตร์
พาร์ ติด ที รักทีมาก น่ารักที่สุด
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-11-2016 20:28:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-11-2016 20:36:33
ชั้นสามนี่งคงเป็นสวรรค์ของพาร์เลยสินะ 5555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 14-11-2016 21:00:38
มาทำให้อยากแล้วจากไป รอตอนต่อไปอยู่นะคะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-11-2016 01:05:51
อ่อยแบบไม่รู้ตัว!!
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 15-11-2016 01:43:00
เด๋วนะ คาดว่าเดี๋ยวพาร์นั่งหน้าฟิน เลือดกำเดาไหลโจ๊กแน่ๆ 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-11-2016 02:04:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 15-11-2016 06:53:13
มี...ชวนผู้ชายแก้ผ้าอาบน้ำ....นะที...ระวัง...พาร์..จะไม่ทน...555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 15-11-2016 13:16:00
อุ๊ยย อ่อยแรง ตอนนี้ตรงนี้ น่าสนใจกว่าชั้น 3 เยอะ

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 15-11-2016 14:48:38
พาร์เจอคอมโบเซ็ต.....ตายแน่  สุขจุกอกตาย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 15-11-2016 21:24:33
บ้านสุดยอดมากเลยค่ะที อ่านแล้วอยากได้บ้านแบบนี้บ้างแล้วสิเนี่ย พาพาร์เข้าบ้านแบบนี้คิดไรอยู่คะที?
เราเป็นหญิงต้องรักนวลสงวนตัวสิ(?) รวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัวเลยค่ะ55555 งานนี้พาร์กำไรสุดๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 16-11-2016 21:30:56
ทีอ่อยพาร์นี้นาว๊ายๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 21-11-2016 06:38:21
ชวนอาบน้ำ แช่น้ำเขาห้ามใส่อะไรลงนะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-11-2016 20:45:31
บทที่29

พาร์มองหน้าผมสลับกับบรรดาซองผงแช่ตัวที่ทากะซังสะสมไว้ (กลับญี่ปุ่นเมื่อไหร่เป็นต้องไปซื้อมาตุนไว้เพียบ) จากสีหน้าอีกฝ่ายเหมือนผมพูดอะไรผิดสักอย่าง คิดทบทวนครู่ใหญ่ก็ร้องอ้อในใจ

“ถ้ามึงเขินพันผ้าขนหนูลงบ่อก็ได้ กูเข้าใจ”

“ไม่ มึงไม่เข้าใจ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง “แล้วต้องเข้าใจแบบไหน?”

พาร์เงียบใส่ รอแล้วรอเล่าไม่เห็นพูดอะไรสักที ผมเลยเป็นฝ่ายพูดแทน

“มึงควรฝึกอาบน้ำร่วมกับคนอื่นให้ชิน เผื่อได้ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นจะได้ไม่ลำบากใจ”

“เรื่องไร?”

“ก็…อย่างเวลาใช้ห้องอาบน้ำรวมหรือบ่อน้ำพุร้อนที่นู้น เขาห้ามเอาผ้าขนหนูพันเอวลงไป แต่กูอนุโลมเห็นแก่คนพึ่งลงแช่น้ำครั้งแรกอย่างมึง”

ผมจ้องจับผิดใบหน้าพาร์ เดี๋ยวแดงบ้างซีดบ้างสลับไปมาจนน่าสงสัย

“มึงกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย?”

“ช่างกูเหอะ ขอไปรอข้างนอก…”

หมับ!

ผมคว้าไหล่คนทำท่าชิ่งหนีด้วยมือข้างเดียว พร้อมฉีกยิ้มปลอบใจ

“อย่ากลัวไปเลยน่า คนเราต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น” แต่ไหงมันทำหน้าผวาหนักกว่าเก่าเล่า “นี่แค่สองคนเอง ถ้าไปที่ญี่ปุ่นเจอคนมากกว่านี้ตั้งเยอะ”

พาร์ยกมือกุมขมับ ทำหน้าเหมือนจะป่วย “กูอยากรู้จริงๆ มึงโดนเลี้ยงมาแบบไหน”

“ฮะ?”

“โตมาถึงเป็นแบบเนี่ย”

“แบบไหนวะ?”

พาร์ขยี้ผมท่าทางหงุดหงิด “มึงจะอาบน้ำหรือแช่น้ำก็ตามสบาย กูไปล่ะ”

ผมมองคนหมุนตัวเดินหนีไปทางประตูด้วยความงง อะไรของมัน แต่รู้อะไรไหมครับ ท่าทางแบบนั้นกลับกระตุ้นผมให้รู้สึกอยากแกล้ง รู้ตัวอีกทีก็ไปยืนล็อกตัวพาร์จากทางด้านหลัง ยัดกล่องใส่มือมัน แถมยังช่วยปลดกระดุมเสื้อออกอีกต่างหาก

“ไอ้ทีปล่อยกู!”

“เรื่องสิ”

“ไอ้ที!”

พาร์ดิ้นอย่างหนัก จนผมต้องออกแรงรัดมากขึ้น มันเกือบหลุดรอด เลยต้องงัดไม้ตามออกมาใช้ดักเหยื่อ

“รู้ไหมกูแช่น้ำครั้งแรกตั้งแต่ยังไม่ถึงขวบ โดนลุงนิกอุ้มลงอ่างอาบน้ำ…”

พาร์หยุดชะงัก แค่เล็กน้อยก็ทำให้ผมล็อกเหยื่อที่กลับมาดิ้นหนีได้ต่อ

“แค่ปลายเท้าโดนน้ำร้อนก็แหกปากแล้ว แต่ผู้ใหญ่สองคนส่งเสียงหัวเราะยกใหญ่”

พาร์ดิ้นน้อยลงๆ จนหยุด

“จากที่กำลังร้องไห้เลยกลายเป็นหัวเราะตาม รู้ตัวอีกทีก็แช่น้ำเล่นกับลุงไปแล้ว”

“มึงโม้!” คนเลิกดิ้นหนีว่า “เด็กขนาดนั้นจะจำเรื่องพวกนั้นได้ไง”

ผมหัวเราะ “หนึ่งในคลิปวีดีโอจากชั้นสามไง สนใจล่ะสิ” 

คนโดนพูดยั่วกัดฟันกรอด ผมทั้งสนุกทั้งขบขัน

“ถ้ามึงลองลงแช่น้ำตอนนี้ เดี๋ยวก่อนนอนกูเอามาเปิดให้ดูก็ได้นะ”

พาร์ยืนเงียบเลยครับ ท่าทางคิดหนัก ผมใช้จังหวะนี้ปลดกระดุมที่เหลือของมัน ถ้าดื้อนักเดี๋ยวจับโยนลงบ่อซะเลย แต่ยังไม่ได้เติมน้ำลงไปนี่สิ ทำไงดีหว่า   

“กูไม่แช่!”

ผมผงะกับเสียงตะโกนลั่น ต้องรีบจับล็อกตัวคนพยายามหนีอีกรอบ นึกไม่ถึงว่าพาร์จะต่อต้านหนักขนาดนี้

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย แค่แช่น้ำประมาณสี่สิบสององศาเองน่ะโว้ย ทำอย่างกับกูจะจับมึงไปต้มในบ่อ”

“ใช่! มึงกำลังจะฆ่ากู”

“ฮะ? แค่แช่น้ำเนี่ยนะ?”

“เออ!”

“น้ำร้อนแค่นั้นจะฆ่ามึงได้ไง!”

“น้ำไม่ได้ฆ่ากู แต่มึงนั่นแหละจะฆ่ากู!”

พวกผมหยุดยื้อยุด ต่างหอบด้วยความเหนื่อยทั้งคู่ หลังกอบโกยอากาศเข้าปอดจนพอใจก็มาฉะกันต่อ

“กูจะฆ่ามึงทำไม”

“จะไปรู้เรอะ! แล้วมึงบังคับกูลงแช่น้ำทำไม”

“อยากให้ลอง…” พูดไม่ทันจับก็โดนสวนทันที

“อ้อ มึงอยากให้กูเลือดหมดตัวตาย”

ผมชักรู้สึกทะแม่งๆ “มึงมีโรคประจำตัว?”

“ไม่มี”

ผมหรี่ตาลงมองคนทำท่าฮึดฮัด “...นี่มึงคงไม่ได้คิดอะไรลามกอยู่ในหัวหรอกนะ?”

พาร์เบือนหน้าหนี แต่ผมเห็นมันใบหูแดงก่ำชัดเจน ผมหัวเราะหึใส่หูมัน

“มึงกลัวกูนี่เอง ไม่ต้องห่วง กูไม่คิดทำอะไรมึงหรอก”

พาร์หันขวับกะทันหัน ดีนะถอยหน้าออกห่างทัน ช้ากว่านี้อาจเจออุบัติเหตุปากชนปากเอาได้ แต่ยังต้องสบตาในระยะประชิด แววตาอีกฝ่ายวาววับเอาเรื่อง เค้นเสียงออกมาเหมือนกำลังกัดฟันพูด

“ไม่คิดว่ากูจะเป็นฝ่ายทำมึงหรือไง”

“มีปัญญา?”

พวกผมจ้องตาฟาดฟันใส่กันเนิ่นนาน

“ตอนนี้กูรู้สึกเป็นฝ่ายได้เปรียบมึงวะ” ผมว่า

พาร์สวนกลับทันที “กูไม่รู้สึกตกเป็นรองเหมือนกัน”

“เหรอ…” ผมว่าขำๆ “มึงในสภาพนี้จะทำอะไรกูได้”

“ขอเตือน” พาร์ว่าเสียงหนัก “อย่าท้า” 

“ถ้ามึงมีปัญญากด กูยอมเป็นเมียมึงก็ได้เอา”

ความเงียบบังเกิดหลังผมหลุดปากพูดไปตามอารมณ์นึกสนุก มาได้สติก็ตอนเห็นแววตาวาววับแปลกๆ ของมัน ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกว่าตัวเองเล่นมากไปแล้ว

“โฮ่…มึงพูดเองนะ มึงพูดเอง”

ผมออกแรงล็อกคนตรงหน้ามากกว่าเดิมกันไว้ก่อน กะว่าออกแรงดิ้นแค่ไหนก็ไม่ปล่อยให้หลุดแน่ แต่ผมคิดผิด พาร์ไม่ได้จะหนี พลิกตัวกลับมาก็ไม่ มันยืนอยู่กับที่เอื้อมมือกดหัวผมให้โน้มหน้าเข้าหา ลมหายใจร้อนปะทะใส่กัน ผมตื่นตัวตัวฉับพลัน   

เฮ้ย! เดี๋ยว!

ริมฝีปากเราแตะกันไปแล้ว ดุจห้วงเวลาภายนอกหยุดลง แต่ตะกอนที่นอนแน่นิ่งเนิ่นนานในใจผมกลับค่อยๆ ขยับ ผมหน้าซีดรีบดันตัวเองออกห่าง รีบถอยก่อนสติจะหลุด แต่เดินไม่ถึงสองก้าวก็โดนกระชากตัวกลับ จูบครั้งที่สองตามมา

ผัวะ!

คนโดนต่อยท้องส่งเสียงร้อง ก่อนจับล็อกมือผมไขว้หลัง อีกมือจับใบหน้าให้เอียงรับจูบครั้งที่สาม

โครม!

พาร์ลงไปนอนกองกับพื้นในสภาพตะลึงนิดๆ ผมยิ้มเหี้ยมกระทืบเท้าใส่คนนอนที่เบิกตากว้างรีบกลิ้งหลบ จุดยุทธศาสตร์กลางตัวรอดพ้นหวุดหวิด

“เดี๋ยวที…”

พาร์กลิ้งหนี ผมตามกระทืบ จนมันหาจังหวะลุกขึ้นยืนได้ แต่ต้องยอมให้ผมเตะถึงสองครั้งกว่ามันจะตั้งหลักได้จริงๆ ใบหน้าคนเจ็บตัวกำลังหงุดหงิด แต่พอได้จ้องหน้ากันกลับทำหน้าตกใจใส่

“มึง…ร้องไห้ทำไม?”

“พูดเรื่องไร?”

ใครร้องกัน

“ก็มึง…” พาร์ทำท่าจะเดินมาหา

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม่งั้นกูยันมึงลงพื้นแน่”

พาร์ไม่สน พอเข้ามาในระยะผมก็จัดการออกลูกเตะสูงนำร่อง มันดันก้มหลบทัน แถมหมุนตัวส่งแรงถีบเข้าท้องผมจนเซ หลังผมกระแทกตู้เต็มๆ เจ็บแปล๊บทั้งตัว ยังไม่ทันตั้งหลักมันก็พุ่งเข้าประชิดแบบพวกนักมวย คอเสื้อโดนกระชาก รู้ซึ้งว่ามันร้ายก็ตอนนี้

“มึงร้องไห้เพราะอะไร” น้ำเสียงเครียดขึง

“ใครร้องวะ!”

“แล้วไอ้นี่อะไร?”

มันปาดนิ้วข้างแก้มผม พึ่งรู้สึกว่ามันชื้นก็ตอนนี้ ผมเม้มปาก จ้องตากลับไม่พูดอะไรสักคำ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอทำน้ำตาร่วงตั้งแต่เมื่อไหร่

แววตาพาร์สั่นไหวหลังถามเสียงแผ่ว “รังเกียจจูบกูมากขนาดนั้นเลย”

ผมเบือนหน้าหนีอย่างทนมองไม่ไหว แต่ต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายดันจับหน้าหันไปจ้องตากันใหม่

“ตอบกูมา”

“แน่ใจว่าอยากฟัง?”

“เออ”

“แต่กูไม่อยากพูดถึง!”

“แต่มึงต้องพูด กูจะได้รู้ว่าเรื่องของเรา มันเป็นไปได้หรือไม่ได้”

ผมเม้มปากอยู่นานกว่าจะยอมบอกเสียงแผ่ว “ขยะแขยง”

แรงกำคอเสื้อคลายออกทันที ใบหน้าคนฟังแย่มาก “ขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำกับมึงแบบนั้นอีก”

ผมคว้าไหล่คนทำท่าจะผละออกห่าง น้ำเสียงทะมึน “มึงบังคับให้กูพูด ต้องอยู่ฟังให้จบ”

แววตาอีกฝ่ายโมโหทันที แต่ไม่พูดอะไร แค่มองมาเงียบๆ

“กูเกลียดจูบ เกลียดที่สุด ยิ่งแบบที่มีลิ้นสอดเข้ามาแค่คิดก็อยากอ้วกแล้ว มึงไม่มีทางเข้าใจหรอกว่ามันขยะแขยงแค่ไหน” ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งร่วงหล่น “กูพยายามผลักไอ้สารเลวนั่นออกแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย…”

“ที…”

ผมเมินเสียงเรียกแผ่วๆ จิ้มนิ้วโป้งใส่อกข้างซ้ายตัวเอง “มันตกตะกอนอยู่ในนี้มาตั้งนาน แต่มึงพึ่งไปกวนมันขึ้นมา!”

“พอแล้ว!”

“กูไม่ได้อยากจะจดจำสักนิดเดียว ทำไมต้องจำได้”

“พอแล้วที ไม่ต้องพูดแล้ว”

ผมรีบยันอกอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาใกล้ “ไม่ต้องมากอด ถอยไปห่างๆ ด้วย”

“ที…”

ผมปาดน้ำตาออกไปลวกๆ มองพาร์ที่ยอมถอยห่างแค่นิดเดียว

“กูขออยู่คนเดียวสักพัก”

พาร์นิ่งไปเลย แววตาลังเลชัดเจน นานกว่าเปิดปากพูด “ตอนนี้กูไม่ไว้ใจให้มึงอยู่คนเดียว”

“แต่กูไม่อยากเห็นหน้ามึง”

“ที…” เสียงอ่อนแรงจากพาร์ไม่ได้ทำผมใจอ่อนลงสักนิด

พาร์ไม่ได้เข้าหา แต่ดึงผมที่ไม่ทันตั้งตัวออกมา ร่างกายกระแทกกัน ผมเจ็บแผลเดิมที่โดนลูกถีบมัน นิ่วหน้าเจ็บเมื่อโดนกอดซะแน่นเหมือนกลัวผมหนีหาย ผมเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ ยิ่งนึกถึงจูบเมื่อกี้ อยากเอาชนะ บังคับให้จำยอม น้ำตาก็ยิ่งร่วงทั้งที่พยายามห้ามแล้ว

“ขอโทษ”

ทันทีที่ได้ยิน ผมก็หวนนึกถึงความรู้สึกหนึ่งที่ตกค้างในใจท่ามกลางตะกอนสีดำที่ยังคงลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว

กลัว…กลัว…กลัว

ผัวะ!

เสียงซีดปากอย่างหนักดังขึ้นข้างหูดึงสติผมกลับคืนมา พึ่งรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในท่ายกเข่าค้างไว้ตรงหว่างขาพาร์ก็รีบเอาลง ส…สงสัยตอนสติหลุดเมื่อกี้จะเผลอทำร้ายกล่องดวงใจใครบางคนไปแล้ว แต่คนที่น่าจะทั้งจุกทั้งเจ็บ กลับกัดฟันไม่ยอมปล่อยผมออกจากอ้อมกอด


“ขอ…โทษ”

“ปล่อยกู”

“ไม่”

“อีกสักทีดีไหม” ผมลองขู่ดู แต่กลับโดนกอดแน่นกว่าเดิม สุดท้ายก็เป็นผมที่ใจอ่อน แต่ก็ใช่ว่าจะยกโทษให้ จึงประกาศบทลงโทษชัดถ้อยชัดคำ

“พรุ่งนี้กูจะไม่คุยกับมึง…”

“ที!”

พูดไม่ทันจบก็โดนเรียกชื่อเสียงดังลั่น ท่าทางแข็งแรงดี แต่ดูเหมือนขยับไม่ไหว เกาะผมส่งเสียงสั่นเครือ

“จะทำร้ายร่างกายกูยังไงก็ได้ แต่ไม่เอาแบบนี้”

ผมตบหลังพาร์ให้สงบใจลงหน่อย

“ฟังให้จบก่อน” รอจนแน่ใจว่ามันพร้อมฟังก็พูดต่อ “พรุ่งนี้มึงครองชั้นหนึ่งไป เดี๋ยวกูจะไปหมกตัวที่ชั้นสาม ต่างคนต่างอยู่สักวันน่าจะดีกว่าเจอหน้ากัน”

ผมตบหลังคนที่กอดผมแน่นกว่าเก่าจนชักจะเจ็บแผลเก่าอีกครั้ง แถมยังหายใจไม่ค่อยสะดวก

“แค่วันเดียวน่า คลายแรงหน่อยกูหายใจไม่ออก”

ฟู่…ค่อยยังชั่ว

“เมื่อไหร่”

“อะไรนะ?”

“จนถึงเมื่อไหร่”

“ในฐานะที่กูเป็นฝ่ายผิดเหมือนกัน จะให้มึงเลือกเวลาสิ้นสุดแล้วกัน แต่ต้องเป็นหลังพระอาทิตย์ตก…”

พูดดักคอไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็พูดสวนกลับมาทันที

“หกโมงเย็น”

นั่นไง ถ้าไม่พูดดัก มันคงบอกเที่ยงวัน ไม่ก็หกโมงเช้าแหงๆ

“งั้นเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน”

“มึงบอกว่าพรุ่งนี้”

“ถ้างั้นอาจต้องเลื่อนเวลาจนถึงเที่ยงคืนอีกวัน”

พาร์ปล่อยผมทันที หมุนตัวหันหลังให้ “งั้นเริ่มตอนนี้”

“เดี๋ยวกูเอาฟูกนอนลงมาให้ มึงไปนอนห้องรับแขกแล้วกัน”

ก่อนผมจะเปิดประตูออกไป พาร์กลับพูดทิ้งท้ายเสียงจริงจัง

“ถ้าถึงเวลาแล้วมึงไม่ลงมา กูจะขึ้นไปตามถึงที่”

หลังขนฟูกนอนสำรองจากชั้นสองลงมาให้พาร์ พร้อมหมอนกับผ้าห่ม ช่วยปูให้เสร็จสรรพ เพราะมันน่าจะทำไม่เป็น ผมก็กลับขึ้นชั้นสอง เลี้ยวมองประตูห้องอาบน้ำที่ยังปิดอยู่ พาร์ยังไม่ออกมาเลยครับ ประตูกำลังเลื่อนเปิดเล็กน้อยผมรีบวิ่งขึ้นบันได แอบส่องดูจากชั้นสองเห็นแผ่นหลังคนเดินหงอยพอดี

ผมรีบก้มหลบแทบไม่ทันเมื่อคนข้างล่างเงยหน้าขึ้นมามอง สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไปทางห้องรับแขก ผมพ่นลมหายใจลุกเดินไปชั้นสาม

ทำไมรู้สึกผิด?

คิดแล้วก็เสยผมอย่างลำบากใจ รู้สึกเห็นแก่ตัวชอบกล แต่พอเข้าสู่อาณาเขตคุ้นเคยของตัวเอง ผมกลับค่อยๆ สงบใจลงได้ทีละนิด

ขอเห็นแก่ตัวสักช่วงเวลาหนึ่งนะครับ

-------------

บอกพาร์ว่าจะอยู่ชั้นสาม แต่ในความเป็นจริงกลับทำไม่ได้

ผมไขกุญแจประตูเชื่อมบ้านแฝดจากห้องทำงานชั้นสองเดินทะลุไปอีกด้านหนึ่งเป็นว่าเล่นตั้งแต่เช้า

ทั้งไปอาบน้ำ (ห้องน้ำสำหรับให้คนมาฝึกใช้) เดินออกนอกบ้านแวะทักทายลูกศิษย์ของทากะซังที่อยู่บ้านข้างๆ ตอนแรกว่าจะขอยืมจักรยานไปซื้อของกิน แต่กลายเป็นว่าได้กินข้าวที่นั่นแทน ทางนั้นใจดีครับให้กินเต็มที่ พอบอกว่าที่บ้านมีอีกคนก็ใส่ถุงมาให้

กลับมาถึงก็ย่องเอาอาหารวางบนโต๊ะกินข้าวเงียบๆ โดยไม่แวะทักคนที่น่าจะยังหลับอยู่

พวกหนังสือเรียนกับชีท พาร์เอามาวางกองไว้ให้ที่บันได ผมก็อาศัยจังหวะนี้รีบขนขึ้นข้างบนจนเหนื่อย สุดท้ายก็วางทิ้งไว้ตรงพื้นที่นั่งเล่นชั้นสอง นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้นแทน

ช่วงกลางวันผมได้ยินเสียงออด แว่วเสียงคุ้นหูคุยกัน ผมลองส่องดูชั้นล่าง

อ้อ พี่ข้างบ้านเอาอาหารกลางวันมาให้

สักพักใหญ่ได้ยินเสียงช้อนเคาะกับจานเป็นสัญญาณ…เหมือนเรียกแมวมากินข้าวไม่มีผิด ผมรอสักพักใหญ่ค่อยก้มมองชั้นล่าง มีจานข้าววางอยู่ใบพร้อมขวดน้ำเปล่า มองซ้ายมองขวาเห็นทางโล่งลงมานั่งกิน (จะได้ไม่ต้องยกจานขึ้นๆ ลงๆ) หมดจานก็หยิบแค่ขวดน้ำขึ้นชั้นบน

วันเวลาหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบตามลำพัง กว่าจะถึงช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ใจผมก็สงบขึ้นเยอะแล้ว อาจเพราะบ้านหลังนี้ด้วยล่ะมั้ง 

ในบรรดาบ้านทั้งสามหลัง ผมโตมากับบ้านใหญ่ของคุณย่าครับ อยู่ที่นั้นมากที่สุด จนกระทั่งคุณย่าจับได้ว่าทากะซังเป็นแฟนลุงนิก ในฐานะที่ลุงนิกเป็นผู้ปกครองเลยสามารถหิ้วผมออกจากบ้านใหญ่มาอยู่ที่นี่ได้ คุณย่าที่พิโรธอยู่แล้วเลยยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลอยทำผมโดนโกรธไปด้วย เพราะส่ายหน้าไม่ยอมกลับหลังคุณย่าแอบให้คนขับรถมาจอดดักเจอผมที่โรงเรียนเพื่อพากลับบ้านใหญ่ ที่จริงผมก็อยากไปนะ แต่ลุงนิกขอไว้ เห็นว่าเป็นแผนไม่รับลูกสะใภ้ก็อย่าหวังจะได้เจอหลานชาย

เป็นสงครามเย็นที่เด็กอย่างผมลำบากใจที่สุด

ผมอยู่ที่บ้านแฝดถึงสี่ปี ระหว่างนั้นก็มีไปนอนบ้านพ่อบ้าง จนลุงนิกต้องไปทำงานที่สาขาต่างประเทศ (ผมคิดว่าเป็นแผนแยกลุงนิกกับทากะซังของคุณย่า และเป็นแผนของคุณปู่ที่เลือกประเทศเปิดเสรีทางเพศเป็นที่ตั้งบริษัทสาขา แถมเอื้อให้ลุงนิกกับทากะซังไปจดทะเบียนกันได้ด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณย่าเปิดใจรับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน) บวกกับทางบ้านพ่อมีเรื่องน้องสาวน้องชายเข้ามา ทากะซังก็ไปๆมาๆ ต่างประเทศบ่อยขึ้น ผมเลยได้ไปอยู่บ้านพ่อจนถึงปัจจุบัน

“ที”

ผมหลุดจากภวังค์ มองคนที่พึ่งโผล่มาชั้นสอง เข็มนาฬิกาหยุดที่เลขหกกับเลขสิบสองพอดีเป๊ะ ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรพนักเก้าอี้แบบนั่งติดพื้นปรับระดับได้ก็โดนกดซะราบ พาร์นั่งซ้อนด้านหลังดึงตัวผมไปกอด ซุกหน้ากับไหล่ นั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

เลียนแบบน้องอันชัดๆ

ผมพึ่งนึกออกว่ายังไม่ได้โทรกลับบ้านก็ตอนนี้ ถ้าโทรต้องกดเข้าเบอร์มือถือ เพราะพ่อแม่คงพาน้องๆ ไปเที่ยวข้างนอก มุขเดิมที่ใช้ได้ผลเสมอเวลาเด็กหญิงวาริร้องไห้เรียกหาพี่ชาย ผมตบแขนที่กอดรอบเอวเบาๆ

“ไปหาอะไรกินนอกบ้านกัน”

พาร์ส่ายหน้ากับไหล่ผม

“งั้นมื้อเย็นจะกินอะไร ไปรบกวนพี่ข้างบ้านตลอดคงไม่ดี”

มีแต่ความเงียบตอบกลับมา ผมลอบถอนหายใจ ตอนนี้ปล่อยให้กอดจนหน่ำใจก่อนดีกว่า

กลายเป็นว่าลูกศิษย์ทากะซังแวะเอาข้าวเย็นมาฝาก เพราะเห็นพวกผมไม่ได้ออกไปไหน

“ขอบคุณมากครับ วันนี้รบกวนถึงสามมื้อเลย” ผมพูดอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นๆ” พี่แกยิ้มให้อย่างใจดี ขยี้หัวผมจนยุ่งเหมือนสมัยก่อน “ตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้าล่ะ”

กลับเข้าบ้านก็ต้องผงะกับสายตาจ้องจับผิด

“อ…อะไร”

พาร์ไม่พูดอะไรเลย แค่ยื่นมือช่วยจัดผมให้เข้าที่เข้าทาง แย่งถุงข้าวในมือไปเทใส่จานให้เสร็จสรรพ

…เหมือนพาร์เปลี่ยนไปนิดหน่อย ผมรู้สึกอย่างนั้นนะ

หลังตักข้าวเข้าปากไปหลายคำ ก็เหล่มองคนนั่งตรงข้ามที่กินไปมองผมไป ช่วงล้างจานหลังกินเสร็จก็มองมาตลอด เดินไปไหนก็ตามติด ดีที่ไม่ตามไปถึงห้องน้ำ แต่ก็ออกมาก็เจอยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าไม่ไปไหน ทำผมอึดอัดใจสุดๆ

“เอ่อ พาร์…ไปชั้นสามกันไหม?”

ไม่มีคำตอบ ไม่ต้องลาก แค่เดินนำ อีกฝ่ายก็ตามมาแล้ว กะว่าเอาของล่อใจชั้นสามทำให้พาร์ห่างผมสักหน่อย พาร์หันมองของพวกนั้นด้วยแววตาสนอกสนใจ แต่พอผมเดินหลบไปที่อื่นก็รีบตามมาแล้ว   

“ไม่อยู่ดูรูปกูแล้ว?”

“ไม่เอา”

แผนแรกพลาด หยิบแผนสองมาใช้ต่อ จับพาร์มานั่งหน้าทีวีติดฝาผนัง เลือกแผ่นซีดีของรักของหวงลุงนิกมาเปิดให้พาร์ดู แอบพยักหน้าพอใจหลังเห็นว่าได้ผล ค่อยๆ เขยิบออกห่างทีละนิดๆ จนสามารถมาชั้นล่างได้โดยไม่ถูกตาม

เฮ้อ…ค่อยยังชั่วหน่อย

แต่ก่อนได้เปิดประตูบ้านเอาขยะไปทิ้ง แรงหนักๆ กลับโถมเข้าใส่ทางด้านหลังจนเกือบหน้าทิ่ม มันลากผมกลับเข้ามาด้านใน ประตูถูกดึงปิด

“จะไปไหน?”

“…เอาขยะไปทิ้ง” ผมชูของในมือให้มันเห็น

พาร์คว้าถุงขยะเดินออกไปทิ้งเอง ก่อนลากผมขึ้นชั้นสาม กดให้นั่งหน้าทีวีก่อนโดนกอดจากข้างหลังล็อกไม่ให้หนีไปไหน ภาพในจอเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

“เดี๋ยว” ผมแย่งรีโมตมากดหยุด “จะเอากูมานั่งดูด้วยทำไม”

ไม่มีคำตอบ

“กูดูจนเบื่อแล้ว มึงดูคนเดียวเถอะ”

ผมแกะมือพาร์ออกจากตัว ส่งรีโมตให้ ลงบันไดแค่ครึ่งทางก็โดนเรียก จำต้องขึ้นมาใหม่ ปรากฏว่าพาร์กดปิดเครื่องเล่นเก็บแผ่นซีดีลงกล่อง ชูให้ผมดู

“เก็บไว้ตรงไหน”

ผมเลิกคิ้ว “ไม่ดูแล้ว?”

“ไม่”

หลังเอากล่องซีดีไปเก็บคืนที่ มาชั้นสองอ่านหนังสือก็โดนตามติด ผมกรอกตามองเพดานห้อง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษที่มีผู้คุมตามดูพฤติกรรมทุกฝีก้าว

“เอ่อ ไม่อ่านหนังสืออ่ะ?”

พาร์มองผม ก่อนลุกขึ้น ลงบันไดไปข้างล่าง แปบเดียวก็หอบบรรดาชีทกับหนังสือที่ต้องใช้อ่านสอบขึ้นมานั่งเบียดใกล้ๆ ผมชักหงุดหงิด

“มาเบียดทำไม พื้นที่ว่างมีตั้งเยอะ”

“แต่มันไม่มีที”

ผมชะงักกึก หันมองคนพูด แววตาดูจริงจังมาก “…มึงติดกูมากไปหรือเปล่า?”

พาร์นิ่งเงียบ แต่ยอมถอยห่างไปเป็นเมตร

ประชดกันใช่ไหม?

ผมขมวดคิ้วนั่งอ่านหนังสือไปชำเลืองมองอีกฝ่ายไปอย่างไม่ค่อยมีสมาธิ เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ ประมาณว่าน้องหมาในบ้านกำลังเฉาตาย เพราะเจ้าของไม่สนใจ ไม่มีเวลาดูแล หรือกำลังยุ่งกับงานจนเล่นด้วยไม่ได้…ตอนนี้ผมรู้สึกแบบนั้นเลย

“พาร์”

คนโดนเรียกเงยหน้ามอง แววตาเศร้าหมองน่าสงสาร

“อุ้มหนังสือมานั่งหันหลังตรงนี้”

ผมชี้นิ้วใส่พื้นห่างจากผมไปหน่อยเดียว ไม่ต้องให้พูดซ้ำก็รีบหอบหนังสือตรงมาทันที ผมถอนหายใจขยับตัวบ้าง ลากกองหนังสือมาวางใกล้ๆ ก่อนหันหลังพิงกับหลังพาร์ รู้สึกถึงแรงสะดุ้ง

“ต่อไปอยากอยู่ใกล้ๆ ก็ทำแบบนี้ดีกว่าจ้องมอง เดินตาม นั่งเบียด หรือบังคับให้อยู่ด้วย”

“พิงหลังน่ะเหรอ”

“ไม่เชิง ความหมายจริงๆ คือ ถ้าอยากอยู่ข้างๆ ก็ช่วยเว้นพื้นที่ให้หายใจบ้างอะไรบ้าง นึกภาพไม่ออกก็ทำแบบเมื่อก่อนเอา”

“…มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก”

“มึงกำลังรน เพราะกลัวโดนกูทิ้งน่ะสิ”

ไม่มีคำเถียงกลับมา พาร์จะเถียงผมไปทำไมในเมื่อพฤติกรรมโคตรฟ้อง

ผมถอนหายใจเบาๆ “ถ้าจะไป กูจะบอกตรงๆ”

“…เหมือนเมื่อวาน”

“พูดตรงกว่าเมื่อวานอีก สำหรับกู พูดตรงดีกว่าพูดอ้อม ยิ่งประเภทให้ตีความเอาเองยิ่งแย่ เกิดแปลความผิด ปัญหาที่ควรจะจบก็ค้างคา เกิดความหวังนู้นนี่ สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บหนักกว่าเดิมนี่ไม่ไหวนะ สู้เจ็บครั้งเดียวจบ แล้วให้เวลาเยียวยาจนลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่ แบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ”

“ถ้าถามตรงๆ จะตอบไหม?”

“ตอบ”

“เกลียด…กูไหม”

“ไม่”

“แล้ว…ชอบล่ะ”

“ถ้าแบบเพื่อนน่ะใช่ ถ้ามากกว่านี้…ยังไม่แน่ใจ”

“แล้ว…จูบเมื่อวานล่ะ” เหมือนคนข้างหลังตัวเกร็งไปหมด “รู้สึกยังไง”

“แย่” ผมถอนหายใจ “กูรู้สึกถึงการบังคับ อยากเอาชนะ มันใกล้เคียงกับจูบแย่ๆ ในความทรงจำของกูมาก แต่จะโทษมึงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะกูเล่นมากไปด้วย”

“แล้ว…ถ้ากรณีที่กูบังคับมึงด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวกับโดนยั่วโมโหล่ะ”

“มึงคงโดนถีบออกจากชีวิตกู”

“…ไม่มีโอกาสแก้ตัว?”

“ต้องดูก่อน ถ้ามีคงยากกว่าครั้งแรก กว่าจะตะเกียดตะกายกลับมายืนในจุดเดิมได้ กูอาจเปิดโอกาสให้คนใหม่ไปแล้วก็ได้”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างกัน มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นเป็นระยะเท่านั้น 

-------------

จมูกขยับ ดมฟุดฟิดในอากาศ…หอมกลิ่นอาหารเช้าของทากะซัง

ผมลืมตาขึ้นในห้องนอนชั้นสามแบบเบลอๆ กวาดมองไปทั่วห้องภายใต้แสงสว่าง เอื้อมมือขึ้นเหนือหัวควานหานาฬิกาปลุกสะเปะสะปะ เจอแล้วหยิบมาดูเวลา แปดโมงสิบห้า…ตาเปิดกว้างลุกพรวดอย่างตกใจ

“ซวยล่ะ โรงเรียนเข้าแล้ว…เอ๊ะ”

ผมขยี้หัวมึนๆ มองแขนที่พาดเอว ห้องนี่ผมอยู่คนเดียว แล้วไอ้นี่เป็นใครมาจากไหน ไม่สิ ผมเข้ามหาลัยแล้วนี่หว่า ลูบหน้าเรียกสติให้กลับมา นึกไม่ถึงว่าจะเบลอหนักถึงขั้นนึกว่าตัวเองเป็นเด็กประถมตอนปลาย

ดมฟุดฟิดในอากาศอีกครั้ง กลิ่นคุ้นเคยอย่างน่าฉงน หรือผมคิดถึงอาหารเช้าฝีมือทากะซังมากเกินไปเลยหลอนได้กลิ่นขึ้นมาจริงๆ ด้วยความติดใจเลยลุกขึ้นก้าวข้ามพาร์ที่ควรนอนฟูกข้างๆ แต่สงสัยโรคติดกอดหมอนข้างกำเริบถึงได้มามุดนอนฟูกเดียวกับผมเฉย

ลงมาถึงชั้นสอง กลิ่นอาหารเช้าตลบอบอวนไปหมดเหมือนทุกครั้ง แปลก นี่ผมกำลังฝันซ้อนฝันหรือเปล่า ลองดึงแก้มจนยืด เจ็บมาก ไม่ใช่ฝัน

งั้นกลิ่นอาหารพวกนี้มาจากไหน? ในเมื่อคนทำป่านนี้คงซ้อมตอนเช้าอยู่ที่โรงฝึกในญี่ปุ่นนู้น

ผมรีบชักเท้ากลับก่อนเหยียบย่างลงบันไดไปชั้นล่าง เพ่งมองคนหน้าคุ้นแสนคุ้นกำลังนั่งยกแก้วดื่มอะไรสักอย่างที่โต๊ะกินข้าว อีกมือถือนิตยสารภาษาอังกฤษ สักพักคนแสนคุ้นหน้าอีกคนก็เดินเข้ามาวางจานอาหารเช้าไว้บนโต๊ะสามที่ คนนั่งอยู่ถือโอกาสคว้าข้อมือคนกำลังเดินผ่านให้ก้มลงมา ขโมยหอมแก้มขอบคุณคนทำอาหารไปฟอดใหญ่แต่เช้า ผมรีบขยี้ตาไล่ภาพที่มักเห็นประจำทุกเช้าออกไป ก่อนลืมตาขึ้นมาใหม่

ยังอยู่!

เฮ้ย! นี่ผมหลอนถึงขั้นเห็นลุงนิกกับทากะซังได้ไงเนี่ย?!

“ที” ผมสะดุ้งโดนลุกนิกเรียก “ตื่นแล้วก็รีบลงมากินข้าว…”

ผมต่อประโยคที่เหลือทันที “เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย โดนทำโทษไม่รู้ด้วย”

คนข้างล่างเงียบกริบ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกดังลั่น

“ดูเหมือนเจ้าหนูของเรายังไม่ตื่นนะ”

“ไปล้างหน้าก่อนไป๊”

โอ๊ย! อะไรจะสมจริงขนาดนี้!! หรือผมโดนผีหลอกตอนเช้า ผีเรอะ!

“แว๊กกก!!”

ผมแหกปากร้องลั่นบ้านด้วยความเครียดถึงขีดสุดกับการตื่นมาหลอนเห็นฉากชีวิตประจำวันสมัยเด็ก แว่วเสียงประตูกระแทกอย่างดังจากชั้นบน สักพักมีเสียงวิ่งลงบันได ตามด้วยเสียงร้องเรียกจากข้างหลัง ผมรีบโผไปหาคนพึ่งมาใหม่ เพราะมั่นใจว่ารายนี้เป็นคนแน่ๆ

พาร์รีบกอดตอบผม ถามหน้าตาตื่น “เป็นอะไร”

“ผี…”

“อะไรนะ?”

“กูเห็นผี ไม่สิ กำลังประสาทหลอนอยู่ชัดๆ”

“ฮะ?”

สองคนที่อยู่คนละประเทศซีกโลกจะมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ ในเวลาแบบนี้ได้ยังไง

เพล้ง!

พาร์ที่กำลังกอดผมทำหน้าตกใจ ดันผมไปด้านหลัง เอ่ยถามสองคนข้างล่างเสียงดุดัน

“พวกคุณเป็นใคร?”

หือ? เห็นด้วยเหรอ?

ผมค่อยๆ ชำเลืองมองข้างล่าง แก้วในมือลุงนิกหายไปแล้ว คาดว่าใบที่แตกกระจายบนพื้นส่งกลิ่นกาแฟหอมฟุ้งกระจายไปทั่วคือใบที่เคยอยู่ในมือลุงมาก่อน เจ้าของแก้วกาแฟกำลังยกนิ้วสั่นๆ ชี้ตรงมา ทั้งเสียงทั้งแววตาห้วนดุจัด

“ฉันต่างหากที่ต้องถาม! แกเกี่ยวข้องอะไรกับลูกชายฉัน?!”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 21-11-2016 21:30:17
พ่อตา กะ ลูกเขย เจอกันแล้วเว้ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 21-11-2016 22:40:47
เอาล่ะสิ เช้ามาเจอลูกชายพาผู้ชายมานอนที่บ้าน ลุงนิคจะทำยังไง 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-11-2016 00:09:51
อุ้ต้ะ!! จะหมี่เหลืองมั้ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-11-2016 06:59:15
ความทรงจำโหดร้าย ที่โดนทำร้าย
เกือบถูกข่มขืนตอนเด็กของที ยังฝังอยู่ในหัวที
พาร์ ช่วยทำให้อดีตเลวร้าย หายไปจากที ด้วยเถอะ
ลุงนิก กับทากะซัง กลับมาแล้วสิ
ลุงนิก น่าจะหวงลูกชายที มากกกกกก
แถมมีหนุ่มรูปหล่อกอดทีอีกซะด้วย
พาร์ แสดงออกถึงความรักที ไเลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 22-11-2016 09:11:08
มาอยุ่บ้านเค้ายังคืดว่าคนอื่นเป็นขโมยอีก 5555

แถมไปกอดลูกชายเค้าด้วย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 22-11-2016 10:21:29
ความทรงจำนั้นต้องแย่มากแน่ๆ  แต่ๆๆๆ ลุงนิกกะทากะมาแป๊บเดียว ไมดาเมจสูงนัก ฉากดึงข้อมือลงมาหอมนั่น.... #ตายไปเร้ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-11-2016 10:37:37
พาร์ติดทีมากเลยอ่ะ 5555555 แถมลุงนิกกับทากะซังก็กลับมาแล้วด้วย พาร์แย่แน่ๆ 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 22-11-2016 11:26:41
พาร์หลงทีอย่างแรงอย่างเต็มที่แล้ว สนุกมากๆ   
พ่อนิกท่าจะหวงน่าดู :hao7:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 22-11-2016 21:40:14
ทีนี่ดวงดีจริงๆ ร้อยวันพันปีลุงนิคกับทากะซังก็ไม่มา พอทีแอบพาผู้ชายเข้าบ้านปุ๊บก็โดนจับได้ปั๊บ อะไรมันจะเป๊ะปานนั้น
นี่ไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารพาร์กับทีดีเนี่ย 55555 ดูๆแล้วลุงนิคต้องห่วงโหดมากแน่นอน พาร์ต้องสู้นะ ชนะใจลุงนิคให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Maylita ที่ 23-11-2016 00:17:42
 :-[ :-[ :-[ :o8: :o8: :o8:

ทีของเค้ามีปมฝังใจ หวังว่าคนคนนั้นๆจะเป็นพาร์ที่เข้ามาทำให้ทีมีความสุข
เราชอบทีนะ หลายๆอย่างทั้งความคิด การกระทำ คำพูดบอกให้รู้ว่าทีโตเกินกว่าจะเป็นเด็กที่เรียนมหาลัย
พาร์ก็พร้อมที่จะยอบรับฟังและรอคอย คอยสนับสนุน นี่มันพ่อบ้านใจกล้าชัดๆ

หวังว่าความรักของทั้งสองจะค่อยๆพัฒนา ช่วยกันรดน้ำ พรวนดิน จากต้นกล้าน้อยๆวันนี้
วันหน้าจะเป็นต้นไม้ใหญ่แห่งความรัก มีไว้ให้พักพิงและเยียวยาบาดแผล มอบความสุขให้คนทั้งคู่
โอ๊ยน้ำตาจะไหล อ่านไปก็ละมุนีหัวใจ เดาว่านี่เกือบครึ่งทางแล้ว เห็นคนเขียนว่ามี 60 ตอนรอลุ้นที่เหลืออีกครึ่ง
อย่ามาม่ามากนะคะ แค่นี้ชีวิตก็ชีช้ำแล้วค่ะ รอตอนต่อไป ขอคุณคนเขียนค่ะ

 :hao5: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 28-11-2016 18:09:16
บทที่ 30

“ตัวจริงเหรอเนี่ย?”

ผมงึมงำขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ คนข้างหน้าผมคงได้ยินชัดถึงได้ส่งเสียงกระซิบถาม

“ใคร?”

“พี่ชายพ่อ ผู้ปกครองกู”

“แล้วอีกคน?”

“คู่แต่งงานลุงนิก ผู้ปกครองเหมือนกัน”

พาร์ทำหน้าแปลกๆ “เทียบเท่าพ่อแม่มึง?”

“ยิ่งกว่า…พวกเขาเลี้ยงกูมา สิทธิ์ของกูอยู่ที่พวกเขา”

“จริงดิ?”

“เออ”

“แล้ว…พ่อแม่มึงล่ะ?”

“พวกเขายกกูให้ลุงนิกตั้งแต่เกิด” 

“ยก? ยกให้แบบไหน?”

“ก็แบบจดทะเบียนรับรองเป็นบุตรบุญธรรม ตามกฎหมายลุงนิกเลยเป็นพ่อกู”

พาร์ขมวดคิ้วพึมพำ “ครอบครัวมึงนี่ซับซ้อนชะมัด”

ก่อนหน้านี้พาร์ก็เคยพูดอะไรคล้ายๆ แบบนี้

ผมถอนหายใจเบาๆ “เดี๋ยวมึงก็ชิน…”

ปึง!

ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงตบโต๊ะ หน้าลุงดำทะมึนยิ่งกว่าเดิม 

“จะซุบซิบอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม!”

ผมมองหน้าลุงนิกที หน้าพาร์ที คนยืนใกล้ผมเริ่มเหงื่อตก ท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

“ลงมากันได้แล้ว!”

ได้แต่ทำตามครับ ผมลากพาร์ลงมาจากชั้นสอง มองลุงนิกชี้นิ้วให้พวกผมนั่งฝั่งตรงข้าม หลังหย่อนก้นนั่งเรียบร้อย ก็ต้องเจอสายตาจ้องกดดันจากลุงนิก เรียกเหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ไหลอาบแก้ม

“แนะนำ ‘เพื่อน’ ให้ลุงรู้จักหน่อย”

ผมสะดุดหูกับคำเน้นย้ำว่าเพื่อนสุดๆ…นี่ผมคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนลุงบังคับให้พาร์ต้องอยู่ในสถานะเพื่อนเท่านั้นเลย

“เป็นอะไรเจ้าที แนะนำเพื่อนสิ”

“เอ่อ…” ผมอึกอักอย่างลำบากใจ “เขาชื่อ…”

ลุงพูดแทรก “ทุกทีเราแนะนำเพื่อนยังไงหืม?”

“…เพื่อนทีชื่อภควัติครับ”

“ชื่อเล่นไม่มีหรือไง”

ผมเม้มปาก “มี แต่ทีไม่อยากบอก”

“เจ้าที!”

สถานการณ์บนโต๊ะอาหารตึงเครียดถึงขีดสุด พลันโดนทำลายด้วยเสียงหัวเราะจากคนกำลังเก็บกวาดเศษแก้วกาแฟ

“หัวเราะอะไรทากะ”

“ขำใครบางคน เพราะไปจีบลูกชายชาวบ้านก่อน พอมีลูกชายเลยโดนคนอื่นมาจีบบ้าง แบบนี้สินะที่คนไทยเรียกว่ากรรมตามสนอง”

“ทากะ!”

“ฉันพูดผิดตรงไหน?”

“ทากะ” เสียงเรียกครั้งที่สองอ่อนลงเหมือนเหนื่อยใจ

ตาผมแอบหัวเราะบ้าง นี่แหละตัวช่วยปราบลุงชั้นเลิศ

“เผลอๆ ลูกชายเราไปจีบเขามากกว่ามั้ง”

ผมสำลักน้ำลายทันทีกับข้อสันนิฐานจากทากะซัง ลุงนิกมองเป็นเชิงถามก็รีบส่ายหัวปฏิเสธ

ทีไม่ได้ทำ!

“ถ้าไม่ใช่ ก็คงเปิดโอกาสให้อยู่ล่ะมั้ง เพราะถ้าลูกชายไม่สนใจ ไม่มีทางได้มาอยู่ใกล้ๆ หรอก โดนส่งไปนอนโรงพยาบาลนานแล้ว”

“ทาจัง!”

“ทาจังพูดผิดตรงไหนล่ะ?”

ผมเม้มปากกับแววตารู้ทันที่ส่งมา

เสียงในลำคอไม่พอใจส่งตรงจากลุงนิก ผมโดนจ้องคาดโทษจนคอหด รีบเลื่อนเก้าอี้เผ่นหนีไปกอดคนที่เดี๋ยวนี้ตัวเล็กกว่า

จ้องมาเลย! เอาซี่! ผมมีป้อมปราการสุดแกร่งอยู่ตรงหน้าเชียวนะ

ได้ผลครับ เพราะลุงนิกย้ายสายตาไปทางพาร์แทนด้วยแววตาน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า จนคนโดนจ้องเหงื่อซึมตัวเกร็งไปหมด   

“หึๆๆ กล้าดีนี่ไอ้หนู! คิดฉกลูกจิ้งจอกแสนสวยของฉันถึงในถ้ำเชียวหรือ”

ดูพูดเข้า ผมกรอกตามองเพดานอย่างเบื่อหน่าย

เพราะนามสกุลของทากะซังมีอักษรตัวหนึ่งหมายถึงสุนัขจิ้งจอก ลุงเลยแทนครอบครัวเราเป็นจิ้งจอกพ่อแม่ลูก ส่วนถ้ำหมายถึงบ้าน…ก็เปรียบเปรยตรงตัว กล่าวกระทบพาร์ทางอ้อมหาว่าจะขโมยลูกตัวเองนั่นแหละครับ (ลุงเล่นแปลงมาจากสุภาษิต ‘ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วไยจะลูกเสือ’ น่ะ)

“จิ้งจอกแสนสวย…”

พาร์ทวนคำ สายตาเลื่อนมองผมอย่างสำรวจ ก่อนเม้มปากเบือนหน้าหนี ไม่ได้สนใจเลยว่าพ่อจิ้งจอกส่งสายตาพิฆาตหนักกว่าเดิม ถ้าสมมุติบ้านผมเป็นจิ้งจอกแปลงกายมาจริง คาดว่าตอนนี้พาร์คงโดนขย้ำกลืนลงท้องลุงนิกไปแล้วแหงๆ

“กลับบ้านไปเลยไอ้หนู! ตอนนี้เป็นเวลาของครอบครัว”

“…กลับไม่ได้ครับ”

“เจ้าของบ้านไล่กลับอยู่นี่ไง!”

“ทาจัง ลุงนิกเกเรล่ะ ปราบเลยๆ”

“เจ้าที!”

“ลุงไล่พะ…เอ่อ ภควัติไปไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้เขาอยู่ในความดูแลของที”

ลุงนิกทำหน้าสงสัย “หมายความว่าไง”

“พ่อแม่เขาฝากมาน่ะ นอนห้องเดียวกับทีมาหลายอาทิตย์แล้ว”

ลุงตบโต๊ะเสียงดังสนั่นจนผมแอบเบ้หน้า รู้สึกเจ็บมือแทน

“สารภาพมาซะดีๆ ไอ้หนู! แกถึงขั้นไหนกับลูกฉันแล้ว!!”

“ลุกนิก!”

“…จูบครับ”

“เฮ้ย!!”

“อะไรนะ?!”

ผมกับลุงนิกประสานเสียงอุทาน พร้อมใจกันเขม็งมองไอ้คนสารภาพตามตรง แต่คนที่ทั้งโดนพ่อจิ้งจอกจ้องคาดคั้นกับลูกจิ้งจอกจ้องคาดโทษกลับดูสงบเกินคาด

“ทั้งจูบทั้งกอดไปแล้วครับ”

ผมเผยปากค้างไปแล้วกับความกล้าหาญที่โคตรมาไม่ถูกจังหวะอย่างยิ่ง ก่อนรีบหลบสายตาคาดโทษของพ่อจิ้งจอกด้วยการก้มหน้าซุกกับไหล่คนตัวเล็กกว่า

ถึงจะเป็นความจริง แต่ไม่ใช่แบบที่ลุงคิดซะหน่อย 

ท่ามกลางความอึกครึมระดับแม็กซ์ กลับมีเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจดังขึ้นมา…ดุจมีแสงสว่างลอดผ่านเมฆหมอกหนาทึบเลยล่ะ

“ตรงดีนะ คนนี้ทาจังให้ผ่าน”

“ทากะ!”

“เอาน่า ทีโตขนาดนี้แล้วจะมีคนคบหาดูใจหรือมีแฟนก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน”

“แต่ทียังเด็กเกินกว่าจะมีแฟนเป็นผู้ชาย!”

ทากะซังเลิกคิ้ว “เด็กเดี๋ยวนี้โตไวจะตาย ห้ามไม่ได้หรอกนะนิก สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราทำได้แค่ให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม อย่างเช่น ต่อจากนี้ห้ามทำเรื่องเกินเลยจนกว่าจะอายุยี่สิบขึ้นไป อะไรแบบเนี่ย”

“ได้ครับ”

ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่คนขานรับหน้าตาเฉย

“ยี่สิบยังน้อยไป”

“นี่มาตรฐานอายุตอนฉันเสียตัวให้นายนะนิก”

เอ๊ะ!

ผมหูกระดิกมองผู้ใหญ่ทั้งสองสลับไปมา คนหนึ่งพูดเผยความลับหน้าตาเฉย ส่วนคนโดนแฉทำหน้าสะอึกพูดแย้งไม่ออก ความสงสัยของผมโดนกระตุ้นทันที

“ลุงจีบทาจังเมื่อไหร่เหรอ?”

ก็รู้ว่าคบกันมานาน แต่ผมนึกว่าเจอกันหลังเรียนจบมหาลัยซะอีก

“ถ้าครั้งแรกก็หลังทาจังมาอยู่ไทยไม่นาน นิกคิดว่าทาจังเป็นผู้หญิงเลยมาจีบ อยู่ช่วยจนทาจังปรับตัวได้”

“เห…” ผมมองลุงนิกยิ้มๆ ถึงรู้ว่าทากะซังตามพ่อที่ได้รับการจ้างวานเป็นครูฝึกมาไทย เลยเข้าเรียนม.ปลายที่นี่ แล้วอยู่ยาวจนจบมหาลัยก็จริง แต่ผมไม่คิดว่าทั้งคู่จะได้เจอตั้งแต่ช่วงแรกๆ แบบนี้เลย

“แต่พอรู้ความจริงว่าทาจังเป็นผู้ชายดันหนีหาย หลบหน้าตั้งหลายปี มาเจอกันอีกครั้งตอนทาจังเข้ามหาลัย ทีอย่างนี้ดันทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ตามเกาะติดไม่ปล่อย น่าหงุดหงิดมาก”

อ้าว…

“ถ้ารู้อนาคตล่วงหน้า ทาจังคงเลือกไปเรียนมหาลัยอื่น”

“ทากะ!”

“อะไร” ทากะซังตวัดมองคนเรียก ฟังจากน้ำเสียงอารมณ์ยังกรุ่นๆ สงสัยเผลอนึกถึงช่วงเวลาน่าโมโหเข้า ลุงนิกรีบหดคอ ท่าทางสงบเสงี่ยม

“ไม่มีอะไรจ๊ะ”

ลุงผมเข้าสมาคมเกลียมัวตั้งนานแล้วครับ ฮ่าๆๆ

“เจ้าหนูนี่ยังตรงไปตรงมาน่าคบกว่านิกเยอะ ลูกเลือกได้ดีทีเดียว ฉันยอมให้การสนับสนุน”

“ทากะ!”

คนโดนท้วงไม่สนใจ แถมยังปาผ้าขี้ริ้วใส่อกลุงนิก ชี้นิ้วลงพื้น

“เก็บเศษแก้วให้หมดแล้ว ลงมาเช็ดกาแฟเองเลย”

โอ๊ะโอ๋ ดูเหมือนใครบางคนจะทำทากะซังหงุดหงิด พ่อจิ้งจอกเลยต้องลงจากเก้าอี้ไปเช็ดคราบน้ำกาแฟบนพื้นเงียบๆ ดูไปก็น่าสงสาร แต่ผมดันขำ…ขำแบบไม่มีเสียงนะครับ แว่วเสียงคนข้างๆ งึมงำกับตัวเอง ฟังไม่ถนัด ได้ยินแค่คำว่า ‘อนาคต’ กับ ‘เป็นอย่าง’ นึกดูอีกทีอาจเป็นคำว่า ‘เป็ดย่าง’ ก็ได้ครับ

“ตกลงชื่อเล่นอะไร?”

ไหงวนกลับมาที่คำถามนี้ล่ะทากะซัง

“ทีพูดแล้วว่าไม่บอก!”

“ไม่ได้ถามเรา” ทากะซังส่งสายตางดออกเสียงใส่ผม หันมองพาร์อีกครั้ง “ตอบคำถามได้แล้ว”

“เอ่อ คือ…” พาร์เหลือบมองผมแล้วเงียบไป

“ถ้าไม่ตอบเรื่องสนับสนุนคงต้องยกเลิก…”

“พาร์ครับ”

ชักอยากถีบคนข้างๆ ตกเก้าอี้ ไม่ค่อยเลยวะ แต่ปัญหาคือหลังจากนี้ต่างหาก

“พา? / ภา?”

ทั้งทากะซังทั้งลุงนิก (ที่โผล่หน้าจากครัว) พูดทวนพร้อมกัน คนเอาผ้าขี้ริ้วไปซักในครัวคงแอบยืนฟังสักพักเมื่อโดนจับได้ก็ยิ้มแห้งให้ทากะซัง

“เอ่อ ชื่อคุ้นๆ นะ ว่าไหมทากะ”

“นั่นสิ สะกดยังไงล่ะ?”

ลุงเบี่ยงความสนใจได้สำเร็จ ส่วนผมส่งซิกส่ายหัวไม่ให้พาร์พูด

“เอ่อ พ.พาน-สระอา-ร.เรือ-การันต์ ครับ”

ผมชักหงุดหงิด มันเลือกเชื่อทากะซังมากกว่าผม!

“พาร์งั้นเหรอ คุ้นจริงๆ ด้วยนะ”

เมื่อความจริงมาถึงขั้นนี้ ผมได้แต่พูดแทรกทั้งที่ไม่สบตาใครเลย

“นึกอะไรออกก็ช่วยเก็บเป็นความลับให้ทีหน่อยเถอะ”

“ความลับ?”

ผู้ใหญ่ทั้งสองทวนคำ ต่างพากันครุ่นคิดเงียบๆ ปล่อยเด็กอย่างผมเหงื่อแตกพลั่กๆ

“…อ้อ เด็กคนนี้เองเหรอเนี่ย” ดูเหมือนทากะซังนึกออกก่อน

“เด็กคนไหน?”

ทากะซังเดินไปกระซิบบอกลุงนิก คนฟังเบิกตากว้าง มองเขม็งพาร์ด้วยระดับความเป็นศัตรูเพิ่มมากกว่าเก่า “ไอ้หนูคนนี้เองเรอะ เจ้าคุกกี้อะไรนั่น เจอตัวสักทีนะ! หนอย มาหลอกล่อลูกชายคนอื่นด้วยขนมอยู่ได้”

“ลุงนิก!”

ผมพยายามลากพาร์ออกจากตรงนี้ แต่ดึงเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมขยับ 

“จะว่าไปตอนทีพูดถึงคุกกี้ช่วงแรกๆ นึกว่าพูดถึงขนม แต่ฟังไปฟังมาน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตมากกว่า เราเดาว่าเป็นลูกหมา เพราะทีบอกว่าคล้ายเดซี่”

“ใช่” ลุงนิกกัดฟันพูด

“ทั้งที่ทีไม่ได้พูดว่าอยากเลี้ยงสักคำ แต่ใครบางคนเห็นว่าทีชอบมาก ถึงขั้นมาปรึกษาว่าจะไปขอมาให้ลูกชายดีไหมด้วยซ้ำ”

“ไม่นับ!”

“รู้สึกว่าใครบางคนรับปากลูกว่าจะไปขอให้ด้วยนี่น่ะ”

“ก็บอกว่าไม่นับไง! ใครจะไปคิดว่าคุกกี้เป็นเด็กผู้ชายกัน!!”

แววตาทากะซังพราวระยับในแบบที่ผมออกแรงดึงพาร์มากกว่าเดิม

ถ้ามึงไม่ยอมตามมา กูจะไปเองแล้วนะ!

“เพราะข้อมูลเรามีน้อยเกินไป ต้องไปขอคุกกี้จากใครยังไม่รู้เลย”

ผมปล่อยมือจากแขนพาร์ ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากวงสนทนาทีละนิด

“ดีนะไปถามคุณพ่อก่อน แต่ขนาดโดนย้ำหลายหนว่าคุกกี้เป็นเด็กผู้ชาย นิกยังยืนยันคำเดิมว่ายังไงก็จะไปขอให้”

“ก็ตอนนั้นนึกว่าตัวผู้!! แล้วก็นึกว่าพ่อหวงลูกสาวอย่างเดซี่ ไม่อยากให้มีหมาตัวผู้ในบ้าน!”

“แล้วยังไง? สุดท้ายนิกก็ทำสัญญากับทีต่อหน้าพยานอย่างคุณพ่อกับฉัน”

“พอเถอะ…” ผมครางออกมาแผ่วเบา หลังย้ายตัวเองมาแถวบันไดได้สำเร็จ   

“ไอ้นั่นมัน…” ลุงนิกขยี้ผม “ก็พ่อเล่นปรามาสว่าฉันไม่มีทางไปขอคุกกี้ให้ทีแน่ๆ นี่หว่า”

“ใครก็ไม่รู้แนะนำให้ทีทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บไว้อีกต่างหาก รับรองกับลูกว่าไม่เบี้ยวแน่ นี่ถ้าลูกเอาสัญญาฉบับนั้นออกมา ยังไงนายก็ต้องไปขอให้อยู่ดี”

“แต่ตอนเซ็นชื่อ ฉันนึกว่าเป็นลูกหมา!”

“แล้วในสัญญามันมีคำว่าลูกหมาหรือไง มีแค่ชื่อคุกกี้ อ้อ มีชื่อพาร์อยู่ในวงเล็บข้างๆ คุกกี้ด้วยนี่น่ะ”

จบกัน! ผมขอเผ่นก่อนล่ะ!

วิ่งขึ้นบันไดจะถึงชั้นสามอยู่แล้ว ข้างล่างยังตะโกนโหวกเหวกดังมาถึงชั้นบน

“ยังไงก็ไม่ไปขอให้แน่!”

“งั้นรอฝ่ายนั้นมาขอลูกเราแทนก็ได้”

“ทากะ!”

ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในสิบนาที คว้ากระเป๋าตังค์กับมือถือ เก็บชีทเรียนที่จำเป็นใส่เป้ย่องลงมาชั้นสอง ไขกุญแจเชื่อมไปบ้านแฝด รีบลงมาชั้นล่าง มองซ้ายขวาดูลาดเลาก่อนปีนกำแพงข้ามไปบ้านข้างๆ

เอาน่าลูกศิษย์ทากะซังไม่ว่าหรอก

ดูเหมือนในบ้านไม่มีคนอยู่ จักรยานก็ไม่อยู่ ผมเดินออกไปได้อย่างสบายโดยไม่ต้องตอบคำถามใคร ทางสะดวกขนาดนี้ขอเผ่นไปตั้งหลังสักพักก็แล้วกัน

หลังโบกเรียกมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่านมา ใช้เวลาพักใหญ่ๆ ในที่สุดผมก็ได้มาเดินบนฟุตบาทของถนนสายหนึ่งห่างจากหมู่บ้านแค่กิโลเดียว รอบๆ มีแต่ตึกสูง น่าจะเป็นคอนโดล่ะมั้ง ไม่เชิงว่าไร้คน แต่ก็เงียบดี เดินไปเดินมาก็ชักหิวข้าว ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้กินข้าวเช้าเลย สายตาเหลือบไปเห็นร้านอาหารตามสั่งใต้คอนโดใกล้ๆ เข้าไปสิครับจะรออะไร

“ข้าวผัดหมู แล้วก็ขอน้ำเปล่าแช่เย็นขวดหนึ่งครับ”

สั่งเสร็จก็มองไปรอบร้าน ข้างในเป็นร้านแบบติดแอร์ ครัวแยกอยู่ด้านหลัง ยกจานข้าวเข้ามาทีกลิ่นอาหารหอมๆ ลอยอบอวนไปทั้งห้อง เรียกน้ำย่อยในท้องผมออกมาคร่ำครวญ

บนเคาน์เตอร์ผมเห็นกล่องข้าววางจัดใส่ถุงไว้เป็นชุดๆ…แบบจัดส่งหรือเปล่านะ

“กลับมาแล้วครับ”

“ช้าจริงน้องคนนี้ รีบมาเอาของชุดนี้ไปส่งเลย”

“โหย พี่สาวที่รัก ผมพึ่งกลับมาเองนะ ขอกินน้ำสักแก้วก่อนไม่ได้เหรอ”

เสียงแบบนี้เหมือนเคยได้ยินมาก่อน ผมสงสัยเลยหันไปมอง นั่นมัน…

“ไม่ได้ เดี๋ยวข้าวเย็นหมด”

“ลากน้องมาใช้แรงงานช่วงใกล้สอบไม่พอ ดันทารุณกรรมกันอีกเรอะ”

“ปากเรอะนั่น ถ้าไม่ช่วยงาน ค่าขนมสัปดาห์นี่ก็ไม่ต้องเอา”

“ครับๆ ทำครับทำ แต่เรื่องขอกินน้ำสักแก้วนี่จริงจังนะ” ไม่พูดเปล่า คว้าเหยือกเทลงแก้วใกล้มือ ดื่มอึกๆ “เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย…อ้าว ที?”

“หวัดดีเชน”

เชนจากนิติที่ลงแข่งบาสศึกชิงสะใภ้ ถ้าไม่เห็นหน้าวันนี้ผมอาจลืมเพื่อนของเพื่อนคนนี้ไปแล้ว

“เพื่อนเหรอ?” ผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ชะโงกหน้ามาดู

“อือ”

“ไปส่งข้าวก่อน ค่อยกลับมาคุย”

“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ส่วนมึง อย่าพึ่งไปไหนล่ะ”

“เออ” ผมตอบรับ

ข้าวก็ยังไม่ได้กิน แถมไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ขอแค่เจ้าของร้านไม่ว่าหลังเห็นผมนั่งแช่อยู่ที่เดิมนานไป ผมก็พอเอาชีทออกมานั่งอ่านรอได้อยู่แล้ว หลังจากนั้นประมาณเกือบชั่วโมงล่ะมั้ง เชนถึงเดินอาบเหงื่อมานั่งตรงข้ามผม แถมหอบหิ้วหนังสือแสนคุ้นตาที่ผมจำได้ว่าพาร์ก็มีมาด้วย

“พักอยู่คอนโดละแวกนี้?”

“เปล่า ตอนนี้พักอยู่ในหมู่บ้านห่างออกไปกิโลหนึ่งได้”

“โห แล้วมาทำอะไรแถวนี้?”

“พอดีบอกพี่วินมอเซอร์ไซค์ว่าช่วยไปส่งที่คนอยู่เยอะๆ หน่อย” พูดถึงตรงนี้ก็เผลอถอนหายใจ “ความหมายคือตรงที่มีมนุษย์เยอะๆ แต่พี่แกดันตีความว่าที่พักอาศัยเยอะๆ ซะได้”

“ฮ่าๆๆ” คนฟังหัวเราะร่วน “ละ แล้วไม่ให้เขาไปส่งที่อื่นล่ะ”

“ไหนๆ ก็พามาถึงนี่แล้ว อีกอย่างกลัวพี่แกจะพาไปที่ประหลาดกว่านี้ ถือซะว่าเปลี่ยนบรรยากาศหาที่อ่านหนังสือแล้วกัน”

คนหัวเราะไม่เลิกตบบ่าผม แรงไม่เบาเลยอดสงสัยไม่ได้ว่ากำลังปลอบหรือซ้ำเติม

“พาร์ล่ะ?”

“อ่านหนังสืออยู่มั้ง”

“…ทะเลาะกันหรือเปล่าเนี่ย?”

“งั้นมั้ง เมื่อวานก็ไม่ได้คุยกัน”

ผมรับสมอ้าง พูดความจริงแค่นิดหน่อย บอกตามตรงตอนนี้ไม่คิดอยากเจอมันเลย

“เอาน่าๆ พาร์คงเครียดเรื่องสอบ เดี๋ยวผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปคงดีขึ้น”

“อือ เข้าใจ…เอ่อ ขออ่านหนังสือที่นี่ได้ไหม”

“ได้เลย จะกินอะไรก็บอก”

“ฟรี?”

คนชวนส่ายหัว “ถือว่าอุดหนุนกิจการครอบครัวเพื่อนแล้วกัน”

ผมหัวเราะ ยอมสั่งของกินเล่นมานั่งกินกับเชน ตอนแรกพี่สาวเชนจะไม่คิดเงิน แต่ผมก็บอกให้คิดครับ เพราะเท่าที่ฟังเชนเล่าประวัติครอบครัว ฐานะทางบ้านเชนอยู่ในระดับปานกลาง พอมีค่าใช้จ่ายในมหาลัยของเชนเพิ่มเข้ามาทำให้ลำบากไม่น้อย พี่สาวเชนเลยมาเปิดร้านอาหารที่นี่เพื่อช่วยเหลืออีกแรง ฟังถึงขนาดนี้ใครจะกล้ากินฟรีกัน แต่ยิ่งอยู่นานเพื่อนพาร์คนนี้ก็เกรงใจน้อยลงเรื่อยๆ ถึงขั้นลากผมออกมาใช้แรงงานส่งข้าว

…เอาเถอะ มีกันสองแรงน่าจะเสร็จเร็วกว่าแรงเดียว ยิ่งช่วงมื้อกลางวัน แถมเป็นวันหยุด คนแถวนี้สั่งข้าวกล่องกันเยอะมาก

กล่องใส่ข้าวที่ร้านเชนไม่ใช่กล่องโฟมครับ แต่เป็นกล่องพลาสติกใสทรงสี่เหลี่ยม เห็นว่าเอาเข้าไมโครเวฟได้ ถ้าเป็นลูกค้าประจำเก็บกล่องข้าวล้างทำความสะอาดมาให้ที่ร้านใส่อาหารต่อจะได้ส่วนลดด้วยครับ (ถึงว่าทำไมกล่องข้าวส่วนใหญ่ถึงมีตัวอักษรเขียนกำกับไว้ว่าของห้องไหน ชื่ออะไร คอนโดไหน)

แถมยังมีใบสะสมแต้ม ครบตามจำนวนก็สามารถแลกของได้ตามที่ระบุไว้ เช่น ส่วนลดพิเศษ อาหารฟรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของกินเล่นที่คนนิยมกัน สามารถเลือกได้ว่าจะเอาอะไร เป็นต้น เชนต้องพกตัวปั๊มตราร้านอาหารติดตัวไว้ ใบสะสมแต้มหยิบได้ที่ร้านอาหารครับ หรือถ้าให้เอามาส่งก็อาจจะยับสักหน่อย เพราะต้องพับใส่กระเป๋ามา

“สวัสดีครับ เอาข้าวที่สั่งมาส่งครับ” 

หน้าที่ผมคือช่วยถือถุงกล่องข้าวและปั๊มตรา ลูกค้าบางคนก็ยื่นกระดาษขนาดเอสี่มาให้ บางคนติดไว้บนบานประตูด้านใน บางคนก็ตรงฝาผนังใกล้ทางเข้าออก ผมทำหน้าที่ตัวเอง ปล่อยเชนส่งถุงข้าวให้ลูกค้า รับเงินมา บางรายต้องทอนเงินให้ด้วย ถ้าลูกค้าประจำมากๆ คุ้นเคยกันดีในระดับหนึ่งอาจจ่ายเหมารวมไปก่อนหน้านี้แล้ว แค่เอาข้าวไปส่ง แล้วให้ลูกค้ากรอกจำนวนเงิน เซ็นชื่อกำกับว่ารับของไว้ในสมุดก็พอ

กลางวันว่าเยอะแล้ว ช่วงมื้อเย็นเยอะกว่าอีกครับ พวกผมเดินเข้าออกคอนโดละแวกนั้นเป็นว่าเล่น จนพี่พนักงานดูแลความปลอดภัยจำหน้าพวกผมได้ แถมยังเป็นลูกค้าประจำอีกต่างหาก ผมมองฟ้าที่เริ่มมืดอย่างกังวล ตั้งแต่หยิบมือถือที่ปิดเครื่องใส่กระเป๋าผมก็ไม่ได้ยุ่งกับมันอีกเลย 

“ทีเร็วเข้า”

“เออ”

เอาไว้มีจังหวะค่อยโทรกลับบ้านแล้วกัน

ผมเคาะห้องสองครั้ง พูดรูปแบบเดิมๆ ที่ฟังหลายครั้งมากจนจำขึ้นใจ

“สวัสดีครับ เอาข้าวที่สั่งมาส่งครับ”

และเพราะจำขั้นตอนได้นี่แหละ เชนเลยไล่ให้ผมเอาข้าวไปส่งห้องอื่น ยืนรอครู่หนึ่งประตูห้องค่อยเปิดออก ผมส่งถุงข้าวให้ รับเงินมาดู ถ้าเกินต้องถอนเงิน แต่ได้มาพอดีครับ เลยเอ่ยถามหาใบสะสมแต้มแทน

“ใบสะสมแต้ม?”

ดูท่าเป็นลูกค้าใหม่ ผมอธิบายเรื่องใบสะสมแต้มให้ฟังคร่าวๆ อีกฝ่ายพยักหน้า

“คราวหน้าเอามาให้ด้วยแล้วกัน”

“ได้ครับ…เฮ้ย!”

จู่ๆ ร่างของคนที่อยู่ในห้องก็โผล่แทรกกลาง แถมกระโดดกอดผมหมับ

“ไอ้ที! ช่วยกูด้วย!!”

แค่ฟังเสียงก็รู้ทันทีว่าใคร ปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลัน ดึงยำหลบไปข้างหลัง ตวัดขากระแทกกล่องดวงใจคนที่ยืนตรงหน้าเต็มแรง คนโดนไปเต็มๆ ถึงกับทรุดฮวบนั่งหน้าเขียวกับพื้นห้อง 

“ไอ้เวรนี่เป็นใครวะยำ?” ผมชี้หน้าคนเจ็บ

“ไอ้พี่ภูไง มันจับกูมา”

ทันทีที่ได้ยินชื่อ ผมเพ่งมองหน้าคนที่เคยคุยกันทางโทรศัพท์หนเดียว “ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไรหรอกนะพี่ แต่ขอพาเพื่อนไปซักถามก่อนแล้วกัน ส่วนพี่รออยู่ที่นี่แหละ บางทีผมอาจจะเรียกพี่ไปหาอีกที”

“ดะ…เดี๋ยว”

“ไปยำ ช่วยกูส่งข้าว แล้วเราค่อยคุยกัน”

หลังส่งข้าวกล่องจนครบ ผมลากยำเดินไปจุดนัดหมาย ยืนรอเชนที่ต้องขึ้นไปชั้นอื่นก่อน

“เล่ามา”

“ไอ้พี่ภูบุกไปถึงห้องพักกู วินก็ไม่อยู่ กูยังปวดกล้ามเนื้อไม่หาย สู้อะไรไม่ได้ก็โดนมันจับมัด…มาอยู่ที่นี่แหละ แล้วมารู้ทีหลังว่าโดนขนข้าวของมาหมดแล้ว แถมไอ้พี่ภูยังแจ้งเรื่องย้ายออกจากหอให้กูอีก”

ฟังเพื่อนเล่าเสียงเครียด ผมก็ชักเครียดตาม

“สรุปคือเทอมหน้ามึงจะไม่ได้อยู่หอในแล้ว?”

“ใช่”

“แล้วช่วงสอบยังอยู่กับวินได้นี่”

“เดี๋ยวไอ้พี่ภูก็บุกไปลากตัวกูมา”

ผมกวาดมองยำยำขึ้นลง เส้นผมยังชื้นอยู่เลย ตัวก็หอมสบู่ แล้วไหนจะรอยแดงๆ หลายจุด กับท่าเดินแปลกๆ อีก ต่อให้โง่แค่ไหนก็รู้ว่ามันพึ่งไปทำอะไรมา

“มึงมีอะไรจะบอกกูไหม?”

“บอกอะไร?”

“ความสัมพันธ์ระหว่างมึงกับพี่ภูไง”

“ความสัมพันธ์เหี้ยอะไร ไม่มีโว้ย!”

ผมพ่นลมหายใจ “มึงตกเป็นเมียพี่ภูแล้วใช่ไหม”

“ไม่ใช่!”

“คราวก่อนกูไปหอมึง บังเอิญโดนพี่วิศวะปีสองขอให้ช่วยพยุงขึ้นชั้นสาม ฟังพวกเขาคุยกัน เขาบอกเป็นเรื่องผัวเมียตีกัน แล้วก่อนหน้านั้นกูพึ่งรู้ว่ามึงไปมีเรื่องชกต่อยกับพี่ปีสองชื่อภูมา อย่าพึ่งอ้าปาก ฟังกูให้จบก่อน…เผื่อมึงยังไม่รู้ สภาพมึงตอนนี้ยังกะคนพึ่งเสียตัวให้สามีมาก แถมรอยที่คอหรือตรงหน้าอก สียังสดใหม่อยู่เลย”

หน้าไอ้ยำแดงก่ำ ไม่รู้เพราะโกรธหรืออาย อาจจะทั้งสองอย่างผสมกันก็ได้

“ที่นี่บอกความจริงกับกูได้หรือยัง?”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 28-11-2016 19:23:06
สงสารพาร์ เมื่อไหร่จะรับรักพาร์สักทีล่ะที
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-11-2016 19:37:00
นอคกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-11-2016 19:55:18
จำนนด้วยหลักฐาน เล่ามาซะดีๆ หนูยำยำ  :hao3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 28-11-2016 20:05:00
โหย นิกทากะ ชนะเลิศ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 28-11-2016 20:12:52
ทีหนีพาร์มาอย่างนี้ เดี๋ยวพาร์จิตตกแย่
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 28-11-2016 20:58:59
รับรับไปเหอะ ยำยำ เค้ารู้กันหมดแล้ว ที ก้อรีบกลับไปหา แฟน ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-11-2016 21:49:00
อะไรกัน ยำยำ มาแย่งซีนได้ไง
นึกว่าพาร์จะออกตามหา
แล้วกันดิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-11-2016 11:00:34
อ้าว ทีทิ้งพาร์ไว้งั้นเลยหรอ ระวังลุงนิกกินหัวพาร์ก่นนะ 5555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 30-11-2016 11:52:01
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมาก ๆ

เราอยู่ข้างพาร์ล่ะ 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 30-11-2016 18:57:22
คู่ลุงนิคกับทาจังคือน่ารักมากๆเลย ดูรู้เลยว่าคู่นี้เค้าต้องผ่านอะไรๆมาเยอะมากแน่ๆ ทีโดนแฉปุ๊บนี่เผ่นปั๊บเลยนะ
แหมๆ คู่พาร์ทีนี่เค้าจะได้คู่กันแต่เด็กแล้วแท้ๆ แล้วก็นกจนได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้คู่แล้วคงไม่แคล้วกันอีก
คู่พี่ภูกับยำนี่มันเข้าข่ายตบจูบชัดๆ แอบเชียร์คู่นั้นเล็กๆ ทีหายไปไม่บอกแบบนี้ต้องมีคนหัวร้อนแน่นอน รออออออ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 30-11-2016 22:49:09
หลักฐานมัดตัวนะจ๊ะยำยำ :laugh:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-12-2016 13:26:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 05-12-2016 11:17:43
ป่านนี้น้องพาร์ร้องไห้งอแงที่หาทีไม่เจอแล้วมั้ง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 06-12-2016 06:48:23
บทที่ 31

“มึงเข้าใจไหมว่ากูเมา”

“เออ”

“กูไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องน่ะโว้ย”

“อือ”

“ไอ้พี่ภูก็แย่ แทนที่จะฟาดกูให้สลบ แล้วถีบกูตกเถียง หรือถ้ามันไม่เลวก็น่าจะลากกูกลับไปนอนที่โซฟาก็ยังได้ แต่มันไม่ทำ ดันทำเรื่องที่กูไม่อยากให้ทำ นึกถึงแล้วกูอยากจะร้องไห้”

ผมซดชาเขียวรสข้าวในมือเงียบๆ มองไอ้ยำยกสองมือปิดหน้านั่งเครียดอยู่ขอบแปลงต้นไม้ดอกหน้าตึกคอนโด (มีผมนั่งอยู่ข้างๆ) ชาเขียวที่ผมซื้อมาให้โดนวางทิ้งลืมไปแล้วมั้ง

“ที่แย่กว่าพลาดครั้งแรกคือครั้งต่อๆ มา ไอ้พี่ภูแม่งเลว พยายามเปลี่ยนฝ่ายรุกอย่างกูเป็นฝ่ายรับ!”

“…แล้วทำสำเร็จมะ?”

“เออ!” คนตอบกระแทกเสียงมา ท่าทางจะสติหลุดได้ที่ถึงยอมบอกง่ายๆ

“มึงไปรุกใครไม่รอดแล้ว?”

“ไม่รู้ กูยังไม่ได้ลอง”

“อ่าฮะ”

ปากตอบมันไป แต่ในใจกลับคิดแล้วว่าพี่ภูคงไม่ปล่อยให้มันไปลองกับคนอื่นหรอก ขนาดเมีย ไม่สิ อดีตเมีย พี่แกยังหาทางกำจัดทิ้งเลย นึกถึงเด็นก็อดถอนหายใจไม่ได้ อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอนจริงๆ ผมถึงไม่อยากด่วนตัดสินใจเหมือนพวกมันสองตัว นี่ถ้าแค่อยู่ในช่วงดูใจ เรื่องคงไม่แย่เท่านี้

“กูขอถาม ในเมื่อตอนนี้มึงรู้ความจริงแล้ว เรื่องเด็นจะเอายังไง” 

“…ไม่รู้”

“ไม่รู้ไม่ได้ อย่าลืมว่ามึงเป็นคนดึงเด็นให้มาทางสายนี้”

“เรื่องนั้นกูรู้ แต่ถ้าให้กลับไปคบกันใหม่ กูทำไม่ได้วะ”

“เพราะมันเป็นเกย์ออกสาวไปแล้ว?”

“…เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วมากกว่า”

ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ความรู้สึกมึงเปลี่ยนไปว่างั้นเถอะ...ถึงเลิกกันไปแล้ว มึงก็น่าจะไปขอโทษวะ เพราะฝ่ายนอกใจก่อนคือมึง”

“กูยังไม่เคยนอกใจมันนะ…จนกระทั่งมันเปลี่ยนไป ความรักที่มีเลยลดน้อยลงเรื่อยๆ จนตอนนี้กูมองมันอย่างแฟนไม่ได้แล้ว”

“นอกกายก็ได้ แล้วที่มันเปลี่ยนไปก็เพราะมึงนั่นแหละ ยังไงมึงก็เป็นฝ่ายผิดวะ”

ยำไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่สีหน้าอมทุกข์โคตรๆ

“…พี่ภูเป็นมือที่สามระหว่างพวกมึงจริงๆ สินะ”

ยำเงยหน้าขมวดคิ้วใส่ผม “กูไม่ได้รักพี่ภูสักหน่อย”

“แล้วมึงยอมนอนกับมันทำไม”

“ก็มันทำเรื่องเลวๆ กับกูไว้น่ะสิ! ร่างกายของกูตอบสนองกับสัมผัสของมันไปแล้ว”

ผมมองยำขึ้นๆ ลงๆ “กูขอพูดตามประสาผู้มีประสบการณ์เกือบโดนขืนใจ อาการของมึงตอนนี้มองยังไงก็เหมือนพวกสมยอมมากกว่าขืนใจวะ”

“ไอ้ที!”

“แทงใจมึงล่ะสิ”

“อ้อเรอะ งั้นถามหน่อย ตอบแค่ใช่กับไม่ก็พอ แล้วช่วยตอบให้ตรงกับใจด้วย”

“ว่ามาเลย”

“เคยรู้สึกขยะแขยงเวลาโดนพี่ภูกอดไหม? กอดแบบธรรมดา”

“ไม่”

“แล้วจูบล่ะ?”

คิดนานขึ้นอีกนิด “ไม่”

“แล้วเวลาโดนทำเรื่องอย่างว่าล่ะ?”

คราวนี้หลายนาทีกว่ามันยอมตอบเสียงแผ่ว “…ไม่”

“…กูพึ่งโดนพาร์จูบมา ยังรู้สึกขยะแขยงจูบอยู่เลย”

“ฮะ!”

ผมมองเพื่อนด้วยแววตาจริงจัง “ถ้าโดนขืนใจจริงๆ จะเป็นแบบนี้แหละ ต่อให้คนๆ นั้นเป็นคนที่รู้สึกดีด้วยก็ใช่ว่ามันจะทำให้ลืมเรื่องเลวร้าย”

“เดี๋ยวๆ นี่มึงยอมให้มันจูบเรอะ!”

“เปล่า พอดีไม่คิดว่าจะโดนจูบ อีกอย่างความผิดกูด้วยแหละ ดันเล่นมากเกินไปหน่อย”

“ละ แล้วไอ้คนกล้าจูบมึงตายไปยังวะนั่น”

“ยัง แค่เจ็บตัวนิดหน่อยเอง”

“อะเมซิ่ง! รอดชีวิตจากมึงได้เนี่ย นับถือๆ”

“ไปกราบมันเลยดิ จะไปขอเป็นลูกศิษย์ก็ยังไหว มันต่อกรกับกูได้”

“จริงดิ?”

“ดูเหมือนจะเรียนมวยมา แต่กูว่าอาจจะไม่ใช่แค่มวย” ผมนึกย้อนไปถึงช่วงที่โดนมันถีบเข้าเต็มๆ ท้อง แล้วพึมพำ “บางทีคงได้นักเลงที่เก่งเรื่องต่อสู้เอาชีวิตรอดเป็นอาจารย์ด้วยล่ะมั้ง”

“ต่อกรกับมึง? ชกต่อยกันมา?”

“เปล่า” ผมดึงเสื้อขึ้นให้เห็นรอยเขียวๆ ที่จางลงไปพอสมควรตรงท้อง “กูแค่โดนถีบทีเดียว”

“ทำมึงเจ็บตัวได้ด้วย เจ๋งวะ!”

“ท่าทางทาจัง เอ้ย ทากะซังถูกใจพาร์อีก เกิดนึกคันไม้คันมือลากพาร์ไปเป็นคู่ฝึกซ้อม แล้วพาร์เกิดจับทางต่อสู้ทากะซังได้ขึ้นมา ต่อไปกูอาจสู้มันไม่ไหวก็ได้”

มองยำที่อ้าปากเหวอ ทำหน้าตะลึงก็อดถามไม่ได้

“ทำหน้าอะไรของมึง”

“กูกำลังตกใจ ไม่คิดไม่ฝันจะมีวันที่คนอื่น นอกจากทากะเซนเซ ปราบมึงได้ด้วย”

“เหอะ กูยังเป็นคนอยู่วะ ไม่ใช่สัตว์ร้าย”

“เป็นถึงทายาทของจิ้งจอกนี่น่า ถึงมึงเก่งน้อยกว่าทากะเซนเซก็เถอะ…แต่กูว่า เพราะอีกฝ่ายเป็นคุกกี้ของมึงมากกว่า มึงเลยไม่ค่อยดุร้ายเท่าไหร่”

“พูดเรื่องมึงต่อดีกว่า”

“จะให้กูพูดอะไรอีก?”

“นั่งเฉยๆ ฟังกูก็พอ…กูเดาว่ามึงน่าจะชอบพี่ภูเข้าแล้ว”

“ไม่มีทาง!”

“หลักฐานคือมึงไม่ได้รังเกียจอะไรเขาเลย”

“แต่กูอาฆาตแรงเลยล่ะ”

“นั่นก็แค่โกรธ เลยอยากหาทางเอาคืนไม่ใช่หรือไง”

“มะ มันก็…”

ผมมองเพื่อนอ้าปากพะงาบๆ ก็ถอนหายใจ “เอางี้ เดี๋ยวกูเปิดทางให้มึงได้เอาคืนเอง มึงจะได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้”

“ทำได้?”

“ได้ แต่มึงคงต้องอยู่พี่ภูต่อ”

“เฮ้ย! ไม่เอา!”

“ถ้าไม่อยู่กับเขา มึงจะหาทางเอาคืนได้ยังไงฮะ!”

“แต่…”

“ไหนๆ ข้าวของมึงอยู่ที่นี่ จะให้ขนย้ายตอนนี้ก็ไม่รู้จะขนไปไว้ไหนนอกจากบ้านมึง แต่ขืนขนของกลับไปพ่อแม่มึงคงซักถามน่าดู แล้วจะบอกกับพวกท่านว่าไง”

คนโดนถามปิดปากเงียบ

“แค่ช่วงสอบเอง หลังจากนี้มึงก็ได้ไปเที่ยวกับพวกกูแล้ว”

“แต่ที กูไม่อยากอยู่กับมันตามลำพัง มันชอบเอาเปรียบกู!”

“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าจะให้มึงได้เปรียบ”

“…ทำยังไง?”

“เอาหูมา”

ผมซุบซิบบอกแผนการตัวเองให้เพื่อนฟัง ไอ้ยำทำตาโตขึ้นเรื่อยๆ ให้ตายเถอะ พึ่งรู้ว่าเพื่อนตัวเองมุ้งมิ้งขนาดนี้ก็ตอนนี้เนี่ยแหละ มิน่าพี่ภูถึงจับไอ้ยำไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ

เพื่อนเอ๋ย ถ้ามึงเดินทางสายรับแต่แรก มึงคงป๊อบปูล่านานแล้ว

“เยี่ยมเลยที!” ยำอุทานหลังฟังแผนจบ

“ใช่ไหมล่ะ”

“แต่ถ้าพี่ภูไม่เล่นด้วยล่ะ?”

“กูก็จะเก็บข้าวของให้มึง แล้วพามึงออกมาเลยน่ะสิ…ไปอยู่บ้านทากะซังสักพัก แล้วค่อยคิดหาทางกันต่อ”

มันโผมากอดผมทันที “รักมึงจังเลย!”

“เอ่อ ขอโทษนะครับ คนที่คุณพึ่งบอกรักไปหยกๆ เป็นสะใภ้ของคณะนิติครับ อีกอย่างเขามีเจ้าของแล้วนะครับ”

พวกผมหันมองต้นเสียง เจอเชนยืนนิ่วหน้า ส่งสายตาไม่ค่อยชอบใจมองตรงมา

ไอ้ยำเอ่ยถามมึนๆ “ใครวะที?”

“เพื่อนพาร์ชื่อเชน”

“อ้อ ผมชื่อยำ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ถ้าจะแนะนำตัวก็ช่วยปล่อยทีก่อนเถอะ กอดคนมีเจ้าของแบบนี้ไม่ดีนะคุณ”

“ฮะ?”

“คือว่าเชน นี่เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของกูเอง”

“แล้ว?”

“มันมีสามีแล้ว แถมพาร์ก็รู้จัก”

ผัวะ!

ผมพึ่งโดนคนบอกรักหยกๆ ตบหัว

“มึงแฉกูทำไมวะ!!”

-------------

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกผมเลยพากันเดินมาร้านของพี่สาวเชนอีกครั้ง สั่งข้าวเย็นมานั่งกิน พร้อมวางแผนบุกห้องพี่ภู

“ไอ้พี่ภูเก่งเรื่องชกต่อยเหมือนกัน กูว่ากำลังพลฝ่ายเราน้อยไปหน่อย”

“แต่มึงก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้นี่” ผมว่า “น้อยแต่มีประสิทธิภาพดีกว่าเรียกคนมามากๆ แต่ทำได้แค่ยืนประกอบฉากข่มขู่ แถมความลับเรื่องมึงมีสามีอาจรั่วไหลก็ได้”

“มึงพูดถูก ที่จริงแค่มึงคนเดียวก็ไหว แต่กูเป็นห่วงมึง อย่างน้อยถ้าได้บอดีการ์ดคอยช่วยดูแลมึงอีกคนก็น่าจะดีกว่า”

พวกผมมองอีกหนึ่งหน่อที่อ่านหนังสือร่วมโต๊ะเงียบๆ เหมือนคนโดนจ้องจะรู้ตัว ถึงได้เงยหน้าจากหนังสือสอบส่ายหัวให้พวกผม

“ไม่ไหว กูไม่เก่งเรื่องชกต่อย แต่ถ้าให้แนะนำคนช่วยน่ะได้”

“ใคร?” ผมกับยำถามพร้อมกัน

“เพื่อนกู คนนี้ไว้ใจได้แน่นอน ขอเอาตัวเองเป็นประกันเลย”

ผมกับยำมองหน้ากัน ก่อนผลัดกันยิงคำถาม

“เก็บความลับเก่งหรือเปล่า?”

“ถ้าบอกไม่ให้พูด มันก็ไม่พูดหรอก”

“เก่งระดับไหน?”

“ได้ยินว่าเคยตกอยู่ในวงล้อมห้าคนตามลำพังก็เอาตัวรอดมาได้”

พวกผมผงกหัวให้เชนเป็นการบอกว่าผ่าน 

“ถ้าไว้ใจได้แน่ๆ ก็เรียกมาให้หน่อย”

“ได้เลย” เชนรีบลุกออกไปโทรศัพท์

“งั้นรอกำลังเสริมมาค่อยบุกห้องพี่ภูก็แล้วกัน” ผมว่า ยำผงกหัวเห็นด้วย

ข้าวที่สั่งไปมาเสิร์ฟพอดี ต่างคนต่างกิน ระหว่างนั้นผมนึกบางอย่างออกพอดีเลยกลืนข้าวลงคอ บอกคนนั่งตรงข้าม

“จะว่าไปวินกับไวก็ระแคะระคายเรื่องมึงอยู่เหมือนกัน”

“เฮ้ยวิน! ป่านนี้เป็นห่วงกูแย่แล้วมั้ง”

“โทรไปหาสิ”

“ไอ้พี่ภูยึดมือถือกูไป”

ผมขมวดคิ้วไม่พอใจ พี่จำกัดสิทธิ์เพื่อนผมมากไปแล้ว ควานหามือถือตัวเองในเป้ออกมากดเปิดเครื่อง กำลังจะยื่นให้ยำ ปรากฏว่าหน้าจอมืดกะทันหัน เครื่องดับสนิท ลองกดอีกครั้งก็เหมือนเดิม ครั้งที่สามไม่ติดซะแล้ว

“…แบตหมดวะ”

“อ้าว ที่ชาร์ตล่ะ”

“ไม่ได้เอามา”

“แบตสำรอง?”

“ไม่ได้พกมา” ผมถอนหายใจ เก็บมือถือลงเป้ ยอมรับชะตากรรมหลังกลับบ้าน…โดนลงโทษกักบริเวณแหง “ไว้มึงได้มือถือคืนมาเมื่อไหร่ค่อยโทรไปหาวินแล้วกัน”

“นอกจากสองคนนั้น ยังมีใครระแคะระคายอีกไหมวะ”

“พาร์”

“มึงบอกมัน?”

“ได้ยินมาพร้อมกัน ตอนนี้มันน่าจะรู้น้อยกว่ากูนิดหน่อยล่ะมั้ง”

ผมกับยำกินไปคุยไป  เชนออกไปคุยโทรศัพท์นานเหมือนกันเกือบสิบห้านาทีได้ พอนึกถึงมันก็กลับเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ผมกับยำมองตากัน สงสัยงานนี้ได้ลุยกันแค่สองคน

“เฮ้อ…” เชนถอนหายใจหลังนั่งเก้าอี้ข้างผม “กูมีข่าวดีกับข่าวร้ายมาบอกพวกมึง”

“เอาข่าวดีก่อน” ผมว่า

“เพื่อนกูกำลังเดินทางมา”

ดูเหมือนเราจะได้กำลังเสริมมาแฮะ

“แล้วข่าวร้าย?”

“มันกำลังอารมณ์เสียสุดๆ เลยวะ…ถ้าเจอหน้าเพื่อนกู ช่วยทำใจกันหน่อยนะ”

ผมถามทันที “มึงคงไม่ได้บังคับให้มาหรอกนะ”

“เปล่า แค่กูบอกชื่อพวกมึงไป ทางนั้นก็รับปากจะมาทันที”

“ชื่อพวกกูเนี่ยนะ?”

“เออ”

ยำที่เงียบมาพักหนึ่งรีบพูดถาม “เขารู้จักพวกกู?”

“ใช่มั้ง เดี๋ยวเจอหน้า พวกมึงก็รู้เองแหละ”

ฟังคำตอบแบบปัดๆ นั่นแล้ว ผมไม่ค่อยไว้ใจเลยครับ หวังว่าเชนคงไม่เรียกไอ้ยักษ์เพื่อนมันมาหรอกนะ ถ้าใช่ ผมไม่เอาด้วยแน่ๆ ยอมขึ้นไปกับยำสองคนดีกว่าให้อีกฝ่ายตามมาอยู่ใกล้ๆ ให้รู้สึกหวาดระแวง เจอศึกทางเดียวก็ดีกว่าเจอศึกสองทางครับ

ว่าจะถามข้อมูลเพื่อนของเชนมากกว่านี้ แต่พี่สาวเชนใช้ให้มันไปส่งข้าวก่อนเลยอดถาม สี่สิบห้านาทีต่อมาเชนก็กลับมานั่งข้างผมที่กำลังดูดน้ำเปล่ากันอยู่

“เพื่อนกูจะมาถึงแล้วนะ”

พวกผมพยักหน้ารับรู้ จู่ๆ ไอ้ยำก็ชะงักกึก อ้าปากพะงาบๆ ใส่ผม

ผมเลิกคิ้วใส่ อะไร?

ยำชี้นิ้วตรงมาที่ขวดน้ำในมือ ผมเหลือบมองขวดน้ำหมดแล้วตรงหน้ามันก็เข้าใจ รีบดูดน้ำเข้าเต็มปาก ยื่นขวดน้ำให้เพื่อน แต่มันดันส่ายหน้า ชี้นิ้วข้ามไหล่พูดออกเสียงสามคำ

“ข้างหลังมึง”

ออกเสียงแต่แรกก็รู้เรื่องแล้ว ผมบ่นในใจระหว่างหันไปมองด้านหลัง

แวบแรกเห็นแค่ชายเสื้อของคนยืนในระยะประชิด ไล่สายตาขึ้นไปก็เจอะหน้าดำทะมึน สบแววตากราดเกรี้ยวของใครบางคนเข้าจังๆ น้ำที่ยังไม่ได้กลืนลงท้องถูกพ่นออกมาทันที บางส่วนไหลลงคอทำเอาสำลักไอไม่หยุด ผมใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวกๆ รีบหันไปดึงทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดคราบน้ำออกจากเสื้ออีกฝ่ายทั้งที่ยังไอไม่เลิก

ไม่ได้ตั้งใจนะครับ แต่เล่นมีโจทก์ตัวเองยืนข้างหลังเงียบๆ แบบนี้ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ   

ว่าแต่…มันมาได้ยังไง

กำลังเช็ดให้อยู่ดีๆ ข้อมือกลับโดนรวบกำซะแน่นจนเจ็บแปล๊บ

“ไปไหนมา?!” เสียงอย่างโหด

ผมยิ้มแห้ง “อยู่แถวนี้แหละ”

“ทั้งวัน?”

“อือ”

“มือถือไปไหน?”

ผมรีบใช้มือข้างเดียวควานหาในเป้จนเจอ รีบชูให้คนถามเห็น

คำถามที่สองก็ตามมาติดๆ “ทำไมไม่เปิดเครื่อง”

“แบตหมด”

บอกไม่ทันขาดคำ แก้มผมก็โดนดึงจนยืดทั้งสองข้าง

“ต่อไปถ้าทำอย่างนี้อีก มึงเจอหนักกว่านี้แน่!...ตอบสิ เงียบทำไม”

มึงดึงแก้มกูจนเจ็บน้ำตาซึมขนาดนี้จะให้พูดถนัดได้ไงวะ

“ที”

ส่งเสียงขู่อีก จำใจตอบออกไป ไม่งั้นคงดึงแก้มไม่เลิกแน่

“เอ้าใอแอ้วๆ” (เข้าใจแล้วๆ)

ในที่สุดพาร์ก็ยอมปล่อยมือ สองแก้มเจ็บแปล๊บ ทำเอาพูดไม่ออกไปพักหนึ่งเลยครับ

“เชน”

“วะ ว่าไง?”

“ข้าวกะเพราะหมูไข่ดาว น้ำเปล่าขวดหนึ่ง แล้วก็ออกไปซื้อเค้กร้านใกล้ๆ มาให้หน่อย”

“ได้เลยเพื่อน”

คล้อยหลังเชนไม่นาน พาร์ที่ดูเหมือนโกรธน้อยลงก็เดินมานั่งข้างผมแทนที่เชน ส่วนผมเหรออยากได้น้ำแข็งประคบแก้มมากครับ แต่บนโต๊ะดันไม่มีใครสั่งน้ำแข็งมาสักคน

“เจ็บเหรอ”

ผมตวัดสายตามองคนถามทันที “มาก!”

“ดี จะได้จำเอาไว้”

ถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็จับหน้าผมเอียงซ้ายขวาดูแก้มให้ ไม่ต้องเห็นผมยังเดาได้เลยครับว่าต้องแดงมาก

ฟอดๆ

ผมสะดุ้งโหยง ไอ้พาร์หอมแก้มผม! โดนทั้งซ้ายทั้งขวาต่อหน้าไอ้ยำ และเผลอๆ อาจมีสายตาประชาชีในร้านอาหารเห็นเข้าก็ได้ ผมรีบผลักมันออกห่าง

“ทำอะไรวะ!”

พาร์ยอมถอยง่ายๆ แต่แววตาพราวระยับ “น่าจะหายแล้วล่ะ”

“หายบ้านมึงดิ!”

“ยังเหรอ? งั้นมาทำอีกรอบ”

“กูชกมึงแน่!” ผมชูกำปั้นขู่

พาร์หัวเราะหึๆ ท่าทางอารมณ์ดีขึ้นโข ผมรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้ด้วยความหมั่นไส้

“ไปขอน้ำแข็งมาให้เลย”

มันยอมลุกไปอย่างว่าง่าย แปบเดียวก็กลับมาพร้อมน้ำแข็งห่ออยู่ในผ้าเช็ดหน้า ความเย็นจากน้ำแข็งช่วยได้เยอะครับ   

“เอ๊ะ? มึงอารมณ์ดีแล้วเหรอ?” เชนที่พึ่งกลับมาถึงโต๊ะถามงงๆ แววตาประหลาดใจ

“ใช่”

“งั้นเค้กสองชิ้นนี้คงไม่ต้องแล้วมั้ง” คนพูดชูเค้กในถุงให้เพื่อนดู

เป็นผมที่คว้าไปทั้งถุง แกะเปิดกินเองแก้หงุดหงิดที่เผลอเสียรู้ให้ใครบางคน พาร์ไม่ได้ว่าอะไร ช่วยแกะพลาสติกออกจากเค้กอีกชิ้นเลื่อนมาตรงหน้าผมอีกต่างหาก มันนั่งเท้าคางมองมายิ้มๆ จนผมตักเค้กเข้าปากด้วยความกระอักกระอวนใจตามประสาคนมีชนักติดหลัง ส่วนไอ้ยำน่ะเหรอ หลังหายตกใจก็คว้าขวดน้ำผมไปดูดอึกๆ ไม่พูดไม่จา แต่ตาเนี่ยจับสังเกตพวกผมตลอด 

บนโต๊ะไม่มีใครพูดอะไร แต่จู่ๆ พาร์กลับหัวเราะกะทันหัน

“เป็นบ้าอะไร?”

“อยู่เฉยๆ ก่อน”

มันเช็ดครีมเค้กออกจากมุมปากผมไม่พอ ดันเอาเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย ไม่สนใจเลยว่าทำเพื่อนร่วมโต๊ะหน้าแดงเถือก   

“เอ่อ ดูเหมือนข้าวกะเพราะของมึงได้แล้ว เดี๋ยวกูไปเอามาให้”

เชนพูดขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยยำยำ

“เอ่อ กูขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”

เมื่อเหลือกันอยู่แค่สองคน ผมก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดทันที

“เปิดเผยไปไหม?”

“ไม่ดีเหรอ”

“ดีกะผีอะไรล่ะ! แล้วนึกยังไงถึงทำแบบนี้ในที่สาธารณะ?”

“เป็นสิทธิ์ของกูนี่น่า ได้มาแล้วก็ขอใช้ให้คุ้มหน่อย”

ผมแย้งทันที “ยังไม่ได้เป็นแฟนกูเลยเหอะ”

คนฟังดันหัวเราะ “สถานะกูมากกว่าแฟนแล้วมั้ง ใครบางคนถึงขั้นคิดให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอเลยนี่”

ผมหันมามองเค้ก “แค่เรื่องสมัยเด็ก อย่าจริงจังนักเลยน่า” พูดจบก็ตักเค้กเข้าปาก

“เหรอ…แล้วหนีมาทำไม?”

เป็นคำถามที่แทงฉึกเข้ากลางอก

ผมรู้สึกว่าเค้กในปากรสชาติจืดชืดกะทันหัน ฝืนกลืนลงคอ เลื่อนเค้กที่เหลือครึ่งชิ้นออกห่าง คว้าน้ำเปล่ามาดูดแทน พาร์เห็นผมไม่กินแล้วก็เลื่อนมาตรงหน้า คว้าช้อนที่ผมทิ้งไว้ตักเค้กเข้าปากหน้าตาเฉย

ทำยังไงกับมันดี?

เป็นสิ่งที่ผมคิดวนเวียนอยู่ในหัว มองดูเค้กค่อยๆ หายไปทีละคำจนหมด ขึ้นชิ้นที่สองมองพาร์กินสักพัก ผมก็จับมือมันตักเค้กเข้าปากตัวเองคำหนึ่ง 

“เป็นไง” 

ฟังจากคำถาม พาร์คงรู้ว่าผมแค่อยากชิม

“…มึงทำอร่อยกว่า”

เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ ฝีมืออย่างมันทำวางขายยังไปรอดเลยครับ

ผมปล่อยมือพาร์ กำลังจะหยิบขวดน้ำ แต่โดนไอ้คนทิ้งช้อนกะทันหันคว้ามือดึงไปแตะปากมันแผ่วเบา ไม่สนใจคนโดนกระทำที่สะดุ้งเฮือกเลยสักนิด ผมรีบกระชากมือกลับ มองเขม็งไอ้คนกล้าทำเรื่องน่าอายอย่างจูบหลังมือคนอื่นด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ

“ทำบ้าอะไร!”

พาร์มองผมตาใส มีส่งยิ้มให้อีกต่างหาก ทำเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรประหลาด “แค่ดีใจมากไปหน่อย”

“ต่อไปกูจะไม่ชมมึงแล้ว!”

“เพราะมึงพูดจาน่ารัก กูเลยอยากจูบ แต่ในเมื่อทำที่ปากไม่ได้ กูเลยทำตรงอื่นที่คิดว่ามึงน่าจะยอมรับได้แทน”

“ตรงไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น”

พาร์มองกลับมาด้วยแววตามาดหมายบางอย่าง แค่เห็นแววตาแบบนั่น สัญญาณในตัวผมก็กรีดร้องเตือน

“คิดจะทำอะไร?” ถามเสียงเข้ม 

“คิดวิธีจับจิ้งจอกอยู่ หนีเก่งไม่พอ ยังปั่นหัวคนอื่นไม่หยุด…เป็นไปได้ช่วยซื่อตรงเหมือนสมัยเด็กจะดีมาก”

“ไม่มีทาง!”

“โตมาแล้วพวกขี้อายสินะ” นิ้วพาร์จิ้มแก้มผมเบาๆ “แก้มแดงแล้วที”

“ต้องแดงอยู่แล้ว มึงเล่นดึงซะเจ็บขนาดนั้น”

“แต่แดงก่ำแบบนี้ กูว่ามึงกำลังเขินมากกว่า…”

ผมลุกพรวด ข่มเสียงให้นิ่ง “กูไปห้องน้ำนะ”

“เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน”

“ไม่ต้อง อยู่เฝ้าโต๊ะไป”

ผมรีบจ้ำเท้าเข้าห้องน้ำฝั่งผู้ชาย เห็นยำกับเชนกำลังยืนคุยกันตรงหน้าอ่างล่างมือแวบหนึ่ง 

“อ้าว ที…”

ผมไม่สนใจทัก เปิดประตูห้องส้วมได้ก็รีบเข้าไปพร้อมกดล็อก ยืนหลังพิงบานประตูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตะโกนลั่นระบายความเครียด

“อ๊ากกก! กูอยากจะบ้า!!”

“เฮ้ยที! มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ!”

ผมหอบหายใจ ปล่อยให้ยำเคาะประตูเรียกไป ลมหายใจกลับมาเป็นปกติได้ก็ขยี้ผมตัวเองจนยุ่ง บางทีคงถึงเวลาเปิดใจคุยกันตรงๆ แล้วล่ะมั้ง

…ไม่สิ คนที่ต้องเปิดใจน่าจะเป็นผมคนเดียวมากกว่า   

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 06-12-2016 11:23:59
อย่างที่ทีว่าเลย พาร์เก่งพอตัวเชียว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-12-2016 12:46:54
โอ๊ย........ชอบพาร์ มากกกกกกก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คิดอย่างไรแสดงออกไปเลย น่ารัก :o8: :-[ :impress2:
ทั้งดึงแก้ม ทั้งหอมแก้ม จูบมือ
ต่อหน้าเพื่อนยำอีกด้วย ฟินนนนน
เชน หวงทีให้เพื่อนด้วย :mew1:
อยากรู้แผนของที ให้ยำรู้ตัวเองอย่างชัดแจ้ง :ling1: :ling1: :ling1:
พี่ภู ทำอะไรนะ ถึงทำให้ยำ ยอมรับสัมผัสของพี่ภูได้ :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-12-2016 13:29:10
ตกลงแล้ว ให้ใครช่วยใครกันแน่
ยำยำ ที แต่ละคน ก็มีเรื่องต้องแก้ไข
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 06-12-2016 14:11:18
โอ๊ยยยยยย ดีๆๆๆๆๆๆๆ ดีไปอีกกกกกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 06-12-2016 20:33:55
พาร์สู้ ๆ น้า
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 06-12-2016 21:56:17
โดนจับทางได้แล้ว จิ้งจอกอย่างทีคงดิ้นหนีไม่หลุดล่ะ 555+
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 06-12-2016 22:37:21
หยอด..วันละนิด...เดี๋ยวทีก้อ อ่อนไปเอง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-12-2016 23:57:45
แจ๊ะ รุกหนักมาก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 07-12-2016 08:18:44
พาร์หยอดทีไม่หยุดเลย คนเขาเขินกันไปหมดแล้ว :katai4: :hao6:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 07-12-2016 13:39:36
ทียอมพาร์บ้างแล้ว ก็ดีแล้วละ ยอมมากกว่าคนอื่นตั้งเยอะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 07-12-2016 16:10:16
เอาจริงอิพี่ภูนางก็เหลือเกิน เปลี่ยนรุกนะครับให้เป็นรับในชั่วพริบตา แถมยังเถื่อนตัวพ่อเลยด้วย นี่ก็แอบสงสารยำเล็กๆ
คู่พาร์ทีก็หวานได้อีก ที่พาร์หาทีจนเจอได้นี่มันคือพรหมลิขิตชัดๆ อ่านๆไปรู้สึกมดขึ้นคอม น้ำตาลหกเรี่ยราดแรงมากกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 10-12-2016 15:09:38
บทที่ 32

ยำยังร้องเรียกผมไม่หยุด หนวกหูจนคิดอะไรไม่ออก เลยจำยอมเปิดประตูออกไป

“ไอ้ที!”

ยำรีบปราดมาจับตัวผม มองสำรวจหาความผิดปกติ มีเชนยืนมองอยู่ไม่ไกล

“ไม่เป็นไร กูแค่เครียด”

“แน่นะ?”

“เออ” ตัดสินใจถามเบี่ยงประเด็น เจาะจงถามคนที่บอกว่าจะไปเอาข้าว “ทำไมมึงมาอยู่นี่?”

“เอ๊ะ?” เชนทำหน้างงกลับมา

“ข้าวพาร์ล่ะ?”

“อ้อ” เชนยิ้มเจื่อนกลับมาทันที “…กำลังทำอยู่มั้ง”

ผมหรี่ตาลง ข้ออ้างหนีมานี่หว่า เอาเถอะ ใครทนไหวก็แปลกแล้วครับ นึกพร้อมปลดมือไอ้ยำออกจากตัว กำลังเดินแทรกผ่านคนยืนขวางทางก็โดนยำรั้งตัวไว้อีก

“จะไปไหน?”

“…ไปรบกับพาร์ต่อ”

“อะไรนะ?”

“แค่จะไปคุยกับพาร์” ผมดึงแขนออกอีกครั้ง รีบพูดขัดหลังเห็นยำอ้าปาก “อย่าพึ่งถามตอนนี้เลย แค่นี้กูก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว”

ทิ้งท้ายแค่นั้น ไม่สนเสียงร้องเรียกคนข้างหลัง ก้าวเท้าตรงไปยังคนนั่งเฝ้าโต๊ะ ยืนมองหน้ายุ่งอยู่แบบนั้นจนพาร์เงยหน้ามองผมกลับด้วยแววตาสงสัย 

“…ไปหาที่เงียบๆ คุยกันหน่อย”

แต่ก่อนที่มันจะพูดอะไร เสียงสดใสของพี่สาวเชนก็ดังขึ้นก่อน

“ข้าวกะเพราะได้แล้วจ๊ะ”

ผมรีบเบี่ยงตัวหลบปล่อยเจ้าของร้านวางจานข้าวกะเพราะพร้อมน้ำเปล่าขวดหนึ่ง บ่นกระปอดกระแปดใส่น้องชายที่ไม่ยอมเอาน้ำมาให้พาร์ก่อน

“น้องพาร์ไม่ได้มาร้านนี้เดือนกว่าแล้วนี่นะ พี่นึกว่าเราทนคบน้องพี่ไม่ไหวแล้วซะอีก”

“เปล่าครับ พอดีที่บ้านมีเรื่องยุ่งนิดหน่อย ผมเลยต้องไปค้างบ้านเพื่อนพ่อสักพัก”

“อ้อจ๊ะ ถ้าน้องพี่ทำตัวไม่ดีมาฟ้องกันได้ทุกเมื่อนะ เดี๋ยวเจ๊จับมันอบรมเอง!”

พวกผมยิ้มแห้งๆ ให้เจ้าของร้าน ปล่อยเธอไปทำหน้าที่ต่อ ผมมองพาร์ดึงจานข้าวร้อนๆ มาตรงหน้า ตักกินไม่สนใจมองผมด้วยซ้ำ เห็นแล้วก็ขัดจังหวะไม่ลง เลยเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามพาร์แทน ทิ้งระยะห่างสักหน่อย เผื่อมันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก ผมจะได้หลบทัน

“…ผู้ปกครองกูให้มึงอดข้าวเหรอ?”

ผมเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ หลังเท้าคางมองเห็นพาร์โส้ยข้าวใส่ปากไม่หยุด ดูยังไงก็คนกำลังหิวโซชัดๆ 

คนเคี้ยวข้าวส่ายหน้าปฏิเสธ กลืนอาหารลงคอได้ก็พูดอธิบาย “แค่กินน้อยไปหน่อย” 

“น้อย?”

“กูกินข้าวเช้ากับเที่ยงไม่ค่อยลง ตอนนี้เลยหิวมาก”

…โดนแกล้งมาหรือเปล่าเนี่ย

“มึงมีเรื่องจะคุยกับกูไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่” ผมมองไปรอบร้านแล้วตัดสินใจ “คุยกันตรงนี้ก็ได้ จะฟังเลย? หรือรอกินเสร็จก่อนดี?”

“รอฟังอยู่”

ผมชูสามนิ้วให้คนตักข้าวใส่ปากเห็น “อย่ารุก อย่าเร่ง อย่ากดดัน”

“ฮะ?”

“เงื่อนไขของกู” 

พาร์ขมวดคิ้วใส่ทันที แถมยังมองมาด้วยแววตาสื่อชัดว่า ‘ช่วยสงสารกันหน่อยได้ไหม’ ผมเม้มปาก รู้สึกเหมือนเป็นตัวร้ายชอบกล

คนกลืนข้าวลงคอแล้วเอ่ยถาม “ทำไม?”

“เพราะมันเร็วไป”

“ตรงไหน?”

“เราเจอหน้ากันนานแค่ไหนแล้ว” ผมถามไป และไม่รอคำตอบ “หนึ่งเดือน สั้นแค่นั้นเอง”

“แต่เรื่องของเรายาวนานกว่านั้น”

“มันก็ใช่ แต่…”

พาร์พ่นลมหายใจเบาๆ “ถ้ากูพูดท้วง เดี๋ยวมึงคงหาข้ออ้างไปเรื่อย บอกความต้องการมาเลยดีกว่า ไม่เอาเงื่อนไขมึงนะ กูทำไม่ได้”

ผมทำหน้าเครียดทันที ก่อนพูดโน้มน้าวต่อ “กูไม่อยากเร่งรีบเรื่องของเรา”

พาร์ตักข้าวใส่ปากมองตรงมา ผมเลยพูดต่อ

“คนมันไม่พร้อมน่ะ เข้าใจไหม”

“…ยังไง?”

“ถ้าให้ยกตัวอย่างก็เช่น สภาพจิตใจของกูนี่ไง มึงพึ่งเจอกับตัวไปสดๆ ร้อนๆ นี่”

“เรื่องในห้องอาบน้ำ?”

“เออ!”

พาร์วางช้อนลง เคาะนิ้วกับโต๊ะ “กูจำได้ว่ามึงเปลี่ยนแฟนบ่อย เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง มึงเลยไม่มีอาการหรือเปล่า?”

“ไม่รู้ กูไม่เคยจูบกับแฟนเก่า อย่างมากก็แค่จับมือ”

“หือ? ไม่เคย?”

“ที่จริงแค่คนจูบกัน กูก็เบือนหน้าหนีแล้ว มัน…มันขยะแขยงน่ะ มึงคงไม่เข้าใจหรอก”

“…แล้วเรื่องบนเตียง?”

“ไม่มี” พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ถึงกูจะโตมาแบบมีความสุขดี แต่ตอนเล็กๆ หลังรู้ว่าลุงนิกไม่ใช่พ่อแท้ๆ กูก็เสียศูนย์เหมือนกัน ยิ่งรู้ว่าไม่เคยเจอพ่อแม่แท้ๆ เลย กูก็ยิ่งเศร้า แต่เพราะก่อนสามขวบแรกกูไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น…”

“เดี๋ยว มึงเคยไปอยู่ญี่ปุ่นมา?”

“หลังกูหกเดือน ลุงนิกก็พาไปญี่ปุ่น อยู่ที่นั่นจนขวบกว่าถึงพากลับไทยมาให้ปู่ย่าเห็นหน้า”

“ไปอยู่กับทากะซัง?”

“อือ”

“แล้วที่ไปๆ มาๆ?”

“ก็หลังจากขวบกว่า กูก็อยู่ไทยบ้าง ไปญี่ปุ่นบ้าง แต่ช่วงเวลาอยู่ในญี่ปุ่นเยอะกว่า สมัยเล็กๆ กูเลยพูดญี่ปุ่นได้ แต่ไทยแทบไม่ได้ ช่วงจะเข้าอนุบาล ลุงนิกกับพวกปู่ถกเถียงกันจะเป็นจะตายว่าให้กูเรียนที่ไหนดี สุดท้ายกูก็ได้เข้าอนุบาลที่ไทย พอไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นนานๆ กูเลยลืมไปตั้งเยอะ ตอนนี้จำคำศัพท์ได้แค่นิดหน่อยเอง”

“งั้นพ่อแม่มึงล่ะ?”

“กูได้เจอหลังเข้าอนุบาลสักพัก มาเข้าเรื่องก่อน ที่กูไม่มีเรื่องบนเตียงก็ด้วยสาเหตุนี่แหละ ถ้าพลาด คนที่แย่สุดคือเด็กกำลังจะเกิดมาต่างหาก ถ้าโชคดีแบบกูก็ดีไป แต่ถ้าไม่ล่ะ พอคิดแบบนี้กูก็ยิ่งหลีกเลี่ยง…” พูดถึงตรงนี้ผมก็นึกบางอย่างออก “อ้อ เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง แฟนเก่าคนล่าสุดถึงบอกว่ากูเด็กเกินไป”

“นั่นคือกรณีผู้หญิง แล้วกรณีกูล่ะ?”

“กรณีผู้ชายอย่างมึงแย่กว่าอีก นอกจากความหลังฝังใจตอนแปดขวบแล้ว ยังมีเรื่องตอนกูอายุสิบเอ็ด…คุณย่าจับได้ว่าลุงนิกมีแฟนเป็นผู้ชายครั้งแรก อย่างกะฟ้าถล่ม บ้านจะพัง โคตรน่ากลัว”

พูดถึงแล้วผมก็ยังสยองไม่หาย น้ำเสียงก็เลยสั่นๆ

“ไม่รู้ตอนนี้คุณย่ายอมรับทากะซังได้หรือยังด้วยซ้ำ ที่ลุงนิกไปต่างประเทศก็เหตุนี้เหมือนกัน…สรุปคือถ้าจะคบกับมึงคงมีปัญหาสารพัด ขนาดผู้ปกครองทั้งสองของกูเกือบจะเลิกกันตั้งหลายหน ถ้าไม่รักกันจริง ไปไม่รอดหรอก”

“หมายความว่าถ้ากูกับมึงไม่ถึงขั้นรักกัน มึงจะไม่ยอมคบกูเป็นแฟน?”

“…มั้ง”

“เกินไป” พาร์พูดขัดด้วยแววตาไม่เห็นด้วย “กูคิดว่าคบกันไปแล้ว จากชอบเดี๋ยวกลายเป็นรักเองนั่นแหละ”

“แต่อย่างน้อยก็ควรรู้ใจตัวเองในระดับหนึ่ง ถ้ายังคลุมเครือคบไปก็เจ็บเปล่าๆ”

“มึงกลัวเกินไปแล้ว”

“แปลกตรงไหน ตัวอย่างก็มีให้เห็น แค่มีมือที่สามเข้ามาก็ไปกันไม่รอดแล้ว” ผมนิ่วหน้าพูดสั่งสอนอีกฝ่าย “มึงน่ะรีบร้อนเกินไป ถ้ายังเป็นแบบนี้บางทีกูคงเผ่นหนีจริงๆ จะเอาแบบนั้นไหมล่ะ?”

“คิดเหรอว่ากูจะปล่อยให้หนีง่ายๆ”

“ไม่ แต่ถ้ากูมีแฟนใหม่ มึงจะทำยังไง เป็นมือที่สามเหรอ?”

พาร์เงียบครับ แต่แววตาสั่นไหวรุนแรง ผมเลยถอนหายใจ

“ขอร้อง ถ้ามึงไล่ต้อนมากๆ กูคงได้ทำร้ายจิตใจมึงแหงๆ”

พาร์สูดลมหายใจเข้าออก “…เงื่อนไขสามข้อของมึงควรมีระยะเวลา”

“หือ?”

“ในเมื่ออยากได้เวลานัก กูก็จะให้มึง ถือว่าเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจก็แล้วกัน”

“…นานแค่ไหน?”

คนโดนถามครุ่นคิดครู่ใหญ่ก่อนตอบ “หนึ่งเดือน กูคงทนได้เท่านี้”

ผมทำหน้าเครียดทันที เวลาหนึ่งเดือนจะว่าสั้นก็สั้น ยาวก็ยาว แต่สำหรับผมก็ยังน้อยไปอยู่ดี พาร์พูดต่อโดยไม่รอคำตอบจากผม

“ตลอดหนึ่งเดือน กูจะไม่รุก ไม่เร่ง ไม่กดดัน ตามที่มึงต้องการ แต่จะขออยู่ข้างๆ…ได้ไหม?”

เล่นทำหน้าหมาหงอยใส่ ผมจะตอบอย่างอื่นได้ไง “…ได้”

พาร์พยักหน้า “ที มึงสำคัญกับกูนะ”

คิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงมันโคตรอ่อนโยน

“แต่ในเมื่อมึงกล้ายื่นเงื่อนไขมา กูก็จะใช้วิธีเดียวกันในการแลกเปลี่ยน ช่วยฟังเงื่อนไขหลังครบหนึ่งเดือนของกูด้วย”

ขอโทษครับ โยนความคิดเมื่อกี้ทิ้งไปเถอะ เสียงอย่างเข้ม ฟังชัดถนัดหูขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ผมละเมอไปเองชัดๆ

“ถ้ามึงไม่ตกลง เงื่อนไขก่อนหน้านี้ก็ยกเลิกไป”

“พูดเงื่อนไขของมึงมาก่อนสิ”

“มึงมีสามเงื่อนไข กูก็มีสาม เงื่อนไขแรก กำไลวงที่กูสั่งทำ หลังได้มามึงห้ามถอดออกจากข้อมือเด็ดขาด”

ผมนั่งอึ้ง นึกไม่ถึงว่ามันจะยื่นเงื่อนไขแบบนี้

“ตอนอาบน้ำก็ถอดไม่ได้?”

“ถ้ามันยังไม่พังก็ไม่ต้องถอด”

…เอ่อ จะให้บรรยายความรู้สึกผมตอนนี้ยังไงดี ‘หมั้น?’ ไม่ไหวๆ ‘ผูกมัด?’ ก็เกินไปหน่อย ‘จองตัว?’ ผมเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนผงกหัวให้กับตัวเอง คำนี้เหมาะสมที่สุดแล้วครับ ก็ถึงว่าทำไมมันดูจริงจังกับการเลือกกำไลคู่รักนัก แถมยังยอมเสียตังค์ติดอัญมณีเพิ่มอีกต่างหาก ผมยกมือกุบขมับหลังรับรู้ความหมายแอบแฝง

เดี๋ยวก่อน รีบยกมือลงหันไปถามเจ้าคนจ่ายเงิน “อย่าบอกนะว่ามึงจ่ายค่ากำไลเองทั้งหมด?”

“ถ้าไม่ติดว่าเป็นกำไลคณะ กูก็ว่าจะจ่ายเองอยู่…ทำหน้าเหมือนจะไม่รับเลยนะมึง”

ผมรีบปรับสีหน้าใหม่ทันที พาร์หรี่ตาลง เพ่งมองจนผมเหงื่อตก 

“มึงปฏิเสธไม่ได้หรอก” พาร์ยกยิ้มเหนือกว่าให้ “จริงไหมคุณสะใภ้คณะ”

“มึง…มัน…” ผมนึกหาคำมาด่าไม่ถูก ยิ่งเห็นแววตาพราวระยับของพาร์ยิ่งหงุดหงิด

ไอ้คนเจ้าเล่ห์!

นี่ผมเสียรู้โดนคนสวมหนังลูกหมาน้อยหลอกมานานแค่ไหนแล้ววะเนี่ย

“เงื่อนไขที่สอง…หลังมึงสวมกำไลแล้ว กูจะเริ่มจีบมึงอย่างจริงจัง”

“จีบเรอะ!”

พาร์พยักหน้า ไม่สนใจสีหน้าตื่นตระหนกของผม “และเงื่อนไขที่สาม มึงไม่มีสิทธิ์หนีกูแบบครั้งนี้อีก ต่อให้เขินจนตายก็ห้ามหนีเด็ดขาด”

“ฮะ!” ผมอ้าปากค้าง

“นี่คือสามเงื่อนไขของกู”

“มึงโกงกูนี่หว่า” ผมแย้งทันที “เงื่อนไขมึงยาวกว่าของกูตั้งเยอะ!”

“ก็ใช่ แล้วไง ในเมื่อมึงมีเงื่อนไขสามข้อคือ ห้ามรุก ห้ามจีบ ห้ามกดดัน ถูกไหม?”

“ไอ้…ไอ้…” ผมข่มอารมณ์ทั้งทีอยากด่ามันเจ็บๆ แสบๆ “แล้วนับรวมเป็นเงื่อนไขเดียวไม่ได้หรือไง”

“รุกหรือรุก จีบก็คือจีบ กดดันก็อีกเรื่อง”

สุดจะทน ผมเตะขาใส่มันทางใต้โต๊ะไปเต็มแรง ไอ้คนที่ควรเจ็บหน้าแข็งแค่นิ่วหน้าเล็กน้อย ไม่หลุดเสียงร้องอย่างที่ผมต้องการออกมาสักแอะ จนคนกระทำอย่างผมคันเท้ายิกๆ อยากออกแรงเตะอีกทีเป็นบ้า

“รับปากกูได้ยัง?”

ยังมีหน้ามาทวงคำตอบอีก!

“กูมีคำถาม” พาร์พยักหน้าให้ “…ถ้าแค่ถอยไปตั้งหลักล่ะ?”

“ไม่ได้”

“ถ้าขอเวลานอกล่ะ?”

“ไม่ให้”

ผมยิ้มเครียด “กูตอบได้แต่ ‘รับปาก’ ใช่ไหม”

“ใช่”

ผมทำหน้ายุ่งทันที รู้สึกเสียเปรียบพิลึก ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ต้องหาทางทำให้ตัวเองได้เปรียบบ้าง หลังครุ่นคิดอย่างจริงจังจนเห็นแสงที่ปลายทาง ผมรีบคว้าสิ่งนั้นไว้แล้วคิดต่อยอดไปเรื่อยจนได้แผนการบางอย่างมา คิดจนถี่ถ้วนดีแล้ว ค่อยกระแอมไอเรียกความสนใจจากพาร์ที่รอคำตอบผมอยู่อย่างใจเย็น

“กูยอมรับปากก็ได้ แต่…”

พาร์พ่นลมหายใจ พูดขัด “ขอกูดีใจเกินหนึ่งวิก่อนได้ไหม”

ผมหัวเราะคำบ่นของมัน “เอาน่า ฟังกูก่อน ถ้าคิดจีบเพื่อน มึงต้องยินยอมรับความเสี่ยง”

“…เสี่ยงแบบไหน?”

“สูญเสียที่ยืนในฐานะเพื่อน”

พาร์เลิกคิ้ว “แล้ว?”

“เมื่อเสียพื้นที่เดิมไป มึงถึงสามารถสร้างพื้นที่ใหม่ให้ตัวเองได้ ไหนๆ มึงก็ขอเริ่มต้นจีบกูแล้ว คงไม่ว่าถ้าถึงเวลานั้นกูจะถีบมึงออกจากสถานะเพื่อน”

“…เกินไปไหม”

“ถ้ามึงอยากอยู่ในพื้นที่เพื่อนต่อไปก็ได้” ผมทำหน้าช่วยไม่ได้ใส่ “แต่อย่าทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงแล้วกัน”

พาร์จ้องผมเขม็ง “แค่นี้?”

ผมไม่ตอบ แต่ถามกลับยิ้มๆ “มึงจะได้รถคืนเมื่อไหร่?”

“รถกูที่ให้พ่อยืม?”

“เออ”

“รอรถพ่อซ่อมเสร็จอีกประมาณหนึ่ง…”

พาร์หยุดพูดกะทันหัน หรี่ตามองมา ผมคลี่ยิ้มสู้กลับ แต่ซ่อนรอยยิ้มกริ่มไว้ในใจ

“นี่มึงคงไม่…”

“อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ” เว้นจังหวะให้มันหงุดหงิด ก่อนอธิบายต่ออย่างมีความสุข “อีกหนึ่งเดือนหลังได้รถคืน มึงต้องกลับไปนอนบ้านตัวเองอยู่ดี ถือเป็นจุดสิ้นสุดและจุดเริ่มต้นของเราเลยแล้วกัน แต่กูไม่ใจร้ายขนาดนั้น เลยจะให้เวลาหนึ่งอาทิตย์เริ่มจากวันที่มึงกลับไปนอนบ้าน ลองกลับไปคิดทบทวนอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ”

“แค่นี้ใช่ไหม”

“กูยังพูดไม่จบ” ผมมองหน้าพาร์ยิ้มๆ “ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ว่า จะไม่มีการติดต่อหรือเจอหน้ากัน…”   

“ที!”

“ฟังให้จบก่อน” ผมพูดดุ รีบอธิบายต่อก่อนใครบางคนทนไม่ไหว “ลองหายไปจากชีวิตของกันและกันสักอาทิตย์ จะได้ทบทวนความรู้สึกตัวเองได้ดีขึ้น หลังครบหนึ่งอาทิตย์ มึงจะเลือกทางไหนก็เรื่องของมึง จะเป็นเพื่อนกันต่อ หรือจะจีบกูก็ได้ทั้งนั้น”

“มึงห้ามหนีตามเงื่อนไขกู”

ผมนิ่งไปนิด ก่อนพยักหน้า “ได้ ตามเงื่อนไขมึง”

พาร์มีสีหน้าดีขึ้น “หมดแค่นี้ใช่ไหม”

“แค่นี้แหละ แต่…”

“กูเกลียดคำว่า ‘แต่’ ของมึง”

ผมขำ “กูแค่จะเตือนส่งท้ายเฉยๆ ถ้ามึงไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร”

“ฟังอยู่”

ผมกลั้นหัวเราะเต็มที่ แต่เสียงพูดก็ยังสั่นอยู่ดี “เวลาจะจีบใคร อย่าลืมเข้าหาอย่างเหมาะสม เพราะถ้าพลาดคะแนนที่ควรทำได้ นอกจากไม่มีแล้ว อาจติดลบอีกต่างหาก กูเตือนแค่นี้แหละ หวังว่ามึงจะเข้าใจ”

“มึงมันแสบ!”

ผมลอยหน้าลอยตาตอบรับ “ขอบคุณที่ชม” 

“รอกูตรงนี้เดี๋ยว!”

ผมมองพาร์ลุกพรวดท่าทางหัวเสียสุดๆ อย่างอารมณ์ดี จะไม่ให้อารมณ์ดีได้ไงในเมื่อผมเป็นฝ่ายพลิกกระดานกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง

“เอ่อที…”

ผมที่ยังมีรอยยิ้มเต็มหน้าหันไปมองไอ้ยำ มันทำหน้าชั่งใจ หย่อยก้นนั่งเก้าอี้ข้างผม พร้อมถาม

“มึงอยากไปหาหมอไหม กูพาไปได้นะ”

“ไปหาทำไม”

“ก็มึงท่าจะบ้า!”

ผมโบกหัวคนพูดไปหนึ่งที “กูปกติดีโว้ย แล้วเชนล่ะ?”

คนเจ็บลูบหัวปรอยๆ แววตาจ้องจับผิดไม่เลิก แถมยังสื่ออีกว่าแล้วเมื่อกี้หมาตัวไหนไปตะโกนในห้องน้ำ อยากบอกเหลือเกิน ลืมๆ มันไปเหอะ

“โดนพาร์ลากออกไปเมื่อกี้ เห็นถามหาร้านคอมอะไรสักอย่าง”

ร้านคอม? 

ในใจนึกสงสัย แต่ปากกลับพูดแซวอีกเรื่อง “อ้อ มึงเลยกลับมานั่งกับกู…ว่าแต่ไปคุยกับเชนสองต่อสองในห้องน้ำแบบนั้น มึงไม่กลัวโดนพี่ภูฆ่าเอาเรอะ”

“ฮะ? มันจะฆ่ากูทำไม?”

“หึงโหดไง” ผมขำ

ยำหัวเราะทันที “มันเนี่ยนะจะหึงกู ไม่มีทาง”

ผมชะงักกึก รู้สึกเหมือนเดจาวู พอนึกย้อนกลับไปก็เหงื่อตก อ่า ผมชักเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วสิ เพราะตอนนี้รู้สึกสงสารพี่ภูตงิดๆ และแอบสงสารพาร์ก่อนหน้านี้ด้วย…คนไม่รู้ไม่ผิดนะมึง

“แล้วพวกมึงคุยอะไรกันตั้งนาน จริงจังจนพวกกูไม่กล้าเข้ามาขัดจังหวะ ได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ”

“อ้อ ก็แค่ข้อตกลงร่วมกันในอนาคต”

กึก!

ยำปล่อยขวดน้ำในมือหล่นบนโต๊ะกลิ้งมาทางผม มาได้จังหวะ รีบคว้าไว้สิครับกำลังคอแห้งพอดี เปิดฝายกดื่ม ไม่สนใจสีหน้าเพื่อนที่กำลังตื่นตะลึง

“มะ…มึง”

“หือ?”

“มึงทำกูพูดไม่ออกเลยวะ”

“ฮะ?”

ยังไม่ทันได้ถาม ข้าวกะเพราะหมูไข่ดาวของพาร์ก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี กลิ่นหอมยั่วยวนใจมาก

“ของใคร?”

“ของกู”

ผมรีบหันไปสั่งอีกจาน ดึงจานข้าวมาไว้ตรงหน้า “รอจานใหม่แล้วกันนะ จานนี้กูขอ”

“ตะกละวะ!”

ผมทำหูทวนลม ตักข้าวใส่ปากอย่างมีความสุข อร่อยอย่างที่คิดเลยครับ กว่าพาร์จะกลับมาข้าวกะเพราะก็ลงไปอยู่ในท้องผมหมดแล้ว และจานที่พึ่งสั่งใหม่กำลังมาเสิร์ฟพอดี

“เซ็นชื่อซะ”

พาร์พูดเสียงเย็น ยื่นกระดาษสีขาวขนาด A4 มาให้พร้อมปากกา…ไม่สนใจสีหน้างงงวยของผมเลย

“อะไร?”

“อ่านดูเอาเอง”

พูดจบมันก็จับมือผมวางกระดาษสองใบให้ แล้วหันไปสนใจข้าวกะเพราะที่กินค้างไว้

…พึ่งปรินต์ออกมาล่ะมั้ง กระดาษยังอุ่นอยู่เลย หมุนกระดาษให้กลับมาอยู่ในแนวอ่านง่าย เลื่อนสายตาดูอักษรแถวบนสุด อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษพอดี   

‘บันทึกข้อตกลง’

บรรทัดต่อมามีระบุชื่อจริงของผมกับพาร์ในฐานะผู้ทำข้อตกลงร่วมกัน ถัดมาเป็นรายละเอียดที่พวกผมคุยกันเมื่อกี้ครบทุกประเด็น แต่แบ่งเป็นข้อๆ สรุปรวบรัดให้เข้าใจง่าย สุดท้ายเป็นส่วนให้ลงชื่อสี่คน ผู้ทำข้อตกลงสองคน และพยานอีกสองคน

ผมละสายตาจากเอกสาร มองพาร์ที่เคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย แววตามองมาเหมือนรอให้ผมถาม

วิธีการแก้เผ็ดสมเป็นพาร์จริงๆ ถึงผมไม่ได้เรียนกฎหมายเหมือนมัน แต่เคยเห็นเอกสารบันทึกข้อตกลง MOU (Memorandum) นะครับ (จากพวกเอกสารที่คุณปู่กับลุงนิกขนกลับมาอ่านที่บ้าน) ตอนเด็กเคยถามเหมือนกันแต่ดันจำคำตอบได้แค่นิดหน่อย ที่จำได้แม่นก็เรื่องเอาไปฟ้องได้ถ้าอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหรือไงนี่แหละ ในเมื่ออยากให้ถามนัก ผมถามก็ได้

“ถึงขั้นต้องทำสัญญากันเลยเหรอ?”

สีหน้าพาร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เพราะเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก เลยสะกิดเชนที่นั่งข้างๆ ให้ช่วยพูดแทน

“ไม่ใช่สัญญา มันไม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายโดยตรง ถ้าให้อธิบายง่ายๆ คือดีกว่าสัญญาปากเปล่า เพราะอย่างน้อยก็มีลายลักษณ์อักษรเก็บไว้เป็นหลักฐาน”

ผมมองพาร์อีกครั้ง ถามเสียงเศร้า “…ไม่เชื่อคำพูดกูเหรอ?”

“ไม่ใช่!”

คราวนี้พาร์ที่รีบกลืนข้าวลงคอว่า ออกอาการลุกลี้ลุกลนให้ผมแอบยิ้มในใจ

“มันก็แค่บันทึกช่วยเตือนความจำ เผื่อเกิดฝ่ายไหนลืมหรือจำผิดพลาดขึ้นมาจะได้เอามาโต้แย้งกันได้…อย่าคิดมาก” ท้ายเสียงอ่อนลงสุดๆ “กูยอมรับก็ได้ว่าไปทำเจ้านั่นมา เพราะหมั่นไส้มึงล้วนๆ”

ก็แค่นั่น

“ก่อนเซ็นชื่อ กูมีคำถาม”

“ถามมาสิ”

“ถามไปมึงจะตอบไหม?”

“ลองถามมาก่อน”

“มึง…ตัดสินใจแน่แล้ว?”

“เรื่องอะไร?”

“เรื่องของกู”

“นี่กูยังแสดงออกไม่ชัดเจนพออีกเรอะ!”

อยากบอกพอแล้วชะมัด แต่อีกใจก็อยากรู้ให้แน่ชัดไปเลย “ก็กูสงสัยว่ามึงยังเหลือความลังเลอยู่หรือเปล่า”

“เอ่อ…ขอพวกกูหลบไปก่อนได้ไหม?” เชนพูดแทรกกะทันหัน “ถ้าอยากได้ตัวพยานเมื่อไหร่ ค่อยกวักมือเรียกแล้วกัน”

เชนรีบลุกขึ้นดึงแขนยำให้รีบหลบออกมา พ้นคนนอก พาร์ก็รีบยิงคำถามใส่

“หมายถึงลังเลเรื่องไหน?”

“กูเป็นผู้ชาย”

“รู้แล้ว” พาร์ทำหน้ายุ่ง “เอางี้ ยื่นหูมานี่เดี๋ยวกูจะพูดอะไรให้ฟัง …ไม่ต้องมองอย่างนั้น กระซิบก็คือกระซิบ ไม่หลอกหอมแก้มหรอกน่า”

ผมลังเลชั่วครู่หนึ่งก็ยอมโน้มหน้าไปหา ปล่อยพาร์ขยับมากระซิบข้างหู

“ตั้งแต่กูเก็บมึงที่เป็นผู้ชายไปฝันเปียก ความลังเลก็หายไปเยอะแล้ว”

ผมรีบผละออกห่าง มองมันหน้าตื่น “พูดจริง?”

“เรื่องแบบนี้โกหกได้ด้วย?”

“ตะ…ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“มึงน่าจะรู้”

ผมย่นคิ้ว หวนนึกย้อนอดีตไปเรื่อย จนมาสะดุดช่วงที่เคยคุยกันบนรถ “ทะ ที่มึงบอกว่าลุกไปเปิดคอมหาข้อมูล แล้วกูเดาว่ามึงหาข้อมูลเรื่องบนเตียง…กูเดาถูก?”

แววตาพาร์บอกชัดเจนว่าใช่ “รู้ไหมทำไมกูต้องหา”

“จะไปรู้เรอะ!”

“เพราะตัวกูในฝันดันถามมึงในช่วงกำลังเข้าเข็มเข้าด้ายว่าต้องทำยังไงต่อ มึงเลยโมโหยันเท้าใส่เต็มท้อง กูเลยพลัดตกเตียงตื่น”

ทะแม่งๆ นะครับ นี่มันคงไม่…

ผมรีบยกมือขอเวลานอก “กูขอถามอะไรหน่อย สมมุติว่าถ้าเราคบกัน มึงจะอยู่ฝ่ายไหน?”

“ฝ่ายอะไร?”

ผมลดเสียงลง “รุกหรือรับ”

“รุกอยู่แล้ว” ผมอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่ดันโดนพาร์พูดขัดได้เจ็บแสบมาก “และกูมีปัญญาจับมึงทำเมีย”

ไอ้บ้านี่!

ผมยังจำคำพูดที่เคยหลุดปากบอกเล่นๆ ออกไปได้ และไอ้คนฟังก็พึ่งพูดย้อนกรีดแทงกันได้เลือดซิบๆ สุดท้ายก็ทำได้แค่กัดฟันกรอด หลังสูดหายใจเข้าออกระงับอารมณ์พลุ่งพล่านค่อยเอ่ยถามด้วยความข้องใจสุดๆ

“กูขอถามหน่อย วันนี้มึงไปโดนใครกล่อมประสาทมาหรือเปล่า?”

“…ทำไมถามแบบนี้?”

“เพราะพฤติกรรมมึงเปลี่ยนไปจนกูตั้งรับไม่ทันน่ะสิ!”

“อ้อ…ไม่มีหรอก”

“แต่กูว่ามี หรือผู้ปกครองสองคนของกูสอนอะไรมึงมา”

พาร์หัวเราะทันที “ถ้าอยากรู้ กูเล่าให้ฟังก็ได้…แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย”

ผมหรี่ตามองพาร์ “…จะเอาอะไร?”

“ตอนนี้นึกไม่ออก ติดไว้ก่อนแล้วกัน”

ผมชั่งใจสักพักก็ยอมพยักหน้า “แต่คำขอของมึงต้องอยู่ในขอบเขตที่กูยอมให้ได้”

“ได้”

“งั้นก็เล่ามาได้แล้ว”

“หลังมึงหายไปเกือบชั่วโมง ลุงนิกก็มาชวนไปนั่งรถเล่น ทากะซังตอบตกลง แล้วลากกูออกไปด้วยกัน อ้างเหตุผลว่ากูรู้จักทางดีกว่าคนพึ่งกลับมาอย่างลุงนิก แถมช่วงหลังๆ ทากะซังก็ไม่ค่อยได้อยู่ไทย กูเลยได้ขึ้นไปนั่งเป็นตุ๊กตาประดับที่เบาะหลัง”

“นั่งรถเล่นเนี่ยนะ?”

ผมทวนอย่างไม่เชื่อ ก็ลุงผมชอบอยู่บ้านอ้อนเมีย…อะแฮ่ม ผมหมายถึงชอบอยู่บ้านสบายๆ มากกว่า

“อือ แต่เป้าหมายแท้จริงคือการออกไปตามหามึง”

ความรู้สึกผิดเริ่มมาเยือนหลังรับรู้ว่าทำให้ผู้ปกครองทั้งสองเป็นห่วง เหลือบมองพาร์ นึกถึงตอนโดนดึงแก้มก็ถอนหายใจ มันคงทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงเหมือนกัน 

“กูเลยได้รู้อะไรดีๆ มาเพียบ”

หือ?

“อย่างเช่น สถานที่ชอบไปของใครบางคน ของที่ชอบมาก ของที่กลัว หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ถ้าไม่ใช่คนเลี้ยงมากับมือก็คงไม่รู้ แล้วยังมีฉากสวีทหวานให้กูเห็นเป็นระยะอีก สองคนนั้นไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง แรกๆ กูแทบอยากจะมุดหน้าซุกพื้นหนี แต่เวลาผ่านไปกูก็เขินน้อยลงเรื่อยๆ จนช่วงหลังกูมองพวกเขาสวีทกันได้ด้วยซ้ำ”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็ยกมือกุมขมับ นี่เอง ที่มาความหน้าทนเหมือนโบกด้วยซีเมนต์ของพาร์ในวันนี้ 

“แถมสองคนนั้นยังชอบหลุดพูดเรื่องอดีตของตัวเองทั้งสมัยที่เริ่มจีบใหม่ เริ่มคบ หรือช่วงทะเลาะกันให้ฟังอีกต่างหาก”

แล้วทำไมไม่ค่อยหลุดให้ผมฟังเยอะๆ บ้างเล่า!

“วันนี้กูเลยได้ข้อคิดมาหลายอย่าง…มิน่า เขาถึงว่าเรื่องจากอดีตคือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง” พาร์ยิ้มให้ผม “กูชอบนะ เวลาอยู่กับผู้ปกครองมึงเหมือนได้เปิดหูเปิดตาดี”

มองรอยยิ้มกริ่ม แววตาพราวระยับไม่น่าไว้ใจ ผมก็รู้ตัวทันที…พลาดแล้วครับ อย่างแรงด้วย ไม่น่าปล่อยพาร์ไว้กับผู้ปกครองผมเลย แค่วันเดียวถึงกับทำให้หมาน้อยเติบใหญ่ได้ขนาดนี้ แล้ววันที่เหลือจะไม่ยิ่งกว่านี้เรอะ

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเหงื่อตก   

“อีกอย่างกูว่าจะเลิกลังเล กังวล หรือสับสนเกินเหตุแล้ว ในเมื่อความสุขอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่คว้าไว้ในช่วงที่คว้าได้ แล้วปล่อยผ่านไป คนเสียใจที่สุดก็คือตัวเราเอง” พาร์เว้นจังหวะแล้วเอ่ยถาม “มึงว่าจริงไหม?”

ผมคิดตาม แล้วพยักหน้ายอมรับ “…จริง”

“งั้นก็เซ็นชื่อได้แล้ว”

“เออๆ แต่ขออ่านทวนอีกรอบก่อน”

ผมกวาดตาไล่อ่านใหม่อีกรอบ ตรวจดูทั้งสองแผ่นว่ามีตรงไหนผิดพลาดหรือเปล่า หูก็ได้ยินเสียงเชนที่พึ่งเดินกลับมาบ่นยางคาง “ไหน จะให้ช่วยเซ็นอะไร ส่งมาเลย”

“รอพวกกูเซ็นชื่อก่อน”

เสียงลากเก้าอี้สองตัวดังขึ้นใกล้ๆ เงียบกันสักพักก็ได้ยินเสียงเชนอีก

“กูว่าในอนาคตคงมีบันทึกข้อตกลงฉบับที่สอง สาม สี่ออกมาอีกแหงๆ ไฟต์กันแบบแปลกๆ นะพวกมึง”

เหอะๆ

ผมดูเอกสารจนแน่ใจค่อยจรดปากกาเซ็นชื่อลงไปในฐานะผู้ทำข้อตกลง แล้วส่งให้พาร์เซ็นชื่อต่อ มีพยานคือเชนกับยำด้วยสามเหตุผล ใกล้ตัวที่สุด แถมฝ่ายหนึ่งเพื่อนของผม อีกฝ่ายก็เพื่อนของพาร์ และอยู่ในเหตุการณ์ลงชื่อของพวกผมพอดี

หลังมีลายเซ็นครบถ้วนเรียบร้อย ผมก็ได้กลับคืนมาใบหนึ่ง มองกระดาษแผ่นนั้นด้วยแววตาปลงตก…อยากรู้จริงๆ มีใครโดนเล่นงานด้วยวิธีนี้เหมือนผมบ้าง คิดส่วนคิด มือก็พับกระดาษเก็บใส่กระเป๋าตังค์เรียบร้อย

ไว้กลับบ้านค่อยหาที่เก็บใหม่แล้วกัน

พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอรอยยิ้มจากพาร์ก่อน พอเบือนหน้าหลบก็เจอยำกำลังจ้องมาด้วยแววตาแปลกๆ

“อะไร?”

“มึงทำกูทั้งอึ้งทั้งทึ่งได้ทุกครั้งเลยวะ กูเลยว่าจะเอาอย่างมึง”

“หมายความว่าไง?”

“ก่อนขึ้นไปหาพี่ภู เราแวะร้านคอมกันก่อนเถอะ กูอยากไปทำเอกสารเหมือนของพวกมึง”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 10-12-2016 18:31:59
5555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dilokrittisak ที่ 10-12-2016 19:07:27
ทำไมมันจริงจังกันจังวะ

อ่านแล้วแบบ 55555555555
ชีวิตจริงจะมีคนแบบนี้มั้ยเนี่ย :hao5:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 10-12-2016 19:40:33
พาร์เอาจริงๆมากๆแล้วนะ ทีหนีไม่รอดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-12-2016 19:58:23
ทำให้ยำได้ลู่ทาง 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-12-2016 20:27:17
พาร์ ที ผลัดกันได้เปรียบ เสียเปรียบ :katai2-1:
พระเจ้า ทีนี่ช่างหาข้อต่อรองสุดๆ :ling1: :ling1: :ling1:
พาร์ ก็แก้เกมได้สุดๆ เช่นกัน :katai2-1:
จนพยานอย่างยำ ทำตาม กร๊ากกกกก
พี่ภู คงพิศวง งงงวย ยำเปลี้ยนไป๋
พาร์ สุดยอดช่างฝันเปียกได้เป็นเรื่องเป็นราว
โดนที ถีบในฝันจนไปค้นหาวิธีทำ.......ต่อไป ชอบบบบบ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ข้อแม้ ข้อต่อรองเพียบ ที อย่าใจแข็งมากเลย
พาร์ จีบดีๆ นะทีจะได้ใจอ่อน
คนอ่านจะได้ชื่นใจ มีความสุขซะที
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 10-12-2016 20:38:40
เรื่องนี้ทำเรายิ้ม ขำได้ตลอด สนุกมาก
รอตอนต่อไปค่า :katai4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-12-2016 22:05:40
พาร์ทีจะมีสักครั้งไหมที่จะไม่ต่อรองกันเนี่ย 555555 นี่ถึงกับต้องเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 10-12-2016 22:51:06
ขอตกลงระหว่างพาร์ทีคือการนำสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดชัดๆ ยอมใจพวกนางเลย
คนนึงเรียนนิติอีกคนเรียนอีคอน ข้อตกลงที่ได้คือกินกันไม่ลงแถมยังต้องมีพยานรู้เห็นเป็นการเป็นงานสุดๆ ลั่นแรง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่32] P.11 (10/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-12-2016 00:04:39
เต๊าะต่อไปค่ะพาร์
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 15-12-2016 13:01:47
บทที่ 33

ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“ทำไมล่ะ?”

“มันต้องคุยกันก่อนแล้วค่อยพิมพ์ออกมาสิ ขืนมึงเสนอไป เดี๋ยวก็ได้กลับมาแก้ไขใหม่อยู่ดี”

ยำทำหน้าครุ่นคิด “งั้นถ้ากูทำให้ปฏิเสธไม่ได้ก็พอใช่ไหม”

ผมย่นคิ้วเข้ากัน “แล้วมึงจะเอาอะไรไปเป็นข้อตกลง?”

“เอาน่า กูขอยืมตัวพาร์หน่อยนะ”

พาร์มองผม ก่อนตัดสินใจลุกจากโต๊ะพร้อมยำ สักพักเชนก็หายไปอีกคน เพราะโดนใช้ไปส่งข้าว กว่าพาร์กับยำกลับมาก็เกือบสี่สิบห้านาที เจ้าของกระดาษสองแผ่นทำหน้าระริกระรี้ยื่นของในมือให้ผมดู แต่ไอ้คนเดินตามหลังเข้ามากลับมองผมด้วยสายตาแปลกๆ

“เห็นแล้วมึงจะอึ้ง”

ผมก้มหน้าอ่านด้วยความอยากรู้ บรรทัดหัวข้อขึ้นต้นเหมือนกัน มีชื่อไอ้ยำกับชื่อพี่ภูล่ะมั้ง (พอดีเป็นชื่อจริง) ส่วนใหญ่บรรทัดบนๆ ไม่แตกต่างจากของผมเท่าไหร่ แต่พอไล่สายตามาที่เงื่อนไขก็ชะงัก

“เอ่อ…ยำ มึงอธิบายข้อแรกสิ”

“ก็บอกชัดเจนดีออก ในเมื่อมันอยากให้กูอยู่ด้วย กูก็จะอยู่เฉพาะช่วงเปิดเทอม แต่ทุกช่วงปิดเทอมกูจะเป็นอิสระจากมัน ไม่ต้องเจอหน้า ไม่ต้องติดต่อ ตัดขาดสมบูรณ์!”

“…แล้วไอ้เงื่อนไขย่อย 7 ข้อนี่ล่ะ”

ผมเคาะนิ้วถาม พลางกวาดตาอ่านอีกรอบ

1.1 ช่วงสอบงดกิจกรรมบนเตียงทุกประเภท
1.2 ช่วงเวลาปกติ ถ้ามึงต้องการกูเรื่องอย่างว่า มึงต้องขอก่อน ถ้ากูไม่ให้ก็คือไม่ได้
1.3 ห้ามใช้ลูกเล่นหรือลูกไม้กับกูทุกประเภท
1.4 ถ้าคะแนนสอบกูตกจากเดิม กูจะกลับไปนอนกับเพื่อนเพื่อติวสอบจนกว่าจบช่วงสอบของอีกครั้ง ยกตัวอย่าง ถ้าคะแนนกลางภาคกูร่วงจากเดิม กูจะห่างมึงจนกว่าจบช่วงสอบปลายภาค เช่นเดียวกับช่วงปลายภาค กูจะห่างมึงจนกว่าสอบกลางภาคของอีกเทอมเลย
1.5 กูต้องติดต่อเพื่อนได้ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้เพื่อนกูจะบุกมาถล่มมึงถึงที่
1.6 ห้ามขัดใจกู หวังว่าพูดครั้งเดียวมึงจะรู้เรื่อง ทางที่ดีมึงควรเข้าสมาคมคนกลัวเมีย
1.7 ถ้าทำตามเงื่อนไขย่อยไม่ได้ ช่วงปิดเทอมก็บอกลากันได้เลย เพราะกูจะไม่ยอมติดต่อหรือให้มึงเห็นหน้าแน่ๆ

ก็อุตส่าห์เขียนทางออกเผื่อให้ด้วย สรุปมันอยากเจอหน้าพี่ภูตอนปิดเทอมใช่ไหม?

“ก็เดี๋ยวมันหาว่ากูเผด็จการ กูเลยเอาแผนของมึงมาประยุกต์ใช้ แถมถ้ามันยอมทำตาม กูก็ได้ผลประโยชน์เต็มๆ”

“แล้วมึงคิดจะยื่นทั้งแผ่นให้พี่ภูดู?”

“ใช่ ไม่ต้องอธิบายให้เมื่อยปาก ปล่อยมันอ่านเอง”

ผมถอนหายใจทันที “มึงโง่กว่าที่กูคิดวะ”

“อยู่ๆ มาด่ากูทำไม”

“ไม่ให้ด่าได้ไง มึงทำแผนกูพังไม่พอ ดันแบไต๋ให้พี่ภูเห็นชัดขนาดนี้”

ถ้าผมเป็นพี่ภู หลังอ่านข้อแรกจบคงยิ้มขัน ไม่เห็นข้อตกลงพวกนี้อยู่ในสายตาหรอก ในเมื่อไอ้คนพิมพ์เล่นบอกโต้งๆ ว่าอยากอยู่ด้วยขนาดนี้ แล้วดูเนื้อหาดิ สื่อชัดมากว่าอยากให้เอาใจใส่มากกว่านี้หน่อย

ผมนวดขมับ “ฟังกูนะยำ กูว่ามึงเปลี่ยนใจเหอะ”

“ไม่”

“ถ้าเอาไปให้พี่ภูดู มึงจะ…” มองท่าทางภูมิอกภูมิใจของเพื่อนก็ได้แต่พ่นลมหายใจอีกรอบ ยอมเปลี่ยนคำพูด “เอ่อ มึงจะเอาอะไรไปใช้ต่อรอง”

“ทำไมต้องใช้? นี่ไง” นิ้วมันจิ้มใส่ข้อ 2. “บอกอยู่ชัดๆ ว่าครั้งแรกมันไม่มีสิทธิ์โต้แย้งหรือแก้ไขทั้งสิ้น”

เออ กูเห็นแล้ว

“แถมกูป้องกันการแก้ไขข้อตกลงด้วย”

ไอ้ที่ว่าจะแก้ไขหรือเพิ่มเติมต้องทำต่อหน้าพยาน หากพยานคนใดคนหนึ่งไม่เห็นด้วยก็จะแก้ไขไม่ได้ แถมกว่าจะแก้ไขครั้งแรกได้ก็ปาไปสามเดือน…เหอะๆๆ มึงคิดอยู่กับพี่ภูนานขนาดนั้นเลย

ผมมองหน้ายำด้วยความปลงตก ถามเสียงเอื่อยๆ “แล้วที่ต้องเอาฉบับจริงมาด้วยทุกครั้งล่ะ?”

“อ้อ แค่ป้องกันโดนทำลาย กูเลยเติมไปว่าถ้าไม่พกติดตัวมาก็ไม่มีสิทธิ์แก้ไขข้อตกลงเดิม”

ผมเหลือบมองพาร์ สบตากันปุ๊บก็ส่ายหน้าให้ผมทันที…เห็นแค่ตัวอักษรที่พิมพ์มาก็รู้แล้วว่ายำพิมพ์เอง น่าจะถกเถียงกับพาร์นานเลยล่ะ สุดท้ายพาร์คงยอมแพ้ ปล่อยคนดื้อยืมเอกสารข้อตกลงส่วนของมันให้ดูเป็นต้นแบบ ก่อนปล่อยให้พิมพ์ข้อความเอาเอง ผมบอกได้เลยว่า ข้อตกลงฉบับนี้ของยำเหมือนเด็กเขียนเล่นมากกว่า เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้หรอก

“…ยังไงมึงก็จะใช้เจ้านี่?” ผมถามอย่างใจเย็น

“เออ”

“ไม่สนใจแผนกูแล้ว?”

“ถ้ามันไม่ได้ผล ค่อยใช้แผนมึง”

ผมส่ายหน้า “ถ้ามึงจะใช้เจ้านี่ แผนกูคงใช้การไม่ได้แล้ว มึงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง”

ยำขมวดคิ้ว ครุ่นคิดไม่นานก็ชี้กระดาษในมือผม “กูเลือกใช้เจ้านี่”

ผมถอนหายใจ “ตามใจมึง”

พูดพลางคืนกระดาษทั้งสองแผ่นให้เจ้าของ นึกสงสัยในใจว่ามันเป็นพวกมาโซหรือเปล่า ชอบทำให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แล้วก็มาบ่นว่าถูกเขารังแก กรณีอย่างยำควรเรียกว่าสมยอมให้พี่ภูรังแกชัดๆ มิน่าพี่ภูถึงได้ไร้ความเกรงใจขนาดนั้น ผมล่ะกลุ้ม

“เอ่อยำ กูมีอีกเรื่องจะบอก”

“ไร?”

“กูให้คำแนะนำแค่ครั้งนี้ ต่อจากนี้กูจะไม่ยุ่งเรื่องมึงกับพี่ภูแล้ว”

ยำทำหน้างง “ทำไมล่ะ”

“มึงโตแล้ว อย่าดึงเพื่อนไปยุ่งเรื่องความรักของมึง”

“แต่พี่ไอ้ภูไม่ใช่…”

“จะรักไม่รักก็เรื่องของมึง” ผมพูดขัด “คนนี้มึงได้มาเพราะความขาดสติของตัวเอง อย่าลืมจำไว้เป็นบทเรียน และมึงควรรู้ได้แล้วว่าเพื่อนยังเป็นคน ไม่ใช่ผู้วิเศษ ช่วยมึงไม่ได้ทุกเรื่องหรอก”

“มึงจะตัดหางปล่อยวัดกู”

“เรียกผลักลูกเสือตกหน้าผาดีกว่า เพราะมึงพึ่งพาพวกกูมาตลอด ถึงเวลาที่มึงจะแก้ปัญหาที่เจอด้วยตัวเองได้แล้ว”

“มึงผิดหวังที่กูไม่ได้เลือกแผนมึงใช่ไหม”

“เปล่าเลย กูดีใจต่างหาก” ผมยิ้มให้มัน “เพราะเป็นก้าวแรกที่มึงเลือกทางเดินด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทางที่ถูกหรือผิดก็ตาม เมื่อเลือกแล้วก็ห้ามเสียใจหรือถอยหลัง เจออุปสรรคอะไรก็ฝ่าฟันไปซะ แล้วมึงจะเข้มแข็งขึ้น โดยไม่ต้องแสร้งแสดงออกว่าตัวเองเข็มแข็งอย่างทุกวันนี้”

ยำนั่งหน้าหงอยใส่ผมทันที อย่าหวังว่าผมจะใจอ่อน…

“เอางี้ กูจะให้คาถามึงไว้ป้องกันตัวจากพี่ภู”

“คาถา?”

“ใช่ แต่ต้องสัญญาก่อนว่าห้ามเอามาใช้บ่อย และต้องใช้เฉพาะเวลาถึงขีดสุดแบบทนไม่ไหวแล้วเท่านั้น”

“ทำไม?”

“เพราะถ้าเอามาใช้บ่อยจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”

“…คาถาอะไร?”

“สัญญามาก่อน”

“สัญญา”

ผมพยักหน้าพอใจ ก่อนเฉลย “คาถาเมิน”

“ฮะ?”

“เมินชนิดว่าเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุ พี่ภูทำอะไรมาก็ไม่ต้องไปโต้ตอบ นิ่งเฉยเป็นตอไม้ได้ยิ่งดี”

คนฟังมีปฏิกิริยาต่างกันไปทันที ยำอ้าปากเหวอ ส่วนพาร์หรี่ตามองผมใหญ่

…ไม่ต้องมองจับผิดแบบนั้น ผมไม่เอาวิธีนี้ไปใช้กับพาร์หรอก ขืนทำจริง แล้วเจอมากอดมาอ้อนทำตัวหงอยใส่ ผมคงรู้สึกผิดมากกว่ารู้สึกดี แต่ยำต่างไป เพราะมันนิ่งเฉยไม่เป็น ไม่พอใจก็แสดงออก ชอบใจก็แสดงออก โวยวายเก่งเป็นที่หนึ่ง เกิดจู่ๆ นิ่งเฉยขึ้นมาคงแปลกพิลึก ผมคาดเดาว่าพี่ภูต้องไม่ชอบใจ ยิ่งถ้าวิธีแก้ของตัวเองไม่ได้ผลต้องกระวนกระวายใจแน่ๆ ถือเป็นข้อได้เปรียบข้อมันล่ะนะ

“กูหวังว่ามึงจะเอาคาถานี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองสูงสุด”

ปล่อยให้ยำซึมซับคำพูดของผมไปคิด ถือโอกาสนี้ไปจ่ายเงินค่าอาหารกับค่าเค้ก (ที่เชนออกให้ก่อนหน้านี้) แล้วค่อยชวนไปหาพี่ภู (ตอนนี้จะสี่ทุ่มอยู่แล้ว) คนที่ไปมีแค่สามคน (เชนขอบาย เพราะต้องอยู่ช่วยงานพี่สาว)

รอลิฟต์คอนโดพี่ภูอยู่ไม่นานก็ได้เข้ามายืนในกล่องสี่เหลี่ยม ปล่อยตัวเลขเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมมองทางยำยำ มันยืนเงียบอยู่ข้างแผงตัวเลขในลิฟต์ ไม่ยอมมองมาตั้งแต่ออกจากร้านแล้ว

ผมลอบถอนหายใจ…ช่วยไม่ได้ล่ะนะ 

ทันทีที่ลิฟต์เปิดออก ยำก็จำเท้าเดินออกไปก่อน ก้าวเร็วจนพวกผมต้องรีบเดินตาม

…มันรีบไปหาพี่ภู? หรือกำลังหนีหน้าผม เพราะงอนเนี่ย?

“เชนบอกกูว่ามึงต้องการบอดี้การ์ด?”

ผมหันไปมองพาร์ “ก็ไม่เชิง แค่อยากได้คนเก่งๆ ช่วยระวังให้กูอีกต่อ เผื่อพลาดขึ้นมาจะได้มีคนช่วยทันเฉยๆ”

พาร์พยักหน้ารับรู้ “…ไม่นึกว่ามึงจะสั่งสอนเพื่อนต่อหน้ากู”

“สถานการณ์พาไป”

“เพื่อนมึงคงอายกูแย่”

ผมกระพริบตา “แต่ถ้ากูไม่พูดตอนนั้นคงไม่มีจังหวะได้พูดอีก”

“มึงคิดมากไป”

ผมขมวดคิ้ว “มันดื้อขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่จังหวะที่ควร มันก็ไม่ฟังหรอก ไม่สิ มันฟัง แต่ปล่อยผ่านหูไม่สนใจเก็บไปคิดมากกว่า”

“…เลยจะปล่อยให้พี่ภูอบรมเพื่อนมึง?”

“เรียกว่าสั่งสอนทางอ้อมดีกว่า สำหรับยำเรียนรู้จากภาคปฏิบัติน่าจะเร็วกว่าเรียนจากทฤษฏี มึงก็เห็นว่ามันไม่ใช่คนที่คิดอะไรซับซ้อนเป็น ยังไงก็สู้พี่ภูไม่ไหวหรอก”

“ดูมึงรู้จักพี่ภูดีนะ”

ผมชะงัก “…มึงหึง?”

พาร์ทำหน้าประหลาดใจที่โดนถามแบบนี้ แต่ก็ตอบตามตรง “นิดหน่อย ไปรู้จักกันตอนไหน?”

“เคยปะทะกันทางโทรศัพท์หนหนึ่ง”

“เมื่อไหร่?”

“ตอนไปห้องยำไง มึงกลับมาจากซื้อข้าวยังจ้องกูซะน่ากลัว นั่นนะกูพึ่งวางสายจากพี่ภู”

พาร์ย่นคิ้วครุ่นคิดใหญ่ สักพักก็ทำหน้านึกออก “มึงยิ้มด้วย ชอบสินะ?”

“ก็ถูกใจนิดๆ อย่างน้อยพอวางใจได้ว่าเพื่อนกูจะไม่โดนทิ้งก่อน”

“เขาชอบเพื่อนมึง?”

“งั้นมั้ง…เป็นพวกขี้หึงเหมือนมึงเลย”

พาร์ใบ้กินทันที ผมได้แต่ยิ้มขำ ระหว่างเดินกันเงียบๆ จู่ๆ พาร์ก็เรียกผมเสียงแผ่ว

“กูมีเรื่องจะบอก”

“หือ?”

พาร์โน้มหน้าเข้าใกล้ กระซิบข้างหูของผม “ลิฟต์ตัวเมื่อกี้มีเรื่องเล่าด้วยนะ”

เรื่องเล่า?!

“เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะตอนกลางคืน…”

“ไม่ๆๆ กูไม่อยากรู้ ไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น!”

พูดไปก็เผลอกวาดตามองระแวงรอบตัวไป ทางเดินติดหลอดไฟจะสู้แสงอาทิตย์ได้ไง แต่ๆ เวลานี้พระอาทิตย์หนีไปนอนนานแล้ว แล้วทำไมไม่มีใครเดินสวน หรือเดินตาม…ไม่ๆ ไม่ต้องเดินตามหรอกผมสยอง ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว สุดท้ายก็คว้าชายเสื้อพาร์มากำเป็นเด็กๆ แต่ผมอุ่นใจที่ได้ทำแบบนี้มากกว่า

“ไม่อยากฟังแน่นะ?”

“ไม่ฟัง!”

 เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะในคอ ผมขมวดคิ้วหันมองพาร์ แต่สีหน้ามันเป็นปกติ แถมยังมองมาเป็นเชิงถาม

“ม…ไม่มีอะไร เดินตามยำไปเถอะน่า”

แต่คนพูดถึงเดินนำห่างตั้งแต่ต้น กลับเป็นฝ่ายเดินวกกลับมาหาก่อน พร้อมรอยยิ้มเหือดแห้ง

“เอ่อ ห้องพี่ภูหมายเลขอะไรนะ”

ผมติดสตันไปสามวิ ก่อนถามกลับ “มึงไม่รู้?”

“ไอ้พี่ภูอุ้มกูที่หลับเข้าห้อง ตอนออกมาก็เดินกึ่งวิ่งตามแรงฉุดของมึง ไม่ทันได้มองเลขห้องวะ”

ผมตบหน้าผากทันทีหลังได้ยิน “แล้วเดินนำทำไม”

“ก็…” พูดถึงตรงนี้มันก็เงียบไป

ผมถอนหายใจ กวาดตามองดูเลขห้องแถวนี้ ก่อนยกมือชี้ทาง “เรามาผิดทางแล้ว ต้องเดินย้อนกลับไปทางลิฟต์ แล้วเลี้ยวไปอีกด้าน”

“อ้าว”

อย่ามาอ้าว แค่นึกว่าต้องเดินผ่านลิฟต์ผมก็ขนแขนลุกแล้ว คิดแล้วก็โบกมือให้ยำเดินนำ ลากพาร์เดินไปด้วยกัน ยิ่งเข้าใกล้ลิฟต์ผมยิ่งขยับชิดพาร์มากกว่าเดิม ไม่คิดหันไปมองลิฟต์ตัวที่ว่า กว่าจะผ่านพ้นมาได้ใจผมเต้นผิดสเต็ปด้วยความระทึกตั้งนาน

ย...ยอมรับก็ได้ว่าผมกลัวผี!

ทำใจสักพักค่อยเงยหน้ามองทางข้างหน้าอย่างหวาดระแวง แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างๆ

“หัวเราะอะไร”

“หัวเราะคนน่ารัก”

ผมขมวดคิ้ว แถวนี้มีคนน่ารักที่ไหน มองไปทั้งทางเดินมีแต่ผู้ชายสามคน วังเวงเป็นบ้า…เฮ้ย มันคงไม่เห็นอะไรแบบว่า อึ๋ย อย่าคิดๆ

“ช่วยน่ารักน้อยลงหน่อยได้ไหม มันไม่ดีกับหัวใจกู”

“อีกไกลไหมวะ?”

เสียงยำตะโกนแทรกมา หลังชูมือบอกหมายเลขห้องให้เห็นก็ปล่อยยำมองหาเอาเอง หันไปถามคนข้างๆ ซ้ำอีกที เพราะเมื่อกี้จับใจความทันแค่คำว่า ‘ช่วย’ กับ ‘ไม่ดีต่อหัวใจ’ อะไรสักอย่าง

“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?”

“กูบอกว่า…เพื่อนมึงกระโดดแหยงๆ อยู่นู้นแล้ว”

ผมหันมองตามที่พาร์ชี้บอก เห็นยำกำลังชูมือกระโดดแหยงๆ อีกข้างชี้ใส่บานประตูห้อง จู่ๆ ประตูบานที่ว่าก็เปิดออกกะทันหัน ลากไอ้ยำที่ไม่ทันตั้งตัวหายวับเข้าไปด้านใน 

เฮ้ย!

ระหว่างรีบวิ่งไปที่หน้าห้องนั้น ผมเห็นประตูปิดต่อหน้าต่อตา แว่วเสียงกดล็อกกลอนลอยเข้าหู ลองพยายามเปิดประตูกลับติดล็อกตามคาด

“เอาไงต่อ?”

ผมมองหน้าคนถาม ตัดสินใจปล่อยมือจากลูกบิด บอกด้วยเสียงปลงตก “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อีกอย่างกูพอจะเดาผลได้ตั้งแต่ยำเลือกเอกสารข้อตกลงของมันแล้ว”

“งั้นก็กลับ”

พวกผมเดินผละจากมา ลองคิดดูอีกที พี่ภูคงรู้ว่าเป็นยำจากเสียงตะโกนถามหาห้อง แล้วยังเสียงกระโดดหน้าห้อง ถ้าไม่ใช่ยำคงไม่มีใครกล้าทำ ผมขอถอนหายใจอีกเฮือกแล้วกันครับ รู้สึกเหมือนผมไหม มันทำตัวเองชัดๆ

“คิดว่าพี่ภูจะยอมเซ็นชื่อปะ?”

“ไม่อ่ะ” ผมตอบทันที “ถ้าไม่ทำลายทิ้ง ก็อาจยอมเซ็นเล่นๆ ให้ยำตายใจจะได้อยู่ในโอวาท”

“…ดูมึงรู้ความคิดเขาดีนะ”

“ช่วยไม่ได้วะ ความคิดของกูกับพี่ภูมีบางส่วนคล้ายกัน เดาไม่ยากหรอก”

“งั้นเหรอ”

“อือ แต่ถ้าสมมุติพวกกูอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน แม้จะคิดคล้ายกัน แต่วิธีการคงไม่เหมือน เพราะอุปนิสัยต่างกันล่ะมั้ง…”

ผมหยุดพูด เพราะความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงช้าๆ แบบนี้มัน รีบกวาดตาสังเกตรอบตัวก็พบว่ากำลังอยู่ในลิฟต์...

แว๊กกก!

ผมกระโจนเข้าหาสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวใกล้ๆ เกาะติดหนึบพาร์ประหนึ่งเราเป็นปาท่องโก๋ หลับหูหลับตาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หากโหยหวนได้คงบอกแค่ประโยคนี้

ปล่อยกูออกไป~

ติ๊ง!

ดุจเสียงสวรรค์ ผมรีบลืมตาลากพาร์ออกมาทันที ไม่สนใจว่าชั้นไหนทั้งนั้น ขอแค่ออกห่างจากลิฟต์ผีสิงได้ก็พอ แต่โชคดีที่มันเป็นชั้น1

ทางออกอยู่ไหน มองเจอปุ๊บลากพาร์ไปปั๊บ “จอดรถไว้ไหนวะ รีบเลย กูอยากกลับบ้าน”

“พรืด!”

“ใช่เวลาหัวเราะที่ไหน! นำทางเลย เร็วๆ”

“ครับๆ”

แต่พอจะถึงบ้านจริงๆ ผมกลับไม่อยากให้ถึงซะนี่

“เอ่อ แวะที่อื่นก่อนดีไหม”

“มันดึกแล้ว”

“พึ่งเลยสี่ทุ่มครึ่งมานิดเดียวเอง”

“ก็ดึกแล้วอยู่ดี”

ความเงียบเริ่มปกคลุมในรถ ผมนั่งเครียดทำใจเตรียมรับสถานการณ์ที่จะเกิด…

“ที”

“อะไร”

“ถึงหน้าบ้านมึงพักหนึ่งแล้ว นู้น ผู้ปกครองสองคนออกมายืนหน้ายักษ์รอมึงอยู่”

เร็วเกินไปแล้ว!

“รีบลงรถเลย กูอยากอาบน้ำนอนจะแย่แล้ว พรุ่งนี้กูมีสอบเช้าด้วย”

คนสอบพรุ่งนี้บ่ายอย่างผมทำได้แค่เปิดประตูรถลงมาด้วยสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ยังไม่ทันอ้าปากพูดขอโทษ สองเสียงก็ประสานใส่หน้าผม

“กักบริเวณ!”

ผมถอนหายใจ คาดเดาไม่ผิด


“เอาตารางสอบมาให้ทาจังด้วย เพราะทั้งขาไปและขากลับจากมหาลัย นิกกับทาจังจะคอยรับส่งเราเอง นอกนั้นห้ามออกจากบ้านจนกว่าทาจังจะพอใจ”

อันนี้ก็ตามคาด

“พกกระเป๋าเงินได้ แต่ข้างในต้องมีแค่ยี่สิบบาท”

ผมทำหน้าเหวอกับคำพูดลุงนิก “แล้วทีจะมีเงินที่ไหนไปซื้อข้าวกิน?”

“ถ้าวันไหนสอบทั้งเช้าและบ่าย ทาจังทำข้าวกล่องให้เอง รีบเข้าบ้านอาบน้ำซะ ก่อนนอนลงมาให้ทาจังสั่งสอนก่อนด้วย”

“สะ…สั่งสอนแบบไหนครับ?”

“ทางวาจา ส่วนร่างกายรอไปก่อน ทาจังก็อยากรู้ว่าเราขึ้นสนิทหรือยัง”

ผมรีบส่ายหน้า “ไม่แน่นอน ทีพึ่ง…” หุบปากฉับ ขืนบอกว่าไปเตะผ่าหมากคนมาด้วยเหตุผลขี้ปะติ๋ว มีหวังโดนดุด่าหนักกว่าเดิม

“พึ่ง?”

“พึ่งนึกได้ว่าควรฝึกร่างกายทุกวัน แต่ช่วงนี้ติดสอบ ทีเลยไม่ค่อยได้ทำ”

“นั่นสินะ แต่ก่อนนอนอย่าลืมมาหาทาจังล่ะ”

“ครับ”

ผมขานรับเสียงแห้ง เอาเถอะ โดนด่ายาวก็ดีกว่าแบกร่างกายสะบักสะบอมไปสอบล่ะนะ

เข้าสู่ช่วงสอบสองอาทิตย์ ในมหาลัยจะว่าเงียบสงบก็ใช่ แต่ก็เหมือนคลื่นใต้น้ำ บางทีก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกจากมุมโน้นมุมนี้ อาการบ้าๆ บอๆ ของเพื่อนที่สติแตกก็มีให้เห็น เรียกเสียงหัวเราะคลายเครียดได้ไม่น้อย เป็นช่วงที่หลายคนเลือกอยู่กับตัวเอง บางคนก็เลือกติวกับเพื่อน

ผมอยู่ในกรณีแรก เพราะติดโทษกักบริเวณจากผู้ปกครอง จะมีเวลาอิสระก็แค่ก่อนเข้าสอบเกือบชั่วโมง ส่วนหลังสอบไม่ต้องถามหา ถ้ากระโดดเกาะรถที่มาจอดหน้าตึกถูกเวลาได้คงทำไปแล้ว ลองเลียบเคียงถามดู ถึงพบข้อเท็จจริงบางอย่าง

ลุงนิกกับทากะซังเป็นศิษย์เก่าที่นี่ครับ ที่หายไปช่วงผมสอบเนี่ย ไม่ได้ไปไหนไกลเลย แค่แวะเวียนตามร้านอาหารต่างๆ ในมหาลัยบ้าง นอกมหาลัยบ้าง เชื่อเถอะ ลุงนิกกับทากะซังไปรำลึกความหลังกันมาแหงๆ ที่น่าเหลือเชื่อคือ กะเวลาผมสอบเสร็จได้ตรงเผง คือผมน่ะออกก่อนหมดเวลาสอบทุกที ความจริงไม่ควรกะเวลาได้สิ

“อ้อ ง่ายจะตาย ทีใช้เวลาทำข้อสอบพอๆ กับทากะ แล้วลุงคำนวณของทากะมาตั้งกี่ครั้ง ถ้ายังเดาของทีไม่ถูกก็แย่แล้ว”

เป็นคำตอบที่ผมพูดไม่ออก ส่วนคนโดนอ้างชื่อแค่ยิ้มแห้งส่งให้

ขอวกกลับเข้าเรื่องเดิมอีกครั้ง เนื่องจากเวลาอิสระมีแค่นี้ แขกที่แวะมาหาเลยต้องมาช่วงนี้ตาม

ขาประจำเป็นใครไม่ได้นอกจากพาร์ มันจำตารางสอบของผมได้ แถมยังสามารถให้ข้อมูลกับคนอื่นได้อีก ถึงตอนนี้ยังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างคนต่างไป รถผมโดนมันยึดครองไปแล้ว (ยอมครับ พาร์จำเป็นต้องใช้) เพราะเวลาสอบส่วนใหญ่ไม่ตรงกัน มีตรงกันอยู่ครั้งหนึ่งพาร์เลยติดรถมาด้วย กลายเป็นว่าขากลับมันโดนลุงนิกทิ้ง ต้องหาทางกลับมาเอง (โชคร้ายที่วันนั้นทากะซังไม่ได้ไปด้วย) สุดท้ายเอารถมาเองสะดวกสำหรับมันมากกว่า

ส่วนขาจร (ที่มาเพียงครั้งเดียว) คนแรกคือพี่ดินครับ มาหาเมื่อวันพุธ ผมสอบวิชาที่สองพอดี มาถึงก็นั่งหน้ายุ่งใส่ผม

“พี่ได้ยินพาร์บอกว่าเราโดนผู้ปกครองสั่งกักบริเวณ”

“ครับ”

“มารับมาส่งตามเวลา ห้ามเถลไถล”

“ครับ”

“แผนพี่เลยต้องงดไปโดยปริยาย”

“...ครับ”

“เฮ้อ…” พี่ดินเคาะนิ้วกับโต๊ะ “เอาเถอะ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้”

แล้วพี่ดินก็จากไปแบบงงๆ อันที่จริงผมลืมแผนของพี่แกไปแล้ว ที่พอจำได้ก็ให้ตัวติดกันเข้าไว้ กินข้าวกลางวันด้วยกัน ไปหากันถึงหน้าห้องสอบ อะไรพวกนี้ แต่ที่ผมจำได้แน่ๆ คือตารางสอบของพาร์ครับ ไม่ใช่อะไรหรอก โดนพี่ดินสั่งให้ท่องจำหลายเที่ยวมาก ประมาณไม่แม่นไม่ปล่อยตัว

หลังจากนั้นสองวัน ยำเป็นฝ่ายมาหาผมถึงที่ สงสัยเพราะผมสอบตึกรวม แถมเพื่อนผมก็ยังไม่มีใครมา มันถึงกล้าเข้ามาหา เพราะจนถึงตอนนี้มันก็ยังเข้าหน้าเพื่อนกลุ่มผมไม่ติด ยิ่งหลังทั้งกลุ่มรู้ว่ายำกับเด็นเลิกกันไปแล้ว และคาดเดาว่าที่เด็นโดดสอบก็เพราะยำเป็นเหตุด้วย มันก็ยิ่งหลีกเลี่ยงมาหาผมมากขึ้น

“ไอ้ที”

“หือ?”

“กูกลัว”

“ฮะ?” 

“พี่ภูโคตรน่ากลัวเลย!”

“มึงโดนแกล้งอีกแล้ว?”

มันส่ายหัวไปมา ทำหน้าจะร้องไห้ “พี่ภูโคตรใจดี ใจดีจนเหมือนไม่ใช่มัน กูกลัววะ”

ซะงั้น

“แล้วมึงบอกวินยัง?”

“บอกแล้ว กูโดยมันโวยวายใส่แทบแย่”

“ก็สมควร มันเป็นห่วงมึงมากนี่”

“วินกับไวแค่เข้าใจผิด คิดว่าคู่แค้นอย่างพี่ภูอุ้มกูไปทำร้ายร่างกาย…ถึงมันจะเดาถูกส่วนหนึ่งก็เถอะ”

ผมยิ้มให้กับประโยคหลังแผ่วเบานั้น เพราะหน้าคนพูดออกอาการกระอักกระอวนไม่ค่อยอยากเอ่ยถึง

“แล้วมึงไปสารภาพกับพวกนั้นหรือยังว่านั่นนะสามี”

“ใครจะไปกล้าบอก”

“ไม่บอกเพื่อนก็เข้าใจผิดไม่เลิก”

“กูรู้ ทุกวันนี้เล่นโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบทุกคืน จนพี่ภูมองเขม่นทุกทีเวลากูคุยโทรศัพท์กับวิน”

ก็สมควร

คิดอย่างปากผมพูดอีกอย่าง “เรื่องของมึง ตัดสินใจเอาเอง”

“กูนึกว่ามึงจะอาสาไปช่วยบอกซะอีก”

ผมเลิกคิ้วหลังได้ยินเสียงโอดครวญ “กูบอกแล้วว่าไม่ยุ่งก็คือไม่ยุ่ง มึงจัดการเอาเองเถอะ”

ถัดมาอีกอาทิตย์ (วันจันทร์) บังเอิญเจอพี่ภูหน้าห้องสอบ ส่วนผมกำลังรอเข้าสอบห้องที่เฮียแกพึ่งออกมานั่นแหละ พี่ภูเดินแยกกลุ่มเพื่อนเจาะจงมาหาผม ทำเอาเพื่อนกลุ่มผมกระเจิงไปคนละทาง เพราะหน้าเฮียแกโคตรไม่รับแขกเหมือนเดินมาหาเรื่องกันชัดๆ มาถึงก็ฉีกยิ้มเหนื่อยๆ ให้ สงสัยโดนข้อสอบสูบพลังงานไปเยอะ

“พี่ได้ยินว่ายำไปโวยวายกับเรา”

“พี่คงมีสายเยอะมาก” ข่าวถึงได้วิ่งเข้าหูพี่แก

พี่ภูหัวเราะ “ก็ไม่เท่าไหร่ แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ”

ผมพยักหน้า “ได้ยินว่าพี่เปลี่ยนมาใจดีแล้ว?”

“ก็ลูกแมวเล่นบอกโต้งๆ” พี่ภูชูนิ้วขึ้นนับ ยิ้มกริ่มอย่างน่าหมั่นไส้ “ช่วยดูแลฉันดีๆ หน่อย ช่วยตามใจฉันหน่อย อ้อ มีช่วยเอาอกเอาใจฉันหน่อย พี่เลยทำเฉยไม่ลง กลัวลูกแมวไม่พอใจหนีไปอีก”

“แล้วข้อตกลงสองแผ่นนั้น?”

“หลังอ่านจบ พี่ก็จัดการเอาไปเคลือบพลาสติกแขวนเก็บไว้อย่างดี ข้อความอ้อนจากลูกแมวเถื่อนเชียวนะ ใครจะทิ้งลง”

“แล้วพี่ได้เซ็นชื่อปะ?” ผมถามเรื่องอยากรู้ที่สุด

“เซ็นสิ”

ผมทำหน้าประหลาดใจ “เพื่อให้ยำตายใจ?”

“เปล่า แค่เซ็นรับรู้ว่าได้รับข้อความประท้วงจากลูกแมวแล้ว แต่พี่เซ็นไปแค่แผ่นเดียว” พูดถึงตรงนี้พี่ภูก็หัวเราะ “น่ารักดีนะ พี่ไม่รู้เลยว่ายำคิดทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย”

ผมอยากถอนหายใจจริงๆ คนหนึ่งคิดอย่าง อีกคนคิดอย่าง แต่กลับอยู่ด้วยกันได้ ลองนับนิ้วดูแล้วผมก็รีบถาม “อยู่ร่วมกันหนึ่งอาทิตย์แล้วเป็นไงบ้าง?”

“ดีนี่ ช่วงนี้ลูกแมวของพี่ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือเลยไม่อยากไปกวน แต่เวลาพี่เครียดๆ ก็ชอบไปแหย่เล่นนะ เห็นปฏิกิริยาตอบกลับมามันสนุกดี”

“แล้ว…เอ่อ เรื่องทางร่างกาย?”

“ช่วงนี้พี่ไม่ได้ไปยุ่ง”

ผมพยักหน้า รู้สึกโล่งใจแทนเพื่อน “ยังไงก็ช่วยทะนุถนอมร่างกายเพื่อนผมหน่อยนะครับ”

“พี่จะพยายาม”

แต่ก่อนพี่ภูจากไป กลับทิ้งท้ายให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ว่าพี่แกจะมาเอาคืนหรือเปล่า

“ลูกเตะเราเยี่ยมมาก หึๆๆ”

-------------

“โดนทากะซังไล่ออกมา?”

ผมยิ้มแห้งให้พาร์ จัดการถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัว

จะว่าไงดี ผมช่วยเตรียมวัตถุดิบได้ แต่ช่วยทำอาหารไม่ได้ เนื่องจากวิชาในครัว ผมเรียนมากับแม่บ้านของคุณย่าที่เป็นคนไทย เวลาปรุงรสมันเลยออกไปทางไทยมากกว่าญี่ปุ่น สรุปคือทากะซังไม่ปลื้ม ผมเลยต้องระเห็จออกมานั่งรอกินด้านนอกแทน เพราะถ้าอยู่ในครัวต่อ มันอดไม่ได้ต้องคันไม้คันมืออยากทำบ้าง และกลายเป็นว่าไปขัดแข้งขัดขาทะกะซังแทน (ผมเลยมักโดนไล่ออกมาตลอด)

“เหลือสอบอีกกี่ตัว?”

ผมทำหน้านึก “สาม”

“แล้วเพื่อนมึงล่ะ โผล่หน้ามาสอบยัง”

“ไม่เห็นเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ คนที่คิดซิวบางคนไม่มาสอบก็มี เด็นเลยโดนเพื่อนๆ ลงความเห็นว่าอาจจะซิวไปเรียนที่อื่น”

“มึงยังไม่ได้บอกเพื่อนคนอื่น?”

“รอสอบเสร็จก่อน บอกไปตอนนี้ก็ทำให้กังวลเกินเหตุเปล่าๆ ปล่อยพวกนั้นมีสมาธิกับเรื่องสอบไปเถอะ…แล้วได้ข่าวอะไรเพิ่มไหม?”

“ผู้ปกครองมึงปิดปากเงียบ เดาว่าคงคิดเหมือนมึงคืออยากให้สอบเสร็จก่อน กูเลยได้แต่แอบๆ ฟังมา ไม่ค่อยปะติปะต่อเท่าไหร่”

ผมถอนหายใจ “เอาเถอะ เรื่องถึงตำรวจแล้ว พวกเราทำได้แค่รอผลอย่างเดียว”

พาร์พยักหน้าเห็นด้วย “อ้อ ได้ยินมาว่า ตำรวจแจ้งไปทางผู้ปกครองเด็นกับทางมหาลัยแล้ว”

สีหน้าผมเปลี่ยน “กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วสินะ”

“ก็คนหายไปเป็นอาทิตย์”

“แต่ยังมีชีวิตอยู่”

“จากที่ตามร่องรอยพบ” พาร์ว่าเสริม “และดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับสามคนที่เราแจ้งบอก ทางตำรวจเลยแค่จับตามองพวกมันอยู่ห่างๆ”

“ถ้าไม่เกี่ยวแล้วเด็นจะหายไปได้ยังไง?”

“กูเดานะ แค่เดา บางทีอาจหนีจากคนพวกนั้นล่ะมั้ง”

“แล้วถ้าไม่ใช่”

พาร์ส่ายหน้า “กูไม่รู้ เท่าที่จำข้อมูลพวกมันได้ ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”

“พาร์! ที! มาช่วยทาจังยกออกไปหน่อย”

พวกผมขานรับ รีบตรงเข้าครัวไปช่วยยกอาหารออกมาจัดวางบนโต๊ะ ยุติเรื่องเครียดลงแค่นั้น

############

ใครสนใจคู่ภูยำ เรามีเปิดเรื่องไว้นะคะ
ชื่อเรื่อง: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน!
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3535252#msg3535252 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3535252#msg3535252)

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-12-2016 16:59:50
อือ.....ยำเหมือนลูกแมวเถื่อน อย่างพี่ภูว่าเลย
ก่อนหน้านี้ มองภาพยำ แมนๆ คงเพราะรุกเด็น
ข้อตกลงที่ทำไว้ขนาดมีต้นแบบของที
ยำยังสามารถทำออกมามุ้งมิ้ง เข้าทางพี่ภู จริงๆ
ชอบพาร์ ที รู้ทันกันดี  :ling1: :ling1: :ling1:
ลุงนิก ทากะ ก็น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:
กำลังอยากอ่านพี่ภู ยำ พอดี :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ไรท์ ใจดีมีให้อ่านและ  :pig4: :pig4: :pig4:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-12-2016 20:42:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 15-12-2016 20:48:30
ค่อนๆรุกนะพาร์..ที...ไม่ไปไหนเสีย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-12-2016 21:25:36
ยำเอ้ยย ข้อตกลงเอื้อพี่ภูโคตร
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 16-12-2016 00:24:29
ยำน่ารัก นางคือลูกแมวเถือนผู้น่ารักของเพื่อนๆและพี่ภูชัดๆ นิสัยเด็กมาก ทีเลี้ยงดูอุ้มชูยิ่งกว่าลูกอีกมั้งเนี่ย555555
ตอนที่ทีเตือนยำคือมันให้ฟิลเหมือนแม่กำลังให้โอวาสลูกสาวก่อนออกเรือนพิลึก สัญญาเข้าทางพี่ภูสุดๆเลยนะนั้น
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 16-12-2016 09:42:38
สนุกมากกกกกกกก มาก มาก มาก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-12-2016 14:00:47
อ่อยยย!! ดี้ดี
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-12-2016 17:39:32
ยำแมวน้อยเหมือนเป็นลูกสาวทีเลย น่ารักมึ้งมิ้งดี ข้อตกลงพวกนั้นก็เข้าทางพี่ภูไปอีก 55555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 16-12-2016 18:29:51
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 16-12-2016 18:56:02
 :-[
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-12-2016 20:47:09
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dilokrittisak ที่ 17-12-2016 00:05:15
อยากอ่านคู่ของพี่ภูกับยำ :hao5:

ยังไม่เห็นแววว่าทีจะใจอ่อนกับพาร์เลย :ling1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 18-12-2016 20:08:48
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 20-12-2016 20:42:58
ตอนแรกยำคือแมนมาก เจอพี่ภูเข้าไปกลายเป็นลูกแมวน้อยเลย น่ารัก :-[
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-12-2016 01:12:13
บทที่ 34

“จะเปิดสอนเมื่อไหร่?”

ผมชะงักช้อนในมือ หันมองผู้ปกครองทั้งสองที่กำลังเปิดประเด็นบนโต๊ะอาหาร

“ใกล้แล้วล่ะ ปิดนานกว่านี้คงไม่ไหว”

“สงสารลูกศิษย์ตัวเอง?”

“ก็ถ้าขาดรายได้ตรงนี้ไปคงแย่”

“ไม่ก็หนีหายไปทำงานที่อื่นแทน” ลุงนิกพูดแหย่

ทากะซังถอนหายใจ “หาคนมาเป็นครูสอนไม่ใช่เรื่องง่ายนะนิก ยิ่งคนที่ไว้ใจได้หายากยิ่งกว่าอีก”

ผมกับพาร์ฟังเงียบๆ ไม่มีขัด ผู้ปกครองทั้งสองของผมกำลังพูดถึงเรื่องโรงเรียนของทากะซัง เท่าที่จับใจความได้คือ ก่อนหน้านี้มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บระหว่างเรียน แต่ไม่มากครับ (ทางครอบครัวเด็กไม่ได้ต่อว่าด้วยซ้ำ) ถึงอย่างนั้นทากะซังก็สั่งปิดชั่วคราว แล้วรีบเดินทางมาตรวจสอบหาสาเหตุด้วยตัวเองอยู่ดี หลังตรวจสอบเสร็จก็สั่งปรับปรุงสถานที่ใหม่ทันที ให้เหตุผลง่ายๆ ว่าของบางอย่างเก่าแล้วถึงเวลาเปลี่ยนใหม่

นี่เป็นเหตุผลที่ทากะซังกลับไทยกะทันหัน และเป็นจุดเริ่มต้นที่บ้านแฝดฝั่งขวาส่งเสียงดังตั้งแต่เช้ายันเย็นทุกวัน ดีที่ห้องนอนผมเก็บเสียงจากภายนอก ต่อให้ดังกว่านี้เด็กเตรียมสอบอย่างผมกับพาร์ก็ไม่มีปัญหา เสียก็แต่พื้นที่ในการอ่านหนังสือถูกจำกัดไว้แค่ในห้อง บางครั้งพวกผมก็ขนหนังสือกับชีทหนีไปหาสถานที่นอกบ้านอ่านหนังสือเป็นครั้งคราว

แต่ศัตรูของเด็กเตรียมสอบจริงๆ กลับเป็นคนว่างงานอย่างลุงนิกต่างหาก!

นึกถึงตรงนี้ผมก็แอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ทุกปีช่วงเวลานี้ลุงนิกจะได้ลาพักร้อนยาวสามอาทิตย์ แลกกับทั้งปีจะไม่มีวันหยุดให้ แถมยังเป็นช่วงที่ทากะซังต้องไปญี่ปุ่นด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าลุงไปทำข้อตกลงอะไรมา แต่พอเดาได้ว่าไม่ปู่ก็ย่าสร้างเงื่อนไขทางเลือกให้ลุงนิกว่าจะมาไทยหาผม หรือไปญี่ปุ่นหาทากะซัง

สรุปคือตั้งแต่นั้นมา ลุงนิกไม่ได้กลับมาเหยียบไทยอีกเลย

อย่าคิดว่าลุงนิกละเลยผมนะครับ พอดีตอนนั้นผมโตพอระดับหนึ่งแล้ว แถมอยู่ทางนี้ก็มีพ่อแม่คอยดูแล ถึงจะคิดถึงก็ฝืนบอกลุงว่าไม่ต้องมาหา ขอแค่ถ้าไปญี่ปุ่นก็ซื้อของมาฝากกันด้วย เลยกลายเป็นว่าผมได้รับพัสดุจากญี่ปุ่นทุกปี แต่ปีนี้คงอด เพราะลุงเล่นลักไก่มาเจอผมกับทากะซังที่ไทยแทน เชื่อเถอะ คนทางนู้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทากะซังกลับไทย

ผมเคี้ยวข้าว พลางเหลือบมองผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง แล้วหันมองพาร์ที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ

คนซวยที่สุดก็น่าจะเป็นพาร์นี่แหละครับ

เอ่อ จะเล่ายังไงดี…ก่อนอื่นก็เรื่องของเวลา นานแล้วที่พวกผมสามคนไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา โอกาสนี้หายากแสนยาก แต่กลับมีตัวแถมโผล่มาหนึ่ง ไม่แปลกที่ลุงหงุดหงิด เรื่องที่สองมันดันไปกระตุ้นต่อมหวงลูกของลุงนิกด้วยการพูดจาให้ผู้ใหญ่รู้ว่าคิดกับผมเกินเพื่อน และเรื่องสุดท้าย ผมพึ่งจับสังเกตได้ว่าลุงแกหวงเมียครับ เลยไม่พอใจที่ทากะซังให้ความเอ็นดูพาร์เป็นพิเศษ

ทั้งหมดนี่ (ผมไม่ขอพูดถึงเรื่องอดีตนะ แต่คิดว่ามันน่าจะมีส่วนไม่มากก็น้อยเช่นกัน) ทำให้พาร์โดนลุงนิกเหม็นขี้หน้าไปเรียบร้อย และผลสืบเนื่องต่อมาคือการโดนคนอารมณ์เสียก่อกวนบ่อยๆ จนผมที่ต้องใช้สถานที่อ่านหนังสือเหมือนมันพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

เมื่อผมหมดความอดทนก็เผลอต่อสายตรงถึงแดนไกล ฟ้องตัวช่วยหนึ่งเดียวที่ปราบลุงนิกได้แน่ๆ โดยมีทากะซังให้การสนับสนุนลับๆ (คนนี้ก็โดนลุงนิกป่วนช่วงกำลังยุ่งๆ เหมือนกัน)

[…โดนเจ้านิกกวนตอนอ่านหนังสือสอบ? แปลกดี ทุกทีไม่เห็นทำ]

“ก็ทำไปแล้ว ทีถึงโทรมาฟ้องปู่นี่ไง”

[มันต้องมีเหตุผลสิ ไม่บอก ปู่ก็ไม่ช่วย]

ผมสบตาทากะซัง รู้อยู่แก่ใจว่าห้ามหลุดเรื่องทากะซังอยู่ไทยออกไปเด็ดขาด ครุ่นคิดเร็วจี๋ก่อนกลั้นใจยอมเฉือนเนื้อตัวเองออก

“เพราะทีพาเพื่อนมาค้างที่นี่ล่ะมั้ง” บอกเสียงแผ่ว

[เพื่อน?]

“อือ เป็นลูกเพื่อนพ่อแม่ ทางบ้านเขามีปัญหานิดหน่อยเลยต้องมาพักบ้านพ่อชั่วคราว ทีกับเขาอยู่มหาลัยเดียวกันช่วงนี้เลยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”

[พาเพื่อนคนนั้นไปบ้านโฮทากะ?]

“…ครับ”

[ปู่ว่าไม่ใช่แค่เพื่อนล่ะมั้ง เพราะต่อให้เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก ทียังไม่ยอมพาไปที่นั้นเลย]

“กะ ก็ตอนแรกทีกะพาเขาไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆ ที่บ้านย่านี่! แต่เจอปู่กับลุงซ้อนแผนเข้า เลยต้องพาเขามาบ้านทากะซังก่อน”

[อ้าว กลายเป็นปู่ผิด] น้ำเสียงปลายสายฟังดูขบขัน [ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าไม่ใช่คนที่เราไว้ใจได้ หรือมีความสำคัญด้วย ไม่มีทางที่เราจะพาไปที่นั้นหรอก ถ้าปู่พูดผิดก็แย้งมาสิ]

ใครจะแย้งออก!

อาการน้ำท่วมปากเป็นไงผมพึ่งรู้ซึ้งก็ตอนนี้

[หึๆๆ] แว่วเสียงหัวเราะรู้ทันจากคนปลายสาย ทำเอาผมยิ่งยืนเงียบกริบ [แล้วเด็กคนที่ว่า ผู้หญิงหรือผู้ชาย? ชื่ออะไร? มีรูปไหม? ส่งมาให้ปู่ดูหน่อย]

“ปู่จะดูไปทำไม!”

[ก็แค่อยากรู้จักคนของหลาน]

ผมยกมือกุมขมับ ขนาดแกล้งโวยวายก็ยังไม่หลงกล เอาวะ ปิดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สู้บอกตรงๆ น่าจะยังได้ประโยชน์กว่า

“ตอนเด็กๆ มีคนทำขนมมาให้ทีบ่อยๆ ปู่ยังจำได้ไหม?”

[จำได้สิ คุกกี้ใช่ไหมล่ะ]

“…แล้วยังจำชื่อเล่นเด็กคนนั้นได้หรือเปล่า?”

ปลายสายเงียบไปนาน ก่อนเอ่ยออกมาเหมือนไม่แน่ใจ [พาร์รึเปล่านะ]

“คนนั้นแหละ”

[หือ?]

“คนที่ทีพามาค้างที่นี่ด้วยคือเด็กคนนั้นแหละ”

ทางปู่เงียบไปเลย ผมกำชายเสื้อแน่นรอลุ้นผลตอบรับ แต่สิ่งที่ได้คือเสียงถอนหายใจยาวเหยียด

[เฮ้อ…ภรรยาปู่ได้อกแตกตายแน่ๆ]

“นั่นแค่เพื่อนที!”

[เพื่อนตอนนี้ แต่อนาคตไม่แน่ใช่ไหมล่ะ]

“คุณปู่!”

[มิน่าล่ะเจ้านิกถึงได้ออกอาการหวงลูก เอาเถอะๆ ถ้าเป็นเด็กคนนั้นปู่ยอมก็ได้ แต่ไม่เอาแบบเจ้านิกนะเจ้าที ถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายแน่ๆ ก็ช่วยโทรมาเกริ่นกับปู่ย่าก่อน…]

“ใครจะกล้าบอกคุณย่ากัน!”

[ไม่บอกแล้วโดนจับได้ทีหลัง เดี๋ยวก็ได้ระเบิดลงเหมือนเจ้านิกหรอก]

ผมเม้มปากแน่น เถียงไม่ออก ไหล่ซ้ายถูกบีบเบาๆ หันมองเจ้าของมือก็เจอแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและให้กำลังใจจากทากะซัง ผมสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนวกกลับเข้าประเด็นหลัก ไม่ยอมให้การโทรทางไกลครั้งนี้เสียเที่ยวจนต้องโทรกลับไปหาใหม่

“อย่าพึ่งพาทีออกนอกเรื่อง ตกลงว่าปู่จะช่วยทีไหม ทีขอบอกเลยนะว่ามันน่ารำคาญมาก เห็นแก่เด็กตาดำๆ สองคน ปู่ช่วยทำให้ลุงนิกไม่ว่างหน่อยเถอะ ไม่งั้นคะแนนสอบคราวนี้ของพวกทีร่วงแน่”

ปลายสายหัวเราะใหญ่ [ลำบากใจแล้วเปลี่ยนเรื่องหรือเจ้าที]

“คุณปู่?!”

[ก็ได้ๆ เดี๋ยวปู่จัดการเรื่องเจ้านิกให้ ถือเป็นของตอบแทนที่เรายอมเผยข้อมูลเรื่องส่วนตัวให้ปู่รู้]

ผมกัดฟันตอบรับ “ขอบคุณครับ”

[อย่าลืมนะเจ้าที ถ้าจะคบกับผู้ชายต้องโทรมาบอก…]

ผมกดตัดสายทันที รู้หรอกว่าเสียมารยาทมากแต่ใครจะทนฟังต่อไหว!

มือข้างที่ว่างยกขึ้นมาปิดหน้า ร้องครางในลำคออย่างอดไม่อยู่ เพราะแบบนี้แหละถึงไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นพาร์!

“สำเร็จไหม?”

“อือ”

“หันมาทางนี้เร็ว เดี๋ยวทาจังกอดให้รางวัล”

ผมรีบหันไปซุกตัวในอ้อมกอดคนตัวเล็กกว่า

“เป็นอะไร?”

“ทีโดนปู่แกล้ง!”

“โอ๋ๆ แล้วคุณปู่แกล้งอะไรทีล่ะ?”

“ทีไม่บอก ทาจังรู้แค่มันน่าอายเป็นบ้าก็พอแล้ว”

แค่นึกถึงแก้มก็ร้อนผ่าวๆ รีบสลัดเรื่องช่วงนั้นทิ้งอย่างไว ผลหลังจากนั้นก็คุ้มค่าใช้ได้ แม้ต้องเสียห้องรับแขกไปก็ตาม (เพราะคนงานเข้ากะทันหันยึดที่นั่นไปเรียบร้อย) เมื่อลุงนิกหมดสิทธิ์ป่วนคนอื่น อีกสามคนในบ้านก็สบายขึ้นเยอะ

“ดีไหม?...ที…ที!”

ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ กวาดตามองรอบโต๊ะตื่นๆ

“มะ เมื่อกี้ทาจังพูดว่าอะไรนะ?”

คนโดนถามนิ่วหน้า “ทาจังว่าคืนนี้ทีงดอ่านหนังสือดีกว่า ไปนอนพักให้เต็มอิ่ม เพราะท่าทางทีไม่ไหวแล้ว สีหน้าก็ดูเพลียๆ”

ผมรีบส่ายหน้า “ทีไม่เป็นไร แค่รู้สึกเหนื่อยเฉยๆ แล้ว…เมื่อกี้ถามทีว่าอะไร?”

คนฟังถอนหายใจ แววตาดูอ่อนอกอ่อนใจ “ทาจังบอกว่าสอบสองวันสุดท้ายให้ไปกับพาร์แทน ดีไหมน่ะ?”

“ทีพ้นโทษแล้ว?”

“เปล่า แต่…”

“ลุงกับทากะไม่ว่างสามวัน หน้าที่คุมทีเลยตกเป็นของไอ้หนูนี่แทน”

ผมทำหน้าแปลกใจ อย่างลุงไม่น่าจะทิ้งผมไว้กับพาร์ตามลำพัง มองหน้าผู้ปกครองทั้งสองไปมาสักพัก ก็เผลอหรี่ตาลง

“จะหนีเที่ยวกันล่ะสิ”

คนมีปฏิกิริยาคือลุงนิก ส่วนทากะซังเหล่มองคนนั่งข้างๆ เห็นแค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าตัวเองเดาถูก แถมตัวต้นคิดหนีเด็กไปเที่ยวตามลำพังคงเป็นลุงนิกแน่ๆ

“ทิ้งที!”

“ไม่ได้ทิ้ง แต่ลุงอยากอยู่กับทากะแค่สองคนบ้างนี่!”

ผมรีบชูสามนิ้ว “อิสระของทีสามวัน!”

“ไม่ได้”

“งั้นทีไม่ให้ไป”

ผมกับลุงนิกจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร

“เอางี้” ทากะซังพูดแทรกขัดศึกจ้องตา “อิสระของทีสามวัน แต่ต้องมีพาร์คอยดูแล”

ผมทำหน้าบูด “แล้วต่างจากเดิมตรงไหน ยังไงทีก็ต้องมีผู้คุมติดสอยห้อยตามอยู่ดี”

ทากะซังเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้ “ถึงจะน่ารำคาญไปหน่อย แต่มีคนคอยตามดูแล ดีออกนะ…ทำได้ไหมพาร์”

“ได้ครับ”

ลุงนิกนิ่วหน้าจ้องพาร์ด้วยแววตาไม่เป็นมิตรปนไม่ชอบใจ “บอกไว้ก่อนนะไอ้หนู ทากะให้โอกาสแกก็จริง แต่ถ้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้าใกล้ลูกฉันอีกเป็นครั้งที่สอง!”

ขณะที่พาร์รับคำสั้นๆ ผมกำลังนั่งมึน สรุปว่าแค่เปลี่ยนผู้คุมใหม่ใช่ไหม หรือมีอะไรมากกว่านี้? 

-------------

หลังจากไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับมหาลัยจนวันนี้ผู้ปกครองทั้งสองกำลังจะเดินทางไปเที่ยวแล้ว ผมมองด้วยสายตาอิจฉาสุดๆ ได้แต่ปลอบตัวเองว่าสอบเสร็จเมื่อไหร่ก็ตาเราหนีเที่ยวบ้างแล้ว

“ฝากดูแลบ้านด้วยนะ เดี๋ยวทาจังซื้อของมาฝาก”

ผมพยักหน้าหงึกๆ มองคนตัวเล็กกว่าขึ้นรถที่ติดเครื่องยนต์ไว้ แต่คนขับ…นู้น ลากคอพาร์ไปซุบซิบอะไรไม่รู้ จากสีหน้าเหี้ยมๆ ของลุงนิก ผมขอเดาว่าคงไปข่มขู่พาร์แหงๆ

“ลุงนิก! ทาจังขึ้นรถไปแล้วนะ”

คนโดนเรียกพูดอะไรสักอย่างส่งท้าย ก่อนผละจากพาร์รีบขึ้นรถ ผมมองพาร์ที่เดินกลับมาสมทบ

“โดนขู่มาล่ะสิ”

“ก็นะ”

ดูพาร์ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ พวกผมมองท้ายรถยนต์ห่างออกไปเรื่อยจนลับตาค่อยหมุนตัวเดินเข้าบ้าน พาร์ทำท่าจะขึ้นชั้นสอง ผมเลยลากมันไปที่โต๊ะอาหาร มีอาหารเช้าวางตั้งทิ้งไว้

พาร์ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทากะซังทำ?” 

“ใช่ ต่อให้มีไฟล์บินตอนหกโมงเช้า ทากะซังก็จะตื่นมาทำอาหารทิ้งไว้ให้อยู่ดี” ผมนั่งลงคว้าช้อน พร้อมพูดขำขัน “ถ้ามีทากะซังอยู่ด้วยรับรองว่าไม่มีอด มีแต่น้ำหนักขึ้นไม่มีลง”

“มึงเคยอ้วน?”

ผมพยักเพยิบให้ดูอาหารสไตล์ญี่ปุ่น “มึงดูของโต๊ะ แล้วนึกถึงเมนูอาหารที่ผ่านมา ช่วยตอบกูหน่อยว่าวัตถุดิบหลักที่ผ่านมาคืออะไร?”

พาร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบผม “…ผักกับปลา”

“ก็นั่นน่ะสิ แถมยังโดนจับออกกำลังกายประจำ มึงคิดว่ากูจะอ้วนไหมล่ะ”

พาร์ไม่ตอบ ผมก็ไมได้ต้องการคำตอบ เราต่างคนต่างกินจนจบไปอีกมื้อ พวกผมถึงขึ้นไปชั้นสองตรงพื้นที่นั่งเล่น หาที่นั่งสบายๆ บนพรมนุ่ม จับหนังสือสอบมาอ่านกันต่อ บ้านแฝดฝั่งขวาปรับปรุงเสร็จเมื่อวานครับ วันนี้เลยเงียบสงบจนพวกผมออกมาอ่านหนังสือตรงนี้ได้

โรงเรียนก็ยังไม่เปิดสอน กำหนดการคืออีกสามวันข้างหน้า นอกจากรอทากะซังกลับมาแล้ว ยังรอให้พวกกลิ่นสีต่างๆ จางลงกว่านี้ก่อน…

ผมรีบก้มลงมาเมื่ออะไรสักอย่างวางพิงต้นขา หมอนอิงใบเล็กที่คนเอามากำลังล้มตัวนอนหงาย หัวหนุนหมอน มองมันด้วยความหมั่นไส้ พลางพูดประชดใส่

“ไม่นอนตักกูไปเลยล่ะ”

พาร์เลิกคิ้วขึ้นสูง แววตาวิบวับ “ได้?”

“ไม่!”

“ก็ว่างั้น เลยทำแค่นี้ไง”

ผมส่งเสียงเหอะในคอ หันไปสนใจหนังสือดีกว่า วันนี้เราไม่มีสอบทั้งคู่ ของผมเหลือสอบสองตัวคือพรุ่งนี้กับมะรืน แต่ของพาร์เหลือพรุ่งนี้ตัวเดียว หลังผ่านการอ่านต่อเนื่องมาชั่วโมงกว่า ผมก็วางหนังสือในมือลงเป็นการพัก ยืดแขนยืดขาเต็มที่ ขับไล่อาการปวดเมื่อยหลังนั่งท่าเดิมนานๆ ออก ก่อนชะงักเมื่อเห็นคนนอนอยู่ใกล้ๆ มองหน้าอยู่ก่อนแล้ว

“…รู้สึกไหม บ้านเงียบดีนะ”

ผมคิ้วขมวดใส่คนพูด เหลือบเห็นชีทเรียนในมือพาร์วางแหมะอยู่บนท้องก็รู้สึกตงิดใจพิกล

“มึงใช้เวลาอ่านชีทแค่สิบแผ่นเป็นชั่วโมง?”

พอโดนทักก็รีบวางชีทในมือลงกองกับชีทอื่นบนพื้นข้างตัว ท่าทางมีพิรุธชัดเจนจนผมเดาได้เลยว่าก่อนหน้านี้มันคงนอนมองหน้าผมแทนที่จะอ่านหนังสือ

“มองกูตั้งแต่เมื่อไหร่!”

“…ไม่รู้” คำตอบแผ่วเบามาพร้อมอาการหลบสายตา “ไม่ได้สนใจเวลา”

หลังเงียบกันไปครู่ใหญ่ ผมก็อดเปลี่ยนเรื่องพูดไม่ได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ในบรรยากาศอึดอัด เรื่งที่นึกออกตอนนี้ก็มีแต่เรื่องที่ติดใจสงสัยมาหลายวัน

“เอ่อ เมื่อสามคืนก่อนที่มึงตื่นลงไปเข้าห้องน้ำกลางดึก”

พูดแค่นั้นแววตาพาร์ก็เปลี่ยนไปทันที แต่ผมก็กลั้นใจถามต่อ

“มึง…ไปทำอะไรมา”

“ถามทำไม” พาร์ถามกลับเสียงห้วน

จากสีหน้ามันคงไม่อยากพูดถึง แต่ผมอยากรู้นี่หว่า

“ก็มึงดูแปลกไปตั้งแต่วันนั้น”

“แปลกยังไง” เปลี่ยนมาถามอย่างสนใจซะงั้น

ผมกรอกตามองเพดาน พยายามหาคำมาอธิบาย “กูอธิบายไม่ถูกวะ”

“เอาตามความรู้สึกมึงก็ได้”

“เอ่อ ก็รู้สึกอันตราย” ผมทำหน้าลำบากใจ “สรุปคือไม่ค่อยน่าเข้าใกล้มึงเท่าไหร่”

พาร์รีบยันตัวขึ้นนั่ง ทำเอาผมผงะเล็กน้อย ยิ่งโดนจ้องตาในระยะประชิดก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก พอเห็นผมไม่พูดอะไรยิ่งเอาใหญ่ เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ให้ผวา ไม่ต้องคิดผมก็ใช้มือยันหน้ามันออกห่างแล้ว

“เล่นอะไรเนี่ย” ถามเสียงขุ่น “เอาหน้ามาใกล้ทำไม”

“แค่พิสูจน์อะไรนิดหน่อย”

“เฮ้ย! มือมึงอ่ะ!” ผมรีบใช้มืออีกข้างจับมือที่เริ่มซนแถวเอว เขม็งมองไอ้คนที่ยิ้มตาพราว “ถ้ามึงยังไม่หยุดเล่น กูยันมึงแน่”

แต่ไอ้คนโดนขู่กลับหัวเราะชอบใจ

“ที” มันโน้มหน้าหอมแก้มผมไปฟอดหนึ่ง “ดีใจนะ ขอบคุณ”

ฮะ? ดีใจ? ผมถามกลับมึนๆ “เรื่องอะไร”

“สามวันก่อน กูไปเข้าห้องน้ำข้างล่างตามที่บกมึงนั่นแหละ…”

เอ๊า! แทนที่จะตอบ ดันเล่าเรื่องที่ถามก่อนหน้านี้ซะงั้น

“หลังทำธุระเสร็จยังไม่ทันได้ออกไป กูก็ได้ยินเสียงลุงมึงกับทากะซัง…ไปใช้ห้องอาบน้ำด้วยกัน”

“อ้อ นานๆ ทีพวกลุงก็ชอบไปแช่น้ำตอนกลางดึก ลุงนิกเคยบอกว่าเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ส่วนใหญ่กูหลับไปแล้วเลยไม่เคยได้เข้าร่วม”

พาร์ย่นคิ้ว “พูดอย่างกับเคยไปแช่น้ำด้วยบ่อยๆ”

“ก็ตั้งแต่เล็กจนโตนั่นแหละ เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของครอบครัว”

“…แต่แช่น้ำแค่สองคน มันแตกต่างจากแช่ร่วมกับคนอื่น” พูดถึงตรงนี้พาร์ซบหน้าเข้ากับไหล่ผม มือกอดรอบเอวแน่นกว่าเดิมเหมือนกลัวผมหนีหาย “มันดันปลุกสัญชาตญาณบางอย่างในตัวกูเข้าจังๆ ช่วงนี้กูเลยลำบากพอสมควรเวลามีมึงอยู่ใกล้ๆ”

“ใกล้กูเนี่ยนะ? กูไปเกี่ยวอะไรด้วย?”

ได้ยินเสียงหัวเราะแหบแห้งข้างหู “ก็เกี่ยวมากพอถึงขั้นไปกระตุ้นสัญชาตญาณระวังภัยของใครบางคนเข้าล่ะมั้ง…แต่รู้สึกรู้สาแบบนี้บ้างก็ดี กูจะได้มีกำลังใจ”

ระหว่างที่ผมกำลังเก็บคำพูดของมันมาครุ่นคิดก็โดนเรียกเข้าให้

“ที”

เรียกแล้วก็เงียบ หมายความว่าไง?

ผมกลายเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามแทน “อะไร?”

“เรื่องบางเรื่องถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่ต้องรีบคิดหรอก”

“แต่กูคาใจ”

“เดี๋ยวคำตอบก็มาหามึงเองแหละ”

“แต่…”

“ไม่ต้องมาแต่ ยังไม่รู้ตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นไร มึงเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว…ดีที่สุดสำหรับกูแล้ว”

ผมเม้มปากแน่น พยายามสงบใจสะกดอารมณ์บางอย่างไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า

“ที…” สัมผัสแผ่วเบาตรงมุมปากทำผมสะดุ้งเฮือก

“เฮ้ย! ทำบ้าอะไรวะ!”

รีบผลักพาร์ออกห่าง ลุกพรวดถอยออกไปยืนห่างๆ ทั้งที่คิ้วยังขมวดไม่คลาย

มันแปลกไปจริงๆ ด้วย!

“ก็ใครใช้ให้ทำตัวน่ารัก”

“กูไม่ได้น่ารัก!”

“ไม่น่ารักก็ไม่น่ารัก แล้ว…รู้สึกยังไง สัมผัสแค่มุมปากแบบนี้ได้ใช่ไหม ดีกว่าปากแตะปากตรงๆ หรือเปล่า”

ผัวะ!

“โอ๊ย! เตะกูทำไม!”

“มึงถามบ้าอะไรมาล่ะ!”

“ก็แค่อยากรู้…จะไปไหน?!”

ผมหันไปมองเจ้าของสองประโยคที่แสดงน้ำเสียงต่างกันโดนสิ้นเชิง “เห็นอยู่ว่ากำลังยืนหน้าบันไดจะให้ไปไหนเล่า” 

“กูถามดีๆ หรือจะให้เดินตาม?”

ผมพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ “จะไปดูในครัวเหลือวัตถุดิบอะไรบ้าง”

“รีบไปดูทำไม อีกตั้งสามชั่วโมงกว่าจะเที่ยง”

ผมยกมือกอดอก มองเขม็งไอ้คนถาม “ถ้ามึงมีปัญหา ทำข้าวเที่ยงกินเองแล้วกัน”

สิ้นสุดถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ผมก็ได้มาอยู่ในครัวตามลำพังตามที่ตั้งใจ ลากเก้าอี้จากใต้โต๊ะ ทิ้งก้นว่างแปะบนนั้น เลื้อยท่อนบนไปซบโต๊ะเตรียมอาหารอย่างหมดแรง

ต่อจากนี้จนกว่ามันจะกลับมาเป็นปกติ ผมควรอยู่ห่างมันหน่อยดีกว่า…เดี๋ยวก่อน!

ผมดึงหน้าขึ้นจากโต๊ะ หรี่ตาลง

มันละเมิดข้อตกลงระหว่างกันนี่หว่า!

-------------

“ไม่ได้ละเมิด!”

“มึงทำ!”

“ก็บอกว่าไม่ได้ทำไง!”

ผมเถียงกับพาร์เรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวาน จนตอนนี้ใกล้เดินถึงตึกสอบที่วันนี้ดันสอบตึกเดียวกันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ความจริงควรแวะไปหาพยานทั้งสองให้ช่วยตัดสินแทน แต่…ใครจะกล้าเอาเรื่องแบบนั้นไปเล่าให้เพื่อนฟัง

“กูไม่ได้รุก กดดัน หรือจีบมึงเลยนะ!”

“แล้วที่มึงทำเรียกว่าอะไร!”

“ก็แค่ถามตอบกับมึง”

“ถามตอบบ้าอะไรล่ะ! ในโลกนี้ไม่มีใครถามตอบกันแบบนั้นหรอกโว้ย!”

“ถามตอบจริงๆ แต่กูแค่คุมอารมณ์ในบางเรื่องไม่อยู่ โอเค กูยอมรับความผิดก็ได้ ความผิดครึ่งหนึ่งของกู อีกครึ่งน่ะของมึง!”

“กูผิดตรงไหน!”

แต่ก่อนจะได้เถียงกันมากกว่านี้ เพื่อนจากคณะพวกผมก็ส่งเสียงตะโกนมา

“เฮ้ยๆ คู่นั้นน่ะอย่าทะเลาะกันนะโว้ย”

“พวกมึงทะเลาะกันไม่ได้!”

“เห็นแก่คณะด้วย!”

ผมแยกเขี้ยวใส่เพื่อนคณะตัวเอง พอหันมองคนข้างตัว มันเดินหนีไปหาเพื่อนมันแล้ว จะตามไปก็ใช่เรื่อง เลยเดินไปหาเพื่อนตัวเองบ้าง

“ทะเลาะอะไรกัน?”

ผมมองนนท์ทั้งที่ใจยังไม่หายหงุดหงิด “ไม่ได้ทะเลาะ”

“โกหกทำไม เห็นอยู่ชัดๆ”

ยังไมทันอ้าปากโต้แย้ง ก็โดนลูกหว้าสวนเข้าให้ “เรื่องของผัวเมีย มีกระทบกระทั่งกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมด้าธรรมดาค่ะ โปรดอย่าไปถามคนมีสามีแล้ว”

“กูจะโกรธก็เพราะคำพูดของมึงเนี่ยแหละ”

คนโดนผมด่าลอยหน้าลอยตา “ถ้ากูพูดไม่จริงตรงไหน คุณสะใภ้คณะแย้งได้ตลอดเวลาค่ะ”

“พอๆๆ” ศิร้องปราม “จะถึงเวลาแล้ว ขึ้นไปรอที่หน้าห้องสอบกันเถอะ”

พวกผมทั้งกลุ่มลุกตามแม่ศิ เพื่อนหลายคนก็ทยอยกันเดินขึ้นตึกแล้ว

“ว่าแต่กูคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนรองนิติของเราจะหล่อขึ้น”

“มึงคิดไปเอง” นนท์สวนกลับไปทันที

“ศิกับมินต์ล่ะเห็นว่าไง?”

สาวเงียบประจำกลุ่มทำหน้าครุ่นคิด “มินต์ว่า…ดูเท่ขึ้นนะ”

ลูกหว้าดีดนิ้ว หันไปอีกคนที่ยังไม่ตอบคำถาม คนโดนจ้องเอ่ยแค่สองคำ

“แมนขึ้น”

“ศิพูดอย่างกับก่อนหน้านี้สามีคณะไม่แมน”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อก่อนพาร์ก็เป็นที่พูดถึงอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่มาจากสาวๆ มากกว่า แต่ช่วงนี้ศิเห็นพวกผู้ชายพูดถึงพาร์ในแง่นั้นด้วย”

“หืม? ท่าจะเป็นจริงนะเนี่ย สาววายยืนยันเองเลยนี่ แล้วศิว่าพาร์กับทีคู่นี้ใครเคะหรือเมะกว่ากัน?”

“ศิว่าดูยากนะ” ไม่พูดเปล่ายังหันมามองผมด้วยแววตาสำรวจครู่ใหญ่ ก่อนหันไปคุยต่อ ผมรีบถอยลงมาเดินคู่กับนนท์ที่เอาแต่มองมาขำๆ

“อาจจะเป็นพาร์ก็ได้ เพราะทีคงทำให้หนุ่มเคะคอยเมียงมองอย่างพาร์ตอนนี้ไม่ได้”

ผมคิ้วกระตุก รู้สึกเหมือนโดนหยาม แต่ขณะเดียวกันก็คิดได้ว่า ไม่มีก็ดีแล้วนี่

“แต่เพื่อนเราดันโดนหนุ่มเมะมองแทนใช่มะ ช่วยไม่ได้เนอะ ดันเกิดมามีหน้าตาสวยชวนมอง”

“พอเถอะ สงสารไอ้ทีหน่อย มันจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย เพราะรับไม่ได้อยู่แล้ว”

“เราพูดความจริงเถอะ เนอะ” ลูกหว้าหันไปพยักเพยิบกับสองสาว

นนท์ขำหนักกว่าเดิม แต่ไม่ลืมตบบ่าปลอบผม “เพราะข่าวลือพวกมึงคบกันมากกว่า ไม่จริงก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”

เหอะ หน้าตาไม่ได้กำหนดบทบาทซะหน่อย คิดแล้วก็หวนนึกถึงคำพูดของลุงนิกที่นั่งโงนเงน เพราะฤทธิ์ของมึนเมา

‘เห็นทากะตัวเล็กๆ แบบนั้น แข็งแรงกว่าลุงตั้งหลายเท่า แรงก็เยอะกว่าด้วย ศึกบนเตียงครั้งแรกเลยดุเดือดน่าดู ลุงนี่ได้แผลมาเต็มตัว แถมเกือบโดนพลิกด้วย แต่สุดท้ายลุงก็ได้เมียสุดที่รักมาหนึ่งคน เพราะงั้นนะที เรื่องกำหนดบทบาทไม่ได้เกี่ยวกับรูปร่าง ส่วนสูง หรือหน้าตาหรอก แต่อยู่ที่ความสามารถล้วนๆ ใครทำให้เคลิ้มเปิดช่องว่างก่อนได้ก็…’

ผัวะ!!

‘พูดอะไรให้เด็กฟังเนี่ย!’

แล้วคนเมาที่พูดไม่หยุดก็สลบเหมือด เพราะหมัดตรงทีเดียวของทากะซัง หลังจากนั้นลุงก็โดนสั่งห้ามดื่มของมึนเมาอีก ถ้าไม่ทำตาม ทากะซังจะโดนไล่ลุงออกจากบ้าน

คิดถึงหน้าหงอยๆ ยามลุงนิกเห็นทากะซังเอาของสะสมไปเปิดขวดเลี้ยงฉลองเปิดโรงเรียนก็ได้แต่ยิ้มขำ

“เฮ้ยที! ระวังสะดุด”

ผมสะดุ้งหยุดเดินทันเวลา พลางมองขั้นบันไดตรงหน้า เกือบไปแล้ว แว่วเสียงเพื่อนๆ ถกเถียงกันเรื่องทำผมคิดมากก็ขี้เกียจพูดแย้ง เดินตามพวกมันขึ้นบันไดไปดีกว่า   

“อย่าลืมตรวจดูข้อสอบนะคะ หากใครได้หน้าไม่ครบ ตัวอักษรเลือน หรือมีปัญหาอะไรยกมือขึ้นได้ค่ะ นักศึกษาที่พึ่งมารีบหาที่นั่งเลยค่ะ”

ผมกำลังเขียนชื่อตัวเองก็ได้ยินเสียงอุทาน ไม่ได้ดังมาก แต่ก็ผิดปกติ เลยเงยหน้าขึ้นมากวาดสายตาหาสาเหตุ จำได้ว่าเมื่อตอนสอบกลางภาคเคยได้ยินเสียงอุทานแบบนี้ แต่ตอนนั้นเพราะมีน้องหมาเข้ามาในห้อง ต้อนให้ออกยังไงก็ไม่ยอมไป สุดท้ายก็ต้องปล่อยมันนอนตากแอร์อยู่หลังห้อง

คราวนี้ไม่ใช่น้องหมา แต่เป็นคนที่ทำผมชะงักกึก บุคคลที่หายตัวไปจากวงจรชีวิตเพื่อนๆ ขาดสอบตั้งแต่วิชาแรก แต่กลับโผล่มาเข้าสอบวิชารองสุดท้าย

ไอ้เด็น! 

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-12-2016 08:52:00
เด็นหายไปไหนมา

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-12-2016 11:12:34
ชอบบบบบ พาร์ ที เวลา อยู่ด้วยกัน :mew1: :mew1: :mew1:
คนในครอบครัวที รู้จักคุ้กกี้พาร์ กันทุกคน
พาร์ หลงที มากเลย จ้องมองแทบตลอดเวลา
แสดงว่านอกจากที ทั้งสวยทั้งน่ารัก
แล้วเพราะทีเป็นคนที่พาร์ รักด้วย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เด็น โผล่มาและ  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 21-12-2016 15:44:26
อยากอ่านคู่ทากะ กับ ลุงนิกอีกกกกกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 21-12-2016 17:15:58
กลัวเด็นจะนำปัญหามาให้จริง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 21-12-2016 22:24:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 21-12-2016 22:58:37
พาร์ดูเท่ห์ขึ้นจริงๆนั่นล่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-12-2016 08:51:44
พาร์เท่ห์ขึ้นจริงล่ะ

ส่วน เด็น แอบหลอนนาง

กลัวนางจะเอาเรื่องมาให้ที นี่ดิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-12-2016 23:50:45
นางจะกลับมาแก้แค้นหรา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-12-2016 00:18:31
เด็นกลับมาคราวนี้จะพาปัญหาอะไรมาด้วยรึป่าวเนี่ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-12-2016 18:37:57
ตอนต่อไปเป็นเรื่องของเด็นหรือเปล่านะ
 :hao4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 25-12-2016 16:29:20
บทที่ 35

ผมพึ่งเดินออกมาจากห้องสอบ เหลือบมองนาฬิกาติดผนังในห้องก่อนประตูปิดสนิท เหลืออีกแค่สิบห้านาทีจะหมดเวลาสอบ ต้องยอมรับว่าวิชานี้ผมใช้เวลาทำนานกว่าที่คิด ด้านหน้ามีเพื่อนร่วมคณะยืนจับกลุ่มเป็นหย่อม ส่งเสียงคุยกันเบาๆ กวาดมองซ้ายขวาจนทั่ว

...เพื่อนกลุ่มผมหายไปไหนกันหมด?

คิดแล้วก็ย่นคิ้วเข้าหากัน มองหาอีกหนึ่งบุคคลที่เล็งไว้แล้วว่าต้องจับตัวมาคุยให้ได้…ไม่อยู่เหมือนกัน

“ไงที ทำข้อสอบได้ไหม”

ผมหันมองคนทัก เจอมลยืนอยู่ด้านขวาห่างไปเล็กน้อย สมุนทั้งสามอยู่กันครบ เลยเดินเข้าไปหา

“ก็พอไหว แล้ว…”

“จะถามเรื่องเด็นล่ะสิ” ท่านประธานเอ่ยดักคอ “มันไปแล้ว”

“ไปไหน?”

“กลับบ้านมั้ง ไม่รู้มาทำไม” สมุนหญิงถึกพูดเสียงห้วน

“เฮ้ย! ทำไมพูดแบบนั้น”

ผมมองสมุนทอม ข้างๆ มีสมุนชายแท้กำลังพูดปราม

“ใจเย็นๆ”

“ก็มันไม่ได้ตั้งใจมาสอบนี่ ไม่งั้นจะส่งคนแรกภายในครึ่งชั่วโมงได้ไง วิชานี้ยากจะตาย B+ จะถึงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

“นี่มึงเครียดเรื่องสอบหรือเรื่องอะไรเนี่ย”

“กูไม่ได้เครียด แต่มันเจ็บใจ คนอื่นเขาตั้งใจมาสอบแท้ๆ แต่มันดันโผล่มาทำลายสมาธิคนอื่นไม่พอ ยังรีบออกก่อนเหมือนกากมั่วๆ แล้วส่ง คนตั้งใจทำอย่างกูเห็นแล้วมันของขึ้น”

“ก็อย่าไปสนใจสิ” สมุนทอมว่า

“กูไม่สนได้ที่ไหน มันดันเลือกนั่งใกล้กู ถ้ามันทำแบบนี้กูว่าไม่ต้องมายังดีกว่า!”

“เอ่อ มันคงมาเจอเพื่อนมั้ง” สมุนชายแท้พูดเสียงแห้ง

“เจอบ้าอะไร ถ้ามันคิดจะเจอเพื่อน มันคงไม่รีบส่งข้อสอบคนแรกหรอก!”

ผมโดนมลดึงตัวออกห่างคนกำลังอารมณ์เสีย แล้วลดเสียงพูดกระซิบกับผม

“ก็อย่างที่มึงได้ยิน เด็นไปนานแล้ว”

ผมเลยกระซิบกลับ “แล้วเพื่อนกลุ่มกูล่ะ”

มลส่ายหน้า “แต่กูเดาเอาว่าพอออกมาไม่เจอเด็นก็คงลงไปตามหาล่ะมั้ง เผื่อมันยังไม่ออกนอกมหาลัยอะไรแบบนี้…เอ่อ แล้วนี่มึงไม่สบายหรือเปล่า”

ผมโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร แค่ปวดหัวจากข้อสอบนิดหน่อย”

“อ้อ กูก็คิดจนปวดหัวเหมือนกัน นี่ก็ว่าจะกลับไปพักแล้ว พรุ่งนี้ยังเหลืออีกตัว”

ผมเกือบจะอ้าปากบอกว่าถ้ารู้อะไรมาก็ฝากบอกกันด้วยแล้ว แต่คิดอีกที อย่าฝากเลยดีกว่า แค่เรื่องสอบมลก็คงปวดหัวแย่ สุดท้ายเลยพูดแค่สั้นๆ

“สู้ๆ ล่ะ”

“มึงก็เหมือนกัน”

ผมแยกตัวลงบันไดมาชั้นล่าง ห้องสอบของผมอยู่ชั้นห้า แต่ของพาร์อยู่ชั้นสามเลยลองแวะไปดูสักหน่อย คนตามทางเดินพอๆ กับชั้นห้า ส่งเสียงคุยกันเจี๊ยวจ๊าวนัดไปฉลองหลังสอบกันใหญ่ มองแล้วก็น่าอิจฉา แต่ถ้าพรุ่งนี้พวกผมสอบเสร็จคงมีบรรยากาศไม่ต่างจากนี้หรอกครับ

เดินหลบกลุ่มนู้นกลุ่มนี้ที่ยืนขวางทางก็เห็นเป้าหมายกำลังยื่นมือรับซองจดหมายสีส้มอ่อนจากสาวน้อยหน้าตาน่ารัก รอบข้างพาร์มีเพื่อนๆ ยืนโห่ร้องส่งเสียงแซวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ผมเลิกคิ้วประหลาดใจกับฉากนี้พอสมควร ลังเลว่าจะเดินเข้าไปดีหรือเปล่า

“ตายละหว่า! สะใภ้คณะมา!”

ไม่รู้ว่าใครตาดีตะโกนบอก สิ้นเสียงทั้งกลุ่มก็แตกฮือไปคนละทาง แต่คนที่ทำให้ผมเกือบหลุดยิ้มขำกลับเป็นพาร์ สีหน้ามันโคตรตลก แถมรีบเดินมาหาแบบไม่สนใจใครทั้งนั้น

“ที”

มันคว้ามือผมยัดจดหมายใส่ ชี้นิ้วให้ดูหน้าซอง มีชื่อเล่นของทั้งผมและพาร์ ก่อนสาวน้อยตัวเล็กน่ารักโผล่มาตรงหน้า พูดเสียงตื่น

“ไม่มีอะไรนะ เราแค่รับฝากจดหมายมาให้อีกที เราเห็นข้อความหน้าซองแล้วเลยเอามาให้เฉยๆ คือเราเป็นแฟนคลับของพวกเธอล่ะ อ๊ะ หลุดไปแล้ว เอ่อ กะ ก็ตามที่บอก เอ่อ ขอตัวก่อนนะคะ”

ผมมองสาวเจ้าที่พูดซะรัวเร็วจนฟังแทบไม่ทัน แถมยังเขินเอง วิ่งหนีไปเองด้วยความมึน

“…ใครน่ะ?”

“ไม่รู้” พาร์ว่าเสียงห้วน “ไม่ต้องสนใจหรอก กลับกันเถอะ”

มันคว้ามือดึงผมไปทางบันได ไม่แม้แต่หันไปสนใจเสียงร้องระงมด้านหลัง

“เคลียร์กันดีๆ นะ”

“อย่าให้กระทบถึงคณะนะเพื่อน”

“จดหมายนั่นไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ส่งต่อมาได้เสมอ!”

“เฮ้ยๆ กูก็อยากได้นะโว้ย”

ผมหันไปมองอีกครั้ง กวาดตามองเร็วๆ หน้าไม่คุ้นสักคน แต่น่าจะเป็นเพื่อนคณะเดียวกับพาร์

“เดี๋ยวก่อน! คืนนี้มึงจะไปฉลองพวกกูหรือเปล่า”

“ไม่” พาร์หันไปตอบทันที “พรุ่งนี้ทีมีสอบ”

“สะใภ้คณะมีสอบ แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณเพื่อนที่สอบเสร็จแล้วล่ะครับ”

“กูต้องขับรถไง”

พูดแค่นั้นก็ดึงผมลงบันได เมินเสียงโห่ร้องไล่หลัง

“…มึงไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกแข่งบาสวันนั้นเหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัย

“อยู่”

“แล้วพวกเมื่อกี้ล่ะ?”

“เพื่อนร่วมคณะ เป็นกลุ่มทำกิจกรรมด้วยกันบ่อยๆ”

อ้อ คงเหมือนผมกับกลุ่มมลล่ะมั้ง

“ระวังเท้า”

“ขอบคุณที่เตือน เป็นไปได้อย่าดึงกูลงบันไดจะดีมาก”

พาร์หยุดดึงทันที ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมปล่อยมือออก ยืนรอจนผมลงมาอยู่ขั้นบันไดเดียวกัน ก็เริ่มก้าวเท้าลงมาพร้อมกัน ผมเหลือบมองมือที่ยังคงประสานกันแล้วรู้สึกแปลกๆ

“…มือกูอ่ะ ปล่อยได้แล้วมั้ง”

“ไม่เอา”

“กูไม่ใช่เด็ก”

“รู้ แต่มึงชอบเหม่อ”

ผมนิ่วหน้า ไม่พูดเถียง มีเพียงความสงสัยในใจ

นึกไงมาจับมือเดินเล่า!

และไม่คิดถาม ผมเริ่มปลงตกตั้งแต่ตกเป็นข่าวกับมันจนดังไปทั้งมหาลัยแล้ว เพราะงั้นอยากจับก็จับไปเหอะ ต่อให้มีคนเห็น ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

เดินเงียบๆ จนมาถึงชั้นสองก็เอ่ยปากเรียก “…พาร์”

“หือ”

“มึงตื่นเต้นเหรอ”

“เอ๊ะ?”

ผมยกมือที่จับกันอยู่ขึ้นชู “นี่ไง เหงื่อออกจนกูยังรู้สึกเลย”

“ของมึงหรือเปล่าเหอะ”

ผมไม่ตอบ ยกมืออีกข้างวางแปะที่หน้าอกซ้ายของอีกฝ่าย รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่ามือก็ดึงกลับ ยิ้มกริ่มอย่างเป็นต่อ พูดทิ้งท้ายแค่ประโยคเดียว แล้วรีบดึงมือออกเดินลงบันได

“ดูเหมือนหัวใจโกหกกันไม่ได้”

ผมลงมาถึงที่พักเท้า คนยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมพักใหญ่ถึงตะโกนลงมา

“กูก็อยากรู้ของมึงเหมือนกัน!”

ผมหัวเราะร่าทันที “ไม่มีทาง!”

“ที! อย่าโกง!”

ยักไหล่ใส่มัน “ไม่ได้โกงสักหน่อย”

“เดี๋ยวเถอะมึง รออยู่ตรงนั้นเลย”

“เฮ้ย!”

ใจผมหายแวบตอนเห็นคนข้างบนวิ่งลงบันไดมา สองเท้าสอยหนีด้วยความเร็วจนลงมาถึงชั้นล่าง เอี้ยวคอไปมอง คนไล่ตามหลังไม่มีที่ท่าจะหยุด ผมเลยวิ่งออกจากตึกตรงไปทางลานจอด

“แฮ่กๆ”

ผมแปะมือยันตัวกับลูกรักสีน้ำเงิน หอบหายใจจนตัวโยน หันหน้ากลับมาเอาหลังพิงแทน ก็เห็นพาร์หยุดวิ่งยืนหอบห่างไปหน่อย   

รถอาจเป็นเส้นชัยของเรามั้งครับ

ต่างคนต่างกอบโกยอากาศเข้าปอดสักพัก ร่างกายถึงได้กลับเป็นปกติ รอจนพาร์เดินมา ผมก็รีบพูดด้วยเสียงไม่ดังนัก

“ปลดล็อกเร็วๆ ดิ กูอยากได้น้ำกับแอร์เย็นๆ”

เสียงปลดล็อกดังขึ้นทันที ผมมูฟตัวเองขึ้นรถอย่างไว คว้าขวดน้ำที่มีติดรถมาแกะเปิดฝา ไม่ทันยกดื่มก็โดนคนนั่งข้างๆ แย่งไปทั้งขวด

“แกะเองไม่เป็น?”

ไม่มีคำตอบ เพราะมันกำลังกรอกใส่ปาก ผมพ่นลมหายใจ เอื้อมหยิบขวดใหม่ที่ใส่ไว้ช่องข้างประตูแทน

ยังดีที่คนกินน้ำแล้วช่วยเร่งแอร์กับปรับแอร์ให้ 

“จดหมาย…ถ้าไม่สบายใจจะทิ้งไปก็ได้”

ผมลดขวดน้ำลง ลืมไปเลยว่ายัดลงกระเป๋ากางเกงตอนวิ่งหนีมา เหลือบมองคนกำลังทำหน้าจริงจังก็ส่ายหัว 

“ไม่ล่ะ กูอยากรู้ว่าข้างในเขียนว่าอะไร”

“…มึงไม่”

ผมที่กำลังล้วงหาซองจดหมาย หันมองคนพูดแค่สองคำก็เงียบอย่างสงสัย

“กูไม่อะไร”

พาร์พ่นลมหายใจ เอนทั้งตัวพิงเบาะรถ หันหน้ามองมาด้วยแววตาอ้อนวอน“…ไม่หึงกูหน่อยเหรอ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไมต้องหึง?”

“มึงนี่” มันผลักหัวผม “ช่วยหึงหน่อยเหอะ”

“ไม่อ่ะ มันดูงี่เง่าออก”

“ไม่เลย กูอยากเห็นมึงหึงด้วยซ้ำ”

ผมดึงมือพาร์ที่ยังเล่นเส้นผมบนหัวลงมา ยัดซองจดหมายที่ยับยู่ยี่ให้

“อะไร?”

“แกะดิ”

“จะให้กูอ่าน?”

“เออ! กูจะได้กินน้ำต่อ”

ระหว่างกรอกน้ำลงคอ แว่วเสียงฉีกกระดาษลอยเข้าหู ดื่มน้ำจนพอใจถึงหันมองคนข้างๆ เห็นมันกำลังยัดซองจดหมายใส่ช่องข้างประตูพอดี

“ทำอะไร?”

“เปล่า!”

เสียงสูงไปไหน ผมนิ่วหน้าจ้องคนมีพิรุธ สักพักก็เบนสายตาไปทางจดหมายแทน มันไม่แม้แต่จะยัดกระดาษจดหมายลงซอง ถึงเห็นไม่ค่อยชัด แต่ผมแน่ใจว่ามีสามชิ้น ซองจดหมายกับกระดาษจดหมายเข้าคู่กัน แต่อีกหนึ่งกลับดูพิลึกเมื่อมันเป็นแค่กระดาษ A4 ธรรมดา

ผมละสายตาทันทีที่รู้สึกถึงแรงกระชากเล็กๆ พาร์กำลังออกรถจากที่จอด 

“มึงอ่านแล้วนี่ เขียนไว้ว่าอะไร?”

พาร์ไม่ตอบ ท่าทางตั้งใจขับรถมาก แต่สำหรับผม...มันจงใจเมินคำถามกันชัดๆ รอสักพักก็ยังเงียบ เลยเปลี่ยนคำถาม

“บอกกูไม่ได้?”

“…เปล่า”

“งั้นก็พูดมา”

“…ไว้พรุ่งนี้สอบเสร็จก่อน กูค่อยบอก ไม่สิ ให้มึงอ่านเองเลย”

ผมขมวดคิ้ว “งั้นช่วยบอกให้หายข้องใจหน่อย ส่งมาจากใคร?”

“กู…ยังไม่บอกได้ไหม”

“แค่ใบ้มาก็ได้”

“…คนที่มึงรู้จักดี” 

ใคร?

หลังครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ มีคนเดียวที่น่าจะเป็นไปได้

“ไอ้เด็นเรอะ!”

-------------

ผมลืมตามองความมืดมาครู่ใหญ่ พรุ่งนี้ผมมีสอบเช้า แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ

มันค้างคาใจน่ะ

คิดแล้วก็ถอนหายใจเงียบๆ เหลือบมองเงาตะคุ่มทางขวามือ ไม่รู้ว่าคนนอนฟูกข้างๆ หลับไปหรือยัง…ไม่ได้อยากหาคนชวนคุย เพราะผมอยากให้พาร์รีบหลับจะแย่ หลับลึกได้ยิ่งดี!

หลังนอนเฉยไม่กระดุกกระดิกอยู่นาน ผมก็ค่อยๆ พลิกตัว เอานิ้วจิ้มแขนคนข้างๆ ทดสอบ มีความเงียบตอบกลับมาจึงค่อยลุกช้าๆ นึกทวนในใจว่าเห็นมันเอาจดหมายไปซ่อนไว้ตรงไหน ค่อยคลำทางไป ดีว่าที่นี่มันห้องนอนผม คุ้นเคยดี ต่อให้มืดขนาดนี้ก็ไปถูก แต่เรื่องหาของต้องมีตัวช่วย

ผมล้วงไฟฉายปากกาที่แอบเอามาซุกไว้ในกระเป๋ากางเกงนอนมาคาบในปาก ถึงที่หมายก็เริ่มบิดให้ไฟสว่าง เริ่มต้นค้นหาอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง

ไม่มี…ไม่มี…นี่ก็ไม่มี

เริ่มนึกเกลียดชั้นหนังสือก็วันนี้ หนังสือจะเยอะไปไหน แล้วมันเอาไปสอดแอบไว้กับเล่มไหนวะเนี่ย!

มือดึงเล่มต่อไปมาเปิดหาต่อ ผมหาจนเกือบสิบเล่มจนเกือบถอดใจ แต่สุดท้ายก็เจอจนได้

ดีนะที่ตอนนั้นแอบมองไว้ ดีนะที่เมื่อกี้ไม่ถอดใจ…

ฟืบ!

ซองจดหมายโดนดึงหายไปต่อหน้าต่อตา ผมพึ่งรู้สึกถึงคนด้านหลังก็ชักใจเสีย มือดึงไฟฉายปากกาจากปาก หมุนปิดไฟ พลางหัวเราะแห้งๆ นำทัพ

“เอ่อ ถ้าจะเข้าห้องน้ำ มึงต้องออกประตูทางโน้น”

“กูตื่นมาจับขโมยต่างหาก”

“มีขโมยที่ไหน ตรงนี้มีแต่เจ้าของห้องกับแขกผู้มาพักอาศัย”

“หลักฐานอยู่ในมือกู แถมก่อนหน้านี้ยังเห็นเองกับตา”

ผมกลืนน้ำลายลงคอ รีบหมุนตัวไปเผชิญหน้าด้วย เมื่อคิดคำแก้ตัวไม่ออก ก็พูดโพล่งแบบกำปั้นทุบดิน

“มึงฝันอยู่!”

“งั้นเหรอ”

“ใช่!” ผมรีบพยักหน้ายืนยัน “นี่มันในความฝัน!!”

“ฝันของกูด้วยใช่ไหม”

“ใช่ๆ” ผมดันพาร์ให้เดินถอยหลังไปทางฟูกนอน “รู้แล้วก็รีบล้มตัวนอนเหอะ มึงจะได้ตื่นมาเห็นความจริง”

ผมดันพาร์ลงฟูก กำลังจะผละออก กลับโดนรั้งจนเสียหลักนอนทับคนดึงไปเต็มๆ ไม่ทันตั้งหลักก็ต้องสะดุ้งเฮือกกับสัมผัสแผ่วเบาตรงแผ่นหลังไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ จนเสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่

“หยุดเลยนะมึง!”

“หยุดทำไมล่ะ กูฝันอยู่นี่”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย!” 

“เกี่ยวสิ”

“เฮ้ย!”

ผมรีบเบือนหน้าหลบสัมผัสตรงแก้ม ก่อนสะดุ้งโหยงกับสัมผัสตรงซอกคอ

“พาร์!”

ผมรีบยันตัวหนี แต่ดันโดนพลิกตะแคงข้าง กอดรัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด   

“รู้ไหม” เสียงกระซิบใกล้หู “ในความฝันจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

ผมสะดุ้งอีกครั้ง รีบร้องบอกเสียหลงก่อนโดนบีบก้นอีก

“กูยอมแล้ว!”

“ยอมว่า?”

“เอามือออกไปเลยนะมึง!”

“บอกมาก่อน”

“อย่าลูบ!” ผมร้องท้วง พร้อมเปิดปากสารภาพผิด “กูผิดเอง และนี่คือความจริง ไม่ใช่ฝัน!”

“ก็แค่นั้น”

ทันทีที่เป็นอิสระ ผมรีบกลิ้งหนีคนปล่อย แต่ก่อนพ้นระยะขอถีบมันหน่อยเหอะ

“โอ๊ย!”

ถึงฟูกตัวเองก็รีบมุดอยู่ข้างใต้ผ้าห่ม “จะเอาจดหมายไปซ่อนหรือเผาก็เรื่องของมึง กูจะนอนแล้ว”

“ไม่อยากรู้เนื้อหาแล้ว”

ผมเม้มปากสักพัก ก่อนยอมตอบตามจริง “…อยาก”

“ถ้าเอาไปเผา อดอ่านเลยนะ”

“ก็…ถามจากมึงแทนไง ช่างเถอะน่า กูนอนแล้ว

แว่วเสียงหัวเราะในคอลอยเข้าหู ผมกัดฟันรู้สึกเจ็บใจสุดๆ แต่ทำอะไรไม่ได้

ฝากไว้ก่อนเถอะ!

-------------

“เป็นอะไร หน้าบูดมาเลย”

ผมมองลูกหว้า แค่อารมณ์เสียตกค้างจากเรื่องเมื่อคืน ยิ่งเช้ามาเห็นหน้าพาร์ก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ขืนบอกคงมีซักยาว เลยพูดปัด

“ไม่มีอะไร”

“มึงไม่มี แต่คนเดินตามหลังมึงมีแน่ๆ ออร่ามีความสุขแผ่มาแต่ไกล ดูก็รู้ว่ากำลังอารมณ์ดีสุดๆ”

“กูขึ้นห้องสอบก่อนล่ะ”

ผมว่าเรียบๆ เมินเสียงอุทานของผองเพื่อน ผละจากมาทันที ถึงอย่างนั้นก็ได้ยินเสียงซักถามดังไล่หลัง

“มีเรื่องอะไรกัน?”

“ทะเลาะกันอีกแล้ว?”

“เปล่า”

“ไอ้คำปฏิเสธทั้งรอยยิ้มนี่คืออะไร”

แค่ได้ยินเสียงหัวเราะของพาร์ ผมก็รีบจ้ำเท้าเร็วกว่าเดิม นึกว่าจะพ้นระยะ แต่มันดันพูดเสียงดังอย่างจงใจให้ได้ยิน

“แค่ใครบางคนเสียรู้ เลยหงุดหงิดน่ะ”

-------------

กว่าสองชั่วโมงกับการโดนดูดพลังงานชีวิต ผมเดินมึนๆ ออกจากห้องสอบตัวสุดท้าย ด้านนอกยังมีคนจับกลุ่มเหมือนเมื่อวาน เพียงแต่คนน้อยกว่า ผมเดาว่าไม่ไปหาอะไรกิน ก็คงกลับไปพักผ่อนกันแล้ว อ้อ บางคนอาจไปทำกิจกรรมที่ชอบก็ได้

หลังรอมือถือเปิดเครื่องเรียบร้อยก็กดโทรหาคนนั่งรอ

“อยู่ไหน?”

[ใต้ตึกที่เดิม]

ผมคุยไปเดินไป “งั้นไปวนรถออกมาเลยก็ได้”

[กูไม่ได้อยู่คนเดียว]

อ้าว

“แล้วอยู่กับใคร”

[เพื่อนมึง]

“คนไหน?”

[เพื่อนกลุ่มเมื่อเช้า]

“อ้อ งั้นเดี๋ยวกูลงไป”

แต่ก่อนจะวางสาย ปลายสายกลับเรียกชื่อก่อน [ที]

“หือ?”

[เพื่อนมึงรู้เรื่องนั้นแล้วนะ]

ผมย่นคิ้ว “เรื่องไหน?”

[เรื่องเพื่อนคนนั้นของมึง]

ผมชะงักเท้าทันที “มึงเล่าไปแล้ว”

[ตอนแรกว่าจะรอให้มึงพูดเอง แต่มีเหตุผลบางอย่างกูเลยเล่าเรื่องที่เรารู้ให้ฟังก่อน]

“เหตุผลอะไร?”

[…ข้างในจดหมายเมื่อวาน มีกระดาษอยู่สอง]

ผมนึกถึงช่วงเวลาที่เห็นพวกมันบนรถเมื่อวาน กระดาษกับซองจดหมายสีเดียวกัน และกระดาษสีขาวที่เหมือน A4 ผมยังจดจำความรู้สึกแปลกแยกยามเห็นมันได้

[ใบหนึ่งจากคนกลุ่มหนึ่งเขียนข้อความมาขอบางอย่าง พร้อมรายละเอียดติดต่อกลับ ส่วนอีกใบเป็นแผนที่ไปผับแห่งหนึ่งกับข้อความนัดหมาย ซึ่งเพื่อนกลุ่มมึงยืนยันแล้วว่าเป็นลายมือของเพื่อนชื่อเด็น]

“นัดอะไร?”

[คืนนี้นัดเจอสองทุ่มครึ่ง] มีเสียงลมหายใจลอดเข้ามาครั้งหนึ่ง ผมเดาว่าพาร์คงถอนหายใจ [ตอนแรกเพื่อนกลุ่มมึงไม่มีใครรู้ แต่กูพลาดเอง ไม่นึกว่าซองจดหมายจะหล่นจากหนังสือที่กูกำลังอ่าน]

“ถึงอย่างนั้นเพื่อนกูก็ไม่น่าเสียมารยาทหยิบมาเปิดดูเอง”

[ถ้าเป็นปกติน่ะใช่ แต่เพื่อนมึงคนหนึ่งรู้ที่มาของจดหมายเลยหยิบไปเปิดดู เพราะอยากความรู้อยากเห็นเฉยๆ]

“กูไม่เข้าใจ”

[มึงคงจำได้ว่าหน้าซองจดหมายเขียนชื่อของเรา]

“เออ” ทำไมจะจำไม่ได้ ก็เพราะเขียนชื่อทั้งผมทั้งพาร์เนี่ยแหละ ผมถึงได้ติดใจสงสัย

[คือจดหมายควรจะเป็นของกลุ่มที่มาขอตั้งแฟนคลับเรากับเปิดเว็บเพจ ไม่ควรมีกระดาษขาวแทรกเข้ามา กูเลยคาดเดาว่าระหว่างตัวแทนของกลุ่มกำลังมาส่งจดหมายน่าจะเจอเพื่อนมึงเข้า เขาคงคุ้นๆ ว่ารู้จักมึงเลยไปถามหาล่ะมั้ง เพื่อนมึงรู้เข้าคงอาสาเอาไปส่งให้ แต่ความจริงแล้วใส่อย่างอื่นเพิ่มเข้ามาในจดหมาย…]

“เดี๋ยวก่อน” ผมร้องขัดจังหวะ “ซองจดหมายปิดผนึกอยู่ ถ้าไม่ฉีกออกมาล่ะก็…”

[ตอนแรกกูคิดเหมือนมึง] พาร์หยุดพูดเล็กน้อยเหมือนเรียบเรียงความคิด [แต่หลังเทียบลายมือบนหน้าซอง กูเลยคิดว่าไม่ใช่สับเปลี่ยนซองจดหมายใหม่ น่าจะตั้งแต่ต้นคงไม่ได้ทาน้ำปิดผนึกมากกว่า หลังเพื่อนมึงได้จดหมายมาก็คงแอบใส่กระดาษเพิ่ม จัดการปิดผนึกซองให้ แล้วฝากคนอื่นส่งให้กูอีกทีแบบที่มึงเห็นเมื่อวานมั้ง]

“…แล้วทำไมต้องเป็นมึง? และมันทำไปเพื่ออะไร?”

[คำถามแรกกูไม่รู้ อีกคำถามก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าให้คิดในกรณีเลวร้ายสุด] พาร์เงียบไปนานจนผมลงมาถึงชั้นถัดมา [หาเหยื่อ]

ผมหลับตาลง สักพักถึงลืมตาออกเดินต่อ ถึงพยายามข่มอารมณ์แย่ๆ แค่ไหนก็ยังออกไปทางเสียงอยู่ดี

“…งั้นเหรอ”

[แต่แปลกตรงที่คนถูกนัดหมายไม่ใช่มึง]

“ใคร?”

[คนชื่อ ‘ข้าวยำ’ กูเดาว่าเป็นเพื่อนมึงที่เคยเป็นสามีของคนชื่อเด็นใช่ไหม]

“มึงเดาถูก” ผมว่า ครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยบอก “อาจต้องการนัดเคลียร์เป็นครั้งสุดท้ายก็ได้”

[ไม่ว่าจะแง่ไหนก็ไม่ควรมองข้าม]

“อือ…” ผมครางรับคำเตือนของคนปลายสาย ระหว่างมีแต่ความเงียบพักหนึ่งจนผมทนไม่ไหว เลยเปลี่ยนเรื่องคุย “มึงคุยกับกูยาวขนาดนี้ เพื่อนกูไปแล้วใช่ไหม”

[ตอนแรกยัง กูเลยเดินถอยห่างมาคุยกับมึง แต่เมื่อกี้หันไปเห็นพวกเขาลุกจากเก้าอี้ บางคนโบกมือให้กูด้วย]

กว่าผมลงไปถึง พวกมันคงไม่อยู่ให้เจอหน้าแล้วแหงๆ คิดแล้วก็ถอนหายใจ รู้เลยว่าคืนนี้เจอพวกมันแน่ “บอกให้ระวังตัวไปแล้วใช่ไหม”

“ใช่”

ผมครุ่นคิดครู่ใหญ่ ก่อนบอกพาร์ที่ถือสายรออยู่ “เดี๋ยวกูติดต่อเพื่อนอีกกลุ่มก่อน งานนี้เราคงต้องเตรียมตัวกับวางแผนก่อนไป”

[แล้วเพื่อนมึงกลุ่มเมื่อกี้ล่ะ]

“…พูดไปตอนนี้พวกมันอาจไม่ฟังกูก็ได้ เราหาคนไปคุมพวกมันที่ผับอีกทียังง่ายกว่าอีก”

[เพื่อนมึงคงแค่น้อยใจ]

ผมพ่นลมหายใจกับถ้อยคำปลอบ “ไม่ก็กำลังโกรธที่กูไม่ยอมบอก”

[กูบอกเหตุผลของมึงไปแล้ว คงไม่โกรธกันหรอกมั้ง]

“ไม่รู้สิ…เดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกที”

หลังวางสายจากพาร์ ผมก็กดเข้าไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ พิมพ์สั้นๆ

TEE: SOS กูต้องการกองหนุน
TEE: ยำ เมียเก่าของมึงต้องการคุยด้วย

ไม่นานก็มีคนไลน์กลับมา

YamYam: ที่ไหน?
TEE: ยังบอกไม่ได้ มึงไปได้แน่ๆ?
YamYam: ทำไมจะไม่ได้
TEE: คนของมึงให้ไป?
YamYam: ไม่ให้กูก็จะไป นัดเจอกันที่ไหนบอกด้วย

TEE: มึงอยู่ไหน?
YamYam: ห้องพี่ภู
TEE: รออยู่นั่นแหละ บอกเจ้าของห้องด้วยว่าเดี๋ยวมึงจะมีแขกกลุ่มใหญ่มาหา’
YamYam: จะมาชุมนุมกันที่นี่?
TEE: เออ ถือโอกาสให้เพื่อนเก่าแก่ไปดูความเป็นอยู่ของมึงหน่อย’

Wind: ดีๆ กูเป็นห่วงมันจะแย่
White Rabbit: อย่าลืมส่งพิกัดมาด้วย
Blue Sky: ยังสอบไม่เสร็จ ส่งพิกัดร้านมา เดี๋ยวตามไปสมทบ

ผมกดพักหน้าจอ รีบเดินลงบันได ระหว่างนั้นเสียงโทรเข้าก็ดังขึ้น…ยำโทรมา

[ไอ้ที! กูยังไม่พร้อมบอกนะมึง!]

“ไม่พร้อมก็เรื่องของมึง เพราะงานนี้กูว่าพี่ภูไม่ปล่อยมึงไปคนเดียวหรอก”

[แต่…]

“แล้วแต่มึงนะ เพราะถึงไม่บอก เพื่อนเราก็ไม่โง่หรอก ให้พวกมันสังเกตเอาเองก็ได้”

[…มึงจะมาถึงเมื่อไหร่?]

“กูยังอยู่ในมหาลัย และกูมีเรื่องแฟนเก่ามึงไปเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่มึงควรรู้ก่อนไปหา”

[งั้น…รอมึงมาถึงก่อน ค่อยส่งพิกัดห้องพี่ภูไปให้พวกนั้นแล้วกัน]

ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ตามใจแล้วกัน”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 25-12-2016 16:40:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 25-12-2016 16:56:42
เรื่องนี้...พี่ภู..ต้องรู้นะ...ยำ..ปัญหามันพันพัว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-12-2016 19:31:42
ขำพาร์ อยากให้ทีหึง  :ling1: :ling1: :ling1:
ชอบบบบ จับได้ไล่ทันขโมยจดหมาย
พาร์ ฉวยโอกาสใช้ความฝันเป็นประโยชน์ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เด็น คงไม่ได้ต้องการเคลียร์แค่นั้น
ที ฉลาดมาก อ่านเกมออก
แถมเตรียมพร้อมประชุมกลุ่ม
วางแผนจัดการเสร็จสรรพ
ยำ ไม่รู้ตำแหน่งตัวเองเลย
โดนพี่ภู จัดหนักแน่ถ้าแอบไปเจอเด็น
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-12-2016 21:18:16
เด็น......จะทำไร
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-12-2016 21:34:07
เปงเรื่องจิงๆด้วย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-12-2016 07:56:11
เด็นต้องการอะไรล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 26-12-2016 09:36:31
เคลียร์ยาววววว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 26-12-2016 09:54:40
งานเกิด จริง ๆ ด้วย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-12-2016 10:09:17
ยุ่งเหยิงมาก :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 26-12-2016 22:23:42
เด็นกำลังจะหางานให้ทีแล้วเพื่่อนๆใช่มั้ย? เรื่องที่เด็นอยากนัดคุยต้องมีอะไรไม่ดีแอบแฝงแน่ๆ
ว่าแต่พาร์ทีนี่ก็สวีทกันจริง หมั่นไส้เล็กๆกับความปากไม่ตรงกับใจของที ซึนเหลือเกินนะ แหมๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 29-12-2016 14:30:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 29-12-2016 23:43:53
บทที่ 36

ผมกำลังเล่าเรื่องที่รู้มาให้เพื่อนๆ ฟัง พยายามเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด ตรงกลางกลุ่มมีหลักฐานทั้งภาพจากมือถือของผม ทั้งจดหมาย แต่อยู่ๆ ภาพหลักฐานก็เปลี่ยนเป็นหน้าจอคนโทรเข้า แค่เห็นภาพบุคคลที่บันทึกไว้ทั้งกลุ่มก็แตกฮือ

“รีบรับเลยไอ้ที!”

“ห้ามบอกนะว่าอยู่กับพวกกู”

ผมคว้ามือถือกดรับสาย “มีอะไรอ่ะลุง” พลางเลิกคิ้วมองเพื่อนๆ ที่พร้อมใจกันเงียบกริบ แถมยังชี้ให้ออกไปคุยที่ระเบียงห้อง หน้าตาแต่ละคนเครียดว่าเมื่อครู่นี้อีกครับ ผมเลยจำต้องลุกขึ้นเดินไปเลื่อนประตูกระจกเปิดและปิด ก่อนเท้าแขนกับขอบระเบียงสูงสิบกว่าชั้น

“เมื่อกี้ลุงถามว่าอะไรนะ?”

[อยู่ไหน?]

“ทีอยู่ห้องรุ่นพี่”

[เจ้าหนูนั่นล่ะ ไปด้วยกัน?]

“ลุงจะคุยด้วย?”

[เปล่า สอบเสร็จแล้วใช่ไหม คืนนี้จะอยู่บ้านหรือออกเที่ยว]

คำถามมาเป็นชุด นี่ขนาดยังไม่ได้บอกว่าจะเที่ยวเลยนะ ผมทำใจสักพักก่อนตอบว่าออกเที่ยว ตามคาดโดนซักถามจนพรุน ผมก็พยายามตอบเลี่ยงๆ เท่าที่ทำได้ สุดท้ายก็จบแค่ให้ระวังตัว บ้านผมก็แบบเนี่ย ไม่ห้าม แต่ถ้าจะไปไหนกับพวกเพื่อนๆ ต้องรายงาน เช่น ออกต่างจังหวัด หรือเที่ยวกลางคืนต้องรายงานตลอด แน่นอนว่าขัดไม่ได้ ไม่งั้นจะอดงบเที่ยว

[ทากะจะคุยด้วย]

สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ปกครองอีกคน [ฮัลโหลที]

“ลุงพาทาจังไปเที่ยวไหน?”

[นิกขับรถพาขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ สนใจที่ไหนก็แวะ มืดก็หาที่นอนแถวนั้น ทาจังเลยมึนๆ นิดหน่อย ไม่คิดว่านิกจะพาเที่ยวแบบนี้]

“อย่าไว้ใจนะทาจัง อย่างลุงอาจปล่อยให้ทาจังตายใจก่อนก็ได้”

[นั่นสิ ทาจังกลัวมีเซอร์ไพรส์เหมือนกัน ว่าแต่คืนนี้เราจะไปเที่ยวสินะ]

“อือ” ผมลังเลนิดหน่อย แต่ก็เอ่ยถาม “…ไม่อยากให้ทีไปเหรอ?”

[ก็แค่เป็นห่วง]

ผมจับน้ำเสียงผิดสังเกตได้ทันที “มีอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนทั้งสองคนกังวลเรื่องที”

[นิดหน่อย] ทากะซังเว้นวรรคไปเล็กน้อยก็พูดอธิบาย [นิกกับทาจังพึ่งเจอหมอดูทักมา]

“หมอดู?” ผมทวนคำงงๆ “ที่รับทำนายเป็นอาชีพ?”

[ไม่ใช่หรอก เอาเป็นว่าทำนิกกับทาจังกังวลเรื่องเราไปเลย]

“เขาพูดว่าอะไร?”

[อยากฟัง]

“อือ”

[บอกว่า…] น้ำเสียงทากะซังอึกอักพิกลจนผมขมวดคิ้ว [ดวงช่วงนี้ของทีให้ระวังมีเรื่อง]

“แค่นั้น?”

[บอกอีก เขาว่าดวงความรักของทีกำลังขึ้น ถ้ากำลังทำงานหรือเรียนจะได้หยุดพักผ่อนช่วงหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้ไปท่องเที่ยวกับเพื่อน แต่ก่อนได้เที่ยวมีสิทธิ์จะเกิดเรื่อง ควรระมัดระวังตัวตลอดเวลา]

ผมฟังแล้วรู้สึกทะแม่งๆ เลยเอ่ยถาม “เดี๋ยวนี้ทาจังเชื่อเรื่องพวกนี้แล้ว?”

[ก็…ไม่เชิง แต่ฟังไว้ก็ดีกว่าไง]

ผิดปกติ!

“ทีขอถาม หมอดูที่ว่ารู้ได้ไงว่าทาจังรู้จักที”

[เขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงทีตรงๆ หรอก เขาถามว่าพวกคุณมีลูกชายใช่ไหมน่ะ ถ้าพูดถึงลูกชายของเราก็ต้องเป็นทีอยู่แล้ว]

“แล้วเขารู้ได้ไง ในเมื่อทั้งนิกทั้งทาจังเป็นผู้ชายทั้งคู่ เดินผ่านๆ ไม่มีทางฟันธงว่ามีความสัมพันธ์แบบไหน ยิ่งถ้าจับตามองมาสักระยะจะรู้ว่าลุงกับทาจังเป็นคู่รัก ไม่มีทางพูดเรื่องลูกให้ฟังหรอก”

[เอ่อ…ก็…เขาเป็นหมอดูไง]

รู้สึกเหมือนเดจาวู คงรู้แล้วใช่ไหมว่าผมเรียนวิธีตอบแบบกำปั้นทุบดินมาจากใคร

“ทีขอถามอีกคำถาม” ผมข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบ “หมอดูที่ว่าคงไม่ได้ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว ฮ. หรือ ท. หรอกใช่ไหม”

[…อ๊ะ นิกเรียกแล้ว ทาจังไปนะ]

ผมหรี่ตาลงมองมือถือที่โดนตัดสายทิ้ง รู้สึกแปลกๆ เหมือนพวกลุงรู้อะไรบางอย่างมา แต่ปิดปังไว้ไม่ยอมบอกกัน

ทำไม?

ไม่ทันได้คิดมากกว่านี้ หน้าจอก็กระพริบสายคนโทรเข้า คราวนี้จากพ่อ

[ไงลูก สอบเสร็จหรือยัง?]

“เสร็จแล้วครับ”

[ดีเลย คุยกับน้องหน่อย น้องขู่พ่อว่าถ้าไม่โทรหาพี่ให้ จะโกรธพ่อไปสามวัน]

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย มีน้องสองคน แน่นอนว่าไม่ใช่ยัยน้ำแน่ เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาน้องสาวก็ไลน์บอกให้ผมติดต่อไปหาทุกวัน จะส่งแค่สติกเกอร์วันละครั้งก็ได้ ผมเลือกส่งหาน้องก่อนนอนทุกคืน ถ้าลืมวันรุ่งขึ้นน้องจะส่งข้อความบ่นยาวเหยียดมาให้ในตอนเช้า ตามด้วยบทลงโทษแสนเอาแต่ใจ

Nam: ต้องให้พวกน้ำไปเที่ยวมหาลัยพี่
Nam: พี่ติดทำอาหารตามน้องสั่งสองรายการ
Nam: ต้องซื้อของอร่อยที่สุดในแหล่งท่องเที่ยวมาฝากน้อง

อันหลังสุดพึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ตอนเช้า เพราะเมื่อคืนผมมัวแต่คิดเรื่องจดหมายจนลืมส่งข้อความไปหา สรุปคือผมลืมมาแล้วสามครั้ง

[พี่] เสียงน้องอันข้างหูดึงผมออกจากภวังค์

“ไงตัวเล็ก” เลื่อนมือถือดูนาฬิกาตรงมุมจอแวบหนึ่ง จากเวลาน่าจะกำลังเดินทางกลับกัน “วันนี้พ่อไปรับกลับ?”

[อือ! พี่อยู่ไหน]

จะบอกไงดี พูดคำว่า ‘รุ่นพี่’ ไปคงไม่รู้จักมั้ง งั้น…

“บ้านเพื่อนครับ”

[กลับบ้าน]

หือ!

เหมือนผมจะหูฝาด เลยถามซ้ำ “อะไรนะ?”

[กลับบ้าน!]

คราวนี้ชัดเจน ผมพึ่งโดนน้องคนเล็กสั่งให้กลับบ้าน ริมฝีปากเผลอคลี่ยิ้มขำขัน บอกตามตรงผมถูกใจเสียงขึงขังของน้องไม่น้อย

“พี่ยังกลับไม่ได้”

น้องเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนคำสั่งที่สองจะตามมา [มารับอันด้วย]

ผมเลิกคิ้วสูง “จะมาอยู่กับพี่?”

[อือ!]

ตอบรับหนักแน่นมากครับน้องผม รีบยกมือปิดปากก่อนเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมา…เผลอๆ เจ้าตัวเล็กติดผมมากกว่าน้ำอีกมั้งเนี่ย

ผมรีบสะบัดไล่ความคิดในหัวตอนนี้ออก ครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยถาม “น้องอันปิดเทอมยัง?”

[ปิดเทอม?] ทวนคำพูดกลับมา […ยังนะ]

“งั้นมาอยู่กับพี่ไม่ได้หรอก”

[ทำไมล่ะ?]

“ก็ถ้ามาอยู่กับพี่ตอนนี้ อันจะขาดเรียนนี่น่า”

[อันยอม]

“จะไม่ได้เจอคุณครู แถมอดเล่นกับเพื่อนๆ ด้วยนะ” ไม่มีเสียงตอบกลับมาทันทีเหมือนเมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะเริ่มลังเล ผมเลยถือโอกาสกล่อมต่อ “เดี๋ยวพี่ก็กลับไปหาแล้ว รอพี่เอาของเจ๋งๆ ไปให้ดีกว่า”

[…นานไหม]

“ก็” ผมกรอกตามองท้องฟ้า จะอธิบายเรื่องเวลากับเด็กห้าขวบยังไงดี “เอางี้ อันรู้จักปฏิทินไหม”

[อันรู้]

“เก่งมาก งั้นกลับบ้านก็ถามพ่อดูว่าวันนี้คือตรงไหน แล้วนับไปอีกสองช่องจะเห็นตัวเลขสีแดงๆ อันก็เริ่มนับตัวสีแดงๆ ลงมาอีกสองครั้ง…”

ยังอธิบายไม่ทันจบ ก็ได้ยินเจ้าตัวเล็กร้องหาปฏิทินจากพ่อ ด้วยความที่ออกเสียงไม่ชัด ฟังไปฟังมาเหมือนน้องเรียกปาทิน พ่อคงงงเลยถามกลับมาหลายครั้ง เดือดร้อนผมต้องพูดคำเดิมให้ฟังช้าๆ ปล่อยน้องออกเสียงตาม สุดท้ายเจ้าตัวเล็กก็ได้ของที่ต้องการ ไม่นึกว่าบนรถพ่อมีปฏิทินเก็บไว้ด้วย

“หาคำว่าธันวาคมก่อน ใช่ๆ เดือนสิบสอง แล้วก็หาเลขสิบแปด”

[อันเจอแล้ว]

“นับออกไปอีกสองจะเป็นเลขยี่สิบใช่ไหม เป็นสีอะไรครับ”

[สีแดง]

“นับลงมาข้างล่างอีกสองครั้ง…”

[สองครั้งไม่ได้ ข้างล่างมีแค่อันเดียว]

อ้าว นึกๆ ดู อ้อ สิ้นสุดเดือนนี่น่า งั้น…

“ถามพ่อนะเดือนถัดไปอยู่ไหน”

[พ่อ เดือนถัดไปอยู่ไหน]

[ต่อจากธันวาเหรอลูก นี่ไง ตรงนี้ที่เป็นสีจางๆ]

[อันเจอแล้ว]

“เห็นเลขหกไหม?”

[อือ]

“พี่กลับวันนั้นแหละ”

อันที่จริงผมน่าจะบอกน้องแบบนี้ตั้งแต่แรกนะ พอเจ้าตัวเล็กได้คำตอบพอใจก็คุยกับผมอีกนิดหน่อยก็วางสายไป แต่เชื่อเถอะ น้องอันไม่เข้าใจหรอกว่ามันนานแค่ไหน เพราะถ้ารู้คงโวยวายใส่ผมไปแล้ว

ผมโคลงหัว ต้องรอโตกว่านี้อีกหน่อย

พอกลับเข้ามาในห้อง ทันได้ยินพาร์ (น่าจะอาสาเล่าเรื่องต่อจากผม) กำลังพูดปิดท้ายพอดี ระหว่างเดินไปนั่งที่เดิม สายตาก็เหลือบมองไอ้ยำที่ดูตั้งใจฟังสุดพลางแอบส่ายหน้า

ถ้าถามหาเจ้าของห้องอีกคน ผมพึ่งเดินสวนกับพี่แกแถวลิฟต์ชั้นล่างตอนขามา เท่าที่คุยกันเห็นว่าจะไปซื้อของตามใบสั่ง เอ้ย ใบรายการที่คุณเมียเขียนส่งให้ ไม่รู้มันไปหลอกล่อพี่ภูท่าไหน ถึงได้ยอมทิ้งเมียไว้ที่ห้องตามลำพังทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะมีแขกมาหา

“เดี๋ยวก่อน กูไม่เข้าใจว่าแค่ส่งข่าว แฟนเก่ายำจะทำเรื่องซับซ้อนไปทำไม”

“กูเห็นด้วย เดี๋ยวนี้ติดต่อทางอื่นสะดวกกว่าส่งจดหมายตั้งเยอะ”

“เจ้าของจดหมายจริงๆ ไม่ใช่แฟนเก่ายำนี่”

ผมพูดบ้าง “กูเดาว่าเจ้าของจดหมายจริงๆ คงไม่กล้าติดต่อมาทางอื่นมั้ง เพราะตามความจริงกูไม่รู้จักก็ถือเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี”

“เหอะๆ มึงคิดมากไปแล้ว ไอ้วินยังมีคนแปลกหน้าติดต่อหาทุกวี่ทุกวัน ไลน์บ้าง เฟซบ้าง เต็มไปหมด”

“นั่นคนดัง” ผมว่า

“แล้วมึงไม่ดังหรือไง!”

“ไม่”

“โหยย! กล้าพูด! ยำฝากตบหัวมันทีดิ”

คนโดนสั่งหันมองผม แล้วรีบหันไปส่ายหน้าให้ไวไว มันขมวดคิ้วทันที เมื่อเห็นคู่หูไม่ยอมทำตามที่บอก นับเป็นเรื่องผิดปกติอย่างหนึ่ง ไวไวเลยจ้องจับผิดผมแทน จ้องไปเถอะ ไม่มีทางรู้หรอก ในเมื่อเจ้าของความลับไม่คิดเปิดเผย ผมก็คงกุมความลับของยำไว้ในกำมือต่อไป

“หรือมึงบล็อกทุกการติดต่อกับแฟนเก่าแล้ว?” เทมถามขึ้นมา

ประเด็นเริ่มมีสาระ ยำส่ายหน้าแทนการตอบ ผมเริ่มเอะใจบางอย่าง เลยยื่นมือไปหาคนนั่งทางซ้าย

“เอามือถือมึงมาดูดิ”

หลังได้มาก็กดปลดล็อก ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่รู้ และไม่ใช่แค่ของยำ สรุปคือรู้รหัสกันหมดทุกคน สมกับที่เคยบอกว่าไม่มีความลับระหว่างกัน แต่ข้อนี้ยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งรักษาไม่อยู่…ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ชัดๆ

หลังกดดูสักพักก็ส่งคืนเจ้าของ รายงานให้คนนั่งรอฟัง “บล็อกหมดแล้ว”

“เฮ้ย แต่กูไม่เคยกด…”

ผมพูดขัดยำทันที “ยำอาจไม่ได้ทำ แต่มีคนอื่นทำแทน”

“ใครวะ?” ไวไวถาม

ผมเหล่มองไอ้คนข้างๆ ยกยิ้มมุมปาก “แฟนใหม่ไอ้ยำ”

“อ้าว มึงมีแฟนใหม่แล้ว?”

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่โดนยำจ้องเขม็งคาดโทษใส่ บอกตามตรงผมทั้งหมั่นไส้ทั้งคันปากยิบๆ อย่างจะแฉมันจะแย่

“ยังไม่ใช่แฟน!”

เพื่อนคนอื่นพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้สนใจประเด็นนี้อีก ผิดกับผมที่เอียงตัวกระซิบข้างหูไอ้คนปฏิเสธเสียงแข็ง

“เพราะเป็นยิ่งกว่าแฟนนี่เนอะ”

“ไอ้ที!”

ผมหัวเราะเอียงหัวหลบฝ่ามือมัน หันไปสนใจประเด็นที่ทั้งกลุ่มกำลังพูด

“สรุปว่าเพราะติดต่อยำไม่ได้ เลยติดต่อทางทีแทน?”

“แล้วทำไมต้องทำอะไรลึกลับอย่างส่งแทรกมากับจดหมายคนอื่น?”

“มึงบล็อกเหมือนกัน?”

ผมส่ายหน้า พูดเสริม “ถึงไม่บล็อก มันก็คงไม่กล้าติดต่อกูก่อนหรอก ล่าสุดที่คุยกันต่อหน้าจบได้ยอดแย่ และมันคงนึกว่ากูยังโกรธอยู่มั้ง”

“แต่กูว่ามันกะยิงครั้งเดียวได้นกสองตัวมากกว่า”

“ยังไง?”

“ก็ถ้าทีรู้ มันคงไปกับยำอยู่แล้ว”

แต่ละคนพยักหน้า เพื่อนทั้งกลุ่มขาดแค่สองคือต่อที่บอกมาชัดเจนว่าไม่ว่างมาเจอ กับกายที่ยังติดสอบช่วงเย็น ถึงอย่างนั้นผมก็ส่งพิกัดร้านไปเผื่อ กายยืนยันกลับมาว่าจะไปหา ส่วนต่อยังไม่แน่ใจว่าจะปลีกตัวมาได้ มันบอกว่าต้องทำงานชิ้นหนึ่งให้พ่อ ต้องทำให้เสร็จก่อนไปเที่ยว ไม่งั้นคงอดไปเที่ยวกับพวกผม ฟังแล้วก็เครียดแทน พ่อมันรีบร้อนเกินไปแล้ว

“กับดักใช่ไหม?”

“มองเป็นอย่างอื่นได้ด้วย?”

“ใจเย็นๆ อย่าพึ่งอคติ ถ้าเป็นกายคงพูดแบบนี้” วินว่า “ลองมาคิดกันใหม่เถอะ เอาแบบที่มีเหตุผลรองรับ หัวข้อคือ คิดว่าเป็นแง่ดีหรือร้ายมากกว่ากัน ให้เวลาคิดห้านาทีค่อยตอบ”

หลังผ่านไปห้านาที คนที่พูดคนแรกคือเทม

“กูว่าร้าย” น้ำเสียงราบเรียบ ชี้นิ้วทางกระดาษ A4 ปรินต์เป็นแผนที่มา มีวงปากกาไว้ว่าที่ไหน ด้านล่างมีเขียนวัน เวลา ชื่อคนนัดหมายด้วยลายมือของเด็น “สถานที่นัดคุยมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องระบุเจาะจงว่าเป็นที่ผับ”

“กูเห็นด้วย” ไวไวยกมือ “เป็นกูคงหาที่เงียบสงบคุยมากกว่าเลือกที่เสียงดังๆ ต้องคอยกระซิบข้างหูถึงจะได้ยินแบบผับ กูเลือกมองในแง่ร้าย”

“คนอื่นล่ะ”

ผมกับพาร์สบตากัน ก่อนที่ผมจะพูดขึ้น “พาร์เล่าเรื่องที่เจอเด็นตรงหน้าโรงแรมแล้วใช่ไหม”

“อือ”

“อันที่จริงคืนนั้นกูเห็นมันไปเที่ยวผับกับเพื่อนกลุ่มใหม่” พูดไปแล้วก็เผลอถอนหายใจ เหลือบมองแผนที่วางกลางวงอีกรอบให้แน่ใจ “ตอนที่กูเห็นมันเดินอยู่ ผับที่วงกลมไว้อยู่ในละแวกนั้นพอดี”

“เดี๋ยวๆ มึงหมายความว่ามันไปผับนั่นกับเพื่อนกลุ่มใหม่ แล้วเจอไอ้พวกนั้นสินะ”

“กูแค่เดา เพราะอีกสองคนที่ยืนหน้าโรงแรมกับมัน เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับที่กูเห็นคืนนั้นด้วย เสียดายกูไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เลยไม่มีหลักฐานยืนยัน”

“ประเด็นคือผับที่นัดหมายมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นจุดล่าเหยื่อสินะ”

“คิดว่า” พาร์บอกเสียงขรึม

“มันล่อเราไปเจออันตรายชัดๆ”

“มองหาแง่ดีไม่ไหวจริงๆ”

“นี่พวกมึงสองตัวคบไอ้คนแบบนี้เป็นเพื่อนเป็นแฟนได้ไงเนี่ย!”

ยำทำหน้าอ้ำอึ้ง ส่วนผมทำได้แค่ถอนหายใจ อธิบายแทน “เมื่อก่อนถึงมันจะเอาแต่ใจไปหน่อย แต่นิสัยโอเคดี ที่มันเปลี่ยนไปกูเดาว่าคงเกิดจาก…หลายๆ สาเหตุ”

“ไม่ก็สันดานเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้เผยออกมาให้พวกมึงรู้”

จังหวะนั้นประตูหลักเปิดออก คนที่ไขกุญแจเข้ามาเป็นใครไม่ได้

“สวัสดีครับ”

วินยกมือไหว้รุ่นพี่คณะตัวเองก่อนคนแรก พวกผมเลยทำตามกันหมด ทำไปแล้วก็นึกขึ้นมาว่า ผมทักทายกับพี่ภูไปแล้วนี่หว่า…ว่าแต่ไหงกลับมาเร็วจัง คิดแล้วก็ชำเลืองมองคนทางซ้าย ไอ้ยำทำหน้าตกใจน่าดู

“หวัดดี” พี่ภูกวาดมองพวกผมทีละคน อย่างกับโดนแสกน ก่อนพี่แกจะยิ้มให้นิดๆ “เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บก่อน ยำลุกมาดูด้วยว่าครบไหม”

คนโดนเรียกนั่งลังเล ดูเหมือนมันก็อยากรู้ว่าพี่ภูลักไก่ซื้อของไม่ครบหรือเปล่า ถ้าดูจากรายการที่เพื่อนผมเขียนให้ คนละทิศละทางแบบนั้น น่าจะใช้เวลามากกว่านี้เยอะ คิดแล้วผมยังอยากลุกไปถามว่าพี่ใช้วิธีอะไรถึงได้กลับมาเร็วกว่าที่คาดตั้งเยอะ

มันหันมองผม เอียงตัวมากระซิบ “ไปดูให้กูหน่อย”

“ทำไม?”

“น่านะ ไปดูให้กูหน่อย”

ผมไม่ได้หลงกลน้ำเสียงอ้อนของเพื่อน แต่ยอมทำตาม เพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ ลุกขึ้นยืนเดินตามพี่ภูที่เลี้ยวหายไปโซนครัว พอพี่ภูเงยหน้าเจอผมก็พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ พูดแค่สองคำ

“กะแล้ว”

“ผมก็ไม่อยากมาหรอกพี่”

พี่ภูส่งใบรายการให้ “จะเช็ดใช่ไหมล่ะ ของทั้งหมดอยู่นู้น”

ผมรับมาเช็ดอย่างละเอียด ดูทั้งชื่อร้าน ทั้งวันปีผลิต ทั้งหมดนั้นคือขนมครับ เป็นของร้านดังๆ ที่เพื่อนผมชอบมากซะด้วย ทุกอย่างครบไม่มีขาด มีเกินด้วยซ้ำ

“พี่ทำได้ไงเนี่ย ซื้อของทั้งหมดนี่ในเวลาแค่นี้?”

“เพราะพี่ฉลาดไง”

ผมวางกระดาษในมือลง หันไปมองคนพิงโต๊ะเคาน์เตอร์ ในมือมีแก้วน้ำเย็นๆ กวาดสำรวจเร็วๆ พี่แกไม่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยให้เห็นด้วยซ้ำ

“ผมขอถามได้ไหม”

“งั้นมาแลกเปลี่ยนกัน เราถามมากี่คำถาม พี่ก็จะถามกลับเท่ากัน”

แฟร์ดี ผมเลยพยักหน้า เอ่ยปากถามก่อน “พี่ใช้วิธีอะไรถึงซื้อของทั้งหมดเร็วขนาดนี้?”

“ง่าย ในเมื่อมันอยู่คนละทิศละทางขนาดนั้น พี่ก็แค่จอดรถไว้กึ่งกลางของสถานที่ทั้งหมด แล้วรอของเดินทางมาหาเอง”

“พี่ใช้คนอื่นไปซื้อของให้?”

“ใช่ มันระบุชัดเจนขนาดนี้ คนอื่นก็ซื้อให้พี่ได้”

ผมเหลือบมองเพื่อน มันพลาดอีกแล้ว น่าจะเขียนบอกแค่ร้าน แล้วตั้งเงื่อนไขให้พี่ภูลองเลือกของที่มันชอบมากกว่า พี่ภูน่าจะใช้เวลาเยอะกว่านี้ แต่ก็ไม่แน่ คนๆ นี้อาจคิดแผนแก้ออกอีกก็ได้

“จะถามอะไรพี่อีกไหม”

ผมรีบพยักหน้า “ยำใช้อะไรล่อให้พี่ออกจากห้อง?”

มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นทันที เป็นรอยยิ้มกริ่มที่ผมรู้คำตอบทันทีว่าเพื่อนผมต้องเสียรู้ให้คนตรงหน้าอีกแล้ว

“ถ้าพี่ทำได้ในเวลาที่กำหนด ปิดเทอมนี้พี่จะได้ไปเที่ยวด้วย”

“ไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหม ไม่งั้นพี่ไม่ทำเวลาดีขนาดนี้หรอก”

“เรานี่ฉลาดจริงๆ ถ้ายำเป็นแบบเรา พี่คงแย่”

ก็พี่เล่นฉกคนที่ตรงไปตรงมา ไร้เล่ห์เหลี่ยมที่สุดของกลุ่มผมไปนี่!

“ก็…ถ้าพี่ทำเวลาได้ดี พี่จะได้ของตอบแทนบางอย่างน่ะ”

ผมหันมองเพื่อนตัวเองอีกครั้ง ไอ้ยำกำลังมองมาทางนี้พอดี แววตาสั่นไหวคล้ายกลัวอะไรบางอย่าง ไม่สิ กลัวพี่ภูล่ะมั้ง

“พี่ทำเพื่อนผมกลัวแล้วนะนั่น”

“อ้อ ก็แค่กลัวจะได้ขึ้นเตียงกับพี่น่ะ เป็นแบบนี้ทุกที ป่านนี้แล้วยังทำใจเป็นฝ่ายรับไม่ได้ ทั้งที่ร่างกายตอบสนองสัมผัสพี่แล้วแท้ๆ แมวเถื่อนของพี่ซึนได้ใจจริงๆ ว่าไหม”

“…” ผมของดออกความเห็นดีกว่า

“เมื่อกี้สี่คำถาม…ถูกไหม?”

ผมพยักหน้า รอฟังว่าพี่แกจะถามอะไร

“ยกโขยงมาห้องพี่ทำไมกัน?”

“มาหายำ”

“บอกสาเหตุมาให้หมดทุกเรื่อง”

ผมพ่นลมหายใจ “มาดูความเป็นอยู่ของเพื่อน มาปรึกษา มาประชุมวางแผน”

พี่ภูหรี่ตามองมา “ปรึกษากับวางแผนเรื่องอะไร?”

เข้าใจถามมาก! แต่อย่าคิดว่าผมจะจนมุมง่ายๆ

“เรื่องไปเที่ยวผับคืนนี้”

พี่ภูย่นหัวคิ้ว หันมองคนด้านนอก สีหน้าพี่แกดูหงุดหงิด ผมก็ได้แต่รอฟังคำถามสุดท้าย นานทีเดียวกว่าพี่ภูหันกลับมา

“อธิบายให้พี่ฟังหน่อย ทั้งกลุ่มเครียดเรื่องอะไร? อ้อ พี่ขอแบบละเอียดยิบ ห้ามแถ ห้ามโกหก ห้ามพูดจริงแค่ผิวเผิน ห้ามพูดจริงแค่ครึ่งเดียว ห้าม…”

ผมพูดขัดอย่างทนไม่ไหว “พี่แค่สั่งว่าให้พูดความจริงทั้งหมด ขอแบบเจาะลึก ห้ามหมกเม็ดก็พอแล้ว!”

-------------

“เป็นไร?”

ผมหันมองคนขับรถ หลังการประชุมวางแผนรับมือจบลง ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงจึงแยกย้ายไปแต่งตัวที่บ้านใครบ้านมัน

“ปวดหัวน่ะสิถามได้”

“นอนพักไปก่อน เดี๋ยวถึงบ้านกูปลุก”

ผมโบกมือปฏิเสธ ก่อนถอนหายใจยาวเหยียด “สุดท้ายก็ได้คนมาเพิ่มกว่าที่คาดการณ์ กูว่าชักจะวุ่นวายยังไงชอบกล”

“มึงไปบอกพี่เขาเอง”

“ถึงกูไม่บอก เขาก็ต้องตื้อขอตามไปอยู่ดี”

“…เลยมากันหมด”

ใช่ มาหมด ทั้งพี่นัทที่พอได้ยินชื่อเด็นก็ยอมมาง่ายๆ เหมือนอยากจะเคลียร์กับเด็นเช่นกัน ส่วนพี่เต้…พี่ภูตะลอมด้วยของฟรีก็แล้ว ด้วยเหตุผลก็แล้ว พี่เต้ยังปฏิเสธเสียงแข็ง แต่มาตกม้าตาย เพราะสองประโยคนี้

“กำลังจะมีเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้น มึงไม่อยากมาร่วมวง?”

หลังจากนั้นก็เสนอฟรีทุกอย่างอีกรอบ แถมพี่ภูยังย้ำอีกว่าถึงเวลาออกโรงอยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แต่หลังวางสายพี่ภูกลับถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“ที เดี๋ยวเพื่อนเต้อีกสองคนมาเข้าร่วมด้วย ถ้าเป็นสามคนนี้ทำได้ทุกอย่างแหละ ต่อให้ต้องทำตัวออกสาวก็ทำได้”

นึกถึงแล้วก็ได้แต่นวดขมับ สักพักก็ถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความปลง

-------------

สองทุ่มกว่า กลุ่มลุยแนวหน้าประกอบด้วยผม ยำ และเพื่อนพี่ภูอีกสามคนนัดรวมกลุ่มกันที่หน้าทางเข้า นอกจากพวกผมยังมีอีกสองกลุ่มเข้าไปก่อนแล้ว แบ่งเป็นกลุ่มสังเกตการณ์ระยะใกล้ มีกาย (ที่จะมาสมทบภายหลัง) เทม พี่ภู และพาร์ คนหลังสุดควบสองตำแหน่ง เพราะช่วงแรกมันต้องพาวินกับไวไวไปหากลุ่มลูกหว้าก่อน ทิ้งทั้งคู่ไว้คอยดูแลกลุ่มลูกหว้า หลังจากนั้นพาร์จะย้ายกลับมาอยู่กลุ่มพี่ภูอีกที วินกับไวไวเลยเป็นกลุ่มที่สอง คอยคุมเพื่อนผมไม่ให้เข้ามาวุ่นวายจนเสียแผน

พูดถึงพี่ภู รายนี้เล่นแต่งตัวจนจำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแย่นะครับ ตรงข้าม ดีมากจนขนาดยำยังอ้าปากค้าง แล้วมาบ่นให้ผมฟังอยู่เนี่ย

“พอๆ กูขี้เกียจฟังแล้ว นี่มึงกำลังหึงใช่ไหม?”

“ใครหึง!” ยำเถียงกลับมาทันที

“ไม่หึงก็เลิกบ่น เกรงใจพวกพี่เขาหน่อย”

“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรๆ”

พี่สามคนนี้ชื่อพี่ช้าง พี่เพชร และพี่เต้ พอทางพี่ภูบอกให้แต่งแบบไหนก็ออกมาแบบนั้น เห็นแวบแรกผมนึกว่าพวกพี่เป็นพวกออกสาวจริงๆ แต่พอคุยๆ กันแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ แถมพวกเขายังเฮฮากันดี แนะนำอีกต่างหากว่าทั้งกลุ่มโดนคนที่มหาลัยเรียก ‘เพี้ยนคูณสาม’ น่าจะเป็นชื่อกลุ่มล่ะมั้งครับ

“อ๊ะ ไม่สิ เปลี่ยนชื่อเรียกแล้วนี่หว่า อะไรเถาๆ นะ?”

“สามใบเถากลางถนน” พี่เต้ว่า

“นั่นแหละ!” พี่ช้างดีดนิ้ว “ว่าแต่ทั้งสองคน แต่งตัวผิดคอนเซปนะ”

“ครับ?” ผมถามกลับเสียงสูง ก้มมองเสื้อผ้าตัวเอง บอกตามตรงผมก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอก แต่คนเลือกให้อย่างพาร์บอกว่าดีแล้ว “มันแย่เหรอพี่”

“ถ้าจะเล่นบทออกสาวต้องเปลี่ยนลุคกันหน่อย มาเดี๋ยวพวกพี่จัดการให้”

เดี๋ยวๆๆ ผมไม่ได้จะเล่นด้วยนะพี่! 

“กูจัดการน้องทีเอง เต้มาช่วยกู เพชรไปจัดการน้องอีกคน”

ผมโดนพี่ช้างจับล็อกแขน “เฮ้ย! พี่ช้าง! เดี๋ยวก่อนนนน”

 “จัดการเลยเต้”

พี่แกทั้งสองไม่ฟังผมเลย ลากผมไปลานจอดรถ ยัดขึ้นรถคันหนึ่ง

…ผมไม่ขอบรรยายสารรูปตัวเองแล้วกัน (ผมไม่เห็น และไม่กล้าไปส่องกระจกด้วย)

ส่วนเพื่อนผมน่ะเหรอ…เห็นมันแล้วนึกหน้าพี่ภูหงุดหงิดออกเลย ยำแค่ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง แต่ไม่ยักโวยวาย คงรู้สึกเหมือนผมมั้งว่าสามรุ่นพี่ไม่ได้มีเจตนาแกล้งแต่อย่างใด พวกเขาแค่ทำให้พวกผมดูกลมกลืนไปกับกลุ่มด้วยเฉยๆ (ล่ะมั้ง)

“น่ารักกว่าพวกเราอีกนะเนี่ย ไหนๆ ไอ้เพชร ไอ้เต้มายืนนี่ดิ…ฮ่าๆๆ พวกมึงน่ารักสู้น้องไม่ได้วะ”

“กูไม่คิดสู้อยู่แล้ว”

“ปลงเร็วไปแล้วเพชร ปะ ไปวาดลวดลายกัน”

ผมเดินตามสามรุ่นพี่ผ่านลานจอดรถ ใกล้ถึงประตูอาคารก็ชะงักกึก เขม็งมองป้ายประกาศชัดว่า ‘Men Only’ พร้อมกับเสียงการ์ดเฝ้าประตูพูดเหมือนท่องสโลแกน

“ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นชายหรือหญิง ขอแค่บัตรประชาชนใช้คำว่าเพศชาย อายุถึงเกณฑ์ก็เข้าไปได้”

“อ้อ ขอดูบัตรประชาชนสินะ”

พวกพี่ๆ ยื่นให้หมดแล้ว ผมกับยำยังไม่เลิกตัวแข็งทื่อ จนสามรุ่นพี่ต้องช่วยกันสะกิด

“ยืนเฉยทำไมเล่า ยื่นบัตรให้เขาดูเร็ว”

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าระหว่างยื่นบัตรประชาชนให้ดู พลางหวนนึกถึงกลุ่มเพื่อนๆ ที่นำหน้าเข้าไปก่อนที่สามรุ่นพี่จะมา ตอนนั้นน่าจะเอะใจที่เห็นพวกมันยืนแถวประตูทางเข้าตั้งนาน ผมก็นึกว่ามีปัญหาเรื่องอายุ ที่ไหนได้…แล้วก็ไม่บอกกันนะพวกมึง

“ทำไมมึงไม่บอกกูว่าเป็นผับแบบนี้”

ผมรีบกระซิบกลับ “กูก็พึ่งรู้พร้อมมึงเนี่ย”

“ตายโหง สารรูปแบบนี้อีก เอ่อ เราถอยหลังกลับยังทันไหมวะมึง”

“ผ่านครับ”

เสียงการ์ดเอ่ยแทรกขวางบทซุบซิบ เราทำได้แค่มองหน้ากัน ก่อนโดนพี่ๆ ฉุดเข้าด้านใน

“เป็นอะไรไอ้น้อง กลัวขึ้นมาเหรอ”

ผมที่กำลังเหงื่อแตกกับสายตาที่มองมารีบพยักหน้า “ก็กลัวน่ะสิครับ!”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถือเป็นประสบการณ์ชีวิต”

พูดง่ายไปแล้ว!

“เกือบลืม มาเดิมพันกันว่าใครได้เบอร์มากที่สุด”

ฮะ! ยังมีอารมณ์พนันกันอีกเหรอพี่!

“ผู้ชนะได้อะไร?”

“เมนูฟูลคอร์สสักมื้อเป็นไง”

“ก็ได้”

“ตามนั้น”

ผมเบะปาก สามคนนี้ชิวเกินไปแล้ว

“ทีกับยำก็เล่นกับพวกพี่ด้วยล่ะ”

ผมสะดุ้ง “เดี๋ยวพี่…”

“ห้ามออมมือให้พวกพี่เชียวนะ ไม่งั้นมีโกรธ”

ผมหุบปากฉับ ได้แต่สบตายำที่อยู่ใกล้ๆ มันกำลังหน้าซีดลงเรื่อยๆ แต่ยังมีใจโน้นหน้ามากระซิบบอก

“ทะ ทำไมกูรู้สึกเหมือนเห็นนรกอยู่ตรงหน้าวะ”

“ถามกูเหรอ?” ผมว่า

“เออ!”

“กูบอกได้แค่ว่า ‘ปวดหัว’ วะ!”

############

อีกไม่กี่วันก็ขึ้นปีใหม่แล้ว เราขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ

Happy New Year!
ขอให้ปี 2017 เป็นปีที่ดี
เป็นปีที่มีความสุขความเจริญทั่วหน้าค่ะ

(http://i687.photobucket.com/albums/vv237/4-one/4-1/ICON-1/d-52.gif)(http://i687.photobucket.com/albums/vv237/4-one/4-1/ICON-1/K-234.gif)(http://i687.photobucket.com/albums/vv237/4-one/4-1/ICON-1/d-168.gif) 

ตอนนี้คนเขียนขอตัวไปแพ็คกระเป๋า เตรียมหนีเที่ยวบ้างแล้ว
ไว้เจอกันใหม่ปีหน้านะคะ
(http://4.bp.blogspot.com/-zG18BxjKs5w/UMaskJ4c0rI/AAAAAAAABeQ/kh_BUjHYrI0/s1600/iconmsnC08.gif)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 30-12-2016 10:31:00
หะหะหะหะ  ตายแน่ๆๆๆๆๆ ทั้งที ทั้งนำ ตายแน่ๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 30-12-2016 10:57:36
หึหึ พาเด็กมาเปิดโลก 55
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-12-2016 15:59:29
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

อยากรู้ว่าพี่ภูกับพาร์เห็นชุดใหม่ของยำกับทีจะเป็นยังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-12-2016 20:39:22
จะเอาอีกกกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-12-2016 20:55:50
อยากอ่านคู่ของพี่ภูกับยำ :hao5:

ยังไม่เห็นแววว่าทีจะใจอ่อนกับพาร์เลย :ling1:
อยากอ่านคู่ของพี่ภูกับยำ
ก็ไปที่เรื่อง  [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน!
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.0
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-12-2016 21:25:01
❤️ HAPPY NEW YEAR  ขอให้ไรท์ มีความสุข และสนุกมากๆกับการไปเที่ยว
。◕‿◕。
หมอดูแม่นๆ หรือเปล่า
ที น่าจะสวยที่สุดในผับ  :mew1: :mew1: :mew1:
คราวนี้ คงเรียกตัวผู้เข้าหามากๆ  :katai1: :katai1: :katai1:
น่าจะอลหม่านวุ่นวายชัดๆ
จนเกินหน้าเกินตาเรื่องของยำ
พาร์ ต้องหึงสุดๆ จนอาละวาดแน่ๆ  :z6: :z6: :z6:
ขำพี่เต้ อะไรๆ ก็ไม่ๆไป
แต่พอบอกกำลังจะมีเรื่องสนุก
ไม่อยากมาร่วมวงหรือ ไปทันที กร๊ากกกกก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-01-2017 19:39:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-01-2017 10:51:59
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 03-01-2017 21:11:56
บทที่ 37

เด็นไม่ได้นั่งตามลำพังอย่างที่คาด…

“นั่นพี่นัท”

“ฮะ!” ผมหันไปมองคนกระซิบบอก “เพื่อนพี่ภู?”

“เออ แถมเคยนอนกับอดีตเมียกูด้วย…ไม่ต้องมองอย่างนั้น กูไม่ไปหาเรื่องพี่เขาหรอก”

“กูห่วงความรู้สึกมึงต่างหาก”

ยำนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนส่ายหน้า “แปลกนะ กูไม่ได้รู้สึกเจ็บมากเวลาเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน”

“แปลว่าเจ็บ”

“แค่จี๊ดๆ เหมือนโดนเสี้ยนตำเท้า”

แต่แทนที่จะเดินตรงไปโต๊ะตัวนั้น คนนำทางอย่างพี่ช้างกลับอ้อมไปโต๊ะพี่ภูก่อน ไปถึงก็ไม่พูดพล่าม ถีบพี่เต้ถลาหน้าทิ่มไปหาพี่ภู คนโดนล้มใส่ก็ไม่ทันตั้งตัว เพราะเอาแต่มองตาค้างมาทางคนยืนข้างๆ ผมเนี่ย

โครม!

ถึงขั้นตกเก้าอี้ทีเดียว

“ตะลึงความน่ารักของน้องเต้จนตกเก้าอี้เลยเหรอภู”

“ไอ้เนี่ยอ่ะนะ” พี่ภูที่ลุกได้ก่อนหิ้วปีกพี่เต้ขึ้นจากพื้น “ยังน่ารักไม่ถึงครึ่งเมียกูเลย”

ผมเหลือบมองไอ้ยำ หน้าแดงเชียวนะมึง ไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย แต่ผมขอตีความเป็นอย่างหลัง

แชะ!

หือ? หันไปทางต้นเสียง เจอเทมกำลังฉีกยิ้มระรื่นใส่ “กูของแชร์ความน่ารักของมึงล่ะนะ”

เฮ้ย!

“หยุดเลยมึง!!”

ผมพุ่งไปหา พยายามแย่งมือถือมากดลบภาพ แต่มันกดส่งไปแล้ว ผมสบถในใจ ตบหัวเพื่อนไปหนึ่งป๊าบ

“ใครใช้ให้แชร์!”

“เจ็บนะมึง เดี๋ยวกูก็แชร์ลงโซเซียลแทนที่จะลงแค่ในไลน์กลุ่มหรอก”

“โอ๋ๆๆ ไม่เจ็บเนอะไม่เจ็บ”

“ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังเลย!”

ผมรีบชักมือออกจากหลังเพื่อน เปลี่ยนมากอดมันแน่นๆ แทน ไม่ตบหัวไม่ลูบหลังแล้วนะโว้ย

แชะ

ใครถ่ายรูปอีกวะ!

ผมหันไปมองต้นเสียงตาขวาง เห็นยำกำลังลดมือถือลง กดยุกยิกสักพัก ข้อความไลน์กลุ่มในมือถือเทมก็ขึ้นอัพเดต

Templar: ภาพหายาก นานๆ พวกมันจะแสดงความรักต่อกัน 555
White Rabbit: ว้าว ใครจับมันแต่งตัว ขอเบอร์หน่อยครับน้องที

ผมแย่งมือถือเทมมากดพิมพ์โต้ไวไว

Templar: หุบปากไปเลย!
White Rabbit: อะไรเนี่ย เทมหวงทีเหรอ กิ๊วๆ
Wind: อะไรๆ เพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่างพวกมึงมีซัมติงกันด้วยเรอะ ทำไมกูไม่รู้
Templar: จะไปมีได้ไง! แค่เห็นหน้า กูก็เบื่อมันจะแย่!
YamYam: อย่าหลงกลครับ อย่าหลงกล ไอ้ทีแย่งมือถือเทมไปใช้ต่างหาก

หลังยำเฉลย สติกเกอร์หัวเราะมาเลยสองตัวจากวินกับไวไว

White Rabbit:  พวกมึงเนี่ยน้า
White Rabbit: ตัวติดกันมาแต่เล็กแต่น้อย เบื่อกันจะเป็นจะตาย แต่ก็ไม่เห็นตัดกันขาด

Wind: จริง ชัดสุดตอนพวกมันโดนจับขึ้นแสดงละครเวทีกะทันหัน
Wind: ต้องด้นสดล้วนๆ ก็ยังเข้าขากันดีจะตาย
Wind:เพื่อน พี่ น้องชอบอกชอบใจกันใหญ่
Wind: ถึงขั้นมีคนเชียร์ให้พวกมันได้กันเองด้วย

White Rabbit: เหอะๆ กูว่าเข็นไม่ขึ้นวะ
Wind: แหงล่ะ ใจไอ้ทีมีเจ้าของแล้วนี่

Wind: พูดถึงเรื่องนี้กูอยากถามมานานแหละ มึงไปหลงชอบพาร์ตอนไหนวะ
YamYam: เฮ้ย! กูก็อยากรู้ บอกเหตุผลที่ไปชอบมันด้วยก็ดี
Templar: อย่าขุดเรื่องสมัยเด็กมาพูดได้ไหม!!
YamYam: ทำไมวะ?

ผมเขม็งใส่ไอ้คนข้างๆ มันมองมาตาใสซื่ออย่างน่าจับมาเตะสักป๊าบ

ถ้ามึงไม่พิมพ์สานต่อมา มันก็จบประเด็นไปแล้ว!

Templar: กูยังมียางอายเหลืออยู่ จบนะพวกมึง!

ด้วยความที่นึกแค้นใจ ผมเลยฉวยโอกาสตอนยำเผลอถ่ายรูปมันส่งเข้าไลน์กลุ่มบ้าง

White Rabbit: โหยๆ เกิดอะไรขึ้นครับน้องยำ น่ารักขึ้นนะเนี่ย
“ไอ้ที!”

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยัดมือถือคืนเจ้าของ เทมโวยวายใส่ผมทันที

“อย่าโยนของร้อนให้กู!”

“ไม่ได้โยนเลยเพื่อน” เพราะกูยัดใส่มือมึงต่างหาก ก๊ากกก!

“อ้าว ไวไวโวยวายมาว่ามันโดนทิ้ง”

ผมมองเทมงงๆ “ใครทิ้ง? เดี๋ยว…มันมีแฟนแล้วทำไมกูไม่รู้?”

“เพราะมันยังไม่มีไง มึงเลยไม่รู้…อ้อ กูรู้แล้วว่าใครทิ้งมัน”

“ใคร?”

เทมไม่ทันตอบ ไหล่ผมก็ถูกสัมผัสหนักๆ ประทับมาจนสะดุ้งโหยง ไม่ทันหายตกใจก็โดนดึงตัวหมุนหันไปเผชิญหน้า คาดว่าคนตบไหล่เกือบทรุดเมื่อครู่คือพาร์นี่เอง แววตาคนตรงหน้าที่กวาดมองกันตั้งแต่หัวจรดเท้าช้าๆ ทำเอาคนถูกมองแสกนอย่างผมอยากมุดดินหนีหายไปจากตรงนี้ชะมัด

มันไม่คิดว่าผมจะอายเป็น?

“น่ารัก”

ขอทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน คิดแล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดทันที “เพื่อนกูล่ะ?”

“อยู่กับเพื่อนมึงแล้ว”

“แล้วมึงมาทำอะไรตรงนี้?”

“มาดูมึง”

อืม ชัดมาก

“เห็นรูปในมือถือเพื่อนกูแล้วนี่” ไม่งั้นคงไม่โผล่หน้ามาให้ผมเห็นตอนนี้หรอก

“ก็อยากเห็นให้แน่ใจ”

มองรอยยิ้มชอบอกชอบใจของมันก็เบือนหน้าหนี และนั่นเองที่ทำให้ผมเห็นว่ายำกำลังคุยกับพี่ภูเหมือนกัน แต่คู่นู้นกำลังเถียงใส่กันหน้าดำหน้าแดง น่าเสียดายเสียงเพลงดังไปหน่อยเลยไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน ช่วงจังหวะที่กำลังเปลี่ยนเพลงไอ้ยำก็ตะโกนขึ้นมา

“มึงมันแย่! ห้ามแต่กู แล้วตัวมึงเองล่ะ!!”

นั่นเป็นประโยคส่งท้ายก่อนยำเดินหงุดหงิดกลับมาหาผม พี่ภูก็ท่าทางหัวเสียพอกันไล่ตามมาติดๆ พูดอะไรสักอย่าง แต่ยำไม่สนใจฟัง จนทั้งคู่เข้าใกล้ผมมากแล้วถึงได้ยิน

“ถ้าคิดแต่งตัวแบบนี้ก็เก็บไว้ให้แต่งให้กูดูคนเดียวพอ! ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า!!”

อื้อหือ…ระดับความหวงไม่ธรรมดาจริงๆ และไอ้ยำบทจะดื้อ มันก็อยู่ในระดับไม่ธรรมดาเช่นกัน

“กูไม่ไป!” มันว่าเสร็จก็หันทางผม “ไอ้ที ไปหาเมียเก่ากูกัน กูมีเรื่องอยากจะพูดกับมันเยอะแยะ”

ยำพยายามลากผมออกไป โดยไม่สนใจสีหน้าพร้อมนายยักษ์ของพี่ภู แต่มันลากผมตอนนี้ก็เท่านั้น เพราะผมเองก็โดนพาร์รั้งแขนไว้

“มึงแต่งตัวแบบนี้กูยอมได้” ถ้อยคำกระซิบอยู่ข้างหูชวนจั๊กจี๊ “แต่ที่พี่ภูพูดก็ถูก เป็นไปได้อย่าแต่งให้คนอื่นเห็นบ่อยนัก ที่สำคัญถ้าคิดจะหว่านเสน่ห์ล่ะก็ทำใส่กูคนเดียวพอ เข้าใจนะ?”

ไม่ทันได้ตอบ ยำก็กระชากผมให้รีบเดินตาม ผมสบตาพาร์เพียงแวบเดียวก็เร่งฝีเท้าตามยำเงียบๆ มองแผ่นหลังเพื่อนที่เดินนำหน้าก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้ดื้อกับพี่ภูนัก เพราะตัวผมในตอนนี้กำลังมีความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา ถ้ากรณียำเป็นความรู้สึกอยากต่อต้านพี่ภู ของผมคงเป็น…ความรู้สึกอยากท้าทายด้วยการขัดใจใครบางคนล่ะมั้ง

“มึงยิ้มอะไร?”

ผมออกจากภวังค์ เลิกคิ้วใส่ยำยำที่ถอยมาเดินข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“กูยิ้ม?”

“เออ! แถมเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายมากด้วย เวลามึงยิ้มแบบนี้ทีไร ในหัวต้องกำลังวางแผนแกล้งใครสักคนแน่นอน”

ผมหัวเราะในคอ “กูจะเกลียดเพื่อนสมัยเด็กก็เพราะแบบนี้แหละ”

“เหอะๆ กูก็เกลียดที่พวกมึงชอบรู้ทันกูเหมือนกัน”

พวกผมเดินไปถึงโต๊ะเป้าหมายก็เห็นเด็นกับพี่นัทเพ่งมองมาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่ต่างอ้าปากเหวอ ท่าทางตกใจกันใหญ่ ตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงปัญหาอย่างหนึ่งขึ้นได้จึงรีบเอียงคอบอกคนข้างๆ

“กูว่าเรากำลังเจอปัญหาวะ”

“ปัญหา?”

“สารรูปพวกเรานี่ไง ดูจากสีหน้าตื่นตะลึงของสองคนนี้แล้ว กูว่าโดนเข้าใจผิดไปเรียบร้อยแล้วแหงๆ”

“เฮ้ย! แต่กูไม่ได้เป็น!”

“กูรู้ แต่คนอื่นจะรู้แบบเราหรือเปล่าก็ไม่...ใช่ไหมล่ะ อ้อ อย่าพึ่งรีบแก้ตัวล่ะ มันทำให้ดูเหมือนมึงกำลังร้อนตัว”

ผมลากยำที่กำลังสบถไปนั่งร่วมโต๊ะ คลี่ยิ้มให้สองคนนั้นด้วยความนึกสนุก ในหัวมีแผนการบางอย่างที่ก่อตัวแตกแขนงจากแผนการเดิม หลังเอามาหลอมรวมกันก็ได้แผนการใหม่ ถ้ากรณีพาร์คือความท้าทาย กรณีเด็นน่าจะเรียกว่าให้ข้อคิดเป็นครั้งสุดท้าย ถือโอกาสยิงปืนนัดเดียวได้นกมาสามตัว…

ผมมองนกตัวที่สามเดินเกาะกลุ่มกันมาสามคน เกมที่ต้องล่าเบอร์งั้นเหรอ หึๆ ตอนแรกว่าจะแกล้งทำเป็นลืม แต่ไหนๆ ก็จะท้าทายใครบางคนอยู่แล้วก็ขอทำให้รุ่นพี่พอใจด้วยเลยแล้วกัน คิดแล้วก็เอียงหน้าพูดกับคนข้างๆ พูดกล่อมว่าที่แนวร่วม

“มึงอยากยั่วโมโหพี่ภูไหม?”

“มึงมีแผน?”

“ถูก ยังจำเรื่องต้องหาเบอร์ได้หรือเปล่า”

“ที่เพื่อนพี่ภูพูด?”

“นั่นแหละ มึงก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างยั่วโมโหพี่ภูไง ถ้าโดนโกรธมึงก็บอกไปว่ากำลังเล่นเกมกับพวกพี่ช้าง”

ยำทำหน้าสงสัย “เรื่องแค่นี้ทำให้มันโมโหได้?”

ผมยิ้มกริ่ม “ลองทำดู ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ไหมล่ะ”

“ก็จริง…แล้วกูต้องทำยังไง?”

“ง่าย แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอ ตอบโต้คนที่มาคุยกับเราแบบนั้นแหละ ที่สำคัญต้องทำตัวแบบเป็นมิตรต่อคนที่เข้าหาเรา”

“อ้อ” ยำผงกหัวว่าเข้าใจ

หึๆๆ อกแตกตายแน่พี่

“แล้วมึงจะพูดอะไรกับเด็นก็รีบพูด เดี๋ยวก็หมดโอกาสหรอก”

“…พูดไม่ออกวะ”

“ฮะ?”

“ก็หลังโดนมึงเตือนสติเรื่องสารรูปเข้า ไอ้ที่คิดว่าจะพูดจะบอกก็กลายเป็นพูดไม่ออก ไม่สิ เหมือนว่าพูดไปแล้วมันคงไม่ฟังมากกว่า มันคงไม่เชื่อ เพราะนึกว่าโดนหลอกลวง”

ผมคิดตามก็เห็นด้วย คนที่ปักใจเชื่ออะไรไปแล้ว พูดแก้ไขอะไรก็ยาก ยกเว้นว่าจะให้รู้ข้อมูลที่ถูกเอาเอง

“พี่ช้าง” ผมร้องเรียกคนที่กำลังเดินมาหา “พวกผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ยังพี่”

“ไม่ได้!” ตอบสวนมาแบบที่คิดไว้เป๊ะ มีเสริมอีกประโยค “เกมยังไม่รู้ผล ห้ามไปล้างเครื่องสำอางกับเปลี่ยนเสื้อผ้าเด็ดขาด”

“เกม? เกมอะไร?”

ผมพอใจที่พี่นัทเอ่ยถามเพื่อน

“แข่งกันสะสมเบอร์โทร ใครได้มากสุดก็ชนะไป”

“นี่พวกมึงลงทุนแต่งตัวกันแบบนี้กันมา เพราะเกมนี้?”

ดีพี่ ถามเข้าไปเยอะๆ

“แน่นอน มาที่แบบนี้ทั้งที่ แต่งตัวแบบธรรมดามาก็น่าเบื่อแย่”

“แล้วไปรู้จักน้องสองคนนี้ได้ไงวะ?”

“รุ่นน้องภูไม่ใช่เรอะ? มันชวนพวกกูมาเที่ยวที่นี่กับพวกรุ่นน้อง เพราะที่แบบนี้มากันหลายๆ คนอุ่นใจกว่า”

“…ก็จริง” พี่นัทว่า

ผมสังเกตสีหน้ากับแววตาของคนทั้งสองที่เริ่มแปรเปลี่ยน เหมือนผ่อนคลายมากขึ้น ไม่มีข้อกังขาอยู่ในแววตา เลยกระซิบบอกยำว่าพ้นมลทิน ก่อนเหลือบมองพี่ช้างที่กำลังเฮฮากับพ้องเพื่อน...คนๆ นี้เห็นยิ้มแย้มผูกมิตรง่าย แต่ความจริงแล้วฉลาดน่าดู เข้าใจอธิบายเหตุผลไม่พอ ยังลื่นเป็นปลาไหล จับโกหกไม่ได้ง่ายๆ แน่

คิดถูกแล้วที่อยากผูกมิตร เพราะถ้าให้เป็นศัตรูกับคนแบบนี้ ผมก็ไม่เอา

“เด็น กูมีเรื่องอยากบอกมึง”

ผมเหลือบมองเพื่อน มันทำหน้าขึงขังพูดเสียงดังฟังชัด

“กูรู้เรื่องพี่ภูร้ายกาจกับมึงแล้ว กูขอโทษ”

เด็นนั่งนิ่ง ผมไม่รู้ว่ามันได้ยินหรือเปล่า อย่างที่บอกในนี้ไม่ค่อยเหมาะกับการพูดคุยกันเท่าไหร่ ยำคงคิดแบบเดียวกัน มันถึงได้หันหน้ามองผมเป็นเชิงถามความเห็น

“ไว้ค่อยคุยกันตอนกำลังจะกลับก็ได้”

ผมว่า ไม่คิดจะเตือนเรื่องข้างนอกผับเงียบกว่าข้างใน เพราะมันคงเรียกเด็นออกไปคุยทันที การแยกตัวออกห่างสายตาเพื่อนทั้งที่รู้ว่ากำลังอยู่ในกับดักประสงค์ร้ายไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ต่อให้มันนึกได้ทีหลังคงมีแต่ต้องขัดขวางไว้ก่อน

ผมเห็นพี่ช้างคุยอะไรกับกลุ่มเพื่อนตัวเอง สักพักทั้งสามก็ผลัดกันลุกขึ้นโชว์สเต็ปเต้นอยู่ข้างโต๊ะด้วยลีลาที่ทำผมอึ้ง คือมันไม่ได้แย่ ออกแนวดึงดูดความสนใจให้คนมองรู้สึกสนุกสนาน เรียกอารมณ์คึกคักให้นึกสนุกตาม พอพี่ๆ ให้ผลัดออกไปเต้น ผมก็ไม่อิดออด เต้นอยู่ดีๆ เหมือนมีอะไรปาใส่หัว กวาดสายตาทั้งซ้ายขวาก็เห็นแต่คนกำลังมองมา จะหาตัวคนปาท่าจะยากเลยตัดใจเต้นจนจบครึ่งเพลงก็ผลัดให้ยำออกไปเล่นสนุกบ้าง

พี่เพชรยื่นแก้วมาให้ ผมรับมาจิบ เข้าปากปุ๊บเกือบพ่นออกมาปั๊บ ผมปิดปากฝืนกลืนลงคอเรียบร้อยก็ร้องถามคนยื่นแก้วมาให้

“พี่เอาเหล้ากับเบียร์มาผสมกันเรอะ!”

“หมดแก้วๆๆ”

ฟังกันไหมเนี่ย!

ผมย่นหน้ามองแก้วในมือ น่าจะมีผสมน้ำอัดลมด้วยนิดหน่อย ไม่น่าจะใส่โซดา รสถึงได้เข้มบาดคอนัก

“หมดแก้วๆๆ”

นี่ก็ไซโคกันจริง!

ผมส่ายหน้า ยกจิบอีกเล็กน้อย ขืนหมดแก้วอย่างที่บอกสติคงหายไปกว่าครึ่ง พอยำกลับมานั่งแก้วมรณะก็มาเยือนมันบ้าง ผมเห็นแล้วล่ะว่าพี่แกเล่นผสมเบียร์เป็นหลัก เหล้าเป็นรอง น้ำอัดลมพอกรุบกริบ โซดาไม่มีตามคาด ผมเฝ้ามองเพื่อนกระดกน้ำในแก้วเข้าปากไปเต็มคำ แล้วมันก็แทบจะพ่นออกจากปากเช่นกัน อาการเดียวกับผมเป๊ะ

“อ…อะไรเนี่ย!” 

“หมดแก้วๆๆ”

มาอีกแล้วไอ้คำนี้ ผมชักทนไม่ไหว เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

“พวกพี่คิดมอมพวกผมเหรอ?”

ทั้งสามมองหน้ากัน “แค่นี้ไม่เมาเร็วหรอกน่า”

ไม่เร็วกับผีอะไรล่ะ!

“ไอ้ภูกินไปตั้งหลายแก้ว มันยังเฉย แถมบอกพวกพี่อีกว่าเล่นอะไรไม่รู้โคตรเปลือง”

ผมเบะปาก จำได้ว่าวิน ไม่ก็ยำเคยเล่าว่าใครคอแข็งอันดับต้นๆ ของคณะมัน หนึ่งในนั้นมีพี่ภูที่ติดอันดับด้วย ผมจำได้ ไม่กล้าไปเอาตัวเองไปเปรียบหรอกครับ

“อึกๆๆ”

ผมรีบหันมองยำ มันกำลังกระดกดื่มไม่ยั้ง

“เฮ้ย!!”

“หมดแก้วเลยไอ้น้อง นั่นแหละ อีกนิด”

“ฮ้า!”

ไอ้ยำดื่มหมดแก้วจริงๆ

“เยี่ยม!! มันต้องอย่างนี้! เอาแก้วมาเลยน้อง”

“กินๆ ไปก็อร่อยดีนะพี่”

“ใช่ไหมล่ะ”

มันบ้า!

“ส่วนทีไม่ไหว แค่นี้ใจก็ไม่สู้”

เส้นอารมณ์เริ่มกระตุก แต่ก็ยังข่มไว้ไม่ให้หลงไปกับคำยั่วยุ

“มันใจไม่ถึงเท่าผมหรอก ฮ่าๆๆ”

ถ้าคนพูดประโยคนี้ไม่ใช่ยำที่เสียเอกราชตกเป็นเมียคนอื่น ผมจะไม่รู้สึกเส้นอารมณ์ขาดผึงเหมือนตอนนี้แน่

“โอ้ มันต้องอย่างนั่นสิไอ้น้อง” 

ผมแอบจดบัญชีแค้นนี้ไว้ในใจ หลังหมดแก้วแรกก็มีแก้วที่สอง สาม สี่ตามมา แต่หลังๆ ผมค่อยๆ จิบทีละนิด ตอนนี้แก้วที่สองยังไม่หมดเลยครับ ไม่เหมือนไอ้ยำปาไปแก้วที่สี่แล้ว มันเฮฮากว่าปกติ กล้าทำนู้นนี่แบบไม่ยั้งคิด ตามพวกรุ่นพี่ทั้งสามแสดงความบ้าแบบไร้พิกัด…ทั้งที่เดินทรงตัวยังไม่ตรง

เอาเถอะๆ อยากทำอะไรก็ทำ ยังไงมันก็คงมีพี่ภูจ้องตาเขียวคอยดูแลอยู่แล้ว 

ผมสนุกไปกับคนทั้งโต๊ะ มีคนมาขอแจมเป็นระยะ ส่วนใหญ่ก็มาจีบคนในโต๊ะเนี่ยแหละ ผมก็โดนเหมือนกัน ทิ้งเบอร์ไว้ให้ก็หลายคนอยู่ ระหว่างคุยกับคนแปลกหน้าก็เหมือนอะไรมาโดนหัวอีกแล้ว หันซ้ายหันขวาไม่เห็นอะไร ผมโดนจนไม่แน่ใจแล้วว่าคิดไปเองหรือเปล่า

“เป็นอะไร?”

ผมยักไหล่ “ไม่ต้องสนใจหรอก แล้วนี่พี่มาจีบผม?”

“จีบไม่ได้?”

ผมหัวเราะ “พี่คงผิดหวัง ข้างนอกผมอาจเป็นแบบที่พี่ชอบ แต่ข้างในไม่ใช่เลย”

“ทำไมล่ะ? ยิ่งคุยกับเราพี่ก็ยิ่งชอบนะ”

“ผมนึกว่าพี่ชอบประเภทที่มีนิสัยไปทางผู้หญิงหน่อยๆ ซะอีก”

“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่ถ้าคุยกันแล้วรู้สึกไม่ใช่ก็จบ”

“เป็นตัวของตัวเองดีกว่า?”

พี่แกนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ใช่”

“ดีกว่าฝืนทำสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง?”

“…ใช่ เพราะฝืนไปแล้วแม้ตอนแรกจะดี แต่สุดท้ายสิ่งที่พยายามสร้างมาก็มีแต่พังทลาย”

“แล้วถ้าหลังค้นหาทางของตัวเองพบ แต่คนอื่นไม่มีใครเห็นด้วยล่ะ?”

“ก็…อยู่ที่ตัวเราอยากเดินทางสายนั้นต่อหรือเปล่า”

ผมพยักหน้าอย่างพอใจ นี่เป็นรายที่หกหรือเจ็ดก็ไม่รู้ที่ผมเอ่ยถามอย่างจงใจให้ใครบางคนได้ยิน ถ้ามันเก็บไปคิดบ้างก็คงจะดี

“นี่พี่กลายเป็นที่ปรึกษาแทนคนมาจีบแล้วเหรอ?”

ผมหัวเราะอีกครั้ง “ขอโทษนะพี่ ผมติดสัญญาให้จีบกับใครบางคนไปแล้ว”

“งั้น” พี่แกฉีกกระดาษบนโต๊ะมาจดยิกๆ แล้วยื่นให้ “เบอร์โทรพี่ อยากได้ที่ปรึกษาก็ติดต่อมาได้”

ผมยิ้มให้ทันที “ขอบคุณครับ”

…เหมือนมีอะไรกระทบหัวผมอีกแล้ว

มือถือผมกำลังสั่น ยกมาดูถึงเห็นว่าเป็นข้อความจากเทมในไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ ว่าจะไม่สนใจ แต่มันเล่นพิมพ์ชื่อผมมารัวๆ เหมือนกำลังร้องเรียกให้สนใจด่วน

TEE: อะไรวะ?
Templar: มึงช่วยหันมาหน่อยเหอะ โต๊ะกูเสียน้ำแข็งไปหลายถังแล้วโว้ย!
Templar: ตอนนี้กูไม่มีน้ำแข็งมาเติมเหล้าแล้ว
TEE: ก็สั่งเพิ่มไปดิ
Templar: สั่งจนเขามาส่งไม่ทันแล้วโว๊ยยย!

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง พิมพ์แซว

TEE:นี่มึงกินหรือเอาไปปาเล่น?
Templar: กูน่ะกิน แต่พาร์เอาไปปาใส่หัวมึงหมด!

ฮะ! ไอ้ที่รู้สึกเหมือนมีอะไรกระทบหัวมาตลอด เพราะเหตุนี้?

Templar: แต่ที่กูทนไม่ได้มากสุดคือการเห็นมึงหันซ้ายขวา แต่ไม่ยอมหันมาด้านหลัง!

ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนพิมพ์โต้เทม

TEE:กูจะหันไปทำไมเล่า
Templar: หันมองคนของมึงไง มันจะแดกหัวพวกกูมาเคี้ยวเล่นแทนน้ำแข็งที่เสียไปอยู่แล้ว!!!

ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีหลังนึกภาพตาม อ่า แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง

Templar: ไอ้ยำก็อีกตัว พี่ภูทำหน้าโหดพร้อมจะชำแหละมันอยู่แล้ว!
TEE: งั้นเหรอ
Templar: นี่พวกมึงพร้อมใจกันยั่วโมโหคนของตัวเองใช่ไหมวะ
TEE: เปล่า
Templar: กูไม่เชื่อ!
TEE: แล้วถามทำไม?
Templar: ยั่วมากจนเกิดเรื่องก็ตัวใครตัวมัน เพื่อนขอไม่ยุ่ง!

“หยุดเอาแต่ก้มหน้ามองมือถือ”

หือ?

ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงยางคาน ก็เห็นพี่ช้างมองเขม็งมาก็รีบเก็บมือถือลงกระเป๋า แต่พี่แกก็ยังไม่เลิกจ้อง สักพักก็ชี้นิ้วใส่แก้วที่ผมวางไว้บนโต๊ะ

“ไอ้นี่นานไปแล้ว เมื่อไหร่จะกินหมด”

อยากจะบอกว่าอีกนาน แต่ไม่ขอเสี่ยงดีกว่า เลยยกที่เหลืออีกประมาณหนึ่งในสี่มากระดกจนหมด

“ดี เอาแก้วมา แก้วนี้ต้องดื่มให้หมดเร็วๆ”

“ช่ายยย หมดแก้วๆ”

ขี้เมาที่มีเจ้าของแล้วถลามาหาผม ร้องเชียร์หนวกหูอยู่ข้างๆ จนผมอยากเอาแก้วที่พึ่งได้มาสาดใส่หน้ามัน เผื่อจะช่วยให้สร่างเมาได้บ้าง

“ช้ากว่าคนอื่นตั้งหลายแก้ว ใช่ไหมพวกเรา”

หลายที่ไหน แค่สองแก้วเองพี่

“มาๆ พี่ป้อน”

แก้วในมือถูกดึงออกไปไม่ทันตั้งตัว ผมเบือนหน้าหนีแก้วที่เอามาจ่อถึงปาก

“ไม่เอาพี่ ผมยังไม่อยากเมา”

แต่ขยับไปไหนปากแก้วตามตลอด สุดท้ายก็โดนจับกรอกปาก เพราะไม่อยากสำลักเลยต้องกลืนลงคอ คำแล้วคำเล่า จากที่มึนๆ อยู่แล้วก็ยิ่งแย่ และหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกทีก็โดนอาการปวดหัวจู่โจมใส่จนต้องนอนนิ่งกับเตียงนุ่ม…

เตียงเรอะ!

ผมกัดฟันทนอาการปวดหัว ผงกหัวยันตัวลุกขึ้นนั่ง ฝืนกวาดตามองไปทั่วสถานที่อยู่ตอนนี้ ไม่คุ้นกับข้าวของพวกนี้เลย

ที่นี่คือที่ไหน? แล้ว…

แค่ก้มหน้าลงผมก็รีบยกมือปิดปาก ท้องปั่นป่วนอยากคายของเก่ามาก รีบโซซัดโซเซลงเตียงพยายามเกาะพยุงตัวไปห้องน้ำ ผมเดาว่าประตูตรงนั้นคือห้องน้ำ โชคดีที่เดาถูก ได้ไปนั่งกอดชักโครกแหวะออกมาตามใจต้องการ ไม่มีเศษอาหาร ไม่มีน้ำเมา มีแต่ลม…น่ากลัวว่าก่อนหน้านี้ผมคงอ้วกหมดท้องก่อนสลบเหมือด

หลังอาการปั่นป่วนในท้องลดน้อยลง ก็ยันตัวไปล้างปากล้างหน้าตรงอ่าง เงยหน้ามองกระจกถึงกับผงะ

หน้าซีดเผือกไร้สีเลือดเหมือนคนป่วยหนัก ปากแห้งแตก แล้วชุดที่ใส่ก็เป็นเสื้ออาบน้ำสีขาวแบบที่เห็นประจำในโรงแรม…โรงแรมเรอะ!

ความกลัวแล่นเข้าสู่หัวใจ ผมรีบคล้ำก้นตัวเองเป็นอย่างแรก…ไม่เจ็บ

เป่าลมออกจากปากอย่างโล่งอก แต่พอแหวกชายเสื้อคลุมออก หน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดลงไปอีกยามเห็นจุดแดงๆ ทั้งที่หน้าอก หน้าท้อง ผมรีบดึงปมมัดเสื้อออก แหวกสำรวจช่วงล่าง

เวรแล้ว! ต้นขาด้านในก็มี   

เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมา ที่ผิดปกติอีกอย่างก็เจ้าน้องชายคนดี ไหงถึงรู้สึกเจ็บๆ เล่า

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-01-2017 22:08:36
พาร์ปล่อยให้ทีโดน.......
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: dilokrittisak ที่ 03-01-2017 22:38:48
เอาแล้วไงงงงงงงงงงงงง
ทีโดนอะไรเข้าไปละนั่น
 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 03-01-2017 23:09:11
น่าจะฝีมือพาร์นั่นล่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-01-2017 23:21:02
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-01-2017 01:05:09
เส้ดไปแล้วละ 55555 นุงที
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-01-2017 06:59:16
อะไร ยังไง  :katai1: :katai1: :katai1:
ที เมาแล้วโดนใครลวนลาม
พาร์ หรือเปล่า
แต่ที ยอมได้ไงให้พี่ช้างมอมเหล้า
ยั่วโมโหพาร์เกินไปปะ  ทีทำเกินไป
ถ้าพาร์ เป็นคนลวนลาม เห็นสมควรอย่างยิ่ง :ling1: :ling1: :ling1:
โมโหทีและ รู้ทั้งรู้ว่าพาร์ ทั้งรักทั้งหวง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ส่วนยำ ไม่อยากคิด โดนพี่ภู จัดหนักแน่
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 04-01-2017 07:44:44
หือเกิดอะไรขึ้นหว่า
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-01-2017 14:12:32
 :confuse:
ตกลงคืออะไร
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 04-01-2017 19:57:07
แหม่ ภาพตัด
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 04-01-2017 20:21:27
 :mew5:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-01-2017 01:48:52
แล่วๆๆๆๆๆๆ ใครทำล่ะนั่น
ขำที่พาร์หึงแล้วคอยปาน้ำแข็งใส่ 555555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 06-01-2017 18:40:34
สม ทำไรไม่คิดดีๆ เหอๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 08-01-2017 17:01:32
บทที่ 38 (Par)

ผมยื่นเงินส่งให้แม่ค้าร้านข้าวต้ม เดินเพลียๆ กลับมาที่รถ เจ้าของรถไม่อยู่เลยยืนพิงรถรอ

“พาร์ๆ”

ลืมตามองคนเขย่า ดูเหมือนผมจะเผลอหลับไป พี่ภูมองมาอย่างเป็นห่วง แต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะเราก็แทบไม่ได้นอนกันทั้งคู่

“ขึ้นรถเถอะ”

“แล้วเสบียงที่พี่บอกจะไปซื้อ?”

“อยู่บนรถแล้ว”

อ้อ วางเรียงรายอยู่เบาะหลัง กลิ่นหอมของอาหารตีกันอยู่ภายในรถ

“เยอะไปหรือเปล่า”

“ไม่หรอก เสียพลังงานไปขนาดนั้นมีแต่หิวจนกลืนช้างทั้งตัวลงท้องมากกว่า”

ผมมองเวลาคิดว่าออกมาแปบเดียว แต่นี่จะครบชั่วโมงอยู่แล้ว อดเป็นห่วงคนอยู่ในโรงแรมไม่ได้จริงๆ

“พี่ว่ายาหมดฤทธิ์ยัง?”

“หมดแล้วมั้ง”

“แน่นะ?”

“ทำไม? กลัวสองคนนั้นได้กันเองเรอะ พี่ว่าลุกไม่ขึ้นหรอก นอนฟ้าเหลืองอยู่บนเตียงมากกว่า”

“ก็แค่คนของพี่”

“…พูดแบบนี้ ไม่ได้ทำถึงขั้นนั้น?”

ผมได้แต่เงียบ

“จริงดิ เห็นแบบนั้นทนได้ด้วยเรอะ?”

“…ไม่ แต่ผมจำเป็นต้องทนให้ได้”

“ทนได้ไง?”

“…แค่นึกถึงผลหลังมันตื่น”

“แค่นั้น?”

“พี่อาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับผม…กลัวเสียมันไปที่สุดแล้ว”

“…ถ้าไม่ครอบครองเป็นของตัวเอง ก็อาจหลุดมือไปก็ได้”

ผมหัวเราะเบาๆ “ของพี่อาจใช่ แต่ของผมไม่ ย่อมใช้วิธีแตกต่างกัน”

“นั่นสินะ...นึกโกรธมือวางยาไหม?”

“เพื่อนทีไลน์บอกว่าเป็นพนักงานของที่นั่น ได้รับเงินค่าตอบแทนจากสามตัวนั่นเป็นประจำ”

“ตอบไม่ตรงคำถาม”

ผมพ่นลมหายใจ เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องตอบ “…กึ่งๆ ล่ะมั้ง ผมโกรธมาก แต่ตอนนี้กลับนึกขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอจิตใต้สำนึกของใครบางคน”

“ยิ้มนะเรา มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นล่ะสิ”

“ไม่เชิง…แค่ทำให้ผมรู้ว่าใครบางคนปากแข็งกว่าที่คิด”

“ถ้าเพื่อนๆ สองคนนั้นได้ยิน เราอาจโดนโกรธ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย กลุ่มนี้รักกันมากกว่าที่คิด

“เมื่อคืนคนชื่อวินเป็นคนติดต่อเรื่องห้องพักใช่ไหม”

“ผมก็ได้ยินแบบนั้น”

“…พี่น่าจะเอะใจตั้งแต่เมื่อคืน บางทีวินอาจเป็นลูกเจ้าของโรงแรม หรือลูกของหุ้นส่วน เพราะนอกจากจัดการติดต่อจนได้ห้องระดับ Deluxe 2 Bedroom ในเวลาสั้นๆ แล้ว ยังจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างรวดเร็วอีก ไม่สิ…พี่น่าจะนึกได้ตั้งแต่คนขับรู้ว่าเพื่อนตัวเองไม่ไหว แทนที่จะขับเข้าโรงแรมใกล้ที่สุด กลับพาเลยมาถึงโรงแรมที่เราเข้าพักเมื่อคืน” 

“…เวลาแบบนั้นพี่ก็ยังมีสมาธิสังเกต?”

“ไม่มีต่างหาก ถึงมานึกได้เช้าวันนี้ไง เมื่อคืนพี่สนใจแค่ลูกแมวจอมยั่วที่ร้องเรียกหาไม่หยุดเท่านั้น” คนพูดยิ้มอย่างมีความสุข “น่ารักจนพี่สติหลุดเลยล่ะ”

ภาพเมื่อคืนผุดเข้ามาในหัว ทีเองก็…

“…ผมว่าผมพอเข้าใจ”

ถึงโรงแรม เราช่วยกันหิ้วของพะรุงพะรังจนถึงหน้าห้องพัก พี่ภูใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้อง เราวางของไว้ตรงโต๊ะกินข้าว ก่อนแวะเข้าห้องนอนเพื่อดูคนหลับ

…ไม่อยู่ ผมนิ่วหน้า เดินไปมองหาในห้องน้ำก็ไม่มี หรือว่า…

รีบกระชากประตูออก จังหวะเดียวกับอีกฝั่งเปิดประตูเช่นกัน

“ยำหาย ทีล่ะ”

ผมส่ายหน้าสื่อว่าไม่มี เราพร้อมใจกันมองพื้นที่นั่งเล่นที่อยู่ด้านในสุด รีบเดินไปมองหาก็ต้องผงะ เพราะที่โซฟามีสองร่างกำลังนอนกอดกันจนตัวกลม

“เฮ้ยยยย!” 

“รีบลากทีไปห้องโน้นเลย!”

“พี่ก็เหมือนกัน ปล่อยเมียมานอนอยู่แถวนี้ได้ไง”

“ก่อนไปมันก็นอนอยู่ในห้องดีๆ แล้วทำไมยาถึงยังไม่หมดฤทธิ์อีกวะเนี่ย!!”

ผมหิ้วปีกทีเดินถอยหลัง ลากมันเข้าห้องตัวเอง ส่วนพี่ภูกำลังดึงผ้านวมออก จากท่าทางคงคิดจะอุ้ม ไม่ก็แบกไป

“เฮ้ย! เปลือยเรอะ!”

ผมรีบเบือนหน้าหนี พอมองคนของตัวเองที่สวมเสื้อคลุมอาบน้ำ ก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ใส่ให้กับมือก่อนออกไปซื้อเสบียง

“นี่มึงกำลังยั่วกูใช่ไหม?!”

“ไม่เอา…ไม่เอาแล้วภู”

ผมรีบปิดประตูห้องนอนหนีเสียงจากภายนอก แต่ก่อนจะพาคนในอ้อมกอดไปทิ้งที่เตียงกลับสะดุดสายตาข้องใจที่มองมาซะก่อน

มันได้สติแล้ว?

ผมทดลองถามดู “…มองมาเหมือนมีคำถาม”

“มี! เยอะด้วย!”

หายแล้วใช่ไหม?

ผมลังเล ไม่แน่ใจว่ายังมีอาการของยาตกค้างหรือเปล่า เลยลองปล่อยให้มันยืนเอง ทีหมุนตัวมาประชันหน้าผมทันที ไม่มีท่าทีเข้ามาอ้อนเหมือนเมื่อคืน…น่าจะหายแล้ว

“คนที่อยู่กับกูเมื่อคืนคือใคร? ไอ้ยำเรอะ หรือว่า…มึง”

ผมตอบอย่างสงบ “เป็นกู”

ทีทำหน้าตื่นตะลึง “จริงดิ!”

“จริง”

“งะ งั้นกู…กับมึง…ก็…”

ผมเพียงแค่ยืนมองนิ่ง แต่ในใจเต็มไปด้วยความกังวล ถึงบอกพี่ภูไปว่าทนได้ แต่ความจริงใครทนได้ก็บ้าแล้ว ผมทำได้แค่พยายามไม่ให้ตัวเองล่วงล้ำสำรวจภายใน ส่วนภายนอก…ไม่เหลือพื้นที่ให้ผมสำรวจแล้ว

“นี่กูเมาหนักขนาดนั้นเลยเรอะ!!”

ผมมองคนท่าทางสติแตกก็ไม่เชิง มีสติก็ไม่ใช่ ไม่รู้จะยังคุยกันรู้เรื่องไหม แต่เพราะจำต้องบอกเลยพูดออกไป “มึงโดนวางยา”

“ยา? ยาอะไร?...ยาปลุก”

ผมใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นทียังมีสติมากพอประมวลผลเอง “ใช่”

“กู…ไปโดนยาตอนไหน?”

“หลังจากมึงเมา ถึงกูคอยมองมึงตลอดเวลาก็ใช่ว่าจะรู้ว่าแก้วไหนใส่ยา หรือถูกใส่ตอนไหน เท่าที่เพื่อนมึงไปสืบให้ เป็นพนักงานในร้านที่มาเติมน้ำแข็งให้โต๊ะมึง มันฉวยโอกาสชงเหล้า ก่อนใส่ยาลงในแก้วของมึงกับยำ แล้วก็เพื่อนพี่ภูอีกคน”

ยิ่งฟังคิ้วทีก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน “เพื่อนพี่ภูคนไหน?”

“พี่เพชร”

“…กูนึกว่าพี่เต้ซะอีก”

“พี่เพชรอาจไปคว้าแก้วพี่เต้มาดื่มก็ได้ หรือไม่พี่เพชรก็ตรงรสนิยมมากกว่า สรุปคือพวกมึงโดนยาตอนนั้น...พนักงานคนนั้นทำแบบนี้หลายครั้ง เพราะได้เงินค่าตอบแทนดี”

“แล้วหลังจากนั้น?”

มองแววตาจริงจังของที ผมก็เล่าต่ออย่างไม่ปิดบัง “ตอนแรกพวกกูไม่รู้ว่าพวกมึงโดนวางยา เพราะเล่นเมาหนักจนทำเรื่องบ้าๆ ให้คนอื่นปวดหัวเลยไม่ทันได้สังเกต แต่เพราะพวกมึงเมาหนักเกินไปเลยคิดจะพากลับ แต่สามตัวนั้นดันมาเยือนโต๊ะมึงก่อน”

“สามตัวไหน? ไอ้คนที่เราเฝ้าระวัง?”

“นั่นแหละ วิธีการตรงตามที่เขียนบอกเป๊ะ มันมาทักทายเพื่อนมึงชื่อเด็นก่อน แล้วขอร่วมวงด้วย เพราะพวกมึงเมาหนักจากที่ตอนแรกนั่งติดกันดีๆ ก็แยกกันนั่ง พวกมันเลยแทรกนั่งกับพวกมึงอย่างเป็นธรรมชาติ”

“…เด็นหลอกพวกกูไปจริงๆ สินะ”

ผมมองคนทำหน้าเศร้า อยากดึงมากอดปลอบอยู่หรอก แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้แตะต้องตัวทีได้ในระดับไหน เลยเลือกพูดสั้นๆ

“ฟังให้จบก่อน”

“ก็พูดมาสิ”

“แต่กูเริ่มเมื่อยแล้ว มึงไม่เมื่อย?”

สายตาทีมองไปทางเตียงสลับกับผม “เอ่อ ถ้ามึงไม่ลำบากใจ ไปนั่งที่เตียงก็ได้”

หือ? ลำบากใจ? ใครกันแน่ที่ต้องลำบากใจ

ผมมองตามหลังคนปีนขึ้นเตียง รู้สึกสงสัย แต่เลือกปัดออกไปก่อน เดินไปรื้อของที่พึ่งซื้อมา หยิบกระป๋องเกลือแร่ออกมาเปิดฝา เสียบหลอดให้ แล้วเดินมาให้คนนั่งพิงหัวเตียง

“กินนี่ซะ มึงจะได้รู้สึกดีขึ้น”

ระหว่างทีดูดน้ำเกลือแร่ ผมก็นั่งลงข้างๆ เล่าต่อ

“ตอนแรกพวกมันก็ทำเป็นชวนคุยไปเรื่อย แต่พอพวกมึงเผลอ มือก็เริ่มเลื้อย เดี๋ยวกอดคอบ้าง ยื่นหน้าไปใกล้ๆ บ้าง พวกมึงก็ยอมให้ทำ” คิดถึงช่วงเวลานั้นอารมณ์ยิ่งคุกรุ่น พึ่งเคยรู้สึกอยากฆ่าใครสักคนทิ้งเป็นครั้งแรก “แต่ก่อนกูกับพี่ภูจะลุกไปกระทืบไอ้พวกนั้น มึงกลับปีนขึ้นโซฟา ระหว่างคนอื่นกำลังงงๆ ว่ามึงจะทำอะไร มึงก็เตะก้านคอไอ้คนกอดมึงลงไปกองกับพื้นแล้ว ไม่พอยังกระโดดสอยไอ้คนกอดยำลงไปวัดพื้นตามคนแรก”

นึกถึงตรงนี้ผมก็ยกยิ้มมุมปาก จะว่าขำก็ใช่ แต่ตอนนั้นผมยืนช็อคเล็กๆ

“มึงกระชากยำมากอด ประกาศชัดว่าห้ามยุ่งกับคนของกู!”

“ฮะ? กูเนี่ยนะพูดแบบนั้น!”

“เออ! พี่ภูรีบเดินกึ่งวิ่งหน้าทะมึงจะไปท้วงเมียคืนจากมึง ตอนนั้นกูก็นึกว่ามีเปิดศึกแน่ แต่มึงกลับเหวี่ยงยำไปให้พี่เขา พี่ภูเลยยืนประคองยำนิ่งอยู่ตรงนั้นแทน ส่วนมึงกระโดดลงจากโซฟา ใช้สองเท้ากระแทกท้องไอ้สองคนบนพื้นเต็มที่ เพื่อนพวกมันที่เหลือรอดปรี่จะไปช่วย กลับโดนมึงซัดลงพื้นอีกคน แล้วก็ เอ่อ…กูรับรู้แล้วว่ามึงเป็นสายโหดตามที่เพื่อนมึงว่า”

นึกภาพทีไล่กระทืบคนบนพื้นแล้ว ผมก็แอบเสียวน้องชายตัวเองเหมือนกัน

‘มึงนี่โชคดีนะพาร์ ถ้าไอ้ทีไม่มีใจให้มึงระดับหนึ่งล่ะก็ สภาพมึงคงไม่ต่างจากสามตัวนั้นหรอก’

ฟังคำพูดของเพื่อนทีแล้วก็รู้สึกตัวเองโชคดีจริงๆ

“อย่าบอกนะว่ากูไปกระทืบหนอนน้อยของชาวบ้านอีกแล้ว!”

“อยากรู้เหรอ?”

“เออ!”

“…กูไม่รู้ว่าเป็นหนอนน้อยหรือเปล่า แต่ที่กูแน่ใจคือมึงทั้งกระทืบทั้งขยี้ไอ้นั่นน่ะจนพวกมันร้องโหยหวน” คนฟังหน้าซีดไปแล้ว ผมก็ได้แต่พูดปลอบ “ไม่เป็นไร มีคนชื่นชอบการกระทำของมึงเยอะแยะ”

“เห็นแบบนั้นแล้วใครจะชอบวะ!”

“คนทั้งผับไง ตอนไอ้สามตัวนั้นสิ้นชื่อภายใต้ฝ่าเท้ามึง ท่ามกลางสักขีพยานมากมายแทนที่จะมีคนไปช่วยห้ามกลับไม่มีสักคน เอาแต่ยืนมองเฉย แววตาออกจะสะใจด้วยซ้ำ มาวงแตก เพราะในผับมีตำรวจนอกเครื่องแบบแฝงตัวเข้ามา กูเลยต้องรีบลากมึงเผ่นหนีออกมาก่อน มีพี่ภูที่ลากยำกับเพื่อนมึงอีกสองคนตามมาด้วย”

“แล้วคนที่เหลือ?”

“อยู่เคลียร์เรื่องในผับ กับยืมรถมึงไปส่งเพื่อนพี่ภู”

หน้าคนฟังซีดหนักกว่าเก่า “สภาพลูกรักของกูล่ะ”

“…กำลังโดนจับอาบน้ำยกใหญ่ที่ไหนสักแห่ง แต่เพื่อนมึงบอกว่าสถานที่อาบน้ำไว้ใจได้ ลูกรักของมึงจะหอมสะอาดไร้รอยขีดข่วนกลับมา”

สีหน้าทียังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเลยพูดดึงความสนใจออกจากเจ้ารถสีน้ำเงิน

“ตำรวจที่แฝงตัวในนั้นเป็นพวกของเพื่อนมึง”

“อะไรนะ?”

“กูบอกว่าตำรวจในผับเป็นพวกเดียวกับเด็น” ผมมองคนข้างๆ ที่ทำหน้าสนใจประเด็นนี้อย่างพอใจ “และเรื่องมึงกระทืบคนก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตำรวจกลุ่มนั้นรู้จักมึง ฟังขนาดนี้น่าจะเดาได้”

“...เพื่อนของลุงนิก”

“ใช่”

“...เด็นเป็นนกต่อให้ตำรวจ”

ผมพยักหน้า พูดเสริม “เห็นว่าโดนขอร้องหลังจากตำรวจหาตัวเด็นเจอ ดังนั้นต่อให้มึงมากับเมียพี่ภูแค่สองคนก็ปลอดภัยแน่นอน”

ผมขยี้หัวคนนั่งก้มหน้าข้างๆ ขยับตัวลงจากเตียง “กูซื้อข้าวต้มปลามาจะกินไหม? หรืออยากอาบน้ำก่อน?”

ทีรีบเงยหน้าขึ้นมา “กูอาบน้ำแล้ว แต่ไม่มีเสื้อผ้า!”

“ก็พึ่งไปเอามาให้”

“ชุดเก่ากูล่ะ กระเป๋าตังค์กับมือถือด้วย”

…ท่าทางจะออกตามหาจนทั่วแล้วมั้ง

“อยู่กับกูทั้งหมด ยกเว้นเสื้อผ้าที่กูยัดลงถุงขยะ ขนาดมัดอย่างดีกลิ่นยังออก กูเลยต้องฝากแม่บ้านประจำชั้นเอาไปทิ้งไกลๆ”

ผมว่า ก่อนออกไปหยิบข้าวของข้างนอกแล้วกลับเข้ามา โยนถุงเสื้อผ้าไปให้คนบนเตียง ทีเปิดถุงดึงเสื้อผ้าออกมาดู

“เฮ้ย นี่มันชุดที่กูใส่ไปผับนี่ ไหงมึงบอกว่าทิ้งไปแล้ว”

“กูทิ้งชุดที่มึงใส่ตอนอยู่ในผับต่างหาก”

“ไอ้ชุดนั่น…กูยืมเขามานะ!!”

“กูรู้ เพื่อนมึงจ่ายเงินซื้อให้แล้ว เพราะงั้นโยนทิ้งได้อย่างสบายใจ”

“…มึงไม่มีความคิดจะเก็บไปซัก?”

“ไม่มี!” ผมส่งยิ้มให้ที แต่คนได้รับยิ้มกลับทำหน้าหดเหลือสองนิ้ว “เพราะถ้ายังอยู่ กูคงรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นมัน”

ทีเงียบไปเลย ผมเลยเล่าต่อ

“พอขึ้นรถสักพัก ถึงได้รู้ว่าพวกมึงโดนยามา ตอนแรกนึกว่ายำโดนคนเดียว เพราะมึงไม่แสดงอาการนอกจากดูเงียบผิดปกติ แต่จู่ๆ ดันน้ำตาร่วงจนกูตกใจ”

“กูเนี่ยนะร้องไห้?”

“อือ พอกูถามก็เอาแต่ส่ายหัว กว่าจะง้างปากบอกได้ว่าเป็นอะไร กูเสียน้ำลายกล่อมจนคอแห้ง แล้วก็ทำให้กูรู้ว่ามึงบริสุทธิ์ผุดผ่องมาก ขนาดชักว่าวยังทำไม่เป็น”

“เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว!”

“กูรู้ เพราะเพื่อนมึงก็บอกว่ามึงชักว่าวเป็นตั้งแต่มัธยม แต่...เหมือนมึงตอนนั้นย้อนกลับไปเป็นเด็ก ทำเอาพวกกูรับมือไม่ค่อยถูก เพื่อนมึงก็ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นมึงอยู่ในช่วงอายุไหน แต่ก็เดาๆ เอาว่าน่าจะช่วงประมาณเจ็ดแปดขวบ” ผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนบอกข้อสัญนิฐาน “น่าจะเป็นช่วงหลังมึงโดนทำร้ายมา”

ทีนั่งเงียบเหมือนกำลังสับสน

“มึงเคยพูดใช้ไหมว่าถ้าสติหลุดจะจำอะไรไม่ได้ กูขอเดาว่าช่วงเวลานั้นจิตใต้สำนึกของมึงคงเป็นฝ่ายควบคุมทุกอย่าง ตอนแรกกูนึกว่าเป็นด้านมืดของมึง แต่ความจริง เอ่อ...” ผมหลบสายตา “เป็นตัวตนใสซื่อ ตรงไปตรงมามาก ขนาดเพื่อนมึงยังบอกว่านี่แหละมึงตอนเด็กชัดๆ”

“...น่ารักไหม?”

“มาก…” ผมรีบหุบปากแทบไม่ทัน เผลอหลุดไปแค่นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกมั้ง 

“...เด็กงั้นเหรอ”   

ผมปล่อยทีจมกับภวังค์ความคิด เดินผละมา กะจะแกะข้าวต้มปลาใส่ชามโฟม แต่โดนคนบนเตียงร้องเรียกก่อน

“พาร์”

หันไปเจอทีมองมาด้วยแววตาจริงจังมาก

“เรื่องเมื่อคืน…กูจะรับผิดชอบมึงเอง!”

ฮะ?

“รับผิดชอบกู?”

“เออ! รับผิดชอบแน่ๆ ไม่เบี้ยวแน่นอน!”

“เดี๋ยวๆ” ผมควรเป็นคนพูดประโยชน์พวกนี้ไม่ใช่เหรอ? “มึงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?”

“เข้าใจผิด? เข้าใจผิดบ้าอะไร ทั้งรอยแดงบนตัวกู ที่กูเจ็บไอ้หนู หลักฐานชัดขนาดนี้จะเป็นอื่นได้ไง!!”

คนฟังอย่างผมชักเริ่มเขิน ภาพเมื่อคืนเริ่มผุดในหัวเป็นฉากๆ และสิ่งที่ตามมาคือนกเขาของผมเริ่มคึกคัก

ใจเย็น ใจเย็นไว้ลูกพ่อ

“กูขอโทษที่ทำมึงเจ็บ” ผมบอกจากใจจริง

“มึงขอโทษทำไม? กูต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะน่าจะทำมึงเจ็บกว่า”

หือ? ชักทะแม่งๆ

“ทำไมกูต้องเจ็บ?”

“ก็กู…” แก้มคนพูดเริ่มขึ้นสี หลบสายตากันอีกต่างหาก

น่ารักชะมัด!

“เอ่อ กู…จับมึงทำเมียไปแล้วนี่!”

อารมณ์กำลังต้องการของผมโดนประโยคเดียวกระแทกจนแตกกระจาย

“มึงพูดว่าอะไรนะ!”

“กูบอกว่ามึงตกเป็นของกู…ไม่ใช่เหรอ?”

ยังดีที่มันเดาอารมณ์จากสีหน้าผมออก!

“ไม่ใช่น่ะสิ!”

“แต่กูเจ็บแค่ส่วนหน้า”

“ก็เพราะกูพยายามไม่ยุ่งกับส่วนหลังของมึง!”

“งั้นที่กูเจ็บส่วนหน้า…”

“มึงจำเป็นต้องปลดปล่อย แต่ทำเองแล้วไม่ถึงหรืออะไรก็ไม่รู้ ถึงได้มายืนร้องไห้บอกให้กูช่วยอยู่ข้างเตียง ทั้งที่กูกะจะให้มึงแช่น้ำไปปลดปล่อยตัวเองไป ฤทธิ์ยาจะได้หมดเร็วๆ”

เห็นหน้าคนฟังแดงก่ำ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองพูดมากไป

“งะ งั้นมึงก็…”

ผมทำหน้าลำบากใจ แต่เห็นทีกำลังรอฟัง จึงยอมเปิดปากพูด “...กูเป็นคนช่วยมึง”

เรื่องวิธีการขอไม่กล่าวถึง ไม่งั้นคนที่ทำหน้าช็อคคงได้ช็อคกว่านี้แน่ พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนผมก็รีบพูดขอตัวไปห้องน้ำรัวเร็ว เข้ามาได้ก็กระแทกประตูปิดลงกลอนอย่างเร็ว ให้ตายเหอะ แค่นึกถึงเสียงครางของมัน ดวงตาที่ชุ่มช้ำด้วยหยาดน้ำตาแห่งความทรมานและปรารถนา น้ำเสียงที่ร้องบอกความต้องการ ลูกชายผมก็ปวดไปหมด ใช้แม่นางทั้งห้าไม่นานก็ระเบิดออกมา

“แฮ่กๆ”

รู้สึกคิดผิดมากๆ ที่ดันไปรับปากว่าจะไม่แตะต้องทีจนกว่าจะอายุยี่สิบ

…ตั้งสองปี

ผมมองแม่นางทั้งห้าที่เปื้อนน้ำของตัวเอง ได้แต่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ขอไปต่อรองใหม่ยังทันไหมนะ

-------------

ช่วงบ่ายทีกับยำบอกมีนัด หลังซักถามถึงรู้ว่านัดเด็นไว้ หลังเข้าร้านอาหาร ผมเลือกแยกตัวออกมานั่งอีกโต๊ะ จากตรงนี้มองเห็นชัด แต่ไกลเกินกว่าจะได้ยิน เหมือนทีจะได้คุยก่อน พักใหญ่ๆ ถึงเดินกลับมาหาผม ดูจากสีหน้า เหมือนจะเคลียร์กันเรียบร้อยดี

“กูกับมันคงไม่ได้เจอกันอีก”

“…จากกันด้วยดีก็ดีแล้ว”

ทียิ้ม “ใช่ ดีที่สุดแล้ว”

เพี๊ยะ!

เสียงดังมากจนพวกผมสะดุ้ง หันไปมองก็เห็นหน้าพี่ภูกำลังหัน และทันเห็นฉากพี่ภูโดนตบหน้าครั้งที่สอง

“นี่สำหรับที่มึงทำกับกู! หลังจากนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก และหวังว่ามึงจะดูแลของที่เคยเป็นของกูให้ดีอย่างที่รับปากก็แล้วกัน”

คนตบหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งยำหันมองคนเดินจากกับคนโดนตบด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก

“คนกลางลำบากใจเสมอ”

ผมเห็นด้วยกับคำพูดที “…ไม่ไปดูเพื่อนมึงล่ะ”

“ไม่ล่ะ มันไม่เกี่ยวกับกู คนที่ต้องเลือกคือยำต่างหาก และการที่มันยังนั่งเงียบอยู่ข้างพี่ภูคือทางเลือกของมันแล้ว”

“ยำชอบพี่ภู?”

“น่าจะ แต่ดันปากแข็งบอกว่าไม่”

“…เหมือนมึง”

“อะไรนะ?”

ผมพ่นลมหายใจ ไม่คิดบอกคนนั่งตรงข้ามว่ามันก็ปากแข็งพอกัน ไม่รู้โตมาเป็นแบบนี้ได้ไง ทั้งที่สมัยเด็กออกจะตรงไปตรงมา ใจคิดยังไงปากก็ว่าตามนั้น

“…ที” ผมเรียกเมื่อนึกบางอย่างออก

“หือ?”

“เมื่อคืนกูเห็นมึงร้องไห้ก็เลยนึกเรื่องเกี่ยวกับมึงได้”

คนฟังทำหน้าสนใจ “เรื่องอะไรล่ะ?”

“ครั้งแรกที่เจอมึง”

“เจอ? แบบที่เห็นหน้า?”

“อือ” ผมพยักหน้า ใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่เห็นเมื่อคืนไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่ได้เห็นครั้งแรก “…สวนสัตว์ กูเจอมึงครั้งแรกที่นั่น”

ทีทำหน้าประหลาดใจ “สวนสัตว์เนี่ยนะ? กี่ขวบวะนั่น?”

“สาม…คิดว่านะ” ผมพยายามดึงความทรงจำออกมาให้มากที่สุด “บ้านกูไม่ค่อยได้พาไปเที่ยวหรอก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะก่อนเข้าโรงเรียนอนุบาลไม่นาน”

“อ้อ ตอนนั้นกู...พึ่งกลับมาอยู่ไทย”

เหมือนทีกำลังนึกอะไรสักอย่างอยู่ ท่าทางไม่ค่อยดี เลยดึงมันกลับมาด้วยเรื่องของผม

“ตอนนั้นกูกำลังหลงทาง พ่อแม่ไม่รู้หายไปไหน กำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว แต่ดันตาดีไปเห็นใครบางคนนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ ได้ยินแค่เสียงสะอื้น ความรู้สึกเหมือนเจอพวกเดียวกันทำให้กูเดินไปหา แล้วนั่งลงข้างๆ…”

“เดี๋ยวนะ” ผมเงียบมองคนพูดขัด ทีทำหน้าครุ่นคิด “มึงเคยพูดประมาณว่า ‘อย่าร้องเลยนะ เราจะร้องตาม’ หรือเปล่า”

ผมทำหน้าประหลาดใจ “ใช่มั้ง กูจำไม่ค่อยได้”

“พูดอะไรอีก!”

ผมสะดุ้งกับเสียงดุดัน “…มึงจะจริงจังทำไม?”

“เหอะน่า รีบนึกมาเดี๋ยวนี้ว่าตอนนั้นพูดอะไรไปบ้าง!”

ผมนิ่วหน้าพยายามนึกให้ แต่เด็กขนาดนั้นแค่จำได้ว่าเคยเจอกันก็สุดๆ แล้ว คิดจนหัวแทบแตกก็ได้มาอย่างเดียว

“เหมือนมึงกำลังทุกข์ใจกับอะไรสักอย่าง กูเลยพูดปลอบหรือเปล่า”

“…ใช่”

แววตาที่ทีมองมาต่างจากทุกที เปล่งประกายอย่างน่าประหลาด แล้วยังรอยยิ้มปริศนาอ่านไม่ออกนั่นอีก แต่มันทำหัวใจผมเต้นแรงเป็นบ้า

“นึกว่าแค่คล้าย ไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกัน”

เสียงพึมพำเมื่อครู่ทำผมหูผึ่ง ได้ยินน่ะใช่ แต่จับใจความไม่ถนัด

“อะไรนะ?!”

“ฮะ!” ทีสะดุ้ง “ไม่มี๊!!”

เสียงสูงไปแล้ว พิรุธชัดเจนขนาดนี้ใครจะปล่อยผ่าน “มึงลองพูดอีกที”

“มันไม่มี!”

ผมจ้องมันนิ่ง มันรีบทำหน้าขึงขังจ้องตอบ “ไม่มีจริงๆ” แต่สักพักก็เบนตาหลบ แล้วยังอมยิ้มใส่อากาศ มันก็น่ารักอยู่หรอก แต่ผมรู้สึกขัดใจยังไงพิกล หลังกอดอกจ้องคนที่ทำเป็นมองนู้นมองนี่สักพักก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ดีที่ตอนเจอกันครั้งแรก มึงไม่ได้แต่งหญิง”

ทีหันขวับ แยกเขี้ยวใส่ผม “แต่มึงดันเข้าใจผิดคิดว่ากูเป็นเด็กผู้หญิง!”

…ท่าทางจะจำฝังใจมาก

“กูในตอนนั้นสำคัญกับมึงใช่ใหม่ ถึงได้จำเรื่องรายละเอียดเรื่องตอนนั้นได้เยอะขนาดนี้”

คนฟังชะงักอย่างเห็นได้ชัด เห็นอาการพร้อมบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นของมันต้องรีบพูดขัด

“ตอบกูมาตรงๆ”

“มึงมัน!” ทีเม้มปากอยู่พักหนึ่ง ก่อนมองผมโกรธๆ “เออ! จุดเปลี่ยนชีวิตกูเลย ไม่งั้นจะจำได้ยังไง!”

ผมไม่ชอบโดนคนสำคัญโกรธใส่เท่าไหร่ เลยยอมแง้มบางเรื่องให้รู้เป็นการแลกเปลี่ยน

“กูชอบรอยยิ้มของมึงที่เห็นในรูปถ่ายครั้งแรกมากนะ”

คิดถึงความรู้สึกตอนนั้นก็ยิ้มออกมา

“ยิ้มอะไรของมึง!”

ผมหัวเราะ มองคนออกอาการเขิน แต่พยายามข่มไว้ไม่ให้ผมรู้ ท่ามากเป็นที่สุดจนอยากส่ายหัว

เอาเถอะ รุกมากไปเดี๋ยวหนีอีก

เพื่อนทีส่งเสียงเรียกเหมือนพร้อมจะไปแล้ว ผมกับทีเลยลุกขึ้นยืน ระหว่างเดินไปลานจอดรถก็เหลือบมองแผ่นหลังคนกำลังคุยกับเพื่อน แล้วหวนนึกถึงตอนตัวเองสมัยเด็กกำลังจ้องคนในรูปถ่ายตาไม่กระพริบ

เพราะเป็นคนที่เคยเจอมาก่อน และเพราะตอนนั้นอีกฝ่ายร้องไห้หนักมาก ดูมีความทุกข์สาหัส แต่ผมช่วยอะไรไม่ได้

อย่าร้องเลยนะ เราจะร้องตาม…งั้นเหรอ

ผมชักเริ่มเข้าใจเรื่องในอดีตมากขึ้น เพราะแบบนี้เอง ตอนเห็นรอยยิ้มแรกจากรูปถ่ายใบนั่นถึงได้ดีใจมาก...เป็นความสุขที่บอกไม่ถูกจนเผลอยิ้มตาม และทุกครั้งที่มองไปก็รู้สึกดีเสมอ

“…นี่อาจเป็นสาเหตุที่กูชอบรูปถ่ายมึงก็ได้มั้ง”

ถ้อยคำของผมมีเพียงแค่สายลมกับแสงแดดจ้ายามบ่ายเท่านั้นที่รับรู้

แต่สักวันจะบอก อยากจะบอก และหวังว่ามันจะบอกผมเหมือนกัน

-------------

[ฮะ! ไปแล้ว!!]

“ใช่ มันฝากมาบอกมึงว่า ‘ขอโทษ’ ด้วย”

[มึงไปเจอมันมาเรอะ!]

“ตอนบ่ายมันนัดเจอ”

[แล้วทำไมไม่บอกกู!]

ผมหันมองมือถือที่เปิดลำโพงวางอยู่บนโต๊ะ มีเจ้าของโทรศัพท์กำลังเอนตัวถอยห่าง ปล่อยปลายสายส่งเสียงมาไม่หยุด

[แล้วที่กูลงทุนขโมยบัตรประชนชนพี่ชาย ปลอมเป็นชายเสริมนมล่ะมึง!! กูทำไปเพื่ออะไร?!]

“เพื่อไปเจอวินไง”

[อ้อ จริงด้วย เฮ้ย! ไม่ใช่ มึงนะมึงไอ้ที รู้จักวินอยู่แล้วก็ไม่บอก แล้วไม่ใช่แค่นั้นมีทั้งเดือนสถาปัตย์ เดือนแพทย์อีก มึงทำแบบนี้กับกูได้ไง!]

“ก็มึงไม่ถาม”

[แล้วทำไมมึงไม่บอก!]

“มึงไม่ถามกูจะบอกทำไมล่ะ”

[ไอ้ที!]

คนกวนประสาทเพื่อนได้หัวเราะคิกคักใหญ่ เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวเป็นบ้า เมื่อทนไม่ไหวผมเลยเดินไปหอมแก้มมันฟอดหนึ่งให้ชื่นใจ ก่อนขโมยน้ำผลไม้ในแก้วมันมาดื่ม

“เฮ้ย! นั่นของกู!”

“กูขอมึงไปแล้วไง”

“ไอ้ที่ทำเมื่อกี้อ่ะนะ”

“อือ”

“มึงมัน!” เวลาพูดอะไรไม่ออกชอบพูดสองคำนี้ทุกที “อึ๋ย! เอาไปเติมให้กูด้วย!”

[มึงอย่าพึ่งสวีทให้กูอิจฉา!]

“กูไม่ได้สวีท!”

[อย่าเถียงค่ะคุณเพื่อน ฟังกูบ่นเดี๋ยวนี้ เพื่อนมึงทั้งแก๊ง คิดว่ากูเป็นผู้ชายตามบัตรประชาชนพี่กูหมดแล้ว กูล่ะเครียด!]

“มึงทำตัวเอง”

[เออ! กูทำตัวเอง และมึงต้องไปแก้ข่าวให้กู!!]

“ทำไมกูต้องทำ?”

[เพื่อความรักของเพื่อนมึงไง]

“ฮ่าๆๆ ไม่เอา”

[นะๆ ไปแก้ข่าวให้กูเถอะ]

“ไม่มีทาง แบบนี้ก็สนุกดีออก”

[ไอ้ที!! กูไม่ได้สนุกด้วย!!]

ผมถือแก้วเข้าครัวอย่างว่าง่าย ปล่อยทีเถียงกับเพื่อนชื่อลูกหว้าไป ระหว่างเปิดตู้เย็นหยิบน้ำผลไม้ เห็นแอปเปิ้ลสีแดงก็เผลอนึกถึงรอยแดงๆ บนตัวใครบางคน กว่าจะจางหายน่าจะอีกหลายวัน แต่ผู้ปกครองจะกลับมาคืนนี้แล้ว

…อยู่ใต้ร่มผ้า ไม่เป็นไรหรอกมั้ง

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-01-2017 19:53:59
ก็หวังว่าจะไม่เผลอเอาร่มผ้าออกให้ลุงนิกเห็นก็แล้วกันนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-01-2017 20:55:36
เอิ่ม......ที คิดว่าได้กดพาร์ เอื๊กกกกก
ที เก่งมากจริงๆ ล้มทีเดียวหลายคน  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
พาร์ กำไรสุดๆ ได้โอกาสลวนลามที เต็มที่  :ling1: :ling1: :ling1:
เด็นได้เอาคืนพี่ภู ซะสองฉาดเลย
ที่แท้ พาร์กับที เคยเจอกันตั้งแต่สามขวบ
สามขวบ  :katai1: โอ้....ความจำทั้งสองคนสุดยอดจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-01-2017 21:13:58
ก็หวังว่าทีจะไม่เผลอทำรอยโผล่ให้ผู้ปกครองเห็นนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 08-01-2017 21:20:15
อิอิ....โดนไปแล้วเนอะที...ถึงจะยังไม่ 100% 
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-01-2017 23:17:35
ผ่านไปอีกหนึ่งเหตุการณ์
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 09-01-2017 00:14:26
คิอ ทีกับพาร์เจอกันตั้งแต่สามขวบ นี่มัน เนื้อคู่ชัดๆ หุหุ  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: dilokrittisak ที่ 09-01-2017 00:39:52
ทำไมไม่มีฉากอย่างงู้นอย่างงั้นอย่างงี้อ่า!!!!!! :hao5:


โธ่
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-01-2017 01:20:48
โล่งไปทีที่ปัญหาของเด็นจบไปแล้ว
หวังว่าลุกนิกจะไม่เห็นรอยแดงบนตัวลูกสาวนะ ไม่งั้นพาร์แย่แน่ 55555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่37] P.13 (03/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 09-01-2017 08:09:30
มองในแง่ดี ทีเมาพาร์เลยพามากเพราะ กลับบ้านไม่ได้ และที่เจ็บคือทำตัวเอง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-01-2017 11:51:22
พาร์ น้องแกเหี่ยวแน่ 5555 มีสัญญาผูกมัด
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 10-01-2017 22:18:49
ตอนพิเศษ 1
ไดอารี่คุณพ่อมือใหม่  (พ่อแทน)

< พาร์ 3 ขวบ >

“คุณพ่อของน้องพาร์ใช่ไหมคะ?”

“ใช่ครับ”

ใจคนรับวิตกกลัวลูกชายจะเป็นอะไรไป ยิ่งช่วงนี้ผีเข้าผีออก อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าพายุเฮอร์ริเคน แต่ความจริงหลังฟังจากปากคุณครูทำเอาเงิบ เด็กน้อยของผมพึ่งไปอาละวาดใส่เพื่อนมา นี่หรือคือเหตุที่ผมถูกเรียกตัวด่วนระหว่างทำงาน

สรุปคือครูอยากให้รีบมารับตัวลูกชายไป เพราะเพื่อนร่วมห้องกลัวเขาหมดแล้ว

โดยปกติ พาร์ไม่ใช่เด็กเกเรก้าวร้าว แต่เพราะช่วงนี้เด็กน้อยตัวอ้วนกลมกำลังโดนงดของหวาน เหตุเพราะน้ำหนักเกินมาตรฐานเด็กสุขภาพดีไปโข ผมโดนครูต่อว่าเรื่องหักดิบให้ลูกงดของหวานกะทันหัน แต่เมื่อเริ่มไปแล้วให้กลับมากินตอนนี้คงไม่ดี เลยจำเป็นต้องทำเรื่องของดเอาลูกมาโรงเรียนชั่วคราวจนกว่าสภาวะอารมณ์เด็กน้อยดีกว่านี้

แต่ลูกระเบิดย่อมๆ ยังถล่มบ้านไม่ยอมหยุดหย่อน ต้องรีบเก็บข้าวของแตกได้ให้พ้นมือน้อยๆ ไม่งั้นคงกลายเป็นเศษแก้วไร้ค่า ลูกชายอารมณ์ร้ายกว่าที่คาดไว้โข จนฝ่ายภรรยามาปรึกษาว่าควรให้ของหวานกล่อมปีศาจน้อยให้อยู่ในความสงบดีหรือไม่

“อย่าพึ่งดีกว่า ขืนติดของหวานหนักกว่าเก่าจะยิ่งแก้ลำบาก เดี๋ยวผมลองโทรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดู”

ผมได้รับคำแนะนำว่าให้หาอะไรดึงความสนใจเจ้าตัวน้อย ไม่ให้สมองว่างไปคิดเรื่องของหวาน ถ้าจะให้ดีพาไปออกกำลังกายควบคู่ด้วย จะช่วยลดน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น แต่ตอนนี้ผมเข้าหน้าลูกชายไม่ติด แถมเด็กน้อยยังประท้วงไม่ยอมออกจากบ้าน เลยต้องเค้นสมองคิดแทบตายในการเลือกอุปกรณ์กีฬาที่ลูกพอจะเล่นคนเดียว และเล่นที่บ้านได้ สุดท้ายก็คว้าแป้นบาสกับลูกบาสสำหรับเด็กมาติดไว้ที่บ้าน

“เอาเลยลูก หงุดหงิดอารมณ์เสียเมื่อไหร่ โยนเจ้าลูกกลมๆ ในมือเข้าห่วงตรงนั้นได้ ลูกจะหงุดหงิดน้อยลง”

พอได้ของเล่นใหม่ก็เห่อตามประสาเด็ก หลังจากผ่านพ้นช่วงสามวันแรก ลูกก็ยังเล่นได้อยู่ ผมก็โล่งใจที่ลูกชอบ เพราะถ้าเขาไม่ชอบหรือเบื่อคงไม่สนใจใยดีแล้ว

ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งบ้านสงบขึ้นเยอะ ลูกชายยังทำหน้าหงุดหงิดอารมณ์เสียอยู่ แต่ไม่อาละวาดแล้ว ผมทั้งโล่งใจทั้งอยากร้องคราง คิดถึงรอยยิ้มของลูกชะมัด!

แต่วันหนึ่งฝ่ายภรรยาที่อยู่ในสภาวะอึกครึมไม่แพ้ลูกก็ฉีกยิ้มร่ากลับบ้าน

“คุณค่ะ ฉันได้ของดีมา”

“หือ?”

“นี่ค่ะ”

รูปถ่ายครับ ภรรยาอมยิ้มชูรูปทีละใบให้ผมกับลูกชายดู ภาพแรกเป็นเด็กหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาอายุคงพอๆ กับพาร์ อยู่ในชุดกะลาสีเรือขาวฟ้ากำลังตะเบ็งท่าน่ารัก ฉีกยิ้มแสนหวานที่ทำให้โลกหม่นๆ ของผมสว่างไสวขึ้นทันตา

“ลูกบ้านไหนเนี่ยคุณ!”

“หุๆ ลูกของรุ่นน้องค่ะ”

ภรรยาเปลี่ยนภาพ หมวกเข้าชุดกาละสีกำลังโดนลมพัดปลิว เด็กน้อยหลับตาปี๋เหมือนตกใจแรงลม เปลี่ยนอีกภาพ เด็กน้อยกำลังแหงนหน้ามองต้นไม้ที่มีหมวกไปติดอยู่ อีกภาพเด็กปีนขึ้นไปแล้ว

“เฮ้ย!” ผมอุทาน “ยอมให้ปีนได้ไงเนี่ย!”

ถึงต้นไม้จะเตี้ยไม่สูงมาก ผู้ใหญ่อย่างผมแค่ยืนก็เก็บหมวกให้ได้แล้ว แต่นี่คนถ่ายให้ปีนเฉย

“คำตอบอยู่นี่ค่ะ”

ภรรยาของผมพลิกด้านหลังรูป มีข้อความเขียนด้วยปากกาลายมือภรรยา “ลอกมาจากต้นฉบับจริงเลยค่ะ”

‘ไม่ให้ทีเจ็บตัว ทีก็ไม่ได้เรียนรู้…นิก’

ใจผมดุจโดนกระแทก เหล่มองลูกชาย สงสัยต้องเอาอย่างบ้าง ขนาดทางโน้นเป็นเด็กผู้หญิงยังยอมให้เจ็บตัวเลย

ภาพต่อมา เด็กตกจากต้นไม้ตามคาดครับ แต่ตัวเด็กกลับยิ้มร่า ไม่ร้องงอแง ในมือยังมีหมวกที่คว้าทันก่อนตกลงมาด้วย ภาพสุดท้ายเป็นภาพเด็กฉีกยิ้มหวานจ๋อย ยืดอก โชว์หมวกในมือให้คนถ่ายรูปดู ติดมือคนถ่ายกำลังลูบหัวแทนคำชมมาด้วย

“พาร์ขอ!”

หือ?

ผมกับภรรยาหันมองลูกชาย เด็กน้อยของผมชี้นิ้วใส่รูปภาพ ย้ำอีกครั้ง “พาร์ขอ”

ฝ่ายภรรยาเลิกคิ้ว ก่อนยิ้ม “แม่ยกให้เลย ถ้าลูกสัญญาว่าจะเก็บรักษาดีๆ”

รีบพยักหน้าหงึกๆ เชียวลูกชาย

หลังจากนั้นผมต้องแปลกใจ พาร์สงบขึ้นเยอะครับ เกือบจะกลับเป็นปกติทีเดียว เขาก็ยังโยนลูกบาสลงห่วง แต่พอเล่นเบื่อหรือเหนื่อย แล้วเกิดหงุดหงิดอยากของหวาน เขาจะเอารูปถ่าย (ที่พึ่งได้) มานั่งดู แล้วอมยิ้มนิดๆ ภรรยาผมเห็นลูกชายชอบก็ติดต่อรุ่นน้องที่เป็นหลานรหัสขอรูปถ่ายมาอีก ทางนู้นก็ยินดี หลังๆ ทั้งสองคนเลยไปมาหาสู่กัน ได้รูปกลับมาเยอะแยะ จนผมต้องซื้ออัลบั้มรูปหลายเล่มให้ลูกชาย กลายเป็นของสะสมของพาร์ไปเลย

ลูกชายดูแลของสะสมดีครับ ผมเห็นเขานั่งจัดเรียงเข้าอัลบั้ม เก็บเข้าตู้กระจก อยากดูก็หยิบออกมานั่งดูบนพื้นพรม แถมยังเก็บเข้าที่ไม่มีวางทิ้งไว้เรี่ยราด แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของรักของหวง

ผมสะกิดภรรยา หลังลองสังเกตมาหลายอาทิตย์

“พาร์ถามถึงขนมหวานหรือเปล่า?”

“ไม่เลยค่ะ ดูเหมือนจะลืมไปแล้ว เดี๋ยวนี้ถ้าเจนออกไปข้างนอกแล้วกลับบ้าน เจ้าตัวน้อยถามหาแต่รูปถ่าย”

“…เป็นเอามากนะเนี่ย”

ภรรยาหัวเราะ “สงสัยติดรูปถ่ายแทนขนมหวานแล้วมั้งค่ะ”

ผมมองรอยยิ้มลูกชาย ไม่ได้ยิ้มให้ผมหรอก นู้น…เขายิ้มให้รูป

“อย่าบอกนะว่าเด็กตัวแค่นั้นกำลังมีความรัก?”

ภรรยาหัวเราะขำหนักมาก “ไม่ใช่หรอกค่ะ ถ้าคุณอยากรู้ ลองไปขอดูรูปสิค่ะ”

ผมเดินมาหาลูกชาย เอ่ยขอดูรูป พาร์ยอมให้แต่โดยดี มีแนะนำด้วย

“เล่มนี้ดีที่สุด”

ผมก็เปิดดูครับ รูปหน้าแรกเป็นฉากสนามหญ้า คนนั่งเล่นดอกหญ้ากำลังสวมชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวกับมงกุฎดอกไม้ น่ารักมาก เจ้าหญิงตัวน้อยชัดๆ!

คราวนี้มาเป็นเซ็ตเช่นเดิม (ถึงว่าภรรยาบอกให้ซื้อเล่มใหญ่ๆ หน้าหนึ่งใส่ได้หลายรูป) บันทึกเหตุการณ์ทุกช็อตตั้งแต่เจ้าหญิงน้อยลุกขึ้นถลกกระโปรง วิ่งเข้าหาสุนัขตัวโตสีขาวที่บังเอิญเดินผ่านมา เข้าไปคลอเคลียวุ่นวาย สุดท้ายก็โดนหมาตัวโตงับหลังเสื้อ คาบหิ้วทั้งตัวมาวางคืนที่เดิม ก่อนมันสะบัดก้นเดินจากไป ทิ้งให้คนโดนหางปุกปุยปัดโดนจมูกจามอย่างแรง

ผมเผลออมยิ้มขำ พลิกไปดูรูปเซ็ตต่อไปทันที ก่อนจะเปิดดูต่อไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน

อ่า…ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกชายกับภรรยาถึงได้ชอบขลุกดูรูปด้วยกันนัก และแล้วผมก็กลายเป็นแฟนคลับ (เรียกตามภรรยา) เด็กตัวน้อยในรูปอีกคน

เห็นแล้วชักอยากได้ลูกสาว แต่รอพาร์โตกว่านี้ก่อนดีกว่า

-------------

<พาร์ 5 ขวบ>

ลูกชายผมจบชั้นอนุบาลแล้ว พุงก็ยุบแล้ว พอพาออกกำลังกายบ่อยๆ ร่างกายลูกดูแข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยง่าย ผมกับภรรยาเลยตัดสินใจยอมเสี่ยงซื้อเค้กก้อนเล็กๆ มาสังเกตอาการลูกว่ายังติดของหวานอยู่หรือเปล่า เป็นของหวานชิ้นแรกในรอบสองปี ถือว่าฉลองเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกแล้วกัน

พาร์ดูดีใจมากที่เห็นเค้ก แต่เขากินแค่สองชิ้นก็ส่ายหน้าไม่เอาแล้ว นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำผมกับภรรยาโล่งใจ เพราะก่อนหน้านี้ลูกผมฟาดเรียบทั้งก้อน ดุจท้องเป็นหลุมดำสำหรับของหวานโดยเฉพาะ ห้ามก็ไม่ได้นะ เดี๋ยวกลางคืนจะแอบลงมาเปิดตู้เย็น เอาออกมากินจนเลอะเทอะไปหมด ต้องเสียเวลาทำความสะอาดอีก

“พาร์อยากไปเจอคนในรูปไหมจ๊ะ? แม่พาไปเจอได้นะ”

ได้ยินที่ภรรยาถาม ผมก็แอบสนใจคำตอบ เจ้าตัวน้อยส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ ตอบเพียงสั้นๆ

“พาร์เขิน”

ภรรยาหัวเราะใหญ่ แต่ผมกลับกลุ้มใจ

พึ่งรู้ความจริงเมื่อไม่นานมานี้ว่า คนในรูปเป็นเด็กผู้ชาย ผมจำต้องคิดแผนเบี่ยงความสนใจลูกอีกครั้ง เริ่มตอนนี้ยังไม่สาย ผมใช้เวลาค้นหาและเก็บสะสมรูปถ่ายสวยๆ มากมาย แล้วเอาไปให้ลูกดู

“พาร์รู้ไหม ในโลกนี้ไม่ได้มีแค่รูปคนหรอกนะ นี่ไง”

ค่อยๆ หยิบมาวางโชว์บนพื้น ทั้งภาพทิวทัศน์หลากหลายสถานที่ ภาพสัตว์หลายชนิด สิ่งของน่าสนใจ เจ้าตัวน้อยดูสนอกสนใจมาก สุดท้ายผมก็ใจชื้นขึ้น ยามได้ยินคำพูดของลูก

“พาร์ชอบหมดเลย! พาร์ขอ”

เอาไปเลยลูก พ่อแถมอัลบั้มอีกสิบเล่ม หรือมากกว่านี้ก็ยังได้

-------------

<พาร์ 7 ขวบ>

ลูกชายผมเป็นพี่คนแล้ว พาร์ดูดีใจที่มีน้องสาว

ผมพอเข้าใจ ลูกคงจะเหงา เพราะพวกผมออกไปทำงานบ่อยๆ ลูกเลยต้องอยู่บ้านกับแม่บ้านที่มาทำงานไปเช้าเย็นกลับ บางทีก็ต้องอยู่ตามลำพังรอพวกผมกลับมา

ผมดีใจที่ลูกชายกระตือรือร้นช่วยแม่ดูแลน้อง

แต่ว่า…ลูกชายเริ่มเขียนจดหมายไปขอรูปถ่ายเองแล้ว

เอ่อ ที่ลูกมาขอให้พ่อสอน ตั้งอกตั้งใจฝึกเรียนเขียนอ่านอย่างจริงจังตั้งครึ่งปี เพื่อเรื่องนี้?

ผมยอมใจลูกชายจริงๆ

-------------

<พาร์ 8 ขวบ>

เด็กน้อยของผมเรียนชั้น ป.2 แล้ว พอได้เป็นพี่คน ความคิดอ่านดูโตกว่าเดิมเล็กน้อย

แต่หลายๆ อย่างก็ยังเหมือนเดิม เช่น สะสมรูปถ่าย

“เอ่อพาร์ พ่อขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

“อื้อ”

“ในบรรดารูปถ่ายที่สะสมมา รูปถ่ายประเภทไหนที่พาร์ชอบมากที่สุด”

“นั่น”

ชี้ไปที่แถวกลางๆ ของชั้นหนังสือ แน่นอนว่าเป็นแถวที่ลูกชายหยิบได้ถนัดสุด และมักหยิบออกมาดูบ่อยๆ

ก็รูปถ่ายเด็กคนนั้นนั่นแหละ… ผมลูบหน้าพยายามทำความเข้าใจ

“เอ่อ แล้วทำไมถึงชอบล่ะ”

ลูกชายยอมหันมองหน้าผมจนได้ หลังสนใจเล่นกับน้องอยู่ตั้งนาน

“พาร์ชอบรอยยิ้ม”

ผมก็ชอบ “แล้วอย่างอื่นล่ะ?”

“…แววตามั้ง”

“ทำไมล่ะ?”

“ก็…เวลาพาร์เห็น พาร์อยากยิ้มตามทุกครั้ง”

อ้อ นั่นผมก็เป็น…คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ผมคงคิดมากไปเอง

วันเดียวกัน ภรรยาก็กลับมาพร้อมใบหน้าเศร้าซึม แต่แววตาเคร่งเครียด เธอประกาศว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีรูปถ่ายเด็กคนนั้นอีกแล้ว

ผมทันเห็นลูกชายเผลอปล่อยแก้วหลุดมือ หล่นกระแทกพื้นแตกกระจาย

...ลูกหมุนตัวเดินหนีขึ้นห้องไปเลย

พาร์ซึมหนักถึงสามวันเต็มๆ กินข้าวน้อยลงมากจนน่าเป็นห่วง แต่การมีน้องสาวคอยอยู่ข้างๆ กลับช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจลูกชายให้ดีขึ้นได้ ผ่านพ้นอาทิตย์แรกไป พาร์ก็เริ่มทำใจได้ ผมพึ่งเข้าใจทีหลัง ลูกชายนึกว่าอีกฝ่ายจากโลกนี้ไปแล้ว เหมือนเพื่อนเขาที่พึ่งเกิดอุบัติเหตุจากไปกะทันหันเมื่อสองอาทิตย์ก่อน

มองโลกในแง่ร้ายมากลูกชาย

“ไม่แก้ความเข้าใจผิดให้ลูกจะดีเหรอคะ?”

“ไว้ก่อนดีกว่า สภาพจิตใจของเด็กอีกคนก็ยังไม่ดีขึ้นเลยนี่” ผมว่า หลังรู้เรื่องราวจากภรรยา “ให้เขาเข้าใจแบบนี้แหละ จะได้ไม่ซักถามมาก ต่อไปถ้าเด็กทั้งสองคนเกิดได้เป็นเพื่อนกันขึ้นมา จะได้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้”

ภรรยาพยักหน้าเข้าใจ แต่ใจผมแอบซ่อนเหตุผลอีกอย่าง

ลูกชายจะได้เลิกยึดติดกับคนในรูปถ่ายซะที

เพราะจนป่านนี้ ลูกยังเข้าใจผิด คิดว่าคนในรูปเป็นเด็กผู้หญิงอยู่เลยครับ ผมก็พยายามค่อยๆ บอก แต่ลูกไม่เคยฟังผมจนจบประโยคสักที

เฮ้อ…

-------------

<พาร์ 9 ขวบ>

วันมหัศจรรย์ ลูกชายผมหัดเข้าครัวทำขนม

ผมได้ชิมตอนกลับจากที่ทำงาน มีความสุขมาก ก่อนหัวใจที่พองโตจะโดนเจาะลมจนฟืบ

ลูกไม่ได้ทำให้ผมกิน แต่ทำทดลองให้ผมชิมก่อน

ภรรยาหัวเราะคิกคัก เล่าให้ฟังว่า สองวันก่อน พาร์ได้รับจดหมายจากน้าอร (รุ่นน้องภรรยา) ข้างในเป็นรูปถ่ายใบเดียว

ผมขอดูก็เห็นเด็กคนนั้นที่ดูต่างจากเดิมมาก ผมสั้นลง ร่างกายดูแข็งแรงขึ้น (ได้ยินว่าเรียนศิลปะป้องกันตัวอยู่) รอยยิ้มไม่สดใสร่าเริงเท่าเดิม แม้แต่แววตาก็เปลี่ยนไป เห็นแล้วก็แอบสะท้อนใจ เด็กตัวแค่นี้ต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายแบบนั้น

ภรรยาถ่ายทอดทุกประโยคไม่มีตกหล่น

“ลูกเอ่ยถามเป็นครั้งแรกว่า คนในภาพชื่ออะไรฮะ? ก็ตอบไปว่า ที จ๊ะ”

“…แม่ว่าเขาจะชอบของหวานไหม?”

“หมายถึงคนในภาพ? ลูกรีบพยักหน้าหงึกๆ”

“ไม่รู้สิ แม่ก็เห็นกินได้ทุกอย่าง อ้อ ถ้าเป็นอาหารทำเองกับมือ ทีจะชอบมากเป็นพิเศษ”

“ทำเอง…ลูกทวนคำพร้อมเหลือบมองห้องครัวที่ไม่มีคนในบ้านเหยียบย่างเข้าไป (ยกเว้นแม่บ้าน) เจนล่ะอยากกรี๊ด แถมวันนี้มีขนมออกมาให้ลองชิมด้วย”

ผมยกมือกุมขมับ ก่อนคบเป็นแฟน ผมเคยแอบเห็นภรรยาอ่านการ์ตูนอะไรน้า ชื่อเรียกติดอยู่ที่ริมฝีปาก ที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัว…อ้อ BL หรืออะไรนี่แหละ พอแต่งงานคงรู้ว่าผมไม่ค่อยอยากให้อ่าน เลยอ่านน้อยลงไปเยอะ พอมีลูกก็ดูยุ่งๆ จนไม่ได้แตะของพวกนั้นอีก (ตอนนี้เก็บลงลังอยู่ในห้องเก็บของหมดแล้ว)

นี่ลูกผมไปกระตุ้นปลุกต่อมที่ฝ่อไปนานแล้วของคนเป็นแม่เข้าหรือ?

“เอ่อ คุณ ผมยังอยากอุ้มหลานอยู่นะ”

“ก็รอเบอร์ดี้มีให้คุณสิค่ะ”

“…ผมยังอยากให้หลานเรียกว่าปู่”

“เรื่องนั้นง่ายมาก แค่สอนให้หลานเรียกปู่แทนตาก็ได้แล้วค่ะ”

ผมค่อยๆ เหลือบมองลูกชายที่กำลังป้อนขนมน้องสาวด้วยความสงสารอย่างสุดซึ้ง

พ่อช่วยลูกได้เท่านั้นแหละนะ เพราะดูเหมือนแม่ของลูก...ไฟติดแล้ว

-------------

<พาร์ 12 ขวบ>

ผมมองภรรยาเอาสายสิญจน์ผูกข้อมือขวาลูก

สามปีแล้ว ภรรยาผมก็ยังไม่ยอมแพ้

แต่ก็แปลกดีจริงๆ นั่นแหละ เด็กสองคนนี้เอาแต่คลาดกันไปคลาดกันมา ไม่ได้เจอกันสักที ผมกับอรรถพนันไปสามรอบ โดนฟาดเรียบทั้งคู่ ต้องยกเงินก้อนนั้นให้ภรรยาเอาไปถลุงเล่นด้วยเรื่องของสองคนนี้เนี่ยแหละ คราวนี้ถึงขั้นเอาไปใช้เป็นค่าเดินทางไปเกือบสุดเขตประเทศ เพื่อไปหาพระอาจารย์ที่ได้ชื่อว่าอาคมแรงกล้าที่สุด

“ใส่ติดตัวตลอด ห้ามถอดนะลูก”

มีย้ำอีก

“ของหนูล่ะ?” ลูกสาววัยหกขวบถาม

“เบอร์ยังไม่จำเป็นหรอกจ๊ะ เอาไว้จำเป็นเมื่อไหร่ แม่จะไปขอให้นะ”

“เชื่อได้จริงเหรอคุณ?” ผมถามด้วยความติดใจ

“แน่นอนค่ะ”

ท่าทางมั่นใจมาก

ผมมองลูกชายอย่างปลงตกอีกรอบ เห็นหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วสงสารเป็นบ้า เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิดไป สามปีที่ผ่านมาทำผมปลงตกได้เยอะแล้ว

-------------

<พาร์ 15 ปี>

ครอบครัวผมกับครอบครัวอรรถมาฉลองกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าอรรถเป็นเพื่อนเก่าผมเอง เป็นพ่อของเด็กในรูปถ่ายด้วย เราพึ่งกลับมาติดต่อกันอีกครั้งหลังเจอหน้ากันที่โรงเรียนอนุบาลลูกสาว และเพราะภรรยาติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ เราเลยกลับมาสนิทอีกรอบอย่างง่ายดาย
 
พวกเราฉลองทั้งเรื่องเรียนจบม.ต้นของสองลูกชาย และเลี้ยงส่งพาร์ที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศสามปี หรืออาจอยู่ต่อจนจบ ป.โท

ผมคิดว่าวันนี้เด็กทั้งสองต้องได้เจอหน้ากันแน่ๆ ลูกผมจะได้หายโง่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงสักที

แต่…

ตัวเอกอีกคนดันมาร่วมงานไม่ได้ เพราะพึ่งบินออกนอกประเทศเมื่อเช้ากับคุณปู่ของเขา เนื่องจากพี่ชายบุญธรรมของอรรถดันเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกอรรถจะตามไปด้วย แต่โดนห้ามไว้ เพราะยังต้องอยู่เป็นตัวแทนที่นี่

นึกแล้วก็อยากหัวเราะดังๆ ให้ฟันหัก เพราะเจ้าสายสิญจน์ไม่เห็นทำงานให้สมกับที่ดั้งด้นไปตั้งไกล

“ลูกชายน้าอรรถอยู่ห้องไหนเหรอครับ?”

นี่ไง! ป่านนี้เด็กสองคนนี้ยังไม่รู้จักกันเลย

แน่นอนว่าไม่มีใครตอบ สองแม่ทำหน้าเซ็งไปแล้ว ส่วนพ่ออย่างพวกผมลอบส่งยิ้มขบขันให้กัน แสร้งยกแก้วมาจิบ ให้ภรรยาเห็นว่ายิ้มไม่ได้หรอก เดี๋ยวเป็นเรื่อง

...พนันครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ก็โดนฟาดเรียบอีกแล้ว แต่คราวนี้ตังค์อยู่ครบแน่ เพราะพาร์จะไม่อยู่ให้พวกแม่ๆ จับคู่ให้แล้ว

โชคดีนะลูก พ่ออวยพรให้

-------------

<พาร์ 18 ปี>

ลูกชายผมกลับมาแล้วหล่อขึ้นเป็นกอง แถมยังนิ่งขึ้นด้วย

“ไปอยู่กับปู่มา เป็นไงบ้าง?”

ผมถามระหว่างขับรถพาลูกชายที่พึ่งลงเครื่องหมาดๆ กลับบ้าน

“ก็ดีครับ”

“แล้วจะกลับมาอยู่บ้านนานแค่ไหน?”

“หลายปีครับ”

“ฮะ?”

“ผมกะจะเข้ามหาลัยที่ไทย”

“อ้าว ไม่ชอบที่นู้นเหรอ?”

“ก็ชอบครับ แต่ผม…” จู่ๆ ลูกก็เงียบ แล้วเปลี่ยนคำถามซะเฉยๆ “พ่อรู้วิธีจีบผู้หญิงไหม”

โอ๊ะโอ๋…

“แล้วตอนอยู่นู้นไม่ได้ฝึกจีบ?”

“ผมจีบไม่ลง”

“ทำไมล่ะ? พวกเธอเปิดเผยดีออก”

“ผมชอบทางฝั่งเอเชียมากกว่า”

ผมอยากขำ ในที่สุดลูกผมก็โตเป็นผู้ชายเต็มตัวซะที

“แล้วไปปิ๊งสาวไหนเข้าล่ะ คนไทยเหมือนกันล่ะสิ ถึงได้รีบตามกลับประเทศแบบนี้”

“พ่อก็รู้จักนี่”

“พ่อเนี่ยนะ?” 

“ผมมีรูปนะ นี่ไง”

เหลือบไปเห็นปุบ ผมแทบจะกระทืบเบรก แต่ดีนะตั้งสติทัน เลยเลี้ยวรถไปจอดข้างทางแทน

“ลูกว่าไงนะ”

“นี่รูปเดิม พ่อเคยเห็นออกบ่อย บ้านเรามีรูปเขาตั้งหลายอัลบั้ม พ่อไม่น่าจะลืมง่ายๆ นะ”

ผมอ้าปากเหวอ ไม่นึกว่าลูกผมจะพกรูปถ่ายของเด็กคนนั้นติดตัวไปด้วย แถมยังเอาไปเคลือบอย่างดี พกใส่กระเป๋าสตางค์อีกต่างหาก

“ทะ…ทำไม”

แต่ลูกไม่ฟังผม ยังพล่ามต่อไปว่า “เพราะเธอ ตอนอยู่นู้น ผมถึงไม่ออกนอกลู่นอกทางมากเกินไป”

ฟังแล้วอยากจะเป็นลม

ทำไมล่ะลูก ผู้หญิงมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องเป็นคนนี้…

ผมคันปากยิบๆ อยากบอกความจริงใจจะขาด แต่ติดเคยสัญญากับภรรยาว่าจะให้ลูกรู้ด้วยตัวเอง (ก็หลังจากภรรยาคิดจับคู่ให้ลูกนั่นแหละ)

“พาร์”

“ครับ?”

“เตรียมเผื่อใจอกหักไว้ด้วยนะ”

“…ไม่ให้กำลังใจกันเลย”

พ่อก็อยากให้ แต่คนนี้…ยังไงลูกก็ต้องถอย ยกเว้นว่า ลูกจะยอมรับเพศแท้จริงของเขาได้น่ะ

ผมถอนหายใจ ออกรถอีกครั้ง พร้อมพูดเตือน

“อย่าเอาไปปรึกษาแม่ล่ะ”

พ่อขอร้อง อย่าหาเรื่องไปกระตุ้นแม่เลยนะลูก

-------------

<หลังพาร์เข้าเรียนมหาลัยสามเดือน>

หลังออกจากโรงพยาบาล แล้วได้มาฉลองที่บ้านไอ้อรรถ ผมค้นพบความจริงบางอย่าง

…สายเลือดนั่นเข้มข้นมาก ลูกสาวของผมถึงได้เหมือนภรรยาเปี๊ยบ แถมยังเป็นฝ่ายรื้อฟื้นเอาเรื่องจับคู่พี่ชายไปกระตุ้นบรรดาแม่ๆ ให้ร่วมขบวนการด้วยอีกต่างหาก

จากสองคนกลายเป็นสี่คน แถมลูกชายยังมีความรู้สึกดีๆ ให้อีกฝ่ายอีก ไม่ต้องเสี่ยงทาย ผมยังเดาผลลัพธ์ออกเลย ยกเว้นจะมีเรื่องพลิกล็อก ก็ว่ากันไปอีกที

เฮ้อ~อ

แต่…

“ไอ้อรรถมาพนันกับกูอีกรอบซะดีๆ”

คนโดนถามยิ้มกริ่ม แววตาพราวระยับสนุกสนาน “น่าสนุก เอาสิ”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 10-01-2017 22:37:54
 :m20: ฮาคุณพ่อค่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 10-01-2017 23:16:40
คู่นี้รุ่นพ่อแม่เค้าก็ชงให้ได้กันตั้งแต่เด็กๆเลยนะคะเนี่ย แต่ก็ดันนกคลาดกันทุกที ยังดีนะที่ตอนโตได้เจอกัน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 10-01-2017 23:25:33
คุณพ่อคะ คุณพ่อสู้พลังสาววายแบบคุณแม่ไม่ได้หรอกค่ะ อีกอย่างพาร์ตกหลุมรักทีเข้าไปเต็มๆแล้ว ห้ามยากค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-01-2017 00:11:16
พาร์ ที สุดยอดดดดด  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
พาร์เจอที ทางรูปถ่ายฝ่ายเดียว ตั้งแต่ 3 ขวบ
ผูกจิตผูกใจตั้งแต่นั้นมา
รักเดียวใจเดียวจริงๆ
พาร์ น่ารักมากกกกก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-01-2017 01:00:01
เคยเปงสายหวานมาก่อนนี่เอง55555

เปลี่ยนปุ้ปหล่อปั้ป
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-01-2017 08:56:13
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-01-2017 10:44:10
นี่ มีผู้ร่วมขบวนการหลายคนนี่นา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 11-01-2017 11:51:11
ฮาคุณแม่ ฝึกให้หลานเรียกปู่แทนตา

เลือด BL เข้มข้น พาร์ไม่มีปัญหาแน่นอน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-01-2017 18:30:26
ที่แท้รุ่นแม่ก็เป็นสาววายด้วยนี่เอง 555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 11-01-2017 18:39:27
ไม่ใช่แค่พรหมลิขิตล่ะคู่นี้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 12-01-2017 08:50:55
55555 ใครรุกใครรับสินะ ..... สลับกันไปสิ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 12-01-2017 10:24:56
พาร์น้อยน่าเอ็นดู


คุณพ่อช่วยพาออกมาจากทางสายนั้นแล้วนะ  แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะทำให้คู่กัน


อร๊าายยยยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 13-01-2017 23:33:19
ยังไงก้อได้สะใภ้เหมืนเดิมนะคุณพ่อ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Legpptk ที่ 14-01-2017 11:21:33
 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 14-01-2017 15:38:17
บทที่ 39

ผมพึ่งเสียเพื่อนคนหนึ่งไป เห็นว่าจะย้ายไปอยู่กับพี่ชายเหมือนที่ก่อนหน้านี้มันโดดสอบไปอยู่กับเขามา

พี่ชายที่ว่าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่เป็นพี่ชายข้างบ้านสนิทกันมาตั้งแต่เล็ก เห็นมันบอกว่าเวลามีเรื่องทุกข์ใจหรือต้องการที่พึ่ง มักไปหาพี่ชายประจำ ผมก็พึ่งจะรู้ว่ามันมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับคนที่บ้าน และน่าจะมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ และคงไม่มีโอกาสได้รู้

มันคิดจะเริ่มต้นใหม่ และการเริ่มต้นนั่นจะไม่มีพวกผมไปเกี่ยวข้องด้วย

ก็ได้แต่หวังว่ามันจะโชคดี ได้เจอเพื่อน พี่ แฟนที่ดีกว่าพวกผม

หลังออกจากร้านอาหาร พี่ภูไปส่งพวกผมตรงจุดนัดหมาย เทมจะเอาลูกรักมาคืน กว่าจะได้กลับบ้านทากะซังก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว หลังอาบน้ำคลายร้อนก็มานั่งดูหนังตรงพื้นที่นั่งเล่นชั้นสอง หนังสนุก แต่ผมไม่ค่อยมีสมาธิ ในหัวคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่หยุด หันไปมองคนข้างๆ อีกทีก็พบว่าหลับไปแล้ว

…หลับสนิทชนิดเอาขวดน้ำเย็นจัดแตะแขนก็ยังไม่รู้สึกตัว

ผมเทน้ำลงแก้วยกดื่ม พลางมองคนหลับด้วยอารมณ์หลากหลาย ถ้าถามว่าจำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม ผมสามารถตอบเต็มปากเต็มคำเลยว่าไม่…ดีกว่าจำได้แล้วมองหน้ากันไม่ติด ผมคิดแบบนั้นเลยไม่พยายามนึกให้ออก

อีกเรื่องที่ทำผมคิดมากคือช่วงที่ตัวเองจำไม่ได้ แต่คนอื่นบอกว่ากลายเป็นเด็ก สายตามองมือถือบนโต๊ะ เบอร์จิตแพทย์ส่วนตัวอยู่ในนั่น ลังเลมาเกือบทั้งวันก็ยังไม่โทรไปหา กลัวว่าโทรไปแล้วจะกลายเป็นถูกจำกัดอิสรภาพ บอกตามตรงผมเบื่อโรงพยาบาลจะแย่ โดยเฉพาะโรงพยาบาลของลุงหมอ ผมเข้าออกที่นั่นบ่อยพอๆ กับโรงเรียน

ช่วงห้าโมงกว่ามีเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ผมชะเง้อคอมอง เห็นรถก็แน่ใจว่าพวกลุงกลับมาแล้ว

รีบวิ่งเข้าห้องน้ำชั้นล่าง สำรวจตัวเองเร็วๆ โชคดีชะมัดที่พาร์ไม่ทำรอยแถวคอ ก่อนวิ่งไปดักรอหน้าประตูบ้าน ฉีกยิ้มเป็นธรรมชาติที่สุดนำทัพ แกล้งทำเป็นไม่เห็นคิ้วเลิกสูงของคนทั้งคู่ แบมือทั้งสองตรงหน้าผู้ปกครอง

“ของฝากทีล่ะ”

“ทากะดูเจ้าที เจอหน้าปุ๊บทวงของฝากปั๊บ”

โดนเหน็บแหนมก็ดีกว่าโดนจับผิดได้ ผมแสร้งหัวเราะไปกับคนทั้งคู่ทั้งที่แผ่นหลังเริ่มชื้นเหงื่อ

“เดี๋ยวทีช่วยขนของ” ขันอาสาเรียบร้อยก็รีบปรี่ไปยกของท้ายรถลงมา

เฮ้อ…เครียดชะมัด 

“แล้วไอ้หนูนั่นล่ะ กลับไปแล้ว?”

ผมสะดุ้งเล็กๆ หันไปมองลุงที่มาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้…เห็นผมถอนหายใจหรือเปล่าหว่า

“เอ่อ หลับอยู่ตรงพรมชั้นสองครับ”

“หนอยมาอาศัยบ้านคนอื่น แต่กลับหลับสบาย ไปตามลงมาช่วยเจ้าของบ้านยกของเลย”

ผมน้ำท่วมปาก จะบอกว่ามันเหนื่อยเพราะผมก็ไม่ได้

“ปะ ปล่อยให้นอนไปเถอะน่า เรื่องแค่นี้ ทีคนเดียวเหลือเฟือ”

ยกแขนให้ลุงเห็นว่าผมแข็งแรงจะตาย

“ทำตัวแปลกๆ นะเจ้าที”

“แปลกตรงไหน” ย้อนถาม สบตาสู้ด้วยสุดฤทธิ์

“…ไปช่วยทากะตรงนู้นไป ทางนี้ลุงจัดการเอง”

ผมรีบพยักหน้า หมุนตัวกำลังจะเดินไปช่วยทากะซังอุ้มของออกจากเบาะหลังก็ต้องสะดุ้ง เพราะโดนลุงนิกตีก้น

“ทำอะไรของลุงเนี่ย?” ผมหันไปโวยใส่ เจอสายตาโคตรจับผิดเขม็งมาชวนหนาวๆ ร้อนๆ “มะ มองทีอย่างนั้นทำไม”

“จะไปหาทากะก็ไปสิ”

ผมรีบผละไปอยู่กับทากะซัง ไม่นึกฝันว่าจะโดนทดสอบด้วยการโดนตีก้น เข้าประชิดตัวคนตัวเล็กกว่าก็รีบกระซิบบอก

“ลุงนิกทำตัวแปลกๆ”

คนฟังหัวเราะใหญ่ “ก็แค่หาเรื่องจับผิดมาไล่แมลงที่เกาะแกะลูกเท่านั้นแหละ อย่าสนใจเลย ทาจังได้ยินว่าทีไปก่อเรื่องมาอีกแล้ว”

สะดุ้งโหยงเลยครับ

“ไม่มีสักหน่อย”

“ไม่มีน้อยน่ะสิ”

“ทาจังก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าทีจะเจอเรื่องอะไรก็ไม่บอกกันสักคำ! ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เลย เพื่อนลุงนิกใช้เพื่อนทีเป็นนกต่อใช่ไหมล่ะ?”

ผมมองแผ่นหลังคนอุ้มของเดินหนีก็ได้แต่แยกเขี้ยว รู้ก่อนล่วงหน้า แต่ดันมาบอกว่ารู้จากหมอดู!

กะแล้วว่าหมอดูที่ว่าต้องชื่อโฮทากะ

“ทาจัง” ผมหิ้วของเร่งฝีเท้าตามหลัง “ทีจะไปเที่ยวปิดเทอมกับเพื่อนนะ”

ผู้ปกครองหันมองหน้า “คราวนี้ไปไหนกันล่ะ”

“เที่ยวเกาะ”

“เกาะส่วนตัว?”

ผมพยักหน้า รีบพูดเสริม “พ่อเพื่อนส่งคนลงพื้นที่สำรวจกับรักษาความปลอดภัยแล้ว หายห่วงแน่นอน”

ใจลุ้นให้ทากะซังอนุญาต ถ้าคนนี้ให้ไป ผู้ปกครองอีกคนก็แย้งไม่ได้หรอก

“ก็ได้”

“เย้! รักทาจังที่สุด”

“ถ้าที่เกาะมีสัญญาณ ต้องส่งเมลมารายงานตัวทุกวันด้วย เข้าใจไหม?”

“ครับ”

“แต่ถ้าไม่ก็บอกช่องทางติดต่อให้ทาจังรู้ด้วยล่ะ”

ผมรีบพยักหน้า “เดี๋ยวทีให้เบอร์คนดูแลเกาะกับทาจังเลย”

“และคงไม่ลืมธรรมเนียมวันนี้ใช่ไหม”

ผมชะงักกึก เหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามตัว “เอ่อ ทีรู้สึกไม่ค่อยสบายคงแช่น้ำด้วยไม่ได้”

“ไหน ให้ทาจังวัดไข้หน่อย…ปกติดีนี่”

อาการเหงื่อแตกพลั่กๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

“ส สงสัยดีขึ้นแล้วมั้ง”

ผมเครียด แต่แสดงออกไม่ได้ พูดแก้ตัวมากกว่านี้ก็ไม่ได้ ทำได้แค่สงบปากสงบคำ หิ้วของตามทากะซังเข้าบ้าน ทำหน้าที่เรียบร้อยก็รีบเผ่นขึ้นชั้นบน คว้ามือถือกดค้นหา

‘วิธีทำให้รอยบนตัวหายโดยเร็ว’

รอยเพียบ รอยสิว รอยสัก รอยแผลเป็น ไม่ได้ต้องการเฟ้ย! อ๊ะ เจอแล้ว ผมกดเข้าไปอ่าน มีทั้งประคบน้ำร้อน น้ำเย็น เหรียญขูด ทารองพื้น ปิดพลาสเตอร์ยา แผ่นประคบก็มี…ผมกดปิดทันที ระบายลมหายใจ ทิ้งตัวนอนหงาย ยกแขนก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม

ดูแต่ละวิธีคงไม่มีทางหายภายในสองชั่วโมง เหลือบมองคนกำลังหลับสบาย นึกอยากจะงับหัวมันสักที แต่เห็นแก่ความดีที่ไม่ทำผมเจ็บก้นเลยจำยอมยกประโยชน์ให้จำเลย แล้วมาเครียดเองตามลำพัง

ตาย…ผมตายแน่ๆ

…เดี๋ยวก่อน ถ้าลากพาร์ไปแช่น้ำด้วยล่ะ?

ผมชักมองเห็นแสงสว่าง จ้องคนหลับสนิทอย่างหมายมาด ยังไงวันนี้มันต้องลงแช่น้ำกับครอบครัวผม!

-------------

“ครับ? แช่น้ำ?”

“ใช่แล้ว” ทากะซังส่งยิ้มให้คนถาม ผู้กำลังตกเป็นเป้าสายตาคนทั้งโต๊ะด้วยอารมณ์ต่างกันไป

ลุงนิกจ้องเขม็งให้พาร์ปฏิเสธคำชวน ส่วนผมจ้องกดดันให้มันตอบตกลง มีแค่ทากะซังคนเดียวที่ยิ้มให้อย่างปรานี

“มันเป็นธรรมเนียมของครอบครัวเรา คืนสุดท้ายก่อนแยกย้าย เราต้องแช่น้ำด้วยกัน”

“เอ่อ…” พาร์กวาดมองคนทั้งโต๊ะ ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “ให้ผมไปแช่น้ำด้วยจะดีเหรอครับ?”

“แล้วพาร์อยากเป็นคนในครอบครัวนี้ไหมล่ะ”

“ทากะ!”

ผมหลบสายตาพาร์ จิ้มกับข้าวใส่ปากเคี้ยวเงียบๆ มึงตอบตกลงไปเถอะ ไม่งั้นเรื่องรอยบนตัวกู ความแตกแน่ๆ 

“ว่าไงจะแช่ไหม?”

“…แช่ครับ”

สิ้นคำตอบ มันก็โดนลุงนิกจ้องพิฆาตใส่ จ้องไปเถอะ ยังไงผมก็รอดตายแล้ว ฟู่…

เมื่อมีพาร์ร่วมแช่ด้วย ลุงนิกก็เรื่องเยอะตามคาด ตั้งแต่สร้างเงื่อนไขห้ามให้ผมกับทากะซังเปลือยกายลงน้ำ ไล่พวกผมเข้ามาก่อน ดึงพาร์ไปคุยอะไรก็ไม่รู้นานจนน้ำเต็มบ่อถึงพึ่งเข้ามา

“ทากะ! นั่นชุดบ้าอะไร!!”

กะแล้วว่าลุงนิกต้องโวยวาย

“ก็ชุดซับในไง”

ชุดที่อยู่บนตัวผมกับทากะซังคล้ายยูกาตะสั้น ความยาวประมาณเข่า ตรงสาบเสื้อมีเชือกไว้ผูกกับเชือกอีกเส้นตรงข้างเอวกันหลุด ดูสะดวกที่สุดแล้ว (เพราะชุดอื่นไม่มีเชือกผูกแบบนี้ต้องใช้สายคาดเอวรัดเอา) ที่สำคัญปกปิดรอยแดงของผมได้หมดจด

ขอบคุณที่มันมีสติมากพอทำรอยทิ้งไว้เฉพาะใต้ร่มผ้าจริงๆ

“ทำไมต้องเลือกสีขาวเล่า!”

“อย่าเรื่องมากนิก แค่นี้ก็ยอมพอแล้ว”

ทากะซังหย่อนตัวลงบ่อ ท่าทางหงุดหงิดเล็กๆ ผมรีบลงน้ำตาม ช่วงแรกร้อนเหมือนโดนต้ม พอร่างกายปรับตัวสักพักก็รู้สึกร้อนน้อยลง ค่อยๆ ผ่อนคลายมากขึ้น

“ผมยาวขึ้นนะเนี่ย ไว้ผมยาวกว่านี้ก็ดีนะ น่าจะเหมาะกับที”

“แต่มันเกะกะ”

“ไม่ต้องยาวมากหรอก ประมาณนี้น่าจะโอเค”

ผมมองตามมือที่จิ้มหน้าอกก็เบ้ปาก “เกือบกลางหลังแหนะ ไม่เอาอ่ะยาวเกิน”

“งั้นสั้นอีกประมาณนี้เป็นไง” ทากะซังชวนผมคุยไปเรื่อย ไม่คิดสนใจคนพึ่งล้างตัวเอาขาหย่อนลงน้ำเพื่อปรับตัวก่อนเลยสักนิด

“ไม่ต้องไว้ยาวหรอก ทีเหมาะกับผมสั้นมากกว่า”

ผมมองลุงนิกสลับกับทากะซัง…คิดไปเองหรือเปล่าเหมือนผู้ปกครองทั้งสองกำลังหงุดหงิดใส่กัน

ลุงนิกพันแค่ผ้าเช็ดตัวลงบ่อ (ทั้งที่ทากะซังก็เตรียมชุดซับในวางไว้ให้แล้วแท้ๆ) ชักเริ่มเข้าใจนิดๆ ว่าทำไมทากะซังถึงหงุดหงิด เพราะคนที่บอกให้คนอื่นแต่งตัวมิดชิด กลับนุ่งแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว ผมเหลือบมองพาร์บ้าง รายนั้นใส่ชุดซับในอาบน้ำเลยครับ แล้วก็เดินตัวเปียกโชกมาหย่อนขาแช่น้ำร้อน ท่าทางเกร็งๆ

“พาร์ มานั่งกับทาจังตรงนี้”

“ไม่ต้อง ที่ฝั่งนี้เยอะแยะ จะไปเบียดฝั่งนั้นทำไม”

ผมนิ่วหน้า รู้สึกถึงบรรยากาศมาคุแปลกๆ ค่อยๆ ตัวเขยิบออกห่างทากะซังช้าๆ มองผู้ปกครองตัวเองตอบโต้กันเป็นภาษาญี่ปุ่น

…กลัวมีมวยกลางบ่อน้ำชะมัด

เหมือนยกแรกทากะซังเถียงแพ้ ผมเห็นมุดหัวลงใต้น้ำข่มอารมณ์ สักพักถึงโผล่ขึ้นมา เสียงน้ำกระจายดังพอสมควรเรียกสายตาให้มองไป ทากะซังลุกขึ้นยืน มือเสยผมไปด้านหลัง เนื้อผ้าสีขาวที่ดูโปร่งบางกว่าปกติแนบกลืนไปกับกล้ามเนื้อ เป็นภาพที่ทำผมอ้าปากค้าง แก้มร้อนผ่าวๆ

ทากะซังเซ็กซี่ขึ้นผิดหูผิดตา…ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรพิลึกซักหน่อย

“ทากะ!” น้ำเสียงลุงเข้มจัด

“อะไร?”

“จะแช่ก็นั่งลงไป! ถ้าจะขึ้นก็รีบขึ้นมา!”

“แช่ไม่ถึงสิบนาที ใครจะขึ้นกัน!”

ผมมองผู้ปกครองเถียงภาษาไทยตาปริบๆ เริ่มมีสาดน้ำใส่กันเป็นเด็กๆ ปล่อยเด็กตัวจริงอย่างพวกผมรับลูกหลงเปียกทั้งหัว

“จะเอาเรอะ!” ทากะซังดึงขาลุงนิกลงน้ำ

ผมรีบขยับตัวหลบลูกหลง เดินไม่กี่ก้าวดันถูกอะไรสักอย่างใต้น้ำขัดขา เซถลาหน้าคะมำ น้ำหนักของผมคงทำให้เกิดน้ำกระเซ็นใส่คนนั่งอยู่ใกล้ๆ

“แค่กๆ”

ต่างคนต่างสำลักไอ ยังไม่ทันมองกันก็ต้องรีบลุกหนีลูกหลงต่อ จิ้งจอกเล็กใหญ่เริ่มเล่นมวยปล้ำกลางน้ำไม่สนใจเด็กตาดำๆ ที่เขยิบหนีสังเวียนไปหลบแถวขอบบ่อ แววตาพาร์มีแต่ความตื่นตระหนก ส่วนผมเหรอ…ชิน จึงตบไหล่ปลอบคนข้างๆ

“อย่างนี้แหละ เรื่องปกติ”

“ปกติ?” พาร์ทวนคำอึ้งๆ “จะชกกันแล้วนะนั่น”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ให้คำแนะนำสั้นๆ “ขึ้นกันดีกว่า”

พาร์รีบผงกหัวเห็นด้วย แต่สองคู่มวยไม่รอให้เราขึ้นจากน้ำ ผิวน้ำไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ น้ำแตกกระเซ็นกระจายไปทั่ว ผมรีบคว้าแขนพาร์ดึงหลบไปอีกทาง สายตาคอยจับจ้องแล้วหลบไปเรื่อย ต้องพยายามอยู่หลังทากะซังเข้าไว้ เนื่องจากลุงนิกชอบกันกับถอยหลัง จากที่แขนปะทะแขน เริ่มมีขาปะทะขา ยิ่งนานยิ่งหลบยากขึ้นทุกที

“หวา!”

เท้าผมลื่นพรืดไปข้างหน้าพุ่งใส่แผ่นหลังทากะซังพอดิบพอดี ด้วยสัญชาตญาณมือคว้าหาที่ยึดเหนี่ยว แต่ดันคว้าทันแค่เสื้อ เพราะตัวทากะซังพุ่งไปข้างหน้าเตรียมเตะลุงนิก

“เฮ้ย!”

ตูม! ซ่า!

ผมรีบยันตัวขึ้นนั่ง ลูบหน้าเอาน้ำออก ลืมตาขึ้นมาก็เห็นลุงนิกรวบทากะซังที่เปลือยเปล่าอุ้มขึ้นจากน้ำ ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องอาบน้ำเลื่อนเข้าออก

ตายล่ะหว่า จะโดนโกรธไหมนั่น…

“…น่าจะทำตั้งนานแล้ว”

ผมรีบแย้งพาร์ “กูไม่ได้ตั้งใจ”

พาร์ชี้นิ้วตรงมา “มือยังกำนั่นไม่ยอมปล่อย”

ผมรีบก้มมองหลักฐานในมือ รีบดึงชุดของทากะซังขึ้นมาบิดน้ำออก โยนไปพาดขอบบ่อ แล้วหันมาถามอีกคน “เอาไง?”

“หมายถึงอะไร”

“จะแช่น้ำต่อไหม?”

พาร์ส่ายหน้า “ขึ้นดีกว่า”

มันเดินมาหา ยื่นมือให้จับ ผมส่งมือให้ก็ช่วยดึงขึ้น เพียงแค่ลงน้ำหนักเท้าข้างขวาความเจ็บแปล๊บก็แล่นเข้าสู่โสตประสาท กะทันหันจนผมเซถลาอีกรอบ ดีที่พาร์คว้าตัวผมทัน แต่เพราะสาเหตุอะไรไม่รู้ มันดันหงายหลังพาผมล้มตาม อาการเจ็บตรงเท้าชัดเจนมากกว่าเดิม

“ทำอะไรของมึง”

“ก็อยู่ๆ มึงเซมา…”

ขณะกำลังสนใจข้อเท้า ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับความเงียบที่เกิดขึ้น เลยเงยหน้ามองอย่างสงสัย คล้ายกับห้วงเวลาหยุดชะงัก ต่างคนต่างมองหน้าห่างเพียงแค่คืบของกันละคนอย่างนิ่งงัน

“…ที”

ผมสะดุ้งยามมืออีกคนสัมผัสแนบแก้ม

“กูว่า…กูทนไม่ไหวแล้ว ขอ…”

“เด็กๆ ขึ้นจากน้ำได้แล้ว…ทำอะไรกัน!”

ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ลุงนิกที่ยืนกอดอกทำหน้าโหดตรงประตูห้องอาบน้ำ

“เพราะพวกลุงเล่นอะไรกันไม่รู้ ทีเจ็บเท้าเลย”

คิ้วของลุงขยับเข้าหากัน สองเท้าก้าวเข้าใกล้ ชี้นิ้วที่ขอบบ่อน้ำ

“พามานั่งตรงนี้ ให้ลุงดูที่เจ็บหน่อย”

พาร์ช่วยพยุงผมขึ้นจากน้ำ เห็นแค่เสี้ยวหน้าพาร์ก็พอดูออกว่ากำลังหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะ แต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจเล็กๆ หลังทรุดตัวนั่งขอบบ่ออย่างระวังก็บอกอาการ

“ทีเจ็บข้อเท้าขวา อึก…”

แค่แตะถูกก็เจ็บสุดๆ

“น่าจะข้อเท้าแพลง…จะขึ้นบันไดไหวไหม”

“ทีขึ้นได้”

“แต่ลุงจะให้เรานอนห้องรับแขก”

“ไม่เอา ทีจะไปนอนห้องตัวเอง”

หน้าผากผมโดนมือลุงสับเข้าให้ “เจ้าเด็กดื้อ”

ลูบหน้าผากเบาๆ ให้คลายเจ็บ ไร้คำโต้แย้ง เลยถูกลุงนิกถอนหายใจใส่

“งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรออยู่ข้างบน เดี๋ยวลุงเอากล่องปฐมพยาบาลขึ้นไปให้”

ผมรีบพยักหน้า ให้พาร์ช่วยพยุงพาไปเปลี่ยนชุดยูกาตะ แต่กลับโดนลุงนิกช่วยพยุงแทน

“เดี๋ยวลุงช่วยเอง”

ผมรีบส่ายหัว ใจแอบกลัว “ลุงไปดูทาจังเถอะ ผมไม่เป็นไรหรอก เปลี่ยนเสื้อคนเดียวได้”

หลังยืนยันอยู่สามรอบ ลุงนิกถึงยอมปล่อยให้พาร์ช่วยพยุง

“งั้นไอ้หนู พยุงทีไปห้องน้ำ แล้วส่งยูคาตะให้ทีเปลี่ยน แล้วค่อยพาไปชั้นสามก็แล้วกัน”

“ครับ” 

“ห้ามตุกติกนะไอ้หนู”

“ครับ”

ผมปวดหัวกับลุงมาก

“รีบๆ ไปหาทาจังเถอะน่า เคลียร์กันให้เรียบร้อยด้วยนะ”

คล้อยหลังลุงออกไป ผมก็ถอนหายใจ 

“…มึงไม่ไหวก็น่าจะนอนชั้นล่าง”

“ไม่ได้หรอก” ผมลดเสียงลงเหลือแค่กระซิบ “เสี่ยงให้ลุงเห็นรอยบนตัวกูไม่ได้หรอก ไม่งั้นโดนหิ้วไปอยู่ด้วยตลอดปิดเทอมแน่”

“…แล้วพรุ่งนี้จะลงมายังไง”

“เกาะมึงลงมาไง และกูยังไปเที่ยวไหว!”

หลังยืนยันเจตนารมณ์ พาร์ก็ถอนหายใจใส่ผม

-------------

YamYam: มึงจะไหวจริงเหรอ?
TEE: ไหว!
YamYam: เที่ยวฉบับเราไม่ใช่ชิวๆ นะโว้ย’
TEE: กูรู้

YamYam: มึงไม่รู้ เมื่อกี้พวกเราพึ่งให้ว่าที่เจ้าของเกาะจับฉลาก มันจับได้อะไรรู้ป่าว
TEE: อะไรล่ะ?
YamYam: เอาตัวรอด’
TEE: จริงดิ!
YamYam: จริง งานนี้มันแน่ เพราะดันถูกจริตเจ้าภาพคิดเกม จนกูกำลังคิดว่ามันโกงฉลากอยู่เนี่ย

“นอนได้แล้ว”

ผมละสายตาจากคุยโต้ตอบกับยำทางไลน์มามองคนพูดเตือน พาร์ช่วยปิดไฟดวงใหญ่เหลือแค่แสงไฟสีอ่อนของโคมไฟตั้งพื้นตรงมุมห้อง ผมพลิกตัวนอนหงาย ได้หมอนอิงมารองขาข้างที่เจ็บ

“พรุ่งนี้เพื่อนนัดกี่โมง”

“...ไม่มีระบุเวลาแน่ชัด บอกแค่ใครมาถึงเร็วก็ยิ่งมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น”

“แล้วผู้ปกครองมึงล่ะกลับเมื่อไหร่”

“ขึ้นเครื่องประมาณสิบเอ็ดโมง แปดโมงพวกลุงก็ต้องไปสนามบินแล้วล่ะ กูเลยว่าจะออกเวลานั้นเหมือนกัน”

“โปรแกรมเที่ยวล่ะมีอะไรบ้าง?”

“อยู่แต่บนเกาะ เราจะเล่นเกมกันที่นั่น หัวข้อคราวนี้คือการเอาตัวรอด ถ้าให้เดาจากคนคิดเกมก็น่าจะเป็นแนวๆ สถานการณ์ติดเกาะร้างมั้ง”

“…มึงไหวแน่นะ”

ผมนิ่วหน้า “บอกว่าไหวก็ไหวสิ!”

-------------

สถานที่รวมตัวก่อนไปเกาะคือโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ชายหาด กว่าขับรถไปถึงก็เลยเที่ยงมาเล็กน้อย พวกผมเลยจอดหาอะไรกินแถวริมหาดระหว่างทางก่อน กว่าเข้าไปที่ตัวโรงแรมก็บ่ายโมงนิดๆ แล้ว

ไม่ต้องโทรหาลูกชายเจ้าของโรงแรมให้ยุ่งยาก แค่เดินไปที่แผนกต้อนรับด้านหน้า บอกชื่อตัวเองก็ได้กุญแจห้องมาเลย ที่เพิ่มเติมคือซองจดหมายที่ทำออกมาซะเหมือนบัตรเชิญพิเศษ

ผมส่งยิ้มให้พนักงานที่ดูนอบน้อมกับเด็กอย่างผมเป็นพิเศษ และผละจากมา ในใจแอบด่าเพื่อนที่ทำให้ผมเป็นเหมือนแขกวีไอพีของโรงแรม ยังไม่ต้องไปถึงห้องพักผมก็เดาได้เลยว่าห้องต้องหรู

...เดี๋ยว หรือว่าที่นี่ก็มี?

ผมรีบพลิกกุญแจห้อง อักษรสองบรรทัดเด่นหรา

Pleiades's Meeting Room
25C - 02

...ว่าแล้ว   

ผมกลับไปหาพาร์ บอกเสียงเนืองๆ “ไปชั้น 25C กันเถอะ”

พวกผมกลับมาขึ้นรถขับไปตามป้ายบอกทางจนถึงอาคารC หาที่จอดเรียบร้อยก็ช่วยกันหิ้วออกจากรถตรงเข้าอาคาร เข้าลิฟต์มาได้ผมกดชั้น24 พาร์หันมามองผมทันที แต่ไม่ได้พูดอะไร ถึงชั้นที่ต้องการขอทางออกมากัน ตัวลิฟต์ยังคงขึ้นไปต่อ

“ลงชั้นนี้ทำไม?”

“ก็ทางเข้ามันอยู่ชั้นนี้” ผมกวาดตามองหาป้ายเจอแล้วก็ชี้บอกทางให้พาร์รู้ จนเดินไปเจอประตูไม้ติดป้ายสีทองเขียนบอกชัดเจนว่าเป็นห้อง Meeting Room

“...ห้องประชุม?”

ผมกรอกตาไปมา เสียบการ์ดที่ช่องประตู รอจนไฟเปลี่ยนสีก็ผลักประตูเข้าไป มองตรงไปเหมือนเป็นทางตันแต่ตรงกำแพงมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวซ้าย

“มึงคิดว่าถ้าเลี้ยวไปจะเจออะไร?”

พาร์ขมวดคิ้ว “ทางเดินไม่ใช่หรือไง”

“งั้นไปดูกัน”

พวกผมเดินตามพื้นพรมจนสุดทางเพื่อเจอบันไดทอดยาวสู่ชั้นบน พาร์เบิกตากว้างเมื่อเงยหน้าไปเจอหลังคากระจกมองทะลุเห็นท้องฟ้าสีคราม แต่ด้านนอกมองทะลุเข้ามาไม่ได้หรอก

ผมตบหลังพาร์ “อย่าพึ่งตกใจ ข้างบนมีอะไรให้มึงแปลกใจอีกเยอะ”

พื้นพรมหยุดลงแค่ทางพักเท้า หลังจากนั้นเป็นพื้นหินขัดที่เหยียบแล้วไม่ลื่นแทน ขึ้นไปเจอสระว่ายน้ำก่อนเลย มองเลยไปจะเห็นบ้านสี่หลังติดกัน

ผมดึงพาร์ที่เหมือนจะตกใจมากเกินไปจนยืนอึ้งกับที่เดินไปบ้านหลังที่มีป้ายห้อยหมายเลข 02 ขึ้นบันไดไปสองขั้นเล็กๆ ก็เจอพื้นที่สำหรับถอดรองเท้า ผมส่งการ์ดในมือให้พาร์ พยักเพยิบไปทางประตูสีขาวตรงหน้า

“...อยากเปิดเองไหม?”

มันส่ายหัวกลับมาทันที

ผมยิ้มขำเปิดประตูออกให้เอง แล้วหัวเราะขำพาร์ที่กวาดมองข้างในรอบหนึ่ง แล้วถอยออกมาดูด้านนอก ก่อนทำหน้าเหมือนโดนหลอก

“กูก็นึกว่าเป็นบ้านสองชั้นจริงๆ”

ผมหัวเราะร่วน “ก็แค่ทำให้ด้านหน้าเหมือนเฉยๆ แต่ความจริงก็เป็นแค่ห้องพักห้องหนึ่งในโรงแรมนั้นแหละ เพียงแต่ทางเข้ามันอยู่ตรงนี้ ด้านที่ควรเป็นประตูเลยกลายเป็นกำแพงแทน กุญแจถึงได้บอกว่าอยู่ชั้น 25”

 “ไง”

เพื่อนบ้านข้างๆ โผล่หัวมาทักทายยิ้มๆ ผมทักไวไวกลับ

“ไง มึงอยู่บ้านเลขสาม” 

มันส่ายหัว “ยำจะพาพี่ภูมาด้วย มึงก็เหมือนกันนี่ กูกับเทมเลยต้องย้ายไปอยู่บ้านวินชั่วคราว ส่วนเจ้าของบ้านตัวจริงไปเกาะตั้งแต่เช้า...มึงอ่านจดหมายยัง?”

“ยัง มันลงทุนดีทำซะเหมือนการ์ดเชิญงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง”

ไวยักไหล่ “ต้องเอาไปฝากแผนกต้อนรับนี่หว่า ถ้าเอาซองจดหมายธรรมดาไปฝากคงโดนสงสัยแย่ ยังไงที่นี่ก็มิตติ้งรูม แล้วมึงบอกต้อนรับคนข้างๆ ยัง?”

“ยัง”

“อ้อเรอะ งั้นกูพูดให้เองแล้วกัน” ไวไวหันมายิ้มให้พาร์ “ยินดีต้อนรับสู่ ห้องรวมพลของดาวลูกไก่ ถ้าโรงแรมไหนเป็นของไอ้วินในอนาคต จะมีห้องรวมพลแบบนี้ทุกที่เลยล่ะ”

“มึงก็พูดเกินจริง” ผมแย้ง “วินก็เลือกสร้างเถอะ”

 ไวยักไหล่ “จะกี่แห่งก็ช่างเถอะ กูชอบที่นี่เป็นส่วนตัวเฉพาะพวกเราดี อ้อ ไม่ต้องไปออกประตูชั้นล่างนะโว้ย เดี๋ยวออกผ่านประตูจากห้องวินเอาก็ได้”

มันแน่อยู่แล้ว แต่ขาเข้า ถ้าไม่มีกุญแจห้องนั้นก็เข้าไม่ได้ ผมเลยต้องเข้าประตูจากชั้นล่างเอา

“อย่าลืมอ่านจดหมายด้วยล่ะ ทีมพวกมึงเริ่มต้นช้ากว่าพวกกูแล้ว”

ผมชะงัก รีบขนของเข้าไปในห้องพัก แล้วแกะจดหมายออกดูทันที กวาดมองอ่านเร็วๆ จนจบก็ด่าไอ้คนคิดเกมทันที

“มึงโหดไปแล้วโว้ย!!”

พาร์ฉวยจดหมายไปจากมือผม อ่านสักพักก็มองผมขำๆ

“ท่าทางน่าสนุกดี”

แต่ผมขำไม่ออก ได้แต่หยิบมือถือโทรหายำ รอจนมีคนรับก็ถามไปอย่างรวดเร็ว

“มึงอยู่ไหน?”

[โรงแรม นี่พึ่งได้กุญแจกับจดหมายมา]

“ดี รีบขึ้นมาเลย มึงกับพี่ภูอยู่ทีมเดียวกับกู เราต้องเริ่มประชุมกันเดี๋ยวนี้ เพราะสามโมงสี่สิบห้าจะมีคนมารับเราไปท่าเรือแล้ว”

[เออๆ รอแปบเดียว]

---- มีต่อ ----

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 14-01-2017 15:39:49
บทที่ 39 (ต่อ)

“อะไรนะ! ให้ขนอะไรไปก็ได้แต่ต้องอยู่ในงบจำกัด!”

“ยกเว้นรายการของที่ระบุไว้ว่าห้ามเอาไป” ผมชี้ให้ยำเห็นตรงท้ายจดหมาย มีตัวอักษรสีแดงหมายเหตุไว้ ระบุบอกหมดว่ามีของอะไรบ้าง และของพวกนี้สามารถไปตามหาได้จากบนเกาะ

“เป็นงบรวมของทีม?”

ผมพยักหน้า บอกยำเสียงเครียด “คิดหมดตั้งแต่ค่าเต็นท์ยังรองเท้า กางเกงในยังคิดเลย!”

“ใครจะไปจำราคาได้!”

ผมคว้ากระดาษเอสี่เย็บติดกันสามแผ่นวางตรงกลางวง พยักเพยิบให้ยำมอง

“ไอ้วินเลยทำตารางราคาคร่าวๆ มาให้นี่ไง ตอนไปซื้อเต็นท์กับพวกอุปกรณ์ต่างๆ เราทั้งกลุ่มไปซื้อมาด้วยกัน ราคาเลยประมาณนี้แหละ ส่วนพวกเสื้อผ้ากับของใช้อื่นๆ คิดราคาเดียวกันหมด ยกเว้นจะมีใบเสร็จ หรือหลักฐานอะไรไปแย้งว่าราคาถูกกว่า แต่ใครมันจะไปมี!”

“เฮ้ย! มีราคากางเกงในด้วย!”

“แบบยกแพ็คถูกกว่าด้วย เอาไปยกแพ็คคุ้มกว่า!”

ยำเงยหน้ามองผมทันที เลยเลิกคิ้วถาม

“กูพูดผิด?”

“เปล่า...แต่ฟังแล้วทะแม่งๆ เหมือนเราจะไปซื้อของลดราคากันเลยวะ”

แว่วเสียงหัวเราะจากคนใกล้ๆ พวกผมหันไปมองเหล่าคนนั่งเงียบมานาน

“มึงมาช่วยคิดเลย! พี่ด้วย! และต้องมีงบเหลือด้วยนะ ผมอยากซื้อตุนพวกอาหารแห้งกับน้ำเผื่อไว้ เพราะขืนไปหาเอาดาบหน้าแล้วไม่เจอขึ้นมามีหวังอดตายกันหมด”

“คงไม่อดจริงๆ เหรอมั้ง ยังไงก็แค่เกม” พี่ภูพูดยิ้มๆ

“อดจริง!” ผมกับยำประสานเสียง หน้าเคร่งเครียดทั้งคู่ ยิ่งคนนอกกลุ่มยังไม่เข้าใจก็ยิ่งเครียด

“เราเคยอดกันมาแล้ว” ผมว่า ยำพูดเสริม

“ไอ้วินเป็นพวกที่จะเล่นต้องเล่นให้สมจริง ลุยโคลน ก่อกองไฟ หลงป่า หรือสารพัดอย่าง พวกเราเคยเจอมาหมดแล้ว สรุปคือถึงเป็นเกม แต่ก็ไม่ได้เล่นๆ และถ้าคนที่คอยตามดูแลความปลอดภัยให้เรากล้ายื่นมือมาช่วยทั้งที่ยังไม่ถึงขีดสุด วินจะโกรธมาก”

ผมพูดสรุปอีกที “ถ้าแค่อดข้าววันสองวัน แต่ยังมีน้ำดื่มไม่ตาย ก็ไม่มีใครมาช่วยหรอก”

พี่ภูกับพาร์เริ่มหุบยิ้ม

“ต้องจริงจังขนาดนั้น?” พี่ภูถามเหมือนไม่เชื่อ

“มันถึงเป็นเกมเอาชีวิตรอดไงเล่า!” ยำพูดเสียงดังเหมือนหงุดหงิด “กูอธิบายให้มึงฟังตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นี่มึงไม่ได้กูเลยใช่ไหม!”

ส่วนผมเบือนหน้าหลบสายตาพาร์ เพราะตัวเองไม่ได้บอกอะไรเลย ด้วยกลัวว่าขืนบอกไปเมื่อวาน ผมจะอดมาเที่ยวกับเพื่อนๆ

“หมายความว่าเกมเอาตัวรอดก็คือเอาตัวรอดจริงๆ” พี่ภูถามย้ำ

“ก็เออนะสิ! บาดเจ็บก็ไม่ได้ออกจากเกมนะ ปฐมพยาบาลกันเอาเอง”

“เดี๋ยว นี่มันอันตรายไปแล้ว!”

“ก็ไม่นี่” ยำส่ายหน้า มองพี่ภูอย่างฉงน “มันก็เหมือนเล่นกีฬาที่อาจต้องมีบาดเจ็บบ้าง และยังไงสถานที่ก็เคลียร์ไว้ล่วงหน้า แถมก็มีคนคอยจับตาดูอยู่ จะกลัวอะไร”

แก้มผมโดนดึงจนยืดจนส่งเสียงร้องโอ๊ยออกมา หันไปมองก็เจอแววตาดุจัดของพาร์

“มึงไม่ไหวแน่ๆ”

“ก็บอกว่าไหวไง แค่ขาเจ็บก็ใช่ว่าจะลงเล่นไม่ได้นี่ อีกอย่างถ้าไม่มีกู ใครจะทำอาหาร มึงกับยำทำไม่ได้แน่” ผมหันไปหาพี่ภู “พี่ล่ะ?”

“...ถ้าแค่เมนูง่ายๆ ก็พอไหว แต่ทำอาหารภาคสนาม พี่คงไม่รอด”

ผมหันไปมองพาร์อย่างผู้ชนะทันที “เห็นมะว่าทีมนี้ขาดกูไม่ได้”

พาร์พ่นลมหายใจออกมา แววตาเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว

การประชุมเริ่มต้นอย่างแท้จริง ต่างคนต่างช่วยออกความเห็น คัดเอาไปแต่ของที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ส่วนของที่ไม่ได้เอาไปก็ทิ้งไว้ที่นี่แหละ ไม่หายหรอก

หลังจบการประชุม ผมกับพาร์ก็ต้องรื้อของที่เตรียมออกมาทั้งหมดกองไว้บนเตียง ก่อนจัดของสำหรับสองคนลงเป้ใบใหญ่เพียงใบเดียว ของชิ้นไหนเก็บลงเป้แล้วก็ขีดเครื่องหมายถึงไว้ด้านหลังรายชื่อที่จดเอาไว้

“แล้วมึงจะไปหาซื้ออาหารกับน้ำดื่มที่ไหน?”

ผมเข้าใจที่พาร์ถาม เพราะตอนนี้เหลือเวลาแค่ยี่สิบนาทีก่อนจะมีคนมารับ นิ้วชี้ไปที่จดหมาย

“ในนั้นก็เขียนบอกแล้วนี่ว่าอยากได้อะไรเพิ่มเติมให้โทรไปหมายเลขที่ระบุ กูเลยโทรไปบอกแล้ว แถมมีบริการช่วยขนลงเรือให้อีก ดีสุดๆ”

“แล้วทำไมมึงไม่ใช้งบให้หมด?”

“ก็เผื่อทีมเราโดนคิดค่าเดินทางไปเกาะไง ถ้าโดนคิดจริงๆ นี่จบเห่เลยนะ เพราะของที่เอาออกไป อาจจำเป็นต้องใช้ก็ได้” พูดจบผมก็โบกมือไปทางห้องน้ำ “มึงรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนเลย เดี๋ยวกูใช้ต่อ”

เพราะคืนนี้คงไม่มีห้องน้ำให้อาบแน่ๆ   

พอใกล้ถึงเวลานัดหมาย มือถือผมก็ส่งเสียงร้องเรียกเข้า พูดคุยตรงเวลาเรียบร้อยก็ช่วยกันหิ้วของที่ต้องเข้าไปเดินออกมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่บ้านพักหมายเลขสี่ มากันครบก็พากันออกจากประตูสู่ชั้นยี่สิบห้า ลงมาก็อาศัยรถกอล์ฟพาไปส่งที่ตรงทางเข้า ฝากกุญแจไว้กับแผนกต้อนรับ แล้วออกไปยืนรอหน้าอาคาร

ไม่นานรถตู้คันหนึ่งก็หยุดจอดตรงหน้าพวกผม คนในรถออกมายื่นนามบัตรแนะนำตัว ผมชะโงกหน้าไปดูของในมือเทม...เห็นแค่คำว่าบอดี้การ์ด เทมก็เก็บลงกระเป๋า พยักหน้าให้พวกผมขึ้นรถตามคำเชื้อเชิญ

ได้เวลาออกผจญภัยแล้วครับ

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-01-2017 16:21:29
เล่นกันแบบนี้เลยอ่ะ แต่ท่าทางน่าสนุก  :hao7:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-01-2017 17:24:48
ชีวิตทีนี่มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นทั้งนั้นเลย เกมที่เล่นก็น่าสนุกมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 14-01-2017 20:33:21
แค่คิดก็สนุกแล้ว  สู้ๆนะ

 o13    :hao7:    :hao7:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 14-01-2017 20:51:49
กลุ่มดาวลูกไก่ไม่ธรรมดาจริงๆ
เล่นกันเหมือนจะไปนาซ่า 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-01-2017 21:23:11
ท่าทางน่าสนุก รีบพาดาวลูกไก่มาผจญภัยเร็วๆนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-01-2017 21:31:08
ลุงนิกหวงเมียหวงหลานจริงจัง เวอร์มาก
ให้ใส่ชุดแช่น้ำทุกคน นกเว้นตัวเอง
สุดท้ายทีจับชายผ้าทากะ เลยทำทากะโป๊ กร๊ากกก
นึกว่าลุงนิกอุ้มทากะหายไปเลย
ที่ไหนมาเป็นก้างพาร์อีก
เกมเอาชีวิตรอดจริงหรือนี่  :katai1: :katai1: :katai1:
ยำ พี่ภู ที พาร์ อยู่ทีมเดียวกัน
อึ้ม.....ไม่รู้พี่ภูจะจุดไฟรักยำ  :pighaun: :haun4: :jul1:
จนพาร์ร้อนตามไปด้วยหรือเปล่า  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 14-01-2017 23:14:41
เกมส์น่าสนุก แต่คงไม่อันตรายมากนะ ทีแกเจ็บอยู่นะเฟ้ยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 15-01-2017 00:37:02
ไม่ต้องกลัว สามีที่ดี ไม่ทิ้งเมียหรอก ที กะ ยำ สบายใจได้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-01-2017 01:26:50
โอ้ยยยย!! น่าสนุกแท้ เปงเรื่องที่ครบรสฝุดๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 17-01-2017 08:05:50
หูยยยยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 20-01-2017 11:10:23
บทที่ 40

“คนขาเจ็บมายุ่งอะไร”

ผมเมินเสียงดุของพาร์ จับคว้าอุปกรณ์มาช่วยพาร์กางเต็นท์บนพื้นทรายท่ามกลางแสงที่เหลือน้อยลงทุกที ทุกอย่างจึงต้องแข่งกับความเร็ว

ถึงว่าทำไมให้ขึ้นเรือตอนสี่โมงเย็น ผมก็นึกว่าเกาะอยู่ใกล้ๆ ที่ไหนได้เล่นหลอกล่อด้วยทิวทัศน์พระอาทิตย์กำลังลาลับบนท้องทะเล สวยจนมองเพลิน มาถึงเกาะท้องฟ้าก็เริ่มมืด จำต้องหยิบไฟฉายมาส่องหาทางกันเอง ไหนต้องแบกข้าวของพะรุงพะรัง รู้ตัวอีกทีก็โดนปล่อยเกาะ

ฟังไม่ผิดครับ พวกผมโดนปล่อยเกาะ!

ได้ยินเสียงเรือ (ที่มาส่ง) วิ่งฝ่าผืนน้ำจากไปชัดแจ๋ว ทิ้งไว้เพียงเสียงประกาศออกจากลำโพงทั้งที่เจ้าของเสียงไม่ได้อยู่บนเรือ

[ขณะนี้ทุกท่านอยู่ในสภาวะลอยมาติดเกาะพร้อมข้าวของที่พัดมาด้วยกัน]

มิน่าถึงให้ลงเรือเดินลุยน้ำทะเลสูงถึงเอวขึ้นเกาะเอง!

[เกมเอาชีวิตรอดเริ่มต้นวินาทีนี้แล้ว ปัจจัยจำเป็นต่างๆ ถูกซุกซ่อนอยู่บนเกาะ คำใบ้ซ่อนอยู่ในเครื่องบินกระดาษ]

แล้วเครื่องบินกระดาษปลิวว่อนตามแรงลม ตกน้ำบ้าง ลอยมาปักบนพื้นทรายบ้าง มีส่วนน้อยที่บินลอยข้ามหัว

[คำเตือน ห้ามออกนอกพื้นที่เล่นเกมเด็ดขาด ทางเราขึงรั้วเชือกไว้ให้แล้ว หากคนในทีมฝ่าฝืนปรับแพ้ทั้งทีม ไฮไลท์ประจำเกมคืออาหารสด จะมีแจกเที่ยงตรงทุกวัน มองหาได้จากของสีแดง สู้ๆ นะโว้ยเพื่อน อีกห้าวันเจอกัน!]

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่พวกผมเจอเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ป่านนี้ไอ้วินคงจามไม่ได้หยุด เพราะคงไม่ใช่แค่ผมที่บ่นด่ามันในใจ

สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาที่พักสำหรับคืนนี้ก่อน พรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยว่ากันอีกที

พวกผมคิดคล้ายๆ กันหมด ทีมผมกับทีมเทมจับมือเป็นพันธมิตรชั่วคราวตั้งเต็นท์ไว้ใกล้ๆ กัน แต่เพราะมองอะไรไม่ค่อยเห็น ทำให้ลำบากและสับสนวุ่นวายมาก จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครกางเต็นท์เสร็จ...

“เสร็จแล้ว”

ผมมองทีมโน้นอย่างอิจฉา พวกมันเอาเต็นท์ขนาดสี่คนนอนมาแค่หลังเดียว ช่วยกันกางทีเดียวก็นอนได้ครบทีม ส่วนของกลุ่มผมตัดสินใจแยกเป็นสองเต็นท์เพื่อความสะดวกใจ

ผมกับพาร์ช่วยกันกางเต็นท์ของตัวเองจนเสร็จ แล้วต้องไปช่วยพี่ภูต่อ หวังพึ่งยำไม่ได้ ทักษะกางเต็นท์ในที่แสงไม่พอของมันต่ำมาก ปล่อยให้ถือไฟฉายแบบนั้นช่วยพวกผมได้มากกว่า เรียบร้อยหมด ผมก็พยักหน้าขอบคุณเพื่อนอีกสี่คนที่คอยถือไฟฉายให้แสงสว่าง

“วันนี้เป็นมิตร แต่พรุ่งนี้ไม่ใช่แล้วนะโว้ย!”

ไวไวตะโกนมา ได้ข่าวว่าเทมเป็นหัวหน้าทีม ผมหัวเราะสะกิดยำให้ตะโกนตอบกลับ

“เออ!”

หลังเข้าเต็นท์มาได้ก็หยิบขวดน้ำดื่มมาแกะเปิดฝา ดื่มไปเกือบครึ่งขวดก็ปิดฝา อาศัยแสงตะเกียงเปิดเป้หยิบกางเกงขาสั้นสองตัวออกมา ตัวหนึ่งวางให้พาร์ อีกตัวผมเอามาเปลี่ยนเอง เสร็จแล้วก็ล้มตัวนอนแผ่หลากับพื้นเต็นท์ มองพาร์เอาตะเกียงไปแขวนไว้เหนือหัว แสงสีนวลตาให้ความสว่างกระจ่ายไปทั่วทำผมรู้สึกดีกว่าแสงจากไฟฉายปากกาอันล่ะร้อยเดียวเยอะ จนเผลอพึมพำออกมา

“โชคดีที่ตัดสินใจเอามันมา”

ถึงกินงบไปพันสามกว่า สองอันก็ประมาณสองพันเจ็ดก็เถอะ มันดีตรงที่ขนาดเหมาะกับพกพา แถมชาร์ตพลังงานด้วยแสงอาทิตย์ได้ด้วย

ผมละสายตาตะเกียงหันไปมองพาร์หยิบของในเป้อย่างฉงน

“มึงมากินน้ำก่อนดิ”

“เดี๋ยวค่อยกิน”

พอเห็นว่าพาร์หยิบอะไรออกมา ผมก็รู้สึกแปลกๆ ในใจทันที...

“ยื่นขามาทายาก่อน แล้วค่อยนอน”

“เดี๋ยวกูทำเอง มึงไปกินน้ำก่อนเถอะน่า”

ผมลุกขึ้น คว้าถุงยา แต่พาร์โยกมือหลบ ส่งสายตาดุกลับมา

“ขาเจ็บแล้วไม่เจียม นั่งเฉยๆ ไป” 

ผมยอมหุบปาก มองผ้าแกะผ้ายืดเปียกน้ำออกจากข้อเท้า มันมองพินิจรอบข้อเท้าอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบทิชชูเปียกออกมาเช็ดทำความสะอาด แล้วทายาให้ ผมนิ่วหน้านิดๆ ยามเนื้อยาสัมผัสผิว ความเย็นผสมการนวดคลึงให้ยากระจายทำให้รู้สึกเจ็บไม่น้อย

“เจ็บเหรอ?”

“เออ”

แรงนิ้วเบาลงจนรู้สึกได้ ผมลอบพ่นลมหายใจ นั่งเงียบๆ ปล่อยพาร์ทายาให้เสร็จ แต่อีกคนกลับเอ่ยปากชวนคุยก่อน

“มึงกางเต็นท์เก่ง”

“...เพราะฝึกกางบ่อยล่ะมั้ง ที่จริงเวลาไปบ้านย่ากูช่วงสอบ พวกเราก็ไปกางเต็นท์นอนกัน”

“มีที่กาง?”

“มีสิ สนามหญ้าก็ได้ แถวสระว่ายน้ำก็กางได้”

“ท่าทางจะหลังใหญ่”

“ตัวบ้านไม่ใหญ่หรอก แค่พื้นที่รอบๆ เยอะ”

“เกาะนี้...เป็นของเพื่อนมึงเหมือนโรงแรม?”

“เรียกว่าของครอบครัวมันดีกว่า แต่ถ้าวินมาลงพื้นที่เองแบบนี้มีสองกรณี ไม่พ่อมันส่งงานให้รับผิดชอบ ก็คงเป็นพี่มันที่ยุ่งจัดไม่มีเวลามาดูแลเอง เลยโยนงานให้น้องทำแทน มันเลยถือโอกาสจัดเป็นสถานที่เล่นสนุกกับเพื่อนๆ”

“...กูไม่แปลกใจแล้วที่วันนี้เพื่อนมึงโทรไปสั่งโรงแรมใหญ่เปิดห้องพักรอได้”

“ก็นะ” ผมเหม่อมองอากาศครู่หนึ่ง “วินยังดีได้เรียนอะไรที่อยากเรียน ขณะที่ต่อทำไม่ได้ ไอ้เทมก็ต่อต้านทางบ้านตั้งแต่จบม.ต้น ยังดีทางบ้านมันส่งเสียจนจบม.ปลาย ตอนนี้ก็แยกตัวออกมาทำงานหาเงินเรียนเอง...ลำบากที่สุดในกลุ่ม จนบางครั้งก็อยากช่วย แต่มันไม่รับ ยกเว้นเดือดร้อนจริงๆ ถึงมาขอยืมเงิน”

“แล้วมึงล่ะ?”

“...ที่บ้านไม่ได้บังคับกู แต่ก็พูดเปรยๆ เหมือนกันว่าให้เลือกคณะที่สามารถเอามาประยุกต์ใช้งานได้ในอนาคต อย่าให้เสียเวลาเปล่าไปสี่ปี”

“แล้วชอบที่เรียนอยู่ตอนนี้ไหม?”

“ก็ดีนะ สนุกดี”

พาร์พยักหน้ารับรู้ ใช้ผ้ายืดผืนใหม่พันกระชับข้อเท้าอีกครั้ง “ถ้าไม่ทำอะไรหักโหม อีกไม่นานข้อเท้ามึงคงหายดี”

“กูถึงบอกไงว่าไม่ได้เป็นอะไรมากไง”

“กูรู้ว่ามึงเก่ง แต่ถนอมขาหน่อยก็ดี เดี๋ยวไม่ได้อยู่ถึงวันกลับ”

ผมอ้าปากหุบปากอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็พูดอ้อมแอ้ม “...ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร แกะทิชชูเปียกให้หน่อย”

ผมรีบหยิบส่งให้พาร์ไปเช็ดมือ

“เอาออกมาเช็ดหน้าเช็ดตัวมึงด้วย”

“มันเปลือง”

“พกมาก็ต้องใช้ดิ”

ไม่พูดเปล่าดังออกมาส่งให้ผมทันที ก็ได้แต่รับไปเช็ดหน้าเช็ดแขนขาเงียบๆ หลังพาร์เปลี่ยนกางเกงเสร็จก็โยนผ้าแห้งผืนหนึ่งให้ผมเช็ดพื้นเต็นท์ 

“แล้วมึงจะไปไหน?”

“เอากางเกงกูกับมึงไปผึ่งลมไง”

“เดี๋ยวกูช่วยส่องไฟให้”

“ไม่ต้อง...มึงแกะถุงนอนออกมาปูรองพื้นดีกว่า กูคิดว่าไม่น่าหนาว แต่ถ้าหนาวก็เอาถุงนอนอีกผืนมาเป็นผ้าห่มแล้วกัน”

ผมทำตามที่พาร์ว่า แต่ก็ชะเง้อดูจากมันจากหน้าต่างเต็นท์เป็นระยะ เห็นแต่แสงไฟกับเงาตะคุ่ม สักพักพาร์ก็กลับเข้ามา

“เอาไปตากไหน?”

มันชี้นิ้วขึ้นข้างบน ร้องขอให้ผมส่งทิชชู่เปียกไปให้

“ไม่ปลิวหายเหรอวะ?”

“ไม่หรอก กูเอาเชือกผูกเอวมัดมัดกับโครงไว้”

หลังพาร์เช็ดหน้า แขน ขา เรียบร้อยก็เดินตรงตรงไปหยิบหมอนเป่าลมออกมาในเป้ออกมา ผมลืมไปเลยว่ามี แต่ที่คาดไม่ถึงคือพาร์เอาออกมาสาม

“เฮ้ย! เอามาอีกอันได้ไง?”

ผ่านด่านตรวจบนเรือมาได้ด้วย?

“ง่าย” พาร์พลิกให้เห็นโลโก้ที่บ่งบอกว่ามันเป็นของแจกฟรี “แค่นี้ก็ไม่ต้องรวมกับงบแล้ว”

เออวะ...ทำไมผมลืมคิดเรื่องนี้ได้

ผมหยิบมาเป่าเองอันหนึ่ง กำลังจะล้มตัวนอน พาร์ก็ส่งหมอนแจกฟรีที่เป่าลมแล้วให้

“อันนี้ให้มึงรองขาข้างที่เจ็บ”

 ...ความรู้สึกแปลกๆ ที่ว่าแผ่ขยายในใจผมมากกว่าเดิมอีก 

“หรือมึงจะกินยาแก้ปวดก่อน?”

มองพาร์อย่างประหลาดใจ “เอามาด้วย?”

“กูพกใส่กระเป๋ากางเกงมา ไม่ยักเห็นใครมาตรวจ แต่ถึงตรวจก็ไม่เป็นไร มึงไม่ได้ใช้งบทีมเราหมดสักหน่อย กูอ้างได้อยู่แล้ว”

 อีกครั้งที่ผมมองมันด้วยความทึ่ง

“มึงก็นอนได้แล้ว กูปิดไฟนะ”

“อ...อือ”

ผมล้มตัวนอนทันที ไม่ลืมเอาของแจกฟรีไปรองใต้ข้างที่เจ็บ หลังความมืดมาเยือนไม่นานก็รู้สึกมีคนล้มตัวนอนข้างๆ...รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกลองดังอยู่ไม่ไกล

ผมเม้มปากยกมือกำอกเสื้อข้างซ้ายตัวเอง...

เงียบๆ หน่อยเถอะนะ เดี๋ยวคนข้างๆ ได้ยิน

-------------

“ไอ้ที ไอ้ยำ พวกมึงตื่นเดี๋ยวนี้!!!”

ผมกับพาร์สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ

“ทีโว้ย!! ตื่นๆๆ”

ผมรีบรูดซิบชะโงกหน้าออกไป กำลังจะถาม แต่มือที่ยื่นออกไปสัมผัสพื้นทรายด้านนอก เพื่อทรงตัวกลับพบว่ามีของเหลวเย็นๆ ซัดปะทะใส่ผิวเป็นระยะ ขจัดความง่วงที่เหลืออยู่ในตัวผมทันที

นี่มัน!

“น้ำขึ้นโว้ย! เก็บของหนีเดี๋ยวนี้!!”

คำตอบจากไวไวช่วยยืนยันความคิดของผม ไม่รอช้ารีบบอกเพื่อน

“ไอ้ยำอยู่เต็นท์ข้างๆ”

ผมเห็นเงาตะคุ่มรูปคนพยักหน้ารับรู้ เงานั่นมุ่งหน้าไปเต็นท์ข้างๆ แว่วเสียงตะโกนของไวไว แต่ผมไม่ได้สนใจฟัง รีบหมุนตัวกลับเข้ามาในเต็นท์ก็พบว่าพาร์เปิดตะเกียงส่องสว่าง กำลังยัดข้าวของที่เอาออกมาบางส่วนกลับลงเป้ลวกๆ

“ทิ้งเต็นท์ไหม?” พาร์ถามเสียงเครียดเมื่อผมตรงไปช่วยเก็บของ

ใจผมไม่อยากทิ้ง

“มึงคิดว่าเราจะเก็บเต็นท์ทันไหม?”

“กูไม่รู้ว่าน้ำทะเลขึ้นเร็วแค่ไหน”

เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ตัดสินใจบอก “งั้นถอนแค่สมอออก แล้วช่วยกันยกหนีเลย แต่ถ้าไม่ทันก็ช่างมัน หนีเอาตัวรอดก่อน”

“ได้ เอาไอ้นี่ไปคาบ”

พาร์ส่งปากกาไฟฉายให้ผมคาบไว้ในปาก ยัดตะเกียงเก็บลงกระเป๋า พร้อมแล้วก็รีบส่งเป้ให้ผมออกมา เพียงแค่มุดออกมาตัวผมก็เปียกบางส่วนแล้ว

“เดี๋ยวกูยกลังน้ำไปก่อน”

“กูช่วย” ผมยกพวกลังอาหารแห้งตามหลังพาร์ไป หาที่วางบนพื้นทรายในจุดที่คิดว่าน้ำทะเลไม่น่าจะถึงได้ก็รีบวกกลับมาเก็บเต็นท์ลวกๆ ให้พอช่วยกันถือหนีน้ำได้ ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลา

“ไอ้ที มึงกลับมาช่วยพวกกูด้วย!”

“เออ!”

ผมตอบรับไอ้ยำ รีบช่วยพาร์ยกเต็นท์ไปกองไว้ข้างลังน้ำ เสร็จก็รีบกลับมาช่วยคนอื่นอีกที ผมส่งพาร์ไปช่วยเก็บเต็นท์ของพวกเทม ส่วนตัวเองตรงไปช่วยยำกับพี่ภู

“ยำขนเป้กับของขึ้นไปก่อน ตรงนี้กูกับทีทำเอง”

คนไม่ถนัดเรื่องเต็นท์รีบทำตาม ทั้งแบกเป้ทั้งยกของเดินหนีน้ำ

“รีบเหอะพี่” ผมรีบบอกพี่ภูเสียงเครียดทั้งที่พยายามงมหาสมอที่ยำบอกก่อนไปว่าเป็นตัวสุดท้ายของฝั่งนี้ เวลานี้น้ำสูงถึงต้นขาแล้ว

ระหว่างกำลังช่วยกันยกเต็นท์ กลับมีคลื่นพัดปะทะใส่ด้านหลังพี่ภู เราเกือบเสียหลัก ดีที่ทางพี่ภูทรงตัวทัน ช่วงที่ผมมองรุ่นพี่อย่างกังวลกลับตาดีเห็นครีบทรงสามเหลี่ยมเหนือผิวน้ำเข้า

“เฮ้ย”

สัญลักษณ์ของนักล่าแห่งท้องทะเลมุ่งหน้าตรงมายังเรา แย่กว่านั้นพี่ภูอยู่ใกล้พวกมันมากกว่า ผมหน้าซีด รีบร้องตะโกนเตือนอย่างตกใจ   

“ฉลาม!”

“อะไรนะ!”

“ฉลาม! อยู่ข้างหลังพี่! วิ่งเหอะ!!”

นาทีนี้เต็นท์คือตัวถ่วง มันเลยถูกทิ้งไว้ตรงนั้น เราวิ่งกระเสือกกระสนหนีจากน้ำทะเลดำมืด เป้าหมายคือหาดทรายเหนือน้ำที่อยู่ไม่ไกล โดยมีเจ้าฉลามสองสามตัวไล่หลังเรามา ท่ามกลางความตึงเครียดผมหันกลับไปมองอย่างกังวลว่าโดนไล่ตามถึงไหนแล้ว สิ่งที่เห็นกลับเป็นปากฉลามอ้ากว้างเห็นเหงือกในระยะประชิด เผยฟันเหลมคมชวนหวาดผวา

…นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็น 

แฮ่กๆๆ

ผมนอนหอบหายใจแรง เสื้อเปียกเหงื่อจนชุ่ม ตาเหม่อมองเพดานเต็นท์มืดๆ เห็นก้นตะเกียงเป็นเงาตะคุ่มๆ อย่างสับสน แว่วเสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งลอยเข้าหูเป็นระยะ สมองก็ค่อยๆ รับรู้ทีละนิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นความฝัน

ให้ตาย…สมจริงชะมัด

ผมลูบหน้าเรียกสติพักหนึ่ง ลมหายใจเริ่มสงบลง แต่หัวใจยังเต้นกระหน่ำไม่เลิก เหลือบมองเงาตะคุ่มข้างๆ พาร์กำลังตะแคงข้างหันหน้าไปทางนู้น กอดเป้หลับสบายจนน่าอิจฉา ผมพลิกตัวนอนตะแคงบ้าง พยายามข่มตาให้หลับ แต่ใจกลับกังวลจนนอนต่อไม่ลง

หลังพลิกตัวไปมาสักพักก็ตัดสินใจหยิบปากกาไฟฉาย เปิดเต็นท์ออกไปด้านนอกเงียบๆ

ลมทะเลยามค่ำปะทะตัวเป็นระยะ เย็นๆ ครับ ไม่ถึงกับหนาว สองเท้ามุ่งหน้าไปส่องดูคลื่นเป็นอย่างแรก…เหมือนระดับน้ำจะไม่แตกต่างจากตอนมาถึงเท่าไหร่ มองจนแน่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์อย่างในฝันแน่ๆ ถึงค่อยสบายใจขึ้น

เฮ้อ…

เมื่อใจสงบมากกว่าเดิม ถึงเริ่มสังเกตเห็นความงามตามธรรมชาติ ทะเลดำมืดเหมือนถูกทาด้วยหมึกสีดำ ไกลออกไปเหมือนเห็นแสงไฟสีออกเขียวๆ ดวงเล็กๆ สองสามดวงวูบไหวไปมา แวบแรกนึกว่าตาฝาด แต่มันมีจริงๆ ครับ หลังจ้องดูด้วยความสงสัยสักพักก็เริ่มเบื่อ ย้ายสายตาขึ้นด้านบน

บนท้องฟ้าก็มีแสงเหมือนกัน ดวงเล็กกว่าดวงแสงปริศนาบนท้องทะเล แต่มีมากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นดาวเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยครับ ดวงจันท์เว้าๆ แหว่งๆ ก็เห็นชัดกว่าทุกที

ผมกดปิดไฟฉาย ถอยออกห่างคลื่นหย่อนก้นนั่งบนพื้นทราย แหงนหน้าดูของหายากเงียบๆ

นานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็หลังได้ยินเสียงย้ำทรายอยู่ใกล้ๆ หันไปมอง เห็นพาร์…น่าจะเป็นพาร์กำลังยืนจ้องมองมา

“มานั่งทำอะไรตรงนี้”

พาร์จริงๆ ด้วย…ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า น้ำเสียงมันเหมือนจะดุว่า ‘ทำไมไม่นอน’ มากกว่า

ผมคิดนิดหนึ่ง ก่อนบอกมัน “กูฝันร้ายวะ”

พาร์หย่อนตัวนั่งข้างผม ปากก็ถาม “เรื่อง?”

“น้ำท่วมเต็นท์ แถมกำลังโดนฉลามงับอีก”

คนฟังหัวเราะซะงั้น “นี่ก่อนนอนมึงคิดอะไรไปเรื่อยล่ะสิ”

นึกๆ ดูก็ต้องยอมรับ “ก็แค่นึกกังวลว่ากลัวว่าน้ำทะเลจะขึ้นมาตอนหลับ”

“มึงเลยเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะ”

“ก็กูกลัวนี่หว่า”

“ช่วงพวกเรามาเป็นช่วงน้ำทะเลขึ้นสูงสุดแล้ว คงไม่ขึ้นมากกว่านี้หรอก”

“มึงรู้ได้ไง”

“คนขับเรือบอก...ถ้ามีท่าเทียบเรือคงเห็นระดับน้ำขึ้นลงชัดกว่านี้”

ผมเบ้ปาก “ตอนลุยน้ำขึ้นเกาะ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วเหอะ เวลาแบบนั้นใครจะไปสนใจเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงกัน”

“แล้วก่อนนอนทำไมคิด”

“ก็กู…”

ผมอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก นั่นสิ ทำไมคิด?

“กูเดาว่ามึงต้องเคยเล่นเกม หรือดูหนังที่มีสถานการณ์แบบนี้มาแหงๆ ถึงได้เก็บไปคิดมาก”

“…มั้ง”

อาจจะเป็นอย่างที่พาร์ว่าก็ได้

“…แล้วในฝันของมึง มีกูอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

ผมเหลือบมองคนถาม “คำถามลองใจ?”

“เปล่า กูแค่จะบอกว่าถ้ามี ตัวกูในฝันคงไม่ปล่อยให้มึงเผชิญเรื่องพวกนี้ตามลำพังหรอก”

ผมชะงัก ข่มอาการสั่นไหวในใจ “…มึงดูมั่นใจมาก”

“เพราะกูเชื่อแบบนั้นน่ะสิ แต่ไม่รับปากว่าจะช่วยมึงได้ไหม เพราะบางทีกูอาจเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน ที่มั่นใจคือจะอยู่ด้วยแน่ๆ”

ถ้อยคำในอดีตหวนกลับมาในหัวทันที   

‘ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรแน่นอน’

‘ถ้าเป็นล่ะ’

‘ก็…ก็ยังมีเรานะ เราไม่ทิ้งหรอก เพราะงั้นอย่าร้องไห้เลยนะ เราจะร้องตาม’

ผมเบือนหน้าเปื้อนยิ้มไปอีกทาง นึกขำคนพูดปลอบ...เด็กคนนั้นกำลังเบะปากจะร้องตามอยู่แล้ว

สมัยนั้นเสียงของพาร์เล็กและใสมาก ต่างจากตอนนี้สุดๆ ไม่นึกว่าพอโตแล้วเสียงจะทุ้มต่ำขนาดนี้   

“เป็นไร?”

ผมรีบหุบยิ้ม “เปล่า”

“แน่นะ?”

“…แค่คิดเรื่องสมัยเด็กเฉยๆ”

“เรื่องไหน?”

“ก็…” ผมกรอกตา “นึกไม่ถึงว่าเด็กตุตะ แก้มเยอะจนตาหยีคนนั้นจะโตมาดูดี”

“นี่มึงกำลังชมกู?”

ผมหัวเราะ “กูแค่บอกเฉยๆ เหอะ”

“แล้วตอนนั้นร้องไห้ทำไม”

ผมชะงัก เผลอเม้มปากเข้าหากัน รู้ตัวก็รีบปล่อยริมฝีปาก นั่งนิ่งเงียบ

…นึกไม่ถึงว่าจะโดนพาร์ถามเรื่องนี้

“ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”

ผมหันมองคนข้างๆ น่าเสียดายมืดเกินกว่าเห็นสีหน้าของมัน

“…มึงอยากรู้?”

พาร์รับคำง่ายๆ “อยาก…แต่สำหรับมึงคงไม่อยากพูดถึงหรอกมั้ง”

“…ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดไม่ได้” ผมว่า พ่นลมหายใจออกปากเบาๆ “ถึงมันไม่น่าจดจำ แต่ก็เป็นเรื่องที่ลืมไม่ลง อีกอย่างกูเคยเล่าให้มึงฟังแล้ว”

พาร์ถามกลับมาทันที “ตอนไหน?”

“วันที่เจอกันในสวนสัตว์นั่นไง มึงยังพยายามพูดปลอบกูอยู่เลย”

พาร์เงียบไปเลยครับ ผมนึกว่าคงไม่ถามต่อ ที่ไหนแล้วกลับส่งเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงอ้อนวอนมาเลย

“บอกอีกทีได้ไหม”

…บางทีผมคงแพ้ทางน้ำเสียงแบบนี้ของมัน

พ่นลมหายใจระอาความใจอ่อนของตัวเอง “มึงฟังผ่านหูแล้วกัน ไม่ต้องจำให้รกสมอง เพราะยังไงก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว”   

“อือ”

หลังมันรับปาก ผมก็ครุ่นคิดว่าจะเริ่มต้นเล่ายังไงดี ใช้เวลาคิดสักพักถึงเริ่มเปิดปากพูด

“ตอนนั้นกูสับสนเรื่อง ‘ครอบครัว’ มาก โดยเฉพาะคำว่าพ่อกับแม่”

(มีต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 20-01-2017 11:13:29
บทที่ 40 (ต่อ)

“ตอนนั้นกูสับสนเรื่อง ‘ครอบครัว’ มาก โดยเฉพาะคำว่าพ่อกับแม่”

“ทำไมล่ะ?”

“เพราะกูคิดว่า ลุงนิกกับทากะซังเป็นพ่อแม่ของกูน่ะสิ ยิ่งกว่านั้นไม่เคยมีความคิดว่า คนอื่นเป็นพ่อแม่อยู่ในหัวเลย”


ถ้าถามเด็กชายชลนทีสมัยสามสี่ขวบว่าพ่อแม่ของหนูคือใคร หรือให้วาดรูปครอบครัวตัวเองด้วยสีเทียน ก็จะเป็น ‘นิก ทาจัง และที’ เสมอ

ถ้าไม่นับช่วงเวลาหัดพูดใหม่ๆ เด็กชายทีก็ไม่เคยได้เรียกเรียกทั้งสองว่าปะป๊ะ มะม๊าอีก ถึงอย่างนั้นก็เข้าใจด้วยสัญชาตญาณว่าใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ ช่วงเวลานั้นเป็นเด็กที่สุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่รู้สึกขาดอะไรเลยสักอย่างเดียว


“เด็กขนาดนั้นแยกแยะเพศไม่ออกหรอก กูเลยไม่ได้สนใจเรื่องมีแม่เป็นผู้ชาย กูมองว่าแม่ก็คือแม่ และทาจังก็เป็นแม่ของกู”

“แล้วถ้ามึงโตแล้วล่ะ จะคิดไหม?”

ผมครุ่นคิดตามคำถามพาร์ “ก็…ถ้าโดนเพื่อนล้อ กูคงกลายเป็นเด็กเกเรชกต่อยกับเพื่อน ฐานเอาแม่ของกูไปล้อล่ะมั้ง”

“มึงคงรักทาจังมาก”

ผมผงกหัว “ก็เขาเป็นแม่กูนี่ จำความได้ก็โตมากับทาจัง กูอยู่กับทาจังมากกว่าลุงนิกอีก เพราะลุงนิกต้องไปทำงาน เอากูไปด้วยไม่ได้ แต่งานของทาจังมีเด็กๆ เยอะแยะ เลยพากูไปทำงานด้วยได้ และตอนนั้นกูไม่อยู่ไทย ชีวิตเลยไม่รู้จักญาติคนอื่น ยกเว้นญาติฝ่ายทาจัง แต่ทาจังก็ไม่ค่อยพาไปหาหรอก แล้วทางญาติฝ่ายลุงนิก นานๆ เจอกันสักที เด็กตัวแค่นั้นจะลืมคนไม่คุ้นหน้าก็ไม่แปลกหรอก”

“สรุปคือชีวิตมึงช่วงนั่นวนเวียนอยู่แค่กับลุงนิก และทากะซัง?”

“ใช่ และด้วยเหตุนี้วันหนึ่งกูตื่นกลางดึก ปกติถ้าตื่นผิดเวลากูจะไปหาพวกเขาอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นกลับเจอทาจังกับลุงนิกโต้เถียงกันรุนแรง กูตกใจมาก ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่แอบซ่อนตัวอยู่หลังประตูทำอะไรไม่ถูก หลังจากนั้นทุกคืนต้องมีปากเสียงกัน ผิดกับต่อหน้ากูที่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม กูเลยยิ่งกังวลหนักขึ้นเรื่อยๆ”

“มีปัญหาเรื่องส่วนตัว?”

“เปล่า ปัญหาเรื่องกูนี่แหละ ตอนเด็กไม่รู้หรอก มารู้ตอนโตว่าที่ผู้ปกครองตัวเองทะเลาะกัน เพราะปู่กับย่าจะลุงกับกูกลับไปอยู่ไทย…แบบถาวร” ผมพ่นลมหายใจ “มันเลยเป็นปัญหา เพราะกูกำลังจะเข้าอนุบาลที่นั่น ทาจังทั้งหาโรงเรียน ซื้อข้าวของเตรียมไว้ให้ แล้วก็…เตรียมลาออกจากงานเพื่อกู”

“ทำไมต้องลาออก?”

“เพราะทาจังให้กูเข้าโรงเรียนอนุบาลแบบที่ผู้ปกครองต้องมีเวลาไปทำกิจกรรมกับเด็กด้วย ตอนแรกที่เลือกโรงเรียนกัน ลุงนิกก็เห็นด้วย เลยไม่ได้ว่าอะไรถ้าทาจังจะลาออก”

“หมายความว่าครอบครัวมึงไม่มีความคิดจะกลับไทย?”

“เออ เผลอๆ คงอยู่จนกูโตเลยล่ะมั้ง แต่ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดล่วงหน้าเสมอไป และผลของมันแย่พอควร เรากลับไทยโดยไม่มีทาจัง”

สิ่งที่จำได้แม่นอีกอย่างก็คือน้ำตาของลุงนิก ไม่กี่หยดก็จริง แต่ทำให้คนเห็นอย่างผมหยุดร้องไห้ และไม่กล้าเอ่ยถึงทากะซังให้ลุงได้ยินอีกเลย (แม้ใจจะร้องหาทากะซังก็ตาม)

“สำหรับเด็กคนหนึ่ง การที่พ่อกับแม่แยกทางกันถือเป็นเรื่องใหญ่มาก สภาพจิตใจตอนนั้นของกูเลยย่ำแย่พอสมควร แต่เพราะไม่อยากให้ลุงนิกลำบากใจเลยพยายามไม่ร้องไห้ แถมยังเป็นเด็กดีว่าง่ายกว่าปกติหลายเท่า…ความเปลี่ยนแปลงแรกหลังไม่มีทาจังคือกูโดนปล่อยปละละเลยมากขึ้น แต่ก็ว่าลุงนิกไม่ได้หรอก สภาพจิตใจลุงนิกก็แย่พอกัน แต่ก็ยังพยายามทำอาหารให้กูกิน พยายามดูแลกูหลายอย่างทั้งที่ตัวเองไม่ถนัดเรื่องพวกนี้”

ผมยิ้มให้กับช่วงเวลาเหล่านั้น ยังจำรสชาติอาหารที่ไม่เหมือนอาหารได้อยู่เลย ถ้าตอนนี้ให้กินอีกผมขอหนีก่อนแน่นอน

“หลังลุงรู้ตัวว่าดูแลกูด้วยตัวเองไม่ได้ ก็เลยยอมพากูไปอยู่บ้านปู่กับย่าทั้งที่ตอนแรกต่อต้านไม่ยอมพาไป คือมันเป็นการแก้เผ็ดของลุงนิกหลังโดนปู่ย่าบังคับให้กลับมาอยู่ไทยน่ะ และนั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของกู”

ผมหยุดกลืนน้ำลาย แล้วเล่าต่อ

“ปู่กับย่าใจดีมาก ดูแลกูดีสุดๆ ถึงจะสื่อสารกับพวกท่านไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่กูก็ชอบพวกท่าน อาจจะเพราะตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องหลายๆ อย่างก็เลยไม่มีอคติต่อพวกท่านด้วย เลยเปิดใจยอมรับได้เร็ว ลุงนิกยุ่งๆ เรื่องงานเหมือนปกติ แต่กลางคืนก็ยังได้นอนด้วยกัน แต่แล้วหลังเรียนรู้ภาษาไทยมากขึ้นจนคุยโต้ตอบรู้เรื่องระดับหนึ่ง ย่าก็ให้กูเปลี่ยนคำเรียกใหม่”

ผมมองพาร์เงียบๆ “ย่าบอกให้กูเติมคำว่าลุงลงไปเวลาเรียกนิก”

“…ตอนนั้นมึงเข้าใจคำว่าลุงหรือเปล่า?”

“ไม่เข้าใจความหมาย รู้ว่ามีไว้ใส่นำหน้าชื่อเวลาเรียกคนอายุเยอะกว่ามากๆ แล้วกูก็นึกว่าต้องใส่กับลุงนิกตามที่ย่าบอก หลังลองเรียกดูครั้งแรก แววตาลุงนิกกลับเปลี่ยนไป ดูเสียใจอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นกูเลยไม่ยอมเรียกอีกเลย ต่อให้โดนทำโทษก็ไม่เรียก ถึงอย่างนั้นผลของมันก็ตามมาแล้ว ลุงนิกเริ่มห่างเหินกับกู ระหว่างเรามีช่องว่างที่มองไม่เห็น เจ้าช่องนั่นค่อยๆ ขยายไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่ากูโดนทิ้งให้นอนในห้องกว้างคนเดียว”

ผมชันเข่าทั้งสองข้างมากอด วางคางลงไป

“กูอยู่กับช่วงเวลาแบบนั้นจนเกิดอาการซึมเศร้า แต่ต่อหน้าปู่กับย่าก็พยายามทำตัวให้ร่าเริง กูไม่กล้าเรียกร้องความสนใจ ยังไงพวกท่านก็เป็นคนที่พึ่งรู้จักไม่นาน คนอื่นๆ ก็ด้วย สภาพแวดล้อมก็แปลกใหม่ ถ้าเป็นสถานที่คุ้นเคยล่ะก็ กูคงออกไปตามหาทาจัง ไม่ก็ลุงนิกนานแล้ว ไม่อยู่รอด้วยจิตใจย่ำแย่แบบนั้นหรอก”

“…ถ้าไม่อยากเล่า ก็ไม่ต้องเล่าแล้ว”

แต่ผมตัดสินใจเล่าต่อ

“จุดเปลี่ยนครั้งที่สามคือหลังจากนั้นไม่นาน กูได้พบคนแปลกหน้าสองคนที่โต๊ะอาหาร ตอนแรกก็นึกว่าแขกของปู่กับย่า เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ในทางกลับกันกูเป็นที่สนใจของแขกมาก พวกเขาสักถามกูไปเรื่อย ชวนคุยไม่หยุด ปู่กับย่าก็ไม่ห้าม แทบจะปล่อยให้พวกเขาอยู่กับกูตามลำพัง ในใจกูเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ด้วยอารมณ์หลายๆ อย่างที่อัดอั้นมานาน กูเลยร้องไห้ตรงนั้น แล้วก็วิ่งหนีมา มึงลองทายดูไหมว่าสองคนนั้นคือใคร”

“…พ่อกับแม่ของมึง”

“มึงเดาถูก แต่ตอนนั้นกูยังไม่รู้ รู้แค่ว่าพวกเขาน่ากลัว และใจกูกำลังร้องเรียกหาคนที่คุ้นเคยที่สุด หาทาจังก็ไม่ได้ ลุงนิกก็ไม่อยู่ กูเลยขังตัวเองอยู่ในห้อง ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มที่ยังพอมีกลิ่นของลุงนิกเหลืออยู่จนใจเริ่มสงบลง…”

ผมกลืนน้ำลาย แล้วเล่าต่อ

“เขาว่าสัญชาตญาณเด็กดี คงจะจริงล่ะมั้ง หลังจากนั้นกูมักจะซ่อนตัวจากพวกเขาบ่อยๆ มันเป็นความกลัวในใจจิตที่อธิบายไม่ได้ แต่ปู่กับย่ากลับเข้าใจผิดคิดว่ากูเล่นซ่อนแอบกับพวกเขา นอกจากช่วยกันตามหาตัวกูแล้ว ยังพยายามให้กูอยู่กับพวกเขามาก พวกเขาเองก็กระตือรือร้นที่อยากจะอยู่กับกู สภาพจิตใจของกูเลยแย่ลงไปอีก กว่าพวกปู่ย่าจะรู้ตัว กูก็ยิ้มไม่ออกแล้ว และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ลุงนิกโดนตามตัวกลับบ้านแบบจริงจัง”

ผมชี้นิ้วไปที่แสงสีเขียวดวงตรงทะเล

“ยามเจอลุงนิก ในใจกูเหมือนแสงสีเขียวดวงเล็กๆ ตรงนั้น กูเกาะติดลุงนิกแจ ใครก็ไม่ให้เข้ามาใกล้ พอจิตใจได้รับความผ่อนคลายบ้างกูก็ป่วยทันที ไข้ขึ้นสูงอยู่หลายวัน เมื่อได้สติก็ไม่เห็นลุงนิกแล้ว ความรู้สึกเหมือนโดนทิ้งอีกหน พอกูร้องหาลุงนิก ปู่ย่าก็เล่าให้ฟังว่ากูเพ้อเรียกหาทาจังตลอด ลุงนิกเลยกำลังไปพาตัวมา”

ผมยิ้มออกมา

“ทันทีที่ได้ยิน กูดีใจมาก เกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้งทำให้มีกำลังใจสู้จนหายป่วย กูเฝ้ารอวันแล้ววันเล่าด้วยความหวังว่า ครอบครัวของตัวเองจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง พวกปู่เห็นกูตั้งหน้าตั้งตารอเลยถามว่าทาจังเป็นใคร มึงคิดว่ากูตอบไปว่าอะไร”

“…ไม่รู้สิ”

ผมหันไปมองพาร์

“มึงรู้ เพราะกูบอกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าทาจังคือแม่ การตอบคำถามนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ กูโดนบอกปฏิเสธว่าทาจังไม่ใช่แม่ ลุงนิกก็ไม่ใช่พ่อ พ่อกับแม่ที่แท้จริงคือสองคนตรงหน้า คนที่กูกลัวมาตลอด ยามนั้นกูเลยแผดเสียปฏิเสธไม่ยอมรับ แล้ววิ่งหนีมาร้องไห้ในห้องลุงนิก หลังจากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ถึงหิวก็ไม่ยอมออกมา จนปู่ต้องให้คนมางัดห้องเอากูออกมาบังคับให้กินข้าว ที่จริงกูคิดเรื่องหนีออกจากบ้านนะ แต่แค่ออกจากประตูบ้าน กูก็ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จักที่ไหนเลย แล้วก็ยังมีความหวังว่าลุงนิกจะพาทาจังมา กูเลยยอมทนอยู่รอ”

ผมหัวเราะในคอ

“ช่วงนั้นที่บ้านคือสงครามเย็น กูไม่พูดกับใครเลย ปู่กับย่าก็รักษาระยะห่าง พ่อกับแม่กูก็ไม่กล้ามาหา หลังกูต่อต้านด้วยการอดข้าวประท้วง ช่วงเวลานี้ดำเนินไปจนกระทั่งลุงนิกกลับมา แต่ไม่มีทาจัง กูอยากอาละวาด แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมา ลุงพยายามปลอบ บอกว่าทาจังมาไม่ได้ แต่อนาคตถ้ามาหาได้ก็จะมา กูผิดหวังมาก มากจนพูดออกไปว่าอยากกลับบ้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว แต่มันก็แค่คำพูดของเด็กที่กำลังงอแง สุดท้ายกูก็ต้องอยู่ที่นั่นต่อ”

“ช่วงนั้นกูไม่เอาใครเลย นอกจากลุงนิก ไม่ปล่อยลุงนิกห่างตัว ถ้าลุงนิกจะไปก็ต้องพากูไปด้วย เลยลำบากลุงนิกต้องเปลี่ยนพฤติกรรม เอางานมาทำที่บ้านแทน คนอื่นพยายามหาวิธีมาหลอกล่อกูสารพัด แต่ก็ไร้ผล สุดท้ายก็กลายเป็นลุงนิกที่หลอกล่อให้กูอารมณ์ดีขึ้นด้วยเรื่องพาไปเที่ยว มึงคิดว่าได้ผลไหม?”

“…ได้”

“เราช่วยกันวางโปรแกรมว่าจะไปทำอะไรบ้าง ลุงนิกให้กูเลือกสถานที่อยากไปเอง กูเลยเลือกสวนสัตว์ เพราะเมื่อก่อนทาจังกับลุงนิกเคยพาไป และตั้งแต่มาไทยกูยังไม่เคยได้ออกไปเที่ยวที่ไหนกับลุงนิก กูเลยตื่นเต้นมาก เฝ้านับวันรอวันเที่ยวให้มาถึงเร็วๆ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้...คนที่พากูไปไม่ใช่ลุงนิก แต่เป็นคนที่ปู่ย่าบอกว่าเป็นพ่อแม่ของกู”

ผมหัวเราะเสียงขื่น แม้ผ่านมานานมากก็ยังจดจำความรู้สึกตอนนั้นได้

“ความรู้สึกของกูตอนนั้นก็คงเหมือนทะเลสีดำสนิทตรงหน้านี่ล่ะมั้ง พวกดวงแสงที่มีน้อยนิดก็พึ่งแหลกสลายไปหยกๆ กูร้องไม่ไป แต่กลับโดนลุงนิกต่อว่า แล้วสุดท้ายก็โดนจับขึ้นรถมา มึงน่าจะเดาบรรยากาศบนรถออก มีแต่ความอึดอัด สาเหตุก็คงเป็นกูนี่แหละ พวกเขาถามอะไรมากูก็เอาแต่นิ่งเงียบ ตลอดเวลาที่อยู่ในสวนสัตว์พวกเขาพยายามเอาอกเอาใจสารพัด แต่กูก็ไม่ตอบสนอง เรื่องเริ่มเลวร้ายลงอีกเมื่อความอดทนของผู้ใหญ่มาถึงขีดสุด กูโดนแม่ตวาดใส่”

เม้มปากครู่หนึ่ง แล้วเล่าต่อ

“…มาพูดตอนนี้ก็ยังไงอยู่ แต่แม่ในตอนนั้นน่าเห็นใจนะ พฤติกรรมของกูคงทำพ่อกับแม่เสียใจมาก ตอนนั้นกูไม่ได้คิดเรื่องนี้หรอก หมุนตัววิ่งหนีมาดื้อๆ ไม่ได้คิดด้วยว่าจะทำให้พ่อกับแม่เดือดร้อน หรือทำตัวเองมีภัย ความคิดในตอนนั้นคือไม่อยากกลับ ที่นั่นไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ครอบครัว แล้วก็ร้องไห้

เดินไปร้องไห้ไปจนมีคนมาทักว่าหลงทางเหรอ พาไปส่งผู้ปกครองไหม ตอนนั้นกูกลัวผู้ใหญ่มาก เลยสะบัดมือคนพวกนั้นออก แล้ววิ่งหนีอีก วิ่งๆๆ จนหมดแรง…สุดท้ายก็มานั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ เพราะไม่รู้จะไปที่ไหน แล้วกูก็เจอมึงตรงนั้น”

ผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วสบหน้ากับเข่า

“นี่คือสาเหตุที่กูร้องไห้วันนั้น”

“...กูขอกอดมึงได้ไหม”

ผมนิ่งไปนิด แต่ก็พยักหน้า พาร์ดึงตัวผมให้หันไป มันเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหารวบตัวผมไปกอดซะแน่น ถึงจะอึดอัดไปหน่อย แต่อ้อมกอดอุ่นๆ ก็ไม่ได้เลวร้าย มันทำให้ใจผมสงบลง

“กูขอโทษ”

ผมงง “มาขอโทษกูทำไม?”

“ที่ถาม” 

ผมร้องอ้อในใจ คิดไปคิดมาก็เอ่ยบอก “…กูไม่ได้อยากได้คำขอโทษ แต่อยากได้คำอื่น”

“คำอื่น?”

“อือ”

ผมโดนพาร์ผลักออกห่างเล็กน้อย มันจ้องผมนิ่ง เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรแน่นอน ข้างมึงมีกูเสมอ”

น้ำตาแทบจะร่วง ไม่ใช่เพราะความเสียใจ แต่เป็นความอุ่นใจประหลาดที่เคยได้สัมผัสมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน

“มึงนี่ปลอบคนไม่เป็นชัดๆ” 

“คำปลอบกูมันแย่ขนาดนั้น?”

“เปล่า”

ตรงข้ามต่างหาก

“คำปลอบของมึงไม่มีการพัฒนาเลยวะ”

ผมผละออกห่าง เบือนหน้ามองท้องทะเล ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือน้ำ ทอแสงอบอุ่นอ่อนโยน…เหมือนคนข้างๆ ไม่มีผิด

แสงที่ดับไปจนหมดในวันนั้น มันเป็นคนจุดขึ้นมาให้ใหม่ เพราะงั้นผมถึง…

“มึงร้องไห้!”

ผมรีบยกมือขยี้ตา “ไม่ได้ร้อง อะไรไม่รู้เข้าตา”

“อย่าขยี้สิ ขอกูดูหน่อย ข้างไหน”

“ขวามั้ง”

“ทำไมมีมั้ง นี่มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้ร้องไห้”

“แน่ กูเคืองตาขวาอยู่เนี่ย” ตอบพลางมองคนตรงหน้าที่กำลังขมวดคิ้ว

“ก้มมาดิ เดี๋ยวกูลองใช้เสื้อเขี่ยออกให้”

ผมทำตามอย่าว่าง่าย “ขอบคุณวะ”

“มึงค่อยบอกหลังหายเคืองตาดีกว่า”

ผมเพียงแค่ยิ้มให้กับคำพูดมัน

ขอบคุณ…ที่วันนั้นเราได้เจอกันต่างหาก 

-------------
 
“เป็นอะไรวะที ตาแดงๆ”

“อะไรไม่รู้เข้าตา” ผมตอบยำยำแบบส่งๆ โปรดอย่าถามมาก กูขี้เกียจคิดหาคำมาตอบมึง

รอบวงมื้อเช้าของกลุ่มผม (นั่งกับพื้นทรายนี่แหละ) คือขนมปังอบแห้งกับนมกล่องรสจืดที่ซื้อฝากซื้อเพิ่มเมื่อวาน อันที่จริงเราซื้อมาหลายอย่าง เดี๋ยวหาทำเลปักหลักอยู่ยาวตลอดห้าวันได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

“พี่สงสัย ถ้าอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา ต้องยังไง?”

ทั้งกลุ่มมองพี่ภู ยำเอ่ยถามทันที “หมายถึงหนักหรือเบาล่ะ”

“ทั้งสองอย่าง”

“ง่าย ถ่ายหนักก็ขุดหลุมเอา ถ่ายเบาก็หันหน้าหาทะเล อย่ามายิงบนบก มันเหม็น”

ผมกลั้นขำยามเห็นสีหน้าแปรเปลี่ยนของพี่ภูกับพาร์ ถ้าทำตามที่ยำบอกจริงๆ น่ากลัวว่าคราวหน้าสองคนนี้คงโบกมือขอบายไม่ยอมตามพวกผมมาเที่ยวแล้วแหงๆ แต่ถ้าโดนปล่อยเกาะของจริงก็คงเรื่องมากไม่ได้หรอก แต่นี่เรามีเวลาเตรียมตัว ถ้าไม่เตรียมพร้อมไว้บ้างคงแย่

ผมมองเห็นหัวหน้าอีกทีมเดินมาหา

“เอานี่ของพวกมึง แรกกับอาหารหกมื้อ” เทมโยนกระดาษลังแบนๆ ให้พวกผม

อย่าดูถูกนะครับ เพราะมันคือสุขากระดาษ

“ใครทำ?” ผมถามเป็นหลักประกันว่าระหว่างนั่งทำธุระส่วนตัว จะไม่มีเหตุการณ์กล่องกระดาษยุบลงมาให้เจ็บตัว

“กูเนี่ยแหละ ทั้งทำทั้งแบกมาให้พวกมึง”

ถ้าเป็นฝีมือเทม หายห่วงครับ

“วิธีประกอบก็เหมือนเดิม จำไม่ได้คิดค่าสอน และอย่าลืมข้าวหกมื้อ” เทมพูดย้ำทิ้งท้าย ก่อนเดินกลับไปกลุ่มตัวเอง

ผมรีบตะโกนไล่หลังเพื่อน “ของมึงคนเดียวนะ! ลูกทีมมึงไม่เกี่ยว!”

ไวไวตะโกนกลับมาทันที “งกวะ!! กูเป็นลูกทีมมึงมาตลอดนะ!”

ผมลอยหน้าลอยตาตอบกลับไป “แต่ตอนนี้ไม่ใช่ และงานนี้ไม่มีฟรีโว้ย!”

“ถ้ากูหาของดีเจอ อย่ามาง้อ”

“มึงก็เหมือนกัน”

“หยุดเลยทั้งคู่ คนที่ต้องประกาศศึกคือหัวหน้าทีมต่างหาก” เทมพูดอย่างไม่สบอารมณ์หลังโดนแย่งซีน

“ก็มึงชักช้า”

“แล้วมึงจะรีบไปไหน”

เอาแล้วครับ เทมกับไวไวเริ่มเปิดศึกกันแล้ว ผมฉวยโอกาสนี้บอกลูกทีม

“หมดห่วงเรื่องห้องน้ำแล้วก็...”

“เดี๋ยว...ไอ้กล่องแบนๆ นั่นจะช่วยอะไรได้?”

“อย่าดูถูกนะพี่ พอประกอบให้เข้าที่มันก็เหมือนเก้าอี้มีรูกลวงใหญ่ตรงกลาง เราจะใส่ถุงขยะไว้ในนั้น พับปากถุงมาคลุมด้านนอก จะถ่ายหนักพี่ก็พกทิชชูไปนั่ง ถ่ายเบาพี่ก็ยิงใส่มัน...หรือพี่สะดวกใจอยากขุดหลุมมากกว่า?”

“ไม่ๆ แบบนี้ดีกว่า”

ผมพยักหน้าทั้งที่ในใจแอบขำ ก่อนกวาดตามองอีกสองคน “มีใครจะถามอะไรอีกไหม?”

คนถูกมองส่ายหน้า

“งั้นรีบกินเถอะ วันนี้มีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะ ออกตัวก่อนอีกทีมได้ยิ่งดี”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-01-2017 12:21:36
ดีงามน้อออ ซึ้งอะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-01-2017 16:44:08
ทีตอนเด็กน่าสงสาร โดยเฉพาะลุงนิกกับทาจัง :mew6: :mew6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-01-2017 19:00:28
ได้รู้อดีตที มีพาร์ อยู่ด้วยช่วงท้ายๆ
การที่ญาติกันเอาเด็กเล็กไปเลี้ยง
แล้วมีการเอาเด็กคืน เอาเด็กกลับ
เพราะญาติผู้ใหญ่ไม่แน่นอน ทำให้เด็กสับสน
เพราะเด็กผูกพันไปแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 20-01-2017 21:04:34
ทีตอนเด็กน่าสงสารนะ ถูกพรากจากคนที่คุ้นเคย คงฝังใจแน่ๆ แต่ดีที่โตมาได้อย่างเข้มแข็งนะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-01-2017 21:10:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 20-01-2017 21:36:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 21-01-2017 00:38:23
สงสารตอนเด็กมาก ลองๆมานั่งคิดดูถ้าเราเจอเเบบนั้นก็คงไม่ต่างกัน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-01-2017 01:24:20
ชีวิตตอนเด็กของทีน่าสงสารมากเลย  จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 21-01-2017 09:02:02
ทีหวั่นไหวสินะ ๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 25-01-2017 13:54:24
โอ๊ยยย เด็กน้อยคนนึงต้องเจอเรื่องหนักมาก แต่ก็โทษใครไม่ได้เลย

ทุกคนมีเหตุผลทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนั้นทียังเด็กมาก เกินกว่าจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 25-01-2017 18:02:48
บทที่ 41

เกมเอาตัวรอดคราวนี้ ถ้าให้ระบุชัดเจนลงไปอีกก็...

สำรวจพื้นที่ ค้นหาสมบัติ และแย่งชิงสมบัติที่ว่า

สมบัติที่พูดถึงไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นสิ่งของมีประโยชน์สำหรับเอาตัวรอด และบางสิ่งยังสามารถเพิ่มพูนความพึงพอใจได้ อย่างเช่น...

“ขวดเกลือใช่มะ?”

ผมหยิบของที่ยำหามาได้มาพลิกไปมา ก่อนเปิดฝาออกมาดมขวดที่ไม่มีฉลากอะไรบอกเลย เมื่อไม่แน่ใจก็เทออกมาบนฝ่ามือนิดหน่อย ลองใช้ลิ้นแตะดู…เค็ม

“เกลือ”

“มีนี่ด้วย พริกไทยใช่ปะ? กูเจอมันซ่อนอยู่ใกล้ๆ กัน”

ผมปิดฝาวางขวดเกลือลง รับขวดใหม่มาพลิกดูไปมา แล้วลองดมกลิ่น “พริกไทยดำวะ”

“เจ๋ง! ได้กินอาหารแบบมีรสชาติแล้ว”

“เครื่องครัวยังไม่มีเลยเหอะ”

ผมถอนหายใจ ชุดครัวสนามดันเป็นหนึ่งรายการถูกห้ามเอามา คนต้องทำอาหารอย่างผมเลยเซ็งมาก

“เดี๋ยวกูไปหามาให้!” ยำพูดจบก็วิ่งออกไปทันที สีหน้าดูร่าเริงสุดๆ 

ผมมองเพื่อนอย่างอิจฉาหน่อยๆ อยากไปวิ่งตามหาของด้วยจะแย่ ติดแต่...มองผ้ายืดพันข้อเท้าก็ถอนหายใจออกมา ก็เดินได้อยู่แท้ๆ แต่ลูกทีมสามคนพร้อมใจกันให้ผมเฝ้าของ มอบหมายงานถอดรหัสให้ทำฆ่าเวลา 

ผมเลยนั่งมานั่งบนผ้าใบอเนกประสงค์อยู่โยงเฝ้าเต็นท์ มีกองกระดาษเครื่องบินรายรอบตัว แต่ละแผ่นมีกอ้นหินวางทับไว้กันปลิว ในหนึ่งแผ่นจะมีมีรหัสลับสิ่งของสามอย่าง พวกผมเลยต้องไปคว้านหาเก็บกลับมาให้ได้มากที่สุดแข่งกับอีกทีมหนึ่ง

หยิบกระดาษหนึ่งใบที่วางตรงหน้าขึ้นมา ตัวรหัสจะเป็นรูปภาพต่างๆ ของคน สัตว์ หรือสิ่งของ ผมต้องถอดมันเป็นประโยคข้อความออกมา และตอนนี้ผมคิดว่ารู้แล้วหนึ่ง หยุดสายตาที่รูปเครื่องยนต์กับกับขันใส่น้ำลอยดอกไม้ที่ไม่มีความเข้ากันเลยสักนิด ไล่สายตาดูข้อความที่ตัวเองขีดเขียนไว้ก็ถอนหายใจออกมาช้าๆ

...เพราะไม่มีเฉียดเลยสักนิด

ผมตวัดปากตาจดข้อความลงแผ่นใหม่เงียบๆ เครื่อง-ปรุง แล้ววงกลมล้อมข้อความไว้

เข้าใจคิดวะ เอารูป ‘เครื่องยนต์’ กับ  ‘ขันใส่น้ำอบน้ำปรุง’ มาใช้เป็นคำใบ้ ถ้าไม่เห็นขวดเกลือกับพริกไทย ผมคงไม่รู้คำตอบไปอีกนาน

“ทีๆ กูเจอนี่!”

กลับมาไวเป็นบ้า!

ยำคงเป็นคนเดียวที่หาของเจอปุ๊บ เอามาให้ผมปั๊บ อีกสองคนยังเงียบหาย

ของชิ้นที่สองใส่ถุงมาอย่างดี ถ่านไฟฉาย AAA 3 คู่ (6 ก้อน) ดีครับ ปากกาไฟฉายกลุ่มผมมีถ่านให้เปลี่ยนแล้ว ผมมองยำวิ่งไปอีกครั้ง ได้แต่ตะโกนไล่หลัง

“รวบรวมให้ได้หลายอย่างก่อน! ค่อยกลับมาหากูก็ได้นะโว้ย!!”

ผมหันมาสนใจรหัสต่อมา...

ศันศรธนู นักมวยชกกันบนสังเวียน แอร์แบบตัวการ์ตูนพ่นลม

มันคืออะไรวะ?

ผ่านไปชั่วโมงกว่า พาร์เดินพาดเสื้อกับบ่า กางเกงยังมีน้ำหยดอยู่เลย

“มึงไปทำอะไรมาเนี่ย?! ลงทะเลเรอะ!”

“เปล่า กูไปเจอน้ำตกเข้า” พาร์ส่งถุงสีขาวขุ่นใบใหญ่ให้ผม ด้านนอกถุงยังเปียกอยู่เลย

“มึงดำน้ำไปเอามา?”

“อือ กูลองเปิดดูแล้ว เป็นของที่มึงต้องการพอดี”

รับมาเปิดปากถุงดูด้วยความสนใจ

เฮ้ย! ชุดครัวสนามครับ!!

ผมฉีกยิ้มอย่างดีใจมาก ลุกขึ้นหอมแก้มขอบคุณคนเอามาให้ แล้วเดินไปใส่รองเท้า ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี พลางมองหาที่จุดก่อกองไฟทำอาหารกลางวัน ต้องตั้งห่างจากเต็นท์หน่อย ไม่งั้นสะเก็ดไฟอาจกระเด็นไปโดน ถ้าหาเตาปิกนิกเจอเมื่อไหร่คงสะดวกกว่านี้

ได้จุดที่ต้องการผมก็ร้องเรียกขอความช่วยเหลือ

“พาร์ มึงหาก้อนหินใหญ่ๆ ให้หน่อย กูขอหลายๆ ก้อน...”

ไม่มีเสียงตอบรับ ผมหันไปมอง เห็นคนยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งก็เลิกคิ้วใส่ด้วยความประหลาดใจ

“เป็นอะไรวะ?...พาร์?...พาร์!!”

คนโดนเรียกสะดุ้งโหยง “ก...กูไปหาของต่อนะ”

“เฮ้ย! เดี๋ยว! ช่วยหาก้อนหินมาใช้เป็นฐานก่อไฟให้กูก่อน!!”

-------------

เลยเที่ยงครึ่งมาไม่เท่าไหร่พี่ภูก็มอมแมมกลับมาพร้อมถังน้ำสีแดง ผมจ้องรอยบาทาของใครไม่รู้ต้องอกเสื้อพี่ภูครู่หนึ่ง แล้วเลื่อนสายตามองเป็นเชิงถาม

“พี่ไปแย่งของสดมากับทีมโน้นมา”

ถังสีแดงถูกวางกลางวงประกาศถึงชัยชนะ ผมกับยำชะโงกหน้าไปดูก็พบไข่ไก่สี่ฟองวางอยู่บนฟาง

เอิ่ม มันก็ดู...สดจริงๆ นั่นแหละ

“...มันจะฟักเป็นตัวไหม?”

 ผมกับพี่ภูมองหน้ากัน...ไม่มีใครตอบคำถามยำสักคน

ด้วยความที่ของกินหายาก สุดท้ายไข่ทั้งสี่ใบก็ลงไปอยู่ในหม้อต้ม ยำถึงกับหนีไปนั่งซะห่าง แถมทำหน้าปุเลี่ยนๆ ไม่พอ ยังมองผมเหมือนเป็นพวกทารุณสัตว์ปีก ผมเข้าใจ เพราะตอนจะหย่อนไข่ลงไปต้ม ผมก็ลังเลน่าดูเหมือนกัน

จนไข่เกือบสุกพาร์ที่หายไปหาของอีกรอบก็กลับมาพร้อมข้าวโพดกระป๋องแบบที่ยังเป็นเมล็ด

“กูเจอไอ้นี่...หือ มีไข่ให้ต้มด้วย?”

“ของสดวันนี้ พี่ภูไปชิงมา”

“อ้อ”

ผมต้มจนแน่ใจว่าไข่สุกอย่างหัวถึงแน่ๆ ก็คีบมันออกมาวางผึ่งให้เย็น ล้างหม้อรอบหนึ่งก็เตรียมทำซุปข้าวโพด ผมเทน้ำดื่มลงไปก่อน ตามด้วยข้าวโพดกระป๋อง

กระป๋องข้าวโพดเป็นแบบใช้มือดึงเปิดครับ ผมจัดการดึงฝาออกมาอย่างระมัดระวัง ถ้าตัวดึงหักขึ้นมาคงเป็นเรื่อง เพราะเราไม่มีที่เปิดกระป่อง เปิดได้แล้วก็เทมันลงหม้อ ปล่อยให้ต้มจนเนื้อข้าวโพดเละกว่านี้ ผมถึงแกะนมกล่องที่ซื้อจากฝั่งเทลงไป ปรุงรสด้วยเหลือกับพริกไทย ความจริงควรใส่หัวหอมกับเครื่องปรุงอีกสองสามอย่าง แต่มันไม่มีก็กินทั้งแบบนี้แหละ

นอกจากนมกับน้ำดื่มแล้ว ทีมเรามีขนมปังแถว บะหมี่สำเร็จรูปด้วย และอาหารกระป๋องอีกเล็กน้อย ช่วยๆ กันขนมา มื้อนี้กินซุปข้าวโพดคู่กับขนมปัง ส่วนไข่ต้มโรยเกลือกับพริกไทยที่พึ่งได้มาก็น่าไหว

แจกถ้วยซุปกับขนมปังเรียบร้อย ก็ได้เวลาปอกเปลือกไข่ไก่ ระหว่างที่คนอื่นลังเลกลัวเจอลูกไก่ต้มสุก พาร์เป็นคนแรกที่แกะเสร็จเรียบร้อย จิ้มเกลือกับพริกไทยในจานแบ่งตรงหน้า กัดเข้าปากให้พวกผมกลืนน้ำลายเฮือก กลัวมันกัดไปเจอลูกไก่

พาร์กัดไข่ค้าง กวาดตามองพวกผมไปมา  มือรีบดึงไข่ขาดครึ่งออกจากปาก มองไข่ในมือสลับกับพวกผม “...ไข่ต้มมีปัญหาอะไรเหรอ?”

“ไม่มี!”

เราสามคนประสานเสียง สบายใจขึ้นทันทีที่เห็นว่ามันเป็นไข่ต้มธรรมดา แต่พาร์ไม่กล้ากินก่อน ถือรอพวกผมแกะเปลือกเอาเข้าปากแล้วนั่นแหละ ถึงได้ยอมกินต่อ

 หลังทานเข้าเรียบร้อยก็ได้เวลาประชุมของทีม

“ย้ายเต็นท์กันอีกรอบไหม ไปใกล้แหล่งน้ำจืดหน่อย น่าจะสะดวกกว่า” ผมเปิดประเด็น

เวลาเดินตักน้ำจืดมาใช้จะได้ไม่ต้องเดินไปกลับไกลนัก

“ไม่เหมาะ” พาร์แย้ง “แถวน้ำตกมีหินกับรากไม้เยอะ แต่ถ้าเป็นรอบนอกหน่อยก็น่าจะได้”

“พี่ขอไปสำรวจสถานที่ก่อนแล้วกัน ถ้าเจอทำเลดีๆ ค่อยย้ายก็ได้”   

ไม่มีใครค้าน พี่ภูเลยลากพาร์ไปช่วยนำทาง หายไปเกือบชั่วโมง ทั้งคู่ก็กลับมาพร้อมข้อมูลน่าสนใจ

“พี่เจอลำธารอยู่ เราตักน้ำจากตรงนั้นมาใช้งานสะดวกกว่าไปแถวแอ่งน้ำตก ละแวกลำธารเป็นพื้นทราย พี่ดูแล้วไม่มีทั้งหินทั้งกรวดปนอยู่ในทรายเลย ไปตั้งเต็นท์แถวนั้นก็ดี ร่มรื่นดีด้วย” 

ทีมผมเลยโยกย้ายกันอีกครั้ง หลังเมื่อเช้าโยกมาแล้วทีหนึ่ง 

สถานที่พักใหม่ร่มรื่นกว่าจุดเดิมมาก อากาศเย็นกว่าด้วย แต่ผมกับยำเดาว่ากลางคืนแถวนี้ยุงน่าจะเยอะ ตราบใดที่ยังหาขวดยาทากันยุงไม่เจอ หนีเข้าเต็นท์ก่อนฟ้ามืดดีที่สุด ช่วงกันกางเต็นท์เรียบร้อย ผมก็ทำท่าจะไปตักน้ำ แต่โดนพาร์แยกไปตักให้ก่อน

“เอานี่”

“ขอบใจ”

วันแรกเป็นไปอย่างราบรื่นดี ไม่ชินก็เรื่องต้องเข้าที่พักก่อนฟ้ามืด แล้วไม่มีอะไรให้ทำ จะนอนก็หลับไปไม่ลง เลยเอารหัสมาช่วยคิดกับพาร์แก้เบื่อ ผ่านไปชั่วโมงกว่าก็เริ่มมีเสียงแปลกๆ

...หูฝาดมั้ง

“อ๊ะ...อา”

ไม่ฝาดแล้ว ชัดเจนระดับนี้จากเต็นท์ข้างๆ แหง ผมหันสบตากับพาร์ ก่อนต่างฝ่ายต่างเบือนหน้าหนี เริ่มกลิ้งออกห่าง ปล่อยช่องว่างไว้ตรงกลางระหว่างเรา

“...พรุ่งนี้ขยับเต็นท์ทิ้งระยะห่างหน่อยน่าจะดี”

ผมฟังที่พาร์งึมงำก็จับกระดาษรหัสพลิกคว่ำ วาดรูปสามเหลี่ยมแทนเต็นท์วางอยู่ตรงข้าม เว้นตรงกลางไว้ให้ถือเป็นพื้นที่กิจกรรมของทีมเลื่อนส่งให้พาร์ที่ช่วยคิดคำตอบรหัสอีกแผ่นอยู่ข้างๆ ดู

“แบบนี้ก็ดี...ห่างกว่านี้ได้ยิ่งดี”

ผมไม่ตอบ คว้าถุงนอนมารูดซิบ แล้วส่งให้พาร์ ก่อนทำให้ตัวเองบ้าง หลังยัดตัวเองลงไปในถุงนอนได้ก็ต่างคนต่างหยิบรหัสมาขบคิดแก้ไขคนละแผ่น

คืนนั้นพวกผมอยู่ด้วยกันท่ามกลางความกระอักกระอวนใจสุดๆ และอยากหาอะไรมาปิดหูมาก

พี่ภูนะพี่ภู ทำอะไรก็น่าจะเกรงใจเพื่อนร่วมทีมที่อยู่เต็นท์ข้างๆ หน่อย แล้วพรุ่งนี้ยำจะวิ่งเต้นไหวไหมเนี่ย

-------------

เมื่อแหล่งค้นหาของขยายกว้างขึ้น การปะทะกับอีกทีมจึงเป็นเรื่องธรรมดา และไฮไลท์ ประจำวันของสดตอนเที่ยงวัน ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมักไปมุงดูกันทุกคนด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าจะเป็นอะไร

วันแรกไข่ไก่ วันที่สองปลาครับ...ไปจับปลาเป็นๆ ในสระเป่าลมตรงชายหาด มีป้ายปักบอกกติกาเรียบร้อย

‘สระนี้รับคนได้แค่สอง แต่ละทีมส่งตัวแทนลงจับหนึ่งคน นับเป็นหนึ่งรอบละสิบนาที ครบสี่คนแล้วจะมีรอบพิเศษให้คนเก่งสุดในทีมลงไปจับเป็นครั้งสุดท้าย ป.ล.อย่าลืมหาของมาใส่ปลา และห้ามเอาไปไว้ในสระ มากสุดคือชิดขอบรอบนอก’

พี่ภูเลยต้องวิ่งกลับเอาถังน้ำ ส่วนอีกทีม...เอาตะกร้าสานแบบที่พวกแม่บ้านใช้จ่ายไปตลาดสดมา

ทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่พวกผมแปดคนก็มองปลาแหวกว่ายในน้ำตาปริบๆ

“...กล้าลงไปจับอยู่หรอก แต่ใครจะกล้าฆ่ามันทำอาหาร?”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเทม ปกติซื้อมาทำกับข้าว มันก็ไม่มีชีวิตแล้ว หรือถ้าซื้อแบบยังมี...ก็มีคนช่วยฆ่าให้ แต่นี่ถ้าต้องลงมือเอง ผมกลืนน้ำลายลงคอ

“งานนี้ไอ้วินโหดวะ” ยำพูดเสียงแผ่ว

“ถ้าหลงเกาะจริงก็ต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อปะทังความหิวล่ะมั้ง” พี่ใหญ่ของกลุ่มพูดขึ้นมา

พวกผมหันมองกาย ก่อนมองเจ้าปลาหลายสิบตัวในน้ำ หลายท้องเริ่มส่งเสียงร้องโครกคราก

“เอาวะ คิดซะว่าเป็นปลาย่างว่ายน้ำได้!” เทมตัดสินใจ ถอดรองเท้าลุยลงไปคนแรก ลงไปไม่นานก็ส่งเสียงอุทาน “เฮ้ย! ปลาตอดขากู!!” 

พวกผมเริ่มส่งเสียงหัวเราะ ความตึงเครียดเริ่มจางลง เมื่อหัวหน้าทีมนู้นลงประเดิม ผมลงต้องลงตามอย่างกล้าๆ กลัวๆ แค่เท้าลงน้ำก็สะดุ้งโหยง

ปลาตอดขาจริงๆ ด้วยครับ

“จะเริ่มจับเวลาแล้วนะ” เสียงไวตะโกนบอก “สาม สอง หนึ่ง เริ่มได้!”

มหกรรมจับปลาตัวลื่นๆ ด้วยสองมือเปล่าจึงเริ่มขึ้น จับโดนตัวได้อยู่ แต่มันสะบัดตัวปุ๊บไหลหลุดจากมือปั๊บ แค่ไม่ถึงนาทีเทมก็เริ่มบ่น

“ปลาอะไรลื่นได้ลื่นดีอย่างกับปลาไหล”

“ปลาไหลบ้านมึง นี่มันปลาช่อน!”

ประสานเสียงกันตอบเลยครับ เทมทำหน้าหน่ายใส่พวกผม

“กูแค่เปรียบเทียบ! เอาตะกร้ามาใกล้ๆ ขอบดิ”   

เสียงตะโกนของเทมทำให้ทีมผมได้สติ รีบเอาถังมายืนรอรับอยู่ หมดเวลาในถังน้ำก็มีปลาสองตัวแหวกว่ายเล่น  ส่วนทีมนู้นกำลังมุงดูปลาตัวหนึ่งกระโดดในตะกร้าไร้น้ำ ก่อนพร้อมใจกันพนมมือ งึมงำเพียงประโยคเดียวตามๆ กัน

“อโหสิให้ด้วย”

กว่าจะหมดเวลากิจกรรม ทีมผมก็ได้ปลามาเก้าตัว ทีมโน้นได้สิบเอ็ด รู้ผลแพ้ชนะ และได้ของกินแล้วก็แยกย้ายกลับถิ่น มาถึงเรื่องน่ากลุ้มใจคือ...

“ใครจะเป็นคน เอ่อ ทำปลา?”

“มึงไง”

ประสานเสียงมากเพื่อนร่วมทีม ผมเลยส่งถังให้พี่ภูอีกต่อ

“พี่ใจร้าย เอ้ย ใจแข็งที่สุดในกลุ่ม ช่วยเอาไปจัดการให้ผมหน่อย”

พี่ภูมองหน้าผมสลับกับปลาในถังไปมา “...จะให้พี่จัดการยังไง?”

มื้อนั่นกว่าจะได้กินปลาย่างเกลือก็ล่อไปบ่ายสาม ดีที่ผมกับพี่ภูไปทำปลาไกลจากที่พัก ไม่งั้นแถวเต็นท์เหม็นคาวแย่ กินเสร็จก็ได้เวลาอาบน้ำ ไม่อาบคงไม่ไหวแล้ว กลิ่นคาวปลาติดตัว ทั้งพาร์ทั้งพี่ภูพร้อมใจกันลากผมกับยำแยกไปอาบน้ำอีกทาง แว่วเสียงยำโวยวายใส่พี่ภูไกลออกไปเรื่อยๆ

จุดที่พาร์ลากผมลงอาบน้ำทั้งเสื้อผ้า ระดับน้ำลึกประมาณเอว น้ำทั้งใสทั้งเย็น เวลาลมพัดมาแอบหนาวนิดหน่อย ล้างตัวทั้งเสื้อสักพักหนึ่ง ผมก็ก็เริ่มถอดออกมาขยี้ให้สะอาดกว่านี้ ระหว่างกำลังบิดน้ำออกจากเสื้อกับกางเกง ผมก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้อง พอหันไปถึงกลับผงะ

ไอ้แววตาอยากเขมือบกันนั้นคืออะไร!

“มึงยังไม่อิ่มอีกเรอะ?”

“...อิ่ม แต่กูขาดของหวานมาสองวันแล้ว”

“ทนอีกสามวัน มึงน่าจะได้กิน” ผมคิดว่างั้นนะ

แต่ทำไมคนฟังถึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แถมยังหันหลัง พูดไล่ให้ผมไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย

ผมดำน้ำล้างหัวล้างตัวอยู่ครู่หนึ่งถึงขึ้นฝังไปหยิบผ้ามาเช็ดตัว ก่อนจับมันพันเอวดึงบ็อกเซอร์ออกมา ก็นี่มันกลางแจ้ง หน้าผมยังไม่ด้านพอถอดหมดทุกชิ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จทั้งคู่ถึงพากันเดินกลับที่พัก...ไอ้คนข้างๆ เอาแต่ส่งสายตาคมกริบมากวาดมองกันไม่เลิก จนผมแอบเสียวสันหลัง รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาทันที

 แย่แล้วครับ...พาร์มีปฏิกิริยากับร่างกายผมเข้าแล้ว

-------------

ช่วงของสดวันที่สามเป็นกุ้งทะเลตัวเป็นๆ อยู่ในสระเป่าลมเมื่อวาน แต่ต่างสถานที่

วิธีจับกุ้งคราวนี้คือให้ยืนคีบจากด้านนอกด้วยตะเกียบขนาดเท่าไม้สนุ๊ก แต่กุ้งน่ะตัวไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นสักหน่อย

“โอ๊ย! มันสรรหาวิธีให้เพื่อนลำบากจริงๆ!”

ไวไวเริ่มโวยแล้ว ก่อนส่งไม้ต่อให้เพื่อนร่วมทีมอย่างหงุดหงิด หลังหมดเวลาไวก็คีบไม่ได้สักตัวเดียว

เพื่อนผมพูดได้ถูกต้อง เพราะผมพยายามจนเหงื่อตกกว่าจะคีบกุ้งด้วยความระมัดระวังไม่ทำมันขาดสองท่อนแบบยำลงถังน้ำได้หนึ่งตัวก็หมดเวลาแล้ว ส่วนคนทำกุ้งชะตาขาดต่อหน้าต่อตากำลังนั่งกอดเข่าให้พี่ภูพูดปลอบอยู่โน้น ผมเลยส่งตะเกียบยักษ์ให้พาร์ก่อน เดี๋ยวให้พี่ภูปิดท้าย เพราะรายนั้นคีบกุ้งได้ตั้งสามตัว

ระหว่างผมยืนลุ้นพาร์จับกุ้ง เหล่าผู้เฝ้ามองที่ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นกลับโผล่มาล้อมรอบพวกผมอย่างรวดเร็ว พวกผมทั้งแปดคนรวมตัวกันทันที มองพวกเขาด้วยความระมัดระวัง

“ต้องการอะไร?” เทมถามเสียงเข้ม

“ขออภัยที่มาขัดจังหวะสนุกสนานครับ” ตัวแทนชายเสื้อดอกสีสันสดใสเดินออกมาพูดคุยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “เนื่องด้วยเหตุผลจำเป็นบางประการ จึงจำเป็นต้องยุติการเล่นสนุกเพียงเท่านี้ รบกวนตามพวกผมมาด้วยครับ ส่วนข้าวของทุกท่าน ทางเราจะเก็บกลับไปส่งให้ทีหลัง”

“จะพาเราไปไหน” กายถามเป็นคนต่อมา

“พาไปหาคุณวินทางด้านหน้าเกาะครับ” นามบัตรถูกยื่นมาให้ เทมคว้าไปพิจารณาดูพักหนึ่ง ก็หันมาพยักหน้าให้พวกผมวางใจ

ทั้งผม และเพื่อนคนอื่นๆ พากันถอนหายใจ ยอมเดินตามพวกเขาไปขึ้นเรือยางติดเครื่องยนต์ที่จอดไว้ริมชายหาด เนื่องจากเรือยางนั่งได้ห้าคน เมื่อรวมคนบังคับหางเสือ พวกผมเลยต้องแยกกัน เพื่อไม่ให้เสียเวลาจึงเลือกนั่งตามทีม เพราะมีสี่คนพอดี ระหว่างเรือวิ่งบนผิวน้ำผมก็เริ่มสอบถามชายเสื้อดอกชบาสีแดงที่คอยคุมหางเสือเรือให้แล่นเหนือผิวน้ำ

“พอจะบอกได้ไหมครับว่าเหตุจำเป็นที่ว่าคืออะไร?”

“แขกของคุณวินครับ ทำให้พวกคุณอาจต้องกลับไปที่โรงแรมบนฝั่งภายในสองสามวันนี้”

“แขก?” ผมกับยำทวนคำพร้อมกัน แล้วหันมองหน้ากันเองด้วยความประหลาดใจ

ถ้ามันเล่นเกมกับพวกผมล่ะก็ไม่มีหรอกที่จะพาแขกคนอื่นมา...จะว่าไป ทุกคนคนคิดเกมต้องมาแจมในฐานะผู้ให้คำใบ้อะไรสักอย่าง ผมไม่เชื่อว่ามันจะมีแค่กิจกรรมของสดตอนเที่ยงหรอก ไม่งั้นมันจะแบ่งเพื่อนเป็นสองทีมทำไม และคำใบ้ที่ผมกับพาร์ถกกันจนถอดความมาได้

เจ้าคันธนู นักมวยบนสังเวียน และแอร์การ์ตูนนั่น มันคือ ปืน – อัด – ลม ครับ!

ตัวคันธนูคืออาวุธใช้สำหรับเล็งยิง พ้องกับสองคำหลัง ผมกับพาร์แน่ใจว่าต้องใช้แน่ๆ เลยพยายามตามหาปืนอัดลมให้เจอ แต่การที่หาไม่เจอมีสอกรณี ไม่ทีมเทมเก็บไปแล้ว ก็ยังไม่ถึงได้เอามาซ่อน ผมคาดเดาต่อว่าวินน่าจะให้พวกผมมาซ้อมเล่นกันก่อนเริ่มแข่งสงครามสายน้ำเทอมสอง

ผมทำหน้าเซ็ง นึกสงสัยว่าใครกันที่มาขัดจังหวะ

“กูว่าแฝดแน่ๆ” ยำพูดออกมา

แฝดเด็กรุ่นเดียวกับน้ำ ลูกพี่ลูกน้องวินอ่ะนะ? ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วยทันที

“แฝดพึ่งกลับไปไม่ถึงปีด้วยซ้ำ”

“ไม่ใช่แฝดแล้วใคร ถึงทำแผนเกมไอ้วินล่มได้”

“ก็เพราะไม่รู้กูถึงได้สงสัยอยู่นี่ไง”

ยำหุบปากทันที ไร้คำถกเถียง หลังจากนั้นต่างคนต่างนั่งมองวิวข้างทาง ส่วนใหญ่ก็มองเกาะมากกว่าน้ำทะเลสุดลูกหูลูกตา

“เฮ้ยๆ มีหมู่บ้านด้วย” ยำพูดอย่างตื่นเต้น

“มันน่าตื่นเต้นขนาดนั่นเลย?” พี่ภูถามงงๆ

ยำทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เมินพี่ภูเอี้ยวคอหันมามองผมที่อยู่ด้านหลัง น้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง “มึงเข้าใจกูใช่ไหม”

ผมหัวเราะ ไม่คิดตอบคำถาม พอดีเรือยางชะลอความเร็วเทียบสะพานไม้ ซึ่งทอดยาวมาจากตัวเกาะ คนบังคับหางเสือกล่าวเชิญพวกผมลงจากเรือ พาร์กับพี่ภูเหยียบขอบเรือยางขึ้นไปบนสะพานไม้ก่อน ผมมองผ้าพันเท้าเล็กน้อย ถ้าเดินเฉยๆ ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว แต่เวลาออกแรงปีนอะไรสักอย่างยังคงเจ็บอยู่บ้าง

“ส่งมือมา”

ผมชะงัก เงยหน้ามองพาร์ที่ยื่นมือมาให้ผมจับเป็นหลัก

“เร็วๆ”

รีบส่งมือให้ทันที พาร์ออกแรงช่วยดึงผมขึ้นมา แววตาคนช่วยค่อนข้างดุ เหมือนด่ากลายๆ ว่า ‘เจ็บแล้วไม่เจียมตัว ดันอยากมาเที่ยวเล่นอีก’ ได้แต่แอบเถียงในใจ อีกนิดเดียวก็หายแล้วโว้ย

“ไงพวกมึง”

หันไปมองก็เห็นวินกำลังยกมือหันข้างตัวให้ผมเห็นพอดี

“ไอ้วิน!!” ประสานเสียงกันดังลั่นไม่เกรงใจลูกน้องพ่อวินเลยครับ

“อ่า รู้สึกคิดผิดที่เดินมาหาวะ งั้นกูขอไม่รอบนฝั่งดีกว่า” พูดไปถอยไป

“เฮ้ย! อย่าหนีนะมึง” เทมชี้หน้าใส่ ออกตัววิ่งตามคนแรก ไวไวเป็นคนต่อมา อีกคนที่พึ่งขึ้นเรือได้ก็ซ่าวิ่งไล่ตามเป็นคนที่สาม พี่ภูได้แต่มองตามหลัง พ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง

“ลูกแมวของกู เด็กจริงๆ”

ผมหัวเราะมองเพื่อนๆ วิ่งไล่เตะกันบนสะพานไม้ พร้อมตะโกนไล่หลัง

“ระวังตกน้ำนะโว้ย!”

กลุ่มนู้นวิ่งไปแล้ว เหลือแค่พวกผมห้าคนเดินตามอย่างไม่รีบร้อน กว่าผม พาร์ พี่ภู กาย และต่อจะเดินไปถึง วินก็โดนสามคนนั้นรวมหัวกันจับยัดลงหลุมทราย ตอนนี้กำลังช่วยกันกลบทรายฝั่งร่างวินอยู่

“ช่วยกูด้วย”

พวกผมยืนมองเฉย เมินคำร้องขอคนโดนฝังที่โผล่ให้เห็นแค่ส่วนหัว ก่อนชะงักเมื่อเห็นต่อถอดเสื้อออก เอาไปรองน้ำทะเลมาเทใส่คนโดนฝั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาดูสะใจพิกล

“กูร้องให้ช่วย ไม่ใช่ให้ซ้ำเติม!”

ไม่มีใครเห็นใจ เพราะมีแต่เสียงหัวเราะทั้งนั้น ไปๆ มาๆ พวกผมเลยอยู่เล่นแถวหน้าหาดทราย เลือกสรรอาวุธจากแถวๆ นั้น ส่วนใหญ่ที่หยิบกันก็กิ่งไม้นี่แหละ แล้วแต่ดวงว่าจะเจอกิ่งไม้สั้นยาว หนา บาง พวกที่ได้ยาวหนาก็เริ่มปะทะกันประหนึ่งนักดาบ

พี่ใหญ่ของกลุ่มหยิบไม้สั้นหนามาเริ่มวาดวงกลมขนาดใหญ่มากบนพื้นทราย เขียนบอกเสร็จสรรพ จุดฟื้นฟูพลังชีวิต แล้วนั่งลงไปมองพวกผมเล่นกัน

ส่วนผมเรอะ โดนเพื่อนที่ไม่ได้จับคู่ฟันดาบล้อมรอบ เพื่อมองว่าผมกำลังทำอะไร เดี๋ยววาดทางนู้นนิดเดียวก็หนีมาวาดทางนี้ 

“เฮ้ย!” ชี้ไม้สั้นหนาในมือไปทางเทมที่กำลังสนุกปะมือกับไวไว “พวกมึงตกกับดักกูแล้ว!”

“อะไรนะ!” สองคนนั้นตะโกนกลับมา

“ดูที่เท้าโว้ย ตอนนี้มึงโดนระเบิดอย่างแรงบาดเจ็บสาหัส พวกมึงแพ้กูแล้ว ฮ่าๆๆ”

“ไอ้ที!?!”

ผมเมินเสียงประท้วงทั้งสอง รีบหันไปตะโกนบอกอีกคู่ “นั่นก็ตกกับดักกูเหมือนกัน”

พี่ภูที่กำลังไล่ต้อนยำหันมาถามเสียงเรียบ เพราะเฮียแกยืนอยู่นอกกับดัก

“ยำโดนอะไรล่ะ?”

ผมชะเง้อคอมองนิดหน่อย เพราะจำไม่ได้ เห็นแล้วก็รีบบอก “โดนตรึงด้วยเชือก หยุดอยู่กับที่ห้านาที”

“ไอ้ที!”

ผมเลิกคิ้วให้คำประท้วง มองพี่ภูย่างสามขุมเข้าหายำที่กำลังถอย

“ไม่ได้ยินที่ทีบอกหรือไง มึงต้องหยุดอยู่กับที่”

“ใครจะไปหยุดวะ!!” ยำทิ้งไม้ในมือ ตะโกนลั่น “กูขอใช้วิชาตัวตายตัวแทน”

แล้วก็ชิ่งหนีออกไปเลย ทิ้งไม้ เอ้ย ดาบให้ติดอยู่ในกับดัก

“มึงก็ติดกับดักกูแล้ว”

เสียงหัวเราะในคอหายไปทันที รีบหันมองต่อที่ยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ในมือถือไม้เมื่อไหร่ไม่รู้ มันใช้ไม้ชี้ให้ผมดูที่พื้น วงกลมมาจากไหนไม่รู้ล้อมรอบตัววงพอดิบพอดี ดูจากลักษณะเบี้ยวนิดหน่อย น่ากลัวว่าจะมีสองคนช่วยกันวาดคนละครึ่งวง ผมตวัดตามองพาร์ มันรีบทิ้งของกลางลงพื้นทันที แถมยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

ไม่เนียนเลยครับ เพราะมันยิ้มไม่หุบ

ผมหันไปถามต่อปลงๆ “กูติดกับดักอะไร?”

ต่อทำหน้านึก แต่ไวไวกลับโผล่มาจากไหนไม่รู้ ตอบแทนเพื่อนเสียงดังลั่น

“มึงติดกับดักคำสาป ไร้ทางแก้ไข ต้องเดินทางจีบคนทางขวามือของมึงอย่างเดียว”

ผมอ้าปากเหวอ ก็ไอ้คนทางขวามัน…แค่หันไปมองก็เจอรอยยิ้มถูกอกถูกใจของคนทางขวามือเข้าจังๆ แถมน้ำเสียงยังระรื่นสุดๆ

“กูจะรอนะ”

ผมรีบหันไปแย้งเพื่อน “กูติดกับดักต่อ ไม่ได้ติดกับดักมึง!”

“กูคิดไม่ออก เอาเงื่อนไขตามที่ไวบอกก็ได้”

เฮ้ย!

ผมรีบชูกิ่งไม้ในมือ “มึงเห็นนี่ไหม ของป้องกันคำสาปทุกชนิด!”

“เห็น” ไวไวพยักหน้า “แต่ดูยังไงก็ป้องกันได้แค่ครั้งเดียว มึงจะเลือกป้องกันของใครล่ะ ต่อหรือพาร์? แต่ไม่ว่าเลือกใคร มึงก็ต้องติดคำสาปอยู่ดี วะฮ่าๆๆ”

ผมทรุดฮวบกับพื้นทราย ช่างเป็นความพ่ายแพ้ที่คาดไม่ถึงอย่างยิ่ง แต่ความหวังยังไม่มอดดับ รีบกระเสือกกระสนเข้าวงเวทฟื้นฟู ไปขอความช่วยเหลือจากนักบวชเพียงหนึ่งเดียว

“กาย ล้างคำสาปให้หน่อยยยย!!”

“ล้างทำไมล่ะ ไม่ใช่คำสาปอันตรายนี่”

แว่วเสียงหัวเราะประสาน ขณะที่ผมนั่งน้ำตาตกในต่อหน้านักบวชผู้สูงศักดิ์

…แม้แต่พี่ใหญ่ของกลุ่มก็ยังร่วมวงรังแกกัน

“เฮ้ย พวกมึง ข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ไปกินกัน…หือ ทีเป็นอะไรวะนั่น” วินผู้หลุดจากหลุมทราย หายตัวไปจากกลุ่มเพื่อนพักใหญ่เดินเข้าร่วมวงด้วยความงง

“มันโดนคำสาป” ไวไวบอกทันที

“คำสาปอะไร?”

“คำสาปต้องไปจีบพาร์ไง ก๊ากกก!”

“อ้อ ฮ่าๆๆ มึงไปป่วนคนอื่นก่อนใช่ไหม” วินชี้นิ้วใส่ผมทันที “ถึงได้โดนเพื่อนแกล้งกลับ”

ผมทำหน้าบูดใส่ “อย่ามาถามในเรื่องที่รู้อยู่แล้วได้ปะ!!”

“แล้วแม่สาวผมทองที่ตามมึงมานั่นใคร?” ต่อพยักเพยิบไปทางคนมาใหม่ที่ค่อยๆ เยื้องย่างประดุจที่นี่คือแคทวอล์ค

ทุกคนกลับมารวมกลุ่มในวงเวทฟื้นฟู มองสาวฝรั่งผมทองยาวเป็นลอน สวมชุดประโปรงพลิ้วไหวตามแรงลมสีชมพูอ่อน บนหัวมีหมวกปีกกว้าง มองตั้งแต่ตัวจรดเท้าก็บอกได้เลยว่าเธอเป็นคุณหนูของแท้ แต่ที่ทำพวกผมงงที่สุดก็ตรงคุณเธอเดินยิ้มหวานเข้ามาทักทายแค่บุคคลเดียวด้วยภาษาต่างประเทศ

พาร์พยักหน้า ทักเป็นภาษาเดียวกันตอบ แล้วจู่ๆ สาวฝรั่งก็ดึงตัวมันไปทันที

ผมอ้าปากเหวอ มองพาร์ที่หันมาส่งสายตาขอความช่วยเหลืออย่างตั้งตัวไม่ถูก ได้แต่อุทานถามออกมา

“…อะไรวะนั่น?”

“นั่นสิ ไหงพาร์เหมือนรู้จักญาติทางฝ่ายแม่กูล่ะ?” น้ำเสียงวินก็งงไม่แพ้กัน

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-01-2017 21:02:54
พาร์คืออะไรยังไงเนี่ย :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-01-2017 22:02:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-01-2017 22:07:06
พาร์ ตบะแทบแตก จ้องทีเขม็งเลย
เวลาเห็นทีอาบน้ำ เปิดเผยเนื้อตัว
พี่ภู ยำ  ไม่เกรงใจเต็นท์ข้างๆ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ทำเสียงครางซะ ที พาร์ต้องถอยเต็นท์ไปไกลๆเลย
สาวผมทอง เคยเรียนทีเดียวกับพาร์
ตอนพาร์ไปเรียนเมืองนอกแน่เลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-01-2017 22:38:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 25-01-2017 22:45:06
แล่วๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 25-01-2017 23:13:32
เพื่อนสมัยไปเรียน เมืองนอกแห๋มเลย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-01-2017 23:46:13
แค่โดนหอมแก้ม พาร์ก็สตั๊นไปล่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-01-2017 12:13:47
แอร๊ คนใกล้ตัวรึ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 41] P.15 (25/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-01-2017 09:47:12
อ้าวๆ สาวผมทองที่ไหนฉุดพาร์ไปล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 06-02-2017 17:26:20
บทที่ 42

“ชื่อของเธอคือ เปียทีซ”

“มึงแน่ใช่นะว่าเธอชื่อนี้?” กายถามทันที

นั่นสิ ทำไมชื่อฟังดูแปลกๆ

“ก็เธอแนะนำแบบนั้น สำเนียงภาษาอังกฤษก็แปลกๆ บางครั้งเหมือนไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ กูสื่อสารกับเธอไม่รู้เรื่องวะ”

เทมตบไหล่วิน “ยินดีด้วย เหมือนมึงจะได้ล่ามแปลภาษาแล้ว”

“แต่ว่าที่ล่ามของกูโดนลากไปแล้ว เฮ้อ...ไม่รู้แม่ส่งเธอมาที่นี่ทำไม”

“ไม่โทรไปหาล่ะ?” ไวถามงงๆ

“บนเกาะมีสัญญาณมือถือซะที่ไหน กว่าจะขอเช่าเสาสัญญาณกว่าจะติดตั้งเรียบร้อยก็หลังโครงการที่นี่เกือบเสร็จนั่นแหละ...ที่จริงผู้ดูแลเกาะมีเครื่องสื่อสารดาวเทียมอยู่หรอก แต่กูขอยืมได้ซะที่ไหน”

“ทำไมล่ะ?” ยำงง “มึงเป็นนายน้อยของเขานี่”

“คิดว่าตัวกูกับแม่กู ใครใหญ่กว่ากัน?”

“แม่มึง” ไวไวตอบทันที วินพยักหน้า ทำหน้าช่วยไม่ได้

“เขาเลยฟังคำสั่งแม่กูมากกว่าไง”

ยำทำหน้าเหวอ แต่คนฟังทั้งหลายกลั้นขำกันใหญ่

“ช่างเรื่องนี้ก่อน เดี๋ยวกูพาชมที่นี่ เพราะมะรืนนี้ต้องกลับขึ้นฝั่งกันแล้ว”

หลังวินพูดจบ ทุกคนก็ทยอยเดินตามเจ้าถิ่น ผมรั้งท้ายอยู่กับเทม ชำเลืองมองทิศทางที่ใครบางคนโดนดึงหายไปแวบหนึ่ง ก่อนรีบหันกลับมาเมื่อเทมเตือนให้ระวังพื้นต่างระดับ เรากลับไปเดินบนสะพานไม้ที่ทอดยาวเข้าหมู่บ้าน เห็นหลังคามุ้งด้วยใบจากมาแต่ไกล ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งแปลกใจ เมื่อเห็นชัดๆ ว่าตัวบ้านมันเป็น…

“บ้านดินเหรอ?” เทมถามคนแรก

วินพยักหน้า ชี้นิ้วขึ้นข้างบน “ส่วนหลังคาทำจากใบจาก เก็บมาจากแถวป่าชายเลน”

“มึงจะทำหมู่บ้านดินที่นี่?” ต่อถามอย่างสนใจ

“พี่กูจะทำ แต่ดันไม่ว่างดูแล เลยโยนงานที่เหลือให้กูมาช่วยทำตอนปิดเทอม กูเห็นเป็นโอกาสดีเลยให้พวกมึงมาเที่ยวเล่นที่นี่ด้วย” พูดถึงตรงนี้มันก็ย่นหน้า “แต่ดันโดนแม่ซ้อนแผนเอาแขกมาทิ้งไว้ให้ดูแลซะได้”

“ถ้าจะเปิดเป็นที่พักของแขก แบบบ้านเรียบไปนะ” ต่อออกความเห็น

“อ้อ นี่ของทดลองสร้าง ไหนๆ ก็แล้วกูเลยว่าจะมาทดลองอยู่ พวกมึงก็ด้วย ช่วยเข้าพักตามบ้านหลังต่างๆ ให้หน่อย ในบ้านมีสมุดจดแขวนไว้ จะติจะชมเขียนได้เต็มที่”

“ใช้งานเพื่อนวะ!” ไวไวว่า

วินหัวเราะ “เอาน่า ถือว่าแลกเปลี่ยน ที่เที่ยว บ้านพัก ค่าอาหารฟรีหมดทุกอย่าง” 

พวกผมถอนหายใจคนละเฮือก เชื่อเถอะ อาหารที่ว่าคงมาจากพ่อครัวที่มาทดลองหาเมนูเหมาะสมสำหรับในอนาคตแหงๆ

“แล้วจะแบ่งคนเข้าพักยังไง?” ผมถาม

“แล้วแต่พวกมึงสิ ใครอยากอยู่กับใครก็ตามสบาย เดี๋ยวช่วงกินข้าวค่อยมาเสี่ยงทายหยิบกุญแจที่พักกัน ใครจะได้อยู่หลังไหนขึ้นอยู่กับคนมาจับล้วนๆ”

“ลำบากเพื่อนอีก!” ไวไวยังแขวะไอ้วินไม่เลิก “แล้วไหนของกิน?”

“นู้น วางอยู่ศาลาหลังใหญ่ตรงนู้น” วินชี้ให้ดู “จุดรวมตัวกินข้าวของทุกคนบนเกาะ มาช้าอด มาเร็วไปต้องรอ โรงครัวจะเตรียมอาหารไว้ให้แบบบุฟเฟ่ต์ เช้าเริ่มเจ็ดโมงครึ่งถึงเก้าโมง กลางวันช่วงสิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายโมงครึ่ง เย็นประมาณหกโมงถึงสองทุ่ม ไม่มีขนมระหว่างมื้อ แต่วันนี้พิเศษ ถือว่าต้อนรับพวกมึง เลยมีขนมง่ายๆ ให้พวกมึงล้างปากหลังกินข้าว”

ศาลาที่ว่าเป็นทรงสี่เหลี่ยม เปิดโล่งทั้งสี่ด้าน มีแค่หลังคาไว้บังแดดบังฝน แต่ผมว่าถ้าตกหนักๆ ลมแรงๆ มีสาดเข้ามาแหงๆ ภายในวางโต๊ะเก้าอี้ไว้เกือบเต็มพื้นที่ ดูแล้วน่าจะจุคนได้เกือบร้อย ส่วนตรงกลางศาลาเป็นที่วางของกินครับ

“กูว่ามึงทำศาลาดีๆ แล้วกระจายอาหารออกเป็นสี่มุมน่าจะดีกว่า คนจะได้ไม่ไปกระจุกรวมตัวแต่ตรงกลาง” ต่อออกความเห็น

“ตามแผนงาน ศาลาจะใหญ่กว่านี้ เป็นแบบสองชั้น ติดกระจกบานใหญ่เลื่อนเปิดปิดได้ มีระเบียงด้วย จุดวางอาหารมีห้าจุด นอกจากสี่มุมแล้วก็มีตรงกลางด้วย แต่เราคนน้อย บวกกับศาลาเป็นแบบนี้ กูเลยให้จัดวางไว้ตรงกลางแทน เวลาฝนตกจะทิ้งผ้าใบลงมากั้นก็จริง แต่ฝนก็ยังสาดเข้ามาอยู่ดี พวกมึงอย่าไปนั่งริมๆ ล่ะ และกฎของแรก ห้ามเอาอาหารและเครื่องดื่มออกไปจากที่นี่”

“อ้าว ญาติมึงกับพาร์นั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้นไง” ไวไวตาดีชี้บอก

พวกผมมองตาม ด้านหน้าทั้งคู่มีจานอาหารวางไว้เต็มไปหมด ท่าทางคุยกันถูกคอ ผมว่าน่าจะเป็นคนคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง

เทมศอกใส่ผม “หึงไหม?”

“หา? ทำไมต้องหึง?” ผมงงจริงๆ ก็แค่คุยกันธรรมดาตามประสาคนรู้จักกับเพศตรงข้าม “ถ้าเห็นแค่นี้แล้วหึง กูว่าเครียดตายก่อน”

“แล้วแบบไหนมึงถึงจะหึง?”

ผมครุ่นคิด “…ไม่รู้สิ กูยังไม่เคยหึงวะ”

“มีแฟนตั้งหลายคน ไม่เคยหึงเลยเหรอ”

อย่างกับเดจาวู “...มึงถามเหมือนพี่พีทเลยวะ”

เทมหัวเราะ “มึงไปหาที่นั่ง เดี๋ยวกูหยิบอาหารไปให้”

“เออๆ”

เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง เทมรู้ดีว่าผมชอบหรือเกลียดอะไร แต่ผมกำลังตงิดใจว่ากำลังโดนเพื่อนลองใจหรือเปล่า ยืนช่างใจว่าจะเลือกโต๊ะใกล้พาร์ดี หรือเลือกให้ไกลสุดดี คิดไปคิดมาก็เดินไปนั่งโต๊ะกึ่งกลาง แต่ค่อนไปทางตัวเลือกแรกหน่อย

เพื่อนในกลุ่มเห็นผมนั่งโต๊ะไหนก็ตามมา ไม่มีใครถาม ให้อารมณ์เหมือนเวลาส่งเพื่อนไปจองโต๊ะที่โรงอาหารไม่มีผิด มีแค่เทมที่วางจานข้าวตรงหน้าผม พึมพำใส่

“มึงเนี่ยนิสัยเสียไม่เคยเปลี่ยน”

“ด่ากูทำไม” ผมกระซิบกลับ

“ก็ควรด่า มีโอกาสก็ไม่ชอบคว้า มันถึงได้หลุดมือไปเรื่อย”

“งั้นมึงก็สนับสนุนให้กูนิสัยเสีย” ผมว่า เอื้อมมือจับช้อนเตรียมตักข้าวเข้าปาก “เพราะมึงชอบวิ่งไปคว้าโอกาสเอากลับมาให้กูเป็นประจำ”

เทมผลักหัวผม ปากเลยเลื่อนงับช้อนพลาด

“แต่ต่อไปกูอาจวิ่งคว้ากลับมาให้มึงไม่ได้แล้ว เพราะงั้นปฏิวัติตัวเองซะ ทำตามที่หัวใจเรียกร้องแล้วมึงจะมีความสุข” น้ำเสียงเทมค่อนข้างจริงจัง

ผมวางช้อนลง “แล้วตอนนี้กูดูไม่มีความสุขตรงไหน?”

“กูหมายถึงความสุขที่มาจากหัวใจ ไม่ใช่สมองสั่งการ”

ผมถอนหายใจเบาๆ “บางเรื่องพูดง่าย แต่ทำยาก”

“เพราะมึงคิดมากเกินไปน่ะสิ แต่โทษมึงอย่างเดียวก็ไม่ได้ สภาพแวดล้อมหล่อหลอมให้มึงกลายเป็นแบบนี้  แต่มึงยิ่งโตยิ่งคิดเยอะ กูเห็นแล้วก็หงุดหงิด”

“นี่ คู่นั่นนะ ซุบซิบอะไรกันตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

ผมกับเทมผละหัวออกห่างกันทันที เทมทำหน้าหงุดหงิดใส่ไวไวที่มาขัดจังหวะเทศนาผม

“ยุ่งอะไรด้วยเตี้ย”

“กูไม่ได้เตี้ย! นี่เขาเรียกไซส์มาตรฐาน!”

“หุบปากแล้วยัดของหวานให้หมาในปากมึงไปเถอะ”

ไวไวหันมามองผม ท่าทางอยากถามว่าเทมไปกินรังแตนจากไหนมา ผมได้แต่ส่ายหน้าทั้งที่รู้ว่าเทมกำลังหงุดหงิดเรื่องของผม คิดแล้วก็คว้าช้อนที่ข้าวไว้หันไปยัดใส่ปากคนข้างๆ มองเทมเคี้ยวทั้งที่คิ้วยังขมวดไม่เลิกก็ได้แต่บอกเบาๆ

“มึงไม่ต้องหงุดหงิด กูจะพยายาม”

เทมรีบกลืนของในปากลงคอ “ไม่ใช่แค่พยายาม แต่ต้องทำให้ได้”

“มันเปลี่ยนปุ๊บปั๊บไม่ได้หรอก”

หน้าผากผมถูกดีด เจ็บจนต้องนิ่วหน้า “ก็ทำให้ได้ซะสิ”

“…ขอบใจวะ”

เทมพยักหน้า แต่จู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาดื้อๆ “ปกติมึงขอบคุณต้องทำยังไง?”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง “กูจำได้ว่ามีหมาบางตัวย้ำหนักย้ำหนาว่าโตแล้วห้ามขอบคุณเพื่อนด้วยการกระทำ”

“แต่ตอนนี้กูอยากได้”

ผมรู้สึกทะแม่งๆ “มึงคิดจะทำอะไร?”

“เอาน่า หอมขอบคุณกูมา ตอนนี้เลย”

แม้ไม่เข้าใจ แต่ดันอยากรู้อยากเห็น ผมเลยทำตามอย่างว่าง่าย เพื่อนในกลุ่มรู้ทั้งรู้ก็ยังร้องแซวยกใหญ่ นำโดยไวไว

“โหย พวกมึงสวีทไม่เกรงใจเพื่อน!”

“กูถ่ายช็อตเมื่อกี้ไม่ทันวะ ขออีกรอบ” ยำยำชูมือถือ ขอภาพรีเพลย์

“มึงสองตัวคบกันเมื่อไหร่บอก เดี๋ยวกูเป็นอาเสี่ยเลี้ยงฉลองให้พวกมึงเอง” วินบอกอย่างใจปล้ำ

ผมนิ่วหน้ามองเพื่อนทั้งสาม เหมือนพวกมันจงใจพูดเสียงดังกว่าปกติ พอเหล่มองเทม มันยักคิ้วให้ แถมยังยกมือพาดไหล่ผม พูดเสียงระรื่นให้เพื่อนรอบวงโห่แซวกันอีกรอบ

“ถ้าพวกมึงอยากได้ เดี๋ยวกูขอมันแต่งงานอีกรอบให้พวกมึงดูก็ได้”

รู้กันทั้งวงว่าไอ้ที่ขอแต่งงานน่ะบนเวทีตอนแสดงละครห้องสมัยมัธยม เป็นฉากที่เพื่อนในห้องขอรีเพลย์รอบนอก อัดคลิปวีดีโอเก็บไว้เป็นความทรงจำฮาๆ 

“ที” เทมกระซิบใกล้หูผม “กูคว้าโอกาสกลับมาให้มึงแล้ว ที่เหลือจัดการเองล่ะ”

“โอกาสอะไรวะ?”

“มองไปทางคนของมึงสิ”

ผมหันไปตามที่เทมว่า ผงะทันทีที่เห็นแววตากรุ่นโกรธชวนให้ขนหัวลุกของใครบางคน รีบจับมือเทมออกจากไหล่ แต่เหมือนเพื่อนแกล้งกัน มันถึงได้เอาแขนกลับมาพาดต่อไม่พอ ยังดึงตัวผมให้ไปชินมันหนักกว่าเดิม

“ไม่นึกไม่ฝันว่ากูต้องมาทำอะไรแบบนี้กับมึงอีก”

การแสดงออกรักใคร่ แต่พูดกระซิบโคตรเหนื่อยหน่าย ผมหัวเราะในคอด้วยเซ็งไม่แพ้กัน

“กูไม่เคยบอกให้มึงเป็นไม้กันหมาสักครั้ง มึงทำเองก็บ่นเอง”

“แต่คนนี้กูไม่ได้เป็นไม้กั้นหมาให้ เพราะดูจากท่าทางที่อยากเข้ามาชกไม้อย่างกูเต็มแก่ ไม่มีทางกั้นได้หรอก”

ปากมันพูดกับผม แต่ตากลับจ้องฟาดฟันกับพาร์ ผมมองคนนู้นทีคนนี้ที แล้วเลยไปยังหญิงสาวชาวต่างชาติที่ทำหน้างุดงง...ถ้ามีใครถามว่ากำลังไม่พอใจใช่ไหม ผมคงตอบว่าใช่ไปแล้ว แต่หึงหรือเปล่ากลับตอบไม่ได้จริงๆ

รู้สึกเหมือนโดนคนจ้อง หันกลับมาก็เจอสายตาไม่พอใจปนตัดพ้อเข้าให้เต็มๆ จนตัวแข็งทื่อ ขยับตัวจับมือเทมออกจากไหล่เป็นหนที่สอง แล้วลุกหนีจากโต๊ะไปตักขนมแทน

บางครั้งผมก็แอบอิจฉาที่พาร์กล้าแสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา…

ครั้งหนึ่งผมเคยกล้าทำแบบนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็รับรู้ว่าแสดงออกไปก็เท่านั้น นานวันเข้าจึงกลายเป็นแบบทุกวันนี้ไปซะแล้ว

‘ทำตามที่หัวใจเรียกร้องแล้วมึงจะมีความสุข’

ผมหันกลับไปมองเทมแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจใส่โต๊ะวางขนม

...ถ้ามันง่ายแบบนั้น กูคงมีความสุขมาตั้งแต่เด็กแล้ว

-------------

นอกจากชื่อของเธอแล้ว ผมก็ได้รู้เพิ่มเติมอีกสองอย่าง

1. เธอติดพาร์เอาเรื่อง ตามตลอดไม่ยอมห่าง

2. เธอพูดๆๆ...พูดไม่ยอมหยุดตลอดบ่ายจนถึงเวลาอาหารเย็นก็ยังไม่หยุด เหมือนกับถ้าไม่พูดตอนนี้จะไม่มีโอกาสอีกในอนาคต ขนาดคนฟังอย่างพาร์ยังขมวดคิ้วท่าทางรำคาญ แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร แค่ฟังเงียบๆ บางครั้งก็พูดกลับไปด้วยน้ำเสียงคล้ายปลอบใจ

“มึงแน่ใจว่าไม่รู้สึกอะไรเลย?”

ผมนิ่วหน้าใส่คนถาม ที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ “...ถ้าไม่รู้สึก กูคงไม่ใช่คน”

“รู้สึกว่า?”

“ไม่ชอบใจ...เหมือนกับตอนที่โดนมึงแย่งของเล่น”

เทมตบหัวผม “คนไม่ใช่ของเล่น!”

“ก็มึงถาม กูเลยพยายามเปรียบเทียบความรู้สึกตอนนี้ให้ฟัง” พูดถึงตรงนี้ผมก็ถอนหายใจ หงอยลงทันทีจนเทมตบหน้าผาก

“กูล่ะปวดหัวกับมึง...แล้วมึงคิดจะทำอะไรต่อ” พอเห็นผมเงียบ มันก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ถ้ามึงไม่ทำ กูทำเอง! และอย่ามาด่ากูทีหลัง”

“ทำอะไร...”

ไม่ทันได้ถาม จู่ๆ มันก็กระชากผมเข้าไปกอดกะทันหัน แล้วร่ายยาวประโยคคุ้นหูที่ฟังมาเป็นร้อยครั้งจนจำขึ้นสมอง ต่อให้ผ่านมาหลายปีก็น่าจะไม่ลืมง่ายๆ ขนาดร่างกายยังตอบสนองไปด้วยเลยคิดดู สองแขนกอดรอบเอวเทม ฟังมันพร่ำบทละครเวทียามที่คนรักจำจากไปที่แสนไกล คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร เฝ้าอ้อนวอนอย่าได้ไป เป็นบทที่เทมต้องพูดยาวที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังอุตส่าห์ทำให้ยาวได้อีกด้วยการพูดข้ามซีนคนอื่นดื้อๆ

ผมกระพริบตาปริบๆ มองคนเปลี่ยนฉากปุ๊บปั๊บไปไกลถึงตอนได้กลับเจอกันอีกครั้ง ฉากจูบหลอกๆ กำลังจะหวนกลับมา คราวนี้มันเอียงหน้าค่อยๆ โน้มเข้าหาช้ามากถึงมากที่สุด

อะไรของมัน?

ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม ตัวผมก็โดนกระชากออกจากวงแขนเพื่อนสนิทกะทันหัน หันไปเจอหน้าใครบางคนที่เย็นชาอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อเทม ปล่อยหมัดกระแทกจนเพื่อนผมหน้าหัน เซลงไปนั่งกองบนพื้นสะพานไม้

“เฮ้ย! เทม!!”

ผมกำลังจะเข้าไปดูอาการคนเจ็บที่สะบัดหน้าเหมือนมึนๆ กลับโดนกระชากตัวลอยโดนลากออกมาจากจุดเกิดเหตุจนต้องรีบก้าวขาตามก่อนตัวเองจะล้มหน้าคว่ำ พอกะจังหวะเดินได้แล้ว ผมก็รีบหันไปดูด้านหลัง เทมนั่งโบกมือหยอยๆ มาให้ ก่อนโดนกายที่เดินมาอยู่ด้านหลังกระแทกฝ่ามือเข้าให้เต็มแผ่นหลัง ตามด้วยเสียงด่าที่ฟังไม่ค่อยถนัดหู แต่จากท่าทางพี่ใหญ่คงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

ผมพ่นลมหายใจ มีว่าที่หมอช่วยดูแลก็เบาใจลง หันมาสนใจเรื่องของตัวเองก็ชักจะเครียดขึ้นมาทันที

ผมจะทำยังไงกับระเบิดลูกนี้ดี

-------------

ปึง!

ประตูบ้านพักกระแทกปิดอย่างแรง พอกันกับหลังผมที่โดนกระแทกผนังข้างประตูจนเจ็บจี๊ด ยังไม่ทันตั้งตัวคอเสื้อผมก็โดนกระชาก แรงจนกระดุมเสื้อเชิ้ตหลุดไปสองเม็ด

“เฮ้ย!”

ร้องไม่ทันไหร่ก็สะดุ้งโหยง รีบผลักพาร์ออกห่าง อีกมือรีบคลำแถวฐานคอ ไม่รู้ว่าโดนกัดหรือโดนดูด เจ็บจนแยกไม่ออก แววตาข้องใจมองสบคนตรงหน้า

“ทำอะไรวะ”

“กูต่างหากที่ต้องถาม!”

ผมกลืนน้ำลายลงคอ มองท่าทางอยากขย้ำผมให้ตายคาเท้าอย่างหวาดผวา

“คืนนั้นกูไม่น่าปล่อยให้มึงรอด” พาร์พูดรอดไรฟัน “แต่จับมึงกินตอนนี้ก็ยังไม่สาย กูจะทำให้รู้ว่ามึงเป็นของใคร!”

ผมผงะ เริ่มตื่นตระหนก สองมือรีบขยับ หนึ่งดันใบหน้าที่โน้มเข้าใกล้ สองจับมือที่กำลังล้วงเสื้อเข้ามา

“เดี๋ยวๆๆๆ” ปากร้องลั่นอย่างอดไม่อยู่ เหงื่อเริ่มแตกซิกๆ รับรู้ว่ามันพูดจริงทำจริง อยากอธิบาย แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี ได้แต่ร้องเรียกหวังให้มันได้สติ ที่ไหนได้ดันทำกระดุมผมหลุดอีกเม็ด 

เวรเอ้ย!

ผมปล่อยมือเปลี่ยนมาจับคอเสื้อพาร์ ตวัดเตะตัดขา โถมตัวดันพาร์ที่เสียหลักกระแทกเข้ากับพื้น

โครม!

ผมรีบลุกขึ้นจากตัวพาร์ ผละถอยออกห่างอย่างไว ตาจ้องคนนอนนิ่งกับพื้นไม่กระพริบ แต่ผ่านไปพักใหญ่พาร์ก็ยังไม่ขยับ 

“…พาร์”

ส่งเสียงเรียกก็ยังเงียบ ผมชักกังวล ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อย่างระวัง ใช้เท้าเขี่ยขาเรียกก็ยังนิ่ง

เฮ้ย! หรือตอนลงพื้นเมื่อกี้มีความผิดพลาด

ผมรีบตรงไปนั่งยองๆ พลิกหัวพาร์สำรวจเป็นอย่างแรก ไม่มีแผล แล้วอย่างอื่นล่ะ…

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนกะทันหัน รู้ตัวอีกทีผมก็นอนหงายกับพื้น จ้องหน้าคนขึ้นคร่อมในระยะประชิด สองมือถูกจับกดติดพื้น แม้แต่ตัวก็ยังโดนจับล็อกขยับไปไหนไม่ได้

“หลอกกูเรอะ!” ผมพูดด้วยความโมโห

“เปล่า เมื่อกี้แค่มึนหัวเลยนอนนิ่งๆ ให้หายก่อน มึงอยากเข้ามาในระยะกูเอง”

เออ ผมผิดเองที่นึกเป็นห่วงมัน!!

“ปล่อยกู”

“เรื่อง”

“กูไม่ยอมเป็นเมียมึงแน่!”

พาร์หัวเราะหึเดียว “เดี๋ยวก็รู้”

ผมเบือนหน้าหนีจูบ กลายเป็นว่าต้องมาเจ็บจี๊ดแถวลำคออีกแล้ว

ไอ้บ้าเอ้ย! อย่าให้กูหลุดไปได้นะโว้ย!

ผมมองหาทางรอด แต่พาร์นกรู้ ไม่เปิดช่องให้ฉวย ยิ่งนานร่างกายยิ่งรู้สึกแปลกๆ

“มึง…ทำอะไรกู อ๊ะ…”

ผมรีบงับปาก ตื่นตระหนกกับเสียงประหลาดที่เผลอหลุดออกมา

พาร์หัวเราะในคออย่างชอบใจ แววตายังไม่เลิกมองคาดโทษ

“ยอมเป็นของกูดีๆ เถอะน่า เพราะมึงสู้กูไม่ได้หรอก”

“ทำไมจะสู้ไม่ได้!”

“เพราะกูรู้จุดอ่อนของมึงแล้วน่ะสิ”

“จุดอ่อนอะไรวะ?”

ไม่มีคำตอบ ทันทีที่ใบหูผมโดนงับก็โดนอาการเสียวเข้าเล่นงานอย่างจัง ร่างกายเกร็ง สมองเบลอไปหมด เรี่ยวแรงหายไปอย่างน่าประหลาด ระหว่างกำลังเบลอปนงง ก็ได้ยินคำพูดใกล้หู

“จำสัมผัสกูไว้ให้ดี ห้ามให้ใครแตะต้องตัวมึงอีกเด็ดขาด และห้ามมึงไปแตะคนอื่นด้วย เข้าใจไหม”

ผมพูดไม่ออก ตัวร้อนวูบวาบเหมือนเป็นไข้ รู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูกจนกระสับกระส่าย

“ตอบกูก่อน เดี๋ยวกูช่วยปลดปล่อย”

ภาพเลือนรางแปลกๆ ผุดขึ้นในหัวกะทันหัน ผมยกมือกอดรอบตัวคนด้านบน…ทำตามสัญชาตญาณที่ร่างกายเรียกร้องว่าทำแบบนี้จะหายทรมาน

“พะ พาร์…”

ก๊อกๆๆ 

เสียงเคาะประตูทำให้ผมสะดุ้งโหยง นอนหอบหายใจมึนๆ อยู่กับที่ แว่วเสียงไม่สบอารมณ์ในลำคอใครบางคน ทำให้สติที่หลุดลอยไปค่อยๆ กลับมา

เมื่อกี้นี้มัน…

ผมกัดริมฝีปากแรงจนได้ลิ้มรสเลือด รีบเหวี่ยงขากระแทกใส่เอวคนด้านบนทันทีที่มันเปิดช่องว่าง รีบกลิ้งตัวหนีออกมาจากจุดอันตราย ตกใจเมื่อเห็นกางเกงลงไปกองแถวเข่า เจ้าลูกชายยืนตัวตรงอย่างน่าละอาย หมด ผมรีบดึงกางเกงขาสั้นขึ้นมาเป็นอย่างแรก ก่อนถอยหนีคนทำท่าจะก้าวเข้าหา

 “ที…”

“อย่าเข้ามา” ผมตวาด พยายามใช้มือสั่นระริก ติดกระดุมเสื้อที่โดนปลดออกหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

เสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม ผมอาศัยจังหวะที่มันมองประตูมาหันซ้ายหันขวา เห็นหน้าต่างก็รีบวิ่งเข้าหา ปีนข้ามขอบหน้าต่างโดดออกไปทันที

“ที!”

 ลงถึงพื้นทราย ล้มกลิ้งไปเป็นท่า ผมไม่คิดหันไปมอง รีบเดินกะเผลกๆ พาตัวเองหนีออกมาให้เร็วที่สุด

ผมโผล่พรวดมาที่ศาลากลาง เจอกายกำลังช่วยเทมทายาที่แก้ม มีต่อเป็นลูกมือว่าที่หมอ ถ้าเป็นปกติผมคงพุ่งเข้าหาเทม แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ผมเลือกพุ่งไปกอดพี่ใหญ่ของกลุ่มแทน

สรรพเสียงเงียบเชียบ มีเพียงมือที่ลูบหัวปลอบขวัญผม ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงมีเสียงด่าของพี่ใหญ่...

ไม่ใช่ด่าผม ด่าเทมโน้น ยาวเหยียดจนกลัวว่าหายใจไม่ทัน ได้จังหวะผมก็รีบพูดบอก

“อย่าด่าเทมเลย เทมแค่พยายามช่วยกู...”

แต่คนด่ากลับพูดถ้อยคำสั้นๆ ที่ทำเอาทั้งผมทั้งเทมสลดด้วยกันทั้งคู่ 

“ทำอะไรไม่รู้จักคิด! คนหนึ่งเจ็บตัว อีกคนนี่เกือบ...”

กายละเว้นคำ แต่ถึงไม่พูดออกมา สภาพผมตอนนี้ก็ฟ้องทุกอย่าง ต่อที่ยืนเงียบมานานถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกมายื่นส่งให้

“จะใส่ทับหรือถอดเปลี่ยนตรงนี้ก็แล้วแต่มึง”

ผมรีบรับมาใส่ทับเงียบๆ นาทีนี้ผมคงถอดเสื้อเปลี่ยนตรงนี้ไม่ไหว

“ปกติมึงไม่โง่ ทำไมคราวนี้ถึงหาเรื่องเจ็บตัวให้ตัวเองไม่พอ ยังส่งทีไปเป็นเหยื่ออีก”

ต่อถามขึ้นมาหลังยื่นแก้วน้ำมาให้ผม

“กูก็ไม่คิดว่าพาร์จะร้ายแบบนี้นี่หว่า” เทมลูบแก้มที่เจ็บเบาๆ “ผิดกับบุคลิกที่ดูสุภาพของมันเลย”

“มึงยังไม่สนิทกับเขาด้วยซ้ำ จะไปเดานิสัยแท้จริงคนอื่นออกได้ไง” กายพูดสั่งสอนอีกรอบ หันมาสอบถามผมต่อ “มึงเจ็บก้นมากไหม ต้องให้กูหายาให้มึงทาหรือเปล่า”

ผมทำหน้าเหวอใส่ “ม...ไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย! กูหนีออกมาก่อน!!”

“แน่นะ?” เทมถามอีกคน

ผมรีบพยักหน้ายืนยันเสียงแข็งขัน “แน่!!”

เทมพ่นลมหายใจออกจากปาก “งั้นก็ดีแล้ว...กูขอโทษ ก็มึงทำตัวน่าหงุดหงิด แถมคู่มึงก็ดูยาก ไม่รู้ความสัมพันธ์พวกมึงถึงระดับไหน และมึงก็ชอบเลี่ยงไม่ยอมพูดถึง นี่แค่มีคนนอกเข้ามายุ่งก็ทำท่าจะมีปัญหาทันที ทั้งไม่ชัดเจนทั้งเปราะบางแบบนี้น่าเป็นห่วงจะตาย แต่ตอนนี้กูรู้แล้ว คู่มึงมีปัญหาเพราะมึงนี่แหละ”

นิ้วเทมชี้นิ้วใส่หน้าผม

“ตราบใดที่มึงยังทำตัวแบบนี้ ได้เสียมันไปแน่ รีบๆ ตัดสินใจสักทีว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้”

ผมหุบตามองพื้น จริงอย่างที่เพื่อนว่าทั้งหมด

“ไหนขอดูคอหน่อย” กายแหวกคอเสื้อดูหน้านิ่ง จะว่าอายก็อายอยู่หรอก แต่ท่าทางของเพื่อนจริงจังมาก เลยพอข่มอาการไหว

“ไม่เป็นไร ไม่มีแผล แค่เป็นรอยแดง”

“ประกาศชัดถึงความเป็นเจ้าของสุดๆ พาร์นี่ขี้หึงกว่าที่คิด” เทมลูบหัวผมเหมือนปลอบใจ “ผิดกับใครบางคน หึงหวงเป็นยังไงก็ยังไม่รู้จัก”

ผมเมินเทม หันไปบอกว่าที่หมอ “เจ็บข้อเท้า”

“ข้างที่พันผ้า?”

ผงกหัวหงึกๆ ปล่อยกายยกขาขวามาวางบนตัก แกะผ้าพันออกมาดู   

เทมได้จังหวะถามอีก “รังเกียจสัมผัสจากมันไหม”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “กูแค่ตกใจ…เจ็บใจด้วย!”

“เพราะมึงบาดเจ็บ เลยสู้ไม่ได้หรือเปล่า”

ผมส่ายหน้า พูดไม่ออกว่ามันไม่ใช่ นึกแล้วก็อยากปรึกษาใครบางคน “ยำล่ะ?”

“มึงไม่เจอมัน?” เทมถามงงๆ

“ทำไมต้องเจอ?”

“อ้าว ก็พวกกูส่งยำ วิน พี่ภูไปช่วยมึงไง การที่มึงรอดมาได้แสดงว่าขัดจังหวะสำเร็จ”

ผมนึกถึงเสียงเคาะประตูทันที นึกขอบคุณที่พวกมันเลือกเคาะประตู ไม่ใช่เปิดพรวดพราดเข้ามา

“ไม่ได้ออกทางประตูใช่ไหม แล้วออกมาทางไหน?” กายถามเสียงดุ

ผมยิ้มเจื่อน อ้อมแอ้มตอบ “…หน้าต่าง”

ต่อยิ้มขำ ส่วนเทมหัวเราะเสียงดังลั่น มีแค่กายที่ส่ายหัวเหมือนระอา

“ข้อเท้ามึงน่าจะระบมจากการถูกกระทบกระเทือน” กายบอก ระหว่างนั้นผ้าถูกพันรอบข้อเท้าอีกหน “เดี๋ยวกูเอายาไปทาให้ ระหว่างนี้งดออกกำลังที่ส่งผลถึงข้อเท้า ไม่งั้นอาจได้เจ็บตัวยาว”

“อือ” ผมขานรับในคอ

“อ่ะนี่” มือผมถูกเทมคว้า กุญแจถูกยัดใส่ฝ่ามือ ผมเงยหน้ามองคนให้งงๆ “มึงไปหลบที่นี่ก่อน ถ้าคืนนี้อยากอยู่คนเดียวก็นอนที่นั้น แต่ถ้าไม่บ้านพักพวกกูอยู่ข้างๆ ไปเคาะเรียกได้”

ผมพยักหน้า ส่งยิ้มให้เพื่อนๆ “ขอบใจ”

“รีบไปเหอะ” เทมโบกมือไล่ “เดี๋ยวพาร์มาตาม มึงจะอดหลบ ตอนนี้อยากคิดอะไรคนเดียวใช่ไหมล่ะ”

เทมก็ยังเป็นเทม เพื่อนที่เข้าใจผมมากที่สุด จนบางครั้งมากกว่าตัวผมเองซะอีก

แต่คืนนั้นผมไม่ได้นอนคนเดียว เพราะยำหอบถุงนอนมาหาผมตอนกลางดึก ท่าทางเหมือนหนีอะไรมา

“กูขอนอนด้วย”

“...พี่ภูอนุญาต?”

“จะอนุญาตได้ไง กูหนีมันมา! เหมือนมึงนั่นแหละ หนีพาร์มาใช่ไหมล่ะ”

ผมไม่ได้ตอบ บอกให้มันลดเสียงลง ขู่ว่าถ้าพูดมากเกินไประวังโดนตามตัวเจอ แค่นี้ยำก็ปิดปากเงียบ ยอมมุดเข้าถุงนอนหลับแต่โดยดี มัชีแค่ผมที่หลับไม่ลง ได้แต่ลืมตามองความมืดครุ่นคิดไปเรื่อยตามลำพัง รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว

ปัง!

เสียงประตูกระแทกผนังยังไม่ดังเท่าเสียงตะโกน

“ไอ้ที! มึงอยู่ไหนนน!”

คิ้วขมวดเข้าหากัน เสียงนี้ของไวไว ผมรีบตะโกนกลับ “กูอยู่นี่! ชั้นสอง!”

ผมพึ่งยันตัวขึ้นนั่ง ไวไวก็โผล่ขึ้นมาชั้นสองแล้ว มันทำหน้าประหลาดใจที่เห็นยำนอนอยู่นี่ แต่ก็มองผ่าน บอกผมเสียงเคร่งเครียด

“รีบไปเก็บของเลยมึง เราต้องกลับวันนี้”

ผมผงกหัวตามประสาคนสมองไม่ค่อยเดิน “วินบอกว่าจะกลับเที่ยง”

แต่นี่มันพึ่งเช้าตรู

“ไม่ใช่! เราจะกลับกันตอนเจ็ดโมงเช้า มีเวลาเก็บของชั่วโมงเดียว!”

“อ้าว? ทำไมวะ?”

“ไอ้วินน่ะสิ มันงานเข้า!”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-02-2017 19:57:19
เรื่องพาร์ ที มันยุ่งเหยิง ซับซ้อนอยู่แล้ว
ด้วยตัวที เอง นี่ใช่เลย
เพื่อนเทมยังมาทำให้ยุ่งเพิ่มขึ้น
พาร์ ต้องหึงมากๆ โกรธมากๆ
ยิ่งที หนีไปนอนที่อื่น  :fire:
พี่ภู ก็คงหื่น ยุ่งกับยำไม่เลิก  :ling1:
จนยำต้องหนี มานอนกับที
แล้วงานเข้าวินยังไง อะไร  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 06-02-2017 19:57:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-02-2017 21:16:30
ปั่นป่วนไปหมดเลย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 06-02-2017 23:31:44
เฮ้ย...อะไรของ ที พาร์ชัดเจนขนาดนี้ เรื่องวุ่นไปหมด
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 07-02-2017 11:05:07
สนุกมาก
ติดตามต่อค่ะ


 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 07-02-2017 13:14:47
งานมาอีกแย้ว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 07-02-2017 13:38:19
งอกตลอดดดดดดก เหมือนอยูาท่ามกลางเครื่องปั่น
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-02-2017 03:08:33
อ้าว เกิดอะไรขึ้นกับวินล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 42] P.15 (06/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 08-02-2017 11:27:22
วินงานเข้าบ่อยจังเลย รู้สึกตื่นเต้นตลอดเรื่อง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 15-02-2017 14:04:38
บทที่ 43

“บอกกูได้ยังว่าเกิดอะไรขึ้น?”

ผมสะกิดเทม ถามอย่างข้องใจหลังขึ้นเรือมาได้สักพัก ทุกอย่างกะทันหันมากจนผมแทบตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่เก็บข้าวของให้ทันแล้วก็รีบมาลงเรือ

เทมหันมองผม หน้าตามันอิดโรย “รู้ไหมกูยังไม่ได้นอนเลย”

“อ้าว? ทำไมล่ะ?”

“คนของมึงเล่นนั่งเฝ้าจ้องอยู่อย่างนั้นทั้งคืน ใครจะไปหลับลง เพื่อนคนอื่นก็ไม่กล้าปล่อยมันอยู่กับกู กลัวมีเรื่องกันเลยมาบ้านพักกูกันหมด เมื่อไม่มีใครกล้านอน วินเลยไปเอาเกมเศรษฐีออกมานั่งเล่น ระหว่างดวลกันถึงเช้าก็ได้เปิดใจคุยกันหลายเรื่องอยู่ และตอนพวกกูออกมาที่ศาลาเมื่อตอนเช้าก็...”

พูดถึงตรงนี้มันก็ควักมือถือออกมา ควานหาหูฟังมาเสียบให้ แล้วส่งให้ผม ระหว่างใส่หูฟังที่หู เทมก็เปิดคลิปวีดีโอให้ผมดูแล้ว

ภาพปรากฏเป็นฉากพาร์กำลังเดินคู่มากับหญิงผมทองนอกศาลา

[นี่กูควรเชื่อที่มันบอกรักทีเมื่อคืนหรือเปล่า?] เสียงเทมแทรกมา [แล้วมึงจะเอามือถือกูไปอัดวีดีโอทำไม?]

[เก็บเป็นหลักฐานไง เอาไว้ใช้ช่วยทีโต้แย้งได้] คราวนี้เสียงไวไว

สองคนในหัวข้อสนทนากำลังเดินตรงดิ่งมาที่โต๊ะ พาร์ถามเสียงห้วน

[วินล่ะ]

เทมพูดเสียงห้วนใส่ [เดินมาโน้นไง]

[ทุกคน ข้าวเช้าใกล้เสร็จแล้วล่ะ…มีอะไรเหรอ?]

มุมภาพเปลี่ยนเป็นกว้างขึ้น แล้วหยุดอยู่แบบนั้นไม่ขยับส่ายไปไหน ผมเดาว่าไวคงเอามือถือวางพิงอะไรสักอย่างอยู่บนโต๊ะ ได้ยินเสียงพาร์พูดภาษาต่างประเทศกับเธอ ตอนแรกผมนึกว่าภาษาอังกฤษ แต่สงสัยจะไม่ใช่ ขนาดได้ยินชัดก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง สาวผมทองพยักหน้า เดินไปนั่งเก้าว่างที่โต๊ะ พาร์กำลังจะนั่งตาม แต่กลับเปลี่ยนใจเดินอ้อมโต๊ะคว้าผ้าขึ้นมา

อ้าวเฮ้ย เสื้อผมนี่หว่า ไหงไปอยู่ตรงนั้นได้? ผมจำได้ว่าหลังเปลี่ยนเสื้อที่บ้านพักก็จับมันลงถังขยะไปแล้วนี่น่า

[มันมาอยู่นี่ได้ไง?]

[เจ้าของมันหนีมาที่นี่น่ะสิ] เทมว่า แล้วพูดต่อ [มึงดูสภาพเสื้อแล้วช่วยสำนึกด้วยว่าทำไอ้ทีหวาดผวาขนาดไหน ตอนนี้แค่มึงเข้าไปใกล้ตัวมัน ไอ้ทีคงขยับหนีแล้วแหงๆ]

ผมเหลือบมองเทมที่หันไปคุยกับกาย ในคลิปมันทำหน้าเอาเรื่องจริงจังมาก แถมยังพูดเกินจริงอีก ทำเอาพาร์ในคลิปหน้าเสียไปเลยครับ…นี่ล่ะมั้งเหตุผลที่พาร์ไม่ยอมเข้าใกล้ผมเลย ทั้งที่ปกติมันต้องลากผมไปคุยให้รู้เรื่องแล้ว

[ตอนนี้มึงจะพูดอะไรก็รีบพูด] เทมเขม่นพาร์อย่างชัดเจน เปรยตาไปทางผู้หญิงคนเดียวที่นั่งอยู่เหมือนต้องการคำอธิบาย

พาร์พยักหน้า สีหน้าค่อนข้างขรึม [วิน]

[วะ ว่าไง?]

[ยัยนี่บอกว่าโดนแม่มึงทาบทามให้มาเป็นคู่หมั้นลูกชาย ซึ่งก็คือมึง]

[อะไรนะ!!]

เสียงประสานดังรอบโต๊ะ ผมยังอ้าปากเหวอ เฮ้ยๆ ไม่ใช่ญาติ…

[เดี๋ยวดิ แม่สาวผมทองนี่ไม่ใช่ญาติฝ่ายแม่วินเรอะ!] ไวไวในคลิปถามเสียงดัง

พาร์ขมวดคิ้ว ส่งเสียงถามหญิงคนเดียวในกลุ่ม ก่อนจะเป็นล่ามแปลให้ [เธอบอกว่าเป็นญาติกันสิดี จะได้ไม่มีเรื่องหมั้นงี่เง่าให้ปวดหัว]

อ้าวๆ มองหน้าวินในคลิป เหมือนจะเห็นมันหน้าซีด ท่าทางเซเล็กๆ ให้เพื่อนตกใจกันใหญ่ เลยโดนกายฉุดแขนให้มานั่งข้างๆ คนอื่นที่มาพร้อมวินเลยหาที่นั่งตาม

[เธอฝากบอกว่าไม่คุ้นสำเนียงภาษาของมึงเลยคุยด้วยไม่รู้เรื่อง แล้วที่มาหามึงถึงที่นี่ เพราะอยากจะบอกให้ช่วยยกเลิกเรื่องหมั้นหมายกับแม่ของมึงให้หน่อย]

[เดี๋ยวก่อน!] วินรีบเบรก [ตั้งแต่แรกเจอหน้า พวกมึงก็คุยเรื่องนี้?]

[ไม่เชิง] พาร์ย่นคิ้ว [ตอนแรกก็ทักทายตามประสาคนไม่ได้เห็นหน้ากันตั้งแต่จบไฮสคูล ก่อนบอกว่าดีใจที่ได้เจอมาก ถามว่าพูดไทยคล่องไหม พอบอกว่าคล่องก็รีบลากกูไปเลย]

[ลากไปไหน?] ไวถาม

[ห้องครัว] พาร์ขมวดคิ้วเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยอยากจำ [ยัยนี่เคยไปโวยวายกับพ่อครัวมา เพราะอาหารแต่ละมื้อเผ็ดเกินไป ปลาก็ก้างเยอะ เธอฝืนกินจนปากเป็นแผล แต่หลังโวยวายก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยน เธอยอมรับว่าคุยกับพ่อครัวไม่รู้เรื่อง เลยลากกูไปช่วยคุย หลังจากนั้นก็กักตัวกูไว้เป็นเพื่อนคุย ท่าทางเก็บกดมานานที่คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง]

พาร์เล่าถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ [เธอบ่นกับกูหลายเรื่องเลยล่ะ อย่างเช่น เรื่องมึงออกเสียงเรียกชื่อเขาผิด ยัยนี่ชื่อเบียทริซ ไม่ใช่เปียทีซ แล้วพอเธอทนไม่ไหวอยากจะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ ไม่มีเรือลำไหนยอมไปส่งที่ฝั่ง เธอบอกว่าเหมือนโดนขัง]

นะ นี่มัน…

ในคลิปเงียบกริบอยู่นาน เป็นเทมที่เอ่ยถามคนแรก [มึงรู้จักหล่อนมาก่อน?]

[เพื่อนร่วมชั้นที่สวีเดนของกู ไม่ได้สนิทกันหรอก ศัตรูด้วยซ้ำ]

ฮะ? ศัตรู??

สาวผมทองร้องเรียงพาร์ ก่อนพูดอะไรบางอย่าง พาร์พยักหน้าแล้วช่วยแปล

[เธอบอกว่าเปลี่ยนใจไม่กลับแล้ว จนกว่าวินจะยกเลิกเรื่องหมั้นถึงจะยอมกลับ]

วินลุกพรวด [กูจะกลับไปคุยเรื่องนี้กับที่บ้านให้รู้เรื่อง!]

[ใจเย็นๆ] กายพยายามปลอบ

[เย็นไม่ไหวแล้ว กูจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ พวกมึงก็ด้วย ไปเก็บของ!]

ภาพในคลิปเริ่มสั่นไหวจนดูไม่รู้เรื่อง แล้วก็จบแค่นั้น ผมถอดหูฟังออก ส่งมือถือคืนเทม

หันไปมองวินที่หน้าตาเคร่งเครียดกว่าปกติ

สเป็กของวินต้องเป็นสาวเอเชียตัวเล็กน่ารัก แต่ว่าคู่หมั้นที่แม่หามาดันตรงข้ามกับที่มันชอบหมดเลย สาวเจ้าไม่อยากหมั้น มันก็ไม่อยากหมั้น งานนี้บ้านวินคงได้ระเบิดลงสักครั้ง

เพราะเมื่อไม่มีใครได้นอนเลย และพวกผมต้องกลับมาเก็บของที่ห้องพักในโรงแรม สาวผมทองได้ห้องพักสุดหรูก็สะบัดหน้าจากไป เหลือเพียงพวกผมที่มารวมพลกันที่ Pleiades's Meeting Room ที่ชั้น 25

ไม่มีใครขับรถกลับตอนนี้ไม่ไหว เลยให้วินโทรไปคุยกับที่บ้านก่อน คนอื่นๆ ก็นั่งล้อมวงกินข้าวต้มทะเลที่เอามาจากบนเกาะกันเงียบๆ แล้วแยกย้ายกันไปหาที่นอนหลับ

ผมมองพาร์ที่ยึดเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำนอน แดดลงมาโดนเต็มๆ ก็เดินไปสะกิด

“...มึงไปนอนข้างในเถอะ เดี๋ยวกูเก็บของเอง”

พาร์มองผมเนิ่นนาน ก่อนผงกหัวเดินตามผมมาเงียบๆ ระหว่างกำลังเก็บของ ผมก็ได้ยินคนนอนบนเตียงพูดพึมพำ

“ขอโทษ”

พอผมหันไปก็พบว่ามันนอนตะแคงหันหลังให้อยู่ ไม่รู้ว่ายังตื่นอยู่ หรือละเมอพูดออกมา

นึกถึงคำพูดเทม...คู่มึงมีปัญหาเพราะมึงนี่แหละ

ผมก็หุบตามองพื้น พึมพำออกมาบ้าง

“...กูก็ผิดกับมึงเหมือนกัน” 

หลังเก็บของเรียบร้อย ผมก็ออกไปคุยโทรศัพท์ที่ริมสระน้ำ โทรกลับไปที่บ้าน พอน้องๆ รู้ว่าผมกลับวันนี้ดีใจยกใหญ่

[อย่าลืมของฝากนะ] ยัยน้ำบอกเสียงสดใส

[ของอันด้วย]

เออใช่ เกือบลืมแล้วไหมล่ะ

-------------

หลังเที่ยงพวกผมก็ทยอยกันกลับ 

“…แวะซื้อของฝากก่อนนะ”

“อือ” พาร์ขานรับแค่คำเดียว

ผมลอบถอนหายใจอย่างผิดหวัง นึกว่ามันจะช่วยต่อบทสนทนาซะอีก แล้วแบบนี้ใครจะกล้าชวนคุย   

หลังซื้อของฝากกลับบ้าน พวกผมก็ตรงดิ่งกลับบ้าน ไม่มีแวะที่ไหนทั้งนั้น แถมในรถเงียบประหนึ่งไม่มีใครอยู่ อึดอัดจนต้องเปิดเพลงคลอเอา บรรยากาศถึงค่อยผ่อนคลายลงหน่อย กว่าพวกเราจะถึงบ้านผมก็เย็นมากแล้ว แค่หิ้วของเข้าบ้านเจ้าตัวเล็กก็วิ่งมาแต่ไกล กระแทกใส่ซะเกือบล้ม

“พี่!”

ผมวางของในมือ รีบอุ้มน้องขึ้นมากอดแน่นๆ ด้วยความคิดถึง พ่อเดินตามน้องออกมา

“ปีนี้กลับเร็วดีนี่”

“เกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อยครับ แผนเที่ยวเลยล้มไม่เป็นท่า”

พ่อหัวเราะใหญ่ พยายามดึงน้องออกจากตัวผม แต่มือเล็กเกาะหนึบ ทำไงก็ไม่ปล่อย แถมแหกปากจะร้องไห้ พ่อทำหน้าจนปัญญา โบกมือไล่ให้ผมอุ้มน้องอันเข้าบ้าน ก่อนก้มลงหยิบของช่วยหิ้วเข้าบ้านแทน

ระหว่างวางน้องอันบนโซฟา สองสาวก็วิ่งตึงตังลงมาจากชั้นสอง

“พี่!” ยัยน้ำโผมากอดผม ก่อนผละตัวออก “ของฝากน้องล่ะ”

“อยู่ในรถ เดี๋ยวหยิบลงมาให้” ตอบน้องสาวก็ต้องหันมาเกลี้ยกล่อมน้องคนเล็ก “รอพี่ตรงนี้ก่อน พี่ไปขนของแปบเดียว”

“อันไปด้วย”

“จะไปเกะกะพี่ทำไมเล่า” น้ำดุน้อง เจ้าตัวเล็กเลยเบะปากใส่พี่สาว “ไม่ต้องร้องเลยนะ เป็นผู้ชายซะเปล่า”

ผมใช้โอกาสนี้หลบออกมา พอเดินออกมาข้างนอกก็เจอสองพี่น้องตระกูลกอล์ฟกำลังคุยกัน

“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องฝืนตามพี่ไปหรอก”

“แต่จะให้พี่ไปหาปู่คนเดียวได้ไงเล่า”

“ไม่เห็นเป็นไร” พาร์ขยี้หัวน้องสาว “ปู่ไม่ว่าเบอร์หรอกน่า”

เบอร์ดี้ทำหน้าครุ่นคิด “ปีนี้พ่อกับแม่ไม่ไปใช่ไหม?”

“อืม”

“งั้นเบอร์ไปกับพี่ด้วย รอแปบนะ เบอร์ไปบอกน้ำก่อน”

เบอร์ดี้หันมาเห็นผมพอดีก็ฉีกยิ้มให้ แล้ววิ่งสวนเข้าบ้าน พาร์เห็นผมเหมือนกัน มันช่วยเปิดประตูหลังรถให้ ผมมุดเข้าไปหิ้วของที่เหลือออกมา

“ที”

ผมหันไปมอง

“ขอยืมรถกลับบ้านแปบหนึ่ง เดี๋ยวเอามาคืน”

“…มึงจะไปสนามบินเมื่อไหร่?”

“ยังไม่รู้ แต่คงเป็นพรุ่งนี้”

“งั้นเดี๋ยวกูขับไปส่งที่สนามบิน” ผมเดินผละมาสามก้าวก็นึกได้ว่าต้องพูดอะไรสักอย่างกับมัน ถึงได้หันกลับไปมอง เจอมันกำลังก้มหน้ามองพื้นพอดี

“พาร์” คนโดนเรียกเงยหน้าขึ้น แววตาหม่นหมองจนผมใจอ่อนยวบ “กูไม่ได้โกรธมึงหรอกนะ”

“…แล้วกลัวหรือเปล่า”

ผมเดินถอยกลับมายืนข้างมัน แล้วถอนหายใจ “คือว่านะ มึงพึ่งแสดงออกชัดว่าอยากจับกูทำเมียมาก ถ้ากูไม่กลัวสิถึงแปลก”

พาร์ทำหน้าหงอยไปเลยครับ

“ถ...ถึงตอนนั้นกูตกใจจนหนี แต่พอตั้งสติได้กูก็ไม่ได้หนี หรือหลบหน้ามึงนี่” ผมว่า พูดเสริมอีก “ไม่ได้เว้นระยะห่าง ยังคุยกับมึงได้ตามปกติแบบเนี่ย”

“…อือ” พาร์พยักหน้า สีหน้าดูดีขึ้น

“แต่กูคงค้างคืนกับมึงไม่ได้แล้วนะ” พูดถึงตรงนี้ผมก็เบือนหน้าหนี “และจะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้ามึงด้วย”

“ที”

ผมทำใจสักพัก ค่อยหันไปมอง เจอพาร์มองมาด้วยแววตาแปลกๆ ที่ผมอ่านไม่ออก

…เรียกแล้วเงียบนี่คืออะไร

“จะพูดอะไรก็ว่ามาดิ!” ผมว่าอย่างทนไม่ไหว

“อยากกอดมึง…ได้ไหม”

“หน้าบ้านเนี่ยนะ! ไม่ไห้โว้ย!!”

“งั้นขอกอดที่สนามบินก็ได้”

ผมเขม็งใส่มัน ในใจกำลังครุ่นคิดว่าแบบไหนน่าอายกว่ากัน แม่ง เหมือนโดนไล่ต้อน สุดท้ายผมก็ต้องวางของไว้บนกระโปรงรถ

“อยากกอดก็มา” เห็นมันทำหน้าระรื่นก็ชักหมั่นไส้ “กูให้แค่นาทีเดียวนะ”

“งั้น 30 วินาทีแรกที่บ้าน ที่เหลืออีก30 วิ ขอที่สนามบินนะ”

“มึงนี่มัน…”

ผมอ้าปากพะงาบๆ สรรหาหาคำมาด่ามันไม่ถูก ยิ่งโดนรวบกอดกะทันหันยิ่งคิดไม่ออกหนักกว่าเดิมอีก

กอดครั้งนี้แปลกไป มันทำให้ผมรู้สึกร้อนวาบที่ผิวหน้า หัวใจก็เต้นแรงผิดปกติ แถมยังรู้สึกกระอักกระอวนอย่างบอกไม่ถูก

“เอ่อ พอได้แล้วมั้ง”

“อะไร นี่พึ่งสิบวินาทีเองนะ”

หา! แค่สิบเองเหรอ!

ผมกัดฟันยืนทนให้มันกอดครบตามเวลา แต่ยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกร้อน…ร้อนเหมือนโดนไฟลวก สุดท้ายก็ผลักมันออกอย่างทนไม่ไหว

“ที? เอ๊ะ มึงมีไข้เหรอ หน้าแดง…”

“กูเอาของไปเก็บก่อนล่ะ!”

ผมตัดบทคว้าของบนกระโปรงรถ ชิ่งหนีเข้าบ้านอย่างเร็ว เดินจ้ำพรวดๆ หย่อนของทิ้งไว้ใกล้โซฟา เมินเสียงเรียกของน้องๆ หมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำอย่างไว

ปัง!

แค่เห็นเงาสะท้อนบนกระจกก็แทบผงะ ไอ้คนหน้าแดงก่ำเหมือนโดนต้มสุกมานั่นคือผมเรอะ!

ไม่ได้การ รีบหมุนก๊อก กวักน้ำใส่หน้า เงยหน้าขึ้นมาดูอีกทีก็ยังไม่หาย แค่สีแดงจางลง

ผมลูบน้ำออกจากหน้า แววตาสับสนอย่างหนัก 

นี่ผมกำลังเป็นบ้าอะไร?

-------------

“นอนกับน้ำ!”

“ม่ายยย นอนกับอัน”

คนหนึ่งเกาะขา อีกคนเกาะแขน ผมพ่นลมหายใจออกจากปาก ส่งสายตาของความช่วยเหลือทั้งจากพ่อและแม่ แต่สองคนแก่กลับหัวเราะคิกคัก ผมเลยต้องช่วยตัวเอง

“งั้นมานอนที่ห้องพี่ทั้งคู่”

ในที่สุดก็เงียบ ผมพ่นลมหายใจ ไล่ให้ไปอาบน้ำ แล้วค่อยหิ้วหมอนไปห้องผม สองเสียงขานรับ แข่งกันวิ่งขึ้นบันได เอาเข้าไป เดี๋ยวพลัดตกบันไดมาหรอก

วันรุ่งขึ้นผมเดินจูงน้องสองคนในชุดนักเรียนลงบันไดมา จับส่งตัวถึงโต๊ะอาหาร

“ไปส่งน้องอันด้วยนะลูก”

ผมมองแม่ “แต่รถทีอยู่บ้านพาร์นะครับ”

“พาร์เอามาคืนตั้งแต่เช้าแล้วจ๊ะ เห็นว่าต้องไปสนามบินต่อ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่ปลุกทีล่ะ”

“ปลุกลูกทำไม?” แม่งง

“ก็ทีบอกพาร์เมื่อวานว่าจะขับไปส่งที่สนามบิน”

“อ้อ สงสัยเปลี่ยนแผนมั้งลูก แม่เห็นลุงแทนกับป้าเจนไปส่ง เห็นว่าเดี๋ยวขับไปทำงานต่อเลย”

งั้นเหรอ…ที่จริงก็ดีนะครับ บอกตามตรงผมยังไม่พร้อมเจอหน้ามัน

“แล้วพาร์บอกไหมครับจะกลับเมื่อไหร่?”

“เอ เหมือนแม่ได้ยินว่าเบอร์ดี้จะกลับมาก่อน ส่วนพาร์คงกลับใกล้วันเปิดเทอมล่ะมั้ง”

ผมพยักหน้าหงึกๆ รับจานอาหารจานแม่มานั่งกินกับน้องๆ ผมกินเสร็จก่อนตัวเล็กตามเคย

“งั้นน้ำไปกับพ่อดีกว่า เดี๋ยวสาย”

“ค่ะ”

น้ำพุ่งมากอดผม กอดแม่ ก่อนคว้ากระเป๋าตามพ่อออกไป

“งั้นทีขอขึ้นไปเอาของที่ห้องก่อนนะครับ”

ผมบอกแม่ ขึ้นห้องไปหยิบกระเป๋าตังค์กับมือถือลงมา ชะงักนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามีข้อความไลน์จากพาร์ตอนหกโมงครึ่ง

PAR: ถึงมึงจะไม่โกรธ แต่กูก็รู้สึกผิดอยู่ดี เพราะงั้นกูจะลงโทษตัวเอง
PAR: ตลอดสองอาทิตย์ที่กูอยู่กับปู่ และอีกหนึ่งอาทิตย์ในสัญญา
PAR: รวมเป็นสามอาทิตย์ที่กูจะหายไปจากชีวิตมึง

ผมอ่านถึงตรงนี้ก็รู้สึกใจหายพิกล

PAR: และระหว่างที่กูไม่อยู่ [ห้าม] ผู้หญิงหรือผู้ชายเข้าใกล้มึงเด็ดขาด!
PAR: กูถือว่าเตือนมึงแล้วนะ แล้วเจอกัน

“ที! น้องพร้อมไปแล้วลูก!” แว่วเสียงตะโกนจากข้างล่าง ผมรีบส่งเสียงตะโกนกลับ

“กำลังลงไปครับ!”

ผมรีบยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง หันไปมองข้าวของพาร์ที่ยังกองไว้ในห้อง ทิ้งคำพึมพำไว้ก่อนดึงประตูห้องปิด

“แล้วเจอกัน” 

-------------

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ก็กระหน่ำ

Wind: SOS กูอยากได้ทัพเสริม
White Rabbit: มึงเถียงแม่แพ้ใช่ไหมวิน 555
Wind: เถียงแพ้ไม่เท่าไหร่ แต่แม่ง ทั้งพ่อทั้งพี่ชายแปรพรรคหมด
Wind: แค่แม่พูดไล่พ่อนอนนอกห้องกับบอกพี่ว่า น้องไม่เอาคู่หมั้น งั้นยกให้พี่แทน โอ๊ย กูอยากบ้า!!
YamYam: มึงก็บอกแม่ไปดิว่ามีแฟนแล้ว

อ้าวเฮ้ย เดี๋ยวมันไปบอกจริงหรอก

Wind: กูบอกแล้ว แต่แม่ไม่เชื่อ
Wind: พอบอกจะพามาให้ดูตัว แม่ก็ไม่เชื่อ
Wind: พูดอีกว่าถ้ากูพาใครสักคนในกลุ่มไปบอกว่าเป็นแฟน แม่ยังเชื่อกว่า กูล่ะเครียด

เอ๊ะ…ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี รีบเฟดตัวเองออกไปเงียบๆ ปล่อยข้อความมาโดยไม่ไปอ่าน

หลังจากผ่านไปสองวัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเลยไปเปิดอ่านข้อความที่ค้างไว้

Wind: กูต้องการพวกมึงคนใดก็ได้ในกลุ่มมาบ้านกู!

นั่นไง กะแล้วไม่มีผิด

White Rabbit: แล้วใครจะยอมไปวะ
White Rabbit: สติกเกอร์หัวเราะสะใจ
Wind: กูตัดสินใจแล้วเอามึงเนี่ยแหละไว
White Rabbit: ฮะ! กูเนี่ยนะ!

Wind: เออ! ไอ้ทีก็มีเจ้าของแล้ว ยำก็มีแล้ว
Wind: พวกที่เหลือมีแต่ตัวควายๆ
Wind: ขืนเอามันมาแสดงบทแฟน มีหวังแม่นึกว่ากูเป็นเมียพวกมันพอดี
Wind: เพราะงั้นมึงเนี่ยแหละดีที่สุด!

White Rabbit: ให้แสดงบทเป็นแฟนมึงเนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะ
Wind: งั้นระหว่างแสดงบทเป็นแฟนกู กับแสดงบทเป็นแฟนเทม มึงจะเลือกใคร!
White Rabbit: มึงสิ
Wind: นั่นไง มึงบอกเองนะ
Wind: พรุ่งนี้มาบ้านกูซะดีๆ ถ้ามึงไม่มา กูจะไปลากคอมึงถึงที่!

ยิ่งอ่านรอยยิ้มยิ่งกว้าง สุดท้ายก็เผลอหัวเราะขำตัวโยน มึงตกม้าตายจริงๆ วะ แค่วินยกไอ้เทมมาอ้างแท้ๆ ผมพิมพ์ข้อความกดส่ง

TEE: หลังจากนั้นเป็นไงบ้างวะ?

คำตอบมาทันทีทันใด

White Rabbit: ไอ้ที! ช่วยกูด้วย!! ไอ้วินจะ

หือ? ผมเลิกคิ้วมองข้อความขาดหายไปดื้อๆ สักพักก็เด้งข้อความใหม่จากวิน

Wind: ไม่มีอะไร มึงไม่ต้องสนใจ หลังจากนี้ถ้าติดต่อพวกกูไม่ได้ ไม่ต้องสนใจ โอเคนะ

อะไรเนี่ย? ยังไม่ทันได้พิมพ์ถาม ก็มีข้อความใหม่ขึ้นมาก่อน

Templar: Tee << ก่อนมึงจะไปสนใจเรื่องชาวบ้าน เอาเรื่องของตัวเองให้รอดก่อน

อย่างกับถูกลูกศรพุ่งเสียบทะลุใจ ผมรีบพิมพ์ข้อความทิ้งท้ายก่อนออกจากแอพ

TEE: Tem << กูเบื่อมึงที่สุด!!

ไม่ทันล็อกหน้าจอ กรอบข้อความก็เด้งให้เห็น

Templar: Tee << กูก็เบื่อมึงเหมือนกัน!

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-02-2017 15:18:48
มันต้องมีแอบรักแอบชอบชิมิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-02-2017 15:29:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 15-02-2017 15:34:28
แล้วแม่จะเชื่อไหมละ หรือต้องมีบทโชว์ 5555

ว่าแต่ ไว อยากให้ช่วยอะไร
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 15-02-2017 18:25:56
กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ อยู่ด้วยกันนานขนาดนี้ แถมหน้าตาดีๆทั้งนั้น ต้องทีใครสะดุดขากันมั่งล่ะ ^^
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-02-2017 18:43:20
โอ๊ย.......สนุกมากกกกก 
อ่านไป ยิ้มไป  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
กอดของพาร์ ทำให้ทีร้อนผ่าว หน้าแดง แล้ว
วิน ไว  :mew1:
ที เป็นพี่ที่น่ารัก
น้องสองคน ติดทีมาก จนขอมานอนกับที
อยากอ่านต่ออีกและ  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-02-2017 20:04:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 15-02-2017 20:44:16
ตามอ่านเรื่องราว  วินกับไว  (แอบชอบกันหรือเปล่า) อิอิ

 :hao3:    :hao3:

ิ   
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 15-02-2017 20:54:14
 :z1: แม่วินเป็นสาววายหรือเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-02-2017 22:26:41
วินจะทำอะไรไวอ่ะ 555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 15-02-2017 23:48:53
จะกินกันเองซะละงานนี้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 05-03-2017 21:22:28
บทที่ 44

= เกิดอะไรขึ้นกับคู่นี้? แบบนี้นิติกับอีคอนไม่ตีกันแย่หรือเนี่ย =
ก่อนปิดเทอมยังหวานชื่นอยู่ดีๆ แล้วทำไมเปิดเทอมถึงห่างแบบนี้ล่ะลูก…
แฟนคลับงงตาแตกกันหมดแล้ว
เจ๊ก็มึนไปเหมือนกัน แถมขอสัมภาษณ์ใครบอกปัดหมด 

ลือกันเข้าไป ผมพ่นลมหายใจเซ็งๆ ทั้งที่ฟุบหน้ากับโต๊ะอาหาร พยายามเมินเสียงนกเจื้อยแจ้วใกล้ตัว

“มึงอย่าทำเมินค่ะคุณเพื่อน เงยหน้ามาตอบคำถามกูเลย” ลูกหว้าพยายามงัดหัวผมขึ้นมา

“ไม่เอา ขี้เกียจ”

“งั้นมึงแค่ขยับปากตอบคำถามก็ได้ เกิดอะไรขึ้นกับคู่มึง?”

ผมผงกหัวจ้องเพื่อนอย่างรู้ทัน “ใจจริงอยากจะถามเรื่องคู่หมั้นของวินมากกว่ามั้ง”

นอกจากข่าวผม มีข่าววินที่ดังกว่า...

= เตรียมใจสลาย แค่ปิดเทอมไม่ถึงเดือน หนุ่มวินมีเจ้าของแล้ว! =
สาวๆ กรี๊ดแตก เดือนมหาลัยพ่วงเดือนวิศวะกลับมาเรียนพร้อมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย!
ใครไปถามก็เอาแต่ยิ้มไม่ยอมบอกสักทีว่า
ใครคือผู้โชคดีที่ได้ควงหนุ่มฮอตคนนี้ 

“โอ๊ย เบื่อคนชอบรู้ทัน แล้วใครกันที่บังอาจแย่งวินไปจากอกกู”

“กูไม่รู้เหมือนมึงนั่นแหละ”

ผมพูดตัดบท แว่วเสียงเรียกชื่อจากใครบางคนรีบหันไปมองด้านหลังทันที...ว่างเปล่าอีกแล้ว

“มองอะไรวะ?”

“เปล่า” ผมตอบลูกหว้าหันมาเขี่ยจานข้าวเล่น นอกจากเสียง บางทีก็เห็นเงาใครคนนั้นด้วย โดยเฉพาะในห้องนอนจนผมต้องโยกย้ายไปอาศัยห้องน้องอันชั่วคราว

มือสั่นเป็นระยะ ผมที่หมดอารมณ์กินข้าว วางช้อนลงหยิบขึ้นมาดู

Templar: Tee << กินข้าวแล้วยัง?
TEE: กินอยู่
Templar: กินให้หมด อย่าเอาแต่จ้องอาหาร จ้องให้ตายก็ลงท้องมึงเองไม่ได้

มันแอบอยู่แถวนี้ใช่ไหม?

Templar: หัวโนของมึงยุบยัง?
TEE: นานขนาดนั้น ถ้าไม่ยุบกูคงต้องไปหาหมอแล้ว

Templar: สติกเกอร์ถอนหายใจ
Templar: ตอนแรกกูก็งงที่มึงเดินชนประตูกระจกอัตโนมัติ
Templar: งงกว่าเดิมตอนเห็นมึงตักน้ำซุปมาจ้องมองอยู่นานสองนาน
Templar: มารู้ว่ามึงอาการหนักก็ตอนไปร้านหนังสือ
Templar: ทำไปได้หยิบหนังสือคู่มือเลี้ยงโกลเด้น รีรีฟเวอร์กับเที่ยวสวีเดนออกจากร้านโดยไม่จ่ายตังค์
Templar: ดีนะกูกระชากหนังสือไปวางบนเคาน์เตอร์คิดตังค์ทัน
Templar: แล้วมีหน้ามาแก้ตัว แค่ถือติดมือมา

TEE: กูเผลอถือติดมือมาจริงๆ นี่หว่า

Templar: แล้วดันมาบอกอยากเที่ยวห้าง มาเป็นเพื่อนหน่อย มึงนัดกูให้มาคอยช่วยดูแลชัดๆ
Templar: อีกอย่างกูเข้าใจ ขนเจ้าหมาโกลเด้นบนหน้าปกเหมือนสีผมใครบางคนนี่เนอะ
Templar: นี่ก็อีก ปากบอกไม่อยากไปเที่ยวสวีเดน แต่ก็เห็นเปิดหนังสือเที่ยวสวีเดนดูตั้งหลายรอบ
Templar:ทีหน้าทีหลังคิดถึงใครก็อยู่บ้านไป ไม่ต้องออกมาข้างนอก
Templar: แค่โทรมาบอก เดี๋ยวกูไปหามึงที่บ้านเอง เข้าใจนะ

TEE: แล้วมึงมาแฉกูในนี้ทำบ้าอะไรวะ!

สติกเกอร์หัวเราะมาเลยครับ นำขบวนโดยไอ้เทม

จงใจแกล้งกันชัดๆ อย่าให้ถึงตากูนะโว้ย จะทบต้นทบดอกให้ดู!

-------------

“น้องที! อย่าหนีพี่นะ”

“พี่ก็อย่าไล่ล่าผมสิ ยังไงผมก็บอกไม่ได้”

“ไอ้ที!! มึงจะให้เราเปิดศึกกับนิติตั้งแต่ยังไม่เข้าสงครามเรอะ!”

ผมผงะยามเห็นฝูงเพื่อนโผล่พรวดจากทางด้านขวา ด้านหลังก็นำขบวนมาโดนประธานชั้นปี4

โอ้ย อะไรกันนักหนา! นี่กะว่าถ้าไม่ได้คำตอบ จะไม่ให้อยู่อย่างสุขสบายภายในมหาลัยเลยใช่ไหม!

ผมรีบเบี่ยงเส้นทางวิ่งหนี ไปคณะตัวเองไม่ได้ ไปทางคณะนิติก็ไม่ได้ สงสัยต้องข้ามโซน ผมหนีมาแถวคณะสถาปัตย์ แต่ไอ้เทมไม่อยู่ แต่กลับเจอสาวแปลกหน้ามาดักหน้า ร้องถามหาเหตุผลให้ต้องหนีอีกรอบ จนวนไปแถววิศวกรรม แค่โผล่หน้าไป เสียงผิวปากดังระงม ตามด้วยคำแซว

“มาผิดคณะหรือเปล่าจ๊ะ”

“ที่นี่ไม่ใช่นิตินะ”

“หรือว่าข่าวลือเรื่องเตียงหักจริงล่ะเนี่ย”

“ถ้าหนุ่มนิติไม่ถูกใจ เลือกวิศวะได้นะน้อง”

ผมรู้สึกเหนื่อยใจปนหงุดหงิดมาก แต่เมื่อมาแล้วจะให้โดนแซวแล้วกลับนี่ก็ยังไงอยู่ เลยเลือกบุกคณะวิศวะอย่างกล้าหาญตามลำพัง เมินเสียงแซวเสียงผิวปาก คิดซะว่าเป็นแค่เสียงนกเสียงกา

คณะนี้มีเพื่อนสองคน ผมไม่เลือกวินแน่ๆ ไม่งั้นจากข่าวสองสาย จะกลายเป็นโดนยำเหลือเพียงสายเดียวขึ้นมาจะยิ่งปวดหัว

“อ้าวที?”

แต่แม่ง ทำไมโชคไม่ให้วะ

ผมเหลือบมองวินที่ทำหน้างงๆ อยู่กับคนกลุ่มใหญ่ แน่นอนว่าทุกสายตามองมาอย่างจับผิดเต็มที่ ผมช่างใจอย่างหนัก ถ้ายิ่งหนีคนก็ยิ่งสงสัย งั้น…

ผมเดินไปหา ยกมือทักง่ายๆ

“ไง เห็นยำปะ?”

“มึงมาหายำ?”

“เปล่า พอดีวิ่งหนีมาแถวนี้เลยถือโอกาสแวะหาเพื่อน”

วินทำหน้าบึ้งใส่ผมทันที “แล้วกูไม่ใช่เพื่อนมึงเรอะ ถึงเจอหน้ากูแล้วถามหาแต่ยำ”

ฝูงชนเริ่มแหกออก ให้วินเดินโกรธๆ มาหยุดตรงหน้าผม แต่วงไทยมุงดันขยับขยายมากกว่าเดิมหลายเท่า เอาวะ ถึงขั้นนี้แล้วก็เอาให้สุดไปเลย จะได้สยบก่อนเกิดข่าวลือมั่วนิ่ม ไม่งั้นไอ้วินได้มีข่าวเป็นมือที่สามของผมกับพาร์เพิ่มแน่ 

ผมยืนกอดอก พูดประชดมันเล่นๆ แต่ท่าทางที่แสดงออกเอาเรื่องมาก “อ้อ ที่แท้มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อน”

“…นี่มึงโกรธอะไรกู?”

สงสัยจะมากไปหน่อย วินถึงได้ทำหน้าเหมือนเด็กกลัวโดนดุ

“กล้าถามเนอะ” ผมถือโอกาสทิ้งระเบิดใส่เพื่อน “งานหมั้…อื้อ!”

ไอ้วินกระโจนมาปิดปากผม หน้าตาเลิ่กลั่ก เห็นแล้วน่าแกล้งเป็นบ้า ผมเลยจับคอเสื้อวิน เหวี่ยงเพื่อนลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น

“ไอ้ที!” คนเจ็บโวยวายใส่ ผมแค่ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่ ส่งสายตาเย็นชาให้เพื่อนสนิท

“เจ็บแค่นี้ทำโวย ทีมึงหนีไปหมั้นดันไม่ชวนเพื่อนสนิทไปร่วมงาน กูควรโกรธมึงไหมล่ะ”

เสียงฮือฮาดังกระหึ่ม ไม่พ้นพูดเรื่องแหวนหมั้นบนมือมัน วินยันตัวขึ้นจากพื้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“แล้วมึงจะให้กูทำไง มันกะทันหันนี่หว่า!”

“อ้อ กะทันหันมาก งั้นบอกกูมาสิ มึงลักพาตัวเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มไปทำบ้าอะไร แถมปิดเครื่องหนีทั้งคู่อีก จนป่านนี้กูก็ยังติดต่อมันไม่ได้เนี่ย”

วินทำหน้าเหยเก ลุกขึ้นยืนแล้วล้วงมือถือเครื่องหนึ่งออกมา หน้าจอมืดสนิท ปิดเครื่องตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้เลยเรอะ

“มือถือมันอยู่ที่กูเนี่ยแหละ กูลืมคืนมันวะ”

“แล้วของมึง?”

วินล้วงอีกเครื่องออกมา หน้าจอมืดสนิทเหมือนกัน “…กูลืมเปิดเครื่อง”

ผมถือโอกาสทิ้งระเบิดอีกลูก “นี่ถ้ากูไม่ได้เป็นเพื่อนพวกมึงมาสิบสองปี กูคงนึกว่าพวกมึงหนีไปหมั้นกันเองแล้ว”

รอบข้างส่งเสียงฮือฮาหนักกว่าเก่า แต่หน้าวินกลับเจื่อนยิ่งกว่าเดิม

“…มึงเดาถูกวะ”

ผมทำตาโต นึกไม่ถึงว่ามันจะสารภาพผิดต่อหน้าธารกำนัลจนเผลออุทานออกมา “ฮะ?!”

วินสูดลมหายใจ จ้องผมอย่างจริงจัง “กูบอกว่ามึงเดาถูก…เพราะงั้นอย่าโกรธเลยนะ แค่ง้อคู่หมั้นตัวเองก็เหนื่อยพอแล้ว อย่าให้กูต้องง้อมึงอีกคน”

ผมอ้าปากเหวอ ตั้งสติได้ก็ร้องถามเสียงหลง “เอาจริงดิ!!”

“เออ! รายละเอียดค่อยคุยกันตอนครบวง แล้วถ้ามึงจะถามหายำ มันยืนทำตาโตอยู่โน้น”

ผมหันขวับตามที่วินชี้ ยำยืนเป็นไทยมุงอยู่กับพี่ภู พอมันตั้งสติได้ก็รีบถลามาหาพวกผม มาถึงก็แหกปากร้องถามเสียงดังลั่น

“มึงกับไวหมั้นกันเรอะ!!!”

วินนวดขมับ ส่วนผมตบหัวยำไปป๊าบหนึ่ง เป็นการเตือนให้มันเลิกแหกปากให้โลกรับรู้กับให้ตั้งสติได้เดี๋ยวนี้ คนเจ็บเลยกุมหัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม

“มึงรู้แล้วไม่บอกกูได้ไง”

อ้าว กลายเป็นผมผิด

ผมเลิกคิ้วใส่ยำ “กูแค่เดาหลังเห็นข่าววินใส่แหวนติดตัว ความจริงเป็นยังไงกูก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละ นี่ก็ว่าจะรอให้มาอธิบาย แต่ดันเจอเจ้าของเรื่องที่นี่ซะก่อน แล้วกูขอเตือนห้ามมึงโผล่หน้าไปหาไวเด็ดขาด อยากคุยค่อยคุยทางไลน์”

ยำทำหน้าขัดใจ ท่าทางคงอยากรีบวิ่งไปหาไวไวถึงคณะเต็มแก่ แต่ขืนมันไป คนคงรีบตามมันไปด้วยแหงๆ ผมจ้องมันเขม็ง ยำถึงยอมรับปากเสียงอ่อย

“ก็ได้ แต่มือถือมันอยู่นี้ จะให้ไวเล่นไลน์ยังไงเล่า”

“มึงรอไม่เป็นหรือไง” ผมดุอีกรอบ คราวนี้จ๋อยอีกคนซะงั้น

“แล้วมึงล่ะ ทะเลาะอะไรกับพาร์” วินถามบ้าง สีหน้าข้องใจมาก “ตอนปิดเทอมพวกมึงก็ยังดีๆ กันอยู่นี่หว่า”

อ้าวเฮ้ย ไหงมาเรื่องนี้ได้วะ

“ไม่ได้ทะเลาะ” ผมว่าเสียงเรียบ

“แล้วไอ้ที่เป็นข่าวอยู่นี่คืออะไร? จริงหรือไม่จริง?”

ผมยกมือนวดขมับ “กูไม่อยากบอก…”

“อ้อ” ยำทุบกำปั้นกับฝ่ามือ พูดขัดจังหวะ “กูนึกออกแล้ว ทีทำสัญญากับพาร์ไว้ ให้พาร์หนีหน้ามันอาทิตย์หนึ่ง”

“หา?” วินทำหน้างงหนักกว่าเก่า หันมองหน้าผมสลับกับยำ “ทำไมวะ ไม่สิ มึงรู้ได้ไง?”

“ก็กูเซ็นชื่อเป็นพยานคู่กับเพื่อนพาร์ที่อยู่นิติ”

ผมพยายามจับตัวไอ้ยำมาปิดปาก แต่มันดันนกรู้รีบชิ่งไปหลบหลังวิน เมื่อมีคนคอยป้องกันให้ ยำถึงชะโงกหน้าออกมาแสยะยิ้มใส่ผม แววตาวิบวับสุดๆ

“ที่จริงมีเงื่อนไขเยอะกว่านี้ แต่กูจำไม่ได้ จำได้แค่ว่าพาร์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ และถ้าพาร์ทำเงื่อนไขครบทุกข้อได้สำเร็จ ทีจะยอมให้พาร์จีบล่ะ”

วินทำหน้าประหลาดใจ “จีบ? หมายถึงจีบเป็นแฟน?”

“ช่าย เป็นแฟนกันจริงๆ ด้วยนะ ไม่ใช่แค่ตำแหน่งสามีกับสะใภ้คณะ”

ผมยกมือปิดหน้า พยายามเมินเสียงฮือฮาที่ดังระงม เริ่มนึกเสียใจที่เดินเข้ามาหาพวกมัน

…ตกลงผมมาทำบ้าอะไรที่นี่วะเนี่ย

-------------

พักเที่ยงของวันต่อมา

= ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน! =
ปิดเงียบมาก เทอมที่แล้วไม่มีมาเจอกันด้วยซ้ำ แต่ความจริงแล้วเป็นเพื่อนกันมาสิบสองปี!
และเท่าที่หลายคนเห็น พวกเขายังสนิทสนมกลมเกลียวกันดีซะด้วย
เจ๊แอบไปสอบถามมา ได้ยินว่ากลุ่มนี้มีกันเจ็ดคน แถมอยู่มหาลัยเราหมดทุกคน
ชักอยากรู้แล้วสิว่ามีใครบ้าง เพราะสายข่าวเจ๊บอกมาว่า ถ้ารวมตัวกันครบเมื่อไหร่มีอึ้งแน่

= วินหมั้นกับเพื่อนสนิทในกลุ่ม?? =
เอาล่ะสิ เพื่อนที่ว่าคือใคร? ชายหรือหญิง?
เท่าที่เจ๊หาข้อมูลมา ไม่ใช่เพื่อนร่วมคณะชัวร์ และน่าจะเป็นผู้ชายมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
ขอแสดงความเสียใจกับสาวๆ ด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวนี้หนุ่มๆ เขากินกันเอง
แถมหนุ่มหล่อรายนี้งาบเพื่อนสนิทซะด้วย

ทันทีที่สองข่าวนี้ออกมา ไลน์กลุ่มเก่าแก่ก็มีข้อความใหม่ทันที

White Rabbit: ผู้ชายเก้าสิบเปอร์เซ็นต์บ้าอะไร แล้วอีกสิบเปอร์เซ็นต์หายไปไหน!!
Wind: เจ๊ก็เขียนบอกชัดๆ ว่ามากกว่าเก้าสิบไง
Templar: พวกมึงสองตัวไปง้อคืนดีกันไกลๆ กูเบื่อฟังมึงงุ๊งงิ๊งใส่กันแล้ว!

ผมหลุดขำหลังเห็นข้อความเทม เพราะวินกำลังอยู่ในโหมดง้อเพื่อน เอ้ย คู่หมั้นให้หายโกรธ ช่วงนี้เลยพยายามเอาอกเอาใจสารพัด

มันก็น่าโกรธอยู่หรอก ถ้าผมโดนเพื่อนสนิทจับหมั้นแบบสายฟ้าแลบแบบนี้ ได้อาละวาดงานล่มไปแล้ว แต่ไวไม่กล้าทำ มันสนิทกับบ้านวินมากกว่าใครในกลุ่ม มัวแต่เกรงว่าฝ่ายผู้ใหญ่จะเสียหน้าเลยต้องมารับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อไปตามระเบียบ

YamYam: มึงไม่อยากเปิดตัวเอง ช่วยไม่ได้
White Rabbit: ยำ << หุบปากไปเลย!

ผมกดปิดแอพที่เห็นสองคู่หูบะหมี่สำเร็จรูปเริ่มเถียงกันเอง ไวช่วงนี้เหมือนสตรีช่วงมีประจำเดือน ใครพูดจาไม่เข้าหู พาลอารมณ์เสียใส่หมด ยำก็ชอบไปแหย่เพื่อนให้หัวเสียเล่น

หลังยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง เงยหน้ามาถึงกับชะงัก กระพริบตามองเพื่อนทั้งสามที่มองมาเป็นตาเดียว

“…อะไร?”

“ไม่มี!” ประสานเสียงกันก็จริง แต่เสียงสูงไปไหน

ผมเหล่มองนนท์ “อย่าบอกนะว่าเมื้อกี้มึงแอบอ่านข้อความบนหน้าจอ”

“อย่าใส่ร้ายครับ กูไม่ได้แอบ แต่อ่านอย่างโจ่งแจ้งต่างหาก กูไม่ใช่คนต้นคิด”

ทั้งสามคนเหล่มองไปที่ลูกหว้าหมด “อย่ามองกูอย่างนั้น กูแค่อยากรู้เฉยๆ รับรองไม่เอาไปเล่าต่อแน่ สรุปว่าคนแย่งวินไปจากกู ชื่อไวใช่ปะ?”

“กูว่าตรงข้ามครับคุณเพื่อน เพราะเวลาไม่กี่ชั่วโมงของมึงจะสู้เวลาสิบสองปีได้ยังไง”

“คำพูดมึงทำกูสะอึกเลย นี่กูต้องยอมถอยสินะ กระซิกๆ ผู้หญิงอย่างกูนับวันอยู่ยากขึ้นทุกที”

“ผู้หญิง?” ผมทวนคำ แล้วพูดแหย่ “ไม่ใช่ผู้ชายมีนมเหรอ”

“โปรดลืมเรื่องบ้านั่นไปเลย ถือว่ากูขอร้อง”

ผมหัวเราะสีหน้าตอนนี้ของลูกหว้า แต่แปบเดียวก็ฟื้นคืนชีพมาถามผมด้วยแววตาอยากรู้ต่อ

“...กูนึกว่ามึงไม่สนใจผู้ชายซะอีก?”

ผมพ่นลมหายใจ “มึงคิดถูก”

“แต่ยกเว้นคนนี้ล่ะสิ” ลูกหว้าหัวเราะคิกคัก

ผมทำหน้าเซ็ง เพราะเรื่องเมื่อวานแท้ๆ ถึงทำผมมีข่าวลือใหม่

= เตียงไม่ได้หัก =
แฟนคลับเตรียมเฮ
คู่นี้ไม่ได้เตียงหักแต่อย่างใด แต่กำลังทดสอบกันต่างหาก
ถ้าพาร์ผ่าน งานนี้อาจมีคู่เรียลให้ได้กรี๊ดกร๊าดกันแน่นอน
และขอแสดงความยินดีด้วยกับสองคณะด้วยที่ไม่ต้องทำศึกก่อนเวลาอันควร

“ว่าแต่จันทร์หน้าพาร์ก็มาเจอหน้ามึงได้แล้วใช่ปะ?”

…ถ้านับเวลาสามอาทิตย์จริงๆ พาร์น่าจะมาหาผมตั้งแต่สองวันก่อน เพราะวันที่พาร์ไปสวีเดนคือวันพุธ แต่การที่มันไม่ได้มาหา แสดงว่าน่ารอให้ถึงวันจันทร์อย่างที่ลูกหว้าเดาล่ะมั้ง

“มึงอยากรู้ไปทำไม”

“กูจะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับความฟินไง”

ผมเลิกคิ้วขึ้น มองลูกหว้าอย่างประหลาดใจ “มึงเป็นสาววายตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ตั้งแต่วันที่มึงได้เป็นสะใภ้คณะนั่นแหละ”

-------------

ผมลืมตาอย่างงัวเงียปนหงุดหงิด รีบคว้ามือถือที่กำลังสั่นไม่หยุดบนหัวเตียงขึ้นมากดตัดสาย เหลือบมองน้องอันอย่างกังวล กลัวจะตื่นเพราะแรงสั่นเมื่อครู่ เจ้าตัวเล็กยังคงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ไม่มีทีท่าจะตื่น ผมลอบพ่นลมหายใจเบาๆ ดูเวลาบนมือถือเข้าก็ต้องตกใจ

ใครโทรมาตอนเที่ยงคืนฟะ!

กำลังจะกดดูว่าใครโทรมา หน้าจอกลับเด้งข้อความจากไลน์

PAR: อยู่หน้าบ้าน ออกมาหาหน่อย

ข้อความแรกจากพาร์ทำผมนั่งนิ่ง ตาก็เอาแต่อ่านทวนไปมาหลายรอบ มาสะดุ้งก็ตอนมือถือสั่น

PAR: ออกมาเร็วๆ กูง่วงนอนนะ

ผมผงะ รีบพิมพ์ถาม พลางรีบเดินออกจากห้องน้อง

TEE: มึงจะมาค้างที่นี่?
PAR: ลงมาเหอะน่า

ผมงับประตูปิดให้เบาที่สุด ทางเดินด้านนอกเปิดไฟสลัวๆ พอให้เห็นทาง แต่ชั้นล่างมืดสนิท ผมใช้แสงแฟลชจากมือถือแทนไฟฉาย เดินเร็วๆ ไปเปิดประตูบ้าน ขยี้ตาจนแน่ใจว่ามีพาร์กำลังหันหลังยืนพิงรั้วบ้านอยู่จริงๆ

ทั้งที่เผลอยิ้มดีใจ แต่พอเดินเข้าไปใกล้กลับยิ้มไม่ออก แต่รู้สึกเกร็งไปหมด กว่าจะพูดคำแรกได้ ผมก็ยืนจ้องแผ่นหลังมันอยู่พักใหญ่ จนคนโดนมองหันกลับมา 

“งะ ไง”

“ที”

ผมสะดุ้งเมื่อโดนเรียก กำลังจะถามว่ามีอะไร ก็โดนเรียกชื่ออีกซ้ำๆ เสียงก็อ่อนโยนลงเรื่อยๆ จนผมชักเริ่มอึกอัก มือเริ่มเกะกะจนต้องล้วงเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงนอนขาสั้น ข่มใจไม่ให้สั่น เอ่ยถามเร็วๆ

“อ…อะไรเล่า” ดันตะกุกตะกักอีก

“แค่อยากเรียก ไม่ได้เรียกมาตั้งสามอาทิตย์กว่า”

พูดถึงเรื่องนี้ ผมก็รีบยกมือถือมาดูหน้าจอ มันเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ที่11 แล้ว ผมเงยหน้าสบตาพาร์

“มึงเลยมาหากูซะเที่ยงคืนเนี่ยนะ?”

“กูไม่อยากรอแล้วนี่ ตอนแรกคิดไว้แค่สามอาทิตย์ แต่ไม่แน่ใจว่ามึงนับวันไหนกันแน่ เลยรอให้ถึงวันจันทร์ดีกว่า”

“อ้อ” ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “…เข้าบ้านก่อนไหม?”

พาร์ส่ายหน้า บุ้ยใบ้ไปทางรถสีเงิน…รถของพาร์ จอดอยู่ใกล้ๆ มันคงคุยเสร็จแล้วกลับเลย

“ได้รถคืนแล้ว?”

“คันนี้ หรือคันที่ซ่อม?”

“คันที่ซ่อมสิ”

พาร์พยักหน้า “พอได้กลับมาพ่อดูแลประคบประหงมรถดีกว่าลูกในไส้อีก”

ผมหัวเราะ ค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกายจากอาการเกร็ง ขยับตัวหันหลังพิงรั้วเยื้องๆ กับพาร์ เอี้ยวคอไปฟังพาร์พูด “อันที่จริงกูขับรถคันนี้ไปมหาลัยมาทั้งอาทิตย์ แต่กลับรู้สึกไม่ชินยังไงไม่รู้”

“เพราะขับรถของกูบ่อยล่ะมั้ง”

“คงใช่มั้ง”

เราเงียบกันไปอีกครั้ง ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดๆ ที่นี่ไม่เห็นแสงดาว สู้ที่บนเกาะไม่ได้ ดาวเต็มฟ้า ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกมีความสุขกว่าคืนแรกบนเกาะที่นั่งดูดาวด้วยกันจนถึงเช้าซะอีก ไม่สิ จะบอกว่าด้วยกันก็ไม่ถูก เพราะคนบอกเสียงหนักแน่นว่า ถ้าผมนอนไม่หลับจะอยู่เป็นเพื่อนเอง แต่แค่ชั่วโมงนิดๆ ก็ผล็อยหลับบนพื้นทรายซะแล้ว นึกถึงแล้วก็ขำ

“อยากได้ของขวัญปีใหม่ไหม”

ผมหันไปมองพาร์ “อยากให้ก็ให้ดิ ที่จริงกูก็เตรียมไว้ให้มึง อยู่บนห้องไม่ได้เอาลงมา”

“เป็นอะไร?”

“คิดว่ากูจะบอกไหม?”

“บอกมาเถอะน่า กูรู้ตอนนี้หรือตอนได้ของ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก”

ผมพ่นลมหายใจ “กระเป๋าตังค์ เห็นมันสวยดีและน่าจะเหมาะกับมึง กูเลยซื้อมา”

“มึงซื้อได้ถูกจังหวะ กูกำลังหากระเป๋าตังค์ใหม่มาแทนใบเก่าพอดี”

ผมเลือกกระเป๋าตังค์ให้ก็เพราะเห็นใบที่มันใช้อยู่เยินเต็มที่แล้วนั่นแหละ ท่าทางจะชอบใบนั่นมากถึงได้ใช้มาเรื่อย ไม่ยอมเปลี่ยนสักที ผมเลยพยายามเลือกให้คล้ายใบเดิมมากที่สุด

“พกกุญแจมาไหม?”

“พกสิ เผื่อต้องเปิดประตูบ้านให้มึง”

พาร์ยื่นมือเหมือนขอ ผมเลยล้วงหยิบพวงกุญแจที่ใช้ประจำส่งให้ จากแสงโคมไฟของรั้วทำให้ผมเห็นว่ามันกำลังแกะพวงกุญแจน้องหมาทำจากยางของผมออก

“เอาออกทำไม?”

รอแปบสิ”

พาร์หยิบซองกระดาษเล็กๆ ออกมา ผมมองเขม็งอย่างสงสัย แต่พาร์ไม่ได้ดึงออกมาทั้งหมด ผมเลยรู้แค่มันน่าจะเป็นพวงกุญแจ เสร็จแล้วพาร์ก็ยื่นส่งคืนมา ทันทีที่ผมดึงของผ่านช่องรั้ว ซองกระดาษก็หลุดออก เผยให้เห็นพวงกุญแจสมุดเล็กเล็กๆ ขนาดประมาณ 3x4 เซนติเมตร

“สมุดจิ๋ว?”

พาร์หัวเราะ “มินิ โฟโต้บุ้คต่างหาก กูเลือกปกสีดำ แต่พอเพิ่มลายเท้าหมาสีเงินลงไปดันดูน่ารักกว่าที่คิด”

“ไม่เห็นเป็นไร กูชอบนะ”

พาร์ยิ้มทันที “มึงชอบก็ดีแล้ว ลองเปิดข้างในดูสิ”

ผมทำตามอย่างว่าง่าย ใจก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นรูปอะไร พอเห็นเท่านั้นแหละ รีบเงยหน้ามองคนให้ทันที

“นี่มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้แกล้งกัน?”

“ไม่เลย นั่นกูทำเองกับมือ แล้วลงมือถ่ายรูปเองด้วย”

ผมก้มมองรูปถ่ายขนมหวาน หน้าตาน่ากินมาก เห็นแล้วน้ำลายสอ มองยังไงก็เอามายั่วกันชัดๆ

“ตอนอยู่โน้น กูไปทำงานพิเศษในร้านคนรู้จักมา เขาเปิดร้านคาเฟ่ และเป็นร้านที่กูเคยทำงานสมัยเรียนไฮสคูล เปิดตลอดเจ็ดวัน ทุกวันจะมีเมนูพิเศษหนึ่งเมนู ช่วงที่กูทำงานเลยขอทำตรงนี้ เพราะงั้นรูปขนมสิบสี่ใบในมือมึงคือเมนูพิเศษที่ว่า”

“แล้วถ้ากูอยากกิน?”

พาร์ยิ้มกริ่ม “กูจะทำมาจีบมึงไง”

ผมกรอกตามองฟ้า สรรหาคำมาพูดไม่ออกจริงๆ

“ลองพลิกไปหน้าท้ายๆ สิ สี่รูปสุดท้ายไม่ใช่ขนมหรอก”

“งั้นทั้งหมดมีสิบแปดใบ…”

ผมพูดถึงตรงนี้ผมก็ชะงักค้าง จ้องเขม็งมองรูปถ่ายเดียว แต่แบ่งเป็นสองหน้า เป็นภาพแอบถ่ายตอนกำลังจะกิน หน้าผมในรูปบ่งบอกมากว่าอยากเขมือบขนมในมือขนาดไหน เห็นแล้วเผลอคิ้วกระตุก ยิ่งข้อความภาษาอังกฤษที่เขียนไว้อีกหน้าหนึ่ง

‘If I want...’ (ถ้าฉันต้องการ)

“อะไรวะ?” ผมงง แถมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี

พาร์ยิ้มบอกให้ผมพลิกไปสองหน้าสุดท้าย คราวนี้เป็นรูปพาร์ในชุดเชฟสีดำ กระดุมสองแถว แขนยาว แต่พับแขนขึ้นเล็กน้อย ใช้ผ้าผืนใหญ่สีแดงโพกหัว โคตรเท่จนผมตะลึง

“กูหล่อใช่ไหมล่ะ”

ผมหลุดจากภวังค์ เขม็งตาใส่ “ไม่ยุติธรรม! รูปมึงเท่ แต่ดูรูปกูสิ”

“น่ารักออก”

“น่ารักพ่อง!”

พาร์ไม่เถียง แต่พยักเพยิบให้ผมมองของในมือ “อ่านประโยคภาษาอังกฤษสิ”

ผมก้มมองอย่างหงุดหงิด หลังอ่านจบยิ่งหงุดหงิดกว่าเก่า

‘You must tell me’ (เธอต้องบอกฉัน)

“แล้วถ้ากูไม่บอก”

“มึงก็อดกินไง”

ผมแยกเขี้ยวใส่ “สองแง่สองง่ามเป็นบ้า!”

“ก็กูจงใจ” พาร์ตอบหน้าตาย “ให้แล้วก็อย่าถอดออกล่ะ ไม่งั้นมีโกรธ”

“เออ!”

“กูไม่เอาเปรียบมึงหรอกน่า” พาร์ชูพวงกุญแจบ้านพ่วงกุญแจรถขึ้น มีมินิ โฟโต้บุ้คห้อยอยู่ ทั้งสีทั้งลายเหมือนกันเป๊ะ “กูก็ห้อยติดตัวเหมือนกัน”

ผมเขม็งใส่ไอ้คนเจ้าเล่ห์ “มึงยังไม่ทันจีบกูก็ให้ของคู่กันมาแล้วเรอะ ไม่คิดว่าเร็วไปหน่อยหรือไง”

“ไม่นี่ ถึงวันนี้มึงยังไม่ใช่แฟน แต่อนาคตใช่แน่”

ผมกัดฟัน “มั่นใจไปแล้ว”

“ยิ่งเห็นคนหน้าแดง กูก็ยิ่งมั่นใจ” พาร์ขยับแผ่นหลังออกจากรั้ว หันทั้งตัวมามองผมยิ้มๆ “เจอหน้ากันอีกครั้งเมื่อไหร่ เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกแล้วนะ”

มองพาร์นิ่งอยู่นาน แววตาอีกฝ่ายสงบมาก ผมจึงพยักหน้า “อืม”

“เจอกันพรุ่งนี้...ถ้าให้ดีฝันถึงกูด้วยล่ะ”

“ใครจะไปทำ!!”

พาร์แค่โบกมือลา ขึ้นรถแล้วขับออกไป ผมมองตามจนไม่เห็นแสงไฟท้ายรถ จึงหมุนตัวเดินเข้าบ้าน ระหว่างนั้นก็เผลอเงยหน้ามองท้องฟ้า

ขึ้นมาถึงชั้นสอง ผมก็เหลือบมองห้องนอนตัวเอง ลังเลเล็กน้อยก่อนจับลูกบิด แล้วเปิดเข้าไป ข้าวของในห้องยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เดินไปล้มตัวนอนบนเตียง ไม่มีหมอนก็ช่าง ผมหลับตาลง ยิ้มเล็กๆ ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งยิ่งกว่าวันไหนๆ

ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ผมจะกลับมานอนที่นี่

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-03-2017 21:59:30
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-03-2017 22:49:03
โอ้ย เขินพาร์กับทีมากเลยอ่ะ  :m3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 05-03-2017 23:28:15
พรุ่งนี้...เป็น แฟน กันแล้วนะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-03-2017 00:23:15
ตายๆๆๆ เขิลตายไปเลย

จะเอาอีกกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 06-03-2017 09:37:21
โอยยยยย รอตอนนี้มานานนนน
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 07-03-2017 12:47:51
บทที่ 45

“ทำไมมากันเร็ว?”

ผมถามอย่างประหลาดใจ น่าแปลกน้อยเมื่อไหร่ที่เห็นพวกลูกหว้ามากันครบองค์ประชุมอย่างกับมานั่งรอผมคนเดียวอย่างนั้น เหล่าคนโดนถามเอาแต่หันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรสักอย่างให้งงเล่น ผมปลดเป้ออก นั่งลงข้างนนท์ตามปกติ กวาดตามองไปรอบหาอะไรไม่รู้ตาม

…ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ

“หาอะไรกัน?” ถามด้วยความสงสัย

“พาร์”

ผมหันขวับ มองลูกหว้ามึนๆ “พาร์เนี่ยนะ? จะมาอยู่ที่นี่ได้ไง มันมีเรียนตั้งแต่แปดโมงครึ่ง ตึกนี้แหละ” พยักเพยิบตึกตรงหน้าที่อีกเดี๋ยวพวกผมก็ต้องขึ้นเรียนเหมือนกัน 

“อ้าว?” ลูกหว้าอุทาน แววตาทั้งสงสัยทั้งหยอกล้อ “แล้วมึงรู้ได้ไง?”

ทั้งกลุ่มหันมองผมกันหมด ผมยักไหล่ ขี้เกียจบอกว่าพาร์พึ่งส่งตารางเรียนมาให้เมื่อเช้า อันที่จริงต้องแลกเปลี่ยนกัน แต่ผมแกล้งทำเป็นลืมส่งให้ อยากรู้ชะมัดว่ามันจะทวงขอเมื่อไหร่ 

“นึกว่าพวกมึงจะมามหาลัยด้วยกันแบบเมื่อก่อนซะอีก”

ผมเลิกคิ้ว รู้สึกแปลกใจเล็กๆ ที่ลูกหว้าสนใจเรื่องผมกับพาร์ขนาดนี้

“กูมีรถ พาร์ก็มีรถ โอกาสมาด้วยกันแบบเมื่อก่อนคงยาก…ว่าแต่มึงจะสนใจเรื่องนี้ไปทำไม” พูดไปก็แอบระแวงเล็กๆ มันแอบเป็นสายข่าวให้ใครหรือเปล่า

“เอ่อ กูแค่อยากรู้เฉยๆ”

“แน่นะ?” ผมหรี่ตาลงจ้องจับผิด “ไม่ใช่มึงเป็นสายข่าวให้ใคร?”

“ไม่มี๊!”

พิรุธเต็มๆ ผมพ่นลมหายใจ “มึงเป็นเพื่อนกูนะลูกหว้า ถ้าเอาข่าวกูหรือพาร์ไปขายให้ใคร มีโกรธ”

ลูกหว้ายิ้มแห้ง ชูนิ้วขึ้นมาทำสัญลักษณ์โอเคด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

นนท์เห็นบรรยากาศไม่ค่อยดีเลยดึงผมมาคุยด้วย แล้วปล่อยสามสาวคุยกันเอง

“วันนี้พี่นันนัดประชุมนี่ คิดว่าพี่ๆ จะพูดเรื่องอะไร?”

“สงครามสายน้ำ” ผมบอกเสียงเรียบ

“มึงช่วยพูดให้มันตื่นเต้นหน่อยได้ไหม อีกอย่างมันเรื่องนั้นแน่อยู่แล้ว กูหมายถึงพี่เขาจะพูดอธิบายส่วนไหนของแผนงานต่างหาก”

ผมมองนนท์ “มึงจะให้คนโดนคณะตัวเองตัดหางปล่อยวัดตื่นเต้น?” 

“ยังไงวะ กูงง”

ผมพ่นลมหายใจ “เครื่องบรรณาการโดนส่งให้นิติแล้ว จะรับกลับมาได้ไง”

คิดถึงตรงนี้ผมก็ทำหน้าเซ็ง เหยียบคณะวันแรกก็โดนพี่นันวิ่งเข้าหา พูดย้ำอยู่สองสามหนว่าอย่าลืมไปเข้าประชุมกับนิติ ห้ามมาประชุมกับอีคอน ประธานสูงสุดที่เคารพทำเหมือนอยากให้ผมย้ายสำมโนครัวไปนิติเต็มแก่ ดังนั้นพอมีข่าวเรื่องผมกับพาร์ห่างกัน พี่นันถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนวิ่งเต้นน่าดู     

“เออวะ มึงต้องไปเข้าร่วมกับนิตินี่หว่า” นนท์พูดออกมาเหมือนคนพึ่งนึกขึ้นได้ “แล้วทางนั้นเรียกประชุมยัง?”

“ไม่รู้ ถ้ามีเดี๋ยวพาร์ก็บอกเอง” ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะ “เหมือนหน้าที่ของสะใภ้คณะต่างออกไป ถ้าเทียบกับผู้เล่นเหมือนจะอิสระกว่า ไม่ต้องฟังคำสั่งใคร หน้าที่เดียวคือหนีให้รอด ห้ามให้ใครจับตัวได้จนจบงาน ส่วนของพวกมึงน่าจะลุยเป็นกลุ่มใหญ่ และคอยฟังคำบัญชาการจากผู้นำล่ะนะ”

“งั้นกรณีของมึง ไม่ต้องเข้าประชุมก็ได้นี่”

“มั้ง แต่เดี๋ยวรอดูการตัดสินใจจากพี่ดินอีกที”

ในใจนึกแล้วว่าอาจโดนพี่ดินเรียกไปห้องสโมฯ เหมือนคราวที่แล้วก็ได้

นนท์มองมาอย่างอิจฉา “งั้นมึงคงมีเวลาว่างเหลือเฟือ เท่าที่กูได้ยินจากรุ่นพี่ เทอมนี้ประชุมกระจายกว่าจะเป็นอิสระก็หลังพ้นงานสงครามไปแล้ว แถมจำนวนการเข้าร่วมประชุมยังกำหนดบทบาทกับหน้าที่ในกิจกรรมอีก ใครเข้าประชุมมากยิ่งได้ตำแหน่งดี ส่วนใครขาดประชุมบ่อยๆ โชคดีอาจได้หน้าที่ไม่สำคัญไปทำ แต่ถ้าโชคร้ายได้เป็นเบ้ในกองทัพเห็นๆ”

ผมสะดุดหู “เรียกกองทัพเลยเหรอ?”

“มึงไม่ได้เข้าประชุมคราวที่แล้ว พอรวมจำนวนคนทั้งคณะเข้าด้วยกันเหมือนเป็นกองทัพหนึ่งเลยล่ะ ในแผนงานมีแบ่งเป็นกองธงหลักกับกองธงย่อยด้วย ยิ่งใหญ่อลังการมาก ทำเอาพวกกูนี่ตื่นเต้นกันจะตาย ให้อารมณ์เหมือนอีเว้นท์ในเกมมาก แถมคราวนี้ได้ลงสมรภูมิด้วยตัวเองดีกว่านั่งเล่นเกมผ่านหน้าจอเป็นไหนๆ”

“น่าสนุกวะ” สักพักผมถอนหายใจ “เสียดาย กูเข้าไปเล่นแบบกองทัพไม่ได้”

“มึงได้เป็นผู้เล่นพิเศษมีจำนวนแค่หยิบมือเดียว ก็สนุกกับบทบาทให้ถึงที่สุดสิ”

“โดนล่าตัวตลอดงานเนี่ยนะ? ต้องรับบทผู้เล่นตัวแดง มีค่าหัวเท่าไหร่ก็ไม่รู้…พูดถึงเรื่องนี้กูต้องไปถ่ายรูปด้วยวะ”

นนท์ทำหน้าสนใจทันที “ถ่ายรูปประกาศจับ?”

“มั้ง แต่ก็ได้ยินมาอีกอย่างว่าแค่ถ่ายรูปโปรโมทกิจกรรม”

“พาร์ไปต้องด้วยไหม”

“ไม่รู้วะ ยังไม่ได้ถาม แต่น่าจะมานะ กูเดาว่าน่าจะเป็นการนัดรวมครั้งแรกของสะใภ้คณะทั้งมหาลัย ไม่น่าจะมีใครฉายเดี่ยว เพราะถ้ากูบอกพาร์ มันก็คงขอตามไปด้วยแหงๆ”

แววตานนท์เป็นประกายวิบวับ “การรวมตัวกันของพวกมีค่าหัว น่าสนใจมาก”

ผมยิ้มตอบ “กูตั้งตารอให้ถึงวันนัดเลยล่ะ”   

พูดจบเสียงไลน์ก็ดังขึ้นพอดี

PAR: ตารางเรียนของมึงล่ะ
TEE: สติกเกอร์หมีหัวเราะ
TEE: นึกว่าจะไม่ถามแล้ว
PAR: จงใจให้กูทวง?
TEE: ช่าย และมึงทวงช้ากว่าที่คิด ท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากได้
PAR: ใครว่า ส่งมาเลยเร็วๆ ไม่งั้นกูจะบุกไปถ่ายเองถึงในห้องนอนมึง
TEE: ขู่วะ!
PAR: กูทำได้มากกว่าที่ขู่อีก อย่างเช่น…นอนค้างกับมึงสักคืน

ผมกดส่งตารางเรียนให้มัน แล้วออกจากไลน์ทันที แอบหงุดหงิดที่มันเอาเรื่องนี้มาขู่

“ที จะไปกินข้าวกับพวกกูไหมเนี่ย? หรือจะไปกับพาร์?”

ผมหันไปตามเสียงลูกหว้า เห็นเพื่อนทั้งแก๊งยืนรอผมอยู่

“กูไปด้วย” เพราะไอ้คนที่ถามถึงไม่เห็นชวน

-------------

เลิกเรียนคาบสุดท้าย หลังอาจารย์เดินออกไปหมาดๆ พวกผมก็เจอเซอร์ไพรส์ โดนนิติบุกเข้ามาไล่ต้อนให้ถอยกลับเข้ามาในห้อง ไม่พอยังกรูกันเข้ามายืนตามกำแพงล้อมอีคอนเกือบร้อยชีวิตไว้ตรงกลาง จงใจวางคนกลุ่มหนึ่งขวางทั้งประตูหน้าทั้งประตูหลังกันไม่ให้ใครทั้งเข้าและออกทั้งสิ้น

“นี่มันเรื่องอะไร!”

มลในฐานะที่เป็นประธาน ทิ้งกระเป๋าเดินออกไปลุย มีสมุนทั้งสามตามติดเป็นองครักษ์ ฝ่ายนิติก็ส่งประธานชั้นปีอย่างเจ้าแม่เมย์ฉายเดี่ยวมาประจันหน้า

เมย์เชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจ “เรื่องของสองคณะ”

“หา?” มลอุทาน สีหน้ามึนงงไปต่อไม่ถูก

เมย์ไม่สนใจ ตบมือส่งสัญญาณสามครั้ง ใครสักคนจากฝั่งนิติส่งเสียงนำ

“โห่….”

ผมสะดุ้งโหยง เฮ้ยๆๆ อย่าบอกนะว่า…

“ฮี่…โห่…”

คราวนี้เสียงประสานจากนิติทั้งหมด ทำเอาอีคอนทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนทางคณะนู้นพร้อมใจร้องประสานเสียง

“ฮิ้วววว”

หลังโดนฮี่โห่รองสอง สายตาหลายคนเหล่มองมาทางผมที่กำลังยกมือปิดหน้าหลังรับรู้ชะตากรรม

นิติเป็นกลุ่ม ปีหนึ่งยกก๊วน

ระหว่างบทเพลงกำลังขับขาน ผมเห็นทางนิติขยับเปิดทาง เลยได้เห็นพาร์ที่ยืนอยู่หลังสุดจนแผ่นหลังเกือบชิดประตูหน้า มันเริ่มก้าวเท้าออกเดิน

ยกขบวนข้ามตึก มาหาเจ้าสาว
มาหาเจ้าสาว (ประสานเสียง)

ฝั่งผมก็เริ่มขยับตัวเปิดทางให้เหมือนกัน พาร์เดินหลบพวกโต๊ะตรงดิ่งมาหา

วันนี้เลิกเรียน ฤกษ์ยามได้ที่
เจ้าบ่าวเรานี้ นำสินสอดมาขอ

พาร์หยุดยืนตรงหน้าผมที่โดนเพื่อนฉุดให้ลุกยืน สองแขนที่ไขว้กันอยู่ด้านหลังตลอดตอนเดินมาก็ขยับมาด้านหน้า ในมือถือกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินเข้ม ด้านบนกล่องมีตราสัญลักษณ์ของร้านสีทอง แค่เห็นตราผมก็ร้องอ้อในใจ รู้ทันทีว่าด้านในมีอะไร

มันจะให้กำไลแบบธรรมดาไม่ได้เรอะ!   

ของมีแค่นี้ แต่รักล้นใจ
โปรดรับเอาไว้ แทนคำสัญญา

สิ้นสุดเพลง ท่ามกลางความเงียบ พาร์ก็พูดโผล่ออกมา

“ขอจองตัวก่อนได้ไหมครับ”

เสียงโห่ร้องแซวดังสนั่นหวั่นไหว ไม่แพ้เสียงกรี๊ดกร๊าด ทำเอาหูผมเกือบดับ แต่ละคนไม่กลัวหลอดเสียงแตกกันเลย ผมยืนใบ้กิน ไม่ยอมตอบสักทีก็เริ่มมีไซโค กระทืบเท้าตามเป็นจังหวะ

ตอบรับเลย…ตอบรับเลย…ตอบรับเลย

จากนิติลามมาฝั่งอีคอน ย้ายไปเชียร์พาร์กันหมด

อารมณ์ของผมเลยจากอายไปแล้ว ตอนนี้นึกอยากยกมือกุมขมับมาก ไอ้คนตรงหน้ารู้ทั้งรู้ว่าผมปฏิเสธกำไลในกล่องไม่ได้ก็ยังใช้วิธีนี้มาไล่ต้อนกันทางอ้อม แล้วจะให้ผมพูดว่าอะไรเล่า อืมเรอะ เหมือนยอมให้มันจองตัวง่ายๆ เลยวะ

“ที”

ผมเลิกคิ้วให้คนเรียกเป็นเชิงถาม

“ถ้ามึงไม่พูดปฏิเสธ กูถือว่ามึงตกลงนะ”

ผมกระพริบตา คิดไปคิดมาไม่ต้องพูดอะไรแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พอผมยังนิ่งเงียบ พาร์ก็อมยิ้ม วางกล่องในมือลงโต๊ะใกล้ๆ ทันทีที่เปิดฝา เสียงฮือฮาก็ดังระงมทั่วห้อง

“กำไลคู่นี่!”

“โหย สวยวะ”

“ฮือๆ กูอิจฉา”

“สักวันจะมีหนุ่มสักคนมาให้ของกับกูแบบนี้ไหม”

พาร์ไม่สนเสียงรอบข้าง หยิบกำไลวงหนึ่งมาดูแวบเดียวก็แกะแกนกำมะหยี่ออก คว้ามือซ้ายผมยกขึ้นจับคล้องกำไลลงข้อมืออย่างไว ทำผมเหวอเล็กๆ เพราะตั้งตัวไม่ทัน

กริ๊ก!

หืม? เหมือนได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ มันเบาจนผมไม่แน่ใจ 

“อ่ะ ตากูบ้าง” พาร์ยื่นทั้งมือขวา ทั้งกำไล (ที่แกะตัวล็อกออกเพื่อสะดวกเวลาสวมใส่) มาทางผม

“กูต้องใส่ให้มึงด้วย?”

“อืม”

ขัดไม่ได้สินะ ผมทำหน้าปลงๆ รับกำไลมาสวมที่ข้อมือให้ ไม่ทันได้ทำมากกว่านั้น พาร์ก็ชักมือกลับ

อะไรวะ?

ผมขมวดคิ้ว ทั้งประหลาดใจทั้งสงสัยยามมองพาร์ทำตัวแปลกๆ ยิ่งมันจงใจใช้มือบังตอนกดล็อกตัวกำไลก็ยิ่งสร้างความสงสัยให้ผม พอพาร์ผละมือออก บนข้อมือก็มีกำไลสภาพสวมใส่เรียบร้อยแล้ว

สายตาของเราสบกัน ผมถึงได้เห็นว่าแววตาของพาร์บ่งบอกถึงความสมใจอย่างชัดเจน

…เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วอะไรไม่ถูกล่ะ?

ระหว่างกำลังนึกหาคำตอบ มือก็ถูกคว้าโดนลากตัวไปยืนข้างกำแพงห้องฝั่งตรงข้ามประตู กำลังจะถามคนลากมาก็เห็นฉากนิติปี1 กำลังเปิดกระเป๋าหยิบของกินมาแจกจ่ายพอดี มีเผื่อแผ่ให้ทางอีคอนด้วย พื้นที่กลางห้องจึงค่อนข้างชุลมุน ถ้าพาร์ดึงตัวผมมาช้ากว่านี้คงติดอยู่กลางห้องสักพักถึงออกมาได้

“จะจัดงานเลี้ยงในห้อง?”

ผมถามตามที่เห็น นึกสงสัยว่ามันผิดกฎห้ามเอาอาหารและเครื่องดื่มเข้ามากินในห้องเรียนไม่ใช่เหรอ แน่นอนว่ากฎข้อนี้โดนนักศึกษาแหก เพราะขวดน้ำดื่มกับลูกอมไปนานแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าจัดหนักทั้งน้ำทั้งขนมเหมือนตอนนี้

พาร์ไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงมลตะโกนออกมา 

“จะฉลองก็ไม่ว่า แต่เบาเสียงกันหน่อย”

ตามด้วยเสียงตะโกนของเมย์ “ฉลองเสร็จแล้ว อย่าลืมช่วยกันทำความสะอาด ใครไม่ทำเตรียมตัวโดนลงทัณฑ์ได้เลย!”

ฝ่ายนิติรีบขานรับเจ้าแม่กันหมด ฝ่ายอีคอนยังจดจำวีรกรรมสายS ของเธอได้ก็ไม่กล้าขัด แถมยังแอบพึมพำว่าโชคดีที่ได้คนปกติอย่างมลมาเป็นประธาน

ผิดกับประธานชั้นปีของผมกำลังมองทางเจ้าแม่ด้วยสายตานับถือ

พาร์เดินออกไปลากเก้าอี้เล็คเชอร์ใกล้ๆ มาสองตัว ผมเห็นก็เข้าไปช่วยลากตัวหนึ่งกลับมายังข้างกำแพงที่เดิม แล้วนั่งลง ไม่นานก็มีคนไม่คุ้นหน้าเดินหิ้วเป้สองใบมาทางพวกเรา

“เอ้านี่ ของมึง”

พาร์คว้าเป้ “ขอบใจ” 

อีกฝ่ายแค่ตบไหล่พาร์ หันมายิ้มเป็นมิตรให้ผมแวบหนึ่ง “ส่วนนี่มีคนฝากมาให้”

“ขอบคุณ” ผมรับเป้ตัวเองคืน มองคนเอาของมาส่งเดินไปเฮฮาร่วมวงที่เริ่มไม่แบ่งแยกว่าใครอยู่คณะไหน แอบเห็นเมย์ยืนกอดอก คลี่ยิ้มมองอย่างพอใจแถวมุมห้อง เห็นท่าทางของประธานคณะนิติเป็นแบบนั้นก็เอ่ยถาม “คณะมึงอยากสนิทกับคณะกู?”

“ความคิดประธานน่ะ” พาร์เปิดเป้หยิบห่อขนมที่ซ่อนไว้ออกมา “เพราะกูกับมึงก็เหมือนสัญลักษณ์ของมิตรภาพ ไม่มีทางที่คณะเราจะตัดกันขาด ประธานเลยอยากให้พวกเราสนิทกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”

“งั้นที่มึงเอากำไลมาให้กูซะเอิกเกริก มาจากเหตุผลนี้?”

“ประธานแค่ใช้ประโยชน์จากเรื่องที่กูต้องเอากำไลมาให้มึง และกูก็พลอยได้ประโยชน์มีคนช่วยคิดช่วยทำเซอร์ไพรส์…ประทับใจไหม?”

“เหอะ” ผมหัวเราะในคอ ใครจะกล้าบอกว่าโคตรน่าอาย “ถามจริงที่ทำไปเนี่ย เขินบ้างไหม”

“ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกก็คงโกหก”     

พาร์แกะถุงขนมมาวางตรงหน้าให้…มันฝรั่งทอดกรอบรสที่ผมชอบมาก หันไปมองมันอีกที กำลังหยิบน้ำผลไม้กล่องมาเจาะหลอดให้อย่างรู้ดีว่าผมชอบกินคู่กับน้ำผลไม้

“รู้สึกเหมือนมึงเอาใจใส่กูดีกว่าเดิมอีก”

พาร์หัวเราะ แกะถุงขนมอีกห่อ “กูกำลังจีบมึงนี่ และหลังจีบติด กูก็จะเป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยน”

ผมรู้สึกว่าพาร์ในตอนนี้กำลังอารมณ์ดีสุดๆ ดีถึงขั้นแผ่ความรู้สึกนั้นออกมาให้รอบข้างรับรู้…นี่ถ้ามันมีหาง ตอนนี้คงโบกสะบัดสบายอารมณ์อยู่แหงๆ

คนโดนมองหันกลับมามองผม แววตาสงสัย “ไม่กิน?”

“…กิน”

ผมหยิบขนมเข้าปากเงียบๆ ไม่รู้ช่วงนี้เป็นอะไร ถ้าพาร์มาอยู่ใกล้ๆ เป็นต้องคอยมองสำรวจอารมณ์บ้าง ท่าทางตอนมันขยับ บางทียังเผลอมอง…แฮ่ม! เอาเป็นว่าผมรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองพอสมควร ไม่นึกว่าจากต้นขาขาวๆ ของหญิงสาวจะมาสนใจกล้ามเนื้อใครบางคนแทน ไม่สิ ผมมีอาการแบบนี้กับมันคนเดียวต่างหาก     

“ที”

ผมสะดุ้ง รีบขานรับในคอ “หือ?” นึกเสียวสันหลัง กลัวโดนจับได้ตงิดๆ

“กูจับมึงใส่ปลอกคอแล้วนะ”

ขนมเกือบติดคอตาย ผมรีบคว้าน้ำผลไม้มาดูดอึกๆ จนคอโล่ง

“เอานี่น้ำเปล่า”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธขวดน้ำ จ้องพาร์เขม็ง “เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไร?”

“กูรู้ว่ามึงได้ยิน แต่ถ้าอยากได้คำยืนยัน”

พาร์ชี้กำไลของผม เอ่ยช้าชัดแค่สองคำราวกับจะตอกย้ำกัน “ปลอก - คอ”

ผมโดนคลื่นอารมณ์หลากหลายโถมเข้าใส่จนมึนไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้ก็เผลอหลุดปากไปแค่…

“กล้ามาก! เดี๋ยวพ่อจิ้งจอกของกูก็มาขบหัวมึงหรอก”

“เป็นห่วงเหรอ?”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ก่อนบอกปัด “มึงห่วงตัวเองก่อนเหอะ”

“ไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วง แม่จิ้งจอกแปรพรรคแล้ว ถ้าได้ลูกจิ้งจอกแปรพรรคอีกตัว” พาร์มองมาด้วยแววตาวิบวับ “ต่อให้มีพ่อจิ้งจอกเป็นสิบ กูก็ไม่กลัว”

“ไม่ใช่พอถึงเวลาจริงๆ วิ่งหนีหางจุกตูด”

“มีแต่วิ่งไปลากพ่อหมาป่ามาช่วยสู้มากกว่า อาจพาแม่หมาป่ามาช่วยด้วยก็ได้”

ผมมองพาร์อย่างหมั่นไส้ “แล้วตกลงข้อความที่มึงเขียนวันนั้น มันแปลว่าอะไร”

“วันไหน?”

“ก็ที่เขียนลงกำไลไง” ผมชี้กำไลสองวงสลับไปมา จำได้ว่าข้อความบนกำไลทั้งสองไม่เหมือนกัน

“อ้อ กูจะบอกต่อเมื่อมึงรับปากเป็นแฟนกูแล้วเท่านั้น”

“งั้นกูไม่อยากรู้ก็ได้”

“มึงได้สำรวจกำไลข้อมือหรือยัง?”

“ทำไมล่ะ? เหมือนแบบที่เห็นในร้านไม่ใช่เหรอ?”

“ชอบไหม?”

“ก็ดีนี่”

“งั้นกูก็โล่งใจที่ไม่โดนมึงด่า”

ผมรู้สึกเอะใจ จึงก้มมองของชิ้นใหม่ที่ทิ้งน้ำหนักไม่คุ้นเคยตรงข้อมือ กำไลสีเงินเรียบๆ ดูหรูหราขึ้นด้วยไพลินสีน้ำเงินสองเม็ดเล็ก…

สองเม็ด!

“เฮ้ย! ไหนมึงบอกจะไม่ทำอะไรเกินตัวไง!! นี่ใช้ตั้งสองเม็ด สองวงก็ปาไปสี่เม็ด!”

“ใจเย็นก่อน มันไม่ได้แพงมากอย่างที่มึงคิดหรอก”

“ไม่แพงมากบ้าอะไร บอกกูมามึงจ่ายค่าไพลินไปเท่าไหร่!”

พาร์พ่นลมหายใจ “ไพลินเองก็มีหลายเกรด แต่ละสีราคาก็ไม่เท่ากัน มึงเข้าใจตรงนี้ไหม”

ผมชะงัก ก่อนพยักหน้าหงึกๆ “…เข้าใจ สรุปคือมึงไม่ได้ซื้อของเกรดดีมา”

“กูไม่มีตังค์ขนาดนั้นหรอก ถึงบอกไงว่ามึงไม่ต้องห่วง อีกอย่างตอนนี้อาจดูหรูไปหน่อย แต่ถ้าเราโตขึ้นมีงานมีการทำ มันก็จะพอดีเอง”

ผมชะงัก ไม่นึกว่าพาร์จะคิดเผื่อถึงขั้นนั้น “…นี่มึงคิดว่าเราจะได้ใส่นานขนาดนั้น?”

“อืม” สีหน้าพาร์มั่นใจมาก

ผมนิ่วหน้า เช็ดมือที่เปื้อนขนมกับกางเกง แล้วจับกำไลมาดูไพลินให้ชัดๆ นอกจากเห็นเป็นสีน้ำเงิน ผมก็ดูไม่ออกว่ามันดีหรือแย่ยังไง เอาเป็นว่าในสายตาผม มันสวยมากอยู่ดี…บางทีการไม่รู้ราคาอาจทำให้ผมสบายใจกว่าก็ได้ ยอมปล่อยผ่านแล้วกัน

มาพูดถึงกำไลต่อ ระหว่างไพลินทั้งสองสลักข้อความที่ผมอ่านไม่ออกเป็นภาษา…

ผมเงยหน้ามองพาร์หลังนึกอะไรออก “นี่น่ะภาษาสวีดิช?”

พาร์ส่ายหน้าให้ผม “มึงน่าจะรู้นานแล้วนะ ทำไมพึ่งเอะใจได้”

พาร์พูดถูกต้องเลย ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเถียงไม่ออก รีบก้มมองภาษาสวีดิชเขียนหวัดๆ เหมือนแกะจากข้อความที่พาร์เขียนไปวันนั้นเป๊ะๆ ตัวกำไลทำออกมาได้ดีมากครับ ทั้งพอดีข้อมือทั้งเรียบเนียนไม่มีระคายผิว แถมยังเหมือนเป็นกำไลเนื้อเดียวกัน รอยแยกไม่รู้อยู่ไหน แม้แต่แกะออกตรงไหนผมก็หาไม่เจอ!

นี่กะไม่ให้ถอดออกเลยชัดๆ!!

แค่ผมเงยหน้า พาร์ก็ชิงพูดก่อนทันที “ถ้าจะถามวิธีปลดกำไลออก กูไม่บอกหรอก”

ผมชี้นิ้วใส่หน้าหมาป่าเจ้าเล่ห์ “มึงยอมเผยความชั่วร้ายแล้วสินะ!”

พาร์หัวเราะขำ “ความชั่วของกูก็ได้ และลูกขอสารภาพผิดว่าจงใจวางแผนให้กำไลวงนี้ถอดไม่ออกตลอดชีวิต”

พูดจบมันก็ดึงมือซ้ายผมเข้าหา จับพลิกหงายฝ่ามือขึ้น โน้มตัวก้มแตะริมฝีปากที่กำไล

ผมรีบชักมือกลับทันที เป็นปฏิกิริยาจากความตกใจล้วนๆ

“ทำหน้าอะไรของมึง” พาร์ดึงแก้มซ้ายผมจนยืด “แทนที่จะเขินให้ชื่นใจสักหน่อย ดันทำหน้าพิลึกซะได้”

ผมดึงมือมันออก ย่นคิ้วเข้าหากัน “…ถ้ามึงไม่จูบกำไลให้กูตกใจ กูก็คงเขินให้มึงดูอยู่หรอก”

พาร์ทำหน้าเสียดายมาก “งั้นมาเริ่มกันใหม่”

“ไม่เอา!” ผมจ้องคาดคั้นมันต่อ “แล้วนี่มึงกะไม่ให้กูหนีไปไหน หรือไม่ให้ใครพาหนีเลยใช่ไหม”

พาร์หัวเราะในคอ บอกเลย ฟังดูชั่วร้ายมาก!

ผมจ้องกำไลที่ได้มาอย่างหวาดๆ “กูขอถามตรงๆ ยังเหลือความลับอะไรอีก?”

“อยากรู้?”

“เออ!”

ผมแอบสะดุ้งยามพาร์โน้มหน้ามาพูดเสียงกระซิบข้างหูให้จั๊กกะจี้เล่น

“ข้อความด้านในกำไลที่พี่ดินให้ใส่ลงไป มึงเห็นแล้วใช่ไหมว่าเป็นสีดำ เจ้านั่นไม่ทนหรอกนะ โดนน้ำสักสามหรือสี่ปีก็ลอกหลุดหมดแล้ว แต่จะไปสนใจทำไม ในเมื่อไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว จริงไหม?”

ผมตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ได้มองพาร์อึ้งๆ กลายเป็นเปิดโอกาสให้มันดึงแก้มผมเล่นอีกรอบ สติผมเลยกลับมา เตะขามันไปหนึ่งที พร้อมร้องด่า

“มึงแม่งโคตรเจ้าเล่ห์!”

“หึๆๆ” พาร์หัวเราะในคอสวนกลับมาให้หงุดหงิดกว่าเดิม

ผมชักเกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ของมันแล้วสิ   

“เฮ้ยยยย!”

เสียงร้องตกใจดังลั่นของมล ทำให้ทั้งห้องที่กำลังเฮฮาอยู่ รวมถึงพวกผมหยุดชะงัก พร้อมใจกันหันไปมองคนตะโกนเป็นตาเดียว

“ซวยแล้ว! ต้องเข้าประชุม!!”

แวบแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อึดใจต่อมาฝั่งอีคอนก็เกิดความโกลาหน

“ขอโทษนะ! เราอยู่ช่วยทำความสะอาดไม่ได้แล้ว!” มลตะโกนคุยกับเมย์ข้ามห้อง

“ไม่เป็นไร! ไปเถอะ!”

แปบเดียวฝูงชนชาวอีคอนก็โถมใส่ประตูสองบาน และหายเกลี้ยงในเวลาไม่นาน ทุกสายตาของชาวนิติจ้องผมเป็นตาเดียว เหมือนสงสัยมากว่าทำไมผมไม่ขยับตัวไปกับเขา

“…เผื่อลืมกัน” ผมพูดเสียงดังพอสมควร กะให้ทั้งห้องได้ยินทีเดียว “สะใภ้คณะต้องเข้าร่วมกับทางนิติ”

“อ้อ” ลากเสียงยาวกันมาเลย

งานเลี้ยงสองคณะครั้งแรกเลยต้องเลิกราด้วยประการฉะนี้ 

กว่าพวกผมจะลงจากตึกก็หลังจากช่วยกันทำลายหลักฐานการทำผิดกฎซะเกลี้ยง ชาวนิติแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ส่วนผมกับพาร์จอดรถไว้ที่เดียวกัน เลยเดินคู่ไปด้วยกัน

“ไปเที่ยวกันไหม” จู่ๆ พาร์ก็ถามขึ้น

“วันนี้? หรือวันไหน?”

“วันนี้สิ”

“ไม่เอา”

“งั้นวันอื่น”

“…ต้องดูอารมณ์ก่อน”

“หมายความว่าวันนี้มึงอารมณ์ไม่ดี?”

“กล้าถาม!” ผมแยกเขี้ยวใส่พาร์ “เสียรู้แบบกูนี่ ใครจะอารมณ์ดี!”

ยังกล้ามาหัวเราะใส่อีก! ผมแยกเขี้ยวใส่

พาร์รีบกลั้นขำ ก่อนถาม “หลังจากนี้จะไปไหน?”

“กลับบ้าน กูจะไปตั้งหลัก”

“โอเค แต่ก่อนกูจะปล่อยมึงกลับ เรามาตกลงก่อน พรุ่งนี้เช้าจะให้ไปรับ หรือมึงจะมารับกู”

“ต่างคนต่างมา”

“ที…”

“ไม่ต้องเรียก เรียนคนละตึก เวลาก็ไม่ตรงกัน ระยะทางแต่ละตึกก็ใช่ว่าจะใกล้ ต่างคนต่างมานั่นแหละดีที่สุด”

“แต่กูอยากเจอมึงนี่”

“มะรืนก็ได้เจอ พรุ่งนี้ก็ทนคุยทางไลน์กับกูไปก่อน”

“เจอกันครึ่งทาง” พาร์ยืนคำขาด “โรงอาหารกลาง ตอนเที่ยงสิบห้า ห้ามปฏิเสธ”

“…นี่มึงกำลังจีบกูแน่เหรอ?”

“อือ จีบอยู่”

พาร์ตอบหน้าตายมากครับ

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-03-2017 15:03:17
โอ้ยยยยย!! อะไรจะใหญ่โตปานนั้น ><
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-03-2017 16:24:34
รออ่าน  :ling1: :ling1: :ling1:
แล้วพออ่าน
ชอบที่ ที ว้าวุ่น ที่ต้องแยกห่างจากพาร์
จนต้องอพยพไปนอนกับน้องอัน
ชอบบบบ ที่พาร์ มาหาที ตอนเที่ยงคืน
บอกจีบที อย่างจริงจัง
พาร์ ที ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว
เข้ากับอีกทางที่ได้รับที เป็นสะใภ้อย่างเป็นทางการ
มียกขบวนมาสู่ขอด้วย ครึครื้นมาก
วิน ก็หมั้นกับไว เป็นข่าวดังเลย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-03-2017 20:39:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 07-03-2017 23:33:41
อยากให้พาร์จีบ 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-03-2017 00:12:49
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-03-2017 00:25:04
พาร์สู้ๆนะ ขอให้ทีใจอ่อนยอมเป็นแฟนไวๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-03-2017 00:27:25
ถึงกับอมยิ้มเลย
พาร์ผูกมัดทีไว้ไม่มีหลุดแน่
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 08-03-2017 07:17:44
ไม่รอดแน่..ที..รอวัน..ที..เสียตัว..ให้..พาร์..อิอิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 13-03-2017 19:26:49
บทที่ 46

ช่วงนี้ผมมาคณะนิติบ่อย ไม่ถูก ต้องเรียกว่าบ่อยมาก

จากคนไม่รู้จักก็กลายเป็นคุ้นหน้า จากคนรู้จักก็กลายเป็นสนิทสนม เดี๋ยวนี้ผมไปไหนมาไหนกับพวกนิติบ่อยกว่าเพื่อนคณะตัวเองซะอีก

ความเปลี่ยนแปลงนี้มันเริ่มต้นเมื่อไหร่ไม่รู้ อาจจะตอนที่ผมรู้สึกอึดอัดเนื่องจากคุยหัวข้อเดียวกันกับเพื่อนไม่ได้ พอเข้าไปใกล้ก็รีบพากันเปลี่ยนหัวข้อคุย ไม่ก็เงียบ เสมือนถูกกั้นเป็นคนนอก หลังจากทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่หลายครั้ง นอกจากทำให้ตัวเองอึดอัดใจแล้ว เพื่อนๆ ก็เริ่มอึดอัดใจเหมือนกัน ผมเลยยอมถอยห่าง ย้ายสำมโนครัวอย่างที่พี่นันต้องการ แรกๆ ก็ซึมพอสมควร แต่หลังๆ ผมชักปลง เลยหันมาเฮฮากับเพื่อนใหม่ อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับจนหายเครียด

คนที่ได้กำไรจากเรื่องนี้มากสุดคงเป็นพาร์ ก็นะ เล่นได้เจอหน้าผมทุกวัน วันละหลายครั้ง หลังๆ ถ้ามันว่างก็ชอบโผล่หน้ามารอรับผมถึงหน้าห้องเรียนให้เพื่อนแซวเล่นอยู่เรื่อย

…ก็ไม่รู้ว่าหลังจบกิจกรรมนี้ ผมจะห่างเหินกับเพื่อนในคณะหรือเปล่า เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ยังไงผมต้องอยู่กับพวกมันอีกสามปีค่อยทำความสนิทสนมกันใหม่ก็ได้

ถ้าถามถึงว่าผมไปขลุกอยู่ที่ไหนในคณะนิติมากสุดก็คงเป็นห้องสโมฯ ได้ตำแหน่งเด็กฝึกงานมาแบบงงๆ โดนแซวกระจายว่าผมกำลังจะได้นั่งตำแหน่งประธานคณะต่อจากพี่ดิน ประหนึ่งเป็นศิษย์สืบทอด แถมยิ่งสนิทกันก็ยิ่งโดนพี่ดินใช้งาน ทั้งเหนื่อยทั้งยุ่งจนผมลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ตัวเองกำลังซึมเศร้า บางครั้งก็คิดว่าพี่ดินอาจจงใจก็ได้ นอกจากได้แรงงานฟรีอย่างผม บางครั้งก็ได้พาร์มาช่วยงานด้วย (ถ้าพาร์แวะมาหาผมถึงห้องสโมฯ)

“ที”

“แปบนะพี่ จะเสร็จแล้ว” ผมคร่ำเคร่งอยู่หน้าคอม เลยตอบโดยไม่หันไปมองหน้าคนเรียก

“ไม่ใช่เรื่องงาน”

ผมละสายตาจากจอคอม หันมองพี่ดินงงๆ ไม่ใช่งาน แล้วเรื่องอะไร?

“เสาร์นี้สะใภ้คณะมีนัด อย่าลืมไปล่ะ”

“ว่าแต่นัดกี่โมงครับ ไม่เห็นมีใครบอกผมเลย”

“ทั้งวันตั้งแต่แปดโมงถึงสามทุ่มมั้ง ใครจะไปเวลาไหนก็ได้”

เหมือนเมื่อกี้หูฟาด “พี่พูดว่าอะไรนะ”

พี่ดินเลิกคิ้ว “แปดโมงถึงสามทุ่ม”

“ไม่ใช่ ประโยคหลังอ่ะ”

“ใครจะไปเวลาไหนก็ได้?”

“นั่นแหละ…หมายถึงอะไร?”

“อ้าว ตรงตัวไง ใครว่างตอนไหนค่อยไป พี่แนะนำให้ไปช่วงเช้า คนน้อยดี แปบเดียวก็เสร็จ”

ผมกระพริบตาปริบๆ “แปบเดียว?”

“ก็แค่ไปถ่ายรูป ถ้าไม่ต้องยืนรอคิว แปบเดียวก็เสร็จไง”

“อ้าว” ผมลากเสียงยาวแบบมึนๆ “เอ่อ ผมนึกว่ารวมพลสะใภ้คณะซะอีก”

“หมายถึงเจอหน้ากันทุกคนน่ะเหรอ ไม่ใช่หรอก คนมีค่าหัวที่ไหนจะแสดงตัว”

“อ้าว แล้วอย่างผมล่ะ รู้จักทั้งมหาลัยแล้วมั้ง”

“นั่นสินะ งั้นชดเชยด้วยการขยันฝึกในนัดครั้งต่อไปของสะใภ้คณะแล้วกัน”

“ฮะ? มีนัดอีกเหรอ?”

“มี หลายครั้งด้วย” พี่ดินหรี่ตาลง “นี่คงไม่คิดว่านัดครั้งเดียวจบหรอกนะ”

ผมหัวเราะแห้งๆ พี่ดินถอนหายใจ มองมาด้วยแววตาจริงจัง

“ว่ากันว่าไม่มีใครรู้จักมหาลัยดีเท่าสะใภ้คณะ เพราะงั้นการจับตัวสะใภ้คณะจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสาเหตุนี้สะใภ้คณะถึงต้องมีฝึกฝนหลบหนี”

จะว่าไปก่อนหน้านี้พี่ดินก็พูดเรื่องฝึกนี่หว่า “ฝึกที่ว่าไม่ใช่การจดจำแผนที่ในมหาลัยเหรอครับ”

“พี่ก็ไม่รู้ว่าสะใภ้คณะฝึกยังเหมือนกัน”

“อ้าว”

“มาอ้าวอะไร พี่ไม่เคยเป็นสะใภ้คณะนี่ ไม่เคยต้องจับคู่กับสะใภ้คณะด้วย”

“ไม่เคยถามคนอื่นเหรอพี่”

“เคย แต่ไม่มีใครยอมบอก”

“เดี๋ยวก่อน เทอมที่แล้วพี่นันบอกว่านิติต้องปกป้องผมนี่น่า”

“ใช่ แต่บางเวลาก็ปกป้องไม่ได้ บางครั้งส่งออกนอกพื้นที่ปกป้องยังดีกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นสะใภ้คณะจำเป็นต้องหัดเอาตัวรอดให้ได้ แต่ถ้าไปเร่ร่อนข้างนอกแล้วเหนื่อยก็ค่อยกลับมาพัก จริงสิ พี่ยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่ามีกฏห้ามสะใภ้คณะซ่อนตัวที่เดิมนานเกินไป”

“ยังไงครับ?”

“ก็ถ้าไม่เคลื่อนไหวภายในหนึ่งชั่วโมง จะมีประกาศออกลำโพงว่าสะใภ้คณะซ่อนอยู่ตรงไหนน่ะสิ อันนี้กรณีเราอยู่พื้นที่ข้างนอก แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่ของนิติจะอยู่ได้ที่เดิมได้ถึงสามชั่วโมง ก่อนโดนประกาศบอกที่ซ่อน”

ผมทำหน้ายุ่ง “แบบว่าบอกเลยเหรอว่าซ่อนอยู่จุดไหน?”

“ไม่ๆ เขาจะบอกกว้างๆ เช่น อยู่แถวอาคารนี้ หรืออยู่ใกล้เต็นท์พื้นที่คณะไหน อะไรแบบเนี่ย ใครจะจับสะใภ้คณะก็ต้องไปตามหาเอาเองอีกที”

“อ้อ”

“เรื่องพาร์” พี่ดินพูดต่อ “นัดสะใภ้คณะเมื่อไหร่ก็พกพาร์ไปด้วย”

“ทำไมครับ?”

“เพราะบทบาทของทีเป็นแบบคู่ไง ไม่เชื่อพี่เดี๋ยวรอดูวันเสาร์นี้สิ อ้อ อย่าลืมเอาปีนฉีดน้ำไปด้วย”

“ปืนฉีดน้ำ?”

“ของจากคลังนิติ พี่ให้ยืมชั่วคราว เดี๋ยววันศุกร์พี่จะวางไว้ให้ที่ห้องนี้ วันจันทร์ก็เอามาคืนด้วย”

“แล้วต้องพกไปทำไมล่ะ?”

“เอาไปถ่ายรูปไง” พี่ดินว่า ก่อนทำหน้านึกอะไรบางอย่างออกก็รีบบอก “เวลาถ่ายอย่าถือปืนผิดกระบอกล่ะ ไม่งั้นจะซวยเอา”

“ซวย?”

“ใช่ ซวยหนักต้องใช้ประเภทปืนที่ถ่ายผิดไปตลอดจนกิจกรรมจบ ปืนที่สั่งซื้อมาใช้ก็ไม่ได้ มีทางเดียวต้องไปขอแลกเปลี่ยนกับคนอื่น แล้วใครจะยอมแลกด้วยล่ะ”

ผมกลืนน้ำลาย จริงที่สุด ใครๆ ก็อยากเล่นกับปืนฉีดน้ำที่ซื้อหรือจองเอาไว้ทั้งนั้น ยิ่งปืนของผมเป็นแบบเน้นความคล่องตัวมากกว่าระยะโจมตีซะด้วยสิ

“อีกเรื่องหลังจากนัดครั้งแรก ครั้งต่อไปจะได้เป็นใบนัดหมายมา พยายามอ่านรายละเอียดให้ดี ถ้าเตรียมตัวมาก่อนได้ก็ทำเอาไว้…พี่แค่แนะนำ ทีจะทำตามที่พี่บอกหรือไม่ก็ได้ เข้าใจไหม”

ผมพยักหน้า

และแล้วก็ถึงวันเสาร์ ผมเลือกไปตอนเช้าอย่างที่พี่ดินบอก หลังอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาลงมาก็เจอเจ้าตัวเล็กกำลังดูทีวีไป พลางตักอาหารเช้าเข้าปาก กินช้าพอๆ กับเต่าคลานแบบนั้นไม่รู้เมื่อไหร่จะหมด ผมยืนมองน้องคนเล็กปลงๆ ครู่หนึ่งก็เดินไปห้องครัวเจอแม่กำลังยุ่งอยู่หน้าเตา

“ให้ทีช่วยไหม?”

“ไม่ต้องจ๊ะ ของทีแม่วางให้บนโต๊ะแล้ว”

“ขอบคุณครับ” ผมเลื่อนเก้าอี้ตัวประจำ แล้วนั่งลง หยิบช้อนมาถือ

“วันนี้ลูกต้องไปมหาลัย?”

“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ก่อนตักอาหารเช้าปาก เคี้ยวจนกลืนลงคอก็พูดเสริม “หลังจากนี้ทีอาจต้องไปมหาลัยช่วงเสาร์อาทิตย์บ้างเป็นบางครั้ง”

“จะมีกิจกรรมเหรอลูก?”

“ครับ เป็นกิจกรรมใหญ่ด้วย”

“งั้นเหรอ พยายามเข้านะ ว่าแต่วันนี้พาร์ไปมหาลัยไหม?”

“ไปครับ ทำไมเหรอ?”

“ฝากบอกพาร์ด้วยนะว่าแม่คิดถึง ไม่ได้มาให้แม่เห็นหน้าเดือนกว่าแล้ว”

นึกดูแล้วก็จริงแฮะ

“เอางี้ดีกว่า วันนี้ลูกพาพาร์มากินข้าวเย็นที่นี่เลยแล้วกัน”

ผมเกือบสำลักข้าว คว้าน้ำเปล่ามาดื่มไปครึ่งแก้วก็พยายามพูดหาข้ออ้าง “เอ่อ คือว่า…”

“วันนี้เบอร์จะมาเล่นที่นี่ด้วย ให้กลับกับพาร์ก็ดีนะ”

“คือพาร์…”

“ชวนมาให้ได้นะลูก แม่จะทำอาหารรอ”

ผมปิดปากฉับ ดูเหมือนว่างานนี้ท่านแม่ที่เคารพจะไม่ยอมฟังข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น

เสียงริงโทนมือถือของผมดังขึ้นกะทันหัน เห็นชื่อกับรูปคนโทรเข้าผมก็กดตัดสาย รีบกวาดอาหารที่เหลือในจานลงท้อง ตบท้ายด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งแก้ว บอกลาแม่กับน้องชายเสร็จก็เดินเร็วๆ ออกไปยืนรอหน้ารั้วบ้าน พอรถมาจอดผมก็เปิดประตูข้างคนขับขึ้นไปคาดเข็มขัด เงยหน้าขึ้นมาอีกทีทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปแล้ว

“เป็นไรถึงทำหน้ายุ่งแต่เช้า”

ผมถอนหายใจให้คำถาม “แม่ให้มาชวนมึงไปกินข้าวเย็นนี้”

“แล้ว?”

“เราจะอธิบายเรื่องกำไลยังไง”

“ถ้ายุ่งยากนักก็ไม่ต้องบอก”

“ไม่บอกก็โดนเข้าใจผิดน่ะสิ”

“ไม่เห็นเป็นไร”

“เป็น ประเด็นคือถ้าพ่อแม่กูเข้าใจแบบผิดๆ เรื่องอาจไปถึงหูลุงนิกทั้งอย่างนั้น ลากยาวไปถึงทากะซัง เผลอๆ อาจไปถึงหูปู่ย่าด้วยซ้ำ แค่คิดกูก็เครียดแล้ว”

“แล้วไง? จะช้าจะเร็ว ถ้าเราคบกันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี”

“…มึงพูดถูก” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พูดตามตรงนะ กูกลัววะ”

“กลัวอะไร?”

“กลัวโดนระเบิดถล่มใส่น่ะสิ แค่คิดกูก็หนาวไปถึงไขสันหลัง” ผมพูดเสียงเครียด “อีกอย่างสถานะของเรายังก่ำกึ่งอยู่เลย กูว่ายังไม่สมควรบอกให้ผู้ใหญ่รู้วะ”

“…ถ้าแน่นอนแล้วบอกได้?”

ผมเม้มปาก ก่อนผงกหัว “ได้”

กลายเป็นพาร์ถอนหายใจบ้าง “ก็ได้ แต่บอกก่อน จะไม่มีใครถอดกำไลออกเด็ดขาด”

ผมนิ่วหน้า “แล้วมึงจะซ่อนกำไลยังไง?”

“เดี๋ยวกูหาอะไรมาพันปิดกำไลเอง”

“…ขอบคุณ”

“ถือว่ามึงติดหนี้กูแล้วกัน”

ผมแยกเขี้ยวใส่คนข้างๆ อารมณ์กำลังซึ้งที่มันยอมเข้าใจแตกสลายหายวับไปในอากาศ

“ถ้าเป็นเรื่องที่กูทำไม่ได้ หรือไม่เต็มใจทำ มึงจะเสียสิทธิ์นั่นไปทันที”

“เคี่ยววะ”

“กับมึงต้องแบบนี้แหละ” ผมหันมองนอกหน้าต่าง สักพักก็หันไปถาม “สรุปจะไปกินข้าวบ้านกู?”

“ขืนกูไม่ไป คะแนนจากว่าที่พ่อตาแม่ยายได้ตกหมดพอดี”

อารมณ์นี้ผมบอกไม่ถูกว่าจะเขินหรือหมั่นไส้ดี…รู้สึกอย่างหลังจะมีมากกว่านะ

รถบนถนนน้อยกว่าวันธรรมดา ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงมหาลัย ผมบอกพิกัดให้พาร์ จุดหมายของเราคือตึกของคณะนิเทศครับ คณะนี้เป็นคณะเดียวที่ไม่ร่วมเล่นสงครามแบบถือปืนชิงเมือง แต่จะเป็นแนวๆ ผู้สนับสนุนและเป็นกลาง ทำหน้าที่หลายอย่างมาก เป็นผู้ประกาศแจ้งต่างๆ ในช่วงกิจกรรม รวมถึงตามเก็บภาพบรรยากาศทั่วงาน

นอกจากนี้ยังสามารถว่าจ้างให้ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศของคณะตัวเอง (เพราะคนในคณะที่เข้าสงครามคงไม่มีใครว่างทำ) เปิดบูทขายของ ตั้งแต่ซื้อขายของที่จำเป็น เช่น เสบียง แม็กกาซีน เสื้อผ้า (ชุดธรรมดาไว้สำหรับเปลี่ยนสำหรับคนที่ลืมพกมา) ผ้าขนหนู และสารพัด รวมไปถึงข่าวสารเล็กๆ น้อยๆ

สรุปคือขอแค่มีเงินก็ไร้ปัญหา

พูดถึงเรื่องเงิน เราไม่ได้ใช้เงินจริงนะครับ เป็นเงินจำลองที่มีตราสัญลักษณ์สงครามสายน้ำกัน ได้ยินว่าเป็นเหรียญ (เพราะถ้าเป็นแบงค์คงเปียกน้ำก่อน) มีตั้งแต่เหรียญบาทยันเหรียญพัน (แบ่งเป็น 1 5 10 50 100 500 1,000) แต่เจ้าเหรียญ1,000 เอาไว้ใช้สำหรับซื้อของจำนวนเงินเยอะๆ ครับ คนทั่วไปพกแค่ถึงเหรียญร้อยกัน เพราะยิ่งจำนวนค่ามาก เหรียญยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ 

เนื่องจากผมอยู่กับพวกพี่ดินเลยได้รู้เยอะกว่าชาวบ้าน เห็นเล่าว่าใกล้ถึงเวลากิจกรรม จะมีประกาศให้ไปแลกได้ที่ธนาคารในมหาลัย ใครไม่ไปแลกเงิน ในวันงานกิจกรรมจะซื้อของไม่ได้ (นอกจากจะเอาของที่มีอยู่ไปขายก่อน) และก่อนจะแลกเหรียญต้องดูให้ดี เพราะแต่ละวันเรท (อัตราแลกเปลี่ยน) ไม่เท่ากัน แลกถูกวันก็ได้กำไร แลกผิดก็ถือว่าเสียค่าโง่ พอผมอุทานถึงความยุ่งยาก พี่ดินก็หัวเราะบอกว่า พี่ว่าดีนะ ฝึกเอาไว้ อนาคตจะได้รู้ แล้วไม่พลาดอีก

“ที”

ผมออกจากความคิด หันไปมองคนเรียก “อะไร?”

“วันนี้แค่ไปถ่ายรูปใช่ไหม?”

“เออ”

“งั้นไม่น่านาน ถึงนานก็ไม่น่าจะเกินสามชั่วโมง นี่พึ่งจะแปดโมงเอง”

“แล้ว?”

“ไปเดินห้างกันต่อ…ได้ไหม”

น้ำเสียงอ้อนมาเลยครับ ผมพ่นลมหายใจ “มึงจะชวนเดตก็บอกมาเหอะ”

“แล้วได้ไหมล่ะ”

“...แล้วแต่มึงสิ”

“งั้นตกลงเราไปเดตกัน” มันพูดรวบรัดจบในประโยคนี้ก็เอาแต่ยิ้ม อารมณ์ดีเหลือหลาย จนมันขับเลยตึกคณะนิเทศซะงั้น

“พาร์! เลยแล้วเว้ย!”

“เฮ้ย!”

“ไปวนรถข้างหน้านู้น! ตรงนี้เขาห้ามย้อนศร!”

กว่าจะมาถึงตึกคณะนิเทศ พวกผมก็เสียเวลาพอสมควร ขึ้นไปชั้นสี่ตามที่พี่ดินบอก เดินไปตามทางฝั่งขวาก็เจอห้องที่ว่า แต่ด้านหน้ากลับมีโต๊ะตั้งขวางทางเดิน เหลือพื้นที่ให้เข้าออกประมาณสองคนเดินคู่กัน

“มาทำอะไรคะ?” ผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเอ่ยถาม

“ถ่ายรูปครับ” ผมบอกตามจริง

“งั้นเซ็นชื่อได้เลยค่ะ” ผายมือไปทางแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ “ถ้าอยู่ปีสี่แฟ้มสีดำ ปีสามแฟ้มเขียว ปีสองแฟ้มฟ้า ถ้าพึ่งเป็นสะใภ้คณะ แฟ้มแดงค่ะ”

ผมกระพริบตาปริบๆ ขยับไปเปิดแฟ้มห่วงสีแดง เจอเอกสารขนาดเอสี่ที่เป็นช่องตาราง แนวนอนมีสามช่อง ส่วนแนวตั้งก็ไล่ลงมาจนขึ้นหน้าใหม่ ช่องแรกยาวที่สุดบอกว่าคณะไหนคู่กัน ท้ายชื่อคณะมีตัวเลขด้วยครับ (ผมเดาว่าน่าจะหมายถึงชั้นปี) ช่องสองกับช่องสามมีชื่อเล่นพิมพ์ไว้ติดขอบซ้าย ที่เหลือเหมือนเว้นไว้ให้เซ็นชื่อ

กวาดตาไล่มองหาจนเจอ นิติศาสตร์1 x เศรษฐศาสตร์1 อยู่ที่กระดาษแผ่นสอง แล้วเซ็นชื่อลงไปช่องว่างที่สามที่มีชื่อเล่นของผม ก่อนส่งปากกาให้พาร์เซ็นชื่อลงช่องกลางที่มีชื่อเล่นของมัน

“ห้องสตูดิโออยู่ในสุด ส่วนห้องแรกที่เปิดประตูทิ้งไว้เป็นห้องพักผ่อน มีน้ำกับขนมด้วยนะ พวกพี่เตรียมไว้ให้กับคนรอคิวนาน แต่พวกน้องเป็นรายแรกที่มาถึง เข้าห้องสตูฯ ได้เลย เสร็จแล้วจะออกมาทานน้ำทานขนมก็ได้นะ แล้วถ้าอยากได้รูปวันนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก มาลงชื่อจองรูปได้ที่แฟ้มสีขาวตรงนี้ค่ะ ทางเราจะอัดรูปเผื่อไว้ให้ แต่ไม่ฟรีนะคะ ถ้าสั่งแบบเซตจะได้ราคาเหมาจ่าย ขอแนะนำแบบนี้ค่ะ เพราะมันคุ้มกว่า”

ผมกับพาร์มองหน้ากัน เป็นพาร์ที่ขยับตัวไปหยิบแฟ้มขาว ลงชื่อสั่งจองรูปจำนวนสองชุด ผมหยิบกระเป๋าตังค์มาจ่ายเงิน พาร์กระซิบบอกว่าเดี๋ยวคืนให้ พี่ผู้หญิงรับแฟ้มขาวไปเซ็นชื่อพร้อมเขียนระบุว่าจ่ายเงินแล้ว

“และนี่กำหนดการนัดหมายครั้งหน้าค่ะ”

มาเป็นซองจดหมายเลยครับ ผมพูดขอบคุณอีกทีแล้วผละจากมา หลังพากันเดินสักระยะ ผมก็เอียงหน้ากระซิบคนเดินข้างๆ

“มึงรีบจองรูปไปทำไม ถ่ายเสร็จแล้วค่อยออกมาจองก็ได้”

“กูไม่แน่ใจว่าหลังจากเราออกมา คนจะเยอะหรือเปล่าน่ะสิ ตอนนี้ว่างๆ ก็เขียนจองไปก่อนดีกว่า ดีหรือไม่ดียังไง กูก็อยากได้อยู่ดี”

ผมพ่นลมออกจากปาก ผลักประตูห้องในสุด มันไม่ขยับเลยลองเลื่อนดู เป็นประตูแบบเลื่อนครับ พอมองเข้าไปในห้องทั้งผมทั้งพาร์ก็ยืนอึ้งกับบรรดาอุปกรณ์ทั้งหลาย ผู้คนจำนวนหนึ่งที่วุ่นวายกับการตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมใช้งาน

“อ๊ะ คู่แรกมาแล้ว ไปนั่งรอที่โซฟาก่อนนะ” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาจากในห้อง ก่อนร้องเรียกคนเป็นช่างแต่งหน้ากับทำผมให้ออกมาดูแลแขก

พวกผมมองโซฟาที่ว่า มันเป็นพื้นที่พักผ่อนเล็กๆ ที่อยู่มุมห้องใกล้ประตู มีพวกอุปกรณ์แต่งหน้าทำผมอยู่บนชั้นใกล้โซฟา ยังไม่ทันได้นั่งรุ่นพี่ชายหญิงสองคนเดินเข้ามาหา

“วางปืนฉีดน้ำไว้บนโต๊ะก่อนเลยจ๊ะ”

ผมกับพาร์วางถุงที่ใส่ปืนฉีดน้ำมาลงโต๊ะเตี้ยใกล้ๆ พอก้นสัมผัสโซฟาพวกผมก็โดนรุ่นพี่จัดการสภาพหนังหน้าและเส้นผม เสร็จแล้วรุ่นพี่ก็เดินสลับกันจัดการอีกคน แค่สิบนาทีนิดๆ พวกผมก็โดนส่งไปยืนหน้าฉากกำแพงอิฐโทรมๆ เสมือนพึ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ ตรงกลางกำแพงมีสัญลักษณ์ของสงครามสายน้ำกำลังกระแทกอิฐออกมา

สวยครับ จนเผลอมือบอนไปสัมผัสถึงรู้ว่าเป็นภาพวาด ได้กลิ่นน้ำมันสนด้วย น่าจะเป็นภาพสีน้ำมัน

“อย่าไปแตะภาพ! ขยับมาตรงนี้คนหนึ่ง ตรงนั้นคนหนึ่ง เราจะเริ่มถ่ายภาพคู่ก่อน” พี่ที่ยืนหลังกล้องถ่ายรูปวางอยู่ในขาตั้งตะโกนขึ้นมาให้สะดุ้ง ผมกับพาร์มองหน้ากัน ก่อนถือปืนฉีดน้ำขยับไปจุดที่ว่า

“เอ่อ แล้วท่าทางล่ะครับ” ผมถามอย่างประหม่านิดๆ

“รูปแรกขอฟรีสไตล์ ท่าไหนก็ได้ที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง ไม่ต้องอย่าเกร็ง ปล่อยตัวตามสบาย”

และแล้วการถ่ายรูปก็เริ่มต้นขึ้น ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที พวกผมก็โดนปล่อยตัวออกมา ช่างภาพถามว่าอยากดูภาพก่อนไหม แต่พวกผมเห็นคนมานั่งรอคิวอยู่ตรงโซฟาก็ส่ายหน้า ไหนๆ เราก็สั่งภาพไปแล้วยังไงก็ได้เห็นอยู่ดี

ออกมาถึงทางเดินก็ผงะเล็กน้อย มีคนยืนเป็นคู่ๆ พิงกำแพง รอคิวเข้าห้องอยู่ มีทั้งคู่ชายหญิง ชายชาย หญิงหญิงก็มี   

“แวะห้องขนมก่อนไหม?”

ผมตอบพาร์ทันที “ไป”

ตอนนี้คอแห้งมาก อีกอย่างในห้องนั้นมีทิชชู่เปียกสำหรับเช็ดเครื่องสำอางเตรียมไว้ให้ด้วย

ในห้องพักผ่อนมีคนพอสมควร ตั้งแต่สามีกับสะใภ้คณะหลายคู่ตั้งแต่หน้าห้องสตูฯ จนถึงห้องนี้ไม่คุ้นหน้าสักคน สงสัยเป็นพวกรุ่นพี่มั้ง หลังจากเติมพลังงานกับเช็ดเครื่องสำอางออก พวกผมก็ออกจากห้อง เตรียมตัวกลับ เดินไปจนถึงโต๊ะวางแฟ้มก็ได้ยินเสียงสนทนา

“เธอมาคนเดียว?”

“ค่ะ”

“ปีหนึ่งสินะ แล้วสามีคณะไปไหน ทำไมไม่มาด้วยกัน”

ผมเหลือบมองต้นเสียงระหว่างเดินผ่านโต๊ะ ปีหนึ่งที่ว่าเป็นผู้หญิงใส่แว่นยืนอยู่ตัวคนเดียว

“กะ ก็เขาเรียกแต่สะใภ้คณะมา…”

“ใช่ค่ะ เราบอกนัดแต่สะใภ้คณะก็จริง แต่มองข้างหลังพี่สิ มีใครมาคนเดียวบ้าง? ขนาดคู่นี้ปีหนึ่งเหมือนเธอ ยังมาด้วยกันเลย”

ผมสะดุ้งนิดๆ ที่จู่ๆ ก็โดนพี่ที่ดูแลแฟ้มชี้นิ้วใส่

“ตะ แต่…ถ่ายรูป…”

“ถึงจะเน้นถ่ายรูปสะใภ้คณะเป็นหลัก แต่เราก็อยากได้รูปคู่ด้วยค่ะ”

…มิน่าล่ะ ของพาร์โดนถ่ายรูปเดี่ยวไปแค่สามแชะ นอกนั้นเป็นรูปคู่กับรูปเดี่ยวของผมทั้งนั้น

สาวแว่นทำหน้าเจือน เลยโดนพี่ดูแลแฟ้มดุอีกรอบ

“ยืนเฉยทำไม ไปโทรเรียกคู่ของเธอมาสิค่ะ”

“ค…ค่ะๆ”

รุ่นพี่ส่ายหัวให้คนที่หมุนตัวเดินหามุมโทรศัพท์ ผมกับพาร์มองหน้ากัน ก่อนเดินผ่านผู้หญิงสวมแว่น แล้วเดินลงบันได แว่วเสียงเธองึมงำ

“เราไม่รู้เบอร์เขาสักหน่อย จะโทรหายังไงเล่า”

ผมรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ปล่อยผ่าน บางทีถ้าคู่ของผมไม่ใช่พาร์ ผมอาจเจอเรื่องยุ่งยากเหมือนกันก็ได้ ลงมาถึงชั้นล่างก็เจอผู้หญิงฉายเดี่ยวเดินสวนพวกผมขึ้นบันไดไปอีกคน

“…ดูเหมือนสะใภ้ปีหนึ่งไม่ค่อยสนิทกับฝ่ายสามีเท่าไหร่”

พอผมพูดเปรยแบบนั้น พาร์ก็หัวเราะเบาๆ “ที่เป็นแบบนี้เพราะไม่ค่อยเจอกันล่ะมั้ง เดี๋ยวได้เจอกันบ่อยๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกันก็สนิทกันเองนั่นแหละ”

“นั่นสิ”

“ตอนเที่ยงอยากกินอะไร” จู่ๆ พาร์ก็เปลี่ยนเรื่อง

“ถามแบบนี้คือจะเลี้ยง?”

“ถ้าใครบางคนยอมให้เลี้ยงล่ะก็…ยินดีรับเลี้ยงตลอดชีวิตครับ”

ผมส่งเสียงหึในคออย่างหมั่นใส่คนพูดสุดๆ “มาถามหลังจับลูกชาวบ้านใส่ปลอกคอเนี่ยนะ?”

“จิ้งจอกน้อยมีปลอกคอยังพยศอยู่เลยนี่น่า” แววตาพาร์พราวระยับ “เมื่อไหร่จะเชื่อง?”

ผมเตะขาพาร์อย่างทนหมั่นไส้ไม่ไหว แกล้งพูดลากเสียงใส่ “อีกนานนนน”

คนฟังไม่ทุกข์ร้อน หลบขาผมทันแล้ว ยังยิ้มไม่น่าไว้ใจอีกต่างหาก ผมมองอย่างระแวงอยู่สักพัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยวางใจ หันไปมองทางด้านหน้า ไม่ถึงสามก้าวก็ต้องสะดุ้งโหยงกับสัมผัสแขนโอบรอบคอ แถมยังมีลมหายใจกับเสียงกระซิบข้างหู   

“ถ้าให้รอนานเกินไป ระวังถูกหมาป่าจับกินนะครับ”

ผมพยายามผลักพาร์ออกห่าง ประกาศลั่น “ไม่ยอมหรอกโว้ย!”

สัมผัสเปียกชื้นตรงใบหูทำผมสะดุ้งอีกหน แถมยังรู้สึกร้อนๆ ที่หน้า แม้ว่าพาร์จะปล่อยตัวผมแล้วก็ตาม

…ถึงไม่เห็นก็รู้ตัวว่าโดนหมาป่างับหูเข้าให้แล้ว

“หึๆๆ”

“หัวเราะบ้าอะไร เดินไปนู้น ห้ามมาใกล้นะโว้ย”

นอกจากไม่ทำตามแล้ว ผมยังโดนดึงแก้มอีกต่างหาก

“ช่วยน่ารักให้น้อยลงหน่อยได้ไหม เดี๋ยวกูทนไม่ไหวขึ้นมา คนที่เดือดร้อนก็มึงนั่นแหละ”

ผมปัดมือพาร์ออก “มึงมัน…” แต่หัวกลับว่างเปล่า หาคำมาด่าไม่ได้

พาร์ยิ้มขำ คล้องแขนรอบคอผมอีกครั้ง ดึงตัวให้ออกเดินไปที่ลานจอดรถด้วยกัน

“ห้ามไปทำแบบนี้กับคนอื่นนะที”

“เหอะ”

“กูพูดจริง” น้ำเสียงพาร์ค่อนข้างจริงจัง “ไม่งั้นกูอาจเผลอต่อยคนเข้าก็ได้ แน่นอนว่าไม่ใช่มึง”

“ขี้หึงวะ!”

พาร์หัวเราะร่วน ยอมรับหน้าเป็น “กูทั้งขี้หึงทั้งขี้หวงเลยล่ะ แล้วถ้ามึงทำให้กูโมโหขึ้นมาอีกรอบ กูไม่รับรองความปลอดภัย ถือเป็นคำเตือนจากกู”

ผมกัดฟัน ทั้งที่อยากสะบัดหน้าไล่ความทรงจำตอนมันโมโหเมื่อคราวก่อนทิ้งเป็นบ้า

“ขอบคุณที่ยังเตือนกัน แต่เป็นไปได้ ช่วยหึงหวงให้น้อยลงหน่อยเถอะ ไม่งั้นเพื่อนกูได้หนีหายหมดแน่”

“ดีสิ มึงจะได้เป็นของกูคนเดียว”

ผมตวัดสายตามองคนพูด แววตาพาร์กึ่งจริงจังกึ่งขบขัน ไม่รู้ว่าพูดล้อเล่นหรือพูดจริง

“…มึงมันบ้า”

พาร์ตอบรับหน้าตาย “ขอบคุณที่ชม”

กูไม่ได้ชมโว้ย!

-------------

“มองอะไร?”

ผมละสายตาจากร้านหนังสือ ไม่คิดตอบ แถมลากพาร์ให้เดินไปอีกทาง ลืมไปเลยว่าห้างใกล้มหาลัยคือสถานที่ได้พบมัน และเหมือนคนโดนลากจะรู้ตัว ถึงได้ยิ้มกริ่ม

“ถ้าน้องน้ำมาถามอีก กูคิดว่ามีคำตอบให้แล้วล่ะ”

“ดีที่ช่วงนี้ยัยน้ำเลิกบ้าจับคู่เราแล้ว”

พาร์เลิกคิ้ว “แน่ใจ?”

“ก็ไม่เห็นสนใจเรื่องของเราเท่าเมื่อก่อน”

“เสียดาย?”

ผมตอบทันที “ไม่เลย ที่จริงกูก็คิดอยู่แล้ว เด็กอายุแค่นี้ไม่น่าจะสนใจเรื่องนี้จริงจังหรอก”

“งั้นทดสอบดูไหม”

ผมเลิกคิ้ว มองพาร์หยิบมือถือลากผมไปม้านั่งใกล้ แถมยังมากอดคอ หัวชนกัน กดถ่ายภาพคู่ดังแชะ เสร็จแล้วก็ส่งเข้าไลน์กรุ๊ป River x Golf แปบเดียวก็มีข้อความจากสองสาวน้อยกระหน่ำเข้ามา น้ำกับเบอร์ส่งสติกเกอร์แมวหลับตาส่ายหัว ทำหน้าเขินอายสุดขีดมาให้

Nam: พวกพี่อยู่ไหนกันอ่ะ
PAR: ห้างใกล้มหาลัย
Birdie: ไหนพี่ทีบอกว่าพวกพี่ไปมหาลัยไง
PAR: ไปมาแล้ว นี่มาเดต
Birdie: อะไรนะ!
Nam: จริงอ่ะ!! พวกพี่คบกันแล้วเหรอ!!
TEE: ยัง 555

เมินสายตาคนข้างๆ ที่เหล่มองมา

Nam: พี่อ่ะ!
Nam: สติกเกอร์แพนด้าแก้มพองลม
TEE: เห็นทั้งสองคนไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว พวกพี่เลยแหย่เล่น
Nam: ใครบอกว่าน้ำไม่สน
Birdie: เบอร์ก็ยังสนอยู่นะ แต่ช่วงนี้เบอร์เป็นเด็กติดพี่ค่ะ
Nam: ช่ายๆ น้ำก็ยังติดพี่อยู่นะ ไม่ปล่อยให้คู่แข่งทำคะแนนแซงหน้าแน่

คู่แข่งที่ว่าหมายถึงเจ้าตัวเล็กแหงๆ

Birdie: เพราะงั้นพักเรื่องนี้ไว้ก่อนเนอะ

ยัยน้ำส่งสติกเกอร์สนับสนุนเบอร์ดี้มาทันที

สองสาวอยู่ในโหมดติดพี่นี่เอง ถึงว่าช่วงนี้เบอร์ไม่ได้มาเล่นบ้านผม ยัยน้ำก็ไม่ได้ไปบ้านเพื่อน

Nam: พี่อยู่ห้างใช่ปะ น้องฝากซื้อของหน่อย นะๆ

ตามมาด้วยสติกเกอร์ออดอ้อนจากน้ำ

TEE: โอเค ฝากซื้อ อย่าลืมคืนเงินพี่ด้วยล่ะ
Nam: พี่อ่ะ แค่ซื้อของมาฝากน้องเอง!

ดูน้องสาวผม จากฝากซื้อเปลี่ยนเป็นของฝากแล้วครับ

TEE: ถ้าของฝากล่ะก็อด
Nam: พี่งก น้ำฝากซื้อก็ได้ แต่พี่ต้องออกให้ครึ่งหนึ่งนะ
PAR: จะเอาอะไร

น้องส่งรายการมายาวเหยียด ส่วนใหญ่ที่ขอมาเป็นของกินทั้งนั้น

TEE: เยอะขนาดนี้ ได้กลมเป็นหมูแน่
Birdie: พี่ที!!
Nam: พี่อ่ะ!
TEE: ซื้อไปฝากก็ได้ แต่ของหวานต้องกินหลังข้าวเย็น
TEE: และบอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องทำกับข้าวเยอะ
Nam: รับทราบ

ผมมองรายการของคาวกับของหวาน แล้วเงยหน้าถามพาร์ “มึงทำของหวานที่น้องอยากกินได้ปะ?”

“ได้”

“ดีเลย งั้นไปซื้อวัตถุดิบที่ซุปเปอร์กัน ยังไงทำเองก็ถูกกว่าซื้อที่นี่”

“แล้วมึงจะไปทำที่ไหน?”

ผมตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด “บ้านมึงไง ไม่มีใครอยู่ไม่ใช่เหรอ”

พาร์หรี่ตาลง ก่อนยกยิ้ม “เอาตามนั่นก็ได้ ถ้ามึงกล้าอยู่กับกูสองต่อสองในที่รโหฐาน”

ผมชะงักกึก ค่อยๆ หันไปสบตากับพาร์ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นเรื่อยๆ กลับคำตอนนี้น่าจะยังทัน

“ปะ ไปซื้อ…” 

“กูคิดว่ามึงกล้า ถูกไหม?”

โอ๊ย! จะพูดดักคอทำไม!!

ผมเม้มปาก ลุกขึ้นจากม้านั่ง ก้าวขาออกเดินไม่ถึงสามก้าวก็โดนดึงแขน

“กูล้อเล่น” แววตาคนพูดดูร้อนรน

ผมเลิกคิ้ว ถามกลับ “แล้ว?”

“โกรธหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนลงเหมือนจะง้อ

“ไม่” ผมตอบสั้นๆ ดึงพาร์ให้เดินไปด้วยกัน

“จะไปไหน”

“ซุปเปอร์” ตอบเสียงเรียบ

พาร์นิ่งงันทันที จนผมต้องหยุดเท้าตาม “จะไปบ้านกูจริงดิ?”

“เออ ดูจากรายการอาหารที่ต้องทำ ทั้งกูทั้งมึงไม่ว่างทำอย่างอื่นหรอก อยู่แต่ในครัวชัวร์!”

ความร้อนรนหายไปจากแววตา แทนที่รอยยิ้มมีความสุข “ครับๆ อยู่แต่ในครัวก็ได้ ปะ ไปซื้อของกัน”

ผมมองคนเนียนจับมือผมเดินด้วยความไม่แน่ใจ เลยเอ่ยบอกระหว่างลงบันไดเลื่อน

“กูว่าเราทำเพิ่มอีกสักสองหรือสามรายการดีกว่า”

พาร์หันมองผมอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องก็ได้ กูไม่ทำอะไรมึงหรอก เมื่อกี้ก็บอกแล้วว่าแค่ล้อเล่น”

“…ไว้ใจไม่ได้วะ”

“สัญญาเลย ไม่ทำอะไรแน่ๆ”

“มึงพูดแล้วนะ”

“อือ!”

“แล้วถ้าผิดสัญญา?”

“ลงโทษกูตามใจมึงเลยครับ”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 13-03-2017 19:43:19
 :-[
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-03-2017 20:04:09
ชอบ พาร์ ที เวลาอยู่ด้วยกัน  :ling1:
พาร์ เปิดเผยมาก เรื่องหึง หวง จะชกคนที่ทำให้หึง  :katai1:
แถมพอที ว่าน้อยๆหน่อยเรื่องหึง เดี๋ยวเพื่อนหาย
พาร์ยังบอกชอบ ทีจะได้อยู่กับพาร์เท่านั้น  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
พาร์ แสดงออกเรื่องชอบสัมผัสที มากกกก   :o8:
ที ใจอ่อนกับพาร์ ไวๆ นะ
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-03-2017 20:06:25
 :m1: :m1: :m1: :m1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-03-2017 20:18:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-03-2017 21:09:19
โอ้ยยยยย!! อิจฉาวุ้ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: wickedwoman ที่ 13-03-2017 23:22:04
น่ารักมากค่าาาา สนุกมากๆด้วย
เราพลาดเรื่องนี้ได้ไงเนี่ยย
รอตามอ่านอยู่นะจ้ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 13-03-2017 23:43:40
ช่วงนี้คู้นี้มุ้งมิ้งกันน่าดู อิอิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 17-03-2017 20:53:29
บทที่ 47

ผมก้าวเท้าออกจากห้องน้ำด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ขอยืมพาร์มา มีผ้าขนหนูวางอยู่บนหัวขยี้เส้นผมให้แห้ง สองขาเดินไปทางครัว กวาดมองหาเจ้าของบ้าน เห็นแค่อาหารทั้งคาวและหวานในกล่องถนอมอาหารใส่ถุงหิ้ววางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย

พูดถึงเรื่องกล่องถนอมอาหาร บ้านพาร์มีเยอะมากครับ เป็นแบบเข้าไมโครเวฟได้ทั้งหมด เจ้าของบ้านอธิบายแค่ว่าซื้อสำเร็จรูปมาใส่กล่องเข้าตู้เย็น ถึงเวลาก็เอาออกไปอุ่นกิน แถมกำชับให้ผมทำอาหารเผื่อ ตอนนี้ในตู้เย็นเลยมีกล่องใส่อาหารปรุงแล้ววางเรียงราย ที่น่าตกใจกว่านั้นในช่องฟรีซมีอาหารแช่แข็งแบบกล่องติดตู้เย็นด้วยครับ ผมปิดตู้เย็นอดถามมันไม่ได้

“บ้านมึงกินแต่แบบนี้ตลอดเลย?”

“เบอร์ถึงได้ชอบไปกินข้าวมึงบ่อยๆ ไง”

ถึงว่า ผมกำลังจะอ้าปากพูดก็กลายเป็นอ้าค้าง ตกใจกับการที่โดนมันมายืนซ้อนจากด้านหลัง แถมยกมือเท้ากับตู้เย็น กักผมไว้ในวงแขนมัน

“จะทำอะไร!” ผมถามเสียงแข็ง

“บ้านปู่กูเลี้ยงหมาอยู่สองตัว มีตัวใหญ่กับตัวเล็ก ปฏิกิริยาเวลาโดนแกล้งมันตลกดี กูเลยชอบไปแหย่เล่นบ่อยๆ ที่ทำบ่อยสุดคือสั่งให้รอ แล้วปล่อยให้มันนั่งจ้องชามข้าวอยู่ตั้งนานกว่าจะพูดอนุญาตให้กิน”

“ปล่อยกูแล้วค่อยเล่าให้ฟังก็ได้”

แต่พาร์ไม่ฟัง แถมยังขยับหน้าเข้ามาใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจของมันแถวใบหู จนต้องเอียงหน้าหลบ

“กูเข้าใจปฏิกิริยาของเจ้าสองตัวนั้นชัดๆ ก็วันนี้”

“ไม่ต้องกระซิบ!”

มันก็ยังไม่ฟัง “ของโปรดอยู่ตรงหน้า แต่ดันโดนสั่งห้ามกิน ทำได้แค่เข้าไปดมๆ”

สะดุ้งเฮือกยามโดนงับเบาๆ แถวฐานคอ ผมพลาดแล้ว ดันเอียงหน้าหนีจนคอเปิดช่องว่างให้มันเอาเปรียบ ผมส่งเสียงเรียกดุ “พาร์!”

“เฮ้อ…” ได้ยินเสียงถอนหายใจตามมาหลังมันปล่อยปาก แต่เหมือนจะโดนวางคางกับไหล่ผมแทน “สภาพกูตอนนี้ไม่ต่างจากเจ้าสองตัวนั้นยังกับเวรกรรมตามทัน มึงว่าอย่างนั้นไหม”

ผมย่นคิ้ว “กูจะไปรู้ไหม ไม่ได้ไปเห็นพฤติกรรมพวกมันเหมือนมึง”

“เหมือนที่มึงทำเมื่อกี้นั่นแหละ แค่เข้าไปดมชามข้าวก็โดนดุจนต้องถอยออกห่าง ร้องประท้วงในคอ ร้องขอความเห็นใจ เฮ้อ…”

พาร์ถอนหายใจอีกรอบ ผมชะงักนิดหน่อยกับสัมผัสข้างขมับ แต่ไม่ว่าอะไรเพราะมันยอมปล่อยผมเป็นอิสระ แต่ถึงถอยห่างแล้วมันก็ยังบ่น

“ตัวเหม็นวะ เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำ สระผมด้วย เดี๋ยวกูเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน”

“…แล้วถ้าไม่?”

“มึงก็ได้อยู่บ้านกูยาวไง เพราะอย่าหวังว่ากูจะให้มึงขึ้นรถในสภาพนี้”

ผมเบ้ปาก “แค่กลิ่นอาหารติดตัวเอง มึงก็มีเหมือนกัน!”

“เดี๋ยวกูต้องอาบน้ำเหมือนกัน” พาร์มองมาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่โดนผมพูดขัด

“ต่างคนต่างอาบ ไม่ต้องมาชวน และกูไม่ขึ้นห้องมึงแน่ๆ ขอใช้ห้องน้ำชั้นล่างก็พอ”

ผมออกจากภวังค์ นึกขึ้นได้ว่าตามหาเจ้าของบ้านอยู่ เห็นตัวครั้งสุดท้ายก็ตอนพาร์ยื่นเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูให้ที่หน้าห้องน้ำ เดินตามหาพักใหญ่ถึงมาเจอเจ้าตัวกำลังนอนตะแคงข้างกอดหมอนอิงอยู่บนโซฟา หลับสบายอย่างน่าอิจฉา ยืนลังเลอยู่สักพักก็ขยับเข้าไปใกล้ ไม่คิดส่งเสียงปลุก

สายตากวาดมองสำรวจคนหลับอย่างพินิจ มันหน้าตาดี อันนี้ผมไม่เถียง แถมอิจฉาด้วยที่มันหล่อกว่า ผมเองก็อยากดูหล่อเหลาสมชาติแบบนี้เหมือนกัน ติดแต่ว่าได้ทางแม่มาเยอะไปหน่อย…แล้วมันนอนภาษาอะไร เสื้อถึงถลกโชว์เอวให้ชาวบ้านเห็น

ผมดึงสายตาไปทางอื่น เลยสะดุดที่เส้นผมของคนหลับ ผมพาร์ยาวกว่าเมื่อก่อนจนตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเส้นผมมันหยักโศก แถมยังดูเปียกหน่อยๆ จนผมนิ่วหน้า ดึงผ้าออกจากหัวตัวเองไปวางบนหัวมัน 

นอนทั้งแบบนี้เดี๋ยวหวัดได้ถามหาพอดี

ยืนก้มเช็ดให้สักพักก็ชักเมื่อย กวาดตามองหาที่นั่ง สุดท้ายก็ดึงหมอนออกนั่งแทนที่ กำลังเช็ดหัวให้อย่างเมามันก็ต้องสะดุ้ง ก้มมองสัมผัสแถวท้องที่โดนแขนใครบางคนโอบ

…อ้อ มันติดหมอนข้างนี่หว่า     

ผมพ่นลมหายใจหน่ายๆ ยอมปล่อยให้กอด เช็ดจนผมพาร์เริ่มหมาดๆ ถึงหยุดมือ กำลังจะลุกเอาผ้าไปหาที่ตาก โลกก็หมุนกะทันหัน รู้ตัวอีกทีก็มานอนแหมะบนโซฟา ประสานสายตามึงงงกับคนที่กำลังเท้ามือกับเบาะคร่อมอยู่ด้านบน

“มึงนี่ไม่ระวังตัวเลย”

ผมย่นคิ้วเข้าหากัน ตาหรี่มองแววตาแพรวพราวของมัน “มึงแกล้งหลับ?”

“เปล่า รู้สึกตัวตอนโดนดึงหมอนออก มึงทำกูตื่นไม่พอ เกือบทำลูกชายกูตื่นด้วย”

“เกี่ยวอะไรกับลูกมึง”

“มึงเล่นเข้าใกล้จนได้กลิ่นสบู่ขนาดนี้ ถ้ากูไม่รู้สึกอะไรสิแปลก เพราะงั้นปลอบประโลมกูหน่อย”

“ปลอบประโลมบ้าอะไร ถอยไปเลย”

“ง่ายนิดหน่อย…แค่ปากแตะปาก”

“ฮะ!!”

“ถ้ามึงรู้สึกไม่ดีค่อยผลักกูออก”

ผมเริ่มตื่นตระหนก “เดี๋ยวๆๆ จู่ๆ มึงมาพูดอะไรเนี่ย!!”

“ก็มึงไม่ชอบจูบ กูเลยต้องบอกก่อน เอาน่า มาลองกันสักครั้ง กูขอแค่สามวิ”

“แต่…”

“สามวินาทีเอง สั้นนิดเดียว…นะ”

ผมเม้มปาก ที่จริง…ใจก็อยากลองอยู่เหมือนกัน

“…แค่สามวิ ห้ามเกิน!”

คนฟังคลี่ยิ้มดีใจมาก ดึงผมลุกขึ้นนั่ง เรามองกันเงียบงัดจนหน้าผมชักร้อนไปหมด ยิ่งนานยิ่งสร้างความอึดอัดใจจนต้องพูดโพล่งออกมา

“จะทำอะไรก็รีบทำดิ!”

“อย่าใจร้อนสิ กูก็ตื่นเต้นเป็นนะ”

ผมเม้มปาก ก่อนสะดุ้งยามมือพาร์ประคองแก้ม ยิ่งมันโน้มหน้าเข้าใกล้ผมก็ไม่กล้าสบตา หลังกวาดตาไปมาเลิกลั่กก็ต้องหลับตาลง (เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่หน้ามัน) สองมือกำชายเสื้อแน่นรับรู้ลมหายใจปะทะผิวหน้า ตัวเกร็งไปหมด ความอ่อนนุ่มค่อยๆ สัมผัสเพียงแผ่วเบาและสั่นไหว แค่นั้นใจก็แทบระเบิด เต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกจากอก

สัมผัสค่อยๆ แนบชิดเข้าหาเนิบนาบ ก่อนรุนแรงขึ้นเพียงเสี้ยววินาที สัมผัสที่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวกูไปห้องน้ำแปบหนึ่งนะ”

พาร์พูดอย่างเร่งรีบ ลุกพรวดตรงดิ่งเข้าห้องน้ำทันที ทิ้งให้ผมนั่งสับสนกับความรู้สึกที่พึ่งได้สัมผัสครั้งแรก หัวใจยังเต้นกระหน่ำ อารมณ์เหมือนค้างคา และ…ไม่มีความรังเกียจอยู่ในนั้นสักนิดเดียว

ผมยกขาขึ้นมากอด ซบหน้าเห่อร้อนลงกับเข่า ไม่คิดไม่ฝันจะมีวันที่ผมรู้สึกแบบนี้กับสิ่งที่เรียกว่าจูบ

…แต่ถ้าให้ทำอีกผมคงไม่ไหว กลัวตัวเองหัวใจวายตายก่อนน่ะ   

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าสบตากับอีกคนนานเกินหนึ่งวิ เงียบกริบกันมาตลอดทางจนถึงบ้านผม จอดรถช่วยกันหิ้วของเข้าบ้านเงียบๆ ก็มาเจอแม่ที่กำลังจะเปิดประตูออกมาดูพอดี   

“สวัสดีครับ” พาร์ยกมือไหว้แม่ผมทั้งที่หิ้วถุงเต็มสองมือ

“หวัดดีจ๊ะ…” ท้ายเสียงของแม่แผ่วลง แถมยังมองผมสลับกับพาร์ แล้วก็ยิ้มออกมา ตรงไปช่วยพาร์ถือของ “มา แม่ช่วยหิ้ว”

เราตรงไปห้องครัวก่อนเลย คัดแยกของหวานมาซ่อนก่อนน้องๆ มาเห็น (โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็ก เดี๋ยวจะมาตะแง้วๆ ของกินขนมก่อนข้าวเย็น) ส่วนของคาวเอาไปจัดวางเรียงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะกินค่อยเอาไปอุ่นเพิ่มนิดหน่อยก็พอ 

“หายหน้าไปเลยนะเรา”

“ขอโทษครับ”

“แม่แค่แซวเฉยๆ ทีบอกแล้วว่าพาร์ไปสวีเดนมา ที่นั่นเป็นไงบ้างจ๊ะ?”

ผมปล่อยสองคนทางนู้นยืนคุยกัน ชิ่งหลบมาด้านนอก กวาดมองหาน้องๆ ทุกทีต้องโผล่มาให้เห็นแล้ว หายไปไหนกันหมดล่ะเนี่ย กำลังจะเดินขึ้นไปดูชั้นสอง ประตูห้องน้ำก็เปิดพอดี เจ้าตัวเล็กเห็นผมก็กระโดดเข้ามาหา

“พี่!”

“อันอยู่คนเดียว? แล้วน้ำกับเบอร์ล่ะไปไหน?”   

เจ้าตัวเล็กทำหน้าบูด พูดฟ้องทันที “หนีเข้าห้องกับเบอร์ ปิดประตูใส่หน้าอันด้วย”

“เรียกพี่เบอร์สิ”

“ม่าย ถ้าอันเรียก น้ำจะบังคับให้อันเรียกพี่ด้วย”

ผมมองน้องอย่างระอาใจ ได้แต่สอน “อยู่บ้านไม่เป็นไร แต่ถ้ามีแขกผู้ใหญ่มาเยี่ยม หรืออยู่ข้างนอกบ้าน อันควรเรียกพี่น้ำรู้ไหม ไม่งั้นคนอื่นจะมองอันเป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะ”

อันทำหน้าสงสัย “มันคืออะไร?”

“หมายถึงไม่มีมารยาท เป็นเด็กไม่ดี”

เจ้าตัวเล็กเบะปาก “อันเป็นเด็กดีนะ!”

“ครับๆ เด็กดีต้องเชื่อพี่เนอะ”

คนฟังรีบผงกหัวหงึกๆ “อันคนเก่ง ทำได้อยู่แล้ว”

ชมตัวเองก็เป็น ผมได้แต่ขำ น้องอันดึงมือผมไปทางโซฟา บนพื้นพรมมีตัวต่อของน้องวางกระจัดกระจาย กล่องใส่ตัวต่อก็ล้มตะแคงด้วยฝีมือเด็กแถวนี้แน่ๆ

“จะชวนพี่เล่นด้วย?”

เจ้าตัวเล็กรีบผงกหัวหงึกๆ น้ำเสียงตื่นเต้น “อันกำลังสร้างฐานทัพ”

ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นฐานทัพยังไง (ดูไม่ออก) ก็ได้แต่เออออไป “งั้นเหรอ แล้วจะให้พี่ช่วยอะไรล่ะ?”

“ช่วย…” อันทำท่านึกจนหน้ายู่

“งั้นให้พี่ช่วยสร้างผู้ดูแลฐานทัพดีไหม” ผมเสนอ

“ดีๆ อันยังไม่ได้คิดหาคนดูแลเลย”

ทุ่มกว่าพ่อกลับมาถึงบ้าน แม่ก็ให้ผมตามสองสาวลงมากินข้าว ตอนแรกนึกว่าเล่นกันอยู่ ที่ไหนได้กำลังทำการบ้านหน้าเคร่งเครียดเลยครับ

“ยากขนาดนั้น?” ผมถามระหว่างพลิกหน้าปกหนังสือเรียน วิชาคณิตศาสตร์นี่เอง

“ยาก!” สองสาวประสานเสียงพร้อมกัน

ยัยน้ำโอดครวญต่อ “วันจันทร์มีสอบเก็บคะแนนด้วยอ่ะ”

“พี่ติวให้ไหม?” ผมถาม สองสาวตาเปล่งประกายทันที “งั้นก็ลุกไปกินข้าวก่อน เอาหนังสือกับสมุดลงไปด้วย”

“ไม่ติวข้างบนล่ะ เดี๋ยวอยู่ข้างล่างอันก็กวน”

ผมขยี้ผมน้องสาว “บอกน้องดีๆ น้องก็ไม่กวนหรอก ไม่งั้นก็หาอะไรให้น้องเล่นอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ แต่ถ้าน้ำกีดกั้นน้องไม่ให้เข้าใกล้ น้องจะเสียความรู้สึก แถมพาลโกรธ เพราะไม่เข้าใจด้วย”

“…งั้นเหรอ?” น้ำงึมงำ

โทษยัยน้ำไม่ได้หรอก เพราะผมไม่เคยปฏิเสธกึ่งขับไล่น้องสาว ยกเว้นว่าต้องการสมาธิจริงๆ ผมจะเป็นฝ่ายหนีไปอยู่ที่อื่นเอง

“ถ้าไม่เข้าใจ จะลองโดนพี่ไล่ดูบ้างไหม?”

“ไม่เอา!” สวนตอบกลับมาทันที “ต่อไปนี้น้ำจะพยายามอธิบายกับอันก่อนแล้วกัน”

“น้องพี่ต้องอย่างนี้ ลงไปข้างล่างกันเถอะ”

สองสาวอุ้มหนังสือ สมุด กับกระเป๋าดินสอเดินกึ่งวิ่งตามผมมา วางของไว้ด้านนอก แล้วค่อยมานั่งประจำที่โต๊ะกินข้าว เจ้าตัวเล็กเห็นสองสาวก็ทำหน้างอใส่ทันที ท่าทางจะงอน เดี๋ยวผมค่อยไปอธิบายให้น้องคนเล็กฟังทีหลัง อาจจะลำบากหน่อย เพราะเจ้าตัวเล็กยังไม่เคยสอบแบบจริงๆ จังๆ จนกว่าจะเข้าชั้นประถม เลยไม่รู้ว่าสอบสำคัญยังไง

ผมตักกับข้าวให้น้องทั้งสองเสร็จก็ตักของตัวเองเข้าปากบ้าง สายตาก็สะดุดข้อมือคนนั่งตรงข้ามจนเกือบสำลักข้าวในปาก ดียกมือขึ้นปิดทัน ตาจ้องเขม็งใส่กำไลข้อมือของพาร์

จำได้ว่าก่อนหน้านี้คุยกันดิบดีว่าจะปกปิด แต่เพราะเรื่อง…เอ่อ เรื่องนั้นอ่ะ ทำให้ลืมเรื่องกำไลไปเลย

ผมพยายามส่งซิกให้พาร์รู้ มันทำหน้างงแวบหนึ่ง ก็ขยับมือตักกับข้าวตรงหน้ามันมาให้

ไม่ได้อยากได้กับข้าว! กูหมายถึงกำไลมึงอ่ะ!!

พาร์ก็ยังไม่รับรู้ หันไปคีบหมูอบน้ำผึ่งมาให้ พอมือมันขยับมาใกล้ ผมเลยใช้ปลายช้อนเคาะที่กำไลเบาๆ ว่าหมายถึงไอ้นี่ พาร์ทำหน้าบางอ้อ ก่อนทำหน้าจนปัญญาใส่ แววตาสื่อบอกว่าไม่ทันแล้วมั้ง

…ใช่ครับ ไม่ทันแล้ว เพราะยัยน้ำเริ่มจ้องกำไลพาร์เขม็ง

“กำไลของพี่พาร์เหมือนของพี่เลย”

“ไหนๆ” เบอร์ดี้เริ่มสนใจ “เบอร์ขอดูกำไลของพี่ทีหน่อย”

ยัยน้ำคว้าข้อมือซ้ายผมดึงไปหน้าตัวเอง ให้เบอร์ดีที่นั่งอีกด้านก้มมาดู

“เหมือนจริงๆ ด้วย”

พ่อเลิกคิ้ว ถามตรงๆ “กำไลคู่?”

สองสาวทวนคำเสียงดังลั่น “กำไลคู่!!”

แม่ส่ายหน้า “เห็นปุ๊บก็รู้แล้วนี่ค่ะคุณ”

พ่อหัวเราะ “นั่นสินะ เจ้าทีมีแฟนแล้วแบบนี้ต้องขยาย”

ผมสะดุ้ง รีบส่งเสียง “เดี๋ยวพ่อ!!”

แต่คนแก่ของบ้านฉีกยิ้มสนุกสนาน ลุกจากโต๊ะทั้งที่กำลังหยิบมือถือจากกระเป๋ากางเกง ผมจะวิ่งตามไปห้ามก็ไม่ได้ เพราะยัยน้ำยังจับมือผมจ้องสำรวจกำไลตาวาวๆ ไม่เลิก

“ไหนว่ายังไม่ได้คบกันไง โกหกน้อง” น้ำดุผม

“พี่ไม่ได้โกหกสักหน่อย”

“บู้ๆ น้ำเชื่อที่ตาเห็นค่ะ พี่พาร์ยื่นมือขวามาหน่อย”

คนโดนเรียกเลิกคิ้ว ทำตามที่บอกโดยดีด้วยแววตาสงสัยเล็กๆ น้ำจับมือผมยื่นไปเทียบใกล้ๆ ควักมือถือมากดถ่ายรูปทันที รอยยิ้มพึงพอใจมาก ผมได้แต่ชักมือกลับมากุมขมับ รู้สึกถึงแรงกระตุกที่ชายเสื้อก็หันไปมอง เจอดวงตากลมโตของเจ้าตัวเล็กมองมาอย่างสงสัย

“กำไลคู่คืออะไร?”

ไม่ทันตอบ ยัยน้ำก็ตอบแทนผมที่กำลังอ้ำอึ้ง “เหมือนแหวนคู่ไง”

เจ้าตัวเล็กกระพริบตา “แหวนคู่คืออะไร?”

น้ำอดทนอธิบาย “ก็เหมือนแหวนที่พ่อกับแม่ใส่ติดตัวไงเล่า”

เจ้าตัวเล็กกระพริบตาปริบๆ ท่าทางยังไม่เข้าใจ ยัยน้ำกรอกตาไปมา ตัดสินใจเมินน้อง หันไปกรี๊ดกร๊าดกับเบอร์ดี้แทน

“พี่…”

ผมตัดบทระหว่างลูบหัวน้องคนเล็ก “เอาไว้อันโตแล้วจะเข้าใจเอง เดี๋ยวพี่มานะ” พูดจบผมก็ลุกขึ้น รีบเดินตามหาพ่อ เจอตัวอยู่แถวห้องนั่งเล่น

“ลูกชายเราคบกันแล้ววะแทน…ไม่มั่วโว้ย เห็นตำตาว่าใส่กำไลคู่กันซะด้วย…อยากเห็นก็มาบ้านกูสิ กำลังกินข้าวกันอยู่…หือ วันนี้ลูกกูไปบ้านมึง?...เรอะ สงสัยจะเป็นกับข้าวแบบเดียวกับบนโต๊ะบ้านกูล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ”

ผมค่อยๆ ย่องจนไปยืนข้างหลังพ่อ แล้วกระซิบเสียงเหี้ยมด้วยประโยคเด็ดที่แม่เคยบอกว่าทำพ่อร้องลั่นโรงหนัง “อยากไปทัวร์นรกด้วยกันไหมครับ”

“แว้กกกก!”

พ่อทำมือถือตก ผมรีบก้มไปเก็บกดตัดสาย แล้วยืนกอดอกมองพ่อลูบอกปลอบขวัญตัวเองอยู่

…บางทีโรคกลัวผีคงเป็นโรคทางกรรมพันธุ์

“เล่นอะไรบ้าๆ เกิดพ่อตกใจจนช็อกขึ้นมาทำไง”

“ถ้าพ่อไม่เลิกโทรไปบอกคนนู้นคนนี้ ผมจะทำให้พ่อสยองขวัญฝันร้ายสักอาทิตย์”

“เฮ้ย! พ่อแค่ดีใจเองนะ”

ผมย่นคิ้ว “มีบ้านไหนดีใจที่ลูกชายคบผู้ชายด้วยกันเหมือนพ่อบ้าง หรือว่าไปพนันเรื่องผมมาอีกแล้ว”

คนฟังเลิกคิ้ว “พี่ชายของพ่อยังคบผู้ชายเลยนะลูก”

เบี่ยงประเด็นชัดๆ ผมแยกเขี้ยวใส่พ่อ “ไปพนันอะไรกับใครมา!”

“ก็…กับลุงของลูกไง”

ลุงนิก? ผมขมวดคิ้ว “พนันอะไร”

“เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ต้องสนใจหรอก นี่พ่อโทรไปบอกลุงของลูกเป็นคนแรกเลยนะ”

“พ่อ!!”

“ไม่เห็นต้องอาย ลูกแค่มีแฟน แถมยังพาแฟนมาแนะนำตัวถึงบ้านซะด้วย”

“มันไม่ใช่!”

“ไม่ก็ไม่” พ่อโอบคอผม ดึงตัวไปด้วยกัน “ไปกินข้าวกันเถอะ”

 พ่อไม่ฟังผมเลยนี่หว่า!

ผมชักปวดหัวตงิดๆ นี่มันงานเข้าชัด!!

-------------

วันอาทิตย์ผมกับพาร์ต้องไปมหาลัย เพราะนิติมีนัดประชุมด่วนตอนสิบโมง ผมแยกกับพาร์ที่ตึกนิติ เพราะต้องไปหาพี่ดินที่ห้องสโมฯ ก่อน

…ตั้งแต่ เอ่อ นั่นนะ ผมกับพาร์คุยกันนับคำได้ โดยเฉพาะตอนอยู่กันตามลำพังบรรยากาศจะกระอักกระอวนเป็นพิเศษ แบบว่ามันขัดเขินแปลกๆ

ผมสะบัดความคิดในหัวทิ้ง คว้าลูกบิดเปิดประตูห้องสโมฯ สบตากับพี่ดินปุ๊บก็โดนถามปั๊บ

“เป็นอะไร?”

แวบแรกผมสะดุ้ง เกือบนึกว่าโดนอ่านใจ แต่พอตั้งสติได้ก็ทำหน้าเซ็งจิตใส่ พูดกลบเกลือนอิงกับความเป็นจริง “พี่เห็นขอบตาหมีแพนด้าก็น่าจะรู้แล้วว่าผมนอนไม่พอ”

“เพราะเห็นถึงได้ถามน่ะสิ เครียดเรื่องสะใภ้คณะ?”

ผมส่ายหน้า แอบนึกโล่งใจที่พี่แกไม่ได้นึกสงสัยเรื่องอื่น ปากก็ตอบคำถาม “คนนอนน้อยก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเรื่องเครียดหรือไม่เครียดสักหน่อย”

“แล้วไปทำอะไรมา?”

กัดไม่ปล่อยจริงๆ ผมพ่นลมหายใจเบาๆ “เมื่อคืนผมโดนผู้ปกครองอบรมผ่านวีดีโอคอลมาน่ะสิ ฝ่ายนั้นไม่สนใจเวลาที่ต่างคนละซีกโลก จะหลับก็ไม่ได้ต้องตั้งใจฟังอย่างเดียว กว่าผู้ปกครองพอใจยอมปล่อยผมไปนอนก็เกือบเช้าแล้ว”

แววตาพี่ดินเปลี่ยนจากเป็นห่วงเป็นขบขันทันที “ไปสร้างเรื่องให้ผู้ปกครองอารมณ์เสียมาล่ะสิ”

ผมเบ้ปาก ลุงนิกที่ไม่มีทากะซังอยู่ใกล้ๆ รับมือโคตรยาก ผมเลยรับเละอยู่คนเดียว แถมยังโดนกรอกหูมาอีกสารพัดอย่าง รู้ทั้งรู้ว่าลุงนิกแค่พูดขู่ให้กลัว แต่พอผมคิดตามเป็นบางเรื่องก็แอบกลัวจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องบทบาทบนเตียง…ผมนึกถึงสภาพทากะซังหลังผ่านศึกแล้วชักหน้าซีด นี่ขนาดผ่านศึกมายี่สิบกว่าปีแล้วแท้ๆ ยังไม่นับกองเลือดเปิดซิงวันนั้นของไอ้เด็นอีก ขนาดคนทำอย่างไอ้ยำยังตกอกตกใจ แล้วคนเสียเลือดเล่า!

ด้วยความที่กลัวมาก เลยถามลุงสั้นๆ อย่างขึงขัง “ถ้าทีจะรุกต้องทำยังไง”

ลุงนิกเงียบไปนาน กว่าจะถอนหายใจให้ได้ยิน แถมยังตอบคำถามได้ทิ่มแทงใจสุดๆ

[ถ้าทีรุกเป็น และไปทางนี้รอด ลุงคงไม่บ่นยาวเหยียดให้ฟังแบบนี้หรอก]

“ดูถูกที!”

[แน่นอน ถ้าลุงดูไม่ถูกจะเลี้ยงเรามาได้ไง ฟังลุงนะ ถ้าทีคบเจ้าเด็กนั่นก็ไม่แคล้วโดนจับกด อย่าพึ่งเถียง ลุงดูรู้ เพราะเด็กนั่นเป็นประเภทเดียวกับลุง ส่วนทีเป็นประเภทเดียวกับทากะชัดๆ]

“ไหนลุงบอกว่าเคยเกือบโดนทาจังพลิกกลับไง งั้นทีก็มีสิทธิ์ดิ”

[งั้นลุงบอกความลับอะไรให้ฟัง ได้ยินแล้วก็เหยียบให้มิดล่ะ]

ผมพยักหน้าหงึกๆ ตั้งใจฟังเต็มที่

[คู่อื่นเป็นไงไม่รู้ แค่คู่ของลุงมันอยู่ที่แรงใจ อย่างกรณีทากะ ถ้าคิดเป็นฝ่ายรุกจริงจัง ลุงคงสู้ไม่ได้หรอก]

ผมกระพริบตา “ทาจังยอมเป็นฝ่ายรับง่ายๆ เลยเหรอ”

[ใครบอก! มีสู้ชิงตำแหน่งกันอยู่แล้ว เพียงแต่ใจทากะแปดสิบเปอร์เซ็นต์คิดรุก ที่เหลืออีกยี่สิบคิดว่ายังไงก็ได้ไง ลุงเลยชนะในเสี้ยวสุดท้าย เพราะลุงไม่คิดจะรับร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้าใจที่ลุงบอกไหม]

“อ่าฮะ แล้ว…”

ลุงนิกพูดขัดผมซะก่อน [เจ้าเด็กนั่นไม่คิดรับเหมือนกัน ส่วนที…เหมือนทากะไม่มีผิด แรงใจไม่ถึงแบบนี้ยังไงก็เห็นแววแพ้มากกว่าชนะ เพราะงั้นมาฟังลุงสั่งสอนต่อซะดีๆ แล้วนำไปปฏิบัติด้วย]

แล้วผมก็ไม่มีโอกาสได้พูดขัดอีกเลย แม้ใจอยากบอกแทบตายว่าผมกลัวจะเป็นรับ จนเครียดจะแย่อยู่แล้วก็ตาม

ผมหลุดจากภวังค์เพราะแรงเขย่าตัว พี่ดินมองผมอย่างไม่แน่ใจ

“ถ้าไปประชุมกับพี่ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร อยู่นอนพักที่ห้องสโมฯ ก่อนก็ได้”

ผมส่ายหน้า “ไม่เป็นไรพี่ ผมยังไหว”

“แน่นะ? อย่าไปล้มโครมตอนพี่กำลังประชุมคณะล่ะ”

ผมพยักหน้า แต่พี่ดินก็ยังไม่วางใจ พอพวกผมไปถึงลานใกล้ตึกคณะอันเป็นที่นัดหมาย พี่ดินก็เรียกพาร์ให้มารับผมไปนั่งด้วย เลยโดนปีหนึ่งยันปีสี่ส่งเสียงโห่แซวจนผมกับพาร์นั่งลงถึงได้พากันเงียบ รอฟังพี่ดินเปิดประชุมด้วยหัวข้อที่พอจะรู้กันอยู่ เนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านข่าวลือมีไม่น้อย แต่ไม่มีใครรู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน

“สวัสดีเพื่อนและน้องๆ ชาวนิติครับ คิดว่าคงทราบข่าวกันแล้วว่าสงครามสายน้ำในปีนี้กำลังเกิดปัญหาใหญ่ เนื่องจากภัยแล้งที่เกิดขึ้นเกือบทำให้โดนทางมหาลัยสั่งยุติกิจกรรมนี้…”

เสียงฮือฮาดังกระหึ่ม ก่อนค่อยๆ ซาลงเพื่อรอฟังพี่ดินพูดต่อ

“แต่หลังจากส่งตัวแทนไปเจรจาต่อรองหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้รับการยินยอมให้จัดกิจกรรมนี้ได้โดยจะต้องจำกัดปริมาณน้ำโดยรวม และมีระยะเวลาสิ้นสุดกิจกรรมเร็วกว่ากำหนดนั่นคือหกโมงเย็นของวันแรก”

“อะไรกัน แบบนี้งานปีนี้ก็กร่อยน่ะสิ”

สงสัยพี่ดินจะได้ยินคนบ่น ถึงได้พูดต่อว่า “แต่หลังสงครามสิ้นสุด เรายังมีอีกกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลากลางคืนรออยู่ เริ่มตั้งแต่ฟ้ามืดจนถึงห้าทุ่ม ธีมของงานคือแสง หัวข้อคือแสงแห่งความประทับใจ”

มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งยกมือถาม “แล้วผู้หญิงสามารถเข้าร่วมได้ถึงกี่โมงคะ?”

“ได้ถึงห้าทุ่มเช่นเดียวกัน เพราะหลังจากนั้นทุกคนต้องกลับกันหมด ปีนี้ไม่มีการค้างคืนในมหาลัย แล้ววันอาทิตย์ถึงจะมาช่วยกันเก็บกวาดสถานที่”

“ขอถามได้ไหมครับว่าจำกัดปริมาณน้ำโดยรวมยังไง?”

“ใช้ถังทรงสี่เหลี่ยมลูกบาสก์ขนาดใหญ่จุน้ำได้ถึง 1,000 ลิตรต่อหนึ่งคณะ คณะเราจะมีคนเฝ้าคอยดูแลและจดบันทึกการเบิกน้ำตลอด โดยจะแบ่งให้ชั้นปีละ 250 ลิตร บริหารจัดการกันเอาเอง หากเบิกครบแล้วจะไม่สามารถเบิกได้อีก”

“แล้วจะรู้ได้ไงว่าเบิกไปเท่าไหร่แล้ว?”

“จะมีแจกแกลอนน้ำขนาดหนึ่งลิตรให้ปีละสามใบ เอาแกลลอนหนึ่งใบมาใส่น้ำนับเป็นหนึ่งครั้ง สรุปคือแต่ละชั้นปีสามารถเบิกน้ำได้ 250 ครั้งต่อแกลอน มีใครสงสัยอะไรอีกไหมครับ”

เสียงซุบซิบดังกระจายไปทั่ว แต่ละชั้นปีมีคนเป็นร้อย 250 ลิตรจึงถือว่าไม่ได้เยอะ การบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ

“งั้นสงครามคราวนี้อาจมีเรื่องแย่งชิงน้ำด้วยสิครับ”

พี่ดินพยักหน้า “มีแน่นอน เพราะน้ำเป็นกระสุน หากน้ำหมด มีแต่ปืนไร้กระสุน แพ้เห็นๆ”

เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง รอจนเสียงเบาลงพี่ดินก็พูดต่อ

“ถือเป็นเงื่อนไขใหม่ของกิจกรรมคราวนี้ และแต่ละคณะจะได้รับแจกแกลอนหนึ่งลิตรเพียงสิบสองใบเท่านั้น แน่นอนว่าคงไม่มีใครบ้าขโมยแกลอนเปล่า ดังนั้นต้องระวังโดนฉกน้ำหายไปพร้อมแกลอนด้วย”

หลังปล่อยให้ผู้คนพูดคุยปรึกษาสักพัก พี่ดินก็ส่งเสียงเรียกให้กลับมาฟังกันก่อน

“ผมขอพูดถึงเรื่องกิจกรรมแสงแห่งความประทับ ทางที่ประชุมรวมทุกคณะมีมติให้แต่ละคณะสร้างผลงานหนึ่งชิ้นให้คนที่เข้าไปดูหรือเล่นกับมันประทับใจ แต่เนื่องจากเวลาของเรามีน้อย ผมจึงขอให้ทุกคนลองไปคิดไอเดียเขียนใส่กระดาษหรือพิมพ์มาก็ได้ แล้วนำมาหย่อนลงกล่องในห้องสโมฯ ภายในห้าวันของสัปดาห์นี้ สัปดาห์หน้าผมจะเปิดให้โหวตไอเดียที่บอร์ดหน้าห้องสโมฯ เป็นเวลาสามวัน หลังประกาศผล คงต้องให้ทุกชั้นปีช่วยกันสร้างผลงานจนแล้วเสร็จให้ทันวันกิจกรรม มีใครอยากถามอะไรเพิ่มไหมครับ?”

“แสงที่ว่านี้คืออะไรก็ได้เหรอครับ?”

“คือทางมหาลัยอยากให้ประหยัดไฟภายใน ม. เหมือนกันครับ” พี่ดินพูดอย่างลำบากใจ “บางทีเราคงใช้ไฟฟ้าของมหาลัยไม่ได้ และโดนสั่งห้ามเล่นไฟเด็ดขาด เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันจนเกิดไฟลุกลามได้”

“งั้นก็ต้องใช้พวกไฟสำรองจากแบตเตอร์รี่”

“พวกแท่งเรืองแสงสินะ”

“สีเรืองแสงก็ไม่เลว”

หลายเสียงงึมงำ สักพักพี่ดินก็ฝากบอกให้ลองเก็บไปคิดกันมา

การประชุมดำเนินต่อไป ที่เหลือเป็นเรื่องยิบย่อยอื่นๆ ภายในคณะนิติเอง ผมอ้าปากหาวแล้วหาวอีก สุดท้ายต้านทานความง่วงไม่ไหว เผลอสัปหงกไปจนได้ แต่ก่อนจะหลับสนิทเหมือนมีคนจับหัวผมเอนหาที่พิง ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมๆ ด้วยยิ่งทำให้นึกถึงหมอนที่บ้าน พอขยับหัวให้เข้าที่ได้ปุ๊บผมก็ปิดสวิตซ์ตัวเองทันที

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-03-2017 21:34:33
พาร์ ความรู้สึกไวมาก
แค่ปากแตะปาก วิ่งเข้าห้องน้ำเลย
ขำพ่อ มีการอวดลูกชายมีแฟนด้วย
อวดใครไม่อวด อวดลุงนิก  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-03-2017 22:04:24
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[



 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 17-03-2017 22:06:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 17-03-2017 23:05:36
โอยยย ดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-03-2017 02:14:32
ใกล้เข้ามาอีกนิด คิดว่าไม่นาน อิอิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-03-2017 00:09:12
ขำพ่อที มีความอวด 55555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 20-03-2017 13:39:45
ชอบทุกตัวละครเลย น่ารักๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 22-03-2017 14:15:50
บทที่ 48

“มึงจะรับเลี้ยงลูกแมวนั่น!”

“แค่คิด แล้วมึงจะโมโหทำไม”

“กูไม่ให้เลี้ยง!”

“กูก็ไม่ได้เลี้ยงเอง! จะให้น้องอันต่างหาก!”

ผมกับพาร์ยืนเถียงกันแถวลานจอดรถกลางแสงอาทิตย์อัสดง โดยมีพยานเดินไปมา เลี้ยวมองตามเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของพวกผม ส่วนเจ้าเหมียวในหัวข้อ ป่านนี้คงนอนกลิ้งเกลือกตากแอร์เย็นช่ำอยู่ในห้องสโมฯ นิติ

“แมวนั่นมาตั้งสี่วันแล้ว ทำไมมึงพึ่งคิดอยากเลี้ยง?”

ผมชะงักกับคำถามพาร์ เผลอนึกถึงตอนพักเที่ยง…

-------------

แค่ผมเดินถือกล่องขนมที่พึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ เข้าห้องสโมฯ รุ่นพี่ทั้งหลายก็รีบหาข้ออ้างหนีออกจากห้องทันที ส่วนใหญ่ยกเรื่องงานมาบังหน้าทั้งนั้น เหลือแค่ท่านประธานที่ต้องจัดการพวกเอกสารอยู่ในห้อง

พี่ดินเปรยตามองกล่องขนมแวบเดียวก็เอาแต่ก้มหน้ามองเอกสาร “อีกแล้วเรอะ”

ผมยิ้มแห้งให้พี่ดิน

“ถ้าจะกินเอาไปกินข้างนอก” พี่ดินสั่งเสียงเฉียบ

พี่ดินไม่ใช่พวกเกลียดของหวาน แต่หลังจากต้องกินติดต่อกันสี่วันคงเริ่มเอียนของหวานแล้ว ผมก็ไม่ต่างกันหรอก คิดพลางพ่นลมหายใจออกมา

‘ของจีบ’ วันนี้เป็นของโปรดผมเอง เพราะเมื่อวานผมยืนยันเสียงหนักแน่น ถ้ามันให้ขนมที่มีครีม หรืออย่างอื่นมา ผมจะไม่รับ เถียงกันอยู่ตั้งนานแบบไม่ได้ข้อสรุป แต่วันนี้…

ผมมองของในมือ เป็นคุกกี้ใส่ขวดโหลทรงสูง และใส่อยู่ในกล่องกระดาษทรงสูงอีกที

หมายความว่าผมเถียงชนะใช่ไหม?   

คิดถึงตรงนี้ก็แอบสงสัย ปกติพาร์ทำขนมตามใจผู้กิน แล้วทำไมหลายวันที่ผ่านมาถึงทำตามใจคนทำก็ไม่รู้ ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ แม้ว่าผู้เริ่มต้นลั่นระฆังให้พาร์ทำขนมให้กินจะเป็นผมก็ตาม

ย้อนกลับไปเมื่อสี่วันที่แล้ว หลังประชุมนิติเสร็จ พาร์ก็ขับรถมาส่ง ช่วยผมติวเลขให้น้องๆ จนอยู่ยาวถึงเวลาอาหารเย็น นั่งเล่นบ้านผมต่ออีกสักพักถึงได้พาเบอร์ดี้กลับ หลังจากนั้นแค่ครึ่งชั่วโมงก็ส่งข้อความไลน์หาผม คุยเป็นพักๆ ผมก็ทำนู้นทำนี่จนถึงเวลาอาบน้ำเตรียมเข้านอน จัดการตัวเองเรียบร้อยก็มานอนกลิ้งบนเตียงพิมพ์โต้ตอบกับพาร์ยาวๆ จู่ๆ พาร์ก็ถามขึ้นมา

PAR: ว่าแต่ตอนนี้สถานะของเราคืออะไร

ผมครุ่นคิด

TEE: คนจีบกับคนถูกจีบ?
PAR: สติกเกอร์หัวเราะ
PAR: แต่สำหรับกู เหมือนเรากำลังดูใจมากกว่า

ผมชะงัก ก่อนกดพิมพ์ตอบ

TEE: หมายถึงเดตแบบฉบับมึงอ่านะ
PAR: ไม่ใช่ มากกว่านั้นอีกหนึ่งขั้น แต่ยังไม่ใช่แฟนสักที เมื่อไหร่มึงจะตอบรับครับ?

ผมเม้มปาก เงียบอยู่นานถึงพิมพ์ตอบ

TEE: รีบร้อนไปไหน มึงพึ่งเริ่มจีบเอง
PAR: ก็แค่ถาม เผื่อมึงจะใจอ่อน

ผมพ่นลมหายใจโล่งอกที่พาร์ไม่ได้เร่งรัดในเรื่องนี้ เป็นแฟนกันผมไม่กลัวหรอก แต่หลังตกลงเป็นแฟนสิที่น่ากลัว ลุงนิกยังบอกเลยว่าสมัยวัยรุ่นจ้องจะจับแฟนกินอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถ้าไม่อยากโดนจับกินในเร็วนี้ อย่ารีบตอบรับเป็นแฟนเด็ดขาด ผมเชื่อครับ (หลังจากแอบโทรไปถามยืนยันจากทากะซังมาแล้ว) และได้คำแนะนำจากทากะซังเพิ่มว่าถ้าไม่อยากก็อย่าเปิดช่องให้ว่างง่ายๆ และยังย้ำแล้วย้ำอีกว่ารอให้อายุยี่สิบก่อน

…ทากะซังก็หวงผมเหมือนกันนะครับ ถึงจะไม่ออกนอกหน้าเท่าลุงนิกก็เถอะ

PAR: ที? เงียบไปเลย หลับแล้วเหรอครับ?
TEE: ยัง กำลังคิดคำตอบให้อยู่
PAR: อ้อ แล้วคิดได้ยัง

ผมพิมพ์ตอบไปทันที

TEE: จะถามมาอีกกี่รอบ กูก็ไม่มีคำตอบให้หรอกวะ
PAR: นี่กูต้องไล่ต้อนให้มึงจนมุมก่อนใช่ไหม มึงถึงจะยอมตกลง
TEE: 555 แล้วแต่มึงสิ กูให้สิทธิ์มึงจีบเต็มที่แล้วนี่

ฝ่ายพาร์หายไปพักหนึ่ง จนผมจะวางมือถือลงแล้ว คำตอบก็มา

PAR: กูก็จะใช้สิทธิ์ที่ได้มาให้เต็มที่เหมือนกัน

ก็…เป็นคำตอบที่ดูธรรมดา แต่เมื่อนึกถึงวิธีการจีบของมัน ผมแอบรู้สึกผวาเล็กๆ ล่าสุดพึ่งเสียจูบให้มันไปเมื่อวาน แค่คิดถึงเรื่องนั้นหน้าผมก็ร้อนผ่าว จนต้องคิดเรื่องอื่นเร่งด่วน คิดไปกวาดมองรอบห้องไป สายตาก็สะดุดเข้ากับกล่องกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ

อ้าว ผมลืมเอาไปให้นี่หว่า ผมรีบพิมพ์บอก

TEE: ของขวัญปีใหม่ของมึงยังอยู่บ้านกูอยู่เลย
PAR: ก็กูให้มึงแล้วนี่
TEE: กูหมายถึงกระเป๋าตังค์!
PAR: อ้อ
TEE: พรุ่งนี้จะเอาไปให้
PAR: จะบุกถิ่นเลียนแบบเหรอ

ผมแยกเขี้ยวใส่หน้าจอ แบบที่มันให้กำไลผมอ่ะนะ ไม่มีทาง!!

TEE: เรื่องสิ กูจะให้มึงแบบปกติ!

ขอย้ำอีกประโยคเหอะ

TEE: เหมือนคนทั่วไปให้ของกัน!
PAR:  ครับๆ ขอแค่เป็นของจากมึง กูก็ดีใจแล้ว

นับวันมันยิ่งปากหวาน แรกๆ ก็ขนลุกอยู่หรอก แต่พอได้ยินบ่อยเข้าผมชักเริ่มชิน

PAR: พรุ่งนี้ไปมหาลัยด้วยกันไหม เรียนตึกด้วยกันทั้งเช้าทั้งบ่าย
PAR: เวลาเข้าเรียนตอนเช้าก็ตรงกัน และกูจะขับรถรับส่งให้เอง
TEE: …ถ้ามึงไม่คิดว่าตัวเองลำบาก กูก็โอเค
PAR: จีบมึงลำบากกว่าอีก

ผมหัวเราะขำ แต่อีกใจก็แอบรู้สึกเห็นใจไม่น้อย เลยพิมพ์ข้อความส่งไป

TEE: เห็นแก่ความลำบากของมึง เดี๋ยวกูไปรับ
TEE: จอดแค่หน้าบ้าน ไม่แวะเข้าบ้านมึงนะ
PAR: ตกลง! พรุ่งนี้เจอกันครับ
TEE: อือ

PAR: ไม่บอกฝันดีเหรอ?
TEE: ถึงกูไม่บอก มึงก็คงฝันดีอยู่แล้ว
PAR: งั้นมึงอย่าฝันร้ายล่ะ แต่ถ้าฝันร้ายล่ะก็อย่าลืมคิดถึงกู แล้วมึงจะฝันดี

โอ้โห…มุขจีบของมันหวานเลี่ยนเป็นบ้า ผมเม้มปาก ก่อนพิมพ์โต้

TEE: ขอโทษนะ ช่วยใส่ความหวานของมึงลงขนมเถอะ กูอยากกินมาก
PAR: จะดีเหรอ มึงคงเป็นโรคเบาหวานก่อน
TEE: ก็ช่วยใส่น้ำตาลให้มันพอดีๆ แบบที่กูชอบสิ
PAR: ได้ครับ^^

ผมรู้สึกเอะใจว่าเราอาจจะคุยกันคนละเรื่อง เลยย้ำไปอีกที

TEE: กูพูดถึงขนมนะ
PAR: ขนมก็ส่วนขนม พรุ่งนี้จะเอาไปให้
PAR: อยากได้ขนมอะไร ไม่สิ อยากได้ขนมในหน้าไหนครับ?

คำถามของพาร์ทำให้ผมนึกถึงมินิ โฟโต้บุ้คทันที มันไม่มีหมายเลขหน้าสักหน่อย สงสัยต้องนับหน้าเอาเอง แต่…

TEE: อยากได้คุกกี้

พาร์เงียบไปนาน ก่อนจะส่งสติกเกอร์ถอนหายใจ พร้อมคำบ่นมา

PAR: มึงนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยวะ
TEE: 555+

และนั่นคือจุดเริ่มต้นทำให้ผมได้ขนมวันละหนึ่งกล่อง และรับรู้ความหวานจากพาร์อย่างหนักหน่วงจนเข็ดไปอีกนาน ถ้าพรุ่งนี้มันทำครีมหวานเลี่ยมมาอีกล่ะก็ ผมจะ…จะหาเหยื่อ แอ่ม…คนช่วยกิน เอ่อ คงไม่ใช่พี่ๆ ห้องสโมฯ ผู้มีพฤติกรรมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ (ตอนแรกแย่งผมกินเกือบหมด เข้าวันที่สามก็หยิบไปชิ้นสองชิ้น และวันนี้ถึงขั้นหนี)

สมองเริ่มนึกถึงเพื่อนพ้อง เพื่อนคณะก็ไม่ค่อยได้คุย เพื่อนเก่าแก่ก็เงียบหาย

…เหมือนคนโดนเพื่อนทิ้งเลยวะ

“แล้ววันนี้ได้ขนมอะไรมา?”

ผมหยุดคิด มองพี่ดินอย่างประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะโดนถาม “คุกกี้ครับ…” กำลังจะชวนกินด้วยกัน แต่พี่ดินกลัยตะโกนลั่นซะก่อน

“คุกกี้!!” พี่ดินโบกมือไล่ “เอามันไปไกลๆ พี่!”

หือ?

ผมเอ่ยถามทันทีหลังเห็นปฏิกิริยาอย่างกับเจอของแสลง “พี่เกลียดคุกกี้?”

พี่ดินทำหน้าแปลกๆ ท่าทางไม่อยากพูดถึง แต่สุดท้ายก็ยอมเล่า

“ก่อนหน้านี้ไม่ แต่หลังงานลอยกระทง เหลือคุกกี้ที่เตรียมไว้ขายพอสมควร พี่พยายามติดป้ายประกาศแจก หรือเรียกคนทำมารับกลับคืน แต่ผลคือไม่มีใครโผล่หัวมาเอาสักคน ตอนแรกคนในสโมฯ ก็ช่วยกินอยู่หรอก แต่นานวันเข้าก็เหลือพี่กินอยู่คนเดียว ทุกคนอ้างเหตุผลว่าเพราะพี่คำนวณปริมาณสินค้าผิดพลาดจึงควรเป็นผู้รับผิดชอบ!”

เล่าถึงตรงนี้สีหน้าพี่ดินยิ่งแย่กว่าเก่า “ทุกวันต้องมีกาแฟพร้อมจานคุกกี้วางอยู่ตรงหน้า ต้องฝืนใจกินอยู่ทุกวันจนหมด ตอนนี้พี่เกลียดคุกกี้ไปเลย”

โธ่ แล้วก็ไม่บอก ถ้าผมรู้คงมาช่วยกินทุกวัน

“เมี้ยว!”

ผมก้มมองเจ้าตัวน้อยมีหูมีหางกำลังตะครุบขากางเกงผม  ถ้าให้จำกัดความควรเรียกว่า ลูกแมวสามสีเพศเมีย อายุไม่รู้ ประวัติ/ความเป็นมา: รุ่นพี่นิติขับลัดเลาะรถติดช้าๆ ได้ยินเสียงแมวก็เลยหันไปมอง เจอลูกแมวในกล่องเดินทางสัตว์เลี้ยงตกอยู่บนขอบเกาะกลางถนนไร้คนเหลียวแล ด้วยความเห็นใจเลยเก็บมาทั้งกล่อง แต่เพราะเอาเข้าห้องเรียนไม่ได้ เลยมาฝากไว้ที่ห้องสโมฯ ชั่วคราว

พี่คนนั้นก็ดีไปหาสาเหตุที่ลูกแมวน่าจะมีเจ้าของไปอยู่แถวนั้นจนพอสันนิฐานว่าเจ้าของแมวน่าจะเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุข้างทาง โดนห้ามไปโรงพยาบาลแล้ว แต่พอตามไปที่โรงพยาบาลกลับย้ายไปรักษาที่อื่น ที่ไหนก็ไม่รู้ มืดแปดด้าน แม้จะระดมเพื่อนพ้องช่วยกันตามหาเจ้าของแมวจนถึงวันนี้ก็ตาม

ผมรีบยกของในมือขึ้นเหนือหัว เอ่ยเสียงดุลูกแมว “อันนี้กินไม่ได้”

“มี้ๆ”

ไม่ฟังกันเลย ผมละกลัวขากางเกงนักศึกษาโดนเล็บแมวเด็กเกี่ยวเป็นรูจริงๆ

“สงสัยจะหิว” พี่ดินเดา

“น่าจะครับ เห็นหน้าผมที่ไหนร้องแต่จะกินตลอด”

ผมส่ายหน้า เดินไปวางกล่องขนมบนชั้นสูงๆ ที่ลูกแมวกระโดดไม่ถึง ปีนป่ายไปหาไม่ได้ แล้วอุ้มเจ้าตัวยุ่งที่ตอนมาแรกๆ เอาแต่นอนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหนจนน่าเป็นห่วงถึงขั้นต้องพาไปตรวจร่างกาย ผลคือพกช้ำที่ลำตัวเล็กน้อย แถมคนพาแมวไปดันบอกหมอว่าเป็นแมวจรจัด หมอคำนวณอายุแล้วจับฉีดยาเลยครับ

ลูกแมวเลยมีอาการมึนๆ ซึมๆ อยู่สองวัน หลังจากนั้นก็ชักเริ่มออกลายซน จนพี่ดินต้องรีบประกาศว่าถ้าภายในอาทิตย์นี้หาเจ้าของไม่เจอ จะหาคนรับเลี้ยงใหม่แล้ว

“กลับมาแล้วจ้า ฮิเมะอยู่ไหนเอ่ย?”

ผมหันมองรุ่นพี่สาว หนึ่งในสมาชิกสโมฯ บุคคลแรกที่ตั้งชื่อให้แมว แถมยัง… เหล่มองลูกแมวที่วิ่งปรู๊ดไปหลบใต้ตู้ใกล้ๆ 

“อ้าว หลบไปอยู่ใต้ตู้หนังสืออีกแล้ว ออกมาเร็วเหมียวๆ”

ลูกแมวส่งเสียงขู่ใหญ่ อีกคนก็ไม่หวั่น จนพี่ดินที่มองมาสักพักทนดูไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากดุ

“ก็เธอเล่นแรงไป แมวเลยกลัวเธอน่ะสิ” 

“แรงที่ไหน”

“พูดมาได้ อุ้มไม่ยอมวาง เด็กดิ้นหนีก็ตามไปจับมาอุ้มอีก เธอน่ะอยู่ห่างๆ ลูกแมวดีแล้ว”

“ก็เห็นแล้วมันอดอุ้มไม่ได้นี่”

“อุ้มมากเดี๋ยวเฉามือตายหรอก ถ้ารู้ว่าทนไม่ได้ก็มานี่ เอางานไปทำ”

“ดินนน!”

ผมปล่อยรุ่นพี่สองคนถกเถียงกัน หยิบถ้วยน้ำจิ้มกับช้อนมาเตรียมไว้ ฉีกซองอาหารแบบเปียกสำหรับลูกแมวออกมา (เห็นแช่ซองในน้ำอุ่น สงสัยพี่ดินเตรียมไว้ให้ล่ะมั้ง) พอได้กลิ่นของกิน เจ้าหัวฟูก็ยอมโผล่หน้าออกมา วิ่งพรวดมาถูตัวกับขาของผมไม่หยุด

“มี้ๆ”

“รู้แล้วๆ รอแปบหนึ่ง”

ผมรีบใช้ช้อนตักอาหารในซองใส่ถ้วย วางลงพื้นตรงหน้าให้ มาดมแปบเดียวก็กินใหญ่เลยครับ สงสัยจะหิวจริงๆ พอหมดก็เลียปาก ร้องขอเพิ่ม ผมก็ให้อีกช้อนพูนๆ ตัวแค่นี้กินไปเยอะหรอกครับ ที่เหลือก็มัดซองเก็บไว้ให้มื้อต่อไป

ผมเทน้ำเปล่าใส่ถ้วยน้ำจิ้มอีกใบวางใบใกล้ๆ แอบนึกสงสัยว่ามันเห็นผมเป็นทาสหรือเปล่า หิวทีไรชอบมึงมาหาผมเรื่อย ไม่สิ เวลาปกติก็วิ่งมาหาผม แต่ถ้าผมไม่อยู่ถึงค่อยไปหาพี่ดิน

“ที อย่ามัวมองแมว ไปประจำที่ได้แล้ว”

“ครับๆ” ผมผละออกมา เดินไปนั่งประจำที่คือหน้าคอม นั่งไม่ทันก้นร้อน เจ้าสี่ขามาแล้วครับ คราวนี้กางกรงเล็บจิกปีนขากางเกงขึ้นมาบนตักผม อ้าปากหาวหวอด เตรียมขดตัวนอน แต่ช้อนใต้หัวมันทัน ดึงทิชชู่มาเช็ดปากให้ก่อน ไม่งั้นกางเกงผมได้เลอะไปด้วยแน่นอน

พี่ดินเดินมาพร้อมสมุดงาน ก้มมองเจ้าลูกแมวที่หลับสบายไปแล้ว พลางเอ่ยถาม

“สนใจรับเจ้าเด็กนี่ไปเลี้ยงไหม”

“จะให้ผมไปเลี้ยงที่ไหนล่ะ”

“ที่บ้านไง”

ผมนึกถึงบ้านพ่อ บ้านทากะซัง จนมาถึงบ้านย่า ถ้าบ้านย่าน่าจะเลี้ยงได้ติดแต่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ บ้านทากะซังคงไม่ไหว ไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นแบบนั้นคงไม่เหมาะกับการเลี้ยงสัตว์ สุดท้ายก็บ้านพ่อ…ไม่รู้จะยอมให้เลี้ยงหรือเปล่า แต่ถ้าให้เลี้ยง คนดีใจมากสุดคงเป็นเจ้าตัวเล็ก

…จะว่าไปจะถึงวันเกิดอันแล้วนี่น่า

ผมก้มมองลูกแมว สำรวจดูว่าโตพอเป็นเพื่อนเล่นให้เด็กกำลังจะหกขวบได้ไหม น่าจะพอไหว อันชอบสัตว์อยู่แล้ว ผมเคยเห็นน้องเล่นกับแมวที่โรงเรียนอนุบาล อ่อนโยนกับแมวจนผมอึ้ง ดังนั้นไม่น่ามีปัญหา

“ขอไปถามที่บ้านดูก่อนแล้วกันครับ”

“งั้นพี่ให้สิทธิ์ทีคนแรก”

“เฮ้ย แล้วเราล่ะ” รุ่นพี่สาวประท้วง

จะว่าไปผมยังจำชื่อพี่คนนี้ไม่ได้เลย จะถามตอนนี้คงไม่ไหวมั้ง รอฟังตอนโดนคนอื่นเรียกชื่อดีกว่า

“เธอไม่เหมาะจะเลี้ยงแมวหรอก บ้าคลั่งเกินไป ขนาดแมวยังกลัว”

พี่ดินเล่นตอกย้ำจนเพื่อนเถียงไม่ออก ส่วนผมทำตัวเสมือนเป็นอากาศ นั่งพิมพ์งานเงียบเชียบ

ปี4 เขาคุยกัน ปี1 อย่างผมไม่เกี่ยวครับ

-------------

(มีต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 22-03-2017 14:18:50
บทที่ 48 (ต่อ)

“มึงยังฟังกูอยู่ไหม?”

ผมหลุดจากภวังค์ กระพริบตาเรียกสติกลับมา ก็เจอใบหน้าบูดบึ้งระยะประชิดกะทันหันจนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าพาร์เฉียดผ่านหน้าผมไปหยุดที่ไหล่ ตามด้วยเสียงบ่นอย่างอารมณ์เสีย

“ตัวมึงมีแต่กลิ่นแมวบ้านั่น!”

หลังตั้งสติได้ ผมก็รีบผลักพาร์ออกแทบไม่ทัน กวาดมองอย่างเลิ่กลั่กไปรอบๆ แอบโล่งใจที่ไม่มีใครมายืนจ้องมอง ผมหันไปดุคนกำลังตรงยืนประจันหน้าทันที

“มึงช่วยสนใจสถานที่หน่อย นี่มันลานจอดรถในมหาลัยนะเฮ้ย!”

“แล้วไง ทำไมต้องเลี้ยงแมวนั่น”

วกกลับมาเรื่องแมวอีกแล้ว ผมถอนหายใจเซ็งๆ แต่ก็ยอมตอบคำถาม

“จะถึงวันเกิดอันแล้ว กูเลยว่าจะให้แมวเป็นของขวัญวันเกิดน้อง”

“ทำไมต้องแมว แมวเป็นๆ ไม่ใช่ตุ๊กตา”

“กูอยากให้เจ้าตัวเล็กมีประสบการณ์โตมากับสัตว์เลี้ยงเหมือนกูไง”

“ฮะ!”

ผมไม่สนใจเสียงอุทาน อธิบายต่อ “และอยากให้อันได้ลองดูแลสัตว์สักตัวด้วยตัวเองดู กูมั่นใจว่าน้องทำได้ ในเมื่อโอกาสมาในช่วงเวลาเหมาะเจาะทั้งที กูเลยคว้าไว้”

“มึงคิดผิดแล้ว”

“…ผิดตรงไหน?” ผมรอฟังความเห็นพาร์อย่างตั้งใจ

“ตรงที่กูไม่อนุญาตไง”

“ฮะ!!” คราวนี้ตาผมอุทานบ้าง

“เดี๋ยวกูหาคนมารับเลี้ยงให้…”

“เดี๋ยวก่อน” ผมพูดขัด “มึงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ลูกแมวจะมาอยู่บ้านกูนะ ไม่ใช่บ้านมึง!”

“กูไม่ได้เข้าใจผิด!”

ผมมองพาร์มึนๆ “งั้นมึงมีปัญหาอะไร?”

“เพราะมึงต้องช่วยน้องดูแลแมวไง”

“อาฮะ…แล้ว?”

“แมวนั่นติดมึงจะตาย!”

“แล้ว?”

“เป็นเพศเมียอีก ถ้าโตขึ้นมันมีลูกล่ะ มึงคงต้องเห่อลูกแมวใหม่ เวลาที่ควรเป็นของกูก็จะน้อยลง…”

ผมย่นคิ้วเข้าหากัน ฟังไปฟังมาเหมือนกับพาร์กำลัง…

“เดี๋ยวนะ นี่มึงกำลังหึงแมวเรอะ?”

“เออ!” 

ผมมองพาร์อย่างข้องใจมาก “นั่นแค่แมวนะ ลูกแมวตัวเล็กนิดเดียว มึงจะหึงทำบ้าอะไร”

“อีกหน่อยก็ไม่ตัวแค่นั้นแล้ว อนาคตแม่แมวชัดๆ”

“หยุ๊ดดดด!” ผมร้องขัดก่อนไปกันใหญ่ “มึงแค่คิดเป็นตุเป็นตะ อนาคตอาจไม่ใช่ก็ได้”

“กูแค่คาดเดาความเป็นไปได้…เอางี้ มึงจะเอาแมวนั่นเข้าบ้านก็ได้ แต่ตัวมึงต้องย้ายมาอยู่กับกู!”

“ฮะ!”

“ถ้าไม่อยากอยู่บ้านกู เราก็หาคอนโดใกล้มหาลัยแทนก็ได้”

 “กูไม่ได้อุทานเพราะเรื่องนั้น!”

“…ไม่เลว ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดมามหาลัย แถมอยู่ด้วยกันตามลำพัง”

มันเล่นพูดเองตอบเอง และเหมือนจะตัดสินใจไปแล้ว โดยไม่ถามกันสักคำว่าผมยอมไปอยู่ด้วยไหม 

“พาร์” ผมเรียกอย่างเหนื่อยใจ “แค่ลูกแมวตัวเดียว แถมไม่ใช่ของกูด้วยซ้ำ มึงจะจริงจังทำไม”

“นี่ขนาดไม่ใช่ มันยังติดมึงหนึบขนาดนี้ ถ้าใช่ขึ้นมาไม่ตามไปทุกทีเรอะ!”

ผมว่าเลิกคุยประเด็นนี้เถอะ…งี่เง่าเกินบรรยาย

หลังหนีขึ้นไปรอในรถ พาร์ตามมาที่หลัง แม้มันจะขับออกมานอกมหาลัยก็ยังบ่นไม่เลิก ผมเลยบอกปัดรำคาญ “ถ้ากูเอาแมวเข้าบ้าน วันที่สิบสี่เดือนหน้ากูจะไปเดตกับมึง พอใจยัง!”

“ไม่! ย้ายมาอยู่กับกู”

“มึงยังอยู่ในช่วงจีบกูอยู่เลยเหอะ” ผมทวงสิทธิ์ของตัวเอง “ถ้าไม่เอาเงื่อนไขกู ก็ไม่ต้องมาคุยเรื่องนี้กันแล้ว”

ผมไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องแมว แต่หมายถึงเรื่องวันที่ 14 ด้วย ถ้าถามว่ามันเป็นวันสำคัญยังไง ผมบอกใบ้ให้ เพราะมันอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์ไงล่ะ

“…ก็ได้” พอดีกับรถติดไฟแดง พาร์เลยหันมาจ้องผมด้วยแววตาจริงจัง “วันที่13 กับ 14 เดือนหน้า ทุกวินาทีของมึงต้องเป็นของกูคนเดียว!”

“ไม่เอาชั่วโมงกับนาทีด้วยเลยล่ะ จะได้ครบเซต!”

“ได้แบบนั้นก็ดี”

“กูประชดโว้ย”

“จะตกลงหรือไม่ตกลง!”

“เออๆ แล้วก็ไม่ต้องมาประท้วงเรื่องลูกแมวอีกนะ กูรำคาญ”

“…ก็ได้ ถ้ามึงยอมพูดคำว่าตกลง”

ผมกรอกตาไปมาอย่างเซ็งจัด “ตกลง! พอใจยัง!!”

“อือ”

พาร์กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง ผมมองมันอย่างระแวง ความไม่แน่ใจปนกังวลวนเวียนอยู่ในใจ…พาร์ยิ่งเป็นพวกขุดดัก อำพรางหลุมซะแนบเนียนอยู่ด้วย

-------------

ผมรอถึงใกล้เวลานอน ค่อยเดินไปเคาะห้องพ่อกับแม่ปรึกษาเรื่องเลี้ยงสัตว์ รอไม่ได้ครับ วันเกิดเจ้าตัวเล็กกระชั้นชิดเข้ามาทุกที

“แมว?” พ่อกับแม่ทวนคำพร้อมกัน

“ครับ”

“จะให้อัน?” พ่อทวนอีก

“ครับ ผมอยากให้น้องอยู่กับสัตว์น่ะ อีกอย่างอันชอบพวกสัตว์จะตาย และผมคิดว่าน้องดูแลแมวได้”

“ไม่ไหวมั้งลูก แม่ว่าน้องเด็กเกินไป”

ผมยิ้มให้ความกังวลใจของพ่อแม่ “เดี๋ยวทีช่วยดูให้ด้วย”

“แล้วต้นไม้พ่อล่ะ”

“แมวตัวเดียวไม่ทำต้นไม้พ่อพังหรอกน่า”

“แล้วเรื่องขนแมวล่ะลูก กระจายเต็มบ้านนี่แม่ไม่ไหวนะ”

ผมนิ่งคิด “ถ้าอย่างนั้นทีจะจำกัดบริเวณให้แมวอยู่แถวห้องนั่งเล่นก็แล้วกัน”

พ่อกับแม่มองหน้ากัน ซุบซิบปรึกษากันอยู่นาน กว่าพ่อจะเป็นตัวแทนพูด

“ถ้าทีคิดว่าดีกับน้องก็ตามใจ แต่ได้แค่ตัวเดียวนะ แล้วต้องทำให้ได้อย่างที่ลูกบอกพ่อกับแม่ด้วย”

“ครับ”

หลังได้รับอนุญาต ผมก็เดินไปบอกน้ำต่อ น้องสาวชอบแมวอยู่แล้วไม่มีค้าน แต่มาทำหน้าม่อยตอนรู้ว่าแมวตัวนั้นกำลังจะเป็นของขวัญของใคร

“น้ำก็อยากได้เหมือนกันนะ”

“ถ้าขอพ่อแม่เลี้ยงเพิ่มได้ วันเกิดน้ำพี่จะหามาให้ตัวหนึ่ง”

“สัญญานะ” ยัยน้ำชูนิ้วก้อยขึ้น

ผมยิ้มขำยื่นมือไปเกี่ยวก้อยด้วย

-------------

วันรุ่งขึ้นผมบอกพี่ดินว่าจะรับเจ้าตัวยุ่งไปอยู่ด้วยในวันที่ 2 กุมภา แต่ถ้าหาเจ้าของแมวเจอก็ไม่เป็นไร

พี่ดินพยักหน้า ท่าทางโล่งใจที่มีทางออกเผื่อไว้ เพราะให้เลี้ยงที่ห้องสโมฯ ต่อก็ไม่ไหว เพราะกลางคืนต้องหาคนมานอนเป็นเพื่อนแมว ซึ่งไม่ค่อยมีใครรับอาสา (คนอาสา พี่ดินก็ไม่ให้ผ่าน) สมาชิกเลยโหวตให้ตัวพี่ดินนอนกับแมวแทน

อีกคนที่พอรู้ข่าวก็ทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร ขนาดโดนผมลากไปซื้อหนังสือเลี้ยงแมว เลยไปสำรวจราคาอุปกรณ์สำเร็จรูปต่างๆ ที่แมวหนึ่งตัวควรได้รับ ใช้เวลาหลายวัน พาร์ก็ไม่ได้บ่น แค่ระหว่างหัวคิ้วมีร่องลึกเท่านั้นเอง หลังจากดูจนทั่ว ผมก็ตัดสินใจประกอบกรงเอง ก็ได้พาร์นี่แหละเป็นลูกมือ ช่วยกันซื้อของช่วยกันประกอบ

ระหว่างเคลียร์พื้นที่สร้างกรงให้แมว ผมเลือกแบบทรงสูงครับ ชั้นล่างสุดผมกั้นเป็นสองส่วนด้วยตะแกรงสอดกระดาษลังกั้นปิดทั้งสองด้าน (กั้นทรายไปลงอาหาร และเผื่อเป็นที่ฝนเล็บ) ฝั่งซ้ายเป็นห้องน้ำ ส่วนฝั่งขวาไว้วางชามข้าว และขวดน้ำแบบแขวน ด้านในสุดเปิดเป็นช่องให้เดินเข้าออกสองพื้นที่ ส่วนด้านหน้าผมจงใจทำประตูเปิดปิดแยกกัน เวลาทำความสะอาดจะได้ง่ายหน่อย

เหนือห้องอาหารเป็นชั้นสอง สูงประมาณให้ลูกแมวกระโดดจากกระบะทรายขึ้นไปได้ ผมวางแผนปูหญ้าเทียมสำหรับสัตว์เลี้ยงให้ อ้อ วางกระถางหญ้าแมวเล็กๆ ไว้ให้ด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีเลยต้องใช้เชือกฝ้ายพันไปก่อน แล้วหาผ้ามาปู

ระหว่างชั้นสองกับสามมีบันไดพันด้วยเชือกพาดและล็อกอย่างแน่นหนา ชั้นสามผมวางตะแกรงเป็นพื้นแค่ครึ่งซ้าย แล้ววางตะกร้าหวายมีเบาะนอนไว้ให้

“มึงจะเลี้ยงแมวในกรง?”

“เปล่า ให้อยู่แค่ตอนกลางคืนกับตอนไม่มีใครอยู่บ้าน นอกนั้นปล่อยวิ่งเล่นแถวนี้ บางทีอาจใส่สายจูงพาไปเล่นข้างนอกบ้าง”

ยิ่งฟังพาร์ยิ่งหงุดหงิด “หาคนอื่นมารับเลี้ยงเหอะ”

มันยังไม่เลิกพยายามเรื่องหาคนมารับเลี้ยง

“ไม่เอา”

“ดื้อ!”

ผมไม่โต้กลับ เพราะพอรู้ตัวเหมือนกัน

พาร์พ่นลมหายใจ ถามเสียงอ่อนลง “หลังทำเจ้านี่เสร็จแล้ว มึงจะไปซื้ออะไรต่ออีกไหม”

“เดี๋ยวไปดูห้องสโมฯ ก่อน ขาดอะไรค่อยซื้อเพิ่ม”

แว่วเสียงพาร์พึมพำ “ก็ยังดี”

อะไรดี??

หลังกรงสร้างเสร็จก็ตั้งเด่นเป็นสง่าให้คนในบ้านเห็นหมด แต่ละคนเมียงมองมาโดยไม่ถามอะไร ยกเว้น…

“นี่คืออะไร?” นิ้วเล็กๆ ชี้ใส่กรงทรงสูง แววตาเจ้าตัวเล็กงุดงงมาก

“อีกไม่กี่วัน อันก็รู้เอง”

“…ของอัน?”

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ให้ความฉลาดของน้อง อันเดาได้ว่าน่าจะเป็นของตัวเอง เพราะใกล้ถึงวันเกิดครับ

“ของเจ้าหญิงน้อยต่างหาก”

ผมไม่ได้โกหกนะครับ เจ้าตัวยุ่งของสโมฯ มีชื่อแล้ว เนื่องจากคนตั้งเรียกบ่อยมากจนคนทั้งสโมฯ เผลอเรียกตามเพราะชินหู ไปๆ มาๆ เจ้าตัวยุ่งก็จำได้ เรียกปุ๊บตอบสนองปั๊บ เลยได้ชื่อ ‘ฮิเมะ’ (แปลว่าเจ้าหญิง) ไปครอง 

“เจ้าหญิง?”

“เอาน่า ถึงเวลาพี่จะพามาดูใหม่”

แปบเดียวก็มาถึงวันที่ 2 กุมภา ผมออกจากบ้านช่วงสายๆ ตะเวนซื้อของที่เล็งไว้จนครบ (ซื้อก่อนไม่ได้ เพราะถ้าเก็บซ่อนแล้วอันไปเจอก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ) ก่อนขับรถไปรับเจ้าเหมียว ไม่รู้เป็นโชคดีหรือร้าย พวกรุ่นพี่หาเจ้าของเก่าไม่เจอ พี่ดินเลยยกแมวให้ผมไปดูแลตามที่ตกลงกันไว้

ผมเข้าไปในห้องสโมฯ ก็เจอพี่ดินกำลังยืนทำหน้ากลุ้มใจพอดี

“มีปัญหาเหรอพี่?”

พี่ดินสะดุ้งนิดๆ “ทีเองเหรอ มาก็ดีแล้ว พี่จับฮิเมะใส่กล่องเดินทางไม่ได้ มันขู่แฟ่ๆ หางชี้ ตอนนี้หลบไปอยู่โน้น”

ผมมองตามนิ้วก็เห็นหางยาวสีขาวโผล่ออกมาจากใต้ตู้เอกสาร ลักษณะแกว่งหางแบบนี้ในหนังสือบอกว่าแมวกำลังอารมณ์ไม่ดี “สงสัยจะกลัวกล่องเดินทางมั้งพี่ อย่าลืมว่าก่อนโดนหิ้วมาที่นี่ ตัวมันเคยโดนกระแทกอยู่ในนั้น”

“แล้วจะพามันไปยังไงล่ะ”

“ผมซื้อแบบเป็นกระเป๋ามาเผื่อ” ชูกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงในมือ “ถึงรูปร่างคล้ายกล่อง แต่มันนิ่มแบบนี้น่าจะหลอกล่อฮิเมะเข้าไปได้”

“จัดการเลย เดี๋ยวพี่ช่วยเอาของฮิเมะไปใส่รถให้ เอากรงด้วยไหม?”

ผมส่ายหน้า “ผมสร้างกรงให้เขาแล้ว”

“งั้นพี่จะทำไงกับกรงนี่ดีล่ะ” พี่ดินเปรยตามองกรงแมวชั้นเดียวในห้อง

“ให้คนอยากได้สิพี่”

คนฟังพยักหน้า ช่วยหิ้วถุงอาหารแมวกับถุงทรายออกไป ผมนั่งย่องๆ ร้องเรียกตัวยุ่ง 

“ฮิเมะ”

“มี้”

“ออกมาเร็ว”

ผมคุกเข่ากับพื้น ตบหน้าขาแปะๆ หางมุดหายไปใต้ตู้ ปรากฏแสงจากดวงตาขีดเดียวสีเหลืองนวล ท่าทางไม่ยอมออกมาง่ายๆ ผมเลยแกะขนมแมวที่เคยซื้อมาให้กินแกว่งไปมา สักพักมีจมูกแมวโผล่พ้นนอกตู้ออกมาดมฟุดฟิด ยิ่งดึงขนมออกห่างตู้ เจ้าเหมียวก็ขยับตามจนออกมาทั้งตัว ผมโยนขนมเข้าไปในกระเป๋าที่เปิดอ้ารอไว้ เจ้าลูกแมวสำรวจรอบกระเป๋าอย่างไม่แน่ใจ แต่ผมก็พยายามรออย่างใจเย็น พอฮิเมะเข้าไปกินขนมก็ค่อยๆ รูดซิบช้าๆ จนแมวเด็กรู้ตัวถึงรูดซิบปิดอย่างเร็ว   

“เมี้ยวๆๆ”

โวยวายใหญ่เลยครับ ขนาดหิ้วไปวางบนเบาะข้างคนขับก็ยังส่งเสียงไม่หยุด ผมบอกลาพี่ดินทันที เพราะก่อนกลับบ้านต้องพาฮิเมะไปให้หมอตรวจสุขภาพกับฝากอาบน้ำอีก

ผมขับรถถึงบ้านตอนเย็น เจอพาร์ยืนเปิดประตูรั้วให้ มันเหลือบมองแมวที่นอนนิ่งซึมตรงเบาะหน้าแวบหนึ่ง ก่อนช่วยผมขนของออกจากเบาะหลังโดยไม่พูดอะไร จนผมสะกิดนั่นแหละถึงยอมอ้าปากพูดด้วย

“มึงมาช้า น้องจะเป่าเค้กอยู่แล้ว”

“เค้กฝีมือมึง?”

“อือ”

ผมยิ้มแห้ง ยังรู้สึกเข็ดขนมหวานพาร์ไม่หาย “ทุกคนล่ะ?”

“อยู่ในครัวแล้ว”

ผมพยักหน้ารับรู้ อุ้มฮิเมะลงจากรถเดินตามหลังพาร์ที่หิ้วของนำไปก่อน ตอนนี้ข้างกรงเพิ่มชั้นวางของอีกหนึ่ง พาร์ช่วยเก็บของเข้าชั้นให้ ส่วนผมกำลังรูดซิบปล่อยให้เจ้าตัวยุ่งออกมา 

“…ไม่เห็นออกมาเลย” เสียงพาร์อยู่ด้านหลังผม ไม่รู้มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“ตอนมาถึงห้องสโมฯ แรกๆ ก็แบบนี้”

ผมบอกอย่างผู้มีประสบการณ์ ตัดสินใจเอาชามอาหารออกมาก่อน วางกระเป๋าเข้าไปด้าน ดูตัวล็อกแน่นหนาดีแล้วก็เอ่ยชวนพาร์ไปห้องครัว พอเข้ามาปุ๊บ ตัวเล็กก็ร้องประท้วงทันที

“พี่ช้า!”

“พี่เตรียมของขวัญให้อันเลยมาช้า หรืออันไม่อยากได้ของขวัญ?”

“ดีเลย น้ำจะได้ขอ”

เจ้าตัวเล็กค้อนใส่พี่สาว “ของอันนะ”

“ยังไม่รู้ว่าคืออะไรแท้ๆ”

พอโดนพี่สาวว่ามา เจ้าตัวเล็กก็หันมาถามผม “คืออะไร?”

“เป่าเค้กก่อน พี่จะพาไปดู”

“งั้นเป่าเลย”

“เดี๋ยวๆ พ่อขอเตรียมตัวก่อน”

ผมใช้จังหวะนี้ยกมือไหว้ทักทายลุงแทนกับป้าเจน มีเบอร์ดี้นั่งอยู่ใกล้ๆ

…บ้านพาร์มากันครบเลยแฮะ

ระหว่างผมกำลังแย่งก๊อกน้ำล้างมือกับพาร์ ไฟในห้องก็ดับลงกะทันหัน เสียงเพลงประจำวันเกิดประสานกับเสียงตบมือพร้อมกันเป็นจังหวะ เค้กก้อนกลมถูกยกผ่านประตูครัวเข้ามาด้วยฝีมือพ่อ ปรากฏแสงเทียนดวงน้อยเหนือหัวเทียนเลขหก

Happy birthday to you
Happy birthday to you
Happy birthday, Happy birthday
Happy birthday…to you

สิ้นสุดเสียงเพลง ไฟดวงน้อยตรงหน้าน้องอันก็โดนเป่าดับในลมหายใจที่สาม ไฟในบ้านสว่างขึ้นอีกครั้ง เสียงตบมือดังรัว ผมเอนหน้าเข้าหาน้อง แกล้งถามทั้งที่เห็นเจ้าตัวเล็กจ้องเค้กสีขาวตกแต่งด้วยสตอเบอรี่ไม่วางตา

“พร้อมไปดูของขวัญของพี่ยัง?”

“อันขอกินเค้กก่อน…นะ”

-------------

หลังจากวันที่น้องอันมีแมวเป็นของตัวเอง วันๆ ก็เอาแต่สนใจฮิเมะ ถ้าไม่เพราะฮิเมะติดผมมากกว่าใครในบ้าน เจ้าตัวเล็กคงลืมพี่ชายอย่างผมไปแล้ว

พูดถึงฮิเมะ ตอนแรกผมไม่กล้าปล่อยออกมาจนกว่าฮิเมะคุ้นชินกับบรรยากาศในบ้านใหม่ก่อน แต่แค่วันที่สองเจ้าตัวยุ่งก็เรียกหาทันทีที่ผมเดินไปใกล้กรงเพื่อให้อาหารเย็น หลังกินเสร็จฮิเมะก็ส่งเสียงร้องไม่หยุดจนผมอุ้มออกมาถึงได้เงียบ พอปล่อยลงพื้นก็ร้องอีก พยายามจะให้อุ้มให้ได้ ก็ตามใจครับ อุ้มพาเดินชมห้องนั่งเล่นจนเมื่อย แล้วค่อยเดินมานั่งบนพื้น วางแหมะฮิเมะลงตักแทน

 หลังจากนั้นก็พบปัญหาเรื่อยๆ นอกจากผมแล้ว ฮิเมะไม่เอาใครเลย คนอื่นให้อาหารก็ไม่ยอมกิน ไม่ยอมให้คนในบ้านแตะตัว (ยกเว้นว่าผมอุ้มอยู่ในมือถือถึงยอมให้ลูบบ้างนิดหน่อย)

เข้าวันที่สี่ก็เริ่มดีขึ้นครับ เริ่มกล้าเดินสำรวจ (แต่ไม่ยอมไปไกลจากตัวผมมาก และถ้าคนในบ้านเดินไปหาก็จะรีบวิ่งกลับมาหาผมทันที)

หลังผ่านไปอาทิตย์กว่าพัฒนาการของฮิเมะก็เริ่มมากขึ้น ถึงยังไม่ยอมให้คนอื่นอุ้ม แต่ก็เริ่มมีเดินไปหาแบบกล้าๆ กลัวๆ บ้างแล้ว ถ้าฮิเมะอยู่บนพื้นจะยอมให้ลูบบ้าง แต่ห้ามจับเด็ดขาด มีข่วนครับ จนแม่บ่นว่าเป็นแมวหวงตัว ฮ่าๆๆ

มาพูดถึงเจ้าของแมวบ้าง เจ้าตัวเล็กมีความอดทนดีมาก พยายามผูกมิตรกับแมวจนผมอึ้งเลยล่ะ ผมสอนอะไรเกี่ยวกับฮิเมะ น้องก็จดจำได้อย่างรวดเร็ว แถมเอาไปปฏิบัติด้วย จนตอนนี้ฮิเมะยอมอันรองจากผมแล้ว ตอนนี้ผมปล่อยอันให้อาหารแมวเอง หลังจากประสบความสำเร็จทำให้ฮิเมะยอมกินอาหารที่ตักให้ (ตอนนั้นเจ้าตัวเล็กกระโดดเป็นกระต่าย ดีใจยกใหญ่จนฮิเมะตกใจวิ่งมาหาผม)

ผิดกับยัยน้ำเห่อแค่แปบเดียว พอแมวไม่เล่นด้วยก็ไม่สนใจเลย ทุกวันนี้แค่มองดูห่างๆ บางทีก็ถ่ายรูปเก็บไว้บ้าง…สงสัยของขวัญวันเกิดคงต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้วล่ะ

และแขกประจำบ้านของเรา…พาร์

ทุกวันนี้มันยังไม่เลิกเขม็งแมวสักที (ดูไม่เป็นมิตรกว่าเก่าอีก แต่ฮิเมะชอบเดินไปป้วนเปี้ยนใกล้ๆ) แถมยังสนับสนุนให้น้องอันผูกมิตรกับแมวเต็มขั้น ทั้งซื้อของเล่นแมวมาฝาก ทั้งค้นหาข้อมูลมาสอนอัน เป้าหมายของพาร์คือให้แมวเปลี่ยนไปติดน้องอันแทน ส่วนในสายตาของเจ้าตัวเล็ก พาร์กลายเป็นพี่ชายใจดีไปแล้วครับ เดี๋ยวนี้พาร์มาบ้านเมื่อไหร่ วิ่งไปหาตลอด

เอาเหอะ จะแบบไหนผมก็ได้กำไร (ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อของเล่นแมว, ต่อไปมีคนรับช่วงเลี้ยงแมวแทน)

ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่ผมพึ่งสังเกตเห็นคือพ่อแม่ไม่แทนตัวว่าน้าแล้ว เหมือนกับบ้านพาร์ ลุงแทนกับป้าเจนก็เรียกแทนตัวว่าพ่อแม่กับผม ทำเอารู้สึกแปลกๆ ไม่ชินเลยครับ

และอีกเรื่องที่ผมพึ่งจับได้หลังพาร์ลืมมือถือไว้บ้านผม ความจริงพาร์ไม่ได้ลืม มันแค่วางทิ้งไว้บนพื้นเลยโดนฮิเมะลากมือถือไปซ่อน แถมยังเปิดสั่นไว้อีกเลยหาไม่เจอ มาเจอก็ตอนฮิเมะลากมาให้ (หน้าฮิเมะสั่นตามแรงมือถือเลยครับ เห็นแล้วตลกมาก)

ตอนแรกผมไม่ได้สนใจว่าใครโทรมา แต่ชื่อที่กระพริบบนจอดึงความสนใจจากผมเต็มๆ

‘พ่อจิ้งจอกจอมหวง’

หน้าลุงนิกแวบเข้ามาในหัว แถมยังเป็นเบอร์จากต่างประเทศ ผมเลยกดรับสายแล้วเงียบฟัง

“ไงเจ้าเด็กแสบ” เสียงลุงจริงๆ ด้วย หลังจากนั้นลุงนิกก็ใส่มาเต็มที่ไม่มียั้ง ยิ่งฟังยิ่งระอา

นี่มันแนวเด็กหาเรื่องคนอื่นชัดๆ

แต่ฟังไปสักพักผมกลับเห็นเป็นเรื่องตลกเลยพยายามกลั้นขำหลายครั้ง จนโดนลุงตวาดใส่ว่าทำไมไม่พูดตอบ เป็นใบ้หรือไง ผมเลยส่งเสียงบอกไปสั้นๆ

“ทีฟังอยู่”   

เงียบสบายหูทันที สักพักลุงถึงบอก

[…โทษทีลุงโทรผิด]

กำลังจะวางมือถือ ลุงนิกก็โทรมาใหม่ ไดอาล็อกคล้ายกับรอบแรกจนน่าสงสัย ไม่แน่ก่อนโทรมาครั้งแรกลุงอาจจดโพยเอาไว้ดูก็ได้

ผมฟังได้ครึ่งหนึ่งก็รีบพูดขัด “เผื่อลุงยังไม่รู้ พาร์ลืมมือถือไว้บ้านที”

[…]

และแล้วลุงนิกก็ตัดสายรอบสอง คราวนี้ไม่พูดอะไรสักคำเดียว

ผมได้แต่ส่ายหน้าใส่มือถือให้กับการสิ้นเปลืองค่าโทรทางไกล นึกแปลกใจว่าทำไมพาร์ไม่บอกว่าโดนลุงนิกโทรมาก่อกวน โอกาสได้คะแนนเห็นใจจากผมแท้ๆ พาร์ไม่น่าพลาด หรือว่าชินแล้ว?

“ที”

ผมสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ มือพาร์ยังจับอยู่ที่ไหล่หลังจากเขย่าตัวผมไปเมื่อครู่

“อะไร?”

“กูจะกลับแล้ว”

มองนาฬิกา อ้อ สามทุ่มครึ่งแล้ว ผมลุกขึ้นยืนผละจากน้องคนเล็กที่กำลังแกว่งไม้ล่อไม้ตามหลังพาร์ไปหน้าบ้าน พอได้อยู่ตามลำพังพาร์ก็พูดทวงทันที

“อย่าลืมนัดพรุ่งนี้”

มาอีกแล้วประโยคนี้ ผมกรอกตาไปมาอย่างระอา บอกเสียงเนืองๆ “แปดโมงบ้านมึง กูจำได้น่า”

“และ…”

ผมชิงพูดถ้อยคำที่เหลือ โดนกรอกหูมาสี่วัน ถ้ายังจำไม่ได้อีก ควรไปพบแพทย์ได้แล้ว “เตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนด้วย”

พาร์พยักหน้าอย่างพอใจ เดินมาถึงรถก็บอกลาสั้นๆ “ฝันดี”

“เออ” กำลังจะไปเปิดตูรั้วให้ ดันโดนจับแขนรั้งตัวไว้ก่อน ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ไม่เอาคำนี้”

ผมนิ่วหน้าใส่คนพูดท้วง ครุ่นคิดแปบหนึ่งก็ยอมเปลี่ยนคำให้ “…เหมือนกัน”

“ขอเต็มประโยค”

 “ฝันดีเหมือนกัน…พอใจไหมครับ!”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-03-2017 15:00:15
น่ารักกันจิงๆเลยยย อิจฉาๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-03-2017 15:03:53
อ่านไป ยิ้มไป ยิ้มแบบกว้างๆ ด้วยนะ มีความสุขมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เข้าใจทีเลย พาร์ จอมบ่น จอมหวง หวงทีมากกกกก
ที มีเสน่ห์ทั้งคนทั้งสัตว์
ขนาดแมว ฮิเมะ ยังหลงทีเลย
แสดงว่าที เป็นคนอ่อนโยนมาก
พาร์ น่ารัก น่าเอ็นดู ติดที มากกกก
นี่ขนาดยังไม่เป็นแฟนนะ เป็นแฟนจะขนาดไหน  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-03-2017 15:18:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-03-2017 19:45:01
 :heaven หึงกระทั่งลูกแมว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 22-03-2017 20:27:32
ที....ถ้าตกลงเป็นแฟน...พาร์..เมื่อไร....ได้ย้ายบ้านแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 22-03-2017 22:27:42
ทีจะโดนพาร์จับกินมั้ยนิ ^^
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-03-2017 23:28:12
พาร์หวงหนักมากกกกกก


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-03-2017 23:29:04
เป็นทาสแมวกันไป
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-03-2017 23:40:50
ขำพาร์ 5555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-03-2017 12:59:50
น่าสงสาร หึงแม้กระทั่งแมว 55555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 27-03-2017 18:45:23
บทที่ 49

“อะไรนะ!”

ผมได้แต่ร้องตะโกนอยู่หน้าบ้าน มองพ่อด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

“ก็บอกว่าพวกพ่อกำลังไปเที่ยวสองวันหนึ่งคืนไงลูก”

ผมเคี้ยวฟันอย่างโมโห ตาตวัดมองรถสองคันที่จอดอยู่ห่างออกไป ติดเครื่องยนต์รอเรียบร้อย เหลือแค่คนตรงหน้าผมไปขึ้นรถเมื่อไหร่ก็พร้อมออกเดินทางทันที แม้แต่แมวก็เอาไปฝากเลี้ยงเรียบร้อย ถึงว่าทำไมตื่นมาผมถึงไม่เห็นฮิเมะ เจอแต่น้องอันกำลังปล่อยโฮให้แม่คอยกอดปลอบ แม้แต่ตอนพาตัวขึ้นรถก็ยังสะอื้นไม่หาย

“ไม่มาบอกผมหลังกลับเลยล่ะ” ได้แต่พูดประชด 

“ขืนทำอย่างนั้นใครบางคนคงโกรธพ่อแย่ เอาน่า พวกพ่อแค่ไปเที่ยวกันเอง พรุ่งนี้ตอนค่ำๆ ก็กลับมาแล้ว”

“พวกพ่อคิดทิ้งลูกชายคนโตของสองบ้านไว้ที่นี่เนี่ยนะ?”

“ก็ได้ยินว่าพวกลูกนัดเที่ยวกันแล้วนี่ จะตามพวกพ่อไปทำไมล่ะ”

“แล้วทำไมต้องให้ผมนอนบ้านพาร์ด้วย!”

“พวกลูกจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวให้พ่อแม่เป็นห่วงไง” พ่อตอบหน้าตาย “ดูทำหน้า แค่คืนเดียวเองลูก”

ไอ้คืนเดียวนี่แหละ ไว้ใจได้ซะที่ไหน!

ผมอยากอ้าปากแย้งมาก ถึงมากที่สุด แต่ดันได้เห็นแววตาพ่อสื่อชัดว่านี่คือโอกาสเผด็จศึก

ศึกบ้าศึกบออะไร ใครจะเข้าร่วม!!

“จัดการให้เรียบร้อยนะลูก พ่อรู้ว่าลูกทำได้”

“พ่อพูดเรื่องอะไร!”

“อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องน่า พ่อแทงข้างลูกไปเยอะนะ อย่าทำให้พ่อผิดหวังล่ะ”

“เดี๋ยวพ่อ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

คนแก่สนใจซะที่ไหน ชิ่งหนีขึ้นรถขับจากไปเรียบร้อย มีรถลุงแทนขับตามไป ทิ้งผมไว้กับเป้หนึ่งใบ และจักรยานอีกหนึ่งคัน ต่อให้พกกุญแจออกมาก็เข้าพื้นที่บ้านไม่ได้ พ่อเล่นเปลี่ยนแม่กุญแจล็อกรั้วใหม่ เลยทำได้แค่แยกเขี้ยวใส่ท้ายรถสองคันที่ห่างออกไปเรื่อยๆ

พ่อต้องไปพนันอะไรบ้าๆ กับลุงแทนอีกแล้วชัวร์

ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ตาเหลือบมองลูกรักสีน้ำเงินทีพลอยโดนขังผ่านประตูรั้วก็ได้แต่เศร้าใจ ถ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าผมจะเอาเจ้าลูกรักออกมาแทนจักรยาน!

ยืนอยู่พักใหญ่ก็เห็นว่าอยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้อะไร เลยถอนหายใจพยายามทำใจให้ปลดปลง ก่อนคว้าเป้มาสะพายหลัง ขึ้นคร่อมจักรยานขี่ตรงไปบ้านพาร์ด้วยสีหน้าเซ็งจิต

ทันทีที่ผมถึงหน้าบ้านพาร์ก็ควักมือถือออกมา…เหลืออีกสามนาทีกว่าจะถึงเวลานัด

ความคิดชั่วแล่นที่ผุดขึ้นมาทำให้ผมจอดจักรยานทิ้งไว้ ยืนหันหลังพิงประตูรั้ว เปิดเกมในมือถือเล่นฆ่าเวลา ผ่านไปนาทีกว่าก็มีเสียงทัก

“คิดทำอะไร” น้ำเสียงพาร์ฟังดูข้องใจมาก

“เรื่องของกู” ผมตอบทันทีไม่คิดหันไปมอง “อย่าพึ่งเปิดประตูให้ล่ะ”

“แล้วมึงจะยืนตากแดดอยู่ตรงนั้น?”

“เออ”

“…มึงกำลังประท้วงอะไรกูใช่ไหม”

“เปล่าสักหน่อย”

แค่หมั่นไส้ล้วนๆ ฐานทำผู้ใหญ่ย้ายข้างไปอยู่ฝ่ายมันหมด

ผมรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงจากเบื้องหลังก็พยายามไม่สนใจ เล่นเกมจนเวลาเปลี่ยนเป็น 07:59 ถึงได้เลิก หมุนตัวกลับมาก็ผงะเล็กๆ ที่เห็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกพิงกรอบประตูบ้านอยู่ไม่ไกล แววตามองมาเหมือนโดนลูกธนูพุ่งปักร่างพิกล ถึงอย่างนั้นก็ทำใจสู้เสือ ดำเนินแผนการตัวเองต่อ

รอจนเวลาเปลี่ยนเป็น 08:00 น. นิ้วถึงสัมผัสปุ่มตรงเสาหน้าบ้าน ออกแรงกดไม่มีลังเล แม้เจ้าของบ้านจะยืนดูอยู่ก็ตาม

ติ๊งต่อง~

เสียงกริ่งบ้านดังกังวานมาถึงจุดที่ผมยืนอยู่ ได้ยินชัดเจนสองหู แน่นอนว่าพาร์ก็ต้องได้ยิน ต่างคนต่างไม่มีใครขยับ ตาจ้องประสานกันอย่างวัดใจ

ติ๊งต่อง~

ครั้งที่สองก็ยังไม่มีใครขยับ ผมเลยกำลังจะกดครั้งที่สาม พาร์กลับชิงพูดขึ้นก่อน

“ประตูรั้วไม่ได้ล็อก”

อ้าว

ถึงแอบหน้าแตก แต่ผมไม่แสดงออก แถมยังทำหน้ายียวนใส่เจ้าของบ้านเพิ่ม

“แล้วไง ถ้าเจ้าของบ้านไม่คิดมาเปิดต้อนรับ กูก็ไม่คิดถือวิสาสะเข้า”

“ถ้ากูไม่เปิดให้?”

“กูก็กลับไง”

คนฟังพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ยอมขยับตัวเดินมาเปิด เอ่อ กระชากประตูรั้วให้ด้วยท่าทางหงุดหงิดนิดๆ แถมยังคว้าแขนดึงแขกอย่างผมเข้ามาแบบไม่ออมแรง แล้วทำท่าจะผลักประตูปิดจนผมต้องร้องท้วง

“เฮ้ยๆ เป้กับจักรยานกูยังอยู่ข้างนอก!”

หลังเอาข้าวของเข้ามา พาร์ก็ลากผมมาทิ้งไว้ที่โซฟานั่งเล่นพร้อมเป้ แล้วหายหัวไปทางครัว เปิดโอกาสให้ผมนั่งคิดกับตัวเอง

จากการลองเชิงเมื่อครู่ พาร์อาจยังไม่รู้ว่าผมกลับเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ ตอนแรกนึกว่าเป็นความเจ้าเล่ห์ของมันซะอีก สงสัยต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ งานนี้แผนของพวกพ่ออย่างเดียว ฝ่ายลูกไม่น่ามีเอี่ยว ถึงแม้ว่าผลประโยชน์จะตกไปอยู่ฝ่ายคนกำลังถือจานขนมมาให้ผมก็ตาม

“มองกูแบบนั้นคืออะไร?”

ผมรีบส่ายหัว คว้าคุกกี้ของโปรดเข้าปาก ถึงอย่างนั้นสายตาก็ไม่ละจากหน้าคนกำลังนั่งใกล้ๆ ไม่ได้คิดจับผิด แต่ตาขยับไปมองเอง รู้สึกตัวก็รีบละสายตามามองจานคุกกี้ แล้วหยิบเข้าปากอีกชิ้นทั้งที่ในปากยังเคี้ยวไม่หมด

“ตอนแรกว่าจะพามึงไปวันนี้ แต่กูยังหาที่ซ่อนกุญแจไม่เจอ”

หืม?

ผมหันไปสบตาคนพูดด้วยความฉงน “กุญแจอะไร?”

“มอเตอร์ไซค์”

ผมกระพริบตา “…ของมึง?”

“ของกูนี่แหละ อาทิตย์ก่อนกูพึ่งแอบปลดล็อกโซ่เอามันไปตรวจเช็คสภาพมา พอพ่อรู้เข้าก็มายึดกุญแจรถไปซ่อน”

“ไม่ใช่พกติดตัวไปแล้วเรอะ”

“โดนกูตามทุกฝีก้าวแบบนั้น ไม่มีทางที่พ่อจะเอาไปเที่ยวด้วยแน่ มันต้องยังอยู่ในบ้านนี้”

ผมจับประเด็นได้ทันที “จะให้กูช่วยหากุญแจ?”

พาร์พยักหน้า พูดเสริม “หรือไม่ก็สถานที่ หรือของที่ติดล็อก”

ผมพ่นลมหายใจ “ถึงเจอแล้วมึงก็ปลดล็อกไม่ได้”

“ใครบอก”

ผมมองสีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาจริงจัง

“ถึงไม่เชี่ยวชาญ อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ไม่คณามือกูหรอกน่า”

หลังจากพลิกบ้านตามหากุญแจรถ ผมก็พบว่ามันน่าจะอยู่ในกล่องติดล็อกสักใบที่หาได้ และพาร์ก็สมกับราคาคุย มันปลดล็อกกุญแจได้ เปิดดูของแล้วก็ยังปิดล็อกเหมือนเก่าได้อีก

“…มึงไปได้ความสามารถนี้มาจากไหน?” ผมถามอยากอดไม่อยู่

พาร์เหลือบสายตามองผมแวบหนึ่ง “ก็แค่ทักษะจำเป็นที่ต้องมีติดตัว”

“จำเป็นเนี่ยนะ” ผมทำหน้ามึน “จำเป็นแบบไหนวะ?”

“เอาไว้ใช้ตอนเข้าตาจน…เช่น หลบหนีคู่อริ”

“ฮะ!”

“ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดหรอกน่า กูไม่เคยโดนจับตัวได้ ก็แค่ไขปลดล็อกสถานที่เข้าไปขอแอบซ่อนตัวชั่วคราวเฉยๆ”

“…นี่เป็นสาเหตุที่มึงต่อสู้เก่ง?”

“ไม่เชิง กูอยู่ของกูดีๆ แต่เพื่อนกูดันเป็นพวกชอบแสหาเรื่อง แถมดันยื่นมือไปช่วยเหลือคนอันตรายแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อนทั้งกลุ่มเลยเดือดร้อนกันหมด ดีที่กลุ่มกูพอมีฝีมือบ้างเลยพอเอาตัวรอดได้ แต่ไปๆ มาๆ ดันโดนเหมารวมว่าเป็นคนในแก๊งอันตราย เพื่อเอาตัวรอดพวกกูเลยต้องตามน้ำ มันก็…ไม่ใช่มีแต่เรื่องไม่ดี อย่างน้อยกูก็ได้เรียนรู้อะไรมาเพียบ” 

ฟังจากน้ำเสียงบอกเล่าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็ได้ทำหน้าอึ้ง

“เอ่อ นั่นช่วงที่มึงอยู่ต่างประเทศ?”

“อืม แต่ก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ปู่กูไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ที่กูไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น หลังจบเรื่องกูกับพวกเพื่อนๆ เลยถอนตัวออกมา แต่หลังจากนั้นเพื่อนกูคนหนึ่งดัน เอ่อ เป็นคนรักของหัวหน้าแก๊ง สุดท้ายก็ไม่ได้ตัดขาดอย่างที่คิด ยังมีติดต่อกันบ้างตราบใดที่เพื่อนกูยัง…อ๊ะ เจอจนได้”

พาร์หยิบกุญแจรถออกมา สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าตื่นเต้นดีใจมาก…คล้ายน้องหมาที่โดนเจ้าของสั่งลงโทษกักบริเวณกำลังจะได้ออกไปเดินเล่นอีกครั้ง

ผมรู้สึกประหลาดใจ ไม่เคยเห็นพาร์ยิ้มมีความสุขติดซุกซนแบบนี้มาก่อน

“ไปกันเถอะ!”

“ฮะ!” ผมตกใจกับคำชวนกะทันหัน ได้แต่ถามมึนๆ “ไปไหน?”

“ไปเที่ยวไง…” แววตาคนอยากไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นจะแย่เปล่งประกายร่าเริงสุดขีด ก่อนจะค่อยๆ มอดดับเมื่อมันหันไปเห็นนาฬิกาติดผนัง “บ่ายสามแล้วเหรอ”

พึมพำแล้วก็ถอนหายใจ นั่งหงอยหูลู่หางตก…เหมือนความร่าเริงเมื่อกี้เป็นภาพลวงตา

ผมกระพริบตาปริบๆ กับการได้เห็นคนๆ หนึ่งเปลี่ยนแปลงอารมณ์กะทันหัน จากดีใจสุดขีดพลิกกลับเป็นผิดหวัง หลังยืนเกๆ กังๆ เพราะไม่รู้จะพูดปลอบยังไงดี ก็เริ่มเดินเข้าไปหยิบบรรดากล่องที่ตัวเองเป็นคนหาเจอ

“กูเอาของไปเก็บคืนที่ก่อนนะ”

ไม่รู้ว่าได้ยินหรือเปล่า แต่ผมก็ตัดสินใจถอยออกมา ปล่อยให้พาร์อยู่กับตัวเองสักพัก พอผมกลับมาอีกครั้ง พาร์ก็หายหงอยแล้ว เห็นหน้าผมก็ส่งยิ้ม แล้วบอกเรื่องไปเที่ยว

“ไปพรุ่งนี้แทน แต่ต้องออกเดินทางเช้าหน่อย สักหกโมงกำลังดีไปถึงนู้นคงช่วงสายๆ”

“…มึงจะพากูไปไหน”

“ไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่น!”

ผมนิ่วหน้า มองตาเป็นประกายระยับของลูกหมาน้อย…คือที่ถาม หมายถึงสถานที่จะไปต่างหาก ช่างเถอะ ผมก็ขี้เกียจถามต่อแล้ว จะพาไปไหนก็ไป     

พอฟ้าเปลี่ยนสี ดวงอาทิตย์นอนหลับ พ้นช่วงเวลาอาหารเย็น และได้เวลาเข้านอน หมาน้อยเมื่อตอนกลางวันก็กลายร่างให้หวาดผวา

“นอนด้วยกัน!”

“ไม่!”

ผมเถียงกับพาร์มาร่วมครึ่งชั่วโมง เดินวนรอบโซฟากี่เที่ยวก็ไม่รู้ รู้แค่ต้องระวังตัวไม่ให้โดนตะครุบลากขึ้นห้องนอนใครบางคน

“ไปนอนบนเตียง!”

“กูจะนอนโซฟา!”

“ที!”

“กูยืนยันคำเดิม จะนอนที่นี่!” ผมชี้นิ้วใส่โซฟาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเรา “ไม่ไปนอนห้องมึงแน่!”

“จะขึ้นไปห้องกูดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง”

“มึงใช้ กูก็ใช้”

“งั้นอย่าหาว่ากูรุนแรง!”

ผมตั้งท่าพร้อมสู้ มองหมาป่าปีนโซฟากระโจนเข้าใส่

แม่ง! ทำไมพอได้ขลุกวงในผมถึงได้รู้สึกเสียเปรียบทั้งที่คนเจ็บตัวคืออีกฝ่าย

ผมน่ะสบายดีไม่มีแม้แต่รอยพกช้ำ เพราะพาร์ไม่ชกหรือต่อยผมคืนสักแอะ แต่เล่นจู่โจมด้วยริมฝีปากกับมือปลาหมึกของมัน…

“เฮ้ย! จับตรงไหนวะ!” ผมตะโกนลั่น สวนด้วยหมัดหนักๆ ไปด้วยความตกใจ

“โอ๊ย! เล่นกูซะปากแตกเลยนะ”

“ก็มึงน่ะ…เฮ้ย! พาร์!! เอามือออกไปเดี๋ยวนี้!”

สุดท้ายผมก็ต้องมานอนหงุดหงิดบนเตียง ทำหน้าที่หมอนข้างให้คนขี้โกง มันโกงผมจริงๆ นะ!

“นอนได้แล้ว”

ผมกัดฟันกรอด “กำลังพยายาม! และหวังว่ามึงจะทำตามที่พูดทุกคำ!”

“…งั้นก็นอนนิ่งๆ ห้ามขยับยุกยิกเด็ดขาด”

นอนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ขนาดนี้ยังไม่พออีกเรอะ!

-------------
(มีต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 27-03-2017 18:46:41
บทที่ 49 (ต่อ)

เช้าวันต่อมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหน็บจากนอนท่าเดิมนานเกินไป แถมยังต้องเปิดปากหาวเป็นระยะ ผิดกับพาร์ที่ดูสดใสกว่าปกติ เห็นแล้วก็ได้แต่เขม็งใส่ โทษฐานทำคนอื่นหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน รู้หรอกว่าหวาดระแวงไปเองจนกลัวว่าถ้าเผลอหลับสนิทเมื่อไหร่ อาจตกเป็นเหยื่อของหมาป่าได้ทุกเมื่อก็เหอะ

หลังจัดการตัวเองเรียบร้อย และดื่มนมรองท้องคนละแก้ว พวกผมก็ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่

รถของพาร์ไม่ใช่บิ๊กไบค์อย่างที่คิด แต่เป็นมอเตอร์ไซค์ครอบครัวสไตล์สปอร์ต ไม่มีตะกร้าใส่ของด้านหน้า ถึงผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถมอเตอร์ไซค์ก็ยังพอดูออกว่ารถพาร์ผ่านการปรับแต่งมานิดหน่อย สีตัวรถเป็นขาว-น้ำเงิน-ดำ สวยครับ แต่ก็แอบผิดคาดนิดๆ เหมือนกัน

“พ่อกูไม่ให้ซื้อบิ๊คไบค์ อีกอย่างกูก็ไม่คิดซื้อ” พาร์บอกมาแบบนี้ตอนผมถาม

“ทำไมล่ะ”

“กูมีอยู่แล้วคันหนึ่ง เป็น sport touring bike น่าเสียดายกูเอามันมาไทยไม่ได้”

ผมงง ถามคำเดิม “ทำไมล่ะ?”

พาร์แค่ถอนหายใจ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา น่าจะมีเหตุผลอะไรสักอย่างล่ะมั้ง

ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะพาไปไหน แต่หลังเดินทางชั่วโมงกว่าก็พอจับเส้นทางได้บ้าง น่าจะเป็นนครนายก เพราะมีสถานที่เที่ยวแนวธรรมชาติแบบที่พาร์ชอบ บวกกับการแต่งตัวที่มันให้ใส่ขาสั้นกับรองเท้าแตะหัวโต แถมให้ผมแบกเป้ใส่เสื้อผ้าสองชุดอีก ถึงมันจะบอกว่าแค่เอาไปเผื่อก็เหอะ   

จริงอย่างที่คาดเดา เข้าเขตนครนายกสักพักใหญ่ พาร์ก็ขับไปจอดพักใกล้วัดพราหมณี แล้วพาผมเดินดูร้านค้าภายในวัดด้วยกันก่อน ผมแอบแปลกใจ เพราะส่วนใหญ่มีแต่คนไปไหว้พระก่อนค่อยมาเดินดู และแปลกใจกว่าเดิมเมื่อมันปล่อยผมไปไหวพระคนเดียว

“เดี๋ยวกูนั่งรออยู่แถวนี้ มึงอยากกินอะไร เดี๋ยวกูสั่งให้ก่อน”

งงใช่ไหมครับ ผมก็งง

ถามไปถามมาถึงได้รู้ว่าบ้านพาร์ไม่ใช่คนพุทธ ถ้าไม่บอกคงไม่รู้ ผมเองก็ไม่ได้สังเกต เลยฝากพาร์สั่งข้าวขาหมูให้ แล้วเดินไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดก่อน เรียบร้อยก็กลับมาหา เจอจานข้าววางรออยู่แล้วพร้อมแก้วน้ำ ผมคว้าแก้วน้ำมาดื่มดับกระหาย ก่อนคว้าช้อนตักอาหารเข้าปากด้วยความหิว 

“อยากแวะศาสนสถานที่อื่นไหม กูจะได้ขับพาไปถูก”

ปากไม่ว่างผมเลยส่ายหน้าแทน ที่เลือกแบบนี้เพราะไม่รู้ว่าพาร์ต้องมานั่งรอแบบนี้อีกหรือเปล่า คุยไปคุยมา พาร์เลยจะขับขึ้นไปชมเขื่อนก่อน แล้วค่อยวกกลับมาแวะพวกน้ำตก หลังอิ่มท้องเราก็ออกเดินทางต่อ

จุดหมายแรกคือเขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นเขื่อนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวบนสันเขื่อน ข้างบนนี้สวยมากเห็นทิวทัศน์ได้สุดลูกหูลูกตา ยังไม่ทันได้เดินดูอะไรนัก พาร์ก็ลากผมไปซื้อบัตรขึ้นรถชมเขื่อนขุนด่านเลยครับ

“ไม่เดินไปล่ะ” ถามมึนๆ ใส่คนเสียเงินหกสิบบาท ผมจะจ่ายคืนสามสิบ มันก็ไม่เอา

“เก็บแรงไว้ก่อนเหอะ เดี๋ยวมึงจะได้เดินอีกเยอะ”

ผมพยักหน้ารับ ตามใจคนพามาดีกว่า อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าวันนี้ต้องเดินเยอะแค่ไหนด้วย

เส้นทางบนเขื่อนทอดยาวจนมองไม่เห็นปลายทางสมกับที่เป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก หูฟังไกด์บรรยายประวัติความเป็นมาของเขื่อนแห่งนี้ไปพร้อมกับชมทิวทัศน์ ด้านหนึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำ เหนือผืนน้ำกว้างเป็นทิวเขาเขียวขจีและท้องฟ้าสีคราม พวกเขาที่ว่าคืออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ส่วนอีกด้านจะเห็นตัวเมืองนครนายกที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ สวยไปอีกแบบ

เห็นไกด์บอกว่าลงจากรถไปถ่ายรูปได้ แต่ต้องเดินกลับกันเอง มีคืนเงินให้สิบห้าด้วยครับ ตอนแรกผมก็คิดจะลงนะ แต่หลังจากนั่งรับลมชมธรรมชาติไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกขี้เกียจเดินขึ้นมาทันที พาร์ถึงกับยิ้มล้อผม มีถามแซวว่าอยากลงเดินอีกไหม

นอกจากรถพาเที่ยวชมสันเขื่อนแล้ว ยังมีเรือหางยาวให้เช่าด้วยครับ เห็นว่าพาชมน้ำตกที่อยู่ด้านในเขื่อนขุนด่านได้ อ้อ มีจุดให้เล่นน้ำด้วยครับอยู่ด้านล่างเขื่อน เห็นคนไปเล่นน้ำเยอะมาก แต่พาร์ส่ายหน้าสื่อว่าไม่แวะตั้งแต่แรกแล้ว หลังจบทริปบนรถนำเที่ยวสันเขื่อน พวกผมก็ออกเดินทางต่อ 

จุดหมายต่อมาคือน้ำตกนางรอง เสียค่าเข้าด้วยครับ รถมอเตอร์ไซค์พร้อมคนขับสิบบาท คนซ้อนอีกสิบบาท ขับเข้าไประยะหนึ่งก็ต้องหาที่จอดลงเดินไปน้ำตกที่อยู่ไม่ไกล อากาศที่นี่ดีครับ เย็นสบาย มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว หลังผ่านทางเดินธรรมชาติก็เจอน้ำตก พาร์ไม่ได้พาผมเล่นน้ำ แต่พาเดินขึ้นด้านบนไปเรื่อยๆ ผมถึงได้เห็นว่าน้ำตกที่นี่ไหลลงมาผ่านโขดหินเป็นชั้นๆ ไม่สูงนัก มีบริเวณสำหรับเล่นน้ำตามแอ่งต่างๆ

ผมมารู้เป้าหมายของพาร์ก็ตอนเห็นสะพานอยู่ตรงหน้า มารู้ว่าเป็นสะพานที่สร้างมาเพื่อชมน้ำตกก็หลังเดินตามพาร์เข้าไปแล้ว เราอยู่กันแถวนี้นานพอสมควร ทั้งชมบรรยากาศ ทั้งถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนพากันลงมาเดินกันเรื่อยเปื่อยไม่รีบร้อน

พอเห็นน้ำใสประกอบกับเสียงของคนลงไปเล่น ผมก็ชักอยากลงไปเล่นเหมือนกัน ติดแต่คนพามาเอาแต่ส่ายหน้าเนี่ยแหละ

“แค่เอาขาไปจุ่มน้ำก็ได้”

“เดี๋ยวมึงจะได้จุ่ม ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวคนเยอะ”

ผมมุ่ยหน้า ถึงจะไม่เข้าใจคำพูดพาร์เท่าไหร่ แต่ก็เดินตามมันออกมา แต่ก็อดถามด้วยความข้องใจไม่ได้

“ถ้ามึงไม่คิดเล่นน้ำ จะเอาเสื้อผ้ามาทำไม?”

“ก็บอกว่าเอามาเผื่อ แต่ถ้ามึงอยากเล่น ไว้ช่วงเย็นค่อยเล่น”

ผมพยักหน้าเข้าใจ คิดว่ามันคงพาไปเล่นน้ำที่น้ำตกอื่น ออกจากน้ำตกนางรอง ผมก็ไม่รู้มันจะพาไปไหน มารู้ก็ตอนมันหาที่จอดรถพาเดินมาร้านอาหารใกล้ริมลำธาร อาจเพราะเรามาเร็วล่ะมั้ง คนเลยยังไม่ค่อยมี ท่าทางจะสมใจพาร์ เพราะมันนำผมไปนั่งแคร์ไม้กางร่มบังแดดใกล้ลำธารทันที นั่งกันได้ไม่นานก็มีคนเอาเมนูมาให้ พาร์กวาดมองเมนูรอบเดียวก็เริ่มสั่ง

“ส้มตำคอหมูย่าง กุ้งแช่น้ำปลา หมูแดดเดียว ไก่ย่าง ข้าวเหนียวสอง โค้กสองขวดครับ”

ผมรีบมองคนสั่งอาหารรวดเดียวตาปริบๆ พอคนรับออเดอร์จากไปก็รีบถาม

“นี่มึงหิวเรอะ!”

“แล้วมึงไม่หิวหรือไง”

“ประเด็นไม่ใช่เรื่องหิวหรือไม่หิว แต่มึงเล่นสั่งอาหารเหมือนมากินกันหลายคน มีกันอยู่สองกระเพาะจะกินหมดไหมเนี่ย”

“ไม่หมดก็ไม่เห็นเป็นไร”

“เปลือง!”

“ค่อยๆ กินไปเดี๋ยวก็หมด มึงอยากเอาเท้าไปแช่น้ำไม่ใช่เรอะ ไปดิ”

พาร์พยับเพยิบหน้าไปทางลำธารใส่แจ๋วใกล้ๆ มีคนลงไปยืนในน้ำถ่ายรูปบ้างเหมือนกัน ก็หันมองไอ้คนถาม “มึงจะให้กูไปคนเดียว?”

“กูต้องเฝ้าโต๊ะ”

เรียกโต๊ะได้เต็มปากเต็มคำมาก ทั้งที่มันเป็นแคร่ปูด้วยเสื่อก็เหมือนนั่งกับพื้นนั่นแหละ ผมขี้เกียจเถียงเลยปล่อยผ่าน ส่ายหน้าไม่ลงไป ไม่รู้จะลงไปทำไมคนเดียว นั่งในร่มเป็นเพื่อนคุยกับมันดีกว่า เราคุยไปเรื่อยจนอาหารมาเสิร์ฟ

กินกันไปคุยกันไป…ก็หมดจนได้ แต่อิ่มเป็นบ้า

หลังเรียกเก็บเงิน ผมก็พบว่างานนี้ท่าจะฟรี เพราะจะช่วยหารหรือช่วยแชร์ พาร์ปฏิเสธหมด ก็เข้าใจว่ากำลังโดนเทคแคร์ แต่ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี นึกย้อนตอนตัวเองเทคแคร์แฟนเก่า แอบอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกผู้หญิงจะรู้สึกขัดแย้งแบบผมหรือเปล่า…อาจจะไม่ก็ได้ บางทีอาจเป็นเพราะผมกับมันเป็นผู้ชายทั้งคู่ล่ะมั้ง

คิดพลางถอนหายใจ ก่อนเอ่ยถามระหว่างเดินไปตีคู่คนกำลังเดินนำกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์     

“จะไปไหนต่อ?”

“วังตะไคร้”

“แล้วจากวังตะไคร้ มึงคิดจะไปไหนต่อ?”

“ยังไม่ทันได้ไป มึงก็ถามหาสถานที่อื่นแล้ว?”

หัวผมถูกผลักเหมือนหมั่นเขี้ยว พอผมทำหน้าบึ้งใส่ รอบคอก็โดนแขนคนข้างๆ โอบรอบ “เผื่อมึงไม่รู้ ที่นั่นสนุกนะ กูว่ามึงต้องชอบ”

“กูก็แค่อยากถามไว้ก่อน รู้ไว้บ้างก็ดีกว่าไม่รู้”

“…โกรธเหรอ”

“จะโกรธทำไม”

หลังได้ยินพาร์ก็ตอบคำถามผมทันที “กูกะอยู่วังตะไคร้จนปิด แล้วค่อยพามึงไปกินข้าวเย็น ก่อนขับรถกลับกรุงเทพ”

“แล้ววังตะไคร้ปิดกี่โมง?”

“หกโมงเย็น”

ผมขมวดคิ้ว “มึงจะใช้เวลาช่วงบ่ายทั้งหมดกับที่นั่น?”

“อืม ว่าแต่อยากไปโรงเกลือไหม จะได้พาไปเที่ยวที่นั่นค่อยไปกินข้าวเย็น”

ผมย่นหน้า ถามอย่างข้องใจสุดๆ “มึงจะพากูไปซื้อเกลือทำไม?”

พาร์ชะงักกึก “ใครจะพาไปซื้อเกลือนะ?”

“มึงไง จะพาไปโรงเกลือนี่”

พอได้ยินผมตอบแบบนั้น มันก็หลุดหัวเราะยกใหญ่ ไม่สนใจสีหน้าเคืองๆ ของผมสักนิด ผมเลยเค้นถามเสียงขุ่น

“หัวเราะทำไม!”

“ขำมึง นี่มึงคิดว่าโรงเกลือเป็นอะไร”

“ที่ผลิตเกลือ” ตอบปุ๊บพาร์ขำปั๊บ

กว่าจะรู้ตัวว่าปล่อยไก่ก็ตอนพาร์อธิบายตลาดโรงเกลือให้ฟัง…ก็ใครจะไปรู้ว่ามันคือสถานที่ขายของเล่า ผมนึกภาพในหัวว่าคงเหมืนตลาดนัดที่มีของขายหลากหลาย   

“ตกลงอยากไปซื้อของฝากไหม?”

“เดี๋ยวดูก่อน”

ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ใจหนึ่งก็อยากไปดู แต่อีกใจก็ขี้เกียจไปเดิน 

พาร์ขับไปแปบเดียวก็ถึงวังตะไคร้ ถึงได้รู้ว่าสถานที่กินข้าวเมื่อกี้อยู่ใกล้ๆ ผมได้แต่ยอมรับว่าพาร์วางแผนเดินทางได้ดีมาก

ที่วังตะไคร้ต้องเอามอเตอร์ไซค์จอดหน้าทางเข้าที่จัดไว้ให้ เสียค่าจอดรถสิบบาท ค่าเข้าอีกคนละสิบบาท ที่จริงให้รถยนต์เข้าไปได้ เสียคันละร้อยห้าสิบบาทครับ หลังจากผมแบกเป้มานาน คราวนี้พาร์แย่งไปสะพายเองให้รู้สึกแปลกๆ อีกรอบ เลยแกล้งโวยใส่

“อะไรของมึง เป้ก็ไม่ได้หนัก แย่งกูไปทำไมเนี่ย?”

“เหอะน่า ยังไงมันก็เป็นเป้กู เดินเข้าไปได้แล้ว”

ผมถูกดันให้เดินนำ นี่มันคิดว่าที่นี่เล็กหรือไง จะให้ไปทางไหนก็ไม่รู้ เลยหันไปบ่นคนข้างหลัง “ให้คนไม่เคยมานำทาง ไม่กลัวหลงหรือไง”

“กลัว” มือของผมถูกคว้าไปจับกะทันหัน เลิกคิ้วใส่เจ้าของมือเป็นเชิงถาม พาร์ก็ตอบง่ายๆ “จับมือกันไว้จะได้ไม่หลงไง”    

…นี่เข้าข่ายฉวยโอกาสได้หรือเปล่า? 

ตอนแรกที่ผมเห็นป้ายว่าเป็นอุทยานก็นึกว่าคงเหมือนสถานที่เที่ยวก่อนหน้านี้ คือมาชมและซึมซับความงานของธรรมชาติ แต่ที่นี่ไม่ใช่ครับ ระหว่างเดินชมพืชพรรณไม้ต่างๆ สามารถแวะไปร่วมเล่นกิจกรรมสนุกๆ ตามที่เจอได้ด้วย 

ที่แรกไปเยือนคือสระปทุม แบ่งเป็นสองฝั่งของถนน ฝั่งหนึ่งเป็นบัววิคตอเรีย อีกฝั่งเป็นบัวนานาชนิด จากจุดนี้ไปทางซ้ายจะเจอสนามวังตะไคร้…ทดสอบกำลังใจ นี่เป็นที่เล่นสนุกแรกที่พวกผมเจอ

การทดสอบที่ว่ามีสิบด่าน ได้แก่ ข้ามกำแพง 3 ฟุตกับ 5 ฟุต, ข้ามหลังคาอกไก่, กระโดดหลบหลุมระเบิด, โหนตัวข้ามคูน้ำ, สะพานข้ามลำน้ำ, แท่นกระโดด 5 ฟุต, ปีนข้ามตาข่าย, กระโดดหัวตอ, สะพานโยกเยก

อารมณ์เหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเล่นฐานเข้าค่ายลูกเสือ แถมผมจับเวลาแข่งกับพาร์ด้วยยิ่งมัน

จากนั้นก็ไปเสียตังค์คนละห้าสิบบาทไปเล่นเหินฟ้าท้าสายน้ำที่อยู่ใกล้ๆ โดยต้องโหนตัวจากหอคอยความสูงประมาณสิบเอ็ดเมตรข้ามลำนำระยะหนึ่งร้อยเมตรไปอีกฝั่งให้ได้ ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดเสียว แต่กิจกรรมนี้ห้ามเด็กอายุต่ำกว่าสิบสอง และผู้มีโรคหัวใจ หรืออยู่ในสภาวะมึนเมาเล่นครับ

ออกเดินต่อก็จะเจอสวนไม้ดอกไม้ประดับและน้ำตกจำลอง ที่ตรงนี่มีรูปปั้นของคุณท่าน มารู้ที่หลังว่าตรงนี้เรียกว่า น้ำตกจำลอง สวนดอกไม้ “คุณท่าน”

ข้างในนี้มีร้านอาหารด้วยครับ แต่พวกผมยังอิ่มกันอยู่เลยไม่ได้เดินเข้าไปดู เดินไปสักพักก็เจอจุดที่มีคนเล่นน้ำกัน ผมมองหน้าพาร์ทันที

“อยากเล่นก็เล่น”

“แล้วมึงอ่ะ”

“แล้วใครจะเฝ้าของ”

ผมกรอกตาไปมา จับพาร์หันหลัง เปิดซิบเป้ดึงกระเป๋ากันน้ำแบบคาดเอวส่งให้มัน

“เอามาจากไหน?”

“จากบ้านกูดิ แค่ติดมาเผื่อได้ใช้ หมดปัญหาแล้วจะลงเล่นน้ำกับกูได้ยัง?”

พวกผมหาทำเลวางกระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าไว้บนฝั่ง เป็นจุดที่ถึงอยู่ในน้ำก็มองเห็นเป้ได้ ก่อนพากันลุยน้ำใสเย็นได้ใจ แค่ลงไปนั่งแช่น้ำก็ฟินแล้ว อ้อ มีห่วงยางให้เช่าด้วยครับ แต่เราไม่ได้เช่า ไม่ได้คิดจะเล่นอะไร แค่แช่น้ำ นั่งคุยกันบ้าง แกล้งกันบ้างอยู่แถวนั้น จนห้าโมงกว่าถึงได้ขึ้นฝั่งไปหาที่เปลี่ยนเสื้อผ้า

หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งเรียบร้อยก็ได้เวลาไปตะลุยกินต่อ

พาร์ดูนำเสนอมาก ตอนเดินออกมาจากวังตะไคร้ถึงได้พูดถึงแต่อาหารสุขภาพ เท่าที่ฟังพาร์เล่าเหมือนทางร้านจะปลูกผักปลอดสารพิษเอง คนเคยมาเที่ยวอย่างพาร์ท่าจะชอบอาหารร้านนั้นมาก ผมก็เตรียมไปชิมล่ะครับ ตอนนี้ชักเริ่มหิวแล้วด้วย

และเช่นเดิม ถึงเวลาสั่งอาหารพาร์ก็ร่ายยาวจนผมต้องมองตาปริบๆ อีกรอบ

“สลัดกุ้งทอด เมี่ยงหมูหยอง ผัดผักสี่สหาย น้ำพริกปลาทู เมี่ยงคะน้า อินทรีย์ทอดน้ำปลา…”

ผมต้องเตะขาพาร์จากใต้โต๊ะเป็นการเตือนว่ามากไปแล้ว พาร์ถึงได้หยุดหันมามองผม สักพักถึงได้หันไปสั่งข้าวเปล่าสองจาน และน้ำเปล่าแทน พ้นหลังพนักงานในร้าน ผมก็บ่นทันที

“มีกันอยู่สองคน มึงจะสั่งอะไรเยอะแยะ”

“กูแค่อยากให้มึงได้กิน นี่กูกะจะสั่งไข่ตุ๋นหม้อไฟกับยอดผักผัดเต้าหู้…”

“พอเหอะ ขืนมึงสั่งมามากกว่านี้ กูได้พุงแตกพอดี”

“มีกูช่วยกิน มึงจะกลัวอะไร”

“กลัวมึงพุงแตกอีกคนน่ะสิ! บอกก่อนนะ กูขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น!”

“เป็นห่วงว่ากูจะพุงแตกตาย หรือกลัวไม่มีคนพากลับบ้านกันแน่?”

ผมตอบทันทีแบบไม่เสียเวลาคิด “ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

พออาหารทยอยเสิร์ฟ เมี่ยงคะน้ามาก่อนใครเพื่อน ผมเลยก็ได้ประสบการณ์ใช้ใบคะน้าแทนใบชะพลูห่อเมี่ยงกิน…อร่อยไปอีกแบบ หลังไล่ชิมอาหารทุกจาน ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพาร์ถึงชอบ เรากวาดอาหารบนโต๊ะกันเกลี้ยง แน่นพุงสุดๆ

ที่นี่มีขายผักสดกลับไปเป็นของฝากด้วยนะครับ เสียดายพวกผมขนไปลำบาก ถ้ามารถยนต์ผมคงซื้อติดมือกลับไปทำอาหารที่บ้านแน่

ขากลับพาร์ไม่ได้รีบร้อน ขี่ไปเรื่อยๆ กว่ากรุงเทพฯ ก็เลยสามทุ่มเกือบครึ่งแล้ว แทนที่จะกลับบ้านกลับพาไปแถวสะพานพระรามแปด หาที่จอดรถได้ มันก็ดึงผมไปเดินเล่นบนสะพานด้วยเหตุผลฟังไม่ค่อยขึ้นว่าอยากเดินเล่นย่อยอาหาร

ทางเดินก็สว่างพอรับรองไม่มีสะดุดพื้น เราไม่ได้เดินไปไกลนัก เพราะเดี๋ยวต้องย้อนกลับไปที่รถอีก เลยยืนเท้าแขนกับขอบกั้นมองไปทางแม่น้ำ ยืนรับลมอย่างผ่อนคลาย   

“วันนี้สนุกไหม?”

ผมยิ้มแล้วพยักหน้า “สนุกมาก”

“พาเที่ยวแบบนี้ดีหรือเปล่า”

“ดีสิ” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด

“แล้วมึงคิดว่าเป็นเดตใช่หรือเปล่า”

คำถามนี้ทำผมชะงัก ก่อนย้อนถาม “แล้วไม่ใช่?”

“ถ้ากล้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ กูได้เตะมึงแน่”

ผมหัวเราะขำ แต่เห็นสีหน้าหงุดหงิดของพาร์ก็ได้แต่กลั้นหัวเราะอยู่สักพัก แล้วพูดออกไปตามความรู้สึกในใจ “ก็เป็นเดตที่ดีนี่ เรียบง่าย ไม่หวือหวา อยู่กับธรรมชาติ ปล่อยตัวไปตามกระแสความสงบ ผ่อนคลายดีออก แต่มึงก็ยังไม่ลืมทิ้งความสนุกตื่นเต้นไว้ให้กู”

ผมยิ้มเมื่อนึกถึงกิจกรรมสนุกๆ ที่วังตะไคร้

“…ถ้าชวนเที่ยวอีกจะไปไหม?”

“ไปสิ”

“ชอบใช่หรือเปล่า”

“ใช่”

“งั้นคบกับกูไหม”

ผมตวัดตามองคนถามทันที “เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ?”

พาร์เบือนหน้าหนีไปมองแม่น้ำมืด แต่มีแสงดวงเล็กๆ ปรากฏอยู่สองฝั่งแม่น้ำเหมือนแสงดาว

“กูรู้ว่ามึงได้ยิน”

ผมอ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน กว่าจะตั้งสติถามกลับเสียงตะกุกตะกัก 

“…นะ นึกยังไงถึงถามล่ะ”

พาร์หันมองผม คิ้วเริ่มขมวด “กูก็ถามมึงตลอดนั่นแหละ” ก่อนหันไปมองแม่น้ำอีก

มันก็ใช่ แต่คราวนี้ผมรู้สึกต่างออกไป ถ้าก่อนหน้านี้มันพูดจริงกึ่งเล่น คำถามคราวนี้คือจริงจัง ผมได้ปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอะไรออกไป

“และเมื่อกี้ใครบางคนก็บอกว่าชอบ”

แค่ได้ยิน ผมก็เถียงคนเจ้าเล่ห์ทันที “กูหมายถึงชอบที่มึงพาไปเที่ยววันนี้ต่างหาก!”

“แต่ของกูหมายถึง…ชอบกันหรือเปล่า” พาร์ว่า พอผมจ้องหนักเข้าถึงได้ยอมพูดเสียงอ่อน “และมึงบอกว่าใช่”

“มึงโกง!”

“งั้นกูถามอีกครั้งก็ได้ ใช่หรือไม่ใช่?”

ผมชะงัก จ้องคนเจ้าเล่ห์อย่างหงุดหงิดที่สุด แต่เห็นแววตาพาร์จริงจัง อารมณ์ร้อนก็ดับลง พร้อมถามตัวเองในใจว่าคิดยังไงกันแน่

ผิดคิดว่าชอบ…แต่ชอบแบบไหนล่ะ? แล้วมันมากพอหรือยัง?   

หลังครุ่นคิดอยู่นาน ผมก็บอกไปเสียงสั่นนิดๆ “…มึงพิเศษกว่าคนอื่น”

“แค่นั้น?”

“ตอนนี้แค่นั้น นอกเหนือจากนี้กูยังสับสน”

เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจ แต่อาจเป็นเสียงลมแม่น้ำที่พัดแทรกผ่านความเงียบระหว่างเราก็ได้ พวกผมไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาจนกระทั่งพาร์พูดขึ้นมาก่อน

“แล้วถ้ากูต้องการคำตอบตอนนี้ล่ะ”

ผมเริ่มทำหน้าเครียด “มึงจะให้กูตัดสินใจเลย?”

พาร์ถามกลับเสียงเครียดกว่า “แล้วมึงจะให้กูรอไปถึงเมื่อไหร่”

พอผมเงียบ พาร์เริ่มพูดระบายความในใจบ้าง

“ให้รอนานๆ กูก็ท้อเป็นนะ”

“แต่…”

“ไม่มีแต่ กูไม่อยากรอแบบไร้จุดหมาย มึงควรตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้วว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้”

ผมเม้มปาก ท่ามกลางความสับสนกลับรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเงียบ พาร์ก็เงียบเหมือนรอคอย ยิ่งทำให้รู้สึกกดดันมากกว่าเดิม

แต่ที่พาร์พูดก็ถูก มันเคลียร์ตัวเองไปแล้ว เหลือผมที่ไม่ทำสักที…ต่อให้ตอนนี้รับปากคบไป ปัญหาก็ยังตามต่อเหมืนเงาตามตัว เผลอๆ ส่งผลกระทบในอนาคต อาจเกิดสถานการณ์ย่ำแย่ถึงขั้นแตกหักเลยก็ได้ เพียงแค่คิดผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น

เมื่อรับรู้ว่าตัวเองยังไม่พร้อมมีคนรักจนกว่าจะขจัดปัญหาหลายๆ อย่างในใจออก ผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้า “พาร์” เรียกแค่นั้นก็เงียบนานจนคนโดนเรียกเอ่ยปาก

“กูฟังอยู่” 

ผมรวบรวมความกล้าอีกครั้ง หันไปมองคนยืนข้างๆ “กูมันแย่ เรื่องนี้มึงคงรู้ดียิ่งกว่าตัวกูอีก…”

เราสบตากันนิ่ง ผมพยายามมองตาพาร์ตรงๆ ไม่มีหลบ เค้นเสียงบอกข้อสรุปที่ได้มาเมื่อครู่

“ขอเวลาหนึ่งอาทิตย์ได้ไหม แล้วกูจะให้คำตอบมึง”

“แล้วมึงก็จะขอยืดเวลาไปอีก”

“คราวนี้ไม่” พูดแย้งเสียงแข็ง ทั้งที่ในใจกลับก่ำกึ่งไม่แน่ชัดว่าจะทำได้หรือไม่ได้

แววตาของพาร์นิ่งมาก…มากจนผมขนลุก เป็นแววตาที่ผมอ่านไม่ออกว่าเจ้าของกำลังคิดอะไรอยู่

ใจก็เริ่มหวั่นๆ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแปลกๆ “เอ่อ พาร์…”

“กลับกันเถอะ”

ผมสะดุ้งให้กับถ้อยคำชวน แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นคำสั่ง พาร์หมุนตัวเดินนำไปก่อน ปล่อยผมก้าวตามหลังมาเงียบๆ เวลาล่วงเลยจนรถมอเตอร์ไซค์ขับมาจอดหน้าบ้านผม มองผ่านรั้วเข้าไปเห็นแสงไฟ พวกพ่อคงกลับมาแล้ว ผมลงยืนบนพื้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคน กระทั่งคนมาส่งเหลือบมองผมที่ยืนอึกอักอยู่ข้างรถเพียงแวบเดียวก็ขับมอเตอร์ไซค์จากไป…ไร้คำบอกลาเหมือนทุกที

ก้มมองหมวกกันน็อกในมือที่ยังไม่ได้คืนเจ้าของ ไหนจะเป้อีกก็ได้แต่ทำหน้ายุ่งยากใจออกมา   

…โดนโกรธเข้าแล้วล่ะมั้ง

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-03-2017 19:07:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 27-03-2017 19:41:06
ตามไปง้อสิ...ที...ไม่ต้องรอแล้ว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-03-2017 21:37:39
เข้าใจอารมณ์ของพาร์
รักที มาตั้งแต่เด็ก จนถึงปัจจุบัน
แสดงออกให้เห็นตัวตน ชัดเจน เปิดเผย
ว่ารักที ยอมทุกข้อแม้ของที
ที หน่วงเวลา อาจเพราะมีปมตอนเด็ก
ยังคำบอกเล่าของลุงนิกกับแฟน
ว่าเป็นแฟนเมื่อไหร่เจ็บเมื่อนั้น
ที ตัดสินใจได้ละมั้งคราวนี้
ก็พาร์แสนดี ทั้งดีทั้งหล่อ
แล้วรักที อย่างไม่มีข้อแม้
ง้อพาร์ รับรักพาร์ คบพาร์ ได้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 27-03-2017 22:47:14
จะตามทีพาร์ไปเที่ยววังตะไคร้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-03-2017 22:54:02
กล้าๆหน่อยเด่
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-03-2017 22:54:46
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-03-2017 22:56:17
โอยยยย ทีไปง้อพาร์เลย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 27-03-2017 23:26:33
อย่าหลงกลนะที เราว่า พาร์มีแผนแน่ ถ้าไปง้อก่อนเสร็จพาร์แน่ คนอย่างพาร์ถ้าลองได้รักแล้วคงพยายามทุกทางให้ตัวเองสมหวัง ไม่ล้มเลิกง่ายๆหรอก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-03-2017 01:55:25
ทีอย่ามัวแต่ลังเลเด้อ สงสารคนรอ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 03-04-2017 17:46:42
บทที่ 50

ผมนอนมองสมาร์ทโฟนในมือลงด้วยความหนักใจกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้เจอวันนี้

จากไม่ค่อยโทรหาอยู่แล้วยิ่งไม่มี ข้อความจากไลน์ที่มีมาทุกวันก็เงียบหายไปเลย ทักไปก็ไม่ตอบ แม้แต่หน้าก็ไม่โผล่มาให้เห็น

ผมขยี้หัว กระแทกนิ้วกดออกจากห้องสนทนาที่ไม่ขึ้นว่าอ่านด้วยซ้ำ เลื่อนนิ้วไปเรื่อยเปื่อยจนตาสะดุดรูปไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ จึงนึกขึ้นได้ว่าพวกมันก็เงียบหายเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์อยากทักทาย อยากระบายซะมากกว่าเลยกดพิมพ์ข้อความส่งไป

TEE: กูโดนหมาเมินวะ

ค่อยโล่งขึ้นหน่อย กำลังจะกดออกจากห้องสนทนากลับมีข้อความใหม่โผล่ขึ้นมา 

Templar: หมาที่ไหนเมินมึง เขาเรียกกำลังยุ่ง!
Blue Sky: หมางเมิน? หรือ หมาเมิน?
YamYam: เออจริง มึงพิมพ์ตกอย่างที่กายบอก หรือจงใจเอา ง.งู ออกวะ?

ผมเลื่อนย้อนไปดูข้อความตัวเอง สงสัยรีบกดไปหน่อยเลยพิมพ์ตกไปตัว…แบบนี้ก็ดี สื่อชัดมากว่าผมโดนหมาบางตัวเมินทั้งวัน!

TEE: แบบไหนก็ได้ และกูไม่ได้หมายถึงพวกมึง!
YamYam: อ้าวๆ ไปทำอะไรมาถึงโดน ‘หมาเมิน’ ครับเพื่อน
Templar: กูขอเดาว่าพาร์
TEE: Tem << กูเบื่อมึง!
Blue Sky: ไม่สบายใจก็ไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง

TEE: มันไม่ง่ายแบบนั้น!!
Templar: แล้วมันไปยากอะไร?
TEE: ยากที่ตัวกูนี่แหละ
Templar: ก็บอกแล้วว่าอย่าคิดเยอะ
TEE: เรื่องนี้คิดน้อยไม่ได้!

YamYam: พวกมึงคุยกันให้กูรู้เรื่องด้วยดิ!
Templar: Yam << ประมวลผลไม่ทันเป็นเรื่องของสมองมึง ไม่เกี่ยวกับพวกกู
Templar: TEE << ส่วนมึงหัดใช้หัวใจตัดสินซะบ้าง บางเรื่องมันใช้เหตุผลไม่ได้หรอก   
YamYam: สติกเกอร์นั่งหันหลังกอดเข่า
TEE: สติกเกอร์หมีขาวถอนหายใจ
Blue Sky: เวลาไม่รอใคร คนก็เช่นกัน

กายทิ้งคำเตือนสุดท้าย หลังจากนั้นไม่มีใครส่งข้อความมาอีกเลย ผมวางมือถือลงกับท้อง ถอนหายใจตามเจ้าหมีขาว

กับคนที่หัวใจกำลังสับสน…จะใช้หัวใจตัดสินได้ยังไงกัน

แต่แม่ง!

ผมลุกพรวดขึ้นยืน ไม่สนใจโทรศัพท์ที่ลงไปนอนแอ้งแม้งบนฟูก จับหมอนข้างที่โดนย้ายกลับมาห้องผมขึ้นตั้งพิงหัวเตียงได้ก็ตั้งท่ากำหมัด มองหมอนข้างเป็นหน้าใครบางคน ก่อนเสยเจ้าหมอนข้างไปเต็มแรง จนมันปลิวไปกระแทกเพดานห้องแล้วร่วงลงมานอนตายบนฟูก

แฮ่กๆ 

ผมสูดลมหายใจเข้าออกควบคุมลมหายใจสักพักจนหยุดหอบ จึงค่อยนั่งลงขัดสมาธิบนเตียง คิ้วขมวดเข้าหากัน แค่โดนเมินวันเดียวผมก็ไม่อยากทนแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเสนอหน้าตัวเองไปหามันจนกว่าจะมีคำตอบไปให้

ยิ่งคิดยิ่งทำหน้ายุ่ง…สุดท้ายก็ต้องขอตัวช่วย   

ผมมองหามือถือจนเจอ กดโทรออกหาผู้มีประสบการณ์ตรง และน่าจะได้รับคำแนะนำได้อย่างถ่องแท้ แต่ดันเจอเสียงหวานๆ บอกว่า ‘หมายเลขที่ท่านเรียกในขณะนี้ไม่สามารถ…’ ย่นคิ้วกดตัดสาย ก่อนกดโทรออกใหม่ เจอเสียงหวานๆ เหมือนเมื่อกี้เด๊ะ

ผมพ่นลมหายใจ เปลี่ยนมากดปุ่มโทรออกฉุกเฉิน รอสายไปนานก็มีคนกดรับตามคาด คราวนี้เป็นเสียงทุ่มลึกฟังดูจริงจัง และน่าเชื่อถือ

“ลุงหมอเหรอ นี่ทีเอง พี่พีทว่างไหม ทีอยากคุยด้วย…”

[พรุ่งนี้เลิกเรียนมาโรงพยาบาล ห้องเดิม]

“เดี๋ยวๆ ทีไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากปรึกษา…”

[พีทเป็นหมอเด็ก ทีเลยวัยเด็กมาแล้ว]

“ไม่ใช่อย่างนั้น! ทีแค่ เอ่อ คุยกับพี่พีทเฉยๆ เอง”

[ลุงยังไม่ได้แฉ่งทีเรื่องโดดนัดหมอ! โดดมาจะครบปีแล้วเมื่อไหร่จะมา ไม่สิ ถ้าพรุ่งนี้ไม่มาเหยียบโรงพยาบาล ลุงจะใช้งานพีทหนักขึ้นเป็นสองเท่า!]

ผมอ้าปากเหวอกับคำข่มขู่ ยังไม่ทันได้พูดทักท้วงแทนคนโดนดึงไปมีเอี่ยวก็แว่วเสียงเรียกตัวลุงหมอ คนต้องไปทำงานเลยบอกลาแกมย้ำคำขู่ แล้วตัดสายหนีดื้อๆ ผมได้แต่ทำหน้าเจื่อน…ไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะคนซวยไม่ใช่ผม แต่ไปโรงพยาบาลคราวนี้คงโดนจับตรวจทั้งตัวและจิตใจแหง

แค่คิดผมก็ทำหน้าบูด ร้องประท้วงในใจเงียบๆ

ไม่อยากไปอ่ะ!

-------------

“แค่มาตรวจร่างกายกับพบจิตแพทย์แค่เนี่ย ทำหน้าบูดบึ้งเป็นตูดลิง”

ผมจ้องพี่พีทเขม็ง ไอ้หน้าบูดที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องมาโรงพยาบาลอย่างเดียวสักหน่อย!

“เคืองพี่แพร์ก็อย่าพาลใส่พี่สิ”

ผมส่งเสียงขึ้นจมูก ถ้าถามว่าพี่แพร์เป็นใคร เธอเป็นลูกคนที่สองของลุงหมอ พี่สาวของพี่พีท และเป็นจิตแพทย์ประจำตัวของผมครับ พี่แพร์บอกว่าเรื่องในวัยเด็กของผมจุดประกายให้เธอเลือกเรียนสายจิตแพทย์ เพราะงั้นผมต้องรับผิดชอบด้วยการมาเป็นคนไข้ของเธอ

นั่นแหละปัญหา!

ยิ่งนานวันยิ่งสั่งสมประสบการณ์ทำงาน จากพี่นางฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นนักล้วงความลับ ต่อให้ผมระวังตัวแค่ไหนก็ยังโดนคำถามจิตวิทยานำทางจนเผลอหลุดปากบอกออกไปแบบไม่รู้ตัวบ่อยๆ และที่ผมเกลียดมากสุดก็รอยยิ้มมีเลศนัยกับเสียง ‘หืม’ ของพี่แพร์นั่นแหละ

ก่อนปล่อยตัวผมออกมาจากห้องสอบสวน เอ้ย ห้องตรวจก็ยังไม่วายทิ้งท้ายให้ผมแอบเขม็งใส่คนกล้าหยอกล้อเสียงระรื่น

“รีบรู้ใจตัวเองเร็วๆ นะที”

ผมคว้าแก้วน้ำเย็นๆ มากระดกดื่มดับอารมณ์ขุ่นมัว และนี่แหละเหตุผลที่ผมชอบโดดคอร์สตรวจครบวงจรของลุงหมอ (ซึ่งมีผมอยู่ในโครงการไม่มีชื่อนี้แค่คนเดียว) และที่สำคัญมาโรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อไหร่ห้ามเขียนกรอกข้อมูล หรือเอาอะไรก็ตามที่บ่งบอกนามสกุลได้ออกมาเด็ดขาด ไม่เช่นนั่นจะได้รับการต้อนรับระดับวีไอพี

สาเหตุเหรอ…ก็โรงพยาบาลแห่งนี้ดันชื่อเดียวกับนามสกุลผมน่ะสิ!

แต่เจ้าของโรงพยาบาลไม่ใช่ตระกูลผมแน่นอน ขอยืนยัน เราเป็นแค่ เอ่อ…ผู้ให้การสนับสนุนหลักตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมั้ง ที่มั่นใจคือบ้านผมกับบ้านลุงหมอสนิทกันมายาวนานจนเสมือนเป็นเครือญาติกัน แม้บ้างครั้งผมจะรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่านี้ก็เหอะ (แต่ผมไม่อยากไปถามคุณย่า)

“แล้วอยากคุยอะไรกับพี่ ถึงได้ยอมมาเหยียบที่นี่ในรอบหนึ่งปีล่ะ?”

“ถ้าใครบางคนไม่ทำมือถือหาย ทีก็ไม่ต้องโทรเข้าเบอร์ลุงหมอให้โดนมัดมือชกหรอก!”

“งั้นอยากปรึกษาอะไรก็ว่ามา พี่จะให้คำแนะนำเต็มที่ ถือเป็นการไถ่โทษแล้วกัน”

พี่พีทบอกอย่างใจกว้าง และผมไม่คิดปฏิเสธ

“แค่ตอบทุกคำถามของผมก็พอแล้ว” เห็นพี่พีทพยักหน้าอนุญาต ผมก็ลดเสียงยิงคำถามแรกใส่ทันที “ทำไมตอนนั้นพี่ถึงยอมคบกับแฟนที่เป็นผู้ชายล่ะ”

คนโดนถามชะงักอย่างเห็นได้ชัด “…เพราะรักไม่ใช่เหรอ”

“แล้วทำไมถึงยอมให้เขากอด”

พี่พีททำหน้าแปลกๆ “…เพราะรักอีกนั่นแหละ”

“แล้วพี่ไม่กลัวลุงหมอต่อว่า?”

“กลัว แต่เพราะรักไปแล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”

“แล้วถ้าเปลี่ยนจากลุงหมอเป็นย่าทีล่ะ”

“…ยิ่งกว่ากลัว แต่พี่ก็ยังเลือกคบเขาต่อไปอยู่ดี”

คำถามต่อมาทำผมลังเล แต่สุดท้ายก็เอ่ยถาม “ต่อให้ในอนาคตต้องเสียใจ?”

“ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ พี่ก็ยังเลือกคบเขาอยู่ดี แม้จะรู้ว่าอนาคตเขาจะทำพี่เสียใจแค่ไหนก็ตาม”

ผมนิ่งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แล้วถามอีกครั้งด้วยเสียงเครียดๆ

“แล้วรักคืออะไรกันแน่?”

“ความรักมีหลายรูปแบบ แต่ละคนคงไม่เหมือนกันหรอกมั้ง”

“แล้วทำยังไงทีถึงจะเข้าใจล่ะ?”

พี่พีทเริ่มนวดขมับ “เรื่องแบบนี้มันต้องเรียนรู้และเข้าใจด้วยตัวเองไม่ใช่เรอะ!”

“ก็ทีไม่เข้าใจนี่น่า ถึงได้มาถามผู้มีประสบการณ์ตรงเนี่ย!”

“งั้นเอาอย่างนี้…” พี่พีทหยิบกระดาษกับปากกาบนโต๊ะร้านคาเฟ่ของโรงพยาบาลออกมาจดอะไรสักอย่าง แล้วยื่นให้ผม “อ่านจบลองถามตัวเองดู ถ้าตอบคำถามในนี้ได้เมื่อไหร่ พี่คิดว่าทีคงเข้าใจอะไรมากขึ้น และน่าจะได้คำตอบที่อยากรู้แน่ๆ”

ผมรับมาอ่านเงียบๆ เป็นข้อความประโยคเดียวสั้นๆ ‘ยอมเสียเขาไปได้ไหม?’ รีบเงยหน้ามองคนเขียนข้อความทันที

“เสียที่ว่านี่…”

พี่พีทพูดสวนกลับมาทันที “สูญเสียคนนั้นไปตลอดชีวิตไง ทียอมไหมล่ะ?”

เสมือนหินกระทบผิวน้ำ วงคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าสั่นไหวอยู่ภายในใจ พร้อมคำตอบที่เหมือนเสียงตะโกนจากส่วนลึกภายในใจ เปล่งเสียงกรีดร้องแค่คำเดียว

ไม่!

“ดูเหมือนจะได้คำตอบแล้วสินะ”

ผมเม้มปาก ผงกหัวรับเงียบๆ ปล่อยพี่พีทขยี้หัวด้วยความเอ็นดู

“ในฐานะผู้มีประสบการณ์ พี่อยากเตือนแค่ว่า ได้มาแล้วก็รักษาให้ดี อย่าปล่อยปละละเลย ไม่งั้นกว่าจะรู้ตัวก็คงเสียของรักไปแล้ว…เหมือนพี่”

“…อืม”   

แววตาพี่พีทแม้จะเศร้า แต่สีหน้ากลับยังยิ้มให้ผม “งั้นพี่ขอไปทำงานต่อ เราก็ขับรถกลับดีๆ อย่าประมาทหรือเหม่อลอยล่ะ”

ผมรีบพยักหน้ารับ มองพี่พีทอย่างสำนึกผิด แต่พี่แกคงอยากเห็นผมยิ้มมากกว่า เลยคลี่ยิ้มส่งให้

“ขอบคุณครับ”

แต่คนได้รับคำขอบคุณกลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ แถมยังพึมพำเสียงเบา แต่ผมก็ยังได้ยิน

“เด็กหมาป่านั่นน่าเห็นใจชะมัด”

“…”

-------------

พี่พีทพูดถูก

คำถามประโยคเดียวกลับทำผมเข้าใจอะไรขึ้นเยอะ…เยอะจนต้องมาเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้องนอน ไม่รู้ว่าควรเริ่มทำอะไรก่อนดีระหว่างง้อพาร์ให้หายโกรธ กับค้นหาคำตอบภายในใจตัวเองให้ลึกกว่านี้ แล้วค่อยไปสารภาพกับพาร์อีกทอด

แค่คิดหน้าก็ร้อนผ่าว ให้ตายก็พูดออกไปไม่ได้แน่ๆ

ผมชักเริ่มนับถือเหล่าคนที่กล้าสารภาพรักต่อหน้าคนที่ชอบขึ้นมาทันที แต่แล้วในหัวก็นึกบางเรื่องได้ ทำเอาอารมณ์เขินๆ ดับวูบลง เพราะเห็นวิธีของพี่พีทได้ผล จึงรีบไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ คว้ากระดาษกับปากกามาจดหัวข้อที่เป็นปัญหาหนักอกสำหรับผม ก่อนวกไปไล่ตอบคำถามลงมาทีละข้อช้าๆ

ความเป็นส่วนตัว…แน่นอนถ้าคบกันต้องแชร์ทั้งเรื่องราวและเวลาให้อีกฝ่าย ผมขีดเครื่องหมายถูก

ต่อมาคือบรรดาผลพวงที่ตามมาหลังคบกัน ผมเขียนแยกไว้เป็นข้อๆ พอมาอ่านดูอีกทีก็พบว่า จะเรื่องไหนๆ ก็ดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับการที่พาร์จะหายไปจากชีวิตผม

คุณย่าพิโรธก็ยังหวาดกลัวอยู่ แต่ผมก็เชื่อว่าพาร์จะอยู่สู้ไปด้วยกัน

สัมผัส…จ้องมองข้อความสุดท้ายที่วงไว้ใกล้ๆ ‘จะยอมให้มันกอดไหม’

ผมเม้มปาก รู้ดีว่าเป็นกอดในความหมายไหน ถึงอย่างนั้นยกมือสั่นๆ ขีดเครื่องหมายถูกไว้ด้านหลังข้อความ แล้วนึกเสริมในใจ แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ อย่างน้อยก็ขอเวลาสักพัก

จริงสิ ทาจังเคยบอกว่าให้รอจนถึงอายุยี่สิบก่อนนี่น่า…

แม้ใจจะนึกสงสารหมาป่าบางตัว แต่ผมก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำตามผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนบอก

พอได้กวาดมองมองข้อความทั้งหมดในกระดาษใบนี้อีกครั้ง ผมก็อดประหลาดใจไม่ได้

ปัญหาที่คิดว่าใหญ่ดั่งภูเขามาตลอด ความจริงแล้วก็แค่นี้เอง ผมแค่กลัวไปเองล่วงหน้า กลัวจนไม่กล้าเสี่ยง กลัวที่จะบาดเจ็บกลับมา…

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้ตัวเอง เอื้อมมือคว้าพวงกุญแจที่ยังห้อยมินิอัลบั้มออกมาไขลิ้นชักโต๊ะบนสุด หยิบกล่องขนมทำจากเหล็กแบนๆ ดูเก่าเล็กน้อยออกมา ลังเลครู่หนึ่งก่อนเปิดฝาออกให้เห็นของสะสมภายในที่ไม่ได้เห็นมานาน

กระดาษข้อความเขียนด้วยลายมือของเด็ก ริบบิ้นหลากสี และรูปถ่ายโพลารอยด์ของขนมในสภาพที่ยังมีทั้งริบบิ้นและข้อความห้อยอยู่ ผมมองพวกมันด้วยคิดถึงอยู่พักหนึ่งก็พับกระดาษใบที่พึ่งเขียนวางลงในกล่อง หลังปิดฝาผนึกสิ่งที่อยู่ข้างในก็ยกกล่องไปเก็บคืนช่องในสุด ไขปิดล็อกเงียบๆ

หลังวางกุญแจไว้บนโต๊ะ ผมก็เลื่อนเก้าอี้ย้ายมานั่งหน้าคอม กดเข้ากูเกิลพิมพ์ข้อความ

‘จะง้อผู้ชายยังไงดี’

ให้ตายเหอะ! ไม่นึกเลยว่าในชีวิตต้องมาเสิร์ชหาอะไรแบบนี้

แถมแต่ละบทความหรือคำถามที่ค้นหาเจอ ยิ่งคอยตอกย้ำเข้าไปใหญ่ว่าผมไม่ใช่ผู้หญิง แต่กำลังจะเอาวิธีการของพวกเธอไปใช้ง้อผู้ชายให้หายโกรธ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามปลอบใจตัวเอง เอาน่า อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีแนวทาง แม้แอบกังขาว่าจะใช้ได้ผลลัพธ์หรือเปล่าก็ตาม

ผมลุกไปหยิบกระดาษเปล่ากับปากกาบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วกลับมาหน้าคอมอีกครั้ง เริ่มต้นหาข้อมูลมากกว่านี้ พลางจดวิธีง้อที่อ่านแล้วเข้าท่าลงไป เสร็จแล้วก็เอาไปแปะติดบนโต๊ะให้เห็นชัดๆ กวาดมองทุกข้อแนะนำ ก่อนเลือกวิธีการที่พอทำได้มาใช้ก่อน

…ง้อด้วยของที่ชอบ

ที่คิดออกตอนนี้มีแต่ของกินทั้งนั้น เลื่อนสายตาไปที่หัวข้อบนๆ มีคำว่าเซอร์ไพรส์เขียนอยู่ ถ้าเอามารวมกันก็น่าจะดี ไม่สิ นอกจากง้อแล้ว ผมน่าจะจีบมันไปด้วยเลย

จะได้เข้าตำรายิงทีเดียวได้นกสองตัว!

คิดได้อย่างนั้นผมก็คว้ากระดาษใบใหม่ไปนั่งหน้าคอม เสิร์ชหา ‘วิธีจีบผู้ชาย’ แล้วไล่อ่านกับจดวิธีที่น่าสนใจใส่กระดาษไปแปะไว้ข้างวิธีง้อ

ผมมองกระดาษทั้งสองแผ่นสลับไปมา…ถ้าไม่ได้ผลแล้วมันยังกล้าเมินกันอีกนะ ผมจะ…แจกยิ้มหวานใส่ชาวบ้านให้หมาบางตัวหึงเล่น ถ้ายังไม่ได้ผลก็ใช้แผนสอง จะ…จะ… กัดฟันเค้นความคิดบางอย่างออกมา

จะแก้ผ้ายั่วมันให้ดู!

เพียงแค่นึกภาพตามก็อยากมุดดินหนีแล้ว ผมรีบยกมือลูบหน้าร้อนอย่างกับโดนเผา

ย…อย่างน้อย ถ…ถ้าต้องทำจริงๆ ขะ ขอเหลือกางเกงในติดกายไว้สักชิ้นเถอะ

-------------

เพราะเวลาไม่เคยรอใคร และไม่รู้พาร์จะอดทนรอได้อีกแค่ไหน ดังนั้นลงมือเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

ผมตื่นแต่เช้าลงมาทำข้าวกล่องแทนออกไปวิ่ง ทำเสร็จก็ต้องรีบอาบน้ำมามหาลัย โชคร้ายที่วันนี้ตรงกับวันพุธ โอกาสบังเอิญเจอตอนเช้าถึงเที่ยงเป็นศูนย์ ทางเดียวคือต้องไปดักรอ

ผมมีไอเทมช่วยเหลือ ตารางเรียนของมันนั่นเอง รู้ทั้งสถานที่และเวลา บวกกับนิสัยมัน ผมเลยกะเวลาไปดักรอได้ถูก เสียอย่างเดียวพาร์ดันมีเรียนแปดโมงครึ่ง ผมเลยต้องรีบหน่อย ผมไปถึงมหาลัยเจ็ดโมงสี่สิบห้า คนบางตามากเลยหาทำเลดีๆ ในมุมที่คนอื่นเห็นผมยาก แต่ผมกลับเห็นได้ชัดว่าใครเดินเข้าออกตึกบ้างนั่งรอ

จากที่รีบจนหัวฟู มาตอนนี้แทบจะสัปหงก เผลออ้าปากหาวครั้งแล้วครั้งเล่า ตาอยากปิดเต็มแก่

เวลา…หมุนเร็วๆ หน่อยสิ

เลยแปดโมงมานิดหน่อย ผมเริ่มตื่นตัวเพราะเสียงผู้คนที่ดังมากกว่าเก่า มองเวลาบนมือถือก็พยักหน้ากับตัวเอง ได้เวลาที่พาร์มาถึงมหาลัยแล้ว

แปดโมงสิบนาที…ยังไม่เห็นวี่แววพาร์

แปดโมงสิบห้า…ผมเริ่มขมวดคิ้ว

แปดโมงยี่สิบ…รับรู้ถึงความผิดปกติ ทุกทีพาร์จะมาถึงก่อนเวลาเข้าเรียนประมาณยี่สิบนาที อย่างช้าสุดก็สิบนาที เปอร์เซ็นต์น้อยมากที่มันจะมาสายหรือไม่มา ผมพยายามทำใจเย็นๆ รอคอยต่อ 

แปดโมงยี่สิบห้า…ผมเริ่มนั่งนิ่งไม่ได้ ใจก็เริ่มฟุ้งซ่านด้วยความกังวล

คงไม่ได้เจออุบัติเหตุ ไม่ๆ คงเจอรถติดนั่นแหละ หรือไม่คงขึ้นตึกไปแล้วโดยที่ผมไม่เห็น

ระหว่างคิดหาเหตุผลไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปกว่านี้ คนที่รอมาเกือบชั่วโมงก็โผล่หน้ามาให้เห็นจนได้ ผมรีบกวาดตาสำรวจมันเร็วๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า

ปกติดี ไม่มีแผล เฮ้อ~

แต่...ไหงสีหน้าอย่างกับจอมมาร!

ขนาดผมอยู่ตั้งห่างยังสัมผัสได้ถึงรังสีมาคุ ไม่แปลกเลยที่เห็นคนรอบมันพร้อมใจกันหลบ เปิดทางให้จอมมารเดินขึ้นตึกอย่างสะดวกสบาย เห็นพาร์กำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างหนัก ผมก็แอบผวา รู้สึกตัวเองมาผิดจังหวะอย่างแรง

…เอาวะ มาดักรอขนาดนี้ จะทำตัวหัวหดได้ไง!

ผมลุกขึ้นยืน มองเวลาในมือถือ แปดโมงยี่สิบเจ็ดนาที มันเหลือสามนาทีเพื่อขึ้นเรียนให้ทัน ส่วนผมขอแค่นาทีเดียว ไม่สิ สามสิบวิก็พอ ขอแค่นี้แหละ

หลังเก็บมือถือลงกระเป๋า คว้าถุงข้าวบนโต๊ะรีบเดินกึ่งวิ่งไปขวางหน้าจอมมารอย่างกล้าหาญ กลั้นใจสบตากับอีกฝ่ายที่ชะงักเท้าก่อนเดินชนผม แววตาพาร์ดูตกใจย่างเห็นได้ชัด

ผมยืนอักอักอยู่แปบหนึ่งก็เอ่ยปาก “หวัดดี” ทักแค่นั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยจับมือพาร์ขึ้นมา ยัดถุงใส่กล่องอาหารให้ ทำเป็นไม่เห็นสีหน้ามึนงงของคนรับ เม้มปากด้วยความกระดาก แต่ก็ทำใจกล้าพูดประโยคที่พยายามคิดมาเมื่อเช้า

“กูทำด้วยใจ กินให้อร่อยนะมึง”

ผมข่มความกระดากอาย คลี่ยิ้มที่พยายามฝึกอยู่หน้ากระจกเมื่อคืนเป็นการปิดท้าย แม้รู้สึกว่าไม่เหมือนยิ้มที่ฝึกมาก็เถอะ เห็นพาร์เปิดตากว้าง ยืนตัวแข็งทื่อก็รู้สึกว่าผิดท่า ผมหุบยิ้มลงทันที รีบเบี่ยงตัวหลบคนตรงหน้า จ้ำเท้าหนีจากมาด้วยหน้าร้อนผ่าว…

มีรูอยู่ตรงไหนไหมครับ ผมอยากมุดดินหนี!

-------------

ระหว่างนั่งเขี่ยข้าวกลางวันด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวที่แผนเมื่อเช้าล้มเหลวไม่เป็นท่า มือถือผมก็ส่งเสียงข้อความเข้าเลยหยิบออกมาดูด้วยความเซ็งจิต เห็นว่าใครส่งมาก็เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง 

ข้อความแรกในรอบสามวัน!

ผมรีบกดเข้าไปดูทันที ต่อให้เป็นแค่สติกเกอร์ตัวเดียว ผมก็ดีใจอ่ะ

PAR: รูปถ่ายกล่องข้าวหมดเกลี้ยง

แค่เห็นก็เผลอฉีกยิ้มกว้าง ดีต่อใจคนทำอาหารจริงๆ ระหว่างกำลังปลื้มปริ่ม ข้อความใหม่ก็มา

PAR: อร่อย แต่ใจมึงไม่เห็นหวาน

ผมหุบยิ้มทันที…อยากได้หวานนักใช่ไหมได้! รีบกดออกแอพไลน์ เข้าแอพสมุดโน้ต กะพิมพ์ไว้เตือนตัวเอง ระหว่างพิมพ์ก็หวนนึกถึงกระดาษสองใบบนโต๊ะ

วิธีง้อข้อที่5 ‘อยากให้หายโกรธเร็วๆ ไม่ควรขัดใจเวลาง้อ’
วิธีจีบข้อที่4 ‘ตามใจได้ก็ควรทำ คุณจะได้คะแนนในสายตาเขาเพิ่ม’

ตามองตัวอักษรที่ขึ้นมาทีละตัว แล้วอมยิ้ม

‘ข้าวกล่องพรุ่งนี้พาร์อยากได้รสหวาน’

-------------
 
วันพฤหัส…ผมไม่ต้องดักรอนานเหมือนเมื่อวาน เพราะเป้าหมายของผมเล่นนั่งรอในจุดที่มองไปก็เห็นตัว…เด่นกว่าเมื่อวานอีก ผมข่มใจเดินเข้าไปหา วางถุงกล่องข้าวไปบนโต๊ะตรงหน้าพาร์ อีกฝ่ายก็ยื่นถุงกล่องข้าวเมื่อวานกลับมาให้ด้วยสีหน้านิ่ง แต่แววตาวิบวับ ออร่าจอมมารก็ไม่มีแล้ว

ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกลา พาร์ก็พยักหน้ากลับ ต่างคนต่างผละจากกันทั้งแบบนั้น 

ถึงไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นกว่าเมื่อวานโข

แค่นั้นผมก็พอใจแล้วครับ 

ระหว่างทานข้าวกลางวัน ผมนั่งจ้องมือถือสลับกับตักข้าวเข้าปาก รอคอยข้อความอย่างใจจดใจจ่อ เกือบเที่ยงครึ่ง สิ่งที่ผมรอคอยก็ปรากฏ ผมรีบปลดล็อกหน้าจอเข้าแอพไลน์ทันที

PAR: รูปถ่ายกล่องข้าวหมดเกลี้ยงคู่กับขวดน้ำว่างเปล่า

ผมกลั้นยิ้มเต็มที่ ไม่คิดว่าพาร์จะกินหมดเกลี้ยง อ้อ ลืมไปว่ามันชอบรสหวาน

PAR: อร่อย แต่วันนี้หวานพอแล้ว 

ผมขำจนข้าวเกือบติดคอ หลังคว้าขวดน้ำมาดื่มจนหายสำลักก็พิมพ์ถามมันไป แม้ข้อความจะเลี่ยนไปนิด แต่ง่ายกว่าตอนพูดต่อหน้ามันเยอะ
 
TEE: พรุ่งนี้อยากให้ใจกูมีรสอะไร
PAR: ทุกรส!

-------------

วันศุกร์…ตอนผมส่งข้าวกล่องให้ แววตาพาร์ดูหวาดระแวงหน่อยๆ

ผมเพียงแค่อมยิ้ม รับกล่องข้าวของเมื่อวานกลับมา มีข้อความแปะไว้ว่าล้างให้แล้วเหมือนเมื่อวาน ตอนผละจากมาในใจผมคาดหวังเต็มเปี่ยมว่า กลางวันนี้จะต้องได้ข้อความจากพาร์มากกว่าเดิม

อีกครั้งที่ผมนั่งกินข้าวไป จ้องมือถือไป รอคอยด้วยความตื่นเต้น

วันนี้ข้อความจากพาร์มาเร็วกว่าที่คิด ผมรีบเปิดดูด้วยแววตาวิบวับ พาร์ถ่ายกับข้าวแยกมาห้ารูปเลยครับ มีข้อความกำกับต่อท้ายทุกรูป

PAR: หวานไปไหน
PAR: เค็มไปแล้ว   
PAR: เผ็ดโคตร!
PAR: มึงทำมะนาวตกลงไปเรอะ!
PAR: กูเกลียดไอ้นี่!

กับข้าวอย่างสุดท้ายคือมะระผัดไข่ครับ รสขมนั่นเอง ถ้ารวมข้าวเปล่าที่เป็นรสจืดด้วยก็ครบทั้งหกรส ผมกลั้นขำจนตัวสั่น ก่อนปล่อยหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ยามเห็นรูปกลุ่มขวดน้ำดื่มที่พาร์ส่งมา สามในห้าขวดหมดเกลี้ยงไปแล้ว

PAR: ผัดเผ็ดหมูชิ้นของมึงแทบทำกูพ่นไฟได้ ใช้น้ำดับไฟในคอตั้งขวดกว่า!
TEE: ทุกรสตามที่มึงรีเควสไง แล้วอร่อยไหม?
PAR: เออ!

PAR: แต่วันนี้กูจะให้เพื่อนได้ชิมความแสบของมึง
PAR: พวกมันจะได้เลิกจ้องตาเป็นมัน เตรียมจะฉกกับข้าวกูไปสักที!
TEE: จะแบ่งใจกูไปให้คนอื่นเหรอ?

พาร์เงียบไปเลยครับ แต่นาทีต่อมาก็ส่งข้อความมาสั้นๆ

PAR: กูกินเองก็ได้! 
TEE: ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน
PAR: ไหว
TEE: เอางี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูขอแก้ตัว มึงมากินข้าวบ้านกูสิ : )

พาร์เงียบไปนานกว่าจะตอบกลับมา

PAR: มึงกำลังจีบกู…ใช่หรือเปล่า?
TEE: คิดว่าไงล่ะ?
PAR: ถ้าใช่…พรุ่งนี้กูจะไป

ผมยิ้มสมใจใส่หน้าจอมือถือ พิมพ์ทิ้งท้ายสั้นๆ 

TEE: กูจะรอ

เยส!

ผมกำหมัดอย่างดีใจ กลับบ้านเมื่อไหร่จะไปขอบคุณแผนการจีบกับง้อที่โต๊ะเขียนหนังสือ

ขอบคุณจริงๆ!   

เงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาแปลกๆ จากพี่ดิน สบตากันปุ๊บพี่ดินก็รีบละสายตาหนีปั๊บ

“…กินเสร็จเมื่อไหร่ช่วยทิ้งความเพี้ยนไปพร้อมกล่องข้าว แล้วค่อยมาช่วยงานพี่ เข้าใจนะ”

“…ครับ”

“จริงสิ” สีหน้าพี่ดินเหมือนนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ “ทดสอบหนีครั้งแรกของสะใภ้คณะมีขึ้นวันอาทิตย์นี้ใช่ไหม?”

ผมชะงักก่อนพยักหน้ารับว่าใช่ ช่วงนี้มัวแต่คิดเรื่องอื่นจนลืมเรื่องนี้ไปเลย

“ถ้าทีหนีรอดมือพาร์ในการทดสอบได้ พี่จะให้รางวัล กลับกันถ้าพาร์จับเราได้ พี่จะให้รางวัลพาร์แทน”

“รางวัลอะไร?” ผมถามอย่างสนใจ    

“ชนะให้ได้ก่อนค่อยมาถาม แล้วบอกพาร์ไปยัง?”

ผมส่ายหน้า ยิ้มเจื่อนๆ ให้พี่ดินที่มองมาตาดุ

“รีบไปบอกซะ อีกฝ่ายจะได้ไม่ติดธุระไปไหน”

“งั้นผมฝากพี่ไปบอกแล้วกัน ให้พี่พูด ต่อให้มันติดธุระก็ต้องมาอยู่ดี”

พี่ดินจ้องตาดุใส่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกลับมา ปฏิกิริยาปกติเวลาพี่ดินไม่ปฏิเสธจะช่วยเป็นธุระให้ ผมลอบถอนหายใจ แอบนึกขอบคุณพี่ประธานนิติเงียบๆ

แต่แล้วช่วงสี่ทุ่มกว่า ข้อความที่พาร์ส่งมา ทำรอยยิ้มที่มาทั้งวันหุบลงทันที

PAR: พรุ่งนี้กูไปบ้านมึงไม่ได้แล้ว
TEE: ทำไม? 
PAR: กูไม่ว่าง มีนัดแล้ว

หลังเหม่อมองข้อความสั้นๆ ความกังวลไม่มีที่มาที่ไปก็พุ่งจู่โจมใส่ดุจพายุ และคงสงบไม่ได้จนกว่าจะได้คำตอบ ผมลุกจากเตียง เดินหน้าขรึมไปเคาะห้องน้องสาว รอจนน้ำมาเปิดประตูก็พูดออกไปทันที

“ช่วยอะไรพี่สักอย่างสิ”

“…อะไรคะ?”

“สืบให้พี่หน่อย พรุ่งนี้พาร์จะไปไหน”

สาวน้อยของผมประสานงานกับเบอร์ดี้สืบหาข่าวได้รวดเร็วมากครับ ผมรอแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้คำตอบ

[พี่พาร์มีนัดกับเพื่อนสมัยมัธยมต้นไปเที่ยวที่สยามวันพรุ่งนี้ค่ะ]

ปลายสายบอกมาเสียงใสผ่านลำโพงมือถือน้ำ แต่ผมก็ยังรู้สึกกังวลแปลกๆ จนต้องถามออกไป

“แค่นั้น?”

[ใช่ค่ะ หนูรู้แค่นี้ แต่ถ้าพี่ทียังกังวลอยู่ เดี๋ยวหนูแอบสืบเพิ่มให้ ได้ความว่าไงหนูจะโทรไปรายงานนะ]

“ขอบใจนะ”

[ยินดีค่ะ]

หลังวางสายผมก็เจอรอยยิ้มล้อเลียนของยัยน้ำ จึงปั้นหน้าขรึมใส่น้อง

“อะไร?” 

“ไม่มี๊” น้องสาวปฏิเสธเสียงสูง “พี่กลับห้องไปเลย น้ำจะนอนแล้ว”

ผมเห็นจะห้าทุ่มแล้ว เลยทำตามที่น้องบอกโดยดี แต่ก่อนปิดประตูห้องดันได้ยินเสียงหัวเราะประหลาด

“หุๆ”

ผมรีบดึงประตูห้องนอนปิด แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่กลับโดนเสียงหัวเราะประหลาดตามหลอกหลอนไปถึงในฝัน แถมยังมาปนเปกับเรื่องพาร์…เช้าวันต่อมาผมเลยนอนหมดสภาพอยู่บนพรมหน้าโซฟา ปล่อยฮิเมะปีนขึ้นมานอนขดอยู่บนท้อง น้องอันนั่งจ้องทีวีตาไม่กระพริบอยู่ข้างๆ 

“เป็นอะไรหือ?”

ผมมองพ่อถือหนังสือพิมพ์เดินหลบผมไปนั่งโซฟา “…ก็แค่ฝันร้าย”

“งั้นก็ขึ้นไปนอนข้างบน”

ผมส่ายหน้า นอนตรงนี้ยังหลับอย่างสบายใจได้มากกว่าอีก 

“แล้วน้ำล่ะ?” ผมถามเพราะไม่เห็นน้องสาว

“อยู่ในครัวกับแม่ ให้แม่สอนทำขนมง่ายๆ อยู่ เห็นว่าอาทิตย์หน้าต้องทำไปส่งครู”

“อ้อ”

จำได้ว่าน้องสาวเคยขอให้พาร์ช่วยสอน แต่สงสัยจะไม่ทันแล้วเลยขอให้แม่สอนแทน

“แล้วคืนวาเลนไทน์ว่าไง ตกลงว่า…”

ผมเมินคำพูดพ่อ แกล้งทำเป็นหลับทันที ไปๆ มาๆ ดันเผลอหลับจริง มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนโดนเขย่าตัว

“พี่! พี่ทีตื่นเดี๋ยวนี้!!”

ลืมตางัวเงียขึ้นมาก็เจอสีหน้าร้อนใจของยัยน้ำ

“พี่ลุกเลย!”

“หือ?”

“ตื่นยังเนี่ย ไปข้างบนกับน้ำเดี๋ยวนี้เลย”

ผมทำหน้างงใส่น้อง แต่ก็ยอมลุกตามแรงฉุด เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง น้ำเปิดประตูห้องผม ผลักพี่ชายเข้าไป แล้วสั่งเสียงเคร่งเครียด “รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เราจะไปข้างนอกกัน”

“ไปไหน?”

“สยาม”   

“ไปทำไม?”

น้ำสูดลมหายใจเข้า แววตาขุ่นมัว “เมื่อกี้เบอร์ดี้โทรมาบอกน้ำว่า นอกจากพี่พาร์จะไปเที่ยวกับเพื่อนแล้ว ยังจะไปเที่ยวกับผู้หญิงด้วย!”

ทันทีที่ได้ยินใจผมพลันกระตุกวูบ

“พี่รีบอาบน้ำเหอะ”

ผมพยักหน้าเคร่งขรึมให้น้อง รีบเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัว แต่ก่อนประตูจะปิด น้ำเสียงจริงจังของน้องสาวก็ดังมาอีกรอบ

“รอน้ำด้วยนะ น้ำจะไปด้วย!”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-04-2017 18:01:09
ได้เม้นแรกและ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

เจ๊ยยยยย.....พาร์ไปเที่ยวกับเพื่อนมัธยม
แต่มันมีหญิงไปด้วย ชีต้องชอบพาร์แน่เลย
แม้ที แน่ใจว่าพาร์รักตัวเอง แต่ไม่ยอมให้พาร์ ใกล้ชิดหญิง
ต้องไปดูให้เห็นกับตา ความหึงมาและ
ก็นัดมากินข้าวที่บ้านทีแท้ๆ ยังยอมยกเลิกนัด
ไปเที่ยวกับหญิง ฮึ่มมมมม ยอมไม่ได้ :z6: :z6: :z6:
คราวนี้จะเป็นที งอน เอ๊ย....โกรธเลยซะมั้ง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-04-2017 20:06:38
หืมมม
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 03-04-2017 20:08:16
น่าสงสารพาร์เหมือนกัน กว่าทีจะรู้ใจ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-04-2017 21:53:04
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 03-04-2017 22:13:14
เอาคืนสินะ...พาร์...คราวนี้.....รู้ใจตัวเองแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 03-04-2017 22:55:21
สองน้องสาวน้ำกับเบอร์ดี้ วางแผนอะไรกันรึเปล่า
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-04-2017 00:35:17
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 50] P.18 (03/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 04-04-2017 00:47:47
มันตะหงิด ๆ แผนป่ะแว้ ~~~
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 08-04-2017 11:08:11
บทที่ 51

“พี่พาร์ไม่ได้อยากไปหรอก”

“แต่ก็ไป” น้ำสวนเบอร์ดี้กลับไปทันที

สองสาวเถียงกันอยู่เบาะหลังตั้งแต่เบอร์ดี้ขึ้นรถมา ผมเคาะนิ้วกับพวงมาลัย นึกหงุดหงิดการจราจรที่ติดได้ติดดีมากกว่าเสียงน้องๆ ซะอีก

“พี่พาร์จำใจไปแน่นอน!” 

“เห็นสีหน้าจำใจเหรอ?”

“ก็ไม่…แต่เมื่อคืนตอนเบอร์เข้าไปหา พี่พาร์ดูหงุดหงิดนะ”

“ก็แค่เมื่อคืน!”    

“อย่าหาเรื่องกันนะน้ำ!”

“ก็มันน่าไหมล่ะ ถ้าพี่พาร์นอกใจพี่ทีนะ มีโกรธ!!”

“สาวๆ” ผมเรียกทั้งคู่ก่อนจะเถียงกันหนักกว่านี้ “พี่ว่าเราเปลี่ยนแผนไปรถไฟฟ้ากันเถอะ”

เมื่อไม่มีใครคัดค้าน พอรถเคลื่อนตัวได้ผมก็พยายามหาทางชิดซ้าย ขับเลี้ยวเข้าห้างใกล้ๆ วนหาจนได้ที่จอดรถก็พาสองสาวเดินทะลุห้างออกมาขึ้นบีทีเอสไปสยามแทน ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงสถานีสยาม คนเยอะจนผมต้องรีบคว้ามือน้องคนละข้างกันพลัดหลง แม้เข้าห้างมาแล้วผมก็ยังไม่กล้าปล่อยมือ กวาดมองฝูงชนตรงหน้าแล้วแอบผวา

คนเยอะไปไหน!

เบอร์ดีเขย่าแขนผม “ไปอุโมงค์ปลาค่ะ พี่พาร์นัดเพื่อนไว้ที่นั้นตอนสิบเอ็ดโมง”

“ฮะ?” ผมมึนนิดๆ “นัดเจอที่อุโมงค์ปลาเลยเนี่ยนะ?”

“ไม่ใช่ค่ะ นัดเจอกันหน้าทางเข้า”

ผมร้องอ้อในใจ แม้จะร้อนใจอยากไปเห็นกับตา แต่…

“ตั้งแต่เช้าเบอร์กินอะไรมายัง?” ผมจ้องสาวน้อยที่ตอนแรกพยักหน้า แต่พอโดนจ้องหนักเข้าหน้าก็เริ่มเจื่อน สารภาพเสียงอ่อย

“…ยังค่ะ”

ก็ว่าอยู่ ผมได้ยินเสียงท้องร้องของใครสักคนตั้งแต่อยู่ในรถล่ะ

“งั้นไปหาอะไรกินกันก่อน” ผมสรุป

“แต่…” น้ำทำท่าจะแย้ง แต่ถูกผมเอ่ยขัด

“ถ้าท้องหิวจะไปมีแรงสู้ได้ไง” พอน้ำเงียบผมก็พูดเสียงอ่อนลง “เอางี้ พี่ให้น้ำเลือกว่าจะกินอะไร”

ยัยน้ำรีบบอกแบบไม่เสียเวลาคิด “แฮมเบอร์เกอร์!”

…เลือกเพราะใช้เวลากินน้อยที่สุดชัดๆ

พวกผมใช้เวลาเติมพลังงานแค่ยี่สิบนาที ก่อนมาเยือนโลกใต้ทะเลที่อยู่ชั้นล่างสุด ก่อนซื้อตั๋วผมคุยกับพนักงานถามหาโปรโมชั่นถึงรู้ว่าใช้บัตรแรบบิทจ่ายจะได้ส่วนลด เลยให้สองสาวรอที่นี่ ส่วนตัวเองย้อนกลับไปเติมเงินบัตรแรทบิททั้งสามใบ แล้ววนกลับมาซื้อตั๋วอีกครั้ง

ได้ตั๋วปุ๊บ สองสาวแทบจะฉุดลากผมเข้าข้างในทันที

“เรากำลังตามหลังพี่พาร์สิบห้านาที” น้ำบอก

ผมแอบงง “ไม่ใช่สี่สิบห้า?” ไหนว่านัดสิบเอ็ดโมงไง

“สิบห้าต่างหาก น้ำเห็นพี่พาร์เข้าไปกับตา มองนาฬิกาด้วย ไม่มีพลาด”

“มากันกลุ่มใหญ่เลยค่ะ เกือบสิบคนได้ มีทั้งชายและหญิง” เบอร์ดี้ให้ข้อมูลเพิ่ม

“เป็นคู่ๆ อีกต่างหาก อย่างกับนัดบอด!”

“อคติไปแล้วนะน้ำ” เบอร์ดี้พูดเสียงขุ่น “พวกพี่เขาอาจแค่มาเที่ยวเฉพาะกลุ่มเพื่อนก็ได้! ตอนเบอร์โทรไปบอกก็ย้ำแล้วว่าแค่อาจจะมีผู้หญิงไปเที่ยวด้วย”

“ตอนนี้ก็มีจริงๆ แล้วนี่!”

สองสาวเริ่มถกเถียงกันอีกแล้ว ผมต้องคอยพูดปรามไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น มองน้องทั้งสองสะบัดหน้าใส่กันก็ชักเห็นอนาคตรางๆ สองคนนี้มีสิทธิ์แตกหักได้เพราะเรื่องพวกผมแน่ๆ

…หลังจากนี้คงต้องคอยระวังแล้วสิ

ผมพยายามดึงน้องมาดูพวกสัตว์น้ำเป็นระยะ น่าเสียดาย พวกมันไม่ได้ช่วยให้สองสาวใจเย็นขึ้นเลย เอาแต่ลากผมเดินตามหาพาร์จนเจอตัวนั่นแหละถึงดึงผมไปซ่อน มองสองสาวที่กลับมาสามัคคีก็ได้แต่ปลงตก แม้สองเสียงจะกระซิบเถียงกันอยู่ก็ตาม

“อยู่ตามลำพังกับผู้หญิงตำตา!”

“เพื่อนพี่พาร์ก็อยู่ใกล้ๆ นี่ไง!”

ผมพ่นลมหายใจให้สองสาว แล้วเหลือบมองพาร์ยืนดูปลาตู้หนึ่งคู่กับผู้หญิงแปลกหน้าได้เพียงแวบเดียวก็ละสายตาหนี ไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ ทั้งที่ในความจริงสมควรเป็นแบบนี้…ใช่ไหม?

“เบอร์!” น้ำเรียกเพื่อนอย่างหมดความอดทน “จะคิดในแง่ดีไปถึงไหน ลองมองดีๆ สิ จงใจยืนกระจายเป็นคู่ๆ แบบนี้ เขาเรียกนัดบอดแล้ว!”

“แต่…”

“ถ้าอยากเถียง งั้นก็ชี้ตัวเพื่อนพี่พาร์ในกลุ่มผู้หญิงมาสิ”

“เบอร์ไม่ได้รู้จักเพื่อนพี่พาร์ทุกคนสักหน่อย!”

“งั้นน้ำออกไปถามให้เอง!”

คนหนึ่งจะออกไปลุย อีกคนคว้าตัวเพื่อนร้องห้าม วุ่นวายจนผมปวดหัวกว่าจะห้ามปรามได้คอก็ชักเริ่มแห้ง   

“แล้วพี่ทีจะซุ่มดูแบบนี้เหรอ” น้ำถามอย่างขัดใจ

“…หลักฐานยังไม่พอ” ผมว่าเสียงนิ่ง

“ไม่พออะไร” น้ำสะบัดเสียงใส่ “มาเที่ยวกับผู้หญิงก็ถือว่าผิดแล้ว!”

ถ้าเป็นแฟนกันล่ะก็นะ…แต่ผมกับมันยังไม่ได้เป็นอะไรกันนี่

ผมซ่อนแววตาหม่นของตัวเองไม่ให้น้องๆ เห็น พอพวกพาร์เคลื่อนตัว น้องๆ ก็ดึงผมเดินตามซุ่มดูไม่ให้คาดสายตา แม้ไม่อยากเห็น แต่ภาพของมันเดินยิ้มหัวเราะกับผู้หญิงก็อยู่ในสายตาผมตลอดเวลา

…เจ็บ

ยิ่งเห็นมันส่งยิ้มให้คนอื่นก็ยิ่งเจ็บ

ผมยกมือกำอกเสื้อตัวเอง…บางทีหัวใจผมคงมีแผลล่ะมั้ง มันถึงได้เจ็บขนาดนี้ เจ็บจนอยากร้องไห้

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้ามองด้านบนให้น้ำตาที่เกือบไหลออกมาย้อนกลับคืนที่ของมัน ก่อนจะคว้าตัวสองสาวลากออกมาจากตรงนั้นด้วยเหตุผลสั้นๆ

“พี่หิวน้ำ”

ผมพาน้องๆ ไปซื้อน้ำจริง แต่จากราคาแพงของมันเลยซื้อแค่แก้วเดียว ผมเลือกแก้วมีฝาปิดรูปเพนกวิ้นถือเป็นของฝากให้น้องอัน เจ้าตัวเล็กต้องชอบแน่ๆ นึกถึงน้องคนเล็กผมก็อดยิ้มไม่ได้ ป่านนี้คงนอนหลับกลางวันกับฮิเมะล่ะมั้ง แต่พอหันมาเจอสายตาสองคู่ที่มองมาน้ำตาคลอก็ตกใจ

“เฮ้ย! เป็นอะไร?!” ไม่มีใครตอบ ผมก็เริ่มเลิ่กลั่ก “หรือว่าอยากได้ฝารูปอื่น?”

ถามแค่นั้นน้องๆ ก็ปล่อยน้ำตาไหลพรากๆ จนผมต้องรีบจ่ายเงิน พาตัวหลบออกมาจากร้านค้า มองหาที่นั่งก็ไม่ว่าง เลยลากหลบมุมไม่ให้ยืนเกะกะขวางทางใคร

“ร้องทำไม” ผมถามเสียงอ่อน

“เพราะพี่นั่นแหละ!” ยัยน้ำทุบมือใส่ท้องผมไม่ยั้ง แต่แปบเดียวก็โผมากอดผมแน่น “น้ำไม่ชอบให้พี่ทีเศร้า ยิ่งยิ้มทั้งที่กำลังเศร้า น้ำยิ่งไม่ชอบ!”

“เอ๊ะ…”

“เบอร์ก็ไม่ชอบ พี่ทีอย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เลยนะ เดี๋ยวเบอร์…” คนพูดสูดน้ำมูก “เบอร์จะไปจัดการพี่พาร์ให้เอง!”

ผมชะงัก ไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอแสดงอารมณ์ออกไปทางสีหน้าขนาดนั้น หลังพยายามปรับสีหน้าใหม่ก็ดึงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเช็ดน้ำตาให้เบอร์ดี้ ยื่นผ้าให้สั่งน้ำมูกออกมา แล้วหันไปดึงผ้าเช็ดหน้าอีกผืนจากกางเกงยัยน้ำ ดันน้องสาวออกห่างตัวจัดการเช็ดน้ำตาน้ำมูกให้

นานแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ให้น้อง และจากประสบการณ์ผมไม่กล้าพูดอะไรสักคำ เพราะเดี๋ยวน้องจะร้องไห้มากกว่าเดิม รอจนสองสาวหยุดน้ำตาได้ถึงจูงมือเตรียมพากลับบ้าน อารมณ์นี้ให้อยู่เที่ยวต่อก็คงไม่มีใครอยากเที่ยวแล้วล่ะ เผลอๆ ถ้าบังเอิญไปเจอพาร์อาจมีเรื่อง

แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้ดวงผมตกอย่างหนัก ดันได้ปะทะคนที่ไม่อยากเจอเข้าจังๆ ที่อุโมงค์ปลา 

พาร์หุบยิ้มทันทีที่เห็นพวกเรา มันมองสองสาวแล้วมองผม แววตาเปลี่ยนไปฉับพลัน

“ไปเหอะพี่” น้ำสะบัดหน้าใส่พาร์ หันมาลากตัวผมเดินต่อ

“เดี๋ยวสิน้ำ คือว่า…” เบอร์ดี้ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงที่ว่ากลับหยุดลงหลังได้ยินเสียงนุ่มนวลของผู้หญิงข้างตัวพาร์   

“มีอะไรเหรอพาร์?”

ผมเหลือบมองมือเรียวเล็กของผู้หญิงเอื้อมมาจับแขนมัน เหมือนแผลในหัวใจโดนกรีดซ้ำ เจ็บจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ผมรีบเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า กำลังจะจูงน้องๆ เดินผ่าน แต่ยัยน้ำกลับสะบัดมือผมหลุดพุ่งไปเตะหว่างขาพาร์เต็มๆ แถมยังกรีดร้องใส่

“น้ำเกลียดพี่!”

ผมรีบตามไปตะครุบตัวน้องสาวลากกลับมาหาเบอร์ดี้ที่ยืนอ้าปากเหวอ แววตาตระหนกสุดๆ ยามเห็นพี่ชายแท้ๆ ทรุดฮวบไปนั่งกับพื้น เสียงสั่นๆ เอ่ยเรียกพี่ชายตะกุกตะกัก

“พะ…พี่”

ผมพยายามจับล็อกยัยน้ำที่กำลังดิ้น ลองปล่อยหลุดไปสิคงเข้าไปซ้ำพาร์แน่ อยู่นานกว่านี้คงไม่ได้แล้ว ผมรีบหันไปถามเบอร์ดี้รัวเร็ว

“เบอร์ล่ะ จะอยู่นี่หรือจะไปกับพี่?”

เบอร์ดี้มองผมสลับกับพาร์ที่ยังลุกไม่ขึ้นไปมา แววตาลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเหลือบมองคนมีสีหน้าตกใจย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้างพาร์ก็ยื่นมือคว้าชายเสื้อผม พูดเสียงหนักแน่น

“เบอร์ไปด้วย!”

ผมพยักหน้าให้เบอร์ดี้เก็บแก้วน้ำที่พื้นแล้วเดินตามมา ส่วนอีกคน…พอโดนผมจับอุ้มท่าเจ้าหญิงก็คว้าคอผมไปกอด ซบหน้ากับไหล่ปล่อยโฮออกมาไม่อายใคร

ระหว่างพาตัวเดินออกมาเร็วๆ ผมถูกเจ้าหน้าเข้ามาขวาง ต้องเสียเวลาตอบคำถามสักพักกว่าพวกเขาจะหลบทางให้ผมพาสองสาวออกมา หลังพาขึ้นรถไฟฟ้าผมก็โดนประชาชีจ้องเอาๆ ก็คนหนึ่งเล่นสะอึกสะอื้นไม่หยุด อีกคนก็ทำท่าจะเป่าปี่ตามเพื่อนทุกเมื่อ

แค่วันนี้ผมได้เจอประสบการณ์หลากหลาย ได้ทำกระทั่งฉาบปูนที่หน้า ดีที่คู่นี้อายุแค่สิบสาม และผมกับน้ำหน้าตาคล้ายกัน ไม่งั้นผมอาจโดนสังคมรุมประณามปาข้าวของใส่ไปแล้วก็ได้

ที่สุดผมก็ทนเห็นเด็กสองคนนี้ซึมเศร้าไม่ไหว จึงลากตัวไปเลี้ยงไอศกรีมปลอบใจในห้างที่ผมจอดรถทิ้งไว้ มองทั้งคู่กินไป นั่งตาแดงจมูกแดงไป เห็นแล้วก็ได้แต่อ่อนใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกโชคดีที่มีสองสาวมาเป็นเพื่อน ไม่งั้นผมคง…ผมสะบัดหน้าไล่เรื่องนั้นทิ้ง ก่อนชวนสองสาวคุยเรื่อยเปื่อย กินเสร็จก็พาไปเดินเล่น พยายามดึงความสนใจไปที่สิ่งของรอบตัว รอจนอารมณ์สองสาวดีกว่านี้ค่อยพากลับบ้าน

แต่ใครจะคาดคิดว่าที่บ้านมีระเบิดเวลาลูกเล็กๆ รอคอยผมอยู่

ทันทีที่เจ้าตัวเล็กเห็นหน้าผมก็แผดเสียงร้องไห้ใส่ทันที กลางวันโดนน้องสาวทุบท้อง ตกบ่ายโดนน้องคนเล็กวิ่งมาทุบต้นขา แต่แรงน้อยกว่าน้ำเยอะผมเลยไม่ค่อยเจ็บ พูดอะไรบ้างก็ไม่รู้ยืดยาวมาก แต่จับใจความได้แค่ ‘ทิ้งอัน’ กับ ‘หนีเที่ยว’

ผมที่วันนี้รู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจก็ได้แต่ฝืนยิ้ม พยายามปลอบน้องคนเล็กด้วยเหตุผลที่เด็กคนนี้น่าจะเข้าใจที่สุด

“ถ้าพี่พาอันไปด้วย ใครจะอยู่กับฮิเมะล่ะ”

คนร้องไห้เริ่มชะงัก ผมได้จังหวะพูดปลอบอีกสองสามประโยค เจ้าตัวเล็กถึงยอมพยักหน้าหงึกๆ ว่าเข้าใจ ผมส่งสัญญาณให้เบอร์เอาแก้วน้ำในมือให้น้อง อันถึงได้ยิ้มออก…นี่ถ้าให้แก้วน้ำผิดจังหวะคงโดนน้องโยนทิ้งพื้นแหงๆ

เสร็จสิ้นภารกิจครอบครัว ผมก็บอกแม่สั้นๆ ว่าวันนี้ไม่กินข้าวเย็น แล้วชิ่งหนีมาก่อนโดนซักถาม

ขึ้นถึงบนห้องก็ดึงสมาร์ทโฟนที่สั่นเป็นระยะตั้งแต่ออกจากโลกใต้ทะเลยัดใส่ลิ้นชัก ไม่คิดแลดูหน้าจอ ผละเดินมาหน้าตู้หนังสือ เริ่มค้นหาบอร์ดกระดานเล็กๆ

จำได้ว่าเก็บไว้แถวนี้…เจอล่ะ

ผมมองข้อความเดิมที่ดูเลื่อนๆ ตามกาลเวลา ‘ห้ามรบกวนคนอ่านหนังสือสอบ’ นึกย้อนดูจากเด็กเตรียมสอบวันนั้นกลายมาเป็นเด็กปี1 เทอม2 ในวันนี้…เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันนะครับ

ผมลบข้อความเดิมทิ้งหาปากกาบอร์ดมาเขียนข้อความใหม่

‘ขอมีเวลาส่วนตัวบ้าง ห้ามใครรบกวน’

หลังเอาไปแขวนหน้าห้องก็ดึงปิดประตูกดล็อกทันที ถ้าไม่ใช่ระดับไฟไหม้บ้าน ประตูบานนี้จะไม่เปิดออกจนกว่า…จะถึงพรุ่งนี้

แค่คิดก็เผลอถอนหายใจ ถึงไม่อยากไปก็ต้องไป ไม่งั้นเจอพี่ดินอบรมยาว

ผมหมุนตัวเข้าห้อง มองข้าวของที่ไม่ใช่ของผม หัวใจพลันเจ็บแปล๊บ แอบถามตัวเองว่า เพราะรู้ตัวช้าเกินไปใช่ไหม…

หึ เสียมันไปก่อนที่จะได้ทำอะไรซะอีก โง่เป็นบ้า

ผมหัวเราะเยาะตัวเองในใจ เพราะไม่อยากจมอยู่ในความผิดหวังแม้แต่วินาทีเดียว จึงคว้าเจ้าเครื่องเล่นเพลงพกพาตรงไปที่เตียง หลังเอาหูฟังครอบหัวก็ทิ้งตัวบนฟูกนอนทันที เปลือกตาปิดลง ปล่อยให้ท่วงทำนองเพลงวนเวียนภายในหัวเพียงอย่างเดียวโดยไม่คิดอะไรอีกเลย 

ช่วงเวลาหัวค่ำ ผมพึ่งออกจากห้องน้ำ แว่วเสียงเอะอะเหมือนมีคนกำลังทะเลาะกัน ว่าจะไม่สนใจ แต่เสียงที่ว่าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนตอนนี้ถกเถียงกันอยู่หน้าประตูห้องผม

“พี่ไปกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว จะกลับมาที่นี่อีกทำไม! ไปเลยนะ! อย่ามาเข้าใกล้พี่ชายน้ำ!!”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น!”

ผมชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงน้ำกับพาร์ รู้ตัวอีกทีก็ยืนหน้าบานประตู ยื่นมือแตะลูกบิด สองจิตสองใจจนยืนค้างอยู่ในท่านั้น 

“น้ำเห็นเต็มสองตายังไม่ใช่อะไรอีก!”

“ให้พี่คุยกับที!”

“ไม่มีทาง!”

แว่วเสียงเบอร์ดี้พยายามพูดให้น้ำใจเย็นๆ ก่อนบานประตูโดนทุบกระหน่ำจนผมสะดุ้งโหยง เผลอปล่อยมือจากลูกบิด ก้าวถอยห่างมาหน่อยอย่างตกใจ

“ทีเปิดประตู!”

“ไม่เห็นป้ายหรือไง พี่ไม่เปิดหรอก เคาะให้ตายก็ไม่เปิด!”

คำพูดของน้ำเรียกสติผมกลับคืนมา จ้องประตูด้วยแววตาหม่นๆ อยู่ใกล้แค่นี้แต่ผมกลับไม่มีสิทธิ์ คิดพลางหมุนตัวเอนหลังพิงบานประตูเบาๆ อย่างหมดแรง หลับตาลงฟังสองเสียงที่ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น

ใจที่เย็นขึ้นกว่าเดิมทำให้ผมคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ถ้ายังไงก็ต้องสูญเสียมันไปล่ะก็ ปล่อยมือตอนนี้น่าจะดีกว่า เจ็บวันนี้ยังพอทนไหว แต่เจ็บในวันหน้าผมอาจทรมานจนอยากตายเพราะมัน

“เด็กๆ ทะเลาะอะไรกัน?” เสียงพ่อแทรกขึ้นมา 

ผมยืนฟังบทสนทนาเงียบๆ จนกระทั่งไม่มีเสียงใดๆ อยู่หน้าห้องถึงเดินกลับไปที่เตียงนอน รีบหยิบหูฟังมาสวม ดื่มด่ำในเสียงเพลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเองให้มากที่สุด ก่อนที่ความเครียดจะทำผมไข้ขึ้น

-------------

“เหล่าผู้มีค่าหัวหน้าใหม่ทั้งหลาย ถึงเวลาพิสูจน์ความสามารถครั้งแรกของตัวเองกันแล้ว วันนี้พวกเธอจะได้ลิ้มรสการเป็นผู้ถูกล่า จะโดนล่าหรือหนีรอด ขึ้นอยู่กับตัวพวกเธอเอง วันนี้ไม่มีพวกหน้าเก่า ไม่ต้องกลัวไปจะไปหนีทับเส้นทางของใคร จงหนีให้เต็มที่ ขอให้โชคดี”

เสียงตบมือดังขึ้นทันที ก่อนจะค่อยๆ ซาลง ฟังรุ่นพี่อีกคนออกมาพูด

“พวกเธอมีเวลาเตรียมตัวสิบนาที ก่อนเราจะปล่อยผู้ไล่ล่าลงสนาม พวกเธอต้องเอาของกลับมาก่อนได้ยินเสียงสัญญาณตอนเที่ยงตรง หลังสัญญาณดังจะไม่มีการไล่ล่าเกิดขึ้น ต่างฝ่ายต้องกลับมาที่พักตัวเอง และจะเริ่มไล่ล่าอีกครั้งในช่วงบ่ายโมงครึ่ง ใครมีคำถาม?”

คนนั่งหน้าผมยกมือถาม “ถ้าโดนจับตัวได้จะเป็นยังไงคะ?”

“เธอจะโดนผู้ไล่ล่าคุมตัว ถ้ามีโอกาสก็หลบหนีออกมา อย่าลืมว่าพวกเธอต้องหนีเอาตัวรอด อย่าโง่ไปนั่งเฉยๆ ให้เหล่าสามีคณะคุมตัวได้ง่ายๆ ล่ะ”

“ออกไปเตรียมตัวกันได้แล้ว!”

วันนี้ผมสวมผ้ารองเท้าผ้าใบ กางเกงพละขายาว เตรียมมาลุยเต็มที่ ส่วนท่อนบนเป็นเสื้อยืดคอกลมที่ได้รับแจกมา ผู้ถูกล่าคือเสื้อสีฟ้าอมเขียว ส่วนฝ่ายไล่ล่าคือเสื้อส้ม แบ่งแยกชัดเจนว่าใครอยู่ฝ่ายไหน ดีที่เป็นการหนีครั้งแรกผู้ไล่ล่าเลยมีแค่หนึ่ง ถึงเจอคนเสื้อส้มคนอื่น ถ้าไม่ใช่พาร์ ต่อให้ผมเดินเฉียดผ่านหน้าก็ไม่โดนจับ

แต่หลังจากนี้คงเพิ่มจำนวนผู้ไล่ล่าทุกการฝึกซ้อม ตำแหน่งฝึกซ้อมไล่ล่าต้องให้สามีคณะรับผิดชอบครับ รุ่นพี่ให้เหตุผลว่า เมื่อสามีฝึกเป็นผู้ไล่ล่าก็จะเข้าใจทั้งวิธีหลบหนีของสะใภ้คณะ และวิธีรับมือผู้ไล่ล่าเอง เป็นการเตรียมพร้อมป้องกันและช่วยเหลือสะใภ้คณะในวันสงคราม

เสียงสัญญาณปล่อยตัวผู้ไล่ล่าดังขึ้น เหล่าคนที่เดินทอดน่องก็ตื่นตัวแยกย้ายหนีกันกระจัดกระจาย

แววตาผมเปลี่ยนเป็นจริงจังระหว่างย้ายตัวเองหาที่กำบังให้พ้นจากสายตาคนอื่น ลอบมองคนเสื้อส้มวิ่งผ่านไปเป็นระยะ ได้จังหวะก็เคลื่อนไหวบ้าง บางทีผมควรหาตัวพาร์ให้เจอก่อนคงทำให้ได้เปรียบกว่า ติดแต่ว่า…ผมไม่อยากเห็นหน้ามันนี่สิ

ผ่านมาหลายชั่วโมง ผมก็นึกสงสัยว่าไอ้คนที่ควรไล่ผมหายหัวไปไหน นี่ขนาดผมเดินชิวๆ ล่อเป้าอยู่กลางถนน มันยังไม่โผล่หัวให้เห็นเลย

สาเหตุที่ผมมาเดินโชว์ตัวแบบนี้ เพราะของที่ต้องหิ้วไปส่งก่อนเที่ยงครับ มันคือเจ้าตุ๊กตาหมีตัวโตพอๆ กับน้องอัน ของชิ้นใหญ่ที่สุดในบรรดาของทั้งหมดที่รุ่นพี่เตรียมมาให้จับฉลาก ช่วยยืนยันชัดเจนว่าผมกำลังดวงตก

เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนผมผ่านไปเจอเจ้าหมีกำลังนั่งยิ้มแป้นบนเก้าอี้ไม้ ไม่ทุกข์ร้อนแม้อยู่กลางแดดในลานกิจกรรมของพวกวิศวะ แถวนั้นมีเสื้อส้มซุ่มอยู่เพียบ ผมเลยยังไม่กล้าไปเอา กลัวพาร์อยู่แถวนั้น เลยตัดสินใจล่อเป้าให้พาร์มาแถวนี้ก่อน แต่แผนนี้คงเป็นหมันแล้วล่ะ

ผมพ่นลมหายใจ เมินคนเสื้อส้มที่เลิกคิ้วใส่ระหว่างเดินผ่าน คงประหลาดใจที่ผมมาเดินให้จับง่ายๆ มั้ง

คิดพลางเดินเซ็งๆ กลับลานวิศวะ ระหว่างทางเจอคู่หนึ่งกำลังวิ่งไล่จับอย่างสนุก…ผมคงเป็นคนเดียวที่ไม่โดนไล่ล่าล่ะมั้ง น่าเบื่อชะมัด ผมเดินดุ่มๆ ไปคว้าเจ้าหมีมา แล้วเดินไปอาคารหอสมุด ข้างๆ หอสมุดมีร้านคาเฟ่ห้องแอร์อยู่ครับ นั่นแหละ สถานที่ต้องกลับไปของผม   

แค่โผล่หน้าผ่านมุมตึกห้องสมุดก็รีบถอยหลังแทบไม่ทัน เพราะไอ้คนที่ผมสงสัยว่าหายไปไหน มันกำลังนั่งบนบันไดขั้นสองของทางขึ้นร้านคาเฟ่ครับ สีหน้าพาร์เครียดขึง แววตาดุดันจนเหล่าเสื้อฟ้าอมเขียวเดินถือของขึ้นบันไดไปมองมันไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ แค่เห็นก็รู้แล้วครับว่าตัวเองหมดสิทธิ์ผ่าน นอกจากรอเสียงสัญญาณดัง

หลังนิ่วหน้างึมงำด่าไอ้คนฉลาดแกมโกงจนหน่ำใจ ก็พยายามมองหาทางเข้าอื่น เจอแค่ต้นไม้ให้ปีนขึ้นไป แต่แบกหมีปีนด้วยคงไม่ไหว แถมยังมีกฎห้ามทำของจับฉลากเสียหาย ผมเดาว่าคงครอบคลุมถึงความสะอาดด้วยล่ะมั้ง

มองหมีสีน้ำตาลขนนุ่มฟู่ในอ้อมกอด แล้วถอนหายใจ ควานหามือถือมาดูเวลา เจอแต่ความว่างเปล่า

อ้อ ผมทิ้งมือถือไว้ที่บ้านนี่หว่า

เลยเดินย้อนกลับไปหน้าห้องสมุด มองผ่านกระจกดูนาฬิกาติดฝาผนัง อ้าวเฮ้ย เหลืออีก 5 นาที ช่างหัวพาร์แล้ว! ผมหมุนตัวออกวิ่งไปทางคาเฟ่ แค่โผล่หน้าไปก็จ้องมา ขณะกำลังจะวิ่งขึ้นบันได ไอ้คนนั่งอยู่ดันลุกเอาตัวมาขวางทางขึ้น ผมเขยิบไปทางซ้าย มันตามมาขวาง ย้ายไปทางขวาก็ตามอีก

“หลีกไป!” ผมผลักพาร์ให้หลบไปพ้นทาง แต่มันกลับคว้าแขนผมไปบีบแน่น

“ไม่! มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

ต่างคนต่างจ้อง พาร์ไม่ถอย ผมก็ไม่ถอย เป็นผมที่ส่งเสียงหัวเราะในคอ จงใจส่งเสียงเย้ยหยัน

“มาดักรอแทนที่จะตามหาตัวกู น่าภูมิใจฉิบหาย”

“ที!”

ผมสะบัดแขนออก “มึงในตอนนี้ไม่มีสิทธิ์มาพูดอะไรทั้งนั้น ถอยไป!”

“ไม่!”

ผมส่งแววตาเย็นชาให้มัน “ถ้าอยากให้กูคุยด้วยก็ใช้ความสามารถมึงตามจับตัวกูให้ได้สิ”

พูดแค่นั้นผมก็เดินเบียดพาร์ขึ้นบันได ไม่คิดเหลียวหลังไปมอง และพยายามไม่สนใจอาการเจ็บแผลตรงอก ผมเข้าใจดี บาดแผลยังใหม่ กว่าจะหายคงต้องใช้เวลา

-------------

แฮ่กๆๆ

ผมหอบหายใจรัวด้วยความเหนื่อย สำนึกขึ้นมาทันที ไม่น่าอารมณ์ขึ้นจนไปพูดท้าทายพาร์เลย

สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกยาวๆ ไม่กี่ครั้ง ก็ผละจากที่ซ่อนตอนนี้เตรียมไปต่อ อยู่ที่เดิมนานๆ ไม่ได้หรอก พาร์แม่งหาเก่ง ไม่แค่นั้น ทั้งฝีเท้าทั้งการไล่ต้อนดักคนก็ทำได้ดีจนผมเกือบจนมุมหลายครั้ง ข้อได้เปรียบเดียวของผมคือชำนาญพื้นที่มากกว่ามัน แต่เพราะโดนไล่ต้อนแบบนี้ ผมเลยไม่มีโอกาสได้ตามหาของในฉลาก…

เฮ้ย!

ผมรีบก้มตัวหมอบกับพื้น หลบสองมือที่จู่ๆ ก็โผล่มาด้านข้างกะทันหัน พาร์เลยตะครุบได้แต่อากาศ ผมใช้โอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งหลักออกวิ่งเต็มฝีเท้า รู้สึกถึงรังสีคุกคามแผ่มาจากข้างหลังก็ชักหน้าซีด ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่คิดผ่อนความเร็ว

ยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนครั้งที่พาร์เข้ามาจู่โจมผมก็ยิ่งมาก ผมเริ่มเครียดรับรู้ว่าร่างกายเริ่มประท้วงหลังใช้งานมันหนักเกินไป ส่งผลให้แรงถดถอย

โอ๊ย...ช่วยปล่อยกูพักหายใจหายคอบ้างเหอะ!!

ผมผงะตกใจกับของบางอย่างที่ปาใส่เฉียดหน้ากระแทกเข้ากับกำแพงข้างซ้ายมือ แต่เสียงเบากว่าที่คิด ก้มมองถึงเห็นว่าเป็นตุ๊กตาหมียักษ์หน้าตาคุ้นๆ

มาจากไหนวะนี่…

ผมรีบก้มเก็บเจ้าหมี เจอแบบนี้ก็ดีจะได้เอาไปส่ง…

รู้สึกเหมือนมีใครยืนข้างหลัง หันไปดูถึงกับผงะ ร่างกายเคลื่อนไหวหนีก่อนสมองสั่งการ รู้ตัวอีกทีหลังผมก็ติดกำแพงก้นติดพื้น มีจอมมารกระแทกฝ่ามือกั้นไม่ให้ผมหลบหนีไปไหน ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เหลือบมองด้านล่าง หัวเข่ามันแทรกกลางระหว่างขา ใกล้จนได้ยินเสียงหอบหายใจของกันและกัน ได้กลิ่นกระทั่งเหงื่อจากตัวมัน ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นกลัวจะมีเหตุปากชนปาก ได้แต่พูดงึมงำ

“…ถอยไปหน่อยก็ดีนะมึง”

“มึงก็หนีน่ะสิ!”

ผมหุบปากหลังได้ยินเสียงตะคอก ตั้งแต่เริ่มการไล่ล่าช่วงบ่ายพาร์เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เถื่อนขึ้นจนผมอึ้ง แถมยังทำผมขวัญหนีดีฟ่อหลายครั้ง ที่วิ่งหนีมันได้นานขนาดนี้ ต้องเรียกว่าหนีตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดล้วนๆ

“ฟังกูพูดให้ดี ถ้ามึงกล้าเหม่อหรือมีท่าทางต่อต้านไม่ฟัง กูจะจูบมึงตรงนี้แหละ!”

ตรงนี้เนี่ยนะ! ลานกว้างใต้อาคารเรียนแบบนี้มันไม่มีที่กำบังนะเฮ้ย

“กูไม่ได้อยากเบี้ยวนัดมึงเมื่อวาน! แต่กูลืมไปว่ามีนัดกับเพื่อนเก่าสมัยประถมตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน”

“แล้ว?”

“ไม่นึกว่าพวกมันจะชวนเพื่อนที่มหาลัยมาเที่ยวด้วยแบบนั้น”

ผมพ่นลมหายใจ “แค่นี้ใช่ไหมที่อยากบอก?”

“อีกเรื่องมึงกำลังเข้าใจกูผิด กูไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้น กูคิดกับมึงเนี่ย!”

ผมกรอกตาไปมา ดันอกให้มันถอยออกห่าง พูดเนิบนาบ “เมื่อเช้า…น้องมึงมาสารภาพผิดกับกูแล้ว”

พาร์ชะงักกึก สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที ผมพูดก่อนที่มันจะอ้าปากแก้ตัว

“มึงรู้ตัวก่อนไปว่ามีนัดบอด แต่มึงก็ยังไป…แบบจงใจด้วย แถมให้เบอร์ดี้โทรไปบอกน้ำ ใช้นิสัยยัยน้ำดึงตัวกูไปหามึงถึงสยาม”

“กะ กูก็แค่…อยากเห็นมึงหึง”

ผมจ้องคนพูดเสียงแผ่วนิ่ง “แต่กูไม่หึง!”

คนฟังหน้าเจื่อนทันที “กูรู้ตั้งแต่สบตามึงที่อุโมงค์ใต้น้ำแล้ว…กูทำมึงเจ็บ ขอโทษ”

“ไม่ใช่แค่กู! เมื่อวานมึงทำน้ำเสียใจ ทำเบอร์ดี้รู้สึกผิด น้องของเราเสียทั้งน้ำตาเสียทั้งความรู้สึก และที่สำคัญมึงเกือบทำให้เด็กสองคนนั้นแตกคอกัน!”

พาร์ทำหน้าสลดทันที ถึงออกอาการหมาหงอย ผมก็ไม่คิดเห็นใจ

“มึงเคยคิดไหมว่า ความรู้สึกที่เสียไป มันยากจะประสานกลับมาให้เหมือนเดิม”

“กูขอโทษ”

“อย่ามาบอกแค่กู ไปบอกน้องด้วย ไม่งั้นมึงได้โดนน้องเกลียดแน่ กลายเป็นหมาหัวเน่าขึ้นมาเมื่อไหร่กูจะหัวเราะเยาะให้” ผมยันตัวลุกขึ้น ดึงเจ้าหมีขึ้นจากพื้นมาวางแหมะบนบ่า หันไปมองพาร์ที่ยังนั่งกับพื้น “และกูขอบอกมึงสั้นๆ…รู้สึกคิดผิดมากที่ไปจีบมึง”

เพราะถ้าผมไม่บอกให้มันรู้ก่อน หรือบอกช้ากว่านี้สักหน่อย เรื่องเมื่อวานอาจไม่เกิดก็ได้

ผมไม่สนใจเสียงพาร์พูดประท้วง เอ่ยทิ้งท้ายเสียงแผ่ว แล้วหมุนตัวเดินผละจากมา “บางทีปล่อยมึงไปคบผู้หญิง อาจดีกว่าให้มึงมาอยู่กับกูก็ได้”

เดินไปไม่ถึงห้าก้าวตัวผมก็โดนรวบไปกอด แผ่นหลังผมชิดอกมัน สองแขนพาร์รัดแน่นมากจนรู้สึกอึดอัด “…ปล่อยกู”

“ไม่…ไม่เอา กูไม่ยอมเสียมึงไปนะ”

ผมชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงสั่นเครือ แถมแถวไหล่ที่โดนซบยังรู้สึกเปียกชื้นหน่อยๆ แวบแรกคืออึ้ง ตั้งสติได้ก็เผลออุทาน

“มึงร้องไห้เรอะ?!”

“กูขอโทษ...ขอโทษจริงๆ…จะไม่ทำอีกแล้วครับ”   

“…ทำอะไร”

“ลองใจมึง”

ผมพ่นลมหายใจทันทีหลังได้ยินคำตอบ “ถ้าคิดได้แค่นี้ก็ปล่อยกูไปเหอะ”

แขนมันรัดแน่นกว่าเก่า น่ากลัวว่าคงแงะไม่ออกง่ายๆ ผมนิ่วหน้าหลังเริ่มรู้สึกหายใจไม่สะดวก

รัดแน่นไปแล้ว!

“…จะดูแลอย่างดี ไม่ทำให้เจ็บอีกแล้ว สัญญาเลย”

ผมไม่ทันได้ฟังช่วงแรกเลยจับประเด็นไม่ถูกว่ากำลังพูดเรื่องอะไร เลยถามกลับมึนๆ

“มึงจะดูแลอะไรนะ?”

เหมือนคำถามนี้จะไปจุดฉนวนน้ำโหคนข้างหลังเข้า ตัวผมถึงโดนหมุนผลักกระแทกผนังตึก แผ่นหลังเจ็บร้าวจนต้องนิ่วหน้า   

“หัวใจของมึงไง!!”

ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงตะคอกของพาร์

“ได้ยินชัดไหม! หรือจะให้กูตะโกนกรอกหูอีกที!”

ยังไม่ทันได้อ้าปาก แววตาดุร้ายที่จ้องมาก็เปลี่ยนเป็นเว้าวอนขอความเห็นใจในแบบที่ลูกหมาไม่ทันหย่านมก็สู้ไม่ได้

“เพราะงั้นยกหัวใจของมึงให้กูดูแลได้ไหม…สัญญาจะดูแลอย่างดี”

ผมตาพร่าไปชั่วขณะหลังโดนดาเมจทั้งเสียงทั้งสีหน้าพุ่งจู่โจมกระแทกเข้ากลางใจ พอได้สติก็รีบยกมือบีบจมูก ส่งเสียงอู้อี้ทั้งที่หลบตามองไปทางอื่น ไม่กล้ามองหน้าพาร์ตรงๆ

“มีทิชชู่ไหม”

“ฮะ?”

“เลือดกำเดากูจะไหล”

############
ช่วงนี้ชลนทีมีเกมชิงให้เล่นนะคะ
ใครสนใจตามลายแทงไปได้ค่ะ

#แปะลายแทง
วันที่ 04/04/2017     เวลา -       สถานที่ เด็กดี (อันนี้ยังเปิดเล่นอยู่นะคะ หมดเวลาก็วันที่16 เมษาค่ะ)
วันที่ 08/04/2017     เวลา 11.00   สถานที่ เด็กดี
วันที่ 14/04/2017     เวลา 19.00    สถานที่ หน้าเพจ
วันที่ 19/04/2017     เวลา 00.00   สถานที่ หน้าเพจ
วันที่ 27/04/2017     เวลา 21.00    สถานที่ เล้าเป็ด
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 08-04-2017 11:33:25
5555555555 จุดอ่อนแต่ละคนสินะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-04-2017 16:06:41
หืมมมม
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 08-04-2017 18:49:37
ที..ใจอ่อนสีกที
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 08-04-2017 18:54:53
คือทีตื่นเต้นจนเลือดกำเดาไหลเลยเหรอ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-04-2017 22:24:36
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-04-2017 09:34:59
เป็นแผนของพาร์จริงๆด้วย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-04-2017 15:05:32
พาร์ ลองใจอย่างนี้ เดี๋ยวก็เสียใจจริงๆหรอก
พาร์ วางแผนอยากให้ทีหึง ทีก็หึงนะ
แล้วเสียใจที่ไม่บอกพาร์ เร็วกว่านี้

ชอบบบบ ที่พาร์ บอกที
“…จะดูแลอย่างดี ไม่ทำให้เจ็บอีกแล้ว สัญญาเลย”
“มึงจะดูแลอะไรนะ?”
   “หัวใจของมึงไง!!”
   
“เพราะงั้นยกหัวใจของมึงให้กูดูแลได้ไหม…สัญญาจะดูแลอย่างดี”

ชอบที่พาร์มีหลายบุคลิก  มีแววตาดุร้าย
แล้วก็เปลี่ยนเป็นเว้าวอนขอความเห็นใจ
แล้วก็เปลี่ยนเป็นเหมือนลูกหมา โอ๊ย.....พาร์ น่ารัก
แต่สุดท้ายพาร์ก็พูดจนไม่รู้ว่าที ซึ้งหรือหื่่นกันแน่
เพราะที เลือดกำเดาไหลเลย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 09-04-2017 20:24:23
เราสงสารพาร์มากกกกกกกกก
พาร์เป็นคนที่น่าสงสารมากค่ะ
เอาตามความรู้สึกเราเลยนะ อย่าโกรธกันนะ 5555
/////////////////////////////////////////

พาร์คือคนที่แสดงออกทุกอย่าง ทุกสิ่งที่ทำคือจริงใจ จริงจังกับความรู้สึกของตัวเองที่มีให้ที แต่ทีทำเหมือนพวกที่กั๊กคนที่เข้ามาชอบตัวเอง แต่ไม่คิดจะให้ความรู้สึกมากไปกว่านี้ เข้าใจว่าทีมีปมบางอย่าง แต่ความรู้สึกของพาร์ก็สำคัญนะ เหมือนทีไม่คิดจะสนใจหรือใส่ใจเลย ทีสามารถปล่อยมือพาร์ได้ง่ายๆ เราว่าทีเจ็บไม่จริงหรอก ความรู้สึกทีอาจเป็นแค่คนที่ชอบตัวเองวันนึงอาจจะหายไปแล้วรู้สึกโหวงๆแค่นี้ก็ได้
#ทีมพาร์
#ทีมคนไม่สำคัญ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 09-04-2017 21:33:05
เฮ้อ!! สงสารพาร์ พาร์นี่ทุ่มสุดนะ ส่วนทีเหมือนๆจะยอมเปิดใจแต่สุดท้ายก็ถอยกลับไปจุดเดิม แถมไม่ยอมฟังเหตุผล เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นหลัก  ไม่ยอมผ่อนปรนอะไรเลย บางทีมองกันคนละมุมมันก็เห็นไปได้คนละแบบนะ ใจเขาใจเราบ้างเถอะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 51] P.18 (08/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 12-04-2017 02:49:05
โอ้ยยยส 5555ชอบตอนสุดท้ายย น่ารักดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 12-04-2017 12:26:11
บทที่ 52

ผมลงจากรถ มองไปทางประตูรั้วบ้านที่เปิดอ้าทิ้งไว้ รถสีเงินจอดขวางหน้าประตูรั้วผิดวิสัยปกติที่ต้องขยับเลื่อนจอดเลียบรั้วนอกบ้าน คิ้วขมวดด้วยความสงสัยไม่นานกระจกฝั่งคนขับก็เลื่อนลงให้เห็นหน้าคนขอขับรถตามมาส่งถึงบ้าน 

ผมขยับมือเป็นเชิงถาม ไม่เข้าบ้านกูเหรอ?

พาร์ไม่ตอบ แต่กวักมือเรียกให้ไปหา ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงทำตามโดยดี

“เลือดหยุดยัง?”

ผมดึงทิชชูที่ยังเสียบในรูจมูกออก ลองก้มหน้าดู เลือดไม่ไหลออกมาแล้วครับ พอเงยหน้าขึ้นก็สบสายตากับพาร์พอดี สีหน้ามันค่อนข้างพอใจ

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นกูไปล่ะ”

“อ้าว ไม่แวะบ้านกู?” ผมถามงงๆ ทุกทีเห็นแวะประจำ อ้อ ต้องยกเว้นตอนมันโกรธผม

พาร์ถอนหายใจ “เพราะเรื่องเมื่อวานกูโดนสั่งห้ามเข้าบ้านมึง…” ชูสามนิ้วให้เห็น

ผมทำหน้าประหลาดใจ “ใครลงโทษมึงเนี่ย แล้วโดนงดสาม…เดือนหรือสัปดาห์?”

“พ่อมึงนั่นแหละ น้องมึงฟ้องกระจาย ตอนพ่อมึงชูสามนิ้วให้เห็น กูนึกว่าจะโดนงดสามเดือนแล้ว”

มุมปากผมกระตุก แต่เวลานี้ไม่ควรหัวเราะ เลยพยายามกลั้นไว้เต็มที่

“อ้อ โดนไปสามสัปดาห์…”

ไม่รอให้ผมพูดจบ พาร์ก็แย้งทันที “สามวันต่างหาก”

“ฮะ? แค่สามวัน?” ผมเบ้ปาก แบบนี้ไม่ต้องลงโทษก็ได้นะพ่อ 

“ถ้าเกิดมึงไม่ยอมออกจากบ้าน ติดต่อมึงก็ไม่ได้ กูคงกระวนกระวายอยู่หน้าบ้านมึง เป็นสามวันที่อาจเปลี่ยนความคิดมึงไปอีกทาง…กูกลัวนะ”

เห็นแววตาสั่นไหวของพาร์ ผมก็ทำอะไรไม่ถูก ต่างคนต่างมองกันเงียบๆ จนกระทั่งคนในรถเอ่ยเรียกผม

“ที…”

ผมเห็นพาร์ขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมา อึดใจต่อมาคนพูดเหมือนจะเปลี่ยนใจ

“กูไปล่ะ เจอกันพรุ่งนี้”

ผมมองท้ายรถสีเงินขับห่างออกไปเรื่อยๆ

ไม่ใช่แค่พาร์ที่รู้สึกค้างคาในใจ ผมรู้ตัวว่าขี้โกงติดคำตอบพาร์ตั้งสองคำถาม และวันนี้ผมก็สัญญาว่าจะตอบด้วย แต่ต่อให้ไม่ตอบวันนี้พาร์ก็ไม่กล้าทวง ผมมั่นใจหลังเห็นอาการอยากพูดแต่ไม่ยอมพูดของมัน

ผมเลื่อนประตูรั้วจนช่องว่างให้คนเดินเข้าออก ใจก็ครุ่นคิดไปด้วย จากเรื่องเมื่อวานทำให้ผมเรียนรู้ว่าปล่อยความสัมพันธ์ไว้ครึ่งๆ กลางๆ ผลเสียปรากฏชัดยิ่งกว่าชัด พาร์ใช้มันลองใจผม ส่วนผมได้แต่มอง เพราะไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามมัน พูดง่ายๆ ผลเสียเยอะกว่าผลดี ผมคงเจ็บกับมันไปอีกนาน และไม่อยากเจอซ้ำสอง 

ผมเริ่มเดินวนอยู่แถวประตูรั้ว ใจเริ่มแบ่งเป็นสองฝ่ายตบตีกันดุเดือดว่าจะไปหรือไม่ไป ความกล้าคือเรื่องหนึ่ง และอีกเรื่องคือการไปเยือนบ้านพาร์ ให้วิ่งโร่ถึงบ้านมันแค่ไปให้ตอบคำตอบก็ใช่เรื่อง

มันต้องมีข้ออ้างสิ!   

อ้างอะไรดีล่ะ…มึงลืมของ?

ผมเหลือบมองชั้นสอง ถึงไม่เห็นห้องตัวเอง แต่ข้าวของในห้องผมมีของพาร์เพียบ แต่พอเห็นห้องยัยน้ำผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ขืนเข้าไปขนลงมา น้องสาวที่น่ารักคงคว้าไปทั้งหมดและบอก เดี๋ยวน้ำเอาไปคืนให้เอง แล้วก็คงให้พ่อขับรถไปส่ง และเพราะสาเหตุนี้ผมเลยไม่อยากเข้าบ้านไปเจอน้อง ไม่งั้นคงโดนตามเฝ้าไม่ได้ออกไปไหนจนถึงพรุ่งนี้

หลังเดินวนไปเวียนมา ระดมสมองครุ่นคิดหลายนาที จนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำทิชชู่เปื้อนเลือดไม่เอาไปทิ้งสักที…เปื้อนเลือด! นั่นแหละ!

เหตุผลเข้าท่าแวบเข้ามาในหัว ผมรีบหมุนตัวตรงไปจับจักรยานเข็นผ่านช่องประตูรั้วที่เปิดทิ้งไว้ หันมาดึงประตูปิด แล้วขี่จักรยานออกมาเงียบๆ

…เดี๋ยวที่บ้านหาตัวผมไม่เจอก็โทรหาเองแหละครับ

-------------

ผมชะเง้อคอดูลาดเลาอยู่หน้าบ้านพาร์ เห็นรถสองคันจอดอยู่ ลุงแทนกับป้าเจนอยู่บ้านแหงๆ ผมเริ่มลังเลว่าจะเดินหน้าหรือถอยก่อนดี แต่ใจอยากเคลียร์ให้จบๆ เลยยกมือไปกดออด

ติ่งต่อง~

ผมยืนนิ่งรอ แต่ในใจกระวนกระวายพอสมควร คนที่โผล่มาดูแขกคือลุงแทน ผู้สูงวัยทำหน้าประหลาดใจทันทีที่เห็นผม แววตาเหมือนอยากถามว่าทำไมผมถึงมาอยู่นี่

“เอ่อ…พาร์” ผมอึกอัก

“เดี๋ยวๆ นี่มันสลับกันแล้ว” ลุงแทนพูดสวนขึ้นมา “พาร์ต่างหากที่ควรไปยืนหน้าบ้านนู้น”

“ครับ?” ผมทำหน้ามึน ไม่เข้าใจว่าผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนอยากบอกอะไรกันแน่

“พ่อหมายถึงพาร์เป็นฝ่ายทำผิดก็ควรไปง้อทีต่างหาก นี่อะไรให้ทีมาง้อซะงั้น ใช้ไม่ได้!”

ผมกระพริบตาปริบๆ บอกจุดประสงค์ที่คิดไว้ก่อนมา

“ผมมาเพราะหมีน่ะ”

“หมี?”

“ครับ ตุ๊กตาหมีมอมๆ เปื้อนเลือด พาร์น่าจะพึ่งอุ้มเข้าบ้าน”

“อ้อ พ่อเห็นหิ้วไปด้านหลัง คงเอาไปซัก”

“นั่นแหละครับ ผมมาช่วยน่ะ เพราะผมมีส่วนผิดทำมันเปื้อนเลือดด้วย”

“…ไม่ได้มาง้อ?”

ผมพยักหน้า พูดยืนยัน “มาช่วยซักตุ๊กตาหมีครับ”

ผู้สูงวัยกรอกตาไปมา เหมือนสงสัยว่าเด็กพวกนี้เล่นบ้าอะไรกัน ก่อนถอนหายใจเลื่อนประตูบ้านให้ จนผมต้องรีบร้องค้าน

“ประตูเล็กพอครับ ผมเอาจักรยานมา”

ระหว่างผมยกจักรยานข้ามขอบประตูรั้วเข้ามา ลุงแทนก็ถามอีกอย่าง ท่าทางข้องใจมาก

“มาเจอหน้าลูกชายพ่อแบบนี้ ไม่โกรธแล้ว?”

“…ทำไมถึงถามล่ะครับ”

“ก็ทีน่าจะโกรธพาร์จนไม่อยากเห็นหน้านี่น่า อรรถเลยสั่งงดพาร์ไปที่บ้านตั้งสามวัน”

…แค่ผมกับพาร์มีเรื่องกัน ผู้ใหญ่ก็รู้เรื่องกันหมดเลยเรอะ

ผมยิ้มเจื่อนๆ ให้ลุงแทน “คือ…วันนี้พาร์พูดขอโทษผมไปแล้ว”

“แค่นั้นก็หายโกรธ?”

ผมมองสีหน้าไม่เชื่อของผู้สูงวัยกว่าก็ได้แต่พูดอ้อมแอ้ม “…ผมทำลูกชายลุงร้องไห้น่ะ”

“ใครร้องนะ?!”

ผมปิดปากไม่กล้าพูดอีก รีบเข็นจักรยานไปหาที่วาง หันมาเจอสีหน้าสุดเหลือเชื่อของลุงแทนก็รีบหาทางชิ่ง

“ผมไปช่วยพาร์ก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวที มาเล่าให้พ่อฟัง…” 

ผมวิ่งเลียบกำแพงด้านข้างเกือบทะลุถึงส่วนด้านหลังก็ผ่อนฝีเท้าลง แอบเลี้ยวมองด้านหลัง กลัวลุงแทนวิ่งตามมาจริงๆ ด้านหลังว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาคน เผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันมาก้าวเท้าเลี้ยวมุมข้างหน้าก็เจอลานเล็กๆ ที่พอมีที่ให้ตากผ้า

พาร์อยู่ที่นั่นจริงๆ นุ่งแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว กำลังยืนเทผงซักฟอกลงกะละมังใบใหญ่ ตาเผลอกวาดมองแผ่นหลังไล่ลงมา ตั้งสติได้ก็รีบเบือนสายตาหนี ก่อนขมวดคิ้วรู้สึกว่านี่มันแปลกไปหรือเปล่า ก็แค่คนเพศเดียวกันเกือบเปลือย…

หันไปเจอเสื้อยืดที่จำได้ว่าของพาร์ตากแขวนไว้ ดูท่าทางแห้งดีแล้ว เลยแกะจากไม้แขวนเสื้อเดินเงียบๆ จับเสื้อสวมผ่านหัวทางด้านหลัง

“เฮ้ย!”

ผมรีบอ้อมมาคว้ากล่องผงซักฟองกับช้อนตักในมือพาร์ แล้วบอกคนที่กำลังตกใจ

“ใส่เสื้อซะ”

 พาร์ชะงัก เงียบไปอึดใจหนึ่งถึงพูดโผล่ออกมา น้ำเสียงตกใจยิ่งกว่าที่อุทานเมื่อกี้

“ทีเรอะ!”

“เออ กูนี่แหละ”

ผมเอาผงซักฟอกไปเก็บบนชั้นติดผนังบ้าน หันกลับมาพาร์กำลังใส่เสื้อครึ่งๆ กลางๆ แววตามองมายิ้มๆ

ผมทำเป็นไม่เห็นท่าทางยั่วกัน เดินผ่านมันไปนั่งยองๆ ข้างกะละมัง จุ่มมือละลายผงซักฟอก

“มึงมาได้ไง?”

ผมตอบโดยไม่หันไปมอง “ขี่จักรยานมา”

“แล้วมาทำไม”

“นึกได้ว่าหมีอยู่กับมึง”

“นี่มึงมาเพราะหมี?”

“แหงสิ กูเป็นคนทำเลือดหยดใส่มันนี่”

“อ้อ ต้องขอบคุณเลือดกำเดาของมึงที่ทำให้เราได้กลับเร็ว”

ผมถึงกับหลุดขำ เอ่ยล้อเลียนพาร์กลับ “ต้องขอบคุณการไล่กวดของมึงด้วย ทำกูหนีหัวซุกหัวซุนตั้งเกือบสองชั่วโมงจนรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่เฝ้าดูถึงกับให้กูผ่านทดสอบ”

“ไม่นึกว่ามีผ่านกับไม่ผ่านด้วย”

“นั่นสิ นี่ถ้าช่วงบ่ายมึงไปนั่งดักรอกูเหมือนช่วงเช้า สงสัยเราคงได้โดนนัดให้มาวิ่งไล่จับกันใหม่แหงๆ”

พาร์รับคำในคอ บอกให้รอแปบอย่าพึ่งเอาหมีลง ผมหันมองเห็นพาร์ที่สวมเสื้อเรียบร้อยแล้วกำลังเดินกลับเข้าไปในบ้านก็รีบก้มหน้ามองกางเกงพละที่ใส่อยู่ ลังเลใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ทนความอึดอัดไม่ไหว ลุกไปล้างมือแล้วถอดกางเกงพละขายาวออก ดีที่วันนี้ผมใส่บ็อกเซอร์ที่คล้ายๆ กางเกงขาสั้นมา

“อือหือ มึงกล้าวะ”

ผมหันไปมองคนพึ่งกลับมาพร้อมถ้วยใบเล็กในมือ อีกมือถือแปรงสีฟันเก่าๆ มาสองด้าม

“กล้าอะไร?”

มันไม่ตอบแต่ตาจ้องท่อนล่างผมนิ่งเชียว รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยจึงกระแอมไอใส่ มันถึงได้ค่อยๆ ถอนสายตาอย่างอ้อยอิ่ง

“นี่มึงจงใจแกล้งกูป่าวเนี่ย”

“ใครแกล้ง” พาร์เดินมาเทของในมือลงกะละมัง “นานๆ กูจะได้เห็นมึงใส่ขาสั้นก็ต้องมองหน่อยสิ”

ผมกรอกตามองฟ้า แบบนี้แหละเขาเรียกว่าแกล้ง

“แล้วไอ้ผงขาวๆ ที่ใส่ลงน้ำคืออะไร?”

“เบกกิ้งโซดา” ตอบพร้อมส่งแปรงสีฟันให้ผมถือ 

“ใส่ทำไม?”

“ตัวช่วยทำความสะอาด” ตอบพร้อมอุ้มเจ้าตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลลงไปนอนหงายในกะละมัง นอกจากเปรอะเลือดเป็นหย่อมๆ ขนนุ่มฟู่ก็เต็มไปด้วยฝุ่นจนน้ำในกะละมังเปลี่ยนสีในพริบตา พาร์ส่งม้านั่งให้ผมตัวหนึ่ง ก่อนหยิบของตัวเองเลื่อนมานั่งข้างกะละมัง ดึงแปรงสีฟันในมือผมไปด้ามหนึ่ง เริ่มลงมือขัดสีฉวีวรรณให้ตุ๊กตาหมี ผมเลยทำตามพลางฟังพาร์พูด

“ดูจากสภาพตอนนี้เหมือนหมีต้องสาปจริงๆ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับพาร์ พูดเสริม “มิน่า แค่เจ้าของหมีเห็นมัน ถึงได้สติแตกกรีดร้องเสียงดังลั่น” พูดจบก็เผลอถอนหายใจ เพราะสภาพของหมีตอนนี้ต่างกับเมื่อตอนกลางวันที่ผมเอาตัวมันไปส่งราวฟ้ากับนรก

 “เจ้าของหมีน่าสงสารนะ ดูก็รู้ว่ารักเจ้านี่มาก แต่เพราะโดนเลือดมึง มันเลยโดนทิ้ง”

ผมทำหน้าหมั่นไส้ใส่พาร์ทันที “ทำเป็นพูดดี ตอนมึงปาหมีกระแทกผนังทำไมไม่คิด โชคดีของเจ้าหมีนี่แล้วที่ตาไม่หลุด จมูกไม่ยุบ ไส้ไม่ไหล”

“หัวกูตอนนั้นว่างคิดเรื่องอื่นที่ไหน!”

ผมไม่อยากเจอคำพูดเข้าตัวเลยเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมึงซื้อหมีมาทำไม”

“เปล่า ที่ยื่นเงินให้เจ้าของหมีตอนแรกคือจ่ายค่าซักหมี แต่เหมือนเจ้าของจะไม่กล้าจับตุ๊กตาเปื้อนเลือดกำเดามึง กูเห็นปุ๊บก็รู้แล้วว่ามันมีชะตากรรมโดนเจ้าของทิ้งแน่ๆ เลยจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อตัวมา อย่างน้อยหมีตัวนี้ก็มีบุญคุณช่วยกูให้จับตัวมึงได้”

“สรุปมึงจ่ายไปเท่าไหร่?”

“มากพอซื้อตุ๊กตาตัวใหม่ได้ ถ้ามีเหลือทอนก็คิดซะว่าให้เป็นค่าทำขวัญ”

ผมจิ้มนิ้วใส่จมูกหมี “ค่าตัวมึงแพงกว่าของใหม่มือหนึ่งอีกนะเนี่ย”

พาร์หัวเราะ ท่าทางเห็นด้วย

พวกผมเริ่มเงียบ ตั้งใจเอาแปรงสีฟันกำจัดสิ่งปรกออก แต่กะละมังใบแค่นี้ หมีก็มีตัวเดียว มือเลยกระทบกันบ่อยๆ ไม่หลังมือชนกัน ก็บังเอิญจับทีเดียวกัน โดนตัวกันทีก็เผลอเหลือบมองอีกคน หากได้สบตาต่างคนต่างเบือนหน้าหลบ

น…นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน?

ผมเม้มปากแน่น นึกไม่ถึงว่าแค่นี้ก็ทำผมรู้สึกใจสั่นหน่อยๆ แถมยังตอกย้ำความจริงว่าระหว่างเราไม่มีทางกลับเป็นเพื่อนกันได้อีกแล้ว

ถ้าไม่คิดก้าวไปข้างหน้าก็มีแต่…แยกจาก

แค่คิดใจหนาวก็เหน็บกะทันหัน ผมพ่นลมออกจากปาก อีกครั้งที่รู้สึกว่าควรทำอะไรให้ชัดเจนสักที

“ที”

“หือ?”

พาร์เงียบไปนาน ก่อนบอกปัด “…ไม่มีอะไร”

ผมพ่นลมหายใจ ถามทั้งที่ยังมองหมี “…มึงอยากถามอะไรกูใช่ไหม”

“แล้วมึงล่ะ…อยากบอกกูหรือเปล่า”   

พาร์ลุกไปหยิบสายยางเตรียมเปิดน้ำ ผมรีบเอาหมีออก เทน้ำสกปรกลงพื้น ระหว่างรอน้ำเต็มกะละมังมีแต่ความเงียบ กระทั่งล้างฟองออกจากตัวตุ๊กตา เอาไปแช่น้ำผสมน้ำยาปรับผ้านุ่มจางๆ ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ผมหยุดสายตาที่เจ้าหมีในกะละมัง สภาพของมันดูดีขึ้นโข รอยเลือดก็จางลงจนดูไม่ออก ไม่แน่ว่าหลังเอาไปตากแดดจนแห้งเจ้าหมีตัวนี้อาจกลับมามีสภาพดังเดิมก็ได้

ได้เวลาก็ยกเจ้าหมีขึ้น ต่างคนต่างช่วยกันบีบไล่น้ำออกจากตัวตุ๊กตาให้ได้มากที่สุด ก่อนเอาตัวไปตากแดด...ผมปล่อยพาร์ทำคนเดียว สายตาคอยจับจ้องแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งพยายามจับหมีนอนคว่ำพาดตัวบนท่อนอลูมิเนียมทั้งสามของราวตากผ้าแบบกางตั้งพื้น คนตรงหน้าผมเป็นผู้ชาย...ผู้ชายแน่นอน ถ้าไม่นับผม สายตาของมันก็ไม่เคยมองผู้ชายคนไหนในแง่นั้นสักคน บางทีถ้าไม่มีผม มันคงเลือกคบผู้หญิงที่สักคน อาจถึงขั้นแต่งงานมีลูกมีครอบครัวก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้ผมให้พาร์ไม่ได้ เมื่อวานหลังเห็นภาพมันอยู่กับผู้หญิง มันเจ็บมาก แต่อีกใจผมก็เผลอคิดว่าดีแล้ว ยิ่งตอนที่ใจเริ่มเย็นลง ผมคิดว่าควรจะปล่อยมือจากพาร์ด้วยซ้ำ ให้มันได้เจอกับสิ่งที่ดีกว่าในอนาคต

แต่ว่า…มันกลับเสียน้ำตาเพราะผม พยายามรั้งผมไว้ ทำในสิ่งที่ผมพยายามตัดใจไปแล้ว เพราะแบบนั้นผมเลยเกิดอยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ต่อให้ในอนาคตอาจจะรู้สึกเสียใจที่เลือกแบบนี้ก็ตาม

ผมมองพาร์อย่างแน่วแน่ ส่งเสียงถามคนที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

“มึงยังอยากคบกับกูอยู่ไหม?”

พาร์เกือบทำหมีร่วงจากราว จากที่บรรจงหามุมวางหมีก็เปลี่ยนเป็นพาดลวกๆ รีบหมุนตัวกลับมามองผม “มึงว่าอะไรนะ!!”

“กูติดค้างคำตอบมึง กูจะตอบแล้วนะ”

“เดี๋ยว! รอก่อน!”

ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของพาร์ “…มึงไม่อยากฟัง?”

พาร์ส่ายหน้า แปบเดียวก็พยักหน้า ไม่รู้เอาไงกันแน่ ท่าทางของมันทั้งสับสนทั้งแตกตื่น ดูไม่พร้อมจะฟังอย่างแรง แต่ผ่านไปสักพักสีหน้าพาร์กลับค่อยๆ สงบลง มีเพียงแววตาที่ดูกังวลใจอย่างหนัก สักพักมันก็ก้มหน้ามองพื้น เห็นพาร์ตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงคนที่ยืนต่อหน้าผู้พิพากษาอย่างบอกไม่ถูก

“…ว่ามาเลย” น้ำเสียงเหมือนเค้นออกมาจากคอ

ผมมองพาร์นั่งเงียบพักใหญ่ ไม่ได้แกล้งให้พาร์รอ แค่อยากใช้เวลารวบรวมความกล้าพูดประโยคบางอย่าง ผมสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้ง กว่าจะกลั้นใจพูดออกมาด้วยความยากลำบาก 

“…กูชอบมึง”

“ฮะ!”

หลังอุทาน พาร์ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองผมทันที สีหน้าตกใจมาก แววตาผสมปนเปด้วยรู้สึกหลากหลายจนอ่านไม่ออก ถึงอย่างนั้นผมก็พูดต่อ

“เมื่อก่อนเคยชอบ ตอนนี้ชอบกว่า”

พึ่งจะได้รู้ว่ายากที่สุดก็คือคำแรก คำต่อๆ มาไหลลื่นขึ้นเยอะ ยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งผ่อนคลาย

“เพราะงั้นคำตอบจากกูคือตกลง ไม่ว่าจะเรื่องคบ หรือเรื่อง…หัวใจ”

สีหน้าพาร์ตกตะลึง แต่จู่ๆ น้ำตาก็ร่วงให้ผมตกใจซะงั้น ไม่ทันจะได้เดินเข้าไปหา มันก็พุ่งตัวเข้ามารวบผมไปกอดซะแน่น 

“ที…”

เสียงเรียกชื่อสั่นเครือพอๆ กับร่างกายคนพูด ผมค่อยๆ ผ่อนคลายจากอาการตกใจ วางคางกับไหล่พาร์ ปล่อยให้มันกอดตามสบาย ครู่หนึ่งถึงลดเสียงลงเหลือแค่กระซิบ

“แต่กูอาจต้องตั้งเงื่อนไขกับมึง”

“จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น! น…นี่ดียิ่งกว่าที่คิดไว้อีก กูนึกว่าจะ…จะเสียมึงไปแล้ว”

ผมย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงสะอื้น แต่ก็ยกมือตบไหล่ปลอบพลางพูดขู่ “ถ้ามีอีกคราวหน้าก็ไม่แน่”

“ไม่มีแล้ว! รับรองเลย!”

“ไปเคลียร์กับน้องๆ ด้วย”

“ครับ”

“ส่วนเงื่อนไขของกูมีแค่สองข้อกับหนึ่งสัญญา ถ้ามึงตกลง…”

“กูตกลง!”

ผมนิ่วหน้า พูดอย่างตำหนิ “มึงยังไม่ทันได้ฟัง อย่าพึ่งตอบตกลงง่ายๆ”

“กูพูดจริง มึงจะตั้งเงื่อนไขกี่ร้อยกี่พันข้อก็ได้ทั้งนั้น เทียบกับไม่ต้องเสียมึงไป มันก็แค่เรื่องเล็ก!”

นึกไม่ถึงว่าพาร์จะคิดเหมือนกัน…ผมกลั้นยิ้ม ยกสองแขนขึ้นกอดพาร์แน่นๆ บ้าง แอบขำที่เห็นมันสะดุ้งเฮือก ก็นะ นี่ครั้งแรกของผมเลยที่ได้กอดพาร์แบบนี้   

“มึงตกลงได้ แต่ยังไงก็ต้องฟังอยู่ดี ไม่งั้นเดี๋ยวหาว่ากูเอาเปรียบ” ผมว่า เมื่อพาร์เงียบไม่คัดค้านจึงพูดต่อ “เงื่อนไขแรก…หัวใจของกูมึงขอดูแล เพราะงั้นกูจะขอหัวใจของมึงมาดูแลเหมือนกัน”

พาร์ผละห่างจากตัวผมเล็กน้อย แววตาเชื่อมหวานจนคนโดนมองแทบหลอมละลาย แต่ต้องรีบดึงสติกลับมายกมือขวางกันริมฝีปากพาร์ที่เคลื่อนเข้าหากะทันหัน คนจู่โจมไม่โกรธ แถมยังจับมือผมให้อยู่นิ่งๆ แล้วประทับรอยจูบลงมาหนักๆ

ผมสะดุ้งโหยง ตรงฝ่ามืออย่างกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นจากรอยจูบวิ่งวนไปทั่วทั้งร่าง แล้วยังไปจุดไฟบนหน้าอีก ผมรีบชักมือกลับ ก้าวถอยห่างพาร์หน่อย คนถูกทิ้งห่างรีบก้าวตามมา แววตาทอแสงมีความสุข ไม่เหลือร่องรอยคนพึ่งร้องไห้เมื่อครู่เลย

“ขอจูบนะ”

ผมรีบพูดรัวๆ ตั้งใจขวางอารมณ์หวานๆ ที่น่าจะทำพาร์หน้ามืดจนคิดอยากรังแกกันขึ้นมา “เงื่อนไขที่สอง ถ้าวันไหนไม่อยากได้หัวใจของกูแล้ว กูขอคืนทั้งของตัวเองและของมึง วันนั้นจะเป็นวันที่เราไม่มีพันธะต่อกัน และอาจไม่ได้เจอกันอีก”

อารมณ์บนใบหน้าพาร์แปรเปลี่ยนฉับพลัน ผมกลืนน้ำลายลงคอ พยายามจ้องสู้แววตาคุกคามประกาศชัดว่าลองคืนมาดูสิ…น่ากลัวว่ามันคงจับผมขัง

ผมรีบยกมือกระแอมไอ เหงื่อเริ่มซึมเพราะกลัวโดนหมาป่าใกล้ๆ ขย้ำฐานพูดจาขัดหู และเรื่องต่อไปต้องเรียกว่าขัดใจ แต่เป็นเรื่องที่สมควรพูดเนิ่นๆ จึงกลั้นใจบอกรวดเดียวจบ “ส่วนสัญญาข้อเดียวของกูคือมึงห้ามจับกูกิน จนกว่ากูจะอายุยี่สิบ…เอ็ด”

“ไม่มีทาง!” น้ำเสียงแข็งกร้าว แววตาข่มขู่

“แต่มึงรับปากตกลงไปแล้ว!”

หลังเถียงกลับ ผมก็ส่งแววตาสื่อกลับไปว่า มึงอยากไม่ฟังก่อนเอง แล้วพูดต่อ “อีกอย่างไปสัญญาอะไรกับผู้ใหญ่ไว้ก็ควรจะรักษาคำพูด!”

“นั่นแค่ยี่สิบ! แต่มึงบอกยี่สิบเอ็ด!”

“เดือนหน้าจะวันเกิดกูแล้วนี่ ต้องบวกเพิ่มสิ”

สีหน้าพาร์ยามนี้ดุจเจอพายุฝนกะทันหัน ซัดกระหน่ำใส่จนเปียกปอนไปทั้งตัว ริมฝีปากสั่นระริกเอ่ยเสียงตัดพ้อ ยิ่งแววตาไม่ต้องพูดถึง ผมที่เริ่มรู้แกวเหลือบสายตาไปมองหมีด้านหลังพาร์ทันที

“มึงจะใจร้ายปล่อยกูอดอยากปากแห้งถึงสองปี?”

ผมเม้มปากก่อนพยักหน้ายืนยันความใจร้ายของตัวเอง เห็นพาร์เงียบไปก็ดึงสายตากลับมามองเลยได้เห็นหมาป่ากำลังห่อเหี่ยวได้ที่ มองไปก็น่าสงสาร แต่ผมสงสารตัวเองมากกว่าเลยยืนเงียบกริบ

“…ก็ได้” พาร์สูดลมหายใจเข้า แต่แววตามุ่งมั่นอะไรบางอย่าง “กูสัญญาก็ได้ แต่ในฐานะที่เป็นแฟนกัน กูขอทวงสิทธิ์แทะๆ เล็มๆ ในเวลาที่หิวจัด”

“ฮะ!”

“ไม่สิ แค่หิวเฉยๆ ก็พอ…เอาแบบนี้แหละ”

“ไม่…” หลุดเสียงไปแค่คำเดียวก็โดนสวนกลับมาทันที

“กูยอมมากพอแล้ว มึงหมดสิทธิ์ปฏิเสธครับ และตอนนี้กูต้องการจูบ!”

คอเสื้อผมโดนกระชาก วินาทีต่อมาริมฝีปากถูกช่วงชิง สัมผัสหยาบโลนมากแตกต่างจากครั้งก่อนสิ้นเชิง ยิ่งโดนสัมผัสนานเท่าไหร่ผมยิ่งหงุดหงิดมากเท่านั้น ทันทีที่ปากเป็นอิสระ ผมก็สวนหมัดกระแทกท้องพาร์จนตัวงอ จ้องมองโจรขโมยจูบท่าทางจุกจนพูดไม่ออกด้วยแววตาเย็นชา

“ถ้าคราวหน้ากล้าปล้นจูบกันแบบนี้อีก กูชกมึงคว่ำแน่!”

-------------

สถานะของผมกับพาร์เปลี่ยนไปแค่อาทิตย์เดียวก็เข้าช่วงเตรียมตัวก่อนไปผจญมรสุมสอบกลางภาคที่จะเกิดขึ้นทันทีที่เปลี่ยนเดือนใหม่ ต่างคนต่างยุ่งกับเรื่องนี้จนต้องห่างกันสักพัก เรายังติดต่อผ่านข้อความเป็นหลัก บางครั้งโทรคุยกันให้ได้ยินเสียง ห่างกันหายวันก็จะมีใครสักคนหอบหิ้วหนังสือมาอ่านเป็นเพื่อน

มรสุมช่วงสอบทำให้คู่รักที่เกิดขึ้นหลังวันวาเลนไทน์ลดน้อยลงทีละนิด เพื่อนหลายคนในคณะผมเริ่มมีปัญหากับแฟน คิดว่าทางนิติก็คงมีเหมือนกัน พาร์ถึงได้ทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ คอยระมัดระวังมากเกินไปจนผมอึดอัด ทนได้ไม่กี่วันก็ต้องจับตัวมันมาคุยให้รู้เรื่อง

“กูแค่ไม่อยากให้เราทะเลาะกัน”

ผมพ่นลมหายใจหลังได้ยินเหตุผล “มึงคิดว่าแค่เราทะเลาะกันก็ทำให้เลิกคบได้แล้ว?”

“กูไม่รู้ แต่อะไรที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องได้ก็ควรระวังไว้ก่อน”

“แต่การระวังของมึงกำลังทำให้กูอึดอัด รู้ตัวไหม?”

“…ไม่”

ผมมองคนกำลังทำหน้าสลดอย่างอ่อนใจ “มึงฟังกูนะ ความยากอยู่ที่การแบ่งเวลาให้อีกคน เพราะถ้าร้องเรียกมากเกินไปก็ทำอีกคนรำคาญ ถ้าหายไปเลยก็ทำอีกคนกังวล ดังนั้นการกระทบกระทั่งกันในช่วงสอบไม่ใช่เรื่องแปลก และแค่เรื่องสอบก็เครียดพอแล้ว กูไม่อยากให้เรามาเครียดเรื่องแฟนเพิ่ม”

“ขอโทษ”

“มาขอโทษทำไม” ผมดันหน้าผากพาร์ให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน “กูรู้ว่ามึงเห็นคู่อื่นมีปัญหาเลยกังวลมาก แต่คู่อื่นก็ส่วนคู่อื่น คู่เราก็ส่วนคู่เรา ยิ่งมึงฝืนตัวเองมากเท่าไหร่ยิ่งทำกูอึดอัดใจ แต่ถ้ากลัวทะเลาะก็ไม่ต้องพูด แค่อยู่ข้างๆ กันและกันก็พอ เหมือนตอนที่เราอ่านหนังสือสอบอยู่บ้านทากะซัง กูชอบความสบายใจแบบนั้น เพราะงั้นช่วยปล่อยตัวตามสบายเวลาอยู่กับกูเถอะ ถือว่ากูขอ”

แววตาพาร์เปล่งประกายประหลาด ริมฝีปากยิ้มจนแก้มปริบ แถมยังขยับหน้าขโมยหอมแก้มกันดื้อๆ

“กูดีใจที่ได้รักมึงนะ”

ผมหน้าร้อนผ่าวกับคำบอกรักกะทันหัน คำที่ผมพูดไม่ค่อยออก แต่พาร์กลับพูดออกมาได้เป็นธรรมชาติมากๆ

“แก้มแดงแหนะ”

“ชะ ช่างกูเหอะ” ผมส่งเสียงดุกลบเกลื่อนอาการเขิน “หันหลังมา! แล้วอ่านหนังสือสอบของมึงไป!”

“ครับๆ” 

ผมชอบช่วงเวลานี้ นั่งพิงหลังกันและกัน ไม่ต้องมีคำพูด ไม่ต้องมองหน้า ความสนใจพุ่งไปยังสิ่งที่ต้องทำจนถึงช่วงเวลาหนึ่งที่หลุดออกจากภวังค์ แผ่นหลังก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นของอีกคน พอคิดว่าอีกคนกำลังพยายาม มันทำให้เกิดแรงฮึดให้พยายามเหมือนกัน

ผมละสายตาจากหนังสือ ทิ้งแรงไปด้านหลัง อีกฝ่ายโขกหัวกลับมาเบาๆ เหมือนถามว่ามีอะไร

“กลางวันนี้อยากกินอะไร?”

“ไม่ต้องทำ เดี๋ยวพาไปหาอะไรกินข้างนอก”

“กูทำแค่แปบเดียว ไม่เสียเวลาอ่านหนังสือหรอกน่า อีกอย่างได้ทำอาหารก็ช่วยกูผ่อนคลายดี”

…รองจากมึง

ผมยิ้มให้กับความคิดตัวเอง พอมานึกดูก็พบว่าตอนนี้คนข้างหลังเป็นอะไรหลายๆ อย่างสำหรับผมจริงๆ นั่นแหละ นึกถึงคำพูดบอกรักเมื่อครู่ก็ได้แต่แอบงึมงำพูดบ้าง

“กูก็ดีใจที่ได้ชอบมึงเหมือนกัน”

“อะไรนะ!”

ที่พิงขยับหนีกะทันหัน ผมเลยล้มหงายหลัง ก่อนหัวถึงพื้นมีมือมารองรับ แล้วโดนลากทั้งท่านั้นไปหนุนตักของอีกคน สายตาพวกเราสบกัน

“เมื่อกี้พูดเบาเท่ายุงแบบนั้นได้ไง ได้ยินไม่ชัดครับ พูดใหม่อีกครั้งเร็ว”

“เรื่องสิ!”

“ถ้าไม่ยอมพูดจะเปลี่ยนเป็นจูบแทน!”

มีขู่! ผมแยกเขี้ยวใส่พาร์ ทำท่าจะลุกขึ้น กลับโดนมือข้างหนึ่งกดดันให้นอนลงที่เดิม แถมยังเลื่อนมือมาปิดตา พร้อมกับสัมผัสที่ริมฝีปาก ตอนแรกผมเกร็งเพราะกลัวจะโดนจูบแบบคราวก่อน พอรับรู้สัมผัสอ่อนโยน รักใคร่ ทะนุถนอม เป็นจูบที่อ่อนโยนมากจนผมคลายอาการเกร็ง ยอมจูบตอบ ค่อยๆ ถ่ายทอดความรู้สึกส่งผ่านไปพร้อมจูบนี้เนิ่นนานจนเกือบขาดอากาศ พาร์ถึงยอมถอนจูบออก แว่วเสียงกระซิบแผ่วเหมือนคนกำลังละเมอ

“…อยากกินมึงจัง”

พลั่ก!

ผมผลักหัวพาร์ออกห่าง รีบกลิ้งตัวหนีออกมาให้พ้นรัศมีอันตราย อ่านหนังสือในห้องนอนเป็นความคิดที่ผิดจริงๆ ด้วย ผมรีบคว้ากองชีทบนพื้น พุ่งตัวไปทางประตู

“จะไปไหน!”

“ไปอ่านหนังสือข้างล่าง…”

“ให้แมวกวน?”

ผมสะอึกกับคำถามแทงใจ ลืมไปว่าถึงไม่มีคนอื่นในบ้านก็ยังมีฮิเมะอยู่ในกรง ถ้าลงไปก็ต้องปล่อยเจ้าเหมียวออกมาป่วน จึงรีบพลิกลิ้นเปลี่ยนคำพูดโดยเร็ว

“มึงบอกจะพาไปกินข้าวข้างนอกนี่ เปลี่ยนบรรยากาศอ่านหนังสือบ้างก็ไม่เลว”

“ไหนว่าจะทำอาหาร…”

“เปลี่ยนใจแล้ว จะไปหรือไม่ไปก็เรื่องของมึง กูลงไปก่อนล่ะ”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-04-2017 14:13:30
คบกันจนได้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-04-2017 14:28:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-04-2017 16:10:23
พาร์ ที  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ที ยอมคุย ยอมบอกความรู้สึกกับพาร์แล้ว
เข้าใจกันแล้ว ดีจัง เห็นใจพาร์มาก
กลัวว่าจะเสียที ไปสุดๆ น่ารักสุดๆ
แล้วอย่างนี้ที จะปล่อยพาร์ เสียพาร์ไปได้ยังไง ไม่มีทาง
ชอบเวลาที่พาร์ ที อยู่ด้วยกัน แชร์ความรู้สึกกัน
แหม แต่ตอนที่พาร์ บอก “…อยากกินมึงจัง”
ทีสะดุ้งเฮือกเลย  :ling1: :ling1: :ling1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-04-2017 16:10:34
 :mc4: :mc4: :mc4: คบกันแล้ววววววว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-04-2017 17:18:14
เปิดใจกันแล้ว อย่าเผลอละที โดนเปิดกายเป็นแน่
 :hao6:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-04-2017 18:15:09
ดูเหมือนก้าวหน้าไปอีกหลายก้าวนะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 12-04-2017 20:57:54
ในทีสุดก็คบกัลล
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 12-04-2017 22:39:52
เป็นแฟนกันแล้ว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 12-04-2017 23:12:48
ชอบโมเม้นเวลาคู่นี้อยู่ด้วยกัน มันน่าร๊ากกกกกด
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 12-04-2017 23:14:16
55555 สองปีแหนะ อกแตกตายแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-04-2017 23:39:39
คบกันสักที ลุ้นมาตั้งนาน  :m11: :m11: :m11:
พาร์แทะเล็มบ่อยๆนะ ทีจะได้ชิน 555555555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 17-04-2017 22:36:29
บทที่ 53

พอผ่านพ้นช่วงสอบ ความสนใจของทุกคนก็ถูกดึงไปทางกิจกรรมใหญ่ทันที สะใภ้คณะอย่างผมก็มีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่างเหมือนกัน อย่างเช่นตอนนี้...ผมกำลังยืนจ้องตาฟาดฟันกับพวกรุ่นพี่ทั้งหกอย่างไม่เกรงกลัว จนพวกเขาละสายตาส่งเสียงดุใส่คนช่างฟ้อง

“นั่นข้อยกเว้น เขามาเพราะจำเป็น ไม่เหมือนพวกเธอ!”

ขอบคุณที่ช่วยแก้ต่างให้ครับ

ผมตัดสินใจเมินคนกลุ่มนั้น ก้าวขาเดินต่อโดยไม่สนใจเสียงขอความช่วยเหลือไล่หลัง

“นายอีคอนตรงนั้นช่วยพวกเราหน่อยสิ!”

“พี่ขอแนะนำให้น้องเลิกตะโกนขอให้คนอื่นช่วย แล้วบอกชื่อคณะมาสักที!”

“เราไม่ใช่สปาย!”

“ใช่หรือไม่ก็ต้องคุมตัวพวกเธอไปส่งถึงคณะอยู่ดี เจอรุ่นพี่พวกเธอเมื่อไหร่ก็ได้คำตอบเองนั่นแหละ”

ด้านหลังผมเงียบไปทันที แต่แปบเดียวก็มีเสียงอ้อนวอน

“ป…ปล่อยพวกหนูไปเถอะนะพี่ เราไม่อยากโดนรุ่นพี่สั่งลงโทษไปเป็นเบ้ในวันกิจกรรม”

“เห็นแก่ที่พวกหนูเป็นผู้หญิงเถอะนะคะ”

“ไม่ได้!”

ผมเดินพ้นระยะได้ยินเลยไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงต่อ และไม่คิดสนใจด้วย นี่ล่ะครับ ผลของการไม่เชื่อฟังคำเตือนรุ่นพี่ ถ้าไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้เก็บตัวอยู่แถวคณะตัวเองดีที่สุด น่าเสียดายผมทำไม่ได้

จุดหมายของผมคือธงพื้นดำตรงกลางเป็นรูปนกสีขาวคาบซองจดหมาย เช่นเดียวกับปลอกผ้าที่แปะติดต้นแขนซ้ายขณะนี้ สีปลอกแขนแบ่งตามสีคณะ อย่างที่ผมใส่อยู่เป็นสีฟ้าของนิติครับ มีชื่อเรียกเท่ๆ ว่าทูตประจำคณะ แต่ความจริง…เด็กส่งจดหมายดีๆ นี่เอง

เพียงแค่ไปยืนใกล้ธง ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาหา ไม่ต้องพูดจาอะไรมาก ยื่นซองจดหมายปล่อยอีกฝ่ายดึงไป มองเขาวิ่งวกกลับเข้าตึกคณะสถาปัตย์ ปล่อยผมยืนรอท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาอย่างไม่เป็นมิตร

ต่อให้ชินก็แอบรู้สึกเหมือนตัวเองมาเยือนถ้ำงูที่พร้อมจะโดนฉกทุกเมื่อ

ผ่านไปครู่ใหญ่คนเดิมก็กลับมาพร้อมซองจดหมายสีใหม่ ต่างคนต่างพยักหน้าเป็นเชิงบอกลา

ง่ายๆ แค่นี้แหละครับ แต่ความยุ่งยากคือหลังจากนี้…ด้วยอภิสิทธิ์จากปลอกแขนทำให้ผมสามารถบุกรุกอาณาเขตคณะอื่นได้โดยไม่ถูกล้อมกัก เพียงแต่ถ้าไม่ใช่คณะที่มีธุระด้วย เราจะโดน…

“ส่งจดหมายมา!”

ผมสะดุ้งโหยง เมื่อเจอเจ้าถิ่นศิลปกรรมโผล่พรวดมาด้านข้างถึงสองคน วิ่งสิครับ!!

แว่วเสียงตะโกนพร้อมเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง สบโอกาสหันกลับไปมองแวบหนึ่งก็รีบหันกลับ วิ่งหน้าตั้งหนีสองคนที่ทำหน้าเอาจริงเอาจังไล่กวดมาสุดฝีเท้า

โอ๊ย! จะเอาจริงเอาจังไปไหน!!

ผมวิ่งตัดคณะศิลปกรรมไปคณะมนุษยศาสตร์ เป็นเส้นทางสั้นที่สุดถ้าจะกลับนิติ ไม่ต้องเดินอ้อมไปอ้อมมาให้เสียเวลา…

“ชิงจดหมายมาให้ได้!!”

เหยียบเข้าเขตคณะมนุษย์ไม่นาน เจ้าถิ่นก็โผล่มาแล้วครับ!!

ผมวิ่ง วิ่ง และวิ่ง ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็ชักล้าหลังใช้งานอย่างหนักติดต่อกัน

อีกนิด ทนไว้ไอ้ที!

ผมกัดฟันอดทน วิ่งเต็มฝีเท้าจนเข้าเขตคณะนิติถึงค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลงทีละน้อยจนหยุดยืนกับที่ หอบหายใจตัวโยน แถมทั้งตัวยังชุ่มด้วยเหงื่อ หันไปมองเบื้องหลังแวบหนึ่ง สองผู้ไล่ล่าหันหลังเดินจากไปด้วยท่าทางอารมณ์เสีย เห็นแบบนั้นก็อยากทิ้งตัวนั่งกลางถนนให้รู้แล้วรู้รอด

เหนื่อยเป็นบ้า!

หมับ!

แขนผมถูกดึงกะทันหัน หันไปมองคนจับก็ถูกพาร์ลากตัวเข้าร่มไม้ โดนผลักให้นั่งลงบนขอบทางเท้า

“มึงนั่งพักอยู่นี่ เดี๋ยวกูเอาไปส่งให้เอง”

ผมพยักหน้ารับคำ ไม่มีแรงเหลือจะพูด จดหมายโดนฉกไปจากมือแทนที่ด้วยขวดน้ำเปิดฝาเรียบร้อย ได้แต่มองแผ่นหลังคนยัดขวดน้ำใส่มือวิ่งไปทางตึกคณะ

หลังนั่งพักจนลมหายใจกลับเป็นปกติถึงยกขวดน้ำกระดกดื่ม…

“ไปทางนั้นแล้ว!”

พรวด!

ผมลุกพรวดหน้าตื่น รีบใช้มือเช็ดปากที่เผลอพ่นน้ำออกมาลวกๆ ตั้งท่าจะวิ่งแล้วถ้าไม่เหลือบไปเห็นผู้หญิงคุ้นหน้า ในมือกำจดหมายวิ่งขึ้นนำผู้ชายสองคนมาหลายช่วงตัว

เธอเหลือบมองทางผม ยกยิ้มขบขันให้นิดหน่อยก็เร่งความเร็ว วิ่งผ่านหน้าทิ้งคนไล่ตามไม่เห็นฝุ่น สุดท้ายคนไล่ล่าก็ยอมหยุดวิ่งเอง ผมนั่งลงที่เดิมด้วยอาการขายหน้าเล็กๆ ก็คนพึ่งโดนไล่กวดมานี่ครับ เจอประโยคเหมือนกันเข้าต้องเผลอมีปฏิกิริยาบ้างเป็นธรรมดา

“โอ๊ย เร็วชะมัด!”

กำลังจะสงบสติอารมณ์ หูดันได้ยินเสียงรุ่นพี่นิติคุยกันชัดแจ๋ว หันตามเสียงพบพวกเขายืนหันหลังให้ กำลังก้มหน้าเท้าแขนกับเข่าหอบหายใจกันใหญ่

“กูว่าสะใภ้คณะคนใหม่ของเราวิ่งเร็วแล้วนะ แต่เธอคนเมื่อกี้เร็วกว่าอีกวะ”

แม้เป็นบุคคลในหัวข้อก็ไม่คิดพูดขัดจังหวะ ฟังรุ่นพี่นิติหอบหายใจไปคุยไปเงียบๆ ดีกว่า

“สะใภ้แต่ละคนฝึกวิ่งมาท่าไหนวะ แต่ละรุ่นถึงได้หนีไวนัก”

“มึงก็ไปถามสะใภ้คณะเราดูสิ” พูดพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อออกจากหน้า ก่อนบ่นเหมือนอดไม่อยู่ “งานฉกจดหมายจากทูตไม่ยาก แต่ของสะใภ้คณะนี่โหดหินสัดๆ ถ้ารางวัลไม่ล่อตาล่อใจ คงไม่มีใครคิดทำ”

“จริงวะ แถมของรางวัลจากจดหมายปลอมยังดีกว่าของจริงอีก กูไม่เข้าใจก็ตรงนี้”

“หรือเพราะฉกมายากหรือเปล่า ช่างเหอะ ยังไงปีนี้กูกับมึงต้องฉกมาสักฉบับให้ได้!”

“สู้โว้ย! แค่สะใภ้คณะไม่คณามือพวกเราหรอก...ชะอุ๋ย”

พวกเขาที่หมุนตัวจะเดินกลับถิ่น สบตากับผมที่นั่งกินน้ำอยู่ใต้ต้นไม้เข้าก่อน ทั้งคู่คลี่ยิ้มเก้อเขินมาให้ก่อนเผ่นหนีสวนทางกับพาร์ที่กำลังเดินกลับมาพอดี มันหันมองรุ่นพี่วิ่งผ่านไปโดยไม่หยุดทักแวบหนึ่งด้วยแววตางงๆ ก่อนตรงดิ่งมานั่งข้างผม ยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้

“เอานี่”

ผมรับมา สัมผัสแรกคือทั้งชื้นทั้งเย็นจนอดอุทานไม่ได้ “มึงเอาไปแช่ตู้เย็นมา!”

“ต้องไปขอบคุณพี่ดิน” พาร์พูดกึ่งประชด

ผมกลั้นขำ เดาออกว่าใครบางคนกำลังไม่พอใจ ใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าคอให้คลายร้อน เห็นพาร์มองอยู่ก็ยักคิ้วให้ นึกอยากแหย่แฟนเล่น “สวัสดิการหลังทำงานกูดีใช่ไหมล่ะ”

“ดีจนกูสงสัยว่าพี่ดินแอบคิดอะไรกับมึงหรือเปล่า”

“หึง?”

“นิดหน่อย รู้สึกเหมือนโดนแย่งหน้าที่แฟน”

ผมหัวเราะอย่างอดไม่อยู่เลยโดนพาร์เขม่นใส่ รีบกลืนเสียงหัวเราะลงท้องแทบไม่ทัน อธิบายอย่างใจเย็นให้คนขี้หึงรับรู้ “เขาเห็นกูเป็นน้องชายกับเลขามากกว่า ไม่มีหรอกแววตาชอบแบบอื่น และเพราะพี่ดินเป็นแบบนี้ คนอื่นถึงโหวตให้เลี้ยงลูกแมวไง ว่าแต่เฮียแกเตรียมน้ำขนมรอกูอยู่ใช่ปะ”

“รู้ดี” แก้มผมโดนดึงจนเจ็บ ต้องใช้สันมือสับใส่แขนมันถึงได้ยอมปล่อย “จะไปนั่งตากแอร์กินขนมก็ลุก”

ผมยื่นมือไปหาพาร์ “ดึงหน่อย”

“ให้อุ้มเลยไหม”

ผมชักมือกลับ “ลุกขึ้นเองก็ได้วะ”

พักตากแอร์ได้ไม่นานก็โดนไล่ไปส่งจดหมายอีก กลับมาก็แทบจะนอนแผ่หลาอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่ไปแล้วห้องแอร์ ขอพักตรงนี้นานๆ ดีกว่า

“หลังได้ขยับตัวออกแรงจนเหงื่อท่วมรู้สึกดีไหม”

ผู้อุทิศตักให้ผมหนุนแทนหมอนเอ่ยถามขำๆ ใช้สมุดโบกลมพัดมาทางผมที่นอนหอบหายใจจนพุงกระเพื่อมขึ้นลง ครู่ใหญ่กว่าผมจะเค้นเสียงออกมาพูดกับพาร์ได้

“สนใจ…ไปวิ่งเองไหม”

“ถ้ากูทำได้ไม่รอมึงเอ่ยปากหรอก ไปเองนานแล้ว”

ไปเหนื่อยเนี่ยนะ? เป็นผมขอหลบอยู่แถวคณะยังดีซะกว่า

พาร์ตีหน้าผากเบาๆ หนึ่งทีเหมือนเดาออกว่าผมคิดอะไรอยู่

“ตอนนี้ใครๆ ก็อยากออกไปเตร็ดเตร่เหมือนมึงทั้งนั้น แต่คนได้ออกไปกลับไม่พอใจแบบนี้ระวังจะโดนเขม็ง”

“ทำไมล่ะ?”

“เห็นใจคนโดนจำกัดพื้นที่หน่อย กูก็คนหนึ่งล่ะ”

…คิดดูแล้ว เพราะทูตปลอมเที่ยวส่งจดหมายป่วนประธานคณะนู้นคณะนี้เป็นหนึ่งในบททดสอบของสะใภ้คณะ ผมเลยคิดว่าเป็นหน้าที่ต้องทำมากกว่า แต่เมื่อเทียบกับพาร์หรือคนส่วนใหญ่คนที่ต้องอยู่อุดอู้แถวคณะหลายวัน การได้ออกไปวิ่งเล่นทั่วมหาลัยก็เป็นเรื่องน่าอิจฉาจริงๆ นั่นแหละ

“ว่าแต่จดหมายล่าสุดที่มึงเอากลับมา เขียนอะไรไว้ พี่ดินถึงขำไม่หยุดหลังอ่านจดหมายตอบกลับ”

“กูจะไปรู้ได้ไง…มองอะไรวะ?”

ผมหันตามสายตาพาร์ที่จ้องเขม็งใส่หนุ่มน้อยหน้าหวาน ต้นแขนข้างซ้ายสวมปลอกแขนของทูตสีน้ำเงิน ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ดังนั้นไม่ใช่สะใภ้คณะแน่นอน แต่น่าจะเป็นทูตคณะตัวจริงเสียงจริง เผลอลดสายตามองจดหมายในมืออีกฝ่ายด้วยแววตาสนอกสนใจ

คณะที่ไม่ใช่พันธมิตรสามารถยื่นจดหมายเสนอเงื่อนไขเพื่อการร่วมมือแบบลับๆ ได้ วันนี้พี่ดินจำเป็นต้องเก็บตัวเงียบในห้องสโมฯ พิจารณาเงื่อนไขคนอื่นแล้ว ยังต้องส่งเงื่อนไขตัวเองไปยังคณะที่หมายตาด้วย โดยมีเรื่องบันเทิงคลายเครียดคือจดหมายปลอมนี่แหละ

“กลับห้องสโมฯ กัน กูอยากรู้เนื้อความในจดหมาย”

ผมเอ่ยชวนอย่างนึกสนุก แต่กลับมีแต่ความเงียบ เลยย้ายสายตากลับมาที่พาร์อีกครั้ง เห็นกำลังเอาแต่มองคนเดินกล้าๆ กลัวๆ ไม่เลิกก็เอื้อมมือตบแก้มพาร์แปะๆ ใจแอบนึกหงุดหงิดเล็กๆ

“กูรู้ว่าเขาน่ารัก แต่อย่าไปมองมาก”

แววตาที่ก้มมองผมงงไปวูบหนึ่ง ก่อนจะเปล่งประกายระยับ “หึง?”

“…กูมีสิทธิ์ไหมล่ะ?”

“มี! หึงบ่อยๆ นะ กูชอบ”

บ่อยเรอะ ผมย่นคิ้วไม่เห็นด้วย แค่เจอความขี้หึงของมันคนเดียวก็พอแล้วครับ

เห็นพาร์ยังจ้องรอคอยคำตอบก็ได้แต่บอกตามความรู้สึก “ถ้าอยากเห็นกูหึง ควรลดความหึงหวงของตัวเองให้ได้ก่อน ยิ่งมึงมีมากเท่าไหร่ โอกาสเห็นกูหึงก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น”

คนฟังถอนหายใจยาวเหยียด “…ถ้ากูห้ามตัวเองได้เหมือนเปิดปิดก๊อกน้ำคงดี”

“กูไม่ได้ห้ามมึงหึง แต่หึงให้สมเหตุสมผลหน่อย ไม่ใช่กับแมวก็ยังหึง”

เพียะ! ผมรีบยกมือลูบหน้าผากหลังโดนนิ้วดีดใส่

“มึงต่างหากที่ยังไม่เข้าใจ นั่นเรียกหวง ไม่ใช่หึง”

“…งั้นรอกูแยกแยะสองคำนี้ได้เมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่”

อีกครั้งที่พาร์ถอนหายใจ แววตาไม่มีความคาดหวังอยู่ในนั้นเลย เล่นทำผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายผิดที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแบบนี้สักที ผมรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการวกกลับมาถามเรื่องเก่า

“ตกลงจะกลับห้องสโมฯ กับกูปะ?”

คราวนี้พาร์พยักหน้าให้ เราเลยลุกเดินกลับเข้าตึกคณะนิติ ระหว่างเดินผ่านหน้าตึก พาร์ยั่วผมด้วยการจงใจมองทูตตัวจริงที่ยืนข้างธงสีดำสูงระดับอก จนคนถูกจ้องยืนกระสับกระส่าย เหงื่อแตกพลั่กๆ

ถ้าอีกฝ่ายโดนพาร์มองแล้วหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ผมหึงแน่!

แต่นี่…สีหน้าทูตแสดงออกชัดว่ากำลังหวาดกลัว มีคำ ‘อยากเผ่นไปจากที่นี่’ แปะอยู่บนหน้าผาก เป็นคนที่อ่านอารมณ์ผ่านสีหน้าง่ายมาก ไม่รู้ถูกเลือกเป็นทูตได้ไง

ผมส่ายหน้าให้ทั้งทูตและพาร์ ไม่คิดบอกให้คนข้างๆ รู้หรอก เดี๋ยวได้ใจแล้วยั่วให้ผมหึงบ่อยๆ ก็ไม่รู้กันพอดีว่าตอนไหนควรระวังคนของตัวเอง แต่กรณีพาร์…ควรระวังคนอื่นมากกว่ามั้ง

ออกเดินต่ออย่างไม่สนใจว่าคนของตัวเองจะตามมาหรือเปล่า แว่วเสียงเดินกึ่งวิ่งไล่ตามมาจนกลับมาเดินข้างกัน

“โกรธเหรอ?”

หันไปมองคนพูดเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนกำลังจะง้อ เลยตัดบทด้วยคำถามให้มันรู้ว่าคิดผิด

“กูต้องโกรธอะไร”

“…ไม่หึงแล้ว”

พอเห็นผมยักไหล่ไม่สนใจ เห็นพาร์ทำหน้าผิดหวังก็กลั้นขำ ลากคนหูลู่หางตกเข้าห้องสโมฯ สวนทางกับคนเอาจดหมายไปส่งให้ทูตตรงหน้าประตูพอดี ได้แต่มองตามไปอย่างเสียดาย เอาเถอะ ไม่รู้คำตอบก็ยังได้รู้ว่าฝ่ายนั้นส่งอะไรมา…

“พี่ดินนนน!”

ผมร้องลั่นมองคนทิ้งจดหมายทั้งซองลงกระถางดินเผา โธ่ สิ่งที่ผมอยากรู้ไหม้ไปซะแล้ว

“เรียกพี่ทำไม?”

ผมถอนหายใจ ไม่คิดตอบ เดินไปเปิดตู้เย็นเล็กหยิบขวดน้ำมาดื่มแบบเซ็งๆ

“ที” พอหันไปสบตา พี่ดินก็พูดต่อ “กลับบ้านไปได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ามาเจอพี่หน้าคณะตอนเจ็ดโมง”

“ฮะ? แล้วหน้าที่ส่งจดหมาย…”

“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวพี่เขียนใบประเมินส่งให้พี่เลี้ยงสะใภ้เอง พรุ่งนี้เราต้องใช้แรงมากกว่านี้เยอะ พี่อยากให้เราพร้อมที่สุด”

ผมปิดฝาขวดน้ำ พยักหน้ารับคำเงียบๆ คว้าเป้ทั้งของตัวเองและของพาร์เดินออกจากห้องสโมฯ แว่วเสียงพาร์บอกลา ครู่เดียวก็เดินตามผมมาจนมาเดินข้างกัน

“โกรธพี่ดิน?”

“กูจะไปโกรธทำไมล่ะ” ผมหันไปตอบคนเอ่ยถามลอยๆ “เฮียแกพูดถูก พรุ่งนี้กูต้องเจอศึกหนักยันหกโมงเย็น มึงก็ด้วย แยกย้ายกันกลับบ้าน พรุ่งนี้เช้า…”

“เดี๋ยวกูไปรับ”

ผมเลิกคิ้วขึ้น “มึงจะเอารถไป?”

“อือ หาที่จอดไว้แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก ว่าแต่เห็นข่าวใหม่ของเรายัง”

“ข่าวไรวะ?”

“เข้าเพจเจ๊ดาด้าดิ เลื่อนลงมาหน่อย มันเป็นของเมื่อสามวันที่แล้ว”

ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมา เข้าไปดูด้วยความสงสัย เลื่อนจนเจอรูปด้านข้างของพาร์กำลังเซ็นชื่อรับเสื้อที่โต๊ะ ข้างกันเป็นรูปผมกำลังขนลังใส่กล่องเสื้อเดินอยู่หน้าตึกคณะนิติ แล้วไล่อ่านข้อความข่าว ก่อนอุทานออกมา

“เฮ้ย!!”

แฟนๆ หนุ่มนิติอีคอน วันนี้เจ๊มีภาพมาฝาก

ดูสิดู ถึงกับไปยืนต่อแถวกลางแดดหน้าคณะอีคอนรับเสื้อแทนใครบางคน ส่วนเจ้าของเสื้อตัวจริงกำลังหัวหมุนช่วยงานอยู่คณะนิติ อื้อหือ! แม้กายห่างกันตั้งแต่ช่วงสอบ แต่เหมือนใจไม่ได้ห่างตามนะเนี่ย ดังนั้นใครปลื้มคู่นี้อยู่เลิกใจแป้วได้แล้วจ๊ะ เจ๊ว่าคู่นี้ยังหวานให้เราดูอีกนาน ว่าแต่จะมีสามีคณะไหนน่ารักแบบนี้อีกไหมเนี่ย?

ผมทำหน้าปั้นยาก หันไปบ่นกับพาร์ “เรื่องแค่นี้ก็ตกเป็นข่าวด้วยเรอะ”

“กูนึกไม่ถึงเหมือนกัน” พาร์หัวเราะขำ ท่าทางเห็นเป็นเรื่องชวนหัวมากกว่า 

จังหวะเดินมาถึงรถสีเงินของพาร์พอดี ผมเลยอ้อมไปฝั่งข้างคนขับ ขึ้นรถได้หัวข้อกลับเปลี่ยนเป็นเรื่องของกินแล้วไหลไปเรื่องอื่น หาจังหวะวกกลับมาเรื่องข่าวไม่ได้

ผมลอบพ่นลมหายใจ…ในเมื่อพาร์ไม่เก็บมาใส่ใจ งั้นผมทำบ้างแล้วกัน

-------------

สงครามสายน้ำเปิดงานเก้าโมงตรง แต่แปดโมงนิดๆ คนก็มากันเกือบครบแล้ว

แต่ประธานนิติชั้นปี 4 กลับทำหน้าหงุดหงิด เพราะเฮียแกประกาศนัดรวมพลเจ็ดโมงตรง นี่เลทมาชั่วโมงหนึ่งแล้ว คนกลับยังไม่ครบ

“นายสองคนอยู่รอรับพวกมาสาย!”

พี่ดินที่หมดความอดทนพูดขึ้นมา ตะโกนบอกให้ทุกคนเก็บของเตรียมตัวเคลื่อนย้าย หลังตั้งแถวที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบนักพร้อม ประธานปี4 จึงเริ่มเดินนำขบวนพาเคลื่อนไปยังเต็นท์ของนิติ

…เป็นการเดินที่เงียบมากครับ รู้สึกกดดันสุดๆ จนต้องแอบกระซิบถามพาร์เสียงแผ่ว

“กูนึกว่าจะเหมือนพาเหรดกีฬาสีซะอีก”

พาร์ยิ้มขำ กระซิบกลับ “เพราะไม่ใช่ไง”

ถึงอย่างนั้นก็แอบติดใจสงสัยเรื่องหนึ่งจนเผลอมองคนสะพายกลองที่เดินนำเยืองๆ ด้วยความมึนงง

…ถ้าไม่ใช้ แล้วแบกกลองมาทำไม?

เต็นท์ของนิติมีสามหลัง แต่พี่ดินพาเดินผ่านเต็นท์แรกจนมาถึงเต็นท์ตรงกลางที่อยู่บนถนนติดกับสนามหญ้า ผมจำได้ว่าแถวนี้นักศึกษาชอบมาเล่นแตะบอลกันบ่อยๆ

“ลงสนามเอาบังเกอร์ที่สูบลมแล้ววางตามแผนได้เลย ใครยังไม่ได้สูบก็รีบเอาไปสูบ เร่งมือกันหน่อย เวลาเหลือน้อยแล้ว”

หลายกลุ่มกระจายตัวทำตามคำสั่งพี่ดินทันที พาร์ก็ลากผมไปช่วยคนอื่น เลยได้รู้ว่ากลุ่มหนึ่งคละกันหลายชั้นปี ปีหนึ่งมายืนเรียนรู้งานเฉยๆ ปีสองปีสามเป็นคนลงมือ ปีสี่มาช่วยแนะนำและสอน ผ่านไปครู่หนึ่งในสนามถึงเริ่มมีบังเกอร์สีฟ้าน้ำเงินโผล่ขึ้นมาทีละอันสองอัน และมากขึ้นเรื่อยๆ     

[ประกาศ ขอให้สะใภ้คณะเตรียมตัวให้พร้อม อีกห้านาทีจะปล่อยตัวออกสำรวจพื้นที่เป็นเวลาสามสิบนาที และในเวลาเก้าโมงตรงจะเริ่มเปิดกิจกรรมสงครามสายน้ำอย่างเป็นทางการ ขอให้ทุกฐานเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนเวลาดังกล่าว ประกาศอีกครั้ง…]

“ที! พาร์!”

พี่ดินตะโกนเรียกจากข้างสนาม พวกผมรีบผละไปหาคนเรียก ไปถึงพี่ดินก็พูดแนะนำไม่หยุด

“ยังไม่มีการปะทะไม่ต้องพกปืนไป ของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ก็เอาของมาวางไว้ก่อน พยายามให้ตัวเบาที่สุดจะได้คล่องตัวตอนวิ่งกลับฐาน พี่ให้เวลาสำรวจแค่ยี่สิบห้านาที เผื่อเวลาห้านาทีไว้วิ่งกลับมาที่นี่ ช่วงแรกคนออกสำรวจเยอะ อย่าพึ่งออกไปจากฐานดีกว่า พาร์ไปกับทีด้วย”

“ผมไปด้วยได้?”

“ได้ ถ้าอยากไป หลังจากนี้พี่ต้องฝากพาร์คอยพิทักษ์ดูแลสะใภ้คณะด้วย แล้วก็…”

ผมเห็นพี่ดินยัดกระดาษพับแล้วใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตพาร์พร้อมปากกา กระซิบอะไรสักอย่างได้ยินไม่ถนัด ครู่เดียวพาร์ก็พยักหน้า พวกผมเตรียมตัวเสร็จก่อนถึงเวลาหนึ่งนาทีเลยไปยืนรอเวลาปล่อยตัวบนถนน ได้จังหวะเลยถามถึงข้อสงสัย

“พี่ดินให้อะไรมา?”

“แผนที่มหาลัยกับปากกา”

ได้ยินแล้วก็เผลอยิ้ม “กลัวเราหลงเรอะ”

“เปล่า” พูดถึงตรงนี้มันก็ลดเสียงลงเหลือกระซิบ “เอามาให้จดฐานคณะอื่นต่างหาก”

[อีกหนึ่งนาทีจะเริ่มปล่อยสะใภ้ ใครที่ไม่ใช่โปรดอยู่พื้นที่ภายในฐาน ประกาศอีกครั้ง…]

“…กูไปได้แน่ๆ เหรอ?” พาร์ถามอย่างข้องใจ

“ถ้าพี่ดินบอกว่าได้ ก็น่าจะได้มั้ง” ผมพยายามทบทวนเรื่องที่รู้มา ก่อนพูดยืนยันอีกที “กูว่าน่าจะได้ เพราะกิจกรรมวันนี้มึงต้องร่วมหัวจมท้ายไปกับกู”

“ต่อให้ไม่ใช่กิจกรรม กูก็พร้อมทำแบบนั้น”

“อย่าพึ่งหวานตอนนี้ กูขอตกลงกับมึงก่อน ถึงพี่ดินอยากให้มึงเป็นองค์รักษ์ แต่กูต้องการคู่หูมากกว่า มึงให้กูได้ไหมล่ะ?”

“กูจะรับปากก็ต่อเมื่อมึงมีรางวัลให้คู่หูที่ดี”

ผมมองรอยยิ้มกริ่ม นัยน์ตาพราวระยับของพาร์อย่างอดระแวงไม่ได้

“…จะเอาอะไร?”

“กูจะบอกหลังจบกิจกรรม ถ้าไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ก็ปล่อยกูไปเป็นองค์รักษ์ของมึงดีกว่า จะดูแลปกป้องประหนึ่งเป็นเจ้าหญิง ต่อให้ต้องอุ้มมึงหนี กูก็จะทำ แถมท่าถนัดของกูคือท่าอุ้มเจ้าสาว…”

“พอ! กูตกลง!” รีบเบรกก่อนมันทำขนแขนของผมตั้งชันมากกว่านี้ “ต่อให้วันนี้กูสะดุดล้มขาแผลงก็ไม่ต้องมาอุ้มนะโว้ย”

[อีกห้าวินาที โปรดฟังเสียงสัญญาณปล่อยตัว]

“เดี๋ยวให้ขี่หลัง…”

“ไม่ต้อง!” พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ช่วยพยุงไปเต็นท์พยาบาลก็พอ! ขอย้ำ! แค่พยุงนะมึง!”

เสียงสัญญาเสมือนระฆังพักยก

เพราะเวลามีน้อยเราเลยรีบออกจากฐาน และตั้งเป้าไว้ว่าจะสำรวจให้ได้มากที่สุด

ผ่านมาสิบนาที พวกผมมาได้ไกลพอสมควร พาร์กำลังนั่งยองๆ วางกระดาษกับตัก วาดรูปสามเหลี่ยมลงแผนที่มหาลัย ตวัดปากกาเร็วๆ เขียนข้อความอ่านรู้เรื่องกำกับว่าเป็นฐานของคณะไหน ถ้าไม่รู้ก็ลงแค่สีเสื้อไว้

“กูเสร็จแล้ว ไปต่อเลยไหม?”

ผมขานรับในคอ เหลือบมองบังเกอร์ใกล้เต็นท์ฐานอีกครั้งด้วยความตื่นตาตื่นใจ

เจอมาหลายคณะไม่มีรูปแบบไหนซ้ำกันเลยครับ ถึงวัสดุใช้ทำบังเกอร์จะวนซ้ำอยู่ไม่กี่อย่างก็เถอะ เห็นด่านให้พิชิตน่าสนุกแบบนี้ใครจะไม่อยากเล่น 

“อย่านึกสนุกเอาตัวเองไปเสี่ยง” พาร์พูดดุใส่เหมือนอ่านใจผมออก แถมลุกขึ้นยืนคว้ามือลากตัวไปที่อื่นต่อ “อย่าลืมมึงมาตัวเปล่า และที่สำคัญเขายังไม่เปิดงาน”

ได้แต่มองบังเกอร์ที่วางกินพื้นที่เยอะน่าดูตาละห้อย

“...กูอยากไปลุยในบังเกอร์บ้าง”

“ถ้ามึงไม่ได้จะไปบุกยึดเต็นท์ชาวบ้านก็ไม่จำเป็น อีกอย่างบังเกอร์ที่มึงเห็นวางทิ้งไว้ มันใช้สำหรับบุกยึดเต็นท์ฐานทัพหลัก ถ้าเป็นฐานย่อยอาจมีทำกำแพงกั้นรอบฐานบ้างแค่นั่น ข้อดีคือไม่มีจำกัดทิศบุกเหมือนฐานหลัก”

ฟังพาร์เล่าแล้วรู้สึกตัวเองโง่ขึ้นมาทันที ก็ตามประสาคนไม่ค่อยได้เข้าประชุมครับ มิน่า นนท์ถึงเคยบอกว่าคนขาดประชุมมักต้องไปเป็นเบ้ประจำฐาน ผมเข้าใจจุดนี้ เพราะขืนพาคนไม่รู้เรื่องรู้ราวไปเกิดอีกฝ่ายทำอะไรผิดกติกาขึ้นมามีหวังเสียเรื่องมากกว่าได้เรื่อง

คิดพลางถอนหายใจ

“…ความจริงฐานคณะอื่นถือเป็นของแสลงสำหรับสะใภ้คณะ กูถูกสอนมาว่า อย่าไปซนแถวนั้น เพราะมีโอกาสโดนจับตัวสูงกว่าที่อื่น”

พาร์ยิ้มบีบไหล่ปลอบใจ “ทำเรื่องที่รู้ดีกว่าเรื่องไม่รู้ เชื่อกู”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 17-04-2017 23:24:58
อื้อหือ รอชมมมม
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-04-2017 23:25:24
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 18-04-2017 00:15:44
ดูน่าสนุกนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 20-04-2017 13:20:49
อ่านแล้วอยากเล่นบ้างอ่ะะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-04-2017 11:49:48
บทที่ 54 (1/2)

เสียงกลองดังขึ้นกะทันหัน คนเสื้อเทาในเต็นท์ส่วนหนึ่งวิ่งออกไปดูลาดเลาด้านนอก ไม่กี่อึดใจ เสียงตะโกนดังเป็นทอดๆ จนเข้ามาถึงหูบุคคลด้านในเต็นท์เปิดโล่งเพียงด้านเดียว

“วิศวะบุกๆ”

ผู้คนที่ยังอยู่ในเต็นท์เริ่มตื่นตัว 

“ไปสังเกตว่าเป็นปีอะไร” คำสั่งการถ่ายทอดออกไปทันที “ส่วนใครมีหน้าที่เฝ้ากำแพงเมือง ไปประจำตำแหน่ง!”

“ครับ!”

“ค่ะ”

เหล่าคนเสื้อเทาอีกส่วนหนึ่งวิ่งวุ่น ส่งเสียงดังระงม พ้นหลังคนกลุ่มนั้นความเงียบสงบก็กลับคืนมา ผมยังคงจิบน้ำประสานสายตาผู้ออกคำสั่งเมื่อครู่ เกิดเป็นเกมจ้องตาอีกครั้ง และดำเนินต่อไปแบบไม่มีใครยอมกระพริบตาก่อนจนกระทั่งคนที่โดนสั่งก่อนหน้านี้วกกลับมายืนหอบข้างโต๊ะปิกนิกสี่ที่นั่ง

“ปีหนึ่งครับ พวกมันหิ้วยางรถยนต์มาวางกองเป็นฐานทัพย่อยอยู่ห่างจากเมืองของเราสิบเมตรแล้ว!”

“ประธานปีหนึ่งนำกำลังพลออกไปจัดการ!”

คนโดนเรียกลุกขึ้นยืนทันที ก่อนผละจากโต๊ะมีเหลือบมองกันเล็กน้อย ผมสบตาเทมสักพัก ก่อนฝ่ายนั้นเบือนหน้าหนี เดินไปตะโกนสั่งการเสียงดังลั่น

“เพื่อนชาวปี1 แบ่งกลุ่มตามที่จัดไว้ อย่าลืมหน้าที่ตัวเอง เราจะไปลุยกันแล้ว”

“เฮ!!”

ขบวนปีหนึ่งพุ่งตามเทมออกจากเต็นท์ ส่วนใหญ่ถือปืนฉีดน้ำออกไปอย่างคึกคัก มีส่วนน้อยที่เหน็บปืนฉีดน้ำกระบอกเล็กไว้ในกระเป๋ากางเกง สองมือหอบหิ้วฉากไม้ตามเพื่อนๆ ออกไป ท่าทางแต่ละคนคึกคักร่าเริง แววตาตื่นเต้นสุดขีด

“ท่านประธานครับ ขออนุญาตไปดูรุ่นน้องตี เอ้ย ป้องกันเมืองครับ”

“อนุญาต แต่ห้ามแทรกแซงจนกว่าจะมีคำสั่ง”

“รับทราบ!”

ไม่นานความสงบก็กลับมาเยือนเต็นท์หลังนี้อีกครั้ง ประธานปีสองประสานมือตั้งฉากกับโต๊ะ วางคางลงหลังมือ แววตาคมกริบเขม็งใส่ตัวประกันเพียงหนึ่งเดียว

ผมก็ทำตาใสซื่อมองกลับ เลยได้เสียงสูดลมหายใจกลับมา…คนตรงหน้าผมเหมือนคนกำลังพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิด ถึงอย่างนั้นทั้งแววตาทั้งน้ำเสียงกลับเก็บไม่มิด

“บอกมาได้หรือยังคะว่ามาทำอะไรแถวนี้”

เว้นวรรคอย่างจงใจ ก่อนย้ำสถานะเสียงหนัก

“คุณสะใภ้คณะ!”

...ไม่พูดคำว่านิติมาด้วยเลยล่ะครับจะได้ครบ

“พี่ก็เห็นอยู่ว่าผมโดนแบกเข้ามา”

มาแบบไร้สติมาเลยน่ะ

คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ตื่นมาก็พบตัวเองนอนบนพื้นในเต็นท์ชาวบ้าน มีเทมนั่งเล่นมือถือเฝ้าอยู่ข้างๆ

“ใช่เห็น แล้วตกลงว่าเธอมีจุดประสงค์อะไร?”

ผมเลิกคิ้ว จุดประสงค์งั้นเหรอ? พยายามนึกย้อนกลับไปว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาพตอนโดนไล่ล่าแวบเข้ามาในหัวให้เจ็บใจเล่นทันที

ได้แต่ยอมรับว่าดูถูกเกมตามล่าตัวสะใภ้ไปหน่อย ไม่สิ มากเลยล่ะ!

-------------------------------

ย้อนกลับไปก่อนจะมาอยู่ฐานสถาปัตย์...

แม่งเอ้ย! หลงกันจนได้!

ผมสบถอยู่ในใจ ระหว่างหลบซ่อนตัวตามลำพัง ในมือมีปืนฉีดน้ำ แต่น้ำหมด  อันสำรองอีกกระบอกก็หมด แม็กกาซีนสำรองที่เหลือก็ให้พาร์ไปหมดแล้ว

‘ระวังพวกล่าสะใภ้ให้ดี พวกนี้ฝึกมาล่าสะใภ้โดยเฉพาะ’

คำเตือนจากพี่ดินผุดขึ้นในหัว ผมเหลือบมองกลุ่มคนที่ว่า แล้วขบฟันอย่างหงุดหงิด

ถ้าให้จำกัดความสั้นๆ ผมขอเรียกว่าฝูงหมาล่าเหยื่อ เจอฝูงเดียวก็ว่าแย่แล้ว ดันเจอสองฝูงจับมือกันชั่วคราวไล่ล่าสะใภ้พันธมิตรบริหาร แล้วความซวยก็มาเยือนเมื่อผู้ถูกไล่ล่าวิ่งตรงมาทางพวกผมที่กำลังเดินทอดน่องคุยกันอยู่หลังหนีการไล่ล่ามาได้สักพัก

พวกผมสี่ชีวิตเลยจำต้องหนีมาด้วยกันแบบไม่มีทางเลือก พยายามแยกเป็นสองกลุ่มก็โดนดักต้อนไปนู้นทีทางนี้ที แถมคนในก็ไม่ให้ความร่วมมือ สุดท้ายพวกผมเลยพลอยต้องติดแหง็กอยู่ในสถานการณ์นี้ไปด้วย

“เอาไงดีวะ”

ผมถามพาร์เสียงเครียด สถานการณ์ชักแย่ลงเรื่องๆ เมื่อต้องงัดแม็กกาซีนสำรองออกมาใช้

“กูไม่อยากทิ้งมึงนะ แต่ถ้าจำเป็น กูจะช่วยล่อไปอีกทาง”

“ไม่!” ผมแย้งทันที “มึงวิ่งไปก็เท่านั้น พวกมันคงแค่แบ่งคนไปสกัดมึงไม่ให้ย้อนกลับมาช่วย ส่วนที่เหลือคงหันมาไล่ล่าสะใภ้มากกว่า”

พาร์นิ่งเงียบไปทันที ผมตวัดตามองสองคนที่พาความซวยมาให้ ช่วยห่าอะไรก็ไม่ได้ แถมยังเป็นปลิงสลัดไม่หลุด คิดว่าผมกับพาร์จะช่วยคุ้มครองได้ตลอดหรือไงวะ!

ผมลดเสียงเหลือกระซิบไม่ให้พวกนั้นที่ซ่อนตัวห่างไปเกือบเมตรได้ยิน

“ยิงปลิงทิ้งดีไหม?”

พาร์เลิกคิ้ว กระซิบกลับมา “กูว่าใช้เป็นเหยื่อดีกว่า ถ้าจับได้สักคน ฝ่ายที่ไล่ตามมึงจะลดจำนวนลงเอง”

“งั้นกำจัดตัวไร้ประโยชน์ทิ้ง ภาระจะได้น้อยลง” ผมเสนอ

พาร์ก็สนอง “รอจังหวะดีๆ ก่อน เดี๋ยวกูจัดการให้”

“ไปไถ่แม็กกาซีนมันมาก่อน ยิงก็มัว อยู่กับมันไปเปลืองน้ำเปล่าๆ”

“ได้ มึงยิงสกัดไป เดี๋ยวกูจัดการไถ่ เอ้ย ขอเพราะเป็นเหตุฉุกเฉินให้”

“ถ้ามันไม่ให้ก็ทิ้งแม่งไว้เนี่ย” ผมย้ำอย่างอารมณ์เสีย

เมื่อถึงช่วงวิ่งหลบหนี พาร์ก็สอยเก็บสามีคณะนั้นแบบเนียนๆ ใครดูก็รู้ว่าที่โดนพวกเดียว เพราะลูกหลง และมัวแต่ยืนเซ่อไม่หลบ ทั้งที่พาร์แสร้งตะโกนเตือนแล้ว เมื่อตัวหมดตัวปัญหาไปหนึ่ง ก็ถึงเวลาส่งอีกหนึ่งไปเป็นเหยื่อ แต่แล้วแผนการกลับผิดพลาดก่อเกิดความชุลมุนขึ้นทันที

พาร์ไหวตัวทันคนแรก ดึงผมหลบวิถีจับกะทันหันจนเซไปชนตัวมัน ตั้งสติได้ก็พบว่าถูกกอดแน่น ข้างหูได้ยินเสียงกลไกจากปืนฉีดน้ำรัวๆ

“วิ่ง!”

สิ้นเสียงเคร่งเครียด ไม่รอคำตอบจากผมด้วยซ้ำ จับมือผมลากวิ่งหนีทะลวงวงล้อมออกห่างจุดปะทะทันที ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของสาวสะใภ้ที่โดนทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้เกือบเอาตัวไม่รอด แต่แผนทิ้งเหยื่อก็ได้ผลดี จำนวนไล่ล่าจากสองกลุ่มเหลือกลุ่มเดียว

แต่ทำไม๊ทำไมดันซวยเจอสายแข็งอย่างพวกวิทย์กีฬาไล่ล่าต่อเรา!

“ไม่น่าเชื่อว่าพวกวิทย์กีฬาใจดี ยอมยกเหยื่อที่จับได้ให้พวกวิทย์” พาร์พึมพำขึ้นมาหลังรู้ว่าผิดแผน

ผมพ่นลมหายใจ “สองกลุ่มนั่นไม่เป็นเพื่อนกัน ก็ต้องมีข้อตกลงอะไรบางอย่างรวมกันแหงๆ แต่มาสนใจสถานการณ์ปัจจุบันก่อน มึงเหลือน้ำเท่าไหร่แล้ว?”   

ถามอย่างกังวล เพราะเมื่อกี้พาร์เล่นยิงรัวๆ เพื่อเปิดทางให้พวกผมหนีออกมา และถ้าจำไม่ผิดมันเหลือแม็กกาซีนสำรองแค่อันเดียว…

“ซวย น้ำกูหมด”

“แล้วสำรอง?”

“จวนตัวไปหน่อยเลยเผลอใช้แบบลืมคิด” ชูตลับเปล่าให้เห็นชัดๆ

ผมล้วงแม็กกาซีนสำรองที่เหลือแค่สองอันออกมา นึกในใจว่าคราวหน้าต้องพกแม็กกาซีนสำรองมากกว่านี้ “งั้นมึงเอาขอกูไปใช้ก่อน”

“ไม่เอา!”

“รับไปเถอะน่า!” ผมคว้ามือพาร์แบบออกยัดแมกกาซีนสองอันใส่ บังคับให้มือมันกำ “นี่เพื่อความอยู่รอดของเรา อีกอย่างมึงยิงแม่นกว่ากู”

พาร์ทำท่าจะอ้าปากแย้ง แต่พอสบตานานเข้า แววตามันก็เปลี่ยนไปเหมือนตัดสินใจได้

“กูจะปกป้องมึงให้ถึงที่สุด”

“ไม่ต้อง!” ผมจับหน้าพาร์ให้หันมาสบตาอีกครั้ง “กูไม่ได้อยากให้มึงเสียสละ อย่างที่บอกกูต้องการคู่หู ไม่ใช่องค์รักษ์ ถ้าจะรอดก็ต้องรอดด้วยกัน โอเคนะ?”

“…เอาแต่ใจวะ”

ผมหลุดขำทันที “มึงน่าจะรู้นานแล้ว หรือไม่ใช่?”

“ครับๆ มาพูดถึงเรื่องน้ำก่อน ให้กลับไปเติมน้ำที่ฐานหลักคงไม่ไหว หรือเราจะไปขโมยน้ำกันดี?”

“ใช้แผนโดนจับ แล้วไปขโมยน้ำพวกมันดีไหม?”

“เสี่ยงเกินไป”

หลังถกเถียงไปมาเลยครู่หนึ่งจึงได้ข้อสรุปว่า ไปฐานย่อยของพวกนิติปีสามที่กำลังไล่ล่าอาณาเขตอยู่ไม่ไกลดีที่สุด ถึงเราวางแผนกันซะดิบดี แต่ในสถานกาณณ์จริงก็ใช่จะเป็นอย่างที่คาดเดาหมด สุดท้ายกลับต้องแยกหนีไปคนละทาง พาร์ทำท่าจะย้อนกลับมาช่วย แต่ผมส่ายหน้าห้าม แล้วหันหลังวิ่งจากมาทันที

“มันอยู่นั่น!”

ผมหลุดจากภวังค์ เผลอสบถคำหยาบ รีบผละจากจุดซ่อนตัวออกวิ่งอีกครั้ง แอบนึกเคืองๆ ในใจ

ทำไมไม่จำกัดผู้ไล่ล่าเหมือนตอนทดสอบเล่า!

“อย่าหนีเลยน่า ยังไงก็ต้องโดนเราจับ”

ผมกัดฟันกรอด ไม่อยากยอมรับทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันคือความจริง สู้กลับก็ไม่ได้ แถมสภาพร่างกายกำลังถึงขีดจำกัด จุดจบคงไม่พ้นอย่างที่พวกมันตะโกนปาวๆ บอกเป็นระยะ

แต่ใครจะยอมให้พวกมันจับกัน!!

ผมมองสภาพแวดล้อมที่ผ่านเข้ามาในสายตา สมองนึกถึงแผนที่มหาลัยมีเครื่องหมายสามเหลี่ยมวาดไว้ แล้วตัดสินใจเบี่ยงตัวเปลี่ยนทิศวิ่งกะทันหัน สลัดหลุดไปได้พอสมควร แต่เกินครึ่งไหวตัววิ่งตามผมมาห่างไปแค่สามช่วงตัว

“เฮ้ย! จะวิ่งไปไหน?!”

ใครจะโง่บอก!

ผมทุ่มฝีเท้าเท่าที่ร่างกายยังไหวมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นเต็นท์ที่รายล้อมด้วยฉากไม้วาดเป็นรูปกำแพงซะสวย 

“เฮ้ยๆ ข้างหน้ามีฐานคณะไหนไม่รู้!!”

“สะใภ้หยุดก่อนโว้ย!”

หยุดให้โง่ดิ!

ผมไม่สนใจเสียงตะโกนร้องให้หยุดเป็นระยะ วิ่งเข้าไปใกล้ฐานที่ว่ามากกว่าเดิม ดูจากสภาพแวดล้อมมันคือฐานย่อยอย่างที่พาร์เคยบอกให้ฟัง และถ้าจำไม่ผิดมันเป็นของ…

เหลือบไปเห็นกลุ่มคนเสื้อสีเทาเดินเบื้องหน้าไม่ไกลจากผมนัก ท่าทางจะเห็นหน่วยลาดตระเวน กำลังจะละสายตา แต่ต้องหันไปจ้องอีกครั้ง โดยเฉพาะแผ่นหลังคนเดินนำหน้ากลุ่ม มองจนแน่ใจว่าใช่ก็รีบวิ่งเข้าไปชาร์ตคนกลุ่มนั้น ชนคนนู้นกระแทกคนนี้ ก่อนจะกระโดดใส่แผ่นหลังคนที่ว่า

“เฮ้ยยย! ใครหน้าไหนกล้ากระโดดเกาะหลังกู!”

ผมโดนสะบัดอย่างแรง สองขาล้าไปหมด แค่ทรงตัวยังทำไม่ไหว เลยล้มไปกับนั่งแปะกับพื้นตามระเบียบ เงยหน้าขึ้นมาเจอเทมทำหน้าเหมือนเห็นผี

มันตะโกนลั่นจนขี้หูแทบเต้น “ทำไมมึงมาอยู่นี่!!”

ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอธิบายยาวๆ ได้แต่ชูสองมือขึ้น กลั้นใจเปล่งเสียงคำเดียว ก่อนกลับไปหอบหายใจต่อ

“อุ้ม”

ณ ที่แห่งนั้นเงียบกริบ และเงียบยิ่งกว่าเมื่อเทมส่ายหน้าระอา ยอมเดินมานั่งหันหลังให้

แต่ขอโทษเถอะ กูลุกไม่ไหวโว้ย!

“ขึ้นมาเร็วๆ ดิ”

ผมหันไปมองคนยืนใกล้ๆ เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจ เข้ามาช่วยดึงผมขึ้นจากพื้น ขาสั่นพั่บๆ เลยครับ เซเกือบล้มอีกรอบ คนพยุงก็ใจดีมีเรียกเพื่อนมาช่วยประคองกึ่งลากเอาตัวผมไปวางแปะบนหลังเทมจนได้

“หนักสัดๆ ลดความอ้วนบ้างก็ดี”

ตั้งแต่เล็กยันโต ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม ทุกครั้งที่จำเป็นต้องแบกผมขึ้นหลัง มันก็พูดแต่ประโยคเนี่ย!

ผมเลิกสนใจเพื่อน เหลือบมองกลุ่มไล่ล่าที่ล่าถอยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ยังคงเห็นพวกมันแอบซุ่มดูอยู่ห่างๆ…มองตามสบาย เพราะผมไม่คิดไปไหนแล้วทั้งนั้น!

วางคางกับไหล่เทม กระซิบข้างหูคนก้าวเดินอย่างมั่นคงทั้งที่ต้องรับน้ำหนักผมทั้งตัว

“จับกู…ไปที”

“ฮะ!” 

“อย่าลืม…หาน้ำ…ให้ด้วย”

ฝืนพูดแค่นั้นก็หลับตาลง ตอนนี้ขอพักก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

-------------------

หลังนึกออกทั้งยวนก็อดถอนหายใจไม่ได้

คาดว่าผมคงเผลอหลับไปตอนโดนอยู่บนหลังเทมแหงๆ มิน่า ตอนตื่น เทมถึงมองมาด้วยแววตาเป็นห่วงหน่อยๆ ‘มึงคงเหนื่อยเกินไป’ พูดแค่นั้นก็ส่งขวดน้ำมาให้ กินได้แค่ไม่กี่อึกก็ต้องลากสังขารที่ปวดเมื่อยทั้งตัวมาพบปะกับประธานชั้นปี2 โดยมีเทมตามมาด้วย

สบตาบุคคลที่กำลังพยายามสอบสวนผม สำหรับจุดประสงค์คงไม่พ้น เห็นเป็นที่หลบภัยครับ…ลองพูดไปสิ อาจเจอลูกตบเข้าก็ได้ ดังนั้นเลยเลือกถามปลายเปิดแทนตอบคำถาม

“ทำไมพี่คิดแบบนั้นล่ะ?”

“เธอเป็นสปายใช่ไหม สารภาพมาซะดีๆ!”

“ฮะ!” ผมอุทาน ไหงคิดไปนู้นเล่า “พี่ครับ ลองนึกดีๆ นะ สปายที่ไหนจะสลบเหมือดปล่อยคนอื่นแบกมาแบบผมกัน”

“มันก็ใช่ แต่เธอมีพิรุธ!”

“ยังไงครับ?”

“เธอไม่มีท่าทีอยากหลบหนี!”

อ้อ แล้วใครอยากจะออกไปเล่นวิ่งไล่จับให้เหนื่อย อยู่ที่นี่มีที่ให้นั่งพัก มีน้ำให้กิน มีคนให้ เอ่อ...คุย ดีกว่าต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเป็นไหนๆ 

“แล้วเธอก็ล่อล่วงรุ่นน้องพี่!”

“ครับ?” ผมส่งเสียงสูงด้วยความประหลาดใจ ล่อลวงอะไร ผมงง!

“อย่ามาทำหน้าไม่รู้เรื่อง! ล่อลวงท่าไหนถึงให้เทมทำหน้าเป็นห่วง ตามเฝ้าไม่พอ ยังยอมแบกมาถึงที่นี่อีก! บอกไว้ก่อนนะ เธอได้หนุ่มหล่อนิติไปแล้วทั้งคน เหลือหนุ่มหล่อสถาปัตย์ให้สาวบ้าง น้องรหัสพี่เป็นถึงเดือนคณะ สาวๆ แลแล้วแลอีก แต่ทำไม๊ทำไมถึงได้สนใจผู้ชายหน้าละอ่อนแบบเธอมากกว่าผู้หญิงสวยๆ กัน!”

ผมกระพริบตาปริบๆ “…เอ่อ พี่ชอบเทม?”

“พี่จะชอบน้องตัวเองไปทำไม! คนแอบชอบจนเพ้อคือเพื่อนพี่นู้น เสียแรงเชียร์มาตั้งแต่เทอมที่แล้ว จนป่านนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักกะผืดเดียว…”

แต่บทสนทนาที่ออกแนวคนเล่าเจ็บใจจำต้องหยุดลง เมื่อคนกลุ่มแรกที่โดนยิงพากันทยอยเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า เต็นท์นี้ผมเห็นมีแต่ผู้ชาย มีแค่รุ่นพี่ตรงหน้าผมนี่แหละเพศหญิง เอ๊ะ หรือว่าไม่ใช่?

ผมมองพี่แกอย่างลังเล สุดท้ายก็ห้ามปากไม่ไหว “…พี่เป็นเพศอะไรครับ”

เหมือนคำถามผมจะไปกระตุ้นต่อมโมโหคนกำลังหงุดหงิดเข้าจังๆ

“ผู้ชายโว้ย!!”

จริงดิ! เหมือนผู้หญิงสุดๆ…

“รุ่นพี่อย่าไปแกล้งเขาสิ”

“ก็มันน่าโมโหไหมล่ะ มองยังไงพี่ก็เพศหญิงชัดๆ ดันมาถามว่าเพศอะไร!”

“เพราะนิสัยพี่ไม่เหมือนผู้หญิงไง”

“เดี๋ยวเถอะ...”

“พี่ครับแย่แล้วววว! มีกลุ่มคนประมาณห้าสิบกว่ายกพลมาทางเรา!!”

ผู้เข้ามาใหม่เสื้อเปียกมาหลายจุด แต่ความวุ่นวายยังไม่จบแค่นั้น เพราะอีกคนที่วิ่งเข้ามาเป็นพี่ปีสอง

“นิติกำลังจะบุกเรา!”

ผู้เกี่ยวข้องกับนิติเพียงคนเดียวอย่างผมเลยโดนคนทั้งเต็นท์จ้องจนพรุน หลายเสียงเริ่มถกเถียงกันใหญ่

“มาชิงสะใภ้คณะคืน?”

“ไม่น่าใช่ คนนี้จำได้ว่าเป็นสะใภ้เดิมพันนี่น่า ในใบประกาศจับยังขึ้นบอกอยู่เลย”

ผมเริ่มร้อนๆ หนาวๆ กลัวความแตกแล้วจะโดนส่งตัวไปฐานหลักแทน ถ้าเป็นแบบนั้นโอกาสหนีออกมายิ่งยากเข้าไปใหญ่

“เลิกเถียงกันก่อน!”

สิ้นเสียงประธานปีสอง ทั้งเต็นท์ก็เริ่มเงียบ ฟังหญิงเดียวในเต็นท์ซักถามเพื่อนต่อ

“ปีอะไรบุกมา? แล้วจะไปเจอจุดปะทะของพวกปี1 หรือเปล่า”

“คิดว่าเป็นปี3 พวกเขามาทิศตรงข้ามจุดปะทะแรก”

เสียงฮือฮาดังขึ้นมาทันที

“เรากำลังจะโดนโจมตีขนาบข้าง!”

“รับศึกพร้อมกันแบบนี้จะไหวเหรอ”

“ข่าวด่วนๆ” มีพี่ปี2 วิ่งเข้ามาใหม่ “ได้ยินว่าฐานใกล้ๆ เราโดนนิติตีแตกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เห็นว่าฝ่ายชนะยึดน้ำที่อยู่ในฐานไปได้พอสมควร เพราะงั้นเป้าหมายต่อไปเป็นเราแน่นอน”

ความกดดันแผ่ขยายไปทั่วทั้งเต็นท์ ก่อนประธานปี2 จะสูดลมหายใจเข้า พูดอย่างเด็ดขาด

“ไปบอกให้ทุกคนห้ามหลุดพูดเรื่องสะใภ้ที่เราได้ตัวมาเด็ดขาด”

“ได้ เธอก็สั่งระดมพลเตรียมพร้อมเลยดีกว่า”

“ได้ยินแล้วใช่ไหม ปีสองเตรียมตัว ปีหนึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบไปแจ้งข่าวให้เทมรู้ ถ้าเราสู้ไม่ไหวให้เตรียมสละฐานย่อยที่หนึ่ง ถอยไปรวมตัวกับฐานย่อยที่สอง”

“รับทราบ!”

“ส่วนเธอ…” พี่รหัสของเพื่อนทำหน้ายุ่ง “จะอยู่หรือไปก็เรื่องของเธอ พวกเราไม่มีเวลาไปยุ่งด้วยแล้ว”

อ้าว โดนตัดหางปล่อยวัดซะงั้น

ผมพยายามเรียกคนที่เดินผ่านไปมาอย่างเร่งรีบเพื่อถามแค่ข้อเดียว ไม่มีใครสนใจเลยครับ ทำได้แค่มองแผ่นหลังพวกเขาออกไปจนในเต็นท์เหลือแต่ตัวผม

นาฬิกาก็ไม่มี มือถือก็ไม่มี ถ้าไม่ถามผมจะมีรู้ได้ไง

พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ก็เข้าใจหรอกว่ากำลังวุ่น แต่เรื่องที่ผมถามก็สำคัญเหมือนกัน…

[ประกาศๆ…]

นั่นไง! ครบชั่วโมงแล้วสินะ!!

ผมหน้าตื่น รีบกระดกน้ำที่เหลือใส่ปาก เตรียมจะไปเดินสำรวจในเต็นท์ ค้นหาปืนฉีดน้ำของตัวเองต่อ

[สามีคณะนิติฝากประกาศแจ้งคนหาย เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วสะใภ้นิติหายตัวไป ใครพบเห็นตัว โปรดติดต่อมาทางกระผมด่วน ประกาศอีกครั้ง…]

พรวด!

เผลอพ่นน้ำออกจากปาก…ไม่ได้ตั้งใจนะครับ ผมแค่ตกใจ กะ ก็แทนที่จะโดนประกาศบอกสถานที่ดันเจอประกาศหาเด็กหลง! แอบคาดโทษใครบางคนในใจ ใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวกๆ รีบไปค้นหาหาปืนฉีดน้ำทั้งสองกระบอกจนเจอ

…แม็กกาซีนยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม

เหล่มองน้ำในถังปากกว้างที่วางรอตารอใจบนพื้น ลังเลว่าจะขโมยดีไหม ช่างใจชั่วครู่ก็ละสายตาจากมัน ยอมออกจากเต็นท์โดยไม่ขโมยอะไรติดมือสักอย่างเดียว

พอหลบเลี่ยงจุดปะทะทั้งสองมาได้ไกลพอสมควร ก็พบปัญหาที่ทำให้เข้าใจทันทีว่า ทำไมพาร์ต้องประกาศตามหา ผมยกมือขึ้นบังแสงแดดร้อนแรง มองทิวทัศน์เบื้องหน้านิ่งเงียบ

…มหาลัยกว้างใหญ่ขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้จะไปตามหามันที่ไหนเหมือนกัน

หมับ!

สะดุ้งโหยง รีบกระโดดถอยหนีมือปริศนาที่มาจับไหล่ จับปืนฉีดน้ำหันขู่ใส่คนที่มาด้านหลังเงียบๆ

ในใจสบถให้กับความโง่ของตัวเอง ไม่รู้อะไรดลใจถึงได้เป็นคนดีกะทันหัน คนดีที่ดันทำตัวเองเดือดร้อน! ถึงนึกเสียใจอยากกลับไปเติมน้ำใส่แม็กกาซีนก็สายไปแล้ว

สมองเริ่มครุ่นคิดหาทางรอดให้ตัวเองด่วนจี๋

“เดี๋ยวก่อน! พี่มาดีนะน้อง!”

หือ?

ผมกระพริบตาหลังเห็นอีกฝ่ายชูทั้งมือทั้งปืนฉีดน้ำขึ้นเหนือหัว พอเห็นใบหน้าชัดๆ ก็พบว่าคุ้นตาอย่างยิ่ง ลดสายตามองเสื้อเชิ้ตเจอสีฟ้ามีรอยเปียกน้ำเป็นหย่อมๆ ยิ่งช่วยยืนยันว่าคิดถูก

“…พี่รองประธานปีสาม” ยังไม่ทันเอ่ยชื่อ อีกฝ่ายก็พูดขัด

“ก็ใช่น่ะสิ! มึนอะไรเนี่ย ถึงจำชื่อกันไม่ได้ก็น่าจะจำหน้าได้นะ พี่เข้าออกห้องสโมฯ ออกบ่อย”

ผมอ้าปากจะบอกว่าไม่ใช่ แต่คิดไปคิดมา บอกไปตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เลยเปลี่ยนคำถามระหว่างลดปืนฉีดน้ำลง “มาได้ไงครับ?”

“พี่มาลุยชิงฐานกับเพื่อนๆ แต่เหลือบไปเห็นน้องหลบออกมานี่แหละเลยโดนยิงเข้าให้ เอาเถอะ เพราะได้ออกจากเกมกะทันหัน พี่ถึงตามหลังน้องมาได้”

ผมพูดไม่ออกกะทันหัน ไม่รู้จะบอกขอบคุณ หรือขอโทษก่อนดี

“มากับพี่ก่อนดีกว่า ถึงแถวนี้จะเป็นเขตปลอดภัยชั่วคราว แต่ก็ยังอันตรายอยู่ดี”

ผมสาวเท้าตามรุ่นพี่ไป เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เขตปลอดภัยชั่วคราวคือ?”

“พวกพี่พึ่งยึดฐานใกล้ๆ นี่ได้เลยต้องตรวจพื้นที่แถวนี้เข้มงวดหน่อย เผื่อเจ้าของฐานเก่ากำลังซ่องสุมกำลังคนคิดบุกชิงฐานคืนจะได้เตรียมตัวทัน แต่รอมาครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นมาสักที พวกพี่รอจนเบื่อเลยชวนเพื่อนครึ่งหนึ่งบุกโจมตีฐานใกล้ๆ” พูดถึงตรงนี้รุ่นพี่ก็หัวเราะ “ไม่นึกว่าวิศวะบุกอยู่ก่อน แถมสะใภ้คณะเราดันอยู่ที่นั่น ไหงถึงโดนจับได้ล่ะ?”

ผมส่งยิ้มเจื่อนขัดตาทัพ สมองคิดเร็วจี๋ว่าจะพูดความจริงดีหรือโกหกดี สุดท้ายก็เลือกบอกความจริง

หลังเล่าคร่าวๆ ให้ฟังจนจบ รุ่นพี่ก็หัวเราะชอบใจใหญ่ ตบบ่าผมป๊าบๆ

“มีเพื่อนดีนี่ ยอมแบกน้องกลับฐานตัวเองอีกต่างหาก เสี่ยงมากรู้ไหม ถ้าไม่ไว้ใจกันจริงๆ คงไม่พาไปหรอก”

พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ผมรู้สึกโล่งใจที่ตอนนั้นไม่ได้ขโมยอะไรออกมาเลย ไม่งั้นตอนนี้คงรู้สึกผิดอยู่ในใจแน่ๆ แต่ถ้าผมเจอสถานการณ์ต่างออกไปล่ะ…อ่า คงโทษความโง่ของตัวเองไม่เลิกแหงๆ

--------------------
(มีต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-04-2017 11:53:59
บทที่ 54 (2/2)

พอมาถึงฐานที่ว่า ผมเดินไปทางไหนก็เจอแต่รุ่นพี่เสื้อฟ้าทำหน้าประหลาดใจกันใหญ่ เข้ามาถึงในเต็นท์ สบตาคนๆ หนึ่ง อีกฝ่ายก็เผลอตะโกนออกมา

“เฮ้ย! สะใภ้คณะนี่!”

“ใจเย็นเพื่อน ส่งข่าวไปบอกฐานหลักก่อนดีกว่าว่าเจอตัวแล้ว” คนพาผมมาพูดขำๆ

“ใครก็ได้ไลน์ไปบอกพี่ดินดิ” พี่ประธานปีสามตะโกนบอก แล้วหันมามองผม “แล้วน้องไปอยู่ไหนมาเนี่ย?”

กำลังจะอ้าปากบอก แต่โดนคนยืนข้างๆ ชิงตอบก่อน

“โดนวิทย์กีฬาไล่ล่าจนน้ำหมด เกือบโดนจับ แต่ก็กระเสือกกระสนไปขอหลบภัยในฐานย่อยสถาปัตย์ มีเพื่อนดีอยู่ที่นั่น แถมโดนเข้าใจว่าเป็นแค่สะใภ้เดิมพัน ถ้ามีคนช่วยพูดให้ยังไงก็โดนปล่อยตัว”

“อือหึ สะใภ้คณะปีนี้ฉลาดดี” 

“เด็กนี่ฉลาด กล้าเอาปืนฉีดน้ำไม่มีกระสุนมาขู่กูด้วย” รุ่นพี่ขยี้หัวผมอย่างเอ็นดู

“แต่สะใภ้ปีหนึ่งอีกคนน่ารังแก” ประธานปีสามว่า น้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่

อีกคน?

ผมทำหน้ามึนๆ ไม่ใช่ว่าขอแลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้วเหรอ

หวนนึกถึงตอนช่วยงานที่สโมฯ ต้องพิมพ์ลิสต์รายการของยาวเหยียด เพราะไม่มีคณะไหนคิดอยากได้เมย์ไปเป็นสะใภ้สักคน และนิติก็ไม่อยากได้สะใภ้เพิ่มแล้ว เบ้ก็ไม่เอา เพราะเยอะกว่านี้แล้วจะก่อกบฏ ขอพูดถึงจำนวนสะใภ้ในนิติที่ผมรู้ แบ่งเป็นปีสี่ 2 คน ปีสาม 3 คน ปีสอง 3 คน ปีหนึ่งก็ผม ถ้ามีอีกคนก็เป็นสิบ…ว่าแต่ใครกัน? ทำไมผมไม่เคยเจอ

“จริง” พี่รองประธานหัวเราะขำ “เด็กนั่นโดนหลอกเข้าเต็มเปา ป่านนี้ยังไม่รู้ตัวเลยมั้ง”

“ปล่อยให้เข้าใจไปแบบนั้นจนกว่าจะความแตกนั่นแหละ หึๆๆ เราจะทำให้เด็กนั่นเข้าใจใหม่ว่าเป็นสะใภ้พันธมิตรก็โดนคนทั้งคณะแกล้งได้”

อะไรนะ!

“ง…งั้นที่ผมต้องทำงานเอกสารงกๆ บางครั้งต้องไปใช้แรงงาน เพราะโดนพวกพี่กลั่นแกล้ง?”

“ไม่ได้หมายถึงน้อง!!” สองเสียงประสาน ดังจนผมคอหด

รองประธานคว้าคอผมไปกอด “โอ๋ๆ พี่ไม่ได้ว่าน้องเลย ที่เป็นอยู่ดีแล้วน่า ช่วยพวกพี่ได้เยอะเลย ขนาดพี่ดินยังเอ่ยปากชม แต่อีกคนดันทำตัวน่าหมั่นไส้ นึกไปเองว่าเป็นสะใภ้พันธมิตรแล้วจะได้สิทธิพิเศษมากมาย ทั้งที่ไส้ในเป็นแค่สะใภ้เดินพัน แถมยังมาจากคณะศัตรูคู่แค้นอีก!”

“ค...คู่แค้นเลยเหรอ?” ผมอุทานระหว่างปลดแขนรุ่นพี่ออกอย่างสุภาพ

ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่เกิดใครบางคนมาเห็น มันจะเป็นเรื่อง

“เมื่อปีที่แล้วประธานปีสองของเรากับคณะนั้นดันมีเรื่องกันน่ะสิ เดือดร้อนเพื่อนพี่ที่เป็นพี่รหัสเด็กนั่นต้องไปช่วยไกล่เกลี่ย แต่กลายเป็นรุ่นใหญ่เขม็งกันเอง ปีนี้ยังญาติดีกันได้ แต่ปีหน้าไม่มีทาง”

ประธานรุ่นพูดเสริมต่อ “เราเลยใช้คำว่าพันธมิตรจอมปลอม เพราะทั้งเราทั้งคณะนั้นไม่จริงใจกันทั้งคู่”

“เด็กนั่นเป็นสปาย” รองประธานว่า “รู้กันทั้งคณะ เลยคอยช่วยกีดกั้นไม่ให้ไปแถวห้องสโมฯ แถมเด็กนั่นก็รักสบาย แค่ขู่ไปว่าถ้าไปแถวนั่นทุกคนต้องทำงาน แรกๆ ไม่เชื่อ พอโดนใช้งานแบกหามหนักๆ สองสามครั้งก็ไม่เฉียดเข้าใกล้อีกเลย”

อ้อ เพราะแบบนี้ผมเลยไม่เคยเจอ…ไม่สิ

วูบหนึ่งเหมือนมีภาพเลือนรางในหัว ผมคว้าไว้แล้วพยายามคิดให้ออก

ใช่แล้ว! เคยมีคนแปลกหน้าโผล่มาทักทายกะทันหัน รอนยิ้มเป็นมิตรดี แต่ทุกคำที่พ่นออกมามีแต่หลอกถามข้อมูลทั้งนั้น ทักษะแย่มาก ทั้งอ่านง่ายทั้งเดาทางล่วงหน้าถูก ผมเลยใช้ลูกเล่นจิตวิทยาล้วงข้อมูลบ้าง ถึงไม่เก่งเท่าจิตแพทย์ประจำตัว แต่ฝีมือก็ดีกว่าอีกฝ่ายหลายขุม ได้อะไรมาเยอะเหมือนกัน เลยไปบอกพี่ดินว่ามีสปายหลุดมาเยือนถึงในคณะ

คนฟังบอกแค่ไม่ต้องสนใจ ผมเลยทำตาม และเพราไม่ได้เจออีก ผมเลยลืมไปซะสนิท อย่าบอกนะว่านั่นคือสะใภ้ที่ว่า…

“ที!”

ผมหลุดจากภวังค์ หันตามเสียงเรียกก็เจอพาร์ที่หอบหายใจอยู่ด้านหลัง ผงะเลยครับ

ผัวะ!

โอ๊ย ตบหัวผมทีเดียว แต่เล่นซะมึน

“มือถือไปไหน! โทรหาก็ไม่รับ! ติดต่อไม่ได้แบบนี้รู้ไหมว่ากูเป็นห่วง แล้วทีหน้าทีหลังอย่าอวดเก่งฉายเดี่ยวคนเดียว เป็นอะไรขึ้นมามันไม่คุ้ม”

พาร์ใส่มาเป็นชุด ทำคนทั้งเต็นท์ยืนมองอึ้งๆ ส่วนผมที่กำลังมึนมาเจอเสียงเทศนาจากมันก็ยิ่งเวียนหัวหนักกว่าเดิม พอจะเอ่ยบอกให้มันหยุดพูดก็เห็นหน้าดำทะมึน แววตาดุจัดเข้าก่อน...หวนนึกถึงตอนที่มันพ่นไฟใส่ลุงแทนกับป้าเจนที่โรงพยาบาลเลยยอมหุบปาก ยืนฟังมันพ่นไฟแลบต่อไปเงียบๆ

“แล้วดูนี่สิ คาดสายตาไปหน่อยเดียวได้แผลมาเต็มไปหมด”

ผมอดแย้งไม่ได้หลังโดนมันชี้ทั้งแขนทั้งขาที่มีทั้งรอยแผลและรอยแดง

“แค่รอยถลอกกับโดนกิ่งไม้ข่วนเอง…”

“เองกับผีสิ!”

“โอ๊ยๆๆ อ่าอึงแอ้ม (อย่าดึงแก้ม)” ผมพยายามดึงมือพาร์ออกจากแก้ม

“ทำให้คนอื่นเป็นห่วงยังไม่สำนึก แย่มาก! แล้วนี่หายไปไหนมา?!”

ผมดึงมือพาร์ออกจากแก้มสำเร็จ กำลังจะอ้าปากพูด ดันโดนทั้งดุทั้งด่ามาอีกชุดใหญ่ๆ จนมันคอแห้งถึงได้ยอมหุบปาก เปิดขวดน้ำที่ถือติดมือมาขึ้นดื่ม แต่ตายังจ้องผม แววตาสื่อชัดว่าตอบคำถามมา!

ถามทีเป็นสิบๆ เรื่อง ผมจะจำหมดได้ไง!

ผมพ่นลมหายใจออกทางปาก เริ่มต้นที่คำถามแรก “กูไม่ได้เอามือถือมา กลัวมันเปียก จะใส่ถุงกันน้ำห้อยคอก็เกะกะ แถมมีโอกาสโดนขโมยหรือทำหล่นหายได้ เลยทิ้งไว้ที่บ้าน”

และอีกครั้งที่โดนด่ากระจาย แถมยังต้องเงียบฟังสรรพคุณและประโยชน์ของมือถืออีก

ครับๆ คราวหน้าผมจะไม่ขี้เกียจหรือกลัวหายแล้วครับ จะพกติดตัวไปทุกที่แน่นอน

หลังจบรายการถามตอบ บวกเทศนาอันยาวเหยียดที่ทำหูชา พาร์ก็ช่วยผมเติมน้ำในแม็กกาซีน แล้วลากตัวกลับฐานหลักทันที เจอหน้าพี่ดินปุ๊บก็โดนคำสั่งลงโทษปั๊บ

“กักบริเวณ! ไปนั่งรวมกับสองคนนั้น!!”

ผมกระพริบตาปริบๆ “ได้ครับ เอ่อ ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”

“บ่ายสามกว่า”

หลังได้คำตอบก็ยอมเดินไปนั่งรวมกลุ่มกับเชลยศึกทั้งสองคนโดยดี มีพาร์จ้องมาสื่อชัดว่าห้ามยุ่งกับพวกเธอเกินความจำเป็น ผมกรอกตามองเพดานเต็นท์ เพราะมันเป็นแบบนี้ เดี๋ยวนี้ผมเลยไม่กล้าแตะตัวเพื่อนหรือรุ่นพี่คนไหน และไม่ให้คนอื่นมาโดนตัวด้วย แต่ขอเว้นเพื่อนเก่าแก่ไว้สักกลุ่ม และหวังว่าพาร์จะเข้าใจ

“หวัดดี” ผมเอ่ยทักก่อน สองสาวทักทายกลับมาตามประสาคนคุ้นหน้ากันดี

พวกเธออยู่ปี1 เหมือนกัน เป็นสะใภ้พันธมิตรครับ การสรรหาเรื่องมาคุยไม่หยุดช่วยแก้เบื่อที่ต้องมานั่งเฉยๆ ได้พอสมควร ได้โอกาสผมก็ลองถามด้วยความอยากรู้

“ไม่คิดหนีเหรอ?” 

พวกเธอถอนหายใจ หนึ่งในสองเล่าว่า “แค่ลุกจากเก้าอี้แผ่วเบาก็โดนปากกาปาเฉียดหน้าเป็นการเตือน หลังลองทำครั้งที่สามคราวนี้โดนยางลบกระแทกเข้าหน้าผาก ไม่แรงมาก แค่ทิ้งรอยแดงๆ เอง”

คนเล่ายังลูบหน้าผากทั้งที่ผมไม่เห็นรอยแดงที่ว่าแล้ว

…สรุปคือพวกเธอปลงตก ไม่คิดหนีอีกแล้ว

ผมละสายตาจากสองสาว หลังได้ยินพี่ดินสั่งงานให้พาร์ไปลุยข้างนอก อย่างเสนอตัวไปด้วยชะมัด ติดแต่รู้ตัวดีว่าช่วยอะไรไม่ได้ เป็นบทเรียนให้ปีหน้าต้องเข้าร่วมประชุมกับนิติ ต่อให้มีภาระของสะใภ้คณะก็จะไปประชุมให้ได้!

“ที ยืมแม็กกาซีนสำรองหน่อย”

ผมหยิบออกมาวางบนมือคนเดินมาขอถึงที่ มองมันอย่างอิจฉาที่จะได้ไปเล่นสนุก พาร์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลงมาสัมผัสที่ขมับแปบเดียวก็เลื่อนหน้าออก

“เดี๋ยวกูเล่นเผื่อ”

ทิ้งท้ายแค่นั้นก็หมุนตัวเดินออกจากเต็นท์ ทิ้งผมนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าประชาชี! หันไปเจอสายตาสนอกสนใจของสองสาวก็เผลอเม้มปาก เลื่อนสายตาหนีดันไปเจอแววตาล้อเลียนของพี่ดินอีก จากที่ข่มกักเก็บได้ดีแล้วกลายเป็นปะทุขึ้นมาจนแก้มร้อนผ่าวไปหมด

ให้ตายเถอะ!

สองสาวก็พยายามถามเรื่องผมกับพาร์อยู่หรอก แต่หลังเจอคำตอบสั้นๆ หลายครั้ง คงรู้ตัวว่าเสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัวคนอื่นจึงเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน

“จริงสิ ได้ยินข่าวลือนี่ไหม เขาบอกว่าแต่ละคณะแอบกักตุนน้ำเป็นเดือนๆ เพื่อเอามาใช้เล่นในสงครามด้วยนะ” สะใภ้เบอร์หนึ่งคุยกับสะใภ้เบอร์สอง

เรียกพวกเธอเป็นหมายเลขลำดับโดนจับตัวมาอาจเสียมารยาทไปหน่อย แต่ผมจำชื่อไม่ได้นี่ครับ จะเรียกสะใภ้คณะนั่นนี่ก็ยุ่งยากเกิน และผมชอบฟังพวกเธอสรรหาเรื่องต่างๆ มาคุยมากกว่าหาเรื่องมาชวนคุยเอง

“อ๊ะ เราก็สงสัยเรื่องนี้ เพราะน้ำโดนจำกัดแบบนั้นไม่น่าจะมีให้เล่นเยอะขนาดนี้”

“ถึงพวกผู้ใหญ่รู้กันตอนนี้ก็สายไปแล้วเนอะ”

สองสาวหัวเราะคิกคักกันใหญ่ แต่ผมกลับมองว่าถ้าปีหน้าเจอมรสุมภัยแล้งแบบนี้อีก ทางมหาลัยคงไม่ยอมอนุโลมให้แบบปีนี้แล้วก็ได้ และคงโดยยกเรื่องที่แต่ละคณะไม่ทำตามข้อตกลงมาโต้ตอบ

[ประกาศแจ้งที่อยู่สะใภ้คณะครบหนึ่งชั่วโมง มีดังนี้…]

ทุกๆ หนึ่งชั่วโมงจะมีประกาศแจ้งเตือนดังขึ้นเสมือนนาฬิกาบอกเวลาสำหรับพวกผม เอ่อ ไม่นับรวมกรณีที่หลับไปแบบผม เพราะอาจหลงเวลาได้

“อีกชั่วโมงเดียวก็เลิกแล้ว” สะใภ้เบอร์หนึ่งว่า

“นั่นสิ แต่เรายังไม่ได้เปียกกันเลย” สะใภ้เบอร์สองพูดติดตลก

ผมผงกหัวเห็นด้วยกับสองสาว

“เป็นสะใภ้นี่แย่กว่าที่คิด มีแต่วิ่งกับวิ่ง” สะใภ้เบอร์หนึ่งถอนหายใจ

ผงกหัวอีกครั้ง…แต่ก็แอบแย้งในใจ ถึงอย่างนั้นก็สนุกไปอีกแบบ

“ดีออก น้ำหนักเราลงเลยนะ รูปร่างก็ดีขึ้นด้วย” สะใภ้เบอร์สองบอกยิ้มๆ

“แต่กล้ามขาเราขึ้น!”

คนพูดมองเป็นเรื่องเดือดร้อน แต่ผมมองว่าเป็นข้อดีมากกว่า มีกล้ามเนื้อสิดี และถ้าไม่มีเรื่องนี้ผมคงละเลยการออกกำลังกายจนลงพุงแหงๆ

ช่วงเวลาสุดท้ายฐานนิติโดนบุกอย่างหนัก พี่ดินเลยทิ้งหน้าที่เฝ้าเชลยให้ผม ขู่ทั้งผมทั้งเชลยทั้งสองไม่ให้หนีไปไหน ก่อนออกไปช่วยคุมสถานการณ์

“พี่เขาน่ากลัวเนอะ”

“ดูจะโหดกว่ารุ่นพี่ที่ฝึกเราด้วย”

สองสาวซุบซิบกันเบาๆ แต่ในเต็นท์เงียบๆ แบบนี้ผมได้ยินอยู่ดี แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

…ความจริงพี่ดินใจดีจะตาย

“เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” สะใภ้เบอร์สองเปิดประเด็นใหม่ “สะใภ้รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ปีที่แล้วมีทำกับดักน้ำด้วยนะ แบบที่ถ้าโดนล่อให้ไล่ตามไปจะเปิดกลไกให้น้ำพุ่งขึ้นมาโดนคนไล่ตาม”

ผมหูผึ่งฟังเลยครับ ถ้าปีนี้มีแบบนั้นนะ ไอ้พวกที่ไล่ล่าผมหัวซุกหัวซุน ไม่รอดแน่!

“แบบนั้นก็ดีน่ะสิ!” สะใภ้เบอร์หนึ่งตาเป็นประกาย

 “ใช่ เสียดายปีนี้ไม่มี เพราะทางมหาลัยให้เปลี่ยนหัวข้อเป็นแสงแทนไง ถ้ามีนะ สะใภ้สามารถใช้ประโยชน์จากมัน และหลังจบสงครามยังไปเล่นน้ำได้ด้วย อ๊ะ ปีที่แล้วมีของคณะหนึ่งโรแมนติกมาก เขาว่าบรรยากาศเหมาะพาคนที่ชอบไปสารภาพรักได้เลยล่ะ”

[ขณะนี้เป็นเวลาสิบแปดนาฬิกา ศูนย์นาที ศูนย์วินาที สงครามสายน้ำสิ้นสุดลงแล้ว ประกาศอีกครั้ง สงครามสายน้ำสิ้นสุดลงแล้ว]

เสียงโห่ร้องจากด้านนอกเต็นท์ดังสนั่น

“พวกเราป้องกันฐานได้โว้ยยย!!”

“งานนี้ต้องมีกินเลี้ยง!”

“ให้ดินเลี้ยง”

“เรื่องดิ อยากฉลองต้องหารตังค์!”

“งกวะ ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะมีความสุขคละเคล้าไปกับเสียงผู้คนที่ทยอยเดินกลับเข้ามาในเต็นท์ ใบหน้าแต่ละคนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม หลายคนส่งเสียงพูดคุยถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หยุด

“ชั่วโมงสุดท้ายโดนบุกเอาๆ จนกูนึกว่าไม่รอดแล้วซะอีก ดีที่ได้พวกพี่ปีสามกลับมาช่วยทัน”

“กูยิงโดนแท้ๆ มันดันหน้าด้านอยู่สู้ต่อ กูเลยยิ่งใส่หน้ามันซะเลย มีมองค้อนกูก่อนเดินออกจากสนามด้วยวะ ฮ่าๆๆ”

“สามคนตรงนั้นหันมองมาหน่อย”

เสียงที่ดังขึ้นใกล้ๆ ดึงความสนใจจากพวกผม เลยหันมองตามที่บอก

แชะ!

พี่ดินถ่ายรูปเสร็จก็ก้มหน้ายุ่งกับมือถือสักพัก ไม่นานก็ได้ยินเสียงประกาศ

[คณะนิติศาสตร์ป้องกันฐานหลักสำเร็จ มีตัวประกันสามคน ขออภัย สองครับ แหม เล่นถ่ายสะใภ้คณะตัวเองติดมาด้วยแบบนี้ผมสับสนแย่ ว่าแต่หาตัวเจอแล้วสินะ ต่อไปก็อย่าหลงทางหายไปไหนจนสามีคณะประกาศตามหาตัวอีกนะน้อง ฮ่าๆๆๆ]

ผมแยกเขี้ยวใส่อากาศ ก่อนหันมาฟังเสียงพี่ดินตะโกนบอกให้ทุกคนเงียบก่อน

“ก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมอยากให้พวกคุณไปรวบรวมน้ำที่เหลือทั้งหมดใส่ถังมา”

เหล่ารุ่นพี่ร้องอ้อ ไล่ต้อนน้องปีหนึ่งที่ทำหน้างงๆ ให้ทำตามที่พี่ดินสั่ง

“ส่วนสะใภ้ทั้งสาม ขอเชิญออกมาด้านนอกเต็นท์ด้วยครับ”

พวกผมลุกขึ้นยืนงงๆ เดินตามพี่ดินจนห่างจากเต็นท์พอสมควรกว่าจะหยุด แล้วต้องเรียงแถวหน้ากระดาน โดนรายล้อมด้วยคนเสื้อฟ้า เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจอย่างแรง

“เราเหลือน้ำถังกว่าครับพี่”

คนยกน้ำสองถังปากกว้างมาคู่กับเพื่อนตะโกนบอกก่อนจะเห็นตัวซะอีก

“ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อย”

รอจนพวกเขาเอาถังมาวางข้างเท้า พี่ดินถึงบอกต่อ

“แบ่งน้ำให้เท่ากัน ระวังน้ำหกล่ะ”

“ได้ครับ”

พี่ดินกวาดมองไปทุกคนที่ยืนรายรอบ แล้วพูดยิ้มๆ “เราจะให้เกียรติวีรบุรุษประจำงานนี้ ขอเชิญประธานปีสามผู้นำกองกำลังมาช่วยเราป้องกันฐานหลักทันเวลา และรองประธานปีสามผู้มีความดีความชอบหาตัวสะใภ้คณะของเราเจอ”

ผมทำหน้าพิลึกหลังได้ยินประโยคหลัง แต่ก็ตบมือไปพร้อมกับทุกคน ตาก็มองเหล่าเสื้อสีฟ้าขยับตัวเปิดทางให้คนถูกเรียกทั้งสองที่เดินออกมายิ้มๆ

พี่ดินยกถังน้ำส่งให้คนละใบ ก่อนทุกสายตาจะมองมาทางผม…ไม่สิ ทางสะใภ้ทั้งหมด

เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า…

ผมรีบหลับตา หันหัวหนีเมื่อเห็นว่าเหล่าวีรบุรุษประจำคณะนิติจะทำอะไร

โครม!

มีระลอกที่หนึ่ง ก็มีระลอกที่สอง

ซ่า!

ผมลูบน้ำออกจากหน้า ลืมตาได้ปุ๊บก็ก้มมองสภาพตัวเองปั๊บ

ทั้งเสื้อทั้งกางเกงกำลังน้ำหยดแหมะๆ เปียกยิ่งกว่าพวกที่วิ่งทำสงครามทั้งวันอีก พอหันไปดูอีกสองคน ลูกหมาตกน้ำไม่แพ้กัน ดีที่พวกเธอใช้เครื่องสำอางกันน้ำ สภาพเลยแค่ดูไม่จืด

เสียงหัวเราะดังสนั่น ประธานปีสามหันไปแท็กมือกับรองประธานปีสามทั้งที่ยังขำไม่เลิก

“จบธรรมเนียมของเราแล้ว คนสาดน้ำพาสะใภ้ต่างคณะกลับถิ่นด้วย”

“อ้าว!”

“พี่ดินนน!”

ตาผมหัวเราะบ้าง โดยเฉพาะท่านรองประธานปีสามที่ร้องเรียกชื่อพี่ดินเสียงหลง รุ่นพี่ทั้งสองบ่นงุบงิบ แต่ก็ยอมพาสองสาวไปส่งโดยดี ผู้คนที่ล้อมวงแหวกทางให้อีกครั้ง ผมพึ่งเห็นว่าพื้นที่ด้านหลังสะใภ้มีคนอัดแน่นสุดๆ เหมือนแย่งกันยืนเบียดรับน้ำลูกหลง

มันต้องทำขนาดนี้เลยเรอะ!

ผ้าขนหนูผืนหนึ่งวางโปะบนหัว หันไปก็เจอพาร์มายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวเป็นหวัด”

“กูไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น กูแค่เป็นห่วง”

ผมเม้มปากที่เกือบจะหลุดยิ้มออกมา ยอมเดินตามพาร์เข้าเต็นท์อย่างว่าง่าย แต่มาชะงักตอนหยิบถุงใส่เสื้อ

“เสื้อกล้ามกูไปไหนวะ?”

“ในถุงกู มันเปียก”

อ้อ พาร์คงเอาไปใช้ แต่…

ก้มมองเสื้อยืดสีฟ้าของพาร์ออกมาอย่างมึนงง “แล้วไหงมึงเก็บเสื้อยืดไว้ในถุงกูเล่า”

“มันจะได้ไม่เปียก”

“ไม่ได้เอาไปใช้?”

“อือ มึงรีบเปลี่ยนเถอะน่า ตอนนี้คนยังน้อย เดี๋ยวกูช่วยยืนบังให้”

ต่อมหวงของมันกำเริบอีกแล้ว แต่จะให้เปลี่ยนเสื้อต่อหน้า…จ้องเขม็งคนที่ยังยืนมองหน้าไม่เลิก

ยังไม่รู้ตัวอีก!   

ผมอ้าปากในที่สุด “หันหลังไปดิ!”

พาร์ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ถึงอย่างนั้นผมก็ยังระแวงหน่อยๆ เลยหันหน้าเข้าผนังเต็นท์ รีบปลดกระดุมถอดเสื้อเปียกออก กำลังจะคว้าเสื้อสีเหลืองของตัวเอง กลับโดนชิงตัดหน้า และโดนยัดเสื้อสีฟ้าใส่มือแทน

“ของมึงตัวนี้”

ผมทั้งสับสนทั้งโมโหที่โดนมันแอบมองตอนเปลี่ยนเสื้อ!

ตอนนี้ทำได้แค่เอาเสื้อยืดสวมหัวให้เร็วที่สุดก่อนหมาป่าบางตัวตบะแตก เพราะแค่นี้มือมันก็เริ่มซนแถวแผ่นหลังแล้ว ดึงเสื้อลงมาเรียบร้อย สัมผัสที่หลังก็หายไป แว่วเสียงถอนหายใจเหมือนเสียดาย

ผมเตะขามันไปป๊าบหนึ่ง กะแล้วอย่างมันไว้ใจไม่ได้!

พอได้ระบายอารมณ์ออกไปบ้างค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย จึงเอ่ยปากถามข้อสงสัย

“แล้วทำไมกูต้องใส่เสื้อมึง?”

“เถอะน่า” บอกแค่นั้นก็จับเสื้อถอดออกดื้อๆ ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทบไม่ทัน

ระหว่างรอพาร์เปลี่ยนเสื้อก็พยายามคิดไปด้วยว่าลืมอะไรไปหรือเปล่า…ใส่เสื้อคนอื่น แลกเสื้อกันใส่ ใช่ๆ แลกเสื้อ ตอนนั้นพี่นันบอกว่าอะไรบ้างนะ ให้ตาย นานหลายเดือนแบบนั้นใครจะไปจำได้

“วี้ดวิ้ว แลกเสื้อกันเหรอจ๊ะ แหมๆ ไม่ค่อยเลยวะเพื่อน หวงจริงคนเนี่ย!”

เสียงผิวปากมาพร้อมเสียงแซวกึ่งแขวะของเชนกระแทกความทรงจำได้ตรงจุด กระเทาะเสียงพี่นันออกมาทันที

‘ว่ากันว่าในช่วง Water War ถ้าได้แลกเสื้อกับคนที่แอบชอบจะสมหวังในรัก ส่วนใหญ่คนมีแฟน ฝ่ายชายมักจะให้แฟนสวมเสื้อของตัวเองเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของ’

ผมรีบตวัดตามองพาร์ คนโดนจ้องเลิกคิ้วขึ้นสูง ใช้สองมือดึงเสื้อยืดสีเหลืองลงปิดพุง

“อะไร?”

“เรื่องเสื้อ...มึงวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น?”

“ใช่”

ยอมรับหน้าตายมาก! โอเค กูไม่ซักไซ้อะไรมึงแล้ว

หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พี่ดินแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเอาผลงานของคณะไปติดตั้งในจุดที่กำหนดให้เรียบร้อย อีกกลุ่มช่วยกันหิ้วข้าวของไปยังพื้นที่สำหรับขายของที่ทางคณะจองไว้ ผมกับพาร์อยู่กลุ่มหลัง พวกเราต้องเร่งมือให้ทันฟ้ามืด เพราะงานนี้ถ้าเป็นโซนที่จัดงานช่วงกลางคืน ทางมหาลัยจะไม่เปิดไฟให้

ไปถึงก็วางรั้วกั้นแบบยืดหดได้รอบพื้นที่ทำเป็นอาณาเขตสี่เหลี่ยม แต่ด้านหน้ากั้นแค่ครึ่งเดียวที่เหลือไว้สำหรับเปิดให้คนเดินเข้าออก

พวกผมเดินไปกลับหลายเที่ยวกว่าจะขนของที่ต้องใช้มาได้หมด โดยเฉพาะถุงทรายที่แบ่งใส่ถุงเล็กๆ ห่อด้วยฟอยล์หลายสิบถุง และมีถุงทรายใหญ่หนักพอๆ กับก้อนอิฐสามก้อนอยู่อีกอัน ผมมารู้ว่าเจ้าก้อนฟอยล์เหล่านี้ไว้ใช้เป็นฐานมัดลูกโป่งก็ตอนเขากำลังจะปล่อยบอลลูนขนาดสามเมตรขึ้นฟ้า

“เตรียม...ปล่อยได้”

ทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณ กลุ่มประมาณสามคนกำลังจับบอนลูนสีขาวก็พร้อมใจปล่อยมือออก ทุกคนต่างแหงนหน้ามองบอลลูนทรงกลมลอยขึ้นฟ้าเรื่อยๆ จนถึงความสูงสามเมตรกว่าถึงหยุดกับที่ เริ่มแกว่งไกวไปมาตามแรงลม

คนดูแลฐานยึดรีบตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนวาดแขนเหนือหัวเป็นรูปโอเค

งานเตรียมของยังไม่จบ เราต้องจัดเตรียมลูกโป่งให้พร้อมก่อนเริ่มงาน โรงงานนรกเลยมาเยือน จัดสรรหน้าที่กันทำ คนอัดแก๊สฮีเลียมเข้าลูกโป่งใส ส่งต่อให้คนผูกริบบิ้น แล้วส่งต่ออีกครั้งให้คนเอาไปผูกกับก้อนฟอยล์ หรือที่บางคนเรียกฐานฟอยล์

ฟอยล์ก้อนหนึ่งมัดลูกโป่งได้หลายใบเลยครับ เพื่อความประหยัดพื้นที่เลยต้องมัดให้ได้มากที่สุด แล้วเอาไปวางเรียงใกล้รั้วกั้นจากซ้ายไปขวาจนเป็นรูปตัวยู ยกเว้นส่วนด้านหลังที่ปูเสื่อปิกนิกไว้เป็นที่นั่งทำงาน เลยต้องขยับฐานลูกโป่งมาวางด้านหน้าเสื่อปิกนิกแทน

ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ พวกรุ่นพี่จึงงัดเอาตะเกียงปิกนิกแบบใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากในกล่องออกมาแขวนกับรั้วกั้น ทำให้เราพอมีแสงสว่างทำงานกันต่อไป

“หมดนี่แล้วพอก่อน รอลูกค้ามามากกว่านี้เราจะปล่อยแผนสองกัน”

แผนสองที่ว่าคือขายโคมไฟ เอ้ย ผมหมายถึงลูกโป่งเรืองแสง วิธีทำก็หักแท่งเรืองแสงเขย่าๆ จนได้ก็ยัดเข้าลูกโป่งสิบนิ้วสีขาว อัดแก๊สฮีเลียมตามปกติ มัดด้วยริบบิ้นเป็นอันเสร็จ สามารถถือไปไหนมาไหนก็เหมือนมีโคมไฟตามไปทุกที ไอเดียดีสุดๆ พี่ดินเลยเอามาใช้ขายของหาเงินเข้าคณะแทน 

“งั้นเปิดขายเลยนะพี่”

“เออ เอาตะกร้านี้ไปคล้องแขนไว้ แล้วคนเก็บตังค์?”

“อยู่นี่ค่ะ”

คนโดนเรียกขานับ ในมือถือกล่องกระดาษด้านบนมีที่หยอดเหรียญ มองแวบหนึ่งเหมือนกล่องที่ไว้สำหรับขอบริจาคนอกสถานที่ แต่แบบนี้ก็เหมาะสมดี เพราะส่วนใหญ่เงินที่แลกมาใช้กิจกรรมนี้ก็เป็นรูปแบบเหรียญอยู่แล้ว   

“ใครเฝ้าซุ้มกะนี่ออกไปได้แล้ว”

พาร์ลุกขึ้นยืนพร้อมคนอื่น เห็นผมยังนั่งเฉยก็พยายามดึงผมให้ลุกขึ้น

หืม? ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองเป็นเชิงถามว่า กูด้วยเรอะ?

“กูลงชื่อมึงไว้แล้ว ลุกเร็ว ถือกระป๋องกรรไกรมาด้วย”

ตอนพวกผมมุดลูกโป่งออกมา เริ่มมีคนมายืนดูใกล้ๆ ชี้นิ้วไปบนฟ้า บอลลูนยักษ์เริ่มปรากฏอักษรเรืองแสงให้เห็นชัดขึ้นเป็นคำว่า

‘Balloon To Message’

“เพื่อนๆ เขียนอะไรก็ได้ตามคอนเซปของเราที่ลูกโป่งหน้าทางเข้าให้หน่อย”

คนคล้องตะกร้าใส่ปากปากกาเรืองไว้ที่แขนตะโกนบอก พร้อมไล่แจกปากกาให้คนละแท่ง

“ใช้คละสีนะ จะได้หลากหลาย”

หลังได้ปากกา พาร์ลากแขนผมไปทันที ไปถึงลูกโป่งที่ว่าเป็นกลุ่มแรก

รีบอะไรหนักหนาเนี่ย? 

“กูขอเขียนก่อน”

“เออ” ผมขานรับมองคนใจร้อนมึนๆ

เห็นพาร์ดึงปลอกปากกาออก ก่อนจับลูกโป่งสีใสลูกหนึ่งให้อยู่นิ่งๆ เขียนยุกยิกไม่นานก็ปล่อย ลูกโป่งลอยกลับคืนที่เดิม อักษรเรืองแสงสีส้มเปล่งประกายในความมืด

‘คนนี้ที่ใช่
ยังไงก็ใช่
ไม่เปลี่ยนแปลง’

ผมข่มความเขิน แล้วเอ่ยถามเสียงสั่นหน่อยๆ

“คอนเซปคืออะไร?”

เพราะบริเวณตรงนี้มืด ผมเลยเห็นหน้าพาร์ไม่ชัด แต่คำพูดมันสะเทือนไปทั้งหัวใจ

“บอลลูน ทู เมสเสจ…ส่งข้อความถึงคนที่คุณรัก”

“…มึงรู้ไหม รักมีหลายรูปแบบ”

“รู้สิ เพื่อนพ้อง ครอบครัว และ…คนรัก” พาร์พูดยิ้มๆ “คอนเซปของเราไม่ได้จำกัดว่าต้องเลือกส่งลูกโป่งให้คนยืนข้างๆ สักหน่อย อยากถือกลับไปให้คนที่บ้าน อยากจะปล่อยลอยขึ้นฟ้าสู่คนที่อยู่ห่างไกลหรืออาจไม่ได้พบเจอก็ได้ทั้งนั้น แล้วมึงล่ะอยากเขียนส่งถึงใคร?”

ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า บอลลูนขาวที่มีอักษรเรืองแสงยังคงปรากฏชัดแก่สายตา

ลูกโป่งใบเล็กๆ เอามารวมกันก็ใหญ่ได้ไม่แพ้บอลลูกบนฟ้า เช่นเดียวกับไม่จำเป็นต้องเขียนใส่ลูกโป่งแค่ใบเดียวแล้วจบสักหน่อย อยากเขียนถึงใครก็ได้ทั้งนั้น

ผมยิ้มเล็กๆ ระหว่างลดหน้าลง คว้าริบบิ้นดึงลูกโป่งสีใสเข้าหาตัว 

“กูมีคนที่รักเยอะ แต่ลูกโป่งแรกกูขอเขียนให้มึง”

ตวัดข้อมือเขียนทีละตัวๆ ถ่ายทอดข้อความภายในใจออกมาเป็นตัวอักษร

‘แด่คนนี้ที่ต้องการ
ไม่คิดเสียใจ ไม่คิดเปลี่ยนใจ
ขอบคุณที่มา…ให้รัก’

ทันทีที่ลูกโป่งหลุดจากมือ คอผมก็โดนรั้งเข้าหาอกใครบางคน กลิ่นที่คุ้นเคย ไออุ่นที่ทำให้ใจอุ่นตาม จึงยินยอมปล่อยให้ใกล้ชิด

วูบหนึ่งเผลอนึกถึงสมัยเด็ก

ครั้งแรกมีเพียงคำพูด ครั้งที่สองมีขนมกับข้อความ ส่วนครั้งนี้ได้มากกว่านั้น…มากมาย

หลับตาลงฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แม้ติดเร็วไปหน่อย แต่ยังหนักแน่นดุจขุนเขา เช่นเดียวกับตัวต้นที่อยู่ภายในใจของผม

มือกำเสื้อพาร์แน่น…ไม่ว่าจะเพราะอะไรที่ทำให้เราได้มาเจอกัน ผมก็ได้แต่พูดขอบคุณเท่านั้น

ขอบคุณจริงๆ ที่ส่งเขามาให้ผม 

ลมหายใจรินร้อนใกล้หู มาพร้อมเสียงกระซิบ “จูบมึงได้ไหม?”

อารมณ์หวานๆ ซึ้งๆ พังครืนลงมาทันที

ผมรีบลืมตา ผลักหน้าพาร์ออกห่าง ยิ่งรู้สึกถึงสายตาหลายคู่มองมา บวกกับอารมณ์ตกใจที่เมื่อครู่เผลอตัวเผลอใจกลางที่สาธารณะ ผมก็ยิ่งเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก

“ไม่ได้เหรอ?”

มันมาอีกแล้ว! ไอ้สายตาเว้าวอนของหมาน้อยเนี่ย!

ผมกัดฟันข่มไม่ให้ใจอ่อนสุดฤทธิ์ เค้นคำพูดดุเสียงเข้ม “ตรงนี้ไม่ได้!”

“งั้นขอติดไว้ก่อน” หมาน้อยรีบพูดรัวเร็วเหมือนกลัวใครแย่ง แถมยังกลายร่างกะทันหัน กระโจนเข้าใส่ทั้งตัวจนผมเซ “แต่ตอนนี้ขอกอดก่อนแล้วกัน”

ผมอ้าปาก ยังไม่ทันได้เรียกชื่อดุใครบางคน เสียงจากด้านหลังซุ้มก็ดังสนั่นเหมือนสัตว์คำราม

“เฮ้ย! คู่นั่นนะ! หวานกันเกรงใจคนโสดหน่อยโว้ย!!”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 21-04-2017 12:38:27
มีความหวาน มุ้งมิ้ง

 :o8:    :o8:   :กอด1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-04-2017 14:23:33
โอ๊ยๆ.......ยาวจุใจ ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขำที่ที ว่าพาร์ หึงมากไปแล้ว แม้แต่แมวยังหึง
“กูไม่ได้ห้ามมึงหึง แต่หึงให้สมเหตุสมผลหน่อย ไม่ใช่กับแมวก็ยังหึง”
“มึงต่างหากที่ยังไม่เข้าใจ นั่นเรียกหวง ไม่ใช่หึง”
“…งั้นรอกูแยกแยะสองคำนี้ได้เมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่” /ที ซื่อ น่าร้ก

“จูบมึงได้ไหม?”
 "......."
“ไม่ได้เหรอ?” 
 “ตรงนี้ไม่ได้!”
กร๊ากกกกก เลย ดุมาก เข้มมาก  :z3: :z3: :z3:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-04-2017 16:09:26
โอ้ยยยย. ตายๆ ตายไปเลย หึ๋ยยยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 21-04-2017 16:17:26
5555 พาร์แม่มนารัก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 21-04-2017 20:46:10
พาร์น่ารักอ่ะ ถ้ามีอย่างพาร์มาจีบ คงรีบตอบรับเลยทีเดียว อิอิ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 23-04-2017 00:23:04
ฮือออออ น่ารักอ้าาาาา อ่านไปยิ้มไปอ่ะ
ชอบทีอ่ะะน่ารัก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 24-04-2017 20:37:13
โอ๊ยยย ดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-04-2017 20:45:00
น่ารัก น่ารัก น่ารักมาก หวานมากเลย  :m3:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 27-04-2017 20:54:55
บทที่ 55

“ไอ้ทีรีบรับเร็วๆ โว้ย กูหนวกหู!”

หมอนถูกปาจากทางไวไวปะทะเข้าเต็มหน้าผม เลยลืมตาปาคืนเจ้าของ แต่ดันตกใส่หัวพี่ใหญ่ของกลุ่ม

“ที!!”

ผมรีบคว้าเจ้าเครื่องที่ส่งเสียงกรีดร้องไม่เลิกขึ้นมารับสาย หนีจากการถูกด่ารับเช้าวันอาทิตย์ทันหวุดหวิด 

“ครับ?”

[อยู่ไหนลูก?]

“คอนโดเพื่อนครับ” ตอบไปอ้าปากหาวไป “วันนี้พวกผมต้องไปช่วยเขาทำความสะอาดในมหาลัย พาร์กับผมเลยตกลงอยู่ค้างห้องเพื่อนแทนกลับบ้าน…” พูดถึงตรงนี้ก็เผลอนิ่วหน้า อาการเมาขี้ตาหายไปจนระลึกขึ้นได้ “เมื่อวานผมโทรบอกพ่อไปแล้วนี่”

ปลายสายเงียบไปนานจนต้องหันมือถือดูหน้าจอ สายไม่ได้ตัดเลยแนบหูพูดฮัลโหลๆ จนได้ยินเสียงพ่ออีกครั้ง

[จะเสร็จเมื่อไหร่]

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงไม่เกินช่วงเย็นล่ะมั้ง…มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”

แต่ใจแอบคิดไปแล้วว่าพ่อแม่คงอยากหนีเที่ยว เลยโทรตามตัวผมกลับไปดูแลน้องที่บ้านเหมือนทุกที

[คุณปู่กลับมาไทยแล้ว]

“จริงเหรอ!” ผมยิ้มดีใจทันที ก่อนแอบขอโทษพ่อในใจที่คาดเดาไปนู้น

[คุณย่าด้วย]

รอยยิ้มหุบทันควัน หน้าเริ่มซีดนิดๆ

“กะ…กลับมาเรื่อง เอ่อ แฟนของที?”

ไม่หรอกมั้ง…ถ้าคุณย่ารู้น่าจะมีคำสั่งฟาดเปรี้ยงให้ผมย้ายที่เรียนกะทันหัน และน่าจะต้องบินข้ามทะเลเหมือนลุงนิกที่ต้องแยกกับทากะซังไปช่วยคุณปู่ทำงานถึงนู้น

พ่อไม่ตอบ แต่ผมได้ยินเสียงเหมือนสูดน้ำมูก...

“เอ๊ะ พ่อร้องไห้เหรอ!”

ร่างผมหนาวเยือกทันที เริ่มสังหรณ์ใจพิกล ความคิดในทางเลวร้ายผุดขึ้นมาไม่หยุดจนมือเริ่มสั่นเทา

ไม่ๆ คิดในทางที่ดีไว้ไอ้ที ไม่มีใครเป็นอะไรไปหรอกน่า!

[ที จำยายศรีได้ไหม ก…แกกลับมาด้วยนะลูก] ถ้อยคำขาดหายเหลือเพียงเสียงสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง [คุณย่าพาอัฐิกลับมาทำพิธี…]

สมาท์โฟนถูกปล่อยร่วงจากมือ

ยายศรี…

สมองเริ่มมีภาพเก่าๆ วนไปเวียนมา คุณยายใจดีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรทางสายเลือดเลย แต่ก็รักเอ็นดูผมไม่แพ้ญาติผู้ใหญ่คนไหน เป็นคนพูดน้อย จึงมักคอยนั่งอยู่ข้างๆ ลูบหลังปลอบพลางฟังผมพูดระบายความอัดอั้นในใจ คนที่จูงผมเข้าครัวสอนทำอาหาร…

น้ำตาร่วงหล่นทีละหยดๆ สุดท้ายก็กลั้นเสียงสะอื้นไม่ไหว

“เฮ้ย!!”

“ร้องไห้ทำไมเนี่ย!”

เสียงไวกับยำประสานกัน ก่อนจะโดนเทมตวาดใส่ ในจังหวะที่ตัวผมโดนพาร์ดึงไปกอด ผมซบหน้าผากกับไหล่พาร์ กำเสื้อมันแน่น

“อย่าพึ่งไปถามมัน ปล่อยให้ร้องไปก่อน”

หูได้ยินอีกเสียงแทรกมา

“ฮัลโหล ผมกายนะครับ…อ้อ ครับ…จะฝากบอกให้ครับ”

ผมสัมผัสได้ถึงแรงตบเบาๆ ที่หลัง ตามด้วยเสียงกาย

“ที พ่อมึงบอกว่าทำกิจกรรมเสร็จแล้วให้ตามไปที่วัด แต่ถ้าเลิกเลยบ่ายสามให้ไปบ้านคุณย่าแทน”

แม้จะได้ยินทุกเสียงรอบตัว แต่ผมกลับไม่สนอง กลับเลือกร้องไห้ต่อไป ระบายทุกอย่างในใจตอนนี้ออกมาให้หมด แล้วหลังจากนี้…ผมจะพยายามทำใจยอมรับความจริงให้ได้

-------------

“สวัสดีเด็กๆ ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มกันแล้ว”

ชายชราที่สุขภาพยังแข็งแรงดีคลี่ยิ้มทักทายกะทันหัน พวกผมสะดุ้งหันรีบไปยกมือไหว้

“สวัสดีครับคุณปู่” เสียงแทบจะประสานกัน

“ไหนเจ้าอรรถบอกว่าทีติดกิจกรรมที่มหาลัย?”

“พวกผมโดดกิจกรรมมาครับ โอ๊ย!”

ยำยำโดนไวไวตบหัว “มึงก็พูดตรงเกิน!”

คุณปู่กวาดตามองด้วยแววตาดุๆ แต่ละคนเลยยิ้มเจื่อนๆ รับ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องแก้สถานการณ์

”แล้วคุณปู่มาทำอะไรตรงนี้?”

ระหว่างถามก็หยิบกุญแจไขเปิดประตูรั้วให้พวกเพื่อนๆ เอารถเข้ามาจอด ที่จริงใช้รีโมตเปิดรั้วสะดวกกว่า แต่กดเปิดเท่าไหร่ประตูก็นิ่งจนพวกผมต้องลงมาดูเนี่ยแหละ

คุณปู่ชูกระดาษขนาดเอสี่กับเชือกในมือ

‘ประตูเสีย ใช้ระบบมือเอานะหลานชาย’

“แต่สงสัยคงไม่ต้องใช้แล้วมั้ง”

ผมหัวเราะตามปู่ ขยับตัวไปกอดด้วยความคิดถึง เลยได้มือตบหลังเบาๆ กลับมา

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

“ทีต้องเป็นคนพูดต่างหาก”

รถหกคันวิ่งผ่านรั้วตรงไปยังลานจอดติดหลังคาด้านข้าง ผมกับยำช่วยกันเลื่อนปิดประตูรั้ว 

“มากี่ครั้งที่นี่ก็ยังใหญ่เหมือนเดิม”

ผมหันมองยำแล้วยักไหล่ “ใหญ่แบบนี้ก็ไม่ดีหรอก เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน”

ยำหน้าเจื่อน “กูขอโทษ ถ้าทำให้มึงนึกถึงเรื่องไม่ดี”

ผมพึ่งนึกได้ว่าตัวเองหลุดพูดอะไรออกมาก็ทำหน้าเจื่อนตามอีกคน ชำเลืองมองปู่...อยู่ห่างออกไปแบบนั้นคงไม่ได้ยิน เฮ้อ ต้องระวังคำพูดมากกว่านี้

“อยากออกกำลังกายกันไหมเด็กๆ”

คุณปู่หันมาถามพวกผมที่รวมตัวกันครบ พวกผมส่ายหน้าทันที ยกเว้นแขกมาครั้งแรกทั้งสองคนที่มีสีหน้าไม่เข้าใจ

ยำเลยรีบชี้บอก “สองคนนี้ไม่ส่ายหน้า แสดงว่าอยากเดินครับ”

พี่ภูขมวดคิ้ว พาร์หันมองผมเป็นเชิงถาม

“น่าเสียดาย ปู่ให้เขาเอารถมาแค่คันเดียว นั่งได้อีกสี่คน ใครที่คิดว่าตัวเองไม่แข็งแรงก็ขึ้นมาแล้วกัน”

พวกผมมองหน้ากันทันที สุดท้ายได้แต่ปล่อยปู่ขึ้นรถกอล์ฟคนเดียว

“ค่อยๆ เดิน ไม่ต้องรีบ ระวังโดเบอร์แมนด้วยล่ะ”

สิ้นเสียงปู่ ยำก็สะดุ้งโหยง รีบร้องเสียงหลง

“ปู่ครับ ผมไปด้วย!!”

แต่รถกอล์ฟขับไปนู้นแล้ว ไม่มีชะลอ แว่วเสียงหัวเราะมาอีกต่างหาก

ผมส่ายหน้าระอา เจอหน้ากันปุ๊บก็หยอกหลานๆ ปั๊บ หรือเพราะเห็นพวกผมทำหน้าเครียดกัน?

“...โดเบอร์แมนที่นี่น่ากลัว?”

พี่ภูถามขึ้นมาหลังเห็นยำคว้าแขนผมไปกอดตัวสั่นระริก เทมที่ยืนใกล้ๆ เลยเป็นคนตอบ

“ถ้ามีแค่ตัวสองตัวก็ไม่ แต่ที่นี่มีเป็นสิบ ยำเคยโดนพวกมันกระโดดใส่ตอนเป็นเด็กเลยกลัวฝังใจมาถึงตอนนี้...ความผิดไอ้ทีคนเดียว แกล้งเพื่อนจนได้เรื่อง”

...ตอนนั้นผมร้อนวิชา แล้วยำก็ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ ใส่หมาน่าแกล้งจะตาย เลยผิวปากออกคำสั่งให้เห่าใส่เฉยๆ แต่ผิวปากพลาดไปนิดกลายเป็นคำสั่งคุมตัว ยำเลยถูกโดนกระโจนใส่ผลักล้มกับพื้น แล้วมันก็แผดเสียงร้อนลั่นจนทั้งผมทั้งผู้ร่วมแผนการสี่ขาตกใจ

ผมหลุดจากภวังค์ มองแขนยำถูกแกะออกไป ทันทีที่พี่ภูทำสำเร็จ พาร์ก็รีบโอบไหล่ผม ลากตัวเดินนำหน้าทันที

“ทำอะไรของมึง! กูจะไปกับที!!”

“อยู่กับกูนี่!”

“ไม่เอา มึงช่วยกูไม่ได้! ทีรอกูด้วย”

พาร์ลากผมเดินเร็วขึ้นอีก ผมพยายามเอียวคอไปมองก็เจอยำโดนพี่ภูล็อกตัวดิ้นกระแด่วๆ อยู่กับที่

“...มึงกับพี่ภูเหมือนกันจริงๆ”

ขี้หวงเหมือนกันไม่มีผิด ผมถอนหายใจ  “รอเพื่อนกูก่อน แถวสนามหญ้าหน้าบ้านนี่ถิ่นเจ้าพวกนั้นเลย”

พาร์ยอมหยุดลาก ระหว่างรอมันกวาดสายตามองไปรอบๆ พร้อมกับทำหน้าสงสัย

“โล่งขนาดนี้ไม่น่าเกิดเรื่อง”

“...เพราะมันเปลี่ยนไปหลังเกิดเรื่องต่างหาก”

“เอ๊ะ?”

ผมยิ้มบางให้พาร์ แต่แววตาหม่นลงยามนึกถึงในอดีต

“ที่นี่เคยเป็นบ้านสวนมาก่อน ต้นไม้สูงใหญ่เยอะ เข้ามาแล้วก็เหมือนมาเดินในป่า ร่มรื่นเย็นสบาย อากาศดีมาก แต่หลังเกิดเรื่องสวนก็เปลี่ยนไปทันที จากพื้นดินเป็นสนามหญ้า ต้นไม้ใหญ่บางตาลง ความร่มรื่นเย็นสบายหายไป และแทนที่ด้วยความโล่งโปร่งที่ดูปลอดภัยมากกว่าเก่า”

ผมชี้นิ้วไปอีกทาง “แต่เพราะโล่งเกินไป แปลงพืชสวนครัวจึงถือกำเนิด เมื่อก่อนมีกรงไก่ด้วยนะ เลี้ยงให้ไข่ แต่ตอนหลังไก่หายไปไหนไม่รู้ กูเสียวๆ อยู่เหมือนกันว่าอาจ...ลงมาอยู่ในท้องไม่รู้ตัว เลยเลิกกินไก่ไปพักหนึ่ง ส่วนสนามหญ้าตรงนี้ นอกจากให้กูกับเพื่อนๆ ไว้วิ่งเล่น ยังเป็นที่วิ่งออกกำลังและที่นอนของพวกน้องหมาด้วย แลกกับห้ามไปซนแถวแปลงพืช เนอะ”

พยักหน้าขอความเห็นจากเจ้าหูตั้งที่ย่องมาดมพาร์เงียบๆ คนข้างผมหันไปเห็นถึงกับสะดุ้งโหยง

“ยืนเฉยๆ ปล่อยให้ดมไป” ผมให้คำแนะนำ ยืนนิ่งปล่อยอีกตัวมาดม สักพักก็กระดิกหางให้ ยอมให้ผมลูบหัวอย่างว่าง่าย เสียงมือถือทำให้พวกมันชะงัก ผมรีบกดรับสาย เจอเทมพูดมาสั้นๆ

“พวกกูโดนหมาบ้านมึงล้อม ช่วยด่วน!”

หันไปด้านหลังพวกเพื่อนๆ ยืนรวมกันเป็นกระจุก เบียดอัดกันเหมือนปลากระป๋อง มีโดเบอร์แมนหกตัวนอนหมอบในท่าเตรียมพร้อมเข้าจู่โจมทุกเมื่อถ้ามีใครแตกกลุ่มวิ่งหนีออกมา

ผมผิวปากไม่กี่ครั้ง ทั้งหกกระดิกหู ยืดตัวขึ้นแล้ววิ่งกลับมาทางผม ต้องลูบหัวชมทุกตัวครับ ไม่งั้นตัวที่ไม่ได้คำชมจะงอนใส่ เห็นเพื่อนๆ ยืนมองกล้าๆ กลัวๆ ก็ผิวปากอีกครั้ง พวกมันก็แยกย้ายหายไปจากสายตา

“ไม่ต้องกลัวหรอก ชุดกลางวันไม่ค่อยดุ ชุดกลางคืนดุกว่าเยอะ”

เหล่าคนฟังทำหน้าแปลกๆ ผมเลยพูดปิดท้ายก่อนพาแขกของบ้านเดินต่อ

“เดินกันตามสบาย หมาบ้านย่ากูไม่มาแล้ว”

เดินประมาณเกือบครึ่งกิโลก็ถึงตัวบ้าน ตั้งแต่หน้าประตูถึงในห้องโถงมีคนอยู่พอประมาณ บรรยากาศเศร้าโศกอบอวนไปทั่ว ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้สำรวมกายใจทันที ผมสูดลมหายใจนำขบวนเพื่อนๆ ที่กลับไปอาบน้ำแต่งตัวกันมาใหม่ให้เหมาะสมตรงไปจุดธูปกราบพระประธาน ก่อนจุดธูปไหว้อัฐิของยายศรีที่ตั้งวางบนโต๊ะอีกตัว

ผมได้แต่นั่งถือธูปมองกรอบรูปของยายศรีมือสั่น คิดอะไรไม่ออกจนกระทั่งโดนเพื่อนๆ สะกิด ถึงได้ตั้งสตินึกสิ่งที่อยากบอกเป็นอย่างแรก และน่าจะเป็นสิ่งที่ยายศรีอยากได้ยินที่สุด

ยินดีต้อนรับกลับบ้านเราครับ ทีดีใจที่ยายศรีกลับมา...

ผมทำน้ำตาร่วงทั้งที่ตั้งใจจะไม่ร้องอีก ยังจำได้ว่าก่อนไปต่างประเทศ ยายศรีพูดว่าหากมีโอกาสก็จะกลับมา รีบปาดน้ำตาออก สูดลมหายใจเข้าถ่ายทอดความในใจออกไปทั้งหมด

ที...อาจเลือกเส้นทางที่ทำให้ยายศรีผิดหวัง ขอโทษครับ แต่ทีจะไม่เสียใจทีหลัง ขอบคุณที่คอยดูแล คอยสอนทีมาตลอด ทีโตจากวันนั้นมากแล้ว ยายศรีไม่ต้องห่วงทีอีกแล้ว...พักผ่อนให้สบายนะครับ 

หลังปักธูปถอยออกมาให้เพื่อนๆ เคารพยายศรีต่อ ผมยืนน้ำตาซึม มองรูปถ่ายที่แก่ชรากว่าในความทรงจำ หากสีหน้าและแววตากลับอบอุ่นอ่อนโยนไม่เปลี่ยน มีหลายมือตบบ่าตบไหล่ปลอบใจคนละทีสองที หลังเคารพผู้ตายกันครบทุกคน พวกมันก็เป็นฝ่ายลากตัวผมไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่

“สวัสดีครับคุณย่า” เพื่อนๆ ยกมือไหว้ประสานเสียง

“สวัสดี”

“สวัสดีครับอาอรรถ”

“หวัดดี”

ผมคุกเข่าตรงไปกราบที่ตักคุณย่า ใจแอบหวั่นหน่อยๆ ตามประสาคนมีความผิดติดตัว

“ที”

มือเหี่ยวย่นตามวัยลูบหัวผมเบาๆ คุณย่าดูเหนื่อยอ่อนกว่าทุกที ไม่เหมือนหญิงแกร่งในความทรงจำ…หวนนึกขึ้นได้ว่าคุณย่าสูญเสียคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่สาว พวกท่านโตมาด้วยกัน คอยดูแลกันมาตลอด ความเสียใจของคุณย่าต้องมีมากกว่าผมแน่ๆ

“คุณย่า...” ผมคว้ามือท่านมากุมแน่นๆ

“ย่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงย่า แม่สายสิ อาการน่าเป็นห่วงกว่าย่าอีก”

ผมหันไปมองตามสายตาคุณย่า เจอป้าสายมองเหม่อรูปยายศรี น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด

“ย่าน่ะได้ทำใจก่อนแม่ศรีจะเสียจริงๆ แต่แม่สายรู้ข่าวตอนย่ากลับมาพร้อมอัฐิแล้ว กะทันหันเหลือเกินคงทำใจลำบาก”

ยังไม่ทันพูดอะไรกันมากกว่านี้ก็มีคนเดินมาแจ้งว่าพระสงฆ์มาถึงแล้ว พวกผมเลยต้องแยกย้ายไปหาที่นั่งก่อน

กว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรมก็เกือบเที่ยงแล้วครับ ทางผู้ใหญ่จะนั่งรถไปโปรยอัฐิกันเลยตามประสงค์ของผู้ตาย และป้าสายยินยอมลัดขั้นตอนพิธีกรรมตามคำสั่งเสียสุดท้ายของผู้เป็นมารดา

ผมอยากไปด้วยจะแย่ แต่จำต้องกลับมหาลัย เพราะถ้าผมไม่ยอมกลับ เพื่อนทั้งกลุ่มคงตามผมไปต่อทั้งที่แต่ละคนโดนโทรตามตัวเป็นรายคน คนละหลายครั้งทั้งจากเพื่อนทั้งจากรุ่นพี่

“เดี๋ยวพ่อถ่ายรูปให้ดู ทีไปจัดการเรื่องที่มหาลัยเถอะ”

“อือ”

“ไม่เป็นไรหรอกลูก ปู่กับย่ายังอยู่อีกหลายวัน พ่อกะจะรั้งให้พวกท่านอยู่ถึงสงกรานต์”

“แต่สุขภาพคุณย่า...”

“เดี๋ยวพ่อลองปรึกษาลุงหมอของลูกดูก่อน ไปได้แล้ว พาร์ติดเครื่องรอลูกอยู่”

-------------

การทำความสะอาดภายในมหาลัย คือการกวาดเก็บขยะที่หลงเหลือจากการจัดกิจกรรมเมื่อวานนี้

หากรุ่นพี่บอกว่าไม่บังคับ ใครมีจิตอาสาอยากมาทำก็มา  คิดว่าจะมีมาสักกี่คนกัน? งานนี้รุ่นพี่จึงพกแฟ้มชื่อทั้งคณะมา เช็คชื่อกันตั้งแต่เช้า ใครไม่มาก็มีทั้งโทรตาม โทรแล้วยังไม่มาก็อยู่ที่รุ่นพี่แต่ละคณะจะจัดการยังไง

เวลาเกือบบ่ายโมง

“ขอโทษครับ”

พวกผมยกพลไปยกมือไหว้รุ่นพี่คณะแพทย์ ชี้แจ้งสาเหตุไปตามตรงว่าไปร่วมงานศพมา รุ่นพี่ปีสามของกายไม่ได้มีสีหน้าตกใจ สอบถามกลับมาตามสองสามคำถามก็พยักหน้ายอมติ๊กชื่อกายให้ แต่แทนที่มันจะอยู่กับคณะตัวเอง กลับไปคุยอะไรกับรุ่นพี่ไม่รู้ อีกฝ่ายถึงปล่อยมันเดินมากับกลุ่มผมต่อ

“ไหงมาเดินกับพวกกูต่อล่ะ?” ผมถามกายอย่างสงสัย

“โดดมาด้วยกัน ก็ต้องไปขอโทษด้วยกันสิ”

“กายพูดถูก” เสียงเทม

“กูก็เห็นด้วยวะ” เสียงยำ

“งั้นไปด้วยกันหมดนี่แหละ ขอโทษครบแล้วค่อยกระจายกลับคณะ” ไวไวพูดสรุป

ไล่จากแพทย์ มาเภสัช บริหาร สถาปัตย์ วิศวะ...

ไม่มีใครโกรธหรือต่อว่าเรื่องหนีงาน มีแต่โดนด่าเรื่องที่ไม่แจ้งบอกตั้งแต่แรก ต้องให้โทรไปถามไปตามถึงจะรู้คำตอบ มีของรุ่นพี่คณะบริหารที่ต่อว่ายาวหน่อย เนื่องจาก...

“โทรไปแล้วไม่มีเสียงใครพูด มีแต่เสียงพระสวดแบบนั้น รู้ไหมว่าพี่หลอนแค่ไหน อย่างน้อยก็น่าจะช่วยตอบกลับมาว่า ‘ผมอยู่งานศพครับ’ ก็ยังดี!”

พวกผมมองรุ่นพี่ที่ท่าทางขวัญหนีอย่างเห็นใจ เหลือบมองเพื่อนตัวเองที่มีนิสัยเงียบขรึมกับคนนอกกลุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้ามันพูดสิคงประหลาด

และของวิศวะที่ไปขอโทษปุ๊บ โดนสั่งลงโทษด้วยการกอดคอลุกนั่งยี่สิบครั้งปั๊บ ไม่พร้อมทำใหม่ ถ้าไม่ผ่านสมาชิกวิศวะสามคนจะไม่ได้รับการเช็คชื่อ กว่าจะผ่านมาได้แทบแย่ และทำให้พวกผมรู้ว่าวิศวะชินกับการโดนทำโทษแบบนี้มาก เพราะวิน ยำ พี่ภู ไม่มีอาการล้าสักนิดเดียว

เหลืออีกสองคณะ...

[สวัสดียามบ่ายสองครับ หลังฟังเพลงเพราะๆ ระหว่างทำความสะอาดไปแล้ว มาฟังผมประกาศอันดับคะแนนสงครามกันต่อดีกว่า]

พวกผมแหงนหน้ามองเสียงที่ออกจากลำโพง ก่อนหันมองหน้ากันเองด้วยความสงสัย เป็นพี่ภูที่ช่วยอธิบายให้ฟัง

“วันทำความสะอาดจะมีประกาศบอกว่าคณะไหนได้อันดับที่เท่าไหร่ ตั้งแต่เช้าจะเริ่มจากอันดับสุดท้ายไล่มาเรื่อยๆ กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็ประกาศคณะที่ได้อันดับหนึ่งพอดี”

[แต่ก่อนอื่นขอแจ้งคณะที่ได้บ๊วยห้ารส 1 ถุงใหญ่เป็นของปลอบใจ ของรางวัลมาถึงแล้วนะครับ สามารถส่งตัวแทนไปรับได้ที่ตึกนิเทศครับ]

บ๊วยห้ารส?

อีกครั้งที่หันมองรุ่นพี่คนเดียวในกลุ่ม

“บ๊วย...ชื่อก็บอกอยู่แล้วนี่” พี่ภูบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่พอโดนยำซักถามด้วยความสงสัยก็ยอมเปิดปากอธิบายเพิ่ม “ถ้าให้ชัดกว่านี้ คณะที่เสียฐานหลักไปก่อนหมดกำหนด พวกนี้จะได้บ๊วยไปโดยปริยาย และใครที่ได้อันดับเกินกว่าห้าจะไม่มีของรางวัลให้”

“แล้วของรางวัลมีอะไรบ้าง?”

ยำถามอย่างสนใจ แต่พี่ภูกลับส่ายหน้า “ใครจะไปจำได้”

“ปีที่แล้วพี่ได้อะไร?” ผมถามบ้าง

“บัตรสวนน้ำฟรี ไปเล่นกันยกคณะซะมันหยดเลยล่ะ”

ปีหนึ่งวิศวะตาเป็นประกายทันที เป็นยำที่ถามขึ้นมาก่อนวิน

“ปีนี้ล่ะได้เหมือนกันไหม?”

“ถ้าได้ที่หนึ่งมาคงเหมือนมั้ง...” พี่ภูหยุดพูด รีบชี้หน้ายำ “ไปเล่นน้ำได้พี่ไม่ว่า แต่ถ้าไปเหล่หนุ่ม โดนลงโทษแน่!”

“เหอะ ใครบางคนมากกว่ามั้งที่คงเหล่ทั้งสาวทั้งหนุ่ม!”

พวกผมพร้อมใจกันหันหน้าหนี จ้ำเท้าผละจากมา ปล่อยสองคนนั้นส่งเสียงเถียงกันต่อไป

“ตกลงมึงรู้ยังว่าอีคอนนัดทำความสะอาดที่ไหน?”

ผมกรอกตามองฟ้าให้กับคำถามของเทม “ตรงๆ นะ กูรู้แต่ของนิติวะ”

“นี่มึงจะย้ายมาอยู่คณะสามีเต็มตัวแล้วใช่ปะ กิ๊วๆ”

ตวัดตามองไวไว กล้าแซวมา ผมก็กล้าแซวกลับ

“แล้วมึงล่ะ จะเปิดตัวกับวินเมื่อไหร่”

ไวไวถลึงตาใส่ผม “ใครจะเปิดตัวห๊ะ!”

“พูดถึงเรื่องนี้” เทมกวาดมองหาอะไรสักอย่าง แล้วถามไวดื้อๆ “แหวนหมั้นมึงไปไหน? ไม่ใช่ว่าต้องใส่ติดตัวเหมือนวิน...”

เจ้าของประเด็นกระชากมือซ้ายไวขึ้นทันที พอไม่เห็นก็จ้องคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาน่ากลัว

พวกผมพร้อมใจกันเบือนหน้าหนีอีกหน จ้ำเท้าจากมาอีกรอบ หูยังได้ยินเสียงสองคนนั้นทะเลาะกันดังลั่น

“มึงจะอะไรหนักหนา ก็กูอยากไม่ใส่!”

“ไม่ใส่ไม่ได้!”

ผมพูดลอยๆ อย่างอดไม่อยู่ “...วินเปลี่ยนไป หรือมันเป็นแบบนี้นานแล้ว แต่พวกเราไม่เคยรู้?”

“ถ้าอย่างหลังต้องเรียกว่าเก็บไว้ลึกมาก ถึงได้ไม่มีใครดูออกสักคน”

หลังเทมพูดความเห็น พี่ใหญ่ของกลุ่มก็ถอนหายใจออกความเห็นบ้าง

“สงสัยจะตกหลุมเพื่อนขุด และดูท่าคนขุดจะไม่ได้อยากให้อีกคนตกลงมา”

ต่อหัวเราะหึๆ “ฝ่ายคนตกไม่เห็นอยากปีนขึ้นมา”

“หรือไม่ก็ยังไม่รู้ตัว” พอผมพูดเสริมจบ ก็เจอพาร์มองมาแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ เลยย่นคิ้ว “กูพูดอะไรผิด?”

“มึงไม่มีสิทธิ์พูดประโยคเมื่อกี้ครับ เพราะกว่ามึงจะรู้ตัวก็ปล่อยให้กูรอซะนาน”

ผมอ้าปากจะพูดก็ไม่มีเสียงออก เพื่อนอีกสามคนรีบจ้ำเท้าเดินขึ้นนำไปนู้น อ้าวเฮ้ย!

แว่วเสียงพวกมันคุยกันเข้าหู ระดับเสียงแบบนี้จงใจให้ได้ยินชัดๆ

“เหลือแค่เราสามคนวะที่ยังโสด” เทมนำคนแรก

“มีอะไรให้น่าอิจฉา?” เสียงกาย

“ไม่มีสิดี” เสียงต่อ 

“แล้วใครว่ากูอยากมี ไม่มีก็ไม่ต้องมีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่ม ไม่ต้องวุ่นวาย ดีจะตาย”

เทมหัวเราะประสานเสียงไปกับอีกสองคน ในขณะที่ผมโดนพาร์จับให้หันหน้ามองตามัน

“สนใจกูนี่”

“แล้วกูไม่สนมึงตรงไหน?”

“ตรงที่วันนี้ไม่ค่อยมองหน้ากูเลยนี่แหละ กูรู้ว่ามึงกำลังเศร้าและคิดมาก แต่สนใจกูหน่อย...นะครับ”

ผมปลดมือพาร์ออก เบือนหน้าหลบพูดงึมงำ “...มึงเข้าใจผิดแล้ว”

“ผิดยังไง ไหนบอกให้เข้าใจหน่อย”

“อย่ากอดในที่สาธารณะ!” ผมดุ แต่มันฟังที่ไหน

“อย่าบ่ายเบี่ยงสิ”

ผมเม้มปาก

“ไม่พูดจะทำมากกว่ากอดนะ”

ผมผลักพาร์ออก รีบพูดรัวๆ แล้วจำเท้าหนีทันที

“ห...เห็นหน้ามึงแล้วชอบนึกถึงลูกโป่งต่างหาก”

เดินได้ไม่ไกลก็โดนอีกคนตามทัน มียิ้มล้อกันอีกต่างหาก

“ลูกโป่งที่อยู่ในรถ?”

“จะลูกโป่งไหนอีกเล่า!”

“ฮะๆๆ เขินบ่อยๆ นะกูชอบ”

“ไม่มีทาง!”

-------------

“เป็นอะไร? หรือเสียใจที่คณะตัวเองได้ที่หก?”

ผมหันไปมองคนขับรถ “ถึงอีคอนไม่ได้รางวัล แต่นิติได้ กูก็ได้ส่วนแบ่งอยู่ดี”

พาร์ยิ้มล้อ“เห็นข้อดีของสะใภ้คณะยัง”

ผมเบ้ปาก นึกถึงเรื่องที่พึ่งรู้มาหมาดๆ ก็รีบพูดออกไปทันที

“กูจะลาออกจากการเป็นสะใภ้! ปีหน้ากูจะไปเล่นสงครามกับเพื่อนบ้าง!”

“เสียใจด้วย สะใภ้พันธมิตรลาออกไม่ได้ครับ”

“ทำไมจะไม่ได้ แค่พี่ดินเซ็นอนุมัติ จะสะใภ้เดิมพัน สะใภ้พันธมิตร จบศึกก็ยื่นลาออกจากตำแหน่งได้หมด!”

“แล้วพี่ดินจะเซ็นให้มึงไหมล่ะ?”

ผมเงียบกริบ ยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้พี่ดินพูดเปรยๆ ว่าไม่คิดคืนผมให้อีคอน ตอนนั้นไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้ง เฮียแกหมายถึงไม่เซ็นอนุมัติให้ลาออก!

นึกถึงหน้าประธานนิติปีสาม ไม่รู้ปีหน้าจะยอมเซ็นอนุมัติให้ผมหรือเปล่า เฮ้อ...

เสียงมือถือคุ้นหู ดึงผมออกจากภวังค์ ดึงจากกระเป๋ากางเกงมองหน้าจอแวบหนึ่ง เห็นรูปพ่อก็รีบกดรับสายทันที

[พ่อถึงบ้านแล้วนะลูก]

ผมรีบถามกลับ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?”

[อืม...คืนนี้ทีจะไปนอนไหน?]

ทำไมเสียงพ่อฟังดูแปลกๆ

“ผมกำลังคิดอยู่ครับ บางทีอาจไปนอนบ้านย่า...”

[อย่าพึ่งไปดีกว่า! เอ่อ คือพ่อบอกคนบ้านนู้นไปแล้วว่าวันนี้ทีทำกิจกรรมเลิกดึก]

ผมที่ตกใจกับเสียงตวาดของพ่อเมื่อครู่ค่อยๆ สงบลง ในใจบังเกิดความสงสัย

ทำไมพ่อต้องโกหก?

ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น จึงเอ่ยถามกลับด้วยความระมัดระวัง

“มี...ปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?”

พ่อเงียบไปนานจนผมชักสังหรณ์ใจไม่ดี เหลือบมองพาร์แวบหนึ่ง ซ่อนความกังวลไว้ในใจ

[…วันนี้คุณปู่ถามเรื่องลูก พ่อเลยเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ไม่คิดว่าย่าของลูกจะได้ยินด้วย พ่อขอโทษ]

เหมือนโดนฟ้าผ่าใส่ ผมกำมือถือแน่นจนข้อนิ้วขึ้นขาว กัดฟันถามพ่อให้แน่ชัด

“พ่อพูดเรื่องพาร์ด้วยใช่ไหม”

[ลูกก็รู้ยิ่งเราโกหกหรือปิดบัง คุณย่ายิ่งโกรธ พ่อเลยต้องพูดเรื่องของลูกกับพาร์ไปทั้งหมดเท่าที่รู้]

ความหวาดกลัวผุดขึ้นมาในจิตใจ ขณะเดียวกันก็แอบโล่งอกเล็กน้อยที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดเรื่องนี้เอง 

[ทีโกรธพ่อไหม?]

“...ไม่ครับ เพราะสักวันคุณย่าก็ต้องรู้”

ใช่…ยังไงก็ต้องรู้

ผมหลับตาลง นึกถึงคู่ตัวอย่าง ลุงนิกกับทากะซังแอบคบกันมาตั้งนาน ก่อนผมเกิดจนผมโต สุดท้ายความก็แตกอยู่ดี

‘ทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่ต้น! แกหลอกให้ฉันมีความหวัง! วาดฝันว่าแกจะแต่งงานมีหลานให้ฉันอุ้ม…’

ผมหลับตาลง ภาพในวันนั้นยังชัดเจนเหมือนพึ่งเกิดไม่นาน

‘ใจเย็นค่ะคุณ’ ยายศรีพยายามจับตัวคุณย่า ลูบหลังปลอบประโลม

‘คุณแม่ก็ได้อุ้มทีแล้วไง’

‘นั่นลูกของน้องชายแกนะ!’

‘ลูกของอรรถๆ แล้วไงล่ะ ในเมื่อมันไม่มีปัญญาดูแลถึงต้องยกทีให้ผมนี่ไง! คุณแม่ต่างหากที่ไม่เข้าใจ ผมคบกับผู้ชายแล้วยังไง ทากะเป็นแม่ที่ดีให้ทีได้ ไม่เชื่อถามไปทีดู!’

‘อย่าเอาหลานแม่มาอ้างนะ!’ 

‘หลานแม่ก็ลูกผม! คุณแม่เองนั่นแหละที่เกือบทำครอบครัวผมแตกแยก!!’ 

ผมสูดลมหายใจเข้าออก ลืมตาขึ้นมา กรอกเสียงลงมือถือด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พ่อไม่ต้องห่วง ผมเตรียมใจตั้งแต่ยอมตกลงคบกับพาร์แล้ว”

[...แต่ยังไงคืนนี้ลูกควรกลับมาตั้งหลักที่บ้านเราก่อน]

“ได้ครับ”

หลังวางสายก็พบว่าพาร์เอารถมาจอดข้างทางตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความสงสัย และรอคอยคำตอบอยู่เงียบๆ

ผมเม้มปากครู่หนึ่ง ก่อนบอกไปตามตรง

“คุณย่ารู้เรื่องเราแล้ว...”

แววตาพาร์วูบไหวก่อนค่อยๆ สงบลง

“เลิกเรียนพรุ่งนี้...สงสัยกูจะโดนคุณย่าเรียกตัวเข้าพบ”

###########

ขอคั่นอารมณ์สักนิด
วันนี้เรามีเกมมาให้เล่นค่ะ
กติกา: ตอบคำถามเพียง 1 ข้อ ผู้ที่ตอบได้โดนใจคนแต่งที่สุดรับหนังสือชลนที 1 ชุดค่ะ (แจก 2 รางวัล)
กำหนดระยะเวลาตอบทั้งหมด 5 วัน (หมดเวลาวันที่ 2 พฤษภาคม 2017 เวลา 23.59 น.)

มาดูคำถามกันเลย

Q: คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...

ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ
เรารอคำตอบจากคุณอยู่นะ ^^

และตอนนี้ที่เพจของเรามีเล่นเกมแจกหนังสือเช่นกัน
ใครสนใจก็ตามไปร่วมสนุกได้นะคะ : )

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-04-2017 21:45:36
ขอให้คุณย่าแกปลงได้จนอย่าได้ขัดขวางความรักของพาร์กับที

:ling3: :ling3:


ชอบการเล่นเกมของกลุ่มเพื่อนที เล่นกันเหมือนไม่ใช่เกมส์
ต้องเอาตัวรอดจริงจากสถานการณ์ที่เหมือนจริงเสียดายที่ต้องเลิกเล่นก่อน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 27-04-2017 22:05:53
Q: คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...
A: ที่ชอบที่สุดคงจะเป็นความฉลาด,ความซึนและความคิดที่ซับซ้อนของที กับความจริงจังของพาร์ แล้วก็มิตรภาพของกลุ่มเพื่อนทีค่ะ
รองลงมาก็ชอบน้องๆของทั้งสองบ้าน สรุปแล้วชอบเกือบทุกอย่างนั่นล่ะค่ะ 555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-04-2017 22:13:40
พาร์กับทีสู้ๆนะ คุณย่าจะต้องเข้าใจ อย่าคิดมากนะ


ชอบมิตรภาพของทีกับเพื่อนๆค่ะ ชอบที่ทุกคนจะคอยดูแล เป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจ ช่วยเหลือและซับพอร์ทเพื่อนๆในกลุ่มอยู่เสมอเลย รวมถึงกิจกรรมที่ทุกคนจะไปทำร่วมกันด้วย มันน่าสนุกมาก ซึ่งเราประทับใจในจุดนี้มากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-04-2017 22:42:44
ดีใจ ไรท์มาต่อ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

❤️ ชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...
     ชอบตัวตนของที ที่สุด.....
     ชอบความฉลาด ความเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบ สามารถแก้ปัญหาได้ เป็นที่พึ่งของน้องๆและเพื่อนๆได้
     ที ดูแลน้องๆ ได้เป็นอย่างดี น้องๆรักที เชื่อฟังที ติดทีที่สุด  เป็นที่ปรึกษาให้น้องๆ
     ที เป็นมันสมอง เสนาธิการ ของเพื่อนๆ เพื่อนๆเชื่อใจ ให้ความไว้วางใจ   
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-04-2017 22:57:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 27-04-2017 23:31:15
ทีสู้ๆ  พาร์สู้ๆ :hao7: :hao7:
...................................................................
                 ชอบความเป็นทีอ่ะ
ทีเป็นคน มีความรับผิดชอบ มีความกล้า      เป็นเพื่อนที่ดีด้วย คอยให้คำปรึกษาเพื่อนไรเงี้ยอ่ะ   เป็นพี่ที่ดี ชอบตอนที่ดูแลน้องอันกับน้ำอ่ะ ไม่ตามใจน้องเกิน  ไม่ลำเอียง ให้ช่วยเหลือตัวเอง
เป็นเเฟนที่ดีด้วย5555 เวลาอยู่กับพาร์ทีน่ารักมาก  >< 
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 28-04-2017 00:06:40
ลุ้น คุณย่าจะว่าไง :call:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Thanna ที่ 28-04-2017 00:24:09
คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด ?
คำตอบ ชอบการบรรยายของไรท์เตอร์ที่สุดค่ะ จริงๆแล้วเนื้อเรื่องที่สรุปใจความมาเนี่ยมันก็สนุกนะเนื้อหาไม่ได้แปลกใหม่หรือโดดเด่นอะไรมากจนเป็นนิยายเชิงแหวกแนวปานนั้น มันก็เป็นนิยายธรรมดาที่ทำให้ไม่ธรรมดารู้สึกถึงความพิเศษได้ด้วยการบรรยาย เราจะไม่รู้สึกหลงรักตัวละครเลยถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวละครต้องการจะสื่อ เราจะไม่ฟินจิกหมอนกับเรื่องธรรมดาบ้านๆอย่างมุกเสี่ยวจีบกันถ้าไม่อธิบายถึงท่าทางของตัวละคร เรื่องมันมีอะไรให้คิดอยู่ตลอดเวลาเพราะคำบรรยายที่ชัดเจนชวนให้คิดปมตาม บางครั้งเหมือนเรารู้สึกไปกับตัวละครนั้นจริงๆ ทั้งๆที่เราก็แค่อ่านอยู่หน้าคอม ชอบมากค่ะการบรรยายที่ทำให้เห็นถึงความสำคัญของตัวละครแต่ละตัว ถึงแม้จะไม่ใช่เมนหลักก็ตามไรท์ก็ยังทำให้เราเข้าใจและอินไปกับความรู้สึกของพวกเขา แม้ว่าตามจริงเราจะอ่านผ่านๆหรือมองข้ามไปก็ได้ แต่ก็ไม่สามารถ....//เวิ่นนานแล้วล่ะเนาะ ก็อยากมาสารภาพผิดนะคะที่แทบจะไม่ได้คอมเม้นต์เลย ก็เพราะในหัวมีแต่คิดว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไงต่อเลยไม่ทันได้พิมพ์คอมเม้นต์ เก๊าขอโต้ดนะะ สุดท้ายนี้ก็ ขอบคุณนะคะที่สร้างเรื่องราวสนุกๆมาให้อ่าน ++เรียนวิทยาศาสตร์ต้องพึ่งทฤษฎี แต่ชลนทีนี้จะมีพาร์ทีอยู่ในใจ อรั้ยย  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 28-04-2017 01:29:23
ชอบที่มีความแปลกใหม่แฝงในเนื้อเรื่องเป็นระยะ ทั้งคอสเพลย์ ทั้งเกมส์เซอร์ไววอล ทั้งสงครามสายน้ำ แต่ความแปลกลงตัวกับกลุ่มตัวละครมาก น่าติดตามว่าต่อไปจะมีเกมส์อะไรอีกพอๆกับน่าติดตามความสัมพันธ์ของแต่ละคู่...นี่รอดูว่าแฟนเทมจะเป็นคนยังไง...
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 28-04-2017 10:47:37
ชอบตรง แต่ละคน ตกหลุมรักกันและกัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก  เป็นรักแท้ รักแรก รักเดียว.... 555 หวานล้ำหน้านิสัยประหลาดๆ ของทั้งสองคนไปมาก  และชอบที่คนเขียนคอยหากิจกรรมให้ตัวละครในเรื่องเล่นกัน ติดเกาะ กับ สงครามสายน้พสนุกมาก อ่านเพลินมาก แถมยังเอาคู่ของทากะซังมายั่วให้อยากอ่านอีกต่างหาก  ขนาดจั่วหัวมานิดเดียวเองนะนั่น  ขอสรุปว่า สเน่ห์ของตัวละครที่เล่ามาทั้งหมดนั่นเอง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: AIMPT ที่ 28-04-2017 13:40:11
Q: คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...
A: ถ้าถามว่าชอบอะไรที่สุดในเรื่องคงเป็นการเขียนที่สื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละครและการเข้าถึงจินตนาการของคนอ่านได้เป็นอย่างดี เป็นเรื่องที่ดูจับต้องและสัมผัสได้จริง ชอบการเขียนถึงมิตรภาพความเป็นเพื่อนมากที่สุดไม่ว่าเพื่อนจะทำอะไรดีหรือไม่ดีเพื่อนทุกคนก็จะคอยช่วยเหลือ สนับสนุนและตักเตือนให้เพื่อนได้รู้ รวมถึงการที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อนในทุกเมื่อไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ เพื่อนในกลุ่มทุกคนก็พร้อมที่จะผ่านไปด้วยกัน เข้าใจกัน และดูแลกันเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก ปัจจุบัน และอนาคต คิดว่าทีโชคดีมากที่มีเพื่อนกลุ่มนี้ และคิดว่าเพื่อนคนอื่นๆก็โชคดีที่มีทีเป็นเพื่อน :กอด1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-04-2017 15:36:34
คุณย่ารู้เรื่องแต่คงซอฟลงแล้วละเนาะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 55+เกมแจกหนังสือ] P.19 (27/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 29-04-2017 23:10:33
สนุกมากกกกก ชอบที่สุด ชอบความเป็นพาร์ ที น่ารัก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 05-05-2017 15:41:22
บทที่ 56

พาร์คว้ามือผมไปบีบเบาๆ “กูจะไปกับมึง”

ผมส่ายหน้า “...ให้กูไปคนเดียวก่อน”

“ไม่! เราควรไปด้วยกัน!”

ผมพ่นลมหายใจ “ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากให้มึงไป แต่ถ้าคุณย่าเห็นหน้ามึงก่อนอาจปรี๊ดขึ้นมาจนคุยกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง”

“กูจะรออยู่นอกห้อง”

ผมลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า ในรถมีแต่ความเงียบที่ค่อนข้างตึงเครียด ต่างคนต่างจมในภวังค์

“...กูกลัวใจมึงมากกว่าย่ามึงอีก”

ผมหันไปมองพาร์ “...กลัวโดนทิ้ง?”

“มาก!”

ผมเหล่มองสองมือที่ยังจับประสานกันแน่นไม่ปล่อย ก็อดพึมพำไม่ได้

“...ก็เห็นอยู่ว่าไม่ใช่มึงฝ่ายเดียวที่จับไม่ปล่อย” 

“อะไรนะ?”

“กลับกันเถอะ”

พาร์พ่นลมหายใจบ้าง ยอมออกรถตามที่ผมบอก แต่...

“ปล่อยมือสิ ขับมือเดียวอันตรายนะ”

“ไม่เอา”

เราเงียบกันมาตลอดทางจนถึงหน้าบ้าน ผมกำลังจะลงจากรถก็โดนรั้งตัวไว้

“ค้างด้วยได้ไหม?”

ผมส่ายหน้า เห็นความกลัวในแววตาพาร์ก็ก้มหน้าเข้าหา ช่วงชิงริมฝีปากอีกฝ่ายไม่กี่วิก็ผละออกรีบชิ่งลงจากรถ พูดทิ้งท้ายใส่คนตัวแข็งทื่อ ก่อนปิดประตู

“ไปทบทวนเงื่อนไขที่กูบอกมึงในวันที่เราคบกันดู” 

ผมเดินผ่านรั้วบ้าน หันกลับไปมองรถสีเงินแวบ...ถ้ามันเข้าใจที่ผมอยากจะบอกก็คงดี

เข้ามาในบ้านพ่อเหมือนรอผมอยู่ ถึงได้รับเดินตรงมา ผมยกมือห้ามไม่ให้พ่อพูด และทำเพียงแค่กอดพ่อผู้ให้กำเนิดแน่นๆ และได้รับกอดแน่นๆ กลับมา

“ผมรักพ่อนะ เพียงแต่...อาจจะน้อยกว่าลุงนิก”

“...พ่อรู้ ไม่เคยโทษทีเรื่องนี้เลย เพราะเป็นพ่อเองที่ยกทีให้พี่ชายตั้งแต่ต้น”

“ถ้าผมเผลอทะเลาะกับคุณย่า...อาจพูดจาไม่ดี และทำพ่อกับแม่เสียใจอีกแล้ว เพราะงั้นพรุ่งนี้อย่าไปเลย”

“ไม่เป็นไรลูก พ่อคงไม่บอกแม่...พ่อจะไปคนเดียว”

“แต่...”

“ลูกไม่เคยผิด ผิดที่พ่อกับแม่เอง ผิดมาตั้งแต่ต้น ลูกก็คงโกรธพ่อกับแม่ตั้งแต่อยู่ในท้อง เพราะแบบนั้นถึงไม่เคยมองเราเป็นพ่อแม่จริงๆ สักครั้ง พ่อขอโทษ ขอโทษจริงๆ”

ผมกำเสื้อพ่อแน่น น้ำตาแทบจะร่วงลงมา

“ผมก็ผิด...”

ผิดที่รักคนอื่นมากกว่าผู้ให้กำเนิด

-------------

เสียงแปลกๆ ทำให้คนนอนไม่หลับอย่างผมรีบลุกขึ้นจากเตียง เงี่ยหูฟังพบว่ามาจากชั้นล่าง หันมองนาฬิกาตีสามกว่าแล้ว ด้วยความระแวงเลยเปิดประตูห้องนอนแผ่วเบา เดินให้เบาที่สุดจนมาถึงบันได แอบกวาดมองผ่านความมืดจนเห็นเงาคนๆ หนึ่งกึ่งนั่งนอนพิงกับโซฟา เลยเดินเข้าไปใกล้

จมูกสูดอากาศฟุดฟิด...กลิ่นเบียร์นี่น่า

ผมกดเปิดไฟตรงห้องนั่งเล่น เงาตะคุ่มที่ว่าคือพ่อนี่เอง จากท่าทางไม่ใช่พิงกับโซฟาแล้ว นี่มันเมาแอ๋จนพลาดตกจากโซฟาชัดๆ

“พ่อ มานั่งดื่มอะไรตรงนี้เนี่ย เดี๋ยวแม่ออกมาเจอก็โดนด่าหรอก”

ผมช่วยยกตัวพ่อกลับขึ้นมานั่งบนโซฟา กวาดมองกระป๋องเบียร์เปล่าๆ เกลื้อนทั้งบนโต๊ะบนพื้นก้ได้แต่ส่ายหน้า รีบหาถุงมาเก็บพวกมันโดยด่วน นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเด็กชัดๆ พูดถึงเด็ก ผมหันไปมองกรงฮิเมะ เจอเจ้าเหมียวซุกหัวมุดหลบในที่นอนหันก้นออกมาด้านนอก หางสะบัดไปมาเหมือนหงุดหงิดได้ที่

...ท่าทางจะเกลียดกลิ่นเบียร์ล่ะมั้งนั่น

ผมรีบกวาดพวกกระป๋องลงถุงขยะ จัดการมัดแล้วเอาไปหย่อนถังขยะบ้านตรงข้าม ฝากไกลถึงนู้นแม่จะได้ไม่สงสัย ต่อไปก็ลากคนแก่ไปอาบน้ำ ใช้ห้องน้ำข้างล่างนี่แหละ เสื้อผ้าก็เอาที่พึ่งตากแห้งวันนี้ ยังอยู่ในตะกร้ารอรีดพรุ่งนี้ก่อน ถึงจะเอาไปแขวนตามห้องเจ้าของ จากนั้นก็ลากตัวมานอนบนโซฟาที่ทำความสะอาด แถมฉีดสเปรย์ดับกลิ่นให้แล้ว

“ช่วยกลบหลักฐานให้ขนาดนี้ ถ้าแม่จับได้อีก ผมก็ไม่รู้แล้ว”

พ่อส่งเสียงอืออาอะไรสักอย่าง ฟังไม่ถนัด 

“แล้วนึกยังไงถึงลงมาดื่มเบียร์ตั้งเยอะ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะพ่อ”

เหมียว

ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ฮิเมะยืนเกาะกรงร้องเรียกหา ผมเลยเดินเข้าไปหา แหย่นิ้วผ่านช่องว่างไปเกาคอให้ “ไปนอนได้แล้ว ไม่มีกลิ่นรบกวนแล้วไม่ใช่เหรอ”

พอหันกลับมาก็ตัดสินใจเอาผ้าห่มนอนกลางวันของน้องอันมาคลุมตัวพ่อ ปล่อยให้หลับอยู่ที่โซฟานี่แหละ ถ้าแม่ลงมาเจอก็หาข้ออ้างเอาเองนะพ่อ ผมขึ้นห้องแล้ว

“ที...พ่อขอโทษ”

ผมชะงักมือที่กำลังดึงผ้าห่มขึ้นถึงอก...อย่าบอกนะว่ามากินเบียร์เพราะคิดมากเรื่องนี้

“...ก็บอกแล้วว่าไม่โกรธ”

“พ่อผิดบาปต่อลูกจริงๆ พ่อ...”

ถ้อยคำที่เบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ทำผมปล่อยผ้าห่มหลุดมือ เบิกตากว้างมองผู้เป็นพ่อที่นอนละเมอสารภาพบาป น้ำตาไหลรินออกมาเงียบๆ

หมายความว่ายังไง...

ผมผละจากผู้เป็นพ่อด้วยความรู้สึกหลากหลาย สับสนมึนงง แฝงด้วยความไม่อยากเชื่อ

“พ่อพูดอะไรออกมาน่ะ”

ถ้อยคำขอโทษดังมาซ้ำๆ เสมือนค้อนยักษ์ทุบหัวให้ตื่นจากความฝันสู่ความเป็นจริง

ผมสูดลมหายใจลึกๆ พยายามตั้งสติให้กับตัวเอง จัดการขยับผ้าห่มให้เข้าที่เสร็จก็รีบเดินไปปิดไฟ กลับขึ้นชั้นสอง เข้าห้องตัวเองได้ก็จัดการล็อกประตูอีกครั้ง หลังพิงชนประตูไหลพรืดลงมานั่งที่พื้นอย่างหมดแรง

หูยังได้ยินเสียงพ่อตามหลอกหลอน...คำสารภาพบาปที่ผมไม่ได้อยากรู้เลยสักนิดเดียว

‘เราเกือบจะทำแท้งแล้ว ถะ ถ้านิกไม่ยื่นข้อเสนอว่าจะรับลูกไปเลี้ยงดูเอง’

-------------

“มึงหลับยัง?”

[ใครจะหลับลง]

“งั้นลงมาเปิดประตูบ้านให้หน่อย กูยืนอยู่หน้าบ้านมึง”

[ฮะ!]

สัญญาณตัดทันที รอไม่ถึงสองนาทีก็ได้ยินเสียงกุญแจกระทบกันมาแต่ไกล ทันทีที่ประตูรั้วเปิดก็เจอหน้าตกใจของพาร์เป็นอย่างแรก

“มึงมาทำอะไรหน้าบ้านกูตอนตีสี่เนี่ย?”

“มาหามึงไง”

ผมส่งกระเป๋าเป้ใบใหญ่กับใบเล็กให้พาร์ช่วยถือ ก่อนหันไปยกจักรยานเข้าบ้านพาร์ แอบเห็นมันมองของในมือสลับกับหน้าผมอึ้งๆ หลังหาที่จอดให้จักรยานตัวเองได้ ก็ดึงเป้ทั้งสองใบจะถือเอง แต่พาร์ไม่ยอมปล่อยเป้ใบใหญ่

“เดี๋ยวกูช่วยถือ แล้วมึงเอาอะไรใส่เป้มาเนี่ย? ทำไมมันหนักๆ”

“ก็มีทั้งเสื้อผ้า หนังสือเรียน ของใช้จิปาถะที่จำเป็นแต่มึงไม่มีให้ยืม”

พาร์มองผมด้วยแววตาแปลกๆ แถมยังหัวเราะฝืดๆ

“...มึงทำให้กูนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง มันมีปัญหากับพ่อก็โผล่มาในเวลาแปลกๆ หิ้วเป้มาขออยู่ด้วยเลยวะ”

“อ้อ งั้นกูก็คงไม่ต่างจากเพื่อนมึงคนนั้นเท่าไหร่”

“เอ๊ะ...”

“กูหนีออกจากบ้านมา”

-------------

ห้องนอนพาร์แอร์เย็นฉ่ำ เปิดเย็นกว่าที่ห้องผมอีก หันไปสำรวจชุดนอนพาร์ตอนนี้ ท่อนบนเป็นเสื้อยืด ท่อนล่างกางเกงเลเหมือนเดิม มิน่าเวลามันอยู่บ้านผมถึงใส่แค่เสื้อกล้ามนอน แถมชอบถีบผ้าห่มออกบ่อยๆ

...ร้อนก็ไม่บอก

ผมส่ายหน้า เดินเข้าห้องน้ำไปล้างมือล้างเท้าเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียงซุกตัวหลบหนาวในผ้าห่มทันที

เฮ้อ...ค่อยอุ่นหน่อย

พาร์ปิดไฟในห้อง จนเหลือเพียงแสงไฟจากห้องน้ำ เดินตรงมานั่งกอดอกมองผมนิ่งๆ จ้องกดดันกันขนาดนี้ ไม่ยอมเล่าคงไม่ได้ ผมขยับตัวนั่งบ้าง...

ผิวปะทะความเย็นในอากาศ ผมก็รีบหดตัวกลับไปอยู่ในผ้าห่ม คว้าเจ้าชานม...ตุ๊กตาหมีที่ผมกับพาร์ช่วยกันอาบน้ำมาจับนอนคว่ำแทนหมอนหนุน หันมองพาร์ที่เขม็งตาใส่

“มานอนคุยกันเถอะ”

แก้มผมโดนดึงจนร้องโอ๊ย ถึงอย่างนั้นมันก็ขยับตัวมานอนตะแคงข้างหันหน้ามาหาผม

“เล่ามาได้ยัง?”

“ก็...” ผมพยายามเรียบเรียงความคิด “พ่อกูเมา กูนอนไม่หลับ เลยบังเอิญได้ยินคำสารภาพบาปเข้าน่ะสิ ถึงกูจะรักพวกเขาน้อยกว่าลุงนิกกับทาจัง แต่ผู้ให้กำเนิดก็ยังมีอิทธิพลต่อเด็กเสมอ..กูเลยช็อกหน่อยๆ”

“ร้ายแรงมากหรือน้อย?”

“มากอยู่...” ผมนอนมองเพดานมืดๆ “ตัวกูเกิดมาจากความผิดพลาดก็จริง แต่ก็คิดมาตลอดว่าเพราะความรักถึงมีกูขึ้นมา และที่พวกเขายกกูให้คนอื่นก็เพราะจำเป็น แต่ความเป็นจริง มันไม่ใช่วะ ความเชื่อที่ยึดถือมาเลยเหมือนพังทลาย มันทำให้กูมองหน้าพ่อกับแม่ไม่ติดแน่ๆ เลยเลือกหนีออกมาก่อนดีกว่า”

“แล้วมึงจะทำไงต่อ?”

“กูอยากทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ไม่ไหว ขอเวลาทำใจก่อน”

“เก็บปัญหาไว้ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ”

“...คิดว่าพ่อแม่คงไม่อยากกูรู้หรอก แต่เมื่อรู้แล้วก็ช่วยไม่ได้ และ...ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว กูไม่อยากทำให้มันแย่ลงไปกว่านี้ เพราะผลกระทบไม่ใช่แค่กูหรือพ่อแม่ แต่จะกระจายไปถึงน้องๆ ด้วย”

“กูถามได้ไหมว่าเรื่องอะไร”

ผมหันไปมองพาร์ เม้มปากครู่หนึ่ง ก่อนพูดออกมา

“พ่อกับแม่ตัดสินใจจะทำแท้งกู แต่เพราะลุงนิกขอไว้ กูเลยได้เกิดมา”

แววตาพาร์ไหววูบ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดซะแน่น ผมกอดพาร์ตอบ ซึมซับไออุ่นที่ทำให้ใจหายเจ็บลงบ้าง

“กูเคยสงสัยหลายเรื่อง เช่น ทำไมพ่อผู้ให้กำเนิดถึงได้ยอมพี่ชายมากขนาดนี้”

‘ทีต้องโทรไปบอกนิกก่อน นิกอนุญาต พ่อถึงจะเซ็นชื่อให้’

“ทำไมพ่อแม่ถึงมักบอกว่าสิทธิ์ของกูอยู่กับลุงนิก ทำไมถึงไม่เคยโต้แย้งสักครั้ง และทำไมพวกเขาถึงเอาแต่บอกว่า ถึงกูเป็นลูกแท้ๆ แต่พ่อกับแม่ไม่มีสิทธิ์ในตัวกูแม้แต่น้อย กู...เข้าใจมาตลอดว่าพวกเขาพูดเพราะน้อยใจ แต่ความจริงกลับไม่ใช่”

น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ผู้ให้ชีวิตเคยคิดจะทวงชีวิตที่ให้ไปกลับคืน พวกเขาจะมีสิทธิ์ได้ยังไง

“ล...ลุงนิก...ไม่ได้เป็นแค่ผู้เลี้ยงดู” ผมกัดฟันกลั้นเสียงสะอื้น ฝืนพูดต่อให้จบ “เขาช่วยชีวิตกูไว้ต่างหาก”

พาร์แค่กอดผมเงียบๆ บางครั้งก็จูบซับน้ำตาให้ ปล่อยผมพูดระบายออกมาเรื่อยๆ ผ่านไปนานจนผมปวดตาจนต้องปรือตาลง พร้อมกับความเพลียที่เริ่มจู่โจมจนสติจะดับเต็มที่

“ใครไม่ต้องการมึงก็ช่างเขา แต่กูต้องการมึงนะ”

เสียงกระซิบแผ่วเบา เลือนลางจนเหมือนมันเป็นเพียงความฝัน

-------------

เสียงเสียดโสตประสาทปลุกผมให้รู้สึกตัว นิ่วหน้าด้วยความรำคาญ

ใครมาเปิดเพลงอะไรแถวนี้คนจะหลับ!

เสียงเงียบหาย คิ้วคลายออก กำลังจะหลับอีกรอบ เสียงนั่นก็มาอีกรอบ ผมลืมตาอย่างหงุดหงิด เจอใบหน้าใครบางคนในระยะประชิดก็ทำเอาลืมหายใจไปชั่วขณะ ผละออกห่างแทบไม่ทัน ลูบหน้าตั้งสติก็เริ่มจดจำได้ว่าทำไมเจอพาร์นอนอยู่นี่

เมื่อหายเมาขี้ตาก็เริ่มรับรู้ว่าเสียงเพลงที่ว่ามาจากมือถือตัวเอง กวาดตามองหาที่มาของเสียงก็เจอมันวางอยู่บนหัวเตียงจึงคว้ามาพลิกดูว่าใครโทรเข้ามา

ลูกหว้านี่เอง

ผมพ่นลมหายใจกดรับสาย “ว่าไง”

[ทำไมไม่มาเรียนคะคุณเพื่อน]

เรียน...

“เฮ้ย! กี่โมงแล้วเนี่ย!!”

[เที่ยงแล้ว นี่มึงพึ่งตื่น?]

ผมกำลังจะตอบ โทรศัพท์กลับถูกดึงออกจากมือ ตัวผมลงมานอนแหมะบนฟูกในอ้อมกอดเจ้าของเตียง

“วันนี้ทีไปเรียนไม่ไหวหรอก ให้โดดสักวันแล้วกัน”

[เอ๋!!]

ผมได้ยินเสียงลูกหว้าร้องแค่นั้น พาร์ก็กดตัดสาย ซุกมือถือผมไว้ใต้หมอน อ้าปากหาววอดๆ ไม่สนใจเสียงโวยวายของผมเลย

“มึงไปพูดแบบนั้นได้ไง!!”

“กูพูดอะไรผิด สภาพหน้ามึงเป็นแบบนี้ โผล่ไปให้ใครเห็นก็รู้ว่าร้องไห้มาทั้งนั้น”

ผมเงียบกริบ พอรู้สึกเหมือนกันว่าตาบวม

“นอนต่อเถอะ”

หัวผมถูกกดให้ซบซอกคอพาร์ ตัวก็ถูกพาดกอด เป็นความใกล้ชิดที่ทำเอาร้อนวูบ แม้แต่ใจยังสั่นจนต้องผลักออก

“มะ ไม่ต้องกอดก็ได้”

“กูกอดมึงมาทั้งคืนแล้ว”

ไม่ได้อยากรู้!!

“กูหิวแล้ว จะ...จะไปอาบน้ำ”

กำลังจะลงจากเตียงก็โดนดึงแขนไว้ก่อน แก้มถูกหอมฟอดใหญ่ให้หน้าร้อนผ่าวกว่าเดิม แต่คนทำกลับทำตัวได้ปกติมาก พาร์ลุกจากเตียงทั้งที่ยังทำหน้าง่วง แย่งเข้าห้องน้ำก่อนหน้าตาเฉย คล้อยหลังพาร์ผมก็ทิ้งหัวโขกใส่หลังเจ้าชานม

ไม่ดี...ไม่ดีเลย อยู่กับมันนานๆ ผมคงได้เป็นโรคหัวใจ

วูบหนึ่งเกิดความคิดอยากไปค้างที่อื่นแทน แต่พอนึกถึงหน้าคนขี้หวงยามผมบอก...ยังไงก็ไม่ได้ไป แล้วถ้าไปแบบไม่ได้บอก แค่นึกภาพตอนมันหึงจนหน้ามืดคิดจะจับทำเมียท่าเดียวก็หนาววูบแล้ว

...ผมมีทางเลือกซะทีไหน เฮ้อ

เสยผมออกจากหน้า ลุกมานั่งดีๆ ระหว่างรอพาร์ออกจากห้องน้ำก็พยายามทำให้ใจกลับมาเต้นตามจังหวะปกติ

“ที” พาร์กวักมือเรียกผมจากหน้าห้องน้ำ ดูจากเสื้อที่เปียกคงล้างหน้าแปรงฟันแล้ว

พอเข้าไปหาก็เจ้าของห้องก็พูดแนะนำห้องคร่าวๆ ให้รู้ว่ามีของวางไว้ตรงไหน ผมควรเก็บของตัวเองยังไง...ท่าทางเหมือนพาร์อยากให้ผมมาอยู่ด้วยยาวๆ

ลงมาข้างล่างก็ไม่เจอใครแล้วครับ 

ผมเปิดตู้เย็นในครัว และปิดทันที...ตู้เย็นเหมือนไม่ใช่ตู้เย็น แต่เป็นตู้เก็บขนม!

“ขนมในตู้เย็นคือเก็บไว้กินเอง หรือจะเอาไปขายเนี่ย?”

“ทั้งสองอย่าง” พาร์ส่งแก้วน้ำเปล่ามาให้

ผมถามอย่างสนใจ “ขายที่ไหน?”

“ร้านเชนไง ที่มึงเคยไปทำสัญญากับกูน่ะ”

อ้อ ร้านที่อยู่ใกล้ๆ บ้านทากะซัง

“จะไปส่งขนมกับกูไหมล่ะ จะได้ไปหาข้าวกินด้วย”

“ไป”

ผมเลยถูกใช้แรงงานช่วยจัดขนมลงถุง ช่วยหิ้วไปไว้ที่รถ ผมพึ่งรู้ว่ามันต้องทำขนมมาส่งที่ร้านพี่สาวเชนทุกวันอาทิตย์ แต่เมื่อวานมาไม่ได้เลยเลื่อนมาส่งวันนี้แทน ไปถึงก็โดนพี่สาวเชนค้อนใส่ เพราะมันรับปากจะมาส่งตอนเช้า แต่ดันมาซะเกือบบ่ายโมง

“แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนกัน?”

“ขอหยุดวันหนึ่งครับ” พาร์พูดแค่นั้น พี่สาวเชนกลับเข้าใจว่ามันเหนื่อยเลยไม่ติดใจถามอะไรอีก

สั่งข้าวคนละจาน กินเสร็จพวกผมก็กลับ

“อยากแวะบ้านทากะซังไหม?” คนขับถาม

“ทากะซังไม่อยู่ไทย ไปหาก็ไม่เจอตัวหรอก”

“งั้นอยากไปไหนไหม”

“...บ้านคุณย่า”

รถแฉลบไปทางขวานิดหน่อย แต่พาร์หักพวงมาลัยให้รถกลับมาวิ่งเป็นปกติได้ท่วงที

“เล่นอะไรของมึงเนี่ย อันตรายนะโว้ย!”

“ก็มึงทำกูตกใจ!” พาร์สวนกลับมาทันที “แล้วนี่จะไปจริงๆ หรือพูดแกล้งกู”

ผมเงียบเพียงครู่เดียว ก็พูดอย่างจริงจัง “...กูอยากไปจริง”

บรรยากาศในรถเครียดขึ้นมาทันที

“เพราะถ้าไปตอนเย็น...จะเจอพ่อ”

“...มึงหนีไปตลอดไม่ได้หรอก”

“กูรู้”

คนข้างๆ ผม สูดลมหายใจเข้า

“งั้นก็ไปบ้านย่ากัน กูยังจำทางไม่ค่อยได้ มึงคอยบอกทางด้วย”

-------------

“ผู้หญิงรึก็ใช่จะหายาก ทำไมต้องเลือกผู้ชาย!”

ผมก้มหน้ารับฟังถ้อยคำโมโหของผู้เป็นย่า ตั้งใจจะไม่พูดตอบโต้ใดๆ ทั้งนั้น

“เลิกซะ ย่าไม่ชอบ”

ผมยังคงเงียบ แต่มือเริ่มกำชายเสื้อแน่น พยายามอดทน

“หรือเพราะถูกเจ้านิกเลี้ยงมา หึ ย่าคิดไว้แล้วให้ทีอยู่กับเจ้าอรรถดีกว่าเป็นไหนๆ อย่างน้อยก็คงโตมาไม่ผิดเพศ เฮ้อ ดูลุงกับพ่อเราสิ คนหนึ่งมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม อีกคนจะเรียกว่าครอบครัวได้หรือเปล่าย่ายังไม่แน่ใจเลย ถ้าอนาคตทีต้องเป็นอย่างนิก ย่ายอมไม่ได้!”

ผมกัดริมฝีปาก พยายามห้ามตัวเองไม่ให้โต้เถียง แต่ยิ่งฟังคุณย่าพูดเปรียบเทียบลุงนิกกับพ่อมากแค่ไหน ใจก็ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ทนฟังไม่ไหว เผลอเถียงออกไป

“สมบูรณ์พร้อมงั้นเรอะ ย่าเอาอะไรมองถึงเห็นว่าครอบครัวพ่อสมบูรณ์? อ้อ ถ้าไม่นับทีเข้าไปด้วยก็สมบูรณ์อยู่หรอก”

“พูดจาอะไรแบบนี้ ต้องมีทีด้วยอยู่แล้วสิ หรือป่านนี้เรายังคิดว่าเป็นคนนอกอยู่อีก”

“ทีก็นอกคอกอยู่แล้วนี่ พวกเขาไม่ได้ต้องการทีมาตั้งแต่ต้น ทีก็ไม่ได้ต้องการพวกเขาเหมือนกัน”

พูดไปตาก็ร้อนผ่าว พยายามฝืนไม่ให้ร้องไห้ออกมา

“ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วเกี่ยวอะไรกับใคร เขาเป็นความสุขของที เป็นความสบายใจของที แม้แต่ครอบครัวที่คุณย่าพยายามยัดเยียดให้ก็ทำแบบนี้ให้ทีไม่ได้”

“ย่าไปยัดเยียดครอบครัวอะไรให้!”

“ก็ครอบครัวที่ย่ามองว่าสมบูรณ์พร้อมไง” ผมหัวเราะอย่างขมขื่น “มันไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่คุณย่าคิดหรอก หรือคุณย่ามองว่า แค่มีพ่อ แม่ ลูกๆ ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว?”

“ก็ใช่น่ะสิ ดูเจ้านิกสิมีลูกได้ซะที่ไหน ต่อให้อยากมีก็มีไม่ได้”

“คนมีได้ก็ใช่ว่าอยากจะได้ลูก!” ผมเถียงออกไปทันที “อย่างทีนี่ไง เขาต้องการซะที่ไหน”

“เจ้าอรรถแค่ไม่พร้อมเลี้ยงทีตอนนั้น”

“แล้วทำไมลุงนิกเลี้ยงทีได้ล่ะ ถึงกับหิ้วตัวไปอยู่เมืองนอกด้วยกัน ทำงานไปเลี้ยงทีไปกับคนรักของเขา ในขณะที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลือกที่จะผลักไสภาระออกจากตัว”

“เจ้าที!”

“ทีไม่โทษคุณย่าหรอก คุณย่าไม่รู้ ไม่เคยรู้เลย ไม่คิดถามด้วยซ้ำว่าทีคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไรบ้าง คุณย่าเพียงคิดแทนว่าอย่างนั้นดีกับทีแล้ว อย่างนี้เหมาะสมกับที แต่เคยคิดบ้างไหมว่าทีไม่ต้องการ!”

ผมสบตาผู้เป็นย่า ระบายความในใจออกมา

“ย่าคิดว่าทีอยู่กับพ่อแม่แล้วดีงั้นเหรอ รู้ไหมระหว่างผมกับพวกเขามีช่องว่างที่ทำยังไง ต่อให้พยามแค่ไหนก็ไม่มีทางถมเต็ม ผมเหนื่อย แต่ก็พยายามเปิดใจให้พวกเขา ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเดียวกันเลย มันก็แค่พยายามให้เป็นแบบนั้น แต่เวลาทีอยู่กับลุงนิก ทีไม่เคยต้องพยายาม กับพาร์ก็เหมือนกัน แค่อยู่ด้วยกันก็ดีมากๆๆ แล้ว”

ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาด้วยมือสั่นๆ ดึงรูปใบหนึ่งที่เก็บไว้อย่างดีมาตลอดออกมา

“นี่คือครอบครัวของที” ผมวางรูปใบนั้นใส่มือคุณย่า “เด็กที่ยิ้มมีความสุขคนนั้น วันหนึ่งก็ยิ้มไม่ออกเมื่อเห็นผู้ที่เสมือนพ่อกับแม่แยกทางกันด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แถมต้องย้ายกลับมาอยู่ต่างถิ่น ทุกอย่างรอบตัวไม่คุ้นเคยเลย แค่นั้นก็เครียดพออยู่แล้ว...แต่ญาติผู้ใหญ่ที่ได้พบเจอกลับทำให้เครียดหนักกว่าเดิม”

ผมสบตาคุณย่าที่เงยหน้าขึ้นมามอง

“...ญาติผู้ใหญ่ซ้ำเติมเด็กคนนั้นด้วยการพาคนแปลกหน้าสองคนมาแนะนำว่าเป็นพ่อกับแม่แท้ๆ ไม่สนใจเลยว่าทำจิตใจเด็กคนนั้นเจ็บขนาดไหน และเหยียบย้ำหัวใจเด็กคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งบังคับให้เรียกคนที่เหมือนพ่อว่าลุง ทั้งแย่งเวลาที่เด็กคนนั้นต้องการอยู่กับคนที่ตัวเองคุ้นเคยที่สุดเพื่อเยี่ยวยารักษาจิตใจ ไม่ให้รักษายังจะราดเกลือลงบาดแผลด้วยการทิ้งให้อยู่กับคนที่บอกว่าเป็นพ่อแม่”

น้ำตาผมร่วงลงมาจนได้ ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น

“โลกทั้งใบของผมแตกสลายไปแล้ว แสงสว่างก็แทบไม่เห็น มืดไปหมด หาทางออกก็ไม่ได้ ผมอยากหนีไปจากตรงนั้น อยากย้อนกลับไปช่วงเวลาก่อนหน้าจะมาที่นี่ และถ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ผมจะไม่ยอมกลับมาแน่ๆ ทุกวันนี้ย้อนกลับไปคิดเมื่อไหร่ก็จะมีคำถามหนึ่งผุดออกมาตลอด ถ้าตอนนั้นทีไม่กลับมา ทีจะมีความสุขมากกว่านี้ไหม”

ผมปาดน้ำตาออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“เมื่อก่อนผมยังเด็กเกินไปที่จะปกป้องหัวใจตัวเอง แต่วันนี้ผมโตพอแล้ว ผมจะไม่ให้ใครทำลายหัวใจมีแต่แผลดวงนี้อีก ทีเจอที่พักรักษาใจของตัวเองแล้ว และไม่คิดจะจากมันไปไหนด้วย แต่ถ้าคุณย่าอยากเหยียบย่ำหัวใจเด็กคนหนึ่งอีกก็เอาเลย ทีจะปกป้องมันให้ดู”

ผมยกมือไหว้ลา “ทีขอกลับก่อนนะครับ”

หมุนตัวเดินผละมาทันที ต่อให้ถูกรั้งตัวก็ไม่คิดอยู่ต่อ ผมออกจากห้องพักผ่อนมาได้ก็เจอคุณปู่กับพาร์กำลังยืนคุยกันอยู่ บรรยากาศค่อนข้างดีจนผมลังเลที่จะเข้าไป

พาร์หันมาเห็นผมก็รีบเดินเข้ามาหาทันที คุณปู่ทำหน้าตกใจแวบหนึ่ง ก่อนลูบหัวผมเบาๆ แล้วเดินผ่านเข้าไปในห้องพักผ่อน

“ร้องไห้อีกแล้ว...” พาร์ปาดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลือออกให้ 

ผมขยับเข้าไปกอดพาร์ วางหัวลงกับไหล่มัน พึมพำแผ่วเบาอย่างเหนื่อยอ่อน

“ขออยู่แบบนี้สักพัก”

พาร์ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงลูบหลังผมอย่างปลอบโยน

“ที!!”

เสียงคุณปู่ร้องเรียกดังลั่นจากในห้องทำผมสะดุ้ง รีบผละจากพาร์เปิดประตูเข้าไปในห้อง เจอคุณปู่กำลังกอดคุณย่าที่กำลังหมดสติแนบอก

“โทรหาลุงหมอเดี๋ยวนี้!”

ผมลนลานรีบหยิบมือถือกดโทรออกฉุกเฉิน ปลายสายมีคนรับก็รีบละล่ำละลั่ก

“ลุงหมอ!! คุณย่า...”

[ตั้งสติ แล้วรีบพามาโรงพยาบาล]

สายตัดทันที ผมหันไปหาพาร์ ไม่ทันอ้าปาก มันก็พูดขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยวกูไปเอารถมารับ”

ผมมองพาร์วิ่งออกไปก็รีบตรงไปช้อนตัวคุณย่าขึ้นมาอุ้ม เดินเร็วๆ ตรงไปยังทางเข้าหน้าบ้าน มีคุณปู่พยายามเดินตามมาติดๆ รอไม่นาน รถสีเงินก็มาจอดเทียบ คุณปู่ช่วยเปิดประตูให้ หลังจากขึ้นรถกันเรียบร้อยก็ตรงไปโรงพยาบาลทันที

ครั้งนี้พาร์ไม่ได้ขับเร็วท้านรก ผมเข้าใจว่าพาร์กลัวคุณปู่ตกใจ ผมคอยบอกทางไปโรงพยาบาล ใช้ทางลัดได้ก็ใช้ ไปถึงโรงพยาบาลก็เห็นลุงหมอพร้อมทีมแพทย์มือหนึ่งประจำร้องพยาบาลออกมายืนรอรับพร้อมอุปกรณ์การแพทย์ และเตียงเคลื่อนที่พร้อม

ผมกับพาร์ช่วยหิ้วปีกคุณปู่เดินกึ่งวิ่งตามเตียงคุณย่าจนมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ถึงปล่อยคุณปู่ให้นั่งพักตรงม้านั่ง

“...คุณปู่ คุณย่าเป็นแบบนี้เพราะทีใช่ไหม?”

“อย่าคิดมาก แค่โรคคนแก่กำเริบเท่านั้นเอง”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่...

“...ทีไปหาพี่แพรก่อนนะ”

ผมพูดแค่นั้นก็เดินจากมา พาร์ทำท่าจะตามมา แต่ผมส่ายหน้าบุ้ยใบ้ให้มันอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ โรงพยาบาลที่นี่ต่อให้หลับตาเดินผมก็ไปถูก กดลิพต์ลงมาถึงชั้นทำงานของจิตแพทย์ประจำตัวก็เดินไปเคาะหน้าห้องทำงานพี่แพรทันที ถ้ามีเสียงให้เข้าไปได้แสดงว่าพี่แพร์ว่าง แต่ถ้าไม่ก็ต้องไปหาที่นั่งรอจนกว่าคนไข้จะออกมา

“เชิญค่ะ”

ผมเปิดประตูเข้าไปทันที เจอหน้าคนคุ้นเคยกันดีก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมา พูดสั้นๆ

“ทีไม่ไหวแล้ว”

############

ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมสนุกค่ะ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่โพสมา
ทุกคอมเม้นต์ถือเป็นยาชูกำลังสำหรับเราเลยค่ะ 555
ก็ขอฝาก 'ชลนที' ไว้กับทุกท่านจนกว่าจะถึงปลายทางนะคะ : )

[ประกาศผลผู้ได้รับหนังสือ]
Thanna
uknowvry
รบกวนผู้ได้รางวัลทั้งสองติดต่อมาที่เพจเราด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-05-2017 16:08:24
เข้มแข็งไว้นะที สู้ๆนะ ทุกคนเป็นกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 05-05-2017 16:08:58
แงงงงงงงงงงง

สงสารอะ

ทำไมต้องดราม่าขนาดนี้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-05-2017 17:32:09
ที ได้รู้ความลับที่ทำให้เสียใจ  :mew2: :mew2: :mew2:
ดีที่มีพาร์ ไปหาพาร์ ดีเลย พาร์ยิ่งห่วงทีอยู่

ความลับนี้กระทบไปถึงย่า ที่ห่วงพะวงแต่ครอบครัวสมบูรณ์แบบ
แต่เป็นสิ่งที่ที ไม่ต้องการ เหมือนผู้ใหญ่เอาแต่ความต้องการของตัวเอง
ย่ารู้จุดยืนของที คราวนี้ย่าคงปล่อยวางได้แล้ว

ความผิดพลาดของพ่อแม่ มันกระทบที่ทีโดยตรง
แล้วยังเป็นความผิดที่ทำให้พ่อที จมกับความผิดตัวเองตลอดมา
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-05-2017 18:52:34
แย่เนาะ เห้ออ!!
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 05-05-2017 20:29:18
ลุงนิก..อยู่ไหน..รีบกลับมาด่วนๆ ที มีเรื่องแล้ว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 05-05-2017 20:43:30
ตอนนี้ถึงกลับสะเืทือนใจได้อีก  น้ำตาลไหลพรากเลยทีเดียว

 :o12:      :hao5:    :hao5:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 08-05-2017 21:18:00
ฮือออออ....ปมใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก....ทีสู้ๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 08-05-2017 22:17:37
ฮืออออ เชี่ยยย กูอินหนักมาก น้ำตาไหลตามเลย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 08-05-2017 23:15:14
ดราม่าจัดเต็มไปอีก

แต่อย่างที่ทีว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่คิดว่าดี

มันไม่จริงเสมอไป คุณย่าควรปล่อยวาง

และยอมรับค่ะ การบังคับไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย

น้องที เจ็บหนักมามากแล้ว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 09-05-2017 17:48:04
สู้ๆนะที ทุกคนรักทีนะ เพียงแต่บางทีความหวังดรของผู้ใหญ่ก็ไม่ตรงกับความต้องการของเรา
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทำไมทีดูเป็นพี่ที่ตามใจน้องค่อนข้างมาก และพ่อแม่ดูเกรงใจทีมาก เพราะความไม่สนิทใจนี่เอง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 10-05-2017 09:54:01
บทที่ 57

...ปวดหัว

ต้องหลับตานอนนิ่งๆ ครู่ใหญ่ ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง มองมึนๆ ไปทั่วเท่าที่ทำได้ บางสิ่งก็คุ้นบางสิ่งก็ไม่คุ้น ถึงอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าที่นี่คือห้องพักฟื้นคนไข้ของโรงพยาบาล

...มานอนอยู่นี่ได้ไง?

ฝืนอาการปวดหัวครุ่นคิดอย่างหนัก ภาพต่างๆ เริ่มผุดขึ้นมาฉากๆ ผมกำลังนั่งคุยกับพี่แพร์เรื่อยไปจนจู่ๆ ก็ง่วงนอนอย่างหนักจนฝืนต่อไม่ไหว คิดถึงตรงนี้ก็เบะปากใส่พี่สาวคนสวยที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน

วางยานอนหลับคนไข้แบบนี้ได้ไง!

อาการปวดหัวตุบๆ ทำให้ต้องเลิกคิด แม้ใจจะสงสัยว่าคราวนี้พี่แพร์ใช้วิธีไหนวางยาผมอีกแล้วก็ตาม มองหาคนเฝ้าไข้ ไม่รู้ครั้งนี้จะเป็นทายาทคนไหนของลุงหมอ หรืออาจเป็นพี่พยาบาลที่คุ้นเคยกันดี...

แกร๊ก

ผมหันไปมองตามเสียง คนพึ่งออกจากห้องน้ำก็พุ่งพรวดเข้ามาหากอดผมทันที

“มึงตื่นแล้ว! กูเป็นห่วงแทบแย่ตอนหมอมาบอกว่ามึงสลบไปตรงทางเดิน หมอบอกว่ามึงเครียดมากเกินไป!”

ผมพยายามยกมือข้างที่ไม่มีเข็มน้ำเกลือขึ้นตบหลังปลอบขวัญคนพูดเสียงสั่นเครือเหมือนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่คนเฝ้าเป็นพาร์ ขณะเดี๋ยวกันก็รู้สึกดีจนไม่อยากเชื่อว่า แค่เปลี่ยนคนเฝ้าจะดีจนอยากยิ้มออกมาเลย

ว่าแต่... ย่นคิ้วเข้าหากัน พี่หมอคนไหนไปแกล้งมันเนี่ย!

ผมกำลังจะบอกพาร์ให้ใจเย็นๆ พออ้าปากก็รู้สึกว่าคอแห้งเป็นผง ริมฝีปากแตกจนได้รสสนิม

...อยากได้น้ำสักแก้วสุดๆ และก็อยากลุกขึ้นมานั่งด้วย

แต่แค่ยกแขนก็เปลืองพลังงานน่าดู สุดท้ายเลยต้องปล่อยแขนกลับที่เดิม ปล่อยพาร์กอดผมไป คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ปล่อยมือ พาร์ก็รีบเงยหน้ามองผมตื่นๆ

“เดี๋ยวกูเรียกหมอก่อน”

และก็ห้ามไม่ทัน มันกดเรียกหมอไปแล้ว...เอาเถอะ

ผมฝืนเปล่งคำพูดออกมา แค่คำเดียวก็ทำเอาแสบคอสุดๆ “น้ำ”

“น้ำนะ ได้ๆ”

มองพาร์เทน้ำใส่แก้วให้...เอ่อ หลอดเสียบอยู่ตรงหน้ามึงนะพาร์ ทำไมเมินพวกมันเล่า

เตียงก็ยกปรับระดับได้ แต่พาร์กลับช้อนตัวผมที่ไม่รู้เรี่ยวแรงถูกดูดหายไปไหนหมดมาพิงอกมัน 

...บะ แบบนี้ก็ดีไปอีกอย่าง

แก้วน้ำถูกจ่อชิดริมฝีปาก ประคองให้ผมดื่มน้ำ แรกๆ ก็ดีอยู่ แต่หลังๆ ยกแก้วเร็วไปแล้ว...

“ขอโทษ”

พาร์รีบดึงทิชชู่มาซับน้ำที่หกตรงคอกับอกเสื้อให้ รอยน้ำเปียกเป็นวง ถ้าผมยิ้มขำจะมีใครหาว่าบ้าไหม

แค่ดูก็รู้แล้วว่าพาร์ดูแลผู้ป่วยไม่เป็น แต่ก็พยายามทำให้ผม

คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ยิ่งกว้างกว่าเดิม อารมณ์ดีขึ้นอีกโข ทั้งที่ถ้าปกติเจอพยาบาลใหม่ดูแลไม่เป็นแบบนี้ ผมที่โดนทั้งหมอทั้งพยาบาลมีฝีมือดูแลอย่างดีมาตลอด...คงหงุดหงิดน่าดู

แค่คนเฝ้าเปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปจริงๆ

ผมปล่อยให้พาร์กอดต่อ อบอุ่นจนไม่อยากผละห่าง ไหนๆ ก็ได้เป็นผู้ป่วยแล้วถือโอกาสสำออยสักหน่อยจะเป็นไรไป 

“อยากกินน้ำอีกไหม?”

ผมพยักหน้า คราวนี้คนป้อนระมัดระวังกว่าเดิมจนน้ำมาถึงแค่ริมฝีปาก ยังไม่ทันได้เข้าปาก พาร์ก็ลดแก้วลงให้น้ำไหลกลับ เป็นแบบนี้หลายรอบ แต่ผมก็ยังไม่หงุดหงิดจนรู้สึกว่าตัวเองแปลกเกินไปแล้ว

ระหว่างกำลังครุ่นคิดหาสาเหตุก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดปิด เห็นผู้เข้ามาใหม่ก็ไม่ต้องเดาแล้วว่าใครแกล้งพาร์

ผู้ชายสวมเสื้อกราวน์สีขาวตรงหน้าคือลูกชายคนที่สี่ของลุงหมอ...พี่พลับครับ น่าจะเป็นหมอเจ้าของไข้ผมด้วย

พี่พลับมองสภาพพวกผมด้วยความมึนงง เอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“ทำไมเธอไม่ใช้หลอดป้อนน้ำคนป่วย?”

“เอ่อ...ผม”

“แล้วจับทีนั่งพิงตัวเองทำไม?” ไม่ถามเปล่า ยังเดินมาช่วยปรับเตียงขึ้นให้ด้วย “ทำแบบนี้ดีต่อร่างกายคนไข้มากกว่า และเธอสามารถเคลื่อนไหวดูแลคนป่วยได้สะดวกกว่าด้วย”

จากนั้นพาร์ก็โดนพี่หมอจ้วงยับ ซักจนรู้ว่ามันไม่เคยดูแลคนป่วยมาก่อน

“...ฉันคงให้เธอดูแลทีไม่ได้แล้ว”

คนฟังหน้าเจื่อนทันที ผมที่ได้กลับไปนั่งพิงเตียง เห็นพี่พลับทำหน้านิ่งขรึมก็อยากหัวเราะ ไม่ให้ดูแลอะไรถึงยอมปล่อยให้มาเฝ้าผมตั้งแต่ต้น และน่าจะรู้ด้วยว่าพาร์ดูแลคนป่วยไม่เป็นตั้งแต่แรก

ผมนึกถึงพี่พีท...หมายหัวไว้ในใจว่าต้องเป็นตัวต้นเหตุให้พี่พลับมาแกล้งพาร์แน่ๆ

“เมื่อเธอไม่ใช่คนเฝ้าไข้ หมอก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้คนไม่เกี่ยวข้องอยู่ในห้องคนไข้ห้ามเข้าเยี่ยม...”

“ผมจะพยายามเรียนรู้ครับ!”

พี่พลับเลิกคิ้ว แววตาประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง พอหันมาเห็นผมมองอยู่ก็ขยับปากเหมือนจะบอกว่า แฟนใช้ได้นี่น่า ผมส่งยิ้มภูมิใจกลับไป ขณะเดียวกันก็จดชื่อพี่พีทลงบัญชีดำไว้ในใจอีกกระทง ท่าทางจะเป็นคนกระจายข่าวเรื่องพาร์เป็นแฟนผมให้พี่น้องตระกูลผลไม้รู้กันหมดแล้วแน่ๆ และนั่นหมายความว่าช่วงที่ผมหลับ พาร์คงโดนหมอตระกูลผลไม้แกล้งมากกว่าหนึ่งคน

“ถ้าอย่างนั้นเอานี่ไปหาพยาบาลชื่อภาวินี ยื่นกระดาษใบนี้ให้เธอ แล้วบอกว่าหมอส่งตัวมาให้เรียนรู้งานดูแลผู้ป่วย”

“ครับ” พาร์รับกระดาษใบนั้นมาอย่างว่าง่าย ก่อนเดินออกจากห้องมีหันมามองผมแวบหนึ่ง ขยับปากบอกว่าเดี๋ยวมา แล้วจ้ำเท้าเดินออกไปเลย จะห้ามก็ห้ามไม่ทัน

สิ้นเสียงประตูปิดไม่นาน หมอผู้เคร่งขรึมก็หลุดหัวเราะออกมาทันที

ผมกรอกตามองเพดาน อยากจะพูดอยู่หรอก แต่สภาพคอไม่อำนวย จึงชี้นิ้วไปทางแก้วน้ำที่วางทิ้งไว้

พี่พลับกลืนเสียงหัวเราะ รีบช่วยเทน้ำเพิ่มหยิบหลอดใส่แก้วให้ผมทันที หลังดูดน้ำจนพอใจค่อยเริ่มต้นแฉ่งพี่ชายตรงหน้า

“ไปแกล้งเขาทำไม”

“พีทบอกว่าแกล้งแล้วสนุกมาก พี่เลยอยากลองแกล้งดู”

 ผมอยากตบหน้าผาก แต่ตอนนี้ทำแค่ถอนหายใจ ปล่อยหมอตรวจร่างกาย โดนซักถามอาการก็บอกหมดเกลี้ยงไปตามตรง เสร็จหน้าที่ก็ยังไม่ไปไหน แต่เปลี่ยนมานั่งขอบเตียงชวนผมคุยต่อ 

“พี่แพร์บอกว่าทีทะเลาะกับย่ามา”

“อืม”

“บอกด้วยว่าทีเจอเรื่องสะเทือนใจบางอย่างมา”

“อืม”

“เพราะแฟนทำ?”

“ใช่ที่ไหน เรื่องครอบครัวต่างหาก” ผมพูดถึงตรงนี้ก็ชะงัก “อย่าบอกว่าเพราะสาเหตุนี้พี่เลยแกล้งพาร์!”

“ก็มีส่วน พี่แพร์ไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไรนี่น่า พี่เลยคาดเดาความเป็นไปได้เฉยๆ การที่พี่แพร์ตัดสินใจวางยานอนหลับเราเนี่ยแสดงว่าอาการต้องหนักเอาเรื่อง”

ผมได้แต่เงียบฟัง

“แล้วตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง พี่หมายถึงจิตใจ”

“...ก็ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ อย่างน้อยทีก็คิดว่าตัวเองยังพอไหว”

“ดีแล้วๆ ทีของพี่เข้มแข็งจะตาย ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้ว”

ผมกลับส่ายหน้า กวาดมองเสื้อกาวน์เรียบกริบสะอาดสะอ้านก็ถามอย่างไม่แน่ใจ

“ทีกอดพี่ได้หรือเปล่า”

“อยากกอดก็มาสิ” พี่พลับกางแขนออกรอ ผมโผเข้าหา ปล่อยให้พี่พลับลูบหัวปลอบโยน “พี่คุยเป็นห่วงทีมากนะ แต่ตอนนี้ไม่ว่าง คิดว่าพรุ่งนี้ถึงจะมาเยี่ยมได้”

“อือ”

“จะว่าไปตอนทีมาอยู่บ้านพี่ ก็ได้พี่คุยเป็นคนเลี้ยงหลักนี่เนอะ”

“...พูดถึงเรื่องนี้ทำไม?”

“พี่แค่รู้สึกว่า...ทีในตอนนี้เหมือนตอนนั้น พี่คุยเคยบอกว่าตอนเจอทีตัวเป็นๆ ครั้งแรกรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างทีอาจหายไปก็ได้”

ผมผงกหัว ผละออกห่างพี่พลับ ย่นคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมต้องมีคำว่าตัวเป็นๆ”

“ก็พวกพี่เห็นแต่ในรูปถ่ายนี่ บ้านพี่มีตั้งแต่รูปทีพึ่งเกิด ตัวยังเปื้อนเลือดอยู่เลย ไม่นึกเลยว่าเด็กน่าเกลียดตอนนั้นผ่านมาอีกสองสามปีจะน่ารัก เวลาดูรูปเปรียบเทียบกันทีไรพวกพี่หัวเราะขำทุกที”

ผมเบ้ปาก ตวัดตามองอย่างรู้ทัน “พี่อยากพูดอะไรกันแน่ พูดมาเถอะ ทีพร้อมจะฟัง”

พี่พลับหุบรอยยิ้มลง แววตามองมาดูดุหน่อยๆ “พี่ไม่เห็นด้วยที่ทีไปทะเลาะกับคุณย่าแบบนั้น”

ผมชะงัก “ทีก็ไม่อยากทะเลาะนะ แต่ตอนนั้นมัน...”

“แล้วไปพูดแบบนั้นกับคุณย่าได้ยังไง...คุณย่าอายุมากแล้ว บางเรื่องที่สะเทือนใจมากก็มีผลต่อสุขภาพท่านเหมือนกัน”

แววตาผมสั่นไหว “เพราะที...คุณย่าถึงต้องเข้าโรงพยาบาลใช่ไหม”

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เข้าหรือไม่เข้า มันอยู่ที่ว่าคำพูดของทีส่งผลกระทบอะไรบ้างต่างหาก ถ้าคุณย่าเป็นอะไรขึ้นมา ตัวทีเองนี่แหละที่จะเสียใจที่สุด พี่พูดถูกไหม?”

“อือ...”

“โอ๋ๆ ไม่เอาไม่ร้อง”

“ทีไม่ได้ร้องสักหน่อย!”

“ปากแข็งกับใครก็ได้ แต่อย่ามาปากแข็งกับพี่ ถึงภายนอกทีจะไม่ได้ร้องไห้ แต่ภายในใจกำลังร้องอยู่แน่ๆ บางครั้งไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ อ่อนแอให้คนอื่นได้เห็นบ้างก็ดี จะได้ไม่ถูกคนอื่นเข้าใจผิด น้องคนนี้ของพี่ไม่ได้แข็งขนาดนั้นสักหน่อย ข้างในใจของทีมีรูพรุนมากมาย ซับซ้อนเกินไปจนใครเข้าไปคงหลงทาง ถึงอย่างนั้นโครงสร้างก็ยังคานกันไปมาทำให้ไม่ถล่มลงมาง่ายๆ แต่ถ้าสมดุลเสียก็มีสิทธิ์พังทลายทุกเมื่อเหมือนกัน เพราะงั้นทุกคนถึงได้เป็นห่วงทีมากๆ ไง จนบางครั้งก็อาจสปอย์มากไปหน่อยจนทีนิสัยเสีย!”

“...ถ้าพี่อยากจะด่าผม ไม่ต้องพูดอ้อมขนาดนี้ก็ได้”

“ด่าตรงๆ เราก็ไม่เข้าใจน่ะสิ ตัวทียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนิสัยเสียตรงไหน”

“ตรงไหนล่ะ?”

พี่หมอดึงแก้มสองข้างจนยืด “อันนี้พี่แพร์ฝากมาให้ทำ และฝากให้บอกทีด้วยว่า คิดถึงคนรอบตัวให้มากกว่านี้หน่อย”

แก้มผมถูกปล่อย เจ็บแปล๊บๆ เลยครับ

“อาจเพราะทีอยู่แต่ในสังคมปิดด้วยล่ะมั้ง ก่อนเข้ามหาลัยก็วนเวียนอยู่กับพวกพี่บ้าง เพื่อนบ้าง ไม่ก็อยู่บ้านพ่อแม่ พวกเรารู้ว่าทีเจออะไรมา ทุกคนเลยพร้อมใจกันดูแล เฝ้าระวัง ให้ความสนใจทีก่อนเสมอ ทีเลยติดนิสัยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของคนอื่นถึงทุกวันนี้ ไม่รู้ตัวเลยไม่ใช่ไหม?”

ผมได้แต่ผงกหัวเงียบๆ

“มีแค่น้องน้ำกับน้องอันที่แตกต่าง เพราะพวกเขาดูแลทีไม่ได้ ตรงข้ามทีต่างหากต้องดูแลพวกเขา ที่พี่อยากบอกคือ ให้เอาความเอาใจใส่นั่นมาใช้กับคนอื่นๆ ด้วย และอย่ามองว่าคนอายุเท่ากันหรือมากกว่าจะต้องเป็นฝ่ายยอมทีตลอด ถึงทีจะมีความสามารถทำให้คนอื่นยอมสยบได้ก็ตาม แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าวิธีนี้ไปสร้างความขุ่นเคืองหรือทำให้คนอื่นเจ็บปวด”

ผมนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา...ก็ได้แต่ยอมรับว่าพี่พลับพูดถูก

“ปรับปรุงตัวซะ ก่อนทีจะโตมากกว่านี้ ต่อไปในอนาคตทีต้องเจอคนอีกเยอะแยะ และพวกเขาไม่ได้รับรู้อดีตของทีด้วย ทีจะเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่มีสิทธิเท่ากันในสายตาของพวกเขา ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร และพี่ก็อยากให้ทีสร้างมิตรมากกว่าศัตรู”

หัวของผมโดนขยี้

“ลองเก็บไปคิดดู คืนนี้ก็นอนที่นี่ พี่สั่งห้ามงดเยี่ยมไปแล้ว ไม่มีใครมากวนแน่นอน”

ผมสะดุ้งหูคำหนึ่งจึงทวนคำเป็นเชิงถาม “คืนนี้?”

พี่พลับไม่ตอบแต่เดินไปดึงผ้าม่านให้ผมดูว่าข้างนอกฟ้ามืด เหลือเพียงแสงไฟตามสถานที่ต่างๆ แล้วโชว์นาฬิกาบนข้อมือให้ผมเห็นหน้าปัด “ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว”

เฮ้ย!! ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยเรอะ?!

“เดี๋ยวพี่ไปดูพยาบาลจำเป็นของเราก่อน ไม่รู้โดนพี่ภาสอนแบบจัดเต็มถึงไหนแล้ว”

“อย่าแกล้งมากนะพี่ แล้วก็...เอาเขามาคืนทีด้วย”

“โอ้...หวงไม่น้อยนี่ หึๆ”

ได้แต่เบือนหน้าหนี ปิดปากเงียบกริบ ใครอยากหัวเราะก็หัวเราะไป ผมไม่สน!

-------------
(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 10-05-2017 09:56:38
บทที่ 57 (ต่อ)

สองชั่วโมงต่อมา พาร์ก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าผู้ป่วยของโรงพยาบาลชุดใหม่

“มึงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“อือ...”

ผมยื่นมือรอรับ จนแล้วจนรอดพาร์ก็ไม่ได้ส่งให้ แค่วางไว้ตรงเก้าอี้ข้างเตียง แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ สักพักก็ออกมาพร้อมกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูสะอาด ระหว่างที่ผมกำลังมึน เชือกชุดผูกป่วยก็ถูกดึงออก

“เฮ้ย!”

คนทำไม่มีเงอะงะ ถอดเสื้อเสร็จก็ใช้บิดน้ำจากผ้าขนหนูเอามาสัมผัสตัวผมทันที ผ้าอุ่นกำลังดีทำให้ผมผ่อนคลาย ยอมปล่อยให้พาร์เช็ดตัวให้ แอบทึ่งหน่อยๆ ไม่คิดว่าพอกลับมาจะเป็นงานขนาดนี้ เช็ดตัวให้เสร็จก็จับผมใส่เสื้อผ้าอย่างดี

มองตามหลังคนเอาน้ำไปเททิ้ง...รู้สึกอยากจะให้รางวัลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ครุ่นคิดว่าจะให้อะไรดีให้สมกับที่มันน่ารักมาก พอคิดถึงเรื่องที่พาร์ได้แล้วคงถูกใจมาก หน้าผมก็ร้อนขึ้นมาทันที ระหว่างกำลังลังเลใจ พาร์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ตรงดิ่งมาทาบมือกับหน้าผากผมด้วยสีหน้ากังวล

“...ตัวไม่ร้อน”

ผมปัดมือพาร์ออก อาศัยจังหวะนั้นตัดสินใจกระชากคอเสื้อให้มันโน้มหน้าลงมา ประทับริมฝีปากตัวเองลงบนปากอีกฝ่าย แช่ไว้ครู่หนึ่งก็ผละออก รีบปล่อยมือ พลิกตัวหันหลังให้คนยืนตัวแข็งทื่อ เอ่ยงึมงำขอบคุณ

ไม่นึกเลยว่าแค่เป็นฝ่ายจูบก่อนจะน่าอายขนาดนี้

แอบรู้สึกนับถือมันอยู่ในใจที่กล้าเป็นฝ่ายขอจูบก่อนอยู่เรื่อย

ผมสะดุ้งเมื่อโดนใครบางคนคร่อมกักร่างช่วงบนกะทันหัน ไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงหน้าที่โน้มเข้าหา ช่วงชิงริมฝีปากกันดื้อๆ เนิ่นนาน ก่อนลามไปที่แก้มเลยไปถึงคอ

“เดี๋ยวโว้ย!” รีบเอียงหน้าหลบ พยายามดันพาร์ออกห่าง

“อยู่เฉยๆ ดิ้นหนีมากๆ เดี๋ยวกูทนไม่ได้ขึ้นมามึงจะซวย”

คำสั่งกึ่งขู่ ทำให้ผมได้แต่นอนนิ่ง ปล่อยมันสัมผัสจนหน้าเห่อร้อนไปหมด และต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดปนเสียวแปลกๆ แถวหลังคอ พาร์ซบหน้านิ่งอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ถึงปล่อยตัวผมเป็นอิสระ พึ่งรู้ว่าเสื้อตัวเองหลุดลุ่ยก็ตอนที่มันช่วยขยับให้เข้าที่ ผูกเชือกกลับเหมือนเดิมนี่แหละ

“อย่ายั่วให้มากนัก กูทนไม่ค่อยไหวหรอกนะ”

ผมอ้าปากค้าง มองคนเดินหายเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ ตั้งสติได้ก็อยากด่า

กูไปยั่วมึงตอนไหนวะ!

ผมสะบัดผ้าห่มคลุมตัวเอง ปรับเตียงให้เป็นแบบนอนราบ

กล้าว่ากูแบบนี้! ต่อไปมึงอย่าหวังเลยว่าจะได้รางวัลอะไรจากกูอีก!

แม่ง! หงุดหงิดวะ!

-------------

แปดโมงกว่า พี่พลับกับพี่แพร์มีมติเอกฉันท์ว่าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่การเข้าเยี่ยมคุณย่ากลับเป็นอีกเรื่อง

แพทย์ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนหันไปมองอีกหนึ่งแพทย์ตระกูลผลไม้ พี่ชายคนโตของบ้านที่กำลังบังคับให้ผมกินข้าวเช้าที่ทางโรงพยาบาลจัดมาให้

“พี่คุยคิดว่าไง?”

ชื่อเล่นเต็มๆ คือ ลูกคุย อายุห่างจากผมสิบหกปีได้ ต้นกำเนิดชื่อเล่นผลไม้ที่สืบทอดไปยังน้องๆ ถ้าเรียงลำดับชื่อตามคนเกิดก่อนก็ ลูกคุย ลูกแพร์ ลูกพรุน ลูกพลับ ลูกพีท เกิดเป็นห้าคุณหมอตระกูลผลไม้

“อยากไปเคลียร์? หรืออยากไปทะเลาะ?” พี่คุยถามผมเสียงเรียบ

“...ทีอยากขอโทษมากกว่า” 

พูดจบ ช้อนตักโจ๊กพูนๆ ก็ถูกยัดเข้ามาในปาก ผมทำหน้าเหยเกทันที นี่มันโจ๊กหรืออะไร ทำไมจืดสนิทจนอยากร้องถามหาพริกไทย กระเทียมเจียว และน้ำปลา…

“ถ้ากินโจ๊กหมดถ้วยได้ พี่จะยอมให้เข้าเยี่ยมคุณย่า”

ผมรีบหันไปมองขอความช่วยเหลือจากพี่ชายและพี่สาว แต่ทั้งสองคนกลับส่ายหน้าหวือ ไม่คิดช่วยกันสักนิด พอหันไปมองพี่คุย ฝ่ายนั้นก็ยัดช้อนใส่มือผม โต๊ะสำหรับทานข้าวบนเตียงถูกสองหมอช่วยเข็นมาอย่างรู้ใจให้พี่คุยวางชามโจ๊กสีขาวจั๊วะลงตรงหน้าคนบนเตียง

“เลือกเอาเองแล้วกัน ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องกิน”

ผมก้มมองโจ๊ก จำใจตักของสีขาวตรงหน้าเข้าปาก ในใจน้ำตาไหลพรากๆ

อาหารผู้ป่วยของโรงพยาบาลรสชาติสุดยอดแย่จริงๆ 

เคยมีใครกินโจ๊กชามเดียวแต่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงไหม...ผมนี่ไง

หลังกินหมดก็โดนปล่อยตัวออกจากห้องพัก เดินปิดปากด้วยสภาพพะอืดพะอม อยากอ้วกแต่ทำไม่ได้ ขืนปล่อยออกมาอาจต้องกินเข้าไปใหม่อีกชามก็ได้ใครจะรู้

“ที อ้าปาก”

ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ขืนอ้าปากตอนนี้ของในท้องได้พุ่งออกมาพอดี แต่พาร์ไม่ยอม ดึงมือผมออก บังคับให้อ้าปาก ระหว่างมองมันอย่างขุ่นเคือง อะไรบางอย่างก็ถูกยัดเข้ามา รสหวานหอมของลูกอมแผ่กระจายไปทั่วลิ้น ช่วยลดความอาการพะอืดพะอมได้อยู่หมัด

“ดีขึ้นไหม”

ระหว่างพยักหน้าก็แอบรู้สึกผิดที่ไปโมโหมัน ก่อนเปลี่ยนเป็นความสงสัย ทำไมไม่บอกกันดีๆ วะ แต่มีอีกเรื่องที่ผมสงสัยกว่า

“ไปเอามาจากไหน?”

“ไปขอจากแม่เด็กที่อยู่ตรงโน้นมา” พาร์ชี้ไปทางหนึ่ง ผมมองตามก็ไม่รู้ว่าคนไหนอยู่ดี ได้แต่ขอบคุณเจ้าของลูกอมในใจ และกำลังจะพูดขอบคุณพาร์...

“ถ้าจะขอบคุณกู ขอที่แก้มนะ”

พลั่ก! ผมอดเตะมันไม่ได้จริงๆ

ทีเมื่อวานจูบปากให้เป็นรางวัล มันยังหาว่าผมยั่วอยู่เลย นึกถึงแล้วยังโมโหไม่หาย

“โกรธอะไรกูเนี่ย?”

“เหอะ!”

ผมจ้ำเท้าเดินหนีมา มุ่งหน้าไปยังห้องเป้าหมายที่อยู่ชั้นเดียวกัน แต่คนละฟากตึก ไม่รู้เป็นเรื่องจงใจหรือแค่เรื่องบังเอิญ ไปถึงหน้าห้องความกล้าที่มีก็ชักหดหาย ยืนนิ่งอยู่นานจนพาร์เดินตามมาทัน

“ไม่เข้าไปล่ะ?”

“ก็...”

พาร์มองหน้าผมครู่เดียวก็ช่วยเคาะประตูให้ ได้ยินเสียงขานรับจากข้างในก็ช่วยเปิดประตูดุนหลังผมเข้าไป

“กูรอข้างนอกนะ” ทิ้งท้ายเพียงเสียงกระซิบ ก่อนมันช่วยดึงประตูปิดให้

เดินเข้าไปก็เจอคุณปู่กำลังลุกจากเก้าอี้พอดี ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากมือที่ตบบ่าสองสามที แว่วเสียงเปิดปิดประตู แต่สายตาของผมก็ยังหยุดมองที่คนนอนหลับบนเตียงเนิ่นนาน กว่าสองขาจะก้าวตรงไปหา ทรุดนั่งเก้าอี้ที่ยังมีไออุ่นหลงเหลือ เพียงแค่สามปีที่ไม่ได้เจอตัวกันตรงๆ หญิงชราตรงหน้าผมก็ดูโรยราขึ้นมากจริงๆ

ผมคว้ามือเหี่ยวย่นขึ้นมาสัมผัส กุมไว้ให้รับรู้ถึงความอุ่น ขบคิดทบทวนพฤติกรรมตัวเองก็พบว่ามันแย่จริงๆ

“ทีขอโทษนะครับ”

“...ขอโทษอะไร”

ผมสะดุ้ง ไม่คิดว่าคนหลับจะเอ่ยออกมา แรงบีบที่มือทำให้ผมรู้ว่าคุณย่าตื่นแล้ว...หรืออาจจะไม่ได้หลับอย่างที่ผมเข้าใจ

“ปรับเตียงให้ย่าหน่อย”

ผมรีบทำทันที เรียบร้อยแล้ว มือเหี่ยวย่นก็ตบเตียงผู้ป่วย

“มานั่งบนเตียงกับย่านี่ ย่าจะเล่านิทานให้ฟัง”

ผมลังเลครู่หนึ่ง พอโดนมองดุก็รีบขึ้นไปนั่งด้วย

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หญิงคนหนึ่งพบรักกับชายหนุ่ม แต่งงานไม่นานก็ได้ของขวัญจากฟ้า เป็นบุตรชายตัวน้อยๆ ไม่กี่ปีต่อมาก็ได้ของขวัญที่สอง แม้จะผิดหวังที่ไม่ได้บุตรสาวก็ไม่เป็นไร เด็กน้อยสองคนซุกซนตามวัย ยิ่งโตก็ยิ่งนำพาปัญหานู้นนี่มาให้ปวดหัว บางเรื่องพวกเขาจัดการเอง บางเรื่องก็มาขอให้ช่วย แต่เรื่องใหญ่ในชีวิตกลับปิดปากเงียบกันทั้งคู่ น่าตีจริงๆ ว่าไหม”

ผมได้แต่ยิ้มแห้ง

“ปัญหาใหญ่ของลูกคนเล็กแสดงผลก่อน สองพี่น้องช่วยกันปิดบังน่าดู แต่สุดท้ายความก็แตกว่าลูกชายคนเล็กไปทำหญิงวัยเรียนคนหนึ่งท้อง ย่ามารู้ก็วันที่เด็กน้อยคลอดอย่างปลอดภัย ได้อุ้มชูให้ชื่นใจได้แปบเดียว เจ้าลูกชายคนโตก็หอบหลานหายไปไหนไม่รู้ แต่เรื่องนี้ไว้ก่อน”

คุณย่าลูบหัวผม

“เมื่อลูกชายคนเล็กผิดเต็มประตู แถมยังเคราะห์ร้ายพึ่งโดนไล่ออกจากงาน ลำบากจะแย่ก็ไม่คิดมาขอความช่วยเหลือ ผู้เป็นแม่ทนมองไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย หางานให้ลูกชายทำ และเริ่มสืบประวัติหญิงสาววัยเรียนคนนั้นจนรู้ว่าเธอขาดญาติสนิทมิตรสหายที่พึ่งพาได้ เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า”

“เป็นเรื่องปกติถ้าจะสงสัยว่ามีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า จึงทำเพียงส่งเสียให้เธอเรียนต่อให้จบ และจับตาเฝ้ามองดูไปก่อน หากเธอเป็นคนดีก็ไม่คิดกีดกั้นเพราะเรื่องชาติกำเนิดแต่อย่างใด ผ่านไปหลายปีเธอก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่คนดีและไม่ใช่คนเลว เป็นคนปกติคนหนึ่งที่มีอคติต่อว่าที่แม่สามีไม่น้อย”

คุณย่าคอแห้ง ผมเลยเทน้ำใส่แก้วป้อนคุณย่าไปหลายอึก แล้วฟังคุณย่าเล่าต่อ

“คนเราทะเลาะกันได้หลายสาเหตุ เช่น ความเห็นไม่ลงรอย มองในมุมที่แตกต่าง เมื่อแม่สามีกับลูกสะใภ้เข้ากันไม่ได้ หลังแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว ลูกชายคนเล็กจึงแยกตัวไปอยู่ที่อื่น แม้จะไม่ค่อยถูกใจสะใภ้คนนี้นัก แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่ลูกชายคนเล็กเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที เหลือแต่ลูกชายคนโตไม่รู้ว่าหายหัวไปอยู่ไหน”

“ลุงนิกไม่ได้ติดต่อกลับมาเลยเหรอครับ?”

“มีโทรมาบ้าง บางทีก็อุ้มหลานกลับมาให้ปู่ย่าชื่นใจไม่กี่วันก็หายไปอีกแล้ว ถามก็ไม่เคยจะบอก แต่เห็นลูกมีความสุขดีก็ขี้เกียจจะไปยุ่ง อีกอย่างตอนนั้นย่าปวดหัวกับลูกคนเล็กมากกว่า สองคนนั้นรักๆ เลิกๆ จนหลังๆ ย่าเริ่มปล่อยวาง จะรักจะเลิกก็เรื่องของพวกเธอ”

“แล้วคุณย่ารู้ตอนไหนว่าลุงนิกอยู่ญี่ปุ่น?”

“ย่าสงสัยว่าทั้งที่ทีใกล้ถึงวัยเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว ทำไมไม่พากลับมาสักที บ่ายเบี่ยงอยู่นั่น แล้วตอนหลังมาบอกว่าจะให้ทีเรียนที่ต่างประเทศ ย่าก็ตกใจสิ เหตุผลก็ฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย จึงต้องจ้างนักสืบเอา พอได้เรื่องย่าแทบจะปรี๊ดแตก ลูกชายคนโตปิดบังเรื่องแฟนหนุ่ม แถมยังหอบหลานไปเลี้ยงดูดั่งเป็นครอบครัวเดียวกัน”

“เอ๊ะ! คุณย่ารู้ตั้งแต่ตอนนั้น!!”

“ก็ใช่น่ะสิ! ถึงเรียกเจ้านิกกลับมาไง บังคับให้เอาทีกลับมาด้วย ในสายตาย่าดูยังไงก็ครอบครัวจอมปลอม ย่าทนไม่ได้ถ้าต้องให้ทีโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น!”

“แต่ที...” ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่เลยนะ

ผู้เป็นย่าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “สังคมตอนนั้นยังไม่ได้เปิดกว้างรับเรื่องรักร่วมเพศเท่าตอนนี้ แล้วลองคิดดูถ้าทีโตจนรู้ความมากกว่านั้นจะเป็นยังไง เพื่อนๆ ในโรงเรียนจะมองทีแบบไหน แค่คิดย่าก็กังวลแทนไปหมด”

ผมได้แต่เงียบฟัง นี่คือมุมมองของผู้ใหญ่ ต่างจากมุมมองของเด็กอย่างผมคนละเรื่อง

“อีกอย่างย่าอยากให้นิกกลับมาเดินสู่เส้นทางที่ถูกที่ควรด้วย และเห็นได้ชัดว่านิกต่อต้านเรื่องนี้มาก ถึงยอมกลับมาตามที่ย่าบอก แต่ไม่ยอมพาทีมาหาสักที ตอนหลังไม่รู้นึกยังไงถึงได้พาทีกลับเข้าบ้าน ส่วนตาอรรถกับแม่อร พอรู้ข่าวว่าทีกลับมาก็ชอบมาด่อมๆ มองๆ อยู่ห่างๆ ท่าทางอยากไปทำความรู้จัก แต่ก็ไม่กล้าสักที ย่าเห็นแล้วรำคาญบวกอยากช่วย เลยเปิดโอกาสแนะนำทีให้รู้จักกันไว้ สองคนนั้นเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว สามารถรับทีกลับไปเลี้ยงดูได้ และย่าก็อยากให้หลานชายได้รู้จักพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาด้วย”

เล่าถึงตรงนี้แววตาคุณย่าก็เคร่งเครียดขึ้น

“แต่หลานกลับต่อต้านจนน่าตกใจ ย่าพยายามหาวิธีลดความต่อต้านนั้นลง แต่ผลคือย่ำแย่กว่าเก่า สภาพทีในตอนนั้นทำย่าร้องไห้ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เด็กที่ร่าเริงสดใสในทีแรกถึงไม่รอยยิ้มอีกเลย ย่ามารู้ตอนหลังว่านิกมีอิทธิพลกับทีไม่น้อยเลยขอให้นิกช่วย ย่าคิดเพียงแค่อยากให้นิกเปิดทางให้อรรถบ้าง...ไม่ได้คิดเลยว่าจะทำร้ายความรู้สึกของลูกชายคนโต”

“ย่ามารู้ตัวว่าทำผิดพลาดแล้วก็ตอนอรรถโทรมาบอกว่าหลานชายของย่าหายตัวไป ต้องระดมคนตามหาทั่วสวนสัตว์จนวุ่นวายไปหมด แถมยังฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ตกได้ตกดี...”

ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาไม่ลืมหูลืมตา มีพี่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งฝ่าสายฝนปรากฏตัวตรงหน้าพวกเรา
‘เจอตัวสักที’
มือใหญ่ขยี้หัวผมกับคนข้างๆ จนเส้นผมเปียกๆ พันกันยุ่งไปหมด ‘กลับกันเถอะคนอื่นๆ รออยู่’

ผมกระพริบตาก็พบว่าคุณย่ายังเล่าเรื่องให้ฟังอยู่ และคงไม่ทันสังเกตเห็นผมเหม่อลอยไปช่วงหนึ่ง

...ถ้าเด็กในตอนนั้นคือพาร์ เขายอมเปียกปอนนั่งหนาวสั่นเป็นเพื่อนผมที่หลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้เดียวกัน ทั้งที่เขาจะวิ่งไปหลบฝนในที่ดีกว่านี้ก็ได้แท้ๆ ส่วนคนที่หาเราเจอคือพี่คุย

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่พาพวกผมวิ่งฝ่าฝนบ้าง หาที่หลบบ้าง ทำให้ได้รู้ว่าคนมาช่วยใจดีมาก เอาใจใส่กันสุดๆ ตามหาตัวพ่อแม่ให้พาร์จนเจอ แล้วพาตัวเขาส่งคืนครอบครัว ก่อนพาผมกลับมาเจอคนที่รออยู่ มีปู่ ย่า พ่อ แม่ ลุงนิก อยู่กันครบหมด แต่ผมเลือกเมินพวกเขาแล้วกอดคอพี่คุยที่อุ้มผมอยู่แน่น   

“แต่ทีไม่ยอมกลับบ้านกับพวกย่า แม้แต่นิกก็ไม่เอาแล้ว เราจนปัญญาเลยต้องขอฝากให้ครอบครัวหมอช่วยดูแลทีชั่วคราว...ย่าไม่เคยเห็นนิกเศร้าขนาดนั้นมาก่อนเลย เศร้ายิ่งกว่าเจ้าอรรถอีก และไม่ย่อท้อตามไปง้อทีทุกวัน ผิดกับเจ้าอรรถเลือกรออย่างเดียว ย่าโมโหมาก เลยสั่งงดสองคนนั้นมาบ้านย่าชั่วคราว ถึงอย่างนั้นทีก็ไม่ยอมกลับมา...”

เพราะผมชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่บ้านลุงหมอน่ะสิ เป็นน้องคนเล็กของพี่ๆ ห้าคน ทุกคนผลัดกันดูแลบ้าง ช่วยกันดูแลบ้าง ไม่เคยปล่อยผมอยู่ตามลำพัง อยู่ที่นั่นแล้วสบายใจกว่ามาก

“กว่าทีจะยอมให้นิกพากลับมาก็หลังเข้าเรียนอนุบาลไปเกือบเดือน พอไม่มีเจ้าอรรถกับแม่อรเข้ามายุ่งวุ่นวาย ทีก็เหมือนจะดีขึ้น เริ่มกลับมายิ้มมาซนได้อีกครั้ง คราวนี้ย่าทำเพียงมองนิกเลี้ยงดูทีโดยไม่เข้าไปวุ่นวาย ถึงอย่างนั้นก็แอบส่งรูปถ่ายไปให้เจ้าอรรถดูอยู่บ่อยๆ เหมือนกับว่าแค่นั้นเจ้าอรรถกับแม่อรก็พอใจแล้ว ย่าถึงได้รู้ตัวในตอนนั้นเอง ก่อนหน้านี้ย่าเจ้ากี้เจ้าการเกินไป”

ผมตกใจที่เห็นคุณย่าร้องไห้จนทำอะไรไม่ถูก

“...ย่าไม่คิดว่าเรื่องครั้งนั้นจะฝากรอยแผลเป็นไว้ในใจทีแบบนี้ ย่าไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำลายครอบครัวของเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งทิ้ง ย่าไม่รู้เลยว่ากำลังยัดเหยียดครอบครัวให้เด็กที่พึ่งหัวใจแตกสลายกับความจริงที่ได้รับรู้ ย่าไม่เคยรู้ว่าเกือบทำลายสายสัมพันธ์ที่เด็กคนหนึ่งมีต่อพ่อที่เลี้ยงดูเขามา ย่าขอโทษนะลูก ขอโทษจริงๆ”

ผมเม้มปาก ปล่อยน้ำตาร่วงหล่นอย่าห้ามไม่อยู่ สองแขนโอบกอดผู้สูงวัยในชุดผู้ป่วยโรงพยาบาลแน่น ได้สัมผัสถึงได้รู้ว่าร่างกายคุณย่าผอมลงมากเมื่อเทียบกับในความทรงจำ

“ที่ผ่านมาเกลียดย่ามากไหม”

ผมหุบตามองผ้าห่ม “ที…ไม่รู้ บางทีอาจแค่โกรธ”

“และเก็บกด”

ผมรีบสบตาคนพูดเสริม แววตาคุณย่ามองมาอย่างเข้าใจ

“ที่จริงย่าก็เคยสงสัย ถึงทีจะซน จะแสบ แต่บางครั้งก็ว่านอนสอนง่ายแปลกๆ หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นทีแทบไม่ขัดใจใครเลย ใครให้ทำอะไร ถ้าทำได้ก็ทำ ขนาดโดนแม่อรจับแต่งหญิงก็ยังยอม เป็นเด็กดีน่ารักจนน่าเหลือเชื่อ แต่ย่ากลับไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมทีถึงได้เป็นเด็กดีขนาดนี้ เอาแต่คิดว่าเพราะบุญที่ทำมาส่งผลให้ได้หลานที่ดีน่าภาคภูมิใจ”

ผมยังจำครั้งแรกและครั้งเดียวที่ตัวเองอาละวาดอย่างหนักได้ดี

“…เพราะทีรู้ว่าต่อให้อาละวาดแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนต่างหาก”

คุณย่าเงียบไปทันที แววตาหม่นลง “…ถ้าย่าไม่ให้นิกพาหลานกลับมาคงดีกว่า”

ผมกลับส่ายหน้ารัวๆ “อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ทั้งนั้น เราไม่รู้หรอกครับว่าต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้างจนกว่าจะได้เผชิญหน้ากับมัน”

“เมื่อวานหลานไม่ได้พูดแบบนี้”

“เอ่อ ทีเคยถามตัวเองหลายครั้ง จนได้คำตอบมาแบบนี้นี่น่า...” ผมพูดเสียงอ่อยๆ “ขอโทษครับที่เมื่อวานพูดจาไม่ดี ทีทำให้คุณย่าเจ็บปวด”

“ย่าไม่โกรธ”

ผมมองคนลูบหัวตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจปนรู้สึกผิด สัญญากับตัวเองว่าต่อไปจะคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้มากกว่านี้ และจะใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างให้มากกว่านี้ด้วย

ผ่านไปครู่หนึ่งผมเอ่ยถามอย่างข้องใจ “เอ่อ เราคืนดีกันได้แล้วใช่ไหมครับ?”

คุณย่าหันมาสบตาผมทันที “...น่าจะใช่”

ในห้องเงียบลงทันที ไม่นานผมก็เอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“แล้วเรื่องผมกับ…เอ่อ”

“แฟน” คุณย่าต่อประโยคให้ พร้อมพ่นลมหายใจยาวเหยียด “อยากคบก็คบ”

“ฮะ!!”

ผมตกใจจริงๆ นะ ก็เมื่อวานยังโดนต่อว่าขนาดนั้นอยู่เลย

“ทีเลือกแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าไม่คิดเปลี่ยนใจ ย่าคงไม่มีอะไรจะพูด”

ผมกระพริบตา “...ทีนึกว่าย่าจะต่อต้านมากกว่านี้ซะอีก”

“ก็อยากอยู่ แต่ย่าผิดต่อทีมากเหลือเกิน ถ้าย่าทำอีก...คงเป็นย่าที่แย่เกินทน”

“ไม่หรอกครับ ผมคิดว่าคุณย่ามีเหตุผล”

“มันก็มี ย่าอยากให้ทีได้เรียนรู้ความสุขของการมีครอบครัวเป็นของตนเอง แต่ย่ารู้แล้วว่าบางครั้งเราก็สร้างครอบครัวด้วยวิธีที่ต่างออกไปได้ ขอแค่ทำแล้วมีความสุขก็พอ...อย่างเจ้านิก”

หูผมเริ่มกระดิก พูดถามอย่างระมัดระวัง

“ถ้าคุณย่ายอมรับเรื่องผมได้ งั้นของ...ลุงนิกล่ะครับ?”

“เหอะ รายนั้นน่ะดื้อด้าน ขนาดจับแยกห่างมากี่ปีก็ไม่เคยเข็ด คบกันมาได้นานขนาดนี้ มั่นคงยิ่งกว่าคู่ปกติเสียอีก ย่าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน”

ผมโผกอดคุณย่าอีกครั้งทันที ดีใจยิ่งกว่าตอนรู้ว่าย่ายอมปล่อยให้คบกับพาร์อีก อาจเพราะผมเอาใจช่วยเรื่องลุงนิกกับทาจังมานานหลายปี บวกกับผู้เป็นเสมือนพ่อแม่ได้รับการยอมรับสักที ย่อมดีใจมากกว่าเป็นธรรมดา

“ถ้าทีจะคบแฟนหนุ่มคนนั้น ย่ามีข้อแม้หนึ่งอย่าง”

ความดีใจสะดุด รีบถามกลับอย่างกังวล “อะไรครับ?”

“ไปเรียกคนของหลานมาฟังด้วย อยู่ข้างนอกใช่ไหมล่ะ”

ผมแอบลังเล แต่ก็พยักหน้าเดินออกไปเปิดประตู เรียกพาร์กับคุณปู่เข้ามา พาร์ยกมือไหว้คุณย่าอย่างสุภาพ มองสบตาไม่หนีไม่หลบ โดนซักถามก็ตอบกลับอย่างฉะฉาน สอบถามประวัติความเป็นมาครู่หนึ่ง คุณย่าก็วกกลับมาเรื่องเงื่อนไขของการคบกัน

“เงื่อนไข...อะไรครับ?” พาร์เริ่มเครียด

“มีเหลนให้ย่าสักคน”

“ฮะ!” ไม่ใช่แค่ผมกับพาร์เท่านั้น คุณปู่ยังอุทานเลย

“ทำยังไงก็ได้ แต่ต้องให้ทีมีเหลนไว้สืบสกุลธรรมนาถต่อ ย่าคงทำใจไม่ได้ที่เห็นตระกูลเราสิ้นสุดทายาทที่รุ่นเจ้าที”

“เดี๋ยวครับ!!” ผมรีบเบรก “ถึงผมมีให้ไม่ได้ แต่เรายังมีอัน”

“เจ้าตัวเล็กนั่นเรอะ เหอะ” คุณย่าทำเสียงขึ้นจมูก “หน้าตาแทบจะถอดแบบเราตอนเด็กๆ ไม่พอ ยังนิสัยนุ่มนิ่มปวกเปียกกว่าเราอีก ฝากความหวังไว้ได้ซะที่ไหน”

“น้องอันแค่เป็นเด็กอ่อนโยนเองครับ!” ผมอดแย้งให้น้องไม่ได้ “งั้นยัยน้ำล่ะ”

“ไปจับตัวมาให้ย่าฝึกอบรมในฐานะผู้สืบทอดได้ ย่าก็ไม่มีปัญหา”

แค่นึกถึงคอร์สนรกพวกนั้น ผมก็ทำใจส่งน้องสาวไปฝึกไม่ลง แน่นอนว่าไม่ใช่แค่กิริยามารยาทที่ผมไม่เคยคิดเอามาใช้ (ถ้าไม่จำเป็น) ยังรวมไปถึงงานต่างๆ ที่ต้องทำในอนาคตอีก

“...แค่ผมมีทายาทให้ได้ก็พอใช่ไหมครับ”

“อืม”

ผมสบตากับพาร์อย่างลำบากใจ อยากขอให้ยอม แต่อีกใจก็รับรู้ว่าเป็นการทำร้ายมันทางอ้อม

แต่พาร์กลับสงบกว่าผมมาก เอ่ยถามคุณย่าตรงๆ “ไม่เกี่ยงวิธีการใช่ไหมครับ?”

“อืม ขอแค่เป็นทายาทสายตรงจากเจ้าทีก็พอ”

“ได้ครับ ผมรับปาก”

เฮ้ย! ผมหันมองพาร์ที่ยอมตกลงง่ายๆ อย่างตกใจ

พอคุณย่าจ้องผม พาร์กับคุณปู่ก็จ้องตาม ผมสบตาพาร์อีกครั้ง แววตาอีกฝ่ายไม่มีสั่นไหวจึงยอมรับปากอีกคน

หลังจากนั้นบรรยากาศก็ดีขึ้นเยอะ พวกผมสี่คนคุยกันไปเรื่อย เห็นพาร์เข้ากับคุณปู่คุณย่าได้แบบนี้ผมก็ดีใจ พวกผมอยู่กับคุณย่าเกือบชั่วโมงก็โดนลุงหมอที่มาตรวจร่างกายไล่ออกมา เพราะต้องการให้คนป่วยพักผ่อน

ระหว่างเดินไปที่ลานจอดรถผมก็อดถามพาร์ไม่ได้

“มึงจะยอมให้กูมีลูกจริงดิ”

“อืม”

“ถึงจะใช้ผสมเทียมก็เถอะ มึงก็ยอม?”

พาร์เลิกคิ้วสูง “ใครบอกจะให้มึงทำแบบนั้น”

“อ้าวแล้ว?”

“เมื่อเดือนก่อนมีข่าวเกี่ยวกับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดของคนเพศเดียวกันให้กำเนิดลูกได้ ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปอีกสองปีว่าจะสำเร็จไหม อีกอย่างกว่าเราจะเรียนจบ ทำงานเก็บเงินมากพอเลี้ยงลูกสักคนได้ วิทยาการอาจก้าวไกลจนมีทางให้เลือกเยอะกว่าตอนนี้ ยังไงย่ามึงก็ไม่จำกัดวิธีการอยู่แล้วนี่”

ผมกระพริบตาปริบๆ...บางครั้งพาร์ก็คิดไปไกลกว่าผมมากทีเดียว

ขึ้นมาอยู่บนรถได้ไม่เท่าไหร่ พาร์ก็ประเด็นขึ้นมาใหม่

“แล้วเรื่องพ่อมึงล่ะ”

ผมมองสองข้างทางเงียบไปครู่หนึ่งถึงพูดออกมา “...บางเรื่องปล่อยเป็นความลับต่อไปดีกว่า”

“ถ้างั้นจะอยู่บ้านกูต่อ หรือจะกลับบ้าน?”

“...ยังกลับบ้านไม่ลงวะ”

“งั้นก็โทรไปบอกที่บ้านมึงก่อน เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”

ผมพ่นลมหายใจ หยิบมือถือออกมา ลังเลว่าจะโทรหาพ่อหรือแม่ดี แต่สุดท้ายก็โทรหาน้องสาวแทน รอสายไม่นานน้ำก็รับ

[พี่ชายของน้ำอยู่ไหนคะ?]

“พึ่งออกจากโรงพยาบาล”

[ห๊ะ!!]

ผมรีบเสริม ก่อนน้องจะเป็นห่วง “ไปเยี่ยมคุณย่ามา”

[อ้อ นี่น้ำกับพวกพ่อกำลังจะถึงพอดี คลาดกันสินะ]

“ฮือฮึ...ช่วงนี้พี่ไปนอนค้างบ้านพาร์นะ ฝากบอกพวกพ่อด้วย”

[เอ๋!!]

ผมกดตัดสายทันที ขี้เกียจฟังน้องสาวบ่น ตั้งแต่เรื่องที่ยัยน้ำโกรธพาร์วันนั้น และหลังพาร์ไปสารภาพบาป น้องสาวผมเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว ถึงจะยังมีอารมณ์หุนหันใจร้อนอยู่บ้าง แต่น้องเริ่มแยกแยะวิเคราะห์อะไรได้มากขึ้น หัดมองความเป็นจริงมากกว่าเดิม และยังคงเป็นสาววายที่ไม่ได้แอ๊บเป็นเด็กดีต่อหน้าพาร์แล้ว

คิดถึงเรื่องนี้ผมก็ขำ

เพราะยัยน้ำหลอกนิสัยกับพาร์ก่อน พาร์เลยคำนวณแผนพลาดได้เจ็บตัวตามมาง้อผมในทันทีไม่ได้ เพื่อนมันก็ดีถึงขั้นหิ้วมันไปตรวจที่โรงพยาบาล พร้อมกับมีข่าวล่ำลือว่ามันเป็นโลลิ ซุกแฟนเด็กจอมโหดไว้แล้วไม่ยอมบอกเพื่อนฝูง ฮ่าๆๆ 

ขณะที่สองสาวเข้าใจผิดไปเอง คิดว่าพาร์ชอบเด็กเรียบร้อยมาหลายปี สาเหตุมาจากความใจดีที่ให้มากกว่าปกติ แต่ความจริงพาร์ถูกใจพวกเด็กซนๆ มากกว่า ยิ่งเคมีเข้ากันได้พาร์ก็เริ่มแง้มสอนอะไรแผลงๆ ให้ ยัยน้ำบ่นเสียดายกับผมยกใหญ่ว่าที่ผ่านมาเข้าใจผิดไปได้ยังไงตั้งนาน ก็หวังว่ามันจะไม่ทำน้องสาวผมเสียคน ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวในอนาคตไม่มีใครกล้าขอยัยน้ำแต่งงาน

แต่เป็นแบบทุกวันนี้ก็ดีครับ เวลามองพาร์กับน้ำเถียงกันได้เถียงกันดีแบบนี้ดูมีชีวิตชีวาสมเป็นพี่น้องกันออก ขนาดเบอร์ยังแอบอิจฉา มาบ่นๆ กับผมว่าเหมือนโดนเพื่อนสนิทแย่งพี่ชาย...

“หัวเราะอะไรคนเดียว”

“เรื่องของกูน่า” ผมบอกปัด “พรุ่งนี้จะไปเรียนไหม เราโดดกันมาสองวันแล้วนะ”

“พรุ่งนี้วันสงกรานต์แล้วครับ มึงจะไปเรียนทำไม”

อ้าว...

“พูดถึงเรื่องนี้ปู่มึงบอกว่าให้ไปบ้านย่า พรุ่งนี้มีงานรวมญาติที่นั่น เพราะมะรืนนี้ปู่กับย่ามึงจะบินกลับไปรักษาตัวต่อแล้ว”

“ไปมะรืนเลยเหรอ”

ผมหงอยทันที จะโทษใครได้นอกจากตัวเอง ถ้าไม่พูดจาแบบนั้นจนทำคุณย่าล้มป่วย ผู้สูงวัยทั้งสองอาจได้อยู่ไทยยาวกว่านี้

“ไม่ใช่ความผิดมึงหรอกน่า ปู่เล่าว่าเรื่องมึงทำให้ย่าสะเทือนใจก็จริง แต่ที่อาการกำเริบ เพราะสภาพแวดล้อมแตกต่างเกินไป ร่างกายคนแก่เลยปรับตามไม่ทัน” 

“...ปู่แค่พูดปลอบใจกูหรือเปล่า”

“ไม่หรอก...มั้ง เอ่อ มึงอย่าคิดมากน่า”

“กูรู้ตัวว่าทำผิด มึงไม่ต้องพยายามปลอบกูหรอก”

“...พรุ่งนี้ทำอาหารใส่ปิ่นโตไปให้สิ” พาร์เปลี่ยนเรื่องทันที “ย่ามึงน่าจะเซ็งกับอาหารโรงพยาบาลไม่น้อย”

“อือ เดี๋ยวกูโทรไปถามลุงหมอก่อนว่า คุณย่ากินอะไรได้บ้าง” 

“เดี๋ยวเราอยู่รอรับพาปู่ย่ามึงกลับบ้านด้วยเลย ดีไหม?”

ผมคลี่ยิ้มส่งให้พาร์ทันที “ดี”

“ที”

“หือ?”

“กูดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มมึงนะ ยิ้มหรือหัวเราะบ่อยๆ ล่ะ”

ผมเบือนหน้าไปทางหน้าต่างรถ พูดงึมงำ “...ถ้ามึงทำให้กูมีความสุข กูก็ยิ้มบ่อยอยู่แล้ว”

“กูได้ยินนะ”

“ก็ฟังเงียบๆ ดิ!”

“แก้มแดงแล้ว”

“หุบปากไปเลย!”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 10-05-2017 10:55:35
โอเค ผ่านดราม่า

รออ่านตอนลูกพาร์กะทีแล้ว << รีบ 5555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 10-05-2017 10:59:57
ดีแล้วที่คุณย่ายอมรับได้ ที่ผ่านมาก็เพราะรักมากเป็นห่วงมากคุณย่าเลยพยายามทำทุกอย่างที่คิดว่าดี ทีเองก็รู้ไม่งั้นคงไม่รักคุณย่ามากขนาดนี้หรอก ใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 10-05-2017 15:13:48
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 10-05-2017 15:17:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-05-2017 15:58:36
เด็กกับผู้ใหญ่คิดต่างกันจริงๆ :mew2: :mew2: :mew2:
ดี.....กันแล้ว ย่ายอมทีแล้ว ให้ที คบกับพาร์ได้  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แต่ที ต้องมีลูกสืบทายาท
ว่าแต่ลูกที จะได้จากแม่คนไหนนะ
พาร์ น่ารัก ดูแลที ดีมาก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-05-2017 22:26:40
ผ่านไปได้ด้วยดี ก้อโอเค
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-05-2017 11:26:56
โล่งไปที ทีนี้ทีกับคุณย่าก็เข้าใจกันแล้วนะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-05-2017 22:44:57
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 13-05-2017 20:59:20
ทางโล่งแล้ววววว ลุยต่อได้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 15-05-2017 09:57:01
โอ้ยยย

หนูที

น่ารักจังเลยลูก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 19-05-2017 11:34:51
บทที่ 58

“สระว่ายน้ำตรงนั้นเมื่อก่อนเป็นสระบัว แต่เพราะเจ้านิกกับเจ้าอรรถชอบว่ายน้ำทั้งคู่ ย่าเขาเลยยอมทิ้งสระบัวที่เห็นมาตั้งแต่เกิดเปลี่ยนเป็นสระว่ายน้ำให้ลูกทั้งคู่แทน”

ผมยืนฟังเงียบๆ ด้วยท่าทีสนใจ ข้างๆ มีทั้งพาร์และเพื่อนกลุ่มเก่าแก่ที่มากันพร้อมหน้า

“บ้านก็เหมือนกันใช่ไหมครับ รูปแบบถึงได้ผสมผสานกันระหว่างยุคอดีตกับสมัยใหม่”

ผมเหลือบมองคนถาม ตาเทมเป็นประกายระยิบระยับ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมันเคยบอกว่าบ้านย่าผมคือตัวจุดประกายให้เลือกเรียนสถาปัตย์หรือไงนี่แหละ

“ปู่เป็นเขยแต่งเข้าคงให้คำตอบเรื่องนี้ได้ไม่ดีเท่าเจ้าของบ้านตัวจริงหรอก”

“จะให้ผมไปถามคุณย่า?” เทมทำหน้าแหยงๆ

“เห็นหน้าดุแบบนั้น ย่าเขาใจดีนะ”

“อย่าแกล้งเพื่อนผมสิ” ผมอดพูดช่วยเทมไม่ได้ “ปู่อยู่ที่นี่ตั้งหลายปี อีกอย่างคุณย่าต้องเล่าอะไรให้ฟังบ้างล่ะน่า ปู่น่าจะเล่าเท่าที่รู้ให้พวกผมฟังได้”

สายตาผู้สูงวัยกวาดมองพวกผมด้วยรอยยิ้ม

“ธรรมนาถสอนทายาททุกรุ่นไม่ให้ยึดติดกับอดีต แต่จงเปิดใจเรียนรู้ไปพร้อมยุคสมัยดั่งบ้านหลังนี้ที่ผ่านการปรับปรุงต่อเติมเรื่อยมาให้เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัยในแต่ละรุ่น”

“...รวมถึงสวนด้วยเหรอครับ” ผมถามขึ้นมาด้วยเสียงสั่นไหวหน่อยๆ

“ใช่แล้ว อะไรไม่ดีก็ควรปรับปรุงให้เหมาะสม ไม่มีอะไรน่าเสียดายหรอก ตัวบ้านหลังนี้เลยดูพิลึกๆ ในสายตาคนอื่นกระมัง”

“ไม่เลยครับ ผมมองว่ามันคือศิลปะ!“

เอาแล้ว...

ผมพ่นลมหายใจ คว้ามือพาร์ดึงให้มันค่อยๆ ถอยห่างวงสนทนา ถ้าปล่อยเทมพูดเรื่องนี้แบบไร้คนขัดเมื่อไหร่ ยาวแน่ครับ ผมขี้เกียจฟัง หลังถอยจนพ้นระยะมาแบบเนียนๆ ก็รีบลากพาชิ่งหนีทันที

“จะไปไหน?”

“ไปดูในครัวไหม?” ผมว่า “มึงอยากรู้วิธีทำขนมไทยไม่ใช่เหรอ ป้าสาทำเก่งนะ”

พูดจบปุ๊บก็กลายเป็นโดนลากแทนปั๊บ ครัวบ้านคุณย่าเป็นเสมือนบ้านหลังเล็กๆ ที่แยกออกมาต่างหาก ด้านนอกรอบบ้านครัวเป็นลานกว้าง ด้านหนึ่งมีข้าวของวางอยู่หลายอย่าง เห็นเยอะสุดคือของสำหรับต้องตากแดด เดินไปใกล้แถวนั้นต้องระวัง อีกด้านกำลังผัดกับข้าวควันโขมง กลิ่นที่ลอยเข้าจมูกผัดกระเพราแน่นอน

“ชิ่ว!”

พาร์จามก่อนผมอีกครับ ฮ่าๆๆ ผมดึงพาร์ไปทางเข้าครัว สองข้างทางมีโต๊ะยาววางอยู่ ฝั่งซ้ายมีอาหารจำพวกต้มวางไว้เป็นหม้อๆ คนข้างผมมองอึ้งๆ

“เยอะขนาดนี้กินกันหมดเรอะ”

“ไม่ใช่แค่พวกกู ย่าเขาจะเลี้ยงพระด้วยล่ะมั้ง แล้วก็ยังมีหมายี่สิบตัว แมวสี่ตัว กลุ่มคนดูแลบ้านทั้งหมด แล้วไหนจะครอบครัวลุงหมอ ครอบครัวกู และครอบครัวมึง” ผมยักคิ้วให้พาร์ “เดี๋ยวมึงจะได้เห็นอาหารที่แปรรูปจากวัตถุดิบที่เก็บได้จากในรั้วบ้านหลังนี้ อ้อ ยกเว้นพวกเนื้อ นม ไข่ ที่ต้องไปซื้อเอา”

พาร์ย่นคิ้ว “ที่นี่กว้างขนาดนี้ น่าจะเลี้ยงพวกสัตว์ได้นะ อย่างไก่ เป็ด หรือวัวนมสักตัว”

“เมื่อก่อนมีไก่กับเป็ดอยู่ ออกไข่ทุกวัน”

พวกผมรีบหันไปด้านหลัง ก็เจอเจ้าของเสียงมีพี่พีทช่วยประคองมายืนด้านหลังพวกผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และทั้งสองไม่มีใครฮัดเช้ยสักคน เพราะใส่ผ้าปิดปากมากันคนละผืน

“แต่ตอนหลังมีข่าวเรื่องโรคระบาด พวกมันก็โดนจับใส่กระสอบไปตรวจสอบหมด ตอนแรกเขาว่าจะเอามาคืน แต่ป่านนี้ย่ายังไม่ได้คืนสักตัว ถ้าไม่กลายเป็นอาหารก็คงโดนฝังไปแล้ว ย่าเลยสั่งเลิกเลี้ยงถาวร อยากได้ไข่ได้เนื้อก็ไปซื้อที่ตลาดเอา บ้านเราเลยเหลือแต่หมากับแมวอย่างที่เห็น”

“คุณย่ามาทำอะไรที่นี่ครับ?” ผมถามอย่างประหลาดใจ

“ครัวอยู่ตรงหน้ายังถามอีก ถ้าไม่เข้าไปก็อย่ายืนขวางทาง”

“เข้าครับเข้า” ผมทำท่าจะเดินไปช่วยประคอง แต่คุณย่าโบกมือว่าไม่ต้อง แถมโดนไล่ให้เดินเข้าไปก่อนอีก ผมไม่ขัดใจคนแก่เลยลากพาร์เดินเข้าไปก่อน แจ้งบอกคนที่กำลังวุ่นวายข้างในว่าคุณย่ากำลังเดินเข้ามา คนงานในครัวดูแตกตื่นกันหน่อยๆ

“กลัวอะไร! ตั้งใจทำงานของตัวเองไปก็พอ” หลังป้าสาดุเด็กในความดูแล ก่อนหันมาหาผม ชี้นิ้วไปทางโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมขาเตี้ยตัวใหญ่ที่วางอยู่กลางห้อง ขอบด้านหนึ่งไม่มีคนนั่ง บริเวณนั้นวางถาดไว้หลายใบ ทั้งถาดที่มีลูกกลมๆ สีน้ำตาลปั้นเตรียมไว้ ถาดที่ด้านบนห่อด้วยผ้าขาวบาง ถ้วยใส่เม็ดงากับอีกถ้วยหนึ่งมีอะไรไม่รู้เป็นรูปสามเหลี่ยมสีส้มๆ และถาดว่างๆ อีกหลายใบด้านในปูใบตองไว้

“คุณย่าจะแสดงฝีมือเหรอครับ?”

“พวกคุณทีชอบขนมจีบนี่ค่ะ คุณท่านเลยให้ทางป้าเตรียมของไว้ค่ะ เห็นบอกว่าจะมาห่อเอง”

ขนมจีบ?

ผมกวาดมองของที่เตรียมไว้อีกครั้ง พลันตาเปล่งประกายทันที

ลาภปากพวกผมแล้วครับ วะฮ่าๆๆ

รีบลากพาร์ไปล้างมือล้างเท้า แล้วขึ้นไปหาที่นั่งบนโต๊ะ จัดวางพวกของไว้ตรงกลางรอคุณย่ากับพี่พีทเดินเข้ามา พาร์ทำหน้ามึนงงใส่ผม

“มึงจะช่วย?”

“ใช่” ตอบพลางสบตาคุณย่าที่พึ่งเดินเข้ามา คิ้วสีดอกเลาเลิกขึ้นสูง

คุณย่าไม่ได้พูดอะไร แค่ไปล้างมือกับพี่พีทแล้วมานั่งที่ขอบโต๊ะ มือเหี่ยวย่นตามเวลาคลี่ผ้าขาวบางออก ด้านในเป็นก้อนแป้งมีขาว หลังตัดแบ่งเป็นก้อนเล็กๆ ก็แจกจ่ายให้พวกผมช่วยกันห่อไส้

“หลังใส่ไส้ก็ปั้นให้เป็นรูปชมพู่แบบนี้ ด้านบนจะเล็กกว่าด้านล่าง ติดตาติดปาก แล้วก็ทำให้เป็นริ้วๆ แบบนี้ เสร็จแล้วก็วางในถาดใบตองนี่”

นกขนมจีบตัวแรกฝีมือคุณย่าก็ไปนอนรอเรียบร้อย ต่อไปก็นกฝีมือผม พอเอาไปวางข้างๆ เทียบนกคุณย่า…มันไม่ใช่นก แต่มันคือสัตว์ประหลาด!

“ฮ่าๆๆ” พี่พีทหัวเราะไม่หยุดหลังเห็นนกไม่สมประกอบของผม แม้แต่พาร์ยังพยายามกลั้นขำ

“ลองทำใหม่เจ้าที ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ อย่างน้อยให้ออกมาเป็นนกขนยุ่งก็ดีกว่าออกมาเป็นตัวประหลาด”

 หลังจากนั้นอีกสองคนก็วางนกลงไปบ้าง ของพาร์สวยสุด สมกับที่มันชอบทำขนม ของพี่พีทก็ดี คุณย่าชมว่ามือเบาสมเป็นหมอ 

ถาดไหนเต็มแล้วจะมีคนยกไปช่วยนึ่งให้ เสร็จแล้วก็จะยกกลับมาให้คุณย่าตรวจดู ชิ้นไหนขึ้นโต๊ะไม่ได้ก็ให้แยกออก ก่อนให้คนเอาน้ำมันกระเทียมเจียวทาที่ตัวนก

“ทีขอ” ผมที่จ้องชิ้นที่โดนแยกมานาน เมื่อสบโอกาสก็รีบหยิบเข้าปากทันที

รูปภายนอกดูไม่ได้ แต่ภายในอร่อยมากครับ

ผมเคี้ยวไปอมยิ้มมีความสุขไป คุณย่ามองมาอย่างระอา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พี่พีทเลยทำบ้าง ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่กำลังโดนเราสองพี่น้องจ้องตาฟาดฟันเตรียมจะแย่งชิง แต่ดันโดนคนอยู่เฉยๆ ตั้งแต่ต้นอย่างพาร์คว้าไปกินซะงั้น คนกำลังเคี้ยวหันมามองพวกผมอย่างไม่เข้าใจ

ผมกับพี่พีททำหน้าเซ็งใส่พาร์ ถ้าจะเอาไปกินก็รีบหยิบดิ ดันวางล่อตาล่อใจอยู่ได้ตั้งนาน พวกผมก็นึกว่ามันไม่เอาน่ะสิ!

หมดจากแป้งสีขาว ยังมีแป้งสีอื่นๆ ได้แก่ สีน้ำเงิน สีม่วงอ่อน สีชมพูอ่อน และสีเหลือง ฟังจากที่คุณย่ากับป้าสาคุยกัน สีที่ใช้ผสมในแป้งมาจากดอกอัญชัน ดอกเฟื้องฟ้า และฟักทองครับ

หลังปั้นชุดสุดท้ายเสร็จ คุณย่าก็มองไปรอบครัว  มีรอยยิ้มเล็กๆ สักพักก็ถอนหายใจรำพึง

“ชักไม่อยากกลับไปอยู่นู้นแล้ว”

“ไม่ได้ครับ” พี่พีทค้านทันที “ถ้าคุณย่าอยากกลับมาที่นี่เร็วๆ ต้องรีบรักษาตัวให้หายสิครับ”

“ย่าแก่แล้ว รักษายังไงก็ไม่กลับเป็นเหมือนสมัยสาวๆ ได้หรอก”

“ผมทราบ แต่เพราะอยากให้คุณย่ายังอยู่กับพวกเราต่อไปนานๆ…”

คุณย่าพูดขัด “ได้อยู่นานๆ แต่อยู่ห่างบ้านห่างหลานแบบนี้ จะมีประโยชน์อะไร”

พวกผมเงียบทันที…ที่คุณย่าพูดก็ถูก

คนแก่ที่สุดถอนหายใจอีกครั้ง ทำท่าจะขยับตัวลุกขึ้น พี่พีทรีบไปช่วยประคอง ผมกับพาร์ลุกตาม

“เราสองคนไปช่วยกันยกถาดขนมจีบตามย่ามา”

ผมกับพาร์ทำตามทันที ที่โต๊ะด้านนอกมีถาดสีเงินใบใหญ่สองใบ ภายในมีขนมจีบรูปนกวางบนใบตองแล้ว ยังมีผักกาดหอม ผักชี และลูกโทน (พริกสด) วางไว้ด้านข้างด้วยครับ ผมกับพาร์ยกไปคนละถาด ก้าวขาตามหลังคุณย่าอย่างระวัง จนมาถึงเรือนหลัก ยังไม่ทันเข้าไปข้างใน พ่อผมก็เดินสวนออกมาซะก่อน

“คุณแม่!!”

“อะไรหือเจ้าอรรถ? แม่อยู่แค่ตรงนี้ไม่ต้องตะโกนก็ได้”

“คุณแม่ไปไหนมาครับ ทำไมพวกผมถึงหาตัวไม่เจอ”

“ไปครัวมาน่ะสิ หลีกๆ จะได้ให้เด็กๆ ยกถาดเข้าไปข้างใน”

พ่อรีบขยับตัวหลีกทางให้ “ยกไปทางห้องหลังสระว่ายน้ำเลยลูก คุณแม่ก็ด้วยครับ ทุกคนรอแม่อยู่”

“มีอะไรที่ห้องนั้นหรือ?”

“เดี๋ยวคุณแม่ไปเห็นก็รู้ครับ”

พอยกขบวนไปถึงก็พบว่าประตูที่ติดกับระเบียงเชื่อมต่อไปถึงสระว่ายน้ำเลื่อนเปิดจนสุด ปล่อยสายลมพัดพากลิ่นดอกไม้หอมที่ปลูกติดรั้วเข้ามาด้านใน ทุกคนมารวมตัวที่นี่กันหมด ทั้งครอบครัวผม ครอบครัวพาร์ ครอบครัวลุงหมอ เพื่อนเก่าแก่ทั้งหก…

“เฮ้ย ขนมจีบนกนี่!” ไวไวอุทานคนแรก

เพื่อนคนอื่นๆ รวมถึงสองสาวรีบหันมามองทางผมกับพาร์ ตาวาวๆ กันทุกคน แม้แต่ตัวเล็กยังพยายามกระโดดมองด้วยความสงสัย ถ้าได้เห็นของในถาดคงถูกใจน่าดู

“ไปวางตรงนู้น”

ผมพยักหน้าให้คุณปู่ เดินนำพาร์เอาถาดไปวางบนโต๊ะในห้อง หันกลับมาอีกทีทุกคนก็เดินออกไปทางระเบียงกันหมด ผมเดินไปทันเห็นคุณปู่ประคองคุณย่านั่งลงที่เก้าอี้เรียบร้อยก็หย่อนก้นนั่งตัวถัดมา พ่อถือขันเงินใบใหญ่ภายในคือใส่น้ำอบน้ำปรุงโรยด้วยกลีบดอกมะลิกับกลีบกุหลาบ แม่ถือขันเงินใบเล็กพร้อมพวงมาลัยดอกมะลิสองพวงไปคุกเข่าระหว่างผู้สูงวัยทั้งสอง

ระหว่างกำลังยืนมองอยู่ดีๆ ก็มีคนมาล็อกคอลากตัวผมออกมาเงียบๆ เกือบจะร้องโวยวายด้วยความตกใจแล้วถ้าไม่เห็นว่าพาร์ทำแค่มองแล้วเดินตามมาเงียบๆ

พ้นจากระเบียงเข้ามาแอบอยู่ตรงมุมห้อง คอผมก็ถูกปล่อย หันไปดูหน้าคนทำด้วยความหงุดหงิด ก็เจอลุงนิกที่ฉีกยิ้มขำกับทากะซังที่ยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ

“มะ…มาได้ไง!” ถามอึ้งๆ

“บินมาสิ” ลุงนิกตอบกลับมาแบบกวนๆ ก่อนตวัดตามองพาร์ที่กำลังยกมือไหว้คนทั้งคู่ แล้วหันมองผม “คงไม่ได้โดนเจ้าเด็กนี่รังแกหรอกนะ”

แววตาลุงสื่อชัดว่าฟ้องมาได้เลย เดี๋ยวลุงจัดการให้

ผมทำหน้าหน่ายใส่ หันไปโผกอดทากะซังแทนดีกว่า พร้อมถามอย่างเป็นห่วง

“ทาจังมาที่นี่จะไม่เป็นอะไรเหรอ?”

“ไม่รู้สิ แต่นิกบอกว่าให้มา”

ผมหันไปมองลุงด้วยความสงสัย ทันเห็นฉากลุงนิกใช้งานพาร์พอดี พานในมือพาร์ทำผมอึ้ง   

“นะ นี่มัน…”

พานขอขมาใช่ไหม? หรือผมมองผิด?

“อย่าอึ้ง ไปช่วยยกของมาไว้ตรงนี้”

ผมสะดุ้งรีบไปช่วยขนกะละมังสองชุดที่มีผ้าสะอาดวางอยู่ข้างใน และขันน้ำใบใหญ่ใส่น้ำจนเกือบเต็ม

“ลุงจะ...”

“อย่างที่ทีคิดนั่นแหละ”

ผ่านไปหลายนาที พ่อก็เดินเข้ามามองลุงนิกที มองผมที ก่อนถามสั้นๆ “พร้อมยัง?”

“อืม” ลุงนิกพยักหน้า สีหน้ากังวล แต่แววตาไม่ยอมถอย

“ผมว่าให้ทีเป็นทัพหน้าดีกว่านะ แล้วพี่ค่อยตามมา”

ลุงนิกส่ายหน้าไม่เห็นด้วยทันที พ่อเลยไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ไปยืนแถวประตูรอส่งสัญญาณ ผมมองแผ่นหลังพ่อแวบหนึ่ง แล้วหันมองลุงนิก

“ถึงคุณย่าจะยอมรับแล้ว แต่ให้ทีออกไปรับหน้าก่อน ความสำเร็จน่าจะสูงขึ้นนะ”

“ใครจะออกไปก่อนหลังก็ไม่ต่างหรอก ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้น ถึงลุงไม่ได้พูดคุยกับแม่ตรงๆ เหมือนที แต่เราก็เคยคุยกันแบบอ้อมๆ อยู่ คิดว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรแย่ๆ หรอก…มั้ง” 

“…ทีกลัวย่าโมโหจนเตะกะละมัง”

“คนตั้งเยอะ มีคนนอกด้วย ย่าเราไม่ทำหรอกน่า”

ผมภาวนาขอให้จริง เมื่อได้สัญญาณจากพ่อ ลุงนิกก็พยักหน้าให้ทากะถือพาน ส่วนตัวเองถือกะละมังกับขันใบใหญ่ตามออกไป ผมกับพาร์ก็รีบยกของอีกชุดตามไปติดๆ ระหว่างนั่งคุกเข่าตรงหน้าปู่ก็แอบชำเลืองมองสถานการณ์ข้างๆ ไปด้วยอย่างลุ้นระทึก

ลุงนิกกับทากะซังกราบเท้าคุณย่า ไม่มีการชักเท้าหลบก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง

ระหว่างคนทั้งคู่ยกเท้าคุณย่าวางกะละมัง ผมอดลอบมองสีหน้าคุณย่าไม่ได้ เรียบเฉยมากครับ เดาอารมณ์ไม่ถูก ได้แต่แอบกลัวแทน

ทากะซังเทน้ำลงกะละมัง ลุงนิกก็เริ่มล้างเท้าให้คุณย่าพร้อมพูดไปด้วย

“กรรมใดที่ลูกได้กระทำล่วงเกินต่อท่าน จะด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งที่ได้ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ทั้งในชาตินี้และทุกๆชาติที่ผ่านมา ลูกขอขมากรรม ขออโหสิกรรมจากท่าน ขอให้ท่านให้อโหสิกรรมแก่ลูกด้วยเถิด”

ใจผมเต้นระทึก พอโดนพาร์สะกิดเรียกสติก็รีบก้มกราบเท้าคุณปู่ เอากะละมังมาวาง คุณปู่ที่ลุ้นคู่ข้างๆ สะดุ้งตอนที่ผมยกเท้ามาวางในกะละมัง ผมก็พูดขอขมาคุณปู่พลางขัดถูทุกซอกมุม อีกข้างได้พาร์ช่วยทำให้ เรียบร้อยก็ยกเท้าคุณปู่ก็ออกมาซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาดผืนใหม่ มาสะดุ้งตรงได้ยินเสียงเหมือนเขกหัว

…ลุงนิกโดนเข้าแล้วครับ

คุณย่ามองลุงนิกด้วยแววตาคมกริบ คนโดนจ้องทำหน้าเจื่อนทั้งที่มือยังใช้ผ้าซับน้ำจากเท้าคุณย่าอยู่ตลอด ก่อนทำหน้าประหลาดใจเมื่อคุณย่ากวักน้ำในกะละมังมาพรมใส่หัว

“ชีวิตของลูกพ่อแม่ให้มา แต่พ่อแม่เลือกอนาคตให้ลูกไม่ได้ ดังนั้นอะไรที่นิกตัดสินใจแล้วก็ถือตามนั้น แม่จะไม่ยุ่ง ขอให้เราอย่าเสียใจกับสิ่งที่เลือกไปก็พอ แม่ขอให้เรามีชีวิตที่เป็นสุข ไร้ทุกข์ไร้ภัย และดูแลรักเราให้ดีๆ ด้วย แม่อโหสิกรรมให้”

ลุงนิกรีบหมอบกับพื้นกราบหนึ่งครั้ง แล้วยกพานขอขมาส่งให้

คุณย่าก็รับไว้ พร้อมพูด “อย่าพึ่งปล่อย แม่ไม่มีแรงถือ”

พูดถึงตรงนี้ก็เรียกพี่พีทที่อยู่ใกล้สุดมาช่วยรับไปถือแทน คุณปู่ถอนหายใจด้วยท่าทีโล่งอก รอยยิ้มดูมีความสุขกว่าทุกที ผมก็ยิ้มเหมือนกันยิ่งได้ยินบทสนทนาของคุณย่ากับทากะซังก็ยิ่งยิ้มมากขึ้น

“เธอก็ด้วย ขอโทษที่ก่อนหน้านี้ฉันทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่เลย”

ทากะซังยิ้มให้ “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ผมก็ต้องขอโทษด้วยครับที่เป็นสาเหตุให้ลูกชายคุณเลือกเดินทางนี้”

“…ฉันเป็นคนของธรรมนาถ ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ฉันก็ได้เรียนรู้แล้วว่าความรักฉันท์หนุ่มสาวก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับคนต่างเพศเพียงอย่างเดียว ต่อไปนี้จะไปหานิกก็ไม่ต้องแอบนัดพบกันหรอก ไปหาที่ทำงานก็ได้ และลูกชายฉันจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างโดดงานบินข้ามทะเลหายไปเป็นอาทิตย์ด้วย”

“คุณแม่!”

ผมได้ยินเสียงคุณปู่หัวเราะร่วน แม้แต่พี่พีท หรือคนอื่นๆ ที่ได้ยินก็ยังยิ้มขำ

“ขอบคุณครับ” ทากะซังยกมือไหว้ขอบคุณ คุณย่าก็รับไหว้

มองทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันผมก็ปลื้มใจ ยิ้มหน้าบานรับคำอวยพรจากคุณปู่ ก่อนจะย้ายไปกราบเท้าคุณย่า

“ทีกราบขอขมาคุณย่าในทุกๆ เรื่องทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ต่อไปนี้ทีจะเป็นหลานที่ดีของคุณย่า ทีขออโหสิกรรมจากคุณย่าครับ”

“ย่าอโหสิกรรมให้” ย่ากวักน้ำพรมใส่ พร้อมอวยพร “ของทียังต้องเติบโต ผ่านเส้นทางพิสูจน์อีกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคเรื่องอะไร ย่าก็อวยพรขอให้เราฝ่าฟันได้ทุกสิ่งอย่าง”

“ขอบคุณครับ” ผมกราบเท้าคุณย่าด้วยรอยยิ้ม

“ย่าฝากเจ้าทีด้วย ถ้าวันไหนไม่ต้องการแล้วก็ส่งคืนมา ย่ายินดีรับคืนทุกเมื่อ”

เอ๊ะ…

ผมผงกหัวขึ้นมาทันได้เห็นพาร์ยิ้มตอบคุณย่าพอดี

“คงคืนให้ยากครับ เพราะกว่าได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

“หึ จำคำพูดตัวเองไว้แล้วกัน และอย่าลืมข้อตกลงของย่า!”

คุณย่า!! ผมรู้สึกหน้าร้อนหน่อยๆ คือ...ไม่ต้องย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ ก็ได้ครับ

หลังจากนั้นคุณปู่คุณย่าก็พูดอวยพรรวมๆ ให้ทุกคน ก่อนปล่อยพวกเราไปกินขนมจีบ งานนี้เด็กหรือผู้ใหญ่แทบจะแย่งกัน ของดีหายากใช่จะมีมาให้กินบ่อยๆ

และเพราะเป็นวันสงกรานต์ วัยรุ่นตอนต้นยันวัยรุ่นตอนปลายอย่างพี่พีท พี่พลับ พี่พรุน รวมถึงเด็กเล็กอย่างน้องอันก็รวมตัวกำหนดจุดวิ่งเล่น ก่อนเฮโลถือปืนฉีดน้ำวิ่งรอบตัวบ้าน ส่งเสียงโหวกเหวกดังลั่นให้พวกผู้ใหญ่ส่ายหัว

วิ่งจนเหนื่อยและหิวก็ได้เวลากินข้าวเที่ยง ก่อนมาลุยเล่นน้ำต่อช่วงบ่าย เจ้าตัวเล็กไม่ยอมนอนกลางวัน วิ่งเล่นกับพวกผมจนหมดแรงหลับไปตอนเกือบสี่โมงเย็น เมื่อเหลือแต่เด็กโตก็เฮโลกันไปเล่นในสระว่ายน้ำแทน ปืนนี่ไม่ต้องแล้ว ใช้มือสาดใส่กันมันกว่า

“เด็กๆ สี่โมงครึ่งให้ทยอยกันไปอาบน้ำ เดี่ยวนี้เราจะมีปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ ปิ้งบาบีคิวกินกัน” 

ส่งเสียงขานรับเสร็จก็เล่นกันต่อ สักพักพวกรุ่นใหญ่ก็ทยอยกันขึ้นไปก่อนอาบน้ำก่อน เสร็จแล้วก็ให้น้ำกับเบอร์ไปอาบก่อน เรียงตามคิวไป กว่าจะกว่าเสร็จกันครบทุกคนก็เกือบหกโมง

ผมกับพาร์ที่อาบเป็นชุดสุดท้ายเดินลงมา กลิ่นหอมๆ ของบาบีคิวก็ลอยกระทบจมูก เดินออกไปก็เจอผู้คนจับจองที่นั่งกินรอบสระว่ายน้ำ มีอาหารย่างอื่นวางในถาดบนโต๊ะตัวยาว อยากกินอะไรก็ให้ไปตักเอาเอง ผมมองผู้คนทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่ปู่ย่าไปต่างประเทศผมก็ไม่ได้เห็นการรวมตัวกันครบทุกคนแบบนี้อีกเลย

“เอ้านี่”

ผมมองจานบาบีคิว แล้วมองคนส่งให้ “ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไร...มีปัญหาอะไรกับพ่อแม่หรือเปล่า ลุงถึงรู้สึกเหมือนเรากำลังหลบหน้าพวกเขา”

ผมสะดุ้ง สมกับเป็นลุงนิกมองออกอย่างรวดเร็วมาก คิดพลางพ่นลมหายใจยาวเหยียด

“ที...รู้แล้วว่าลุงช่วยชีวิตทีไว้”

“พูดถึงเรื่องไหนล่ะ? ตอนตกต้นไม้? ตอนตกน้ำ? หรือตอนเดินเซ่อซ่าเกือบให้รถชน?”

ยิ่งได้ฟังผมก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตนี้คงติดหนี้ลุงนิกไปตลอดชาติ ต้องไปชดใช้ในชาติหน้าแหงๆ

“เอียงหูมาหาที” หูลุงนิกเข้ามาใกล้มากพอ ผมก็กระซิบบอกสั้นๆ ว่าได้ยินอะไรจากพ่อมา

สีหน้าลุงเปลี่ยนไปทันที แถมยังมาเขกหัวผมอีก เจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด

“เรื่องนานนมขนาดนั้นเก็บมาใส่ใจทำไม!”

“แต่มัน...”

“ฟังลุงนะ ในชีวิตคนเราจะทำเรื่องผิดพลาดหรือตัดสินใจผิดพลาดสักครั้งหรือหลายครั้งก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน พ่อแม่เราก็เช่นกัน และนั่นทำให้พวกเขาก็ทุกข์ใจมาตลอด ทีล่ะ อยากทุกข์ใจไปเรื่อยๆ หรือจัดการให้ทุกข์นั่นหายไป?”

“อยากให้หายไปครับ”

“งั้นก็ง่าย แค่ใจทีให้อภัยพวกเขาก็พอ ถ้าใจทีให้อภัยได้แล้วก็เดินไปบอกพวกเขาสักหน่อย พวกเขาจะได้พ้นทุกข์”

“...ตอนนี้เลยเหรอ?”

“แล้วใจทีให้อภัยพวกเขาหรือยังล่ะ?”

ผมตอบไม่ได้

ลุงถามต่อหลังเห็นผมเงียบไปนาน “ทีรู้สึกยังไงบ้างตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก”

“เสียใจที่รู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการขนาดนี้...พวกเขาไม่อยากให้ทีเกิดมาเหรอ?” ผมถามหงอยๆ

“ไม่ใช่หรอก สำหรับพวกเขา ทีแค่มาเกิดผิดจังหวะไปหน่อย ปัญหาหลายๆ อย่างส่งผลทำให้พวกเขาตัดสินใจผิดพลาด ลุงแค่ช่วยเตือนสติ และช่วยเหลือเฉพาะหน้า ในทางตรงข้ามลุงกับทากะอยากมีลูกของเราเอง แต่มีไม่ได้ และทีก็มาในเวลานั้นพอดี มันเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการขอทีมาเลี้ยงสุดๆ ลุงก็เห็นแก่ตัวใช่ไหมล่ะ เพราะความจริงยังมีทางอื่นให้เลือกแก้ปัญหาอีก แต่ลุงเลือกไม่ทำ และไม่คิดคืนทีให้ด้วย”

ลุงนิกยกมือขยี้หัวผม

“ความจริงมันเป็นเรื่องของพวกลุง เราตกลงกันเอาเอง ไม่ได้คิดเผื่อเด็กที่เกิดมาว่าเขาจะรู้สึกยังไงหากได้รู้ความจริง เรียกว่าผิดกันหมดเลยถึงจะถูก ลุงแนะนำทีได้แค่ อย่าเก็บมาใส่ใจให้ปวดหัว ปล่อยวางให้มันเป็นเรื่องของอดีตต่อไป ทีควรสนใจกับปัจจุบัน และอนาคตมากกว่า”

ลุงนิกจับมือผมบังคับให้กำมือ “ตอนนั้นทีเลือกไม่ได้ แต่ตอนนี้ทางเลือกอยู่ในกำมือทีแล้ว”

“...ทีจะไปคุยกับพ่อ”

“ต้องแบบนี้! ไปเลย” ลุงตบหลังผม แถมฉวยจานบาบีคิวออกจากมือ “ถ้าเขินก็ไม่ต้องพูดยาวๆ บอกแค่ว่าเข้าใจและให้อภัยแล้วก็พอ”

แรงผลักดันจากลุงนิกช่วยให้ผมกล้าเดินไปหาพ่อกับแม่ กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง

“ผม...ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

“อะไรล่ะ?” พ่อถามมาอย่างสงสัย ส่งบาบีคิวให้ผมไม้หนึ่ง

อึกอักพูดไม่ออก มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดง่ายๆ แต่ก็พยายามฝืนพูดออกไป

“ผม...รู้เรื่องที่พ่อแม่คิดทำแท้ง...แล้วนะ”

สีหน้าคนทั้งคู่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

“พ่อ...”

ผมสบแววตาที่มองมาอย่างละอายใจทั้งสอง ก็พูดต่ออย่างสงบ

“ผมไม่ติดใจเรื่องนี้แล้ว พ่อกับแม่ก็...อย่าไปคิดเรื่องนี้อีกเลยนะ ปล่อยมันไปเถอะ”

แม่ยกมือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น

“ลูกให้อภัยพ่อกับแม่?”

ผมพยักหน้า เท่านั้นน้ำตาก็พ่อก็ร่วงหล่น แต่ก็รีบปาดผมออกไป พูดเสียงสั่นเครือหน่อยๆ

“ขอบใจ...นะลูก”

“มะ แม่ด้วย...ขอโทษนะ ตอนนั้นแม่ยังเด็กเกินไป แม่หวาดกลัวกับความเปลี่ยนแปลง แม่...เกือบทำร้ายลูกแล้ว” พ่อรีบกอดไหล่ปลอบใจแม่ 

“ไม่ใช่ความผิดคุณคนเดียวหรอก ผมเองก็ผิดทั้งที่โตกว่าตั้งหลายปี กลับไม่มีความรับผิดชอบพอ แค่ป้องกันก็ยังพลาด” พูดถึงตรงนี้พ่อก็ถอนหายใจ พยายามพูดติดตลก “พลาดสองหนซะด้วย เลยได้ลูกหลงมาอีกคน”

“...พ่อกับแม่เสียใจที่ผมเกิดมาหรือเปล่า”

“ไม่เลย!” พ่อรีบบอก แม่ก็ส่ายหน้าทั้งที่ยังสะอื้น

“สิ่งเดียวที่เราเสียดายคือไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกคนแรกตั้งแต่ต้น พ่อยอมรับว่าตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่ากำลังจะมีลูกจนลูกคลอด พ่อกับแม่ไม่พร้อมเลย การที่ส่งลูกให้นิกที่พร้อมดูแลกว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ลูกจะได้ไม่ต้องมาลำบากกับเรา และแม่จะได้ไม่ต้องเครียดมากเกินไปด้วย ตอนนั้นแม่เขายังอยู่ในวัยเรียน แค่ดร็อปเรียนเพื่อคลอดลูกก็เสียโอกาสไปหลายอย่างแล้ว”

พ่อหันไปหาแม่ “ผมขอโทษจริงๆ นะ ถ้าผมห้ามใจได้มากกว่านั้นคงดี”

“ไม่เป็นไรค่ะ มันผ่านมาแล้ว...ตอนนี้อรก็มีความสุขดี”

ผมมองผู้ให้กำเนิดทั้งกอดโอบกอดกันแน่น สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือความรักความเข้าใจ อย่างน้อยผมก็ได้คำตอบแล้วว่าตัวเองเกิดมาจากความรัก ไม่ใช่ความใคร่  ยังเป็นที่ต้องการอยู่...แค่นี้ก็พอแล้ว   

ส่งยิ้มให้คนทั้งคู่ เป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดเท่าที่ผมเคยยิ้มให้พวกเขามาเลย

“ผมน่ะ ไม่เคยเสียใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่หรอกนะ ต่อให้เจอเรื่องแย่มาเยอะ ก็ไม่เคยเสียใจสักครั้งเดียว”

“มาให้พ่อกับแม่กอดหน่อย”

ผมเดินเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดอย่างว่าง่าย รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ต่างจากของลุงนิกหรือทากะซัง ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกดีในแบบที่อธิบายไม่ถูก

...คิดว่าหลังจากนี้ช่องว่างระหว่างเราสามคนที่ไม่เคยถมเต็มสักที อาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่นานคงไม่เหลือพื้นที่จะให้ถมแล้วอย่างแน่นอน

-------------
(มีต่อหน้า21)
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 19-05-2017 11:36:17
บทที่ 58 (ต่อ)

“ฮ่าๆๆ”

“ไม่ตลกครับคุณพ่อ ทีโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วแท้ๆ”

ลุงนิกบ่นงึมงำ แต่คุณปู่ก็ยังไม่ยอมหยุดขำ

“แต่เราก็ยอมให้นอนด้วยนี่”

“ไล่ไม่ไปต่างหากครับคุณแม่!”

“ไม่เห็นต้องหัวเสียเลยนิก ได้นอนสามคนแบบเมื่อก่อนก็อบอุ่นดีออก”

“เนอะ” ผมเป็นลูกคู่ให้ทากะซังทันที

หวนนึกถึงเมื่อคืน...ผมกับลุงนิกยืนเถียงหันอยู่หน้าห้องนอนเดิมของลุง พวกเราสามคนคือผม ลุงนิก ทากะซัง ขออยู่ค้างคืนที่บ้านคุณย่า และตอนนี้ผมอุ้มหมอนยืนปักหลักขวางประตู ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว

“โตป่านนี้แล้วมาขอนอนด้วยอะไรอีก!”
“บางครั้งทีก็อยากกลับเป็นเด็กนะ แค่ขอนอนด้วยคืนเดียวเอง!”
ยังไงคืนนี้ก็จะนอนแทรกกลางคนทั้งคู่เหมือนตอนเด็กๆ ให้ได้!
“กลับห้องไป!”
“ไม่!”

ผมหลุดยิ้มขำ เพราะสุดท้ายลุงนิกก็ต้องยอม เพราะผมมีแม่จิ้งจอกเป็นกำลังเสริมนี่น่า ฮ่าๆๆ

ตักข้าวเข้าปาก พลางมองผู้ใหญ่ทั้งสี่หัวเราะด้วยกัน พูดคุย บางครั้งก็พูดแจมบ้าง...เป็นการทานข้าวเช้าที่ผมมีความสุขที่สุด   

ย้อนกลับไปนึกถึงสมัยยังเด็กก็แอบเสียดายขึ้นมาทันที ถ้าเมื่อก่อนเป็นแบบนี้ได้คงดีไม่น้อย...แต่ช่างเถอะ อย่างที่ลุงนิกบอก สนใจปัจจุบันและอนาคตดีกว่าเรื่องในอดีต

“ที ตอนเย็นๆ พวกลุงต้องกลับแล้วนะ”

ผมชะงักช้อนในมือ ใจหายวูบ แต่ก็พยักหน้ารับ เข้าใจดีว่าลุงนิกกับทากะซังทิ้งงานมา

“พวกปู่ด้วย น่าจะจองไฟล์บินเดียวกับนิกไว้มั้ง”

ผมพยักหน้าอีกครั้ง คุณย่าต้องกลับไปรักษาตัวต่อ คุณปู่ต้องตามไปช่วยดูแลทั้งคุณย่าทั้งธุรกิจ

...ถึงรู้และเข้าใจเหตุผลดี แต่กลับรู้สึกเหมือนโดนทิ้ง

“ดูทำหน้า หงอยเป็นหมาถูกทิ้งเชียว ย้ายมาอยู่กับลุงไหมล่ะ?”

ผมรีบส่ายหน้า พูดอย่างหนักแน่น “ทีอยากอยู่ที่นี่”

“พูดเหมือนเมื่อสี่ปีก่อนเป๊ะ” ลุงนิกพูดขำๆ

จริงอย่างที่ลุงว่า คราวนั้นติดเพื่อน คราวนี้คง…ติดแฟนล่ะมั้ง

“ไม่เป็นไรหรอก สมัยนี้ติดต่อกันสะดวกจะตาย อยากคุยก็วีดีโอคอลล์หาเอา”

ผมกระพริบตา “คุณย่าวีดีโอคอลล์เป็นด้วยเหรอครับ?”

“อย่าดูถูกย่านะเจ้าที!”

เหล่าคนฟังหัวเราะประสานเสียง “ฮ่าๆๆ”

เขาว่าความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอคงจะจริง แปบเดียวก็ต้องมายืนมองส่งทากะซังขึ้นเครื่องกลับญี่ปุ่นก่อน สักพักก็ถึงคิวคุณปู่ คุณย่า และลุงนิก

ผมกอดพวกเขาทีละคนอย่างไม่อายสายตาคนอื่น

“ย่าฝากบ้านกับเรื่องโรงพยาบาลของลุงหมอด้วยนะ”

“ครับ” ผมรับคำ

“ถ้าเจ้านั่นรังแกที ฟ้องลุงได้เต็มที่”

ผมมองคนกระซิบถ้อยคำเมื่อครู่อย่างระอา ได้ยินบ่อยจนหายซึ้งไปนานแล้ว ลุงนิกขี้หวงพอกันกับคนยืนข้างผมเลย ท่าทางชีวิตนี้ผมคงหนีคนขี้หวงไม่พ้น

หลังยืนมองส่งพวกเขาจนลับตา ผมถึงหันมาดึงพาร์ให้ออกเดินกลับไปยังรถที่จอดไว้

“...กูนึกว่ามึงจะร้องไห้”

ผมหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่การจากลาสักหน่อย”

ออกจากอาคารผมก็มองท้องฟ้าสีครามที่มีเครื่องบินโลดเล่นเหนือหัว ถ้าอยากเจอหน้ากันก็แค่ขึ้นเจ้านกเหล็ก ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้พบกันแล้ว ข้อเสียคือตั๋วเครื่องบินแพงไปหน่อย ก็ขอใช้เทคโนโลยีคุยกันแบบเห็นหน้าไปก่อนแล้วกัน

-------------

หลังตื่นนอนลงมาชั้นล่าง บ้านเงียบมากทั้งที่ยังเป็นวันหยุด เลยเดินมาถามคนในครัวอย่างสงสัย

“...บ้านมึงหายไปไหนกันหมด?”

“ไปเที่ยวกับบ้านมึงตั้งแต่เมื่อวาน กว่าจะกลับก็วันที่17 ไง”

เออใช่...ผมลืมได้ไงเนี่ย

“หิวยัง?”

“...มึงทำอาหารคาวอะไรเป็นบ้าง?”

“ถ้าแค่เอาอาหารแช่แข็งเข้าไมโครเวฟ กูทำเป็น”

แค่ฟังผมก็ถอนหายใจทันที “...งั้นเอาขนมปังปิ้งทาเนยกับโกโก้ร้อน”

“ได้” พาร์รุนหลังผมให้ออกจากครัว “ขึ้นไปแปรงฟันล้างหน้าก่อน เสร็จแล้วก็ลงมา”

หลังลงมาชั้นล่างอีกครั้ง ผมตรงไปที่ครัวเหมือนเดิม เห็นพาร์กำลังนวดแป้งพอดี

“...ทำอะไรเนี่ย?”

“ขนมปังให้มึงไง”

“ฮะ! นี่มึงจะอบเองเรอะ!”

“ขนมปังหมด กูเลยต้องอบใหม่”

ผมยืนอึ้งไม่คิดว่าเมนูง่ายๆ จะกลายเป็นยุ่งยากขึ้นมาทันที

“รอนานหน่อย แต่มึงได้กินแน่ ไปนั่งดูทีวีก่อนก็ได้”

เมื่อโดนไล่ก็ได้แต่ทำตาม หนังน่าเบื่อจนดันเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เจอพาร์นั่งจ้องมองอยู่ก็ถามงัวเงีย

“เสร็จแล้ว?”

“ยัง พักแป้งอยู่ เอานี่” แก้วนมอุ่นถูกวางใส่มือ “กินนี่รองท้องไปก่อน”

พูดแค่นั้นมันก็ลุกขึ้นเดินเข้าครัวอีกรอบ คราวนี้ผมถือแก้วนมเดินตามไปด้วย ยืนดื่มนมพลางมองพาร์กลับไปที่โต๊ะเตรียมอาหาร เห็นมันยืนเคาะนิ้วรอไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องของนาฬิกาตั้งเวลา พาร์จับชามคว่ำลง ก้อนแป้งรูปเหมือนโดมก็หลุดออกมา มันตัดแบ่งแป้งเป็นก้อนเล็กๆ วางลงพิมพ์ทรงสี่เหลี่ยม

ผมเดินไปดูใกล้ๆ เห็นก้อนแป้งกลมๆ วางเรียงต่อกันสี่ก้อนอยู่ด้านในเหมือนขนมดังโงะ

“ทำไมกลมๆ ล่ะ กูจำได้ว่าขนมปังมันทรงสี่เหลี่ยมนี่”

“รออบเสร็จ เดี๋ยวมึงรู้”

พาร์บอกแค่นั้นก็หยิบพิมพ์อีกอันมาทำเหมือนกัน ผมคิดว่าพาร์คงทำบ่อย เพราะแบ่งแป้งเร็วมาก แถมทุกก้อนดูเท่าๆ กันหมด จากนั้นมันก็ยกพิมพ์เข้าเตาอบ

“อยากกินแบบเค็มหรือหวาน?”

“ทั้งสองอย่าง”

พาร์พยักหน้ารับรู้ หยิบเนยเค็มกับเนยจืดมาหันแบ่งใส่ถ้วยเล็กละใบ แล้วเก็บที่เหลือเข้าตู้เย็น

“อยากกินชีสไหม?”

ผมพยักหน้า พาร์เลยหยิบชีสก้อนออกมาขูดเป็นฝอยๆ ผมจิบนมอีกคำ ตาก็มองแสงจากเตาอบอย่างสงสัยว่าก้อนแป้งเล็กๆ พวกนั้นจะออกมาเป็นขนมปังทรงสี่เหลี่ยมได้ยังไง

“ที”

ทันทีที่หันหน้าไปหา ริมฝีปากก็ถูกช่วงชิงกะทันหันจนผมตกใจ และตกใจยิ่งกว่าเมื่ออะไรบางอย่างกวาดเข้ามาสำรวจในปากจนทั่วแล้วผละออก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน พอรู้สึกตัวก็รีบยกหลังมือขึ้นปิดปาก มองพาร์อย่างสับสนหน่อยๆ

เห็นมันเลียริมฝีปาก แววตาจ้องตรงมาดูคุกคามแปลกๆ จนเผลอเสียวสันหลังวูบ

“ไม่ต่อต้านแบบนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี”

ผมย่นคิ้ว มองคนทิ้งคำพูดชวนสงสัย เดินฮัมเพลงเอาเนยจืดไปผสมน้ำตาล

ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจถามด้วยความข้องใจ “เมื่อกี้...มึงทำอะไร”

“จูบไง”

คิ้วขมวดหนักกว่าเดิม “จูบบ้าอะไรถึงเอาลิ้นเข้ามากัน”

แววตาพาร์เปล่งประกายเจ้าเล่ห์ “หึๆ อยากรู้ก็ยอมให้กูทำบ่อยๆ สิ แล้วมึงจะไม่ถามกูแบบนี้อีกเลย”

ผมผงะ ปากตอบไวกว่าสมอง “เรื่องสิ!”

“ตอนนี้อาจยังแปลกใหม่ แต่ต่อไปมึงจะชอบ เชื่อกู”

น้ำเสียงพาร์จริงจัง แต่ผมกลับเห็นคำว่า ‘กูอยากกินมึง’ ลอยอยู่บนหน้ามัน

ย...อย่าบอกนะ ไอ้จูบแบบเมื่อกี้คือขั้นตอนนำไปสู่การกิน...

หน้าผมร้อนวูบขึ้นมาทันที สองเท้ารีบพาตัวเองมาหลบอยู่หลังโต๊ะ มองพาร์อย่างระมัดระวัง

…ดูเหมือนหมาป่าบางตัวจะไม่ยอมถือศีลอดอย่างเดียวแล้ว

“ดูทำหน้า กูไม่ละเมิดสัญญาหรอกน่า”

เห็นรอยยิ้มร้ายกาจของมันตอนนี้ ใครเชื่อลงก็บ้าแล้ว!

“ในช่วงสัญญา...ขอแค่ได้ทำเหมือนคืนนั้นให้ได้ก่อน กูก็พอใจแล้ว หึๆ”

ผมทำหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที ถึงจำไม่ได้ว่าคืนที่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังจำรอยจูบบนตัวได้แม่น แค่นั้นก็เรียกเลือดไหลมากองบนหน้าผมได้แล้ว

“อยากรู้ไหมว่าคืนนั้น...”

แค่พาร์พูดเกริ่น ผมก็สวนกลับไปทันที

“ไม่อยาก!”

เสียงเตาอบดังได้จังหวะมาก พาร์หันไปสนใจของในเตา ส่วนผมรีบยกแก้วในมือขึ้นดื่มต่อดับความหงุดหงิดที่โดยแหย่เล่น ทันทีที่รสชาติของนมสดกระจายไปทั่วปาก สัมผัสล่วงล้ำเมื่อครู่ก็หวนกลับมาให้นึกถึงทันที

ผมรีบวางแก้วนมลง หยิบแก้วใบใหม่มาเทน้ำเปล่าออกมาดื่มอึกๆ ก่อนจะกระแทกแก้วลงโต๊ะ มองเจ้าแก้วนมสดอย่างกับมันคือศัตรูคู่อาฆาต

จากนี้ทุกครั้งที่ผมดื่มนมคงเผลอนึกถึงสัมผัสนั่น!

ตวัดตามองพาร์ที่กำลังเขย่าขนมปังออกจากพิมพ์ ก็กัดฟันใส่แฟนตัวเองอย่างเคืองๆ

มันจงใจจูบตอนนั้นแน่ๆ

บ้าเอ้ย! ผมหลงกลมันอีกจนได้!!

############

บทหน้าเป็นบทส่งท้ายแล้วนะคะ 
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-05-2017 12:27:39
พาร์ ที  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ครอบครัวใหญ่ ปู่ย่า ลุง ทากะ พ่อแม่ น้องๆ
ครอบครัวลุงหมอ เพื่อนๆที
การขอขมาปู่ย่า
งานเลี้ยง ปาร์ตี้ริมสระ คึกครื้น อบอุ่น มีความสุข
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 19-05-2017 13:37:23
ดีใจ

อย่างน้อยก็เป็นสัญญาเริ่มต้นที่ดีน้า
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-05-2017 16:30:51
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
ชอบตอนทีไปยืนกอดหมอนขอนอนกับลุงนิก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 19-05-2017 21:05:48
ดีใจด้วยที่ทุกคนเข้าใจกับซักที เหตุเกิดเพราะรักมากแท้ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-05-2017 21:08:51
ดีใจจังเลย ครอบครัวทีเข้าใจกันหมดแล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-05-2017 22:21:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 19-05-2017 22:26:58
ฮอลลลลลลลลลล์ เค้าจูบกัน อีกล้าวๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 19-05-2017 23:01:19
จะตอนสุดท้ายล่ะเหรอออออ ใจหายอ่าาา
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-05-2017 14:47:37
จะจบละจิงอ่อ ใจหายงะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 29-05-2017 19:15:36
บทส่งท้าย

“วันนี้เป็นวันอะไรรู้ไหม?”

“วันพฤหัส”

พาร์โบกหัวผมหนึ่งที ไม่แรงหรอก

“กวนตีน”

ผมหัวเราะใส่คนชวนเดินเที่ยวห้างใกล้มหาลัย

“แล้วจะให้กูตอบอะไร ในเมื่อวันนี้เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง...” มองคนเริ่มทำหน้าบึ้งก็เลิกแกล้ง “แค่คบกันมาครบสองเดือนแล้วเท่านั้นเอง”

“ดีที่มึงจำได้ งั้นไปหาซื้อของที่ระลึกกัน”

เพราะมันเป็นคนแบบนี้ไง ผมถึงต้องจำ ยอมก้าวเดินตามแรงดึงมือของพาร์เข้าโซนที่...ผู้ชายไม่เข้ากัน

มันพาผมมาดงตุ๊กตาทำไมเนี่ย?

“มึงอยากได้ตุ๊กตาหมีสีอะไร?”

“ฮะ?” ผมงงเล็กน้อย “หมีเหรอ?”

ขบคิดครู่ใหญ่ถึงเริ่มเข้าใจว่าพาร์ต้องการอะไร แต่เพื่อความแน่ใจต้องถาม

“จะซื้อเข้าคู่กับชานม?”

“ใช่ แต่จะให้เจ้าหมีตัวใหม่ไปอยู่บ้านมึง”

“...งั้นตัวนั้นเป็นไง” ผมชี้นิ้วไปทางเจ้าหมีสีช็อกโกแลตผูกโบว์ที่คอสีแดง “สีเหมือนบราวนี่”

“ชานมกับบราวนี่ ไม่เลว เอาตัวนี้แหละ”

ผมรีบเดินตามพาร์ที่ตรงไปคิดตังค์ แย่งหมีมาอุ้มเอง

“ตัวนี้กูจ่ายเอง เพราะชานมมึงเป็นคนจ่าย”

พาร์หยุดฝีเท้า หันมามองผมด้วยแววตาจริงจัง “งั้นเดี๋ยวกูทำเลือดกำเดาหยดใส่หมีให้”

“จะบ้าเรอะ! มึงอยากจ่ายนักก็เอาไป!!”

ผมไม่ได้รังเกียจเลือดกำเดามันหรอก แต่หมีพึ่งซื้อมาใหม่ๆ ต้องเอามาขัดมาซัก เพราะเปื้อนเลือดแบบจงใจนี่มัน...แค่คิดก็เจ็บปวดใจแทนคนสร้างเจ้าหมีขึ้นมาเลย

เมื่อได้เจ้าหมีมาอยู่ในถุงโลโก้ร้าน พวกผมก็ไปหาอะไรกิน แล้วต่อด้วยแวะร้านหนังสือตามที่พาร์รีเควส

“จะไปซื้ออะไรวะ?”

“ไม่ได้ซื้อ”

ปากบอกไม่ แต่มันดึงผมมาแถวชั้นหนังสือกฎหมายครับ

“ถ้ามึงเบื่อก็ฟังนี่ แต่ห้ามห่างตัวกูไปไหนเด็ดขาด”

ผมรับหูฟังที่เสียบกับสมาร์ทโฟนของพาร์มาเสียบหูตัวเอง คงให้ฟังเพลงรอระหว่างมันเลือกดูหนังสือกฎหมาย แต่แทนที่จะมีเสียงเพลงขึ้น กลับมีเสียงยัยน้ำแทน

[ฮัลโหลเทสๆ อะแฮ่ม เนื่องจากวันก่อนพี่พาร์บอกให้น้ำเล่าเรื่องวันนั้นอัดเสียงไว้ น้ำทำตามที่บอกแล้วนะ อย่าลืมของที่บอกจะซื้อให้น้ำล่ะ]

ผมตวัดตามองพาร์ที่กำลังพลิกเปิดหนังสือกฎหมายเล่มหนึ่งดู

[เมื่อห้าเดือนก่อน น้ำกับเบอร์คิดวางแผนให้พี่ชายของเรามาเจอกัน แต่ถ้าเลือกห้างใกล้บ้านอาจโดนสงสัยได้ พวกน้ำเลยเลือกห้างใกล้มหาลัยของพวกพี่แทน แต่การทำให้พวกพี่เจอกันยากมากกกก]   

ยัยน้ำลากเสียงยาวจนเกือบหมดลมหายใจ ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าออก ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

[พวกพี่อ่ะนะ คนหนึ่งหยุด อีกคนก็เดิน สลับกันไปมาแบบเนี่ย ขนาดน้ำกับเบอร์พยายามรั้งให้พวกพี่หยุดแล้ว อยู่ห้างเดียวกันแท้ๆ ชั้นเดียวกันด้วย พวกพี่ยังคลาดกันไปคลาดกันมาตลอด จนน้ำกับเบอร์ต้องเปลี่ยนแผน ลากพี่เข้าร้านขนม แต่น้ำจะไปรู้ได้ไงว่าร้านขนมที่พวกน้ำเลือกจะมีสองร้าน นั่งรอไปทะเลาะกับเบอร์ทางไลน์ไป กว่าจะรู้ความจริงว่าอยู่คนละที่นี่แทบจะกินหัวกัน วันนั้นน้ำกับเบอร์ลำบากมากนะพวกพี่รู้ไหม]

ทำไมผมฟังแล้วขำ

[ระหว่างกำลังท้อใจ พี่ชายสุดที่รักกลับบอกว่าจะไปหาซื้อแบบฝึกหัดให้น้องทำ ตอนแรกน้ำก็นึกว่าแค่ของอัน แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีของตัวเองด้วย! น้ำห่อเหี่ยวสุดๆ เลยเดินหนีพี่ออกมาหาอะไรอ่านเล่น แต่ดันไปเจอเบอร์ที่ชั้นหนังสือการ์ตูนเข้า ต่างคนต่างมองกันอึ้งๆ เลยอ่ะ]

ผมหลุดหัวเราะออกมา

[เท่านั้นแหละ พวกน้ำเลิกสนใจการ์ตูนแล้ววิ่งไปหาพี่ชายตัวเองแทบไม่ทัน หลังส่องดูว่าไม่มีใครหายไปไหน น้ำกับเบอร์ก็กลับมาเริ่มต้นแผนของเราอีกครั้ง เบอร์น่ะขี้อายเกิน น้ำเลยลุยเอง ลากพี่ชายไปหาพี่พาร์ที่ชั้นหนังสือ แล้วบอกว่า...]

เสียงยัยน้ำหายไปแค่นั้น เงียบไปนานจนผมหันไปมองพาร์ ก็ต้องผงะเมื่อเจอสองสาวยืนขนาบข้างพาร์ ก่อนน้องทั้งสองจะตรงมาล้อมหน้า หลังก็ติดชั้นหนังสือ ขยับไปไหนไม่ได้

“พะ พี่ที” เสียงเบอร์สั่นมาก แก้มนี่แดงจัด “คบเป็นแฟนกับพี่ชายเบอร์อยู่ใช่ไหมคะ?”

“...ใช่”

สองสาวทำท่าเหมือนจะกรี๊ด แต่รีบใช้มือปิดปากกันก่อน น้ำรีบสะกิดเพื่อนตัวเองยิกๆ เบอร์ถึงได้สูดลมหายใจพูดต่อด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“รักพี่พาร์เท่าไหนคะ?”

เป็นคำถามที่ผมต้องหันไปมองพาร์ มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่มีรอยอมยิ้มแต้มบนหน้า

“...เท่าที่หัวใจดวงหนึ่งใส่ได้ครับ”

สองสาวเริ่มออกอาการอยากกรีดร้อง

“พ...พี่ทีจะเป็น พี่เขย หรือ พี่สะใภ้ ให้เบอร์คะ?”

“...อยากให้พี่เป็นอะไรล่ะ”

ถามทั้งที่มองพาร์ เราสบตากัน ต่างคนต่างรู้คำตอบกันดี แต่ไม่จำเป็นต้องบอกน้อง

“พี่สะใภ้ค่ะ!”

ผมแทบหัวทิ่ม ตอบได้ตรงสมเป็นน้องสาวมัน

“พี่บอกมาเลย น้ำกับเบอร์จะได้เลิกเถียงกัน”

“ยังไม่รู้!”

“ไม่มีทาง ก็พวกพี่นอนด้วยกัน...อุ๊บ!”

ผมปิดปากน้องสาวตัวเองแทบไม่ทัน นี่เด็กม.ต้นอะไร ทำไมแก่แดด!

“ฟังให้ดีนะน้องสาว พี่แค่ไปนอนค้างคืนบ้านพาร์เฉยๆ ไม่มีเรื่องทำนองนั้น!”

“โออกอ้อง!” (โกหกน้อง!)

“พูดจริง! ไม่เชื่อถามมันดูเลย”

ยัยน้ำดึงมือผมออก หันไปมองพาร์พร้อมกับเบอร์ดี้

คนโดนจ้องเลิกคิ้ว ตอบสั้นๆ “นั่นนะเมียพี่...”

“กรี๊ด!”

“พาร์!!”

“ในอนาคตครับ”

พาร์หัวเราะร่วน น้องสองคนอ้าปากค้าง กระพริบตาปริบๆ ก่อนทำหน้าอัศจรรย์ใจ

“จริงเหรอเนี่ย...” เบอร์ครางออกมา

“เหลือเชื่อ!” น้ำอุทาน

ผมจัดการแจกกำปั้นเขกหัวน้องทีละคน “อย่าเชื่อการ์ตูนมาก เรื่องจริงมันไม่ใช่แบบนั้นหรอก เข้าใจไหม!”

“ค่ะ...” สองสาวกุมหัวครางเสียงอ่อยๆ

“แล้วนี่มาได้ไง?”

“พี่พาร์ไปรับมา”

ผมตวัดตามองพาร์ มิน่า ถึงให้ผมนั่งวินมอเตอร์ไซค์มาเจอที่นี่ ก็กะแล้วว่ามันต้องโกหก อ้างมาได้ว่าแวะซื้อของกับเพื่อน แต่เพื่อนมันน่ะกำลังโส้ยก๋วยเตี๋ยวอย่างอร่อยแถววินมอเตอร์ไซค์ข้างมหาลัย

“เด็กๆ อยากกินอะไรกัน?”

“พี่พาร์จะเลี้ยง?”

คนโดนถามส่ายหน้า บุ้ยปากมาทางผม “มื้อนี้พี่ทีเป็นเจ้ามือครับ”

ผมยกมือกอดอก “ยอมให้กูจ่ายแล้ว?”

“ใช่ มึงอยากจ่ายเองนักก็เอาไปเลย”

แล้วก็ยัดกระเป๋าตังค์ของมันใส่มือผม คิ้วผมกระตุกยิกๆ

“ที่พี่พาร์ยอมรับทำขนมให้ที่ต่างๆ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงพี่ทีเหรอคะ?” เบอร์ถามอย่างประหลาดใจ

“ก็พี่มีเมียคนเดียว...โอ๊ย”

หลังเตะขาพาร์ไปหนึ่งที ผมก็ยัดกระเป๋าเงินใส่มือเจ้าของ จัดการรวบเอว เชยคางพาร์ขึ้นมา

“เดี๋ยวกูเลี้ยงดูมึงเอง”

ผัวะ!

โอ๊ย! พาร์โบกหัวผม แรงจนต้องนิ่วหน้า 

“มึงรุกกูไม่ไหวก็อย่าเล่น!”

“โหย! นี่มันท้ากันชัดๆ”

“ปากดี! เดี๋ยวก็โดนกูกัดปากตรงนี้หรอก”

มันจะให้ผมเป็นพี่ชายที่ดูเท่ต่อหน้าน้องหน่อยไม่ได้หรือไง!!

-------------

พ้นเมษายนสู่พฤษภาคม...เวลามีความสุขทุกอย่างมักผ่านไปเร็วเสมอ

พาร์ชอบธรรมชาติ สถานที่เดตของเราเลยไม่พ้นแหล่งที่มีสีเขียวเป็นหลัก ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมชื่นชอบความสงบ การได้มาผ่อนคลายในที่แบบนี้จึงเป็นเรื่องไม่เลว 

จู่ๆ ผมก็นึกถามพาร์ขึ้นมาระหว่างเดินเล่นรับลมในสวนสาธารณะ

“มึงคิดว่าความรักคืออะไร?”

“คือมึง”

ผมเม้มปาก ข่มความเขินไว้ในใจครู่หนึ่ง ก่อนพูดแย้งกลับไป “ไม่ได้จะให้ตอบแบบนั้น กูหมายถึงความหมายน่ะความหมาย”

“รักก็คือรัก จะให้มีความหมายอะไร” พาร์ว่า “สำหรับกู มันเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า พูดออกมาเป็นถ้อยคำไม่ได้หรอก แค่รู้ว่ามีมันอยู่ก็พอ ความรักก็เหมือนสายน้ำที่เปลี่ยนรูปร่างไปตามภาชนะ จึงมีได้หลากหลาย และไม่จำกัดว่าจะรักอะไร จะสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีก็ได้ทั้งนั้น”

“งั้นมึงก็รักทุกอย่างเท่ากันหมด?”

พาร์ส่ายหน้า “มันอยู่ที่ภาชนะในใจต่อสิ่งนั้นว่าเล็กใหญ่แค่ไหน แล้วมึงล่ะคิดว่ารักคืออะไร?”

“...มึงรู้ใช่ไหมว่ากูเป็นเด็กมีปัญหา”

“ตอนนี้ไม่น่าใช่แล้วมั้ง”

ผมหัวเราะ “ยังเป็นอยู่ ตราบใดที่ในหัวใจกูยังหลงเหลือรอยแผล”

“เวลาจะเยียวยา กูคิดว่างั้น”

ผมยิ้มบางๆ ยามมองท้องฟ้าด้านหน้า “อาจเพราะหัวใจมีบาดแผลดวงนี้ก็ได้ที่ทำให้กูไม่เข้าใจความรัก กูเหมือนคนพึ่งเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ ดังนั้นความรักในตอนนี้ของกูเลยเหมือนเฉกสี แต่งแต้มทุกสิ่งในสายตาให้มีสีสันขึ้น...ถ้าไม่มีความรัก โลกนี้ในสายตาของกูคงขาดสีสันแย่”

“ก็ดีแล้วนี่ กูชอบที่ช่วงนี้มึงดูสดใสขึ้น”

“อืม กูก็ชอบตัวเองในตอนนี้มากกว่า” จู่ๆ ผมก็หัวเราะขึ้นมา “กูพึ่งรู้ว่าตัวเองนิสัยเสียสุดๆ ถ้าไม่มีคนเตือนก็คงไม่รู้ไปอีกนาน กูเคยชินกับการได้รับมากเกินไป จนลืมว่าควรให้ออกไปบ้าง”

“มึงพูดถูก...กูเป็นพวกชอบให้ แต่บางทีก็อยากได้รับเหมือนกัน”

“...พี่พีทกับเทมเคยบอกกูว่า มึงน่าสงสารมากที่ดันมาชอบคนอย่างกู”

“ไม่หรอก อาจมีเหนื่อยบ้างในบางครั้ง ท้อบางในบางหน แต่สุดท้ายกูกลับคิดว่าตัวเองโชคดี และมึงก็ไม่ได้ทำให้กูผิดหวังตรงไหน เป็นแบบนี้ก็น่ารักพออยู่แล้ว...แล้วรู้ไหมวันนี้วันอะไร”

“วันออกเดต” ผมโยกหัวหลบ มือพาร์เลยหวดอากาศแทน “หรือจะให้กูตอบวันเสาร์”

“กวนตีนนะมึง ตอบดีๆ”

ผมถอนหายใจ “มึงถามทุกเดือนไม่เบื่อหรือไง”

“กูพึ่งถามเป็นครั้งที่สาม”

“ก็ทุกเดือนไหมล่ะ? คราวนี้มึงจะทำอะไรในวันครบรอบเดือนที่สามล่ะ?”

“จะเฉลยเจ้านี่ให้ฟัง” พาร์ยกแขนโชว์กำไลให้ดู “อยากรู้ไหมล่ะ”

“อยาก! กูก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่มึงจะบอก...” คำพูดผมสะดุดยามเห็นรอยยิ้มร้ายกาจของแฟนตัวเอง “แต่ตอนนี้กูไม่อยากรู้แล้ว”

มือผมถูกคว้า กำไลสองวงกระทบกันเกิดเสียงเล็กน้อย

“กูพูดแปลไทยเลยแล้วกัน เพราะพูดสวีดิชให้ฟัง มึงก็คงจำไม่ได้” 

“...ไว้เดือนหน้าค่อยพูดแล้วกัน”

แก้มผมโดนดึง แววตาพาร์มองมาดุๆ “ฟังเงียบๆ”

มือพาร์ปล่อยจากแก้มผม เลื่อนไปชี้ที่กำไลของมัน

“วงนี้...รักของฉันคือเธอ”

ย้ายมาชี้กำไลผม รอยยิ้มสมใจผุดขึ้นมา กระซิบถ้อยคำที่ทำให้ผมนิ่วหน้า

“กูควรพูดกับมึงยังไงดี ขี้หวงเกินเหตุ หรือพวกชอบตีตราจอง!”

“แล้วแต่มึงคิด...สองข้อความนี้จะอ่านแบบแยกกันก็ได้ แบบรวมก็ได้ ยังไงก็เป็นกำไลคู่ และนั่นย่อมหมายถึงเราสองคนเช่นกัน”

ผมมองกำไลสองวงสลับไปมา กำไลคู่ที่จนป่านนี้ยังหาวิธีถอดไม่ออก ไม่สิ ผมไม่เคยคิดหาวิธีถอดมันเลยต่างหาก คงจะใส่ติดข้อมือไปตลอดชีวิตเหมือนที่พาร์อยากให้เป็น

รักของฉัน คือเธอ
เธอ เป็นของฉัน


ก็คงจะเป็นอย่างนั้นไปตลอดกาลนั่นแหละ...


จบบริบูรณ์

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-05-2017 19:42:38
หวานกันไป  :o8:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-05-2017 20:23:54
โอย.......มีความสุข
พาร์ ที  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
รักของฉัน คือเธอ
เธอ เป็นของฉัน
พาร์ โรแมนติก น่ารัก ยึดมั่นแต่กับที หวงทีสุดๆ ชอบบบบบ
ที ตามใจพาร์ ยอมพาร์ รักพาร์
ขอบคุณไรท์ ให้ความสุขคนอ่าน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 29-05-2017 20:33:20
โว้วววววววววววววววววว  เขิลลลลลลจนหยดสุดท้าย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 29-05-2017 20:42:43
 :L2: :pig4: :L2:
 
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-05-2017 21:02:17
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 29-05-2017 21:46:49
พาร์น่ารัก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 29-05-2017 21:56:37
พาร์ขี้หวงจริงๆนั่นล่ะ
ในที่สุดก็จบลงแล้วทั้งคู่ก็เป็นแฟนกัน
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆนะคะ
ปล.อยากเห็นตอนพาร์กับทีวัยทำงานจังค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-05-2017 23:43:47
ไม่อยากให้จบเลยยยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 30-05-2017 01:16:49
จบแล้วจริงๆ หรอ? ฮือออออ ไม่อยากให้จบเลยยยยยยย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-05-2017 08:11:47
จบซะแล้ว ใจหายเลย ขอบคุณไรท์เติร์มากๆเลยนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-05-2017 08:48:06
สมบูรณ์แล้ว
 :L2: :man1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [บทส่งท้าย] P.21 (29/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 30-05-2017 09:00:38
โอ้ยยยยยยยยยยยยย

หวานเกิน หมั่นไส้ หมั่นไส้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ2] P.21 (01/06/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 01-06-2017 16:17:52
ตอนพิเศษ 2: เรื่องเล่าจากคุณปู่
(บอกเล่าวีรกรรมของทีในวัยเด็ก)

วันนี้เจ้าทีตื่นแต่เช้า เพื่อมาบอกผมว่า

“คุณปู่ วันนี้ทีของดเรียนนะ”

“ทำไมล่ะ เดี๋ยวอีกสามวันปู่ก็จะให้งดเรียนยาวอยู่แล้ว”

“ก็ถ้าไม่ทำวันนี้จะให้ไม่ทันนี่หน่า”

ผมลดหนังสือพิมพ์ลง เจ้าทีเดินวนไปวนมา ท่าทางกังวลใจ

“ทำอะไรไม่ทันหือ?”

“ของขวัญปีใหม่ครับ”

ผมขมวดคิ้ว ก็วันนี้พึ่งจะวันที่ยี่สิบสอง มีเวลาอีกเป็นอาทิตย์ “ฟังไม่ขึ้นนะที ถ้าไม่มีเหตุผลมากกว่านี้ ปู่คงโทรไปยกเลิกอาจารย์ให้ไม่ได้”

“คุณปู่อ่ะ”

ถลามานั่งเบียดทีเดียว

“นะๆ ถ้าทีไม่ลงมือทำวันนี้ พรุ่งนี้ทีจะไม่มีของไปให้”

“ต้องให้พรุ่งนี้?”

“อื้ม เพื่อนทีจะไปต่างประเทศพรุ่งนี้ แล้วจะอยู่ทางนู้นยาวเลยปีใหม่ กว่าจะกลับก็วันที่สี่มั้ง”

“รอเพื่อนกลับมาก่อนก็ได้นี่”

“แต่ทีอยากให้ก่อนนี่น่า ถ้าเลยวันปีใหม่มาแล้ว ทีก็ไม่รู้จะให้ตอนไหน มันพิลึกอ่ะ”

ผมเหล่มองหลานชาย “จะเอาไปให้เขาเอง?”

“เปล่านะ พรุ่งนี้เช้าเขาจะมาที่บ้าน”

ก็ว่าอยู่…

ผมพ่นลมหายใจ รู้สึกหนักใจแทน ตั้งแต่เกิดเรื่อง เจ้าทีหมกตัวอยู่แต่ในบ้านตลอด ผ่านมาปีกว่าก็ยังไม่ยอมออกจากบ้าน (ถ้าไม่โดนบังคับ หรือหลอกล่อ) 

“คิดหรือยังจะทำอะไรให้”

เจ้าทีพยักหน้าหงึกๆ

“อุปกรณ์ล่ะ มีแล้ว?”

ส่ายหน้าขวับๆ “แต่ทีกำลังจะไปอ้อนลุงนิกต่อ”

อ้อ หวังให้ลูกชายผมออกไปซื้อให้นี่เอง

ผมมองตาเจ้าที หลานส่งแววตาอ้อนวอนมาให้น่าดู ใจอ่อนยวบ แต่ผมเป็นพวกไม่ชอบเสียเปรียบฝ่ายเดียว

“เอางี้ ถ้าทียอมออกไปซื้ออุปกรณ์เอง ปู่จะให้หยุดเรียนหนึ่งวัน”

เจ้าทีทำหน้าเหยเกทันที “ผมขอตัวเลือกอื่น”

“ไม่มี ถ้าไม่เอาก็รอครูมาสอนตามเวลาปกติ”

หลานทำหน้าคิดหนัก ก่อนช้อนตามองผมด้วยสีหน้าเหมือนโดนสั่งให้ไปกระโดดหน้าผาทดสอบความกล้า

“ผมขอพาเพื่อนไปด้วยได้ไหม?”

ผมชูสามนิ้ว “ไม่เกินนี้”

สีหน้าเจ้าทีดูดีขึ้น “งั้นผมเลือกคุณปู่ ลุงนิก เดซี่…”

“พาเดซี่ไปไม่ได้” ผมร้องขัด “บางสถานที่เขาห้ามพาสัตว์เลี้ยงเข้าไป”

เจ้าของชื่อกระดิกหู หันหน้ามาแวบเดียว แต่เจ้าทีถลาไปกอดคอซุกหัวกับอกเจ้าหมาสีขาวพันธุ์ซามอยด์เพศเมีย จนมันสะบัดหัวใส่ท่าทางรำคาญ

“ไม่พาเดซี่ไป ทีก็ไม่ออก!”

…หลานผมเห็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านเป็นพี่เลี้ยงไม่พอ นี่ยกระดับเป็นบอดี้การ์ดเพิ่มอีกตำแหน่งแล้วหรือ

“เดี๋ยวปู่โทรเรียกโฮทากะไปแทน เอาไหม?”

ยอมเงยหน้ามองผมแล้ว โฮทากะหรือเรียกสั้นๆ ว่าทากะ คือชื่ออาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ของเจ้าที ความแข็งแกร่งมีมากแค่ไหน เจ้าทีรู้ดีที่สุด จนถึงขั้นประกาศกลางโต๊ะอาหารเมื่อเดือนก่อนว่า

ถ้าทีจับทากะเซนเซหลังกระแทกพื้นได้เมื่อไหร่ ทีจะยอมออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง!

ฟังแล้วผมถึงกับเหลือบมองครูของหลาน โฮทากะเป็นชาวญี่ปุ่นรูปร่างเล็กสูงประมาณเกือบร้อยเจ็ดสิบ แต่เมื่อเอามาเทียบกับที ความสูงก็ห่างกันมากอยู่ดี แล้วเมื่อไหร่หลานผมจะจับครูของเขาทุ่มหลังติดพื้นได้เล่า

กลับสู่ห้วงเวลาปัจจุบัน เจ้าทีพยักหน้ายอมจนได้

“งั้นไปเอาโทรศัพท์มาให้ปู่ แล้วขึ้นไปปลุกลุงนิกไป๊”

เจ้าทีกระโดดลงโซฟา วิ่งพร้อมตะโกนลั่นบ้าน

“คุณย่าฮะ ทีขอโทรศัพท์”

ภรรยาที่นั่งถักไหมพรม เอื้อมมือไปหยิบลงมาให้ เจ้าทีก็วิ่งกลับมาส่งของถึงมือผม

“ไปบอกแม่ครัวประจำบ้านด้วย กลางวันนี้ไม่ทานข้าวที่บ้าน”

“ป้าสายคร้าบบบ คุณปู่ฝากบอกว่ากลางวันนี้ไม่…”

เสียงหลานเบาลงเรื่อยๆ ตามระยะทาง ผมเหลือบมองเวลาที่ยังเช้าอยู่มาก ก่อนเลือกโทรหาครูของหลานก่อน แจ้งยกเลิกการเรียนการสอนวันนี้เรียบร้อย ค่อยโทรหาโฮทากะ

“ใครครับ?”

ผมชะงักยามได้ยินเสียงงัวเงียคุ้นหูกว่าภาษาไทยสำเนียงญี่ปุ่น ดึงมือถือออกมาดูเบอร์ ผมโทรหาถูกคน แต่คนรับกลับไม่ใช่

“…พ่อของแกไง”

“ฮะ!”

ดูเหมือนพ่อลูกชายคนโตจะเริ่มได้สติกลับมาเต็มที่

“พ่อโทรมาทำไมแต่เช้าเนี่ย?”

“พ่อไม่ได้โทรหาแก”

ผมได้ยินเสียงกุกกัก ก่อนตามด้วยเสียงร้องฟังดูท่าจะเจ็บ พร้อมเสียงโวยวายเป็นภาษาญี่ปุ่น พ่อลูกชายก็โต้ญี่ปุ่นกลับไป ผมเคาะนิ้วรอ สักพักก็มาคุยกับผมต่อ

“พ่อโทรหาทากะสินะ คุยกับผมแทนแล้วกัน”

“ก่อนอื่นช่วยตอบก่อน ตอนนี้แกอยู่บ้านหรือไม่ใช่?”

“คุณปู่! ลุงนิกหาย?!”

ดูเหมือนผมจะได้คำตอบแล้ว

“ไม่ต้องวิ่ง! ปู่รู้แล้ว! กำลังคุยกับลุงเราอยู่...ว่าไงเจ้านิก ตอนนี้อยู่ไหน?”

“เอ่อ ผมมาค้างที่คอนโดทากะ”

“พ่อให้เวลาหนึ่งชั่วโมง ลากทากะมาบ้านเราด้วย”

“แต่…”

“เรื่องเจ้าที”

“อ้อ โอเคครับ เอ่อ ขอสักสองชั่วโมงได้ไหม?”

“ชั่วโมงครึ่ง”

“ครับๆ ชั่วโมงครึ่งก็ชั่วโมงครึ่ง…อย่าบอกแม่นะพ่อ”

“ใครจะกล้าบอก!”

ผมกดตัดสายทันที เหลือบมองภรรยากำลังถักหมวกใบจิ๋วให้หลานสาววัยสองขวบ ต้องขอบคุณเจ้าอรรถที่รีบมีหลานให้ภรรยาผมอุ้มชูเลี้ยงดู ไม่งั้นเจ้านิกซวยแน่

-------------

ขึ้นรถออกจากบ้านเจ้าทีก็ยังแฮปปี้ดีอยู่ ลงจากรถก็ยังดี แต่เริ่มกวาดมองระแวดระวังไปทั่วลานจอดรถในห้าง พอเข้าส่วนด้านในก็พยายามเบียดตัวเองให้อยู่กลางวง

อาการแสดงออกจนผมกับลูกชายเหลือบมองกันเอง ก่อนเริ่มเข้าแผนดึงความสนใจเจ้าที ให้ลืมๆ ไปว่าหวาดกลัวเรื่องอะไร มันได้ผลพอสมควร แต่หลานก็ยังจับมือครูของเขาแน่น โดยไม่ได้ดูสีหน้าโฮทากะเลย แถมพ่อลูกชายยังพยายามช่วยแยกครูกับลูกศิษย์ออกจากกันหลายครั้งแบบเนียนๆ

“พ่อช่วยผมหน่อย วันนี้ทากะดูแลทีไม่ไหวหรอกนะ”

“ไปทำอะไรเขามาล่ะ”

ผมกระซิบสวนกลับทันที ก็เมื่อวานยังเห็นดีๆ อยู่เลย

“โธ่พ่อ อย่าถามเรื่องที่รู้อยู่แล้วได้ไหม”

ผมพ่นลมหายใจออกจากปาก “แกควรบอกแม่นะ”

“จะให้บอกอะไรล่ะครับ แค่ไปเกริ่นเรื่องมีแฟน แม่ก็พูดเรื่องแต่งงานแล้ว แถมยังเลยไปเรื่องหลานอีก ผมจะไปหามาให้จากไหนเล่า”

“เลยยึดเจ้าทีเป็นลูกแทนใช่ไหม”

“หลานพ่อคนนี้ ผมเลี้ยงมากับมือ แถมอรรถก็ยกให้ผมแล้ว”

“พ่อขอถามตรงๆ สรุปแกเป็นเกย์ใช่ไหม?”

“ก็…มั้ง”

“มั้ง? ทั้งที่สมัยก่อนแกควงสาวเป็นว่าเล่นเนี่ยนะ?”

“ผมก็บอกไม่ถูก แต่หลังเจอทากะ ผมไม่สนใจใครอีกแล้วนี่น่า”

“…งั้นเรื่องเจ้าทีเคยประกาศจะเป็นเจ้าสาวให้แกล่ะ?”

“พ่ออย่าเอาคำพูดเด็กสามขวบมาคิดจริงจังสิ อีกอย่างเจ้าพีทเป็นคนมาบอก นิสัยเจ้าหนูนั่นเป็นยังไง พ่อก็รู้ โดนอำแน่ๆ”

“ไอ้ที่พ่ออยากรู้คือ เจ้าทีมีแนวโน้มจะเป็นเหมือนแกหรือเปล่าต่างหาก”

“อ้อ…เอ่อ เรื่องนี้ผมไม่รู้แฮะ”

“แล้วยังได้แกเป็นคนเลี้ยงหลัก พอทากะมาก็ยังไปช่วยแกเลี้ยงหลานอีกคน ถึงเจ้าทีซื่อบื้อ แต่น่าจะรับรู้หรือซึมซับไปไม่น้อยเลยล่ะ ถ้าอนาคตเจ้าทีมีแฟนเป็นผู้ชาย พ่อจะโทษเป็นความผิดพวกแก”

“อ้าว”

“ไปดูเมียแกไป๊ เดินพิลึกไม่พอ หน้ายังซีดแล้วซีดอีก ทำอะไรก็หัดเพลาๆ บ้าง”

“ครับๆ ต่อไปจะระวังครับ”

ผมมองเจ้านิกผละไปดูลูกสะใภ้ (แบบไม่เป็นทางการ) แล้วถอนหายใจอีกเฮือก

สงสัยคงต้องค่อยๆ เกริ่นบอกภรรยาทีละนิดแล้วล่ะมั้ง ไม่งั้นตอนรู้ความจริง อาจหัวใจวายเอาได้

เจ้าทีหยิบขวดโหลไปเยอะมาก จนผมต้องถาม

“ซื้อทำไมตั้งเยอะแยะ”

“ก็มีของพ่อแม่หนึ่ง ของปู่ย่าอีกหนึ่ง ของลุงนิกกับเซนเซ…”

“ของลุงกับทากะให้รวมกันได้”

“งั้นก็สามแล้ว ของเพื่อนอีก…” เจ้านับนิ้วแล้วชูเลยเจ็ด

“เจ็ดหรือ? ที่ปู่เห็นมาหาเราบ่อยๆ มีกันแค่หกเองนี่”

“ก็คนที่ฝากขนมมาให้ผมบ่อยๆ ด้วยไงครับ”

อ้อ…ลูกชายเพื่อนหนูอร ผมเห็นคนเป็นแม่แวะมาเยี่ยมเจ้าทีพร้อมหนูอรบ่อยๆ แต่ไม่เห็นคนเป็นลูกเลย มีแต่ส่งขนมทำเองฝากมาประจำ

“รวมกันเป็นสิบพอดี อ๊ะ ของทีด้วยเป็นสิบเอ็ด”

“แล้วซื้อไปใส่อะไร?”

“ใส่ม้วนกระดาษ แต่ทีกะทำให้ขวดเรืองแสงได้”

“ทาสีทั่วทั้งขวด?”

เจ้าทีส่ายหน้า “แต้มจุดให้ทั่วขวดเฉยๆ เอาน่า เดี๋ยวเสร็จแล้วคุณปู่ก็รู้เอง”

ระหว่างที่ผมกำลังคิดภาพตาม เจ้านิกก็สะกิดบ่า แอบคลี่กระดาษแผ่นหนึ่งออกมาให้ผมดู ในนั้นบอกรายละเอียดครบถ้วนดี สรุปหลานผมจะใช้สีเรืองแสงมาแต้มจุดทั่วด้านในขวดโหล เอาไปตากแดดให้แห้งสนิท (ถือเป็นการให้สารเรืองแสงดูดแสงไปเก็บไว้ด้วย) แล้วใส่ม้วนกระดาษผูกริบบิ้นไว้ด้านในหนึ่งม้วน น่าจะใช้สีเรืองแสงเขียนข้อความลงไป

พอได้รู้รายละเอียด ผมก็ช่วยเลือกและแนะนำให้เจ้าทีง่ายขึ้น สีเรืองแสงมีหลายแบบ แต่ผมเลือกสีเพ้นท์เรืองแสงแบบที่เป็นขวดๆ จะใช้ก็เปิดฝาจุ่มพู่กันลงไปก็พอ เลือกพู่กันหัวเล็กหน่อย เอาไปหลายๆ ด้าม แล้วแวะไปดูกระดาษวาดรูปเลือกแบบที่ลงพวกสีน้ำได้ ไปดูริบบิ้นเป็นอย่างสุดท้าย

พอได้ของครบก็แวะไปหาข้าวเที่ยงกินกันก่อน ค่อยพาตัวเจ้าทีกลับบ้าน ไม่กล้าให้อยู่ข้างนอกนาน กลัวอาการกำเริบจนต้องโทรเรียกจิตแพทย์มาดูอาการ

กลับมาถึงบ้าน ภรรยา แม่ศรี แม่สาย เตรียมพร้อมรอรับเต็มที่ เห็นเจ้าทีเดินถือถุงเข้าบ้านท่าทางร่าเริงดี ก็ถอนหายใจโล่งอกเป็นแถว

“สำเร็จใช่ไหมคะ?”

ภรรยากระซิบถาม มีแม่ศรีกับแม่สายอยู่ฟังด้วย

“ถือว่าดี อาจเพราะมัวสนใจของที่ต้องซื้อก็ได้ เจ้าทีเลยไม่ได้สนใจเรื่องผู้ชายตัวใหญ่”

“แบบนี้อนาคตน่าจะกล้าออกจากบ้านบ่อยขึ้น”

“ก็ต้องรอดูใจเจ้าทีว่าพร้อมจะออกไปหรือเปล่า”

ว่าแล้วก็หันมองคนยึดโต๊ะกระจกหน้าโซฟา โดยมีเจ้านิกช่วยปูผ้าคลุมโต๊ะ เพิ่มกระดาษหนังสือพิมพ์ปูอีกชั้นทั้งที่โต๊ะและที่พื้น ขนาดเสื้อผ้ายังให้เปลี่ยนใหม่ คงกะให้เลอะเทอะเต็มที่

หลังจากนั้นเจ้าทีก็อยู่แต่ตรงนั้น จะขยับลุกต่อเมื่อไปกินน้ำ เข้าห้องน้ำ เอาขวดที่ทำเสร็จแล้วไปตากแดดข้างนอก (เจ้าทีทำแค่ขวดเดียว) ก่อนมากะความสูงของกระดาษให้ใส่ขวดปิดฝาได้ แล้วลงมือร่างข้อความด้วยดินสอ แล้วใช้สีเรืองแสงทาทับอีกที

เรื่องหัวศิลปะ เจ้าทีดีกว่าเจ้านิกเยอะ ลูกชายคนโตไม่เอาอ่าวในเรื่องนี้สุดๆ ส่วนลูกคนเล็กพอเอาตัวรอดไปได้ แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

“คุณปู่”

“หือ?” ผมขานรับ ผละสายตาจากหนังสือในมือมองหน้าเจ้าที

“คุณปู่ว่าการเขียนข้อความถึงคนไม่เคยเห็นหน้านี่ยากไหม?”

“พูดถึงเจ้าหนูที่ส่งขนมบ่อยๆ หรือ? ปู่เห็นหลานเขียนข้อความฝากกลับไปได้ทุกที”

“คุยกันผ่านข้อความนั่นแหละ แต่ทำไมถึงไม่มาหาก็ไม่รู้”

“อยากให้เขามาหา?”

“อื้อ ก็ตอนนี้ทีเหลือเพื่อนแค่เจ็ดคน อีกหกคนยังได้เจอหน้าบ้าง บางครั้งมาค้างมาเล่นด้วย แต่อีกคนมาแต่ขนมกับข้อความสั้นๆ”

“บางทีเขาอาจไม่ว่างมาหาก็ได้”

เจ้าทีพยักหน้า เงียบไปพักใหญ่กว่าจะพูดอีก

“…ปู่คิดว่าแค่ผมทำอาหารแลกเปลี่ยนไปกับขนม มันพอไหม? หรือผมควรทำอย่างอื่นให้เขาอีก”

“ไม่ใช่ว่าที่ฝึกทำอาหาร เพราะอิจฉา หลังแม่เอาแต่ชมเขาทำขนมเก่งอย่างนู้นอร่อยอย่างนี้เรอะ”

“ก็…ก็ใช่ แต่ความคิดมันเปลี่ยนกันได้นี่”

“ดูทีสนใจเพื่อนคนนี้เป็นพิเศษนะ”

“อื้อ ทีรู้สึกว่าเขาเหมือนเดซี่”

ผมเหล่มองสุนัขประจำบ้านที่กำลังนอนอย่างสงบตรงมุมห้อง ผมรู้ว่าเจ้าทีชอบเดซี่มากๆ แต่ไม่นึกว่าชอบมากจนเอาไปเปรียบเทียบกับคน

“คนกับสัตว์จะเหมือนกันได้ยังไง”

“คุณปู่ไม่รู้อะไร คนกับสัตว์มีความรู้สึกเหมือนกัน ผมคุยกับเดซี่ไม่รู้เรื่อง แต่เราสื่อสารความรู้สึกกันได้”

“เจ้าหนูนั่นเหมือนเดซี่ตรงไหน?”

“ใจดี”

“แค่นั้น?”

เจ้าทีเอียงคอใส่ “ก็มากกว่านั้น แต่ทีอธิบายไม่ถูก แต่ความรู้สึกบอกว่าเขาเหมือนเดซี่ จริงๆ นะ”

“เจ้าหนูนี่หรือเปล่าที่จะไปต่างประเทศพรุ่งนี้?”

หลานชายพยักหน้าหงึกๆ

“ที่นั่งทำอยู่นี่คือให้เจ้าหนูนั่นก่อนคนอื่น?”

พยักหน้าอีก

ผมขมวดคิ้ว “ลงสีข้อความเสร็จหรือยัง ขอปู่ดูหน่อย”

“ยังฮะ แต่ปู่เอาไปดูก่อนก็ได้”

เจ้าทีขึ้นต้นประโยคด้วยคำขอบคุณ

‘ขอบคุณขนมที่ส่งมาให้เสมอ
ขอบคุณข้อความที่แนบมาพร้อมกัน
หวังว่าในอนาคตเราจะได้เจอกัน
                                 ที’

อ่านจบผมอดพูดทักท้วง

“ไม่เห็นพูดถึงทั้งวันคริสต์มาสหรือปีใหม่เลยนี่”

“ทีจะเขียนถึงทำไม” เจ้าทีชูริบบิ้นกับเชือกขึ้น “เชือกมีสีเขียวสลับแดงแทนคริสต์มาส ส่วนริบบิ้นสีน้ำเงินก็มีข้อความ Happy New Year อยู่แล้ว”

“อย่างน้อยควรมีคำอวยพรบ้าง”

“งั้นทีเขียนเพิ่มอีกแผ่นก็ได้”

แผ่นต่อมา อวยพรจริงๆ ขึ้นต้น ‘ขอให้…’ ยาวไล่เรียงลงมาเป็นข้อๆ มีตั้งแต่เรื่องทั่วไปอย่างเรื่องเรียน เรื่องสุขภาพ และอื่นๆ จนถึงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นคำอวยพร

“ขอให้น้องสาวน่ารัก?”

“อื้อ มีน้องสาวเหมือนกัน เขาต่างกับผมตรงที่เลี้ยงน้องเอง ผมเลยขอให้น้องสาวเพื่อนน่ารัก จะได้น่ารักไปนานๆ”

ผมก้มอ่านประโยคต่อมากลับอึ้งหนักกว่าเก่า

ขอให้ปีหน้าทำขนมอร่อยขึ้น
ขอให้ปีหน้าทำขนมมาให้กินอีก
ขอให้มีพวกพาย ไม่ก็ทาร์ตผลไม้ต่างๆ บ้างก็ดีนะ

นี่เจ้าทีกำลังอวยพรเขา หรือว่ากำลังขอพรจากเขากันแน่!

ผมเงยหน้ามองหลานที่กำลังทำหน้าฉงนใส่

“ทำไมปู่มองทีอย่างนั้น หรือสิบข้อน้อยไป? อันที่จริงทีก็อยากเขียนเยอะกว่านี้นะ”

ถ้าแววตาไม่วิบวับ ผมคงเชื่อว่าหลานตัวเองใสซื่อ แต่ขอบอกเลยว่า

ในบางเรื่อง เจ้าทีก็แสบเอาเรื่อง

-------------

“เดตคืออะไรฮะ?”

คำถามกะทันหันจากเจ้าทีทำคนร่วมโต๊ะมื้อเย็นสำลักเป็นแถว มีแค่ผมที่ถามกลับเสียงเครียด

“ไปเอาคำนี้มาจากไหน?”

แอบเหล่มองลูกชายคนโต ผู้โดนกล่าวหาทางสายตารีบส่ายหน้าปฏิเสธยกใหญ่

“ในนิตยสาร เขาบอกว่าช่วงคริสต์มาสเป็นโอกาสสำหรับคู่รักออกเดต ทีอ่านแล้วงง”

อ้อ

ผมถึงบางอ้อ ส่วนเจ้านิกถอนหายใจตามประสาผู้รอดพ้นข้อกล่าวหา ผมกวาดมองรอบโต๊ะ ฝ่ายหญิงส่ายหน้าไม่ขอพูด ผมเลยส่งสายตาให้เจ้านิกตอบหลาน

“เอ่อ เดตก็คือ…ไปเที่ยวกับคนที่อยากรู้จักสนิทสนมเป็นพิเศษน่ะ”

“อย่างนั้นเองเหรอ”

เห็นเจ้าทีรับคำง่ายดาย ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าเข้าใจจริงไหม เลยย้ำเพิ่ม

“ต้องอยากรู้จักเป็นพิเศษมากๆ ด้วยนะ แล้วก็เรื่องนี้สำหรับคนที่โตแล้วเท่านั้น ไว้โตเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

“แล้วลุงนิกเคยเดตไหม?”

เจ้านิกสำลักข้าวเลยครับ มีชำเลืองมองภรรยาผม ก่อนลุกพรวด

“อ่า ทากะน่าจะตื่นแล้ว ผมขอเอาข้าวเอายาไปให้ทากะก่อนนะครับ”

ชิ่งอย่างเร็ว ปล่อยเจ้าทีหันมองตามหลังตาปริบๆ

-------------

วันรุ่งขึ้นเจ้าทีก็ตื่นเช้า

ผมลงมาเจอหลานกำลังพยายามผูกม้วนกระดาษอยู่ เห็นผมก็ร้องเรียก

“คุณปู่ มาช่วยทีจับกระดาษหน่อย”

ตรงเข้าไปช่วยจับ ปล่อยเจ้าทีผูกริบบิ้นเป็นโบว์เอาเอง เรียบร้อยก็จับหย่อนใส่ขวดแก้วลายจุดไปทั้งใบ ปิดฝาไม้จับวางลงกล่อง ผูกเชือกสีแดงเขียวอีกที ผมพึงสังเกตว่าเจ้าทีสอดซองจดหมายไว้ด้านบน

“ที่เขียนใส่ขวดยังไม่พออีกหรือ?”

“อันนี้ทีแค่เขียนบอกวิธีใช้ขวดเฉยๆ ทีไม่รู้นี่ว่ากล่องจะถูกเปิดเมื่อไหร่ ถ้าช้าแสงได้หายหมดพอดี”

เลยต้องเขียนบอกต่างหากสินะ

ผมปล่อยเจ้าทีจัดการกล่องของขวัญจนเรียบร้อย ค่อยเอาตัวหลานไปทานข้าวเช้าเร็วกว่าทุกที เสร็จแล้วก็มานั่งรอ เจ้าทีคงตื่นเต้นถึงได้นั่งกระสับกระส่าย แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็หลับผล็อยคาโซฟาแทน

...กลายเป็นผมต้องถือของขวัญไปส่งแทนคนที่ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น

“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”

“สวัสดี” ผมยกมือไหว้รับ

ครอบครัวนี้มีกันสี่คน ทั้งลูกชายและลูกสาววัยเดียวกับหลานผมเลย

“แล้วทีล่ะคะ?”

“หลับอยู่ข้างใน จะเข้ามาก่อนไหม?”

“เสียดายจังเลยค่ะ เราต้องไปสนามบินกันต่อ” เพื่อนหนูอรพูดอย่างเสียดายมาก ก่อนดุนหลังลูกชายที่ดูมีสีหน้าโล่งใจเล็กๆ มาตรงหน้าผม

“ฝากของไว้ที่คุณปู่แล้วกันนะลูก”

“นี่ครับ”

โหลคุกกี้ผูกริบบิ้นสีเขียวอ่อน คล้องการ์ดไว้คู่กัน ขนาดใหญ่จนครึ่งเดือนก็ยังกินไม่หมด แต่สำหรับเจ้าทีคงหมดภายในหนึ่งอาทิตย์

“ส่วนนี่หลานปู่เตรียมไว้ให้เรา” ผมส่งของที่ถือมาให้ พร้อมเอ่ยเตือน “ถือดีๆ ระวังแตก”

“ขอบคุณครับ”

“หืม? มีซองจดหมายแนบมาซะด้วย ขอพ่อดูหน่อย”

“พ่อ!”

ลูกชายร้องประท้วง แต่คนเป็นพ่อก็คว้ามาเปิดดูอยู่ดี ข้างในเป็นกระดาษเอสี่แบบมีเส้นบรรทัดสองแผ่นแม็กซ์เย็บติดกัน แรกๆ คนอ่านยังยิ้มดี แต่พอพลิกหน้าสองถึงกับชะงัก เหลือบสายตามาสบกับผมที่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“เอ่อ คุณปู่ครับ ช่วยดูนี่หน่อย”

คนเป็นพ่อพลิกกระดาษให้ดู เห็นตัวอักษรเขียนกินบรรทัดถึงสี่เส้นปุ๊บ ผมชะงักปั๊บ

‘ไว้โตแล้วเรามาเดตกันนะ’

เจ้าที!?!

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ2] P.21 (01/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-06-2017 17:00:57
โอย........ที น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:
ทำของขวัญปีใหม่ให้พาร์ ให้ทุกคน และให้ตัวเอง  :hao4:
พาร์ น่ารัก ทำขนมคุ้กกี้ มาให้ทีตลอดเลย

ขำ ทีเปรียบเทียบเดซี่ เหมือนกับพาร์ เพราะใจดี

ที แอบฉลาดแกมโกง ขอพรให้พาร์
แต่พรที่ขอกลับเป็นขอให้พาร์ทำขนมให้กินอีก
ให้ทำขนมพวกพาย ไม่ก็ทาร์ตผลไม้ต่างๆ บ้างก็ดีนะ
ที เจ้าเลห์จริงๆ แต่พาร์ได้อ่านจดหมายคงมีความสุข
แถมสั่งเสียว่า ไว้ตอนโตเรามาเดตกัน ขำก๊ากกกก เลย

ขอบคุณไรท์ ให้คนอ่านมีความสุข
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ2] P.21 (01/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 01-06-2017 17:50:23
นี่ก็อ่อยเค้าแต่เด็กเลย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ2] P.21 (01/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-06-2017 20:03:52
 :laugh: ทีน่ารัก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ2] P.21 (01/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-06-2017 21:32:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ2] P.21 (01/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-06-2017 23:21:47
น่องที 55555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ2] P.21 (01/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-06-2017 00:36:42
ทีเอ้ยยยยย อ่อยพาร์ตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยนะ  :m20:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-06-2017 15:12:52
ตอนพิเศษ 3
Side Story : New Year Party

ผมกำลังเซ็งสุดชีวิต แต่จำต้องก้าวเท้าตามหลังเพื่อนๆ เดินเข้างานในตึกนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนปีหน้าจะได้ย้ายไปร่วมงานอีกตึกในฐานะนักเรียนม.ปลาย

“ทำไมต้องเป็นกูทุกที” ผมยังไม่เลิกบ่น

“ไม่ใช่มึงคนเดียวสักหน่อย ดูกูนี่ แต่งหญิงจ๋าไม่แพ้มึงเลย เพราะงั้นเลิกบ่นเถอะ”

“กูก็อยากแต่งชายตามปกติสักปีนะ”

“ช่วยไม่ได้วะเพื่อน มึงอยากเกิดมาหน้าคล้ายผู้หญิงเอง”

“ไม่เกี่ยวๆ ดูหนังหน้าพวกกูก่อน แย่กว่าไอ้ทีตั้งเยอะยังโดน”

“มันเป็นเรื่องของความสูง ไม่เชื่อดู ไซส์เดียวกันทั้งนั้น”

“เออจริง พวกมึงรีบโตไวๆ สิ ไม่งั้นอีกสามปีต่อจากนี้ก็ไม่น่ารอด”

ผมทำหน้าบูด ก็พอเข้าใจ โรงเรียนชายล้วนแบบนี้จะไปหาหญิงจากไหนมาร่วมงาน ถ้ามองไปทางไหนเจอแต่ชายล้วน เป็นผม ผมก็ไม่มาร่วมงานหรอก (แสลงตา) แต่ทำไม๊ทำไม ไอ้พวกโดนจับแต่งหญิงถึงได้มีแต่หน้าเดิมๆ ล่ะโว้ย

“เป็นไปได้ยาก งานพี่ม.ปลาย ชวนคนนอกได้...”

“เฮ้ย จะเข้าห้องจัดงานแล้ว ใส่หน้ากากกันด้วย”

ผมพ่มลมหายใจ มองหน้ากากปิดครึ่งบนใบหน้า สงสัยเพราะเจ้านี่ด้วย คนเลยยังไม่เบื่อขี้หน้ากัน

“ไอ้ที อย่ายืนเฉย”

“เออ”

จัดการใส่หน้ากากเรียบร้อย มองเพื่อนร่วมห้อง ส่วนใหญ่ก็กลุ่มที่ไปแต่งตัวด้วยกันมา มีไอ้พวกที่ได้แต่งตัวตามเพศปกติติดสอยห้อยตามมาด้วยสี่คน ตอนนี้ยังพอแยกออกว่าใครเป็นใคร แต่พอเข้างาน อาจจะจำไม่ได้ในทันที ต้องเพ่งสังเกตสักหน่อย

งานนี้เขาเรียกว่างานหลอกตัวเองครับ ‘รู้ทั้งรู้ แต่ก็แสร้งไม่รู้’ ประมาณนี้เลย แถมฝ่ายแต่งหญิงยังได้เล่นสนุกสวมบทบาทหลอกชาวบ้านด้วย ปีแรกผมสนุกกับการได้หลอกคนอื่นอยู่หรอก แต่ต้องแต่งหญิงถึงสามปีซ้อน

มันก็เซ็งนะ!

“กูก็อยากเป็นฝ่ายถูกหลอกบ้าง!”

“พอๆ ลากไอ้ทีเข้างานดิ มันจะได้หุบปาก” 

“เดี๋ยวกูจะสูงให้ดู! ถ้ากูสูงแล้ว พวกมึงห้ามจับกูแต่งหญิงอีกนะ”

“เออๆ ทำให้ได้ก่อนเถอะ ไปๆ เข้างานๆ”

ผมโดนเพื่อนลากตัวเข้างาน ก่อนโดนทิ้งในเวลาต่อมา แต่ละคนกระจายไปทำหน้าที่ ผมมองซ้ายมองขวา ตรงไปซุ้มอาหารใกล้สุดเป็นอันดับแรก เวลาแบบนี้ต้องใช้อาหารดับอารมณ์ด้านลบ

พออาหารตกถึงท้อง อารมณ์ผมก็ดีขึ้น…เอ๊ะ หรือผมโมโหหิว?

จะว่าไปผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยครับ หลังเลิกงานช่วงเช้า อ้อ ผมยังไม่ได้เล่าว่างานอะไรใช่ไหมครับ ก็งานโรงเรียนนี่แหละ ช่วงเช้าเป็นงานคริสต์มาส ช่วงบ่ายเป็นงานปีใหม่ แต่ตอนบ่ายจะแยกเป็นสองตึก ม.ต้นที่หนึ่ง ม.ปลายที่หนึ่ง ผมได้ยินมาว่าฝั่งทางนู้นพาคนนอกมาได้ด้วย แต่ฝั่งพวกผมเป็นระบบปิด ไร้คนนอก แย่ตรงที่พาสาวมางานไม่ได้ แต่รั่วได้เต็มที่ ไม่ต้องรักษาภาพพจน์

สรุปคือหลังงานช่วงเช้า ผมก็โดนเพื่อนลากมาแต่งตัวที่ห้องเรียนเลย แล้วค่อยมาฝากท้องในงาน เพราะมัวแต่เซ็งกับชีวิต เลยเผลอลืมซะสนิทว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง

“ไงน้องสาว”

ผมชะงักมารขัดจังหวะ แต่น้ำเสียงคุ้นๆ เหมือนน้องชมรมคนหนึ่ง เพ่งมองจนแน่ใจ

“น้องสาวบ้านมึงสิ กูรุ่นพี่มึง”

“อ้าว เอ่อ งั้นพี่สาว?...พี่ทีเหรอ?”

“เออ!”

“หวา…ขอโทษครับพี่ ผมไม่รู้”

“งั้นก็ไสหัวไปไวๆ”

“ครับๆ ไปแล้วครับ” ถอยฉากอย่างเร็ว แว่วเสียงงึมงับลอยเข้าหู “ดุฉิบหาย”

รอเปิดเรียนหลังปีใหม่ก่อนเถอะ!

ที่จริงเขาให้พวกแต่งหญิงสงบปากสงบคำ ไม่พูดได้ยิ่งดี แต่ผมไม่ได้อยู่ในช่วงอยากโดนเกี้ยว คือว่าไงดี งานนี้ก็เหมือนได้ฝึกเกี้ยวสาว จีบผู้หญิง เวลาเจอของจริงจะได้ไม่เคอะเขิน (เพื่อนผมบอกมาอย่างนั้น) ผมก็อยากลองเป็นฝ่ายทำบ้าง แต่ความจริงดันต้องเป็นฝ่ายโดนซะเอง

เฮ้อ…

ผมชะงักมองคนแต่งตัวตามเพศคนหนึ่งกำลังเลือกตักอาหารใส่จานตามลำพัง บรรยากาศต่างจากพวกที่กระสันอยากลองหรือทดสอบวิชาอย่างยิ่ง ผมเลยจิ้มอาหารในจานเข้าปาก พลางสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย

...ไม่สนใจอะไรเลย นอกจากไล่ชิมของหวาน แล้วทำหน้าครุ่นคิด แปลกดี

จู่ๆ ความคิดพิเรนอยากทดลองฝึกจีบดูก็ผุดขึ้นมาในหัว ในเมื่อไม่มีโอกาสแต่งชุดผู้ชาย ผมเอาสารรูปตอนนี้ลุยก็ได้ ที่สำคัญ ผมมั่นใจว่าไม่รู้จักอีกฝ่ายแน่นอน

ก่อนอื่นเนียนเดินไปตักอาหารเพิ่มแถวนั้น เขยิบตามแบบไม่ให้รู้ตัว แล้วแสร้งไปยืนกินใกล้ๆ รออีกฝ่ายหันมาเจอก็มองกลับ ผงกหัวเป็นเชิงทักทายแสดงถึงความเป็นมิตร แล้วก้มหน้าจิ้มอาหารเข้าปากต่อ มีใครสักคนเคยบอกผมว่าจะจีบใครต้องใจเย็นๆ ผมขอเชื่อไอ้บ้านั่น เพราะมันไม่เคยปล่อยผู้หญิงหลุดมาถึงเพื่อนฝูงสักราย

พอเห็นใครทำท่าเดินมาหาแบบแน่ๆ ก็รีบเขยิบตัวหาเหยื่อ เอ้ย เป้าหมาย แล้วกระซิบขอความช่วยเหลือให้อีกฝ่ายรับรู้

“โทษนะ ขอยืมตัวเป็นไม้กันหมาแปบ”

คนข้างๆ ผมเหมือนจะอึ้ง “หมาเลยเหรอ เปรียบเทียบซะแรง”

“ตรงไหน?” ผมขมวดคิ้ว น้องหมาออกจะน่ารัก แต่ช่างเถอะ “เราก็อยากเป็นหมาเหมือนกัน แต่เพื่อนในห้องไม่ยอม เซ็งชะมัดเลย รู้ปะ เราอยู่ฝ่ายแมวมาสามปีรวดแล้ว”

“แมว?...อะ อ้อ” คนข้างๆ ผมเริ่มหัวเราะ “สองปีแรกเราก็โดนจับอยู่ฝ่ายแมว”

ผมมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ “ทำไมปีนึ้ถึงหลุดพ้นได้ล่ะ?”

“เพราะปีหน้าเราจะไม่ได้ร่วมงานแบบนี้อีกแล้ว เพื่อนๆ เห็นใจ เราเลยรอดมาได้”

“…จะย้ายโรงเรียน?”

“เปล่า แค่ไม่ได้ต่อม.ปลายที่นี่”

ผมได้ข้อมูลเพิ่มแล้ว อีกฝ่ายอยู่ปีเดียวกัน

“ที่จริงพอได้มาอยู่ฝ่ายหมา…ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน”

ผมอยากกู่ร้อง มาแลกเสื้อผ้ากันเถอะ! แต่ทำได้แค่ในใจ

ก็ไอ้ชุดกระโปรงบานๆ พลิ้วๆ ที่ใส่อยู่ตอนเนี่ย ชุดของห้องครับ เลิกงานต้องกลับห้องเรียน เอาไปแขวนผึ่งให้เรียบร้อย เปิดเทอมค่อยรวมเอาไปส่งร้านซักรีด เก็บไว้ให้พวกรุ่นน้องใช้ต่อ

ผมต่อบทสนทนาไปเรื่อย จากเรื่องทั่วไปกว้างๆ ก็แคบลงๆ จนเหลือแค่เฉพาะเรื่องที่สนใจเหมือนกัน ยิ่งนานยิ่งคุยกันถูกคอ อีกฝ่ายทำผมหายเซ็งไปเยอะทีเดียว นอกจากพูดเรื่องที่ชอบแล้ว ยังได้ตระเวนไล่ชิมอาหารที่ซุ้มด้วย อีกฝ่ายเข้าครัวเหมือนกันครับ แต่ทำพวกขนม ไอ้ที่ผมเห็นไล่ชิมของหวานก่อนหน้านี้ เขากำลังศึกษารสชาติอยู่ ผมเลยเอาบ้าง ไล่ชิมแต่พวกของคาวเป็นหลัก

ซุ้มอาหารกระจายไปทั่วห้อง หนึ่งซุ้มก็จะมีทั้งอาหารคาวและของหวาน ถึงอาหารแต่ละซุ้มจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่อยู่จุดไหนคนก็แวะไปซุ้มอาหารตรงนั้น อีกกรณีคืออยากกินก็แวะไปเยือนถึงที่ แบบพวกผมนี่ไง

ชิมเสร็จก็ต้องหิวน้ำ เรื่องน้ำกลายเป็นเรื่องที่เราถกเถียงกันมากสุด เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทั้งคู่ เลยหาข้อสรุปไม่ได้ แถมยังมีนิสัยเหมือนกัน ชอบลองน้ำสีแปลกๆ ไม่อร่อยก็เบ้ปากใส่กัน แล้วหัวเราะทีหลัง ส่วนเจอที่อร่อยกระดกหมดแก้วไม่เหลือ เลยไม่แปลกถ้าพวกผมอยากเข้าห้องน้ำ แต่พอผลักเข้าไปได้นิดเดียว ก็ได้ยินเสียงอึกอักลอดออกมา

“เอ่อ พี่ ผมไม่เคย…”

“ไม่เคยก็ลองสิ”

“ตะ แต่ว่า”

ผมขมวดคิ้ว ผลักเปิดเข้าไปแบบไม่แคร์ว่าข้างในจะทำอะไรกัน

เรื่องแบบนี้ต้องไปเห็นกับตา แล้วค่อยตัดสินใจ เจ้าของเสียงทั้งสองอยู่ตรงมุมห้องน้ำ คนหนึ่งโดนต้อน ตัวเล็กขนาดนี้น่าจะพึ่งเข้าม.1 อีกคนตัวโตกว่าผม กำลังยกแขนทาบกับกำแพงกั้นน้องหนี ท่าทางจะตกใจทั้งคู่ที่เห็นพวกผมเข้ามา

“ทำอะไรกัน?”

ผมยืนกอดอกถามเรียบๆ ไม่สนใจแรงดึงของคนที่ตามหลังเข้ามา 

“ไม่ใช่เรื่องของมึง”

“เออรู้ แต่ถ้ามึงบังคับน้องทำเรื่องเลว กูขอมีเอี่ยวด้วยวะ”

“เฮ้ย” คนข้างหลังผมอุทาน

แต่ฝ่ายที่กักตัวน้องยิ้มกระย่อง “อ้อ งั้นก็มาสิ กูว่าจะให้น้องช่วยอม…”

ผมถลกกระโปรงตั้งแต่มันพูดอนุญาต วิ่งเข้าหา เตะกล่องดวงใจไอ้เลวนั่นไปเต็มแรง จนมันหน้าเขียว กุมเป้าทรุดไปกับพื้น ผมใช้เท้าแตะมันให้พ้นทาง ดึงรุ่นน้องในชุดผู้หญิงผละจากกำแพง หน้าตาน้องน่ารักใช้ได้เลย

“ขะ ขอบคุณครับ”

“ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก รุ่นพี่ก็รุ่นพี่ ตัวใหญ่กว่าแค่ไหน เตะหรืออัดเข้ากระแทกเข้าไอ้จุดเนี่ย” ชี้บอกขุดยุทธศาสตร์พึ่งทำร้ายไปหยกๆ “เสร็จทุกราย ส่วนมึง...”

ผมเลื่อนนิ้วชี้หน้าไอ้เวรที่นอนหน้าเขียวหน้าซีดกับพื้น

“คงรู้แล้วใช่ไหมว่ากูเป็นใคร ถ้าไม่อยากให้เรื่องวันนี้กระจายไปทั้งโรงเรียนล่ะก็ เลิกนิสัยนี้ซะ แล้วถ้ากูเห็นว่ามึงไปตามรังควานน้องล่ะก็ ได้เจอกูอีกแน่”

ผมดึงตัวน้องออกจากห้องน้ำ แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังปวดฉี่ เลยดึงน้องกลับเข้าห้องน้ำอีกรอบ ไล่ตะเพิดไอ้เวรนั่นออกจากห้องน้ำแทน จัดการทำธุระเรียบร้อยก็เห็นว่าน้องยืนเงียบกริบอยู่กับใคร

ตายล่ะหว่า เผลอแสดงบทโหดให้เห็นไปแล้ว ผมจะเสียเพื่อนใหม่ไหมเนี่ย

“เอ่อ…”

“ไม่เข้าห้องน้ำล่ะ?” ผมชิงถามก่อน

“ไม่ปวดแล้ว”

“ฮะ?”

“ตกใจจนหายปวดแล้ว”

“แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องปวด ไปปล่อยให้เรียบร้อยเถอะน่า”

ระหว่างล้างมือ ผมเหลือบเห็นหน้ากากไอ้เลวนั่นกับของน้องวางอยู่ใกล้ๆ เลยเรียกเจ้าของให้มาหยิบของตัวเองไป พร้อมสั่งสอน

“ทีหลังอย่าถอดหน้ากากง่ายๆ อย่างน้อยหน้ากากก็ช่วยปิดบังใบหน้าเราได้ ต่อให้โดนขู่ เราต่อต้าน เขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร พยายามช่วยเหลือตัวเอง อย่ายอมตกเป็นเหยื่ออีก เข้าใจไหม?”

“คะ ครับ!”

“…เด็กปีหนึ่งใช่ไหม?”

“ชะ ใช่ครับ”

“จำไว้นะน้อง ถ้าตัวเองยังไม่หัดป้องกันตัว แล้วต่อไปจะดูแลปกป้องคนสำคัญของเราได้ไง”

“ครับ จะจำไว้ครับ”

“จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วกลับเข้างานได้แล้ว อีกอย่างคนแต่งหญิงเป็นฝ่ายได้เปรียบชัดๆ แล้วทำไมถึงไปทำให้ตัวเองเสียเปรียบฮะ”

“ได้เปรียบเหรอครับ?” น้องถามตาปริบๆ

“เออ สุดๆ ด้วย ไม่งั้นพวกมันจะระริกระรี้แวะมาหยอดขนมจีบทั้งที่รู้ว่าไส้ในเป็นผู้ชายทำไม อ้อ พี่ขอเตือนอีกอย่าง งานนี้มันก็แค่สนามทดลองจีบ เห็นเพื่อนพี่น้องเป็นตัวแทนผู้หญิง ไม่มีใครคิดจริงจังหรอก อย่าไปหลงคารมหวานหยดพวกนั้นเข้าล่ะ”

ผมเหลือบมองเห็นคนที่มาด้วยกันจัดการธุระตัวเองเรียบร้อย กำลังล้างมืออยู่ รอจนพร้อมจึงเปิดประตูออกจากห้องน้ำ

กึก…กึกๆ

ผมทำหน้าเซ็ง ผละจากประตูที่เปิดไม่ได้ ถอยหลังเท่าที่พื้นที่อำนวย สูดหายใจเข้าออกทำสมาธิ รวบชายกระโปรงขึ้นสูง ออกแรงวิ่งกระโดดถีบประตู

โครม!

ทันเห็นไอ้ตัวการล็อกประตูยืนตาโตอยู่ห่างออกไปหน่อย พอมันได้สติทำท่าจะหนี แต่ผมไวกว่า จัดการขัดขาให้มันล้มหน้าคว่ำกับพื้น หักนิ้วกร็อบๆ

“สงสัยที่โดนไปเมื่อกี้ไม่พอ ได้เลย จะช่วยสงเคราะห์ให้”

ผมคว้าหลังคอเสื้อ ลากเหยื่อที่ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ผ่านเหล่าคนทำหน้าอึ้งเข้าห้องน้ำอีกรอบ ก่อนเข้าไปเต็มตัวก็ชะโงกหน้าบอก

“ปิดหูรอตรงนี้แหละ”

“เดี๋ยว อย่าทำร้ายร่างกาย…”

“ไม่ต้องห่วง” ผมส่งยิ้มให้เพื่อนใหม่ “เราไม่ทิ้งหลักฐานไว้มัดตัวเองหรอก”

ผมนั่งทับหลังเหยื่อ จัดการยืดกล้ามเนื้อขาให้เฉยๆ ร้องซะอย่างกับหมูโดนเชือด พอได้เสียงแปลกปลอม ก็เอี้ยวคอมอง อีกฝ่ายตบพื้นรัวๆ ประกาศขอยอมแพ้

“ต่อไปจะทำอีกไหม?”

“มะ ไม่แล้วครับ ขอโทษครับ ผมปล่อยไปเถอะครับ”

“ตอนแรกก็ปล่อยไปแล้ว อยากหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวเพิ่มทำไม อ้อ สงสัยขาแข็งเกินไป มาๆ เดี๋ยวช่วยยืดให้อีกข้าง”

“มะ ไม่…อ๊ากกก!”

-------------

ตอนผมเดินสะบัดมือไล่น้ำออกจากผิว ก็เจอคนที่รอผมอยู่ยืนหน้าซีดเผือกกันทั้งคู่

“เอ่อ คนข้างใน…”

“สลบไปแล้ว” ผมพูดเสียงเบื่อๆ “ตัวโตซะเปล่า ใจเสาะชะมัด ปะ กลับเข้างานกันเถอะ”

หลังเข้ามาในงาน ผมปล่อยน้องปีหนึ่งไว้แถวประตู กำลังจะเดินผละไปอีกทาง แต่กลับโดนน้องดึงแขนไว้ก่อน

“ขอบคุณมากนะครับ…พี่ที”

กะแล้ว ชื่อเสียงผมดังกระฉ่อนจริงๆ ลงมือปุ๊บรุ่นน้องเดาชื่อผมถูกทันที   

“ไม่เป็นไร”

แค่ช่วย เพราะไม่อยากให้มาเจอเรื่องแบบเดียวกัน

“…ชื่อทีเหรอ?” คนข้างๆ เอ่ยถาม ระหว่างเดินกลับไปจุดสุดท้ายที่เคยอยู่

“ก็มีอักษรตัวแรกในชื่อเล่นเป็นตัวที”

“อ้อ…ของเราตัวพี”

ผมพยักหน้ารับรู้ ตามธรรมเนียมในงาน เขาไม่ถามชื่อกันครับ นอกจากเดาถูกว่าคนนั้นเป็นใคร ส่วนใหญ่เลยบอกใบ้แค่อักษรตัวแรกของชื่อเล่น หรือใช้เรียกแทนชื่อชั่วคราวก็ได้

พวกผมไปตระเวนชิมอีกรอบ แต่บรรยากาศระหว่างผมกับเพื่อนใหม่เปลี่ยนไปนิดหน่อย ดูอีกฝ่ายจะเกรงๆ ผม แต่ผ่านไปพักใหญ่ๆ หลังหัวเราะเรื่องน้ำรสชาติสุดยอดแย่ อีกฝ่ายก็ดูผ่อนคลายขึ้น กล้าคุยกับผมมากกว่าเดิม ถึงขั้นถามเรื่องผู้หญิงน่าจะชอบผู้ชายแบบไหน

มาถามคนไม่เคยมีแฟนจะตอบถูกได้ไง!

ผมทำหน้าเครียด นึกถึงน้องสาวแทน เพศหญิงเหมือนกัน

“เอ่อ คนที่พึ่งพาได้ ปกป้องได้ล่ะมั้ง” เห็นพยักหน้ารับเงียบๆ ผมเลยถามต่อ “ถามแบบนี้แสดงว่ามีผู้หญิงที่ชอบแล้ว?”

อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้ม “งั้นมั้ง”

ผมยิ้มล้อเลียนกลับไปทันที ก่อนชะงัก “หรือว่าจะย้ายไปเรียนโรงเรียนของเธอ?”

หุบยิ้มไม่พอ ถอนหายใจด้วย “เปล่า เราจะไปเรียนต่างประเทศ”

“อ้าว งั้นก็จะไม่ได้เจอเธออีกน่ะสิ”

“อื้อ แต่เราคิดว่าเป็นโอกาสดี จะได้รู้ชัดๆ ไปเลยว่าชอบ หรือแค่ผูกพัน”

“เธออายุเท่านาย?”

“ใช่”

ผมขมวดคิ้ว “ช้าไปไหม เดี๋ยวเธอหนีไปมีแฟนก่อนหรอก”

“มีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรากลับมาแล้วเธอยังไม่มีใคร เราว่าจะลองจีบดู”

“ทำไมต้องรอกลับ? จีบข้ามประเทศก็ได้นี่”

ส่ายหน้าทันที “เราไม่กล้า…ขอเวลาไปเตรียมตัวเองให้มีความกล้าหาญเหมือนนายก่อนดีกว่า เอ่อ เรื่องเมื่อกี้ถึงน่ากลัวไปหน่อย แต่เท่มาก”

โดนชมตรงๆ แบบนี้ผมก็รู้สึกเขินนิดๆ นะ

“งั้นก็พยายาม…”

เสียงฮือฮาจากหน้าเวทีดึงความสนใจจากพวกผม พิธีกรชูถือกระดาษใบหนึ่งโบกไปมา

“ฉลากที่จับได้ปีนี้ คือจูบที่มือครับ ฮ่าๆๆ”

อ้าว ถึงไฮไลท์ของงานแล้วเหรอ

“เอาเลยครับ อยู่ใกล้ใครก็จับคู่กับคนนั้นเลย ส่วนใครจะจูบหลังมือใครตกลงกันเอาเองนะครับ”

พิธีกรประจำงานยังหัวเราะต่อเนื่อง แม้จะโดนเหล่าชาวประชาที่มาร่วมงานด่าฐานมือดีเกิน ก็ไม่สะถกสะท้าน

ผมมองคนข้างๆ อีกฝ่ายมองกลับมา แววตาสับสน

“เอ่อ เราต้องคุกเข่าแบบคู่นู้นหรือเปล่า…”

ผมมองตามนิ้วชี้ คู่ถัดจากเราไม่ไกลลงทุนมาก ฝ่ายชายคุกเข่าจับมืออีกฝ่ายจูบหลังมือแบบองครักษ์ทำกับเจ้าหญิง อีกคนทำหน้าเหวอเลยครับ ผมเห็นแล้วขำ แถมรู้สึกคึกอยากแกล้งใครสักคนให้ตกใจบ้าง เลยคว้าหลังมือคนข้างๆ ขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเอง เจ้าของมือสะดุ้งโหยง ผมหัวเราะ พูดทั้งที่ยิ้ม

“ถือเป็นคำอวยพรขอให้ไปได้สวยกับผู้หญิงที่ชอบแล้วกัน”

“อ…อื้อ”

ช่วงที่จะปล่อยมือ ผมสังเกตเห็นของที่อยู่บนข้อมือพวกผมเข้าซะก่อน

“หือ? สายสิญจน์เหมือนกันเลย…แม่ให้มารึเปล่า?”

“อื้อ”

สงสัยแม่พวกผมคงไปขอจากวัดเดียวกันมาแน่ๆ

ช่วงสุดท้ายก่อนงานเลิก คือการแลกของขวัญครับ จะกับใครก็ได้ ส่วนใหญ่ขอแลกกับคนที่อยู่ใกล้ๆ

ผมแกะปากกาที่มัดติดกับชุดกระโปรงออก เอาริบบิ้นเส้นเล็กที่หลุดออกมาพร้อมกัน มัดด้ามปากกาเป็นโบว์ แล้วยื่นส่งให้

“อ๊ะ นี่ของขวัญจากเรา โทษนะ นอกจากปากกาเราก็ไม่รู้จะพกของขวัญมายังไงดี ให้ถือตลอดงานคงไม่สะดวก”   

“ไม่เป็นไร ส่วนของเราเป็นเจ้านี่” 

ผมยื่นมือไปรับถุงคุกกี้เล็กๆ มัดปากถุงด้วยริบบิ้นสีฟ้าอ่อน

“น้อยไปหน่อย แต่เราเอาเข้ากระเป๋าโดยไม่เละไปซะก่อนได้แค่นี้”

“ของทำเอง?”

“อื้อ…ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ”

อีกฝ่ายยิ้มมาด้วยความจริงใจ ผมคลี่ยิ้มตามทันที

“ขอบคุณเหมือนกัน”

“ถ้าหลังเรากลับมา แล้วได้เจอกันอีก เราจะเป็นผู้ชายที่เท่กว่าให้ดู”

ผมหัวเราะ มองแผ่นหลังคนทิ้งท้ายเดินออกจากห้องจัดงาน

คิดว่าผมจะยอมแพ้หรือไง

-------------

ผมเข้าไปในห้องเรียน เจอบรรดาเพื่อนแต่งหญิงทั้งหลายกำลังเปลี่ยนชุด

“อ้าวที ไปอยู่ไหนมา ทำไมพวกกูไม่เห็นมึง”

“อ้อ พอดีกูเจอคนคุยถูกคอ เลยอยู่ด้วยกันยาว”

“ไอ้ทีไปเจอคู่เดตมาโว้ย!”

คำว่า คู่เดต เป็นคำเรียกแทนเวลาอยู่กับใครคนหนึ่งในงานนานๆ ครับ

ผมยักไหล่ “ดีออก ไม่เหนื่อย”

“มันกินแรงคนอื่นชัดๆ แล้วเขาให้อะไรมึงมา”

“คุกกี้ทำเอง” ผมชูให้ดู

“มา! เดี๋ยวกูเป็นหน่วยกล้าตาย ทดลองชิมให้ก่อน”

มันคว้าคุกกี้ไปทั้งถุง

“เฮ้ย เดี๋ยว…”

ผมกำลังจะบอกว่าไม่ต้อง เพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายทำอร่อยแน่นอน แต่เพื่อนผมแกะริบบิ้นยัดคุกกี้เข้าปากอีกเพื่อนคนไปแล้ว สรุปมันดีแต่ปาก ไม่กล้าชิมเอง

คนโดนขนมยัดปากส่งเสียงอู้อี้ เคี้ยวสักพักก็กลืนลงคอ ยิ้มร่า

“อร่อยดีวะ”

เท่านั้นแหละ คุกกี้น้อยนิดก็โดนแย่ง ผู้ชนะก็ได้กินไป

“โคตรอร่อย มึงรู้มะว่าใครทำ?”

“ตัวพี”

“ฮะ?”

“อักษรตัวแรกของชื่อไง” ผมว่า

“รู้แค่นั้นแล้วใครจะไปเดาถูก!”

ผมถอดชุดกระโปรงออก มองถุงขนมว่างเปล่าด้วยความเสียดายสุดๆ

…รู้งี้แกะกินสักชิ้นก่อนก็ดี

“กูเอาขยะไปทิ้งแล้วนะ”

“เดี๋ยว!” ผมร้องห้าม รีบดึงริบบิ้นสีฟ้าอ่อนจากมือเพื่อน

“อะไรเนี่ย มึงจะเก็บริบบิ้นผูกถุงขนมไว้เหรอ”

“เก็บไว้เป็นที่ระลึกเหรอจ๊ะน้องที”

ผมจ้องเขม็งมองคนแซว “เพราะใครบางคนทำให้กูอดกินคุกกี้ กูเลยต้องเก็บอย่างอื่นไว้แทนไง”

มันหน้าเจื่อนทันที “เอ่อ มึงโกรธ?”

“นิดหน่อย พวกมึงเล่นไม่เหลือให้กูเลยสักชิ้น”

“เอ่อ ขอโทษ งั้นเดี๋ยวพวกเราพาไปเลี้ยงไถ่โทษแล้วกัน ใช่ไหมทุกคน”

“ใช่ๆ”

ผมกลั้นยิ้ม “งั้นกูขอเลือกร้านเอง”

เพื่อนๆ เงียบกริบไม่กี่วิ ก็ร้องโวยวายใส่เสียงดังสนั่น

“ไอ้ทีแกล้งโกรธนี่หว่า!”

“โว้ย เสียรู้มันอีกแล้ว”

“ช่วยไม่ได้วะ พวกมึงอยากมาแย่งของโปรดกูเอง”

“ขอล่ะ อย่าเลือกร้านแพงนะ”

“มีคนช่วยหารตั้งหลายคนจะกลัวอะไร”

“ที!!”

############
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-06-2017 15:25:40
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 09-06-2017 15:39:08
โอ้ยยยยยยย

นี่เค้าผ่านกันไปกันมา กี่รอบแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-06-2017 15:45:05
อื้อหือ ตัว พี ตัว ที
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-06-2017 19:54:42
งุ้ยยยย!! เค้าเจอกันละเถอะแต่เด้กแค่ไม่รู้ อยากรู้ตอนเด้กน้อยโตจัง จะอ่อนโยนมั้ย
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-06-2017 19:58:30
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-06-2017 20:19:25
โอ๊ยๆ...........ชอบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
พาร์ ที  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ที เก่ง สุดยอดดดด
พาร์ เจอที ก่อนไปเรียนนอก พาร๋จำทีได้แน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 09-06-2017 20:22:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-06-2017 21:34:10
ชอบ ทีโหดดีจัง
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 09-06-2017 22:02:02
คู่นี้เรียกได้เลยว่าเป็นพรหมลิขิตจริงๆ รู้จักตัวจริงของอีกคนเมื่อถึงเวลาที่สมควร ว้าวววววว
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 11-06-2017 20:47:49
คู่นี้คือสุดยอดมากกอะ พรหมลิขิตชัดๆ
อย่างที่เค้าว่ากันว่า คนที่ใช่มักจะมาในเวลาและโอกาสที่เหมาะสม
หลังจากเฉียดกันไปๆมาๆ เจอกันจังๆแต่ไม่รู้ตัว
สร้างความผูกพันธ์และความทรงจำดีๆแบ่งย่อยๆไปในแต่ละโอกาส
พอรู้ตัวอีกทีเวลาและโอกาสที่เหมาะสมที่สุดก้มาถึง
ค่อยๆดึงทั้งคู่ให้มาใกล้กัน ผูกพันธ์กันเอาไว้
และค่อยๆค้นพบความจริงที่ว่า รู้จัก รัก และผูกพันธ์กันมานานแล้ว
ความทรงจำในอดีตยิ่งทำให้ปัจจุบันมันล้ำค่า ยิ่งทำให้อนาคตยิ่งน่ารักษา
ชอบพล้อตเรื่องมาก คือน่ารักมากๆ พัฒนาการของตัวละครก้ชัดเจน มีเหตุและผลของการเปลี่ยนแปลง
ส่วนตัวชอบฉากที่พาร์ร้องไห้มาก มันดูแบบเออทีสำคัญจริงๆนะ
ถ้าขาดทีไปพาร์แย่แน่ๆเลย ขาดไปไม่ได้หรอก ดูเป็นสิ่งสำคัญล้ำค่ามากๆ
ส่วนทีคือบุคลิกที่บอกไม่ถูกคือมีความเป็นพี่ที่ดูและน้องได้ แต่ก้มีความเอาแต่ใจในแบบของตัวเอง
ไม่ได้งอแงเอาแต่ใจแบบโวยวาย แต่ถ้าอยากได้อะไรก้ต้แงได้ตามนั้น
ชอบเรื่องนี้มากก น่ารักกก อ่านแล้วคลายเครียด ยิ้มตามตลอดเรื่องเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-06-2017 11:24:27
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 15-06-2017 19:55:01
อ่านตอนพิเศษแล้วเข้าใจความรู้สึกของน้องน้ำกับน้องเบอร์เลย แบบทีกับพาร์คาดกันไปคาดกันมา แถมเจอกันก็ไม่รู้อีกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็ดีแล้วเพราะถ้าเจอกันตอนนั้นพาร์ที่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงอาจทำใจไม่ได้เพราะยังเด็กอยู่ แล้วอาจไม่ได้คบกันเหมือนตอนนี้ก็ได้
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: kedtawan ที่ 16-06-2017 12:20:13
อ่านรวดเดียวจบ สนุกมากเลย มีตอนพิเศษ อีกไหมอ่ะ อยากอ่านอีกกก :katai2-1: :hao5:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 16-06-2017 20:42:34
เป็นเรื่องที่ยาวมากกกก แต่ก็สนุกมากเช่นกัน
เรื่องมีปมเยอะ และซับซ้อน อ่านเพลินดีครับ
ตัวละครมีการพัฒนามาเรื่อยๆ
ขอบคุณนักเขียนสำหรับเรื่องสนุกๆครับ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 18-06-2017 02:15:47
น้องทีน่ารักนะคะ
แต่เรารู้สึกเรื่องมันยืดอย่างไงไม่รู้ หรือคิดไปเอง

อย่างไรก็ขอบคุณนะคะ จะรอติดตามเรื่องของยำยำต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 18-06-2017 22:17:29
 :impress2: o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 19-06-2017 01:10:36
อยากได้ตอนพิเศษ ที่ ที อายุครบ 21 แล้ว 555555
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: serene ที่ 19-06-2017 16:23:32
น่ารักมากคู่นี้กว่าจะได้เจอกัน คู่ลุงก็น่ารักดี โผล่มาทีแย่งซีนที ฮา  :-[
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 20-06-2017 12:31:18
น่ารักๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 02-08-2017 15:11:09
 o13
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 05-08-2017 19:37:51
เรื่องนี้น่ารักมาก ชอบมากๆเลย
พาร์กับที ค่อยๆมีพัฒนาการไป
ไม่เร็วไปหรือช้าไป
มีบางช่วงที่ยืดไปหน่อย แต่ก็โอเคนะ
รออ่านตอนพิเศษตอนต่อไปนะ
แล้วก็จะไปอ่านเรื่องของยำกับพี่ภูต่อเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 10-08-2017 21:12:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 21-10-2017 20:43:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 19-12-2017 16:17:56
ฉันพลาดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร กรีดร้องงงง ละมุนละม่อมมากกกก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 19-03-2019 10:22:35
 :L1: :pig4: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 27-03-2019 17:20:25
เมื่อไรจะรักกัน

Sent from my SM-G975F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 29-03-2019 17:10:55
 :pig4: :pig4::pig4: :pig4:
ชอบมาก สนุก มาก   น่ารักละมุนมาก
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 03-04-2019 10:43:23
 :m31: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 11-04-2019 11:37:03
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 16-05-2019 23:47:39
 :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 01-08-2020 10:27:25
เย้ๆๆๆ อ่านจบแล้ว หบังจากดองไว้มาหลายปี สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 17-08-2020 10:14:41
 :pig4
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 11-04-2021 16:55:07
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 14-04-2021 14:31:43

สนุกมาก​มีสาระ​ น่าประทับใจ
ขอ​ขอบคุณ​นักเขียน​มาก​

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 02-05-2021 07:05:53
น่ารักดีค่ะ
สองคนนี่เค้าคลาดกันไปคลาดกันมา
แต่ทำไมเราแอบชอบคู่ลุง อิอิ