Rough and Tender2
ชั่วโมงเรียนอันยาวนานในหนึ่งวันหมดลง ทว่าขอบฟ้ายังนั่งก้มๆ เงยๆ จดเล็คเชอร์จากบนบอร์ดยิกก่อนที่อาจารย์จะลบทิ้ง กระนั้นด้วยความเชื่องช้าของเขาก็ทำให้อาจารย์ลบส่วนที่เขากำลังจดอยู่เพื่อใช้ที่ว่างอธิบายโจทย์อีกข้อที่นักศึกษาเข้าไปถาม
แม้จะลังเล แต่ขอบฟ้าก็ตัดสินใจเอ่ยเรียกหญิงสาวที่ยังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนที่แถวหน้า “ขอโทษนะ แต่เธอจดที่อยู่บนบอร์ดเมื่อกี๊ทันไหม พอดีอาจารย์ลบไปก่อนเรา...”
“หืม อันไหนล่ะ” หญิงสาวคนดังกล่าวตั้งท่าจะเปิดสมุดดูให้ แต่จู่ๆ เพื่อนที่นั่งข้างๆ กลับเอ่ยแทรก “ฉันว่าเรารีบไปกันเถอะ เร็วเข้าๆ”
ว่าแล้วก็ลากมือเพื่อนที่ยังละล้าละลังออกไปโดยเร็ว และขอบฟ้ายังเห็นว่าคนลากหันมาซุบซิบอะไรบางอย่างให้เพื่อนฟังพร้อมปรายตามองมาทางเขา จึงรีบก้มหน้าเก็บหนังสือ เดินเลี่ยงไปยังทางออกอีกด้านแทน
แทนที่จะไปสรวลเสเฮฮาต่อกับเพื่อนฝูงดังเช่นคนส่วนใหญ่ เด็กหนุ่มกลับเดินไปป้ายรถเมล์เพื่อกลับบ้าน เพราะอย่าว่าแต่เป็นฝูงเลย ขอบฟ้าไม่มีเพื่อนสักคน พอจะมีก็แต่คนรู้จักที่เรียนเอกเดียวกันเท่านั้น คนรู้จักบางส่วนที่ยังยอมพูดคุยกับเขาหลังเกิดเรื่องพรรค์นั้น...
แม้ว่าเรื่องจะผ่านไปเกือบปีแล้วก็ตาม แต่เวลายังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย เขายังจำรายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ยังจดจำช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีคุณค่าและมีความสุขยามได้รับคำชมเล็กๆ น้อยๆ จากคนคนนั้น
เมื่อตอนเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่นาน ขอบฟ้าได้รู้จักกับอาจารย์พิเศษของคณะคนหนึ่ง อาจารย์นภดลเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ เพิ่งจบปริญญาโทจากเมืองนอกและเป็นขวัญใจของสาวๆ ทั้งในและนอกคณะ แต่ขอบฟ้ากลับมีโอกาสสนิทสนมกับอาจารย์นภดลมากกว่าเด็กคนอื่นๆ เนื่องจากอาจารย์เห็นว่าเขาเรียนไม่ค่อยทันเพื่อน จึงมักจะเรียกเขาเข้าไปคุยด้วยหลังหมดคาบเพื่อให้เขาสอบถามข้อสงสัยบ่อยๆ
จากตอนแรกที่พวกเขาแค่พูดคุยกันหลังเลิกเรียน อาจารย์นภดลก็เริ่มเรียกให้เขาไปช่วยเตรียมเอกสาร ช่วยจัดเก็บหนังสือ ใช้ช่วงเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังมากขึ้น สนิทสนมกันมากขึ้น จนขอบฟ้าที่ปกติจะพูดน้อยกลับกล้าพูด กล้าเล่าเรื่องราวต่างๆ และขอคำปรึกษาปัญหาทุกเรื่องอย่างสนิทใจ โดยเฉพาะเรื่องอุปนิสัยส่วนตัวของเขาที่มักมีปัญหากับคนรอบข้างอยู่เสมอ ทั้งที่ไม่เคยคิดหาเรื่องกับใครแต่ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่ดี
อาจารย์ช่วยปลอบใจว่าเขาแค่เป็นขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกและมีปัญหาในการสื่อสารกับคนอื่นเท่านั้น อาจารย์ยังชมว่าโดยเนื้อแท้ ขอบฟ้าเป็นเด็กดี มีน้ำใจและเข้มแข็งมากที่ยังสามารถมองโลกในแง่ดีได้
ในสายตาของเขาเวลานั้นมีแต่อาจารย์ จึงทำให้ขอบฟ้าไม่ทันสังเกตว่าสายตาของคนอื่นยามมองมาที่พวกเขาเป็นอย่างไร และเขาคงจะไม่รับรู้ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เกิดเรื่องในวันนั้นขึ้น
วันนั้น เขามาช่วยอาจารย์เตรียมเอกสารตามปกติและสังเกตเห็นว่าอาจารย์ที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับกำลังกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ จึงเอ่ยปากถามออกไป ทีแรกอาจารย์ก็ยิ้มและไม่ยอมตอบ จนโดนเขาเซ้าซี้มากเข้า จึงค่อยๆ พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ไม่มีอะไรมากหรอก ที่บ้าน...เขาอยากให้แต่งงานน่ะ” อาจารย์นภดลก้มหน้าถอนหายใจยาว “อันที่จริง คุณแม่ท่านก็เปรยมานานแล้วล่ะ แต่ฉันก็บอกท่านว่ายังไม่พร้อม ยังอยากทำงานตรงนี้ให้เต็มที่”
“อาจารย์...จะแต่งงานเหรอ” ขอบฟ้าทวน นึกหาคำพูดเหมาะๆ ไม่ออก “ถ้าอาจารย์รักเขา ผมว่า...”
“ฉันไม่ได้รักเขา นั่นล่ะคือปัญหา!” ชายหนุ่มที่เคยอ่อนโยนมาตลอดกลับมีทีท่าหงุดหงิด เสียงตวาดเมื่อครู่แม้จะดังไม่มากแต่ก็เพียงพอจะทำให้ขอบฟ้าสะดุ้งโหยงและนั่งหน้าตาแตกตื่นยามได้ยินประโยคถัดมา “ขอบฟ้า เธออยากให้อาจารย์แต่งงานจริงๆ น่ะเหรอ”
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดี ผมก็ดีใจ...” เขาแค่นึกอยากให้ผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างอาจารย์ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมเหมาะสม หากดูเหมือนคำตอบดังกล่าวจะยิ่งทำให้คนตรงหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ “อาจารย์เป็นคนดี ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ ผมแน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นก็คงคิด...”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นคนดี ไม่อยากเป็นอาจารย์ที่ดี ฉันแค่...แค่อยากเป็นผู้ชายที่ดีในสายตาเธอบ้าง” ชายหนุ่มลุกยืนและเดินอ้อมโต๊ะมาทางเขาช้าๆ “รู้ตัวบ้างไหม ขอบฟ้า ว่าเวลาที่เธอมองใครสักคนมันเป็นยังไง อย่างเวลาที่เธอมองฉัน... ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นโลกทั้งใบของเธอ เธออยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีฉัน...”
มือใหญ่ที่เคยลูบศีรษะอย่างอ่อนโยนคว้าข้อมือเขาหมับและบีบแน่นยามเขาตั้งท่าจะสะบัด “เธออาจจะยังไม่รู้ แต่ฉันว่าฉันเข้าใจดีเลยล่ะ เธอขาดฉันไม่ได้ เธอชื่นชมบูชาฉัน อยากให้ฉันเอ็นดู เธอต้องการความรักจากฉัน”
ริมฝีปากที่กดลงมาบนริมฝีปากเขาโดยแรงนั้นร้อนผ่าวและคุกคาม ขอบฟ้าพยายามผลักชายตรงหน้าออกด้วยความตกใจแต่กลับโดนดึงเข้าไปหาทั้งตัวแทน ระหว่างยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั้น เขาก็ล้มโครมลงบนพื้นจนร้าวไปทั้งหลัง ศีรษะด้านหลังกระแทกกับขอบโต๊ะจนมึนงง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเอะอะจากหน้าประตู เสียงใครบางคนปฏิเสธลั่น และเขาทำได้แค่เพียงแก้ตัวปากสั่นโดยไม่มีใครสนใจฟัง
“เปล่า ผมเปล่า” เขากล่าวซ้ำซากขณะโดนเรียกไปพบคณบดี หลังจากนั้นเขาก็โดนพักการเรียนหนึ่งสัปดาห์ โดนม้าทั้งดุทั้งด่า หาว่าเขาชอบหาแต่เรื่อง ฟังทิวหมอกอบรมตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหน้าที่ของลูกและขู่ว่าถ้าเขายังทำตัวมีปัญหาอีกครั้งเดียวจะให้เขาออกจากมหาวิทยาลัยทันที ในขณะที่ปลายฝนซึ่งแม้จะไม่ได้ช่วยเหลือหากก็ไม่ได้ซ้ำเติม เพียงพูดจาประมาณว่าเขาก็งุ่มง่ามเป็นปกติอยู่แล้ว เจออาจารย์ลามกลวนลามมานานโดยไม่รู้ตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
พอครบกำหนดกลับมาเรียนอีกครั้ง ขอบฟ้าก็กลายเป็นตัวประหลาดในสายตาใครต่อใครไปเสียแล้ว คนที่เคยคิดว่าเป็นเพื่อนหลายคนปลีกตัวห่าง โชคดีที่ยังพอมีบางคนทำเฉยๆ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเล่าให้ฟังว่าอาจารย์นภดลลาออกไปแล้ว
แม้จะไม่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยตรงๆ แต่ขอบฟ้าก็พอจะเข้าใจว่าในสายตาคนอื่นๆ เขากลายเป็นต้นเหตุ เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด ทำให้อาจารย์เนื้อหอมที่สุดคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยต้องลาออกเพราะโดนนักศึกษาชายตามตื๊อ
ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา
ขอบฟ้าได้ยินเสียงม้าตะโกนมาจากด้านในตอนเพิ่งเดินเข้าบ้าน “ฟ้า เห็นยัยฝนบ้างหรือเปล่า”
เมื่อเขาตอบปฏิเสธ ม้าก็บ่นยาว “อะไรกัน เมื่อคืนมันก็กลับช้าไม่ใช่เหรอ ขนาดม้าเข้านอนแล้วมันยังไม่กลับ ยัยฝนนี่พอเจ้าหมอกไม่อยู่ก็ออกลายเชียว ฟ้า...แกน่ะเป็นพี่ ทำไมถึงไม่ห้ามไม่สอนมันบ้าง คิดแต่จะโยนภาระให้หมอกอย่างเดียวมันใช้ไม่ได้นะ พี่แกทำงานงกๆ เหนื่อยสายตัวแทบขาดให้พวกแกเรียนหนังสือกันสบายก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระพี่เขาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ”
เขานั่งฟังเงียบๆ อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง กระทั่งม้าเหนื่อยและโบกมือไล่ ขอบฟ้าจึงขึ้นไปทำรายงาน อ่านหนังสือจนรู้สึกหิว จึงค่อยลงมาหาอะไรกินตามมีตามเกิด
เหลือบไปเห็นม้านั่งสัปหงกอยู่หน้าโทรทัศน์ ขอบฟ้าจึงเดินไปเรียกเบาๆ “ม้า ถ้าง่วงไปนอนในห้องดีกว่า นั่งตรงนี้เดี๋ยวยุงกัด”
ม้าพยักหน้ารับคำอืออา ขอบฟ้าจึงปิดโทรทัศน์และประคองร่างผอมของมารดาขึ้นไปห้องนอนบนชั้นสอง เสร็จแล้วจึงเดินไปอาบน้ำ เตรียมตัวอ่านหนังสือต่อบ้าง
แต่ตอนเดินออกจากห้องน้ำ โทรศัพท์บ้านก็กรีดเสียงดังเสียก่อน “ฮัลโหล”
“พี่ฟ้าเหรอ นี่ฝนนะ” เสียงปลายสายเรียกเขาร้อนรน
“ทำไมยังไม่กลับบ้าน เมื่อเย็นม้าก็บ่น...” หากยังกล่าวไม่จบ ปลายฝนก็แทรกขึ้นว่า
“อย่าเพิ่งมาบ่นเรื่องนั้นเลยน่า พี่ฟ้าช่วยฝนหน่อยสิ” อยู่ๆ เสียงของน้องสาวก็เบาลงคล้ายกำลังป้องปากพูด “พี่ฟ้ามารับฝนที่ร้าน...หน่อย มาถูกใช่ไหม ร้านที่อยู่ใกล้ๆ มหาลัยพี่ฟ้าไง มาเร็วๆ นะ ฝนมีปัญหานิดหน่อย อ้อ แล้วอย่าให้ม้ารู้ล่ะ ไม่งั้นเรื่องใหญ่แน่”
+++++++++
แม้จะยังเต็มไปด้วยความคับข้องใจ หากขอบฟ้าก็รีบแต่งตัว คว้ากระเป๋าตังค์ตรงดิ่งออกจากบ้านโดยไม่รอช้า กว่าจะฝ่าการจราจรไปถึงที่หมายก็กินเวลาไม่ใช่น้อย ขอบฟ้าจึงค่อนข้างร้อนใจยามสอดส่ายสายตามองหาน้องสาว
“บอกว่าไม่เอาไงล่ะ เดี๋ยวพี่ชายจะมารับ ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง” เสียงคุ้นหูดึงความสนใจของเขาชะงัด ขอบฟ้ารีบตรงดิ่งไปยังต้นเสียงและเห็นคนที่กำลังตามหายืนอยู่ใกล้เด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกันสองสามคน
“ฝน” ปลายฝนเงยหน้ามองมาทางเขาอย่างดีใจและรีบโผมาหา “พี่ฟ้า”
เขารีบดึงต้นแขนน้องสาวเพื่อหวังลากให้ออกเดิน หากหลังนิ่งไตร่ตรองสักพัก ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะไม่ยี่หระเขาในฐานะพี่ชายเท่าใดนัก “เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน”
“ผมจะพาน้องกลับบ้าน” พวกเขาพยายามเดินหนี แต่อีกฝ่ายกลับเดินมาดันหน้าไว้ “ต้องการอะไร เห็นอยู่ว่าน้องผมไม่ชอบพวกคุณแล้วยังจะตามมาอีกทำไม”
“หึ พูดง่ายนะมึง ทีชั่วโมงก่อนน้องมึงยังนั่งให้ท่าพวกกูอยู่ริกๆ ตอนนี้ดันมาทำสะดิ้งเล่นตัวทำซากอะไรก็ไม่รู้” พร้อมกับคำพูดดังกล่าว มือเล็กเย็นเฉียบของปลายฝนก็บีบแขนเขาแน่น ขอบฟ้าเหลือบตามองและได้เห็นแววตาที่แสนคุ้นเคย แววตาของคนที่ถูกกล่าวหา
“น้องผมมีปัญญาพอดูออกว่าใครดี ใครเลว อย่ามากล่าวหากันชุ่ยๆ แบบนี้”
“อ้าว ปากดีแล้วมึง กูอยากรู้นักว่าโดนต่อยปากแตกแล้วมึงจะยังกล้าด่ากูอีกไหม!” ขอบฟ้าเบี่ยงหลบหมัดแต่ไม่พ้น จึงเซถลาแซ่ดๆ เจ็บจนนิ่วหน้า
ปลายฝนยืนกรี๊ด ร้องหาคนช่วยเหลือแต่ส่วนใหญ่จะยังยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่ยอมเข้ามา เขาจึงก้มตัวต่ำและพุ่งเข้ากระแทกเด็กหนุ่มที่ชกตนจนล้มลงไปกับพื้น แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตั้งตัวติด พวกที่เหลืออีกสองคนก็คว้าตัวเขาเหวี่ยงไปอีกด้าน รุมกระทืบทันที
แม้จะพยายามขดตัวให้พ้นการทุบตี แต่เขาก็ยังเจ็บจนชาหน่วง ถึงจะพยายามสู้กลับ แต่ก็มักโดนคนที่เหลือซ้ำจนล้มคว่ำ มองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ ตอนที่เขากลัวว่าอาจต้องโดนซ้อมตายอนาถอยู่ริมถนนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงโวยวายและเท้าที่รุมกระทืบเขาอยู่ก็หายไป
หยีตามองดูผู้มาช่วยเหลือจึงพบว่ามีคนอีกกลุ่มกำลังซ้อมพวกเด็กที่มีเรื่องกับพวกเขาเมื่อครู่ ด้านหนึ่งแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ดูท่าเด็กหนุ่มคนแรกที่ต่อยเขาจะกำลังแย่เพราะผู้ช่วยเหลือยังประเคนทั้งกำปั้นทั้งเท้าใส่ กระทั่งล้มลงไปบนพื้นถนน ชายหนุ่มก็ยังตามลงไปกระทืบซ้ำ ไม่นำพาแม้อีกฝ่ายจะถึงขนาดยกมือไหว้แล้วก็ตาม
“น้องๆ” ขอบฟ้าละสายตาจากภาพที่มองอยู่มาจ้องคนที่เรียกเขาแทน “เป็นอะไรมากหรือ... อ้าว น้องนี่เอง”
เขาจำพลชนะได้ในวินาทีต่อมา “พี่พล”
“เฮ้ย ไปไงมาไงถึงมากินตีนอยู่ที่นี่ได้ นี่ถ้าพี่ไม่ผ่านมาเห็น มิตายไปแล้วรึ” พลชนะนิ่วหน้ามองสภาพเขาและเอ่ยทัก “ไหวไหม พี่ว่าพาเราไปโรงพยาบาลดีกว่า”
“เอ่อ ขอบคุณครับที่เป็นห่วงแต่ไม่เป็นไร” ขอบฟ้ายังห่วงมวยอีกคู่ไม่หายและเหลียวมองบ่อยๆ อย่างกังวลจนพลชนะนึกขึ้นได้ หันไปตะโกนห้ามเพื่อน
“พอได้แล้ว ไอ้กร เดี๋ยวแม่งก็ตายคาตีนมึงหรอก” ครั้นเห็นว่าแค่เสียงห้ามไม่มีผลอันใด พลชนะจึงรีบผละลุกขึ้น “ฝากดูเขาเดี๋ยว ต้องไปห้ามมันก่อน ไม่งั้นไอ้เด็กนั่นปางตายแหง”
ปลายฝนที่คุกเข่าสะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้รีบพยักหน้ารับและควักผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าเปื้อนคราบเลือดของพี่ชาย “เจ็บมากไหม พี่ฟ้า ฝนขอโทษนะ ฝนขอโทษ”
ได้ฟังคำขอโทษปนสะอื้นฮัก ขอบฟ้าจึงยกแขนข้างที่ยังพอยกไหวขึ้นลูบหัวน้องสาว ยิ้มอ่อนให้แม้การทำเช่นนี้จะทำให้ปากที่แตกอยู่แล้วเจ็บมากขึ้นก็ตาม “ไม่เอา อย่าร้องไห้ พี่ไม่เป็นไรสักหน่อย”
เขายังเพียรปลอบอย่างไม่ค่อยได้ผลนักกระทั่งพลชนะลากเพื่อนกลับมาได้ในที่สุด เพื่อนที่ดูจะยังไม่สะใจกับการลงไม้ลงมือช่วยเหลือเขาสักนิดควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบด้วยอาการฉุนเฉียว “อะไรของมึงวะไอ้พล! ดันสั่งให้ไอ้สินพาพวกนั้นไปหาหมอ พวกมึงเป็นฝ่ายซ้อมมันแล้วยังจะกระเตงมันไปหาหมอทำซาก...”
“ไม่ใช่เด็กพวกนั้น แต่กูให้ไอ้สินพาเด็กคนที่มึงกระทืบไปหาหมอต่างหาก เกิดมันช้ำในตายห่าขึ้นมาแม่งเดือดร้อนอีก” ตำหนิเสียงขรึมแล้วพลชนะจึงทรุดตัวลงมาพยุงเขา “มาเถอะ พี่จะพาเราไปหาหมอ”
“ผมไม่...ไม่รบกวนหรอกครับ แค่นี้ไม่เป็นไร” ขอบฟ้ารวบรวมแรงพยุงตัวเองขึ้น แต่เสียดท้องจนตัวงอ
“นี่นะไม่เป็นไร พี่ไม่เชื่อหรอก มาเถอะ” พลชนะออกแรงดึงแขนเขานิดๆ แต่ขอบฟ้าขืนตัวไว้โดยอัตโนมัติ
“ผมไม่เป็นไรมากจริงๆ ไม่ต้อง...” หากยังพูดไม่จบ เสียงจากอีกคนที่งัดบุหรี่มาสูบดับความหงุดหงิดก็เอ่ยแทรก
“เด็กมันไม่อยากไปก็ช่างมันสิวะ จะเซ้าซี้ทำไม โดนต่อยแค่นี้แม่งไม่ตายหรอก” เจ้าของเสียงห้วนมองเขาผ่านควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่ง ภาพคุ้นตาช่วยกระตุ้นความทรงจำของขอบฟ้าทันควัน ผู้ชายคนนี้เองที่นั่งอยู่ใกล้ป่านในงานวันเกิด คนเดียวกับที่มองเขาอย่างยิ้มเยาะ
พลชนะขึงตาจ้องเพื่อนโดยไม่เอ่ยเป็นคำพูดและหันมากล่อมเขาต่อ “เชื่อพี่สิ ฟ้า ถึงตอนนี้ฟ้าจะยังชาๆ อยู่ แต่รับรองเลยว่าคืนนี้ปวดจนนอนไม่หลับแน่”
“ผม...” เขาไม่อยากปฏิเสธโดยไร้เหตุผลอีก จึงอึกอักบอกสาเหตุที่ทำให้เขายืนกรานหนักแน่นด้วยท่าทางประหม่า “ผมไม่มีเงิน”
บ้านเขาไม่ได้ร่ำรวย อาจจะไม่ถึงกับขัดสนแต่ฐานะก็แค่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้เท่านั้น ทิวหมอกกลายเป็นเสาหลักในการหาเงินเข้าบ้านหลังจากมารดาเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ จนไม่สามารถทำขนมขายได้เป็นประจำเหมือนเคย ลำพังแค่ค่าเล่าเรียนของเขากับปลายฝนก็หนักหนาไม่ใช่น้อยอยู่แล้ว หลายครั้งที่มารดาเปรยว่าอยากให้เขาที่หัวไม่ค่อยดี ลาออกมาทำงานรับจ้างช่วยหาเงินจุนเจือครอบครัว แต่ทิวหมอกกลับห้ามไว้ บอกว่ายังพอหาเลี้ยงส่งเสียน้องชายน้องสาวได้ ขอบฟ้าจึงพยายามตั้งใจเรียนสุดชีวิตเพื่อไม่ให้ความหวังดีของพี่สูญเปล่า
ดังนั้น เขากับปลายฝนจึงไม่มีเงินค่าขนมไว้จับจ่ายซื้อของฟุ่มเฟือย เงินทุกบาททุกสตางค์ถูกใช้ไปกับค่าข้าว ค่ารถก็เกือบหมดแล้ว แม้จะเคยทำงานพิเศษ แต่ด้วยนิสัยประเภททุ่มสุดตัวให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้แค่ทีละอย่างจึงส่งผลให้คะแนนตกลงกว่าเดิมมาก เนื่องจากเอาเวลาไปให้งานพิเศษหมดจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ทิวหมอกจึงห้ามเขาทำงานพิเศษอีกเด็ดขาด
พลชนะชะงักกึกยามได้ยินเขาพูดตะกุกตะกัก ขอบฟ้าที่อับอายจนหน้าร้อนจึงรีบเอ่ยรวดเร็ว “ผมจะกลับไปหายากินที่บ้าน ขอบคุณพี่ๆ มาก...”
จู่ๆ โลกก็ตีลังกา ขอบฟ้าคิดว่าเขาล้มหงายหลังไม่รู้ตัว หากก็ค่อยรับรู้ว่าที่จริงโดนหิ้วลอยขึ้นทั้งตัว เหมือนอย่างเวลาเขาอุ้มลูกหมาเล่นด้วยมือข้างเดียวนั่นล่ะ แต่ผิดกันที่คราวนี้ คนอุ้มไม่ได้อุ้มเขาเล่นด้วยความเอ็นดู นอกเสียจากความรำคาญ
“เลิกท่ามากโยกโย้กันเสียทีเถอะวะ น่ารำคาญ ถ้าไม่อยากจ่ายเงินก็ไปทำแผลที่คอนโดกูแล้วกัน กูไม่คิดเงิน” ขอบฟ้าโดนโยนโครมใส่เบาะหลังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล โยนเขาเสร็จ เจ้าของรถก็เดินไปสตาร์ทรถรอพลชนะกับปลายฝนซึ่งวิ่งกระหืดกระหอบตามมาติดๆ
“ไอ้เวร มึงคิดจะทำ...” พลชนะด่าไม่จบ ชายหนุ่มก็ทำท่าจะออกรถจนต้องรีบโดดขึ้นรถ คาดเข็มขัด ชะโงกมาดูปลายฝนซึ่งกระโดดขึ้นรถโดยไม่คิดจะถามกำลังประคองศีรษะขอบฟ้าวางบนตัก
สองพี่น้องพูดคุยเบาๆ ไปจนถึงคอนโดแห่งหนึ่ง ขอบฟ้ากับปลายฝนเงียบกริบตั้งแต่รถแล่นผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยตรงทางเข้า รถแล่นวนขึ้นบนอาคารจอดรถและจอดเข้าช่องที่มีหมายเลขทะเบียนรถเฉพาะเจาะจง ประคับประคองกันก้าวเข้าลิฟต์ตรงดิ่งขึ้นสู่ห้องพักเกือบชั้นบนสุด ก่อนที่เจ้าของห้องจะเสียบคีย์การ์ดเข้าห้องตรงสุดทางเดิน
ภายในห้องสวยและหรูหราจนเหมือบกับถอดแบบมาจากหนังสือแต่งบ้าน ทีแรกปลายฝนตั้งท่าจะเดินสำรวจแต่โดนขอบฟ้าดึงมือไว้ก่อนและไม่ยอมปล่อยนอกจากลากไปนั่งลงบนเก้าอี้รับแขก
ดูท่าพลชนะจะเคยมาที่นี่บ่อยจึงสามารถเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาวางแล้วเริ่มต้นหยิบขวดแอลกอฮอลล์พร้อมสำลี “ห้องไอ้กรมันน่ะ จริงๆ บ้านมันก็มีแต่ไกลเลยขี้เกียจขับรถไปกลับมหาลัยทุกวัน พ่อมันซื้อห้องนี้ให้อยู่ มันจะได้อ้างไม่ได้ว่าบ้านไกลเวลาโดดเรียน”
“มึงอย่าพูดมาก ไอ้พล รีบๆ จัดการให้เสร็จๆ ไม่ได้หรือไงวะ” เจ้าของห้องยืนจิบน้ำจากขวด พิงเคาน์เตอร์เตรียมอาหารสีดำมันวับ ซึ่งคงไม่เคยถูกใช้ตามจุดประสงค์ดั้งเดิมแน่ๆ จึงได้สะอาดเอี่ยมเสียขนาดนั้น
“อย่าถือสามันเลยนะครับ ไอ้นี่มันก็แบบนี้ ใจร้อน บ้าเลือด ปากหมา...” พลชนะกล่าวอย่างไม่กลัวว่าจะโดนไล่ตะเพิดออกจากห้อง “นิสัยเลวร้ายไม่เข้ากับหน้าตา แต่ถึงอย่างนั้น คบมันในฐานะเพื่อนก็พอใช้ได้”
เพื่อนแค่พอใช้ได้แค่นหัวเราะ ควักบุหรี่ออกมาสูบอีกมวนและเบือนหน้ามองออกไปทางระเบียง ขอบฟ้าจึงอาศัยช่วงเวลาที่พลชนะสาละวนจัดการบาดแผลให้เขาลอบสังเกตเสี้ยวหน้าของฝ่ายนั้น พลชนะหน้าตาดีมาก คนที่ชื่อกรก็หล่อแต่คนละแบบ พลชนะหน้าตาแบบพี่ชายใจดี หน้าติดจะยิ้มๆ อยู่ตลอดแม้แต่ตอนกระทืบคนก็ตาม ส่วนกรหล่อแบบติดจะร้าย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ส่อสัญญาณความเป็นตัวอันตรายได้ แม้แต่ตอนยิ้ม รอยยิ้มนั้นคล้ายกับจะเยาะเย้ยสิ่งรอบตัวและผู้คนรอบกาย
วิธีที่มองดูคน... ถึงจะมองแต่กลับเหมือนไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา
ถึงอย่างนั้น ขอบฟ้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเหมาะสมกับป่านในทุกๆ ด้าน เพราะเท่าที่เห็น ไม่ว่าจะด้วยหน้าตาหรือฐานะก็ดูจะเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ถ้าจะแย่หน่อยก็อาจจะตรงนิสัยส่วนตัวเท่านั้น ขนาดที่เพื่อนสนิทอย่างพลชนะยังเอ่ยปากเอง
แต่... เขาถอนหายใจขณะนึกถึงสายตาของป่านที่ยังจำได้ติดตา ผู้หญิงมักจะชอบผู้ชายเลวๆ นี่นา ได้แต่ภาวนาขอให้ผู้ชายคนนี้จะรักป่านอย่างจริงใจแล้วกัน
ชายหนุ่มในห้วงคิดเหลียวกลับมาจนบังเอิญสบตากับเขา ทีแรกฝ่ายนั้นก็ดูเหมือนจะชะงัก หากก็ไม่เบือนสายตาหนี ขอบฟ้าเองก็มองตอบอย่างตรงๆ ทื่อๆ เนื่องจากสายตาสั้นนิดหน่อยอยู่แล้วบวกกับไม่ได้คิดอะไรมากตามปกตินิสัยดั้งเดิม
ดวงตาสองคู่จ้องกันแน่นิ่งโดยไม่มีฝ่ายไหนคิดจะกระพริบตาหรือเบือนหลบ สายตาคู่หนึ่งเข้มข้นด้วยประกายกล้า ทว่าในเวลาเดียวกันกลับมืดดำราวไร้จุดสิ้นสุด อีกคู่เป็นดวงตาสีอ่อนกระจ่างใสตรงไปตรงมา เปิดเผยตัวตนและหัวใจจนหมดสิ้น ช่วงเวลาไม่นานในความเป็นจริงหากดูจะยาวนานยิ่งในความรู้สึกของทั้งคู่จบลง เมื่อพลชนะเงยหน้าจากที่ก้มทำแผลถลอกตรงข้อศอกและรอยขีดข่วนฟกช้ำตามแขนให้เสร็จและขยับมายืนระหว่างพวกเขาสองคน
“เก่งจัง ไม่ร้องสักคำ” พลชนะลูบศีรษะเขาเหมือนเด็กๆ “เดี๋ยวพี่เอาน้ำมาให้กินยานะ รอแป๊บ”
ขอบฟ้าเกาหัวแกรก พลิกดูฝีมือการทำแผลระดับเทพแล้วหันไปชวนน้องสาวกลับง่ายๆ “พี่ว่าเรากลับกันดีกว่า รบกวนพวกพี่ๆ เขามากแล้ว”
ปลายฝนทำหน้ารู้ทันหากยังไม่ทันเอ่ยคำใด พลชนะก็กลับมาพร้อมยากับน้ำหนึ่งแก้ว “เอ้า จะกลับกันแล้วเหรอ งั้นกินยาก่อน”
ส่ายหน้าดุกดิกแล้วขอบฟ้าก็ยกมือไหว้ “ขอบคุณพี่มากครับที่ช่วยผมกับน้อง เดี๋ยวผมกลับไปกินยาที่บ้านเอง ไม่รบกวน...”
“อย่างพี่ฟ้าเนี่ย กลับไป จ้างให้ก็ไม่กินหรอก” เด็กสาวไม่คิดจะรักษาหน้าของพี่ชาย โพนทะนาต่อแจ๋วๆ “พี่ฟ้าเขาเป็นประเภทเจ็บตัวแค่ไหนไม่ว่า จะทำแผล จับฉีดยาเท่าไหร่ก็ไม่หืออือสักคำ แต่ถ้าเป็นเรื่องยาล่ะก็ กว่าม้ากับพี่หมอกจะจับกรอกลงคอได้แทบจะฆ่ากันตาย คิดดูสิคะ พี่พล ขนาดจับยัดลงคอไปแล้ว พี่ฟ้ายังล้วงคอให้อ้วกออกมาเลย”
“ยัยฝน...” คนโดนประจานนิ่วหน้า ปรามเสียงเบา ไม่ได้อับอายอะไรนอกจากรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปก็เท่านั้น หากพลชนะกลับยิ้มกว้าง ถามกลั้วหัวเราะ
“อ้าว แล้วงี้ต้องทำไงเวลาจะให้น้องฟ้ากินยา” สรรพนามที่เพิ่มความสนิทสนมทำให้ขอบฟ้ารู้สึกแปลกๆ ด้วยความที่ตนเคยเป็นแต่พี่ฟ้าของปลายฝนมาตลอด ส่วนม้ากับพี่หมอกก็ไม่เคยเรียกชื่อเขาอย่างเอ็นดูเช่นนี้
“ถ้าเม็ดไม่ใหญ่ ม้าจะยัดใส่ขนมหลอกให้กิน แต่ถ้าเม็ดใหญ่หน่อยก็แบ่งครึ่งก่อนไม่งั้นก็ละลายใส่น้ำหวาน แต่ต้องห้ามให้รู้ตัวค่ะ ไม่งั้นก็เข้าอีหรอบเดิม โชคดีที่พี่ฟ้าเขาเอ๋อเลยจับไม่ได้เท่าไหร่”
พลชนะหัวเราะก๊ากและยังขำไม่หยุดจนต้องรีบวางแก้วน้ำก่อนทำน้ำหก ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนไม่คิดจะรักษามารยาท พูดไม่อ้อมค้อมว่า “ปัญญาอ่อนว่ะ ทำอย่างกับป้อนยาหมา แถมเป็นหมาตะกละเห็นแก่กินอีกต่างหาก”
คำพูดตรงไปตรงมาทำเอาคนโดนด่าตีหน้าไม่ถูก ร้อนถึงพลชนะต้องรีบกระแอมเข้าไกล่เกลี่ย “มึงก็พูดแรงไป คนเรามันก็ต้องมีของที่ชอบ ที่เกลียดกันบ้าง ไม่กินก็ไม่กิน พี่คงไม่มีปัญญาจับเรากรอกยาหรอก แต่ยังเจ็บระบมแบบนี้คงกลับเองลำบาก เอางี้ เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งเราที่บ้านเอง”
ว่าแล้วก็ไม่รอฟังคำปฏิเสธ นอกจากหันไปบอกเพื่อน “กูขอยืมรถมึงหน่อย แล้วจะให้กูขับมาคืนหรือไว้พรุ่งนี้ ขับมารับไปมหาลัย”
“เอาไงก็ได้” เจ้าของรถโยนกุญแจรถบนเคาน์เตอร์ให้อย่างไม่อินังขังขอบ
“งั้นพรุ่งนี้กูขับมารับ” สรุปง่ายแล้วจึงหันมาจับตรงข้อศอกคนเจ็บด้านที่ไม่เป็นแผล “ไปครับ”
ข้างฝ่ายคนเคยแต่รับคำสั่งมาตลอดชีวิตก็ลุกง่าย ไม่ลืมที่จะหันไปดึงมือปลายฝนไว้และเอ่ยขอบคุณกรอีกครั้ง “ขอโทษที่มารบกวนนะครับ แล้วก็...ขอบคุณมาก”
อีกฝ่ายไม่คิดแม้แต่จะพยักหน้ารับ นอกจากยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจนลับหายไปจากสายตายามบานประตูปิดลง
+++++++++