SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]  (อ่าน 128982 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ตุลย์เข้าใจว่าเสี่ยเห็นคลิปเลยโกรธเหรอ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
32nd Night : บทเรียนราคาแพง

ต่อจากนี้จะเป็นยังไงต่อ...


ตุลย์ทบทวนเรื่องราวซ้ำในหัวอีกครั้งขณะยกแก้วเหล้าสี่เหลี่ยมขึ้นดื่ม ไม่รู้เป็นแก้วหรือขวดที่เท่าไหร่ ทีแรกยังรู้สึกเครียดขึงอยู่บ้าง แต่พอดื่มหนักๆ สมองก็คล้ายจะลืมความกังวลที่มีต่ออนาคตไปสนิท พอหัวว่างเขากลับคิดถึงใครบางคนแทน...


ตุลย์เหม่อมองแก้วโปร่งทรงสี่เหลี่ยมใส่เครื่องดื่มที่มีไอน้ำเกาะพราว พอหมุนมันเข้าหน่อยไอน้ำก็จับตัวไหลรวมเป็นหยด หล่นกลิ้งลงตามข้างแก้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้สติเริ่มหนักอึ้ง


‘อย่าดื่มเยอะนัก...’


ถ้าศานนท์อยู่ด้วยก็คงพูดกับเขาแบบนี้ แล้วบางทีพวกเขาก็อาจแย่งแก้วเหล้ากันนิดหน่อย


ตุลย์ยิ้มจางๆ


เมื่อก่อนเขาไม่ชอบเวลาที่ถูกศานนท์เตือนเท่าไหร่นัก แต่พอไม่มีใครคอยห้ามไม่ให้ดื่มจนเมาอย่างตอนนั้นแล้ว กลับรู้สึกว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก...



เขาเกลี่ยนิ้วโป้งลบไอน้ำที่ข้างแก้วก่อนจะหันข้างฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เขารู้ว่าตัวเองกำลังเมา แต่พอเมาความรู้สึกที่กดเก็บเอาไว้กลับทะลักออกมาราวกับสายลำธาร ต่อให้ควบคุมยังไงก็ไม่อาจขวางทางน้ำได้ และบางทีมันก็ทำให้เขาอยากร้องไห้ขึ้นมา...


ตั้งแต่คืนที่ทะเลาะกัน ศานนท์ไม่เคยโทรหาเขาอีกเลย เหมือนกับว่าเขากลายเป็นแค่เศษความทรงจำชิ้นหนึ่งในชีวิตของอีกฝ่าย ไม่มีตัวจนในปัจจุบัน


ตุลย์พลิกดูหน้าจอโทรศัพท์เงียบฉี่ที่วางคว้ำไว้บนโต๊ะ


“ตอนนี้ คุณจะเป็นยังไงบ้างนะ...”



ครึ่งชั่วโมงต่อมา การซดแอลกอฮอล์แบบไม่บันยะบันยังโดยไม่มีอาหารอื่นร่วมย่อยก็ทำให้ตุลย์ต้องสาวเท้าเร็วๆ ในสภาพโซเซทุลักทุเลมาที่ห้องน้ำ เขาพุ่งตรงไปยังห้องแรกที่ว่าง สับล็อกประตูปิดแล้วก็โก่งคออาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง เขาอาเจียนติดต่อกันอยู่หลายครั้งกว่าจะหายพะอืดพะอม สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้องน้ำจะได้ไม่พยายามต้องทรงตัว


พออาเจียนออกไปจนหมด ตุลย์ก็นั่งตัวห่อหมดแรงอยู่พักใหญ่ แต่ก็คล้ายกับสมองทำงานได้แจ่มชัดขึ้น เขานั่งพักจนแน่ใจว่าจะไม่สำรอกอะไรจากกระเพาะอีก ถึงลุกขึ้นออกมาล้างไม้ล้างมือที่อ่างล้างหน้าด้านนอก


ตุลย์มองตัวเองในกระจก สภาพของเขาในตอนนี้กระเซอะกระเซิง เสื้อยืดที่ใส่มาก็ย่นไปทั้งหลัง แถมใบหน้ายังฝาดจัดพอๆ กับรอยปื้นแดงตรงปลายจมูกเพราะเพิ่งอาเจียนไปหมาดๆ


ก็สารรูปคนเมาดีๆ นี่แหละ



ตุลย์เปิดน้ำวักล้างหน้าก่อนจะปล่อยให้น้ำไหลผ่านร่องนิ้วและฝ่ามือ เขาจ้องภาพสะท้อนของตัวเองอยู่นาน ทว่าจิตใจไม่ได้จดจ่อกับสิ่งที่เห็นแต่หลุดเข้าไปในห้วงความนึกคิด


ยิ่งเมาเขาก็ยิ่งต้านความรู้สึกของตัวเองไม่ได้



เรื่องระหว่างเขากับกาย เขาไม่รู้จะอธิบายให้ศานนท์เชื่อและเข้าใจยังไงในเมื่อหลักฐานทุกอย่างมันชี้ไปในทางตรงข้าม ตราบใดที่ยังหาทางแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ เขาก็ไม่อยากเสนอหน้ากลับไปหาศานนท์ นั่นคงเป็นสิ่งที่เขาทำถ้าสติยังแจ่มชัด แต่ในเวลานี้ เขาไม่ต้องการอะไรมากกว่าการได้ฟังเสียงของอีกฝ่าย


ต่อให้มันเป็นคำด่าทอก็ไม่เป็นไร…



ตุลย์หยิบโทรศัพท์ต่อสายหาคนในความคิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ สมองที่ยังมึนเบลอของเขาก็ทำให้มันง่ายขึ้นกว่าเวลาปกติ เขารออยู่เกือบนาที ความกล้าตอนแรกก็คล้ายจะถดถอยลงเมื่อสายใกล้ขาดเต็มที แต่ตอนที่คิดว่าถูกอีกฝ่ายเมินแล้ว จู่ๆ สายกลับถูกกดรับ


ปลายสายเงียบอยู่สองสามวิก่อนเสียงที่เขาคุ้นเคยจะเอ่ยขึ้นเบาๆ


“โทรมามีอะไร...”


มันไม่ห้วน แต่กลับฟังดูเย็นชาห่างเหินเหลือเกินเมื่อพูดกับเขา


“อา...”


พอได้ยินเสียงปลายสายแล้วน้ำตาก็เอ่อขึ้นมา ตุลย์พยายามพูดอะไรสักอย่างแต่เขากลับนึกไม่ออก ปลายสายยังคงเงียบงันราวกับกำลังรอคำตอบจากเขา


ตุลย์ได้มองพื้นซิงค์ล้างหน้า ความรู้สึกดีใจและเศร้าใจผสมตีรวนอยู่ภายในทำให้เขาจุกอักเรียบเรียงออกมาประโยคไม่ได้ ได้เพียงพูดสิ่งแรกที่ติดค้างอยู่ในใจออกไป


“ผมไม่ได้มีอะไรกับกาย ผมไม่ได้นอกใจคุณ...”


คำแรกหลุดออกไป คำอื่นๆ ก็ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้


“ที่คุณเห็นคืนนั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนผมยังอยู่ไนต์คลับ หลังออกมาจากที่คลับ ผมไม่เคยคบกับใคร คลิปที่คุณเห็นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมขอโทษ... ผมขอโทษที่ผมไม่บอกคุณตั้งแต่แรก แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ระหว่างผมกับเขามันไม่มีอะไรจริงๆ และผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดคุณไปตลอด ผมแค่...”


ตุลย์เงียบไปชั่วอึดใจ เม้มริมฝีปากแน่น


“ผมแค่กลัว... บางทีมันทำให้ผมกลัว ผมขอโทษ...”


“แล้วถ้าฉันบอกว่าคำขอโทษของเธอมันสายไปแล้วล่ะ...”


ตุลย์นิ่งงัน เขาได้ยินเสียงศานนท์ระบายลมหายใจยาวเหยียดราวกับกำลังกลั่นความรู้สึกต่างๆ ที่เก็บเอาไว้ในข้างในออกมาเป็นคำพูด


“เธออยากรู้มั้ยฉันรู้อะไร...” ศานนท์ถาม “ฉันรู้ว่าเธอเทียวหาเด็กที่ชื่อกายมาเกือบเดือนแล้ว ทุกครั้งที่ฉันถามว่าเธอว่าไปไหน เธอก็จะโกหกหน้าตาย เธอรู้มั้ยว่ามันรู้สึกยังไงที่ต้องทนมองคนที่เชื่อใจโกหกต่อหน้าต่อตาทั้งที่รู้ความจริงอยู่แล้ว? ฉันถามเธอกี่ครั้ง เธอก็จะตอบเหมือนเดิม ถามจริงๆ เถอะเธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอตอนที่พูดกับฉัน...?”


กระแสเสียงของศานนท์คล้ายราบเรียบ แต่พอฟังชัดๆ แล้วมันซ่อนความรู้สึกร้าวลึกเอาไว้ภายใน


...เขาไม่รู้เลยว่าคำพูดของตัวเองทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้ขนาดนี้


“แล้วตอนนี้เธอก็ยังจะโกหกอีก ฉันเพิ่งเห็นพวกเธอจูบกันที่ร้านอาหาร ยังจะบอกว่าเป็นเรื่องสมัยอยู่ไนต์คลับอีกมั้ยล่ะหึ้ม?”


คำถามนั้นทำให้ตุลย์สร่างเมาแทบในทันที เขาเบิกตากว้าง แก้ตัวอย่างวิตก


“ไม่ ผมไม่เคยจูบกับกาย คุณต้องเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง!”


“ฉันให้อเนกตามสืบเรื่องเธอ เขาได้รูปถ่ายตอนที่เธอไปกินข้าวลูกชาย ส.ส.ไชยวัฒน์ที่ร้านอาหารวันนั้น รูปที่พวกเธอจูบกัน แล้วหลังจากนั้นเธอทำอะไรยังจำได้มั้ย...? เธอโทรหาฉันยกเลิกนัดกินข้าว ยังมีอะไรที่ฉันเข้าใจผิดอีก? ...รู้มั้ยว่าเคยฉันเชื่อใจเธอ เชื่อสัญญาที่เธอให้ เชื่อคำขอโทษของเธอ แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าที่เธอพูดเป็นความจริง หรือเธอแค่ไม่มีที่ไปแล้วถึงอยากกลับมาฉัน”


เสียงปลายสายเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ราวกับจะซัดความรู้สึกของตุลย์ให้แหลกทลายไปด้วย


“รู้มั้ย... ขอแค่เธอบอกฉันว่าเธอคบกับเด็กที่ชื่อกายอยู่ ฉันจะไม่ว่าเธอเลยสักคำ ฉันจะไม่ทิ้งให้เธอกลับไปในที่สกปรกแบบนั้นแค่เพราะเธอมีคนอื่นอยู่แล้ว ขอแค่เธอพูด... ไม่ใช่หลอกใช้ความรู้สึกของฉันแบบนี้”


“มะ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้หลอกใช้คุณ ผมสาบาน คุณฟังผมก่อน... ผมไม่ได้โกหก ผมพิสูจน์ได้...”


เวลานี้ตุลย์แทบจะอ้อนวอน แต่ประโยคต่อมากลับสะบั้นเยื่อใยให้ขาดอย่างเย็นชา


“ตุลย์” ศานนท์เรียกชื่อเขาชัดถ้อยชัดคำ “เธอเคยได้โอกาสนั้นไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เธอทำมันพังไปหมดแล้ว”


คนถูกเรียกได้แต่ยืนอึ้งไม่เชื่อหู


“ระหว่างเรามันจบแล้ว”


“คุณ! เดี๋ยวก่อน!”


เสียงที่ร้องห้ามนั้นแตกร้าวไม่เหมือนเสียงของเขาสักนิด แต่พูดไปได้ครึ่งเดียว สายก็ตัดขาดไป อย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเสียงดนตรีสนุกสนานที่ดังทะลุมาจากด้านนอก


แต่สำหรับตุลย์ สิ่งที่เขาได้ยินก้องในหัวมีความเงียบสงัดราวกับเวลาหยุดนิ่ง เป็นความเงียบที่ทรมานที่สุด...


เขามองภาพของตัวเองที่ยืนนิ่งอยู่ในกระจก น้ำตาไหลลงมาเป็นทางสองข้างแก้ม เหมือนความคาดหวังและเจ็บปวดที่เก็บสั่งสมในใจตลอดหลายปีมานี้มันทลายลงมารวมกันราบเป็นหน้ากลองเดียว เขาก้มมองซิงค์ล้างหน้าด้วยสายตาที่พร่าเบลอและว่างเปล่า ทุกความรู้สึกและความทรงจำมันเอ่อล้นเป็นน้ำตา ไหลออกมาไม่หยุด


มันเกิดอะไรขึ้น เขาทำอะไรลงไป…



ตุลย์พลิกมือมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ว่างเปล่า


ระหว่างเขากับศานนท์มันจบแล้วจริงเหรอ?


ไม่จริงหรอกมั้ง...?



แต่ถึงไม่มีศานนท์แล้วก็ไม่เป็นไรหรอก เขายังมีงานที่ตัวเองรัก ยังมีอนาคตที่อีกฝ่ายเคยมอบให้ ต่อให้คนที่มอบมันให้ไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ ในวันนี้แล้วก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...


ตุลย์หลับตาปลอบใจตัวเองแบบนั้น แต่แทนที่จะเจ็บปวดน้อยลง เขากลับยิ่งจุกแน่นจนต้องกำเสื้อยืดที่ตำแหน่งอกซ้าย นิ่วหน้ากดความรู้สึกกลับลงไป


งานที่รัก เงิน ชื่อเสียง มหาวิทยาลัยดีๆ ทั้งที่มีทุกอย่างที่เป็นนิยามของชีวิตที่เฝ้าฝันหาในวัยเด็ก ทำไมถึงยังรู้สึกเยือกเย็นและว่างเปล่า…


เหมือนกับว่าสิ่งที่เขามีอยู่ในกำมือคือ ปราสาททรายที่พอถูกคลื่นซัดทีหนึ่งก็ทลายหายไปราวกับมันไม่เคยถูกก่อขึ้น เหมือนกับที่ผ่านมาเขาไล่คว้าเม็ดทรายมาเติมเต็มจิตใจ แต่ไม่ว่าเติมเท่าไหร่ก็เติมไม่เต็ม


บางทีเขาอาจไม่ต้องการปราสาททราย... เขาอาจต้องการแค่ใครบางคนที่จะอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนตอนที่ก่อมันขึ้นมา คนที่ทำให้การเดินทางนี้มีความหมาย


แค่ว่า วันนี้เจ้าของความหมายคนนั้นไม่อยู่กับเขา


เริ่มต้นโดยไม่เคยมีใคร... จบลงโดยไม่เหลือใคร...


ตุลย์เปิดประตูสาวเท้าเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งน้ำตา ศีรษะของเขายังมึนตึงทรงตัวไม่ค่อยได้ เสียงดนตรีดังสนั่นพอๆ กับเสียงเชียร์จากฝูงชนเมื่อดีเจขึ้นสู่เวที ฟลอร์เต้นก็คึกคักไปด้วยนักท่องราตรีมากหน้าหลายตาเบียดเสียดกัน ลามมาจนถึงตรอกที่ตุลย์ออกมา


แสงวูบวาบและเสียง ผนวกกับคนที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมาแน่นขนัดทำให้สมองที่ช้าอยู่แล้วเกิดอาการงุนงง ตุลย์พยายามพาร่างตัวเองหนีออกมาด้านนอก แต่ด้วยความที่เมา บางครั้งเขาก็ชนกับคนแปลกหน้าขณะที่พยายามแทรกตัวฝ่าฝูงชนไปที่ทางเข้าจนออกมาหน้าคลับได้สำเร็จ


เขาทอดสายมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว แต่มันไม่ช่วยให้สับสนน้อยลงเลย...


เมืองใหญ่ ตึกสูงตระหง่าน ชีวิตที่ถูกตีมูลค่าจากราคาสิ่งของ เต็มไปด้วยผู้คนแปลกหน้าและสังคมที่เขาไม่รู้จัก


ทั้งหมดนั้น ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เขาคุ้นเคย ไม่เหมือนสักนิดกับที่ที่เขาจากมา


เขามาทำอะไรที่นี่...?


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ขาก้าวเร็วๆ เดินกึ่งวิ่งออกมาตามฟุตบาทอย่างไร้สุดหมายปลายทาง สวนผ่านผู้ชนมากมายที่ยืนออกัน ราวกับตัวเองกำลังหนีจากบางสิ่งบาง แต่ไม่ว่าจะพยายามหนีเท่าไหร่ก็เหมือนกับว่ามันยังตามติดเขา


พอปราศจากศานนท์ ทุกสิ่งที่เคยคุ้นก็กลายเป็นไม่คุ้น ที่เคยรู้สึกปลอดภัยก็กลายเป็นหนาวเหน็บ ราวกับโลกที่เขายืนอยู่เพียงคนเดียวมันกว้างใหญ่เสียจนไม่เหมือนใบเดิม ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอกับสิ่งที่ไม่รู้จัก


หรือตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะมีศานนท์อยู่ข้างๆ เขาจึงไม่รู้สึกถึงความอ้างว้างของมัน


ไม่รู้ว่าออกจากคลับมาไกลเท่าไหร่ จิตใจที่กำลังพังทลายลงก็ทำให้ตุลย์หยุดฝีเท้าอย่างไร้เรี่ยวแรงไปต่อ เขาทรุดตัวนั่งยองๆ ที่ใต้เสาไฟต้นหนึ่ง ใบหน้าพร่ามัวด้วยน้ำตาก่อนจะสะอื้นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้


ทุกๆ ความสัมพันธ์ มันจบลงโดยเขาเป็นฝ่ายมองคนที่ตัวเองรักจากไป ในใจเขาวิงวอนขอร้อง เรียกหาจนเสียงแหบแห้ง แต่คนเหล่านั้นก็เคยไม่ย้อนกลับมา ราวกับการพบเพียงเพื่อจากลา


...อาจเป็นคำสาป



ไม่ก็อาจเพราะเขาไม่ดีพอที่จะรัก ถึงไม่อาจประคับประคองรักษาความสัมพันธ์ แม้แต่กับคนที่สำคัญต่อเขาที่สุดไว้ข้างกายได้


ขอโทษที่ทำให้คนรอบตัวเจ็บปวดอยู่เสมอ...


เขาไม่กล่าวโทษศานนท์ที่ตัดสินใจจากไป เมื่อเขาคือต้นเหตุของปัญหา


บางทีเขาอาจเกิดมาเพื่ออยู่คนตัวคนเดียวบนโลกก็ได้…



แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น มันคงดีกว่าถ้าเขาไม่เกิดมา จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานกับความรู้สึกที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม และไม่ต้องเป็นคนเลวที่ทำให้ใครเสียใจอีก


“ผมขอโทษ...”


ตุลย์ยกฝ่ามือกุมหน้า พยายามปาดน้ำตาที่ปาดเท่าไหร่ก็ไม่หมด มันยังไหลพรั่งพรูออกมาราวกับจะไหลจนกว่าตัวเขาจะเหือดแห้งไป ตุลย์ชันเข่าก้มหน้าสะอื้นด้วยไหล่สั่นเทา ไม่รับรู้ว่าสิ่งเร้ารอบตัวอีก เขาไม่รู้ว่าใครเดินผ่านและไม่ได้ยินเสียงใด รับรู้แค่ความเจ็บปวดที่เหมือนกับส่วนหนึ่งของจิตใจโดนฉีกทิ้งไป และไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะได้มันกลับคืนมา


สัมผัสทั้งห้าที่ตัดขาดจากสิ่งเร้ารอบตัว ทำให้ไม่ได้เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดลงตรงหน้า ตุลย์เริ่มได้สติบางส่วนตอนที่เงาสายหนึ่งทอดทับตำแหน่งเขา บดบังแสงสีเหลืองสว่างจากโคมทาง เขาเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่ภาพที่เห็นทั้งย้อนแสงและพร่าน้ำตาจนไม่อาจเห็นใบหน้าของผู้มาเยือน


ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังจำเจ้าของร่างได้ขึ้นใจ...


ศานนท์


มือของอีกฝ่ายยื่นมาตรงหน้าคล้ายจะช่วยดึงเขาให้ลุกขึ้น ตุลย์เหยียดแขนคว้ามือนั้น แต่ชั่ววินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกไออุ่นของกันและกัน อีกซีกหนึ่งของจิตใจฉุดสติของเขากลับมา


เขายังสมควรได้รับโอกาสหรือ?


ความงี่เง่าหัวรั้นของเขาทำให้ศานนท์ผิดหวังไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เขายังสมควรรั้งอีกฝ่ายไว้อีกหรือ?


มันอาจดีกว่าถ้าชีวิตของอีกฝ่ายไม่มีเขาอยู่ในนั้น...


ตุลย์โคลงศีรษะ ตัดใจปล่อยมือจากศานนท์ น้ำตายังไหลอาบแก้มทั้งคู่อย่างควบคุมไม่ได้ สายตาทอดมองไปแสนไกล เวลานี้ หัวใจของเขาไม่แข็งแรงพอจะมองใบหน้าของศานนท์โดยไม่รู้สึกเหมือนมันกำลังถูกทึ้งจนขาดออกเป็นชิ้นๆ ยับเยิน


ทว่ากลับเป็นศานนท์ที่ทรุดตัวนั่งข้างๆ ลงตรงฟุตบาทก่อนที่หนุ่มใหญ่จะเหยียดแขนโอบร่างที่สั่นเทาเอาไว้ แล้วลูบหลังช้าๆ อย่างปลอบประโลม


“ฉันขอโทษที่พูดแบบนั้น... กลับบ้านกันนะ”


ฟางความอดทนเส้นสุดท้ายขาดลง ตุลย์ก็สอดมือประสานกอดอีกฝ่ายไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำมาก่อน


ขอโทษ... เพราะขนาดในวินาทีสุดท้าย เขาก็ยังคว้าความรักของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว



ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1



หากความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาปราศจากความเชื่อใจแล้ว เขาก็ควรตัดตุลย์จากชีวิต จะได้ไม่ถลำลึกไปกว่าที่เป็นอยู่…



นั่นเป็นสิ่งสมเหตุสมผลที่สุด แต่ไม่ใช่สิ่งที่หัวใจรู้สึก


เขายังห่วงตุลย์…


และมันยากเหลือเกินที่จะมองข้ามความรู้สึกนี้



สุดท้ายความเป็นห่วงก็ทำให้ศานนท์ร้อนใจจนตามหาตัวปลายสาย เขายอมรับว่าส่วนหนึ่งพูดไปด้วยอารมณ์โกรธจากคราวก่อน บวกกับความรีบร้อนจะตัดความสัมพันธ์เพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกอาลัยอาวรณ์อีก แต่แทนที่จะโล่งอก มันกลับกลายปมติดค้างอยู่ในใจ


พอทราบมาบ้างว่าหลังหนีออกจากบ้าน ตุลย์ค้างอยู่กับลูกชายของอดีตมือขวา เขาจึงต่อสายหาเต้และขับรถตรงมาที่คลับ D ก่อนจะพบใครในความคิดนั่งชันเข่าร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทที่มีผู้คนเดินสวนมาในจุดที่ไม่ห่างจากคลับมาก ศานนท์ตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวรถจอดข้างฟุตบาท ก่อนจะลงจากรถตรงเข้าไปหา


ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นตุลย์ร้องไห้ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่…



แววตาของตุลย์ตอนที่เงยหน้าสบตาเขามันร้าวรานเหมือนคนที่โลกถล่มลงมา อ่อนแอและเปราะบางอย่างหมดเปลือก ไม่เหมือนคนดื้อดึงหัวรั้นคนนั้นที่เขารู้จัก กลายเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่พอปราศจากกำบังก็ไม่มั่นคงและหลงทาง และมันทิ่มแทงลึกในความรู้สึกที่ต้องรับรู้ว่า หัวใจของอีกฝ่ายแหลกลาญเพราะคำพูดร้ายกาจของเขา


วินาทีนั้น ทิฐิของเขาก็พังลงเช่นกัน


ศานนท์ทรุดตัวลงริมฟุตบาทดึงอีกฝ่ายมาปลอบประโลม เด็กหลงทางคนนั้นก็คว้าอ้อมไว้แทบทันทีเหมือนกลัวว่าเขาจะหายไปอีก พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยกันเกือบครึ่งชั่วโมงจนแน่ใจว่าตุลย์มีสติพอ เขาถึงประคับประคองร่างโปร่งมาที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลเพื่อกลับบ้าน


พอถึงบ้าน หนุ่มใหญ่ขึ้นมาที่ห้องนอนพร้อมตุลย์ สับเปิดไฟดวงหนึ่งในห้อง ขณะที่อีกคนเดินไปนั่งเงียบๆ ที่ปลายเตียง ตั้งแต่กลับมาตุลย์ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร ศานนท์จึงเป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบ


“ฉันยังอยากฟังเรื่องที่เธอจะเล่า...”


“...แต่ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้คุณเชื่อ” เสียงที่ตอบแหบแตก แผ่วเบาราวกับเหนื่อยล้าจนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทัดทานเขาได้ “ผมกับกายไม่ได้จูบกันจริงๆ ...”


“แต่วันนั้นเธอไปที่ร้านอาหารบูทิค แล้วก็โทรยกเลิกนัดฉัน”


ตุลย์พยักหน้าเบาๆ


“ใช่ ผมไปที่นั่นแต่ไม่ได้จูบกับใคร เขาล็อกผมแล้วขู่ให้ผมโทรยกเลิกนัดคุณ ผมไม่ได้จูบกับกาย ผมสาบาน... ที่คุณเห็นมันอาจเป็นมุมกล้อง”


ปลายประโยคอ่อนลงคล้ายขอร้องให้เชื่อ


“ข่มขู่เหรอ?”


“ผมรู้มันฟังดูเหมือนข้ออ้าง แต่เขามีคลิปของผมตอนอยู่ที่คลับ ...คลิปที่ผมมีอะไรกับเขา”


ตุลย์กัดปากเหมือนพยายามสะกดความรู้สึกที่เอ่อขึ้นมากลับลงไป แต่มันกลับพรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด


“ผมไม่ได้มีอะไรกับเขาจริงๆ คุณเชื่อผมเถอะ... ขอร้อง... ผมไม่รู้ต้องพูดยังไงให้คุณเข้าใจแต่ระหว่างผมกับกายมันไม่เคยมีอะไรเลย ผมไม่เคยยุ่งกับเขาหลังจากที่คุณซื้อผมมาจากคุณวัตร จะให้ผมสาบานยังไงก็ได้ ผมไม่ได้ทำ ผมไม่มีทางทรยศคุณ...”


แววตาที่ช้อนมองศานนท์มันร้าวรานและเต็มไปด้วยการขอร้องเหมือนกับตอนที่เจอตุลย์บนฟุตบาท สั่นคลอนอารมณ์เขาจนต้องเบนสายตาเลี่ยงไปอีกทาง เดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง


เรื่องนี้เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง…



เขามีหลักฐานภาพถ่ายและอาจรวมถึงคลิปที่ตุลย์พูดถึง แต่หากคิดกลับกันมันจริงอย่างตุลย์ว่า ภาพถ่ายใบเดียวใช่ว่าจะยืนยันทุกอย่างได้เสียเมื่อไหร่ ในเมื่อมันเป็นภาพนิ่ง มุมกล้องคลาดเคลื่อนก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้ ทว่า ณ เวลานี้ มันย่อมน่าเชื่อถือกว่าคำบอกเล่าลอยๆ เช่นเดียวกับเซ็กซ์เทปที่ตุลย์อ้างถึง


หลักฐานทุกอย่างมัดตัวตุลย์…



แต่มันก็ใช่ว่าจะถูกเสมอไป จากประสบการณ์ชีวิตทั้งบนดินและใต้ดิน ไม่ใช่ทุกครั้งที่หลักฐานเชื่อถือได้ บางที ‘ความเชื่อใจ’ ก็สำคัญยิ่งกว่า แม้ว่าทุกอย่างจะชี้ไปในทางตรงข้าม


เขาเคยมันพิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้ว


ตอนนี้... ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเชื่อใจตุลย์มากแค่ไหน…



คำโกหกของตุลย์บั่นทอนความเชื่อใจที่เขามีให้ มันคือเรื่องจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่าน แม้ว่าตุลย์จะโกหกปกปิดเรื่องกาย ช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันและความรู้สึกใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้ เขาก็รับรู้ด้วยใจได้ว่ามันเป็นของจริง


และเหนือสิ่งอื่นใด ใจของเขายังไม่อยากปล่อยตุลย์ไป



เขายัง ‘ห่วงหา’ อีกฝ่าย ไม่ใช่เพียงในฐานะของคนที่หลงรักหรือคู่นอนที่ไม่มีสถานะชัดเจนต่อกัน แต่ในฐานะของเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยังไม่แข็งแรงพอจะต่อกรกับทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ได้ด้วยคนเดียว


เขายังเชื่อว่าตุลย์ไม่ใช่เด็กที่เลี้ยงให้ดีไม่ได้

ดังนั้น...


“ฉันเชื่อเธอ”


เขาจะให้โอกาสตุลย์อีกครั้งหนึ่งแล้วกัน



ศานนท์หมุนตัว เดินวกกลับมาหาร่างที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น นัยต์ตาที่แหลกลาญคู่นั้นพร่าเอ่อด้วยน้ำตา เห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงข้างๆ รั้งตุลย์พิงไหล่ แล้วกอดปลอบอีกฝ่ายจนกระทั่งเสียงสะอื้นเบาๆ เงียบไป แต่กว่าจะหยุดใต้ตาเจ้าของร่างก็แดงช้ำไปหมด


หลังจากที่ร้องไห้ไปอีกระลอก ตุลย์ก็ยอมเล่าเรื่องทุกอย่างของกายให้ศานนท์ฟังตั้งแต่ต้น ทั้งเรื่องที่คลับ เรื่องที่เคยถูกซ้อม เรื่องที่โดนแบล็กเมล์เมื่อต้นเดือน ไล่มาจนถึงแผนการเอาคืนที่เขาและเต้รวมหัวกันคิดขึ้น และเพิ่งดำเนินการตามแผนเสร็จหมาดๆ เมื่อสี่ทุ่มที่ผ่านมา


ฟังจบ ศานนท์ก็ถึงกับถอนหายใจยาวอย่างหมดคำพูด


“เธอรู้มั้ยว่าดื้อ หัวแข็งแล้วก็ชอบดันทุรังทำอะไรคนเดียวไปหมดทุกอย่าง” ตำหนิอย่างอดไม่ได้


ผลกระทบจากแผนของตุลย์มันโยงใยเป็นข่ายไปถึงผู้สมรู้ร่วมคิดทุกคน จนชักไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้วางแผนแก้ปัญหาหรือเพิ่มปัญหากันแน่



“สิ่งที่เธอเพิ่งทำมันอันตรายมาก ถ้าเรื่องรู้ถึงหูส.ส. ไชยวัฒน์ว่าเธอมอมยาลูกชายเขา จัดฉากจะลักพาตัวแล้วยังขโมยโทรศัพท์มา มันไม่จบแค่นั้นแน่ ส.ส.ไชยวัฒน์ไม่ใช่คนมือสะอาด ไปเหยียบเท้าคนใหญ่คนโตแบบนั้นเข้า ต่อให้เป็นกานต์ก็ลำบาก ตราบใดที่เธอยังอยู่ในเมือง ยังเรียนอยู่ที่ม. A เธอไม่มีทางหนีเขาพ้น”


“ผมขอโทษ...” ตุลย์เอ่ยเสียงเบาหวิว


ศานนท์ถอนหายใจอีกรอบก่อนจะลุกขึ้น บอกตามตรงว่าตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดไม่น้อย แต่ก็เลือกซ่อนสีหน้าไว้เพราะกังวลว่ามันจะส่งผลต่ออารมณ์ที่ไม่มั่นคงอยู่แล้วของตุลย์


“เอาเถอะ ยังไงพวกเธอก็ทำไปแล้ว แต่ต่อไปถ้าจะทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้ ให้ปรึกษาฉันก่อนตกลงมั้ย?”


คนถูกถามพยักหน้าหงึกๆ


“คราวนี้ฉันจะต้องตักเตือนเต้สักหน่อยแล้ว ชักจะพาเธอเสียคนไปใหญ่”


“...แล้วคุณจะเป็นอะไรมั้ย” สีหน้าตุลย์ตอนที่ถามดูเป็นกังวลกับสวัสดิภาพของเขา อารมณ์โมโหเมื่อครู่ก็คลายลงบางส่วน


ศานนท์ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ เขาทำอะไรฉันไม่ได้ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจะจัดการต่อเอง... เพราะถ้าฉันรู้ว่าเด็กนั่นทำกับเธอแบบนี้ ฉันก็คงไม่เอาเขาไว้แต่แรกเหมือนกัน”


-----------------------------


เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ชายวัยกลางคนที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาในโถงนั่งเล่นโออ่าก็ขยับตัวเอื้อมหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาที่กำลังส่งเสียง แปลกใจไม่น้อยเมื่อสายเข้าเป็นชื่อของคนที่ไม่ควรโทรมาในเวลาปกติ


“สวัสดีครับ คุณศานนท์” ไชยวัฒน์กดรับ กรอกเสียงถามตามมารยาท “มีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ?”


“ผมมีเรื่องที่ ‘สำคัญมาก’ อยากจะขอคุยหน่อย ตอนนี้ผมใกล้ถึงคฤหาสของคุณแล้ว”


ผู้ฟังตกใจแทบไม่เชื่อหู ไชยวัฒน์ต่อรองขอเปลี่ยนสถานที่นัดพบ แต่ปลายสายก็ชิงมัดมือชกแกมข่มขู่เสียก่อน


“เป็นเรื่องด่วนที่รอไม่ได้ ผมอยากให้คุณเข้าใจ เห็นแก่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างกัน”


ถูกรุกตีถึงในบ้าน ชายวัยกลางคนก็แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ


“ถ้างั้นผมจะแจ้งคนดูแลให้เปิดประตูให้” เขายอมตกลงเพราะไร้ทางเลือก


ทางที่ดี อย่าเผลอทำอะไรขัดใจนายทุนคนนี้เข้าจะดีกว่า



ห้านาทีต่อมาเจ้าของเงินทุนรายใหญ่ของเขาก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ ทว่าไม่มาตัวคนเดียวแต่นำการ์ดจำนวนหนึ่งมาด้วย ยังไม่รวมถึงมือซ้ายคนสนิท บ่งบอกว่าเป็นธุระใหญ่ดังเจ้าตัวว่า


ท่าทีนั้นทำให้ไชยวัฒน์เป็นกังวล แม้เขาจะพยายามเจรจาอยู่นานสองนาน แต่ศานนท์ก็ยืนกรานจะให้การ์ดติดสอยห้อยตามเข้ามาภายในคฤหาสน์ด้วย สุดท้ายเจ้าบ้านก็ยอมผ่อนตามเพราะไม่อยากขัดใจ


ชาถ้วยเล็กถูกนำมาเสิร์ฟโดยแม่บ้านประจำตระกูล โดยที่มีการ์ดของศานนท์สองคนยืนคุมอยู่บริเวณประตูทางเข้าฝั่งใน ส่วนที่เหลือกระจายตัวตามจุดต่างๆ ในโถงห้องนั่งเล่น ทำให้บรรยากาศการสนทนาระหว่างผู้มาเยือนและเจ้าของบ้านเครียดเกร็งและกดดัน


“ผมจะเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ลูกชายของคุณมายุ่งกับคนของผมและเขาทำให้คนของผมเสียหาย”


“ผมตักเตือนเขาไปแล้ว” ไชยวัฒน์ยืนกราน “แถมยังยอมให้คุณตักเตือนคราวนั้นอีก”


ใช่... เขาหมายถึงเรื่องพักการเรียน หากคนที่กายไปยุ่งด้วยไม่ใช่ศานนท์ เขาจะไม่ยอมเอาอนาคตของลูกชายมาเกี่ยวเป็นอันขาด



ศานนท์โคลงศีรษะเบาๆ กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “คุณไชยวัฒน์... ลูกชายคุณแบล็กเมลคนของผม จะให้ผมนิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไรได้ยังไง”


ผู้ฟังขมวดคิ้ว นิ่งไปอึดใจคล้ายไม่อยากเชื่อ


“ผมไม่ทราบเรื่องนั้นเลย...”


“ผมจะไม่ถือว่านั่นเป็นคำตอบ เพราะหน้าที่ของคุณคือดูแลรับผิดชอบการกระทำของลูกชาย และครั้งนี้ผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นมันใหญ่ สิ่งที่เขาทำมันส่งผลต่อชื่อเสียงคนของผม มันทำให้ผมวุ่นวายและเกิดความเสียหายต่อธุรกิจ”


คำว่า ‘ความเสียหายต่อธุรกิจ’ ทำเอาคู่สนทนาเหงื่อตก


“ผมขอโทษแทนกายมันด้วย ผมจะตักเตือนให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ทำอีก”


เป็นอีกครั้งที่ศานนท์โคลงศีรษะ ไม่รับคำขอโทษของอีกฝ่าย


“เรื่องนี้ผมปล่อยไปไม่ได้ ผมต้องการหลักประกันว่ามันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง พูดตามตรงผมไม่สนความสัมพันธ์ทางธุรกิจนี้ ถ้าลูกชายของคุณยังสร้างความเสียหายให้ผมและคนของผม”


ไชยวัฒน์เข้าใจนัยของประโยคดี เมื่อเรื่องเงินทุนถูกหยิบขึ้นมาต่อรอง เขาก็จำต้องยอมฟังข้อเสนอของอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้


“...แล้วคุณอยากผมทำยังไง”


“ผมอยากให้เขาลาออกจากมหาวิทยาลัย”


ประโยคนั้นทำให้ชายวัยกลางคนอึ้ง เขารีบยั้งความคิดของคู่สนทนาไว้ทันที


“คุณศานนท์! ผมเข้าใจว่าคุณไม่พอใจเรื่องที่ลูกชายผมไปก่อปัญหาให้คนของคุณ แต่ผมอยากให้เข้าใจในฐานะของคนเป็นพ่อด้วย ว่าอนาคตลูกชายผมสำคัญแค่ไหน ม. A เป็นม. ที่มีชื่อเสียงด้านการแสดงที่สุดในประเทศ ผมย่อมต้องอยากให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด”


“ครับ แน่นอน... ผมเข้าใจ เพราะผมก็ต้องการให้คนของผมมีอนาคตที่ดีเหมือนกัน ไม่ใช่อนาคตที่ถูกลูกชายเกเรของคุณจ้องจะคอยทำลาย ผมมีทางเลือกให้คุณทางเดียว ไม่เช่นนั้นผมจะถอนทุน...”


ศานนท์ยืนกราน แววตาของเขานิ่งเรียบแต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าชายคนที่อยู่ต่อหน้าเขาคนนี้พูดจริงเสมอ และเมื่ออีกฝ่ายยืนยันความต้องการชัดเจน ส.ส. วัยกลางคนก็ทำได้เพียงแค่เงียบ ด้วยความรู้สึกชาหนึบราวกับเพิ่งถูกตีแสกหน้า


แน่นอนว่าเขารักลูกชาย ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะเกเรแค่ไหน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยนายทุนคนนี้ไปไม่ได้…



อิทธิพลที่ได้มาทุกวันนี้ นอกเหนือจากเงินทุนของศานนท์ที่ใช้หาเสียงจัดแคมเปญสำคัญจนชนะเลือกตั้งในเขตใจกลางเมืองกรุงได้ ก็มาจากเส้นสายเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่ศานนท์เป็นคนฝากฝังกรุยทางให้ทั้งนั้น ถ้าขาดนายทุนคนนี้หนุนหลัง อิทธิพลเขาคงไม่แข็งแรงพอจะยืนหยัดในตำแหน่งทางการเมืองและธุรกิจใต้ดินได้เหมือนเดิมแน่...




“เชี่ยอะไรวะเนี่ย!” กายสบถหลังวางจากสายจากเอเจนซีโฆษณาครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้


จู่ๆ งานถ่ายแบบของเขาก็ถูกยกเลิกกลางอากาศตั้งแต่เช้า จากนั้นก็มีสายโทรเข้ายกเลิกงานไม่หยุดไม่หย่อน แต่ละงานล้วนเป็นงานใหญ่ที่ต้องอาศัยเส้นสายของพ่อในการเข้าถึง แต่พอโทรหาผู้เป็นบิดา เจ้าของโทรศัพท์ก็ไม่รับสายเสียอย่างนั้น


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรีบออกจากมหาวิทยาลัยขับรถตรงดิ่งกลับมาที่คฤหาสน์ด้วยความโมโหกึ่งร้อนใจ ไม่ได้ใส่ใจรถปริศนาสองคนที่จอดอยู่ตรงลานหน้าทางเข้าบ้าน พอมือคว้าลูกบิดประตูได้ กายก็โผล่หน้าเข้าไปด้านในโถงทันที


“พ่อนึกยังไงถึงปล่อยให้งานผมโดนแคนเซิล!? นี่สายเข้าไม่หยุดตั้งแต่...”


โวยไปได้ครึ่งเดียว เสียงของกายก็หายไปดื้อๆ เมื่อเขากำลังยืนประจันหน้ากับการ์ดร่างใหญ่สองคนหน้าประตู คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านในล้วนพุ่งความสนใจมาที่เขา ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ บ้านของเขาไม่ได้มีเพียงแค่พ่อและคนใช้หน้าเดิมๆ ที่เห็นจนชินตา...


โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามพ่อ วินาทีนั้น ความทรงจำคืนที่มืนเมาก็ย้อนกลับมาในสมอง...


“ผมว่าเราคุยกันมานานแล้ว คงสมควรแก่เวลา”


ศานนท์พูดกับเจ้าของบ้านก่อนลุกขึ้น การ์ดรอบตัวเขาก็เคลื่อนไหวตามราวกับเงา เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ


ความกลัวที่หลงเหลืออยู่จากคืนนั้นทำให้กายถอยหลังออกมาจากทางเข้าหลายก้าวเพื่อหลบให้พ้นนายทุนของพ่อ แต่แทนที่ศานนท์จะผ่านร่างของเขาไปเฉยๆ อีกฝ่ายกลับหยุดฝีเท้าประจันหน้า


“กาย” ชายวัยกลางคนเรียกชื่อเขาแบบเดียวกับคืนนั้น “ตุลย์เป็นคนของฉัน ไม่ใช่ของเธอ ที่ฉันมาวันนี้ถือว่าเป็นคำเตือนสุดท้าย เพราะหลังจากนี้ถ้าเธอยังยุ่งกับเขาอีก ไม่ว่าคฤหาสน์ที่เธอยืนอยู่นี่หรืออิทธิพลเส้นสายของไชยวัฒน์ ฉันก็จะกวาดทิ้งไม่ให้เหลือ เข้าใจมั้ย?”


สิ้นคำเตือนก่อนที่ผู้พูดจะเดินสวนออกไปเพื่อกลับขึ้นรถ กายก็ยืนแข็งทื่อเหงื่อชุ่มเย็นไปทั้งหลัง จนแน่ใจว่ารถของศานนท์ขับออกไปแล้ว เขาถึงตรงไปหาผู้เป็นพ่อ ส่งสายตาคล้ายขอให้ช่วยเหลือจากทั้งหมดทั้งมวล


ไชยวัฒน์ได้แต่ถอนหายใจ กุมหน้าผากส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง


“แกทำให้เรื่องมันปานปลายจนฉันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะทำเรื่องย้ายแกม. ให้แก ไม่งั้นก็ส่งแกไปเรียนต่างประเทศซะ ถ้าแกยังรักครอบครัวนี้อยู่บ้าง ก็หยุดทำตัวเกเรแล้วเริ่มต้นเป็นผู้ใหญ่ซักที”


-----------------------------
ในที่สุดเราก็เดินทางผ่านไคลแม็กซ์ของเรื่องมากแล้วค่ะ เป็นสถิติใหม่ของเมลล่าเลยยย
ไม่รู้ว่าดราม่าแค่ไหน แต่เมลล่าพยายามที่สุดแล้วค่ะ ถถถถ

ส่วนอีกเรื่องที่จะแจ้งคือ สรุปมีตอนที่ 33 นะคะเพราะหน้ากระดาษไม่พอ
ไม่สามารถเก็บปมทั้งหมด รวมทั้งความสัมพันธ์ตัวละครให้ครบได้ก่อนตอนจบค่ะ เลยมีต่อ  555555

ทิ้งฟีตแบ็กไว้ได้เหมือนเดิมนะคะ รักนักอ่านที่สุดดดด
ขอบคุณที่ติดตามกันมาเสมอ และทำให้เมลล่ามาได้ไกลขนาดนี้ค่ะ
ตอนหน้าพบกันวันอาทิตย์นะคะ ถ้าโชคดีอาจลงบทส่งท้ายไร่เรี่ยๆ กันค่ะ
<3

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
บอกเสี่ยตั้งแต่แรกก็ไม่ดราม่าแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
หาคู่ให้เต้ด้วยนะ

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
บอกเสี่ยตั้งแต่แรกก็จบแล้ว แต่ตอนร้องไห้น่าสงสารมาก
 :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Last Night : หวนคืนสู่อดีต

 
เป็นที่รู้กันดีว่ากายมีชื่อฉาวโฉ่เรื่องทะเลาะวิวาท ข่าวการลาออกกะทันหันของเขาจึงแพร่สะพัดไปในหมู่นักศึกษาอย่างรวดเร็วและสร้างความสงสัยให้กับหลายคน กายเคยก่อเรื่องวิวาททั้งในและนอกมหาวิทยาลัยหลายครั้ง ใครๆ ก็รู้ว่าชายหนุ่มรอดมาได้เกือบปีเพราะบุญคุณของผู้เป็นพ่อที่มีต่อมหาวิทยาลัย แต่อยู่ๆ วันดีคืนดีก็ถูกพักการเรียน แถมต่อมายังย้ายออก ผู้คนจึงตั้งข้อสงสัย คาดเดาเหตุผลกันไปต่างๆ นานา
 
 
คงจะมีแค่ตุลย์ และผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์คืนนั้นที่รู้ถึงเหตุผลการลาออกของกาย…
 
 
“ดีจัง กายไม่อยู่แล้ว”
 
 
จีจี้เอี้ยวตัวบิดขี้เกียจโล่งอก หลังเก็บเครื่องเขียนและหนังสือเรียนใส่กระเป๋าถือราคาแพงใบโปรด เพื่อเตรียมออกไปทานมื้อกลางวันกับเพื่อน
 
 
เดิมทีเธอคือคนที่ถูกกายตามตื๊อมาแต่ต้น ถึงแม้พักหลังจะซาลงบ้างตั้งแต่ตกลงคบกับแม็ก แต่กายก็ยังมุ่งเป้ามาที่กลุ่มของเธอ โดยเฉพาะกับไม้เบื่อไม้เมาอย่างตุลย์ การที่อีกฝ่ายย้ายออกไปจึงเปรียบเสมือนการันตีว่าเธอและเพื่อนๆ จะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างกลัวว่าจะถูกรังควานอีก
 
 
“เออ กูล่ะดีใจ๊ดีใจที่มันโดนพักการเรียนตอนมีเรื่องกับมึงล่าสุด ออกๆ ไปได้ยิ่งดี จะได้เลิกตามตื๊อสักที นี่กูนึกว่าต้องทนมันจนครบสี่ปีด้วยซ้ำ” แม็กย่นคิ้ว ไม่ค่อยพอใจเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต
 
 
ในที่สุดเรื่องวุ่นวายทั้งหมดก็มาถึงตอนจบแบบที่ตุลย์คาดหวัง ครั้งหนึ่งผู้คนเคยจดจำภาพเขาในฐานะเด็กขาย แต่นานวัน ภาพลักษณ์นั้นก็ถูกกลบลบด้วยชื่อเสียงจากงานแสดง คำครหานินทาที่เคยได้ยินก็ไม่มีอีก แม้จะเสียเวลาไปเกือบปีเต็ม แต่ก็เป็นชีวิตในแบบที่เขาฝันใฝ่
 
 
ต่อจากนี้ เขาคงเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่ติดจะมีชื่อเสียงนิดหน่อย ได้ใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างที่ควรเป็น และเป็นอิสระจากการควบคุมของคนอื่นอย่างแท้จริง
 
 
 
 
กลางวันนั้น หลังโทรนัดเต้ออกมาทานมื้อกลางวันที่ร้านประจำอย่างเคย กลุ่มของเขาก็ย้อนกลับมานั่งเล่นที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้คณะฆ่าเวลาตอนบ่าย นั่งได้สักพักใหญ่ คุยกันเรื่องสัพเพเหระจนคอแห้ง จีจี้ก็เกิดหิวของกินจุกกินจิกขึ้นมา เจ้าตัวเลยอาสาออกไปซื้อเครื่องดื่มเผื่อเพื่อนโดยไม่ลืมพ่วงแม็กไปด้วย ทิ้งคนที่เหลือไว้ที่ม้านั่ง
 
 
ตุลย์มองตามชายหญิงทั้งคู่เดินลงบันไดสั้นๆ หน้าตึก จับมือกันข้ามถนนเส้นเล็กลับสายตาไป
 
 
ความสัมพันธ์ระหว่างจีจี้และแม็กไม่ถือว่าพัฒนาก้าวกระโดด นับจากวันที่เขาแนะนำให้ชายหนุ่มจีบเธอ ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็คบกันอย่างเปิดเผย แม็กไปรับไปส่งเธอสม่ำเสมอ และทั้งคู่ก็ดูสนิทกันขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นกอง
 
 
ไม่หวือหวานัก แต่ก็เป็นไปในทางบวก…

 
 
เขาอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเบนความสนใจมาที่ใครอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างตัว กำลังตั้งอกตั้งใจเล่นเกมโทรศัพท์อย่างที่เห็นได้ไม่บ่อย
 

เขาสะสางปัญหาส่วนตัวแล้ว แต่ยังไม่ได้สะสางเรื่องที่ติดค้างกับเต้…

 
 
“เรื่องคืนนั้น มึงโดนอะไรบ้างหรือเปล่า...” ตุลย์ถาม ท้ายประโยคอ่อนลงเจือความรู้สึกผิด
 
 
“ก็นิดหน่อย"
 
 
เต้ปลายหางตามองผู้พูดวินาทีเดียว จากนั้นก็กลับไปจดจ่อกดจอต่อ
 
 
"โดนสั่งว่าถ้าจะไปไหนมาไหนกับมึงอีกให้บอกป๊าก่อนทุกครั้ง ไม่งั้นจะให้เลิกชกมวย”
 
 
“ขอโทษ...” ตุลย์หน้าเจื่อนลง
 
 
“ไม่เป็นไร”
 
 
“ไม่ใช่... กูขอโทษที่หลอกใช้ความรู้สึกมึง”
 
 
ปลายนิ้วที่เลื่อนบังคับจอพลันชะงัก เต้เงยหน้ามองคู่สนทนา สีหน้าและแววตาแสดงออกว่าแปลกใจราวกับไม่นึกว่าจะได้ยินประโยคเมื่อครู่จากปากของคนที่ตนคิดเกินเลยกว่าเพื่อน
 
 
“มึงรู้...”
 
 
“ใช่... กูรู้มาสักพักแล้ว” ตุลย์พยักหน้ายอมรับ
 

เขารู้ว่าเต้ชอบ ...รู้โดยสัญชาตญาณ ก่อนคืนที่พวกเขานอนค้างด้วยกันที่คอนโดเสียอีก
 
 
...ทั้งที่รู้ แต่ก็ยังใช้ความใจอ่อนของอีกฝ่ายขอร้องให้ทำเรื่องต่างๆ ให้

 
 
“...แล้วมึงรู้สึกยังไง? ” คำถามเรียบง่ายนั้น แต่กลับแฝงความคาดหวังรอคอยในคำตอบ มันทำให้ตุลย์กระอักกระอ่วนใจ
 
 
“กูไม่ได้รู้สึกแบบนั้น...” ร่างโปร่งระบายลมหายใจเบาๆ “กูรู้ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่มึงต้องการ เทียบกับทุกอย่างที่มึงยอมช่วยกูแล้ว กูขอโทษ...”
 
 
ความเงียบโรยตัวระหว่างพวกเขา เสียงลมพัดตีเสียดสีกับใบไม้ดังครืดคราด กิ่งและลำต้นลู่ไหวตามแรงลม ก่อนสายลมนั้นจะพัดชโลมผ่านจุดที่พวกเขานั่งอยู่
 
 
ในที่สุด เต้ก็พยักหน้าช้าๆ คล้ายยอมรับในคำตอบของเขา
 
 
“แบบนี้ก็ดี กูจะได้เลิกหวัง”
 
 
“แต่เรื่องที่มึงเป็นเพื่อน กูไม่ได้โกหก... มึงทำให้กูนึกถึงชีวิตตอนมัธยมก่อนจะย้ายเข้ามาในเมือง ชีวิตที่นี่มันไม่เหมือนกับที่ที่กูโตมา มึงทำให้กูรู้สึกเหมือนได้กลับไปทำอะไรแบบเดิมๆ เหมือนที่เคยทำในความทรงจำเก่าๆ ... กูขอโทษที่ลากมึงมาเกี่ยวกับเรื่องของกูจนมึงซวยไปด้วย...”
 
 
ตุลย์สารภาพอย่างหมดเปลือก แต่แทนที่จะโกรธ ผู้ฟังกลับยิ้มมุมปาก นับว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ตุลย์เห็นอีกฝ่ายยิ้ม
 
 
“เออน่า กูรู้ กูยกโทษให้”
 
 
เต้ไม่ได้หลงรักตุลย์หัวปำจนประเคนทุกอย่างให้ได้เหมือนกับศานนท์ ความรู้สึกที่มีให้ตุลย์ มันคือการติดใจชอบใครสักคนหนึ่งเท่านั้น จริงอยู่ที่เขายอมทำตามคำขอของอีกฝ่ายส่วนหนึ่งก็เพราะชอบ แต่อีกส่วนก็เพราะเห็นตุลย์เป็นเพื่อนเช่นกัน
 
 
คนอย่างเขาไม่มีทางไม่นิ่งนอนใจ ปล่อยให้เรื่องอะไรเกิดขึ้นกับ ‘เพื่อน’ เป็นอันขาด
 
 
เพียงแต่เขาไม่ทราบมาก่อนว่า ตุลย์ ‘รับรู้’ ถึงความรู้สึกที่เกินเลยกว่าเพื่อนตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายเปิดปากพูดเมื่อสักครู่
 

ในเมื่อตุลย์เลือกจะมาสารภาพว่ารู้เอาตั้งป่านนี้ เขาจะแก้เผ็ดด้วยการรับคำขอโทษของอีกฝ่ายไว้โดยไม่บอกอะไรก็แล้วกัน…

 
 
เต้เอื้อมมาตบไหล่เพื่อนทีหนึ่ง “แล้ววันนี้มึงจะซ้อมด้วยมั้ย กูจะได้โทรบอกป๊า”
 
 
“เออได้ กูก็ไม่ได้ชกมาสักพักแล้วเหมือนกัน” ตุลย์หักข้อนิ้วดังเปาะ ท่าทางคันไม้คันมืออย่างปากว่า
 
 
แต่การหวนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ บางครั้งมันทำให้ตุลย์นึกสงสัยและอยากรู้ ว่า ณ เวลานี้ คนที่เขา ‘เคยรู้จัก’ จะใช้ชีวิตยังไงกันบ้าง...
 
 
-------------------------

 
ศานนท์ตื่นแต่เช้า แต่งตัวลงบันไดมาที่ชั้นล่างของบ้านเพื่อทานอาหารเช้าก่อนเข้าบริษัทตามปกติ ส่วนใหญ่เขาจะแวะไปส่งตุลย์ที่มหาวิทยาลัยก่อนเสมอ ทว่าวันนี้หนุ่มใหญ่กลับต้องเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อพบผู้อาศัยอีกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวริมประตูบานเลื่อนกระจกติดกับชานน้ำตกเล็กๆ ซึ่งอยู่นอกบ้าน กำลังรออาหาร ขณะที่หญิงวัยกลางคนผู้รับหน้าที่จัดการอาหารการกินของพวกเขาค่อยๆ ทยอยเอาเมนูต่างๆ มาเสิร์ฟที่โต๊ะ
 
 
เว้นเสียแต่ว่าร่างโปร่งยังอยู่ในเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ไม่ใช่ชุดนักศึกษาเหมือนทุกวัน
 

ถ้าเขาจำไม่ผิด นี่เป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาคที่ตุลย์ยังมีเรียน…

 
 
แววตาสงสัยของศานนท์ขณะเลื่อนเก้าอี้ ทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารเรียกให้ตุลย์สารภาพเสียงอ่อน
 
 
“คือ… วันนี้ผมไม่อยากไปเรียน...”
 

งั้นก็แปลว่าโดดเรียน…

 
 
หนุ่มใหญ่ลอบอือออในใจ
 
 
“เอ่อ…” ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งร่างที่นั่งตรงข้ามก็เอ่ยปากขอ “...ผมอยากไปที่ที่นึง ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้ผมทำอะไรคนเดียว ถ้างั้น… ผมขอให้คุณไปด้วยจะได้มั้ยครับ? ”
 
 
 
ซีดานสีดำราคาแพงเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้าสู่ตรอกเส้นหนึ่งซึ่งเป็นซอยตัน ก่อนจะหักเทียบจอดสนิทริมฟุตบาท
 
 
ในยามกลางคืน ตรอกเส้นนี้มักคึกคักด้วยเสียงเพลงสนุกสนานจากคลับและบาร์ เป็นที่ที่เหล่าพนักงานและสิงห์อมควันมักจะออกมายืนสูบบุหรี่ผ่อนคลายอารมณ์กัน แต่ในเวลากลางวันเช่นนี้ อาคารร้านต่างๆ ยังไม่เปิดทำการ ประตูเหล็กม้วนก็ถูกรูดปิดสนิท มองดูเงียบเหงาร้างผู้คนผิดกัน
 
 
“เธอแน่ใจเหรอว่าอยากกลับมาที่นี่...”
 
 
ศานนท์ถาม สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ค่อยสบายใจ ขณะที่ตุลย์ชะโงกผ่านกระจกเมียงมองประตูหลังของไนต์คลับ
 
 
“ฉันไม่อยากให้เธอเข้าไปข้างใน เพราะตามหลักแล้วฉันตามเข้าไปในคลับของธวัตรไม่ได้...”
 
 
หนุ่มใหญ่อธิบาย
 

แม้จะซื้อตุลย์มาในราคาที่สูงลิบลิ่วจนธวัตรพอใจ แต่ก็ใช่ว่าความสัมพันธ์ภาพรวมระหว่างเขาและธวัตรจะจบลงสวยนัก หากจะหักหาญกับผู้ที่มีอิทธิพลใต้ดิน เขาคงต้องใช้วิธีสกปรกเช่นเดียวกับฝ่ายนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยอยากล้ำเข้าไปในเขตของธวัตรหากไม่จำเป็น
 
แต่…

 
 
“ถ้าเธอยืนยันจะเข้า ฉันจะตามไปด้วย...”
 
 
คราวนี้เป็นตุลย์ที่สั่นศีรษะ รีบเบรกความคิดของหนุ่มใหญ่ “ไม่ครับ ผมไม่เข้าไปหรอก แค่จะรอคนออกมาน่ะ”
 

พูดตามตรง แค่ได้ยินชื่อ ‘ธวัตร’ เขาก็รู้สึกขื่นหูจนไม่อยากเกี่ยวพันด้วยแล้ว…

 
 
ตุลย์ทอดสายตามองประตูเหล็กหลังร้านที่เปิดแง้มไว้สามในสี่ส่วน มันยังเป็นสถานที่ที่คุ้นในความรู้สึก มีเรื่องราวทั้งดีทั้งแย่เกิดขึ้นปะปนกัน ปกติแล้ว คลับของธวัตรจะปิดดึก พนักงานจึงมักอยู่ทำตามสะอาดกันจนเกือบเช้าก่อนจะเริ่มทยอยกลับ หากเป็นสมัยที่ตุลย์ยังทำงานในคลับ ช่วงสายๆ อย่างวันนี้ น่าจะมียังมีพนักงานบางส่วนเหลืออยู่บ้าง...
 
 
จู่ๆ เงาร่างคนที่วูบไหวอยู่ด้านในร้านซึ่งไม่สว่างนักก็เรียกความสนใจตุลย์ ไม่นานชายคนหนึ่งในชุดลำลองก็ก้มตัวผ่านประตูเหล็กออกมาด้านนอก สบโอกาสตุลย์จึงเลื่อนกระจกข้างลง ตะโกนเรียกพนักงานชายคนนั้นเต็มเสียง
 
 
ฝ่ายผู้ถูกเรียกชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางเดินเข้ามาใกล้รถซีดานคันสีดำอย่างลังเล พลางก้มตัวนิดหน่อยเพื่อให้เห็นผู้เรียก ก่อนต่างคนต่างตกใจเมื่อเห็นหน้ากันและกันชัด
 
 
“พี่ที่เป็นบาร์เทนเดอร์ประจำนี่! ”
 
 
“ใช่ ตุลย์ใช่มั้ย? อยู่ๆ ก็หายหน้าหายตาไป ไม่ได้มาทำที่คลับตั้งเกือบปีแล้วนี่นา? ”
 
 
เจ้าของชื่อพยักหน้า ยิ้มนิดหน่อย “ครับ พอดีมีปัญหาส่วนตัวครับ เลยเลิก”
 
 
เขาตอบโดยเลือกที่จะไม่เล่ารายละเอียดอะไร
 
 
“แล้วเก้าล่ะครับ ยังทำงานที่นี่อยู่มั้ย”
 
 
“ก็เข้านะ แต่ว่าเข้าสัปดาห์ละแค่สองครั้ง เห็นว่าเรียนหนักขึ้นเลยมาทำบ่อยๆ ไม่ได้”
 
 
คำตอบของบาร์เทนเดอร์หนุ่มทำให้ตุลย์ถอนใจโล่งอก
 

เมื่อเช้าเขายังเป็นกังวลอยู่ว่าจะหาตัวอดีตเพื่อนไม่พบแล้ว…

 
 
“แล้วเข้าวันไหนบ้างครับ”
 
 
“วันที่บาร์คนไม่พอ... น่าจะศุกร์กับเสาร์นะ”
 
 
“เหรอครับ อีกนานเลย...” ตุลย์มุ่นคิ้วครุ่นคิด
 

วันนี้เพิ่งวันจันทร์ เขาไม่อยากรอนานถึงวันศุกร์เพื่อพบเก้า แถมการเข้าไปในคลับยังไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกด้วย…

 
 
“อ้าว ทำไมไม่โทรไปล่ะ เปลี่ยนเบอร์หรือยังไง? ”
 
 
ตุลย์รีบพยักหน้าหงึกหงัก
 
 
“งั้นเอาโทรศัพท์มานี่ เดี๋ยวจะเมมเบอร์ให้”
 
 
บาร์เทนเดอร์ชายล้วงหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง เขาจิ้มหน้าจอเครื่องตัวเองอยู่พักหนึ่งก็แบมือขอโทรศัพท์จากตุลย์ไปจดเบอร์ ก่อนจะถึงส่งคืนให้เขา
 
 
 
เที่ยงนั้น ตุลย์จึงต่อโทรศัพท์หาอดีตเพื่อนเพื่อนัดออกมาทานมื้อกลางวันแถวโซนร้านอาหารใกล้กับมหาวิทยาลัยของอีกฝ่าย เสียงปลายสายฟังดูตกใจมากตอนที่รู้ว่าเป็นเขาก่อนจะเริ่มโวยวายใส่เพราะเขาขาดการตัดติดกับฝ่ายนั้นไปเกือบปี ตุลย์ต้องพยายามอธิบายอยู่นานกว่าเก้าจะยอมเข้าใจเหตุผล แต่ก็ไม่วายยังโดนด่าทิ้งท้าย
 
 
“ขนาดเบอร์กูมึงก็ยังไม่เก็บไว้ ใจดำชิบหาย! ”
 
 
หลังจากที่ยอมรับคำขอโทษของเขา ตุลย์ก็นัดเจอเก้าที่ร้านอาหารชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าหรูขึ้นชื่อ ใกล้มหาวิทยาลัยของอีกฝ่ายชนิดที่เดินมาก็ถึง
 
 
ตุลย์เคยมาที่ห้างนี้ครั้งหนึ่งตอนที่ซื้อเนกไทให้ศานนท์ แต่พอเป็นชั่วโมงเร่งด่วนที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านอย่างตอนนี้ เขากลับต้องอาศัยหนุ่มใหญ่ที่คุ้นชินกับพื้นที่กว่าคอยนำทาง
 
 
“น่าจะร้านนี้ล่ะ”
 
 
ศานนท์ดันหลังเขาเบาๆ ผ่าผู้คนมาถึงหน้าร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งซึ่งมีลูกค้าจับจองเกือบเต็มพื้นที่แล้ว ทันทีที่มาถึงตุลย์ก็พบเก้ายืนละล้าละลังคล้ายไม่แน่ใจอยู่หน้าร้าน อีกฝ่ายเผยสีหน้าตื่นเต้นเมื่อเห็นเขา ก่อนจะวิ่งเข้ามาคล้องคอโอบไหล่แน่นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลเหมือนรัดกันให้ตายไปข้าง
 
 
“ไม่เจอกันนานมาก กูนึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้ามึงแล้วซะอีก ...จะว่าไปมึงนี่ตัวแน่นขึ้นเยอะ” พูดพลางมองร่างของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์หัวจรดเท้า “ไปเล่นกล้ามมาใช่มั้ย ตอบมา! ”
 
 
“ใช่” ตุลย์กอดคอตอบ
 
 
จังหวะที่สายตาของเก้ามองข้ามไหล่เพื่อนไป ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเพื่อนของเขาพ่วงท้ายใครอีกคนหนึ่งมาด้วย ชายหนุ่มหรี่ตาเล็ก หันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนเกลอ
 
 
“ผู้ปกครองเหรอ? ทำไมกูคุ้นหน้าเขาจัง...”
 
 
“แขกคนนั้นไง ที่กูทำโคล่าของมึงหกใส่”
 
 
ผู้ฟังร้อง ‘อ๋อ’ ทีหนึ่งก่อนจะยิ่งย่นคิ้วหนักกว่าเก่า
 
 
“แล้ว...”
 
 
“กูอยู่กับเขามาเกือบปีแล้วตั้งแต่ออกมาจากคลับ”
 
 
เก้าตาโต ริมฝีปากขยับเป็นคำว่า ‘ว้าว’ โดยปราศจากเสียง ก่อนจะปล่อยมือจากคอตุลย์แล้วหันไปสวัสดีหนุ่มใหญ่อย่างกลัวว่าจะเสียมารยาท
 
 
พอแจ้งจำนวนคนกับบริกรหญิงหน้าร้าน เธอเชิญพวกเขาเข้าไปด้านในแล้วนำเมนูอาหารมาให้ ศานนท์นั่งทานข้าวกับทั้งสองด้วยโดยนั่งตำแหน่งข้างตุลย์
 
 
ทีแรกเก้าก็ออกจะเกร็งอยู่บ้าง แต่พอตุลย์เริ่มถามถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากที่แยกกัน ชายหนุ่มก็ดูผ่อนคลายขึ้น เล่าเรื่องของตัวเองเป็นต่อยหอย
 
 
“แล้วพี่บีล่ะ”
 
 
ฟังเรื่องของเก้าจบ ตุลย์ก็อดถามถึงอีกคนหนึ่งไม่ได้ สำหรับเขาบีเป็นเสมือนพี่สาวที่เขายังห่วงใยและอยากรู้ความเป็นไปของเธอ
 
 
“เออ นั่นแหละ ว่าจะเล่าอยู่”
 
 
เก้าเว้นจังหวะเล็กน้อย ตาวาวตอนที่เห็นกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่นอนคว่ำอยู่ในต้มยำหม้อไฟที่บริกรยกมาเสิร์ฟ
 
 
“พี่บีเพิ่งออกจากคลับไปเมื่อประมาณสามเดือนก่อนหน้านี้เอง พอออกปุ๊บกูก็เหงาเลย เมื่อก่อนเห็นบ่นว่าเก็บเงินได้พอประมาณแล้วจะออกไปทำร้านอาหารที่บ้านเกิด เมื่อสามเดือนก่อนพี่เขาได้เงินก้อนโตจากลูกค้าพอดี ก็เลยตัดสินใจออกจากที่คลับ...”
 
 
ตุลย์พยักหน้า เขายังจำความฝันที่เธอเล่าตอนเมาได้
 
 
“แล้วร้านอยู่ที่ไหน กูว่าจะไปเยี่ยมพี่บีหน่อย”
 
 
“แถวศาลากลางจังหวัด N” คำตอบนั้นทำให้ตุลย์ผงะไปเล็กน้อย “เออ มึงได้ยินถูกแล้ว... พี่บีเปิดร้านตรงนั้นเพราะมันใกล้แลนมาร์กสำคัญของจังหวัด เขาโทรมาเล่าให้กูฟังเรื่องร้านสัปดาห์ละครั้ง นี่กูก็ว่าจะแวะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน แต่ติดสอบ ยังไม่มีเวลา แค่ออกมาหามึงได้ก็เก่งแล้ว”
 
 
“งั้นกูจะบอกพี่บีให้ว่ามึงฝากความคิดถึงมา” ตุลย์แซว ก่อนจะหันไปถามอีกคนที่นั่งทานข้าว ฟังบทสนทนาของพวกเขามาตลอด
 
 
“วันนี้คุณว่างทั้งวันมั้ยครับ ถ้าไม่ว่างผมจะไม่รบกวน...”
 
 
“ว่าง...” คำตอบนั้นแฝงด้วยความเอาใจ “มันไม่ไกลเท่าไหร่ ข้างๆ กรุงเทพนี่เอง ฉันขับพาเธอไปตอนบ่ายได้”
 
 
หลังจากที่ปล่อยให้ตุลย์และเพื่อน คุยเรื่องต่างๆ และรับประทานอาหารกันจนใกล้อิ่ม ศานนท์ก็ถือโอกาสเรียกบริกรมาที่โต๊ะเพื่อชำระยอดค่าอาหารทั้งหมด ก่อนจะหยิบบัตรเครดิตใบหนึ่งส่งให้
 
 
“เอาเครดิตฉันจ่ายก็แล้วกัน มื้อนี้ฉันขอเลี้ยงเธอ… แล้วก็เพื่อนเธอด้วย”
 
 
หนุ่มใหญ่บอกเขา คำพูดแฝงนัยเล็กๆ คล้ายอยากจะชดเชยให้กับช่วงที่พยายามตัดขาดความสัมพันธ์จากเขา ฝ่ายเก้าก็รีบขอบคุณชายวัยกลางคนพัลวัน เนื่องจากอาหารมื้อนี้ค่อนข้างแพงเอาเรื่องแม้จะหารจ่ายกับเพื่อนแล้วก็ตาม
 
 
“ฉันจะโทรสั่งงานอัฐสักสองสามเรื่องก่อน รออยู่ข้างนอกนะ”
 
 
“ครับ” ตุลย์พยักหน้ารับ
 
 
ลับหลังที่ร่างสูงของชายวัยกลางท่าทางภูมิฐานร่ำรวย เดินสวนประตูทางเข้าออกไปเพื่อคุยโทรศัพท์หน้าร้าน เก้าก็รีบก้มตัวมาด้านหน้า เขยิบเข้ามาใกล้เขา กระซิบเสียงแหบคล้ายไม่อยากให้ใครได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เพิ่งจ่ายค่าอาหารทั้งหมดไป
 
 
“มึงกับเขาเป็นอะไรกันอ่ะ? ยังไม่เล่าให้กูฟังเลยนะ”
 
 
เก้าลอบสังเกตมาตั้งแต่ตอนที่ทานอาหาร แม้ว่าชายคนนั้นจะไม่ได้แสดงท่าทางใดออกหน้าออกตา แต่ระหว่างที่ทานข้าวกัน ก็มีอยู่หลายครั้งที่ฝ่ายนั้นแนะนำให้เพื่อนเขาลองทานบางจานที่รสชาติถูกปาก ตุลย์ก็ทำตามคล้ายกับว่าเคยชิน จะมีก็แต่คนนอกอย่างเก้าที่สังเกตุเห็นความ ‘เกินกว่าธรรมดา’ ของทั้งคู่
 
 
“เขาเป็นคนที่สำคัญมากๆ สำหรับกู กูมีวันนี้ได้เพราะเขาเป็นทุกอย่างให้ กูไม่รู้จะอธิบายยังไง... แต่ถ้าตอนนั้นไม่เจอเขาเพราะทำโคล่าของมึงหกใส่ กูอาจไม่ได้กลับมาเจอหน้ามึงอย่างวันนี้ก็ได้...”
 


ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
 
 
ศานนท์มาส่งเก้าที่มหาวิทยาลัย เพื่อให้เวลาตุลย์ได้ล่ำลากับอดีตเพื่อนนานขึ้นหน่อย ก่อนจะตีรถมุ่งหน้าออกสู่จังหวัด N ตามคำขอของร่างโปร่งข้างกาย ถนนในเขตเมืองเต็มไปด้วยรถยนต์ต่อแถวยาวเหยียด จอดรอสัญญาณไฟเขียว แต่พอออกสู่ถนนเส้นนอกสายหลักสี่เลนที่มุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด ซีดานสีดำก็เร่งความเร็วขึ้นไปถึงสิบแปดเพราะสภาพ การจราจรที่โล่งต่างกันโดยสิ้นเชิง
 
 
ภาพตึกแถว อาคารพาณิชย์ และร้านอาหารสวยงามเรียงถี่ติดกันตลอดแนวอย่างในเมืองใหญ่ ตอนนี้เหลือเพียงตึก อาคารบ้านเรือนที่ตั้งกระจายตัวห่างกัน มีร้านอาหารบ้างประปราย ตุลย์เหม่อมองสองข้างทางก็เห็นพื้นที่เขียวชอุ่มขึ้นแซมเป็นระยะ ให้ความรู้สึกเป็นอิสระและคุ้นเคยกว่าทุกครั้ง
 

เหมือนกับถนนที่บ้านเกิดเขาไม่มีผิด…

 
 
“เมื่อก่อนฉันก็เคยคิดนะว่าอยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง เป็นพ่อครัวเอง หรือถ้าทำไม่ไหวก็จ้างคนมาเป็นลูกมือสักโขยงนึง” เสียงของศานนท์เรียกให้ตุลย์เบนความสนใจกลับมา
 
 
“คุณทำอาหารอร่อยนี่ ต้องขายดีแน่”
 
 
หนุ่มใหญ่เหลือบมองเขาแว่บหนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม
 
 
“อย่าพูดอย่างนั้น เธอจะยุให้ฉันทำขึ้นมาจริงๆ ...รู้มั้ย ตอนจบใหม่ๆ ฉันอยากทำร้านอาหารมากกว่ากลับมาทำกงสีขายชาที่บ้านอีก”
 
 
ศานนท์พูดเหมือนกับว่าธุรกิจชาของเขาเป็นแค่ร้านขายของชำเล็กๆ
 
 
“แต่คุณก็ชอบชานี่”
 
 
“แต่ชาที่ชอบก็ไม่ใช่ชาที่ฉันทำ”
 
 
ได้ยินแล้ว ตุลย์ก็หลุดหัวเราะตาม “...แต่ผมว่าก็ตลกดีนะ ของที่อยากทานไม่ได้ทำ ส่วนของที่ทำไม่อยากทาน...”
 
 
แต่ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ... ต่อให้มาจากครอบครัวที่รวยล้นฟ้าแบบศานนท์ ก็ใช้ว่าจะควบคุมทุกเรื่องในชีวิตได้เสียเมื่อไหร่
 
 
“แล้ว...” วินาทีหนึ่งที่ตุลย์ชั่งใจว่าจะพูดถึงดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ถาม “ผมยังขอทวงสัญญาเรื่องที่คุณจะทำอาหารให้ทานได้เปล่าครับ? ”
 
 
“วันไหนล่ะ” ศานนท์ถามกลับทันที
 
 
“เรื่องเวลา ผมต่างหากที่น่าจะต้องถามคุณ เพราะถ้าเป็นคุณ ผมก็สะดวกทุกวันนั่นแหละ...” ท้ายประโยคอ่อนลงมาก
 
 
ศานนท์ปรายตามองคนที่พูดจบปุ๊บก็เบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างทันที เขาลอบยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปสนใจถนนลาดยางเบื้องหน้า
 
 
“งั้นพรุ่งนี้หลังเลิกเรียน ฉันไปรับที่ม. แล้วจากนั้นเราค่อยไปเลือกของกัน...”
 
 
ตุลย์พยักหน้า ปล่อยศีรษะพิงกระจก ขณะทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เคลื่อนตัวผ่านช่องกระจกเล็กๆ อากาศเย็นสบายกับเสียงเพลงคลอเบาๆ จากเพลย์ลิสของเขา ...โดยที่มีคนสำคัญคนนั้นอยู่ข้างๆ
 

แบบนี้รู้สึกดีจัง…

 
 
 
เนื่องจากร้านของบีตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ วนรถหาตามเส้นทางที่เธอคอยบอกผ่านโทรศัพท์เป็นระยะก็พบที่หมายอย่างไม่ยากเย็น ซีดานสีดำหักเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถกว้างเทคอนกรีตที่มีต้นไม้ปลูกเรียงกันเป็นทิวยาวล้อมรอบ มีไม้พุ่มออกดอกสีสดปลูกแซมเป็นครั้งคราว ก่อนที่รถยนต์จะจอดตรงมุมร่มรื่นมุมหนึ่งใกล้กับซุ้มแมกไม้ทางเข้า
 
 
มาถึงที่หมาย ผู้มาเยือนทั้งสองก็ลงจากรถ พวกเขาเดินตามทางเท้าอิฐบล็อกผ่านซุ้มแมกไม้เข้ามาลึกอีกหน่อยก็พบอาคารร้านที่ค่อนข้างทันสมัยเน้นโทนสีน้ำตาลเป็นหลัก ตัวอาคารส่วนใหญ่เป็นคอนกรีตที่แต่งทับด้วยอิฐมอญก้อนสี่เหลี่ยมเล็กสีแดงส้ม แต่ก็มีบางส่วนที่ทำจากไม้ ให้กลิ่นอายเหมือนคาเฟ่อยู่ไม่น้อย ตำแหน่งของร้านตั้งอยู่ติดริมน้ำ โดยที่ด้านข้างสร้างเป็นชานไม้เปิดโล่งต่อยาวลงไปในแม่น้ำ มีโต๊ะเก้าอี้ไม้เคลือบเงาสวยตั้งไว้รองรับลูกค้าหลายโต๊ะ แต่เนื่องจากยังเป็นเวลากลางวัน พื้นที่ส่วนนี้จึงร้างคนไม่คึกคักเหมือนอย่างในร้านซึ่งเป็นพื้นที่ปิดติดเครื่องปรับอากาศ
 
 
นอกเหนือจากนั้น บียังจัดและตกแต่งสถานที่ไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นซุ้มต้นไม้ด้านหน้า ริมระเบียงชานเรือนติดน้ำ หรือแม้แต่บันไดหลอกๆ ที่ต่อขึ้นไปชั้นสองซึ่งปราศจากประตู ไว้สำหรับถ่ายรูปคู่กับชื่อร้านที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์สีดำ เรียงห่างๆ กันบนกำแพงอิฐมอญ
 
 
แวะชื่นชมบรรยากาศจนพอใจ ทั้งคู่ก็ผลักประตูเข้ามาด้านในร้านซึ่งเป็นห้องแอร์เย็นฉ่ำ เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งเบาๆ เจ้าของร้านสาวสวยวัยยี่สิบห้าในผ้ากันเปื้อนสีดำกับเดรสลูกไม้แขนฟูๆ สีขาวทั้งตัวก็วิ่งแจ้นออกมาพร้อมรองเท้าแตะแฟชั่นคู่สวยของเธอ
 
 
“ตุลย์! ” บีเรียกชื่อน้องชาย วิ่งมากอดแน่นจนหายคิดถึง ตุลย์ก็กอดตอบเธอแบบเดียวกัน
 
 
ก่อนหญิงสาวจะตกใจเมื่อเห็นผู้ชายท่าทางภูมิฐานในชุดลำลองอีกคนหนึ่งเดินตามหลังเข้ามาด้วย
 
 
เธอจำชื่อและหน้าเขาได้แม่นเพราะเคยเจอกันที่คลับแม้จะแค่ครั้งเดียว ทว่าบรรยากาศรอบตัวของศานนท์คราวนี้แตกต่างจากครั้งแรกมาก ไม่เคร่งขรึม คุระอุเหมือนตอนที่เธอยังนั่งข้างธวัตรในฐานะเด็กขาย ระหว่างที่ทั้งคู่ ‘คุยธุระ’ กัน
 
 
“ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยดูแลตุลย์นะคะ” หญิงสาวพูดอย่างรู้ทัน ถือโอกาสไหว้ทักทายด้วยในตัว “ถึงจะดื้อแล้วก็หัวแข็งไปหน่อย แต่ตุลย์ก็เป็นเด็กดีนะ”
 
 
ศานนท์พยักหน้าทีหนึ่ง “แต่ก็ดื้อจริงๆ นั่นแหละ”
 
 
“อย่าไปตามใจน้องมันเยอะค่ะ คุณศานนท์ต้องหมั่นคอยเขี้ยวๆ หน่อย” เห็นว่าคู่สนทนาปล่อยตัวสบายๆ หญิงสาวหัวเราะร่า
 
 
ฝั่งคนโดนแซวอย่างตุลย์ได้แต่ยืนเกาหัวเก้อ ขณะมองศานนท์กับบีคุยเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยพอพูดถึงเรื่องของเขา ทว่าอยู่คุยได้ไม่นาน บีก็จ้องเชิญพวกเขานั่งที่โต๊ะโซฟานุ่มฝั่งหนึ่งในร้าน วางเมนูรายการทิ้งไว้ ก่อนจะวิ่งกุลีกุจอไปยกอาหารจากในครัวออกมาเสิร์ฟให้ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ
 
 
“ทานอะไรมั้ยครับ” พอเหลือกันอยู่แค่สองคน ตุลย์ก็ส่งเมนูให้หนุ่มใหญ่ “ผมยังไม่ค่อยหิว ว่าจะสั่งเป็นพวกน้ำปั่น”
 
 
“ไม่ลองพวกแอพพิไทเซอร์หน่อยเหรอ? ”
 
 
ศานนท์วาดปลายนิ้วไล่อ่านชื่อเมนูของทานเล่นค่อนข้างจริงจัง ตุลย์ก็พอเดาได้ว่าหนุ่มใหญ่คงเริ่มหิวแล้ว
 

ปกติเขาไม่ค่อยทานของว่างระหว่างมื้อเท่าไหร่ แต่ไหนๆ ศานนท์ก็อุตส่าห์ขับรถพาเขาออกมาไกลถึงร้านอาหารของบี จะเว้นไว้สักวันก็แล้วกัน…

 
 
“คุณเลือกสิครับ เดี๋ยวผมแย่งคุณทานดีกว่า” ตุลย์เผยรอยยิ้มขี้เล่น
 
 
หลังรับเมนูอาหารจากพวกเขา บีก็หายไปสักพักใหญ่ๆ แล้วออกมาพร้อมกับอาหารสองจาน จานหนึ่งเป็นสลัดที่ถูกจัดเป็นคำเล็กๆ กะทัดรัด ส่วนอีกจานเป็นกุ้งที่นำไปผัดคลุกเครื่องเทศฝรั่งและน้ำปั่นอีกหนึ่งแก้ว ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ลูกค้าเริ่มซาพอดี เธอเลยถือโอกาสลากเก้าอี้มานั่งตัวโต๊ะกับพวกเขา โดยไม่ลืมกวักมือเรียกผู้ชายอีกคนที่อยู่ในครัวด้วย
 
 
“นี่แฟนพี่ คบกันมาได้สองเดือนกว่าแล้ว เราเจอกันตอนเริ่มทำร้าน เขาสมัครมาเป็นลูกมือพี่”
 
 
เธอเล่าเสียงใสขณะจับมือชายสวมผ้ากันเปื้อนที่อายุอ่อนกว่าหลายปี
 
 
“...ไม่มีใครอยากทำอาชีพแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอก คนเรามันต้องเดินหน้า ไม่ใช่จมปลักอยู่กับที่ พี่มีครอบครัวต้องดูแล แล้วก็อยากมีครอบครัวเป็นของตัวเหมือนกัน เมื่อสามเดือนก่อนได้เงินก้อนใหญ่จากลูกค้าพอดี โชคดีว่าไม่ได้มีพันธะอะไรกับที่คลับก็เลยตัดสินใจเลิก พอออกมาก็ใช้เงินที่ได้ทำร้านอาหารใกล้ๆ แหล่งท่องเที่ยว ลูกค้าก็พอมี เงินทุนก็เป็นเงินเย็น ชีวิตใหม่ที่นี่ก็มีความสุขดี แถมยังมีลูกมือน่ารักๆ แบบนี้อีก! ”
 
 
บีขยิบตาให้แฟนหนุ่มทีหนึ่ง ก่อนจะถูกขัดความหวาน เมื่อลูกค้าโต๊ะข้างๆ เรียกเช็กบิลล์ เธอเลยจำต้องปล่อยมือให้แฟนไปเก็บค่าอาหารแทน
 
 
“แหม ก็กินเด็กน่ะเป็นอมตะ! จริงมั้ยล่ะคะคุณศานนท์? ”
 
 
บียักคิ้วพยักพเยิดใส่หนุ่มใหญ่ คนถูกแซวก็หัวเราะขบขัน
 
 
“จริงสิ! ” จู่ๆ เจ้าหล่อนก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “นายเป็นดาราแล้วนี่ใช่มั้ย ฉันเห็นในโฆษณา แล้วก็พวกคลิปที่ตัดอยู่ในเน็ต แต่ฉันยังไม่ได้ดูซีรีส์ที่เล่นหรอกนะ ยังไม่มีเวลา เดี๋ยวนี้หัวหมุนทั้งวัน”
 
 
“โธ่ พี่ต้องดูเยอะๆ เรตติ้งผมจะได้พุ่ง สนับสนุนสิครับ คนกันเอง พี่จะทิ้งน้องนุ่งตาดำๆ ได้ลงคอเชียวเหรอ” ตุลย์กระตุกยิ้มยียวนเธอ
 
 
”โอ๊ย ฉันเปิดให้ลูกค้าดูแล้วกัน เผื่อแกได้แฟนคลับเพิ่ม” พูดจบเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอปพลิเคชันถ่ายรูปคู่ใจ “มามะ ก่อนอื่นมาทำตัวเป็นน้องที่ดี ถ่ายรูปด้วยกันก่อน ฉันจะเอาไปลงโปรโมตร้าน แคปชั่นแบบ ‘ว้ายๆๆ อาหารร้านหนูอร่อยจนดาราต้องมาค่ะ! ’ รับรองขายดิบขายดีแน่นอน”
 
 
“ได้สิพี่”
 
 
ตุลย์เหยียดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินอ้อมไปเกาะหลังเก้าอี้เธออย่างสนิทสนม ในขณะที่หญิงสาวเอียงหน้าจอเก็บรูปมุมต่างๆ อีกหลายรูป แถมยังให้อ้อนให้แฟนหนุ่มของเธอถ่ายเพิ่มให้อีก
 
 
หลังจากแต่งรูป คิดแคปชั่นต่ออีกราวสิบห้านาที เธอก็ตัดสินใจโพสต์ลงหน้าเพจของร้าน จากนั้นก็พลิกจอโทรศัพท์อวดเขาและศานนท์อย่างภูมิอกภูมิใจ
 
 
จวบจนกระทั่งทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ตุลย์ก็ขอตัวกลับ
 
 
“เพิ่งบ่ายสามเอง ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยล่ะ? ” ศานนท์ถาม ยังเหลือเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าอาทิตย์จะตกดิน ฝ่ายบีก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย
 
 
“คือว่า... มีอีกที่นึงที่ผมอยากไป”
 
 
คำตอบนั้นเรียกให้ศานนท์เลิกคิ้วเล็กน้อย
 
 
“มาพรุ่งนี้มั้ย เดี๋ยวฉันขับรถพามาอีกรอบก็ได้” เขาเกลี้ยกล่อมเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ทัน ตุลยเผยสีหน้าลังเลอย่างมาก แต่สุดท้ายก็โครงศีรษะเบาๆ
 
 
“ผมว่ามันไม่ไกลเท่าไหร่... ขับรถต่ออีกสิบห้านาทีก็น่าจะถึง”
 
 
พอบอกชื่อสถานที่หมายให้ฟัง ศานนท์ก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
 
 
“งั้นไปกันตอนนี้เลยแล้วกัน”
 
 
“วันนี้ขอบคุณที่มาเยี่ยมร้านนะ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
 
 
บีลุกขึ้นกอดลาคนที่เปรียบเสมือนน้องชาย ก่อนจะเดินไปส่งทั้งสองที่ซุ้มไม้หน้าร้าน ลับหลังที่ตุลย์เดินทิ้งห่างออกไปหน่อย เธอก็หันไปหาศานนท์ ฝากฝังใครอีกคนด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างตั้งใจให้ได้ยินกันแค่ระหว่างกัน
 
 
“ฝากดูแลตุลย์ด้วยนะคะ น้องมันตัวคนเดียวไม่มีใคร ทำอะไรงกๆ เงิ่นๆ ตามประสาเด็ก สัญญาได้มั้ยคะ? บีแค่อยากให้น้องมีชีวิตที่ดี…”
 
 
“วางใจเถอะครับ ผมจะไม่ปล่อยให้เขากลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีกแน่นอน” หนุ่มใหญ่รับปากด้วยสัจวาจา
 
 
บียืนส่งทั้งคู่ขึ้นรถด้วยสายตา จวบจนกระทั่งรถซีดานสีดำราคาแพงแล่นจากลานจอดรถกว้างเลี้ยวออกสู่ถนน
 
 
ตุลย์ไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่ฤทธิ์เหล้าทำให้อีกฝ่ายยอมเปิดปากเล่าถึงชีวิตก่อนจะมาลงเอยที่คลับ มันทำให้เธอรู้ว่าตุลย์เอาตัวรอดคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก พอจู่ๆ ‘ถูกขาย’ ออกไป เธอจึงนึกเป็นห่วงสวัสดิภาพของเด็กคนนั้นมาโดยตลอด แต่สิ่งที่เห็นวันนี้มันทำให้เธอวางใจ...
 
...ว่าในที่สุดคนที่ตัวคนเดียวมาตลอดชีวิต ก็มีใครสักคนอยู่ข้างกายเสียที
 
 
-------------------------

 
รถยนต์กลับเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง คราวนี้จุดหมายปลายทางของพวกคือเขตชุนชนเก่าเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอเมืองของจังหวัด N ที่ไม่เจริญนัก
 
 
ระหว่างทางศานนท์ลอบสังเกตว่าตุลย์ไม่สนใจสองข้างทางเท่าไหร่ จนกระทั่งพวกเขาตามสัญญาณจีพีเอสเลี้ยวเข้าสู่ซอยถนนคอนกรีตเลนส์สวน ที่สองข้างขนาบด้วยอาคารพาณิชย์สองชั้นสลับกับบ้านไม้ติดเหล็กดัดที่ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายของชำบ้าง ขายอาหารบ้าง แตกต่างกันไป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงสร้างเก่าแก่เกินสิบปีทั้งสิ้น จู่ๆ ร่างโปร่งก็เล่าขึ้นมาลอยๆ คล้ายกับถูกทิวทัศน์เหล่านั้นกระตุ้นความทรงจำวัยเด็ก
 
 
“...แม่ผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ท้องผมตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ อายุเราเลยต่างกันไม่มาก แต่ผมไม่สนิทกับแม่ เพราะแม่ติดเหล้าวันๆ ไม่เอาอะไรเลย ผมไม่ชอบแม่ตอนเมาก็เลยพาลไม่ชอบบ้านไปด้วย ...ตอนประมาณม. 2 ผมออกมาทำงานร้านอาหาร ช่วยขนของบ้าง ไปเป็นเด็กเสิร์ฟให้ร้านอาหารใหญ่ๆ บ้างเพราะอยากย้ายออกมาอยู่ข้างนอก แต่ไม่มีเงิน...”
 
 
“ผมเคยเรียนมัธยมที่นี่”
 
 
ตุลย์ชี้ผ่านกระจกให้ดูตอนที่พวกเขาขับผ่านโรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่ง หน้าปากทางยังคึกคักด้วยเด็กๆ ในเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนรัฐเพราะเพิ่งเลยเวลาเลิกเรียนไม่เท่าไหร่
 
 
“เงินที่ได้จากงานพาร์ทไทม์ ผมเอามาส่งตัวเองเรียนเพราะแม่หมดเงินไปกับค่าเหล้า แล้วก็ไม่ใช่คนที่ผมพึ่งพาได้ สมัยนั้นผมไม่ค่อยเข้าบ้านหรอก จะกลับแค่ตอนหลังสามทุ่ม เพราะผมไม่อยากเห็นแม่เมาแล้วโวยวาย แล้วก็ไม่อยากเป็นที่รองรับอารมณ์แม่ จนอายุสิบหกขึ้นม. ปลาย ผมก็เข้าบ้านแบบนับครั้งได้ ส่วนใหญ่จะนอนค้างบ้านเพื่อนไม่ก็ร้านเกม อยู่ไม่ค่อยเป็นที่เท่าไหร่ จนมาเจอลุงกับป้าเจ้าของร้านค้าหน้าถนน เขาให้ผมพักชั้นบนฟรีแลกกับให้ช่วยเฝ้าร้านขายของหลังเลิกเรียน ...ส่วนตัวผมคิดว่ามันก็ดีนะเพราะใกล้โรงเรียนกว่า แถมมีห้องส่วนตัว มีเวลาอ่านหนังสือสอบ ช่วงนั้นผมกลับบ้านสัปดาห์ละครั้งได้ แต่ไม่ได้กลับไปอยู่หรอก กลับไปขนของย้ายมาห้องใหม่ตอนแม่ออกไปก๊งเหล้ากับเพื่อน ...ผมไม่ชอบบ้านตัวเองเลย”
 
 
สีหน้าขณะที่เล่าดูไม่มีความสุขเท่าไหร่ จู่ๆ ก็กระตือรือร้นขึ้นเมื่อพูดถึงมหาวิทยาลัย
 
 
“ตอนที่สอบเข้าม. A ได้ ผมดีใจมากเลย มันเหมือนฝันเป็นจริง ติดตรงที่ผมไม่มีเงิน จะกู้เงินเรียนก็ทำเอกสารไม่ทัน แต่ผมก็ไม่เสียใจมากหรอก เพราะถึงกู้ไปวงเงินก็ไม่พอจ่ายค่าเทอมอยู่ดี ผมเลยไปขอกู้กับพวกที่ปล่อยกู้นอกระบบหลายคน แต่เขาไม่ปล่อยให้ผมเพราะยังเด็กเกินไป ดูยังไงก็ไม่น่าหาเงินเจ็ดหมื่นมาคืนได้ แต่มีคนหนึ่งที่แนะนำให้ผมไปหาคุณวัตร ผมเลยใช้เงินเก็บเข้ากรุงเทพไปหาเขา ...ส่วนเรื่องต่อจากนั้นคุณก็คงรู้แล้ว”
 
 
ศานนท์พยักหน้าเบาๆ “เธอเลยอยากกลับมาตามหาแม่ใช่มั้ย”
 
 
“ครับ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ยังอยู่ที่นี่มั้ย... ตั้งแต่ย้ายไปอยู่กรุงเทพผมก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย” เจ้าของประโยคเหม่อมองนอกหน้าต่าง ยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด “บางทีเวลาที่เครียดผมก็ฝันถึงแม่นะ... ฝันว่าแม่ด่าผมว่าเนรคุณเพราะเอาตัวรอดคนเดียว แต่ก็คงใช่... เพราะผมก็ทำแบบนั้นที่เธอพูดนั่นแหละ”
 
 
น้ำเสียงของตุลย์เจือกระแสความรู้สึกผิดเสียจนศานนท์ต้องเอื้อมมือมาแตะต้นแขนอีกฝ่ายคล้ายเรียกให้หลุดจากห้วงความรู้สึก
 
 
“เธอทำดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้ว มันไม่ผิดถ้าเธอจะเลือกอนาคตแล้วเดินออกมา เพราะในสภาพสังคมแบบนั้น เธอช่วยแม่ไม่ได้หรอก”
 
 
“ก็จริงของคุณนะ...” ตุลย์ยิ้มเจื่อน “ผมรู้ว่ามันโหดร้าย แต่ถ้าไม่เลือกตัวเอง วันนึงผมก็คงต้องโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตแบบแม่ กินเหล้า เมาหัวราน้ำไปวันๆ ให้ลืมๆ ปัญหาไปซะ ...แต่วันนี้ที่ผมมีทุกอย่างแล้ว บางทีผมก็ยังรู้สึกติดค้าง”
 
 
จีพีเอสร้องเตือน ซีดานสีดำก็เลี้ยวเข้าไปจอดรถในเขตของวัดประจำชุมชนซึ่งเป็นที่หมายปลายทาง ก่อนจะดับเครื่องยนต์
 
 
ตอนนั้นเองที่ตุลย์หันมาหาคนขับ
 
 
“คุณไม่ต้องลงไปก็ได้นะ มันคงไม่ใช่ที่ที่คุณคุ้นเคยเท่าไหร่...”
 
 
“ไม่” ศานนท์ส่ายหน้า “ฉันจะไปกับเธอนั่นแหละ”
 
 
 
พวกเขาเดินย้อนกลับมายังซอยที่ขับผ่านมาก่อนหน้า จากนั้นก็ข้ามถนนคอนกรีตมายังฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยร้านขายของ ตั้งปะปนกับเรือนไม้เก่าๆ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของคนในชุมชนเรียงติดๆ กันเป็นแนวยาว ระหว่างทางก็สวนกับรถเข็นขายของกินจุกกินจิกบ้างเป็นระยะ
 
 
เดินต่อมาไม่เท่าไหร่ ตุลย์ก็แวะที่หน้าร้านค้าโชห่วยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตึกอาคารพาณิชย์เก่าแก่จนเหลือง เขาตะโกนเรียกชื่อคนด้านใน สักพักก็มีหญิงอายุราวหกสิบคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ สีหน้าของเธอตกใจมากตอนที่เห็นตุลย์ ก่อนจะรีบดึงมือเข้าไปกุม ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างห่วงใย
 
 
“ไม่เห็นหน้ามาจะปีแล้ว อยู่กรุงเทพชีวิตเป็นยังไงมั่งหนู”
 
 
“ก็กระท่อนกระแท่นดีครับ... แต่ก็ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว” ตุลย์เปิดกระเป๋าสตางค์ก่อนจะหยิบแบงก์สีเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือหญิงวัยย่างชรา “ผมอยากคืนค่าเช่าห้องที่ป้าเคยให้ผมอยู่...”
 
 
“โอ้ย! ไม่ต้อง ป้าบอกแล้วไงว่าให้อยู่ฟรี เอ็งก็ช่วยงานตลอด” เธอปฏิเสธยิ้มกว้างอย่างใจดี แต่ตุลย์ยังยืนกรานขอร้อง
 
 
“รับเถอะครับ ถ้าไม่คืนป้าผมไม่สบายใจ นะครับ... ตอนนี้ผมไม่ได้เดือดร้อนแล้ว...”
 
 
ต้องใช้ลูกอ้อนไม้เด็ดอยู่นานกว่าเธอจะยอมรับเงินไป แต่ก็ไม่วายเดินไปหยิบขนมถุงในร้านสองสามห่อซึ่งเป็นขนมพื้นบ้านอย่างพวกเผือกเส้น มันเส้น มายัดใส่มือเขา
 
 
ฝ่ายตุลย์ก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเธอเหมือนทุกครั้ง โดยไม่ลืมถามถึงใครอีกคนผู้ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขากลับมาเยี่ยมเยียน
 
 
“ป้าพอรู้มั้ยครับว่าแม่ยังอยู่ที่นี่มั้ย? ”
 
 
“ยัยอ่อนเหรอ ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ไม่เห็นนานแล้ว ลองไปถามตาเพชรข้างในสิ แกน่าจะรู้นะ เป็นเพื่อนดื่มกันมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้วนี่”
 
 
ที่จริงเขาไม่ค่อยอยากเข้าไปในเขตชุมชนเท่าไหร่เพราะมีความทรงจำไม่ดีกับสถานที่ ยิ่งกว่านั้น วันนี้เขามีหนุ่มใหญ่มาเป็นเพื่อนด้วย ศานนท์เป็นคนต่างถิ่น ถึงไม่ตั้งใจมองก็ยังดูออกได้ง่ายๆ จากเครื่องแต่งกายและการวางตัว รั้งแต่จะตกเป็นเป้าสนใจของคนข้างในโดยใช้เหตุเปล่าๆ แต่จากคำบอกเล่าของคุณป้า ตุลย์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมเข้าไป
 
 
ทางเข้าสู่ชุมชนเป็นตรอกพื้นคอนกรีตฉาบหยาบๆ แคบๆ ขนาดแค่สองคนสวนกันได้ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านที่เรียงตัวติดกันอย่างแออัด สร้างจากไม้บ้างสังกะสีบ้าง บางหลังที่ฐานะดีหน่อยขึ้นโครงด้วยปูน ระหว่างทางที่เดินเท้า บางครั้งก็จะพบสิ่งของตากกระเกะระกะยื่นล้ำจากตัวบ้านออกมา หนักๆ เข้าหน่อยบางบ้านก็จอดจักรยานทั้งคันขวางไว้ ต้องค่อยๆ เบียดตัวเดินเลี่ยงเอา
 
 
เดินลึกมาจนถึงจุดหนึ่งก็สิ้นสุดทางเท้าคอนกรีต เปลี่ยนเป็นกระดานไม้ยาวๆ หลายแผ่นเรียงต่อกันแทน เนื่องจากชุมนุมเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำ บางจุดจึงมีน้ำท่วมขังเจิ่งเวิ้งทำให้เดินลำบาก ตุลย์แวะถามหาคนชื่อ ‘เพชร’ กับบ้านอีกหลายหลัง ก่อนที่คุณยายคนหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าจะชี้ให้เดินต่อมาท้ายซอย
 
 
ไม่นานก็เห็นจุดสิ้นสุดของทางเดินไม้อยู่ลิบๆ ไกลๆ นั้นคือบ้านไม้ใต้ถุนสูงผุๆ โทรมๆ หากหรี่ตามองดีๆ จะพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งก๊งเหล้าอยู่บนพื้นกระดานยกสูง ด้านหลังตัวเขามีมุ้งถูกพับตลบ รวมกับข้าวของอื่นๆ ที่จัดกองไว้แค่พอให้มีที่นอนได้
 
 
ตุลย์เข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าชายคนนั้นคือ ‘ตาเพชร’ เพื่อนขาดื่มของแม่ที่มักเห็นจนชินตาสมัยเด็ก ที่แปลกไปคือ ชายคนเดิมสภาพผอมลงมากชนิดหนังหุ้มกระดูก ตัวดำคล้ำอย่างคนติดสุราเรื้อรัง...
 
 
“ลุงเพชรจำผมได้มั้ย” ตุลย์ตะโกนถาม ชายคนนั้นก็เงียบไปพักหนึ่งคล้ายกำลังประมวลผล
 
 
“ห๊ะ? เอ็งลูกใคร? ”
 
 
แต่เขารีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นถุงขนมในมือตุลย์
 
 
“เออ ข้าขอขนมสักหน่อยสิ จะเอามาแกล้มเหล้า”
 
 
ตุลย์ไม่ลังเลที่จะขนมให้อีกฝ่ายทั้งสองถุงเป็นกับแกล้ม จากประสบการณ์ตอนที่แม่ขาดเหล้าจนลงแดง เขาทราบดีว่าคนที่ติดเหล้าระดับนี้ จะให้หย่าขาดจากแอลกอฮอล์ดื้อๆ นั้นอาจถึงตายได้
 
 
“ผมตุลย์เอง”
 
 
“อ๋อ... ไอ้ตุลย์” ชายร่างผอมเออออ แต่ไม่รู้ว่าจำเขาได้จริงหรือไม่
 
 
“ยัยอ่อนยังอยู่ที่นี่มั้ย เพื่อนก๊งเหล้าลุงน่ะ ย้ายไปรึยัง? ”
 
 
ได้ยินชื่อแม่ของเขา ชายติดเหล้าก็ร้องอ๋อเสียงดัง “อ๋อ ไอ้ตุนลูกยัยอ่อนเองเรอะ นึกตั้งนาน เห็นแต่แม่เอ็งบ่นถึงไม่ค่อยเห็นหน้าเอ็งเลย โอ๊ย ยัยอ่อนมันไม่อยู่แล้ว! แล้วโน้นใครอีก…? ”
 
 
ชายร่างผอมชะโงกตัว มองเลยไปทางศานนท์ที่ยืนเยื้องหลังอยู่ไม่ห่างตัวเขา ตุลย์ก็รีบดึงสติอีกฝ่ายกลับมาที่คำถามเดิม “แม่ไปไหนครับ? ”
 
 
“จมน้ำตายไปหลายปีแล้ว”
 
 
คำตอบนั้นทำให้ตุลย์ถึงกับนิ่งงัน
 
 
“ก็แม่เอ็งเมาแล้วลงไปเล่นน้ำในคลองข้างบ้านคนเดียวเลยจมหายไป กว่าคนจะเจอตัวก็อีกวันแล้วช่วยไม่ทัน” พอเล่าจบก็เปลี่ยนเรื่องทันที “เฮ้ย เอ็งแต่งตัวดีมีตังแล้วนี่หว่า ข้าขอตังหน่อยสิ นี่ข้าต้องเอาเหล้าผสมกะน้ำ เพราะเงินหมด สงเคราะห์ข้าหน่อย ถือว่าทำบุญ”
 
 
ไม่ว่าเปล่ายังยกขวดเหล้าสีชาที่เหลือของเหลวแค่ก้นๆ ให้ตุลย์ดู ตุลย์จึงตัดสินใจหยิบแบงก์พันยื่นให้อีกฝ่ายอย่างเวทนา ชายร่างผอมแห้งตาวาวก่อนจะรีบไหว้ขอบคุณเขายกใหญ่ เป็นตุลย์ที่ต้องจับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมให้ไหว้อีก
 
 
“เอ้อ ถ้าข้าจำไม่ผิด เหมือนชาวบ้านเขาจะเอาแม่เอ็งไปเผาที่วัดโน้นแหนะ”
 
 
ตาเพชรชี้ไปทางวัดกลางชุมชนที่พวกเขาจากมา เป็นที่เดียวกับที่เขาแนะนำให้ศานนท์จอดรถทิ้งไว้ก่อนเข้ามาถามหาแม่ในสลัม
 
 
“ไปเถอะครับ”
 
 
หมดธุระ ตุลย์ก็พยักหน้าให้ชายร่างผอมทีหนึ่ง ก่อนพาศานนท์เดินกลับออกมาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่วัด ระหว่างทางพวกเขาแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย จวบจนมาถึงที่วัด สิ่งแรกที่ตุลย์ทำคือ ไปที่เจดีย์และสถานที่เก็บอัฐิคนตายใกล้เคียง แล้วค้นหาชื่อแม่
 
 
พวกเขาใช้เวลาค้นอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง แม้ว่าจะมีศานนท์คอยช่วยดูตามแผ่นป้ายหินอ่อน แต่ก็ไม่เจอชื่อหรือรูปใบหน้าของเธอเลย...
 
 
“ที่วัดอาจจะไม่ได้เก็บกระดูกแม่ไว้มั้งครับ”
 
 
ตุลย์ถอนหายใจหลังล้มเลิกความตั้งใจที่จะหา ฝ่ายศานนท์เอื้อมมือมาลูบสัมผัสแผ่นหลังของเขาเบาๆ คล้ายปลอบประโลม
 
 
“ฉันเสียใจด้วยนะ”
 
 
แม้จะรู้ว่าคำพูดของเขาคงชดเชยอะไรไม่ได้ แต่ศานนท์ก็ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าแบกรับความเสียใจไว้คนเดียว
 
 
ตุลย์ยิ้มบางๆ ช้อนตามองคู่สนทนา แต่แววตากลับดูสับสนนิดหน่อย
 
 
“คุณว่ามันแปลกมั้ยครับ ถ้าผมจะบอกว่า จริงๆ แล้วผมไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่าไหร่... อาจจะเพราะผมแทบไม่รู้จักแม่เลยเพราะแม่ไม่เคยอยู่ หรือไม่ก็อาจเพราะผมเป็นคนแปลกๆ ...”
 
 
ศานนท์ส่ายหน้า “คนตายก็คือคนตาย ต่อให้เธอรักให้ตายยังไงเขาก็ฟื้นกลับมาไม่ได้ ฉันว่าดีซะอีกที่เธอไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์มาก”
 
 
พูดจบก็เอื้อมมือมาลูบหัวตุลย์เบาๆ
 
 
ศานนท์ให้เวลาร่างสูงโปร่งได้พนมมือสวดภาวนาบางอย่างหน้าเจดีย์อัฐิ ก่อนที่ร่างนั้นจะหมุนตัวเดินกลับมาหาเขา
 
 
“กลับกันเถอะครับ… ขอบคุณนะครับที่วันนี้อุตส่าห์พาผมโดดเรียนออกมาตั้งไกล” ตุลย์ว่าติดตลก
 
 
จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้ากลับมาที่รถซีดานคันเดิม
 

สำหรับเรื่องบางเรื่อง พอสาย... มันก็ย้อนกลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีก…

 
 
การกลับมาตามหาแม่ของเขาในครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยลบความรู้สึกผิดที่มีต่อเธอ ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่เพียงแต่มันถึงเวลาที่เขาต้องวางภาระอันติดค้างนี้ลง ยอมรับว่าตนเองไม่สามารถแก้ไขผลลัพธ์จากสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำไปแล้ว และก้าวต่อไปข้างหน้าเสียที...
 
[/i]
แม่ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เขา... เธอจากไปเสมือนกับไม่เคยมีตัวตนอยู่
 
 
วันนี้เขายอมรับความจริงว่าเธอได้จากไปแล้ว มันก็คงไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำเพื่อชดเชยให้ หรือมีใครที่ต้องย้อนกลับมาหาอีก…[/i]
 
 
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ตุลย์จะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ต่อจากนี้เขาคงไม่แวะมาที่นี่อีก คงปล่อยให้มันเป็นเพียงอีกสถานที่ในความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น และต่อจากนี้ เขาจะเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่โดยไม่มีเรื่องใดติดค้างอีก...
 
 

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
---------------------------------

 
เพิ่งออกจากเขตจังหวัด N มาได้ไม่เท่าไหร่ ยังไม่ทันเข้าสู่ฝั่งเจริญของเมืองกรุง จู่ๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมาเม็ดใหญ่ หนักเสียจนมองทางข้างหน้าลำบาก แม้แต่ที่ปัดน้ำฝนบนกระจกหน้าก็แทบจะเอาไม่อยู่ สายลมกรรโชกพัดกิ่งต้นไม้สองข้างทางลู่แรงอย่างน่ากลัวว่ามันจะหักโค่นลงมา แถมการจราจรยังก็ติดหนึบเป็นปลากระป๋อง จากเดิมที่คับคั่งอยู่แล้ว มิหน้ำซ้ำยังมีอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างทางอีก
 
 
ศานนท์ขอให้ตุลย์ช่วยเช็กข่าวรายงานสภาพท้องถนนขณะที่รถติดเป็นระยะ ส่วนตนเองก็เปิดคลื่นวิทยุฟังรายงานการจราจรไปพร้อมกันด้วย
 
 
ได้ยินเสียงหนุ่มใหญ่ถอนหายใจอยู่หลายครั้งหลายคราว ร่างโปร่งก็อดแซวเล่นไม่ได้
 
 
“ปกติมีแต่ผมที่ถอนหายใจเวลารถติด นานๆ ทีจะเห็นคุณหงุดหงิดนะเนี่ย”
 
 
“ติดหนักขนาดนี้ก็ต้องหงุดหงิดบ้างล่ะ ไม่รู้จะถึงกี่โมง… แล้วเธอหิวหรือยังล่ะ? ”
 
 
“ยังครับ ผมกินมาทั้งวันแล้ว คุณก็ด้วยนะ” ทีแรกตุลย์แค่แซว แต่ระดับความจริงจังของคำถามก็เรียกรอยยิ้มขำจากเขาในเวลาต่อมา “คุณถามจริงจังแบบนี้แปลว่าหิวแล้วใช่มั้ยล่ะครับ? ”
 
 
“ใช่” ตอบอย่างตรงไปตรงมา
 
 
ศานนท์เคาะนิ้วเป็นจังหวะบนพวงมาลัย คิดคำนวณระยะเวลาและเส้นทางคร่าวๆ ในหัวแล้วก็ผ่อนลมหายใจอีกรอบ “ฝนตกหนักแบบนี้ไม่รู้จะถึงบ้านกี่โมง ฉันก็หิวแล้วด้วย เดี๋ยวแวะทานอะไรแถวนี้ก่อน แล้วคืนนี้ค้างที่บ้านใหญ่กัน... ฉันจะโทรให้เตรียมข้าวของให้”
 
 
ประโยคนั้นทำให้ตุลย์เลิกคิ้วสงสัย หากเขาจำไม่ผิด...
 
 
“ไม่ใช่ว่าคุณขายบ้านหลังนั้นไปแล้วเหรอครับ? ”
 
 
“ประกาศขาย แต่ยังไม่ได้ราคาที่ถูกใจเลยยังไม่ขายน่ะ ตอนนี้ก็เลยยังพักได้ ...กว่าเราหลุดจากเส้นนี้เลี้ยวเข้าบ้านใหญ่น่าจะอีกเกือบๆ ชั่วโมง แม่บ้านน่าจะช่วยกันเคลียร์ห้องสำคัญๆ ทัน เธอโอเคมั้ย? ”
 
 
“ครับ” ตุลย์ขานรับ
 
ออกจะดีเสียอีกในเมื่อเขาไม่เคยไปเยี่ยมเยียน ‘บ้านใหญ่’ ที่ศานนท์เล่าให้ฟังเลยสักครั้ง
 
 
อธิบายจบและเขาตอบตกลง ศานนท์ก็รีบยกสายต่อหาคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นทันที...
 
 
 
--------------------------
ตอนนี้เป็นตอนแห่ง Road Trip และการขับรถเล่นค่ะ
ทั้งหมด 16 หน้าจุกๆ ค่ะ 5555555
สำหรับเนื้อหาตอนนี้เปิดอดีตของหนูตุลย์ไปจนครบแล้วว ถึงเวลาย้อนอดีตเล็กๆ (แบบปัจจุบัน) ฝั่งคุณศานนท์สมัยชีวิตคุณเค้าเฟื่องฟูอู้ฟู่กันบ้างงง
 
 
แจ้งว่าตอนหน้าเป็นตอนสุดท้ายแล้วจริงๆ ค่ะ
 เมลล่าไม่แกงแน้ว ถถถถ เพราะทำทรีตเม้นท์ละเอียดไว้เรียบร้อย
มีหลายคนลุ้นให้กายมีคู่ด้วย สารภาพว่าตอนแรกเมลล่าวางให้เต้คู่กับกาย ไปกำหลาบเจ้าตัววายร้าย
แต่ทีนี้เนื้อหาแน่นระเบิดไปก็เลยล้มเลิก ถถถถถ
นักอ่านจินตนาการกันไปก่อนนะคะ แอแงงงง
 
 
สำหรับตอนหน้าพบกับเซอร์วิสละมุลๆ และทริปพาเที่ยวแบบบล็อกเกอร์เจ้าค่ะ ถถถถถถ
จะสดหรือจะโป๊ะรอติดตามกันนะคะ
ขอบคุณนักอ่านที่สนับสนุนมากเสมอค่าา <3
 
 
เมลล่ามาไกลมากๆๆ เพราะกำลังใจและโดเนท
หวังว่าจะได้ทำงานเขียนต่อไปเรื่อยๆ เพราะเมลล่ามีความสุขมากๆ
ถ้าเงินเก็บไม่หมดก่อนค่า ถถถถถถถ


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เคลียร์อดีตไป ไม่แปลกที่ตุลย์ไม่ผูกพันกัมแม่
กับป้าร้านขายของยังอาจผูกพัมากกว่า

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไม่มีอะไรติดค้างแล้วนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
โหหหห ตอนแรกว่าจะบอกแล้วว่าอยากเต้คู่กับกาย
ไม่คิดว่านักเขียนก็จะคิดเหมือนกัน แต่กลัวคนๆม่ชอบเลยไม่ได้พิมพ์ อาจจะทำเป็น side story ก็ได้ครับ ตอนพิเศษอะไรแบบนั้น

ขอบคุณมากนะครับ

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Dawn (บทส่งท้าย)


ซีดานสีดำจอดแช่อยู่หน้าประตูรั้วอัตโนมัติสูงราวสองเมตรกว่า ซึ่งทำจากไม้ระแนงสีน้ำตาลเข้มทั้งแผ่นเรียงตัวถี่ติดกันในแนวตั้ง ทอดยาวจรดกำแพงสีครีมสองข้าง ปิดทางเข้าหน้าคฤหาสน์จนไม่สามารถมองลอดเข้าไปด้านใน ทว่าไม่นานประตูบานใหญ่ก็เลื่อนเปิดต้อนรับการมาเยือนของเจ้าของบ้านคนปัจจุบัน ท่ามกลางฝนที่ตกกระหน่ำ รถยนต์แล่นผ่านสวนหย่อมและแมกไม้ที่ถูกตัดเป็นตรง ดูแลอย่างปราณีตเสมือนหนึ่งยังมีผู้อาศัย เข้าสู่วงเวียนน้ำพุขนาดใหญ่ ก่อนจะหักเลี้ยวฉีกออกทางด้านขวามุ่งสู่ใต้ชายคาโรงจอดรถซึ่งแยกตัวออกมาจากตัวคฤหาสน์เล็กน้อย


ทันทีที่ลงจากรถ ชายคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามากางร่มสนามขนาดใหญ่แบบที่มักเห็นตอนออกรอบตีกอล์ฟให้ ก่อนจะพาพวกเขาฝ่าฝนมาที่หน้าคฤหาสน์ซึ่งไม่ไกลจากกันนัก ระหว่างทางความมืดและเม็ดฝนยังกระหน่ำทำให้มองเห็นตัวอาคารได้ลางสลัว แต่พอรู้รับได้ว่าเบื้องหน้าเป็นคฤหาสน์สองชั้นโทนสีขาวครีม ตุลย์เห็นความใหญ่โตมโหฬารของมันกับตา ก็เมื่อชายที่นำทางดึงประตูเปิดเชื้อเชิญเขาและเจ้าของบ้านเข้ามายังโถงหน้าขนาดใหญ่เผื่อหลบฝน


โถงกว้างทรงสี่เหลี่ยมโล่งสะอาด พื้นโถงทำจากหินอ่อนขาวเหลือบริ้วลายเทา ณ จุดกึ่งกลางของพื้นห้องปรากฏลายลักษณ์สีดำคล้ายเถาวัลย์พันสลับกับดอกไม้ ขดเป็นทรงกลม ถัดขึ้นไปจากลายลักษณ์นั้นคือโคมแก้วระย้าประณีตที่ทิ้งตัวห้อยลงมาล้อกับแสงไฟเกิดประกายระยับ ทั้งสองฟากฝั่งของโถงยังมีประตูเชื่อมไปสู่ห้องต่างๆ ฝั่งละสองบาน แต่ตอนนี้ทุกประตูถูกปิดสนิทเนื่องจากห้องเหล่านั้นไม่ได้เปิดใช้งาน


สุดปลายห้องโถงตรงข้ามพวกเขา คือบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่ทอดตัวสู่ชานพักขั้นหนึ่ง ราวบันไดทำจากเหล็กแข็งแรง ลวดลายขดเลี้ยวคล้ายเถาวัลย์แบบเดียวกับพื้นโถง ก่อนที่สายบันไดจะแยกออกเป็นฝั่งซ้ายและขวาต่อขึ้นไปจรดที่ระเบียงชั้นสองทั้งสองด้าน ยิ่งไปกว่านั้น ด้านหลังชานบันไดก็ยังมีประตูขนาดใหญ่อีกบานที่ตอนนี้เปิดออกกว้างเผยให้เห็นโถงยาวที่สามารถเดินต่อเข้าไปได้อีก


“ดิฉันเตรียมห้องไว้ให้ตามที่สั่งแล้วนะคะ คุณชาย”


หญิงวัยกลางคนเข้ามาแจงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับห้องและอาหารการกินของพวกเขา เนื่องจากศานนท์แจ้งไว้ว่าจะค้างคืนและอยู่ทานอาหารเช้าที่นี่ก่อนกลับ ก่อนเธอจะขอตัวไปจัดการสั่งงานส่วนของวันพรุ่งนี้กับคนอื่นๆ หลังประตูใหญ่


ได้ความเป็นส่วนตัวกลับมาอีกครั้ง ตุลย์ก็เอ่ยปากถามทันที “ที่นี่ไม่มีใครอยู่แล้วเหรอครับ”


“อื้ม เมื่อก่อนอยู่กันหลายคนนะ แต่ตั้งแต่พ่อฉันเสียคนสุดท้ายเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว กงก็ย้ายกลับไปบ้านเกิดที่จีน”


แต่แววตาที่ยังติดสงสัยของตุลย์ทำให้ศานนท์ต้องขยายความต่ออย่างอดไม่ได้


“บ้านฉันอายุสั้นไปหน่อยน่ะ... แม่เสียหลังแต่งนิกกี้เข้ามาไม่กี่ปีเพราะมะเร็งสมอง ต่อมานิกกี้ก็มาด่วนจากไปอีกคน คนสุดท้ายก็พ่อฉัน ส่วนญาติผู้ใหญ่ทั้งฝั่งพ่อและแม่เป็นคนจีน ทำธุรกิจที่นี่แบบไปๆ มาๆ หลายรุ่นแล้ว ส่วนใหญ่ยังแข็งแรงดีแต่พอแก่ตัวก็ย้ายกลับบ้านเกิดกันไปหมด นานๆ ถึงมาเยี่ยมที ทิ้งกงสีไว้ให้พ่อ ฉันก็รับช่วงจากพ่อมาอีกที ช่วงตรุษจีนนั่นแหละถึงจะกลับไปเยี่ยมบ้าง... ตอนนี้คนที่ยังอยู่ไทยก็คงมีฉันคนเดียว”


ตุลย์พยักหน้ารับรู้เบาๆ


“เธออยากทำอะไรมั้ยล่ะ” ศานนท์เปลี่ยนหัวข้อ


“ครับ? ”


“ที่นี่มีอะไรให้ทำเยอะกว่าบ้านเล็ก สมัยก่อนฉันชอบชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ห้องข้างหลัง มันสะดวกดีเพราะติดริมสระ มีโต๊ะสนุ๊กด้วยถ้าเธออยากเล่น”


ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำบอกเล่าของเจ้าของบ้านทำให้ผู้ฟังอย่างตุลย์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนเก็บสีหน้าไม่อยู่


เมื่อก่อนเขาชอบเล่นพูลมาก…



“งั้น... ถ้าแวะไปเล่นสักแป๊บได้มั้ยครับ”


“เอาสิ”


ว่าจบศานนท์ก็พาอีกคนผ่านประตูใหญ่มายังโถงทางเดินทางยาวด้วยกัน แต่จังหวะที่เดินผ่านห้องครัวเปิดไฟสว่างซึ่งมีแม่บ้านสองสามคนกำลังปัดกวาดเช็ดถูอยู่ ตุลย์ดันตาดีเหลือบไปเห็นไวน์ขวดหนึ่งที่เก็บอยู่ในตู้ไม้ด้านบน เขาจึงรีบคว้าแขนศานนท์ไว้อย่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินเลยไปเสียก่อน


“เอ่อ ผมขอไวน์ขวดนั้นได้มั้ย” ชี้ไปที่ตู้ ฝ่ายเจ้าของบ้านก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดห้ามเสียทีเดียว .


“ขวดนั้นเก็บไว้ในตู้เป็นชาติแล้ว ไม่ได้แช่เย็นเพราะไม่รู้ว่าไวน์อะไร ฉันไม่รู้ว่ายังดื่มได้หรือเปล่า...”


“งั้นผมขอลองได้มั้ย ไหนๆ คุณก็ไม่เอาแล้ว” ตุลย์ยังยืนกราน น้ำเสียงตื่นเต้นนิดๆ เจ้าของบ้านก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ กึ่งระอากึ่งเอ็นดู


“...โอเค ไปหยิบมาก็ได้”


ศานนท์อนุญาตปุ๊บ ตุลย์ก็เดินย่องๆ เข้าไปขอแม่บ้านเปิดตู้ หยิบขวดไวน์ออกมาโดยไม่ลืมหอบแก้วอีกสองใบและที่เปิดขวดมาด้วย ก่อนที่เขาและศานนท์จะเดินต่อมายังห้องหลังสุดของคฤหาสน์ ซึ่งมีประตูบานเลื่อนกระจกสามารถเปิดออกไปยังสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ด้านนอกได้ น่าเสียดายก็ตรงที่ตอนนี้สระนั้นเป็นสระว่างๆ อวดกระเบื้องสีฟ้าสดแต่ปราศจากน้ำ


ด้านในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางมีโซฟากำมะหยี่สีแดงอิฐทรงสี่เหลี่ยมเรียงยาวหันหลังชนผนัง ยาวชนิดที่จุคนนั่งเรียงกันได้สิบกว่าคน ฝั่งซ้ายของห้องมีโต๊ะไม้ครึ่งวงกลมที่วางฝั่งหน้าตัดเรียบพิงชิดติดกำแพง เข้าชุดกับเก้าอี้ไม้บุนวม กึ่งกลางห้องคือโต๊ะบิลเลียดขนาดมาตรฐานที่ตุลย์ทั้งคุ้นและโปรดปราน เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องล้วนถูกคลุมด้วยแผ่นพลาสติกใสสำหรับกันฝุ่น


สิ่งแรกที่ศานนท์คือดึงแผ่นคลุมพลาสติกออก... เริ่มจากโต๊ะครึ่งวงกลมก่อนเพื่อให้เขาวางของที่หอบเต็มไม้เต็มมือ จากนั้นก็โต๊ะสนุ๊กและเครื่องเรือนอื่นๆ กระนั้นตุลย์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อค้นพบว่า เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างถูกดูแลอย่างดีให้ปราศจากฝุ่น


“ที่นี่มีคนดูแลตลอด เธอไม่ต้องห่วง”


นิ้วที่พยายามถูหาเศษฝุ่นบนโต๊ะเป็นต้องชะงัก ศานนท์ตอบเขาราวกับอ่านใจได้


ตุลย์พยักหน้าที ก่อนเปลี่ยนไปเปิดไวน์รินใส่แก้วแล้วลองจิบปลายลิ้นดู แต่ต่อมาเขาก็จำต้องวางแก้วลงเมื่อศานนท์ส่งไม้คิวให้ เวลานี้ ทั้งลูกสีและลูกลายถูกเรียงเป็นบนโต๊ะเป็นทรงสามเหลี่ยมโดยฝีมือเจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว ขาดก็เพียงแต่ผู้เล่นเท่านั้น


“ไม่ได้เล่นนานแล้ว ฝีมือผมต้องขึ้นสนิมแน่ๆ ”


“...ฉันก็จับไม้ครั้งสุดท้ายตอนที่เล่นกับเธอนั่นแหละ” หนุ่มใหญ่หัวเราะในคอ พูดจบก็ผายมือเป็นเชิงให้เขาเริ่มก่อน


ร่างสูงโปร่งเดินไปหยุดที่หัวโต๊ะหลังจุดลูกสีขาวตั้งอยู่ ก่อนหยิบไม้ขึ้นพาดขอบโต๊ะ มืออีกข้างวางทาบผืนผ้ากำมะหยี่รองเป็นฐาน ขณะก้มตัวลงต่ำให้ลูกอยู่ในระดับสายตา


“รอบนี้ผมไม่ออมมือให้คุณเหมือนที่คลับแล้วนะ” ตุลย์พูดแหย่ก่อนลงมือแทงลูกเปิดโต๊ะ พอลูกขาวไหลไปชนลูกอื่นก็เกิดเสียงกระทบกันเบาๆ ก่อนที่กลุ่มบอลจะแตกออกกระจายตัวไปทั่วผ้ากำมะหยี่


แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ตุลย์ก็แทงพลาดอยู่หลายตากว่าจะสามารถส่งลูกลงหลุมได้ ผิดกับศานนท์ที่แทงลูกลายลงติดต่อกันได้หลายลูก ฝีมือยังคงที่เหมือนที่เล่นกันคราวนั้นไม่มีผิด จึงกลายเป็นว่าหนุ่มใหญ่ได้จับไม้บ่อยกว่า ส่วนตุลย์มักจะวกกลับไปเติมไวน์ที่โต๊ะขณะรอให้ถึงตาของตัวเอง บางทีก็แวะมาเมียงมององศาระหว่างลูกขาวกับลูกลายตอนที่ศานนท์แทงไม้คล้ายพยายามเลียนแบบ เห็นแบบนั้นแล้ว หนุ่มใหญ่ก็อดไม่ได้ที่แกล้งแทงพลาดลูกหนึ่งเพื่อสลับให้อีกฝ่ายได้เล่น


“ไวน์เป็นยังไงบ้าง...” ศานนท์ชวนคุย หลังคนข้างๆ เพิ่งจะแทงพลาดไปอีกไม้


“ผมว่าไม่เสียนะครับ คุณลองชิมมั้ย? ” ตุลย์ยื่นไวน์ที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วให้ พออีกฝ่ายก็รับไปชิม เขาก็ยิ้มเผล่ “...เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันเสียหรือเปล่า ผมมันพวกลิ้นจระเข้ แล้วคุณคิดว่าไงครับ? ”


ศานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหน้า แต่จิบไปอีกอึกหนึ่งก็วาง “...รสชาติแย่ เธอกินเข้าไปได้ยังไง? ”


ตุลย์ได้ยินก็ถึงกับหัวเราะร่ายกใหญ่ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ลิ้นผมมันไม่รู้รสหรอกคุณ”


ทั้งคู่เล่นพูลด้วยกันต่อ แต่เวลาผ่านไป ไวน์ในขวดก็เริ่มหดหายไปเรื่อยๆ จนเหลือแค่ก้นๆ เพราะตุลย์เวียนเติมอยู่ตลอด จากที่พูดคุยกันเรียบๆ ในทีแรกก็เริ่มมีเสียงหัวเราะเติมเข้ามา พอดึกหน่อย คนที่เริ่มเมากรึ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางบนขอบโต๊ะ เปิดเพลงช้าสร้างบรรยากาศเบาสบายระหว่างที่พวกเขาแทงพูลกันอย่างไม่รีบร้อน


“คุณจะไม่ห้ามผมแล้วเหรอ”


จู่ๆ ร่างที่นั่งพิงโซฟาสีอิฐ โดยที่มีไม้คิววางพาดอยู่ข้างตัวก็เอ่ยถามลอยๆ


ตุลย์มักจะพูดและทำอะไรแปลกๆ เสมอเวลาที่เมา…


เรื่องนั้นศานนท์จำได้ขึ้นใจ พอถูกถามแบบนี้เขาจึงพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังกรึ่มได้ที่


“เธอไม่ชอบให้ฉันห้ามนี่... พอห้ามทีไรเธอก็โมโหทุกที” ตอบไม่ใส่ใจ โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของผู้ฟังที่ช้อนมองเขาอย่างน้อยใจกึ่งผิดหวัง


“...เตือนผมอีกได้มั้ย ผมสัญญาจะไม่งี่เง่าใส่คุณอีก..."


ประโยคนั้นเรียกให้ศานนท์ชะงักมือที่กำลังจะแทงไม้เปิดเกมใหม่บนโต๊ะ เขาหันกลับมาหาเจ้าของน้ำเสียงกึ่งร้องขอ จากนั้นถึงวางไม้คิวลงแล้วตรงมาหาคนที่นั่งบนโซฟา มือของหนุ่มใหญ่จับทับมือข้างที่ถือแก้วเหล้าของตุลย์ รับเหล้าแก้วนั้นมาถือเสียเองพลางเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ


“พอแล้ว... คืนนี้เธอเมาแล้วนะ”


สีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์มาก ทำให้ตุลย์เดาไม่ออกว่าศานนท์กำลังตักเตือนเขาหรือกำลังทำตามคำขอ แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าอย่างแรกหรืออย่างหลัง เขาก็หาได้สนใจไม่


ตุลย์เอื้อมแขนดึงรั้งใบหน้าอีกคนให้โน้มเข้าใกล้ จนรู้สึกถึงไอร้อนจากลมหายใจของอีกฝ่ายที่ผ่อนรดข้างแก้ม จากนั้นจึงเอียงหน้าจูบ สัมผัสที่ผิวของริมฝีปากนุ่มและอุ่นชื้น เจือกลิ่นและรสชาติของไวน์อ่อนๆ ยามที่ปลายลิ้นอุ่นๆ แตะต้องกัน แต่พอผละจากในจูบแรกก็ยังรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้ลิ้มรสสัมผัสเดิมนั้นซ้ำอย่างเสพติด


เข่าข้างหนึ่งของหนุ่มใหญ่ทิ้งน้ำหนักลงบนโซฟา แขนขวาเท้าพนักพิง กึ่งๆ จะคร่อมร่างของอีกคนไว้ในท่านั่ง ปรับเปลี่ยนท่าทางเพื่อให้จูบได้ถนัดขึ้น เกิดเป็นเสียงเบาๆ ระหว่างพวกเขายามที่ริมฝีปากดูดดึงกันแล้วผละออกช่วงสั้นๆ ก่อนจะเวียนแลกจูบซ้ำอีกหลายครั้ง สมองที่มึนตึงเล็กน้อยของตุลย์ก็คล้ายจะถูกกลืนหายไปกับไออุ่น ความใกล้ชิด และจูบรสไวน์แสนละมุนละไมค่อยเป็นค่อยไปนั้น


“อยากมั้ย...” ศานนท์ถามหลังจากผละจูบจากเขา


ตุลย์ส่ายหน้าเบาๆ


วันนี้พวกเขาออกเดินทางพบต่อใครหลายต่อหลายคนตั้งแต่เช้ายันตะวันตกดิน บอกตามตรงว่าตอนนี้ร่างกายเขารู้สึกล้าเกินกว่าจะทำเรื่องอย่างว่า ศานนท์เองก็คงเหนื่อยไม่แพ้กันเพราะหนุ่มใหญ่เป็นคนขับพาเขาตะลอนๆ ไปทั่ว


...เขาก็แค่เกิดรู้สึกอยากอยู่ใกล้อีกฝ่ายก็เท่านั้น



ศานนท์เสยผมที่ปรกหน้าอีกคนอันเป็นผลมาจากจูบเมื่อสักครู่ออกอย่างนุ่มนวล ก่อนเขยิบถอยออกห่างเล็กน้อยเปิดทางให้เขาลุก แล้วเอ่ยชวน


“งั้นขึ้นข้างบนเถอะ ดึกแล้ว จะได้พักผ่อนกัน”

------------------------------


พอขึ้นบันไดที่โถงกลางห้องมายังริมระเบียงปีกซ้ายชั้นบนก็พบกับห้องนอนที่ถูกตระเตรียมไว้ให้พวกเขา ภายในห้องใช้โทนสีขาวเช่นเดียวกับห้องอื่นๆ ในคฤหาสน์เพียงแต่ตกแต่งเรียบหรูและดูทันสมัยกว่า ขวามือคือเตียงคิงไซส์ที่มีหัวเตียงตั้งชิดติดผนัง นอกเหนือจากนั้นแล้ว มีแค่เฟอร์นิเจอร์จำเป็นไม่กี่อย่าง เช่น ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อิน ซึ่งตั้งอยู่ในห้องแต่งตัวเล็กๆ ข้างเตียง มีประตูเลื่อนเปิดปิด โต๊ะเล็กสองตัวสำหรับวางโคมไฟขนาบข้างเตียงซ้ายและขวา และโทรทัศน์จอใหญ่อีกเครื่อง


บนผืนเตียงขนาดใหญ่ที่สวมเครื่องนอนเตรียมไว้ มีชุดนอนวางอยู่สองชุดสำหรับให้ผู้พักอาศัยทั้งคู่สวมใส่ ส่วนชุดที่ใส่อยู่นั้น แม่บ้านแจ้งว่าจะนำไปซักรีดเพื่อให้พวกเขาสามารถใส่กลับได้ในเช้าวันพรุ่งนี้


“เธอไปอาบก่อนสิ” เจ้าของบ้านว่า


ตุยล์ก็คว้าชุดนอนเข้าไปในทางเชื่อมหักเลี้ยวถัดมาจากประตูห้องแต่งตัว ก่อนจะพบประตูอีกบานซึ่งเชื่อมไปสู่ห้องน้ำ พอบิดลูกบิด ประตูก็เปิดอ้าออกเผยให้เห็นห้องน้ำกว้างขวาง ซึ่งมีอ่างอาบน้ำทรงรีตั้งอยู่ชิดกำแพง ณ ตำแหน่งกึ่งกลางของห้อง ซ้ายมือถัดออกมาเป็นคอกฝักบัวกั้นด้วยกระจกฝ้า เยื้องด้านหน้าคอกคือโถสุขภัณฑ์


ชุดคลุมอาบน้ำถูกแขวนไว้ข้างผ้าเช็ดตัวอย่างละสองชุดใกล้กับซิงค์ล้างหน้า มีเครื่องใช้ส่วนตัวอย่างเช่นแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้แกะจากห่อ วางเรียงเป็นระเบียบไว้หน้าซิงค์ เขาลอบสังเกตเห็นว่าตามตำแหน่งต่างๆ ของห้องยังมีเทียนอโรม่าจุดวางไว้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้อีกด้วย...


...ฝนตกหนัก แต่คนที่นี่ก็ยังสามารถเตรียมข้าวของ ทั้งที่จำเป็นและฟุ่มเฟือยให้กับพวกเขาได้อย่างครบครัน



ทว่าความอ่อนล้าทำให้ร่างโปร่งไม่อยากเสียเวลากับการอาบน้ำนานนัก ชำระล้างร่างกายที่คอกฝักบัวเสร็จ เขาก็ออกมาเช็ดเท้าเช็ดตัวที่หน้าคอกก่อนสวมชุดนอน แต่จังหวะที่เดินกลับออกมาบังเอิญสังเกตเห็นว่าถัดจากประตู มีห้องแต่งตัวสี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้องหนึ่งกั้นแบ่งออกมา ด้านในมีโต๊ะเครื่องแป้งตั้งตามแนวผนัง กระจกสะท้อนบานใหญ่สองบาน โคมติดผนังส่องสว่างให้แสง และเก้าอี้นั่งอีกตัวหนึ่งวางไว้ในสภาพเรียบร้อย แค่เห็นก็รู้ได้ว่าเป็นห้องสำหรับแต่งหน้าของผู้หญิง


ความเรียบง่าย ทันสมัยแต่หรูหรากว่าห้องอื่นๆ ทำให้ตุลย์พอเดาได้ว่าทั้งห้องนอนและห้องน้ำที่เขาพักคืนนี้ คงจะถูกรื้อและตกแต่งภายในใหม่หลังจากที่คฤหาสน์ถูกสร้าง


ศานนท์คงตั้งใจทำไว้ให้กับภรรยา… อดคิดไม่ได้ว่าเธอช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากจริงๆ



พอเดินออกมาจากห้องน้ำ ศานนท์ก็ผลัดกับเขาเข้าไปชำระล้างร่างกายต่อ ระหว่างที่เจ้าของบ้านอาบน้ำอยู่ ตุลย์จึงเดินสำรวจมุมต่างๆ ของห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น


หากว่าห้องนี้เป็นห้องของศานนท์กับภรรยาจริง มันคงอบอวลไปด้วยความทรงจำมากมาย และคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ศานนท์จะเผชิญหน้ากับสถานที่เต็มไปด้วยเรื่องราวโดยทำตัวปกติ...



น่าเสียดายที่ตุลย์ไม่เจออะไรในคราวแรก เนื่องจากห้องที่โล่งเพราะเฟอร์นิเจอร์หลายอย่างถูกนำออกไป แม้แต่ตู้เสื้อผ้าในห้องแต่งตัวก็ไม่มีแม้แต่ไม้แขวนเสื้อสักชิ้น ทว่าหางตาของเขาก็บังเอิญเหลือไปเห็นกุญแจดอกหนึ่งซึ่งวางหลบมุมอยู่ด้านในสุดของตู้ เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นกุญแจสำหรับอะไร แต่พอลองดึงลิ้นชักยาวชั้นล่างสุดของตู้ ก็พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้


ความสงสัยทำให้เขาเอื้อมหยิบลูกกุญแจดอกนั้น นำมาไขลิ้นชักชั้นล่าง และราวกับจิ๊กซอว์ที่ต่อลงล็อกกันพอดี เสียงกริ๊กเบาๆ ก็ดังขึ้นเมื่อล็อกกุญแจถูกปลด ตุลย์ค่อยๆ ดึงลิ้นชักนั้นออกมาช้าๆ อย่างกลัวว่าจะทำอะไรพังเข้า สิ่งที่แรกเขาพบคือ กรอบรูปวางคว่ำหน้า ตามด้วยภาพถ่ายอีกจำนวนหลายใบ บ้างก็วางเป็นตั้งๆ รัดรวมกันไว้ บ้างก็อยู่ในอัลบั้มสะสมขนาดพอดีมือ


ตุลย์พลิกกรอบรูปขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นรูปถ่ายครอบครัวเล็กๆ มีศานนท์อยู่ฝากหนึ่ง ผู้หญิงสาวต่างชาติรูปร่างอวบเล็กน้อยคนหนึ่งอีกฝ่ายหนึ่งและเด็กหญิงผมแดงยืนอยู่ตรงกลางจับมือคนทั้งสองในภาพ เบื้องหลังเป็นทิวทัศน์ทะเลสวยงามจากมุมสูง ราวกับว่าทั้งสามยื่นอยู่บนเนินสูงที่มองลงไปด้านล่างเห็นพื้นน้ำสีเขียวมรกต


นี่คงเป็นรูปที่ถ่ายกับภรรยาและลูกสาว…



ตุลย์รื้อดูรูปถ่ายใบอื่นๆ อีกหลายรูปซึ่งจับภาพหลายช่วงเวลาและสถานที่ต่างกัน ทั้งก่อนที่ทั้งคู่จะมีเจ้าตัวเล็ก เนื่องจากหญิงสาวชาวต่างชาติยังหุ่นสวยเพรียวและแต่งหน้าเฉี่ยวเข้ม และหลังจากที่เธอกลายเป็นคุณแม่ที่มีรอยยิ้มอบอุ่น ทุกภาพถ่ายล้วนแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จะมีก็แต่เด็กหญิงตัวเล็กที่บางทีก็ร้องไห้งอแงตามประสา


เขามัวแต่ดูรูปต่างๆ เพลินเวลา ก่อนจะสะดุ้งเฮือกราวกับคนกำลังทำผิดเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องแต่งตัวเลื่อนเปิดเต็มความกว้างด้วยฝีมือเจ้าของห้อง ตุลย์ทำอะไรไม่ถูกนอกจากรีบขอโทษ แล้วเก็บรูปเหล่านั้นกลับไปที่เดิม ศานนท์นิ่งไปเล็กน้อยตอนที่เห็นว่าภาพภ่ายถูกรื้อ แต่ไม่ได้มีท่าทีขึงโกรธ กลับเดินไปเปิดไฟในห้องแต่งตัวให้สว่างโล่งแล้วกลับมาทรุดนั่งตรงพื้นที่ข้างๆ ตุลย์


“รูปนี้ถ่ายตอนที่ไปเที่ยวเกาะ...” หนุ่มใหญ่ชี้ให้ดูรูปถ่ายในกรอบ “เกาะทางใต้ในประเทศนี่แหละ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว...”


คราวนี้เป็นศานนท์ที่หยิบอัลบั้มรูปถ่ายเหล่านั้นออกมากอง ก่อนจะไล่ดูทีละรูปด้วยความรู้สึกโหยหาราวกับกำลังย้อนอดีตกลับไป ณ เวลานั้น


“รูปนี้ถ่ายที่สิงคโปร์... ส่วนอัลบั้มนี้ ถ่ายช่วงคริสต์มาสที่บ้านเกิดนิกกี้ตอนที่เรเชลอายุสามขวบ...”


ตุลย์พยักหน้ารับฟัง ปล่อยให้ศานนท์เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกบันทึกอยู่ในภาพภ่ายแต่ละใบตามต้องการ เขาจะถามบ้างก็ต่อเมื่ออยากรู้หรือสงสัยจริงๆ ภาพถ่ายส่วนใหญ่บันทึกความทรงจำแสนอบอุ่นเอาไว้ แต่ก็มีบางภาพที่ไม่ตั้งใจถ่ายทำให้รูปที่ได้ออกมาตลกชวนให้หัวเราะ


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตุลย์เลิกสนใจรูปแล้วหันมาสนใจปฏิกิริยาของคนข้างกายแทน ทุกครั้งที่ศานนท์เล่าถึงความทรงจำต่างๆ ในภาพ เขาจะยิ้มออกมาเสมอ ราวกับกำลังหลงใหลอยู่ในความสุขแห่งช่วงเวลานั้น จนตุลย์อดไม่ได้ที่จะมองตามสีหน้าที่เผยความรู้สึกรักใคร่โหยหาออกมาอย่างหมดเปลือก


“คุณรักภรรยากับลูกสาวมากๆ เลยนะครับ...”


คำถามนั้นเรียกให้ศานนท์เบนความสนใจกลับมาที่ผู้พูด แววตาของเขาวูบไหวด้วยอารมณ์


“ใช่... พวกเขาเป็นเหมือนความสุขของฉัน”


ตุลย์เผยยิ้มบางๆ ให้อย่างเห็นใจ เขารู้ว่าศานนท์เป็นพ่อหม้ายที่ผ่านมรสุมชีวิตครั้งใหญ่มา แต่วูบหนึ่งที่หัวใจเกิดความสงสัย...


ความรักที่ศานนท์มีให้เขา... มันจะมากเท่ากับความรักที่อีกฝ่ายมีครอบครัวหรือเปล่านะ?



“…เธอชอบบ้านหลังนี้มั้ย”


จู่ๆ หนุ่มใหญ่เปลี่ยนเรื่องกะหันทัน ทำเอาตุลย์ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ พลางนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์โออ่าแต่แสนประณีตแห่งนี้


“ผมชอบนะ มันสวยมากแล้วก็กว้างมากด้วย แต่ถ้าต้องอยู่บ้านหลังนี้ตัวคนเดียวแบบคุณ... ผมว่ามันคงทำให้เหงามากกว่า”


“จริงของเธอ”


“...แต่ที่นี่มันก็มีความหมายสำคัญกับคุณไม่ใช่เหรอครับ? ”


“ใช่...”


น้ำเสียงที่ตอบเขาอ่อนลงเช่นเดียวกับแววตา ศานนท์เงียบไปชั่วครู่คล้ายกำลังคิดตริตรองบางอย่าง ก่อนจะลุกขึ้น


“ฉันดูพอแล้ว... คืนนี้นอนกันเถอะ”


เอ่ยชวน ตุลย์ก็ช่วยเจ้าของบ้านเก็บรูปถ่ายทั้งหมดคืนลิ้นชักอย่างทะนุถนอมแล้วใส่กุญแจเช่นเดิม ก่อนจะกลับออกมาที่ห้องนอน ซุกตัวใต้ห่มท่ามกลางเครื่องปรับอากาศที่ทำงานเย็นฉ่ำ ก่อนที่ศานนท์จะเอื้อมมือปิดโคมไฟข้างเตียง ความอ่อนล้าจากกิจกรรมทั้งวันทำให้ทั้งคู่จมสู่ห้วงแห่งนิทรากาลอย่างรวดเร็ว

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ศานนท์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนใกล้รุ่งสางของอีกวัน ส่วนหนึ่งเพราะใกล้เวลาตื่นตามปกติของเขา อีกส่วนก็เพราะพื้นที่ข้างเตียงขยับขยุกขยิกมาได้สักพักแล้ว พอเขาพลิกข้างมองถึงเห็นว่าตุลย์กำลังขดตัวเป็นก้อน มุดเข้าไปในผ้านวมผืนหนาชนิดที่แทบจะกลืนหายไปทั้งตัว


เดิมทีร่างข้างๆ เขาขี้หนาวอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าเครื่องปรับอากาศที่บ้านใหญ่จะทำงานดีเกินไปหน่อย อุณหภูมิภายในห้องจึงตกลงกว่าปกติ


“ปรับองศาขึ้นมั้ย? ” เขาถามคนงัวเงียด้วยเสียงแตกๆ อย่างเพิ่งตื่น


ตุลย์ครางรับอู้อี้ในคอ ก่อนจะดึงผ้าห่มมาห่อร่างแน่นขึ้น เห็นอย่างนั้นหนุ่มใหญ่ก็เหยียดตัวขึ้นนั่ง หยิบรีโมตแอร์ที่ติดไว้บนกำแพงข้างหัวนอนมาเร่งอุณหภูมิเพิ่ม แต่ถึงอย่างนั้น ห้องที่ยังไม่กลับขึ้นมาอุ่นดั่งใจก็ทำให้ตุลย์ยังขดเป็นก้อนกลมๆ หันหลังให้ไม่เลิก ศานนท์อดไม่ได้ที่ขยับเข้าไปใกล้ ตะแคงตัวรั้งร่างนั้นมากอดทั้งผ้าห่มห่อกายเพื่อคลายหนาวให้


ไออุ่นจากร่างกายอีกคนดูจะทำให้ตุลย์สบายตัวขึ้น ร่างโปร่งขยับหลังเบียดชิดเข้ามาเล็กน้อย ไม่นานก็จมสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ศานนท์รอจนกระทั่งอุณหภูมิของทั้งห้องกลับขึ้นมาอุ่น เขาถึงปล่อยคนขี้หนาวเป็นอิสระ ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นนั่งพิงหมอน ลอบมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับใหล แล้วลอบสัมผัสปอยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกดัดหยักสกเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว


ตุลย์เปลี่ยนไปมากนับจากที่เจอกันครั้งแรก… ทั้งนิสัยและภาพลักษณ์



เขาเคยเห็นทั้งช่วงเวลาที่อีกฝ่ายยิ้มอย่างสุขใจและร้องไห้เสียใจเจียนจะขาด… จากเด็กคนหนึ่งหัวรั้นดื้อแพ่งคนหนึ่ง ค่อยๆ เติบโตขึ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ ทีละน้อยจนกลายมาเป็น ‘ตุลย์’ ที่เขารู้จักในวันนี้


เสมือนกับหินที่มองดูแล้วไร้ราคา พอจับมาเจรไนย ขัดเกล้าดีๆ ให้เข้าที่เข้าทางหน่อย กลับกลายเป็นอัญมณีที่สวยมากชิ้นหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เพชรที่เจิดจรัดตั้งแต่แรกเห็น แต่เขาก็มั่นใจว่า อีกฝ่ายโดดเด่นมากพอที่ถูกเชยชมจากสายตาของผู้คนได้ไม่ยาก


ณ เวลานี้ เด็กคนนี้อาจยังต้องอาศัยเขา แต่ประสบการณ์จะหล่อหลอมตุลย์ให้เข้มแข็ง... และเมื่อถึงเวลาที่พร้อม อีกฝ่ายจะเจิดจรัดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขาอีก


เขาจะรอดูจนกระทั่งวันนั้นมาถึง…



ศานนท์ลูบปอยผมนั้นอย่างเบามือ


ที่จริงมีคนพยายามติดต่อซื้อคฤหาสน์ของเขาในราคาสูงอยู่หลายราย แต่เหตุผลที่ศานนท์ยังไม่ขาย นั่นเพราะเขารู้สึกว่าคฤหาสน์หลังนี้มีคุณค่าทางใจมากกว่าเกินกว่าจะตีมูลค่าได้


ใช่... เขายังรักนิกกี้... และคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป



เมื่อก่อนเขาเคยถามตัวเองว่า รักตุลย์มากพอจะลืมอดีตภรรยาได้หรือไม่ แต่ในวันนี้เขากลับค้นพบว่าจริงว่า มันไม่ใช่คำถามที่สำคัญอะไร...


การที่จะเดินหน้าต่อกับชีวิต เขาไม่จำเป็นต้องพยายามลืมใครจากใจ...


ตุลย์ก็คือตุลย์... นิกกี้ก็คือนิกกี้ ไม่มีใครสามารถแทนที่ใครได้ ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับหัวใจ ว่าเขาพร้อมที่ ‘หลังรัก’ อีกครั้งหรือยัง... และ ณ เวลานี้ เขามั่นใจว่าหัวใจของเขาพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับตุลย์แล้ว...


บางทีอาจถึงเวลาที่เขาควรเลิกยึดติดกับสถานที่ แล้วขายคฤหาสน์หลังนี้เสียที…



------------------------------


เช้านั้น ทั้งคู่ออกมาทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของคฤหาสน์ชั้นล่างซึ่งเป็นห้องอาหารตกแต่งเรียบง่ายแบบจีน ให้บรรยากาศต่างจากโถงใหญ่และห้องอื่นๆ ที่เป็นศิลปะฝั่งยุโรปโดยสิ้นเชิง ภายในห้องอาหารมีภาพวาดพู่กันจีนบนผ้าใบขนาดใหญ่เป็นรูปนกยูงตัวผู้และตัวเมียยืนคลอเคลียกันบนกิ่งไม้ติดอยู่ข้างผนัง ตั้งอยู่เหนือตู้ไม้สักทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หน้าต่างที่ม่านถูกเก็บรวบเพื่อให้แสงแดดยามเช้าผ่านเข้ามา ให้ห้องทั้งห้องสว่างด้วยแสงธรรมชาติแทนหลอดไฟ ใกล้กับริมหน้าต่างมีโต๊ะไม้ทรงกลมแบบจีนฐานสี่เหลี่ยมตัวใหญ่ วางล้อมด้วยเก้าอี้ไม้แกะลายตรงพนักตั้งห่างๆ กันหลายตัว ทว่ามีเพียงสองที่นั่งเท่านั้นที่มีเครื่องรับประทานอาหารห่อหุ้มด้วยผ้าขาวสะอาด วางเคียงคู่ข้างจานเปล่า


“กงชอบห้องนี้มาก เป็นห้องที่กงสั่งทำเฉพาะเพราะอยากได้บรรยากาศจีนๆ เหมือนบ้านเกิด”


ตุลย์รับฟัง ขณะทรุดตัวนั่งในตำแหน่งติดกับศานนท์ หลังจากนั้นแม่บ้านหญิงก็นำอาหารเช้ามาเสิร์ฟพร้อมกับกาแฟหอมๆ และน้ำดื่ม พวกเขาลงมือทานกันอย่างไม่รีบร้อน


“ฉันไม่ได้ทานข้าวที่ห้องนี้นานแล้ว ชวนเธอมาทานด้วยอย่างวันนี้ก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ดี...” หนุ่มใหญ่เอ่ยขึ้น


สถานที่แห่งนี้ มันอบอวลด้วยความทรงจำที่เคยคุ้นในอดีต ตอนที่ครอบครัวยังอยู่กันพร้อมหน้ากัน ถึงตอนนี้จะมีแค่ตุลย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับรู้สึกพอใจ... ไม่ได้ขาดอะไรไปเลยแม้แต่อย่างเดียว


ตุลย์ยิ้มรับบางๆ แสงอ่อนยามเช้า อาหารที่เรียบง่ายและคนสำคัญข้างกาย ทำให้รู้สึกสงบจิตสงบใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นคลื่นอารมณ์ใหม่ที่เขาไม่เคยรับรู้


...อันที่จริง เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าจากคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก จะมีวันที่พวกเขาได้นั่งทานข้าวด้วยกันในสถานที่แห่งอดีตที่ลึกที่สุดในใจของศานนท์



วินาทีที่ตกอยู่ในห้วงแห่งกระแสอารมณ์อันละเอียดอ่อน ตุลย์ก็เอ่ยเสียงเบา


“ผมอยากอยู่กับคุณแบบนี้... อยากให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ”


“อยากอยู่ เธอก็อยู่สิ... บ้านหลังนี้ยินดีต้อนรับเธอเสมอ เธออยากนานเท่าไหร่ก็ได้” ประโยคบอกเล่าของเขาถูกตอบรับแทบในทันที สายตาที่มองมาก็อ่อนโยนกว่าเคย “ฉันอยากให้เธออยู่นะ อยู่ตลอดไปก็ได้...”


กระแสความรู้สึกอุ่นหัวใจคล้ายจะเอ่อล้นขึ้นมาจนแน่นอก ทำให้ตุลย์หลบตา เลี่ยงมองไปทางอื่นขณะที่เม้มปากเล็กน้อยจุกในอก แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก


“ขอบคุณ...”


บางทีนี่อาจสิ่งที่เขาอยากได้ยินมาตลอดทั้งชีวิต ที่ผ่านมาเขาวิ่งตามหา ‘บางอย่าง’ ที่สามารถรั้งเหนี่ยวจิตใจให้รู้สึกปลอดภัยอย่างไม่เคยหยุดพัก เพราะไม่ว่าที่ใด เขาก็ไม่พบสิ่งที่ตามหา ...จวบจนกระทั่งวินาทีนี้


วินาทีที่เขารู้ว่าไม่ต้องวิ่งไล่ตามอีกต่อไป… เพราะ ‘บางอย่าง’ ที่ว่านั้น ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว



“ส่วนเรื่องงานของเธอที่ฉันเคยสั่งให้ยกเลิกน่ะ... ฉันจะแก้ไขให้เธอ” ศานนท์ให้คำมั่น


กลับเป็นตุลย์ที่รีบปฏิเสธ “ไม่ครับ ไม่ยังต้อง... ช่วงนี้ผมอยากพักสักพักน่ะ...”


...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันทำให้เขาอยากใช้เวลาพักช่วงสั้นๆ เพื่อคิดทบทวนจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเองอีกครั้ง



“อีกอย่างช่วงนี้ผมก็จะสอบแล้ว ...ไว้ผมค่อยให้คำตอบคุณอีกรอบหลังสอบได้มั้ยครับ”


“อื้ม เอาตามที่เธอสะดวก...” หนุ่มใหญ่ผงกศีรษะที ก่อนจะตัดแฮมเข้าปาก ไม่รีบร้อนเร่งรัดเอาคำตอบ


“ส่วนเรื่องทริปไปฝรั่งเศสที่เคยกันไว้... ฉันยังไม่ได้ยกเลิกแค่ปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย ถ้าเธอยังอยากไป ไว้เราค่อยไปกันหลังปิดเทอมเป็นไง? ”


คำพูดนั้นทำให้ตุลย์เผยยิ้มบางๆ อย่างดีใจ


“ได้สิครับ”



ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1


ตุลย์เคยคิดว่าการเดินทางบนเครื่องบินจะรวดเร็วและสบาย แต่ถึงแม้จะบินตรงด้วยเที่ยวบินชั้นหนึ่งของสายการบินขึ้นชื่อที่เก้าอี้ปรับนอนได้ มีพื้นที่กว้างสบายพอให้เหยียดขา และสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูหนังระหว่างเดินทาง หรือใช้สิทธิในการเลือกอาหารและเครื่องดื่มตามต้องการ แต่การต้องอยู่นั่งในคอกที่มีพื้นที่จำกัด เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ติดกันร่วมสิบสี่ชั่วโมงก็ยังเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาอึดอัดอย่างปฏิเสธไม่ได้


พวกเขาถึงสนามบินชาร์ล เดอ โกลซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของปารีสในช่วงสาย หลังจากผ่านขั้นตอนตามปกติ ทั้งคู่ก็ลากกระเป๋าออกมายังด้านนอกตึก หน้าอาคารมีชาวต่างชาติจำนวนมากเดินสวนพลุกพล่าน ไอเย็นติดจมูกยามที่สูดหายใจเข้าเนื่องจากอุณหภูมิที่นี่ต่ำกว่าที่ไทยอยู่มาก แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางมาในหน้าร้อน


ตุลย์กระชับเสื้อกันหนาวเนื้อบางที่สวมอยู่อย่างเคยตัว บรรยากาศที่เบาสบายแต่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ขณะที่ศานนท์โทรศัพท์ติดต่อให้รถมารับพวกเขาที่หน้าสนามบิน


“เรากำลังจะไปไหนต่อครับ? ” ถามอย่างอดไม่ได้


“เดี๋ยวนั่งรถเอาของไปเก็บที่ห้องพักก่อน จากสนามบินไปถึงโน้นน่าจะประมาณชั่วโมงนึง” หนุ่มใหญ่เล่าคร่าวๆ เท่านั้น ก็เผยยิ้มกริ่ม “ที่เหลือฉันอยากให้เธอไปเห็นด้วยตัวเองมากกว่า”


เนื่องจากทริปนี้ศานนท์แก้ไขแผนบางส่วนของพวกเขาแล้วให้อัฐจัดการใหม่ แถมยังยืนยันจะเก็บเป็นความลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องพักโรงแรมที่ศานนท์สั่งให้แคนเซิลไป แล้วจองแห่งใหม่โดยที่ตนเองเป็นคนเลือกแทน ตุลย์จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แล้วลากกระเป๋าเดินตามหนุ่มใหญ่ขึ้นรถ MPV สีขาวที่มารอรับ


จุดที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปนั้น คือเขตที่สิบหกของปารีสใกล้กับจุดแลนมาร์กสำคัญซึ่งก็คือหอไอเฟล รถของพวกเขาขับเข้ามาในเขตเมือง ผ่านตึกรามบ้านช่องที่ให้บรรยากาศแปลกตา สองริมข้างทางโล่งสะอาด มีชาวต่างชาติเดินขวักไขว่เป็นระยะ สถานที่หมายของคือตึกขนาดสี่ชั้นสีครีมโครงสร้างแบบยุโรป ด้านหน้าตึกเป็นสวนหย่อมเปิดโล่งที่มีโต๊ะและโซฟาจัดไว้ให้ผู้อาศัยใช้พักผ่อน พวกเขาเดินผ่านชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งเล่นอยู่ เข้าสู่ด้านในตัวอาคาร พอผลักประตูเข้ามาก็ต้องรู้สึกแปลกนิดหน่อยตรงที่มันดูไม่เหมือนกับโรงแรมนัก แม้จะหรูหรา แต่กลับดูสงบกว่าและไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน...


ศานนท์เป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ กับเจ้าหน้าที่หน้าล็อบบี้ ไม่นานพวกเขาก็ได้รับกุญแจ ก่อนที่หญิงสาวชาวต่างชาติจะนำพวกเขาไปยังห้องห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นเดียวกัน พร้อมกับพนักงานชายอีกคนที่ช่วยขนสัมภาระ


เมื่อพนักงานทั้งสองคนวางกระเป๋าสัมภาระของพวกเขาด้านในห้องแล้วจากไป ตุลย์ก็ได้โอกาสมองตัวห้องถนัดตา ที่ศานนท์จองให้เขาไม่ใช่ห้องโรงแรม แต่เป็นอพาร์ทเม้นท์หรูสองชั้นที่กั้นด้วยผนังหนาแบ่งโซนออกเป็นห้องต่างๆ โดยที่ประตูเชื่อมทะลุถึงกันทุกจุด ทุกห้องตกแต่งสวยงามและมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมอยู่ เรียบง่าย แต่หรูหรามีสไตล์อย่างมากและผสมผสานทั้งศิลปะและความสะดวกทันสมัยไว้อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านสมัยใหม่มากกว่ากำลังท่องเที่ยว


ส่วนที่เข้ามาพบได้ก่อน คือโซนห้องนั่งเล่นเยื้องซ้ายมือ ที่มีโซฟาหนังสีดำตั้งอยู่ตรงข้ามทีวีจอใหญ่ มีโต๊ะไม้สีอ่อนเล็กๆ คั่นระหว่างกลาง ถัดมาทางขวาเป็นโถงยาวต่อเข้าสู่ด้านใน มีตู้หนังสือติดผนังสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งภายในชั้นมีหนังสือเรียงรายอยู่เต็ม ส่วนสุดขวามือนั้นคือบันไดวนสีครีมต่อขึ้นไปชั้นสอง


ปลายโถงชั้นล่าง คือห้องสำหรับนั่งเล่นอีกหนึ่งห้องติดริมหน้าต่าง ม่านสีครีมถูกรวบมัดไว้ เปิดโลงให้แสงสีขาวจากด้านนอกผ่านกระจกเข้ามา ภายในห้องนั้น มีโซฟาเบดตั้งรับกับริมผนังเป็นรูปตัวแอล วางอยู่หลังโต๊ะเหลี่ยมสีดำหน้าตาคล้ายกล่องไร้ขาตั้งทำจากไม้สี ถัดมาด้านซ้ายใกล้กันนั้นคือห้องทานอาหารซึ่งมีโต๊ะหินอ่อนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลาง ล้อมด้วยเก้าอี้ไม้จำนวนหกที่นั่ง เหนือโต๊ะคือโคมแก้วสองชิ้นรูปร่างคล้ายแก้วทรงสูงคว่ำหน้า ห้อยลงมาจากเบื้องบน


แต่ที่สะดุดตาตุลย์ที่สุดคงไม่พ้นชั้นลอยซึ่งต่อยื่นออกมาจากชั้นสองเป็นระเบียงกระจก คั่นระหว่างห้องนั่งเล่นหน้าประตูและห้องรับประทานอาหาร บนนั้นมีเก้าอี้โซฟาตัวใหญ่สำหรับชมวิวตั้งโดดเด่นอยู่ ราวกับสามารถเห็นห้องทุกห้องได้ครบหากชะเง้อมองจากมุมนั้น


ร่างโปร่งก้าวไวๆ ไปที่ริมหน้าต่างห้องนั่งเล่นก่อนชะโงกมองออกไปด้านนอก เขาเห็นหอไอเฟลตั้งตระหง่านโผล่พ้นหมู่อาคารราวกับใกล้แค่ปลายเอื้อม ความตื่นเต้นก็ฉายชัดบนใบหน้า ศานนท์ที่เดินตามหลังมาแตะหลังคนที่กำลังตื่นเต้นเบาๆ


“เธอชอบมั้ย? ที่นี่อยู่ห่างจากไอเฟลแค่ประมาณกิโลกว่า ฉันต้องให้อัฐต่อรองอยู่นานเหมือนกันกว่าจะได้ห้องนี้มา”


เวลานี้ ทุกอย่างรอบตัวเขาล้วนแปลกตาให้กลิ่นอายแบบยุโรป ทว่าขณะเดียวกันอีกเสี้ยวของจิตใจกลับรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเหมือนบ้าน


...อุ่นใจเพราะรู้ว่ามีศานนท์อยู่เคียงข้างในโลกที่กว้างขวาง และคนคนเดียวกันนี้เองที่เลือกทุกอย่างอย่างใส่ใจเพียงเพราะแค่อยากให้เขาประทับใจกับเรื่องธรรมดาๆ


“ครับ มันสวยมากๆ ...” ตุลย์หันไปหาศานนท์ ยิ้มโดยที่นัยน์ตาก็ยิ้มไปด้วย “ขอบคุณ... คุณให้ผมทุกอย่าง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะชดเชยให้ได้คุณยังไง”


“ไม่ต้อง แค่เธอชอบฉันก็ดีใจแล้ว...” ศานนท์ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยแววตาแสนเอ็นดู “อยากดูหอไอเฟลมั้ย? ”



หลังจากเก็บกระเป๋าสัมภาระที่ห้อง พวกเขาก็นั่งรถยนต์ต่อมายังสถานที่ที่เห็นผ่านกระจกหน้าต่าง โดยเข้าผ่านทางสวนสาธารณะที่ปูผืนหญ้าเขียวชอุ่มคู่กับทางเท้าไปเป็นแนวยาวสุดสายตา ของข้างทางคือต้นไม้สูงปลูกเรียงกัน ที่ถูกตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมเท่ากันอย่างสวยงามประณีต จากสวนแห่งนี้ สามารถมองเห็นหอไอเฟลได้ทั้งโครงสร้างตั้งแต่ฐานขึ้นไปจนถึงสุดปลายอดเสียดฟ้า อากาศในช่วงสิบเอ็ดโมงอุ่นขึ้นมาก แม้จะมีลมแรงนานๆ ครั้งหอบเอากลิ่นดินและหญ้าอ่อนๆ มาด้วย


ตุลย์เดินเตร็ดเตร่ หยิบกล้องถ่ายรูปที่คล้องคอมาตั้งแต่บนอพาร์ทเม้นท์ขึ้นเก็บภาพทิวทัศน์อย่างอดไม่ได้ สวนแห่งนี้เป็นพื้นหญ้าสั้นตัดเตียน หากขยับจัดมุมดีๆ จะสามารถเก็บภาพหอเหล็กตั้งโดนเด่นสง่าท่ามกลางพื้นสนาม ขนาบสองข้างด้วยต้นไม้ใหญ่และท้องฟ้าสีสดเบื้องบนได้พอดิบพอดี เขาเทียวเก็บภาพต่างๆ อย่างพลังงานล้นเหลือ ส่วนศานนท์ก็เดินตามอยู่ไม่ห่าง


เสียงเห่าดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกเขาทั้งคู่ให้หันไปยังต้นเสียงด้านหลัง ไม่ไกลนั้น มีสุนัขโกลเด้น รีทรีฟเวอร์สองตัวกำลังวิ่งไล่ขับกันบนสนาม โดยที่เด็กชายคนหนึ่งยืนตะโกนเรียกชื่อเจ้าสุนัขอยู่ ครอบครัวของเด็กชายก็ยืนดูไม่ห่าง


ตุลย์เห็นก็อมยิ้มกับความอบอุ่นนั้น อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพสุนัขทั้งคู่ บางภาพก็ถ่ายติดเด็กชายมาด้วย


“ตุลย์” ศานนท์ขานชื่อ


ณ เวลานี้พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางสนามหญ้าขนาดใหญ่ สายลมอ่อนๆ หอบพัดอากาศเย็นสบายชโลมร่างตัดกับแสงแดดสว่างจ้า คนที่กดชัตเตอร์เก็บบรรยากาศอย่างไม่รู้เบื่อก็หันมาหาผู้เรียกข้างกาย


“ครับ? ”


ตุลย์เลิกคิ้วสงสัยเมื่อหนุ่มใหญ่ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร แต่กลับจับมือซ้ายของเขาเอาไว้


“...นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ให้เวลาฉันเจ็ดวันได้มั้ย ฉันขอโอกาสที่จะทำให้เธอรักฉัน... วันสุดท้ายเราจะกลับมาที่นี่กัน แล้วตอนนั้นไม่ว่าเธอจะรักหรือไม่ ฉันก็จะรอฟังคำตอบจากเธอ...”


แววตาของศานนท์มั่นคงเผยให้เห็นความรู้สึกรักอย่างหมดเปลือก แต่เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินประโยคขอร้องนี้จากคนตรงหน้า ตุลย์จึงเก็บสีหน้าตกใจไม่อยู่ หากนาทีต่อมาเขาก็ยิ้มรับบางๆ อย่างไม่ขัด


“เอาสิครับ”



กลางวันนั้น หลังจากแวะทานอาหารกลางวันกัน พวกเขาก็ออกท่องเที่ยวต่ออีกหลายสถานที่สำคัญ ทั้งไปเยี่ยมเยียนประตูชัยซึ่งเป็นสัญลักษณ์เอกของฝรั่งเศสและพระราชวังลุกซ็องบูร์ แต่กว่าถึงราชวัง พวกเขาก็เดินผ่านสวนกันจนขาลาก ถึงอย่างนั้นก็นับว่าคุ้มค่าที่ได้เห็นสถาปัตยกรรมเก่าและภาพเขียนละเมียดละไมขนาดใหญ่โตโออ่าภายใน รวมถึงสวนโบราณที่มีต้นไม้ ดอกไม้และรูปประติมากรรมปูนปั้นสวยสด เช่นเดียวกับทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีเก้าอี้สำหรับให้ท่องเที่ยวนั่งพักและเก็บเกี่ยวบรรยากาศ


จากนั้นถึงเดินทางต่อมาที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ซึ่งเป็นสถานที่เก็บงานศิลปะอย่าง ภาพวาดสีน้ำมัน งานประติมากรรมเก่าแก่และอารยธรรมอียิปต์โบราณบางส่วน ทางเข้าของพิพิธภัณฑ์เป็นโดมแก้วทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ เนื่องจากพวกเขามาถึงในช่วงบ่ายแก่ แดดจัดจึงสะท้อนล้อกับกระจกสีใสเกิดเป็นประกายระยับ ทว่านอกจากความงดงามแล้ว นักท่องเที่ยวก็มีจำนวนมหาศาลเช่นกัน


พวกเขาเดินดูปีกต่างๆ ด้านในกันโดยอาศัยความช่วยเหลือจากแผนที่


“คุณ! ดูนี่สิเหมือนคนจริงๆ เลย”


ตุลย์ชี้ให้ดูรูปปูนปั้นสีขาวของหญิงสาวกึ่งเปลือยคนหนึ่งที่มีลายละเอียดยิบย่อมสมจริงอย่างน่าอัศจรรย์ ศานนท์ตามมาดูก็ถึงกับจิ๊ปาก แววตาแสดงออกว่าสนอกสนใจกับการเสพงานศิลป์เบื้องหน้าอย่างมาก แถมยังแซวว่าเขาตาถึง


เดิมทีหนุ่มใหญ่ก็ชอบสะสมของเก่าอยู่แล้ว พอได้มาเยี่ยมพิพิธภัณฑ์งานศิลปะอย่างที่นี่ อีกฝ่ายก็ดูจะอิ่มเอมใจเป็นพิเศษ


แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีเวลาได้ดูทุกชั้นอย่างละเอียดนัก จึงเลือกไปเฉพาะส่วนสำคัญซึ่งก็คงหนีไปพ้นโถงเก็บภาพวาดโมนาลิซ่าที่ได้รับความสนใจจากหมู่นักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม จุดนี้มีผู้คนคับคั่งกว่าจุดอื่นๆ แต่หากจะเข้าชมภาพเขียนใกล้ๆ ก็ต้องฝ่ากลุ่มฝูงชนที่ยืนออกันอยู่หน้าจุดแสดงเข้าไป


“มาถึงฝรั่งเศสทั้งที ผมอยากเก็บรูปตรงนี้หน่อย” ตุลย์บอก


ศานนท์ไม่ค้าน แต่เอื้อมมาจับมือของเขาไว้แน่นกันพลัดหลง ก่อนที่พวกเขาจะแทรกตัวกลืนไปกับฝูงชน ทว่าคนที่เยอะก็ทำให้พวกเขาเบียดเสียดเข้าไปได้ไม่ลึก สุดท้ายต้องใช้ชีวิธียื่นกล้องให้สูงกว่ากลุ่มคนแล้วกดชัตเตอร์ถ่ายเอา


ถึงอย่างนั้นตุลย์ก็ได้ข้อพิสูจน์อย่างหนึ่ง เรื่องที่เขาลือกันว่าดวงตาของโมนาลิซ่าจะมองตามผู้ชมไปทุกที่ เห็นว่าคงเป็นเรื่องจริง เพราะไม่ว่าเขาจะถ่ายภาพจากมุมไหนก็ดูราวกับหญิงสาวกำลังมองกล้องทุกภาพล่ำไป ถ่ายไปสองสามภาพตุลย์ก็ยอมแพ้ดึงมืออีกคนตามออกมายังพื้นที่โล่งๆ ให้หายใจสะดวกขึ้น


แม้ว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะเดินชมพิพิธภัณฑ์ส่วนอื่นต่อ แต่ศานนท์ก็ไม่ปล่อยมือเขาเลย จวบจนกระทั่งมาโผล่ที่ปีกรีเชอลีเยอ ซึ่งเป็นโถงกว้างขนาดใหญ่ ล้อมด้วยกำแพงเก่าสีขาวเทาแบบยุโรป ในโถงมีประติมากรรมรูปปั้นสีขาวสะอาด ปั้นอย่างสวยงามประณีตกระจายตัวตามจุดต่างๆ ส่วนใหญ่มักเป็นรูปปั้นชายหญิงกึ่งเปลือยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของงานศิลป์ของที่นี่เลยก็ว่าได้


อากาศเย็นๆ ประกอบกับคนที่ไม่พลุกพล่านเท่าปีกอื่น ตุลย์และศานนท์จึงตัดสินใจนั่งพักกันตรงชานบันไดหินขัดซึ่งมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มนั่งอยู่ด้วย


“ตรงนี้สวยมากเลยนะ คุณว่ามั้ย” ตุลย์ว่าขณะแหงนมองหลังคากระจกใส แดดด้านนอกยังส่องสว่าง


ที่เขาว่ากันว่า ปารีสเป็นเมืองแห่งความรักและความโรแมนติกส์นั้น พอได้มาเห็นกับตา ตุลย์ก็รู้แจ่มแจ้งแก่ใจว่ามันไม่เกินจริงเลย…



“สวยสิ ทีแรกฉันนึกว่าเธอจะไม่ชอบศิลปะ... ก็กลัวว่าเธอจะกร่อยอยู่เหมือนกัน” ดูเหมือนคำสัญญาของหนุ่มใหญ่เมื่อเช้านี้จะสร้างความกดดันให้เจ้าตัวอยู่ไม่น้อย


“ผมไม่ค่อยมีหัวเรื่องนี้ วิจารณ์ไม่เป็น แต่ว่าผมชอบนะ มันสวยมาก” ตุลย์อมยิ้ม ก่อนจะเอ่ยปลอบเป็นนัย “วันนี้ผมได้รูปสวยๆ มาตั้งเยอะ สนุกดีออก คุณไม่ต้องกังวลอะไรหรอก”


เดินด้วยกันมาทั้งวันความอ่อนล้าทำให้ตุลย์เผลอพิงหลังใส่หนุ่มใหญ่อย่างลืมตัว รู้สึกตัวก็ตอนที่อีกฝ่ายลูบหัวเขาเบาๆ ทีหนึ่ง ส่วนเขาตีซื่อแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วพิงต่อไป ซึมซับบรรยากาศที่อบอุ่นและแสนสงบในใจ


“แย่แล้ว...” เสียงอุทานเรียกตุลย์ให้หันไปหา ก็เห็นศานนท์ก้มมองนาฬิกา “ฉันจองโต๊ะไว้หกโมงครึ่ง”


โต๊ะที่ว่าหมายถึงโต๊ะสำหรับทานมื้อเย็นขณะล่องเรือตามแม่น้ำแซน ตุลย์ก็หน้าตื่นไปด้วย เนื่องจากเป็นไฮไลท์สำคัญที่พวกเขาเห็นพ้องกันว่าต้องลองชิมบรรยากาศดูสักครั้งให้ได้ แต่ในฤดูร้อนพระอาทิตย์มักตกดินช้ากว่าปกติต่างกับที่ไทยมาก กอปรกับที่พวกเขาเที่ยวกันเพลิน จึงไม่ทันสังเกตเวลา


“งั้นผมว่ากลับเลยดีกว่า นี่จะหกโมงแล้วคุณ” ตุลย์เด้งตัวลุกผึง


พวกเขารีบสาวเท้าเร็วออกจากพิพิธภัณฑ์กันเดี๋ยวนั้น โชคดีว่ารถที่นัดไว้มารอก่อนแล้ว พอโทรศัพท์คุยกันสองสามคำ ชายคนขับก็วนมารับพวกเขาที่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังท่าเรือริมแม่น้ำแซนที่จองมื้อเย็นเอาไว้ทันที ทว่าเหมือนการจราจรจะไม่เป็นใจกับพวกเขาเท่าไหร่เนื่องจากเป็นชั่วโมงเร่งด่วนของเมือง รถจึงติดตลอดแนวตั้งแต่หน้าพิพิธภัณฑ์ไปจนถึงท่าเรือ


ศานนท์ก้มมองนาฬิกาอยู่หลายรอบ พวกเขาใกล้ถึงท่าเรือเต็มแก่ แต่ก็ใกล้ได้เวลาเรือออกมากแล้วเช่นกัน ด้วยกลัวว่าพลาดดินเนอร์สำคัญ หนุ่มใหญ่จึงเสนอให้ลงเดินแทน จากนั้นพวกเขาก็ออกวิ่งสุดชีวิตราวกับกลัวว่าจะไปไม่ทันเวลา มันเป็นเวลาหกโมงที่แสงแดดยังแจ่มชัด อากาศกำลังอุ่นสบาย ตุลย์ก็เผลอหลุดหัวเราะเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ เขาและศานนท์ จะต้องมาทำอะไรสมบุกสมบันอย่างการวิ่งเพื่อทันเรือออกตั้งแต่วันแรกที่มาถึงปารีส


ปลายทางคือท่าเรือจุดหมายซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่ในจังหวะนั้นเอง เรือที่จอดเทียบกับท่าอยู่ลิบๆ ก็ค่อยๆ เคลื่อนลำแล่นออกสู่ลำน้ำใหญ่อย่างเชื่องช้าราวกับกำลังล้อเลียนความพยายามของพวกเขา เห็นแบบนั้น ศานนท์ก็หยุดวิ่ง ยืนไหล่ตก รู้สึกเสียดายจับใจ


คนที่ไม่ได้ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างหนุ่มใหญ่ พอวิ่งติดต่อกันนานๆ ได้หยุดทีก็ถึงกับยืนหอบ สีหน้าฉายแววผิดหวังเต็มเปี่ยม ต่างกับตุลย์ที่หัวเราะร่า ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจความรู้สึกของศานนท์ดี


ศานนท์ตั้งใจจองมื้อนี้ให้เขาแต่แรก ออกวิ่งก็แล้ว ท่าเรือก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม แถมยังแบกความคาดหวังต่อสัญญาที่ให้ไว้เมื่อเช้าอีก พยายามตั้งขนาดนี้แต่พวกเขาก็ยังไปไม่ทัน…



“พรุ่งนี้ฉันจะจองให้ใหม่นะ...” พูดไปก็หอบไป


แต่เสี้ยววินาทีที่กำลังจะก้าวเท้าเดินต่อให้ถึงปลายจุดหมาย ตุลย์กลับจับแขนศานนท์ไว้ไม่ให้ไป แล้วพูดสิ่งที่หนุ่มใหญ่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยิน ในวินาทีที่ทุกอย่างเร่งรีบและผิดแผนไปหมดเช่นนี้


“ผมรักคุณ”



นัยน์ตาของตุลย์สบประสานกับชายที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา ไม่ปิดบังความรู้สึกใดอีก...


ท่ามกลางแดดจ้าและผืนน้ำที่เคลื่อนไหวกระเพื่อมสะท้อนล้อกับแสงแดดเป็นประกายเขียวมรกต ตึกสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่สองข้างทางริมแม่น้ำ แต่งแต้มด้วยกลุ่มต้นไม้เขียวชอุ่ม พวกเขายืนอยู่ที่ข้างแม่น้ำแซนที่ได้ชื่อเป็นมนตร์ขลังและจิตวิญญาณแห่งปารีส ลือกันว่าหากคู่รักได้ล่องเรือไปตามลำน้ำนี้ ลอดผ่านใต้ ‘สะพานแห่งคู่รัก’ คำอธิษฐานต่อความรักนั้นคงสมหวังขึ้นมา


แต่ ณ เวลานี้ ไม่มีอะไรสำคัญต่อศานนท์ไปกว่าร่างสูงโปร่งเบื้องหน้า


หนุ่มใหญ่กำลังลังเลว่าจะถามดีหรือไม่ เพราะเขามัวแต่เสียดายเรื่องดินเนอร์จึงไม่ทันตั้งใจฟังตุลย์แต่แรก นั่นทำให้เขาไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือไม่


ทว่ายังไม่ทันตัดสินใจ ตุลย์ก็รั้งต้นคอศานนท์เข้ามาใกล้ จรดปลายจมูกเฉียดข้างแก้มเล็กน้อยก่อนกระซิบเบาๆ ด้วยสีหน้าที่เผยชัดว่ากำลังยิ้มกว้างแค่ไหน


“ผมรักคุณ...” คราวนี้ตุลย์ย้ำชัด


“ไม่ต้องรอถึงเจ็ดวันหรอกครับ ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมรักคุณ”


“...ขอบคุณสำหรับคำตอบนะ”


ไม่มีพูดอื่นใดจากร่างที่สูงกว่า มีเพียงแค่รอยยิ้มละไมและสายตาที่มองมาอย่างรักใคร่เอ็นดูจนเก็บซ่อนไม่อยู่ หนุ่มใหญ่จะรวบเอวสอบนั้นไว้ในอ้อมกอด ก่อนต่างฝ่ายต่างจูบกันแผ่วเบาท่ามกลางห้วงอารมณ์ที่สั่นคลอนวาบไหวในหัวใจอย่างไม่เกรงต่อสายตาผู้คน


...นี่เองสินะ ความรักและความรู้สึกรักที่ได้รับการตอบรับ…




เพราะที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาซับซ้อน ตุลย์จึงไม่อาจหาคำนิยามที่ตนเข้าใจให้กับมันได้


เขารู้สึกดีๆ กับศานนท์ แต่นั่นไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้...


สำหรับเขาศานนท์ยังเป็นบ้าน เป็นครอบครัว เป็นเหมือนแสงที่ส่องสว่างในคืนเดือนมืดซึ่งมองแทบไม่เห็นทาง และเป็นเพียงคนเดียวที่เอื้อมคว้ามือ ชุบชีวิตของเขาขึ้นใหม่…



แต่เวลานี้ ตุลย์เข้าใจทองแท้


ผู้ชายตรงหน้าคือ ‘ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา’ และทั้งหมดของความรู้สึกที่ว่ามานั้น ไม่ว่าใครจะให้นิยามกับมันยังไง มันก็คือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากฐานที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ทั้งสิ้น


เขารักศานนท์ ...รักมาโดยตลอด



และในวันนี้ เขา ‘มั่นใจ’ แล้วว่า ความรักและผูกพันที่มีต่อศานนท์ มันได้ก่อตัวขึ้นอย่างยาวนานในหัวใจดวงนี้ สานเป็นเยื่อใยที่ ‘แข็งแรงพอ’ จะผลิบานต่อไปตราบนานเท่าที่กาลเวลาอาจนำพาไปได้


...เวลานี้ หัวใจของเขาไม่ต้องการบทพิสูจน์ใดอีก…




[จบบริบูรณ์]

-----------------------
คำว่าจบบริบุรณ์ทรงพลังที่สุดเลยค่ะ 5555555
ขอบคุณที่พาเมลล่ามาถึงจุดนี้นะคะ
ดีใจมากๆๆ
หลังจากนี้เรื่องนี้จะถูกทำเป็น e-book นะคะ และเป็นขายที่ meb ค่ะ
สามารถอุดหนุนกันได้นะคะ หากวางขายแล้วจะนำมาแจ้งข่าวในตอนเจ้าค้ะ
มีข่าวต้องแจ้งอยู่สองสามเรื่อง แต่ตอนที่เมลล่าอัพดึกมาแล้วค่ะ คิดไม่ออก ฮื่ออออ
เดี๋ยวจะมาแจ้งในตอนแยกนะคะ

ตอนหน้าตอนพิเศษคิดว่าจะว่าอาทิตย์หน้าหรือจันทร์ไม่เกินนี้เช่นเดิมนะคะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ cutelady

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ดีงาม  ซึ้งใจมากกกกกก

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ปรบมือให้เลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด