Rough and Tender 7
ขอบฟ้าตาเหลือกแทบถลนออกนอกเบ้าจ้องร่างสูงที่เดินสูบบุหรี่มาหยุดตรงหน้า คนที่เขาแน่ใจว่าเพิ่งเห็นว่าแยกไปคนละทางตอนออกจากร้านอาหาร ปฏิกิริยาแรกของเขาคือรีบก้มเก็บกุญแจและรีบไขประตูบ้านมือไม้สั่น หากต้องสะดุ้งเฮือกสุดตัวคำรบสองเมื่อกรทุบกำปั้นลงบนบานประตูอย่างแรง
“คิดหรือว่าจะหนีพ้น” ลมหายใจอวลกลิ่นบุหรี่กระซิบติดริมหู “คิดหรือว่าแม่ พี่ชายกับน้องสาวจะช่วยมึงได้ เสียใจด้วยนะ เพราะกูต้องขอบอกว่าไม่มีใครช่วยมึงได้หรอก”
ทั้งร่างโดนกระชากให้หันกลับไปแล้วใบหน้าถมึงทึงก็ฉกวูบลงมากดริมฝีปากเขาอย่างแรงจนลิ้มรสปร่าของคาวเลือดทันที หากความเจ็บนั้นยังน้อยนักเมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกกับความจริงที่ว่าพวกเขายืนอยู่หน้าบ้าน ที่ซึ่งใครอาจโผล่หน้ามาเห็นในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้ทั้งนั้น
เขาทั้งร้องทั้งดิ้นรนสุดแรงเพื่อหวังให้หลุดเป็นอิสระ หากกรกลับผละออกนิดหนึ่งเพื่อยิ้มร้ายกาจ “กูเอามึงตรงนี้แน่ถ้ายังดิ้นไม่เลิก”
จบประโยค ร่างที่ขัดขืนสุดชีวิตกลับแข็งทื่อเป็นก้อนหิน ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดจูบลูบคลำตามใจชอบจนผ่านไปสักพัก กรจึงดึงต้นแขนเขาให้ออกเดินหัวซุน “จะ...จะไปไหน”
หากไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงเปิดล็อครถสีดำทะมึนซึ่งจอดนิ่งสงบอยู่ลึกเข้าไปในซอย กรกระชากประตูที่นั่งข้างคนขับเปิดออกและยัดเขาใส่เข้าไป ส่วนตัวเองก็เดินอ้อมไปขึ้นตรงตำแหน่งคนขับ ขอบฟ้ารีบร้องโวยวายก่อนจะหมดโอกาส “พี่จะทำอะไร จะพาผมไปไหน ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
“มึงนี่เรื่องมากว่ะ” กรหันมาด่าพร้อมทำหน้าเบื่อหน่าย “จำที่กูเคยบอกไม่ได้เหรอ ว่าถ้ามึงขัดขืนงี่เง่าจะโดนอะไรบ้าง”
“จำน่ะจำได้ แต่ใครมันจะบ้ายอมตามไปอีกเล่า ขืนตามไปมีหวังโดน...อีกแน่ๆ” เขาเถียงหน้าดำหน้าแดงและยิ่งหายใจลำบากหลังได้ยินคำตอบ
“ก็รู้นี่หว่าว่าจะโดนปล้ำอีกรอบ รู้อยู่แล้วจะถามทำไม” กรคว้าแขนที่เงื้อฟาดใส่หน้าไว้ได้ทัน หากยังไม่ทันจับให้ถนัดดี ขอบฟ้าก็หวดซ้ายป่ายขวาสู้ตายแบบจนตรอก ขณะที่ปากก็ร้องด่า
“ไอ้บ้า! ไอ้ชั่ว! ยังเป็นคนอยู่บ้างหรือเปล่า! ไอ้ทุเรศ! ไอ้สารเลว...!”
“โอ๊ย! บ้าไปแล้วหรือไง ไอ้...อย่าข่วนสิวะ!” สองคนในพื้นที่จำกัด คนหนึ่งสู้อย่างจนตรอก อีกคนพยายามจับให้อยู่นิ่งๆ ปลุกปล้ำกันจนหอบท่ามกลางเสียงก่นด่าไม่ได้ศัพท์ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขัดจังหวะของทั้งคู่
กรรวบร่างที่หอบจนตัวโยนล็อคไว้ด้วยแขนข้างเดียวและหยิบโทรศัพท์มากดรับแบบไม่ดูว่าใครเป็นคนโทรด้วยอาการหัวเสีย “อะไร!”
หากพอได้ยินเสียงจากปลายสาย รอยยิ้มจึงค่อยปรากฏบนใบหน้าชายหนุ่มขณะพูดช้าๆ ชัดๆ “อ้าว ป่านเองเหรอ”
กลายเป็นขอบฟ้าที่เงียบกริบจนแทบไม่กล้าหายใจแทน “โทษที พอดีกำลังทะเลาะกับลูกแมวน่ะ มันข่วนพี่เสียเลือดซิบเลย หืม... ก็เพิ่งเก็บได้จากข้างถนน คนที่บ้านช่วยดูให้ ...ใช่ มันเป็นแมวจรจัดเลยยังไม่เชื่องเท่าไหร่ อยากเห็นเหรอ อย่าเลย มันไม่ค่อยน่ารักหรอก พี่แค่อยากลองเลี้ยงเล่นแก้เบื่อดูสักพัก”
กรหัวเราะในลำคอพลางจูบไซร้ไปตามขมับและไรผมชื้นเหงื่อของร่างที่ดูจะกลายเป็นใบ้ไปเสียแล้ว “พรุ่งนี้เหรอ ไม่รู้สิ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ ไว้ถ้าว่างจะโทรไปหาแล้วกัน ...ครับ กู๊ดไนท์”
“ไอ้บ้า...” สุดจะหาคำด่า ขอบฟ้ายึดแขนที่ล็อครอบคอไว้ กล่าวอย่างสุดกลั้น “ทำไมต้องเป็นผมด้วย มี...มีคนอยากนอนกับพี่ตั้งเยอะแยะ แล้วทำไมต้อง...”
“เพราะอะไรงั้นเหรอ” ฟันคมกัดผิวอ่อนบริเวณซอกคอจนขอบฟ้าร้องโอ๊ย เจ็บจนน้ำตารื้น “เพราะ...เบื่อล่ะมั้ง คนพวกนั้นน่าเบื่อ จะพูดจะทำอะไรก็เหมือนกันไปหมด ไม่อยากได้เซ็กส์ก็อยากได้เงิน ง่าย...เหมือนกันไปหมด”
พูดพลาง มือหยาบก็ลูบโลมไปทั่วผิวใต้ร่มผ้า ผิวบริเวณแผ่นอก หน้าท้องโดนลูบคลำซ้ำไปมาขณะปลายจมูกโด่งยังคงไล่สัมผัสผิวเนื้ออ่อนตรงซอกคอและลาดไหล่
“ถ้าเบื่อแล้วจะเลิกเหรอ” ขอบฟ้ากลั้นใจถาม รู้สึกแย่กับมือที่ลูบอยู่บนร่างกายตัวเองอย่างถือสิทธิ์ “ถ้าเบื่อ...แล้วจะเลิกยุ่งกับผมใช่ไหม”
“อืม” นิ่งคิดก่อนจะตอบง่าย “ก็คงงั้น”
กลืนน้ำลายเอื้อก นึกอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ขอบฟ้าได้แต่ยึดมือฝ่ายนั้นไว้ กระซิบลอดไรฟัน “ไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อน...ได้ไหมครับ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” กรกดจูบลงบนริมฝีปากเขาเร็วๆ แล้วยังช่วยจัดที่ให้เขานั่งลงบนเบาะอีกด้วย “ไปที่บ้านแล้วกันนะ มันใกล้กว่าคอนโด”
จะไปลงนรกขุมไหนก็ไปเถอะ “ตามใจ”
“ว่าง่ายๆ แบบนี้...” กรพูดค้างไว้แล้วหันไปสตาร์ทรถ รอจนคนฟังคำครึ่งๆ กลางๆ หันมามองอย่างทนไม่ได้และค่อยต่อประโยคจนจบ “น่ารักกว่าเยอะเลย”
กรหัวเราะลั่นกับสีหน้าประมาณว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยได้แต่อมอ้วกไว้ในปากของคนนั่งข้างๆ
+++++++++
กรใช้เวลาในการขับรถมาถึงจุดหมายไม่นานเพราะถนนยามดึกโล่งจนแทบไม่มีรถ บ้านที่พูดถึงคือที่ที่เขาเคยมาครั้งก่อนนั่นเอง บ้านหลังใหญ่ สวยงามด้วยการตกแต่งดูแลอย่างดี ใหญ่โตจนสมควรจะมีครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ใช่เงียบเป็นป่าช้าแบบนี้
“อาบน้ำสิ นั่งโอ้เอ้อยู่ได้” เจ้าของบ้านสั่งหลังเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ ร่างสูงเหลียวไปมองคนนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกบนเตียงแล้วขมวดคิ้ว “หูหนวกหรือไง บอกให้ไปอาบน้ำ”
ขอบฟ้าเดินอ้อมตีวงกว้างให้ห่างจากเจ้าคนท่าทางบ้าเลือดเพื่อเดินเข้าห้องน้ำ เมื่อครู่ตอนอยู่คนเดียวในห้อง เขาก็คิดอยากลองเผ่นหนีอยู่หรอก แต่พอคิดได้ว่าจะหนีไปไหนได้ และจะยิ่งแย่กว่าถ้ากรตามไปลากคอเขาตอนอยู่กับคนอื่น หมอนั่นทำแน่ๆ
คิดจะขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ แต่กลับพบว่า...ไม่มีกลอนที่บานประตู บ้านช่องออกจะใหญ่โต ช่างดันลืมใส่กลอนเนี่ยนะ
และเขาอยากให้กรเบื่อเร็วที่สุดด้วย ความสนุกสนานในการไล่ตามของกรคงลดน้อยลง ถ้าเขาทำตัวยอมแพ้แต่โดยดี เหยื่อที่ไม่ร้องไม่ดิ้นไม่ขัดขืน...น่าจะคล้ายๆ กับพวกที่ฝ่ายนั้นว่า เขาต้องทำตัวให้น่าเบื่อ ต้องง่าย... คงทำได้ไม่ยากนักหรอก แค่เป็นตัวของตัวเอง แค่เป็นขอบฟ้าธรรมดาๆ ก็น่าเบื่อได้แบบไม่ต้องเสแสร้ง
อาบน้ำแบบลวกๆ แล้วย่องออกมา ทีแรกเขามองไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามในห้องที่มีเพียงแสงสลัวเช่นนี้ หากต้องร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ร่างทั้งร่างก็โดนช้อนอุ้มลอยหวือไปโยนโครมลงกลางเตียง กระเด้งกระดอนตะปบผ้าขนหนูรอบเอวแทบไม่ทัน
“จะทำ...!” เกือบหลุดร้องจ๊ากออกมาแล้วเมื่อผู้ชายตรงหน้าแสดงความหน้าด้านหน้าทนเหนือมนุษย์ด้วยการสะบัดผ้าที่พันเกาะเอวสอบแบบหมิ่นๆ ไว้แล้วโถมเข้ามาทับเขาไว้ทั้งตัว “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว ช้า... ช้าๆ”
หากอีกฝ่ายจะยอมฟังก็หาไม่ ปากร้อนกดแนบลงกับซอกคอ ดูดดุนตรงรอยแผลที่ตัวเองทำไว้ก่อนหน้าขณะมือใหญ่พยายามกระตุกผ้าขนหนูที่ยังกั้นกลางพวกเขาไว้อยู่ ขอบฟ้าตะครุบปมไว้แน่น ร้องบอกซ้ำๆ อย่างไร้ผลด้วยประโยคพูดง่ายแต่ทำยาก
“มะ...ไม่ต้องรีบ ไม่หนี...”
“ไม่หนีแล้วจะถอยไปไหนเล่า มานี่” กรดึงร่างคนที่กระถดกายถอยจนแทบตกเตียงไว้และได้ผลตอบแทนคือเท้าที่ยกถีบปังเกือบเข้ากลางแสกหน้า “เฮ้ย! ไอ้ห...”
แต่ขอบฟ้าก็ไม่ได้อยู่ฟังเพราะกลิ้งโคโร่ตกลงไปหงายท้องอยู่ข้างเตียง ความโกรธที่โดนอีกฝ่ายยกเท้าถีบใส่เมื่อครู่หายวับ กรขยับมานั่งตรงขอบเตียง มอง...แต่ไม่ยื่นมือช่วย “เห็นว่าจะตกเตียงหรอกนะ ถึงจะช่วยดึงไว้ สมน้ำหน้า”
ฝ่ายคนกลิ้งตกโคโร่แบบหมดมาดแม้จะขัดยอกไม่น้อย แต่ไม่กล้าออกปากว่าเจ็บให้เสียหน้า ขอบฟ้าตะกายลุกขึ้นนั่ง มองกรแต่พอนึกขึ้นได้ว่าไม่อยากมองเลยเลื่อนสายตาไปทางอื่นต่อ
“หึ น่ารัก...ว่าง่าย” ปลายนิ้วกรเขี่ยผมยุ่งเหยิงให้พ้นจากใบหน้าขาวไม่โดดเด่น ไม่น่าสนใจเท่าดวงตาโศกคู่นั้น “ทำให้สมราคาคุยหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ”
มือข้างเดิมจับปลายคางขอบฟ้า บังคับให้หันหน้ากลับมาพร้อมกับที่ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้เพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสม “เร็วสิ รีบทำตัวว่าง่าย จะได้น่าเบื่อ พอฉันเบื่อแล้วก็เลิกยุ่งกับนายเองล่ะ อ้าปากเร็ว”
พอรู้ถึงจุดประสงค์ของคำสั่งแล้ว เขาก็ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ฝันร้ายจะจบลงเร็วขึ้นถ้าเขาเป็นเด็กดีขึ้นอีกแม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม
มือใหญ่กุมกระชับท้ายทอยด้านหลังและกดใบหน้าที่มีดวงตาคู่นั้นหลับปี๋ปิดสนิทลงเข้ากับความปรารถนาของตนเอง
+++++++++
นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างเตียงบอกเวลาเกือบสี่นาฬิกาในเช้าวันใหม่
ขอบฟ้าสะดุ้งตื่นหลังไม่แน่ใจว่าเผลอผล็อยหลับหรือหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ ร่างซึ่งมีรอยจูบและรอยช้ำประปรายทั่วตัวกำลังยักแย่ยักยันจะลงจากเตียงให้ได้ท่าเดียว
เขากำลังยืนแต่งตัวในห้องมืดๆ ตอนได้ยินเสียงงัวเงียจากคนบนเตียง “จะไปไหน กลับมานี่”
“ผมจะกลับบ้าน” ตอบสั้นขณะกลัดกระดุมเม็ดสุดท้าย
“กี่โมงแล้ววะนี่” ฟังคำตอบเสร็จ กรก็ยิ่งเสียงดัง “ตีสี่! ไม่แหกขี้ตาไปส่งหรอกนะ กลับมานอนดีกว่า มา”
มองกิริยาตบที่นอนปุๆ แล้วเขาจึงตอบปฏิเสธ “ไม่ล่ะ พี่นอนไปเถอะ ผมกลับเองได้”
รีบเดินไปที่ประตูหลังได้ยินเสียงด่าไล่หลังไม่ได้ศัพท์ เนื่องจากมีไฟทางเดินเปิดไว้เป็นระยะเขาจึงพอคลำหาทางออกได้แม้จะช้าเพราะยังงงๆ อยู่บ้าง แต่พอเดินโซซัดโซเซออกทางประตูหน้าได้ เขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูปึงปังตามหลัง กรที่เพิ่งใส่แค่กางเกงยีนส์ตัวเดียวเดินตรงมาด้วยใบหน้าบึ้งจัด
“มึงอย่าโง่นักเลย! ตอนเข้ามาไม่เห็นเหรอว่าซอยนี้มันลึก แล้วป่านนี้ก็ไม่มีรถวิ่งเข้าออกรับส่งมึงหรอก”
“งั้นผมจะ...”
“จะเดินงั้นเหรอ คงเดินถึงปากซอยตอนสว่างนั่นล่ะ! เลี้ยวมากี่เลี้ยวมึงจำได้งั้นสิ” เห็นอาการขึงตาปากแข็งแล้วกรก็ซ้ำไม่รอช้า “โง่ไม่พอ แม่งยังดื้ออีก”
รอบตัวทั้งสองคนยังมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้าบ้านส่องให้เห็นสีหน้าว่าคนหนึ่งทั้งหงุดหงิดทั้งหัวเสีย ส่วนอีกคนแค่หน้าเสียอย่างเดียว
“ถ้ายังอยากเดินก็ตามใจ แต่ถ้ามึงจะกรุณา...” กรเน้นเสียงคำว่ากรุณาลากยาว “กลับไปนอนต่อ รอให้เช้าแล้วกูจะขับรถไปส่งก็เลือกเอาเองแล้วกัน”
พูดจบ กรไม่รอฟังคำตอบ นอกจากเดินกลับทางเดิม ขึ้นไปนอนต่อได้สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องเบาๆ อย่างเกรงใจ
หากหลังจากรอเกือบห้านาทีก็ไม่รู้สึกว่ามีใครสักคนที่ดื้อชิบหายนั่นยอมคลานกลับขึ้นมานอนข้างๆ ชายหนุ่มจึงได้แต่นึกเข่นเขี้ยวว่าคู่นอนที่ผ่านมาทุกคนมีแต่คอยออเซาะ จะนั่งหรือจะนอนก็ต้องคอยเบียดอยู่ใกล้ๆ จนน่ารำคาญ แล้วไอ้เด็กนี่มันนึกว่ามันเป็นใคร สำคัญหรือก็ไม่ นิสัยทื่อๆ บื้อๆ แบบนั้นจะเรียกหยิ่งจองหองหรือก็เปล่า หรือว่าเขามันน่ารังเกียจจนไม่อยากอยู่ใกล้...
พอกันที! มันเรื่องอะไรที่ต้องไปสนใจหาสาเหตุว่าทำไมไอ้เด็กบ้านั่นถึงไม่กลับมานอนบนเตียง มันจะนอนบนพื้นหรือจะนั่งตรงส่วนไหนของโลกก็เรื่องของมัน! เขาจะนอนแล้ว!!
+++++++++
ระหว่างที่กรนอนหลับพร้อมกัดฟันด้วยความแค้น ฝ่ายอีกคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็นั่งกอดเข่าจุมปุ๊กอยู่บนโซฟาในห้องเดียวกันนั่นเอง
ขอบฟ้านั่งถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ขยับร่างกายที่ยังปวดยอกหาท่าสบายที่สุดเท่าที่โซฟาจะอำนวย ขณะมองคนนอนหลับท่าทางสบายบนเตียงกว้าง นึกสับสนจนอยากบ้าให้รู้แล้วรู้รอด
ยอมรับว่าเขาเคยคิดว่ามันจะเลวร้ายกว่านี้ แต่กรกลับทำให้เขาแปลกใจ ชายหนุ่มอาจจะยังบังคับแต่ก็ไม่ได้ดึงดันเอาแต่ใจเช่นครั้งแรก ถึงจะยังเจ็บอยู่ยามฝ่ายนั้นเข้ามา แต่ก็ไม่ถึงขนาดเลือดตกยางออก แต่ก็อย่างว่านะ...มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมานั่งขอบใจหรือถือเป็นบุญคุณเสียหน่อย
พลชนะจะรู้หรือเคยนึกระแวงเพื่อนของตัวเองบ้างไหม หรือว่าต่อให้รู้ก็ไม่ว่าอะไร กรถึงได้มีท่าทีไม่สนใจว่าความลับจะแตกหรือไม่ ตรงกันข้าม กรมักจะยกมาข่มขู่ด้วยท่าทางเหนือกว่าเสมอ มีแต่เขานี่ล่ะที่เป็นฝ่ายกลัวโน่นกลัวนี่ ไหนจะพลชนะ ไหนจะป่าน ไหนจะเรื่องที่มหาวิทยาลัย
นึกถึงมหาวิทยาลัยแล้วพาลนึกไปถึงข้อสอบที่ทำไป เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าจะติดเอฟ และถ้าได้เอฟจริงๆ ทิวหมอกคงนั่งด่าเขาอีกเป็นเดือนๆ แน่นอน
ทำยังไงถึงจะฉลาดกับเขาขึ้นมาบ้าง ขนาดกรที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานยังด่าเขาว่าโง่มาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง เรียนหนังสือก็โง่ ชีวิตส่วนตัวก็ยังโง่ไม่แพ้กัน แม้พลชนะจะบอกว่าเขามีหัวใจที่สวยงาม หากขอบฟ้าไม่อยากมีหัวใจที่สวยงาม เขาแค่อยากฉลาดเหมือนคนอื่นบ้างเท่านั้น อยากเรียนหนังสือเก่งๆ อยากมีวิธีรับมือกับการข่มขู่แบล็คเมล์ อยากใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องทนฟังคำดูถูกและไม่ต้องอับอายใคร
เขาเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ ทั้งเกลียด ทั้งสมเพช เกลียดแต่ทำอะไรไม่ได้ อยากได้ อยากเป็นแต่ไม่เคยสมหวังสักอย่าง ดูแต่หัวใจที่สวยงามอย่างที่พลชนะว่าเพราะไม่รู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นยังไงต่างหาก และยิ่งถ้ารู้ว่าเขามีอะไรกับเพื่อนสนิทของพลชนะอีกล่ะก็...
หัวใจของเขาไม่สวยงาม แต่มันแค่ขี้ขลาด...ก็เท่านั้นเอง
+++++++++
ตุบ...
ตุบอะไร...ขอบฟ้านึกไม่ออกแต่ไม่ยอมลืมตา ปวดเมื่อยไปทั้งตัวจนไม่คิดอยากตื่น แต่เหม็นกลิ่นบุหรี่แสบจมูกจนต้องไอออกมา
“ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน” ตัวการผลิตสารก่อมะเร็งนั่งอยู่ตรงที่วางแขนของโซฟาตัวที่เขานอนซุกอยู่ “ไม่หิวบ้างหรือไง ตื่นไปกินข้าวกันเร็ว”
ขยับร่างกายที่ระบม ยกหัวปวดตุบๆ ขึ้นมองคนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วกลืนน้ำลาย อ้าปากอยากปฏิเสธ “ผมไม่ค่อยหิว พี่...”
“แต่กูหิว รีบลุกมาอาบน้ำแต่งตัว เสื้อผ้าหยิบจากในตู้ได้เลย ให้เวลาสิบนาที เร็วๆ”
ฟังแล้ว ขอบฟ้าจึงได้แต่งัดตัวเองออกจากเตียง เดินแบบวูบๆ ติดจะโหวงๆ โซเซเข้าห้องน้ำเพื่อให้ทันเวลาสิบนาที ใช้เวลาห้านาทีในการอาบน้ำแต่กลับยืนอึ้งหน้าตู้เสื้อผ้าวอล์คอินจนกรเดินเข้ามาตาม “ชักช้า! คนหิวนะโว้ย จะโอ้เอ้อีกนานไหมเนี่ย”
“ก็...” เสื้อผ้าแต่ละตัวท่าทางจะแพงระยับจับไม่ติด กำลังคิดจะขอใส่ชุดเก่า “ถ้ายังไงผมใส่ชุดเดิมก็ได้...”
“กูโยนทิ้งไปแล้ว” พอเห็นหน้าคนฟังเริ่มเหยเก กรจึงค่อยกล่าวเสริมพร้อมรอยยิ้มขบขัน “แต่แม่บ้านเขาคงเก็บไปซักให้”
ร่างสูงยืนกอดอกทนมองเขาหยิบเสื้อผ้าด้วยปลายนิ้วอย่างระมัดระวังได้ไม่ถึงนาทีก็เดินแทรกเข้ามาดันหัวเขาให้หลบไปด้านข้าง
“มันจะใหญ่จะหลวมไปบ้างก็ใส่ไปก่อนน่า ทนๆ หน่อย เดี๋ยวกูซื้อชุดใหม่ให้” กรหยิบเสื้อผ้าโยนใส่คนหน้าเบ้แบบไม่สนใจ “แต่งตัวเข้าสิ หรืออยากให้ช่วย”
“ไม่ต้อง” เดินถือเสื้อผ้ากลับเข้าห้องน้ำ ค่อยๆ ใส่เสื้อและกางเกงด้วยความตั้งใจ ออกมาเจอคนหน้าขาวยืนหน้าบึ้ง ขอบฟ้าถึงเพิ่งสังเกตว่าขอบตาฝ่ายนั้นดูจะคล้ำนิดๆ จึงทักออกไปแบบไม่ได้คิดอะไร “นอนไม่ค่อยหลับเหรอพี่กร”
แค่คำถามธรรมดา ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเพิ่งเดินเข้าไปกระตุกหนวดเสือเล่น อาจจะเพราะดวงตาดำจัดที่หันขวับมาจ้องเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อนั่นก็เป็นได้ “ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบสิ ผมแค่...”
“เมื่อคืนทำไมถึงไม่ไปนอนบนเตียง” คนถามเสียงกรรโชกคว้าแขนเขาให้เดินเร็วๆ จนขอบฟ้าต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งให้ทัน กระเทือนท่อนล่างจนอยากประท้วงว่าเจ็บก้นแต่อายเกินกว่าจะบอก
“ไม่รู้เหมือนกัน” ขอบฟ้าหยุดใส่รองเท้า ใช้ช่วงทดเวลาบาดเจ็บก้มลงผูกเชือกช้าๆ โดยพยายามไม่สนใจกรที่ยืนกระดิกเท้าเร่งยิกๆ ตรงหน้า “นั่งคิดโน่นคิดนี่เพลินๆ แล้วเผลอหลับไปมั้ง”
ตอบผิดตรงไหนไม่รู้ รู้แต่ผู้ชายอารมณ์ไม่ดีตลอดศกยิ่งทำตาขวางเหมือนหมาบ้า แต่ช่างเถอะ เพราะตั้งแต่เห็นหน้ามา ใช่ว่าเขาเคยเห็นกรอารมณ์ดีเสียเมื่อไหร่ ดีไม่ดีนี่อาจเป็นหน้าตาตามปกติของหมอนี่เสียมากกว่า
+++++++++
ทีแรก ขอบฟ้าคิดว่ากรจะพาเขาไปกินข้าวแถวบ้าน แต่รถคันหรูกลับแล่นเข้าลานจอดรถห้างสรรพสินค้าชื่อดัง จอดรถเสร็จ กรก็หันมาเร่ง “ลงมาเร็วเข้า จะล็อครถ”
ลงมายืนเก้งก้างข้างรถ ขอบฟ้าก็ตัดสินใจเดินตามร่างสูงซึ่งเดินลิ่วๆ ไปโน่นพลางพยายามร้องบอก “พี่กร ผมขอตัวกลับเลยแล้วกัน”
กรหยุดเดินเพียงเพื่อหันมาพูดสั้น ง่าย รวบรัด “จะเดินไปดีๆ หรือจะให้ลาก”
ผลคือขอบฟ้าเดินตามกรต้อยๆ เข้าร้านอาหาร รับเมนูจากพนักงานมาแล้วก็นั่งงมดูรายการอาหารกับราคาอยู่เป็นนานสองนาน พอตัดสินใจเลือกได้เงยหน้าจะสั่งบ้าง ก็พบว่ากรสั่งเสร็จเรียบร้อยและพนักงานก็เดินจากไปแล้วด้วย เขาจึงวางเมนูคืน มองโน่นมองนี่รอบร้านสักพัก แน่ใจว่าไม่เห็นคนรู้จักแล้วจึงหันมามองคนตรงหน้าบ้าง
ถ้าให้พูดตรงๆ เขายอมรับว่ากรเป็นผู้ชายที่ดูดีมากด้วยเครื่องหน้าทุกชิ้นที่รับกันเหมาะเจาะ ลำพังแค่คิ้วเข้มๆ กับตาคมๆ ก็ถือว่าสะดุดตามากแล้ว แถมยังตัวสูงบ่ากว้างและที่สำคัญคือมีมาดประจำตัวที่ใครก็เลียนแบบยาก ชายหนุ่มไม่สนใจใคร ต่อให้มีคนมองด้วยความสนใจขนาดไหน ดูแต่ขนาดผู้หญิงโต๊ะข้างๆ มองจ้องแบบออกนอกหน้าขนาดนั้น กรยังไม่แม้แต่จะปรายตามอง
ตรงกันข้าม พอหันมาเห็นว่าเขาจ้องอยู่ กรกลับจ้องตอบ และเช่นเคย ขอบฟ้าไม่หลบตา หากนั่งพิจารณาดวงตาคู่ที่เคยจ้อง ยังดำสนิทเหมือนเดิม แต่คล้ายจะฉายอารมณ์บางอย่างที่พอจะจับได้ลางเลือนในนั้น ผิดกับครั้งแรกที่เคยจ้องนิดหน่อย เพราะตอนนั้นดวงตาคู่นี้นิ่งสนิท ไม่บ่งบอกอะไรทั้งสิ้น
พวกเขานั่งจ้องตากันโดยไม่มีใครเอ่ยอะไร รอบข้างมีเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กและผู้คนนับสิบ แต่โลกส่วนตัวของพวกเขาก็หาได้โดนทำลายลงจนกระทั่งพนักงานทยอยเสิร์ฟอาหารหน้าตาน่ากินบนโต๊ะ
“ไม่จ้องต่อล่ะ” กรขัดจังหวะตอนขอบฟ้าหยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมพร้อม
“ไม่แล้วครับ” ตัดปัญหาโดยการก้มหน้ามองแต่อาหารบนโต๊ะ ลังเลสักพักก่อนตัดสินใจขออนุญาต “ผมกินนี่ได้ไหม”
“เออ” ตอบเรียบแต่พอเห็นเขาคีบกินแต่ผักกับเครื่องเคียง กรก็ขมวดคิ้ว เริ่มเหวี่ยง “แดกปลาบ้างสิวะ มึงจะได้ฉลาดๆ ขึ้นบ้าง หรืออยากให้กูป้อน”
ก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ ตามคำสั่งแต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารีบรับอย่างตื่นเต้น “ฮัลโหล”
รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนหน้าเป็นครั้งแรกของวันก็ว่าได้ “ครับ ตื่นแล้วครับ กินข้าวอยู่ แล้วพี่พลล่ะ อื้ม ได้ครับ ดะ...”
อยู่ดีๆ กรก็ทุบโต๊ะสะเทือนจนจานชามสั่นกราว ใช่มีแต่เขาที่จ้อง คนในร้านที่ได้ยินก็หันมาจ้องเป็นตาเดียว ทว่ากรกลับเอ่ยแค่ “พ่อแม่ไม่เคยสอนหรือไงว่าห้ามคุยโทรศัพท์ตอนกินข้าว”
ปลายสายยังเรียกยังพูดอะไรมาแว่วๆ แต่หูของขอบฟ้าดูจะดับไปแล้ว ได้แต่ตอบเสียงสั่น “เปล่า เปล่าครับ แค่โดนดุไม่ให้คุยโทรศัพท์ตอนกินข้าว เอ่อ แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วค่อยคุยกัน”
วางสายแล้วขอบฟ้าก็พยายามเร่งสปีดกินข้าวให้ทันคนสปีดเทพตรงหน้า กรทั้งกินเก่งและกินเร็ว เร็วขนาดกว่าจะหมดมื้อก็เล่นเอาขอบฟ้าเหนื่อย ...ไม่ไหวแล้ว ขืนให้เดินตามหรือกินตามสปีดของชายหนุ่มอีก เขาต้องหมดลานก่อนเวลาอันควรเป็นแน่ คิดดังนั้น เขาก็เตรียมแยกตัว “ขอบคุณครับที่เลี้ยง ผมไปก่อนนะ”
“เฮ้ย” ปฏิกิริยาแรกของเขาเมื่อได้ยินคือวิ่ง หากสาวเท้าไปได้แค่สองก้าวก็เปลี่ยนใจ ด้วยนึกกลัวว่าถ้ากรไล่ทัน เขาต้องโดนกระทืบแน่ และดูจากความน่าจะเป็นแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะวิ่งหนีพ้น
“พี่กรจะเอาอะไร” ขอบฟ้าเสียงอ่อย กลั้นหายใจยามร่างสูงเดินมาหยุดข้างๆ มองมือใหญ่ที่ยื่นแบออกมาแล้วเสียววาบ “จะเอาเงินค่าอาหารส่วนของผมเหรอ เอ่อ ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีพอไหม...”
“มึงอย่าปัญญาอ่อน” กรด่าเอือมๆ ขณะมองท่าทางลุกลี้ลุกลนควักกระเป๋าสตางค์หน้าตาแตกตื่น “เอาโทรศัพท์มา”
ส่งให้โดยไม่มีข้อแม้ กรรับไปกดๆ รอจนโทรศัพท์ของตัวเองดังแล้วโยนคืนให้ขอบฟ้าไล่ตะครุบ สั่งสั้นง่ายได้ใจความก่อนเดินจากไป
“โทรไปรับด้วย”
+++++++++