Rough and Tender 10
วันต่อมาเขาตื่นแต่เช้า รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปลงทะเบียนเทอมใหม่และเนื่องจากวันนี้ ไม่ต้องขายขนมตอนเย็น มารดาจึงไม่ได้ตื่นแต่เช้าและทำอาหารไว้ให้ ขอบฟ้าจึงต้องอาศัยไปหาข้าวเช้ากินที่มหาวิทยาลัยแทน
ระหว่างที่นั่งกินข้าวโดยวางกระเป๋าสะพายไว้บนเก้าอี้ข้างตัว เขาก็หยิบโทรศัพท์ที่ได้รับมาจากพลชนะออกมากดดู พยายามศึกษาคุณสมบัติมากมายของมันและถึงกับพยายามพิมพ์ข้อความส่งให้พลชนะ แม้จะพิมพ์ได้ช้ามากๆ แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
เมื่อส่งข้อความเสร็จ ขอบฟ้าจึงหันกลับมากินข้าวต่อและรีบวิ่งไปยังอาคารที่หมายเพราะเห็นว่าได้เวลาแล้ว ส่วนใหญ่พวกวิชาหลักไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ จะมีก็แต่วิชาเลือกบางตัวที่มีคนลงค่อนข้างเยอะ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากได้คลาสที่ไม่เลิกเย็นจนเกินไปนัก
หลังจากเช็คเซคชั่นและกรอกรายละเอียดเสร็จ ขอบฟ้าจึงเข้าไปยื่นเอกสารที่โต๊ะ โชคดีที่มาแต่เช้า เซคชั่นที่เลือกไว้จึงยังไม่เต็ม เขายังยิ้มอยู่ขณะเช็ครายละเอียดในใบแจ้งผลลงทะเบียนแต่กลับต้องใจหายวูบเมื่อควานหากระเป๋าเงินไม่เจอ
ขอบฟ้าแหวกกระเป๋าออกจนสุด ค้นทุกซอกทุกมุม ถึงกับตบตามกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงตัวเองด้วย แต่พอหาไม่เจอจริงๆ จากที่ตกใจอยู่แล้วก็ยิ่งตกใจหนัก พยายามคิดเร็วจี๋ว่าครั้งสุดท้ายที่หยิบเงินคือที่ไหน พอนึกออก จึงรีบวิ่งหน้าตาตื่นกลับไปโรงอาหาร ตรงดิ่งไปยังโต๊ะที่นั่งเมื่อครู่ กวาดตามองทั้งใต้โต๊ะ บนโต๊ะก็ยังหาไม่เจอ เขาเลยลองไปดูตามทางเดินแถวร้านข้าว เอ่ยถามแม่ค้าเผื่อว่าจะเก็บไว้ให้แต่ต้องผิดหวังเมื่อได้รับคำตอบว่าไม่เห็น
ขอบฟ้าที่ตอนนี้เริ่มเหงื่อตกวิ่งกลับไปตามหาแถวโต๊ะอาหารอีกรอบ สอบถามนักศึกษาที่นั่งกินข้าวอยู่แถวนั้นแต่ก็ยังได้รับคำตอบแบบเดียวกันคือไม่เห็น เขาวิ่งวนกลับไปกลับมาตามทางเดินโดยที่หน้าเสียขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้ายต้องยอมรับว่าเขาเพิ่งทำกระเป๋าเงินหาย ลำพังแค่กระเป๋าเขาไม่เสียดายแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเงินค่าลงทะเบียนที่ทิวหมอกเพิ่งให้มาก็หายไปหมดแล้วด้วย
ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง พยายามคิดหาทางออกทั้งๆ ที่หัวใจหดลีบเหลือดวงนิดเดียว ลำพังเงินเก็บส่วนตัวของเขามีไม่พอแน่ ทว่าถึงต่อให้มีเงินเบี้ยเลี้ยงของเดือนใหม่ก็ไม่พออยู่ดี สิ่งที่สมองซึ่งยังมึนชาไม่หายคิดได้คือบอกทิวหมอกไปตามตรง
ต่อให้ต้องโดนด่าชุดใหญ่ก็คงดีกว่าอดเรียน... ตัดสินใจได้แล้วแต่ขอบฟ้ายังมองหาความสบายใจไม่เจอ เมื่อคืนนี้เองแท้ๆ ที่ทิวหมอกเพิ่งกำชับให้เก็บเงินให้ดีแล้วก็เพิ่งเมื่อคืนนี้เอง...ที่ทิวหมอกเพิ่งชมเขา
ขอบฟ้าไม่ค่อยกลัวกับการโดนด่า แต่เขาไม่อยากทำให้พี่ชายผิดหวัง
เพื่อนที่พอจะให้หยิบยืมเงินก็ไม่มี เขาคิดถึงพลชนะ ค่อนข้างแน่ใจว่าถ้าเอ่ยปาก ฝ่ายนั้นคงควักกระเป๋าให้ยืมทันทีแบบไม่ต้องหยุดคิด ปัญหาคือพลชนะยังไม่กลับกรุงเทพฯ
ตัวเลือกอีกทางและอาจเป็นตัวเลือกสุดท้ายทำให้เขาเครียด ลำพังแค่สถานการณ์ตอนนี้ระหว่างพวกเขาก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สลัดไม่หลุดหนีไม่พ้นอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มเรื่องเงินเข้าไปอีกมีหวัง...
กรจะให้เขายืมเงินหรือเปล่าก็ไม่รู้ จริงอยู่ว่าฝ่ายนั้นฐานะดีมาก แต่อะไรอย่างอื่นนี่ไม่มีดีสักอย่าง มีแต่ขั้นเลวร้ายจนถึงเลวร้ายที่สุด คงไม่แคล้วคิดว่าเขาเห็นแก่เงิน... คิดถึงตรงนี้ขอบฟ้าก็ต้องเริ่มทบทวน ...เขาไม่มีเหตุผลต้องห่วงภาพลักษณ์ตัวเองในสายตาฝ่ายนั้นสักนิด ดีเสียอีก เขาอยากให้กรมองว่าตนเป็นพวกเห็นแก่เงิน เขาควรจะขอนั่นขอนี่เยอะๆ จนกรทนไม่ไหว ตราหน้าว่าเขาเป็นหน้าเงินแล้วเลิกยุ่งด้วยในที่สุด
ถึงจะตัดสินใจได้ แต่การทำอย่างที่คิดไม่ใช่เรื่องง่าย ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยขอเงินใครนอกจากมารดากับทิวหมอก ขอบฟ้ารู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวจนแทบจะกระดอนออกมานอกอกขณะรอสาย
“มีอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามงัวเงียติดจะหงุดหงิดฟังเหมือนเพิ่งตื่นนอน นี่มันจะสิบโมงแล้วนะ ทำไมยังไม่ตื่นอีกเนี่ย “กูถามว่ามีอะไร”
“พี่กร...ยังไม่ตื่นเหรอ” ปลายนิ้วเขาเริ่มเย็น เสียงก็ติดๆ ขัดๆ
“กูละเมอพูดอยู่มั้ง โทรมาปลุกกูแต่เช้าแล้วยังถามอะไรปัญญาอ่อนอีก” ได้ยินเสียงจุดไฟแช็ค ตื่นนอนมาก็ดูดบุหรี่ เดี๋ยวมะเร็งปอดก็ถามหาจนได้ “ว่าไง”
“สูบบุหรี่แต่เช้ามันไม่ดีนะ ถึงนี่มันจะไม่ค่อยเช้าแล้วก็เถอะ อีกสิบห้านาทีจะสิบโมง...” เขาพล่ามขณะถูฝ่ามือชื้นเหงื่อกับกางเกง พยายามมองหาวิธีวกเข้าประเด็น
“ถ้ามึงนึกออกว่าจะพูดอะไรกับกู ค่อยโทรมาใหม่แล้วกัน กูจะนอน...”
“ผมขอยืมเงินหน่อยได้ไหมครับ” รีบโพล่งพรวดก่อนอีกฝ่ายจะตัดบทวางสาย ความเงียบทำให้ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นได้ยินชัดหรือไม่ แต่คิดว่าคงได้ยินล่ะ “ผมมาลงทะเบียนที่มหาลัยแต่...แต่ทำกระเป๋าเงินหาย ความจริงถ้าบอกพี่หมอกก็คงได้ แต่ไม่อยากโดนด่า พี่พลก็ไม่อยู่ ผมก็เลย...”
การขอเงินคนอื่นนี่มันยากจริงๆ นะ ต่อให้เป็นการขอยืมก็เถอะ เขาตัดสินใจล้มเลิกแผนการบ้าบอเพื่อขอหลุดจากสถานการณ์น่าขายหน้า รู้แบบนี้ ยอมให้ทิวหมอกด่าข้ามวันข้ามคืนยังดีเสียกว่า “ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมแค่ลองถามดูเฉยๆ พี่กรไปนอนต่อเถอะ ขอโทษนะครับที่โทรมาปลุก”
“มึงรอกูอยู่ที่นั่นล่ะ” พูดสั้นๆ แล้วกรก็วางสายไป
ขอบฟ้านั่งอยู่กับที่เพราะไม่รู้จะไปไหนอยู่แล้ว ระหว่างที่นั่งคอยอย่างกระวนกระวายก็นึกอยู่หลายรอบว่าดีแน่แล้วเหรอที่จะขอยืมเงินคนอื่นแบบนี้ เงินไม่ใช่แค่น้อยๆ แค่ร้อยสองร้อย ต่อให้อยากสร้างภาพแค่ไหนแต่เรื่องเงินเรื่องทองนี่มันไม่เข้าใครออกใคร ถ้าได้เงินมาจากกรแล้วจะกลายเป็นว่าเขาไม่ได้โดนข่มขู่บังคับ แต่กำลังเอาตัวเข้าแลกกับเงินหรือเปล่า คิดถึงตรงนี้ ขอบฟ้าก็ยิ่งใจเสียหนัก
จนโทรศัพท์ดังอีกครั้ง คราวนี้กรถามว่าเขาอยู่ตรงไหน อีกห้านาทีถัดมา ร่างสูงก็เดินหน้าบึ้งตึงมาทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม มือใหญ่เสยผมจนยุ่งเหยิงแล้วควักกระเป๋าเงินขึ้นมา
“เท่าไหร่” ฟังเขาพึมพำจำนวนเงินแล้วกรก็ควักส่งให้ “รีบกลับมาล่ะ หิวข้าวชิบหาย เมื่อคืนแม่งแดกแต่เหล้า แถมอ้วกออกมาหมด พยาธิในท้องจะไม่มีอะไรแดกอยู่แล้ว”
พอเห็นเขาไม่ยื่นมือไปรับเสียที หน้าที่บึ้งอยู่แล้วก็ยิ่งบึ้งหนัก “เป็นเหี้ยอะไรอีก”
“ผมไม่เอาแล้วดีกว่า” ขอบฟ้าก้มหน้า ขยุ้มกางเกงแน่น “ผมว่าผมไปบอกพี่หมอกตรงๆ เขาคงด่านิดหน่อย แต่ก็...ไม่เป็นไรแล้ว ผมไม่ยืมเงินพี่กรแล้ว”
เสียงตบโต๊ะดังปังทำให้คนใจเสียสะดุ้งโหยงสุดตัว เงยหน้ามาเจอสีหน้าโหดๆ เหมือนอยากหักคอเขาอีกต่างหาก “กูสั่ง...ให้มึงเอาเงินนี่ เดินไปจ่ายค่าลงทะเบียนให้เสร็จภายในห้านาที ไม่งั้นมึงได้เป็นข่าวดังประจำมหาลัยแน่”
ไม่รู้หรอกว่ากรจะมีวิธีทำให้เขาเป็นคนดังได้ยังไงในชั่วข้ามคืน แต่ขอบฟ้าไม่อยากรู้และไม่อยากลองของด้วย เขาพึมพำรับคำแล้วยกมือไหว้ก่อนจะรับเงินมา รีบวิ่งไปยังโต๊ะชำระเงิน จนกระทั่งเสร็จสิ้นก็รีบคว้าใบเสร็จวิ่งเหงื่อแตกกลับมาเจอเจ้าหนี้นอนฟุบหน้าหลับคาโต๊ะไปเสียแล้ว
ใจหนึ่งก็อยากปลุก แต่อีกใจก็บอกว่าเดี๋ยวโดนด่า เมื่อครู่ก็โดนไปแล้วรอบหนึ่ง คิดได้ดังนั้น ขอบฟ้าเลยลงนั่งรอให้อีกฝ่ายตื่นเอง แต่ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงจนแสงแดดเริ่มไล่ที่ กรก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เขาจึงค่อยๆ เรียกแบบกล้าๆ กลัวๆ
“พี่กร ตื่นเถอะ” คำตอบรับคือความเงียบ ขอบฟ้ายื่นมือไปดึงแขนเสื้อค่อยแสนค่อย “พี่กร นอนตรงนี้แดดส่อง”
กรส่งเสียงครางพลางโงหัวขึ้น ดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือแล้วสบถงึมงำ “แม่ง ไม่ปลุกกูพรุ่งนี้เลยล่ะ”
ถึงปกติกรจะหยาบคายและไร้มารยาทอยู่แล้ว แต่วันนี้เขารู้สึกเหมือนความหยาบคายที่ว่าจะมากกว่าระดับปกติยังไงก็ไม่รู้
อย่างไรก็ดี เขาไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหนี้แน่ๆ จึงยอมรับผิดแต่โดยดี “ขอโทษครับ”
หางตาคมๆ แต่ตอนนี้ติดจะแดงก่ำตวัดมองก่อนแค่นเสียง “ขอโทษอยู่ได้ น่ารำคาญว่ะ”
ขอโทษแล้วโดนด่า ขอบคุณก็ไม่เข้าท่า ขอบฟ้าเลือกทางเงียบ คิดเข้าข้างตัวเองว่าตอนนี้น่ารำคาญแล้ว อีกไม่นานน่าจะกลายเป็นน่าเบื่อ ถึงตอนนั้นเขาคงเป็นอิสระ ได้ข้อสรุปแล้วจึงพยักหน้ารับหงึกหงัก ชวนเปลี่ยนเรื่องแทน “บ่นหิวไม่ใช่เหรอครับ ถ้าไงไปกินที่โรงอาหารไหม อร่อยนะ ถูกแถมให้เยอะอีกต่างหาก”
เขาสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่ากรไม่ค่อยจะเรื่องมากกับอาหารการกินมากนัก ว่าต้องกินร้านหรูร้านแพง จะเป็นร้านข้างถนนหรือแบกับดินก็ได้ทั้งนั้น เรียกว่ากินง่ายผิดคาดเพียงแต่กินเก่งมากๆ และไม่ผิดจากคาดเมื่อมองอาการพยักหน้ารับส่งๆ แล้วพวกเขาจึงพากันเดินไปยังโรงอาหาร กรควักธนบัตรสีแดงส่งให้ โบกมือสั่ง “มึงไปซื้อมา อะไรก็ได้ อย่าเอาของมันๆ พอ”
เลือกซื้อข้าวราดแกงกับน้ำเปล่าอีกขวดมาส่งให้พร้อมเงินทอน กรเหลือบดูธนบัตรกับเศษเหรียญนิดเดียวแล้วถาม “ของมึงล่ะ”
“ผมกินแล้วเมื่อเช้า”
คาดว่าคำตอบคงไม่เป็นที่สนใจนักเพราะชายหนุ่มดันเงินทอนคืน พูดด้วยประโยคบอกเล่าออกแนวสั่ง “ไปซื้อข้าวเที่ยงกินซะ ผอมหัวโตแล้วมึงอ่ะ กอดแต่ละทีกระดูกจะทิ่มกูตาย”
คำพูดลุ่นๆ ส่งผลให้ใบหน้าคนฟังร้อนเห่อ รีบร้อนลุกพรวดพราดจนแทบจะสะดุดเก้าอี้หกล้ม วิ่งเตลิดไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่วิ่งหนีแต่ไปหาข้าวกินตามคำสั่งก่อนจะได้ยินอะไรแสลงหูไปมากกว่านี้ เมื่อเดินกลับมาอีกรอบ เขาก็เห็นกรกำลังนั่งตะแคง เอี้ยวตัวไปด้านหลังซึ่งมีกลุ่มเด็กวัยรุ่นนั่งอยู่ไม่ไกล
ทีแรกคิดว่าอาจเป็นคนรู้จักแต่คิดอีกที กรอาจจะถูกใจเด็กคนใดคนหนึ่งในนั้นก็ได้ ขอบฟ้าเพิ่งตักข้าวเข้าปากคำแรก กรก็พยักเพยิดหน้าไปทางดังกล่าว “นั่นใช่กระเป๋าตังค์มึงป่ะ”
ขอบฟ้ารีบเงยหน้าขวับ หรี่ตายิบหยีแต่ยังเห็นไม่ชัดเลยรีบควักแว่นตาขึ้นมาใส่ “ไม่รู้สิ ...ผมเห็นไม่ชัด ไม่ค่อยแน่ใจ”
“เหรอ กูได้ยินมันหัวเราะกันบอกว่าวันนี้ดวงดี ได้ตังค์ใช้ฟรีว่ะ” ชายหนุ่มยักไหล่ “ไม่ใช่ กูยอมให้ถีบเลยเอ้า”
ถึงใจหนึ่งจะอยากถีบคนท้าแต่อีกใจก็อยากให้กรพูดถูกมากกว่า เขาลุกเก้ๆ กังๆ ย่องๆ ไปหาเด็กกลุ่มดังกล่าว หัวยังเกรียนกันยกกลุ่ม คงไม่แคล้วเด็กเข้ามาเรียนพิเศษตอนปิดเทอมหรือไม่งั้นก็แวะมาหาข้าวราคาถูกกินแหงๆ
“เอ่อ น้องครับ” สายตาหลายคู่มองมาพร้อมกันทำให้ขอบฟ้าเริ่มประหม่า ยกมือขยับแว่น “พี่คิดว่านั่นมันกระเป๋าตังค์พี่นะครับ น้องเก็บได้จากไหน พี่ทำตกแถวๆ โรงอาหารนี้เมื่อเช้า”
ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธ ขอบฟ้าอ้าปากอีกรอบเตรียมขอคืน หากเด็กชายหัวเกรียนที่ถือของกลางอยู่ในมือกลับเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “พวกผมเก็บได้จากที่อื่นต่างหาก แล้วพี่มีอะไรมายืนยันไหมว่ามันเป็นของพี่ โมเมหรือเปล่าเนี่ย”
เด็กสมัยนี้...เขาว่าเขาโง่แล้วนะ ดันเจอโง่กว่าได้อีก “ในกระเป๋ามีทั้งบัตรประชาชน บัตรนักศึกษา น้องลองหาดูสิ”
คนถามนิ่งอึ้งไปนิดแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะ แหวกกระเป๋าแล้วหยิบบัตรออกมา
“นั่นไง ทีนี้พี่ขอคืนด้วยครับ”
ขอบฟ้าเกือบรับกระเป๋าที่ถูกโยนคืนมาแทบไม่ทัน พอรีบเปิดเช็คดูด้านใน เขากลับพบว่าเงินหายไปทั้งหมด “เงินในนี้...”
“ตอนพวกผมเจอ มันก็ไม่มีอยู่แล้ว สงสัยคนเก็บได้ก่อนหน้าคงเอาไปหมดแล้วมั้ง อย่ามากล่าวหาซี้ซั้ว ผมอุตส่าห์เก็บได้แล้วเอามาคืนพี่แท้ๆ”
“ใช่ๆ อะไรวะ หาว่ามึงขโมยเงินพี่แกเฉยเลย ทำคุณบูชาโทษว่ะ”
หลายประโยคเซ็งแซ่เสียจนขอบฟ้าคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดจริงๆ “เอ้อ พี่ขอโทษ พี่ผิดเองล่ะที่สงสัยพวกน้องๆ เอาเป็นว่าขอบคุณแล้วกันนะที่อุตส่าห์เก็บกระเป๋า เก็บบัตรไว้ให้ อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนไปทำใหม่”
ทั้งขอโทษทั้งขอบคุณเรียบร้อยครบถ้วน ขอบฟ้าก็เดินถือกระเป๋าเบาหวิวกลับมานั่งลงที่เดิมภายใต้การจับตามองของคนนั่งฝั่งตรงข้าม คิ้วเข้มเลิกสูงเป็นเชิงถาม
“น้องเขาบอกว่าตอนเจอก็ไม่เหลือเงินแล้ว คงมีใครเก็บได้ก่อนหน้าน่ะ ช่างมันเถอะครับ ได้แค่ตัวกระเป๋ากับบัตรคืนมาก็ถือว่าโชคดีแล้ว” หัวเราะแห้งแล้วหยิบช้อนส้อมมาถือไว้ แต่ปากคอกลับตีบตันบอกไม่ถูก
กรมองเขานั่งเขี่ยข้าวแล้วส่ายหน้า ทำเสียงเฮอะขึ้นจมูกก่อนจะกินข้าวต่อโดยไม่พูดอะไรปลอบใจสักคำ กระทั่งหมดจาน ร่างสูงจึงลุกขึ้นบิดตัว สั่งสั้นๆ “รอนี่”
ขอบฟ้ามองท่าเดินอาดๆ ตรงดิ่งไปทางเด็กกลุ่มเดิมแล้วใจหายวาบ ทำอะไรไม่ถูกขณะทำได้แค่มองกรพูดอะไรบางอย่างกับเด็กทั้งกลุ่ม พูดอีท่าไหนไม่รู้ แต่เด็กหัวเกรียนเริ่มตีหน้าบึ้ง เถียงกันไปเถียงกันมาสักพัก หนึ่งในนั้นก็กระโจนลุก ชี้หน้าชายหนุ่มพร้อมด่าดังลั่น
“ไอ้เหี้ย!”
กรก็ปฏิกิริยาตอบรับไวเกินคาด จากมือที่เมื่อวินาทีก่อนยังล้วงกระเป๋าตามสบายมาตอนนี้ดันกลายเป็นหมัด สวนโครมเข้าเต็มหน้าครึ่งปากครึ่งจมูกเด็กเกรียนปากหมาเจ้าของเหี้ยตัวเมื่อครู่แบบไม่มีหมัดแย๊บอารัมภบทให้เสียเวลา
อีกฝ่ายหงายหลังตึงในขณะที่เด็กเกรียนที่เหลือลุกฮือตรงเข้าใส่ชายหนุ่มพร้อมกัน ขอบฟ้ายังอ้าปากค้าง จนกระทั่งมีคนอื่นวิ่งเข้าไปห้ามยุดยื้อมะรุมมะตุ้มกันนั่นล่ะ เขาถึงเพิ่งได้สติ วิ่งหน้าตาตื่นแทรกวงเข้าไปคว้าแขนกรได้ก็ออกแรงทั้งฉุดทั้งลากจนแทบจะยกแบกขึ้นหลัง ถูลู่ถูกังหลุดออกมาด้วยสภาพดูไม่จืด
หน้าหล่อๆ ตอนนี้กลายเป็นหน้าโดนต่อย มุมปากแตก เสื้อผ้ายับยู่ยี่เหมือนไปฟัดกับหมามาสักฝูง ถึงจะตัวสูงใหญ่กว่าอีกฝ่ายแต่จากจำนวนห้าต่อหนึ่ง เจ็บตัวแค่นี้ยังถือว่าน้อยมาก “พี่เป็นบ้าอะไรเนี่ย! คิดยังไงถึงได้เข้าไปหาเรื่องเด็กพวกนั้น! มันมีกันตั้งห้าคนยังบ้าไปชกกับมันได้ คิดว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์หรือไง”
เขาตกใจจนเผลอตะโกนใส่หน้าผู้ชายตัวร้ายและคงไม่น่าแปลกใจหากจะมีหมัดทิ่มใส่หน้าเขาบ้าง หากกรแค่ยักไหล่ ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเลือดตรงมุมปาก เดินตัวเซๆ กลับไปยังรถที่จอดทิ้งไว้ ทำเหมือนเสียงดุของอีกคนเป็นแค่เสียงนกเสียงกา
ขอบฟ้ายิ่งโกรธมากขึ้นจึงรีบเดินตามไปพูดกรอกหู “เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเมื่อกี๊หนีไม่ทัน พี่จะทำยังไง ทะเลาะวิวาทในมหาวิทยาลัยน่ะ โดนโทษหนักแน่ๆ อย่างน้อยก็ต้องโดนแจ้งเรื่องไปทางผู้ปกครอง อย่างหนักคงไม่พ้นพักการเรียน...”
“มึงนี่ตกใจแล้วพูดมากว่ะ น่ารำคาญ” กรเปิดประตูรถแต่ยังไม่เข้าไปนั่ง นอกจากไม่สำนึกแล้วยังมีหน้ายักคิ้วใส่ท่าทางกวนอารมณ์ “จะบอกให้ว่ากูไม่กลัว เพราะกูไม่ใช่นักศึกษาที่นี่ ไม่เหมือนมึง ระวังตัวเหอะ ไม่รอดแน่”
ยืนอึ้งๆ มองซ้ายขวาสักพักแล้วขอบฟ้าก็รีบวิ่งไปเปิดประตูรถด้านข้างคนขับ โดดขึ้นรถก่อนได้รับเชิญ “ผมไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องสักหน่อย ทำไมต้องกลัวด้วย”
คนนั่งบ่นจากในรถไม่มีโอกาสเห็นกิริยาที่ร่างสูงกลอกตาก่อนขยับตัวขึ้นรถบ้าง เมื่อเห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่หรือตำรวจกระโดดมาขวางหน้ารถ ขอบฟ้าจึงค่อยกล้าพูดต่อเมื่อพวกเขาจากพ้นบริเวณมหาวิทยาลัย “ตัวเองเป็นผู้ใหญ่กว่าแท้ๆ ยังไปมีเรื่องกับเด็กเสียนี่ ฝ่ายโน้นยังเป็นแค่เด็กม.ปลายเองมั้ง ไปชกเขาได้ไงก็ไม่รู้”
“พวกมันใช่เด็กที่ไหน พวกมันเป็นเกรียนต่างหาก” เจ้าของรถที่ทนฟังคำตำหนิฝ่ายเดียวไม่ไหวเริ่มเถียงกลับด้วยความฉุน
“เกรียนไม่มีแบ่งแยกเพศ อายุหรือการศึกษา เกรียนก็คือเกรียน กูชกเกรียน แค่นั้นจบ มึงเลิกเซ้าซี้ได้แล้ว ไม่งั้นกูถีบตกรถ”
ไม่แน่ใจหรอกว่าเป็นเพราะกลัวคำขู่หรือเห็นว่าสอนไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง แต่ขอบฟ้าก็นั่งหน้าตึง ปิดปากเงียบไปจนถึงคอนโด หากพอตั้งท่าจะกลับบ้าน กรดันหันมาสั่ง “ไปซื้อยาแก้อักเสบให้กูก่อน”
พอเห็นท่าอิดออด กรก็ขู่ทับ “ถ้ากูตายห่าเพราะไม่มียาแดกคืนนี้ กูจะเป็นผีมาหลอกมึงคนแรก”
ปล่อยให้ขอบฟ้าเดินลิ่วหน้าคว่ำไปซื้อยาจนเกือบลับตา เจ้าวายร้ายตัวพ่อถึงเพิ่งตะโกนไล่หลัง “ไม่เอาตังค์หรือไง เดี๋ยวก็ได้เดินตัวเปล่ากลับมาอีกรอบ เร็วดิวะ ชักช้าท่ามาก เดี๋ยวกูตาย อย่ามาร้องไห้นะมึง”
+++++++++++