อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ
บทที่ 8
“หมั่นไส้ว่ะ ทำเป็นอยู่ใกล้พี่วินนี่ไม่ยอมห่าง โธ่ไอ้ผู้กองหน้าปลวก”
“ปลวกตรงไหนวะ กูเห็นเขาก็ออกจะหน้าตาดี มึงน่ะอคติ”
อาศิรยืนขำขณะที่เวทิศหน้าบึ้งตึงมองปาลที่อยู่ไม่ห่างกายกวินตรา บุตรีของนายแพทย์กำจรเป็นจุดสนใจของผู้ที่มาร่วมงาน
ยิ่งอยู่ใกล้ร.ต.อ.ปาล แทบทุกคนก็ยิ่งมองเป็นตาเดียวเพราะความเหมาะสมของทั้งคู่ เวทิศเจ็บจี๊ดจนทนไม่ไหว
“มึงจะไปไหน”
อาศิรเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทขยับกายก้าวเดิน เวทิศยกยิ้มพร้อมยักคิ้วให้อาศิรอย่างเจ้าเล่ห์
“แค่อยากรู้ว่าคนเป็นตำรวจเขาทำอะไรได้มากแค่ไหนไงล่ะไอ้โอม”
“ไอ้ทิศ นี่งานใหญ่นะโว้ย ทำอะไรคิดดีๆ”
“เฮ้ย กูไม่ได้ทำอะไรรุนแรง แค่อยากทำความรู้จักคุณตำรวจเขาก็แค่นั้นเอง”
ได้ยินเวทิศเถียงอาศิรก็คร้านจะเอ่ยห้ามเพื่อนที่คิดจะลองของ เขาก็เลยได้แต่ชักชวนอนูบิสให้ทดลองชิมอาหารบุฟเฟ่ที่ตั้ง
โต๊ะอยู่ริมสระน้ำ ปล่อยให้เวทิศเดินตรงเข้าไปให้ปาลที่แยกจากกวินตรามาบริเวณซุ้มเครื่องดื่มริมสระน้ำอีกฝั่ง เวทิศคว้าแก้วพันช์สีสวย
มาถืออยู่ในมือและเดินตรงเข้าหาปาลทันที
“อุ๊ย คุณพระช่วย”
“เฮ้ย!”
ปาลอุทานออกมาพร้อมต่อด้วยคำสบถอีกเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆก็ถูกชนเข้าที่กลางลำตัวขณะที่เขาหันไปทักทายคนรู้จัก และเมื่อ
หันกลับมาอีกทีเสื้อผ้าของเขาก็เปื้อนเป็นวงด้วยพันช์ในมือของไอ้หน้าจืดที่ชนเขานี่แหละ
“ตาเป็นต้อหินหรือไงถึงไม่เห็นคนเดินอยู่”
เวทิศกลั้นยิ้มเกือบจะไม่สำเร็จเมื่อเห็นฝีมือตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อดีที่ปาลสวมใส่ภายใต้สูทสีดำปรากฏสีแดงของพันช์เป็น
วงกว้างเพราะเขาจงใจที่จะเดินเข้าไปชนชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำแดดของปาล และตอนนี้ใบหน้าอย่างชายไทยแท้ของนายตำรวจหนุ่ม
กำลังบึ้งตึงด้วยความขัดเคืองสมใจของเวทิศ
“ตาไม่ได้เป็นต้อหิน ตาเป็นครูใหญ่วัดลิงขบ โถ่ อย่าโวยวายสิครับคุณตำรวจเดี๋ยวประชาชนเต็มขั้นอย่างผมจะตกใจ”
กวนตีน
ปาลจำกัดความให้ผู้ชายผิวขาวหน้าจืดใส่แว่นตากลมโตที่ยืนยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้า เขาจำได้แล้วว่าคนๆนี้มากับน้องชายของ
กวินตรา แต่ดูจากท่าทางแล้วก็ไม่ได้มีพิษสงมากมายนักเพราะลักษณะคงแก่เรียนเหมือนพวกศาสตราจารย์สติเฟื่องมากกว่า อาจจะ
อยากแค่ลองดีกับเขา
“อุบัติเหตุกับจงใจมันแยกกันได้ไม่ยากหรอก ถ้าอุบัติเหตุจริงก็แค่ชนโดยประมาท แต่ถ้าอยู่ๆก็พุ่งเข้าชนนี่อาจจะเจอข้อหา
ทำร้ายเจ้าพนักงานให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส”
สาหัสตรงไหนวะ แค่เสื้อเปื้อน
“ทำไม คุณตำรวจพูดแบบนี้คิดจะเคลมค่าทำขวัญจากผมงั้นสิ โธ่เอ๊ย แค่เสื้อเปื้อนผมออกค่าซักรีดให้ก็ได้ จะสักเท่าไหร่กัน
เชียว”
ใบหน้าจริงจังของปาลทำให้เวทิศชักจะหน้าเสีย ความจริงเขาไม่ใช่คนร้ายกาจขี้แกล้งโดยนิสัย แต่นี่เป็นเพราะหมั่นไส้ปาลที่
ได้ใกล้ชิดกวินตรา ส่วนปาลเมื่อเห็นสีหน้าเผือดของเวทิศเขาก็นึกขำเมื่อดูออกว่าไอ้หนุ่มหน้าจืดเริ่มใจฝ่อแล้วปาลจึงรีบสำทับตามทันที
“นี่กำลังข่มขู่เจ้าพนักงานอีกกระทงหนึ่งนะรู้ตัวหรือเปล่า”
ไอ้...
เวทิศนึกไม่ออกว่าควรจะตอบโต้ปาลอย่างไรดีในเมื่อตอนนี้ร่างสูงฟิตเฟิร์มอย่างคนออกกำลังกายก้าวเข้ามาใกล้แถมยังยื่น
หน้าเข้ามาหา คิ้วเข้มของนายตำรวจยกสูงพร้อมกับดวงตาพราวเพราะความขำขันทำให้เวทิศต้องก้าวถอยหลัง
“ถอยไปคุณตำรวจ ผมไม่ได้ขู่คุณสักหน่อย มีแต่คุณนี่แหละที่กำลังคุกคามประชาชน”
“ว่าไงนะ หยุด จะหนีไปไหน”
เมื่อเห็นเวทิศถอยฉากปาลก็คว้าข้อมือไว้ คราวนี้เวทิศชักหวั่นที่ตนเองกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ปล่อยผม!”
“คุณจงใจแกล้งเดินชนผมแล้วคิดจะหนีรึไง ไม่มีทาง”
มือของปาลที่ยึดข้อมือเหนียวและแข็งแกร่งยิ่งกว่าตุ๊กแกเสียอีก เวทิศพยายามแล้วที่จะสะบัดหนีแต่ก็ไม่เป็นผล แถมปาลยัง
ก้าวเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าดุยิ่งทำให้เวทิศใจเสีย เขาก้าวถอยหลังหนีอีกครั้งโดยไม่เห็นว่าตัวเองกำลังใกล้ขอบสระน้ำเข้าไปเรื่อยๆ
“ถ้าไม่ปล่อย ผมจะตะโกนให้ทุกคนในงานรู้ว่าตำรวจรังแกประชาชน”
ปาลไม่ปล่อย ดวงตาของเขามองเวทิศอย่างท้าทาย เวทิศทั้งกลัวทั้งโมโหจนต้องใช้มือข้างที่ไม่ได้ถูกจับยึดผลักไหล่ของ
ปาลให้ออกห่าง แต่เขาไม่นึกว่าปาลจะปล่อยข้อมือที่จับไว้ทันที มันทำให้เวทิศเสียหลักหงายหลังลงไปในสระน้ำสีฟ้าเบื้องหลัง
ตูมม
“เฮ้ย!”
ส่วนปาลเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า มือของเวทิศที่ผลักไหล่ของเขานั้นจะพาลคว้าปกเสื้อสูทไว้ด้วย และทำให้ปาลหน้าคว่ำ
ลงไปกับผิวน้ำที่กระเพื่อมเพราะเวทิศที่ตกลงไปก่อนหน้า ภาพที่ชายทั้งสองลอยละลิ่วลงไปเล่นน้ำกลางสระกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
โดยรอบจนได้ กวินตรารีบก้าวยาวๆเข้ามาทันที หญิงสาวเต็มไปด้วยความอับอายขายหน้า
“เกิดอะไรขึ้น ปาล ทำไมคุณถึงไปอยู่ในน้ำกับเจ้าเอ๋อนี่ล่ะ”
ทั้งปาลและเวทิศต่างก็ทำท่าฮึดฮัดขณะแยกกันไปดันตัวขึ้นบนขอบสระ ชุดสูทเนื้อดีของปาลเปียกลู่ไปกับตัว เขานึกอาย
สายตาของแขกในงานจนได้แต่มองเวทิศที่รีบจ้ำอ้าวหนีไปอีกฝั่งด้วยความเจ็บใจ
ฝากไว้ก่อนเหอะไอ้หน้าจืด
“จะหัวเราะอีกนานไหมไอ้เหี้ยโอม”
เวทิศที่เปียกจนกลายเป็นลูกหมาตกน้ำมองเพื่อนสนิทที่เดินกลับมายังรถยนต์ของเขาด้วยความโมโห ท่านเทพแสนเท่ก็
อุตส่าห์อมยิ้มขำส่งให้อีก วันนี้มันไม่ใช่วันของเวทิศจริงๆ
“สมน้ำหน้า อยากทำอะไรแผลงๆดีนัก”
พอขึ้นจากสระน้ำ เวทิศก็รีบดิ่งมาหาอาศิรและฉุดแขนเพื่อนให้เดินกลับออกมาจากงานทันที เวทิศอายจนไม่รู้จะทำหน้า
อย่างไรเมื่อกลายเป็นตัวตลกของคนที่อยู่รอบสระ
“ใครจะนึกวะว่าจะเจอตำรวจกวนตีน”
“มึงไปกวนตีนเขาก่อนนี่หว่า”
“เหี้ยโอม ไม่ช่วยเพื่อนแล้วยังเสือกเข้าข้างคนอื่นอีก เดินเร็วๆกูหนาว”
เวทิศเดินจ้ำอ้าวไปทางรถยนต์ของเขาที่จอดอยู่ริมรั้วบ้านเหมือนรถคันอื่นๆ ปล่อยให้อาศิรกับอนูบิสเดินทอดน่องตามมาด้าน
หลัง
“แขกของงานวันนี้มีหลายวงการมาก” อาศิรเอ่ยกับอนูบิส
“ทั้งวงการธุรกิจของคุณวิไลวรรณ วงการเซเลบของพี่วินนี่ แล้วยังมีวงการแพทย์ของพ่อมาด้วย”
“ผมเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้การรักษาโรคภัยก็เป็นการค้าได้”
อาศิรพยักหน้ารับ
“ใช่ ทุกอย่างในปัจจุบันนี้กลายเป็นการค้ากันหมดแล้ว น้ำใจเป็นสิ่งหายากเหลือเกิน”
“แต่โอมมีน้ำใจนะ แสดงว่าโอมเป็นสิ่งหายาก”
เสียงอ่อนที่มาพร้อมประกายในดวงตาคมที่จ้องมองทำให้อาศิรหน้าร้อนขึ้นมาฉับพลัน เขาไม่กล้าสบตากับตาคมคู่นั้นจนต้อง
เบนสายตาหลบไปทางอื่น
“อ้าว นั่นพวกอาจารย์ที่สอนผมนี่”
รถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามาจอดไม่ไกลนัก อาศิรมองเห็นศัลยแพทย์ราวสามถึงสี่คนลงมาจากรถยนต์คันนั้น และเดินตรงเข้าไป
ในงาน อาศิรเกือบลืมไปแล้วว่าบิดาของเขารู้จักอยู่กับหัวหน้าภาควิชาด้วยเพราะเรียนรุ่นเดียวกันมา แต่อาศิรไม่นึกว่านายแพทย์คีรีจะมา
งานนี้ด้วย
“ต้องเข้าไปทักทายหรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอก เรารีบกลับกันเถอะ ผมเป็นห่วงยาย ช่วงนี้อากาศชื้นเดี๋ยวยายจะไม่สบาย”
เมฆฝนเริ่มเกาะตัวกันหนาอยู่บนผืนฟ้าสีดำสนิท อาศิรชักชวนให้อนูบิสเดินตามไปที่รถยนต์ของเวทิศที่เข้าไปนั่งประจำที่คน
ขับรออยู่แล้ว เขาก้าวขึ้นไปนั่งข้างเวทิศและให้อนูบิสนั่งเบาะหลัง
มือใหญ่ที่จับประตูด้านหลังพลันชะงัก อนูบิสยืดกายตรงพลางเปิดประสาททั้งหมด เขาเหลียวไปมองบ้านหลังใหญ่ในพื้นที่
กว้างที่ยังมีผู้คนหนาแน่นเมื่ออนูบิสรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ผิดปกติ
“มีอะไรหรืออินทร์ภู”
อาศิรเปิดกระจกแล้วโผล่หน้ามาถาม อนูบิสจึงเสียสมาธิไปแวบหนึ่งและเมื่อเขาหันกลับไปมองอีกครั้งความรู้สึกดังกล่าวก็
ไม่มีเหลืออยู่อีก เขาได้แต่ถอนหายใจและก้าวขึ้นรถให้เวทิศขับไปส่งที่บ้านของอาศิร
“ไม่มีอะไรหรอก ผมคงคิดมากไปเอง”
กลับมาถึงบ้านยามดึก ยายจันทร์หลับๆตื่นๆอยู่บนเตียงในห้องนอนโดยมีป้าแก้วนอนอยู่บนที่นอนยางพาราเนื้อหนาด้านข้าง
ได้ยินเสียงกรนเบาๆของป้าแก้วขณะที่อาศิรคุกเข่าและจ้องมองหน้าอกของยายจันทร์ที่กระเพื่อมเพราะแรงหายใจ อากาศชื้นฝนมีผลต่อ
หญิงชราอาศิรกลัวว่ายายจะหอบเหนื่อยเพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงนี่เอง
ยายของเขาอายุมากแล้ว และป่วยกระเสาะกระแสะมานานเพราะความชรา แถมยังมีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงตาม
ประแสคนสูงวัย อาศิรได้แต่มองยายจันทร์ด้วยความเป็นห่วงก่อนจะออกมาจากห้องโดยมี
อนูบิสยืนรออยู่หน้าประตู
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
อาศิรเอ่ยพลางคว้าผ้าเช็ดตัวออกไป ผลัดกันไปอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านนอกเมื่ออนูบิสก้าวกลับเข้ามาเขาก็เห็นร่างโปร่งของ
อาศิรกำลังอ่านตำราเล่มหนาหนักอยู่ที่โต๊ะหนังสือ อนูบิสชะโงกไปมองเนื้อหาที่มีแต่ตัวอักษรที่เขาไม่รู้จักและยังมีรูปส่วนต่างๆของ
ร่างกายอยู่ในนั้น
“ร่างกายมนุษย์ เหตุใดถึงชัดเจนเช่นนี้?”
อนูบิสรู้จักร่างกายมนุษย์ดีเพราะเขาเป็นคนคิดเรื่องมัมมี่เพื่อรักษาร่างของผู้ไร้วิญญาณไว้ให้เป็นนิรันดร์ การชำแหละร่างกาย
นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามที่จะกระทำได้ด้วยนักบวชที่ใส่หน้ากากหมาในภายในวิหารแห่งอนูบิสเท่านั้น แต่ในดินแดนใหม่กลับมีรูปชิ้นส่วน
มนุษย์อยู่ในตำราเหล่านี้ด้วย
“เขาเรียกว่ากายวิภาคศาสตร์”
อาศิรอธิบายให้ผู้มาจากแดนไกลเข้าใจ ใบหน้ายามเอื้อนเอ่ยกระจ่างจนอนูบิสได้แต่มองอย่างไม่อาจคลาดสายตา
“เราดองร่างกายของผู้บริจาคร่างกายและเรียกท่านเหล่านั้นว่าอาจารย์ใหญ่ ที่เสียสละตัวเองเป็นความรู้”
“ดองศพงั้นหรือ เหมือนทำมัมมี่หรือเปล่า”
อนูบิสทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียงใกล้กับอาศิรพร้อมกับถามด้วยความสนใจ อาศิรจึงได้ถามบ้าง
“มัมมี่ทำยังไง นี่ผมก็อยากรู้นะ”
“นักบวชในวิหารของเราจะผ่าท้องและควักหัวใจ ตับ ปอด ออกมาใส่ในโถ จากนั้นจะใช้ตะขอเกี่ยวเข้าไปในจมูกเพื่อดึงมัน
สมองออกมา เราใส่ผงแห่งความลับลงไปในร่างกายและห่อไว้ด้วยผ้าทอ”
“โอย พวกคุณนี่เก่งยิ่งกว่าหมอผ่าตัดอีก” อาศิรครางเมื่อฟังขั้นตอนทำมัมมี่จบ
“ความสามารถของพวกคุณทำให้พวกเรายังอึ้งไม่เลิก ทุกวันนี้ผมยังงงว่าพวกคุณสร้างปิรามิดด้วยก้อนหินเรียงๆกันขึ้นไปได้
ยังไงขนาดนั้น”
พูดจบอาศิรก็ปิดปากหาวหวอด เขาลุกจากเก้าอี้และทิ้งกายโปร่งลงบนที่นอนนุ่ม
“นอนเหอะ ง่วงแล้ว”
คงจะง่วงจริงๆ อนูบิสเห็นแพขนตายุกยิกอีกไม่กี่ครั้งก็ปิดสนิทพร้อมกับลมหายใจสม่ำเสมอของอาศิร อนูบิสเดินไปปิดไฟ
กลางห้องและกลับมาเอนกายนอนเคียงข้าง เขาตะแคงมองเสี้ยวข้างของใบหน้านั้นด้วยสายตาอ่อนโยน
จิตใจของอาศิรดีงามเหลือเกิน
มันเป็นสิ่งที่อนูบิสสัมผัสได้
ภาพยามที่อาศิรดูแลหญิงชราอย่างยายจันทร์ประทับเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของอนูบิส จนเขารู้สึกวูบไหวคล้ายดั่งไม่ใช่ตัวเอง
ยามกระด้างชาอยู่ในมตภูมิ
เพียงไม่นานที่ได้ใกล้ชิด ก็ราวกับอนูบิสจะไม่อาจลบเลือนใบหน้าของอาศิรออกไปได้เสียแล้ว
“เซเฮดเจนเมรูท”
ใบหน้าคมก้มต่ำ เขากระซิบอยู่ข้างใบหูคนที่นอนหลับสนิทก่อนจะทิ้งศีรษะลงไปและโอบกอดร่างอบอุ่นนั้นให้เข้ามาอยู่ใน
อ้อมกอดอย่างเช่นทุกคืน
มีต่ออีกนิด....