SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]  (อ่าน 128828 ครั้ง)

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
(27.5)



ครืด… ครืด…



เสียงโทรศัพท์สั่นครืดคราดปลุกตุลย์ให้ตื่นจากภวังค์นิทราอย่างไม่เต็มใจ เขาเพิ่งงีบหลับตอนบ่ายไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจึงอยู่ในสภาพงัวเงียตื่นไม่เต็มตา คิ้วยาวขมวดมุ่นเป็นปมขณะไถลตัวหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ททิ้งไว้ข้างหัวเตียง กดรับโดยคร้านจะดูชื่อ



“ฮัลโหล”



“เฮ้ย มึงไปซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้านดังๆ ตรงถนน Y ให้หน่อยดิ” เสียงปลายสายฟังดูคล้ายจะคุ้นแต่ก็ไม่คุ้น



ตุลย์ย่นคิ้ว ไม่เข้าใจว่าผู้พูดต้องการอะไร แต่คำสั่งห้วนของคนแปลกหน้าก็ทำให้เขาหงุดหงิดจนมองข้ามความงุนงงระคนสังสัย สบถด่าอีกฝ่ายไปคำใหญ่



“อยากกินก็สั่งดิวะ โทรหาคนส่งโน้น กูจะนอน”



ปลายสายหัวเราะต่ำๆ “มึงจะไปหรือไม่ไป ต้องให้กูเตือนมั้ยว่ามึงติดค้างอะไรไว้กับกู? ”



คำขู่ของกายดูจะทำให้สมองของเขาแจ่มชัดขึ้นโข ตุลย์เงียบพ่นหายใจแรง ก่อนจะยอมยันตัวลุกจากเตียงอย่างไม่มีทางเลือก



“เออๆ รู้แล้ว เดี๋ยวไปซื้อให้ จะเอาอะไร? ”



“เมนูซิกเนเจอร์ร้าน แล้วก็...”



ขณะที่ฟังกายร่ายรายการอาหาร เขาก็เดินไปคว้าเสื้อยืดกางเกงขายาวจากในตู้มาสวมอย่างขอไปทีโดยที่ตาครึ่งเปิดครึ่งปิด



“จะให้ไปส่งที่ไหน”



“คอนโด กูจะส่งโลฯ ไปในแชต รีบมาเร็วๆ กูให้สนธยาเวลาสามสิบนาทีเริ่มนับตั้งแต่ตอนนี้เลย”



“เออๆๆ ” ความง่วงงุนทำให้ตุลย์ขานรับห้วนๆ ก่อนจะวางสายอย่างหงุดหงิดระคนเร่งรีบ



เขาคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วออกจากบ้านเรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่กายสั่ง ผ่านพักใหญ่ให้หลังกว่าตุลย์จะตื่นเต็มตา พอมีสตินึกย้อนได้แจ่มชัดว่าพลั้งปากพูดอะไรไป เขาชักพะวักพะวนกับปากช่างพล่อยของตัวเองขึ้นมา





โลเคชั่นที่กายส่งมาทางแชทเป็นที่ตั้งของคอนโดราคาแพงสูงตระหง่านซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้ากลางเมือง ตุลย์เช็กข้อมูลในมือถือซ้ำอีกหน จนแน่ใจว่าเขามาถูกถึงค่อยถามหากุญแจที่กายฝากไว้จากพนักงานประจำอินเทอร์เน็ตท์เตอร์ตรงมุมหนึ่งของล็อบบี้หรูหรา หลังจากนั้นก็ขึ้นลิฟต์มาตามชั้นที่ตกลงกัน



พูดตามตรงว่าการเดินทางมาหากายถึงรังทำให้อึดอัดใจไม่น้อย ถ้าเป็นไปได้เขายอมเจอฝ่ายนั้นในที่สาธารณะแล้วเสี่ยงให้คนมาเห็นเอายังดีกว่าเผชิญหน้ากันสองต่อสองในที่อับสายตาแบบนี้...



ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเมื่อถึงชั้นที่หมาย สัญชาตญาณย์สาวเท้าตามโถงทางยาวไล่มาหยุดตรงหน้าเลขห้องของกาย แต่แทนที่ใช้คีย์การ์ดปลดล็อกประตูเข้าไปทันที เขาเลือกจะโทรหาเจ้าของห้องผ่านโปรแกรมแชตก่อนเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าโต้งๆ



ฝ่ายคู่สายกดรับแทบในทันที



“กูถึงแล้ว”



“ไหนวะ? ”



เสียงตอบดังจากหลังประตูก่อนที่บานไม้เรียบหรูตรงหน้าจะเปิดออก กายยังสวมชุดนอน หัวยุ่งดูราวกับเพิ่งตื่นผิดความคาดหมายผู้มาเยือน



“เร็วดีนี่หว่า...”



“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูกลับละ” ตุลย์ยื่นอาหารที่บรรจุในถุงกระดาษให้อีกฝ่าย แต่กายปฏิเสธที่จะรับมัน



“เดี๋ยวดิวะ จะรีบกลับไปไหน”



“อะไรอีก”



ร่างสูงไม่ตอบแต่กระดิกนิ้วเรียกเป็นเชิงให้เข้ามาข้างใน ตุลย์ขมวดคิ้วแน่น ท่าทีของกายทำให้เขาเคลือบแคลงในจุดประสงค์ แต่ด้วยแต้มไพ่ในมือที่ด้อยกว่า จึงต้องยอมตามเข้าไปอย่างไม่เต็มใจนัก



เสียงประตูปิดดังไล่หลัง พอหันกลับไปเขาก็เกือบชนเข้ากับกายจังๆ ตุลย์ผงะเล็กน้อยตามสัญชาตญาณก่อนจะเบี่ยงตัวหลบคนที่ประชิดเข้ามาในระยะใกล้เกินไปอย่างไม่ไว้ใจ ขณะที่กายเข้ามาดึงถุงเบอร์เกอร์และคีย์การ์ดไปจากมือดื้อๆ



“ระแวงอะไรของมึง? ”



เจ้าของห้องมองด้วยสายตาเหยียดหยันระคนขบขัน ก่อนเดินเฉียดไหล่เขาไป ทรุดตัวนั่งบนโซฟาแล้วหยิบเบอร์เกอร์ออกมากินลอยหน้าลอยตาขณะดูโทรทัศน์ที่เปิดไว้ ทิ้งให้ผู้มาเยือนยืนเก้ออยู่ด้านหลัง



ไม่นานตุลย์ก็เปรยถามอย่างหมดความอดทน



“ไม่มีอะไรแล้วจะให้กูอยู่ทำไม? ”



“เห็นมึงทำหน้ากล้ำกลืนแล้วมันสนุกดีไง” กายเอี้ยวตัวมามองเขาก่อนจะฉีกยิ้มหยัน ดูสะใจเล็กๆ



ไอ้หมอนี่มันตั้งใจเรียกโทรเรียกเขามาปั่นประสาทชัดๆ!



“แต่มึงก็ใจกล้ากว่าที่คิดนะ… มาหากูถึงคอนโดคนเดียว ไม่กลัวโดนกูซ้อมหรือบังคับให้ทำเรื่องต่ำๆ อีกหรือไง”



“ซ้อมกูไปจะมีประโยชน์อะไรกับมึง”



“หึ ถามหาเหตุผลจากกูเนี่ยนะ? ” ร่างสูงเลิกคิ้ว เหยียดแขนยาวพาดพนักโซฟา “ทำไมวะ? กูดูเหมือนคนมีเหตุผลนักเหรอ”



สบสายตากัน นาทีนั้นความทรงจำเก่าๆ ที่เคยถูกกายทำร้ายก็ไหลเข้ามาในหัวเป็นช่องฉากราวกับเนื้อที่ในปอดถูกบีบเล็กลงจนหายใจลำบาก ความรู้สึกอึดอัดกระตุ้นให้ตุลย์เม้มปากแน่น โพล่งออกไปด้วยสัญชาตญาณการปกป้องตนเอง



“กูไม่อยู่เฉยๆ ให้มึงซ้อมแน่ และกูก็ไม่ทำเรื่องอย่างนั้นอีกเด็ดขาด ถ้ากูทำมึงก็จะใช้คลิปพวกนั้นแบล็กเมล์กูอีก กูไม่ยอมเป็นทาสมึงไปตลอดแน่! ”



ทีแรกก็หวั่นว่าผู้ฟังจะเกิดฉุนขาด แต่ต้องประหลาดใจเมื่อกายแค่กระตุกยิ้ม เมินผ่านคำพูดเมื่อครู่ แล้วหันกลับไปสนใจรายการทีวีต่อราวกับเขาเป็นอากาศ กระทั่งจัดการมื้อกลางวันเสร็จ เจ้าของห้องก็ลุกขึ้นจากโซฟา



“กูไปอาบน้ำละ”



ร่างสูงหยิบผ้าขนหนูในห้องนอน ก่อนจะหายเข้าไปทางห้องน้ำโดยไม่ใส่ใจ ปฏิกิริยานั้นยิ่งทำให้เขาสับสนไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร



ลับหลังเจ้าของห้อง ร่างโปร่งก็ถอนหายใจยาวเหยียด



อยู่ใกล้หมอนี่ทีไร เขารู้เหมือนกำลังทำสงครามประสาททุกที...




ว่าไปแล้ว ห้องของกายก็จัดว่ากว้างขวางพอตัวสำหรับคอนโดทำเลกลางเมืองเช่นนี้ ทั้งยังแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบครันกลมกลืนไปกับโทนสีของห้อง หากไม่ติดว่ามีร่องรอยชีวิตของผู้อยู่อาศัย อย่างเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้วางพาดระเกะระกะบนโต๊ะและตามที่ต่างๆ ก็คงดูเรียบหรูทันสมัยสมราคากว่านี้อยู่มากโข



ขณะที่กำลังสำรวจห้อง ตุลย์สะดุดตากับโน้ตบุ๊กสีเงินยี่ห้อดังที่มีรูปลักษณ์เหมือนของเขาเป๊ะ วางหมิ่นเหม่อยู่บนโต๊ะทานอาหารข้างถุงร้านสะดวก ความคิดหนึ่งก็ฝุดขึ้นในหัว



เขาเหลือบมองกายที่เดินหายไปทางห้องน้ำผ่านประตูห้องนอนที่แง้มอยู่ครึ่งหนึ่งของความกว้าง ก่อนจะเดินปรี่เข้าไปใกล้



...นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะรู้ว่ากายเก็บไฟล์ไว้ที่ไหน



ตุลย์เปิดดูโน้ตบุ๊กอย่างถือวิสาสะขณะที่หัวใจเต้นระส่ำ โชคดีที่คอมพิวเตอร์ของกายไม่ได้เข้ารหัสไว้ เขาจึงสามารถเข้าถึงหน้าจอและไฟล์ต่างๆ ในเครื่องได้ในทันที



แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่ เพราะไฟล์ส่วนมากเป็นไฟล์งาน รูปที่เซฟมาจากอินเทอร์เน็ต รูปถ่าย และเพลงซึ่งไม่เกี่ยวข้องใดๆ คลิปที่เขากำลังตามหา แถมไฟล์พวกนี้ยังมีเป็นร้อยๆ ลำพังคงไม่มีเวลาพอจะไล่เปิดดูทั้งหมดได้



ตุลย์จิ๊ปาก



ถ้ากายรู้ว่าเขายุ่งกับโน้ตบุ๊กของหมอนั่น เรื่องคงจบไม่สวยแน่



แต่ยิ่งค้นนานเขาก็ยิ่งกระสับกระส่ายกลัวว่าจะถูกเห็นเข้า ขณะที่เริ่มกังวลว่าตนกำลังใช้เวลาอย่างศูนย์เปล่าไปกับการงมเข็มในมหาสมุทรที่อาจไม่มีวันเจอ หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของกายวางคว่ำอยู่ที่โต๊ะหน้าโซฟาพอดิบพอดี



จริงสิ... คลิปที่กายใช้แบล็กเมลเขาถูกถ่ายจากกล้องโทรศัพท์ บางทีต้นคลิปอาจจะถูกเก็บไว้ในโทรศัพท์ก็ได้



คิดได้เช่นนั้น ตุลย์ก็รีบชัตดาวน์เครื่องกลบเกลื่อนร่องรอยแล้วจ้ำอ้าวไปที่โซฟาหยิบโทรศัพท์ของกายขึ้นมาทันที แต่ทว่าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเหมือนทีแรกเพราะจอถูกเข้ารหัสไว้



ตุลย์ลองสุ่มพาสเวิร์ดอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่คิ้วยาวจะขมวดแน่นอย่างหัวเสียเมื่อการกดพาสเวิร์ดผิดเป็นครั้งที่หกทำให้หน้าจอล็อกชั่วคราว จังหวะที่คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อ หางตาก็เหลือบไปที่ประตูทางออก



บางทีเขาควรยึดโทรศัพท์กายไว้แล้วรีบออกจากห้องนี้ซะ จากนั้นค่อยส่งมันให้ใครสักคนปลดล็อก



ทำแบบนั้นเขาอาจได้คลิปต้นเรื่องหรือข้อมูลอะไรสำคัญๆ ที่สามารถใช้แบล็กเมลกาย



แต่ถ้ากายไม่ได้เก็บคลิปนั่นไว้แค่ในโทรศัพท์ล่ะ…?




“มึงหยิบผิดเครื่องรึเปล่า”



ตุลย์สะดุ้งเมื่อเสียงของกายดังขึ้นจากด้านหลัง เขาหันกลับไปอย่างตื่นตระหนก



ร่างสูงของกายยืนอยู่ห่างจากเขาแค่เมตรเดียว โดยที่ยังสวมชุดลำลองตัวและถือผ้าขนหนูไว้ในมือ ไม่ได้อาบน้ำจริงอย่างที่เจ้าตัวอ้าง วินาทีนั้นตุลย์ก็รู้ว่าเขาเพิ่งถูกหลอกให้ตายใจ



“กูก็สงสัยอยู่ว่าถ้าปล่อยมึงเอาไว้คนเดียวจะเป็นยังไง หึ นึกแล้วว่ามึงต้องแอบค้นห้องกูแน่ อยากรู้เหรอว่ากูเก็บคลิปไว้ที่ไหน? ” กายยักคิ้ว ในมืออีกฝ่ายมีโทรศัพท์อยู่อีกเครื่อง “งั้นแลกเครื่องกันหน่อยดีมั้ยล่ะ? ”



“....! ”



ตุลย์รีบล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเย็นสันหลังวาบเมื่อพบว่าพื้นที่สองข้างลำตัวว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าถูกกายฉกโทรศัพท์ไปตอนไหน บางทีอาจตั้งแต่ตอนเข้าห้องที่จู่ๆ อีกฝ่ายเดินมาประชิดแล้วกระชากถุงเบอร์เกอร์ไปจากมือ หรือไม่ก็ตอนที่แกล้งเดินเฉียดไหล่เขา



ท่าทีตกใจนั้น เรียกรอยยิ้มสะใจจากผู้ชนะ “ความรู้สึกช้านะมึง”



“เอาโทรศัพท์กูคืนมา! ”



“ส่งของกูคืนมาก่อน”



“ไม่...”



เขาจะรู้ได้ไงว่ากายจะคืนมันจริง



“ก็ได๊”



กายเปิดประตูระเบียงออกไปยืนด้านนอก โดยทีมือยังถือโทรศัพท์เขา



"ถ้ามึงไม่คืน กูจะโยนไอ้นี่ลงไปข้างล่าง มึงจะเก็บโทรศัพท์กูไว้ก็ตามใจ ลองมาพนันกันสักหน่อยก็ได้ว่าคลิปอยู่ในเครื่องกูมั้ย แต่ไม่รับประกันหรอกนะ ว่าชื่อเสียงมึงจะอยู่รอดปลอดภัยหลังจากนี้”



“อย่า! ”



ไวกว่าความคิด ตุลย์ก้าวพรวดออกไปคว้าข้อมือกาย เขาแม่นพอแต่กายก็ขืนแรงยื้อเอาไว้ ตำแหน่งของโทรศัพท์ในตอนนี้จึงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ยื่นออกไปนอกขอบระเบียงเล็กน้อยอย่างน่าหวาดเสียว



เพราะมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่โทรศัพท์เครื่องดังกล่าว กายจึงใช้จังหวะที่ตุลย์ไม่ทันตั้งตัวดึงโทรศัพท์ของตนจากมืออีกข้างอย่างรวดเร็ว แต่เพราะตุลย์กำมันไว้แน่นแต่แรกผนวกกับแรงดึงที่ไม่มากพอ โทรศัพท์จึงหลุดมือของทั้งคู่ ชนขอบกระถางต้นไม้ริมระเบียง ก่อนจะไถลไปตกอยู่ตรงซอกด้านหลังกระถางปูน



ตุลย์ปราดหางตามอง เค้นเสียงฮึดฮัดในคออย่างหงุดหงิดเพราะเพิ่งเสียเครื่องต่อรองไป ร่างโปร่งขืนแรงข้อมือเพิ่ม แต่มือกายก็เหนียวแน่นอย่างกับตีนตุ๊กแก



จริงอยู่ที่เขาแข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนจนมั่นใจว่ารับมือกายได้ตามลำพัง แต่กำลังผู้ชายตัวเท่าๆ กันก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่



“มึงได้คืนแล้วก็ปล่อยมือจากโทรศัพท์กู” ตุลย์ชักเริ่มหัวเสีย



“ก็ได้ๆ ปล่อยแล้วนี่ไง”



กายยอมรามือโดยง่าย ท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนั้นสร้างความเคลือบแคลงให้ตุลย์ไม่น้อย แต่เพราะได้ของของตนคืนแล้ว เขาจึงคร้านจะเก็บมาใส่ใจ ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ร่างสูงจะพุ่งพรวดเข้ามาฉกมันจากมือในจังหวะที่กำลังเก็บใส่กระเป๋า ผลคือโทรศัพท์ลื่นหลุดจากมือหล่นลงบนพื้น ก่อนที่ตัวเครื่องจะกระเด็นกระดอนออกไปนอกระเบียงร่วงลงด้านล่างต่อหน้าต่อตาตุลย์



ใจเขากระตุกวูบ ตุลย์ชะโงกมองซากซึ่งตอนนี้เห็นเป็นเพียงจุดดำๆ เล็กๆ บนพื้นคอนกรีต จากนั้นเส้นความอดทนก็ขาดผึง



“เอามือออกไปจากกู! ” ตุลย์ตวาดตาขวาง



แรงยื้อยุดที่ข้อแขนคลายออก ร่างโปร่งก็ผลักอกกายอย่างแรงจนผู้ถูกกระทำเสียการทรงตัวเซถอยหลังไปหลายก้าว



"กู-จะ-กลับ"



เสียงห้วนจนฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่าประโยคบอกกล่าว นาทีนั้นเขาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ร่างโปร่งสบถ เดินกลับเข้าไปในห้องด้วยโทสะคุอย่างคนฟิวส์ขาด จากนั้นประตูหน้าห้องก็ปิดเสียงสนั่นดังปังใหญ่ ทิ้งให้กายยืนนิ่งเพียงลำพังอยู่ที่ริมระเบียงอย่างเดิม



ชายหนุ่มครางหึ่มในคออย่างเสียอารมณ์ ขยี้หัวด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกึ่งผิดหวัง เขาพ่นหายใจ ก่อนล้วงซองบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบ



“แม่งเอ้ย”



เขามัวแต่ไล่บี้เส้นความอดทนของตุลย์เพลินจนเกือบทำพลาด!



ขืนเมื่อกี้ยังยื้อไว้อีกคงได้ถูกฝ่ายนั้นชกหน้าเข้าให้จริงๆ




ความรู้สึกของการอยู่เหนือกว่า หรืออำนาจควบคุมแบบที่สามารถบังคับฝืนใจให้ผู้คนยอมสิโรราบได้ตามต้องการ สิ่งเหล่านี้ช่างหอมหวาน เสพติดและชวนให้ถลำลึกสำหรับเขาเสมอมา



ตุลย์ก็แค่โชคร้ายที่เผอิญกระตุ้นสัญชาตญาณดิบพวกนั้นในตัวเขาได้ดี




กายกระตุกยิ้ม แต่ครู่เดียวก็เลือนหายไปจากใบหน้า

[/i]

ใช่... เขาสนุกกับการได้ปั่นหัวให้ตุลย์วิ่งวนในกำมือเหมือนหนูติดจั่น แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้คือ เขาเองก็วางเดิมพันกับเกมนี้ไว้สูงเช่นกัน



หากครั้งหน้าไม่เล่นระวัง คนที่เสียหมดหน้าตักอาจเป็นเขาเองก็ได้...

[/i]

---------------------



ซีดานสีดำจอดรออยู่ริมฟุตบาทในจุดที่คนไม่พลุกพล่านนัก ท้องฟ้าสีครามยามสนธยาโปรยเม็ดฝนปรอยพอให้ได้ยินเสียงหยดน้ำตกกระทบกระจกหน้าเกิดเป็นฝ้ามัว ศานนท์เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในรถ ไล่ดูข่าวสารผ่านโลกอินเทอร์เน็ตฆ่าเวลาไปเรื่อยขณะที่รอคอยใครบางคนซึ่งยังไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัว



ชายวัยกลางคนก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนที่ใส่ประจำเมื่อรู้สึกตัว



ดูเหมือนจะเลยเวลานัดมาราวครึ่งชั่วโมงได้…



เขาลองต่อสายหาตุลย์ดู ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อปลายสายตัดเข้าเสียงตอบรับอัตโนมัติเนื่องจากไม่สามารถติดต่อเจ้าของหมายเลขได้ แม้ว่าเขาจะโทรซ้ำอีกครั้งแล้วก็ตาม



เมื่อบ่ายตุลย์บอกว่าจะออกมาทำงานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ศานนท์จึงรบเร้าจะมารับอีกฝ่ายกลับในตอนเย็น ปกติแล้วตุลย์จะโทรบอกก่อนเสมอหากมาสาย แต่เย็นนี้โทรศัพท์ของเขายังเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่ข้อความ…



หรือว่าจะแบ็ตหมด?




เขารู้แก่ใจดีว่าตุลย์ดูแลตัวเองได้ แต่ส่วนลึกก็ยังเป็นกังวลเล็กๆ ประกอบกับเลยเวลานัดมาพักใหญ่ ศานนท์จึงถือโอกาสค้นรายชื่อคนใกล้ชิด ตั้งใจจะไหว้วานให้ช่วยดูแลตุลย์เสียหน่อย



ทว่าจังหวะที่ปลายนิ้วจะแตะปุ่มโทรออก เสียงเคาะกระจกจากฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้เงยขึ้นจากหน้าจอ เงาร่างสูงโปร่งฉายชัดหลังกระจกที่ถูกละอองน้ำเกาะเลือนพร่า แต่ศานนท์จำเค้าโครงร่างนั้นได้



ปลดล็อกประตูปุ๊บ ตุลย์ก็จ้ำอ้าวขึ้นรถทันที



“ขอโทษครับ ผมมาสายหน่อย” ร่างโปร่งที่เปียกแฉะไปครึ่งตัววางกระเป๋าลงข้างๆ หายใจหอบราวกับคนรีบร้อนวิ่งมาฝ่าฝนมายังไงอย่างนั้น “คุณรอนานหรือเปล่า? ”



“ก็นิดหน่อย เมื่อกี้ฉันโทรหาเธอไม่ติด กำลังคิดว่าจะโทรหาคนอื่นอยู่เธอก็มาพอดี”



“โทรศัพท์ผมพังน่ะ”



ศานนท์ร้อง ‘อ๋อ’ เบาๆ ขณะคาดเข็มขัดแล้วปลดเบรกมือลงเพื่อให้รถเคลื่อนตัวได้



ถึงว่าล่ะ เขาโทรไม่ติดสักที




“เครื่องรวนเหรอ? ”



“เปล่าครับ จอผมแตกละเอียดหมด เลยทิ้งไปแล้ว”



หนุ่มใหญ่เลิกคิ้วแปลกใจ “ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะ”



“ไม่ได้ทำอะไรหรอก ผมเถียงกับเพื่อนนิดหน่อย ไม่ทันระวังเลยทำมันหลุดมือตกลงมาจากชั้นบน” ตุลย์ตอบสั้นกระชับ คิ้วยาวขมวดมุ่นดูรำคาญใจเมื่อต้องย้อนนึกถึงเรื่องที่กำลังเล่า



ปฏิกิริยานั้นทำให้ศานนท์รับรู้ได้ไม่ยากว่าร่างโปร่งอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด แต่เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรน่าเป็นห่วง เขาจึงไม่ซักไซ้ต่อเพราะไม่อยากก้าวก่ายเรื่องในสังคมเพื่อนของอีกฝ่ายจนเกินพอดี



ท่ามกลางสายฝนที่ลงเม็ดพรำ ซีดานราคาแพงแล่นออกจากรั้วมหาวิทยาลัยเข้าสู่ถนนที่การจราจรคับคั่งแน่นขนัดเป็นกิจวัตร ตุลย์เท้าคางบนที่พักแขน เหม่อมองออกไปนอกหน้าตาต่างขณะที่หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องน่ารำคาญใจ



หลังจากนั่งเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ ร่างโปร่งก็ถอนหายใจยาวเหยียด



“กว่าจะพ้นแยกนี้คงชาติหน้าซะมั้ง”



ดูเหมือนสภาพท้องฟ้าอากาศและการจราจรติดหนักจะทำให้เจ้าตัวหัวเสียกว่าเก่า



“หงุดหงิดเหรอ? " หนุ่มใหญ่เลียบเคียงถาม



"เปล่าหรอกครับ" ตุลย์ปฏิเสธ



ที่จริงเขายังหงุดหงิดเรื่องที่ถูกกายปั่นประสาทจวนจะฟิวส์ขาด แถมยังยื้อเวลาทำให้ต้องติดฝนจนมาสาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะเอาอารมณ์ไปสาดใส่ศานนท์อย่างไร้เหตุผล




“ฉันรู้ว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่”



“ครับ ผมยังหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย วันนี้มันวุ่นวายน่ะ” ถูกจี้มากๆ เข้า ร่างโปร่งก็ตอบอย่างขอไปที



ศานนท์เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเสนอ “งั้นเราไปซื้อโทรศัพท์ใหม่กันดีมั้ย”



“หือ? ตอนนี้เหรอครับ? ”



หนุ่มใหญ่รับ ‘อือฮึ’ ในคอ



เหม่อมองไฟท้ายสีแสดของรถยนต์ที่เรียงแถวเป็นแนวยาวเหยียด ตุลย์ก็ถอนใจยอมแพ้ “ไม่ต้องหรอก มันต้องยูเทิร์นกลับไม่ใช่เหรอครับ คราวหลังเถอะ เสียเวลาจะตาย”



“ไม่เสียเวลาหรอก ถ้าเธออารมณ์ดีขึ้นน่ะ”



“.......” ร่างโปร่งถอนหายใจ ก่อนจะเบนหน้าหนีไปอีกทาง



เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นตอนนี้ได้หรอก...




“ไม่ได้จะคาดคั้นอะไรเธอหรอกนะ”



หนุ่มใหญ่เอ่ยขึ้นราวกับรู้ทันความคิดเขา



“ที่ฉันพูดแค่อยากให้เธอรู้... ว่าฉันแคร์ความรู้สึกเธอเพราะเธอพิเศษสำหรับฉัน เธอคือคนที่ฉันอยากเห็นหน้าที่สุดในวันวันนึง ดังนั้น ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องเสียดายเวลาหรอก”



น้ำเสียงของศานนท์เรียบเป็นปกติราวกับกำลังอธิบายเรื่องธรรมดาทั่วไปเรื่องหนึ่ง แต่เรียกให้ผู้ฟังถอนสายตาจากความเคลื่อนไหวนอกกระจกกลับมาภายในรถ



สายตาของตุลย์เผอิญบรรจบกับศานนท์พอดีตอนที่หันกลับมา หนุ่มใหญ่ดึงเบรกมือขึ้นโดยที่มือขวาวางพาดอยู่บนพวงมาลัย เอี้ยวตัวมาด้านข้างเล็กน้อยราวกับสนใจแค่เพียงเขา





ความเอาใจใส่ที่สะท้อนผ่านแววตาและภาษากายก่อให้เกิดเป็นความอบอุ่นปลอดภัยแบบที่คุ้นเคยชิน ตุลย์ก็คล้ายจะหลงลืมความโกรธไปครู่



ชั่วอึดใจที่ไม่มีใครพูดอะไร ระหว่างพวกเขาทั้งคู่จึงมีแค่ความเงียบห้อมล้อมด้วยเสียงเพลงจากสถานีวิทยุ จังหวะดนตรีช้าๆ ฟังสบายเหลื่อมรับกับเสียงฝนจากด้านนอก



ตุลย์ยิ้มออกมาเล็กน้อย "อยู่ๆ ก็คุณพูดอะไรเยอะแยะจนผมตามไม่ทัน...”



“นั่นน่ะสิ” หนุ่มใหญ่หัวเราะเบาๆ ไม่ปฏิเสธ “สำหรับเธอ อะไรก็ได้ ถ้ามันทำให้อารมณ์ดีขึ้น ไหนลองบอกฉันมาสิ...”



ท้ายประโยคจงใจแผ่วลงจนฟังดูแสนเอาอกเอาใจ ศานนท์ช้อนมองเขาด้วยสายตาที่เปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาแต่แฝงด้วยการเว้าวอนซึ่งมันกระตุ้นบางอย่างที่ตุลย์ไม่รู้จักให้ก่อตัวขึ้นข้างในใจ



แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำความเข้าใจความรู้สึกนั้น ปลายนิ้วหัวแม่มือของหนุ่มใหญ่ก็เอื้อมมาแตะคางเขา ก่อนที่มือหนาเชยกรอบหน้าให้มาทางขวาเพื่อจูบ ริมฝีปากของทั้งคู่จะแตะกันเบาๆ พอเกิดเสียง สัมผัสอุ่นชื้นยามที่ริมฝีปากเบียดชิดกันนุ่มนวลอ้อยอิ่งปราศจากความรีบร้อน แต่กลับหวานละมุนชวนเสพติดจนโหยหาอยากสัมผัสอีก



“อืม…”



ตุลย์ครางเบาๆ รั้งไหล่กว้างให้โน้มเข้ามาใกล้อีกนิด ก่อนจะปรับเปลี่ยนองศาเอียงใบหน้าจูบตอบในแบบที่นิ่มนวลเชื่องช้าพอๆ กัน



เม็ดฝนโปรยลงมาจากท้องฟ้าครึ้มเมฆสีครามในเวลาย่ำค่ำ ไฟท้ายสีแดงฉาดของรถยนต์ที่จอดนิ่งสนิทอยู่เบื้องหน้าตัดกับสีท้องฟ้า โคมถนนส่องสว่างให้แสงแก่สองข้างทางในขณะที่ผู้คนถือร่มหลากสีหลากลวดลายเดินขวักไขว่สวนกันไปมาตามทางเท้าเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านหลังจากเลิกงาน เหล่านี้ล้วนเป็นภาพปกติของวิถีชีวิตชาวเมืองกรุงที่เห็นจนชินตา



เพียงแต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกพอใจหากว่ารถจะติดนานขึ้นอีกหน่อย...





ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
(ต่อ)



อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิต่ำเกินไปทำให้รู้สึกหนาวท่อนบนจนปลุกตุลย์จากภวังค์งีบหลับ ร่างโปร่งครางเบาๆ ก่อนตุลย์พลิกตัวคว่ำส่งผลให้ผ้าห่มเลื่อนหลุดลงมากลางหลังเปลือย ขณะเอื้อมมือควานหาโทรศัพท์ตรงหัวนอนด้วยความเคยชิน เขาใช้เวลาอยู่เกือบนาทีกว่าจะระลึกได้ว่าหยิบ ‘ซาก’ จอกับเครื่องกรอบๆ ไปทิ้งลงถังขยะเองกับมือ จึงฟุบหน้าใส่หมอนต่ออย่างงัวเงีย



หลังจากเรื่องบนรถ พวกเขาติดอยู่บนถนนต่ออีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะได้สานต่ออารมณ์ที่คั่งค้างกันไว้ต่อเมื่อกลับถึงบ้าน อากาศเย็นๆ และเตียงนุ่มสบายหลังจากเซ็กซ์ที่เยี่ยมผนวกเข้ากับความอ่อนล้า ทำให้ตุลย์เผลองีบหลับอย่างเคยนิสัย กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ดึกดื่น



เพราะขี้หนาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซุกตัวใต้ผ้าห่มต่อได้อีกราวห้านาที ร่างเปลือยก็จำใจต้องยันตัวลุกขึ้น เดินข้ามกองเสื้อผ้าขยุกขยิกข้างเตียงเพื่อไปหยิบเสื้อยืดจากในตู้มาสวมแค่ท่อนบนอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะวกกลับมาทรุดตัวนั่งตรงขอบเตียงโดยระมัดระวังไม่ให้ผืนเตียงยวบยาบเกินไปจนทำให้ผู้ที่กำลังหลับใหลรู้สึกตัว



ศานนท์ยังคงหลับสนิทอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของเตียงคิงไซส์



อีกฝ่ายก็ดูจะขี้เซ้าไม่แพ้เขาเหมือนกัน




ตุลย์ลอบยิ้มในความมืด



ผ้าม่านในห้องซึ่งถูกปิดไว้ไม่สนิทแต่แรกทำให้มีแสงลอดมาจากด้านนอกตัดกับความมืดภายใน ช่องรอยต่อระหว่างม่านสองผืนที่แง้มอยู่เผยให้ท้องฟ้ายามราตรี ดูเหมือนว่าฝนที่ตกไปเมื่อเย็นจะทำให้มีปริมาณเมฆน้อย ยิ่งขลับดวงจันทร์เด่นสง่าดูสว่างไสวกว่าทุกคืน



...ปกติเขาเป็นคนติดโทรศัพท์เอามากๆ ชนิดที่ว่างตอนไหนเป็นต้องหยิบขึ้นมาเล่น น่าแปลกที่ตอนนี้กลับไม่ทุกข์ร้อนแม้ว่าจะติดต่อใครไม่ได้



ตุลย์ทอดมองแผ่นหลังของศานนท์ซึ่งครึ่งล่างซุกอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนาในสภาพยับยู่ยี่จากเรื่องเมื่อหัวค่ำ แววตาอ่อนลงยามหวนย้อนคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา



...นึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าชีวิตตัวเองจะเดินไปในรูปแบบไหน ถ้าหากไม่ได้ศานนท์คอยช่วยมาถึงตรงนี้



เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอยู่นี่มันคือความสัมพันธ์แบบไหน แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากใช้ชีวิตด้วยกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ …



ทว่าวินาทีที่เริ่มคิดถึงอนาคต อดีตที่เกือบหลงลืมไปแล้วก่อตัวขึ้นเป็นความรู้สึกหนักอึ้งในอกราวกับกำลังตีตราย้ำเตือนเขาถึงเรื่องที่ไม่ว่าจะลบเท่าไหร่ก็ลบไม่ออก



เขาอยากให้อดีตนี้ตายไปกับเขา มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่ต้องเล่าเรื่องนั้นให้ศานนท์ตลอดไป…




------------------------------

กลับมาแล้วค่าาา พยายามอย่างมากที่จะมาอัพ ในที่สุดก็ทำได้ซะที เยยย้

ใกล้จะเข้าสู่โหมดดราม่าเต็มตัวแล้วค่า

เมลล่ากลับไปวาง+ปรับปรุงรายละเอียดเส้นเรื่องในแน่นขึ้นแล้ว เสียเวลาไปกับตรงนี้อยู่นานเลย

แต่เพื่องานที่ตื่นเต้นและเป็นเหตุเป็นผล หวังว่านักอ่านชอบเสพกันเจ้าค่ะ อิอิ



ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะดู untraditional มากๆ แต่เมลล่าเป็นพวกสุขนิยม ถถถถถ ดังนั้นจบสวยเจ้าค่ะ แต่ระหว่างทางคงไม่ราบรื่น (เอ๊ะ)

มาลุ้นกันต่อนะคะ ว่าจากตอนนี้เนื้อเรื่องจะเดินไปทางไหนต่อ

หนูตุลย์จะปิดศานนท์ไปได้นานมั้ย หรือใครจะความแตกก่อนกัน แล้วบทสรุปของเจ้ากายจะเป็นยังไง ฮี่ๆๆ

เอ๊ะ ทำไมพูดเหมือนจะจบแล้ว? ถถถถถ

ข่าวดี (หรือข่าวร้ายหว่า) คือ 31 ตอนไม่น่าจบค่ะ

แต่ยืดออกไปไม่เยอะ พยายามสับให้รวบรัดแต่ไม่ตัดตอนเกินไปเจ้าค่ะ





ช่วง: แอบบ่น (สั้นๆ)


จริงๆ เมลล่าเข้ามาหน้านิยายบ่อยอยู่พอสมควรค่ะ แต่เนื้อหายังไม่เสร็จสักทีเลยไม่ค่อยอยากเขามาตอบเฉยๆ เท่าไหร่ รู้สึกผิดค่ะ T___T
แต่ได้อ่านทั้งคอมเม้นท์ต่างๆ และคำวิจารณ์แล้วนะคะ (อย่างละเอียด ถถถ) ขอบพระคุณมากๆ ที่สละเวลา reflect งานผ่านมุมมองของนักอ่านให้เมลล่า เป็นประโยชน์มากๆๆๆ เลย

ปกติเพื่อนนักเขียนรอบๆ ตัวเมลล่า มักจะเป็นคนที่ creative สูงมากๆ พอไปเข้าคลาสเรียนด้วยกันก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหัวด้านนี้เลย งานทุกคนดูน่าสนใจไปหมดยกเว้นตัวเราที่วนอยู่ในอ่าง 5555
อาจเพราะปกติเมลล่าจะชอบเขียนงานที่มี controversy สูง หรือไม่ก็อะไรที่เกี่ยวกับ taboo มั้งคะ ซึ่งมันไม่ค่อยได้ใช้หัวด้าน creative เพราะต้นกำเนิดงานมันมาจากการอยากฉีก tradition บางทีก็จะเกิดอาการสับสนว่านี่มันใช่การเขียนนิยายแบบที่เขาทำกันนหรือเปล่าหว่า 5555

แต่พอเวลามีคน reflect มุมมองแบบนี้ บางทีมันก็เตือนเราว่างานแปลกๆ แบบนี้ก็ยังมีคนที่ชอบอยู่เหมือนกัน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังมากถูกทาง ถถถถถ *ก้มกราบ*

แอบคิดถึงช่วงเวลาดีๆ เมื่อก่อนที่เมลล่ามักจะเขียนอธิบายเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อยๆ หลายปีที่แล้วเหมือนมีเวลาเข้ามาดูแลหน้านิยายมากกว่านี้ ปัจจุบันนี้แค่อัพทีก็จะกระอักเลือดแล้ว T-T

แต่!!

ปีหน้าจะมีเวลาทุ่มเทให้งานเขียนแบบ full time แล้ว ตั้งแต่ใจปรับปรุงตัวให้อัพงานสม่ำเสมอขึ้น

นักอ่านทุกคนมีส่วนสำคัญมากๆ ในการตัดสินใจครั้งนี้ เมลล่าได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่สำคัญกับความรู้สึกของตัวเองมากๆ และถ้าไม่มีนักอ่านคอยติดตามมาถึงวันนี้ เมลล่าอาจไม่กล้าตัดสินใจ

จริงๆ แล้วมีเรื่องอยากจะพูดเยอะแยะเลยค่ะ แต่อยากเข็นเรื่องนี้ไปถึงตอนจบก่อน ค่อยเขียน talk ทีเดียว แฮร่ :)

ขอบคุณสำหรับกำลังใจเสมอมานะคะ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย

เจอกันในตอนต่อไปเจ้าค่าา <3
 :mew1:


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
28th Night: ความจริง


เมื่อคาบเรียนรอบเช้าจบลง นักศึกษาต่างก็แยกย้ายออกจากห้องเลคเชอร์ขณะที่บางส่วนจับกลุ่มอยู่ต่อเพื่อพูดคุยกับอาจารย์เจ้าของวิชา



ยืนรอจีจี้เก็บสมุดและปากกาหลากสีของเจ้าหล่อนใส่กระเป๋าผ้าใบจิ๋วเสร็จ ก็ได้เวลาที่กลุ่มของตุลย์จะออกจากห้องเช่นเดียวกัน พวกเขาเดินเตร็ดเตร่คุยเล่นกันมาตลอดโถงทางเดิน ก่อนตกลงกันว่าจะออกไปหามื้อกลางวันทานไกลจากมหาวิทยาลัยหน่อยเนื่องจากไม่มีเรียนตอนบ่าย



“ตุลย์ ทักไปบอกเต้หน่อยสิว่าวันนี้จะไปกินกันไกล” จีจี้ชี้ๆ นิ้วมาที่โทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมของเขา ขณะที่มืออีกข้างเปิดหารีวิวร้าน



“ได้”



คงเป็นผลพวงจากที่เขาสนิทกับเต้กว่าแต่ก่อน ผนวกกับความบังเอิญที่อีกฝ่ายดรอปเรียนตัดหน้าเพื่อนในคณะไปหนึ่งวิชาตั้งแต่ปีแรก ตารางเรียนวันจันทร์ช่วงบ่ายของเต้จึงว่าง



โดยปกติชายหนุ่มมักจะอยู่ซ้อมมวยตอนเย็นที่ค่ายชมรมเกือบทุกวัน แต่พอไม่ได้เข้าเรียนพร้อมกลุ่มเพื่อนแล้ว ก็มักจะมานั่งฆ่าเวลารอซ้อมกับพวกเขาที่ม้าหินใต้คณะนิเทศแทน บ่อยเข้าก็พาลคุ้นเคยกับจีจี้และแม็กไปโดยปริยาย



‘วันนี้พวกกูจะไปกินข้าวนอกม.'



ตุลย์พิมพ์ข้อความใส่ช่องแชต คู่สนทนาก็ตอบกลับทันที



’เค’



‘รออยู่ใต้ตึก’



กลุ่มของพวกเขาเดินลงบันไดอย่างไม่เร่งรีบมาจนถึงบริเวณลานใต้คณะ สอดสายตาหาแค่ครู่เดียวก็พบร่างสูงของเต้สะพายกระเป๋าผ้าร่มยืนรออยู่ใกล้กับม้านั่งหินที่เป็นจุดนัดพบประจำ



จีจี้เห็นปุ๊บเธอก็กวักมือเรียกยิกๆ



“ไปกินที่ไหน”



คนถูกถามยิ้มยิงฟันแฉ่ง “เรายังเลือกไม่ได้เลยอ่ะ เต้อยากกินอะไรป่ะล่ะ”



“อะไรก็ได้”



“โห่ ถ้าอะไรก็ได้อ่ะไม่ได้กินแน่ๆ ” แม็กเกาต้นคอ เขาชะเง้อมองรีวิวอาหารบนจอมือถือของหญิงสาว ก่อนจะเริ่มยุให้เธอเลือกสักร้านหนึ่งเพราะชักจะหิวขึ้นมา “นี่ๆ ปิ้งย่างดีป่ะ ร้านเนี๊ย”



“ไม่เอาอ่ะ อ้วน”



ระหว่างที่ยืนรอทั้งคู่เถียงกันเพราะยังตกลงปลงใจไม่ได้อยู่นั้น เต้ก็เบนความสนใจมาหาตุลย์



“เย็นนี้มึงอยู่ซ้อมมวยมั้ย? ”



ตุลย์ส่ายหน้าช้าๆ “กูมีนัดกับคุณศานหลังกินข้าว ‘โทษที”





“‘เค” อีกฝ่ายรับคำ แต่เงียบไปอึดใจเดียวก็ถามต่อ “ตอนบ่าย? ”



“ใช่ ตอนบ่าย”



“ให้กูขับไปส่งมั้ยล่ะ? ”



แต่ยังไม่ทันที่ตุลย์จะให้คำตอบ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์สั่นเตือนสายเรียกเข้าก็หันเหความสนใจของเขา ตุลย์พลิกโทรศัพท์ในมือดู เห็นเบอร์ของกายโชว์หราบนหน้าจอ คิ้วยาวก็ขมวดย่น



“แป๊บนะ”



ตุลย์แยกตัวจากเต้และกลุ่มเพื่อนออกไปตรงมุมหนึ่งของลาน จนแน่ใจว่าไกลพอแล้วเขาถึงรับสาย



“มีอะไรอีก? ”



“มาหากูหน่อยดิ ตอนนี้”



“จะให้กูไปอีกทำไมวะ” ร่างโปร่งกรอกเสียงต่ำใส่ปลายสายอย่างเริ่มมีน้ำโห



หลังจากที่ทำมือถือของเขาพังกายก็คล้ายจะได้ใจ โทรมาใช้ให้เขาทำธุระส่วนตัวให้อยู่บ่อยๆ อย่างนึกสนุก ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่เขาต้องเสียเวลาเปล่าๆ ไปกับเรื่องไร้สาระของหมอนั่น เมื่อวานก็เช่นกัน



จู่ๆ กายก็โทรเรียกเขาออกไปกลางคาบเรียน สั่งให้รีบเอากระเป๋าฟิตเนสจากเพื่อนไปให้ที่ร้านกาแฟในห้างใกล้คอนโดของเจ้าตัวซึ่งห่างจากมหาวิทยาลัยราวสองสามกิโล แต่พอเขาไปถึงกลับถูกปล่อยให้รอเก้อ โดยที่เจ้าตัวให้เหตุผลว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาเข้าคลาส’



กว่าหมอนั่นจะย้ายสารร่างมาปรากฏตัวได้ก็สี่สิบนาทีให้หลัง แถมยังแวะเล่นคอมพิวเตอร์ที่ร้านกาแฟต่อโดยใช้ให้เขาไปสั่งกาแฟอีก เขาต้องทนรอกระทั่งอีกฝ่ายละเลียดกาแฟหมดแก้วและใช้ไวไฟฟรีจนพอใจกว่าจะถูกไล่กลับ เสียเวลาอย่างต่ำเกือบสามชั่วโมง



ถ้าจุดประสงค์ของกายคือการปั่นหัวเขาก็นับว่าอีกฝ่ายประสบความสำเร็จที่ทำให้เขาประสาทเสียได้อย่างน่าอัด!



“มึงนี่ชอบถามหาเหตุผลจังวะ กูชักเริ่มรำคาญละ จะมาหรือไม่มา? ”



“เออรู้แล้ว! ” เขาเค้นเสียงตอบหงุดหงิด



“งั้นมาเจอที่ชั้นบนสุด ห้าง S กูจะไปโยนโบลว์ ส่วนมึง… มาเฝ้าของพวกกู ให้เวลายี่สิบนาที”



“ห๊ะ ไปที่ไหนนะ? ”



ตื๊ด… ตื๊ด… ตื๊ด…




“….! ”



หัวคิ้วที่ขมวดอยู่แล้วมุ่นแน่นขึ้นก่อนจะขยี้หัวอย่างประสาทเสียเมื่อกายกดตัดสายเขาดื้อๆ โดยไม่ตอบคำถาม



ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ยินชื่อจุดนัดพบ แต่นี่มันตอนกลางวันแสกๆ รถก็ติดหนึบเป็นปลากระป๋อง จะให้ดั้นด้นไปถึงสถานที่กลางเมืองอย่างห้าง S ต่อให้นั่งรถไฟฟ้าหน้ามหาวิทยาลัยก็เกรงว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบห้านาที



เวลาที่บีบกระชั้นทำให้ตุลย์รู้สึกกดดันและยิ่งกระสับกระส่าย เขาจำใจกลับไปหากลุ่มเพื่อนอย่างรีบๆ โดยที่ปิดบังสีหน้าเคร่งเครียดไม่มิด



“ไปกันก่อนเลย กูคงไปกินข้าวด้วยไม่ได้”



“อ้าว มึงเทอีกแล้วเหรอ? ”



“เออ พอดีติดธุระด่วนนิดหน่อย” เขาหันไปตอบแม็ก



ฝ่ายจีจี้ก็เผยสีหน้าเสียดายก่อนจะโบกมือลา “ไม่เป็นไร ไปเถอะๆ ไว้คราวหลังก็ได้”



ทว่าท่าทีปุบปับรีบร้อนของตุลย์กลับดูไม่ชอบมาพากลในสายตาเต้



“มึงจะไปที่ไหน” ชายหนุ่มชิงถามก่อนที่ร่างโปร่งจะปลีกตัวออกจากกลุ่ม



“ห้าง S”



“ไปทำไม มึงนัดกับ ‘เขา’ ไว้นี่? ”



ผู้ฟังเผลอเม้มปาก ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเล็กน้อย



“กูติดธุระ ไปก่อนนะ”



ตุลย์ตอบส่งๆ ก่อนจะรีบออกมาเพื่อไม่ให้ถูกซักไซ้ต่อ แต่จังหวะที่หมุนตัว จู่ๆ เต้ก็คว้าไหล่อีกคนไว้



“รถติด เดี๋ยวกูไปส่ง”



ตุลย์ช่างใจ แต่อึดใจเดียวก็พยักหน้ารับเพราะไม่มีตัวเลือกมาก



ทั้งคู่ตรงไปยังลานจอดรถติดกับคณะอย่างไม่รีรอ ก่อนที่เต้จะขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คันโปรดที่จอดไว้ในซองแล้วส่งหมวกให้คนซ้อนท้ายอย่างตุลย์สวม



“รีบแค่ไหน? ” ถามโดยที่ไม่เหลียวมอง



“ก็สักยี่สิบนาที”



เต้ไม่สาวความต่อ แต่เสียบกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ก่อนที่บิ๊กไบค์จะออกตัวและแล่นฉิวออกสู่ถนนใหญ่ ซอกแซกไปตามช่องระหว่างว่างรถยนต์อย่างชำนาญ



ฉวัดเฉวียนบนถนนแค่สิบห้านาทีกว่าๆ รถจักรยานยนต์คันใหญ่ก็ฝ่าการจราจรหนาแน่น เวียนมาจอดที่หน้าห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองขนาดใหญ่หรูหราซึ่งเป็นที่หมายทันเวลาท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาในเวลาเที่ยงวัน



ตุลย์ลงจากบิ๊กไบค์ ก่อนจะถอดหมวกคืนเต้



“ขอบใจ”



“เออ ให้รอมั้ย มึงบอกจะไปหาเสี่ยไม่ใช่เหรอ? ”



ประโยคนั้นทำเอามือที่ส่งหมวกคืนชะงักไปเล็กน้อย



ตารางงาน โปรเจกต์ปลายภาคและเรื่องต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาในช่วงนี้ทำให้เวลาที่เขาให้กับศานนท์น้อยลงมาก วกกลับสู่วงจรเดิมที่ต่างคนต่างวุ่นวายกับธุระของตัวเองและจะมักมีโอกาสได้คุยแค่เรื่องสารทุกข์สุกดิบผิวเผิน แต่ถึงอย่างนั้นตุลย์ก็ยังพยายามรักษาระยะห่างไม่ให้ขาดการติดต่อกับหนุ่มใหญ่ทีละนานๆ



เพราะลึกๆ เขาก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ในตอนนี้ถอยกลับไปเป็นแค่เพื่อนร่วมชายคาที่คุ้นหน้าแต่ไม่รู้จักอย่างก่อน…



แต่ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง ชนักติดหลังก็ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธเรื่องที่กายสั่ง



ตุลย์ส่ายหน้า “ไม่ต้องรอ... มึงกลับไปหาเพื่อนเถอะ กูไปไม่ทัน”



ในเมื่อไม่มีอะไรต้องสนทนาต่อให้ยืดยาว ตุลย์ก็เร่งสาวเท้าไกลออกมา ทิ้งความสับสนไว้ให้ผู้ฟังที่ทอดสายตาส่งจวบจนร่างโปร่งเดินเข้าไปภายในอากาศสูงตระหง่านและกลืนหายไปกับผู้คน



----------------------------



ดีลธุรกิจระหว่างบริษัทและคู่ค้ารายใหม่สำเร็จลุล่วงตามต้องการแม้จะเลยเวลาที่คาดการณ์ไว้มาพอสมควรจนต้องให้เลขาเลื่อนตารางงานอื่นออกไป



หลังจากทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงร่วมกันเรียบร้อย ต่างฝ่ายก็ต่างจับไม้จับมือลาและแลกเปลี่ยนนามบัตรกัน ศานนท์และอัฐในฐานะผู้บริหารและบุคคากรของเขาพูดคุยกับฝั่งคู่ค้าต่ออีกนิดหน่อยตามมารยาทก่อนจะส่งคู่ค้ากลับ แต่เนื่องจากหนุ่มใหญ่มีนัดกับใครอีกคนต่อ เขาจึงไหว้วานให้มือขวารับช่วงดูแล แทนที่ไปส่งด้วยตนเอง



ลงลิฟต์มาจากชั้นห้องประชุม หนุ่มใหญ่ก็ตรงกลับมาที่ออฟฟิศ บ่ายนี้เขานัดกับตุลย์ไว้ แต่เพราะเสร็จประชุมช้ากว่ากำหนดเลยจำต้องทิ้งให้ร่างโปร่งรอเก้ออยู่ที่ห้องเกือบชั่วโมง ซึ่งเขาก็หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้ตุลย์หัวเสียนัก



ทว่าจังหวะที่เดินผ่านคอกเลขาประจำตัว เธอกลับเรียกเขาไว้



“วันนี้คุณตุลย์ไม่เข้านะคะ เขาโทรมาแจ้งดิฉันเมื่อประมาณเที่ยงและฝากขอโทษคุณศานนท์ด้วยค่ะ”



จากที่คาดหมายว่าจะได้เจอหน้าก็กลายเป็นความรู้สึกผิดหวังขึ้นมา...



“เขาบอกมั้ยว่าติดอะไร? ”



“ไม่ค่ะ แจ้งไว้แค่ว่าติดธุระ”



ผู้ฟังพยักหน้าเรียบๆ



“แต่เขาให้เมสเซนเจอร์ฝากของมาส่งไว้ ดิฉันเอาไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานคุณแล้วค่ะ”



“ขอบใจ”



สนทนากับเลขาจบ ศานนท์ก็ผลักประตูเข้ามาในออฟฟิศประจำ สิ่งแรกที่เตะตาคือถุงกระดาษสีเหลืองทองที่ว่างตั้งเด่นอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ตัวถุงมีอักษรย่อภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่สีดำหนาสามตัวบ่งบอกชื่อแบรนด์ผลิตภัณฑ์



ศานนท์คุ้นตาดี เพราะมันคือชายี่ห้อที่เขาโปรดปรานและมักจะลืมซื้ออยู่บ่อยๆ



หนุ่มใหญ่ตรงไปที่โต๊ะทำงานก่อนจะเปิดถุงกระดาษนั้นดู ภายในถุงมีกล่องชาขนาดกลางวางทับกันอยู่สองกล่อง พอแกะกล่องออกก็พบว่าด้านในเป็นชาซองสีเดียวกับถุงจำนวนสิบห้าซอง ซึ่งเหมาะกับการดื่มคราวละน้อยๆ อย่างในที่ทำงาน มิหน้ำซ้ำทั้งหมดยังเป็นรสชาติที่เขาชอบ



ศานนท์หยิบซองชาพลิกไปมาในมือ บรรจุภัณฑ์สีทองก็สะท้อนล้อกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย



นับว่าของฝากของตุลย์น่าพอใจ ชดเชยอารมณ์ที่เสียไปเมื่อครู่ได้อยู่มาก...



ทีแรกเขาแค่แจ้งตุลย์ว่าได้รับของแล้ว ทว่าพอเปิดจอโทรศัพท์ดูยังพบว่าร่างโปร่งทิ้งข้อความไว้ให้อีกด้วย



‘กว่าจะได้อ่านคุณก็น่าจะประชุมเสร็จแล้ว พอดีตารางผมชนกับที่กองนิดหน่อยเลยไม่สะดวก วันนี้ก็คงจะกลับมืดๆ เหมือนเดิม คุณไม่ต้องรอนะ

P.S. จริงๆ ผมตั้งใจจะเอาชาไปให้ด้วยตัวเอง แต่มาคิดๆ ดูแล้วไม่อยากให้คุณรอเก้อคนเดียวทั้งวัน ส่งชาไปอยู่เป็นเพื่อนคุณที่ออฟฟิศท่าจะดี

ขอโทษที่ยกเลิกนัดกะทันหันนะครับ คราวหน้าผมสัญญาว่าจะชดเชยให้ จะยอมไปทานอาหารจีนจืดๆ กับคุณเลย ; ) ’



รอยยิ้มกรุ้มกริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าหลังจากที่อ่านข้อความจบ ศานนท์คว่ำจอโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ทิ้งตัวเอนหลังบนเก้าอี้



ตอนแรกที่เจอกัน เขาก็พอรู้ๆ มาบ้างว่าตุลย์น่ะเอาใจเก่ง แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้ใจดีถึงขนาดที่ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรโดยไม่ต้องถาม



แค่เรื่องธรรมดาๆ ... แต่กลับสั่นคลอนอารมณ์ของเขาได้ดีนัก







เนื่องจากคู่นัดของเขาติดธุระ บ่ายนั้นศานนท์จึงลงมาทานมื้อกลางวันตามลำพัง ปกติเขาจะมีร้านโปรดอยู่จำนวนหนึ่งที่มักแวะมาทานกับตุลย์หรือกับคู่ค้าอยู่บ่อยๆ หากเริ่มเบื่อก็จะสลับหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป แต่พอขาดคนช่วยเลือก วันนี้เลยพาลรู้สึกว่าร้านไหนๆ ก็คล้ายกันไปหมด



ทว่าระหว่างที่กำลังลังเลอยู่หน้าร้านร้านหนึ่งซึ่งคนซาลงไปเยอะแล้ว ศานนท์ก็บังเอิญสวนกับทีมงานชายอาวุโสท่านหนึ่งที่ร่วมงานกับตุลย์เข้า ทั้งคู่จึงถือโอกาสทักทายกันตามมารยาท



“ไม่นึกว่าจะเจอคุณศานนท์ช่วงบ่ายๆ แบบนี้นะครับเนี่ย”



“ครับ ปกติผมก็ไม่ค่อยว่างเวลานี้เหมือนกัน พอดีเพิ่งเสร็จประชุมเลยกะว่าจะลงมาทานข้าวสักหน่อย” หนุ่มใหญ่ยิ้มตอบ



“ผมก็กำลังหาอะไรทานเหมือนกัน เพิ่งปิดงานถ่ายจากอีกกอง ว่างยาวตั้งแต่บ่ายเลยครับวันนี้ ถ้าคุณศานนท์ไม่ติดอะไร แวะทานอะไรด้วยกันก่อนมั้ยครับ? ”



“ได้สิครับ” ศานนท์พยักหน้า



ยังไงเสียเขาก็เพิ่งปิดดีลครั้งสำคัญ จะให้ทานข้าวแล้วกลับขึ้นไปทำงานต่อทันทีก็ดูจะเครียดเกินไปหน่อย



“ช่วงนี้งานยุ่งใช่มั้ยครับ ผมได้ข่าวจากตุลย์ว่ากำลังเร่งปิดกอง”



ชายวัยกลางคนครุ่นคิดตามคำถามของเขาอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบ



“ครับ ก็ถ่ายกำลังจะจบแล้วเหลือไม่มาก... แต่ถามว่ายุ่งมั้ยก็ไม่ค่อยนะครับ รอบนี้โชคดีตรงที่ไม่มีเรื่องเซอร์ไพร์ซ ลูกค้าไม่ลดบัดเจ็ท วางแผนกันมายังไงก็ลงล็อกตามนั้น ร้อยวันพันปีจะเป็นอย่างงี้ที ผมละดีใจอย่างกับถูกหวย”



แต่คำตอบเรื่อยเปื่อยของคู่สนทนาสะกิดความฉงนใจของศานนท์เข้า



“ไม่ยุ่งแน่เหรอครับ ผมได้ข่าวว่าเลิกกองทีสองสามทุ่ม สำหรับผมก็จัดว่าโหมงานหนักอยู่นะ” หนุ่มใหญ่พูดแซวไปตามน้ำ



ที่จริงจุดประสงค์ของเขาก็แค่อยากมั่นใจว่า ต่างฝ่ายต่างเข้าใจภาพรวมสถานการณ์ในกองถ่ายถูกต้องตรงกันโดยที่ไม่หักหน้าคู่สนทนา ทว่าคำถามของเขาดูเหมือนจะไปจุดใต้ต่ำตออะไรบางอย่างเข้าจังๆ



“ไม่นะครับ สัปดาห์นี้กองเลิกไม่เกินหกโมงครึ่ง พอเลิกแล้วทุกคนก็ทยอยกลับกัน ปกติน้องตุลย์ก็ออกกองพร้อมคนอื่นๆ นะ”



ศานนท์เผยสีหน้าแปลกใจ



“เหรอครับ ผมไม่ทราบเรื่องนั้นเลย วันนี้ตุลย์ก็บอกว่าติดธุระกับทีมงานที่กอง ผมเลยเข้าใจว่ามีถ่ายหรือบรีฟอะไรกันเพิ่มเสียอีก เพราะต้นสัปดาห์นี้ซินดี้เพิ่งแจ้งผมว่าลดคิวงานของตุลย์ให้เหลือแค่กองนี้กองเดียวแล้ว เขาใกล้จะสอบปลายภาค รับงานเยอะก็กลัวจะยุ่งเกินไป”



แต่ทีมงานชายยังส่ายหน้ายืนกราน “ไม่นะครับ วันนี้ที่กองไม่มีถ่ายนะผมมั่นใจ ตัวผมเนี่ยพอรู้ว่าวันนี้จะว่างก็เลื่อนเอางานอื่นมาถ่ายแทรกก่อน ปลายเดือนจะได้ลอยตัวสบายๆ ”



“อืม… เหรอครับ” ผู้ฟังครุ่นคิดคล้ายกำลังไตร่ตรองบางอย่าง “ถ้าคุณยืนยันว่าแบบนั้น เป็นไปได้ว่าฝั่งผมอาจจะสื่อสารกันผิดพลาดเอง”



แม้จะตอบอย่างนั้น แต่สีหน้าของทางฝั่งผู้บริหารก็ยังดูคลางแคลงหาข้อสรุปไม่ได้ ทีมงานชายจึงเสนอ



“งั้นเอาอย่างนี้มั้ยครับ ผมว่าจะมาทานร้านนี้พอดี เดี๋ยวเราเข้าไปด้านในกันแล้วระหว่างทานข้าวผมจะเล่าเรื่องน้องตุลย์ให้ฟัง คุณจะได้ไม่เสียเวลา? ”


------------------

ขัดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่าาา
คุณศานนท์เหมือนจะไปรู้ๆ ความจริงอะไรเข้าซะแล้ว เรื่องจะคลี่คลายมั้ยน้าาา 5555
ตอนนี้ไม่บอกใบ้ดีกว่า เดี๋ยวไม่ลุ้น อิอิ
แต่เจ้าเต้เนี่ยแอบเนียนกันซีนคุณศานตอนนี้ไปเยอะเหมือนกันน้าาา
จังหวะนี้เรือผีต้องมาแล้วล่ะ 55555


ขอโทษที่ปล่อยให้นักอ่านรอกันนานนะค้า
ขอบคุณที่รอและแวะเวียนเข้ามานะคะ
รักนักอ่านทุกคนมากๆ  เพราะเป็นกำลังใจที่ทำให้เมลล่าตื่นเที่ยงคืนมาขัดงานต่อยันตีสองแบบดีดๆ 5555555

ติดตามกันต่อนะคะ ยังติชมได้เหมือนเดิมค่ะ <3


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...เสี่ย กับ เต้

ใครจะได้กลิ่น ตุ ๆ แล้วขี่ม้าขาวไปช่วยนุ้งตุลย์จัดการเจ้ากายตัวแสบได้น้อ?

ออฟไลน์ kimkidoy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตุลย์ต้องถูกจับได้ก่อนสารภาพเองแน่ๆ
เอาใจช่วยให้คุณศาลเข้าใจนะ
นี่ชอบเต้จังฟีลพระรองมากกกก แต่ถ้าจะเป็นพระเอกก็ไม่ติด
 :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ kimkidoy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนน้าาาา ยังแวะเวียนมาเสมอๆเลยน้า อยากรู้ตอนจบของเรื่องเช่นกันค้าบบบ o13

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จัดการกายซักทีเถอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
28.5


แม้ว่าดีลใหญ่จะผ่านพ้นไปเป็นที่น่าพอใจแต่ศานนท์ก็ยังมีเรื่องที่ยังตกลงปลงใจไม่ได้อยู่สองสามประการ เขาต้องการความเห็นเพิ่ม ด้วยเหตุนี้หนุ่มใหญ่จึงนัดมือขวามาที่ห้องทำงานช่วงสายเพื่อหารือเรื่องดังกล่าว



แฟ้มเอกสารหนาจำนวนหนึ่งถูกเลขาสาวหอบมาตั้งไว้บนโต๊ะทำงานของเขาตั้งแต่หัววัน อัฐมาถึงห้องของผู้เป็นนายครึ่งชั่วโมงถัดมา ก่อนเวลานัดอยู่มาก แต่เนื่องจากเป็นการหารือไม่เป็นทางการศานนท์จึงเอาสะดวกเข้าว่า การประชุมระหว่างทั้งสองดำเนินไปอย่างไม่รีบเร่ง นั่นก็เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่พลาดประเด็นสำคัญประเด็นใดไป แต่ถึงอย่างนั้นต่างฝ่ายต่างมีความเห็นไม่ลงรอยกันอยู่หลายจุด



อัฐยืนอยู่อีกฟากของโต๊ะทำงาน ท่าทางค่อนข้างผ่อนคลายขณะที่แกะตัวล็อกแฟ้มเอกสารปึกหนา ถึงอย่างนั้นหัวคิ้วของเขาก็ย่นเข้าหากันอย่างคนกำลังใช้ความคิด ชายหนุ่มเปิดแฟ้มเอกสารไปที่หน้าหนึ่งก่อนจะส่งมันให้ผู้เป็นนาย



“นี่เป็นประวัติผลงานคราวก่อนๆ ของซัพพลายเออร์เจ้านี้ครับ”



ศานนท์รับเอกสารจากหนุ่มผู้บริหาร



“เรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนจัดซื้อ ผมเห็นด้วยว่ามันยังสูงไปจริงๆ น่าจะลดได้อีก แต่ถ้าถามความเห็นผมเรื่องผลงาน ผมยังมั่นใจเจ้าเดิมที่สุด ยังไงผมว่าเราควรจะต่อรองดูอีกสักรอบ”



ศานนท์ก็พลิกดูหน้าถัดมาอีกหลายหน้าระหว่างที่ฟังความเห็น จากนั้นก็ละสายตากลับมาที่คู่สนทนา



“เอกสารพวกนี้ฉันดูหมดแล้วเมื่อวานซืน ฉันเห็นด้วยเรื่องราคานั่นแหละ แต่ไม่คิดว่าเจรจาใหม่จะให้ผลลัพธ์ต่างจากเดิมยังไง คราวก่อนฝั่งคู่ค้าก็ย้ำเรื่องราคางานไว้ชัดเจน ถ้าเรายังเสนอเงื่อนไขกับผลประโยชน์แบบเดิมให้ ผลลัพธ์คงไม่ต่างกัน เจรจาไปก็เสียเวลาเปล่าๆ เฉพาะงานนี้ฉันว่าให้เจ้าอื่นที่ราคาประมูลต่ำกว่ารับไปดีกว่า”



“ส่วนตัวผมยังไม่เห็นด้วยนะ ผมคิดว่ายังเจรจาได้เพราะคราวก่อน…”



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



ประโยคของอัฐถูกขัดด้วยเสียงเคาะประตูสามครั้งส่งผลให้เขาต้องหยุดพูดอย่างครึ่งๆ กลางๆ แม้แต่ศานนท์ก็ย่นคิ้วคล้ายเสียอารมณ์เนื่องจากกำลังถกเถียงประเด็นสำคัญกันอยู่



ทว่ายังไม่ทันรอเจ้าของห้องเอ่ยอนุญาต จู่ๆ ประตูก็แง้มออก กลายเป็นอเนกที่ชะโงกหน้าผ่านช่องที่แง้มหันรีหันขวางหาผู้เป็นนาย เจ้าตัวชะงักเล็กน้อยเมื่อผู้บริหารทั้งคู่มองมาที่เขาพร้อมกันเป็นตาเดียว



“เหมือนว่าผมจะมาไม่ถูกเวลา...”



“ด่วนแค่ไหน?” ศานนท์ถามสั้นกระชับ เนื่องจากเขาก็ไม่อยากเสียสมาธิให้กับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งาน



“จะว่าด่วนก็ด่วนครับ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้คุณให้ความสำคัญกับงานหรือเรื่องส่วนตัวมากกว่ากัน” อเนกพยายามสื่อสารเป็นนัย แต่พอพูดรวมๆ แล้วฟังดูแสลงหูดีนัก



ศานนท์ปราดพริบตาหนึ่งมองแก้วกาแฟร้อนร้านดังที่ตั้งทิ้งไว้นานจนเย็นเฉียบ พาลทำให้นึกคิดถึงคนที่หิ้วมันมาฝากก่อนที่จะออกไปทำธุระข้างนอกตอนเช้า เขาก็ถอนหายใจยอมแพ้ต่อความสงสัย



“ฉันขอเวลาแป๊บนึง”



“ตามสบายครับ” อัฐวางในมือแฟ้มลงบนโต๊ะผู้เป็นนาย



ศานนท์พยักหน้าทีหนึ่งเป็นเชิงเปิดโอกาสให้อเนกรายงาน ‘เรื่องส่วนตัว’ ฝ่ายผู้มาเยือนก็ไม่รอช้า ผลักประตูเต็มความกว้างแล้วดิ่งตรงมาที่โต๊ะผู้เป็นนายพร้อมซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ



“เรื่องที่ให้ตามสืบดู คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมเจออะไร”



อเนกหยิบรูปถ่ายจำนวนหลายแผ่นจากในซองออกมาวางเรียงบนโต๊ะ แต่ละใบจับภาพหลายอิริยาบถของชายวัยรุ่นคนหนึ่งในสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่คอนโดไปจนถึงที่สาธารณะ โดยแต่ละรูปมีวันเวลาเข้าออกสถานที่นั้นเขียนกำกับไว้ที่มุมขวาล่าง



“ผมว่าคุณคงคุ้นหน้าดี เด็กในรูปคือกาย เป็นลูกชายของส.ส.ไชยวัฒน์ คนที่คุณเคยสั่งให้คุณอัฐไปกดดันมหา’ ลัยให้พักการเรียนเขาเพราะเขามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคุณหนูหลายครั้ง ...ส่วนอีกเซตเป็นรูปคุณหนู”



อเนกหยิบรูปของตุลย์ที่ถูกถ่ายในสถานที่เดียวกันจากซอง พอวางเรียงกันยิ่งเห็นชัดว่าวันเวลาเข้าออกสถานที่ของคนทั้งคู่ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



ศานนท์ขมวดคิ้วแน่น “หมายความว่ายังไง…”



“ผมยังไม่ทราบแน่ ...แต่เท่าที่ทราบตอนนี้ สรุปสั้นๆ ได้ว่าที่คุณหนูหายไปบ่อยพักนี้ก็เพราะไปหาเด็กที่ชื่อกาย”


คำอธิบายของอเนกยิ่งทำให้ศานนท์สับสน



เรื่องของกาย ศานนท์ยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หลายต่อหลายครั้งเพราะตุลย์ขอร้องให้เขาเว้นระยะห่างเรื่องส่วนตัว ที่เขายอมเพราะไม่อยากควบคุมตุลย์จนอีกฝ่ายเตลิดหนีไป แต่ในขณะเดียวกันเพื่อให้แน่ใจว่าคนของเขาจะไม่ถูกรังแกซ้ำอีก เขาถึงส่งลูกชายของคนสนิทไปตามดูแลและให้ตุลย์เรียนป้องกันตัว



…แล้วทำไมตุลย์ยังต้องไปข้องแวะกับคนที่เคยทำร้ายตัวเองอีก?



ศานนท์ย่นคิ้วขณะกวาดสายไล่ดูภาพถ่ายแต่ละใบคล้ายพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว ใบหน้าคุ้นตาของตุลย์ชัดเจนบนรูปถ่ายแต่ละใบยากเกินจะปฏิเสธ จากนั้นก็ปรายตากลับมาที่อเนก ถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าเก่า



"มั่นใจแค่ไหนว่าตุลย์หายไปหาเด็กที่ชื่อกาย"



"สักเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ครับ ผมให้เด็กๆ ตามดูมาสามวันแล้ว" อเนกรายงานตามข้อเท็จจริง



“แค่สามวัน จะด่วนสรุปยังเร็วไป” ศานนท์ตัดบท “เรื่องตุลย์ตามดูไปก่อน”



"ครับ” อเนกผงกหัว “แล้วเสี่ยอยากให้ผมจัดการกับเด็กนั่นยังไงต่อ? "



ลูกชายส.ส. ไชยวัฒน์อย่างนั้นเหรอ...



หนุ่มใหญ่เคาะนิ้วปลายนิ้วกับโต๊ะ



"อย่าเพิ่ง รอคำสั่งฉัน ...เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะคุยกับตุลย์สักหน่อยเพื่อว่าอะไรๆ มันจะกระจ่างขึ้น"



-----------------



เสียงเพลงฟังสบายจังหวะเชื่องช้าสร้างบรรยากาศผ่อนคลายทั่วทั้งร้านอาหาร แสงนวลสลัวจากโคมระย้ารูปลักษณ์เก๋ไก๋สะท้อนกับขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีชาที่ตั้งเรียงแถวกันบนชั้นตู้ไม้เป็นประกายระยับ แก้วไวน์จำนวนหนึ่งถูกแขวนกลับหัวไว้บนราวใกล้กัน ถัดออกมาที่หลังเคาท์เตอร์คือบาร์เทนเดอร์ในชุดยูนิฟอร์มร้านซึ่งกำลังทำความสะอาดแก้วบางส่วน สลับกับชงเครื่องดื่มให้ลูกค้าบ้างเป็นครั้งคราว



ตุลย์เท้าคางเหม่อมองการเคลื่อนไหวเหล่านั้นอย่างเบื่อหน่าย ลอบถอนหายใจในจังหวะเดียวกับพนักงานนำน้ำเปล่าอัดลมที่สั่งมาเสิร์ฟและรินใส่แก้วให้



เขาไม่อยากดื่มแต่ดันต้องมานั่งอยู่ที่นี่



ใช่...




นั่นเพราะเขาถูกกายใช้ให้มาเปิดโต๊ะที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในย่านขึ้นชื่อตั้งแต่หัวค่ำเพื่อให้แน่ใจว่าหมอนั่นและกลุ่มเพื่อนจะมีที่สำหรับรื่นเริงสังสรรค์ในคืนนี้ ตามที่ตกลงกันไว้พวกนั้นควรมาถึงที่นัดตอนประมาณสองทุ่มและดื่มต่อจนครึ่งค่อนคืน



แต่จากเหตุการณ์ที่แล้วๆ มาเขาไม่คิดว่าหมอนั่นจะตรงเวลา ภาระจึงตกอยู่กับเขาที่ไม่ใช่แค่นั่งเฝ้าโต๊ะแต่ยังต้องจ่ายค่าเหล้าจองที่ล่วงหน้าให้อีกด้วย



เอาเข้าจริงพักหลังพอโดนกายปั่นหัวจนประสาทกินมากๆ เข้า เขาก็เริ่มอยากจะช่างหัวมันซะ



เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋าเรียกตุลย์กลับขึ้นมาจากห้วงความนึกคิด เห็นว่าเป็นเบอร์ของศานนท์เขาก็ลุกจากโต๊ะ หลบออกมารับโทรศัพท์ด้านนอกโดยที่วางกระเป๋าทิ้งไว้



“เธอใกล้จะกลับหรือยัง”



ประโยคคำถามทำให้ตุลย์อึกอักเล็กน้อย



“ยังครับ ...คือผมกับเพื่อนออกมากินข้าวเย็นนอกกันแล้วจะกลับเข้าไปทำโปรเจกท์ต่อ ผมคงจะถึงบ้านราวๆ สี่ทุ่ม มีอะไรหรือเปล่าครับ?”



“เสียดายจัง... ฉันว่าจะชวนเธอทำอะไรกินสักหน่อย” น้ำเสียงคู่สนทนาส่อแววเสียดายเล็กๆ ดังว่า



“คุณจะทำอาหารเหรอ?” ตุลย์เลิกคิ้วแปลกใจ



นานๆ ครั้งหนึ่งศานนท์ถึงจะยอมทำอาหารเองสักที



“อืม ทีแรกว่าจะไปชวนหาซื้อพวกวัตถุดิบ พวกเครื่องเทศด้วยกันตอนเย็น แต่เธอไม่ว่างนี่ ทานข้าวแล้วใช่มั้ยล่ะ?”



“ครับ... ขอโทษนะครับ”



อึดใจหนึ่งที่เสียงปลายสายเงียบไป ไม่รู้เพราะผิดหวังที่ถูกเขาปฏิเสธหรือเปล่า



“โอเค ถ้างั้นอย่ากลับดึกนักล่ะ”



“ครับ”



“เจอกันที่บ้านนะ”



“ครับ” เขารับคำ จากนั้นสายก็ตัดไป



ตุลย์เดินเตะฝุ่นคิดอะไรอยู่ครู่สั้นๆ ก็กลับเข้าไปในร้านอย่างเก่า



คืนนั้นเขากลับมาถึงบ้านก่อนสี่ทุ่มนิดหน่อย ผลักประตูเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นก็พบศานนท์ในชุดเดียวกับเมื่อเช้านั่งอยู่บนโซฟาขณะที่โทรทัศน์เปิดอยู่



“ยังไม่อาบน้ำเหรอครับ” เขาถามด้วยความเคยชินขณะเดินผ่านเจ้าของบ้าน ศานนท์ก็ตอบทั้งที่ยังสนใจโทรศัพท์ในมือ



“ยัง”



“ขอโทษที่กลับดึกนะครับ”



“อื้ม ฉันรู้แล้ว เธอโทรบอกแล้วนี่”



ตุลย์วางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ข้างโต๊ะอาหาร จากมุมนี้เขามองเห็นเพียงแผ่นหลังของศานนท์จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน สมองพาลนึกถึงเรื่องที่คุยผ่านโทรศัพท์ตอนเย็น ตุลย์ก็เกิดไม่มั่นใจขึ้นมา



“...คุณโกรธหรือเปล่าครับที่ผมเทนัดคุณเมื่อเย็น? ผมขอโทษนะครับ ช่วงนี้ยุ่งนี้ผมยุ่งจริงๆ”



คำถามของเขาเรียกให้หนุ่มใหญ่ละสายตาจากโทรศัพท์ก่อนจะกวักมือเรียก



“มานี่สิ”



ท่าทีของศานนท์สร้างความงุนงงให้ แต่ถึงอย่างนั้นตุลย์ก็ยอมเดินไปหาอีกฝ่ายที่โซฟาตามที่ถูกเรียก



“ที่จริงถ้าเธอยุ่งฉันจะลดตารางงานให้ ฉันไม่อยากให้เธอทำงานหนักเกินไป ยังไงเธอก็ยังเรียนอยู่”


“ไม่ครับผมไหว ...ก็แค่ช่วงนี้มันวุ่นวายหลายเรื่องน่ะ”



“โปรเจ็กท์หรืองานบันเทิงล่ะ?”



“ก็... ทั้งคู่”



“วุ่นจนไม่มีเวลาให้ฉันเลยเหรอ” น้ำเสียงของศานนท์อ่อนลงยามที่เอ่ยถาม จี้ความรู้สึกผิดในใจเข้าเต็มเปา



ตุลย์ส่ายหน้าช้าๆ “ผมก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้... ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทานอาหารที่คุณทำหรอกนะ”



“ถ้าอยากทานเธอก็ต้องทำตัวให้ว่างสิ คืนพรุ่งนี้เป็นไง?”



“ผมไม่แน่ใจเลย ขอดูก่อนได้มั้ยครับ” ตุลย์ได้แต่ยิ้มเจื่อน



เรื่องน่าปวดหัวของกายมักจะโผล่มาแทรกกะทันหันเสมอซึ่งสร้างปัญหาให้กับการจัดตารางชีวิตของเขาบ่อยครั้ง เขาก็แค่อยากแน่ใจว่าจะไม่ผิดสัญญากับอีกฝ่ายซ้ำๆ ซากๆ



หลังจากสัปดาห์นี้เขาคงไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องกายไปอีกพักหนึ่ง เพราะหมอนั่นจะบินไปเที่ยวต่างประเทศ คงไม่มีกะจิตกะใจมาวอแวอะไรกับเขา ระหว่างนั้นเขาคงมีเวลาพอคิดหาทางจัดการกับเรื่องคลิปนั่น



ทว่าจู่ๆ ศานนท์ก็เอียงตัวเท้าแขนโซฟา เอื้อมมือมาเสยผมตุลย์ในจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัว นิ้วโป้งเฉียดผ่านข้างแก้มก่อนหยุดที่ปลายคางใกล้กับริมฝีปาก รับรู้ถึงผิวสัมผัสและความร้อนจากปลายนิ้วชัดเจน



“นึกว่าปฏิเสธเพราะเธอเลิกชอบฉันแล้วเสียอีก...”



“เปล่านะครับ ไม่ใช่แบบนั้นนะ” ร่างโปร่งแก้ตัวทันควัน ก่อนจะหลบตา อึกอักไปต่อไม่ถูกหลังระลึกได้ว่าตัวเองเพิ่งหลุดประโยคที่แฝงนัยแปลกๆ โดยไม่ตั้งใจ



“งั้นอยู่ทานข้าวฝีมือฉันหน่อยสิ” ยังไม่ทันหายสับสน เขาก็ถูกศานนท์คาดคั้นด้วยน้ำเสียงกึ่งขอร้องจนพลั้งปากตกลงไป



“อา... ก็ได้ครับ พรุ่งนี้ถ้าเป็นสักหกโมงคุณจะโอเคมั้ย”



“ไม่ได้... ถ้าหกโมงกว่าจะได้กินมื้อเย็นก็สองทุ่มพอดีน่ะสิ” ศานนท์หัวเราะเบาๆ ในคอ



“งั้นสักสี่โมงล่ะครับ”



“อื้ม กำลังดีนะ...” ศานนท์รับคำในลำคอก่อนยันตัวลุกขึ้นจากโซฟายาวเต็มความสูง “นี่เริ่มดึกแล้วเธอขึ้นไปพักเถอะ เหนื่อยไม่ใช่เหรอ?”



“ครับ” ตุลย์พยักหน้า พักหลังมานี้เขาเหนื่อยง่ายชนิดที่แค่เห็นที่นอนก็แทบจะฟุบหลับ ถ้าคืนนี้ได้อาบน้ำนอนเร็วกว่าปกติหน่อยก็คงดี



...อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจที่ศานนท์ไม่ได้เคืองเรื่องเมื่อเย็น



“แล้วคุณล่ะครับ ยังไม่ขึ้นเหรอ?”



“ฉันว่าจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อหน่อย เธอพักเถอะ”



ชั่วครู่ที่คำตอบของหนุ่มใหญ่จุดประกายความรู้สึกไม่แน่ใจของตุลย์ขึ้นมา แต่ภาษากายสบายๆ ที่ดูไม่ติดใจอะไรก็ทำให้ตุลย์คลายความกังวลครู่ต่อมา ยอมเดินขึ้นไปชั้นบน



ลับหลังร่างนั้น ศานนท์ก็หยิบกุญแจจากกระเป๋าเสื้อสูทตัวนอกที่แขวนไว้ตรงราวข้างประตูไปที่โรงรถ ก่อนที่เขาจะสอดตัวนั่งตรงเบาะฝั่งคนขับและสตาร์ทเครื่องขับออกไป



ระหว่างทางหนุ่มใหญ่แวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของสองอย่างจากนั้นก็ขับต่อไปยังถนนสายใหม่ซึ่งไม่ใช่เส้นประจำ



คืนนี้เขาอยากขับรถเล่น…



ซีดานราคาแพงแล่นไปเรื่อยๆ ตามถนนซึ่งส่องสว่างด้วยโคมไฟทาง ผ่านเสาต้นแล้วต้นเล่า ถนนเส้นนี้ตัดผ่านใจกลางเมืองและมักจะมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศมาเยี่ยมเยียนมากมายในตอนกลางวัน ทว่าในยามดึกเช่นนี้ กลับโล่งและเงียบสนิท มีรถสวนชนิดนับคันได้



ขับลัดเลี้ยวผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใกล้ๆ สักพักจนพอใจ ศานนท์ก็หักพวงมาลัยเทียบฟุตบาทข้างสวนสาธารณะที่ปิดประตูรั้วเหล็กเงียบสงัดขณะที่ติดเครื่องทิ้งไว้



เขาเปิดกระจก คีบซิกก้ามวนเล็กที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อจากซอง เสียงแกร๊กตามด้วยไฟสีส้มสว่างวาบขึ้นในความมืดยามเมื่อปลายนิ้วที่สะกิดเฟืองไฟแช็ก ปลายมวนด้านหนึ่งที่ถูกลนด้วยไฟเกิดเป็นจุดแดงเผาไหม้ขนาดเล็กพร้อมกับเปลวควันลอยอ้อยอิ่งในอากาศ



ศานนท์จรดริมฝีปากที่ปลายอีกข้าง สูดรับกลิ่นและรสสัมผัสในโพรงปากของซิกก้าที่เขาไม่ได้รับมานาน ก่อนจะยื่นแขนข้างนั้นออกไปนอกกระจก เคาะสองนิ้วที่คีบมวนกับประตูรถให้เถ้าบุหรี่ร่วงตกไปแล้วพ่นลมหายใจออกเป็นควันจางๆ



เขาทำทุกอย่างเชื่องช้าราวกับคนที่จมอยู่ในภวังค์แห่งความคิด



“ถ้าคุณไม่ปิดบัง ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องโกหกคุณอีก”



คำพูดของตุลย์ดังก้องในหัว



“ฉันควรทำยังไงหืม? เธอช่วยบอกทีสิ”



หนุ่มใหญ่ทอดมองทิวทัศน์ในยามค่ำคืนอันเงียบกริบด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดมาก เขาค่อยๆ ใช้เวลาสูบซิกก้าจนกระทั่งมวนที่สองมอดลงก็ก้มมองนาฬิกา เลื่อนกระจกขึ้น และซีดานสีดำก็เคลื่อนตัวออกไปจากสวนสาธารณะอย่างเงียบเชียบ



-------------------------------

ทีมแม่ยกเต้เยอะนะคะเนี่ยย เรื่องผีแล่นแล่น ฮี่ๆๆๆๆๆ  :katai2-1:
จริงๆ เมลล่าก็คิดว่าสองว่าสองคนนี้เคมีได้อยู่นาา เอ๊ะๆ ถถถถ

ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานนะคะ
ต่อจากนี้จะไม่นานแล้วค่ะ เพราะมาทำ full-time แล้วว เยย้

หากหายจากการอัพไปเกือบๆ เดือนเลย ไม่รู้จะพูดอะไรเลย T_T
ยังไงติดตามต่อนะคะ ต่อจากนี้มาทุกสัปดาห์แล้วค่ะ

เมลล่าขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ทำให้ผ่านความเคว้งคว้างทั้งปีมาได้นะคะ
ไม่รู้จะขอบคุณยังไง แต่มันเป็นกำลังใจสำคัญที่ motivate ชีวิตเมลล่าจนผ่านทั้งปีมาได้โดยที่ยังเป็นตัวเอง
คอมเม้นท์ทุกๆ คอมเม้นท์และยอดต่างๆ มีความหมายมากจริงๆ ค่ะ

ตอนนี้เมลล่าหาทางที่ใช่ของตัวเองเจอและพร้อมจะลงมือตบตีแล้วค่ะ
ขอบคุณที่สนับสนุนเสมอมาค่ะ ^-^
*ย่อไหว้*   


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back

 :mc4: :mc4: :mc4: ให้กับคำสัญญาว่าจะมาพบกันทุกสัปดาห์  อิอิ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ทำไมไม่บอก ใช่ว่าศานนท์จะไม่รู้ว่าตุลย์เป็นยังไงมาก่อน

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
29th Night : เหรียญคนละด้าน


กายกวาดสายตาดูรายการอาหารบนเมนูก่อนจะสั่งจานหลักและเครื่องดื่มกับบริกรที่ยืนรับออร์เดอร์อยู่เยื้องซ้ายมือของเขา เนื่องจากโต๊ะที่ชายหนุ่มนั่งเป็นโต๊ะพิเศษวิวดีตั้งอยู่ติดกระจกมุมหนึ่งของร้าน บนพื้นที่สี่เหลี่ยมซึ่งเป็นมุขหน้าต่างยื่นออกไปจากตัวตึกเล็กน้อย จึงเป็นส่วนตัวไม่พลุกพล่านและปะปนกับลูกค้ากลุ่มอื่น


ระหว่างที่กำลังสั่งอาหาร กายก็เหลือบหางตาไปเห็นร่างสูงโปร่งสวมเสื้อฮู้ดกางเกงวอร์ม เปิดประตูตรงเข้ามา ณ จุดที่ตนนั่งอยู่ด้วยจังหวะฝีเท้าไม่รีบร้อน สีหน้าผู้มาเยือนเฉยเมยเบื่อหน่ายอย่างที่เห็นบ่อยจนชักชินตา


ตุลย์ทิ้งก้นนั่งตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกายก่อนจะหยิบเมนู สั่งเครื่องดื่มแก้วหนึ่งกับบริกรเนื่องจากเขาไม่นิยมทานของว่างระหว่างมื้ออาหาร


“คิดว่ามึงจะโผล่หัวมาตอนกินเสร็จแล้วซะอีก” กายพูดยั่วประสาท


ปฏิกิริยาของตุลย์คือกลอกตาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น หยุดบทสนทนาไว้เท่านั้น


เหตุผลที่กายโทรเรียกเขามานั่งกินข้าวด้วยก็เพราะเบื่อ อยากได้คนมาปั่นประสาทสร้างความบันเทิงให้พลางๆ เพราะถูกพักการเรียนอยู่คนเดียวในกลุ่ม


แต่หลังๆ มานี้เขาเหนื่อยหน่ายเกินจะเต้นตามเกมอีกฝ่ายไปทุกเรื่อง...



“มื้อนี้มึงจ่ายให้กุด้วย”


“เออ” ตุลย์ขานสั้นๆ อย่างขี้เกียจเถียง


ค่าอาหารมื้อเดียวไม่ทำให้เขาขนหน้าแข็งร่วงหรอก


เสียงดนตรีบรรเลงฟังสบายสร้างบรรยากาศผ่อนคลายและกระตุ้นความรู้สึกอยากอาหาร พักใหญ่ๆ ให้หลัง บริกรอีกคนก็นำจานอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเขา ก่อนที่กายจะเริ่มลงมือทานจานหลัก


เสียงจานและช้อนส้อมกระทบกันดังเข้าหูตุลย์เป็นระยะโดยที่เขาไม่ใส่ใจ ตุลย์จะเงยหน้าจากจอ ชำเลืองมองอีกฝ่ายเป็นครั้งคราวบ้างก็ต่อเมื่อเขาจิบเครื่องดื่มก็เท่านั้น


“กูเลื่อนไฟท์ไปเมกาเป็นวันนี้ตอนทุ่มครึ่ง” จู่ๆ กายก็โพล่งขึ้น สบตาคนตรงข้ามขณะที่พูด


“แล้วจะบอกกูทำไม”


“ก็เผื่อมึงอยากรู้” รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นที่มุมปาก “เพราะมึงต้องไปช่วยกูขนของสำหรับไฟท์คืนนี้”


“อะไรนะ?” ตุลย์ขมวดคิ้วแทบในทันทีที่สิ้นประโยค “มึงไปกับเพื่อน ก็ใช้เพื่อนไปขนเองดิวะ”


“แล้วทำไมกูจะต้องใช้เพื่อนกู ในเมื่อกูใช้มึงก็ได้”

คู่สทนาไหวไหล่ราวกับจะเยาะเย้ย ปฏิกิริยานั้นทำให้ชักเริ่มตุลย์ฉุน


“กูไม่มีเวลามาจัดการเรื่องไร้สาระให้มึงทั้งสัปดาห์หรอกนะ กูก็มีธุระของกู อยากขนของนักก็โทรจ้างคนถือกระเป๋าดิวะ ถ้ามันยากมากกูจ่ายให้ก็ได้ เอ้า”


“ก็มันไม่สนุกเหมือนใช้มึงขนนี่หว่า”


สีหน้ายียวนประสาทของกายเรียกให้ตุลย์เค้นเขี้ยวด้วยความหงุดหงิด ชั่วขณะหนึ่งที่มันเปรียบเหมือนสะเก็ดไฟกระเด็นโดนกิ่งไม้แห้งที่ทับทมกันเป็นเวลานานเกิดเป็นประกายเพลิงโทสะโหมอยู่ภายในอก


ตอนนี้ตารางชีวิตเขารวนเละตุ้มเป๊ะชนิดที่เอาแน่เอานอนกับอะไรไม่ได้แม้กระทั่งเรื่องของคนใกล้ตัวอย่างศานนท์ แต่หมอนี่กลับสะใจและสนุกกับการทำให้ของเขาวุ่นวายเหมือนหนูปั่นจักร


ทำไมเขายังต้องมาอดทนกับเรื่องงี่เง่าของมันด้วยวะ!?



กระแสความคิดที่ไหลกระแทกความรู้สึกอย่างแรงกระตุ้นให้ตุลย์ลุกผึงจากเก้าอี้อย่างหมดความอดทนก่อนจะคว้ากระเป๋าบนโซฟา


“มึงอยากขนของก็จ้างคนขนกระเป๋าโน้น กูมีนัด ไม่ใช่เบ๊ที่จะมาประเคนโน่นนี่ใส่พานมึงทุกครั้งแค่เพราะมึงอยาก”


“จะไปไหน!?”


ท่าทีเหมือนกับจะเดินออกจากร้านจริงดังลั่นปากเรียกให้กายลุกขึ้นกระชากแขนอีกฝ่าย ปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติทำให้ตุลย์เกือบประเคนหมัดใส่ผู้กระทำ แต่สติชั่ววูบหนึ่งก็ดึงให้เขาพอยั้งมือไว้ได้ทันกาล


“หึ กล้าต่อยกูมั้ยล่ะห๊ะ?”


กายกระตุกยิ้มเยาะก่อนจะปรี่เข้ามาดันอกให้ร่างของตุลย์ถอยชิดจนติดกำแพงตรงข้ามหน้าต่าง จากนั้นจึงตามเข้ามาประกบโดยใช้แขนเท้ากำแพงกั้นเขาไว้ไม่ให้ขยับหนี


พื้นที่ที่พวกเขายืนอยู่เป็นที่ค่อนข้างลับตา หากไม่เดินเลาะเข้ามา บริกรคงไม่มีทางจับสังเกตได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติ อีกทั้งท่าทีของกายก็นุ่มนวลราวกับตั้งใจไม่ให้เอิกเกริก แต่แววตาบ้าเลือดที่จ้องมองเขาก็แสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่ได้ล้อเล่น


กายโน้มหน้ากระซิบข้างหู


“จะเอาจริงใช่มั้ย? หึ แค่กูไม่หยิบเรื่องคลิปมาขู่มึงก็ได้ใจใหญ่ อยากทดสอบขีดจำกัดกูใช่มั้ย? กูทำลายอนาคตมึงได้ และมั่นใจด้วยว่ามันจะจบไม่สวยสำหรับมึง”


ตุลย์เบนหน้าไปทางอื่นราวกับเห็นของแสลงลูกตา แต่ถูกกายจับคางบีบบังคับให้หันมา


“อย่าคิดว่ากูไม่กล้า ถ้าไม่อยากให้เป็นเรื่องก็ทำตามที่สั่ง ทำตัวว่าง่ายๆ กับกู ยกเลิกนัดซะ”


ตุลย์จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ทว่าความเดือดดาลในทีแรกเริ่มกลายเป็นเกรงกลัวต่อผลลัพธ์เมื่อถูกย้ำเตือนสติ เขาเม้มปาก หลับตานับหนึ่งถึงสามช้าๆ เพื่อปรับให้อารมณ์เย็นลงอย่างยากลำบาก


...เขารู้จักกาย รู้ชื่อแซ่ รู้เบอร์ห้อง รู้กิจวัตรประจำวัน และรู้แม้กระทั่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเพื่อนของอีกฝ่าย มันจะมีประโยชน์กับเขาเมื่อกายไม่อยู่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อีกนิดเดียวเท่านั้นมันจะเป็นทีของเขาแล้ว…


“กูรู้แล้ว… ถอยออกไป”


ร่างสูงยังคงยืนคุมเชิง จนแน่ใจว่าเขายอมแพ้แน่แล้วถึงปล่อยเป็นอิสระ


“โทรไปยกเลิกนัด” อีกฝ่ายสั่ง


ตุลย์ขมวดคิ้วแน่น หยิบโทรศัพท์กดดูประวัติการโทรอย่างไม่เต็มใจ ท่ามกลางตัวเลขสิบหลักจำนวนมาก เบอร์ของศานนท์เป็นเบอร์แรกบนลิสโทรเข้าล่าสุด เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะกดโทรออกหาปลายสายอย่างไม่มีทางเลือกนัก


----------------------------------


ตุลย์กลับถึงบ้านตอนดึกเนื่องจากเส้นทางจากสนามบินมาที่บ้านของเขาคับคั่งการจราจร พอเปิดประตูเข้ามาด้านในก็แปลกใจนิดหน่อยที่ห้องนั่งเล่นปิดไฟมืดสนิทร้างวี่แววของผู้อาศัยอีกคน


เหมือนว่าศานนท์จะยังไม่กลับ…


ท่ามกลางความมืดพอให้เห็นเฟอร์นิเจอร์และข้าวของรางๆ แสงที่ลอดเป็นทางจากปากประตูห้องครัวก็ทำให้ตุลย์ขมวดคิ้ว ทีแรกเขาเข้าใจว่าแม่บ้านคงลืมปิดหลังเข้ามาทำความสะอาดเมื่อกลางวัน แต่พอสาวเท้าเข้ามาใกล้ครัวก็ต้องประหลาดใจ


ด้านในห้องครัวที่เปิดไฟสว่าง ศานนท์ยืนหันข้างอยู่หน้าเค้าท์เตอร์ หนุ่มใหญ่ยังสวมชุดทำงานโดยที่คลายเนกไทออกหลวมๆ เยื้องทางขวามือมีเหล้าขวดหนึ่งเปิดทิ้งไว้ ตั้งเคียงกับแก้วใสบรรจุของเหลวสีเดียวกันที่เหลือเพียงหนึ่งในสี่ส่วน ดวงตาคมนิ่งถอนจากแก้วปราดมองผู้มาเยือนทันทีที่เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าห้อง


“กลับแล้วเหรอ ไปไหนมา?” เสียงที่ถามราบเรียบราวกับผิวทะเลทะเลสาบลึก


“ไปทำงานที่มหา’ ลัยครับ ติดลมนิดหน่อยเลยกลับดึก” ตุลย์ตอบด้วยเหตุผลแบบเดียวกับอ้างเมื่อกลางวัน “ผมไม่ได้ตั้งใจเทนัดคุณนะ โทรบอกเมื่อกลางวันแล้วเลยนึกว่าคุณจะไม่โกรธ...”


ศานนท์ยังจ้องเขานิ่งราวกับคาดหวังคำตอบอื่น สายตาที่คมกริบบ่งชัดว่าไม่พอใจตุลย์จึงเอ่ยขอโทษ ปากที่กำลังจะพูดก็พาลชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา


“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ยุ่ง วันนี้เธอไม่มีถ่ายงานและไม่ได้ไปหาเพื่อนที่มหาวิทยาลัย มีอะไรจะอธิบายมั้ย?”


ตุลย์เบิกตากว้าง มึนงงไปชั่วขณะ


ศานนท์รู้ได้ยังไง...?


“คะ คุณให้คนตามผมอีกแล้วเหรอ”


“ใช่” หนุ่มใหญ่ผละจากเค้าท์เตอร์ เดินเข้ามาใกล้ร่างที่หยุดยืนอยู่หน้าประตู “เธอเป็นคนให้สัญญาเองว่าจะไม่ความลับกับฉันถ้าฉันยอมเล่าทุกอย่างให้เธอฟังจำได้มั้ย? แต่เธอผิดสัญญา ไหนบอกว่าไม่มีอะไรจะปิดบังแล้วเธอโกหกฉันทำไม?”


สีหน้าผู้พูดไม่เปลี่ยนแปลงมาก แต่กระแสเสียงกลับดุดันขึ้นและแฝงกรุ่นอารมณ์ราวกับโทสะพร้อมปะทุ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้คนฟังจับใจ


ศานนท์เห็นคลิปแล้วเหรอ...


ได้ยังไง...? มันไม่ควรหลุดออกไปนี่นา!?



ถูกบีบบังคับให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่พยายามหลบซ่อนมาตลอด สมองของตุลย์ก็เริ่มสูญเสียเหตุและผลในการรับมือ แขนขาเริ่มหนาวชา หัวใจเต้นระส่ำระส่ายราวกับเขื่อนอารมณ์ที่เขาพยายามเก็บกักมาตลอดหลายสัปดาห์กำลังสั่นคลอนและใกล้ถล่มลงมา


“คุณ... ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้” ตุลย์แก้ตัวตะกุกตะกัก “แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมไม่ได้อยากจะปิดบังคุณ”


“ไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วที่ฉันเห็นคืออะไร? เธอคิดว่ามันง่ายสำหรับฉันที่จะให้มองข้ามเรื่องทุกอย่างแล้วทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ? ถ้าฉันไม่พูด เธอจะหลอกฉันและปิดเรื่องนี้ไปถึงเมื่อไหร่? แค่ความจริงจากปากเธอฉันยังไม่เคยได้ฟังด้วยซ้ำ”


สีหน้าที่แสดงออกชัดว่าผิดหวังในตัวเขาทำให้ตุลย์หายใจติดขัด ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น ในหัวมีคำพูดมากมายที่ไหลวนเวียนแต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก หนึ่งอึดใจอันยาวนานที่ตุลย์ค่อยๆ รวบรวมสติและเศษเสี้ยวความกล้าที่เหลืออยู่เพื่อถามคำถามหนึ่งออกไป


คำถามที่ไม่เคยอยากรู้คำตอบ…


“คุณอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นใช่มั้ย…?”


“......”


“ถ้าผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟัง... ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะยังเหมือนเดิมมั้ย...?”


เป็นหนุ่มใหญ่ที่ส่ายศีรษะ


“ฉันตอบไม่ได้ว่ามันจะเหมือนเดิม”


ตุลย์นิ่วหน้าปิดเปลือกตาลงด้วยจิตใจที่ปั่นป่วนราวกับทะเลต้องพายุ ประโยคของศานนท์เสียดแทงลึกที่กลางหน้าอกจนต้องเบือนหน้าหนี
   

“ถ้าอย่างนั้น... ผมคงไม่มีอะไรจะอธิบายให้คุณฟัง”


เพราะไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดต่อจากนี้จะเป็นความจริง ความเท็จ หรือเรื่องโกหกอะไร


มันก็ไม่เปลี่ยนผลลัพธ์ใด หากว่าศานนท์ได้ตัดสินเขาด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปแล้ว



วินาทีนั้นตุลย์เข้าใจท่องแท้


ว่าเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย…


“เธอจะไปไหน! ?”


จังหวะที่ตุลย์หมุนตัวเดินจากมาก็ถูกศานนท์พุ่งเข้ามาคว้าแขนด้วยแรงที่มากจนแทบจะเป็นการกระชาก เขานิ่วหน้า ขอบตาร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าใช่เพราะความเจ็บที่แขนหรือเปล่า


“ปล่อยเถอะ ผมไม่มีเรื่องอะไรจะพูดแล้ว”


“เธอยังไม่ตอบฉัน!”


ตุลย์ส่ายหน้า สลัดตัวจากการเกาะกุม


“ถ้าเธอกล้าออกจากห้องนี้ก็อย่ากลับมาให้ฉันเห็นอีก!” ประโยคไล่หลังอัดแน่นด้วยโทสะจนแทบจะกลายเป็นตวาด


ตุลย์ไม่รู้สึกตัวว่าหลังจากนั้นเขาตะโกนตอบอะไรไป ทุกอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในคราวเดียวมันมากเกินกว่าสมองและหัวใจจะรับไหว เขาแค่อยากให้พายุอารมณ์ลูกนี้หยุดสักที เพราะเขาไม่อาจทนยืนอยู่ต่อหน้าศานนท์ได้อีกแม้แต่นาทีเดียว โดยที่จิตใจไม่ถูกซัดจนพังทลาย


รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ตัวเองสาวเท้าเร็วๆ เกือบวิ่งมาถึงถนนใหญ่ทั้งที่ยังกำกระเป๋าในมือไว้แน่น ตุลย์หอบหายใจหนัก ก้มมองพื้นฟุตบาทขณะที่สมองว่างเปล่า มือและแผ่นหลังเย็นเฉียบ


เขากัดปากแน่น ก่อนจะหลับตาเพื่อสะกดอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เตลิดเละเทะไปมากกว่านี้ ทว่ามันกลับยากเหลือเกินเพราะหัวของเขายังคงเล่นฉากเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำราวกับแผ่นเสียงตกร่อง เจ็บหน้าอกเหมือนกับคนที่กำลังหายใจไม่ออก


เขารวบรวมสติที่ยังเหลือกดโทรศัพท์โทรออกหาคนคนหนึ่งด้วยมือที่สั่น ได้แต่ภาวนาให้ปลายสายยังไม่หลับ


-------------------------


“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม!” ร่างโปร่งตวาดใส่ก่อนจะก้าวฉับๆ ออกจากบ้านหายไปท่ามกลางความมืด ประตูรั้วหน้าทางเข้าถูกเปิดและปิดลง ทว่าศานนท์ปราศจากความคิดที่จะตามร่างนั้นไปเพราะเขาโกรธและเจ็บใจเกินกว่าจะไยดี


มือขวาคว้าแก้ว รินเหล้าใส่จนเต็มก่อนจะกระดกลงคอรวดเดียวหมดราวกับดื่มน้ำเปล่า พริบตาเดียวที่เผลอปรายมองเศษกระดาษในถังขยะจำนวนหนึ่งซึ่งถูกฉีกทำลายทิ้งเป็นชิ้นๆ ก็ถอนสายตากลับมาอย่างแสลงใจ ภาพในความจำยังบาดตา เหตุการณ์ตอนบ่ายก็เล่นวนซ้ำในหัว


“ได้เรื่องมั้ย”


“ครับ”


อเนกตอบด้วยท่าทีเคร่งขรึมเป็นงานเป็นการกว่าทุกวัน ตอนที่ยื่นซองสีน้ำตาลให้เขา


“นี่เป็นรูปที่คุณสั่งให้จับตาดู คนของผมถ่ายได้วันนี้ตอนประมาณสิบโมง แต่ผมว่าคุณควรจะได้เห็นเร็วที่สุด”


ศานนท์รับซอง แกะดูก็พบรูปจำนวนหนึ่งถ่ายที่ร้านอาหารสไตล์บูทีคในย่านท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ


หลังหน้าต่างบานใหญ่ตุลย์กำลังนั่งทานอาหารกับเด็กที่ชื่อกาย


เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะไล่สายตาดูรูปแต่ละใบ อิริยาบถของคนทั้งสองในภาพค่อยๆ เปลี่ยนไปแต่ยังสามารถปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวได้เสมือนดูภาพเคลื่อนไหว


จังหวะหนึ่งที่ตุลย์ลุกขึ้นยืนกายก็ถลาเข้ามาจับแขนร่างโปร่งไว้


ก่อนที่ทั้งคู่จะจูบกัน…



มือที่กำลังสับภาพถ่ายหยุดค้างที่รูปใบนั้น


แผ่นหลังของกายบดบังสีหน้าตุลย์ไว้กว่าครึ่งในขณะที่ร่างโปร่งถูกเบียดชิดกำแพง ก่อนที่ชายคนนั้นจะโน้มหน้าจูบตุลย์ หลังจากที่ทั้งคู่ผละจากกันตุลย์ก็มีท่าทีคล้ายใจเย็นลง จากนั้นถึงกดโทรศัพท์ยกขึ้นแนบหูคล้ายกำลังโทรออก วินาทีนั้นศานน์ก็จำได้


ตุลย์โทรหาเขาครั้งหนึ่งเมื่อประมาณสิบโมงเพื่อยกเลิกนัดตอนเย็น…


หลักฐานทุกอย่างตรงหน้าที่อเนกได้มามันฟ้องอยู่ทนโท่จนแม้อยากหาเหตุผลใดมาหักล้างก็ไม่อาจทำได้ หมดสิ้นซึ่งคำพูดใดๆ และเมื่อเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในความทรงจำเริ่มปะติดปะต่อกันเป็นช่องฉาก ความลับที่ตุลย์พยายามหลบซ่อนมาตลอดก็ค่อยๆ ประจักรต่อสายตา...


ตุลย์มีสัมพันธ์กับกายลับหลังเขา


ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ หรืออาจตั้งแต่ยังทำงานอยู่ไนต์คลับ


ส่วนเรื่องวิวาทเจ็บตัวที่เขาเป็นห่วงตุลย์แทบตาย มันกลับกลายเป็นแค่การเอาคืนกันระหว่างคู่รักอารมณ์ร้าย


...เพราะอย่างนี้ ตุลย์ถึงพยายามกีดกันไม่เขาเข้าไปยุ่งกับเรื่องกาย


เพราะกลัวความจะแตกขึ้นมา


ว่าคนที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือมาตั้งแต่แรกคือเขา


ปัง!



หมัดที่กำแน่นฟาดใส่โต๊ะอย่างแรงจนแก้วและขวดที่ตั้งอยู่สั่นตามแรงสะเทือน ความรู้สึกของการถูกทรยศจากฝีมือของคนที่หลงรักและไว้ใจที่สุดมันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเหมือนถูกคมมีดแทงซ้ำๆ เป็นพันครั้ง


บรรดาของกำนัลที่ตุลย์มักส่งมาให้ตอนที่หนีไปใช้เวลากับคนอื่น สายตาลังเลที่มองเขาคล้ายกังวลว่าเขาโกรธอยู่ไม่ หรือแม้แต่ตอนที่พูดคำว่า ‘ขอโทษ’


มีส่วนไหนที่เป็นความจริงบ้าง!?



ครั้งหนึ่งเขาเชื่อว่าตุลย์คือคนที่สามารถคืนชีวิตชีวาซึ่งขาดหายไปได้ให้เขาได้เหมือนตอนที่ยังมีนิโคลอยู่ข้างๆ เขาถึงยอมทุ่มเทให้ทั้งเงินทอง ความสะดวกสบาย และโอกาสเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถเข้าสู่วงการบันเทิงได้ตามที่ฝัน


เขาให้ทุกอย่างที่ตุลย์เฝ้าตามหา แม้กระทั่งหัวใจที่คิดว่าไม่อาจให้ใครได้อีก...

แต่ตุลย์กลับทำให้เขากลายเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง!



ศานนท์คำรามด้วยความโกรธแต่เสียงเปล่งออกมาจากลำคอกลับเต็มไปด้วยร่องรอยความเจ็บปวดเสียมากกว่า เขายกมือกุมหน้าก่อนปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดพังถล่มลงมาพร้อมกับไหล่ที่สั่นเทา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2021 00:04:32 โดย Caramella »

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
---------------------------------


“กูไปหาที่คอนโดตอนนี้ได้มั้ย”


นั่นเป็นประโยคแรกที่เต้ได้ยินเมื่อเขากดรับสายตุลย์ตอนดึก สิบห้านาทีต่อมาปลายสายก็มาถึงหน้าคอนโดของเขา ตุลย์ลงจากแท็กซี่ก็พบเต้สวมเสื้อยืดกางเกงบอลยืนรออยู่หน้าล็อบบี้ ท่าทีและน้ำเสียงของผู้มาเยือนดูปกติผิดกับตอนที่โทรหา จวบจนกระทั่งเต้ยิงคำถามแรก ต่อให้ไม่ใช่คนใกล้ชิดก็ดูออกได้ง่ายๆ ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น...


...เพราะตุลย์ตอบสนองช้ามากเหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว บางทีก็มองไปรอบๆ ด้วยแววตานิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรในหัวตามลำพัง ไม่อยู่กับปัจจุบัน


เต้เดินนำอีกฝ่ายผ่านประตูส่วนในซึ่งต้องใช้คีย์การ์ดสแกนเพื่อขึ้นไปชั้นที่เขาพักอยู่ ระหว่างที่รอลิฟต์ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น


“มึงเป็นอะไร”


ตุลย์ส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ “มีเรื่องนิดหน่อย”


“กับเสี่ยเหรอ?”


“.....”


“เรื่องอะไร เกี่ยวกับไอ้กายหรือเปล่า?”


เป็นอีกครั้งที่ตุลย์ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนระบายลมหายใจยาว ตอบโดยไม่มองเขา


“หยุดถามก่อนได้มั้ย... วันนี้กูไม่มีแรงจะเถียงกับมึงแล้ว”



คอนโดของเต้ตั้งอยู่บนชั้นสิบแปด ราคาสูงเอาเรื่องเพราะอยู่บนทำเลทองใกล้มหาวิทยาลัยและย่านธุรกิจสำคัญ แต่ก็แลกกับการเดินทางที่สะดวกสบายและใช้เวลาเพียงเล็กน้อย


พื้นที่ใช้สอยในห้องของเต้จัดว่าคับแคบไปสักหน่อยสำหรับผู้อาศัยสองคน เนื่องจากห้องถูกซอยเป็นสัดส่วนมีประตูบานเลื่อนกั้นชัดเจน ผนวกกับเจ้าของห้องไม่ใช่คนเก็บของเป็นระเบียบ แม้ว่าเต้จะเคลียร์ของระเกะระกะบางส่วนในห้องนั่งเล่นใส่ถุงต่างๆ อย่างลวกๆ เทินไว้บนโซฟายาวเป็นกะตั้กเพื่อให้ตุลย์มีที่เดินไม่เตะข้าวของล้มระเนระนาดจนเหลือพื้นที่นั่งได้แค่คนเดียวแล้วก็ตาม


“พวกเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวมึงหยิบเอาในตู้แล้วกัน”


คนที่เดินตามหลังเข้ามาด้านในห้องพยักหน้ารับ


เต้เดินนำไปที่ห้องนอน เปิดประตูบานเลื่อนกระจกซึ่งกั้นระหว่างห้องก่อนจะชี้ด้านในซึ่งมีเตียงควีนไซส์ตั้งอยู่ใต้กองผ้าห่มขยุกขยุย


“มึงนอนฝั่งในแล้วกัน”

   
“อื้ม” ตุลย์ขานรับ


เมื่อหมดหน้าที่เขาในฐานะเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มก็วกกลับไปนั่งที่โซฟา ปล่อยให้ตุลย์ใช้เวลากับตัวเองในห้องนอนของเขาขณะที่เขานั่งเล่นโทรศัพท์ เงยหน้าดูหนังต่างประเทศรอบดึกในโทรทัศน์บ้างเป็นบางที


ไม่นานตุลย์ก็เลื่อนประตูออกมาจากห้องนอนพร้อมเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว ตรงไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่เยื้องๆ กัน


“ยืมก่อนนะ”


“เออ”


ไม่รู้ว่าตุลย์หมายถึงขอยืมเสื้อผ้า ยืมผ้าเช็ดตัวหรือยืมห้องน้ำกันแน่ แต่เขาก็เออออไปตามนั้น


ระหว่างที่ตุลย์อาบน้ำ สมองเต้ก็เริ่มคาดเดาถึงเหตุผลที่ตุลย์ตัดสินใจมาค้างที่คอนโด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าร่างโปร่งพรวดพราดออกมากลางดึกกะทันหันเพราะทะเลาะกับเสี่ย แต่สาเหตุเกิดจากอะไรเขาคงไม่รู้หากเจ้าตัวไม่ปริปากบอกใบ้


บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พักหลังนี้ตุลย์มักไปหากายอยู่บ่อยครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ


จู่ๆ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวเต้


รึสองคนนั้นเป็นชู้กัน?


อืม... ไม่น่าจะใช่



ตุลย์กลัวกายออกจะตาย เพิ่งจะยอมสู้บ้างก็ตอนที่มีเรื่องกันครั้งล่าสุดเพราะเขาเข้าไปมีเอี่ยวกับการตะลุมบอนด้วย แถมหลังจากนั้น เจ้าตัวยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจะเอาคืนมันให้ได้ ท่าทางไม่เหมือนคนที่พิศวาสกันสักนิด


หรือว่าเป็นแฟนเก่าที่ตามราวี?


จังหวะที่กำลังคาดเดาไปต่างๆ นานานั้น คนที่กำลังนึกถึงก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี ตุลย์เดินสวนกับเขาที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อกลับไปที่ห้องนอนโดยที่สวมชุดซึ่งหยิบมาจากในตู้เสื้อผ้า


“กูนอนแล้วนะ”


“อืม” เต้พยักหน้ารับรู้


หลังจากที่ตุลย์หายเข้าไปในห้อง เขาก็ลุกไปอุ่นอกไก่ในตู้เย็นด้วยไมโครเวฟเพราะเริ่มรู้สึกหิว ก่อนหยิบจานมานั่งกินหน้าโทรทัศน์เพลินๆ รู้สึกตัวอีกทีไฟในห้องนอนก็ดับไปแล้ว


ชายหนุ่มนั่งทำอะไรเรื่อยเปื่อยจนล่วงเลยมาครึ่งค่อนคืนถึงหยิบจานบนโต๊ะหน้าโซฟาไปเก็บและแปรงฟัน เขาเปิดประตูห้องนอนซึ่งด้านในปิดไฟมืดสนิท ก่อนจะทิ้งน้ำหนักที่ฝั่งหนึ่งของเตียงซึ่งว่างอยู่ ปกติแล้วเต้ไม่นอนใส่เสื้อ แต่เนื่องจากวันนี้มีแขก เขาจึงล้มตัวลงนอนไปทั้งที่สวมเสื้อยืดอย่างนั้น


ขนาดของเตียงควีนไซส์สำหรับผู้ชายสองคนนั้นถือว่าไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่แคบจนอึดอัด แสงไฟลางๆ จากตึกนอกหน้าต่างทำให้ปรับสายตาชินกับความมืดได้เร็ว ไม่นานเต้ก็มองเห็นข้าวของในห้องแจ่มชัด เขาพลิกตัวหันไปที่ฝั่งข้างหน้าต่างก็เห็นร่างโปร่งนอนหันหลังให้โดยห่มผ้าแค่ช่วงเอว


ชั่วขณะหนึ่งที่เต้นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายหลับแล้วหรือยัง เขาจึงเท้าศอกยันตัวขึ้นเพื่อชะโงกมอง...
   

เปลือกตาปิดสนิทและลมหายใจสม่ำเสมอทำให้เขาแน่ใจว่าผู้ถูกมองจมสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจ้องตุลย์นานเท่าไหร่ แต่มันชักเริ่มหักห้ามใจยากขึ้นทุกที หากจะไม่ใช้สายตาพินิจพิเคราะห์เรือนร่างที่สวมใส่เสื้อผ้าของเขาอยู่ ชายหนุ่มไล่สายตามองลาดไหล่ ต้นแขนและหลังส่วนบนที่โค้งงอเล็กน้อยตามสรีระเนื่องจากตุลย์นอนตะแคงข้าง


รูปร่างตุลย์ไม่ได้เล็กกว่าเขานักเนื่องจากอีกฝ่ายเล่นเวตและคุมอาหาร แต่กล้ามเนื้อได้สัดส่วนพอเหมาะอย่างนายแบบที่ถ่ายนิตยสารแล้วขึ้นเลนส์กล้อง


เต้เลื่อนต่ำลงที่ลาดเอวและสะโพกซึ่งพ้นชายผ้าห่มมาเล็กน้อยอย่างเผลอไผล


ตุลย์เป็นเด็กเสี่ย... แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างตุลย์และเสี่ยย่อมไม่ใช่แค่ผู้อุปถัมภ์ด้านการเงิน


เซ็กซ์คงเป็นหนึ่งในบรรดาข้อแลกเปลี่ยนเหล่านั้น



มาถึงตรงนี้ สมองเขาก็คิดจินตนาการไปไกลจนกู่ไม่กลับ


มันทำให้เขาอยากรู้...


ว่าตุลย์แสดงสีหน้าและตอบสนองแบบไหนตอนที่มีเซ็กซ์


จะต่างจากสีหน้าที่อีกฝ่ายแสดงต่อหน้าตอนที่พูดคุยกับเขาในฐานะเพื่อนหรือเปล่านะ...


“จะมอง จะชอบ จะอยากได้ก็ให้เก็บไว้ในใจ ตามอง มืออย่างต้อง”



ชั่ววินาทีที่คำพูดของอเนกดังขึ้นเตือนสติเต้ก็หลุดจากภวังค์ เห็นว่าอยู่นานกว่านี้ชักเริ่มจะไม่เข้าท่า เขาจึงตัดสินใจลุกพรวดจากเตียงสาวเท้าออกไปที่ห้องนั่ง


ทันทีที่ประตูบานเลื่อนปิดฉับ ร่างโปร่งก็ลืมตาตื่นขึ้นในความมืด


เสียงกร๊อบแกร๊บของถุงพลาสติกดังลอดเข้ามาในห้องนอนตามด้วยเสียงรื้อของกุกกักทำให้ตุลย์พลิกตัวมองร่างที่เคลื่อนไหวเป็นเงารางอยู่หลังประตูเลื่อน เดาว่าเต้คงขนของลงมากองไว้ข้างโซฟายาวอย่างลวกๆ เพื่อใช้เป็นที่นอนคืนนี้ หลังจากนั้นไฟที่ตำแหน่งห้องน้ำก็สว่างวาบขึ้นก่อนที่จะได้ยินเสียงปิดประตู


-------------------------------


ตุลย์รู้สึกตัวตื่นช่วงสายๆ ของวันถัดมาอย่างค่อนข้างสดชื่นเนื่องจากหลับสนิทบนเตียงเจ้าของคอนโด สิ่งแรกที่เขาทำคือเช็กโทรศัพท์ แต่ไม่พบว่ามีสายเรียกเขาหรือข้อความใดๆ แจ้งเตือน


เขานึกว่าศานนท์จะโทรมา…


มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งเสียใจและโล่งอกไปพร้อมกัน เพราะหากติดต่อมาตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้จะรับมือฝ่ายนั้นอย่างไร...


ตุลย์ลุกจากเตียง เปิดประตูออกมาที่ห้องนั่งเล่นอย่างเงียบเชียบ เขาพบว่าผ้าม่านและไฟในห้องนั่งเล่นยังปิดมืด ส่วนเต้นั้นนอนเหยียดร่างยาวอยู่บนโซฟาท่ามกลางถุงและข้าวของที่วางระเกะระกะล้อมรอบ เปลือกตาที่ยังปิดสนิทบ่งบอกว่าหลับอยู่จริง


ดูเหมือนว่าการที่เขาโผล่พรวดมาที่ห้องกะทันหันจะสร้างภาระให้เต้ไม่น้อย…


ท้องที่เริ่มรู้สึกหิวเรียกให้ตุลย์หยิบกุญแจห้องบนโต๊ะวางทีวี ก่อนจะออกไปกินข้าวเช้าข้างนอกโดยไม่ปลุกเจ้าของห้อง ยังไงเสียหากเต้ไม่เห็นเขาอีกฝ่ายก็คงโทรหาเอง ถึงอย่างนั้นตุลย์ก็ไม่ลืมที่จะซื้ออาหารเช้าติดมือมาฝากด้วยตอนขากลับ


ร่างโปร่งกลับมาถึงห้องราวๆ ชั่วโมงครึ่งให้หลัง เขาสแกนคีย์การ์ด เปิดประตูเข้ามาข้างในพบว่าเต้เพิ่งตื่นได้หมาดๆ และกำลังนั่งจ้องจอทีวีเปล่า เจ้าของห้องเงยหน้ามองตุลย์ด้วยสายตาที่ยังงัวเงียตอนที่เขายื่นถุงพลาสติกบรรจุกล่องโฟมใส่อาหารให้


“อะ กูซื้อมาฝาก”


เต้รับถุงจากเขาขณะหาววอด ก่อนจะตั้งมันไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา


“วันนี้มึงออกไปไหนมั้ย”


“ไปค่ายซ้อมมวยบ่ายๆ วันหยุดกูไม่ซ้อมที่ม. มึงจะเอาอะไร?”


“เกี่ยวกับเรื่องเมื่อวาน... กูอยากจะไหว้วานอะไรหน่อย” น้ำเสียงตุลย์อ่อนลงเล็กน้อยยามพูดถึงปัญหาที่ยังคาราคาซังในชีวิตของเขา


“เรื่องอะไร”


“เรื่องเมื่อวาน...”


“หมายถึงเกี่ยวกับอะไร”


“กาย” ตุลย์ถอนหายใจเบาๆ เมื่อถูกต้อนให้พูด “แต่มึงสัญญาได้มั้ยว่าจะไม่บอกคุณศานนท์”


ตุลย์มองคู่สนทนา ทว่าได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ


ที่จริงหากเต้จะปฏิเสธเขาก็พอเข้าใจ ต่อให้อีกฝ่ายเคยทำตามคำของี่เง่าของเขาอยู่หลายครั้ง แต่ศานนท์ก็ยังเป็นผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของอีกฝ่ายซึ่งเขาเทียบไม่ได้อยู่ดี…


“ก็ได้” นานกว่าเต้จะยอมพูด “จะให้ช่วยอะไร”


ตุลย์ทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้องนั่งเล่น


“กูรู้ข้อมูลส่วนตัวของกายบางอย่าง กูไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์กับเรื่องนี้แค่ไหน แต่กูอยากได้ข้อมูลเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับมันที่จะเอาไปแบล็กเมลล์ตัวมันได้ มึงพอมีวิธีไหนที่สามารถสืบข้อมูลพวกนี้ได้มั้ย”


คำอธิบายของตุลย์ทำให้เต้ขมวดคิ้ว “ทำไมวะ”


“กูจะตลบหลังมัน...”


“แล้วมันไปทำอะไรให้”


ถูกจี้ถามตุลย์ก็นิ่วหน้าเม้มริมฝีปาก เป็นสีหน้าที่ฝ่ายนั้นมักแสดงเวลาที่ถูกกดดันหรือรู้สึกเกร็งซึ่งเต้เห็นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะตอนที่ตุลย์เผชิญหน้ากับกาย


“เรื่องนั้นกูยังไม่อยากพูดถึง...”


ทั้งห้องเงียบลงเมื่อต่างคนต่างไม่พูดอะไร แม้แต่ตุลย์ก็ไม่อยากคะยั้นคะยอต่อ เพราะเขารู้ดีว่าการจะใช้ให้ใครคนหนึ่งทำเรื่องอะไรสักอย่างให้โดยไม่บอกเหตุผลหรือข้อมูลสำคัญ มันเป็นการผลักภาระและความเสี่ยงให้ฝ่ายนั้นมากเกินไป


แต่จังหวะที่เกือบจะยอมแพ้แล้วนั้น จู่ๆ เต้ก็ถอนหายใจยาว


“พ่อกูเคยใช้นักสืบเอกชนอยู่เจ้าหนึ่ง ค่าจ้างแพงแต่สืบละเอียด แต่กูเตือนก่อนนะว่าเรื่องนี้ต้องทำเงียบๆ และไม่รับประกันว่าจะทำโดยไม่ให้เสี่ยรู้ได้มั้ยเพราะเขามีหูมีตาอยู่ทุกที่ แต่กูจะลองคุยดูก่อน”


ตุลย์พยักหน้า เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง


“ขอบคุณ...”


“เออ” เต้รับคำ “แล้วมึงรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้าง”



-------------------------------

คู่หูดูโอ้ไปทำภารกิจเอาคืนกายกันแล้วเจ้าค่ะ ฮูเร่!
ตอนนี้มีโม้เม้นให้เรือผีแล่นด้วยแหละ 5555
ส่วนคุณศานของเลากำลังเศร้ามากๆ เมลล่ารู้สึกผิดสุดๆ มาโอ๋ๆ คุณเขากันนะคะ
ตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะ ความเข้าใจผิดนี้จะบานปลายไปถึงไหน
อาจจะได้เห็นคุณศานในมุมวร้ายวร้ายบ้างก็ได้น้า ถถถถถ (โดนนักอ่านตี)

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ (และพลุ) นะคะ ฮี่ๆ ดีใจมากๆ ที่ยังมีคนแวะเวียนมาเรื่อยๆๆ
เหลืออีกแค่ 2-3 ตอนเรื่องนี้ก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้วค่า
ทิ้งฟีตแบคไว้ได้เหมือนเดิมค่ะ จะด่าหรือจะชมก็ได้ เมลล่ารักทุกความเห็น ฮี่ๆๆๆ <3
*กราบ*
P.S. เล้าเป็ดได้อภิสิทธิ์อัพก่อนค่ะ เพราะเมลล่าไม่อยู่พรุ่งนี้ตอนเช้า และมันตั้งเวลาไม่ได้ ถถถถถ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ตุลย์ คนสเน่ห์แรง

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
ตามครับ อ่านรวดเดียวเลย

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Satang_P

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
30th Night: การตัดสินใจ


         ศานนท์มาถึงที่ทำงานตอนเช้าด้วยอารมณ์ขุ่นมัวตกค้างเรื่องเมื่อคืน เขาใช้เวลากว่าครึ่งค่อนคืนเพื่อสงบจิตสงบใจที่ฟุ้งซ่านให้เย็นพอตัดสินทุกอย่างอย่างมีสติ เรื่องได้พักผ่อนไหมนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง


         ด้านในห้องทำงานของศานนท์ หนุ่มผู้บริหารอีกคนนั่งรออยู่ที่โซฟารับแขกตามนัดหมาย ฝ่ายนั้นลุกยืนขึ้นเมื่อผู้เป็นนายก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ก่อนจะตรงมาหาที่โต๊ะทำงานซึ่งศานนท์เพิ่งวางกระเป๋าโน้ตบุ๊กไว้


         “ได้ข่าวจากเอกหรือยัง”


         “ครับ ผมทราบเรื่องแล้ว เสี่ยจะให้เอกสืบต่อมั้ยครับ”


         “ไม่จำเป็น ไม่มีอย่างอื่นที่ฉันอยากรู้แล้ว” ศานนท์ตัดบทด้วยสีหน้าที่ติดจะเฉยชา


         “ครับ” ผู้บริหารหนุ่มเพียงแค่รับคำสั้นๆ


         อันที่จริงเรื่องที่ตุลย์คบซ้อนไม่ได้เหนือความคาดหมายของอัฐเท่าไร พวกเด็กเสี่ยหรือเด็กไซด์ไลน์ที่ผูกปิ่นโต ส่วนมากก็มาเพื่อกอบโกยเงินหรือผลประโยชน์แล้วจากไป การมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก ขอเพียงซุกไว้ให้เงียบๆ ไม่สับรางมาชนหรือวุ่นวายกับเสี่ยก็ย่อมเพียงพอ เว้นแต่จะผูกปิ่นโตกันด้วยข้อตกลงแบบอื่น


         นั่นเป็นความจริงที่เขาและเสี่ยก็ต่างทราบดี


         ใช่ว่านายของเขาไม่เคยเลี้ยงเด็กคนอื่นก่อนหน้าตุลย์เสียเมื่อไหร่...


         ...รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังปิดหูปิดตายอมให้เด็กนั่นสวมเขาเสียได้ตั้งนานอย่างไม่สมเป็นเขา


         ศานนท์ทิ้งตัวบนเก้าอี้ทำงาน แม้ว่าดูเหนื่อยล้าอยู่บ้างเพราะได้พักผ่อนเมื่อคืนแค่นิดเดียว แต่แววตาของหนุ่มใหญ่ก็ยังคงความนิ่งขรึมอย่างคนที่คิดมาถี่ถ้วนแล้ว “ที่เรียกมาก็เรื่องนี้นั่นล่ะ”


         “คุณจะให้ผมจัดการทั้งคู่เลยมั้ย” อัฐถามราวกับรู้ใจว่าผู้เป็นนายจะพูดอะไรต่อ


         “ไม่ เรื่องลูกชายของส.ส. ไชยวัฒน์ให้ปล่อยไว้ ถ้าตุลย์จะคบกับเด็กนั่นมันก็ไม่ใช่กงการอะไรที่ฉันต้องเข้าไปยุ่ง ฉันทำธุรกิจกับเขาไม่ใช่ลูกชายเขา และอิธิพลเขายังมีประโยชน์กับฉัน คราวก่อนฉันก็เล่นงานลูกเขาไปทีนึงแล้ว เดี๋ยวจะระรองระแหงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเปล่าๆ ...ส่วนตุลย์”


         ผู้พูดนิ่งไปชั่วครู่คล้ายตริตรองให้แน่ใจก่อนลั่นวาจา


         “จากนี้ก็ตัดท่อน้ำเลี้ยงเขาเสีย”


         “คุณจะให้ผมยกเลิกทุกอย่างเกี่ยวกับตุลย์ที่ในความดูแลของคุณถูกครับมั้ย”


         “ใช่” น้ำเสียงหนุ่มใหญ่ปราศจากความลังเล


         ในฐานะของคนทำธุรกิจ มันไม่มีประโยชน์ที่จะลงทุนในสิ่งซึ่งไม่ให้ผลตอบแทน


         ...เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เขาเคยให้ตุลย์ ต่อจากนี้ไปจะไม่มีอีก


         “ครับ ผมจะให้ฝ่ายโฆษณาเร่งหาพรีเซนเตอร์ใหม่ที่จะมาแทนคุณวินทร์ แล้วจะโทรแจ้งคุณซินดี้ให้ยกเลิกแผนงานในอนาคตทั้งหมด รวมทั้งให้เธอหยุดช่วยเหลือเขา ส่วนทรัพย์สินที่คุณเคยซื้อให้เขาผมจะส่งคนไปตามเอาคืน คุณอยากให้ผมตัดเขาออกจากรายชื่อนักแสดงซีรีส์ที่ถ่ายอยู่ตอนนี้ด้วยมั้ย?”


         โดยปกติการแก้ไขตัวนักแสดงหรือนายแบบในงานที่ถ่ายทำไปแล้วเกินครึ่ง นับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากมากและสร้างเสียหายล่าช้าให้กับทั้งผู้จัดและช่อง แต่ศานนท์รู้จักกับผู้ออกทุนของซีรีส์เรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งยังมีเส้นมีสายกับคนสำคัญในวงการ หากจะสั่งให้ปลดตุลย์ออกกลางอากาศวันพรุ่งนี้ เขาก็ย่อมทำได้


         แต่...


         “ไม่ต้องตามอะไรกลับมาทั้งนั้น ปล่อยไว้”


         น้ำเสียงเรียบเข้มขึ้นคล้ายขีดเส้นแบ่งไม่ให้อัฐกระทำการใดก้าวก่ายเกินอำนาจคำสั่งโดยเด็ดขาด


          “ที่ให้ไปแล้วถือว่าแล้วกัน แต่เขาจะไม่ได้อะไรจากฉันอีก”


         ที่ศานนท์พูดเช่นนั้น มันคือการแสดงออกต่อเขาอย่างเปิดเผยว่ายังมีเยื่อใยกับตุลย์ เพราะหากไม่ใช่คงไม่ปล่อยให้เด็กคนนั้นลอยชายสุขสบายบนกองชื่อเสียงที่ตนเองสร้างให้ ทั้งยังออกปากสั่งห้ามเขาแตะต้องเกินขอบเขตคำสั่ง


         แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สมเหตุสมผลในเชิงพาณิชย์ เพราะหากปราศจากการสนับสนุนจากศานนท์ ลำพังตุลย์ก็เป็นแค่ดารากิ๊กก๊อก ไม่มีพิษสงอะไรพอจะแว้งกัดเสือที่แม้ถอดเขี้ยวเล็บแล้วอย่างนายของเขาได้อยู่ดี จึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ราคาหรือเสียเวลาด้วย


         “ครับ” อัฐรับคำ แม้ไม่เห็นด้วยทั้งหมดแต่เขาก็เคารพการตัดสินใจของผู้เป็นนาย


         ...ไม่ว่ายังไง สำหรับนกที่มีชะตาชีวิตอยู่ในกำมือของคนอื่นอย่างตุลย์ การที่เสี่ยยกกรงทองใบนี้ให้เปล่าๆ โดยไม่ทลายมันทิ้งนั้น ก็นับว่าเมตตามากแล้ว


---------------------------------


         วันนี้ตุลย์มีนัดหมายทำโครงงานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย โดยนัดเจอกับสมาชิกกลุ่มที่หน้าตึกเรียนหลังจากที่คาบเรียนช่วงเช้าจบลง นอกเหนือจากจีจี้กับแม็กที่เป็นเพื่อนสนิท และฟ้าซึ่งเป็นสมาชิกดั้งเดิม กลุ่มของเขายังมีเหลียนเพิ่มมาอีกคน ซึ่งสาเหตุที่เธอมาขอเข้ากลุ่มกลางคันเป็นเพราะขาดเรียนคาบที่สั่งงานทำให้คลาดกับเพื่อนคณะเดียวกัน ประจวบเหมาะกับที่กลุ่มของพวกเขายังเหลือที่ว่างอีกที่หนึ่งพอดี


         กลางวันนั้น พวกเขาทั้งหมดออกมาที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อเลือกซื้อวัสดุสำหรับทำโครงงาน ก่อนจะแวะทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารเฟรนไชน์ และถือโอกาสทำความรู้จักสมาชิกใหม่ไปด้วย


         เหลียนเป็นสาวเชื้อสายจีนพูดน้อยจากคณะภาษาศาสตร์ ผิดกับฟ้าที่กระตือรือร้นกับทุกสิ่งรอบตัวอย่างมาก จนไม่ว่าพูดอะไรมันก็กลายเป็นมุกตลกไปเสียหมด ซึ่งหลังจากที่ทานเสร็จเรียบร้อย พวกเขาต่างก็หารค่าอาหารเพื่อจ่ายส่วนของตัวเอง


         “กูลืมกดตังว่ะ”


         แม็กบ่นกระปอดกระแปดใส่ตุลย์ขณะที่พลิกกระเป๋าใส่ธนบัตรซึ่งมีแบงก์ร้อยเสียบอยู่แค่สองใบ


         “ติดไว้ก่อนได้ป่ะ เดี๋ยวกูกดคืน”


         “งั้นเดี๋ยวกูจ่ายให้ก่อน” ตุลย์บอก


         เจ้าเพื่อนเกลอพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นดีเห็นงามด้วย “ดีๆๆ งั้นกูโอนคืนแล้วกัน”


         ได้ข้อสรุปเช่นนั้น คนอื่นๆ ที่เหลือจึงตกลงจะโอนส่วนของตัวเองคืนเขาด้วย


         ตุลย์หยิบสัมภาระลุกขึ้นก่อนเพื่อเดินไปจ่ายค่าอาหารที่เค้าท์เตอร์แคชเชียร์หน้าร้านระหว่างที่รอเพื่อนเก็บของ เขายื่นบัตรเครดิตให้พนักงานสาวอย่างเคยชิน ทว่าเธอกลับใช้เวลาพักใหญ่ในการรูดบัตรใบนั้นก่อนจะส่งมันคืนให้เขาเมื่อชำระเงินไม่สำเร็จ


         “ชำระเป็นบัตรใบอื่นหรือเงินสดแทนได้มั้ยคะ? บัตรเครดิตของคุณลูกค้าใช้ไม่ได้ค่ะ ลองติดต่อธนาคารดูนะคะ”


         ตุลย์เผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย เป็นจังหวะเดียวกับที่เพื่อนๆ กำลังเดินจับกลุ่มออกมาที่ปากประตูทางออก เขาจึงยื่นเดบิตของตัวเองให้เธอแทนเพราะไม่อยากเสียเวลารอนาน โดยที่ไม่ทันได้เอะใจอะไร



         หลังจากทานข้าวเสร็จ ทั้งหมดก็กลับไปที่ห้องพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นพื้นส่วนรวมขนาดใหญ่ภายในตึกเปิดให้นักศึกษาทุกคณะใช้สอยอย่างอิสระ


         พวกเขาวางของที่โต๊ะตัวหนึ่งก่อนจะนั่งล้อมวงออกแบบโมเดลผังเมือง อันที่จริงแล้ววิชาที่ว่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับคณะนิเทศด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม มันก็ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรพื้นฐานของมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาทุกคณะต้องผ่านเพื่อขึ้นปีต่อไป


         นับเป็นโชคดีอีกชั้นของพวกเขาที่เหลียนมีหัวด้านศิลปะ เธอจึงออกแบบและร่างส่วนต่างๆ ของโมเดลได้แทบในทันทีหลังจากที่พวกเขาสรุปเรื่องการวางผังได้


         ระหว่างที่กำลังทำงานอยู่นั้น จู่ๆ เสียงสั่นครืดคราดของโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะก็ดึงความสนใจของตุลย์ เขาชะโงกตัวดูก็พบว่าเป็นสายโทรเข้าของซินดี้


         "เดี๋ยวเรากลับมานะ"


         ตุลย์ขอตัวกับเพื่อนก่อนจะออกไปรับโทรศัพท์นอกห้องพักเนื่องจากไม่อยากให้เสียงรบกวนคนอื่นๆ ด้านใน


         “ฮัลโหลครับ”


         ได้ยินเขา ปลายสายก็สวนกลับอย่างเย้าแหย่


         “ว่าไงนังตัวดี ไปทะเลาะอะไรกับคุณศานเข้าล่ะจ๊ะ”


         “......” ตุลย์ได้แต่นิ่งงันกับคำถาม


         เขาไม่รู้ว่าซินดี้ก็ทราบเรื่องนี้ด้วย...


         “เอาเถอะ ถึงไม่บอกฉันก็พอรู้อยู่บ้าง แต่ถ้าบอกก็ดีจะได้ไม่ค้างคาใจ”


         เธอกลั้วหัวเราะร่วนอย่างเคยนิสัย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความเงียบในอึดใจต่อมา


         “...ฉันแค่จะโทรมาบอกว่างานละครล่าสุดที่หล่อนถ่ายอยู่จะเป็นงานสุดท้ายที่ฉันคอยจัดการเรื่องให้แล้วนะ ฉันจะไม่ใช่คนหางาน จัดคิว หรือวางแผนอะไรให้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้หล่อนต้องดูแลตัวเอง”


         ประโยคนั้นทำให้ตุลย์ตกใจไม่น้อย


         “ทำไมเหรอครับ คุณจะไปไหนเหรอ?”


         คำถามของเขาเรียกเสียงระบายลมหายใจจากคู่สนทนาคล้ายหนักอกหนักใจ


         "คุณเขาสั่งลงมา ถ้าขาดแบ็กอย่างเขา ลำพังฉันก็ดันหล่อนออกหน้าออกตาอย่างตอนนี้ไม่ได้หรอก”


         “คุณศานนท์เหรอ…?” ตุลย์ทวนชื่ออย่างไม่เชื่อริมฝีปากก่อนจะนิ่วหน้า


         แก้มซ้ายชาเหมือนเพิ่งถูกตบไปหนึ่งฉาด ขณะที่ในอกวูบโหวงราวกับมีชิ้นส่วนบางอย่างขาดหายไป


         ความหมายว่ายังไง...?


         เรื่องคืนนั้น... เขาทำให้ศานนท์โกรธมากจนเลือกตัดความสัมพันธ์เลยอย่างนั้นเหรอ…?


         “เรื่องเทรนเนอร์ของฉัน พวกคอร์สเรียนหรือคอร์สฟิตเนส เธอยังใช้ต่อไปได้จนกว่าสถานภาพสมาชิกจะหมดอายุนะ”


         เป็นอีกครั้งที่คำอธิบายเปลี่ยนเป็นเสียงถอนใจ


         “เฮ้อ ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าจะทำอะไรน่ะคิดให้เยอะๆ ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าเข้าสักวัน ทีนี้เป็นไงล่ะ?”


         “ขอโทษ… แต่ผมไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง...” ตุลย์ส่ายหน้า ตอบด้วยความสัตย์จริง


         หากว่าการย้อนเวลากลับไปแก้ไขจะทำให้ศานนท์ไม่นึกชิงชังเขาจนเลือกตัดความสัมพันธ์อย่างตอนนี้ได้ เขาจะไม่ลังเลเลย...


         “แล้วเธอทำจริงๆ หรือเปล่า คบซ้อนน่ะห๊ะ?”


         คำถามของเธอทำให้ตุลย์เบิกตากว้าง


         เดี๋ยวก่อน!

 
       ...คลิปนั่นทำให้ศานนท์เข้าใจว่าเขาคบซ้อนเหรอ!?


         “เปล่า! ผมเปล่า! ผมไม่ได้คบกับใครเลย เขาเข้าใจว่าผมคบซ้อนเหรอ!?”


         “เอ้า! ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไปคุยกับเขาให้รู้เรื่องสิ จะรออะไรเล่า!”


         เธอตวัดน้ำเสียงสูงปรี๊ดแทบตวาดสั่ง


         “ฟังนะ... ฉันไม่รู้หรอกว่าเรื่องระหว่างหล่อนกับคุณศานความจริงมันเป็นยังไง ใครพูดจริงหรือใครพูดโกหก แต่ในฐานะคนที่เทรนหล่อนมาจนได้ดิบได้ดี ฉันไม่ได้เกลียดหล่อน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะเปลี่ยนใจเขาได้ ฉันคงช่วยให้หล่อนได้มากที่สุดแค่คำปรึกษา”


         “......”


         “...จากนี้ก็ขอให้โชคดีแล้วกัน”


         “...ครับ” ตุลย์ได้แต่รับคำอวยพรนั้นสั้นๆ ของเธอก่อนที่ปลายสายจะวาง


         ร่างโปร่งเม้มปาก ถอนหายใจหนักระบายความรู้สึกที่อัดแน่น แต่ยังไม่ทันคิดไปไกลก็ถูกสะกิดที่ไหล่ พอหันกลับไปก็พบเหลียนยืนอยู่ด้านนอกห้องพักนักศึกษาเยื้องหลังเขาห่างออกไปไม่กี่ก้าว ตุลย์เก็บสีหน้าสับสนไม่มิดเพราะไม่ทันตั้งตัว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงสาวมายืนรอตั้งแต่เมื่อไหร่และได้ยินอะไรไปบ้าง


         “พอดีเพื่อนเธอให้มาตามน่ะ เห็นว่ามีเรื่องจะคุย” เธอพูดก่อนจะกวักมือเรียกตุลย์ให้เดินตามเข้าไปพร้อมกัน


         พอทั้งคู่กลับมาถึงโต๊ะที่คนอื่นๆ นั่งทำงานกันอย่างขมักเขม่น แม็กก็เงยหน้าถาม


         “เออ กูจะถามว่าพรุ่งนี้ไปทำงานที่คอนโดมึงได้มั้ยวะ เมื่อกี้พวกกูคุยกันแล้วสรุปว่าคอนโดมึงใกล้มหา’ ลัยที่สุด แล้วของก็ไม่ค่อยรก แถมพื้นที่กว้างดี เดินทางสะดวกที่สุดแล้ว”


         ฟ้ายังพยักหน้าตามอีกหลายทีคล้ายยืนยันว่าเห็นด้วยกับคำพูดแม็ก


         แต่นั่นกลับทำให้ตุลย์ยิ่งลังเล ตั้งแต่ทะเลาะกับศานนท์ใหญ่โตเมื่อสองคืนก่อน เขาก็นอนค้างคอนโดเต้แทนที่จะกลับบ้าน เพราะไม่ว่าด้วยแรงโทสะหรือตั้งใจศานนท์ก็ลั่นประกาศิตไว้ชัดว่าไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก...


         กุญแจคอนโดของศานนท์อีกดอกหนึ่งยังอยู่ในกระเป๋า แต่เขากลับรู้สึกละอายแก่ใจหากจะเสนอหน้ากลับไปหาคนที่ชิงชังเขาจนอยากตัดเขาออกจากชีวิตในเวลาแบบนี้...

 
       ทว่าอีกส่วนของความรู้สึกก็ร่ำร้องให้ทำในสิ่งตรงกันข้าม

   
     “...ก็ได้” ชั่งใจอยู่นานกว่าตุลย์จะตอบ “งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่คอนโดตอนประมาณสิบโมงเป็นไง?”


         ตั้งแต่เขาออกจากไนต์คลับศานนท์ก็ไม่เคยไปค้างที่คอนโดอีกเลย หากว่าเขาจะแวะกลับไปหน่อยแค่ช่วงสั้นๆ ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...


ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
         ตุลย์มั่นใจว่าเขาลั่นปากไว้ที่สิบโมงเช้าแต่พอถึงเวลานัดกลับมีเหลียนโผล่มาแค่คนเดียว มิหนำซ้ำเมื่อวานแม็กยังเอาโครงงานของพวกเขายัดใส่เบาะหลังรถแล้วขับกลับบ้านไปด้วยอีก ตุลย์จึงทำอะไรไม่ได้มากกว่าพาหญิงสาวขึ้นมานั่งรอคนอื่นๆ ที่โซฟายาวในห้องนั่งเล่นกว้างขวางโอ่อ่าแล้วเปิดทีวีให้เธอฆ่าเวลาแก้ง่วง กว่าสมาชิกทุกคนจะมากันครบก็เกือบเที่ยง


         ทั้งหมดนั่งล้อมวงกันตรงโต๊ะยาวสำหรับทานอาหารที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น เริ่มประกอบโครงงานก่อนจะยิงยาวจนฟ้าเริ่มมืดเป็นสีน้ำเงินคราม ความอ่อนล้าทั้งวันเรียกร้องให้พวกเขาพักกินมื้อเย็น


         “กินอะไรดีอ่ะทุกค๊นเราคิดไม่ออกเลย โอ้ย ทำไมคำถามนี้ตอบยากจัง จับฉลากเลือกเมนูไม่ได้เหรอ...” ฟ้าบ่นขณะเอนหลังพิงพนัก ห่อไหล่ตัวลีบติดไปกับเก้าอี้ “แถวนี้มีอะไรกินป่ะตุลย์”


         หวยออกที่เขา ตุลย์ก็ใช้เวลานึกอยู่ครู่ “...ข้างล่างก็พอมีร้านอาหารอยู่นะ เดินลงไปหน่อยหน้าคอนโดก็มีร้านอาหารอิตาเลี่ยนกับญี่ปุ่น แต่เวลานี้ไม่แน่ใจว่าคนเต็มหรือยัง”


         “จริงป่ะ เราอยากกินปลาส้มอ่ะ กินร้านซูชิกันๆ!” พูดจบเธอก็เด้งตัวผึงคว้ามือจีจี้มาแกว่งซ้ายทีขวาทีเหมือนอ้อนให้กินเป็นเพื่อน ดูกระปรี้กระเปร่าผิดกับท่าทีห่อเหี่ยวเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง


         “เออ ก็ดีนะ” แม็กว่า คนที่เหลือก็ดูจะเห็นด้วย


         “งั้นเดี๋ยวเราเดินลงไปสั่งขึ้นมาจะได้กินไปทำงานไปด้วย ทุกคนเอาอะไรกันบ้างอ่ะ?”


         ฟ้าถามก่อนจะจดเมนูของเพื่อนๆ ลงในโทรศัพท์ เมื่อวนสั่งจนครบทุกคนแล้วหญิงสาวก็จูงมือจีจี้คว้ากระเป๋าสตางค์และมือถือเตรียมตัวออกไปข้างนอก ส่วนตุลย์ตั้งใจจะเดินลงไปพร้อมพวกเธอในฐานะที่เป็นคนถือกุญแจและช่วยถือของ


         ฟ้าดูกระตือรือร้นอยากกินแซลมอนเอามากๆ เธอเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ตลอดโถงทางจนถึงหน้าประตู ตุลย์หัวเราะเพราะถูกเธอแซวไปดอกหนึ่งระหว่างทาง แต่จังหวะที่เอื้อมมือไปแตะที่จับประตู ยังไม่ทันได้ออกแรงดึง หูของเขาก็ได้ยินเสียงสแกนคีย์การ์ดดัง ‘ตี๊ด’ จากนั้นประตูห้องพักก็เปิดออกด้วยแรงผลักจากอีกฝั่งโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว

       
         ตุลย์ผงะ เมื่อด้านหลังบานประตูที่แง้มออกเผยร่างของชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมคอและกางเกงสูทเข้าชุดกับเสื้อตัวนอกที่ถอดพาดอยู่ในอ้อมแขน สีหน้าผู้มาเยือนแสดงออกว่าแปลกใจอย่างมากที่เห็นเขาอยู่ในห้องตัวเอง


         ตุลย์ยืนนิ่งงันทำตัวไม่ถูก คล้ายกับเวลาหยุดนิ่งชั่วขณะ แม้แต่เสียงสรวลเสเฮฮาของสองสาวด้านหลังก็เงียบลง


         “เอ่อ...” หาเสียงอยู่นานจนกว่าจะเจอ “คือผมไม่คิดว่าคุณจะใช้ห้อง...”


         เขาได้ความเงียบจากศานนท์เป็นคำทักทาย สีหน้าและแววตาของชายวัยกลางคนที่จ้องมาติดจะเย็นชาเสียด้วยซ้ำ


         “ผมขอโทษ ถ้าคุณจะค้างที่นี่ ผมจะ...”


         หนุ่มใหญ่ส่ายหน้าโดยไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ “ฉันลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่รถ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”


         ถูกตัดบทกลางคันตุลย์ก็ได้แค่เงียบปากที่พูดไปอย่างครึ่งๆ กลางๆ วินาทีต่อมาประตูห้องก็ปิดลงช้าๆ ต่อหน้าเขา จวบจนได้ยินเสียงบานพับสบกันสนิท ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง


         “นั่นเสี่ยเหรอ...” จีจี้โพล่งถามหลายวินาทีต่อมา "เรามาทำงานแบบนี้ไม่เป็นไรแน่นะ? "


         “ไม่เป็นไรหรอก” ตุลย์ตอบ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มั่นใจเลยก็ตาม


         “เออ ตุลย์ ...งั้นเดี๋ยวค่อยออกไปได้มั้ย รอให้เขาไปก่อน เราเสี่ยวหลังอ่ะ” ฟ้ารีบเสริม


         ตุลย์พยักหน้ารับรู้ แต่ครู่ต่อมาเขาก็เปลี่ยนใจหยิบกุญแจส่งฟ้า หญิงสาวเผยสีหน้างุนงงอย่างมากตอนที่เขาวางกุญแจใส่มือเธอ


         “จี้กับฟ้าลงไปก่อนแล้วกัน เราจะอยู่รอคุยกับเขาเผื่อคลาดกัน...”


         พวกเธอรอจนแน่ใจว่าศานนท์ไม่อยู่ที่หน้าประตูแล้ว สองสาวถึงลงไปสั่งอาหารด้านล่างตามที่ได้ตกลงกันไว้ ครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งคู่ก็กลับขึ้นมาพร้อมกับถุงอาหาร จากนั้นทั้งหมดก็ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนจะนั่งทำงานต่อจนดึก


         แต่จนแล้วจนรอดศานนท์ก็ไม่ย้อนกลับมาที่ห้อง...


         “กูกลับก่อนนะ” แม็กบอกหลังรับสายโทรเข้าจากที่บ้าน


         เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของญาติ ครอบครัวของเขาจึงแผนจะเดินทางไปทำบุญวันเกิดที่วัดต่างจังหวัดทำให้เจ้าตัวไม่อาจอยู่ทำงานดึกดื่นได้


         “เออ เดี๋ยวกุลงไปส่ง” ตุลย์ว่า


         หลังจากส่งแม็กที่หน้าคอนโด ตุลย์ก็กลับมาช่วยคนอื่นๆ ทำงานต่อจนเสร็จตามที่วางแผนไว้ จากนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดเศษกระดาษและแผ่นโฟม


         คืนนี้สามสาววางแผนจะค้างที่นี่คอนโดเขาเนื่องจากพวกเธอตั้งใจจะทำโครงงานต่อให้เสร็จพรุ่งนี้ตอนเช้าก่อนจะกลับไปเรียนคาบบ่ายที่มหาวิทยาลัย เพราะกำหนดส่งงานคือวันมะรืนที่จะถึง ด้วยเหตุนี้ตุลย์จึงยกห้องนอนใหญ่ให้พวกเธอเนื่องจากตัวห้องมีทั้งเตียงคิงไซส์ ห้องน้ำและห้องแต่งตัวรวมอยู่ด้านในเบ็ดเสร็จ ขณะที่ตัวเขาออกมานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเงียบๆ ในห้องนั่งเล่น


         ตุลย์มองไปรอบๆ …


         ย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต ช่วงหนึ่งตอนที่เขายังไม่ไว้ใจศานนท์และเอาแต่ระแวงเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน หนุ่มใหญ่ก็มักจะพาเขามาค้างที่คอนโดแห่งนี้บ่อยๆ


         ที่ห้องครัวแบบเปิดโล่งซึ่งตั้งอยู่เยื้องซ้ายกินพื้นเกือบครึ่งของห้องนั่งเล่นตรงนั้น แรกเริ่มที่พยายามจีบเขา ศานนท์เคยออกปากยกไวน์ทั้งตู้ให้เขาหยิบดื่มได้อย่างอิสระ


         แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ส่วนใหญ่เราก็มักดื่มด้วยกัน นั่งบนโซฟายาวตัวนี้แล้วก็คุยเรื่องอะไรสักอย่างจนเกือบเช้าทุกที…


         ส่วนตู้คอลเล็กชั่นสะสมแผ่นซีดีเก่าใต้ทีวีที่แทบหาไม่ได้นั่น เขาจำได้ว่ามันเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของศานนท์ ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยนั่งฟังมันด้วยกัน…


         ตุลย์ลุกขึ้นจากโซฟาทรุดเข่าหน้าตู้ใต้ชั้นวางโทรทัศน์ ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือเลื่อนบานกระจกตู้ให้เปิดออก เศษฝุ่นบางๆ เกาะปลายนิ้วเขา คงเพราะไม่มีคนแตะต้องมันมาเป็นเวลานานแล้ว เขาเอี้ยวหยิบซีดีแผ่นหนึ่งซึ่งจำหน้าปกได้ เนื่องจากมันคือแผ่นเดียวกับที่ศานนท์ซื้อจากตลาดค้าของเก่าตอนที่หนีบเขาไปเที่ยวด้วย


         จะว่าไป เรื่องตอนนั้นมันนานมากแล้วนะ…


         ความทรงจำที่ยังเด่นชัดในหัวกระตุ้นให้ตุลย์หยิบเครื่องเล่นซีดีรุ่นเก่าที่เก็บอยู่ชั้นล่างขึ้นมาวางบนหัวตู้ ก่อนจะต่อสายอย่างงูๆ ปลาๆ เท่าที่นึกออก เมื่อแผ่นดันป้อนเข้าไปในเครื่องเล่น เสียงใสของโน้ตเปียโนกับน้ำเสียงขับร้องบางๆ คลอก็ดังก้องทั่วห้องนั่งเล่นชวนให้รู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในห้วงบรรยากาศของอดีต


         เขายังจำท่วงทำนองดนตรีและเนื้อเพลงได้แม่นไม่ต่างจากตอนที่ทำงานในคลับ แต่พอได้ย้อนมาฟังซ้ำกลับยิ่งรู้สึกว่ามันช่างไพเราะและชวนให้คิดถึงเวลาที่เคยใช้ร่วมตอนนั้นเสียเหลือเกิน


         ตุลย์หลับตาซึมซับบรรยากาศและท่วงทำนองอันคุ้นเคย มันเป็นความอบอุ่นในหัวใจที่เกือบทำให้ยิ้มได้ แต่รอยยิ้มนั้นก็จางลงเสี้ยวนาทีถัดมาเมื่อนึกถึงคำพูดของซินดี้


         “แล้วเธอทำจริงๆ หรือเปล่า คบซ้อนน่ะห๊ะ?”


         ...หากศานนท์เข้าใจว่าเขาคบซ้อนกับกาย ก็ไม่น่าแปลกใจที่อยู่ๆ จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถึงขนาดตัดสัมพันธ์กับเขาในเวลาแค่ข้ามคืน


         ตุลย์รู้อยู่ตลอดว่า ความรู้สึกดีๆ ที่ศานนท์คอยมอบให้นั้นเป็นของจริง... นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงถนอมความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอมาตั้งแต่ตอนที่ถูกสารภาพรักในคืนนั้น


         คลิปนั่นคงทำให้ศานนท์รู้สึกเหมือนถูกเขาทรยศ


         แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้คือแม้เขาจะไม่เคยพูดว่า ‘รัก’ แต่ก็ไม่เคยคิดทรยศต่อความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้สักครั้งเดียว…

 
       แต่จะทำยังไงเล่าให้อีกฝ่ายเชื่อว่าสัมพันธ์ทางกายระหว่างเขากับกายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนยังอยู่ที่ไนต์คลับ ไม่ใช่หลังจากที่ศานนท์มอบชีวิตใหม่ให้? ในเมื่อฝ่ายนั้นปักใจเชื่ออยู่เต็มอกว่าเขาเป็นชู้กับมัน

   
     ไม่ว่าจะอธิบายอะไรไป มันคงเป็นได้แค่การราดน้ำมันรดใส่กองไฟเท่านั้น...


         ตุลย์นิ่วหน้า เมื่อบาดแผลเก่าที่เขาพยายามข่มซ่อนเอาไว้ในจิตใจเริ่มสร้างความเจ็บปวดให้ราวกับถูกกรีดซ้ำ


         ในชีวิตของเขามีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาและผ่านไปอยู่เสมอๆ

 
       หลายครั้งมันทำให้เขาเจ็บปวด แต่ขณะเดียวกันก็สอนให้เข้าใจและยอมรับความจริงที่ว่า ‘โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ’


         ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านตามกาลเวลา และการลาจากก็เป็นหนึ่งในนั้น


         ...แต่ถึงอย่างนั้น ในห้วงลึกสุดของจิตใจ ศานนท์กลับเป็นคนเดียวที่เขาภาวนาขอให้อย่าหันหลังเดินจากไป


         สำหรับเขา... ศานนท์เปรียบเสมือนบ้านที่ทำให้รู้สึกสงบ อบอุ่นและปลอดภัย และไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างนอกนั่น ในตอนสุดท้ายของวันอีกฝ่ายจะยังคงเป็นที่เขากลับบ้านมาพบหน้าเสมอ


         เขาก็แค่หวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนี้ต่อไปเรื่อยๆ


         ตราบนานเท่าที่เป็นไปได้...


         และไม่ว่าในฐานะอะไร...


         ตุลย์ลืมตา ค่อยๆ ระบายลมหายใจพร้อมกับความรู้สึกร้อยพันที่อัดอยู่ด้านในอก


         เขาไม่รู้เลยว่ามันเรียกว่าความรักหรือเปล่า…


         แต่สิ่งที่เขารู้คือคลิปนั่นทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศานนท์ และกำลังลามมาถึงเรื่องงานของเขา หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างหรือปล่อยให้มันหลุดออกไป สุดท้ายตัวเองเขาอาจไม่เหลืออะไรเลย…


         มันถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง…


         เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ตุลย์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบหยุดเครื่องเล่นซีดี เขาสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่งจนแน่ใจว่าอารมณ์นิ่งพอถึงกดรับสาย


         “นอนรึยัง” นั่นเป็นคำแรกที่เต้พูดกับเขา


         “ยัง...”


         “มีเรื่องจะคุยหน่อย เรื่องกาย”


         “อื้ม กูฟังอยู่” ตุลย์ตอบ ทิ้งจังหวะให้อีกฝ่ายได้เล่าโดยที่เขาตั้งใจฟัง


         “คือเรื่องที่มึงให้สืบมันไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ กายเคยโดนโจมตีว่าซื้อและเล่นยา แต่เป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานหรือภาพจากกล้องวงจรปิดอะไร จริงหรือไม่จริง ส.ส. ไชยวัฒน์ก็คงเก็บกวาดเรื่องจนเกลี้ยง”


         เสียงถอนหายใจของเต้ดังลอดเข้าโทรศัพท์


         “...กูให้เขาสืบลึกกว่านี้ได้ถ้ามึงจ่ายเพิ่ม รับไม่ประกันไม่ได้หรอกว่าจะสืบเจออะไรที่ใช้ได้มั้ย แต่ขอเตือนว่าต่อให้สืบเจอตอเข้า มึงก็อาจทำอะไรไม่ได้มากถ้าไม่มีแบ็กจากเสี่ย เพราะไอ้นั่นมันเป็นลูกชายสส. จะไปเหยียบเท้าผู้มีอิธิพลสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาด”


         “มึงรู้แล้วใช่มั้ยว่าคุณศานนท์เพิ่งตัดหางกูปล่อยวัด” ตุลย์ถามหลังจากเงียบไปอึดใจใหญ่ๆ


         “ใช่ กูได้ข่าวจากคุณอัฐเมื่อกลางวัน”


         คำตอบนั้นทำให้ตุลย์กลืนน้ำลาย “แล้วมึงยังจะช่วยกูอยู่มั้ย...”


         “เออดิ กูสัญญาว่าจะช่วยก็จะช่วย มันไม่ได้เกี่ยวกับคำสั่งของเสี่ย อย่าลืมว่าครอบครัวกูกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว”


         อีกครั้งที่ตุลย์เงียบ ใช้สติตริตรองเรื่องทั้งหมดในความคิดซ้ำก่อนจะพูดออกไป


         “ถ้างั้นมึงมาหาที่คอนโดคุณศานนท์หน่อยได้มั้ย”


         “ตอนนี้? มึงอยู่ที่คอนโดเขา?” ปลายสายตวัดถามเสียงคล้ายไม่อยากเชื่อ


         “ใช่... คีย์การ์ดใบนึงของเขาอยู่กับกู” ตุลย์ตอบ ก่อนลอบถอนหายใจเบาๆ


         ถ้าให้พูดตามตรง เขาไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่หากจะให้เต้เห็นคลิปนั่น

 
       เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าเต้จะมองเขาเปลี่ยนไปหรือไม่ เท่ากับที่แคร์ว่าศานนท์จะรู้สึกยังไงหลังเห็นเขาในสภาพน่าละอายแบบนั้น...


         “...งั้นอีกครึ่งชั่วโมงมาหากูได้มั้ย? กูมีอะไรอยากจะให้ดู”


         “หมายถึงอะไร?” เต้ถาม


         “หมายถึงกูจะเล่าทุกอย่างให้มึงฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น...”


--------------------------
ตอนนี้เผาเล็กน้อยค่ะ แอแงงง
สารภาพอย่างแรกคือ เขียนไปน้ำตาเลอะไป แล้วก็มองจอไม่เห็นหลายรอบมาก 555555
เหมือนเด็กโดนบังคับอ่านหนังสือเลยยย ไม่รู้นักอ่านอินมั้ยแต่เมลล่าอินอยู่ค่ะ ถถถถถถถถ
ขณะนี้ที่เขียนทอล์คเป็นเวลาประมาณตี 5 ครึ่ง ส่วนเมลล่ากำลังกินกะเพาะปลามื้อดึก ถถถ
Happy Valentines นะคะทุกคนนน
ขอให้มีดวงมีโชคเรื่องความรักกันถ้วยหน้าค่ะ

ส่วนตอนหน้าพบกับบทสรุปใหญ่ของเรื่อง จะดราม่าไม่ดราม่าขนาดไหน รอติดตามกันนะคะ
ทิ้งฟีตแบคไว้ได้เช่นเดิมค่ะ เมลล่ารักนักอ่านทุกคนมากๆๆๆๆๆ
ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาเสมอค่ะ ^-^
P.S. เล้าเป็ดยังเป็นอภิสิทธิ์ชนเช่นเดิมค่ะ เมลล่าว้าปไปนอนก่อนน้าาา
   

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
บวกเป็ด + เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ kimkidoy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ยุ่งเหยิงมากตุลย์เอ้ยยย เอาใจช่วยนะ
ส่วนคุณศานนท์ก็รักมากอ่ะเนาะ เลยเสียใจมากกกกกกก แต่ตัดเร็วมากพ่อ
แอบคิดถึงใช่ไหมมมมเลยกลับมาคอนโดเนี่ยยยยย
เต้คือจะช่วยตุลย์จริงๆใช่ไหมหวังว่ารู้ความจริงแล้วอย่าทำอะไรไม่ดีเลยนะ
จะจบแล้ววววว ใจหายเลยยยตามมานานมากๆๆๆ55555
ให้กำลังใจคุณนักเขียนน้าาาาาา :mew1:

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
31st Night: แผนเอาคืน


สามสิบนาทีให้หลังเต้ก็ขับบิ๊กไบก์มาถึงคอนโดตามนัดก่อนที่ตุลย์ลงมารับเขาขึ้นไปที่ห้องพร้อมกัน ทว่าเมื่อสแกนคีย์การ์ดเข้ามาข้างใน ชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วกับเสียงเจื้อยแจ้วของสาวๆ ที่ดังมาจากห้องนอนใหญ่ติดกับห้องนั่งเล่น


สีหน้าเหมือนจะพูดว่า ‘อะไรวะ’ ทำให้ตุลย์ต้องไขข้อสงสัย


“คืนนี้เพื่อนผู้หญิงมาค้างทำโปรเจกต์กัน”


“โปรเจกต์ท์คณะมึงเหรอ”


“ไม่ใช่ โปรเจกต์ทำโมเดล...”


เต้ฟังแล้วก็ร้อง ‘อ๋อ’ เบาๆ เพราะมันคือโปรเจกท์วิบากกรรมที่ปีหนึ่งอย่างพวกเขาต่างหนีไม่พ้น


ตุลย์นำผู้มาเยือนผ่านโถงทางเข้ามายังห้องนั่งเล่น ก่อนจะแวะหยิบโน้ตบุ๊กสีเงินบนเค้าท์เตอร์ครัวที่เสียบทั้งแฟลชไดรฟ์และหูฟังคาไว้ส่งให้ เต้รับโน้ตบุ๊กจากมืออีกฝ่ายก็พบว่าหน้าจอเปิดค้างไว้ที่โฟลเดอร์ซึ่งมีคลิปวิดีโอคลิปหนึ่ง แต่ยังไม่ทันถามอะไร เจ้าของโน้ตบุ๊กก็รีบตัดบทเสียก่อน


“กูจะลงไปซื้อของข้างล่างสักพักหน่อย”


ชายหนุ่มย่นคิ้วเล็กน้อย


เมื่อห้านาทีที่แล้วพวกเขาก็อยู่ข้างล่าง หากตุลย์จะซื้อของจริงอีกฝ่ายคงซื้อตั้งแต่ที่ลงไปรับเขาแล้ว


ถึงอย่างนั้นก็หาได้ถามอะไร นอกจากเหลือบมองร่างที่หันหลังเดินลับสายตาไปแล้วเบนความสนใจมาที่คลิปบนหน้าจออีกครั้ง เต้ใส่หูฟัง ทันทีที่เขาคลิกเปิดไฟล์หน้าต่างวิดีโอคลิปเด้งขึ้นกลางจอ...



หลังลงลิฟต์มาชั้นล่างไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ของวัน ตุลย์ก็เดินเตะฝุ่นวนไปเวียนมาอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อพักใหญ่ จากนั้นจึงทิ้งตัวลงที่ม้านั่งไม้ใกล้กับประตูเลื่อนอัตโนมัติซึ่งเป็นทางเข้าออกของร้านอย่างเหนื่อยอ่อน


ทีแรกเขาไม่สนว่าจะถูกเต้มองด้วยสายตาอย่างไร แต่พอเอาเข้าจริงการต้องยอมให้คนอื่นมาเห็นตัวเองในสภาพอ่อนแอน่าสมเพชก็ยังทำให้รู้สึกแย่อยู่ดี…


ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาปล่อยให้ปัญหาเรื่องกายคาราคาซังจนกลายเป็นปมใหญ่เบ่อเริ่ม จนต่อให้อยากถอยตอนนี้ก็ทำไม่ได้แล้ว…



ตุลย์นั่งจมจ่ออยู่กับห้วงความคิด จนกระทั่งเวลาผ่านมาสักพัก เขาถึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเพื่อหยิบน้ำอัดลมและน้ำผลไม้จำนวนหนึ่งไปจ่ายเงิน เพราะตั้งใจซื้อไปฝากเพื่อนๆ ข้างบนจึงไม่ได้หยิบส่วนของตัวเองด้วย


ครั้นพอกลับขึ้นมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้งก็พบว่าคอมพิวเตอร์ถูกพับปิดวางไว้บนโต๊ะแก้วตัวเตี้ยๆ หน้าโซฟาโดยที่เต้นั่งขมวดคิ้วเป็นปมอยู่ไม่ห่างกัน


“มึงเป็นชู้กับกายเหรอวะ?”


นั่นเป็นคำถามที่คาดไว้แล้ว…


ผู้ถูกถามส่ายหน้า เดินเลี่ยงไปตรงตู้เย็นเพื่อแช่เครื่องดื่มที่เพิ่งซื้อมาขณะอธิบายโดยซ่อนอารมณ์ไว้ใต้น้ำเสียงราบเรียบปกติ


“คลิปนั่นถ่ายตอนกูยังอยู่ที่ไนต์คลับ ...เผื่อมึงยังไม่รู้ ก่อนเจอกับคุณศานนท์ กูเป็นเด็กในสังกัดของคลับ M ส่วนกายเป็นลูกค้าวีไอพี เคยมาเรียกหากูอยู่ครั้งสองครั้ง กูไม่เคยรู้ว่าโดนแอบถ่ายคลิปจนกระทั่งมันส่งแฟลชไดรฟ์มาแบล็กเมลกูเมื่อต้นเดือน มันอยากให้กูทำทุกอย่างตามที่สั่ง ไม่งั้นมันปล่อยคลิปลงเพจดังๆ ...นั่นล่ะ สาเหตุที่พักหลังนี้กูกลายเป็นเบ๊รองมือรองตีนมัน ส่วนคุณศานนท์ เขาน่าจะให้คนตามสืบเรื่องกูเพราะพักหลังกูหายไปบ่อย แล้วคงไปเจอคลิปนี่เข้า...”


จัดเครื่องดื่มเรียงใส่ตู้เสร็จเรียบร้อย ตุลย์ก็เดินกลับมาที่โซฟา


“ถ้ามึงเข้าใจว่ากูคบซ้อน คุณศานนท์ก็คงเข้าใจแบบนั้นตอนที่เห็นคลิป...”


“แล้วสรุปมันเป็นอะไรกับมึง”


“ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แค่ลูกค้าสมัยที่กูทำงานที่โน่น หลังออกมาจากคลับกูก็ไม่ได้ยุ่งกับมันอีก”


เต้ขมวดคิ้วเมื่อคำอธิบายของตุลย์ฟังดูไม่เป็นเหตุเป็นผล


“ถ้างั้นทำไมมันถึงคอยตามจะหาเรื่องมึงตลอด?”


“กูจะไปรู้ได้ยังไง คงเพราะมันทำได้มั้ง หรือไม่ก็โกรธที่กดหัวบังคับให้กูทำโน่นทำนี่ไม่ได้แล้ว เพราะเมื่อก่อนแค่มีเงินมันก็ซื้อกูได้ตามใจ”


ถูกรีดถามซอกแซกราวกับสงสัยว่าเขากำลังโกหก ตุลย์ก็เผลอเสียงแข็งใส่ ก่อนจะพยายามคุมอารมณ์ไม่ให้แสดงท่าทีออกไปเกินจำเป็นอีก


แต่ก็ไม่แปลกที่เต้จะสงสัย…


เพราะจนบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่ากายต้องการอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจตลอดเวลาที่พัวพันกับอีกฝ่ายคือ กายใช้ ‘อารมณ์’ ในการตัดสินใจ การทำความเข้าใจหมอนั่นด้วยตรรกะนั้นมันรั้งแต่จะเสียเวลาเปล่า


“กูรู้ว่ามันไม่เมกเซ็นส์ที่กายจะตามรังควานกูเป็นวรรคเป็นเวรแค่เพราะเคยมีอะไรกันสองครั้ง แต่ระหว่างกูกับกาย มันไม่มีอารมณ์พิศสวาทอะไรเลย มึงจะไม่เชื่อก็ได้มันเป็นสิทธิของมึง แต่กูยืนยันว่าทั้งหมดที่เล่าคือความจริง...”


ใบหน้าเคร่งเครียดจริงจังของผู้พูดทำให้เต้ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง เขาเท้าคางนั่งนิ่งคล้ายกำลังครุ่นคิดประมวลผลเรื่องทั้งหมดเงียบๆ ในหัว


“แล้วตอนนี้คลิปนั่นก็อยู่กับกาย?”


“ใช่ ต้นคลิปอยู่กับมัน อนาคตในวงการของกูก็แขวนไว้กับคลิปนั่นเหมือนกัน...” พูดมาถึงตรงนี้ตุลย์ก็เม้มปาก “แต่ถ้ากูแบล็กเมลมันกลับได้ อย่างน้อยกูก็พอมีข้อต่อรองให้มันลังเลบ้างเวลาที่ปล่อยคลิป”


ทว่าเต้กลับโคลงหัวคล้ายจะบอกว่าเขาคิดตื้นเกินไป “แบล็กเมลไปก็เสียเวลา เดี๋ยวพ่อมันก็จัดการเรื่องให้”


“แต่คลิปหลุดออกไปแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางลบทัน”


เขาจำได้แม่นเพราะนั่นเป็นคำพูดที่กายใช้ขู่เขาเอง


“ก็ใช่... แต่อย่าลืมว่ามันไม่ได้อยู่ใต้สปอตไลท์แบบมึง อย่างมากมันก็แค่เป็นข่าวสักพักแล้วเงียบไป ดีไม่ดีพ่อมันคงจัดการข่าวให้ แค่สองสามวันพอเรื่องเงียบเดี๋ยวคนก็ลืม”


ตุลย์ฟังแล้วก็ปฏิเสธไม่ออก


เต้พูดถูก…


เดิมพันของกายไม่สูงเท่าเขา ต่อให้แบล็กเมลไปก็ไม่มีอะไรรับประกันว่ากายจะหยุดในเมื่อคลิปต้นฉบับยังอยู่กับมัน ดีไม่ดีทำแบบนั้นอาจไปกระตุ้นให้อีกฝ่ายโมโหอีกด้วย



ทางออกที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ บีบให้ตุลย์เริ่มเครียดกังวลจนซ่อนสีหน้าไม่มิด เขาเดินวนไปเวียนมาในห้องอย่างคิดไม่ตก


“...กูต้องทำอะไรสักอย่าง คลิปนั่นมันก็ระเบิดเวลาดีๆ นี่แหละ ถ้ามันรู้ว่ากูไม่มีแบ็กเมื่อไหร่ มันเล่นกูหนักกว่านี้แน่ ทั้งงานทั้งชีวิตส่วนตัวกูคงไม่เหลือ”


กายถือไพ่แต้มใหญ่ที่สามารถขีดเส้นอนาคตของเขาได้ ขนาดตอนที่มีศานนท์ช่วยเหลือ มันยังกล้าเล่นงานเขาด้วยการแบล็กเมล ถ้าเรื่องถึงหูมันว่าเขาเพิ่งถูกตัดหางปล่อยวัด ก็ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ตัวเองจะอยู่ในสถานะตกต่ำย่ำแย่ขนาดไหน...


“แล้วกายจะกลับมาเมื่อไหร่”


“อีกประมาณสองสามวัน”


“ที่จริงกูคิดออกอย่างนึง...” หลังจากเงียบไปอึดใจเต้ก็เอ่ยขึ้นลอยๆ ประโยคนั้นเรียกให้ตุลย์หยุดฝีเท้าลง เดินวกกลับมาหยุดที่ด้านหลังอีกฝ่ายและฟังอย่างตั้งใจ “แผนนี้เสี่ยง แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่ามึงจะไม่โดนมันเล่นงานด้วยคลิปอีก”


“ยังไง...”


“ถ้าสืบแล้วไม่ได้อะไรก็ลองจับเสือมือเปล่าดู...”


ชายหนุ่มเว้นจังหวะคล้ายกำลังต่อจิ๊กซอร์ความคิดชิ้นต่างๆ เข้าด้วยกัน


“...กูพอมีคนรู้จักที่พอช่วยเหลือได้ แต่มึงแน่ใจมั้ยว่าเรียกมันให้ออกมาหาได้ตามเวลาและสถานที่นัดที่กูเลือก?”


จากที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องของกายมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตุลย์ค่อนข้างมั่นใจว่าเขารู้จักอีกฝ่ายดีประมาณหนึ่ง


...ดีพอจะรู้ว่ากายโปรดปรานอะไรที่สุด


ครุ่นคิดอยู่สักครู่ ผู้ฟังก็พยักหน้า


“ได้ ไหนมึงลองว่ามา...”


คืนนั้นทั้งคู่จึงวางแผนต่อจนถึงตีสามก่อนจะแยกย้ายกันกลับไป


ตุลย์ถูกปลุกให้ตื่นตอนเช้าอีกวันด้วยเสียงนาฬิกาปลุกหลังจากนอนหลับไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาจำใจลุกจากเตียง เดินออกมาจากห้องนอนในสภาพหัวยุ่งสะลึมสะลือ ขณะที่ผู้อาศัยคนอื่นๆ คุยกันเจื้อยแจ้วอยู่ในห้องนั่งเล่น หากไม่ติดว่าต้องช่วยสามสาวทำโปรเจกต์ต่อจากเมื่อคืน เขาคงนอนต่อจนถึงสายๆ


สำหรับแผนที่ตกลงกันไว้เมื่อคืน เต้ต้องการเวลาราวสองสามวันเพื่อเตรียมการ ซึ่งจะตรงกับวันที่กายบินกลับมาไทยพอดี ระหว่างนี้พวกเขาต้องทำให้แน่ใจว่าแผนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น และภาวนาให้มันสำเร็จลุล่วงตามที่หวัง...


-----------------------------------


คืนนี้ชายหนุ่มตั้งใจออกมาดื่มกลางดึกกับกลุ่มเพื่อนที่บาร์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ติดถนนสายหลักหลังจากขับรถตระเวนท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ กันมาทั้งวัน จังหวะที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปด้านในร้านซึ่งเต็มไปด้วยนักดื่มและนักท่องราตรีแน่นขนัด โทรศัพท์ของเขาก็แผดเรียกเข้า


กายหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงยีนตัวโปรด ก่อนแปลกใจจนต้องเลิกคิ้วเมื่อเห็นเบอร์ปลายสาย


“พวกมึงเข้าไปก่อน กูคุยโทรศัพท์แป๊บเดียวตามไป”


กายบอกเพื่อนแล้วผลักหลังพวกมันหยอกๆ ทีหนึ่ง ลับหลังเมื่อพวกนั้นหายเข้าไปในร้าน เขาถึงกดรับ


“กูอยากต่อรองเรื่องคลิป... วันที่มึงกลับ มาเจอที่คลับ D ได้มั้ย?” น้ำเสียงปลายสายที่เอ่ยถามฟังดูอ่อนล้าไม่สู้ดีนัก เรียกรอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปากของเขาอัตโนมัติ


“ถ้ากูบอกว่าไม่มีอะไรจะต่อรองล่ะ?” พอถามกลับคล้ายเย้าแหย่ เสียงปลายสายก็ฟังดูเป็นกังวัลขึ้นถนัด


“มึงจะให้กูทำอะไรก็ได้ แต่ลบคลิปเถอะ ขอร้อง... กูยังอยากมีอนาคตในวงการ มึงก็รู้ว่าวงการบันเทิงเป็นความฝันของกู...”


“ใช่กูรู้”


...ก็เพราะรู้ มันจึงเป็นเครื่องมือต่อรองชั้นดีไง


เจ้าของคนใหม่ของตุลย์เป็นถึงนายทุนของพ่อ ถ้าวันหนึ่งเรื่องเกิดแดงขึ้นมาว่าเขาไปยุ่งกับคนของอีกฝ่าย ต่อให้มีอิทธิพลของพ่อหนุนหลังก็ยังการันตีไม่ได้ว่าลูกชายอย่างเขาจะอยู่รอดปลอดภัยโดยไม่ได้รับผลใดๆ ของการกระทำ


เขารู้ตัวว่ากำลังเล่นอยู่กับไฟ


...แต่บางครั้งเปลวไฟก็น่าหลงใหลจนทำให้ลืมคิดไปว่าสักวันอาจจะถูกมันเผาไหม้เข้า



เขาจึงต้องทำให้แน่ใจว่าตุลย์จะไม่เอาเรื่องคลิปไปแปะโป้งบอกใครเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าของใหม่ เพราะตุลย์ให้ความสำคัญกับชีวิตในจอเงินมากถึงขนาดที่ยอมขายร่างกายและศักดิ์ศรีได้ จุดอ่อนนี้จึงเป็นเดิมพันสำคัญของเขา ซึ่งก็นับว่าเขาตัดสินใจถูกที่เดินหมากเช่นนั้น


อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าไพ่ในมือเขานั้นไร้ช่องโหว่ การแบล็กเมล์มีข้อจำกัด จะได้ผลก็ต่อเมื่อคลิปยังคงความลับระหว่างเขาและตุลย์ หากว่าสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องปล่อยคลิปออกไปจริงๆ มันก็มีโอกาสสูงที่เขาจะสูญเสียอำนาจในการกุมบังเหียนชีวิตอีกฝ่ายหลังจากนั้นไปอย่างถาวร


...เขาเล่นเกมนี้บนเดิมพันที่สูงไม่แพ้ตุลย์


จู่ๆ ได้โอกาสเพิ่มแต้มไพ่ในมือมีหรือจะไม่คว้า?



“...ถ้ากูบอกว่าอยากได้มึงมาเป็นของกูอย่างเมื่อตอนอยู่ที่คลับล่ะ?” โยนหินถามทาง น้ำเสียงที่ย้อนถามก็พลันเคร่งเครียดขึ้น


“หมายความว่ายังไง...”


“เลิกยุ่งกับผู้ชายคนนั้นแล้วมาอยู่กับกูแทน ถ้ามึงออกมาเองก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่จริงมั้ย?”


“...แล้วเรื่องงานกูล่ะ ที่กูเข้าวงการได้ทุกวันนี้ก็เพราะเขา”


“หึ พ่อกูเป็นถึง ส.ส. คิดว่าเส้นสายในวงการบันเทิงแค่นี้กูจะหาให้มึงไม่ได้เหรอ? ว่าไง ข้อเสนอของกูน่าสนใจมั้ย? รายละเอียดค่อยคุยกันที่โน่น" เว้นจังหวะให้ปลายสายได้ขบคิด


"...เฮ้ย อย่ามัวอึกอัก มึงโทรมาขัดเวลาเที่ยวกู”


“...ก็ได้” เงียบไปหลายอึดใจ สุดท้ายตุลย์ก็ตอบตกลง “งั้นเจอที่คลับ D ตอนสามทุ่ม”


“ทำไมต้องคลับ D?”


“เพราะมันใกล้คอนโดมึงแล้วกูก็เคยไปอยู่ครั้งสองครั้ง ...หรือว่ามึงไม่ชอบ?” กระแสเสียงลังเลท้ายประโยคเรียกรอยยิ้มพอใจให้ปรากฏบนใบหน้ากายอีกครั้ง


ความอ่อนแอที่แสดงออกเพราะหมดหนทางสู้ คือสิ่งที่เขาโปรดปรานในตัวตุลย์ที่สุด…


"ได้ คลับ D สามทุ่ม แล้วคุยกันที่นั่น”


หากว่าเขากล่อมให้ตุลย์ย้ายมาอยู่ใต้อาณัติได้เกมก็จะเปลี่ยน เขาจะกลายเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถให้ 'สิ่งจำเป็น' ได้แก่ตุลย์ได้ และต่อจากนั้นชีวิตของอีกฝ่ายก็ต้องพึ่งพาสิ่งจำเป็นที่เขาให้


ทีนี้ต่อให้ไม่มีคลิปแล้ว ตุลย์ก็ดิ้นหนีจากเขาไม่พ้นอยู่ดี…


------------------------


กายขับรถมาถึงสถานที่นัดหมายเวลาสามทุ่มตรง โต๊ะที่ตุลย์จองไว้เป็นเก้าอี้โซฟาวีไอพีตั้งอยู่ชั้นสองซึ่งเป็นชั้นลอยและไกลจากตำแหน่งเวทีที่สุดเพื่อให้สะดวกต่อการพูดคุย เนื่องด้วยเวลาที่ยังไม่ดึกมากฟลอร์เต้นจึงคนข้างโหรงเหรง ผู้คนเดินสวนไปมาเพื่อจับจองที่นั่งข้างเวทีเป็นส่วนใหญ่ แต่คึกคักที่สุดนั้นเห็นจะไม่พ้นบาร์ที่ตั้งอยู่ติดมุมซ้ายสุดหลังฟลอร์เต้น


ตุลย์นั่งดื่มอยู่ที่โซฟายาว พริบตาที่ร่างสูงโปร่งเห็นมาผู้มาเยือนก็รีบถอนสายตากลับมาที่ของแก้วตัวทันทีราวกับเห็นของแสลงก็ไม่ปาน


“หึ คิดหนักเรื่องกูอยู่หรือไง” กายเค้นเสียงในคอ ทรุดตรงลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามตุลย์


บริกรที่ประจำอยู่ใกล้ๆ รีบเข้ามาเสนอเมนูเครื่องดื่มให้ทันที แต่เขาคร้านจะใส่ใจจึงสั่งแอลกอฮอล์และมิกเซอร์แบบที่มักสั่งเป็นประจำ


คืนนี้มีข้อตกลงที่ ‘น่าสนใจ’ กว่าเครื่องดื่มเยอะ…


หัวคิ้วของตุลย์ขมวดเข้าหากันแน่นทั้งยังเสี่ยงการสบตาโดยตรงกับคู่สนทนา สีหน้าอีกฝ่ายดูเคร่งเครียดไม่หยอกราวกับคนที่คิดวกไปวนมาจนเหน็ดเหนื่อยแต่ยังหาทางออกไม่พบ


แต่ก็สีหน้าแบบนี้ล่ะที่เขาโปรดปรานนัก…


“เงื่อนไขเป็นยังไง...”


สุดท้ายตุลย์ก็ยอมปริปาก


“เขาให้อะไรมึงบ้าง? ให้เท่าไหร่? ลองว่ามาดิ๊ ...เพราะอะไรที่เขาให้ได้กูก็ให้ได้เหมือนกัน” กายกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้เหนือกว่า


ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดตุลย์ก็ยอมสารธยาย ‘ผลประโยชน์’ ในฐานะที่เป็น ‘เด็กเสี่ย’ ของชายคนนั้นให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก


พูดตามตรงแล้วประโยชน์ที่ตุลย์ได้รับอยู่ในตอนนี้นับว่าดีไม่หยอก ทำเอากายเผลอคิดคำนวณถึงความคุ้มได้คุ้มเสียอยู่หลายครั้ง แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ปัญหาของเขา


สิ่งที่ตกลงไปแล้วย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอตราบใดที่เขายังกุมบังเหียนตุลย์อยู่ ดังนั้น ตอนนี้เขาจะยื่นเสนอชวนฝันอะไรแล้วค่อยไปกลับคำเอาทีหลังก็ย่อมได้


“ว่าไง หรืออยากได้ค่าปิ่นโตต่อเดือนเพิ่ม?”


“กูขอคิดดูก่อน…” คำตอบโลเลเริ่มทำให้กายหงุดหงิด


“เฮ้ย ข้อเสนอมันก็ดีกว่าเห็นๆ กูให้ทุกอย่างได้เท่าเขา อนาคตในวงการบันเทิงก็เหมือนกัน คลิปนั่นกูก็ยอมลบให้ ไม่เห็นว่าจะต้องคิดนานตรงไหนนี่หว่า”


ชายหนุ่มหมุนแก้วเหล้าในมือก่อนจะยกขึ้นดื่ม น้ำเสียงจริงจังยิ่งขึ้นในประโยคต่อมา


“กูให้เวลาคิดถึงแค่เที่ยงคืนนี้ กูไม่ได้ใจดีบ่อยๆ ถ้าไม่รับข้อเสนอก็ไปกลับอีหรอบเดิม แล้วมึงก็ไปหาทางจัดการเรื่องคลิปเอา กูมีทางเลือกให้แค่นี้”


ถูกกดดันให้ตัดสินใจในเวลาสั้นๆ ตุลย์ก็เผยสีหน้ากลัดกลุ้มชัดเจน ร่างโปร่งถอนหายใจก่อนจะวางเครื่องดื่มในมือ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้


“กูขอเวลาคิดคนเดียว... เดี๋ยวกูกลับมา”


กายไหวไหล่ไม่ถือสา ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินลงไปชั้นล่าง หายลับไปในตรอกซึ่งเป็นทางเชื่อมกับห้องน้ำโดยที่ตนเองกระหึ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ชายหนุ่มดื่มต่ออีกแก้วเต็มๆ ความตื่นเต้นทำให้เขาเริ่มคิดจินตนาการไปถึงผลลัพธ์ของดีล


ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ถือไพ่แต้มสูงกว่าอย่างเขาย่อมมีแต่ได้กับได้…



ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ทว่ายังไม่ทันได้คิดไกล วินาทีนั้นเขาก็ถูกแขนปริศนาจากด้านหลังล็อกหมับเข้าที่คอ กดร่างติดกับพนักโซฟา


กายเบิกตากว้าง สัญชาตญาณของเขาสั่งดิ้นรนเอาตัวรอดก่อนจะสับสนอย่างมากเมื่อโลกที่มองผ่านดวงตาทั้งสองข้างเริ่มหมุนคว้างเป็นภาพเบลอราวกับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ไปจำนวนมากทั้งที่เพิ่งดื่มไปแค่ราวสามแก้ว


ชายหนุ่มพยายามร้องโวยวายแต่กลับถูกมือของชายฉกรรจ์ปริศนาเอื้อมมาปิดปากแน่น จากนั้นชายอีกคนที่สวมหมวกแก็บใส่ชุดสีทะมึนก็ตรงเข้ามาช่วยหิ้วปลีกร่างของเขาลงบันได หายไปเข้าในตรอกเล็กๆ ซึ่งปราศจากคนพลุกพล่าน รู้ตัวว่ากำลังถูกลากมาทางบันไดหนีไฟตอนที่เห็นสัญลักษณ์สีเขียวรูปคนวิ่งส่องสว่าง


ท่ามกลางแสงสลัวบวกกับสายตาที่พร่าเบลอ กายมองเห็นใบหน้าของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่ประกบอยู่ด้านขวาไม่ชัดนัก คาดว่าอายุเกือบกลางคน ส่วนด้านซ้ายของเขายิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะชายคนนั้นสวมหมวกแก็บปิดใบหน้า


ยื้อยุดกับร่างปริศนาทั้งสองได้พักเดียว แรงที่น้อยกว่าบวกกับสมองที่ตอบสนองช้าทำให้เขาถูกหิ้วปลีกมาที่ลานจอดด้านหลังคลับซึ่งแน่นขนัดไปด้วยยานพาหนะนิ่งสนิท กลับกันบรรยากาศรอบบริเวณที่มืดสลัวเพราะไฟส่องไม่ทั่วถึงทำให้ดูเปลี่ยว


วินาทีนั้นกายก็รู้ทันทีว่าบางอย่าง ‘ผิดปกติ’ กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาในไม่ช้า


“มึงรู้รึเปล่าว่ากูลูกใคร!” เขาแผดเสียงขู่ตอนเมื่อปากเป็นอิสระ


ทว่าคำตอบกลับกระตุ้นให้ยิ่งหวาดระแวง


“รู้สิ ถ้าไม่ใช่ลูกส.ส. ไชยวัฒน์ คงไม่มีเรื่องจะคุย”


ร่างสูงถูกพาไปยังรถซีดานราคาแพงคนหนึ่งซึ่งจอดติดเครื่องอยู่ใกล้กับตึก กระจกสีดำทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นภายใน ก่อนที่ชายปริศนาจะยัดร่างของเขาเข้าไปข้างในรถราวกับตุ๊กตาโดยจับให้นั่งบนเบาะข้างคนขับ และระมัดระวังไม่ให้หัวของโขกกับขอบประตู


จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสองจึงตามขึ้นรถมาโดยที่คนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังของเขา ขณะที่อีกคนซึ่งแก่กว่าประจำตำแหน่งคนขับ เขาเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของบุคคลที่สี่ในเวลาต่อมาจึงพยายามหรี่ตาเหลือบมองกระจกส่องหลัง ทว่าความมืดบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เห็นใบหน้าคนผู้นั้นไม่ชัด จับสังเกตได้เพียงเครื่องแต่งกายรางๆ ที่ดูภูมิฐาน...


“เธอเองเหรอที่มีปัญหากับตุลย์”


น้ำเสียงไม่เดือดร้อนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด กายได้แต่นิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน ณ ตอนนี้ในหัวของเขาคิดอยู่เพียงเรื่องเดียว


เขาสงสัยว่าชายคนนี้คือนายทุนของพ่อ…


“ใจเย็นๆ แค่อยากคุยอะไรด้วยหน่อย...” ฟังคล้ายการปลอบประโลม แต่กระแสเสียงหามีความเป็นมิตรไม่ “จำได้ว่าเคยเตือนไปแล้ว ทำไมถึงยังวุ่นวายกับตุลย์อีก?”


เค้าลางของประโยคนั้นก่อความหวาดกลัวขึ้นในใจของผู้ฟังราวกับจะตอกย้ำว่าสิ่งที่กายคิดเป็นเรื่องจริง ชายหนุ่มอ้าปาก ตั้งใจจะโกหกให้พ้นผิดแต่สมองกลับช้าเกินกว่าจะหาข้ออ้างให้ตนเอง


ยังไม่ทันได้ตอบ นายทุนผู้นั้นก็ยิงคำถามตรงประเด็น


“เอาล่ะ คลิปอยู่ที่ไหน?”


“......” ผู้ถูกถามนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก หลังเย็นเฉียบ จู่ๆ พูดไม่ออกราวกับเสียงของเขาอันธานหายไป


“ฉันจะถามอีกที คลิปอยู่ที่ไหน”


คราวนี้น้ำเสียงนั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ในสถานการณ์ที่ถูกกดดัน กายก็พลั้งปากตอบไปอย่างไม่ทันคิด


“ยะ อยู่ในโทรศัพท์!”


“ลบซะ ตรง-นี้ ตอน-นี้”


ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงตามคำสั่ง ความรีบร้อนทำให้เขาเกือบทำมันลื่นหลุดมือตกลงไปยังที่วางเท้า ก่อนจะพบว่ามือทั้งสองข้างกำลังสั่นอย่างน่ากลัวจนแม้แต่ตัวเองยังไม่อยากเชื่อ นิ้วยาวกดเข้าไปที่คลังภาพก่อนที่สมองจะสั่งให้มือลบคลิปวิดีโอดังกล่าวทิ้งโดยไม่คิดซ้ำสอง


“...ละ ลบแล้ว”


“มีที่ไหนอีก”


“ไม่มีแล้ว”


“พูดความจริงกับฉัน ถามว่ามีที่ไหนอีก”


“ไม่มีแล้วจริงๆ!”


กายยืนยันด้วยความสัตย์จริง โทรศัพท์เป็นที่เดียวที่เขาเก็บคลิปของตุลย์ไว้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเห็นหรือเผลอทำหลุดออกไป


แต่แทนที่จะปล่อยเขาไป มือของชายคนนั้นกลับจะเอื้อมมาตบกายเบาๆ จนเขาสะดุ้งเฮือก


“งั้นออกไปขับรถเล่นกันหน่อยดีมั้ย?”


ชายหนุ่มขนลุกชัน ทั้งมือและแผ่นหลังเย็นชุ่มเหงื่อเย็นเฉียบยามที่ชายฉกรรจ์ในตำแหน่งขับคนขับปลดเบรกมือส่งผลให้รถเคลื่อนตัวจากที่จอดอย่างเชื่องช้า ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากลานจอดรถสู่ความมืดยามราตรีโดยที่มีแค่ไฟหน้าสีเหลืองอร่ามส่องสว่างให้เห็นเส้นทาง จากนั้นซีดานคันหรูก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นหนึ่งด้านหลังคลับซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว ปราศจากผู้คนและเต็มไปด้วยตรอกซอกซอย


“รู้มั้ย กลางคืนตอนดึกๆ แถวนี้น่ะเงียบดี รถน้อย คนก็น้อย”


กายเริ่มกระสับกระส่ายเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่ตรอกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นถนนเลนเดียว พอปราศจากไฟจากโคมทาง เบื้องหน้าเขาก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ต่อมารถก็จอดแอบซ้ายมือซึ่งเป็นลานกว้าง มีพงหญ้าขึ้นรกชัฏ รอบตัวรถมืดมากเสียจนไม่สามารถมองเห็นว่ามีอะไรอยู่เหนือจากแสงสว่างที่ไฟหน้ารถส่องถึงบ้าง


กายรู้ว่าคนพวกนี้ก็ไม่มีทางฆ่าเขาเพราะพ่อของเขาเป็นถึง ส.ส. แต่อีกใจก็หวาดหวั่นไม่ใช่น้อย เพราะชายที่เขาเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้คือนายทุนของพ่อซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะถูกซ้อมสั่งสอนเพราะไปยุ่งกับของรักของคนอื่นหรือเปล่า


แม่งเอ้ย!


ใครมันจะอยากเอาความปลอดภัยของตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องโง่ๆ พันธุ์นี้วะ! ?



“คลิป... มะ มันมีอยู่แค่ในโทรศัพท์”


ล้อยังไม่หยุดหมุนสนิทดี กายก็สารภาพเสียงสั่น


“อย่าโกหก... จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าเก็บคลิปไว้แค่ในโทรศัพท์? คลิปที่เหลืออยู่ที่ไหน?”


ทว่านาทีนั้น จู่ๆ ผู้ถูกถามก็ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคน


กายใช้มือปลดล็อกรถก่อนจะคว้าที่จับประตูหวังเปิดจ้ำอ้าวหลบหนีออกไปด้านนอกโดยไม่สนสี่สนแปด แต่ก่อนจะคว้าโดนที่จับ ชายสวมหมวกแก็บซึ่งนั่งประกบอยู่ด้านหลังก็สอดมือผ่านช่องเบลท์ยึดแขนข้างนั้นไว้อย่างรวดเร็วทันกาลจนเกิดยื้อยุดกัน ก่อนที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ในตำแหน่งคนขับจะรีบใช้ท่อนแขนและน้ำหนักตัวกดไหล่คนที่กำลังดิ้นรนหนีไว้แน่นส่งผลให้ร่างของกายพิงพับติดไปกับเบาะรถยนต์ ขยับเขยื้อนแทบไม่ได้


เมื่อความกลัวถูกกระตุ้นจนถึงขีดจำกัด ชายหนุ่มโวยวายสั่นอย่างคุมสติไม่อยู่


“ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ! กูเก็บไว้แค่ในโทรศัพท์ไม่ได้เก็บไว้ที่อื่น! ถ้าเก็บไว้หลายๆ ที่ เผลอหลุดไปกูจะไม่มีอะไรต่อรองกับมัน กูเก็บไว้แค่ที่เดียวจริงๆ!”


สิ้นเสียงตะโกนรถทั้งคันก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงแค่เสียงหอบหายใจของผู้พูดที่ดังก้องพร้อมกับสมองและโสตประสาทที่อื้ออึง

“จะถือว่าที่พูดเป็นความจริงแล้ว จากนี้อย่ายุ่งกับตุลย์อีกเข้าใจมั้ย?”


กายพยักหน้าตอบหลายครั้งอย่างจำนน เขายอมทุกอย่างขอเพียงแค่หลุดพ้นจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนี้


“กลับไปลาดจอดรถ”


เสียงทรงอำนาจสั่งอีกครั้ง ผู้ขับก็บังคับรถถอยหลังออกมายังถนนใหญ่อย่างไม่รีบร้อน


ซีดานคันหรูใช้เส้นทางเดินย้อนกลับมาที่ลานจอดของคลับ D อีกครั้ง แต่คราวนี้กลับจอดส่งผู้ร่วมทางที่หน้ารถของตัวเองราวกับกำลังเตือนว่าอย่าได้ยื่นจมูกเข้ามาจุ้นจ้านเรื่องของคนอื่นอีก


“โทรศัพท์”


กายรีบยื่นโทรศัพท์ให้ผู้ออกคำสั่งทันที


“รหัสคืออะไร”


“XXXXXX”


สิ้นเสียงบอกเล่า ประตูซีดานยี่ห้อแพงก็ถูกปลดล็อกโดยชายฉกรรจ์ผู้ขับ กายรีบจ้ำอ้าวลงจากรถด้วยขาที่สั่นทันที


“กาย” ชายปริศนาเรียกชื่อไว้ “เก็บเรื่องวันนี้เป็นความลับอย่าให้รั่วไหลเข้าใจมั้ย? เดี๋ยวจะจบกันไม่สวย...”


กายพยักหน้าอีกหลายที


เมื่อแน่ใจว่าผู้ฟังจะรักษาสัญญา ซีดานคันดังกล่าวก็เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถสู่ถนนใหญ่ ทิ้งกายไว้ข้างรถคันโปรดของตนเองในสภาพที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร่างสูงเดินวนไปวนมาอย่างวิตกอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะสอดตัวเข้าไปด้านในรถและขับออกไปในเวลาต่อมา


หลังจากที่รถของกายขับออกไปได้ราวห้านาที ประตูบันไดหนีไฟก็เปิดแง้มออกเผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของตุลย์ นิ้วยาวกดวางสายจากโทรศัพท์ จากนั้นจึงถอดหูฟัง ไม่กี่นาทีให้หลังซีดานหรูคันเดิมก็วกกลับมาจอดเข้าซองข้างๆ ตำแหน่งที่เขายืนอยู่

ตุลย์รีบสาวเท้าตรงไปที่เบาะหลังฝั่งคนขับ กระจกสีดำทึบก็เลื่อนลงเผยให้เห็นชายสวมสูทวัยสามสิบกลางภายใน


“ได้โทรศัพท์มาตามที่ผมขอใช่มั้ยพี่”


“ได้ๆ” ชายใส่สูทยื่นโทรศัพท์ของกายให้ก่อนจะบอกรหัส “ผมลองปลดล็อกดูทีนึงแล้ว”


ตุลย์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ขอบคุณครับ”


เมื่อรถยนต์จอดสนิทเครื่องยนต์ก็ดับลง ชายใส่สูทลงจากรถ ถอดสูทและหูฟังเก็บใส่กระเป๋าของเขาเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตตัวในดูคล้ายพนักงานออฟฟิศธรรมดา ก่อนจะเดินอ้อมมาหาเขาที่ฟุตบาท


“นี่เงินสดตามที่ตกลงกันครับ พี่เช็กก่อนได้เลย” ตุลย์ยื่นซองใส่สีน้ำตาลให้


ฝ่ายที่รับเงินเปิดซองนับดูก็พยักหน้าทีหนึ่ง “เรียบร้อยครับ ยินดีที่ได้ช่วยงาน คราวหลังถ้าอยากให้ผมทำอะไรให้ก็ติดต่อมาได้”


ตุลย์พยักหน้ารับ เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายใส่หมวกแก็บลงจากรถอีกฝั่งหนึ่งพอดี เขาเอ่ยลาสั้นๆ กับอดีตชายสวมสูทที่กำลังเตรียมตัวกลับ ก่อนจะถอดหมวกปาดเหงื่อซึมที่หน้าผากและระบายลมหายใจยาว ใต้หมวกแก็บใบนั้นคือใบหน้าเพื่อนที่ตุลย์คุ้นเคยดี


“เรียบร้อยใช่มั้ย” เต้ถาม


พนันว่าคงกดดันไม่แพ้เขาตอนที่แสดงละครตบตากายในคลับ


“อื้ม เรียบร้อย”


“งั้นเข้าไปเคลียร์กันข้างในก่อน”


ตุลย์พยักหน้าก่อนจะเดินตามร่างสูงกลับเข้าไปในคลับซึ่งบัดนี้พลุกพล่านด้วยนักท่องราตรีจากทั่วเมือง บรรดาแสงสี และดนตรีจังหวะสนุกสนานชวนโยกย้าย


...ทั้งหมดนี่ล้วนแล้วแต่เป็นแผนการที่พวกเขาวางไว้เมื่อสามคืนก่อน




“ไหนมึงลองว่ามา...”


“กูกำลังคิดว่าจะจ้างคนปลอมเป็นผู้มีอิธิพลแบบเสี่ยแล้วสร้างสถานการณ์หน่อย น่าจะกดดันให้มันยอมพูดเรื่องคลิปได้ กายมันต้องรู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสไม่มากก็น้อยที่เสี่ยจะรู้เรื่องมัน รวมถึงคลิป ถ้าใช้ช่องโหว่งนี้...”


“ไม่ได้” ตุลย์ขัดเสียงแข็ง “มึงจะให้กูเอาชื่อคุณศานนท์มาอ้างแล้วให้คนปลอมตัวเป็นเขาไม่ได้ มึงจะบ้าหรือไง!?”


ต่อให้จวนตัวจริง เขาก็ไม่ใช่คนเนรคุณประเภทที่ใช้ชื่อเสียงของผู้มีพระคุณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว!


เต้โคลงศีรษะเบาๆ “กูแค่ยกตัวอย่าง… ไม่ได้ให้ปลอมตัวเป็นเสี่ยจริงๆ เพราะถ้าเกิดมันเคยเจอเสี่ยมาก่อนแผนจะแตกเอา ที่กูหมายถึงคือ ไม่ว่าจะปลอมตัวเป็นใครแต่ถ้าขู่ถามถึงเรื่องคลิป กายมันจะร้อนตัวของมันเองเพราะมันรู้แก่ใจว่าเล่นอยู่กับอะไร”


“ไม่… ไม่ได้ ถ้ากายเอะใจว่าเรื่องทั้งหมดไม่สมเหตุสมผลขึ้นมา มันต้องสาวมาถึงตัวกูแน่...”


“ไม่ใช่มึง กูต่างหาก”


“ห๊ะ?” ตุลย์ย่นคิ้วเป็นปม


“เพราะคนที่กูจะไหว้วานเป็นธุระให้คือคนเก่าคนแก่ของป๊า อย่าลืมว่าป๊ากูเป็นเคยเป็นมือขวาเสี่ย ต่อให้ป๊าไม่ค่อยได้จับงานใต้ดิน แต่เขาก็มีเส้นสาย มีอำนาจพอสมควร ถ้ากายมันนึกอยากเล่นงานกลับ ตระกูลกูรับมือมันได้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่มึงต้องกังวล”


ประโยคนั้นทำให้ตุลย์ต้องรีบเบรกอีกฝ่ายเร็วจี๋ “ไม่ใช่ กูไม่ได้ห่วงตรงนั้น ที่กูห่วงคือมึงกำลังเอาครอบครัวตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องของกู มึงคิดอะไรอยู่เถอะ?”


“เออน่า ป๊ากูจัดการได้อยู่แล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นอย่างมากกูก็แค่โดนลงโทษนิดๆ หน่อยๆ เพราะกูเป็นลูกเขา แต่มึง... ถ้าแผนแตกแล้วมันสาวกลับมาตอนที่มึงไม่มีแบ็ก ผลลัพธ์มันไม่จบแค่นิดๆ หน่อยๆ เหมือนกูแน่”


ตุลย์ยืนนิ่งงัน ถอนหายใจไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขากำลังทำมันเปรียบเหมือนกับการลากใครอีกหลายคนเข้ามาพัวพันในวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันจนสิ้นสุด


“เชื่อเหอะน่า กูจัดการได้” เต้กล่อม จนสุดท้ายคู่สนทนาก็ยอมตกลง


“ก็ได้... แต่ทางที่ดีถ้าเราควรทำทุกอย่างให้สมจริงเพื่อลดความน่าสงสัย จะได้จบเรื่องโดยไม่มีใครต้องเจ็บตัว”


เพราะต้องทำให้มั่นใจว่ากายจะไม่เอาเรื่องที่ถูกข่มขู่ไปบอกผู้เป็นพ่อ พวกเขาจึงระมัดระวังไม่ใช้แผนที่คุกคามความปลอดภัยของอีกฝ่ายจนเกินไป ปรึกษากันอยู่นานสองนานก็คิดแผนการหนึ่งขึ้นได้


โดยที่แผนนี้ตุลย์จะเป็นคนล่อกายออกมายังสถานที่นัดพบ ซึ่งเต้เลือกคลับ D เป็นจุดนัดหมาย เนื่องจากเจ้าของคลับเป็นการ์ดเก่าที่สนิทกับคุณกานต์และเคยฝากให้เลี้ยงดูเต้อยู่บ่อยๆ สมัยที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็ก ซึ่งหลังจากที่ล่อกายออกได้สำเร็จ เต้และการ์ดคนสนิทจะล็อกตัวกายขึ้นรถเช่าที่จอดรออยู่ด้านนอกคลับ โดยให้ชายอีกคนที่เต้จ้างมาจากแหล่งเชื่อถือได้ปลอมตัวและแสดงเป็นผู้มีอิธิพล คอยถามคำถามบีบให้กายพูดเรื่องคลิป


“กูว่ามันน่าสงสัยเกินไป เห็นแบบนั้นแต่กายไม่ใช่คนโง่ ฝั่งเรามีกันสามคน แค่สร้างสถานการณ์ขู่มันกูว่าไม่เนียนพอ กายอาจสงสัยหรือไม่ยอมพูดก็ได้ โอกาสแบบนี้มีแค่ครั้งเดียว กูยอมเสี่ยงไม่ได้”


ตุลย์ค้านหัวชนฝา ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็นึกบางอย่างออก


“...ยกเว้นเราจะมอมยาให้มันเมาก่อนแล้วค่อยรีดถามเรื่องคลิป กายคอแข็งพอๆ กับกู ขืนให้กูกล่อมมันกลัวจะยื้อเวลาได้ไม่นานพอให้เมา วิธีนี้มึงก็จะได้หิ้วมันมาที่ลานจอดรถแบบเงียบๆ ด้วย”


เต้ใช้เวลาคิดตามอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า


“ดี… เรื่องนี้กูคุยกับบาร์เทนเดอร์ที่คลับให้ได้ ส่วนยา… หาไม่ยากอยู่แล้ว”


“อืม แล้วก็…” น้ำเสียงตุลย์อ่อนลง เจือกระแสกึ่งขอร้อง “หลังจากที่มึงพากายขึ้นรถไปแล้ว กูอยากอยู่ที่นั่นด้วย... กูแค่อยากแน่ใจเพราะคนที่รู้เรื่องดีที่สุดคือกู ถ้ามีอะไรนอกเหนือสคลิปท์ขึ้นมากูก็อยากสื่อสารกับคนของมึงได้”


“งั้นกูจะทิ้งโทรศัพท์ไว้ใต้เบาะฝั่งกายแล้วเปิดประชุมสาย มึงจะได้ยินทุกอย่างที่พูดกันในรถแล้วถ้ามีอะไรก็ให้สั่งโดยตรงกับตัวปลอมที่กูจ้างมา กูจะให้เขาใส่หูฟังไร้สายไว้ตลอดงานตกลงมั้ย?”


“อื้ม ได้”


“งั้นส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องค่าจ้างที่มึงต้องจ่าย...”


-------------------------


แผนดำเนินผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ตุลย์ก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟายาวอย่างเหนื่อยล้าพร้อมโทรศัพท์มือถือของกายด้วยความรู้สึกที่เหมือนยกหินแปดในสิบส่วนออกจากอก


ที่จริงดีลใหม่ของกายไม่เหนือความคาดหมายมาก ตุลย์รู้ดีว่าสิ่งที่กายโปรดปรานที่สุดคือการได้เห็นเขาตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชไร้ทางสู้ใต้อาณัติของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เขา ‘แสดงละครตบตา’ ยากขึ้น เพราะต้องสร้างเรื่องรายละเอียดซับซ้อนมาคุยกับอีกฝ่ายจนแน่ใจว่ายาในเครื่องดื่มออกฤทธิ์


ตอนนี้เขาทำได้แค่ภาวนาให้กายปล่อยมือ เพื่อให้เรื่องทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้…


“แต่พูดตามตรง กูไม่แน่ใจเลยว่าเล่นแรงไปหรือเปล่า...” ตุลย์บ่นพึมพำกับเพื่อนก่อนกระดกแก้วซดเหล้า หลังจากทบทวนแผนดูอีกครั้งหนึ่ง


แรกเริ่มทุกอย่างควรจบลงภายในคลับ แต่เพราะมันเป็นคำขอด้นสดของตุลย์เพื่อให้แน่ใจว่ากายไม่ได้โกหกเรื่องที่ซ้อนคลิปจริง ชายสวมสูทตัวปลอมจึงสั่งให้ขับรถออกในตรอกมืดๆ เพื่อเช็กปฏิกิริยาของกายซ้ำ ซึ่งความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นั้นอาจทำให้กายรู้สึกไม่ปลอดภัยเกินไปถึงขนาดที่อีกฝ่ายพยายามจะเปิดประตูวิ่งหนี


“เออน่า ช่างเถอะอย่างน้อยมึงก็แก้ปัญหาเรื่องคลิปไปเปราะนึง ที่เหลือไว้ค่อยคิด”


เต้กล่อม รินเหล้าเติมให้เขาเต็มแก้วเหมือนจะบอกว่า ‘แดกๆ เข้าไปเถอะเดี๋ยวก็ลืมเอง’


ตุลย์ถอนหายใจ พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายฉกรรจ์คนสนิทเดินขึ้นมากวักมือเรียก เต้ถึงได้ลุกขึ้นแยกกับตุลย์ที่โซฟา ก่อนเดินตามชายร่างใหญ่เข้าไปในเขตพื้นที่สำหรับพนักงานซึ่งเปิดไฟสว่าง ชายฉกรรจ์เดินนำเขามาที่ห้องเก็บของหลังร้านปราศจากคน ก่อนจะปิดประตูใส่กลอนขังพวกเขาทั้งคู่ไว้ด้านในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยข้าวของและลังกระดาษ


“ในฐานะที่เคยเลี้ยงเอ็งมาตอนเด็กๆ รู้ใช่มั้ยว่าที่ทำอยู่มันเสี่ยง? เสี่ยงที่อ้างอิธิพลของเสี่ย แล้วก็เสี่ยงที่ไปยุ่งกับส.ส.ไชยวัฒน์ คนมือสกปรกแบบนั้นลำพังคุณกานต์ตัวคนเดียวจะแย่เอา”


ถูกตักเตือน เต้ก็พยักหน้า “อื้ม รู้”


ถึงแม้จะไม่อ้างชื่อตรงๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาตั้งใจทำให้กายเข้าใจว่าฝีมือศานนท์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและลดความเสี่ยงต่อเขาและตุลย์ ในกรณีที่แผนเกิดผิดพลาด


ถ้าเขาเป็นคนอ้าง... ศานนท์จะไม่ลงมือหนักเท่ากับหากตุลย์เป็นคนทำ เพราะทั้งสองครอบครัวต่างก็มีบุญคุณค้ำคอกันอยู่



ชายวัยใกล้กลางคนเท้าสะเอว ส่ายหน้าเบาๆ คล้ายเอือมระอานัก


“เอ็งได้ทำคุณกานต์หัวหมุนแน่... คิดอะไรของเอ็งอยู่วะ? บอกไว้ก่อนว่าถ้าส.ส.ไชยวัฒน์ตามสืบกลับมาข้าจะต้องบอกว่าเอ็งเป็นต้นเรื่อง เส้นสายข้าน่ะพอเอาตัวรอดได้แต่จะให้แบกเอ็งไปด้วยคงไม่ไหว ข้ามีลูกมีเมียแล้วจะให้มาทำอะไรเสี่ยงๆ แบบเมื่อก่อนมันไม่ได้”


“ผมรู้...” เต้ระบายลมหายใจเบาๆ ใช่ว่าเขาไม่อึดอัด


ถึงแม้จะกรอกหูตุลย์ว่าไม่ให้เป็นกังวล แต่ถ้าพูดตามตรงเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเส้นสายของพ่อจะปกป้องตุลย์ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าต้องมาเจอกับผู้มีอิทธิพลอย่างส.ส. ไชยวัฒน์


แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงดู…


“เด็กที่ชื่อตุลย์นั่นสำคัญกับเอ็งมากเหรอ”


“ก็ไม่หรอก…” เต้หยุดคิดตาม “แต่มันก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ”


ชะตาชีวิตของตุลย์เหมือนนกในกำมือคนอื่น หากได้เจ้าของที่ดูแลดีก็เป็นนกที่สวยงามต้องตามากตัวหนึ่ง แต่ถ้าตกอยู่กับคนที่เลวร้าย มันคงโดนบีบจนตายเข้าสักวัน


ในฐานะของคนที่เฝ้ามองนกตัวนี้เรื่อยมา เขาไม่สามารถทนเห็นจุดจบที่เลวร้ายของตุลย์ได้โดยไม่ลงมือทำอะไร…




---------------
ขอเสียงปรบมือให้ keyman คนแรกของเราค่ะ *เย้*
พี่เต้ได้ทำหน้าที่ดีที่สุดของเขาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแก้ปัญหาหรือสร้างปัญหาเพิ่มกันแน่ ถถถถถ
สำหรับตอนที่ 31 เป็นตอนแห่งการผลัดการแกงค่ะ ถถถถถถ
ออกจากยาวไปหน่อย (ตั้ง 14 หน้า) แถมยังมีแต่เรื่องแกงๆ ต้มๆ
แต่เป็นตอนที่คิดยากมากเพราะเมลล่ามีเวลาจำกัด แถมต้องเอาความตั้งใจของตัวละครสามสี่ตัวมาผูกไว้ในตอนเดียวเพื่อไขปม (ที่ไม่รู้จะไขไปทำไมเพราะเดี๋ยวก็ส่งไม้ต่ออยู่ดี ถถถถ)


เอาเป็นว่าเพื่อความสบายใจของหนูตุลย์แล้วกันค่ะ น้องแค่อยากทำอะไรงุ้งงิ้งของตัวเอง ถถถถ
สำหรับตอนหน้าพบว่าบทสรุปจริงๆ ของเรื่องแล้วค่ะ เป็นตอนเต็มตอนสุดท้ายก่อนบทส่งท้าย
รออ่านไปพร้อมกันนะคะ <3
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาเสมอๆ ค่า

ปล. เมลล่าขอโทษที่อัพช้าเจ้าค่ะ เมาแว่นจนอ้วกไปวันนึง ตอนนี้ตัดแว่นใหม่แล้ว สบายตา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด