Rough and Tender 6
ขอบฟ้าสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อนอกหน้าต่างเริ่มกลายเป็นแสงสลัวของอาทิตย์ยามเย็น
เขาลุกพรวดขึ้นและรับผลที่ตามมาคือความเจ็บปวดระบมทั่วร่างกายเหมือนโดนใครเอาไม้มาทุบ มองสถานที่แปลกตารอบตัว สักพักจึงนึกออกว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่และความเจ็บปวดนั้นมาจากไหน
แม้ว่าจะต้องอาศัยเวลานาน แต่ในที่สุดเขาก็คลานลงจากเตียงสำเร็จ ไม่ใส่ใจกับคราบเลือดและคราบแห้งกรังตรงซอกขา พยายามแต่งตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพิ่งลุกสะโหลสะเหลลากขาไปได้สองสามก้าว ประตูห้องก็เปิดปัง
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” กรถามด้วยอาการปกติขณะเดินเข้ามาหา “จะกลับหรือยัง จะขับรถไปส่ง”
หลังสิ่งที่เกิดขึ้น เขาสมควรจะโกรธหรือเกลียดชายตรงหน้าสุดชีวิต หากสิ่งเดียวที่ขอบฟ้ารู้สึกว่ามันเอ่อล้นแทบทะลักคอหอยคือความกลัว ตัวเขาสั่นพั่บยามมือใหญ่เอื้อมมาจับแขน รู้สึกได้เลยว่าเลือดหายไปจากสีหน้า แม้แต่ปลายนิ้วยังเย็นเยียบ
“กลัวอะไร ทำไมต้องตัวสั่นขนาดนี้” เสียงห้าวทุ้มทอดนุ่ม มืออีกข้างเชยคางให้เขาเงยสบตาดำจัดไร้ก้นบึ้งกับรอยยิ้มราวเทพบุตร “กลัวไอ้พลมันรู้เหรอ ไม่ต้องกลัวหรอก กูไม่คิดจะบอกใครตราบใดที่มึงยังทำตัวว่าง่าย”
อากาศที่สูดเข้าไปเหมือนกับจะติดอยู่แค่ที่คอ ขอบฟ้าคิดว่าสมองกับหัวใจเขาเย็นเฉียบพอๆ กับปลายนิ้วแล้วในเวลานี้ยามได้ยินคำพูดประโยคถัดไป “โดยเฉพาะป่าน มึงคงไม่อยากให้ป่านรู้ว่าเรานอนด้วยกันแล้วใช่ไหม”
ไม่ต้องตอบ อาศัยแค่ดูสีหน้าเขา กรคงได้รับคำตอบเรียบร้อย ชายหนุ่มยิ้มให้อีกครั้งและเอ่ยชักชวน “มาเถอะ ทางนี้”
อย่าว่าแต่สั่งให้หันซ้ายหรือหันขวาเลย ตอนนี้ถ้ากรสั่งให้ขอบฟ้าคลาน เขาก็คงต้องทำตาม ขาที่กะปลกกะเปลี้ยเหมือนไม่มีกระดูกออกเดินโผเผตามร่างสูง ขณะเพิ่งสังเกตว่าที่นี่หาใช่ห้องในคอนโดที่เคยไปมาอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นบ้านหลังใหญ่...ใหญ่มาก ขอบฟ้าเกาะราวบันไดลงมาชั้นล่างทีละขั้นๆ ด้วยความเชื่องช้า นึกอยากให้กรนึกรำคาญจนเปลี่ยนใจเรื่องไปส่งที่บ้าน แต่ต้องผิดหวังเมื่อเจอชายหนุ่มยืนสูบบุหรี่รอข้างรถ
...เขาควรขัดขืนเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะถ้าเลยจากจุดนี้ไปแล้วเรื่องทุกอย่างคงยากจะหวนคืน ไม่มีใครช่วยเขาได้และไม่เคยมีใครคิดช่วย แม้จะกลัว แม้จะสั่นขนาดไหน แต่จะปล่อยไปไม่ได้ “ไม่!”
คำสั้นๆ ดังเท่าที่เสียงเขาจะอำนวย ขอบฟ้าหวังว่าการตะโกนจะช่วยกลบเกลื่อนปลายเสียงสั่นพร่าได้ไม่มากก็น้อย เขายืนจ้องตาตอบคนที่เหลียวกลับมาเลิกคิ้วมอง “ผมไม่มีทางยอมให้พี่มาแบล็คเมล์กันง่ายๆ หรอก! ถ้าพี่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนอื่น ไม่ใช่แค่ผมที่จะเดือดร้อนแต่ตัวพี่เองนั่นล่ะที่จะ...”
“มึงคิดเหรอว่ากูจะสน ทุกวันนี้คนอื่นก็พูดถึงกูกันสารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องมั่วเซ็กส์ เล่นยา กูชินกับข่าวลือแล้ว” คนเดินล้วงกระเป๋าสบายๆ มาหยุดตรงหน้าเขาแสยะยิ้ม “กูเคยได้ยินมาว่ามึงเคยเป็นข่าวกับอาจารย์ผู้ชายมาทีแล้วนี่ ไงล่ะ ข่าวเก่ามันชักซาไปแล้วสิท่าเลยอยากได้ข่าวใหม่ไปกระพือชื่อเสียงตัวเอง”
กรทิ้งบุหรี่ลงบนพื้นและใช้ส้นเท้าบดขยี้ ชีวิตทั้งชีวิตของเขาก็คงไม่ผิดกันที่คิดจะกระทืบทิ้งเมื่อไหร่ก็ทำได้ “แต่ผมเป็นแฟนพี่พลนะ พี่พลเองก็เป็นเพื่อนพี่กร...แล้วทำไม...”
“นี่มึงแกล้งโง่หรือโง่จริงๆ วะ คิดเหรอว่าไอ้พลมันจะมีแค่มึงคนเดียว มันไปเที่ยวกับกูกี่คืนๆ กูไม่เคยเห็นมันหิ้วเด็กซ้ำหน้าสักครั้ง เลิกหลงตัวเองว่าสำคัญนักหนาเสียทีเหอะ มันน่าสมเพช รู้ตัวบ้างไหม” มือแข็งราวกับคีมเหล็กกระชากเขาที่ยังยืนตัวแข็งยัดใส่เบาะหน้ารถอย่างนึกรำคาญเต็มแก่ บาดแผลที่หว่างขาตอนกระแทกกับเบาะปวดร้าวก็จริง แต่หัวใจกลับเจ็บหน่วงหนักกว่าหลายเท่า
น่าสมเพช...คือสิ่งที่เขากลัวที่สุดแต่กลับเป็นมาตลอดชีวิต เขาหวังอยากให้ใครสักคนมารัก แต่ไม่เคยย้อนดูตัวว่าไม่สมควรได้รับ เหมือนพลชนะ...ที่สุดท้ายแม้ไม่ได้รักแต่ก็คงเป็นอย่างที่กรว่า... พลชนะอาจจะสมเพชหรือสงสารเขาก็แล้วแต่ ทว่าท้ายสุด ความใจดีนั้นก็ช่วยให้เขามีความสุข มีความหวังขึ้นมาบ้างไม่ใช่เหรอ
“บ้านอยู่ไหน” กรต้องถามย้ำรอบสองด้วยเสียงตวาด ขอบฟ้าจึงค่อยบอกเบาๆ และนิ่งฟังคนขับชำเลืองมองมาพลางยิ้มเยาะ “หรือว่าหลังจากนี้จะไปบอกเลิกไอ้พล ก็ดีนะ...จะได้ไม่ต้องปิดบังให้มันยุ่งยาก”
“ไม่” ดูท่าเขาคงชินกับการพูดสั้นๆ เสียแล้ว แต่ความหมายที่ต้องการสื่อก็อยู่ในนั้นครบถ้วนดี “ผมไม่เลิก”
อาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดง กรหันมามองเขาทั้งตัวก่อนจะหัวเราะ “กล้าดีนี่ อย่างนี้ค่อยน่าสนุก”
ขอบฟ้าไม่ตอบโต้ด้วยอีก นอกจากมองข้างทางตลอดเวลาที่เหลือและบอกทางอีกนานๆ ครั้ง จนเมื่อรถจอดลงใกล้บ้าน เขาก็โดนดึงแขนไว้ “เอานี่ไปไว้ให้เป็นของขวัญวันเกิดไอ้พลมัน”
ถุงกระดาษโดนยัดใส่มือ คาดว่าชายหนุ่มคงซื้อจากร้านที่ระห่ำซื้อแหลกนั่นล่ะ อาจเป็นตอนเขายุ่งๆ เลยไม่ทันสังเกตว่ามันมีไอ้กล่องนี่มาด้วย “ไม่เอา ผมซื้อให้พี่พลเองได้”
“ซื้ออะไร ซื้อผ้าเช็ดหน้าอย่างวันนี้น่ะเหรอ” กรขำพรืด “ซื้อของขวัญวันเกิดให้แฟนทั้งที มึงมีปัญญาซื้อแค่ผ้าเช็ดหน้าเนี่ยนะ”
ใบหน้าคนฟังร้อนวาบ มือเขาโยนถุงในมือทิ้งโดยอัตโนมัติ แทบจะโยนใส่หน้าคนซื้อให้ด้วยซ้ำ “ของขวัญไม่ได้มีค่าที่ราคา แต่มันอยู่ที่ความจริงใจต่างหาก ขอแค่ให้ด้วยใจ... คนรับก็มีความสุขแล้ว”
ดูจากอาการกัดฟันกรอด คาดว่าถ้าตอนนี้ยืนประจันหน้ากันอยู่ กรคงชกเขาฟันร่วงไปแล้ว “เออ แล้วจะคอยดู”
มองตามไฟท้ายรถแดงโร่จนหายลับตาไปแล้ว ขอบฟ้าจึงค่อยถอนหายใจ ขมวดคิ้วยามข้างในหัวปวดตุบๆ แทบระเบิด เดินลากขาข้ามถนนมาถึงหน้าบ้านแต่แค่เงยหน้ามาก็สะดุ้ง “ฝน! มายืนอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปลายฝนเลิกคิ้วมอง “ฝนเพิ่งมานี่ล่ะ พี่ฟ้ามีอะไร ทำไมต้องตกใจขนาดนี้ด้วย”
“ปะ เปล่า พี่แค่ตกใจ...” แก้ตัวแล้วรีบเดินด้วยท่าทางปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ผ่านไปขึ้นบันได
“แล้วพี่ฟ้าจะกินข้าวเลยไหม ฝนจะได้เจียวไข่เผื่อ”
“พี่ไม่หิว” เมื่อเข้าห้องมาได้ ขอบฟ้ารีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันทีและเริ่มต้นอาเจียนจนตัวงอ กระทั่งคิดว่าคงไม่มีอะไรเหลือออกมาอีกนอกจากกระเพาะ จึงค่อยๆ ทรุดตัวลงซบหน้าลงกับเข่า กำกำปั้นทุบหัวกับลำตัวซ้ำๆ ราวกับต้องการปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายเสียที
...เมื่อไหร่จะตื่นจากฝันร้ายเสียที
+++++++++
เป็นการทำข้อสอบที่แย่ที่สุดในชีวิต
กระดาษข้อสอบเขาว่างเปล่าเกินครึ่ง เพราะสุดจะเค้นปัญญาเอามาตอบ ขอบฟ้านั่งคอตกผิดกับนักศึกษาส่วนใหญ่ซึ่งมีท่าทางสบายอกสบายใจหลังสอบเสร็จ ต่างหัวเราะเฮฮาระหว่างปรึกษาว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อจากนี้ดี
โทรศัพท์สั่นในกระเป๋าเรียกร้องความสนใจของเขา จึงรีบกดรับ “ฟ้าสอบเสร็จแล้วใช่ไหม พี่รออยู่ตรงที่เดิม...”
“พี่พล” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้คุยกับพลชนะหลังวันเกิดเรื่อง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขากลัวการพบหน้าอีกครั้ง “ผม...”
“หืม เป็นอะไร ข้อสอบยากมากเลยเหรอ” คำถามดังกล่าวทำให้เขายิ้มได้โดยไม่มีสาเหตุ
“อื้ม ยากมากๆ ผมทำไม่ได้ตั้งเยอะ เกรดเทอมนี้คงแย่น่าดู” ขอบฟ้าหัวเราะเสียงสั่น นึกไม่อยากเผชิญหน้ากับพลชนะขึ้นมาทันควัน วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของฝ่ายนั้นแท้ๆ เขาไม่ควรเอาเรื่องแย่ๆ กับตัวเขาเองที่แย่ยิ่งกว่าไปหาพลชนะอีก “ผมขอโทษนะครับ แต่เรื่องงานวันเกิดของพี่ ผมคง...”
“ฟ้าไม่อยากไปเหรอ” เพราะพลชนะไม่ได้ใช้น้ำเสียงหงุดหงิดใส่ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
“พี่ไปฉลองกับเพื่อนๆ คงสนุกกว่ามีผมไปด้วย” เพื่อนๆ ที่มางานในวันนี้ ต้องมีกรอยู่ด้วยแน่นอน ขอบฟ้าแน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่ “แต่ผมเตรียมของขวัญวันเกิดมาให้พี่พลด้วยนะ เดี๋ยวผมจะเอาไปให้ที่รถ...”
“ฟ้า” เสียงเรียกนั้นไม่ได้ดังมาจากโทรศัพท์ที่แนบหู หากดังมาจากตรงหน้า ร่างสูงทรุดลงคุกเข่าหน้าเขาที่ยังถือโทรศัพท์ค้าง เอื้อมมือมาถอดแว่นที่เขาใส่ตอนทำข้อสอบออกให้ “ถ้าเราไม่สบายใจเรื่องสอบจนไม่อยากไปปาร์ตี้ พี่ก็ไม่ว่าหรอก แต่เดี๋ยวขอพี่โทรยกเลิกกับเพื่อนก่อนนะ แล้วเราค่อยไปฉลองเงียบๆ กันแค่สองคน แบบนั้นฟ้าคงสบายใจกว่าเนอะ”
กว่าจะหายจากอาการตกตะลึง พลชนะก็กดโทรออกแล้ว “พี่พลๆ ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง ผมไป ผมไปได้”
ไม่รู้ทำไมต้องพูดซ้ำซาก แต่ก็ได้ผลเมื่อพลชนะเลิกคิ้ว “แน่ใจ”
มองเขาพยักหน้าหงึกหงักหนักแน่น จึงค่อยพูดกับปลายสาย “เออ ไม่มีอะไรแล้วแค่จะโทรมาคอนเฟิร์มเย็นนี้”
นิ่งฟังสักพัก พลชนะก็หัวเราะ “ไม่ต้องเตือนกูหรอก มารับแล้ว... กำลังนั่งหน้าเศร้าตาโศกอยู่นี่ไง”
สังหรณ์ขั้นรุนแรงว่าไม่ใช่ใครอื่นหรอกที่พลชนะคุยด้วยอยู่ นอกเสียจาก... “ไอ้กร อย่ามาปากหมา เดี๋ยวเจอหน้ากูจะเตะให้ แค่นี้นะ”
พลชนะลุกยืนพร้อมดึงเขาขึ้นด้วย “ไปกันเถอะ พวกเพื่อนๆ พี่เริ่มทยอยไปที่ร้านกันแล้ว”
ลากขาหนักอึ้งราวแท่งตะกั่วไปขึ้นรถ พลชนะคงคิดว่าที่เขาทำหน้าเหมือนใกล้อ้วกเป็นเพราะกลุ้มใจเรื่องสอบจึงไม่เซ้าซี้ชวนคุยอะไรมากนัก จนมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นร้านอาหารบรรยากาศดี ชายหนุ่มก็ยิ้มให้กำลังใจ “ทำหน้าร่าเริงหน่อยสิ ตอนเรายิ้มน่ารักจะตาย วันนี้วันเกิดพี่นะ ยิ้มให้พี่ดูหน่อยเร็ว”
ยิ้มหรือยิงฟันไม่รู้ หากพลชนะก็หัวเราะแล้วโอบบ่าเขาเข้าร้าน แค่เดินเลี้ยวเข้าไปยังไม่ทันได้กวาดตามองหา พวกเขาก็ได้ยินเสียงเรียก “ไอ้พล ทางนี้”
ปาร์ตี้เล็กๆ... ขอบฟ้านึกทวน ...ปาร์ตี้ที่มีคนเกือบสิบนั่งอยู่รอบโต๊ะที่เอามาต่อกันจนยาวกินที่ทั้งแถบนั้นไม่เล็กๆ ไม่เล็กสักนิดเดียว “พี่เหมาด้านนอกนี้ไว้หมดแล้ว เพราะเดี๋ยวอาจมีทยอยตามมาเรื่อยๆ ฟ้าไม่ต้องเกร็งหรอก เพื่อนๆ พี่ คนกันเองทั้งนั้น”
เล็กตรงไหน “พี่พลครับ ผมว่า...”
“ฟ้า มานี่ๆ” เสียงใสดังจากสตรีผมยาวสลวยในชุดแส็คสีสดใส เธอวิ่งรี่จากโต๊ะมาคว้าแขนขอบฟ้าไว้แล้วเขย่าอย่างตื่นเต้น “มานี่เลย ป่านมีเรื่องจะคุยด้วยตั้งเยอะ ว่าจะโทรหาฟ้าตั้งหลายรอบ แต่ได้ยินพี่พลบอกว่าช่วงนี้ฟ้าติดสอบเลยไม่อยากโทรไปกวน มหาลัยป่านน่ะสอบเสร็จไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว เกรดก็ออกแล้วด้วยซ้ำ ที่มหาลัยฟ้าสอบกันช้าจัง แล้วนี่เพิ่งสอบเสร็จมาใช่ไหม ทำได้หรือเปล่า อะ ไม่สิ กลับจากสนามสอบแบบนี้ต้องหิวแน่ๆ พี่พลหาอะไรมาให้กินรองท้องบ้างหรือยัง ถ้ายัง...”
“ป่าน ใจเย็น ป่านยืนพูดคนเดียวมาตั้งสิบนาทีแล้ว ฟ้ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ” พลชนะเอ่ยกระเซ้าและได้รับสายตาค้อนควักตอบแทน
“พี่พลพูดซะป่านเสียเลย ไม่เอาละ เราไปหาอะไรกินกันเถอะ” มือเล็กขาวจับจูงเขาไปทางเก้าอี้ หากขอบฟ้ากลับหยุดเท้าโดยอัตโนมัติยามเห็นคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้า “มาสิ ฟ้า จะรีรออะไร เดี๋ยวพี่พลเขาก็ตามมาเองล่ะ”
ป่านทรุดตัวลงนั่งติดกับคนด้านในก่อนและดึงมือเขาให้นั่งตาม ขอบฟ้ามองแต่ด้านหน้า ไม่ยอมหันไปมองหน้าป่านอีก “หิวเหรอฟ้า ก้มหน้าก้มตากินใหญ่เลย กินยำไหม พี่กรคะ ช่วยส่งจานยำทะเลมาให้ที”
สักพัก จานอาหารก็ถูกเลื่อนส่งมาให้ตรงหน้าพร้อมเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ทานเยอะๆ นะครับ น้องฟ้า อยากกินอะไรอีกบอกได้นะ พี่จะช่วยบริการ...แฟนของเจ้าพลเต็มที่”
เขาต้องบ้าแน่ๆ ที่ตกปากรับคำยอมมางานวันนี้ แค่ได้ยินเสียง...มือไม้เขาก็เย็นยะเยียบ ทำได้แต่นิ่งรอให้ฝ่ายนั้นเล่นงาน ทว่ากรกลับไม่ได้เอ่ยอันใดต่อและขอบฟ้าก็หมดความอยากอาหารในบัดดล นอกจากชวนป่านคุยเรื่อยๆ ผ่านไปสักพัก พลชนะก็สอดตัวเข้ามานั่งข้างเขา “พี่ไปสั่งให้เขาเตรียมอาหารอีกสองสามชุด เลือกแต่อาหารหวานๆ ที่ฟ้าชอบกินทั้งนั้น รอแป๊บนะครับ ของที่พวกนี้สั่งคงมีแต่พวกรสจัด อย่ากินดีกว่า”
หันไปพยักหน้ารับอยู่ดีๆ ก็มีเสียงลอยมา “เด็กมึงนี่เรื่องมากว่ะ ปกติคนมีเงินเขาถึงจะเลือกกินไม่ใช่เหรอ นี่อะไรวะ จนกรอบแล้วยังจะเสือก...”
“ไอ้กร” พลชนะลุกขึ้นและเรียกเพื่อนเสียงเข้ม “มึงเป็นเหี้ยอะไร พูดจาหาเรื่องกูตั้งแต่เย็นแล้ว บอกมาตรงๆ ดีกว่าว่ามึงจะเอาไง”
รอบโต๊ะเงียบกริบทันควัน บรรยากาศเฮฮาหายวับไปในพริบตา เพื่อนคนหนึ่งซึ่งใจกล้าหน่อยพยายามไกล่เกลี่ย “เฮ้ย ไรวะ พวกมึง ยังไม่ได้แดกเหล้าสักหยดดันจะต่อยกันเสียแล้ว ไอ้กรมึงก็เลิก...”
ทว่ากรกลับเตะส่งกรรมการที่พยายามไกล่เกลี่ยแยกพวกเขาออกจากกัน “มึงแน่ใจนะว่าอยากให้กูพูดตรงๆ”
ขอบฟ้าตะปบแขนพลชนะก่อนที่ชายหนุ่มจะผลักเก้าอี้ไปด้านหลังได้ทันท่วงที พูดระล่ำระลัก “ใจเย็นๆ ครับ อย่ามีเรื่องกันเลย ผมขอร้อง” อันที่จริง เขาไม่ได้อยากห้ามปรามการทะเลาะกันมากไปกว่ากลัวว่าการมีปากเสียงจะลุกลามบานปลายจนเรื่องนั้นแดงขึ้นมา “วันนี้เป็นวันเกิดพี่ พี่ควรจะมีความสุขมากๆ อย่าโกรธพี่กรเลย เพราะผมเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ”
จบประโยคทื่อๆ พลชนะก็มีทีท่าอ่อนลงทันตาและทรุดตัวลง ดึงมือเขาไปวางบนตักเงียบๆ พอเห็นว่าสถานการณ์คลี่คลายด้วยดี พวกที่เหลือจึงกลับมาพูดคุยเฮฮากันเหมือนเดิม ป่านเองก็พยายามชวนกรคุยเพื่อกันไม่ให้มาหาเรื่องขอบฟ้าอีก เขาจึงหันไปมองคนที่ลูบมือเขาเล่นอยู่และยิ้มให้
หากพลชนะกลับยิ้มตอบเศร้าๆ ชะโงกหน้ามากระซิบ “ออกไปเดินเล่นกับพี่หน่อยสิ”
เขาเดินตามคนจูงไปโดยไม่ได้คิดอะไรหรือแม้แต่จะคิดสงสัยว่าใครอีกคนที่มองตามพวกเขาจะบิดเบ้รอยยิ้มซึ่งบ่งบอกแววดูถูกเช่นไร
+++++++++
ร้านอาหารแห่งนี้แม้จะตั้งอยู่ริมถนนแต่ด้วยความความที่รอบข้างยังมีแต่พื้นที่โล่งเป็นส่วนใหญ่ ลมเย็นๆ จึงพัดอู้ ตีผมจนกระเจิดกระเจิง ขอบฟ้าเอามือลูบผมไว้แล้วซุกปลายนิ้วที่เริ่มเย็นไว้กับซอกคอ เงยหน้าดูท้องฟ้าซึ่งเริ่มมองเห็นพระจันทร์ลางๆ
“พี่พล พระจันทร์ขึ้นแล้ว” เขาชี้ชวนให้อีกฝ่ายดู พลชนะเงยหน้ามองสักพักแล้วหันมาถอดเสื้อคลุมออก บังคับให้เขาใส่และถึงกับช่วยใส่ยามเขาบอกว่าไม่ต้อง “ถอดให้ผมใส่แล้วพี่พลก็หนาวสิ”
“ลมพัดแค่นี้พี่ไม่หนาวหรอก ไม่เหมือนฟ้า...ยิ่งขี้หนาวอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ” พลชนะดึงมือเขาไปกุมไว้จนปลายนิ้วเริ่มอบอุ่น หากขอบฟ้าก็เริ่มกระสับกระส่ายเพราะกลัวคนเห็น แม้ตรงที่พวกเขาหยุดยืนอยู่นี้จะเป็นบริเวณสวนหย่อมเล็กๆ ด้านหลังร้าน แต่ก็ยังมีพนักงานเดินผ่านไปมาเป็นระยะ
“เรากลับกันดีกว่าไหม พี่เป็นเจ้าภาพงานนี่นา มาหลบอยู่นี่จะดีเหรอ” ในเมื่อไม่กล้าปฏิเสธตรงๆ เขาก็ทำได้แค่อ้อมๆ และต้องเริ่มใจไม่ดีเมื่อร่างสูงเอาแต่จ้องเขาเงียบๆ “พี่พลมีอะไรหรือเปล่า จ้องหน้าผมทำไม”
“บางครั้งพี่ก็รู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอสำหรับฟ้ายังไงก็ไม่รู้” พลชนะลูบหน้าเขาด้วยปลายนิ้ว ยิ้มนิดๆ “พี่อยากให้เราจำไว้ว่าฟ้าคือคนสำคัญสำหรับพี่ ...ฟ้ามีหัวใจที่สวยงามมากนะ สวยแบบที่คนหล่อ คนสวย คนเรียนเก่งทั้งหลายไม่มี และจุดนั้นเองที่ทำให้พี่รักเรา”
แม้จะคบกันมาได้หลายเดือน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มพูดคำว่ารักออกมาชัดๆ ขณะที่ขอบฟ้าเบิกตานิ่งอึ้ง ไม่รู้จะตอบรับยังไง พลชนะกลับกุมมือเขาไว้แน่น “ยังไม่ต้องรีบตอบอะไรทั้งนั้น พี่ไม่อยากบังคับให้เราตอบทั้งที่ไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆ มันอาจจะฟังดูแปลกนิดหน่อยในเมื่อเราก็เป็นแฟนกันอยู่แล้ว แต่พี่อยากบอกว่าพี่จะรอนะ จะรอจนกว่าฟ้าพร้อมจะพูดคำนั้นให้พี่ฟังด้วยหัวใจ”
“อื้ม” เขารับคำไว้ก่อน เพราะยังตามเรื่องที่พลชนะพูดไม่ค่อยทัน หากก่อนที่พวกเขาจะเดินย้อนกลับไป ขอบฟ้าก็นึกขึ้นได้และรีบควักของขวัญในกระเป๋าออกมาส่งให้ “สุขสันต์วันเกิดครับ ผมลืมให้”
แหงล่ะ หลังจากมองของขวัญราคาแพงทั้งหลายที่พลชนะได้รับ ขอบฟ้าก็เกิดอาการลืมของขวัญของตัวเองโดยกะทันหัน ดูแต่ตอนนี้ที่ยืนใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ขณะชายหนุ่มยกตุ๊กตาไม้ทำเองตัวเล็กๆ ห้อยพวงกุญแจขึ้นจ้องติดลูกตา รีบหาคำพูดมาบรรยายสรรพคุณประกอบทันที “ผมลองทำตามแบบที่เคยเห็นเขาวางขายมาน่ะครับ พวกนั้นมันดูหยาบๆ แถมแพงด้วย ผมเลยคิดว่าทำเองน่าจะดีกว่า แต่...จริงๆ มันก็ไม่ดีเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นอันที่ดีที่สุดที่ผมทำไว้ บางอันผมเจาะรูใหญ่เกิน บางอันหัวก็เบี้ยว... อะ อันนี้ก็เบี้ยวนิดหน่อยแต่มัน...”
จู่ๆ คนตรงหน้าก็รวบตัวเขาไปกอดและรัดแน่นๆ ไม่สนใจว่าเขาจะดิ้นรนขลุกขลักขนาดไหน ก่อนที่พลชนะจะดึงตัวเขาออกเอง ยิ้มกว้างสว่างสดใส “ขอบคุณครับ มันเป็นของขวัญวันเกิดที่มีค่าที่สุดสำหรับพี่เลย”
ราวกับจะยืนยันคำพูด พลชนะควักกุญแจรถมาดึงพวงกุญแจหนังสีสวยอันเก่าออกและจัดการคล้องเจ้าตุ๊กตาเสียกบาลห้อยด๊อกแด๊กแทน แล้วแกว่งโชว์ให้ดู “เป็นไงบ้าง เข้ากันดีเนอะ”
มองจากสายตาเขาที่นั่งงมแกะเองทั้งคืน ยังบอกได้แค่ว่าพอไปวัดไปวา แต่เห็นจากกิริยาดีใจออกนอกหน้า เขาก็อดที่จะยิ้มขัดเขินไม่ได้ หากแค่เดินกลับมาถึงโต๊ะก็ต้องยิ้มสลายเมื่อสายตาปะทะเข้ากับดวงตาลึกดำที่หรี่ตามองพวกเขาทุกฝีก้าว เขาแกล้งทำเป็นไม่แคร์และคุยอยู่แต่กับพลชนะและเพื่อนของชายหนุ่มที่นั่งตรงกันข้ามจนเกือบจะลืมไปเสียสนิทว่ายังมีใครอีกคนที่ไม่อยากเจอหน้านั่งอยู่ใกล้ๆ
กระทั่งพลชนะต้องลุกไปพูดคุยกับเพื่อนที่ตะโกนเรียกเจ้าภาพจากอีกด้านบ้าง ขอบฟ้าจึงแอบก้มหน้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ นึกสันนิษฐานเข้าข้างตัวเองว่ากรคงเลิกสนใจเรื่องของเขาแล้ว เพราะเขาไม่เห็นฝ่ายนั้นจะแสดงปฏิกิริยาใดๆ ให้เห็น หลงกลุ้มใจอยู่ตั้งนาน ที่แท้ชายหนุ่มอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ หากยังคิดไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ มีมือสอดผ่านเสื้อคลุมและลูบแผ่นหลังเขาผ่านเนื้อผ้าบางของเสื้อนักศึกษา
หันขวับกลับมามองก็ต้องผงะเมื่อพบคนที่ป่านสลับที่ให้เข้ามานั่งข้างเขาแทนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะคาด “พะ พี่กร”
เจ้าตัวกลับแค่ปรือตามองตอบสั้นๆ “ไง”
ก่อนจะทันลุกหนี ป่านก็ชะโงกมาพูดกับเขา “ป่านขอเปลี่ยนที่มานั่งคุยกับเพื่อนแป๊บนะจ๊ะฟ้า ฝากพี่กรด้วย”
ขณะที่หญิงสาวพูด ผู้ชายตรงหน้าจะรีบร้อนชักมือกลับก็หาไม่ นอกจากวางแตะไว้บนเอวเขาเฉยๆ และทันทีที่ป่านหันกลับไป มือนั้นก็ลูบต่ออย่างใจเย็น ตรงกันข้ามกับเขาที่ใจร้อนเหมือนไฟ เพราะต่อให้ภายในร้านมืดสลัวจนมองจากด้านหน้าไม่เห็น แต่ถ้าหากมีใครสักคนที่ยืนอยู่หันมาสังเกตก็ต้องเห็นความผิดปกตินี้แน่ๆ
“ถ้ามึงหนี กูไม่รับรองความปลอดภัย” เสียงพูดลอยๆ ดังราวกับล่วงรู้ความคิดในหัว ขอบฟ้านั่งหน้าซีด กำแก้วในมือแน่นในขณะที่กรขยับตัวนิดๆ หามุมถนัดแล้วเริ่มสอดปลายนิ้วเข้าใต้ร่มผ้าเพื่อสัมผัสส่วนเอวด้านหลังของเขาโดยตรง คนลูบลูบเล่นเรื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำ แต่คนโดนลูบนั่งหน้าซีดจนเขียวและทำหน้าใกล้ร้องไห้ยามปลายนิ้วสากเริ่มลัดเลาะขอบกางเกงลงลึกขึ้น ทว่ากลับมีเสียงดังขึ้นเสียก่อน
“ฟ้า!” พร้อมกับที่พลชนะเดินเข้ามาใกล้ “เหงาหรือเปล่า อ้าว ไอ้กร มึงแกล้งอะไรน้องกูอีกหรือเปล่า มานี่มา”
ผละลุกพรวดถลาหัวปักโผไปหาชายหนุ่มที่ลูบหัวเขาอย่างปลอบใจ “โทษทีที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว มัวแต่เอาของขวัญที่ฟ้าให้ไปอวดพวกนั้นอยู่”
“เห สุดที่รักมึงให้อะไรวะ ไม่เห็นเอามาอวดกูมั่ง” จากตอนแรกที่ไม่อาย ขอบฟ้าเริ่มนึกอับอายจนพยายามดึงไม้ดึงมือพลชนะที่ชูอวดพวงกุญแจตุ๊กตาไม้ให้กรดู
“แฮนด์เมดนะมึง เกิดมากูเพิ่งเคยได้ของแฮนด์เมดก็ครั้งนี้ล่ะ” พลชนะไม่สนใจเขาที่ตามแทะสีข้างแถมยังเหนี่ยวคอกันไม่ให้ขอบฟ้าตามไปแย่งคืนมาอีกด้วย “เป็นไง อิจฉาสิมึง”
ขอบฟ้ากลั้นหายใจรอฟังเสียงหัวเราะเยาะจากผู้ชายที่พลิกหน้าหลังดูของในมือ หากต้องประหลาดใจเมื่อกรส่งคืนและพยักหน้าให้ “ก็ดี”
“ใช่มะ” พลชนะหันมาตบรางวัลให้เขาด้วยการกดจูบแรงๆ ลงข้างแก้ม “ขอบคุณอีกรอบครับ”
นั่งหน้าตาแตกตื่นจนจบงาน รอให้พลชนะพาไปส่งบ้านตามเคย ตอบปฏิเสธต่อคำถามของอีกฝ่ายที่ว่าเขาลงเรียนซัมเมอร์หรือเปล่า จริงๆ ตามหลักเขาก็ควรลงสักตัวสองตัวอยู่หรอก แต่พอมาคิดถึงเรื่องค่าเดินทาง ค่ากินค่าใช้จ่ายถ้าต้องไปเรียนซัมเมอร์แล้วก็เปลี่ยนใจและมีเหตุผลอีกอย่าง
“ผมว่าจะไม่ลง ช่วงปิดเทอมนี้ม้าว่าจะทำขนมขาย แต่ถ้าม้าทำคนเดียวจะไม่ไหวเลยต้องรอพวกผมปิดเทอมกันก่อน พี่หมอกก็ว่าดีกว่าอยู่ว่างๆ”
“เหรอ ขนมอะไรล่ะ แล้วต้องทำขายทุกวันเลยเหรอ” พลชนะถามอย่างสนใจ
“แค่ขนมพื้นบ้านทั่วๆ ไปล่ะครับ ที่เขาทำขายเป็นหม้อใหญ่ๆ ขายแถวบ้านตอนเย็น”
ทำเสียงรับรู้ในคอแล้วพลชนะก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น จนมาถึงบ้าน ชายหนุ่มจึงหันมาขอดื้อๆ “ขอจูบหน่อยได้ไหม”
ขอบฟ้าเริ่มพิจารณาองค์ประกอบ หนึ่ง เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว รอบด้านนอกจากแสงไฟถนนและแสงไฟสลัวจากหน้าบ้านแถวนั้นก็มืดสลัวพอดู สอง วันนี้วันเกิดของพลชนะ ของขวัญวันเกิดที่มอบให้ ถึงคนรับจะทำท่าดีอกดีใจนักหนา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันน้อยนิดเกินไปอยู่ดี สาม ทำไมถึงจะยอมให้แฟนจูบไม่ได้ ในเมื่อทีคนอื่นยัง...
“ก็ได้ครับ มา” เอ่ยมุ่งมั่น ตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่พลชนะกลัวหัวเราะเบาและเอื้อมมือมาลูบคอเขา
“พี่ไม่ได้ขอท้าชกนะ ไม่ต้องจริงจังนักก็ได้” มือใหญ่เลื่อนมาลูบใบหน้าขณะเจ้าตัวค่อยๆ ชะโงกเข้ามาหา “ปล่อยตัวตามสบาย ไม่ต้องซีเรียส”
สัมผัสนุ่มแตะลงที่หน้าผากและค่อยละเรื่อยลงมาตามข้างแก้ม แตะแต้มบนริมฝีปากเขาแค่แผ่วๆ สองสามครั้งจนขอบฟ้าคุ้นเคย ก่อนที่เจ้าตัวจะกระซิบ “เปิดปากหน่อยสิครับ”
ทันทีที่เผยอปากตามคำสั่ง ปลายลิ้นร้อนอ่อนนุ่มก็แทรกเข้ามาในโพรงปากเขา ซอกซอนไปตามไรฟัน รุกไล่กับปลายลิ้นเขาคล้ายกับจะหยอกล้อสักพัก แล้วค่อยเพิ่มความดูดดื่มเรียกร้องหนักขึ้น มากขึ้นจนใกล้เคียงกับที่เคยโดนใครอีกคนจูบ
ขอบฟ้าชักเริ่มถอยหนี หากกลับโดนร่างสูงขยับตามจนหมดทางหนี หลังติดประตูจนมุมอยู่ตรงนั้นนั่งเอง “พะ พี่พล พอ...”
ร้องห้ามตะกุกตะกักได้แค่ไม่กี่คำก็โดนบดจูบหนักหน่วงอีกรอบ มือที่ยึดบ่ากว้างไว้เริ่มต้นทุบขัดขืนเมื่อมือหยาบใหญ่เริ่มเลื่อนลงไปลูบไล้บริเวณแผ่นอกและหน้าท้อง “อีกนิดเดียวนะ เด็กดีของพี่”
ทนฝืนอยู่นิ่งๆ ได้อีกแป๊บเดียว เขาก็ทนไม่ไหวเมื่อมือข้างนั้นเริ่มลูบลงต่ำไปป้วนเปี้ยนแถวกลางลำตัว “ปล่อยนะ! ไม่เอาแล้ว พี่พล ปล่อย...!”
หลับหูหลับตาดิ้นขลุกขลัก กำลังคิดว่าถ้าพลชนะเป็นแบบกรจะทำยังไง หากก็ต้องโล่งอกเมื่อชายหนุ่มยอมผละออกหากยังซุกซบใบหน้าลงหอบหายใจกับซอกคอเขาอยู่
ผงะนิดหนึ่งยามอีกฝ่ายเงยหน้าในที่สุดมาจ้องเขาในระยะประชิด พลชนะแตะหน้าผากลงกับหน้าผากเขาขณะพยายามสะกดลมหายใจ เอ่ยปลอบ “ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ฝืนใจเราหรอก ฟ้าสำคัญสำหรับพี่มากนะ”
รอจนเขาพยักหน้ารับแล้วพลชนะจึงค่อยให้เขารีบไปอาบน้ำนอน ขอบฟ้ายืนรอจนไฟท้ายรถลับหายไปจึงตั้งท่าจะหมุนตัวเข้าบ้านหากต้องตกใจจนทำกุญแจบ้านตกยามเสียงทุ้มดังเอื่อยๆ จากด้านหลัง
“ร่ำลากันนานจริงนะ”
+++++++++