ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๕
ก่อนฝนพรำ
แก้วไมโลอุ่นๆวางลงบนโต๊ะข้างกับชามข้าวต้มควันฉุย เดือนรินน้ำเปล่าใส่แก้วใสวางไว้เป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะเดินไปประคองดินให้ลุกจากโซฟามาที่โต๊ะกินข้าว “กินได้ไหม ให้พี่ป้อนหรือเปล่า”
“ดินไม่ได้เป็นง่อยนะ”
คนผมดำสวนกลับเมื่อถูกถามคำถามจั๊กจี้หัวใจแต่เช้า สองแก้มซับสีแดงเรื่อเล็กน้อย อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องแค่นี้จะมาทำเป็นเรื่องใหญ่ทำไม ถึงแขนจะเข้าเฝือกไปข้างหนึ่งแต่เขาก็ยังกินข้าวได้น่า
เดือนยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วยื่นหน้าไปจูบแก้มน้องชายเร็วๆหนึ่งทีพร้อมหยอดไปหนึ่งดอกเบาๆ
“ก็พี่อยากป้อนนี่นา ไม่ต้องกลัวว่าจะลำบากหรอก ว่าที่แฟนพี่ตัวเล็กนิดเดียวเอง ป้อนข้าวดูแลแค่นี้สบายมาก”
“จะกินข้าวดีๆหรืออยากถูกกรอกปากครับ”
“ฮ่าๆๆ”
เดือนหัวเราะลั่นเมื่อคนตัวเล็กแยกเขี้ยวขู่ใส่เขา น่ากลัว...ซะเมื่อไหร่ หน้าแดงขนาดนั้นน่ากลัวก็แย่แล้ว คนที่ชอบหยอดตอดเล็กตอดน้อยทรุดตัวลงกินมื้อเช้าของตัวเองบ้าง ขณะที่ดินก็จ้วงข้าวต้มเข้าปากไม่หยุดชนิดลืมรักษามาด “นี่ จะกินข้าวก็อย่าให้เลอะเทอะสิ น้องใช้แก้มกินข้าวหรือไง” เดือนแซวก่อนจะยื่นทิชชู่ให้อีกฝ่ายซึ่งรับไปเช็ดแก้มแต่โดยดี
ไม่มีหรอกจะมาทำตัวจู๋จี๋เช็ดแก้มให้กัน เดือนรู้ว่าดินไม่ชอบอะไรแบบนั้น เขาเคยจะทำให้น้องครั้งหนึ่งแล้วเจ้าตัวก็เบือนหน้าหนี พอถามเหตุผลก็ได้ประโยคเรียบๆหนึ่งประโยคตอบกลับมา
‘ดินไม่ใช่ผู้หญิง คนอื่นอาจจะชอบแต่ดินว่ามันเยอะเกินไป แค่พี่อยู่ข้างๆดินแบบนี้ดินก็พอใจแล้ว ไม่ต้องเอาใจดินขนาดนั้นก็ได้’
เขาไม่ได้น้อยใจที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้น เดือนรู้ว่าดินแค่พยายามที่จะไม่ให้ใครบางคนเข้ามาดูแลทุกอย่างในชีวิตมากเกินไป ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะหากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวจะได้ไม่ต้องเคว้งคว้าง จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่ทำอะไรเองไม่ได้
ความรักของเขากับดินจึงไม่ใช่ความรักที่วาบหวามมาก ไม่ได้มีจูบร้อนแรงในทุกเช้าที่ตื่นนอนเช่นคนรักเก่าของเดือนบางคน ไม่ต้องมาป้อนข้าว เดินจับมือกัน ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา ไม่ใช่ความรักที่ราวกับพายุรุนแรงที่พัดหมุนจนเขาหัวปั่น
ความรักของพวกเขาสองคนเป็นความรักที่เรียบง่าย ตื่นขึ้นมายิ้มให้กัน ทำอาหารเช้า นั่งทานอาหารด้วยกันเงียบๆ แยกย้ายกันไปทำงาน ส่งข้อความเตือนให้อีกคนทานอาหารเที่ยงเมื่อถึงเวลา แต่เมื่อกลับบ้านเดือนรู้สึกเหมือนความอึดอัดหนักหน่วงที่มีพลันหายวับไป หายไปทันทีที่เปิดประตูเข้ามาแล้วพบคนผมดำสวมแว่นยิ้มให้พร้อมกับถามว่า ‘กลับมาแล้วหรือครับ วันนี้เป็นยังไงบ้าง’
หากวันไหนที่เหนื่อยมากๆเดือนก็จะรวบตัวดินมากอด กอดแน่นๆสูดกลิ่นหอมอ่อนของอีกฝ่ายเข้าปอดจนชื่นใจ แล้วดินก็จะตบหลังเขาเบาๆ ถามว่าเป็นอะไร มื้อเย็นพวกเขาจะกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว ตอนนอนก็อาบน้ำ มานั่งบนเตียง อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดินจะเตือนให้เขาไหว้พระสวดมนต์จากนั้นก็พวกเขาก็จะบอกฝันดีให้กัน หลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน
เป็นวันเวลาที่เรียบง่าย เป็นความรักที่หลายคนอาจจะมองว่าเชื่องช้า แต่เดือนกลับรู้สึกดี ที่พวกเขาพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความรักอันอ่อนหวานค่อยๆเติบโตและหยั่งรากลงในใจ
และครั้งนี้เดือนมั่นใจว่าความรักของเขาจะมั่นคงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ยิ้มอะไรครับ” เสียงนุ่มถามอย่างสงสัย ดึงให้คนตัวสูงหลุดออกจากภวังค์ เดือนยิ้มนิดๆตักข้าวต้มเข้าปากพลางเลื่อนมือไปกอบกุมมือเล็กไว้ ลูบไล้เบาๆ “พี่แค่...คิดว่าโชคดีจริงๆที่ได้รักดิน”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลังเลนส์ใสเบิกกว้างอย่างฉงนก่อนที่ประกายความสุขจะเข้ามาแทนที่ “อืม...ขอบคุณนะที่รักดิน” รอยยิ้มบางของน้องชายต่างสายเลือดก็เพียงพอให้หัวใจของเดือนมันเต้นถี่จนต้องกระแอมแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว
หลังจากเก็บล้างจานเสร็จเดือนก็หยิบของใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง
“จะออกไปโรงงานหรือครับ”
“ใช่ พอดีคนงานมีปัญหานิดหน่อยน่ะ”
ช่วงที่อยู่ที่นี่เดือนเริ่มเข้ามาช่วยงานในส่วนของสวนผลไม้และโรงงานแปรรูปบ้างแล้ว ส่วนสวนดอกไม้คุณแม่มะลิก็เป็นคนจัดการ ส่วนตลาดสดนั้นส่วนใหญ่คนรับผิดชอบก็เป็นดิน แต่เพราะไม่ต้องเข้าตลาดทุกวันดินจึงเจียดเวลาไปทำร้านอาหารของตัวเองได้
เดือนเปิดสมุดที่เขาเขียนตารางงานตัวเองไว้ ดูเหมือนวันนี้จะมีตารางแค่เข้าไปดูแลงานในโรงงานเท่านั้น หลังจากถ่ายแบบลงนิตยสารคราวนั้นก็มีงานเข้ามาบ้างเหมือนกัน แต่เดือนก็บอกปัดหมด รวมถึงโทรไปบอกผู้จัดการส่วนตัวของเขาไม่ให้รับงานด้วย
ไม่ใช่ว่าหยิ่งหรืออะไรแต่เขาแค่ไม่อยากให้เขาเกิดเป็นข่าวอะไรขึ้นมาตอนนี้ แค่อยากให้ตัวเขาหล่นหายไปอย่างเงียบๆเท่านั้น
“นี่ ขมวดคิ้วทำไมกันครับ” นิ้วเรียวของคนผมดำจิ้มจึ้กเข้าที่หว่างคิ้วก่อนเจ้าตัวจะคลึงเบาๆให้หัวคิ้วร่างสูงคลายออกจากกัน
“ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็ขอคุณพ่อพักก่อนไหมครับ” เดือนส่ายหน้า ดึงมือดินมาแนบแก้มก่อนจรดริมฝีปากจูบลงกลางฝ่ามือนั้น เป็นเหตุให้คนตัวเล็กกว่าชักมือออกด้วยสีหน้าขัดเขิน
“ป...ไปทำงานได้แล้วครับ!” ว่าพลางผลักคนตัวโตไปทางประตู เดือนหัวเราะก่อนจะเดินออกไป ขณะที่กำลังจะปิดประตูนั้น เสียงนุ่มของน้องชายก็ทำให้เขายิ้มกว้างออกมา
“สู้ๆนะครับพี่เดือน”
แหม ว่าที่แฟนให้กำลังใจที่ขนาดนี้ ไอ้เดือนพัฒนาตัวเองเป็นมนุษย์บ้างานในพริบตาเลยก็ยังได้นะ
เดือนถอยรถกระบะออกมาก่อนจะขับตรงไปยังที่ตั้งของโรงงาน ช่วงนี้เขาเริ่มเรียนรู้งานจากคุณพ่อ เพราะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยคุ้นชินทำให้ค่อนข้างลำบาก เดือนเองก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีหัวทางด้านธุรกิจเท่าไหร่ เขาเองก็เรียนจบนิเทศฯมาด้วย ไม่ได้จบสายตรงบริหารมาเหมือนดิน รายนั้นเรียนคณะบริหารมาเพื่อที่จบออกมาจะได้ช่วยคุณพ่อคุณแม่ เรียนตรงสายมาตั้งแต่แรกแล้ว
ทันทีที่ดับเครื่องเดือนก็รีบเดินเข้าไปดูในโรงงาน เมื่อเช้าเขาได้รับโทรศัพท์จากคุณพ่อว่าหัวหน้าพนักงานที่รับหน้าที่ในการตรวจเช็คสินค้าประสบอุบัติเหตุเมื่อเช้า แล้วก็มีเรื่องที่สินค้าล็อตหนึ่งถูกตีกลับเนื่องจากบรรจุภัณฑ์เกิดการฉีกขาด ทำให้ทางฝ่ายพนักงานที่ตรวจเช็คสินค้าวุ่นวายกันไปใหญ่
“อ้าวเดือนมาแล้วเหรอ” คุณอัลเฟรดร้องทักลูกชายที่เดินหน้ายุ่งเข้ามา “ครับ ว่าแต่เป็นยังไงบ้างครับทางนี้” ชายวัยกลางคนเสยผมขึ้น ตบหัวลูกชายเบาๆ “จัดการได้น่า ระดับไหนแล้ว ว่าแต่น้องเป็นไงบ้าง”
“เดือนให้ทานข้าวเช้าแล้วครับ”
“ดีแล้ว ไม่ได้บอกว่าประสบอุบัติเหตุอย่างนี้มันดีนะ แต่ให้เจ้าตัวได้พักบ้างก็ดี เด็กคนนั้นชอบลุยงานแบบไม่ยอมหลับยอมนอนตลอดเลย”
“ได้นิสัยคุณแม่มาเต็มๆเลยนี่ครับ”
ฝรั่งตัวสูงหัวเราะร่า พยักหน้าหงึกอย่างเห็นด้วย “ก็ถูก เอ้า ไอ้เสือ ไปเดินดูงานได้แล้ว อย่ามาอู้นะเด็กฝึกงาน” เดือนหัวเราะ พ่อของเขาชอบเรียกเดือนว่าเด็กฝึกงานบ่อยๆ การที่เขาเข้ามาช่วยงานที่นี่ก็ไมได้หยิบจับอะไรมากนัก ไม่ต่างอะไรกับเด็กฝึกงานเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ทำงานไปเรื่อยๆจนใกล้เที่ยงเดือนก็นึกได้ว่าต้องโทรศัพท์ไปหาดินเตือนให้อีกฝ่ายกินข้าว แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออกก็มีสายเข้าเสียก่อน คนโทรก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอารัณย์เพื่อนรัก
“ว่าไงมึง”
[แหม ทักทายกันด้วยน้ำเสียงแบบนี้หมายความว่าไงไม่ทราบ ใช่ซี้ได้น้องแล้วลืมเพื่อน]
ทันทีได้ยินเสียงยียวน นายรวีกานต์ก็เริ่มคันเท้ายิกๆอาการคล้ายอยากจะเอาส้นเท้าเหยียบหน้าคน
“พอดีน้องมันน่ารักกว่าเพื่อนน่ะ”
[ครับๆ พ่อวัวแก่กระแดะเคี้ยวหญ้าอ่อน ดีนะเด็กมันพ้น 18 แล้ว ไม่งั้นกูยัดมึงเข้าคุกแน่]
“มึงโทรมาทำไม” เหงาไม่มีใครให้เล่นด้วยเหรอ หรือเพื่อนไม่คบ ใจจริงก็อยากจะถามออกไปแต่กลัวว่ามันจะทำร้ายจิตใจกันมากไป เผลอๆแม่งด่าสวนกลับมาอีก
[จะโทรหามึงต้องมีธุระด้วยเหรอ]
“อย่ากวนตีน กูทำงานอยู่”
[อ้อ งั้นกูเข้าเรื่องเลยแล้วกัน] เดือนกลอกตา นึกอยากด่าว่ามึงควรจะเข้าเรื่องนานแล้ว ไอ้คนป่า!
[เมื่อเช้ากูเจอคุณไตรภพที่กองถ่ายแบบนิตยสาร I Art แล้วเขาก็ถามหามึง]
ชื่อบุคคลที่สามปรากฏขึ้นมาทำให้เดือนบีบโทรศัพท์แน่นอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มกัดฟันก่อนจะกรอกเสียงลงไป “แล้วมึงว่าไง”
[กูก็บอกว่ากูไม่รู้ว่ามึงอยู่ไหน ติดต่อกันเฉพาะเรื่องงาน]
“แล้ว...”
แว่วเสียงถอนหายใจดังลอดออกมา หัวใจของคนที่กำลังรอฟังบทสนทนาต่อไปก็ยิ่งเต้นถี่รัว [เขาอยากรู้ที่อยู่มึง]
“แล้วมึงได้บอกไปหรือเปล่า!”
น้ำเสียงทุ้มตวาดห้วนอย่างที่ไม่เคยเป็น เดือนเผลอยืนขึ้น ไม่สนใจสายตาคนงานที่มองมาอย่างตกใจ วินาทีนี้เขารู้สึกตระหนกขึ้นมาจนทำอะไรไม่ถูก กลับเป็นอารัณย์ที่นอกจากจะไม่ตกใจที่ถูกตวาดใส่แล้วยังปลอบเขากลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
[มึงใจเย็นไอ้เดือน กูไม่ได้บอกไป กูบอกแค่ว่ามึงตกลงมาถ่ายแบบให้ตั้งนานแล้ว พอถึงเวลาก็มาตามนัด แล้วเขาก็ขอเบอร์มึง กูเลยให้เบอร์เก่ามึงไป ไอ้เบอร์เครื่องไอโฟนที่ถูกขโมยไปนั่นแหละ]
ร่างสูงที่เดินหลบออกมาหลังโรงงานพิงเข้ากับกำพงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบหายไปจนหมดเพียงแค่ได้ยินชื่อคนๆนั้น เดือนถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
[แล้วมึงจะทำไง]
“หมายความว่าไง”
[มึงก็รู้ว่ากูหมายความว่ายังไง...มันใกล้จะครบกำหนดแล้วนะ ทางนั้นคงไม่ปล่อยให้มึงลอยหน้าลอยตาอีกนานนักหรอก เผลอๆจะมาลากคอมึงไปก่อนกำหนดด้วยซ้ำ แล้วนี่บอกน้องดินหรือยัง]
“ยัง”
[ไอ้เดือน...เราคุยกันแล้วนะ]
เขารู้หรอก รู้หรอกน่าว่าควรจะทำอะไร แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะพูดออกไปได้ เพราะรู้ว่าถ้าพูดออกไปที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ต้องพังลงมาแน่ๆ
ไอ้รวีกานต์มันเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะพังความสุขทั้งหมดลงในตอนนี้
“กูยังไม่อยากเล่า” น้ำเสียงกระซิบที่กรอกผ่านโทรศัพท์ฟังดูหมดแรงและอ่อนล้าจนน่าใจหาย เดือนซบหน้าลงกับหัวเข่า “กูยังไม่อยากเล่าตอนนี้เลยไอ้รัน ถ้าพูดไปทุกอย่างต้องพังลงมาแน่ๆ กูไม่อยากให้อะไรๆมันแย่ลงตอนนี้...ในตอนที่ดินกับกูกำลังรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ”
[แล้วมึงอยากจะอยู่กับดินทั้งที่มีแต่ความแคลงใจอยู่ทุกที่น่ะเหรอ ถ้ามึงไม่ทำอะไรให้ชัดเจนมันจะไม่มีที่ของมึงสองคนเลยนะ]
“กูรู้”
[อีกแค่สองเดือนเองนะ...คิดให้ดีๆว่ามึงจะทำยังไงต่อไป ทางนั้นคงอยากหาคนมารับผิดชอบเต็มแก่แล้ว]
“แต่กูไม่ได้ทำ...มึงเชื่อกูใช่ไหมรัน ว่ากูไม่ได้ทำ”
อารัณย์ถอนหายใจอีกครั้ง สงสารเพื่อนก็สงสาร แต่เรื่องที่เกิดมันก็จนใจจะพิสูจน์จริงๆ มันยังไม่ถึงเวลา อีกอย่างทางนั้นก็เล่นแง่กับพวกเขาเหลือเกิน
[กูเชื่อมึง แต่คนอื่นล่ะ ถ้ามึงไม่รีบบอกมันจะแย่ไปใหญ่ ของแบบนี้รู้จากปากมึงดีกว่ารู้จากคนอื่นนะ เชื่อกู ให้เดานะ มึงยังไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วยใช่ไหม]
ความเงียบที่ได้กลับมาเป็นคำตอบอย่างดี คนที่อยู่ปลายสายถึงกับขยี้ผมยาวๆของตนอย่างหงุดหงิด เมื่อไหร่มันจะเลิกแบกทุกอย่างเอาไว้คนเดียวกันวะ!
[ไปบอกพ่อกับแม่ อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้รู้ น้องดินด้วย]
“กูไม่กล้าบอกดินว่ะ กูกลัวน้องเกลียดกู” เดือนรู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นมาจุกที่คอ “กูไม่อยากให้ทุกอย่างมันพัง เปล่า ไม่ใช่ว่ากูไม่เชื่อใจน้อง...แต่...มึง ใครมันจะไปรับได้วะ...กูกลัวทำน้องร้องไห้”
“กูไม่อยากให้น้องมาเสียน้ำตาเพราะคนแบบกู” ไม่อยากให้ตัวเองเป็นคนทำให้ดินเสียน้ำตา...เพราะเขาเคยสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายร้องไห้ “พอถึงวันนั้น...ถ้าน้องเขาร้องไห้ ที่แย่กว่าก็คือกูคงไม่สามารถอยู่เช็ดน้ำตาให้ได้แล้ว”
[กูเข้าใจ...อาจจะไม่ทั้งหมด แต่กูก็อยู่ข้างมึงนะ เอาเป็นว่าทางนี้จะหาทางทำอะไรสักอย่างก็แล้วกัน]
“ขอบใจนะเว้ย...ขอบใจนะที่อยู่ข้างกู”
อารัณย์หัวเราะหึออกมาก่อนจะวางสายไป หลังจากตัดสายคนผมยาวก็จ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างหนักใจจนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน เมื่อหันไปมองก็เห็นร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งที่จำได้ว่าเป็นของเขา เส้นผมสีม่วงที่ตรงโคนเริ่มกลายเป็นสีดำชุ่มด้วยหยดน้ำแนบกับใบหน้าเรียวได้รูป
ฝนวางมือลงบนไหล่เขา เอ่ยถามออกมา “พี่เดือนเหรอครับ” อารัณย์พยักหน้า เอนหลังลงพิงอกคนตัวเล็ก ยอมให้อีกฝ่ายบีบนวดเอาใจ
“พี่จะทำยังไงดี” ชายหนุ่มพึมพำ คล้ายต้องการถาม แต่ก็คล้ายไม่ต้องการคำตอบ วสันต์มองเสี้ยวหน้าคมคายที่ดูวิตกอย่างมากแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขารู้เรื่องทุกอย่างที่เกิด ทั้งจากพลังพิเศษของตน ทั้งจากเรื่องที่อารัณย์เล่า
“ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ คงต้องหลังจากนี้”
ดวงตาคมสบกับดวงตากลมโตของคนที่กำลังนวดไหล่ให้เขาอยู่ “มีแผนเหรอ”
“ครับ...ก็ทำนองนั้น”
หลังจากเดือนออกไปทั้งบ้านก็เหลือแค่ความเงียบ ดินใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเองออกไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ที่หน้าบ้าน ความจริงเขาใช้ไม้ค้ำพาตัวเองไปไหนมาไหนได้อยู่แล้ว แต่เดือนก็ไม่ยอม ยังยืนยันจะประคองเขาไปไหนมาไหนตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่สำหรับเขาหรอก การที่มีคนประคองมันก็ดีกว่าใช้ไม้ค้ำประคองตัวเองใช่ไหมล่ะ
ชายหนุ่มผมดำนั่งเล่นกับเจ้าสี่องครักษ์ด้านนอกไปสักพักเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น ดินรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เป็นคนเสพติดมือถือหรือการแชทอะไรพวกนี้หรอก
แต่ตั้งแต่มีเดือน...ดินก็รู้สึกว่าเขาเริ่มเปิดแชทดูว่าอีกฝ่ายส่งข้อความมาหรือยังบ่อยขึ้นกว่าแต่ก่อน
แต่หนนี้คนส่งข้อความมาไม่ใช่เดือนแต่เป็นปราณ ดินรู้สึกเหมือนตัวเองจะหลายเป็นดอกไม้หรือต้นกล้าเหี่ยวๆลงไปพักหนึ่ง...นี่สินะความผิดหวังจากการนั่งรอคนตอบข้อความน่ะ
น้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้ : พี่ดินนน อยู่บ้านหรือเปล่าจ๊ะ
10:09 AMPathapee : อยู่ครับ ทำไมเหรอ
10:09 Am Readน้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้ : ปราณจะไปหาที่บ้านอ่ะจ้ะ แม่ฝากขนมหม้อแกงมาให้
10:10 AMPathapee : ขอบคุณครับ
10:10 AM ReadPathapee : ว่าแต่ใครมาส่ง
10:11 AM Read น้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้ : ...ไอ้เฟิงจ้ะ...
10:15 AMดินอมยิ้ม ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุดูเหมือนว่าลูกชายร้านขายข้าวแกงจะยอมอ่อนข้อให้กับปราณมากโข หลังๆมาเวลาโดนด่าโดนกวนประสาทก็ไม่ค่อยโต้ตอบเท่าไหร่ จากการอัพเดตข่าวล่าสุดจากเพื่อนสนิทน้องปราณ ดูเหมือนว่าเฟิงจะเลิกกับแฟนสาวคนนั้นไปแล้ว เจ้าหล่อนเองหลังเลิกกันไปสองวันถัดมาก็ควงแฟนใหม่มาซะแล้ว
แต่ถึงจะยอมอ่อนข้อให้มากขนาดไหนแต่ใช่ว่าปราณจะยอมรับง่ายๆ เด็กหนุ่มผิวแทนยังคงไม่ยอมพูดจาดีๆกับเฟิงจนเดี๋ยวนี้คนทักแชทเขามาขอคำปรึกษาบ่อยๆกลายเป็นเฟิงไปเสียแล้ว ไม่รู้จะตลกหรือวางตัวยังไงดีกับเด็กคู่นี้
มันก็เห็นๆกันอยู่ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง แต่แค่เล่นตัวกันไปมาเท่านั้นแหละ
“เฮ้อ ความรักมัธยมนี่ดีจังเลยน้า” ดินหลุดหัวเราะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดจาเหมือนตาลุงแก่ๆซะอย่างนั้น แล้วตอนนี้เขาก็มีความรักไม่ใช่หรือไง
ถึงจะไม่ใช่ความรักแบบมัธยมกุ๊กกิ๊กๆแต่มันก็รู้สึกดีแล้วก็จั๊กจี้ไม่ต่างกันเลย
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนแคร่ไม้สั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนโทรเข้ามา ดินอมยิ้มเมื่อนึกได้ว่าอาจจะเป็นเดือนโทรมา ชายหนุ่มรับสายโดยไม่ได้ดูหมายเลขโทรเข้า แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเสียงที่ลอดผ่านมาจากโทรศัพท์
[สวัสดีครับ คุณปฐพีใช่ไหมครับ]
ทั่วทั้งร่างของดินชาวาบ ชายหนุ่มตกใจจนมือสั่น เขาจำได้...เขาจำน้ำเสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายได้ จะลืมได้ยังไงกัน มือเรียวดึงโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์โทร เป็นเบอร์แปลก ไม่คุ้น อีกคนคงเปลี่ยนเบอร์ไปนานแล้ว
“โทรมาทำไม” ดินถามกลับไป รู้สึกพ่ายแพ้เมื่อพบว่าน้ำเสียงของตัวเองสั่นพร่า “ต้องการอะไร”
[มีเรื่องอยากให้ช่วย...มาเจอกันหน่อยได้หรือเปล่า]
“ไม่!” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปเกือบเป็นกระชาก คนตัวเล็กรีบตัดสายทิ้งทันทีก่อนจะบล็อกเบอร์ของคนคนนั้น ความคิดมากมายหมุนเร็วจี๋อยู่ในหัว
อีกฝ่ายได้เบอร์เขามาได้ยังไง
แล้วที่บอกว่ามาเจอกัน...คืออยู่แถวนี้อย่างนั้นหรือ
คนคนนั้น...กำลังจะกลับมาใช่ไหม
ชายหนุ่มก้มหน้า ปล่อยให้เส้นผมสีดำร่วงปรกใบหน้า ซ่อนความทุกข์ทรมานที่ปรากฏเอาไว้
แกรก
เสียงพื้นรองเท้าบดหินกรวดใกล้เข้ามา ทำให้ดินต้องรีบเงยหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างอย่างตระหนกเมื่อพบกับร่างสูงใหญ่ เงาของอีกฝ่ายทาบทับลงมาเหนือร่างกายเขา
ใบหน้าแบบนั้น ถึงจะเป็นเงาดำเพราะแสงแต่ดินก็จำได้...ริมฝีปากบาง ดวงตาคมกริบ
ทุกอย่าง ทุกสัมผัสหวนคืนมาในวินาทีที่เสียงทุ้มนั้นเอ่ยพูดกับเขา ชัดเจนยิ่งกว่าเสียงที่ผ่านมาทางโทรศัพท์
“ใจร้ายจังนะ ตัดสายพี่ทิ้งแบบนี้”
“ไปให้พ้น”
อย่าเข้ามา...อย่าเข้ามาใกล้เขา...ไปให้พ้น
“พี่ขอโทษนะ เงยหน้ามาคุยกันหน่อยได้ไหม”
“ไม่ ออกไปนะ!”
ฝ่ามือใหญ่เชยคางเขาขึ้นอย่างแผ่วเบา ดินจำสัมผัสนี้ได้ดี อีกฝ่ายชอบเชยคางเขาขึ้นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แล้วหลังจากนั้นก็จะชอบโน้มตัวมาจูบเบาๆ
“ผอมลงหรือเปล่า”
เขาชอบจับข้อมือของดิน จูงพาไปทานมื้อเย็น บอกให้กินเยอะๆจะได้โตไวๆ
“ทำไมทั้งตัวมีแต่แผลแบบนี้”
เวลาที่เขามีแผล อีกฝ่ายจะชอบบ่น ตีหน้าดุใส่เขาแต่ก็ยังทำแผลให้เสมอ ฝ่ามือใหญ่ๆคู่นั้นจะแตะต้องเขาอย่างอ่อนโยน
“ไม่เจอกันมาตั้งนาน...ยังขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะ”
หยดน้ำตาถูกเกลี่ยออกอย่างอ่อนโยนดังเช่นทุกครั้ง ดินรู้สึกปวดหนึบในอก เขากัดริมฝีปากและเมื่อหลับตาลงหยดน้ำตาก็ร่วงพรู นานทีเดียวกว่าเขาจะรู้ตัวว่าควรตอบอะไรไป
“อย่ามาแตะผม” มือข้างที่ยังดีปัดมืออีกฝ่ายออก ดินปาดน้ำตาบนใบหน้าลวกๆ เขาหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ แต่กระนั้นหัวใจก็ยังเต้นรัว
คิดว่าลืมไปแล้วแท้ๆ แต่พอมายืนตรงหน้าก็ยังรู้สึก
เวลา 4 ปีไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสินะ...
“คุณกลับมาทำไม...ในวันที่ผมกำลังจะลืมคุณอยู่แล้ว กลับมาทำไมกันครับ
พี่กัณฐ์”
ร่างสูงขยับเข้ามานั่งเคียงกันบนแคร่ เหมือนครั้งก่อนที่พวกเขานั่งใกล้กัน เบียดชิดดูดวงดาวบนฟ้า เพียงแต่วันนี้ไม่มีดวงดาว มีแต่คราบน้ำตาและบาดแผลจากอดีต
“พี่ขอโทษ...ที่ทำลงไป”
“ผมไม่ต้องการคำขอโทษ”
“แต่พี่ทำเราร้องไห้...ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วแท้ๆ ขอโทษนะ”
ประโยคนั้นเป็นเหมือนชนวนทำให้ความอดทนสุดท้ายขาดผึง ดินประคองตัวเองลุกขึ้นอย่างยากเย็น เขาคว้าโทรศัพท์กับไม้ค้ำแล้วออกเดินไปทางบ้าน ไม่สนใจใครอีกคนที่เร่งเดินมาดักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววกร้าวออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ถอยไป” ดินกดเสียงต่ำอย่างข่มขู่ อีกฝ่ายที่เห็นท่าทางแบบนั้นก็ยอมถอยแต่โดยดี คนผมดำรีบเข้าบ้าน ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วทรุดตัวลงนั่ง เอนตัวลงบนเตียง ขดตัวคล้ายจะปกป้องตัวเองจากทุกสิ่งบนโลกนี้
ถ้าตอนนี้...พี่เดือนอยู่ด้วยก็ดีสิ
แต่จะให้คนๆนั้นเจอกับพี่เดือนไม่ได้เด็ดขาด ให้รู้ไม่ได้...ในเวลาที่ความสัมพันธ์กำลังดีขึ้นแบบนี้
อีกแค่นิดเดียวเขาก็จะเปิดใจได้แล้วแท้ๆ...
จู่ๆแผลเป็นที่ท้องแขนพลันเจ็บจี๊ดขึ้นมา ราวกับร่วมกันย้ำเตือนถึงเรื่องราวในอดีต ถึงวันที่เขาเกือบจะทิ้งชีวิตของตัวเองไปเพราะคนที่อีกฝากของบานประตู
‘กัณฐพันธ์’ชายหนุ่มที่มองเห็นด้ายแดงเหมือนกันกับเขา...คนที่ตามหาเขาจนเจอ
อดีตรักแท้...และรักครั้งแรกของเขา **********************************************
เอ้า ปรบมือให้กับตัวปัญหาเบอร์หนึ่งค่าาา คุณกัณฐพันธ์
ฉากช่วงนี้อาจจะเนือยๆไปหน่อยก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ก็สั้นมาก นี่ขนาดสิบหน้าแล้วนะ ;w;
ตอนที่เขียนฉากนี้ตอนแรกที่วางพล๊อตไว้มันไม่ดราม่าขนาดนี้ค่ะ แต่เขียนไปเขียนมา
จากการที่นึกทั้งฝั่งเดือนและดินทำให้เราคิดว่าถ้าทั้งคู่ไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ของกันและกัน
แล้วต่างปกปิดเรื่องสำคัญ ความสัมพันธ์มันจะถูกพัดไปทางไหน มันเลยออกมาเป็นฉะนี้แลล
ส่วนที่เหลือ...ก็รอลุ้นตอนหน้าค่ะ (หลบเปลือกไข่)
เรามีข่าวมาแจ้งด้วยค่ะ ตอนนี้เรามีเพจแล้วนะคะ สามารถตามไปพูดคุย ทวงนิยาย ได้เลยนะคะ จุ๊บ
จิ้มเลยค่ะ >>
AzureDream<<