พิมพ์หน้านี้ - ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: snowrabbit ที่ 03-12-2015 18:54:45

หัวข้อ: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 03-12-2015 18:54:45
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

งานเขียนอื่นๆ

เรื่องสั้น
He is My (Boy) Friend เพื่อนผมหล่อ แต่ห้ามรอจีบ... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51284.msg3280340#msg3280340)✿*゚‘゚・✿Complete✿*゚‘゚・✿
Perfect Guy...? ผู้ชายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51619.0) ✿*゚‘゚・✿.。Complete ✿*゚‘゚・✿.。
Bitter Sweet Secret คุณครับ...ผมมีความรักจะบอก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51340.0) ✿*゚‘゚・✿.。Complete✿*゚‘゚・✿.。


เรื่องยาว
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50524.0)✿*゚‘゚・✿.。Complete ✿*゚‘゚・✿.。
เพราะหลงรักคุณ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52873.0)


ยามจันทร์เจ้าจูบดิน

เขา...ผู้มีความสามารถในการมองเห็น 'ด้ายแดง' ที่ผูกคนสองคนให้รักกัน
เขา...ผู้ที่ทำหน้าที่สื่อรักได้ดุจกามเทพ
แต่ตัวเขา...กลับไม่สามารถมีความรักได้
ทั้งไม่สมหวังในรักและไม่รู้สึกรัก
จนกระทั่งเขาได้พบกับ 'เดือน'
'เดือน' ที่ส่องสว่างอยู่กลางฟ้าในยามที่โลกมืดมิด
'เดือน' ที่ทั้งอบอุ่น และเป็นแสงนำทาง
'เดือน' ที่ไม่มีวันจะผูกกับด้ายแดงของเขาได้...ตลอดกาล

......................

สวัสดีค่ะ snowrabbit ค่ะ  ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
จะพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ขอฝากพี่เดือนและน้องดินไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้ลงในเด็กดีด้วยค่ะ ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ


สามารถพูดคุยและตามทวงนิยายได้ที่นี่เลยค่ะ
FaceBook : AzureDream (https://www.facebook.com/drawnindream/?fref=ts)

....................

เดือน : เปิดมาเหมือนจะดราม่าเลยเนอะ  น้ำตามาเต็มแน่ๆ
ดิน : แค่มีพี่โผล่มา ชีวิตก็ไม่เหลืออะไรให้ดราม่าแล้วล่ะครับ มันคงจะกลายเป็นนิยายตลกมากกว่า
เดือน : โหดร้าย...
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑|เดือนกับดิน| {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 03-12-2015 19:14:49
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑
เดือนกับดิน

   ทั้งชีวิตนี้มีอยู่สามสิ่งที่คนอย่าง ‘เดือน’ หรือ ‘นายรวีกานต์’ เกลียดมากที่สุด หนึ่งคืออากาศร้อนชนิดที่สามารถฆ่าคนตายและย่างควายสุขได้ในห้านาที สองคือสถานที่ที่ห่างไกลความเจริญขนาดที่ร้านสะดวกซื้อเข้าไม่ถึง และสามคือการเดินหลงทางอย่างโง่ๆกลางไอ้สถานที่สองอย่างข้างต้น!

   บ๊ะ คิดๆไปแล้วก็ขึ้น อากาศยิ่งร้อนๆอยู่!

แล้วสรุปกูจะต้องไปขึ้นรถต่อที่ไหนวะ

เดือนยืนเกาหัวแกรกกราก หันซ้ายทีขวาทีอย่างจนปัญญา ทั้งตัวเขามีเพียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่อภิมหาหนักเท่านั้น ชายหนุ่มเดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจ อารมณ์ความหงุดหงิดทวีขึ้นทุกทีเพราะอากาศร้อนหลังจากหอบหิ้วสารร่างโทรมๆของตัวเองมาจากกรุงเทพได้สำเร็จ เขาก็ติดต่อที่บ้านไว้แล้วนะว่าให้ส่งคนมารับ แล้วไหนล่ะวะไอ้คนที่ว่า!

ชายหนุ่มร่างสูงกวาดตาไปรอบๆ จนไปเจอร่มไม้ที่น่าจะพอช่วยกำบังแดดได้บ้าง เขาก็จัดแจงลากกระเป๋าไปยืนอยู่ใต้ร่มไม้ได้สำเร็จ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งยองๆอย่างหมดแรง ระยะทางจากกรุงเทพถึงสุพรรณบุรีไม่ใช่ใกล้ๆ แล้วกับคนที่ไม่เคยได้นั่งรถทัวร์ไปต่างจังหวัดแบบเขาด้วยแล้ว บอกเลยคำเดียวว่าโคตรเมื่อย

อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากจะกลับมานักหรอก

ไม่ใช่ว่าเดือนดูถูกต่างจังหวัดหรือมีปัญหากับที่บ้าน แต่สำหรับเด็กที่ถูกญาติรับไปเลี้ยงที่กรุงเทพตั้งแต่ยังเล็กแถมส่งไปเรียนต่อปริญญาถึงต่างประเทศ การจะกลับมาอยู่กับครอบครัวในสถานที่ที่ไม่มีห้างใหญ่หรือร้านอาหารหรูแล้วมันก็ค่อนข้างทำใจลำบาก
เดือนไม่สนิทกับพ่อแม่ ครั้งสุดท้ายที่คุยกันคือคุยผ่านโทรศัพท์เมื่อประมาณสามอาทิตย์ก่อนตอนที่เขาบอกว่าจะกลับมาขออยู่ด้วย

เอาเถอะ...อย่างน้อยๆกลับมาพักหัวสมองพักใจที่บ้านคงทำอะไรๆดีขึ้นหลังจากที่ผ่านอะไรร้ายๆมา

“พี่คะๆเอาน้ำเย็นๆสักขวดไหมคะ” น้ำเสียงเหน่อๆที่เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นเรียกให้เดือนเงยหน้าจากไอโฟนในมือ เขามองเด็กหญิงตัวน้อยที่น่าจะอายุสักสิบสองสิบสาม แบกกล่องโฟมที่มีหยดน้ำเกาะพราวไว้ เด็กน้อยเปิดฝากล่องเผยให้เห็นขวดน้ำเปล่าอยู่ในน้ำที่ใส่น้ำแข็งไว้ ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ในที่สุดสวรรค์ก็ส่งเด็กน้อยถือน้ำมาโปรดเขาแล้ว!

“อ่า งั้นเอาขวดนึงครับน้อง” ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าตังค์เตรียมจะยื่นแบงค์ยี่สิบให้อีกฝ่ายแต่ทันใดนั้นเด็กหญิงตัวน้อยที่เขามองว่าเป็นนางฟ้ามาโปรดกลับทิ้งกล่องโฟมลงพื้นจนน้ำนองเต็มพื้น ขวดน้ำเปล่าหล่นกระจัดกระจาย...ก่อนที่ยัยเด็กนั่นจะกระชากกระเป๋าเงินเขาไปต่อหน้าต่อตา!

เวร! กูโดนเด็กสิบสองขวบฉกกระเป๋าเงิน!

“เฮ้ย ยัยเด็กบ้า หยุดนะเว้ย!” จะยืนโง่ทำซากอะไรล่ะครับ ไอ้เดือนก็จะวิ่งตามสิ สุดชีวิตเลยด้วย แต่แค่ก้าวเท้าขวาออกไปเขาก็เหยียบไปบนก้อนน้ำแข็งลื่นๆบนพื้น เซถลาไปเหยียบขวดน้ำเปล่าอีกขวดจนล้มหงายหัวฟาดพื้น

ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวไปมาไล่อาการมึนก่อนจะรีบวิ่งตามต่อ เขาเห็นหลังเด็กแสบนั่นไวๆแล้ว หืม อะไรนะ นั่นเด็ก
สมควรทำใจเมตตาแล้วปล่อยไป?  ขอโทษครับนั่นมันเงินเก็บที่เหลือทั้งชีวิตของกูเหอะ! ตลก ปล่อยไปก็แย่แล้ว!

ชายหนุ่มอาศัยความได้เปรียบจากขายาวๆของตัวเองวิ่งจนใกล้จะทันเจ้าเด็กน้อยแต่จู่ๆก็มีบุคคลปริศนาอีกคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามากระแทกเขา

พลั่ก

กระแทกไม่แรงมากหรอกแค่ทำเอาไอ้เดือนเซถลาเท่านั้นเอง

คนที่ชนเขาเป็นเพียงชายร่างเตี้ย อีกฝ่ายพอชนเสร็จก็ขยับหมวกแก๊บสีแดงให้เขาที่แล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนที่ล้มหงายได้แต่กัดฟันกรอดๆ “น้ำใจงาม...น้ำใจงามจริงๆไอ้เวร! ชนมาเนี่ยขอโทษสักคำก็ไม่มี  โว้ย!” โวยวายเสร็จก็นึกได้ว่าต้องไล่ตามกระเป๋าตังค์ต่อ แต่พอหันไป...

เหอะๆ สุดท้ายก็ว่างเปล่า

เด็กนั่นหนีรอดไปแล้ว

เอาล่ะคุณรวีกานต์ ตอนนี้มึงต้องคิดแล้วครับด้วยดีกรีปริญญาตรีจากอเมริกา จงใช้สมองอันปราดเปรื่องของมึงหาทางรอดซะ  คิดสิคิด ทำยังไง เวลาแบบนี้...ใช่ ต้องพึ่งพาครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย  เนื่องจากไอ้เดือนไม่มีเพื่อนที่นี่  อดีตเพื่อนร่วมงานก็อยู่ไกลถึงกรุงเทพฯ คงเหาะมาช่วยไม่ได้ ทางเดียวที่เหลืออยู่คือขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน ฮือออ พ่อ แม่ ช่วยเดือนด้วย

ไวเท่าความคิดก็ล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเองทันที

แต่เอ๊ะ ทำไมคลำไปกระเป๋ามันแฟบชอบกล 

ตบๆไป ทำไมสุดท้ายก็ว่างเปล่าอีกแล้ววะ...

ร่างสูงใหญ่เป็นหมียืนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะตระหนักความจริงอันน่าตระหนกได้ว่า โทร-ศัพท์-กู-หาย!

ชิบละ...ของจริงเลย

เดือนรีบหันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิม  สอดส่ายสายตาหาเผื่อว่าจะเจอว่าตัวเองทำหล่นไว้ตรงไหน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
เวรล่ะสิ  วิ่งมาก็ไม่ได้สนใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำหายไปตอนไหน

เดือนยืนเค้นสมองพยายามกรอกลับไป จนในที่สุดเขาก็นึกออก ถ้าเป็นในการ์ตูนคงมีเสียงปิ๊งพร้อมหลอดไฟสว่างวาบ
ตอนที่ไอ้มนุษย์หมวกแก๊บมันเดินชนเขา! แน่ๆล่ะ มิน่าแม่งรีบเดินไม่ขอโทษสักคำ ที่ไหนได้ มันฉกไอโฟนเขาไปแล้วต่างหาก โว้ยยย แล้วทีนี้จะไปตามทางไหนล่ะ มือถือไปทาง  กระเป๋าตังค์ไปทาง 

โอยย ทำไมเกิดเป็นไอ้เดือนมันถึงได้ลำบากขนาดนี้วะ  มีงานทำกำลังรุ่งก็ดันร่วง  จะซื้อน้ำก็โดนขโมยกระเป๋าเงิน แถมยังโดนขโมยมือถืออีก

“มึงควรจะไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ได้แล้วมั้งง ฮะๆ” พึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินลากขากลับไปที่กระเป๋าเดินทางที่เผลอทิ้งไว้ นี่ถ้าชีวิตบัดซบขั้นหนักมันคงจะมีใครสักคนมาขโมยกระเป๋าเดินทางเขาไปอีก ทีนี้ล่ะมึงผู้ชายตัวเปล่าของจริงเลยไอ้เดือน

ทันทีที่เดินกลับมาใต้ต้นไม้ชายหนุ่มก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนก้มๆเงยๆที่กระเป๋าเดินทางของเขา

ไอ้เชี่ยยย ชีวิตกูในหนึ่งวันจะบัดซบไปแล้วโว้ยยย

หยุดเลยมึง เอามือมึงออกไปจากกระเป๋ากู ณ. บัดนาว  ต่อให้มึงเอา M79 มากราดยิงใส่กู กูก็ไม่มีวันให้มึงเอากระเป๋ากูไปได้หรอก!

“ย๊ากกก ไอ้เดือนเดอะคิก!” เสียงมาพร้อมตัว  ไม่ว่าเปล่า กูสกายคิกถีบขาคู่เลยครับ  กระเป๋าข้าใครอย่าแตะ ณ.จุดนี้กูหวงกระเป๋ามากกว่าแฟนเก่าอีก

โครม!

ไอ้หนุ่มคนนั้นโดนเขาถีบจนร่างนั้นหน้าคะมำไปจูบพื้น เดือนรีบตามขึ้นไปนั่งทับ  ดึงแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายมาไพล่หลัง  ถ้ามีกุญแจมือนี่ครบสูตร

ชายหนุ่มกระแอมก่อนจะทำเสียงขรึม “คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูดเพราะทุกคำที่คุณพูดจะ...” ยังไม่ทันจะพูดจบเดือนก็ต้องกลืนคำที่พูดที่เหลือลงคอเพราะเสียงเย็นๆจากคนใต้ร่างเขาดังขัดขึ้นมาก่อน

“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”  น้ำเสียงนิ่งเย็นทำเอาเดือนขนลุกซู่  แถมจู่ๆแดดดันร่มขึ้นมาแถมมีลมพัดแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ  เฮ้ยๆ อะไรวะเนี่ย

“วันนี้คุณทำกรรมโดยการกระโดดถีบขาคู่ผม...คุณเองก็จะได้รับการสนองกรรมนั้นในไม่ช้า เพราะกรรมเกิดจากการกระทำของตัวคุณเอง”

“พ...พล่ามอะไรของมึงฮะ!”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสั่นรีบลุกขึ้นแล้วกระโดดถอยห่าง  นี่เขาไม่ได้ไปกระโดดถีบคนบ้าหรือพวกพ่อมดคนทรงเจ้าเข้าใช่ไหมวะ  โดนทำของขึ้นมานี่ดับดิ้นเลยนะ

ชายหนุ่มคนนั้นค่อยๆลุกขึ้นยืน ปัดเศษดินเศษฝุ่นออกจากตัวด้วยท่าทางนิ่มนวลเหมือนกุลสตรีชาววังไม่มีผิด เดือนสังเกตว่าอีกฝ่ายนั้นตัวเล็กกว่าเขาอยู่มากทีเดียว  คนตรงหน้าเขามีผิวขาว  เส้นผมสีดำยาวระต้นคอ  สวมแว่นตากรอบดำ เบื้องหลังเลนส์ใสคือดวงตาคู่คมสวยสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่ง  ริมฝีปากบาง  มีไฝรองน้ำตาที่ใต้ตาซ้ายดูเพิ่มเสน่ห์ให้คนตรงหน้าดูดีเพิ่มอีก  ติดที่ใบหน้านั้นออกจะหวานเหมือนผู้หญิงไปสักหน่อย

หรือที่จริงแล้วคนตรงหน้าเขาเป็นผู้หญิงนะ  เดือนเองก็ชักจะแยกไม่ออก

แต่ยังไม่ทันจะดึงสติกลับมาครบถ้วนคนตรงหน้าเขาก็ชิงพูดขึ้นมาด้วยสำเนียงภาคกลางชัดแจ๋วเสียก่อน “สวัสดีครับคุณเดือน  ขออภัยที่มาช้า ผมคือคนที่จะมารับคุณครับ” เดือนพยักหน้าแบบงงๆ ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองดันทำเรื่องหน้าแตกไปกระโดดถีบขาคู่เขาแบบนั้น

 “เอ่อ...ฉันขอโทษนะที่ถีบนาย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจว่าคุณเดือนคนร้อนใจห่วงกระเป๋ามาก  เพราะดันประมาททิ้งกระเป๋าไว้เดี่ยวๆแบบนี้ เป็นผมก็คงจะห่วง เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าคนประมาทย่อมโศกเศร้าสิ้นกาลนาน อ่า...แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่กลับมาทัน”  ชายตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยในขณะที่เดือนคิ้วกระตุกหงึกๆ

เหมือนมันหลอกด่ากูชอบกล

แต่สีหน้านั้นก็ยังไม่เปลี่ยนจนเขาจับสังเกตอะไรไม่ได้เลย

“เอ่อ คุณ...คุณชื่ออะไรนะ?” ชายหนุ่มร่างสูงเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้แนะนำตัว คนผมดำนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหัวขอโทษ “ขออภัย ผมเสียมารยาทซะแล้ว”

“เฮ้ย ไม่ๆฉันแค่ถามเท่านั้นเอง”

“ไม่ได้หรอกครับ คุณแม่คุณสอนว่าถ้าจะถามชื่อหรือทำความรู้จักใครเราควรบอกชื่อตัวเองก่อน ผมลืมความจริงข้อนี้ไปซะได้”
ร่างนั้นหัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยแต่เพียงแค่นิดเดียว “ผมชื่อปฐพี เรียกผมว่าดินก็ได้”

“อ่า ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เช่นกันครับ”

เดือนกระพริบตาปริบๆ นึกสงสัยว่าตัวเองกำลังคุยกับคุณชายจากนอกโลกหรือเปล่า  ดินเป็นคนที่ดูนิ่งมากจนน่ากลัว เขาไม่แสดงออกไม่ว่าจะทางสีหน้าหรือแววตา  คำพูดก็...ก็นะ ทั้งงงๆทั้งฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้เดือนสัมผัสได้ว่าแม่งคมกริบ นี่ถ้าคำพูดมันเป็นมีดคงบาดกูเลือดซิบไปละ

คนแปลกๆ ดูเข้าถึงยากแต่กลับมีเสน่ห์

“จริงด้วยสิคุณดิน...”

“ผมอายุน้อยกว่าคุณ เรียกแค่ดินเฉยๆก็ได้ครับ”

“เอ่อ โอเคๆ คือผมโดนขโมยกระเป๋าตังค์แล้วก็มือถือด้วยอ่ะ คือ...พอจะแจ้งความหรืออะไรยังไงได้บ้าง”

“ขโมย? คุณพอลักษณะคนขโมยของได้ไหมล่ะครับ อาจจะพอช่วยๆกันตามหาไม่ก็ไปแจ้งตำรวจได้บ้าง”

“คนขโมยมือถือเป็นผู้ชายตัวเตี้ยๆใส่หมวกแก๊ปสีแดง  ส่วนคนขโมยกระเป๋าตังค์เป็นเด็กผู้หญิงอายุน่าจะประมาณสิบสองสิบสาม...ทำไมมองผมแบบนั้น?”

เดือนชะงักเมื่อดินมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะ...ว่างเปล่ากว่าเดิมเล็กน้อย เจ้าหนุ่มน่าสวยทวนคำเบาๆ “เด็กผู้หญิงอายุ 12 เหรอ เฮ้อ นี่เป็นการพิสูจน์แล้วสินะว่าการศึกษาสูงไม่ได้พัฒนาทักษะชีวิต” ว่าพลางทอดถอนใจเบาๆก่อนจะส่ายหน้า

“เฮ้ยๆ พูดแบบนี้หมายความว่าไงฮะ?”

“อ่า ขอโทษครับ ดูเหมือนผมจะหลุดความในใจไปอีกแล้ว”

ไม่อ่ะ มึงไม่ได้หลุด มึงจงใจพูดแซะกูครับไอ้คุณปฐพี!

“เอาเป็นว่า...เรื่องมือถือเดี๋ยวผมจะหาเครื่องใหม่ให้คุณใช้แก้ขัดไปก่อน ส่วนกระเป๋าเงิน...ในนั้นมีอะไรสำคัญไหมครับนอกจากเงินน่ะ”  เดือนส่ายหน้า เขาแยกพวกบัตรประชาชนเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนพวกบัตรเครดิตกับบัตร ATM เขาก็ยกเลิกไปหมดแล้วทุกใบ เงินสดในนั้นก็มีมากสุดแค่ห้าพันกว่าบาท

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ดูอีกทีเถอะครับ ตอนนี้รีบกลับกันก่อนดีกว่า”

กล่าวจบร่างโปร่งก็หันกายเดินนำไปทำให้เดือนต้องรีบลากกระเป๋าเดินตุปัดตุเป๋ตาม  พวกเขาเดินมาถึงเจ้าปิคอัพสีขาวที่ติดสติกเกอร์ไว้ว่า ‘คันนี้สีชมพู รู้แล้วก็ห้ามแซง’ ว่าแต่เรื่องรู้สีกับเรื่องห้ามแซงมันเกี่ยวอะไรกันวะ 

เดือนยกกระเป๋าไปที่ท้ายกระบะ เอาเชือกรัดไว้กันมันกระแทกก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านหลังตามดินที่นั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว  คนสวมแว่นเหลือบตามองเขาจากกระจกมองหลังก่อนจะเคาะนิ้วกับพวงมาลัย “ขึ้นมานั่งหน้าครับ”

“ฮะ?”

“ผมไม่ใช่คนขับรถของคุณ มานั่งหน้าครับ”

“คนขับรถอะไรคุณ? เอ่อ ขอโทษทีผมนั่งหน้าแล้วอึดอัดน่ะ”  เดือนเป็นคนตัวใหญ่  พ่อของเขาเป็นคนอังกฤษที่มาตกหลุมรักสาวใสไทยแท้อย่างแม่ และลงหลักปักฐานที่เมืองไทย  ดังนั้นเดือนเลยกลายเป็นลูกครึ่งอังกฤษที่ตัวโต มีโครงหน้าฝรั่ง  ผมสีน้ำตาลอ่อน และดวงตาสีอ่อน  เวลานั่งรถส่วนใหญ่เขาจะนั่งหลังตลอดเพราะรู้สึกว่าเบาะหน้ามันคับแคบ

นั่นแหละ เขาไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่าถ้านั่งหลังจะทำให้ไอ้คนที่ขับรถกลายเป็นคนคนขับรถน่ะ

ดินถอนใจเบาๆอีกครั้ง หันมาบอกเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย “มันเป็นมารยาทพื้นฐานครับ คุณไม่เคยเรียนมารยาทมาหรือไง”
“เอ่อ...ผมเรียนโรงเรียนคริสต์”  ดังนั้นมารยาทชาวพุทธคือน่าจะเท่ากับศูนย์ ทุกวันนี้สวดบทแผ่เมตตาถูกก็ปลื้มปริ่มจะแย่

“มันเป็นมารยาทพื้นฐานทั่วไปน่ะคุณ ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น”  สายตาหลังเลนส์ใสนั้นเหมือนจะสื่อว่า ทุกคนยกเว้นมึงอ่ะครับคุณรวีกานต์

ด้วยคำพูดนั้นเดือนจึงต้องรีบลงแล้วขึ้นไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถที่เบาะนั่งข้างๆไอ้เด็กปากจัด เมื่อรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง  ภายในรถเงียบสนิทจนเดือนรู้สึกเหมือนจะหลับ แต่มันคงไม่ดีถ้าเขาจะชงหลับแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถคนเดียว

ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวมันก็มาหลอกด่าเขาด้วยคำพูดเจ็บๆเข้าใจยากๆอีก

สุดท้ายเดือนก็ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ 

“คุณอายุเท่าไหร่น่ะดิน  คุณบอกว่าอายุน้อยกว่าผมสินะ”

“ใช่ครับ ผม 23 แล้ว”  อายุน้อยกว่าเขาห้าปีสินะ “แล้วทำไมคุณรู้จักพ่อแม่ผม” ชายหนุ่มหน้าสวยไม่ตอบ ภายในรถจึงกลับมาเงียบเป็นป่าช้าอีกครั้ง  เดือนคอยคำตอบเงียบๆจนคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบแล้วนั่นแหละดินถึงจะพูดขึ้นมา “พวกท่านเป็นคนอุปการะผม  ที่บ้านผมไม่มีเงินมากพอจะเลี้ยงผม พ่อกับแม่คุณสงสารเลยรับผมมาเลี้ยง ส่งเสียจนเรียนจบ พวกท่านเป็นครอบครัวของผม”

“แล้วนายอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่เหรอ”

“ใช่ครับ”

“งั้นเหรอ ดีจังนะ”

เดือนพูดเสียงเรียบก่อนจะเบือนหน้าไปมองทิวทัศน์ที่ผ่านตาไปอย่างรวดเร็วด้านนอกแทน   อะไรสักอย่างในใจเขาถูกกวนขึ้นมา เป็นแค่ตะกอนเล็กๆที่เขาคิดว่าเขาเลิกสนใจมันไปนานแล้ว  ชายหนุ่มหลับตาเอนหัวพิงกับกระจกรถแล้วกลบฝังความรู้สึกนั้นไว้  จนในที่สุดเขาก็เผลอหลับไปจริงๆ

เครื่องยนต์ที่ดับสนิททำให้เดือนรู้สึกตัวตื่น   เขาพบว่ารถจอดสนิทที่หน้าบ้านเรือนไทยประยุกต์สองชั้น ที่ตัวบ้านชั้นล่างทาสีขาวส่วนด้านบนเป็นไม้  มีประตูกระจกเปิดสู่ระเบียงรอบๆ โคมไฟที่ออกแบบมาให้รูปร่างคล้ายตะเกียงติดไว้รอบตัวบ้าน
เดือนสูดลมหายใจลึก เขาไม่แน่ใจว่าจะทำหน้ายังไงดีตอนลงไป  ต้องร้องไห้ไหม ต้องกอดกันให้แน่นๆหรือแค่ยกมือไหว้ 
มันก็ตลกดีที่เหมือนพ่อกับแม่แท้ๆเป็นคนแปลกหน้าของเขาไปแล้ว

รอบๆบ้านของเขาร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และไม้ดอกต่างๆที่ถูกปลูกและดูแลจนเป็นระเบียบ  ชายหนุ่มเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินตามดินไป  แต่ยังไม่ทันจะเหยียบบนหินแผ่นแรกที่ปูไปสู่ตัวบ้านก็มีสิ่งมีชีวิตสี่ขาพากันวิ่งแจ้นมาล้อมรอบเขาเสียก่อน

โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง

โอ้โห  มายแองเจิ้ล  กูกลัวหมาครับ!

แล้วนี่ไม่ใช่หมาธรรมดาแต่เป็นโคตรรอภิมหาหมาสี่ตัว  แม่กับพ่อจะเลี้ยงไว้กะไม่ให้ขโมยขึ้นบ้านเลยใช่ไหมครับ!

เดือนถอยกรูดทันที แต่เจ้าสี่ขามหาภัยก็เดินจ่อเขามาติดๆ แม่งคงมองเขาเป็นศัตรูไปแล้วแหละ  นั่นๆไอ้ตัวดำนั่นแม่งเห่าใหญ่ อย่ากินกูเลยยย ไม่อร่อยยย

โฮกกก  27  ปีที่ดูโลกมาจะมาสิ้นสุดลงเพราะหมาหน้าบ้านตัวเองเหรอวะไอ้เดือน สู้สิวะ สู้!

“ฮ...เฮ้ย ม...หมาๆที่น่ารัก ฮะๆ นี่เดือนเอง จำเดือนได้ไหม ฮ่าๆ” ครับ ประสาทแล้ว มึงอัพสกิลการพูดกับสัตว์ได้แล้วไอ้รวีกานต์ เหอๆ

เมื่อน้องหมายังไม่หยุดเห่าเดือนก็สอดส่ายสายตาหาตัวช่วย บ๊ะ  ไอ้คุณปฐพีคนงาม คือคุณท่านไปยืนกอดอกอะไรอยู่หน้าบ้านครับนั่น  กูจะโดนไอ้ลาสบอสพวกนี้กัดตายแล้วนะ 

“ทำอะไรอยู่น่ะคุณ  เข้ามาบ้านสิ เร็วๆ คุณพ่อคุณแม่รออยู่นะ” สาบานเหอะว่ามันดูไม่ออกว่าเขากลัวหมา! อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ  หน้าเนื้อใจเสืออย่างเธอ เอ้ย ผิดประเด็น  เขาเห็นหน้าว่าไอ้เด็กแสบมันยกมุมปากขึ้นมา มึงสมน้ำหน้ากูในใจล่ะสิ!

“อะไรกันคุณ อย่าบอกนะว่ากลัวหมา โตป่านนี้แล้วนะ มาเถอะ มันไม่กัดหรอก”  ว่าจบก็ทำเป็นหันหลังจะเดินเข้าบ้าน  ไอ้รวีกานต์คนเก่งต้องกลั้นใจไม่ให้สาดคำหยาบใส่เป็นอย่างมาก 

คือมันไม่กัดมึงแต่มันจะกัดกูครับ!

“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน! เอ่อ นายช่วยเรียกพวกมันกลับไปได้ไหม คือ ฉันไม่ถูกกับหมา” เดือนกัดฟันกรอด ยอมก้มหัวขอร้องไอ้เด็กหน้าตายนั่นสักครั้ง อีกฝ่ายก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา  เขาสัมผัสได้ว่ามันเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“โถ่ๆ น่าสงสารจริงๆ เฮ้อ เอางั้นก็ได้ครับ  น้องข้าวสวย  น้องไข่ตุ๋น  น้องโรตี  น้องสายไหม  มานี่มะๆ”  อื้อหือ ใครก็ได้สาบานสามนิ้วด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองกับไอ้เดือนทีว่านั่นชื่อหมา!  น่ารัก น่าหยิก น่าจับย่างมาก!

อย่าเผลอนะ กูจับย่างเรียงตัวแม่ง

เมื่อปลอดรอดพ้นภัย นายเดือนก็ได้แต่ลากกระเป๋าต๊อกๆตามคุณชายดินเข้าไปในบ้าน  ภายในบ้านตกแต่งด้วยสีโทนน้ำตาลดูอบอุ่น  ภายในถูกตกแต่งอย่างมีศิลปะและยังคงกลิ่นอายของความเป็นไทยโบราณไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เดือนเดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงห้องรับแขก  ทันทีที่เขาเข้าไปร่างสองร่างก็พุ่งมากอดเขาจนชายหนุ่มหายใจไม่ออก

“เดือนลูกแม่ เป็นยังไงบ้างลูก  เดินทางมาเหนื่อยไหม จะถึงแล้วทำไมไม่โทรบอกแม่ล่ะลูก” เดือนมองหญิงสาวร่างเล็ก ผิวสีน้ำผึ้งสลับกับชายฝรั่งร่างสูงที่สวมเสื้อยืดสีขาวสลับผูกผ้าขาวม้าไว้ที่เอว ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเกร็งๆ

“เอ่อ ขอโทษครับ โทรศัพท์ผมหาย”

“ตายแล้ว ไม่เป็นนะลูก เดี๋ยวค่อยไปซื้อใหม่”

“อันที่จริงมันหายทั้งมือถือทั้งกระเป๋าเงินเลยครับ”

“ตายจริง”  แม่ของเขายกมือปิดปากก่อนจะลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู “ไม่เป็นไรนะลูก  เดี๋ยวแม่กับพ่อจัดการให้ “ เดือนยิ้มรับ เขาขยับตัว เริ่มรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก พอเหลือบมองดินก็เห็นว่าพ่อกับแม่ก็เริ่มหันไปคุยกับดินแล้วเหมือนกัน อีกฝ่ายยิ้มรับแล้วพูดกับทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง 

“ขอโทษนะครับ ผม...อยากอาบน้ำ” จู่ๆชายหนุ่มก็โพล่งขึ้นมากลางวง  คุณแม่ของเขายิ้มรับแล้วหันไปมองดินเป็นเชิงว่าให้นำเขาไปอาบน้ำ “ดินพาพี่เขาไปอาบน้ำสิลูก เดี๋ยวแม่จะเข้าไปเตรียมอาหารแล้ว เดินทางมาเหนื่อยๆ เดือนน่าจะหิวใช่ไหม”

“ก็นิดหน่อยครับ”

แม่ยิ้มร่าแล้วเดินหายออกไปขณะที่พ่อเดินมาตบไหล่เขาเบาๆ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะไอ้ลูกชาย” เดือนยิ้มบางๆให้กับผู้เป็นบิดา จนสุดท้ายแล้วก็เหลือแต่เขากับไอ้เด็กดินสองคน  ชายหนุ่มร่างโปร่งหันมายิ้มให้เขาด้วยท่าทางที่เดือนเสียวสันหลังวูบ  ไอ้เดือนว่านะ มันต้องมีอะไรสักอย่าง...

“มาทางนี้สิครับ ‘พี่เดือน’”

นั่นไง กูว่าแล้ว! แต่สรรพนามแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายอยากจะเคารพเขาเลยสักนิด  มันทำให้เขารู้สึกว่าไอ้เด็กแสบนี่มันหาเรื่องเขาซะมากกว่า

แต่นี่ใครครับ  นี่รวีกานต์นะครับ  ประสบการณ์โชกโชน  ไม่หวั่นแม้จะโดนฉกกระเป๋าเงินและมือถือ  คิดได้ดังนั้นคนตัวโตก็คลี่ยิ้มจนตาหยีกลับไปให้

“รบกวนด้วยนะครับ ‘น้องดิน’

เป๊ง! การปะทะกันระหว่างพี่เดือนไอ้เถื่อนอับโชค VS น้องดินถิ่นสุพรรณ  ยกที่หนึ่ง เริ่ม!

เส้นทางสู่ห้องอาบน้ำช่างนาวไกลในความคิดเดือน  ดินบอกให้เขาเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะได้นอนห้องติดกับเด็กแสบ มีประตูเชื่อมถึงกันเลยเถอะแต่แน่นอนว่าเดือนลงกลอนอย่างแน่นหนา  เด็กดินจะไม่มีทางย่างกรายเข้ามาในห้องเขาได้เด็ดขาด

พอลงมาพร้อมชุดที่จะเอาไปเปลี่ยน อีกฝ่ายก็โยนผ้าขาวม้าให้เขาผืนหนึ่งพร้อมกับนำทางออกจากบ้านไปยังสวนด้านหลัง
มันจะพาเขามาฆ่าหมกสวนป่ะวะ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดือนคิดว่าดินไม่ชอบเขา  และสาเหตุก็ไม่น่าจะมาจากไอ้เรื่องเล็กๆอย่างการกระโดดถีบอีกฝ่ายแน่ๆ

“นี่ ทำไมห้องน้ำมันถึงไกลนักล่ะ”

“ก็ห้องน้ำนอกบ้านไง  อารมณ์บ้านต่างจังหวัดน่ะคุณ” แหม่ พอพ้นรัศมีพ่อแม่ปุ๊บ โยนคำว่าพี่ทิ้งเฉยเลยนะ

“อ้าว ไม่เรียกผมว่าพี่เดือนแล้วเหรอ” คนผมสีน้ำตาลแกล้งหยอก  เรียกให้ดวงตาเรียบๆหลังกรอบแว่นหันมามองแวบหนึ่ง “ผมเคารพคนที่มีวุฒิภาวะทางสมองเพียงพอครับ ไม่ได้เคารพแค่คนเกิดก่อนอย่างเดียว”

อุ๊ก  เล่นซะจุก พูดขนาดนี้มึงเอาอีแตะขอบฟ้าที่มึงใส่อยู่มาตบหน้ากูเลยครับน้องดิน

“เอ้า ถึงแล้วครับ “  และนี่คงเป็นอีกครั้งที่นายรวีกานต์รู้สึกตกตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น เขาถูกพาอ้อมมาหลังบ้านตรงที่ เป็นห้องน้ำนั้นถูกกั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมด้วยฝาผนังที่ทำจากไม้ไผ่มาขัดกัน ล้อมทั้งหมดสี่ด้าน   พื้นเป็นหินเย็นๆพอเดินเข้าไปดูก็พบแค่โอ่งใบใหญ่กับขัน  มีชั้นวางของพลาสติกสำหรับวางพวกแปรงกับสบู่ ด้านในมีม่านพลาสติกกั้นระหว่างห้องส้วมกับห้องอาบน้ำ หลังคาเป็นสังกะสี  เหนือหลังคาเป็นต้นไผ่ พอลมพัดเสียงใบไผ่ร่วงหล่นกระทบหลังคาอย่างกับห่าฝน

“รีบๆอาบนะครับ...แถวนี้พอมืดแล้วงูมันเยอะ”  เจ้าของเรือนผมสีดำเอ่ย  ก่อนจะหันหลังเตรียมจากไป เห็นดังนั้นเดือนจึงรีบร้องเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อน

“เดี๋ยว จะไปแล้วเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ ผมจะไปช่วยคุณแม่ทำอาหาร  หรือคุณอยากให้ผมอาบน้ำให้กันล่ะครับ”

เด็กเวร!

“ไม่ต้องหรอก ผมแค่จะขอบคุณที่พามาห้องอาบน้ำ”

“เล็กน้อยครับ  อาบน้ำให้สนุกนะครับ”

พั่บ

เสียงประตูที่ทำจากไม้ไผ่ปิดลง  เหลือแค่เขาโดดเดี่ยวเดียวดายในห้องน้ำ  เดือนรีบจัดการล้างหน้าล้างตา  จัดการธุระส่วนตัว แล้วเปิดฝาโอ่งจะตักน้ำขึ้นราดตัวแต่ในโอ่งไม่มีขันเสียอย่างนั้น พอหันมองรอบๆก็พบขันพลาสติกสีเขียวแขวนอยู่บนผนังห่างออกไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงเดินไปหยิบขันออกจากที่แขวนของพลาสติกที่ติดอยู่ที่ผนัง

ตั๊บแก

หืม...เดี๋ยวนะ

ตะ ตะ ตะ ตั๊บแก

เดือนว่าเสียงนี้มันคุ้นๆนะ

ชายหนุ่มค่อยๆเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เลื่อนสายตาขึ้นไปที่ผนังเหนือที่แขวนขัน เพื่อสบกับ...ดวงตากลมโตของเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวจุด

ตั๊บแก

นั่นนน ร้องทักทายกูด้วย ฮือออ

นัยน์ตาสีอ่อนเบิกกว้าง ตกใจจนร้องไห้ไม่ออก จะโวยวายก็หาเสียงตัวเองไม่เจอ  เขาเกลียดพวกสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว จะจิ้งจก ตุ๊กแก ต่อให้เป็นของปลอมก็ร้องไห้งอแงได้ แล้วนี่มาเจอตัวจริงแบบโคตรชัด 

กรี๊ดให้คอหอยแตกจะทันไหม

กลับบ้านเกิดวันเดียวทำไมศักดิ์ศรีความเป็นชายไอ้เดือนมันถึงได้โดยเหยียบย่ำจนไม่เหลือขนาดนี้ อยากจะร้องไห้ดังๆจริงๆ

   ร่างสูงใหญ่เหมือนหมีถอยหลังกรูด จนไปชนผนังไม้ไผ่อีกด้าน แต่เสียงร้องสั่นประสาทนั่นกลับดังขึ้นใกล้ๆหู  พอหันไปก็พบกับตุ๊กแกตัวจุดอีกตัว  แต่ตัวนี้ดูตัวเล็กกว่า สงสัยจะเป็นลูก...แล้วมันใช่เวลามาวิเคราะห์ไหมไอ้รวีกานต์!

   “อ๊ากกก ไอ้เหี้ยยย  เดี๋ยวๆ ไม่ใช่เหี้ยนี่หว่า  นี่ตุ๊กแกกกก    อ๊ากกกก” ร่างสูงโวยวาย พยายามจะขยับถอยห่างแต่ขาเจ้ากรรมดันพันกันจนหงายหลังล้มโครม แล้วทันใดนั้นสมองของเขาก็สั่งชัดดาวน์ตัวเองโดยอัตโนมัติ

   สิ่งสุดท้ายก่อนที่สติจะโบยบินไป ไอ้เดือนก็คิดขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง

   ดูเหมือนว่าสิ่งที่สี่ที่เขาเกลียดในชีวิตนี้คงจะเป็นไอ้เด็กแสบปฐพีนั่นแหละ!

..............
จากที่เขียนมาไม่สงสารเดือนเลยจริงๆค่ะ สะใจ 5555 อย่างที่บอกค่ะ แค่มีเดือนเรื่องก็ไม่เครียดแล้ว(เหรอ?)
ส่วนน้องดินก็...กัดหน้านิ่งค่ะ นิ่งจริงๆ ต้องนั่งให้ใจตัวเองนิ่งถึงจะเขียนน้องดินออกมาได้ อารมณ์ซับซ้อนพอสมควร
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ  พบกันตอนหน้าค่ะ จุ๊บ











   
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑ {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 03-12-2015 20:11:01
สนุกครับ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑ {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 03-12-2015 20:18:39
ไม่รู้จะฮาหรือสงสารพี่เดือนก่อนดี  :ling3: :ling3: :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑ {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-12-2015 20:20:02
ชีวิตเดือนช่างน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑ {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-12-2015 21:08:18
ลากกระเป๋ากลับเมืองกรุง
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑ {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 03-12-2015 22:53:50
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง... สะดุดตาดีอ่ะ
อ่านแล้วชอบบบ แลดูจะครบรส
อิเดือนแม่งบ้า 5555 :hao7:
ภาษาดีมากเลย อ่านลื่นไหลดีอ่ะ ชอบๆๆ
รอน้า
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑ {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 04-12-2015 16:20:56

รอติดตามค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑ {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 04-12-2015 19:46:11
ฮ่าเดือน ดินนิ่งได้ใจ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๑ {๒.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 04-12-2015 20:25:49
เราไม่ชอบดิน
นิสัยไม่ดี
เจอกันครั้งแรก ควรมีมารยาทมากกว่านี้นะ
ตัวเองไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ก็น่าจะเคารพคนเป็นสายเลือดบ้าง แม้เราจะเข้าใจว่า มันต้องตะขิดตะขวงใจบ้าง ตอนที่ลูกแท้ๆของพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา กลับมา
กลัวแย่งอะไรๆไป
เราอาจจะเป็นคนอารมณ์ไม่ดีกับคนแปลกหน้า
ถ้าเราเป็นเดือน เราจะรู้สึกเกลียดขี้หน้าดินมาก
เราเดาว่าห้องน้ำนี่ ดินแกล้งอีกแน่ ไม่มีทางที่บ้านหลังใหญ่ๆแบบนี้จะไม่มีห้องน้ำดีๆหรอกน่า
ถ้าเป็นเรา ต่อให้น่าตาดีแค่ไฟนก็ไม่หวั่นไหวหรอกนะ ถ้าทำให้เราไม่ชอบขี้หน้าตัเงแต่เจอกันครั้งแรกแบบนี้ ไม่มีทางรักลงหรอก จริงๆ
กลับบ้านมาครั้งนี้ เดือนมาเยี่ยมพ่อแม่หรือมาอยู่เลยล่ะ จบอะไรมา จะไปทำงานที่ไหน
คงต้องคิดกันล่ะนะ
รออ่านตอนหน้านะคะ

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๒ |พี่ชายจำใจ| {๕.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 05-12-2015 11:29:35
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่๒
พี่ชายจำใจ

เสียงเปิดประตูเรียกให้คนที่กำลังตั้งจิตสวดมนต์อยู่ชะงักเล็กน้อยหากแต่ก็ดึงจิตกลับมาสงบนิ่งได้อีกครั้ง  เมื่อสวดมนต์จนจบบทตามด้วยแผ่เมตตาก็ก้มลงกราบพระ  ครั้นแล้วร่างเล็กยังนั่งนิ่ง จ้องเปลวเทียนที่กำลังลุกไหม้อย่างสงบ ไม่มีทีท่าว่าจะหันไปมองคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูแม้แต่น้อยเป็นเหตุให้คุณมะลิต้องเดินเข้ามานั่งพับเพียบข้างๆ

   ดินรอจนคุณแม่กราบพระและสวดมนต์เสร็จจึงค่อยคลานไปกอดท่าน  ตอนนี้เขาสูงกว่าคุณแม่แล้ว ตัวก็ใหญ่กว่า คุณมะลิเป็นผู้หญิงร่างเล็ก บอบบางไปทุกส่วน บางครั้งที่กอดชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกอดตุ๊กตากระเบื้อง มีค่าและแตกหักง่าย  สำหรับคนอื่นๆคุณมะลิอาจจะเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ได้สวยมาก แต่สำหรับดินคุณมะลิเป็นแม่ เป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา 

   เป็นทุกอย่างสำหรับเขา

   เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาสามารถ ‘รัก’ ได้

   นายปฐพีคนนี้มีคนหรือสิ่งที่รักอยู่เพียงน้อยนิด ดังนั้นเมื่อได้รักใคร เขาจึงพยายาม...รักด้วยทั้งหมดที่เขามี เพราะดินไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะเสียคนที่รักไป เขาจึงพยายามที่จะรักให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

   ตลอดหลายปีมานี้คุณมะลิและคุณอัลเฟรดเป็นพ่อแม่...เป็นครอบครัวของดิน เป็นของดินคนเดียว  ดังนั้นเขาจึงอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้เมื่อมีตัวปัญหาอย่างนายเดือนอะไรนั่นโผล่มา  แค่วันแรกก็ทำเอาเขาปวดหัวไม่น้อย ทั้งนิสัยแย่ๆ ทั้งเรื่องไร้มารยาทขนาดกระโดดถีบเขา! 

   การที่โดนพาไปอาบน้ำในห้องน้ำด้านหลังน่ะเป็นบทลงโทษที่น้อยไปด้วยซ้ำ!

   อะไรนะ? เขารู้ได้ยังไงว่าเดือนกลัวตุ๊กแก หึ นายปฐพีคนนี้ถ้าเกลียดใครบอกเลยว่าเกลียดแรง  ตั้งแต่รู้ว่าเดือนจะกลับมาอยู่ด้วยเขาก็เริ่มสืบข้อมูลทุกอย่างของเจ้าตั้งแต่อาหารการกิน ไปจนถึงอุปนิสัยและการทำงาน  แต่ไม่ว่าจะอ่านข้อมูลเท่าไหร่ๆ ดินก็ทำใจให้ชอบเจ้าหมอนี่ไม่ได้เลย

   ส่วนหนึ่งในตัวเขามันคงอิจฉา...อิจฉาเดือนที่ได้เป็นลูกแท้ๆของสามีภรรยาคู่นี้

   และเขาก็กลัว...ว่าสักวันจะเป็นตัวเขาที่ถูกทิ้ง ถูกผลักไส

   สุดท้ายก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว...

   แต่ความคิดทั้งหมดนี่ดินไม่ได้พูดออกไป  เขาแค่ทำหน้านิ่งๆซึ่งเป็นใบหน้าปกติของตนตอนที่แม่มะลิหันมาจ้องหน้าเขา  หญิงสาวร่างเล็กคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เหมือนทุกครา ลูบหัวเขาด้วยความเอ็นดู

   “วันนี้ขอบใจมากนะจ๊ะที่ช่วยดูแลพี่เดือน  ไม่ได้ดิน แม่กับพ่อคงลำบาก”

   “เรื่องเล็กครับ”

   เขายิ้มน้อยๆตอบกลับไปเช่นกัน เห็นดังนั้นแม่มะลิก็ถอนหายใจ สีหน้าของเธอดูเป็นกังวลจนดินรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกบีบ เขาไม่ชอบเลยเวลาคนสำคัญทำสีหน้าแบบนี้

   “ดิน...” เธอเรียกชื่อเขา “แม่รู้ว่ามันปรับตัวยากสักหน่อย ลูกคงสับสนในอะไรหลายๆอย่าง แต่ยังไงซะ เดือนก็คือครอบครัว ถือซะว่าเขาเป็นพี่ชายคนหนึ่งของลูกก็แล้วกัน ได้ไหมจ๊ะ”

   “ผม...”

   “แม่รู้นะว่าดินแกล้งเดือน” พอหญิงสาวพูดถึงตรงนี้ คนผมดำก็ก้มหน้างุด ทำท่าเหมือนเด็กทำผิดแล้วโดนจับได้ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคุณมะลิไม่น้อย

   อันที่จริงตอนที่คนงานในสวนที่กำลังจะไปอาบน้ำมารายงานเธอว่าเจอเดือนนอนสลบในห้องน้ำเธอก็ตกใจมาก นึกแล้วนึกอีกว่าทำไมลูกชายที่ควรจะอาบน้ำอยู่ในห้องถึงไปโผล่ที่ห้องน้ำคนงานได้ แล้วก็ได้คำตอบที่ไม่อยากจะเชื่ออกมา ใจหนึ่งเธอก็อยากจะบ่น โตๆกันแล้ว ทำเหมือนเป็นเด็กไปได้ แต่มาคิดๆดูแล้ว ดินอาจจะมีอะไรในใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ลูกชายคนที่สองของเธอไม่ค่อยพูด เป็นคนเงียบๆเก็บตัว ถึงจะดีขึ้นกว่าตอนที่เธอรับเขามาเลี้ยง แต่ก็ยังถือว่ามนุษย์สัมพันธ์แย่กับคนอื่นๆอยู่ดี

   เขาคงกลัวจะถูกลดความสำคัญลง

   “แม่จะไม่ว่าดิน  แม่รู้ว่าลูกโตพอจะแยกได้แล้วว่าอะไรควรไม่ควร ที่แม่อยากจะพูดก็คือเราจะต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน แม่ไม่อยากเห็นลูกของแม่ทั้งสองคนทะเลาะกัน  แม่บอกแล้วว่าแม่รักทั้งสองคนเท่าๆกัน  เข้าใจไหมจ๊ะ”

   ดินเม้มปาก ก้มลงไปกอดร่างเล็กๆของผู้ที่เปรียบเสมือนมารดาแท้ๆอย่างหวงแหน

   “ดินไม่ชอบพี่เดือน”

   คุณมะลิยิ้มอย่างอ่อนใจ นั่นไงล่ะ ผิดจากที่เธอคิดเสียที่ไหน

   “แต่อย่างน้อยแม่ก็อยากให้ดินพยายามเป็นมิตรกับพี่เขา ไม่รู้ล่ะ  จากการที่ลูกแกล้งพี่เขาวันนี้แม่จะลงโทษลูก  ต่อไปนี้ดินต้องเป็นคนดูแลพี่เดือน  จะไปทำงานที่ไร่หรือไปขายของ ซื้อของที่ตลาดก็ต้องพาพี่เขาไปด้วย คอยสอนงานแล้วก็คอยดูแลพี่เขา”

   “คุณแม่...” ดินครางเสียงอ่อย  ฟังแบบนี้แล้วแทบอยากจะลุกมาล้มโต๊ะ  ตัวติดกันเป็นตังเมแบบนี้ต้องให้เขาพาไปเข้าห้องน้ำ  อาบน้ำเช็ดตัว ป้อนข้าวป้อนน้ำให้เลยไหม  ง่อยเอ๊ย! นี่ดีนะที่คุณแม่ไม่ได้สั่งย้ายมานอนด้วยกัน ไม่งั้นดินจะนึกว่าตัวเองต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแล้วนะ

   แน่นอนว่าความโกรธในใจก็ได้แต่ส่งไปด่าไอ้คนที่นอนสลบบนเตียง  หาได้แสดงออกมาทางสีหน้าไม่ แต่ดวงตาสีน้ำตาลหลังกรอบแว่นก็แสดงถึงความไม่พอใจลางๆ

   “นะดิน...ทำให้แม่ได้ไหม”  น้ำเสียงที่ไม่ได้ออกเป็นคำสั่งแต่กลับพูดเป็นเชิงขอร้องพร้อมมือบางที่เลื่อนมากอบกุมมือเขาไว้  แล้วแบบนี้นายปฐพีจะใจร้ายปฏิเสธผู้หญิงที่เขารักที่สุดได้ยังไง  สุดท้ายเขาก็ต้องพยักหน้ารับออกมา ได้แต่คาดโทษไอ้คนเป็นพี่ไว้ในใจ

   ได้...อยากตามมาเป็นภาระกันดีนักใช่ไหม...

   เขาจะแกล้งให้หอบกระเป๋ากลับกรุงเทพไม่ทันเลยคอยดู!

   หลังจากตกลงกันเสร็จเดือนก็ถูกแม่มะลิของเขาใช้ให้ไปที่ตลาดโต้รุ่งเพราะแม่อยากให้เดือนได้ดื่มน้ำเต้าหู้อุ่นๆหลังตื่นขึ้นมา  ดินที่โดนทำโทษเลยได้แต่ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าปุเลงๆเข้าไปที่ตลาด หลังจากจอดรถเสร็จ ชายหนุ่มผมดำก็ได้แต่ลอบถอนหายใจกับจำนวนคนที่เบียดเสียดกันในตลาด  เวลาหัวค่ำแบบนี้หลายๆคนก็ออกมาหาซื้อของกันทั้งนั้น

ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ดินเกลียดความวุ่นวายแบบนี้ แต่ตอนนี้คงไม่มีอะไรวุ่นวายไปกว่าไอ้ผู้ขายตัวโตที่นอนสบายอยู่ที่บ้านอีกแล้ว

   ชายหนุ่มเดินหน้านิ่งลัดเลาะไปตามแผงต่างๆ มีเป้าหมายอยู่ที่ร้านขายน้ำเต้าหู้เพียงอย่างเดียว ตั้งใจว่าซื้อเสร็จก็จะกลับเลย 

   ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าทำให้ดินไม่สังเกตเห็นสายตาของชายหญิงที่มองตามเขาตาละห้อยเลยสักนิด อันที่จริงแล้วดินจัดว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง  ติดตรงที่เจ้าตัวพูดน้อยแถมยังไม่ค่อยจะยิ้มอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้นใครหลายๆคนก็ยังบอกว่า ‘คุณปฐพี เนี่ยหล่อลากกระชากตับที่สุดแล้ว’ หรือ ‘ถ้าฟ้าส่งให้คนหน้าตาแบบนี้มาเกิดเป็นผู้ชาย ผมก็ยอมเป็นเกย์ครับ’ 
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ดินไม่ได้รับรู้สักนิด  อาจเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ค่อยออกมาข้างนอกบ่อยนัก แล้วยังนิสัยไม่ใส่ใจรอบด้านอีก

   อย่างวันนี้ถ้าไม่ติดว่าแม่มะลิเป็นคนขอดินก็ไม่ออกมาหรอก  เพราะอะไรน่ะหรือ...ก็ร้านน้ำเต้าหู้ที่แม่อยากให้เดือนได้กินมันเป็นร้านดังประจำอำเภอน่ะสิ!  ถึงจะเป็นแค่ร้านที่ใช้รถเข็นขายแต่ลูกค้าก็แห่กันมาอุดหนุนไม่หยุด ออกันแน่นหน้าร้านทุกวัน  สาเหตุที่หนึ่งเพราะมันอร่อย อันนี้ดินไม่เถียง  ทุกครั้งที่ดื่มน้ำเต้าหู้ร้านนี้เขาจะรู้สึกมีแรงขึ้นทุกครั้ง เหมือนกับว่าคนทำตั้งใจจะทำให้คนซื้อมีความสุขจากการได้ดื่มน้ำเต้าหู้อุ่นๆจริงๆ  มันเป็นความรู้สึกดีและอบอุ่นที่สัมผัสได้

   และสาเหตุที่สองคงเป็นเพราะคนขาย...

   เมื่อเดินมาถึงร้านขายน้ำเต้าหู้  เจ้าของร้านก็ร้องทักเขาอย่างสดใส

   “พี่ดิน!” เสียงหวานๆของสาวน้อยร่างเล็กเรียกให้สายตาคนเหล่านั้นจับจ้องมาที่ตัวเขามากขึ้น แต่หนุ่มหน้านิ่งก็หาได้สนใจไม่  ดินพยักหน้าให้เด็กสาวหนึ่งทีก่อนเดินไปต่อท้ายแถวคนที่กำลังรอคิวซื้อน้ำเต้าหู้อยู่ 

   คนด้านหน้าเขาเป็นหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มสีเทาน่าเบื่อ  เธอมัดผมเป็นหางม้าและกำลังคุยโทรศัพท์เสียงดังอย่างไม่แคร์สายตาใคร

   “อะไรนะ  ทำไมพูดแบบนี้วะ  มึงจะไปมึงก็ไปไม่ต้องยกเหตุผลมาอ้างหรอก...เออ พูดเหมือนกูเสียดายมึงนักนี่...ไอ้ควาย...ไปเลย มึงอยากไปตายที่ไหนก็ไป  ผู้ชายห่วยๆอย่างมึง ออกจากชีวิตกูได้ก็ดีแล้ว ชีวิตกูจะได้ดีขึ้นมาบ้าง!” สิ้นเสียงตะคอกหญิงสาวก็กดตัดสาย  พ่นคำหยาบสารพัดมาด่าผู้ชายเธอคุยด้วยเมื่อสองสามนาทีก่อน  ดินมองผู้หญิงตรงหน้านิ่งๆ นึกอยากบอกเธอว่าหยุดด่าซะที ด่าไปผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้ยินแต่คนได้ยินน่ะมันพวกเขาที่ยืนต่อแถวอยู่  คำหยาบไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยิน แต่ฟังคนพูดมากๆเข้าก็ระคายหูเหมือนกัน

   วูบ

   พลันเมื่อดินกระพริบตา โลกเบื้องหน้าเขาก็ไม่ใช่โลกใบเดิมที่เขาเห็นก่อนหน้านี้อีกแล้ว ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อโลกรอบตัวเขากลายเป็นสีเทา  ไม่มีสีสันอะไรนอกจากเส้นสายสีแดงที่พาดโยงอยู่ทุกที่  เขามองเห็นเส้นแสงโปร่งใสสีแดงผูกติดอยู่กับนิ้วก้อยด้านขวาของหญิงสาว ชายเส้นแสงลากยาวไปบนพื้น  ดินไล่สายตามองตามไปแล้วก็ต้องหยุดนิ่ง

   เมื่อพบว่าปลายเส้นแสงสีแดงนั้นขาดสะบั้น

   ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก

   ถูกตัดลงแล้วอย่างนั้นหรือ....

   นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหลังเลนส์ใสปิดแน่นก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้ง ดินมองไปรอบๆ โลกยังเหมือนเดิม เต็มไปด้วยเส้นแสงสีแดงที่เชื่อมกับปลายนิ้วก้อยแต่ละคน ชายเส้นแสงบางเส้นลากยาวหายไปไหนก็ไม่รู้  บางเส้นก็ขาดรุ่งริ่งเหมือนหญิงสาวที่ยืนต่อแถวอยู่หน้าเขา  บางเส้นก็ถูกผูกปมไว้กับด้ายอีกเส้น ขมวดกันแน่น 

   ตอนนี้โลกในสายตาของดินเต็มไปด้วยเส้นแสง...ไม่สิ ไม่ใช่เส้นแสง แต่เป็น ‘ด้าย’ ต่างหาก  ด้ายสีแดงโปร่งแสงมากมายนับร้อยเส้น ระโยงรยางค์ไปทั่วจนเขาชักปวดหัว

   ชายหนุ่มหลับตา ตั้งสมาธิเพื่อให้ภาพของด้ายแดงพวกนั้นหายไป  วูบหนึ่งที่ร่างของเขาเซเหมือนจะล้มแล้วทันใดนั้นร่างเล็กก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากใครอีกคนที่เขามาประคองเขา  เมื่อลืมตาขึ้นเส้นด้ายสีแดงก็หายไปหมดแล้ว  เบื้องหน้าเขาเหลือเพียงชายหนุ่มร่างใหญ่  ผิวคล้ำ มีสายตาที่อ่อนโยนและฉายแววใจดี  รอยยิ้มอบอุ่นส่งมาให้เขา

   “เป็นอะไรหรือเปล่าน้องดิน  ทำไมดูหน้าซีดจัง จะเป็นลมหรือเปล่า  นั่งพักก่อนไหม?”

   “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” ดินตอบ ยันตัวเองออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนั่น ผู้ชายสองคนมาโอบกันอยู่หน้าร้านขายน้ำเต้าหู้คงไม่ดีนักหรอก ถ้าเปลี่ยนตัวเขาเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักก็ว่าไปอย่าง

   “ไปนั่งพักก่อนไหมน้องดิน?”

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “แต่...”

   “พี่ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” เสียงหวานของเด็กสาวดังขึ้น  ดินหันไปก็พบสาวน้อยที่เมื่อครู่ยืนขายของอยู่มายืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าเป็นห่วง ดวงตากลมโตมองเขาแล้วก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ “พี่ดิน พี่หน้าซีด! จะเป็นลมเหรอคะ ไปนั่งพักก่อนเร็ว!”

   ว่าจบสาวน้อยก็กุลีกุจอลากดินไปนั่งที่เก้าอี้พลาสติกที่ตั้งเอาไว้หลังรถเข็นที่ใช้ขายน้ำเต้าหู  ข้างๆมีกระทะใบใหญ่สำหรับทอดปาท่องโก๋ ดินเห็นว่าเด็กสาวรีบถือพัดมาพัดให้เขาแล้วก็พูดๆจนเขาหาโอกาสแทรกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรไม่ได้เลย  ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนมองอยู่สักพักเห็นดังนั้นก็หัวเราะขำ

   “พอแล้วมั้งคลื่น  พี่ว่าดินจะเป็นลมก็เพราะเธอนี่แหละ  ไปขายของต่อไป เดี๋ยวพี่ดูแลดินต่อเอง” สาวน้อยเจ้าของชื่อ ‘คลื่น’ หรือ ‘ฟองคลื่น’ หันไปทำแก้มป่องใส่พี่ชายของตัวเอง แต่เมื่อเห็นว่าลูกค้าที่หน้าร้านเริ่มเยอะเด็กสาวเลยจำต้องกลืนคำบ่นลงคอไปแล้วก็ไปขายน้ำเต้าหู้ต่อ

   “พี่ทะเล...ผมโอเคแล้วครับ ขอบคุณมาก สงสัยที่วูบไปเพราะอากาศร้อน” ดินรีบพูดทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเอามือมาแตะตัวเขา  ชายหนุ่มร่างเล็กผงะไปเล็กน้อย  เขาไม่ชอบให้คนที่ไม่สนิทด้วยมาแตะตัว  ทะเลที่เห็นดังนั้นก็ส่งยิ้มเจื่อนมาให้

   “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก ว่าแต่น้องดินจะมาซื้อน้ำเต้าหู้ใช่ไหม  เอากี่ถุงล่ะ พี่ได้ไปหยิบมาให้”

   “เอาน้ำเต้าหู้สี่ถุงครับ”  เขาว่า  ตอนแรกตั้งใจจะซื้อไปให้แค่เดือนแต่ไหนๆก็ออกมาแล้ว ซื้อไปฝากคุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็เผื่อตัวเองหิวตอนดึกด้วยเลยดีกว่า

   วูบ

   จังหวะที่ทะเลหันหลังกลับไปนั้น ดินก็กลับมามองเห็นโลกสีเทาที่เต็มไปด้วยเส้นด้ายสีแดงอีกครั้ง  เขามองไปที่นิ้วก้อยของทะเลที่มีด้ายแดงผูกติดอยู่ปลายด้ายลากยาวหายไป เช่นเดียวกับฟองคลื่นผู้เป็นน้องสาว ดินบีบมือตัวเองแน่น โลกสีเทานี้กำลังทำเอาเขาเวียนหัว  อาการแบบนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เขามองเห็นโลกที่เต็มไปด้วยด้ายแดง

   “ดิน...น้องดิน...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!?”  เสียงตื่นๆของทะเลกระชากดินออกจากภวังค์  โลกของเขากลับคืนเต็มไปด้วยสีสันอีกครั้ง  ดินส่ายหน้า ยื่นเงินให้อีกฝ่าย รับถุงน้ำเต้าหู้มาแล้วก็ออกเดิน  แต่ก่อนจะพ้นรัศมีร้านขายน้ำเต้าหู้เสียงหนึ่งก็ดังเรียกเขาไว้

   “น้องดิน!” พอหันกลับไปก็เห็นทะเลกำลังยิ้มกว้างโบกมือมาให้เขา เจ้าตัวเดินออกมาไม่ได้เพราะติดที่ลูกค้าสาวน้อย สาวใหญ่มากมายรุมล้อมไว้ เลยทำได้แค่โบกมือแล้วก็ร้องบอกมาดังๆ “กลับบ้านดีๆนะครับ”

   อ่า...กลับบ้านดีๆนะงั้นหรือ

   มันก็แค่ประโยคธรรมดาเอง...แต่ไม่รู้ทำไมดินถึงได้เผลอยกมือโบกตอบกลับไปแล้วในอกก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาวูบหนึ่ง

   ->มีต่อด้านล่างค่ะ<-
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๒ {๕.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 05-12-2015 11:37:22
[ต่อค่ะ]

เมื่อได้ของที่ต้องการเขาก็รีบเดินไปที่ลานจอดรถ หวังว่าจะได้กลับไปนอนเอาแรงที่บ้านเสียที แต่ยังไม่ทันพ้นเขตตลาดไหล่ของดินก็ถูกใครบางคนคว้าไว้พร้อมกับเสียงร้องตื่นเต้นประหนึ่งเจอดารามาเดินตลาดนัด

   “ดิน หาตัวตั้งนานแน่ะ!” ชายหนุ่มผมดำกระพริบตาปริบ มองคนที่คว้าไหล่เขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า นึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ใครๆถึงได้เรียกชื่อเขาด้วยท่าทางตกใจแบบนี้กันทุกคน

   อีกอย่างแค่ออกมาซื้อน้ำเต้าหู้แล้วก็กลับบ้าน ทำไมถึงได้ยากเย็นแบบนี้นะ

   คนที่คว้าไหล่เขาเป็นชายหนุ่มที่อายุมากกว่าดินประมาณสองสามปี เป็นลูกชายเจ้าของโรงสีข้าว รู้จักกับดินมาตั้งแต่เรียนมัธยม  “พี่ทศ มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ” ถามไปก่อนปลดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่อย่างสุภาพ  ชายหนุ่มเจ้าของนามทศผงกหัวขอโทษเมื่อนึกขึ้นได้ว่ารุ่นน้องคนสนิท(ที่เขาคิดไปฝ่ายเดียว) ไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวเท่าไหร่

   “คือว่าพี่มีเรื่องอยากขอให้ดินช่วย”

   “ให้ผมช่วย?”

   “ใช่” ทศพยักหน้า พลางพยักพเยิดไปทางหญิงสาวอีกคนที่ยืนจดๆจ้องๆอยู่ไม่ไกล “เกี่ยวกับความสามารถพิเศษของดินน่ะ...ช่วยดู ‘นั่น’ ให้พี่หน่อยสิ”

   อ่า...นี่ต้องเป็นกรรมจากการที่เขาไปแกล้งไอ้พี่เดือนจนสลบคาห้องน้ำแน่ๆเลย เขาที่อยากนอนใจจะขาดเลยกลับบ้านไปนอนไม่ได้เสียที!

   ถึงจะบ่นนั่นบ่นนี่ในใจ ดินก็เดินหน้าตายตามอีกฝ่ายมาที่มุมแห่งหนึ่งตรงลานจอดรถซึ่งค่อนข้างปลอดคน  ทศที่ตามมาก็รีบกระซิบแนะนำผู้หญิงข้างๆกับดินว่าเป็นแฟนที่คบกันมาได้ห้าปีแล้ว  เขากำลังจะขอเธอแต่งงานเลยอยากให้ดินช่วยดูให้หน่อยว่าทั้งคู่นั่นใช่เนื้อคู่กันหรือเปล่า

   ได้ยินแบบนี้ดินก็อยากค้อนใส่อีกฝ่าย เขาไม่ใช่กามเทพนะจะได้จับคู่ว่าใครคู่กับใครได้

   อีกอย่างถ้าไม่ใช่เนื้อคู่กันแล้วทศจะไม่ขอเธอแต่งงานหรือยังไง

   แต่สุดท้ายนายปฐพีที่ขี้เกียจจะเถียงก็ยอมหลับตา ตั้งสมาธิ เมื่อลืมตาโลกรอบกายก็กลายเป็นสีเทาอีกครั้ง ที่เขาเห็นเด่นชัดในยามนี้คือด้ายสีแดงโปร่งแสงผูกที่นิ้วก้อยของทศปลายด้ายลากเชื่อมไปผูกติดอยู่กับนิ้วก้อยของหญิงสาวคนนั้น

   เห็นดังนั้นดินก็อยากจะปรบมือแล้วจุดพลุฉลอง พร้อมพูดอะไรทำนองว่า ‘ยินดีด้วยครับ คุณเป็นเนื้อคู่กัน’ อะไรทำนองนี้ แต่สิ่งที่เขาทำคือแค่ออกจากโลกสีเทาแล้วปรบมือสามแปะพร้อมพูดด้วยสีหน้านิ่งสนิทว่า “ดีใจด้วยครับ” แค่นั้นจบ
 
   การกระทำนั้นอาจจะดูเย็นชาไปบ้างแต่สำหรับทศที่รู้จักดินมาหลายปี ก็ไม่ได้ถือสา เขาโห่ร้องไชโยแล้วคว้าตัวแฟนสาวมากอดแน่น หมุนไปรอบๆจนทั้งหญิงสาวแล้วก็ดินตกใจ  แล้วหลังจากนั้นไม่กี่นาทีเธอก็ถึงกับน้ำตาคลอเมื่อทศคุกเข่าลง หยิบแหวนออกมาแล้วก็ขอเธอแต่งงานโดยมีดินยืนหน้าง่วงๆเป็นพยานให้  หลังจากยืนซึ้งอยู่เกือบสิบนาทีดินก็ตระหนักได้ว่าเขาควรกลับบ้านได้แล้วแต่พอจะหันหลังกลับไปที่รถ  ทศก็เดินมาดักหน้าเขาไว้ก่อน

   “ขอบใจนะเว้นไอ้ดิน”  เจ้าตัวว่าพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่ตอนพูดก็กระซิบเสียงเบา เพราะรู้ว่าความสามารถพิเศษนี้ของดินเป็นความลับ

   “เรื่องเล็กน่าพี่  ว่าแต่พี่มาถามผมแบบนี้ ถ้าสมมติว่าด้ายแดงมันไม่เชื่อมกันขึ้นมาจะทำไง”

   “อืม...พี่ก็ว่าจะให้แกตัดด้ายแดงพี่กับคุณฟางว่ะ แล้วก็เอามาผูกกันซะเลย ฮ่าๆ”

   “ทำแบบนั้นผมก็แย่สิครับ” ดินพูด  หากเขาตัดด้ายแดงขึ้นมาจริงๆ ความลำบากจะตกอยู่ที่เขาเต็มๆ เพราะเท่ากับว่าเขายื่นมือไปยุ่งกับชะตาของคนอื่น  เปลี่ยนชะตาชีวิต ทำให้ใครอีกคนที่ควรได้คู่กันต้องพลัดพราก แล้วจากนั้นดินจะต้องทนรับกับความผิดหวัง  ความเสียใจ ความทุกข์และความโกรธของฝ่ายที่ผิดหวัง  เหมือนเป็นผลกรรมที่เขาต้องแบกรับเอาไว้

   “งั้นก็ดีแล้วที่ไม่ต้องถึงขั้นนั้น ยังไงก็ขอบใจมากนะเว้ย” ทศตบไหล่คนตัวเล็กป้าบๆจนร่างนั้นถึงกับเซน้อยๆ หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามประโยค ทศก็ขอตัวพาแฟนไปหาพ่อกับแม่แล้วก็ทิ้งท้ายว่าจะส่งการ์ดงานแต่งมาให้ ตอนนั้นดินเองก็ต้องพาว่าที่เจ้าสาวไปเปิดตัวในงานด้วย

   “จะล๊อกให้ฟางโยนช่อดอกไม้ไปให้เลย” ประโยคที่ทำให้ดินได้แต่หัวเราะฝืดๆออกมา 

   ชายหนุ่มเดินลากขาไปที่มอเตอร์ไซค์ รู้สึกอ่อนแรงจนต้องนั่งพักสักครู่

   การมองเห็นด้ายแดงทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกสูบพลังไปได้ทุกครั้ง

   ถ้าหากจะถามว่าดินเริ่มมองเห็นด้ายแดงตั้งแต่ตอนไหน เขาก็จำไม่ได้ รู้ตัวอีกทีเขาก็ชอบหลุดพูดอะไรแปลกๆออกไปเช่น ทำไมรอบๆตัวเขามันถึงได้ไม่มีสีสันเลย  คุณแม่เดินระวังเส้นสีแดงพวกนี้นะครับและอีกหลายอย่างที่หลุดพูดไปทำให้ได้รับสายตาแปลกๆจากคนรอบข้าง ตัวเขาในตอนเด็กก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พบคืออะไร รู้แต่ว่าสายตาที่คนอื่นมองมามันไม่ดี 

   สายตาที่มองเหมือนเขาเป็นตัวประหลาด

   พอโตขึ้นดินเลยเลือกที่จะปิดปากเงียบ ไม่พูดถึงพรสวรรค์ประหลาดๆนี่อีกเลย

   ตามที่โบราณกล่าวไว้ ด้ายแดงคือด้ายแห่งความรัก เชื่อมตัวเรากับเนื้อคู่เข้าด้วยกัน  บ้างก็ว่ามีขนาดวนได้รอบโลกสองรอบ และจะหดลงเรื่อยๆจนเราพบกับเนื้อคู่  บ้างก็ว่าด้ายแดงจะผูกอยู่ที่ปลายนิ้วก้อยเราแล้วก็ปลายนิ้วก้อยของเนื้อคู่เรา

   ดินไม่เพียงแต่มองเห็นด้ายแห่งความรักนี้เท่านั้น เขายังสามารถตัดด้ายแดง...ตัดความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อคู่กับเนื้อคู่ และผูกด้ายแดง คือน้ำด้ายแดงมาผูกเข้าด้วยกัน ใช้กับกรณีที่ไม่ได้เป็นเนื้อคู่กันมาก่อน แต่ใครที่เชื่อมด้ายแดงหากันด้วยวิธีนี้ ความรักมักจะพบอุปสรรคใหญ่หลวงเสมอ บางคู่ก็ทนไม่ได้ต้องเลิกรากันในท้ายที่สุดก็มี ถ้าเป็นอย่างนั้นดินก็ต้องทนรับอารมณ์ความเสียใจ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นด้วย

   จะว่าไปเขาก็ไม่ต่างจากกามเทพเท่าไหร่หรอกเพียงแต่อีกฝ่ายไม่ต้องทนรับความเจ็บปวดทางใจแบบเขาเท่านั้นเอง

   เพราะแบบนี้ไงเขาถึงไม่อยากไปผูกหรือตัดด้ายแดงใคร แต่เมื่อเห็นบางคนเป็นทุกข์ใจเขาก็เผลอเข้าไปช่วยเหลือทุกที

   ด้วยเหตุนี้...บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ดินไม่ค่อยจะแสดงความรู้สึก...เขาได้รับอารมณ์ด้านลบมามากเกินไปทำให้ตัวเองกลายเป็นคนเฉยชาและไม่ยี่หระกับทุกสิ่งในโลก  เป็นกลไกการปรับตัว เพราะหากเขาใส่ใจกับทุกความทุกข์ที่ได้รับมาตอนนี้เขาคงฆ่าตัวตายไปแล้วและอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ...

   ชายหนุ่มกระพริบตาแล้วโลกรอบกายก็เปลี่ยนเป็นสีเทา  เขาก้มมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง  นัยน์ตาคู่สวยไม่สะท้อนสิ่งใดนอกจากฝ่ามือว่างเปล่า

   ใช่แล้ว...

   ปฐพีผู้สามารถมองเห็นด้ายแห่งความรักของใครต่อใคร  สามารถเชื่อมความรักได้ดุจกามเทพ กลับไม่เห็นด้ายแห่งความรักของตัวเอง

   ดินไม่เห็นด้ายแดงของตัวเองมานานมากแล้ว  บางทีคงไม่เห็นตั้งแต่ที่เขาเลือกจะเดินออกมาจากชีวิตใครบางคน

   ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตอนนี้ด้ายแห่งรักของตัวเองจะยังผูกอยู่กับใครหรือเปล่า หรือถูกตัดทิ้งจนกลายเป็นแค่เศษด้ายไร้ค่า แต่ดูจากประสบการณ์ความรักที่ผ่านๆมาของเขามันคงเป็นอย่างหลัง  นี่คืออีกหนึ่งราคาที่ดินต้องจ่ายให้กับการมีพรสวรรค์นี้ ยิ่งเขาช่วยให้คนอื่นสมหวังมากเท่าไหร่  ตัวเขาเองก็ไม่สามารถสมหวังในรักได้มากเท่านั้น

   รักใคร ก็ไม่รักตอบ

   เริ่มต้นดีกับใคร สักพักก็คว้าน้ำเหลว แล้วก็ห่างหายกันไป

   คบใครก็เจอแต่คนไม่ดี

   ประสบการณ์ถูกทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ดินเริ่มปิดตัวเอง ความรู้สึกรักของเขาเริ่มลดน้อยลงทีละนิด จนตอนนี้ดินเหลือเพียงความรักที่ให้กับเพื่อนและครอบครัวเท่านั้น  แล้วยิ่งเขาบันดาลให้คนอื่นๆสมหวังมากเท่าไหร่ ความรู้สึกรักที่ทั้งอ่อนหวานและละมุน...รักที่ควรจะถูกมอบให้ใครสักคนก็ค่อยๆเลือนหายไปทีละน้อย

   ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มสมเพชตัวเอง

   เขานี่ช่างเหมือนคิวปิดเสียจริง...เป็นคนสื่อรักแท้ๆแต่กลับล้มเหลวในเรื่องรักเสียเอง

   แต่เพราะความสามารถในการที่จะมอบรักให้ใครสักคนของเขามันมีจำกัด  คนที่ดินเห็นแล้วว่าสำคัญเขาสามารถมอบความรักให้คนเหล่านั้นได้ด้วยทั้งหมดของเขา

   เพราะคนที่รักได้ช่างมีน้อย...ดินเลยเลือกที่จะรักคนเหล่านั้นด้วยทั้งหมดที่เขามี

   เมื่อนั่งพักจนพอ ชายหนุ่มก็สตาร์ทรถแล้วรีบบึ่งกลับบ้าน เขากลัวคุณแม่จะเป็นห่วงเพราะหายออกมานาน  เมื่อถึงบ้านคุณพ่อก็บอกให้เขาเอาน้ำเต้าหู้ไปเทใส่แก้วให้เดือนก่อน “เพิ่งฟื้นตะกี้เอง” พ่อพูดด้วยสำเนียงไทยแบบแปร่งๆเล็กน้อย

   “ยังงงๆไปหมด แต่ดูแล้วคงจะหิว  เอาน้ำเต้าหู้ไปให้พี่เขากินไป”

   “เดี๋ยวฝากป้าชื่นเอาไปให้ก็ได้ครับ”

   “ได้ที่ไหนกันล่ะ  ดึกแล้วให้ป้าแกพักผ่อนไปเถอะ ยังไงก็อยู่ห้องข้างๆกัน ดินก็ถือไปให้พี่เขาหน่อยเถอะลูก แม่บอกแล้วนี่นาว่าจะให้ดินเป็นคนดูแลพี่เดือน”

   พูดมาขนาดนี้แล้วดินจะกล้าปฏิเสธได้ยังไง สุดท้ายเขาก็ยอมแกะน้ำเต้าหู้เทใส่แก้ว ยกขึ้นไปชั้นสอง ระหว่างทางก็สวนกับผู้เป็นมารดาที่สำทับว่าให้เขาอยู่เป็นเพื่อนเดือนก่อน  เผื่อเจ้าตัวเป็นอะไรขึ้นมา

   เหอะ ตัวเท่าหมีแบบนั้นจะเป็นอะไร  โรคสำออยสิไม่ว่า

   เขายังจำไอ้แรงถีบขาคู่มหาภัยได้อยู่เลย ของแบบนี้ใช่ว่าขอโทษแล้วมันจะหายเคืองเสียเมื่อไหร่ ตอนที่อาบน้ำแล้วเปิดดูตรงเอวเขาที่โดนเดือนถีบก็เริ่มช้ำแล้วด้วย!

   ก๊อก ก๊อก

   ดินเคาะประตู  เขาถูกฝึกมารยาทพวกนี้ ทำทุกวันจนติดเป็นนิสัยแล้ว รอไม่นานก็มีเสียงเชิญให้เขาเข้าไปในห้อง พอเข้าไปก็พบชายหนุ่มร่างสูงนอนอยู่บนเตียง  อีกฝ่ายเลิกคิ้วเมื่อเห็นเขา

   “อ้าว เป็นนายเองเหรอ”

   “ไม่ต้องทำเสียงผิดหวังโจ่งแจ้งแบบนั้นก็ได้มั้งครับ” เขาว่าก่อนจะวางแก้วน้ำเต้าหู้ลงที่ตู้ข้างเตียง

   ไม่รู้ทำไมพอคุยกับเดือนที่ไรเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดทุกที  มันเป็นความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็ขัดตาไปซะหมด

   “ขอโทษแล้วกันนะที่ฉันทำเสียงเป็นมิตรกับคนที่หลอกฉันไปทิ้งไว้ที่ห้องน้ำสุดอันตรายแบบนั้นไม่ได้”

   “ผมแค่อยากให้คุณสัมผัสกับบรรยากาศชาวชนบท”

   “ถึงฉันจะตัวโตเหมือนควายแต่ก็ไม่ได้กินหญ้าแทนข้าวนะ  จะได้โง่จนดูไม่ออกว่านายจงใจแกล้ง”  ดินจุดยิ้มมุมปาก  นึกสนุกที่เห็นอีกฝ่ายทำท่ากวนประสาทแบบนั้น 

   “แล้วไม่โกรธเหรอครับ”

   “วิธีการอย่างกับเด็กสามขวบใครจะไปโกรธลง”


   “ดีแล้วครับ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า  หลุดจากความโง่ได้แบบนี้ก็หายห่วงครับ”

   “ทำไมกูรู้สึกเหมือนมึงด่ากูอีกแล้ววะไอ้น้องดิน”

   “หยาบคายครับ”

   “เลิกกัดกูหน้าตายแบบนั้นซะทีเถอะ  อย่างน้อยก็ช่วยมอบรอยยิ้มสว่างใสหัวใจหนุ่มน้อยให้สักครั้งเถอะ”

   “เพ้อเจ้ออีกแล้วนะครับ เดี๋ยวธาตุไฟก็แทรกหรอก”

   เดือนกลอกตาก่อนจะถอนหายใจยาวๆ  เขายกมือเสยผมด้วยท่าทางหงุดหงิด ลังเลอึกอักอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “ฉันรู้สึกว่านายไม่ชอบฉัน” สรรพนามเปลี่ยนไปอีกหน  นี่เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ดินตามเดือนไม่ทัน เหมือนอีกฝ่ายจะโมโหจนหลุดหยาบคายกับเขาแต่แล้วก็นึกได้ว่าต้องเป็นครอบครัวเดียวกันเลยกลับมาสุภาพอีกครั้ง

 ดูๆไปแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน

“ฉันรู้ว่านายไม่ชอบฉันเลย แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรฉันก็ขอโทษนะ ยังไงเราก็ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน สงบศึกกันไว้ก่อนดีไหม”

แน่นอนว่าดินไม่คิดจะตอบว่า ‘ดีครับ’ อยู่แล้ว

เดือนเป็นคนประเภทที่เขาไม่อยากเข้าใกล้...เป็นประเภทที่เขา ‘แพ้ทาง’ ล่ะมั้ง  คนที่เป็นเหมือนแสงสว่างแบบนั้นไม่เหมาะจะอยู่ใกล้กับคนที่มีแต่ความรู้สึกอมทุกข์แบบเขาหรอก  ยิ่งใกล้ดินก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไม่ดี...ที่สมควรถูกกลืนหายไปในเงามืด  เขากลัวว่าใครๆจะหันไปรักเดือน แล้วก็ทิ้งเขาไว้คนเดียว... ความรู้สึกด้านลบนั้นรุนแรงจนเขากลัว

“แล้วทำไมคุณไม่กลับกรุงเทพไปเสียล่ะ”

หนนี้ดินกลับต้องแปลกใจเมื่อใบหน้าที่มักฉายแววสดใสอยู่เสมอพลันสลดลง เดือนเหม่อมองผ้าห่มที่คลุมขาเขาอยู่ ตอบเสียงแผ่วเบา “กลับไม่ได้หรอก  กลับไปตอนนี้ก็ไม่มีที่ให้ฉัน”

“ผมได้ข่าวว่าคุณเป็นนายแบบ ทำไมเกิดอะไรขึ้นล่ะ  มีข่าวฉาวหรือยังไง”

ทั้งๆที่พูดไปแบบนั้นแต่ก็ต้องใจหายเมื่อชายหนุ่มร่างใหญ่ยิ้มบางๆมาให้ รอยยิ้มที่ทั้งเศร้าแล้วก็ดูเหมือนจะฝืนเสียมากกว่า เดือนไม่ได้ตอบคำถามเขา เจ้าตัวแค่นิ่งไปก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยเสียงสดใสอีกครั้ง ปรับอารมณ์เร็วจนเขาตามไม่ทัน

สรุปไอ้หมอนี่มันสติดีอยู่ไหมวะ!

“ไม่รู้ล่ะ แม่บอกฉันแล้วว่าจะให้นายมาคอยดูแลฉัน และเพราะฉันเป็นพี่นายก็ต้องเรียกฉันว่าพี่เดือน”

“ผมก็บอกแล้วไงว่า...”

เขาขัดแต่หนนี้เดือนไม่รอให้เขาพูดจบ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนรีบพูดต่อทันที “ฉันจะไม่แกล้งนายแล้วก็จะไม่โกรธที่นายแกล้งฉันหนนี้ด้วย ฉันจะปฏิบัติกับนายแบบที่พี่น้องทั่วไปเขาทำกันดีไหม?”

พอถูกดวงตาคมจ้องมาแบบมุ่งมั่นเขาก็ไปต่อไม่ถูก ดินอึกอัก ภายในใจที่นิ่งสงบเกิดความปั่นป่วนเหมือนมีใครสักคนมาเปิดสัญญาณเตือนภัยในใจเขา มันกรีดร้องดังลั่นไปหมด แน่นอนว่าความปั่นป่วนทั้งหมดถูกซ่อนอยู่ใต้หน้ากากของความสงบนิ่ง

สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยปาก “ตกลงครับ แต่คุณต้องสัญญาว่าจะไม่ใช่ความเป็นพี่น้องอะไรนั่นมารังแกผม”
“เห็นฉันเป็นคนยังไงน่ะ” เดือนมองค้อน  ซึ่งมันไม่ได้น่ารักเลยเมื่อคนทำเป็นผู้ชายตัวเท่าหมีแบบนี้

เดือนยกแก้วน้ำเต้าหู้ขึ้นมาจิบ พูดไปนานๆก็ชักคอแห้ง แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่าลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง “จริงสิ ในเมื่อเราเป็นพี่น้องกันแล้วก็ต้องเปลี่ยนการเรียกด้วยนะ จะมาฉันๆคุณๆไม่ได้  ตลก” คำพูดนั้นทำให้นายปฐพีทำหน้าเมื่อย แต่ในใจก็แอบเห็นด้วยเลยไม่ได้แย้ง

“นายต้องเรียกฉันว่า ‘พี่เดือน’ แล้วฉันจะเรียกนายว่า ‘น้องดิน’ โอเคไหม”

“เรียกผมดินเฉยๆก็ได้ครับ”

“ไม่เอา อยากเติมคำว่าน้อง”

“ทำไมครับ”

“มันมุ้งมิ้งน่ารักดี” ไอ้....!!! เกิดมา 23 ปี นายปฐพีที่เขาว่าพูดน้อยต่อยหนักก็หมดแรงจะเถียงคนก็วันนี้ “ตามใจคุณ...ตามใจพี่เดือนเถอะครับ” เอาเป็นว่าวันนี้เขาไม่ไหวแล้ว ขอพักรบก่อนแล้วกัน

“ผมจะไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“เดี๋ยว”

เฮ้ย ทำไมวันนี้ถึงได้มีคนรั้งเขาไว้เยอะนักนะ ! หันไปก็เห็นเดือนขมวดคิ้วมุ่น พี่ชายหมาดๆของเขาส่ายหน้า “ไม่ได้ๆ พี่น้องกันอะไรจะเป็นทางการขนาดนั้น พูดแค่ฝันดีก็พอ”

“โอเคครับ ฝันดีครับ”

“เดี๋ยว”

“อะไรอีกล่ะครับพี่!” เดือนดูอึ้งไปเมื่อเขาตวัดเสียงแบบหงุดหงิด ปกติดินมักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้  มีหมอนี่เนี่ยแหละมากวนจนเขาระเบิดออกมาได้  แต่คนโดนโกรธก็อึ้งไปแค่แป็ปเดียว แล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“ฮ่าๆ ทำหน้าอย่างอื่นก็เป็นนี่นา ดีแล้วๆ พี่นึกว่าเราจะทำเป็นแต่หน้านิ่งๆซะอีก” ชายหนุ่มสวมแว่นขัดๆหูกับการที่เดือนแทนตัวเองว่าพี่ได้อย่างคล่องปาก ดูท่าเขาคงต้องใช้เวลาปรับตัวกับตำแหน่งน้องชายอีกนาน

“ว่าแต่พี่เดือนมีอะไรครับ ผมง่วง อยากนอนแล้ว”

“อ้อ” คนรั้งอีกฝ่ายไว้ทำหน้านึกขึ้นได้ ก่อนจะฉวยคว้าข้อมือบางอย่างรวดเร็วแล้วดึงตัวคนที่ยืนทื่อไม่รู้เรื่องเข้าหาตัว  ดินที่ยังงงๆไม่ทันตั้งตัวเซถลาตามแรงดึงของอีกฝ่าย ล้มลงไปทับร่างหมีๆบนเตียง  พอมองหน้าหล่อๆนั่นชัดๆแล้วก็อยากซัดสักหมัดแต่ติดตรงที่อีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาตั้งตัวเลย

เดือนโน้มตัวลงมาจูบแก้มเขาซ้ายขวาเร็วๆ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะอีกรอบเมื่อเห็นดินข้างนิ่งเป็นหิน  อ้าปากค้างไปแล้ว  คนตัวสูงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “กู๊ดไนท์คิสน่ะน้องชาย ฝันดีครับ”

“ก..กู๊ด...บ้านคุณสิ!!” เมื่อตั้งสติได้ดินก็โวยลั่น  ใบหน้าที่มักนิ่งเรียบเห่อร้อนไปหมด   บริเวณที่อีกฝ่ายแตะริมฝีปากดูจะร้อนเป็นพิเศษด้วย  ชายหนุ่มร่างเล็กจำไม่ได้แล้วว่าโวยวายไปว่าอะไรบ้าง รู้แต่เดือนหัวเราะไม่หยุด เขาปิดประตูโครมตามหลัง  พุ่งพรวดเข้าห้องนอนที่อยู่ข้างๆกัน ล๊อกประตูแน่นหนาเหมือนกลัวคนข้างห้องที่เพิ่งขโมยหอมแก้มจะบุกมาลักหลับ

นี่มัน...น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ดินถูแก้มตัวเองแรงๆ ลูบหน้าลูบอกสงบใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจปิดไฟนอน  หวังจะลืมๆเรื่องนี้ซะเมื่อถึงพรุ่งนี้เช้า

ให้ตาย...ยังไงนายรวีกานต์นี่ก็เป็นคนแบบที่ปฐพีแพ้ทางจริงๆด้วย!

ทางด้านคนที่กำลังโดนด่าอยู่ในใจนั้น  หลังจากจัดการหอมแก้ม ‘น้องชาย’ เสร็จ เดือนก็นอนเอกเขนกสบายใจ จิตใจที่ขุ่นมัวจากเรื่องการไปเซย์ฮัลโหลกับน้องลายจุดในห้องน้ำรวมถึงการเป็นลมในสภาพเปลือยแบบน่าอนาถจนหมดมาดนายแบบดังแบบเขาเหมือนได้รับการปลดปล่อย

ใช่ จากการหอมแก้มน้องชายนั่นแหละ

จะว่าเดือนเป็นโรคจิตก็ได้ แต่พอเห็นหน้าตาสวยๆเหมือนผู้หญิงที่นิ่งเหมือนรูปปั้นได้แสดงอารมณ์แม้เพียงน้อยนิดก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีได้ แม้อารมณ์ที่แสดงออกมาจะเป็นอารมณ์โกรธก็ตามที

เหอะๆ ป่านนี้ไอ้เด็กแสบดินนั่นถูแก้มตัวเองจนหนังหลุดไปแล้วมั้ง

พอนึกภาพตามก็ขำจนตัวงออีกรอบ  เอาเถอะ เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ ถือซะว่าเป็นการเอาคืนแล้วก็หยอกล้อจากพี่ชายก็แล้วกันนะ
‘น้องดิน’

..........................

กรี๊ดดดดด อิพี่เดือนมันร้ายยยย คู่นี้เขาแซ่บน้า คนพี่ก็แสบ คนน้องคนก็ร้าย
แตเราไม่ถนัดเขียนคาแรคเตอร์แบบดินเท่าไหร่เลยค่ะถนัดเขียนพวกแสบๆแบบเดือนมากกว่า 555
อ่านแล้วคิดเห็นยังไงติชมได้นะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่า จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๒ {๕.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-12-2015 12:14:47
อืม ที่แท้ดินก็น่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย มิน่าล่ะดูเป็นคนมืดมนแปลกๆ สารภาพตามตรงว่าบทก่อนหน้านี้แอบหมั่นไส้ดินอยู่หรอก
แต่พอมาบทนี้ก็อดเห็นใจไม่ได้ หวังว่าพอมีพี่ชาย(แบบจำยอม)แล้วชีวิตจะสดใสขึ้นนะ
ว่าแต่พี่เดือนหนีอะไรมากันล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๓ |โรคหวงน้องในสิ่งมีชีวิตที่เป็นพี่ชาย| {๖.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 06-12-2015 22:39:05
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๓
โรคหวงน้องในสิ่งมีชีวิตที่เป็นพี่ชาย

เช้าวันต่อมาเด็กดินก็มาปลุกเขาตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่

ใช่...มันยังไม่ทันโห่เพราะไก่มันยังไม่ตื่นน่ะเซ่  นี่มันเพิ่งตีสี่เองนะเว้ยไอ้เด็กบ้า!

“ก็ใช่ไงครับ” ดินตอบหน้าตายหลังชายหนุ่มตัวสูงโอดครวญออกไป  “ผมก็ตื่นแบบนี้ทุกวันนั่นแหละครับ  วันนี้ต้องออกไปดูแลสวนแต่เช้านะครับ  ไม่มีเวลามาโอ้เอ้นะ  รีบลุกไปอาบน้ำได้แล้ว” ว่าจบมันก็ฉุดกระชากลากถูเขาไปยัดไว้ในห้องน้ำแถมยังประกาศอีกว่าถ้าบังอาจหลับในห้องน้ำมันจะไปพาน้องลายจุดสองตัวที่ห้องน้ำคนงานมาหา!

แล้วไอ้เดือนจะทำอะไรได้นอกจากรีบอาบน้ำล้างหน้า  ปกติเคยตื่นเช้าแบบนี้ที่ไหนล่ะครับ เช้าสุดก็ตีห้าครึ่งนู่น ยิ่งวันไหนไม่มีตารางงานนะไอ้รวีกานต์สามารถพัฒนาสกิลการนอนให้นอนยาวยันบ่ายโมงด้วยซ้ำ 

พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วลงไปชั้นล่าง ก็เจอดินกำลังนั่งดื่มไมโลอุ่นๆอยู่ที่โต๊ะกินข้าว  ที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันวางกาแฟแก้วหนึ่งแล้วก็จานใส่ขนมปังปิ้งทาเนยกับกระปุกแยมไว้พร้อม  พอเห็นอีกฝ่ายลงมาคนใส่แว่นก็พยักหน้าให้หนึ่งที “ทานรองท้องก่อนสิครับ พอดูสวนเสร็จก็จะกลับมาทานข้าวเช้าที่บ้านครับ”

เดือนจึงนั่งลงแล้วก็เริ่มเล็มๆขนมปัง  บอกตรงๆว่าตื่นเช้าขนาดนี้กระเพาะมันไม่รับอะไรทั้งนั้นแหละ พอกินขนมปังไปได้ครึ่งแผ่นกับดื่มกาแฟจนหมดแก้วก็อิ่ม ดินที่นั่งรออยู่จึงลุกขึ้น เดือนเห็นดังนั้นก็ลุกตาม ทั้งคู่เดินไปที่ปิกอัพสีขาว เตรียมพร้อมออกเดินทาง

ระหว่างที่นั่งในรถดินก็ช่วยอธิบายว่าที่บ้านของเขาทำธุรกิจอะไรบ้าง  ครอบครัวมีสวนผลไม้แล้วก็สวนดอกไม้ ที่ดินตรงนี้เป็นของคุณแม่ เป็นมรดกที่ได้จากคุณตา สมัยก่อนตอนที่ที่ดินยังไม่แพงมากเท่าปัจจุบันคุณตาท่านมองการณ์ไกลซื้อที่ดินไว้ให้ลูกหลาน  หลังจากคุณตาเสียที่ดินก็ตกเป็นของแม่ พอแม่มีเดือนก่อนจะแต่งงานกับคุณพ่อที่ตอนนั้นเป็นแค่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยแล้วประสบอุบัติเหตุ ได้คุณแม่ช่วยดูแลอยู่หลายเดือนจนหายดี ญาติหลายๆฝ่ายทั้งฝั่งคุณพ่อกับคุณแม่ก็คัดค้าน
 
ญาติฝั่งพ่อก็ไม่ชอบแม่ที่เป็นผู้หญิงไทย ด้วยค่านิยมในสายตาต่างชาติมองผู้หญิงไทยในแง่ลบ หาว่าจะมาเกาะพ่อกิน

ญาติฝั่งแม่ก็ไม่ชอบพ่อเพราะเห็นว่าเป็นแค่นักท่องเที่ยว จะมาอยู่กินเมืองไทยคงไม่พ้นมาหลอกเอาที่ดิน หรือไม่ก็หวังฟันแล้วทิ้ง

สุดท้ายอะไรๆมันก็ขลุกขลักไปหมด  แต่สุดท้ายคุณพ่อคุณแม่ก็ได้แต่งงานกัน  แต่ตอนนั้นเนื่องจากหลายๆฝ่ายไม่เห็นชอบ  จึงไม่มีการสนับสนุนอะไรจากญาติๆทั้งนั้น ที่คุณแม่มีคือที่ดินว่างเปล่าผืนหนึ่งกับบ้านเล็กๆอีกหลังที่ทั้งคู่ไปกู้เงินซื้อเอาไว้

ความเมตตาสุดท้ายจากพวกญาติๆคงเป็นการรับเดือนไปอยู่ด้วยตอนเขาอายุสี่ขวบ ส่งเสียจนเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะสภาพคุณพ่อคุณแม่ในตอนนั้นดูยังไงก็ไม่มีทางจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้มีชีวิตที่ดีได้แน่ๆ

แต่ด้วยความฉลาดของคุณพ่อที่เรียนจบด้านการบริหารธุรกิจมาประกอบกับความขยันและความฉลาดด้านการลงทุน ไม่นานสวนผลไม้ที่เริ่มปลูกก็ไปได้ด้วยดี ก่อนจะตั้งโรงงานแปรรูปผลไม้ขึ้นมาได้ เป็นแค่โรงงานเล็กๆก่อนจะขยายออกไป
ทำงานกันจนมีเงินทุนมาปลูกบ้านหลังใหญ่จนถึงทุกวันนี้

อืม...ก็สมเป็นพ่อกับแม่...ที่เป็นบุคคลตัวอย่างของเขาแล้วล่ะนะ

“ถึงแล้วครับ” เสียงของดินดึงเดือนให้หลุดจากภวังค์  พวกเขาเดินลงไป อากาศยามเช้าแค่เย็นๆไม่ได้ถึงขั้นหนาว ก็นะ นี่มันเพิ่งจะพ้นหน้าฝนมาไม่เท่าไหร่เอง

พอเดินเข้าไปในสวนเดือนก็เห็นคนงานอยู่บ้างประปราย  หลายคนพอเห็นดินก็ยิ้มแย้มทักทาย อีกฝ่ายก็จุดยิ้มมุมปากเล็กๆทักทายกลับไป พอดินแนะนำเดือนให้หลายคนก็ตาโตร้องโอ้โหไม่หยุด แถมยังชมอีกว่าเขาหล่อเหมือนดารา ฮ่าๆๆ ก็แน่สิ เขาเป็นดารานี่หว่าถึงจะโดนพักงานอยู่ก็เถอะ

แต่คนที่นี่อัธยาศัยดีจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วเดือนก็สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

พวกคนงานในสวนเก็บผลไม้ลังพลาสติกใบใหญ่ก่อนจะช่วยกันขนไปไว้หลังรถกระบะ  ส่วนหนึ่งจะไปส่งขายที่ตลาด อีกส่วนจะส่งไปที่โรงงาน  เดือนเองก็เข้าไปช่วยกับเขาด้วย  เขาไม่รู้หรอกว่าผลไม้ลูกไหนพอจะเก็บได้ จึงรับหน้าที่แบกลังไปไว้หลังรถกระบะแทน คนงานหลายคนก็ห้ามปรามแต่เขาก็ดื้อจะทำต่ออยู่ดี

“แหม...ใช้กล้ามพวกนั้นให้เป็นประโยชน์เสียทีนะครับพี่เดือน”  ชายหนุ่มตัวสูงยิ้มนิดๆเมื่อน้องชายจำเป็นแซะเบาๆมาหนึ่งดอก  หึ  ดูท่าเจอบทลงโทษเมื่อวานไปจะไม่เข็ดสินะ

ได้เลย เขาจะทำให้น้องชายคนนี้รู้เองว่ามาแหย่หนวดเสือแล้วจะเป็นยังไง!

คิดอยู่นานว่าจะแกล้งคนปากดียังไงให้สาสม  รถกระบะคันที่หนึ่งก็เต็มแล้ว  เดือนวางลังพลาสติกที่ยกอยู่ไปไว้หลังรถอีกคันแทน  จากนั้นก็ยืนบิดเอวอยู่กับที  อายุอานามปาไปใกล้สามสิบแล้ว สังขารที่ล่วงเลยก็ไม่ใช่เรื่องตลกจริงๆ แค่บิดเอวเสียงกระดูกก็ลั่นเป็นจังหวะชะชะช่าแล้ว เฮ้ย นี่เขาแก่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย!   

ความจริงอันน่าหดหู่กระแทกใจอีกทั้งหลังกับเอวก็เริ่มปวด คนตัวสูงเลยหยุดขนลังแต่เดินเข้าไปหาน้องชายที่กำลังช่วยคนงานเก็บผลไม้อยู่แทน

   “น้องดินๆ”  เดือนสะกิดเรียกอีกฝ่าย แสร้งเอามือขยี้ตาไม่หยุด  เหอะๆ ถึงจะเป็นนายแบบแต่ก็เคยรับเล่นละครเหมือนกันนะ  ทักษะการแสดงไอ้เดือนชนะเลิศอยู่แล้ว 

   คนตัวเล็กหันมาตามคำเรียก  ใบหน้าใสที่เหงื่อซึมตามไรผม  แสงทองอ่อนๆที่เริ่มแตะแต้มขอบฟ้าส่องให้เห็นใบหน้าที่ค่อนจะสวยไปทางผู้หญิงนั้นได้ชัดขึ้น อีกฝ่ายเอียงคอมองเขาอย่างสงสัย  ท่าทางไร้เดียงสานั้นทำเอาคนเป็นพี่ถึงกับใจเต้นแรงมาวูบหนึ่ง 

เดือนตีหน้านิ่งดึงสติตัวเองกลับมา อย่านะไอ้เดือน นั่นมันไอ้เด็กร้ายกาจที่ด่ามึงสามเวลาหลังอาหารนะเว้ย! อีกอย่างมันก็ผู้ชายด้วย  มึงไม่ชอบผู้ชายไม่ใช่หรือไงไอ้รวีกานต์!

“มีอะไรครับ” ดินยืนขึ้น เช็ดมือกับกางเกงขายาวที่สวมอยู่  เดือนเลยแสร้งทำเป็นขยี้ตาต่อ  “ฝุ่นมันเข้าตาพี่  เอาออกให้หน่อย แสบไปหมดแล้ว”  ครับ ฝุ่นเข้าตาน่ะแหลสด แต่แสบตานี่เรื่องจริง ก็กูเล่นขยี้จนลูกตาจะหลุดออกจากเบ้าแล้วเนี่ย

ดินร้องอ้อเบาๆก่อนจะเขยิบมาใกล้เขา  กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวอีกฝ่ายทำให้ใจที่เพิ่งสงบกลับมาเต้นถี่อีกครั้ง บ๊ะ ไอ้เด็กนี่มันจะเหมือนผู้หญิงไปแล้วนะ หน้าก็สวย ร่างก็เล็ก ผิวก็ขาว แถมตัวยังหอมอีก...แล้วมึงจะมานั่งบรรยายทำไมครับไอ้คุณเดือน ไม่ได้ นี่มันโรคจิต โรคจิตชัดๆ! เขาต้องเป็นบ้าเพราะน้องชายไม่แท้ของตัวเองแน่ๆเลย!

“จะถอยหนีทำไมล่ะครับ ฝุ่นเข้าตาไม่ใช่เหรอ ผมจะเอาออกให้ อ่า แต่ทางที่ดีก็เอาน้ำล้างจะดีกว่านะครับ” อีกฝ่ายว่าก่อนจะหันไปขอน้ำเปล่าขวดหนึ่งกับคนงาน ซึ่งก็รีบเดินไปหยิบมาให้ทันที  มือเรียวดึงมือเขาไว้ไม่ให้ขยี้ตาอีก ดินเงยหน้ามองเดือน ขมวดคิ้วเพื่อหาสิ่งผิดปกติในดวงตาอีกฝ่าย “ไหนครับ ไม่เห็นมี”

ก็แหลสด มันจะไปมีได้ยังไงกันคร้าบบบ

เดือนหัวเราะหึๆในลำคอ ดินมองสบดวงตาที่ฉายประกายเจ้าเล่ห์คู่นั้นแล้วก็เข้าใจว่าตัวเองก้าวมาอยู่ในเขตอันตรายแล้ว...ที่สำคัญถอยกลับไม่ได้ด้วยเพราะไอ้หมีตรงหน้ามันดันจับตัวเขาไว้แน่นหนา!

“ปล่อยนะคุณ  นี่มันที่สวนนะ คนงานมาเห็นจะว่ายังไง!”

“ก็บอกเขาไปว่าฝุ่นเข้าตา”

“ฝุ่นเข้าตากันก็ไม่เห็นจะต้องมายืนชิดขนาดนี้นี่ จะแกล้งผมอีกแล้วใช่ไหม!”

“ฉลาดนี่นา  เก่งมากเลยน้องชาย”

“คุณเดือน ปล่อยผม!”

ด่าไปก็ถีบไป  นายปฐพีไม่ใช่นางเอกละครหลังข่าวครับ ไม่จำเป็นต้องวี้ดว้ายๆแล้วทุบอกพระเอกอย่างเดียว...

พลั่ก ตุบ

“อูยยย” คนเป็นพี่ร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีเมื่อน้องชายสุดที่รักเตะเข้ามาเต็มๆหน้าแข้ง เล่นเอาเจ็บจนน้ำตาเล็ด  ดินสบโอกาสก็สะบัดตัวหลุดออกมาจากอ้อมแขนอีกฝ่ายได้ แต่คนใส่แว่นก็ประมาทฝีมือเดือนต่ำเกินไป  มีหรือคนขี้แกล้งจะปล่อยเหยื่อไปง่ายๆ

ฟึ่บ

เดือนกระชากแขนดินอย่างแรงจนร่างเล็กนั่นเซถลามาหาเขาอีกครั้งคราวนี้คนตัวสูงโถมตัวไปกอดพร้อมรวบแขนเจ้าปัญหานั่นติดกับตัวอีกฝ่ายไปด้วยเลย  เดือนก้มหน้าลงกดปลายจมูกเข้าที่แก้มสองข้างของคนผมดำเร็วๆแล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่  สูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆของดินไปจนเต็มปอด

ส่วนคนถูกขโมยหอมก็อ้าปากค้างหน้าแดงก่ำ  เดือนปล่อยร่างนั้นแล้วหัวเราะลั่น “มอร์นิ่งคิสครับน้องชาย” เหมือนกับเมื่อคืนตอนที่เดือนแกล้งหอมดินแล้วพูดว่ากู๊ดไนท์คิส แต่ปฏิกิริยาที่ต่างจากเมื่อคืนคือหนนี้ดินไม่ได้วิ่งหนี แต่อีกฝ่ายหันกลับมามองเขาทั้งใบหน้าแดงก่ำ  ดวงตาหลังกรอบแว่นก็ฉายแววโกรธจนเดือนตกใจ

ชิบหาย...หายนะของจริงแล้ว

คนตัวสูงถอยหลังกรูดแต่ดินยังก้ามตามมาทัน  คราวนี้คนตัวเล็กแสยะยิ้มเยือกเย็น  “มอร์นิ่งคิสแล้วก็ถึงคราวผมบ้างนะครับพี่ชาย...เอากำปั้นผมไปกินแทนข้าวเช้าก็แล้วกัน!”

พลั่ก!

แล้วไอ้เดือนก็มีตาดำเป็นแพนด้ากลับบ้านด้วยเหตุฉะนี้

   “ตายแล้วเดือน ตาไปโดนอะไรมาลูก!” หลังจากกลับถึงบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบ พอลงมาทานข้าวเช้าคุณมะลิถึงกับตกใจที่ลูกชายคนโตมีรอยช้ำเขียวๆวงเบ้อเริ่มรอบตา  เดือนหัวเราะเจื่อนๆให้คนเป็นแม่กับพ่อ  แอบเหล่มองคนข้างกายที่เดินไปเอาถุงเจลเย็นมาประคบให้

   จะให้ไปบอกแม่ว่า ‘อ๋อ ผมหอมแก้มดินน่ะครับเจ้าตัวเลยโมโหต่อยผมเข้าให้หมัดหนึ่ง แหะๆ’ แบบนี้ก็ดูจะไม่เข้าท่า เขาเลยบอกแค่ว่าไปสะดุดล้มแบบโง่ๆในสวนแทน

   ระหว่างทานข้าวเช้าคุณพ่อก็พูดขึ้นมา “ดิน วันนี้จะเข้าไปตลาดหรือเปล่าลูก”

   “เข้าครับคุณพ่อ  จะไปเก็บค่าเช่าแผงครับ แล้วก็จะเดินตรวจดูความเรียบร้อยสักหน่อย”

   “งั้นพาพี่เดือนไปด้วยนะลูก”

   เดือนเงยหน้าขึ้นอย่างงงๆ ตลาด? ตลาดอะไรอีกล่ะ สรุปแล้วครอบครัวเขามีกิจการเป็นเจ้าของตลาดด้วยเรอะ 

   ดินมองพี่ชายจำเป็นแบบไม่สบอารมณ์ แต่เนื่องจากไม่สามารถขัดผู้เป็นพ่อได้จึงได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอม  อันที่จริงนับตั้งแต่ถูกแกล้งจนโมโหต่อยอีกฝ่ายไปเมื่อเช้าวันนี้ดินก็ไม่ได้อยากจะอยู่ใกล้พี่ชายนักหรอก  ใจหนึ่งก็รู้สึกผิด อีกใจก็โมโหจนอยากลุกไปต่อยอีกสักรอบ

   ก็ผู้ชายมาหอมแก้มผู้ชายด้วยกันกลางสวนนะมันใช่ได้ที่ไหน คนงานมาเห็นจะว่ายังไง! บ้าเอ๊ย ทำอะไรไม่รู้จักคิด มันน่าเตะจริงๆเลย!

   “ซี้ดดด ดินเตะพี่ทำไมเนี่ย” หวา...เหมือนเขาจะลงมือไวเท่าความคิดเสียด้วยสิ

   หลังการรับประทานมื้อเช้าแบบเรียบง่ายผ่านไป  เดือนก็ถือโอกาสออกไปเดินสูดอากาศนอกบ้าน  อากาศต่างจังหวัดก็สดชื่นแบบนี้ เป็นหนึ่งในข้อดีหลายๆข้อที่ทำให้เขารู้สึกคิดถูกที่กลับบ้าน  หากอยู่ในกรุงเทพก็คงไม่พ้นต้องสะลึมสะลือตื่นมาไปเผชิญรถติดอีกแน่ๆ

   ชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดถึงตัวเอง...

   แล้วดูเขาตอนนี้สิ ได้เดินเรื่อยๆอยู่หน้าบ้าน  สูดอากาศกินลมชมวิว  เดือนย่อตัวลงลูบเจ้าหมาองค์รักษ์ประจำบ้านทั้งสามตัวที่ตอนนี้ชินกับเขาแล้ว ถูกอย่างดินบอกจริงๆ พอเริ่มชินกับการมีอยู่ของเขา เจ้าพวกนี้ก็ขี้อ้อนน่าดู  ทั้งๆที่เพิ่งผ่านมาได้วันเดียวแท้ๆ

   ระหว่างที่กำลังลูบหัวไข่ตุ๋นอยู่นั้น  หมาอีกสองตัวก็หันไปส่งเสียงร้องงี้ดง้าด เดือนหันไปตามทิศที่หมาอีกสองตัวหันไป  เขาก็พบกับผู้ชายร่างสูงผิวคล้ำกำลังยืนเก้ๆกังๆอยู่น่าประตูรั้ว  อีกฝ่ายมีโครงหน้าหล่อเหลาใช้ได้ คิ้วเข้ม ตาคม จมูกโด่ง
 
   นี่มันหนุ่มหล่อบ้านทุ่งในตำนานชัดๆ

   “เอ่อ สวัสดีครับ” พอเห็นเขาอีกฝ่ายก็ส่งยิ้มสดใสดอกไม้บานเต็มทุ่งมาให้  น้ำเสียงพูดที่ติดเหน่อเป็นเอกลักษณ์นั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ  เห็นดังนั้นเดือนก็รีบผูกมิตรไว้ทันที “สวัสดีครับ มาหาใครหรือครับ”

   ชายหนุ่มคนนั้นเกาท้ายทอยก่อนจะหัวเราะแหะๆออกมา  “คือว่า...คุณดินอยู่ไหมครับ”

   หืม มาหาดิน?

   เดือนหรี่ตาลง เปลี่ยนจากท่ายืนสบายๆมาเป็นยืนกอดอก  เขามองเจ้าหนุ่มนั่นใหม่ทันที  ไอ้สายตาเขินอายเหมือนสาวน้อยแรกรุ่นนั่นมันอะไรวะ! ทำไมก่อนหน้านี้เขาไม่สังเกต!

   “อยู่ครับ มีอะไรหรือเปล่า?”

   “เอ่อ..คือ...คุณ”

   “ผมชื่อเดือน เป็นลูกชายแม่มะลิกับพ่ออัลเฟรด...เป็นพี่ชายของดินครับ”  ถึงจะเป็นแบบใช้กำลังบีบบังคับนิดหน่อยก็เหอะ แต่เขาจะลืมๆมันไปก็แล้วกัน

   เมื่อได้ยินดังนั้น ไอ้หนุ่มผิวแทนที่ดูๆแล้วน่าจะอ่อนกว่าเขาสักปีสองปี(มั้ง) ก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที “งั้นหรือครับ งั้นช่วยเอานี่ให้คุณเดือนได้ไหมครับ...คือผมผ่านมาเลยแวะเอามาให้” ว่าแล้วก็ยื่นถุงพลาสติกที่มีน้ำเต้าหู้สามถุงกับปาท่องโก๋อัดแน่นอยู่มาให้

   เอาแล้วเว้ย น้องชายเขานี่จะเสน่ห์แรงไปไหน  มีผู้ชายเอาของกินมาฝากแต่เช้าเลย!

   แล้วแบบนี้เขาต้องเล่นบทพี่ชายจอมหวงหรือเปล่านะ แบบว่าต้องเป็นหน่วยสกัดกั้นคนที่จะเข้ามาจีบน้องก่อนหรือเปล่า เดือนคิดสะระตะไปเรื่อยๆระหว่างที่คนส่งเสบียงก็เริ่มยิ้มเจื่อนลงทุกทีเพราะถือถุงค้างนานจนเริ่มเมื่อยมือ

   ชิ ไอ้หน้าอ่อนเอ๊ย ถือถุงปาท่องโก๋แค่นี้ทำเป็นเมื่อยมือ แล้วในอนาคตมึงจะวางตัวเป็นสามีที่ดีตามน้องชายกูไปซื้อกับข้าวได้ยังไง! ไม่ผ่าน ยังไงก็ไม่ผ่าน! ถุงกับข้าวน่ะมันหนักกว่านี้เป็นสิบๆเท่าเลยนะเฟ้ย!

   แต่ยังไม่ทันจะได้สกัดกั้นอะไร บุคคลที่สามที่เป็นหัวข้อหลักในการสนทนาก็มาถึง  อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเดือนยืนอยู่กับคนที่ผิวแทน  เสียงนั้นเรียกอย่างงุนงง

   “พี่ทะเล? มาได้ยังไงครับ”

   ฟังแบบนี้นายรวีกานต์ถึงกับฉุนกึก ชิ ที่เขาล่ะเรียกคุณอย่างนู้นอย่างนี้ ทีกับไอ้เข้มนี่เรียกมันว่าพี่เฉย แถมยังด้วยน้ำเสียงสบายๆสนิทสนมแบบนั้นอีก

   “อ้อ พี่ผ่านมาเลยเอาปาท่องโก๋มาฝากน่ะ น้องดินทานข้าวเช้าหรือยังครับ”

   “อ๊ะ ขอบคุณครับ ทานไปแล้วล่ะครับแต่เก็บไว้กินระหว่างวันก็ได้”

   ดินตอบเรียบๆไม่ให้เสียน้ำใจคนที่อุตส่าห์ยากลำบากปั่นจักรยานมาส่งเสบียงแบบนี้   ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด

   “แล้วนี่พี่ทะเลจะไปตลาดแล้วหรือครับ”

   “อ๋อ ใช่ครับ น้องดินจะเข้าตลาดหรือเปล่าครับ”

   “เข้าครับ”

   “งั้นเราก็ไปด้วยกะ...”

   My heart goes Shalala lala, Shalala  in the morning
   Oh oh oh Shalala lala , Shalala in the sunshine

   ดินหันไปทางทิศที่เสียงเพลงเจ้าปัญหาดังขึ้น แถมยังดังขึ้นแบบดังมาก...ส่วนตัวคนเปิด ก็กำลังกระโดดตบอยู่ไม่ไกล

   เล่นอะไรของมันวะ!

   ดินเดินไปกระชากมือถือมาจากอีกฝ่ายแล้วกดปิดเพลง ให้ตายสิ ถ้าจะเปิดเพลงกระโดดตบก็อย่าเลือกเพลงที่มันบอกอายุขนาดนี้ได้ไหม  “เล่นอะไรของคุณ”

   “ใจร้าย”

   หา? ไม่ว่าเปล่าคนตัวโตก็ทำปากยื่น  ดูแล้วน่าถีบขาคู่มากกว่าน่ารัก

   “ทีคนนั้นยังเรียกพี่ได้ ทำไมน้องเรียนพี่ว่าพี่บ้างไม่ได้”

   ดินกระพริบตาปริบๆมองคนงอแงไม่เข้าท่าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไอ้ที่เปิดเพลงนี่เรียกร้องความสนใจสินะ  เขาหันไปยิ้มขอโทษให้พี่ทะเลที่มองมาตาปริบๆ คงสงสัยนั่นแหละว่าเขารับคนบ้าไว้ในบ้าหรือเปล่า

   เอาจริงๆนิสัยไอ้หมอนี่มันก็ขัดกับหน้าตาหล่อๆนั่นมากทีเดียว

   “ขอโทษนะครับพี่ทะเล ผมคงไปกับพี่ไม่ได้หรอกครับ เอาไว้เจอกันที่ตลาดนะครับ” ว่าจบก็คว้าตัวคนน่ารำคาญไปยัดไว้เบาะข้างคนขับ ปิดประตูดังปังแล้วยิ้มเย็นชาออกมาแวบหนึ่ง “ต้องพาคนบ้าไปส่งโรงพยาบาลก่อน”

   พูดจบก็ขับรถออกไปทันที ส่วนตัวคนบ้าน่ะเหรอ

   หึ...ถึงจะบ้าแต่ก็สกัดกั้นเจ้าหนุ่มที่มาจีบน้องเขาได้สำเร็จ!

   มิชชั่นคอมพลีท!

.............................

สวัสดีค่า วันนี้เรามาลงดึกเลย นอนกันหมดแล้วแน่ๆเลยยย
พี่เดือนยังอยู่ในโหมะประสาทกลับเหมือนเดิม แกล้งเข้าไปสิน้องน่ะ แกล้งเข้าไป!
55555 แต่เขียนไปเขียนมาแล้วพี่ทะเลก็น่ารักนะคะ
เอาเป็นว่า...#ไว้อาลัยให้อิพี่เดือน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๓ {๖.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 06-12-2015 22:45:44
ม่ายยยยยยยยย

ยกน้องดินให้พี่เดือน แล้วหาคนมาดามใจพ่อทะเลเถิดค่ะ :D

เอาแบบกล้ามชนกล้ามเลยนะคะ เอิ้กๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๔ |ตัดรัก| {๙.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 09-12-2015 19:17:03
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๔
ตัดรัก

เดือนเคยคิดว่านายปฐพีเป็นคนใจเย็นนะ  แต่มาวันนี้เหมือนอีกฝ่ายจะมีเรื่องอะไรมากวนใจ อีกฝ่ายเลยทำท่าเหมือนอยากจะปล่อยระเบิดมาระเบิดอะไรสักอย่างแถวๆนี้  ชายหนุ่มตัวสูงลอบกลืนน้ำลายพลางเหลือบตามองคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หลังพวงมาลัยแล้วก็เสียวสันหลังวูบ

   บรรยากาศในรถตอนนี้มันน่าอึดอัดมากจริงๆ

   “เอ่อ ดิน...”

   “...”

   “ดิน...น้องดินครับ”

   “ว่าไงครับ?”  อีกฝ่ายย้อนถามมาเรียบๆแต่มันก็ทำให้เดือนสะดุ้งจนนั่งตัวตรงแน่ว ไม่ใช่อะไร แต่น้ำเสียงอีกฝ่ายมันเย็นชาประหนึ่งสั่งตรงมาจากขั้วโลกเลยทีเดียว

   “ดินโกรธพี่เหรอครับ”  เดือนถาม  ทำเสียงให้ดูน่าสงสาร เอาวะ  ตอนนี้ก็ทำสลดไปก่อนเถอะ ยังไงเขาก็เผลอไปแกล้งอีกฝ่ายจนตบะแตกเข้าแล้วนี่นา ไม่อยากถูกน้องชายตัวเองดับเครื่องชนขับรถพุ่งอัดต้นไม้ก็ควรสงบปากสงบคำไว้ 

   ดินแค่ยิ้มบางกับคำพูดอีกฝ่าย แต่ขอโทษเถอะ ไอ้รอยยิ้มนั่นมันรอยยิ้มพญามารชัดๆ! ไม่ใช่รอยยิ้มเทพบุตรอะไรเลย ไอ้เดือนฟันธง

   “คุณทำอะไรให้ผมโกรธเหรอ?”

   “ก็เอ่อ...”

   “อ่า...คุณอาจจะคิดว่าคุณไม่ได้ทำอะไรที่มันน่าโกรธเลยสักนิด คุณก็แค่แอบมาหอมแก้มผม  ขัดจังหวะตอนผมกำลังคุยกับพี่ทะเล ซึ่งคุณรู้ไหม...” นัยน์ตาสีน้ำตาลปรายมามองเขา  “ทั้งหมดนั่นนะคือสิ่งที่ผมไม่ชอบ”

   หวา...พญามารปางสังหารพี่ชายลงประทับแล้วแหงๆ

   “ผมว่าเราควรจะมาตกลงเรื่องกฎการเป็นพี่น้องกันใหม่นะครับคุณรวีกานต์” ดินเปิดไฟเลี้ยวก่อนจะเลี้ยวรถออกสู่ถนนใหญ่ “คุณจะเรียกผมเป็นน้องแบบที่คุณต้องการก็ได้  แต่สิ่งที่คุณต้องทำคือ หนึ่ง อย่าแตะตัวผม สอง อย่ามาฉวยโอกาสกับผม ผมไม่ใช่สาวน้อยในการ์ตูนญี่ปุ่นนะครับที่จะได้ชอบเวลาถูกผู้ชายหอมแก้ม  และสาม...คุณควรอยู่ให้ห่างจากผม”

   “ทำไม...แค่เพราะฉันแกล้งนาย นายต้องเกลียดฉันขนาดนี้เลยเหรอ”

   “คุณ...คุณไม่เข้าใจ” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นหันมองแวบหนึ่ง เดือนเห็นอะไรบางอย่างในตาคู่นั้น ถ้าเขามองไม่ผิด...มันคือความทุกข์ใจ

   “ฉันไม่เข้าใจอะไรล่ะ”

   “ทุกอย่าง”

   ชายหนุ่มลูกครึ่งเม้มปาก  ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นทีละน้อย  เขาไม่เข้าใจอะไร ทำไมไม่บอกกันล่ะ เขาจะได้เข้าใจบ้าง ไม่ใช่มามัวพูดเองเออเองแล้วก็กันเขาออกห่างแบบนี้ ทำเหมือนเดือนเป็นคนโง่ที่ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรก็ได้ แค่ออกไปห่างๆก็พอ

   นิสัยแบบนี้มันน่าโมโหจริงๆ

   แต่ก่อนที่เดือนจะได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น ปิกอัพสีขาวก็จอดที่ลานจอดรถหน้าตลาดที่แล้วใหญ่พอสมควรแห่งหนึ่ง  ที่นี่เองที่เป็นตลาดของพ่อกับแม่เขา ดินคุยอะไรอยู่กับคนที่ทำหน้าที่ดูแลลานจอดรถอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินนำเขาเข้าไปในตลาด

   ระหว่างเดินดินก็อธิบายว่าที่ตลาดจะเก็บค่าเช่าแผงสองงวด เป็นการแบ่งจ่าย  งวดแรกจะจ่ายตอนประมาณกลางๆเดือน ส่วนงวดสองจะจ่ายตอนท้ายเดือน  ส่วนใหญ่ดินจะเป็นคนลงมาเก็บค่าเช่าแล้วก็ตรวจดูความเรียบร้อยในตลาด ดีที่ตลาดนี้ไม่ค่อยมีใครเบี้ยวจ่ายตังค์สักเท่าไหร่


   เมื่อเข้ามาในตลาดอีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยให้เดือนถามอะไรอีกเลย  อันที่จริงแค่โอกาสจะคุยกันยังไม่มี เพราะพอเข้ามาในตลาดดินก็ถูกบรรดาแม่ค้าป้าขายทั้งหลายเข้ามารุมล้อมประหนึ่งดารา ก่อนจะโดนลากตัวไปทางนู้นทางนี้ โดยมือหลายคู่จับตรงนู้นตรงนี้ไปแทบทั้งตัว

   “ลูกดิน เป็นไงบ้างลูก ไม่เจอกันนานเลยนะจ๊ะ ป้าเนี่ยคิดถึ๊งคิดถึง” อื้อหืออออ ป้าคิดถึงผมเข้าใจ แต่จำเป็นต้องโอบเอวน้องผมด้วยเหรอครับ!?

   “ผมก็คิดถึงป้าแมวเหมือนกันครับ” โอ๊ะ รายนี้ก็ปากหวานไม่เบาวุ้ย “ไหนๆผมก็มาหาป้าแล้ว ช่วยจ่ายค่าเช่าครึ่งแรกมาเป็นค่ารับขวัญหน่อยได้ไหมครับ”

   “แหม...ดินก็...แหะๆ”

   คุณป้าแมวที่พอกหน้าด้วยเครื่องสำอางมาเต็มที่ ยิ้มเจื่อน ยอมรามือออกจากเอวของนายปฐพีทันที  หญิงวัยห้าสิบกว่า หยิบเอาเงินปึกหนึ่งออกมาก่อนจะนับให้ดินเห็นแล้วส่งให้ “มาทีก็มาทวงแต่ตังค์ ป้าเสียใจนะเนี่ย ไหนมาให้ป้าหอมที”

   เดี๋ยวครับเดี๋ยว อันนี้ไอ้เดือนว่าป้าเนียนแล้วนะครับ

   “นี่นังแมว มันจะมากไปแล้วนะยะ! ทำอะไรก็เกรงใจดินบ้าง” โอ๋ ป้าร่างผอมคนหนึ่งเดินมาเบียดป้าแมวออกไป ก่อนจะยิ้มหวานหยดให้ดินที่ยกมือไหว้ “สวัสดีครับป้าน้อย”

   “จ้า แหม ไม่เห็นดินตั้งนาน ป้าเนี่ยคิดถึงดินมากกว่านังแมวมันอีก” คนสูงวัยกว่าว่า มีแอบจิกกัดหญิงสูงวัยร่างอวบข้างๆ  พูดเหมือนจะดี แต่เดือนเห็นนะครับ...ว่าท่ารับไหว้ป้าน่ะ...ลูบตั้งแต่ต้นแขนน้องยันปลายนิ้วเลยครับแหม่

   และแน่นอนว่าหลังจากป้าน้อยจ่ายเงิน ป้าคนอื่นๆซึ่งเป็นเจ้าของแผงในละแวกนั้นก็เรียงคิวกันมาจ่ายเงินค่าเช่าแผง โอ้โหเฮะ  ผมก็เพิ่งเคยเห็นการจ่ายเงินด้วยความเต็มใจก็หนนี้แหละ ป้าๆทั้งหลายที่ดูเหมือนจะยังโสด(และแอบหนีสามีมา) พร้อมใจกันเอาเงินมาจ่าย แถวด้วยการลูบตรงนั้น แตะตรงนี้ โอบตรงโน้น ลวนลามดินนิดๆหน่อยๆพอเป็นพิธี 

   เดือนแอบหัวเราะในใจ  ศึกถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เขาจะไม่ยุ่ง ขอยืนดูงานอยู่ข้างหลังเงียบๆแบบนี้ดีกว่า ดูเหมือนว่าดินจะรู้ทันเขาเพราะคนตัวเล็กตวัดสายตามามอง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ซึ่งไอ้เดือนสาบานได้ว่ากำลังจะมีเรื่องซวยมหาซวยหล่นใส่หัว

   ไอ้น้องดินมันกำลังจะเล่นกูแล้วไง...

   “อ่า ทุกคนครับ” ดินถอยหลังออกมาจากวงล้อมป้าๆแล้วผายมือมายังร่างสูงที่ยืนทื่ออยู่ข้างๆ เหอะ คิดว่าเขาจะให้อีกฝ่ายยืนเฉยดูเขาโดนลวนลามอย่างเดียวหรือไง ฝันไปเถอะ!

   “นี่คือพี่เดือนครับ เป็นลูกแม่มะลิกับคุณพ่อครับ พี่เขาเพิ่งมาจากกรุงเทพเมื่อวันก่อนครับ”

   “เอ๋...ลูกชาย...อ้อ”  ใครบางคนในกลุ่มพูดขึ้นมาก่อนจะเงียบเมื่อโดนสายตาจากมนุษย์ป้าอีกหลายคนตวัดใส่ สีหน้าเข้าใจปรากฏบนใบหน้าแต่ละคน  แกมไปด้วยสีหน้าเป็นกังวลเมื่อมองดิน

   พวกเขากำลังกังวลแทนดิน...กังวลว่าดินกำลังจะโดนแย่งความรักไป

   เดือนลอบยิ้มน้อยๆ

   ดูสิ น้องชายเขามีคนรักมากขนาดนี้เชียว  แต่ทำไมถึงได้ชอบทำท่าเหมือนไม่อยากให้มีใครมารักนักนะ

   เห็นดังนั้น เดือนก็โอบไหล่ดินทันที เขายิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจว่าชนะใจคนแก่จริงแท้แน่นอน  “ไม่ต้องห่วงหรอกครับทุกคน ผมเอ็นดูน้องดินมากๆเลยล่ะครับ  น้องชายผมออกจะ ‘น่ารัก น่าเอ็นดู’ ขนาดนี้” ว่าพลางฉีกยิ้มโปรยเสน่ห์ไปพลาง  ตบไหล่น้องชายเบาๆอีกหลายที

   พอเห็นท่าทางสนิทสนมกันของพี่ๆบรรดาแม่ยก แค่ก บรรดาป้าผู้ชื่นชอบน้องดินทั้งหายก็ทำท่าโล่งอก หลายๆคนเริ่มสังเกตเดือนแบบจริงๆจังๆ

   “อื้อหือ ดูๆไป น้องเดือนก็หล่อจริงๆนะเนี่ย ตายแล้ว  ลูกชายคุณแม่มะลิเนี่ย หล่อๆทุกคนเลยนะ”

   นั่นไง เอาแล้วไง

   ดินปลดมือเดือนออกจากบ่าตนอย่างนุ่มนวล ถอยออกไปห่างๆแล้วยิ้มเยือกเย็นมองพี่ชายตัวกำลังถูกรุมจากบรรดาป้าๆทั้งหลาย

 หืม ถามว่าเขาไม่เสียใจเหรอที่บรรดาแฟนคลับเริ่มแปรพักตร์? ดินขอตอบเลยว่าไม่ ของแบบนี้...เพื่อพี่ชายที่น่ารักแล้ว เขาไม่ถือหรอก!

   “หล่อจังเลย เป็นดาราหรือเปล่าลูก”

   อ่า ใช่ครับ แต่ป้าครับ ป้าไม่ต้องลูบแขนผมนานขนาดนั้นก็ได้ แขนไอ้เดือนไม่มีเลขให้ขูดครับ

   “แหม..กล้ามแน่นจริงๆนะพ่อหนุ่ม”

   จับตรงไหนของป้า(วะ)ครับ!

   “โอย นี่ถ้าไม่ติดว่าป้ามีสามีแล้ว...”

   แล้วถ้าไม่มี ป้าจะทำอะไรนายรวีกานต์คนนี้ครับ!

   ดินยิ้มน้อยๆ ระหว่างตรวจว่าจะต้องไปเก็บค่าเช่าแผงที่ไหนอีก

   อืม...แถวๆโซนขายดอกไม้สินะ

   คนผมดำเก็บสมุดจดลงกระเป๋าแล้วออกเดิน  ไม่สนใจพี่ชายตัวสูงที่กำลังร้องเรียกเขาดังลั่น “เดี๋ยวๆ เฮ้ย ดิน รอพี่ด้วย ไอ้น้องดินนน”

   ถือซะว่าเอาคืนเล็กๆน้อยๆจากเมื่อเช้ามืดก็แล้วกัน

   เมื่อปลีกตัวออกจากบรรดาป้าๆได้แล้ว ดินก็รีบลากสังขารที่สึกหรอเล็กๆน้อยๆตามคนผมดำไปจนกระทั่งมาถึงแผงที่ขายดอกไม้สด   ดอกไม้หลากหลายชนิดวางอยู่บนแผง  กุหลาบสีขาว สีแดง สีชมพูอยู่ในถังน้ำ บนราวมีพวงมาลัยแขวนเรียงอยู่  ด้านหลังแผงวางดอกไม้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่

   “ปราณ” ดินเอ่ยเรียกอีกฝ่าย  เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อปราณเงยหน้าขึ้นมาก่อนดวงตาชั้นเดียวแต่กลมโตนั้นจะยิ่งเบิกโตขึ้นไปอีก  คนตัวเล็กวางเข็มลงอย่างเบามือก่อนจะกระโดดกระเด้งมาหน้าร้าน “พี่ดิน ไม่เจอกันตั้งนาน คิดถึงพี่ชะมัดเลย!”

   ดินวางมือลงบนหัวอีกฝ่ายแผ่วเบา “เป็นไงบ้างไอ้แสบ เจ๊ลี่ไปไหนล่ะ”

   คนตัวเล็กบู้ปาก “ไปทำธุรกิจส่วนตัวอ่ะจ้ะพี่” ว่าพลางขยิบตาให้ดินแบบเป็นอันรู้กัน  เดือนมองท่าทางซุกซนนั้น เด็กนี่ตัวค่อนข้างเล็ก  ผิวสีน้ำผึ้ง  ตากลมโตชั้นเดียว ท่าทางขี้เล่นน่าดู “แต่แม่ฝากเงินไว้ให้นะจ๊ะ” ว่าจบคนตัวเล็กก็มุดไปหยิบกล่องใส่เงินออกมาแล้วก็ยื่นปึกเงินที่รัดไว้ด้วยหนังยางสีแดงให้ดิน อีกฝ่ายก็รับมานับพร้อมจดอะไรยุกยิกลงสมุดแล้วเก็บเงินกับสมุดเข้ากระเป๋า

   “แล้วนี่ใครเหรอจ๊ะพี่ดิน?”

   ปราณหันไปมองพี่ชายตัวสูงที่เดินตามพี่ดินมาต้อยๆ กวาดสายตาดูก็รู้ว่าสูงทะลุ 180 แน่ๆ ผิวขาว ตาคม กล้ามก็...นะ นี่ขนาดใส่เสื้อยืดธรรมดานะจ๊ะ ใจน้องปราณยังสั่นระดับสิบ นี่ถ้าเปลี่ยนมาใส่เสื้อกล้าม...อูยยย ไม่ได้ๆ น้องปราณจะหื่นไม่ได้!

   แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ปราณบอกได้คำเดียว

แซ่บ!

“สวัสดีจ้ะพี่เดือน  ชื่อปราณนะจ๊ะ”

“หวัดดีครับน้องปราณ”

โอย พี่ชาย ยิ้มยังหล่อ ละลายแล้วจ้า

“แล้วพี่ดินเหลือเก็บเงินที่ไหนอีกจ๊ะ”


“เหลือแถวๆร้านขายข้าวแกงกับโซนร้านขนมหวานนั่นแหละ”

“โห ถ้าเป็นร้านขายขนมหวานปราณจะไปด้วยหรอกนะจ๊ะ แต่โซนร้านขายข้าวแกงนี่ขอบาย ไม่ถูกโฉลกกับ...”

“ทำไม มึงมีปัญหาอะไรกับร้านขายข้าวแกงเหรอแคระ”

เสียงกวนๆเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง  เดือนหันไปมองก็เจอเด็กหนุ่มตัวสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา  มองปราดเดียวก็รู้ว่าลูกคนจีน  ผมเกรียน  ผิวขาว ตาตี่ ท่าทางกวนประสาทใช่ย่อย  อีกฝ่ายหันไปยื่นเงินค่าเช่าแผงให้ดิน “นี่ครับพี่ดิน ม๊าให้เอามาจ่าย จ่ายสดครบถ้วนไม่ต้องให้ตามทวงแน่นอนฮะ”

“งั้นก็ดีแล้ว” ดินว่ายิ้มๆ เด็กหนุ่มตัวสูงที่จ่ายเงินเสร็จก็หันไปยักคิ้วให้ปราณ “ว่าไงไอ้แคระ มึงยังไม่ตอบกูเลยว่ามีปัญหาอะไรกับร้านข้าวแกง เกิดแพ้ขึ้นมากะทันหันหรือไง”

เดือนที่ยืนขวางกลางอยู่ระหว่างทั้งสองรีบหลบมุมออกมาทันที  ดูท่าแล้วน่าจะเกิดการรบชัวร์ๆ ไอ้เดือนจะไม่อยู่ขวางเป็นก้างแล้วกันนะจ๊ะ

“ไม่เสือกสิเฟิง กูจะมีปัญหาอะไรก็เรื่องของกูหรือเปล่าเอ่ย”  ปราณด่ากลับ  ส่วนเดือนก็ถึงกับอ้าปากค้างน้อยๆ ไหนวะไอ้เด็กน่ารักที่จ๊ะๆจ๋าๆอยู่ตะกี้

ภาพลวงตาสินะ

“เหอะ กูก็ไม่ได้อยากเสือกหรอก แต่เผอิญร้านกูขายข้าวแกงไง เลยนึกว่ามึงอยากมีเรื่อง”

“ร้านข้าวแกงก็มีตั้งหลายร้าน มึงนี่มันสำคัญตัวผิด” แต่ดูจากรูปการณ์แล้ว พี่เดือนว่าน้องปราณน่าจะหมายถึงร้านข้าวแกงของไอ้เด็กตี๋นี่แน่ๆล่ะจ้ะ เล่นด่าไฟแล่บขนาดนี้

“อ่อ งั้นขอโทษแล้วกันนะที่กูสำคัญตัวผิด  แต่อย่างว่า ตุ๊ดแคระแบบมึงคงมีเรื่องไปทั้วแหละ ปากหมาซะขนาดนี้ เลี้ยงไว้กี่ครอกกันล่ะในปากน่ะ”

มึงว่าเขาไม่ได้ดูตัวเองเลย ไอ้น้องเฟิง เหอๆ

“มึงว่าใครตุ๊ดแคระวะไอ้เฟิง!”

“ก็ใครสักคนที่เตี้ยๆแถวๆนี้แหละ  แม่งเป็นตุ๊ดแล้วยังเสือกเตี้ยอีก น่าสงสารจริงๆมึง”

“กูไม่ได้เตี้ย ไซส์กูเขาเรียกสะดวกพกพา!”

คนผิวสีน้ำผึ้งแทบจะกรี๊ดๆออกมา ถ้าไม่ติดว่าอาจถูกพระมารดาตามมาฆ่าได้ ได้แต่กระทืบเท้า นึกอยากเอาอีแตะตบปากไอ้ตี๋ตัวสูงตรงหน้ามาก

หยาบคาย กูไม่ได้เตี้ยโว้ย กูไซส์กระทัดรัด!

“คนน่ารักน่ะเขาเรียกคนตัวเล็ก แต่ถ้าระดับขาหมูเดินได้แบบมึงน่ะเขาเรียกเตี้ย!”

“ไอ้เฟิง กูไม่ได้อ้วน!”   

หนนี้ปราณไม่ตะโกนเปล่าๆ หันไปคว้าดอกไม้ในถังน้ำใกล้ๆมาปาใส่อีกคนไม่ยั้ง  อยากจะคว้าเข็มมาแทงแม่งด้วยแต่กลัวจะเป็นเรื่องใหญ่ กูปาดอกไม้ใส่ไปก่อนล่ะกัน ถึงแม่งจะมุ้งมิ้งชิบหายก็เถอะ

“ปากุหลาบใส่กูนี่อยากให้กูรับรักหรือไง บอกไว้ก่อนนะว่ากูไม่อยากได้โว้ย สเป็คกูต้องตัวเล็กน่ารัก แล้วก็ตู้มๆ ไม่ใช่ตัวก็เตี้ย ขาใหญ่ ไซส์หมูแบบมึง”

“มึงจะให้กูปาพวงหรีดใส่หน้าเลยไหมไอ้เฟิง!”

โอยย ตอนนี้กุลงกุหลาบ ดาวเรือง คาร์เนชั่น ลอยละลิ่วไปหมดแล้วครับ

อะไรยังไงไม่รู้  รู้แต่ตอนนี้พี่เดือนจะเป็นลมแล้วครับให้ตาย ใครก็ได้ขอยาดมที เสียหายหลายแสนครับ โอยยย

ระหว่างที่อีกด้านหนึ่งกำลังวุ่นวายตลาดแทบแตก ดินกำลังเดินลัดออกมาทางลานจอดมอเตอร์ไซค์เพื่อเก็บค่าเช่าแผงที่โซนขายขนมหวาน  คิดในใจว่าอีกสักพักคงต้องเรียกคนมาเก็บกวาด แผงแถวๆนั้นราบเป็นหน้ากลองแน่ๆ ไม่รู้เจ๊ลี่จะหัวใจวายไหม

ไอ้เฟิงกับไอ้ปราณอยู่ใกล้กันทีไรวอดวายทุกที

ชายหนุ่มเดินเลาะหลบแดดไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้อยู่แบบสงบๆสักที  ดินยอมรับว่าหลังจากที่เดือนมาอยู่ด้วยแล้วชีวิตในแต่ละวันขอเขามันมีแต่ความวุ่นวาย และนั่นก็ทำให้เขากลัว...เดือนก็เหมือนพายุ มาแบบไม่ทันตั้งตัว กระชากเขาออกมาจุดปลอดภัย เหวี่ยงเขาไปมา

แล้วสุดท้ายเขาก็จะถูกปล่อยให้ร่วงหล่น

เพราะแบบนี้เขาถึงเตือนอีกฝ่ายให้อยู่ห่างๆ มันดีสำหรับตัวเขาและเดือนที่สุดแล้ว

เขาไม่อยากถูกดึงออกจากเขตความปลอดภัยของตัวเอง...ทุกอย่างในวันนี้มันดีอยู่แล้ว

ใช่...มันดีที่สุดแล้ว

ริมฝีปากบางเม้มแน่นเมื่อเรื่องบางเรื่องผุดขึ้นมาจากห้วงความทรงจำ  ดินรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ตอนนี้เขาต้องมีสมาธิอยู่กับงาน 

ชายหนุ่มตรงไปยังร้านขายขนมไทยเล็กๆ เจ้าของร้านที่นั่งอยู่เดียวดายดูน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก ดินเลิกคิ้วเมื่อเห็นร่างผอมบางของหญิงสาวที่กลางลำตัวของเธอโป่งนูนเต็มที่  ใบหน้านั้นดูอมทุกข์  ขอบตาก็แดงก่ำเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักหน่วงมา

“อ้าว น้องดิน”  หญิงสาวสะดุ้งเมื่อเห็นเขา เธอส่งยิ้ม อ่อนแรงมาให้  ดินยิ้มพลางยกมือไหว้ “มาเก็บค่าเช่างวดแรกเหรอจ๊ะ”

“ครับ  พี่ก้อยทำไมไม่อยู่บ้านล่ะครับ นี่ท้องแก่แล้วไม่ใช่เหรอ”

หญิงสาวในชุดคลุมท้องสีมอซอยิ้มอ่อนแรงมาให้  รอยยิ้มที่ทำให้ดินปวดหนึบในอก “สามีพี่เขาขอให้พี่ออกมาทำงานน่ะจ้ะ เดือนนี้จะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องอยู่แล้ว” ท้ายประโยคเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่ดินก็ยังได้ยิน 

ถ้าเขาจำไม่ผิด จากที่ฟังแม่เล่าเรื่องพี่ก้อยคนนี้ให้ฟัง ดูเหมือนพี่เขาจะเรียนจบแค่ม.3 เพราะบ้านพี่ก้อยจนมากจนไม่มีแม้กระทั่งเงินส่งลูกเรียน  อีกอย่างพี่น้องพี่ก้อยก็เยอะ...พี่ก้อยที่เป็นผู้หญิงและเป็นน้องเลยต้องเสียสละ  ถูกพ่อกับแม่ให้ออกมาช่วยทำงาน หลังจากนั้นพี่ก้อยก็แต่งงาน แต่เขาก็ลือกันมาอีกว่าที่แต่งงานเพราะท้องก่อนแต่ง  ทางฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นคนสำมะเลเทเมา ไม่เอาการเอางาน ถ้าพี่ก้อยไม่พลาดท้องขึ้นมามีหรือจะได้แต่ง

ตอนแรกดินก็ไม่เชื่อ แต่พอได้ยินว่าสามีให้ออกมาทำงานเขาก็เริ่มเชื่อ

สามีดีๆที่ไหนให้ภรรยาท้องแก่มายืนขายของทั้งวัน!

“เอ่อ น้องดินคะ พี่มีเรื่องจะขอร้อง”

“เรื่องผัดผ่อนการจ่ายค่าเช่าแผงใช่ไหมครับ?”

หญิงสาวพยักหน้า น้ำตาเริ่มปริ่มขอบตา ทุกวันนี้ชีวิตเธอหนักเหลือเกิน...หนักมากเกินไป การที่ไม่ได้เรียนต่อมาทำงานไม่ได้ทำให้เธอเดือดร้อนมากเท่ากับการได้สามีนิสัยแย่  ทุกวันนี้ไม่ได้มีแต่เธอที่ลำบาก แต่หากยังต้องใช้ชีวิตกับคนแบบนั้นต่อไป อีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดมานี่แหละที่ลำบาก  เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ส่งลูกไปถึงฝั่งได้หรือเปล่า กลัวเหลือเกินว่าคนไม่มีสามัญสำนึกนั่นจะทำร้ายเธอ...ทำร้ายลูก

ทุกวันนี้ที่เธอยอมอดทนทำงานก็เพื่อลูกทั้งนั้น เงินที่ได้ในแต่ละวันแม้จะน้อยนิดแต่เธอก็พยายามเก็บหอมรอมริบไว้ให้ลูก
จากที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ดินก็พอจะเดาได้  แต่เขาก็ไม่ได้อำนาจการตัดสินใจมากพอ “ยังไงเดี๋ยวผมจะถามคุณแม่ให้นะครับ”  เขาว่า ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงหล่น  ชายหนุ่มเสยเส้นผมสีดำขึ้น   เขาไม่ถูกกับน้ำตาผู้หญิงด้วยสิ

ดินเม้มปาก สิ่งเดียวที่เขาพอจะช่วยอีกฝ่ายได้ในตอนนี้ก็คือ... “พี่ก้อยครับ ดินขอขนมชั้นสองกล่องแล้วก็ขนมเบื้องอีกสามกล่องครับ” นี่เป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เขาพอจะทำได้ 

อีกฝ่ายรีบจัดของให้เขาอย่างรวดเร็ว  ในระหว่างที่กำลังยื่นมือไปจ่ายเงินนั้น โลกรอบตัวดินก็กลายเป็นสีเทา ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อย มือเขาสั่นตอนที่รับถุงขนมมา ดินพยายามควบคุมไม่ให้มือเผลอไปโดนด้ายแดงเข้า แต่ดูเหมือนเขาจะเพ่งสมาธิกับการดูด้ายแดงมากไปหน่อยทำให้ไม่ได้สนใจดูมือที่รับของ 

หญิงสาวปล่อยมือออกจากถุงขนมในขณะที่ดินไม่ได้จับเอาไว้ให้แน่นทำถุงร่วงลงไปที่แผง  ด้วยความตกใจดินกับหญิงสาวยื่นมือไปจะจับถุงขนมพร้อมกัน

“อ๊ะ” ชายหนุ่มเผลอร้องออกมาเมื่อมือของเขาสัมผัสกับด้ายแดง  แม้จะเพียงเสี้ยวนาทีก็ตาม

แต่นั่นก็ทำให้ความทุกข์ใจของเจ้าของด้ายแดงระเบิดขึ้นในหัวเขา

‘ทำไม...ทำไมต้องเป็นฉันด้วย!’

‘เมื่อไหร่จะหลุดจากสภาพน่าสมเพชแบบนี้สักทีนะ’

‘ถ้าไม่ติดว่ามีลูก...ฉันคงไม่ทนอยู่ต่อไป’

‘เหนื่อยเหลือเกิน ใครก็ได้ดึงฉันออกไปจากสภาพที่เป็นอยู่ที่เถอะ’

‘ถ้าเราหยุดหายใจแล้วหลับไปตลอดกาลได้เลยคงจะดี’

ความคิดด้านลบมากมายวิ่งผ่านเข้ามา  มันเหมือนกับการที่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับคำสั่งมากๆในเวลาเดียวกัน มันจะทำงานช้าลงหรือไม่ก็ค้างไปเลย  ตอนนี้สมองดินกำลังถูกบีบให้รับข้อมูลความรู้สึกจำนวนมหาศาล รูปภาพมากมายวิ่งเข้ามาในหัวเขา ส่วนใหญ่เป็นภาพเกี่ยวกับชีวิตรักที่ไม่สมหวังของผู้หญิงตรงหน้า พร้อมกับเสียงความทุกข์ที่ดังลั่นในสมอง  มันเหมือนมีใครเอาค้อนเหล็กมาทุบหัวเขาซ้ำๆ  ปวดตุบๆจนต้องทรุดลงไปกุมศีรษะ  ส่งเสียงร้องออกมา

“น้องดิน น้องดินเป็นอะไรไปคะ!”

เสียงของหญิงสาวในชุดคลุมดูห่างไกลออกไป  ดินพยายามฝืนความเจ็บปวดขยับปากบอกเธอว่าไม่เป็นไร แต่หญิงสาวยังคงทำหน้าตระหนกอยู่  ชายหนุ่มจึงฝืนยืนด้วยสภาพเอนซ้ายเอียงขวาจนน่ากลัวว่าจะล้มลงไปกองกับพื้นอีกรอบ  “น้อง
ดิน...”

   “ผมไม่เป็นไรครับ  ขอนั่งพักสักเดี๋ยวก็พอ”

ตอนนี้โลกรอบตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว ดินมองหญิงสาวที่กุลีกุจอยกเก้าอี้มาให้เขา  ชายหนุ่มเม้มปากแน่น เขาควรจะช่วยเธอหรือเปล่า เธอเองก็ทุกข์มากมาตลอด..จะปล่อยผ่านไปอย่างนั้นหรือ

ใจหนึ่งก็ร้องเตือนดินว่าอย่าเข้าไปยุ่ง นี่เป็นโชคชะตาของแต่ละคน

แต่อีกใจกลับถามเขาซ้ำๆว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้จริงๆหรือ จะปล่อยให้ผู้หญิงที่น่าสงสารต้องแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียว ปล่อยให้เด็กที่น่าสงสารคนหนึ่งเกิดมาโดยมีพ่อแย่ๆอย่างนั้นหรือ

ถ้าเพียงแต่เขาลงมือ...แค่วินาทีเดียว ชีวิตของผู้หญิงคนนี้ก็จะเป็นอิสระ...อิสระจากผู้ชายแย่ๆที่เธอต้องทนทุกข์อยู่ด้วยมาตลอด

สุดท้ายเขาก็ติดสินใจ

ดินหรี่ตาลง เพ่งมองจนเห็นด้ายแดงของหญิงสาว  เขารวบรวมสมาธิ...แล้วก็ตัดด้ายแดงของอีกฝ่ายลง

วินาทีที่เส้นด้ายสีแดงขาดสะบั้น ความเจ็บปวด และอารมณ์ความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเขาใส่จนดินตั้งตัวไม่ทัน เขาหงายหลัง  เตรียมใจจะรับความเจ็บปวดจากการที่หัวฟาดพื้น

แต่แล้วก็มีมือคู่หนึ่งประคองเขาไว้อย่างอ่อนโยน  โอบกอดเขาไว้

สายตาพร่าเลือนมองใบหน้าอีกฝ่าย  ดินส่งเสียงร้องเรียกชื่อคนๆนั้น  คนที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ถูกที่ถูกเวลาแบบนี้ คนๆนี้ช่วยเขาไว้อีกแล้ว

“พี่...ทะเล”

แล้วสติเขาก็ดับวูบลง

....................................

พี่เดือนควรระวังน้องปราณให้มากๆนะคะ น้องแกหื่น 5555
ปราณเฟิง...พอแล้วลูก ตลาดจะแตกแล้ว คู่นี้นี่มันคู่หายนะชัดๆ
ส่วนใครที่กำลังคิดว่าพี่ทะเลนี่มันยังไงๆ ก็...ก็บอกไม่ได้ค่ะ 555
แต่พี่ทะเลเขาก็เป็นคนดีนะเออออ คงต้องรอดูกันต่อไปแล้วค่ะ ว่าคุณพี่จะรุกหรือจะถอย
คงต้องรอดูตอนหน้าค่ะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๔ {๙.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-12-2015 22:47:44
ไอ้หยา พี่ทะเลมาทำคะแนนอีกแล้ว

จงเป็นคนดีแล้วไปเป็นพระรองซีรีย์เกาหลีด่วนค่ะ อิอิ


ยังข้องใจกับความสามารถของดินอยู่นิดๆ~
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๕ |ในรอยฝัน| {๑๐.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 10-12-2015 19:42:36
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๕
ในรอยฝัน

ดินกำลังฝัน

ในฝันเขากลับไปเป็นเด็กชายปฐพีอีกครั้ง  เด็กชายอายุราวสิบขวบที่ร่างผอมแห้งและชอบทำหน้าอมทุกข์  ดินมองไปรอบๆเพื่อสำรวจสถานที่ที่เขายืนอยู่   มันเป็นห้องนอน  ห้องนอนแคบๆที่มีเพียงฟูก ผ้าห่มและหมอน โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กแล้วก็พัดลมอีกหนึ่งตัว

ห้องนอนเก่าของเขาเอง

ดินกัดริมฝีปากแน่น ความรู้สึกที่ห่างหายไปนานกลับมาท่วมท้นใจ 

ความหวาดกลัว...

แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง  เสียงขว้างปาข้าวของ  เสียงเดิมๆที่เขาได้ยินทุกคืนก่อนนอน และเป็นเสียงที่ปลุกเขาให้ตื่นจากนิทราทุกครั้ง

ดินสะดุ้งสุดตัว  เด็กชายขดตัวยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง  เอามืออุดหู

แต่เสียงกรีดร้องก็ยังดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท  คลอมากับเสียงจานชามที่ถูกขว้างปาลงพื้น

“ไม่ ได้โปรด...ได้โปรด อย่าทำหนู  ได้โปรด หนูเจ็บ ฮืออ ช่วยด้วย ...ฮึก...เจ็บ ช่วยด้วย”

เพล้ง โครม!

“ไม่ ได้โปรด ปล่อยหนูไปเถอะ ฮึก...ได้โปรด”

“ช่วยหนูด้วย...พี่ดิน...พี่ดิน ฮึก พี่จ๋า”

เสียงร้องเรียกหาเขาเป็นสิ่งที่ทำให้ดินได้สติ  ความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าแรงๆตามมาด้วยความละอายใจและอาการปวดหนึบในอก...

เขามันขี้ขลาด...เอาแต่หดหัวอยู่ใต้ผ้าห่ม

ทั้งๆที่คนคนนั้นต้องการให้เขาไปปกป้อง แต่เขาก็เอาแต่ปิดหูปิดตา ไม่รับฟัง

ปล่อยให้ความกลัวครอบงำ...

เสียงกรีดร้อง ร้องขอความเมตตาดังขึ้นอีกครั้ง ยาวนานจนเหมือนชั่วนิรันดร์  ดินทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว  เขาลุกขึ้นแล้วก็ออกวิ่ง มุ่งหน้าตรงไปที่ห้องครัว 

ประตูไม้บานเก่าถูกเปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อย ดินแอบมองผ่านรอยแยกเข้าไปในห้องครัวก่อนจะตกตะลึง สภาพห้องครัวประหนึ่งกลายเป็นสมรภูมิรบ  ข้าวสาร อาหารที่อยู่ในตู้เย็นและในตู้กับข้าวถูกขว้างลงพื้นอย่างน่าเสียดาย  จานชามแตกกระจายเต็มพื้น  แล้วก็มีรอยของเหลวสีแดงเป็นแนวยาวบนพื้น

รอยเลือด...

เด็กชายรีบผลักประตูเข้าไปด้านในทันที  ในใจเหมือนมีใครเอาเหล็กร้อนมาแนบ  มันทั้งทุกข์ทรมานทั้งร้อนรน

คนๆนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเสียงร้องเงียบลงแล้ว เกิดอะไรขึ้น

คนในห้องครัวไม่สังเกตเห็นเขา  อันที่จริงเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สังเกตอะไรรอบตัวทั้งนั้น  ขาที่กำลังก้าวของดินชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างมองร่างที่นอนอยู่บนพื้นสลับกับร่างของใครอีกคนที่ยืนค้ำร่างน้อยนั้นอยู่

ใครอีกคนที่มีสีหน้าของความเกลียดชัง...สีหน้าที่ราวกับเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

ใบหน้าที่ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปีดินก็ไม่มีทางลืม

ทั้งใบหน้า...และน้ำเสียงที่กรีดร้องออกมาของร่างสูงนั้นด้วย

‘ทำไม...ทำไมแกต้องเกิดมาด้วย!’

ร่างสูงยกมือขวาขึ้น ดินเพิ่งสังเกตว่าในมือเรียวนั้นมีมีดเล่มใหญ่อยู่  เพียงเท่านั้นดินก็เดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ 

เขาอยากจะวิ่งหนี แต่ขาก็ไม่ขยับ

เขาอยากจะกรีดร้อง แต่ก็ไม่มีเสียงใดหลุดจากลำคอ

เขาอยากจะวิ่งไปดึงร่างที่นอนสลบอยู่บนพื้นออกมา แต่ความกลัวก็ตรึงร่างเขาให้อยู่กับที่

สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการเบิกตากว้างมองใบมีดเล่มใหญ่จ้วงแทงเข้าไปในร่างน้อยนั้น

หนึ่งครั้ง

สองครั้ง

สามครั้ง
แทงลงไปซ้ำๆ มีเพียงเสียงกรีดร้องดังก้องในหู ร่างที่พยายามคลานกระเสือกกระสนมาทางเขา เอื้อมมือไขว่คว้าหาเขา ให้เขาช่วยเหลือ

แต่ดินขยับตัวไม่ได้...

‘พี่จ๋า...ช่วยหนูด้วย’

เธอพูดแบบนั้นใช่หรือเปล่า ดินมองร่างที่นอนกองอยู่บนพื้น  น่าจะไร้ลมหายใจแล้ว...เขาไม่รู้ เขาจำไม่ได้ ทุกสิ่งพร่าเลือนไป ดินเงยหน้าขึ้น ไม่อาจทนมองได้...แล้วเขาก็เห็นมัจจุราช

ปีศาจที่เปื้อนไปด้วยสีแดงเหวี่ยงใบมีดลงบนพื้นก่อนจะคว้าปืนที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวขึ้นมา เล็งไปยังคนที่นอนแน่นิ่งบนพื้น

ไม่นะ อย่า!

ปัง!

กระสุนนัดแรกถูกยิงออกไป จากนั้นก็เหมือนการใช้มีดเมื่อครู่ กระสุนนัดที่สอง ที่สามถูกยิงออกไป

เสียงปืนทำให้ดินหูอื้อ  แต่ภาพนั้นเหมือนจะทำให้เขาใจสลาย

ตัวตนของเขาพังทลายแตกร้าวไม่มีชิ้นดี

รู้ตัวอีกทีปากกระบอกปืนก็หันมาทางเขาพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดินจำได้ติดหู

‘แกก็เหมือนกัน  แกจะเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อทำให้ฉันทุกข์ทรมานใช่ไหม! ฉันเกลียดแก เกลียดพวกแก! พวกเด็กปีศาจแบบพวกแกน่ะ...ฉันไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว!’

ปัง

เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด เป็นนัดสุดท้าย

แล้วดินก็เห็นสีแดงสาดกระจายอยู่เต็มโลกของเขา


พรึ่บ!

ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัวก่อนจะลุกพรวดขึ้นมานั่งหอบหายใจอยู่บนเตียง  เหงื่อกาฬหลั่งเต็มทั่วเรือนร่าง ดินอ้าปากหอบหายใจ  หัวใจเต้นถี่รัวเหมือนไปวิ่งแข่งมาสักร้อยเมตร  ชายหนุ่มยกมือกุมหน้าอก

ฝัน มันก็แค่ฝัน

อย่าไปนึกถึงมัน มันก็แค่ฝันร้าย

ไม่เป็นไร เขาปลอดภัยแล้ว...

เมื่อดวงตาชินกับความมืดชายหนุ่มก็หันไปมองรอบๆก่อนจะพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องนอนแล้ว  แถมยังเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้วด้วย  ทั้งห้องมืดสนิทมีเพียงแสงจากนาฬิกาดิจิตอลบนผนังที่บอกเวลาตีสามเท่านั้น ดินพยายามคิดว่าทำไมตัวเองถึงได้ตื่นมาอีกทีตอนตีสามได้  เขาออกไปเก็บค่าเช่าแผงนี่นา แล้วจากนั้น...

อ่า จริงสิ เขาใช้พลังของตัวเองตัดด้ายแดงของพี่ก้อยไปนี่นา เพราะฝืนใช้พลังทำให้ความคิดด้านลบและอารมณ์มากมายจากความรักที่ผ่านมาของพี่ก้อยและสามีก็ทะลักเข้ามาในหัว ร่างกายกับสมองเลยรับไม่ไหว เขาคงเป็นสลบไป

ดินจำได้ว่าก่อนจะสลบไปเขาเห็นพี่ทะเล

มาอยู่ถูกที่ถูกเวลาอีกแล้วสินะ คนๆนั้น

ความคิดที่ว่าอีกฝ่ายช่วยเขามาหลายครั้งทำให้ในอกรู้สึกอบอุ่น แต่ความรู้สึกนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะภาพฝันเมื่อครู่ยังติดตา
นานแล้วที่ไม่ได้ฝันแบบนั้น

มือเรียวขยุ้มผ้าปูที่นอนแน่น ส่วนแขนอีกข้างก็ยกขึ้นปิดตาพร้อมๆกับที่ดินกัดริมฝีปากแน่น

แต่ถึงกระนั้นการกระทำเหล่านี้ก็ไม่อาจห้ามน้ำใสๆที่หลั่งรินออกจากดวงตา กับเสียงกรีดร้องที่หลุดรอดริมฝีปากเขาได้เลย

สุดท้ายเขาก็ไม่ได้นอนต่อ ตาสว่างยันฟ้าสาง

เมื่อนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเช้าดินก็ลุกขึ้น  ถึงจะสลบหรือฝันร้ายยังไงมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาควรจะหยุดงาน  ออกไปหาอะไรทำก็ดีกว่ามานั่งฟุ้งซ่าน

แต่ด้วยความอ่อนเพลียทันทีที่เท้าแตะพื้นแล้วลุกยืนร่างเล็กก็เซจนลงไปนั่งกองกับพื้น  ร่างกายเหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงไปจนหมด

เขายันตัวลุกขึ้นอีกครั้งเป็นเวลาเดียวกับที่เดือนเดินเข้ามา

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” หนุ่มลูกครึ่งทักก่อนจะรีบเข้ามาประคองให้เขากลับลงไปนั่งบนเตียง  คนตัวสูงตีหน้าดุทันที “จะรีบลุกขึ้นมาทำไมน่ะ นายยังหายดีเลยนะ” มีการมาดุเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้อีก ดินขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเล็กน้อย

“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย  ปล่อยได้แล้วครับ ผมจะรีบไปทำงาน”

“ฝันไปเถอะ  วันนี้คุณแม่กับคุณพ่อบอกให้นายลางานได้  เพราะฉะนั้นกลับไปนอนดีๆเดี๋ยวนี้เลย”

“อะไรนะ ลางาน!? แต่ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่สลบไปเฉยๆ...”

“มีใครที่ไหนเขาสลบกันข้ามวันข้ามคืนบ้างฟะ  แถมตอนดึกนายดันไข้ขึ้นอีก  ฉันต้องมานั่งเช็ดตัวให้นายเนี่ย  ดูดิไม่ได้นอนทั้งคืน ตาดำเป็นแพนด้าแล้วเนี่ย”

ดินมองพี่ชายจำเป็นที่ชี้ขอบตาตัวเองพร้อมกับทำท่างอแงไปด้วย  อยากจะเบะปากใส่รัวๆ ทำแบบนี้คิดว่าน่ารักมากมั้งไอ้คุณรวีกานต์!

เมื่อครู่เดือนบอกว่าเขาสลบไปข้ามวัน...ดูเหมือนการถูกด้ายแดงโดยบังเอิญกับการใช้พลังตัดด้ายจะส่งผลกระทบกับเขามากกว่าที่คิด  เล่นซะไข้ขึ้นนี่ก็แย่แล้วเหมือนกัน

“ผมไม่สบายเหรอ”

“ก็เออสิครับคุณน้องชาย รู้ตัวแล้วก็นอนเป็นคนป่วยไปได้แล้ว”

ว่าพลางคนตัวสูงก็เอามือมาทาบที่หน้าผากของเขาพลาง  สัมผัสอุ่นและแผ่วเบาอ่อนโยนทำให้ดินนึกถึงสัมผัสของแม่มะลิยามมาตรวจดูเขาเมื่อไม่สบาย  เดือนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพึมพำ “ตัวยังอุ่นๆอยู่เลย นอนพักไปก่อน เดี๋ยวลงไปเอาข้าวต้มกับยามาให้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“ไม่เป็นไรที่ไหนล่ะ  ป่วยแล้วก็อย่าดื้อสิ” ฝ่ามือใหญ่ยันหน้าผากเขาไว้แล้วผลักเขาเบาๆจนล้มลงไปนอนบนเตียงเหมือนเดิม ดินร้องออกมา “คุณเดือน!”

“อย่าโวยวายน่า นายไม่ใช่สาวน้อยซะหน่อย  หรือว่า...อยากให้ทะเลมาป้อนข้าวป้อนยาให้?” ท้ายประโยคน้ำเสียงล้อเลียน
ชัดเจน  แถมนัยน์ตาคมยังส่อประกายแปลกๆอีกต่างหาก  ทำเอาดินรู้สึกหน้าร้อนวูบ

“พูดอะไรของคุณครับ  ถ้าจะมาไร้สาระอยู่แถวนี้ก็ลงไปเอาข้าวต้มมาดีกว่าครับ”

“แหมๆ ล้อแค่นี้ทำมาเขินน้าน้องดิน” ไม่ว่าเปล่า ยังเอามือมาจิ้มแก้มเขาอีกต่างหาก  ดินรู้สึกเหมือนเลือดในร่างมันถูกสูบไปรวมกันที่แก้มเขาหมดแล้ว  ชายหนุ่มผมดำปัดนิ้วน่ารำคาญนั้นออกอย่างเคืองๆ เขาไม่ใช่เด็กนะ!

“แต่ตอนนั้นนี่ฉันนึกว่าดูซีรีย์เกาหลีอยู่เลยนะ  หมอนี่ดันอุ้มนายมาในท่าอุ้มเจ้าสาวซะด้วย นิสัยสมกับเป็นพระรองซีรีย์ชัดๆ” เดี๋ยวนะ...ท่าอุ้มเจ้าสาว!?  กลางตลาด บ้าเอ้ย ป่านนี้พวกป้าๆทั้งหลายเอาไปลือกันให้แซ่ดแล้วมั้ง ดินกุมขมับอย่างไม่รู้ว่าจะปลงหรือโมโหกับชะตาชีวิตตัวเองดี

ส่วนไอ้คนที่จุดประเด็นนี้ขึ้นมายังคงพล่ามน้ำท่วมทุ่งต่อไป “แต่ไอ้หมอนี่มันดูจะรุกนายจริงจังนา ว่าไงครับน้องดิน ถึงหมอนี่จะหน้าไม่หล่อเท่าพี่แต่ก็ถือว่ายังหน้าตาดีอยู่  นิสัยก็ดี สนใจไหมครับ  ถ้าคุณน้องชายสนใจเดี๋ยวพี่เดือนคนหล่อจะไปตีหัวลากเข้าบ้านมาให้เอง”

“ช่วยตีหัวตัวเองแล้วความจำเสื่อมไปแทนได้ไหมครับ”

“โหดร้าย”

บ่นหงุงหงิงแต่ก็ยังไม่วายมองเขาอย่างสำรวจ ดินเบือนหน้าหนีสายตาตรวจสอบนั้น พอเห็นเขาไม่สบตาด้วยเดือนก็เลยถามต่อ “ฉันรู้ว่าเรื่องรักเพศเดียวกันมันทำใจยอมรับยาก แต่ถ้านายชอบจริงๆมันก็ไม่ได้ผิดนี่ ฉันว่าพ่อกับแม่คงยอมรับได้  นายเองก็ดูเปิดใจกับทะเลมากกว่าคนอื่น”

“แต่ผมเปิดใจไม่ได้หมายความว่าจะชอบนะครับ อีกอย่าง...พี่ทะเลก็ไม่ได้ชอบผม” 

ดินเคยเห็นด้ายแดงของทะเล  ด้ายสีแดงโปร่งแสงจากนิ้วก้อยของอีกฝ่ายลากยาวหายไปไหนก็ไม่รู้  ดินไม่ได้อยากรู้...ที่แน่ๆมันไม่ได้มาหาเขาแน่ๆล่ะ กับคนที่รู้ว่าคบกันไปยังไงก็ต้องเลิกกัน  คนที่เรารู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่ของเรา ทำไมถึงจะต้องดันทุรังรัก ในเมื่อรักแล้วจะต้องเจ็บปวดและถูกทิ้ง 

“ในเมื่อวันหนึ่งต้องเลิกกัน  สู้ไม่รักไปเลยดีกว่า” คนผมดำโพล่งออกมา ใช่แล้ว ถ้าจะถูกทิ้ง ไม่รักยังดีเสียกว่า

“ถ้ามัวแต่ทำแบบนั้นนายจะไม่มีวันรู้จักความรัก”  เดือนยักไหล่ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ฟังมีสาระอย่างหาได้ยาก “นายว่าคนเราเกิดมาทำไมในเมื่อรู้ว่าวันหนึ่งจะต้องตาย  จะดิ้นรนมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ทำไมไม่ชิงฆ่าตัวตายไปจะได้จบๆ”

คำถามนั้น ดินเองก็ไม่มีคำตอบ...เขาเองก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

ว่าทุกวันนี้ที่ต้องทนเจ็บปวด เขาดิ้นรนมีชีวิตไปเพื่ออะไร

“ฉันว่าความสุขของการมีชีวิตไม่ใช่การมองไปที่จุดหมายปลายทางของชีวิตแต่คือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางต่างหาก  ได้เรียนรู้ เติบโต มีความรัก เจอโลกกว้าง เจอความทุกข์ พบเจอคนมากมาย นั่นต่างหากความสวยงามของชีวิต”  ฝ่ามืออุ่นวางลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำอ่อนนุ่ม “ความรักก็เหมือนกัน  ความสวยงามของความรักไม่ใช่การโฟกัสไปที่จุดจบ  อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์น่ะมันก็มีแต่ในนิทานเท่านั้นแหละ  โลกความจริงมันโหดร้ายกว่านั้น  แทนที่จะไปตามหาตอนจบที่ได้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาล ทำไมไม่ลองเปิดใจแล้วตามหาความงดงามระหว่างทางที่รักกันดูล่ะ ถึงวันหนึ่งจะต้องลากันแต่อย่างน้อยความสุขในตอนรักกันก็จะยังอยู่ในนี้...ในใจของนาย”

เดือนยิ้มให้คนอ่อนวัยกว่า  ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่ชายที่กำลังสอนน้องชายให้รู้จักถึงบางสิ่งที่ควรจะรู้

“แต่นี่มันก็ชีวิตนาย ไปคิดดูดีๆแล้วกันว่าจะทำยังไง ฉันว่าทะเลก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่หรอก อยากจีบคนนี้ก็บอกพี่ชายแล้วกัน ถึงจะเคยจีบแต่ผู้หญิงแต่พี่ชายจะช่วยนายเอง”  แถมขยิบตาแบบน่ารักให้อีกที ถ้าเป็นในการ์ตูนคงมีประกายดาวลอยวิ้งออกมาแหงๆ

ดินหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย

รอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าที่มักเย็นชาแล้วก็ไร้ความรู้สึกดูมีชีวิตชีวาขึ้น เป็นรอยยิ้มที่ทำให้อบอุ่นแล้วก็รู้สึกว่าโลกสดใส อ่า...คนยิ้มสวยมันเป็นแบบนี้เองสินะ

ใครสักคนที่ยิ้มแล้วทำให้โลกหยุดหมุน

   เพ้อเจ้อใหญ่แล้วไอ้เดือนเอ๊ย!

   เดือนสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป  เขากระแอมก่อนจะลูบคอตัวเองแก้เก้อ “เอาเป็นว่า คิดดูดีๆแล้วกัน” ดินก้มหน้า เส้นผมสีดำร่วงลงมาปิดบังใบหน้าอีกฝ่ายไว้ ทำให้เดือนไม่เห็นสีหน้านั้น  อีกฝ่ายนิ่งไปเหมือนกำลังจมลงไปในห้วงความคิดของตัวเอง นิ่งไปนานจนเดือนคิดว่าจะลงไปเอาข้าวเช้ามาให้อีกฝ่ายทานก่อน

   ในขณะที่เขาลุกขึ้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นมา

   “คุณรู้อะไรไหมครับ ผมมีคำสาปนะ คนอย่างผมรักใครไม่ได้หรอก”

   เดือนเลิกคิ้วกับคำพูดนั้นก่อนจะหันไปหาอีกฝ่าย “จากประสบการณ์ที่ดูหนังดิสนีย์มาเกือบตลอดชีวิต ฉันขอฟันธงว่าคำสาปทุกคำสาปมีทางแก้” ริมฝีปากบางยกยิ้มซุกซน ส่งให้ใบหน้าคมคายนั้นดูน่ามองมากขึ้นไปอีก “สงสัยนายต้องหาเจ้าชายมามอบจุมพิตแห่งรักแท้หรืออะไรทำนองนั้นให้แล้วล่ะ”

   แล้วเดือนก็ออกจากห้องไป ทิ้งให้อีกคนยกยิ้มอย่างฝืดฝืน

   “สำหรับผมรักแท้มันไม่มีจริงหรอกครับ”

   เพราะคนที่เป็นรักแท้ของเขาเดินจากไป...จากเขาไปนานมากแล้ว

   พรสวรรค์ของดินคือการมองเห็นด้ายแห่งความรักหรือที่เรียกกันว่าด้ายแดง  นอกจากนี้เขายังสามารถตัดด้ายแดง หรือก็คือตัดสัมพันธ์ของเนื้อคู่และผูกด้ายแดงคือการเชื่อมความสัมพันธ์ให้คนสองคนเป็นคู่แท้ได้อีกด้วย  น้อยครั้งที่ดินจะใช้พลังของเขาตัดด้ายแดงใครสักคน เพราะเมื่อทำอย่างนั้นผลที่ตามมาคือการที่เขาต้องทนรับอารมณ์ด้านลบของผู้ที่สูญเสียเนื้อคู่ไป หากผู้เสียใจมีคนเดียวก็พอไหว แต่หากคนที่เขาตัดด้ายแดงไปเสียใจทั้งสองคน เขาต้องเผชิญอารมณ์ด้านลบที่หนักหน่วงอย่างเลี่ยงไม่ได้   

    ดูเหมือนสามีพี่ก้อยจะหัวเสียมากทีเดียว เพราะหลังเดือนออกไป ความรู้สึกของดินก็พุ่งไปเป็นหงุดหงิด หงุดหงิดจนเขาอยากทำลายทุกอย่างในห้องนี้ให้ราบ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวแล้วก็กลายเป็นความทุกข์ที่ฉุดให้จิตใจตกต่ำ ดินหอบหายใจ  บังคับมือตัวเองไม่ให้เอื้อมไปคว้ากรอบรูปมาขว้างลงพื้น ชายหนุ่มนอนขดตัวอยู่บนเตียง พยายามสกัดกั้นไม่ให้อารมณ์ด้านลบของคนอื่นทำร้ายตัวเองมากจนเกินไป

เพราะแบบนี้ส่วนใหญ่แล้วดินจึงทำเพียงแค่ตรวจดูด้ายแดงเท่านั้น จะไม่เขาไปยุ่งเกี่ยว เพราะด้ายแดงก็คือโชคชะตาความรักของคนสองคนหรืออาจจะหลายๆคน  หากเขาเข้าไปยุ่งก็เหมือนยื่นมือไปเปลี่ยนชะตาชีวิตคนอื่นนั่นแหละ

ส่วนอีกหนึ่งความสามารถเกี่ยวกับด้ายแดงของเขาคือหากดินยื่นมือไปสัมผัสด้ายแดงของใคร  ดินจะสามารถรับรู้เรื่องราวความรักที่ผ่านมาของคนๆนั้นได้ รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับความรักในขณะนั้นด้วย  ปกติแล้วการตัดด้ายแดงหรือการผูกด้ายแดงดินไม่จำเป็นต้องยื่นมือไปสัมผัสด้ายตรงๆ เขาเพียงแค่ใช้ ‘จิต’ เหมือนตอนที่เพ่งจิตในการตัดด้ายแดงพี่ก้อย  เลยไม่ค่อยเจอเหตุการณ์ที่ต้องสัมผัสด้ายแดงตรงๆเท่าไหร่

หลายคนที่รู้จักเขาและพลังของเขาต่างบอกว่าดินเป็นเหมือนเทพแห่งความรัก

ไร้สาระ...ชายหนุ่มนึกในใจ 

ดินไม่รู้สึกถึงความรักมานานมากแล้ว นานพอๆกับที่เขามองไม่เห็นด้ายแดงของตัวเอง ความรู้สึกด้านชาและความเปล่าเปลี่ยวต่างหากคือสิ่งที่เขาคุ้นเคย 

‘นายคิดยังไงกับทะเลกันล่ะ?’ เสียงของเดือนแวบเข้ามาในหัว  คิดยังไงกับพี่ทะเล เรื่องนี้ดินก็ไม่รู้ เขาจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกแบบไหนที่เรียกว่า ‘เริ่มชอบ’  เขาไม่รู้จริงๆ

เดือนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเดินลงมาที่ชั้นล่างแล้วพบกับชายหนุ่มร่างสูงผิวแทนนั่งอยู่ในห้องรับแขก  อีกฝ่ายดูเกร็งๆอยู่มิใช่น้อย  พอเจอเขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้ เดือนหรี่ตา รู้สึกเหมือนเห็นพระอาทิตย์เปล่งแสงและดอกไม้บานอยู่รอบๆตัวอีกฝ่าย

“สวัสดีครับคุณเดือน”

“สวัสดีครับ”

ทะเลยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ยังไงตนก็อายุน้อยกว่า  ในขณะที่เดือนกำลังจะอ้าปากถามว่าอีกฝ่ายมาทำอะไร คนผิวแทนก็ยื่นถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ รวมทั้งถุงใส่โจ๊กพรวดมาให้เดือน  เร็วจนเกือบเอานิ้วจิ้มลูกตาอีกฝ่ายแล้ว
 
วะ นี่มันลอบทำร้ายกันหรือเปล่าเนี่ย

“เอ่อ  คือ...น้อง...น้องดินเป็นยังไงบ้างครับ”  ชายหนุ่มมองคนที่ตะกุกตะกักถามหาคนป่วยแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว  นี่มันชักจะยังไงๆแล้วนะ  สรุปหมอนี่จะจีบน้องเขาจริงๆเหรอ

เดือนไม่ได้รังเกียจพวกเพศที่สามหรอกนะ  เพื่อนสมัยเรียนแล้วก็เพื่อนในวงการของเขาหลายคนก็เป็น

แต่นี่คือน้องชายเขานะ ถึงจะรู้จักกันไม่นานแถมดินยังชอบด่าเขาแต่ยังไงความรู้สึก ‘พี่หวงน้อง’ มันก็กำเนิดในตัวเขาแล้ว ไอ้เดือนจะไม่ปล่อยน้องไปหาคนไม่ดีหรอก!

“อืม คุณทะเลครับ ผมว่าเราควรมานั่งคุยกันสักหน่อย”

เดือนยิ้มแล้วทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวตรงข้างกับอีกฝ่าย  เขายื่นถุงน้ำเต้าหู้ให้ป้าชื่น แม่บ้านในบ้านเอาไปใส่แก้วให้ดิน
ทะเลดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด เดือนโบกมือ “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น ฉันไม่ได้จะฆ่าหมกศพนาย” แค่จะสอบสวนนายเฉยๆเอง  “เอ่อ ครับ” ทะเลหัวเราะเบาๆ เขาถูจมูกอย่างเขินๆ “คุณเดือนมีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ”

“ผมอยากจะถามว่า...คุณชอบน้องดินใช่ไหม?”

“เอ่อ...ผม ผมไม่รู้”

“เหรอ” เดือนยิ้มนิดๆ รอยยิ้มแบบที่ใครๆก็ชอบบอกว่าเป็นรอยยิ้มพ่อพระสำหรับปกปิดแผนชั่วในใจ  เหอๆ ไอ้เดือนก็ไม่ได้ชั่วร้ายขนาดนั้นสักหน่อย

“แล้วถ้าผมจะบอกว่า ผมก็ชอบน้องดินเหมือนกันล่ะ คุณจะทำยังไง”

..........................

เหอๆไม่ได้ชั่วร้ายเท่าไหร่เลยจ้าพี่เดือน พี่ทะเลโดนเล่นแล้วๆๆ
สำหรับตอนนี้เผยอดีตดินออกมานิดนึงค่ะ หน่วงจริงๆ T_T
ช่วงนี้ท้อเล็กน้อยค่ะ ทั้งงานทั้งเรื่องนิยาย
สำหรับเราเพิ่งลองเขียนนิยายวายแบบวายแท้ๆขนาดนี้ครั้งแรกค่ะ ที่ผ่านมาจะเขียนแต่แฟนตาซีไม่ก็ฟิคมาตลอด
อีกเรื่องที่ลงเป็นวายก็จะออกแนวแฟนตาซีเหมือนกัน  เลยรู้สึกว่าอาจจะสื่ออารมณ์ไปหาคนอ่านได้ไม่มาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราวางให้ค่อยเป็นค่อยไป มันอาจจะไม่สนุกสำหรับหลายๆคน ขอโทษด้วยนะคะ TT_TT
อ่านแล้วอยากติชมตรงไหน มีข้อแนะนำยังไง สามารถบอกได้เลยค่ะ เราจะนำไปปรับปรุงแน่นอนค่ะ
เราจะพยายามให้มากขึ้น จะทำให้นิยายเรื่องนี้สนุกให้ได้เลยค่ะ
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านแล้วก็คอยคอมเม้นท์ ข้อความของคุณเป็นกำลังใจให้เรามากๆเลยค่ะ (_ _)
ขอบคุณจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๕ |ในรอยฝัน| {๑๐.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: Lafinzel ที่ 11-12-2015 22:46:49
กราบเรียนแฝดน้องที่เคารพรัก
แฝดพี่มาเม้นให้แล้ว..

ตอนที่1
ช่างด้านบนไปเถอะครับ..ขอเข้าเรื่อง
จากเท่าที่อ่านมา พล็อตน่าสนใจในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่อ่านได้คือในที่นี้ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน หากให้เปรียบนิยายเรื่องนี้เป็นอาหาร..ก็เหมือนอาหารที่หยาบไปหน่อย ขาดซึ่งรสอูมามิ..
จะบอกยังไงดี..เหมือนเวลาที่อ่านเวลาเดือนคิดบ่นในใจ มันเหมือนการใช้คำที่ทำให้ขัดเวลาอ่านครับ คิดเองตบมุขเองจบ....ความจริงมันก็ไม่ได้แย่ แต่ก็นั้นแหละผมบอกไม่ค่อจะถูก  //แต่อ่านแล้วนี่นึกภาพหน้าเดือนออกเลยว่าคงคิดไปทำหน้าแบบไหนไป
การตัดจบ..อันนี้สำคัญ..ตัดจบได้ถือว่าไม่แย่ครับ แต่ในฐานะคนอ่านผมไม่ได้รู้สึกอยากรู้ว่ามีอะไรต่อในตอนต่อไป ;w; มันเป็นการตัดจบที่..ไม่หยาบ..แต่ก็ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้ตาม...
ปล. ตุ๊กแก มันร้องตั๊บแก หรือตุ๊กแก... //อันนี้ไม่ได้สับหรืออะไรนะ..อันนี้สงสัยของจริง..

ตอนที่ 3
มีให้แก้นิดหน่อยตรงท่อน
 “งั้นหรือครับ งั้นช่วยเอานี่ให้คุณเดือนได้ไหมครับ...คือผมผ่านมาเลยแวะเอามาให้” ว่าแล้วก็ยื่นถุงพลาสติกที่มีน้ำเต้าหู้สามถุงกับปาท่องโก๋อัดแน่นอยู่มาให้

ตรงนี้น่าจะเป็น ดินมากกว่า เพราะคนที่คุยกับพ่อหนุ่มชาวไร่ในตำนานคือเดือน...


หลังจากอ่านที่เหลือจบขอเพิ่มเติมอีกนิดคือมันเหมือนเรื่องนี้บทจะเร็วก็เร็วครับ คือมันก็น่ารักใสๆกุ๊กกิ๊ก มุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้งดีแล้วล่ะ but... บางครั้งครับบางครั้ง ในเนื้อหามีน้ำมากไปหน่อย

จริงๆอีกเรื่องคือคิดว่าน่าจะเป็นที่ภาษา ภาษาน่ะลื่นไหลดี แต่ในบริบทบางอย่างกลับใช้ภาษาได้ดูจะไม่ค่อยเข้าเสียเท่าไหร่ คิดว่าคงติดสำนวนแฟนตาซีมาเยอะ เอาอย่างง่ายๆท่อนนี้
‘ถ้าเราหยุดหายใจแล้วหลับไปตลอดกาลได้เลยคงจะดี’  //จากตอนที่4
แฟนตาซี...สำนวนแฟนตาซีเลยน้องเอ่ย...
ทั้งนี้ทั้งนั้น คิดว่าล่ะที่นิยายเรื่องนี้ยังมีบางอย่างที่ดูแปลกไปแต่ก็หาไม่ค่อยได้น่าจะเป็นสำนวนที่ติดจะมีกลิ่นอายของแฟนตาซีนี่ล่ะนะ..

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๕ |ในรอยฝัน| {๑๐.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-12-2015 00:12:19
พี่เดือนน่ารักดี
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๕ |ในรอยฝัน| {๑๐.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 12-12-2015 12:14:04


เอาจริงหรือคะพี่เดือน? หรือแค่พูดลองใจพี่ทะเลเขา?
จีบน้องดินนี่ไม่ง่ายนะบอกเลย... จะหวังให้การอยู่ใต้หลังคาเดียวกันมาช่วยนั้น คงจะไม่มีผลเท่าไรหรอกมั้งงงงง
เป็นกำลังใจให้ค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ  :L2:


หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๕ |ในรอยฝัน| {๑๐.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-12-2015 15:31:48
ทำตัวเป็นพี่ชายที่น่ารักเชียว
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๖ |ภัยจากพี่ชายที่เป็นพ่อสื่อ| {๑๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 17-12-2015 19:41:56
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๖
ภัยจากพี่ชายที่เป็นพ่อสื่อ


แล้วถ้าผมบอกว่า ผมก็ชอบน้องดินเหมือนกันล่ะ คุณจะทำยังไง?”

เดือนถามเรียบๆ สังเกตสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่ายแล้วก็ขำพรวดออกมา  ทำหน้าอย่างกับเขาเป็นผีอย่างนั้นแหละ “ล้อเล่นน่า  ฮ่าๆ อย่าทำหน้าเหมือนคนหัวใจจะวายแบบนั้นสิ” ไอ้เดือนยังไม่อยากเป็นฆาตกรตอนนี้นะ  พอเห็นเขาขำทะเลก็กระพริบตาปริบ รีบหุบปากฉับ 

นี่สรุปเขาโดนหลอกใช่ไหม?

ถีบพี่ชายน้องดินสักที น้องดินจะโกรธไหมนะ...

เดือนที่ห้ามตัวเองให้หยุดขำได้สำเร็จรีบปรับโหมดกลับสู่สถานะจริงจังอีกครั้ง  เขากระแอมประสานมือไว้ข้างหน้าเหมือนเวลาเจรจาธุรกิจ  “คุณจีบดินอยู่ใช่ไหม?”

นี่แหละครับนายรวีกานต์  อ้อมค้อมทำไมเสียเวลา ยิ่งตรงเป้าไปเลย

พอโดนคำถามตรงๆเข้าไปทะเลถึงกับไปไม่เป็น  ชายหนุ่มอ้าปากค้างน้อยๆก่อนจะกระแอม  “อ่า...คือ...ผมว่า ก็ทำนองนั้นแหละครับ”

“ทำนองนั้น? หมายความว่าไงครับทำนองนั้น  คุณจะบอกว่าไม่ได้จีบน้องผมจริงจังเหรอ เห็นน้องผมเป็นของเล่นหรือครับ”

“ไม่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว”

เดือนหรี่ตาลง  นี่ถ้าห้องมืดๆมีไฟส่องสลัว ที่นี่มันก็ห้องสืบสวนดีๆนี่เอง  อ้อ ต้องมีข้าวหน้าหมูทอดด้วยนะ บอกให้ป้าชื่นเอามาให้ตอนนี้ทันหรือเปล่าหว่า

“ผม...ผมยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับน้องดิน”  ทะเลละล่ำละลัก  พอพูดออกมาเดือนก็สังเกตว่าใบหูอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีแดง  อะไรจะเขินง่ายขนาดนั้น! หรือเขาหน้าด้านเกินไปกันแน่นะ

“แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าควรจะเดินหน้าต่อดีไหม ไม่รู้ว่าน้องจะรังเกียจหรือเปล่า   เรื่องแบบนี้...ไม่ใช่ว่าอยากจะจีบก็ทำกันได้ง่ายๆ อีกอย่างยังไงเราก็เป็นผู้ชายทั้งคู่”  ทะเลบีบมือตัวเองอย่างกังวล “สังคมในเมืองอาจจะไม่ถือ แต่ที่นี่...เรายังค่อนข้างไม่ชินกับอะไรแบบนี้ มันก็เลยค่อนข้างยาก”

“ผมเข้าใจ” เดือนเอนหลังพิงพนักนุ่ม “เอาเป็นว่ายังไม่ต้องรีบร้อนหรอก แต่ผมแค่อยากให้คุณทำอะไรๆให้มันชัดเจน คนเราน่ะนะ ชอบก็คือชอบ จะไปกั๊กไว้ ทำอมพะนำไม่ยอมพูด ปฏิเสธใจตัวเอง...มันไม่เกิดผลดีอะไรหรอก” เดือนยิ้มให้กับคนอายุน้อยกว่า 

“อืม...จริงสิ ตอนนี้น้องดินยังไม่ได้ทานข้าวเลย  คุณช่วยยกข้าวต้มขึ้นไปให้เขาหน่อยได้ไหมครับ”

ไหนๆก็มาแล้ว  เปิดโอกาสให้เลยก็แล้วกัน

เดือนคลี่ยิ้มพ่อพระอีกครั้ง  ก่อนจะเดินไปจัดการตักข้าวต้มที่แม่บ้านทำไว้ให้มาใส่ถ้วย  จัดใส่ถาดพร้อมแก้วกับเหยือกน้ำให้เสร็จสรรพ “อย่าลืมดูให้น้องดินทานยาหลังทานอาหารด้วยนะครับ”

“เอ่อ...” 

“คุณไม่สะดวก?”

“อ๊ะ ปล...เปล่าครับ”  แค่ผมเอ่อคำเดียว ทำไมคุณพี่ชายถึงได้ทำหน้าเหมือนจะลุกมาต่อยแบบนั้นล่ะ

ลูกชายคนโตของบ้านสวนรีบโบกมือ “ฝากด้วยนะครับ” มองส่งคนตัวใหญ่จนหายไปชั้นบน  คนเจ้าแผนการก็รีบหยิบโทรศัพท์บ้านขึ้นมากดทันที รอสายอยู่ไม่นานคนปลายสายก็รับ

‘สวัสดีครับ’

“ไอ้หนึ่ง นี่กูเอง”

‘กูไหน มึงเป็นใคร โทรศัพท์โรคจิตเหรอ’

“มึงสิโรคจิต ฟาย!”

เดือนด่าไอ้คนปลายสายไป ได้ยินเสียงมันหัวเราะร่า ก็ว่าอยู่ว่าเพื่อนสนิทสุดๆแบบมันน่ะนะจะจำเสียงเขาไม่ได้ อีกอย่างหลังโทรศัพท์หาย เดือนก็เคยใช้โทรศัพท์บ้านโทรไปหาหนึ่งเพื่อบอกเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วบีบบังคับมันให้เมมเบอร์โทรศัพท์บ้านเขาไว้อีกด้วย

ส่วนไอ้สวัสดีครับข้างต้นนั่นก็น่าจะจงใจแกล้งเขามากกว่า

‘ฮ่าๆๆ โอเคๆกูรู้แล้ว  ว่าแต่มึงโทรมามีไร เหงาเหรอ  อยู่นู่นมันว่างงานหรือไง’

“เออ ก็เหงาแหละ  อยากไปจุ๊บเพื่อนหนึ่งใจจะขาด”

“ยี้ ขยะแขยง มึงนี่นะ ขนาดได้ยินแค่เสียงกูยังขนลุกเลย”

ไอ้เวรนี่ ชาตินี้จะได้คุยกันดีๆหรือเปล่าวะ!

เหลือบตามองบันไดบ้านที่ยังไม่มีวี่แววคนผิวแทนเดินลงมา เดือนก็รีบพูด “พอๆ เข้าเรื่องๆ กูมีเรื่องจะให้มึงช่วย  ห้องพักที่รีสอร์ทมึงเต็มยัง?”

บ้านเพื่อนเขาคนนี้ทำธุรกิจรีสอร์ทอยู่ที่เมืองกาญจน์ เอาจริงๆแล้วสำหรับเดือนเขาว่าไปทะเลจะโรแมนติกมากกว่าแต่ด้วยนิสัยดินคงจะไม่ยอมไปข้างที่ไหนนานๆแน่ ใกล้กว่าทะเลก็กาญจนบุรีนี่แหละ ไปเล่นน้ำตกเอาแล้วกัน

‘ก็มีเหลืออยู่สองสามห้อง  ทำไม มึงจะมา?’

“เปล่า กูจะจองไว้ให้น้องชาย”

‘อ่อ ใช่เด็กที่ชื่อดินที่มึงเล่าให้ฟังวันก่อนป่ะ’

“เออนั่นแหละ คนเดียวกัน”

‘แหมๆ พอมีน้องชายล่ะทำตัวดีขึ้นมาเชียวนะ   ป๋าจริงจริ๊ง  จองห้องให้น้องมานอนพักเล่นๆ’

“ใครว่ากูจะส่งไปนอนพักเล่นๆ”  เดือนเอ่ย  ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มแบบตัวโกง “ไปกาญจน์หนนี้ น้องกูต้องได้แฟนครับ”
หลังจากจองห้องพักเสร็จสรรพ ไม่นานทะเลก็ลงมาข้างล่างพร้อมดิน  เหมือนว่าคนสวมแว่นจะไม่ยอมนอนพักอยู่ข้างบนเฉยๆ ถึงจะหยุดงานแต่อย่างน้อยก็ขอลงมาเคลื่อนไหวร่างกายข้างล่างบ้าง

ดินหรี่ตามองพี่ชาย รู้สึกไม่ชอบมาพากลอย่างบอกไม่ถูก  ยิ่งเห็นไอ้หน้าแป๊ะยิ้มแล้วมันก็คันไม้คันมือตงิดๆ เขารู้นะว่าเดือนจงใจ จริงๆคนที่ควรจะยกข้าวต้มขึ้นไปคือไอ้พี่บ้านี่  แต่ไปๆมาๆไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นหนุ่มชาวไร่ในตำนานอย่างพี่ทะเลไปซะได้
เล่นเอาเขาเกร็งไปหมดจนเกือบกินข้าวไม่ลง สุดท้ายพี่ทะเลที่คงทนเห็นท่าทางเงอะงะของเขาไม่ได้ก็เลย...จัดการนั่งป้อนข้าวให้เขาซะเลย

คิดถึงตรงนี้ใบหน้าสวยก็ซับสีแดงเรื่อน้อยๆ

หลังจากทานข้าวก็นั่งคุยกันต่ออีกนิดหน่อย  ดินไม่ใช่คนพูดเก่ง ปกติเขาจะอึดอัดกับความเงียบที่คนรอบข้างมอบให้ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรเลยไม่ค่อยได้เริ่มบทสนทนาก่อน ดินถนัดการเป็นผู้ฟังมากกว่า พออยู่กับทะเลที่พูดเก่ง  อารมณ์ดี  ใจดี  ยิ้มแย้มอย่างเปิดเผยและจริงใจมันทำให้ดินมีความสุข...อย่างน้อยๆเขาก็ไม่ได้อึดอัดกับความเงียบอีกแล้วเมื่ออยู่ใกล้อีกฝ่าย เพราะทะเลจะพูดไม่หยุด  ส่วนดินก็จะนั่งฟังเฉยๆแล้วก็หัวเราะไปกับเรื่องตลกที่อีกฝ่ายสรรหามาเล่า

ความรู้สึกอบอุ่น...หวานละมุนใจนอกมันเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็เกินต้านไหวจริงๆ

“ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะครับ”  รอยยิ้มกว้างถูกส่งมาให้อีกครั้งเมื่อพวกเขาเดินมาประตรั้ว  รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าถูก้นจอดแอบไว้ด้านนอก  ดินพยักหน้า ไม่ลืมขอบคุณสำหรับการดูแลเมื่อครู่อีกครั้ง  ทันใดนั้นฝ่ามือใหญ่และหยาบกร้านจากการทำงานหนักก็วางลงบนศีรษะเขา ลูบเบาๆอย่างทะนุถนอม  “ไม่เป็นไรหรอกครับ  น้องดินก็พักผ่อนเยอะๆนะครับ อย่าหักโหมนักเลย  ล้มป่วยไปทุกคนเขาเป็นห่วงนะครับ”

ดินรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า  เหมือนเลือดในกายมันถูกสูบฉีดให้ไปออกันที่แก้มใสหมดแล้ว

ดีที่เขาก้มหน้าไว้ ไม่อย่างนั้นทะเลจะต้องเห็นแน่ๆ

พี่ทะเลบอกว่าถ้าเขาล้มป่วยไปแล้วทุกคนจะเป็นห่วง...แล้ว...

“แล้วพี่ทะเลล่ะครับ จะเป็นห่วงผมด้วยหรือเปล่า” สมองคิดไปปากก็เผลอพูดออกไปจนได้  ชายหนุ่มเอามือตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน  หวังว่าคำพูดของเขาที่เบาราวเสียงกระซิบนั้นอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน  แต่เหมือนว่าจะช้าไปเสียแล้ว

“ก็ต้องเป็นห่วงสิครับ!” ทะเลตอบกลับเสียงดังด้วยท่าทางจริงจัง   “ถ้าน้องดินเป็นอะไรไป พี่ก็ต้องเป็นห่วงมากอยู่แล้ว”

อ่า...แย่แล้ว...

สิ้นคำพูดนั้นก็เหลือเพียงความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่ทะเลจะตัดสินใจพูดตะกุกตะกักออกมาว่า

“เพราะงั้น...เอ่อ ถ้าน้องดินมีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ ป่วยก็บอกนะครับ...พี่...เอ่อ...พี่จะ...เอาขนม...กับข้าว อ่านั่นแหละ...พี่จะได้มาเยี่ยม  บอกได้ตลอดเวลาเลยนะครับ!”

ดินก้มหน้างุดจนเส้นผมสีดำร่วงลงมาปิดหน้าปิดตา แต่กระนั้นก็ไม่อาจปกปิดแก้มใสๆที่ซับสีแดงระเรื่อไว้ได้

ทะเลกลืนน้ำลาย  รู้สึกประหม่าไปหมด บ้าเอ๊ย! ฮึดหน่อยสิวะไอ้เล!  ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก พูดในสิ่งที่อยากพูดมานาน
“เอ่อ...ถ้าน้องดินอยากคุยอะไร อยากปรึกษาก็บอกพี่ได้เสมอนะครับ  แบบ เบอร์มือถือ...” ไม่สิ ถ้าเป็นเบอร์น้องดินต้องไม่กล้าโทรแน่ๆ  คนตรงหน้าเขาขี้เกรงใจจะตาย  งั้นเอาแบบนี้แล้วกันวะ

“พี่ขอไลน์น้องดินหน่อยได้ไหมครับ!”



ครืด ครืด

นัยน์ตาสีดำหลังกรอบแว่นละจากหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคนในครอบครัวไม่เว้นแม้แต่ป้าชื่นที่มานั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ 

ดินก้มมองโทรศัพท์ตัวเองที่มีแจ้งเตือนไลน์เข้ามา เป็นข้อความสั้นๆกับสติกเกอร์น่ารักๆอีกหนึ่งตัว

แค่คำว่า ‘กินข้าวหรือยังครับ?’ คำเดียวนี่แหละที่ทำให้ดินยิ้มไม่หุบ  แม้จะพยายามกลั้นยิ้มมากแค่ไหนแต่ริมฝีปากมันก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่จะยกขึ้นจนเขาปวดแก้มไปหมดแล้ว ปลายนิ้มเรียวรีบพิมพ์ตอบกลับไป อีกฝ่ายก็อ่านและตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ไปๆมาๆกลายเป็นว่าดินเอาแต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์เสียอย่างนั้น 

อากัปกิริยาทั้งหมดไม่ได้รอดสายตาของนายรวีกานต์ผู้มีสายตาเฉียบคม(ในเรื่องชาวบ้าน)ไปได้เลย

เมื่อแผนหนึ่งคืบหน้าเร็ว  ก็ต้องเริ่มแผนสอง

“คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ”  เดือนพูดขึ้น เรียกให้ผู้ใหญ่มนบ้านทั้งสองหันมามอง  ชายหนุ่มรีบคลี่ยิ้มอ้อนทันที  “คือ...ช่วงนี้ผมเห็นว่าน้องดินทำงานหนัก...มาก...”  ท้ายประโยคลากเสียงยาวแถมด้วยการเหลือบมองอีกฝ่ายนิดหนึ่ง “มากเกินไปจนล้มป่วย แบบนี้ไม่ดีแน่ครับ  ผมเห็นว่าน้องดินควรจะพักผ่อนบ้างครับ”

“วันนี้ผมก็พักไปแล้วไงคุณ...พี่เดือน”

“ไม่ใช่ซะหน่อย พี่หมายถึงไปเที่ยวพักผ่อน  ไปต่างจังหวัดน่ะ  นายเอาแต่ทำงาน คงไม่ได้ออกไปเที่ยวบ่อยนักใช่ไหมล่ะ” ดินชะงัก  มันก็จริงอย่างที่เดือนว่า วันๆเขายุ่งจะตาย เดี๋ยวก็ทำงาน เดี๋ยวก็รับผิดชอบสวน เอาเวลาที่ไหนไปเที่ยวกันล่ะ

“เอ แม่ว่าก็จริงนะ  ช่วงนี้ดินโหมงานหนักเกินไปหรือเปล่าลูก”  พอเห็นแม่มะลิมองมาด้วยสีหน้าเป็นห่วงดินก็รีบโบกไม้โบกมือ  “ไม่ใช่เลยครับ เป็นเพราะผมสุขภาพไม่แข็งแรงพอ ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายน่ะครับ  จากนี้ผมจะออกกำลังกายให้มากขึ้นนะครับ  คุณแม่อย่าคิดมากเลย”

“แต่พอว่าก็ดีเหมือนกันนะ” คุณพ่อพูดแทรกขึ้นมาบ้าง  ก่อนจะหันไปหาลูกชายคนโต “เดือนว่าไปที่ไหนดีล่ะลูก?”

ได้ยินดังนั้นนายรวีกานต์ก็กระตุกยิ้มมุมปาก

“อ๋อ ผมคิดว่า...ที่นี่ก็น่าจะเหมาะนะครับ”



และด้วยเหตุนั้น หนึ่งอาทิตย์ต่อมา  ดินที่น่าหงิกพร้อมกระเป๋าเป้อีกหนึ่งใบก็ถูกจับยัดใส่รถที่มีทะเลทำหน้าที่เป็นสารถี  เดือนมองผลงานของตัวเองแล้วยิ้มกว้าง โบกไม้โบกมือให้น้องขาย  “ไม่เอาอย่าทำหน้าบูดสิ”

“คุณแกล้งผม!”

ชายหนุ่มฮึดฮัด  ตอนที่เดือนพูดเรื่องไปเที่ยวอะไรนี่เขาคัดค้านหัวชนฝา  ดินชอบทำงาน  เขาไม่ชอบให้ตัวเองว่างจนมีเวลาฟุ้งซ่าน ทำให้ไม่ค่อยได้ออกจากเส้นทางเดิมๆที่คุ้นชินนัก  เส้นทางชีวิตแบบเดิมวนเวียนทุกวันทำให้ไม่ค่อยได้ไปไหน  เวลาออกไปสถานที่ใหม่ๆดินก็มักจะเกร็ง

แล้วยิ่งมาพร้อมพี่ทะเลแบบนี้! ถ้าเขาเผลอทำอะไรงี่เง่าเปิ่นๆไปจะทำยังไง

“พี่เดือนนี่ใจดีจังนะครับ  จัดการเรื่องที่พักให้พวกเราเสร็จสรรพเลย”

“หมอนั่น...เฮ้อ ช่างเถอะ  พี่ทะเลอย่าโดนหลอกนะครับ  ไอ้พี่บ้านั่นมันไม่มีอะไรดีหรอก” น่ารำคาญก็เท่านั้น แถมยังชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอีก

“ฮ่าๆ นี่ล่ะนะครับพี่น้อง ว่าแต่น้องดินดูสนิทกับเดือนมากเลยนะครับ รู้จักกันมานานหรือยังล่ะ”

“เปล่าครับ ไม่นาน...จริงๆก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” แค่มันเคยกระโดดถีบขาคู่ผมเลยโดนจัดไปชุดใหญ่แค่นั้นเอง

ระหว่างทางทะเลก็ชวนคุยไม่หยุดจนดินเริ่มเจ็บคอ  คนตัวใหญ่เลยปล่อยให้เขานอนหลับ  เมื่อเช้าก็ลุกมาจัดของแต่เช้า  แต่เพราะไปแค่สองวันหนึ่งคืน ข้าวของเลยไม่มีอะไรมาก  ดินรู้ตัวอีกครั้งตอนทะเลแวะเติมน้ำมัน  เขาเลยลงจากรถไปเข้าห้องน้ำแล้วก็แวะซื้อขนมกับน้ำในร้านสะดวกซื้อมาด้วยเต็มไปหมด

ขับรถต่อจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงรีสอร์ต

ที่หนึ่งเพื่อนสนิทของเดือนให้การต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี มีการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ด้วย

“รีสอร์ตของเราอยู่ใกล้กับทางรถไฟครับ  คุณจะขึ้นรถไฟไปถ้ำกระแซก็ได้นะครับ  แล้วก็มีน้ำตกเอราวัณ อ้อ ทางรีสอร์ตมีบริการล่องแก่งด้วยนะครับ  เดี๋ยวตอนประมาณหกโมงครึ่งเราจะจัดอาหารเย็นไปให้ที่ห้องนะครับ เดือนมันบอกว่าพวกคุณต้องการความเป็นส่วนตัว”

“เอ่อ จริงๆแล้วคุณไม่ต้องทำตามที่พี่เดือนสั่งทุกอย่างก็ได้ครับ” ดินโบกมือไปมา รู้สึกลำบากใจที่ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันดูจะวุ่นวายเพราะเขา “ทำกับพวกผมเหมือนลูกค้าคนอื่นๆก็ได้”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ” ที่หนึ่งยิ้มกว้างจนตาหยี “คุณเป็นน้องชายคนสำคัญของไอ้เดือนมัน เห็นมันไปอยู่ที่นู่นดูท่าทางสบายดีก็ดีใจ...มันเจอเรื่องนู้นเรื่องนี้มาคงปวดหัวแย่  มีคุณดูแลมันพวกผมก็โล่งใจครับ”  ดินยิ้มรับคำพูดนั้น แต่อดติดใจกับประโยคหนึ่งไม่ได้

เจอเรื่องนู้นเรื่องนี้มา?

จะว่าไปเขาก็ไม่รู้สาเหตุที่เดือนย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านสวนซะด้วย  เจ้าตัวไม่เคยบอก...

แต่ช่างเถอะ ไม่บอกแปลว่ายังไม่พร้อม  เอาไว้เดี๋ยวอีกฝ่ายอยากจะเล่าก็เล่าออกมาเอง ถึงตอนนั้นเขาจะช่วยเป็นผู้ฟังให้ก็แล้วกัน

“งั้นน้องดินอยากไปไหนก่อนครับ”  ทะเลหันมายิ้มให้เขา  ดินกวาดตามองแผนที่ที่เจ้าของรีสอร์ตนำมาให้  กาญจนบุรีอยู่ใกล้ๆแต่เขาก็ไม่เคยมาเที่ยวสักที  เคยเห็นที่เที่ยวก็แต่ในรูป “ไม่รู้สิครับ  พี่ทะเลอยากไปไหนหรือเปล่า”

“เอ...พี่ก็ไม่เคยมาเหมือนกัน ฮ่าๆ”

“งั้นไปที่จุดแลนด์มาร์กของเมืองกาญจน์เราก่อนเลยก็ได้ครับ สะพานข้ามแม่น้ำแควน่ะ” ที่หนึ่งรีบเสนอ ดินมองแผนที่  สะพานข้ามแม่น้ำดูไกลจากรีสอร์ตพอสมควร  ชายหนุ่มเลยหันไปบอกว่าค่อยๆเที่ยวตามลำดับก็ได้ เริ่มจากที่ใกล้ๆก่อน

ดังนั้นพวกเขาเลยไปขึ้นรถไฟเพื่อไปถ้ำกระแซ  ดินหยิบกล้องดิจิตอลที่เดือนยัดเยียดมาให้ออกมาด้วย ไหนๆก็มาแล้ว ถ่ายไปสักหน่อยก็ดี  ดินชอบถ่ายรูป...แต่เขาเป็นคนชอบถ่ายวิว  ถ่ายท้องฟ้า ต้นไม้ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หน้าตัวเอง

ชายหนุ่มหันกล้องไปเรื่อยๆก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา...ทะเลหันมองออกไปนอกหน้าต่าง  ดูเหม่อลอย  จมูกโด่งเห็นชัดเจน รับกับโครงหน้า  ดินมองภาพนั้นผ่านเลนส์กล้องก่อนจะกดชัตเตอร์ไปรัวๆ รู้ตัวอีกทีก็มีรูปทะเลหลายรูปอยู่ในเมมโมรี่เสียแล้ว

“แอบถ่ายพี่เหรอครับ หืม เด็กไม่ดี”  คนตัวเล็กสะดุ้งน้อยๆเมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มให้เขา  รอยยิ้มขี้เล่นที่ฉายชัดกับดวงตาที่แฝงประกาย  จากนั้นทะเลก็หันมาชูสองนิ้วให้เขา “จะถ่ายก็บอกกันดีๆสิครับ จะเก๊กท่ารอเลย”  ได้ยินดังนั้นตากล้องจำเป็นก็หลุดหัวเราะคิกออกมา  ก่อนจะกดถ่ายภาพอีกครั้ง ได้ภาพนายแบบคนหล่อไปก็หลายรูป...

หลังจากไปถ้ำกระแซ พวกเขาก็แวะกันที่น้ำตกไทรโยคน้อย แต่เนื่องจากดินไม่อยากลงเล่นน้ำจึงได้แต่ถ่ายรูปกันรอบๆแล้วก็กลับลงมา   ก่อนจะนั่งรถในตัวเมืองไปลงที่สุสานดอนรัก  สุสานของทหารสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  ตอนที่ออกจากสุสานก็เป็นเวลาเย็นแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะไปสะพานข้ามแม่น้ำแควในวันพรุ่งนี้แทน

เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ตก็มีเวลาอีกประมาณชั่วโมงหนึ่งก่อนอาหารเย็นจะมาเสิร์ฟ  ดินอยากให้ทะเลนอนพักเพราะอีกฝ่ายขับรถมาทั้งวัน คงจะเพลีย  แต่คนตัวใหญ่กลับไม่ยอม  “พี่อยากว่ายน้ำครับ”

“เอ๋?”

“ก็ในรีสอร์ตมีสระว่ายน้ำนี่นา วันนี้ไม่ได้เล่นน้ำตกด้วย  นานๆทีจะมีโอกาสมาพี่ก็อยากว่ายน้ำนี่ครับ” ดินกระพริบตาปริบๆ รับคำง่ายๆ “ครับ งั้นพี่ทะเลก็ไปว่ายน้ำ”

“น้องดินไปด้วยกันสิครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากลง”  ดินปฏิเสธเสียงแผ่ว...ที่เขาไม่ลงเล่นน้ำในน้ำตกน่ะมันมีเหตุผลนะ  ง่ายๆสั้นๆเลย ‘เขาว่ายน้ำไม่เป็น’

“แต่พี่อยากลงกับน้องดินนี่นา”

“เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ”

“ทำไมล่ะครับ”

ให้ตาย พี่ทะเลนี่บทจะตื๊อก็ตื๊อจริงแฮะ  ดินกัดริมฝีปาก หลุบตาลง ทำท่าอึกอักก่อนจะพูดเสียงเบา “ผมว่ายน้ำไม่เป็นครับ”  ชายหนุ่มก้มหน้าลงอย่างอายๆ  อายุก็ยี่สิบกว่าๆแล้ว  มากลัวน้ำนี่มันน่าอายน้อยซะที่ไหนล่ะ  ต้องหัวเราะแน่ๆ เขาต้องหัวเราะแน่ๆ
แต่พอเงยหน้าขึ้นก็พบแต่รอยยิ้มเอ็นดูส่งมาให้  ทะเลค้นๆในกระเป๋าแล้วก็พบกางเกงว่ายน้ำแบบถูกไซส์สองตัวอยู่ในนั้น  ก็ไม่รู้หรอกว่าพี่ชายดินไปกะขนาดถูกได้ยังไงแต่ก็ช่างเถอะ บางคำถามการไม่รู้คำตอบก็ดีกว่า

ทะเลบอกให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้า  ก่อนจะพาไปชำระตัวที่ฝักบัวข้างๆสระ  ตอนนี้มีคนลงมาว่ายน้ำแค่สองสามคนเท่านั้น
ดินหย่อนตัวอย่างกล้าๆกลัวๆลงในน้ำ ขณะที่ทะเลช่วยประคอง เขาพาดินไปยืนในระดับที่ยังยืนถึง สอนให้ตีขาแบบง่ายๆ  แอบขำที่คนที่มักจะทำหน้านิ่งเสมอเผยสีหน้าแปลกๆออกมา  จับมือเขาไว้แน่นอีกต่างหาก

“พี่ทะเล อย่าปล่อยนะครับ”

“ครับๆ ไม่ปล่อยครับ” เขาบีบกระชับมือนั้นแน่น  นี่มันความรู้สึกเหมือนตอนสอนน้องสาวว่ายน้ำครั้งแรกเลย แต่ตอนนั้นน้องสาวเขาก็ประมาณสิบขวบได้มั้ง แต่คนตรงหน้าดันเป็นผู้ชายอายุยี่สิบต้นๆที่ดูจะกลัวน้ำซะเหลือเกิน

แต่ก็น่ารักดีแฮะ

“ครับ ค่อยๆครับไม่ต้องเกร็ง พยายามหายใจให้เป็นจังหวะ...เก่งมากครับ”  ทะเลเอ่ยชมอีกฝ่าย เมื่อเดินไปจนถึงบริเวณที่พื้นเป็นทางลาด ชายหนุ่มก็ให้ดินยืนแล้วเขาก็เคลื่อนตัวไปใกล้อีกฝ่าย “ตรงนั้นน่าจะลึกจนยืนไม่ถึงแล้ว  อยากลองไปไหมครับ”
คนผมดำส่ายหน้าจนหยดน้ำกระจาย  จะบ้าเหรอ  แค่ว่ายในที่ตื้นๆยังจะแย่ ไปในที่ที่ยืนไม่ถึงเนี่ยนะ...ไม่เอาหรอก!

“ไม่เป็นไรนะ  ไปกับพี่”

“ดินว่ายน้ำไม่ได้นะพี่ทะเล”

“ใครจะให้ดินว่ายไปล่ะครับ”

“อ้าวแล้ว...”

ทะเลยิ้มจนตาหยี อวดลักยิ้มเล็กๆที่ข้างแก้ม “พี่จะให้ดินขี่หลังพี่ไปต่างหาก”

ใบหน้าติดจะหวานนั้นแดงขึ้นมาอีกแล้ว พออยู่ใกล้ๆยิ่งเห็นง่าย  ทะเลหัวเราะเบาๆ หันหลังให้อีกฝ่าย ดินเม้มริมฝีปาก ยอมเคลื่อนกายไปใกล้ๆแผ่นหลังกว้างนั้นก่อนจะยกแขนโอบรอบคอคนตัวสูง  ทะเลออกว่ายไปทันที  ตอนแรกดินเกร็งจนรู้สึกได้ แต่พออีกฝ่ายพาเขาว่ายไปรอบๆสระได้โดยไม่จมก็เริ่มสนุกขึ้นมา

ดินเหม่อมองแผ่นหลังสีน้ำผึ้งเบื้องหน้าเขา  ชายหนุ่มซบหน้าผากเข้ากับไหล่กว้างของอีกฝ่าย

รู้สึกเหมือนจะวางความไม่สบายใจทั้งหมดลงได้  ณ.ที่ตรงนั้น



คืนนั้นดินฝันอีกครั้งความฝันที่ทำให้เขากรีดร้องออกมา แต่หนี้มืออุ่นๆคู่หนึ่งกลับโอบเขาไว้  มันไม่ได้ช่วยให้ความฝันจางไป แต่ช่วยให้ความกลัวลดลงจนกระทั่งเขาหลับไปพร้อมคราบน้ำตา

พอรุ่งเช้ามาเยือนพวกเขาก็ลงมาทานอาหารเช้า ทะเลถามเรื่องฝันร้ายเมื่อคืน แต่ดินแค่ยิ้มแล้วบอกว่าไม่มีอะไร อย่าไปคิดมาก อีกฝ่ายก็ไม่เซ้าซี้แม้จะดูกังวลไม่น้อย  หลังออกจากรีสอร์ตพวกเขาก็พากันไปที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว  ที่เที่ยวที่สุดท้ายก่อนกลับบ้าน  ดินกระชับกล้องในมือ  ความทรงจำก่อนออกจากรีสอร์ตแวบเข้ามา

ตอนนั้นคุณที่หนึ่งแอบย่องมาหาเขาแล้วบอกว่า เดือนฝากมาบอกว่าเขาไม่ได้อยากขัดจังหวะการเดทแต่อย่างน้อยๆก็ช่วยอัพ    รูปลงเฟซหรือไม่ก็ส่งมาให้พ่อกับแม่ดูบ้างก็ได้  คนที่บ้านอยากจะแย่ว่าเป็นยังไงบ้าง

และให้ตาย ดินเพิ่งมารู้สึกว่าไอ้สองวันหนึ่งคืนที่ผ่านมานี่มันเหมือนเดทชะมัด!

“น้องดินเป็นอะไรครับ  ทำไมหน้าแดง  ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

“อ่ะ ไม่ครับ ดินสบายดี”

คนสวมแว่นยิ้ม  เมื่อถึงที่หมายพวกเขาก็เดินลงมาจากรถ  ที่สะพานข้ามแม่น้ำแควตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งไทย  ทั้งคนที่ดูเหมือนคนจีนและคนญี่ปุ่น รวมถึงฝรั่งต่างชาติเดินเต็มไปหมด  ทะเลคว้ามือเล็กๆมาจับจูงก่อนจะพากันเดินไปที่สะพาน

ดินกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น รู้สึกถึงเหงื่อชื้นๆที่ฝ่ามือ  เขากระตุกมือคนตัวสูงเมื่อทั้งสองเดินมาถึงกลางสะพาน  ทะเลหันมามองก่อนจะยิ้มให้ “ว่าไงครับ รู้สึกไม่ดีเหรอ”

“เปล่าครับ คือ...พี่ทะเล...คือ” ดินอึกอัก  หลับตาปี๋ “ถ่ายรูปกับผมสักรูปได้ไหมครับ”

“ฮ่าๆ นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว แน่นอนสิ...ทำไมจะไม่ได้ล่ะ  อย่าลืมสิครับว่าเรามาเที่ยวกันนะ”

ดินยิ้มเขินออกมา  ขณะที่ทะเลถือโทรศัพท์เขาไปขอให้นักท่องเที่ยวในบริเวณนั้นช่วยถ่ายรูปให้ ชายหนุ่มเดินกลับมา  มือใหญ่รั้งร่างเล็กให้มาชิดกันมากขึ้นจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของทะเลที่เขาคุ้นชิน  ดินหน้าแดง เงยหน้าขึ้นมองทะเลที่ดึงแก้มเขาเบาๆเป็นทำนองให้ยิ้ม

ทั้งสองเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้กล้อง 

แต่เมื่อผ่านไปสองสามนาทีแล้วก็ยังไม่มีการกดชัตเตอร์อะไรทั้งสิ้นจากหญิงสาวที่ถือโทรศัพท์อยู่   ดินเอียงคออย่างมึนงงเมื่อเธอคนนั้นค่อยๆลดโทรศัพท์ในมือลงช้าๆ เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่คลอด้วยน้ำตาและใบหน้าที่ตกตะลึง  ริมฝีปากอิ่มเคลือบด้วยลิปสีชมพูอ่อนค่อยๆขยับเป็นคำว่า

“ทะเล?”

.............................

ตอนนี้พาพี่ทะเลมาโกยคะแนนค่ะ 555555 :hao7:
ไอ้คุณพี่เดือนก็เป็นใจซะเหลือเกินนะแหม่ (หมั่นไส้) 
สำหรับตอนนี้เราจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของพี่ทะเลกับดินค่ะ เพื่อปูไปยังเนื้อเรื่องต่อไป
จริงๆพี่ทะเลก็เป็นคนดีแหละนะแต่บางความสัมพันธ์มันก็ไม่ใช่ว่าจะชัดเจนกันง่ายๆ ต้องรอดูกันไปยาวๆค่ะ 555
ตอนนี้ค้นพบแล้วว่า...ไม่ค่อยมีเวลามาเขียนนิยายเลยค่ะ รู้สึกว่าปล่อยไปได้ลงไหดองแน่ๆ
เพราะฉะนั้นเราจะมาลงตอนใหม่ทุกๆคืนวันเสาร์นะคะ (;v;)
พยายามจะทำให้ตัวเองมีวินัยในการเขียนค่ะ ฮาาา เพราะปกติปล่อยไว้นานปุ๊บลงไหดองปั๊บ
แล้วนี่จะทอล์คอะไรยืดยาว...
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ  ขอบคุณทุกๆคำติชมและทุกๆความคิดเห็น พบกันใหม่ตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๖ |ภัยจากพี่ชายที่เป็นพ่อสื่อ| {๑๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 19-12-2015 15:22:53


พี่ทะเลกับน้องดินนี่ก็งานดีนะคะ
แต่ก็นะ ผู้หญิงที่ทักพี่ทะเลคือใครหนอ...
จะสร้างโอกาสให้พี่เดือนเข้ามาปลอบใจน้องดินได้หรือเปล่า
รอติดตามค่ะ  :mew1:

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๖ |ภัยจากพี่ชายที่เป็นพ่อสื่อ| {๑๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 21-12-2015 08:03:00
ต้องเป็นเนื้อคู่ทะดลแน่เลย แต่ไม่เป็นไรนะดิน พี่เดือนจะปลอบใจดินเอง
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 27-12-2015 11:54:21
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๗
คนที่ไม่ใช่


Pattapee : พี่ทะเลครับ วันนี้คุณแม่ฝากให้เอาแกงส้มไปให้พี่ด้วย  วันนี้พี่จะผ่านตลาดหรือเปล่าครับ ผมจะได้เอาใส่ปิ่นโตไปให้ 13.40 pm

Pattapee : พี่ทะเลครับผมเอาแกงส้มให้น้องฟองไปแล้วนะครับ พอดีน้องเขาผ่านมาเลยเอาไปให้เลย 13.50 pm

Pattapee : ผมส่งรูปตอนอยู่กาญจน์มาให้แล้วนะครับ ขอบคุณมากนะที่ยอมไปเที่ยวด้วยกัน 14.00 pm

Pattapee : คราวหลังไปเที่ยวด้วยกันอีกนะครับ 14.00 pm

ดินมองข้อความมากมายที่ตัวเองส่งไปในไลน์แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา  จนตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววการตอบรับของทะเล  ยังไม่ขึ้นอ่านเลยด้วยซ้ำ

บางทีทะเลอาจจะยุ่ง  ชายหนุ่มต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว...แต่เมื่อก่อนทะเลไม่เคยเป็นแบบนี้ ถ้าเขาทักไปอีกฝ่ายก็จะรีบตอบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  ช้าสุดคือประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เจ้าตัวก็จะบอกว่าไปไหนมาและทำอะไรอยู่ทำไมถึงได้ตอบไลน์เขาช้า

อีกฝ่ายไม่เคยปล่อยให้เขารอแบบนี้

ดินเม้มปาก วางโทรศัพท์ไว้บนหมอน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววหวาดหวั่น  คงไม่ใช่ว่ามันจะเป็นแบบนั้นอีกแล้วนะ...เป็นเหมือนทุกๆครั้งที่เขาเริ่มยอมรับตัวเองว่าชอบใครสักคน

แล้วคนๆนั้นก็จะเริ่มถอยห่างจากเขาไป

ทะเลเริ่มแปลกไปตั้งแต่กลับมาจากกาญจนบุรี ไม่สิ อีกคนแปลกไปตั้งแต่พบกับผู้หญิงคนนั้น...คนที่ถ่ายรูปให้พวกเขา

‘ทะเล’

ดินจำน้ำเสียงและสายตาของเธอได้  แววตาที่ทั้งเจ็บปวดและเสียใจ...แต่ลึกลงไปเขาเห็น ดินเห็นความคิดถึงอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเธอ ชายหนุ่มแน่ใจว่าตัวเองรู้จักคนประเภทที่มีแววตาแบบนี้ดี

ทันทีที่เห็นเธอทะเลก็มีท่าทีตกใจเช่นกัน  เขาขอโทรศัพท์คืนแล้วรีบพาดินกลับจากสะพานโดยไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกัน จากนั้นตลอดทางกลับบ้านก็มีแต่ความเงียบ

หลังจากนั้นเขากับทะเลก็ยังคงคุยกันเหมือนเดิม คนตัวใหญ่ยังคงเอาขนมเอาของกินมาฝากให้เขาเหมือนเดิม แต่ดินรู้ว่ามันมีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม  ทะเลตอบไลน์ช้าลง บางครั้งก็ไม่อ่านไม่ตอบ ตอบมาก็มีแต่ข้อความสั้นๆ

ดินได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอีกคนคงงานยุ่ง ไม่มีเวลา

เขาไม่อยากคิดว่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดมาจากผู้หญิงคนนั้นเลย

ยังไงตอนนี้สถานะของเขากับทะเลก็ก้ำกึ่ง ไม่ใช่แค่เพื่อน ไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่ก็ไม่ใช่แฟน มันไม่มีชื่อเรียก มีแต่ความสับสนคลุมเครือ 

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นคนพิเศษของทะเลอยู่...ใช่หรือเปล่านะ

แกรก

เสียงเปิดประตูทำให้ดินสะดุ้ง คนผมดำตวัดสายตาดุๆไปที่ร่างสูงที่เดินเข้ามาหน้าตาเฉย “ผมบอกแล้วไงว่าก่อนเข้าห้องให้เคาะประตู” ดินว่า แต่ก็เหมือนเคย ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ในที่สุดนายรวีกานต์ก็พัฒนาสกิลหูทวนลมได้สูงปรี๊ดจนน่าตกใจ

“เห็นนายไม่ลงไปข้างล่างสักทีเลยขึ้นมาตาม แม่เขาขอให้ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดให้หน่อยน่ะ เห็นว่าวันนี้จะทำปลาทอดกับแกงส้มชะอม แต่ไข่มันหมด แล้วก็ต้องไปซื้อชะอมด้วย”

เมื่อเห็นดินยังนั่งนิ่งแถมสายตายังดูเหม่อลอยเดือนก็ส่งเสียงจิ๊ออกมา  ชายหนุ่มดีดนิ้วข้างหูคนตัวเล็กก่อนจะใช้ไหล่กระแทกไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เฮ้ยๆ ฟังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย นายจะจ้องลายบนพื้นไม้อีกนานไหม หาเลขเด็ดหรือไง”

“เลิกทำร้ายร่างกายแล้วก็จิตใจคนอื่นสักทีเถอะครับ”

“ฉันไปทำร้ายจิตใจนายตอนไหนไม่ทราบหา?” ใส่ร้ายกันชัดๆเลย ไอ้เดือนออกจะเป็นคนดีมุ้งมิ้งรักโลกเหอะ

“คำพูดคุณมันทำร้ายจิตใจชาวบ้านเขานะครับ”

“เก็บกลับไปด่าตัวเองเถอะครับน้องปฐพี” ไม่อยากจะพูดว่าอยู่ด้วยกันมาหนึ่งสัปดาห์ น้องด่าพี่ไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบรอบ แถมแต่ล่ะคำนี่พี่นึกว่าน้องกินใบมีดเป็นของว่าง คมกริบจนใจพี่ชีช้ำไปหมดแล้วครับ เหอะๆ ระดับน้องดินนี่พี่ไม่กล้าเทียบหรอก

เดือนมองคนที่ทำหน้านิ่งแต่นัยน์ตาสีน้ำตาลกลับฉายแววเศร้าตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าเป็นคนปกติคงไปเพ้อเต็มเฟสบุ๊คไม่ก็ทวิตเตอร์แล้ว สามนาทีสี่สเตตัสอะไรแบบนั้น ถ้าดินหัดเพ้อเจ้อลงโซเชี่ยลบ้างเดือนว่ามันคงดีกับอีกฝ่าย อย่างน้อยก็ได้ระบายอะไรแย่ๆลงไปบ้างหรือไม่ก็มาเล่าให้เขาฟังบ้างก็ได้

แต่ดินเป็นคนที่ชอบเก็บอะไรไว้ในใจคนเดียว ไม่พูดไม่ระบายออกมา  แบกทุกสิ่งไว้คนเดียว แบบนี้มันเหมือนเด็กเก็บกดไม่มีผิด
“เป็นอะไรหรือเปล่า” สุดท้ายเดือนก็ตัดสินใจถามออกไป  “นายดูแปลกๆมาหลายวันแล้วนะ ไม่สบายหรือเปล่า หรือว่า...” กับทะเลมันไม่โอเคเท่าไหร่  แต่เห็นตอนไปกาญจน์ ไอ้หนึ่งยังโทรมารายงานเขาอยู่เลยว่าทั้งคู่มุ้งมิ้งเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน
หรือมันจะมีอะไรที่เขาพลาดไปกันนะ

เดือนพ่นลมหายใจ รู้สึกว่าตัวเองสมควรเปลี่ยนจากอาชีพนายแบบมาเป็นบริการให้คำปรึกษาด้านความรักจะดีกว่า

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

ดินพูดออกมา แต่เห็นชัดๆว่ามันมี!

“ไม่สบายใจอะไรก็เล่าสิ  เก็บไว้คนเดียวมันแย่นะ”

“...”

“เฮ้อ เอาเถอะ นายอาจจะยังไม่สนิทใจกับฉันพอจะเล่าให้ฟัง ไม่เป็นไรหรอก ไว้พร้อมค่อยเล่าก็ได้” เดือนไม่ชอบคาดคั้นใคร เขาคิดว่าให้เล่าออกมาด้วยความเต็มใจจะดีกว่า   ชายหนุ่มวางมือลงบนศีรษะน้องชายต่างสายเลือดแล้วโยกหัวอีกฝ่ายเบาๆ หัวเราะเมื่อนัยน์ตาดุหลังกรอบแว่นตวัดมามอง แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยมือ

“แต่ว่า...ฉันอยู่ข้างนายเสมอนะ อย่าลืม”


ดินเดินเหม่อลอยลงจากรถเมื่อถึงตลาด ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งความคิดของเขามันตีกันวุ่นวายไปหมด ทั้งเรื่องของทะเลและ...เรื่องของสัมผัสอบอุ่นของฝ่ามือบนศีรษะที่เขาจำได้ไม่ลืม

‘ฉันอยู่ข้างนายเสมอนะ...อย่าลืม’

วูบหนึ่งที่ดินอยากจะเชื่อในคำพูดนั้น แต่วินาทีต่อมาเขาก็สลัดมันออกไป

จะเอาอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่หนึ่งสัปดาห์แบบนั้น  เขาไม่เชื่อหรอก...ไม่เชื่อเลยแม้สักนิดเดียว

“งั้นเดี๋ยวเราแยกกันไปซื้อของไหม จะได้เสร็จเร็วๆ” เดือนพูดขึ้น มองใบรายการของในมือ ตอนแรกมันก็มีแค่ไข่กับชะอมหรอก สักพักคุณแม่มะลิก็เริ่มนึกได้ว่าอันนั้นหมด อันนี้ต้องซื้อมาตุนไว้ เขียนไปเขียนมาใบรายการเลยยาวเป็นหางว่าว  แถมมีการพูดอีกว่า ‘เอาไว้แค่นี้ก่อนก็ได้จ้ะ อันที่เหลือแม่ไปดูเองดีกว่า เดี๋ยวได้ไม่ถูกใจ’ ทำเอาเดือนแทบจะลมจับ  ดีนะที่คุณแม่มะลิบอกว่าพอก่อน ไม่งั้นพวกได้เดินขาลากหอบของรอบตลาดแน่ๆ

“นายไปดูพวกของกินแล้วกัน บอกเลยว่าฉันเลือกผักอะไรงี้ไม่เป็นหรอกนะ” เดือนยิ้มแหยๆให้ดินที่ทำหน้าประมาณว่าผมก็ว่างั้นแหละ “แล้วเดี๋ยวฉันไปซื้อพวกของใช้แล้วกัน”

“เลือกมาให้ถูกล่ะครับ”

“ไม่ต้องห่วงๆ แม่เขียนชื่อยี่ห้อมาให้แล้ว สบายมาก”

ดินกลอกตาก่อนจะหัวเราะแบบเย้ยๆออกมา  ชายหนุ่มผมดำดึงกระดาษจดรายการของสดไป พอจะเดินไปเดือนก็เรียกอีกฝ่ายไว้ “เดี๋ยวๆ พอซื้อของเสร็จนายแวะซื้อกาแฟให้แก้วนึงสิ”

“เรื่องสิครับ  ร้านกาแฟสดมันก็อยู่ใกล้ๆกับโซนขายของใช้นั่นแหละ  คุณก็เดินไปซื้อเองสิครับ” ว่าจบก็เดินออกไปทันที

ดินเดินไปที่แผงผัก เลือกชะอมกับผักอื่นๆตามใบรายการ  เขาเคยตามแม่มะลิมาซื้อของบ่อยๆ เธอสอนเข้าเลือกผักเลือกเนื้อสัตว์ สอนเขาในทุกๆอย่างที่แม่คนหนึ่งอยากจะสอนให้ลูกแม้กระทั่งการทำกับข้าวหรือพวกงานเย็บผ้าง่ายๆ  จนตอนนี้ฝีมือการทำกับข้าวกับเย็บผ้าของดินดีกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก

ตอนที่เดือนรู้เรื่องนี้ก็เรียกเขาแม่บ้านผู้แข็งแกร่งไม่หยุดจนเขาอยากจะเอาตะหลิวหวดหน้าหล่อๆนั่นให้บี้ไปเลย

แม่บ้านบ้าบออะไรกัน พ่อบ้านโว้ยพ่อบ้าน!

ใช้เวลาไม่นานดินก็ซื้อของจนครบ  ชายหนุ่มกำลังมุ่งหน้าไปที่แผงดอกไม้ของปราณ พรุ่งนี้เป็นวันพระ ซื้อดอกไม้ไปใส่แจกันในห้องพระก็ดีเหมือนกัน

แต่แล้วร่างเล็กก็หยุดชะงักเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าแผงดอกไม้ 

คนที่ทำให้เขาคิดวุ่นวายปวดหัว...สับสนจนหงุดหงิดตัวเองอยู่ทุกวัน

พี่ทะเล

ดินชั่งใจว่าจะรอให้คนผิวแทนเดินจากไปก่อนหรือจะเดินเข้าไปทักเลยดี  เขายอมรับว่าหลังจากที่ทะเลตอบไลน์ช้าและมีท่าทีแปลกไปมันทำให้เขารู้สึกอยากเว้นระยะห่าง  ถ้าอย่างนั้นรอให้อีกฝ่ายไปก่อนดีกว่า...คิดได้ดังนั้นร่างบางก็ถอยหลังจะเดินย้อนกับไปทางเดิมแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อเสียงใสของลูกชายเจ้าของแผงดอกไม้เรียกเขาไว้เสียก่อน

“อ้าว นั่นพี่ดินไม่ใช่เหรอจ๊ะ”


ดินเม้มปาก ตกใจจนสะดุ้ง เขายืนนิ่ง มาขนาดนี้คงทำเนียนหนีไม่ได้แล้ว  คนผมดำเลยหันไปทางแผงดอกไม้  ยิ้มบางๆออกมา “ว่าไงปราณ” นัยน์ตาคู่สวยค่อยๆเบือนไปสบกับคนผิวสีแทน “สวัสดีครับพี่ทะเล”

“เป็นไงบ้างน่ะเรา” ทะเลยิ้มกว้างให้กับคนตัวเล็กขณะที่ดินตอบรับรอยยิ้มนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “ก็ดีครับ พี่ล่ะ”

“ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ” ทะเลหัวเราะน้อยๆ “สบายดีครับ”  ดินยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายอีกครั้งก่อนจะหันไปเลือกดอกไม้พร้อมส่งให้ปราณ ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการห่อช่อดอกไม้อยู่  คนตัวเล็กละมือจากกงานมารับดอกไม้จากดินไปใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่ ดินจ่ายเงินก่อนจะรับถุงดอกไม้มา  เมื่อได้ดอกไม้มาแล้วชายหนุ่มก็ยังไม่ได้เดินไปไหน เขายังยืนอยู่เงียบๆตรงนั้น

มันเหมือนมีระยะห่างที่มองไม่เห็นเกิดขึ้น ดินไม่รู้ว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ยังไง กำแพงที่มองไม่เห็นนี้ทำให้เขาใจเสีย
“เอ่อ...พี่ทะเลมาทำอะไรเหรอครับ” คนสวมแว่นตัดสินใจถามเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้  แต่พอพูดไปก็อยากจะกัดลิ้นตัวเอง ถามแปลกๆมาร้านดอกไม้ก็ต้องมาซื้อดอกไม้สิ ทำไมถามอะไรโง่ๆแบบนี้นะ!  ทะเลเลิกคิ้วนิดๆแล้วหันมามองเขาเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าดินพูดกับตนอยู่  “หืม พี่มาซื้อดอกไม้ครับ” อีกฝ่ายบุ้ยใบ้ไปทางช่อดอกไม้ที่ปราณห่ออยู่

พอเห็นช่อดอกไม้นั่นดินก็ใจหายวูบขึ้นมา..ช่อสวยขนาดนั้น...แถมห่อด้วยกระดาษสีสวย ไม่ได้เอาไปถวายพระแน่ๆล่ะ
“งั้นเหรอครับ”  ดินรับเสียงแผ่ว ตัดสินใจได้ว่าตัวเองควรไปจากตรงนี้ได้แล้ว  แต่ก่อนไปเขามีหนึ่งคำถามที่ต้องการคำตอบ “ทำไมพี่ไม่ตอบไลน์ผม?”

ทะเลชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบออกมา “พี่งานยุ่งน่ะครับ ขอโทษด้วยนะ” อีกฝ่ายยังยิ้มใจดีให้แบบเมื่อก่อน ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังมาจากโทรศัพท์มือถือของทะเล  เจ้าของมือถือก้มหน้าลงอ่านข้อความก่อนจะหันไปรับช่อดอกไม้ที่เสร็จพอดีจากปราณ  ท่าทางรีบร้อนเล็กน้อย “พี่ไปก่อนนะน้องดิน พอดีมีธุระนิดหน่อย  เราก็อย่าโหมงานหนักมากนะครับ สู้ๆนะ” ว่าจบคนตัวสูงก็หันหลังวิ่งจากไปทันที  ดินพยักหน้า แสร้งทำเป็นว่าไม่ติดใจอะไร เขากระชับของมากมายในมือแล้วก็เดินออกมาเช่นกัน


การซื้อของครั้งนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับเดือน  เพราะเขาแค่ยิ้มให้บรรดาป้าๆทั้งหลายพร้อมกับเอ่ยรายการของ คุณป้าแม่ค้าก็จัดการหยิบของมาให้เสร็จสรรพแถมโปรโมชั่นลดราคาให้อีกด้วย เมื่อได้ของครบชายหนุ่มก็ตัดสินใจจะเดินไปโซนขายอาหารเพื่อซื้อกาแฟก่อน ในตลาดแห่งนี้จะแยกโซนขายอาหารออกมา มีทั้งร้านข้าวแกงและคอฟฟี่ช็อปเล็กๆ

เดือนเดินไปเรื่อยๆจนถึงที่หมาย เขากำลังจะไปถึงหน้าประตูถ้าไม่ใช่เพราะเห็นใครบางคนรีบร้อนวิ่งไปทางประตูร้าน ใครอีกคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตา  ชายหนุ่มร่างสูงผิวแทนที่ถือดอกไม้ช่อเล็กๆไว้ในมือ ดินเลิกคิ้วก่อนจะเดินไปหลบหลังเสา  อยู่ในมุมที่มองเห็นในร้านได้เพราะผนังร้านนี้เป็นกระจกและเป้าหมายของเดือนก็เลือกที่นั่งตรงโต๊ะริมกระจกเสียด้วย

เดือนหรี่ตา เพ่งมองว่าทะเลนั่งอยู่ในร้านกาแฟกับใคร

ผู้หญิงเรอะ?? สวยซะด้วย...

ไม่เอาน่าไอ้เดือน อย่าเพิ่งคิดไกล  อาจจะเป็นเพื่อน...

ความคิดของชายหนุ่มหยุดชะงักเมื่อเห็นทะเลยื่นช่อดอกไม้ให้หญิงสาวตรงหน้า ฝ่ายหญิงคลี่ยิ้มเขินอายให้ แก้มใสๆนั้นขึ้นสีเรื่อ  คนทั้งคู่เริ่มสั่งกาแฟ เดือนมองกิริยาหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมแล้วตัดสินใจได้ว่า

ไม่ใช่เพื่อนแหงแซะ

ท่าทางแบบนี้...เหมือนจะเป็นแฟน

บ้า...แล้วน้องดินของกูล่ะเฮ้ย!!

ไอ้หมอนี่คบซ้อน...มาหลอกลวงน้องชายเขาเรอะ คิดว่าเป็นชาวไร่ในตำนานแล้วทำได้ทุกอย่างหรือไงวะ!

ขณะที่นายรวีกานต์กำลังลังเลว่าจะเข้าไปเค้นคอถามความจริงเลยดีหรือจะปล่อยผ่านไปดี เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง

“มายืนลับๆล่อๆอะไรตรงนี้ครับ”

“ดิน!?”

เดือนหันขวับไปทันที  ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว...และเห็นฉากบาดใจในร้านกาแฟหรือยัง

“นาย...”

“ซื้อของเสร็จแล้วก็กลับบ้านสิครับ” ดินขัด “คุณแม่รออยู่นะ” ว่าจบคนผมดำก็เดินหน้านิ่งจากไป ทำให้เดือนต้องรีบวิ่งตามไปทันที

สถานการณ์ตอนนี้มันแปลก  เดือนก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังไงแต่เขาถนัดในการอ่านคน  เขารู้ว่าแต่ละคนนิสัยเป็นยังไง  คิดอะไรอยู่  เดือนเชื่อว่าทะเลไม่ใช่คนที่จะสองใจอีกฝ่ายดูซื่อๆมีน้ำใสใจจริง  แต่สิ่งที่เห็นวันนี้มันกลับขัดกับสิ่งที่เขาคิด แต่ก็อย่างว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ชายหนุ่มแห่งบ้านทุ่งอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด  หรือฝ่ายหญิงอาจเป็นญาติ เป็นเพื่อนเก่า เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น  มันมีความเป็นไปได้หลายทาง เขาไม่ควรด่วนสรุปอะไรที่ไม่ชัดเจน

แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาสรุปได้ชัดเจนที่สุดคือ...ดินกำลังเศร้า

“ดิน” เดือนเรียกคนที่เอาแต่เงียบมาตั้งแต่ขึ้นรถ  เหลือบตามองคนผมดำที่ยังเหม่อออกไปแวบหนึ่งก่อนจะหันมามองถนนต่อ

“ว่าไงครับ”

“เมื่อกี้นาย...” เห็นหรือเปล่า

“เห็นสิครับ”

“รู้เหรอว่าฉันจะถามว่าอะไร”

“รู้ครับ...และใช่ ผมเห็นพี่ทะเลกับผู้หญิงคนนั้น”

“คนนั้นคือใครเหรอ ญาติของทะเล?”

“ไม่รู้สิครับ ไม่คุ้นหน้าเลย”

จบประโยคนั้นความเงียบก็ปกคลุมระหว่างพวกเขา  เดือนไม่ถามอะไรต่อ  ไม่ใช่เพราะไม่อยากถามแต่เขาว่าดินคงไม่พร้อมจะพูดมากกว่า  พวกเขาเงียบกันไปจนถึงบ้าน ก่อนจะลงจากรถดินก็เรียกพี่ชายต่างสายเลือดเอาไว้  คนสวมแว่นยิ้มให้เดือน “ ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับเรื่องของผมกับพี่ทะเลน่ะ  เรายังไม่ใช่แฟนกัน แค่คุยกันเฉยๆ...ลองคุยกันถ้าไม่ใช่ก็แยก แค่นั้น ไม่ต้องมากังวลหรอกครับ ผมไม่เป็นไร...ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือ” พูดจบก็ลงจากรถไป ทิ้งให้เดือนนั่งจมกับความคิดตัวเอง
ถ้าไม่เป็นไรทำไมถึงยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆแบบนั้นกันล่ะ

มื้อเย็นผ่านพ้นไปและเดือนก็ตัดสินใจจะเข้าไปคุยกันดิน  อย่างน้อยเขาก็ต้องทำอะไรสักอย่าง ตอนที่เขาเข้าไปดินกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง อีกฝ่ายมองเขาอย่างประหลาดใจ เดือนถูจมูกอย่างเก้อๆก่อนจะกระแอมสองสามครั้ง

“คือ...คุณแม่บอกมาว่าพรุ่งนี้จะมี...เอ่อ...งานวัด”

“อ้อ ใช่ครับ อยากไปเหรอ?”

“เปล่า ฉันแค่คิดว่านายน่าจะลองชวนทะเลดู”

ดินเงียบไปจนเดือนคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่พอใจ  สงสัยจะโดนด่าทำนองว่าอย่ามายุ่งอีกแล้วล่ะมั้งไอ้รวีกานต์เอ๊ย  แต่ดินกลับทำตรงกันข้าม เขาไม่ได้ด่า แค่ยักไหล่แล้วพูดว่า “ผมชวนแล้ว”

“แล้ว?”

“เขาบอกไม่ว่าง”

“แค่นี้?”

“ครับ”

เดือนกระพริบตาปริบ พอเป็นแบบนี้แล้วเขาก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน ดินมองเขานิ่งๆ ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “แล้วคุณอยากไปไหมล่ะครับ...งานน่ะ”

“อ๋อ ก็อยากนะ ฉันไม่ค่อยได้ไปงานพวกนี้เท่าไหร่ ไปเดินตอนกลางคืนน่าจะดี”

“งั้นเดี๋ยวผมพาไปก็แล้วกัน” เดือนอ้าปากค้าง พระเจ้า! นายปฐพีคนนั้นกำลังบอกว่าจะพาเขาไปเที่ยว  นี่อะไรเข้าสิงน้องชายเขาหรือเปล่าเนี่ย

“ไม่มีอะไรเข้าสิงผมทั้งนั้นแหละ  เลิกทำหน้าเอ๋อเป็นลิงถูกล้างสมองได้ไหมครับ ขัดลูกตา”

เฮ้อ สุดท้ายดินก็คือดินอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ

หลังจากที่เดือนออกไปดินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ส่งข้อความไปหาทะเล

Pattapee : ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหมครับ ผมรู้ว่าพี่ไม่ว่าง แต่แค่แป็ปเดียว เรามีเรื่องต้องคุยกัน
 

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 27-12-2015 11:57:38
[ต่อค่ะ]

คืนต่อมาเดือนรีบอาบน้ำแต่งตัว  เขาไม่ได้ตื่นเต้นหรอกนะ...แต่แบบ จะไปเที่ยวใช่ไหมล่ะ มันก็ต้องเป๊ะหน่อย! ชายหนุ่มเลือกเอาเสื้อยืดที่สกรีนคำเท่ๆออกมาพร้อมกับกางเกงยีนส์สีซีดอีกหนึ่งตัว  หลังจากตรวจสอบความเรียบร้อยในกระจกเป็นรอบที่สามเขาก็ลงมาข้างล่างที่ดินรออยู่ก่อนแล้ว

“ผมนึกว่าคุณจะรอจนงานเลิกแล้วค่อยลงมาซะอีก” ดินค่อนแคะก่อนจะหยุดพูดกะทันหัน อีกฝ่ายมองการแต่งตัวของเดือนแล้วหลุดยิ้มออกมา ทำเอานายแบบผู้มั่นหน้าทุกสถานการณ์เริ่มเสียความมั่นใจ “ฉันตลกเหรอ” นี่จัดแบบเบาๆที่สุดแล้วนะ

“เปล่าหรอก”

“แล้วนายขำทำไม”

“ก็แค่คิดว่า...ขนาดใส่แค่เสื้อยืดกับยีนส์คุณยังเหมาะจะเดินรันเวย์มากกว่างานวัดแบบนี้อีกนะเนี่ย”

เดือนกระพริบตาปริบรับคำชมแบบไม่ทันตั้งตัวนั้น   ก่อนจะเดินยิ้มกว้างตามดินไป

งานวัดก็เหมือนที่เดือนจำได้ แม้จะไม่ค่อยได้มาเดินงานแบบนี้เท่าไหร่นัก  แต่เดือนก็ยังชอบบรรยากาศแบบนี้อยู่ดี ประดับไฟหลากสี มีแผงของกิน แผงปาลูกโป่ง ชิงช้าสวรรค์ บ้านลม ม้าหมุน  เดือนหันมองซ้ายมองขวาจนดินรู้สึกเหมือนตัวเองพาเด็กสามขวบมาเที่ยวอย่างไรอย่างนั้น

“เฮ้ นั่นที่ตักปลาใช่ไหมน่ะ” เดือนชี้นิ้วไปที่สระน้ำเป่าลมทรงกลมขนาดเล็ก ที่มีลุงหัวล้านนั่งถือที่สำหรับตกปลาอยู่ “นายรู้ไหม ว่าฉันเคยเลี้ยงปลาทองด้วยล่ะ แต่สัปดาห์ต่อมามันก็ตายซะแล้ว” เดือนยักไหล่ “ไม่มีเวลาดูแลมันเลย”

“งั้นก็อย่าซื้อเลยครับ ทำบาปเพิ่มอีกนี่โดนโยนลงกระทะทองแดงแน่”

“วันนี้วันดี เลิกด่าพี่ซะทีเถอะครับน้องดิน”

เดือนว่ากลับด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก เพราะเมื่อกี้ดินเองก็ล้อเล่นมาเหมือนกัน  พวกเขาเดินซื้อของกินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินไปเจอคนๆหนึ่งยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้  เขายืนเหมือนกำลังรอใครอยู่  พอร่างนั้นหันมาทางพวกเขาก็เบิกตากว้างแล้วรีบเดินเข้ามาทันที

“น้องดิน”

“สวัสดีครับพี่ทะเล”

“คือว่า...ที่น้องดินว่ามีเรื่องอยากคุยกับพี่...”

“ครับ”

เดือนขมวดคิ้ว เขามองทั้งสองคนสลับกันไปมาอย่างงุนงง สองคนนี้พูดอะไรกัน แล้วทำไมเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกแบบนี้วะ

“ผมอยากคุยกับพี่...เรื่องของเรา”

ทะเลกับเดือนเผยสีหน้าตกใจออกมา ขณะที่ดินเริ่มพูดต่อไป “พี่รู้ใช่ไหมครับ ว่ามันไม่เหมือนเดิม  ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ที่รู้ๆคือผมไม่ชอบความคลุมเครือแบบนี้  ถ้าเราไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันแล้ว...พี่คิดไหมครับว่าการกลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมจะดีกว่า”

“น้องดิน...” ทะเลครางออกมาเบาๆ เดือนเห็นความรู้สึกผิดฉายบนใบหน้าคร้ามแดด

ดินเองก็ใจหาย  ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ แต่เขาเข้าใจและยอมรับได้  พวกเขาเริ่มต้นด้วยดีก็ควรจบลงด้วยดี ดินรู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม  เขาไม่มีทางเป็นของทะเลได้ ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่แรก...เขาควรจะถอยออกมาในตอนที่ยังไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย
ถอยออกมาก่อนความรักจะซึมลึก และความผูกพันจะทำให้เขาเจ็บปวดไปมากกว่านี้

ชายหนุ่มผมดำสูดลมหายใจลึก “ผมมีหนึ่งคำถามจะถามพี่...ผู้หญิงคนนั้น เป็นอะไรกับพี่เหรอครับ”

ทะเลนิ่งไป แววตาคมไหววูบก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยออกมาแผ่วเบา “แฟนเก่าน่ะ”

ดินพยักหน้า เท่านี้ก็จบ...

“พี่ยังรักเขา” ไม่ใช่ประโยคคำถามแต่เป็นประโยคบอกเล่า พูดออกมาเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

“น้องดิน พี่ไม่ได้...”

“พี่รักเขา” แค่มอง...ทำไมจะไม่รู้  ดินรู้ ว่าตอนที่ทะเลเห็นผู้หญิงคนนั้น หัวใจของอีกฝ่ายก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวเองอีกต่อไป ความรักเป็นเรื่องตลก คนบางคนแม้จากไปนานแต่ก็ยังอยู่ในความทรงจำ ความรักที่คิดว่าจากไปบางครั้งเมื่พบกับคนเดิมๆมันก็สามารถฟื้นคืนมาได้ทุกครั้ง

“พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว” ทะเลพูดช้าๆ “เราแค่...แค่กลับมาเจอกัน  พี่ขอโทษที่ทำให้ดินเข้าใจผิด เรา...เรามาเริ่มกันใหม่นะครับ”

“ไม่ต้องพยายามจะทำให้ตัวเองชอบผมหรอกครับ” ดินเอ่ยยิ้มๆ “ผมรู้ว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน ข้างพี่ไม่ใช่ที่ของผม”

ดินไม่คิดจะยื้อ ไม่คิดจะรั้ง

ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของเขาตั้งแต่แรก

ต่อให้พยายามแค่ไหน พยายามแทบตายเขาก็ไม่สามารถทำให้คนๆนั้นมารักเขาได้

ดวงตาคู่สวยหลังกรองแว่นมองผ่านเลยทะเลไป ไล่สายตาไปตามเส้นด้ายสีแดง...ที่ไปบรรจบอยู่ที่นิ้วก้อยของหญิงสาวคนหนึ่ง 
คนที่เป็นคนรักเก่าของทะเล

"ผมไม่ชอบเป็นตัวแทนใคร"

เธอยืนอยู่ตรงนั้น หยดน้ำใสๆไหลผ่านแก้มนวล ดินเพิ่งสังเกตุตอนนี้เองว่าเธอมีส่วนคล้ายเขา ทั้งเส้นผมหรือแม้แต่...ตำแหน่งของไฝรองน้ำตา

“รักก็บอกว่ารัก ไม่รักก็บอกไม่รัก คนที่ใช่ต่อให้จากลากันไปไกลยังไงก็ได้คู่กันอยู่ดีนะครับ” เขายื่นมือออกไป แตะให้อีกฝ่ายหันหลัง หันไปพบกับหญิงสาวที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของอีกฝ่าย

ดินไม่เจ็บ ไม่เจ็บเลยสักนิด...เขาบอกตัวเองอย่างนั้น  นี่คือหน้าที่ของเขาไม่ใช่หรือไง

ผู้มองเห็นด้ายแดง...ที่สามารถเชื่อมความรักได้

“ไปสิครับ  ไปหาเธอ” ไปอยู่ในที่ของพี่  “ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเคยรู้สึกดีๆกับผมนะครับ...เรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้นะ”

“น้องดิน...ขอบคุณนะ”

ดินไม่ได้ตอบรับ เขาทำเพียงยืนมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น มองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆห่างไป มองภาพทะเลยื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นอย่างนิ่มนวล

ดินยิ้มบางเบาออกมา ความรักของเขาจบลงแล้ว...มันก็เหมือนกับหลายๆครั้งก่อนหน้านี้

หัวใขจองเขามันชินเสียแล้วล่ะ อาจจะมีความรู้สึกเจ็บอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้น...มันหน่วงๆแต่ก็ไม่ได้ทุรนทุราย

แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียใจ

“เฮ้ นายนี่มันโคตรพ่อพระเลย”  เสียงของคนที่ดินลืมไปชั่วครู่ดังขึ้นข้างกาย  เดือนมองภาพของทะเลกับคนรักแล้วหันมามองดิน ใบหน้าหล่อเหลามีแต่ความสับสนปนชื่นชม  ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปแปะบนเส้นผมสีดำของงอีกฝ่ายแล้วลูบเบาๆ

“ผมไม่ได้เป็นเด็กนะ ไม่ต้อมาปลอบหรอก เรื่องแค่นี้ชินแล้วล่ะ”

“อย่าพูดอะไรเศร้าๆแบบนั้นสิ”

“ก็จริงนี่นา...ผมบอกคุณแล้ว  คนอย่างผมน่ะมีความรักไม่ได้หรอก”

เดือนกำลังจะบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกดินเสียงดัง  พอหันไปมองก็พบกับหญิงวัยกลางคนร่างท้วมก้าวฉับๆตรงมาทางพวกเขา หน้าตาโกรธขึ้ง

ให้ตาย นี่มันตัวละครลับมนุษย์ป้าอะไรกันเนี่ย!

ดินยังดูสงบจนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ตรงหน้า

เพียะ!

ฝ่ามือป้อมๆตวัดตบจนใบหน้าของร่างเล็กหันไปตามแรงตบ แก้มขาวขึ้นสีแดงจนเดือนตกใจ รีบดึงดินออกห่างทันที “ทำอะไรของคุณน่ะ!” เขาว่าอย่างโกรธๆ แต่หญิงร่างท้วมไม่ได้สนใจเขา เธอตะโกนใส่หน้าดินเสียงดังจนคนรอบๆเริ่มหันมามอง

“ทำไมแกยังไม่โอนเงินมาอีกหา! รู้ไหมว่าตอนนี้จะไม่มีเงินไปจ่ายค่ารักษาแล้วนะ”

ชายหนุ่มผมดำลูบแก้มซ้ายที่ปวดแปล็บ “ผมจำได้ว่าเดือนที่แล้วโอนไปตั้งเยอะนะครับ”

“เดือนที่แล้วก็ของเดือนที่แล้วสิ! นี่มันเดือนใหม่ แกก็รู้ว่าค่ารักษาแม่แกน่ะมันไม่ใช่น้อยๆนะ”

“ผมคิดไว้ดีแล้วนะครับ ว่าเงินที่โอนไปครั้งก่อนมันพอจ่ายสำหรับเดือนนี้ด้วย...คงไม่ใช่ว่าพวกคุณเอาเงินไปเล่นพนันหมดแล้วนะครับ”

“แก!” ผู้หญิงคนนั้นกรีดเสียง จะถลาเข้ามาตบดินอีกรอบ แต่เดือนคว้ามืออีกฝ่ายไว้ได้ก่อน เขาดันให้น้องขายหลบไปด้านหลัง

“นี่คุณป้าครับ มีอะไรก็พูดจากันดีๆสิครับ มาลงไม้ลงมือแบบนี้ได้ยังไง”

“แกนั่นแหละเข้ามายุ่งทำไมไม่ทราบ นี่มันเรื่องของฉันกับไอ้เด็กเวรนี่!”

“เฮ้ย ป้า ทำไมพูดจาอย่างนี้อ่ะ”

“พอเถอะครับ เขาเป็นป้าแท้ๆของผมเอง” ดินแตะหลังเขาเบาๆ ก้าวขึ้นมายืนข้างหน้าเขา “เอาเป็นว่าผมจะโอนเงินส่วนของเดือนนี้ไปให้ก็แล้วกันนะครับ  พอใจหรือยังครับ  แยกย้ายกันเถอะ อย่ายืนให้คนมองมากไปกว่านี้เลย”

“ทำไม แกอายเหรอ” ริมฝีปากหนาๆนั่นแสยะยิ้มบิดเบี้ยวออกมา ก่อนที่หล่อนจะพูดออกมาเสียงดังจนแทบจะได้ยินกันไปทั่ว

“แกอายงั้นเหรอที่มีแม่อยู่ในโรงพยาบาลบ้า  นั่นสินะ แกคงอายมากจนไม่กล้าแม้แต่จะไปดูหน้าแม่แท้ๆ ทิ้งให้เป็นภาระของญาติที่น่าสงสารแบบพวกฉัน ที่ต้องมานั่งก้มหน้าก้มตาดูแลแม่แกเนี่ย! เหอะ ไอ้เด็กไม่รักดี ทิ้งแม่ให้คนอื่นดูแลแล้วตัวเองก็ไปเสวยสุขกับครอบครัวผู้ดีนั่น!” เดือนจ้องหญิงอวบตรงหน้าเขม็ง เขาไม่ชอบน้ำเสียงของหล่อนที่พูดถึงครอบครัวของเขาแบบนั้น น้ำเสียงประชดประชัน แดกดันดูถูก

แต่ดินดูเหมือนจะโกรธมากกว่าเขาเสียอีก

“กรุณาหยุดพูดจาถึงครอบครัวผมแบบนั้น” ชายหนุ่มสวมแว่นพูดเสียงเย็น “คุณจะด่าผมยังไงก็ได้แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดจาแบบนี้ถึงครอบครัวผม”

“งั้นเหรอ ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ เหอะ แค่ได้ผัวฝรั่งก็ทำเป็นเชิดหน้าชูคอขึ้นมาเลยนะนังมะลิน่ะ หนก่อนทำมาเป็นด่าพวกฉันอย่างนู้นอย่างนี้  ถ้ามันเป็นแม่พระจริงๆแกก็ไปบอกให้มันช่วยออกเงินมาช่วยญาติๆหน่อยได้ไหมเล่า”

ดินหรี่ตาลง “ผมว่าเวลาของคุณแม่มะลิมีค่ามากเกินกว่าจะมาเสียให้คนอย่างพวกคุณนะ  อีกอย่างทำไมคุณแม่ต้องมาออกเงินให้พวกคุณด้วยครับ คนเห็นแก่ตัวแบบพวกคุณ...ตอนที่ท้องผมพวกคุณไม่ใช่เหรอที่ผลักไสแม่ผมออกมา ตอนที่แม่ท้องน้องก็ไม่เห็นจะมีใครมาเหลียวแล ที่พวกคุณเข้ามาดูแลแม่มันเป็นเพราะพวกคุณหวังเงินค่าเลี้ยงดูที่ผมโอนให้ไม่ใช่หรือไง! พอรู้ว่าผมได้มรดกจากพ่อพวกคุณก็ทำมาเป็นพูดดีด้วยไม่ใช่หรือไง! ทำเป็นพูดดีเหมือนพวกตัวเองประเสริฐที่ต้องมานั่งเลี้ยงดูญาติที่บ้าๆบอๆ แต่มันก็หวังผลประโยชน์ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกคุณจะได้ฮุบเงินค่าเลี้ยงดูไปทุกเดือน พวกคุณก็คงถีบหัวส่งแม่ไปอยู่ข้างถนนแล้วล่ะ!” ดินหอบหายใจ ความโกรธปะทุขึ้นในอกจนต้องตะโกน พ่นถ้อยคำร้ายๆออกไป

วันนี้มันมากเกินไปสำหรับเขาแล้ว

ป้าของดินอ้าปากค้างก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นยโส  หล่อนเชิดหน้า พูดเสียงแหลมใส่หลานชาย “แหมๆ คุณแม่มะลิเรอะ นี่ลืมไปแล้วสินะว่าใครคลอดแกมา แค่มีคนเลี้ยงดูอย่างดีทำเป็นลืมกำพืด”


ดินหันหลังเดินออกมาทันที มือบางคว้าข้อมือของเดือน ดึงให้เดินออกมาด้วยกัน ไม่หันไปแม้เสียงข้างหลังจะตะโกนด่าทอเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เขาเหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงในสิ่งที่ไม่จบไม่สิ้น

“เหอะ หนีได้ก็เดินหนีไปเถอะ แกหนีสิ่งที่อยู่ในใจตัวเองไม่พ้นหรอกไอ้ดิน  แกยอมรับเถอะว่าแกก็ไม่ได้ดีกว่าพวกฉันเท่าไหร่หรอก  แกน่ะไม่เคยรักแม่แท้ๆของตัวเองเลย เลยเอามันไปไว้ที่โรงพยาบาลบ้า! ไอ้เด็กอกตัญญู!!”

ดินเร่งฝีเท้าขึ้น ไวขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง เดือนมองแผ่นหลังนั้น ถ้อยคำร้ายกาจพวกนั้นยังดังวนเวียน เขาไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“อ่า..ผม..ผมขอโทษนะครับ” ดินชะลอฝีเท้าลงแล้ว เขายังคงไม่หันมา น้ำเสียงที่ตวาดกร้าวเมื่อครู่กลายเป็นเสียงสั่นพร่า ฟังดูอ่อนแรงจนน่าสงสาร

“ไม่เป็นไรหรอก” เดือนถอนหายใจออกมา  เขาไม่เห็นว่าดินทำหน้าอย่างไร  คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในมุมอ่อนแอ

“ขอโทษนะครับที่ต้องให้เห็นฉากแย่ๆเมื่อกี้  ขอโทษที่เขาว่าเรื่องแม่มะลิด้วย”

“ขอโทษทำไม มนุษย์ป้านั่นต่างหากที่ต้องขอโทษ  บ้าชิบ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงนะฉันต่อยคว่ำไปแล้ว”

“ฮะๆ...แต่ก็อย่างที่เขาพูดนั่นแหละ  ผมมันลูกอกตัญญู เพราะแบบนี้มั้งผมเลยรักใครไม่ได้...เลยไม่มีใครรักผม เพราะขนาดแม่แท้ๆยังไม่รักผมเลย...ขนาดแม่แท้ๆผมยังไม่รักเลย”

เดือนไม่ได้ตอบ เขาไม่รู้น้ำหนักที่ดินแบกเอาไว้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายผ่านอะไรมา เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองคนที่แบกทุกอย่างไว้บนบ่าเพียงลำพัง

เดือนหันซ้ายหันขวาก่อนจะเดินไปที่ร้านขายของเล่น เลือกหน้ากากพลาสติกเซเลอร์มูนมาอันหนึ่ง  ก่อนจะกลับมาหาน้องชายต่างสายเลือด ชายหนุ่มบรรจงสวมหน้ากากของเล่นให้อีกฝ่าย ดึงลงมาจนปิดหน้าคนร่างเล็ก

“อะไรครับเนี่ย!” ดินพูดเสียงอู้อี้ หนุ่มลูกครึ่งยิ้มบางๆ เขายื่นมือไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้  บีบเบาๆทำให้ร่างนั้นชะงัก

“ร้องไห้ออกมาเถอะ...ถ้ามันเหนื่อย  ทิ้งทุกอย่างไปเถอะ...ถ้ามันหนัก จะทำตัวเศร้าก็ได้ จะไปดื่มกันให้เมาเละก็ได้”

สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงเท่านี้

ดินไม่ได้ตอบรับ ทำเพียงแค่กระชับมือเขาให้แน่นขึ้นเท่านั้น ราวกับจะถ่ายทอดความเจ็บปวดผ่านทางการสัมผัสนั้น  เดือนแหงนหน้ามองฟ้าขณะที่เสียงสะอื้นแผ่วเบากลืนหายไปกับความวุ่นวายรอบตัว

“ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่กับนายเอง”

..............................

ทุกการกระทำมีเหตุผลในตัวเอง ความรักก็ต้องมองหลายมุม มองให้ลึกลงไป
และบางครั้งเราก็ต้องยอมรับ 'ว่าคนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่อยู่ดี'
จะว่าไป...ทำไมมันยังไม่ขึ้นหน้าที่สองให้สักทีล่ะคะ 555555
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-12-2015 12:24:47
ถึงพี่เดือนจะดูติ๊งต๊องไปหน่อย พึ่งพาไม่ได้ในบางครั้ง แต่พี่เดือนเป็นคนใจดีนะ พยายามเข้าล่ะพี่เดือน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 27-12-2015 15:16:23
ดินน่าสงสารจัง
พี่เดือน เริ่มจะเป็นที่พึ่งได้แล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: omelet ที่ 27-12-2015 23:51:13
ทำไมเพิ่งมาเห็นเรื่องนี้ๆๆๆๆ
เครซี่น้องดินมากอะคะ หืมมมม พี่เดือนก็มุ้งมิ้ง เลิฟๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 28-12-2015 07:41:07
เห้ยยย ทำไมเราตามเรื่องนี้ช้า ดีใจที่มีนิยายดีๆ แบบนี้
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 28-12-2015 09:14:44
ชอบน้องดิน


เมื่อไหร่น้องจะมองเส้นด้ายสีแดงที่พี่เดือนบ้าง???
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-12-2015 13:43:50
เฮ่ยยยย ชอบเรื่องนี้
เดือนคือดีงาม ตลกดี เเต่นางก็มีสาระเยอะอยู่
ชอบดินที่มีพลังพิเศษ ปมนางก็เยอะดี รอๆๆ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗ |คนที่ไม่ใช่| {๒๗.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 28-12-2015 16:32:29


พี่เดือน... พี่เดือนเสียบเลยลูก
้น้องกำลังบอบช้ำ น้องกำลังเฟ้งฟ้าง นี่แหละคือช่วงเวลาดีที่จะพิสูจน์น้ำใจของพระเอกอย่างแท้จริง!!!
น้องเซ น้องทรุดพ่อก็เข้าไปชาร์จ เข้าไปประคองให้ว่อง
น้องร้องไห้ น้องเศร้าพ่อก็เข้าไปกอดปลอบ หอมหัว หอมแก้มให้น้องลืม ๆ
อีกหน่อยน้องก็ลืมพี่ทะเลเทใจให้เดือนแล้วลูก เชื่อป้า... ป้าอ่านนิยายวายมาเยอะ!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ & Happy New Year ค่ะ!!  :mew1:

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่ ๗.๕ พิเศษใส่ใจ |คืนข้ามปี| {๓๑.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 31-12-2015 20:44:34
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
ตอน ๗.๕ พิเศษ(ใส่ใจ)
คืนข้ามปี


   สำหรับดินแล้ววันปีใหม่มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากวันปกติทั่วไปสักนิด  ไม่สิ อาจจะต่างนิดหน่อยตรงที่ต้องเปลี่ยนปฏิทินใหม่แล้วก็เปลี่ยนไปใช้พ.ศ.ใหม่  เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

   แต่โดยรวมแล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไปเหมือนวันก่อนๆหน้านั้นนั่นแหละ

   สาเหตุหนึ่งที่ดินไม่นับวันปีใหม่เป็นเทศกาลพิเศษคงเพราะเขาไม่มีครอบครัวให้ฉลองด้วยมาล่ะมั้ง หืม คุณแม่มะลิกับคุณพ่ออัลเฟรดน่ะหรือ? พวกท่านเป็นครอบครัวก็จริง...แต่ดินก็ไม่อาจเอื้อมไปนับตัวเองเป็นลูกแท้ๆของท่านหรอก   ในช่วงปีใหม่นี้คุณพ่อจะพาคุณแม่ไปฉลองปีใหม่กันกะหนุงกะหนิงสองคนแถวยุโรปไม่ก็ญี่ปุ่น ส่วนดินก็จะอาสารับหน้าที่เฝ้าบ้านให้โดยรับปากคุณแม่อย่างดิบดีว่าจะไม่ทำงานในช่วงปีใหม่ แต่จะหยุดอยู่บ้าน ดูทีวี กินข้าว นั่งๆนอนๆไป

   แล้วชีวิตในวันปีใหม่ของเขาก็ดำเนินไปแบบว่างๆและไร้สีสัน

   “เพราะแบบนี้นายเลยจะไม่ฉลองปีใหม่อย่างนั้นเหรอ?” ดินพยักหน้าตอบผู้เป็นพี่ชายต่างสายเลือดด้วยสีหน้าเนือยๆ ขณะที่เดือนอ้าปากค้างมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าประหนึ่งมองมนุษย์ต่างดาว

   ว่างเปล่ามาจนกระทั่งปีนี้นี่แหละ...

   บนโลกนี้มันมีคนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเทศกาลสำคัญแบบนี้ด้วยเหรอวะ  ไม่อยากจะเชื่อ!

   “ได้ยังไง! นี่มันเทศกาลสำคัญนะ”

   “จริงๆแล้วปีใหม่ของไทยคือช่วงสงกรานต์นะครับ...คุณต่างหากที่ฉลองผิดเทศกาลน่ะ”

   “สงกรานต์ก็ค่อยฉลองช่วงสงกรานต์สิ  นี่มันปีใหม่สากล”

   “ผมอนุรักษ์ความเป็นไทย”

   เดือนแทบจะก้มลงไปไหว้น้องชายต่างสายเลือด  คนตัวโตรู้สึกเหมือนตนพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงขณะที่มองน้องชายเก็บกวาดบ้านให้สะอาดเรียบร้อย

   “นายก็เลยจะไม่ไปฉลองปีใหม่ที่อิตาลีกับพวกเรา?”

   “ครับ ตามนั้น”

   เดือนส่ายหน้ากับความคิดของอีกฝ่าย  เขาหรี่ตาลงยกมือกอดอก “นายกำลังจะกันตัวเองออกจากครอบครัวอย่างนั้นสินะ” เขาว่า รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกเมื่อร่างเล็กนั่นชะงักไปแวบหนึ่ง เขาเดาว่าดินคงคิดอะไรทำนองว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ไม่ใช่สมาชิกของครอบครัวนี้ เลยไม่อยากไปร่วมฉลองปีใหม่ด้วยเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก

   เฮ้อ ทำไมน้องชายของเขาถึงได้คิดมากแบบนี้นะ

   “แล้วนายจะอยู่บ้านกับใคร พวกคนใช้กับป้าชื่นก็กลับบ้านกันหมด”

   “ผมอยู่คนเดียวได้น่า ไม่ใช่เด็กเสียหน่อย” ดินตอบพลางเรียงหมอนบนโซฟาตัวยาวให้เป็นระเบียบ 

   “แต่นั่นมันก็ไม่ดีอยู่ดี”

   “นี่!” ดินหันกลับมาเผชิญหน้ากับเดือน กอดอก คิ้วเรียวขมวดมุ่น นัยน์ตาคู่สวยหลังกรอบแว่นฉายประกายวาววับจนเดือนนึกถึงอาจารย์ฝ่ายปกครองสมัยมัธยมของตัวเองขึ้นมาตงิดๆ

   แต่ถ้าอาจารย์ฝ่ายปกครองจะหน้าตา ‘น่ารัก’ ขนาดนี้ เขายอมโดนลากเข้าห้องปกครองทุกวันเลยเอ้า
!
   เดี๋ยวๆไม่ใช่ละ เพ้อเจ้ออีกแล้วไอ้เดือน

   ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีทะมึนที่แผ่ออกมาจากร่างตรงหน้า

   นี่มันน้องชายปางสังหารพี่ต่างหาก!

   “ผมจะอยู่ยังไงก็ไม่ได้เดือดร้อนคุณ  โอเคนะครับ  ผมก็อยู่แบบนี้ของผมมาตั้งหลายปี ถ้ารู้แล้วก็เลิกกังวลแล้วไปเช็คของสักทีเถอะครับ  คุณขึ้นเครื่องตอนตีสามไม่ใช่หรือไง”  เดือนเองก็จะไปร่วมฉลองปีใหม่กับพ่อและแม่ที่อิตาลีด้วย เพราะเขาไปนั่นหมายความว่าดินจะต้องอยู่คนเดียว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มยอมไม่ได้เมื่อรู้แถมมารู้เอาหนึ่งวันก่อนการเดินทางอีกด้วยแน่ะ! เพราะเขาให้คุณพ่อเป็นคนจัดการเรื่องทริปนี้ทั้งหมด มารู้ก็ตอนเห็นตั๋วเครื่องบินแค่สามใบนั่นแหละ

   “ฉันไม่ไปแล้ว”

   “ตลก คิดว่าค่าตั๋วมันถูกนักรึไง อย่าใช้เงินสิ้นเปลืองสิครับ”

   “เดี๋ยวฉันคืนเงินให้พ่อกับแม่ก็ได้”

   “คนที่กรอบจนต้องกลับมาใช้โทรศัพท์รุ่นปาหัวหมาแตกจอขาวดำแบบคุณน่ะเหรอครับ” ดินกระตุกยิ้มมุมปาก มองเดือนด้วยสายตาเย้ยๆ จนชายหนุ่มอยากจะเข้าไปดึงไอ้หน้าตึงๆนั่นให้ย้วยออกมาเหมือนในการ์ตูนนัก  เดือนยกมือเป็นทำนองว่ายอมแพ้ “แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายอยู่บ้านคนเดียวอยู่ดี มันไม่โอเคเลย”

   “คิดมากไปแล้วครับ ผมไม่เป็นไรหรอก” ดินยิ้ม  เดินไปตบไหล่คนตัวสูง “ชินแล้วล่ะ”

   “ก็บอกไงว่าอย่าพูดอะไรน่าสงสารแบบนั้น” ว่าจบคนเป็นพี่ก็เกี่ยวเอวน้องชายเข้ามาใกล้แล้วฝังจมูกลงไปที่แก้มนิ่มๆนั้นเร็วๆ สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่จนได้กลิ่นแป้งเด็กและกลิ่นหอมเหมือนวานิลลาของอีกฝ่ายเดือนก็รีบกระโดดถอยออกมา หลบหมัดหนักของน้องชายไปได้อย่างฉิวเฉียด

   “ทำอะไรของคุณ!” เดือนมองคนผมดำที่ยืนถูแก้มแรงๆจนมันขึ้นสีแดง...ที่ไม่รู้ว่าแดงจากแรงถูหรือแดงจากอาการอายกันแน่

   คนตัวเล็กอายจนหน้าแดงก่ำ  ริมฝีปากบางเม้มแน่น สัมผัสอุ่นๆตรงแก้มเมื่อครู่ จะเช็ดอย่างไรก็รู้สึกเหมือนมันติดแน่นอยู่ที่ผิวแก้ม หัวใจเต้นถี่รัวจนน่ากลัวว่ามันจะกระดอนออกมานอกอก  เลือดสูบฉีดไปที่ผิวหน้าจนร้องวูบวาบไปหมด  ดินแยกเขี้ยวใส่คนตัวโตขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะลั่น มีความสุขเสียเต็มประดาที่แกล้งเขาได้สำเร็จ

   “ให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆไง อยู่บ้านคนเดียวนายจะได้ไม่เหงา” ว่าพลางขยิบตาให้แต่คนผมดำกลับทำหน้าเหมือนจะพุ่งมาแหกอกเขา “ไอ้พี่เดือน!”

   พอกันที เขาโมโหแล้วนะ

   ยังไม่ทันจะทำอะไรคนขโมยหอมแก้มคนอื่นก็เผ่นขึ้นห้องไปแล้ว ทิ้งให้ดินยืนหน้าแดงอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น
พอได้เวลาออกจากบ้านดินก็รับหน้าที่เป็นคนขับรถไปส่งทุกคน เมื่อมาถึงสนามบินคนผมดำก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อพี่ชายตัวโตไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปหยิบกระเป๋าเดินทางแต่อย่างใด ดินมองพี่ชายที่ยังดูดีแม้จะใส่แว่นกันแดดไว้ตลอดเวลาคนตรงหน้าทำตัวปกติทุกอย่าง แถมยังไปช่วยขนกระเป๋าของพ่อกับแม่ลงจากรถ  ไวเท่าความคิดคนตัวเล็กก็ส่งเสียงถามออกไป

   “แล้วกระเป๋าคุณล่ะ”

   “ไม่ได้เอามา”

   ดินนิ่งไป หรี่ตาลง สัญญาณเตือนภัยในใจดังลั่น  เขาว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ  “อย่ามาตลกครับ คุณจะไปอิตาลีทั้งๆที่ไม่มีกระเป๋าหรือไง”

   “แล้วใครว่าฉันจะไปอิตาลี?”

   ดินอ้าปากค้าง  หันไปมองพ่อกับแม่ที่ยืนมองอยู่ยิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของลูกชายคนเล็กคุณมะลิก็เฉลยให้ว่า “พอรู้ว่าลูกจะอยู่บ้านคนเดียวพี่เดือนเขาก็เลยขออยู่เป็นเพื่อนน่ะ” เธอว่าพลางลูบผมสีดำของลูกชาย  ดวงตากลมหวานฉายแววเอ็นดู ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าที่ดินไม่ยอมไปฉลองปีใหม่กับพวกเธอมีสาเหตุมาจากอะไร แต่เธอไม่อยากให้ลูกชายอึดอัดจึงยอมรับในทางที่เขาเลือก

   “อยู่บ้านกันสองคนก็ดูแลกันดีๆนะลูก  ดูบ้านให้เรียบร้อยด้วยนะเดือน” คุณอัลเฟรดบอกลูกชายคนโตที่ยิ้มกว้างมาให้  เดือนพยักหน้าให้พ่อกับแม่ “ครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ” คนตัวสูงกอดแม่แน่นก่อนที่แม่มะลิจะย้ายไปกอดร่างบางของดิน  จากนั้นสองพี่น้องก็มองตามร่างผู้ปกครองที่ค่อยๆกลืนหายไปในฝูงชน

   “ได้น้องแน่ๆเลยคราวนี้”  เสียงทุ้มต่ำพึมพำอยู่ข้างหู ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก ร่างบางผงะถอยก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เขาแล้วจ้ำอ้าวออกไป ทิ้งให้พี่ชายตัวสูงยืนงงอยู่คนเดียว

   เป็นอะไรของเขา...แค่อยากจะคุยด้วยเฉยๆเองนะ

ดินกำลังตกใจ  ในสมองของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด  คนบ้าอะไรพูดดีๆไม่ได้ต้องก้มลงมากระซิบข้างหู! มือเรียวยกสัมผัสใบหูตัว ลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดกับเสียงทุ้มทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปอีกแล้ว   ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดไร้สาระออกไป เมื่อกี้มันก็แค่อาการตกใจเท่านั้นแหละ  อย่าลืมสิว่าความจริงมันเป็นยังไง...อีกอย่างตอนนี้เขามีสิ่งที่ต้องกังวลมากกว่า

อยู่คนเดียว...กับไอ้คนฉวยโอกาสนั่นตั้งสิบกว่าวันเชียวนะ! เขาจะไม่เป็นบ้าตายไปก่อนหรือไง คนผมดำกัดริมฝีปากแน่น รู้ดีหรอกว่าไม่ได้จะเป็นบ้า  แต่จะเป็นโรคหัวใจวายก่อนน่ะสิ เพราะคตัวสูงนั่นชอบมาทำอะไรให้เขาตกใจเล่นอยู่เรื่อย พยายามทำใจให้ชินเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สักที

ดินผ่อนฝีเท้าลงเมื่อเดินมาถึงรถ แต่ขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งประจำที่คนขับมือใหญ่ก็คว้าแขนเขาไว้ก่อน  “ไม่ต้อง นายไปนั่งเบาะข้างคนขับเลย  หนนี้ฉันขับเอง”

“แต่...”

“เอาน่า ขับมาตั้งนานนายน่าจะเมื่อยไม่ใช่เหรอ  ผลัดกัน หนนี้ฉันขับเอง”

ว่าจบก็มัดมือชกด้วยการสอดตัวเองไปนั่งประจำที่คนขับ ยึดตำแหน่งสารถีมาเรียบร้อย เห็นดังนั้นดินก็จนใจจะพูดด้วยเลยได้แต่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี

สียงเพลงเบาๆดังคลอไปในรถประกอบกับแอร์เย็นๆและกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้คนสวมแว่นเริ่มตาปรือ แต่ดินก็พยายามฝืนตัวเองไว้ไม่ให้หลับ  เขาไม่อยากหลับ  อย่างงน้อยถ้าตื่นอยู่ก็คงจะพอชวนอีกคนคุยขึ้นมาได้ถ้าพี่ชายเขาเกิดง่วงขึ้นมาบ้าง อีกอย่างให้อีกคนเหนื่อยขับรถในขณะที่เขามานั่งหลับมันไม่แฟร์เลยจริงๆ

“ง่วงเหรอครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามทำให้คนที่สติหลุดไปกว่าครึ่งได้แต่พยักหน้า เดือนขยับยิ้มมองอาการขยี้ตาแล้วหาวหวอดเหมือนเด็กๆของอีกฝ่าย “ง่วงก็ปรับเบาะนอนไปเถอะ”

“ไม่เอา...เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน”

“เอาจริงๆนะ นายตื่นแต่ไม่ชวนคุยค่ามันก็เท่ากับนายหลับไปแล้วนั่นแหละ ไม่ต่างหรอก” คนตัวสูงพูดกลั้วหัวเราะขณะที่ดินส่งค้อนมาให้วงเบ้อเริ่ม  นี่กล้าหัวเราะให้ความหวังดีของเขาเรอะ  เออ อยากขับรถแบบเงียบเหงาก็ตามใจเหอะ

ไม่สนใจแล้ว!

คิดได้ดังนั้นก็จัดการปรับเบาะลง เอนตัวนอนแถมหันหลังให้คนขับอีกต่างหาก  ดินถอดแว่นออกก่อนจะแกล้งหลับตาลง  แอร์เย็นเป่าลงมาทำให้หนาวก็จริงแต่ก็ทำให้ง่วงด้วย สุดท้ายคนตัวบางก็หลับไปจริงๆ

เดือนเหลือบมองคนที่หลับไปแล้ว ใบหน้าคมคายเผยรอยยิ้มออกมา ชายหนุ่มใช้มือซ้ายเกลี่ยไปตามเส้นผมนุ่มนิ่มนั้น  คนหลับที่โดนกวนส่งเสียงครางออกมาอย่างรำคาญ ก่อนจะพลิกตัวมาทางเขา

เหมือนลูกแมวจริงๆ...

นิ้วเรียวยาวไล่มาจนสัมผัสได้ถึงแก้มนิ่มของอีกฝ่ายที่เขาพิสูจน์แล้วว่ามันทั้งนิ่มทั้งหอมขนาดไหน  เกลี่ยแก้มอีกฝ่ายเล่นแล้วก็นึกพิเรนทร์ขึ้นมาว่าถ้าลองดึงแรงๆ แก้มนี่จะย้วยออกมาไหมนะ  เดือนยิ้มกว้างแกล้งดึงแก้มคนหลับเบาๆหนึ่งที ก่อนจะหันกลับไปทุ่มสมาธิให้กับการขับรถต่อเหมือนเดิม

ดินมารู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนที่เดือนดับเครื่องยนต์  รอบด้านสลัวจนแน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้อยู่บนถนนกันแน่ๆ “อ้าวตื่นแล้วเหรอ กำลังจะปลุกเลย” เดือนพูดก่อนจะหลุดขำเมื่อเห็นสีหน้างงๆกับผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงของอีกฝ่าย  ชายหนุ่มเอนตัวไปใช้มือจัดทรงผมให้น้องชายต่างสายเลือดจนเมื่อพอใจจึงได้ผละออกมา

“ที่นี่ที่ไหนครับ?”

“ที่จอดรถของห้างน่ะ ไหนๆก็ไม่มีใครอยู่ด้วยตั้งสิบกว่าวัน เลยพามาซื้อของเข้าบ้านหน่อย” พูดจบก็เดินลงจากรถไป ดินที่ยังงงๆเลยได้ลงมายืนแบบมึนๆ แต่เนื่องจากเพิ่งตื่นคนตัวเล็กเลยเกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยจนต้องพิงรถไว้ไม่ให้ล้ม

“จะเป็นลมเหรอ?”

“ครับ หน้ามืดนิดหน่อยน่ะ”

เดือนพยักหน้า ยืนรอจนเมื่ออีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาแล้วก็คว้ามือของดินมาจับไว้แน่น กะไม่ให้สะบัดหลุดกันเลยทีเดียว “นี่คุณ...”
“เดี๋ยวนายหน้ามืดจะเป็นลมอีกก็แย่น่ะสิ” คนหลอกจับมือแถไปเนียนๆ รีบลากร่างของอีกฝ่ายเข้าไปในห้างทันที 

การซื้อของครั้งนี้เป็นไปอย่างทุลักทุเลพอสมควร ดินรู้สึกเหมือนตัวเองมาเด็กสามขวบมาห้างอย่างไรอย่างนั้น  เพราะหันไปทางไหนอีกฝ่ายก็ชี้จะเอาอันนู้นเอาอันนี้ไม่หยุด

“เป็นเด็กสามขวบรึไงครับ!” ในที่สุดเมื่อทนไม่ไหวเขาก็หันไปดุเข้าให้ แต่คนโตกว่ายักไหล่ลอยหน้าลอยตาน่ากระทืบ แถมยังมีการพึมพำรายการของที่อยากได้อีก “อยากกินโยเกิร์ตจังน้า”

“ก็ไปซื้อสิครับ”

“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากกินแล้ว”

เอ้า ไอ้หมอนี่มันสติดีหรือเปล่าวะ หรืออยากแกล้งให้เขาโมโหจนเส้นเลือดในสมองแตกตายกัน

ดินกรอกตา ตัดสินใจว่าจะเลิกสนใจผู้ชายโตแต่ตัวที่ด้านหลังนี่  เขาเข็นรถเข็นไปยังโซนขายผัก  ก่อนจะหยิบผักบุ้งกับผักกาดลงไป แล้วทันใดนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายโตแต่ตัวคนที่ว่ากำลังแอบหยิบผักชีออกจากรถเข็น “วางมันลงที่เดิมเลยนะครับคุณรวีกานต์”

เดือนทำหน้าน่าสงสารเมื่อรู้ว่าถูกจับได้ แต่ขอโทษ ถ้าทำหน้าตาแค่นี้แล้วนายปฐพีคนนี้จะสงสารก็ขอบอกว่าฝันไปเถอะ

“มันเหม็นนี่” เดือนว่าเสียงอ่อยขณะที่ดินเริ่มกุมขมับ “คุณเป็นเด็กสามขวบจริงๆรึไง ถึงได้ไม่กินผัก”

“ไม่กินแค่ผักชีต่างหาก” เดือนแก้  แต่ก็ยอมวางกลับลงไปแต่โดยดี “หยิบมาทำไมกัน สุกี้มันไม่ต้องใส่ผักชีนี่นา” เพราะวันนี้เดือนอยากจะดินสุกี้ขึ้นมาเลยพาดินมาหาซื้อวัตถุดิบกับไปทำที่บ้าน

“แต่อย่างอื่นมันต้องใช้นี่ครับ” คนตัวเล็กว่า ไล่ดูรายการของในรถเข็นเมื่อเห็นว่าครบแล้วก็เอี้ยวตัวไปถามคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง “คุณอยากได้อะไรเพิ่มไหม?”

“ไม่ล่ะ” เดือนเมียงมองในรถเข็นที่นอกจากจะมีของสดไว้ทำสุกี้แล้วยังมีขนมนมเนยอยู่เต็ม “แค่นี้ก็พอ”

“งั้นไปคิดเงินกันเลยดีกว่า จะได้รีบกลับ”

ดินพูดแต่ยังไม่ทันจะได้ออกเดินก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกเมื่อรับรู้ถึงไออุ่นและแผ่นอกแข็งแรงที่สัมผัสหลัง  ชายหนุ่มรีบหันขวับไปอย่างรวดเร็ว ทำให้จมูกไปกระแทกกับอกแข็งแรงนั่นเข้าเต็มๆ  ดินลูบจมูกป้อยๆ ด่าสวนไปทันที “เล่นอะไรบ้าๆ”

“ไม่ได้เล่นสักหน่อย จะช่วยเข็นรถ” เดือนพูดหน้าตาเฉย  ซึ่งทำให้ดินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิด จะช่วยเข็นก็บอกสิโว้ย มายืนซ้อนหลังทำซากอ้อยอะไร!

ชายหนุ่มหน้าร้อนวูบเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบกับเด็กสาวสองคนแอบมองพวกเขาอยู่ พอรู้ว่าเขารู้ตัวแล้วพวกเธอก็หลบตาแล้วเดินจากไป แต่ยังไม่วายยิ้มแล้วกระซิบกระซาบกันพลางกลับมามองทางนี้เป็นระยะ

‘เป็นแฟนกันแน่เลยแก’

‘กรี๊ดดด น่ารักมาก  คนเมะก็หล่อ คนเคะก็น่ารัก อ๊ายย ฟินว่ะ’

บทสนทนาที่ได้ยินแว่วๆทำให้ดินอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี  เขาไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรคือเมะคือเคะ แต่ที่เข้าใจก็คือสถานการณ์ตอนนี้ของพวกมันโคตรจะล่อแหลม!

นี่มันเหมือน...เหมือนแฟนกันเลยนี่นา

“ทำไมคนมองเราเยอะจัง” ร่างสูงพึมพำ ดินหันไปมองรอบตัวก็พบว่าหลายคนจ้องมองมาทางพวกเขาทั้งนั้น  โธ่เอ๊ย ยังจะไม่รู้ตัวอีกนะว่าทำไม 

ปึ้ก

“โอ๊ย ดินเหยียบเท้าพี่ทำไมครับ”

“ก็คุณแกล้งผมก่อน!”

คนตัวเล็กตวาดแว้ด ก่อนจะมุดตัวออกมาวงแขนแข็งแรงนั่นแล้วเดินนำหน้ารถเข็นไปยังแคชเชียร์

หยุดนะ หยุดเลยไอ้หัวใจบ้าๆนี่...มันก็แค่เรื่องบังเอิญ อีกคนก็แค่แกล้งเขาเท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้น ห้ามอาย...ห้ามเขิน...ลืมมันไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ นายปฐพี!

กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้ว พอขนของเขข้าบ้านเสร็จดินก็จัดการทำสุกี้อย่างรวดเร็ว สุกี้หม้อใหญ่กับคนสองคนในตอนแรกดูเหมือนจะมากเกินและคนทำก็คิดไว้แล้วว่าของเหลือแน่ๆ  แต่ดินคงประเมินกระเพาะของนายรวีกานต์ต่ำไป เพราะคนตัวโตกินเอาๆจนสุดท้ายหม้อก็เหลือแต่ผักกับน้ำซุป ระกว่างที่นั่งกินกันเดือนก็เปิดดีวีดีที่ซื้อมาวันนี้ไปด้วย ดูหนังไปกินไป รู้ตัวอีกทีก็สุกี้ก็หมดหม้อแล้ว

หลังจากเก็บล้างทุกอย่างเสร็จเดือนก็ลากน้องชายต่างสายเลือดออกมาที่ชานระเบียงบนชั้นสอง บ้านชั้นบนของเขาออกแบบมาให้คล้ายกับบ้านทรงไทยโบราณ  มีชานระเบียงกว้างขวางที่วางกระถางดอกไม้หลากสีสันซึ่งบานสวยงามในตอนเช้า โคมไฟทอแสงสีส้มนวลตา  ที่ชานระเบียงมีเก้าอี้โยกทำจากไม้กับโต๊ะกลมเข้าชุดกันอยู่ ไม่ไกลจากตรงนั้นยังมีแคร่ไม้ไผ่อยู่ด้วย คืนนี้เดือนเลือกที่จะนั่งตรงแคร่ไม้ไผ่  เขาวางผ้านวมที่ถือติดมือลงมาด้วยไว้บนแคร่ก่อนจะเขยิบให้ดินนั่งด้วย

กลิ่นหอมของดอกไม้ที่บานตอนกลางคืนโชยมากับลมอ่อนๆยามราตรีชวนให้ชื่นใจ  “จริงๆออกมานั่งแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”

“ครับ ถ้าคุณไม่กลัวโดนยุงดูดเลือดหมดตัวจะย้ายมานอนที่นี่ทุกคืนก็ได้นะครับ”

“จะปีใหม่แล้ว เลิกด่าพี่เถอะครับ”

“อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้สิพี่เดือน”

เดือนชะงักเมื่อได้ยินคำว่า ‘พี่’ จากปากคนตรงหน้า น้อยครั้งที่อีกคนจะเรียกเขาแบบนั้น สงสัยคืนนี้จะเป็นคืนที่ดีแฮะ
“ยิ้มอะไรครับ” ดินเอียงคอน้อยๆมองคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างงุนงง

“ก็...น้องดินเรียกฉันว่าพี่”

   “อ่า...” ดินหันหน้าไปทางอื่น  แต่เดือนสาบานได้ว่าอีกหน้าแดง “เรียกบ่อยๆสิ” เขาพูด “พี่ชอบ”

   คนตัวเล็กหันมามองเขา ลอยหน้าลอยตาพูดบ้าง “ไม่เอาหรอกครับ ของดีไม่ได้มีบ่อยๆนะ”

   “ใจร้าย”

   “ไม่เคยบอกว่าใจดีนี่นา”

   “เด็กดื้อ”


   “คนโตแต่ตัวแบบคุณไม่มีสิทธิ์มาว่าผมด้วยคำนี้หรอกนะครับ”

   พวกเขาคุยกันไป เถียงกันไป นั่งกันอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานได้อย่างไรก็ไม่ทราบ แบ่งกันใช้ผ้านวม นั่งเบียดกันจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นของอีกฝ่าย  ดินรู้สึกว่าวันนี้เขาพูดมากกว่าทุกวัน  ถ้าเป็นปีใหม่ปกติเวลาดึกป่านนี้เขาคงจะเข้านอนไปแล้ว แต่วันนี้เขากลับมานั่งอยู่ตรงชานระเบียง นั่งเถียงกับพี่ชายต่างสายเลือด

   ทั้งที่มันควรจะหน้ารำคาญ แต่ดินรู้ว่าตอนนี้บนใบหน้าของแตะแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เพราะเขาเห็นมันสะท้อนอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้าเช่นกัน

   “นี่...ผมสงสัยล่ะ” จู่ๆดินก็พูดขึ้นมา ชายหนุ่มหันไปมองเดือน “ทำไมคุณถึงไม่ไปอิตาลีล่ะ?”  พอได้ยินคำถามนั้นเดือนก็กระพริบตาปริบ  ไม่คาดคิดว่าดินจะถามคำถามนี้ออกมา

   “คำตอบมันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วใช่รึไง”  ชายหนุ่มกระชับผ้านวมขณะที่อีกมือก็ยื่นไปเกลี่ยเส้นผมสีดำที่ปรกตาอีกฝ่ายไปทัดหูให้อย่างอ่อนโยน “ฉันบอกแล้วว่าจะไม่ทิ้งนาย ฉันจะอยู่กับนายเสมอ”

   “อะไรกัน...เพราะเรื่องแค่นั้น...”

   “มันไม่ใช่แค่เรื่องแค่นั้นนะ”  เดือนพูดเสียงเข้ม “ฉันบอกว่าจะไม่ทิ้งนายก็คือไม่ทิ้ง นั่นหมายความว่าฉันจะไม่ปล่อยให้นายนั่งเฉาฉลองปีใหม่อยู่บ้านคนเดียวแน่”  อ่า...แก้มขาวๆของอีกฝ่ายซับสีแดงระเรื่อขึ้นมาอีกแล้ว เดือนยิ้มหล่อให้คนตรงข้าม   รู้ตัวแน่ๆแล้วว่าวันนี้คงไม่โดนทำร้ายร่างกายเลยถือวิสาสะไม่จับมือน้อยของอีกคนไว้

   “คุณมันบ้า” ดินกระซิบเสียงแผ่ว ก้มหน้างุด  แต่กระนั้นก็ไม่ได้สะบัดมือเขาออก  เดือนบีบมือน้องชายแผ่วเบา หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ “ใครๆก็ว่าแบบนั้น...”

   “แต่เราคือครอบครัวเดียวกันนี่นา”

   ไม่มีเสียงสนทนาใดๆอีก มีแต่ความเงียบที่ปกคลุมร่างกาย แต่คนทั้งคู่ก็ไม่ได้อึดอัดกับความเงียบนี้ นั่งจนไหล่ชิดกัน ฟังเสียงลมหายใจของกันและกัน  มันดูอบอุ่นและอ่อนหวานอย่างน่าประหลาด

   พวกเขานั่งกันอยู่จนกระทั่งเดือนพูดขึ้น “นี่อีกหนึ่งนาทีจะปีใหม่แล้วนะ”

   “แล้วเราต้องทำไง”

   “อืม...ก็นับถอยหลังล่ะมั้ง”

   10

 พวกเขายิ้มให้กัน ดินเองก็ยิ้มก่อนจะเอ่ยความปรารถนาสุดท้ายก่อนสิ้นปีออกไป

    9
   “ปีหน้า...อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกนะครับแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา”

   8

   “เช่นกัน...ปีหน้าก็ฝากตัวด้วยนะ”

   7

   เดือนพาเขาเดินออกไปจนชิดริมระเบียง มือของพวกเขายังจับกันไว้แน่น

   6

   “นี่” เดือนเรียกดินไว้ จับอีกคนให้หันมาหาเขาอย่างแผ่วเบา

   5

   “นายอาจจะคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่จริงๆแล้วนายคิดผิด”

   4

   “นายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรามาตลอด...และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป...นายคือครอบครัวของเรานะ”

   3

   ดินรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหลังม่านน้ำตา แต่ปลายนิ้วที่อ่อนโยนก็เกลี่ยมันออกให้อย่างแผ่วเบา

   2

   เดือนค่อยๆโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย พวกเขาขยับเข้ามาชิดกันจนกระรู้สึกได้ถึงไออุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆจากฝ่ายตรงข้าม ใกล้จนกระทั่งเห็นเงาของตัวเองสะท้อนออกมาจากนัยน์ตา

   1

   ใกล้...จนกระทั่งริมฝีปากอุ่นของคนตัวสูงประทับลงบนหน้าผากเนียนของดิน  ใกล้จนหัวใจสองดวงเต้นถี่รัวอย่างห้ามไม่อยู่  ใกล้...จนกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง

   0

   “สุขสันต์วันปีใหม่นะน้องดิน”

   “สุขสันต์วันปีใหม่นะครับพี่เดือน”

   พวกเขาพูดออกมาพร้อมกัน  พูดออกมาเวลาเดียวกับที่พลุมากมายถูกยิงขึ้นฟ้า ดอกไม้ไฟหลากสีสันพร่างพราวงดงาม ปลุกยามราตรีให้สว่างไสว  เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเฮมากมาย พลุอีกหลายชุดถูกยิงตามมา แต่คนที่อยู่บนชานระเบียงต่างก็ไม่ได้สนใจ

   สิ่งที่สนใจมีเพียงคนที่อยู่ตรงหน้า

   “ง่วงหรือยัง” เดือนถามเสียงแผ่วเบา ขณะที่น้องน้อยของเขาพยักหน้าหงึก “คืนนี้ไม่อยากไปนอนในห้องเลยแฮะ...แต่เอาเถอะ ไปนอนกันดีกว่า” คนเป็นพี่พึมพำ เตรียมจะจับจูงคนผมดำกลับห้องนอน แต่แรงคนด้านหลังก็รั้งเขาไว้  เมื่อหันไปเดือนก็พบว่าดินก้มหน้างุด สองแก้มแดงก่ำ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า

   “งั้นคืนนี้...จะยกเว้น...นอนที่ระเบียง...ก็ได้นะครับ”

   “แล้วไม่กลัวยุงแล้วเหรอ?”

   “ผมไม่ได้กลัวยุงสักหน่อย” ดินแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับไปมุดตัวเข้าไปในผ้านวม “คุณจะนอนหรือไม่นอนล่ะ?”

   แล้วไอ้รวีกานต์จะปฏิเสธไปเพื่ออะไรล่ะครับ?

   ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมหมอนนิ่มๆอีกสองใบ กับผ้านวมอีกหนึ่งผืน จัดการปูผ้านวมลงกับพื้น “ลงมานอนพื้นดีกว่า นอนเบียดกันบนแคร่เดี๋ยวปวดหลังนะ”

   ดินพยักหน้า หอบผ้านวมลงมาอย่างว่าง่ายจนคนตัวโตนึกเอ็นดู  ปกติเอาแต่แว้ดๆเขาแต่จริงๆก็ไมใช่คนเลวร้ายหรอก  เดือนเอนตัวลงนอนขณะที่ข้างกายก็มีน้องชายต่างสายเลือดล้มตัวลงนอนเช่นกัน

   พวกเขานอนหันหน้าให้กัน จับมือกันไว้ ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรพิเศษในการกระทำนี้หรือเปล่า แต่พวกเขาต่างรู้...ว่าตนพอใจกับสัมผัสพิเศษเหล่านี้

   “ฝันดีนะ”

   “เช่นกันครับ”

   การฉลองปีใหม่แบบนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับดิน...มันพิเศษ พิเศษยิ่งกว่าปีไหนๆ เพราะคนตรงหน้า

เพราะเดือน

    หัวใจของเขาบอกว่าเดือนจะทำให้ปีหน้าเป็นปีที่พิเศษสำหรับเขาอย่างแน่นอน  คิดได้ดังนั้นคนตัวเล็กก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจ วางทุกๆสิ่งทิ้งไป หลับไปอย่างสงบข้างกายของคนตัวสูง จมดิ่งลงในฝันดีที่ไม่ได้มีมาแสนนาน...

    ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างเช่นกันนะครับ...พี่เดือน

............................

พี่เดือนคะ...เอาใจไป 5555
:L2:
เลิฟๆพี่เดือนและน้องดินมากๆ
นี่ก็ปีใหม่แล้ว Happy New Year นักอ่านทุกท่านนะคะ ขอบคุณจริงๆที่เข้ามาอ่านและติดตามกัน
ปีใหม่นี้ขอให้ทุกคยมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง นะคะ และขอฝากนิยายเรื่องนี้ให้ทุกคนเก็บไว้ในใจในปีต่อไป
สุขสันต์วันปีใหม่ค่า
   
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗.๕ พิเศษใส่ใจ |คืนข้ามปี| {๓๑.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-12-2015 21:13:18
เก็บเเต้มไปเยอะเลยนะฮะ ตอนนี้
สุขสันต์วันปีใหม่เช่นกันจ้าาาา
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗.๕ พิเศษใส่ใจ |คืนข้ามปี| {๓๑.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 31-12-2015 21:53:00
พึ่งเข้ามาอ่าน สงสารดินมากเลย หวังว่าพี่เดือนจะช่วยเยียวยาเนได้นะ คือนางกวนตีนมาก555
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗.๕ พิเศษใส่ใจ |คืนข้ามปี| {๓๑.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 31-12-2015 22:09:54
 :call:


งานนี้พี่เดือนทำดีมากกกก 


+10 คะแนน :D
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๗.๕ พิเศษใส่ใจ |คืนข้ามปี| {๓๑.๑๒.๕๘}
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 01-01-2016 04:17:59
บูชาพี่เดือนค่ะ 555555
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๘ |ทะเล(พัก)ใจ I| {๘.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 08-01-2016 22:05:07
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๘
ทะเล(พัก)ใจ

เสียงล้อยางบดลงบนถนนที่เต็มไปด้วยหินและก้อนกรวด จักรยานสีแดงคันเล็กที่สีหลุดลอกไปตามกาลเวลาแล่นปุเลงๆไปตามถนนเส้นเล็กที่ตัดผ่านทุ่งนา  เส้นทางขรุขระทำให้คนรับหน้าที่เป็นสารถีต้องออกแรงถีบมากขึ้น  ทั้งๆที่อากาศในยามเช้าค่อนข้างเย็นแต่คนปั่นจักรยานกลับเหงื่อตกผิดกับคนที่นั่งซ้อนท้าย ที่ยังสะอาดเอี่ยมเหมือนเมื่อตอนออกจากบ้าน

“แฮ่ก...น้อง...แฮ่ก...ดิน...อีกไกลไหมเนี่ย” เดือนร้องถามขึ้นมา ลมหายใจกระชั้นถี่จนน่าสงสาร  ขณะที่ดินซึ่งเป็นคนซ้อนท้ายลอบยิ้มออกมาอย่างสะใจ สมน้ำหน้า อยากโชว์แมนดีนัก  นี่ไงให้โชว์เต็มที่เลย

สาเหตุที่วันนี้พวกเขาสองคนพี่น้องต้องออกมาออกกำลังกันแต่เช้าก็เป็นเพราะคุณแม่ฝากให้เอาปิ่นโตใส่อาหารไปให้ยายจันทร์ ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆไม่ไกลจากบ้านพวกเขามากนัก เพียงแต่เส้นทางเข้าหมู่บ้านมันค่อนข้างจะ...วิบากไปสักหน่อย 

อันที่จริง...มันก็ไม่ได้ไกลหรอก ขับเลียบถนนใหญ่ไปแค่สิบห้านาทีก็ถึงแล้ว

แต่นั่นแหละ  เมื่อสารถีคือนายรวีกานต์ที่ดินหมั่นไส้นักหนา  จากเส้นทางถนนลาดยางสิบห้านาที มันเลยเปลี่ยนมาเป็นถนนลูกรังขรุขระสามสิบนาทีแทน

แต่ดินไม่ได้โกหกนะ  ทางนี้มันไปหมู่บ้านของยายจันทร์ได้จริงๆ

มันแค่อ้อมไปท้ายหมู่บ้านแค่นั้นเอง

ครึก ครึก

เสียงล้อบดกับกรวดยังคงดำเนินต่อไป  ดินมองแผ่นหลังกว้างที่ขยับไปมาตามจังหวะการปั่นจักรยาน  กลิ่นหอมอ่อนๆจากครีมอาบน้ำของเดือนลอยมากระทบจมูกพร้อมสายลมอ่อนยามเช้า

ภาพผู้ชายหน้าหล่อดีกรีนายแบบมาปั่นจักรยานแม่บ้านสีแดงแบบนี้มันตลกจริงๆนะ

เส้นทางที่เราจะมุ่งไป
เรื่องราวมากมายในชีวิต
หนทางที่เดินฉันลิขิตเอง


เสียงทุ้มที่จู่ๆก็ร้องเพลงออกมาดึงความสนใจจากดินไปได้  คนผมดำเพิ่งค้นเมื่อไม่นานมานี้เองว่าเดือนไม่ได้มีดีแค่หล่อ  อดีตนายแบบยังร้องเพลงได้เพราะมากอีกด้วย

แต่ทำไมแต่ล่ะเพลงที่ร้องต้องร้องบอกอายุขนาดนั้นด้วยไม่ทราบ...

จะไปว่าก็ไม่ได้ เพราะดินก็รู้จักเพลงที่ไอ้คนตัวใหญ่นี่ร้องหมดทุกเพลงนั่นแหละ

เหมือนจักรยานขี่เอง
ไม่มีใครมาลากไป
ทางเดินของใครของมัน
และฉันกับเธอ จะไปด้วยกัน
ขี่ไปพร้อมกัน จักรยานสีแดง
*(จักรยานสีแดง – LOSO)

เดือนหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังร้องเพลงคลอออกมาพร้อมเขา  ดินชอบว่าเขาว่าร้องเพลงเก่าบอกอายุ แต่เห็นที่ร้องออกมาอีกคนก็รู้จักทุกเพลง

“ที่ร้องเพลงนี้เพราะมันเข้าบรรยากาศใช่ไหมครับ”

จักรยานที่พวกเขาใช้วันนี้ก็เป็นสีแดงนี่นะ

“ฮ่าๆ ก็ใช่นะ แต่มันตรงกับความรู้สึกในตอนนี้ด้วยแหละ”

ดินกระพริบตาปริบมองคนข้างหน้า ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป  ไม่ใช่ว่าดินไม่รู้...ว่าเดือนมีอะไรในใจ แต่เขาเชื่อว่าหากพร้อมเดือนคงจะพูดออกมาเอง หน้าที่ของเขาคืออยู่ข้างๆ เหมือนที่เดือนอยู่ข้างๆเขาในวันนั้น

วันที่เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันถาโถมเข้ามา ถ้าเป็นคนปกติคงรีบเค้นถามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เดือนแค่จับมือเขาไว้ รอจนเขาหยุดร้องไห้แล้วก็พากลับบ้าน  หลังจากวันนั้นก็ทำตัวเหมือนปกติ พอเขาเข้าไปถามว่าไม่สงสัยเหรอ อีกฝ่ายก็พูดแต่ว่า
‘สงสัย แต่รอให้นายพร้อมจะเล่าดีกว่า ทำแบบนั้นมันดีกับตัวนายเองมากกว่า’

แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีการพูดถึงเหตุการณ์ในคืนงานวัดขึ้นมาอีกเลย  ทั้งๆที่เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ดินรู้ว่ามันมีบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลง

เหมือนกำแพงในหัวใจของเขาถูกทลายลงช้าๆ ลดลงไปทีละนิด

ทีละนิด...

เอี๊ยดดด กึก!

จู่ๆจักรยานแม่บ้านสีแดงก็หยุดกะทันหัน ทำเอาคนผมดำที่กำลังใจลอยถลันไปข้างหน้าปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้างของเดือน  ดินถอยออกมา ลูบจมูกตัวเองป้อยๆอย่างเจ็บปวด

“เป็นอะไรไปครับ” คนผมดำชะโงกหน้า มองข้ามไหล่พี่ชายที่ไม่ยอมปั่นจักรยานต่อไปเสียทีอย่างสงสัย  ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจะฉายแววงุนงงออกมา “นั่นมัน...”

“วัว...”  เดือนกระซิบเมื่อเห็นวัวสีขาวตัวใหญ่ยืนสะบัดหางเคี้ยวหน้าเอื่อยๆอยู่เบื้องหน้า  ดินพยักหน้าหงึก เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายไม่ปั่นจักรยานต่อ เพราะเจ้าวัวตัวนั้นมันยืนขวางอยู่กลางถนนพอดี  ถนนเส้นนี้ก็เล็กนิดเดียว ทำให้ขี่อ้อมไม่ได้ ไม่งั้นได้ตกคันนาแน่ๆ

“คือ...น...น้องดิน”

“ครับ?”

“มันจะขวิดพี่ไหม?”

ขวิด?...อะไรขวิด? วัวเหรอ?

อย่าบอกนะว่าไอ้หมีหล่อนี่มันกลัววัว!  อื้อหือ ใหญ่แต่ตัวจริงๆ ใจนี่เล็กกว่าปลาซิวอีกมั้งเนี่ย 

ดินกลอกตา “ไม่ขวิดหรอกครับ เจ้าตัวนี้มันเป็นวัวตัวเมีย เขาเรียกกันน้องทองกวาว  รักสงบจะตายไป” หนนี้ดินไม่ได้โกหกนะ น้องทองกวาวน่ะ วัวขวัญใจคนหมู่บ้านนี้ เพราะมันเป็นแม่วัวรักสงบที่วันๆไม่ค่อยทำอะไรนอกจากเคี้ยวเอื้อง เดินไปมาแล้วก็นอน

“ง...งั้นเหรอ” เดือนกลืนน้ำลายเอื๊อก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นวัว แต่ไม่เคยเห็นในระยะใกล้ขนาดนี้นี่หว่า  มันก็ต้องมีตกใจกันบ้างแหละ “งั้นดินบอกให้...เอ่อ...ทองกวาวขยับไปได้ไหม”

“ผมเป็นคน ไม่ใช่วัวจะไปสื่อสารกับน้องเขาได้ยังไง อย่าแสดงความรู้น้อยออกมาแบบนี้สิครับ

ขนาดนี้แล้วด่ากูโง่เลยเถอะครับ  ยอมแล้วครับ พี่เดือนยอมน้องแล้วครับ

“แล้วแบบนี้จะไปยังไงล่ะ มัน เอ้ย น้องทองกวาวยืนขวางทางอยู่นะ” ถ้าไปช้ามีหวังอาหารในปิ่นโตได้เย็นชืดหมด

ดินเองก็คิดไม่ตกกับปัญหานี้เช่นกัน  ถ้าอ้อมไปอีกทางคงเสียเวลา แต่ก็ดีกว่ามายืนคุยกับวัวล่ะวะ “งั้นเราคงต้องใช้อีกทางนึง...” คนตัวเล็กพูดแต่ยังไม่ทันจบประโยคเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

“พี่ดิน!”

คนผมดำหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ดูแล้วอายุคงประมาณห้าถึงหกขวบวิ่งถลามาทางเขา ผมแกละสองข้างสะบัดไปมาตามจังหวะการวิ่ง ก่อนที่ร่างน้อยๆนั้นจะโถมมาหาพี่ชายหน้าตาน่ารักที่ไม่ได้พบกันนาน ดินยิ้มกว้างอ้าแขนรับร่างเล็กๆนั้น กอดแน่นพร้อมหอมแก้มยุ้ยๆซ้ายขวาจนเด็กน้อยหัวเราะคิกคักชอบใจ

“ว่าไงครับน้องแก้ว  สบายดีมั้ยเรา ดื้อหรือเปล่าเนี่ย หืม” เด็กหญิงแก้วตายิ้มอวดฟันหลอสองซี่หน้าให้พี่ชายสุดน่ารักที่ชอบแวะเวียนมาหาคุณยายจันทร์แล้วก็เอาขนมมาแบ่งเธอบ่อยๆ “น้องแก้วไม่ดื้อค่า  น้องแก้วออกจะเรียบร้อย ช่วยคุณยายทำงานบ้านทุกวันเลยนะคะ” เสียงเล็กๆนั่นพูดเจื้อยแจ้วตามประสา จนคนฟังสองคนอดอมยิ้มกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนั้นไม่ได้

ดวงตากลมโตของน้องแก้วตากวาดไปรอบๆจนไปสะดุดกับพี่ชายตัวสูงที่ไม่คุ้นหน้า เด็กหญิงเลยเอียงคอมองอย่างสงสัย...ทำไมพี่ชายคนนี้ตัวโตจัง...จะใช่ยักษ์กินคนแบบในนิทานที่คุณยายให้ฟังหรือเปล่านะ   นิ้วป้อมๆของน้องแก้วตาชี้ไปที่เดือนพร้อมกับเสียงเล็กเอ่ยถาม “พี่ดินขา  พี่ชายตัวโตคนนี้ใครหรือคะ ใช่ยักษ์กินคนหรือเปล่าทำไมตัวใหญ่จัง”

เดือนที่ยืนมองเด็กน้อยอยู่ถึงกับหน้าเหวอ ชิบละ...จู่ๆมาเหมากูเป็นยักษ์ไปซะอย่างนั้น พี่ไม่ใช่ยักษ์ครับเด็กน้อย แบบนี้เขาเรียกคนกระดูกใหญ่

อดีตนายแบบยิ้มหล่อให้กับเด็กน้อยวัยห้าขวบที่พอเห็นรอยยิ้มกว้างนั้น หนูแก้วตาก็ออกอาการอาย บิดตัวซุกหน้าเข้าหาไหล่พี่ดิน ทำให้ไม่ทันเห็นสงครามระหว่างผู้ใหญ่สองคนที่ขยับปากเถียงกันแบบไร้เสียง

‘คุณนี่มันเจ้าชู้โดยกำเนิดจริงๆ กับเด็กก็ไม่เว้น’

‘เขาเรียกรอยยิ้มการทูตครับ กรุณาอย่าใส่ความพี่’

เดือนพูดแล้วเดินเข้าไปประชิดตัวดินที่กำลังอุ้มเด็กหญิงผมแกละอยู่ ทำเอาอีกคนถอยหนีแต่ก็ช้าไปเมื่อคนตัวสูงสะกิดน้องยิกๆเป็นทำนองว่าหันมาสนใจกันหน่อย เมื่อเด็กหญิงยอมหันมาเดือนก็ยิ้มกว้างให้พร้อมกับหยิบนมรสช็อกโกแลตกล่องเล็กจากในย่ามสีสดที่เขาใช้ใส่ของกินเล่นมาเผื่อหิวยื่นให้น้อง

“สวัสดีครับน้องแก้ว พี่ชื่อเดือนครับ เป็นพี่ชายของพี่ดินครับ” 

เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกล่อด้วยนมรสโปรดค่อยๆคลี่ยิ้มให้พี่ชายตัวสูง รู้สึกเป็นมิตรด้วยขึ้นมา “สวัสดีค่ะ หนูชื่อเด็กหญิงแก้วตาค่ะ” เสียงเล็กๆเอ่ยแนะนำตัวเหมือนเวลาที่แนะนำตัวหน้าชั้นเรียนหรือแนะนำตัวกับคุณครู ก่อนที่เด็กน้อยจะยกมือไหว้ขอบคุณอย่างมีมารยาทยิ่งทำให้เดือนเอ็นดูมากขึ้นไปอีก

เด็กอะไรช่างพูดจริงๆ แก้มยุ้ยๆนั่นก็น่าฟัด คงเป็นเด็กน้อยขวัญใจใครหลายคนเลยสินะ

ดูอย่างคนตรงหน้าเขาสิ อุ้มน้องไม่ยอมวางเลย เหมือน ‘แม่’ กับ ‘ลูก’ ชะมัด!

“แล้วนี่น้องแก้วออกมาทำอะไรครับ วิ่งเล่นเหรอ” ดินถามแต่เด็กน้อยส่ายหน้า “เปล่าค่ะ น้องแก้วพาพี่ชายที่มาขอถ่ายรูปมาเที่ยว”

“พี่ชายที่มาขอถ่ายรูป?”

“ค่ะ เป็นคนรู้จักของคุณยายจันทร์ค่ะ  พี่เขามาถ่ายรูปแปลงผักในหมู่บ้านเราแล้วน้องแก้วก็เลยพาพี่เขามาถ่ายหาที่ภาพสวยๆค่ะ”

ดินพยักหน้ารับ ยิ้มให้เด็กน้อย ให้รางวัลความฉลาดของอีกฝ่ายด้วยการจุ๊บแก้มนิ่มๆไปอีกสองที  หมู่บ้านเล็กๆนี้คนภายนอกมองคงจะเห็นเป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดาที่ไม่สำคัญ แต่คนในอำเภอรู้ดีว่าที่นี่มี ‘ปราชญ์ชาวบ้าน’ อยู่ ก็คือหัวหน้าหมู่บ้าน  ที่คิดค้นปุ๋ยหมักสูตรพิเศษที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผลผลิตได้ และมีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับลูกบ้านสามสิบกว่าครัวเรือนนี้ จนหมู่บ้านนี้แทบจะไม่มีคนเดือดร้อนเรื่องอาหารการกินหรือเรื่องค่าใช้จ่ายเลย

เพราะทุกคนเกื้อกูล เอื้อเฟื้อและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมถึงมีความพอเพียงและพอดีในชีวิต

“แล้วนี่พี่เขาอยู่ไหนล่ะ” มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นคนที่ดูเหมือนจะเป็นช่างภาพคนที่ว่าเลย  น้องแก้วเลยชี้ไปที่มุมหนึ่งไกลๆที่เห็นเป็นร่างคนกำลังยืนอยู่  เดือนเพ่งมองก็พบว่าคนๆนั้นมองมาทางนี้ก่อนจะเดินมาทางพวกเขา

เมื่อช่างภาพคนนั้นเดินเข้ามาใกล้พอที่ระยะสายตาจะมองเห็น คนสวมแว่นก็พบว่าเขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง  มีมัดกล้ามสมส่วนทำให้ดูดีภายใต้ชุดเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดๆ  ใบหน้าคมเข้มไม่มีหนวดเคราแต่กลับไว้ผมยาวแล้วมัดรวบเป็นมวยไว้  ท่าทางมาดเซอร์สมเป็นคนทำงานศิลปะ ชายหนุ่มคนนั้นถือกล้องเอาไว้ทำให้เดาได้ว่าเป็นช่างภาพคนที่น้องแก้วพูดถึงแน่นอน  ดินยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะแนะนำตัว

“สวัสดีครับ  ผมดินเป็นคนรู้จักของยายจันทร์ครับ น้องแก้วเล่าว่าคุณมาถ่ายภาพแปลงผักของที่นี่เหรอครับ”

พูดไปแต่คนฟังก็หาสนใจไม่ ดวงตาคมดุมองเลยผ่านดินไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงใหญ่พอกันที่ยืนอยู่ข้างๆ  ดินกระพริบตาปริบมองพี่ชายจำเป็นที่มีสีหน้าตกตะลึงไม่แพ้ช่างภาพมาดเซอร์คนนั้น ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจระคนดีใจ

“ไอ้คนป่ารัน!”

“ไอ้เดือนดับ!”

อืม...ดินกระพริบตามองชายหนุ่มสองคนตบหลังตบไหล่กันเหมือนสนิทที่ไม่ได้พบกันนานแล้วก็รู้สึกตงิดๆในใจกับท่าทางสนิทสนมนั้น

คู่จิ้นไอ้พี่เดือนมันหรือไงนะ...


หลังจากส่งปิ่นโตให้ยายจันทร์เรียบร้อย เดือนก็พาน้องชายพร้อมช่างภาพมาดเซอร์กลับบ้าน โดยหนนี้พวกเขากลับกับรันโดยเอาจักรยานแม่บ้านใส่ท้ายรถกระบะของอีกฝ่าย  การกลับบ้านทำให้เดือนรู้ว่าไอ้น้องดินมันหลอกเขาอีกแล้ว! บ้าชิบ ทางดีๆก็มีดันให้เขาไปปั่นอ้อมโลกแบบนั้นซะได้

“ว่าแต่กูไม่ได้เจอมึงมานานเท่าไหร่แล้ววะ ตั้งแต่จบมหา’ลัยเลยป่ะ”  รันหรือชื่อเต็มคือ อารัณย์เอ่ยขึ้น  เหลือบมองเพื่อนสนิทสมัยมหา’ลัยเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเหมือนกันนะว่าจะเจอมึงที่นี่”

“นั่นดิ ว่าแต่มึงเป็นไง สบายดีป่ะ แล้วได้เจอพวกไอ้เจมส์ ไอ้กิต ไอ้กรบ้างป่ะ”

“เจอดิ ใครเขาจะไปเป็นดาราดังคิวงานแน่นแบบมึงล่ะ เวลาสังสรรค์แทบจะไม่มี”

เดือนหัวเราะ ก็จริงที่ว่าหลังจากเข้าวงการแล้วเวลาที่เขาไปพบจอเพื่อนในกลุ่มก็น้อยลง แต่อย่าว่าแต่เวลาสังสรรค์ เวลานอนกูยังจะไม่มีเลยครับ

“ทำเป็นด่ากู พูดเหมือนมึงเจอตัวง่ายมากมั้ง เลิกอินดี้แบบอยู่ๆก็แบกกล้องหายไปเลยหรือยังล่ะ” คนตัวสูงแขวะกลับ สมัยเรียนไอ้รันมันติสท์หนักมาก ตามประสาคนจริงหัวใจศิลป์  เคยเบื่อโลกหนักถึงขั้นวันดีคืนดีก็หยุดเรียนไปดื้อๆ เขาตามหาตัวกันให้วุ่น มารู้กันวันที่มันโทรมาบอกว่าฝากให้เพื่อนที่คณะเอางานมันไปส่งอาจารย์ให้ด้วยว่ามันสะพายกล้องไปท่องเชียงรายเรียบร้อย

ไอ้หมอนี่มันเป็นประเภทอยากไปไหนก็ไป  นานๆทีจะหาตัวเจอ แถมมันเป็นพวกไม่นิยมเทคโนโลยี มีไลน์มีเฟสไว้ส่งแนว
ข้อสอบกับรูปหลุดเพื่อนแค่นั้น  ปิดเทอมว่างๆก็หายเข้าป่าไปถ่ายรูป ไปอยู่บนดอยช่วยสอนหนังสือเด็ก เผลอๆโผล่ไปอีกซีกโลกก็ยังมี...

แต่คนใจอาร์ตมักมาพร้อมพรสวรรค์ เพราะรูปถ่าย ภาพวาดและงานศิลปะของไอ้หมอนี่มันขายได้แทบจะทุกชิ้น แถมบางชิ้นที่เป็นมาสเตอร์พีซก็แทบจะถูกพวกคนรู้จักของมันที่ต่างประเทศทุ่มราคาซื้อให้ไม่อั้น บางชิ้นมันก็ขาย บางชิ้นมันก็ไม่ขาย  แล้วแต่ความพอใจของตัวมัน เหมือนกับครั้งหนึ่งที่มันวาดภาพ ‘ความสุข’ ขึ้นมา  เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของมันเลยก็วาดได้ 

เศรษฐีของอเมริกาคนหนึ่งเสนอเงินหลักแสนให้มันก็ไม่เอา แต่มันกลับ ‘ให้’ ภาพวาดชิ้นนั้นให้กับเจ้าของโรงแรมเล็กๆในอังกฤษแทน  พอมีคนถามมันก็ตอบไปด้วยสีหน้านิ่งๆ

‘กูวาดภาพมาเพราะกูพอใจจะวาด กูให้เพราะพอใจจะให้...ให้ผลงานกูไปอยู่กับคนที่เห็นค่า  ผลงานคราวนี้ชื่อ ‘ความสุข’ มันควรได้ไปอยู่ในที่ที่คนจำนวนมากเห็นมัน อยู่ในที่ที่มันพอจะมอบความสุขให้คนหลายคนได้ ไม่ใช่ไปอยู่เหงาๆในแกลอรี่แบบนั้น’

‘แล้วทำไมมึงไม่ขายล่ะ อย่างน้อยเรียกเงินสักหน่อยก็ยังดี’

เดือนจำคำถามตัวเองได้ แล้วก็จำคำตอบของเพื่อนในเวลานั้นได้ดี

‘เพราะความสุขบางอย่างเงินก็ซื้อไม่ได้’

อาร์ตและหล่อมาก มึงหล่อมาก! เดือนแทบอยากจะลุกไปคว้ารางวัลศิลปินใจหล่อมาประเคนให้ ปรบมือสิครับรออะไร

อัจฉริยะตัวจริงก็แบบนี้ บางทีสำหรับคนๆนี้ คนที่หาเส้นทางความฝันของตัวเองเจอตั้งนานแล้ว...ห้องเรียนอาจจะเป็นเพียงจุดแวะพักที่ทำให้มันไปสู่ความฝันเร็วขึ้นเท่านั้น

‘กูไม่ชอบห้องสี่เหลี่ยม มันทำให้จินตนาการกูแคบลง’

รันมันเคยพูดไว้แบบนั้น คิดๆดูแล้วมึงไปเปลี่ยนจากชื่ออารัณย์ที่แปลว่าป่ามาเป็นนายศิลปินแทนเหอะว่ะ ชีวิตมึงจะติสท์เกินไปละ

“ก็มีบ้างแหละที่เข้าป่าไปถ่ายธรรมชาติบ้าง เดี๋ยวนี้กูชอบถ่ายภาพกลางคืน”

“ชีวิตมึงจะติสท์เกินไปละ”

“ธรรมดาเพื่อน วิถีคนอาร์ตก็แบบนี้”

“ถุย”

“มารยาททรามตามเคย”

มีอีกเรื่องเกี่ยวกับไอ้รันที่นายรวีกานต์จำได้แม่นคือความกวนตีนที่สูงปรี๊ดพอกับความอาร์ตแหลกของมัน  สรรหาคำด่ามาทีกูรู้สึกผิดเลยจริงๆ

“แล้วนี่มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” เดือนถาม รันยักไหล่แล้วตอบ “กูมาถ่ายภาพไปนิตยสารอ่ะดิ ตอนนี้กูเป็นช่างภาพอิสระอยู่ รับงานตามความพอใจ ช่วงนี้อยากออกต่างจังหวัดเลยรับงานนี้  มันเป็นคอลัมน์เกี่ยวกับพวกวิถีธรรมชาติไรงี้  ได้ภาพสวยๆมาเยอะเลย”  พูดจบก็เหล่มองเพื่อนข้างตัวบ้าง “แล้วมึงล่ะ ได้ข่าวช่วงนี้กำลังรุ่งนี้หว่า ทำไมมาโผล่ที่นี่ซะได้”

“กลับมาพักผ่อนบ้างดิ คิดถึงบ้าน”

“อ๋อเหรอ”  อารัณย์แค่นเสียงหัวเราะ น้ำเสียงตอบรับเย้ยๆบ่งบอกว่าไม่เชื่อแม้แต่น้อย  ช่างภาพมาดเซอร์เหลือบมองเพื่อนสนิทที่กำลังเลี่ยงไม่สบตาเขา

ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สาเหตุ  เขาเป็นช่างภาพคลุกวงในมาพอสมควร

ข่าวมันก็ต้องมีหลุดออกมาบ้าง แต่ช่างเถอะ

แต่เพื่อนไม่อยากพูดเขาก็จะไม่พูด...มันเป็นยังไงเขาก็รู้ดี ขี้ปากคนน่ะนะ มันจะเสริมเติมแต่งยังไงก็ได้ คนเล่าเล่าให้ตัวเองดูดีกันทั้งนั้นแหละ

แต่เขารู้ว่าเพื่อนเขาเป็นคนดี แค่นั้นก็พอ

คนอื่นจะว่ายังไงก็ช่างหัวแม่ง โลกมันกว้าง เขามานั่งคิดมากกับคำพูดคนทุกคนไม่ได้หรอก เขาทำได้แค่รักษาคนในโลกของตัวเองไว้ก็แค่นั้น

“เออไอ้เดือน  เดือนนี้มึงว่างป่ะ?”

“ก็ว่าง ทำไม?”

อารัณย์เลี้ยวเข้าจอดตรงลานบ้าน  เจ้าหมาองครักษ์ทั้งหลายเห่ากันขรมเมื่อเห็นรถที่ไม่คุ้นเคย  เมื่อจอดรถเรียบร้อยช่างภาพตัวสูงก็หันมาเอ่ยกับเพื่อนสนิท “กูจะชวนมึงไปถ่ายแบบ”

ถ่ายแบบเหรอ...


เดือนวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา  “ทำไมมาชวนกู” อารัณย์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มด้วยท่าทางสบายๆ
“นายแบบที่จะถ่ายลงปกนิตยสารเดือนหน้าดันแคนเซิลงานกะทันหันน่ะสิ อีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะต้องเริ่มถ่ายแล้วด้วย จะไปหาคนมาใหม่ตอนนี้ก็ไม่ทัน พวกเสื้อผ้าก็วัดไซส์ไว้หมดแล้ว กูยังคิดถึงมึงอยู่เลย กะว่าจะลองชวนดูแต่มึงดันหายหัวงดรับงานซะงั้น นี่กูกลุ้มใจมากเลยนะ ดีใจที่เจอมึงก่อน” นัยน์ตาคมพราวระยับเป็นทำนองว่าในเมื่อรู้แล้วก็จงรับงานซะดี   

แต่นายแบบหนุ่มกลับแค่เอนกายพิงผนักนิ่มแล้วส่ายหน้า

“ไม่ล่ะ ช่วงนี้กูงดรับงาน ยาวเลย”

“โห ทำไมวะ”

“ก็...มึงก็น่าจะรู้”

ดวงตาสองคู่สบกัน  ก่อนที่คนผมยาวจะยักไหล่ “แล้วไง  มันก็แค่ข่าวลือวงใน”

“แต่กูกลัวว่าถ้ากูไปถ่ายแบบจะมีคนออกมาพูดเรื่องนี้”

“แล้วมันจริงแค่ไหนล่ะ”

“มันไม่จริง”

“งั้นก็ช่างหัวแม่ง”

เดือนถอนหายใจ พูดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยาก ยากมากๆด้วย  เขาไม่สามารถไม่ใส่ใจคนอื่นได้เท่ากับอารัณย์  อาชีพเขามันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนของประชาชน ทำอะไรผิดนิดหน่อยก็ลามไปใหญ่โตจนแทบจะเรียกได้ว่าต้องระวังทุกฝีก้าว

ตอนนี้ข่าวเรื่องเขากำลังเงียบ เขาควรจะปล่อยให้มันจมดิ่งหายไปช้าๆ ไม่ใช่ไปทำอะไรให้เรื่องราวของเขามันถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีก
เขาไม่อยากให้นักข่าวตามมาถึงบ้านสวน ไม่อยากให้แฟคลับมาตามถ่ายรูปเขาทุกอิริยาบถ

หากออกสื่อเขาก็เต็มใจจะพบเจอ ไม่รังเกียจแฟนคลับ แต่เดือนแค่อยากจะขอ...ให้มันมีสักที่บนโลกใบนี้...ที่ที่เขาเป็นแค่นายรวีกานต์ คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย และหลับไปอย่างสบายใจทุกคืน

ขอแค่มีพื้นที่ให้เขาได้พักหายใจ มีใครสักคน...ที่ยอมรับตัวเขาในแบบที่เขาเป็น

อารัณย์ที่เห็นเพื่อนทำท่าแบบนั้นก็ยกสองมือขึ้นเป็นทำนองว่ายอมแพ้ “เอาเถอะๆ ไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร กูเข้าใจ แต่ก็เสียดายนิดๆแฮะ” คนพูดลูบคางก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้  นัยน์ตาคมดุฉายประกายแพรวราวทำเอาไอ้เดือนถึงกับร้อนๆหนาวๆ

ตงิดๆในใจขึ้นมาแปลกๆ

“ว่าแต่มึงไม่คิดจะแนะนำสักหน่อยเหรอ...น้องชายของมึงอ่ะ”  นั่นไงกูว่าแล้ว  นายรวีกานต์อยากจะสะบัดตีนก่ายหน้าผาก  คนตัวสูงแยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิท

“อย่ามาเจ้าชู้กับน้องกู”

“อะไรว้า แค่นี้ทำหวง”

ก็น้องกูทั้งคนนะโว้ย  แล้วไอ้เพื่อนเวรนี่เจ้าชู้แค่ไหนทำไมไอ้เดือนจะไม่รู้  ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นตั้งท่าถีบ “รุ่มร่ามกับน้องกูมึงโดน”

“หวงขนาดนี้มึงเป็นพี่หรือผัว”

อารัณย์กลั้นขำจนตัวสั่นเมื่อคำแหย่เล่นๆของเขามันดันส่งผลให้เพื่อนสนิทหน้าขึ้นสีก่อนไอ้หนุ่มลูกครึ่งจะกระแอมกลบเกลื่อน “ก็น้องสิวะ พูดบ้าๆนะมึง”

“มึงรู้ป่ะ ท่าทางมึงมันโคตรเหมือนสาวน้อยมีรักแรกอะไรทำนองนี้”

“ไอ้ห่านี่ ไม่หยุดมึงโดนกูถีบกลับป่าแน่”

ช่างภาพหนุ่มหัวเราะก๊ากทันที ไอ้หมอนี่ กี่ปีๆก็ยุขึ้นแถมดูออกง่ายเหมือนเดิม  ระดับนี้ไม่น่าใช่น้องชายธรรมดาแหงๆ

สงสัยจาก ‘น้องรัก’ จะกลายเป็น ‘รักน้อง’ ซะแล้วล่ะมั้ง

แต่ไอ้เดือนมันโง่  นอกจากโง่แล้วยังชอบทำตลกกลบเกลื่อนอีก คาดว่าเขาแต่งงานมีลูกสองคนแล้วมันคงเพิ่งจะสารภาพรักกับน้องเขา

แต่คิดไปก็เสียดาย...คนชอบของสวยๆงามๆเลียริมฝีปาก...น้องชายไอ้เดือนคนนี้จัดว่าหน้าตาดีในระดับหนึ่ง  ขนาดแต่งตัวธรรมดาแล้วก็ใส่แว่นยังดูน่ารัก...ไม่สิ...’สวย’ ต่างหาก เป็นหนุ่มหน้าสวยที่สวยได้ธรรมชาติมากจริงๆ  ก็คล้ายกับนายแบบอีกคนที่เขาหามาอยู่หน่อยๆ

หนุ่มน้อยน่ารักสองคนที่ชายทะเล...บ๊ะ ไม่รู้บอสจะเห็นด้วยมั้ย ไว้ค่อยโทรไปถาม ยังไงบอสมันก็เป็น รุ่นพี่ที่คณะที่เขาสนิทมาก่อนอยู่แล้ว หัวหน้างานเชื่อใจให้เขาทำนู่นทำนี่เพราะรู้ว่าเขาจะทำงานออกมาดีที่สุด

ไม่เคยมีงานที่ไม่ได้เรื่องผ่านมือ ‘อารัณย์’ คนนี้หรอก

แล้วตอนนี้เขาก็เริ่มเห็นทางสว่างแห่งศิลปะอยู่รำไร!

ความอาร์ตมันเข้าสิง จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ คิดแล้วหนุ่มหล่อมาดเซอร์ก็กระแอมสองสามที  มุมปากผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

“ไอ้เดือนถ้ามึงไม่อยากถ่ายแบบ...งั้นก็เปลี่ยนเป็นเอาน้องมึงมาถ่ายแบบแทนไหมล่ะ”

.....................................

กรี๊ดดด นี่คือการอัพนิยายครั้งแรกของปี ฤกษ์งามยามดีมากๆ 5555 แต่มาลงดึกไปหน่อย
ตอนนี้ลงชดเชยให้กับอาทิตย์ที่แล้วไม่ได้ลงค่ะ เพราะว่าติดสอบยาวเลย อาทิตย์นี้ก็เหมือนกัน (TT_TT)
พูดถึงตอนนี้กฌขอเม้าท์พี่รันแกหน่อย ชอบคนแบบนี้มากกกก  คนที่เหมือนจะขวางโลกในสายตาคนอื่น
แต่พอเราได้เข้าไปคุยได้รู้จัก คนพวกนี้จะมีแนวคิด มีมุมมองแบบสลับด้าให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น
พี่รันจะโผล่มาอีกหลายตอนแน่นอนค่ะ เป็นแสงสว่างส่องทางไอ้พี่เดือนเลยก็ว่าได้
นิสัยสองคนนี้คิดดูค่ะว่าตอนมันคบกันสมัยเรียนจะบรรลัยกันขนาดไหน 5555 คู่หูชู้ชื่นสุดๆ
ส่วน 'น้องรัก' จะเปลี่ยนเป็น 'รักน้อง' ตอนไหน อันนี้ก็ไม่รู้เน้ออ  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๘ |ทะเล(พัก)ใจ| {๘.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-01-2016 00:51:34
เอาเเล้วคนพี่ไม่ยอมเเน่
เเ่ถ้าน้องกวนตีนกลับนิฮาเลยนะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๘ |ทะเล(พัก)ใจ| {๘.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-01-2016 03:53:04
งานเข้าน้องดินอย่างนี้พี่ชายจะอยู่เฉยหรือ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๘ |ทะเล(พัก)ใจ| {๘.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 09-01-2016 04:08:09
กาาาาารี๊ดดดดดด
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องเลย
ชื่อเรื่องโดนมาก ขอบอก :katai2-1: :katai2-1:
ติดตามค่าาาา
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๘ |ทะเล(พัก)ใจ| {๘.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-01-2016 12:15:22
 :pig4:

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๘ |ทะเล(พัก)ใจ| {๘.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 09-01-2016 16:18:56
พี่เดือนเป็นดาราคลุกฝุ่น
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๘ |ทะเล(พัก)ใจ| {๘.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 12-01-2016 09:13:49


ขอให้เพื่อนพี่เดือนคนนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาบางอย่างของทั้งพี่และน้องนะคะ
อยากอ่านน้องดินตอนเขินอีกบ่อย ๆ ป้าว่านางน่ารักดี

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^  :L2:

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๙ |ทะเล(พัก)ใจII ครึ่งแรก| {๑๖.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 16-01-2016 18:17:05
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๙
ทะเล(พัก)ใจII [ครึ่งแรก]


“คุณ...นี่คุณ หิวหรือเปล่า กินแซนด์วิชหน่อยนะ ผมซื้อมาให้”

“...”

“คุณ...ถ้าคุณไม่กินอะไรรองท้องสักหน่อย คุณจะปวดท้องเอานะครับ วันนี้ยังต้องทำงานอีกนะ”

“...”

“พี่เดือนครับ กินแซนด์วิชหน่อยนะ ดินซื้อมาให้”

ราวกับว่าคำว่าพี่เดือนเป็นคำพูดที่มีเวทมนต์ เพียงแค่ดินพูดมันออกไปด้วยน้ำเสียงที่เขาปรับให้มันดูอ่อนลงเล็กน้อย คนที่เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่ออกจากบ้านก็ยอมละสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกรถมามองเขา  ชายหนุ่มผมดำอมยิ้มก่อนจะส่งถุงใส่แซนด์วิชอบร้อนให้กับพี่ชายต่างสายเลือด

“ขอบคุณ” เดือนเอ่ยสั้นๆพลางรับแซนด์วิชมากิน  ขณะที่ดินก็เปิดขวดน้ำผลไม้ส่งให้  เดือนก็รับไปแล้วนั่งกินมื้อเช้าเร่งด่วนต่อเงียบๆ เห็นดังนั้นคนเป็นน้องก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “ยังไม่หายหงุดหงิดอีกเหรอครับ”

“อืม...อยากกระทืบไอ้รันให้มันช้ำในไปเลย”

“บาปกรรมนะครับ”

“ช่างหัวแม่ง”

“อย่าพาลสิครับ”  ปลายนิ้วเรียวยื่นไปกดที่หัวคิ้วทั้งสองข้างของเดือนแล้วคลึงเบาๆ “คิ้วขมวดหมดแล้ว เดี๋ยวหมดหล่อนะครับ”

“หมดหล่อก็ดีจะได้กลับบ้าน”

คนผมดำส่ายหัวเล็กน้อยกับอาการงอแงเป็นเด็กสามขวบของคนอายุมากกว่า ดินหยิบขนมปังมาแกะกินบ้างพลางคิดไพล่ไปถึงสาเหตุที่ทำให้คนอารมณ์ดีแบบเดือนอารมณ์เสียข้ามวันข้ามคืนแบบนี้...

คงต้องย้อนกลับไปวันที่พวกเขาพาพี่รันกลับมาที่บ้าน...

“ไอ้เดือนถ้ามึงไม่อยากถ่ายแบบ...งั้นเปลี่ยนเป็นเอาน้องมึงมาถ่ายแบบแทนไหมล่ะ”

ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากประโยคนี้เลย

ดินที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นทันได้ยินประโยคนั้นอ้าปากจะตอบปฏิเสธ...

“ไม่ตกลงโว้ย”

แต่ก็ไม่ทันคนเป็นพี่ชายที่กอดอกขมวดคิ้ว ตอบปฏิเสธแทนเขาไปเรียบร้อย 

เดือนหรี่ตามองเพื่อนสนิท แสดงท่าทีให้รู้อย่างชัดแจ้งว่า ‘กูไม่พอใจและไม่ตกลงครับ’ แต่อารัณย์ก็คืออารัณย์  ศิลปินหนุ่มยักไหล่ ตอกกลับไปง่ายๆ “กูถามน้องมึง ไม่ได้ถามมึง”

“ดินไม่ตกลงหรอก น้องกูกูรู้ดี”

“แหม ได้ข่าวว่าเป็นพี่น้องกันแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ ดูจะรู้ใจกันดีเหลือเกินนะ”

คนเป็นพี่แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย “เออ นั่นแหละ เพราะงั้นมึงก็เลิกหวังจะเอาน้องมันไปเป็นแบบได้แล้ว”

“กูยังยืนยันคำเดิมว่าจะขอได้ยินจากปากน้องเอง”

อารัณย์หันหลังมา เตรียมจะเดินไปถามดินแต่ก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อเจอคนผมดำยืนยิ้มแหยอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มยิ้มกว้าง เดินไปโอบไหล่น้องชายเพื่อนทันที “อ้าวมาพอดีเลยน้องดิน  คือ...พี่มีอะไรจะถามน้องดินสักหน่อยนะครับ เรื่อง--“

“คือว่า ถ้าเรื่องจะเอาผมไปเป็นแบบนี่คงต้องขอปฏิเสธนะครับ” ดินเอ่ยยิ้มๆ พลางปลดมือชายหนุ่มผมยาวลงอย่างสุภาพ “ผมไม่เคยทำงานด้านนี้แล้วก็คิดว่าคงทำออกมาได้ไม่ดีด้วย คือผมไม่ชอบถ่ายรูปแล้วก็แสดงสีหน้าไม่เก่งน่ะครับ”

“ของแบบนี้พี่ช่วยได้ครับ”

“ขอโทษครับ แต่ผมไม่สะดวกใจจริงๆ” ดินปิดการสนทนาอย่างสุภาพพลางก้มศีรษะให้อีกฝ่าย  ซึ่งอารัณย์ก็ยิ้มรับ ดูๆไปแล้วเด็กคนนี้ก็เป็นเด็กดี...ดูคิดอะไรได้ดีมีเหตุผล...เหมาะกับไอ้เดือนมันดีเหมือนกัน

ดวงตาคมมองคนตัวเล็กที่เดินไปยืนใกล้ๆเพื่อนสนิท ร่างสองร่างที่ยืนใกล้กัน แม้จะเป็นผู้ชายทั้งคู่แต่ในสายตาศิลปินที่ไม่แคร์เรื่องข้อจำกัดอย่างเพศเช่นเขาแล้ว ภาพตรงหน้าช่างดูเหมาะเจาะ...ดูเหมาะสมเหมือนกับการที่ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดที่ควรเกิดขึ้น

รันมองสายตาของเพื่อนสนิทที่ทอดอ่อนยามมองน้องชายต่างสายเลือดแล้วก็ยกยิ้มมุมปาก มันเป็นแววอ่อนหวานเล็กๆที่ซุกซ่อนอยู่ในนัยน์ตาสีอ่อน แต่สำหรับรันที่ชอบสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวแล้ว มันดูออกง่ายดายมาก  ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆในลำคอขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตท่าทางของน้องดินไปด้วย ดวงตาอีกฝ่ายไม่ได้แสดงความรู้สึกชัดเท่าเดือนแต่เขาก็เห็นความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในดวงตาคู่นั้น...ความรู้สึกที่เขามั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่ดี

ในที่สุดมึงก็เจอคนของมึงแล้วสินะไอ้เดือน...

“เอาล่ะๆ พี่ไม่เอาน้องดินเป็นแบบแล้วก็ได้ครับ แค่ลองเสนอดูเฉยๆ แต่ถ้าน้องไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร...แต่มันคงจะดีมากถ้าน้องช่วยเกลี้ยกล่อมพี่ชายน้องให้มาเป็นแบบให้พี่หน่อย”  ว่าจบก็ขยิบตาให้คนสวมแว่นที่เบนสายตาไปมองเดือน  นายรวีกานต์แยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิทปากมากทันที “ก็บอกไปแล้วว่าไม่ตกลง”

“บอสกูให้ค่าตัวมึงมากกว่าที่นายแบบคนเดิมได้สองเท่าเลยนะ ไม่สนหน่อยเหรอ”

“ก็บอกแล้วว่าไม่รับงาน”

“โห ไม่เป็นมืออาชีพเลยว่ะ”

“ไอ้รัน!”

ดินแตะแขนพี่ชายเป็นเชิงปรามให้ใจเย็น  “อย่าเพิ่งหงุดหงิดเลยครับ...คือว่าคุณเดือนก็อาจจะไม่สะดวกน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ”

“โธ่” นายอารัณย์แสร้งทำคอตก ตีหน้าเศร้าสุดฤทธิ์ หึ ใครว่าเป็นช่างภาพแล้วสกิลการแสดงกูต่ำครับ?  ขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่  ไม่เหี้ยจริงไม่เป็นคู่หูกับไอ้เดือนมาได้หลายปีขนาดนี้หรอก

เรื่องงานเล่นใหญ่นี่ให้บอก ไอ้รันทุ่มสุดตัวอ่ะพูดเลย

“แบบนี้พี่ลำบากแน่เลยครับ...นายแบบที่ติดต่อไว้ดันเบี้ยวงานไปคนนึงแล้ว เหลือแค่คนเดียวแบบนี้ต้องแย่แน่ๆเลย ผิดคอนเซปต์ที่วางไว้หมด”  คนผมยาวแกล้งพูดให้สองพี่น้องตรงหน้าได้ยิน ขณะที่ไอ้เดือนเลิกคิ้ว  ดูก็รู้ว่ามันแกล้งทำ เหอะ อย่างไอ้รันเนี่ยนะจะแก้สถานการณ์นี้ไม่ได้...

“ไอ้เดือนมันเป็นมืออาชีพ...พี่เชื่อในฝีมือมันถึงได้มาขอร้องมันแบบนี้...แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามึงไม่สะดวกกูก็เข้าใจเว้ย มึงคงอยากพัก...” ครับ ถ้ามึงรู้ก็หยุดกดดันกูด้วยท่าทางแบบนี้ได้แล้วครับ หาความยุ่งยากให้ชีวิตกูอีกแล้ว

แต่เดือนคงลืมไปอย่างหนึ่งว่า ถึงเขาจะดูออกว่าอารัณย์แกล้งทำยังไงแต่ก็มีคนหนึ่งที่ดูไม่ออก

ดินเม้มริมฝีปากเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าๆของศิลปินหนุ่ม เขาไม่ใช่คนใจอ่อนอะไรมากมายแต่ว่าจู่ๆก็มีคนมาพูดแบบนี้ใส่เป็นใครใครก็ลำบากใจ  โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

“ถ้าได้มึงมาเป็นแบบให้กูคงตายตาหลับแล้วล่ะไอ้เดือน”

“งั้นมึงคงตายหลับตั้งแต่สามปีที่แล้วที่กูไปเป็นแบบให้มึงแล้วล่ะ”

“คุณเดือน” ดินพูดเสียงอ่อน  รู้สึกสงสารอารัณย์ยิ่งกว่าเดิมเมื่อหันไปเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสลดหลังเดือนพูดประโยค เมื่อครู่ออกไป “ช่วงนี้ยังไงก็ไม่มีอะไรมาก...ลองไปช่วยเขาดูหน่อยไหมครับ”

เดือนสะดุ้งเมื่อหนนี้น้องชายเป็นฝ่ายขอร้องขึ้นมาแทน  แอบเหลือบไปมองไอ้ติสท์ผมยาวก็พบว่ามันลอบยิ้มสะใจ

แม่ง...ไอ้คนหลอกลวง ตีสองหน้า!

มันหลอกใช้น้องกูนี่หว่า!

น้องดินครับ น้องโดนมันหลอกแล้ว พอครับ...อย่ามามองพี่ด้วยสีหน้าแบบนั้นเลยครับ

เดือนเบือนหน้าหนีน้องชายที่ส่งสายตาอ้อนๆมาให้ อีกฝ่ายคงทำไปแบบไม่รู้ตัวหรือไม่เดือนก็ตีความการเม้มริมฝีปากแล้วช้อนตามองของอีกฝ่ายเป็นอาการอ้อนไปเอง

แต่จะแบบไหนเขาก็ทนไม่ไหวอยู่ดี!

“นะครับ...ช่วยคุณรันเขาหน่อยเถอะ เขาเป็นเพื่อนสนิทคุณไม่ใช่เหรอครับ”

“แต่ว่า...”  กูไม่อยากทำไงครับ  เดี๋ยวเรื่องยุ่งยากมันจะตามมา

ดินเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธ  สุดท้ายแล้วเขาจึงตัดสินใจงัดไม้ตายออกมา “แต่ว่า...ผมก็อยากเห็นพี่เดือนตอนทำงานเหมือนกันนะครับ  ต้องเท่มากแน่ๆเลย”

ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มๆเอ่ยประโยคนั้น เดือนหันขวับมามองน้องชายตัวเอง เขาเห็นเพียงดวงตาจริงจังและ
จริงใจมองสบกลับมา  ดินกัดริมฝีปากเล็กน้อย เป็นกิริยาที่อีกฝ่ายชอบทำเวลาใช้ความคิด  “ผมอยากเห็นจริงๆนะครับ...นะครับ พี่เดือน”

ฉึก!

เหมือนโดนอะไรบางอย่างปักเข้ากลางอก ถ้าเป็นการ์ตูนไอ้เดือนคงหน้าหงายไปพร้อมกับมีเลือดกำเดาพุ่งปรี๊ดออกจากจมูกแล้ว   ชายหนุ่มอ้าปากค้างพะงาบๆเป็นปลาทอง คิดอะไรไม่ออกนอกจากมองหน้าน้องชายแบบโง่ๆ รู้ตัวอีกทีเขาก็เผลอตอบ ‘ตกลง’ ไปแล้ว

ยิ่งเห็นท่าทางคลี่ยิ้มจนตาหยีประหนึ่งเป็นเจ้าของงานเสียเองเดือนก็ยิ่งพูดไม่ออก

“เอาเป็นว่าตกลงแล้วนะ” อารัณย์กล่าวขัดจังหวะขึ้นมา ชายหนุ่มเดินไปตบไหล่เพื่อนสนิท “ขอบใจมากๆนะเว้ย อ้อ แล้วก็ถ้าน้องดินอยากเห็นไอ้เดือนมันถ่ายแบบจะมาด้วยก็ได้นะครับ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับน้องชายเพื่อนสนิท

ส่วนเดือนก็ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่น ทั้งที่ใจจริงชูนิ้วกลางใส่ไอ้เพื่อนเวรไปสักร้อยหนได้แล้ว

และด้วยเหตุนั้นวันนี้เขาถึงได้มานั่งหน้าบูดอยู่บนรถตู้ให้น้องชายเอาใจส่งน้ำส่งขนมมาให้กินนี่ไง
 
เดือนถอนใจขณะเอนหลังลงพิงเบาะนุ่ม  รถตู้คันนี้มีเขากับทีมงาน  ส่วนไอ้ตัวต้นเรื่องน่ะเหรอ โน่น หนีไปขับรถเป็นสารถีส่วนตัวให้นายแบบอีกคนไปแล้ว

จุดมุ่งหมายคือเกาะหลีเป๊ะ  จังหวัดสตูล ซึ่งถูกเลือกเป็นโลเกชั่นของการถ่ายแบบครั้งนี้  ส่วนสถานที่ถ่ายแบบคือที่ริมทะเล และในรีสอร์ทซึ่งเป็นของหัวหน้าไอ้รัน  พวกเขาออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าทำให้ตอนนี้น้องชายของเขาพอกินเสร็จก็เกิดอาการง่วงนอน หลับคอพับซบไหล่เขาเสียแล้ว

เดือนยิ้มบางๆ พลางขยับจัดท่าให้คนตัวเล็ก นอนผิดท่าเดี๋ยวได้ปวดคอแย่  หลังจัดท่านอนให้ดินนอนหลับได้สบายขึ้นแล้วชายหนุ่มก็หยิบหูฟังมาใส่ กดเล่นเพลงโดยหรี่เสียงลงให้เบาแล้วหลับตานอนเอาแรงบ้าง

เดือนลืมตาตื่นอีกครั้งเมื่อพวกเขาใกล้จะถึงท่าเรือแล้ว  ชายหนุ่มหันไปปลุกดิน คนตัวเล็กครางอืออาสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ  ขยี้ตาพลางปิดปากหาวเหมือนแมวตัวเล็กที่เพิ่งตื่นนอน “เราถึงไหนแล้วครับ” ดินถามพลางถอดแว่นตาออก ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้นวดที่เปลือกตาเบาๆ 

“ใกล้ถึงท่าเรือแล้วล่ะ” เดือนตอบ ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงท่าเรือ  เดือนลงไปช่วยคนอื่นลำเลียงกระเป๋าลงมาจากรถ ขณะที่ทีมงานก็หยิบอุปกรณ์ออกมาอย่างระมัดระวัง  เสร็จแล้วก็นำสัมภาระทั้งหมดลงเรือ  เดือนที่ใส่ชูชีพตัวเองเสร็จแล้วหันไปเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของน้องชายต่างสายเลือด พร้อมกับหน้าซีดๆของอีกฝ่าย จึงถามออกไปด้วยความสงสัย

“ไม่เคยนั่งเรือข้ามไปเกาะอะไรแบบนี้เหรอ?”

ดินส่ายหน้า ไม่กล้าบอกว่าตัวเขาเมาเรือขนาดหนักและว่ายน้ำไม่เป็นด้วย เลยไม่กล้านั่งอะไรพวกนี้สักที  ใครชวนไปเกาะอะไรก็ได้แต่ปฏิเสธตลอด  ใจจริงพอรู้โลเกชั่นถ่ายแบบเขาก็อยากจะขอเลี่ยงไม่ไปอยู่หรอก แต่ดันตอบตกลงไปแล้ว และคุณรันก็คอนเฟิร์มห้องพักไปแล้วด้วย ชายหนุ่มไม่อยากทำตัวมากเรื่องเลยได้แต่ทำใจตามมา

เดือนเดินไปช่วยอีกฝ่ายใส่ชูชีพจนเสร็จก่อนจะเดินหายไปและกลับมาพร้อมกับยาและน้ำเปล่าหนึ่งขวด ชายหนุ่มยื่นของสองอย่างให้ดินที่รับมางงๆ

“ยาแก้เมาเรือน่ะ  ไม่เคยนั่งเรือแบบนี้นายต้องเมาเรือแน่ๆ กินยาไปก่อนเถอะ  นายคงไม่อยากอ้วกบนเรือหรอกใช่ไหม?”
ดินส่ายหน้าทันที  อ้วกบนเรือที่เต็มไปด้วยทีมงานแปลกหน้าแบบนี้เนี่ยนะ  ขายหน้าแย่...ที่สำคัญ...เดือนก็คงจะเสียหน้าด้วยเหมือนกัน 

คิดได้ดังนั้นคนสวมแว่นจึงรีบกินยา  เดือนที่มองอยู่คลี่ยิ้มเอ็นดูก่อนจะรับแผงยากับขวดน้ำไปคืนทีมงาน แล้วเดินมาจูงมือดินไปนั่งด้วยกัน

“ว่ายน้ำเป็นไหม?”

“ไม่ครับ ไม่เคยเรียน”

“แบบนี้ก็แย่สิ  ถ้าเรือมัน...”

ปึก!

“อย่าพูดอะไรเป็นลางได้ไหมครับ! ปากไม่ดีเลยจริงๆ”  ดินแยกเขี้ยวใส่เดือนที่งอตัวเพราะโดนศอกพิฆาตจากน้องชายเข้าไป  ชายหนุ่มบ่นอุบเรื่องคนชอบใช้ความรุนแรงและเรียงร้องสิทธิอะไรสักอย่างอยู่ข้างหูเขา แต่ดินไม่ได้ใส่ใจ เพราะพอเรือออกจากท่าเขาก็นั่งตัวเกร็งแล้ว

คลื่นลูกใหญ่ซัดปะทะเข้าซ้ายขวาทำให้เรือโคลงเคลงจนน่าหวาดเสียว  คนไม่เคยนั่งเรือเลยได้แต่จิกเล็บลงกับหน้าขาตัวเอง ก้มหน้ามองพื้น ภาวนาให้เรือมันเดินทางถึงฝั่งไวๆเสียที

“ฮ่าๆ สนุกมากเลยเนอะดิน เหมือนเล่นไวกิ้งในสวนสนุกเลย”

ไวกิ้งพ่อง! ก่อนจะสนุกช่วยหันมาดูหน้าเขาหน่อยได้ไหม ว่าสนุกด้วยหรือเปล่า ไอ้พี่เวร!

“หืม เป็นอะไรน่ะทำไมนั่งนิ่งเชียว กลัวเหรอ” ดินสะดุ้งรีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าคนเอ่ยถามประโยคนั้นก้มหน้าลงมาเสียชิด  ลมหายใจอุ่นๆปะทะอยู่ข้างหู  ดินส่ายหน้า ทำท่าจะเขยิบหนี แต่คลื่นที่ซัดเข้ามาทำให้เรือเอียงจนเขาเซหัวทิ่มไปทางเดือนเสียอย่างนั้น

คนตัวสูงอ้าแขนรับน้องชายที่เซมาปะทะได้อย่างพอดิบพอดี  ถามเสียงอ่อนว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ป...เปล่าครับ” ดินขืนตัวออกจากอ้อมแขนนั้นแต่เดือนกลับไปยอมปล่อยเขา  นัยน์ตาสีดำหลังกรอบแว่นมองไปทั่วเรือว่ามีใครสังเกตเห็นพวกเขาหรือเปล่า แต่จังหวะนั้นดูเหมือนนายแบบอีกคนจะเกิดอาการเมาเรือจนย่ำแย่ คนอื่นๆเลยพากันไปสนใจนายแบบคนนั้นกันหมด ทำให้ดินกับเดือนรอดพ้นจากการเป็นข่าวซุบซิบประจำกองถ่ายไปได้อย่างหวุดหวิด

“นี่ อย่าดิ้นสิ ถ้ากลัวก็อยู่แบบนี้แหละ”

“อยู่แบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้หายกลัวเลยครับ”

“จริงเหรอ อืม...งั้นเดี๋ยวฉันร้องเพลงกล่อมดีไหม”

“กรุณาอยู่เงียบๆเถอะครับได้โปรด อย่าสร้างมลพิษทางเสียงอีกเลย”

“โหดร้าย...”

เดือนว่าอย่างไม่จริงจังนัก  เขากระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกนิด  ขณะที่คนปากเก่งที่เถียงแจ้วๆอยู่เมื่อครู่สิ้นฤทธิ์ทันทีที่คลื่นลูกใหญ่อีกลูกซัดมา

ดินครางฮือออกมาเบาๆ เบียดตัวเข้าหาเขาอย่างลืมตัว เดือนถือวิสาสะถอดแว่นอีกฝ่ายออก “มองไม่เห็นก็ไม่กลัวถูกไหม” เขาพูดเมื่อคนผมดำทำท่าจะประท้วง  มือใหญ่กดศีรษะคนตัวเล็กให้ซุกเข้ามาที่ไหล่ ลูบแผ่นหลังบอบบางช้าๆเป็นการปลอบโยน  “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวก็ถึงฝั่งแล้ว”

ดินไม่ได้ตอบรับอะไร  เดือนจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วฮัมเพลงเบาๆ

น่าแปลกที่นาทีนั้นดินรู้สึกเหมือนความกลัวทั้งหมดที่มีมันมลายหายไปอย่างง่ายดาย

ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๙ |ทะเล(พัก)ใจII ครึ่งแรก| {๑๖.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 16-01-2016 18:33:41
พวกเขานั่งกันอยู่แบบนั้นจนกระทั่งมาถึงเกาะ    เดือนหัวเราะเมื่อเห็นดินนั่งแข็งโป๊กเป็นก้อนหินจนเขาต้องเอื้อมไปปลอดสายชูชีพแล้วถอดเสื้อชูชีพออกให้  ชายหนุ่มดึงข้อมือน้องชายให้เดินตาม อีกฝ่ายก็เดินตามเขาต้อยๆเหมือนลูกเจี๊ยบ ดูน่ารักจนอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้แต่เกรงว่าน้องชายคนเก่งคงทำการฆาตกรรมเขาแล้วโยนศพลงทะเลหากทำแบบนั้น

“ว่าไงมึง โอเคนะครับน้องดิน?” เดือนเบะปากใส่อารัณย์ แหม ดูมันพูด น้ำเสียงที่พูดกับเขาแล้วก็กับดินนี่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

ถุยๆ ไอ้ผมยาวสองมาตรฐาน

“เลิกด่ากูในใจเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“ให้กูด่าออกสื่อไหมล่ะ”

“ไม่กลัวโดนเอาไปแชร์ในเน็ตว่า  นายแบบด.มีปากเสียงกับช่างภาพจนวุ่นวายกันไปทั้งทีมก็ตามใจมึง”

“กูอยากเตะปากมึงจริงๆ”

“ใจตรงกันกับกูเลย”

เดือนหัวเราะ ชกไหล่เพื่อนซี้เบาๆ เขากับไอ้รันก็เป็นแบบนี้มากันตั้งแต่ไหนแต่ไร ด่ากันไปมาจนเหมือนเป็นคู่กัดมากกว่าเพื่อน แต่ถ้าถามเดือนว่าใครที่เขาไว้ใจได้มากที่สุดก็คืออารัณย์นี่แหละ  เพราะมันชอบด่าเขาตรงๆ มีอะไรไม่ดีก็พูดออกมาหมดไม่มีกั๊ก  ทำให้เขาปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น และมันก็ไม่เคยเอาเขาไปนินทาลับหลังด้วย

มันยึดมั่นในสิ่งที่มันพิจารณาดูแล้วว่าถูกต้อง ไม่เคยทำอะไรตามที่คนอื่นบอกสักเท่าไหร่ เป็นตัวของตัวเองจนเขาก็ได้แต่นึกทึ่งในใจ

เมื่อขนของขึ้นจากเรือจนครบ พวกเขาก็ขึ้นรถที่ทางรีสอร์ทจัดมาให้เพื่อไปที่พัก  วันนี้เนื่องจากการเดินทางกินเวลานานและทุกคนก็เหนื่อยกันมาก บอสของไอ้รันย์เลยให้ทุกคนพักผ่อนไปก่อน จะเริ่มถ่ายแบบกันจริงๆพรุ่งนี้และมีกำหนดกลับคือวันพุธนี้

ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึงรีสอร์ทริมทะเล  เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่ที่บ้านพักออกแบบมาให้ดูเหมือนกับบ้านทั้งหลังอยู่ใต้ทะเล คือทาสีฟ้าและขาวแล้วตกแต่งบ้านด้วยการวาดลวดลายใต้ท้องทะเล ประดับด้วยเปลือกหอย หินสี แลดูสวยงาม หน้าบ้านแต่ละหลังมีระเบียงยื่นออกมา และมีทางเดินหน้าบ้านซึ่งเชื่อมถึงกัน โดยสุดปลายของทางเดินนั้นคือศาลาที่ยื่นไปในทะเล  ด้านล่างทางเดินคือสระน้ำ  ตามจุดพักแต่ละจุดของทางเดินจะมีบันไดให้เดินลงเล่นน้ำในสระได้เลย

กลิ่นอายทะเลที่พัดพามาทำให้รู้สึกสดชื่น ดินสูดลมหายใจเจือกลิ่นทะเลเข้าไปเต็มปอด  นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้มาทะเล...ดูเหมือนจะตั้งแต่...

ช่างมันเถอะ ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไปมา

มันคืออดีต จะนึกถึงไปก็เท่านั้น  เขาย้อนกลับไปในช่วงเวลาแสนสุขนั้นไม่ได้...การนึกถึงอดีตรังแต่จะทำให้เขาปวดใจมากขึ้นเท่านั้นเอง

“น้องดิน ไอ้เดือน ฉันมีคนจะแนะนำให้พวกแกรู้จัก” เสียงของอารัณย์ดึงดินให้หลุดจากภวังค์  ชายหนุ่มผมยาวเดินมาพร้อมกับพาร่างเล็กร่างหนึ่งมาด้วย  ช่างภาพหนุ่มผายมือแนะนำคนด้านหลังตน “ไอ้เดือน น้องดิน นี่คือคุณวสันต์ นายแบบอีกคนของเรา”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อก้มหัว ส่งยิ้มบางๆมาให้พวกเขา “วสันต์ครับ เรียกฝนก็ได้”

ดินถือโอกาสนั้นสำรวจวสันต์ อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มร่างเล็ก ผิวขาว ดวงตากลมโตสีดำสนิท  แก้มเต็มอิ่มสองข้างทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักมาก ริมฝีปากสีสุขภาพดีเชิดขึ้นน้อยๆ

น่ารัก...จนเหมือนไม่ใช่ผู้ชายเลย

“สวัสดีครับคุณฝน ผมเดือนครับ”

“ฝนน่าจะเคยได้ยินชื่อไอ้เดือนมาบ้างนะ มันก็เป็นนายแบบเหมือนฝนนั่นแหละ”

วสันต์หัวเราะเบาๆกับคำพูดของอารัณย์ “ทำไมจะไม่เคยได้ยินชื่อนายแบบดังล่ะครับ” ทันใดนั้นดวงตากลมโตสีนิลก็เบนมาสบกับดวงตาหลังกรอบแว่นของดิน “นี่ใครน่ะ?”

“อ้อ นี่ดิน น้องชายไอ้เดือนมัน”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ดินรีบก้มตัวให้อีกฝ่าย

“เช่นกันครับ”

ฝนยิ้มจนตาหยี รอยยิ้มกว้างเผยให้เห็นลักยิ้มบุ๋มสองข้าง อีกฝ่ายดูเป็นคนอัธยาศัยดีทีเดียว

ฝนยื่นมือมาตรงหน้าดิน ชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปจับ แต่ทันทีที่มือสัมผัสกัน ดินก็มองเห็นด้ายแดงของอีกฝ่าย เขาตกใจจนเกือบสะบัดมือทิ้งแต่ยังรักษาท่าทีไว้ได้  โลกรอบตัวกลายเป็นสีเทา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไล่ตามเส้นด้ายสีแดงของฝนก็พบว่ามันระยะของเส้นด้ายนั้นค่อนข้างสั้น

หมายความว่าเนื้อคู่อีกฝ่ายอยู่แถวนี้อย่างนั้นเหรอ!?

ชายหนุ่มมองตามเส้นด้ายนั้นต่อไปจบพบว่าด้ายแดงของฝนไปบรรจบเข้ากับด้ายแดงที่นิ้วก้อยของ...อารัณย์!!

เอาจริงดิ!?

แต่ก็คิดในอีกแง่หนึ่งมันก็ไม่แปลกหรอก อารัณย์เป็นช่างภาพ อาจจะเคยร่วมงานกับวสันต์มาแล้ว แล้วเกิดปิ๊งกันก็ได้  ขณะที่กำลังจะละสายตาออกด้ายสีแดงของวสันต์ก็ดึงดูดความสนใจของดินไว้ ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างอย่างตกใจ
เพราะด้ายแดงของชายหนุ่มมันมีหลายเส้นน่ะสิ!

ดินไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย คนที่มีด้ายแดงหลายเส้นหมายความว่ายังไงกัน...มีเนื้อคู่หลายคนอย่างนั้นเหรอ  แต่เขาก็เห็นอยู่คาตานี่ไงว่าด้ายแดงของวสันต์กับอารัณย์มันเชื่อมถึงกัน หมายความว่าทั้งคู่เป็นเนื้อคู่กัน! ดินรู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าคนๆหนึ่งจะมีเนื้อคู่หลายคนได้อย่างไร แล้วแบบนี้...จะต้องมาอยู่ด้วยกันหลายๆคนอย่างนี้น่ะเหรอ?

“เอ่อ...คุณดินครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ดินสะดุ้งเฮือก โลกรอบตัวกลับมามีสีสันตามเดิม เขาเพิ่ง รู้ตัวว่าเผลอจับมืออีกฝ่ายนานไปแล้ว ชายหนุ่มรีบดึงมือออกแล้วส่งยิ้มแหยๆให้ชายหนุ่มแก้มกลม “เปล่าครับ ผม...เอ่อ...”

“คุณโอเคนะครับ? หน้าคุณดูซีดมากๆเลย”

“อ่า ผมมึนหัวนิดหน่อยน่ะครับ” เขาไม่ได้โกหกนะ ตอนนี้เขาเพลียจากการเดินทางแล้วก็เริ่มปวดหัวจากการดูด้ายแดงเมื่อกี้แล้วด้วย

“มึนหัวเหรอ งั้นไปนอนพักก่อนดีไหม?” เดือนที่ได้ยินบทสนทนานั้นรีบเดินเข้ามาดูอาการคนตัวเล็กทันที  พอเห็นหน้าซีดๆของน้องชายเขาก็หันไปพูดกับอารัณย์ “เฮ้ย ไอ้รัน เช็คอินเสร็จแล้ว กูขอกุญแจห้องเลยได้ป่ะวะ  จะพาน้องไปนอนหน่อย”

“เออๆได้เลย” อารัณย์เดินไปหยิบกุญแจมาจากทีมงานคนหนึ่งที่กำลังแจกกุญแจที่พักให้กับทีมงานคนอื่นๆ “มึงนอนห้องเดียวกับน้องเขา ส่วนฝนขอเป็นห้องเดี่ยวสินะ เอ้านี่กุญแจ  อาหารเย็นตอนทุ่มนึงนะมึง  แต่ถ้าไม่ไหวก็ไลน์หรือโทรมาบอกกูก็ได้ กูจะให้พนักงานเอาไปให้ที่ห้อง โอเคนะ”

“อืมๆ ขอบใจมาก”

เดือนเดินไปหยิบกระเป๋าของเขากับน้องชายตัวเองมาก่อนจะพาดินเดินไปที่พัก  ชายหนุ่มผมดำหันหลังไปมองก็เห็นอารัณย์กับวสันต์กำลังยืนคุยกันอยู่  เขาจึงหันกลับมา

โดยไม่ทันสังเกตว่าวสันต์เองก็ลอบมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ปกปิดบางสิ่งไว้เช่นกัน


ทันทีที่มาถึงห้องพักดินก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำเพราะตอนนี้ตัวแล้วก็ผมเขาเหนียวเหนอะแล้วก็เต็มไปด้วยกลิ่นเกลือจากทะเล  ชายหนุ่มอาบน้ำไปครุ่นคิดถึงเรื่องด้ายแดงของอารัณย์ไปด้วย

เรื่องเนื้อคู่ของคนเราส่วนใหญ่มักเกิดจากคนที่ทำบุญร่วมกันมา สาบานอธิษฐานรักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนทำให้ได้เกิดมาพบเจอกันในชาตินี้ แต่นั่นหมายถึงคนที่มีบุญวาสนาเทียบเท่ากัน เพราะบางคนที่สัญญากับใครไว้ แต่อีกฝ่ายทำกรรมมามากหรือไปเกิดเป็นสิ่งอื่น เช่นสัตว์เดรัจฉานในชาตินี้ ทำให้แคล้วคลาดกันไป คนๆนั้นก็จะไม่พบเนื้อคู่ตัวเองไปอีกจนตลอดชีวิต ทำให้ไม่ได้แต่งงานหรือไม่มีคนรัก

คนเราเกิดตายหลายภพชาติ เวียนว่ายเจอกันมาหลายครั้งครา สาบานรักกับใครไว้บ้างก็ไม่รู้ในแต่ล่ะภพชาติ ทำให้เรื่องของเนื้อคู่นั้นค่อนข้างจะซับซ้อน  ดินเองก็ไม่ได้ศึกษาตรงนี้ให้ละเอียดนัก เขารู้แค่ว่าจะมีการเรียงลำดับเนื้อคู่...ตามบุญวาสนาที่ทำร่วมกันมา

เพราะงั้นในชาติหนึ่งจะพบเนื้อคู่แค่คนเดียว...หรืออาจจะหลายคนก็ได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับเนื้อคู่ลำดับที่หนึ่งทำให้ไม่สามารถครองรักกันได้แล้ว  แต่หากได้พบเนื้อคู่ลำดับที่หนึ่งแล้ว เนื้อคู่ลำดับอื่นก็หลีกทางแล้วไปตามหาคู่ของพวกเขาต่อไป
แปะ

ชายหนุ่มหน้าผากซบลงกับผนังห้องน้ำเย็นเฉียบเบาๆ

ปวดหัวเป็นบ้า เรื่องบุญกรรมที่ซับซ้อนแบบนี้เขาไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งด้วยเลย ดินลูบหยดน้ำออกจากใบหน้าตนเอง  แต่ก็ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา แค่ทำตัวเงียบๆไว้ ไม่ต้องไปก้าวก่ายก็พอ ยังไงก็ไม่มีใครรู้เรื่องความสามารถพิเศษของเขาอยู่แล้ว แค่ทำตัวดีๆก็ไม่มีปัญหาอะไรมาสุมหัวแล้ว

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูห้องน้ำทำให้ดินต้องปิดน้ำ แล้วร้องถามไป “ว่าไงครับ?”

“คือ...น้องดินครับ ไม่ได้อยากจะว่านะ แต่น้องจะอาบน้ำจนเซลล์ทั่วตัวน้องมันอิ่มน้ำทั้งหมดเลยงั้นเหรอ  ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้วก็ออกมาเถอะครับ พี่อยากอาบน้ำบ้างแล้วเหมือนกันอ่ะครับ  ป่านนี้ทั้งเกลือทั้งแบคทีเรียบนตัวน้องมันไหล่ลงน้ำไปหมดแล้วครับ”

กวนตีน!

ดินด่าในใจ แต่ก็รีบแต่งตัวแล้วเดินออกไปเอาผ้าขนหนูฟาดคนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ด้านนอก  “ปากเสียนะครับ”

“ขอบคุณที่ชมครับ”

“ไปอาบน้ำได้แล้วครับ” ดินถอนหายใจ “อาบจนเหี่ยวตายคาห้องน้ำไปเลยก็ได้นะครับผมไม่ว่า”

เดือนหัวเราะร่วนก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนดินก็มานั่งเช็ดผมอยู่บนเตียง เปิดทีวีหารายการสนุกๆดูฆ่าเวลา สุดท้ายก็มาจบที่ช่องสารคดีนำเที่ยวญี่ปุ่น ดินนั่งดูทีวีไปเรื่อยๆจนได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำแต่เขาก็ไม่ได้หันไปดู จนกระทั่งเสียงทุ้มของคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จมากระซิบอยู่ข้างหู

“อยากไปญี่ปุ่นเหรอ”

“เลิกโผล่มาใกล้ๆแบบนี้สักทีเถอะครับ”

ดินไม่ได้หันไปตอบคำถาม ตายังคงดูสาวน้อยในชุดคอสเพลย์เดินนำชมย่านฮาราจูกุต่อไป  ถึงจะทำอย่างนั้นแต่ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขามันกลับทุ่มไปที่คนที่นั่งซ้อนหลังเขาอยู่มากกว่า  เดือนชะโงกหน้ามาใกล้จนได้กลิ่นแชมพูแบบเดียวกัน กลิ่นสบู่ก็กลิ่นเดียวกัน  เนื้อตัวของอีกฝ่ายเย็นจัดเพราะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมา แต่ลมหายใจที่สัมผัสพวงแก้มเขามันกลับอุ่นจนดินใจเต้นผิดจังหวะ

“นี่ลงไปเลยนะครับ เตียงมันเปียกเห็นไหม” สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวเขาจึงหันไป หวังไล่อีกฝ่ายไปห่างๆ แต่การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่เขาไม่ทันคิด 

ชิบหาย...ลืมไปว่าไอ้พี่นั่นแม่งนั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง!

ชายหนุ่มสบถในใจเมื่อใบหน้าของพวกเขาห่างกันไม่ถึงคืบ มันใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ใกล้จนดินเห็นรายละเอียดของดวงตาสีอ่อนคู่นั้นชัดเจน ...ใกล้จนเขาเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในดวงตาที่ฉายแววอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาใจเต้นแรง

ปลายนิ้วอุ่นค่อยๆเกลี่ยเส้นผมสีดำเปียกชื้นออกจากใบหน้าของเขาแผ่วเบา สัมผัสเย็นเฉียบแต่กลับทำให้จุดที่เดือนลากไล้ปลายนิ้วร้อนผ่าว

ดินขยับตัวไม่ได้...ในหัวขาวโพลน

รับรู้เพียงแค่เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ

เขากัดริมฝีปาก  หลุบตาลง  เชื่อว่าใบหน้าของตนเองต้องกลายเป็นสีแดงไปหมดแล้วแน่ๆ

ก็ผิวแก้มตอนนี้มันร้อนวูบวาบไม่หยุดเลยนี่นา...

แล้วเดือนก็ยืนยันความคิดนั้นด้วยการกระซิบเสียงทุ้มว่า “หน้าแดงหมดแล้ว”  คนอายุมากกว่าเกลี่ยพวงแก้มที่ซับสีแดงระเรื่อแผ่วเบา “ไม่สบายเหรอ”

“ป...เปล่าครับ” บ้าเอ๊ย ทำไมเสียงเขามันถึงได้เบาหวิวแบบนี้นะ

“เขินเหรอ?”

“ก็เปล่า!” หนนี้เขาเสียงดังขึ้นมาอีกนิดแต่มันก็ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบเท่าไหร่ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้  เดือนถามย้ำ “แล้วหน้าแดงทำไม?”

“ก..ก็มันร้อน”

“ร้อน?”

“ใช่ ก็คุณเข้ามาชิดขนาดนี้...ถอยออกไปเลยนะ!”

“ร้อนทั้งที่เปิดแอร์แค่สิบแปดองศาเนี่ยนะ?”

พลาด...พลาดแล้ว ดินอ้าปากแล้วหุบ ดูทั้งงงทั้งมึนจนเดือนหลุดขำ  ตอนแรกก็กำจะแกล้งแค่หน่อยเดียวนั่นแหละ แต่พอเห็นท่าทางแบบนี้แล้ว...ขอแกล้งไปเลยยาวๆก็แล้วกัน

หึ เห็นปกติทำตัวไม่มีภัยกับสังคมแต่นายรวีกานต์ก็ไม่ใช่ลูกแกะนะครับ

ถ้าใครที่รู้จักเขาจริงๆก็จะรู้ ว่าเดือนนะ...หมาป่าอันตรายของจริง

ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ยกมือเสยผมเปียกน้ำของตนไปด้านหลัง นิ้วโป้งแกล้งปัดผ่านริมฝีปากของร่างเล็กตรงหน้า ยิ่งเห็นท่าทางสะดุ้งพร้อมกับแก้มแดงๆนั่นก็ยิ่งชอบใจ  ถึงจะเขินแค่ไหนแต่ดวงตาคู่คมก็ยังวาววับไม่เปลี่ยน

เป็นพญาแมวหรือไงกันนะ...น่าจับมาฟัดจริงๆเลย

“อย่ามาแกล้งผมนะ!”

“ครับ ไม่แกล้งครับ”

เดือนรับคำแต่ก็ยังโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมอยู่ดี ก่อนที่เขาจะฝังปลายจมูกลงที่แก้มขวาของน้องชาย  เดือนชอบหอมแก้มดิน  เวลาที่อยู่ใกล้กันแบบนี้เขาจะได้กลิ่นแป้งเด็กอ่อนๆจากตัวอีกฝ่าย 

“นี่คุณ...ทำอะไรน่ะ”

“ให้รางวัลไง” เขาว่า ก่อนจะกดริมฝีปากเบาๆที่แก้มนั้น ปัดป่ายปลายจมูกไปมาเหมือนแมวตัวโตกำลังคลอเคลียเจ้าของ “วันนี้เก่งมาก...นั่งเรือข้ามมาเกาะครั้งแรกนี่”

“คุณฉวยโอกาสนี่นา!” น้ำเสียงต่อว่านั้นแผ่วเบา  คนเป็นพี่หัวเราะ “นี่แค่ให้รางวัลต่างหาก ฉวยโอกาสน่ะอีกแบบหนึ่ง” ดวงตาคมเจ้าเล่ห์จนร่างเล็กเสียงสันหลังวาบ  รีบถอยหนีจนเกือบตกเตียง แต่คนตัวสูงก็ไวกว่าคว้าเอวพาเจ้าของดวงตาคู่สวยให้มานั่งลงบนตักตัวเองได้ทัน

ดินที่ตกอยู่ในสภาพหมิ่นเหม่ชวนคิดไปไกลกับพี่ชายต่างสายเลือดรู้สึกเหมือนหัวมันร้อนวูบไปหมด เขายันอีกฝ่ายไว้ แต่ร่างกายมันกลับติดขัดไม่ยอมฟังคำสั่ง เหมือนร่างมันหนักๆจนแขนขาแทบยกไม่ขึ้น

“นั่งดีๆสิ” เดือนดุอย่างไม่จริงจังนัก “หงายหลังตกไปจะทำยังไง”

“ปล่อย คุณฉวยโอกาสผมอีกแล้ว”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ฉวยโอกาส  ฉวยโอกาสจริงๆน่ะมันต้องแบบนี้” ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปจนริมฝีปากทั้งคู่เกือบจะแตะกัน...

และมันคงแตะกันไปแล้ว...ถ้าไม่ใช่เพราะ...

“ไอ้เดือนสรุปมึงจะไป— เชี่ย กูขอโทษ!”

เสียงเปิดประตูเข้ามาก่อนจะตามด้วยเสียงปิดประตูปังแทบจะในทันที พร้อมกับน้ำเสียงตกตะลึงของอารัณย์ทำให้สองร่างบนเตียงรีบผละออกจากันทันที  ดินที่หน้าแดงแจ๋รีบลงจากเตียงไปตั้งหลักที่โซฟาทันที ส่วนคนเป็นพี่ก็ลูบหน้าลูบตาอยู่บนเตียง

เดือนแตะหน้าอกรับรู้ว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นถี่รัว

เมื่อกี้...เขาเกือบจะ...จูบ

จูบ...แบบจูบ...บนริมฝีปาก...กับน้องชายตัวเอง!

เชี่ยเอ๊ยยย  ไอ้เดือน มึงทำอะไรลงไปเนี่ย!

เดือนแทบอยากจะกัดลิ้น  พอเหลือบมองไปทางดิน อีกฝ่ายก็นั่งหน้าแดงก้มหน้าก้มตาไม่มองเขา  เดือนเม้มริมฝีปาก ไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายก็เดินไปเปิดประตู เพื่อพบว่าอารัณย์กำลังยืนเอาหูแนบบานประตูอยู่  พอเข้าเปิดประตูพรวดอีกฝ่ายเลยเซถลามาข้างหน้า เกือบล้มไปจูบพื้น

“ทำเหี้ยอะไรของมึง”

“โอ๋ๆ โกรธเหรอที่กูเข้ามาขัดจังหวะ คือกูขอโทษนะ แหะๆ ไม่รู้นี่กว่าว่ามึงกำลังจะจุ๊บจิ๊บกับน้องดินอ่ะ” เดือนผลักหัวไอ้คนที่ทำเป็นเข้ามากระซิบกระซาบออกไป หลบสายตาล้อเลียนของมัน เขากอดอก แสร้งทำเป็นขมวดคิ้ว “ไม่ได้จุ๊บจิ๊บโว้ย ไอ้ห่านี่”

“อ๋อ งั้นที่กอดเอวนั่งตัก ก้มหน้าไปชิดกันจนแทบจะสิงกันขนาดนั้นคือมึงส่องดูขี้แมลงวันบนหน้าน้องเขาเล่นสินะ”

“ไอ้ห่า เลิกกวนตีนกูแล้วตอบมา มีอะไร”

อารัณย์แสร้งทำเป็นยกสองมือยอมแพ้ทั้งที่ปากยังยิ้มและตายังทอประกายล้อเลียน “กูแค่จะถามว่าสรุปไปกินข้าวเย็นไหวไหม เพราะหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเขาจะพาไปถนนคนเดิน แต่ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วมึงอยากพาน้องเข้านอนไวๆกูก็ไม่ว่านะ ฮ่าๆ”

เดือนชูนิ้วกลางใส่เพื่อนสนิทไปหนึ่งที “ก็ไปสิ” เขามองนาฬิกาดิจิตอลในห้อง ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว “เดี๋ยวทุ่มนึงกูออกไปกินข้าวแล้วกัน ส่วนถนนคนเดินเดี๋ยวถามดินก่อน” ชายหนุ่มว่าก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่กลับมานั่งดูสารคดีต่อบนโซฟาแล้ว

“ดิน”  อีกฝ่ายสะดุ้งโหยง หันมามองเข้าอย่างระแวงเต็มที่จนอดขำไม่ได้ 

“ไม่แกล้งแล้วครับ พี่แค่จะถามว่าพอกินข้าวเสร็จดินจะไปเดินถนนคนเดินด้วยกันไหม”

“เอ๋...เอ่อ ป...ไปครับ”

“โอเค”

เดือนเดินไปบอกอารัณย์ เมื่อนัดแนะเวลากันเสร็จชายหนุ่มก็กลับมานั่งเช็ดผมตัวเองต่อ เขาเหลือบมองน้องชายที่ผมยังคงชื้นอยู่  เลยเดินไปปรับอุณหภูมิให้เป็นยี่สิบห้าองศา หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กมาอีกผืนแล้ววางแหมะบนหัวอีกฝ่าย

“ทำอะไรน่ะครับ”

“เช็ดผมให้ไง”

“ไม่ต้อง ผมเช็ดเองได้”

“อยู่เฉยๆเถอะ” เดือนพูดแล้วจัดการเช็ดเส้นผมนิ่มสีดำสนิทเบาๆ ดินที่เห็นอีกฝ่ายแค่เช็ดผมเฉยๆจึงหันกลับไปดูทีวีต่อ ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับเขา  เดือนลอบยิ้มเล็กๆก่อนจะนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่

ถ้าหาก...ถ้าหากว่าอารัณย์ไม่เข้ามา

เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะเผลอจูบดินไปหรือเปล่า เพราะเดือนก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าตอนนั้นเขาควบคุมตัวเองได้
ก็อาจจะจูบ...ยิ่งถ้าน้องปัดป้องตัวเองไม่ได้แบบนั้น แค่คำต่อต้านแผ่วเบาสองสามประโยคน่ะหยุดเขาไม่ได้หรอก

แล้วยิ่งเป็นตอนนั้นด้วยแล้วต้องทำลงไปแน่ๆ...ตอนที่เขาเผลอคิดไปว่า...

ริมฝีปากบางสีสุขภาพดีนี้มันจะนิ่มแล้วก็หอมหวานเหมือนแก้มของเจ้าของมันหรือนะ?

***************************************

กรี๊ดดดดดดดด กรี๊ดดังมากให้พี่เดือนค่ะ โอ๊ยยย พี่เดือนขาา ปาหัวใจใส่รัวๆเลย :-[
พี่รันโคตรขัดจังหวะอ่ะ 5555 ยกตำแหน่งตัวชง ตัวตบ และกขค.กิตติมศักดิ์ให้เลยค่ะพี่รัน
ขยันชงมากๆพี่เดือนแกยกดื่มนะ ทุกวันนี้ก็ฉวยโอกาสกับน้องอยู่ แค่กๆ
ตอนที่เขียนตอนนี้นึกถึงเพลง ใกล้ ของวง scrubb เลยค่ะ พอลองเปิดฟังก็พบว่นมันใช่เลย 555 
อ่านตอนนี้ก็เปิดเพลงนี้ไปด้วยนะคะ จะได้ฟีลมากกว่าเดิมประมาณ 50% จริงๆนะคะ ยืนยันเลยค่ะ

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๙ |ทะเล(พัก)ใจII ครึ่งแรก| {๑๖.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 16-01-2016 22:40:24
โกรธรันมากกก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน บทที่๙ |ทะเล(พัก)ใจII ครึ่งแรก| {๑๖.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 20-01-2016 14:01:17

โกรธรันมากกก

จุด ๆ นี้ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
รออ่านตอนต่อไปนะคะ  :mew1:


หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๐ ทะเล(พัก)ใจII (ครึ่งหลัง) {๒๓.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 23-01-2016 20:57:35
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๐
ทะเล(พัก)ใจ II (ครึ่งหลัง)

“น้องดินครับ กินปลาหมึกย่างไหมครับ”

“เอ่อ ไม่ล่ะครับ”

“น้องดินครับ ร้อนไหมครับ เอาน้ำเปล่าไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ร้อนเท่าไหร่”

“น้องดินครับ กินลูกชุบไหมครับ พี่เห็นขายตรงโน้น ท่าทางน่าอร่อย”

“ไม่เป็นไรครับ คือผมอิ่มแล้ว”

“งั้นน้องดินลองกินแพนเค้ก...”

“เอามานี่ กูแดกเอง”

ว่าจบ เดือนที่แทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนสนิทกับน้องชายตัวเองได้สำเร็จก็คว้าไม้เสียบแพนเค้กลายการ์ตูนมาถือไว้ พร้อมกับคว้าถุงใส่ปลาหมึกย่าง ถุงใส่ลูกชุบกับขวดน้ำเปล่ามาไว้ที่ตัวเองหมด จนเพื่อนกับน้องได้แต่อ้าปากค้างมองเขาเคี้ยวแพนเค้กตุ้ยๆ

“อ้าว ได้ไงวะไอ้เดือน กูให้น้องดินโว้ยไม่ได้ให้มึง”

เดือนลอยหน้าลอยตายัดขนมเข้าปาก ขณะที่เหล่ตามองอารัณย์ที่โวยวายอยู่ใกล้ๆ

หึ ทำไม กูหมั่นไส้มึงไงครับ

แหม่...ตั้งแต่มาถนนคนเดินนี่ก็น้องดินอย่างนู้นอย่างนี้ไม่หยุดเลย  ทำเอาเขาที่วางแผนไว้ว่าจะพาน้องชายไปเดินดูของกิน            ดูเสื้อสวยๆได้แต่เดินมองตามตาปริบๆอยู่กันสองคนกับวสันต์ มองตามไอ้เพื่อนตัวดีที่เสนอหน้าอ้อร้อน้องชายเขาอย่างโจ่งแจ้ง

แถมมีการซื้อขนมซื้อน้ำมาประเคนให้ถึงที่ น้องกูบอกไม่กินๆน่ะได้ยินไหมวะ!

คนเริ่มพาลมองหนุ่มผมยาวตาขวาง ปาไม้เสียบแพนเค้กใส่หน้าเพื่อนสนิทไป  บอกแล้วว่าหมั่นไส้ ทำมาเต๊าะน้องกู เดี๋ยวกูถีบกลับกรุงเทพฯ ให้เลยนี่

อยากซื้อขนมมาอ่อยน้องกูใช่ไหม ได้...

แดกแม่งให้หมดเลย! ฮึ่ย!

“เฮ้ยๆ นั่นของน้องดินนะเว้ย” ช่างภาพหนุ่มผมยาวพยายามยื้อถุงปลาหมึกย่างกลับไปแต่อีกคนก็ไวกว่ารีบขยับตัวหนี แถมยังยัดปลาหมึกเข้าปากเอาๆแบบไม่ห่วงภาพลักษณ์แม้แต่น้อย เคี้ยวกลืนเคี้ยวหายประหนึ่งจะไปแข่งกินปลาหมึกย่างระดับโลก

“ของของน้องก็ของของกู”

“อย่ามาใช้ตรรกะป่วยจิต  เอาคืนมาเลยไอ้สัสเดือน”

“โทษทีกูแดกไปหมดแล้วอ่ะ จะให้กูอ้วกคืนให้ไหม”

“ไอ้เหี้ย! สันดานมึงแม่งแย่ผิดหน้าตา”

“ก็พอกันป่ะวะ ไม่งั้นจะคบกับมึงรอดจนทุกวันนี้เรอะ?”

อารันย์ส่ายหัวอย่างเอือมๆ ยื่นไปผลักหัวนายแบบหนุ่มจนเกือบหน้าจิ้มถุงปลาหมึกย่าง แต่สุดท้ายก็ล่าถอยออกมาให้ดินได้เข้าไปดูแลเดือนที่กินเร็วไปจนสำลัก “เห็นไหมคุณ กินมากไปจนติดคอแล้วเนี่ย หยุดกินเดี๋ยวนี้เลยนะ เดี๋ยวก็อ้วกหรอก!”  แว่วเสียงบ่นมาเขาหูทำเอาเขาหัวเราะ 

ชายหนุ่มเดินผิวปากไปเดินเคียงคู่กับคนตัวเล็กที่ด้านหลัง ดวงตากลมโตปรายมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะทำเป็นก้มหน้ากดโทรศัพท์ต่อ

“นี่ เงยหน้าขึ้นมาเถอะ มาเที่ยวแบบนี้มัวแต่สนใจโทรศัพท์ได้ยังไง”

“คนที่อยากคุยด้วยไม่ได้อยู่ที่นี่นา”

“ไหน ไม่เห็นฝนจะคุยอะไรกับใครเลย” รันถือวิสาสะชะโงกหน้าไปมองหน้าจอที่ปรากฏเป็นหน้าฟีดข่าวของเฟซบุ๊ค “แค่เลื่อนมือถือไปมาแท้ๆ”

“ก..ก็เพิ่งตอบไปเมื่อกี้ไง!” คนตัวเล็กกว่าอึกอักเมื่อโดนจับได้ จึงแก้อาการเขินด้วยการโวยวายแล้วแยกเขี้ยวใส่เขาซะอย่างนั้น  อารัณย์หัวเราะในลำคอก่อนจะดึงโทรศัพท์อีกฝ่ายมาถือไว้เอง “ไม่ได้ๆ มาเที่ยวทั้งที จะมามัวกดมือถือได้ไง  พี่ยึดแล้ว ไว้จะคืนให้ตอนกลับรีสอร์ท”

ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตากลมโตฉายแววความไม่พอใจรางๆก่อนที่ฝนจะก้มหน้าแล้วพึมพำรับคำเบาๆ

ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆโดยไร้บทสนทนาใดๆ ตอนนี้ทั้งกลุ่มเหลือแค่อารัณย์  ฝน  เดือนแล้วก็ดินเท่านั้น  ทีมงานคนอื่นบ้างก็นอนพักที่รีสอร์ท บ้างก็เดินล่วงหน้ากันไปไกลแล้ว  เหลือทิ้งไว้แต่พวกเขาสี่คนที่พากันเดินทอดน่องช้าๆซึมซับกับภาพบรรยากาศรอบด้าน

“แต่พี่เสียใจนะที่ฝนบอกว่าคนที่อยากคุยอยู่ในโทรศัพท์น่ะ  ไม่เห็นอยากจะคุยกับพี่บ้างเลย นี่ยืนอยู่ข้างกันแท้ๆ”

“ฝนน่ะเหรอครับไม่อยากคุยกับพี่?”

“ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่กินข้าวเสร็จจนมาถึงถนนคนเดินฝนยังไม่พูดกับพี่สักคำ”

ได้ยินดังนี้วสันต์ถึงกับเบะปากน้อยๆ อยากตอบกลับไปใจจะขาดว่า แล้วใครกันล่ะที่ตั้งแต่ตอนกินข้าวจนมาถึงตลาดนี้ก็มัวแต่ไปเอาอกเอาใจกับน้องชายเพื่อนตัวเองน่ะ ทิ้งเขาเดินคนเดียวอีกต่างหาก  ทำเป็นซื้อนู่นซื้อนี่ให้ดินด้วย แล้วดูสิ ตอนนี้ทำมาพูดว่าเขาไม่สนใจ

คนที่ต้องน้อยใจน่ะมันเขาต่างหาก!

หมับ

คนตัวขาวสะดุ้งเมื่อจู่ๆคนข้างตัวก็โอบไหล่เขาแล้วรั้งให้เดินหลบฝรั่งร่างใหญ่ที่กำลังจะเดินมาชน  เพราะถูกดึงแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างของฝนเบียดโดนร่างของอารัณย์โดยไม่ได้ตั้งใจ  คนตัวเล็กจึงรีบดันตัวออก

“เหม่ออะไรของเราอีกแล้วน่ะ หืม เดินดูทางด้วยสิ”

ดุอีกแล้ว...ทำไมต้องดุด้วย...เขาแค่เดินเหม่อลอยไปแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง

“จะดุฝนทำไม”

“ไม่ได้ดุ เขาเรียกเตือน  เมื่อกี้ถ้าพี่ไม่ดึงเราหลบฝนคงเดินชนฝรั่งคนนั้นไปแล้ว  ตัวก็เท่านี้เราได้ล้มแน่ๆ เราน่ะชอบดื้อ...พี่เตือนอะไรก็ไม่ค่อยจะฟัง”

นี่ไง...ดุฝนอีกแล้ว

“แล้วผมนี่ก็อีก...ไปย้อมทำไมกันน่ะ น่าเสียดายชะมัด”  มือใหญ่เลื่อนมาจับเส้นผมนิ่มที่ถูกย้อมเป็นสีม่วงอ่อนของวสันต์ ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าย้อมสีนี้แล้วมันดูน่ารักดี แต่เขาก็ชอบสีผมแบบเดิมของคนตัวขาวนี่มากกว่า “สีดำก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ”

วสันต์ก้มหน้า หลุบดวงตาคู่โตเพื่อปิดซ่อนความรู้สึกภายใน...

ใช่สิ...ฝนทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพี่รันหรอก ไม่เหมือน....

ความน้อยใจประดังขึ้นมาเรื่อยๆ เขาไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้เงยหน้าขึ้นจนกระทั่งพี่รันเดินเข้าไปหาดินอีกรอบ พอมองรอยยิ้มกว้างของคนตัวสูงแล้วเจ้าของเรือนผมสีม่วงก็รู้สึกว่าขอบตาของตนร้อนผ่าว

ฝนแทนที่พี่คิมไม่ได้จริงๆสินะ...


วันต่อมาการถ่ายแบบก็เริ่มขึ้น ตอนนี้ดินจึงตามมาดูการถ่ายแบบที่สระว่ายน้ำของรีสอร์ท  ดินมองเดือนที่โพสท่าอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ในสระน้ำ เขายอมรับว่าตอนทำงานกับตอนปกติเจ้าตัวดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เดือนที่เขามองเห็นในตอนนี้เหมือนไม่ใช่ใช่เดือนที่เขารู้จัก ไม่มีแววตาล้อเล่น อ่อนโยน แต่กลับเป็นแววตาคมกริบแฝงเสน่ห์ที่ทำเอาคนมองแทบจะลืมหายใจ

ทุกท่วงท่าที่เคลื่อนไหวทำให้เขาละสายตาไม่ได้ หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนแผ่นอกเปลือยเปล่า  ทั้งสีหน้า ทั้งแววตา...
นี่สินะมืออาชีพ

ดวงตาคมหลังกรอบแว่นย้ายไปมองภาพของนายแบบอีกคนที่มาถ่ายแบบคู่กับเดือน  วันนี้ฝนเองก็ดูต่างออกไปเหมือนกัน  รอยยิ้มที่ส่งมาไม่ใช่รอยยิ้มกว้างจนตาหยีเห็นลักยิ้มบุ๋มเช่นเคย  แต่เป็นรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้ใบหน้านั้นดูแปลกตา

ดินคงจะมองทั้งคู่ถ่ายแบบเพลินไปอีกนานถ้าไม่ใช่เพราะอารัณย์บอกให้นายแบบขึ้นมาพักได้แล้ว  ดินมองพี่ชายต่างสายเลือดที่ปรี่มาหาเขาทันทีที่ขึ้นจากสระ  หยดน้ำเกาะพราวทั่วร่างกายที่มีมัดกล้ามสมส่วนนั้นทำเอาคนอายุน้อยกว่าต้องเบนสายตาหลบ ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องหน้าร้อนวูบวาบไม่หยุดด้วย

“เป็นไง วันนี้พี่เท่ใช่ไหม?” ชายหนุ่มผมดำสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนที่เขากำลังนึกถึงเดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง...ที่ดินคิดว่าเขาชอบรอยยิ้มแบบนี้ของเดือนมากกว่า

รอยยิ้มกว้างที่จริงใจ...มันอาจจะไม่ได้ดูดีเท่ารอยยิ้มมุมปากเท่ๆในสระน้ำนั่น แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดินรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ
“เอ่อ...น้องครับ ถึงพี่เดือนจะหล่อมากแต่น้องดินมองตาไม่กระพริบแบบนั้น พี่ก็เขินเหมือนกันนะครับ”

ขมวดคิ้วกับสรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปตอนไหนไม่รู้ของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร   “ก็ดีครับ แบบนี้ดูแทบไม่ออกเลยว่าปกติคุณสติไม่ดีน่ะ”

“อื้อหือ ด่าซะพี่อยากร้องไห้เลย” คนพูดทำปากยื่นตาละห้อยท่าทางน่าสงสารแต่ดูน่ากระทืบมากกว่าในความคิดดิน  ชายหนุ่มส่ายหัวไปมา  ยื่นผ้าขนหนูผืนโตให้อีกฝ่าย “แล้วมายืนตัวเปียกทำไมครับ เดี๋ยวก็ไม่สบาย”  เดือนที่รับผ้าขนหนูไปหัวเราะน้อยๆ
“ดีจังเป็นห่วงกันด้วย”

“เพ้อเจ้อขึ้นหรือเปล่าครับ หรือแก่แล้วมันเลยฟุ้งซ่าน?”

“ครับ พี่ฝันถึงงานแต่งงานของเรา ฝันว่าเราจับมือด้วยกัน และยังคงฝันว่ามีสักวันที่ฉันได้นั่งดูหนังข้างเธอ”

“ถ้าจะเป็นขนาดนี้ลาออกจากอาชีพนายแบบไปเป็นนักร้องเถอะครับ”

ดินกลอกตา เริ่มเหนื่อยจะเถียงกับมนุษย์พี่ตรงหน้า เขาจึงส่งขวดน้ำดื่มให้อีกฝ่ายไปนั่งดื่มเงียบๆ จะได้สงบปากสงบคำสักที  นั่งกันอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งอารัณย์ที่เช็ครูปเสร็จแล้วจึงบอกให้นายแบบทั้งสองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า “เดี๋ยวเซ็ทต่อไปจะเปลี่ยนไปถ่ายที่ริมทะเลแล้ว” หนุ่มผมยาวว่าพลางหันไปรุนหลังวสันต์ที่ดูเหมือนวันนี้จะเหม่อลอยมากกว่าปกติให้ไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
แวบนึงที่ดินมองตามฝนไปแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล

การถ่ายแบบที่ริมทะเลหนนี้เดือนกับฝนเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดที่สกรีนลายคล้ายๆกัน ไม่ว่าดินจะมองมุมไหนนี่มันก็เสื้อคู่ชัดๆเลยไม่ใช่เหรอ  แถมหนนี้ท่าทางการถ่ายแบบมันดู...แนบชิดกว่าในสระน้ำนั่นอีก!

คนตัวเล็กขบริมฝีปาก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นฝนกระโดดขึ้นไปขี่คอเดือน  แก้มเต็มอิ่มแนบกับแก้มของร่างสูงที่หันมายิ้มกว้างเหมือนมีความสุขเสียเต็มประดาให้กล้องจนดินได้แอบเบ้ปากใส่รัวๆในใจ

ชิ มีหนุ่มน้อยน่ารักขี่คอแบบนั้นแล้วดีใจขนาดนั้นเลย? ท่าทางดูมีความสุขดีนะ...

ขอให้หน้าแม่งเป็นตะคริว ไอ้พี่บ้า!

“สุดท้ายขอท่ากอดคอกันนะครับ แล้วหันมายิ้มสดใสให้กล้องด้วยครับ” อารัณย์สั่งพร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ถอยออกมา มองนายแบบทั้งสองสลับกันไปมาแล้วก็ส่ายหน้า พึมพำเบาๆ “มันยังไม่ใช่”

“คุณเดือน ขอยิ้มสดใสมากกว่านี้ได้ไหมครับ” ต่อหน้าทีมงานและในเวลาทำงาน เดือนกับอารัณย์จะวางตัวกันอย่างเป็นทางการเสมอ

 เดือนขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น “นี่ก็มากแล้วนะครับ” ยิ้มมากกว่านี้กรามกูอาจจะค้างได้นะครับเพื่อนมึง สงสารกูนิดนึง

“อืมมม”  อารัณย์ลากเสียงยาวด้วยท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “งั้นกอดคอกันแล้วหันมายิ้มสดใสให้คนหลังกล้องด้วยครับ”

หืม?

ดินหันขวับไปมองช่างภาพหนุ่มสุดติสท์ทันที

คือ...มันมีคำสั่งอะไรแบบนี้ด้วย?

เขากระพริบตาปริบๆหันไปมองเดือนเพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำท่าอย่างไร...แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าดวงตาคู่คมคู่นั้นเหมือนจะหันมาสบกับเขา แล้วรอยยิ้มกว้างแบบที่ดินชอบก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลานั้น...

ตลอดการถ่ายภาพ ดินยังคนรู้สึกว่าเดือนไม่ได้ละสายตาไปจากเขา

มันเหมือนอีกฝ่ายหันมายิ้มให้เขา...ให้คนหลังกล้องแบบเขา

คิดแบบนี้...จะเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่านะ

คนผมดำรีบก้มหน้าหลบสายตาคม  ยิ่งถูกจ้องแบบนั้นใจยิ่งประหวัดไปถึงเหตุการณ์ในห้องพัก...ตอนที่พวกเขาเกือบจะ...จูบ
ดินก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาไม่ปัดป้อง มันเหมือนกับสมองเขาขาวโพลนไปหมด นึกอะไรก็ไม่ออก

ถูกสะกดไว้ด้วยแววตาคู่นั้น เหมือนกับตอนนี้

เมื่อเสียงชัตเตอร์ครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง  อารัณย์ก็หันมายิ้มให้ดินที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้างๆเขา  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมประโยคที่ทำเอาคนฟังต้องก้มหน้างุดกว่าเดิม

“แหม...วิธียิ้มสดใสให้คนหลังกล้องเนี่ย ได้ผลดีเกินคาดเลยนะครับ ว่าไหมครับน้องดิน?”

ให้ตายเถอะ...แล้วเขาจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า!



หลังจากนั้นการถ่ายแบบของวันนี้ก็สิ้นสุดลง ตอนนี้ก็เป็นเวลาพักผ่อนไปจนกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นเขาจึงให้เดือนไปอาบน้ำก่อนส่วนตัวเองก็มานั่งมองทิวทัศน์ทะเลยามเย็นอยู่ที่หาดทราย  ดินเหม่อมองผืนน้ำที่ถูกฉาบย้อมด้วยสีส้มแดงของอาทิตย์ยามอัสดง  ตะวันดวงโตกำลังคล้อยต่ำราวกับจะจมหายลงไปใต้ทะเลเบื้องหน้า

ชายหนุ่มหลับตาปล่อยให้สายลมไล้ตามผิวแก้ม รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ผ่อนคลายจากความเครียดที่แบกอยู่บนบ่ามาตลอด 
รู้สึกเหมือนนานมากแล้วจริงๆที่ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้

เขาคงนั่งหลับตาอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆถ้าไม่ใช่เพราะเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ ดวงตาสีนิลเปิดขึ้นมองผู้มาเยือน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเป็นมิตรส่งให้ “อ้าว คุณฝน ออกมาเดินเล่นหรือครับ”  ถึงแม้เขาจะใส่ความสดใสลงไปในน้ำเสียงแค่ไหนแต่คราวนี้คนเบื้องหน้ากลับไม่ตอบรับ...ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเป็นมิตรที่มักประดับบนใบหน้าน่ารักนั้นเสมอ  คราวนี้มีเพียงแค่ความเย็นชา

“คุณดิน...ผมมีเรื่องอยากจะให้คุณช่วย”

“ครับ?”

ดินเอียงคอมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย เขาลุกขึ้นยืน  มองวสันต์ที่เม้มริมฝีปากเหมือนกำลังตัดสินใจทำเรื่องที่น่าลำบากใจมากๆอยู่ แล้วนัยน์ตาสีนิลก็ต้องเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำขอที่ออกจากปากของคนเบื้องหน้า

“คุณดินช่วย...ตัดด้ายแดงของพี่รันกับเนื้อคู่ของเขาทีได้ไหมครับ?”

กึก

ดินก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ใจหายวาบ ชาไปทั้งร่าง

คนๆนี้รู้ได้ยังไงว่าเขามองเห็นด้ายแดง?

แล้วที่สำคัญคือรู้มานานแค่ไหนแล้ว!?

“พูดอะไรของคุณครับ” ในที่สุดเมื่อรวมสติได้ดินก็ฉีกยิ้มแล้วตอบกลับไป  พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น “ผมไม่เห็นจะ...”
“คุณโกหก”  ยังไม่ทันที่เขาจะพูดให้จบประโยควสันต์ก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน นัยน์ตากลมโตสีนิลฉายแววมั่นใจและจริงจัง กดดันจนทำให้ดินต้องก้าวถอยหลังอีกครั้ง  เขารู้สึกเหมือนตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรุนแรง

“ผมรู้คุณโกหก”

“ผมเปล่า ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ”

วสันต์พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด  ก้าวเท้าเข้ามาใกล้เขา  สะกดลมหายใจของดินด้วยคำพูดที่เน้นย้ำช้าๆชัดๆ ราวกับจะสลักมันลึกลงไปในใจของคนฟัง

“ผมรู้เรื่องของคุณ...คุณปฐพี  ผมรู้ว่าคุณมีพลังพิเศษในการมองเห็นด้ายแดง ผมรู้ว่าคุณสามารถเชื่อมและตัดโชคชะตาความรักของคนอื่นได้”

“ผมทำไม่ได้”

“คุณโกหกอีกแล้ว” ฝนยิ้มบางๆ “ผมรู้ว่าคุณทำได้ ผมถึงได้มาขอร้องคุณอยู่นี่ไง”

สัญชาตญาณในใจสั่งให้ดินวิ่งออกจากตรงนี้ไปเสียแต่เขาก็ไม่ทำ  ความสงสัยใคร่รู้มันมีมากกว่าความตระหนกที่ถูกล่วงรู้ความลับ 

คิดได้ดังนั้นดินก็กอดอก หรี่ตาลงแล้วถามกลับไป “แล้วคุณรู้ได้ยังไง?”

วสันต์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที พวกเขายื่นนิ่งกันอยู่ตรงนั้น รอบกายถูกโอบล้อมด้วยสีดำสนิทของราตรีกาลที่มาเยือนในที่สุดและเสียงคลื่นที่ซัดสาด  ยืนกันเนิ่นนานจนดินคิดว่าวสันต์จะไม่ตอบคำถามเขาแล้ว

แต่แล้วจู่ๆน้ำเสียงแผ่วเบานั่นก็กระซิบออกมา ราวกับหวังว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะถูกกลืนหายไปกับเสียงลมและเสียงคลื่น

แต่สุดท้ายดินก็ได้ยินมันอยู่ดี

ประโยคที่บอกกับเขาว่า...อีกฝ่ายได้ยินเสียงในใจของเขา

“ผม...ผมไม่เข้าใจ” ดินละล่ำละลักถาม  นานทีเดียวกว่าเขาจะหากล่องเสียงตัวเองเจอ

“ผมบอกว่าผมได้ยินเสียงในใจของคุณ เอาง่ายๆคือผมอ่านใจคนได้นั่นแหละ” 

ดินอ้าปากค้างมองคนตรงหน้าด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ  อยากจะร้องหายาดมยาหม่องมาสูดสักหน่อย  รู้สึกช่วงนี้ชีวิตจะแฟนตาซีเกินไปจนตามไม่ทัน...

มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๐ ทะเล(พัก)ใจII (ครึ่งหลัง) {๒๓.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 23-01-2016 21:24:27
เมื่อเห็นเขานิ่งไปวสันต์ก็เอ่ยออกมาอีกว่า “แล้วถ้าผมแตะตัวคุณ ผมจะสามารถเห็นอดีตหรืออนาคตของคุณได้ด้วย ถึงจะแค่สั้นๆก็เถอะ”

เอ่อ...เดี๋ยวนะ  นี่ก็แฟนตาซีเกินไปอีกแล้ว  โอย จะเป็นลม...

โอเค ตั้งสติกลับมายังปัจจุบันก่อน  สรุปสถานการณ์สั้นๆตอนนี้ก็คือวสันต์มีพลังพิเศษเหมือนกัน...แต่เป็นพลังที่อ่านใจคนและมองเห็นอดีตหรืออนาคตได้  เพราะแบบนี้อีกฝ่ายเลยรู้ว่าเขาสามารถมองเห็นด้ายแดงของคนอื่นเลยมาขอให้เขาช่วยตัดด้ายแดงของอารัณย์กับเนื้อคู่ให้

แต่เนื้อคู่อารัณย์มันก็วสันต์ไม่ใช่เรอะ...หรือว่าวสันต์ไม่ได้ชอบอารัณย์กัน?

“เปล่าครับ...ผมชอบพี่รัน” อีกฝ่ายเอ่ยตอบเสียงในใจของดิน  ทำเอาคนผมดำต้องมุ่นคิ้ว รู้สึกว่าถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว แต่วสันต์ก็หาได้ใส่ใจไม่

“ผมอยากให้คุณตัดด้ายแดงของพี่รันกับคนอื่น...แล้วก็ช่วยผูกด้ายแดงของเขากับผมเข้าด้วยกัน”

“นั่นมัน...ไม่เป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรือไงครับ” อีกอย่างถ้าได้ยินความคิดเขาก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่าด้ายแดงตัวเองกับอารัณย์มันผูกกันอยู่แล้วน่ะ

“ผมรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวแล้วก็รู้ว่าด้ายแดงของเราเชื่อมกันอยู่แล้ว แต่ว่า...ผม...อยากให้คุณผูกมันให้แน่นกว่าเดิม ผมรักพี่รันจริงๆ ผมไม่อยากให้ใครได้เข้าไป”

ดินมองสีหน้าเศร้าๆของวสันต์แล้วส่ายศีรษะ เขาทำตามคำขอนั้นไม่ได้จริงๆ

“ความรักของใคร คนคนนั้นควรได้เลือกด้วยตัวเองนะครับ ผมเห็นด้ายแดงของพวกคุณก็จริง แต่ไม่มีสิทธิ์ไปจัดการกับความรักของพวกคุณตามใจชอบหรอก ขอโทษด้วยนะครับ” เขาก้มหัวให้อีกฝ่าย ก่อนจะถอยออกมาเพราะคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะกลับไปที่พักได้แล้ว

หมับ

หากแต่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหงายหลังเมื่อคนด้านหลังกระชากคอเสื้อเขาไว้อย่างแรง  มือเรียวบางคู่นั้นคว้าต้นแขนเขาแล้วบีบแน่น ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ดูผอมบางจะมีแรงมากขนาดนี้ ดินนิ่วหน้า พยายามสะบัดตัวหนี “ปล่อย คุณวสันต์ ปล่อย! ผมบอกให้ปล่อย ผมเจ็บ ทำบ้าอะไรของคุณ”

นัยน์ตากลมโตสีนิลแดงก่ำ ดินเห็นแววความเศร้าฟุ้งกระจายอยู่ในดวงตาคู่นั้น  “ผมแค่อยากให้คุณรู้...ให้คุณเข้าใจถึงความรู้สึกของผม  ให้คุณเข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องเรียกร้องอะไรบ้าๆแบบนั้น!”

“โอเคๆ ผมเข้าใจแล้ว ปล่อยแล้วเรามานั่งคุยกัน—“

“ไม่! ผมเห็น...อึก..ผมเห็นคุณ” แรงบีบที่แขนเพิ่มมากขึ้นขณะที่ใบหน้าน่ารักของนายแบบหนุ่มก็ดูทรมานมากขึ้นเช่นกัน “ผมเห็นอดีตทั้งหมดของคุณ”

คำนี้ราวกับมีมนต์สะกดให้ต้องหยุดนิ่ง  นัยน์ตาคู่คมหลังกรอบแว่นวาวโรจน์ขึ้นมา

“ปล่อย” ดินกระซิบ น้ำเสียงเย็นชาและกดดันอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน “อย่ามายุ่งกับเรื่องของผม  ปล่อยสิวะ! ไอ้เวรนี่!”

ผัวะ

หมัดหนักๆกระแทกเข้าที่แก้มขวาจนวสันต์ถึงกับเซ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ยอมปล่อยแขนของร่างตรงหน้า กลับกัน เขากลับออกแรงบีบต้นแขนของดินแน่นมากขึ้นกว่าเดิม

“ผมเห็นคุณ...ผมเห็นว่าแม่ยิงคุณที่ไหน...”

ดินหยุดนิ่ง ดวงตาเบิกค้างอย่างตระหนก  น้ำเสียงเกรี้ยวกราดในคราแรกกลับกลายเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบา

“หยุด...นะ”

อย่าพูดถึงมันอีกเลย....

“ผมเห็น ว่าน้องกระเสือกกระสนมาหาคุณยังไง...”

“ไม่...”

“ผมเห็นว่าคุณเอาแต่กลัวจนไม่กล้าขยับ...ผมเห็นว่าคุณ...”

“...”

“ผมเห็นว่าคุณปล่อยให้เธอตาย”

“ไม่ใช่นะ!” ดินตวาด ผลักร่างของวสันต์ออกอย่างแรงจนในที่สุดก็หลุดจากการเกาะกุมนั้นได้ “ไม่ได้อยากปล่อยให้ตาย...ไม่ใช่นะ...ผม...ผมพยายามแล้ว ผม...”

“ผมเห็นว่าญาติของคุณทำอะไรกับคุณ ผมเห็นว่าคุณถูกผลักไสขนาดไหน”

“เงียบนะ เงียบ เงียบสิโว้ย!”

“ผมเห็นว่าเขาคนนั้นทิ้งคุณให้อยู่คนเดียว...ขนาดว่าคุณกำลังจะตาย เขายังไม่มาเหลียวแลคุณเลยนี่ น่าสมเพชออกนะ คิดจะฆ่าตัวตายแต่สุดท้ายก็ไม่ตายเพราะขี้ขลาดเกินไปเนี่ย...คุณไม่มีความกล้าแม้แต่จะกดมีดนั่นลงที่แขนของตัวเองด้วยซ้ำ  ตายก็ไม่ได้ อยู่ไปก็ไม่มีค่า...น่าสมเพชออกว่าไหม ต่อให้ในวันนี้คุณจะทำเป็นเข้มแข็งแค่ไหน แต่แผลในใจคุณมันก็ไม่มีวันหายหรอก...คุณเองก็รู้สึกแปลกแยกตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ...”

“หยุดเถอะ...ได้โปรด...ฮึก...อย่าพูดอีก...ฮึกก ฮือออ อย่าพูดอีกเลย”

วสันต์มองร่างเล็กที่ทรุดลงไปขดตัวบนผืนทราย สองมือที่ปิดหูของตัวเองอยู่สั่นระริก  เขายังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจ

“ผมบอกแล้วว่าผมเห็น...ว่าเราสองคนเหมือนกันแค่ไหน”

“...เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการเหมือนกัน”

เจ้าของเรือนผมสีม่วงอ่อนยื่นมาจับมือดินไว้ วินาทีที่มือของทั้งคู่สัมผัสกัน ดินก็มองเห็นโลกเป็นสีเทาอีกครั้ง  ด้ายแดงของวสันต์สัมผัสเข้ากับมือเขาพร้อมกับวินาทีที่ทุกสิ่งระเบิดออกในหัว “ดูเสียสิ...ดูเหตุผลของผม”


เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งดินก็พบว่าเขากำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น บนโซฟาสีครีมตัวใหญ่ ข้างกายมีเด็กหนุ่มผมดำหน้าตาน่ารักนั่งก้มหน้าอยู่ด้วยสีหน้าเหมือนคนใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ เขาอยู่ในชุดนักเรียน เสื้อขาวกางเกงน้ำเงิน  ดูจากทรงผมแล้วต้องอยู่ม.ต้นแน่ๆ

แกรก

เสียงเปิดประตูทำให้ร่างเล็กบนโซฟาสะดุ้งเฮือก  เมื่อหันไปมองก็พบกับหญิงสาวที่สวมเครื่องแบบมัธยมปลายเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคน  มองก็รู้ว่านั่นคืออารัณย์สมัยยังเรียนอยู่

‘โดนเพื่อนแกล้งมาอีกแล้วเหรอครับเด็กน้อย’ อารัณย์ยิ้มกว้างให้วสันต์  พลางยกมือลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ขณะที่เด็กสาวคนนั้น...คนที่มองแล้วเหมือนเป็นวสันต์เวอร์ชั่นผู้หญิงนั่นก็เดินมานั่งข้างกายคนตัวเล็ก ยกมือขึ้นกอดวสันต์แน่น ‘พี่คิม...ฮึก...ฝนขอโทษ..ทำให้พี่คิมเดือดร้อนอีกแล้ว’

‘เดือดร้อนอะไรกัน’ เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าคิมพูดขัดด้วยสีหน้าจริงจัง ‘คนที่ควรจะเดือดร้อนคือเด็กอันธพาลพวกนั้นมากกว่า  คราวหน้าถ้าพวกนั้นมาแกล้งอีก ฝนต่อยแม่งให้คว่ำเลยนะ ไม่ต้องกลัว!’

ดินสำรวจหญิงสาวคนนั้นอย่างสนใจ  เธอมีใบหน้าคล้ายคลึงกับวสันต์เพียงแต่ดูบอบบางและน่าถนอมกว่า แล้วพริบตานั้นดินก็เห็นด้ายแดงของหญิงสาวคนนั้นเชื่อมเข้ากับด้ายแดงของอารัณย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  ด้ายแดงของอารัณย์ในตอนนั้นมีเพียงเส้นเดียวเสียด้วย

อย่างนี้นี่เอง...

ผู้หญิงคนนี้คือเนื้อคู่ลำดับที่หนึ่งของรันสินะ

‘เดี๋ยวสิคิม แบบนั้นได้เป็นเรื่องหรอก’ อารัณย์พูดกลั้วหัวเราะ ยื่นมือมาโยกศีรษะเด็กสาวเบาๆ เขาหันมายิ้มกว้างให้เด็กน้องที่นั่งตาแดงอยู่บนโซฟา ‘เอางี้ คราวหลังโดนแกล้งอีกก็บอกพี่ เดี๋ยวพี่จัดการให้’

‘แต่ว่า...’

‘ไม่เป็นไรหรอกน่า น้องคิมก็เหมือนน้องพี่นั่นแหละ’

ฝ่ามืออ่อนโยนเช็ดคราบน้ำตาบนพวงแก้มให้อย่างแผ่วเบา  ความรู้สึกของวสันต์ส่งผ่านมาถึงดิน ทำให้เขาแตะหน้าอกตัวเองพร้อมกับรับรู้ความรู้สึกของคนข้างกายไปด้วย

นั่นคงเป็นครั้งแรก...ที่วสันต์ตกหลุมรักล่ะมั้ง

ตกหลุมรักคนรักของพี่สาวตัวเอง

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว  ภาพเหตุการณ์มากมายที่ทำให้ความรู้สึกของวสันต์มันเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ ดินรับรู้ถึงความรัก ความอึดอัดและความเศร้าที่อัดแน่นอยู่ในใจของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้นทุกขณะ  เขากัดริมฝีปากพยายามสกัดกั้นไม่ให้ความรู้สึกเหล่านั้นเข้ามาปะปนกับความรู้สึกของตนเอง จนกระทั่งภาพที่เปลี่ยนไปมาหยุดลงตรงที่เหตุการณ์หนึ่ง

เมื่อภาพรอบตัวชัดขึ้น ดินก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในงานศพ...

รูปภาพของหญิงสาวที่คุ้นตาซึ่งตั้งอยู่หน้าโลงทำให้รู้ว่างานศพนี้เป็นของพี่สาวของวสันต์  เขามองไปเห็นร่างบอบบางของนายแบบหนุ่มร้องไห้จนตัวโยน ข้างกายมีร่างสูงของอารัณย์ยืนโอบไหล่ปลอบอยู่ทั้งที่สีหน้าก็ดูย่ำแย่เต็มทน  ร่างสูงค่อยๆเช็ดน้ำตาให้น้องชายคนรักอย่างแผ่วเบาก่อนจะโอบประคองร่างบางออกจากศาลาไป

ด้วยสีหน้าของคนที่หมดสิ้นทุกสิ่ง...

จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ครั้งนี้ดินกำลังเดินตามวสันต์ในชุดนักศึกษาเข้าไปที่ห้องห้องหนึ่ง เมื่อเปิดเข้ามาก็พบว่าตนเข้ามาอยู่ในห้องนอนของใครบางคน 

พรึบ

วสันต์กดสวิตช์ไฟ เมื่อสงไฟสว่างขึ้นเขาก็พบว่าบนพื้นห้องมีร่างหนึ่งนอนกองอยู่  กระป๋องเบียร์เปล่ามากมายวางระเกะระกะเต็มพื้น

หัวใจของดินบีบรัดอย่างเจ็บปวด  ความรู้สึกเหมือนคนหายใจไม่ออกทำให้เขายืนแทบไม่ไหว นั่นคงเป็นความรู้สึกของวสันต์ในตอนนั้น

เศร้า...จนอยากจะร้องไห้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

‘พี่...พี่รันครับ ตื่นเถอะ’

‘อือ’

วสันต์เดินไปเขย่าตัวร่างสูงนั้นเบาๆ ดินผงะไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าอารัณย์ดูย่ำแย่แค่ไหน ดวงตาบวมช้ำ หนวดเครารกครึ้ม 
ท่าทางดูแย่และทรมานจนน่าสงสาร

‘พี่รันดื่มมากไปแล้วนะครับ’

‘คิม...คิมหันต์’

ร่างเล็กชะงักเมื่อคนตรงหน้าเอ่ยเรียกชื่อพี่สาวเขาออกมา  ก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ‘เปล่าครับ ฝนต่างหาก ลุกไปนอนที่เตียงดีๆเถอะครับ’

‘น้อง...ฝน?’

‘ครับ’

อารัณย์หรี่ตาลงเหมือนกำลังเพ่งมองก่อนจะถอนหายใจออกมา ‘ไม่ใช่..คิม’  คนตัวสูงยกแขนขึ้นปิดตา เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ‘พี่ฝัน...เห็นคิมอีกแล้ว’

‘...’

‘ทำไมกันนะ...ทำไมพี่ถึงลืมคิมไม่ได้...ทำไมมันเหมือนกับว่าในทุกๆวันเขายังอยู่ข้างๆพี่...ยังยิ้ม ยังกุมมืออยู่ข้างๆ รู้ดีว่ามันเป็นแค่ฝันแต่พี่ก็อยากจะหลับตาแบบนั้นตลอดไป เพราะทุกครั้งที่ลืมตาตื่น พี่ก็ต้อวรับรู้ความจริงที่ว่า...ไม่ว่าจะมองหาที่ไหน คิมก็ไม่ได้...ฮึก...ไม่ได้อยู่ข้างๆพี่แบบนี้แล้ว’

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามพวงแก้ม ตามด้วยหยดที่สอง หยดที่สาม

‘แล้วเป็นผมได้ไหม’

ดินชะงัก มองร่างโปร่งบางขึ้นไปนั่งคร่อมตักของอารัณย์ที่ดูงงงวยไม่แพ้เขา

‘เป็นผมได้ไหมที่จะรักพี่...แล้วเป็นผมได้ไหม...คนที่พี่รัก’

‘ไม่...’

‘ผมไม่ได้ขอให้พี่ลืมพี่คิม! แค่...แค่รักผมบ้าง’

‘รักผมเหมือนที่ผมรักพี่..มาตลอด’

มือเรียวเอื้อมไปปิดตาชายหนุ่มตรงหน้า กระซิบข้างหูแผ่วเบา 'รักผมเถอะครับพี่ กอดผมให้แน่นๆ คิดเสียว่า...ผมเป็นพี่คิมก็ได้'

จะเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ตอนนี้...ให้พี่กอดผม

วินาทีนั้นความอัดอั้นมากมายที่มีก็ระเบิดออก ดินได้แต่ยืนตะลึงค้างมองร่างสองร่างกอดรัดกันแนบแน่น  เสียงครางกระเส่าน่าอายรวมทั้งเสียงหยาบโลนทำให้เขาได้แต่หลับตาปี๋  อยากจะหายตัวออกไปเสียเดี๋ยวนั้น

เชี่ยแม่ง หยุดได้แล้วเว้ย เขารู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร!

ไม่ต้องมาให้ดูหนังสดแบบชิดติดขอบจอขนาดนี้ก็ได้ กูไม่อยากรู้ครับ!

‘อึก...อ่า...คิม...คิม’

เสียงครางเรียกชื่อหญิงสาวที่ตายไปแล้วจากปากคนตัวสูงทำให้วสันต์ชะงัก  ความรู้สึกเจ็บปวดและขยะแขยงตีตื้นมาจุกอก ดินกัดริมฝีปากเมื่อความทุกข์ทรมานของวสันต์ทำให้เขาร้องไห้ออกมา....มันเป็นความอึดอัดและขยะแขยงจนทำให้เขาอยากจะอ้วกแต่ก็ปะปนไปด้วยความสุข

ดินรู้ว่าวสันต์สุข...เพราะคนที่สัมผัสไปทั่วร่างกายตนตอนนี้คือคนที่ตนหลงรักมานานแสนนาน

ดินรู้ว่าวสันต์เศร้า...เพราะเขาคนนั้นเห็นตนเป็นตัวแทนพี่สาวที่จากไป

ดินรู้ว่าวสันต์ขยะแขยงตัวเอง...ที่รู้สึกดีกับสัมผัสนั้น...รู้สึกดีที่ตนฉวยโอกาสจากคนที่กำลังอ่อนแอเช่นนั้น

พรึบ

ร่างบางที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นทรายสะดุ้งเฮือก ดินพบว่าตัวเองนอนแผ่อยู่โดยมีวสันต์ยืนค้ำหัวอยู่ บนใบหน้าดินเปรอะไปด้วยฝุ่นทรายและคราบน้ำตา  ห้วงอารมณ์ความรู้สึกของวสันต์ปะปนไปกับความรู้สึกของตัวเขาเองจนในที่สุดดินก็ร้องไห้ออกมา

ด้ายแดงของวสันต์ยังสัมผัสกับมือเขาอยู่ ทำให้เสียงในใจที่ทุกข์ทรมานเพราะรักของอีกฝ่ายดังสะท้อนอยู่ในหัว

‘เข้าใจแล้วใช่ไหม เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมผมถึงได้อยากรั้งเขาไว้’

‘ผมเห็นแก่ตัว แต่ผมไม่สนหรอก’

‘ผมอยากให้พี่รันเป็นของผมคนเดียว’

‘ผมผิดตรงไหนที่อยากรั้งคนคนเดียวในโลกที่ยังต้องการผมเอาไว้กับตัว ไม่อยากให้เขาไปเจอคนอื่น ไม่อยากให้เขาถูกใครแย่งไป’

“อึก...”

“ตอบผมมาสิคุณดิน ผมผิดมากหรือเปล่าที่ต้องการรั้งคนคนเดียวที่ยังเห็นค่าผมอยู่เอาไว้กับตัว ถ้าเป็นคุณผมคิดว่าต้องเข้าใจแน่ๆ คนที่ไม่เคยมีใครต้องการเหมือนกันแบบคุณต้องเข้าใจแน่ๆว่าการถูกทอดทิ้งหลังได้รับความรักมันเจ็บปวดเจียนตายแค่ไหน”

“ฮึก...ฮือ..ได้โปรด..หยุดเถอะ...ฮึก หยุดพูดเถอะ”

“การที่ผมเห็นแก่ตัวเพื่อความรัก...ผมผิดขนาดนั้นเลยหรือ”

ดินตะเกียกตะกายลุกขึ้น  เขาสะบัดตัวหนีจากวสันต์ที่ยื่นมือมา แล้ววิ่งหนีกลับไปยังบ้านพักของตน ทันทีที่ผลักประตูเปิดเข้าไป เดือนที่นั่งดูทีวีอยู่บนเตียงก็หันมามองเขาด้วยสีหน้าตกใจ “เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรนาย!”

“ฮึก...ฮือ...เขา...ฮึก...เขาไม่ควร..ฮือ..ไม่ควรพูดเลย”

ดินสะอื้นจนตัวโยน  บาดแผลในใจถูกกรีดซ้ำจนเลือดซิบอีกครั้ง บาดแผลที่เขาสัญญาว่าจะปิดไว้ไม่ไปแตะต้อง สุดท้ายก็ถูกขุดขึ้นมาอีกจนได้ แล้วไหนจะความรู้สึกตกค้างจากการสัมผัสด้ายแดงนั่นอีก มันส่งผลให้เขารู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้

“เดี๋ยว..เดี๋ยว ใครพูดอะไร ดิน ใจเย็นๆนะ ค่อยๆพูด หายใจเข้าลึกๆก่อน”

ดินสะอื้นฮักเมื่อถูกคนโตกว่าดึงเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแรง ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังเขาอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงข้างขมับเขา ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเลอะฝุ่นเลอะทรายอะไรมา 

สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องมาเห็นด้านแย่ๆของเขาก็คือเดือนอีกจนได้

“ไม่เป็นไร...ร้องออกมาเถอะ...ไม่เป็นไร พี่อยู่ตรงนี้...พี่เดือนอยู่ตรงนี้แล้วนะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบปลอบยิ่งกระตุ้นให้น้ำตาไหลมากกว่าเดิม  ดินยกมือโอบกอดคนเบื้องหน้าแน่นแล้วปลดปล่อยทุกความเศร้าใจออกมา

เห็นดังนั้นเดือนก็เลือกที่จะไม่ถามแม้ในใจจะงุนงงมากก็ตาม เขาเลือกที่จะเงียบแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ปล่อยให้น้องน้อยร้องไห้...ปล่อยความเศร้าใจลงในอ้อมแขนเขาเช่นนั้นไปตลอดคืน

**********************

พระเอกอีกแล้วนะพี่เดือนนนน สำหรับตอนนี้สงสารทั้งดินและฝนค่ะ
หลายคนอาจจะมองฝนไม่ดีนะแต่บางครั้งความรักก็ทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน
บางคนมองว่าเราจะเห็นแก่ตัวเพื่อความรักบ้างก็ได้ หรือบางคนก็มองว่ามันไม่ใช่ข้ออ้าง
ดังนั้นการกระทำของฝนมันเลยถูกตัดสินไม่ได้ว่าผิดหรือถูก เพราะต่างคนก็ต่างมุมมองออกไป
ขนาดตอนที่เขียนคำถามให้ฝนถามดินว่าตัวเองผิดมากหรือที่เห็นแก่ตัวแบบนี้
เราก็ยังหาคำตอบให้ไม่ได้เลยค่ะว่าจริงๆแล้วการกระทำของฝนมันเห็นแก่ตัวหรือเปล่า
ความรักบางครั้งก็ซับซ้อนมากๆจนเหนื่อยที่จะคิดเลยล่ะค่ะ
ช่วยเป็นกำลังใจให้ฝนและดินกันด้วยนะคะ   :L2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๐ ทะเล(พัก)ใจII (ครึ่งหลัง) {๒๓.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-01-2016 22:38:53
เมื่อไรดินจะยิ้มได้สักที
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๐ ทะเล(พัก)ใจII (ครึ่งหลัง) {๒๓.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 23-01-2016 23:04:05
 :ling3:


เราจัดว่าฝนอยุ่ในหมวดคนเห็นแก่ตัว

งานนี้น้องดินต้องระบายออกมาบ้างนะ  :mew4:

พี่เดือนจะอยู่ข้างดินตลอดไป  :hao6:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๐ ทะเล(พัก)ใจII (ครึ่งหลัง) {๒๓.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-01-2016 23:48:36
จะมีพลังด้านไหนโผล่มาอีก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๐ ทะเล(พัก)ใจII (ครึ่งหลัง) {๒๓.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 26-01-2016 15:20:26


ดีใจมากที่ดินมีพี่เดือน...
ตอนที่ดินวิ่งกลับเข้าห้องมาเจอเดือนคว้าเข้าไปกอดนี่เรารู้สึกเลยว่าน้องรอดแล้ว
เรื่องนี้มีคนพิเศษมากกว่าสองใช่ไหมคะ? หวังว่าคนพิเศษคนอื่น ๆ จะไม่มาสร้างปัญหาให้พี่น้องสองด. นี่ทีหลังนะคะ สงสารพวกนางจริง ๆ

เป็นกำลังใจให้ และรอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^  :pig4:

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๐ ทะเล(พัก)ใจII (ครึ่งหลัง) {๒๓.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 27-01-2016 00:47:43
 :sad4: สงสารน้องดินกะน้องฝนมากเลย คุณคนเขียนคะ สำนวนภาษาสวยมากเลยค่ะ อินมาก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๐ ทะเล(พัก)ใจII (ครึ่งหลัง) {๒๓.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 27-01-2016 09:52:13
ทำไมเราเกลียดฝนวะ
แม้ว่าจะทำเพื่อความรักแต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไปขุดคุ้ยอดีตของคนอื่นมาพูดปะ
มันเป็นสิทธิของเค้าอ่ะที่จะเล่าหรือเก็บมันฝังไว้กับตัว เกลียดว่ะเกลียดคนแบบนี้
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๑ อดีตหลังรอยน้ำตา {๓๐.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 30-01-2016 22:47:51
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๑
อดีตหลังรอยน้ำตา

งานถ่ายแบบของเดือนเสร็จสิ้นลงในตอนบ่าย หลังจากเช็ครูปดูจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาให้ต้องถ่ายใหม่แล้ว อารัณย์ส่งสัญญาณว่าเสร็จงานแล้วมาให้เขา เดือนเดินขึ้นจากพลางรับผ้าขนหนูจากทีมงานคนหนึ่งมาคลุมตัวไว้ วันนี้สีหน้าของนายแบบหนุ่มดู
เคร่งเครียดผิดกับเมื่อวาน อารัณย์เองก็พอจะเดาออกว่าอะไรเป็นสาเหตุ

จะใครเสียอีกถ้าไม่ใช่น้องชายต่างสายเลือดคนนั้น ที่ปกติจะต้องมานั่งดูพี่ชายทำงานแต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา  เห็นเดือนบอกว่าไม่สบายเลยขอนอนพักแต่ในบ้านพัก

“เสร็จงานแล้วมึงรีบไปพักเถอะ ขอบใจมากนะเว้ย” เขาเดินไปตบไหล่เพื่อนสนิท อีกฝ่ายเองก็แค่พยักหน้ารับคำ แต่สายตาคมกลับมองเลยไปที่นายแบบอีกคนซึ่งกำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับน้ำจากเส้นผม  เป็นสายตาแบบที่อารัณย์เองก็เดาไม่ออกว่ามันจะสื่ออะไร

“แล้วน้องดินเป็นไงบ้าง” คำถามนั้นเรียกให้ร่างสูงละสายตาออกจากวสันต์ได้

“ก็ไม่ค่อยดี เดี๋ยวกูจะกลับไปดูเขาแล้ว”

“โอเคๆ ยังไงงานเลี้ยงคืนนี้มาไม่ได้ก็ไม่ต้องมา มึงจะอยู่ดูน้องก็ได้  มีอะไรก็โทรมาหากูก็แล้วกัน”

เดือนพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆออกมาให้เพื่อนสนิท “ขอบใจมึงมากเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไร กูเองก็ต้องกลับไปดูคนของกูเหมือนกัน”

“คนของมึง อ้อ คุณฝนน่ะเหรอ”

เดือนพึมพำพลางลากสายตากลับไปมองนายแบบหนุ่มตัวเล็กอีกครั้ง อารัณย์พยักหน้า “วันนี้ฝนก็ดูท่าทางไม่ดีเหมือนกัน  ดูเครียดๆ”

อันที่จริงเจ้าตัวก็ดูเครียดมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ตอนที่เขาเดินเข้าไปดูก็เอาแต่นั่งเงียบ ถามคำตอบคำเหมือนคนมีอะไรในใจ

เดือนไม่ตอบคำ ชายหนุ่มบอกลาเพื่อนสนิท แล้วเดินไปล้างตัวที่ฝักบัวริมสระน้ำของรีสอร์ท ตอนที่เดินถึงฝักบัวเขาก็รับรู้ว่ามีใครบางคนเดินตามมาด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบกับชายหนุ่มดวงตากลมโตที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ วสันต์นั่นเอง

อีกฝ่ายคลี่ยิ้มให้เขา แต่เดือนไม่ได้ยิ้มตอบ กลับกันเขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา

“แหม มีอะไรหรือเปล่าครับถึงมองผมเหมือนกับจะลากไปฆ่าทิ้งถ่วงทะเลแบบนี้” วสันต์พูดติดตลก แต่ดวงตากลับไม่ฉายแววขบขัน  เดือนเองก็ไม่รู้สึกตลกกับคำพูดนั้นเหมือนกัน

“คุณทำอะไรดิน”

เขายิงคำถามได้ตรงทะลุเป้า ไม่ต้องรีรอให้เสียเวลา

“ทำอะไร? คุณพูดอะไรของคุณ”

“ผมคิดว่าคุณรู้ดีนะครับว่าตัวเองทำอะไรไว้”

อย่ามาแกล้งโง่จะดีกว่า เมื่อคืนก็ได้ยินมากับหูว่าวสันต์เป็นคนพูด...เรื่องที่ไม่ควรจะพูด ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าดินหมายความว่ายังไง แต่ไอ้หมอนี่ต้องอะไรสักอย่างกับดินแน่

ฝนยิ้มเมื่อได้ยินเสียงในใจของชายหนุ่มตรงหน้า  ดูเหมือนหลังจากที่ดินกลับห้องไป อีกคนจะเค้นอะไรออกมาได้บ้างสินะ

แต่ก็ไม่ได้เค้นส่วนสำคัญของเรื่องออกมา...

“ผมก็แค่ไปนั่งคุยกับคุณดินมาเท่านั้นเอง”

“ไม่ได้คุยอะไรทำนองว่า ‘ทะเลสวยจัง’ แน่ๆใช่ไหมล่ะครับ”

“ก็...เรื่องทั่วๆไปล่ะครับ”

ทั่วไปพ่อมึงสิครับ ถ้าคุยเรื่องทั่วไปน้องกูจะร้องไห้แทบเป็นแทบตายแบบนั้นไหม? แม่งน่าจับมาต่อยให้ปากแตก ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนของไอ้รัน...

คำว่าคนของอารัณย์ทำให้ฝนชะงัก

คนของพี่รันเหรอ...หึ เข้าใจผิดไปไหนต่อไหนแล้ว

“ผมว่า แทนที่คุณจะเสียเวลามากล่าวหาผมอย่างนู้นอย่างนี้ สู้เอาเวลาไปกลับไปดูน้องชายคุณไม่ดีกว่าเหรอครับ” ฝนเอ่ยขึ้นมา หันมาจ้องหน้าเดือน “ปัญหามันอยู่ตรงไหนรู้ไหมครับคุณเดือน...มันอยู่ตรงที่คุณ ‘ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณดินเลยสักอย่าง’ นั่นแหละครับปัญหาหลักเลย”

“ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน” เดือนตอบเบาๆ ทั้งที่รู้สึกเหมือนถูกตบจนหน้าชา มันจริงอย่างที่ฝนพูดนั่นแหละ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดินเลย  เขารู้แค่ในสิ่งที่เจ้าตัวอยากให้รู้ แต่ดินเป็นคนที่แค่มองก็รู้ว่าเจ้าตัวมีแผลในใจ แผลใหญ่...ลึก...ที่เจ้าตัวไม่อยากให้ใครเข้าไปแตะต้อง และเจ้าตัวก็เลี่ยงที่จะแตะต้อง

ดินจงใจปิดมันไว้ หวังว่ามันจะเยียวยาตัวเอง แต่แผลที่ไม่ได้รับการทำความสะอาด ต้องให้ไม่ไปแตะต้องแต่มันก็ติดเชื้อและลุกลามได้

คงเป็นเขาเองที่ผิด เพราะชะล่าใจมากเกินไป...คิดว่าวันหนึ่งน้องคงจะพูดออกมาเอง

แต่คนอย่างดิน ดื้อรั้นมากกว่าที่เห็นภายนอกนัก อะไรที่ไม่อยากพูดก็คงจะปิดเงียบไปจนตาย คงเป็นเขา...ที่ต้องก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายให้มากกว่านี้

“โอเค ผมยอมรับว่าผิดที่เมื่อคืนไปพูดอะไรสะกิดใจเจ้าตัวเข้า...แต่ถ้าคนเรามีแผลเป็นอะไรในใจ พูดแค่ไหนก็ไม่ใส่ใจหรอกจริงไหมครับ  ทางแก้คงไม่ใช่การมาโวยวายเอาผิดผม แต่คงเป็นการเข้าไปทำความรู้จักกับ ‘อดีต’ ของน้องชายคุณต่างหาก”

“คุณพูดเหมือนรู้อะไรมา”

“ก็...คงจะรู้บ้าง” ฝนลากเสียงยาวแล้วหันมายิ้มจนตาหยีให้เขา “แล้วคุณล่ะครับ รู้อะไรบ้างหรือเปล่า”

เดือนเดินเข้าไปล้างตัวใต้ฝักบัวแบบลวกๆ ก่อนจะเดินออกมาใช้ผ้าขนหนูซับน้ำแล้วคลุมตัวไว้  เขาเร่งเดินผ่านอีกฝ่ายไปโดยไม่ตอบคำถาม

มีเพียงวสันต์เท่านั้นที่มองตามแผ่นหลังกว้างที่ลับตาไป

เมื่อถึงบ้านพัก เดือนผลักประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา  เครื่องปรับอากาศในบ้านพักยังคงทำงานอย่างเงียบสนิท  ร่างบนเตียงนอนขดตัวอยู่ในกองผ้าห่ม ดูเหมือนกำลังหลับอยู่

ชายหนุ่มตัดสินใจยังไม่ปลุกคนตัวเล็ก เขาจึงคว้าผ้าขนหนูแล้วเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากห้องน้ำมาก็พบว่าดินกำลังนั่งเอนหลังพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเช็ดผมไปพลางเดินไปนั่งข้างร่างเล็กนั้น ดินเหลือบตามามองแวบหนึ่งก่อนจะก้มไปอ่านหนังสือต่อ “ก็ตั้งแต่ได้ยินเสียงน้ำครับ”

“ขอโทษนะ ทำให้ตื่นเลย”

คนผมดำส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ตื่นมาแล้วก็ดีเหมือนกัน นอนนานกว่านั้นเดี๋ยวปวดหัว”

“แล้ว...รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง” ว่าพลางยกมือทาบหน้าผากคนกำลังอ่านหนังสืออยู่  โชคดีที่ไม่มีไข้ วันนี้เจ้าตัวแค่ปวดหัวเพราะเมื่อวานร้องไห้มากไป

“ก็ดีขึ้นแล้วครับ ไม่ปวดหัวแล้ว” ดินตอบเสียงค่อย หลบสายตาคมของเดือน

เมื่อวานเขาร้องไห้หนักมาก...เหมือนแผลใจที่ปิดเงียบมานานถูกวสันต์กระชากเอาผ้าปิดแผลออกแล้วราดน้ำเกลือลงบนแผลอย่างไรอย่างนั้น  อารมณ์ความรู้สึกมากมายถาโถมจนทนไม่ไหว เขาเลยโซเซกลับมาที่บ้านพักแล้วก็ร้องไห้...ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของพี่ชายจนน้ำตาเหือดหายไปหมด

ดินยังจำสัมผัสอ่อนโยนที่ลูบไล้แผ่นหลังได้  จำรอยจูบอุ่นๆที่ข้างขมับ หน้าผาก และเปลือกตาของเขาได้  จำสัมผัสอ่อนโยนของปลายนิ้มที่เกลี่ยหยดน้ำตาออกจากใบหน้าให้เขาได้

จำได้ว่าตอนที่อีกฝ่ายดึงเขาเข้าไปกอด...มันให้ความรู้สึกเหมือนคนจมน้ำที่เจอขอนไม้ หรือไม่ก็คนหลงทางเห็นแสงสว่างล่ะมั้ง
เป็นความรู้สึกที่ว่า ‘แค่มีคนคนนี้อยู่ก็ไม่เป็นไรแล้ว’

แต่เมื่อคืน...ที่ปล่อยให้ตัวเองถูกอีกคนพรมจูบแก้ม จูบหน้าผาก จูบตาแบบนั้น...มันก็น่าอายมาก จนเขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆเลยสักที วันนี้เลยใช้ข้ออ้างว่าปวดหัวขอนอนพักอยู่ในบ้านพัก เพราะออกไปนั่งมองอีกฝ่ายทำงานเช่นที่ผ่านมาก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงเหมือนกัน

“หืม ทำไมหน้าแดง”

“เปล่าครับ..คือ ไม่เป็นไร”

เขาตอบตะกุกตะกัก รีบวางหนังสือลงแล้วนอน ยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง “ผม..ผมง่วงแล้ว ขอนอนอีกหน่อยแล้วกัน”

“อ้าว ไหนบอกนอนมากแล้วปวดหัว”

“ก็...ช่างเถอะน่า ผมจะนอนแล้ว พอเย็นแล้วก็ปลุกผมด้วยแล้วกัน”

ดินว่าแล้วพลิกตัวตะแคง นอนหันหลังให้เดือน ซึ่งคนตัวสูงก็ยิ้มขำ สอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม แล้วยกแจนพาดไปที่เอวของน้องชายต่างสายเลือดเหมือนจงใจจะแกล้ง แถมมีการยกตัวไปกระซิบเบาๆข้างหูให้คนตัวเล็กต้องย่นคอหนีด้วยอีกต่างหาก

“รับทราบครับ ฝันดีนะครับน้องดิน”


วสันต์ได้ยินเสียงเปิดประตู แต่เขาไม่ได้หันไปมองเพราะรู้ดีว่าใครเป็นคนเข้ามา ชายหนุ่มยังคงใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับน้ำออกจากเส้นผมสีม่วงอ่อนอย่างใจเย็น  รอให้ผู้มาเยือนเป็นฝ่ายพูดแต่เมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่ปริปากอะไร ชายหนุ่มจึงละมือออกจากผ้าขนหนู หันกลับมาเลิกคิ้วมองชายหนุ่มผมยาวที่ยืนพิงผนังอยู่ข้างประตู

“พี่มีอะไรอยากพูดหรือเปล่าครับ?”

พอเห็นใบหน้าน่ารักนั่นฉีกยิ้มกวนๆมาให้ อารัณย์ก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ไปแกล้งอะไรคุณดินเขา”

“เปล่าสักหน่อย”

“เด็กนิสัยไม่ดี  ไปขอโทษเขาเลยนะ”

“ฝนทำอะไรผิดหรือครับ”

อารัณย์หรี่ตาลง  ดวงตาคมฉายประกายดุเมื่อเด็กของตนเถียงอย่างดื้อดึง “ก็รู้อยู่ว่าทำอะไรไป  อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ ว่าเราไปพูดอะไรสักอย่างจนคุณดินเขาร้องไห้”

วสันต์กัดริมฝีปาก หลุบตาลงเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด เห็นดังนั้นคนอายุมากกว่าก็รีบซ้ำทันที “โตแล้วนะฝน ทำอะไรผิดก็รีบไปขอโทษ อย่าให้พี่ต้องดุมากไปกว่านี้”

เจ้าของเรือนผมสีม่วงอ่อนซ่อนดวงตาที่มีตะกอนความเสียใจไว้ด้วยการก้มหน้าลงต่ำ รับคำง่ายๆ “เข้าใจแล้วครับ”  เมื่อเห็นอีกคนรับคำอย่างว่าง่าย  ร่างสูงก็หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กเดินไปหาร่างเล็กที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วลงมือเช็ดผมให้อย่างแผ่วเบา  พอมองอีกคนที่นั่งนิ่งอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำเหมือนคนประท้วงเงียบก็ได้แต่ถอนหายใจสั้นๆอีกหน

เด็กดื้อ...จะผ่านไปอีกกี่ปีก็ดื้อไม่เปลี่ยน

“กำลังว่าฝนในใจใช่ไหม” เสียงใสๆนั่นพูดขึ้น เจือด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย  เขาเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว จะมีสักครั้งไหมที่เด็กนี่ไม่รู้ทันเขา

“ก็รู้ตัวนี่”

“ฝนไม่ได้ดื้อนะ”

“ที่เถียงอยู่นี่แหละที่เรียกว่าดื้อ”

“ฝนดื้อแล้วทำให้พี่รันเหนื่อยหรือเปล่า” คนผมม่วงหันมามองเขา  คาดคั้นเอาคำตอบ “ก็เหนื่อย...” คำตอบของเขาทำให้ใบหน้าน่ารักนั่นสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“เหนื่อย...แต่ก็เต็มใจเหนื่อย”

แค่ประโยคสั้นๆแต่กลับทำให้หัวใจเต้นแรง เป็นความสุขเล็กๆที่หล่อเลี้ยงจิตใจของวสันต์เอาไว้

“เพราะพี่สัญญากับคิมไว้แล้ว”

แต่ความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อประโยคต่อมาฉีกกระชากหัวใจเขาออกเป็นชิ้นๆ แทนที่มันด้วยความเจ็บปวด

วสันต์หลับตาลง กล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินประโยคทำนองนี้...ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่าตัวเองไม่มีหวัง 

นับตั้งแต่วันนั้น...ที่เขาฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของพี่รัน เมื่อลืมตาตื่นในวันต่อมา เขาก็พบว่าอีกฝ่ายทำราวกับไม่มีอะไรเกิด
ขึ้น ทำราวกับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แต่เพราะได้ยินเสียงในใจเขาจึงรู้ว่าอีกคนจำได้ทุกสิ่ง แค่เลือกที่จะทำเป็นลืมมันไปเสีย

ไม่มีวันรักน้องชายของคิมหันต์ได้...เด็กคนนั้นแทนที่พี่สาวตัวเองไม่ได้หรอก

ประโยคที่เจ้าของมันคิดวนเวียนซ้ำๆในหัวราวกับพยายามจะสะกดจิตตัวเองทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า แต่วสันต์ก็ทำแค่ยิ้มรับแล้วก็ทำเป็นลืมเรื่องในวันนั้นไปเช่นกัน  อาศัยอยู่ข้างกายของอารัณย์ในฐานะน้องชาย มองชายหนุ่มตรงหน้ามีผู้หญิงผ่านมาคนแล้ว
คนเล่า แต่ก็ไม่เคยมีใครได้หัวใจของอารัณย์ไปเลยสักคน

เพราะความรักของอารัณย์...มันจากไปพร้อมกับลมหายใจของพี่สาวของเขาแล้ว

“เอ้า เสร็จแล้ว ไปแต่งตัวเถอะ อีกเดี๋ยวงานเลี้ยงจะเริ่มแล้วนะ” เสียงของชายหนุ่มดึงให้วสันต์หลุดออกจากภวังค์  ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นดังนั้นอารัณย์เลยทำท่าจะเดินออกจากห้องเพื่อปล่อยให้อีกฝ่ายแต่งตัว

หมับ

ยังไม่ทันจะก้าวไปที่ประตู แรงโถมจากด้านหลังก็รั้งตัวเขาไว้  แขนเล็กๆนั่นสั่นระริกยามเอื้อมมือมากอดเอวเขา อารัณย์แหงนใบหน้าขึ้นมองเพดาน หลับตาลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ฝน ปล่อย พี่จะกลับไปแต่งตัว”

“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้นี่”

“ฝน...”

“นะครับ...อยู่เป็นเพื่อนฝนก่อนนะ”

เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย  ดันร่างเล็กนั้นออก “ไปแต่งตัว เดี๋ยวไม่สบายนะ”

“พี่รัน...” ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยหยาดน้ำใสเอ่อคลอ  อารัณย์เบือนหน้าหนีด้วยไม่อยากเห็นหยดน้ำตาของเด็กน้อยตรงหน้า
“ผมรักพี่นะครับ”

เขาเม้มริมฝีปาก กลั้นใจอยู่นานแล้วจึงพูดออกมา

“ไปแต่งตัวเถอะ เจอกันตอนทุ่มนึงที่ห้องอาหารนะ”

ว่าจบเขาก็รีบออกจากบ้านพัก ปล่อยคำว่ารักของอีกฝ่ายให้ร่วงหล่นหายไป

เป็นผู้ชายใจร้ายจริงๆด้วยสินะ...ตัวเขาน่ะ...

เห็นไหมฝน พี่รันของฝนใจร้ายมากเลยนะ...หยุดเถอะ เลิกรักพี่เถอะ

เวลาของพี่หยุดเดินมานานแล้ว...และมันคงขยับเดินต่อไปไม่ได้

แต่ฝนไม่ใช่...เวลาของฝนต้องเดินต่อไป แล้ววันไหนเมื่อฝนได้พบคนที่รักฝนและฝนก็รักเขา พี่ก็จะยืนยิ้มให้ฝน จะกล่าวอวยพร
ให้รักกันไปนานๆ

ฝนสมควรมีความสุข...พี่รันจะทำให้ฝนมีความสุข

เพราะฉะนั้น ได้โปรดเถอะนะคนดี...

หยุดร้องไห้ให้ผู้ชายใจร้ายคนนี้เถอะนะ


ตอนที่ดินตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาทุ่มตรงแล้ว เขายันตัวลุกขึ้นแล้วพบว่าเดือนกำลังรับอาหารจากพนักงานที่นำมาส่งให้ที่ห้องอยู่ ชายหนุ่มเดินถือถาดอาหารเข้ามา ยิ้มให้เมื่อพบว่าเขาตื่นแล้ว

“เป็นไง หลับสบายไหม  ฉันเห็นว่าเราคงไปไม่ทันงานเลี้ยงแล้วก็เลยสั่งอาหารมา”

ดินมองอาหารในถาด  มีข้าวผัดจานใหญ่ ยำวุ้นเส้น ไก่ทอดกระเทียม แล้วก็กุ้งกับปลาหมึกชุบแป้งทอด  เดือนวางถาดอาหารลง
บนโต๊ะกลมใส่ข้างเตียง “มากินข้าวเถอะ”  ชายหนุ่มจัดการตักแบ่งข้าวผัดใส่จานให้อีกฝ่าย เดินไปหริบขวดน้ำเปล่าที่แช่ในตู้เย็นออกมาเปิดให้

ดินยิ้มกับท่าทางนั้น มิน่าผู้ชายคนนี้ถึงได้ทำให้ใครต่อใครชอบเขาได้

ก็เอาใจเก่งแบบนี้ไง  นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้ไปแล้ว

“ยิ้มอะไรครับ หลงเสน่ห์พี่ชายคนนี้แล้วล่ะสิ” เดือนยิ้มหล่อให้ เมื่อเห็นดังนั้นดินก็เบ้หน้าใส่อีกฝ่าย แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว  หลังจากจัดการอาหารจนเกลี้ยง เดือนก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ชายหนุ่มจัดการรวบรวมจานเปล่าใส่ถาดไปวางไว้หน้าห้องแล้วเอื้อมมือไปดึงแขนน้องชายต่างสายเลือดขึ้นมา พอดวงตาสีนิลหลังกรอบแว่นจ้องมาด้วยความสงสัยเขาก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย “ไปเดินเล่นย่อยอาหารกันดีกว่า”

เดือนกับดินพากันเดินลงมาที่ชายหาด  ตอนนี้ชายหาดแทบจะไร้ผู้คนมีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่ยังเดินเล่นกันอยู่  เดือนถอดรองเท้าออกให้เท้าเปล่าสัมผัสกับทรายเนียนนุ่ม กลิ่นทะเลยามราตรีทำให้สดชื่นขึ้น  “ถอดรองเท้าออกด้วยสิ” เดือนบอก ดินทำตามอย่างว่าง่าย

สองพี่น้องเดินถือรองเท้าไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เดินเคียงกันไปเงียบๆริมชายหาด  ปล่อยให้คลื่นซัดสาดเท้าเปล่าเปลือย  เหม่อมองแสงไฟจากเรือทั้งหลายที่กระพริบวิบวับอยู่กลางความมืดมิดของผืนน้ำ

“เอาล่ะ...ฉันว่า เรามีเรื่องต้องพูดกันนะ” ดินชะงักเมื่อจู่ๆเดือนก็เอ่ยขึ้นมา  ร่างสูงหันหน้ามามองเขา  สะกดเขาไว้ด้วยดวงตาคู่นั้นจนหันหนีไม่ได้  หัวใจเต้นถี่รัว

“พูดเรื่องอะไรครับ”

เดือนขยับเข้ามาจนชิดเขา   จับต้นแขนเขาเอาไว้  “ฉันว่า...พี่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ผมไม่มีอะไรจะคุย”

“คนเรามีแผล...อาจคิดว่าปิดไว้แล้วมันจะเลือนหายไป แต่ถ้าเราไม่เปิดแผลนั่นออกมาทำความสะอาด ใส่ยาให้ถูกวิธี มันก็ไม่มี
วันหายดีหรอกนะ  แผลใจก็เหมือนกัน  พี่ไม่รู้ว่าดินแบกอะไรไว้ แต่เราไม่จำเป็นต้องแบกรับมันไว้คนเดียวนะ”
ดินก้มหน้า เอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่า “คุณไม่เชื่อผมหรอก...เรื่องทั้งหมดมันยากเกินไป ยากเกินจะอธิบาย”

“ยังไม่ทันได้เล่าเลย”

“แล้วเราเป็นอะไรกันล่ะครับ” ดินเงยหน้าขึ้น ตวาดเสียงดัง  หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวย เดือนค่อยๆถอดแว่นตาของอีกฝ่ายออกแล้วเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน เหมือนเช่นทุกครั้ง ความอ่อนโยนที่ทำให้ดินกลัวเหลือเกินว่าเขจะเคยชินกับมัน แล้ววันหนึ่งหากเขาเปิดใจแล้วคนตรงหน้าหายไป

มันคงทำให้เขาแตกสลายไปมากกว่าเดิม

“เราเป็น..ฮึก...เป็นอะไร...อึก กันครับ ทำไมผมถึงต้อง...เชื่อใจคุณด้วย”
เดือนลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา  “เป็นอะไรก็ได้...ที่ดินอยากให้เป็น  เป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย เป็นครอบครัว สิ่งเดียวที่น้องต้องรู้คือน้องเชื่อใจพี่ได้”

ฝ่ามืออันแสนอ่อนโยนนั้นกอบกุมมือเขาไว้  ดินมองคนที่เป็นเสมือนแสงไฟคอยนำทางเขาในวันมืดมิด  ส่วนลึกในใจเขาร่ำร้องออกมา...ว่าในที่สุดก็พบคนที่เชื่อใจได้  เขาเชื่อใจคนคนนี้ได้

“คุณจะเชื่อทุกอย่างที่ผมพูดหรือ” เขาเงยหน้าขึ้นมองเดือน  ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยคำตอบรับหนักแน่นมั่นคง

“พี่สัญญา”

คำตอบนั้นทำให้ดินรู้สึกเหมือนปราการในใจถูกทลายไปจนหมด  เขาค่อยๆทรุดตัวลงนั่งบนผืนทราย รับรู้ได้ว่าเดือนเองก็นั่งลงเคียงข้าง  ดินเรียบเรียงถ้อยคำและเรื่องราวอยู่ครู่หนึ่ง...ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวของตนออกมา

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๑ อดีตหลังรอยน้ำตา {๓๐.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 30-01-2016 22:59:28
“ผม...เป็นลูกของโสเภณี...แม่...ผมอยู่ในสลัม  ตอนที่พบกับพ่อก็คือตอนที่พ่อมาใช้บริการ...” รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏบนใบหน้าราวกับผู้หญิงนั่น “คราวนี้นอกจากจะเป็นผู้หญิงขายบริการแล้วแม่ยังเป็นเมียน้อยอีกด้วย  ผมไม่รู้ว่าพ่อรักแม่ไหม...แต่แม่...แม่รักพ่อ  ดูเหมือนช่วงนั้นพ่อจะมีปัญหากับที่บ้านก็เลยมาค้างกับแม่  พวกเขาอยู่ด้วยกัน แม่มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ มีเงินกินอาหารดีๆ สำหรับแม่ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นจนกระทั่งแม่มีผม”  เดือนรั้งร่างเล็กๆนั้นให้เอนหัวซบไหล่เขา ซึ่งดินเองก็ทำตามโดยไม่ปริปากว่า 

“เรื่องพวกนี้แม่เล่าหรอกหูผมซ้ำๆทุกวันเลยล่ะ ฮ่ะๆ เหมือนเป็นนิทานก่อนนอนเลยก็ได้มั้ง...ตอนแรกที่รู้เรื่องพ่อก็โมโห  พ่อไม่อยากมีเด็ก เขาบอกมันยุ่งยาก พ่อเมาเหล้า ขู่แม่ว่าถ้าแม่ปล่อยให้มีผมเขากลับไปอยู่ที่บ้านเดิมแล้วก็ไม่กลับมาหาแม่อีก แม่รักพ่อมาก...มากกว่าเด็กที่ไม่เคยเห็นหน้าและกำลังจะทำให้พ่อทิ้งแม่ไป แม่เลยจะไปทำแท้ง แต่ก่อนจะได้ไปทางบ้านของพ่อก็เจอตัวพ่อก่อน  พวกเขาด่าแม่ลั่นไปหมด  คนออกมาดูเต็มไปหมด ด่าแม่ว่าเป็นผู้หญิงสกปรก ไม่คู่ควรกับพ่อ  ยิ่งรู้ว่าแม่ท้องผมพวกเขาก็ยิ่งรังเกียจ  แต่ก็ไม่ใจร้ายพอจะบอกให้ไปเอาเด็กออก  สุดท้ายทางนั้นก็พาพ่อกลับไปที่บ้านแล้วบอกว่าถ้าเด็กออกมาแล้วเป็นลูกพ่อจริงจะส่งเงินค่าเลี้ยงดูมาให้  แต่แม่ก็ไม่อยากมีผม เพราะแม่คิดมาตลอดว่าเพราะมีผมพ่อก็เลยจะทิ้งแม่ไป  แม่ก็เลยจะไปทำแท้ง แต่สุดท้ายก็เป็นพ่อกับแม่ของคุณช่วยผมเอาไว้”

 ดินหันมายิ้มให้เขา ยิ้มทั้งที่น้ำตายังไหลอาบแก้มไม่หยุด

“แม่กับพ่อของคุณรู้เรื่องของแม่ผม  แล้วก็เลยเข้ามาช่วย รู้ไหม ช่วยเด็กที่ยังไม่เคยเห็นหน้าแบบผม...พวกเขาให้เงินแม่ บอกว่า...จะเป็นการซื้อตัวผมก็ได้  จะจ่ายค่ารักษากับค่าใช้จ่ายอื่นๆให้ แม่แค่ต้องอย่าทำแท้ง แล้วก็คลอดผมออกมาให้มีสุขภาพดี เพราะพ่อกับแม่คุณผมก็เลยได้ออกมาลืมตาดูโลก  แต่หลังจากมีผมแม่ก็เป็นโรคซึมเศร้า เพราะพ่อไม่ติดต่อมาเลย ไม่ว่าแม่จะพยายามติดต่อไปแค่ไหน  ไม่มีแม้แต่ค่ารักษา แม่ไปตรวจดีเอ็นเอมาด้วยซ้ำ...ผมเป็นลูกพ่อ แต่ทางนั้นก็ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ ผมไม่โทษพวกเขานะ  ครอบครัวพ่อเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียง ใครจะอยากให้มีข่าวว่าลุกชายคนเดียวมามีลูกกับโสเภณีล่ะจริงไหม พอติดต่อพ่อไม่ได้ แม่ก็เริ่มเลี้ยงดูผมแบบทิ้งๆขว้างๆ ลืมให้กินนมบ้าง  ไม่อาบน้ำให้บ้าง ผมร้องไห้เสียงดังจนคนข้างบ้านรำคาญเลยมาดูแลให้  ช่วงนั้นแม่ก็เอาแต่เมาเหล้า...แม่โทรมมาก...จนสุดท้ายก็พ่อกับแม่ของคุณอีกนั่นแหละที่เป็นคนมาขอผมไปเลี้ยง แลกกับเงิน...แม่ขายผม “

เดือนเบิกตากว้าง  ชีวิตของคนคนหนึ่งจะผ่านเรื่องราวที่โหดร้ายแบบนี้มาได้ยังไงกันนะ ต้องเข้มแข็งขนาดไหนกันถึงจะผ่านเรื่องพวกนี้มาได้ เติบโตมาได้โดยยังไม่เสียผู้เสียคนไป

“ผมมาอยู่กับพ่อแม่คุณจนอายุได้ประมาณห้าขวบ  ผมก็รู้ว่าแม่มีน้องสาว...ที่เกิดกับลูกค้าคนไหนสักคน  ทางนั้นก็อยากให้ทำแท้งนะ แต่แม่คุณก็ช่วยไว้อีกจนได้  ผมไม่อยากทำตัวเป็นภาระไปมากกว่านี้เลยขอกลับบ้านมาดูแลน้อง  น้องน่ารักมากเลยคุณรู้ไหม  แก้มยุ้ยๆ  ตาโตๆ  พอโตมาก็น่ารักมาก...”

“น้องชื่ออะไรหรือ”

“ต้นข้าว...แม่คุณเป็นคนตั้ง บอกว่าผมชื่อดิน...น้องก็น่าจะชื่อต้นข้าว  ได้คู่กัน ดูน่ารักดี”

ดินเงียบไป หลุดไปในห้วงอดีตอันแสนไกล  เดือนไม่ได้เร่งรัดให้อีกฝ่ายพูดต่อ เขาแค่นั่งรอเงียบๆจนร่างบางพร้อมจะพูดอีกครั้ง

“ผมอยู่กับแม่จนน้องสาวอายุได้สี่ขวบ  คุณ..ฮึก..รู้ไหม...คำแรกที่น้องพูด...พูดได้ คือคำว่า...พี่ดินล่ะ ฮึก จนคืนหนึ่งมันก็เกิดเรื่อง...แม่เมาเหล้า...เครียดจัด เพราะตอนนั้นมีข่าวออกเต็มไปหมดทั้งในโทรทัศน์แล้วก็หนังสือพิมพ์ว่าพ่อ...มีลูกแล้ว  ครอบครัวสุขสันต์เชียวล่ะ  แม่รับไม่ได้  เสียใจ เอาแต่กินเหล้าจนเมา...แล้วแม่ก็อาละวาด  ผมกำลังหลับอยู่ตอนที่แม่ลากน้องออกมาทุบตี...ผมกลัว ถึงแม่จะลงมือกับพวกเราร้ายครั้งแต่ครั้งนี้ดูจะรุนแรงที่สุดเพราะน้องกรีดร้องไม่หยุด  ผมนั่งอยู่นานเพราะไม่กล้าวิ่งออกไปด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องออกไป  แม่ยืนอยู่ในครัว  มีร่างน้องโชกเลือดอยู่ใกล้ๆ น้องกระเสือกกระสนมาหาผม...ขอร้องให้ผมช่วย...” แต่เขากลับได้แต่ยืนนิ่ง  กลัวจนไม่กล้าขยับ  “จนกระทั่งแม่คว้ามีดขึ้นมา กระหน่ำแทงไปที่น้อง...คงยังไม่สาแก่ใจเพราะแม่หยิบปืนที่ซ่อนไว้ออกมาแล้วก็ยิงน้อง”

ตอนนั้นดินเห็นเพียงสีแดงฉานอยู่ในกรอบสายตา  รู้ตัวอีกทีร่างเล็กๆของน้องสาวที่เขารักมากที่สุดก็แน่นิ่งไปแล้ว

หมดลมหายใจไปอย่างทุกข์ทรมาณ...เด็กน้อยที่น่าสงสาร...ทั้งๆที่เกิดมาดูโลกได้แค่สี่ปีเท่านั้นเอง

“แล้วแม่ก็หันปืนมาที่ผม กรีดร้องลั่นไปหมดว่าเกลียดผม เกลียดน้อง บอกว่าพวกเราไม่ควรเกิดมา”  ร่างเล็กสั่นระริกจนน่าสงสาร เดือนกระชับแขนที่โอบไหล่อีกฝ่ายให้แน่นขึ้น “นัดแรกยิงเข้าที่ขา นัดที่สองทะลุไหล่  แม่คงไม่มีสติแล้วเลยทำให้กระสุนพลาดจุดตายไป แต่ตอนนั้นผมจะตายเพราะเสียเลือด ถ้าไม่ใช่เพื่อนบ้านวิ่งเข้ามาเพราะได้ยินเสียงกรีดร้องแล้วก็เสียงปืน  ผมสลบไป ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล มีแม่กับพ่อคุณนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ พวกท่านลูบหัวผม...พูดอะไรหลายอย่าง แต่ผมจำไม่ได้สักอย่าง   วันนั้นโทรทัศน์ออกข่าว ‘หญิงโสเภณีคลุ้มคลั่ง หยิบปืนสังหารลูก ดับหนึ่งสาหัสหนึ่ง’ หึ แต่ว่าข่าวนี้ออกมาไม่นานก็เงียบไป เพราะทางฝ่ายพ่อผมกลัวคนจะไปขุดคุ้ยจนสาวมาถึงตัวพ่อ เขาเลยจ่ายเงินเพื่อปิดข่าว แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็ถูกลืมไป  แต่ที่ไม่จบก็คือแม่...หลังเรื่องครั้งนั้นจิตใจของแม่ก็แตกสลาย...แม่กลายเป็นโรคจิต ซึมเศร้า พ่อกับแม่คุณก็พยายามติดต่อหาญาติที่เหลืออยู่ของแม่แต่ไม่มีใครอยากรับแม่ไว้ สุดท้ายพวกเขาก็ส่งแม่ไปไว้ที่โรงพยาบาลบ้าโดยมีพ่อกับแม่คุณส่งเงินค่ารักษาให้ทุกเดือน  หลังๆมาที่ผมทำงานแล้วหาเงินเองได้ก็กลายเป็นผมที่ส่งเงินให้...ถึงจะรู้ว่าพวกนั้นฮุบเงินไปบางส่วนก็เถอะ”

เดือนนึกไปถึงป้าคนนั้นที่เข้ามาตบหน้าดินแล้วก็ตวาดด่าทอต่างๆนาๆ หนึ่งในนั้นก็คือ ‘อายใช่ไหมที่มีแม่เป็นคนบ้า’  มันมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้เองสินะ...

“ทางพ่อกับแม่คุณก็อุปการะผมไว้ ผมไม่อยากทำตัวเป็นภาระเลยพยายามเรียนให้ได้เกรดดีๆแล้วก็ขอทุน  พอเรียนจบก็เลยมาทำงานช่วยพวกท่านแล้วก็เปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองไปด้วยน่ะครับ”

เสียงนั้นเงียบหายไป  ระหว่างพวกเขาไม่มีใครพูดอะไรราวกับว่าคำพูดและเรื่องราวที่เล่ามาถูกฟองคลื่นกลืนหายลงทะเลไป จนกระทั่งดินขยับตัว

“ปล่อยได้แล้วมั้งครับ” เขาขยับตัวออกจากอ้อมแขนอีกฝ่ายแต่คนตัวสูงก็ยังรั้งเขาไว้แน่น ซบหน้าลงมากับไหล่เขา ดินทำท่าจะผลักหัวอีกฝ่ายออก ไม่ใช่ไม่ชอบแต่นี่มันในที่สาธารณะนะ เกิดมีคนมาเห็นแล้วเอาไปพูดไม่ดีจะทำยังไง  แต่แล้วดินก็หยุดชะงัก
มือที่กำลังจะผลักหัวคนอายุมากกว่าออก  เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ไหล่...

เดือนกำลังร้องไห้...

“เดี๋ยว...คุณจะร้องไห้ทำไมเนี่ย นี่มันเรื่องของตัวผมแท้ๆนะ”

“ก็...เพราะแบบนั้นแหละ...บ้าเอ๊ย!” ร่างสูงสบถออกมาแล้วรวบตัวเขาไปกอดแน่น น้ำเสียงทุ้มอู้อี้เล็กน้อย  “เก่งมาก เก่งมากเลยนะที่ผ่านเรื่องร้ายๆมาได้โดยไม่เป็นอะไรแบบนี้”

“ใครว่าผมไม่เป็นล่ะ” ดินแค่นหัวเราะ  “พอออกจากโรงพยาบาลผมก็ต้องเข้ารับการบำบัดอยู่สองปีเต็มเลยนะกว่าจะออกมาเป็นผู้เป็นคนแบบนี้ได้...แต่บางเรื่องมันก็ไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลาเลยจริงๆ”

ทั้งที่เวลาลบเรื่องราวที่เขาไม่อยากจำไปเกือบหมดแล้วแท้ๆ ทั้งใบหน้าของแม่ที่ไม่ได้พบกันอีกเลย ใบหน้า น้ำเสียง สัมผัส และรอยยิ้มของน้องสาว

ทั้งหมดนั่นเลือนหายไป แต่ความเจ็บปวดกลับฝังลึกในใจ

คงเป็นช่วงนั้นเองที่ดินเริ่มมองเห็นด้ายแดง  จิตแพทย์บอกว่ามันคืออาการหลอนที่เกิดจากความเครียดและการพบเจอเหตุการณ์เลวร้าย  ตอนแรกดินก็เชื่อ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ‘ภาพหลอนโลกสีเทาและเส้นแสงสีแดง’ ก็ไม่ได้หายไป  จนเขาโตพอที่จะเก็บเรื่องนั้นไว้ในใจ ไม่พูดออกมาจนคนคิดว่าเขาเหมือนเดิมแล้ว  เขาจึงได้กลับสู่โลกภายนอกอย่างเต็มตัว

ดินเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังตัวเองได้ตอนประมาณอายุสิบหก  ตอนที่พ่อกับแม่พาเขาไปกราบพระอาจารย์มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแล้วท่านได้ให้คำแนะนำเรื่องพลังของเขามา

‘เป็นบุญหรือกรรมก็ได้ สุดแท้แต่โยมจะมอง’ พระอาจารย์เอ่ยกับเขาเช่นนั้นพร้อมกับรอยยิ้มเมตตา ‘เลือกจะช่วยคน ทำให้ตัวเองมีความสุขใจก็เป็นเพราะบุญหนุนนำให้มีพลังนั้น เลือกจะให้พลังทำให้ตัวเองและคนอื่นเจ็บปวดก็เป็นเพราะกรรมทำให้มีพลังนั้น ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับสิ่งที่โยมคิดและจิตที่โยมตั้งมั่น แต่บุญกรรมของใครก็ของมัน  พลังของโยมก็เหมือนการมีพลังเปลี่ยนชะตาคนอื่น  ในบางครั้งทางเลือกของใครก็ควรปล่อยให้เจ้าตัวได้เลือกเอง’

เพราะคำสอนนั้นดินจึงเลือกที่จะไม่ใช้พลังของตนยกเว้นเวลามีคนมาร้องขอและเขาเห็นว่ามันไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครมากนัก เช่น การตรวจดูด้ายแดงเฉยๆโดยไม่ไปตัดหรือผูกด้ายใหม่  หรือหากพบคนที่เป็น ‘คู่เวรคู่กรรม’ กันมาแล้วอยากจะช่วย เขาก็จะช่วย

“ยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกอีกใช่ไหม”  ในที่สุดเมื่อน้ำตาหยุดไหล เดือนก็ปล่อยดินให้เป็นอิสระ  ชายหนุ่มผมดำหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อพบว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นจมูกแดงเพราะการร้องไห้ ดูทั้งน่าขันและน่าสงสาร  น่าแปลกที่ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจ...เหมือนสิ่งที่ถ่วงหนักมาในใจตลอดถูกปลดปล่อยออกไป  ปลายนิ้วเรียวเช็ดหยดน้ำตาให้เดือนอย่างแผ่วเบา  ซึ่งคนตัวโตก็จับมือเขาไว้ “มีอะไรที่ยังได้พูดอีก เล่ามาสิ”

จะมีอะไรล่ะ...ก็เรื่องของพลังพิเศษนี่แหละ  แต่มันพูดกันได้ง่ายๆเสียที่ไหน

เดือนที่เห็นคนตรงหน้าไปยอมพูดก็บีบมือบางเบาๆ “พี่สัญญาแล้ว...ว่าจะเชื่อทุกอย่างที่ดินพูด”

“นี่ถ้าผมเป็นนักต้มตุ๋นคุณคงโดนหลอกหมดตัว” ดินเอ่ยแก้เก้อเมื่อคำพูดประหลาดๆของตรงหน้าทำให้เขารู้สึกร้อนวูบๆที่ใบหน้าอีกแล้ว

“ยอมครับ...ถ้าเป็นดินพูด โดนหลอกหมดตัวพี่ก็ยอมนะ”

ตูม

เหมือนดินได้ยินเสียงใบหน้าอะไรบางอย่างในหัวระเบิดตูมขึ้นมา  เลือดพากันสูบฉีดไปอออยู่ที่แกมทั้งสองข้าง ขอบคุณที่ตรงนี้มันมืดพอที่จะไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าตอนนี้ใบหน้าของเขามันแดงก่ำขนาดไหน

 ดินกระแอมสองสามครั้งเรียกสติกลับมา “คุณจะเชื่อทั้งที่มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากๆน่ะเหรอ”

“ใช่”

“งั้นถ้าผมบอกว่าผมมีพลังพิเศษคุณก็จะเชื่องั้นสิ”

พวกเขานิ่งกันไป  ดินถอนหายใจ  นั่นไง ว่าแล้วว่าไม่เชื่อหรอก ถูกพูดใส่ตรงๆแบบนี้ใครๆก็ต้องคิดว่าเขาล้อเล่นกันทั้งนั้น  แต่ประโยคต่อมาของเดือนก็ทำให้คนสวมแว่นเบิกตากว้าง

“พี่เชื่อ”

“โกหก...คุณแค่พูดให้ผมสบายใจ”

“พี่ไม่ได้โกหก...พี่เป็นพวกลางสังหรณ์ดีนะ เซ้นส์จับโกหกคนพี่แม่นมาก  ดูออกเสมอล่ะว่าใครพูดจริงหรือโกหก  ตอนนี้พี่รู้ว่า
ดินไม่ได้โกหก เพราะงั้นพี่เชื่อดินครับ...ว่าแต่น้องมีพลังประเภทไหนเหรอ  เหาะได้หรือเปล่า หรือยิงเลเซอร์ออกจากตาได้?”

“ดูน่าเชื่อถืออยู่ได้แค่สิบนาที ทำไมไปๆมาๆกลับมาปัญญาอ่อนอีกแล้วล่ะครับ”

“ว้าว สถิติใหม่แฮะ จริงจังได้ตั้งสิบนาทีแน่ะ”

ดินกลอกตาใส่คนที่กำลังยิ้มแป้นอยู่  มือบางฟาดเพียะเข้าที่ไหล่ชายหนุ่มร่างสูงจนคนตัวโตร้องโอยออกมา “ว่าไง ยังไม่ได้บอก
เลยว่ามีพลังด้านไหน”

ดวงตาสีนิลสบเข้ากับดวงตาสีอ่อน...เพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น

เดือนเชื่อเขาจริงๆ

ดินกัดริมฝีปาก...ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรที่จะเชื่อใจเดือนเช่นกัน

“ผมมองเห็นด้ายแดง” เห็นสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามของอีกคนแล้ว คนผมดำจึงขยายความต่อ “ด้ายแดงที่ว่ากันว่าผูกอยู่ที่ปลายนิ้วก้อยน่ะครับ แล้วจะเชื่อมเรากับเนื้อคู่เข้าด้วยกัน ผมมองเห็นได้ว่าด้ายแดงของใครเชื่อมอยู่กับใคร  แล้วก็ตัดด้ายแดงกับผูกด้ายแดงให้ได้อีกด้วย”

“ว้าว..งั้นน้องดินก็เป็นเหมือนกามเทพเลยสิ”

“คงงั้นมั้งครับ” เขายักไหล่ “ถ้าสัมผัสด้ายแดงของใครผมจะเห็นเรื่องราวความรักที่ผ่านมาของคนๆนั้นด้วย” เขาว่าต่อไป ลอบมองสีหน้าคนตัวสูงที่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจไปด้วย “แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำหรอกนะ เพราะมันยุ่งยาก...” แล้วเขาก็เล่าต่อไป  ถ้อยคำมากมายที่ไม่เคยพูดให้ใครฟังหลุดออกมา โดยมีเดือนนั่งฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งดินเล่าเกี่ยวกับความสามารถตัวเองจบลง “เห็นไหม ผมบอกแล้วมันน่าเหลือเชื่อจะตาย”

“อันที่จริง...พี่ก็ไม่ได้คิดว่ามันทำใจเชื่อยากอะไรนะ พวกคนที่มองเห็นวิญญาณอะไรแบบนี้พี่ก็เคยเจอ เพื่อนในกลุ่มพี่สมัยเรียน
มหา’ลัย คนหนึ่งก็เป็นพวกมีเซ้นส์เหมือนกัน  สมัยนั้นแม่งแทบจะกลายเป็นพนักงานรับปราบวิญญาณอยู่แล้ว  เพราะงั้นพี่ไม่ลบหลู่อะไรเรื่องพวกนี้หรอก  แค่ไม่เห็นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่นี่ แต่ความสามารถของดินนี่ก็แปลกดีนะ ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่ามีคนมีความสามารถอะไรพวกนี้ด้วย ส่วนใหญ่เจอแต่พวกมองเห็นวิญญาณ”

เดือนแหงนหน้ามองฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยหมู่ดาว “เท่านี้ก็ไม่ต้องแบกเรื่องทุกข์ใจไว้คนเดียวแล้วนะ”  เพราะตอนนี้มีเขาที่รับรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว...เดือนไม่รู้หรอกว่าตนช่วยอะไรได้มากแค่ไหน แต่อย่างน้อยแค่การได้ให้น้องพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแล้วมันทำให้ความทุกข์ใจของอีกฝ่ายลดลง

แค่นั้นเขาก็ยินดีมากแล้ว

“จริงสิ” เดือนทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ดินบอกว่ามองเห็นด้ายแดงใช่ไหม  แล้วมองเห็นด้ายแดงของพี่บ้างหรือเปล่า” ดินเลิกคิ้วเมื่อคนข้างๆถามขึ้น

“จะว่ามองเห็นก็มองเห็นครับ แต่ไม่เคยดูจริงจังเลยว่าด้ายแดงคุณเป็นยังไง”

“ดูให้หน่อยได้ไหม...พี่อยากรู้น่ะ”

ดินพยักหน้ารับ หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วเส้นแสงสีแดงมากมายก็ปรากฏตรงหน้า  เขามองด้ายแดงของเดือนอยู่ครู่ เม้มริมฝีปากแล้วก็สลายโลกสีเทานั้นลง

“ว่าไง มองเห็นไหม”

คนผมดำพยักหน้า แต่ไม่ตอบคำจนเดือนต้องเร่งเร้าขึ้นมาอีก “มันเป็นยังไง?”

“ด้ายแดงของคุณ...มัน...ถูกตัดไปแล้วครับ”

เขากัดริมฝีปากเมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าตกตะลึง  เดือนก้มมองมือทั้งสองข้างของตนแล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ “อย่างนั้นหรือ ว้า  แย่จัง ถูกทิ้งซะแล้วแฮะ ฮ่าๆๆ” ดินมองคนที่หัวเราะร่าอยู่ หัวเราะทำไมกัน...ดูก็รู้ว่าฝืน 

ดูก็รู้ว่าคุณเองก็มีอะไรในใจ...

แต่ดินก็ไม่ได้ถาม เพราะเขาเองก็มีบางสิ่งที่ยังไม่ได้เล่าออกไปเช่นกัน...

 “แล้วดินมองเห็นด้ายแดงของตัวเองไหม คนดีนะถ้ารู้ว่าจะไปหาเนื้อคู่ของเราได้ที่ไหน”  เดือนเอ่ยยิ้มๆ หึ ดีงั้นเหรอ...มันก็ไม่เสมอไปหรอก

“ผมไม่เห็นด้ายแดงตัวเองหรอกครับ แต่มันคงจะถูกตัดไปนานแล้ว”  รอยยิ้มเศร้าๆผุดบนใบหน้านั้นอีกแล้ว  เดือนกำมือแน่น

เขาไม่อยากเห็นดินทำหน้าเศร้าอีกแล้ว  ความรู้สึกนี้รุนแรงจนตัวเองยังตกใจ

เขาจะอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ช่าง ระหว่างพวกเขาจะเป็นอะไรก็ช่าง

เขาแค่อยากให้ดินยิ้ม ยิ้มจากใจ ยิ้มอย่างคนที่มีความสุข ไม่อยากให้คนตรงหน้าเขาทำหน้าเศร้าแบบนี้อีกแล้ว

คิดได้ดังนั้นคนตัวสูงก็ค่อยๆเลื่อนนิ้วก้อยตนไปเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของคนตัวเล็กข้างๆกาย  “แบบนี้เราก็ถูกทิ้งกันทั้งคู่น่ะสิ...ในเมื่อถูกทิ้งเหมือนกันแล้ว ไม่มีใครเหมือนกันแล้ว เราก็ต้องดูแลกันดีๆนะ”

ไม่ว่าเปล่า คนชอบฉวยโอกาสยังพูดพลางโน้มตัวมาจุ๊บเบาๆที่ข้างแก้มเขา ทำเอาคนเป็นน้องต้องแยกเขี้ยวใส่ เผลอไม่ได้ เผลอเป็นฉวยโอกาสตลอด!

“ใครจะอยากไปดูแลคุณ”

“อ้าว แต่พี่อยากดูแลดินนี่นา”  เดือนว่าด้วยสีหน้าซื่อๆ “อยากดูแลดิน ไม่อยากให้ดินไม่สบายใจ อยากให้ยิ้มเยอะๆแบบคนที่มีความสุขที่สุด” เขากระชับนิ้วก้อยที่เกี่ยวกันไว้แน่น “ถ้าด้ายแดงดินถูกตัดไปแล้ว พี่ก็จะผูกขึ้นมาใหม่เอง น้องไม่ได้...เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการหรอกนะ”

ดินรู้สึกว่ากระบอกตาของตนร้อนผ่าว  ภาพตรงหน้าพร่าเลือนเมื่อน้ำใสๆเอ่อล้นขอบตา เขากระพริบตาถี่ๆแต่ยิ่งทำให้หยดน้ำตาพวกนั้นร่วงหล่นเร็วขึ้น

“ขอบคุณนะครับ” ในที่สุดเขาก็หาเสียงตัวเองเจอ ไม่รู้จะตอบแทนยังไง  สิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้เขามันมีค่ามากเหลือเกิน มากจนไม่รู้จะตอบแทนยังไง เลยได้แต่เอ่ยคำคำนั้นออกไปซ้ำๆ

“ขอบ..ฮึก..ขอบคุณ..นะครับ”

“ครับ รู้แล้วครับ ไม่ร้องแล้วนะเด็กดี ชู่ว เงียบก่อนนะ วันนี้ร้องไห้เยอะแล้ว เดี๋ยวตาบวมนะ” แต่ยิ่งพูดแบบนั้นยิ่งกระตุ้นให้น้ำตาเขาไหลทะลักประหนึ่งเขื่อนแตก  เดือนยิ้มขันเล็กน้อยพลางดึงร่างเล็กของน้องชายมากอด กดจูบที่หางตาอีกฝ่ายเพื่อซับน้ำตา ระหว่างที่ลูบแผ่นหลังปลอบโยนไปด้วย

ริมฝีปากอุ่นไล่เรื่อยมาที่เปลือกตาทั้งสองข้าง  หน้าผาก  จมูก และแก้มที่เย็นเฉียบเพราะคราบน้ำตา  ดินสะท้านเฮือกกับสัมผัสอ่อนโยนนั่น เขารู้ตัวดีว่าควรจะผลักไส แต่ในใจของเขากลับค้านการกระทำนั้น

ไม่อยาก...ไม่อยากให้สัมผัสนี้หายไปเลย

ดูเหมือนร่างกายเขาจะซื่อตรงกว่าสมองและหัวใจมากนัก เพราะแทนที่จะผลักไส มือของเขากลับเกาะบ่าของพี่ชายตัวสูงแน่น  สองแก้มก็เห่อร้อนไปหมดยามอีกฝ่ายกดริมฝีปากและจมูกลงมาซ้ำๆ  น้ำตาก็ไม่รู้ว่าหยุดไหลไปตั้งแต่ตอนไหน

เดือนมองใบหน้าหวานที่ดูเหมือนสติหลุดไปแล้วเกือบครึ่งอย่างข่มใจ ดวงตาวาวใสเพราะหยาดน้ำตา   ริมฝีปากบางที่เผยอน้อยๆ แล้วก็แก้มใสสองข้างที่แดงเรื่อเพราะเขา

อื้ม...เดือนแน่ใจว่าตอนนี้ไอ้รันเพื่อนรักไม่มีทางมาขัดจังหวะเขาแน่ เพราะมันคงเมาฟุบอยู่ในงานเลี้ยง ดังนั้นหากจะทำอะไรก็ทางสะดวกสามผ่าน

แต่มันจะดีหรือ...น้องเพิ่งเปิดใจให้เขา  หากรุกล้ำทำอะไรไปตอนนี้....ทุกอย่างที่ทำมาคงพังทลายลงจนหมด

เขาครุ่นคิด...นิ้วโป้งปาดเบาๆที่ริมฝีปากบางของคนผมดำ  แล้วภาพที่ร่างบางตรงหน้าเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองเล็กน้อยนั่นก็ทำให้เขาห้ามใจตัวเองไม่อยู่

เดือนค่อยๆโน้มใบหน้าลงไป  เมื่อเห็นน้องไม่มีท่าทีขัดขืนเขาก็แนบริมฝีปากของตนลงไปกับริมฝีปากบางนั่น  ไม่ได้จาบจ้วง ไม่ได้รุกล้ำ แค่ริมฝีปากแตะกันเหมือนเด็กมัธยมหัดจูบ...แต่แค่นั้นก็ทำให้ใจสองดวงมันเต้นถี่รัวราวกับจะกระดอนออกมานอกอก

เดือนกดริมฝีปากนิ่งสนิทอยู่ครู่หนึ่ง...มันนุ่มเหมือนที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด...ยิ่งดินไม่ขัดขืน เขายิ่งต้องการมากขึ้น  กลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างตรงหน้าทำให้สติเขาเตลิด

เดือนขยับริมฝีปากช้าๆ ไม่นานนัก...อาจจะด้วยความเผลอไผล หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ ดินก็เริ่มขยับริมฝีปากจูบตอบเขา จุมพิตขัดเขินนั่นทำให้ชายหนุ่มพยายามสะกดใจตัวเองไม่ให้กดคนตัวเล็กลงกับผืนทรายตรงนี้  ปลายลิ้นไล้เลียริมฝีปากบางแล้วเมื่อ
เจ้าของมันเผยอริมฝีปากขึ้น เดือนก็สอดปลายลิ้นเข้าไปกวาดไล้อย่างอ่อนหวาน

กวาดเลาะตามแนวฟัน เกี่ยวพันกับปลายลิ้นอุ่น  ไม่นานร่างเล็กตรงหน้าก็คล้อยตามอย่างง่ายดาย

ดินร้องประท้วงเมื่อเริ่มหายใจไม่ออก เดือนจะผละริมฝีปากออกมา น้ำใสเชื่อมริมฝีปากของทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน  คนตัวสูงผละออกมานานพอให้ร่างเล็กได้กอบโกยอากาศเข้าปอดก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง

จุมพิตอ่อนหวานยาวนานครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เขาลืมทุกสิ่ง ตลอดการจูบที่ยาวนาน มือของทั้งคู่ยังไม่หลุดออกจากกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว

เดือนไม่สนอีกแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ตอนนี้   วินาทีนี้ รู้แค่ว่าพวกเขามีกันและกันอยู่ตรงหน้า 

ความรู้สึกบางอย่างที่ราวกับต้นกล้าเล็กๆถือกำเนิดขึ้นภายในใจของพวกเขาทั้งคู่  ยังคงเป็นความรู้สึกที่คลุมเครือและเปราะบาง แต่มันกำลังหยั่งรากลึกลงในใจอย่างเชื่องช้า

และในวินาทีนั้น ด้ายสีแดงก็เกี่ยวกระหวัดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา

*******************************

ฮื้ออออ มาซะดึกเลยค่ะวันนี้ ;w; ขอโทษจริงๆนะคะ  :katai4:
ตอนนี้อยากจะปรบมือแสดงความเคารพพี่เดือนจริงๆเลยย สงสารดินก็สงสาร แต่นางก็ยังมีพี่เดือนอยู่ข้างๆ
พี่เดือนเขาสัญญาแล้ว นางเป็นผู้ชายไม่คืนคำค่ะ 5555
หลังจากนี้ก็อยากให้คนช่วยเป็นกำลังใจให้พี่เดือนและน้องดินด้วยนะคะ จะได้หลุดออกจากดงมาม่ากันซักที
อืดหมดแล้ววว
:กอด1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๑ อดีตหลังรอยน้ำตา {๓๐.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-01-2016 23:06:12
พี่เดือนนนนนนนนน

สุดยอดพระเอกของวันนี้เลยค่าาาา  :hao7:

ด้ายแดงเกี่ยวเข้าหากันแล้ว แล้วแบบนี้น้องดินก็มองเห็นแล้วสิ จะบอกพี่เดือนไหมน้อ???

ปอลอ ฝนนิสัยส้งติงเช่นเคย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๑ อดีตหลังรอยน้ำตา {๓๐.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-01-2016 00:13:53
โอ้ยย ดีงามมม
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๑ อดีตหลังรอยน้ำตา {๓๐.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Invisible girl ที่ 31-01-2016 21:33:18
ตามอ่านได้8 ตอนล่ะ
ชอบความสัมพันธ์ที่ค่อยๆไปนะ
สร้างดินได้น่ารักมากเลยยยย
ปล.เรายี้เอง
รักนะ จุ๊บบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๑ อดีตหลังรอยน้ำตา {๓๐.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 31-01-2016 23:19:49
ด้ายแดงเกี่ยวแล้วว
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๑ อดีตหลังรอยน้ำตา {๓๐.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 02-02-2016 15:41:42


ที่สุดแล้วดินก็เจอเนื้อคู่ เย่!!
และพี่เดือนก็ดีงามมาก (ทั้งที่ตอนแรกเปิดมาออกจะกากแท้ ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^  :pig4:

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๑ อดีตหลังรอยน้ำตา {๓๐.๑.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-02-2016 21:14:08
สบายใจมากๆเลยตอนนี้ ดินยอมเปิดใจให้แล้ว
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 08-02-2016 21:20:32
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๒
ขอ 'จีบ'

“ฮ้าววว”

เดือนปิดปากหาว บิดขี้เกียจพลางเดินลงบันไดมา ชายหนุ่มเดินสะลึมสะลือเข้ามาในครัว คิดว่าจะชงกาแฟสักแก้วก็พบน้องชายต่างสายเลือดกำลังง่วนอยู่หน้าหม้อ กลิ่นหอมฟุ้งอยู่ในครัว ดูเหมือนดินกำลังต้มข้าวต้มอยู่ 

“น้องดินทำอะไรน่ะ ต้มข้าวต้มเหรอ?” เดือนทัก กำลังจะก้าวขาไปแอบส่องมื้อเช้าในหม้อ แต่เขาก็ต้องอุทานเสียงดังเมื่อร่างเล็กที่ยืนต้มข้าวต้มอยู่สะดุ้งเฮือก แขนเล็กนั่นเผลอปัดไปโดนหม้อข้าวต้มร้อนๆให้คนผมดำต้องร้องออกมา โชคยังดีที่หม้อไม่ได้หล่น 

“เป็นไงบ้าง” เดือนรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ จับแขนดินขึ้นมาดูก็พบว่าผิวขาวๆนั้นขึ้นรอยแดงจากการถูกหม้อร้อนๆเมื่อครู่  เดือนรีบจับแขนคนผมดำไปจ่อใต้ก๊อกน้ำ เปิดน้ำเบาๆให้น้ำไหลผ่าน ดินกัดริมฝีปากเมื่อรู้สึกแสบ เขาพยายามดึงแขนออกจากการเกาะกุมของเดือน

“ผ..ผมไม่เป็นไรแล้วครับ”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง แขนแดงขนาดนี้”

“เดี๋ยวก็หายครับ ใส่ยาเอาก็ได้”

ดินเม้มปาก ก้มหน้า ดึงแขนออกจากมือเดือนได้สำเร็จ ชายหนุ่มใช้ผ้าสะอาดที่พับไว้บนชั้นมาซับแขนตัวเอง จัดการปิดเตาแก๊สแล้วเดินดุ่มออกจากครัวโดยไม่หันมามองหน้าพี่ชายแม้แต่น้อย ทิ้งให้เดือนยืนเกาหัวตัวเองอย่างงุนงง “เป็นอะไรของเขานะ”

ดินมีอาการแปลกๆมาสองสามวันแล้ว อันที่จริงก็แปลกมาตั้งแต่ตอนที่พวกเขากลับจากทะเล...อีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดกับเขาน้อยลง พอพูดด้วยก็เอาแต่อุบอิบก้มหน้า ไม่เงยหน้ามาพูดกันตรงๆเสียที แถมช่วงนี้ยังสงบเสงี่ยมผิดปกติ ไม่พูดแขวะเขาเหมือนเคย

หรือน้องจะป่วย?

ก็ไม่น่าใช่ เห็นออกไปทำงาน ตรวจตลาด เข้าไปดูแลร้านอาหารก็ดูแข็งแรงดีนี่นา

แล้วน้องเป็นอะไรไปนะ...หรือว่า...

เดือนนิ่งคิดก่อนจะรู้สึกเหมือนมีใครมากดสวิตช์ความฉลาดในหัวให้เห็นแจ้งทางสว่างทันใด  ถ้าเป็นในการ์ตูนคงมีหลอดไฟสว่างพรึบขึ้นมาแน่ๆ

หรือว่าจะเป็นตอนนั้น...ที่เขากับน้อง...จูบกัน

หนุ่มลูกครึ่งรู้สึกเหมือนใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา  นึกด่าตัวเองในใจ โตมาก็อายุจะสามสิบ เฉียดตำแหน่งตาลุงเข้าไปทุกวัน จะมาทำเหนียมอะไรกับอีแค่จูบผู้ชายวะ!  เรื่องอย่างว่าก็ใช่ว่าจะไม่เคยมาก่อน ไม่ได้ใสขนาดนั้น แล้วกับแค่นึกถึงจูบ

ทำไมหน้ามันร้อนๆ หัวมันหวิวๆเหมือนเป็นเด็กผู้ชายมีรักครั้งแรกวะ!

ต้องเป็นเพราะ...เพราะแก่แล้วแน่ๆ ใช่ ต้องเป็นเพราะอายุมากแล้ว ความดันมันเลยขึ้น ใช่! ไม่ใช่อาการใจเต้นอะไรทั้งนั้นแหละ!
ว่าแต่...ถ้าน้องจะหลบหน้าเขาเพราะเรื่องจูบ...ก็แปลว่าน้องไม่ชอบหรือเปล่านะ

แต่วันนั้นก็เห็นให้ความร่วมมือดีนี่หว่า จูบตอบเขาอีกต่างหาก แบบนี้ก็แปลว่าเขาไม่ได้ขืนใจดินนะเว้ย!

โอยย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว

“เดือนกัดช้อนทำไมลูก ไม่สบายหรือเปล่า แม่ว่าวันนี้เราดูแปลกๆนะ” ไอ้รวีกานต์สะดุ้งเฮือกเมื่อน้ำเสียงหวานของคุณแม่มะลิทักขึ้นกลางวงข้าว  เจ้าตัวยิ้มแหยก่อนวางช้อนลง  ไม่รู้ตัวเลยแฮะว่าคิดไปแทะช้อนไปจนฟันจะสึกหมดแล้ว

“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก หน้าแดงๆ ไม่สบายหรือเปล่า?”

“เอ๊ะ เอ่อ เปล่าครับ”

“เหรอ นึกว่าติดเจ้าดินมาเสียอีก ตอนไปทะเลเห็นไลน์มาบอกว่าไม่สบาย”

อัลเฟรดพูดพลางจ้องลูกชายบุญธรรมที่วันนี้ก็เงียบผิดปกติ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานข้าว ทั้งที่ปกติจะได้เปิดศึกลับฝีปากกับพี่ชายสักยกสองยกแท้ๆ แต่หลังจากกลับจากทะเล ดูเหมือนลูกชายทั้งสองคนของท่านจะเข้าหน้ากันไม่ติดอย่างไรก็ไม่รู้

คงจะมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ไม่พ้นไปทะเลาะกันที่หลีเป๊ะมาแน่ๆ  แต่ก็นั่นแหละ เรื่องของเด็กๆมัน ไอ้เดือนลูกชายคนโตก็โตแล้ว น่าจะคิดได้ว่าถ้ามีปัญหาควรทำยังไง ดินก็ไม่ใช่เด็กๆที่จะไม่ฟังเหตุผลของใครแล้ว  บางทีทางแก้ที่ดีที่สุดคือปล่อยให้พวกเขาได้จัดการปัญหาด้วยตัวเอง

“แล้วเรื่องถ่ายแบบเป็นยังไงบ้าง  นิตยสารจะออกวันไหนล่ะ พ่อกับแม่อยากเห็นรูปแล้ว” อัลเฟรดทักลูกชาย เดือนวางแก้วน้ำลงก่อนจะตอบ “ก็ต้นเดือนหน้านั่นแหละครับ ไอ้รันบอกว่าเดี๋ยวจะส่งตัวเล่มมาให้”

“แหม  ชักตื่นเต้นแล้วสิ แม่ว่าเดือนบนหน้าปกนิตยสารกับเดือนตัวจริงต้องต่างกันแน่เลย” เดือนคิ้วกระตุก ยิ้มเจื่อนให้มารดา พูดแบบนี้หมายความว่าไงครับคุณแม่ที่เคารพ หมายความไอ้เดือนตัวจริงมันไม่มีออร่านายแบบเลยเรอะ

ครืด

“ผมอิ่มแล้วครับ” ดินเอ่ยเบาๆ จัดการรวบช้อนคว่ำไว้ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วลุกขึ้นไปหยิบแฟ้มงานกับกระเป๋ามา “เดี๋ยวผมออกไปทำงานก่อนนะครับคุณพ่อ คุณแม่  จะกลับมาให้ทันกินข้าวเย็นนะครับ”

“จ้ะ ไปดีมาดีนะ”

“รีบไปรีบกลับล่ะไอ้หนุ่ม”

เดือนมองตามคนตัวเล็กที่รีบหันกายจากไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าหรือเอ่ยคำลาเขา  ความน้อยใจเล็กๆผุดขึ้นมา
โว้ย ทำไมมันรู้สึกเหมือนกูเป็นภรรยาที่โดนสามีทิ้งเลยวะ หรือรักเรามันเก่าไป....ฮึก....เสียใจชิบหายเลยว่ะ

“อ้าว เดือนอิ่มแล้วเหรอลูก”

“ครับ”

หนุ่มลูกครึ่งพยักหน้ารับหงอยๆ วันนี้ไม่มีงานอะไร ปกติเดือนจะตามติดดินไปนู่นมานี่  รายนั้นน่ะยุ่งจนตัวเป็นเกลียว มีงานเข้าทั้งวันต่างกับเดือนที่งดรับงานและอยู่ในระยะพักยาว มีหยิบจับงานบ้างแต่ก็เป็นงานระยะสั้น เช่น ไปช่วยคนสวนเก็บผลไม้  เข้าไปตรวจตลาด  พอถูกหลบหน้าแบบนี้ไม่มีใครให้ตามเขาก็รู้สึกว่างงานอย่างบอกไม่ถูก ขึ้นไปดูซีรีย์ที่ดูค้างไว้ดีไหมวะ...

“วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหมลูก”

“ครับ” เพราะคนที่ให้ตามออกไปไหนเขาทิ้งผมไปแล้วครับแม่ ฮือออ อยากจะเปิดธรณีกันแสงเป็นซาวน์ประกอบจริงๆ

คุณมะลิมองลูกชายคนโตที่อยู่ในสภาพหงอยเป็นหมาเหงาอย่างสงสารปนขบขันเอ็นดู เธอเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงินมาแล้วยื่นเงินให้เดือน “งั้นเดือนออกไปซื้อดอกไม้ให้แม่หน่อยได้ไหมลูก  เอาดอกไม้สำหรับใส่แจกันที่โต๊ะหมู่มาสองกำ  พวงมาลัยหนึ่งพวง แล้วก็ดอกไม้ใส่แจกันในบ้านอีกสามแจกันนะลูก”  เดือนกระพริบตาปริบเมื่อมารดาร่ายอะไรไม่รู้ออกมายาวเหยียด

รู้สึกเหมือนฟังภาษาต่างดาวยังไงก็ไม่รู้

คุณมะลิยิ้มนิดๆ “ปกติดินจะเป็นคนทำ แต่วันนี้สงสัยลืมว่าต้องซื้อดอกไม้ เดือนไปซื้อให้แม่หน่อยนะลูก ที่ร้านของน้องปราณก็ได้จ้ะ”

“อ๊ะ งั้นก็ได้ครับ”

ชายหนุ่มรับคำแล้วเดินออกจากบ้าน เตรียมตัวถอยรถจักรยานมาขี่ไปตลาด

คล้อยหลังลูกชายคนโต คุณมะลิก็เอามือแนบแก้ม ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ เธอหันไปมองสามีที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม่ว่าเดือนกับดินต้องทะเลาะกันแน่ๆเลยจ้ะพ่อ”

“พ่อก็คิดอย่างนั้น”

“ดูสิ เดือนหงอยเชียวพอน้องไม่เล่นด้วย”

อัลเฟรดหัวเราะในลำคอกับคำเปรียบเทียบของภรรยา อันที่จริงต้องพูดว่ารายนั้น ‘เหงาหู’ เสียมากกว่า พอไม่มีคนมาคอยบ่นใส่อย่างที่ทำประจำ  ดินเองก็ดูซึมๆเพราะพอนิ่งใส่พี่ชายมากๆเข้าอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยมาแหย่มาแกล้งเหมือนเดิม คงรู้สึกแปลกๆไม่ใช่น้อย

“เราไปบอกให้สองคนนั้นมานั่งคุยกันดีไหมจ๊ะ  ลองบอกปัญหาที่ทะเลาะกันแล้วปรับความเข้าใจกัน”

“ไม่เป็นไรหรอกน่าแม่” คุณอัลเฟรดปรามภรรยาที่ห่วงลูกชายจนเกินเหตุ  “เดือนกับดินมันเป็นผู้ชาย  ให้เขาปรับความเข้าใจแบบลูกผู้ชายกันนั่นแหละ  เป็นพี่น้องกัน โตจนป่านนี้แล้ว ถ้ายังต้องให้พ่อแม่มาช่วยเคลียทุกครั้งที่ทะเลาะกันก็คงไม่ใช่เรื่อง”

“แต่ว่า...”

“ไม่เป็นหรอกจ้ะแม่ เชื่อพ่อสิ ผู้ชายเขาก็มีวิธีปรับความเข้าใจกันแบบลูกผู้ชาย เผลอๆเย็นนี้ได้มีหมัดแลกหมัดแล้วกอดคอกันลงมากินอาหารเย็นก็ได้นะ”  ฝรั่งร่างใหญ่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน  หันไปหอมแก้มเอาใจภรรยาหลายๆทีจนคนถูกรังแกต้องตีแรงๆที่ต้นแขน  ดวงตากลมหวานเหลือบมองเด็กในบ้านที่ยืนก้มหน้างุดซ่อนหน้าแดงๆกันเป็นแถว

“เล่นอะไรของพ่อเนี่ย!”

“แสดงความรักในครอบครัวไง  เฮ้อ ถ้าเจ้าดินกับเจ้าเดือนมันรักกันมากๆเหมือนพ่อกับแม่ก็ดีเนอะ”

คุณมะลิกระพริบตาปริบ แต่ก็ไม่ได้แก้การใช้คำสื่อความหมายผิดๆของสามีแต่อย่างใด  ได้แต่คิดในใจว่าถ้าหากวันไหนเดือนกับดินรักกันแบบที่เธอกับคุณอัลเฟรดรักกันขึ้นมา...ถ้ามีวันนั้นขึ้นมา ตัวเธอจะพูดอย่างไรกับลูกทั้งสองกันนะ


เดือนปั่นจักรยานแม่บ้านสีแดงไปจนถึงตลาดในที่สุด  ชายหนุ่มปาดเหงื่อที่ไหลเป็นน้ำตกเพราะอากาศร้อนบัดซบของเมืองไทย หลังจากหาที่จอดจักรยานได้แล้วเขาก็รีบเดินตรงไปที่ร้านขายดอกไม้ของปราณทันที แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปถึงร้าน  เดือนก็ต้องรีบหลบกะละมังพลาสติกที่ลอยละลิ่วมาทางเขาเสียก่อน

เวร...เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย

คงไม่ใช่...

เดือนรีบเร่งฝีเท้าไปจนถึงบริเวณร้านก็พบว่าเป็นเหมือนที่เขาคาดไว้  เมื่อพบน้องปราณคนน่ารักถือเข็มร้อยมาลัยเล่มยาวไว้ในมือ ทำท่าประหนึ่งนักดาบจะเอาเข็มไปจิ้มตาใคร แล้วไอ้คนโชคร้ายคงไม่ใช่ใครอื่นน้องจากหนุ่มตี๋จากร้านขายข้าวแกง ไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาล...(ไอ้)น้องเฟิง

“โว้ยย พวกเอ็งจะตีกันให้ตลาดแตกเลยใช่ไหมฮะ”  ป้าคนหนึ่งตะโกนขึ้นเมื่อเห็นเฟิงปาแก้วพลาสติกเปล่าใส่หัวปราณ  ชายหนุ่มร่างสูงกวาดสายตาดูรอบๆ นี่เจ๊ลี่ก็หายไปไหนไม่รู้ กลับมานี่มีหวังปรี๊ดแตก  ด่ายับไปอีกเจ็ดชาติแน่ๆ  เดือนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

เพื่อความสงบสุขของตลาดของคุณแม่ เขาจะอาสาเป็นหน่วยกล้าตาย ปราบความวุ่นวายให้เอง!

“ปราณ...เฟิง...มีอะไรกัน ทำไมมันวุ่นวา—“

พลั่ก

ร่างสูงหงายเก๋งให้ไทยมุงหวีดร้องเล่นเมื่อกระบอกฉีดน้ำสำหรับพรมน้ำดอกไม้ลอยละลิ่วมากระแทกหัวอย่างแรง เดือนสูดปากเบาๆ  รู้สึกมึนไปหมด ชายหนุ่มกัดฟันกรอดก้าวฉับๆไปเขกหัวเจ้าตัวแสบกับคนละโป๊ก

“ทำอะไรของพวกเอ็งหา ! วุ่นวายกันไปทั้งตลาดแล้วเห็นไหม!”

“พี่เดือน!”

ปราณร้องลั่นอย่างตกใจ  รีบปล่อยกะละมังอีกใบในมือลงพื้น ขณะที่เฟิงหน้าซีดแต่ก็ยังไม่วายขมวดคิ้วตีหน้าดุไปให้เจ้าตัวเล็กที่ร้านขายดอกไม้ เดือนลากสองคู่กรณีให้มาที่หลังร้าน  เขากอดอกมองเด็กสองคนที่ก้มหน้านิ่งแต่ยังไม่วายหันมาแง่งๆใส่กันเป็นระยะ

“ไหนบอกพี่สิว่ามีปัญหาอะไรกัน”

“เปล่าครับ”

“จะเปล่าได้ยังไง ก็เห็นอยู่ว่าตีกันจนวุ่นวายไปทั้งแผงแบบนี้” เมื่อเห็นเด็กทั้งสองยังเงียบ เดือนจึงหันไปเค้นความจริงกับลูกชายเจ้าของร้านดอกไม้ที่ทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“ถ้าน้องไม่พูดพี่จะบอกเจ๊ลี่นะครับ”

“ฮึก...” ชิบหายแล้วไอ้เดือน ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อร่างเล็กๆสะอื้นฮัก หยดน้ำตาร่วงเผาะๆอย่างน่าสงสาร  คนอายุมากกว่าเลยได้แต่ถอนหายใจแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มอีกคนแทน “ว่าไงเฟิง ไหนบอกพี่สิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ตาตี่ๆของอีกฝ่ายแฝงประกายไม่พอใจเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยอมเล่าออกมา “ผมแค่เอาข้าวมาให้ เห็นว่ามันเที่ยงแล้ว เจ๊ลี่เขาก็มาสั่งไว้แล้วบอกให้เอาไปให้มันที่แผงด้วยก็เลยถือข้าวมาให้  แล้วดูดิพี่ พอมาแม่งก็ทำหน้าเบ้ๆใส่บอกไม่กิน ไม่อยากกิน  แม่งเรื่องมาก น่าจะปล่อยให้อดตาย”

“ปากเสีย!”

“กูพูดความจริงแล้วกัน  เป็นใครก็โมโหป่ะวะ  คนอุตส่าห์ถือข้าวมาให้ แม่งก็มาด่า มาทำปากเบะใส่ กูถามจริงเหอะ กูไปทำอะไรให้มึงไม่พอใจหรือเปล่า”

“มึงแน่ใจว่ามึงไม่รู้?” เฟิงมองดวงตากลมวาวหยดน้ำอย่างเข้าใจ เขาไปทำให้คนตรงหน้าไม่พอใจตอนไหนกัน  มีแต่เขาไม่ใช่  เหรอที่พอมาหาก็ถูกหลบหน้า ถูกเมินใส่จนชักจะน้อยใจแล้วเหมือนกัน

“ไม่พอใจอะไรกูก็พูดดิวะ ไม่ใช่ทำงอนใส่ กูไม่รู้”

“งั้นก็ไม่รู้ต่อไปแล้วกัน!” ร่างเล็กตอบเสียงสะบัดแล้ววิ่งหนีหายไปประหนึ่งนางเอกหนังแขก  เดือนเกาหัวแกรกๆอีกหน  ทำไมวันนี้มีแต่คนงอนแล้วเดินหนีนะ

“เฮ้อ” สองหนุ่มที่เหลือถอนหายใจออกมาพร้อมกัน  เฟิงหันมายิ้มเจื่อนให้เขา พนมมือไหว้ “ขอโทษนะครับพี่ที่ทำให้วุ่นวาย”  อดีตนายแบบโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรหรอกๆ ว่าแต่เจ้าของร้านวิ่งหายไปแบบนี้แล้วใครจะขายของ”  ประเด็นคือกูมาซื้อของด้วยไงครับ

“เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าให้ก่อนก็ได้พี่  อีกเดี๋ยวเจ๊ลี่ก็กลับมาแล้ว  ว่าแต่พี่มาซื้ออะไรอ่ะครับ”

“อ้อ แม่ให้พี่มาซื้อดอกไม้น่ะ ว่าแต่ที่ร้านเราล่ะ”

“ป๊ากับเฮียเอาอยู่ฮะ ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่  แต่เดี๋ยวเที่ยงๆคงต้องกลับไปช่วย”

เดือนพยักหน้ารับ เขาเลือกพวงมาลัยกับกล้วยไม้สีขาวมาสองกำ  แต่ดอกไม้สำหรับใส่แจกันในบ้านนี่เขาไม่รู้จริงๆว่าจะใช้ดอกอะไร

“หืม ดอกไม้สำหรับใส่แจกันในบ้านเหรอ ผมก็ไม่รู้แฮะ ปกติพี่ดินจะเป็นคนเลือกเองน่ะครับ” เฟิงว่า “ทำไมพี่ไม่ถามพี่ดินล่ะ”

“เขาไม่อยู่ให้ถามน่ะสิ  อีกฝ่ายพี่ก็ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านด้วย”

เดือนเอ่ยเศร้าๆ จะไลน์จะโทรไปยังไงช่วงนี้น้องดินก็ไม่รับสายเขาหรอก  เฟิงหยีตาจนตาตี่ๆกลายเป็นขีดเดียว เดือนอยากจะบอกว่าน้องลืมตามาคุยกับพี่เถอะครับ แต่กลัวว่าเด็กมันจะเอาเข็มร้อยมาลัยมาทิ่มคอหอยเขา เดือนเลยไม่ได้พูดออกไป ส่วนคนตาตี่ก็ชี้ไปที่ด้านหลังเขา “พี่ดินก็อยู่ข้างหลังนี่ไงครับ หวัดดีฮะพี่ดิน”

ขวับ

เดือนรีบหันขวับไปทันทีที่เด็กตี๋พูดจบก็พบน้องชายต่างสายเลือดยืนเม้มปากด้วยสีหน้าลังเลอยู่ด้านหลังเขา คงกำลังคิดว่าจะเข้ามาหรือจะวิ่งออกไปดีไหมล่ะมั้ง

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” สุดท้ายก็เป็นเขาที่ทักออกไป ดินก้มหน้างุดเดินเข้ามาใกล้ “ก็สักพักแล้วครับ” น้องมองพวงมาลัยกับกล้วยไม้สองกำแวบหนึ่งก่อนจะลงมือเลือกดอกไม้แล้วจัดช่อเองอย่างสวยงาม ก่อนจะวางเงินให้เฟิงที่รับเงินกับดอกไม้ไปใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่ให้

“เฮ้ เดี๋ยวสิ จะไปไหนอีกหรือเปล่า” เดือนคว้าแขนคนที่ทำท่าจะเดินหนีไปอีกหนเอาไว้ ดินเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ ดวงตาคู่สวยฉายประกายตกใจ  มือบางเอื้อมมาแตะที่หน้าผากเขา  เดือนนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันเจ็บตอนที่ถูกกด

“ไปโดนอะไรมาครับ” ดินถามเบาๆ ใบหน้าฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิด “อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ”

“เจ็บมากไหมครับ”

“ก็ม...เจ็บ...เจ็บสิ ปวดหัวไปหมดเลย นี่ก็มึนๆ”

เดือนรีบพูดออกไป ตอนแรกก็จะบอกว่าไม่เจ็บไกลหัวใจ แต่เห็นคนที่ไม่ยอมคุยมาสองสามวันแสดงท่าทางแบบนี้ก็ขออ้อนหน่อยก็แล้วกัน 

ดินที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายมึนหัวก็ตาโต  รีบดึงแขนคนตัวโตให้ตามไป “ต้องไปโรงพยาบาลนะ ไปให้หมอเขาตรวจ”  เอ้า ชิบละ  ไปให้ตรวจจะเจออะไรล่ะ ก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากโรคอยากอ้อนน้องนี่แหละ

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ช้ำนิดเดียวเอง”

“แน่นะ” เดือนอมยิ้มเมื่อเห็นดวงตาหลังเลนส์ใสจ้องมาอย่างคาดคั้นระคนเป็นห่วง เขาลูบศีรษะคนขี้กังวลเบาๆ “แน่สิ”

“ไหนตอนแรกบอกมึนหัวไงครับ”

“เจอหน้าดินก็ไม่มึนแล้ว”

“หลอกผมอีกแล้วล่ะสิ ผมว่าถ้าคุณมึนหัวเพราะหลอกปั่นหัวชาวบ้านเขาจนมึนเองเสียมากกว่า”

“ว้าว คำด่าระดับสูงมาอีกแล้ว”

ดินถอนหายใจเฮือก รู้สึกเหมือนบรรยากาศเก่าๆกำลังกลับมาอีกครั้ง เขาเม้มปาก กระชับถุงใส่ดอกไม้แน่นแล้วเดินตรงไปที่ลานจอดรถ  “อ้าว แล้วไม่กลับด้วยกันเหรอ” เดือนตะโกนไล่หลัง ขณะที่น้องชายตัวแสบหันมายิ้มร้ายใส่ “มายังไงก็กลับไปแบบนั้นแล้วกันคุณน่ะ ชอบหลอกชาวบ้านดีนัก”

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 08-02-2016 21:43:57
ทันทีที่กลับถึงบ้านเดือนก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกทันที  เขารออยู่พักใหญ่ปลายสายถึงได้รับ เสียงงัวเงียเหมือนคนไม่ตื่นดีทั้งที่ตอนนี้ก็ปาไปเกือบเที่ยงได้แล้ว

[อารุนซาหวาดดดด เพื่อนเดือน โทรมาทำไมแต่เช้า]

“เช้าบ้านมึงดิไอ้รัน  นี่จะเที่ยงละ”

[วะ ก็เมื่อวานกูทำงานดึก มันก็เลยตื่นสายกันบ้าง]

“ทำงานดึกหรือแดกเหล้า เอาให้แน่”

[ว่าแต่มึงโทรมาทำไม]

อารัณย์ที่ถูกถามคำถามล่อเป้ารีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วก็ได้ผลเดือนหยุดไปพักหนึ่ง รวบรวมความกล้าก่อนจะพูดประโยคที่แทบจะท่องจำในหัวมานับสิบครั้ง

“กู...มีเรื่องอยากปรึกษามึงว่ะ  คือกูคิดว่าดินเกลียดกู”

[หา? กูว่ามึงคิดมาก น้องเขาจะเกลียดมึงได้ไง ก่อนไปทะเลก็เห็นรักกันดี]

ก็นั่นมันก่อนไปทะเลนี่หว่า...แบบว่า ฉากวาบหวิวที่เป็นสาเหตุให้หลบหน้ามันเกิดวันจะกลับจากทะเลนี่สิ  เดือนกลืนน้ำลาย  ก่อนจะถามคำถามต่อไป

“มึง...สมมตินะ ถ้าเป็นมึงถูกผู้ชายที่สนิทมากๆ...แต่แบบไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ได้เป็นแฟนกันไรงี้มาจูบ มึงจะทำไง”

[กูจะต่อยให้คว่ำเลย  จะเกลียดแม่งไปตลอดชีวิต พูดแล้วก็ขนลุก]

โอยยยย ชิบหายแล้วไอ้รวีกานต์  คำตอบชัดเจนอยู่ตรงหน้า
 
“แต่..แต่มึงจูบตอบเขานะ”

[เข้าใจคำว่าบรรยากาศพาไปป่ะ?]

ครับ...จบเลย เข้าใจชัดเจน

‘ดินต้องเกลียดเขาแล้วแน่ๆ’

ชายหนุ่มตัวสูงคอตก ขณะพึมพำบอกลาเพื่อนสนิท รู้สึกเหมือนตัวเองจิตใจว่างเปล่าลงไปทุกที  อารัณย์ที่ได้ยินเพื่อนพึมพำบางอย่างเหมือนคนเสียสติก็เลิกคิ้ว ด้วยความฉลาดเฉพาะตัวชายหนุ่มก็ปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วแล้วสรุปออกมาสั้นๆ...ไอ้เดือนมันต้องไปจูบดินมาแน่ๆ

ก็อย่างว่า ร้อยทั้งร้อยถ้าขึ้นต้นว่า 'สมมตินะ' นี่แม่งเรื่องจริงชัวร์

นี่ถ้าอยู่ต่อหน้าเขาคงขำก๊ากใส่หน้ามัน แต่ตอนนี้อยู่ห่างกันมากก็ได้แต่ขำใส่โทรศัพท์ โถ่ ไอ้เพื่อนอ่อนหัดด้านความรักเอ๊ย  กับผู้หญิงกุเห็นจีบได้เก่งกล้าประหนึ่งเจ้าพ่อคาสโนว่าอวตารลงมา  แต่กับผู้ชายที่ชอบแม่งกลับปอด กูอยากจะขำไปให้ถึงชาติหน้า
แต่เนื่องด้วยเขาเป็นกัลยาณมิตรที่ดี ดังนั้นเมื่อเพื่อนเดือดร้อนก็ควรจะให้คำปรึกษาเสียหน่อย

[บางทีที่น้องเขาหลบหน้าอาจเป็นเพราะมึงรีบร้อนเกินไป ข้ามขั้นตอนสำคัญอะไรไปเขาเลยตกใจ] อารัณย์แนะ  ฟังจากน้ำเสียงตกใจสุดๆของเพื่อนเขาแล้วมันไม่รู้แหงๆว่าตัวเองพลาดอะไรไป 

[งั้นเอางี้  มึงบอกรักเขายัง?]

“ยัง...”

[มึงแสดงอะไรให้เขาเห็นยังว่าคิดเกินน้องชาย]

“ยัง...เฮ้ย ว่าแต่คิดเกินน้องชายอะไรวะ”

[ไม่ต้องมาปิด กูรู้หมดละ  เอาล่ะจากที่ฟังมาคือมึงไม่ได้ทำอะไรสักอย่างแล้วดันเสนอหน้าไปจูบน้องเขา  มึงควรจะนึกถึงความไม่มั่นใจแล้วก็ความสับสนที่น้องเขามีบ้างนะ  บางทีอาจไม่ใช่แค่น้องเขาหรอกที่ไม่มั่นใจกับความรู้สึกที่มี  ไอ้เดือน ถ้ากูถามมึงตรงๆว่ามึงคิดยังไงกับดิน มึงตอบได้ไหม]

เดือนนิ่งไป ริมฝีปากที่อ้าปากเตรียมให้คำตอบกลับปิดลงดื้อๆ  เขารู้คำตอบนั้นดี...แต่ก็คล้ายไม่รู้ ราวกับว่าคำตอบมาจ่อที่ริมฝีปากแต่เดือนก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ 

เพราะเขายังไม่รู้คำตอบที่แน่ชัดพอ

“กู...กูไม่รู้ว่ะ”

[เห็นมะ  ขนาดมึงยังไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองเลย แล้วน้องจะสับสนขนาดไหนมึงก็คิดเอาแล้วกัน  ฮ้าว กูง่วงเป็นบ้าเลยว่ะ จะกลับไปนอนละ  มึงก็ไปนั่งคิด ตีลังกาคิดให้มันดีๆแล้วกัน เมื่อไหร่ที่มึงตอบคำถามที่กูถามมึงวันนี้ได้  คำตอบก็จะปรากฏตรงหน้ามึงเองว่ามึงควรทำอะไรต่อไป  วะ แต่พูดจริงๆนะ คำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วป่ะ ไม่คิดว่ามึงจะตอบไม่ได้นะเนี่ย แต่เอาเถอะ เรื่องของมึง กูทำได้ดีสุดคือให้คำแนะนำ  กูจะไปนอนละ ฝันดีเพื่อน]

“เฮ้ย มึงเดี๋ยวก่อน!”

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

เดือนถอนหายใจใส่โทรศัพท์เมื่อพบว่าไอ้เพื่อนตัวดีวางสายหนีไปเสียแล้ว   เขาเอนหลังพิงพนักหัวเตียง เหม่อมองเพดาน
รู้สึกยังไงกับดิน?

ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าชอบแกล้ง  ชอบเห็นอีกฝ่ายหันมาแยกเขี้ยวขู่แง่งๆใส่ ชอบฟังน้ำเสียงใสๆนั่น ถึงจะเป็นแค่คำบ่นก็ตามที  ชอบเวลาดินเรียกเขาว่าพี่  ชอบหอมแก้มเพราะจะได้กลิ่นแป้งเด็กอ่อนๆจากตัวอีกฝ่าย  ชอบฉวยโอกาสไปกอดเพราะตัวดินนิ่มๆ กอดแล้วมันหมั่นเขี้ยว  ชอบเห็นดวงตาใสๆนั่นจ้องมาอย่างเอาเรื่อง ตอนร้องไห้ไม่ชอบเท่าไหร่แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่ารักมากอยู่ดี

นอกจากชอบแล้วก็อยากเป็นคนอยู่ข้างๆในทุกเวลา อยากดูแลเวลาร้องไห้ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเก็บความทุกข์ใจไว้คนเดียว  อยากเป็นคนทำให้น้องหลับฝันดีทุกคืน อยากให้น้องแบ่งความไม่สบายใจที่มีมาให้เขา...ไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียว

เดือนแตะที่ตำแหน่งหน้าอกด้านซ้ายของตัว  เขามองนิ้วก้อย...ที่ที่ดินบอกว่ามีด้ายแดงที่เช่าอมไปหาเนื้อคู่ของตัวเองผูกอยู่  ตอนนี้เขาก็อยากมองเห็นด้ายแดงบ้าง จะได้ดูว่ามันเชื่อมไปหาใคร ใช่คนที่เขาคิดถึงอยู่ตอนนี้หรือเปล่า  แต่ดินบอกว่าด้ายแดงเขาถูกตัดไปแล้วนี่นะ...งั้นก็ดี เขาจะผูกมันขึ้นมาใหม่  ผูกมันขึ้นมากับคนที่เขาชอบมาก

อ่า...ใช่แล้ว  ที่เขานั่งคิดอยู่ตั้งนาน มันไม่มีตรงไหนที่บอกว่าเขาไม่ชอบดินเลยนี่นา...มีแต่คำว่าชอบทั้งนั้น  ชอบทุกอย่างที่เป็นดิน  ชายหนุ่มยิ้มให้ตัวเอง ถูกอย่างที่ไอ้รันว่า คำตอบมันก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง...

เขาชอบดิน...ชอบคนที่ทุกคนมองว่าเป็นน้องชายของเขา

แต่ก็ช่าง...เขาชอบดิน แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับเขาในตอนนี้ ส่วนดินคิดยังไงเขาไม่รู้หรอก

ดินบอกว่าตัวเองมีพลังพิเศษแต่เดือนก็ไม่ได้บอกว่าเขาก็มีสิ่งพิเศษเช่นกัน...เป็นสิ่งที่ทำให้ได้ทุกอย่างที่ต้องการเรียกสั้นๆว่า ‘ลูกตื๊อ’ นั่นแหละ

น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน กับน้องชายใต้ชายคาเดียวกัน  เต๊าะทุกวันไม่สำเร็จก็ให้มันรู้ไป!

พอคิดได้แบบนี้คนตัวสูงก็ดีดตัวลุกมานั่งตัวตรง  ทำหน้าตาเหมือนคนค้นพบทฤษฎีเปลี่ยนจักรวาล แต่จริงๆแล้วสิ่งที่นายรวีกานต์คิดได้มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กจิ๊ดเดียว

“กูข้ามขั้นตอนการ ‘จีบ’ ไปนี่หว่า!”


จีบ หลายๆคนอาจนึกถึงท่ารำวงแบบนาฏศิลป์ แต่การจีบของไอ้เดือนไม่ต้องเรียนนาฏศิลป์มาก็ทำได้ เพราะมันอาศัยแค่สองอย่าง

‘ใจกับความอดทน’

ครับ ถึงจะดูน้ำเน่ายิ่งกว่าคลองแสนแสบแต่เชื่อเถอะว่าหากไม่มีสองสิ่งนี้ก็จีบใครไม่รอด  นอกจากนี้เรายังต้องมีตัวช่วยพิเศษอันได้แก่ ‘มุขในการจีบ’ แบบเบสิคก็ปล่อยมุขเสี่ยว  หยอดไปวันละนิดเดี๋ยวก็ต้องมีอายม้วนกันบ้าง  แต่สิ่งที่เดือนต้องคิดคือดินไม่ใช่คนที่จะหวั่นไหวกับมุขจีบแบบเด็กๆของเขาแน่

ลองหยอดไปเผลอๆจะด่ามาเป็นปืนกล

เพราะงั้นข้อนี้ตัดทิ้ง ต้องเลื่อนไปใช้แผนการเบสิคขั้นที่สอง ‘ดอกไม้และขนม’

ให้ขนมให้ดอกไม้  แผนเบสิคแบบเด็กมัธยม แต่ถึงกระนั้นไอ้เดือนก็ยินดีทำตามแผนนี้  เขาจัดการถอยรถกระบะออกมาแล้วบึ่งไปตลาดทันที  ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว  แต่น่าจะยังทัน

เมื่อมาถึงตลาดเดือนก็รีบวิ่งไปที่แผงดอกไม้  เหตุการณ์เหมือนซ้ำรอยเดิมกับเมื่อเช้า ดีหน่อยที่ตอนนี้มีน้องปราณนั่งยิ้มแฉ่งรับลูกค้าอยู่  ไม่มีวี่แววจะองค์ลงแบบเมื่อเช้า  เดือนรีบเดินเข้าที่ร้าน พออีกฝ่ายเห็นเขาก็หน้าเจื่อน รีบยกมือไหว้

“พี่เดือนจ๊ะ เรื่องเมื่อเช้าปราณขอโทษนะจ๊ะ”

“ช่างมันเถอะครับ แต่วันหลังถ้าทะเลาะกันก็คุยกันดีๆจะดีกว่านะ” 

ปราณยิ้มร่า  พยักหน้าหงึกๆ “เข้าใจแล้วจ้ะ ว่าแต่พี่เดือนมานี่จะเอาอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“คือพี่มาซื้อดอกไม้น่ะ”

“อ้าว ไหนเมื่อเช้าไอ้เฟิงบอกพี่ซื้อไปแล้วนี่จ๊ะ”

“เอ้อ ก็ใช่” เดือนเกาจมูกแบบเขินๆก่อนตอบ “แต่หนนี้มาซื้อให้คน...”

“ฮั่นแน่”  น้องปราณร้องเสียงดังตบมือฉาดใหญ่ เสียงดังจนเดือนว่าคนคงได้ยินกันทั้งตลาด  ลูกชายร้านขายดอกไม้มองเขายิ้มๆ ดวงตากลมแฝงประกายเจ้าเล่ห์ “ไปติดใจสาวที่ไหนมาจ๊ะพี่เดือน  แบบนี้ต้องให้น้ามะลิไปขอแล้วนะ”

“อืม...รออีกหน่อยก็แล้วกัน  เพิ่งเริ่มจีบ” เพิ่งคิดได้เมื่อยี่สิบนาทีที่ผ่านมานี่เอง เหอๆ  แต่อันที่จริงจะขอหรือไม่ขอก็ไม่ต่างกันนะ เพราะยังไงดินก็อยู่บ้านเดียวกับเขาอยู่แล้ว...ถือว่าเป็นครอบครัวอยู่แล้วด้วย

“แล้วอยากได้ดอกไม้แบบไหนจ๊ะ”

“อ่า...แบบที่แทนถึงความดีงาม...ความบริสุทธิ์ สดใสน่ะ”

เขาไม่เจาะจงดอกกุหลาบเพราะคิดว่าดินไม่น่าจะพิศวาสดอกกุหลาบมากนัก  ถ้าจะซื้อดอกไม้น่าจะซื้อดอกที่แทนตัวคนรับได้ดีที่สุดจะดีกว่า  สำหรับดินเขามองอีกฝ่ายเป็นคนดี ช่วยเหลือคนอื่น ถึงปากจะร้าย...แต่ข้างใน...เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของอีกฝ่าย

ปราณเอียงคอนึกถึงดอกไม้ที่แสดงความหมายตามนั้นก่อนจะดีดนิ้วเป๊าะ ยิ้มแฉ่ง  “จัดให้เลยจ้ะพี่เดือน  รับรองดอกไม้ถูกใจพี่แน่ๆ”

หลังจากรับห่อดอกไม้ที่ปราณห่อมาในกระดาษหนังสือพิมพ์อย่างดีเดือนก็กลับมาที่รถ  ปราณย้ำนักหนาว่าให้เปิดห่อกระดาษตอนเอาให้ดินเลยจะได้เซอร์ไพรส์  เขาก็ตกลง  แต่ว่าให้ดอกไม้อย่างเดียวจะดีเหรอ  ควรซื้อขนมอะไรไปให้ไหม เขาก็ไม่แน่ใจว่าดินชอบกินอะไร เพราะปกติเจ้าตัวก็ทานได้หมด แล้วมันจะแปลกหรือเปล่าที่จู่ๆก็ซื้อทั้งขนมทั้งดอกไม้ไปให้

ไม่ไหวแฮะ สงสัยงานนี้ต้องใช้ตัวช่วย  ไวเท่าความคิดมือใหญ่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาอารัณย์อีกรอบ คราวนี้เจ้าตัวก็งัวเงียขึ้นมาด่าให้อีก เดือนเลยตัดบทด้วยการเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าเขาต้องการอะไร อีกฝ่ายกนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา

[น้องดินชอบประวัติศาสตร์] อารัณย์ตอบไปกลั้นหาวไป [น้องเขาบอกกูตอนไปเดินเที่ยวกันไง  รู้แบบนี้แล้วถ้ามันตัดสินใจยากนักว่าจะแนบอะไรไปกับดอกไม้ดี มึงก็เขียนเพลงยาวแปะไปกับดอกไม้ก็แล้วกัน] ชายหนุ่มผมยาวตอบไปส่งๆพลางล้มตัวลงนอนต่อ ง่วงจะตายอยู่แล้ว ก่อนจะหลับไปเขาได้ยินเสียงเดือนพูดอะไรอีกสองสามอย่างแล้ววางสายไป

จะว่าไปเรื่องเพลงยาว...คนตัวสูงอมยิ้มเมื่อนึกถึงวิธี ‘จีบ’ กันเมื่อประมาณสองร้อยสามร้อยปีที่แล้ว  เคยอ่านเจอแต่ผู้ชายใช้เพลงยาวจีบผู้หญิง ถ้าไอ้เดือนทำขึ้นมาจริงๆนี่คงฮาน่าดู

แต่มันคงฉลาดพอที่จะไม่ทำหรอก...มั้ง

ว่าแต่มันรู้ด้วยเหรอวะว่าเพลงยาวคืออะไร?


ทางด้านเดือนเมื่อวางสายจากอารัณย์เขาก็กดมือถือเสิร์ชหาคำว่าเพลงยาวทันที  นึกโทษตัวเองที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนประวัติศาสตร์มาให้มากกว่านี้  หลังจากค้นเจอว่ามันคืออะไรคนตั้งท่าจะรุกจีบก็ได้แต่กัดปาก

เพลงยาวนี่มันเป็นกลอน...แล้วจะให้แต่งกลอนส่งไป

คุณพระ...จากกลอนรักหวานๆกลัวมันจะกลายเป็นกลอนเสี่ยวน่ะสิ

เดือนครุ่นคิด ถ้าแต่งเองไม่ได้...ยืมของคนอื่นมาใช้หน่อยก็แล้วกัน  เขาเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปมาอยู่พักใหญ่จนได้สิ่งที่ต้องการ  ชายหนุ่มยิ้มกว้างแล้วรีบบึ่งรถกลับบ้าน  เพื่อไปเขียน ‘เพลงยาว’ มาส่งให้ ‘น้องชาย’ ทันที

เมื่อมาถึงบ้านเดือนก็ดึงกระดาษโพสอิทสีเขียวมาแผ่นหนึ่งแล้วเริ่มลงมือเขียน ลายมือเขาไม่ได้สวยมากแต่ก็ยังนับว่าเป็นระเบียบและสวยกว่าลายมือผู้ชายคนอื่นๆ ต้องขอบคุณครูสมัยอนุบาลที่จับเขาคัดลายมือทุกเย็นหลังจากพบว่าลายมือของเขาคงปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปจนโตไม่ได้ เพราะจะเป็นภัยกับหน้ากระดาษ เอาง่ายๆคือสมัยเด็กลายมือเขามันห่วยจนเกินบรรยายนั่นเอง

หลังจากเขียนกลอนที่คัดมาแล้วลงบนกระดาษ  ชายหนุ่มก็แปะโพสอิทสีเขียวลงบนห่อหนังสือพิมพ์แล้วหอบทั้งหมดลงไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งดินกำลังนั่งทำบัญชีอยู่  เดือนพบดินนั่งอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก กดเครื่องคิดเลขท่าทางเคร่งเครียด  อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา  คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อเห็นห่อของในมือ

“อะไรน่ะครับ”

“อ่ะ พี่ให้”

เดือนยื่นห่อดอกไม้ไปให้แทนคำตอบ  อีกฝ่ายรับมาอย่างฉงน  ตีไปว่านี่คือของขวัญ “เนื่องในโอกาสอะไรครับ”เดือนเกาแก้ม “ก็เนื่องในโอกาสที่อยากให้เราดีกัน”

“ผมไม่ได้โกรธคุณ”

“แต่น้องดินหลบหน้าพี่”  ดินเม้มปาก สังเกตว่าสรรพนามแทนตัวพวกเขาเปลี่ยนไปอีกแล้ว

“ผมเปล่า”

“น้องเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นตลอดเลย  หาเห็ดเหรอครับ?”

“นี่คุณ!”

หาเห็ดบ้านมึงสิครับ!

สุดท้ายเขาก็ต้องเงยหน้ามาจ้องอีกฝ่ายตรงๆจนได้  เดือนจับใบหน้าเขาไว้ไม่ให้ก้มลงไปมองพื้นได้อีก  ดินหลับตาปี๋ ยอมรับว่าหลังกลับจากทะเลเขาก็เลี่ยงที่จะพบอีกฝ่ายมาตลอด  ก็...ก็เขาไม่รู้จะทำตัวยังไงนี่นา! พวกเขาสองคนเพิ่งจะจูบกันมานะ...แถมจูบแบบ...ดีพคิสด้วย!

แล้วจะให้มาทำตัวปกติก็ไม่ใช่หรือเปล่า เขาสับสน  เดือนจูบเขาทำไม แค่สงสารหรือยังไง? ดินไม่รู้ ไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะถอยออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง

หากอีกฝ่ายไม่คิดอะไร เขาก็จะไม่คิดอะไร

เขาต้องถอย...ก่อนจะ ‘รู้สึก’ มากไปกว่านี้

แต่ดินรู้ว่าถึงจะถอยห่างออกมายังไงมันก็ไม่เหมือนเดิม...ทุกครั้งที่ใกล้เดือน ใจเขาเต้นแรงเกินไป ทุกอย่างมันเกินจะควบคุมเสียแล้ว

“พี่แค่อยากให้เรากลับมาคุยกันดีๆ” เดือนนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา  ดวงตาคู่คมที่สะกดเขาได้ทุกครั้งมองมาทำให้ดินต้องหลบตา
“ปกติเราคุยกันดีๆด้วยเหรอครับ”

“พี่หมายถึงคุยกันแบบปกติ  ไม่ใช่หลบหน้าหลบตากันแบบนี้  แต่เอาเถอะ พี่ก็พอรู้ว่าน้องหลบหน้าทำไม”

“มันไม่ใช่แบบที่คุณคิดนะ” ดินร้องเสียงหลง  แต่อีกฝ่ายกลับแค่ยิ้มมุมปาก “เรื่องจูบใช่ไหมล่ะ?”

ดินหน้าแดงก่ำ ดูสิ อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆแบบนั้น มีแต่เขาที่เป็นบ้าไปคนเดียว  ดังนั้นชายหนุ่มจึงกล้ำกลืนความน้อยใจเล็กๆที่ผุดขึ้นมาแล้วตอบเสียงเรียบ “ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”

“เหรอ” เดือนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แต่พี่คิดนี่”

“หา?” ดินว่าสีหน้าเขาตอนนี้มันต้องตลกมากแน่ เพราะอีกฝ่ายหัวเราะก๊ากออกมาทันที แต่เขาก็ตกใจเกินกว่าจะมานั่งด่า 
ที่อีกฝ่ายบอกว่าคิด...มันหมายความว่ายังไง?

“หมายความ...ว่ายังไง”
“ลองเปิดห่อสิ”
เดือนบุ้ยปากไปทางห่อกระดาษหนังสือพิมพ์  ดินจึงค่อยๆหยิบห่อออกมาจากถุงพลาสติก  เขาชะงักเมื่อเห็นโพสอิทสีเขียวที่แปะไว้  มือเรียวดึงมันขึ้นมาอ่าน

สงสารอกกระต่ายป่าพฤกษาชาติ
จะวายชีวาตม์ดับจิตด้วยพิศวง
แสนคนึงถึงเสน่ห์ที่จำนง
ก็เหมือนอกกระต่ายดงที่หลงเดือน

นี่มัน...

“เพลงยาวของเจ้าฟ้ากุ้ง?”  ดินพึมพำ เหลือบมองหน้าคนตัวโตที่เกาแก้มแล้วเสมองไปทางอื่น  ใบหูอีกฝ่ายยังขึ้นสีนิดๆด้วย!

ดินรู้สึกว่าตัวเองก็หน้าแดงเช่นกัน  ทำไมเขาจะไม่รู้ความหมายของกลอนบทนี้

หึ แต่กระต่ายดงน่ะมันควรจะเป็นเขามากกว่า...กระต่ายตัวจ้อยที่อยู่บนดิน ได้แต่แหงนมองเดือนที่สุกสกาวบนฟ้า

ทำอย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง

มือเรียวค่อยๆแกะห่อหนังสือพิมพ์ออกก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบสิ่งที่อยู่ข้างใน  ดินประคองดอกไม้ออกมาอย่างเบามือแล้วพูดเสียงเบา “ดอกบัว?”

“ช่าย ดอก...ฮะ ดอกบัว!?”

เดือนหน้าเหวอเมื่อพบว่าดอกไม้ที่อยู่ในมือดินคือดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่ง  นี่หรือเซอร์ไพรส์ โอ้โห เซอร์ไพรส์กูมากครับน้องปราณ ขนาดนี้แล้วทำไมน้องไม่แถมธูปเทียนมาด้วยเลยวะ 

“ทำไมเป็นดอกบัวล่ะ”

“ผมจะรู้ไหม คนซื้อมามันคุณนะ  ว่าแต่ไปสั่งเขาว่าอะไร”

“ก็ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความดีงาม ความบริสุทธิ์”

“งั้นเขาจะให้ดอกบัวมาก็ไม่แปลก” ดินหรี่ตาลง  อมยิ้มในหน้า “ว่าแต่นี่ให้ผมเหรอครับ”

“ใช่”

“ให้ทำไม”  เขาวางดอกไม้ลง  หันไปมองหน้าคนตัวสูง...ที่ความสันพันธ์ระหว่างกันยังไม่ชัดเจน “ผมถามจริงๆนะ คุณต้องการอะไรจากผม?” ที่มาทำดีขนาดนี้ อยากให้หวั่นไหวเล่นๆหรือไง

“พี่ก็...ก็แค่อยากให้  พี่อยากขอโทษที่ทำให้ดินตกใจ...คืนนั้น”  ถ้อยคำกระซิบแผ่วเบาทำให้ดินแค่นยิ้ม “ช่างมันเถอะครับ ก็แค่บรรยากาศพาไป”

“พี่ช่างมันไม่ได้ เพราะทำอะไรวู่วามเราเลยไม่สนิทใจกันเหมือนเดิม...ทั้งที่น้องเริ่มเปิดใจให้แล้วแท้ๆ”  ดินถอนหายใจ “ถ้างั้นผมจะพยายามทำตัวให้เหมือนเดิม โอเคไหมครับ”

เขามองเดือนที่มีท่าทางว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่ใช่”  มือใหญ่อบอุ่นเลื่อนมากุมมือเขาไว้ “เอาเป็นว่าเรามาเปิดใจกันทีล่ะนิดดีกว่า เริ่มจากการเปลี่ยนคำเรียกจากคุณกับผมเป็นพี่กับน้องดีไหม?”

“ไม่ดี”

“เอาเป็นว่าตกลงนะ”

มึงฟังกูพูดอยู่หรือเปล่าวะครับ!

ดินถลึงตาใส่อีกฝ่าย สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “งั้นก็ตกลงครับ” ขี้เกียจเถียงแล้ว เหนื่อย

“งั้น เราจะพยายามกลับไปทำตัวให้เหมือนเดิมนะครับ เป็นพี่กับน้อง”

“ไม่ใช่ เราไม่ได้จะกลับไปเป็นพี่น้องกัน” เดือนเม้มริมฝีปาก เลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย  แวบหนึ่งที่ดินคิดว่าอีกฝ่ายจะจูบเขาอีกครั้งแต่คราวนี้เดือนกลับกดริมฝีปากลงที่ปลายจมูกเขาแทน

“แต่พี่เดือนจะขอจีบน้องดินอย่างเป็นทางการต่างหาก”

**********************************

สวัสดีปีใหม่จีนค่าาาา ขอให้ทุกคนเฮงๆรวยๆมีโชคกันตลอดปีน่อออ :call:
ต้องของอภัยที่มาอัพช้าค่ะ (T_T) คือสัปดาห์ก่อนมันสัปดาห์มหาโหดชัดๆ ทั้งจัดงานนิทรรศกาล
งานตรุษจีนอีก เลยเลื่อนมาอัพเป็นวันจันทร์แทน
ขอเม้าท์มอยเล็กน้อยสำหรับตอนนี้ คือไอ้มุขเพลงยาวนี่ยังไม่เคยมีใครใช้นะ 555
แต่ดอกบัวอ่ะมี เพื่อนคนเขียนเคยได้ดอกบัววันวาเลนไทน์ค่ะ นางก็เอาใส่ขวดน้ำไว้แล้วตั้งไว้ที่โต๊ะ 5555
ใครเดินเข้าห้องเรียนมาก็ขำกันใหญ่

ปล.พี่เดือนนางเป็นพวกรู้ตัวช้าค่ะ อภัยให้นางด้วย กว่าจะรู้ตัวนี่ลวนลามเขาไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
:laugh:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-02-2016 23:20:09
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 09-02-2016 00:56:57
อย่าช้านะพี่เดือนคนแมนรีบจีบน้องดินให้ไวเลย อยากรู้ว่าพี่เดือนจะซื่อ(บื้อ)จะรุกน้องดินอิท่าไหนนี่  อิอิ :mew1: o18
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-02-2016 02:59:57
55555
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-02-2016 09:27:37
โฮะๆ

หม่ามี้เหมือนจะรู้ล่วงหน้า =3

พี่เดือนสู้ๆ คว้าใจน้องให้ได้นะ :D
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 10-02-2016 14:15:14


โหยยย! พี่เดือนชัดเจนอ้ะ อย่างนี้ดินก็แย่สิคะ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ (เขินตัวบิด ฮ่า ฮ่า ฮ่า)  :mew1:

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-02-2016 17:26:25
กว่าจะรู้ตัวนะพี่เดือน ต้องมีคนมาเบิกเนตรก่อน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๒ ขอ'จีบ' {๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 10-02-2016 19:26:07
สู้ๆนะพี่เดือน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๓ ความรักของสายลม {๑๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 18-02-2016 20:24:54
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๓
ความรักของสายลม


“พี่เดือน  ไปอาบน้ำได้แล้ว”  ชายหนุ่มผมดำที่ยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจกที่ติดอยู่ที่บานประตูตู้เสื้อผ้าตะโกนบอกพี่ชายต่างสายเลือดที่นอนแผ่อยู่บนเตียง  ดินคล้องผ้าขนหนูสีขาวไว้ที่คอ ย่นจมูกมองคนงอแงไม่ยอมอาบน้ำอย่างหน่ายๆ ดูสิ ตัวก็เหม็นเหงื่อยังไปนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงอีก เดี๋ยวพ่อยันตกเตียงเลยนี่

“พี่เดือน  ผมบอกให้ไปอาบน้ำไง”

“ฮื่อ อีกห้านาที” คนที่นอนแผ่หลับตาพึมพำบอก  ดินเบ้ปากใส่ เดินไปทุบหลังคนตัวโต

“ตอนที่ผมแต่งตัวอยู่พี่ก็พูดแบบนี้  ไปอาบน้ำก่อนเลยอย่ามางอแง  ไม่ใช่เด็กสามขวบนะครับ”

“แต่พี่เหนื่อย”

“ก็อาบน้ำจะได้สบายตัวไงครับ”

เดือนปรือตามองคนที่ยืนกอดอกค้ำหัวเขาอยู่  ดวงตาสีอ่อนแฝงประกายวาววับ  กลิ่นหอมอ่อนจากครีมอาบน้ำแตะจมูกเขายามน้องชายเขยิบเข้ามาใกล้  คนเป็นพี่เลยจุดยิ้มที่มุมปาก พูดอ้อนออกไป “อาบก็ได้ แต่น้องดินต้องมาให้หอมก่อน”

ดินกลอกตากับคำหยอดที่ช่วงนี้ได้ยินบ่อยครั้ง  ก่อนจะถอยหนี “ไม่เอา ผมไม่ให้คนตัวเหม็นกอดหรอก  ถ้าไม่ยอมลุกไปอาบน้ำดีๆคืนนี้จะให้นอนนอกห้องนะครับ”  ดินสาบานว่าเขาไม่ได้ขู่ ถ้าเดือนไม่ยอมลุกไปอาบน้ำดีๆคืนนี้เขาจะไล่อีกคนไปนอนนอกห้องจริงๆด้วย

เดือนได้แต่อมยิ้มกับคำขู่ที่ฟังยังไงมันก็น่ารักสำหรับเขา  ดินคงไม่รู้สินะว่าพูดแบบนี้มันเหมือนพวกคู่สามีภรรยาเขาพูดกันเลย  นี่ถ้าไม่ติดว่า(น้องชาย)สุดที่รักจะกระโดดก้านคอเขาจะหยอดกลับไปแล้วนะว่า ‘ยอมแล้วจ้ะ ที่รัก’

“ไม่ต้องมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะครับ!”

“คร้าบ” เดือนรับคำก่อนจะยืดกายขึ้น คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินโฉบไปใกล้ๆน้องชาย  ฝังจมูกลงบนแก้วขาว สูดเอากลิ่นหอมของอีกฝ่ายเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะเดินหัวเราะร่าออกจากห้องนอนไป  ก่อนไปยังไม่วายหันกลับมาขยิบตาให้คนหน้าสวยที่ยืนกุมแก้มหน้าแดงก่ำพร้อมหยอดไปเบาๆอีกดอกว่า “ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวพอกลับมาจะมาขอ ‘กอด’ นะครับ”

ดินอ้าปากค้าง  ความร้อนเห่อลามไปตามใบหน้า  ชายหนุ่มกัดฟันกรอดนึกคำด่าแต่ก็คิดไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่ถลึงตาคาดโทษคนตัวสูงไว้  ฝ่ามือที่เช็ดถูแก้มตัวเองอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนมาเป็นแตะเบาๆ สัมผัสร้อนผ่าวเมื่อครู่ยังฝังติดอยู่  จนดินได้แต่ก้มหน้างุด ซ่อนใบหน้าแดงก่ำไว้ทั้งที่ในห้องก็มีเพียงเขาแค่คนเดียว

หลังจากสงบสติได้ ดินก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาแล้วปีนไปนอนบนเตียงฝั่งที่เป็นของเขา หมอนข้างถูกลากมากั้นอาณาเขตไว้เช่นเดิม  หืม กั้นอาณาเขตจากใคร? ก็จะใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้มนุษย์หน้ามึนที่เดินไปอาบน้ำเมื่อกี้ 

ดินสูดลมหายใจเขาลึกๆ หากจะถามถึงสาเหตุเดือนย้ายมานอนกับเขาก็ไม่ใช่เพราะเกิดพิศวาสขาดใจอะไรกันขึ้นมาหรอก  นับตั้งแต่ที่อีกฝ่ายบอกว่าจะจีบเขา ทั้งสองก็ยังทำตัวกันเหมือนเดิม ตื่นมากินข้าว โวยวายใส่กันแล้วก็ไปทำงาน  แต่ดินรู้ว่าบางสิ่งเปลี่ยนไป  เริ่มจากไลน์ที่ส่งมาหาเขาบ่อยขึ้น เตือนให้กินข้าวบ้าง  อย่าโหมงานหนักบ้าง ไม่ได้ถี่จนน่ารำคาญแต่ก็สม่ำเสมอ 

ทุกเย็นเดือนจะถามเขาว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง เจออะไรมา แล้วพวกเขาก็จะเล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าทำอะไร พบเจออะไรมาบ้าง 
มันเป็นแค่การเอาใจใส่ที่แสนเรียบง่าย  เดือนใส่ใจทุกการกระทำของเขา  มันไม่ใช่การจีบที่มาแบบรวดเร็วหรือเร่งรัด แต่เป็นเหมือนต้นกล้าเล็กๆที่เดือนค่อยๆปลูก ใส่ปุ๋ย รดน้ำ และมันกำลังหยั่งรากลงในใจของเขาช้าๆ

พี่ชายต่างสายเลือดคนนั้นกำลังมุมานะทลายกำแพงในใจของเขาลงทีละน้อยอย่างอดทน  พอรู้ตัวอีกที กำแพงสูงที่เคยกั้นไว้ ก็หายลงไปเกือบครึ่งเสียแล้ว

ส่วนที่เดือนย้ายมานอนห้องดินมันก็เริ่มต้นมาจากสาเหตุง่ายๆอย่างเครื่องปรับอากาศในห้องเสีย  เดือนที่ขี้ร้อนจึงขอย้ายมานอนด้วยจนกว่าช่างจะมาซ่อม  ตอนแรกดินเองก็ปฏิเสธ  เขายอมรับว่ากลัว...ก็คนอย่างเดือน...หมาป่าในคราบแกะโง่แบบนั้นมันน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่!  แต่หลังจากเดือนทนนอนเปิดพัดลมเหงื่อไหลเป็นน้ำตกเจ็ดสาวน้อยอยู่ในห้องได้สองวันเขาก็สงสารเลยให้มานอนด้วย  แต่เขาก็บังคับให้อีกฝ่ายสาบานว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยกับเขา

นี่ก็รอดมาได้สามคืนแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ถึงไม่ได้ทำอะไรเกินเลยแต่ไอ้บ้านั่นก็ชอบมาเล่นงานตอนเผลอตลอด หอมแก้มบ้าง ลากไปกอดบ้างจนบางครั้งเขาอยากจะกระโดดก้านคอพี่ชายให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนวันแรกที่พวกเขาเจอกันนั่นแหละ เหอๆ

แกรก

เสียงเปิดประตูห้องทำให้คนที่อยู่บนเตียงสะดุ้งน้อยๆ เดือนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงเลเดินมาล้มตัวลงนอนที่อีกด้าน  เขามองหมอนข้างที่ลากมากั้นอาณาเขตอย่างขำๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  ดินไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเป็นคนนอนดิ้นขนาดไหน  ไอ้หมอนข้างนี่พอเจ้าตัวหลับก็มักจะดินถีบมันลงไปปลายเตียงเองทุกที เป็นอันเปิดโอกาสให้เขาได้นอนใกล้น้องอย่างง่ายดาย

เดือนหยิบโทรศัพท์มาเข้าเฟซบุ๊ค  เช็คนู่นเช็คนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งมีคนทักแชทเขามา  พอมองก็เห็นว่าเป็นปราณชายหนุ่มจึงกดเข้าไปดู

อื้อหือ...กูนี่นึกว่าญาติใครเสีย รัวสติกเกอร์ร้องไห้มาเป็นสิบอันทำไมครับเนี่ยน้องปราณ

Levi Raveekarn Taylor  : เป็นอะไรไปครับน้องปราณ?

Pran Pattamatrakul : งื้อออออ

Pan Pattamatrakul : *รัวสติกเกอร์ร้องไห้*

เดือกระพริบตาปริบ  เอิ่ม น้องปราณครับ  ถ้าน้องจะรัวแค่สติกเกอร์ร้องไห้พี่เดือนจะไปนอนแล้วนะครับ   ด้วยความที่จิตวิญญาณพี่ชายที่ดีเข้าสิง เดือนจึงพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
 
Levi Raveekarn Taylor : เป็นอะไรครับ?

Pran Pattamatrakul : ปราณ...ทะเลาะกับเฟิงครับ

หืม...อีกแล้วเหรอ คู่นี้นี่ยังไงกัน เดี๋ยวก็ตีกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน

Pran Pattamatrakul : แต่ว่ามันก็เรื่องเดิมๆ ช่างเถอะครับ  ดึกแล้ว พี่เดือนไปนอนเถอะ ฝันดีครับ

หลังจากนั้นน้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้ก็ออฟไลน์ไป ทิ้งให้เดือนนอนงงค้างกับหน้าจอโทรศัพท์  อะไรของเด็กสองคนนี้วะเนี่ย...ว่าแต่ตอนเป็นวัยรุ่น  คนเรามันเครียดกับเรื่องทะเลาะกับเพื่อนผู้ชายขนาดนี้เลยเหรอ  เขาจำได้ว่าตอนทะเลาะกับไอ้รันก็ลากมันไปเคลียร์ตอนเย็น ซัดกันหมัดสองหมัดแล้วก็กอดคอกลับบ้านเหมือนเดิม ไม่ได้มานั่งกังวลใจอะไรขนาดนี้นะ แต่ก็ช่างเถอะ...

“จะนอนหรือยังครับ?” เดือนละสายตาจากหน้าจอไปมองน้องชายที่วางหนังสือลงเรียบร้อย “ถ้าตอบแชทเสร็จแล้วก็วางโทรศัพท์ลงได้แล้วครับ เล่นมากๆเดี๋ยวสายตาเสียนะ” เพราะอีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าติดจะบึ้งนิดๆเดือนเลยขมวดคิ้วสงสัยว่าน้องชายเป็นอะไร แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากถาม  ดินที่ตีความอาการขมวดคิ้วของเขาเป็นอีกแบบก็ล้มตัวลงนอนแล้วหันหน้าไปอีกทาง “แต่ถ้าจะตอบแชทต่อก็ตอบไปเถอะครับ ปิดไฟด้วยแล้วกัน ผมจะนอนแล้ว”

เดือนมองคนที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังแสดงอาการงอนสลับกับโทรศัพท์ในมือแล้วยิ้วขำ เขาวางโทรศัพท์ไว้ที่ตู้ข้างเตียงแล้วเดินไปปิดไฟ  ก่อนจะสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม  หืม อาการงอนแบบนี้ไม่ได้หาดูง่ายๆนะ อยากอัดคลิปเก็บไว้ชะมัด แต่ทางที่ดีง้อก่อนดีกว่า

เดือนผลักหมอนข้างที่แสนจะเกะกะทิ้งไปก่อนจะดึงตัวน้องชายให้หันกลับมา  ตอนแรกดินก็ขืนตัวแต่สุดท้ายก็สู้แรงเขาไม่ไหว  ยอมหันกลับมาจนได้

“เป็นอะไร”

“เปล่าครับ”

“เมื่อกี้คุยกับปราณ”

“บอกผมทำไมล่ะ จะคุยกับใครก็ช่างคุณสิ แล้วปล่อยได้แล้ว ชักจะรุ่มร่ามแล้วนะครับ”  ดินแงะมือที่พาดเอวเขาอยู่ออกพลางแยกเขี้ยวขู่พี่ชาย 

“ก็อยากบอก”

“ผมไม่อยากรู้”

“ทำไมเป็นผมอีกแล้วล่ะ” เดือนจุ๊ปาก “เราตกลงกันแล้วนี่ว่าจะเปลี่ยนเป็นคำเรียกกันน่ะ ดินต้องแทนตัวว่าดินสิ”

“ไปหลับตาละเมอมาจากไหนครับ ไม่ได้พูดเสียหน่อย”

“พูด”

“ไม่ได้พูด”

“ดิน...ถ้าดินไม่เปลี่ยนงั้นพี่ทำโทษนะ” เดือนแกล้งยื่นใบหน้าไปใกล้อีกฝ่าย จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกัน  ดินอยากจะขยับหนีแต่ติดที่ท่อนแขนปลาหมึกของอีกฝ่ายรั้งเอวเขาไว้ได้อีกแล้ว  คนผมดำกัดริมฝีปาก  ก้มหน้าหลบ

“ว่าไงครับ จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน” ยังคงไม่มีการตอบรับจนเดือนแกล้งยื่นหน้าไปใกล้จนจมูกแตะกันอีกนั่นแหละดินถึงได้ร้องขึ้นมา “เปลี่ยนก็ได้ครับ!...เข้าใจแล้วครับ พี่เดือน”

“หืม ใครเข้าใจอะไร?”

โธ่ ไอ้พี่บ้านี่ เดี๋ยวกูต่อยตาเขียว!

ดินฮึดฮัดอยู่พักหนึ่งถึงยอมตอบกลับไป “ดินเข้าใจแล้วครับพี่เดือน”

ใบหน้าหล่อเหลาของอดีตนายแบบเผยรอยยิ้มกว้าง ลูบผมน้องชายพลางชมเปาะ “เก่งมากเด็กดี”

“ดินไม่ใช่หมา ไม่ต้องมาลูบหัว แล้วก็ถอยออกไปได้แล้วครับ อึดอัด!” เตียงก็มีตั้งกว้าง มานอนเบียดทำไมวะ

เดือนยอมถอยออกไปอย่างว่าง่าย แต่ก็ถอยออกไปแค่นิดเดียวนั่นล่ะ เขายังรั้งเอวอีกฝ่ายไว้อยู่ “เมื่อกี้คุยกับปราณจริงๆ น้องบอกว่าทะเลาะกับเฟิง”  เดือนบอก  ไม่รู้ว่าทำไม ปกติเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับแชทส่วนตัวเขา แต่กับดิน ให้เปิดข้อความให้ดูก็ยังได้

เขาคงเป็นเอามากแล้วจริงๆ

ดินถอนหายใจเบาๆ “ดินรู้แล้ว น้องก็ทักดินมาเหมือนกัน”

“แล้วเล่าอะไรให้ฟังไหม”

“เปล่า” ดินตอบพลางส่ายหน้า “คู่นี้ก็ทะเลาะกันเป็นปกติ แต่คราวนี้ดูเหมือนจะหนัก  ปราณมาร้องไห้กับดินสองสามครั้งแล้ว...ดิน...ก็เป็นห่วงน้อง”

“ใจดีจริงน้าน้องดิน”

“เฟิงกับปราณมันก็เหมือนน้อง...เห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆแล้วล่ะ  มีอะไรดินก็เป็นห่วงเหมือนกัน” เดือนอมยิ้ม ลูบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราไปคุยกับปราณกันไหมล่ะ จริงๆพี่ก็ไม่ค่อยอยากยุ่งหรอก แต่ถ้าดินไม่สบายใจ ลองไปคุยดูไหม เผื่อเราช่วยน้องได้”

ดินพยักหน้า เอียงหน้าเข้าหาสัมผัสของเขาอย่างลืมตัว  ทำให้เดือนยิ้มบางๆโน้มตัวไปจูบเบาๆที่หน้าผากแล้วลากมาที่ปลายจมูกอีกคนเบาๆ ดินย่นคอเพราะจั๊กจี้กับสัมผัสแผ่วเบานั้น  เดือนมองกิริยาน่ารักนั่นแล้วจึงเอ่ยปากถาม “พี่จูบดินได้ไหม?”

คนตัวเล็กชะงัก  รับรู้ว่าอีกฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้  ลมหายใจอุ่นปะทะใบหน้าแผ่วเบา  เขาขบริมฝีปากตัวเอง แต่ปลายนิ้วเรียวก็แตะที่ริมฝีปากคลึงเบาๆให้คลายจากกัน เดือนรอคำตอบอย่างใจเย็น หากน้องไม่อนุญาตเขาก็จะไม่แตะต้อง

“ว่าไงครับ...พี่จูบดินได้ไหม”

“ปกติเคยรอดินอนุญาตด้วยเหรอครับ”

สิ้นคำตอบเดือนก็ยิ้มกว้างแล้วแนบริมฝีปากไปที่ริมฝีปากดินเบาๆจนเกิดเสียงจุ๊บแผ่วๆ ชายหนุ่มผละออกมา เขามองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแต่ก็รู้ว่ามันต้องน่ารักมากแน่ๆ เดือนจึงไม่รอช้าที่จะแนบริมฝีปากลงไปอีกหน  บดจูบจากแผ่วเบาอ่อนหวานให้ลึกซึ้ง  ปลายลิ้นอุ่นไล้เลียแผ่วเบาจนร่างในอ้อมแขนคล้อยตาม

  ดินเบียดร่างชิดคนตัวสูงโดยไม่ตั้งใจ จูบตอบอย่างเผลอไผล  รสจูบที่อ่อนหวานจนพาให้ร่างเขาอ่อนยวบเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ บางคราก็ร้อนแรงจนเขารู้สึกถึงลมหายใจถี่กระชั้นของตัวเอง  เดือนรุกไล่เขาจนคล้อยตามก่อนจะผละออกห่างให้เขาเป็นฝ่ายขยับไปมอบสัมผัสให้บ้าง

พวกเขาจูบกันอยู่นานเท่าใดไม่รู้ จนเมื่อดินรู้สึกหมดแรงเดือนจึงผละริมฝีปากออก ก่อนจะเลื่อนใบหน้ามาจูบซับหยาดน้ำข้างริมฝีปากของเขาอย่างไม่รังเกียจ  จากนั้นก็ลากไล้จมูกโด่งมาข้างแก้มเขา กดจูบแผ่วเบา  “นอนได้แล้ว” เป็นคำพูดที่อีกฝ่ายพูดทุกคืนก่อนส่งเขาเข้านอน “ฝันดีครับน้องดิน”

“ฝันดีครับพี่เดือน”

ดินกระซิบ ไม่ได้ดันตัวออกจากอ้อมแขนเดือนแต่อย่างใด เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับสัมผัสนี้จนไม่อยากให้มันหายไป  ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆก่อนจะปิดตาลง

แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่พวกเขาหลับใหลไปในอ้อมแขนของกันและกัน



เสียงกดกริ่งพร้อมกับเสียงร้องงี้ดง้าดของสี่องครักษ์ ข้าวสวย ไข่ตุ๋น โรตีและสายไหม ทำให้เดือนต้องลุกจากโต๊ะอาหารไปเปิดประตูเพราะดินกำลังยุ่งกับการทำอาหารเช้า  ชายหนุ่มเกาหัว อ้าปากหาวก่อนจะเปิดประตูออกไป แล้วดวงตาสีอ่อนก็เบิกขึ้นน้อยๆอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นแขกที่มาเยือนแต่เช้า

เด็กหนุ่มตัวเล็ก ผิวแทน ตาโต... “น้องปราณ?”

คนถูกเรียกชื่อฉีกยิ้มหวานจ๋อยให้เขาก่อนจะยกถุงใส่ดอกไม้สดถุงใหญ่ขึ้นมา “น้ามะลิสั่งไว้น่ะจ้ะ ปราณเลยขี่รถเอามาส่งให้” เดือนมองถุงดอกไม้สลับกับคนพูดแบบงงๆ ปกติมีดิลิเวอร์รี่ส่งถึงบ้านแบบนี้ด้วยเหรอ? “งั้นเดี๋ยวพี่ไปหยิบเงินให้นะ”

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ คุณน้ามะลิจ่ายแล้ว  อ้อ พี่เดือนกับพี่ดินกินข้าวเช้าหรือยังจ๊ะ ปราณขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าร้านพี่ทะเลเขาเลยฝากมา” เดือนคิ้วกระตุกเมื่อนึกถึงอดีต ‘คนคุย’ ของน้องชายที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังเก็บเงินเป็นค่าสินสอดไปขออดีตคนรักซึ่งตอนนี้กลับมาคบกันแล้วอยู่

ใจจริงก็อยากจะโยนให้ไอ้สี่องครักษ์ด้านนอกกินอยู่หรอกแต่คิดไปคิดมาปาท่องโก๋ก็ไม่ผิด เดือนจึงรับถุงน้ำเต้าหู้อุ่นๆกับปาท่องโก๋มา

ขายหนุ่มมองปราณที่ก้มหน้ากัดริมฝีปากแล้วก็ได้แต่เลิกคิ้ว  ดูเหมือนอีกฝ่ายมีอะไรจะพูด ถ้ามห้เดาก็เรื่องที่ทะเลาะกับเฟิงแน่ๆ
“พี่เดือน ใครมาน่ะ” เสียงของชายหนุ่มผมดำดังขึ้นด้านหลังก่อนใบหน้าสวยราวกับสตรีเพศจะโผล่ชะโงกข้ามไหล่มา  ดินยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่หน้าประตู “อ้าวน้องปราณ”

“สวัสดีจ้ะพี่ดิน  ปราณเอาดอกไม้ที่น้ามะลิสั่งมาส่ง แล้วก็เอาน้ำเต้าหู้ที่พี่ทะเลฝากมาให้น่ะจ้ะ”

“ว้าว ขอบใจนะ จริงๆไม่เห็นต้องลำบากเลย”

“ไม่ลำบากหรอกจ้ะ...ก็อยากมาอยู่แล้ว”

เดือนมองดูเด็กน้อยที่ก้มหน้างุดก่อนจะหันไปดันดินให้พ้นประตูแล้วพูดว่า “เข้ามาข้างในก่อนไหม” สิ้นคำร่างเล็กก็แทรกตัวเข้ามาแล้วก้มหน้างุดไปที่โต๊ะอาหาร ไม่ลืมเกี่ยวถุงน้ำเต้าหู้ไปแกะใส่แก้วอย่างคล่องแคล่ว  เดือนขยิบตาให้น้องชาย ทำปากเป็นเชิงให้ลองถามเลย  หลังจากที่ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะ  ดินจึงเอ่ยปากถาม

“ปราณ ทะเลาะอะไรกับเฟิงหรือเปล่า?” เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก  เดือนที่เห็นดังนั้นเลยรีบพูดเสริม “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าทั้งสองคนทะเลาะไรกันมา แต่มีอะไรค่อยๆพูดกันดีกว่าไหม”

คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือ ขอบตาสองข้างแดงก่ำเหมือนคนกำลังสะกดกลั้นน้ำตา “ครั้งนี้มันหนักจริงๆนะจ๊ะพี่เดือน เฟิงไม่พูดกับปราณมาเป็นอาทิตย์แล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

ปราณกัดริมฝีปากจนช้ำ คิดไปแล้วมันก็อยากจะร้องไห้  ไอ้ปราณกับไอ้เฟิงมันคู่กัดประจำตลาด ใครๆก็รู้ แต่ก็พูดได้เต็มปากเลยว่าไม่มีใครกันและกันดีไปกว่าตนอีกแล้ว  ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่คลานต้วมเตี้ยม เอาขวดนมฟาดกันไปจนถึงโตมาจนเตะต่อยกันได้แล้ว พวกเขาทะเลาะกันบ่อยก็จริง

แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ปราณเห็นเฟิงโกรธขนาดนี้

สาเหตุมันมาจากผู้หญิงคนเดียวแท้ๆ...

“เฟิงมันมีแฟนจ้ะ เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนนั่นแหละ”  ไอ้เฟิงมันหน้าตาดี ผิวขาวแบบลูกคนจีน แต่สูง ตาถึงจะตี่แต่ใครๆก็มองว่าน่ารักดี มันขี้เล่น ใจดี ก็ใจดีกับทุกคนยกเว้นไอ้ปราณนั่นแหละที่ไม่รู้เป็นอะไรมันถึงได้ชอบแกล้งนัก ต้องแกล้งหนักๆจนร้องไห้ด้วยนะถึงจะสะใจ  ก็เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว กับไอ้ปราณไอ้เฟิงจะแกล้งจนร้องไห้ แต่กับคนอื่นเฟิงจะขี้เล่นแล้วก็ให้เกียรติ รู้จักขอบเขต เพราะแบบนี้แหละมั้งใครๆถึงได้ชอบมัน

เพราะเฟิงมันใจดี หลายคนเลยชอบหลอกใช้ความใจดีของมัน

“ผู้หญิงคนนี้ไม่ดีเลยจ้ะ ใครๆก็บอกว่าแย่มาก ตอนแรกปราณก็ไม่เชื่อ แต่พอเจอหน้ากันวันแรกก็เชื่อเลย” ปราณพับแขนเสื้อที่ยาวจนถึงข้อมือขึ้น เผยให้เห็นรอยกรีดสีแดงคล้ายรอยเล็บลากเป็นทางยาวที่ท้องแขน ดินถึงกับเบิกตากว้าง น้ำเสียงเริ่มแฝงความไม่พอใจ “ใครทำ!”

ปราณกัดริมฝีปากแน่นกว่าเดิม ไม่ได้ตอบ เดือนที่เห็นท่าไม่ดีรีบกดไหล่น้องชายให้นั่งลง ฝ่ามือใหญ่เลื่อนไปกุมมือเล็กที่สั่นระริกเพราะอารมณ์โกรธ  ดินหันมาสบตาคนตัวโตที่ตอนนี้ดูนิ่งจนน่าประหลาดใจ  เดือนหันไปถามเด็กหนุ่มผิวแทนด้วยสีหน้าเครียดขึ้งไม่น้อย

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๓ ความรักของสายลม {๑๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 18-02-2016 20:53:25
“ปราณ แฟนใหม่เฟิงทำใช่ไหม?”

“...ครับ...”

“ได้บอกอาจารย์หรือเปล่า”

“เปล่าจ้ะ ปราณไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่างไม่อยากมีปัญหากับเฟิงด้วย เฟิงมันรักแฟนคนนี้มากเลยนะจ๊ะ”

ถึงปราณกับเฟิงจะเหมือนเป็นคู่ซี้ที่ทำทีเหมือนคู่กัดแต่เขามันก็แค่เพื่อน  จะไปมีสิทธิ์เท่ากับคนที่อีกฝ่ายชอบได้ยังไง แต่เพราะไม่อยากให้ไอ้ความเผือกมันโดนหลอกหรอกเลยพยายามเตือน “รุ่นน้องคนนี้คบซ้อนจ้ะ มีเฟิงแล้วก็มีเพื่อนในรุ่นเดียวกันอีกคน ใครๆก็รู้ว่าจ้องจะจับแต่คนรวยๆ มันอาจดูไม่ดีที่เอาผู้หญิงมาพูดแบบนี้แต่ผู้หญิงคนนี้หลอกเฟิงไปเยอะมากเลย  ล่าสุดถึงกับขอให้เฟิงขโมยเงินป๊าเลยนะจ๊ะ”

“แล้วเฟิงทำหรือเปล่า?” ดินถาม ปราณส่ายหน้า พอเห็นดังนั้นคนเป็นพี่ก็ถอนหายใจ ยังดีที่ไม่ได้ลงผู้หญิงจนหน้ามืดนะไอ้เสือจีนเอ๊ย แต่ครั้งนี้ท่าทางจะปัญหาใหญ่ “ปราณก็ไปเตือนไอ้เฟิงนะจ๊ะ แต่มันไม่ฟัง หาว่าปราณจะแกล้งยุให้มันเลิกกับน้องเขา สุดท้ายก็ทะเลาะกัน  ปราณว่ามันไปแล้วก็ว่าแฟนมันด้วย มันเลยโกรธ”



ปราณนึกย้อนกลับไปวันนั้น  หลังเลิกเรียนเขารีบไปดักรอเฟิงที่หน้าห้อง ลากมันออกมาตรงหลังห้องน้ำแล้วเล่าเรื่องที่เขาแอบไปเห็นแฟนใหม่เฟิงกับเพื่อนร่วมชั้นของน้องเดินกอดแขนกันเลือกซื้อของอยู่ในตลาด  ตอนแรกปราณก็คิดแค่ว่าอีกฝ่ายคงเป็นเพื่อนธรรมดา  แต่เพื่อนที่ไหนจะกอดแขน หอมแก้ม ซบไหล่กันขนาดนี้

แต่สิ่งที่เฟิงให้กลับมาก็แค่คำว่า “แล้วไง?”

“แล้วไงอะไร  มึงกำลังโดนหลอกนะ”

“มึงแน่ใจได้ไง น้องคนนั้นอาจจะเป็นตุ๊ดก็ได้”

“ไอ้เฟิง กูไม่โง่ขนาดแยกตุ๊ดกับผู้ชายธรรมดาไม่ออกนะ ยังไงนั่นก็ไม่ใช่ตุ๊ดหรอก”

ปราณกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ปกป้องคนรักของตัวเอง  แล้วยังมาทำสายตาแบบที่เขาไม่ชอบใส่ด้วย  สายตาที่มองเหมือนเขาเป็นคนประหลาด...คนที่อยากจะเบือนหน้าหนีไปไกลๆ สายตาที่ทำเหมือนเขาเป็นคนผิด...เขาแค่ไม่อยากให้ไอ้โง่เฟิงโดนหลอกก็เท่านั้นเอง...

“มึงไม่รู้จักน้องเขาแบบกู  มึงอย่ามาพูดได้ไหม” ประโยคนั้นทำให้ร่างเล็กรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า  ความโกรธแล่นริ้วขึ้นมาจนห้ามตัวเองไม่อยู่  ปราณเลยตะโกนด่ากลับไป

“เออไอ้ควาย! อยากอยู่ให้เขาหลอกก็เรื่องของมึงเถอะ แต่มึงฟังกูไว้เลยนะว่าเดี๋ยวมึงก็โดนเขี่ยทิ้ง  พอแฟนมึงไถเงินมึงจนหมดตัวเมื่อไหร่...”

“ไอ้ปราณ!”

พลั่ก

หมัดลุ่นๆกระแทกเข้าที่มุมปากจนคนตัวเล็กกว่าถึงกับเซล้ม ปราณตกใจจนตัวชา ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้น เฟิงต่อยเขา..ตั้งแต่เล็ก ถึงจะทะเลาะกันบ่อยขนาดไหนแต่เฟิงก็ไม่เคยลงมือกันเขาเลยสักครั้ง  ด้านหนุ่มตี๋เองก็ดูตกใจไม่น้อยแต่ด้วยทิฐิที่มากกว่าทำให้เขาไม่แม้แต่จะยื่นมือไปดึงอีกฝ่ายขึ้นมา สิ่งที่ทำมีเพียงแค่พ่นคำพูดร้ายกาจออกไป

“มึงจำไว้เลยนะว่าอย่ามาพูดเรื่องนี้กับกูอีกไอ้ปราณ คนที่ไม่เคยรักใครอย่างมึงแม่งไม่เข้าใจหรอก” สิ้นคำร่างสูงก็เดินกระแทกเท้าออกไป ทิ้งไว้แต่คนตัวเล็กที่แตะแผลช้ำที่มุมปาก น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ไหลรินออกมาอย่างเงียบงัน เจ็บที่กายไม่เท่าเจ็บที่ใจ  คนตัวเล็กพึมพำออกมาแผ่วเบา

“แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่ากูไม่เคยรักใคร...ไอ้โง่”

ใช่มึงมันโง่ ไอ้เฟิง ไม่รู้แล้วเสือกมาพูดดี

แต่คนที่โง่กว่าคงเป็นกู ที่รู้ทุกอย่างดี...

แต่ยังเผลอไปรักมึง

ใช่  ถูกแล้ว ปราณชอบไอ้เฟิง  ชอบมาตั้งแต่ยังอยู่ประถมนู่น แก่แดดนะแต่ก็ช่างเถอะ ก็คนมันชอบ ใช่ว่าเขาโรคจิตชอบถูกแกล้งเสียเมื่อไหร่ แต่ไอ้เฟิงก็มีมุมน่ารักๆด้วยเหมือนกัน มันเลยทำให้เขาหลงรักเข้าจนได้
 
แล้วดูสิ่งที่เขาได้กลับมาสิ

คนตัวเล็กหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นจากพื้น เดินลากขาออกจากโรงเรียนอย่างเศร้าซึม 

สุดท้ายเขาก็ต้องกลับบ้านคนเดียว...



ปราณเหม่อมองแก้วน้ำเต้าหู้ก่อนจะทำทีเป็นดูนาฬิกา  เขารีบลุกขึ้น ขอตัวกลับไปช่วยแม่ขายดอกไม้ต่อ  สองพี่น้องก็เดินออกมาส่งหน้าบ้าน  ดูจนเขาขี่มอเตอร์ไซค์ลับตามา ระหว่างที่ขี่รถอยู่นั้นโทรศัพท์ของเขาก็สั่น ปราณหยิบขึ้นมาดู  เขารู้ว่าทำแบบนี้มันอันตรายแต่เนื่องจากเขาขับรถไม่เร็วมากจึงได้ยอมให้ตัวเองรับโทรศัพท์ได้ หลังจากรับจึงได้รู้ว่าปลายสายเป็นไอ้ขวัญเพื่อนสนิท

[ไงมึง วันนี้ไปบ้านไอ้โจ้ป่ะ]

“ไปไมวะ แดกเหล้า?” ถ้าอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ หรือคนอาวุโสกว่าปราณจะค่อนข้างเรียบร้อย แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนนี่ก็ห้าวเป้งไปเลย ไม่มีหรอกมาจงมาจ้ะ

[เออ แต่คงมีแค่พวกกูที่กิน มึงไม่กินเหล้านี่ มาทีไรก็มาแดกเป๊ปซี่กับแย่งกับแกล้มพวกกูตลอด]

“ว่าแต่กูเหอะ  แล้วนี่มึงโทรไปชวนไอ้เฟิงยัง”

[ชวนละ แม่งบอกมีนัดไปแดกข้าวกับแฟนที่ตลาด นางคงอ้อนขอซื้อเสื้อผ้าใหม่นั่นแหละ คงกะหลอกจนไอ้เฟิงหมดตัว เตือนมันหน่อยก็ดีนะมึง พวกกูเป็นห่วง]

“กูก็เตือน” ปราณถอนหายใจ “เตือนจนแม่งไม่คุยด้วยเลยเนี่ย”

[เอ้าจริงเหรอวะ แย่แน่เลยว่ะในอนาคตอ่ะ ]

“เออ ช่างแม่งเหอะ ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว งั้นคืนนี้หกโมงครึ่งนะ  เดี๋ยวกูไปด้วย หลังช่วยแม่เก็บแผงนะ”

ขวัญรับคำก่อนกดตัดสายไป  ส่วนปราณก็ขี่รถกลับไปตลาด ช่วยแม่ตนขายดอกไม้ พร้อมกับชะเง้อคอมองหาใครบางคนที่ไม่โผล่หน้ามาหาเลยตลอดวัน


เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ทำให้ดินที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นต้องละสายตาออกจากจอ  ชายหนุ่มสะกิดพี่ชายตัวโตที่ถือโอกาสยึดตักเขาเป็นหมอนให้ลุกขึ้นก่อน  “พี่เดือน ลุกก่อน ดินจะไปรับโทรศัพท์”  เดือนเบ้ปากนิดๆเลยโดนคนผมดำหนีบปากเข้าให้อย่างหมั่นไส้  ร่างเล็กลุกขึ้นไปดูก็พบว่าคนที่โทรเข้ามาคือปราณ

“ว่าไงปราณ”

[พี่ดิน เอ่อ ผมขวัญนะฮะ เพื่อนปราณเอง]

“อ้อ”  ดินจำชื่อเพื่อนของปราณคนนี้ได้ แต่นึกหน้าไม่ออก  คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน  ทำไมเป็นขวัญโทรมา หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับปราณ “แล้วนี่เกิดอะไรกับปราณหรือเปล่า”

[คือ...นิดหน่อยครับ ปราณมันเมามากเลยพี่  ช่วยออกมารับมันหน่อยได้หรือเปล่า]

“แล้วทำไมไม่โทรหาเจ๊ลี่?”

[เจ๊ลี่ไม่ชอบให้ปราณกินเหล้า กับบ้านไปตอนนี้ได้โดนตีขาลายแน่เลย  อีกอย่างปราณมันก็เรียกหาแต่พี่ดินๆตลอดเลย ผมเลยต้องโทรมา  มารับมันหน่อยได้ไหมครับพี่  ตอนนี้มันแย่แล้ว เฮ้ย ไอ้ปราณเลิกกินได้แล้ว!] ประโยคสุดท้ายขวัญคงหันไปตะโกนบอกเพื่อนตัวเอง  ดินเหลือบมองนาฬิกา  ทุ่มกว่าแล้ว  ปล่อยให้ออกมากันสองคนไม่ดีแน่  ชายหนุ่มจึงตอบกลับไป

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับก็แล้วกัน  เดี๋ยวจะโทรบอกเจ๊ลี่ให้ว่าปราณมาค้างบ้าน แล้วนี่บ้านขวัญอยู่ไหน?”

“อยู่...” ดินพยักหน้าเมื่อได้ยินชื่อหมู่บ้านที่คุ้นเคย  ชายหนุ่มบอกให้ขวัญดูแลเพื่อนดีๆอีกสองสามคำก่อนจะวางสาย

“พี่เดือน ดินออกไปข้างนอกก่อนนะ”

“ไปไหนน่ะ?”

“ไปรับปราณมาบ้าน น้องไปกินเหล้ามา  กลับไปได้โดนเจ๊ลี่ตีแน่ แล้วเพื่อนน้องก็บอกว่าน้องเรียกแต่ชื่อดิน คงมีปัญหาอะไรกับเฟิงมาอีกแน่ๆ”

เดือนยันตัวขึ้นจากโซฟา “งั้นเดี๋ยวพี่ไปด้วย”  แต่คนอายุน้อยกว่าก็ส่ายหน้า เดินไปหยิบกุญแจรถกระบะมา  มืดแล้วแถมฝนก็ทำท่าจะตก  เอารถมอเตอร์ไซค์ไปไม่ได้

“ไม่เป็นไร ดินไปแป็ปเดียวแหละ พี่อยู่นี่แล้วก็เตรียมน้ำกับผ้าเช็ดตัวให้ดินหน่อย อ้อ ให้น้องไปนอนห้องพี่ก่อนได้ไหม  คืนนี้ฝนทำท่าจะตก เปิดพัดลมน่าจะอยู่ได้”

“เอางั้นก็ได้” เดือนรับคำแบบอิดออด เขาไม่อยากให้น้องขับรถตอนกลางคืนคนเดียวเท่าไหร่  “รีบกลับนะ  อย่าโดนฉุดล่ะ”

“ปากเหรอครับ เดี๋ยวกลับมาเอาน้ำยาล้างห้องน้ำล้างซักหน่อยดีไหม”

เดือนเดินตามหลังน้องชายไปหน้าบ้าน  ก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นรถชายหนุ่มก็โน้มตัวไปกดจมูกลงที่แก้มขาวเร็วๆหนึ่งที “ไปดีมาดี รีบกลับนะครับ”

“รับทราบครับ”

ระยะทางจากบ้านสวนของดินไปถึงบ้านของขวัญใช้เวลาราวๆสามสิบนาที  ร่างเล็กของคนผมดำเดินเข้าไปประคองร่างปวกเปียกของปราณเอาไว้  ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยืนเองไม่ไหวแล้ว  นัยน์ตาคมหลังกรอบแว่นจ้องดุไปที่ขวัญซึ่งสะดุ้งสุดตัว  รู้ดีกว่าผิดที่ชวนเพื่อนดื่มไปเสียเยอะ 

หลังจากยัดปราณเข้าไปที่เบาะข้างคนขับได้แล้วดินก็หันมาพูดกับขวัญ “งั้นพี่กลับก่อนนะ”

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ กลับดีๆนะพี่ดิน”

ดินพยักหน้า เดินกลับไปที่รถ  เมื่อเข้ามาประจำที่ชายหนุ่มก็มองหน้าคนที่เป็นเหมือนน้องชายอย่างสงสาร ปราณนั่งนิ่ง เหม่อลอยไปไกล  ดวงตากลมโตแดงช้ำเหมือนคนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก  ดินไม่ได้คาดคั้นน้องทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแค่สตาร์ทแล้วขับรถไปเงียบๆ ระหว่างทางกลับบ้านฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา  จากเม็ดเล็กๆก็เริ่มกลายเป็นหยดน้ำฝนเม็ดใหญ่ ตกลงมาอย่างหนักจนมองแทบไม่เห็นทาง

ดินไม่ชอบขับรถตอนฝนตก ชายหนุ่มเพ่งสมาธิไปกับการขับรถ จนไม่ได้สังเกตว่าปราณเริ่มปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้ว  เขาหันมาอีกทีตอนที่มือเรียวพยายามเปิดประตูรถแต่เปิดไม่ได้เพราะเขาล็อกรถเอาไว้ แล้วเจ้าตัวก็ไม่มีสติพอจะปลดล็อกด้วยตัวเอง

“ปราณหยุดเดี๋ยวนี้นะ ทำอะไรน่ะ!” ดินตวาดน้องชายอย่างตกใจ  มือหนึ่งละจากพวงมาลัยไปคว้าตัวน้องให้กลับมานั่งนิ่งๆ แต่คนเมากลับสะบัดตัวออก  ดวงตาแดงช้ำเริ่มมีหยดน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง

“ปราณ...ฮึก...ปราณจะ...จะไม่คุยกับเฟิง...ฮึก ไปคุยกันให้รู้เรื่อง”

“เดี๋ยวค่อยคุย ถึงบ้านแล้วพี่ให้คุยแน่ นั่งนิ่งๆก่อนได้ไหม”

“ฮึก...เฟิง...เฟิงอย่า...อย่าเกลียด...ปราณเลยนะ...ฮึก..ปราณขอโทษ”

ดินมองถนนสลับกับยื้อตัวน้องชายไว้  ฝนตกหนักจนเขาเริ่มหวั่นใจ  น้องชายข้างๆก็เริ่มดิ้นแรงขึ้นทุกที  จังหวะที่เขาหันมามองปราณเป็นเวลาเดี๋ยวกับที่แสงไฟสว่างจ้าส่องตรงมาพร้อมกับเสียงแตรรถ 

ดินเบิกตากว้าง รีบหักหลบตาสัญชาตญาณ รถของเขาพุ่งลงข้างทาง  แรงอัดกระแทกพร้อมกับความรู้สึกเหมือนตัวเองหมุนตีลังกาเป็นสิ่งที่สุดท้ายที่เขารับรู้ก่อนที่โลกรอบตัวจะมืดลง มืดลงไปพร้อมกับเสียง...โครม!

***************************************

แงงง อย่าเพิ่งตีคนเขียนเลยนะคะ (หลบเกือกและเปลือกมังคุด) ; w ;
ขอโทษที่มาลงตอนใหม่ช้านะคะ อาทิตย์นี้และอาทิตย์หน้ามีสอบค่ะ
อาทิตย์ที่แล้วเลยกลายเป็นสัปดาห์ปั่นงานก่อนสอบ เดี๋ยวปิดเทอมแล้วจะลงบ่อยๆเลยค่ะ

สำหรับตอนนี้จะโฟกัสไปที่คู่น้องปราณกับเฟิง  คู่ที่ตีกันตลาดแทบแตกแต่ยิ่งทะเลาะยิ่งสนิทค่ะ 555
(ข้ามคู่ข้าวใหม่ปลามันคู่หลักไป 5555) สงสารน้องเหมือนกัน หวังดีแท้ๆ  :hao5:
ส่วนใครที่สงสัยว่าทำไมชื่อเฟสพี่เดือนถึงเป็น Levi ต้องอย่าลืมว่าคุณชายแกเป็นลูกครึ่งค่ะ Levi นี่พ่อตั้ง
ส่วนรวีกานต์นี่แม่ตั้งให้  ดินใช้นามสกุลเดิมของตัวเองค่ะ ไม่ได้ใช้เทเลอร์เหมือนเดือน

ตอนหน้านี่อาจจะมาลงช่วงหลังสอบหรือไม่ก็เสาร์นี้(ถ้าพอมีเวลา) ยังไงก็พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ รักคนอ่านค่า
จุ๊บบบ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๓ ความรักของสายลม {๑๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-02-2016 22:10:19
ม่ายยยยยยยยยย!!!!!!!
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๓ ความรักของสายลม {๑๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-02-2016 22:32:26
น้องดินน่าจะให้พี่เดือนไปด้วยนะ อย่างน้อยก็ช่วยจับช่วยดูคนเมา
หวังว่าทั้งสองคนจะไม่เป็นไรมากนะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๓ ความรักของสายลม {๑๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-02-2016 00:45:28
OMG
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๔ หนึ่งคำ 'รัก' {๒๑.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 21-02-2016 18:30:32
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๔
หนึ่งคำรัก



รอบกายของเขาปกคลุมด้วยหมอกสีขาว  ดินมองไปรอบกายอย่างงุนงง  ที่นี่ที่ไหน ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่...ดินก้มมองฝ่ามือของตัวเอง  ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเบาหวิว  ในหัวก็โล่งและว่างเปล่า ไม่มีความรู้สึกใดๆ  มีเพียงความสงสัยบางเบาเท่านั้น

แล้วจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงเพลง

 ท่วงทำนองอ่อนหวานลอยล่องในอากาศ  ขอบตาของเขาร้อนผ่าว  ความรู้สึกที่สงบนิ่งคล้ายบางสิ่งสะกิดให้เคลื่อนไหว
เขาต้องไปตามเสียงเพลงนั้น...

ดินออกเดิน ไปทางที่เขาคิดว่าได้ยินเสียงเพลงชัดที่สุด  ใจจดจ่ออยู่กับเสียงเพลงจนไม่ทันสังเกตว่าหมอกรอบกายเริ่มหนาขึ้นทุกที และร่างของเขากำลังจะถูกกลืนหายไปในสายหมอก  ยิ่งเดินไปนานเท่าไหร่หมอกก็หนาขึ้นเรื่อยๆ และเสียงเพลงก็แผ่วลงทุกที หากแต่ดินยังคงไม่หยุดเดิน

เราต้องไป...

ไปที่ไหนล่ะ?

ต้องกลับไปหา...

หาใครล่ะ?

ดินชะงัก  ดวงตาเบิกกว้างเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง

เขามาที่นี่ได้ยังไง

ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเศร้าแบบนี้

เขามีใครให้กลับไปหาหรือเปล่า

...ตัวเขาเป็นใครกัน...

“เรา...คือใครกัน”

ดวงตาสีเข้มที่บัดนี้ไร้ซึ่งแว่นตามาบดบังมองไปยังหมอกหนาแล้วออกเดินอีกครั้ง บางทีหากเขาเดินไปเรื่อยๆ...ที่สุดปลายทางนั่นอาจมีคำตอบให้เขาก็ได้

ต้องไป...ต้อง...

“หยุดนะ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแรงที่รั้งชายเสื้อของเขาไว้ ดินหยุดชะงัก หันไปมองด้านหลังก็พบกับเด็กหญิงคนหนึ่ง  เส้นผมสีดำถักเป็นเปีย ใบหน้ากลม แก้มยุ้ยน่าหยิก และ...ดวงตากลมโตสีดำ  ทันทีที่สบกับดวงตาคู่นั้น จู่ๆหยาดน้ำใสก็หลั่งรินออกจากดวงตาของเขาไม่หยุด

ในใจบังเกิดความรู้สึกรุนแรง...คิดถึง...ห่วงหา

“เธอ...”

“ไปไม่ได้นะ” เด็กหญิงคนนั้นเอ่ยย้ำ  ออกแรงดึงเขาให้ก้าวถอยหลัง  แรงนั้นช่างน้อยนิดนักแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนมีแรงมหาศาลมาฉุดรั้งเขาไว้ทำให้ดินยอมเดินตามไปแต่โดยดี

“เธอเป็นใคร” ดินเอ่ยถาม เด็กหญิงลากเขาออกมาจนถึงบริเวณที่หมอกเบาบาง  ก่อนจะหันมาโดยไม่ตอบคำถามเขา ดินย่อตัวลงจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกับเธอ สองมือเล็กๆคู่นั้นจึงจับเข้าที่แก้มเขา ปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

“ไปทางนั้นไม่ได้นะ...ถ้าไป...พี่จะต้องไปต่ออีกไกล...ไกลมากๆ แล้วก็จะลืมทุกอย่าง ดังนั้น ยังไปไม่ได้”

“แล้วลืมทุกอย่างไม่ดีเหรอ”

“พี่ลืมได้แล้วจริงๆเหรอ” เด็กน้อยยิ้มบางๆ “ไม่มีคนที่อยากกลับไปหาหรือไง”

คนที่อยากกลับไปหา...ทันใดนั้นภาพรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด สัมผัสของริมฝีปากและฝ่ามือที่ลูบไล้และจูบลงที่เปลือกตา แก้ม และริมฝีปากของเขา  ความอบอุ่นของอ้อมกอดที่กอดเข้าไว้ในยามค่ำคืนปรากฏชัดขึ้นทุกขณะ

เขารักความอบอุ่นของฝ่ามือใหญ่  รักอ้อมแขนที่ปัดเป่าความกังวลใจ  รักริมฝีปากอ่อนโยนที่มักจะกล่อมเขาให้หลับใหลและคลายความกังวลใจ  รักน้ำเสียงทุ้มที่กระซิบเรียกชื่อเขา

‘ดิน’

อ่า...จำได้แล้ว นั่นคือชื่อของเขา...

ดิน...เขาชอบเวลาที่อีกฝ่ายเรียกชื่อของเขา ชอบยามถูกแตะต้องอย่างเบามือราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า ทั้งๆที่เขาก็เป็นเพียงแค่ฝุ่นดินเท่านั้น

แต่เขากลับได้เป็นฝุ่นดินที่ถูกเดือนกลางฟ้ารักใครอย่างอ่อนโยน...

‘ดิน’

“ฟังให้ดีสิคะ” เด็กน้อยผมเปียยิ้ม พลางทำกริยาราวกับกำลังเงี่ยหูฟัง “มีคนกำลังเรียกอยู่นะคะ” ดินเงียบแล้วลองตั้งใจฟัง  ในคราแรกเขาไม่ได้ยินอะไร ในขณะที่กำลังจะบอกเด็กน้อยไปว่าไม่มีใครเรียกเขา ชายหนุ่มผมดำก็ได้ยินเสียงทุ้มดังแผ่ว  ก่อนจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

‘ดิน...กลับมาเถอะนะ...ลืมตาเถอะ’

‘ลืมตาขึ้นมาเร็วเด็กดี’

‘ดิน...ขอร้องล่ะ...ลืมตาขึ้นมา...ตื่นมาคุยกับพี่เถอะนะครับ’


อ่า...ทำไมถึงได้ใช้น้ำเสียงแบบนั้นล่ะ...ดินยกมือแตะที่หน้าอกของตัวเอง หัวใจของเขาบีบรัดรุนแรง ร่างกายที่เคยเบาหวิวเริ่มรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ

‘ได้โปรด...อย่าไปนะครับ’

อย่า...อย่าใช้น้ำเสียงเหมือนกำลังจะขาดใจแบบนั้นสิครับ

อย่าร้องไห้เลย...ผมชอบรอยยิ้มของคุณมากกว่า

“พี่...เดือน”

ทันทีที่กระซิบชื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็หวนคืนมา ทั้งความรู้สึกและความทรงจำ สิ่งเหล่านั้นโถมเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว ดินรู้สึกเหมือนทั้งร่างถูกกระชากอย่างแรง เมื่อเขาก้มมองสิ่งที่ดึงเขาให้ถอยห่างจากเด็กน้อยคนนั้นก็พบว่ามันคือด้ายเส้นหนึ่ง

ด้ายสีแดงเส้นหนึ่ง

ดวงตากลมโตสีดำของเด็กหญิงคนนั้นคลอไปด้วยน้ำตา เธอยกมือป้อมๆโบกลาเขา  รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า “โชคดีนะคะพี่ชาย”

เด็กคนนั้น...

“ต้นข้าว”

รอยยิ้มกว้างจนตาหยีของน้องสาวที่เขารักมากเป็นสิ่งสุดท้ายที่ดินเห็นก่อนที่โลกของเขาจะถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างจ้า





ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

เสียงเข็มนาฬิกาดังชัดเจนภายในห้องที่เงียบสงัด  เดือนลืมตาตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก พอเหลือบดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาตีสองแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา ยันกายขึ้นจากโซฟาหนังสีดำ ในห้องพักผู้ป่วยเงียบสนิทจนแม้แต่เสียงถอนหายใจก็ดูจะดังเกินไป

ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่กลับไปนอนบ้าน  เหลือแต่เขาที่ยืนกรานจะนอนเฝ้าน้อง  เป็นเช่นนี้ทุกคืน ...เดือนแทบไม่เคยห่างจากเตียงผู้ป่วยเลย

ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงคนไข้  มองใบหน้าหวานที่นิ่งสนิท ดวงตาสีน้ำตาลเข้มถูกซ่อนอยู่หลังเปลือกตาที่ปิดสนิทมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว

หนึ่งอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่เขาได้รับโทรศัพท์แจ้งจากโรงพยาบาลว่านายปฐพีประสบอุบัติเหตุ

‘รีบกลับมานะ’

‘รับทราบครับ’

เดือนจำคำพูดสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายออกจากบ้านได้  ปลายนิ้วลูบไล้หลังมือข้างที่ไม่ได้เจาะสายน้ำเกลือเบาๆ “ไหนบอกจะรีบกลับมาไง หืม”  ทำไมผิดสัญญากับพี่ล่ะ...

เดือนเม้มริมฝีปาก  กระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งยามมองใบหน้ายามไม่ได้สติของคนที่เขารัก  “นอนนานเกินไปแล้วนะครับ เด็กขี้เซา ตื่นได้แล้ว”  หยดน้ำตาร่วงหล่นลงที่หลังมือของอีกฝ่าย หัวใจบีบรัดจนปวดหนึบในอก  เป็นเช่นนี้ทุกครั้งยามตื่นมาแล้วพบว่าใครอีกคนยังนอนหลับราวกับเป็นเจ้าชายนิทรา

‘คุณปฐพีได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะครับ  กระดูกแขนขวากับกระดูกซี่โครงหัก อาการบาดเจ็บสาหัสมาก ยังดีที่รอดมาได้’ หมอบอกมาแบบนั้น...แต่มันจะดีได้ยังไงหากรอดมาแล้วเจ้าตัวไม่มีสติ  ยังคงหลับเหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้

ชายหนุ่มก้มลงไปจูบเบาๆที่หน้าผากซึ่งถูกปิดทับด้วยผ้าพันแผล จูบแก้มอุ่นเรื่อยมาถึงริมฝีปาก

เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ทรมานจนแทบขาดใจ...

“ดิน...กลับมาเถอะนะ...ได้โปรด...อย่าไปเลย” กลับมาหาพี่ชายไม่ได้เรื่องคนนี้เถอะนะ 

เดือนกลั้นสะอื้น นึกโทษตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง หากวันนั้นเขานั่งรถไปกับน้อง เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าหากวันนั้นเขาไปด้วยกัน อย่างน้อยน้องก็ไม่ต้องมานอนเจ็บคนเดียวแบบนี้

“พี่ขอโทษ...น้องดินครับ...พี่ขอโทษ”

เดือนซบหน้าผากลงกับมือเรียวที่เขากุมอยู่ เขาไม่อยากร้องไห้ ไม่ชอบร้องไห้ แต่ตอนนี้น้ำตากลับไหลไม่หยุด แค่คิดว่าหากเด็กคนนั้นไม่กลับมา พอคิดแบบนี้เดือนก็พบว่ามันทรมาน...และหัวใจของเขาคงพังไม่มีชิ้นดี

กึก

ชายหนุ่มชะงักเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางเบาที่ขยับอยู่ในอุ้งมือ  เขายกศีรษะขึ้น เพ่งมองไปที่ฝ่ามือของข้างของตน แล้วทันใดนั้นร่างสูงก็น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเสียใจ

เขาร้องไห้...เพราะปลายนิ้วเรียวค่อยๆขยับมาจับมือของเขาเอาไว้  เดือนแทบจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา  ชายหนุ่มมองใบหน้าของดินแล้วก็สาบานได้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เพราะเขาเห็นเปลือกตาของอีกฝ่ายค่อยๆขยับ  แพขนตาขยับไหวก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะลืมขึ้นช้าๆ  เด็กน้อยของเขาเหม่อมองเพดานอย่างเลื่อนลอยก่อนดวงตาสีน้ำตาลเข้มจะเลื่อนมามองเขา หยาดน้ำใสไหลจากหางตาอีกฝ่าย...เช่นเดียวกับเดือน ยามที่ดินเอ่ยเรียกชื่อของเขา

“พี่เดือน”

อ่า...ขอบคุณ ขอบคุณฟ้า...ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณหมอ พยาบาลทุกคนในโรงพยาบาลนี้ ขอบคุณเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชาวบ้านแถวๆนั้น

ขอบคุณทุกคนที่ช่วยให้ดินฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง...ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่พรากอีกฝ่ายไป

“ร้องไห้..ทำไม” ดินพยายามจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เขาแต่ก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อแขนข้างหนึ่งใส่เฝือกไว้ ส่วนอีกข้างก็เจาะสายน้ำเกลือ เดือนยิ้มออกมารีบปากน้ำตาแบบลวกๆ

“ก็พี่คิดถึง...เป็นห่วงด้วย นอนนานเกินไปแล้วหรือเปล่าเรา ตั้งหนึ่งอาทิตย์เชียวนะ” เขาว่ายิ้มๆก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าต้องตามหมอกับพยาบาล  ชายหนุ่มกดปุ่มเรียกพยาบาลทันที กรอกเสียงลงไปอย่างร้อนรน ไม่นานหมอกับพยาบาลก็เข้ามาในห้อง เดือนจึงหลบออกไปโทรศัพท์หาพ่อกับแม่  ทั้งสองท่านอยากจะมาหาน้องคืนนี้เลยแต่เดือนห้ามไว้ บอกว่าดึกแล้วขับรถอันตราย ดูจากการตรวจและที่น้องตอบสนองแล้วไม่น่าจะมีปัญหา

“พรุ่งนี้ค่อยมาก็ได้ครับ...ผมไม่อยากให้ขับรถกลางคืน...ครับ...ครับ..เดือนดูแลน้องเอง ไม่เป็นไรครับ สวัสดีครับ” ชายหนุ่มวางสายจากผู้เป็นพ่อก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้อง  แพทย์เจ้าของไข้หันกลับมามองเขาก่อนจะแจ้งผลการตรวจเบื้องต้นปิดท้ายด้วยการบอกว่าพรุ่งนี้จะให้ดินไปตรวจร่างกายพร้อมกับทำ CT แสกน เพื่อหาว่ามีอาการผิดปกติกับสมองของคนป่วยหรือเปล่า ส่วนวันนี้ก็ให้ยาเพื่อให้ดินได้พักผ่อนเต็มที่  หลังจากหมอและนางพยาบาลออกไปแล้วเดือนก็เดินไปกุมมือน้องชายเอาไว้

“เจ็บมากไหม”

“นิดหน่อยเองครับ”

“พี่ขอโทษ”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ “เรื่องอะไรครับ”

“ถ้าพี่นั่งรถออกไปด้วย...”

“ดินว่าดีแล้วล่ะที่พี่เดือนไม่ได้ไปด้วยกัน” ดินตัดบทขึ้นมา”ถ้าพี่เดือนไปแล้วเจ็บหนักขึ้นมาอีกคนต้องแย่แน่ๆ คุณพ่อกับคุณแม่คงเสียใจมากกว่านี้...ให้ดินเจ็บคนเดียวน่ะดีแล้ว”

เดือนมองคนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอง เขาแค่นยิ้มออกมา  “ไม่ดีหรอกเด็กโง่” มันจะดีได้ยังไงกันล่ะ การที่ต้องมองคนสำคัญของเรานอนเจ็บโดยที่เราทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากภาวนาแล้วก็รอคอยน่ะมันทรมานที่สุดเลยต่างหาก

“ทางที่ดีอย่างเป็นอะไรไปอีกดีกว่า”

“นั่นสินะครับ” ดินยิ้มบางๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนขับรถกลับมามีปราณนั่งมาด้วย “แล้วน้องปราณ...”

“อยู่ห้องข้างๆนี่แหละ เจ็บหนักเหมือนกัน นี่เจ๊ลี่แล้วก็เฟิงก็มาเยี่ยมแต่เหมือนน้องจะยังไม่ดีกับเฟิงเลย” เดือนพูดไปนวดขมับไป พลางนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด เขามาโรงพยาบาลด้วยสีหน้าย่ำแย่ พ่อแม่รู้ว่าดินถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินก็เป็นลมล้มพับไปเลย ส่วนเจ๊ลี่กับเฟิงที่ตามมาก็สภาพแย่ไม่แพ้กัน เฟิงต้องคอยประคองผู้เป็นแม่ของปราณเกือบตลอดทั้งๆที่เจ้าตัวก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

ปราณฟื้นขึ้นมาหลังจากประสบอุบัติเหตุหนึ่งวัน พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ร้องไห้ไม่หยุด โทษแต่ว่าเป็นความผิดตัวเอง เจ๊ลี่ที่รู้เรื่องใจนึงก็โมโหแต่อีกใจก็ไม่อยากทำโทษเลยตักเตือนจนเจ้าตัวหงอยไปเลย  มีก็แต่เฟิงที่ปราณไม่ยอมคุยด้วย แต่หนุ่มตี๋ ณ ร้านขายข้าวแกงประจำตลาดก็ยังมาเฝ้าไข้คู่กัดของตัวเองเกือบทุกวัน หลังเลิกเรียนก็หอบการบ้านมาทำให้ เอาบทเรียนมาสอน เพราะทั้งสองคนเรียนอยู่ห้องเดียวกัน

“เดี๋ยวดินต้องไปขอโทษเจ๊ลี่” คนผมดำพึมพำ คนเป็นพี่จึงพยักหน้า “ไว้พรุ่งนี้เถอะ วันนี้นอนก่อนนะ” เดือนประคองให้อีกฝ่ายนอนลงช้าๆ  ไม่นานลมหายใจดินก็สม่ำเสมอ เมื่อแน่ใจว่าดินหลับไปแล้วเดือนก็เดินออกไปที่ชานระเบียง เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ดินฟื้นขึ้นมา...เป็นเรื่องดี ความรู้สึกหนักหน่วงที่แบกมาตลอดหนึ่งอาทิตย์หายไปจนหมด แต่หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ทำให้เดือนตระหนักได้ถึงความรู้สึกตัวเอง และตระหนักว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนแค่ไหน

บางสิ่งที่อยากสื่อให้อีกคนรับรู้ หากไม่พูดไปวันนี้อาจกลายเป็นสิ่งที่สายไปแล้ว เพราะชีวิตของมนุษย์ไม่มีความแน่นอนใดๆ เขาคงต้องพูดออกไปเสียที




เช้าวันต่อมาคุณพ่อคุณแม่ก็มาเยี่ยมแต่เช้า คุณแม่น้ำตาไหลอาบแก้ม จูบแก้มแล้วก็กอดดินเท่าที่จะทำได้  หลังจากนั้นเจ๊ลี่ก็เดินเข้ามา  ดินค่อยๆยันกายลุกขึ้น เข้ามาในห้องพร้อมกับเก้าอี้รถเข็นที่มีปราณนั่งอยู่  เด็กน้อยร้องไห้ทันทีที่เห็นพี่ชายผมดำ

“พี่ดิน...ปราณ...ฮึก...ปราณขอโทษ”

“ไม่เป็นไร พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ...ผมขอโทษนะครับที่ดูแลน้องได้ไม่ดี” ท้ายประโยคหันไปพูดกับเจ๊ลี่พลางยกมือไหว้  หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า “ดินไม่ผิดหรอกลูก น้าเสียอีกที่ต้องขอบคุณที่ยอมออกมารับน้องกลางค่ำกลางคืนแบบนั้นแถมฝนยังตกอีก  ที่ผิดน่ะมันเจ้าปราณต่างหาก”

“ปราณขอโทษนะครับ...พี่ดิน...น้ามะลิ น้าอัลเฟรด พี่เดือน”

“ไม่เป็นไร ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้วลูก” แม่มะลิลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ  “ปลอดภัยกันทุกคนก็ดีแล้ว ก็ให้เรื่องราวนี้เป็นบทเรียนนะลูก” ดินกับปราณพยักหน้า  หลังจากที่เคลียร์ปัญหากันได้เรียบร้อย พวกผู้ใหญ่ก็ปล่อยให้เด็กๆคุยกันไป สักพักปราณก็ขอกลับไปนอนพักที่ห้อง ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ขอกลับไปจัดการปัญหาที่บ้าน ในห้องจึงเหลือแค่เดือนกับดิน ชายหนุ่มลูบผมน้องชาย “พักผ่อนหน่อยไหมครับ”

“ไม่เอา...ดินนอนนานแล้ว”

“เดี๋ยวไม่หายนะ”

“แต่ดินกลัว..กลัวว่าจะไม่ตื่นมาอีก”

เดือนชะงักก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนอออกมา  เขาโน้มตัวไปจนหน้าผากชนกับอีกฝ่าย “ถ้าดินกลัวจะไม่ตื่น พี่จะปลุกดินเอง ดีไหมครับ” จะปลุกจนกว่าจะลืมตามาพบกันอีก “พี่จะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน  ตอนที่ดินลืมตาตื่นพี่ก็จะยังอยู่ตรงนี้...พี่สัญญา”



ดินลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนฟ้ามืดแล้ว  เจาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือ พอมองไปก็พบกับร่างสูงใหญ่นอนกุมมือเขาอยู่ข้างๆ เดือนยังคงหลับสนิท ภาพนั้นทำให้คนตัวเล็กยิ้มออกมา

‘พี่จะไม่ไปไหน’ อีกฝ่ายพูดกับเขาเช่นนี้ก่อนเขาจะหลับไป

ขอบคุณนะครับ ขอบคุณนะครับที่รักษาสัญญากับดิน

ดินจ้องมองร่างสูงอยู่พักหนึ่งคนข้างกายก็ค่อยๆลืมตาตื่น  เดือนอ้าปากหาวพลางขยี้ตา “ตื่นนานหรือยังครับ”

“สักพักแล้วครับ”

เดือนเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากมนออกให้อย่างแผ่วเบา ดินอมยิ้มกับกิริยาอ่อนโยนนั้น “พี่เดือน...ขอบคุณนะ ที่ไม่ผิดสัญญากับดิน”

“พี่บอกแล้วไงว่าพี่จะอยู่ข้างดินเสมอ”

ดินอมยิ้ม  พลันนึกไปถึงเรื่องราวในความฝันของตัวเองก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา “พี่เดือน...ดินฝันเห็นน้องต้นข้าวด้วย” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อย ดินยังคงพูดต่อไป “น้องเรียกดินไว้ ดึงไม่ให้ดินเดินไปไกลกว่าเดิม...” 

“แล้วดินก็ได้ยินเสียงพี่ด้วย”  ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้างขึ้น  ดินยิ้มอ่อนโยน เขามั่นใจแล้วว่าเสียงนั้นคือเดือนไม่ผิดแน่ “พี่เรียกดินไว้ใช่ไหม เรียกให้ดินกลับมา”

“ใช่...พี่...ขอให้เรากลับมา”

“ขอบคุณ...ขอบคุณที่ไม่ปล่อยดินไป”

สิ้นคำนั้น ร่างสูงก็ดึงตัวน้องชายต่างสายเลือดเข้ามากอด คอยระวังไม่ให้ทำน้องเจ็บ  ชายหนุ่มจูบที่ขมับของอีกฝ่ายเบาๆ กระซิบเสียงนุ่มที่ข้างหู “จะปล่อยไปได้ยังไงกันล่ะ”

ก็พี่รักดินไปขนาดนี้แล้ว

เดือนมองร่างบางก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ เขาตัดสินใจแล้ว...

“ดิน พี่มีอะไรจะบอก”

“ครับ?”

ร่างสูงคลายอ้อมกอดขณะที่ดินดันตัวเองออกมา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยความสงสัย  เดือนลูบแก้มคนผมดำอย่างทะนุถนอม ซึ่งเด็กน้อยก็เอียงแก้มเข้าหาฝ่ามือของเขา  กิริยาน่ารักนั้นทำเอาคนเป็นพี่อยากจะคว้าตัวมากอดแรงๆสักที

“พี่รักดินนะ”

นายปฐพีถึงกับอ้าปากค้าง  เดี๋ยวนะ...เดี๋ยวๆ เขาหูฝาดไปหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้นวะ? หรือเขาฝันไปอีกแล้ว ทำไมจู่ๆไอ้คำบอกรักมันถึงพุ่งมาชนแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ล่ะ ดินกระพริบตาปริบ มองใบหน้าจริงจังของชายหนุ่ม ดวงตาที่แฝงไปด้วยประกายจริงจังทำให้เขาเชื่อมั่น

เดือนรักเขาจริงๆ

“พี่รักดิน...รักเวลาที่ดินยิ้ม รักเวลาได้กอด ได้หอมแก้ม รักเวลาที่เราพูดคุยกัน...รักทุกเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน  มันอาจไม่ใช่สถานที่ที่โรแมนติกที่สุด ไม่ใช่การสารภาพที่น่าประทับใจที่สุด...”

“แต่พี่รักดินที่สุดนะครับ”

ดินมองเดือนนิ่ง อีกฝ่ายเปิดเผยหมดทุกสิ่งแล้ว ลดทุกปราการในใจ วางทุกสิ่งลงให้เขาดู...แล้วตัวเขาล่ะ 

“ดิน...ดินก็...” เขารักเดือน...แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังไม่ชัดเจน คล้ายว่ารักแต่ก็เหมือนไม่มั่นใจ  หากบอกรักไปแล้วจะเป็นอย่างไร  ความรู้สึกของเขามันยังไม่มากพอจะพูดออกไปได้...เพราะเขา...เขา...

ยังลืมใครบางคนไม่ได้ เงาของเขาคนนั้นยังยึดพื้นที่อยู่ในใจเขาอยู่มาก

 “ไม่เป็นไร” เดือนมองท่าทางสับสนของน้องชายต่างสายเลือดแล้วก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร  ยังไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร  พี่จะ...อยู่ตรงนี้จนกว่าน้องจะรักพี่”

“ดินขอโทษ ดินชอบพี่นะ แต่มัน...มัน..”

“ไม่เป็นไร  พี่จะรักดินให้มากพอ พี่จะทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน พี่จะรอจนกว่าน้องจะเปิดใจให้ จะอยู่ข้างดินแบบนี้แหละ”
เขายิ้มออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน  ดึงร่างนั้นให้ซบลงมา

ดินเช็ดน้ำตากับเสื้ออีกฝ่าย เขาเอื้อมมือไปกอดตอบเดือน เขาเองก็อยากให้เวลานั้นมาถึง  เวลาที่เขาจะเปิดใจให้เดือนได้อย่างเต็มที่ เพื่อที่เขาจะได้ตอบแทนความรักของคนตรงหน้าได้เสียที

******************************

ก่อนอื่นต้องขอโทษนะคะถ้าตอนนี้มันเอื่อยเกินไป จากโครงเรื่องที่วางมาช่วงนี้จะออกแนวเรื่อยๆ
หลายคนอาจจะเบื่อ ถ้าหากว่ารู้สึกว่ามันน่าเบื่อ มันเรื่อย หรือไม่สนุกยังไงสามารถติชมได้เต็มที่เลยนะคะ
เราจะนำทุกคำติชมมาปรับปรุงค่ะ :katai4:

สำหรับตอนนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่รับรัก
ทั้งที่ก็ยอมให้พี่เดือนจูบนี่นา เหตุผลคือน้องชอบพี่เดือนค่ะ แต่ยังสับสนและกังวลอยู่ ดินเป็นคนที่มีปม
น้องมีปมในใจเรื่องโดนทิ้งมาตั้งแต่เด็ก พอจะเริ่มต้นใหม่เลยกลัว  ตอนนี้อาจจะเห็นว่าเปิดใจกับพี่เดือนเยอะมาก
แต่ก็ยังมีอีกกำแพงอีกสูงมากๆที่พี่เดือนต้องข้ามไปอ่ะเนอะ ไม่ใช่แค่จากฝั่งดิน
ทางฝั่งพี่เดือนเองก็มีอุปสรรคเหมือนกันค่ะ (ต้มน้ำรอ)  เอาเป็นว่า ทุกคนมาเอาใจช่วยพี่เดือนกันเถอะค่ะ!
พี่เดือนไฟท์ติ้ง สู้เขานะ!

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๔ หนึ่งคำ 'รัก' {๒๑.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-02-2016 19:16:36
ฮว๊าก!!!  จะได้กินมาม่าเหรอเนี่ย
ใครกันนะที่อยู่ในใจน้องดินมาตลอด
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๔ หนึ่งคำ 'รัก' {๒๑.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 21-02-2016 20:12:59
ใครกัน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๔ หนึ่งคำ 'รัก' {๒๑.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-02-2016 22:21:50
ให้เขาหวานกันบ้างเถอะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๔ หนึ่งคำ 'รัก' {๒๑.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 21-02-2016 22:53:32
งืออออ ดราม่ากำลังจะมาาาา ไม่นะ ดราม่าของพี่เดือยนี่จะเป็นพ่อกับแม่รึเปล่า...?
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๔ หนึ่งคำ 'รัก' {๒๑.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 21-02-2016 23:33:21
พี่เดือนต้องขอพ่อแม่ก่อนนะ จะคบกะน้องเนี่ย อิอิ


ปอลอ ยุให้ปราณใจแข็งต่อไป มีคนมาจีบปราณเล้ยย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๔ หนึ่งคำ 'รัก' {๒๑.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-02-2016 06:41:54
 :pig4:


ค่อยเป็นค่อยไปนะคะพี่เดือน


ปล.ย้อนหลังหน่อย ไม่ชอบฝน และไม่สงสารด้วย คือมีแผลยังไงก็ไม่มีสิทธิไปคุ้ยแผลคนอื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการนะคะ มันไม่น่ารัก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๕ ก่อนฝนพรำ {๒๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 28-02-2016 19:25:56
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๕
ก่อนฝนพรำ


แก้วไมโลอุ่นๆวางลงบนโต๊ะข้างกับชามข้าวต้มควันฉุย  เดือนรินน้ำเปล่าใส่แก้วใสวางไว้เป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะเดินไปประคองดินให้ลุกจากโซฟามาที่โต๊ะกินข้าว “กินได้ไหม ให้พี่ป้อนหรือเปล่า”

“ดินไม่ได้เป็นง่อยนะ”

คนผมดำสวนกลับเมื่อถูกถามคำถามจั๊กจี้หัวใจแต่เช้า  สองแก้มซับสีแดงเรื่อเล็กน้อย อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องแค่นี้จะมาทำเป็นเรื่องใหญ่ทำไม  ถึงแขนจะเข้าเฝือกไปข้างหนึ่งแต่เขาก็ยังกินข้าวได้น่า

เดือนยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วยื่นหน้าไปจูบแก้มน้องชายเร็วๆหนึ่งทีพร้อมหยอดไปหนึ่งดอกเบาๆ

“ก็พี่อยากป้อนนี่นา ไม่ต้องกลัวว่าจะลำบากหรอก ว่าที่แฟนพี่ตัวเล็กนิดเดียวเอง ป้อนข้าวดูแลแค่นี้สบายมาก”

“จะกินข้าวดีๆหรืออยากถูกกรอกปากครับ”

“ฮ่าๆๆ”

เดือนหัวเราะลั่นเมื่อคนตัวเล็กแยกเขี้ยวขู่ใส่เขา น่ากลัว...ซะเมื่อไหร่ หน้าแดงขนาดนั้นน่ากลัวก็แย่แล้ว คนที่ชอบหยอดตอดเล็กตอดน้อยทรุดตัวลงกินมื้อเช้าของตัวเองบ้าง ขณะที่ดินก็จ้วงข้าวต้มเข้าปากไม่หยุดชนิดลืมรักษามาด “นี่ จะกินข้าวก็อย่าให้เลอะเทอะสิ น้องใช้แก้มกินข้าวหรือไง” เดือนแซวก่อนจะยื่นทิชชู่ให้อีกฝ่ายซึ่งรับไปเช็ดแก้มแต่โดยดี

ไม่มีหรอกจะมาทำตัวจู๋จี๋เช็ดแก้มให้กัน  เดือนรู้ว่าดินไม่ชอบอะไรแบบนั้น เขาเคยจะทำให้น้องครั้งหนึ่งแล้วเจ้าตัวก็เบือนหน้าหนี  พอถามเหตุผลก็ได้ประโยคเรียบๆหนึ่งประโยคตอบกลับมา

‘ดินไม่ใช่ผู้หญิง คนอื่นอาจจะชอบแต่ดินว่ามันเยอะเกินไป  แค่พี่อยู่ข้างๆดินแบบนี้ดินก็พอใจแล้ว ไม่ต้องเอาใจดินขนาดนั้นก็ได้’
เขาไม่ได้น้อยใจที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้น เดือนรู้ว่าดินแค่พยายามที่จะไม่ให้ใครบางคนเข้ามาดูแลทุกอย่างในชีวิตมากเกินไป ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะหากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวจะได้ไม่ต้องเคว้งคว้าง จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่ทำอะไรเองไม่ได้

ความรักของเขากับดินจึงไม่ใช่ความรักที่วาบหวามมาก ไม่ได้มีจูบร้อนแรงในทุกเช้าที่ตื่นนอนเช่นคนรักเก่าของเดือนบางคน ไม่ต้องมาป้อนข้าว เดินจับมือกัน ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา ไม่ใช่ความรักที่ราวกับพายุรุนแรงที่พัดหมุนจนเขาหัวปั่น

ความรักของพวกเขาสองคนเป็นความรักที่เรียบง่าย ตื่นขึ้นมายิ้มให้กัน ทำอาหารเช้า นั่งทานอาหารด้วยกันเงียบๆ แยกย้ายกันไปทำงาน ส่งข้อความเตือนให้อีกคนทานอาหารเที่ยงเมื่อถึงเวลา แต่เมื่อกลับบ้านเดือนรู้สึกเหมือนความอึดอัดหนักหน่วงที่มีพลันหายวับไป หายไปทันทีที่เปิดประตูเข้ามาแล้วพบคนผมดำสวมแว่นยิ้มให้พร้อมกับถามว่า ‘กลับมาแล้วหรือครับ วันนี้เป็นยังไงบ้าง’

หากวันไหนที่เหนื่อยมากๆเดือนก็จะรวบตัวดินมากอด กอดแน่นๆสูดกลิ่นหอมอ่อนของอีกฝ่ายเข้าปอดจนชื่นใจ แล้วดินก็จะตบหลังเขาเบาๆ ถามว่าเป็นอะไร มื้อเย็นพวกเขาจะกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว ตอนนอนก็อาบน้ำ มานั่งบนเตียง อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดินจะเตือนให้เขาไหว้พระสวดมนต์จากนั้นก็พวกเขาก็จะบอกฝันดีให้กัน หลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน

เป็นวันเวลาที่เรียบง่าย เป็นความรักที่หลายคนอาจจะมองว่าเชื่องช้า แต่เดือนกลับรู้สึกดี ที่พวกเขาพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความรักอันอ่อนหวานค่อยๆเติบโตและหยั่งรากลงในใจ

และครั้งนี้เดือนมั่นใจว่าความรักของเขาจะมั่นคงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“ยิ้มอะไรครับ” เสียงนุ่มถามอย่างสงสัย ดึงให้คนตัวสูงหลุดออกจากภวังค์ เดือนยิ้มนิดๆตักข้าวต้มเข้าปากพลางเลื่อนมือไปกอบกุมมือเล็กไว้ ลูบไล้เบาๆ “พี่แค่...คิดว่าโชคดีจริงๆที่ได้รักดิน”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลังเลนส์ใสเบิกกว้างอย่างฉงนก่อนที่ประกายความสุขจะเข้ามาแทนที่ “อืม...ขอบคุณนะที่รักดิน” รอยยิ้มบางของน้องชายต่างสายเลือดก็เพียงพอให้หัวใจของเดือนมันเต้นถี่จนต้องกระแอมแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว

หลังจากเก็บล้างจานเสร็จเดือนก็หยิบของใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง

“จะออกไปโรงงานหรือครับ”

“ใช่ พอดีคนงานมีปัญหานิดหน่อยน่ะ”

ช่วงที่อยู่ที่นี่เดือนเริ่มเข้ามาช่วยงานในส่วนของสวนผลไม้และโรงงานแปรรูปบ้างแล้ว ส่วนสวนดอกไม้คุณแม่มะลิก็เป็นคนจัดการ ส่วนตลาดสดนั้นส่วนใหญ่คนรับผิดชอบก็เป็นดิน แต่เพราะไม่ต้องเข้าตลาดทุกวันดินจึงเจียดเวลาไปทำร้านอาหารของตัวเองได้
เดือนเปิดสมุดที่เขาเขียนตารางงานตัวเองไว้ ดูเหมือนวันนี้จะมีตารางแค่เข้าไปดูแลงานในโรงงานเท่านั้น หลังจากถ่ายแบบลงนิตยสารคราวนั้นก็มีงานเข้ามาบ้างเหมือนกัน  แต่เดือนก็บอกปัดหมด รวมถึงโทรไปบอกผู้จัดการส่วนตัวของเขาไม่ให้รับงานด้วย
ไม่ใช่ว่าหยิ่งหรืออะไรแต่เขาแค่ไม่อยากให้เขาเกิดเป็นข่าวอะไรขึ้นมาตอนนี้ แค่อยากให้ตัวเขาหล่นหายไปอย่างเงียบๆเท่านั้น

“นี่ ขมวดคิ้วทำไมกันครับ”  นิ้วเรียวของคนผมดำจิ้มจึ้กเข้าที่หว่างคิ้วก่อนเจ้าตัวจะคลึงเบาๆให้หัวคิ้วร่างสูงคลายออกจากกัน
“ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็ขอคุณพ่อพักก่อนไหมครับ” เดือนส่ายหน้า ดึงมือดินมาแนบแก้มก่อนจรดริมฝีปากจูบลงกลางฝ่ามือนั้น เป็นเหตุให้คนตัวเล็กกว่าชักมือออกด้วยสีหน้าขัดเขิน

“ป...ไปทำงานได้แล้วครับ!” ว่าพลางผลักคนตัวโตไปทางประตู เดือนหัวเราะก่อนจะเดินออกไป ขณะที่กำลังจะปิดประตูนั้น เสียงนุ่มของน้องชายก็ทำให้เขายิ้มกว้างออกมา

“สู้ๆนะครับพี่เดือน”

แหม ว่าที่แฟนให้กำลังใจที่ขนาดนี้ ไอ้เดือนพัฒนาตัวเองเป็นมนุษย์บ้างานในพริบตาเลยก็ยังได้นะ

เดือนถอยรถกระบะออกมาก่อนจะขับตรงไปยังที่ตั้งของโรงงาน  ช่วงนี้เขาเริ่มเรียนรู้งานจากคุณพ่อ เพราะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยคุ้นชินทำให้ค่อนข้างลำบาก เดือนเองก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีหัวทางด้านธุรกิจเท่าไหร่ เขาเองก็เรียนจบนิเทศฯมาด้วย ไม่ได้จบสายตรงบริหารมาเหมือนดิน  รายนั้นเรียนคณะบริหารมาเพื่อที่จบออกมาจะได้ช่วยคุณพ่อคุณแม่ เรียนตรงสายมาตั้งแต่แรกแล้ว

ทันทีที่ดับเครื่องเดือนก็รีบเดินเข้าไปดูในโรงงาน เมื่อเช้าเขาได้รับโทรศัพท์จากคุณพ่อว่าหัวหน้าพนักงานที่รับหน้าที่ในการตรวจเช็คสินค้าประสบอุบัติเหตุเมื่อเช้า แล้วก็มีเรื่องที่สินค้าล็อตหนึ่งถูกตีกลับเนื่องจากบรรจุภัณฑ์เกิดการฉีกขาด ทำให้ทางฝ่ายพนักงานที่ตรวจเช็คสินค้าวุ่นวายกันไปใหญ่

“อ้าวเดือนมาแล้วเหรอ” คุณอัลเฟรดร้องทักลูกชายที่เดินหน้ายุ่งเข้ามา  “ครับ ว่าแต่เป็นยังไงบ้างครับทางนี้” ชายวัยกลางคนเสยผมขึ้น ตบหัวลูกชายเบาๆ “จัดการได้น่า ระดับไหนแล้ว ว่าแต่น้องเป็นไงบ้าง”

“เดือนให้ทานข้าวเช้าแล้วครับ”

“ดีแล้ว ไม่ได้บอกว่าประสบอุบัติเหตุอย่างนี้มันดีนะ แต่ให้เจ้าตัวได้พักบ้างก็ดี เด็กคนนั้นชอบลุยงานแบบไม่ยอมหลับยอมนอนตลอดเลย”

“ได้นิสัยคุณแม่มาเต็มๆเลยนี่ครับ”

ฝรั่งตัวสูงหัวเราะร่า พยักหน้าหงึกอย่างเห็นด้วย “ก็ถูก เอ้า ไอ้เสือ ไปเดินดูงานได้แล้ว อย่ามาอู้นะเด็กฝึกงาน” เดือนหัวเราะ พ่อของเขาชอบเรียกเดือนว่าเด็กฝึกงานบ่อยๆ  การที่เขาเข้ามาช่วยงานที่นี่ก็ไมได้หยิบจับอะไรมากนัก ไม่ต่างอะไรกับเด็กฝึกงานเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่ทำงานไปเรื่อยๆจนใกล้เที่ยงเดือนก็นึกได้ว่าต้องโทรศัพท์ไปหาดินเตือนให้อีกฝ่ายกินข้าว แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออกก็มีสายเข้าเสียก่อน คนโทรก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอารัณย์เพื่อนรัก 

“ว่าไงมึง”

[แหม ทักทายกันด้วยน้ำเสียงแบบนี้หมายความว่าไงไม่ทราบ ใช่ซี้ได้น้องแล้วลืมเพื่อน]

ทันทีได้ยินเสียงยียวน นายรวีกานต์ก็เริ่มคันเท้ายิกๆอาการคล้ายอยากจะเอาส้นเท้าเหยียบหน้าคน

“พอดีน้องมันน่ารักกว่าเพื่อนน่ะ”

[ครับๆ พ่อวัวแก่กระแดะเคี้ยวหญ้าอ่อน ดีนะเด็กมันพ้น 18 แล้ว ไม่งั้นกูยัดมึงเข้าคุกแน่]

“มึงโทรมาทำไม” เหงาไม่มีใครให้เล่นด้วยเหรอ หรือเพื่อนไม่คบ  ใจจริงก็อยากจะถามออกไปแต่กลัวว่ามันจะทำร้ายจิตใจกันมากไป เผลอๆแม่งด่าสวนกลับมาอีก

[จะโทรหามึงต้องมีธุระด้วยเหรอ]

“อย่ากวนตีน กูทำงานอยู่”

[อ้อ งั้นกูเข้าเรื่องเลยแล้วกัน] เดือนกลอกตา นึกอยากด่าว่ามึงควรจะเข้าเรื่องนานแล้ว ไอ้คนป่า!

[เมื่อเช้ากูเจอคุณไตรภพที่กองถ่ายแบบนิตยสาร I  Art แล้วเขาก็ถามหามึง]

ชื่อบุคคลที่สามปรากฏขึ้นมาทำให้เดือนบีบโทรศัพท์แน่นอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มกัดฟันก่อนจะกรอกเสียงลงไป “แล้วมึงว่าไง”

[กูก็บอกว่ากูไม่รู้ว่ามึงอยู่ไหน ติดต่อกันเฉพาะเรื่องงาน]

“แล้ว...”

แว่วเสียงถอนหายใจดังลอดออกมา หัวใจของคนที่กำลังรอฟังบทสนทนาต่อไปก็ยิ่งเต้นถี่รัว [เขาอยากรู้ที่อยู่มึง]

“แล้วมึงได้บอกไปหรือเปล่า!”

น้ำเสียงทุ้มตวาดห้วนอย่างที่ไม่เคยเป็น เดือนเผลอยืนขึ้น ไม่สนใจสายตาคนงานที่มองมาอย่างตกใจ วินาทีนี้เขารู้สึกตระหนกขึ้นมาจนทำอะไรไม่ถูก กลับเป็นอารัณย์ที่นอกจากจะไม่ตกใจที่ถูกตวาดใส่แล้วยังปลอบเขากลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

[มึงใจเย็นไอ้เดือน กูไม่ได้บอกไป กูบอกแค่ว่ามึงตกลงมาถ่ายแบบให้ตั้งนานแล้ว พอถึงเวลาก็มาตามนัด แล้วเขาก็ขอเบอร์มึง กูเลยให้เบอร์เก่ามึงไป ไอ้เบอร์เครื่องไอโฟนที่ถูกขโมยไปนั่นแหละ]

ร่างสูงที่เดินหลบออกมาหลังโรงงานพิงเข้ากับกำพงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบหายไปจนหมดเพียงแค่ได้ยินชื่อคนๆนั้น เดือนถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

[แล้วมึงจะทำไง]

“หมายความว่าไง”

[มึงก็รู้ว่ากูหมายความว่ายังไง...มันใกล้จะครบกำหนดแล้วนะ ทางนั้นคงไม่ปล่อยให้มึงลอยหน้าลอยตาอีกนานนักหรอก เผลอๆจะมาลากคอมึงไปก่อนกำหนดด้วยซ้ำ แล้วนี่บอกน้องดินหรือยัง]

“ยัง”

[ไอ้เดือน...เราคุยกันแล้วนะ]

เขารู้หรอก รู้หรอกน่าว่าควรจะทำอะไร แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะพูดออกไปได้ เพราะรู้ว่าถ้าพูดออกไปที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ต้องพังลงมาแน่ๆ

ไอ้รวีกานต์มันเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะพังความสุขทั้งหมดลงในตอนนี้

“กูยังไม่อยากเล่า” น้ำเสียงกระซิบที่กรอกผ่านโทรศัพท์ฟังดูหมดแรงและอ่อนล้าจนน่าใจหาย เดือนซบหน้าลงกับหัวเข่า “กูยังไม่อยากเล่าตอนนี้เลยไอ้รัน ถ้าพูดไปทุกอย่างต้องพังลงมาแน่ๆ  กูไม่อยากให้อะไรๆมันแย่ลงตอนนี้...ในตอนที่ดินกับกูกำลังรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ”

[แล้วมึงอยากจะอยู่กับดินทั้งที่มีแต่ความแคลงใจอยู่ทุกที่น่ะเหรอ ถ้ามึงไม่ทำอะไรให้ชัดเจนมันจะไม่มีที่ของมึงสองคนเลยนะ]

“กูรู้”

[อีกแค่สองเดือนเองนะ...คิดให้ดีๆว่ามึงจะทำยังไงต่อไป ทางนั้นคงอยากหาคนมารับผิดชอบเต็มแก่แล้ว]

“แต่กูไม่ได้ทำ...มึงเชื่อกูใช่ไหมรัน ว่ากูไม่ได้ทำ”

อารัณย์ถอนหายใจอีกครั้ง  สงสารเพื่อนก็สงสาร แต่เรื่องที่เกิดมันก็จนใจจะพิสูจน์จริงๆ มันยังไม่ถึงเวลา อีกอย่างทางนั้นก็เล่นแง่กับพวกเขาเหลือเกิน

[กูเชื่อมึง  แต่คนอื่นล่ะ ถ้ามึงไม่รีบบอกมันจะแย่ไปใหญ่ ของแบบนี้รู้จากปากมึงดีกว่ารู้จากคนอื่นนะ เชื่อกู ให้เดานะ มึงยังไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วยใช่ไหม]

ความเงียบที่ได้กลับมาเป็นคำตอบอย่างดี คนที่อยู่ปลายสายถึงกับขยี้ผมยาวๆของตนอย่างหงุดหงิด เมื่อไหร่มันจะเลิกแบกทุกอย่างเอาไว้คนเดียวกันวะ!

[ไปบอกพ่อกับแม่ อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้รู้ น้องดินด้วย]

“กูไม่กล้าบอกดินว่ะ กูกลัวน้องเกลียดกู” เดือนรู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นมาจุกที่คอ  “กูไม่อยากให้ทุกอย่างมันพัง เปล่า ไม่ใช่ว่ากูไม่เชื่อใจน้อง...แต่...มึง ใครมันจะไปรับได้วะ...กูกลัวทำน้องร้องไห้”

“กูไม่อยากให้น้องมาเสียน้ำตาเพราะคนแบบกู” ไม่อยากให้ตัวเองเป็นคนทำให้ดินเสียน้ำตา...เพราะเขาเคยสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายร้องไห้ “พอถึงวันนั้น...ถ้าน้องเขาร้องไห้ ที่แย่กว่าก็คือกูคงไม่สามารถอยู่เช็ดน้ำตาให้ได้แล้ว”

[กูเข้าใจ...อาจจะไม่ทั้งหมด แต่กูก็อยู่ข้างมึงนะ เอาเป็นว่าทางนี้จะหาทางทำอะไรสักอย่างก็แล้วกัน]

“ขอบใจนะเว้ย...ขอบใจนะที่อยู่ข้างกู”

อารัณย์หัวเราะหึออกมาก่อนจะวางสายไป หลังจากตัดสายคนผมยาวก็จ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างหนักใจจนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน  เมื่อหันไปมองก็เห็นร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งที่จำได้ว่าเป็นของเขา  เส้นผมสีม่วงที่ตรงโคนเริ่มกลายเป็นสีดำชุ่มด้วยหยดน้ำแนบกับใบหน้าเรียวได้รูป

ฝนวางมือลงบนไหล่เขา เอ่ยถามออกมา “พี่เดือนเหรอครับ” อารัณย์พยักหน้า เอนหลังลงพิงอกคนตัวเล็ก ยอมให้อีกฝ่ายบีบนวดเอาใจ 

“พี่จะทำยังไงดี” ชายหนุ่มพึมพำ คล้ายต้องการถาม แต่ก็คล้ายไม่ต้องการคำตอบ วสันต์มองเสี้ยวหน้าคมคายที่ดูวิตกอย่างมากแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขารู้เรื่องทุกอย่างที่เกิด ทั้งจากพลังพิเศษของตน ทั้งจากเรื่องที่อารัณย์เล่า

“ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ คงต้องหลังจากนี้”

ดวงตาคมสบกับดวงตากลมโตของคนที่กำลังนวดไหล่ให้เขาอยู่  “มีแผนเหรอ”

“ครับ...ก็ทำนองนั้น”




 หลังจากเดือนออกไปทั้งบ้านก็เหลือแค่ความเงียบ ดินใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเองออกไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ที่หน้าบ้าน ความจริงเขาใช้ไม้ค้ำพาตัวเองไปไหนมาไหนได้อยู่แล้ว แต่เดือนก็ไม่ยอม ยังยืนยันจะประคองเขาไปไหนมาไหนตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่สำหรับเขาหรอก การที่มีคนประคองมันก็ดีกว่าใช้ไม้ค้ำประคองตัวเองใช่ไหมล่ะ

ชายหนุ่มผมดำนั่งเล่นกับเจ้าสี่องครักษ์ด้านนอกไปสักพักเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น ดินรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เป็นคนเสพติดมือถือหรือการแชทอะไรพวกนี้หรอก

แต่ตั้งแต่มีเดือน...ดินก็รู้สึกว่าเขาเริ่มเปิดแชทดูว่าอีกฝ่ายส่งข้อความมาหรือยังบ่อยขึ้นกว่าแต่ก่อน

แต่หนนี้คนส่งข้อความมาไม่ใช่เดือนแต่เป็นปราณ ดินรู้สึกเหมือนตัวเองจะหลายเป็นดอกไม้หรือต้นกล้าเหี่ยวๆลงไปพักหนึ่ง...นี่สินะความผิดหวังจากการนั่งรอคนตอบข้อความน่ะ

น้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้ : พี่ดินนน อยู่บ้านหรือเปล่าจ๊ะ  10:09 AM

Pathapee : อยู่ครับ ทำไมเหรอ 10:09 Am Read

น้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้ : ปราณจะไปหาที่บ้านอ่ะจ้ะ แม่ฝากขนมหม้อแกงมาให้ 10:10 AM

Pathapee  : ขอบคุณครับ 10:10 AM Read

Pathapee : ว่าแต่ใครมาส่ง  10:11 AM Read

น้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้ : ...ไอ้เฟิงจ้ะ... 10:15 AM


ดินอมยิ้ม ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุดูเหมือนว่าลูกชายร้านขายข้าวแกงจะยอมอ่อนข้อให้กับปราณมากโข หลังๆมาเวลาโดนด่าโดนกวนประสาทก็ไม่ค่อยโต้ตอบเท่าไหร่ จากการอัพเดตข่าวล่าสุดจากเพื่อนสนิทน้องปราณ ดูเหมือนว่าเฟิงจะเลิกกับแฟนสาวคนนั้นไปแล้ว  เจ้าหล่อนเองหลังเลิกกันไปสองวันถัดมาก็ควงแฟนใหม่มาซะแล้ว

แต่ถึงจะยอมอ่อนข้อให้มากขนาดไหนแต่ใช่ว่าปราณจะยอมรับง่ายๆ เด็กหนุ่มผิวแทนยังคงไม่ยอมพูดจาดีๆกับเฟิงจนเดี๋ยวนี้คนทักแชทเขามาขอคำปรึกษาบ่อยๆกลายเป็นเฟิงไปเสียแล้ว ไม่รู้จะตลกหรือวางตัวยังไงดีกับเด็กคู่นี้

มันก็เห็นๆกันอยู่ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง แต่แค่เล่นตัวกันไปมาเท่านั้นแหละ

“เฮ้อ ความรักมัธยมนี่ดีจังเลยน้า”  ดินหลุดหัวเราะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดจาเหมือนตาลุงแก่ๆซะอย่างนั้น แล้วตอนนี้เขาก็มีความรักไม่ใช่หรือไง

ถึงจะไม่ใช่ความรักแบบมัธยมกุ๊กกิ๊กๆแต่มันก็รู้สึกดีแล้วก็จั๊กจี้ไม่ต่างกันเลย

โทรศัพท์ที่วางอยู่บนแคร่ไม้สั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนโทรเข้ามา ดินอมยิ้มเมื่อนึกได้ว่าอาจจะเป็นเดือนโทรมา ชายหนุ่มรับสายโดยไม่ได้ดูหมายเลขโทรเข้า แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเสียงที่ลอดผ่านมาจากโทรศัพท์

[สวัสดีครับ คุณปฐพีใช่ไหมครับ]

ทั่วทั้งร่างของดินชาวาบ ชายหนุ่มตกใจจนมือสั่น เขาจำได้...เขาจำน้ำเสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายได้ จะลืมได้ยังไงกัน มือเรียวดึงโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์โทร  เป็นเบอร์แปลก ไม่คุ้น อีกคนคงเปลี่ยนเบอร์ไปนานแล้ว

“โทรมาทำไม” ดินถามกลับไป รู้สึกพ่ายแพ้เมื่อพบว่าน้ำเสียงของตัวเองสั่นพร่า “ต้องการอะไร”

[มีเรื่องอยากให้ช่วย...มาเจอกันหน่อยได้หรือเปล่า]

“ไม่!” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปเกือบเป็นกระชาก คนตัวเล็กรีบตัดสายทิ้งทันทีก่อนจะบล็อกเบอร์ของคนคนนั้น  ความคิดมากมายหมุนเร็วจี๋อยู่ในหัว

อีกฝ่ายได้เบอร์เขามาได้ยังไง

แล้วที่บอกว่ามาเจอกัน...คืออยู่แถวนี้อย่างนั้นหรือ

คนคนนั้น...กำลังจะกลับมาใช่ไหม

ชายหนุ่มก้มหน้า ปล่อยให้เส้นผมสีดำร่วงปรกใบหน้า ซ่อนความทุกข์ทรมานที่ปรากฏเอาไว้

แกรก

เสียงพื้นรองเท้าบดหินกรวดใกล้เข้ามา ทำให้ดินต้องรีบเงยหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างอย่างตระหนกเมื่อพบกับร่างสูงใหญ่  เงาของอีกฝ่ายทาบทับลงมาเหนือร่างกายเขา

ใบหน้าแบบนั้น ถึงจะเป็นเงาดำเพราะแสงแต่ดินก็จำได้...ริมฝีปากบาง ดวงตาคมกริบ

ทุกอย่าง ทุกสัมผัสหวนคืนมาในวินาทีที่เสียงทุ้มนั้นเอ่ยพูดกับเขา ชัดเจนยิ่งกว่าเสียงที่ผ่านมาทางโทรศัพท์

“ใจร้ายจังนะ ตัดสายพี่ทิ้งแบบนี้”

“ไปให้พ้น”

อย่าเข้ามา...อย่าเข้ามาใกล้เขา...ไปให้พ้น

“พี่ขอโทษนะ เงยหน้ามาคุยกันหน่อยได้ไหม”

“ไม่ ออกไปนะ!”

ฝ่ามือใหญ่เชยคางเขาขึ้นอย่างแผ่วเบา  ดินจำสัมผัสนี้ได้ดี  อีกฝ่ายชอบเชยคางเขาขึ้นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แล้วหลังจากนั้นก็จะชอบโน้มตัวมาจูบเบาๆ

“ผอมลงหรือเปล่า”

เขาชอบจับข้อมือของดิน จูงพาไปทานมื้อเย็น บอกให้กินเยอะๆจะได้โตไวๆ

“ทำไมทั้งตัวมีแต่แผลแบบนี้”

เวลาที่เขามีแผล อีกฝ่ายจะชอบบ่น  ตีหน้าดุใส่เขาแต่ก็ยังทำแผลให้เสมอ  ฝ่ามือใหญ่ๆคู่นั้นจะแตะต้องเขาอย่างอ่อนโยน

“ไม่เจอกันมาตั้งนาน...ยังขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะ”

หยดน้ำตาถูกเกลี่ยออกอย่างอ่อนโยนดังเช่นทุกครั้ง  ดินรู้สึกปวดหนึบในอก เขากัดริมฝีปากและเมื่อหลับตาลงหยดน้ำตาก็ร่วงพรู  นานทีเดียวกว่าเขาจะรู้ตัวว่าควรตอบอะไรไป

“อย่ามาแตะผม” มือข้างที่ยังดีปัดมืออีกฝ่ายออก ดินปาดน้ำตาบนใบหน้าลวกๆ เขาหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ แต่กระนั้นหัวใจก็ยังเต้นรัว

คิดว่าลืมไปแล้วแท้ๆ แต่พอมายืนตรงหน้าก็ยังรู้สึก

เวลา 4 ปีไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสินะ...

“คุณกลับมาทำไม...ในวันที่ผมกำลังจะลืมคุณอยู่แล้ว กลับมาทำไมกันครับ พี่กัณฐ์

ร่างสูงขยับเข้ามานั่งเคียงกันบนแคร่  เหมือนครั้งก่อนที่พวกเขานั่งใกล้กัน เบียดชิดดูดวงดาวบนฟ้า เพียงแต่วันนี้ไม่มีดวงดาว มีแต่คราบน้ำตาและบาดแผลจากอดีต

“พี่ขอโทษ...ที่ทำลงไป”

“ผมไม่ต้องการคำขอโทษ”

“แต่พี่ทำเราร้องไห้...ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วแท้ๆ ขอโทษนะ”

ประโยคนั้นเป็นเหมือนชนวนทำให้ความอดทนสุดท้ายขาดผึง ดินประคองตัวเองลุกขึ้นอย่างยากเย็น เขาคว้าโทรศัพท์กับไม้ค้ำแล้วออกเดินไปทางบ้าน  ไม่สนใจใครอีกคนที่เร่งเดินมาดักหน้า  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววกร้าวออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ถอยไป” ดินกดเสียงต่ำอย่างข่มขู่ อีกฝ่ายที่เห็นท่าทางแบบนั้นก็ยอมถอยแต่โดยดี คนผมดำรีบเข้าบ้าน ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วทรุดตัวลงนั่ง เอนตัวลงบนเตียง ขดตัวคล้ายจะปกป้องตัวเองจากทุกสิ่งบนโลกนี้

ถ้าตอนนี้...พี่เดือนอยู่ด้วยก็ดีสิ

แต่จะให้คนๆนั้นเจอกับพี่เดือนไม่ได้เด็ดขาด ให้รู้ไม่ได้...ในเวลาที่ความสัมพันธ์กำลังดีขึ้นแบบนี้

อีกแค่นิดเดียวเขาก็จะเปิดใจได้แล้วแท้ๆ...

จู่ๆแผลเป็นที่ท้องแขนพลันเจ็บจี๊ดขึ้นมา ราวกับร่วมกันย้ำเตือนถึงเรื่องราวในอดีต ถึงวันที่เขาเกือบจะทิ้งชีวิตของตัวเองไปเพราะคนที่อีกฝากของบานประตู

‘กัณฐพันธ์’

ชายหนุ่มที่มองเห็นด้ายแดงเหมือนกันกับเขา...คนที่ตามหาเขาจนเจอ

อดีตรักแท้...และรักครั้งแรกของเขา


**********************************************

เอ้า ปรบมือให้กับตัวปัญหาเบอร์หนึ่งค่าาา คุณกัณฐพันธ์   :mew5:
ฉากช่วงนี้อาจจะเนือยๆไปหน่อยก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ก็สั้นมาก นี่ขนาดสิบหน้าแล้วนะ ;w;
ตอนที่เขียนฉากนี้ตอนแรกที่วางพล๊อตไว้มันไม่ดราม่าขนาดนี้ค่ะ แต่เขียนไปเขียนมา
จากการที่นึกทั้งฝั่งเดือนและดินทำให้เราคิดว่าถ้าทั้งคู่ไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ของกันและกัน
แล้วต่างปกปิดเรื่องสำคัญ ความสัมพันธ์มันจะถูกพัดไปทางไหน มันเลยออกมาเป็นฉะนี้แลล
 ส่วนที่เหลือ...ก็รอลุ้นตอนหน้าค่ะ (หลบเปลือกไข่)

เรามีข่าวมาแจ้งด้วยค่ะ ตอนนี้เรามีเพจแล้วนะคะ สามารถตามไปพูดคุย ทวงนิยาย ได้เลยนะคะ จุ๊บ
จิ้มเลยค่ะ  :mc4: :mc4:

>>AzureDream (https://www.facebook.com/drawnindream/?fref=ts)<<
 
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๕ ก่อนฝนพรำ {๒๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-02-2016 20:21:34
งานเข้า!!!!
ทั้งสองฝ่ายเลยด้วย!!!
แล้วจะเป็นยังไงต่อละทีนี้
ให้กำลังใจคนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๕ ก่อนฝนพรำ {๒๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-02-2016 21:23:05
น้ำตามาอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๕ ก่อนฝนพรำ {๒๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-02-2016 21:24:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๕ ก่อนฝนพรำ {๒๘.๒.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 28-02-2016 21:36:35
โอ๊ยยยยยยยย! ลุ้นไปอีก มีชนักติดหลังกันทั้งคู่เลย ลุ้นมากกกกกกกกกกกกก ไอ้เราก็นึกว่าหมดทะเลไปก็คงไม่มีอะไรแล้ว นึกว่าจะมีแต่เรื่องฝั่งพระเอก ที่ไหนได้ ตัวBOSSโผล่มาซะงั้น มาต่อไวๆนะคะ จุดนี้คือกัดฟันจิกหมอน ลุ้นตัวโก่งมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๖ อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก {๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 02-03-2016 21:20:00
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๖
อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก



เดือนกลับเข้าบ้านมาอีกทีตอนเย็น ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าภายในบ้านเงียบสนิท แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ร่างสูงเดินถือถุงกับข้าวที่ซื้อมาจากตลาดสดไปส่งให้ป้าชื่นและแม่ครัวคนอื่นๆในครัวให้เตรียมไว้ทำมื้อเย็น “วันนี้คุณแม่มะลิอยากกินแกงส้มน่ะครับ จริงๆคุณแม่อยากกลับมาทำเองแต่ท่านติดงานก็เลยฝากให้พวกป้าชื่นทำให้ รบกวนด้วยนะครับ”

“โอ๊ย รบกวนอะไรกันล่ะคะ ดีใจเสียอีกที่คุณมะลิเธอให้พวกป้าทำงานได้เสียที อยู่กันมาหลายปี จะเกรงใจอะไรกันเยอะแยะไม่รู้ รับเงินเดือนก็รับของเขา ยังจะมาให้พวกป้านั่งๆนอนๆเฉยๆได้ยังไงกันคะ” ป้าชื่น แม่บ้านอาวุโสพูดพลางส่งถุงของสดต่อไปให้เด็กในครัว “แล้วนี่คุณหนูทานอะไรมาหรือยังคะ  ให้ป้าทำอะไรง่ายๆให้ทานรองท้องก่อนไหม”

เดือนส่ายศีรษะ “ไม่ล่ะครับผมรอกินข้าวเย็นเลยดีกว่า แล้วนี่ดินอยู่ไหนครับ”

“คุณหนูเล็กเธออยู่บนห้องค่ะ ป้าขึ้นไปดูเห็นเธอหลับอยู่ คงจะปวดแผลเธอเลยทานยาแล้วก็หลับไป” 

เดือนพยักหน้ารับ กล่าวขอบคุณป้าชื่นอีกครั้งแล้วเดินออกจากครัวมุ่งไปชั้นบน ตอนแรกที่มาอยู่ที่นี่เขายอมรับว่าไม่ชินกับสรรพนามเรียกแบบนี้อย่างมาก มันดูเหมือนเขาเป็นลูกชายเจ้าพ่อมาเฟียอะไรแบบนั้น แต่เมื่อความพยายามในการบอกป้าชื่นให้เปลี่ยนสรรพนามเรียกไม่เป็นผล เดือนจึงปล่อยเลยตามเลย หลังๆก็ชักชินแล้วเหมือนกัน

เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอดออกมาจากช่องใต้ประตูห้องนอนของคุณหนูคนเล็กของบ้าน ชายหนุ่มค่อยๆเปิดประตู พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุดด้วยไม่อยากรบกวนคนในห้อง

ภายในมืดสนิท เขามองเห็นร่างเล็กขดตัวอยู่กลางกองผ้าห่ม เดือนเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เกลี่ยเส้นผมสีดำออกจากใบหน้าดินอย่างแผ่วเบา คนตัวเล็กที่ถูกกวนขมวดคิ้ว ครางอืออาก่อนจะปรือตาขึ้นเพื่อมองคนรบกวนการนอน แต่เพราะดวงตาไม่ชินกับความมืดและเพราะถอดแว่นไปแล้วทำให้ดินต้องหยีตา ระลึกอยู่ครู่หนึ่งว่าใครมันมานั่งจ้องเขาอยู่ข้างเตียงแบบนี้

“พี่เดือน?”

“ครับ ทำให้ตื่นเหรอ ขอโทษนะ”

คนตัวเล็กส่ายหน้า ก่อนจะลูบหน้าลูบตาแบบมึนๆ “ดินหลับไปเหรอเนี่ย นี่กี่โมงแล้ว”

“หกโมงเย็น”

“หา!? นี่ดินนอนไปตั้งสี่ชั่วโมงเลยเหรอ แย่แล้วแฮะ”

หนุ่มลูกครึ่งกดตัวน้องชายต่างสายเลือดที่ทำท่าจะพุ่งลงจากเตียงให้นอนต่อ  ดุแบบไม่ค่อยจริงจังนัก “พักบ้างก็ได้ ดินทำงานหนักไปแล้วนะ อีกอย่างร่างกายกำลังฟื้นตัว เราควรจะพักผ่อนเยอะๆน่ะถูกแล้ว”

“แต่สี่ชั่วโมงเลยนะ มิน่าล่ะ ตื่นมามันถึงได้เบลอมึนไปหมด” ว่าพลางสะบัดศีรษะอีกทีให้หายมึน ดินช้อนตามองคนตัวโตที่ตอนนี้ขยับขึ้นมานั่งพิงพนักเตียงอยู่ข้างๆเขาแล้ว เดือนดึงคนที่นอนอยู่ข้างๆให้ลงมาซบอกตัวเอง  ซึ่งดินก็ทำตามแต่โดยดี จมูกโด่งกดลงข้างขมับ ละเรื่อยมาจนถึงแก้มนิ่มๆ ปิดท้ายที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ดินหัวเราะคิกคักเมื่อเดือนลากไปจมูกไปบริเวณลำคอ

“ฮื้อ ไม่เอา...ตรงนั้น..คิก...พี่เดือน ฮ่าๆ จั๊กจี้ ฮ่าๆๆ แกล้งคนป่วยบาปนะครับ” ดินรีบปรามเมื่อคนตัวโตชักลามปาม ฉวยโอกาสตอนเขาเผลอเพ่งสมาธิไปที่คอ ใช้ฝ่ามือใหญ่ซุกซนลูบไล้ไปที่หน้าท้อง เรื่อยไปจนถึงเอวคอด ริมฝีปากบางได้รูปพรมจูบจากคอละเรื่อยลงมาจนคนเป็นน้องต้องใช้มือข้างที่ขยับได้พยายามดันหัวอีกฝ่ายให้เงยขึ้น

“พี่เดือน ไม่เอา”

“ก็ไม่ได้เอาไง จูบเฉยๆ”

ปัดโธ่!

“พี่เดือน  อย่า...มัน... อ๊ะ” ดินสะดุ้งสุดตัวเมื่อคนเป็นพี่เลิกเสื้อยืดของเขาขึ้น  เปิดร่นไปจนถึงแผ่นอก เปิดเผยหน้าท้องขาวเนียนที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยสมส่วน เพราะเจ้าตัวออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  “เฮ้ เดี๋ยว นี่มันไม่...” ร่างบางออกปากห้ามแต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องแอ่นกายขึ้นมาเมื่อฟันคมขบเม้มลงบนหน้าท้องขาวเนียนอย่างหมั่นเขี้ยว เดือนเลียริมฝีปาก มองร่องรอยสีแดงที่เห็นเด่นชัดบนผิวขาวราวหิมะของอีกฝ่าย

“น่ากินเป็นบ้า”

“หยุดเลยนะครับ!”

แต่เดือนก็คือเดือน เรื่องหูทวนลมนี่นายรวีกานต์ขอยึดตำแหน่งแชมป์ คนตัวโตเลียริมฝีปาก ตอนแรกเขาแค่อยากจะแกล้งอีกฝ่ายเฉยๆ ใครใช้น่าฟัดน่าหยิกไปทั้งตัวกันล่ะ แต่พอแกล้งแล้ว...

มันก็อยากแกล้งหนักกว่าเดิม

ถ้าไอ้รันอยู่ตรงนี้มันต้องด่าเขาว่าโรคจิตติดน้องแหง

เดือนพรมจูบทั่วหน้าท้องขาวของดิน  ฝ่ามือสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดของอีกฝ่าย พยายามไม่ให้ลูบไปโดนรอยช้ำทั้งหลาย

“พี่เดือน...อ๊า”

เดือนชะงัก เงยหน้ามองน้องชายที่นอนหอบหายใจอยู่ใต้ร่าง ใบหน้าหวานไร้แว่นตามาเกะกะขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีน้ำใสปริ่มขอบตา มือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองแน่น  ดินซุกหน้าลงกับหมอน ทำเหมือนอยากจะมุดลงไปซ่อนตัวในฟูกนอน
เดือนเลียริมฝีปากแห้งผาก กระแอมเบาๆก่อนจะพูดว่า “อ่า ขอโทษที เมื่อกี้มือมันเผลอไปโดน”

ดินหันมาถลึงตาใส่ เดือนยิ้มแหยให้น้องชาย แบบ...มือเผลอไปสะกิดโดนยอดอกนิดเดียวเอง อย่าทำหน้าเหมือนจะลุกมาฆ่าพี่เดือนแบบนั้นสิครับที่รัก

“ลงไปเลยไอ้พี่เดือน” คนผมดำพูดเสียงเขียว แต่เดือนยังคงคร่อมทับอีกฝ่ายไม่ขยับ  ก็แหม...ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พอเห็นหน้าดินเมื่อกี้แล้ว มันก็เลย ‘รู้สึก’ ขึ้นมา

ดินเองก็คงจะรู้สึกได้เพราะชายหนุ่มเบิกตาโต จิกหัวเขาให้เงยหน้าขึ้นมา พูดลอดไรฟัน  “ลงไปเดี๋ยวนี้เลย!”

“โธ่ น้องดิน...”

“ไปห้องน้ำเลยไป!”

เดือนครางหงิง มองหน้าคน(ที่ตัวเอง)รักแบบขอความเห็นใจสุดขีด “ช่วยหน่อยนะ” คนตัวเล็กหน้าแดงก่ำ ทั้งเขินทั้งอายจนแทบจะลุกขึ้นมากระโดดถีบยอดหน้าอีกคนแก้เขิน

“หื่นมาจากไหนครับ! แล้วนี่อะไร ปลุกดินมาทำเรื่องอย่างว่าหรือไง ดินป่วยอยู่นะ”

“งั้นถ้าหายแล้วก็ทำได้?”

“กับผีน่ะสิ!”

เดือนหัวเราะเบาๆ ยอมลงจากตัวอีกฝ่าย ดึงน้องชายให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆพร้อมกับจัดเสื้อผ้าและทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง ดินพยายามเบือนหน้าหนีตอนที่อีกฝ่ายจะดึงเขาไปจูบแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เผยอริมฝีปากให้อีกฝ่ายสอดปลายลิ้นเข้ามาแต่โดยดี มือเรียวสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีอ่อน ขณะที่เดือนเอียงหน้าเมื่อมอบจูบที่ลึกซึ้งกว่าเดิมให้ ตอนที่ถอนริมฝีปากออกมา ชายหนุ่มก็จูบซับน้ำสีใสที่มุมปากเด็กน้อยของเขาให้ ขณะที่ดินบ่นอุบ

“ไปหื่นมาจากไหน เป็นอะไรหรือเปล่าครับวันนี้” ถ้าดินไม่ได้ตาฝาดไปเขาเห็นเดือนชะงัก แววความสับสนบางอย่างพาดผ่านดวงตาแต่ดินก็คิดว่าเขาอาจจะตาฝาดเพราะเพียงอีกฝ่ายกระพริบตา แววเหล่านั้นก็หายไป

“หื่นอะไร เรื่องปกติ”

“ไม่ใช่แล้วมั้ง”

“ทำไมล่ะ...หรือว่าไม่อยากให้ทำแบบนั้นเหรอ” คนตัวโตทำหน้าหงอย  ดินกลอกตา นับหนึ่งถึงสิบ บอกตัวเองว่าอย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด  หาได้รู้ไม่ว่าในใจไอ้พี่ชายหมาป่าคนนี้กำลังวางแผนการณ์หลอกกินลูกแกะเสียดิบดี

เอาน่า ก็ยอมรับล่ะว่ามันก็ต้องมีจินตนาการอะไรนอกเหนือจากที่เป็นอยู่กันไปบ้าง...

ชายหนุ่มผู้ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จยังคงแสดงต่อไปด้วยการลุกขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เดินตุบตับไปทางห้องน้ำส่งผลให้ดินที่รู้อยู่เต็มอกว่าหลุมกับดักของแท้แต่ก็ยังยินยอมพร้อมใจจะเดินลงไป คนตัวเล็กออกแรงรั้งเสื้อเดือนเอาไว้ และเมื่อชายหนุ่มหันมาดินก็เขย่งเท้ากดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเร็วๆหนึ่งที หน้าตาแดงก่ำไปหมดขณะที่เอ่ยประโยคที่แทบจะใช้ความกล้าของเขาไปจนหมด

“ก็...ไม่ใช่ว่า...ไม่อยาก...แต่ว่า...”

“ต้องให้แม่มาขอก่อนนะ”

พูดจบก็พยายามกระชากลากถูเขาไปที่ห้องน้ำด้วยแรงที่มากที่สุดเท่าที่คนเจ็บจะทำได้ จนเดือนต้องรีบประคองเพราะอีกฝ่ายไม่ได้หยิบไม้ค้ำมา  พอเดินมาถึงหน้าห้องน้ำดินก็ผลักอีกฝ่ายเข้าไปทันที “จัดการตัวเองให้เรียบร้อยล่ะ” พูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินกลับแต่ยังไม่ทันไปไหนเดือนก็คว้าแขนดินเอาไว้ คนตัวสูงยิ้มเจ้าเล่ห์

“น้องดินครับ ดูเหมือนว่าเราก็ต้องจัดการอะไรๆให้เรียบร้อยเหมือนกันนะ” ลากสายตาลงต่ำให้คนตัวเล็กหน้าแดงหนักกว่าเดิม  ดินดึงแขนตัวเองออก “ผมจัดการเองได้น่า”

แต่เดือนก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายปฏิเสธ แรงคนเจ็บหรือจะสู้แรงคนธรรมดา แขนแข็งแรงเกี่ยวเอวของคนผมดำเข้ามาใกล้ เดือนปิดประตูห้องน้ำ ตัดโอกาสหนีอีกฝ่ายเสียสิ้น กระซิบข้างหูดินแล้วจูบปากปิดกั้นคำประท้วง

“ก็ช่วยกัน จะได้เสร็จเร็วๆไง”



อาหารเย็นวันนี้ผ่านไปอย่างเรียบง่ายเช่นทุกวัน หลังจากที่ทุกคนอิ่มกันแล้วคุณมะลิก็เปิดประเด็นขึ้นมา “ดินจ๊ะ เดี๋ยวอีกสองอาทิตย์ตลาดของเราจะจัดงานเลี้ยงนะจ๊ะ  ลูกจะช่วยดูเรื่องการจัดงานให้ได้ไหม” ดินวางส้องแล้วพยักหน้า “ได้สิครับ”

เดือนเอียงคอ งานเลี้ยงเหรอ?

“งานเลี้ยงเหรอ” ชายหนุ่มหันไปหาดิน “ใช่ครับ อันที่จริงก็เหมือนงานประจำปีของตลาดนั่นแหละครับ มีประกวดนางงามตลาดสด  มีการแสดง งานเลี้ยงกลางคืน วันนั้นพวกพ่อค้าแม่ค้าจะเอาของกินมาแจกครับ ก็สนุกดี ถือเป็นการให้ทุกคนพักผ่อนหลังทำงานหนักมาทั้งปีน่ะครับ”

“ว้าว สวัสดิการดีจังนะครับคุณแม่” เดือนแซวแม่ตัวเอง หญิงสาวร่างเล็กขยิบตาให้ลูกชาย “ใช่ไหมล่ะ ดูแลดีขนาดนี้ใครๆเลยอยากมาเช่าแผงขายของในตลาดเราไง  แม่ว่าเดี๋ยวประมาณปลายปีจะต้องขยายตลาดแล้วล่ะ  ถ้าเพิ่มพวกโซนเสื้อผ้าลงไปอีกหน่อยน่าจะดี” พูดไปก่อนจะทำหน้านึกขึ้นได้ คุณมะลิทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือตัวเองเบาๆ “จริงสิ เดือนก็ไปช่วยดินดูแลการเตรียมงานด้วยนะลูก  เรื่องการแสดงไม่น่าเป็นห่วงหรอก คนในตลาดก็ช่วยๆกันนั่นแหละ มีเรื่องประกาศการประกวดนางงามตลาดสดด้วย เดือนช่วยน้องทีได้ไหมลูก ดินยังเจ็บ แม่กลัวน้องป่วยหนักกว่าเดิม”

“ไม่มีปัญหาครับ”

“อ้อ ไอ้เสือ ห้องนอนแกจะทำเป็นห้องไว้สำหรับรับรองแขกเลยไหม เผื่อมีเพื่อนมาค้างด้วย” จู่ๆพ่อของเขาก็พูดขึ้นทำให้เดือนถึงกับงุนงง

“เอ๋ ทำไมล่ะครับ?”

คุณอัลเฟรดเลิกคิ้ว  ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ดินถึงกับสำลักน้ำออกมา

“ก็แกดูเหมือนจะไม่อยากกลับไปนอนห้องนั้นแล้วนี่ แอร์ก็ซ่อมเสร็จมาเป็นอาทิตย์แล้วแต่ก็ยังนอนห้องน้องอยู่ไม่ใช่เหรอ”

เดือนยิ้มขำ แถไปเนียนๆ “ก็เตียงห้องน้องดินมันนอนสบายดีนี่ครับ”

“เอาเถอะ แอร์ซ่อมเสร็จแล้วก็กลับมานอนห้องตัวเอง ตัวใหญ่อย่างกับตึกยังจะนอนเบียดน้องอีก ดึกๆมีกลิ้งไปทับแผลน้องบ้างไหมเนี่ย”

ได้ยินดังนั้นเดือนก็เบ้ปาก โอดครวญเบาๆ หันไปส่งสายตาของความช่วยเหลือให้ดินที่แกล้งทำเป็นจ้องมองจานข้าวตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย คงจะเขินล่ะมั้ง ใบหูขาวๆนั่นมันขึ้นสีแดงซะขนาดนั้น

“ทีดินยังไม่มีปัญหาเลย”

“เรอะ น้องไม่กล้าบอกแกหรือเปล่า ดินเขาเป็นเด็กดี ไม่กล้าพูดทำร้ายน้ำใจแกหรอก”

มุมปากคนตัวสูงกระตุกกึก อยากจะย้อนเวลาไปอัดเสียงทุกคำด่าตั้งแต่แรกเจอกันมาให้คุณพ่อฟังจริงๆ ไม่ทำร้ายน้ำใจกัน...น้อยไปน่ะสิ  ถ้าหัวใจไอ้เดือนมันมีแผลเป็นจริงๆได้ ป่านนี้มันคงพรุนเพราะคำพูดน้องดินไปแล้ว ชายหนุ่มแสร้งถอนใจแล้วพูดออกมา
“โห เข้าข้างกันจังเลยนะครับคุณพ่อ  ใช่สิ ดินเขาลูกชายคนโปรดคุณพ่อนี่นา”

ฝ่ามือบางหันมาฟาดเพี๊ยะทำให้เดือนหันไปมอง ใบหน้าหวานไม่ได้ฉายแววล้อเล่นอย่างที่ควรจะเป็น ดินบุ้ยปากไปทางคุณพ่อคุณแม่  คุณอัลเฟรดมีสีหน้าสงบ ไม่ได้มีรอยยิ้มหยอกล้อเช่นเดิม ส่วนคุณแม่มะลิเองก็ก้มหน้าลง สักพักร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าครอบครัวก็ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป แต่ก่อนไปคนเป็นพ่อก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้าแกอยากจะนอนห้องน้องก็นอนไปเถอะ  ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”  สักพักคุณแม่ก็เดินมาโน้มตัวจูบแก้มเขากับดินเบาๆแล้วเร่งฝีเท้าตามคุณพ่อไป เหลือเพียงเดือนกับดินที่นั่งอยู่ ชายหนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วอย่างสงสัย

เมื่อกี้...เขาพูดอะไรขัดหูคุณพ่อหรือเปล่านะ

“นี่ดิน ถ้าคุณพ่อไม่พอใจจริงๆ พี่ย้ายกลับไปนอนห้องก็ได้นะ  คุณพ่อโกรธจริงจังหรือเปล่าน่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาของอดีตนายแบบปรากฏความว้าวุ่นใจ “เดี๋ยวพี่จะไปขอโทษ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”  มือเรียวรั้งแขนเขาไว้ “ขึ้นห้องกันเถอะ เดี๋ยวดินจะเล่าให้ฟัง” ได้ยินดังนั้นเดือนจึงยินยอมประคองร่างเล็กมาจนถึงในห้อง เมื่อนั่งลงที่เตียงเรียบร้อยแล้วเดือนก็ยิงคำถามทันที

“เมื่อกี้คุณพ่อโกรธอะไรพี่เหรอ”

“เปล่าครับ คุณพ่อไม่โกรธหรอก”

“แต่...”

“พี่เดือนคงไปพูดจี้ใจดำท่านเข้าล่ะมั้งครับ”

เดือนชะงัก  เขาไปพูดจี้ใจดำพ่อตอนไหนกัน  เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเขาดินจึงเฉลยให้ “ก็ตอนที่พี่เดือนบอกว่าผมเป็นลูกคนโปรดไง” ดวงตาคมปรากฏแววของความตกใจ รีบละล่ำละลักพูดออกมา “แต่พี่ไม่ได้จะพูดจาแขวะหรืออะไรนะ เมื่อกี้พี่ล้อเล่น”

“ผมรู้ครับ คุณแม่คุณพ่อท่านก็ทราบแต่...ท่านคงกังวล” ดินถอนหายใจเบาๆ “ท่านกังวลมาตลอดเลยนะครับว่าการที่พี่กลับมาอยู่นี่จะทำให้พี่อึดอัดใจ...ยิ่งมีดินอยู่...พวกท่านกลัวว่าพี่จะรู้สึกว่าไม่มีความสำคัญ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ  พวกท่านรักพี่มากนะครับ”

เดือนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้มาตลอดว่าส่วนลึกในใจตัวเองมีความรู้สึกนั้น ความรู้สึกอิจฉาดิน ตอนแรกที่รู้ว่าพ่อกับแม่รับเด็กมาอยู่ด้วย เด็กชายเดือนก็ทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธเด็กคนนั้น ตอนที่จะกลับมาค้างบ้านก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับเด็กคนนี้ต้องไม่ดีแน่ๆ

แต่ว่านะ...ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กชายเดือนที่ใจแคบแบบนั้นอีกแล้ว

ความรู้สึกน้อยใจพวกนั้น เขาเลิกใส่ใจมันมานานแล้ว...เดือนแค่รู้สึกว่าช่างมันเถอะ เขาไม่อยากจะมานึกน้อยใจให้เหนื่อย ทุกวันนี้แค่ปัญหาที่มีก็ปวดหัวจะแย่แล้ว

สำหรับเขา กำแพงระหว่างพ่อกับแม่มันสูง...สูงมากจนมันอาจจะต้องใช้เวลาในการทลายกำแพงลง

กำแพงของกาลเวลาสิบกว่าปีที่หายไประหว่างพวกเขา

“พี่เดือน...หรือว่า...พี่อึดอัดใจเพราะคิดว่าพ่อกับแม่รักดินมากกว่า” เดือนหลุดออกจากภวังค์เมื่อน้องดินถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  สีหน้ากับน้ำเสียงน้องดูแย่จริงๆจนเดือนต้องคว้าร่างนั้นมากอดปลอบ

“ไม่ใช่หรอก เด็กขี้แย พี่จะอึดอัดใจเพราะเราได้ยังไง ก็บอกอยู่เนี่ยว่ารักดิน จะไปอึดอัดทำไม”

“แต่...”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขายิ้มให้อีกฝ่าย บีบกระชับมือบอบบางให้คนเบื้องหน้าเข้าใจ “พี่ไม่เป็นไรจริงๆ”

ความรู้สึกของการได้สัมผัสคำว่าครอบครัวที่แท้จริง สำหรับเดือน...มันหล่นหายไปนานเกินกว่าจะตามหาเจอแล้ว  ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้ คือการประกอบมันขึ้นมาใหม่ ทีละเล็ก ทีละน้อย...




วันต่อมาดินก็เริ่มการประกาศงานเลี้ยงของตลาด  ชายหนุ่มทำโปสเตอร์มาแค่แผ่นเดียวแล้วเอาไปติดที่บอร์ดประกาศข่าว พอเดือนถามว่าทำไมไม่เดินแจกดินก็ตอบกลับมาเรียบๆว่า “เดินแจกไปเดี๋ยวมันก็โดนทิ้งไว้ที่พื้น เป็นขยะ สิ้นเปลือง ลำบากแม่บ้าน แผ่นเดียวที่แหละครับแล้วก็ติดประกาศเอา แล้วเดี๋ยวไปให้คุณป้าที่ทำหน้าที่เป็นคนโฆษกประจำตลาดประกาศอีกที” ว่าพลางติดกระดาษเข้าที่บอร์ดก่อนจะเดินนำเดือนไปที่อาคารหลังเล็กข้างตลาด

ภายในอาคารเปิดหน้าต่างกว้าง มีจอขนาดใหญ่ที่รับภาพมาจากกล้องวงจรปิดในตลาด หญิงร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติก  เมื่อเห็นดินกับเดือนเดินเข้ามาก็รีบกระวีกระวาดมาต้อนรับ ดินยิ้มให้หล่อนแล้วบอกข่าวสารการประกาศ  หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งหญิงร่างอ้วนคนนั้นมองมาที่เดือนแล้วยิ้มหวาน พูดขึ้นว่า

“แหม น้องเดือนเป็นดาราสินะคะเนี่ย หน้าตาแบบนี้หล่อแซ่บจริงๆค่ะ” เดือนยิ้มเจื่อน “อันที่จริงผมเป็นนายแบบครับ”

“น้องเดือนร้องเพลงได้หรือเปล่าคะ”

“ก็พอได้ครับ”

เขาเคยเรียนร้องเพลงมาบ้าง ก็ไม่ได้ร้องแย่แต่ก็ไม่ถึงกับเพราะมาก เอาเป็นว่าหากต้องขึ้นแสดงก็ไม่ร้องผิดคีย์จนทำตัวเองขายหน้า 

เมื่อได้ยินว่าเขาร้องเพลงได้ ดวงตาเล็กยิบหยีของคุณผู้หญิงร่างท้วมก็เป็นประกายขึ้นมา “งั้นในวันงานน้องเดือนก็ขึ้นไปร้องเพลงโชว์สักสองสามเพลงสิคะ”

“เออ ผมว่าไม่ดีมั้งครับ”

“โอ๊ย ต้องดีสิคะ  พี่ว่าใครๆก็อยากเห็นแหละค่ะ หนุ่มหล่อขนาดนี้ขึ้นไปร้องเพลง เอาจริงๆต่อให้น้องร้องเพี้ยนจนนกตกลงมาตายแต่พี่ว่าใครๆก็ต้องกล้ำกลืนแล้วบอกว่าน้องร้องเพราะชัวร์ค่ะ ไม่ต้องอายหรอก”

คือ...กูไม่ได้อายครับ แล้วไอ้ร้องเพี้ยนจนนกตกมาตายคืออะไรครับ ด่ากูเรอะ

เดือนคิ้วกระตุก หญิงร่างอ้วนหันไปหาดิน “น้องดินลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณแม่สิคะ”

“ผมว่าเรื่องนี้ต้องแล้วแต่พี่เดือนแหละครับ ตามความสมัครใจพี่เขาเลย”

“แหม น้องดินไม่อยากฟังพี่ชายร้องเพลงเหรอคะ”

คนตัวเล็กยิ้มมุมปาก ดวงตาสีน้ำตาลหลังเลนส์ใสเบนมามองเดือนด้วยแววตาที่บ่งบอกว่า ‘อ๋อ ไอ้หมอนี่หรือครับ ผมกลัวมันร้องเพี้ยนน่ะ ไม่อยากฟังหรอก’ โดนดูถูกเหยียดหยามขนาดนี้พี่เดือนจะทนได้อย่างไร!

“ก็อยากนะครับแต่ผมกลัวพี่เขาร้องเพี้ยน...ไม่ฟังดีกว่า” นั่นไง ผิดจากที่คิดไหม เดือนจ้องหน้าคนตัวเล็กอย่างคาดโทษก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้สาวใหญ่ใจละลาย “โดนเขาท้ามาขนาดนี้...คงอยู่เฉยไม่ได้แล้วล่ะครับ”

ตอนที่พวกเขาออกมาจาห้องทำงานนั้นดินก็หยิกหมับเข้าที่เอวเดือนหนึ่งทีจนคนตัวโตร้องจ๊าก “ทำอะไรเนี่ยน้องดิน!”

“หมั่นไส้”

“หมั่นไส้พี่เรื่องอะไร คนโดนน่ะน่าจะเป็นเรานะ มาว่าพี่ร้องเพลงเพี้ยนแบบนี้”

“หรือไม่จริงล่ะ”

นี่ใครครับ นายรวีกานต์ผู้มาดแมนแอนด์แคนดูเอฟวรี่ติงจิงเกอร์เบลล์นะครับ  กับอีแค่เรื่องร้องเพลง ขี้เล็บมดมากๆ

“หึ เดี๋ยววันงานก็รู้ครับ แล้วนี่เป็นอะไร มาหน้าบึ้งใส่พี่ทำไม”

ดินร้องชิ ปัดปลายนิ้วที่ยื่นมาจิ้มๆตรงหน้าผากเขาอย่างหงุดหงิด  หันมาทำตาเขียวให้เดือน

“แล้วพี่ล่ะจะยิ้มอะไรนักหนา ยิ้มเรี่ยราดไปเรื่อยอ่ะ”

เดือนชะงัก เดี๋ยวนะ ยิ้มเรี่ยราดไปเรื่อย? คืออะไร เขาไปยิ้มให้ใครตอนไหน ที่ยิ้มหวานแบบสุดขีดก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้หลุดกวนตีนคุณป้าเมื่อครู่ หรือว่าดินหึงที่เขายิ้มให้ป้านั่น

“ดิน นั่นคนแก่นะครับ น้องจะหึงทำไม”

“ดินเปล่าหึง”

“ก็ที่หงุดหงิดแง่งๆใส่พี่นี่คือไม่ได้หึง?”

“ชิ ก็หมั่นไส้ ชอบยิ้มไปทั่ว”

เดือนยกแขนพาดคออีกคน เมื่อสำรวจรอบๆแล้วว่าบริเวณนี้ไม่มีใครคนตัวโตโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูดิน

“ยิ้มแบบนั้นน่ะเขาเรียกประจบ แต่ถ้ายิ้มแบบจริงใจน่ะ พี่ยิ้มให้น้องคนเดียวแหละครับ”

ครับ อ่อยหนุ่มแบบพี่เดือนสไตล์ ตอดนิดตอดหน่อย หยอดคำหวานวันละน้อย...หวานเลยครับ

เอิ๊กกก


ครืด ครืด ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋าทำให้ดินผละออกจากเดือน  พอมองเบอร์โทรเข้าก็พบว่าเป็นเบอร์ไม่คุ้น ตอนแรกเขาลังเลที่จะรับสาย เพราะหากเป็นกัณฐพันธ์โทรมาคงยุ่ง แต่เดือนที่เห็นดินจดจ้องอยู่นานก็เอ่ยถาม “ไม่รับเหรอครับ” ดินที่สะดุ้งสุดตัวจำใจกดรับสายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

[ยอมรับสายเสียทีนะ]

น้ำเสียงทุ้มที่คุ้นหูที่ฟังแล้วแสดงความโล่งอกออกมาทำให้ดินได้แต่เม้มริมฝีปาก  กัณฐพันธ์จริงๆด้วย  ชายหนุ่มขยับปากบอกเดือนว่าสายนี้เป็นธุระด่วนโทรมา ขอแยกไปคุยอีกทาง เดือนพยักหน้า ดินจึงเดินเลี่ยงไปยืนห่างจนแน่ใจว่าอยู่ในระยะที่เดือนไม่ได้ยินแล้แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังใช้มือป้องปากกระซิบลงไป

“โทรมาทำไม”

[เดี๋ยวนี้จะโทรหาต้องมีเหตุผลด้วยเหรอครับ]

“สำหรับคนที่ทิ้งผมไปไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะรู้เบอร์โทรศัพท์ผมด้วยซ้ำครับ”

[แต่ก็ยังรับนี่]

“ไม่รู้ว่าเป็นคุณ”

ปลายสายนิ่งไปอึดใจก่อนจะกรอกเสียงตั้งคำถามกลับมา 

[ดินอยู่ไหน อยู่ตลาดหรือเปล่า]

“คุณไม่จำเป็นต้องรู้”

[งั้นเหรอ งั้นพี่เข้าไปรอที่บ้านนะ]

คนตัวเล็กกำโทรศัพท์แน่น ควบคุมตัวเองไม่ให้ตะคอกออกไป ให้คนคนนั้นเข้าไปบ้านไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเกิดดินกลับบ้านพร้อมเดือน กัณฐ์ก็ต้องเจอกับเดือนแน่ๆ สิ่งสุดท้ายที่ตอนนี้ดินอยากให้เกิดคือให้กัณฐ์พันธ์กับรวีกานต์มาเจอกัน

“ไม่ต้อง! โอเค ผมอยู่ตลาด คุณอยู่ที่ไหนครับ”

[อยู่ตลอดเหรอ ได้ รอที่ตรงลานจอดรถด้านหลังนะ พี่กำลังไป]

พูดจบก็ตัดสายไป ไม่รอฟังคำทัดทานจากเขา ให้ตายเถอะ ทำไมผู้ชายแต่ละคนรอบเขาถึงได้เป็นพวกไม่ชอบฟังความคิดคนอื่นนักนะ 

ดินกัดริมฝีปาก กดดันจนเหงื่อกาฬหลั่งเต็มฝ่ามือ เขารีบสงบติแล้วปั้นยิ้มส่งให้เดือน “พี่เดือน พอดีผมนัดเพื่อนไว้ที่ลานจอดรถด้านหลังน่ะ มันจะเอาของมาให้ พี่ไปรอที่รถก่อนเลยได้หรือเปล่า”

“หืม ของเหรอ ให้พี่ไปช่วยถือไหม”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวดินไป แป็ปเดียว พี่เดือนไปรอในรถเถอะ”

“เอางั้นก็ได้”

หลังจากมองส่งเดือนไปดินก็ใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเองไปที่ลายจอดรถด้านหลังตลาด บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบและปลอดคนทำเอาชายหนุ่มใจหายวูบ นึกเสียใจที่ไม่พาเดือนมาด้วย แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่อยากให้ไอ้พี่กัณฐ์มันพูดอะไรแย่ๆออกมา ในตอนนี้ดินไม่อยากให้เดือนมองเขาไม่ดี

ไม่นานนักรถบีเอ็มคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด ร่างสูงโปร่งก้าวลงจากรถ เดินตรงมาทางเขา ดินขบริมฝีปากแน่น  อีกฝ่ายยังเหมือนเดิม ตัวสูง ดูมั่นใจในตัวเองทุกย่างก้าว ดินเคยหลงรักผู้ชายคนนี้จนสุดหัวใจ

‘น้องดินรู้ไหม กัณฐพันธ์แปลว่าอะไร’

‘ไม่รู้ครับ’

‘มันแปลว่าเชือกผูกรอบคอช้าง’ คนตัวสูงยิ้มจนตาหยี เอามือยีหัวเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเหวอส่งมาให้

‘แบบนี้แปลว่าดินเป็นช้างเหรอ’

‘ก็ทำนองนั้นมั้ง’ นิ้วก้อยของงคนตัวโตเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของเด็กหนุ่ม ทันใดนั้นรอบข้างของดินก็กลายเป็นสีเทา แต่เขาไม่ได้รู้สึกทุกข์ทรมานเพราะการมองเห็นด้ายแดงอีกแล้ว มันอาจจะเป็นเพราะมีคนคนนี้อยู่ด้วย คนที่มองเห็นโลกในแบบที่ดินเห็น

เส้นด้ายสีแดงของพวกเขาสองคนเชื่อมกันเป็นเส้นเดียว

ด้ายแดงที่ผูกเนื้อคู่และรักแท้ให้มาเจอกัน...

‘ดูเหมือนว่าช้างน้อยตัวนี้จะต้องอยู่กับพี่กัณฐ์ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ’


มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๖ อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก {๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 02-03-2016 21:38:34
ต่อค่ะ


“ยังไม่หายอีกเหรอครับ ไปทำอะไรมาน่ะ  ทำไมถึงเจ็บไปทั้งตัวแบบนี้” กระแสเสียงเจือความห่วงใยทำให้ดินเจ็บร้าวไปทั้งใจ  เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้เขาต้องเข้มแข็ง จะมาอ่อนแอแบบเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว

เขาอยากกลับไป...อยากกลับไปหาพี่เดือนของเขาแล้ว

“คุณมีธุระอะไร” ดินเงยหน้าขึ้น ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองอีกฝ่าย ไม่หลบตา “มีธุระอะไรก็รีบพูด ผมยังมีงานต้องทำ”

“เปล่า...พี่แค่...แค่อยากจะมา...”

“ถ้าจะมาขอโทษก็กลับไปเถอะครับ ผมไม่ต้องการ”

“ดิน...”

เพี๊ยะ

ดินปัดมืดอีกฝ่ายที่เอื้อมมาหาเขาทิ้ง นิ่วหน้าเมื่อเผลอลงน้ำหนักไปบนเท้าข้างที่บาดเจ็บ “ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ขอตัว”

“พี่อยากให้ดินช่วย”

น้ำเสียงเร่งรีบที่ตะโกนมาทำให้ดินหยุดเดิน เขาหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง  “ช่วยอะไรครับ”  สีหน้าของกัณฐพันธ์ดูลังเล เขาเหลือบมองดินด้วยความกระอักกระอ่วนก่อนจะหลบตา ก้มหน้ามองพื้น

“พี่อยากให้ดินช่วยผูกด้ายแดง”

กึก

ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มผมดำหรี่ตาลง  ความไม่ชอบใจแล่นริ้วขึ้นมา  เขาอยากจะแค่นเสียงหัวเราะออกมา ถ่มความไม่พอใจและความสมเพชรดหน้าผู้ชายตรงหน้า

“อะไรทำให้คุณคิดว่าผมจะช่วย ตอบสิครับ คนที่ทรยศผมไปอย่างคุณ มีอะไรให้ผมอยากช่วยเหลือกัน”

“อย่างน้อย...ก็อยากให้เห็นแก่ช่วงเวลาที่เราเคยรักกัน”

“ดูละครมากไปเหรอครับ นี่ฟังนะ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมน่ะรักคุณมากแค่ไหน จำได้แค่ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยมีผู้ชายห่วยๆมาทำให้ชีวิตผมแย่ลง”

“ดิน! ไม่น่ารักเลยนะ!”

กัณฐพันธ์ตะคอกใส่เขา ดินเผลอถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เขากลัวเสมอเวลาที่คนตัวโตโมโห  ชายหนุ่มจึงรีบเปลี่ยนเรื่องไปพูดเรื่องอื่นอย่างว่องไว ไม่เข้าใจว่าจะทำตัวเหมือนตัวเองเป็นคนผิดไปทำไม ในเมื่อเขาไม่ผิด “แล้วจะให้ช่วยผูกด้ายแดงของใคร”

“ของพี่...กับปิ่นฟ้า”

ชื่อนั้นทำให้คนผมดำรู้สึกเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบหัวเขาแรงๆ แต่ถ้านี้เป็นการชกมวย มันคงจะเป็นแค่หมัดแรก เพราะคำพูดต่อไปที่กันฐพันธ์พูดเป็นเหมือนหมัดฮุคชกเข้ามาจนดินล้มลงไปกองกับพื้น
 
“พี่กับปิ่นฟ้ากำลังจะแต่งงานกัน เลยอยากให้ดินผูกด้ายแดงให้ เราจะได้...ไม่มีอุปสรรคอะไรมาแยกจากกันอีก”


ดินไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าแบบไหนออกไป ความเจ็บปวด แผลเก่า และเงาของผู้ชายคนนี้ในใจเขากำลังฉีกทึ้งอดีต ทุกสิ่ง  มันเจ็บปวด แต่ไม่ได้เจ็บมากถึงขนาดจะพังทลายตัวตนของเขาได้อีกแล้ว น่าแปลกที่ดินรู้สึกว่ามันไม่ได้เจ็บมากที่ควร

“อ๋อ งั้นเหรอครับ ผมควรพูดว่าอะไรดี ยินดีด้วยนะครับ รักครั้งแรกของผมกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่แย่งคุณไปจากผม แล้วผมควรทำไงดี ส่งพวงหรีดไปอวยพรดีไหมครับ?”

สีหน้าตกตะลึงของกัณฐพันธ์ทำให้ดินยิ่งสะใจ สมัยก่อนผู้ชายคนนี้เจอแต่ตัวเขาเวอร์ชั่นเด็กดี แต่เขาไม่ใช่น้องดิน เด็กผู้ชายใสซื่อที่เสียใจจะเป็นจะตายอีกแล้ว

สี่ปีกับความเจ็บปวดและความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ดินโตขึ้น

“พี่ขอโทษ...คนผิดคือพี่เอง...ปิ่นฟ้าไม่ผิด”

“ผมไม่สนว่าใครจะผิดใครจะถูกอีกแล้ว แล้วทำไมคุณไม่ผูกด้ายแดงให้ตัวเองซะล่ะ”

“พี่ลองแล้ว แต่ทำไม่ได้...พี่เลยมาขอร้อง”

ดินมองร่างสูงด้วยสีหน้าเย็นชา  เขาไม่เข้าใจตรรกะความคิดของคนๆนี้เลยจริงๆ

“ไหนคุณลองตอบผมสิครับ คุณกัณฐพันธ์ ทำไมผมต้องช่วยให้ผู้ชายกับผู้หญิงที่ร่วมกันหักหลังผม ทำให้ผมทรมานแทบเป็นแทบตายมีความสุขด้วย เอาสมองส่วนไหนคิดไม่ทราบครับ?”

เมื่อเห็นอดีตคนรักกำลังจะเอ่ยปากแย้งดินก็พูดขัดขึ้นมา “แล้วไม่ต้องมาอ้างเรื่องความรักครั้งเก่านะครับ นี่ไม่ใช่ละครไทย อีกอย่างผมเองก็มีคนรักใหม่แล้ว...ทุกสัมผัส...ทุกความรักของคุณน่ะ ถูกเขาถมทับจนหล่นหายไปหมดแล้วล่ะครับ”

แวบหนึ่ง...หากดินไม่ได้ตาฝาด เขาเห็นร่องรอยความปวดร้าวระคนตกใจพาดผ่าน

“ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะนะครับ เราอย่าได้เจอกันอีกแล้ว”

ทันทีที่ร่างเล็กหมุนตัวกลับไป ดินก็พบว่าร่างของเขาลอยขึ้น ชายหนุ่มหันไปด้านหลังอย่างตกใจก่อนที่ใบหน้าของเขาจะถูกมือที่แข็งแรงราวคีมเหล็กบีบแน่นจนปวดแผล ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะบดเบียดลงมา

พลั่ก

ดินทั้งทุบ ทั้งผลัก ทั้งเตะ แต่ร่างกายบอบช้ำของเขาสู้แรงคนตัวโตที่มีสภาพแข็งแรงแบบนี้ไม่ได้ ไม้ค้ำเขาหล่นลงไปที่พื้น ร่างถูกยกจนลอย ระหว่างที่ปลายลิ้นอุ่นรุกไล่เข้ามาในโพรงปาก  ชายหนุ่มร้องตะโกนอู้อี้ รู้สึกเจ็บปากไปหมดเมื่อจูบนั้นบดขยี้เขาราวกับอยากให้แตกสลาย

“เหรอครับ ลืมไปหมดแล้วจริงๆเหรอ สัมผัสพวกนี้น่ะ” เสียงทุ้มพร่าดังชัดเจนเมื่อเจ้าของเสียงกระซิบชิดริมฝีปากเขา 

ไม่ใช่...ตัวเขาไม่รู้จักสัมผัสนี้ ไม่ใช่สัมผัสในแบบที่เขาคุ้นเคย

พี่กัณฐ์คนนั้นมันจะจูบเขาอย่างอ่อนโยน แตะต้องเขาด้วยความรัก ไม่ใช่จูบเขารุนแรงและทำลายเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวราวพายุโหม

นี่ไม่ใช่...รักแรกที่ดินเคยรู้จักอีกแล้ว

“ฮึก...”

เสียงสะอื้นที่หลุดรอดออกมาทำให้กัณฐพันธ์ชะงัก เขาผละออกมาด้วยสีหน้าตกใจ รีบวางร่างเล็กลงบนพื้น  ดินโซเซ ใช้หลังมือเช็ดปากของตัวเอง บอกไม่ถูกว่าระหว่างโกรธกับขยะแขยงความรู้สึกไหนมันมากกว่ากัน

พี่เดือน...ช่วยด้วย...

“ดิน พี่ขอ...”

ผัวะ

ดินเบิกตาค้าง เมื่อร่างสูงของอดีตคนรักถูกใครบางคนกระแทกออกไปจนล้มไปกองกับพื้น  ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของนายรวีกานต์จะตามไปกระชากร่างนั้นขึ้นมาแล้วกระหน่ำต่อยลงไปที่ใบหน้านั้นไม่ยั้ง  “แก-ทำ-อะ-ไร-ดิน!” ทันทีที่ได้ยินเสียงคำรามชื่อเขาดินก็ได้สติขึ้นมาทันที เขาก้มลงหยิบไม้ค้ำ ประคองตัวเองไปหาเดือน

“พี่เดือน...พี่เดือน พอแล้ว พอแล้วครับ”

ชายหนุ่มตัวสูงหยุดมือเมื่อร่างเล็กเดินมาแตะแขนเขา “พอแล้ว เดี๋ยวเขาก็ตายหรอก”

กัณฐพันธ์ลุกขึ้นยืน ปาดเลือดที่มุมปาก  แล้วทันใดนั้นร่างใหญ่ก็พุ่งมาซัดหมัดหนักๆเข้าที่แก้มเดือนจนร่างสูงเซถอยหลัง   
“เหอะ แกเองเหรอที่เป็น ‘คนรักใหม่’ น้องดินน่ะ” 

“คุณกัณฐ์!”

“ทำไมไม่เรียกพี่ว่าพี่กัณฐ์แบบเมื่อก่อนแล้วล่ะ น้องดิน อ้อ เดี๋ยวนี้มีคนให้เรียกพี่คนใหม่แล้วนี่นะ”  ร่างสูงปรายตามองเดือน  ชายหนุ่มเดินเข้าไปกระชากคอเสื้ออดีตนายแบบขึ้นมา กระซิบเสียงต่ำอย่างข่มขู่  “แกจำเอาไว้นะ  อะไรที่แกเคยทำกับน้องดิน ฉันก็เคยเหมือนกัน...แกมันก็แค่คนมาที่หลัง”

“แกน่ะแทนที่ฉันไม่ได้หรอก”

เดือนถ่มน้ำลายใส่อีกฝ่าย เขาสะบัดตัวออกมา เดินเข้าไปประคองร่างของดินที่ดูเหมือนกำลังโกรธจนตัวสั่น  แต่กัณฐพันธ์กลับเดินไปถึงร่างเล็กก่อนเขา  “ดินเคยจับด้ายแดงของหมอนี่หรือยัง”

“ย...ยัง”

“หึ ลองตรวจอะไรๆหน่อยก็ดีนะ” ลากเสียงยาวพลางหันกลับไปสบดวงตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใดของเดือน “เดี๋ยวจะโดนมันตลบหลังเอา”

“กรุณาอย่าเอานิสัยตัวเองมาตัดสินคนทั้งโลกครับ ใช่ว่าคนอื่นจะเลวเหมือนคุณกับชู้ของคุณ”

ดินใช้ไม้ค้ำข้างหนึ่งฟาดแรงๆเข้าที่หน้าแข้งอีกฝ่าย  กัณฐพันธ์ทรุดตัวลงกุมหน้าแข้งที่ปรากฏรอยแดงขณะที่ดินเดินไปหาเดือน กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายให้ออกเดินไปด้วยกัน “ไปกันเถอะครับ เราหมดธุระกับเขาแล้ว”

แล้วดินก็เดินจากไป ทิ้งความทรงจำและคนรักเก่าให้กองรวมกันอยู่ตรงนั้น




ทันทีที่มาถึงรถ ชายหนุ่มผมดำรีบตรวจแผลบริเวณใบหน้าของเดือนทันที แต่คนตัวโตก็แค่จับมือเขาออกอย่างนิ่มนวลด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ท่าทางแบบนั้นทำให้ดินถึงกับใจเสีย

“ไหนดินบอกว่ามาหาเพื่อน” ดินก้มหน้าลง  ความกลัวและความละอายผุดขึ้นมา  ถ้า...ถ้าหากเดือนทิ้งเขาล่ะ...เขาจะทำยังไง
“ดินขอโทษนะ...ฮึก...ดินแค่...แค่ไม่อยากให้เขาเจอพี่เดือน”

“ไม่ต้องร้องไห้” ร่างสูงดึงเขาไปกอด “พี่แค่สงสัยว่าดินโกหกพี่ทำไม”

“ดินกลัวเขาพูดไม่ดีกับพี่เดือนแล้วพี่จะสงสัย...ระแวงดิน...แล้วก็ทิ้งดิน”

“พูดแบบนี้พี่เสียใจนะ  พี่สัญญากับดินแล้วไม่ใช่หรือไงว่าพี่จะไม่ทิ้งดิน ทำไมไม่เชื่อใจกันเลยหืม “ ร่างเล็กกัดสูดลมหายใจ  พยายามกลั้นน้ำตา  “ก็...ขนาดเขายังสัญญาไว้เสียดิบดี แต่สุดท้ายก็ทิ้งดินไป...ไปกับคนอื่น”

เขาก็เลยกลัวจะถูกทิ้งอีกครั้ง กลัวว่าความเชื่อใจจะถูกทำลายอีกหน

“ดิน...” นายแบบหนุ่มดันตัวคนสำคัญของเขาออกจากอ้อมกอด  เขาเป็นห่วงมากตอนที่ดินหายไปนาน ตกใจมากเมื่อเดินไปที่ลาจอดรถด้านหลังแล้วพบว่าอีกฝ่ายกำลังจูบอยู่กับใครไม่รู้

และโกรธจนแทบจะฆ่าไอ้หมอนั่นให้ตายคามือเมื่อพบว่ามันกำลังทำอะไรกับดิน

แล้วประโยคที่มันพูดกับเขา...เดือนไม่ได้ใส่ใจเลย

มันจะเป็นคนแรกแล้วไง  เขาจะมาที่หลังแล้วยังไง  เขารักดินและจะทำให้น้องรักเขาให้ได้ เขาคือปัจจุบัน ส่วนไอ้หมอนั่นคืออดีตเฮงซวยที่จบไปแล้ว เดือนไม่สนใจหรอกว่าเงาของมันในใจดินจะมากมายเท่าไหร่

แต่เขาจะถบทับมันลงไป...ลบทุกตัวตนของมันลงไปด้วยสัมผัส...ด้วยตัวตนของเขา

ความรักของเขาไม่ใช่การแย่งชิง แต่มันคือการให้ความรักกับใครคนหนึ่งไปจนหมดใจ และเดือนเองก็อยากจะมอบความรักนั้นให้ดิน  ความรักของเขาเป็นของดิน  ดังนั้นไม่ว่าอดีตของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร เดือนก็ไม่สนใจ

“มันจูบดินใช่ไหม” น้องน้อยของเขาพยักหน้า  เดือนจึงเอื้อมไปรั้งใบหน้าอีกคนเข้ามา แล้วประทับริมฝีปากลงไป  ลบรอยจูบอันรุนแรงด้วยความอ่อนโยน อ่อนหวาน  เป็นจูบที่ดินเองก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกมาดินก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

“เขา...เป็น...เป็นคนรักเก่าของดิน...เป็นคนที่มองเห็นด้ายแดงเหมือนดิน แล้วก็ตามหาดินจนเจอ เขาเคยเป็นเนื้อคู่ของดิน แต่ว่า...เขา...เขากลับเลือกที่จะทิ้งดินไปกับคนอื่น” เหยียบย่ำทุกคำสัญญาที่เคยมีให้แก่กัน  “มันเหมือนจะตายเลยพี่เดือน ฮึก วันที่เรารู้ว่าเรารั้งเขาไว้ไม่ได้อีกแล้ว  ดินเลือกที่จะลืม พยายามลืม...แต่ว่าเขาก็...หายไปจากใจดินไม่ได้เสียที  สัมผัสของเขา น้ำเสียง มันเหมือนประทับอยู่ทั่วทุกที่ที่ดินไป มันยากมากกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้”

ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่ความทรงจำที่ฉีกทึ้งทำลายทุกสิ่ง

“แต่ว่าดินไม่ได้โกหกนะ ที่ดินบอกว่าชอบพี่” คนตัวเล็กรีบพูดออกมาด้วยเกรงว่าคนตัวสูงจะเข้าใจผิด “ดินชอบพี่จริงๆนะ กับคุณกัณฐ์ก็จบไปแล้ว ดังนั้น...ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไรกับพี่ก็อย่าไปฟัง  เชื่อใจดินนะ เชื่อใจดินแค่คนเดียว”  พูดมาขนาดนี้แล้ว จะให้ไอ้เดือนน้อยใจหรืองอนไปเพื่ออะไร  ชายหนุ่มอมยิ้ม  พยักหน้ารับให้อีกคนคลายใจ  เมื่อเห็นแบบนั้นดินก็ยิ้มตอบกลับมา เป็นรอยยิ้มที่เดือนชอบมากที่สุด

วันนี้ความรักของดินยังไม่เป็นของเขา แต่สักวันมันจะเป็นของเขา

“แล้วก็...สัญญากับดินได้ไหมพี่เดือน”

“ครับ?”

“ดินไม่ห้ามถ้าวันไหนพี่จะไม่เลือกดิน  แต่ขอร้อง  อย่าทำอะไรลับหลังดิน  ถ้าจะไป...ก็แค่พูดมาแล้วก็เดินจากไป แค่นั้นพอ  มีอะไรไม่ชอบก็บอกกันตรงๆ”  ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำเอนลงมาซบกับอกเขา  “บอกดินแล้วดินจะปล่อยให้พี่ไป...แต่อย่าจากไปด้วยการทรยศดินเลยนะ...ดินคงทนไม่ได้”

“ถ้าครั้งนี้พี่หักหลังดินไปอีกคน ดินต้อง ‘พัง’ ลงไปแน่ๆ”  ตัวตนของเขาเคยพังทลายมาแล้วสองครั้ง...และครั้งที่สามนี้ หากเดือนทรยศเขาอีก 

นายปฐพีคนนี้คงแตกสลายแล้วจริงๆ

เดือนโอบกอดคนที่เขารักเอาไว้แน่น  “ได้สิ พี่สัญญา”

ระหว่างที่พวกเขากำลังโอบกอดกัน โทรศัพท์ของเดือนก็แสดงให้เห็นว่ามีคนโทรเข้ามา แต่เดือนไม่ได้ใส่ใจจะรับสายเนื่องจากเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก ปกติเขาปิดเสียงทุกอย่างแม้กระทั่งการแจ้งเตือนแชท เฟซบุ๊คและไลน์  ตอนขับรถก็โยนมันไว้บนกองผ้าขนหนูด้านหลังรถดินจึงไม่ทันสังเกต เดือนรอจนมันตัดสายไป เขาจึงหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา  ขณะที่มืออีกข้างก็โอบกอดเด็กน้อยที่ร้องไห้เอาไว้

แล้วทันใดนั้นข้อความไลน์จากอารัณย์ก็เด้งขึ้นมา  ชายหนุ่มกดเข้าไปอ่าน  มันเป็นข้อความสั้นๆที่ทำให้หัวใจของเขาร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

RunRunArt : ไอ้เดือน  ญี่ปุ่นกำลังโทรหามึง 14: 30 PM


************************************************

โอ๊ยยย เรื่องราวกำลังเข้มข้นนน ตอนเขียนก็แอบรู้สึกนะว่าเราใจร้ายกับน้องดินไปหรือเปล่านี่
ชีวิตนางทำไมเจอแต่คนแย่ๆ แต่เราก็จะยังสตรองและเป็นกำลังใจให้น้องดินต่อไป :katai2-1:

หลังจากนี้จะเป็นการขมวดปมปัญหาทุกอย่างแล้วค่ะ  ในที่สุดเนื้อหาก็เข้าสู่จุด...ที่กำลังจะดำเนินไปจุดพีค 5555
เรามาเอาใจช่วยพี่เดือนและน้องดินกันเถอะค่ะ! ฝากพี่น้องสองด.ไว้ในอ้อมใจคนอ่านทุกคนด้วยนะคะ

ปล.ลิง อีกประมาณสองสามตอนเตรียมทิชชู่ไว้ด้ว-- //จะเอามาซับเลือดหรือน้ำตาก็ไม่รู้นิ #ทำหน้าแบบหนูไม่รู้  :-[
 

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๖ อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก {๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 02-03-2016 22:15:23
มาม่าของพี่เดือนรสชาติต้องทรมาณกระเพาะแน่ๆเลย  :o11:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๖ อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก {๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-03-2016 00:12:48
ใครร
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 05-03-2016 20:12:14
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๗
มือที่มอบความกล้าหาญ


    หนึ่งอาทิตย์ต่อมาการเตรียมงานเลี้ยงประจำตลาดก็ดำเนินไปท่ามกลางความยุ่งวุ่นวายจนหัวแทบปั่นของเดือนและดิน  ในที่สุดหลังรอยฟกช้ำและบาดแผลเล็กๆน้อยๆตามร่างกายดินก็เริ่มหายเป็นปกติทำให้เจ้าตัวกลับมาลุยงานอีกครั้งโดยไม่สนใจว่าเฝือกและไม้ค้ำพยุงร่างกายจะเป็นอุปสรรคกับชีวิตจนสุดท้ายเดือนต้องยึดไม้ค้ำมาแล้วขู่ว่าถ้าดินไม่ยอมพักผ่อนจะจับมัดแล้วขังไว้ในห้อง

    “พี่ทำจริง” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำ จ้องตาสีน้ำตาลเข้มของน้องชายต่างสายเลือดที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด “แล้วอย่าคิดจะลองดีนะดิน บอกให้นอนก็นอนสิ ตาดำเป็นแพนด้าแล้วเห็นไหม” เดือนบ่นพลางดึงน้องชายที่ทำท่าอิดออดจะไปเคลียร์เอกสารต่อตรงไปยังเตียงนุ่ม

    ให้ตายเถอะ เด็กคนนี้มันใช้ชีวิตประหลาดขนาดไหนกัน  ถ้าเป็นคนอื่นคงอยากสะบัดกองงานแล้วกระโดดทิ้งตัวลงบนเตียง แต่เด็กดินนี่กลับไม่อยากนอนอยากทำแต่งานเสียอย่างนั้น

     “อย่าได้คิดจะลุกมาทำตอนกลางคืนเชียวนะน้องดิน” เดือนพูดดักทางอย่างรู้ทันคนตัวเล็ก “ถ้าพรุ่งนี้ไม่อยากตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองโดนมัดติดกับเตียงก็นอนไปซะดีๆไอ้เด็กดื้อ” ว่าพลางเดินไปปิดไฟ  หลังจากรอให้ดวงตาชินกับความมืดแล้วเดือนก็คลำทางกลับมาที่เตียง  สอดตัวลงไปในผ้าห่มได้สำเร็จ  เขาตะแคงข้าง ลากร่างเล็กๆมากอดให้ชื่นใจ ก่อนจะโน้มตัวไปจูบหน้าผากอีกฝ่ายหนึ่งที

     “ฝันดีนะครับน้องดิน”

     “ฝันดีครับพี่เดือน”

      หลังจากบอกฝันดีกันเสร็จเดือนก็หลับตา ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้นอนกอดน้องเพราะกลัวน้องอึดอัดแล้วตัวเขาจะเผลอไปทับเฝือกน้องโดยไม่รู้ตัวด้วย ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังได้ยินว่าลมหายใจของดินสม่ำเสมอไปแล้ว  เดือนค่อยๆยันตัวลุกขึ้น  ลุกออกจากเตียงให้เบาที่สุด พยายามเดินไม่ให้พื้นไม้กระดานลั่นระหว่างที่ตรงไปที่ประตู  ชายหนุ่มเปิดประตูก่อนจะหันไปมองคนที่หลับสนิทบนเตียงแวบหนึ่งแล้วค่อยๆผลุบออกจากห้องไป

       เดือนเดินตรงมาที่ห้องนอนของตัวเอง เขาเปิดเฉพาะโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน หลังจากแสงสว่างสีขาวแสบตาสว่างขึ้น เผยให้เห็นโต๊ะเขียนหนังสือที่มีกองกระดาษแล้วแฟ้มงานวางอยู่เต็มไปหมด  ทั้งหมดนี่คือแผนงานที่เดือนมีส่วนรับผิดชอบและที่เขาไปปล้นดินมาได้

       เดือนอยากให้ดินของเขาพักผ่อนเยอะๆ แต่ตัวเขาในยามปกติก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้มาก เรื่องการติดต่อประสานงานดินก็รับทำคนเดียว โทรศัพท์ดังจนหัวหมุนแทบทั้งวัน

       มีแต่เวลาแบบนี้แหละที่เดือนช่วยได้...ถึงจะช่วยไม่ได้มาก แต่ถ้ามันลดภาระบ่นบ่าเด็กคนนั้นไปได้เขาก็ยินดี

       เขาจะช่วยดินประมาณค่าใช้จ่ายและทำบันทึกรายรับรายจ่ายในงาน...ถึงแม้เขาจะไม่เก่งการคำนวณ  แต่เดือนก็ขอให้คุณแม่ช่วยสอน  งานแบบนี้จะพลาดไม่ได้ ทุกค่ำคืนเขาจึงจมอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวนี้ เพ่งดูตารางและตัวเลขที่สับสนลายตา กดเครื่องคิดเลขทวนซ้ำไปมาจนกว่าจะได้ยอดตรงตามความเป็นจริง แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาจะเอาสมุดและแผนงานไปให้คุณแม่ตรวจเช็คอีกที

      ทุกคืนเขาจะมานั่งจัดลำดับการแสดงบนเวที เตรียมหาคนมาเป็นพิธีกร จัดทำรายการของที่ต้องใช้  ถึงมันจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่เดือนก็อยากให้มันช่วยแบ่งเบาภาระดินไปได้บ้าง

      วันนี้เขาปล้นเอกสารสำหรับการจัดแผนผังร้านค้ามาได้  ในงานจะมีทั้งของแจกฟรีและร้านค้าขายของ  แถมงานนี้เป็นงานใหญ่ คนมากันเยอะทุกปีอยู่แล้ว เป็นงานที่มีชื่อของอำเภอเลยก็ว่าได้ ดังนั้นแม่ค้าทุกคนก็ย่อมอยากนำของมาขาย ใครจะอยากมายืนเฝ้าซุ้มแจกของฟรีแล้วทำกำไรตัวเองหดหายกัน แต่มันก็ต้องมีคนเสียสละ

      เดือนเดาะลิ้นพลางดูว่ามีใครเสนอขายอะไรในงานบ้าง ชายหนุ่มหยิบกระดาษขนาดใหญ่ที่ตีเป็นสี่เหลี่ยมแล้วมีหมายเลขกำกับออกมา นี่คือผังที่ตั้งร้านค้า หลังจากนั่งดูรายชื่อคนเสนอขายของเป็นรอบที่สามชายหนุ่มก็เขียนตำแหน่งร้านค้าลงไปด้วยดินสอ จะอย่างไรก็ต้องรอให้น้องดินกับคุณแม่อนุมัติก่อนอยู่ดี

    เดี๋ยวเสร็จจากนี่ก็ต้องมาคิดเรื่องการแสดงบนเวทีอีก...เมื่อวานปราณเสนอมาว่าตัวเองกับเพื่อนๆจะขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีให้ 

     ‘เอาอยู่อยู่แล้วจ้ะ วงปราณดังน้าพี่เดือน เขารู้จักกันทั้งอำเภอ’

     ‘ไอ้ได้น่ะมันก็ได้ แต่...’ เดือนเว้นวรรค เผยสีหน้าไม่แน่ใจออกมา ทำเอาคนผิวแทนร่างเล็กถึงกับสงสัย ‘แต่อะไรเหรอจ๊ะ’

     แต่เฟิงมันจะยอมเหรอครับ...

      พี่ไม่อยากให้มีมหกรรมดูคอนเสิร์ตอยู่ดีๆก็อิ่มข้าวแกงและส้นเท้านะครับ  ดูท่าแล้วมันคงไม่มาแค่กระทะกับตะหลิว เกิดน้องปราณยักย้ายส่ายเอวมากไป ปังตอลอยมาเฉาะหัวกูคนแรกเลยนะครับ

      ‘ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ  ปราณมืออาชีพ’ น้องปราณที่เข้าใจผิดไปคนละโยชน์รีบพูดเพราะนึกว่าพี่เดือนหมายความว่าตัวเองจะเต้นได้ไม่ดี  ร่างเล็กขยิบตาอย่างซุกซน ไม่ได้สนใจเลยว่าหนุ่มตี๋ร้านขายข้าวแกงถลึงตามองแล้วมองอีก ในขณะที่เดือนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อปราณปิดท้ายประโยคด้วยคำพูดที่ว่า

      ‘ให้พวกปราณขึ้นนี่แหละจ้ะ  ไม่ต้องห่วงนะพี่เดือน  ปราณจะเต้นให้ซี้ดไปตามๆกันเลยจ้ะ

      น้องถามปังตอกับ(ว่าที่)แฟนน้องก่อนไหมครับว่าพร้อมจะให้พวกพี่ซี้ดมั้ย...แต่ไอ้รวีกานต์ว่ามันก็น่าจะซี้ดนะ

      เสียวสะท้านเพราะหวาดหวั่นมีดบินแฟนมึงเนี่ย ไอ้น้องปราณ!

      แต่เมื่อรับปากไปแล้วก็พูดอะไรไม่ได้อีกประกอบกับดินก็ยุเขาเป่าหูเช้าเย็นว่าให้เอาวงปราณขึ้นเวที จนสุดท้ายเขาก็ต้องยอม  แถมจัดเวลาให้เต็มๆเลยด้วยครึ่งชั่วโมง เต้นกันไปให้เป็นลมแม่งคาเวทีนั่นแหละ  เดี๋ยวมันล้มเมื่อไหร่ไอ้น้องเฟิงก็ขึ้นไปเก็บเอง

      เดือนเคาะปากกาลงกับกระดาษอย่างครุ่นคิด  ก่อนหน้าวงน้องปราณก็จะเป็นการประกวดนางงามตลาดสดตามด้วยการแสดงของเด็กน้อยอายุประมาณ 5 ขวบถึง 10 ขวบในตลาด  ตลาดของคุณนายมะลิเขาใหญ่ ลูกเด็กเล็กแดงก็เยอะ  นานๆทีพวกแม่ๆก็อยากให้ลูกออกมาโชว์ฝีมือบ้าง

      ส่วนพวกการแสดงตอนกลางวันยังไม่ได้คิด เอาไว้ทีหลังก็ได้  การประกวดนางงามนี่รอบตัดสินจะเป็นการโหวตจากคนดูโดยใช้ดอกไม้สินะ   ชายหนุ่มเขียนรายการดอกกุหลาบที่จะให้เจ๊ลี่เอามาสำหรับการประกวดนางงามตลาดสดลงไปในใบรายการของ  อืม...แล้วหลังจากการแสดงของน้องปราณก็จะเป็นพวกนักร้องและแดนเซอร์คนอื่น ทั้งที่ไปเชิญมาและที่สมัครเข้ามาอีกสองวง ก่อนจะเป็นรายการเพลงที่เปิดให้คนทั้งตลาดซึ่งเป็นพวกป้าๆลุงๆลุกขึ้นมาตั้งวงกัน เอาง่ายๆก็เซิ้งนั่นแหละ

      แต่ก่อนหน้ารายการนั้นจะใส่อะไรลงไปดี  คั่นรายการอีกสักห้าถึงสิบนาที...

      เดือนเอนหัวซบลงกับแขนตัวเอง  นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาตีหนึ่งครึ่ง  ตอนนี้เขาชักจะเพลียแล้วเหมือนกัน ตอนกลางวันก็เผลองีบไปบ่อยๆไม่รู้น้องจะจับได้หรือเปล่า  เกิดรู้ว่าเขาห้ามอีกฝ่ายเสียดิบดีแต่กลับแอบลุกมาทำงานเองแบบนี้ต้องโดนบ่นแล้วก็โดนถล่มยับแน่ๆ  ดีหน่อยที่ช่วงนี้ไม่ต้องขับรถเอง เพราะคุณแม่จะอยู่ที่บ้าน  จะไปไหนก็วานให้พี่เก่งคนขับรถที่ปกติจะทำหน้าที่ไปรับไปส่งคุณแม่ให้พาไปได้ เดือนเลยแอบงีบบนรถได้บ้าง

      จะว่าไปแล้วดินเองก็เป็นคนแรกเลยที่เดือนทุ่มเทอะไรให้มากขนาดนี้ ปกติชายหนุ่มไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้างนักหรอกว่าจะทำอะไร  กับคนรักคนเก่าก็ใส่ใจกันทั่วไปตามประสาคนรัก หากอีกฝ่ายทำงานหนักเขาก็จะเตือน เตือนไม่ฟังก็จะบ่น บ่นแล้วยังไม่ฟังเขาก็จะปล่อยเลยตามเลย  มีแต่ดินนี่แหละที่ทั้งขู่ทั้งบ่น แล้วยังทำบ้าๆอย่างการลุกมาแอบทำงานแทนอีกฝ่ายตอนดึกอีก

      ทำไมถึงเป็นได้ขนาดนี้...

       หลายครั้งที่เดือนนึกสงสัยว่าอะไรทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้  ทั้งที่ตอนแรกก็ออกจะไม่ชอบหน้ากันแท้ๆ  มันอาจจะเป็นเพราะความสงสาร ความใกล้ชิด หรือความผูกพันเดือนก็ไม่รู้   เขารู้แค่ว่าตอนนี้เขารักดิน ความรู้สึกที่ชัดเจนมีเพียงหนึ่งเดียวในใจ และเท่านี้ความรู้สึกและความสงสัยอย่างอื่นก็ไม่จำเป็นต้องถูกนำมาขบคิดให้มากความ

       แสดงออกว่ารักให้เต็มที่ในทุกวันก็พอแล้ว

       ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับคุณป้าประชาสัมพันธ์ของตลาดขึ้นมาได้ 

       ‘ทำไมน้องเดือนไม่ลองขึ้นไปร้องเพลงดูล่ะคะ’

        จริงด้วย ตั้งแต่บอกจะจีบน้องดินมาเขายังไม่เคยร้องเพลงรักให้อีกฝ่ายฟังสักครั้งเลยนี่หว่า...เดือนอมยิ้มเมื่อนึกถึงคำท้าที่ดินกล่าวท้าเขาไว้ด้วย

       หึ  หาว่าพี่เดือนร้องเพลงไม่เพราะ?

      เจอเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่หน่อยเลยก็แล้วกันนะน้องดิน

      แกรก

      เสียงเปิดประตูทำให้เดือนสะดุ้ง  รีบยัดกระดาษลำดับการแสดงคร่าวๆลงไปในกองเอกสาร พอเงยหน้ามองก็เห็นคนผมดำยืนกอดอกหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ตรงประตู  ดินจ้องหน้าคนตัวโตเขม็งก่อนจะเดินเข้ามาแล้วงับประตูปิดอย่างแผ่วเบาด้วยว่าคุณพ่อกับคุณแม่นอนอยู่ห้องถัดไปนี่เอง   ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเดินมาถึงโต๊ะทำงาน  พอมองปราดไปที่โต๊ะก็ขบริมฝีปาก  ขมวดคิ้วมุ่น
 
      “ไหนบอกห้ามดินทำงานไง” น้ำเสียงที่ปกติจะนุ่มยามนี้กลับแฝงความหงุดหงิดและคาดคั้นจนเดือนได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนไปให้  “ก็ห้ามดินทำแต่พี่ไม่ได้ห้ามตัวเองทำนี่นา”

     พอได้ยินคำตอบคนตัวเล็กก็หรี่ตาลงทำเอาเดือนเสียวสันหลังวูบ

     “งั้นเหรอครับ  มิน่าล่ะช่วงนี้งานถึงได้เดินไวผิดปกติ  พี่เดือน...ดินดีใจนะที่พี่ทำอะไรแบบนี้ แต่ถ้าแลกมาด้วยสุขภาพพี่มันไม่คุ้มเลย  พี่บอกดินเองไม่ใช่เหรอว่าถ้านอนดึกแล้วสุขภาพจะทรุดโทรมน่ะ”

       “แต่พี่ไม่เป็นไร แข็งแรงมากบอกเลย” ว่าพลางทำท่าเบ่งกล้ามโชว์ ซึ่งดินก็ได้แค่กุมขมับและคิดในใจว่ามันเป็นท่าที่ปัญญาอ่อนสิ้นดี  ชายหนุ่มทำเสียงดุคนที่กำลังพยายามทำตัวเข้มแข็งอยู่ “อย่าคิดว่าดินไม่สังเกตนะว่าพี่เดือนแอบหลับบนรถบ่อยๆน่ะ! ดินรู้ว่าพี่อยากช่วย แต่มาทำแบบนี้ดินก็ไม่สบายใจเหมือนกัน” คนตัวเล็กหลุบตาลงมองพื้น พูดเสียงอ่อน “เหมือนดินสบายอยู่คนเดียว”

       “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงเล่า! น้องเป็นคนป่วยนะ ก็ต้องพักเยอะๆสิ”

      “พี่เดือนเองก็ทำงานหนักมากเหมือนกันตอนกลางวัน ก็ต้องพักเยอะๆด้วยเหมือนกัน มาห่วงดินคนเดียวแบบนี้มันไม่ถูกนะ”  นายปฐพีเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน  เขาตรงไปที่เดือน เอื้อมมือไปปิดปากอีกฝ่ายไว้ไม่ให้พูดขัดเขา  จ้องตาอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่เปิดเผยทุกสิ่ง “อย่างน้อยถ้าจะลำบาก...ดินก็อยากลำบากเป็นเพื่อนพี่นะ ทิ้งให้พี่ทำงานคนเดียวมันไม่แฟร์เลย” ว่าจบคนตัวเล็กก็ลากเก้าอี้มาเพิ่มอีกตัวแล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ “ดินจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนพี่แล้วกัน  อ๊ะๆ ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้นเลย พี่เดือนแค่บอกว่าไม่ให้ทำงาน ไม่ได้บอกว่าห้ามดินนั่งดูพี่เดือนทำงานเสียหน่อย”

      รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าสวยนั้นราวกับผู้กำชัยชนะ เดือนที่รู้ตัวว่าพ่ายแพ้แล้วได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ แต่กระนั้นเดือนรู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเขากลายเป็นสายไหมที่พองฟูขึ้นมา ตัวก็เบาๆเหมือนจะลอยได้ เขาปลดมือน้องชายออกแล้วพยักหน้า ยอมหันกลับไปทำงานโดยมีดินนั่งมองอยู่ข้างๆ 

      คนตัวเล็กที่คงอยากแตะงานใจจะขาดได้แต่ขยับตัวไปมา  ก่อกวนเขาไม่เลิก บางทีก็เอนหัวซบลงมา บางทีก็เอาจมูกมาถูไปมาตรงต้นแขนเขาอย่างออดอ้อน คงกะให้ใจอ่อนแล้วยอมให้ช่วยงานล่ะสิ

      เดือนหันไปใช้มือดันหน้าผากคนผมดำออก  ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้ายังไม่หยุดทำแบบนี้พี่จะไม่สนแล้วนะว่าป่วยหรือไม่ป่วย แต่น้องได้ระทวยยันเช้าแน่ๆ”

       “อ...ไอ้พี่เดือน! ลามกจริงๆ!”

       “ใครใช้ให้เอาจมูกมาถูๆอ้อนๆพี่แบบนี้ล่ะหืม คนนะครับไม่ใช่เสาบ้านจะได้ไม่รู้สึกอะไร”

         เขาว่าไปพลางทำงานไปพลาง  ไอ้ที่พูดมาก็จริงทั้งนั้น มีแต่เด็กดินนี่แหละที่ไม่ได้ระวังตัวอะไรเลย  แถมพอได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็ยิ่งชอบใจ หัวเราะร่วนขึ้นมาอีกจนเดือนหมั่นไส้  หันไปบีบจมูกอีกคนเบาๆแล้วรั้งร่างเล็กให้มานั่งแปะอยู่ที่ตักตัวเอง สองแขนแข็งแรงรัดรอบเอวอีกฝ่ายเอาไว้แน่น แต่ดินก็คือดิน มีหรือจะยอมโดนแทะเล็มง่ายๆ แต่เดือนก็คือเดือน หนังหนาหน้าทนนี่ที่หนึ่งแล้ว ดังนั้นพอสู้ไปได้สักพักคนเจ็บก็เป็นฝ่ายหมดแรงไปก่อนจนต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ให้คนอายุมากกว่าดึงให้ตัวเขาเอนไปพิงอกแกร่งนั้นแต่โดยดี

          เดือนกดจูบลงที่ข้างขมับ ปัดป่ายปลายจมูกไปทั่วพวงแก้ม ก่อนจะลากลงมาที่ซอกคอให้คนตัวเล็กหดคอหนีเพราะจั๊กจี้ “พี่เดือน...ฮื้อ...มันจั๊กจี้นะครับ”

         “อยู่นิ่งๆสิ”

        “นี่ๆจับตรงไหนน่ะครับ!”

        ดินตะปบมือที่สอดเข้าไปใต้เสื้อนอนตัวเองได้ทัน เขาหันไปแยกเขี้ยวใส่เดือน  ก่อนจะเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงแกรกกราก แต่เมื่อไม่มีเสียงฝีเท้าก็ค่อยผ่อนลมหายใจออกมา “เสียงลมแน่ๆครัย ปล่อยดินก่อนได้ไหม เดี๋ยวพ่อกับแม่มาเห็นนะ”

       “ดึกป่านนี้หลับสนิทไปแล้วมั้ง”

       “ก็เผื่อพวกท่านลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึกไง! พี่เดือนปล่อย อื้อ อย่าจูบสิ”

       ดินพยายามต่อสู้กับมือปลาหมึกและริมฝีปากร้อนผ่าวที่พรมจูบไปทั่วหัวไหล่มนของตนจนหมดแรง  รู้สึกเสียใจที่ยอมลุกจากที่นอนมานั่งดูไอ้หมอนี่ทำงาน ถ้าจะโดนเอาเปรียบขนาดนี้ไม่เดินตามมาตั้งแต่แรกหรอก!

        เดือนที่เห็นคนตัวเล็กหมดแรงก็เลิกกลั่นแกล้ง  ทำเพียงแค่รั้งให้ร่างนั้นนั่งให้ถนัด  เกยคางลงบนไหล่คนตัวเล็ก  แหม ดินมันไม่ใช่สาวน้อยวัยใสนะที่พอนั่งตักหัวจะเอนมาซบอกเขาพอดีน่ะ  เป็นผู้ชายตัวสูงอยู่เหมือนกัน แต่ที่อยู่ด้วยกันแล้วดูตัวเล็กเพราะเดือนสูงกว่า กรรมพันธุ์พ่อเต็มๆล่ะเรื่องความสูงนี่

        “พี่เดือน” หลังจากที่เงียบกันไปนานดินก็กระซิบเสียงแผ่วขึ้นมา  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันมามองเขา แฝงไปด้วยความกังวล “พี่เดือนว่าพ่อกับแม่จะรู้ไหม...เรื่องของเรา”

       “ไม่รู้หรอก แต่สักวันคงรู้  พี่ไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว”

       “แปลว่าพี่เดือนจะบอกเหรอ”

        “อื้อ”

       เดือนมองดินที่ก้มหน้าลงไป ไม่ตอบคำ ก็เชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นสบตาเขา  “กังวลอะไรไหนบอกซิ” ดินเม้มปาก ลังเล ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “ดินกลัวพ่อกับแม่จะรับไม่ได้ กลัวพวกท่านจะเกลียดดินกับพี่  กลัวว่าพวกท่านจะไม่ให้เราอยู่ด้วยกันอีก”

       “ถ้าพวกท่านไม่ให้เราอยู่ด้วยกัน พี่จะยอมกลับมาเป็นพี่น้องกับดินก็ได้”  แววตาของคนบนตักไหววูบ แต่เดือนก็พูดต่อไป “แต่ดินต้องรู้ไว้ว่าความรู้สึกของพี่ไม่มีวันเปลี่ยน  พี่อยู่ในสถานะไหนก็ได้ เพราะสำหรับพี่คำว่า ‘แฟน’ มันเป็นแค่คำกำหนดสถานะเท่านั้นเอง...สำหรับพี่สถานะของคนพิเศษพี่ใช้ความรู้สึกในใจกำหนด”

       “สำหรับดินพี่ยอมเป็นอะไรก็ได้ เป็นให้ได้ทุกอย่างที่น้องต้องการไม่ใช่แค่แฟนหรือคนรักเท่านั้น พี่จะเป็นพี่ชาย  เป็นเพื่อน เป็นคนรัก...เป็นครอบครัว เป็นทุกอย่างของกันและกัน”

       รอยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลาที่ดินชอบมาก รอยยิ้มที่เป็นของเขาแค่คนเดียว

       ...รอยยิ้มของผู้ชายที่ดินตระหนักแล้วว่าเป็นคนที่เขารักมาก...

        ชายหนุ่มผมดำรู้สึกเหมือนขอบตาของเขาร้อนผ่าว  เหมือนก้อนแข็งๆจุกอยู่ลำคอ  เขาตัดสินใจซ่อนใบหน้าของตนไว้ด้วยซุกหน้าลงกับซอกคอเดือน กดจูบเบาๆที่ลำคอของอีกฝ่าย   เดือนอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางน่ารักนั้น  ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังบางของน้องชายต่างสายเลือดอย่างอ่อนโยน

        ครับ พี่เดือนเป็นผู้ชายอ่อนโยน...ใครๆก็บอกว่าพระเอกซีรีย์เกาหลีนี่ชิดซ้าย พระรองนี่ชิดขวา

        “แต่ว่าถ้าเราจะรักกัน เราก็ต้องไม่มีเรื่องปิดบังกันสินะครับ” ดินพูดขึ้นมา ประโยคนั้นทำเอาคนมีชนักติดหลังถึงกับใจหายวูบ

        ดินรู้?

        “ถ้าอย่างนั้น...ดินจะเล่าให้พี่ฟัง...เรื่องของคุณกัณฐ์”

        “อ...อ๋อ คุณกัณฐ์? ไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ”

        เดือนพูดเสียงขุ่น แต่ส่วนลึกในใจก็รู้สึกยินดีที่ไม่ใช่เรื่องที่เขากังวลอยู่

         คนรักกันต้องไม่มีเรื่องปิดบังกัน...แต่ถ้าสิ่งที่เขาปิดบังมันส่งผลดีต่อพวกเขาทั้งคู่ล่ะ 

         อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบแล้ว...อีกแค่สองเดือน...ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้  เขาจะเป็นอิสระจากบ่วงที่รัดคออยู่แล้ว  เดือนจะจัดการทุกอย่างให้เงียบที่สุด 

         เรื่องทุกอย่างจะจบลงโดยที่ดินไม่รู้อะไรเลย

        เดือนลอบกัดริมฝีปาก ขณะที่ดินเหม่อลอยเรียบเรียงคำพูดที่จะเล่าในหัว ก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมา “พี่กัณฐ์...” สรรพนามที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายทำให้เดือนสะดุดใจ  ดูเหมือนดินจะหลุดเรียกออกมาตามความเคยชิน  เขาเข้าใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะพอใจ...

          “พี่กัณฐ์เป็นเหมือนดิน...เขามองเห็นด้ายแดงเหมือนกับดิน”

          แค่ประโยคเริ่มต้นเดือนก็เดาเรื่องต่อไปได้เป็นฉากๆแล้วแต่ชายหนุ่มก็ยังนั่งนิ่ง รอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูด ฝ่ามือใหญ่เลื่อนไปกอบกุมมือเล็กเอาไว้  ดึงรั้งดวงตาสีน้ำตาลที่กำลังขุ่นมัวจากความทรงจำในอดีตให้กลบมาใสกระจ่างอีกครั้ง ดินก้มลงมองมืออันอบอุ่นที่สัมผัสเขา

         ทุกอย่างเป็นเหมือนคืนนั้น...ที่ทะเล...คืนที่เดือนทลายปราการในใจของเขาออกมา ปลดบ่วงความทุกข์ที่อัดอั้นอยู่ในใจมาเนิ่นนาน

         มือคู่นี้ก็กุมมือเขาไว้แบบนี้

         เป็นมือคู่นี้...เป็นคนคนนี้ที่มอบความกล้ามาให้คนขี้ขลาดอย่างเขา

          “ตอนนั้นดินอยู่มหา’ลัย...น่าจะซักปีหนึ่งได้มั้ง  มันประหลาดมากเลยนะ  ในวันที่ได้เจอพี่รหัสน่ะ...จู่ๆผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าก็เดินเข้ามาหาดิน ยิ้มกว้างแล้วก็พูดว่า ‘ว้าว ในที่สุดฉันก็เจอนายแล้ว’ ทั้งที่ตอนนั้นคนพูดมันควรจะเป็นดินนะ"

          ตอนนั้นตัวเขาทั้งตกใจทั้งประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  พี่รหัสคนนั้นเป็นคนน่ารัก เอาใจใส่ดินอย่างดีสมกับเป็นคนที่ใครๆก็อยากได้เป็นพี่รหัส  แต่ความเอาใจใส่ของเขาเริ่มทำให้ดินรู้สึกแปลกๆ มันไม่ใช่แค่พี่กับน้อง ไม่ใช่แค่คนรู้จัก มันมากเกินไปกว่านั้น...

          จนกระทั่งวันหนึ่งที่ดินกลับหอพักดึกเพราะต้องอยู่ทำรายงานที่หอเพื่อน ผู้ชายคนนั้นยอมลุกจากเตียงมาตอนเที่ยงคืนเพื่อออกมารับเขา  แต่ดินก็ไม่ได้กลับหอตัวเองแต่ไปห้องพี่รหัสแทนเพราะกัณฐ์พันธ์ให้เหตุผลว่ามันใกล้กว่า  ดินรู้สึกแปลก...มันเหมือนกับว่าเขากลังตื่นเต้น 

         ชายหนุ่มไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดกับเขาเกินคำว่าพี่น้อง

        และไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง

         และแน่นอนว่ากัณฐพันธ์ก็รู้...ทุกอย่างจึงเริ่มต้นขึ้น

         มันเริ่มจากจูบ...แค่ริมฝีปากแตะกัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นจูบลึกซึ้ง  แล้วในวินาทีนั้นดินก็มองเห็นด้ายแดงของเขากับอีกฝ่าย

        ด้ายแดงที่เชื่อมถึงกัน

        ตอนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกัณฐ์พันธ์ก็ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู ‘ดินก็เห็นใช่ไหม...พี่รู้ว่าดินก็มองเห็น’

        ‘พ...พี่กัณฐ์ก็เห็น?’

        ‘เห็นสิ’ คนตัวโตยิ้มจนตาหยีให้เขา ‘ไม่งั้นพี่จะหาดินเจอได้ยังไง’

        “แล้วเราก็คบกัน...แต่เรายังไม่ได้มีอะไรกันหรอกนะ  อย่างมากก็จูบ เพราะพี่กัณฐ์ห่วงว่าดินยังไม่พร้อม  ตอนคบกันมันมีความสุขมากๆเลยนะ คนที่เรารู้ว่าเป็นเนื้อคู่มาอยู่ตรงหน้า ได้รักกัน ตอนนั้นมันเหมือนกับว่าจะไม่มีอะไรทำให้เราเลิกกันได้เลยล่ะ  เรื่องที่ดินคบกับพี่กัณฐ์เพื่อนๆรุ่นพี่ เกือบทุกคนรู้กันทั้งนั้น ไม่ได้ปิดบังอะไร แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อนะ  มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเลยล่ะ  ดินยอมเปลี่ยนตัวเองหลายๆอย่างเพื่อพี่กัณฐ์ ดินรักพี่กัณฐ์มาก...มากจริงๆ” ในตอนนั้นพวกเขาเป็นทุกอย่างของกันและกัน กัณฐพันธ์เป็นคนแรกที่ดินยอมเปิดใจคุยเรื่องอดีตด้วย  เป็นคนที่ประคองให้เขายืดอก และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างผึ่งผายอีกครั้ง

         “แต่มันก็มีปัญหาอยู่แค่อย่างเดียว  คือเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของพี่กัณฐ์...พี่ปิ่นฟ้า  ดินรู้ว่าพี่ปิ่นฟ้ารักพี่กัณฐ์ เรามีปัญหากันหลายรอบก็เพราะเรื่องนี้แหละ  แต่เขาก็บอกดินว่าอย่าคิดมาก มันไม่มีอะไร...แล้วดินก็เชื่อ”  รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นมาให้เดือนต้องลูบแก้มอีกคนเป็นการปลอบโยน  ดินเอียงแก้มเขาหาฝ่ามือของเขา เริ่มเล่าต่อไป

        “เคยได้ยินคำว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิดไหมครับ? เรื่องของดินกับพี่กัณฐ์มันก็เป็นแบบนั้นเลย”


มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 05-03-2016 20:30:58
ต่อค่ะ


      ดินจำวันที่ทุกอย่างแปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายได้

      วันนั้นเป็นวันเกิดกัณฐ์พันธ์ แต่ชายหนุ่มไปออกค่ายอาสาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนหน้า จะกลับมาที่ห้องตอนเย็นๆ  กันฐพันธ์จึงบอกให้ดินรอไปฉลองวันเกิดกับเขาในวันถัดไปแทน   แต่ดินก็ยังเตรียมเซอร์ไพรส์เล็กๆมาอยู่ดี

      เขาอบเค้กเอง ปักเทียน เดินไปถึงหน้าห้องอีกฝ่าย กะว่ารออีกคนมาเปิดประตูแล้วจะร้องเพลง...แต่เขากลับพบว่าประตูไม่ได้ล็อก ซึ่งผิดปกติ ทุกครั้งกัณฐพันธ์จะล็อกประตูห้องเสมอ  ดินขมวดคิ้ว เปิดประตูเข้าไปแล้วพบว่ามีรองเท้าผู้หญิงวางอยู่
ใจเขาร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ก็พยายามสงบสติ บอกตัวเองว่าไม่มีอะไร จนเขาเข้าไปถึงห้องนอนคนรัก

      ประตูเปิดอ้า  เผยให้เห็นร่างสองร่างที่กำลังกอดเกี่ยวกันอยู่บนเตียง  เขาทำอะไรไม่ถูก มึนงงเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบหัวแรงๆ ได้แต่ยืนโง่อยู่ตรงนั้น มองร่างของคนรักและเพื่อนสนิทของคนรัก...คนที่ตนเคารพนับถือเหมือนพี่สาวอีกคนกำลังทำกิจกรรมร้อนแรงกันอยู่บนเตียง เสียงหอบครางเหมือนจะดังก้องอยู่ในหัวเขาเอง

      น้ำตารื้นขึ้นมาแต่เขาไม่ได้สนใจจะปาดมันออก ดินเหวี่ยงเค้กที่ตกทำลงถังขยะ แล้วกลับออกมา  เขากลับไปที่ห้องได้อย่างไรก็ไม่ทราบ  รู้แต่ว่าตอนนั้นเขาทิ้งตัวลงบนเตียง ขดตัวแล้วก็ร้องไห้  เขาอยากจะกรีดร้อง อยากจะอาละวาด แต่เรี่ยวแรงมันถูกสูบหายไปหมด  ทำได้แค่นอนนิ่งให้น้ำตามันไหลออกมาราวกับไม่มีวันหมด

      “พอวันต่อมาพี่กัณฐ์ก็มาหาดินที่ห้อง...เขาเห็นเค้กที่ดินทำแล้วก็ถามดินว่าเห็นแล้วใช่ไหม  ดินไม่ตอบเขา พี่กัณฐ์ร้องไห้ บอกว่าขอโทษ เขาสับสน...ช่วงเวลาที่อยู่ในค่ายอาสา เขาใกล้ชิดกับพี่ปิ่นฟ้ามากขึ้น...เขาบอกว่าแค่เผลอไป เขาขอโทษดินแล้วก็บอกว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”

      แต่ความรู้สึกเขามันก็ไม่เหมือนเดิม

     สัปดาห์หลังจากนั้นดินก็ยังรู้สึกว่าปิ่นฟ้ากับกัณฐพันธ์สนิทกันมากขึ้น  ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป  ทุกที่ที่ดินกับกันฐ์ไปจะต้องมีปิ่นฟ้าไปด้วยเสมอ  ดินจะเดินอยู่ข้างหลัง  มองสองคนคุยกันแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินทุกครั้ง  ความอึดอัดนี้ดำเนินไปเกือบเดือน จนกระทั่งคืนหนึ่ง ดินตัดสินใจรวบรวมความกล้าไปหากัณฐพันธ์ที่ห้อง 

     เมื่อเล่าถึงตรงนี้ดินก็กางแขนกอดเดือนแน่น  พูดเสียงอู้อี้  “ดินบอกให้พี่กัณฐ์มีอะไรกับดิน” 

     มันเป็นครั้งแรกของเขา แต่ดินกลับไม่ได้รู้สึกประทับใจหรือมีความสุขเลยแม้แต่น้อย ทุกรอยจูบ ทุกสัมผัส ราวกับตอกย้ำว่าเขาเป็นคนไร้ค่า  เสียงครางที่หลุดลอดออกไปราวกับเสียงร่ำไห้จากความอดสูของตัวเขาเอง

     “พอทุกอย่างจบดินก็จะกลับบ้าน...รู้ไหมเกิดอะไรขึ้น พอดินมองไปที่ประตู ดินก็เจอพี่ปิ่นฟ้ายืนอยู่ตรงนั้น  ที่เดียวกับที่ดินยืนเมื่อครั้งก่อน แต่ครั้งนี้มันสลับกันหมดเลย...พี่ปิ่นฟ้าร้องไห้  ดินเองก็ร้องไห้ พี่กัณฐ์ก็ทำตัวไม่ถูก  สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไปปลอบพี่ปิ่นฟ้า  ตอนนั้นแหละที่ดินรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า  ดินโวยวายเสียงลั่น ถามพวกเขาว่าจะเอายังไงกับดิน  จะต้องเหยียบย่ำความรู้สึกดินไปอีกแค่ไหน”

      ตัวเขากรีดร้อง ความโกรธบดบังสายตา  ไม่รู้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง รู้ตัวอีกทีคือตอนที่เขาคร่อมอยู่บนตัวผู้หญิงคนนั้น  บีบคอหล่อนแน่น  ดินเห็นเงาสะท้อนตัวเองในดวงตาของเธอ

     มันเหมือนแม่...เหมือนแม่ของเขาในวันที่แม่ฆ่าน้อง

     ดินผุดลุก  ปล่อยให้ร่างนั้นคลานหลบออกไป  กัณฐพันธ์ตรงมาหาเขาแต่ดินก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายแตะต้องตัวเขา หลังจากเห็นสิ่งที่เขาทำเมื่อครู่ คนรักก็ทั้งโกรธทั้งเสียใจ 

     ‘พี่จะเอายังไง’ ดินถามออกไป เสียงเรียบจนน่าตกใจ ‘เลือกสิพี่กัณฐ์ ดินหรือผู้หญิงคนนั้น’

     ‘ดิน...พี่...’

     ‘เลือกสิ เลือกสิวะ! อย่ามาทำเป็นจับปลาสองมือแบบนี้ได้ไหม  ดินทนอยู่แบบสามคนผัวเมียไม่ได้นะเว้ย ไม่มันก็ดิน มีสักคนที่ต้องไป’

     ‘ดิน ทำไมพูดแบบนี้...ปิ่นฟ้าเขาเป็นผู้หญิงนะ!’

      สีหน้าตกใจและโกรธขึ้งของคนรัก...เพียงเท่านี้ดินก็รู้แล้วว่ากัณฐ์เลือกใคร เขาหัวเราะออกเบาๆเหมือนคนเสียสติ  ‘ดินรู้แล้ว...ดินรู้แล้วว่าพี่เลือกใคร’

      ‘ใช่...พี่...พี่เลือกแล้ว’

       ดินมองเห็นเส้นด้ายสีแดงของพวกเขา  รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น กัณฐพันธ์เพ่งมองที่ด้ายแดง  ขยับนิ้วเพียงครั้งเดียวเส้นด้ายของพวกเขาก็ขาดสะบั้น  ความรู้สึกด้านลบของดินพุ่งตรงไปหาชายหนุ่มคนนั้นจนอีกฝ่ายทรุดลง  ส่วนดินก็ออกไปจากห้องนั้น และไม่เคยกลับเข้าไปอีกเลย

      “ดินกลับมาที่ห้องรู้สึกเหมือนโลกมันว่างเปล่าไปหมด จากนั้น...จะหาว่าโง่ก็ได้นะ แต่ดินรู้สึกเหมือนโลกมันแตกสลายลงไป...เป็นตัวดินที่พังลงไปเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นดินก็เลยกรีด...ข้อมือ ไม่ได้กรีดท้องแขนแบบพวกเรียกร้องความสนใจนะ ข้อมือเลย  มันทรมานมาก นานมากเหมือนความเจ็บปวดจะคงอยู่ตลอดไป  แต่เพื่อนดินมันมาเจอดินก่อน โวยวายกันใหญ่ พาไปส่งโรงพยาบาล  แล้วดินก็รอดมาได้”

       ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมา คนที่เขาหวังว่าจะอยู่ข้างเตียงกลับไม่อยู่ มีเพียงพ่อกับแม่ที่น้ำตาไหลนองหน้าเท่านั้น พวกท่านกอดดินไว้  บอกว่าอย่าคิดจะทิ้งพวกท่านไปง่ายๆอีก เลี้ยงมาตั้งนานกว่าจะโตขนาดนี้ จะทิ้งกันไปได้ยังไง พวกท่านไม่อนุญาต

       “ดินรอให้พี่กัณฐ์มาหา  อย่างน้อยก็ขอให้เห็นว่าเขาเสียใจที่เป็นสาเหตุให้ดินเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่มา ไม่เคยมาให้เห็นหน้าเลยสักครั้ง  พอออกจากโรงพยาบาลดินถึงรู้ว่าเขาคบกับพี่ปิ่นฟ้าแล้ว  คบกันตั้งแต่ตอนที่ดินอยู่ในโรงพยาบาล หลังจากนั้นดินก็รู้...ว่าเขาไม่สนใจดินหรอก ไม่ได้เป็นคนทำให้ดินมีสภาพน่าสมเพชแบบนั้นด้วย  คนที่ทำคือตัวดินเอง จากนั้นดินก็ตั้งใจว่าทุกสิ่งที่ทำ ดินจะทำเพื่อตัวดิน เพื่อพ่อกับแม่ ไม่ใช่ใครอีกแล้ว”

      ร่างเล็กเงียบไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มฝืนๆให้เดือน “รู้แบบนี้แล้วยังรักดินอยู่ไหม...ดินไม่ได้สะอาด...ไม่ได้บริสุทธิ์แบบที่พี่คิดหรอกนะครับ”

      “แต่ดินไม่ใช่คนเลว  และแน่นอน...พี่ก็รักดินเหมือนเดิมนั่นแหละ”

       คนตัวเล็กหัวเราะออกมาแผ่วๆ “พอฟื้นมาดินพยายามจะมองด้ายแดงของตัวเอง...แต่ดินก็มองไม่เห็น นับแต่นั้นดินก็เห็นด้ายแดงของทุกคนยกเว้นของตัวเอง”

       “ไม่ต้องพยายามมองหรอก ด้ายแดงดินผูกอยู่กับพี่แล้วล่ะ” ว่าพลางยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยอีกฝ่าย ยกขึ้นมาโชว์ให้เห็น  ดินย่นจมูก หลังจากได้พูดออกไปก็รู้สึกดีมากขึ้น “รู้ได้ไง ขี้โม้”

      “ก็ถ้ามันยังไม่ผูก พี่ก็จะทำให้มันผูกเอง”

      เขาแตะหน้าผากลงกับหน้าผากของดิน “พี่บอกแล้ว...ว่าพี่จะเป็นทุกอย่างให้น้องเอง พี่ไม่อยากให้ดินมานั่งทุกข์เพราะอะไรแบบนี้อีกแล้ว...บางทีมันคงถึงเวลาที่น้องต้องปลดความทุกข์ในใจตัวเอง”

      “ด้วยการทำสิ่งที่คุณกัณฐ์ขอเหรอครับ?”

      เดือนพยักหน้า  ดินจึงยื่นหน้าไปจูบอีกฝ่ายเบาๆ แน่ใจแล้วว่าตนเลือกรักคนไม่ผิด

       “พ่อพระจริงๆเลยนะครับพี่เดือน”

       “เปล่าเสียหน่อย  ถ้าไอ้หมอนั่นแต่งงานไป มันก็จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรกับน้องอีก  ทางสะดวกพี่แล้วล่ะ”
ดินหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยออกมา...ด้วยความโล่งใจแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน

     “งั้นดินจะไปหาเขา แต่พี่เดือนต้องไปด้วยนะ”

     “ตกลง” 

      แต่เดือนกับดินก็ยังไม่มีโอกาสไปหากัณฐพันธ์สักที เพราะอาทิตย์ต่อมาพวกเขาก็ยุ่งกับการเตรียมงานตลาดกันจนหัวหมุน  ทั้งแผนผัง ทั้งลำดับการแสดง  จนในที่สุดทุกอย่างก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ดินกับเดือนก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายทุกที

       จนกระทั่งถึงวันจัดงาน สองพี่น้องก็ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปตลาด  พิธีเปิดงานจะเริ่มช่วงสาย ซึ่งคนเปิดงานเป็นใครไม่ได้นอกจากพ่อกับแม่ของเขา  เดือนที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรในงานแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีชมพูกับกางเกงยีนส์ เพราะมันไม่ใช่งานที่เป็นทางการอะไรมากนัก   ผมที่เริ่มยาวของเขาเดือนก็รวบไว้หลังได้พอดี  ดินที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำเดินกลับเข้ามาในห้องพอมองเห็นเขาก็อมยิ้ม แกล้งแซวออกมา

       “แต่งหล่อไปไหนครับเนี่ยคุณพี่เดือน”

        เดือนยักคิ้ว “หล่อละลายเลยอ่ะดิ ลำบากใจเหมือนกันนะ สาวๆต้องรุมกรี๊ดแหง”

        ดินกลอกตาขึ้นมองเพดาน ตัดสินใจจะไม่ยุ่งกับไอ้พี่บ้านี่อีก  กูพลาดละที่ไปชมมัน  แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ  เพราะวันนี้...เขายอมรับเลยว่าเดือนดูหล่อ...มาก

        ดวงตากลมไล่มองสำรวจร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนพับแขนเสื้อมาถึงข้อศอก กางเกงยีนส์ เดือนเป็นผู้ชายรูปร่างดีอยู่แล้วเนื่องจากต้องรักษารูปร่างเพราะสายอาชีพนายแบบ  ขนาดแต่งตัวธรรมดาแบบนี้ออร่ายังกระจาย ไหนจะโครงหน้าที่ค่อนไปทางฝรั่ง  จมูกโด่ง ตาคมสีอ่อนกับผมที่รวบเป็นจุกเล็กๆตรงท้ายทอยได้พอดี

       จะมีสาวมารุมกรี๊ดตามปากกว่าก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง 

      “เป็นอะไรครับ เบะปากทำไม”

      “หมั่นไส้”

      “พี่หล่อจนหวงเลยล่ะสิ”

      “ครับ ก็ตามนั้น”

      เดือนที่กำลังยืนส่องกระจกอยู่ถึงกับชะงัก   สาบานได้ว่าตะกี้ไม่ได้หูฝาด  พอหันไปมองคนที่กำลังคุ้ยๆตู้เสื้อผ้าแล้วเห็นใบหูเป็นสีแดงก็แน่ใจทันที  ร่างสูงใหญ่เดินไปรวบร่างเล็กขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ไปโดนเฝือกของเจ้าตัวด้วย

      “เฝือกนี่เกะกะเป็นบ้า”
 
      “ไม้กันหมาชั้นดีต่างหากครับ” มีเฝือกอยู่อีกฝ่ายก็รุ่มร่ามกับเขาไม่ได้อย่างใจนึกเท่าไหร่ นี่ทำให้ดินรู้สึกปลอดภัยขึ้นมากโข

      “หึ อีกแค่สามอาทิตย์ก็ถอดแล้วไม่ใช่หรือไง ตอนนั้นล่ะเสร็จแน่” เดือนขู่ ขณะที่คนถูกขู่ก็หัวเราะไม่หยุด  “แล้วที่พูดเมื่อกี้จริงเหรอ  ที่บอกว่าหวงพี่น่ะ จริงเหรอ”

       “พูดเหรอครับ ไม่เห็นจำได้” เดือนมองคนที่แสร้งทำตาโตแล้วก็หมั่นเขี้ยว จนต้องก้มไปงับแก้มขาวๆของอีกฝ่ายเบาๆ  ก่อนจะปล่อยให้น้องชายไปแต่งตัว  ส่วนตัวเขาก็เดินไปหยิบสคริปต์พิธีกรขึ้นมา  หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ลงไปทานอาหารเช้า 

       “พ่อครับแม่ครับ เดี๋ยวพวกเดือนไปเช็คความเรียบร้อยของงานก่อนแล้วกันนะครับ” เดือนบอกผู้เป็นมารดา ที่พยักหน้าตกลง “ได้จ้ะ”

      หลังจากการตรวจงานช่วงเช้าผ่านไปและไม่มีอะไรผิดพลาด เดือนก็ขึ้นไปเปิดงานบนเวที  ดินที่นั่งดูอยู่ด้านล่างก็เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของพี่ชายบุญธรรมก็วันนี้  ร่างสูงไม่ตื่นเวทีเลยแม้แต่น้อย กลับดูเป็นน่าดึงดูดมากกว่าเดิมอีก

       เดือนเป็นคนที่เหมาะจะยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟแล้วก็เป็นจุดดึงดูดสายตาของทุกคนจริงๆ
เมื่อแม่ของเขาขึ้นไปตัดริบบิ้นเปิดงาน วงดนตรีก็บรรเลงเพลง จากนั้นก็เป็นรายการแข่งขันต่างๆในตลาด เช่น วิ่งเข่ง  กินวิบาก วิ่งวิบาก  การแข่งซิ่งซาเล้ง  เดือนที่โยนงานพากย์การแข่งให้กับพ่อค้าแผงปลาก็หลบออกนั่งในเต็นท์พร้อมกับพ่อและแม่  ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างดิน ซึ่งชายหนุ่มผมดำก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กยื่นให้เขา “เหงื่อไหลเป็นน้ำตกเจ็ดสาวน้อยแล้วครับ เช็ดเหงื่อหน่อย เดี๋ยวไม่หล่อ”

       เดือนกล่าวขอบคุณเบาๆแล้วรับผ้ามาซับเหงื่อ  สองตาของเขายังคงมองดูการแข่งวิ่งเข่งที่ผู้แข่งต้องวิ่งไปรับเข่งตามจุดต่างๆแล้ววางซ้อนกันไปเรื่อยๆ จากนั้นก็วิ่งไปให้ถึงเส้นชัย  ใครทำเข่งตกต้องกลับไปรับเข่งต่างๆตามจุดเดิม  ตอนนี้ลูกชายร้านขายน้ำปั่นกำลังวิ่งตีคู่สูสีไปกับลูกสาวแผงผัก ทุกคนต่างพากันตะโกนเชียร์เสียงดังสนั่น  ในขณะที่ทุกสายตากำลังจดจ่อกับการแข่งขัน เดือนก็เอื้อมมือตัวเองไปวางไว้ใกล้ๆมือน้องชาย ให้ปลายนิ้วก้อยแตะกันไป ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น

       เขาแอบเหลือบตาไปมองก็เห็นดินอมยิ้ม เหลือบมองเขาเช่นกัน  น้องขยับปากเป็นคำว่า ‘เนียนนะครับ’ เดือนยักคิ้วให้อีกฝ่ายก่อนจะหันกลับไปดูการแข่งต่อ

      โดยมือของพวกเขายังแตะกันอยู่แบบนั้น

      หลังจบการแข่งตลอดทั้งวันและการมอบรางวัลให้ผู้ชนะก็ถึงช่วงที่ทุกคนรอคอย คือการประกวดนางงามตลาดสด  มีการแสดงจากเหล่านางงาม  แต่ดูเหมือนจุดดึงความสนใจจะเป็นพิธีกรหน้าหล่อในชุดเชิ้ตชมพูมากกว่า  ตอนที่มอบรางวัลให้ผู้ชนะซึ่งเป็นสาวประเภทสองอายุเฉียดห้าสิบเจ้าของร้านทำเล็บ เดือนยังโดนนางงามลูบตั้งแต่ข้อศอกจรดปลายนิ้ว ดึงมือกลับแทบไม่ทัน แถมพอหันไปมองดินแทนที่จะหึงหรือสงสารเจ้าตัวกลับนั่งหัวเราะก๊ากอย่างสะใจ

    หัวเราะได้หัวเราะไป เดี๋ยวเขาจะเอาคืนให้แสบเลย!

     เดือนพลิกสคริปต์ในมือ ดูเหมือนต่อไปจะเป็นการแสดงของปราณแล้ว ชายหนุ่มหันไปมองสต๊าฟคุมเวทีที่ส่งสัญญาณมาว่ากลุ่มนักร้องพร้อมแล้ว  ชายหนุ่มจึงเริ่มดำเนินงานต่อ

       “เอาล่ะครับพ่อแม่พี่น้องชาวตลาดทุกท่าน! ต่อจากนี้ใครที่กำลังง่วงอยู่เนี่ยเตรียมบิดขี้เกียจให้ดีเลยนะครับ เพราะต่อไปเป็นการแสดงที่จะทำให้ทุกท่านตาสว่างเลยล่ะครับ!”

        “กรี๊ดดดด พี่เดือนขา ไม่มีอะไรทำให้น้องลิลลี่ตาสว่างได้เท่าพี่เดือนอีกแล้วค่า ซี้ดดด”  น้องจะซี้ดทำไมครับ...

        “โอ๊ย คุณแม่มะลิขา ที่บ้านขาดคนหุงข้าวไหมคะ จะได้ไปช่วยหุง”

        “พี่เดือนขา” ขาไหนครับลูก...

        “บอกเขาไปว่าฉันรักเขา อร๊ายยย”

         ชาวตลาดต่างฮาครืนที่เห็นพิธีกรหนุ่มถูกแทะโลม เดือนที่ยังห่วงสภาพชีวิตจึงรีบประกาศชื่อวงของปราณแล้วเผ่นลงเวทีแทบไม่ทัน

       ผู้หญิงแม่งน่ากลัวชิบ!

      ทันทีที่ลงจากเวที แล้วดนตรีในจังหวะสนุกสนานดังขึ้น เสียงกรี๊ดก็กระหึ่มไปทั้งลานของตลาด

      เดือนหันไปทางเวทีแล้วถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นร่างเล็กผิวแทนน่ารักน่าเอ็นดูของน้องปราณในเวอร์ชั่นกางเกงยีนส์ขาสั้นอวดขาเรียวเรียบเนียน  กับเสื้อมีฮู้ดสีเทาที่แขนกว้างมาก...มาก...จนเห็นอะไรวับๆแวมๆ

      คือมันไม่ได้ดูสก๊อยแต่มันดูเซ็กซี่...

      ชิบแล้ว ไอ้น้องเฟิงจะฆ่ากูไหมเนี่ย!

      คนรับผิดชอบจัดลำดับการแสดงบนเวทีถึงกับหน้าซีด ยิ่งเมื่อน้องปราณได้แตะไมโครโฟน แล้วเสียงใสๆหวานๆดังกระหึ่มออกจากลำโพง

      “เอ้าพ่อแม่พี่น้องทุกคนนน โยกเลยจ้า มิวสิคคค”

     โอ้ – แม่ – เจ้า!

      น้องปราณที่อยู่บนเวที ณ. จุดนี้บอกเลยว่าไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่สนพี่เดือนที่ยืนสวดภาวนาให้ตัวเองรอดพ้นจากการโดนเฟิงปาปังตอใส่  ไม่สนหนุ่มตี๋ร้านขายข้าวแกงที่ยืนโมโหจนหน้าแดง 

      ตอนนี้น้องปราณสนแค่...

      “ไหนใครเป็น ‘หญิงลั้ลลา’ ลุกมาแด๊นซ์กันให้กระจายเลยจ้า  เอ้า กรู้วววว”

***************************************************

ตอนหน้าเราจะยังคงอยู่กับน้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้นะคะ 5555
ดราม่ากันมาสักพักแล้ว ให้เขาหวานๆงุ้งงิ้งกันบ้างเถอะเนอะ ;w;
น้องปราณนี่ตัวสร้างสีสันขนานแท้เลยค่ะ  จะไม่เขียนฉากน้องแดนซ์ก็ทำไม่ได้
อยากเขียนนน ส่วนสุดท้ายพี่เดือนจะโดนปังตอบินหรือไม่นั้นเราต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ

ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านแล้วก็ให้กำลังใจหรือช่วยติชมนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :กอด1:

ปล. ขอบคุณ คุณ sirin_chadada มากนะคะ ที่ช่วยแก้เรื่องคำผิดให้ ขอบคุณมากๆเลยค่า แก้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 05-03-2016 21:12:14
พ่อหนุ่มขายข้าวแกงมาคุมน้องปราณด่วน

อื้มหื้มมมมม

อยากรู้ความหลังพี่เดือนแล้วสิ หนักหนากว่าดินแค่ไหนหนอ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-03-2016 21:34:45
น้องดินเล่าอดีตให้พี่เดือนฟังแล้ว คราวนี้พี่เดือนจะตัดการปัญาหาที่ค้างคาได้ไหมหนอ
แอบฮ่าตอนท้ายกับน้องปรราณ นางน่ารักอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 05-03-2016 21:37:06
กรี้ดดดดดดด น้องปราณรับพวงมาลัยแบงค์ยี่สิบได้มั้ยคะ พอดีช่วงนี้พี่ช็อต

 :man1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 07-03-2016 11:49:47
อ่านรวดเดียวมาถึงตอนล่าสุดเลยค่ะ  ตอนแรกๆเอื่อยๆ แล้วมาสนุกๆตอนประมาณ15-17 เพราะเริ่มเดินเรื่องเร็วขึ้น ตัวละครมีมิติมากขึ้นค่ะ  รออ่านตอนต่อไปนะคะ อยากรู้ว่า ปมหลังที่พี่เดือนแอบเก็บเอาไว้คืออะไร
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 07-03-2016 15:54:58
พี่เดือนคงไม่ได้ไปจดทะเบียนกับชะนีหน้าไหนไว้แล้วใช่ป่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 07-03-2016 23:00:15
555555555555
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๗ มือที่มอบความกล้าหาญ {๕.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-03-2016 23:36:39
ตรงนี้เขียนผิดหรือเปล่าคะ

ชิบแล้ว ไอ้น้องปราณจะฆ่ากูไหมเนี่ย!

ต้องเป็น เฟิง หรือเปล่า

อยากรู้ปัญหาของพี่เดือนซะแล้วสิ แน่ใจแล้วเหรอว่าการไม่บอกน้องดิน จะไม่เป็นการกรีดซ้ำแผลใจของน้องน่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๘ แด่เธอที่รัก {๘.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 08-03-2016 20:44:48
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๘
แด่เธอที่รัก


อยู่คนเดียว มันเหงาเปลี่ยวหัวใจ คิดวุ่นวายจะไปไหนดีหว่า
โทรหาเพื่อน ไปเที่ยวกันดีกว่า ไปลั้ลลาตามประคนโสด
หนุ่มคนไหน อะจ้องจะขอเบอร์ เราเพิ่งเจอไม่ให้เบอร์อย่าโกรธ
เล่นตัวก่อน อย่างอนนะขอโทษ...

       “เดี๋ยวน้องปราณให้หมดทุกเบอร์เลยจ้า”

       ครับ ตอนนี้พี่เดือนคาดว่าคงไม่มีอะไรมาทำให้ตัวเองเงิบได้มากไปกว่านี้แล้ว  แค่การที่น้องปราณคนเรียบร้อยลุกมาใส่ขาสั้นส่ายเอวอยู่บนเวทีพี่ก็เรียกหายาดมแล้วครับ

      “พี่เดือน ดินว่าเฟิงมองมาทางนี้บ่อยๆนะ ทำไมน้องมองพวกเราแปลกๆล่ะ”

      อ๋อ ไม่ต้องห่วงครับที่รัก น้องเฟิงไม่ได้มองน้องหรอก มันมองกูครับ! แล้วนั่น! ทำไมเหมือนพี่เดือนเห็นปังตอแว่บๆ
ชิงเป็นลมตายล่วงหน้าได้ไหมครับ

       คร่อก

       ดวงตาคมของนายแบบหนุ่มเหลือบขึ้นไปมองบนเวที ยิ้มจืดเจื่อนกับตัวเอง นั่นก็อีกราย ทำเหมือนไม่รู้นะว่าเฟิงมันจ้องจนตาจะถลนแล้ว เดินไปกระชากปราณลงจากเวทีได้มันคงทำไปแล้ว เดือนแอบเห็นใจหนุ่มตี๋ร้านขายข้าวแกงเล็กน้อย  ยืนอยู่ก็หน้าเวที น้องปราณมันก็เต้นดุ๊กดิ๊กอยู่ตรงหน้าแต่ตากลมกลับไม่เหลียวมองเลยแม้แต่น้อย แถมมีการขยิบตา ส่งจูบ เล่นหูเล่นตากับคนดู เหมือนกับจะยั่วให้หึง

       แล้วก็ได้ผลดีเสียด้วย...เพราะเฟิงก็หึงจนแทบบ้า

       คงเป็นการเอาคืนจากตอนที่ทะเลาะกันคราวก่อนนู้น

      เดือนได้แต่อมยิ้มกับความแก่นเซี้ยวของน้องปราณคนน่ารักประจำตลาด  เมื่อเจ้าตัวเดินนั่งยองลงตรงหน้าเฟิงเพื่อรับดอกไม้จากคนดู มีการส่งจูบปิดท้าย  คือนั่งอยู่หน้าเฟิงนะ แต่ตาก็ไม่ได้มองหรอก

      หึ คราวก่อนทำน้องปราณน้ำตาตกใน ร้องไห้ตั้งนาน หนนี้ไอ้เฟิงอย่าหวังว่าน้องปราณจะยอมใจอ่อนนะ

       ถลึงเข้าไปเถอะตาน่ะ! น้องปราณจะเต้นให้แซ่บจนจากตาตี่ๆกลายเป็นตาโปนๆเลยคอยดู!

ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าชู้ ไม่ใช่ผู้หญิงเลิศหรู แต่ฉันเป็นหญิงลั้ลลา
ฉันไม่ชอบความขี้เหงา ฉันชอบคุยชอบเม้าท์ เที่ยวให้ใจเริงร่า
ดื่มกันบ้างล่ะเป็นบางเวลา อิสระแบบผู้หญิงลั้ลลา
ถึงไม่เลิศไม่สวยปานนางฟ้า ถึงเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา
แต่น้องจะพา อ้ายไปขึ้นสวรรค์ (หญิงลั้ลลา – หญิงลี ศรีจุมพล)

        ร่างบางผิวสีน้ำผึ้งจิกปลายเท้าลงก่อนจะเด้งเอวจนคนดูด้านล่างร้องวี๊ดว้ายกันใหญ่ น้องปราณสนไหม...ก็ไม่นะ สนทำไม วันนี้คุณนายแม่ไม่ห้ามจ้า  ฮิ้วววว

       ปราณโปรยยิ้มหวานแจกคนดู ก่อนจะถามขึ้นว่า “เหนื่อยกันหรือยังจ๊ะ?  พร้อมจะเต้นต่อไหมเอ่ยยย คนไหนแฟนมาตามก็กลับบ้านกลับช่องดีๆนะจ๊ะ  คนไหนไม่โสดโปรดขยับจ้ะ เพราะเพลงนี้น้องปราณคัดมาให้เราคนที่สวย เริ่ด เชิด โสด โดยเฉพาะเลยนะ  ใครว่าโสดแล้วแย่ โสดแล้วเหงา โอ๊ยยย เก่าไปแล้วจ้า..”

      “สมัยนี้ใครๆเขาก็ อยู่เย็นเป็นโสด กันทั้งนั้นแหละจ้า เอ้า มิวสิคคค”

      เป๊าะ

      นิ้วเรียวดีดเป็นสัญญาณ วงดนตรีจึงเริ่มบรรเลงเพลง ทันทีที่จังหวะเพลงสนุกสนานดังขึ้น วัยรุ่นด้านหน้าเวทีก็เริ่มยักย้ายส่ายสะโพกกันอีกรอบ  ส่วนไอ้คนบนเวทีน่ะเหรอ?

      ไม่มีอะไรมาก เขาเริ่มร่อนเอวแล้วล่ะ

      แหม่ เอวพลิ้วดีจริงๆเลยนะจ๊ะน้องปราณ

อยู่เย็นเป็นโสดอย่างนี้ ไม่มี  แฟนก็ไม่ตาย
อยู่กินคนเดียวอย่างนี้  ก็ดี  แฮปปี้จะตาย

     ดวงตากลมสบกับดวงตาตี่ที่จ้องมาแบบดุๆ เฟิงขบกรามแน่น หวงไอ้คนที่เต้นอยู่บนเวทีก็หวง

      แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้...ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรสักอย่าง

      ร่างโปร่งถอนหายใจ นึกด่าตัวเองในใจรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้...ทำไมรู้ตัวช้าแบบนี้วะ เขามันโง่เองนั่นแหละที่รู้ตัวช้า  กว่าจะรู้ว่าชอบ อีกคนเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว...

โสดมานานนมเน โสดซ้ำจำเจก็โอเคดี
กลับดึกได้เต็มที่ ค้างไหนไม่มีคำถามกวนหัวใจ
ไม่มีแฟนเป็นลาภอันประเสริฐ
สวย เริ่ด เชิด โสด เข้าไว้


      อะไรคือท่าสะบัดวิกผม...

อยู่เย็นเป็นโสด..อย่างนี้..ไม่มี..แฟนก็ไม่ตาย
อยู่กินคนเดียว..อย่างนี้..ก็ดี..แฮปปี้จะตาย

      อะไรคือยกยิ้มมุมปากใส่เฟิงเหมือนคนได้ชัยชนะแล้วหมุนเอวไปมา...

แฟนจะหาคงไม่ยาก
ก็แค่ผิวปากไม่ยากเลยเชียว (วี๊ดวิ้ว)

       ร่างสูงโปร่งของหนุ่มตี๋ชะงัก ก่อนตาตี่ดุจะตวัดไปมองแก๊งเด็กวัยรุ่นด้านข้างที่บังอาจมาผิวปากแซวคนของเขา...กูไม่กลัวโดนยำตีนด้วยเอาดิ ทำไมนั่นคนของกู ถึงจะ...มโนไปฝ่ายเดียวก็เถอะ แต่มันใช่เรื่องเหรอวะ ที่มาจ้องขาอ่อนไอ้เตี้ยนั่นตาเป็นมันแล้วผิวปากไปด้วยเนี่ย ไอ้เหี้ยเอ๊ย!

       กูอยากต่อยซักหมัดจริงๆ

เดินห้างดูหนังคนเดียว
เข้านอนคนเดียวแค่เปลี่ยวหัวใจ
ไม่มีแฟนเป็นลาภอันประเสริฐ
สวย เริ่ด เชิด โสด เข้าไว้ (อยู่เย็นเป็นโสด – หญิงลี ศรีจุมพล)

     “อ๊ายยย แซ่บค่าคุณลูกขา”

     “กรี๊ดดด พี่ปราณอย่างเด็ดอ่ะแก น่ารักเว่อร์”

     “โอ๊ย...มึงดูขาอ่อนน้องเขา”

      สงบไว้...สงบไว้ ไอ้เฟิง...ป๊าสอนมา เป็นคนค้าคนขายต้องใจเย็น ตอนนี้มันก็สถานการณ์เดียวกัน

      “อยากได้ว่ะมึง เอวพลิ้วขนาดนี้ แม่ง”

       ดูท่าไอ้แก๊งหัวเกรียนข้างๆจะอยากกินส้นเท้าเขาจริงๆสินะ...

       เฟิงละสายตาจากเวทีไปมองเด็กแว้นย้อมผมทองด้วยสีหน้าสมเพชเวทนา หน้าตาอย่างกับตัวเงินตัวทองชนขอนไม้ ไอ้ปราณมันคงจะสนหรอกนะ...เหอะ

      “น้องนักร้องคร้าบ เอวดีขนาดนี้ สนใจมาเต้นต่อที่ห้องพี่ไหมคร้าบ เดี๋ยวพี่จะให้ทั้งร้องทั้งเต้นทั้งคืนเลย  วี้ดวิ้ววว”

      สิ้นประโยคนั้นไอ้เฟิงก็ตัดสินใจได้ทันที...ป๊าสอนมาว่าให้ใจเย็นๆกับลูกค้า

       แต่ไอ้เวรนี่ไม่ใช่ลูกค้า  และถึงจะมาหน้าร้านกูก็จะปาปังตอใส่!

        แต่ยังไม่ทันที่หนุ่มตี๋อารมณ์ร้อนจะได้ทำอะไร นักร้องบนเวทีที่ตาดีเห็นลางความวุ่นวายก็รีบยิ้มหวานมาให้  “ไม่ล่ะจ้ะ  พอดีชอบร้องบนเวที ไม่ชอบไปร้องแถวข้างคลองให้ตัวเงินตัวทองฟัง

        ครับ...จัดว่าเด็ด

       เด็กแว้นผมทองถึงกับยืนอึ้ง ขณะกำลังจะอ้าปากด่าก็ถูกยามที่เดือนเรียกมาลากตัวออกไปก่อนข้อหา(กำลัง)จะก่อความวุ่นวายและพูดจาลวนลามนักร้องบนเวที

        อดีตนายแบบเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั่นแหละ  ตอนแรกก็ไม่ได้จะยุ่ง แต่กลัวมันเป็นเรื่องก็เลยต้องเรียกยามมาคุมพวกตัวปัญหาออกไปจนได้ ร่างสูงเหลือบไปเห็นมุมปากของร่างข้างๆยกยิ้มขึ้นมาเหมือนพอใจอะไรบางอย่างก็ถามออกไปด้วยความสงสัย

       “ยิ้มอะไร น้องเจออะไรดีๆเข้าหรือไง?” ดินหันมาหัวเราะจนตาปิดให้พี่ชาย แล้วแกล้งทำเสียงจุ๊ๆใส่อีกฝ่าย “ความลับครับ”

       “หืม แย่อ่ะ มาหลอกให้อยากแล้วก็จากไป ไม่รับผิดชอบกันเลย”

       “ทำไมครับ ท้องหรือไง?”

      “พี่ว่าถ้าจะมีคนแถวนี้ท้อง...ก็คงไม่ใช่พี่มั้ง หรือดินว่าไง”

      เดือนกระซิบข้างหูอีกฝ่าย ก่อนถอยกลับมาโดยจงใจให้ปลายจมูกโด่งปัดผ่านแก้มนิ่มเบาๆ แต่ก็มากพอให้ผิวแก้มขาวซับสีแดงระเรื่อขึ้นมาได้ ดินย่นจมูกใส่พี่ชายต่างสายเลือดที่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่แกล้งเขาได้สำเร็จแล้วหันไปสนใจการแสดงบนเวทีต่อ

       เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงเพลงสุดท้าย เดือนจึงขอตัวออกไปทำหน้าที่พิธีกรต่อ  เขาเดินไปด้านหลังเวทีเป็นจังหวะเดียวกับที่พวกปราณเดินลงมาพอดี  เมื่อเห็นเดือนปราณก็รี่เข้ามาหา ยิ้มโชว์ฟันขาวให้พร้อมพูดเสียงใส

      “พี่เดือน! เป็นไงบ้างจ๊ะ ปราณบอกแล้ว แซ่บเว่อร์!” ว่าจบก็หัวเราะคิกคัก ไม่ได้หันไปดูเลยว่ามีใครมายืนกอดอกตีหน้าดุอยู่ด้านหลัง เดือนที่เห็นเฟิงเดินมาก็พยักหน้าน้อยๆให้อีกฝ่ายแล้วขอตัวกับปราณ โดยบอกว่าเขาต้องขึ้นเวทีไปดำเนินรายการต่อ ก่อนจะขึ้นไปเขายังได้ยินเสียงปราณโวยวายใส่คนตาตี่ที่ถือวิสาสะเอาเสื้อตัวโคร่งมาคลุมปราณไว้ทั้งร่างแล้วก็ลากออกไปไหนไม่รู้

       “เอาล่ะครับพ่อแม่พี่น้อง เมื่อสักครู่เป็นยังไงกันบ้างครับ...โอ๊ะ  พี่ชายเสื้อลายดอกคนนั้นอย่าเพิ่งสูดยาดมครับ เข้าใจว่าเมื่อกี้เจอมาหนัก ฮ่าๆๆ” เดือนหัวเราะระหว่างแซวลูกชายร้านขายกุ้ยช่ายที่ยืนเหม่อลอยไปพลางสูดยาดมไปพลางอยู่ข้างเวที

      “ใครที่หมดแรงสามารถหาซื้อยาดมไว้ล่วงหน้านะครับแต่อย่าเพิ่งหนีกันไปไหน ต่อไปเรามีเพลงสนุกๆมาให้ทุกท่านได้ยืดเส้นยืดสายกันด้วยนะครับ! แต่ก่อนอื่นผมให้เวลาทุกท่านพักกันสักห้านาที” ชายหนุ่มทิ้งจังหวะก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้       สตาฟที่เตี๊ยมกันมาแล้วยกเก้าอี้กับกีต้าร์โปร่งขึ้นมาให้  เดือนรับกีต้าร์มาพลางทรุดตัวลงนั่ง

      เพียงเท่านี้เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีกระลอก

      เดือนมองตรงไปที่ดินที่มีท่าทีงุนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้ารู้ทัน อีกฝ่ายกลอกตาแล้วก็ส่งยิ้มบางๆมาให้เขา

      “ระหว่างที่ทุกท่านนั่งพัก ก็มาฟังผมร้องเพลงให้ฟังสักเพลงดีกว่านะครับ”

       นิ้วเรียวค่อยๆขยับปรับสายกีต้าร์จากนั้นเดือนก็สูดลมหายใจเข้าเบาๆ สายตาคมที่มีแต่แววหวานและความรักไม่ได้จับจ้องไปที่อื่นเลย

       มันมองตรงไปที่จุดเดียว...

       มองตรงไปหาคนที่เขารักเพื่อสื่อว่าเพลงนี้เขาตั้งใจร้องให้อีกฝ่าย

ในโลกที่มีความวกวน
ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นรน
ที่สับสนร้อนรนจนใจ นั้นแสนเหนื่อย
ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อยๆ
จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร

       เสียงกีต้าร์พร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มสะกดให้ผู้คนเงียบเสียงลง ทำให้เสียงของเดือนก้องกังวานออกไป

แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ
ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ

     นี่...ดินเคยถามพี่ใช่ไหมว่าทำไมถึงได้คอยรับฟัง...คอยอยู่ข้างๆ

     น้องเคยขอบคุณพี่ใช่ไหม ที่ไม่ปล่อยมือน้องไป ไม่ผิดสัญญากับน้อง

     แต่ดินรู้ไหม...ว่าพี่เองก็ขอบคุณดินมากเหมือนกัน  ดินเอง...ก็เป็นกำลังใจที่สำคัญสำหรับพี่

     เป็นแสงสว่างเล็กๆในวันที่ชีวิตกำลังดิ่งลงเหว

     ขอบคุณนะ...ขอบคุณที่เกิดมา

      ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้...ข้างกายกัน

      ขอบคุณที่ให้พี่ได้รักน้องอย่างหมดหัวใจ

      ขอบคุณจริงๆนะ

ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบอะไร
และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้


มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๘ แด่เธอที่รัก {๘.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 08-03-2016 21:06:16
ต่อค่ะ


         ภาพเบื้องหน้าดิน...ภาพของเดือนที่ดูเหมือนเปล่งประกายอยู่ท่ามกลางแสงไฟบนเวทีกำลังพร่าเลือน  หยาดน้ำใสไหลเอ่อคลอ แต่ดินไม่ได้ก้มหน้าลงเพื่อปกปิด  เขาแค่ปาดมันออกแบบลวกๆ เพื่อที่จะได้รีบกลับไปมองภาพของเดือนให้ชัด 

         ดวงตาของอีกฝ่ายสื่อความหมายที่มีเพียงเขาที่รู้ ความรักที่มากมายในดวงตาคู่นั้นเป็นของเขา

        เสียงเพลงที่ร้องออกมาจากใจราวกับกำลังซึมลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ

         เมื่อเสียงเพลงจบลง ท่ามกลางเสียงปรบมือและจังหวะทำนองเพลงที่เปลี่ยนไป แต่ดินเหมือนกับว่าเขายังได้ยินเพลงนั้นซ้ำๆอยู่รอบตัว

        จนกระทั่งเดือนเดินมาหยุดตรงหน้า  ดินถึงได้คลี่ยิ้มออกมา เสียงหวานหลุดกระซิบถ้อยวาจาออกไป เป็นแค่เสียงแผ่วเบา แต่ดินเชื่อว่าเดือนได้ยิน

        ถ้อยคำที่มาจากใจของเขา...

        “ดินรักพี่นะ...รักพี่มากๆ ขอบคุณที่ตามหาดินจนเจอ ขอบคุณที่ไม่ปล่อยมือดินไป” เดือนยิ้ม หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้คนผมดำพลางเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้น...ดินพร้อมจะก้าวต่อไปแล้วใช่ไหม”

         ร่างเล็กผงกศีรษะให้คนพี่ยิ้มอย่างเอ็นดูอีกรอบ ก่อนที่ฝ่ามือจะสอดประสานกัน  เดือนจูงดินเดินเลี่ยงออกมาจากงาน ออกห่างจากผู้คน แสง สี และเสียงที่วุ่นวาย จนเดินมาถึงบริเวณข้างตลาดที่ยามนี้เงียบสงบ ที่ใต้เสาไฟข้างถนนมีร่างสองร่างยืนคุยกันอยู่  ดินเพ่งมองก่อนจะเม้มปากเมื่อพบว่าคนคนนั้นคือกัณฐพันธ์กับคนรักของเขา...ปิ่นฟ้า

        “ไม่ต้องกลัว” เดือนกระซิบกับเขา เสียงอบอุ่นที่ทลายทุกความหวาดหวั่นและความสับสน  ฝ่ามือใหญ่แตะหลังเขาให้ยืดตรง ดันให้ก้าวไปข้างหน้า

         ไม่ว่ากี่ครั้งคนคนนี้ก็จะเป็นแบบนี้ จับจูงเขาไว้ พาให้ก้าวไปอย่างสง่าผ่าเผย

         แต่ครั้งนี้...ดินจะต้องจัดการปัญหานั้นด้วยตัวเอง

        เขาจะไม่มีวันหลุดพ้นจากอดีต หากเขาไม่ตัดโซ่ที่พันธนาการใจเขาไว้ด้วยตัวเอง

        คนผมดำจึงเลื่อนมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเดือน หันมายิ้มให้อีกฝ่าย “เดี๋ยวดินกลับมา”

ในอุปสรรคที่มากมาย ในความหวาดหวั่นที่วุ่นวาย
ในอนาคต ในปัจจุบัน และอดีต
ในความเป็นจริงที่ต้องเจอ ที่ไม่เคยพ้นเลยสักที
ยังไม่รู้พรุ่งนี้ต้องเจอกันเรื่องใด

       ชายหนุ่มย่างก้าวอย่างเชื่องช้าหากแต่มั่นคงตรงไปที่คนทั้งสอง

       หญิงสาวคนนั้นดูสวยขึ้นกว่าที่เขาจำได้ ดินใช้พลังพิเศษมองเข้าไปในโลกของด้ายแดง เขาเห็นด้ายของคนทั้งคู่ผูกไว้ด้วยกันอย่างบางเบา ราวกับจะขาดให้ได้เสียทุกเมื่อ

      “น้องดิน” ปิ่นฟ้าเรียกชื่อเขา ก้มหน้าไม่สบตา ดินก็พอเข้าใจ  หากเป็นยามปกติเขาก็คงโกรธแค้นหล่อน คงทรมาณที่เห็นหล่อนมายืนตรงหน้า

       ร่างเล็กมองฝ่ามือใหญ่ของกัณฐพันธ์ที่กอบกุมมือบางไว้ราวกับจะปกป้องหญิงสาว

       อ่า...ในที่สุด พี่ก็ได้เจอคนของพี่แล้วสินะ

       ดินว่าคนที่มีพลังพิเศษไม่ใช่แค่เขาหรอก เดือนเองก็คงจะมี...ความสามารถที่จะรัก...รักได้มากพอจนทำให้ใครคนหนึ่งปล่อยวางอดีตอันโหดร้ายลงได้

        ความโกรธแค้นไม่เคยส่งผลดี ดินแบกรับมันมานานเกินพอแล้ว

        ถึงเวลาที่เขาต้องวางมันลงเสียที

        “พี่รู้ว่ามันแย่ที่มาขอร้องดินอีกครั้ง แต่ว่า...”

         “ไม่เป็นไรครับ ดินเข้าใจ”

         กันฐพันธ์ดูงุนงงไม่น้อย เมื่อจู่ๆคนที่เคยแสดงว่าเกลียดเขาหนักหนาบัดนี้กลับมายืนตรงหน้าด้วยท่าทางที่ปราศจากความโกรธแค้นใดๆ

       เหมือนอีกฝ่ายกลับไปเป็นดินที่สดใสคนเดิม...เป็นเด็กหนุ่มที่เขาเคยหลงรัก

       “ดินพูดไม่ได้เต็มปากหรอกนะครับว่าดินไม่เสียใจกับสิ่งที่พวกพี่ทำกับดิน...แต่ว่าตอนนี้ดินเหนื่อยแล้ว” บนใบหน้างดงามปรากฏความอ่อนล้าขึ้นมารางๆ “ดินพอแล้วกับการแบกรับความโกรธแค้นของการถูกหักหลัง และความเสียใจของการถูกทอดทิ้ง  ดินไม่ได้จะลืมสิ่งที่พวกพี่ทำ...มันคงยากเกินไป และดินก็ไม่ใช่พ่อพระ...แต่ดินจะอโหสิกรรมให้พวกพี่  พี่กันฐ์ ถือซะว่าเรามีบุญไม่เท่ากันก็แล้วกันนะครับ...ถึงไม่ได้คู่กัน แต่ก็ไม่เป็นไร ขอบคุณนะที่ทำให้ดินเคยได้รู้จักคำว่ารัก”

        ดวงตากลมโตย้ายมามองที่ใบหน้าของปิ่นฟ้า “ส่วนพี่ปิ่น ชาติก่อนดินอาจจะเคยไปแย่งของรักของพี่ ชาตินี้พี่เลยได้มาเอาคืน เราก็ถือว่าหายกันแล้ว ให้มันจบในชาตินี้เถอะนะครับ ดินไม่อยากไปเจอพี่ที่ชาติหน้าแล้วล่ะ ปวดหัวเปล่าๆ พี่กันฐ์ด้วย ถ้าชาติหน้ามีจริงให้ความรักของเรามันจบที่ชาตินี้เถอะครับ อย่าตามไปกันถึงชาติหน้าเลย ดินไม่อยากเจอพี่แล้ว”

        ถึงแม้ท้ายประโยคจะแอบเสียดสีเบาๆแต่กระนั้นปิ่นฟ้ากับกัณฐพันธ์ก็ไม่ได้โกรธ...ไม่สิ พวกเขาคงไม่พอใจแต่ไม่แสดงออกมามากกว่า

        สำหรับปิ่นฟ้าเธอรู้ดีว่าตนผิดที่แอบไปสานสัมพันธ์กับคนที่มีเจ้าของแล้ว...ส่วนกัณฐพันธ์ก็รู้ว่าตนผิดที่ไม่หักห้ามใจ
ดินคว้ามือที่กุมกันไว้ของทั้งคู่ขึ้นมา บางทีถ้านี่เป็นนิยาย แล้วมีกันฐพันธ์กับปิ่นฟ้าเป็นพระเอกและนางเอก ดินอาจจะเป็นตัวร้ายก็ได้กระมัง เขายิ้มมุมปากอย่างนึกขัน...แต่ถ้านี่เป็นเรื่องของเขา สองคนนี้ก็ตัวร้ายเต็มๆเลยล่ะนะ

       โลกใบนี้...บางทีคนเราก็ปล่อยวางความเจ็บช้ำได้เพียงแค่เปลี่ยนมุมมอง

แต่ยิ่งชีวิตได้ผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด แน่ใจ

       “ดินขอให้พวกพี่รักกันนานๆ มีความสุขมากๆ ครองคู่กันไป ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น รักกันยืนนานจนกระทั่งเถ้าธุลีกลับคืนสู่ดินนะครับ” ถ้อยคำที่เป็นดั่งคำอวยพรช่วยผูกประสานเส้นด้ายโปร่งแสงสีแดงให้กระชับกันแน่นขึ้น  ขมวดปม จนเชื่อมต่อเป็นเส้นเดียว  ดินปล่อยมือออกจากทั้งคู่  รู้สึกเวียนหัวอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยังอุตส่าห์กล่าวลา  “โชคดีนะครับ”

      ปิ่นฟ้ากับกันฐพันธ์คลี่ยิ้มให้เขา เป็นยิ้มที่มาจากใจ โดยเฉพาะกันฐพันธ์ที่มองเห็นด้ายแดง ชายหนุ่มเองก็อวยพรให้ดินเหมือนกัน ก่อนที่ร่างของคนทั้งคู่จะพากันเดินไปขึ้นรถ  ในตอนที่ดินกำลังจะเดินไปหาเดือนอดีตพี่รหัสเขาก็วิ่งกลับมาเสียก่อน
กันฐพันธ์หอบหายใจขณะเอ่ยถาม “ดิน...น้อง..น้องยังมองเห็นด้ายแดงตัวเองอยู่ไหม”

       ดินชะงักก่อนจะส่ายหน้า คนตัวสูงจึงเพ่งมองไปที่มือของดินก่อนจะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจนิดๆ แต่ก็ยอมก้มตัวลงมากระซิบข้างหูเขา “ดีใจด้วยนะ...มันเชื่อมกันอยู่ล่ะ ด้ายแดงของน้องกับหมอนั่น”

      เมื่อได้ยินประโยคนั้นดินก็ยิ้มกว้างออกมา หัวใจเต้นถี่รัว

      “รู้แล้วล่ะครับ” เขากระซิบตอบกลับไป “พี่เดือนบอกดินเอง”  ถึงกัณฐพันธ์จะแสดงสีหน้าสงสัยแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้ซักถาม ดินเองก็ไม่ได้อธิบาย ชายหนุ่มตัวโตเลยพูดต่อไป “แล้ว...พี่มีอะไรจะบอก...ด้ายแดงของน้อง...มัน...มัน”

      “มัน?”

     “มันเป็นสีดำ”

     “สี...ดำ?”

      ดินทวนคำอย่างตระหนก แต่ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเมื่อนึกถึงประโยคหนึ่งจากหนังสือที่เคยอ่านขึ้นมาได้  คนตัวเล็กค่อยๆทำความเข้าใจเรื่องราวก่อนจะคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

     “จริงเหรอ แต่มัน...”

     “ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่รีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่ปิ่นฟ้าจะรอ ดินเองก็อยากกลับบ้านแล้ว” ว่าพลางเหลือบตาไปมองเดือนที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก "เดี๋“วคนแถวนี้จะหงุดหงิด"

      “ก็หงุดหงิดไปแล้วไม่ใช่หรือไง” อดีตคนรักของเขาพึมพำ  กัณฐพันธ์หันมามองดินให้เต็มตาอีกครั้ง “เรายังติดต่อกันได้ใช่ไหม พี่หมายถึง...แบบพี่น้องกัน”

      “ครับ ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงได้”

       “ขอบคุณนะ...เอาเป็นว่ามีปัญหาก็บอกพี่ได้ พี่พร้อมช่วยเสมอ” ว่าจบก็หันกายวิ่งกลับไปที่รถแล้วขับออกไป ดินยืนมองรถของพี่รหัสห่างออกไปจนลับตา จากนั้นเขาก็รับรู้ถึงความอบอุ่นและแรงกอดรัดที่ด้านหลัง

       “คุยอะไรตั้งนานหืม  พี่ชักจะหึงแล้วนะ” เดือนพึมพำชิดริมหูอีกฝ่าย  แถวนี้ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมา ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาเห็น

       “ก็...จัดการปัญหาน่ะครับ” ดินตอบพลางหมุนตัวกลับมาหาร่างสูง  ดวงตาสีอ่อนทอดมองเขาอย่างอ่อนโยนเช่นเคย  เดือนรั้งร่างของน้องชายต่างสายเลือดเข้ามาชิดกันมากขึ้น “แล้วสำเร็จไหม?”

   ดินหัวเราะ เป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มาจากใจ เหมือนกับว่าในที่สุดเขาก็ปล่อยวางภาระหนักอึ้งบนสองบ่าได้เสียที

   “ครับ สำเร็จแล้ว ต้องขอบคุณพี่เดือนเลยนะ” สองแขนกอดตอบร่างสูง “ขอบคุณจริงๆที่รักดิน”

   “แล้วดินรักพี่หรือยังล่ะ”

   “รักสิครับ...รักตั้งนานแล้ว” ดวงตาสีอ่อนไหววูบราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ดินจึงฝ่ามือใหญ่ขึ้นมา เกี่ยวนิ้วก้อยตัวเองเข้ากับนิ้วก้อยอีกฝ่าย กระซิบเบาๆ “มันผูกกันแล้วนะ...ด้ายแดงของเราน่ะ...ดินไม่อนุญาตให้พี่ตัดด้วย”  เดือนตะลึงค้าง ก่อนที่เขาจะรวบร่างอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นๆ ยกจนตัวลอย ในอกมันพองฟู ในท้องก็...ไม่รู้ว่ามีผีเสื้อกระพือปีกไหม แต่ตอนนี้ต่อให้เป็นผีเสื้อ แมลงปอ หรือนกกระจอกเดือนก็ไม่สน

   “พี่เดือน ดินรักพี่นะ”

   “พูดอีก”

   “ดินรักพี่ รักพี่นะครับ”

   “อีกทีสิ”

         ครั้งนี้ชายหนุ่มผมดำไม่พูดตอบ หากแต่ก้มหน้าลงไปประทับจูบอ่อนหวานลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย  แล้วโดยไม่ทันตั้งตัว เดือนดันร่างอีกฝ่ายให้พิงเสาไฟฟ้า  ประคองใบหน้าดินให้เงยขึ้นรับสัมผัสที่อ่อนหวานหากแต่ร้อนแรงกว่าทุกครา

   ริมฝีปากขยับแผ่วเบา  เดือนขบเม้มริมฝีปากล่างของน้องชาย ดูดซับให้อีกฝ่ายเปิดทาง เมื่อดินยอมโอนอ่อน ปลายลิ้นอุ่นจึงได้เกี่ยวพันซึ่งกันและกัน   ดินครางประท้วงเมื่อเริ่มหายใจไม่ออก เดือนจึงผละริมฝีปากออกมาจูบซับน้ำใสที่มุมปาก เว้นว่างนานพอให้อีกคนกอบโกยอากาศเข้าปอดก่อนจะกดริมฝีปากลงไปอีกครั้ง

   อ่อนหวาน รุกไล้ หวามไหว

   ริมฝีปากร้อนพรมจูบไปทั่วใบหน้า แก้ม หน้าผาก เปลือกตา ปลายจมูก ก่อนวนกลับมาที่เดิม

   พวกเขาจูบกันครั้งแล้วครั้งเล่า ผละออกเพียงชั่วลมหายใจก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าหากันใหม่ เหมือนอีกฝ่ายมีแรงดึงดูด...พวกเขาต่างมีแรงดึงดูดต่อกัน

   ปลายนิ้วเรียวสอดเข้าไปในเส้นผมสีอ่อน ดินรู้ว่าเดือนจูบเก่ง แต่หนนี้มันทำเอาเขาจะละลายลงไปตรงนั้น  เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมดแรงยืนไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็แทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของพี่ชายบุญธรรมเสียแล้ว

   “อืม...พี่...เดือน...ฮ้า...ดินหายใจ...ไม่ออก” เขาหอบครางประท้วงเมื่ออีกฝ่ายท่าทำจะกดจูบลงมาอีกรอบทั้งที่ตัวเขายังหายใจไม่ทัน  เดือนผละออก ปลายนิ้วโป้งลูบไล้ริมฝีปากสีสดที่บวมเจ่อเพราะฤทธิ์จูบ แก้มขาวก็กลายเป็นสีแดง  “ก็พี่ดีใจ” เดือนตอบเบาๆ โน้มตัวลงไปขบเม้มใบหูให้อีกคนสะดุ้งเฮือก

   “ดีใจที่น้องรักพี่ได้เสียที”

   “อืม ดูแลดินดีๆด้วยนะครับ”

   อดีตนายแบบได้แต่หัวเราะขำในลำคอ  จูบหนักๆที่ริมฝีปากช่างพูดนั่นอย่างเอ็นดูแกมหมั่นเขี้ยว “ยกให้ทั้งชีวิตเลยล่ะครับที่รัก”

ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะไม่เหลือใครๆ
แต่ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ตรงนี้...

   ทำนองเพลงรักที่เดือนขับร้องดังก้องอยู่ในหัวใจสองดวงที่สอดประสานกัน  ความรักที่ค่อยๆก่อตัวบัดนี้หยั่งรากลึกลงในใจของทั้งคู่

   อาจจะต้องขอบคุณฟ้า โชคชะตาหรืออะไรก็แล้วแต่

   ขอบคุณที่ทำให้พวกเขามีกันและกันในอ้อมกอดเช่นเวลานี้...

ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่กับฉัน (ฉันดีใจที่มีเธอ – บอย โกสิยพงษ์)

   สองร่างที่โอบกอดกันแนบแน่น ริมฝีปากประทับจูบหวามไหวอยู่ใต้แสงไฟทำให้ฝีเท้ารีบเร่งที่กำลังเดินมาทางนี้ถึงกับชะงัก

   หญิงสาวร่างเล็กตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ มือไม่สั่นจนไม่รู้จะเอาไปวางที่ไหน ใบหน้าก็ร้อนผ่าวไปหมด แม้แต่ผู้เป็นสามีที่เดินตามมาข้างหลังก็ถึงกับชะงัก อุทานออกด้วยความตกใจ และคำอุทานนั้นทำให้ร่างที่ตระกองกอดกันอยู่สะดุ้งเฮือก รีบผละออกจากกัน

   ทันทีที่ชายหนุ่มทั้งคู่หันหน้ามา พวกเขาก็เบิกตากว้างอย่างตระหนก...เช่นเดียวกับเธอ...เช่นเดียวกับสามีของเธอ

   ดวงตากลมโตกวาดมองลูกชายทั้งสองพร้อมกับอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ...ว่าเมื่อครู่ ลูกชายทั้งสองคนของเธอเพิ่งจะ...จูบกัน

   “เดือน...ดิน นี่มันอะไรกัน...”

   เดือนที่ถูกเรียกชื่อเป็นคนแรกถึงกับครางออกมาด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี...นี่ฟ้าจะไม่ให้พวกเขาได้หวานกันดีๆเลยหรือยังไงนะ  ชายหนุ่มมองไปที่ร่างเล็กข้างกายสลับกับร่างของบุพการีทั้งสอง ก่อนจะเปล่งเสียงร้องเรียกออกมาแผ่วเบา

   “คุณพ่อ...คุณแม่...”


***************************************

ตอนนี้ยกผลประโยชน์ให้พี่เดือนแกไปเถอะเนอะ สงสารแก อ่อยเค้ามาตั้ง 18 ตอนแล้ว
55555 ตอนนี้ไม่มีมาม่านะคะ  :katai2-1: หลายคนคงตามลุ้นจนเหนื่อย เมื่อไหร่มันจะได้กัน 5555
เราก็ฝากพี่เดือนและน้องดินให้ทุกท่านติดตามต่อไปค่ะ #กราบ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
ตอนที่แล้วมีคนช่วยติงเรื่องคำผิดให้ ขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ  เขียนไปนานๆแล้วมันเบลอจริงๆ
ตาลายเลยมองไม่เห็น  :hao5: ฮื้อออ ฝากความรักให้ทุกคนนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ

ปล.1 พาร์ทบทของเรื่องคือวิธีการ
#อ่อยป้อจายสไตล์น้องปราณ
นางน่ารักนะคะ เขียนคู่ปราณกับเฟิงนี่ไม่เคยเครียดเลยจริงๆ 5555

ปล.2 แนะนำให้ทุกท่านเปิดเพลงจากในเรื่องฟังไปด้วยเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านค่ะ ฮาาา
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๘ แด่เธอที่รัก {๘.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-03-2016 21:17:06
 :ling3:

คู่ปราณเฟิงคงลงเอยอยู่แล้ว

แต่เดือนดินเนี่ย ซี้ดดดดดดด

เสียวพ่อแม่จริง
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๘ แด่เธอที่รัก {๘.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 08-03-2016 22:12:23
พ่อแม่มาเห็นเข้าซะแล้ว แล่ว แล้ว
ไหนจะปมพี่เดือนที่ยังไม่ได้เปิดเผยอีก แง้มมาแค่คำว่าญี่ปุ่น อืมมมม
แหม่ ดูท่าจะมีคิวดราม่ายาวๆเลยนะคะเรื่องนี้
ไหนๆปมน้องดินก็เปิดใจให้พี่เดือนรู้เห็นหมดแล้ว ผ่านมันไปด้วยกันแล้ว
หวังว่าหลังจากนี้พี่เดือนจะเล่าเรื่องตัวเองให้น้องฟังบ้างนะ
ต่อให้เรื่องมันน่าช็อคแค่ไหน แต่ถ้าได้ฟังจากปากพี่เดือนก็ย่อมดีต่อใจคนฟังมากกว่าต้องไปตามสืบเองรู้เองล่ะน่า
อ๋อ.... แต่กว่าจะถึงตอนนั้นคงต้องผ่านประเด็นพ่อแม่ไปก่อนสินะ
แหมๆๆๆๆๆ เทียบกับเฟิงปราณแล้วเนื้อเรื่องคู่หลักนี่มันมีแต่อะไรหนักๆจริงๆเลยนะคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๘ แด่เธอที่รัก {๘.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 08-03-2016 23:17:05
ด้ายดำ??
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๙ ความรักของแม่ {๑๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 12-03-2016 19:33:34
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๙
ความรักของแม่



   “คุณพ่อ...คุณแม่”

   ดวงตากลมโตของคุณมะลิยังคงเบิกกว้างอย่างตกใจ  ภาพเมื่อครู่ เธอแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือควรทำตัวอย่างไร  คนที่ได้สติก่อนคนแรกคือสามีของเธอ   อัลเฟรดวางมือลงบนบ่าของคนรัก  ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งไม่ปรากฏร่องรอยได้ ดวงตาคมฉายประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออก

   “เดือน...ดิน” น้ำเสียงของเขาไม่ได้ตำหนิ แต่ก็ยังนิ่งจนน่าใจหาย “กลับบ้าน”  สิ้นคำนั้นลูกชายทั้งสองของเธอก็สบตากันแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้า อัลเฟรดเดินนำออกไป เขาจูงมือเธอไปด้วยเหมือนกับรู้ว่าเธอจะยืนไม่ไหว ระหว่างทางไปที่รถไม่มีเสียงสนทนาใด  หล่อนแอบมองไปด้านหลังที่ซึ่งลูกชายทั้งสองของพวกหล่อนเดินตามมาเงียบๆ

   แล้วหล่อนก็เห็น...ว่าเดือนกอบกุมมือของดินไว้แน่น  นิ้วโป้งลูบไล้หลังมือน้องชายต่างสายเลือดให้คลายความกังวลใจ ขณะที่ดินมีสีหน้าเหมือนกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

   เพียงแค่เห็นภาพนั้นมะลิก็รับรู้ได้ถึงความจริงบางอย่าง...

   ลูกชายแท้ๆของเธอช่างเหมือนพ่อของเขาเหลือเกิน  ลูกชายที่เธอไม่เคยทำหน้าที่แม่ที่สมบูรณ์แบบและอัลเฟรดก็ไม่เคยทำหน้าที่พ่อที่เพียบพร้อมให้เขา แต่เขากลับเติบโตมาโดยถอดแบบบิดาแทบทุกกระเบียดนิ้ว 

   เธอจะทำอย่างไรดี...สิ่งที่ลูกชายทำ กำลังจะเป็นที่ครหาของคนในสังคม

   แต่ถ้าหากการมีกันและกันทำให้พวกเขามีความสุข...มันก็สมควรแล้วหรือที่เธอจะไปพรากความสุขของลูก

   น้ำตาหยดโตไหลรินลงข้ามแก้มนวลอย่างเงียบงัน  หญิงสาวร้องไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจและความสับสน  และเมื่อเหลือบมองเสี้ยวหน้าของสามี ก็เห็นว่าเขามีความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

   ความเงียบยังคงโรยตัวจนกระทั่งพวกเขาเดินทางมาถึงบ้าน เมื่อรถจอดสนิทและดับเครื่องยนต์เรียบร้อย พวกเขาทั้งสี่ก็เดินลงมา  เดือนยังคงไม่ปล่อยมือดินแม้ว่าพวกเขาจะนั่งลงบนโซฟา หันหน้าเข้าหาบุพการี ชายหนุ่มร่างสูงใจหายเมื่อเห็นว่าบนใบหน้าสวยหวานของงมารดามีร่องรอยขอคราบน้ำตา

   “ไหนเล่ามาซิ...มันเกิดอะไรขึ้น” ในที่สุดคุณพ่อก็พูดขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องมองมือที่เกาะกุมกันของลูกชาย แต่เดือนก็ไม่ได้คิดจะปล่อยมือ กลับกันเขากลับบีบกระชับมือดินแน่นเพื่อให้กำลังใจ

   “ดินกับพี่เดือน...เรา...”

   “เดือนจูบน้องครับ”

   ชายหนุ่มพูดแทรกดินที่พยายามจะหาคำพูดมาอธิบายกับบิดา เมื่อได้ยินดังนั้นความตระหนกก็พาดผ่านใบหน้าคนทั้งคู่  เดือนจ้องสบเข้าไปในดวงตาของบิดากับมารดาเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ผู้เป็นมารดาจึงละล่ำละลักถามออกมา

   “เดือนจูบ...จูบน้องทำไมลูก”

   “เพราะเดือนรักน้อง...เดือนรักดินครับแม่ ไม่ใช่แบบพี่กับน้อง...แต่รักแบบคนรัก...แบบที่อยากอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต” ลูกชายของเธอเหวี่ยงความจริงอัดกระแทกเข้ากลางใจ ดวงตากลมโตย้ายไปมองชายหนุ่มที่เธอรักเหมือนลูกชายแท้ๆอีกคน “ดิน...”

   “ดิน..ฮึก...ดินขอโทษครับคุณแม่...แต่...แต่ดินรักพี่เดือน...รักมาก”

   “แต่เดือนกับดินเป็นพี่น้องกันนะลูก”

   “ยังไงเราก็ไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกันไม่ใช่เหรอครับ  เราแทบจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำในตอนแรก มันผิดตรงไหนล่ะครับที่เดือนจะตกหลุมรักน้อง สำหรับเดือน ดินเป็นมากกว่าพี่น้อง ดินเป็นคนที่เดือนรัก เป็นเพื่อน เป็นครอบครัว...เป็นความสุข”

   “แต่พวกแกก็ยังเป็นพี่น้องกันอยู่ดี” พ่อของเขาเอ่ยขัดขึ้นมาเรียบๆ  “แกเข้าใจไหมว่าคนในสังคมเขาจะพูดว่าอะไรกันบ้าง...เป็นพี่น้องชายคาเดียวกัน มารักกันเอง ไม่คิดว่ามันผิดหรือ  แล้วแก...เดือน แกเป็นดารา เป็นคนของประชาชน  แกเข้าใจใช่ไหมว่าตัวเองจะเจออะไรบ้าง”

   “เดือนไม่สน”

   “แต่โลกนี้ไม่ได้มีแค่พวกแกสองคนนะ! แกคิดว่าแค่รักกันแล้วมันจะจบอย่างมีความสุขไปตลอดกาลหรือไง! มันไม่ใช่หรอก  แกจะต้องทนกับคำดูถูก คำเหยียดหยาม คำครหาจากคนรอบข้างมากมาย  ทั้งแก...ทั้งดิน...ลูกชายของพวกฉัน...แกคิดว่า...คิดว่าพ่อจะทนให้แกไปเผชิญเรื่องแบบนั้นได้ยังไง”  น้ำเสียงดุดันที่ไม่เคยได้ยินทำให้สองร่างที่ถูกตวาดสะดุ้ง  ทันใดนั้นเดือนก็เห็นว่าในดวงตาของบิดาเองก็มีน้ำตาคลออยู่เช่นกัน

   แย่จริง...นี่เขาเป็นลูกอกตัญญูขนาดไหนกันนะ ถึงได้ทำให้พ่อกับแม่ร้องไห้ได้

   “ฮึก...ดิน...ดินขอโทษ...ดินขอโทษครับ”  ร่างบอบบางข้างกายเขาสะอื้นไห้ ยกมือไหว้บิดามารดาทั้งที่กำลังสั่นเทา  น้ำตาร่วงพรูยามก้มลง

   “ดิน...ดินไม่ผิด...ฮึก...ไม่ผิดหรอกลูก...พ่อกับแม่...พ่อกับแม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ” คุณมะลิร้องไห้ตามลูกชาย คว้าตัวคนผมดำเข้ามากอดแน่น มือบางลูบหลังอีกฝ่าย ปลอบโยนเหมือนที่ทำทุกครั้งยามเขามีน้ำตา

   เดือนขบริมฝีปากยามเห็นภาพนั้น หัวใจบีบรัดหนักหน่วง ขอบตาร้อนผ่าว  เขาหันมาหาบิดาที่ยังจ้องมาด้วยสายตาไม่ยอมแพ้...แต่เขาจะทำทุกทาง...ให้พ่อแม่ยอมรับให้ได้

        ร่างสูงก็คุกเข่าลงที่พื้น  ประนมมือขึ้น แล้วก้มกราบแทบเท้าผู้เป็นบุพการีทั้งสอง

        “เดือนขอโทษ...ถ้าจะหาคนผิดทั้งหมดเป็นก็คงเป็นความผิดของเดือน  พ่อกับแม่ไม่ผิด น้องเองก็ไม่ผิด  เดือนขอร้องล่ะครับ คุณพ่อ คุณแม่...ให้ทำอะไรก็ได้ ขอแค่ให้เดือนได้อยู่กับน้อง ได้รักน้อง ได้โปรดเถอะครับ”

        “ถ้าอย่างนั้นก็กลับมาเป็นแค่พี่น้องกันได้ไหมล่ะ...พ่อว่า การเป็นพี่น้อง เป็นครอบครัว มันเป็นรักที่ยั่งยืนกว่าการเป็นคนรักเสียอีก  เดือนลองคิดดูนะ  ถ้าหากคบกันแล้ววันไหนเดือนเลิกกับดิน เดือนจะเสียทั้งน้องชาย ทั้งคนรักไปเลยนะลูก”  ฝ่ามืออบอุ่นของบิดาลูบลงที่ศีรษะบุตรชาย ไม่ใช่ว่าท่านไม่เจ็บที่เห็นลูกชายร้องไห้ แต่ท่านก็ต้องทำ...เพื่ออนาคตของลูกทั้งสอง

        ชายหนุ่มขบกรามแน่นด้วยพยายามข่มกลั้นอารมณ์ความรู้สึก  “แต่เดือนทำไม่ได้”  ใบหน้าคมคายของผู้เป็นบิดาเบือนไปทางอื่น สุดท้ายก็ต้องประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงกร้าว “ถ้าอย่างนั้นเราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก...เดือน ดิน ขึ้นห้องไปทั้งสองคนแล้ววันนี้ก็ไม่ต้องนอนด้วยกัน  กลับไปนอนห้องแกซะเจ้าเดือน” กล่าวจบก็หันไปหาร่างท้วมของแม่บ้านคนสนิท “ป้าชื่น คืนนี้ป้าขึ้นไปนอนกับคุณหนูดินของป้านะ ล็อกประตูห้องด้วย  ห้ามให้ใครเข้าไปจนกว่าจะเช้า เข้าใจไหม”

         แม่บ้านร่างท้วมก้มหน้ารับคำสั่ง แต่กระนั้นก็อดสงสารคุณหนูทั้งสองของเธอไม่ได้  เธอไม่ใช่คนที่จะเปิดกว้างเรื่องแบบนี้ก็จริง แต่การเห็นคุณหนูเดือนที่เข้มแข็งมีขอบตาแดงก่ำ และคุณหนูดินที่อ่อนโยนร้องไห้ราวกับจะขาดใจก็ทำให้หล่อนรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำผิด

        “ไป ขึ้นห้องไปเดี๋ยวนี้”

        แม่บ้านคนเก่งเอื้อมกร้านเพราะงานหนักไปกุมมือคุณหนูคนเล็กของหล่อนอย่างสงสาร ก่อนจะจับจูงอีกฝ่ายให้เดินขึ้นห้องไป แต่คุณหนูดินก็ยังไม่วายมองลงไปที่ร่างสูงของพี่ชายบุญธรรม  จวบจนเมื่อหล่อนพาร่างบางที่สั่นเทาจนน่าใจหายขึ้นมาถึงห้องนอน  ปิดประตูล็อกกลอนตามคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ร่างบางก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง  เหม่อมองเพดานอยู่แบบนั้น

       “คุณหนู...” หล่อนเอ่ยเรียกเมื่อเห็นร่างบางไม่ขยับเขยื้อนตัวแม้จะผ่านไปนานร่วมชั่วโมงแล้ว  ป้าแม่บ้านเดินไปหยิบเครื่องนอนสำหรับตนเองมาจัดเตรียมไว้ข้างเตียง  ในที่สุดหล่อนก็ทนมองภาพที่คุณหนูที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กนอนนิ่งปล่อยให้หยดน้ำตาไหลไม่ขาดสายแบบนั้นไม่ได้

        “ป้าชื่น” ดินเรียกเสียงแผ่ว น้ำเสียงอ่อนระโหยเหมือนคนหมดแรง “ป้าชื่นคิดว่าผมน่ารังเกียจมากหรือเปล่าครับ”

        “ไม่เลยสักนิดค่ะ  ป้าจะคิดแบบนั้นกับคุณหนูของป้าได้ยังไง”

        “แล้วพ่อกับแม่ล่ะครับ...”

        “ไม่มีทางค่ะ พวกท่านรักคุณหนูเหมือนลูกแท้ๆเชียวนะคะ จะคิดแบบนั้นได้ยังไงกัน”

         หยดน้ำตายังคงไหลรินอย่างเงียบงัน ดินไม่ได้สานต่อบทสนทนา  เขาอยากจะเอ่ยเรียกป้าชื่นให้ขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน แต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะพูดออกมา ชายหนุ่มได้แต่พลิกตัว ดึงเอาหมอนที่ร่างสูงใช้หนุนนอนเป็นประจำเข้ามาซุกซบ  อยากให้อีกคนอยู่ตรงนี้ด้วยกันเหลือเกิน 

         ข้างเดือนเองเมื่อถูกไล่ขึ้นมาบนห้องก็ได้แต่นั่งนิ่ง  ปวดร้าวไปทั้งอก เขาไม่สามารถทำได้...พ่อกับแม่ยังไม่ยอมรับ แต่เขาจะต้องทำให้ได้  พยายามมาด้วยกันตั้งขนาดนี้แล้ว เขาจะไม่ปล่อยมือน้องไปเด็ดขาด

         ระหว่างที่กำลังคิดหาทางออกจนปวดหัว โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันมีคนโทรเข้ามาอีก  เดือนระบายลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด  หยิบโทรศัพท์มาจะกดตัดสายเพราะรำคาญ แต่ทันทีที่เห็นเบอร์โทรเข้าที่เขาจำได้ขึ้นใจก็ต้องรีบรับสายแทบไม่ทัน

          [กว่าจะยอมรับสายนะเจ้าเดือน ทำอะไรอยู่ฮึ]

         “ม...แม่แก้ว”

         แม่แก้วเป็นพี่สาวของแม่มะลิ เป็นญาติที่รับเดือนมาเลี้ยงแล้วก็คอยดูแลส่งเสียเขาให้เรียนจนจบชั้นมัธยมต้น พอเดือนขึ้นชั้นมัธยมปลาย แม่มะลิที่พอสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้วก็ส่งเงินมาให้ แม่แก้วอิดออดไม่รับเงินอยู่นานแต่สุดท้ายก็ต้องยอมนำเงินของแม่มะลิมาเป็นค่าเทอมให้เขา  แม่แก้วมีลูกชายซึ่งอายุมากกว่าเดือนประมาณสามปีคนหนึ่ง แต่ก็รักและเลี้ยงดูเดือนเหมือนลูกแท้ๆ ลูกชายแม่แก้วก็ดูแลเขาเหมือนเป็นน้องชาย  ตอนแรกที่เขาบอกจะกลับมาที่สุพรรณ ทางแม่แก้วกับพี่กฤตก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะกลัวเดือนจะไม่กลับไปเยี่ยมพวกตนอีก แต่สุดท้ายก็ต้องยอม

          [ก็ฉันน่ะสิไอ้ลูกชาย]  คำเรียกขานเหมือนที่เคยได้ยินทำให้เดือนหลุดหัวเราะออกมา [แกเล่นเงียบหายไปเลย คนทางนี้ก็เป็นห่วงน่ะสิ  แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง กินดีอยู่ดีหรือเปล่า] ถามด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใย

          “ก็ดีแหละ”

          [แค่นี้?]

          “อ้าว แล้วแม่จะให้เดือนบอกอะไรอีกล่ะ”

           คุณนายกิ่งแก้วได้ยินคำตอบลูกชายก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ เป็นเหตุให้ลูกชายแท้ๆต้องหยุดเล่นกับลูกแล้วลงมือเขียนสคริปต์คำถามให้แม่อ่าน

           [ก็มีตั้งหลายเรื่องที่น่าเล่าไม่ใช่เหรอยะ ไอ้ลูกคนนี้นี่ เช่น แกเจอสาวน้อยบ้านนาหน้าตาน่ารัก ใสซื่อ บริสุทธิ์ เรียบร้อยแล้วหรือยัง  ฉันอยากเจอลูกสะใภ้]

           เดือนหัวเราะออกมาทันที  แม่แก้วกับแม่มะลินิสัยต่างกันมาจริงๆ แม่แก้วเป็นคนโผงผางตรงไปตรงมา ขณะที่แม่มะลิจะใจเย็นแล้วก็เรียบร้อยกว่า  เดือนรีบเอ่ยตอบกลับไป “ไม่มีสาวน้อยบ้านนาที่ไหนหรอกแม่” มีแต่หนุ่มน้อยบ้านนา...ใสซื่อ  เรียบร้อย...ก็ไม่เท่าไหร่ แต่น่ารักเอามากๆ

          อยากพาดินไปให้แม่แก้วรู้จักจังเลย

         [ไม่มีสาวน้อยแต่มีหนุ่มน้อยใช่ไหมวะ] แว่วเสียงพี่กฤตตะโกนแทรกเข้ามาพร้อมเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหลานแฝดตัวแสบ  เดือนอมยิ้ม ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกคิดถึงบ้านหลังนั้นเหลือเกิน

         “ถ้าใช่แล้วจะทำไม”

         [อุ๊ยตาย! ไอ้เดือน พูดจริงหรือเปล่าแก  นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ]

         “จริงสิแม่”

         [ใครที่ไหน ยังไง เล่ามา! แล้วนี่มะลิมันรู้ไหม  หัวใจวายตายไปแล้วหรือเปล่าน้องฉัน ]

         เดือนถอนหายใจ “รู้แล้วล่ะ เมื่อเย็นสดๆร้อนๆเลย ส่วนใครที่ไหน...ก็ลูกชายบุญธรรมของแม่เขานั่นแหละ” สิ้นคำก็มีเสียงโวยวายมาตามสาย คุณนายกิ่งแก้วรีบร้อนถ่ายทอดข้อความให้ลูกชายหล่อนฟังแต่คงไม่ทันใจเพราะลูกชายคนโตเอื้อมมือมาเปิดสปีกเกอร์โฟนเรียบร้อยแล้ว

          [หมายความว่าไงวะ  แกเอาน้องชายบุญธรรมเป็นแฟน?]

         “ก็...เอ่อ...ทำนองนั้นว่ะพี่”

         [แล้วโดนหม่อมแม่กับเจ้าคุณพ่อไล่ออกจากตระกูลยัง]

         “ปากพี่นี่แม่งน่าเตะว่ะ ยังไม่โดนเว้ย แต่เขา...เขาไม่ยอมรับอ่ะ”

         ปลายสายพากันเงียบไปก่อนที่คุณแม่แก้วจะกลับมายึดครองโทรศัพท์ได้อีกครั้ง [เป็นใครใครก็ตกใจ  พ่อกับแม่เขาก็คงห่วงสังคม ห่วงหน้าตาพวกแกนั่นแหละ]

         “แล้วแม่แก้วตกใจไหมที่ เดือนเป็นเกย์”

         [ก็ตกใจ แต่ฉันเลี้ยงแกมา ฉันรู้ว่าแกเป็นคนดี ไม่เคยทำเรื่องให้เดือดร้อน ฉันรักที่แกเป็นลูกชายที่ดี จิตใจดี เป็นลูกชายที่ฉันภาคภูมิใจ  แกจะรักใครชอบใครก็ไม่ผิดหรอก คนสมัยนี้ชอบเอาเพศมาจำกัดความรัก ชอบตัดสินคนอื่นว่าควรเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้  ไร้สาระ! แกโตเกินกว่าจะให้ใครมากำหนดชีวิตแกแล้วเดือน  จะกลายเป็นตาลุงวัยกลางคนแล้วนะ  เส้นทางที่แกเลือกแกก็ต้องรับผิดชอบเอง รักใครชอบใครก็ต้องเลือกเอง]

         พูดมาเสียยืดยาว ทั้งที่หากเป็นปกติเดือนคงจะเบ้หน้า แต่คราวนี้เขาตั้งใจฟังทุกคำสั่งสอนของผู้หญิงที่เป็นแม่คนที่สองของเขา

         [ถ้ารักกันจริงอุปสรรคมันก็เรื่องเล็ก อย่าปล่อยมือกันไปก็พอ ถ้ามะลิมันไม่ยอมรับก็พาน้องเก็บเสื้อผ้ามาก็ได้  น้องมันก็โตพอจะหางานทำได้ใช่ไหมล่ะ เนี่ยแหละ กลับมาช่วยกันทำมาหากิน ก็เลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้แล้ว]

        เดือนยิ้มกว้าง ความรู้สึกทุกข์ใจค่อยๆลดน้อยลง   เขานั่งฟังอีกฝ่ายเอ่ยกำชับว่าอย่าลืมพาน้องมาเยี่ยมด้วยประมาณห้ารอบได้ก่อนจะยอมสาย  ก่อนวางชายหนุ่มก็พูดขึ้นว่า

         “แม่แก้ว พี่กฤต เดือนรักแม่กับพี่นะ ขอบคุณที่ยอมรับเดือน”

         [แน่อยู่แล้ว รักก็รีบๆกลับมา พาลูกสะใภ้ฉันมาด้วยนะ]

         “คร้าบๆ”

          เขารับคำก่อนกดวางสาย  วางสายไปได้ไม่นานเดือนก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เขาลุกไปเปิดประตูก่อนจะขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อพบร่างสูงใหญ่ของบิดา  เดือนไม่ได้พูดอะไรเขาทำเพียงผลักประตูเปิดกว้าง ให้พ่อเดินเข้ามาในห้อง 

           ผู้เป็นบิดาทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง จ้องมองเดือนไม่วางตาจนชายหนุ่มต้องถามขึ้น “พ่อมีอะไรจะพูดกับผมหรือครับ”

          “เรื่องที่เราคุยกันเมื่อหัวค่ำ”

           “เดือนก็ยังยืนยันคำเดิม...ว่าเดือนไม่มีวันเปลี่ยนใจ พ่อครับ เดือนรู้ดีว่าเดือนจะเจอกับอะไร และเดือนก็พร้อมจะเผชิญกับมัน ดินเองก็เหมือนกัน เราคุยกันแล้ว  เดือนจะสามสิบแล้วนะครับ ไม่ใช่เด็กที่จะต้องให้พ่อแม่มาชี้ทางแล้วว่าชีวิตควรเป็นยังไงต่อไป”

          มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๙ ความรักของแม่ {๑๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 12-03-2016 19:35:51
ต่อค่ะ


          ฝรั่งผมทองยังคงนิ่งเงียบหลังฟังลูกชายพูดจบ  หลังจากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “แต่พวกแกเป็นพี่น้องกัน”

          เดือนสูดลมหายใจลึก คำนี้อีกแล้ว พี่น้องอีกแล้ว  เขาเริ่มจะโมโหแล้วเหมือนกันนะ
 
           เพราะอารมณ์กรุ่นโกรธในใจทำให้น้ำเสียงที่ใช้กระด้างห้วนมากกว่าที่เคย

          “งั้นพ่ออยากให้เดือนทำยังไงครับ เปลี่ยนนามสกุล ตัดตัวเองออกจากวงศ์ตระกูลเลยไหมครับถึงจะอนุญาตให้เดือนรักน้องได้”

          นัยน์ตาสีฟ้าคมกริบเบิกขึ้นก่อนน้ำเสียงที่เคยราบเรียบจะแฝงความกรุ่นโกรธเอาไว้ยามตอบกลับ “อย่ามาพูดแบบนี้กับฉันนะเจ้าเดือน  ฉันเป็นพ่อแก  ทางที่ฉันกับแม่แกเลือกคือทางที่คิดแล้วว่ามันเหมาะสม”

           “เหมาะสมกับใครล่ะครับ พ่อกับแม่แค่สองคนหรือเปล่า  เพราะจากวันนี้พ่อน่าจะได้เห็นนะครับว่าทั้งน้องทั้งเดือนไม่มีความสุขเลย!”  เดือนที่โกรธจนควบคุมตัวเองไม่อยู่หลุดคำพูดร้ายกาจออกมา  พรั่งพรูออกจากปากไม่หยุดคือความในใจที่เก็บกักมาหลายปี  เสียงของเขาดังขึ้นทุกทีจนกลายเป็นการตะโกน

          “คุณมาเลือกทางที่เหมาะสมอะไรให้ผมตอนนี้ครับ  ตอนที่ผมจัดการกับชีวิตตัวเองได้แล้ว ถ้าอยากจะทำตัวเป็นพ่อที่ดีก็น่าจะมาหาผม มารับผมกลับไปอยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนเด็ก ไม่ใช่หลังจากผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วแบบนี้!  คุณไม่รู้จักผมเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่าผมกินยังไง อยู่ยังไง ทำอะไรมาบ้าง คุณไม่รู้จักผม...ไม่เคยทำหน้าที่พ่อที่ดีได้เลยสักครั้ง  ดังนั้นผมจะไม่ยอมให้คุณมาดึงเอาความสุขที่ผมไขว่คว้ามาด้วยตัวเองไปเด็ดขาด  ผมจะไม่เลิกรักน้องต่อให้คุณไล่ผมออกจากบ้านจริงๆก็เถอะ!”

         สิ้นคำทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ  สีหน้าเจ็บปวดและตกใจที่ปรากฏบนใบหน้าสูงวัยของบิดาทำให้เดือนรู้สึกผิดแต่ทิฐิในใจก็ทำให้เขาเบือนหน้าไปทางอื่น  สุดท้ายก็พูดออกมา “ผมจะเก็บของ”

            “แกจะไปไหน”

            “กลับกรุงเทพฯ ผมจะพาน้องไปด้วย” 

           ตอนนี้สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือการหลบออกไปก่อน เดือนไม่มีปัญหากับวิธีการที่คล้ายจะเป็นการหนีปัญหานี้ แต่สำหรับดินเขาไม่แน่ใจว่าน้องจะยอมไหม  ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด บิดาของเขาก็เอ่ยออกมา “ไม่ต้องไปไหน อยู่ที่นี่แหละ” ร่างสูงใหญ่ตามเชื้อชาติตะวันตกหมุนกายเดินกลับไปที่ประตู  ก่อนจะออกไปคนเป็นพ่อก็หันมามองเขา พูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยสีหน้าเสียใจ

          “แกพูดถูก ฉันไม่เคยทำหน้าที่พ่อที่ดีได้เลย”

         ปึง

        เสียงปิดประตูห้องนอนทำให้ร่างเล็กสะดุ้งตื่น มะลิเพ่งมองฝ่าความมืดมิด เห็นเงาร่างสูงใหญ่เคลื่อนกายมาล้มตัวลงนอนข้างเธออย่างเงียบเชียบเท่าที่คนตัวโตจะทำได้  หญิงสาวพลิกกายตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาเขา  อันที่จริงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำทำให้เธอนอนไม่หลับ  แล้วยิ่งตกใจเมื่อได้ยินเสียงเหมือนลูกชายคนโตของเธอตะโกนเสียลั่น

         “แม่ หลับหรือยังจ๊ะ”

        หญิงสาววางมือลงบนมือใหญ่ของสามีแทนคำตอบ   อุ้งมือร้อนผ่าวบีบกระชับกลับมาราวกับจะถ่ายทอดความไม่สบายใจทั้งหมดให้เธอได้รับรู้

        “พ่อ...พ่อว่าเราทำถูกหรือเปล่าจ๊ะ  เรื่องของลูก ตอนแรกแม่ตกใจมากนะที่รู้ว่าสองคนนั้นคิดกันเกินเลยคำว่าพี่น้อง  แถมยังเป็นผู้ชายทั้งคู่อีก แต่พอเห็นน้ำตาของลูกแม่กลับคิดว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ถูก” น้ำเสียงหวานกระซิบสั่นเครือ ลูกน้อยที่เลี้ยงมาจนโต กับลูกแท้ๆที่คลอดออกมา เลี้ยงดูมาด้วยน้ำนมจากอก  ใครบ้างจะอยากเห็นลูกต้องทรมาน ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจแบบนั้น

          ความรัก...แท้จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่  ใครกำหนดว่าคนรักที่จะคู่กันต้องเป็นหญิงและชาย  คนที่บอกว่ารู้จักความรักดีอาจจะไม่รู้ถึงแก่นมันเลยก็ได้ แล้วใครคือคนตัดสินว่าความรักที่เกิดขึ้นนั้นถูกหรือผิด 

      “ดินกับเดือนไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ จะรักกันมันก็ไม่ผิด สำหรับแม่แล้ว แม่รู้สึกว่าเดือนรักดินเกินกว่าคำว่าแฟน หรือคำว่าพี่น้อง” ความรักที่ลูกชายเธอดิ้นรนคว้าไขว่ คือความรักที่มากกว่าพี่น้องหรือแม้กระทั่งคำว่าแฟน  หากคำว่าแฟนหรือคนรักคือคำจำกัดความที่เราเอามาใช้บอกสถานะของคนพิเศษ  แล้วหากความรักมันไม่ได้หยุดแค่คำว่าแฟนเล่า  หากคนที่เรามอบหัวใจให้คือคนที่เป็นได้ทั้งเพื่อน  ทั้งพี่น้อง ทั้งคนรัก ทั้งครอบครัว เราจะสรรหาคำไหนมาจำกัดความความรักนั้นอีก

        ความรักของลูกชายเธอไม่สามารถนิยามได้ด้วยคำปกติทั่วไป...

        แต่ถ้าจะให้เธอลองคิดดูจากท่าทีในวันนี้ หญิงสาวมีลางสังหรณ์...ว่าในอนาคตคำที่เธอจะนิยามให้ลูกทั้งสองคนได้ก็คือ...

        คู่ชีวิต

        ไม่ใช่คนรักในแบบธรรมดา แต่เป็นคนที่จับจูงกันก้าวผ่านอุปสรรค  ร่วมทุกข์ ร่วมสุข เป็นครอบครัวของกันและกัน
เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของอีกคน

        “แล้วสังคมภายนอกเขาจะยินดีกับเรื่องนี้เหรอแม่” ฝรั่งตัวโตกระซิบ  น้ำคำที่ลูกพูดยังบาดลึกอยู่ในใจ แต่กระนั้นหากเขาได้ปกป้องลูก...แลกมากับการที่ถูกลูกมองว่าไม่ใช่พ่อที่ดีมันก็ควรค่าที่จะลองทำ

        “พ่อจ๊ะ คนภายนอกก็พูดได้แค่ปากคนภายนอก เรารู้ว่าคนของเราเป็นยังไง แค่นั้นก็พอแล้ว แม่ถามหน่อย ตอนนี้ที่รู้ว่าลูกเป็นเกย์ พ่อไม่รักลูกแล้วเหรอจ๊ะ”

         “รักสิ!”

         “แล้วสิ่งที่ลูกทำมันผิดต่อบ้านเมือง ต่อคนทั่วไปเหรอจ๊ะ”

        “ก็เปล่า”

        หญิงสาวยิ้ม ความคิดของตนค่อยๆตกผลึกออกมาจนชัดเจนในที่สุด สิ่งที่เธอถามสามีไปก็เหมือนได้ถามตัวเองด้วย  คำตอบที่เธอค้นพบก็ไม่ต่างจากที่สามีต่อ  เธอมั่นใจว่าเธอเลี้ยงดินออกมาได้ดี และลูกชายแท้ๆของเธอก็ถูกอบรมมาและเติบโตเป็นคนดีได้อย่างสง่าผ่าเผย

       ไม่มีอะไรต้องกังวลใจหรืออับอายเลยแม้แต่นิดเดียว

        ลูกคือลูก จะผิดถูกชั่วดีก็คือลูก เธอรักเพราะเขาคือสายเลือดของเธอ เธอรักเพราะเขาคือคนที่เธอเลี้ยงมาเองกับมือ เธอรักที่พวกเขาเป็นคนดี  มันคงโง่มากถ้าเธอจะกีดกันความสุขของลูกเพียงเพราะสายตาคนนอกที่ไม่ได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของลูกเธอเลยแม้แต่คำเดียว

        และความคิดทั้งหมดนี้คงต้องขอบคุณพี่สาวของเธอ ที่เหมือนจะโทรไปคุยกับเดือนจนรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ส่งข้อความมาเตือนสติเธอในช่วงเวลาที่สามีเธอไม่อยู่ในห้อง

        แล้วอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอไม่สบายใจที่จะขัดขวางลูกก็คือ...เดือน

         เธอยอมรับว่าตอนที่มีเดือน เธอกับอัลเฟรดไม่พร้อมเลยแม้แต่น้อย พูดไม่ได้เลยว่าสามารถเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้มีอนาคตที่ดีได้ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดที่เธอหาได้ก็คือส่งเดือนไปอยู่กับพี่สาวที่ฐานะทางบ้านดีกว่า จวบจนเธอสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้  กิ่งแก้วจึงยอมพาเดือนมาหาเธอบ้าง แต่ก็นานๆครั้ง ลูกคงทำตัวไม่ถูกจึงไม่ค่อยพูดด้วย  จนกระทั่งเดือนขึ้นชั้นมัธยมลูกชายก็ไม่มาที่นี่อีกเลย

         มะลิกับอัลเฟรดเคยจะรับเดือนกลับบ้านหนหนึ่ง  น่าจะเป็นช่วงตอนเดือนขึ้นม. 4  แต่กิ่งแก้วไม่ยอม เพราะเดือนปรับตัวกับเพื่อนใหม่ได้แล้ว  พี่สาวของเธอไม่ต้องการให้เด็กไปอยู่ในสภาพที่ไม่คุ้นเคยและอยู่กับคนที่ไม่คุ้นเคย ตลกดีที่ตอนนั้นเธอรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ทั้งที่เขาเป็นลูกชายของเธอแท้ๆ แต่สายสัมพันธ์ของเขาช่างเบาบางนัก

         บางทีการที่เธอรับดินมาเลี้ยง อาจจะเป็นการชดเชยก็ได้...เป็นการปลดความทุกข์ในใจของตนเองด้วยการรับเด็กคนอื่นมาเลี้ยง ทดแทนลูกชายที่เธอทอดทิ้งไป

         เดือนคงคิดมาตลอดว่าพวกเธอไม่สนใจเขา แต่จริงๆแล้วมะลิกับอัลเฟรดติดตามความเคลื่อนไหวของเดือนมาตลอด ผลการเรียนทุกเทอมทุกชั้นปีถูกซีร็อกซ์เก็บไว้  รูปถ่ายตอนได้ถ้วยแชมป์ฟุตบอล  ตอนที่เดือนถ่ายแบบครั้งแรก ตอนที่ลูกได้เล่นละคร 

         รูปถ่ายทุกใบ  นิตยสารทุกเล่ม  ละครทุกเรื่องที่ลูกชายเธอเล่น ไม่ว่าจะเป็นบทเด่นหรือตัวประกอบ มะลิก็ติดตามอยู่เสมอ

        แต่มันคงจะไม่มากพอ...เพราะพูดกันตามตรงแล้ว ไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอได้เป็นฝ่ายมอบความสุขให้ลูกเลย

         การที่เดือนกลับมาอยู่บ้านครั้งนี้ มะลิก็สัญญากับตัวเองว่าจะชดเชยในสิ่งที่หายไปให้เขา

        แต่ช่องว่างระหว่างการเวลายี่สิบกว่าปีที่หายไป ถมอย่างไรก็คงถมไม่เต็ม  กำแพงที่เธอเคยคิดว่าข้ามไปได้แล้ว ความจริงมันก็ยังตั้งตระหง่านอยู่และไม่เคยลดลงเลย

        “แม่คิดว่า เราไม่เคยเป็นฝ่ายมองความสุขใจให้ลูกเลยซักครั้ง  ดังนั้นเราคงผิดมากถ้าจะไปแย่งความสุขที่ลูกตามหามาด้วยตัวเองไป ใช่ไหมจ๊ะพ่อ?” สามีของเธอยังคงเงียบ แต่เธอรู้ว่าเขาไม่ได้หลับ  “ความรักของเดือนกับดินก็เหมือนเรานี่แหละจ้ะ เมื่อก่อนเรายังฝ่าฟันกันมาได้เลย ทำไมลูกชายของเราจะทำไม่ได้  แม่เชื่อว่าลูกทั้งสองจะเป็นครอบครัว ดูแลกันและกัน  เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นคนรัก อยู่ด้วยกันไปทั้งยามสุขและยามทุกข์  ดีเสียอีก ช่องว่างในใจของพวกลูกจะได้หายไปเสียที”

        เดือนจะได้รู้ว่าทุกคนที่นี่ยังต้องการเขาและยังรักเขา

        ดินจะได้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ยังมีคนที่เขาสามารถรักได้จนหมดหัวใจอยู่

        “ทำไมแม่ถึงได้มั่นใจจัง หืม ไปเอาความคิดพวกนี้มาจากใคร” หญิงสาวหัวเราะคิกเมื่อปลายจมูกโด่งชนเข้ากับปลายจมูกเธออย่างแผ่วเบา น้ำเสียงที่อ่อนลงทำให้เธอรู้ว่าสามีของเธอคงลดปราการในใจลงแล้ว  แขนกลมกลึงเอื้อมไปกอดคนตัวโตเอาไว้ ตอบด้วยน้ำเสียงระรื่น “ตอนแรกแม่ก็ตกใจ  แต่พอหายตกใจแล้วมาทบทวนอะไรๆมันก็ยอมรับได้  แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกแปลกๆเลยนะ มันคงต้องใช้เวลา แต่แม่เชื่อว่าแม่จะยอมรับได้อย่างเต็มใจในสักวัน แล้วพ่อล่ะจ๊ะ  คิดว่ายังไง”

           ผู้เป็นสามีถอยหายใจยาว จูบปลายจมูกหญิงสาวที่เป็นทั้งคู่คิดและคู่ชีวิตเบาๆอย่างรักใคร่

           “แม่พูดมาขนาดนี้ พ่อจะเถียงอะไรได้ คนกุมอำนาจในบ้านมันแม่อยู่แล้วนี่ แม่ว่ายังไงพ่อก็ว่าตามกัน”

            หญิงสาวยิ้มหวาน  ซุกตัวลงในอ้อมแขนที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและสบายใจทุกครั้ง  ในชีวิตนี้เธออาจไม่ใช่แม่ที่ดีนัก แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่หญิงสาวมั่นใจว่าตนได้ทำหน้าที่แม่แล้วในที่สุด  หน้าที่ประคับประคองลูกน้อยให้เดินไปในทางที่ดี  และมองส่งจนพวกเขาถึงฝั่ง

            เธอเชื่อแล้วว่าความรักของแม่มันยิ่งใหญ่กว่าอะไรทุกอย่างบนโลกใบนี้  ความรักนั้นมอบความกล้าให้เธอเผชิญหน้ากับมุมมองของโลกที่เปลี่ยนไป กล้าที่ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น

            และเธอก็หวังว่าความรักจะอวยพรและมอบความกล้าหาญให้ลูกชายทั้งสองของเธอเช่นเดียวกัน

***********************************************

อยากกอดแม่กิ่งแก้วกับแม่มะลิแรงๆคนละหนึ่งที แอร๊ย
ตอนนี้เราไม่อยากให้มันดราม่ามากมาย ในอนาคตมีอะไรหนักหน่วงกว่านี้เยอะ 5555
อีกอย่างพ่อกับแม่ จะดีชั่วก็คือลูก ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังต้องยอมรับในสิ่งที่เราเป็น
บางคนอาจไม่ได้โชคดีแบบเดือนกับดิน แต่หลายคนก็มีคุณพ่อคุณแม่ที่เข้าใจ

ปล. คุณแม่แก้วแซ่บจริงอะไรจริง รักนาง 55555
ปล.2 เตรียมทิชชู่ไว้ตอนหน้าด้วยนะคะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๙ ความรักของแม่ {๑๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 12-03-2016 20:04:18
ตอนนี้บอกเลย แม่แก้วแม่กิ่ง สุดยอดดดดด
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๙ ความรักของแม่ {๑๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 12-03-2016 22:38:45
 :hao5:

ขอบคุณค่ะคุณพ่อคุณแม่

ฮืออออออออ พี่เดือนต้องเฉลยปมชีวิตแล้วนะ หนีอะไรมา?? อย่างน้อยดินก็ต้องรุ้บ้างอะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๙ ความรักของแม่ {๑๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 13-03-2016 09:09:48

ก้มกราบคุณนายกิ่งแก้วค่ะ
เอาใจดิฉันไปเลย

ปล.(ใกล้จะ)ผ่านปมพ่อแม่แล้ว ปมเดือนเตรียมคิวดราม่า...
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๑๙ ความรักของแม่ {๑๒.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-03-2016 16:15:50
รอดราม่าเรื่องต่อไป...
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๐ อ้อมกอดพระจันทร์ {๑๓.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 13-03-2016 19:30:30
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๒๐
อ้อมกอดพระจันทร์



      เช้าวันต่อมาบรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังคงเงียบกริบแต่ดินกลับรู้สึกว่าความกดดันและความหนักอึ้งมันผ่อนจางลงบ้างแล้ว  มีก็แต่เดือนกับคุณพ่อที่ตั้งแต่ลงมานั่งที่โต๊ะอาหารก็ยังไม่พูดกันสักคำ 

       ชายหนุ่มผมดำถอนหายใจขณะตักข้าวต้มกุ้งควันฉุยเข้าปาก เขาลอบมองเดือนที่มองมาทางเขาอยู่ก่อนแล้วก็พบว่าชายหนุ่มส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้  อีกคนคงกังวลกับดวงตาที่บวมช้ำของเขาไม่น้อย ทั้งที่ตอนเช้ามืดเขาขอให้ป้าชื่นเอาน้ำแข็งประคบให้แล้วนะ

      ดินคิดว่าวันนี้เขาจะเริ่มพูดกับพ่อและแม่ใหม่อีกรอบหนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตนกำลังทำตัวอกตัญญูแต่เขาก็ไม่คิดจะทิ้งความรักครั้งนี้ไปหรอก 

       รอจนกระทั่งทุกคนทานอาหารเสร็จ จู่ๆผู้นำครอบครัวก็กระแอมขึ้นมาหนึ่งที  ดวงตาสีฟ้าปรายมองลูกชายคนโตที่ยังคงไม่ยอมจ้องมองท่าน  ร่างสูงใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “ วันนี้พวกลูกมีงานที่ไหนหรือเปล่า” ดินแอบเห็นว่าคนรักเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน ตัวเขาเองก็งุนงงไม่แพ้กันเมื่ออยู่ดีๆบิดาก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้

       เมื่อสบกับดวงตาสีฟ้าคมดินก็ส่ายหน้า “ไม่มีครับ”  อัลเฟรดพยักหน้า เหลือบมองลูกชายคนโตเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองชามข้าวต้มของตัวเอง พลางถาม แต่ภายนอกนั้นดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังถามชามข้าวต้มอยู่ “แล้วแกล่ะเดือน วันนี้ต้องเข้างานไหม”

      “ไม่ครับ จัดการหมดแล้ว” เอาเข้าไป คนเป็นลูกก็พอกัน ก้มหน้าก้มตาพูดกับวิญญาณกุ้งในชามหรือไงก็ไม่รู้  ดินรู้สึกสะดุดใจเมื่อหันไปเห็นมารดาส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้ สมองค่อยปะติดปะต่อเรื่องราวทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจที่ค่อยๆซึมลึกในใจทำให้คนเป็นลูกใจชื้น  ดินหันไปยิ้มให้มารดาอย่างขอบคุณในความกรุณาที่มีให้

       ไม่มีอะไรน่าโล่งใจไปมากกว่าคนในครอบครัวยอมรับเรื่องของพวกเขาแล้วจริงๆ

       ดินไม่ได้แคร์คนทั้งโลก ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าใครจะด่าว่าเขาว่าอะไร ที่เขาแคร์ก็มีแค่คนสำคัญ ครอบครัว คนสนิทของเขาเท่านั้น

       “งั้นวันนี้ออกไปไหว้พระข้างนอกกันไหมล่ะ  แกมาอยู่สุพรรณตั้งนานแล้ว พ่อกับแม่ยังไม่เคยพาแกไปเที่ยวเลย” ท้ายประโยคหันไปพูดกับลูกชายจนได้  เดือนมีท่าทีตกใจเล็กน้อยที่พ่อไม่ได้ดูโกรธทั้งที่เมื่อวานถูกเขาพูดจาแย่ๆใส่เสียขนาดนั้น  มันทำให้เดือนนึกละอาย

        หนุ่มลูกครึ่งพยักหน้ารับ จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งเนื้อแต่งตัว ในขณะที่เดือนกำลังจะเดินขึ้นบ้านนั้นผู้เป็นบิดาก็คว้าแขนเขาไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงกระซิบ  “พ่อขอโทษ...ที่พูดจาแบบนั้นใส่เมื่อวาน  กลับไปอยู่ห้องเดียวกับน้องก็ได้นะ ไม่เป็นไรหรอก พ่อไม่ได้โกรธ” กล่าวจบก็ปล่อยมือแล้วเดินเลยลูกชายขึ้นห้องไป ทิ้งให้เดือนยืนงุนงงอยู่ตรงนั้น

       ในที่สุดคุณพ่อคุณแม่ก็ยอมรับแล้วหรือ...หรือจะแค่พูดไปเพื่อจะให้เขายอมเชื่อฟังแล้วจะได้กล่อมได้ง่ายๆ

        “พี่เดือน”  น้ำเสียงหวานของน้องชายบุญธรรมดังขึ้นด้านหลัง  ดินยิ้มให้เขา เดือนมองอีกฝ่ายที่ดวงตายังคงปรากฏรอยบวมช้ำจากการร้องไห้อยู่  ปลายนิ้วเรียวยาวเกลี่ยไล้ให้อย่างแผ่วเบา “ปวดตาไหม”

       “ไม่มากหรอก  แล้วเมื่อกี้คุยอะไรกับพ่อครับ”

        “พ่อมาบอกขอโทษ ทั้งๆที่คนขอโทษควรเป็นพี่มากกว่านะ” เดือนกล่าวด้วยใบหน้าฝืดเฝื่อน  ขณะที่ผู้เป็นทั้งคนรักและน้องชายแตะหลังเขาให้เดินขึ้นบันได “พ่อคงยอมรับแล้วล่ะครับ  แม่บอกดินว่าคุยกับพ่อแล้ว”

        “จริงเหรอ!?” คนอายุมากกว่าทำตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะที่น้องชายก็พยักหน้า คนเป็นพ่อเป็นแม่ ความรักมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะคิด ถึงขั้นยอมรับในสิ่งที่คนมองว่าผิดแปลกได้

        เมื่อเข้ามาถึงห้องนอนของดินแล้วเดือนรั้งร่างเล็กให้ซบลงมาที่ไหล่ คลอเคลียปลายจมูกโด่งตรงขมับ “ดิน เราซื้อ           พวงมาลัยมากราบแม่กับพ่อกันดีไหม...ถือว่าขอบคุณ แล้วก็ขอขมา” ดินพยักหน้าตกลง พวกเขาจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปที่ห้องนั่งเล่น เมื่อทุกคนพร้อม ทั้งครอบครัวก็พากันออกเดินทาง

        จุดหมายแรกคือวัดทับกระดานหรือเรียกกันอีกชื่อว่าวัดพุ่มพวง เป็นสถานที่จัดงานพิธีพระราชทานเพลิงศพของพุ่มพวง ดวงจันทร์  ภายในวัดเต็มไปด้วยแผ่นเสียง ข้าวของเครื่องใช้ รูปภาพและหุ่นขี้ผึ้งของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ราชินีเพลงลูกทุ่งผู้โด่งดัง ข้าวของของพุ่มพวงเกือบทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดแห่งนี้  เพื่อให้ผู้ที่ยังระลึกถึงได้แวะเวียนมาเยี่ยมชม พวกเขาพากันกราบพระและถวายสังฆทาน  ก่อนจะเดินดูหุ่นขี้ผึ้งและข้าวของของพุ่มพวง รวมถึงบรรยากาศร่มรื่นรอบๆ วัด  ขณะที่เดินเดือนก็ฮัมเพลงนักร้องบ้านนอกออกมาเบาๆ ดินเลิกคิ้วหันไปมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ

       “รู้จักด้วย?”

       “รู้จักสิ เมื่อก่อนพี่ใช้เพลงนี้หัดร้องเพลงเลยนะ แม่แก้วก็ร้องออกจะบ่อย”

       พวกเขาเดินกันไปจนมาถึงศาลาริมน้ำที่มีรูปวาดของพุ่มพวง  มีผู้คนนำของมากราบไหว้แก้บนกันอยู่บ้าง  ข้างๆศาลาก็มีคนนำของมาขาย  เดือนหยุดดูบ้างแต่ก็ไม่ได้ซื้อ ตอนนี้อากาศยังไม่ร้อนและผู้คนยังไม่ค่อยเยอะมากเพราะเป็นยามสาย  เมื่อเดินดูจนรอบทุกคนก็ตกลงไปยังที่ต่อไปเลยเพราะกลัวว่าอากาศจะร้อนขึ้นแล้วเดินเที่ยวไม่สนุก

        พอมานั่งในรถคุณพ่อของเขาก็นึกครึ้มหยิบเอาอัลบั้มที่มีเพลงของพุ่มพวงมาเปิด คุณแม่เองก็ร้องคลอตามอย่างมีความสุข เดือนเองก็ร้องคลอตามได้ทุกเพลง  ที่เขาชอบเพลงพุ่มพวงมันมีอิทธิพลมาจากแม่แก้วนั่นแหละ  ก็แม่แก้วน่ะชอบมาก ร้องตอนทำกับข้าวทุกวันเลย เดือนเลยร้องไห้ทุกเพลง

         “อ๊ะ  เพลงนักร้องบ้านนอกนี่  นี่เดือน พี่แก้วยังร้องเพลงนี้ตอนทำกับข้าวอยู่ไหม” เดือนยิ้มให้มารดาที่เอี้ยวตัวมาถาม ตอบกลั้วหัวเราะ “ร้องทุกวันเลยครับ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาร้องห่างหน่อยถอยนิดแล้วครับ”

         ผู้เป็นแม่หัวเราะอารมณ์ดีก่อนจะหันกลับไปบอกทางคุณพ่อต่อ ดินจึงได้โอกาสสะกิดเดือน “แม่แก้วคือใครเหรอครับ” เขากระซิบถาม  เดือนยิ้มพลางลูบหัวอีกฝ่าย  กระซิบตอบเบาจนดินต้องเงี่ยหูเข้ามาใกล้เพื่อจะได้ยินให้ชัด “เป็นพี่สาวคุณแม่น่ะ  ท่านรับพี่ไปเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เลยติดเรียกแม่ไปแล้วน่ะ ท่านมีลูกด้วยนะ พี่ชายพี่เอง ชื่อกฤต”

         “อย่างนั้นเหรอครับ” ทีแท้เดือนก็มีครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งสินะ

         “ไว้วันหลังจะพาไปหานะ”

         “ครับ!?”

         “แม่แก้วกับพี่กฤตบอกอยากเห็นลูกสะใภ้กับน้องสะใภ้น่ะ”

        เพี๊ยะ

         มือเรียวตีเข้าที่แขนของร่างสูง ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงก่ำด้วยความอาย ดินเหลือบมองไปที่พ่อกับแม่ก่อนจะหันกลับมาถลึงตาใส่เดือนที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ “นี่พูดจริงนะ”

        “ดินไม่ใช่เมียพี่สักหน่อย!”

         “ไม่ต้องห่วง อีกเดี๋ยวก็ได้เป็นครับที่รัก”

         “อะแฮ่ม”

          อัลเฟรดกระแอมไอเตือนลูกชายทั้งสองที่ชักจะนั่งชิดกันเกินไปแล้ว เดือนขยับถอยออกมาแต่โดยดี  โดยมีดวงตาสีฟ้าจ้องดุสะท้อนมาจากกระจกมองหลัง ทำอะไรก็ทำได้ แต่ให้มันพองาม เกินเลยมากไปมันจะไม่ดี

          ในที่สุดรถก็เข้ามาจอดในเขต ‘วัดไผ่โรงวัว’ เดือนเคยเห็นจากสารคดีท่องเที่ยวเมื่อนานมาแล้วว่าภายในประดิษฐานพระพุทธโคดม  พระพุทธรูปโลหะสำริดองค์ใหญ่สุดในประเทศไทย และมีสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากมาย เช่น สังเวชนียสถานสี่ตำบล พระธรรมจักรหล่อด้วยทองสำริดใหญ่ที่สุดในโลก   พระกะกุสันโธ พระพุทธรูปปั้นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก วิหารร้อยยอด แต่ที่ใครๆคงจำติดตาได้มากที่สุดก็คงจะเป็น ‘เปรตวัดไผ่’

           งานประติมากรรมที่แสดงให้เห็นถึงผลของการทำชั่วทำให้ผู้คนที่มาวัดไผ่โรงวัวได้เห็น บ้างก็หวาดกลัว บ้างก็ปล่อยผ่านไป แต่สำหรับเดือนรูปปั้นเปรตเหล่านี้ก็เตือนเขาให้ฉุกคิดถึงคำที่มีแม่แก้วเคยสอน

           ‘กลัวไหมเจ้าเดือน ถ้ากลัวก็ต้องโตมาเป็นคนดีนะรู้ไหม ไม่งั้นจะโดนทำแบบเปรตพวกนี้ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดทรมานเป็นร้อยปีเลยนะ’

          ตอนเด็กๆเขาอยากมาที่วัดนี้มาก รบเร้าให้แม่แก้วพามาจนแม่ใจอ่อน แต่พอมาเจองานเปรตวันไผ่เข้าเขาก็ไม่กล้ามาที่นี่อีกเลย

        “เป็นไงบ้าง ร้อนไหมลูก”  มือเรียวส่งขวดน้ำชาที่เดินไปซื้อจากร้านค้าให้ร่างสูง  เดือนกล่าวขอบคุณและยอมให้แม่หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้เขา “เมื่อคืนแม่แก้วบอกว่าลูกอยากมาที่วัดนี้”

        “นั่นตั้งสมัยไหนแล้ว แม่แก้วเล่าไหมครับว่าแม่แก้วหลอกผมจนผมกลัวไม่อยากมาที่วัดนี้แล้วน่ะ อ๊ะ แต่ไม่ได้ลำบากใจอะไรนะครับ ตอนนี้ผมไม่กลัวแล้ว”

        แม่มะลิพยักหน้า ทอดสายตาไปไกล “แม่แค่อยากพาเดือนมา คิดว่าอยากชดเชยเวลาที่เสียไปของเรา แม่รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่เคยเป็นพ่อแม่ที่ดีให้เดือนได้เลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้แม่เลยอยากลอง...” หญิงสาวเว้นช่วงไป ถอนหายใจเบาๆ “เวลายี่สิบกว่าปีที่เราห่างกันมันคงถมไม่เต็ม แต่แม่ก็ยังอยากจะทำให้ลูกรู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน...ที่ลูกสามารถกลับมาพักกายและใจได้ทุกเมื่อ”

        “ที่นี่ก็เป็นบ้าน...เดือนถึงกลับมาไงครับ” เมื่อได้ยินคำตอบของลูกชาย คนเป็นแม่ก็รู้สึกได้ว่าขอบตาตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง   “อ้อ เดือน เมื่อวานพ่อกับแม่ขอโทษนะที่ไม่เข้าใจลูก”

        “ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นใครก็ตกใจกันทั้งนั้น เดือนก็ต้องขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่พ่อกับแม่”

         “ดูท่าพี่แก้วคงเลี้ยงลูกออกมาได้ดีกว่าแม่จริงๆสินะ”  น้ำเสียงนั้นเอ่ยหยอกเย้าหากแต่ก็แฝงความน้อยใจเอาไว้ แต่หล่อนจะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากตัวเองที่ยกลูกให้คนอื่นไป ที่เดือนโตมาเป็นคนดีได้ทุกวันนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้พี่สาวเธอแต่ผู้เดียว

         “แม่ก็เลี้ยงลูกออกมาได้ดีเหมือนกันล่ะครับ” ลูกชายยิ้มอ่อนโยนมาให้เธอ พลางเหลือบสายตาไปมองน้องขายที่นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ “ไม่งั้นจะเลี้ยงดินให้โตมาเป็นคนดีขนาดนี้ได้ยังไง”

        “นี่ความลำเอียงส่วนตัวหรือเปล่า หืม” 

        เดือนหัวเราะ ยกมือเกาท้ายทอยอย่างเขินอาย คนอื่นแซวนี่ไม่มีเขินนะ แต่พอแม่ตัวเองแซวแล้วมันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้  พูดคุยกันไปสักพักก็ได้เวลากลับบ้าน ก่อนกลับเดือนจึงแอบซื้อพวงมาลัยจากในวัดมาด้วย  เขากับดินตกลงว่าจะใช้พวงมาลัยพวงเดียวกันจึงซื้อไปแค่หนึ่งพวง  แต่เดือนก็เปลี่ยนใจซื้อเพิ่มอีกพวง ชายหนุ่มตั้งใจจะนำไปขอขมาพ่อที่ถูกตนพูดจาไม่ดีใส่ เมื่อรับถุงพวงมาลัยมาดินก็แอบเอาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง

         ทันทีที่รถจอดที่หน้าบ้าน ทุกคนก็ลงมานั่งแผ่ในห้องนั่งเล่นอย่างหมดแรง อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนทำให้ทุกคนค่อนข้างเพลียไม่น้อย คุณอัลเฟรดที่แก้มแดงจัดสะบัดคอเสื้อตัวเองไปมาพลางเอ่ยว่า “เดี๋ยวพ่อขึ้นไปอาบน้ำอีกรอบดีกว่า ไม่ไหวแล้ว ร้อนมากเลย” แม่มะลิพยักหน้า หันไปบอกป้าชื่นให้เตรียมน้ำเก๊กฮวยเย็นๆให้พวกเขาทั้งสี่คน แล้วทำท่าจะลุกตามไปช่วยจัดของว่าง แต่ยังไม่ทันลุกทั้งคู่ก็ถูกลูกชายเรียกให้นั่งรอก่อน 

         เดือนกับดินสบตากัน ทั้งคู่ลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้น ผู้เป็นบุพการีเมื่อเห็นท่าทางนั้นก็ตื้นตันจนน้ำตาคลอ  พวงมาลัยพวงน้อยกรุ่นกลิ่นดอกมะลิชื่นใจถูกส่งขึ้นไปให้ผู้เป็นพ่อและแม่รับไว้ร่วมกัน  ก่อนที่ลูกทั้งสองจะพนมมือก้มกราบแทบเท้าผู้ให้กำเนิดและผู้ชุบเลี้ยง  ฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสศีรษะของลูกชายอย่างอ่อนโยน 

       “พวงมาลัยนี้เดือนกับน้องซื้อมากราบพ่อกับแม่ ขอบคุณนะครับที่เข้าใจและยอมให้เรารักกัน ขอบคุณที่ไม่สนใจคำครหาของใครต่อใครและยอมรับในแบบที่เดือนกับดินเป็น  แล้วก็ขอโทษนะครับที่พวกเราเป็นลูกชายในแบบที่พ่อกับแม่หวังและภาคภูมิใจไม่ได้ ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้แล้วก็เสียน้ำตานะครับ"

        “ดินก็ขอโทษนะครับที่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวดิน แต่ดินจะอดทนครับ เราสองคนสัญญาว่าจะไม่ทิ้งพ่อกับแม่และไม่ทิ้งกันและกัน” พวกเขาจะประคองกันไป...ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่

        คุณมะลิยกมือปิดปาก  น้ำตาไหลพรั่งพรูหากแต่ครานี้มันไหลออกมาเพราะซาบซึ้งและตื้นตันใจ เธอลูบหัวบุตรชายทั้งสองและโน้มกายลงไปกอดพวกเขา

       “ไม่จริงหรอกจ้ะ พวกลูกเป็นคนดี เป็นของขวัญที่พ่อกับแม่ภูมิใจมาทั้งชีวิต แม่อาจจะตกใจแต่ไม่เคยเสียใจที่พวกลูกเป็นแบบนี้...อย่าคิดว่าตัวเองทำให้พ่อแม่ผิดหวังเลยนะ เพราะมันไม่จริงเลย”

        เดือนผละออกจากอ้อมแขนของมารดา หยิบพวงมาลัยอีกพวงส่งให้พ่อแล้วกราบแทบตักท่าน “เดือนขอโทษนะครับที่พูดจาไม่ดีกับพ่อ ขอโทษ...พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดที่เดือนเคยเห็นเลยล่ะครับ เป็นพ่อที่ดีที่สุดของเดือน”

         คุณอัลเฟรดกอดลูกชายแน่น เนิ่นนานแล้วนับจากที่ได้กอดกันครั้งสุดท้าย...แต่อ้อมกอดก็คุ้นเคยและอบอุ่นเหมือนที่เคยจำได้ “ไม่มีสักครั้งที่พ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวลูก ลูกเองก็เป็นลูกที่ดีมากของพ่อแม่เหมือนกัน เดือนเป็นความภาคภูมิใจทั้งชีวิตของพ่อแม่นะ”

          ชายหนุ่มพยักหน้า หยดน้ำร่วงหล่น แต่เพียงไม่นานก็จางหายไป ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นและโปร่งเบาในใจ  เมื่อกลับมานั่งเรียบร้อยคุณมะลิก็กุมมือลูกทั้งสองไว้  เด็กน้อยที่เธอเคยจูงมือ ข้อมือที่เคยเล็กจนเธอกำได้รอบ บัดนี้กลับแข็งแรงและกว้างใหญ่กว่ามือของเธอเสียแล้ว  แต่ในใจของเธอยังรู้สึกว่าพวกเขาเป็นเด็กเล็กๆอยู่ตลอดเวลา

         “เดือน ดิน ต่อไปนี้แม่จะขอสอน...ในฐานะที่ลูกเป็นคนรักกัน สักวันพวกลูกอาจจะแยกออกไป มีบ้านเป็นของตัวเอง  ในวันนั้นมันจะมีอุปสรรคอีกมากรอพวกลูกอยู่ รู้ใช่ไหมว่ารักกันทั้งที่เราเป็นแบบนี้มันไม่ง่าย” ทั้งคู่พยักหน้ารับ เธอจึงพูดต่อไป “แม่อยากให้พวกลูกจดจำช่วงเวลาดีๆที่รักกันเอาไว้ อย่าโยนมันทิ้งไปเพียงเพราะความโกรธ หากวันไหนอยากจะเลิกรา ก็ให้นึกถึงวันแรกที่เราดิ้นรนกันมาจนความรักนั้นกลายเป็นของเรา ชีวิตคู่ แน่ล่ะมันต้องมีทะเลาะกัน มีขัดแย้งกัน แต่ขอให้ทะเลาะแล้วทำให้เข้าใจกันมากขึ้น ไม่ใช่ทะเลาะแล้วพาขัดแย้งยิ่งกว่าเดิม  อย่าหันหลังให้กันในยามโกรธ อย่าทิ้งกันไปเพราะความหมางเมิน  อย่าปล่อยมือกันยามอีกฝ่ายเดือดร้อนนะลูก”

         “ตอนนี้พวกลูกไม่ใช่คู่รักธรรมดา ในจุดนี้ พวกลูกเป็นทั้งพี่ ทั้งน้อง ทั้งเพื่อน เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องแบ่งปันความสุข ความทุกข์ร่วมกัน  หัวเราะในวันที่มีความสุข โอบกอดประคองกันในยามทุกข์นะลูก แล้วอย่ามีความลับต่อกัน ไม่พอใจก็บอกให้ปรับ มีอะไรก็ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ความรักมีพื้นฐานสำคัญคือความเชื่อใจนะ  ถ้าทำได้สิ่งที่พวกลูกเป็นจะยิ่งกว่าคำว่าคู่รัก แต่เป็นคู่ชีวิต เข้าใจไหม” คุณอัลเฟรดที่พูดเสริมภรรยาจบ มองลูกทั้งสองยิ้มๆแล้วสำทับเข้าไปอีกหนึ่งประโยค “ดูแลกันและกันให้ดีนะลูก”

          สิ้นคำนั้นผู้ใหญ่ในครอบครัวก็โอบกอดลูกไว้อีกครั้ง สัมผัสถึงสายสัมพันธ์และความห่วงใย ความรัก และความปรารถนาดี ก่อนที่พวกท่านจะแยกย้ายกันไปทำธุระของตน  เดือนกับดินจึงขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนห้องบ้าง 

          ปึง

         ร่างสูงงับประตูปิดเบาๆ  เมื่อเข้ามาในห้องต่างฝ่ายต่างยังไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งดินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เรา...รักกันได้แล้วใช่ไหมครับ  พ่อกับแม่อนุญาตเราแล้วใช่ไหม” เด็กน้อยของเดือนเดินมาตรงหน้า สอดแขนเข้ากอดเอวสอบเอาไว้  พูดไปเจือเสียงสะอื้นไป “รักกันได้จริงๆแล้วใช่ไหมครับ”

         “อืม ใช่ เรารักกันได้แล้วครับเด็กดี” ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะทุย ก่อนจะประคองใบหน้าเล็กให้แหงนเงยรับจุมพิตอ่อนหวานที่พรมเรื่อยตั้งแต่หน้าผากไล่มาจนถึงริมฝีปาก  เดือนกดจูบอ้อยอิ่งที่ข้างแก้มก่อนจะแยกกันไปเปลี่ยนชุดเมื่อได้ยินเสียงเรียกให้ลงมาทานอาหารว่างของมารดา

       เย็นวันนั้นการทานอาหารของครอบครัวจึงกลับมาสดใสอีกครั้งหนึ่ง  และหลังจากผจญความเหนื่อยล้ามาทั้งวันผู้ปกครองทั้งสองก็เข้านอนแต่หัวค่ำ เหลือเพียงเดือนกับดินที่ยังเปิดไฟในห้องอยู่

       ชายหนุ่มผมดำที่เดินออกจากห้องน้ำในชุดนอนรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร แต่หัวใจเขาเต้นถี่รัวจนหยุดไม่ได้  พอเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ทำให้รู้สึกแปลกกว่าทุกวันโดยเฉพาะยามจ้องดวงตาคมที่มองตามเขาทุกอิริยาบถ 

         ดินไม่รู้หรอกว่าเดือนคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆไอ้ท่าทางแบบนั้นมันโคตรไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะตอนที่ร่างสูงยกยิ้มมุมปากก่อนออกไปอาบน้ำต่อทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

         มันต้องมีอะไรแน่ๆ

         นายปฐพีที่รู้ถึงลางอันตรายที่มาถึงตัวรีบปิดไฟก่อนจะพุ่งตัวกลับไปในผ้าห่ม แสร้งหลับตาหนีมันทั้งๆแบบนี้แหละ คืนนี้ยกหมอนมากั้นด้วยเลย! 

        ผ่านไปยี่สิบนาทีคนที่ไปอาบน้ำก็กลับมา เดือนหายไปนานจนดินเกือบจะหลับไปจริงๆแต่ก็ไม่ได้หลับ เขาสะดุ้งตื่นตอนที่เตียงอีกฝั่งยวบลง ร่างสูงใหญ่สอดกายเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน  ดินแกล้งทำเป็นหลับแต่กระนั้นก็หลุดโป๊ะออกมาเมื่อเผลอสะดุ้งสุดตัวเนื่องจากฝ่ามือร้อนผ่าวสัมผัสเข้าที่เอวของเขา

         “อ้าว ยังไม่หลับเหรอ” น้ำเสียงทุ้มกระซิบชิดริมหู ดินพลิกตัวกลับมามองหน้าเดือน  ผลักอีกฝ่าย “ไปนอนดีๆเลยครับ  นอนชิดแบบนี้มันร้อนนะ”

         “พี่ปรับแอร์เป็น 18 องศาแล้วน้องยังร้อนอยู่อีกเหรอ”

         สายตาวิบวับนั่นทำให้ดินอายแทบมุดผ้านวมหนี  เขาทำท่าจะนอนหันหลังให้อีกฝ่ายแต่เดือนรั้งร่างเขาเอาไว้จนได้ ชายหนุ่มปัดจมูกโด่งคลอเคลียชิดจมูกเขา “น้องรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น” เดือนกระซิบเสียงแผ่ว

         “รู้อะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

         “ก็ที่น้องบอกว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อพ่อกับแม่ยอมรับเรื่องของเราแล้วไง”

          “ไม่เห็นจำได้”

           “จริงเหรอ” เดือนกระซิบชิดริมฝีปากคนตัวเล็ก น้ำเสียงทุ้มพร่านั่นให้ความรู้สึกเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก “งั้นต้องเตือนความจำกันหน่อยแล้ว” พูดจบริมฝีปากได้รูปก็กดแนบลงที่ริมฝีปากบาง มอบจูบอ่อนหวานเร่งร้อนจนคนข้างกายอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟ เดือนขบเม้มดูดซับริมฝีปากล่างให้คนร่างเล็กเผยอปากเปิดทางให้ลิ้นอุ่นทำหน้าที่ของมัน  ดินหายใจถี่แรง หัวใจเต้นรัวเหมือนจะกระดอนออกมานอกอก

          จูบครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม...มันร้อนแรงกว่านั้น...เต็มไปด้วยความปรารถนาที่ดินเคยพบพานมาครั้งหนึ่ง

          คนผมดำรู้สึกเหมือนลมหายใจของเขากำลังถูกจุมพิตที่ร้อนแรงช่วงชิงเอาไป หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลน รู้ตัวอีกทีก็ถูกจับให้นอนหงาย ร่างสูงใหญ่ตามมาคร่อมทับ พยายามไม่ให้โดนเฝือกของเขา

           “พี่...พี่เดือน” ดินหอบหายใจเรียกชื่ออีกฝ่าย  ริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ขณะที่อีกคนซุกไซ้ไปตามลำคอขาวผ่องที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นครีมอาบน้ำ เดือนกดจูบไปเรื่อยๆจนมาถึงไหปลาร้า สองมือทำหน้าที่ปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเสื้อนอนของดินก็ลงไปกองอยู่ข้างเตียง

           “พี่เดือน...อื้อ...อย่า...ครับ”  ดินร้องห้าม หากแต่คำร้องก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวิวเมื่อร่างสูงขบเม้มลงบนแผ่นอกขาวเนียน ตีตราสีแดง ประทับร่องรอยความเป็นเจ้าของ  หนึ่งรอย...สองรอย...สามรอย  ริมฝีปากร้อนพรมไปทั่วอย่างเชื่องช้า  ตีตราประทับลงบนร่าง จนแผ่นอกและหน้าท้องขาวเนียนเต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบ

           เดือนมองภาพนั้นอย่างหลงใหล แม้ในความมืดแต่ร่างขาวของดินราวกับมีมนต์สะกด กลิ่นหอมอ่อนจากกายอีกฝ่ายยิ่งฟุ้งกระจาย ทำให้เขามัวเมา ลุ่มหลง

           ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเคลื่อนกายลงต่ำกว่านั้นเสียงสะอื้นจากคนข้างบนก็ทำให้เขาชะงัก เดือนมองเห็นหยดน้ำตาแวววาวในความมืดทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนทุบที่หัวแรงๆ หัวใจแกว่งไกว  คนตัวสูงเลื่อนมือไปเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย “ขอโทษครับ” เดือนเอ่ยพลางหอมแก้มน้องเบาๆ ปลอบให้หยุดร้องไห้ “ถ้าดินไม่พร้อมพี่หยุดก็ได้ครับ” เขายิ้มบางให้อีกฝ่าย “ไม่เป็นไรหรอกเด็กดี”

          ดินกัดริมฝีปาก นึกหงุดหงิดตัวเองที่จู่ๆก็เกิดกลัวขึ้นมา เขาเองก็อยากให้ความสัมพันธ์นี้พัฒนาไปเสียที แต่จู่ๆความทรงจำของครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อนก็ผุดขึ้นในหัว  ร่างเล็กปาดน้ำตา กอดแขนเดือนที่ขยับลงจากกายตัวเองแน่น  ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะเขาอย่างปลอบโยน

       “ดินกลัวเจ็บ”

       “ไม่เป็นไร ไว้ดินพร้อมกว่านี้ก็ได้”

         คนตัวเล็กส่ายหน้า  มองร่างสูงด้วยแววตาจริงจังและใสกระจ่าง ความกลัวถูกลบหายไปช้าๆ “ดินกลัวเจ็บ...แต่ดินก็อยากให้พี่กอด”

         เดือนมองคนที่นอนกอดแขนเขาเอาไว้ นิ่งงันไปครู่หนึ่งแล้วหลังจากนั้นรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้า คนตัวโตโน้มตัวไปกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่าย “พี่สัญญาว่าจะทำให้เจ็บน้อยที่สุด ตกลงไหม ถ้าน้องบอกให้หยุดพี่ก็จะหยุด”

         คนตัวเล็กพยักหน้าช้าๆร่างสูงใหญ่จึงรั้งร่างเล็กมากอดจนแทบจะจมหายลงไปในอกกว้าง 

         ฝ่ามืออ่อนโยนลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังราวกับจะปลอบประโลม ยามร่างกายถูกปลุกเร้าความปรารถนา  เดือนพยายามทำทุกอย่างให้ช้าที่สุดและอ่อนโยนที่สุด แม้ว่านั่นจะทำให้ตัวเขาทรมานมากก็ตามที 

         ดินกัดริมฝีปากลงกับหมอนยามความร้อนผ่าวแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย ความเจ็บปวดทำให้หยดน้ำตาร่วงพรูก่อนแทนที่ด้วยความปรารถนาที่ลึกล้ำราวกับไม่มีวันสิ้นสุด  ความรู้สึกถูกดึงให้ล่องลอยก่อนฉุดกระชากลงมา ปั่นป่วนจนได้แต่เปล่งเสียงครางเครือ ปลายเท้าจิกเกร็งม่านอากาศทุกครายามคนเบื้องบนขยับกายเร่งเร้า เสียงร้องของเขาถูกกลืนหายไปยามริมฝีปากได้รูปทาบทับบดเบียด

          ร่างกายถูกจับให้พลิกหันกลับมา  สองแขนของเดือนโอบกอดคนรักไว้  ยามนี้มองเห็นเพียงความปรารถนาของกันและกัน

         ดินโอบกอดร่างของคนรักเอาไว้แน่น ร่างกายแอ่นโค้งตามความปรารถนาที่ถูกชักพา ยามผิวหนังเสียดสีกัน อุณหภูมิรุ่มร้อนก็แปรเปลี่ยนเป็นหยาดเหงื่อหล่นร่วงหายไปตามร่างกายที่แนบชิดจนแทบจะกลืนเป็นร่างเดียว 

         ดวงตาที่คลอด้วยหยดน้ำตาปรือมองร่างสูงเบื้องบน  ดินมองเห็นความรักที่เปี่ยมล้นในดวงตาคู่นั้น  ความอบอุ่น ความอ่อนหวานหลอมรวมกันเป็นความรักของพวกเขา

          ริมฝีปากอุ่นพรมจูบทั่วหน้าผากชื้นเหงื่อละเรื่องมาถึงซอกคอก่อนจะเลยไปยังแผ่นอก   ทิ้งร่องรอยรักไว้ประปรายหากแต่ไม่ทำให้คนใต้ร่างต้องเจ็บแต่ประการใด  ความอ่อนโยนที่พยายามถ่ายทอดราวกับแสงจันทร์กำลังพยายามปลอบประโลมผืนดินยามค่ำคืน 

         ยามที่ความปรารถนาพุ่งขึ้นเจียนถึงจุดสูงสุด เดือนก็กระซิบข้างหูคนรักของเขาว่า “พี่รักดิน...รักนะ...รักมาก”

        “ดิน...ก็...รัก”
 
        คำพูดกระท่อนกระแท่นแต่เปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกพัดพาให้ความสุขสมทะลักทลายลง แต่ร่างสองร่างก็ยังคงมอบจุมพิตหวานล้ำให้แก่กัน  ก่อนจะปล่อยให้ความปรารถนานำพาให้มอบความสุขล้นให้กันเช่นนั้นไปเกือบตลอดคืน

******************************************

ตอนนี้พิมพ์ไปเขินไปมากมายเลยค่าาา  :-[  :m25: รีบมาอัพให้เลย ตื่นเต้นมาก
เห็นคนอ่านเตรียมคิวดราม่าพี่เดือนแล้วอ่ะ 55555  งั้นเอาตอนนี้มาให้อ่านกันก่อน
เป็นกำลังใจหวานๆแล้วกันเนาะ (>////<)
สำหรับใครที่อยากอ่านแบบเร่าร้อนถึงใจเราก็ต้องขอโทษอย่างแรงเลยค่ะ
เราแต่งฉากวาบหวิวแบบนี้ครั้งแรกเลย ดังนั้นมันอาจจะไม่สวย หรือไม่ดีมาก ต้องขอโทษด้วยนะคะ

สำหรับตอนหน้า...ทุกคนที่รอคิวดราม่าเตรียมให้พร้อมค่ะ แฮ่ ไม่พูดแล้วว เดี๋ยวสปอย
เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจค่ะ รักน้า จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๐ อ้อมกอดพระจันทร์ {๑๓.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-03-2016 19:36:58
ขอไวไวควิก 1 ชามพอ *3*
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๐ อ้อมกอดพระจันทร์ {๑๓.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 13-03-2016 20:48:32

อุตส่าห์เพิ่งจะได้รักกัน ขออย่าดราม่าหนักมากนะคะ
โอมมมมมมมมมมมม ขอให้เดือนดินจงเข้าใจกันด้วยดีโดยง่ายด้วยเถิด
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๐ อ้อมกอดพระจันทร์ {๑๓.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 13-03-2016 21:40:01
เข้าได้กันแล้วน่ะเออ อิอิ นุ่มละมุ่นมากกก ทางเพิ่งจะโล่งไปหนึ่วด่าน ต้องรอเตรียมซดม่าม่าแล้วหรอ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๐ อ้อมกอดพระจันทร์ {๑๓.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 13-03-2016 21:58:27
  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๐ อ้อมกอดพระจันทร์ {๑๓.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 13-03-2016 23:34:33
ผ่านไปด้วยดี
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๐ อ้อมกอดพระจันทร์ {๑๓.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 14-03-2016 00:53:30
เป็นกำลังใจให้นะคะ  เรื่องนี้ยังคงหวานปนซึ้งเหมือนเดิมค่ะ ชอบนะ พี่เดือนมีเอกลักษณ์ดี น้องดินก็ดูน่าสงสาร เฟิงกับปราณนี่สุดยอดคู่ฮาเลย  ขอบคุณนะคะที่มาต่อแต่ละตอนก็ยาวสะใจมาก ชื่นชมค่ะ แต่รู้สึกเดินเรื่องเอื่อยๆ มาก ยังไม่ค่อยมีเหตุการณ์หรือฉากที่หวือหวาหรือประทับใจชวนติดตามเท่าไรค่ะ ทั้งที่พล็อตเรื่องสนุก อารมณ์ตัวละครดี มีเหตุมีผล อ่านแล้วรู้สึกเชื่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 19-03-2016 20:23:22
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๒๑
ความจริงที่ตอกย้ำ



      แสงแดดส่องลอดรอยแยกของผ้าม่านสีทึบมากระทบเข้าที่ใบหน้าของร่างเล็กที่นอนซุกอยู่ในกองผ้านวม  เปลือกตานวลขยับเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลืมเปิด มือบางควานไปที่ข้างตัวแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าทำให้ร่างที่นอนอยู่ตื่นเต็มตาก่อนจะลุกพรวดขึ้น

       “โอ๊ย” ดินร้องออกมา ร่างทั้งร่างล้มเอนลงไปนอนจมกับเตียงอีกครั้งเมื่อความเมื่อยขบทั่วทั้งตัวและอาการเจ็บเสียดที่ช่วงล่างเข้าเล่นงาน  ตะแคงศีรษะหันไปมองข้างกายก็ไม่เห็นชายหนุ่มคนที่ควรจะนอนอยู่  ตอนนี้น่าจะสายมากแล้ว เดือนคงจะออกไปโรงงานกับไร่...

        แต่อย่างน้อยก็ปลุกเขาด้วยมันจะตายไหมวะ!

       นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่บ้านเดียวกัน แถมมีด้ายแดงผูกกันอยู่ดินคงคิดว่าตัวเองโดนฟันแล้วทิ้งแหงๆ

        ชายหนุ่มหัวเราะกับความคิดบ้าบอของตัวเอง  ตอนนี้เขารู้สึกหนักเหมือนมีหินมาถ่วงร่างกายเอาไว้ ลมหายใจก็ร้อนผ่าว แล้วยังมีอาการปวดศีรษะอีก  ต้องไม่สบายแน่ๆ 

         ร่างเล็กค่อยๆยันกายลุกขึ้น นิ่วหน้ากับความเจ็บที่แล่นริ้วขึ้นมา เขาก้มลงสำรวจตัวเองแล้วก็พบว่าเขาสวมเสื้อยืดตัวโคร่งที่คงจะเป็นของเดือน ร่างกายถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดคงเป็นฝีมือของคนที่เขาด่าในใจไปเมื่อกี้นั่นแหละ 

         ยังไงก็รีบอาบน้ำแล้วลงไปกินข้าวเช้าดีกว่า จะได้ทานยาแล้วก็นอนพักสักหน่อย

         แต่ในขณะที่เขากำลังจะลงจากเตียงนั้นประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ที่ดินเข้าใจว่าออกไปทำงานตั้งนานแล้ว  ในมือของเดือนมีถาดอาหารที่วางชามข้าวต้มหมู  แก้วน้ำเปล่า  แก้วน้ำส้มคั้น กับ ยาลดไข้และยาแก้อักเสบ  คิ้วเรียวเลิกขึ้นก่อนที่ร่างสูงจะปรี่มาวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะทำงานแล้วเดินไปประคองดิน

          “ตื่นแล้วเหรอ แล้วนี่จะรีบลุกไปไหน ทำไมไม่นอนพักก่อน”

          “จะลุกไปอาบน้ำ”

           เดือนจุ๊ปาก ยกมือวางทาบที่หน้าผากมนพลางส่ายหน้า “มีไข้นะ  ไม่ต้องอาบหรอก แปรงฟันก็พอ เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้”

            ดินพยักหน้าอย่างว่าง่าย เห็นท่าทางนั้นเดือนก็คลี่ยิ้ม รวบตัวร่างเล็กเข้ามากอด จูบเบาๆที่ขมับและพวงแก้มนิ่มทั้งสองข้างก่อนวกมากัดปลายจมูกรั้นนั้นเบาๆ ดินเองก็ยกแขนกอดตอบคนรัก  ความอบอุ่นอ่อนหวานแผ่ซ่านในใจคนทั้งคู่ 

             “อรุณสวัสดิ์ครับ” เดือนกระซิบชิดริมหูอีกฝ่าย “อรุณสวัสดิ์ครับพี่เดือน นี่กี่โมงแล้วเนี่ย ทำไมไม่ปลุกดิน แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ”

              “วันนี้โดดงานวันหนึ่ง” เดือนขยิบตา “บอกท่านหัวหน้าว่าเมียป่วย”

               นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง ร่างกายขยับแก้อาการเขินทันทีด้วยการคว้าหมับเข้าที่เอวคนรักแล้วบิดแรงๆ เดือนที่ถูกประทุษร้ายร้องโอดโอยทันที ดินแยกเขี้ยวใส่คนตัวโตแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น 

            ไอ้พี่บ้านี่มันพูดมาได้ไม่อายปากจริงๆ ก็หัวหน้ามันก็พ่อพวกเขาไม่ใช่หรือไง! พูดไปแบบนี้พ่อกับแม่ต้องรู้แน่เลยว่าเขาเป็นอะไร แล้วแบบนี้เขาจะมองหน้าคนในบ้านติดได้ยังไง

          ร่างโปร่งเดินโขยกเขยกไปทางประตูห้อง ตั้งใจจะออกไปห้องน้ำ แต่ไม่ทันเดือนที่ปิดฝาชามข้าวต้มไว้ก่อนเดินมาอุ้มร่างเล็กขึ้นแล้วพาไปที่ห้องน้ำทันที  ดินที่ถูกอุ้มในท่าอุ้มเจ้าสาวโวยลั่น

          “พี่เดือน! เกิดมีคนมาเห็นจะทำยังไง”

          “อายอะไร เขารู้กันหมดแล้วน่า”

           “พี่เดือน!”

           “ฮ่าๆ ล้อเล่นหรอก ไม่มีใครขึ้นมาหรอกน่า พี่บอกว่าดินไม่สบาย จะพักผ่อน  ถ้าพวกป้าชื่นจะขึ้นมาทำความสะอาดก็หลังจากพี่พาดินลงไปข้างล่างแล้วกัน”  คนตัวสูงใช้เท้าเขี่ยเปิดประตูห้องน้ำแล้ววางคนตัวเล็กลงที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า  ก่อนจะมองดินนิ่งๆ ดินเองก็รออีกฝ่ายว่าทำไมไม่ออกไปเสียที

             “นี่ พาดินมาส่งแล้วก็ออกไปซักทีสิ” สุดท้ายเขาก็ต้องเป็นฝ่ายโพล่งขึ้นจนได้  เดือนเลิกคิ้ว อมยิ้ม นัยน์ตาคมฉายประกายสนุกที่ได้แกล้งน้องชายต่างสายเลือด “พี่จะเช็ดตัวให้ดินไง”

            “ดินเช็ดเองได้”

             “ไม่สะดวกมั้ง แขนก็ใส่เฝือกอยู่ จะเช็ดสะอาดได้ไง”

             “งั้นก็กลับไปเช็ดที่ห้อง”

              “พี่ไม่อยากถือกะละมังเดินไปเดินมานี่ เช็ดในนี้แหละ”

              เดือนทำปากยื่น ดินเลยยื่นมือไปบีบปากเป็ดนั่น หนีบแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว นี่คงจะหลอกแกล้งเขาอีกล่ะสิ คิดเรอะว่าจะยอม เขาก็มียางอายนะเว้ย ถึงแม้จะ...ผ่านคืนแบบนั้นมาแล้วก็เถอะ
 
               เดือนที่เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงซ่านก็หัวเราะ หยอดไปอีกหนึ่งประโยค “อายอะไรครับที่รัก  เมื่อคืนเห็นหมดแล้ว”

              “ไอ้ – พี่ – เดือน! อยากตายก่อนแก่สินะครับ”

              เดือนร้องโวยวายเมื่อคนผมดำคว้าเอาขวดแชมพูตรงเคาน์เตอร์ขึ้นมา ทำท่าจะปาใส่เขา “เฮ้ย พี่ตายน้องก็เป็นหม้ายนะครับ”

              “ดินจะหาแฟนใหม่!”

              “คำขอนี้สามีไม่อนุญาต ไม่ผ่านครับ”

             อดีตนายแบบดึงขวดแชมพูออกจากมือบาง  คลอเคลียปลายจมูกเข้ากับปลายจมูกคนหน้าแดง “งั้นพี่ออกไปหยิบเสื้อกับผ้าเช็ดตัวให้  ดินก็ทำธุระไป แต่ต้องยอมให้พี่เช็ดตัวนะ” คนที่เอาแต่ใจก็เอาแต่ใจจนถึงที่สุดจนสุดท้ายดินก็ต้องยอมพยักหน้าเดือนถึงได้ยิ้มร่าออกจากห้องน้ำไป

             พอชายหนุ่มออกไปดินก็ล็อกห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวจากนั้นก็รอจนอีกคนกลับมา  เดือนกลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็ก ผ้าขนหนูแห้งกับเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน ทันทีที่วางของเรียบร้อยชายหนุ่มจัดการลอกคราบน้องชายอย่างรวดเร็ว

             ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วร่างกายขาวจนคนถูกมองต้องเบือนหน้าหนีซ่อนใบหน้าแดงก่ำของตัวเองเอาไว้  เมื่อคืนมันมืดแถมยังถูกปลุกปั่นจนไม่มีสติยั้งคิดอะไร แต่พอมาตอนนี้ไฟในห้องน้ำก็เปิดสว่างจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเขาก็อดอายไม่ได้

           “มองอะไรครับ รีบเช็ดตัวสิ”

            “มองเมีย”

            ดินหันกลับไปถลึงตาใส่อีกคน  คำพูดแบบนั้นที่เดือนเรียกเขา ทำใจให้ตายก็ไม่ชิน 

            “ถ้าพี่ยังไม่เลิกแกล้งดินจะให้พี่ออกไปแล้วนะครับ” พอเจอคุณภรรยาประกาศคำขู่แบบนี้เดือนก็ต้องกลั้นยิ้มแล้วลงมือเช็ดตัวให้อีกฝ่าย

           ดินก้มมองสภาพตัวเองแวบหนึ่งก่อนจะหันหน้าหนีไปมองเพดานแทน  ทั่วร่างกายเขาตอนนี้เต็มไปด้วยรอยแดง ที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของเขา...พอเห็นรอยแดงทั้งสัมผัสและความทรงจำเมื่อคืนก็หวนคืนมาในสมอง...มันเจ็บ...แต่ก็มีความสุข
ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเป็นของคนตรงหน้านี้หมดแล้ว

            ทั้งหัวใจ...และร่างกายที่ถูกความรักของเดือนประทับรอยเอาไว้ทุกพื้นผิว

            ฝ่ามือใหญ่ลากผ้าขนหนูเช็ดตัวให้ตามร่างกาย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดลำลองใส่สบายให้  ดินกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย เดือนที่กำลังพาดผ้าเปียกไว้บนเคาน์เตอร์เหลือบมองเขา  พริบตาสองแขนของร่างสูงก็ยันไว้กับขอบอ่างล้างหน้า กักตัวเขาไว้ในอ้อมแขน

           “ขอจูบเป็นค่าตอบแทนแล้วกัน”

            พูดจบก็ทาบทับริมฝีปากลงมา   เดือนรู้สึกเหมือนเขามีอาการแปลกๆ ชายหนุ่มพบว่าตัวเองชอบจูบดิน จูบแบบที่ไม่ต้องมีความใคร่มาเกี่ยวข้อง ชอบลากไล้ปลายจมูกสัมผัสทั่วใบหน้าเนียน ชอบกลิ่นหอมอ่อนเหมือนกลิ่นดอกไม้ของคนตรงหน้าที่มักทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย

             ร่างสูงอุ้มน้องชายต่างสายเลือดออกจากห้องน้ำ  พาไปที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดฝาชามข้าวต้มให้  “กินเสร็จแล้วก็ทานยาด้วยนะ” มองสำรวจร่างกายคนตรงหน้าก่อนกลั้นใจถาม “แล้ว...เอ่อ...ร่างกาย โอเคไหม”

            คนตัวเล็กหลบตาวูบ ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงบ่งบอกว่าเจ้าตัวเขินจัด  เสียงนุ่มตอบอ้อมแอ้ม “ก็เจ็บนิดหน่อยเวลาเดินครับ ปวดนิดๆ” อันที่จริงก็ไม่นิด แต่ดินก็ไม่อยากให้เดือนกังวล

              “ทานยาแก้อักเสบด้วยนะ...คือ...เมื่อคืนที่พาไปล้างตัวพี่เห็นมันบวม...”

             “ค..ครับ”

              คนน้องรีบรับคำก่อนคนพี่จะพูดอะไรออกมาให้เขาอายมากไปกว่านี้ ดินอยากระเบิดตัวเองทิ้งจริงๆ  เขาอายจนแทบจะมุดชามข้าวต้มหนี  ภายในห้องมีเพียงความเงียบและเสียงช้อนกระทบจาน  หลังจากทานข้าวจนหมดและทานยาตามดินก็ไปนั่งที่เตียง  เดือนลูบผมคนรักแผ่วเบา ขยับกายไปสวมกอดให้ร่างเล็กซุกกายเข้าหา 

              “นี่ พอหายดีแล้วไปหาแม่แก้วกันไหม” เดือนเอ่ยถาม ดินมองเขาอย่างแปลกใจ แม่แก้ว? ใช่พี่สาวแม่มะลิหรือเปล่า...เดือนจะพาเขาไปหาอีกครอบครัวหนึ่งงั้นเหรอ  แล้วฝั่งนั้นจะไม่มองเขาแปลกๆหรือ จู่ๆก็เป็นสาเหตุให้ลูกชายที่เขาเลี้ยงมากลายเป็นเกย์ไปเสียอย่างนั้น

             ถ้าทางแม่แก้วไม่ชอบเขาล่ะ...ดินรู้สึกไม่สบายใจเลยถ้าครอบครัวอีกครอบครัวของเดือนจะไม่ชอบเขา

             นี่สินะความรู้สึกตอนกำลังจะเจอแม่สามีน่ะ

              “คิดอะไรหืม”  เดือนจิ้มหัวคิ้วที่ขมวดกันให้คลายออก ทำไมชอบทำหน้ายุ่งนักก็ไม่รู้นะเด็กคนนี้

               “กลัวแม่แก้วไม่ชอบดิน”

              “ไม่มีทาง แม่อยากเจอดินจะตาย”

               “แต่ว่า...ดิน...เป็นผู้ชายนะ”

               เดือนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “แม่รู้แล้ว  ไม่ว่าอะไรหรอก เผลอๆดินจะกลายเป็นลูกรักด้วยมั้ง ตรงสเป็คแม่เขาเลย งานบ้านดี เรียบร้อย พูดน้อย ทำกับข้าวเป็น” คนพูดหัวเราะขึ้นมา เกยคางลงบนกลุ่มผมนุ่มสีดำ “แต่พี่ไม่ยอมให้ใครมารักดินมากไปกว่านี้แล้วนะ  หวง พี่รักของพี่คนเดียวพอ”

               “งั้นดินจะรักพี่เดือนให้มากๆ เท่าจักรวาลเลย”  เดือนทำตาโต  ในอกพองฟูไปหมด  นี่ถ้ารู้ว่าเป็นแฟนกันแล้วจะน้องจะน่ารักขนาดนี้  เขาจีบไปตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว!

             “พูดดี มีรางวัล”

             “เดี๋ยวดินให้เอง”

              คนตัวเล็กยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มสากนั้นหนักๆทั้งซ้ายขวา  ก่อนจะถูกเอาคืนด้วยการจั๊กจี้จนเขาหัวเราะแทบหมดแรง  สองร่างคลอเคลียกันอยู่อย่างนั้นจนร่างเล็กที่อ่อนเพลียมาตลอดคืนค่อยๆผล็อยหลับไป  เดือนประคองดินให้นอนลงกับหมอนแล้วเอนตัวลงนอนข้างๆ  ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมสีดำออกจากใบหน้าหวาน กดจูบลงที่หน้าผากให้คนในอ้อมแขนฝันดี

             ชายหนุ่มฮัมเพลงกล่อมออกมาเบาๆ ลูบผมคนตัวเล็กไปด้วยจนตัวเองก็ชักจะง่วงนอน จึงโอบกอดร่างของคนรักไว้แล้วปิดตาลงไปพร้อมกับความสุขที่ล้นเอ่อในอก

             ความสุขนี้ที่เขาอยากให้ยืนยาวไปตราบนานเท่านาน

             อยากให้กาลเวลาหยุดลงตรงนี้จนชั่วนิรันดร์

            สามอาทิตย์ต่อมาดินก็เอาเฝือกออก ร่างกายก็กลับมาแข็งแรงเป็นปกติดี  ตามที่เคยคุยกับเดือนไว้ พวกเขาจึงพากันเก็บกระเป๋า เตรียมตัวไปกรุงเทพฯ  เดือนดูดีใจมากที่จะได้กลับไปหาแม่แก้วกับพี่ชายของเขา โทรคุยกับทางนั้นไม่หยุด แม่มะลิเองก็จัดหาของฝากจากเมืองสุพรรณไปให้ทางนู้นเสียเยอะแยะจนด้านหลังรถแทบไม่มีที่วาง โชคยังดีที่พวกเขาไปกันแค่สามวันและเดือนเองก็พอมีเสื้อผ้าติดอยู่ที่บ้านนู้นบ้าง พวกเขาจึงใช้กระเป๋าเดินทางใบเดียวกัน  หลังจากตระเตรียมของเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทาง

             เดือนขับรถเรื่อยๆแวะตามปั๊มบ้างเป็นครั้งคราวให้คนตัวเล็กลงไปซื้อของกินแล้วค่อยออกเดินทางต่อ  หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมงรถของพวกเขาก็มาจอดอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นที่ยกใต้ถุนสูง ดูแปลกตาท่ามกลางตึกคอนกรีตทันสมัยสูงใหญ่ที่ล้อมรอบ  เนื้อที่รอบบ้านมีไม่เยอะนักแต่เจ้าของบ้านก็ปลูกต้นไม้จนแทบจะแน่นขนัด  เดือนไม่ได้กดกริ่งแต่เจ้าตัวเลื่อนประตูรั้วเปิดเข้าไปเลยพร้อมโอบไหล่ดินให้เดินเข้าบ้านไปด้วยกัน

             ตรงหน้าบันไดขึ้นบ้านมีอ่างบัวตั้งขนาบ ภายในเลี้ยงปลาหางนกยูงหลากสี  เสียงพูดคุยและเสียงโทรทัศน์ดังมาจากในบ้าน  พร้อมกับกลิ่นอาหารที่ลอยฟุ้ง  เดือนหันมาจุ๊ปากเป็นทำนองให้ดินเงียบก่อนที่คนตัวโตจะเขย่งปลายเท้าเดินไปชะโงกหน้ามองในบ้าน  ดินเดินตามไปเงียบๆ อมยิ้มกับท่าทีเหมือนเด็กของอีกคน

           ร่างสูงใหญ่ของนายแบบหนุ่มตรงเข้าไปในครัวหลังบ้าน  ดินมองเห็นหญิงวัยกลางคนร่างท้วมยื่นอยู่ตรงนั้น ขนาบข้างด้วยเด็กน้อยสองคน  เดือนตรงรี่ไปหาหญิงร่างท้วมที่คงเป็นแม่แก้วคนนั้นก่อนจะเอาสองมือจี้ไปที่เอวพร้อมตะโกนว่า “จ๊ะเอ๋ แม่แก้ว!”

            เจ้าของนามแก้วสะดุ้งสุดตัว รีบหันกลับมาเงื้อตะหลิวในมือ เดือนที่เห็นท่าไม่ดีรีบถอยกรูดยกสองมือเป็นเชิงยอมแพ้ ขณะที่แม่แก้วตีหน้าดุ เท้าเอวเอาตะหลิวชี้หน้าลูกชายตัวแสบ

             “เดี๋ยวเถอะนะเจ้าเดือน  กล้ามากนะยะมาแกล้งแม่แบบนี้ เดี๋ยวปั๊ดฟาดด้วยตะหลิว”

             “โอ๊ย คุณนายแก้วคร้าบ จะฟาดลูกชายสุดหล่อคนนี้จริงเหรอ เดี๋ยวหน้าตาไม่ดีเดือนก็หาเลี้ยงตัวเองไม่ได้กันพอดี”

             “แล้วใครใช้ให้แกมาเล่นบ้าๆยะ!”

            ชายหนุ่มลอยหน้าลอยตาหัวเราะร่า พลางย่อกายลงกางแขนรับร่างเล็กสองร่างที่ร้องเรียก ’คุณอาเดือน’ เสียงดังแล้วโถมกายเข้าใส่

             เดือนกอดร่างของแฝดชายหญิง  ดาวกับตะวันเอาไว้แน่น ปล่อยให้หลานหอมไปหลายฟอด  คุณแก้วมองภาพนั้นยิ้มๆก่อนจะสังเกตเห็นใครบางคนที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ที่ประตูครัว  “อ้าว เจ้าเดือนแล้วนั่นใครน่ะ” เดือนลุกขึ้นยืนแล้วกวักมือเรียกดินให้เดินเข้า คนผมดำมีสีหน้าลังเล เดินเข้ามาช้าๆก่อนจะยกมือไหว้คุณแก้ว

            “สวัสดีครับ ผมดินครับ เป็น...”

            “ต๊าย คนนี้เหรอที่แกเล่าให้ฉันฟังน่ะเจ้าเดือน!”

           ดินอึกอักพลางก้มหน้าลงในตอนที่คุณแก้วใช้สายตาสำรวจตรวจสอบมองเขา ก่อนใบหน้าอวบจะคลี่ยิ้มเมตตาออกมา  ร่างท้วมหันไปปิดเตาแก๊ส เช็ดไม้เช็ดมือแล้วเดินเข้าชิดเขา  เชยคางดินให้เงยหน้าขึ้น 

           “น่ารักเหมือนที่แกบอกไม่ผิดเลยเดือน”

           “ใช่ไหมล่ะ เดือนตาถึง เลือกลูกสะใภ้ไม่ผิดคนหรอกแม่”

           “ย่ะ  พาลูกสะใภ้มาส่งถึงมือฉันแล้วแกก็ไปได้แล้ว ไปไหนก็ไปไป๊ ส่วนดิน ทำอาหารเป็นไหมลูก”

         คนผมดำรู้สึกเหวอเล็กน้อยที่แม่แก้วดูจะไม่ได้รังเกียจอะไรเขาเลย แถมยังมีท่าทีสนิทสนมกับเขาอีกด้วย “เอ่อ เป็นครับ”

          “งั้นดินอยู่คุยกับแม่ในครัวนี่แหละ ส่วนแก เจ้าเดือน คนหมดประโยชน์ออกไปจากครัวเดี๋ยวนี้”

          “โห ไม่ยุติธรรมเลยแม่ นั่นแฟนเดือนนะ”

          “แล้วไง  ว่างมากก็ไปจัดห้องนอนแกไป ปลอกหมอนกับผ้าปูที่นอนแม่ซักให้แล้ว เอาไปจัดการซะ”  กล่าวจบคุณนายแก้วผู้คุมอำนาจในบ้านก็ดันหลังนายแบบหนุ่มออกไป ดินหัวเราะคิกเมื่อได้ยินเสียงเดือนโวยวายตามหลัง 

           พอพิจารณาดีๆตอนนี้เขาเองเริ่มรู้สึกว่าแม่แก้วมีส่วนคล้ายแม่มะลิเหมือนกัน เพียงแต่อวบกว่า โผงผางกว่า แต่เรื่องความเมตตานั้นไม่ผิดกันเลย  ในดวงตาคู่สวยของแม่แก้วมีแต่ความปราณีและเอ็นดู

            “เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้นี่ กี่ปีๆก็ทำตัวเหมือนเด็ก” หล่อนบ่นก่อนจะหันไปสั่งการเด็กแฝดชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองตาแป๋ว  เด็กผู้หญิงถักเปียสองข้างดูน่ารักน่าชังยิ้มให้เขาอย่างอายๆ ขณะที่เด็กผู้ชายก็กำหุ่นยนต์ของเล่นในมือแล้วมองตาเขาแป๋ว
“เอ้าเด็กๆแนะนำตัวกับคุณอาคนนี้หน่อยเร็ว”

             “สวัสดีครับ” ดินส่งยิ้มให้เด็กแฝด “พี่ชื่อดินนะครับ” ทันทีที่เขาแนะนำตัวเสร็จ มือเล็กๆของเด็กทั้งคู่ก็ชูขึ้นในอากาศ ทำท่าเหมือนเวลายกมือตอบคำถามครู เด็กผู้หญิงที่ยกมือไวกว่าหันไปยิ้มเยาะเด็กชายที่ทำหน้ามุ่ย จากนั้นก็หันมายิ้มอวดฟันหลอให้เขา

            “หนูชื่อดาวค่ะ”

            “ผมชื่อตะวันคับ”

           พอแนะนำตัวเสร็จเด็กทั้งคู่ก็มาวิ่งวนรอบๆตัวเขา ก่อนจะดึงแขนเขาเป็นทำนองให้ดินย่อตัวลงไป

            จุ๊บ

             ริมฝีปากนิ่มๆชนแก้มเขาทั้งสองข้าง เด็กทั้งคู่หัวเราะ หนูดาวพูดขึ้นว่า “คุณอาดินเป็นพวกเราแล้วๆ” เด็กหญิงยิ้มหวานให้เขา  ส่วนตะวันก็พูดเสริมขึ้นมา “คุณอาเป็นสมาชิกของบ้านเราแล้วคับ”
   
            “คุณอาดินขา ทำไมคุณอาสวยจังเลย”
   
             “คุณอาเป็นแฟนอาเดือนเหรอคับ”
   
             “เอ่อ...” ดินมองเด็กทั้งสองแล้วก็ไม่รู้จะตอบไปแบบไหน  จนคุณแม่แก้วหัวเราะกับท่าทีกระอักกระอ่วนของเขา “ดาว ตะวัน ไปช่วยอาเดือนจัดห้องไป”
   
             “รับทราบคับ/รับทราบค่ะ ท่านหัวหน้าใหญ่!”  เด็กตัวเล็กทำท่าตะเบ๊ะอย่างพร้อมเพรียง แข่งกันวิ่งตึงตังออกไปข้างนอก  ดินจึงได้ฤกษ์หันกลับมาคุยกับแม่แก้วต่อ ชายหนุ่มเห็นหญิงวัยกลางคนมองเขายิ้มๆ “เจ้าเดือนนี่ก็ตาถึงนะ ฮ่าๆๆ เฮ้อ มีแฟนกันเป็นตัวเป็นตนไปหมดแล้วสินะ  เหมือนเมื่อวานเลยที่เห็นเจ้าเดือนกับพี่มันทะเลาะแย่งหุ่นยนต์กันในบ้าน”
   
               คนพูดพูดไปพลางยิ้มไปพลาง ดินสัมผัสได้ว่าความทรงจำที่เธอนึกถึงมันมีค่ามากมายนัก 
   
               “ที่แม่ทำวันนี้ก็ของโปรดเจ้าเดือนมันทั้งนั้น จำไว้ล่ะ จะได้เอาไปทำให้มันกินได้”
   
                พอแม่แก้วพูดแบบนั้นดินก็รีบมองอาหารตรงหน้าทันที  พะแนงหมู  ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่เจียวชุบชะอมทอด น้ำพริกแล้วก็แกงจืดเต้าหู้หมูสับ
   
                “เดือนอยู่ทางนู้นสร้างความรำคาญอะไรให้หนูกับพวกมะลิหรือเปล่าดิน”
   
                “เอ๊ะ...เอ่อ...ก็ไม่ครับ” ดินตกใจที่จู่ๆอีกฝ่ายก็ถามขึ้นมาแบบนั้น “มีแต่ดิน...ที่สร้างความลำบากให้พี่เดือน” ชายหนุ่มก้มหน้าลงยามพูดประโยคนั้น
 
               แม่แก้วยิ้มบางๆให้เขา ตบไหล่เขาเบาๆ “แม่ฝากเดือนด้วยนะดิน ลูกชายแม่มันอาจจะไร้สาระไปบ้าง แต่มันก็เป็นคนดีนะ ไปอยู่ทางนั้นแม่ตามไปไม่ได้ ช่วยดูแลมันแทนแม่ทีนะลูก”

               ดินเหม่อมองรอยยิ้มของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่คนรัก  ก่อนจะเอ่ยคำสัญญาที่หนักแน่นที่สุดในชีวิตออกมา

              “ครับ...ดินสัญญา”

              “ขอบใจนะลูก...ขอบใจที่รักเดือนนะ”

              ดินต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่เดือน...ขอบคุณความรักของพี่ที่มอบความกล้ามาให้

               มื้อเย็นวันนั้นผ่านไปอย่างครึกครื้นและยิ่งคึกคักเมื่อพี่ชาย พี่สะใภ้ของเดือนพาอารัณย์มาร่วมกินมื้อเย็นด้วย ดินไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเดือนถึงเติบโตมาเป็นคนที่อบอุ่น อ่อนโยน แล้วก็มีรอยยิ้มที่สดใสได้มากขนาดนั้น ก็ดูรอบตัวเขาสิ มีคนมอบความรักให้เขาอย่างเต็มเปี่ยมแทบทั้งสิ้น

                พี่สะใภ้ของเดือน  พี่ผึ้งเป็นหญิงสาวที่น่ารักและเรียบร้อย หล่อนไม่รังเกียจที่คนรักของน้องชายสามีเป็นผู้ชาย แล้วยังช่วยดูแลดินอย่างดี กฤตเองก็เป็นพี่ชายที่ดูรักน้องชายไม่น้อยถึงจะกวนประสาทและชอบแหย่เดือนจนอีกฝ่ายโวยวายลั่นทุกที ยิ่งแท็กทีมมากับอารัณย์ก็ไปกันใหญ่  ลูกๆของกฤตกับผึ้ง เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จัดดินเข้ารายการคนโปรดไปเสียแล้ว ดินเองก็ชอบเด็กทั้งคู่มาก

               ลึกๆแล้วชายหนุ่มรู้สึกอิจฉาคนรักเล็กน้อยที่มีครอบครับที่อบอุ่นแบบนี้

              เดือนที่สังเกตเห็นก็โน้มตัวลงมากระซิบ

                “ไม่ต้องอิจฉาหรอก...เพราะดินก็เป็นครอบครัวของเราเหมือนกัน” จบท้ายด้วยการขโมยหอมแก้มคนรักไปหลายฟอดต่อหน้าต่อตาคนทั้งโต๊ะ ทำเอาดินอายจนหน้าแดงก่ำ อารัณย์กับกฤตที่หมั่นไส้จึงลงมือปาเหลือกเงาะใส่เดือนทำให้โดนคุณนายแก้วดุไป

              ค่ำคืนนั้นจึงผ่านพ้นไปด้วยเสียงหัวเราะคลอกับเสียงบ่นของคุณนายนั่นเอง



           วันต่อมาคุณนายแก้วก็เดินปึงปังเข้ามาในห้องลูกชายแต่เช้าพร้อมกับโยนใบรายการของยาวเป็นหางว่าวใส่หน้าชายหนุ่ม พร้อมประกาศิตสั้นๆ

           ‘อยู่ว่างๆก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ออกไปซื้อของมา’

           ดินที่กำลังยกตะกร้าใส่ผ้าพับแล้วขึ้นมาบนห้องแอบหลุดขำที่เห็นเดือนหน้าตายับยู่ยี่บ่นอุบอิบไม่หยุด เอากับเขาสิ นี่ถ้าเขาแอบถ่ายรูปหลุดเดือนแล้วเอาไปขายจะได้สักเท่าไหร่กันนะ  เมื่อวานแอบเห็นนิตยสารที่เดือนเป็นแบบให้หลายฉบับในชั้นหนังสือก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่ม สูง หุ่นดี ดูมีคาริสม่าบนปกนิตยสารกับไอ้หนุ่มหัวฟู หน้าตาเป็นรอยบนเตียงนี่จะเป็นคนเดียวกัน
     
            “ขำอะไรครับที่รัก ดินก็ต้องออกไปช่วยพี่ถือของนั่นแหละ อยู่ว่างๆก็มาช่วยกันเลย”

            “ดินเขาทำตัวมีประโยชน์กว่าแกเยอะ ไม่ต้องไปว่าน้องเลย” เสียงคุณนายแก้วตะโกนมาจากห้องนอนอีกห้องทำเอาดินหัวเราะลั่นก่อนจะอุทานออกมาเมื่อเดือนรวบร่างเขาไปกอด แล้วแกล้งเอานิ้วจี้เอวให้เขาบิดตัวไปมา ก่อนจะฉวยโอกาสซุกไซ้จมูกโด่งไปตามซอกคอเขา กดจูบเบาๆให้จั๊กจี้เล่น

            “โหย คุณนายแก้วครับ  นี่ใครเป็นลูกคุณนายกันแน่เนี่ย”

            “ฉันได้ลูกชายใหม่แล้ว แกน่ะฉันเก็บมาจากถังขยะ!”
             
            “ขยะเปียกด้วยนะเว้ยไอ้เดือน ฮ่าๆ”

            คิ้วเรียวกระตุกกึก  ไอ้พี่เวรยังไม่ไปทำงานอีก!

           “ถ้าผมขยะเปียกพี่ก็ขยะมูลฝอยแหละวะ!”

             เถียงกันล้งเล้งอยู่นานจนดินต้องลากเดือนยัดเข้าห้องน้ำไปก่อนจะไปซื้อของมาทำข้าวเที่ยงไม่ทัน เพราะในรายการมีพวกของสดอยู่ด้วย 

            ชายหนุ่มถอนหายใจยิ้มๆ บ้านนี้นี่มันวุ่นวายจริงๆให้ตาย

ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 19-03-2016 20:51:14
           ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เดือนเลือกค่อนข้างมีผู้คนบางตาเพราะวันนี้เป็นวันทำงาน แต่กระนั้นเดือนก็ยังเลือกจะใส่หน้ากากอนามัยมาปิดบังใบหน้าตัวเองอยู่ดี ชายหนุ่มไม่ได้เซ็ทผม หน้าก็สดออกจากบ้าน สวมแค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์สีซีดๆกับผ้าใบ  ถึงจะแต่งให้ธรรมดาแต่เขาก็ไม่อยากเจอพวกนักข่าวหรือแฟนคลับตอนนี้อยู่ดี

            เพราะตอนนี้เขาอยากเป็นแค่คนธรรมดา มีชีวิตส่วนตัว ได้เดินซื้อของกับคนรัก

            ใครๆก็บอกว่าดาราคือคนของประชาชน แต่เขาจะรู้ไหมนะว่าดาราก็คือคนธรรมดา

             คนธรรมดาที่อยากมีช่วงเวลาส่วนตัวให้พักผ่อน ไม่ใช่ขยับตัวไปไหนก็โดนจับตามองทุกฝีก้าว  ยิ่งเดี๋ยวนี้โซเชียลเน็ตเวิร์กมีอิทธิพลกับคนทั่วไปอย่างมาก จะโพสอะไรทีก็มักจะถูกจับตามอง เพจนู่นนี่ในเฟซบุ๊คก็ชอบเอาไปเขียนข่าววิพากษ์วิจารณ์ บางทีลงข่าวผิดๆจนคนอื่นเสียหายก็มี

             ทำอะไรก็มักจะถูกจับตามองอยู่ตลอด รุ่นพี่หลายคนในวงการบอกเขาว่าอย่าไปแคร์ ใครจะพูดก็เรื่องของเขา ใครจะด่าก็เรื่องของเขา คนเรามีปากก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งมีโซเชียลให้โพสต์นู่นนี่ก็แสดงความคิดเห็นกันแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง บางคนด่าตามกระแสยังมี  แต่ใครมันจะไปทนได้ตลอดกัน สำหรับเขาที่รักความเป็นส่วนตัวยิ่งแล้วใหญ่

            “พี่เดือน เอานมสตรอเบอรี่ไปด้วยไหม เห็นดาวบอกอยากกิน”

             “หืม เอาสิ”

              ชายหนุ่มมองคนรักหยิบนู่นหยิบนี่ลงตะกร้าอย่างคล่องแคล่วแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้  เข็นรถเข็นไปเดินข้างคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูรายการของในมือแล้วก็ยกแขนโอบเอว รั้งร่างบางมาใกล้ตัว

             “พี่เดือน!” ดินกระซิบเสียงเบา เหลียวมองรอบๆด้วยกลัวว่าใครมาเห็นแล้วจะจำนายแบบหนุ่มได้ ทีนี้ละวุ่นวายใหญ่โตแน่ๆ

              “ไม่มีใครจำได้หรอกน่า”

              “แต่นี่มันที่สาธารณะ”

              “ไม่เป็นไรหรอก แหม พี่ก็อยากมีโมเม้นท์เดินโอบแฟนซื้อของบ้างนี่นา โรแมนติกงุ้งงิ้งอ่ะ”

              “งิ้งบ้านพี่สิครับ”

              คนผมดำบ่นด้วยสีหน้าอ่อนใจแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายโอบเอวไปด้วย เดินซื้อของไปด้วย โชคยังดีที่ไม่ค่อยมีคนมากนัก ทำให้ไม่มีใครมามองด้วยสายตาแปลกๆ

              จนกระทั่งมีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินท่าทางกล้าๆกลัวๆเข้ามาหาเดือน

              “เอ่อ...ขอโทษนะคะ คุณใช่คุณเดือนรวีกานต์หรือเปล่าคะ”

              เดือนกับดินสบตากับวูบหนึ่งก่อนผมคนดำจะรีบปลดมือชายหนุ่มออกจากเอวตัวเอง แต่ก็ไม่ทันสายตาคมของหญิงสาวคนนั้น  เดือนส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอกครับ แค่คนหน้าเหมือนน่ะครับ จริงๆก็มีคนทักผมผิดบ่อยเหมือนกัน”

              “เอ๋!?  แต่ฉันว่าคุณหน้าเหมือนมากเลยนะคะ”

               หญิงสาวคนนั้นมีท่าทางลังเล  เธอสังเกตคนร่างสูงมาสักพักแล้ว แน่ใจว่าใช่แน่ๆแต่เพราะมีหน้ากากอนามัยบังอยู่เลยไม่แน่ใจ แต่จะให้เขาถอดหน้ากากออกให้เธอพิสูจน์ก็ใช่ที่

              “คุณเดือนจริงๆด้วย ฉันจำหน้าคุณได้ค่ะ!” เพื่อนพนักงานสาวอีกคนที่เดินเข้ามาดูถึงกับร้องออกมา คราวนี้หล่อนแน่ใจแล้ว เพราะเพื่อนหล่อนเป็นแฟนคลับตัวยงของนายแบบหนุ่ม ไม่มีทางจำผิดเด็ดขาด   เดือนที่เห็นว่าความแตกแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ปลดหน้ากากอนามัยออกแล้วยิ้มให้สองสาวที่กรี๊ดกร๊าดขอถ่ายรูป  ชายหนุ่มจึงตกลงแต่ก็ขอร้องว่าอย่าบอกใคร “ผมมีธุระต้องไปต่อครับ ขอโทษด้วยนะ” หลังจากยอมให้สองสาวถ่ายภาพไปจนพอใจแล้วเดือนพาดินเดินออกจากตรงนั้นทันที

              คล้อยหลังนายแบบลูกครึ่ง  พนักงานสาวก็เปิดรูปภาพขึ้นมาดูพร้อมกับตีมือตีไหล่กันอย่างมีความสุข “นี่แก  ฉันสงสัยมาตั้งนานแล้วว่าใช่เดือนหรือเปล่า โอ๊ย ตัวจริงอย่างหล่อ นี่ขนาดหน้าสด ผมไม่เซ็ทนะเนี่ย” นิ้วเรียวไล่เปิดรูปภาพที่แอบถ่ายมาให้เพื่อนดู จนกระทั่งมาถึงรูปด้านหลังที่เป็นภาพนายแบบในฝันของพวกหล่อนโอบเอวคนข้างตัวไว้ สองสาวจึงมองหน้ากัน

              “แล้วคนนั้นใครวะแก เห็นยืนข้างๆกันด้วย”

              “มาซื้อของด้วยกันไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นเดินด้วยกันนานละ”

               “แฟนเหรอวะ?”

               “บ้า หล่อน! ผู้ชายนะ”

                หญิงสาวที่เสนอไอเดียไม่เข้าท่าถูกตีแขนแรงๆ เจ้าตัวได้แต่เบ้หน้า จิกกลับไป “โอ๊ย  เดี๋ยวนี้เก้งเกย์มันเยอะจะตาย ใครจะรู้ เห็นหุ่นแซ่บๆอาจเป็นอีแอบก็ได้นะเว้ย”

                 “ยี้ อย่ามา นั่นพ่อของลูกฉันเหอะ”

                 “จ้า เขาเอาแกไหมลองไปถามดู”

                พอโดนเหน็บกลับมาคนพูดก็ไม่ได้ตอบโต้นอกจากโพสต์รูปที่ตัวเองถ่ายคู่กับเดือนลงเฟสบุ๊คพร้อมกับรูปแอบถ่ายทุกรูปก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงยอดไลค์และคอมเม้นท์ของเพื่อนในเฟซที่คงจะอิจฉาตาลุกเป็นไฟ


               
                 หลังมื้อเย็นผ่านพ้นไปเดือนก็กลับมานอนเล่นไอแพดต่อบนห้องขณะที่คนรักหลบไปโทรหาคุณแม่มะลิ ชายหนุ่มเลื่อนดูหน้าฟีดข่าวเฟซไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปสะดุดกับกระทู้จากเว็บบหนึ่งที่อารัณย์โพสท์แล้วแท็กมาให้เขา  ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อเห็นหัวข้อกระทู้ที่เขียนไว้

                ‘ชาวเน็ตมือดีแชะภาพ เดือน รวีกานต์ กับชายหนุ่มปริศนา โอบเอวกันกลางห้าง!’

                  ลมหายใจสะดุดเมื่อคลิกเข้าไปดูกระทู้ ก็ปรากฏเป็นรูปเขาเดินโอบเอวดินจริงๆ บ้าชิบ! ยอดแชร์สูงแบบนี้ จะไปบอกให้ตามลบก็คงไม่ทัน แถมโพสท์เมื่อสองชั่วโมงก่อน...คงสาวหาตัวคนปล่อยภาพไม่ได้แล้ว  เดือนสบถในใจ เลื่อนลงมาดูคอมเม้นท์ที่มีคนมาโพสท์ไว้ก่อนจะคิดประชดในใจ

                  หึ  1,347 ความคิดเห็นงั้นเหรอ...สนุกล่ะทีนี้

                  น้องกวางสวยมาก :  โอ๊ย อะไรยังไง ขอแค่ให้เป็นคนหน้าเหมือนทีเถอะ #ชั้นรับไม่ด้ายยย  #อะไรเอ่ยไม่มีที่ยืน #ชะนีไทยจ้า

                 MiliMill : ที่หายไปตั้งนานนี่คือไปมีเมียใช่ป่ะวะ  55555 แม่งเอ๊ย รับไม่ได้ว่ะ

                 พี่กุ้งไง จะใครล่ะเมีย : กูว่าแล้ววว หุ่นขนาดนี้ไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตนสักที  สังคมสมัยนี้เป็นไรกันไปหมดวะ แดกกันเองหมดละ กรรมๆ

                น้องมิ้วใสๆ : อ้าว พี่เดือนเค้าเลิกกับพี่ญี่ปุ่นแล้วเหรอ เห็นข่าวเงียบๆไป  หรือว่ายังไง ไหนผู้รู้มาตอบ @JaJJJ

                JaJJJ : @น้องมิ้วใสๆ เขาอาจจะมีชู้ก็ได้นะมึง #กิ๊กเป็นป้อจายยย  ถ้ากูเป็นพี่ญี่ปุ่นกูคงร้องไห้อ่ะ 5555 หรือเค้าจะเลิกกันไปแล้ว พี่ญี่ปุ่นเองก็ข่าวเงียบไปหลายเดือนล่ะนะ ไม่เห็นออกงานไรเลย

               GuKik : คือเค้าจะเดินกะใครก็ไม่ควรเสือกป่ะวะ เป็นพี่น้องกันก็ได้รึเปล่า เป็นเพื่อนกันก็ได้  ทำไมชอบคิดไปเอง #ประเทศไทยทำไรใครก็เสือก

               Golden Flower : เอาแล่ววว ติ่งออกมาดิ้นแล้ววว  ผู้ชายเขาไม่โอบเอวกันนะคะลูกกก พี่เดือนที่พวกหนูบูชาเขาอนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกันไปแล้วค่ะลูกขา

              ปุ้กกี้ ขี่พะยูน : สงสัยป่านนี้พี่เดือนกับหนุ่มคนนั้นคงรวยไปละ 5555555  #ขุดทอง

              เดือนกดปิดหน้าจอทันทีก่อนจะโยนไอแพดลงบนเตียงเป็นเวลาเดียวกับที่ดินเดินเข้าห้องมาพอดี ชายหนุ่มมองสีหน้าไม่สบายใจของคนรักแล้วก็เอียงคออย่างงุนงง “เป็นอะไรครับ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

              เดือนไม่ตอบแต่กลับลากคนตัวเล็กเข้ามากอดแน่น  คลอเคลียจมูกที่ไหล่มน  ดินมองท่าทางที่เหมือนกำลังออดอ้อนนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าอีกคนกำลังมีเรื่องไม่สบายใจมาก มือเรียวลูบเรือนผมสีอ่อนเบาๆ ส่งยิ้งให้กำลังใจ “มีอะไรหรือเปล่า บอกดินได้นะ”

               เดือนดึงมือคนตัวเล็กมาแนบแก้ม กดจูบที่กลางฝ่ามือ

               คอมเม้นท์พวกนั้น เขาไม่คิดอะไรมากหรอก แต่เขาไม่อยากให้คนพวกนั้นมาพูดถึงดินเสียๆหายๆ คนพวกนั้นไม่รู้จักดิน ไม่รู้ว่าน้องต้องเจออะไรมาบ้าง พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะได้อยู่ด้วยกัน...

               “วันนี้มีคนแอบถ่ายรูปเราตอนเดินห้างด้วยกันแล้วเอาไปโพสลงเฟส แล้วมันก็มีคนแชร์ต่อเยอะมาก” เดือนพูดช้าๆ มองสีหน้าตกใจของคนรักแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ดินรีบพูดขึ้นมาว่า “แล้วเขาว่าอะไรพี่เดือนหรือเปล่า”

               ดูคนเราเถอะ  ยังห่วงแต่คนอื่น  แต่จุดนี้แหละที่เดือนชอบมากที่สุด

              เพราะแบบนี้แหละเขาถึงได้รักได้หลงเด็กคนนี้มากขึ้นทุกวัน

              “มันก็ต้องมีบ้าง แต่พี่ห่วงดิน  ถ้าเจอกระทู้พวกนี้ไม่ต้องเข้าไปอ่านนะ เสียเวลา คอมเม้นท์ก็ไม่ต้องอ่าน ไม่สร้างสรรค์หรอก”

            “ครับๆ” ดินรับคำ แต่ดวงตาสีอ่อนก็ยังสื่อถึงความกังวลจนเขาต้องเอนกายลงนอนแล้วซุกเข้าหาอกคนตัวสูง “แต่ดินไม่เป็นไรหรอกพี่เดือน  ดินรู้ว่าพี่เป็นยังไง ดินรู้ว่าเราผ่านอะไรมา ครอบครัวเราก็เข้าใจ ไม่ต้องไปสนใจคนอื่นหรอกครับ” ฝ่ามือเรียวลูบแผ่วเบาที่แก้มสาก “สนใจแค่คนที่รู้จักเราจริงๆก็พอ”

             สำหรับดินแล้วโลกใบนี้มันกว้าง คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมีตั้งมากมาย เขาไม่อาจใส่ใจคนเหล่านั้นได้หมด หากเอาแต่คิดมากก็คงเสียเวลาชีวิตน่าดู แต่กับเดือน...ดินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำได้ไหม ยังไงหน้าที่การงานเขาก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของคนทั่วไปด้วย

            คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ โลกเราสมัยนี้นี่ยังไง ไม่รู้จักกัน ฟังแต่คนอื่นเขาเล่ามาก็พาลเกลียดกันได้แล้ว แปลกจริงๆ
เช้าวันต่อมาเดือนก็ได้รับโทรศัพท์แต่เช้า พอเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาชายหนุ่มก็ได้แต่สบถออกมาอย่างหัวเสียเพราะเป็นผู้จัดการส่วนตัวโทรเข้ามา  น่าจะเป็นเพราะภาพเมื่อวาน  ดินมองอีกฝ่ายจูบลาเขาแบบรีบๆก่อนจะรีบขับรถออกไปก็ทำได้แค่ภาวนาไม่ให้คนตัวโตรีบร้อนจนไปเสยท้ายใครเขา

             วันนี้คุณแม่แก้วออกไปเที่ยวกับเพื่อน ส่วนสองแฝดก็ไปโรงเรียน คุณกฤตกับคุณผึ้งก็ไปทำงาน ทั้งบ้านจึงเหลือแค่ดิน  ชายหนุ่มมองบ้านที่เงียบลงจนน่าใจหายแล้วก็ตัดสินใจลงมาเดินรดน้ำต้นไม้ข้างล่างดีกว่านอนอุดอู้อยู่บนบ้าน

             กิ๊งก่อง

            เสียงกริ่งประตูดึงความสนใจของคนตัวเล็กจากต้นมะลิซ้อนตรงหน้า ดินปิดน้ำแล้วเดินไปที่หน้าประตูรั้วก็พบชายคนหนึ่ง อายุน่าจะราวๆห้าสิบได้แล้ว แต่ยังดูแข็งแรงดี  อีกฝ่ายสวมสูทสีดำ ดวงตาคมมีประกายน่าเกรงขาม  ดินรีบยิ้มให้อีก

            “สวัสดีครับ มาหาใครครับ”

             ดวงตาคู่นั้นกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาพิจารณาแบบที่ดินไม่ชอบ มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็นสิ่งของที่ถูกตีราคาเรียบร้อย
   
             “เธอคือปฐพีใช่ไหม” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยเรียกชื่อเขา  ดินขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ไว้ใจอีกฝ่าย  เขาไม่รู้จักคนคนนี้ ไม่เคยพบมาก่อน แล้วทำไมอีกฝ่ายรู้ชื่อเขา!?
   
              “คุณเป็นใครครับ”
   
              “ใจคอจะไม่เชิญฉันเข้าไปในบ้านหน่อยหรือไง”
   
               “ผมไม่ใช่เจ้าของบ้านนี้ เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาคงไม่เหมาะครับ ยังไงเราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า ตรงหัวมุมมีร้านกาแฟพอดี”
   
               ดินตอบกลับ  เขารีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ลางสังหรณ์แปลกๆและความรู้สึกไม่ชอบใจในตัวชายคนนี้เพิ่มขึ้นทุกขณะ  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าเงินพร้อมกุญแจบ้านมา ก่อนออกจากบ้านก็เขียนโน้ตแปะเอาไว้ในบ้านเพราะเขารู้ว่าแม่แก้วซ่อนกุญแจสำรองไว้
   
                ร่างโปร่งเปิดออกจากบ้านแล้วเดินนำทางอีกคนไปที่ร้านกาแฟตรงปากซอยทันที 
   
               ภายในร้านเงียบและไม่มีลูกค้า มีเพียงพนักงานที่ยิ้มทักทายเขา  ดินเลือกนั่งตรงโต๊ะในสุดซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว พนักงานเดินมารับออเดอร์ ชายหนุ่มจึงสั่งลาเต้ไปแก้วหนึ่ง “คุณจะสั่งอะไรด้วยไหมครับ”
   
                ชายสูงวัยตรงหน้าเขาเหยียดมุมปากออก ปรายตาไปรอบๆแล้วแค่นหัวเราะออกมา “ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบกินกาแฟถูกๆ”
   
               ดินถึงกับฉุนกึกขึ้นมาทันที พนักงานในร้านมองชายใส่สูทอย่างไม่ค่อยพอใจก่อนจะกระแทกเท้ากลับไปเป็นเหตุให้คนตรงข้ามเขาเอ่ยปากตำหนิ “มารยาทแย่”
   
             ตัวเองเริ่มก่อนไม่ใช่หรือไง!
   
              ดินรู้แล้วว่าทำไมเขาไม่ชอบคนคนนี้ เพราะอีกฝ่ายใช้สายตาเหยียดหยามมองทุกสิ่ง...เหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าของ
 โลกใบนี้และจะตีราคาสิ่งของทุกอย่างได้...ตัดสินทุกอย่างจากภายนอก

   “ฉันชื่อชินกร” ชายคนนั้นแนะนำตัว “ฉันเป็นคนรู้จักของเดือน”
   
         ดินร้องอ๋อพลางพยักหน้ารับ ถ้าเป็นคนรู้จักเดือนก็คงไม่แปลกที่จะรู้จักเขา

   “เธอกับเดือนคบหากันอยู่เหรอ” คำถามที่ทะลุกลางเป้าทำเอาดินไปต่อไม่ถูก ชายหนุ่มรวบรวมสติแล้วก็ตอบรับเสียงเบา

         “ใช่ครับ ก็ประมาณนั้น”
   
        “นานหรือยังล่ะ”
   
         “ก็ไม่นานหรอกครับ”
   
        “งั้นเหรอ” อีกแล้ว สายตาประเมินค่าแบบนั้นอีกแล้ว ดินขยับตัวอย่างอึดอัดบนเก้าอี้

         ชินกรเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใช้สายตาคมกริบกวาดมองทั่วร่างเขา “เธอรู้ไหมว่าเดือนเป็นคนมีอนาคต เขาจะโด่งดัง มีคนมากมายจับตาดูเขา  เธอเคยคิดไหมว่าวันหนึ่งจะมีคนพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเธอมากมาย”

          “ก็คิดครับ”

           “แล้วเธอคิดจะเลิกกับเขาไหม”

            “ไม่ครับ” ดินตอบเสียงแข็ง “ผมไม่มีวันเลิกกับพี่เดือน”

            มุมปากของชายตรงหน้าเหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่ดินกล้าพูดได้เต็มปากว่าเป็นรอยยิ้มดูถูก

             “ทำไมล่ะ เพราะเขารวย มีชื่อเสียง หรือยังไง”

             “เพราะผมรักพี่เดือนต่างหากครับ”

          เขาพยายามคุมเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาความใจร้อนเข้าสู้กับคนแบบนี้ในเมื่อนั่นคือสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ
“ความรัก...กับ...คนแบบพวกเธอเนี่ยนะ”

          “คนแบบพวกผม?”

          “อืม นั่นสินะ” ชินกรทำท่าครุ่นคิด “คนผิดเพศไง”

         ดินสูดลมหายใจลึก  เขาพยายามไม่โกรธ กดความรู้สึกอยากต่อยคนลงไปให้ลึกที่สุดแล้วก็คลี่ยิ้มเยือกเย็นออกมา
ประโยคถัดไปก็ทำให้รอยยิ้มเขาหายวับไปจากใบหน้า

           “เธอต้องการเท่าไหร่”

          “อะไรนะครับ?”

          “ฉันถามว่าทุกครั้งที่พวกเธอนอนด้วยกันน่ะ เดือนให้ค่าตัวเธอเท่าไหร่ ฉันจ่ายให้ได้เยอะกว่าเป็นสองเท่า  แค่เอาเงินแล้วก็ไสหัวไปจากเดือนซะ  เธอต้องการแค่นั้นนี่”

          ดินตัวชาวาบ  ความโกรธพุ่งขึ้นจนความอดทนในมโนสำนึกเกือบรั้งไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มขบริมฝีปากแน่น ใบหน้าหวานซีดเผือด

          ไม่มีอะไรแย่ยิ่งกว่าการที่ความรักของเขาถูกตีค่าให้กลายเป็นเพียงเศษเงิน และถูกมองว่าเป็นคนที่ขายร่างกายเพื่อเงินและเหนือสิ่งอื่นใดมันทำให้ดินนึกถึงแม่ของเขา...เขากลัวมาตลอดชีวิตว่าจะถูกตราหน้าว่าเหมือนแม่  ดินไม่อยากถูกมองว่าเป็นแบบนั้น...

            “ผมไม่ได้ขายตัว” ดินกระซิบเสียงต่ำ “แล้วคุณเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาดูถูกผมแบบนี้”

           “หึ ฉันเป็นใครเหรอ แย่จริง เดือนไม่เคยเล่าเรื่องฉันกับลูกให้เธอฟังเลยเหรอ” ใบหน้าเหี่ยวย่นแสร้งทำท่าประหลาดใจ “ทั้งๆที่ฉันเป็น ‘พ่อตา’ ของเขาแท้ๆ”

           ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลังกรอบแว่นเบิกกว้างขึ้น เห็นดังนั้นชินกรก็หยิบแฟ้มสีน้ำตาลออกมาจากระเป๋าถือ เทของที่อยู่ข้างในออกมา

          รูปถ่ายมากมายร่วงหล่นลงมา

          รูปถ่ายของเดือนกับผู้หญิงคนหนึ่งในอิริยาบถที่ดูใกล้ชิดประหนึ่งเป็นคนรักกัน

        ทั้งหอมแก้ม จูงมือ กอด จูบ...

         จนมาถึงรูปสุดท้าย ดินหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดูด้วยมือสั่นเทา รูปของหญิงสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มในชุดเสื้อกล้าม ที่เปิดให้เห็นท้องอันป่องนูนของเจ้าตัว

          ไม่จริง...นี่คงไม่ใช่

           “นี่คือญี่ปุ่น ลูกสาวฉัน... ’คนรัก’ ของเดือน  และเดือนก็เป็นพ่อของเด็กในท้องคนนั้น”

          “ไม่จริง”

           “เขาทำลูกสาวฉันท้อง”

           ชินกรพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา อัดคำพูดร้ายกาจกระแทกเข้ากลางใจดิน

           “เธอคิดว่าทำไมเขาถึงได้กลับไปบ้านนาของเธอหลังจากที่ไม่ยอมเฉียดกรายไปเลยตลอดหลายปีล่ะ เพราะเขาต้องการหนีนักข่าวนะสิ...ที่เรื่องมันยังไม่แดงเพราะลูกสาวฉันยังรอ...ว่าไอ้หมอนี่จะกลับมารับผิดชอบแต่ก็เปล่า แต่เธอรู้ไหมว่านี่ใกล้กำหนดคลอดเข้าไปทุกที และเด็กคนนี้ต้องการพ่อ” ชินกรโน้มกายเข้ามากระซิบ “ฉันว่าเด็กกำพร้าแบบเธอน่าจะเข้าใจนะ ความรู้สึกของการไม่มีพ่อไม่มีแม่น่ะ”

              ไม่จริง...เขาไม่เชื่อ...พี่เดือนไม่ใช่คนแบบนั้น

              ดินกำมือแน่น ไม่โต้ตอบอะไร ชินกรเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ใจ

              “รู้แล้วก็เลิกกับเดือนซะ...ก่อนที่เธอจะกลายเป็นเมียน้อยชาวบ้านเขาไม่รู้ตัว รู้ไหมว่าคนแบบนี้มันอยู่ในสังคมลำบากนะ ใครๆเขาก็รังเกียจ...โดยเฉพาะพวกชู้ที่เป็นพวกผิดเพศ” ดวงตาที่แฝงแววเหยียดนั่นทำให้ดินอยากจะหาอะไรมาแทงตาคนตรงหน้านัก

              แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งอยู่ตรงหน้าจนชินกรเดินกลับออกไป

              ดินเดินกลับมาบ้านได้ยังไงก็ไม่รู้ เขาเจอคนรักนั่งหมดแรงอยู่บนโซฟา  ดวงตาคมปรือเปิดมองเขาก่อนจะยิ้มให้  กางแขนออก ดินเดินไปทิ้งตัวใส่วงแขนนั้นอย่างง่ายดาย กอดแน่นจนเดือนต้องพูดว่าหายใจไม่ออก แต่เขาก็ไม่ได้คลายอ้อมกอดลง
ใจไม่ดีเลย...

              ดินไม่เชื่อหรอกว่าเดือนทำผู้หญิงคนนั้นท้อง...ดินไม่เชื่อ  เขามีพลังพิเศษ เห็นอะไรมาก็มาก เขารู้ดีว่าถ้าไม่ได้คู่กันด้ายแดงจะไม่มีวันเชื่อมเข้าหากัน

              แต่เวลานี้เขาไม่สบายใจเลย

             “พี่เดือน” ดินกระซิบระหว่างที่นั่งอยู่บนตัก ซุกซบกันเงียบๆ ต่างคนต่างมีอะไรในใจ “พี่มีอะไรจะบอกดินไหม”

              “หืม? เรื่องอะไร?”

              “ก็...อย่างเรื่องคนรักเก่าของพี่”

              ดินสบตาร่างสูงด้วยสายตาจริงจัง เขาเห็นแววความหวั่นไหวฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้น ทำให้ความไม่สบายใจแผ่กระจายมากกว่าเดิม กัดกินหัวใจเขาอย่างเชื่องช้า

              “น้องไปรู้อะไรมา” เดือนถามเสียงเข้มจนคนตัวเล็กสะดุ้ง “เปล่า” ดินตัดสินใจพูดปด “แค่ไปอ่านคอมเม้นท์แล้วเจอชื่อนี้มา....”

             “น้องเข้าไปอ่านทำไม พี่บอกแล้วแท้ๆว่าอย่าอ่านๆ”

             “ดินขอโทษ”

             “ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่แฟนเก่าน่ะ เลิกกันไปตั้งนานแล้ว อย่าคิดมากสิเด็กดี”

              ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงบนหน้าผาก ดินซุกหน้าเข้ากับไหล่คนตัวสูง  นึกอยากใช้พลังจับด้ายแดงสืบความรักในอดีตของเดือน แต่อีกใจก็ไม่อยาก...มันกระซิบว่าเขาควรเชื่อใจเดือน

             “อย่าคิดมาก อย่าอ่านอะไรพวกนั้น พี่มีดินแค่คนเดียวนะครับ”

             ดินกอดรัดร่างตรงหน้าแน่นขึ้นและอ้อมกอดของเดือนก็กระชับแน่นขึ้นเช่นกัน 

              “ดินรู้...ดินรักพี่นะ”

            “พี่ก็รักดินนะ”

             ชายหนุ่มหลับตาลง ปิดซ่อนความกังวลและความน้อยใจเอาไว้

           ทำไมป่านนี้พี่ยังไม่ยอมบอกความจริงกับดินอีกครับ...พี่เดือน

*******************************************

สวัสดีค่าาาา กลับมาอัพแล้วค่า (>w<)/)
ตอนนี้เปิดตัวแม่แก้วที่ทุกคนต่างบูชา(?) 5555 คุณแม่เด็ดจริงค่ะ รักแม่แก้วเลย
นอกจากนี้ยังเปิดปมของพี่เดือนที่ทุกคนสงสัยและรอคอย
มีคนอ่านบอกว่าไม่ใช่ว่านางไปจดทะเบียนกับสาวไว้หรอกนะ เป็นอันว่าไม่ใช่นะคะ 5555
คุณ BlueCherries บอกว่าขอไวไวชามนึงพอ เราเลยจัดรสต้มยำให้ค่ะ แซ่บถึงใจ
เปิดปมมาแล้ว ตอนนี้แค่เริ่มต้น ทุกคนเอาใจช่วยพี่เดือนและน้องดินกันด้วยน้าาา  :katai1:
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: *-*คาเมะ*-* ที่ 19-03-2016 20:57:29
แต่งได้ดี ชอบมาก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-03-2016 20:57:54
อูย แซ่บจริง

ขนาด พ่อตา(?) ออกโรงถึงขั้นนี้แล้ว ตกลงเดือนเลิกกับญปจริงๆรึ??

(ในคอมเมนท์นี่พวกต่อต้าน/ผิดหลังในตัวเดือนสินะ อิหอยหลอด!!!!!@#@#$)
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-03-2016 22:03:07
ไม่ดีเลยนะพี่เดือน ยิ่งพาตัวเองพาน้องมากรุงเทพฯ ที่ที่เคยหนีปัญหาไปด้วยแล้ว
พอน้องถาม(แปลว่าน้องระแคะระคาย) ก็ยังไม่ยอมพูดอีก
พี่เดือนสมควรได้บทเรียนนะ ว่า คนรักกันมีอะไรต้องคุยกัน โดยเฉพาะคนที่วางไว้เป็นคู่ชีวิตไม่ว่ายังไงก็ไม่ควรเก็บเรื่องแบบนี้ไว้คนเดียว
สงสารน้องดินนะ คงสับสนสุดๆ นอกจากต้องเจอคนที่อ้างว่าเป็นพ่อตาของพี่เดือนแล้ว ยังถูกโจมตีเรื่องพี่เดือนทำลูกสาวเขาท้องอีก
สงสัยอยู่นิดหน่อยว่าเรื่องนี้อาจจะซับซ้อนกว่าที่คิด เพราะไม่อย่างนั้นทำไมพี่เดือนต้องหนีหน้าจากวงการด้วย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-03-2016 22:13:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-03-2016 22:21:16
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 20-03-2016 02:30:37
ท้อง?????????
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๑ ความจริงที่ตอกย้ำ {๑๙.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 20-03-2016 10:26:41
 :ling3: :ling3: :ling3: บีบคั้นเหลือเกินนนน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๒ ปัญหาจากคนรักเก่า {๒๐.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 20-03-2016 21:25:51
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๒๒
ปัญหาจากคนรักเก่า




        วันต่อมาข่าวเดือนกับดินก็แพร่กระจายไปไวเหมือนไฟลามทุ่ง  สื่อบันเทิงหลายช่องต้องการให้เดือนไปออกรายการที่เกี่ยวกับเรื่องซุบซิบของดาราแต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธไปทุกราย
   
         แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับการที่พ่อกับแม่ของเขาเห็นข่าวนี้บนเฟซบุ๊คและแม่มะลิก็รู้สึกไม่สบายใจจนต้องมาขอค้างที่แม่แก้วด้วย บ้านไม้หลังเล็กจึงคึกคักแทบระเบิด
   
        “ไอ้เดือน  พี่กุ๊กเขามาขอให้กูช่วยพูดกล่อมให้มึงไปออกรายการสักที”  เสียงห้าวของอารัณย์ดังมาก่อนตัว ก่อนร่างสูงของช่างภาพหนุ่มจะเดินขึ้นบ้านมาตามด้วยฝน  ดินเงยหน้าจากกระดาษกับสีไม้ที่ให้หลานๆเอาไปวาดรูปเล่น เขาหรี่ตามองฝนแวบหนึ่ง   ก่อนจะพยายามทำใจให้ว่าง ไม่คิดอะไร จะได้ไม่โดนอีกฝ่ายล้วงความลับ 
   
         ถึงพักหลังฝนจะติดสอยห้อยตามมาบ้านแม่แก้วบ่อยขึ้นแต่พวกเขาก็ไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่คำเดียว  ประสบการณ์ครั้งล่าสุดระหว่างเขากับฝนที่ทะเลมันจบลงไม่สวยนักและดินก็ไม่อยากเป็นฝ่ายเดินเข้าไปให้ถูกหาเรื่องอีก
แต่วันนี้ชายหนุ่มกลับต้องตกตะลึงเมื่อฝนยิ้มกว้างให้เขาเหมือนคนสนิทสนมกันมานานแล้วปรี่มากอดคอเขา
   
        “เป็นไงบ้างดิน  ฮ่าๆ นายดังกว่าฉันแล้วนะนี่” น้ำเสียงหยอกเย้าไม่ได้ทำให้ดินรู้สึกสบายใจหรือตลกไปกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขากลับหงุดหงิดกว่าเดิม  ร่างเล็กพยายามปลดมือฝนออกแต่อีกฝ่ายกลับบีบไหล่เขาไว้แน่น  ดินเห็นดวงตากลมโตหรี่ลงชั่วครู่ก็รู้ว่าตนพลาดเสียแล้ว
   
          พลังของฝนนอกจากการอ่านใจแล้วยังสามารถเห็นเรื่องราวในอดีตได้โดยการสัมผัส
   
          เจ้าของเรือนผมนุ่มที่ย้อมเป็นสีชมพูครางออกมาเบาๆ พึมพำให้ตนกับดินได้ยินกันแค่สองคน “ตาแก่นั่นโทรหานายเหรอ”
   
           ตาแก่นั่น?
   
         “คุณชินกรเหรอครับ”
   
         “ใช่”
   
         ฝนตบไหล่ดินก่อนจะลากอีกฝ่ายเข้าไปในครับ ทำทีว่าอยากให้ดินหาอะไรเย็นๆให้กิน  ทันทีที่เข้ามาถึงครัวฝนก็รีบกระซิบบอกคนผมดำอย่างร้อนใจ
   
         “อะไรก็ตามที่ตาแก่นั่นพูด นายห้ามเชื่อ”  ดินเลิกคิ้ว  ใจหนึ่งก็ดีใจที่ฝนพูดแบบนั้นเพราะมันเป็นการยืนยันว่าพี่ดินไม่ได้ทำลูกสาวชินกรท้อง  แต่อีกใจก็สงสัย  นายแบบร่างเพรียวตรงหน้าจะมาไม้ไหนกันแน่
   
          “ทำไม?”
   
          “แล้วนายคิดว่าคนอย่างเดือนทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบหรือไง”
   
           พอถูกสวนมาแบบนั้นดินก็รีบสะบัดศีรษะ “ไม่เชื่ออยู่แล้ว” 
   
           “ใช่ เพราะเขาไม่ได้ทำ”
   
          พอได้ยินคำพูดนั้น ร่างโปร่งก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ความน้อยใจก็ไม่ได้หายไปไหน เขายังโกรธอีกฝ่ายอยู่นั่นแหละที่ไม่ยอมบอกความจริงเรื่องนี้ แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาติดใจมากกว่าก็คือทำไมจู่ๆฝนถึงได้มาทำดีกับเขา
   
         “เพราะฉันอยากชดเชยไงล่ะ” ฝนตอบสิ่งที่ดินคิดอยู่ในใจ  ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้ง ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดเพราะรู้สึกเหมือนโดนละเมิดความเป็นส่วนตัวอีกแล้ว  แต่ฝนกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ฉันควบคุมไม่ได้นี่ว่าจะได้ยินเสียงใคร ทำแบบนั้นมันเปลืองพลังงานจะตาย  สมองฉันก็เหมือนวิทยุนั่นแหละ  จูนคลื่นติดกับใครก็จะได้ยินเสียงคนนั้น”
   
         “งั้นคุณจะบอกว่าตอนนี้คุณจูนกับผมอยู่หรือไง”
   
        “อะไรทำนองนั้น อีกอย่างนายก็คิดดังจะตาย วันหลังไม่อยากโดนแอบอ่านความคิดก็คิดให้มันเบาๆหน่อยสิ”
   
         ดินถลึงตาใส่ฝนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ 
   
         ใครที่ไหนจะไปหัดควบคุมความคิดตัวเองให้หนักให้เบาได้!
   
         “นั่นแหละ ฉันทำไม่ดีกับนายที่ทะเล ตอนนี้ฉันก็เลยหาทางช่วยนายเพื่อจะได้หายกันไปไง แล้วอีกอย่าง...บางทีนายอาจจะยอมบอกฉันก็ได้ว่าด้ายแดงของพี่รันเชื่อมอยู่กับใคร” ฝนพูด เขาไม่ได้อยากจะให้ดินตัดด้ายแดงหรือผูกด้ายแดงระหว่างพวกเขาอีกแล้ว  ชายหนุ่มแค่คิดขึ้นมาได้...ว่าเขาแค่อยากอยู่ข้างๆอารัณย์แล้วก็ทำให้อีกฝ่ายมีความสุข หากอยากได้รักก็ควรพยายามด้วยตัวเอง
   
          “เพราะงั้นนายก็เชื่อฉันสักนิดเถอะ ฉันกับพี่รันหาทางช่วยพี่เดือนอยู่  ทางนั้นไม่ได้ขู่นายเล่นๆนะ  อีกฝ่ายเอาจริงแน่ และวิธีมันต้องรุนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย  ตาแก่ชินกรไม่ยอมให้เจ้าหญิงสุดที่รักท้องไม่มีพ่อหรอก”  ฝนเบ้หน้า  เคาะนิ้วลงกับขอบอ่างล้างจาน
   
          “แล้วคุณมีวิธียังไง”
   
          “ตอนนี้ต้องเคลียร์เรื่องนายก่อน” ฝนพูด “ต้องให้คุณเดือนออกไปพูดกับสื่อว่าไม่ได้เป็นอะไรกับนาย  พอทุกคนคลายใจว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน  ตอนนั้นถ้าทางญี่ปุ่นมีข่าวอะไรออกมามันจะได้ไม่วุ่นวายไปมากกว่านี้”
   
          “หมายความว่า...”
   
          ดวงตากลมโตมองดินอย่างจริงจัง พร้อมกับเอ่ยย้ำชัด
   
          “ตอนนี้ฉันอยากให้พี่เดือนกับนายออกไปแก้ข่าว...ว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน”


   ปัง
   
        ฝ่ามือใหญ่ทุบโต๊ะเสียงดังจนคนรอบข้างสะดุ้ง  เดือนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดจ้องวสันต์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พูดเสียงเข้ม “ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วย!”

   คนผมชมพูยังคงจิบน้ำหวานจากแก้วใสด้วยสีหน้าไม่แสดงความรู้สึก  ดวงตากลมเหลือบมองเดือนแวบหนึ่งก่อนพูดขึ้น “ไม่ได้ให้ไปตอบปฏิเสธโต้งๆ แค่ให้ไปพูดแบบกำกวมๆน่ะ  ตอบอะไรก็ได้ที่มันตีความได้สองแง่น่ะ เข้าใจไหม ปัญหาจะได้หมดไปสักที”

   “นี่ปัญหาผมกับดิน”  เดือนสวนกลับ ตวัดดวงตาดุๆไปมองอารัณย์อย่างคาดโทษทำนองว่าเด็กมึงมาเสือกทำไม!

   หนุ่มผมยาวถอนหายใจ แต่ยังไม่ทันได้ปรามน้องชายอดีตคนรัก เสียงนุ่มของดินก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

   “แต่ครั้งนี้ดินเห็นด้วยกับคุณฝนนะครับ”

   “ดิน!?”    

   เดือนหันไปมองหน้าคนรักด้วยแววตาเจ็บปวดระคนงุนงง  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสีหน้าเรียบเฉย  ดินสบตาเขา วางมือลงบนแขนแกร่งเป็นสัญญาณให้ใจเย็น ก่อนจะค่อยๆอธิบายเหตุผล

   “ดินไม่อยากให้มันยุ่งยากมากไปกว่านี้”

   “พี่ไม่เคยเห็นมันเป็นเรื่องยุ่งยาก! ทำไมน้องถึงเลือกทางที่มันต้องหลบๆซ่อนๆด้วย ในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้อง
ปฏิเสธว่าไม่ได้รักกัน”

   เดือนมองคนที่เป็นทั้งน้องชายและคนรักด้วยแววตาตัดพ้อ เขาไม่เข้าใจ เหมือนกับว่าดินรู้บางอย่างที่เขาไม่รู้   สิ่งที่สะกิดใจเขาคือลึกลงไปในดวงตาหลังเลนส์ใส คือความน้อยใจและความเสียใจ  หัวใจคนเป็นพี่แกว่งวูบ  หรือดินจะไปรู้อะไรมา?

   “เชื่อน้องเถอะเดือน ให้ข่าวมันเงียบลงกว่านี้อีกนิด...ให้อะไรๆมันเรียบร้อย”

   อารัณย์พูดขึ้น ประโยคนั้นแฝงแววเตือนสติและความนัยทำให้เดือนฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ ปัญหาของเขากับญี่ปุ่นยังไม่จบ เรื่องที่อีกฝ่ายท้อง...ถ้าเขาเปิดเผยเรื่องดินออกไปแล้วญี่ปุ่นดันแถลงเรื่องที่ตนท้องขึ้นมาเพื่อใช้สื่อเป็นข้ออ้างในการบีบให้ตนยินยอมเป็นพ่อเด็กล่ะก็ คนที่ลำบากที่สุดคือดิน

   น้องจะติดร่างแหในฐานะ ‘ชู้’ ไปโดยไม่รู้ตัว

   เขายอมไม่ได้เด็ดขาด  หากสื่อหรือคนทั้งประเทศจะด่าเขา เดือนก็ไม่ได้แคร์ เพราะเขาเชื่อความจริงมันจะปรากฏออกมาในสักวัน แต่หากคนรัก ครอบครัว หรือเพื่อนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ต้องโดนด่าไปด้วย เขายอมไม่ได้จริงๆ!

   วสันต์ลอบยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินความคิดของเดือน ชายหนุ่มหันไปสบตากับดินแล้วพยักหน้าเล็กน้อย

   “ก็ได้ครับ...ผมตกลง” เดือนจำใจพูดออกมา ทำไมทุกคนโล่งอกว่าในที่สุดข่าวที่ไม่เป็นผลดีพวกนี้จะถูกหยุดการวิพากษ์วิจารณ์เสียที

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูโทรหาพี่กุ๊กให้” อารัณย์รีบพูดแล้วต่อสายหาผู้จัดการคนเก่งของเดือนทันที 

   ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถเบนซ์คันงามก็จอดหน้าบ้านของคุณนายกิ่งแก้ว ก่อนหญิงสาวท่าทางปราดเปรียวและจริงจังจะก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น

   หญิงสาวยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของบ้านก่อนหันไปรับไหว้บรรดาคนอายุน้อยกว่า “สวัสดีค่ะ ฉันกุ๊กค่ะ  เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเดือน” เธอแนะนำตัวด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ

   กุ๊กไก่เป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง ผิวขาว เส้นผมที่ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลอมแดงตัดสั้นประบ่า  ดวงตาคมเฉี่ยว หางตาชี้ขึ้นดูคล้ายตาแมว ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความฉลาดและความจริงจัง  หล่อนเป็นผู้จัดการให้เดือนมาตั้งแต่เด็กหนุ่มเริ่มเข้าวงการใหม่ๆ พูดได้เต็มปากว่าเป็นทั้งที่ปรึกษาและคนดูแลชีวิตประจำวันของเขา  เด็กคนนี้เป็นคนที่หล่อนทั้งผลักทั้งดันให้ก้าวหน้า ด้วยถูกชะตาและต้องการให้อีกคนมีอนาคตที่ดี การงานของเดือนกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นสุดขีด กำลังจะมีโปรเจคต์ถ่ายแบบที่อิตาลี เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงในระยะนี้  แต่ทุกอย่างก็ร่วงดิ่งลงเหวภายในชั่วข้ามคืนด้วยคำพูดประโยคเดียวของอดีตแฟนสาวของเดือน ซึ่งเลิกรากันไปนานแล้ว

   ‘เดือน..เรา...ฮึก...ท้อง...ฮือ...เดือน...ญี่ปุ่นท้อง’

   ตอนนั้นกุ๊กจำได้ว่าตัวเธอที่นั่งอยู่ด้วยแทบเป็นลม  ความสับสนมันประดังประเดเข้ามาจนทำอะไรไม่ถูก  เดือนเองก็ตกใจมากเหมือนกัน  ทางบอสใหญ่ต้นสังกัดก็แทบจะเส้นเลือดในสมองแตกตาย เมื่อจู่ๆนายแบบดังที่กำลังรุ่งกลับตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำผู้หญิงท้อง  ตอนแรกหญิงสาวเองก็คิดว่าเดือนเป็นพ่อเด็ก เพราะชายหนุ่มเป็นแฟนเก่าญี่ปุ่น  พูดตรงๆเลยว่าเดี๋ยวนี้การมีอะไรกันก่อนแต่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว  ดังนั้นหากเดือนไปมีอะไรหญิงสาวคนนั้นแล้วเกิดพลาดท้องขึ้นมาก็มีสิทธิ์เป็นไปได้

   แต่เดือนกลับปฏิเสธหนักแน่นว่าไม่ได้เป็นคนทำ

   ร้อยทั้งร้อยเมื่อผู้ชายเป็นฝ่ายพูดแบบนี้ ใครๆก็มักจะหาว่าจะฟันแล้วทิ้งบ้าง ไม่ยอมรับผิดชอบบ้าง

   แต่เธอรู้จักเด็กในความรับผิดชอบของเธอดี เดือนจริงจังกับหน้าที่การงานมากและวางตัวดีมาตลอด เขาต้องการหาเงินให้ได้เยอะๆเพื่อไปช่วยเหลือครอบครัว  ทำไมต้องทำอะไรที่ตัดอนาคตตัวเองแบบนี้ อีกอย่างข่าวของญี่ปุ่นที่กุ๊กได้ยินมา...ก็ไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งเสพยา ทั้งคู่ควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้า หากเป็นจริงก็เท่ากับว่าฝ่ายนั้นท้องแล้วไม่รู้จะหาคนมารับผิดชอบยังไงเลยวกกลับมาหาแฟนเก่าคนล่าสุด ซึ่งก็คือเดือน

       กุ๊กจึงเลือกที่จะเชื่อเดือน แม้ว่าข้อกล่าวหานี้จะดิ้นหลุดยากมากก็ตามที แต่หล่อนก็จะพยายามช่วยเขาให้ได้มากที่สุด 

       “เธอคือดินสินะ”  ดวงตาคมมองชายหนุ่มร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่ใกล้กับเดือน

       สวย...

        คงเป็นนิยามเดียวที่กุ๊กให้ผู้ชายคนนี้ได้ในตอนนี้

        เป็นคนที่ดูไม่ได้สะดุดตาอะไรในทีแรก หากแต่พอมองสำรวจให้ดีๆกลับพบว่ามีหลายสิ่งที่น่าดึงดูดใจ ทั้งรูปร่างที่ไม่เตี้ยไม่สูงจนเกินไป ผิวขาว และใบหน้าที่หวานเหมือนผู้หญิง หากมองแยกกันแล้วก็ไม่มีอะไรแปลก แต่เมื่อมันมารวมกันที่ผู้ชายคนนี้...กลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด

       “ครับ” เด็กคนนั้นตอบรับเบาๆ ก่อนก้มหน้าลงด้วยความขัดเขิน คงไม่ค่อยชินกับคนแปลกหน้า  หญิงสาวจึงส่งยิ้มให้ก่อนจะเลื่อนไปมองมือที่เกาะกุมกันอยู่ของทั้งคู่แล้วก็ถอนหายใจออกมา

       ความสัมพันธ์นี่เป็นของจริงสินะ

      “เดือน ระหว่างเรากับคุณดินเป็นยังไง” เธอยิงคำถามเข้าเป้าแบบไม่รอช้า พอถามออกไปรอบด้านก็เงียบกริบ ทุกคนดูลุ้นกับคำตอบที่จะออกมาจากชายหนุ่มมากทีเดียว

       “ก็...เป็นคนรักกันครับ”

        สิ้นคำชายหนุ่มผมดำก็ก้มหน้างุด  แก้มใสแดงเรื่อลามไปถึงใบหู เดือนที่เห็นคนรักอายม้วนก็หัวเราะในลำคอแล้วรวบร่างนั้นเข้ามาใกล้ พอมานั่งคู่กันอย่างนี้เธอก็สังเกตว่าคนที่ดูตัวสูงโปร่งอย่างดินก็กลายเป็นคนตัวเล็กที่แทบจะจมหายไปในอ้อมกอดหมีๆของเดือน 

        หญิงสาวคิ้วกระตุกเมื่อเห็นปลายจมูกโด่งกดเข้าที่ขมับคนร่างบางที่พยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดนั้น  กุ๊กกระแอมขึ้นมาเบาๆก่อนหันไปหาบรรดาผู้ใหญ่ที่มีสีหน้าแปลกๆ “แล้วพวกคุณทั้งหมดทราบเรื่องนี้ใช่ไหมคะ”

        “ใช่ครับ”  ฝรั่งตัวสูงที่น่าจะเป็นบิดาของเดือนตอบ ถึงจะทำงานด้วยกันมานานแต่หล่อนก็ไม่เคยเจอพ่อแม่แท้ๆของชายหนุ่มเลย นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน 

         ดวงตาคมย้ายไปมองคนคุ้นหน้าอีกสองคนก่อนเอ่ยถาม “น้องรันกับน้องฝนด้วย?” ทั้งคู่พยักหน้า  เมื่อได้ข้อมูลที่พอใจหญิงสาวก็เริ่มคำนวณปัญหาและผลลัพธ์จากการไปออกสื่อครั้งนี้ 

        “กุ๊กจะให้เดือนไปให้สัมภาษณ์แค่คนเดียวนะคะ เพราะถ้าน้องดินไปด้วยโอกาสโดนนักข่าวโจมตีจะมีมากขึ้น” ดินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ  หญิงสาวจึงเอ่ยต่อ “ส่วนเดือน เวลาตอบคำถามถ้าคำถามไหนไม่อยากตอบก็บอกว่าไม่ต้องตอบ ขอเลี่ยงไป ตอบอะไรที่มันรักษาทั้งชื่อเสียงเราและชื่อเสียงดิน เข้าใจไหม”

         “ครับ”

         พอเห็นใบหน้าหล่อที่แสดงความไม่พอใจนั่นแล้วเธอก็ได้แต่ถอนหายใจ 

         “ใจจริงถ้าให้พวกเธอเปิดตัวกันได้ก็อยากทำนะ แต่นี่ดันมีเรื่องญี่ปุ่นเข้ามาก่อน  ถ้าทางนู้นแถลงข่าวโจมตีเรามามันจะเป็นปัญหาใหญ่ ยิ่งตอนนี้ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ด้วย”  หญิงสาวเอ่ยอย่างกังวล พลันสายตาเหลือบไปเห็นอารัณย์ที่นั่งกุมขมับกับฝนที่พยายามส่งสัญญาณเป็นเครื่องหมายกากบาทมาให้ก็ชะงัก  สมองอันปราดเปรื่องประมวลผลเพียงครู่เดียวก็วิเคราะห์ความน่าจะเป็นออกมา

         “นี่อย่าบอกนะ...ว่ายังไม่ได้บอกคนอื่น?” น้ำเสียงสูงปรี๊ดที่ท้ายประโยคทำเอาเดือนอยากฆ่าตัวตายนัก  ท่าทางโกรธของพี่กุ๊กนี่กี่ปีก็น่ากลัวเหมือนเดิม 

         “เดือน...บอกอะไรลูก แล้วญี่ปุ่นนี่ใครกัน”  คุณมะลิมองท่าทางของลูกชายกับผู้จัดการด้วยความสงสัย ส่วนดินก็หลุบตาลงต่ำ เม้มปากแน่น

         “ญี่ปุ่น...ใช่ดาราที่เคยเป็นข่าวกับเดือนหรือเปล่า  พี่จำได้ ที่บอกว่าคบกันอยู่ประมาณสามสี่เดือนน่ะ” ผึ้งเอ่ยขึ้น จำได้ว่าน้องเขยเคยพูดชื่อนี้ให้ฟังสองสามครั้ง

          “ครับ” ดินที่ได้ยินเสียงตอบนั่นก็เม้มริมฝีปากแน่นขึ้น  เคยคบกันจริงๆด้วยสินะ  แล้ว...แล้วเคยมีอะไรกันหรือเปล่าพี่เดือนเคยรักผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหนกัน

         ดินไม่ได้หึงหวง เขาแค่รู้สึกแปลกๆยามคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเคยได้รับสิ่งที่เขาได้รับ ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งจูบ เขาไม่ใช่คนแรกที่พี่เดือนหลงรัก มันให้ความรู้สึกแปลกๆ จะบอกว่าเป็นความคิดมากส่วนตัวก็คงใช่ แค่คิดว่าเดือนเคยไปกอดใครแบบที่กอดเขา มันก็เจ็บหนึบไปทั้งใจแล้ว

        แล้วตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นยังมีลูกอีก ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่ลูกเดือน แต่สังคมภายนอกไม่ได้มองแบบนั้นนี่...ถ้าหาก...ถ้าหากพี่เดือนใจอ่อนแล้วยอมกลับไปรับผิดชอบเด็กคนนั้น  ตัวเขาก็ไม่ต้องถูกทิ้งอีกครั้งหรือ

        ความคิดมากมายวุ่นวายในสมองผสมปนเปกับความน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่บอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

        ทำไมไม่พูด ทำไมมีอะไรไม่บอก เขาไม่น่าเชื่อถืออย่างนั้นหรือ

        “งี่เง่าหรือเปล่าคะน้องเดือน!” เสียงตวาดแว้ดของคุณพี่ผู้จัดการทำเอาดินสะดุ้ง รีบเงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่าแฟนของตนถูกหญิงสาวบิดหูจนร้องโอดโอยขอชีวิตเสียงหลง “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ น้องคิดโง่ๆอะไรคะ เข้าใจว่ามันพูดยากแต่พี่ว่าคนในครอบครัวก็ควรต้องรู้นะคะ  รู้ความจริงจากปากน้องดีกว่าไปรู้ความจริงผิดๆจากคนอื่น แล้วคนรัก แล้วพ่อแม่น้องเขาจะได้เข้าใจแล้วช่วยแก้ปัญหาได้  อุบเงียบไว้คนเดียวไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอกนะ!”

        “เดือนแค่ไม่อยากให้พวกท่านกังวล”

        “ไม่ฉลาดก็อย่าคิดแทนคนอื่น” คุณนายกิ่งแก้วที่นอกจากจะไม่สงสารแล้วยังสมน้ำหน้าเจ้าลูกชายตัวดีอีกด้วย  หล่อนก็รู้เรื่องเหมือนกัน แต่ที่ไม่บอกน้องสาวเพราะเดือนขอไว้ ไอ้เราก็นึกว่าเคลียกันแล้วถึงได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ที่ไหนได้...มันน่าตีให้น่องลาย!

        “แล้วดินจะรู้สึกยังไงแกคิดบ้างไหม! น้องกับพ่อแม่จะกังวลมากกว่าหรือเปล่าที่มารู้เอาตอนมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ คิดสิคิด ฉันไม่ได้ให้แกกินปลาเกือบทุกวันเพื่อให้แกออกมาโง่แบบนี้นะเจ้าเดือน”

         ตอนนี้สถานการณ์เครียดแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าคุณนายแม่ด่าได้ชนะเลิศมาก ไอ้รันอยากจะมอบโล่คำด่าลูกดีเด่นพร้อมเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์

        “เดือน...มีอะไรจะบอกพ่อกับแม่หรือลูก”

       มะลิรีบปรามพี่สาวพลางหันไปสบตาลูกชายคนโต  เดือนมองคนเป็นแม่สลับกับพ่อแล้วย้ายสายตามามองดินที่ไม่สบตาเข้า  ชายหนุ่มถอนหายใจ เอาวะ จะยังไงก็ต้องบอกสักวัน  วันนี้ควรพูดความจริงได้แล้ว แต่จะเปิดเรื่องยังไงไม่ให้มันดูร้ายแรงมากแล้วก็ต้องกระชับและได้ใจความที่สุด

        “ที่เดือนกลับไปบ้าน...เพราะว่าเดือนหนีนักข่าวครับ” ชายหนุ่มเกริ่น  พยายามพูดให้ทุกอย่างดูไม่น่าวิตก “แฟนเก่าของเดือน...ญี่ปุ่น  เขามาบอกเดือนว่าท้อง แล้วก็บอกว่าเดือนเป็นพ่อเด็ก แต่เดือนไม่ได้ทำนะครับ ไม่ได้แตะต้องญี่ปุ่นไปมากกว่ากอดกับจูบเลย! ทางโน้นเขาต้องการหาคนมารับผิดชอบ  ญี่ปุ่นเองก็ยืนยันว่าเดือนทำ แต่เดือนไม่ได้ทำ! พ่อเขาไม่ยอม...ไปโวยวายกับบอส เดือนก็เลยขอพักงานแล้วก็กลับบ้าน คิดว่าจะรอจนถึงช่วงที่พิสูจน์ได้ ถ้าเดือนหายไปแบบไม่โผล่มา ญี่ปุ่นคงไม่กล้าแถลงกับสื่อ  แต่ว่าดันมีเรื่องเดือนกับน้องขึ้นมาก่อน...”

         “สรุปก็คือ...ผู้หญิงบอกว่าเดือนไปทำเขาท้อง และต้องการให้เดือนรับผิดชอบใช่ไหมลูก”

         คุณมะลิสรุปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ดวงตากลมโตทอดมองลูกชาย “ทำไมเดือนไม่บอกแม่...ไม่บอกพวกเรา”

        “เพราะ...ตอนนั้นเดือนไม่สนิทใจมากพอครับ” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบา “แล้วพออยู่ไปนานๆเดือนก็ไม่อยากพูด ไม่อยากให้พ่อกับแม่แล้วก็ดินเป็นห่วง  ที่พี่ไม่บอกดินเพราะว่าพี่กลัวดินจะเกลียดพี่  จะปฏิเสธไม่เข้าใกล้อีก  เดือนรู้ว่าพอมีเรื่องแบบนี้เดือนจะเป็นฝ่ายผิด ก็เลยไม่อยากบอกใครมาก เดือนไม่อยากมานั่งเถียงทุกคนที่รู้เรื่องว่าเดือนไม่ได้ทำ ไม่อยากถูกมองด้วยสายตาแปลกๆแล้วก็มีคนซุบซิบนินทา  เดือนไม่อยากถูกกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ได้ทำ เดือนขอโทษนะครับที่จงใจปกปิดเป็นความลับ”   

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๒ ปัญหาจากคนรักเก่า {๒๐.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 20-03-2016 21:43:34
       พอได้ฟังเหตุผล อารมณ์โกรธและน้อยใจก็เหมือนจะลดลงไปกว่าครึ่ง  ดินมีเรื่องอยากพูดกับเดือน แต่ตอนนี้คงไม่เหมาะ  ชายหนุ่มผมดำจมลงในห้วงความคิดตัวเองขณะที่นั่งฟังผู้จัดการและคนรอบข้างวางแผนจัดการปัญหาทุกอย่างต่อไป

        เมื่อถึงเวลาเข้านอนดินก็ปิดไฟขณะที่คนรักวางหนังสือที่อ่านค้างไว้ลงข้างเตียง  ทันทีที่ล้มตัวลงนอนร่างสูงก็รวบร่างเขาเข้าไปกอดไว้เหมือนเช่นทุกคืน  ลมหายใจผสมอุ่นรินรดพวงแก้มยามริมฝีปากได้รูปจูบลงมาเบาๆ

        “โกรธพี่ไหม” เดือนกระซิบถาม  ดินเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่นอนตะแคงมาให้ มันมืดจนแทบมองไม่เห็นแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความกังวลและคิดว่าคนตัวโตต้องทำหน้าเครียดอยู่แน่ๆ

        “ไม่โกรธครับ แค่น้อยใจ” ชายหนุ่มตอบไปตามความจริง “ดินน้อยใจนะที่มีอะไรแล้วพี่ไม่บอกดินเลยสักคำ  ทำไมครับ คิดว่าดินช่วยเหลือพี่ไม่ได้เลยไม่บอก หรือคิดว่าดินไม่น่าไว้ใจพอ”

        “ไม่ใช่นะ” เดือนรีบปฏิเสธ  กอดคนรักตัวเล็กแน่นขึ้น  “ไม่ใช่เลย...พี่แค่กลัวว่าดินจะเกลียดพี่จนไม่รักพี่อีกแล้ว”

        “พี่เดือน” ร่างเล็กเรียกชื่อคนรักเบาๆ “พี่อยู่ข้างดินเสมอในวันที่ดินล้มลง พี่ประคองดินให้ลุกขึ้นเดินได้อีกครั้ง  เป็นกำลังใจให้ดิน พี่สัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือดิน ดินก็จะไม่ปล่อยมือพี่เหมือนกัน  เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับ”

       “พี่ขอโทษนะ”

      “ครอบครัว...จะต้องหัวเราะไปด้วยกันในวันที่มีความสุข จะต้องแบกรับทุกความทุกข์ร่วมกัน และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามบนโลกใบนี้ บ้านจะเป็นสถานที่ที่พี่กลับมาเพื่อพักผ่อนได้เสมอ และครอบครัวคือคนที่พี่จะเอนตัวลงมาพักพิงเพื่อวางความไม่สบายใจทั้งหมดไว้ให้พวกเราช่วยกันแบ่งปัน”  นี่แหละคือครอบครัว...

   นิ้วเรียวเกลี่ยหยดน้ำตาที่ไหลเอ่อในดวงตาคู่คมให้อีกฝ่าย เหมือนที่เดือนเคยทำให้เขา  “ดินรักทุกอย่างที่เป็นพี่ พี่ก็รักทุกอย่างที่เป็นดิน วันหลังมีอะไรต้องบอกดินนะครับ  ดินก็จะบอกพี่ทุกอย่างเหมือนกัน  มาทำเหมือนดินเป็นคนนอก ดินน้อยใจนะ” ท้ายประโยคแกล้งใส่น้ำเสียงเง้างอนลงไปเล็กน้อย  เดือนที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา  คว้ามืออีกฝ่ายมาจูบที่หลังมือ

   “ครับ พี่สัญญา ต่อไปนี้มีอะไรพี่จะบอกดินทุกอย่างเลย โอเคไหม”

   “สัญญาแล้วนะ”

   “ครับ  ประทับตราให้เดี๋ยวนี้เลย” กล่าวจบเดือนก็ก้มลงปิดริมฝีปากอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากตน เป็นการ ‘ประทับตรา’ ที่เขาว่า  ซึ่งคู่สัญญาก็ยินยอมพร้อมใจแต่โดยดี 

   ฝ่ามือใหญ่ดันท้ายทอยคนตัวเล็กให้แหงนเงยใบหน้ารับจูบหวานที่เขาบรรจงป้อน ขณะที่ดินก็สอดมือเข้าไปในกลุ่มผมสีอ่อนกดให้ริมฝีปากแนบสนิทกันยิ่งขึ้น   “อื้อ...พี่เดือน” ร่างบางครางผะแผ่วยามถูกจูบซุกไซ้ไปที่ลำคอขาวกรุ่นกลิ่นครีมอาบน้ำ  ฝ่ามืออุ่นร้อนสอดเข้าไปใต้เสื้อนอนตัวบางแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรคนตัวเล็กก็คว้าหมับเข้าให้แล้วผละออกมาจ้องเขาเขม็ง

   “ที่นี่ไม่ได้”

   “โธ่น้องดิน”

   “คนอยู่เต็มบ้าน ไม่อายหรือไง” ดินกระซิบเสียงดุ วันนี้อารัณย์กับฝนก็ค้างที่นี่ด้วย  ดังนั้นมันจะให้เกิดเรื่องอย่างว่าขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!

   “งั้นก็กลั้นเสียง”

   “คิดว่ามันจะทำได้หรือไงครับ” ดินถลึงตาใส่อีกฝ่าย แต่พอได้ยินเสียงตอบรับหงอยๆก็ให้ใจอ่อน “ถ้า...แค่จูบก็ได้นะ” ชายหนุ่มพยายามต่อรอง แต่นายรวีกานต์เป็นพวกชอบได้กำไรมากกว่าเท่าทุนหรือขาดทุน ดังนั้นชายหนุ่มจึงคว้ามือน้อยไปวางไว้ในจุดที่ทำให้ร่างที่นอนเคียงข้างสะดุ้งเฮือก ใบหน้าแดงก่ำ พยายามจะดึงมือออกแต่ก็ถูกยึดไว้แน่น

   “ครับ จูบก็จูบ” เดือนแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วปิดกั้นคำประท้วงทั้งปวง  ส่วนดินก็ได้แต่ยินยอมตามใจคนเอาแต่ใจเช่นนั้น  หมดสิทธิ์ประท้วงใดๆเพราะไม่นานความสุขสมที่อีกคนมอบให้ก็ตีสติเขาให้แตกกระจายไปอย่างง่ายดาย
   

   สามวันหลังจากนั้นเทปที่เดือนไปให้สัมภาษณ์ก็ได้ออกอากาศ ดินนั่งขดตัวอยู่ข้างๆเดือน คนตัวสูงโอบไหล่เขาเข้าไปชิด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองภาพบนจอทีวีไปสลับกับมองส้มที่กำลังปอกเปลือกในมือ  บนจอทีวีปรากฏภาพเดือนกับพิธีกรสาวที่แต่งกายเสียหรูหราอลังการ  เธอกำลังจีบปากจีบคอถามคำถามตามที่เตรียมกันมาในสคริปต์

       ‘น้องเดือนคะ  เมื่อเร็วๆนี้มีภาพหลุดของน้องกับ...หนุ่ม...เอ่อ พี่เหมียวขอเรียกหนุ่มน้อยแล้วกันนะคะ อ่า เป็นกระแสไปทั่วโซเชียลเลย  รูปนั่นเป็นรูปจริงหรือถูกตัดต่อคะ’

   ‘รูปจริงครับ  เป็นรูปแอบถ่ายตอนเดือนออกไปซื้อของเข้าบ้านที่ห้างครับ’

   ‘ไปกับหนุ่มน้อยคนนั้นจริงๆเหรอคะ’

   ‘ครับ ก็ไปช่วยกันถือของ’

   ชายหนุ่มในจอหันมายิ้มให้กล้อง  พอจบคำตอบนี้พิธีกรสาวก็วี้ดว้ายขึ้นมา

   ‘นี่แปลว่าอยู่บ้านเดียวกันเหรอคะ!?’

   ‘อ่อ ครับ เป็นน้องชายบุญธรรมน่ะ’

   ‘แล้วที่โอบเอวกันนี่คืออะไรคะ’

   ‘ก็น้องเขาจะล้มนี่ครับ’ คนตัวโตพูดหน้าตาย ทำให้ ‘น้องชายบุญธรรม’ เงยหน้ามาย่นจมูกใส่ คนอะไรแหลชะมัด    “ตอนนั้นลวนลามดินแท้ๆนะครับ ยังมีหน้ามาบอกว่าจะล้ม ขี้ตู่ชะมัด” เขาว่าพลางป้อนส้มเข้าปากอีกฝ่ายสลับกับป้อนตัวเอง   เดือนยิ้มกริ่ม  เขี่ยแก้มคนตัวเล็กเบาๆ  “แล้วจะให้พี่ตอบว่า ‘อ๋อ ลวนลามเมียอยู่ครับ’ อย่างนี้เหรอ ได้เป็นประเด็นใหญ่กว่าเดิมสิ”  ดินที่หมั่นไส้จัดปาเปลือกส้มใส่คนรักแต่กลับถูกจับมาฟัดแก้มเป็นการแก้แค้น  ในขณะที่พิธีกรถามคำถามสุดท้าย

   ‘แล้วความสัมพันธ์ในอนาคตจะเป็นยังไงต่อไปคะ’

   ‘ก็คงปล่อยให้เป็นเรื่องในอนาคตครับ เพราะตอนนี้พวกเรามีความสุขดีแล้วครับ’

   อารัณย์กับฝนที่เพิ่งเดินลงจากชั้นบนมามองหน้ากันตาปริบๆ รู้สึกว่าไม่ควรเข้าไปแทรกบรรยากาศสีชมพูหวานแหววตรงนั้นเป็นอย่างยิ่ง อารัณย์ที่อยากกินผลไม้เลยสะกิดฝนยิกๆ “ฝน พี่อยากกินส้มว่ะ ไปหยิบให้หน่อยดิ”

   “อ้าว ทำไมใช้ฝนล่ะครับ  ตัวเองอยากกินก็ไปหยิบเองสิ”  ชายหนุ่มผมชมพูอิดออด ปกติถ้าเป็นอารัณย์เขาจะทำตามที่ขอให้โดยไม่เกี่ยง แต่หนนี้...ทนไม่ไหว มดจะกัด เบาหวานจะขึ้นสมอง หลบดีกว่า  คิดพลางเดินเลี่ยงลงไปที่สวนหน้าบ้าน  ทิ้งให้อารัณย์ยืนหน้างออยู่คนเดียว

   หลังรายการจบไปผู้จัดการสาวก็ส่งผลตอบรับมาให้เดือน  ดูเหมือนหลายคนจะมองไปในทางดีขึ้น  แม้คนอีกกลุ่มจะยังคงตั้งคำถามว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงหรือเปล่า กับคนอีกบางกลุ่มที่ยังคงปักใจว่าเดือนกับดินนั้นคบกันและมีการพูดถึงเสียๆหายๆแต่มันก็แค่ส่วนน้อย

   “นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มใหญ่ออกมาคอมเม้นท์ด้วยนะว่าถึงพวกนายจะคบกันก็ไม่เป็นไร  เป็นเรื่องยอมรับได้แล้วก็จะสนับสนุนผลงานเดือนต่อไป” กุ๊กพูดยิ้มๆ พอได้ยินแบบนั้นทั้งสองก็มองหน้ากัน  การมีคนเข้าใจมันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ

   แว่วเสียงคุณนายกิ่งแก้วกับคุณแม่มะลิเรียกหามาจากในครัว ดินจึงส่งยิ้มให้ผู้จัดการสาว “คุณกุ๊กอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันนะครับ วันนี้แม่มะลิลงครัวเองเลย แม่ทำอาหารอร่อยมากเลยนะครับ”     

        “ได้จ้ะ รบกวนด้วยนะ”

        กุ๊กเองก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ไม่น้อย นอกจากน่ารักแล้วยังมารยาทดีอีก 

       พอคล้อยหลังดิน เดือนก็หันมายักคิ้วให้ผู้จัดการที่เปรียบเสมือนพี่สาว “เป็นไงล่ะพี่กุ๊ก แฟนเดือนสุดยอดเลยใช่ไหม”

       “จ้าๆ พอคนเห่อแฟน เฮ้อ นี่ถ้าน้องดินเป็นผู้หญิงอะไรๆมันคงง่ายกว่านี้”

       “ดินเป็นดินแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ  เดือนชอบน้องที่เป็นแบบนี้ เพศอะไรไม่เกี่ยวหรอก”  เขาพูดยิ้มๆ “เออใช่  เดือนมีอะไรจะถาม  พอจบเรื่องพวกนี้ เดือนขอเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเดือนกับน้องได้ไหม เดือนไม่อยากปิดบังแฟนคลับ แล้วก็ไม่อยากให้การคบกับดินต้องทำอย่างหลบๆซ่อนๆด้วย”

         “เรื่องนี้คงต้องไปปรึกษาบอสแล้วล่ะ” หญิงสาวพูด เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเพราะมันค่อนข้างเกี่ยวพันกับชื่อเสียงทั้งของเดือนและบริษัทอยู่พอสมควร

         คุยกันไปได้สักพักกลิ่นอาหารหอมฉุยก็เรียกให้เดือนและกุ๊กลุกเดินไปที่โต๊ะอาหารซึ่งสองแฝด ดาวกับตะวันกำลังช่วยกันลำเลียงอาหารออกมาโดยอยู่ในความดูแลของกฤตผู้เป็นพ่อ ทุกคนกำลังจะนั่งลงที่โต๊ะอาหารแต่อารัณย์กลับเหลียวมองไปรอบๆแล้วถามขึ้น “ฝนไปไหน?”

         “อยู่ข้างล่างฮะ” เจ้าหนูตะวันตอบ “อาฝนกำลังดูดอกไม้ เดี๋ยวตะวันไปตามให้” ว่าจบเจ้าตัวเล็กก็วิ่งปรู๊ดหายลงไป  ทุกคนจึงยังไม่แตะอาหารด้วยว่าจะรอฝนก่อน ไม่นานตะวันก็วิ่งขึ้นมาแต่คราวนี้เด็กน้อยกลับมาพร้อมน้ำตานองหน้า บนหัวเขากับฝ่ามือมีรอยถลอกจนเลือดซิบ

         “ฮึก...แง้ คุณพ่อ คุณแม่ แงงง” ผึ้งรีบอุ้มลูกชายขึ้นมาตรวจดูแผล  หล่อนใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดฝุ่นดินรอบๆแผลออกอย่างเบามือ  ลูบศีรษะปลอบลูกน้อยไปด้วย “เกิดอะไรขึ้นลูก หนูหกล้มเหรอ”
       
        “มี...มีคนจะ...ตี...อาฝน ฮึก ตะวันเลยจะห้าม...คนใจร้ายเลยผลักตะวันฮะ”

        “ใครจะตีฝนนะ”

        อารัณย์ถาม ขมวดคิ้วจนดูน่ากลัว  ตะวันเบะปากแต่ก็ยอมตอบ

       “ผู้หญิงฮะ...ตะวัน..ฮือ...ไม่รู้จัก”

        ชายหนุ่มผมยาวลุกพรวดขึ้น ตั้งใจจะลงไปดูข้างล่างว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่กลับพบว่าฝนเดินกระทืบเท้าขึ้นมาเสียก่อน  บนใบหน้าหวานของอีกฝ่ายปรากฏรอยปื้นแดงๆที่อีกไม่นานคงจะกลายเป็นรอยช้ำ

        รอยตบ...

        ใครมันกล้าทำคนของเขา!!

         คำตอบที่อารัณย์ต้องการปรากฏตัวขึ้นตามมาติดๆ หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องทานข้าวด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด

        “ญี่ปุ่น” เดือนเรียกชื่ออดีตคนรักด้วยน้ำเสียงแปลกใจ  ดินหันไปมองผู้หญิงคนนั้น  เธอมีผิวขาวจัดเหมือนคนไม่เคยออกแดด  ตัวเล็กแลดูแบบบาง เส้นผมสีน้ำตาลยาวเหยียดตรงถึงกลางหลัง   ใบหน้าเรียวได้รูป  ดวงตากลมโต  คิ้วโก่ง จมูกโด่งรับกับริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มน่ารักแม้ยามนี้ใบหน้าหวานจะบึ้งตึงแต่เธอก็ยังดูสวยแม้จะไม่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าก็ตาม  แต่ที่ทำดินใจหายก็คือร่างนั้นมาในชุดคลุมท้อง ร่างกายผอมบางที่ป่องกลางทำให้หญิงสาวดูอ่อนแอมากกว่าเดิม

        “เดือน!” น้ำเสียงหวานเอ่ย ดวงตากลมโตค่อยๆมีน้ำตาเอ่อคลอ  เธอตรงปรี่เข้ามาแล้วสวมกอดเดือนอย่างรวดเร็ว “เดือนหายไปไหนมา รู้ไหมว่าเราเป็นห่วงเดือนมากแค่ไหน ทำไมไม่ติดต่อกันเลย”  เดือนมีสีหน้าลำบากใจ เขาเหลือบมองดินแต่คนรักก็ส่ายหน้าเป็นทำนองว่าไม่เป็นไร  ร่างสูงค่อยๆแกะมือที่โอบเอวตนอยู่ออกแล้วดันร่างของญี่ปุ่นออกห่าง
   
        “ญี่ปุ่นมาที่นี่ทำไม”

        พอถูกถามอย่างนี้ หยดน้ำตาเม็ดโตก็กลิ้งไหลออกจากดวงตา

        “ทำไมเดือนถามเราแบบนี้  เราก็มาหาเดือน...มาหาสามีเรา มันผิดตรงไหน”

        คำเรียกที่ออกมาอย่างไม่กระดากปากทำเอาคนเป็นผู้ใหญ่รอบโต๊ะถึงกับเบือนหน้าหนี  ผึ้งรีบพาลูกชายกับลูกสาวออกจากห้องทานข้าวทันที  เธอต้องพาเด็กชายตะวันไปทำแผล และเธอก็ไม่อยากให้ลูกเห็นภาพแย่ๆที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

       “หนู...คือญี่ปุ่นอย่างนั้นเหรอจ๊ะ”

       มะลิถาม  ดวงตากลมโตปรายมามองหล่อนทำเอาตัวชาวาบ ไม่ใช่เพราะอับอาหรือหวาดกลัว แต่มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเมื่อเห็นดวงตาคู่นั้น...เหมือนกับว่าในดวงตาคู่นั้นมีแต่ความริษยาและความดูหมิ่นเหยียดหยาม
     
       “ใช่ค่ะ” น้ำเสียงที่ใช้ตอบโต้ไม่ได้ห้วนจนเกินงามแต่ก็ไร้ซึ่งความเคารพ ดาราสาวปรายมองคนรอบโต๊ะ พยายามรักษาภาพพจน์อ่อนหวานน่าทะนุถนอมของตน  ดวงตากลมโตกวาดไปรอบๆก่อนจะไปหยุดที่ดิน ฉับพลันชายหนุ่มผมดำก็รู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังสาปแช่งเขาผ่านทางสายตา หากแต่บนใบหน้านั้นกลับมีรอยยิ้มหวานหยดประดับอยู่

        “คุณคือ ‘น้องชาย’ ของเดือนสินะคะ” ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเน้นย้ำคำว่าน้องชายพอสมควร  พลันแขนเรียวก็ยกขึ้นกอดแขนของเดือนเอาไว้ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มที่

        “ครับ ผมชื่อดินครับ”  ดินยกมือไหว้อีกฝ่าย ถึงอย่างไรก็อายุมากกว่า แม้เขาจะไม่เต็มใจเลยก็ตาม  ทางด้านญี่ปุ่นยังคงแย้มยิ้มและไม่ได้รับไหว้  เดือนปลดมือหล่อนออก สีหน้าเอือมระอาเต็มทน  “กลับไปญี่ปุ่น ใครมาเห็นมันจะไม่ดี”

        “ทำไมล่ะ  เราเป็นสามี ภรรยา กันนะเดือน”

        “เราไม่ใช่สามีภรรยากัน! ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้แตะต้องเธอเลย เธอก็รู้ดีแก่ใจ เลิกยัดเยียดความผิดมาให้ฉันซักที”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา  ฝนที่กำลังให้อารัณย์ตรวจดูรอยบนใบหน้าถึงกับเบะปาก โธ่ ยัยนางเอกแอ๊บสวยเอ๊ย 

        “แปลว่า...เดือน...พูด...พูดอย่างนี้จะไม่รับผิดชอบเราใช่ไหม”

        “เราจะรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ แต่ในเมื่อเราไม่ผิด เราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ”

        ใบหน้าหวานหันไปหากิ่งแก้วที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “แม่แก้วคะ...แม่แก้ว...ญี่ปุ่นมีแต่เดือน...ฮึก มีแต่เดือนจริงๆนะคะ  ถ้า..ฮือ...ถ้าเดือนทิ้งญี่ปุ่นไป ญี่ปุ่นกับลูกก็ไม่เหลือใครแล้ว...ฮือ ญี่ปุ่นอยากให้ลูกได้เห็นหน้าพ่อนะคะ” กิ่งแก้วค่อยๆประคองหญิงสาวให้นั่งลงที่เก้าอี้  จะอย่างไรก็เป็นคนท้อง เกิดเป็นลมเป็นแล้งมามันจะแย่เอา

       “แต่เราไม่ใช่พ่อเด็ก ญี่ปุ่นจะมายัดเยียดความรับผิดชอบให้เราไม่ได้!”  ชายหนุ่มตัวสูงตวาดเสียงดัง ความอดทนอดกลั้นของเขาสิ้นสุดลงแล้ว เขาไม่น่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนี้เลยจริงๆ นางมารในคราบนางฟ้าชัดๆ

        “แต่เด็กคนนี้เป็นลูกเดือนนะ!” นางเอกสาวกรีดร้องตอบกลับมา  น้ำตาไหลอาบแก้ม  ก่อนที่เธอจะร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง  จากนั้นร่างบางก็เริ่มหายใจแรงขึ้น ตัวเกร็งไปหมด มีเสียงสะอึกเหมือนคนหายใจไม่ออกในลำคอทั้งที่น้ำตายังไหลพรากอาบแก้ม เดือดร้อนคนอื่นคว้ายาดมหาพัดมาพัดมาให้ยกใหญ่

        แต่เดือนไม่สงสารแม้แต่น้อย  เขาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความจอมปลอม

        ความงามจอมปลอมบนใบหน้าที่ผ่านการศัลยกรรมมาเกือบทั้งหมด  เดือนไม่ได้เกลียดคนที่ทำศัลยกรรม มันเป็นความต้องการส่วนบุคคลและเขาเชื่อว่าหลายคนที่ทำมา ภายในก็ยังมีความงดงามที่แท้จริง  เพียงแต่วันนี้เขาแค่เห็นว่าภายใต้หน้ากากพลาสติกของหญิงสาวคนนี้ไม่มีความงามอะไรเลย เป็นแค่เปลือกสวยงามหลอกตาที่ปกปิดความเน่าเฟะและความว่างเปล่า

        แม้แต่การร่ำร้องแทบขาดใจตรงหน้า มันก็เป็นแค่การแสดง เป็นละครฉากใหญ่

         ตอนแรกที่เดือนคบกับญี่ปุ่น เขาชอบเพราะอีกฝ่ายน่ารักและดูอ่อนหวาน เพียงแต่เมื่อคบกันไปมันกลับกลายเป็นว่าทุกสิ่งคือเรื่องโกหก  ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยคิดถึงใครนอกจากตัวเอง

          ผู้คนมักจะติดภาพลักษณ์ว่าเธอคือหญิงสาวที่อ่อนหวาน เรียบร้อยมาจากละครเรื่องแรกที่เธอแสดง และดันหญิงสาวให้ดังเป็นพลุแตก  เนื่องจากใครๆก็มองว่าเธอเป็นคนเรียบร้อย ญี่ปุ่นจึงพยายามรักษาภาพลักษณ์ให้ตนเป็นแบบนั้นตลอดเวลา  ทั้งที่ตัวจริงเธอต่างจากในละครมากเหลือเกิน

          “กลับไปเถอะญี่ปุ่น” เดือนพูดเสียงเรียบ เขาเหนื่อยกับเรื่องแบบนี้แล้ว  ว่าพลางจะเข้าไปดึงหญิงสาวให้ลุกขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็สะบัดตัวออกอย่างแรง  ดวงตามุ่งร้ายหันมาทางดิน  ร่างบางเข้าประชิดชายหนุ่มผมดำอย่างรวดเร็ว  คว้าแขนข้างหนึ่งของดินเอาไว้ด้วยมือสองข้าง

         “คุณ...ทำไม...ถึงทำแบบนี้คะ ฉันไปทำอะไรให้คุณกัน  ทำไมถึงต้องแย่งคนรักฉันไปด้วย”  น้ำเสียงที่ตัดพ้อนั้นสั่นพร่าจนน่าสงสาร  ดินนิ่วหน้าเมื่อปลายเล็บแหลมทั้งสิบจิกลงในเนื้อเขา  แรงจิกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนจะระบายความคับแค้นทั้งหมดที่มี หากแต่เวลานี้หญิงสาวกลับทำท่าขอร้องอย่างน่าสงสาร

      “ช่วย...ช่วยเลิก...กับเดือนได้ไหมคะ  ถ้าคุณเห็นแก่ฉันและลูกของฉัน  คืนเขาให้ครอบครัวเราด้วยเถอะค่ะ”  ใบหน้าหวานก้มลงจนหยดน้ำตาลร่วงหล่นเปรอะแขนเขา “ได้โปรดเถอะค่ะ”

       “พอแล้ว!” เดือนตวาด ดึงญี่ปุ่นออกมาจากดิน ยิ่งเห็นรอยเล็บจิกบนผิวเนื้อนิ่มนั้นเขาก็ยิ่งโมโห เดือนคว้าแขนเรียวของคนรักขึ้นมา ลูบปลอบเบาๆ “เจ็บมากไหม”  ถามพลางลูบหน้าลูบแขนอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน นึกเสียใจที่คนรักต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้

        แต่ญี่ปุ่นที่เห็นท่าทีอ่อนโยนที่แสดงต่อกันของทั้งคู่ก็ยิ่งกรุ่นโกรธ  ใจมันร้อนราวไฟสุม มือบางคว้าแก้วน้ำขึ้นมา เทคว่ำลงไปที่ศีรษะดิน

        เดือนที่เห็นกิริยาก้าวร้าวไม่เว้นแม้แต่หน้าผู้ใหญ่ก็ทนไม่ได้ในที่สุดก่อนจะคว้าต้นแขนหญิงสาว กระชากร่างบอบบางให้เดินตามเขาออกไปข้างนอก  ไม่ใส่ใจเสียงตะโกนของมารดา  เขาพาญี่ปุ่นลงมาข้างล่างจนพบกับคนขับรถของอีกฝ่ายที่รออยู่  เดือนปล่อยมือออกราวกับรังเกียจนักหนา ก่อนหันไปหาคนขับรถของดาราสาว เอ่ยเสียงเรียบ“พาคนของคุณกลับไป”

        ในตอนที่เขาเดินขึ้นบ้านมานั้น ญี่ปุ่นก็กรีดร้องออกมาอีกรอบ  น้ำเสียงสั่นพร่าแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด มือบางฉวยเอากระถางต้นไม้ของแม่เขาขว้างขึ้นมา  ยังดีที่เรี่ยวแรงหล่อนไม่มี มันจึงแตกอยู่ที่ชานบันได ไม่เช่นนั้นเดือนคงได้ฤกษ์ไปนอนเล่นที่โรงพยาบาลเป็นแน่

        “ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นลูกของเดือน และเดือนจะต้องรับผิดชอบญี่ปุ่นกับลูก! จะไม่มีใครได้เดือนไปทั้งนั้นถ้าไม่ใช่ญี่ปุ่น  โดยเฉพาะ...โดยเฉพาะไอ้เด็กผิดเพศคนนั้น!”

        ขวับ

        ชายหนุ่มรีบหันมา  ดวงตาคมจ้องมองญี่ปุ่นอย่างโกรธจัดจนหญิงสาวสะดุ้ง  ก่อนน้ำเสียงที่กดต่ำเพราะความโมโหจะดังขึ้น “อย่าเรียกคนรักของผมว่าแบบนั้นอีก...ถ้าจะมีใครวิปริตแถวนี้ ก็คงมีแต่คุณ”

       ชายหนุ่มหันกายเดินกลับเข้าบ้าน ไม่สนใจเสียงหวีดร้องอย่างคับแค้นของหญิงสาวแม้แต่น้อย 


********************************************************

ตอนนี้นอกจากจะบูชาแม่แก้วแล้วต้องบูชาพี่กุ๊กด้วยนะคะ 555  ผู้หญิงเรื่องนี้สตรองจริงอะไรจริง
ฝนก็โผล่มาน้าา โผล่มาแก้คะแนน 5555 ตอนก่อนติดลบซะเยอะเลย
เรื่องกำลังเดินมาถึงจุดเข้มข้นแล้วนะคะ  หลายคนคงเกลียดญี่ปุ่นมาก...ด่าเต็มที่เลยค่ะ  :katai1:
ต่อจากนี้ก็ขอฝากให้ทุกคนเอาใจช่วยพี่เดือนกับน้องดินด้วยนะคะ >w<
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจค่ะ พบกันวันเสาร์หน้านะคะ จุ๊บ :really2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๒ ปัญหาจากคนรักเก่า {๒๐.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 20-03-2016 21:54:31
ฝนนี่ดูอดีตของญปแล้ว

ใครพ่อเด็กละนั่น  :hao7:

หาหลักฐานแล้วแฉแม่มเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๒ ปัญหาจากคนรักเก่า {๒๐.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 20-03-2016 22:00:28
เราชื่นชมคุณสโนว์แรบบิทน่ะ  เป็นนักเขียนที่สม่ำเสมอ ไม่ทิ้งผลงานเจ้าของ  ไม่ทิ้งคนอ่านที่ติดตามผลงาน คนแบบนี้เราสนับสนุน และที่สำคัญ ภาษาที่ถ่ายทอดออกมา อ่านแล้วไม่ขัดอารมณ์  ในขณะที่นักเขียนบางคน ยอดอ่านสูงลิ่วหลายแสนครั้ง  แต่ทิ้งบทประพันธ์ของตนเองไม่มาต่อเฉยเลย  แบบนั้นเสียดายแทนครับ  เสียดายแฟนๆที่ทุ่มเท เข้าไปอ่านบทประพันธ์นั้น
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๒ ปัญหาจากคนรักเก่า {๒๐.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-03-2016 22:12:34
ตอนนี้ดีอ่ะ เหมือนจุดฉนวนระเบิดเลย(?)
ใกล้ถึงจุดพีคแล้วสินะ
ถ้าจะไปแจ้งความเรื่องทำร้ายร่างกายกับบุกรุกได้ไหมนะ มีผู้เสียหายตั้ง 3 คน ทั้งฝน ตะวัน(รึเปล่า) กับดิน แถมพยานเพียบ
อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆจังค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๒ ปัญหาจากคนรักเก่า {๒๐.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 20-03-2016 23:48:02
น้อง Jap คะ น้องเป็นโรคจิตหรือคะ มักง่ายจะเอาใครเป็นพ่อของลูกก็มาตู๋เอา

สงสัยจะไม่มั่วมาก มั่วจนหาพ่อแท้ๆให้ลูกไม่ได้
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 26-03-2016 20:50:03
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๒๓
ไฟลามทุ่ง




          ‘ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นลูกของเดือน และเดือนจะต้องรับผิดชอบญี่ปุ่นกับลูก! ญี่ปุ่นจะทำให้เดือนรับผิดชอบให้ได้ ได้ยินไหม!’

          พรึบ

          ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้างท่ามกลางความมืด  ร่างสูงหายใจถี่แรงอย่างตระหนกก่อนจะคิดได้ว่าสิ่งที่ตนดิ้นคือความฝัน        ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากกับสิ่งที่ญี่ปุ่นพูดจนเก็บประโยคนั้นมาฝันซ้ำๆไปเสียแล้ว  เดือนค่อยๆยันกายลุกขึ้น พยายามไม่ให้ร่างเล็กที่นอนอยู่ข้างกายตื่น

         ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ห้องน้ำ วักน้ำลูบหน้าลูบตา เขาเงยหน้าขึ้น  มองเงาสะท้อนในกระจกที่แสดงให้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ที่บัดนี้ดูโทรมที่สุดในชีวิต หนวดเคราเริ่มขึ้นมาบางๆเพราะเขาไม่ใส่ใจโกน ขอบตาก็คล้ำเพราะนอนไม่หลับติดกันมาหลายคืน

         ร่างสูงถอนหายใจ ลูบใบหน้าที่เปียกไปด้วยหยดน้ำของตนอย่างเหนื่อยอ่อน  หลังจากวันที่ญี่ปุ่นบุกมาหาถึงที่บ้านก็ผ่านไปเกือบสองสัปดาห์แล้วแต่เดือนยังติดใจอยู่กับคำพูดของอดีตแฟนสาว  ญี่ปุ่นถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ เขารู้นิสัยเธอดีตั้งแต่ตอนที่คบกัน  และครั้งนี้ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆด้วย 

        ที่ทุกอย่างมันเงียบสงบอยู่ทุกวันนี้เดือนกลับรู้สึกว่ามันเหมือนทะเลที่คลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่

        ความคิดนี้ไม่ได้ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาเลย...

        หนุ่มลูกครึ่งกลับไปล้มตัวนอนลงบนเตียง พยายามข่มตาให้หลับแต่ก็ทำไม่ได้ หยิบมือถือมาดูเวลาปรากฏว่าเพิ่งจะตีสองเท่านั้นเอง

        “นอนไม่หลับเหรอครับ” เสียงแหบพร่าพึมพำข้างหู  ดินตื่นแล้ว  ร่างเล็กยันตัวขึ้น หยีตาฝ่าความมืดมามองเขา  เดือนอมยิ้มกับท่าทางเหมือนคนยังไม่ตื่นดีของร่างเล็ก ดูสิ หัวฟูเป็นรังนกเชียว

         “ขอโทษนะ ทำให้ตื่นเหรอ” เขากระซิบกลับ ดันอีกฝ่ายให้ล้มตัวลงนอน ลูบผมนิ่มมือแล้วจูบแก้มคนรักเบาๆ “นอนต่อเถอะ พี่ไม่เป็นไร”

         “พี่เดือนกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า  พี่นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้วนะ” 

         บางทีมีเมียฉลาดและรู้ทันไปทุกอย่างนี่ก็ลำบากแฮะ 

          เดือนยิ้มขมๆกับตัวเองในความมืดก่อนเอ่ยตอบ “พี่ไม่เป็นไร”  ฝ่ามือใหญ่เลื่อนมาจับแขนเรียว พลิกไปที่ท้องแขนที่ยังปรากฏรอยเล็บอยู่  ปลายนิ้วลูบไล้เบาๆ “ยังเจ็บอยู่ไหม”

           “ไม่แล้วครับ...พี่เดือน กังวลเรื่องคุณญี่ปุ่นเหรอครับ”

           “อืม ก็นิดหน่อย พี่ไม่สบายใจตอนที่ญี่ปุ่นบอกว่าจะทำให้พี่รับผิดชอบเธอกับลูกให้ได้น่ะ ฟังเหมือนเธอไม่สนเลยว่าจะใช้วิธีอะไร”

          “ยังไงเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ” ดินปลอบคนรัก ยิ้มบางให้อีกฝ่าย มั่นใจว่าเดือนมองเห็นเพราะตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาอยู่ใกล้กันมากทีเดียว  แขนเรียวพาดผ่านเอวสอบก่อนที่ร่างบางจะซุกกายเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่น หลับตาลงแล้วพึมพำว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ดินอยู่กับพี่เสมอ ไม่ทิ้งหรอก...อือ...นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ดินโกนหนวดให้ เวลาจูบแล้ว...มันจั๊กจี้”

           เสียงแผ่วลงเรื่อยๆ ไม่นานก็เหลือเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับไปเรียบร้อยแล้ว  เดือนยิ้มบาง  ความหนักใจเหมือนจะลดลงไปยามมีคนคนนี้อยู่ในอ้อมแขน

           ยามพวกเขามีกันและกันในอ้อมกอด

           ชายหนุ่มปิดตา หลับลงได้ในที่สุด โดยไม่รู้เลยว่าท่ามกลางคลื่นทะเลอันสงบสุข  เม็ดฝนจากพายุใหญ่กำลังโปรยปรายลงมาช้าๆ


           
            เช้าวันต่อมาดินก็จัดการโกนหนวดให้เขาเรียบร้อย หลังจากอาบน้ำเสร็จทั้งคู่ก็ลงมาทานอาหารเช้า  คุณนายกิ่งแก้วที่เห็นคู่รักเดือนดินเดินเข้ามาก็รีบร้องทักชายหนุ่มผมดำ ยิ้มหวานบริการข้าวปลาอย่างดี ขณะที่(อดีต)ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับต้องไปยืนตักข้าวต้มเองแถมยังถูกกฤตโยนกระเทียมเจียวลงมาในชามอีกช้อนใหญ่!

           ไอ้พี่เวร กูไม่แดกกระเทียมเจียว!

           เดือนแยกเขี้ยวใส่พี่ชาย ทำท่าจะเข้าไปถีบแต่กลับถูกคุณนายกิ่งแก้วตวัดตามองเป็นอันสยบทุกความเคลื่อนไหว ได้แต่นั่งกินข้าวเงียบๆกันไป

           “เอ้อ ดินลูก วันนี้คนที่ร้านขายต้นไม้เอาต้นไม้มาส่งแล้ว  เอาลงดินให้แม่หน่อยได้ไหมลูก วันนี้แม่จะพามะลิกับอัลเฟรดไปไหว้พระน่ะ” หญิงร่างท้วมเอ่ยกับร่างบางที่ยิ้มรับ แต่คนที่ตาโตกลับเป็นลูกชายคนรองของหล่อน “โห แม่ ยังจะปลูกอะไรอีก นี่บ้านเราก็จะเป็นป่าแล้วนะ”

           “คนที่เลี้ยงกระบองเพชรแล้วยังตายแบบแกเงียบไปเลยไอ้เดือน แกมันคนปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น  ก็ตามนี้นะลูก แม่วานหน่อยนะ สองสามต้นเอง” ท้ายประโยคหันมาพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับดิน ทำเอาลูกชายทั้งสองเบะปากเพราะความลำเอียง

           “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

            “แหม น่ารักจริงๆ”

            คุณนายหยิกแก้มคนที่หล่อนรวบรัดเป็นลูกสะใภ้คนเล็กแล้วด้วยความเอ็นดู  เด็กคนนี้ว่านอนสอนง่าย พูดอะไรก็ไม่ขัด  มีแค่บางเวลาที่ไม่เห็นด้วย แต่ก็ใช้เหตุผลมาอธิบาย หล่อนคิดว่าเจ้าเดือนนี่มันก็ตาดี  คว้าคนดีๆมา  ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ดีกว่ายัยหนูญี่ปุ่นคนนั้น

           วันที่หล่อนมาร้องห่มร้องไห้ที่นี่ มีแวบหนึ่งที่คุณนายกิ่งแก้วคิดว่าโชคดีจริงๆที่เดือนมันรักดินแทนที่จะเป็นผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นถ้าไม่ติดว่าเป็นคนท้อง คุณนายกิ่งแก้วคงไล่ออกจากบ้านไปแล้ว

          เฮ้อ แต่นี่ก็กลัวเจ้าหล่อนแผลงฤทธิ์อะไรเหลือเกิน ทางที่ดีควรรีบส่งดินกับเดือนกลับสุพรรณโดยด่วนก่อนทางนั้นจะหาทางมางัดข้อกับพวกตน

         หลังทานข้าวจนอิ่ม คุณนายกิ่งแก้วก็พาอัลเฟรดกับมะลิออกไปไหว้พระ  กฤตกับผึ้งก็ไปทำงาน ส่วนเด็กแฝดก็ไปโรงเรียน ทั้งบ้านจึงเหลือแค่ดินกับเดือน  สองคนช่วยกันเก็บล้างจานก่อนจะเดินลงใต้ถุนบ้าน เดือนเห็นต้นไม้ที่แม่แก้วบอกตั้งอยู่ใกล้เสา  ชายหนุ่มจึงช่วยยกออกไปวางใกล้ประตูรั้วซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะเอาต้นไม้ลงดิน

          “แม่นะแม่ จะปลูกอะไรอีกก็ไม่รู้ แค่นี้จากสวนก็จะกลายเป็นป่าอยู่แล้ว” เดือนบ่นอุบ  เมื่อวานก็ใช้เขากับพี่กฤตขุดหลุมซะจนปวดเมื่อยไปแทบทั้งตัว

          “เอาน่า ดินว่ามันก็ไม่ได้รกสักเท่าไหร่หรอกครับ อีกอย่างแม่แก้วก็ปลูกไม้ดอกที่มีกลิ่นหอมไว้เยอะ  ตื่นมาเช้าๆนี่สดชื่นจะตาย” 

         “ดินก็เข้าข้างแม่ตลอดนั่นแหละ ว่าแต่ไอ้ต้นนี่มันต้นอะไรเนี่ย”

          “ต้นแก้วครับ” ดินตอบพลางตัดกระสอบที่หุ้มรากออก “พี่เดือนอย่ายืนเฉยๆสิ มาช่วยดินหน่อย” สั่งการเสียงเข้มแล้วขะมักเขม้นกับการปลูกต้นไม้ต่อไปทำให้เดือนได้แต่ถอนหายใจ  ได้ทีล่ะสั่งใหญ่เลยนะเจ้าตัวแสบ

           ทั้งคู่ช่วยกันนำต้นแก้วลงดิน ดูเหมือนแม่แก้วจะอยากให้ปลูกเป็นแถวไว้ที่ริมรั้ว  เมื่อย้ายต้นแก้วต้นสุดท้ายลงดินเสร็จ   เดือนก็สะบัดมือที่สวมถุงมืออยู่ไปมา ทำให้เศษดินกระเด็นไปโดนคนตัวเล็ก  ดวงตาคมหลังกรอบแว่นตวัดมองแต่ต้นเหตุก็ยังหัวเราะชอบใจ

          “ฮ่าๆๆเหมือนหมาลายจุดเลยดิน”

           “อ๋อ เหรอครับ”

           ดินกระตุกยิ้มบางๆก่อนจะถอดถุงมือออกแล้วปาใส่หน้าเดือน  คนตัวสูงกัดฟันแล้วชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างคาดโทษก่อนจะป้ายมือที่เลอะดินไปเต็มใบหน้าของคนผมดำทันที!

           “ไอ้พี่เดือน!” ดินตะโกน วิ่งไปคว้าสายยางฉีดน้ำมา บิดก๊อกจนสุดทำให้สายน้ำแรงๆอัดกระแทกเขาที่คนตัวโตจนเปียกชุ่มในพริบตา  เดือนแยกเขี้ยวใส่คนรัก ตามไปแย่งสายยางในมือ แต่ดินก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน

           “ปล่อยสายยางนะพี่เดือน เปียกหมดแล้วเห็นไหม!”

          “ดินทำพี่เปียกก่อนนี่นา”

          “พี่แกล้งดินทำไมล่ะ! ปล่อยนะ!”
 
           หลังจากยื้อยุดกันไปสักพัก สงครามก็จบลงที่สองพี่น้องเปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่างคนต่างหน้ามุ่ยใส่กัน แต่พอเห็นสภาพไม่ต่างอะไรจากลูกหมาตกน้ำของอีกฝ่ายก็พากันหัวเราะลั่น

          “แว่นน้องเปียกหมดเลย” ดินเสมองไปทางอื่นพลางดึงแว่นตาออกมาเช็ด ทั้งที่ปลายเสื้อที่ใช้เช็ดก็เปียกไม่ต่างจากแว่น  แต่ถึงกระนั้นเขาก็มุ่งมั่นกับการเช็ดแว่นมาก เพราะถ้าให้เงยหน้ามองเดือนตอนนี้เขาต้องหน้าแดงแหง! ก็เดือนเล่นมองเขาด้วยสายตาแปลกๆแบบนั้นอีกแล้ว...

          สายตาที่เหมือนกับจะกลืนเขาลงไปทั้งตัวถ้าทำได้...

          คนผมดำเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำให้ไม่เห็นร่างสูงใหญ่ที่เดินมาประชิดตัว  เดือนเชยคางคนรักขึ้น ปาดหยดน้ำออกจากใบหน้าหวานให้อย่างแผ่วเบา  ดวงตาคู่สวยสั่นระริกยามสบมองเขา ปลายนิ้วเรียวของดินค่อยๆลากไล้เพื่อปาดหยดน้ำออกจากใบหน้าเขาเช่นกัน

          แขนแกร่งเกี่ยวรั้งเอวให้เข้ามาชิด  ใบหน้าคมคายที่โน้มเข้ามาใกล้ทำให้ดินรีบส่ายหน้า  กระซิบรัวเร็ว

          “ที่นี่ไม่ได้นะพี่เดือน นอกบ้านแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น”

          “ไม่เป็นไรน่า แป็ปเดียวเอง แค่จูบเดียว ไม่มีคนมาหรอก” ว่าพลางเงยหน้ามองไปรอบทิศ “เงียบจะตายไป ไม่มีใครอยู่หรอก”

           “แต่...”

           “น่านะ”

          “ไม่เอาครับ” ดินปฏิเสธเสียงแข็ง แต่คนร่างสูงกลับจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก โน้มใบหน้าลงไปใกล้จนปลายจมูกแตะกัน เดือนยิ้มหล่อใส่ตาคนตัวเล็กก่อนจะทาบทับริมฝีปากแผ่วเบา เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆแต่กลับทิ้งความอบอุ่นไว้บนริมฝีปากเย็นชืด 

         “ไปอาบน้ำกันดีกว่า เดี๋ยวไม่สบาย” พูดพลางจับจูงคนตัวเล็กเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี

         โดยไม่รู้ว่าการกระทำทั้งหมดของพวกตนตกอยู่ภายใต้สายตาคมกริบคู่หนึ่ง...


   
   “ฮัลโหลฝน ว่าไง  วันนี้เสร็จธุระแล้วใช่ไหม กลับไปรอที่บริษัทแล้วกัน เดี๋ยวพี่จะเข้าไปรับ” อารัณย์กรอกเสียงใส่โทรศัพท์ขณะนั่งรอกาแฟอยู่ในร้านกาแฟข้างบริษัท  เมื่อวานงานที่เขาส่งให้บอสดูผ่านฉลุยไม่มีปัญหา วันนี้ถึงได้มานั่งทำตัวเอื่อยเฉื่อยแบบนี้ได้  ส่วนฝนเองวันนี้มีแค่เป็นพิธีกรที่งานอีเว้นท์ของแบรนด์เครื่องสำอางแบรนด์หนึ่ง มีงานแค่ช่วงเช้าเท่านั้น  ชายหนุ่มมองนาฬิการะหว่างฟังเสียงเจื้อยแจ้วจากคนปลายสายที่พูดนั่นพูดนี่ไปเรื่อยเปื่อย

   คนตัวสูงยิ้มมุมปาก  สำหรับคนอื่นถ้ามาพูดมากแบบนี้มีสิทธิ์โดนตัดสายทิ้งได้ แต่สำหรับฝน...อารัณย์ว่ามันไม่ได้น่ารำคาญเลยสักนิด กลับกันถ้าวันไหนไม่ได้ยินเสียงใสๆเล่านู่นเล่านี่ให้ฟังก็เหงาหูพิลึก

   “โอเค พอแล้วไอ้เด็กช่างพูด หืม อะไร ไม่ได้ตัดบทแต่พ่อพี่ไม่ได้เป็นเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์ครับ พอละ  จะวางแล้ว พิมพ์ส่งมาในไลน์แล้วกัน หึหึ รู้แล้วน่า เดี๋ยวพาไปกินข้าวบ้านไอ้เดือน  โอเคๆ แล้วเจอกัน”

   ปลายนิ้วเรียวกดวางสายเป็นเวลาเดียวกับที่หญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้านพอดี  ทันทีที่หนึ่งในนั้นเห็นเขาเจ้าหล่อนก็ส่งยิ้มให้ เอ่ยทักเสียงแหลม

   “อ้าว น้องรันนี่นา”

   “สวัสดีครับพี่แนน” 

   หญิงสาวเจ้าของชื่อแนนยิ้มหวานหยดให้เขา หย่อนตัวลงนั่งตรงข้าม เอ่ยถามเสียงอ่อนเสียงหวาน “เลิกงานแล้วเหรอจ๊ะน้องรัน”

   “เลิกแล้วครับ”

   อารัณย์ยิ้ม ไม่ได้สนใจอาการเขินอายของหญิงสาวฝั่งตรงข้าม ไอ้ท่าทางแบบนี้เจอมาจนเบื่อแล้ว  สำหรับเขาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นช่างภาพฝีมืออันดับต้นๆ และด้วยรูปร่างหน้าตาที่ถึงบางทีจะเซอร์จนเข้าขั้นโทรมและพัฒนาเป็นโสโครกไปบ้างในบางครั้ง แต่หากวันไหนชายหนุ่มลุกมาแต่งตัว โกนหนวดดีๆ อารัณย์ก็จัดว่าเป็นหนุ่มหล่อหาตัวจับยากคนหนึ่งเลยทีเดียว

   ไม่แปลกหรอกถ้าจะมีสาวๆมองข้ามความซกมกในตัวไปแล้วกล้ามาส่งสายตาให้แบบนี้  อย่างพี่แนน สไตลิสต์คนสวยนี้ก็แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าสนใจเขา  แต่อารัณย์เจอผู้หญิงสวยมาเยอะ เจอคนหน้าตาดีมีเสน่ห์มามาก สำหรับเขาแล้วเดี๋ยวนี้ผู้หญิงก็หน้าตาคล้ายๆกันหมด เรียกว่าสวยแบบพิมพ์นิยมก็ว่าได้  หาตัวคนมีเอกลักษณ์จริงๆแทบไม่เจอ..อารัณย์มองโลกนี้เป็นมุมของศิลปะ  ผลงานที่ออกมาเหมือนๆกันไปหมดมันดึงดูดความสนใจเขาไม่ได้หรอก...ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจะปักใจหรือสานความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนไหน

   “แล้วเสร็จงานแล้วจะไปไหนต่อเหรอจ๊ะ เฮ้อ เสียดายจังที่พี่ยังไม่เสร็จงาน  ไม่งั้นกะว่าจะชวนน้องรันไปทานข้าวด้วยกันซักหน่อย”  หญิงสาวยิ้ม พูดแหย่ทีเล่นทีจริง แต่เน้นหนักไปทางจริงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์

   “ว้า คงไม่ได้หรอกครับ ตอนเย็นผมไม่ออกไปทานข้าวกับที่ไหนหรอกครับ”

   “เอ๋ ทำไมล่ะจ๊ะ”

   “ที่บ้านมี ‘ลูกหมา’ น่ะครับ  มันชอบกินข้าวพร้อมผม  วันไหนไม่อยู่บ้านมันจะไม่ยอมกิน”

   “แหม เสียดายจัง”

   แนนพูดพลางถอนหายใจ มองชายหนุ่มที่ยิ้มสุภาพก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินไปรับกาแฟที่เคาน์เตอร์  สไตลิสต์สาวแสดงท่าทางกระฟัดกระเฟียดทันทีที่อารัณย์ออกไปพ้นตัวร้าน 

   ให้ตาย วันนี้ก็พลาดอีกแล้ว!

   “ทำหน้าแบบนั้นแปลว่าเขาไม่สนมึงอีกแล้วใช่ไหม” เสียงกระเซ้าจากเพื่อนสาวที่เดินถือกาแฟมาให้ยิ่งทำให้แนนหงุดหงิด
หนักกว่าเดิม  หญิงสาวมองเพื่อนตาขวางพลางคว้ากาแฟขึ้นมาจิบแก้เซ็ง

   “เออดิ  แม่ง อะไรวะ อ่อยมาเป็นเดือนๆไม่ยักสนใจ  กูว่าซุกกิ๊กแหง”

   “ก็เป็นได้  หล่อแบบนั้นไม่น่าเหลือว่ะ”

   “โว๊ะ เซ็งชิบ!”

   พอได้ยินคำบ่นนั้นเพื่อนสาวอีกคนก็รีบเข้ามานั่งพลางยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปให้แนนดู “เห็นข่าวนี้แล้วแกอาจจะหายเซ็ง” หญิงสาวกลอกตา “ข่าวอะไรอีกล่ะ  นายแบบโอบเอวผู้ชายกลางห้างอีกหรือไง”  คนสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด  ผู้ชายรักผู้หญิงดีๆไม่ชอบ ดันหันไปกินกันเองเสียอย่างนั้น

   “ไม่ใช่โว้ย  เด็ดกว่านั้น” คำพูดนั้นเรียกความสนใจจากสไตลิสท์สาวได้เป็นอย่างดี  ดวงตากลมจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ หรี่ตาลงเพราะภาพที่เห็นไม่ค่อยชัด แต่พอเพ่งดีๆก็ถึงกับร้องอุทาน

   “เฮ้ย นี่มัน...ไปได้มาจากไหน!”

   “ทำหน้าเหมือนกูตอนรู้เรื่องเปี๊ยบเลย ฮ่าๆๆ ได้มาจากไหนก็ไม่รู้ว่ะ  มันมีคนส่งต่อๆกันมาในกองกูเลยเซฟรูปมา”

   “มึงว่าตัดต่อหรือเปล่า”

   “ไม่รู้ว่ะ แต่เหมือนมาก”

   แนนพยักหน้า พลางจ้องมองภาพที่หล่อนเชื่อว่ากำลังจะเป็นข่าวใหญ่อีกในไม่ช้า

   ภาพของดาราสาวที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้เดินออกจากโรงพยาบาลในชุดคลุมท้อง!



   มื้อเที่ยงของวันนี้พังไม่เป็นท่า

   เดือนเม้มริมฝีปากสีหน้าเครียดอยู่บนโซฟาหลังจากจ้องหน้าจอไอแพดที่กำลังแสดงกระทู้หนึ่งที่แชร์ต่อกันมาในเฟซบุ๊ค  เดือนไม่ได้ใส่ใจเนื้อหา แต่สิ่งที่เขาสนใจคือรูปภาพในนั้นมากกว่า

   รูปของญี่ปุ่นที่อยู่ในชุดคลุมท้องกำลังเดินออกจากโรงพยาบาลคนเดียว

   ประเด็นนี้กำลังเป็นกระแสในโซเชียล ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊คต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์และคาดเดากันไปต่างๆนาๆ และแน่นอนว่าคนที่โดนลากไปเอี่ยวและถูกพาดพิงอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือเขา...แฟนเก่าคนล่าสุดและดูเหมือนจะเป็นคนสุดท้ายของญี่ปุ่นด้วย เพราะหลังจากที่เขาหายเงียบจากวงการไปก็เป็นช่วงเดียวกับที่ญี่ปุ่นไม่รับงานละครแต่ยังรับถ่ายแบบ แต่หลังจากนั้นสามสี่เดือนหญิงสาวก็ค่อยๆหายเงียบไปเช่นเดียวกัน ทำให้หลายคนหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาถกเถียงกันอย่างสนุกปาก

   “รูปภาพเหมือนถูกแอบถ่าย” อารัณย์ที่นั่งหน้าเครียดไม่ต่างกันพูด ชายหนุ่มที่พาฝนมากินข้าวด้วยเป็นคนเห็นรูปนี้ก่อน  เพราะสไตลิสท์ที่บริษัทส่งมาให้ดู  จากนั้นไม่นานกระทู้ก็ถูกตั้งขึ้นและแชร์ออกไปในวงกว้าง “และกูให้เพื่อนช่วยตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่รูปตัดต่อ”

   “แปลว่ามีคนถ่ายได้ตอนญี่ปุ่นออกจากโรงพยาบาลเหรอ”

   “ก็คงอย่างนั้น”

   เดือนกุมขมับ  ตอนนี้ทางต้นสังกัดและครอบครัวของหญิงสาวยังไม่ได้ออกมาพูดอะไร คนก็เดาไปในทางเสียหายแล้ว  ดินที่เห็นท่าทางนั้นลูบไหล่ชายหนุ่มอย่างปลอบโยน  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงฉายประกายมุ่งมั่นและริมฝีปากก็ยังแตะแต้มด้วยรอยยิ้มบาง

   ฝ่ามือเล็กบีบกระชับไหล่คนรักให้รู้เอาไว้...ว่าเขายังอยู่ตรงนี้

   ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองฝนที่มีสีหน้าเคร่งเครียด  ชายหนุ่มผมชมพูจ้องกลับมา ก่อนจะขยับปากเป็นประโยคว่า ‘ฉันก็ไม่รู้ว่าทางนั้นกำลังเล่นอะไร’

   หรือว่านี่จะเป็นการบีบบังคับเดือนของญี่ปุ่น แต่เธอก็ต้องรู้สิว่าทำแบบนี้คนเสียหายคือตัวเอง...คนที่รักตัวเองมากอย่างญี่ปุ่นไม่น่าเอาตัวมาเสี่ยง ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คือการถูกแอบถ่ายจริงๆ...อย่างนั้นหรือ?

   “ข่าวออกมานานหรือยัง” เดือนถามอารัณย์ ซึ่งรีบตอบทันที “ตั้งแต่เมื่อวาน แต่มันเริ่มกระจายๆกันไปก็วันนี้แหละ”

   ตั้งแต่เมื่อวาน...อีกไม่นานทางบริษัทต้องเรียกเขาไปคุยแน่ บางทีอาจจะต้องไปคุยกับทางต้นสังกัดของญี่ปุ่นด้วย 

   ครืด ครืด

   เสียงโทรศัพท์ที่สั่นบนโต๊ะทำให้คนทั้งหมดที่นั่งอยู่สะดุ้ง เดือนรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา คนที่โทรเข้ามาคือผู้จัดการสาวคนเก่งของเขานั่นเอง

   “ว่าไงครับพี่กุ๊ก”

   [เดือน รีบเข้ามาที่บริษัทเดี๋ยวนี้เลย!]

   น้ำเสียงร้อนรนของหญิงสาวเป็นสิ่งที่เดือนไม่ค่อยได้พบบ่อยนัก ปกติกุ๊กจะเยือกเย็นและมีสติอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เสียงของเธอกลับเต็มไปด้วยความตระหนก

   “เกิดอะไรขึ้นครับ!?”

   [คุณชินกรน่ะสิ! บ้าชะมัด เดือนยังไม่ได้เปิดดูข่าวใช่ไหม  รีบเปิดเดี๋ยวนี้เลย เสร็จแล้วเข้ามาที่บริษัทให้เร็วที่สุดเลยนะ]

   กล่าวจบหญิงสาวก็ตัดสายไป ทิ้งให้เดือนงุนงงก่อนชายหนุ่มจะหยิบรีโมตมากดเปิดโทรทัศน์ตามคำสั่งของผู้จัดการ ทันที
ที่ภาพปรากฏนัยน์ตาสีอ่อนก็เบิกกว้าง  บนจอโทรทัศน์ปรากฏภาพหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยกำลังให้สัมภาษณ์กับสื่อทั้งน้ำตา

   ‘น้องญี่ปุ่นมีกำหนดคลอดวันไหนคะ’

   ‘อีกสามสัปดาห์ค่ะ’

   ‘งั้นก็ต้องดูแลตัวเองดีๆแล้วนะคะ  แล้วนี่คิดชื่อลูกไว้หรือยังคะ’

   ‘คิดแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่าพ่อเขาจะชอบไหม’

   มือบางลูบท้องกลมของตัวเองอย่างทะนุถนอม บนริมฝีปากอิ่มแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยเหลือคณานับ  คงเป็นภาพเหมาะให้บรรดาช่างภาพบันทึกเอาไว้ประโคมข่าวให้ใหญ่โต

   ‘คุณพ่อของเด็กคนนี้ได้มาหาน้องญี่ปุ่นบ้างไหมคะ’

   ‘ก็มีบ้างค่ะ...แต่นานๆทีถึงจะยอมกลับมา’

   ‘ตายแล้ว!’ นักข่าวสาวเอามือทาบอก ‘แล้วคุณญี่ปุ่นรู้ไหมคะว่าเขาไปอยู่ที่ไหน’

   ‘พอทราบค่ะ’

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 26-03-2016 21:18:31
        เดือนกำหมัดแน่น  หลายคำถามยังคงถามต่อไปถึงเรื่องเพศของลูก  เรื่องอนาคตและการงาน  ซึ่งหญิงสาวก็ตอบได้อย่างเหมาะสม คงเรียกคะแนนสงสารได้มากโข

   ‘คุณญี่ปุ่นพอจะบอกได้ไหมคะ ว่าใครเป็นคุณพ่อของหนูน้อยคนนี้คะ’

   ‘เรื่องนี้ญี่ปุ่นคงพูดไม่ได้ เพราะเจ้าตัวคงไม่พอใจ แต่ญี่ปุ่นบอกได้แค่ว่าเขาเป็นคนสุดท้ายที่ญี่ปุ่นรัก ถึงเราจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันบ้างแต่หลังจากที่เขาไม่อยู่ ญี่ปุ่นก็ไม่เคยมีใคร จนตอนนี้เขากลับมาแล้ว อะไรที่มันพลาดไปแล้วญี่ปุ่นก็ขอให้เป็นบทเรียนให้กับหลายคน เราจะต้องเดินหน้าและทำอนาคตให้ดี และอยากให้เขาเข้าใจญี่ปุ่นด้วย ว่าที่ญี่ปุ่นทำไปทุกวันนี้เพราะอยากให้ลูกได้เจอหน้าพ่อ’

   หญิงสาวในจอน้ำตาร่วงหล่นช้าๆ เรียกเสียงฮือฮาจากนักข่าวทั้งหลายที่จ่อไมโครโฟนอยู่รอบๆ

   ‘ญี่ปุ่นคิดถึงคุณนะ’

   “โธ่เอ๊ย แม่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แม่ดาราบอบบางน้ำใจงาม!” ฝนโวยเป็นชุด กดปิดทีวีอย่างรวดเร็ว  บนใบหน้าน่ารักเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “น่าจะเอารางวัลนางงามใจแตกแห่งชาติไปครอง”

   “ฝน ไม่เอาน่า อย่าพูดอย่างนั้น” อารัณย์ปรามเมื่ออีกคนเริ่มเสียงดัง  ก่อนจะหันไปถามเดือน  “แล้วมึงจะเอาไง”

   “กูคงต้องเขาบริษัท” เขาว่า หันไปหาดินที่นั่งอยู่ข้างๆ “น้องไปกับพี่นะ” ดวงตาของอีกคนเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ “จะดีเหรอครับ?” ให้เขาไปด้วยแล้วถ้าพวกนักข่าวเห็นมันไม่สร้างปัญหามากกว่าเดิมหรือไง

   “สถานการณ์แบบนี้พี่อยากให้เราเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่น่ะ” ชายหนุ่มตอบ บีบมือเล็กเบาๆ “ไหวไหม?”

   ดินยิ้มให้เดือน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แม้จะแฝงความกังวลไว้แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความเชื่อมั่นที่มี “ทำไมจะไม่พร้อมล่ะครับ  ดินพร้อมเสมอ ไปกันเถอะครับ”

   บริษัทโมเดลลิ่งที่เดือนสังกัดอยู่นั้นเป็นบริษัทที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง  คุณสรัล  ผู้เป็นประธานบริษัทเป็นคนที่มองการณ์ไกลและยังเก่งเรื่องการบริหารเป็นอย่างมาก  อีกทั้งนายแบบนางแบบทุกคนจากบริษัทนี้ก็วางตัวดีไม่ค่อยมีข่าวคาวให้ผู้คนครหา
นินทากันซักเท่าไหร่  อีกทั้งยังมีระเบียบและทุ่มเทกับงานกันทุกคนทำให้บริษัทแห่งนี้ก้าวพ้นปัญหาต่างๆที่เคยประสบมาได้

   สรัลทอดมองเมืองใหญ่ที่วุ่นวายผ่านกระจกของห้องทำงานของตน  โลกสมัยนี้มันหมุนไปไวจนบางครั้งคนเราก็หลงลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป...

   โลกหมุนไปไวมากขึ้น  เทคโนโลยีพัฒนาขึ้น แต่จิตใจคนกลับต่ำตมลงเป็นเพราะเหตุใด

   ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองเป็นล้านครั้ง

   เขาอยู่ในวงการมายา  พบเห็นจิตใจคนมาสารพัดรูปแบบ  บางคนที่ว่าเข้าหายากและไม่ดีกลับเป็นคนดี ส่วนบางคนที่คนทั้งโลกมองว่าดีบางทีอาจแค่สร้างภาพ  เดี๋ยวนี้อำนาจมันไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย...มันรวมอยู่ที่สื่อนี่เอง หากชักนำสื่อได้ ก็ทำให้คนเชื่อได้ และเมื่อใดที่ชักจูงผู้คนได้ ก็จะได้มาซึ่งอำนาจที่จะบันดาลให้ได้ทุกสิ่งตามต้องการ...

    ชายหนุ่มถอนหายใจ ยังคงยืนหันหน้ามองออกไปจวบจนได้ยินเสียงเคาะประตูและเสียงของเลขาคนสนิท เขาจึงอนุญาตให้เข้ามาได้  เมื่อร่างผู้มาเยือนเดินเรียงกันเข้ามาในห้อง สรัลถึงกับต้องยิ้มขมออกมาให้ตัวเอง

   ปัญหาชิ้นโตดาหน้ากันเข้ามาแล้วนั่นไง

   “ว่าไงเจ้าเดือน ไม่เจอกันไม่กี่เดือน  ผิวคล้ำขึ้นเยอะเลยนะ” ชายหนุ่มทักด้วยน้ำเสียงสบายๆ เดือนเองก็ยกมือไหว้เขา ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่พามาด้วย  “ดิน นี่คือคุณสรัล เป็นประธานบริษัทนี้  คุณสรัลครับนี่คือดิน เป็น...”

   “เป็นคนรักนาย ใช่ฉันรู้ กุ๊กบอกแล้ว”

   สรัลเดินไปทิ้งตัวลงที่โซฟาตัวยาวที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ผายมือให้คนที่เหลือทรุดกายลงนั่งตาม  ร่างสูงประสานมือไว้ที่ตักตามความเคยชินแล้วเอ่ยเข้าประเด็นทันที “นายรู้ใช่ไหมว่าฉันเรียกนายมาเพราะญี่ปุ่น”

   “ครับ”

   “ที่ฉันจะบอกนายก็คือ ตอนมีรูปมันหลุดออกมา คุณชินกรก็อยากให้เร่งแถลงข่าวตั้งแต่เมื่อเย็นวาน จะเอาเดี๋ยวนั้นเลยล่ะ แต่ทางเราก็บอกว่าขอเจรจาก่อนเพราะเห็นว่าข่าวมันยังไม่ได้แพร่ไปไว ไม่ใช่เรื่องใหญ่  ตอนแรกจะเรียกนายให้มาด้วยแต่เขาไม่พอใจ  เลยบอกว่าไว้ค่อยกลับมาคุยกันวันนี้ แต่ดูเหมือนมันจะช้าไปสำหรับเขา” ชายหนุ่มยิ้มฝืดออกมาเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ “เลยจัดแถลงข่าวไปแบบไม่ปรึกษาเราสักคำ และนี่คือผลที่เกิดขึ้น”

   หน้าจอไอแพดถูกหันมาทางเดือน บนนั้นปรากฏกระทู้จากเว็บไซต์ดังเว็บหนึ่งโดยหัวข้อคือ

   ‘จากข่าวที่ญี่ปุ่นให้สัมภาษณ์  คิดว่าใครเป็นพ่อเด็กกันคะ'

        ความเห็นที่ 45

   สมาชิกหมายเลข 127988 – มาตามเผือก เกาะขอบจอ

   ความเห็นที่ 67

   แมวเหมียว ห่อตัวเองในเกี๊ยวกุ้ง – โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นคุณ ด. ค่ะ
   
        ความคิดเห็นที่ 68

   สมาชิกหมายเลข 2222 – คิดว่าเป็นคุณ ด. เหมือนกันค่ะ เพราะว่าเป็นแฟนคนล่าสุดของญี่ปุ่นพอดี แถมไม่มีข่าวว่าเลิกกันนะ แค่ข่าวทั้งคู่หายไปเงียบๆอ่ะ   #คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ

   ความคิดเห็นที่ 71
   
        มะนาวมีแต่น้ำ – ถ้าใช่จริงนี่ถือว่าแย่นะ  คือเป็นผู้ชายอ่ะ แมนๆ ทำอะไรก็กล้าทำกล้ารับหน่อยได้ป่ะ  ไม่ใช่ให้ผู้หญิงออกมาพูดฝ่ายเดียวแบบนี้  คือไม่ได้บอกว่าที่ท้องก่อนแต่งมันผิดแค่ฝ่ายชายนะ ตอนทำมันก็น่าจะสมยอมทั้งคู่ แต่แบบ...ทำแล้วไม่กล้ารับอ่ะ ไม่แมนเลยนะตัวเธอ #กล้าทำก็กล้ารับเขาเรียกผู้ชายตัวจริง

   ความที่เห็นที่ 73

   สมาชิกหมายเลข 1733 – มันก็ยังไม่แน่ป่าว คุณ คห.ที่ 71 ข่าวอะไรยังไม่ชัดเจนเลย อย่าเพิ่งด่วนตัดสินสิคะ  อีกอย่างญี่ปุ่นนางก็ไม่ได้มีแค่คุณด. คนเดียวหรือเปล่า  รายชื่อแฟนเก่านี่ยาวยิ่งกว่าตึกเอ็มไพร์ สเตจ

   ความคิดเห็นที่ 91

   สมาชิกหมายเลข 33333 – เราว่าเป็นคุณด. อ่ะ  คงต้องรอนางออกมาแถลงข่าว แต่เอาจริงนะ  ทำก็รับไปเหอะ นั่นลูกนะ  สามัญสำนึกควรมี
   
        ความคิดเห็นที่ 109

   สมาชิกหมายเลข 45798 – คุณความคิดเห็นที่ 91 ตั้งสตินะครับ  ข่าวยังไม่ชัดเจนเลย  คุณด่วนตัดสินคนอื่น ผิดตัวมาจะโดนเหยียบซ้ำนะฮะ นี่เตือนด้วยความหวังดี

   เมื่ออ่านมาถึงความคิดเห็นสุดท้ายชายหนุ่มร่างสูงก็ดันไอแพดคืนให้หัวหน้าของตน  บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความอ่อนล้าและกรุ่นโกรธ  นี่คงเป็นไปตามความต้องการของหญิงสาวคนนั้นแล้วสินะ เอาความเห็นของคนในโลกโซเชียลมาเหยียบย่ำเขา เหมือนเป็นการบีบบังคับเขาทางอ้อมให้ต้องออกไปแสดงความรับผิดชอบ

   แต่เดือนไม่ได้ทำ  ความจริงเป็นยังไงเขารู้แก่ใจดี  และเขาจะไม่ออกไปเล่นตามเกมของผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด

   “ผมจะออกไปให้สัมภาษณ์ครับ  แต่ผมจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำ เพราะมันเป็นความจริง! ผมไม่ได้ทำ ไม่ได้แตะต้องญี่ปุ่นด้วยซ้ำ” คนตัวใหญ่แทบจะผุดลุกออกจากโซฟาไปเขย่าตัวหัวหน้าตน

   “เรื่องนั้นพวกเรารู้” กุ๊กกดไหล่เดือนให้นั่งลงตามเดิม พูดด้วยเสียงอ่อนลงกว่าทุกที “แต่คนภายนอกไม่รู้ ดังนั้นเราต้องหาหลักฐานมายืนยัน” 

   “แต่ก่อนอื่นเดือนต้องเล่าให้เราฟังก่อนว่าทุกอย่างมันเริ่มต้นจากอะไร  ทำไมเขาถึงบอกว่านายเป็นพ่อ” สรัลพูดขึ้น  มองสบตานายแบบหนุ่มที่ถอนหายใจออกมาแรงๆหนึ่งที  เรื่องราวตอนนี้มันคงหนักหน่วงสำหรับนายแบบหนุ่ม สมัยนี้ข่าวสารมันกระจายไปไวจนน่ากลัว ยิ่งตามเว็บไซต์ต่างๆกระแสความคิดเห็นจากผู้คนค่อนข้าง  ทุกความจริงตัดสินเอาตามข่าวที่ได้ฟังมา ทั้งจากโทรทัศน์และในอินเทอร์เน็ต 

   นี่แหละความน่ากลัวที่แท้จริงของสื่อ  เปลี่ยนดำเป็นขาว เปลี่ยนขาวเป็นดำ และทำให้สิ่งที่ดำอยู่แล้วดำมืดยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

        “วันนั้นพวกเราไปที่ผับกันครับ”  เดือนเริ่มขึ้น “เป็นช่วงที่ผมเพิ่งเลิกกับญี่ปุ่นไป พวกเราตัดสินใจเลิกกันแบบเงียบๆเพราะไม่อยากให้เป็นข่าว  ตอนนั้นญี่ปุ่นเองก็เริ่มคบกับดาราอีกคนที่ร่วมงานกันอยู่ในตอนนั้นแล้วด้วย  พอเลิกงานพวกเราก็นัดกันที่ผับ  ผมดื่มไปนิดหน่อยแต่ไม่ได้เมา  ส่วนญี่ปุ่นดื่มหนักมาก เธอบอกว่าทะเลาะกับแฟนมาแล้วก็มาระบายให้ผมฟัง ดื่มหนักจนแทบไม่ไหว สุดท้ายผมก็เลยต้องพาเธอไปส่งที่คอนโด แล้วก็อยู่ช่วยเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เพราะเธออ้วกออกมาเลอะเทอะเต็มไปหมด”

        “เปลี่ยนเสื้อผ้า?”

        “สาบานว่าแค่นั้นครับ ไม่มีอะไรเกินเลยจริงๆ” พอเห็นเดือนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง  สรัลก็พยักหน้ารับ ให้อีกฝ่ายพูดต่อไป
“หลังจากนั้นผมก็โทรบอกเพื่อนของเธอให้มาดูแลเธอเพราะผมต้องกลับบ้าน  จากนั้นผมก็ออกมาเลย ไม่ได้อยู่รอจนเพื่อนเธอมา  จากนั้นพอวันต่อมาญี่ปุ่นก็เงียบหายไปเลย ไม่ติดต่อมาจนกระทั่งวันที่เธอ...มาหาผมแล้วบอกว่าตัวเองท้องนั่นแหละ”

         สิ้นเสียงทุ้มของเดือน ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งสรัลเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเบาๆ ชายหนุ่มผู้เป็นประธานบริษัทยิ้มบางๆให้เดือน “ก็ได้  ถ้าทั้งหมดที่นายเล่าเป็นความจริง  ฉันจะให้นายสัมภาษณ์กับนักข่าวพรุ่งนี้  ตอบทุกอย่างไปตามความจริงนั่นแหละ ไม่ต้องกังวลหรอก”

         “ครับ”

          ฝ่ามือใหญ่ตบหนักๆลงบนบ่าของเดือนเป็นเชิงให้กำลังใจ “นายไม่ต้องกังวลไปหรอก  ความจริงก็คือความจริง  ไม่มีอะไรลบล้างความจริงได้ ส่วนคำโกหก สักวันมันจะย้อนกลับไปทำร้ายตัวคนพูดเอง ยิ่งโกหกมากเท่าไหร่ ความเสียหายก็มากเท่านั้น”  ดวงตาคมกริบมองเขาด้วยสายตาแฝงแววการเตือนเอาไว้ ก่อนชายหนุ่มจะสำทับลงมาอีกประโยค “เพราะฉะนั้นนายก็อย่าได้โกหกล่ะ  ถ้าไม่อยากให้ความเดือดร้อนมันตกใส่ตัวมากกว่านี้”

          “ครับบอส”

           “ดีแล้ว งั้นไปเถอะ ฉันจะโทรไปนัดเวลากับนักข่าว”  พวกเขาล่ำลากันอีกเล็กน้อยก่อนทั้งหมดจะลงลิฟท์มาที่ชั้นล่าง  กุ๊กขอแยกตัวไปจัดการเรื่องนักข่าว  อารัณย์ ฝน เดือน กับดินเลยตกลงกันว่าจะไปที่ร้านอาหารใกล้ๆเพื่อทานข้าว เนื่องจากมื้อเที่ยงที่ผ่านมาไม่มีใครกินอะไรลงสักคน 

       ตลอดทางที่เดิมออกจากบริษัท เดือนพบว่าสายตาของหลายคนพุ่งตรงมาที่พวกเขา บางคนก็ชี้นิ้วแล้วหันไปซุบซิบกันอย่างไร้มารยาท ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดึงรคนผมดำให้มาเดินใกล้ๆ แต่ไม่ได้จูงมือหรือโอบเอวแบบที่เคยทำ 
พวกเขาขับรถตามอารัณย์มาจนกระทั่งมาจอดอยู่ในลานจอดรถของร้านอาหารที่ฝนเลือก ร้านนี้เป็นร้านอาหารเล็กๆตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจ  ผู้คนค่อนข้างบางตาเพราะยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน  ภายในร้านมีแค่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น  ตอนที่พวกเขาเดินเข้าไป หญิงสาวกลุ่มนั้นก็หันมามองก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบกัน แต่เพราะในร้านมันเงียบ เสียงกระซิบจึงหลุดออกมาให้ได้ยิน

        ‘นั่นใช่เดือน รวีกานต์ หรือเปล่าวะแก  ฉันว่าใช่  หน้าอย่างเป๊ะ’

        ‘เออใช่ไง  แล้วคนนั้นที่เดินข้างๆใช่ที่บอกว่าน้องชายบุญธรรมหรือเปล่าวะ หน้าคุ้นๆเหมือนในข่าว’

        ‘ใช่ๆ’

        ‘ต๊าย น่ารักจัง’

        ‘น่ารักแต่แย่งแฟนคนอื่นก็ไม่ดีป่ะแก  คนเขามีลูกมีเมียแล้วนะ  ที่เดือนไม่ออกไปสัมภาษณ์ฉันว่าเพราะเด็กนี่แหละ น้องชายอะไรข้ออ้างป่ะ ลับหลังคงได้กันเป็นสิบท่าละ’

       “อะแฮ่ม” อารัณย์กระแอมเสียงดังจนหญิงสาวกลุ่มนั้นสะดุ้ง ชายหนุ่มผมยาวยิ้มน้อยๆ แต่ยิ้มแค่ที่ปาก ไม่ได้ลามไปถึงดวงตา 

       “ร้านมันเงียบนะครับ จะพูดอะไรเกรงใจหน่อยก็ดี”  ช่างภาพหนุ่มพูดกับหญิงสาวกลุ่มนั้นที่มองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะรีบคว้ากระเป๋าเงินมาจ่ายค่าอาหารแล้วเดินออกจากร้านไป  รันที่มองตามหลังคนกลุ่มนั้นพ่นลมหายใจออกมา ส่ายหัวน้อยๆ “คนสมัยนี้ไม่มีความเกรงใจกันเลยจริงๆ คิดจะซุบซิบก็ทำต่อหน้าเลยแบบนี้เรอะ”

      พวกเขาเลือกที่นั่งชิดผนังที่แขวนกรอบรูปเอาไว้มากมาย  เดือนยกหน้าที่สั่งอาหารให้อารัณย์กับฝนจัดการ เขาเลื่อนมือมากุมมือน้องชายต่างสายเลือด พลางถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ดินไม่เป็นไรใช่ไหม”

      “ไม่เป็นไรครับ” ดินยิ้ม “คนที่จะเป็นน่ะพี่ต่างหาก  ทำหน้าเครียดมาตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วนะ เลิกขมวดคิ้วสักที” ว่าพลางยื่นนิ้วไปจิ้มที่หว่างคิ้วอีกคนให้คลายออก  เดือนดึงมือดินลงมาแนบแก้มของตน ถอนใจออกมาด้วยสีหน้าอ่อนล้า  พอเห็นดังนั้นคนผมดำก็ดึงแก้วเดือนจนยืด  แสร้งเอ่ยเสียงเข้ม

        “ซอมบี้หน้าเครียดตัวนี้มากจากไหน  คืนพี่เดือนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ พี่เดือนที่ไร้สาระ ไม่มีสติ ปัญญาอ่อน เล่นมุขแป้กตลอดแต่ก็มองโลกในแง่ดีโคตรๆนั่นอ่ะ คายออกมาให้ดินเดี๋ยวนี้เลลยนะครับ” ไม่ว่าเปล่า พูดไปหนีบแก้มเขาจนยืดแล้วส่ายไปมาอีกต่างหาก เดือนที่เจ็บจนน้ำตาเล็ดต้องรีบดึงมือคนรักออก  “โอ๊ย เจ็บๆ ยอมแล้วครับยอมแล้ว โอย เมียใจร้ายเป็นบ้า”

        “ใครเป็นเมีย พูดให้ดีๆนะครับ”

        “อยู่บนเตียง ใครอยู่ล่างคนนั้นก็เมียนั่นแหละ”

        “เอ่อ กูไม่ได้ตั้งใจจะขัดนะ แต่กูจะบอกว่าอาหารมาแล้ว” อารัณย์คิ้วกระตุก ใช้ส้นเท้าขยี้ตีนเพื่อนรักด้วยความรักจากใจ  ให้ตายเหอะ เมื่อไหร่แม่งจะเลิกทำเหมือนโลกนี้มีตัวเองแค่สองคนวะ! กูกับฝนนั่งหัวโด่อยู่นี่ ไม่สังเกตกูก็สังเกตหัวสีนมเย็นของไอ้ฝนมันหน่อย

        ดูเหมือนว่าคำพูดของดินจะช่วยกระตุ้นให้เดือนฟื้นคืนชีพได้ดีพอสมควร เพราะในที่สุดนายรวีกานต์คนเดิมก็กลับมาพร้อมกับความปั่นป่วนระหว่างการทานอาหาร

       “น้องดินแกะปลาให้พี่หน่อย”

       “มีมือไหมครับ พิการเหรอ?”

       “อยากให้เมียแกะให้”

        เดือนตอบกลับยิ้มๆ ประโยคสั้นๆแต่ทำให้ดินหน้าแดงก่ำ ตวัดตามองคนพูดแบบดุๆ แต่ก็ยังแกะเนื้อปลาชิ้นโตโยนใส่จานให้  เดือนหัวเราะในลำคอ แกล้งส่งจูบไปให้แต่ก็โดนคนผมดำเบี่ยงตัวหลบ  อารัณย์ส่ายหน้ากับคู่รักปัญญาอ่อน  ไอ้ปัญญาอ่อนนี่ไอ้เดือนคนเดียวนะ  น้องดินนี่ถือว่าเคราะห์กรรมมันนำพาแล้วกัน

       หนุ่มผมยาวตักกุ้งตัวโตในจานกับข้าวไปวางลงบนจานข้าวคนผมชมพูก่อนจะได้รับของตอบแทนเป็นเนื้อหมูอีกสามชิ้น
แล้วทั้งคู่ก็นั่งกินข้าวกันไปเงียบๆพลางฟังเสียงโวยวายจากคู่รักข้างๆไปด้วยจนกระทั่งจบมื้ออาหาร

       พอตกเย็น คุณนายกิ่งแก้วก็พาพ่อกับแม่เขากลับบ้าน ไม่นานกฤตกับผึ้งและเด็กแฝดก็ตามมา  เดือนจึงเล่าเรื่องการให้สัมภาษณ์พรุ่งนี้ให้ฟัง แน่นอนว่าพี่ชายของเขาต้องออกความเห็นอย่างดุเดือดก่อนปิดท้ายด้วยประโยคที่ว่า “ที่ทำงานกูเขาก็พูดกันให้แซ่ดว่ามึงเป็นพ่อเด็ก  แต่พอดีกูเป็นหัวหน้าแผนกไง  ใครพูดมากขู่ตัดเงินเดือนแม่งให้หมด”

       เดือนหัวเราะขำ กำลังใจจากคนรัก เพื่อน และครอบครัวเริ่มทำให้เขาเหมือนคนตกน้ำแล้วมีขอนไม้มาให้เกาะลอยคอ ต่างจากตอนแรกที่เขารู้เรื่องนี้ ความรู้สึกมันเหมือนคนจมน้ำไม่ผิด ทั้งอึดอัดทั้งโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้  จะบอกให้ไปเอาเด็กออกก็ดูเลวเกินไป  เขาไม่สามารถฆ่าเด็กที่บริสุทธิ์และไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเองได้ ดังนั้นเดือนจึงเลือกที่จะหนีไปเงียบๆ แต่ตอนนี้มันหมดเวลาหนีสำหรับเขาแล้ว ถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ตัวเองเสียที

        นายแบบหนุ่มล้มตัวลงบนเตียง นอนรอคนรักอาบน้ำ ระหว่างนั้นเขาก็คว้าหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ เดี๋ยวนี้เดือนไม่ค่อยชอบเล่นโทรศัพท์แล้ว  เขารู้สึกว่าหลังจากมีรูปหลุดเขาแล้วก็มีแต่กระทู้แย่ๆเกี่ยวกับตัวเขาเกลื่อนเต็มไปหมด ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะแตะโทรศัพท์เท่าไหร่

        เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังถี่จนเดือนทนไม่ไหว เขาเปิดให้ไลน์ที่แจ้งเตือนมีแค่ของฝนกับอารัณย์  นอกนั้นชายหนุ่มก็ปิดการแจ้งเตือนไว้  แม้แต่น้องปราณที่ทักมาตั้งแต่ตอนเห็นรูปหลุดเขากับดิน เดือนก็ยังไม่ได้เข้าไปตอบ
คนที่ส่งไลน์มาหาคือฝน เดือนกดเข้าไปดูก็พบว่าเป็นรูปภาพที่ถูกแคปมาจากอินสตาแกรมของญี่ปุ่น

        หญิงสาวคนนั้นโพสรูปรอยสักพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเล็กๆที่บริเวณข้อมือตัวเอง   เดือนจำได้ว่าญี่ปุ่นแอบไปสักมาแล้วเอามาอวดเขา ตอนนั้นเขาบ่นหญิงสาวไปนิดหน่อยที่ไปทำให้ผิวขาวๆของตัวเองมีรอยเสียได้ 

         เดือนเลื่อนมาอ่านข้อความใต้ภาพ พลันรู้สึกเหมือนถูกตบจนหน้าชา  ความตกใจลามไปทั่วร่างกาย เมื่อเห็นข้อความที่ญี่ปุ่นโพสท์

         ‘กลับมาหาบ้างนะ ญี่ปุ่นกับลูกคิดถึงคุณ’

         มันจะสื่อถึงใครถ้าไม่ใช่เขา!  รอยสักรูปพระจันทร์ที่เหมือนกับชื่อของเขา...

         ฝนยังคงส่งรูปมาให้อย่างต่อเนื่อง เป็นรูปคอมเม้นท์ที่มาโพสท์ไว้ใต้ภาพนั้น

         Sss – นี่โพสท์ถึงพ่อเด็กใช่ไหมคะเนี่ย เริ่มรู้แล้วว่าใคร  ใช่อย่างที่คิดจริงๆด้วย

         Jinjj – ใช่คนที่เราก็รู้ว่าใคร ป่านนี้ยังไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย เพลียใจจริงๆ

         Kalashalala – สู้ๆนะคะ คุณญี่ปุ่น  ต้องเข้มแข็งเพื่อลูกนะคะ  ผู้ชายแย่ๆก็ขอให้กรรมมันตามทัน

         Mimi – คุณแม่มือใหม่สู้ๆ ตั้งชื่อลูกไว้หรือยังเอ่ย

         Japankawaii – @Kalashalala ตั้งแล้วค่ะ  ตั้งว่าน้องอาทิตย์ จะได้คล้องกับชื่อพ่อ ;)

          “เวรเอ๊ย!” ชายหนุ่มเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนเตียง โกรธจนตัวสั่น  คำด่ามากมายที่ผู้คนพิมพ์ลงไปทั้งที่ไม่รู้ความจริงอะไรสักนิดทำให้เขาโกรธ  เดือนทิ้งตัวลงบนเตียง พยายามข่มความรู้สึกท้อแท้เอาไว้  เขายังคงหลับตาแม้จะรู้สึกได้ถึงเตียงอีกฝั่งที่ยวบลงไป
   
           “พี่เดือน” ดินกระซิบเรียกคนรักแผ่วเบา ด้วยกลัวว่าหากอีกฝ่ายหลับไปแล้วจะเป็นการไปรบกวน  มือเรียวลูบผมของชายหนุ่มเบาๆก่อนริมฝีปากอุ่นจะแตะลงที่แก้มของเดือน ดินรู้ว่าเดือนเหนื่อยกับเรื่องทั้งหมดที่โถมเข้ามาราวกับพายุ มันคงเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับโลกทั้งโลกหันหลังให้เรา  ก่นด่าเรา ทั้งที่ความจริงแล้วเราไม่ใช่คนผิด
   
           “แต่ต่อให้คนทั้งโลกทิ้งพี่ ดินก็จะไม่ทิ้งพี่” เขากระซิบ นั่นคือคำสัญญาที่ดินบอกกับตัวเองในวันที่เขาค้นพบว่าตนตกหลุมรักคนตรงหน้าจนหมดใจ  คุณไม่ปล่อยมือจากผม ผมก็จะไม่มีหันหลังให้คุณ ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกก็ตาม
   
          เพราะในตอนนี้นอกจากครอบครัวแล้ว คนที่ดินสามารถให้ความรักได้ ก็คือเดือนเท่านั้น
   
          หมับ
   
          ชายหนุ่มผมดำตกใจจนร้องอุทานออกมาเมื่อจู่ๆคนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมา ตวัดแขนรั้งตัวเขาไปกอดแน่น
   
           “พี่เดือน ดินหายใจไม่ออกนะ”  ดินประท้วง ทุบไหล่คนตัวโต ตัวก็ใหญ่อย่างงกับหมี  กอดทีเขานึกว่ากระดูกจะหักซะแล้ว  แต่เดือนกลับไปยอมคลายอ้อมกอด ชายหนุ่มซบศีรษะลงกับไหล่เล็กบอบบาง เมื่อเห็นท่าทีนั้นร่างเล็กก็หยุดทุบไหล่ แล้วเปลี่ยนเป็นวาดแขนกอดตอบชายหนุ่ม
   
        “เป็นอะไรครับ”
   
        “พี่ขอโทษนะดิน”
   
         “ไม่เป็นไรครับ” ดินตอบรับ เขาพอจะรู้ว่าเดือนขอโทษเรื่องอะไร  ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยาก...ทำให้ตัวเขาต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ
   
         “ดินรักพี่นะ”
   
           ไม่มีคำตอบกลับมา มีเพียงริมฝีปากแตะอย่างแผ่วเบาที่ขมับและพวงแก้มของเขา ก่อนที่เดือนจะกลับไปซบไหล่เขาต่อ  ดินเองก็ไม่ได้พูดปลอบใจ เขาทำเพียงแค่ซุกกายไปในอ้อมกอดของเดือน ปล่อยให้ความเงียบส่งผ่านความในใจระหว่างกัน...
   
            ในขณะนั้นไหล่บอบบางของเขาก็กำลังทำหน้าที่รองรับน้ำตาของคนรัก...ดินลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีอ่อนเบาๆ ระหว่างที่แบ่งเบาความทุกข์ของเดือนมาสู่บ่าทั้งสองของตน

***************************************************

สวัสดีค่าาาาา กลับมาอัพให้แล้วค่ะ  ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ? #ไวไวครึ่งชามก็พอ
ตอนที่เขียนเรากลัวว่ามันจะไม่ค่อยพีค กังวลมากๆกับฉากพวกนี้
เพราะเวลาเขียนดราม่าเราจะเขียนเน้นไปที่การทำลายความรู้สึกตัวละคร
แล้วมันอาจจะออกมาไม่ค่อยโอเคหรือมันอาจจะไม่ได้เล่นใหญ่อะไร
ถ้าอ่านแล้วขัดๆหรือรู้สึกว่าควรจะปรับแก้ตรงไหนบอกได้เลยนะคะ  :hao5: :hao5:

เขียนตอนนี้ก็สงสารพี่เดือนนะ นางร้องไห้อ่ะ! โฮววว :ling3:
แต่สิ่งที่เราเขียนลงไปเราว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมนะ
บางข่าวคนรับก็ถูกการเขียนข่าวที่ตัดทอนข้อมูลหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลหลอก
บางคนไม่ได้อ่านเนื้อหามากก็ง้างมาแต่ไกลเตรียมสาดเปลือกไข่และเปลือกมังคุดแล้ว
รู้สึกเหมือนฝูงซอมบี้รุมกินโต๊ะเหยื่อเลยบางที คือโหดมาก(-_- ;;;)
เพราะงั้นสิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่ทั้งหมดหรือความจริงที่แท้ก็ได้เนอะ  เพราะงั้นเราก็มาเอาช่วยพี่เดือนกันต่อเถอะค่ะ!

ปล. #ทีมถีบญี่ปุ่น  ต้องได้กำลังรบมาเพิ่มอีกเยอะแน่ๆ ตอนนี้นางเล่นใหญ่พอดู 5555
ตอนต่อไปอาจจะเอามาลงให้พรุ่งนี้ค่ะ ถ้าไม่มีเหตุให้ต้องออกท่องเที่ยวจากบ้านซะก่อนนะคะ
เอาเป็นว่าพบกันตอนหน้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจค่ะ จุ๊บ #จบเถอะทอล์คยาวมาก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-03-2016 22:28:05
นังญป

ตกลงใครพ่อจริงๆ โอ้ยยยย ฝนบอกหน่อยเถอะะะะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-03-2016 22:33:47
โอ้ยย เดือนใจเเข็งไว้นะ
อย่าร้อน ตัวเองไม่ผิด อย่าไปยอมรับ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 27-03-2016 01:26:12
เอาใจช่วยพี่เดือนเต็มที่เลยค่ะ มีน้องดินเป็นกำลังใจที่ดีด้วย ^^
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 27-03-2016 08:39:53
อยากได้เดือนขนาดนั้นเลยรึยัยผีญี่ปุ่น  :z6: อ้าวลืมไปว่าคนท้อง :z2: พึ่เดือนสู้ๆนะ มีน้องดินเป็นกำลังใจแรงขนาดนี้เด๋วมันก็ผ่านไปได้ :call:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 27-03-2016 10:45:25
พี่เดือนเคยปลอบน้องดินไปแล้ว คราวนี้น้องดินเป็นคนปลอบพี่เดือนบ้าง คู่นี้เค้าน่ารักอ่ะ ผลัดกันดูแลใจกัน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-03-2016 11:52:31
อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆจังค่ะ ตอนนี้มั่นใจว่าพ่อที่แท้จริงของลูกญี่ปุ่นต้องไม่ออกมาแสดงตัวแน่ (จะรู้หรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าตัวเองไข่ทิ้งไว้) คงต้องรอให้คลอดลูกแล้วตรวจดีเอ็นเอสินะ ไม่เป็นไรนะพี่เดือนอีกไม่นานก็คงคลอดแล้ว อย่าไปสนใจสายตาคนอื่นสิ ที่ควรสนใจน่ะคือคนในครอบครัวและคนที่หวังดี (ซึ่งทุกคนก็เข้าใจพี่เดือนนะ)
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-03-2016 14:31:52
 :pig4 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๓ ไฟลามทุ่ง {๒๖.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-03-2016 18:03:40
ไล่อ่านหลายตอนอย่างยาวเลย แอบกลัวอยู่ตลอดว่าดราม่าฝั่งเดือนคืออะไร มาเจออย่างนึ้แล้วอยากกระทืบคนท้องจริงๆ ทีองใกล้คลอดแล้วสามารถตรวจเลือดได้ไม่ใช่หรือ เอาใบมายืนยันอีกแรงเลย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 27-03-2016 20:20:22
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๒๔
จนมุม



         เดือนมีนัดสัมภาษณ์กับนักข่าวตอนบ่ายโมง  ชายหนุ่มถูกดินคะยั้นคะยอให้กินอาหารแต่ความกังวลก็ถมทับจนเขากินอะไรไม่ลง สุดท้ายดินก็ยอมแพ้  ก่อนออกจากบ้านเดือนก็เข้ามาย้ำกับเขาว่าไม่ต้องไปเปิดอ่านข้อความอะไรในเฟซบุ๊คทั้งนั้น ปิดโทรศัพท์ไปเลยยิ่งดี   ซึ่งดินก็รับปากว่าจะยอมทำตาม เดือนถึงออกจากบ้านไปอย่างวางใจ
   
         เดือนเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมาก็หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเป็นกังวลเท่าครั้งนี้ อารัณย์ที่รับหน้าที่เป็นสารถีให้ตบบ่าชายหนุ่มอย่างให้กำลังใจ  ดวงตาคมจ้องมองตัวเลขนับถอยหลังของไฟแดงพลางพูด 
   
          “มึงไม่ต้องห่วงนะ อย่างที่บอสบอกนั่นแหละ ไม่มีอะไรลบล้างความจริงได้”
   
         “แต่มันก็ไม่แน่หรอกนะมึง  บางทีแค่กระแสของสื่อกับความเชื่อของคน ก็เปลี่ยนดำให้เป็นขาวได้แล้ว”
   
          เดือนพูดลอยๆ เขานอนคิดเรื่องบทสัมภาษณ์มาทั้งคืน...กลัวไปต่างๆนาๆ   ถ้าหากสุดท้ายเขาต้องกลับไปรับผิดชอบทั้งญี่ปุ่นและลูก แล้วดินล่ะ? น้องจะถูกมองด้วยสายตามุ่งร้าย ต้องเจอคำด่ากระทบเทียบในฐานะคนที่เป็น ‘ชู้’ ขนาดไหน
   
           อีกอย่างถ้าเขาไป  ดินต้องร้องไห้แน่ๆ คนตัวเล็กของเขาจะต้องพังลงไปอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
   
            โธ่เว้ย! ทำไมเรื่องบ้าๆพวกนี้ต้องเกิดขึ้นกับเขาด้วยวะ!
   
          ในที่สุดรถยนต์ก็มาจอดที่หน้าบริษัท  เดือนกำลังจะเปิดประตูลงแต่กลับถูกรั้งเอาไว้ก่อน  “เดี๋ยว ไอ้เดือน” อารัณย์เรียกเขา  เดือนจึงหันกลับไปมอง “อย่างที่บอสบอก  พูดแต่ความจริง โกหกไปมันมีแต่จะทำร้ายตัวเอง เข้าใจไหม”
   
           “อืม...กูเข้าใจ”
   
           “สู้ๆเว้ย นึกอะไรไม่ออกก็นึกหน้าเมียมึงไว้”
   
            “อย่าหยาบคาย”
   
             อารัณย์ลอยหน้าลอยตา ตบหัวเพื่อนไปแรงๆหนึ่งที “แหม ทีตัวเองล่ะเรียกได้ ทีกูเรียกมาว่าหยาบคาย”
   
             “เอ้า ก็คนของกู กูเรียกได้คนเดียว”

             ช่างภาพหนุ่มเบะปาก  ตบหัวเพื่อรอีกหนึ่งทีก่อนจะไล่มันลงจากรถแล้ววนไปหาที่จอดรถ
   
            เดือนสูดลมหายใจลึกๆเรียกความกล้าก่อนก้าวเข้าไปในบริษัท ทันทีที่ก้าวเข้าไป  สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เขาพร้อมกับเสียงซุบซิบ  เดือนแสร้งทำเมิน ชายหนุ่มรีบตรงไปกดลิฟท์แล้วรีบเข้าไป  พอประตูลิฟท์ปิด กล่องเหล็กก็พาเขาเคลื่อนที่ไปยังชั้นเป้าหมาย ร่างสูงถอนหายใจออกมา  สายตาพวกนั้นเต็มไปด้วยการตำหนิและความไม่พอใจ ประหนึ่งเขาเอาส้นเท้าไปขยี้หัวแม่เท้าคนแถวนั้นเข้าอย่างนั้นแหละ
   
            อึดอัดเป็นบ้า
   
           ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้า  สรัลที่รออยู่แล้วพยักหน้าให้เขา บอกให้นั่งรอที่โซฟาสักครู่  ก่อนที่กุ๊กจะเอาสคริปต์คำถามที่น่าจะถูกถามมาให้เขาดู  ดวงตาคมมองสคริปต์ไปเหลือบมองนาฬิกาไป ยิ่งใกล้เวลาสัมภาษณ์เขาก็ยิ่งประสาทเสีย
   
           ในที่สุดก็ถึงเวลาที่นัดหมาย  เดือนเดินออกไปพร้อมกุ๊กและสรัล  สถานที่ที่เตรียมไว้มีนักข่าวมารออยู่ก่อนแล้ว  แสงแฟลชวูบวาบและไมโครโฟนที่จ่อจนแทบจะทิ่มตาเป็นสิ่งที่เดือนคุ้นชินมาตลอด แต่วันนี้เขากลับรู้สึกเหมือนย้อนไปวันแรกที่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ
   
           “ใจเย็นๆ” กุ๊กกระซิบบอกเขา  หญิงสาวส่งกำลังใจมาให้ผ่านรอยยิ้ม “เมื่อกี้น้องดินไลน์มาหาพี่  บอกว่าให้พี่เดือนใจเย็นๆแล้วก็สู้ๆ”
   
           พอได้ฟังประโยคนี้เดือนก็ยิ้มออกมา  ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆประธานบริษัท  หลังจากนั้นการสัมภาษณ์อันดุเดือดก็เริ่มต้นขึ้น  ในตอนแรกสรัลจะเป็นคนตอบคำถามให้  จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกุ๊ก ผู้จัดการสาว  จากนั้นเมื่อคำถามวกมาถึงเรื่องที่ญี่ปุ่นโพสท์รอยสักลงอินสตาแกรมเมื่อคืน เดือนจึงได้ตอบคำถาม
   
           “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการอะไร แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือผมไม่ใช่พ่อของเด็ก  ตลอดเวลาที่เกิดเรื่อง ผมไม่สามารถเรียกร้องสิทธิอะไรได้เลย  ทุกอย่างยังไม่มีความชัดเจน  ทุกคนโยงเรื่องเข้าหาผมเพราะผมคือแฟนเก่าคนล่าสุดของเธอ  แต่ผมอยากจะบอกว่าพวกเราจบกันก่อนเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว และผมก็ไม่ได้แตะต้องเธออีกเลย”
   
           “คุณจะบอกว่า ไม่มีแม้แต่การพบหน้ากันอย่างนั้นเหรอคะ แต่มีคนบอกว่าเห็นพวกคุณที่ผับ แล้วก็เห็นคุณกลับออกไปกับคุณญี่ปุ่นด้วย”
   
          “ใช่ครับ ไม่ได้มีแค่ผมแต่มีกลุ่มเพื่อนของญี่ปุ่นด้วย วันนั้นเพื่อนเธอฝากให้ผมไปส่งเธอที่คอนโดครับ”
   
          “คุณก็แค่ไปส่งเหรอครับ”
   
          “ใช่ครับ” เดือนตอบ ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจคำถามนี้ขึ้นมา พูดเหมือนกับว่าพอขึ้นห้องหญิงสาวแล้วเขาจะต้องจับเธอปล้ำอย่างนั้นแหละ
   
            “แล้วถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าใครคือพ่อเด็กคะ”
   
            “เรื่องนี้ผมไม่ทราบครับ  แต่ถ้าอยากให้อะไรชัดเจนผมก็อยากให้มีการตรวจดีเอ็นเอครับ หากผมเป็นพ่อเด็กจริงผมก็จะยอมรับผิดชอบ แต่ในเมื่อผมไม่ใช่ ผมก็คงจะไม่ทนอยู่เฉยๆแน่ครับ  หลายคนอาจจะด่าผมนะว่าเป็นผู้ชายแล้วออกมาว่าผู้หญิงเสียๆหายๆ แต่ขอโทษนะครับ คนเสียหายก็ผมเหมือนกัน แต่จะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ มีเรื่องแบบนี้มา คนผิด คนโดนด่า มันก็ผู้ชายซะส่วนใหญ่ พูดไปก็หาว่าแก้ตัว ดังนั้นผมอยากให้ทางฝ่ายหญิงเขายอมให้ตรวจดีเอ็นเอหลังลูกเกิดครับ  พิสูจน์กันไปเลย ผมพร้อมเสมอ ผมอยากให้ทุกอย่างมันได้รับการพิสูจน์อย่าง ‘ถูกต้อง’ แล้ว ‘ใสสะอาด’ ไม่ใช่กลายเป็นว่าทุกคนคิดว่าผมผิดเพราะฟังความข้างเดียวและไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกผม” เดือนพูด พยายามระงับอารมณ์ไม่ให้ปะทุขึ้นมา “ถ้าหากเด็กคลอดออกมาแล้ว และญี่ปุ่นยังคงยืนยันว่าผมเป็นพ่อเด็ก ผมก็คงต้องขอตรวจดีเอ็นเอครับ”
   
            หลังจบประโยคนั้นบรรดานักข่าวก็ระดมยิงคำถามกันเซ็งแซ่ แต่กุ๊กแตะหลังเดือนเป็นเชิงให้ลุกขึ้น  ชายหนุ่มก้มหัวให้บรรดานักข่าวแล้วเดินตามท่านประธานของตนออกไป เป็นอันจบการสัมภาษณ์  ทันทีที่พ้นจากบรรดานักข่าวเดือนก็พรูลมหายใจออกมา  ชายหนุ่มหันไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่คอยช่วยเหลือเขา
   
            “ไม่เป็นไรหรอก นายเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวจะให้กุ๊กโทรเรียกแล้วกัน” คุณสรัลหันมาบอก เดือนจึงพยักหน้าตกลง  ชายหนุ่มลงลิฟท์แล้วออกไปอีกประตูหนึ่งไปโผล่ทางด้านหลังของบริษัท จากนั้นก็โทรหาอารัณย์เพื่อให้มารับเขากลับบ้าน
   
             ทันทีที่มาถึงบ้านคนที่ออกมารับเขาก่อนใครคือแม่มะลิ เดือนกอดร่างบอบบางของแม่แน่น หญิงสาวลูบหลังลูบไหล่เขาพลางเอ่ย “เก่งมากลูก พยายามได้ดีมากนะ”
   
            “ขอบคุณครับ”
   
            คุณอัลเฟรดส่งยิ้มให้ลูกชาย ตบไหล่เบาๆก่อนจะเดินนำเข้าไปในครัว ดินที่นั่งซุกกายอยู่บนโซฟาหันขวับมามองเขาทันที เดือนยิ้มกว้างให้คนรัก เดินเข้าไปหาพลางกางแขนออกกว้างให้คนตัวเล็กเดินเข้ามากอด  เดือนกระชับอ้อมกอด กระซิบถาม “ดูอยู่หรือเปล่า”
   
            “ดูครับ...พี่เดือน จากนี้มันจะมีปัญหาตามมาอีกหรือเปล่า”
   
            “ก็คงมี แต่ไม่เป็นไรหรอก  ยังไงความจริงมันก็ต้องเปิดเผยเข้าสักวัน น้องไม่ต้องห่วงหรอก”
   
            เขาทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอการพิสูจน์เท่านั้น

   
            Japan    Malika

            ‘ไม่อยากยอมรับก็บอกมาตรงๆ ทำไมต้องพูดเหมือนว่าเราไปมั่วกับหลายคนด้วย ทั้งที่เราก็มีแค่เขาคนเดียว’
   
           6,759 คน ถูกใจสิ่งนี้                  258 ความคิดเห็น  1,444 แชร์
   

            เดือนมองข้อความที่ถูกโพสท์ลงเฟซบุ๊คเมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้วด้วยดวงตานิ่งสนิท  มันเป็นโพสท์ของญี่ปุ่นที่ถูกแชร์มาที่หน้าไทม์ไลน์ของเดือนพร้อมกับประโยคที่ว่า 
   
           ‘กล้าทำก็ต้องกล้ารับนะครับ’
   
           เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่ทำจะสื่ออะไร ชายหนุ่มกดเข้าไปดูคอมเม้นท์ต่างๆ มีทั้งเห็นด้วยกับเขาเรื่องตรวจดีเอ็นเอและด่าเขาเสียยับเยินชนิดแช่งให้ตายเพราะรกโลกก็มี  ชายหนุ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ถูกเกลียดนักหนา ทั้งที่ไม่ใช่คนผิดเลยแม้แต่น้อย หลายคอมเม้นท์ให้กำลังญี่ปุ่นและบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชายพอ   หนึ่งในนั้นมีคอมเม้นท์ที่บอกว่าคนแบบเขาไม่สมควรจะเอามาเป็นสามี เพราะสงสารเด็กที่จะมาเป็นลูก
   
            ‘ลองผู้ชายมันพูดแบบนี้แปลว่ายังไงมันก็ไม่เอาแล้วค่ะ  ช่างเถอะค่ะน้องญี่ปุ่น  น้องเก่งแล้วก็น่ารักมากอยู่แล้ว ยังไงก็ดูแลลูกให้ดีได้แน่  อย่าไปสนใจผู้ชายแบบนั้น มีพ่อแย่ๆอย่ามีเลยดีกว่าค่ะ’
   
            ‘ตรวจเลยค่ะ  ตอกกลับให้หน้าหงาย พิสูจน์เลยว่าเราบริสุทธิ์’
   
           เหอะ ไอ้รวีกานต์อยากจะหัวเราะให้ฟันหลุดหมดปาก 
   
          แค่เรียกร้องสิทธิแล้วก็ความชอบธรรมของตัวเองนี่กลายเป็นว่าเขาสันดานแย่เกินไปซะอย่างนั้น?
   
          ชายหนุ่มโยนโทรศัพท์ทิ้ง ตั้งใจจะเดินลงไปข้างล่าง ช่วยแม่แก้วรดน้ำต้นไม้  อย่างน้อยหาอะไรทำจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่าน  เหลืออีกประมาณสองสัปดาห์ญี่ปุ่นก็จะถึงกำหนดคลอดแล้ว พอถึงเวลานั้นก็จะสามารถตรวจดีเอ็นเอได้
   
           เดือนเดินออกนอกบ้าน ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนบันไดทางขึ้นบ้าน ดวงตาคมทอดมองอย่างอ่อนโยนไปที่เด็กน้อยซึ่งกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ด้านล่าง  ดินที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ไกลเองก็คอยดูแล  ชายหนุ่มผมดำหัวเราะจนตาหยีเมื่อเห็นเด็กน้อยทำท่าทางตลกๆ    
   
           ร่างสูงอมยิ้มมองคนร่างเล็กหยอกล้อเล่นกับเด็กน้อย ดินดูท่าทางมีความสุขจนชายหนุ่มอดยิ้มตามไม่ได้  ถ้าหากว่า...ถ้าพ้นเรื่องแย่ๆทั้งหมดนี่ไปได้เมื่อไหร่ บางทีเขาอาจจะรับเด็กมาเลี้ยงสักคน  ดินเองก็ดูจะชอบเด็กมาก  พี่ผึ้งยังเคยเปรยๆกับเขาเลยว่าถ้าดินเป็นผู้หญิงคงเป็นคุณแม่ที่ดีมากแน่ๆ
   
           แต่ไม่ต้องเป็นผู้หญิงก็เป็นแม่ที่ดีได้เหมือนกันล่ะน่า
   
        เดือนโบกมือให้ดาวก่อนจะเดินลงบันไดไปตามคำเรียกของหลานๆ เจ้าหนูทั้งสองโถมตัวเข้าใส่เขา หอมแก้มซ้ายขวาแบบที่ชอบทำ ก่อนหนูดาวจะตะกายมาปีนหลัง  ส่วนตะวันก็วิ่งไปมาอยู่รอบๆ ดินปิดน้ำ ม้วนสายยางเก็บให้เข้าที่แล้วเดินมาอุ้มหนูดาวให้ลงยืน 
   
           “เอ้าเด็กๆ ไปล้างมือกันก่อนนะ เดี๋ยวเข้าบ้านแล้วพี่จะเตรียมขนมมาให้”
   
           “คร้าบ / ค่า”
   
            เสียงใสร้องประสานกันก่อนเด็กทั้งคู่จะวิ่งขึ้นบ้าน เดือนเลยได้โอกาสกระแซะแฟนตัวเอง “แล้วมีขนมเตรียมไว้ให้พี่ไหม”
   
           “เป็นเด็กโค่งเหรอครับพี่ โตแล้วก็หากินเองสิครับ”
   
           “ใจร้ายว่ะน้อง ใจดีแต่กับเด็ก ทีกับแฟนนี่ใจร้ายเป็นบ้า”
   
            ดินหรี่ตาลง  อมยิ้มมองอีกคนที่ทำท่าแง่งอนได้...น่ากระทืบให้ตาย
   
            นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนไม่ถูกกันนี่ด่ายับไปแล้ว
   
            “ครับ งั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องมากอด ไม่ต้องมาหอม ไม่ต้องมาจูบคนใจร้ายนะครับ” ดินพูดลอยๆ ทำท่าจะเดินขึ้นบ้านแต่ก็ถูกคนตัวโตโถมตัวกอดเอาไว้ก่อน  เดือนแกล้งเอาแก้มสากของตัวเองไปถูกับแก้มนิ่มของคนตัวเล็ก ดินที่ทั้งจั๊กจื้ทั้งเจ็บบิดตัวไปมาพลางหัวเราะคิกคัก เมื่อหลุดจากอ้อมแขนแข็งแรงได้แล้วชายหนุ่มก็ถูแก้มตัวเองที่ขึ้นรอยแดงก่อนจะชี้หน้าเดือนอย่างคาดโทษ แต่ลูกแมวก็คือลูกแมว จะไปสู้หมีควายตัวเขื่องได้ยังไง ร่างโปร่งเลยได้แต่หันไปคว้าสายยางมาข่มขู่ แต่เดือนก็ไม่ยอมแพ้ เป็นเหตุให้พวกเขาวิ่งไล่กันไปมาอยู่ที่ใต้ถุนบ้านแคบๆนั่น
   
             กิริยาหยอกล้อกันของคนทั้งคู่ตกอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของชายคนหนึ่ง  ร่างที่นั่งอยู่ในรถซึ่งจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับบ้านคุณนายกิ่งแก้วไปเล็กน้อยกระชับกล้องในมือเตรียมพร้อม ทันทีที่ร่างของดินถูกเดือนรวบไปหอมแก้มอีกครั้งเขาก็กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะกดชัตเตอร์...

   
           
            รถเก๋งสีดำที่เคลื่อนมาจอดหน้าประตูรั้วเหล็กดัดขนาดใหญ่เป็นเหตุให้ชายร่างผอมในชุดรปภ.เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเพราะเขาจำได้ว่านั่นไม่ใช่รถของนายคนใดคนหนึ่งของตนแน่นอน  วันนี้ทั้งคุณนายและคุณหนูก็ไม่อยู่บ้าน เหลือแต่คุณชินกรที่อยู่ ดังนั้นรถคันนี้ต้องเป็นรถของคนนอกอย่างแน่นอน
   
            ชายร่างผอมเดินไปที่รถเป็นเวลาเดียวกับที่กระจกติดฟิมล์เลื่อนลงเผยให้เห็นชายสวมแว่นดำคนหนึ่งที่เขาไม่คุ้นหน้า  “มาหาใครหรือครับคุณ”
   
           “คุณชินกรน่ะ เขาบอกให้ผมมาพบเขาที่บ้านตอนบ่ายสองโมง วันนี้เขาอยู่บ้านไม่ใช่เหรอ”
   
           “อ้อ แขกที่คุณท่านพูดถึง  ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเลยครับ”
   
           ประตูรั้วค่อยๆเลื่อนเปิดทางให้พร้อมกับรถยนต์สีดำเคลื่อนเข้าไปในคฤหาสน์   หลังจากจอดรถเรียบร้อยชายสวมแว่นดำก็ก้าวลงมาจากรถ  ในมือของเขาถือซองเอกสารสีน้ำตาลซองเล็กลงมาด้วย  ชายหนุ่มเดินตามคนรับใช้เข้าไปในห้องนั่งเล่น ดวงตาเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกกวาดมองเฟอร์นิเจอร์หรูหราอย่างประเมินค่าก่อนจะหันไปที่โซฟาเมื่อได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้น
   
            “หึ ไม่ต้องมองของในบ้านฉันด้วยสายตากระหายเงินขนาดนั้นก็ได้  ถ้าแกอยากได้ฉันจะให้แม่บ้านขนไปให้ดีไหม”  น้ำเสียงดูถูกดูแคลนไม่ได้ทำให้ชายสวมแว่นเดือดร้อนแต่ประการใด  กลับกันเขายิ้มรับประหนึ่งมันเป็นคำชม  ร่างผอมสูงในชุดกางเกงยีนส์ขาดๆกับเสื้อยืดสีซีดขัดกับแว่นตากันแดดราคาแพงบนใบหน้านั้นเป็นอย่างยิ่ง เส้นผมยุ่งเหยิงเหมอนเจ้าตัวลืมหวีผมก่อนออกจากบ้าน เมื่อมายืนอยู่ท่ามกลางข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงที่ถูกจัดวางอย่างมีศิลปะรอบตัวก็ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ดูซอมซ่อหนักกว่าเดิม
   
            “แล้วของที่สั่งล่ะ”
   
            “ได้ตามที่สั่งครับท่าน”
   
            ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออก เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับเลื่อนซองสีน้ำตาลไปให้ชินกร  ซึ่งอีกฝ่ายก็รับมาตรวจสอบแต่โดยดี
   
            ตุบ
   
            ชินกรเทของที่อยู่ในซองทั้งหมดลงบนโต๊ะ มันเป็นรูปภาพของเดือนกับดินในอิริยาบถต่างๆ  มีตั้งแต่การจูงมือ หอมแก้ม กอด และจูบ   ถึงจะเป็นรูปภาพแอบถ่ายแต่ก็เห็นใบหน้าชัดเจน  นอกจากรูปเหล่านี้ในซองยังมีแฟลชไดรฟ์อันเล็กที่เซฟไฟล์ภาพอื่นๆของทั้งคู่เอาไว้อีก
   
           มุมปากของชายวัยกลางคนแสยะยิ้ม  ดวงตาคมฉายแววสะใจ  ชินกรเก็บของทั้งหมดลงซองก่อนจะเลื่อนเงินค่าตอบแทนไปให้กับชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามหรือก็คือนักสืบที่เขาจ้างให้มาตามดูเรื่องของเดือนกับดินนั่นเอง
   
            “ผมล่ะสงสารเด็กสองคนนั้นจริงๆ ชีวิตคงป่นปี้แน่ๆหลังจากคุณปล่อยรูปพวกนี้ไป”
   
            “ก็เรื่องของพวกมันสิ ยังไงเรื่องงนี้ญี่ปุ่นจะต้องเป็นฝ่ายถูก  ฉันไม่ยอมให้ลูกสาวฉันท้องไม่มีพ่อหรอกนะ”
   
            “แหม เป็นคุณพ่อที่ดีจังเลยนะครับ  หาพื้นที่ยืนในสังคมให้ลูกตัวเองด้วยการเหยียบหัวและฆ่าคนบริสุทธิ์ให้ตาย”  น้ำเสียงเสียดสีประชดประชันที่ใส่มาเต็มที่ในประโยคทำให้ชายวัยกลางคนโกรธจนตัวสั่น  ชินกรหรี่ตาลง กระซิบเสียงต่ำอย่างข่มขู่ “หุบปากของแกไปไอ้กวิน!”
   
              “เฮ้อ ทราบแล้วครับท่าน” กวินถอนหายใจ   เบื่อหน่ายพวกคนรวยเอาแต่ใจจริงๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเงินดีขนาดนี้เขาคงไม่ยอมทนทำงานให้  บอกตรงๆว่าการตามถ่ายรูปคนรักกันมันก็ทำให้เขาเอียนไม่น้อย  แหม คนโสดแบบเขา ให้ไปมองดูคนรักเขาหยอกล้อกันมันก็ต้องมีอิจฉาตาร้อนกันบ้าง
   
             กวินถูกชินกรจ้างให้แอบตามถ่ายรูปเดือนกับดินมาตั้งแต่ที่มีรูปหลุดของเจ้าตัวกับน้องชายในห้าง ตอนแรกชินกรจ้างวานเขาให้ตามสืบเรื่องของดินก่อน  จากนั้นพอเห็นว่าข่มขู่อีกฝ่ายไม่สำเร็จ และการที่ส่งลูกสาวไปร้องห่มร้องไห้เรียกคะแนนสงสารก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน  ยุทธการใช้พื้นที่ในโลกโซเชียลและสื่อบีบบังคับเดือนกับดินจึงเริ่มขึ้น
   
            เริ่มจากรูปถ่ายของญี่ปุ่นที่เดินออกมาจากโรงพยาบาล นั่นก็เป็นฝีมือเขา ส่วนชินกรก็จ้างคนให้ปล่อยข่าวอีกที  จากนั้นก็การปลุกปั่นกระแสก็ค่อยๆเริ่มลามไปเรื่อยๆ ญี่ปุ่นให้สัมภาษณ์สื่อตามคำบอกกล่าวของพ่อ ด้วยภาพลักษณ์นางเอกแสนดีทำให้เธอชักจูงคนดูได้โดยง่าย จากนั้นก็ตามด้วยการโพสท์ภาพรอยสักลงอินสตาแกรมตามคำแนะนำของเขา อืม..ตอนนั้นที่บอกไปก็แค่ล้อเล่น ไม่คิดว่าหญิงสาวจะทำจริงๆ  จนเมื่อไม่กี่วันก่อนเดือนก็ออกไปให้สัมภาษณ์ พอมีการพูดถึงเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ ทางชินกรและคุณหนูญี่ปุ่นถึงกับนั่งกันไม่ติด เพราะหากผลดีเอ็นเอออกมายังไงก็ชีชัดว่าเดือนไม่ใช่พ่อเด็ก
   
        ทำไมเขาถึงได้รู้น่ะหรือ?
   
        ก็หลักฐานว่าพ่อเด็กเป็นใครมันอยู่ที่เขานี่นา...
   
        “จริงสิ แล้วคลิปที่ฉันสั่งให้แกลบน่ะ ลบไปหรือยัง”
   
         กวินถึงกับสะดุ้งน้อยๆ กระพริบตาปริบ ก่อนปรับสีหน้าเป็นแย้มยิ้มตามเดิม  เหอะ พอนึกถึงปุ๊บก็ทักเรื่องนี้ปั๊บ อ่านใจได้หรือไงวะ
 
          “เรียบร้อยแล้วครับ”  ชายหนุ่มโกหกไปทั้งรอยยิ้ม  คลิปที่ว่าคือคลิปที่ ‘กิ๊ก’ ของญี่ปุ่นเป็นคนถ่ายไว้  ซ่อนกล้องเอาไว้ตรงไหนสักทีระหว่างที่กำลังเริงร่ากันอยู่บนเตียงทั้งคู่ คงคิดจะใช้แบล็กเมล์หญิงสาว  ยิ่งเมื่อญี่ปุ่นรู้ว่าตนท้องและฝ่ายชายซึ่งเป็นดาราหน้าใหม่และกำลังโด่งดังไม่คิดรับผิดชอบเพราะไม่อยากเสียนาทีทองในชีวิตไป ชายหนุ่มก็ยกเรื่องคลิปขึ้นมาอ้างเพื่อให้ญี่ปุ่นที่ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจและฟ้องร้องให้หุบปาก  ในตอนแรกญี่ปุ่นทั้งอับอายทั้งโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้จึงโกหกไปว่าท้องกับเดือน ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นต้องพักงานและแอบหลบไปอยู่ต่างจังหวัดเงียบๆ ภายหลังที่พ่อหล่อนรู้ความจริง ชินกรไม่ได้บอกให้ญี่ปุ่นออกไปแก้ความผิดที่ก่อไว้แต่อย่างใด กลับกันชายวัยกลางคนคนนี้กลับพยายามเปลี่ยนดำให้เป็นขาวอยู่ ด้วยการจ้างกวินไปลบคลิปจากตัวต้นเหตุให้หมดไป แล้วมาตามถ่ายรูปเดือนกับดิน

          แต่คนอย่างไอ้กวินน่ะหรือจะยอมปล่อยของที่น่าจะทำเงินได้หลุดมือ

          คลิปทั้งหมดที่อยู่กับแฟนเก่าญี่ปุ่นถูกลบออกไปหมดแล้วก็จริง  แต่กวินก็แอบเก็บไว้ในแฟลชไดรฟ์ลับอันหนึ่งของเขาอีกหนึ่งคลิป เพื่อเก็บไว้ใช้ต่อสู้กับชินกรยามฉุกเฉิน 

          ชินกรเป็นหมาป่าแก่ก็จริง แต่ใช่ว่ากำลังกายลดแล้วกำลังสมองจะลดตาม  ชายคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องหักหลังลูกน้องและลูกจ้างมานักต่อนัก แต่กวินจะยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้

          น้องสาวของเขาป่วย และชินกรสัญญาว่าถ้าเขาทำตามที่สั่งจะย้ายน้องเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลในอังกฤษซึ่งเครื่องมือแพทย์และการรักษาก้าวหน้ากว่าโรงพยาบาลรัฐที่น้องสาวเขาอยู่ตอนนี้ รวมถึงชินกรจะออกเงินค่ารักษาให้ทั้งหมด

          หากเขาโดนชินกรหักหลัง...ก็ยังมีคลิปไว้ต่อรองได้

           “ฉันมีงานให้แกทำอีกงานหนึ่ง” ชินกรพูดขึ้น  “ฉันอยากให้แกไปตัดต่อภาพกล้องวงจรปิดของคอนโดญี่ปุ่น  ตัดตอนที่ไอ้เด็กเวรมันมาห้องญี่ปุ่นออกไป ให้เหลือแค่ตอนที่ไอ้เดือนแบกญี่ปุ่นเข้าไปแล้วก็กลับออกมากับตอนที่เพื่อนของยัยญี่ปุ่นขึ้นห้องไปก็พอ”

           กวินเลิกคิ้ว  “คุณจะทำอะไร” แค่ภาพที่ได้ไปก็เพียงพอแล้วจะให้เหยียบคนคนหนึ่งจมดินลงไปได้

           ชินกรแสยะรอยยิ้มน่ารังเกียจออกมาก่อนตอบคำถาม

           “ฉันไม่ได้ต้องการแค่บีบให้ไอ้เด็กนั่นต้องมารับผิดชอบญี่ปุ่นหรอกนะ แต่ฉันจะทำให้มันหมดหนทางหากินจนต้องมากราบกรานขอความเมตตาจากฉันเลยต่างหาก”

          กวินยังคมมีรอยยิ้มจอมปลอมประดับบนใบหน้า ทั้งที่ในใจเขาอยากจะอาเจียนรดหัวชายผู้น่ารังเกียจคนนี้เป็นที่สุด

          “แล้วเรื่องการรักษาพยาบาลน้องสาวผมล่ะครับ ไหนคุณบอกว่าพอจบเรื่องนี้จะย้ายเธอไปที่อังกฤษเลยไง” เขาท้วงออกมา แต่สิ่งที่ได้รับจากชินกรกลับเป็นสีหน้ารำคาญ ชายวัยกลางคนโบกมือแบบขอไปที

           “รู้แล้วน่า  แต่นี่มันยังไม่จบไง  แกต้องตัดต่อภาพวงจรปิดให้ฉันก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีการรักษาพยาบาลอะไรทั้งสิ้น”

            “แต่หนที่แล้วตอนให้ผมไปถ่ายรูปเดือนกับดินคุณก็พูดแบบนี้”

            คิ้วเข้มขมวดมุ่น ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะตบโต๊ะดังปัง

            “แกอย่าเรื่องมากจะได้ไหม ฉันสั่งให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ! เลือกเอาว่าจะทำงานนี้ให้เสร็จแล้วให้น้องได้รักษาหรือแกจะกลับออกไปแบบตัวเปล่าๆแล้วปล่อยให้น้องสาวสุดที่รักเน่าตายคาเตียง!”

             “อย่าพูดถึงน้องสาวผมแบบนั้น!” พอได้ยินคำว่าตาย ใจคนเป็นพี่ก็แกว่งวูบ ตวาดนายจ้างตนเสียงกร้าว  ชินกรที่เห็นท่าทีดังนั้นก็เหยียดยิ้ม  “ถ้าไม่อยากให้น้องแกตายก็รีบๆไปทำงานให้ฉันได้แล้ว เวลาเป็นเงินเป็นทองไม่ใช่หรือไง” กวินกัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ  ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นแล้วรีบเดินออกไปทันที

             นักสืบหนุ่มตัดสินใจพาตัวเองมาสงบสติอารมณ์ในร้านกาแฟใกล้กับคอนโดของตน  แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตูเข้าไป ประตูกระจกก็เปิดออกพร้อมกับร่างเล็กที่ถลันออกมา  ด้วยความรีบร้อนของคนตัวเล็กและเขาที่ตกใจจนหลบไปทัน ทำให้กวินชนโครมเข้ากับคนแปลกหน้าอย่างจัง ถ้านั่นถือว่าโชคร้ายแล้วเขาก็คงคิดผิด เพราะกาแฟร้อนๆในแก้วมันดันหกรดเสื้อเขา!

           “เฮ้ย!” ชายหนุ่มตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด  วันนี้มันวันเฮงซวยอะไรนักหนาวะ!

           “เฮ้ย ผมขอโทษนะคุณ” พอก้มมองเจ้าของเสียงลนลานนั่นกวินก็รู้สึกสะดุดตากับผมสีชมพูของอีกฝ่ายไม่น้อย รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพอเจ้าของเรือนผมเงยหน้าขึ้นมาชายหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ

           วสันต์!

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 27-03-2016 20:55:06
           กวินกัดริมฝีปาก รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักตน แต่เขานี่สิคุ้นหน้าวสันต์เป็นอย่างดีเพราะระหว่างที่ตามดูดินกับเดือนก็เห็นนายแบบหนุ่มคนนี้เข้าออกบ้านของเดือนอยู่บ่อยๆ

          มือเรียวพยายามใช้ทิชชู่ที่ห่อแก้วกาแฟมาเช็ดเสื้อให้เขา แต่ขอโทษ เปียกเป็นวงเบ้อเริ่มขนาดนี้คงจะเช็ดออก  กวินเลยจับมืออีกฝ่ายไว้ กวินสังเกตว่าตอนเขาแตะตัววสันต์ ดวงตากลมโตมีแววตระหนกพาดผ่านแต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้น

         “พอแล้วล่ะคุณ ไม่เป็นไรหรอก ไว้ผมไปหาซื้อเสื้อใหม่เอาก็ได้”

         “ไม่ได้ ผมทำเสื้อคุณเลอะ ผมขอซื้อเสื้อใหม่ให้คุณก็แล้วกัน” ว่าจบวสันต์ก็จูงมือกวินขึ้นไปขึ้นลิฟท์อย่างรวดเร็ว  และไม่ยอมปล่อยมือไปจนกระทั่งพวกเขามาถึงโซนที่ขายเสื้อผ้า เนื่องจากกวินยืนยันว่าซื้อแค่เสื้อยืดก็พอแล้ว วสันต์ที่ตอนแรกจะซื้อเสื้อเชิ้ตอย่างดีให้เลยได้แต่หน้ามุ่ย

         หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ชายหนุ่มผมชมพูก็ขอเลี้ยงกาแฟเขาอีกแก้ว ซึ่งกวินเองก็ไม่ได้ขัด

         ในตอนที่พวกเขานั่งจิบกาแฟอยู่ด้วยกัน จู่ๆวสันต์ก็ถามขึ้นมา

         “คุณกวินทำงานเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ”

         “อ๋อ เป็นช่างภาพน่ะครับ” เขาไม่ได้โกหกนะ เขาถ่ายภาพส่งลูกค้าจริงๆนี่นา ถึงส่วนใหญ่จะเป็นภาพเมียน้อยบ้าง ลูกหนี้บ้างก็เถอะ

         ริมฝีปากสีสดอย่างคนสุขภาพดียกยิ้ม แววตาที่มองมาที่เขามันแฝงแววประหลาดจนคนถูกมองรู้สึกอึดอัด วสันต์จิบกาแฟก่อนจะพูดช้าๆ “เดี๋ยวนี้สื่อเนี่ย  มีอิทธิพลกับความคิดคนมากจริงๆ คุณกวินว่าไหมครับ”

        “อ๋อ...น...นั่นสินะครับ”

        ชายหนุ่มแสร้งจิบกาแฟ ไม่สบตาดวงตากลมคู่นั้น

        “เดี๋ยวนี้คนบางกลุ่มก็เลยชอบใช้สื่อเพื่อหาประโยชน์เข้าตัวเอง แค่ชักจูงสื่อได้ก็เหมือนมีอำนาจ เลยคิดว่าจะมาบีบบังคับใครก็ได้ น่ารังเกียจจังเลยนะครับว่าไหม”

       “ครับ ผมก็คิดว่าอย่างนั้น”

      กวินหรี่ตามองวสันต์ อีกคนพูดจาเหมือนไปรู้อะไรมา...

       “ถ้านี่เป็นสงครามที่ใช้สื่อเป็นตัวแทนล่ะก็...ผมว่าคนเราก็ต้องอยู่ข้างที่คิดดูแล้วน่าจะชนะสินะครับ”

       “ครับ และผมว่าครั้งนี้คุณญี่ปุ่นน่าจะชนะสงคราม”

        กวินโพล่งออกไป วัดใจกันไปเลย  พอเห็นรอยยิ้มจากคนตัวเล็กเขาก็แน่ใจแล้ว วสันต์ไปรู้บางอย่างมาจริงๆ

         “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่คุณรู้ไหมครับว่าอะไรคือสิ่งผิดพลาดของแม่ทัพ  พวกเขามักจะประเมิน ‘เบี้ย’ บางตัวต่ำไป...คนบางคน ก็ไม่ใช่แม่ทัพที่แสนดีหรอกนะครับคุณกวิน พวกเขาชอบคิดว่าตัวเองฉลาดอยู่คนเดียวและพร้อมจะสละเบี้ยในมือทิ้งเพื่อให้ตัวเองรอด...แต่ถ้าเบี้ยฉลาดมากพอเขาคงรู้ว่าต้องเลือกข้างไหนที่จะทำผลประโยชน์ให้ตัวเองมากที่สุด และบางทีเบี้ยตัวนั้นอาจเป็นคนกระชากแม่ทัพลงจากหลังม้าก็ได้ คุณว่างั้นไหมครับ”

          กวินไม่ได้ตอบ  วสันต์เพียงแค่ยิ้มให้เขาน้อยๆก่อนก้มดูนาฬิกา “โอ๊ยตายล่ะ ผมมีนัดทานข้าวต่อด้วยสิ ไปล่ะนะครับ ขอโทษอีกครั้งที่ทำกาแฟหกใส่คุณ” ชายหนุ่มรีบเดินออกไป แต่ยังไม่ทันก้าวถึงประตูก็วกกลับมา วางกระดาษแข็งแผ่นเล็กไว้ข้างแก้วกาแฟ  พอนักสืบหนุ่มหยิบมาดูก็พบว่ามันคือนามบัตรใบหนึ่ง
   
          วสันต์ขยิบตาให้เขา โน้มตัวลงมากระซิบข้างหู
   
          “เก็บไว้เถอะครับ ยังไงเราก็ต้องได้เจอกันอีกแน่นอน...โชคดีนะครับ คุณเบี้ยคนฉลาด”
   
   
          สองสามวันหลังพบวสันต์กวินก็ยังคงทำตามคำสั่งของชินกรต่อไปแม้จะแต่เสียงและบทสนทนาระหว่างเขากับวสันต์ลอยวนในหัวตลอดเวลาก็ตาม
   
          เขาจัดการส่งไฟล์กล้องวงจรปิดให้กับชินกรเรียบร้อยและได้รับข้อความกลับมาว่าให้รอดูของดีคืนนี้พร้อมกับที่อีกฝ่ายแจ้งว่าโอนเงินเข้าบัญชีของเขาเรียบร้อยแล้ว  ในเมลล์ไม่มีการพูดถึงน้องสาวของเขาสักคำ กวินที่ทนไม่ไหวจึงโทรศัพท์ไปหาชินกรทันทีแต่อีกฝ่ายก็ไม่รับสาย  ร่างสูงจึงบึ่งรถออกจากคอนโดไปที่บ้านของนายจ้างทันที
   
          กวินบุกเข้าไปในบ้านตอนที่ทั้งครอบครัวกำลังทานอาหารกันอยู่พอดี
   
          พอเห็นเขาชินกรก็ไม่ได้ทำท่าแปลกใจอะไร ไม่มีท่าทีสนใจเขาด้วยซ้ำ
   
          “คุณชินกร ผมต้องการคำตอบว่าคุณจะย้ายน้องสาวผมไปรักษาที่อังกฤษเมื่อไหร่!”
   
          “หืม ฉันบอกแล้วไงว่าหลังจากเรื่องนี้จบ”
   
           กวินอ้าปากค้าง  ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “แต่คุณบอกว่าหลังผมตัดต่อไฟล์กล้องวงจรปิดเสร็จนี่นา”
   
           “อ้าวเหรอ ฉันพูดแบบนั้นเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้น น้ำเสียงแหบนั่นเอ่ยเสียงสูงเป็นเชิงสงสัย ดูก็รู้ว่าเสแสร้ง! “ไม่ยักกะจำได้”
   
           “คุณอย่ามาเล่นลิ้นกับผมนะ!”
   
           พลั่ก
   
            ทันทีที่เขาตวาดใส่อีกฝ่าย ลูกน้องของชินกรคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามารวบตัวเขาไว้แล้วซัดหมัดเข้าที่แก้มขวาจนกวินล้มลงไปกองกับพื้น  ชายหนุ่มถ่มเลือดออกจากปาก ชาไปหมดทั้งซีกหน้า กลิ่นคาวเลือดอบอวลในปาก
   
            “ใครเขาเล่นลิ้นกับนายวะไอ้เด็กเวร  ไม่เห็นจะมีสัญญาอะไรมายืนยันสักหน่อย ก็แค่คำพูด  คนแก่แล้วอย่างฉันก็จำไม่ได้หรอก  ถ้าอยากให้ฉันจ่ายค่ารักษาอะไรนั่นให้น้องนายก็ไปหาหลักฐานมายืนยันสิ อ้อ แล้วก็ฉันเลิกจ้างแกตั้งแต่ตอนนี้แล้วนะ  แกบุกมาหาเรื่องฉันถึงนี่ ฉันคงเอาลูกน้องที่แว้งกัดเจ้านายไว้กับตัวไม่ได้หรอก หึ ถ้าจะโทษก็โทษความโลภของแกเถอะ  เงินที่ให้ไปก็พอให้น้องแกนอนในโรงพยาบาลได้สักที่แล้วแท้ๆ”
   
            นักสืบหนุ่มกำหมัดแน่น  ไอ้แก่นั่นมันวางแผนไว้หมดแล้ว มันตั้งใจหลอกใช้เขาตั้งแต่แรก!
   
            “ว้าย คุณพ่อ ดูสิคะ  กระทู้ที่เพิ่งตั้งไปเมื่อกี้มีคนอ่านทะลุพันแล้วค่ะ เพิ่งห้านาทีเอง แถมยังมีคนมาคอมเม้นท์ให้กำลังใจเพียบเลย” ญี่ปุ่นโพล่งขัดจังหวะขึ้นมา  กวินเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ของหญิงสาว  ดูเหมือนจะเป็นกระทู้อะไรสักอย่าง
“ดีแล้ว พรุ่งนี้พวกสื่อคงประโคมข่าวใหญ่โต ไอ้เดือนหมดทางไปก็งานนี้” ชินกรพูดขึ้น ทานข้าวต่อไปอย่างใจเย็น ทันใดนั้นเหมือนมีใครมากดสวิตช์ความคิดในสมองของกวิน

            กระทู้...การตัดต่อวงจรปิด...รูปของเดือนกับดิน

           “พวกคุณนี่มันเลวถึงแก่นเลยจริงๆ พอกันทั้งพ่อทั้งลูก” เขาพูดอย่างรังเกียจ แต่มุมปากของชินกรก็ยกยิ้มเยาะ “แต่ภาพทั้งหมดที่ได้มาก็ต้องขอบใจนายนะกวิน ช่วยได้มาก เป็นคนดีจริงๆ” ถ้อยคำเสียดสีนั่นไม่ได้ทำให้กวินเจ็บปวดแต่อย่างใดเพราะความแค้นมันบังตา

           “อ้อ ถึงพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ โรงพยาบาลต่างจังหวัดที่น้องสาวแกอยู่ฉันก็รู้  แกรู้ไหมไอ้กวินว่าเงินมันทำอะไรได้บ้าง...”

           นักสืบหนุ่มไม่ตอบคำ เขาหันหลังเดินออกจากบ้านหลังนั้น  เอื้อมมืออันสั่นเทาไปหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกตามเบอร์ที่เขียนอยู่บนนามบัตร  ก่อนขยำมันจนยับยู่ยี่ ไม่นานน้ำเสียงใสก็ดังลอดออกมา

          [ผมคิดอยู่แล้วว่ายังไงคุณก็ต้องโทรมา คุณกวิน]

          กวินไม่ใส่ใจว่าวสันต์ไปรู้ชื่อของเขามาจากไหน เขาต้องการแค่การแก้แค้น

          “ผมมีไฟล์สำคัญจะให้คุณ เกี่ยวกับญี่ปุ่น”

          [เห งั้นเหรอครับ สำคัญขนาดไหนล่ะ]

           “สำคัญขนาดที่กระชากไอ้แก่นั่นลงจากหลังม้าแล้วกระทืบซ้ำให้มันหล่นไปใจกลางโลกได้เลยล่ะ”

          [อืม น่าสนใจนะครับ แต่ทำไมคุณถึงเอามันมาให้ผม?]

          ดวงตาคมฉายประกายความแค้นก่อนชายหนุ่มจะตอบกลับไป

         “คุณพูดถูก บางคนก็ประมาทเบี้ยอย่างผมเกินไป”

         และตอนนี้เบี้ยอย่างเขานี่แหละที่จะประหารแม่ทัพ!



         สำหรับเดือนแล้วเหมือนว่าปัญหามันตามมาไม่จบไม่สิ้นเสียที  ชายหนุ่มถูกเรียกตัวเข้าไปที่บริษัทด่วนพร้อมกับพ่อแม่และดิน  สรัลบอกว่าได้รับการติดต่อมาจากชินกรให้เดือนออกมายอมรับความจรงได้แล้วว่าตัวเองเป็นพ่อเด็กก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะบานปลายจนต้องไปสู้กันในศาล

         บนหน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ปรากฏภาพกระทู้ที่มีหัวข้อว่า

         ‘ว่าด้วยเรื่องดาราสาวท้องและนายแบบหนุ่มปฏิเสธไม่ใช่พ่อ เราขอพูดหน่อยเถอะ!’

        สวัสดีค่ะ  ก่อนอื่นต้องบอกเลยนะคะว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะก่อดราม่าอะไร และไม่คิดจะออกมายุ่งกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก แต่เราทนไม่ไหวแล้วค่ะ! ขอพูดเลยแล้วกัน

         เราขอแทนตัวเองว่า T แล้วกันนะคะ เราเป็นเพื่อนกับดาราสาวที่เป็นข่าวค่ะ สนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว เธอเป็นเพื่อนที่ดีนะคะ  นิสัยดี น่ารัก เรียบร้อย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับเพื่อนเรา! เราเลยต้องออกมาเป็นกระบอกเสียงให้เพื่อนเรา
ให้คนทั้งประเทศมันรู้ไปเลยว่าไอ้ผู้ชายคนนี้มันเลวและตอแหลขนาดไหน

        เรื่องมันเริ่มขึ้นที่ว่าผู้ชายคนนั้นไปให้สัมภาษณ์แล้วเล่าว่าไปผับกับเพื่อนเราแล้วเพื่อนเราเมาจนต้องไปส่งที่ห้องแต่ไม่ได้แตะต้องเพื่อนเราเลย  เราจะเล่าความจริงให้ฟังค่ะ  คือวันนั้นผู้ชายคนนั้นไปส่งเพื่อนเราจริงค่ะ เขาบอกว่าแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เพื่อนเราให้เรารีบมาดูแลเพื่อน เราก็เออตกใจว่าเพื่อนเป็นอะไรมากไหม แต่พอไปถึงเราตกใจมากค่ะ ถึงกับช็อคเลย น้ำตาไหลอาบแก้ม สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่เพื่อนที่อยู่ในชุดนอนแต่เป็นเพื่อนเราที่นอนเปลือยในสภาพบอบช้ำ!


         เดือนยืนนิ่ง อ่านเนื้อหาในกระทู้ ถัดจากข้อความนั้นเป็นรูปภาพของญี่ปุ่นที่นอนนิ่ง มีผ้าห่มปกปิดท่อนล่าง แต่ท่อนบนกลับเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยรอยสีแดงมากมายกระจายตามลำตัว รวมถึงรอยแดงที่เหมือนรอยบีบตามข้อมือและลำตัว บ่ง
บอกให้รู้ว่าเซ็กซ์ที่ผ่านพ้นไปรุนแรงมากเพียงใด

        อาการชาเพราะความตกใจไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เดือนรู้สึกหมดแรงจนต้องทรุดกายลงนั่งบนโซฟา

         แม้จะไม่อยาก แต่เขาก็ต้องทนอ่านเนื้อหาในกระทู้ต่อ

        เราตกใจมาก  ตอนเรามาผู้ชายคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว ที่เราถ่ายรูปนี้มาเพื่อใช้เป็นหลักฐานเผื่อเพื่อนเราถูกข่มขืน แต่เขาไม่อยากให้เราเอาลงเพราะเขากลัวไอ้เลวคนนั้นเกลียด!  ตอนแรกเราก็คิดว่าจะมีใครเข้ามาทำเพื่อนเรา พอเราไปขอดูกล้องวงจรปิดที่ชั้น ของเพื่อนเราก็ปรากฏว่ามันไม่มีใครมาเลยนอกจากเรากับไอ้ชั่วนั่นที่ออกไป

        คลิปภาพจากกล้องวงจรปิดถูกแปะลงไปในกระทู้ด้วย พอกดเปิดก็พบว่าเป็นภาพเดือนกำลังแบกญี่ปุ่นมาถึงหน้าห้อง หญิงสาวที่เมาอยู่ในสภาพตัวอ่อนปวกเปียก เดือนในคลิปพยายามเปิดประตูอย่างยากลำบากก่อนจะลากหญิงสาวเข้าไปในห้อง เวลาผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีเดือนก็กลับออกมา  จากนั้นพอผ่านไปประมาณสิบห้านาที หญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งก็วิ่งขึ้นมาแล้วเปิดประตูห้องของญี่ปุ่นเข้าไปด้วยสีหน้าร้อนใจ

        จากคลิปจะเห็นว่ามันไม่มีใครมาอีกเลย แล้วที่ไอ้ชั่วนั่นบอกว่าไม่ได้แตะเพื่อนเราคืออะไร?  เป็นผู้ชาย ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับหรือเปล่า กล้าทำก็กล้ารับ แต่มาทำแบบมันทุเรศว่ะ เกินจะบรรยายจริงๆค่ะ

           แล้วไม่นานมานี้เราได้รับรูปมาจากผู้หวังดีคนหนึ่งที่อยู่แถวบ้านของไอ้คนนั้น  เขาส่งรูปมาให้เราดู ตอนที่เห็นคือเราเข้าใจเลยค่ะว่าทำไมมันปฏิเสธนักหนา นี่คือรูปที่เราได้รับมาค่ะ


         “ไม่จริงน่า...”

          ดินกระซิบเสียงแผ่วเบา  รูปทั้งหมดนั่นเป็นรูปของเขากับเดือนในอิริยาบถแนบชิด แต่ใครเป็นคนถ่ายแล้วเห็นได้ยังไง ก็ในเมื่อตอนที่...เกิดเรื่องพวกนี้พวกเขาก็อยู่ในบ้าน และเดือนก็ดูดีแล้วว่าไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนโผล่หน้าออกมาดู

         ชายหนุ่มผมดำก้มหน้า ใบหน้าร้อนผ่าวไปด้วยความอับอาย 

        ตอนแรกที่สัมภาษณ์คือบอกว่าเป็นน้องชายบุญธรรม ทุเรศว่ะ กอดจูบกันขนาดนี้ ไม่รู้ว่าได้กันไปกี่ยกแล้ว  คือน่าเกลียดมากค่ะ  พอกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง นี่คงรวมหัวกันอยู่แล้วแหงๆ เราขยะแขยงมากบอกตรงๆ ไม่รู้จะพูด ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายความเลวของพวกมัน สงสารเพื่อน ยิ่งกว่านั้นคือสงสารหลานที่กำลังจะเกิดมา หลานจะรู้สึกยังไงมีพ่อแย่ๆแบบนี้ ที่เรามาตั้งกระทู้ก็เพื่อประจานความเลวของมันให้ได้รู้ เราอยากให้ทุกคนช่วยกัน อย่างน้อยก็ต้องให้มีส่วนรับผิดชอบเด็กที่เป็นสายเลือดของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ผลักภาระให้ฝ่ายหญิงอย่างเดียว

         “ยังไม่หมดนะ”

         สรัลกดเลื่อนลงไปจนถึงคอมเม้นท์ที่ 15 ซึ่งบนคอมเม้นท์นั้นดูเหมือนคนโพสท์จะตั้งตนเป็นนักสืบขุดคุ้ยข้อมูลของดินออกมา

         ดวงตาหลังกรอบแว่นเบิกกว้างเมื่อได้อ่านคอมเม้นท์ ริมฝีปากบางสั่นระริกเหมือนคนพยายามอดกลั้นบางอย่าง

         ความคิดเห็นที่ 15

         สมาชิกหมายเลข 5677 – ตอนแรกก็ว่าคนผมดำหน้าคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน ค้นไปค้นมาไปเจอข่าวเก่าแล้วตกใจเลย  คนนี้เคยมีข่าวว่าเกือบถูกแม่ตัวเองฆ่าอ่ะ แม่เป็นโสเภณีแล้วโดนทิ้ง เครียดจัดจนจะฆ่าลูกอะไรทำนองนี้แหละ

         ความคิดเห็นที่ 16

       สมาชิกหมายเลข 4344 - ถ้าใช่อย่างที่เม้นท์บนบอกนี่คือนางมีปมสินะ ขาดความอบอุ่นเลยมาแย่งสามีชาวบ้าน #ทีมญี่ปุ่น #ทีมตบเมียน้อย

             ความคิดเห็นที่ 18

           สมาชิกหมายเลข 1111 – เดือนอาจจะโดนหลอกก็ได้นะ แต่หลักฐานมาเต็มขนาดนี้ ไม่ต้องตรวจแลวล่ะดีเอ็นเอ

           ความคิดเห็นที่ 22

           สมาชิกหมายเลข 6677 – เป็นอะไรกันไปหมดนะคนสมัยนี้ ผู้หญิงดีๆมีไม่ชอบ ดันไปชอบคนแบบนั้น

            ความคิดเห็นที่ 34

           สมาชิกหมายเลข 56899 –  แม่ยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้นสินะ สงสัยสันดานมันถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้  อีกคนนี่ก็แปลก คนดีๆไม่เอา ไปเอาผู้ชายขายน้ำซะอย่างนั้น

            ความคิดเห็นที่ 37

          สมาชิกหมายเลข 12111 – ก็เอาผู้ชายแล้วมันไม่ท้อง ไม่เรื่องมากไง อยากตอนไหนก็ไป ไม่ยุ่งยากเหมือนผู้หญิง แย่จัง #พวกได้หลังแล้วลืมหน้า

           “ได้โปรด...พอเถอะครับ” มือที่กำลังกดเลื่อนให้ทุกคนดูคอมเม้นท์ถึงกับชะงัก  สรัลหันมามองร่างโปร่งของดินที่ซุกตัวอยู่ที่โซฟา  หยดน้ำตาไหลนองอาบแก้ม ทั่วร่างสั่นระริกอย่างน่าสงสาร  ดินหันมามองเขา บนใบหน้าหวานฉายแววปวดร้าว

           “ผม...ฮึก...ไม่ได้...ฮึก อยากรู้แล้ว” ดินสะอื้นไห้  น่าสงสารจนคุณมะลิต้องดึงร่างโปร่งไปกอดไว้แน่น ลูบเส้นผมสีดำแผ่วเบา “ชู่ว หยุดร้องนะคนดี แม่มะลิรู้ว่าดินไม่ได้เป็นแบบนั้น แม่รู้เรื่องราวทุกอย่างดีกว่าใคร รู้จักดินดีกว่าใคร ดินไม่ได้เป็นอะไรแบบที่พวกคนในนั้นเขาพูดกันหรอก  อย่าไปร้องไห้ให้กับความเห็นไร้ค่าพวกนั้นเลย”

          แต่ถึงจะปลอบอย่างไรดินก็ยังคงไม่หยุดร้อง  แม้จะไร้เสียงสะอื้นแต่หยดน้ำตายังคงร่วงหล่นอย่างเงียบๆ ภายในห้องไม่มีเสียงใดจนกระทั่งเดือนทำลายความเงียบขึ้นมา

          “พอกันที” ในที่สุดเดือนก็พูดขึ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สีหน้าเจ็บปวดอ่อนล้าแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจบางอย่างแล้ว

         “ถ้าทางนั้นอยากให้เดือนออกไปรับผิดชอบ เดือนก็จะทำครับ”

         “อะไรนะ! ไม่ได้นะคะน้องเดือน ถ้าน้องเดือนออกไปรับสารภาพ...”

          “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงหน้าตากับศักดิ์ศรีตัวเองแล้วครับ  เดือนทนไม่ไหวแล้วที่จะต้องให้คนพวกนี้มาสร้างความเดือนร้อนในชีวิต  พอกันที ถ้าอยากให้เดือนรับผิดชอบเดือนก็จะทำ แต่เขาต้องเลิกยุ่งกับคนของเดือน!”  ตอนนี้เดือนจะทำใจให้นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว  ตอนที่เขาเห็นสีหน้าดินตอนอ่านคอมเม้นท์พวกนั้นมันเหมือนหัวใจถูกบีบ

           ทุกหยดน้ำตาที่รินไหลของดิน เดือนโทษว่าทั้งหมดนั่นคือความผิดของเขาเอง

           เขาก่อเรื่องเองก็ควรจบเอง

           “ดินไม่ให้ไป” จู่ๆคนที่นั่งกอดแม่มะลิอยู่ก็ลุกขึ้นยืน  ชี้หน้าเขา  “ยังไงก็ไม่ให้ไป”

           “ดิน ถ้าไม่ทำแบบนี้...”

          “ดินไม่สน คิดว่าดินสนคำพูดแย่ๆพวกนั้นเหรอ  ตอนนี้ดินสนแค่ว่าพี่เดือนกำลังจะทิ้งดินไปต่างหาก” ชายหนุ่มผมดำตวาด โถมตัวใส่ร่างตรงหน้าจนเดือนตั้งรับแทบไม่ทัน อ้อมแขนเล็กกอดกระชับร่างสูงใหญ่แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะสะบัดเขาทิ้งแล้วหนีไปหาญี่ปุ่น

         ดินไม่อยากโดนทิ้งอีกแล้ว

         เขาพบกับการสูญเสียมามากเกินพอ

         “พี่ไม่ได้จะทิ้งดินนะ!”

        “แล้วไอ้เมื่อกี้มันคืออะไร ลอกบทพระเอกในละครมาเหรอ เท่มากงั้นสิ! อย่ามาตลก ดินไม่อนุญาตให้พี่ไปจากดิน เข้าใจไหม”

       ชายหนุ่มผมดำตะโกนใส่เขา  ดินดันเขาให้นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้  มือเล็กทุบไหล่เขาไม่หยุด “ดิน ฮึก ไม่...ไม่อนุญาต...ให้...พี่เดือนไป..ฮือ ไม่อนุญาต” หยดน้ำใสหยดแล้วหยดเล่าซึมผ่านเสื้อเขาเข้ามา ความเจ็บปวดซึมลงลงไปในใจพร้อมหยดน้ำตา

         “ขอโทษ” เดือนกระซิบ โอบกอดร่างเล็กแน่น “พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษครับ ไม่เอานะ เด็กดี ไม่ร้องไห้นะ ไม่ไปแล้ว พี่เดือนไม่ไปไหนแล้ว”  เดือนซบหน้าลงกับไหล่บอบบางที่สั่นระริก ตอนนี้พวกเขาต่างก็เป็นผู้เสียหาย เป็นผู้ถูกกระทำ  เดือนไม่อายใครในห้องนี้ทั้งนั้น  เขาแค่...เหนื่อย

          เหนื่อยที่จะทำตัวเข้มแข็ง

          เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่เจ็บได้ มีความรู้สึก เขาไม่ใช่ฮีโร่  เขาเหนื่อยกับเรื่องทั้งหมดที่ต้องเผชิญนี่แล้ว

          แต่เพราะเขามีคนสำคัญให้ต้องรักษาเลยยอมแพ้ตรงนี้ไม่ได้

          แกรก

         เสียงเปิดประตูพร้อมกับเสียงอุทานจากผู้มาใหม่ทำให้ทุกคนในห้องสะดุ้ง หลุดออกจากบรรยากาศตึงเครียด  อารัณย์หันไปมองวสันต์ที่เดินเข้ามาในห้องก่อนจะขมวดคิ้วฉับเมื่อเห็นมีคนแปลกหน้าเดินตามหลังมา

        “ฝน พาใครมา”

        “อ้อ นี่คือคุณกวิน” ฝนแนะนำชายหนุ่มร่างสูงด้านหลัง อมยิ้มจนตาหยีขัดกับบรรยากาศ “ส่วนที่ว่าเขาเป็นใคร ให้เจ้าตัวพูดเองดีกว่า”

         ชายหนุ่มนามกวินเดินออกมาด้วยสีหน้าลังเล เขาเหลือบมองหน้าจอที่แสดงกระทู้ของเดือนกับดินอยู่แล้วก็ถอนหายใจ ไม่รู้จะสรรหาประโยคไหนมาเริ่มต้นดี ชายหนุ่มเหลือบมองวสันต์ที่โบกมือส่งกำลังใจมาให้แล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ

        “กระทู้นี้เป็นของปลอม” เขาพูด ทุกคนในห้องมีสีหน้าประหลาดใจ ประธานบริษัทจึงเป็นคนเอ่ยถาม “คุณหมายความว่าไง”

        “ภาพจากกล้องวงจรปิดนั่นถูกตัดต่อ...ข้อความในนั้นก็โกหกทั้งเพ”

        “คุณรู้ได้ยังไง” เดือนจ้องกวินเขม็ง  ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีซีดเกาแก้มตัวเอง “ก็ผมเป็นคนทำเอง แล้วก็เป็นคนที่ตามถ่ายรูปพวกคุณด้วย”

        “มึง!” กวินถึงกับผงะเมื่อเดือนลุกพรวดขึ้น ร่างสูงถลันมาข้างหน้า เงื้อหมัดจะต่อยเขาแต่โชคยังดีที่ดินรั้งตัวไว้ทันและฝนก็เดินมาดึงตัวเขาออกไปได้ คนผมชมพูเดินมาขวางหน้าเขากับเดือนพลางพูด “ใจเย็นๆสิ”

       “ใจเย็น!? ขอโทษ ผมจะใจเย็นได้ไงในเมื่อคนที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายมันมายืนหน้าสลอนอยู่ตรงนี้!”

      “ผมรู้ว่าที่ทำลงไปมันผิด แต่ผมก็มีเหตุผล และตอนนี้...ไอ้ชินกรมันผิดสัญญากับผม ผมเลยจะมาช่วยพวกคุณ”

       “นกสองหัวสินะคนอย่างมึงน่ะ  พวกกูจะไว้ใจมึงได้ยังไง ไม่ใช่เผลอๆมึงก็กลับไปหาไอ้แก่นั่นอีก” อารัณย์ว่า หันไปส่งสายตาดุๆให้ฝน  นักสืบหนุ่มแค่นยิ้มออกมา “ไว้ใจคนอย่างผมไม่ได้จริงๆนั่นแหละ แต่เพราะไอ้ชินกรมันดันเอาคนสำคัญของผมมาต่อรอง...เป็นตัวประกัน  ดังนั้นเมื่อมันผิดสัญญาที่ให้ไว้กับผม มันก็ต้องชดใช้” กวินเหยียดรอยยิ้มร้ายออกมา  “คุณต้องให้ผมช่วย  รับรอง...ว่าสิ่งที่มันจะได้รับ จะทำให้พวกคนเลวแบบนั้นจำไปจนตายเลยล่ะ”

          เดือนหรี่ตาลง ถามเสียงห้วน “มึงจะจัดการยังไง”

           “ผมจะหาทางบีบให้พวกมันต้องออกมาให้สัมภาษณ์ ใช้สื่อกดดัน  ผมจะแฉว่าคลิปนี้เป็นคลิปตัดต่อ แล้วตอนนั้นคุณสรัล...คุณจะต้องเป็นคนบอกให้ญี่ปุ่นยอมให้เด็กคนนั้นตรวจดีเอ็นเอ ไม่ต้องห่วง แค่พูดเรื่องตรวจดีเอ็นเอขึ้นมานั่นแหละ  ที่เหลือสังคมจะกดดันพวกมันเอง”

          “แล้วคุณจะไม่โดนหางเลขหรือไง เพราะคุณเป็นคนตัดต่อคลิปกับแอบถ่ายรูปนี่” สรัลถาม กวินส่ายหน้า “ไม่โดนหรอก พวกมันไม่มีหลักฐานว่าผมทำ อีกอย่างไอ้ชินกรพูดอะไรตอนนั้นก็คงไม่มีใครเชื่อแล้วล่ะ” พอเห็นสีหน้าสงสัยของทุกคนในห้อง ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา

         “ขอเวลาผมหนึ่งอาทิตย์ ผมจะหาหลักฐานเรื่องอื่นเพิ่มอีกนิดหน่อย ถึงตอนนั้นแล้วคุณจะรู้เองว่าผมหมายถึงอะไร”

***************************************************

เอาล่ะค่ะทุกท่าน...อย่าเพิ่งใจร้อนและขว้างปาเปลือกไข่นะคะ
รู้ค่ะว่ามันเลวมากกกกก เขียนเองยังโกรธเองเลย โฮกกกก :fire:
ตอนนี้คิดว่านอกจากจะมี #ทีมถีบญี่ปุ่นแล้ว ยังต้องเพิ่ม #ทีมกระชากหัวชินกร มาด้วยแน่ๆ
55555  กวินเป็นตัวประกอบที่โผล่มาแบบปุบปัปมากแต่มันดันพลิกเกมซะงั้น
นี่แหละค่ะเบี้ยประหารแม่ทัพของแท้  ตอนต่อไปใกล้จะหมดมาม่าแล้ววว ตอนนี้พีคสุดจริงอะไรจริง
ขอบคุณทุกคนที่ยังเอาใจช่วยสองพี่น้องนะคะ
พบกันเสาร์และอาทิตย์หน้าค่ะ ฮุฮิๆ :katai5: รักคนอ่านนะคะ จุ๊บ

ปล. มีใครคิดเหมือนคนเขียนบ้างว่าชื่อตอนมันเหมือนละครบู๊เข้าไปทุกที

ปล.สอง กำลังปั่นนิยายเรื่องใหม่อยู่ค่ะ จะเอามาลงในเล้าเป็ดด้วยล่ะ!  :katai4:
แต่ต้องหลังพี่เดือนกับน้องดินจบ อันนี้โฆษณาล่วงหน้าค่ะ 55555

ปล.สาม ขอบคุณคุณ sirin_chadada ด้วยนะคะที่ช่วยบอกจุดผิดให้ ขอบคุณมากๆเลยค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-03-2016 21:11:12
เจอที่ผิดค่ะ ด้วยการจ้างชินกร (กวิน) ไปลบคลิปจากตัวต้นเหตุให้หมดไป

สองพ่อลูกนั่นก็ทำเกินเหตุไปมาก ๆ แค่เดือนไม่ยอมรับ (ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ) ถึงกับต้องทำลายอนาคต และต้องทำถึงขนาดไม่ให้มีที่ยืนในสังคมขนาดนั้นเลยเหรอ
ส่วนเรื่องกวิน... ก็ไม่รู้ว่าชินกรโง่หรือโง่มากกันแน่ที่หักหลังคนที่ตัวเองใช้สร้างหลักฐานเท็จไปทำเรื่องชั่ว
ช่วงนี้รู้สึกว่าเรื่องราวกำลังน่าตื่นเต้นทีเดียวค่ะ... น่าเสียดายต้องรออีกเกือบอาทิตย์สำหรับตอนใหม่ (แทบนั่งไม่ติด อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว)
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 27-03-2016 21:21:14
เจอที่ผิดค่ะ ด้วยการจ้างชินกร (กวิน) ไปลบคลิปจากตัวต้นเหตุให้หมดไป

สองพ่อลูกนั่นก็ทำเกินเหตุไปมาก ๆ แค่เดือนไม่ยอมรับ (ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ) ถึงกับต้องทำลายอนาคต และต้องทำถึงขนาดไม่ให้มีที่ยืนในสังคมขนาดนั้นเลยเหรอ
ส่วนเรื่องกวิน... ก็ไม่รู้ว่าชินกรโง่หรือโง่มากกันแน่ที่หักหลังคนที่ตัวเองใช้สร้างหลักฐานเท็จไปทำเรื่องชั่ว
ช่วงนี้รู้สึกว่าเรื่องราวกำลังน่าตื่นเต้นทีเดียวค่ะ... น่าเสียดายต้องรออีกเกือบอาทิตย์สำหรับตอนใหม่ (แทบนั่งไม่ติด อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว)
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

แอ้ ขอบคุณค่ะ จะรีบแก้ให้เลยค่ะ ตอนพิมพ์คงเบลอๆตอนแรกเช็คก็มีสลับชื่อสองคนนี้ไปจุดหนึ่งแล้ว มีรอดหูรอดตาไปอีกกก ขอบคุณที่ติดตามแล้วก็ช่วยเช็คคำผิดให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 27-03-2016 21:23:06
ติดตามและเป็นกำลังใจให้ครับคุณนักเขียน  เนื้อเรื่องสนุกมากครับ น่าติดตาม  และอย่างที่เคยบอกไว้  คุณเป็นนักเขียนที่เสมอต้น เสมอปลาย แม้ยอดวิวของเรื่องนี้ไม้ถึงแสนถึงล้าน แต่คุณให้เกียรติคนอ่านที่เขาตามงานคุณ  คุณมาต่อไม่ทิ้งไปไหน  เป็นที่น่านับถือเป็นอย่างมาก  เลยเข้ามาเป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนเสมอครับ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: mizuamechang ที่ 27-03-2016 21:23:17
ขอโทษนะคะ ขอหยาบหน่อยเถอะ อิดอกทองญี่ปุ่น มึงจะตามเค้าไม่เลิกใช่มั้ย อิส้นตีนนี่
ละอิพวกที่คอมเมนท์คือไร อิดอก มึงมองคนอื่นในแง่ร้าย ทั้งที่ไม่ได้รู้จักเค้าจริงๆเนี่ยนะ อิสมองกลวง
อิพ่อส้นตีนนั่นก็อีกคน มึงจะเอาเหี้ยไรนักหนากับเดือนฮะ กุขอให้เดือนฉีกสัญญาแม่งเลย
และขอฝากถึงอิญี่ปุ่นนะ อย่างมึงชื่อญี่ปุ่นก็สมเเล้วหล่ะ
สอดคล้องกับนิสัยดอกทอง เป็นของขึ้นชื่อกับประเทศญี่ปุ่นดี





ขออภัยที่หยาบค่ะ แคต่คือ ทนไม่ไหวละค่ะ สุดท้ายนะ ขอเป็นกำลังใจให้เดือนกับดินผ่านเรื่องนี้ไปได้นะ
สู้ๆ คนเขียนเองก็สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ คนเขียนขยันอัพมากเลย555
ปล. ที่ด่าว่าตัวละครคนเขียนเสียๆหายๆขออภัยนะคะ มันขึ้นนน
 :fire: :m31: :katai1:
 :bye2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 27-03-2016 21:36:17
อุ้วววว


ทั้งตระกูลญปเลยสินะ หึหึ


แต่ว่าคนไทยลืมง่าย เคสนี่จะเป็นแบบนั้นไหมนะ?
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-03-2016 22:45:52
นังญี่ปุ่น :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
เลวพอกันทั้งพ่อทั้งลูก ต้องเอาคืนให้หนักกว่าที่เดือนและดินเจอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-03-2016 23:46:35
รอกระทืบซ้ำ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 28-03-2016 00:50:04

รออ่านตอนต่อไปแบบใจจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 28-03-2016 22:17:56
ชินกรกับญี่ปุ่นนี่มันดาวร้ายแสนชั่วจริงๆ สงสารพี่เดือนน้องดิน ดีนะที่มีฝนกับอารัณคอยช่วย  รอติดตามตอนต่อไปนะคะ สนุกมาก ติดงอมแงมเลย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: oilk ที่ 29-03-2016 02:26:41
สงสารพี่เดือนกับดินมากเลยค่ะ เรื่องดราม่าของพี่เดือนสะท้อนอะไรหลายอย่างในยุคนี้ได้ดีมากเลย
ยุคที่คนใช้อำนาจพวกโซเชี่ยลโพสต์กล่สวหาคนอื่น บางครั้งเราก็แอบเป็นแบบพวกที่คอมเม้นเชื่อไปบ้างแล้ว
โดยที่ไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ไม่เคยรู้ถึงความจริงจากอีกฝ่ายที่โดนหลายคนแฉว่าผิดว่าเป็นยังไง พอรู้อีกทีคนที่โดนกล่าวหาก็โดนโจมตีโดนด่าว่าสารพัดแล้ว ทำอะไรไม่ได้อีกเพราะโดนสังคมตราหน้าฟปแล้วว่าผิด เอาใจช่วยพี่เดือนและดินนะคะ ตอนนี้ทีมกวินมากๆ เหยียบนังสองคนพ่อลูกให้จมดินไปเลย เย้

ขอบคุณคุณคนแต่งนะคะ มาต่อเร็วๆน้า อยากดูความพินาศของนังยุ่นและพ่อของนาง5555555555
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Hypnos ที่ 29-03-2016 10:26:59
ลุ้นมากเลย  :hao5: :hao5: :hao5:

หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 29-03-2016 21:01:17
เชียร์มากตอนนี้
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-03-2016 09:11:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 30-03-2016 09:18:24
นอตอนต่อไปอย่างทรมาณ มันเข้มข้นมว๊ากกกกกก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: Hypnos ที่ 01-04-2016 10:34:05
รอพี่เดือน  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๔ จนมุม {๒๗.๓.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 02-04-2016 16:55:00
รอออออออออออ มาเถอะตัวเอง :ling1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 02-04-2016 19:56:23
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๒๕
กระชากหน้ากาก


          สำหรับเดือนแล้วเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าหนึ่งอาทิตย์มันจะยาวนานเท่านี้  พวกเขาทำตามคำบอกของกวิน  ชายหนุ่มคนนั้นขอให้เดือนอดทนรอสักหนึ่งอาทิตย์  จากตอนแรกที่จะออกไปให้สัมภาษณ์กับสื่อสรัลจึงเลื่อนการสัมภาษณ์ออกไป
 
          มันเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ยาวนานและลำบากมากจริงๆ  เดือนปิดโทรศัพท์  บางทีก็ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุกทาง แต่วันนี้เขาเปิดมือถือกับอินเทอร์เน็ตเพราะฝนบอกให้เปิด  หลังๆเขาไม่ออกจากบ้านไปไหน พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้นึกถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมที่ดุเดือดขึ้นทุกที กิจกรรมยามว่างส่วนใหญ่ของเขาก็คือการอ่านหนังสือ ช่วยดินทำกับข้าว  ออกไปรดน้ำต้นไม้บ้าง แล้วก็นั่งเล่นกับแมวเพราะเจ้าหลานแฝดของเขาดันไปเก็บลูกแมวจรจัดมาแต่ไม่มีเวลาเลี้ยง หน้าที่รับผิดชอบเลี้ยงดูจึงตกเป็นของพวกเขาสองคนที่ว่างงานมากที่สุดตอนนี้

          กรุ๋งกริ๋ง

         เสียงกระพรวนที่ดังขึ้นมาจากกระพรวนใช้ห้อยคอเจ้าลูกเหมียวสีขาวที่เริ่มอ้วนกลมและขนฟูเพราะการดูแลอย่างดีของดิน  เจ้าเหมียวตัวกลมที่ดาวกับตะวันตั้งชื่อให้ว่านมสดกระโดดขึ้นมาบนโซฟา  ก่อนจะตะกายมานอนหนุนตักเดือนอย่างสบายใจ 
เดือนอมยิ้ม เกาหูเกาคางเจ้านมสดที่ร้องครางอย่างพอใจ มันเอาหัวมาถูเสื้อเขาอย่างออดอ้อนก่อนจะซุกตัวเข้าหาแล้วหลับตานอน

         มีเพื่อนเป็นสัตว์ก็ดีเหมือนกันนะ  ไม่พูดมาก ไม่นินทาว่าร้ายลับหลัง เพราะแบบนี้สินะบางคนถึงได้ชอบสัตว์มากกว่าคน  เพราะพวกมันซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่า

        “นมสดกินข้าว”  เสียงนุ่มของดินดังขึ้นพร้อมกับร่างโปร่งที่เดินออกมาพร้อมกับชามใส่นม  ดินวางชามไว้ข้างประตู เจ้านมสดที่ได้ยินเสียงเรียกก็ลืมตาตื่นกระโดดลงไปหาอาหารของมันทันที แต่ตักของเดือนก็ยังไม่ว่างเมื่อมีลูกแมวตัวโตอีกตัวมานอนหนุน

        ดินทิ้งตัวลงนอนกับโซฟา ยึดตักเดือนต่างหมอน  ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะเขาเบาๆ

        “จะอ้อนแข่งกับเจ้านมสดมันเหรอ”

        “อืม น้อยใจ พักนี้พี่เดือนรักแมวมากกว่า”

        น้ำเสียงตอบกลับอย่างขี้เล่นนั้นทำให้เดือนหมั่นเขี้ยว คนตัวโตเลยโน้มตัวไปจูบริมฝีปากช่างพูดนั่นเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า  “ไม่ต้องน้อยใจหรอก ยังไงนมสดมันก็มาทีหลัง พี่รักแมวขี้อ้อนตัวโตนี่กว่ามันตั้งเยอะ”  ว่าจบก็โน้มตัวไปจุ๊บริมฝีปากบางเบาๆ

         จุ๊บ

        “เห็นไหม จุ๊บนมสดมันก็ไม่หน้าแดงแบบนี้”

        จุ๊บ

       “ปากไม่นิ่มแบบนี้ด้วย”

       จุ๊บ

       “แล้วก็ไม่น่าฟัดขนาดนี้”

       จุ๊บ

      “พอแล้วพี่เดือน”

       ดินรีบดันหน้าอีกฝ่ายไว้ก่อนที่ชายหนุ่มจะโน้มตัวลงมาจุ๊บเขาอีกรอบ  ใบหน้าแดงก่ำไปหมดจนเดือนอยากแกล้งอีกรอบ เขาเลยจั๊กจี้ดินจนอีกฝ่ายหัวเราะคิกคักบิดตัวไปมา  นี่แหละจุดอ่อนเด็กแว่นนี่ เห็นนิ่งๆแต่จริงๆบ้าจี้ขั้นโคม่า พอเห็นอีกคนสำลักจนหน้าดำหน้าแดง

       ดินหัวเราะจนตาปิด พักหลังเขาเริ่มชินกับอาการถึงเนื้อถึงตัวของเดือนแล้ว  ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจจะลวนลามหรอก  ก็เหมือนลูกหมาที่ชอบมาออดอ้อนนั่นแหละ  มาซุกมาไซ้เรียกร้องความสนใจ  บางทีดินเองก็ชอบทำ นอนให้คนรักลูบผมแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน

        “เออ เมื่อกี้กวินโทรหาพี่” เดือนพูดขึ้น ดวงตาสีเข้มที่หลับพริ้มอยู่จึงเปิดขึ้นมา  นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววเคร่งเครียด “แล้วเขาว่าไงบ้างครับ”

        “บอกว่าให้รอดูเย็นนี้ แต่ถ้ามีอะไรคืบหน้าฝนก็คงส่งมาให้เอง บอกตรงๆนะ พี่ไม่ไว้ใจไอ้นี่เลย” ที่ชีวิตกูยุ่งยากอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมันนี่แหละ โว้ย พูดแล้วก็หงุดหงิด   แต่เพราะดินไม่ได้ค้านอะไรเดือนเลยปล่อยให้ไอ้หมอนั่นมันจัดการเรื่องทุกอย่างไป

        ‘พวกคุณนั่งนิ่งๆเป็นพระเอกแสนดีไปก็พอ’

        ดูมันพูด!

        “เอาน่า ถ้าคุณฝนเห็นว่าโอเคก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ”

        “เดี๋ยวนี้เข้าข้างกันจังเลยนะ” เดือนเปรยขึ้น หรี่ตามอง มันแปลกจริงๆนี่นา เมื่อก่อนก็พอดูออกว่าน้องไม่ค่อยชอบฝน แต่เดี๋ยวนี้ดูเข้าข้างกันดีจริงๆ บางทีก็เห็นนั่งซุบซิบอะไรกันสองคนก็ไม่รู้

        “เปล่าสักหน่อยครับ” ดินตอบพลางยันตัวลุกขึ้น  รีบหนีเข้าไปในครัวก่อนจะโดนซักไซ้อะไรมากไปกว่านี้

       แจ้งเตือนไลน์ของเดือนดังขึ้นตอนห้าโมงเย็น  เป็นข้อความจากฝน พอกดเข้าไปก็ไม่เห็นอะไรนอกจากคำว่าให้เปิดอ่านกระทู้ที่ส่งมาให้ ซึ่งมีสองกระทู้ที่ถูกแปะมา  เดือนกดเข้าไปดูอันแรก  พอเห็นหัวข้อกับคลิปที่ถูกโพสเขาก็ตัวชาวาบ ยิ่งเมื่อคลิปเล่นไปจนถึงกลางคลิปเดือนก็รีบกดออกทันที

        นั่น...นั่นเป็นคลิปจากกล้องที่ถูกซ่อนไว้ในห้องนอนของญี่ปุ่น เป็นเหตุการณ์ในวันที่ญี่ปุ่นเมาแล้วเดือนแบกหล่อนกลับมาที่ห้อง  กล้องจับภาพเดือนตั้งแต่โยนญี่ปุ่นลงบนเตียง  ถอดเสิ้อเปื้อนอ้วกออกแล้วเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้จนถึงตอนที่เขาโทรหาใครบางคนแล้วก็รีบออกจากห้องไป จากนั้นไม่ถึงสิบนาทีก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในห้อง  ญี่ปุ่นปรือตาขึ้นมองชายคนนั้นก่อนจะยิ้มยั่วยวน เริ่มปลดกระดุมเสื้อออกด้วยตัวเอง...

       เดือนรีบกดปิดกระทู้นั้น เขาไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม...คลิปนั่นไม่ได้ถูกตัดต่อใช่หรือเปล่า 

       ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก  เดือนลังเลก่อนจะทำใจกดเปิดเข้าไปในอีกกระทู้หนึ่ง  มันคงไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้แล้วล่ะ  อีกอย่างถ้าอยากรู้ว่าคลิปนั่นเป็นของจริงไหมเขาก็ต้องพิสูจน์

       ทันทีที่หัวข้อกระทู้ปรากฏแก่สายตา ดวงตาคมสีอ่อนก็เบิกกว้างขึ้น  เขารีบเลื่อนลงไปอ่านเนื้อหาทันที  เมื่ออ่านจบ ชายหนุ่มก็ถือโทรศัพท์ค้างไว้แบบนั้น สีหน้าปรากฏทั้งความโล่งใจและความสับสน

       เขานิ่งอยู่อย่างนั้นจนคุณนายกิ่งแก้วที่เดินผ่านมามองอย่างแปลกใจ  หล่อนหยุดยืนมองลูกชายแล้วถาม “เป็นอะไรไอ้เดือน ทำหน้าเหมือนคนโดนผีหลอก”

      “หา...”

      “แล้วนั่นอ่านอะไร ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องเข้าไปอ่านไอ้กระทู้ไร้สาระพวกนั้น เสียสุขภาพจิต”

      ว่าพลางแย่งโทรศัพท์มาจะกดปิดแต่คุณกิ่งแก้วก็ต้องชะงักเหมือนกับที่ลูกชายเป็นเมื่อเห็นหัวข้อกระทู้

       ‘จับผิดข่าวดาราท้อง ผิดจริงหรือจับแพะ?’

        ผมรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเลยครับ  ทั้งเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วก็เรื่องรูปที่ถูกแอบถ่ายที่คุณ T นำมาลงในกระทู้ที่แล้ว รู้สึกว่ามันประจวบเหมาะเกินไป คือมีหลักฐานมาตั้งนานแล้ว? แล้วทำไมไม่เอามาบีบหรือเรียกร้องให้พ่อเด็กรับผิดชอบตั้งแต่ตอนรู้ว่าท้องแรกๆ ทำไมปล่อยให้เรื่องยืดมาตั้งหลายเดือนจนจะคลอดแล้วถึงค่อยปล่อยหลักฐานมา เหมือนกันว่ามันจัดมาแล้วเพื่อถล่มนายแบบคนนี้เลย  ผมก็เลยขอให้รุ่นพี่ที่เป็นคนรู้จักคนหนึ่งช่วยตรวจสอบให้ เขาบอกเราว่าภาพจากกล้องวงจรปิดนั่นถูกตัดต่อครับ แต่รูปของนายแบบกับแฟนผู้ชายคนนั้นเป็นของจริงนะ พอรู้แบบนี้ก็เลย อ้าว พอมีอะไรแบบนี้แล้วทุกอย่างมันจะยังบริสุทธิ์ใจอยู่แน่เหรอ บางทีคนผิดอาจเป็นคนถูก คนถูกอาจเป็นคนผิดก็ได้นะ แล้วพอเรามาเจอคลิปญี่ปุ่นกับผู้ชายแปลกหน้ามีอะไรกันในห้องที่มีคนปล่อยออกมา ตอนแรกก็คิดว่าถูกตัดต่อ แต่พอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจดูก็บอกว่าของจริง แปลว่าญี่ปุ่นโกหกมาตลอด กระทู้เพื่อนอะไรนั่นก็อาจจะเป็นตัวเองปลอมมาเขียนก็ได้บางทีเราอาจจะจับแพะอยู่ก็ได้

        เดือนไล่อ่านความคิดเห็นไปเรื่อยๆ จนไปเจอกับความเห็นที่ว่ากระทู้ที่คนเขียนบอกว่าเป็นเพื่อนกับญี่ปุ่นนั้นได้ถูกลบไปแล้ว เพราะแบบนี้ทำให้กระแสเข้าข้างญี่ปุ่นที่เป็นมาตลอดเริ่มสับสน

       ความคิดเห็นที่ 1

       สมาชิกหมายเลข 5544 – ถ้าคลิปนี่ของจริงก็แปลว่าจับแพะของจริงเลย แต่ตอนนี้มันดูสับสนไปหมดแล้วอ่ะ  เราว่าถ้าให้ชัวร์ควรตรวจดีเอ็นเอนะ

       ความคิดเห็นที่ 3

       สมาชิกหมายเลข 6523 – เห็นด้วย ควรตรวจดีเอ็นเอนะ

       ความคิดเห็นที่ 48

       สมาชิกหมายเลข 32316 – อยากรู้จังว่าคนไปด่าเขาจะทำหน้ายังไงตอนนี้ ด่าซะเสียคนเลย

      ความคิดเห็นที่ 56

      ไก่กุ๊กกิ๊กกะดุกกะดุ๋ย – เราว่าแล้วว่าแปลกๆมาตลอด  พวกที่ไปด่าเขานี่เป็นไงบ้าง กระทู้นั้นก็ลบไปแล้วอ่ะ  ฮัลโหลๆ เก็บเศษหน้าอยู่ป่ะจ๊ะ

       ความคิดเห็นที่ 76

       สมาชิกหมายเลข 66 – ญี่ปุ่นแรดจะตายดูไม่ออกกันหรือไง กิ๊กมีเป็นหางว่าว

       ความคิดเห็นที่ 84

       สมาชิกหมายเลข 2314 – เห็นด้วย   เด็กนี่ลูกใครก็ไม่รู้ แต่เอาให้ชัวร์ก็ตรวจดีเอ็นเอ แต่ถ้าตรวจออกมาแล้วไม่ใช่ลูกเดือนนี่แจ้งความได้ไหมนะ  จะได้เห็นๆกันไป  มั่วก็มั่วไปแต่อย่ามายัดเยียดให้คนอื่น #ทำตัวไร้คุณค่าเอง

       ความคิดเห็นที่ 99

      สมาชิกหมายเลข 1000 – นางร้ายลิปพาสเทล 5555 ขอด่าหน่อยเหอะ เห็นนางแอ๊บใสมานานละหมั่นไส้  นี่ไอจีนางก็ล็อกแล้วนะ ก่อนหน้านี้ยังตั้งเป็นสาธารณะอยู่เลย  โธ่ๆ น่าสงสารจุงงง

      ความคิดเห็นที่ 100

      สมาชิกหมายเลข 222 – เม้นท์บนนี่แอนตี้ญี่ปุ่นป่ะคะ  ยังไงพี่เขาก็เป็นผู้เสียหาย ให้เกียรติกันนิดนึงค่ะ

     ความคิดเห็นที่ 101

      สมาชิกหมายเลข 8769 – ทีตอนเดือนคนด่าเป็นบ้าเป็นหลัง ประณามกันว่าไอ้หนุ่มนี่ผิดแน่ๆพ่อของลูก ไม่เห็นมีใครมาเรียกร้องให้ให้เกียรติกันบ้างเลย ทั้งๆที่อะไรก็ไม่ชัดเจน ทีญี่ปุ่นมีคนมาเรียกร้องคืออะไร ไม่ใช่แอนตี้นะ  เราตามข่าวนี้ห่างๆ เข้ามาอ่านแล้วดูก็ขอหน่อยเหอะ คือมันไม่ใช่ เราว่างานนี้ถ้าญี่ปุ่นโกหกอ่ะเดือนเป็นผู้เสียหายเต็มๆนะ  แล้วน้องผู้ชายคนนั้นด้วย ไปด่าเขาผู้ชายขายน้ำบ้าง โสเภณีบ้าง มันใช่ป่ะวะ ไม่ได้รู้จักเขาก็เฉยๆนะ คดีพลิกแล้วจะแหกโค้งนะจ๊ะ

     ความคิดเห็นที่ 233

     สมาชิกหมายเลข 145 – ทุกคนรับข่าวอย่างมีสติเถอะครับ อย่าเพิ่งเปิดศึกกัน ตอนนี้เราคงต้องรอตรวจดีเอ็นเออย่างเดียวแล้ว #เอาจริงๆก็เรื่องในครอบครัว #แต่ผมจะไม่พูดอะไรเพราะผมก็เผือกเหมือนกัน

       และความคิดหลังจากนั้นก็แตกออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่เห็นว่าควรตรวจดีเอ็นเอ กับฝ่ายที่เชื่อว่าเดือนตัดต่อคลิปนี้เพื่อให้ตัวเองพ้นผิด  กระทู้นี้และคลิปของญี่ปุ่นแบบที่เซนเซอร์ใบหน้าถูกแชร์ต่อไปเป็นจำนวนมาก  เมื่อตั้งสติได้เดือนก็รีบส่งไลน์ไปหาฝนทันที

       เดือนแฟนน้องดิน : ใครตั้งกระทู้นั้นขึ้นมา

       Raining : จะใครถ้าไม่ใช่ผม แต่ข้อมูลในกระทู้จริงทุกประการนะ

       เดือนแฟนน้องดิน : แล้วคลิปญี่ปุ่น?

       Raining : กวินปล่อย


        เดือนกดลบแชททันทีหลังอ่านจบ  นี่สินะที่บอกว่าขอไปหาหลักฐานเพิ่มเติม 

        ชายหนุ่มเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ  จากการคาดเดาของเขา ถ้าคลิปและกระทู้นี้ถูกแชร์ออกไปในวงกว้าง ทางบริษัทน่าจะจัดให้พวกเขาให้สัมภาษณ์กับนักข่าว พอถึงตอนนั้นสรัลก็จะพูดเรื่องตรวจดีเอ็นเอได้

         “เฮ้อ  อะไรกันเนี่ย วงการพวกนี้ ฉันล่ะปวดหัวจริงๆ” คุณนายกิ่งแก้วที่เงียบไปนานพูดขึ้น หล่อนจ้องลูกชายอีกคนนิ่งๆก่อนจะลูบหัวมันเบาๆเป็นเชิงปลอบ “ยังไงก็แล้วแต่ อดทนอีกหน่อยนะเจ้าเดือน  เป็นแบบนี้อีกไม่นานเรื่องก็คงจะจบแล้ว  อดทนอีกหน่อยนะลูก”

        “ครับแม่” เดือนยิ้มรับก่อนจะกอดร่างท้วมนั้นแน่นๆ  ชายหนุ่มหันกายเดินลงไปในสวนด้านล่างก็พบดินกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่  คนตัวโตเดินเข้าไปสวมกอดร่างเล็กจากข้างหลังทำให้ดินสะดุ้ง  เขาหันกลับมา ดวงตาหลังเลนส์ใสเหลือบมองไปด้านนอกรั้ว

         “พี่เดือน เดี๋ยวมีคนมาเห็น”

         “อืม”

         “พี่เดือน...เป็นอะไรครับ?”

         มือบางแตะเข้าที่เส้นผมสีอ่อนที่ตอนนี้เริ่มยาวลงจนเกือบจะระบ่า แต่ยังไม่ทันที่เดือนจะได้ตอบก็มีเสียงดังมาจากหน้าบ้านเสียก่อน

         “มายืนกอดกันตรงนี้ มึงอยากเป็นข่าวอีกรอบใช่ไหมไอ้เดือน หนนี้ถ้ามีเรื่องอีกกูพามึงเข้าป่าจริงๆด้วยนะ” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงจากปากหนุ่มมาดเซอร์ทำให้ดินอมยิ้มออกมา  อารัณย์เปิดประตูรั้วตามมาด้วยฝนกับกวิน  หนุ่มผมยาวหันมาพูดกับเดือน “มึงเห็นที่ฝนส่งให้แล้วใช่ไหม”

         “ใช่ มึงว่าทำแบบนี้มันไม่ดูประจวบเหมาะไปเหรอ”

         “ไม่หรอกครับ” กวินเป็นคนตอบแทน  “ถ้ามีคนสืบเรื่องนี้ผมก็จะบอกว่าผมได้คลิปมาจากกล้องที่ซ่อนอยู่ในห้องของญี่ปุ่น  อันที่จริงก็เป็นความจริงแหละ ผมได้คลิปนี้มาจากแฟนใหม่ของญี่ปุ่นจริงๆ”

         “แล้วไอ้หมอนั่นเป็นใครน่ะ หน้าไม่คุ้นเลย”  หนุ่มผมยาวถามขึ้นระหว่างที่พวกเขาเดินขึ้นไปบนบ้าน  ฝนที่กำลังขมวดคิ้วมองหน้าจอโทรศัพท์ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ชื่อพอร์ชน่ะครับ นายแบบหน้าใหม่แต่ประวัตินี่แซ่บไม่เบานะ เล่นยาดื่มเหล้า เจ้าชู้ตัวพ่อ”

        เดือนพ่นลมหายใจ  คนแบบนี้คงเข้ากับแฟนเก่าเขาได้ดีแน่ๆ

        คุณมะลิที่เห็นว่าทีคนมาเพิ่มก็ลากสามีออกไปซื้อกับข้าวข้างนอกระหว่างที่ชวนทุกคนให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน  “แล้วจะทำยังไงต่อไปครับ” ดินถาม  จริงอยู่ว่าคลิปที่ถูกปล่อยออกมาสร้างความปั่นป่วนมากพอสมควรแต่ทุกอย่างก็ดูไม่แน่ชัด  คำว่าอาจจะถูกจัดฉากปรากฏอยู่ในใจทุกคน  ถ้าจะทำให้พวกเขาพ้นผิดจริงๆก็ต้องหาหลักฐานที่พิสูจน์ได้ชัดเจนกว่านี้

        “ก็คงต้องรอให้ข่าวนี้มันแพร่ออกไปมากๆก่อนจากนั้นทางบอสก็คงเรียกให้พวกเราไปเจรจากับทางญี่ปุ่น บีบให้พวกเขายอมให้ตรวจดีเอ็นเอ” นับสืบหนุ่มที่วันนี้มาในชุดเสื้อยืดขาวที่มีสภาพเหมือนถูกพู่กันสะบัดสีใส่ยกขาขึ้นไขว่ห้าง  คนผมสีอ่อนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า “ทางนั้นไม่ยอมหรอก”

      “ผมก็คิดแบบนั้น คุณสรัลบอกว่าถ้าทางนั้นไม่ยอมเราคงต้องออกไปพูดต่อหน้าสื่อ ให้พวกสื่อกดดันแทน แต่ถ้าพวกเขาไม่ยอม...ผมก็จะบีบให้ได้ เชื่อเถอะว่าผมทำได้”

       ดวงตาคมฉายแววจริงจัง คนตัวสูงลอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเหมือนโชคเข้าข้างที่ผู้ชายคนนี้ยอมมาเป็นพวกเขา  ไม่งั้น..เขากับดินคงแย่กว่านี้  คิดดูสิว่าแค่ตามถ่ายภาพกับตัดต่อวงจรปิดก็ทำให้พวกเขาวุ่นวายกันได้ขนาดนี้แล้ว

       สามวันต่อมาเรื่องคลิปของญี่ปุ่นเป็นกระแสแรงจนช่องข่าวบันเทิงทุกช่องต้องนำมาออกข่าว  มีการเชิญหญิงสาวให้ไปออกรายการแต่ญี่ปุ่นก็ปฏิเสธไปด้วยข้ออ้างที่ว่าเธอท้องแก่ใกล้คลอดและไม่สะดวกจะไปออกรายการใดๆทั้งสิ้น  ดูเหมือนว่าหญิงสาวกำลังเครียดและมีภาวะซึมเศร้า  ญี่ปุ่นพยายามโทรหาเดือนแต่เขาก็ไม่ได้รับสาย หญิงสาวพยายามเรียกร้องความสนใจของเขาผ่านทางเฟซบุ๊คและอินสตาแกรมแต่กลับไม่ส่งผลอะไรนอกจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้นและถูกเรียกร้องให้ทำทุกอย่างให้ชัดเจนมากขึ้น

      เหมือนกรรมตามสนอง...สิ่งที่หญิงสาวเคยทำกับพวกเดือนตอนนี้ย้อนกลับมาหาเจ้าตัวแล้ว แต่เดือนกลับไม่สงสารเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกสมเพชหญิงสาวมากกว่า

       วันนี้เขาถูกสรัลโทรตามให้เข้าไปที่บริษัทแต่เช้า ชายหนุ่มจึงพาดินแล้วก็พ่อแม่ออกมาด้วย  พอขับรถมาถึงเดือนก็หยิบเอาหมวกมาให้ดินใส่ ชายหนุ่มกดปีกหมวกให้ปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของคนรักไว้ก่อนจะพากันลงมาจากรถ  เมื่อขึ้นลิฟท์มาถึงชั้นห้องทำงานของสรัล พวกเขาก็พบว่ามีคนรออยู่ในห้องจำนวนหนึ่งแล้ว รวมถึงคนที่คาดไม่ถึงอย่างชินกรและญี่ปุ่นด้วย  ดวงตากลมของดาราสาวรื้นไปด้วยหยดน้ำตาเมื่อเห็นว่าเดือนจูงมือดินเข้ามา

     กุ๊กปิดประตูตามหลังเดือน ชายหนุ่มพาดินไปนั่งบนโซฟาข้างอารัณย์กับฝน  กวินนั่งอยู่ตรงข้ามชินกร ทั้งคู่ดูเหมือนกำลังฟาดฟันกันผ่านทางสายตา

       “เอาล่ะครับ ก่อนอื่นผมต้องบอกว่าจากเรื่องงที่เกิดขึ้นทั้งหมด...ทางต้นสังกัดของญี่ปุ่นต้องการให้เรื่องนี้จบสักที  ทางเราเลยขอเจรจากับคุณชินกรครับ” สรัลเปิดประเด็น “ผมเลยขอให้เดือนและพ่อกับแม่มาด้วยเพราะ...พวกเขาเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย”

       “มันจะไม่มีการตรวจอะไรทั้งนั้น”  ชายวัยกลางคนคำรามลอดไรฟัน  กำหมัดแน่นพลางจ้องเดือนอย่างโกรธแค้น “ทุกคนต่างรู้ว่าลูกสาวผมเป็นผู้เสียหาย!”  ชินกรทุบโต๊ะดังปัง  อัลเฟรดหรี่ตาลงมองชายตรงหน้าด้วยดวงตาที่แสดงถึงความไม่ชอบใจนัก

       “แต่ผมว่ามันก็ไม่แน่หรอกนะครับ  ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าลูกสาวคุณเป็นผู้เสียหายอยู่หรือเปล่าหลังจากมีคลิปนั้นหลุดออกมา” ฝรั่งร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จ้องมองชินกรที่โกรธจนหน้าแดงก่ำ  “ผมว่าบางทีเราก็ต้องการความชัดเจนและโปร่งใสนะครับคุณชินกร”

       “คลิปนั่นอาจจะเป็นการตัดต่อ”

       “เหมือนที่คุณตัดต่อภาพวงจรปิดใช่ไหมล่ะครับ” กวินแทรกขึ้นมา ยิ้มเยาะใส่ชินกร เขากล้าพูดออกมาเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้าพูดว่าจ้างเขาให้ตัดต่อแน่ เพราะเท่ากับยอมรับว่าป้ายความผิดเรื่องพ่อของเด็กให้กับเดือน

       “บางทีถ้าตกลงกันไม่ได้เราคงต้องไปพูดกันต่อหน้าสื่อ” สรัลประสานมือบนหน้าตัก เป็นท่าทางปกติยามต้องการกดดันคู่สนทนา แต่ชินกรเองก็เป็นชายที่ผ่านวงการธุรกิจและการกดดันแบบนี้มาอย่างโชกโชนเช่นกัน  ชายวัยกลางคนจึงรวบรวมสติได้อย่างรวดเร็ว “คุณใช้สื่อกดดันผมไม่ได้หรอกคุณสรัล ถ้าผมไม่อนุญาตก็คือไม่อนุญาต” ชายวัยกลางคลุกขึ้นขณะที่ญี่ปุ่นพยายามประคองร่างผอมบางแต่ป่องกลางของตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก

       ตุบ

       กวินโยนซองสีน้ำตาลซองหนึ่งลงบนโต๊ะ ทำให้ร่างสองร่างที่กำลังจะเดินออกจากห้องต้องหยุดชะงัก  ชายหนุ่มเหยียดยิ้มมองไปที่ญี่ปุ่นพลางพูด  “เปิดสิ ของเธอ”

       มือเรียวสั่นเทาของหญิงสาวค่อยๆเอื้อมมาหยิบซองไปก่อนจะแกะเปิด สิ่งที่อยู่ในนั้นเหมือนจะเป็นรูป  ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตระหนก เดือนไม่รู้ว่ากวินเอาอะไรให้ญี่ปุ่นดู แต่หญิงสาวทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้  ร่างเล็กรีบยัดรูปภาพทั้งหมดลงซองก่อนผู้เป็นพ่อจะหยิบมาดูทัน นับสืบหนุ่มรีบดึงซองออกมาก่อนมือหนาของชินกรจะกระชากมันไป  เขาหันไปหาญี่ปุ่นที่เม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าซีดอย่างหวาดหวั่น

       “เธอจะยอมตรวจดีเอ็นเอตอนนี้แล้วให้เรื่องทั้งหมดมันเงียบไปเอง หรือจะให้ฉันพังทั้งชีวิตของเธอ เลือกเอา”

       “ฉันไม่อนุญาตให้ตรวจ!”

        “ผมถามคุณญี่ปุ่น ไม่ได้ถามคุณ เธอจะต้องเลือกชีวิตของตัวเธอเองได้แล้วล่ะ”  ว่าจบก็หันไปหาญี่ปุ่น  “เลือกสิ”

       หญิงสาวหันไปมองบิดาก่อนจะหันไปมองผู้คนรอบๆห้อง  รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกดดันอย่างหนัก ญี่ปุ่นจ้องมองกวินอย่างเคียดแค้น  เพราะมัน...เพราะมัน! รูปในซองนั่นเป็นรูปของเธอตอนเสพยา  สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และเต้นอยู่กับเพื่อนผู้ชายในผับ  ถ้าหากมันแพร่ออกไปชีวิตที่รุ่งโรจน์ของเธอก็จะจบลง...จบแบบดับสนิทไม่ได้เกิดแน่ๆ

       “อ้อ แล้วผมรู้นะว่าคุณไปที่คลินิกของหมอชาญชัยมา”  ประโยคนี้ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งจนสุดตัว  คนอื่นไม่รู้...แต่เธอรู้  คลินิกที่ว่านั่นเพื่อนของเธอแนะนำมา ญี่ปุ่นทนกับความกดดันไม่ไหวแล้ว หญิงสาวต้องการทำแท้ง ถึงแม้ว่าการคิดจะเอาเด็กออกตอนนี้จะอันตรายและเสี่ยงมาก แต่เธอก็ไม่อยากเก็บมันเอาไว้  ไม่อยากเลี้ยงดูภาระที่นำแต่ปัญหามาให้!

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 02-04-2016 20:25:09
         แต่สุดท้ายพอถึงหน้าคลินิกหญิงสาวก็ไม่กล้าเข้าไป...เธอขี้ขลาดเกินกว่าจะให้ตัวเองเสี่ยงอันตรายไปด้วย

        พอมองสบดวงตาที่แสดงถึงชัยชนะนั่นญี่ปุ่นก็รู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้แล้ว...เธอก้มหน้าลง ตอบรับเสียงสั่นเครือ

        “ฉัน...ฉันยอมให้ตรวจดีเอ็นเอของลูก”

       สิ้นเสียงแผ่วนั้นนับสืบร่างสูงก็เหยียดยิ้มออกมา “เป็นอันว่าตกลง  ถ้าหากว่ามีการเล่นตุกติก ไม่มาตามนัด  หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้การตรวจดีเอ็นเอไม่สามารถทำได้ ภาพพวกนี้จะถูกแพร่ออกไป เข้าใจไหมครับ”  การข่มขู่ที่พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆแบบนี้ทำให้ชินกรกัดฟันกรอด  กวินไม่สบตาชายคนนั้น เขารู้แน่แล้วว่าตัวเองต้องโดนหมายหัว  แต่แล้วไง เขาไม่ใส่ใจหรอก 

        เพราะเขาเตรียมแผนรับมือเอาไว้หมดแล้ว จะจัดการก็ต้องทำให้หมดจด ไม่ให้เหลือรอดมาทำร้ายตัวเอง

        ตีงูก็ต้องตีให้ตาย
   
         หลังจากการเจรจาครั้งนั้นพวกเดือนก็ลงไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าว เขาตอบแค่สั้นๆว่าเพื่อความกระจ่างและความถูกต้องทางพวกเขาได้ตกลงกันแล้วว่าเมื่อเด็กเกิดมาจะมีการตรวจดีเอ็นเอ และเพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใสที่สุด จะมีนักข่าวหนึ่งคนเข้าไปฟังผลตรวจกับพวกเขาด้วยและโรงพยาบาลที่พวกเขาจะตรวจดีเอ็นเอคือโรงพยาบาลรัฐที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเพื่อป้องกันการปลอมแปลงผล  และคลิปกล้องวงจรปิดของเดือนกับคลิปวิดิโอของญี่ปุ่นก็จะถูกส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าผ่านการตัดต่อมาหรือไม่ และนำมาเปิดเผยกันต่อหน้านักข่าวพร้อมกับผลดีเอ็นเอเลย
   
        “ทั้งหมดนี่ก็เพื่อความโปร่งใส” สรัลพูดย้ำอีกครั้งก่อนจะขอจบการสัมภาษณ์  เดือนเดินเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่ยืนรออยู่พร้อมดิน  พวกท่านกอดเขาไว้แน่น  ลูบหลังให้กำลังใจ
   
        “ลูกเป็นคนซื่อสัตย์” แม่มะลิพูด แย้มยิ้มโล่งใจ “ความจริงที่ลูกพูดอยู่เสมอจะปกป้องลูก”
   
        “ทำดีมากไอ้เสือ”
   
         หญิงสาวร่างบางก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนอุทานออกมา “พ่อกับแม่ต้องกลับบ้านก่อนนะลูก พี่แก้วฝากซื้อกับข้าว บอกว่าจะเลี้ยงฉลอง ให้ชวนคนอื่นๆไปด้วยนะ” ผู้เป็นลูกพยักหน้ารับ ก่อนจะมองส่งพ่อกับแม่ออกไป  เขาจึงหันมาหาคนรักที่ยืนรออยู่  ดินเดินเข้ามาจับมือเขาไว้ก่อนจะสอดประสานมือเข้ากับมือของเขา
   
         “กลับบ้านกันนะครับ”
   
         “อื้อ กลับบ้านกันเถอะ”
   


         ระหว่างทางกลับบ้าน จู่ๆดินก็ถามขึ้นมา “พี่เดือนครับ พี่เดือนอยากมีลูกไหม” คำถามนั้นเรียกให้ดวงตาคมเหลือบมามองแวบหนึ่งก่อนหันไปมองถนนต่อ

        “ถามทำไม หืม”

        “อยากรู้ครับ”  เดือนทำท่าคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “อื้อ พี่อยากมีลูก” มีเด็กตัวเล็กๆมาวิ่งเล่นในบ้าน ให้เขาสอนปั่นจักรยาน ให้ดินสอนวาดรูป ช่วยกันปลูกต้นไม้   แบบนั้นก็คงดีเหมือนกัน  เดือนเหลือบมองดินที่เงียบไปแล้วก็เอื้อมมือข้างหนึ่งไปโยกศีรษะคนผมดำเบาๆ

        “ดินขอโทษนะที่มีลูกให้พี่ไม่ได้”

        “หยุดความคิดนั่นเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพี่จะตี”   

        คนตัวโตเอ่ยเสียงดุ  “พี่อยากมีลูก แต่ถ้าคนช่วยเลี้ยงไม่ใช่ดินก็ไม่อยากมีแล้ว...ไม่มีน้อง มันจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ได้ยังไง”

         คนตัวเล็กไม่ตอบคำเขา แต่ดึงมือเขาไปแนบแก้มแล้วเอียงใบหน้าเข้าหาฝ่ามือใหญ่แบบอ้อนๆ “ว่าแต่ทำไมถามขึ้นมา  ดินอยากมีลูกเหรอ”

         “เปล่าครับ  ดินแค่คิดว่าดินอาจทำให้พี่พลาดโอกาสในชีวิตไป” ดวงตาหลังกรอบแว่นฉายแววเศร้าสร้อยบางเบา “ดินท้องไม่ได้ มีลูกให้พี่ไม่ได้ ทั้งที่ถ้าพี่ไม่เจอดิน พี่ก็อาจได้เจอผู้หญิงดีๆ มีลูก...ให้พาไปโรงเรียน ให้สอนร้องเพลง ให้หัดปั่นจักรยาน...ดินแค่...แค่ทำให้พี่เสียโอกาสพวกนั้น ดินขอโทษ”

         รอยยิ้มบางแตะแต้มบนริมฝีปากได้รูปของเดือน  ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันมาจูบเบาๆที่ปลายจมูกของดิน

         “พี่เองก็ทำให้ดินเสียโอกาสนั้นเหมือนกัน  ในเมื่อไม่มีโอกาสกันทั้งคู่แบบนี้แล้ว เราก็ต้องดูแลกันดีๆแล้วไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปจนปลายจมูกของเขาชนกับปลายจมูกรั้นเบาๆ “อย่าปล่อยมือกันก็พอ”

        เดือนออกรถเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาเงียบไปสักพักก่อนพูดขึ้น “แต่ว่า...ถ้าดินอยากเลี้ยงลูก เรารับเด็กสักคนมาเลี้ยงไหมล่ะ”

        “เอ๋...จ...จะดีเหรอครับ” เด็กนะไม่ใช่ลูกหมาที่อยากเลี้ยงก็รับมาเลี้ยงได้เลย  เขาเองก็ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อนนอกจากต้นข้าว...ซึ่งนั่นก็ผ่านมานานมากแล้ว

       “เอ้า ก็ช่วยกันเลี้ยงสิ พี่เป็นพ่อ ดินเป็นแม่ ครอบครัวสุขสันต์จะตาย” คนถูกยัดเยียดตำแหน่ง ‘แม่’ มาให้แทบสำลักน้ำลายตัวเอง “ใครจะเป็นแม่ไม่ทราบครับ! ดินเป็นผู้ชายนะ ดินต้องเป็นพ่อสิ”

       “อ้าวเหรอ ทีตอนอยู่บนเตียง...”

       “ไม่อยากขับรถพุ่งชนต้นไม้ก็เงียบครับ”

       ดินพูดแทรกเสียงดัง สองแก้มร้อนผ่าวจนต้องก้มหน้างุด  แว่วเสียงคนตัวโตหัวเราะในลำคอก็ยิ่งอาย โถ่เว้ย อย่าให้ได้อยู่บนบ้างนะ เขาจะหัวเราะให้สะใจเลย!


       หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ถึงกำหนดคลอด ข่าวนี้นับว่าเป็นประเด็นร้อนที่ทุกคนจับตามองเพราะนั่นหมายถึงการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ว่าเดือนเป็นพ่อเด็กหรือไม่มาถึงแล้ว  สรัลนัดหมายกำหนดการตรวจหลังการคลอดไปสามวันเพื่อให้แม่เด็กได้พักฟื้นก่อน   

        มันเป็นสามวันที่เดือนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าที่สุด คงจะจริงที่ว่าถ้าเรารอคอยอะไรบางอย่างเวลาก็จะผ่านไปช้ามากๆ

        จนในที่สุดวันที่พวกเขาต้องไปตรวจดีเอ็นเอมาถึง  นักข่าวรอกันอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก  วันนี้เดือนมากับกุ๊กและอารัณย์  เขาไม่ได้พาดินมาด้วยเพราะไม่อยากให้น้องโดนนักข่าวรุม 

        เมื่อมาถึงนางพยาบาลก็พาพวกเขาขึ้นไปที่ชั้นสาม อันเป็นชั้นที่ญี่ปุ่นนอนพักฟื้นอยู่  นางพยาบาลนำพวกเขาไปที่ห้องผู้ป่วย เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบชินกรนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องกับญี่ปุ่นที่นอนนิ่งหันหน้าไปนอกหน้าต่าง ไม่สบตากับใครสักคน  ข้างเตียงผู้ป่วยคือกระบะใสที่มีทารกเพศชายนอนหลับอยู่

       “ขอโทษนะครับ” เดือนเอ่ยกับนางพยาบาลที่ยืนอยู่ในห้อง “เด็กคนนี้ชื่ออะไรเหรอครับ” นางพยาบาลสาวมีท่าทางลำบากใจ เธอหันไปมองชินกรก่อนลากสายตาไปมองญี่ปุ่นที่นอนนิ่งก่อนตอบเสียงแผ่ว “ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ” เดือนพยักหน้า ไม่ได้คิดอะไรให้มากความ 

        ทั้งสามคนนั่งลงบนเก้าอี้ที่นางพยาบาลจัดมาให้  อารัณย์มองญี่ปุ่นที่ไม่กระดิกตัว ไม่หันกลับมามองใครก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบกับเดือน “เหมือนจะเป็นอาการซึมเศร้าหลังคลอดว่ะ” เดือนไม่ได้มองญี่ปุ่นแต่มองเด็กทารกอย่างสงสาร ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะไม่ได้รับการเอาใจใส่จากใครเลยนอกจากนางพยาบาล

         เกิดมาโดยที่ไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย...น่าสงสาร

         เดือนมองเด็กน้อยคนนั้นพลันความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในใจ  มันเหมือนกับว่า...เขาถูกชะตากับเด็กคนนั้น อาจเป็นเพราะความสงสารหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้เหมือนกับดิน...และเขาก็อาจจะเกิดความรู้สึกอยากปกป้องขึ้นมา

        “คุณหมอให้พาพวกคุณไปรับการตรวจได้แล้วค่ะ”  นางพยาบาลอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกกับพวกเขา  เดือนหยิบเอกสารที่ต้องใช้ขึ้นมา เดินตามนางพยาบาลคนนั้นไปพร้อมกับนางพยาบาลอีกคนที่อุ้มเด็กทารกตามมา

         หลังจากยื่นเอกสารและชำระเงินค่าตรวจเรียบร้อย  พวกเขาก็ไปถ่ายรูปพร้อมกันโดยเจ้าหน้าที่ของหน่วย จากนั้นพวกเขาก็เข้ารับการตรวจโดยใช้วิธีป้ายเยื่อบุข้างแก้ม   เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการตรวจเจ้าหน้าที่ก็นัดให้พวกเขาเข้ามาฟังผลตรวจได้ในอีกประมาณสามอาทิตย์

        หลังตรวจเสร็จกุ๊กก็โทรมาบอกให้เดือนออกไปรอที่ด้านนอกโรงพยาบาลเพื่อป้องกันนักข่าว ก่อนไปชายหนุ่มก็ร้องเรียกนางพยาบาลที่อุ้มเจ้าหนูน้อยคนนั้นให้หยุดก่อน  เดือนวิ่งเข้าไปหา ก้มมองเด็กน้อยที่บัดนี้ตื่นแล้วและกระพริบตามองปริบๆ
ความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นในใจ เขาไม่ใช่พ่อเด็ก แต่น่าแปลกที่เขารู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้

         ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปจูบเบาๆที่กระหม่อมบาง  เขาส่งยิ้มให้นางพยาบาลที่ดูตะลึงอยู่ไม่น้อยก่อนจะหันกายเดินออกไป
สามสัปดาห์...อีกแค่สามสัปดาห์ ทุกอย่างก็จะจบลง


          หากตอนที่เขารอสามวันว่านานแล้ว การรอสามสัปดาห์ก็เป็นอะไรที่ทรมานใจพอกัน ชายหนุ่มที่ดูฟุ้งซ่านถูกดินดึงไปทำกิจกรรมนู่นนี่ตลอดเวลา แต่ชายหนุ่มผมดำก็รู้สึกว่าพักหลังมานี้เดือนมักจะเหม่อลอยเป็นพักๆ เหมือนกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

         เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงกำหนดฟังผล เดือนพาดินกับพ่อแม่ไปโรงพยาบาลด้วย ส่วนแม่แก้วบอกว่าจะขอเตรียมอาหารรออยู่ที่บ้าน  ชายหนุ่มให้ดินนั่งรออยู่ในห้องพักผู้ป่วยกับญี่ปุ่นระหว่างที่ตัวเองไปฟังผล  โชคยังดีที่ในห้องมีพ่ออัลเฟรดกับแม่มะลิอยู่ด้วยดินจึงไม่อึดอัดมากนัก

         คนผมดำมองหญิงสาวที่นั่งเหม่อลอยไปนอกหน้าต่าง  ญี่ปุ่นไม่สนใจใครในห้องเลย ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาก็พบว่าหญิงสาวอยู่ในท่านั้นอยู่แล้ว  เธอดูเหมือน...เหมือนหุ่นกระบอกเชือกขาด ไร้เรี่ยวแรงและดูหมดกำลังใจในชีวิต  เขากวาดตามองไปรอบๆห้องพักที่ตกแต่งอย่างดีสมราคาที่จ่าย ข้างเตียงมีเพียงกระเช้าผลไม้หนึ่งใบ มีดปอกผลไม้กับจานเปล่าวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆกัน  นอกจากพวกเขาในห้องนี้ก็มีแค่ลูกน้องชินกรแค่คนเดียวเท่านั้น

         มันดูว่างเปล่าแล้วก็โดดเดี่ยวจนน่าใจหาย

         ชายหนุ่มหันไปมองกระบะเด็กอ่อน  เด็กคนนั้นเป็นผู้ชาย... ตอนที่เห็นแวบแรกดินก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ทั้งถูกชะตาทั้งสงสาร  มันเหมือนกับว่าเห็นตัวเขาในวัยเด็กล่ะมั้ง   นอนอยู่แต่ไม่มีใครสนใจ  เขามองเด็กน้อยที่ไม่รู้ชื่อสลับกับแม่เด็กที่ดูอ่อนแรง  ด้วยความสงสารดินจึงขยับไปข้างเตียงญี่ปุ่น  หยิบแอปเปิ้ลขึ้นมา “คุณญี่ปุ่นทานแอปเปิ้ลไหมครับ เดี๋ยวผม...”

         “ไปให้พ้น”

        น้ำเสียงแผ่วเบาตัดบทเขา  หญิงสาวยังคงไม่หันหน้ามา ดินเองก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากวางมีดกับแอปเปิ้ลลง  เขากำลังจะถอยกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิมก็เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าหนูน้อยในกระบะเด็กอ่อนส่งเสียงร้องขึ้นมา  เสียงแหลมๆของเด็กทำให้ดินปวดหัวไม่น้อย  เขาไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่มองหน้ากับคนในห้องเลิกลั่ก

          คนที่ตกใจเป็นพวกเขาแต่แม่เด็กแท้ๆกลับนั่งนิ่ง ไม่ทำอะไรนอกจากขยุ้มผ้าห่มแน่น

           ในที่สุดเมื่อความอดทนสิ้นสุดลง..ญี่ปุ่นก็แผดเสียงออกมา

           “หุบปาก!” หญิงสาวกรีดเสียงร้องแหลมทำให้ดินตกใจ  ญี่ปุ่นยกสองมือขึ้นปิดหู หวีดเสียงออกมาแข่งกับทารกน้อย
   
          “หุบปาก หุบปากเดี๋ยวนี้! ไอ้เด็กเวร ฉัน...ฉันรำคาญแกจะตายแล้ว แหกปากอะไรนักหนาได้ทุกวัน  กรี๊ดดด ฉันบอกให้หุบปากไง! ใครก็ได้...ใครก็ได้ทำให้มันเงียบที”

          ดินตกใจกับท่าทางที่เหมือนคนเสียสติของญี่ปุ่น  หญิงสาวยังคงแผดเสียงไม่เลิกประกอบกับเสียงเด็กร้องมันทำให้ดินปวดหัวจนอยากจะออกไปให้พ้นๆ แม่มะลิที่ทนไม่ไหวรีบเข้ามาดู เด็กน้อยร้องไห้ออกมาเพราะเขาอุจจาระเลอะผ้าอ้อม  คุณแม่มะลิเลยจัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้อย่างเชี่ยวชาญ

         ดวงตากลมแฝงแววตำหนิไปที่ญี่ปุ่น หญิงสาวบนเตียงเมื่อทารกหยุดร้องไห้ก็สงบสติอารมณ์ลง ร่างบางหายใจหอบอย่างแรง ผินหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม

         “นี่...คุณแผดเสียงโวยวายแข่งกับลูกทุกครั้งที่ลูกคุณร้องหรือไง” น้ำเสียงหวานกล่าวอย่างตำหนิ “อย่างน้อยก็ช่วยสนใจลูกบ้างเถอะ ยังไงก็เป็นลูกคุณ”

         “หุบปาก!” ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหันกลับมามองพร้อมน้ำเสียงตวาด “มันไม่ใช่ลูกฉัน ฉันไม่อยากได้เด็กแบบมัน! ไอ้เด็กนรก! ฉันเกลียดมัน มัน...มันเกิดมา...เกิดมาเพื่อทำลายชีวิตฉัน”

        ถ้อยคำหยาบคายรุนแรงที่เธอใช้ด่าทอเด็กน้อยบริสุทธิ์ที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่ในกระบะเด็กอ่อนทำให้มะลิเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ หล่อนไม่คิด...ว่าบนโลกของเรามันจะมีคนประเภทนี้อยู่ด้วยจริงๆ นึกว่ามีแต่ในละครเสียอีก แต่วันนี้เธอเห็นแล้วว่ามันมีจริงๆ...แม่ที่ไม่เคยรักลูกของตัวเองเลย

         หญิงสาวถอนหายใจ ดึงลูกชายที่ยืนอึ้งอยู่ให้กลับมานั่งที่  ก่อนจะนั่งคอยลูกชายคนโตต่อไป

        แกรก

         ในที่สุดเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น  เดือนเดินเข้ามาพร้อมกับชินกร บนใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏแววโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นดินเดือนก็ตรงเข้ามารวบร่างเล็กเข้าไปกอดแน่น  เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู

         “ผลตรวจออกมาแล้ว...ไม่ตรงกัน...พี่ไม่ใช่พ่อเด็ก” ดินซุกหน้าลงกับไหล่คนรัก หัวเราะแผ่วเบาออกมาด้วยความยินดี  พวกเขาเป็นอิสระแล้ว...จากทุกข้อกล่าวหา  ความโล่งใจแผ่ไปทั่วจนร่างกายเบาโหวง เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก  ไม่นานสรัลก็ตามเข้ามา “ลงไปข้างล่างกันเถอะ จะได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว” เดือนพยักหน้า จับจูงคนตัวเล็กให้เดินไปด้วยกัน

          ทันทีที่ลงมาถึงหน้าโรงพยาบาล พวกเขาก็พบนักข่าวกลุ่มใหญ่รออยู่  พวกเขากรูล้อมเดือนทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว ดินพยายามปลดมือพี่ชายต่างสายเลือดออกแต่เดือนกลับส่ายหน้าแล้วกระชับมือให้แน่นขึ้น

         “คุณเดือนคะ สรุปผลตรวจเป็นยังไงบ้างคะ” นักข่าวสาวคนหนึ่งยิงคำถามขึ้นมาทันที  เดือนเปิดผลตรวจแล้วยื่นไปหน้ากล้อง  บนแผ่นกระดาษนั้น...แสดงให้เห็นว่าเขากับเด็กชายคนนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆทางสายเลือดต่อกันเลย คำถามอีกมากมายตามมาซึ่งเดือนก็พยายามตอบให้รักษาหน้าหญิงสาวในห้องพักผู้ป่วยให้มากที่สุด แสดงให้เห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษและการได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี ดินอมยิ้มให้กับการกระทำนั้น

           ไม่นึกเคียดแค้นคนที่ทำให้ตนเดือดร้อน...แต่กลับช่วยเหลืออีกฝ่าย แม้จะเป็นแค่การกระทำเล็กๆน้อยๆก็ตาม

            “แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับคุณดินเป็นยังไงกันแน่ครับ” ดินถึงกับลมหายใจสะดุดเมื่อได้ยินคำถามนี้ นักข่าวคนอื่นต่างเงียบลงรอฟังคำตอบ เดือนหันไปสบตาสรัลแวบหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้เหล่านักข่าว  ฝ่ามือใหญ่บีบกระชับมือเล็กแน่น ก่อนที่เดือนจะเอ่ยคำตอบที่หนักแน่นออกมา

            “เราเป็นคนรักกันครับ”

           สิ้นคำตอบนั้นคำถามหลายคำถามก็ระดมยิงตามมาจนดินชักเวียนหัว เขาจับใจความได้แค่คร่าวๆเท่านั้น

           “แบบนี้แปลว่าคุณเดือนเป็นเกย์เหรอครับ”

          “ก็คงงั้นครับ ถ้าพวกคุณนิยามคนชอบผู้ชายด้วยกันว่าเกย์ละก็นะ”

          “แล้วคิดว่าจะมีผลกับหน้าที่การงานไหมคะ”

           “ผมใช้ความสามารถทำงานครับ  คิดว่าหลายคนคงมองที่จุดนี้มากกว่ามองที่การคบหาคนรักของผม”

           “แล้วเรื่องแฟนคลับล่ะคะ ไม่กลัวเรตติ้งตกเหรอ”

            พอถึงคำถามนี้เดือนก็ก้มหัวให้กับกล้อง

            “ผมต้องขอโทษแฟนคลับทุกคนจริงๆครับ หลายคนอาจจะผิดหวังและเลิกชอบผมไปผมก็ไม่ได้ว่า แต่ผมไม่อยากปิดบังพวกคุณ คนที่ผมรัก...ผมตัดสินใจดีแล้วว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ผมรักและอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  ผมไม่ได้บอกว่าพวกคุณต้องชอบหรือยอมรับการตัดสินใจของผม แต่ผมแค่คิดว่ามันคงจะดีถ้าพวกคุณยอมรับและรักคนที่ผมรักด้วยเหมือนกัน สำหรับใครที่ไม่ชอบผมก็คงต้องขอโทษด้วยที่ผมเป็นคนที่คุณหวังไม่ได้ สำหรับใครที่ยังคงติดตามผมอยู่ผมก็ต้องขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณที่ยังรักผมอยู่ ผมสัญญาว่าจะทำงานหนักขึ้นเพื่อให้มีผลงานดีๆออกมาให้พวกคุณได้ติดตามนะครับ”

            คราวนี้ไมโครโฟนถูกจ่อมาทางดินบ้าง

            “แล้วคุณล่ะครับ มีอะไรจะกล่าวไหม”

            กล่าว? ให้เขากล่าวอะไรล่ะ

            นายปฐพีผู้ไม่ชินกับการตอบคำถามต่อหน้าคนหมู่มากเริ่มอึกอักและหันไปขอกำลังใจจากคนรัก พี่ชายต่างสายเลือดยิ้มบางให้เขาและพยักหน้ากลับมา

           ซึ่งกูก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามึงพยักหน้าเพื่อจะสื่ออะไร...

           พอเห็นว่าคนรักไม่ได้ช่วยอะไรเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเริ่มด้นสดในหัว

           เรียบเรียงในสิ่งที่เขาอยากจะพูด

          “ก่อนอื่นผมก็ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ...ขอโทษสำหรับหลายคนที่ทำให้พวกคุณผิดหวังในตัวพี่เดือน ขอโทษที่พวกคุณบางคนอาจมองว่าผมดีไม่พอ...ซึ่งผมก็รู้สึกแบบนั้นในบางครั้ง สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพวกคุณก็คือผมอยากให้พวกคุณรักและสนับสนุนพี่เดือนต่อไป...เขาทุ่มเทกับงานมากจริงๆครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแต่ผมสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือเขา...ในวันที่ลำบาก ในวันที่เศร้า ร้องไห้ หรือเหน็ดเหนื่อย ผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ผมจะรักเขาให้มาก...มากจนไม่มีวันปล่อยมือกันไป ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้เขาเสียใจครับ” ดินทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรต่อแต่ก็คิดไม่ออก เขาเลยได้แต่ก้มหัวให้ เป็นอันจบการตอบคำถาม

          เดือนที่ได้ยินคำตอบนั้นอมยิ้มจนแก้มแทบปริ อยากจะคว้าร่างนั้นมากอดแน่นๆ หอมแก้มหนักๆ แต่ทำตรงนี้คงไม่ดี  เขาเลยได้แต่รอจนกระทั่งสรัลบอกให้พวกเขาเดินออกไปเป็นอันจบการสัมภาษณ์  พอเดินออกมาถึงมุมที่ลับตาคนเดือนก็คว้าร่างบางมากอดแน่น จูบหนักๆที่ริมฝีปากบางนั้นหลายทีจนแทบช้ำ  ดินที่หายใจไม่ออกต้องประท้วงให้คนตรงหน้าผละริมฝีปาก  ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยริมฝีปากบางที่ขึ้นสีแดงช้ำแผ่วเบา ก้มลงไปจูบผะแผ่วอีกครั้งอย่างรักใคร่

         “เรื่องร้ายๆผ่านไปแล้วนะ” เขากระซิบบอกคนรักในอ้อมแขน  อุปสรรคใหญ่ครั้งนี้...ก็ขอให้มันเป็นบทเรียนก็แล้วกัน  อย่าให้ผิดพลาดซ้ำสองแบบนี้อีก  “ทางพวกพี่กุ๊กคงเริ่มแถลงเรื่องคลิปกันแล้ว เท่านี้ก็หมดภาระแล้วนะ”     

         “ครับ...ดีจังเนอะ”

         “อื้อ กอดดินได้แบบเปิดเผยสักที”

          “นี่ แค่ทุกคนรับรู้ไม่ได้หมายความว่าพี่จะทำรุ่มร่ามกับดินที่ไหนก็ได้นะครับ” คนตัวเล็กแยกเขี้ยวใส่ร่างสูงก่อนจะเดินไปที่ลิฟท์  ทำให้ร่างสูงต้องเร่งฝีเท้าตามเข้าไป พ่อกับแม่ของพวกเขายังคงรออยู่ในห้องพักของญี่ปุ่น ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์พวกเขาก็คุยกันถึงเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในการรักษาน้องสาวของกวิน เงินที่ช่วยไปอาจไม่มากพอจะส่งเด็กคนนั้นไปรักษาตัวที่อังกฤษก็จริงแต่อย่างน้อยก็ยังช่วยให้ย้ายมารักษาในโรงพยาบาลชั้นนำได้

          ความคิดถึงแผนการในอนาคตที่จะได้ทำร่วมกันทำให้คนทั้งคู่ยิ้มออกมา แต่ทันทีที่มาถึงหน้าห้องพัก เสียงหวีดร้องพร้อมกับเสียงโครมครามก็ทำให้รอยยิ้มเลือนหายไป

          ปัง

         เดือนผลักประตูเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำเอาเขาตกตะลึง  แม่มะลิของเขากำลังโอบกอดลูกของญี่ปุ่นแน่น โดยมีคุณอัลเฟรดยืนขวางอยู่อีกที  นัยน์ตาสีอ่อนเลื่อนไปมองที่ร่างหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ลงมายืนบนพื้นด้วยท่าทางไม่มั่นคง 

         ญี่ปุ่นมีท่าทางเหมือนคนพร้อมจะเป็นลมล้มพับได้ทุกเมื่อ เข็มน้ำเกลือถูกดึงออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ มือบางจับแผงกั้นของเตียงเอาไว้ขณะที่อีกข้างถือมีดปอกผลเล่มเล็กไว้แน่น ดวงตาที่แสดงถึงความทุกข์ทน ความโกรธ ความอับอาย ผสมปนเปกันจนกลายเป็นแววตาของคนคลุ้มคลั่ง

          ลูกน้องที่ชินกรทิ้งไว้ให้เฝ้าญี่ปุ่นพยายามรั้งตัวหญิงสาวไว้อย่างสุดความสามารถ

           “แม่ครับ เกิดอะไรขึ้น” เดือนรีบเดินเข้ามาในห้อง  หญิงสาวที่ตอนนี้เหมือนกลายเป็นคนเสียสติไปแล้วหันปลายมีดไปทางเดือน  ดวงตากลมโตถลึงใส่เขาก่อนจะย้ายไปมองดิน  จากนั้นเธอก็กรีดร้องออกมา

           “เพราะแก! เพราะแกคนเดียวทุกอย่างมันถึงได้เป็นแบบนี้  อึก แกกับไอ้เด็กเปรตนั่น...เกิดมาทำไม! มันเกิดมาทำไมในเมื่อฉันไม่ต้องการ!”

           “ญี่ปุ่น..ใจเย็นๆก่อนนะ” เดือนค่อยๆพูด ใช้น้ำเสียงที่อ่อนลง เขาพยายามขยับไปใกล้หญิงสาวแต่ร่างเล็กกลับรู้ทันกวัดแกว่งมีดไปมาอย่างน่าหวาดเสียว “อย่าเข้ามานะ! ส่งไอ้เด็กนั่นมาให้ฉัน”

          “คงให้ไม่ได้หรอกครับ”

           ดินตอบเสียงเรียบ ดันแม่มะลิออกไปให้ห่าง  หญิงสาวที่ได้ยินคำตอบนั้นก็โวยวายขึ้นมาอีกรอบ “แกมาสาระแนอะไร ลูกตัวเองก็ไม่ใช่! มันเป็นลูกฉัน ฉันจะทำอะไรกับมันก็ได้! เอามันมา!”

           “คุณญี่ปุ่น...ผมว่าตอนนี้สิ่งที่คุณทำคือการพบจิตแพทย์”

           “กูไม่ได้บ้านะ! ไอ้พวกเหี้ย กูไม่ได้เป็นอะไร! ปล่อยกู ปล่อยสิ กรี๊ดดดด”

            เดือนอาศัยจังหวะชุลมุนกดปุ่มฉุกเฉิน  จังหวะนั้นเองที่ญี่ปุ่นสะบัดตัวหลุดออกจากการจับกุมของลูกน้องไว้ได้ ร่างเล็กถลาเข้ามาหาเดือนแต่ถูกดินขวางไว้ก่อน ชายหนุ่มคว้าข้อมือหญิงสาวกระชากเธอให้เซถลาจนล้มคว่ำก่อนบิดข้อมือบางอย่างแรงจนมีดเล่มเล็กหลุดจากมือ ชายหนุ่มเตะมีดออกไปไกลๆ  เขากับลูกน้องชินกรช่วยกันจับหญิงสาวที่เริ่มดีดดิ้นและโวยวายอีกรอบ

           ดินมองดูความบิดเบี้ยวของหญิงสาวผ่านดวงตาที่คลอด้วยหยดน้ำใส

           เหมือนจริงๆด้วย...

           เหมือนแม่ของเขาเลย

           นาทีต่อมาบุรุษพยาบาลกับนางพยาบาลก็กรูกันเข้ามา  ยิ่งคนเยอะญี่ปุ่นยิ่งโวยวาย ด่าทอ สบถ และดีดดิ้นจะไปหาลูกให้ได้ ต้องใช้บุรุษพยาบาลถึงสามคนกว่าจะกำราบให้ร่างเล็กยอมอยู่นิ่งๆได้

            ยากล่อมประสาทถูกฉีดเข้าไปทำให้ร่างบางค่อยๆสิ้นฤทธิ์ลงในที่สุด  เมื่อบุรุษพยาบาลจับหญิงสาวขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆได้ เดือนก็เดินไปหาแม่มะลิ  เขาตรวจสองความปลอดภัยของพ่อแม่จากนั้นก็เด็กน้อยที่ดูเหมือนจะไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ

           “แล้วเราจะเอายังไงต่อ” อัลเฟรดถามขึ้น มองเด็กทารกในอ้อมแขนคนรักนิ่ง “คงต้องเอาไปคืนตาเขาแล้วล่ะมั้ง”

           “ทางนั้นก็คงไม่อยากได้หรอกค่ะ ตั้งแต่มานั่งรออยู่นี่ฉันยังไม่เห็นเขาจะแตะต้องเด็กคนนี้เลย”

            ดินก้มมองทารกน้อย  เขารับเด็กมาจากคุณแม่มะลิ  โยกกล่อมเจ้าตัวน้อยที่ปรือตาขึ้นมาให้หลับต่อ เดือนมองคนรัก  คล้ายจะเข้าใจบางสิ่ง

           และตอนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหันมาประสานเข้ากับดวงตาของเขา  ชายหนุ่มก็รับรู้ความต้องการของคนรักได้ทันที พอสบประกายตาเว้าวอนนั้นเดือนก็พยักหน้า ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

*************************************************************

ตัดค้างอีกแล้ววว 55555 อย่าเพิ่งตีคนเขียนน้า  :hao5: ในที่สุดก็พ้นดราม่าแล้วค่ะ จุดพลุฉลองกันเถอะ! 55555
ขอโทษที่มาอัพช้านะคะ ไปอัญเชิญเรื่องใหม่มาลงในบอร์ดค่า >w< ตอนนี้คาดว่าหลายคนคงสะใจน่าดู
กรรมตามสนองแล้วในที่สุด จากที่ทุกคนอ่านคงจะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นไม่เคยโทษตัวเองเลย เธอปัดความรับผิดชอบให้คนอื่น
ไม่ว่าจะเป็นเดือน ดิน หรือแม้แต่ลูก ทั้งๆที่ทุกอย่างเริ่มจากตัวเองแท้ๆ
การไม่ยอมรับความจริง โกหก และใส่ร้ายคนอื่น ทำให้เธอมีสภาพแบบตอนนี้ค่ะ
สารภาพเลยว่าตอนเขียนที่สนุกที่สุดคือตอนเขียนคอมเม้นท์ในกระทู้ ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากกก 55555
ตอนนี้อ่านแล้วรู้สึกยังไง ติชมได้ตามสบายนะคะ ตอนหน้าน่าจะเอามาลงให้วันพรุ่งนี้ตอนเย็นๆค่ะ

จะว่าไป นี่ถามจากใจจริงๆเลยนะคะ...มีใครอยู่ #ทีมกวินฝน  บ้างคะ เขียนไปเขียนมารู้สึกเคมีคู่นี้ช่างเข้ากั๊นเข้ากัน
เรื่องแบล็กเมล์นี่ที่หนึ่งทั้งคู่แต่จะ #รันฝน หรือ #กวินฝน ก็ติดตามได้ในตอนต่อๆๆๆไปค่ะ (ตอนไหนไม่รู้ 555)


เอาล่ะค่ะ ในส่วนของทอล์คนี้น้านนนนน จะเป็นการแนะนำลูกชายคนใหม่ของเราให้ทุกคนรู้จักค่ะ
เนื่องจากเดือนดินใกล้จะจบแล้ว(อุ๊บส์) เราเลยพาลูกชายคนใหม่มาแนะนำตัวค่ะ โดยลูกชายคนใหม่ชื่อว่า

เพราะหลงรักคุณ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52873.0#lastPost (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52873.0#lastPost)

บอกเลยว่านายเอกอยู่มัธยมค่ะ เป็นเด็กดีมากกกค่ะ  (เขี่ยพี่เดือนที่เกาะจออยู่ออกไป)
ระยะเวลาการอัพก็ทุกวันเสาร์เย็นๆเหมือนเรื่องเดือนดินเลยค่ะ
ขอฝากนิยายเรื่องใหม่และน้องหลงผู้น่ารักไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ
(แอบเห็นคุณ BlueCherries ไปปูเสื่อรอแล้วอ่ะ ไวมากค่ะ)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติดตามนะคะ พบกันตอนหน้าค่า จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: oilk ที่ 02-04-2016 20:41:31
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ เรื่องนังยุ่นก็คลี่คลาย ได้เปิดตัวน้องดินอีกต่างหาก55555555555555555
คนที่ด่าพี่เดือนทั้งในกระทู้ทั้งในไอจีอะไรแบบนี้หน้าแหกไปตามๆกัน รู้สึกสะใจเป็นที่สุด
 เรื่องนี้ใกล้จะจบแล้ว เราต้องคิดถึงพี่เดือนกับดินมากแน่ๆ ฮรึก

ขอบคุณคุณคนแต่งนะคะ 
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 02-04-2016 21:07:12
 :mc4: :mc4: :mc4:
เด็กน้อยเกิดแล้ววววววววววว!
ยินดีด้วยนะตัวเล็ก ที่ลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัย
จากนี้ก็คงมาเป็นลูกของเดือนกับดินสินะคะ
ขอให้มีความสุขและโตมาเป็นเด็กดีน้าาา
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-04-2016 21:23:46
พวกด่าเดือนกับดินนี่มาเก็บเศษหน้าที่แตกกลับไปให้หมดด้วยนะ :laugh3:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 02-04-2016 21:43:19
และแล้วก็เป็นพ่อแม่ลูกจนได้ 5555555555555555   :hao7:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 02-04-2016 22:00:38
พายุฝนพัดผ่านไปเสียที คราวนี้พี่เดือนน้องดินจะได้ใช้ชีวิตสงบสุขสักที ขอลูกญี่ปุ่นมาเลี้ยงก็ดีนะคะ สงสารเด็ก เกิดมาไม่รู้เรื่องอะไร   ยังไงตากับแม่ก็ไม่อยากจะเลี้ยงเขาอยู่แล้ว แม่มะลิพ่ออัลเฟรดก็ดูจะรักเด็กคนนี้อยู่นะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-04-2016 22:27:46
พี่เดือนกับดินจะรับเลี้ยงเด็กน้อยเหรอ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๕ กระชากหน้ากาก {๒.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-04-2016 23:05:55
รอร่วมฉลองกับครอบเดือน ดิน ที่ผ่านพ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างไปและ ต้อนรับสมาชิกใหม่ในครอบครัวด้วย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 03-04-2016 19:36:27
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๒๖
ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน


        “ผมต้องการคุยกับคุณชินกรครับ”  ตอนที่ดินพูดประโยคนี้กับลูกน้องชินกรอีกฝ่ายก็ทำหน้าแปลกๆสภาพเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ลูกน้องของชินกรหรี่ตามองดินแต่ชายหนุ่มผมดำยังคงจ้องกลับไปด้วยสายตาแน่วแน่  “ผมต้องการคุยกับเขาเรื่องหลานชายของเขา” ดินย้ำ  ชายหนุ่มร่างสูงมองดินด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าใดนักแต่พอถูกจ้องนานเข้าก็ถอนหายใจยอมหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ผู้เป็นนาย

         ลูกน้องของชินกรรายงานสถานการณ์คร่าวๆก่อนจะเงียบไปอึดใจเมื่อปลายสายสั่งอะไรมายาวเหยียด เขากดวางสายเมื่อได้รับคำสั่งทั้งหมดแล้ว  ลูกน้องร่างยักษ์หันมาพูดกับดิน 

        “นายบอกว่าให้พวกคุณไปหาที่บริษัทหากมีเรื่องอยากจะคุย”

        “ขอบคุณครับ”

        ดินก้มหัวให้อีกฝ่ายหันไปหาเดือนเป็นเชิงเร่งให้ตามไป  สองเท้าก้าวยาวจนร่างสูงต้องเร่งคว้าต้นแขนเอาไว้ก่อน “น้องจะทำอะไร”  เดือนถามทั้งที่ใจพอเดาความคิดอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว

        “พี่เดือน” ดินเรียกชื่อเขา หันกลับมาสบตาเขา  “พี่เคยถามดินเรื่องรับเลี้ยงเด็กสักคนใช่ไหมครับ”  เดือนถอนหายใจ...ว่าแล้วเชียว

        ก็พอเดาได้ตั้งแต่เห็นสายตาที่ดินมองเด็กคนนั้นแล้ว  อีกฝ่ายคงเห็นเด็กคนนั้นซ้อนทับกับภาพตัวเองตอนเด็กแน่ๆ  พอเห็นแบบนั้นก็คงอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือ เหมือนช่วยปลดปล่อยตัวเองในอดีตด้วย...ปลดตัวเองออกจากห้องขังดำมืดในอดีต...

       “น้องอยากรับเลี้ยงเด็กคนนั้น?”

       “ครับ”

        “น้องทำไมเพราะแค่สงสารหรือเปล่า  เลี้ยงเด็กไม่ใช่ง่ายๆนะ น้องแน่ใจหรือว่าตัวเองพร้อม” เดือนยิงคำถามใส่อีกฝ่าย  อันที่จริงเขาไม่มีปัญหาหรอกหากรับเด็กมาเลี้ยงเพิ่มอีกสักคน เขามีเงินเก็บเยอะพอสมควร ส่งเสียเด็กสักคนให้เรียนจนจบก็ทำได้  แต่เดือนไม่อยากให้ดินรับลูกของญี่ปุ่นมาเพราะความสงสาร ความสงสารมันจะอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น...หากรับมาแล้วนั่นหมายถึงต้องดูแลไปเกือบตลอดชีวิต  จะเลิกก็เลิกไม่ได้ด้วย

        เดือนอยากให้น้องคิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจเพราะการรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงเท่ากับว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบชีวิตน้อยๆนั้นให้ดีที่สุด

        “ดินพร้อมครับ ไม่ใช่ว่าดินอยากรับแค่เพราะสงสาร แต่เพราะดินเห็นตัวเอง...เด็กคนนั้นก็เหมือนดินตอนเด็ก  พี่เดือน ถ้าพ่อกับแม่พี่ไม่ยื่นมือมาช่วยดิน ดินคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะลืมตาดูโลก ถ้าพ่อแม่พี่ไม่ช่วยดินไว้ ดินคงไม่ได้มายืนตรงนี้ เราคงไม่ได้เจอกัน...นับตั้งแต่วันที่ดินเสียน้องไป ดินก็สัญญากับตัวเองว่าดินจะช่วย...คนที่เหมือนพวกเรา คนที่กำลังจะถูกทอดทิ้ง  ถ้าดินช่วยเด็กคนนี้ไว้ ใครจะรู้ บางทีในอนาคตเขาอาจจะโตมาเป็นคนที่ได้ทำประโยชน์ให้กับใครอีกมากมาย  ดินเชื่อนะว่าถ้าดินช่วยเด็กคนนี้ในวันนี้ โชคชะตาของเขาจะเรียงร้อยคนอีกมากมายเข้าด้วยกัน...เด็กคนนี้จะเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคนอย่างแน่นอน”

         เดือนยืนนิ่ง มองคนรักของเขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าหนักแน่น “แล้วพี่เดือนล่ะ อยากรับเด็กคนนั้นมาเป็นลูกไหม” เดือนยิ้มให้คนตัวเล็ก ลูบแก้มอีกคนเบาๆ “ไม่มีปัญหาหรอก แต่ต้องช่วยกันเลี้ยงนะ พี่ไม่ถนัดเลี้ยงเด็ก” พอได้ยินประโยคนี้คนผมดำก็ยิ้มออกจนได้  พวกเขาพากันไปที่รถ ขับออกไปที่บริษัทของชินกร 

         ดินเม้มริมฝีปาก เขารู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ยังไงเด็กคนนั้นก็เป็นหลานแท้ๆ ชินกรคงไม่ปล่อยให้หลามาอยู่กับคนที่เกลียดง่ายขนาดนั้น  แต่เขาก็อยากลองดู ดินไม่ได้อวดดี แต่เขาคิดว่าตนเองสามารถเลี้ยงดูเด็กคนนั้นให้ดีได้กว่าญี่ปุ่น...ซึ่งสภาพจิตใจไม่พร้อม จากเหตุการณ์วันนี้เธอคงต้องพบจิตแพทย์และระหว่างการรักษาก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะเกิดอาการแบบนี้ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่  มันคงไม่หายไปง่ายๆโดยเฉพาะเมื่อมีหนามตำใจชิ้นเบ้อเริ่มอย่างลูกชายมาอยู่ในบ้านด้วย  เผลอๆญี่ปุ่นอาจทำร้ายลูกชายไปด้วยก็ได้

         ดินยอมรับว่าเขาสงสาร...เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเจอชะตากรรมแบบเขา

         แต่เขาก็ช่วยเด็กมีปัญหาทั้งโลกไม่ได้  ตอนนี้ทำได้แค่ช่วยคนที่สามารถช่วยได้เท่านั้น

         ชายหนุ่มยกยิ้มบางเบา...พอคิดแบบนี้มันก็เป็นเหตุผลที่สวยหรูดีล่ะนะ แต่ความจริงลึกๆข้างในดินก็แค่ทำเพื่อตัวเอง  ช่วยเด็กคนนี้...ชดเชยที่ตนไม่กล้าพอจะไขว่คว้ามือและให้ความช่วยเหลือแก่น้องสาวได้ สิ่งนั้นเป็นหนามตำใจดินมาตลอด การทำแบบนี้ก็เหมือนกับการทำดีไถ่โทษ...ความรู้สึกผิดในใจเขาก็จะได้ลดลงบ้าง

       เมื่อมาถึงบริษัทดินก็ไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์บอกว่ามาขอพบชินกร แต่เนื่องจากชายวัยกลางคนติดประชุมอยู่และเขาไม่ได้นัดไว้ดินกับเดือนจึงได้แต่นั่งรออยู่ที่ล๊อบบี้  พนักงานสาวตรงเคาน์เตอร์บอกว่าโทรแจ้งเลขาของชินกรให้แล้ว อีกสักพักคงขึ้นไปพบได้
   
        ดินยอมนั่งรอที่ล๊อบบี้อย่างอดทนแต่ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านไปชินกรก็ยังไม่ลงมาหรือไม่เรียกให้พวกเขาขึ้นไปพบ  คนผมดำวนเวียนถามประชาสัมพันธ์อยู่สี่ห้ารอบและทุกครั้งก็ตอบเหมือนกันคือตอนนี้ชินกรยังไม่ว่าง
   
        หึ ไม่ว่างเหรอ ตอแหลน่ะสิ
   
        ดินเบะปากรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจไม่ลงมาพบหน้าตนแต่ก็ไม่ยอมไล่ให้กลับ คงแกล้งให้รอเก้อ แต่คนอย่างนายปฐพีแล้วเมื่อมารอนานเขาก็อยากได้ของรางวัลเล็กๆน้อยๆ ไม่ให้การมาที่นี่เสียเปล่า
   
         ทันใดนั้นหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนในชุดสูทภูมิฐานก้าวไปที่ประตู ฝีเท้าที่หนักแน่นมั่นคงดูเร่งจังหวะเร็วขึ้นเมื่อมองมาทางพวกเขา ดินสาบานว่าแว่บหนึ่งชินกรก็ต้องเห็นพวกเขาเพราะดินสบตากับอีกฝ่ายพอดี
   
        “เดี๋ยวก่อนครับ!” ดินตะโกนไล่หลังร่างสูงที่กำลังจะออกจากบริษัทไป  คนผมดำรีบก้าวยาวๆตามหลังอีกฝ่ายที่เร่งฝีเท้าหนี  “คุณชินกรเดี๋ยวครับ ผมมาที่นี่เพราะหลานชายของคุณ!”
   
        ได้ผล คำนั้นทำให้ร่างของชินกรหยุดชะงักแต่ก็เพียงชั่วครู่ แต่นั่นก็เพียงพอให้ดินก้าวไปประชิดตัวอีกฝ่ายแล้ว
   
        “มีอะไร” น้ำเสียงห้วนเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร  ดินเมินเฉยต่อประโยคนั้น รีบพูดธุระของตนออกมา “ผมมาที่นี่เพราะหลานของคุณ”
   
         “มีอะไร”
   
         “ผมต้องการรับเด็กไปเป็นลูกบุญธรรมครับ”
   
         รอยยิ้มเหยียดประดับบนริมฝีปากของชินกรอีกครั้ง หนุ่มใหญ่เอ่ยตอกกลับมาด้วยน้ำเสียงเสียดสี
   
         “จะเล่นบทเป็นคนดีหรือไง จะให้พวกสื่อรุมด่าฉันอีกล่ะสิใช่ไหม  แกไม่รู้หรือไงว่าทำฉันเสียหายไปเท่าไหร่แล้ว!” ท้ายประโยคนั้นเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง แต่ดินก็ยังคงไม่ใส่ใจ เขาพูดต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
   
         “เปล่าครับผมไม่ได้ต้องการให้สื่อรุมด่าพวกคุณ ผมแค่ต้องการเลี้ยงเด็กคนนั้นให้มีอนาคตที่ดี”
   
         “แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าพวกฉันจะเลี้ยงหลาน...เลี้ยงลูกให้เป็นคนดีไม่ได้  ทำเหมือนตัวแกประเสริฐนักนี่  ลูกโสเภณี”

          ดินหน้าชาขณะที่เดือนเมื่อได้ยินคำนั้นก็แทบจะพุ่งมาต่อยปากอีกฝ่าย แต่กลับถูกดินขวางไว้ก่อน
   
        “คุณรู้ไหมครับว่าลูกสาวคุณพยายามจะฆ่าลูกตัวเอง...ผมว่าคุณคงไม่รู้ เพราะคุณเองก็ไม่ได้ใส่ใจเธอเท่าที่ควร  ผมอาจจะไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจมากเท่าคุณแต่ผมเชื่อว่าตัวเองเลี้ยงเด็กออกมาได้ดีกว่าคุณ...ที่ลูกสาวคนเดียวก็เลี้ยงให้ได้ดีไม่ได้ แต่ผมก็ไม่แปลกใจหรอกนะก็คุณเองยังดูไม่ใส่ใจเธอเท่าไหร่เลย ผมว่าบางทีที่คุณญี่ปุ่นเป็นแบบนี้สาเหตุหนึ่งอาจมาจากตัวคุณด้วยก็ได้นะครับ”
   
        “แก!”
   
         ชินกรกัดฟันกรอดทำท่าจะเข้ามาหาเรื่องชายหนุ่มแต่ก็ชะงักเมื่อเห็นสายตาคนรอบข้าง หลังจากเกิดเรื่องกับลูกสาว สายตาคนในบริษัทก็เพ่งเล็งเขามากขึ้น  บางคนก็บอกว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับลูกสาวใส่ร้ายคนอื่น ยิ่งหลังจากที่นักข่าวแฉว่าคลิปกล้องวงจรปิดเป็นคลิปตัดต่อ ส่วนคลิปลูกสาวเขามีอะไรกับผู้ชายเป็นคลิปจริงชินกรก็ยิ่งถูกเพ่งเล็งหนักขึ้น เขาหงุดหงิดจนแทบจะบ้า
   
         “เหอะ อยากทำอะไรก็ทำไป ยังไงฉันก็ไม่ได้ต้องการไอ้เด็กนั่นอยู่แล้ว”  กล่าวจบก็รีบเดินออกไปทันที  ดินถอนหายใจออกมา  พาคนรักเดินกลับออกไปบ้างพลางพูด “คงต้องไปคุยกับญี่ปุ่นแล้วล่ะครับ”
   
          ไม่รู้จะยอมไหม...แต่ดินก็ไม่คิดบังคับหากหญิงสาวจะอยากเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเอง
   
           แต่ทุกสิ่งกลับผิดคาดเมื่อดินพูดเรื่องนี้กับญี่ปุ่นและหญิงสาวไม่แม้แต่จะหยุดคิดด้วยซ้ำตอนที่เธอเอ่ยตอบรับคำเสนอของเขา
   
           ดินเบิ่งตากว้างคล้ายไม่อยากเชื่อ...ไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงที่ทนอุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน ทนความเจ็บปวดคลอดเด็กออกมาจะไม่รู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้เลย
   
           “คุณ...ไม่คิดจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้หน่อยเหรอ” ตอนที่เขาถามคำถามนี้ออกไปญี่ปุ่นก็หันกลับมาหาเขา เผยรอยยิ้มว่างเปล่าออกมา
   
           “คุณคิดว่าฉันเลี้ยงดูเขาได้หรือเปล่าล่ะ ฉันไม่คิดว่าแม่ที่ถือมีดจะฆ่าลูก...จะเลี้ยงดูเขาให้เป็นคนดีได้หรอกนะ”
   
           “แต่ถ้าคุณอยากลองเริ่มต้น...”
   
             “ฉันไม่อยาก” น้ำเสียงแผ่วเบานั้นแฝงแววอ่อนล้าไว้เต็มเปี่ยม “คุณอยากรับเลี้ยงเขาก็รับเลี้ยงไป ฉันทนเลี้ยงเด็กที่ทำให้ชีวิตฉันป่นปี้แบบนี้ไม่ได้จริงๆ เอาเขาไปให้พ้นๆก่อนที่ความเกลียดชังจากการต้องเจอหน้าเขาจะซึมลึกลงมามากเกินไป”
   
            ก่อนที่หนามตำใจชิ้นนี้จะปักลงมาลึกจนยากจะดึงออก
   
           “ให้เขามีชีวิตที่ดี ดีกว่ามีแม่แย่ๆแบบฉัน”
   
           ดินถอนหายใจกับคำพูดนั้น เขาพยักหน้าก่อนบอกว่าจะนำเอกสารสำหรับเซ็นยินยอมมาให้ 
   
           ชายหนุ่มลุกเดินตรงไปที่ประตู แต่ระหว่างที่กำลังจะออกจากห้องดินก็หันมาหาญี่ปุ่น เอ่ยคำถามที่ค้างคาใจเขามานาน
   
           “คุณรักเขาบ้างไหมครับ...ลูกของคุณ”
   
           หญิงสาวคนนั้นยังคงเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ไม่หันกลับมาตอบคำถามเขาจนกระทั่งดินยอมแพ้และปิดประตูลง
   
            ก่อนจัดการเอกสารดินกับเดือนก็นำเรื่องนี้ไปพูดกับที่บ้าน คุณพ่ออัลเฟรดกับคุณแม่มะลิก็ยอมรับ  ส่วนแม่แก้วก็ไม่ได้ว่าอะไร  พวกเขาจึงจัดการเรื่องเอกสารและการรับบุตรบุญธรรมจนเสร็จเรียบร้อย นอกจากเรื่องเอกสารแล้วยังมีเรื่องอื่นให้ต้องวุ่นวายจนหัวหมุน ทั้งเรื่องห้องนอนเด็กและข้าวของของลูกที่เดือนกับดินช่วยกันเลือกด้วยตัวเอง  รวมถึงชื่อที่ทั้งคู่เถียงกันอยู่ตั้งนานกว่าจะลงตัวได้  เถียงกันไปเถียงกันมาสุดท้ายก็ตกลงกันได้ว่าชื่อเล่นจะให้พ้องกับชื่อดิน ส่วนชื่อจริงจะให้พ้องกับชื่อเดือน 
พอตกลงกันได้ลูกชายของพวกเขาจึงได้ชื่อว่า  ‘ชุณหกันต์’ ที่แปลดวงจันทร์ผู้เป็นที่รักความหมายคล้ายกับชื่อของเดือนคือ ‘รวีกานต์’ ซึ่งแปลว่าดวงอาทิตย์ผู้เป็นที่รัก ชื่อจริงดินเป็นคนตั้งให้ ส่วนชื่อเล่นนั้นเดือนก็เป็นคนตั้งให้เช่นกัน ชายหนุ่มตั้งชื่อเล่นลูกชายของพวกเขาว่า ‘ต้นข้าว’  เหมือนกับชื่อน้องสาวของดินที่เสียไป
   
          เมื่อการเตรียมการทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยพวกเขาก็ไปจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม เป็นอันรับสมาชิกเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างสมบูรณ์
   
          เสียงล้อรถบดลงบนถนนโรยกรวดหยุดลงที่หน้าบ้านสวนอันคุ้นตา  เดือนก้าวลงมาจากรถ ตามด้วยดินที่อุ้มน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน  เดือนรีบตามลงมาช่วยคนรักหิ้วตะกร้าใส่ของของเจ้าตัวเล็กกับข้าวของอื่นๆอีกพะรุงพะรัง 
   
           “รีบพาไปหาพ่อกับแม่กันเถอะ คนอยากเห็นหน้าหลานจะแย่แล้ว” เดือนพูดขึ้น  พ่อกับแม่ของเขาล่วงหน้ากลับสุพรรณมาก่อนประมาณอาทิตย์หนึ่งเพื่อจัดการเรื่องห้องและของใช้ให้หลานชายคนใหม่ ดูเหมือนทุกคนจะตื่นเต้นกับการมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาในครอบครัวเป็นอย่างมาก
   
           ดินอมยิ้ม จูบเบาๆลงบนกระหม่อมของลูกชายพร้อมกับเอ่ยคำกระซิบว่า “ยินดีต้อนรับนะครับน้องข้าว”

           การเป็นพ่อเป็นแม่คนมันเหนื่อยขนาดไหนดินกับเดือนก็ได้รู้ซึ้งคราวนี้   หลังกลับมาบ้านที่สุพรรณชีวิตพวกเขาก็เรียกได้ว่าวุ่นวายปั่นป่วน  การปรับตารางเวลาให้เข้ากับลูกชายตัวเล็กดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากในตอนแรก แต่หลังๆพวกเขาก็เริ่มชิน  แม้จะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดในบางเวลาแต่พวกเขาก็มีความสุข ดินเริ่มชินกับการตื่นมากลางดึกเพราะลูกชายร้องไห้  เขาไม่ได้หงุดหงิดหรือเหนื่อยกับการต้องนั่งปลอบโยนและร้องเพลงกล่อมให้เด็กน้อยหลับใหล...
   
           กลับกันมันทำให้เขามีความสุขมากด้วยซ้ำ
   
            มีความสุขและรู้สึกราวกับว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของพวกเขาจริงๆ
   
           “บู่วว...แอ...แอ๊ะ”  เสียงอ้อแอ้ของเด็กทารกที่นอนหงายอยู่บนฟูกนิ่มทำให้ดินที่กำลังนั่งอ่านหนังสือคู่มือการเลี้ยงเด็กอยู่ต้องละสายตาลงมามองเจ้าตัวเล็ก  ชายหนุ่มอมยิ้มบาง โน้มตัวไปจูบแก้มนิ่มยุ้ยซ้ายขวา “ว่าไงครับตัวเล็ก หิวหรือเปล่า หืม”
   
           “แอะ...แอ่ อ๊าย”  เสียงอ้อแอ้ที่ตอบกลับมาทำให้ดินหัวเราะเบาๆก่อนจะรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดอุ่นที่ตระกองกอดจากเบื้องหลัง  มือเรียวแตะท่อนแขนแข็งแรงที่รัดตัวเขาไว้อย่างแผ่วเบาก่อนจะหันไปมอง เดือนส่งยิ้มให้ดิน คลอเคลียปลายจมูกกับพวงแก้มคนรัก กดจูบลงมาสูดดมความหอมจากผิวเนื้อไปหลายฟอด  หอมคนเป็นแม่เสร็จก็ไปหอมคนเป็นลูกต่อ เด็กน้อยที่ถูกฟัดแก้มหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
   
          “หืมม ชอบเหรอครับ ชอบเหรอครับคนเก่ง ไหนดูสิ อ้วนขึ้นหรือเปล่าน้า พ่อเดือนฟัดพุงแรงๆเลยดีไหมครับ” พูดพลางอุ้มลูกชายมากอดมาหอมไปพลางก่อนชายหนุ่มจะหันมามอง ‘แม่เด็ก’ ที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ เอ่ยกระเซ้าออกมา “คุณแม่ไม่มากอดคุณพ่อกับลูกหน่อยเหรอครับ คุณพ่อไปทำงานคิดถึงคุณแม่จะแย่แล้วนะ”
   
          “อ้าวงั้นเหรอครับ แต่ดินกับน้องข้าวไม่คิดถึงพี่เดือนเลยแฮะ”
   
          “เดี๋ยวเถอะ!”
   
          ดินหัวเราะคิก ประคองลูกน้อยมาไว้ในอ้อมกอดแล้วปล่อยให้เดือนโอบกอดร่างของพวกเขาไว้อีกที  นี่คือสิ่งที่เดือนทำเป็นประจำทุกครั้งหลังเลิกงาน ชายหนุ่มบอกว่ามันช่วยให้หายเหนื่อยแล้วก็หายเครียดได้ดี

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 03-04-2016 19:52:54
        เหมือนครั้งนี้ทฤษฎีของคุณรวีกานต์จะเป็นจริง เพราะทันทีที่ถูกอ้อมกอดหมีๆนั่นโอบกอดเอาไว้ เขาพลันรู้สึกเหมือนว่าความอ่อนล้าทั้งหมดค่อยๆลดลงไปแทนที่ด้วยความสุขและรอยยิ้ม  เดือนโน้มตัวลงมาจูบประทับที่ริมฝีปากบางของน้องชายต่างสายเลือดแผ่วเบาซึ่งดินก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี  จูบอ่อนหวานไร้ซึ่งความใคร่นำพาความอบอุ่นอ่อนโยนมาสู่หัวใจ
   
        สิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าขาดพวกเขาคนใดคนหนึ่งไป
   
        ความสุขเล็กๆง่ายๆที่ได้ชื่อว่า ‘ครอบครัว’

       หนึ่งเดือนผ่านไปหลังรับน้องต้นข้าวมาอยู่ด้วย เดือนก็เริ่มกลับไปรับงานถ่ายแบบและงานโฆษณาแต่ชายหนุ่มยังคงปฏิเสธงานละครด้วยเหตุผลว่ามันค่อนข้างวุ่นวายและไม่เหมาะกับเขา เดือนชอบยืนนิ่งๆมากกว่าออกไปจำบทพูดแล้วสวมบทบาทสมมติน่ากล้อง  เขาให้เหตุผลง่ายๆกับนักข่าวว่าการที่รับแต่งานถ่ายแบบและโฆษณามันสะดวกกับเขาที่ตอนนี้มีกิจการทางบ้านให้ต้องรับผิดชอบด้วย ถึงจะมีดินช่วยแบ่งเบาภาระไปแต่ชายหนุ่มคงเทกิจการทั้งหมดให้น้องรับไว้คนเดียวไม่ได้เพราะดินยังต้องเลี้ยงดูน้องต้นข้าวด้วย
   
        “ทำแบบนี้พี่ก็จะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้นไง” เดือนตอบพร้อมยิ้มร่าตอนที่ดินถามเขาว่าทำไมไม่เคยรับงานละครเลย

        พอได้ยินคำตอบร่างเล็กก็กลอกตาแต่ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาก็ไม่ชอบให้เดือนไปทำงานไกลๆเหมือนกัน  แต่ถึงช่วงนี้งานจะไม่ค่อยเยอะมากแต่เดือนก็ยังทำงานหนักเหมือนเคย  เขาจะหยุดอยู่บ้านทุกเสาร์-อาทิตย์เพื่อช่วยดินเลี้ยงลูก พากันไปเที่ยวบ้าง นอนเล่นอยู่ที่บ้านบ้าง เป็นความสุขเล็กๆที่เรียบง่ายซึ่งเดือนไม่อยากให้มันเสียไป แต่ในวันธรรมดาเดือนจะทำงานค่อนข้างหนักซึ่งพอดินถามเหตุผลอีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบตลอด
   
        วันนี้เดือนก็ยังทำงานหนัก ชายหนุ่มเข้าห้องนอนมาตอนประมาณสามทุ่ม ดินที่กล่อมลูกนอนไปแล้วกำลังนั่งอ่านหนังสือรอเดือน  พอคนรักของเขาก้าวเข้ามาในชุดนอนชายหนุ่มก็วางหนังสือลงแล้วเคลื่อนกายไปนั่งหลังร่างสูง ฝ่ามือเล็กบีบนวดไปตามไหล่และแขนเพื่อคลายความอ่อนล้าให้อีกฝ่าย เดือนที่ได้รับการปรนนิบัติเอาใจใส่อย่างดีครางในลำคออย่างพึงพอใจก่อนจะค่อยๆไถลตัวลงมาซุกซบบนหน้าตักของคนรัก ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
   
        “ทำงานหนักไปหรือเปล่าครับ” ดินถามขั้นพลางนวดขมับให้เดือนเบาๆ ชายหนุ่มที่นอนหนุนตักเขาอยู่ไม่ตอบ แค่ดึงมือซ้ายของเขาขึ้นกดจูบแล้วดึงไปแนบแก้ม
   
        “ดิน พรุ่งนี้ว่างไหม”
   
        “ก็ว่างครับ ทำไมเหรอ”
   
        “ไปทำบุญกันนะ” เดือนเอ่ยชวน  “แล้วก็...พาพี่ไปเจอน้องข้าวได้หรือเปล่า” ชื่อที่หลุดออกมาทำให้ดินนิ่งงัน  เขามองสบตาคนรักก่อนระบายลมหายใจออกมา
   
        ก็ดีเหมือนกัน...ต้นข้าวคงอยากรู้จักพี่เดือน
   
        “ก็เอาสิครับ”
   
        ดินเองก็อยากแนะนำให้ต้นข้าวรู้จักครอบครัวของเขาเช่นกัน
   
        เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็จัดแจงเตรียมของใส่บาตรไว้พร้อมสรรพ ก่อนจะพากันนั่งรถไปที่วัดใกล้บ้าน  คุณมะลิกับคุณอัลเฟรดตักบาตรนำไปก่อนตามด้วยเดือนกับดินที่ตักข้าวจากขันเดียวกัน  ดินอาศัยจังหวะที่เดือนเผลอจับทัพพีเหนือมือชายหนุ่มร่างสูง ตามความเชื่อที่ว่าใครที่จับทัพพีเหนือมืออีกคนจะเป็นผู้นำครอบครัว
   
        หึ ก็ไม่ได้อะไรหรอก...แค่ข่มไว้ก่อน
   
         แต่พี่เดือนก็คงไม่ขัดอะไรหรอก ทุกวันนี้ดินพูดอะไรเดือนก็เออออตาม เป็นผู้ชายที่ดีไม่เถียงไม่ว่าภรรยา แต่ว่าดินก็ไม่เคยเรียกร้องหรือเอาแต่ใจอะไรไร้สาระ กลับกันกลับช่วยให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆแก่เขาได้เป็นอย่างดี สมแล้วที่เป็นทั้งคู่รักทั้งคู่คิด  เดือนที่ตระหนักถึงความสามารถของคนรักดีจึงยึดคำพ่อสอน..ที่ว่าให้เชื่อฟังภรรยาแล้วชีวิตจะเจริญ
   
          ทุกวันนี้เลยไม่เถียงสักคำ หึๆ
   
         หลังตักบาตรเสร็จเดือนก็ฝากให้แม่พาลูกชายพวกเขากลับไปก่อน จากนั้นตนเองก็แยกไปกับดิน  ชายหนุ่มผมดำพาเขาลัดเลาะมาบริเวณข้างวัดที่มีโกศตั้งเรียงราย  ดินทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าช่องบรรจุโกศช่องหนึ่ง  แผ่นหินอ่อนสีขาวสลักตัวอักษรเป็นวันชาตะและวันมรณะของเด็กหญิงคนหนึ่ง
   
          “ต้นข้าว...พี่ดินมาเยี่ยมแล้วนะครับ” ชายหนุ่มผมดำพูดเบาๆ “วันนี้พี่ดินมีคนจะมาแนะนำให้เรารู้จักด้วยล่ะ เขาชื่อพี่เดือน เป็นคนรักของพี่เอง”
   
         “สวัสดีครับน้องต้นข้าว...พี่ขื่อเดือนเป็นคนรักของดินเองครับ  ที่มาวันนี้เพราะพี่อยากจะมาบอกน้องต้นข้าว...ว่าตอนนี้พี่รักพี่ชายของเรามากและจะรักไปตลอดจนกว่าพี่จะไม่เหลือแม้ลมหายใจ พี่อยากจะมาขอพี่ดินกับต้นข้าว ให้ต้นข้าวเป็นพยานให้พี่...ว่าพี่รักพี่ชายของข้าวมากแค่ไหน  สำหรับพี่ ดินเป็นมากกว่าน้องชาย เป็นมากกว่าคนรัก ดินเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คนคนหนึ่งจะเป็นให้ใครอีกคนได้  ดังนั้นพี่ขอสัญญาว่าพี่จะดูแลดินให้ดีที่สุด จะรักให้มากที่สุด และจะรักให้นาน...แม้ว่าตอนนั้นพี่จะกลายเป็นตาแก่ จะผมหงอกขาว จะความทรงจำเลอะเลือน แต่พี่ก็ยังเชื่อว่าพี่จะจำดินได้” ท้ายประโยคหันมาพูดกับเขาพร้อมเอื้อมมือมากุมกระชับกันแนบแน่น
   
           ดินเม้มริมฝีปาก หยดน้ำใสเอ่อรื้นในดวงตาก่อนมันจะถูกเกลี่ยออกให้อย่างอ่อนโยน  ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก พูดตอบกลับไป
   
          “พี่ก็รักพี่เดือนมากเหมือนกันนะข้าว เขาทำให้พี่มีความสุข...มีความสุขมากๆ ทำให้คนขี้ขลาดอย่างพี่กล้าหาญขึ้นมาได้...พี่เลย...เลยรักเขามากเหมือนกัน” 
   
           “พี่สัญญา...ว่าจะดูแลดินให้ดีที่สุด ดินกับลูกเป็นครอบครัว...เป็นคนสำคัญ”  จะรักษา จะปกป้อง จะดูแล ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของตัวเอง  จะรักให้มากให้มันสลักลึกลงไปในใจ
   
           เดือนยิ้มให้ดิน ตอนที่สบแววตาอ่อนหวานคู่นั้น เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกไม่ต่างกัน
   
          พอกลับจากวัดมาถึงบ้าน ดินก็ถูกเดือนเอาผ้ามาผูกตาเสียอย่างนั้น  ชายหนุ่มตกใจจนร้องโวยวายออกมา  แต่คนรักของเขาก็ทำเพียงตวัดร่างเขาให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ดินพยายามดิ้นแต่เดือนก็กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นและกระซิบบอกให้เขาอยู่นิ่งๆ
   
          ดินไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกพาไปทางไหน รู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่เขาถูกวางลงบนพื้นแล้ว เดือนถอดรองเท้าเขาออกทำให้ดินสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของหญ้าใต้ฝ่าเท้า
   
          พวกเขาอยู่ในสวนอย่างนั้นหรือ
   
          “พี่เดือน” ดินร้องเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาจนคนถูกปิดตาชักใจแป้ว  ดินรีบดึงผ้าที่ผูกตาตัวเองออกทันทีก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อพบว่าตนเองยืนอยู่ในสวนหน้าบ้านไม้ชั้นเดียวขนาดปานกลางหลังหนึ่ง  สวนหน้าบ้านถูกปูด้วยหญ้าหนาหนุ่ม  มีดอกแก้วส่งกลิ่นหอมปลูกไว้ใกล้รั้วไม้ที่ทาสีสันสดใส  ต้นเข็ม ต้นมะลิ ดอกไม้หลายหลากสีส่งให้บ้านหลังนี้เหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยาย หน้าบ้านมีชิงช้ากับม้านั่งสีสดใสตั้งอยู่
   
          ดินค่อยๆเดินเข้าไปเปิดประตู เขาพบว่ามันไม่ได้ล็อก พอเปิดประตูออกก็พบว่าในบ้านมีเทียนหอมถูกจุดวางเรียงกันไปตามทางเดิน ทอดยาวเข้าไปในตัวบ้าน ดินอมยิ้ม ส่ายหัวกับความคิดสร้างสรรค์ของสามี ดูเหมือนช่วงนี้อีกฝ่ายจะดูซีรีส์มากไปเสียละมั้ง
   
          คิดแบบนั้นแต่ก็ก้าวเข้าไปบ้านอยู่ดี  เทียนถูกจุดเรียงนำพาเขาไปยังห้องห้องหนึ่ง  ภายในประดับด้วยเทียนและช่อดอกไม้ที่ถูกวางไว้ทั่วห้อง ดอกกุหลาบสีแดงขาวและชมพู  ดอกทิวลิปสีแดง  ดอกลิลลี่  ดอกเบญจมาศสีขาว ดอกคาร์เนชั่น  ดอกคัตเตอร์ ดอกสแตติสสีม่วงถูกจัดช่ออย่างสวยงามวางอยู่บนโซฟาและตามโต๊ะ  ระหว่างที่ดินกำลังตื่นตากับดอกไม้หลากหลายช่อนั้น ก็มีเสียงเพลงดังมาจากทางประตู


   When your legs don't work like they used to before
        And I can't sweep you off of your feet
        Will your mouth still remember the taste of my love
        Will your eyes still smile from your cheeks



        เมื่อขาของคุณไม่ขยับเหมือนที่ผ่านมา
        และผมไม่สามารถทำให้คุณหลงรักผมได้อีกแล้ว
        ริมฝีปากของคุณจะยังจำรสชาติความรักของผมได้อยู่ไหม
        ดวงตาของคุณจะเปล่งประกายรอยยิ้มที่ส่งต่อจากแก้มของคุณอยู่หรือเปล่า



         ดินยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงทุ้มที่ร้องเพลงนี้เป็นใคร  ในมือใหญ่มีช่อดอกไม้อยู่ช่อหนึ่ง เดือนส่งให้ดินที่รับไปก่อนจะหลุดหัวเราะคิกออกมา 

        ดอกบัว...มาเป็นช่อเลยคราวนี้


         And darling I will be loving you till we're 70
         And baby my heart could still fall as hard at 23
         And I'm thinking 'bout how people fall in love in mysterious ways
         Maybe just the touch of a hand
         Oh me I fall in love with you every single day



          ที่รัก ผมจะรักคุณไปจนพวกเราอายุ 70 เลย
          และหัวใจของผมจะยังตกหลุมรักเหมือนเมื่อครั้งอายุ 23
          ผมกำลังคิดว่าผู้คนตกหลุมรักกันด้วยวิธีที่น่าพิศวงเช่นนี้ได้อย่างไร
          บางทีอาจเป็นแค่การสัมผัสมือกัน
          และผมก็ตกหลุมรักคุณในทุกๆวัน


          “ที่นี่ที่ไหนครับ” 

          “บ้านของเราไง” เดือนตอบเบาๆ รั้งเอวให้ร่างคนรักเข้ามาแนบชิด เชยคางอีกฝ่ายให้สบตาเขา พินิจดูใบหน้าที่เขารักใคร่

          “ที่นี่เป็นบ้านของเรา...อืม...เรือนหอก็ได้นะถ้าจะให้เข้าใจง่าย”

          ใบหน้าหวานของดินแดงก่ำจนเดือนอดใจไม่ไหวต้องก้มลงไปฟัดแก้มนุ่มหลายๆที

         “ไปกินข้าวที่บ้านใหญ่ทุกเย็น กลับมานอนกันที่นี่ อยู่ไม่ไกลจากเรือนใหญ่หรอก...แต่ก็ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ดีไหม”  คนผมดำหัวเราะออกมา เอนศีรษะลงซบบนบ่าคนรัก กระซิบตอบเบาๆ  “ดีมากเลยล่ะครับ”

          มีคุณอยู่ ที่ไหนก็ดีทั้งนั้น

         “นี่ เต้นรำกันไหม” เดือนถาม ไม่รอช้าก็คว้ามือคนรักขึ้นมาจับ  ดินอมยิ้ม “จะเลียนแบบในเอ็มวีเพลงนี้เหรอครับ”

         “ไม่เก่งขนาดนั้นหรอก”

          ท่วงทำนองและเนื้อร้องอ่อนหวานของเพลง Thinking Out  Loud  บรรเลงไปพร้อมกับร่างสองร่างที่โอบกอดกันขยับตัวไปตามจังหวะเพลงช้าๆ ดินไม่เคยคิดว่าเขาจะได้มีโอกาสทำอะไรที่มันเลี่ยนๆแบบในหนังด้วย  ก็สนุกดีเหมือนกัน


          So honey now
          Take me into your loving arms
          Kiss me under the light of a thousand stars
           Place your head on my beating heart
           I'm thinking out loud
          That maybe we found love right where we are



          ที่รัก ตอนนี้น่ะนะ
          ดึงผมเข้าไปในอ้อมแขนที่เปี่ยมไปด้วยความรักของคุณเถอะ
          แล้วก็จูบผมภายใต้แสงดาวนับพัน
          ซบศีรษะของคุณลงมาบนหัวใจที่เต้นอยู่ของผม
          ผมคิดออกมาดังๆ
          ว่าบางทีเราอาจค้นพบความรักในที่ที่เราอยู่ด้วยกัน...



         ในค่ำคืนนั้นพวกเขากลับไปกินข้าวเย็นที่เรือนใหญ่ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าบางส่วนมานอนที่บ้านไม้  เดือนช่วยดินส่งลูกน้อยเข้านอน  เสียงนุ่มร้องเพลงกล่อมเด็กให้เจ้าตัวเล็กตาปรือ ริมฝีปากเล็กอ้าปากหาวดูน่ารักน่าชัง  เมื่อดวงตากลมปิดลงผู้เป็นพ่อกับแม่ก็โน้มตัวไปจูบแก้มนิ่มหอมกลิ่นแป้งเด็กกันคนละข้างก่อนวางลูกน้อยลงในเปล

        “จะนอนหรือยังครับ” ดินเอ่ยถามเบาๆแต่เดือนกลับส่ายหน้า “ยังไม่ง่วงเลย น้องอยากนอนแล้วเหรอ” นี่เพิ่งจะสองทุ่มเอง

        “ยังไม่ง่วงหรอกครับ”

        “งั้นเราออกไปนั่งตรงม้านั่งกันไหม”  เดือนเสนอ เมื่อคนรักพยักหน้าเขาก็หยิบสเปรย์กันยุงมาฉีดให้ตัวเองและดินพร้อมกับหยิบผ้าห่มผืนเล็กติดมาด้วย ตอนนี้บริเวณบ้านเหลือเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรของแมลงยามค่ำคืน  อากาศไม่ร้อนมากเท่าตอนกลางวัน  สายลมเย็นพัดโชยมาให้สบายเนื้อสบายตัว

        สองร่างนั่งลงเคียงกัน เงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตกระจ่างฟ้า

        “นี่...ดินมีความสุขหรือเปล่าที่อยู่กับพี่” จู่ๆเดือนก็เอ่ยถามขึ้นมา ดินหันไปมองคนรักก่อนจะเอนศีรษะไปซบไหล่ ให้คนตัวสูงจูบลงบนขมับเบาๆ

        “มีความสุขสิครับ ไม่มีคงไม่รับรักแล้วอยู่จนมีลูกตั้งคนนึงหรอก” น้ำเสียงแฝงแววขี้เล่นนั้นทำให้เดือนหัวเราะออกมา “พี่ก็มีความสุขมาก”
 
        มีความสุขที่ได้รักคนคนนี้ มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ พวกเขาพบกันเพียงเวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่ผ่านมาด้วยกันช่างมากมาย ความเจ็บปวดและอดีตที่ช่วยกันแบกรับ ความยากลำบากที่จับมือกันผ่านพ้นไปทำให้แน่ใจแล้วว่าคนข้างกายคนนี้คือคนที่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่

        “นี่...ดินเคยคิดนะว่าตอนนี้มันอาจเป็นความฝันก็ได้ ดินฝันแล้วก็ตื่นมาพบความจริงว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ฮ่ะๆ แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้วเนอะ”

        “แล้วคิดทำไม” ถามพลางลูบศีรษะทุยอย่างอ่อนโยน

       “ไม่รู้สิ...เพราะพี่เป็นพระจันทร์มั้ง พระจันทร์อยู่บนฟ้า...สูงจนเกินคว้า กระต่ายบนดินเลยทำได้แค่แหงนมอง”

       “แต่พระจันทร์ดวงนี้ไม่ได้อยู่บนฟ้า...พระจันทร์ดวงนี้รักที่จะอยู่ตรงนี้...อยู่ข้างๆกระต่ายบนพื้นดิน”

         ความสุขง่ายๆที่เดือนไม่รู้จะไปตามหามาจากไหน ความสุขเล็กๆที่ดินทำหล่นหายไป

         พวกเขาค้นพบมันในตัวคนรักของเขา เติมเต็มซึ่งกันและกัน แบ่งปันทุกข์สุขและรอยน้ำตาร่วมกัน

         ดินหันไปมองคนรัก วินาทีนั้นโลกของเขาพลันเปลี่ยนแปรเป็นสีเทา ชายหนุ่มมองเห็นเส้นด้ายโปร่งสีแดงเกี่ยวกระหวัดที่นิ้วก้อยเดือน ลากเชื่อมต่อมาเรื่อยๆ...จนถึงนิ้วก้อยของเขา หัวใจของดินเต้นถี่รัว
ในที่สุด เขาก็มองเห็นด้ายแดงของตัวเองได้แล้ว...

        “ดีจังเลยนะที่ได้มาอยู่ด้วยกันตรงนี้...พี่รักดินนะ”

       ถ้อยคำบอกรักที่ได้ยินเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ ดินยิ้มรับคำพูดนั้น ความอบอุ่นแผ่ซ่านในใจ  คนผมดำเกี่ยวปลายนิ้วก้อยของตนเข้ากับปลายนิ้วก้อยอีกฝ่าย ซึ่งเดือนก็กระหวัดปลายนิ้วให้เกี่ยวกันแนบแน่นขึ้น

        อาจเป็นเพราะพรหมลิขิตที่ทำให้พวกเขาได้รักกัน

        อาจเป็นเพราะด้ายแดงที่ผูกหัวใจสองดวงเชื่อมกัน

        อาจเป็นเพราะตัวพวกเขาเองที่ไขว่คว้าหาความรักและพยายามจนได้มาไว้ในมือ

       แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ดินรู้ว่าเส้นด้ายแห่งความรักที่พวกเขาเป็นคนช่วยกันผูกนี้จะเชื่อมโยงพวกเขาสองคนไว้ด้วยกันตราบชั่วลมหายใจสุดท้าย  เชื่อมโยงเดือนบนฟ้าให้คู่กับกระต่ายบนดินเช่นเขา
   
         ความสุขที่เรียกว่าความรักถูกค้นพบในสถานที่ที่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน  ไม่ว่าจะอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี...
   
        “ดินก็รักพี่ครับ”
   
         ท่ามกลางความเงียบของราตรีกาลอันอ่อนโยน  ใจสองใจใช้ความเงียบสื่อสารถ้อยคำระหว่างกันยามแลกเปลี่ยนจุมพิตอันอ่อนหวาน
   
          เส้นด้ายสีแดงแห่งความรักของพวกเขาผูกกระหวัดกันแน่นขึ้นและจะไม่มีวันขาดออกจากกัน   ร้อยรัดโชคชะตาอีกมากมายนับจากนี้
   
         ความรักและความผูกพันของพวกเขา...เชื่อมโยงกันเนิ่นนานเท่ากับจำนวนดาวบนท้องฟ้าและเม็ดทราย
   
         ช่วงเวลาที่ถูกเรียกขานว่า...‘นิรันดร์กาล’






จบ

ทอล์คอยู่ด้านล่างนะคะ อยากให้เลื่อนลงไปอ่านทอล์คด้วย เราอยากจะเขียนถึงคนอ่านค่ะ :  )
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙}
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 03-04-2016 20:59:38
         จบซะแล้ว...เนื่องจากพ้นวันเอพริลฟูลเดย์มาแล้วนี่จึงไม่ใช่โจ๊กแต่อย่างใด จบแล้วจริงๆค่ะ...ใจหายเหมือนกันแฮะ เราเอานิยายเรื่องนี้ลงบอร์ดครั้งแรกวันที่ 3 เดือนธันวาคมปีที่แล้ว พอมาวันนี้ลองนับดู หืม ห้าเดือนเหรอ? พูดเป็นเล่น 5555 นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องวายแบบจริงจังเรื่องแรกที่เขียน ตอนแรกลงแบบไม่มีพลีอต ไม่มีอะไรเลย แต่กลับเป็นเรื่องแรกที่เขียนจบ เป็นเรื่องแรกที่รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เขียน ทำให้สนุกได้ตอนอ่านคอมเม้นท์จากคนอ่าน เป็นนิยายที่ทำให้เรามีความสุขมากๆเลยค่ะ

       สำหรับคนอื่นอาจจะคิดว่าแค่ลงนิยายจบเอง แต่สำหรับเรามันเป็นครั้งแรกที่เราเขียนจบค่ะ เป็นเหมือนก้าวเล็กๆที่ทำให้เราเริ่มต้น  เราขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่ตามอ่าน  นิยายเราคนอ่านน้อยคนเม้นท์น้อยก็จริง แต่เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเม้นท์จากพวกคุณ ชอบเวลาที่พวกคุณอิน มีความสุข บอกว่าชอบตัวละครของเรา ให้กำลังใจเรา บอกว่าคิดถึงตัวละครของเรา

        หนึ่งคอมเม้นท์ หนึ่งยอดวิวที่เพิ่มขึ้นสอนให้เรารู้ว่าเราท้อไม่ได้ เราทิ้งคนอ่านที่ตามอยู่ไม่ได้ พวกคุณทำให้เราลุกมาเขียนนิยายทุกวันเพื่อมาอัพให้ทันวันเสาร์  ทำให้เราวางพล๊อตจนจบ ขอบคุณมากจริงๆนะคะ ไม่มีคนอ่านเราและพี่เดือนกับน้องดินก็มาไม่ถึงจุดนี้  ตอนจากนี้ต้องเหงานิดๆแน่เลย 55555 ผูกพันกับเรื่องนี้มากค่ะ เพราะคิดพล๊อตอยู่ตลอด ไปเที่ยวก็หอบโน้ตบุ้คไปเขียนด้วยอ่ะ  :katai4:

         เราอาจจะไม่ใช่คนเขียนที่เข้ามาตอบคอมเม้นท์บ่อยแต่เราตามอ่านอยู่ตลอดเวลาค่ะ (ุ่สายซุ่มเงียบ) 5555 เราต้องขอขอบคุณ...

        คุณ BlueCherries  - มาคอมเม้นท์คนแรกเกือบทุกตอนเลย 55555 หลังลงเนื้อหาจะมาตามดูว่าคนนี้มาคอมเม้นท์หรือยังหว่า เหมือนกับเป็นประธานเปิดงานยังไงยังงั้นเลยค่ะ 55555 บางทีก็แอบลุ้นนะว่าจะมีใครมาก่อนมั้ย ขอบคุณที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้าย คอมเม้นท์ให้เกือบทุกตอบ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้เรา พี่เดือนและน้องดินมากๆนะคะ

        คุณ sirin_chadada - ขอบคุณที่ตามคอมเม้นท์ให้เราทุกตอนนะคะ ช่วยดูคำผิดแล้วก็ติงในจุดที่เราเบลอจนตกไป ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้พี่เดือนมาตลอดนะคะ มีกำลังใจทุกครั้งที่อ่านคอมเม้นท์ของคุณ เราจะพยายามให้ดีขึ้นในเรื่องต่อๆไปนะคะ

        คุณ Malimaru - หลังๆไม่ได้เจอกันแล้ว แต่ก็ฮาทุกครั้งที่กลับไปอ่านคอมเม้นท์เก่าๆแล้วเชียร์ให้พี่เดือนเสียบ 55555 ถ้ายังตามอ่านอยู่ก็ขอบคุณมากจริงๆนะคะ ความเกรียนและความฮาของพี่เดือนเพิ่มขึ้นเพราะคำยุให้เสียบนี่แลลล

        คุณ love:seungri - ขอบคุณที่ตามอ่านมาตลอด ขอบคุณที่บอกว่าชอบนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณที่ช่วยแนะนำนิยายให้นะคะ ขอบคุณที่รักพี่เดือนและน้องดินค่ะ อีกหนึ่งกำลังใจเลย (แอบลุ้นในหลายๆตอนว่าจะมาคอมเม้นท์มั้ย 5555)

        คุณ jejiiee - ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้และขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่บูชาพี่เดือนค่ะ 55555

        คุณ B52 - ขอบคุณที่คอมเม้นท์ให้เกือบทุกตอนนะคะ ขอบคุณที่ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ เราจะพยายามเขียนเรื่องใหม่ให้สนุกมากขึ้นค่ะ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้นะคะ

        คุณ phrase - ตามกันมาตั้งแต่ตอนแรกๆ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ยิ้มเลยตอนที่คุณชมว่าคู่น้องดินพี่เดือนน่ารัก

        คุณ kung - ขอบคุณที่ตามอ่านนะคะ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ค่ะ

        คุณ titansyui - ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้นะคะ

        คุณ lovenadd - คุณเป็นคนแรกเลยที่เข้ามาคอมเม้นท์ให้เรา คอมเม้นท์ที่บอกว่าคุณชื่นชมเรา บอกว่าเราไม่ทิ้งงานเขียนและจะติดตามผลงานเรา มันเข้ามาตอนที่เรากำลังท้อเลยค่ะ  ขอบคุณมากจริงๆ คอมเม้นท์ของคุณเตือนสติเรา และทำให้เราฮึดขึ้นมาอีกครั้งค่ะ ขอบคุณมากๆที่ชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ

       คุณ TaecKhun Imagine Love - ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณมากๆที่เป็นกำลังใจให้พี่เดือน

       คุณ ZYSQ_ - ขอบคุณที่ติดตาม ตอนอ่านคอมเม้นท์แล้วเจอว่าคุณรอนี่คือรีบปั่นอย่างไว ขอบคุณที่ชอบตัวละครของเราด้วย มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ 55555

       คุณ natsikijang - คุณเป็นคนแรกเลยที่บอกว่าอ่านงานของเราแล้วรู้สึกเชื่อ ทำให้เราเชื่อในตัวละครของเราเช่นกัน ขอบคุณที่บอกถึงข้อดีและข้อเสียของนิยายของเรานะคะ ขอบคุณที่ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณมากๆ เราจะนำคำแนะนำของคุณไปปรับใช้กับนิยายเรื่องต่อไปค่ะ เราจะทำให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้ค่ะ

       คุณ oilk - ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณที่เอาใจช่วยพี่เดือนและทุกคน ขอบคุณมากๆค่ะ

       คุณ Hypnos - พอรู้ว่ารอก็รีบมาต่อเลยค่ะ ปั่นไฟลุก ไฟเย่อรรรรร์ 555555

       คุณ DraCo_SLa13 - ด่าญี่ปุ่นได้สะใจเอาไปเต็มล้านเลยค่ะ 5555 ขอบคุณที่ติดตามนิยายของเรานะคะ : )

       คุณ 4life - ขอบคุณที่รอนะคะ เรามาอัพให้แล้ววว

       คุณ *-*คาเมะ*-* - ขอบคุณที่ชอบนะคะ

       คุณ mild-dy - ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :pig4:

       คุณ mur@s@ki -  :pig4: :กอด1: :กอด1: น้องปราณฝากมาบอกว่า แบงก์อะไรก็ได้ยกเว้นกาโม่ค่ะ 55555+

       คุณ kun - ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามนะคะ หนึ่งในกำลังใจจ :mc4:

       คุณ magarons - ด้ายแดงเขาจะเกี่ยวกันตลอดกาลค่ะ จุ๊บ  :L2:
 
       คุณ koikoi - ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้พี่เดือนนะคะ

      คุณ Billie -  :L2: :L2: :กอด1:

       คุณ MaRiTt_TCL - ขอบคุณที่เข้ามาตามอ่านและเป็นกำลังใจนะคะ  :กอด1:

       คุณ JustWait - ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้พี่เดือนนะคะ

       คุณ โซ อึน - พอคุณบอกว่าชอบชื่อเรื่องเราก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแล้ว ตอนแรกจะเปลี่ยนเพราะมันดูลิเกไป 5555

       คุณ owlseason - ส่วนใหญ่ทุกคนจะสมน้ำหน้าพี่เดือนก่อนแล้วค่อยสงสารค่ะ ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น คนเขียนก็ทำคนแรกเลยค่ะ 5555

       คุณ boboman - ขอบคุณที่เข้ามาเพราะชื่อเรื่องค่ะ ตอนแรกเกือบเปลี่ยนแล้ว 5555

       คุณ fanglest - ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ  :กอด1: คอมเม้นท์ของคุณเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราค่อยๆปรับนิสัยดินค่ะ ตอนแรกไม่ได้ออกมาแบบนี้นะ 5555 ขอบคุณที่เข้ามาชี้ให้เราเห็นถึงข้อผิดพลาดจนสร้างน้องดินออกมาได้ ขอบคุณจริงๆค่ะ

      คุณ milky way - เดือน : ผมพึ่งพาได้ตลอดเวลาแหละครับ!

      คุณ omelet - ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและชอบตัวละครของเรานะคะ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้

      และสุดท้ายนี้ต้องขอบคุณนักอ่านคนอื่นๆที่ถึงแม้ไม่ได้แสดงตัวแต่ก็ตามอ่านนะคะ พวกคุณเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นิยายเรื่องนี้เดินมาถึงจุดนี้ ขอบคุณจริงๆค่ะ  :pig4:

       อันที่จริงยังเหลือตอนพิเศษอีกนะคะ จะทยอยลงให้เน้อออ เราส่งเรื่องนี้ไปให้สำนักพิมพ์ด้วยค่ะ แต่ยังไม่รู้ผลว่าจะผ่านไหม และตอนนี้เราลงเรื่องใหม่ไว้ด้วยค่ะ จิ้มเลยย ขอบคุณทุกท่านนะคะ รอพบทุกคนใหม่อีกครั้งนะคะ >3<

       เพราะหลงรักคุณ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52873.0#lastPost)

       สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ยินดีที่ได้พบและขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :L2: :กอด1: (ทอล์คยาวที่สุดในชีวิตแล้วจริงๆ 5555)

       
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-04-2016 21:41:05
ช็อค เหวอเลย


ไม่นึกว่าจะจบไวขนาดนี้ เพราะเพิ่งจบจากเรื่องญปมาเอง


ฮือออออ


ซึ้งมาก เขียนดีต้นจนจบเลยค่ะ

//กอดดดดดดดดดดด


***

ปอลอ ตอนนี้นั่งเฝ้าต่อในเรื่องหลงรักคุณนะคะ จุ้บๆ

ปอลอลอ เรามักจะเมนท์ไร้สาระไปเรื่อย อย่าว่าอะไรเราเลยนะ แฮ่ :P
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-04-2016 23:04:27
ขอบคุณคนเขียนที่ไม่ทิ้งกันค่ะ :D
อยากอ่านตอนพิเศษเมื่อต้นข้าวโตเป็นหนุ่ม คุณพ่อเดือนคุณแม่(?)ดินจะเป็นยังไง
ให้กำลังใจคนเขียนสำหรับเรื่องถัดไปด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: *-*คาเมะ*-* ที่ 03-04-2016 23:06:07
จบแล้วหรอ ไม่น้าาา
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-04-2016 23:35:46
จบเเล้ววว

ฮาตอนทอล์ค 5555 เราอ่านทุกตอนเเต่หลายครั้งก็อ่านรวบตอน
อยากได้ตอนพิเศษจัง เอาเเบบตอนที่เบบี้คุยรู้เรื่อง
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Hypnos ที่ 04-04-2016 01:34:18
ความจริงยังไม่อยากให้จบเลย

รู้สึกผูกพันกับตัวละคร

ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีที่เขียนให้อ่าน

ถ้ามีนิยายเรื่องใหม่อย่าลืมแนะนำด้วยนะคะ

รักน้องดิน  รักพี่เดือน  รักน้องต้นข้าว 

ปล. ความจริง เราก็ชื่อข้าวเหมือนกัน  :mew1: :mew1:

รออ่านเรื่องหน้าอย่างใจจดใจจ่อ :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 04-04-2016 02:05:56
ตอนนี้ซึ้งใจกับความดีของดินจังเลยค่ะ  อ่านแล้วยิ้มตามทั้งปากทั้งตา คนเราจะมีกี่คนทีรักลูกคนที่ทำร้ายเรากับคนรักได้มากขนาดดิน น้องใจกว้างมากค่ะ น้องเหมาะกับหน้าที่ " แม่" มากๆค่ะ  พี่เดือนทั้งตอนนี้และตอนหลังๆมานี้ เริ่มมีการปรับปรุงตัวเองค่ะ จากที่เคยน้อยใจพ่อแม่ มีอะไรเก็บไว้คนเดียวเริ่มที่จะกล้าเปิดใจและเป็นผู้นำครอบครัวของตัวเองได้แล้ว เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครเลยค่ะ ชอบตอนจบที่หวานละมุนละไมค่ะ เป็นความรักของคนสองคนที่เดินทางมาเจอกันจากที่ไม่มีด้ายแดง มีด้ายดำจนกลายเป็นมีด้ายแดงเกี่ยวน้อยและสัญญาว่าจะรักกัน ทำหน้าที่พ่อแม่และคนรักที่ดี จบสวยค่ะ

  สำหรับเนื้อหา เรามองว่าแต่งแล้วสะท้อนแง่มุมหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องปมครอบครัว อิทธิพลสื่อที่ทำให้เราเชื่อตามภาพลักษณ์ที่คนๆนั้นปรุงแต่งและอินไปกับข่าวสารที่อาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดอย่างเดือนกับญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันสงครามน้ำลายของดารา คนดังทำให้เราตกเป็นเหยื่อ ดราม่ากัน  ทั้งที่จริงๆแล้วเราอาจจะโดนปั่นหัวตามการเสพข้อมูลจากสื่ออยู่ก็ได้ สอนให้คนเราอดทนและเชื่อมั่นในพลังแห่งความดีที่จะเอาชนะคนพาลไปได้ค่ะ  แต่การเดินเรื่องดูเอื่อยๆ ไปสักหน่อยค่ะ ใจเราเสียดายที่คนอ่านกับคนเม้นอาจจะน้อยไปสักหน่อย แต่อย่าน้อยใจนะคะ เราว่าเป็นเพราะชื่อเรื่องดูไม่เร้าใจ และพล็อตไม่เกาะกระแส วัยรุ่นสังคมนักศึกษา หรือแนวกุ๊กกิ๊ก ออกแนวหื่น ๆSM ล่ะมั้งคะ แต่สำหรับเราถือว่า เรื่องเป็นทางเลือกใหม่เลย เราเบื่อพล็อตเดิมๆ เพราะเลยวัยนักศึกษาแล้วด้วย หาอ่านแนวผู้ใหญ่ๆอยู่  หายากอยู่ค่ะ มีแต่เรื่องแนวใสๆ แนวในวัยเรียนทั้งนั้นเลย

ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องสนุกๆ มาให้อ่าน และยังอัพต่อเนื่องตลอดมาค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-04-2016 05:40:07
   :pig4::pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 04-04-2016 06:04:39
จบแล้วววว ในที่สุดทั้งสองคนก็ผ่านอุปสรรคมาได้ รักพี่เดือนมากๆเลยที่ทำให้น้องดินเข้มแข็งขึ้นมาได้ขนาดนี้ เป็นตัวละครที่เข้าใจกันเชื่อใจกันและประคับประคองจิตใจกันได้ดีมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-04-2016 09:38:10
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

Happy End

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 04-04-2016 13:47:10
ขอบคุณคนเขียนนะคะที่ตั้งใจใส่ใจทั้งนิยายและคนอ่าน ขอบคุณเรื่องดีๆน่ารักๆฟิลกู๊ดแบบนี้ ขอบคุณพี่เดือนกะน้องดินที่ทำให้เรายิ้มได้ สุดท้ายจะรออ่านงานต่อๆไปนะคะ  :mew1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-04-2016 13:52:21
 :pig4 :3123: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 04-04-2016 15:37:52
 :pig4:
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 04-04-2016 16:25:05
ขอบคุณค่ะ
เป็นนิยายทีมีเนื้อเรื่องดีมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 04-04-2016 16:51:10
เป็นเนื้อเรื่องดี ๆ มาก ๆ เลยครับ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: oilk ที่ 04-04-2016 18:30:54
จบแล้ว จบแล้วจริงๆสินะ จบแล้วจริงๆด้วย  :o12: :o12: :o12: :o12:
พี่เดือนกับน้องดินหวานกันได้ทั้งเรื่อง แต่ก็ดีใจกับทั้งคู่ที่จะได้มีความสุขกันแล้ว
ขอบคุณคุณคนแต่งนะคะที่แต่งเรื่องนี้มา เนื้อเรื่องสนุกมาก เราอ่านแล้วแทบหยุดไม่ได้เลย อิพี่เดือนก็ไร้สติมากเราชอบสุดๆ55555555 มาตามอ่านแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน อินสุดอะไรสุดด้วย555555555555555 จะตามนิยายของคุณคนแต่งเรื่อยๆเลยนะคะ ต่อไปก็ไปตามน้องหลงต่อ เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค้า

ปอลอ. เรารอตอนพิเศษอยู่นะ  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 04-04-2016 21:50:51
จำได้ว่า หายหน้าหายตาจากการอ่านเรื่องนี้ไปแปปเดียว กลับมามองหัวข้ออีกที จบแล้วว??? แต่พออ่านแล้ว ขออีกได้ไหม สนุกมากกกกก เขียนดีมากก อินและเชื่อในตัวละครมาก ขอบคุณผลงานดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Lafinzel ที่ 04-04-2016 23:18:30
ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบ....
จากใจจริง อ่านแค่ตอนแรกและตอนช่วงทียุ่นก่อคดีนอกนั้นไม่ได้อ่าน //อย่า..อย่าพึ่งตบเราว์---
นิยายจบแล้ว congratulationด้วยแฝด ที่เข็นจนจบเป็นเรื่องแรก
แฝดเพ่ดีใจจริงๆที่เธอได้ทลายไหดองแล้ว
แฝดน้องผู้ชอบเขียนนิยายนอกกระแส..เมื่อคนน้อยก็เหี่ยวยิ่งกว่าดอกกระหล่ำ
ตอนนี้ผลของความพยายามที่ลงนิยายอย่างต่อเนื่องจนจบของเธอได้ประสบผลแล้ว...
 :katai2-1:
จากนี้ต่อไปก็พยายามเข็นอีกเรื่องให้จบให้ได้นะ!  :katai3:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทที่๒๖ ยามจันทร์เจ้าเคียงดิน {๓.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 05-04-2016 23:04:41
 :กอด1: จบเเล้ว น่ารักมากก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 09-04-2016 20:02:04
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษ ๑
คู่ชีวิต


       พักนี้เดือนทำแต่งาน...

       ดินนอนเหม่อมองเพดานสีขาวด้วยดวงตาว่างเปล่า  ชายหนุ่มอยู่ในชุดนอนแล้วก็กำลังจะเตรียมตัวเข้านอนแล้ว  ดวงตาสีน้ำตาลไร้แว่นสายตามาบดบังหันไปมองข้างกายที่ตอนนี้ก็ยังว่างเปล่า

       นี่ก็อาทิตย์ที่สามแล้วที่เดือนไม่อยู่ อีกฝ่ายไปถ่ายแบบที่อิตาลี กำหนดการที่ไปคือสามอาทิตย์

       ดินถอนหายใจ  ลูกชายของเขาหลับไปเรียบร้อยแล้ว  เพราะมีเด็กคนนี้อยู่ทำให้สองสัปดาห์ที่ผ่านไปไม่ได้แย่มากนัก ตอนกลางวันก็มีงานให้ทำจนหัวหมุน แต่พอตกกลางคืน...ความเหงาก็ถือโอกาสมาเยี่ยมเยือนพร้อมกับความเงียบ แทรกเข้ามาในใจเขาจนได้

       หากเป็นเวลาปกติเดือนจะดึงเขาเข้าไปกอด จูบหน้าผาก จูบเปลือกตา จูบแก้ม บอกให้เขาหลับฝันดี...แล้วดินก็จะหลับฝันดีจริงๆ

       แต่พออีกฝ่ายไม่อยู่มันก็เหมือนกลับไปในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ช่วงที่มีเขาแค่คนเดียว  ตอนนั้นดินอยู่ได้ มีหนังสือกับความเงียบเป็นเพื่อน ตลกดีที่เวลาสองปีที่มีใครอีกคนเข้ามาอยู่ในชีวิตทำให้เขาไม่อาจทนกับความเงียบและความเหงาได้
มีไม่บ่อยนักที่เดือนจะรับงานที่ต้องบินไปถ่ายที่ต่างประเทศ ชายหนุ่มบอกกุ๊กว่าห่วงลูกและคนรัก กุ๊กเองก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยแต่ก็ยอมตามใจ  แต่มีการถ่ายแบบจากห้องเสื้อแบรนดังหนนี้นี่แหละที่กุ๊กไม่ยอมให้เดือนปฏิเสธ ชายหนุ่มพลาดโอกาสไปแล้วเมื่อสองปีก่อนตอนมีเรื่องของญี่ปุ่นเข้ามา...ครั้งนี้ไม่มีอุปสรรคใดๆแล้วกุ๊กกับสรัลเลยมัดมือชกตอบรับคำเชิญจากทางนั้นโดยไม่ถามความเห็นเดือน

        ตอนแรกที่รู้เดือนก็โวยวายแต่จะบอกยกเลิกงานก็ไม่ได้ดินเองก็ไม่อยากให้คนรักเสียงานจึงช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง

        เขาไม่อยากเป็นตัวถ่วงเดือน ตอนนี้นายแบบหนุ่มกำลังโด่งดังไปทั่วประเทศและหากการถ่ายแบบครั้งนี้ประสบความสำเร็จแล้วล่ะก็นี่จะทำให้เดือนประสบความสำเร็จเหนือใครในวงการนายแบบ

        ดินแค่อยากให้คนรักก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เขาอยากเป็นส่วนสนับสนุนเดือน ไม่ใช่เป็นแต่ตัวถ่วง

        ริมฝีปากบางยกยิ้มยามนึกถึงใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปอีกซีกโลก

       ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ...

       ฝ่ามือบางคว้าเอาโทรศัพท์มาเช็กดูข้อความจากแชทต่างๆแต่ก็ไม่มี...เดือนไม่ได้ตอบข้อความเขา คงจะยุ่งๆ หากเป็นแต่ก่อนดินคงจะปล่อยผ่าน แต่ตอนนี้...เขารู้สึกกระวนกระวาย

        สองปีแล้วที่อยู่ด้วยกันในฐานะคนรัก

        สองปีแล้วที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบเรียบง่าย แต่ล่ะวันผ่านไปอย่างสงบสุข ทะเลาะกันบ้าง ไม่ได้เจอกันบ้างแต่ความรักก็ไม่ได้น้อยลง

        สองปีแล้ว...ที่เปลี่ยนดินจากคนที่ไม่สนใจใคร ไม่ชอบยิ้ม เก็บตัวและชอบเก็บความทุกข์ไว้คนเดียวให้กลายเป็นคนที่สนใจคนรอบข้างมากขึ้น ยิ้มบ่อยขึ้น

         ไม่สิ...เวลาไม่ได้เปลี่ยนเขา

         ‘เดือน’ ต่างหากที่เปลี่ยนเขา

         “อ่า...กลับมาเร็วๆสิครับพี่เดือน เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวมันเหนื่อยนะ”

        สาบานได้ว่าถ้าอยู่ต่อหน้าเดือนดินจะไม่มีวันพูดประโยคนี้!

       เช้าวันต่อคนผมดำก็ลุกขึ้นมาจัดการธุระส่วนตัว พาลูกน้อยไปอาบน้ำ เด็กชายวัยสองขวบกำลังอยู่ในวัยน่ารักน่าหยิก แก้มยุ้ยและว่านอนสอนง่าย ไม่ค่อยดื้อเหมือนเด็กคนอื่น ดินไม่ชอบเลี้ยงลูกโดยยัดโทรศัพท์ให้แล้วปล่อยให้ลูกอยู่กับหน้าจอ เขาจะร้องเพลง อ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง ตอนนี้ต้นข้าวพูดได้แล้ว เด็กน้อยยังอ่านหนังสือไม่ค่อยออกแต่กลับความจำดีมาก
หนังสือนิทานเล่มบางสีสวยที่ดินอ่านให้ฟังทุกคืน ต้นข้าวจำได้แล้วก็เปิดไปพูดเจื้อยแจ้วไป

        หลังจากทานข้าวแล้วปล่อยให้ลูกชายนอนวาดรูปอยู่บนพรม ดินก็จัดการทำงานบ้าน ดูเหมือนว่าวันนี้เขาต้องเปลี่ยนหลอดไฟในครัวด้วย

        ชายหนุ่มเหลือบตามองโทรศัพท์เป็นระยะแต่มันก็ยังคงเงียบสนิท

        สัปดาห์แรกที่เดือนไปอิตาลี พวกเขาติดต่อกันทุกวัน เฟสไทม์คุยกันก่อนดินเข้านอนทุกคืน

        พอสัปดาห์ที่สองก็เริ่มติดต่อกันน้อยลง พอได้คุยกันเดือนก็มีเหตุให้ออกไปทำธุระนู่นนี่ตลอด...ดินเองก็พอเข้าใจเลยไม่ได้ว่าแต่เขาเองก็เริ่มตงิดใจ

        หลายครั้งที่เห็นเด็กหนุ่มร่างบางคนหนึ่งเดินผ่านกล้องไปมาด้านหลังเดือน ซึ่งคนรักเองก็เคยอธิบายว่านั่นคือนายแบบอีกคนจากอังกฤษที่มาพักอยู่ด้วยกันตลอดการถ่ายแบบ

         ดินเองก็ไม่ได้อยากจะกลุ้มใจ แต่พักหลังๆคนคนนั้นโผล่เข้ามาในบทสนทนาของพวกเขาบ่อยครั้ง หมายถึงโผล่มาแบบทั้งตัวเลย ไม่ได้มาแค่ชื่อ  เอาผลไม้มานั่งกินข้างเดือนบ้าง บางครั้งก็โผล่มาขัดจังหวะการคุยแล้วก็ดึงความสนใจจากเดือนไปหมดเลย

       ดินเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเขาแค่ยิ้มแล้วบอกว่าไม่มีอะไร ออกไปทำธุระของพี่เถอะ 

       ดูเหมือนว่านายแบบหนุ่มน้อยคนนั้นก็จะรู้ว่าดินเป็นใคร มีหลายครั้งที่มานั่งข้างเดือนแล้วก็ส่งยิ้มมาให้ดินด้วย

       ไม่รู้ทำไมมันเหมือนยิ้มเย้ยชอบกล...บางทีเขาอาจจะอคติไปเองก็ได้

       พอสัปดาห์ที่สาม...ยังไม่มีการติดต่อใดๆมากจากเดือนเลย...

       คนผมดำถอนหายใจเฮือกก่อนจะถูกดึงความสนใจไปด้วยมือน้อยที่เอื้อมมือมากระตุกชายเสื้อ ต้นข้าวฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอก่อนจะยื่นกระดาษมาให้ดิน  คนตัวเล็กรับมาดูก็พบว่าเด็กน้อยของเขาโชว์ฝีมือทางศิลปะด้วยการใช้สีเทียนระบายมนุษย์ก้างสามคนกับ...บ้านมีปล่องไฟขึ้นมาอีกหลัง

       อืม ชักสงสัยแล้วแฮะว่าทำไมเด็กวาดบ้านทีไรต้องมีปล่องไฟทุกคนเลย

        “หืม นี่อะไรครับ?”

        ดินถามลูกชาย มองเด็กน้อยด้วยแววตาเอ็นดู นิ้วป้อมๆจิ้มไปบนกระดาษ

        “นี่หนู พ่อเดือน แล้วก็พ่อดินคับ”

       “หืม ไหน ทำไมหนูผอมจัง ทั้งที่ตัวจริงอ้วนกว่านี้ตั้งเยอะ” ดินหยอกลูกชายก่อนจะอุ้มเจ้าตัวกลมขึ้นมา หอมแก้มยุ้ยแล้วฟัดพุงกลมๆอย่างหมั่นเขี้ยว   ต้นข้าวหัวเราะคิกแล้วบิดตัวไปมา  ชอบใจนักล่ะเวลาพ่อดินจุ๊บๆ
 
        “พ่อดิน หนูอยาก...กินช้ม” เจ้าหนูหมายถึงส้มนั่นแหละ แต่ออกเสียงไม่ชัด

       ดินพยักหน้ารับ อุ้มหนูน้อยไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนหยิบส้มมาปอกให้ลูกชาย  หนูข้าวรับส้มไปกลีบหนึ่งก่อนจะดูดน้ำส้มไปจนเหลือแต่เนื้อ เจ้าตัวเล็กเลยค่อยๆกินเนื้อส้มไปช้าๆ เคี้ยวหงับๆแต่กระนั้นทั้งเนื้อส้มกับน้ำส้มก็ยังเลอะปากเลอะแก้มอยู่ดี

       “หนูข้าว กินดีๆอย่าให้เลอะสิครับ”

       “งื้อ”

       ต้นข้าวส่งเสียงงื้อง้ารับคำพ่อก่อนมือน้อยจะดึงทิชชู่ที่ดินเลื่อนส่งมาให้มาเช็ดปากตัวเอง

       “พ่อดิน...เมื่อไย..พ่อเดือนจามาหาน้องข้าวคับ”

       “พ่อเดือนไปทำงานครับ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

      ตาโตๆฉายแววเศร้าๆ น้องข้าวเดินดุ๊กดิ๊กไปหยิบหนังสือนิทานเล่มบางมา “หนูข้าวคิดถึงพ่อเดือน”

      ปกติแล้วเดือนจะเป็นคนอ่านนิทานให้ลูกฟังตอนที่ลูกจะนอนกลางวันส่วนดินจะเป็นคนอ่านนิทานให้ฟังตอนกลางคืน  ดูเหมือนวันนี้เขาต้องทำหน้าที่แทนคนตัวโตด้วยแล้วมั้ง

       “พ่อดิน หนูข้าวง่วงจัง พ่อดิน...อ่าน ฮ้าววว” ปากน้อยๆอ้ากว้าง ดินยิ้มให้ลูกชายก่อนจะหยิบหนังสือมาแล้วเริ่มต้นอ่านนิทานให้ลูกฟัง เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเด็กน้อยก็หลับปุ๋ย ดินหอมแก้มลูกชายเบาๆแล้วเดินเข้าไปในครัว ไปเปลี่ยนหลอดไฟแบบที่ตั้งใจไว้

        เพราะไม่ได้ทำงานประเภทนี้มานานทำให้อะไรๆมันก็ดูเก้ๆกังๆไปหมด แต่ในที่สุดดินก็เปลี่ยนหลอดไฟได้สำเร็จ  เขาปาดเหงื่อ ปกติเดือนจะเป็นคนทำงานพวกนี้...

        ให้ตายสิ!

        ทำไมเขาถึงได้คิดถึงหมอนั่นตลอดเวลาด้วยนะ อีกฝ่ายดูจะไม่คิดถึงเขาเลยแท้ๆติดต่อก็ไม่ติดต่อมา บ้าชะมัด!

        เด็กหนุ่มค่อยๆหย่อนตัวลงจากเก้าอี้แต่เพราะจู่ๆก็เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาทำให้เซล้มลง

        เพล้ง

        หลอดไฟแตกกระจายอยู่บนพื้นส่วนดินที่เอามือยันไว้ตามสัญชาตญาณก็หลุดเสียงร้องออกมาเพราะเขาวางฝ่ามือไปทับเศษแก้วเต็มๆ เสียงร้องของเขาปลุกให้เจ้าตัวเล็กสะดุ้งตื่น

       “พ่อดินคับ” ต้นข้าวยืนหน้าตางัวเงียอยู่ตรงประตูครัว พอเห็นเขาล้มเด็กน้อยก็ทำท่าจะเข้ามาหา “อย่าเข้ามานะข้าว!” ด้วยความร้อนใจกลัวว่าลูกจะเหยียบเศษแก้วดินเลยเผลอเสียงดังใส่ เด็กน้อยที่ตกใจเสียงดังแถมยังเห็นเลือดสีแดงๆไหลจากมือคุณพ่อคนสวยไม่หยุดก็ทำอะไรไม่ถูก

       “เลือด...ฮือ...เลือด พ่อดินเลือดไหล ฮืออออ”

       สุดท้ายก็เป่าปี่ออกมาจนได้...

      ดินที่ปวดหัวกับเสียงร้องลูกแถมยังเริ่มเจ็บแผลที่โดนบาดได้แต่หาเศษผ้ามากดไว้ เดินอ้อมเศษแก้วไปหาลูกชายแล้วพาออกไปข้างนอก ดินปลอบอยู่นานกว่าต้นข้าวจะหยุดร้อง เด็กน้อยตาแดงจมูกแดงซุกตัวอยู่บนโซฟามองพ่อดินทำแผลให้ตัวเองแล้วจัดการกับเศษแก้วในครัว  ทันทีที่ชายหนุ่มเดินมาทิ้งตัวลงบนโซฟาต้นข้าวก็คลานขึ้นไปหนุนตักร่างบางทันที

        หัวทุยซุกเข้าที่หน้าท้องแบนราบของคนเป็นพ่อ ฝ่ามืออุ่นลูบไล้เส้นผมของเขาชวนให้เคลิบเคลิ้ม

        “พ่อดิน...เจ็บมั้ย”

        “ไม่เจ็บหรอก ไกลหัวใจ”

        “น้องข้าวดูหน่อยนะ”

        มือเล็กคว้ามือที่พันไว้ด้วยผ้าพันแผลขึ้นมา ก่อนจะเป่าฟู่ลงไปที่ฝ่ามือ “โอ๋ๆ ไม่เจ็บน้า หายเพี้ยงงง” ดินอมยิ้มกับท่าทางน่ารักของลูกชายก่อนก้มลงไปฟัดแก้มนิ่มอีกหน มือบางลูบหลังเด็กดีก่อนจะร้องเพลงกล่อมออกมาเบาๆ เพียงครู่เดียวเด็กน้อยตัวกลมก็หลับไป

        เมื่อดูจนแน่ใจว่าลูกชายหลับสนิทดินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดเข้าไลน์ เขาถ่ายรูปมือที่มีผ้าพันแผลแล้วก็ส่งไปให้เดือน

        ปฐพี : เปลี่ยนหลอดไฟแล้วทำหลอดเก่าตกแตก ล้มทับเลยโดนบาดเป็นแผลเลย ; (

        ปกติเขาไม่ทำอะไรแบบนี้หรอกเพราะรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำงาน...

       แต่วันนี้ดินอยากอ้อน อยากเห็นแสดงข้อความเป็นห่วง อยากเห็นอีกฝ่ายรีบเฟสไทม์มาสอบถามอาการ

       คนตัวเล็กเหลือบมองข้อความก่อนหน้าที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อวานซืน

       มันยังไม่ได้เปิดอ่านเลยด้วยซ้ำ...

       ตกเย็นวันนั้นก็ไม่มีข้อความใดตอบกลับมา  ดินเม้มริมฝีปาก เขาพาลูกชายมานอนข้างๆ เด็กน้อยกำลังเล่นกับตัวต่อเลโก้อยู่

       พอกันที...

       เหลือบมองนาฬิกาแล้วคำนวณเวลาอยู่ในใจ พอเห็นว่าเป็นช่วงที่โทรได้ดินก็เฟสไทม์ไปหาเดือนทันที  หลังจากพยายามอยู่สองสามรอบอีกฝ่ายก็รับ 

       นัยน์ตาสีน้ำตาลมองคนรักในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงตื่นมารับเฟสไทม์ นี่เขารบกวนเวลานอนอีกคนรึเปล่าเนี่ย

        “ดิน...”

       “พี่เดือน เป็นไงบ้าง”

       พอเห็นหน้าคนรักเดือนก็ลูบหน้าลูบตาถึงจะมึนหัวจนอยากล้มตัวลงนอนแค่ไหนแต่ก็ยังฝืนลุกมาคุย “ก็ดีครับ ทางนู้นล่ะเป็นไงบ้าง”

       “อือ...ลูกบ่นคิดถึงพี่ตลอดเวลาเลย”

       “หืม แล้วเจ้าอ้วนอยู่ไหนล่ะ”

       “อยู่นี่ๆ พ่อเดือนนน”

      นายแบบหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นลูกชายตัวกลมปีนขึ้นตักแม่มาพูดกับกล้อง

       “ว่าไงครับหนูข้าว คิดถึงพ่อเดือนมั้ย”

       หัวทุยๆพยักหงึกไม่หยุดจนดูน่าขัน เดือนหัวเราะลั่น  ดินที่เห็นดังนั้นก็ยิ้มตาม

       คิดถึงเสียงทุ้มๆนี่ชะมัด

       “ขอโทษนะที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย งานยุ่งๆน่ะ”

       “อือ ไม่เป็นไรดินเข้าใจ”

      ดวงตาคู่สวยที่ดินรักมองมาที่เขาก่อนเสียงทุ้มจะดังผ่านลำโพงออกมา

      “คิดถึงนะคนดี เดี๋ยววันศุกร์นี้จะกลับแล้ว แล้วก็พักยาวเลย...พอกลับไปแล้วเราไปเที่ยวกันดีไหม ไปไหนดี ภูเก็ต? เสม็ด? เกาะล้าน?”

       “ที่ไหนก็ได้ครับ” ไปกับคุณ...ที่ไหนก็ได้ กลับมาเร็วๆก็พอ

       “ดิน”

       “ครับ?”

      “อย่าคิดมากนะ ขอโทษที่ทำให้เหงา แต่เดี๋ยวกลับไปจะกอดแน่นๆเลย กอดดินกับลูกทั้งวันเลยนะ”
พวกเขายิ้มให้กัน สักพักประตูด้านหลังเดือนก็เปิดออกพร้อมร่างแบบบางของนายแบบหนุ่มจากเกาะอังกฤษเดินเข้ามา อีกฝ่ายส่งเสียงถามเดือนเป็นภาษาอังกฤษว่าวันนี้จะออกไปผับด้วยกันไหม

      “ไม่ล่ะจิล ขอฉันนอนเถอะ เพลียจะตายอยู่แล้ว” คนรักของเขาหันไปตอบ  นายแบบเจ้าของนามจิลหัวเราะคิก ใบหน้าที่ติดจะสวยนั้นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มก่อนเรียวแขนจะคล้องเข้าที่แขนร่างสูง ดึงให้ลุกขึ้นเพราะการขยับที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้โทรศัพท์สั่นจนภาพเบลอไปครู่หนึ่ง

      “เฮ้ นี่จริงจัง ฉันไม่ไป”

      “ไม่เอาน่าเลวี่ คุณนี่น่าเบื่อเป็นบ้า ออกไปเที่ยวแป็ปเดียวเอง”

      เมื่อภาพกลับมาชัดอีกครั้งดินก็เห็นจิลทิ้งตัวลงนั่งคร่อมบนตักร่างสูง แต่เดือนก็ผลักอีกฝ่ายออกเร็วพอๆกัน ดวงตาสีอ่อนเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างกระวนกระวายใจ  ดินเบือนหน้าหนีก่อนจะกดตัดการสนทนา เขาอุ้มลูกชายที่ผล็อยหลับไปแล้วไปนอนบนเตียงเล็กก่อนจะเก็บเลโก้ใส่ถังให้

      ชายหนุ่มล้มตัวลงนอน รู้สึกอ่อนแรงอย่างน่าประหลาด

      เพราะแบบนี้หรือเปล่าเดือนเลยไม่ค่อยติดต่อมา...

      อีกฝ่ายก็เป็นถึงนายแบบ หน้าตาดี เอวบางร่างเล็ก...แถมยังเด็กด้วย

      เหมือนเขาเป็นป้าแก่ๆที่เลี้ยงลูกอยู่บ้านขณะที่สามีแม่งหนีไปมีกิ๊กเป็นเด็กเอ๊าะๆเลยว่ะ
 
      เพ้อเจ้อ...พี่เดือน...ไม่ทิ้งเขาหรอก

     วันต่อมาดินก็ชักไม่แน่ใจในสิ่งที่คิดเมื่อคืน มือบางสั่นระริกยามถือโทรศัพท์ไว้ ดวงตากลมจ้องไปที่หน้าจอที่เป็นหน้าไทม์ไลน์ของเดือน

     มันเป็นรูป...ของเดือนกับนายแบบที่ชื่อจิล แฟนหนุ่มของเขากำลังหลับ...หนุนตักนายแบบคนนั้น ขณะที่จิลก็ฉีกยิ้มกว้างให้กล้องที่เจ้าตัวเป็นคนเซลฟี่เอง รูปนั้นมีประโยคสั้นๆบรรยายว่า

     ‘กว่าจะลากกลับห้องได้เหนื่อยแทบแย่ เกาะหนึบเป็นปลาหมึกเลย’

     เขาพยายามจะไม่คิดมาก...แต่มาถึงขนาดนี้แล้วมันก็ต้องคิดไหม...

     ดินไม่อยากเป็นคนหึงงี่เง่า...แต่นี่มันไม่ใช่แล้วจริงๆ

       ชายหนุ่มส่งข้อความไปในแชทเฟสและแชทไลน์คนรักรัวๆแต่อีกฝ่ายก็ไม่เปิดอ่าน จนกระทั่ง...

       ตึ่ง

       เสียงแจ้งเตือนแชทเฟสดังขึ้น ดินรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเดือนที่ตอบกลับมา แต่ข้อความที่ตอบเป็นภาษาอังกฤษ ยิ่งอ่านก็ยิ่งหงุดหงิดจนอยากจะบินไปอิตาลีแล้วจับคนรักมัดลงกระสอบกลับไทยเดี๋ยวนี้

        ‘แฟนของคุณกำลังหลับอยู่ เมื่อคืนเขาเมามาก ไม่ต้องส่งข้อความมามันรบกวน’

        จากนั้นก็เป็นรูปของเดือนที่นอนหลับหน้าซุกหมอนในสภาพที่ท่อนบนเปลือยเปล่า...

       ดินกัดฟันกรอด ส่งข้อความกลับไป
   
       ‘แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับโทรศัพท์แล้วก็แชทส่วนตัวของคนรักผม’
   
        ‘ก็เขาให้รหัสมาเอง’
   
        หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เงียบไปเลย ไม่มีการตอบหรือเปิดอ่านอะไรทั้งสิ้น ดินรู้สึกเหมือนเขาวูบไป รู้สึกเหมือนเป็นคนจมน้ำ หายใจไม่ออก พอรู้ตัวอีกทีกระบอกตาก็ร้อนผ่าว หยดน้ำใสก็ไหลอาบแก้มเสียแล้ว
   
        “พ่อดิน...พ่อดินเป็นไย ย้องไมคับ” น้ำเสียงอู้อี้ดังมาจากข้างตัว พอเงยหน้าก็เห็นลูกชายมองมาด้วยสีหน้างุนงง ต้นข้าวที่เห็นพ่อร้องไห้ก็ใจคอไม่ดี มือป้อมปาดน้ำตาบนใบหน้าหวานออก
   
       “พอดินอย่าย้องนะ เดี๋ยวหนูข้าวโอ๋ๆเองนะ”
   
       สองมือคว้าตัวลูกชายมากอดไว้ ดินซบใบหน้าลงกับไหล่เล็กแล้วสะอื้นออกมา  ต้นข้าวที่เห็นพ่อร้องหนักกว่าเดิมก็รู้สึกไม่ดี สุดท้ายก็เบะปากสะอื้น ปล่อยโฮตามพ่อไปอีกคน
   
       “ฮื้ออ แงงง”
   
       ได้ยินเสียงลูกร้องดินก็ยิ่งสะอื้นหนัก เขาปาดน้ำตาให้ลูกทั้งที่น้ำตาตัวเองก็ยังไหลไม่หยุด รู้สึกเหนื่อยจนแทบหมดแรง
   
        มันจะจบแล้วจริงๆเหรอ...ตอนนี้เขากลัว...กลัวจนหายใจไม่ออก
   
        กลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะแย่งพี่เดือนไป
   
       หืม? ทำไมต้องกลัว?
   
        ก็ดูอีกฝ่ายสิ...มีทุกอย่างที่ดินไม่มีเลยนะ หน้าตา ฐานะ ทุกอย่างเลย...ส่วนเขา..ก็เป็นแค่นายปฐพี นายปฐพีที่โดนทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   
       “เอ้า พวกนายสองแม่ลูกมาเป่าปี่อะไรกันตรงนี้เนี่ย”
   
       น้ำเสียงคุ้นหูทำให้ดินเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบกับร่างเล็กของฝนยืนมองมาด้วยสีหน้างุนงง เรือนผมอ่อนนุ่มบัดนี้ถูกย้อมด้วยสีน้ำฟ้าอ่อน มาพบกันแต่ละทีสีผมไม่ซ้ำกันเลยจริงๆ
   
        ฝนย่อตัวลงนั่งก่อนจะอุ้มเจ้าหนูต้นข้าวไปปลอบ  เด็กน้อยสะอึกสะอื้นก่อนจะซบไหล่คุณอาฝนนิ่ง พูดเสียงอู้อี้ “อาฝนปลอบพ่อดินด้วย...พ่อดินก็ย้อง..เสียใจ”
   
        ฝนยิ้มขำก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างมาดึงตัวดินเข้าไปกอดด้วย ลูบผมเบาๆก่อนพูดว่า “โอ๋ๆนะทั้งแม่ทั้งลูกเลย อย่าร้องๆ อาฝนมาแล้วนี่ไง ไหนบอกซิเป็นอะไร”
   
        ท้ายประโยคหันมาพูดกับดิน คนผมดำปาดน้ำตาก่อนพาลูกไปนอนบนโซฟา ร่างเล็กหันกลับมายื่นโทรศัพท์ให้ฝน คนผมฟ้าเลื่อนเปิดข้อความก่อนจะเลิกคิ้ว “สรุปคือกลัวโดนเดือนนอกใจ? ไม่เอาน่า นายมาคิดมากอะไรกับแค่นายแบบคนเดียวเนี่ย ตอนญี่ปุ่นนายยังสตรองมากเลยแท้ๆ”
   
        “ก็ตอนนั้นพี่เดือนเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่เล่นด้วยนี่นา แต่นี่...” ก็ดูสนิทสนมกันดี
   
         ฝนตบบ่าเขาอย่างเห็นใจ “นายต้องทำใจนะ เขาเป็นคนที่ต้องรู้จักคนเยอะ มันเป็นอาชีพนี่นา”
   
        “อันนั้นก็เข้าใจ...แต่...”
   
        ฝนละสายตาจากดินไปมองข้อความบนมือถือ พิมพ์ตอบไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเงยหน้ามายิ้มกว้าง “งั้นเราก็ทิ้งพ่อคนฮอตไว้ก่อน เก็บของเร็วฉันจะพานายไปเที่ยว”  ว่าพลางรุนหลังคนตัวเล็กเข้าไปในห้องนอน เก็บเสื้อผ้าอีกคนยัดใส่กระเป๋าเดินทางพร้อมกับเสื้อผ้าของต้นข้าวด้วย
   
       “เดี๋ยวๆพรุ่งนี้พี่เดือนก็จะกลับแล้วนะ!”
   
       “แล้วไง นายไม่อยากเอาคืนเหรอ เขาทิ้งให้นายร้องไห้เลยนะ ลองทิ้งหมอนั่นให้กระวนกระวายใจบ้างสิ”
   
       นี่มัน...กลับหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนี่หว่า! ตะกี้ยังบอกอยู่เลยว่ากังวลอะไร ตอนนี้กลับคิดแผนแก้แค้นซะอย่างนั้น
   
       “เอาน่า ทิ้งให้พ่อบ้านใจกล้าทุกข์ซะบ้างก็สะใจดีนะ” ฝนขยิบตา ยกกระเป๋าเสื้อผ้าของสองแม่ลูกไปไว้ท้ายรถตัวเองอย่างว่องไว ดินกัดริมฝีปากก่อนจะตัดสินใจไปบอกพ่อกับแม่ที่เรือนใหญ่แล้วก็จัดข้าวของของลูกใส่ตะกร้าก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กไปขึ้นรถของฝน
   
        หึ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่พี่เดือน!
   
         สถานที่ที่ฝนเลือกพามาคือเกาะล้าน พอมาถึงรีสอร์ทก็พบว่าอารัณย์รออยู่แล้ว ชายหนุ่มผมยาวบอกว่าจองห้องพักเพิ่มไว้ให้เรียบร้อย ดินกล่าวขอบคุณทั้งที่สงสัยอยู่เต็มอก...ฤดูท่องเที่ยวแบบนี้ยังมีห้องพักเหลืออยู่ด้วยหรือไง? แต่กระนั้นเขาก็ขี้เกียจคิดเล็กคิดน้อย  คนผมดำเข้าไปเก็บของก่อนจะเปลี่ยนชุดให้ลูกชายและตัวเอง ฝนยึดโทรศัพท์ของเขาไป...แต่ก็ดีแล้ว ทำให้ดินไม่ฟุ้งซ่านมากนัก
   
         “พ่อดินนน สวยจัง!”
   
         “ครับ นั่นเรียกทะเลไง”
   
         ตอนนี้พวกเขาสามคนกับเจ้าตัวเล็กกำลังนอนกันอยู่บนหาด ใต้ร่มชายหาดคันใหญ่ อารัณย์ใจดีซื้อชุดตักทรายมาให้เจ้าตัวเล็กด้วยแถมยังไปสอนเด็กน้อยก่อทรายเป็นที่สนุกสนาน  ฝนใส่แว่นกันแดดนอนอ่านนิตยสารอย่างอารมณ์ดี


มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 09-04-2016 20:31:28
        “เดี๋ยวพอตอนเย็นค่อยพาไปเล่นน้ำก็ได้เนอะ” ดินเปรยกับเพื่อนหัวฟ้า อีกฝ่ายก็พยักหน้าก่อนบอกว่า “ซักห้าโมงก็ได้ แดดร่มหน่อย เดี๋ยวหกโมงค่อยไปอาบน้ำ เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน”
   
        “อื้อ”  ดินตอบ แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกๆอยู่นิดหน่อย มาทะเลแต่ไม่มีพี่เดือน...เศร้าๆยังไงก็ไม่รู้แฮะ
   
       “เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วน่า” ฝนม้วนนิตยสารตีลงกลางหลังคนผมดำดังป้าบ “เดี๋ยวหมอนั่นก็ได้ใจพอดี”
   
        พอเวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่แดดร่มพอจะลงน้ำได้ดินก็พาลูกชายลงไปว่ายน้ำพอเล่นกันจนเหนื่อยก็รีบพากลับไปอาบน้ำด้วยกลัวว่าเด็กน้อยจะไม่สบาย...ทุกอย่างมันก็ปกติ
   
        มีที่ผิดปกติอยู่แค่อย่างเดียวก็คือฝน...จู่ๆเจ้าตัวก็บุกเข้ามาในห้องเขาแล้วก็จัดการไดร์ผมจัดทรงให้ดินใหม่ ดึงแว่นตาเขาออกแทบจะยัดคอนแทคเลนส์เข้าไปในลูกตาเขาอยู่แล้ว(ดีนะจับทัน)  นายแบบร่างเล็กจับเจ้าตัวเล็กของเขาใส่เสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนที่ปกกับแขนเสื้อเป็นสีขาว แถมยังมีการเอาผ้าคลุมนุ่มๆสีขาวมาคลุมตัวลูกเขาแล้วก็ดึงหมวกคลุมขึ้นให้  เป็นหมวกคลุมที่มีหูกระต่าย
   
         หนูข้าวท่าทางจะชอบมากทีเดียว...พยายามดึงหูกระต่ายมางับไม่หยุดเลย
   
         “จะให้ใส่เสื้อคู่ก็บอกสิ บุกเข้ามาจนตกใจหมด นึกว่าโจร” ดินบ่นขณะรับเสื้อเชิ้ตที่เหมือนกับลูกชายขึ้นมาใส่แทนเสื้อยืด  ฝนที่โดนบ่นก้มดูนาฬิกาแล้วยิ้มแหยๆให้ “โทษที กลัวไม่ทันน่ะ” พอเห็นว่าเขาแต่งตัวเรียบร้อยก็จัดทรงผมให้เขาอีกนิดหน่อยก่อนจะจูงมือพ่อลูกคู่นี้ออกจากห้อง
   
          “แล้วจองโต๊ะไว้ที่ไหนล่ะ”
   
          “อ๋อ ก็ใกล้ๆนี่แหละ”
   
          ดินขมวดคิ้วเมื่อพบว่าพวกเขากำลังเดินลงไปที่ชายหาด   ตอนนี้มืดแล้ว...ในที่สุดเท้าของพวกเขาก็สัมผัสผืนทรายนุ่ม  ทิ้งแสงไฟวิบวับและเสียงดังไว้เบื้องหลัง หาดบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ดินแน่ใจว่ามันอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทมากนัก บริเวณรอบข้างค่อนข้างมืดจนแทบมองไม่เห็นทาง
   
          “นี่...พาผมมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย”
   
          “เอาน่า เดินตามมาเถอะ  แล้วก็ถือนี่ไว้” ฝนพูดอีกพลางยัดอะไรบางอย่างใส่มือดิน  จากนั้นร่างของคนผมดำก็ถูกดึงให้เดินจ้ำตามร่างเล็กไป ดินกระพริบตาปริบด้วยความงุนงงก่อนจะยิ่งตกใจเมื่อมือของเขาถูกปล่อยออกทั้งที่ยังไม่พบร้านอาหารอะไรทั้งนั้น!
   
           “ฝน...ฝน ผมไม่ตลกนะ” ดินส่งเสียงเรียกแต่ฝนก็ไม่ได้ตอบอะไร ดินเม้มริมฝีปากเมื่อเห็นแสงไฟวับแวมมาจากทางหนึ่ง มาแกล้งอะไรเขาแบบนี้เนี่ย! ไม่ตลกนะเว้ย
   
            ดินรีบสาวเท้าไปตรงแสงไฟนั่น แล้วทันใดนั้นดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
   
            บริเวณที่เขาเห็นไม่มีคนอยู่ มีแต่เทียนนับสิบเล่มถูกจุดแล้ววางเรียงกันสองฝั่ง เว้นตรงกลางให้เป็นช่องกว้างขนาดที่เดินได้สองคน ด้านหลังเทียนมีเสาดอกไม้ที่ถูกผูกด้วยผ้าสีชมพูและสีม่วง ดอกไม้ที่จัดอยู่บนเสาคือดอกกุหลาบแดงและขาว มีริบบิ้นทั้งสองสีห้อยระย้าลงมา  เทียนกับเสาวางเรียงกันไปจนไปถึงหน้าซุ้มที่ประดับด้วยดอกไม้หลากสีและลูกโป่งอัดก๊าซฮีเลียม มีทั้งแบบใส หัวใจ และหน้ายิ้มลอยเป็นช่อ  บรรยากาศเหมือนในงานแต่ง...ที่ไม่มีคน ไม่มีแม้กระทั่งเจ้าบ่าวเจ้าสาว
   
           “พ่อดิน นั่นพ่อเดือน” หนูข้าวที่ตื่นตากับรอบๆงานรีบชี้ไปที่ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจนหยุดหน้าซุ้ม  เป็นเดือนจริงๆด้วย  เส้นผมสีอ่อนวันนี้ถูกเซ็ททรงมาอย่างดี  ดวงตาสีเดียวกันทอประกายหวาน เสื้อที่อีกคนสวมอยู่ก็เป็นเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนเช่นกัน
   
          แหม...ไม่ใช่เสื้อคู่แต่เป็นเสื้อครอบครัวสินะ
   
          เขาว่าเขาพอเดาออกแล้วล่ะว่าใครอยู่เบื้องหลังบ้าง
   
          เดือนยิ้มให้เขาก่อนที่ฝนและแขกเหรื่อที่ไม่รู้ไปเชิญกันมาตอนไหนเดินเข้ามา  ทุกคนหยุดยืนอยู่รอบด้าน ดินมองไปก็เจอแต่ใบหน้าที่คุ้นเคย แม่มะลิ พ่ออัลเฟรด เฟิง ปราณ เจ๊ลี่กับอาเฮียพ่อเฟิง คุณกุ๊ก คุณสรัล  คุณกวินก็มาแถมยังพาน้องสาวมาด้วย เด็กสาวที่นั่งรถเข็นแต่ก็ยังยิ้มหวานมาให้ ฝน อารัณย์ แม่แก้ว พี่ผึ้ง พี่กฤต แล้วก็สองแฝดตัวป่วนที่แข่งกันวิ่งมาหาเขา...
   
           “พี่ดิน เดินสิๆ” หนูดาวพูด  สองแฝดช่วยกันดึงดินให้ขยับสักที  เขาก้มมองสิ่งของที่อยู่ในมือตัวเอง...ช่อดอกไม้
   
           กลายเป็นเจ้าสาวไปซะแล้วแฮะ
   
           นี่วางแผนกันมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย...
   
          คิดได้แบบนี้ใบหน้าหวานก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม เจ้าหนูข้าวก็ดิ้นดุ๊กดิ๊ก ชูแขนจะไปหาพ่อเดือน ทันทีที่เขาออกเดินเสียงเพลงอ่อนหวานก็ดังขึ้นโดยมีฝนเป็นคนร้อง


   เธอคือทุกสิ่ง ในความจริงในความฝัน
             
              คือทุกอย่างเหมือนใจต้องการ
             
              เธอเป็นนิทานที่ฉันอ่าน ก่อนหลับตาและนอนฝัน


             เธอคือหัวใจ ไม่ว่าใครไม่อาจเทียมเทียบเท่าเธอ

              ช่างโชคดีที่เจอได้ตกหลุมรักเธอ

              ได้มีเธอเคียงข้างกัน



             เห็นแล้ว...เดินเข้าไปใกล้จนเห็นแล้ว...รอยยิ้มที่เขาคิดถึง

             ใบหน้าที่คิดถึงมาตลอดเกือบหนึ่งเดือน

             คนตัวสูงแย้มรอยยิ้มกว้างให้เขา แววตาคู่สวยที่เขาหลงรักทอประกายเปี่ยมสุข

             ดินรู้ว่าตัวเขาก็ส่งยิ้มกว้างกลับไปไม่ต่างกัน  ความขุ่นเคืองที่สะสมพลันเลือนหายไปในพริบตา


             คงจะมีเพียงเธอทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน

             คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ



             คนรักรวบเอวเขาเข้าไปชิด ดึงหมวกคลุมหูกระต่ายของลูกชายลงแล้วจูบที่หน้าผากเหม่งๆนั่นเบาๆ หนูข้าวหัวเราะคิกอย่างมีความสุข โผไปหาพ่อเดือนทันที

             “วางแผนเซอร์ไพรส์นานไหมครับ” ดินเอ่ยขึ้น เดือนยิ้มจนตาหยี ก้มลงมาจูบหน้าผากเขาอีกคน “ก็นานนะ  มีเซอร์ไพรส์อีกอย่างด้วย” ว่าพลางหยิบเอากล่องกำมะหยี่สีแดงขึ้นมา  ดินใจเต้นแรง เลือดสูบฉีดไปที่ใบหน้าจนแก้มใสซับสีแดงระเรื่อ  เดือนเปิดกล่องออกเผยให้เห็นแหวนทองคำขาวดีไซน์เรียบหรูที่ถูกออกแบบมาให้ฝังเพชรเอาไว้ให้เป็นรูปหัวใจครึ่งดวง พอนำแหวนสองวงมากระกบกันก็จะได้หัวใจหนึ่งดวง...

             มือใหญ่ช้อนเอามือข้างซ้ายของคนตัวเล็กขึ้นมา พอเห็นผ้าพันแผลก็มีสีหน้าเจ็บปวด ปลายนิ้วโป้งลูบไล้อ่อนโยนไปที่ผ้าสีขาวก่อนยกมือน้อยจรดที่ริมฝีปาก

            ดินหน้าแดงก่ำ ไม่ใจเต้นตอนนี้จะให้ใจเต้นตอนไหน...

           “สำหรับใครหลายคนการแต่งงานคือการเริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่ สำหรับเรา...ชีวิตคู่ของพวกเรามันเริ่มมานานแล้ว” เดือนเอ่ยช้าๆ ยกมือน้อยขึ้นมาแนบแก้ม “พี่อยากให้การที่เราสวมแหวนวงนี้ให้แก่กันเป็นการยืนยัน...เป็นกระประกาศว่าดินเป็นของพี่และพี่เป็นของดิน  เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเราเป็นของกันและกันและจะไม่มีใครแทรกเข้ามาได้ สำหรับจิล...พี่บอกเขาไปแล้วว่าพี่มีเจ้าของแล้วและไม่สนใจใครอื่นอีก น้องไม่ต้องกังวล มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ในอนาคต...พี่ไม่แน่ใจว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพี่หรือกับน้องอีกไหม แต่พี่อยากให้น้องเชื่อใจพี่...พี่ก็จะเชื่อใจดิน  เรื่องราวที่เราผ่านมาด้วยกันมันล้ำค่า...ล้ำค่ามากจนทำให้พี่รู้ว่าใครก็แทนที่ดินไม่ได้และพี่ก็ไม่คิดจะให้มีใครมาแทนที่น้อง”

          ดินรู้สึกเหมือนภาพเบื้องหน้าพร่ามัว หยาดน้ำใสแห่งความตื้นตันใจเอ่อคลอช้าๆ เขายิ้มยามปลายนิ้วของคนตัวสูงเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างแผ่วเบา

        เป็นเช่นนี้มาเสมอ...ในทุกๆครั้งที่เขาร้องไห้

        ใครอีกคนจะเกลี่ยหยดน้ำตาออกให้เขา


         เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ

         ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ

         นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไหร่สถานใด

         ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว



        “ดินครับ...แต่งงานกันนะ”

         แค่คำเดียว ประโยคเดียว ดินก็ยิ้มกว้าง เขาพยายามไม่ร้องไห้ ชายหนุ่มพยักหน้า กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่าหากแต่เต็มไปด้วยความสุข

         “ครับ...พี่เดือน...ดินรักพี่นะ...รักพี่มากที่สุด”

         ดินก็คิดเหมือนพี่...ไม่มีใครแทนที่ผู้ชายคนนี้ได้ ต้องเป็นคนนี้...

         แค่คนนี้เท่านั้น
   
        ไม่มีใครอื่นมาแทนที่ได้


         เธอคือรักจริง ฉันยอมทิ้งทุกทุกอย่างเพียงเพื่อเธอ

         ดั่งฟ้าให้มาเจอให้เธอคู่กับฉัน

         ให้เราได้เดินเคียงข้างกันนับจากนี้



          ร่างสูงวางลูกชายลงกับพื้น เจ้าหนูยืนเกาะชายกางเกงพ่อกับแม่ ไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่พอเห็นคนทั้งคู่ยิ้มให้กัน หนูข้าวก็หัวเราะและตบมืออย่างชอบใจ

         เดือนค่อยๆสวมแหวนเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของคนรัก ทะนุถนอม อ่อนโยน ก่อนที่ดินจะทำแบบเดียวกัน
วันนี้แขกที่มางานมีไม่เยอะ แต่ทุกคนก็เป็นคนที่รักและยอมรับพวกเขา เป็นคนที่พวกเขารักเช่นกัน การได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเราในวันพิเศษ...นั่นจะทำให้วันนี้เป็นที่จดจำ ตราตรึงอยู่ในใจ



          เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ

          ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ

          นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด

          ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว



          ริมฝีปากเคลื่อนหากันช้าๆ จูบอ่อนหวานนุ่มนวลพาให้ใจสั่น เดือนประคองใบหน้าคนรักอย่างทะนุถนอม พวกเขาผละออกจากกันก่อนทาบทับริมฝีปากกันครั้งแล้วครั้งแล้ว

          และเมื่อบทเพลงดำเนินมาถึงท่อนหนึ่ง เดือนก็เป็นฝ่ายร้องมันออกมาด้วยตัวเอง


          จะทุกข์หรือยามที่เธอนั้นสุขใจ

          ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี

          ฉันอยู่ตรงนี้และจะมีแต่เธอทุกวินาที

           จะอยู่ใกล้ไม่ห่างไกล จะเคียงชิดไม่ห่างไป ไม่ไปไหน...



          ดินมองเห็นเงารื้นในดวงตาอีกฝ่าย เขายิ้ม จูบริมฝีปากคู่นั้น เกลี่ยหยดน้ำตาให้คนรักเหมือนที่อีกฝ่ายทำให้เขา

         “อื้อ ดินก็จะอยู่กับพี่ อยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะแก่ ไปจนกว่าใครอีกคนจะไม่อยู่บนโลกใบนี้ อยู่ด้วยกันไปตลอด จะไม่ปล่อยมือไปไหน”  นิ้วมือเกาะเกี่ยวประสานกันก่อนเดือนจะมอบจุมพิตหวานล้ำให้ผู้เป็นที่รักอีกครั้ง

         “เอ้า อย่ามัวแต่จูบกัน มาถ่ายรูปก่อนเร็ว” อารัณย์ที่รับหน้าที่เป็นตากล้องเอ่ยยิ้มๆ ต้นข้าวที่พอเห็นคุณอาผมยาวกับกล้องก็จำได้ว่าต้องทำท่ายังไง เลยกระตุกชายกางเกงพ่อพลางชี้ “พ่อเดือน ข้าวอยากถ่าย” เดือนหัวเราะ อุ้มลูกชายตัวกลมขึ้นมา ชอบกล้องแบบนี้เห็นอนาคตรำไรเลย

         “เอ้า หนึ่ง สอง...”

         “ชีสสส” ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กอ้วนบ้ากล้องนั่นเอง เจ้าหนูข้าวยิ้มกว้างเห็นฟันหลอ ชูสองนิ้ว  เดือนกับดินที่ได้ยินลูกชายพูดแบบนั้นก็หัวเราะออกมา พร้อมใจกันหันไปหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้างเป็นเวลาเดียวกับที่ช่างภาพหนุ่มกดชัตเตอร์

          แชะ

          อารัณย์อมยิ้มมองภาพเจ้าเด็กน้อยตัวกลมยิ้มกว้างให้กล้องโดยมีเดือนกับดินหอมแก้มนุ่มกันคนละข้าง ในภาพนั้นคือครอบครัวอันอบอุ่น

          และเขาแน่ใจว่ามันเป็นภาพที่สวยที่สุดเขาเคยถ่ายมา


          เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอ เพียงเธอที่รอ

          ฉันจะขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล

          นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด

          เกิดชาติไหนฉันมีเธอ มีเธอเพียง..คนเดียว (คู่ชีวิต – COCKTAIL)



          แกรก

          เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้นแผ่วเบา  ดินที่กำลังอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นไปมองคนรัก  หลังถ่ายรูปร่วมกับทุกคน แล้วก็นั่งกินอาหารกันพวกเขาก็แยกย้ายกันไปกลับเข้าที่พักที่จองไว้   แม่แก้วก็เลยขอเอาเจ้าตัวน้อยไปนอนด้วย ซึ่งเดือนก็เต็มใจสละลูกให้แม่ไปหนึ่งคืน

         “พี่เดือน เช็ดผมก่อน เตียงเปียกนะ” ดินพึมพำเมื่อคนตัวโตที่พอแต่งตัวเสร็จปุ๊บก็โยนผ้าขนหนูทิ้งแล้วดึงเขาเข้าไปกอดทันที

         เดือนครางอะไรไม่รู้ในลำคอ ไถลตัวลงไปนอนตักคนตัวเล็กขณะที่รับรู้ถึงแรงที่สัมผัสไปทั่วศีรษะ  เดือนซุกใบหน้าเข้ากับหน้าท้องแบนราบของคนรัก  จูบเบาๆจนดินหดหน้าท้องเกร็ง

         “พี่เดือน หยุดเลยนะ เช็ดผมก่อน”

         “ไม่เอา”

         เดือนงอแง โถมทับร่างคนรักไปทั้งตัว ดินได้แต่ตีไหล่อีกคนแปะๆ  ตัวก็หนักทับมาได้!

         นายแบบหนุ่มซุกจมูกลงกับซอกคอขาว สูดกลิ่นหอมที่แสนคิดถึง

         “ไม่เจอกันตั้งเกือบเดือน  คิดถึงจะแย่”

         “ก็ไม่เห็นติดต่อมา แถมให้รหัสมือถือคนอื่นไปด้วย”

          “ขอโทษ” ร่างสูงยันตัวลุกขึ้น มองใบหน้าหวานด้วยความรู้สึกผิด “งานมันยุ่งจริงๆนะ ส่วนรหัสมือถือนั่นจิลจะเอาไปเล่นเกม พี่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเด็กนั่นใช้โพสท์อะไรแบบนั้น” เดือนว่าเสียงขุ่น เขาโกรธอีกฝ่ายแทบตายตอนเห็นข้อความในแชทที่จิลถือวิสาสะเข้าไปตอบดิน  ตอนจะจากกันก็จบไม่สวยเท่าไหร่หรอก แต่พอกุ๊กรู้เรื่อง...อืม...เธอไปทำอะไรสักอย่างเด็กนั่นก็ไม่กล้าหืออีกเลย 

           “อยากโทรหาใจจะขาด ขอโทษที่มารู้เรื่องนี้ช้าไปด้วย” ว่าพลางดึงซ้ายดินขึ้น จูบเบาๆลงกลางฝ่ามือ ดินยิ้ม “ไม่เห็นเป็นไรเลย ชดเชยด้วยนี่แล้วไง” กระดิกนิ้วโชว์แหวนวงน้อย

           “ห้ามถอดนะ”

           “เวลาอาบน้ำกับล้างจานก็ต้องถอดนะ ดินกลัวหาย”

           “อื้อ แต่เวลาอื่นห้ามถอด”

          “ครับๆ”

           แขนเรียวยกคล้องรอบคอ รั้งใบหน้าหล่อเหลาให้โน้มลงมาจนปลายจมูกชนกัน ดินหรี่ตา เกลี่ยปลายจมูกเข้ากับปลายจมูกอีกฝ่าย “แล้วนี่ทำยังไงให้ลูกไปนอนกับแม่แก้วได้” ปกติไอ้ตัวเล็กติดเขากับพี่เดือนจะตาย

          “ก็สัญญาว่าพรุ่งนี้จะพาไปเล่นน้ำอีก จะโยนสูงๆด้วย แล้วก็จะให้ขี่คอพ่อเดือน”

          ดินหัวเราะ “ล่อลวงเด็กนี่นา” เดือนอมยิ้ม มองรอยยิ้มที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้เขาใจเต้นแรง กัดปลายจมูกคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว

          “อืม แต่ตอนนี้อ่ะล่อลวงแม่เด็กอยู่”

          ดินยิ้มหล่อ “พูดเหมือนล่อลวงได้” พูดจบร่างบางก็สะดุ้งเฮือกเมื่อฝ่ามืออุ่นสอดเข้าไปใต้เสื้อนอนตัวบาง สะกิดส่วนไวสัมผัสทำให้แผ่นอกขาวเนียนแอ่นโค้งขึ้น

           เดือนยิ้มหล่อใส่ตาขณะที่ดินอ้าปากหอบหายใจ ใบหน้าหวานแดงก่ำเมื่อคนตัวโตยังรังแกเขาไม่หยุด

           “อึก...นี่...นี่เต็มใจลงหลุมต่างหากล่ะครับ อื้อ”

           สิ้นประโยคนั้นเดือนไม่รอช้า ร่างสูงจูบริมฝีปากช่างเถียงนั่นทันทีก่อนจะพรมจูบไปทั่วใบหน้า ปลายจมูกซุกไซ้ซอกคอก่อนระเรื่อยลงถึงแผ่นอกขาวเนียน ประทับรอยสีแดงไว้ประปราย   

           คิดถึง...อยากเจอ...โหยหา

          ทุกสิ่งที่อัดแน่นในใจถูกถ่ายทอดผ่านการสัมผัส

         เสื้อนอนถูกเปิดร่นขึ้น เผยร่างกายผอมบางแต่ขาวเนียน ดินชอบบอกว่าตัวเองไม่มีเสน่ห์ ไม่น่าดึงดูด และเดือนก็มักจะเถียงสุดใจทุกครั้ง  มันมีตรงไหนไม่น่าดึงดูดกัน

          “สวย...น้องสวยไปทั้งตัวเลย” เสียงทุ้มพร่ากระซิบข้างหูก่อนร่างสูงจะตวัดปลายลิ้นไล้เลียติ่งหูนิ่ม ขบเม้มอย่างหมั่นเขี้ยว เรียกเสียงครางหวานได้เป็นอย่างดี  เดือนลากริมฝีปากลงไปจนถึงแผ่นอก จูบลงไปบนส่วนสีแดงที่โดดเด่นบนแผ่นอกขาว

          “อึก อ๊ะ ...พี่เดือน..ตรงนั้น”

          “หืม”

          เดือนยิ้มบาง สะกิดส่วนยอดอีกข้างจนคนใต้ร่างบิดกายด้วยความรัญจวน 

         “พี่เดือน...เลิกแกล้ง!” ชายหนุ่มหัวเราะกับน้ำเสียงสั่งนั่น ริมฝีปากและปลายนิ้วซุกซนสำรวจไปทั่วร่างกาย เสียงครวญหวานหูคือแรงกระตุ้นให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป  ดินหัวหมุนเมื่อถูกร่างสูงอุ้มให้นั่งคร่อมตักระหว่างที่คนตัวโตเอนหลังพิงหัวเตียง ความร้อนผ่าวเสียดสีจนใบหน้าหวานแดงก่ำ

         “พี่เดือน...ท่านี้ไม่...”  ดวงตากลมคลอด้วยหยดน้ำตา  เดือนจูบซับให้แผ่วเบา ลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู “ไม่เป็นไรหรอก ลองดูสิ” ดินกัดริมฝีปากแต่สุดท้ายก็ยอมนำพาความร้อนเข้ามาในร่างกาย ผ่านไปกี่ปีก็ยังไม่ชินเสียที  เขาพักหายใจเมื่อรับเอาตัวตนอีกฝ่ายเข้ามาจนหมด

          ฝ่ามือใหญ่จับอยู่ที่สะโพกนวดเฟ้นเป็นการกระตุ้นให้ร่างเล็กเริ่มขยับ ดินกัดริมฝีปากก่อนจะเป็นผู้เริ่มบรรเลงบ้าง เขาหลับตาปี๋ ไม่แน่ใจว่าตนทำให้อีกฝ่ายพอใจได้ไหม แต่ผ่านไปชั่วครู่ความเจ็บก็แปรเปลี่ยนแทนที่ด้วยความเสียวซ่านจนชาไปทั้งช่วงล่าง

         “อื้ม...อย่างนั้นแหละ...เด็กดี” เสียงครางของร่างสูงทำให้ดินเร่งจังหวะเร็วขึ้น เขาปรือตามองดวงตาคู่คมที่จับจ้องราวกับจะกลืนเขาลงไปทั้งตัว  หยาดเหงื่อของพวกเขาไหลรวมกันยามร่างกายแนบชิดมากกว่าที่เป็น  พวกเขากอด จูบ เรียกชื่อกันและกัน กระซิบคำรัก...จนความสุขสมทะลักทลาย

          ก่อนจะเริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า...

          ดินปรือตาขึ้นเมื่อยามเช้ามาถึง เขาพยายามยันตัวลุกแต่ก็เจ็บเสียดไปทั้งกาย ก็แหง...เมื่อคืนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน!

          หันไปมองข้างกายก็เห็นคนรักนอนหลับอยู่ ดินยิ้มบางโน้มตัวไปหอมแก้มสากหนึ่งทีก่อนจะประคองร่างตัวเองเข้าไปชำระล้างในห้องน้ำ  ตอนที่ออกมาเดือนก็ตื่นแล้ว อีกฝ่ายอ้าแขนออก ดินก็เดินไปซุกตัวในอ้อมแขนที่โอบกระชับนั้นแต่โดยดี

          “ไปอาบน้ำเร็วครับ วันนี้สัญญาอะไรกับลูกไว้ ทำตามสัญญาด้วยนะครับคุณพ่อ”

          “แน่นอนครับ แต่คุณแม่ต้องอยู่เล่นด้วยนะ”

          จุ๊บหน้าผากมนอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนเดินหายเข้าห้องน้ำไป  ดินที่แต่งตัวเรียบร้อยเดินออกไปตรงระเบียงไม้สีน้ำตาล  จากตรงนี้มองเห็นหาดทรายขาวและน้ำทะเลใสเป็นประกายยามต้องแสงแดดได้ชัดเจน 

           กริ๊ก

           เสียงแหวนวงจ้อยที่นิ้วนางกระทบกับราวระเบียงทำให้คนสวมแว่นยิ้มออกมา  แหวนนี่ก็เป็นตัวแทน...เป็นสัญลักษณ์ที่ให้ใครต่อใครรู้ว่าพวกเขาต่างก็มีคนจับจองแล้วและไม่อาจเหลียวมองใครได้อีก

           แต่ที่จริงแล้ว...เดือนได้ใจเขาไปตั้งนานแล้ว...ได้ไปหมดเลย

           “ยิ้มอะไรครับ” อ้อมกอดแข็งแรงกอดรัดจากด้านหลัง “คิดถึงเจ้าของแหวน”

           “เจ้าของแหวนนี่โชคดีเนอะ มีคนน่ารักมายืนยิ้มคิดถึงแต่เช้าเลย สงสัยจะหล่อมาก”
   
          ดินย่นจมูกใส่คนที่หลงตัวเองได้น่ารักและน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน  เขาตีแขนคนตัวโตไปแรงๆ “พอเลย เพ้อเจ้อแล้วครับ  ไปกันดีกว่า นู่น ลูกมานู่นแล้ว”  มองตามปลายนิ้วเรียวก็เห็นต้นข้าวกำลังเดินดุ๊กดิ๊กมาพร้อมแม่แก้วและสองแฝดที่จูงมือน้องคนละข้าง  สองพี่น้องปิดห้องพักก่อนจะเอากุญแจไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์
   
         “พ่อเดือน หนูข้าว...อยากไปทะเลง่า”
   
        “โอเคครับ ได้เลยเจ้าหนู”

    “อยากขี่คอด้วย!”

   “หืม ขี่คอแบบนี้เหรอเจ้าตัวเล็ก”

   ว่าพลางจับลูกชายขึ้นขี่คอทันที ต้นข้าวหวีดร้องก่อนหัวเราะชอบใจ  เด็กน้อยกางแขนออกทำเหมือนกำลังบินอยู่ “ไปเร็วๆ” แน่ะ มีการเอ่ยเร่งด้วย ดินยิ้ม มองครอบครัวที่รายล้อม ความอบอุ่นแผ่ซ่านในใจอีกครั้ง
   
         เสียงคลื่น สายลม และหาดทรายทำให้อารัณย์ที่ถือกล้องออกมาเก็บภาพบรรยากาศค่อนข้างอารมณ์ดี ชายหนุ่มถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยจนไปสะดุดกับบางสิ่ง
   
         ชายหนุ่มผมยาวหรี่ตาลงมองก่อนจะยิ้มกว้าง ยกกล้องขึ้นก่อนจะกดชัตเตอร์ แน่ใจว่าภาพนี้ต้องออกมาสวยที่สุด
   
         ภาพครอบครัว...ที่ลูกชายขี่หลังคุณพ่อตัวสูง โดยมีคุณพ่ออีกคนเดินเคียงข้างไปด้วย รอยยิ้มของทั้งสามทำให้ภาพนั้นดูมีชีวิตชีวา และสวยงามกว่าภาพท้องทะเลภาพอื่นที่อารัณย์เคยถ่าย...  เอาไว้อัดรูปใส่กรอบแล้วส่งไปให้พวกนั้นดีกว่า
   
        ภาพความรักที่แต่งเติมสีสันให้ท้องน้ำ ผืนฟ้า และหาดทราย

*******************************************************

สำลักความหวาน จมน้ำตาล และได้ตายไป 555555
ตอนนี้เขินตัวบิดมากกกก เขียนเองเขินเอง ตอนแรกเกือบแล้ว...เือบได้ไล่ตบพี่เดือนแล้ว
แต่พาร์ทหลังนางทำดีกับใจ ยกโทษให้ค่ะพี่เดือน  :กอด1:
ความคิดถึงเดือนดินมันแรงกล้า เลยรีบปั่นตอนพิเศษมาลงให้อย่างไว มีกี่ตอนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ 5555
#ตลกกลบเกลื่อน
เอาเป็นว่าเราจะทยอยลงให้นะคะ

สงกรานต์นี้ก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ อย่าเล่นน้ำกันจนป่วยเน้อ แดดมันร้อนมากกก
ใครกลับต่างจังหวัดก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันหยุด
สวัสดีปีใหม่ไทย(ล่วงหน้า)ค่า :L2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 09-04-2016 20:53:47
พาร์ทแรกแทบจะตบเดือนที่ปล่อยให้นังเด็กจิลทำแบบนี้

พาร์ทหลังนี่โรงงานน้ำตาลถล่มเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 09-04-2016 21:11:52
สวัสดีปีใหม่ไทยด้วย

พี่เดือนเกือบแระ ดูซิน้องดินร้องไห้โยเลย แอบคิดเลยจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ดีใจน่ะเนี่ยที่มาเซอร์ไพขอดินแต่งาน น่ารัก หวาน เลยอ่ะ พี่เดือนยังหื่นได้ ฮ่าๆๆๆ
เป็นครอบครัวที่น่ารักมาก หลงรักหนูข้าวเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-04-2016 21:13:14
หวานจนกลบความร้อนรุ้มหมดเลย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 09-04-2016 21:22:31
ลากเด็กนั้นมาตบ ๆ สักฉาดได้ไหม
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-04-2016 22:25:28
สวัสดีปีใหม่ไทยฮะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 10-04-2016 11:49:59
ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ
 :L2:

สวัสดีปีใหม่ไทยล่วงหน้าค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 10-04-2016 21:28:42
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ 
ครอบครัวสุขสันต์น่ารักมากๆ ค่ะ พี่เดือนแอบขอแต่งงานซะ น้องดินถึงกับเหวอแถมเสียเวลาน้อยใจและหึงไปเสียตั้งนาน น้องต้นข้าวโตแล้วน่ารักมากค่ะ ดูใสๆรักพ่อแม่ดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: janeyuya ที่ 11-04-2016 18:29:29
อ่านรวดเดียวจนจบเลย
ใช้เวลา1วันถ้วน555555555555+
ไม่ได้รู้สึกอยากอ่านนิยายเรื่องไหนมากเท่านี้เลย
ชอบความมั่นคงของพี่เดือน ชอบความน่ารักของน้องดิน
แต่แอบคาใจเรื่องน้องฝนกับพี่รันเล็กน้อย จะมีแยกเรื่องออกมาป่ะน้อ....(ฉอเลาะ)
(´△`)ทั้งเรื่องเราชอบอม่แก้วที่สุด สายฮาเหมือนแม่เราเลย5555+
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 12-04-2016 18:08:04
สนุกมากๆคับ เป็นนิยายอีกเรื่องที่อ่านตอนต้นๆแล้วสร้างความประทับใจจนต้องอ่านต่อจนจบ
ชอบมากคับตัวละครก็ดีการบรรยายก็ดี ตอนต้นๆอ่านไปหัวเราะไป มีลุ้นด้วย
ขอเป็นกำลังใจให้แต่งเรื่องดีๆแบบนี้นะคับ :  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 12-04-2016 23:04:35
ดีใจค่ะ ดีใจจริงๆ ที่ได้มาอ่านนิยายเรื่องนี้ ตอนแรกๆ แอบตงิดใจนิสัยของน้อง เพราะคิดว่าเนื้อเรื่องจะออกไปทางแก่นเซี้ยว ที่ไหนได้ดราม่าปมเต็ม ดำเนินเรื่องได้กระชับแต่ไม่สุกเอาเผากิน อีกอย่าง ภาษาแบบบ้านๆ แต่กินใจมากๆ ชอบนิสัยตัวละครค่ะ ทุกตัวเลย (เว้นตัวร้ายๆ ไว้หน่อย) ดีใจที่เข้ามาอ่านจริงๆ ทั้งๆ ที่ชื่อนักเขียนไม่คุ้น 5555 เราให้ 20 ดาวเต์ม 10 เลยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-04-2016 00:47:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 13-04-2016 14:16:06
หวานกันแบบเสมอต้นเสมอปลาย สุขสันต์วันสงกรานต์เช่นกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๑ คู่ชีวิต {๙.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 15-04-2016 14:58:45
อ่านจบตแบบรวดเดียว เรื่องนี้คนคอมเมนท์​น้อยนะ
แต่เนื้อเรื่องเราว่าดีเลยแหละ เราไม่มองที่คนอ่านเยอะ หรือน้อย
แต่เราชอบที่เนื้อเรื่อง ไม่เน้น NC เนื้อเรื่องน่าติดตามค่ะ อ่านไม่เบื่อ
ที่ไหนมีพี่เดือน ที่นั้นไม่มีดราม่าจริงๆ น้องดินมีพัฒนาตัวละคร
ที่ชอบสุดๆ คือ นักเขียนไม่ทิ้งผลงาน เขียนผลงานดีๆ มาให้อ่านอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒ วันสงกรานต์ {๑๕.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 15-04-2016 19:09:51
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๒
วันสงกรานต์


        วันนี้เป็นวันสงกรานต์...

   “วันนอนอยู่บ้าน สนุกสุขใจจริงเอยยย” เสียงตะโกนดังขึ้นมาดังลั่นห้อง ตะโกนออกมาแบบไม่ต้องกลัวข้างห้องมาด่าเพราะผนังที่นี่เก็บเสียง

   ฝนกลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง พยายามร้องเพลงให้ตัวเองอารมณ์ดีแต่มันก็อารมณ์ดีไม่ลงจริงๆเมื่อนึกถึงใครอีกคน

   ใครอีกคนที่ทำให้เขาบอกปัดไม่รับงานสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์เพื่อใช้วันหยุดในช่วงเทศกาลด้วยกัน แต่ไอ้พี่โง่นั่นดันทะลึ่งรับงานแล้วก็ทิ้งเขาให้นอนเหี่ยวแห้งอยู่ที่คอนโด!

   เกลียดโว้ย นายวสันต์เกลียดไอ้พี่โง่อารัณย์ที่สุด!

   คนตัวเล็กทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแรงๆ เสื้อยืดสีเขียวเปิดร่นเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบที่มีกล้ามเนื้อสมส่วน  ริมฝีปากบางเบ้คว่ำเป็นสระอิ ดวงตากลมเหลือบไปมองโพสอิทหัวเตียง เป็นแผนที่เขาอยากทำกับอารัณย์ในช่วงสัปดาห์นี้
     
       ไปเล่นน้ำกันที่ถนนข้าวสาร

   ทำอาหารกินกันเองที่ห้อง

   เช่าหนังมาดูกันในวันหยุด

   แล้วก็เป่าเค้ก...


   ปลายนิ้วเรียวไล่มาถึงโพสอิทสีเหลืองอ่อนใบสุดท้ายแล้วก็ได้แต่ทำหน้าบึ้ง  วางแผนไว้เสียดิบดีแต่กลับล่มเพราะอีกคนเอาแต่ทำงาน มันน่าน้อยใจไหม!

   วันที่ 13 นอกจากเป็นวันสงกรานต์แล้วยังเป็นวันเกิดฝนอีกด้วย เกิดกลางเดือนเมษา ช่วงเวลาที่ร้อนชิบหายที่สุดของปีแต่กลับชื่อฝน ชื่อจริงก็แปลว่าฤดูฝนไม่รู้เหมือนกันว่าแม่คิดอะไรอยู่

   สงสัยไม่อยากให้ซ้ำกับพี่สาว...พี่สาวเขาชื่อ ‘คิมหันต์’ ที่แปลว่าฤดูร้อนไปแล้วนี่นา

   ฝนถอนหายใจ  สายตาหยุดลงที่กรอบรูปหัวเตียง เป็นรูปที่เขากับพี่คิมยืนกอดคอถ่ายรูปคู่กัน คนที่ถ่ายรูปนี้จะเป็นใครนอกจากอารัณย์...แฟนหนุ่มของคิมหันต์ในเวลานั้น

   “พี่คิม พี่รันแม่งโคตรใจร้ายเลยว่ะ วันเกิดฝนก็ทำแต่งาน” ฝนพูดกับพี่สาวในรูปภาพ  เขายิ้มออกมานิดๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ฝนก็ยังคิดถึงรอยยิ้มของพี่สาวเสมอ

   หลังจากที่พ่อแม่จากไป ฝนในวัยเด็กก็เหลือแค่พี่สาวที่เป็นเสาหลักทางใจเพียงหนึ่งเดียว  ตอนนี้พี่สาวเรียนมัธยมแล้วเขาก็อยู่ชั้นประถม   ในตอนนั้นผู้ใหญ่หลายคนก็อยากจะรับอุปการะพวกเขาแต่ไม่สามารถเลี้ยงเด็กสองคนไว้ได้ เพราะญาติส่วนใหญ่ของพ่อแม่ก็มีลูกมีหลานกันแล้วทั้งนั้น

   เพราะงั้นพวกเขาเลยตกลงกันว่าจะแยกฝนกับคิม  แล้วก็ให้สองครอบครัวรับเด็กไปอุปการะกันคนละคน

   ฝนที่ทั้งตกใจที่พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วก็กลัวว่าจะถูกแยกกับพี่สาวได้ร้องไห้ไม่หยุด พี่สาวก็ร้องไห้เหมือนกัน แต่พี่เข้มแข็งกว่าเขา  พี่กอดเขาเอาไว้แน่นแล้วก็บอกว่าอย่าแยกพวกเราออกจากกัน พูดไปร้องไห้ไปจนผู้ใหญ่ใจอ่อน จากนั้นพวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกัน

   ในช่วงเวลานั้นฝนจำได้ว่ามันเหมือนทุกอย่างถาโถมใส่เขาเหมือนคลื่นยักษ์ ตั้งตัวไม่ทัน ทำให้เขาจมดิ่งลงไปใต้ท้องทะเล

   หลังพ่อแม่เสียไม่นานฝนก็เริ่มได้ยินเสียงในใจ ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมใครๆถึงมองเขาแปลกๆในเวลาที่เด็กชายเผลอตอบอะไรบางอย่างออกมาทั้งที่ไม่มีใครพูดหรือบางครั้งเมื่อเขาทนเสียงในใจที่ถาโถมมาไม่ไหว...ฝนมักจะปวดหัวแล้วก็ร้องตะโกน ทำท่าเหมือนกับว่ากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังเป็นปกติดี

        ใครๆเลยชอบพูดกันว่าเด็กชายวสันต์เป็นเด็กมีปัญหา ชอบเรียกร้องความสนใจ

        การสัมผัสกับคนอื่นก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน เขามักจะเลี่ยงการสัมผัสมือ สัมผัสตัวกับคนอื่นๆ เพราะมันจะทำให้เขาเห็นภาพวูบวาบไปมาไม่หยุด

   เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ไหวฝนก็เอาเรื่องนี้ไปบอกกับผู้ปกครองที่รับเลี้ยงเขา...และสิ่งแรกที่คนพวกนั้นทำก็คือ...พาฝนไปพบจิตแพทย์

   เขารู้ว่าถ้าเป็นเขาแล้วมีเด็กในปกครองทำตัวแบบนี้ฝนก็คงทำแบบเดียวกัน

   แต่เขาในตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหักหลัง ถูกทรยศ ทุกคนมองเขาเหมือนเป็นตัวประหลาดและจับเขายัดเข้าโรงพยาบาลบ้า หมอวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะเขาช็อกจากการสูญเสียพ่อกับแม่  ทำให้สร้างเสียงและภาพหลอนขึ้นมา

   เขาถูกส่งตัวเขารับการบำบัด ฝนพยายามทำตัวเป็นปกติ แสร้งทำเป็นว่าเขาหายดี จากนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้อีกเลย

   หลังจากการบำบัดสองปี ฝนเริ่มปรับตัวเข้ากับพลังพิเศษของตัวเองได้ ผลการเรียนเขาดีที่สุดในห้อง เป็นที่หนึ่งในทุกวิชา หน้าตาก็โดดเด่นจนมีคนมาทาบทามให้ไปถ่ายแบบลงนิตยสารบ่อยครั้ง และในตอนนั้นเองที่ฝนได้รู้จักกับอารัณย์ แฟนหนุ่มของคิมหันต์

   คนที่สะกดสายตาฝนไว้ได้ตั้งแต่แรกเจอ

   คนที่เป็นเหมือนครอบครัวอีกคนของเขา

   คนที่เป็นที่ปรึกษาให้เขาได้ทุกเรื่อง

   คนที่บอกว่าจะปกป้องเขา

   คนที่ในเวลาต่อมาก็เอาหัวใจของเขาไปดวง...

   และในเวลาต่อมาฝนก็รู้ว่าทุกสิ่งที่อารัณย์ทำ...มันเป็นเพราะว่าเขาคือน้องชายของคิมหันต์

   ฝนยอมรับว่าในส่วนลึกของใจ เขาทั้งรักทั้งอิจฉาพี่สาว...พี่สาวที่น่ารักและเป็นทุกอย่างของฝน ในขณะเดียวกันก็โดดเด่น
กว่าฝนทุกอย่าง

   ไม่สิ บางทีที่ฝนอิจฉาพี่คิมคงเป็นเพราะพี่มีบางสิ่งที่ฝนไม่มี

   พี่มีคนรักที่ดี

   คนรักของพี่สาว...ที่ฝนเองก็รัก

   ฝนทำใจเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เขาเป็นฝ่ายมาที่หลังและเป็นฝ่ายผิด เพราะงั้นเขาก็จะทำใจ...ไม่ได้ตัดใจ แต่จะอยู่ตรงนี้ ในมุมของเขา เป็นน้องชายที่น่ารักของทั้งคู่ คอยมองคนที่เขารักมีความสุข

   แต่แล้ว...ในตอนที่เขาตัดสินใจจะไม่ยื้อแย่งความรักของพี่สาว ตัดสินใจจะช่วยให้คนทั้งคู่มีความสุข

   ในช่วงเวลานั้น ความตายก็มาพรากพี่สาวเขาไป พาเอาตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของเขาจากไปตลอดกาล

   เขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ...

   ฝนได้ญาติๆเป็นธุระช่วยจัดงานศพ ภาพเด็กหนุ่มที่เพิ่งขึ้นมัธยมไม่นานนั่งพับเพียบอยู่กลางศาลาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาแฝงแววเศร้าโศกลึกซึ่งทำให้ผู้คนที่มาร่วมงานอดสะเทือนใจไม่ได้

   ฝนพยายามบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้...เขาร้องไห้ไม่ได้ เพราะถ้าเขาเผยความอ่อนแอออกมาในตอนนี้เขาก็จะยิ่งโดดเดี่ยว

   ไม่มีอ้อมแขนของพี่คอยประคอง ไม่มีมือบางคอยเช็ดน้ำตา และไม่มีรอยยิ้มที่นำความสุขใจกลับมาอีกแล้ว

   ฝนในตอนนั้นเหมือนแก้ว ทำเป็นแข็งแกร่งแต่จริงๆแล้วข้างในของเด็กหนุ่มกำลังแตกสลาย

   และในตอนที่เขากำลังจะพังลงมานั้นเอง อารัณย์ก็เข้ามา โอบกอดเขาไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไร  ยืนอยู่ข้างหลังและเป็นผู้ประคองเขาไว้

   ในช่วงเวลาที่อ่อนแอ  ฝนก็ตกหลุมรักอารัณย์อีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้

   และเขาก็ฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของอีกฝ่ายเช่นกัน

   ในตอนนั้นฝนทำใจไว้แล้วว่าจะต้องเสียอีกฝ่ายไปตลอดกาล...

   แต่พอลืมตาขึ้นในตอนเช้า อารัณย์ก็ไม่อยู่ข้างกายแล้ว คนคนนั้นทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเห็นดังนั้นฝนเองก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน พวกเขายิ้มให้กัน ทำตัวเหมือนปกติ กลบฝังความร้าวรานและความรู้สึกผิดเอาไว้ ไม่แตะต้องกันและกันอีก   

   ฝนไม่เคยรื้อฟื้นเรื่องคืนนั้นเพราะเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะแตะต้อง

        เขาเข้าใจว่าที่อารัณย์อยู่ตรงนี้รวมถึงที่ยอมมีอะไรกับเขาในวันนั้นเป็นเพราะอารัณย์คิดถึงพี่คิม และฝนก็หน้าตาเหมือนพี่คิม...

   ส่วนเรื่องที่ผันตัวเองมาเป็นนายแบบทั้งที่เขาไม่ได้นึกรักในอาชีพนี้เลยแม้แต่น้อยก็เป็นเพราะพี่อีกนั่นแหละ  พี่คิมอยากเป็นนางแบบ สมัยก่อนก็ชอบให้พี่รันถ่ายรูปให้บ่อยๆ พี่รันบอกเสมอว่าพี่คิมดูสวยและเป็นธรรมชาติที่สุดก็ตอนที่พี่รันถ่ายรูปให้  อัลบั้มรูปของพี่สาวเขายังอยู่บนชั้นในห้องรับแขกอยู่เลย ฝนกับอารัณย์ดูแลมันเป็นอย่างดี

   เท่านี้ก็คงพอจะรู้แล้วสินะ...ว่าตัวเขาเป็นได้แค่เงาของพี่คิมเท่านั้น

   

   มือบางคว้าโทรศัพท์มาเลื่อนดูเป็นรอบที่ร้อย มีแต่ข้อความอวยพรเขา ของขวัญจากแฟนๆก็อยู่กับพี่ผู้จัดการ สงสัยต้องบอกให้พี่รันแวะไปเอามาด้วย

   แต่...ในแจ้งเตือนนับร้อยนับพันข้อความกลับไม่มีข้อความจากคนที่เขาคิดถึง

   ฝนโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  ก่อนจะลากสภาพอืดๆของตัวเองไปที่หน้ากระจก โคนผมของ
เขาเริ่มเป็นสีดำแล้ว มือเรียวจับปอยผมสีฟ้าด้านหน้าขึ้นมาดู  หนต่อไปจะย้อมเป็นสีอะไรดีนะ...

   ฝนเปลี่ยนสีผมอยู่เกือบตลอด ไม่ใช่เพราะอยากเด่นหรืออะไร แต่เพราะเขาไม่ชอบที่ตัวเองผมดำ เวลาเห็นหน้าตัวเองตอนผมดำในกระจกทีไรเหมือนเห็นหน้าพี่คิมเวอร์ชั่นผู้ชายทุกที...

   ถ้าเขาผมดำอารัณย์ก็จะยิ่งมองเขาเป็นตัวแทนของพี่คิม เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เมื่อก่อนฝนอาจจะทำใจว่าเขาเป็นได้แค่ตัวแทนพี่สาว แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มอยากให้อารัณย์มองเขาในแบบที่เป็นเขา ไม่ใช่มองเขาเป็นตัวแทนของคิมหันต์

   เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทดังขึ้น ฝนรีบถลาไปคว้ามาดูแล้วก็ต้องสลดลงไปวูบหนึ่งเมื่อพบว่ามันเป็นข้อความจากดินไม่ใช่จากอารัณย์

   ฝ่ายนั้นส่งรูปภาพครอบครัวมาให้พร้อมกับคำอวยพรยาวเหยียด ฝนอมยิ้มขณะมองภาพครอบครัวสุขสันต์ เจ้าหมูน้อยตรงกลางตัวกลมขึ้นแล้ว แก้มยุ้ยน่ารักเชียว เขามองภาพดินกับเดือนที่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

   เป็นครอบครัวที่น่ารักและน่าอิจฉาจริงๆ

   ชายหนุ่มถอนหายใจ เผลอจินตนาการว่าเขากับอารัณย์จะมีช่วงเวลาแบบนี้ด้วยกันไหม คิดแล้วก็ขำตัวเองที่เผลอ
จินตนาการอะไรแบบนั้นออกมา มันก็ต้องเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

   ตอนนี้รูปถ่ายคู่กันก็มีนับรูปได้

   แต่ถ้าเป็นรูปถ่ายของพี่คิมกับพี่รันน่ะเหรอ มีเป็นสิบเป็นร้อย

   ฝนถอนหายใจ  การคิดถึงอดีตทำให้เขาหดหู่ เหมือนเขากำลังแปลงร่างเป็นเด็กขี้อิจฉาอยู่เลย  ชายหนุ่มร่างเล็กบิดขี้เกียจก่อนจะปรือตามองโทรศัพท์ก่อนวางมันลงข้างหมอน เหม่อมองเพดาน ความรู้สึกตอนนี้คือทั้งเบื่อทั้งเหงา

   หรือจะออกไปเดินเล่นข้างนอกดี ไหนๆพี่รันก็จะไม่กลับมาแล้ว

   ครืด ครืด ครืด

   เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ข้างหมอนทำให้คนตัวเล็กต้องผงกหัวขึ้นมาดู พอเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ต้องกดรับสาย

   “ว่าไง”

   [เห อะไรทำให้คุณอารมณ์เสียได้ในวันดีๆแบบนี้ล่ะเนี่ย]

   น้ำเสียงยียวนเป็นเอกลักษณ์ทำให้นายแบบหนุ่มกลอกตามองเพดานก่อนตอบเสียงห้วน “ก็นายไง”

   กวินหัวเราะร่วนหลังได้ฟังคำตอบ ฝนถอนหายใจ เออ เอาเข้าไป เขาหงุดหงิดแต่กลับทำให้คนอื่นอารมณ์ดีแทนซะอย่างนั้น

   “ว่าแต่โทรมามีอะไร”

   [ผมรู้มาว่าวันนี้วันเกิดคุณ]

   ฝนเลิกคิ้วนิดๆแต่ก็ไม่ได้สงสัยว่าอีกฝ่ายรู้วันเกิดเขาได้ยังไง เพราะเขาไม่เคยบอก แต่กวินก็เป็นถึงนักสืบ ช่วงนี้อีกฝ่ายก็ค่อนข้างสนิทกับเขาพอสมควร เรื่องแค่นี้คงรู้ได้ไม่ยาก...อันที่จริงแค่เข้าไปดูในเพจของเขาที่แฟนคลับตั้งขึ้นมาก็รู้แล้ว

   “อืม แล้วไงต่อ จะร้องแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้ตอนนี้เลยว่างั้น?”

   [เปล่า อยากร้องให้ฟังตอนคุณมาบ้านผมต่างหาก]

   “ขอเหตุผลดีๆที่ทำให้ผมต้องฝ่าแดดร้อน เสี่ยงกับการโดนสาดน้ำและประแป้งไปบ้านคุณหน่อยสิ”

   [หวา พูดแบบนี้ก็แย่สิ ผมไม่มีเหตุผลดีๆหรอกนะนอกจากว่าวีอบเค้กไว้ให้คุณแล้ว น้องอยากให้ของขวัญคุณด้วยตัวเองน่ะ]

   ถ้ากวินมายืนอยู่หน้าเขาตอนนี้มันโดนถีบขาคู่แน่!

   ฝนแยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์ก่อนจะนึกได้ว่าไอ้คนปลายสายมันไม่รู้ไม่เห็นนี่หว่า คนตัวขาวถอนหายใจ เล่นเอาน้องสาวตัวเอง
มาอ้างแบบนี้ก็แย่สิ กวินรู้ว่าเขาไม่เคยปฏิเสธเด็กสาวตัวเล็กคนนั้นได้สักที

   “เอางั้นก็ได้”

   [อือหึ รีบมานะ]

   ฝนรับคำก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พักหลังมานี้เขาค่อนข้างสนิทกับกวินอยู่พอสมควร ไม่รู้อีกฝ่ายถูกชะตาอะไรกับเขามากมาย ตอนแรกก็คุยไลน์ ไปๆมาๆก็แลกเบอร์ พอสนิทกันมากขึ้นกวินก็พาเขาไปเยี่ยมกานดาหรือน้องวี น้องสาวของกวิน

   ด้วยความช่วยเหลือจากเดือน ดิน และเงินสมทบของเขา แม้ไม่มากพอจะส่งสาวน้อยไปรักษาต่างประเทศแต่ก็มากพอจะ
ช่วยให้เธอได้ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครันและมีหมอที่สามารถดูแลเธอได้อย่างดี

   ฝนไปเยี่ยมวีบ่อยครั้ง ไปเล่านิทานให้ฟังบ้าง เอารูปสวยๆไปให้ดูบ้าง จนตอนนี้น้องกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านหลังการผ่าตัดใหญ่ก็ยังคงเป็นแบบนั้น  ฝนชอบเด็กคนนั้นและหวังว่าเธอจะหายจากโรคและมีอนาคตที่สดใส

   เพื่อป้องกันการถูกสาดน้ำฝนเลยเลือกที่จะขับรถส่วนตัวไป  โชคดีที่บ้านของกวินอยู่ไม่ไกลนักและช่วงนี้คนก็ออกต่างจังหวัดกันหมด ท้องถนนจึงค่อนข้างโล่ง

   เมื่อเขามาถึงบ้านของอีกฝ่าย คนตัวเล็กก็เดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย คิดแล้วก็ขำ เข้าๆออกๆบ้านนี้จนจำได้หมดแล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน เดินไปเดินมาได้เหมือนเป็นบ้านของตัวเอง  ชายหนุ่มร่างเล็กเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเมื่อสาวน้อยกับพี่ชายของหล่อนมาดักรอเขาที่ประตูแล้วก็ร้องว่าแฮปปี้เบิร์ดเดย์เสียงดัง

   ฝนยิ้มก้มลงไปมองเค้กก้อนใหญ่ในมือของกานดา เด็กสาวมองเขาตาเป็นประกาย

   “นี่ทำเองเหรอครับ น้องวี”

   “ค่ะ! มีพี่กวินเป็นลูกมือล่ะ อร่อยนะ รับรองเลยค่ะ ฝีมือวีซะอย่าง”

   วสันต์หัวเราะกับท่าทางอวดอย่างน่ารักนั้น เขาลูบผมเด็กสาวบนรถเข็นและยิ้มสดใสส่งให้ ก่อนจะเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนที่ถือกล่องของขวัญเอาไว้สองกล่อง  กวินยื่นกล่องสีฟ้าสองใบให้เขา กล่องใบหนึ่งผูกริบบิ้นสีขาว อีกกล่องผูกสีเหลือง

   “ริบบิ้นขาวของผม ริมบิ้นเหลืองของวี สุขสันต์วันเกิดนะครับ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง คิดอะไรก็ขอให้สมหวัง หน้าตาน่ารักใช้เป็นเครื่องมืทำมาหากินได้ไปนานๆ ขอให้ดังคับฟ้าคับจักรวาลนะครับ”

   “ขอให้พี่ฝนมีวความสุขมากๆนะคะ แล้วก็มาหาวีบ่อยๆน้า”

   “ฮ่าๆครับๆ”

   ฝนหัวเราะก่อนจะกล่าวขอบคุณ  หลังจากนั้นกวินก็หยิบเทียนวันเกิดมาปักให้เขา ฝนมองเทียนที่ลุกไหม้ไปช้าๆ เขาไม่ค่อยได้เป่าเค้กวันเกิดนัก ส่วนใหญ่ก็จะซื้อเค้กชิ้นเล็กๆมานั่งกินกับอารัณย์สองคนมากกว่า แต่หนนี้พอได้เป่าเค้กก็ไม่รู้จะอธิษฐานอะไร

   “พี่ฝน เป่าเทียนสิคะ” กานดาเอ่ยเร่งเมื่อเห็นว่าเทียนหดสั้นลงไปทุกที ฝนจึงได้แต่อธิษฐานถึงสิ่งแรกที่คิดแล้วก็เป่าเทียน ยิ้มขำกับคำอธิษฐานง่ายๆของคนอย่าง...

   ขอให้ทุกคนมีความสุข

   เค้กที่กานดาทำอร่อยจนฝนชมเด็กสาวไม่หยุดปาก เป็นเค้กช็อกโกแลตที่ไม่หวานจนเกินไปและโปะครีมไม่หนา ฝนไม่ชอบกินอะไรที่โปะครีมหนาๆ เขารู้สึกว่ามันเลี่ยนและชวนอ้วกมาก  หลังกินเค้กกันจนอิ่มก็เหลืออีกตั้งครึ่งก้อนสองพี่น้องเลยเอาเค้กใส่กล่องแล้วยกให้เขาเอากลับไปบ้าน ยังไงเจ้าของวันเกิดก็เขาอยู่แล้ว

   ฝนอยู่ที่บ้านกวิน ช่วยทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆซึ่งนักสืบหนุ่มก็ไม่ได้ขัดศรัทธาในการช่วยเหลือ จากนั้นพวกเขาก็นอนเรียงกันดูการ์ตูน ดูหนัง และเล่นเกมกันจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงหกโมงเย็นฝนก็ขอตัวกลับบ้าน  กวินจึงอาสามาส่งเขาที่ประตู

   “วันนี้ขอบคุณมากนะ” นายแบบหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณจากใจ  กวินยิ้มให้เขา “ไม่เป็นไรหรอก บางทีคนที่คุณควรขอบคุณอาจจะไม่ใช่แค่พวกผม” ท้ายประโยคพึมพำแผ่วเบา แต่เพราะนักสืบหนุ่มนึกประโยคนั้นในใจด้วยฝนเลยได้ยินเข้าไปเต็มๆ  คิ้วเรียวขมวดนิดๆแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแค่ขับรถกลับบ้านแล้วพอมาถึงบ้านก็ต้องพลกับห้องว่างเปล่า

   อารัณย์ยังไม่กลับ  เหอะ ป่านนี้คงจะลืมไปแล้วมั้งว่านี่วันเกิดเขา

   ถ้านี่เป็นวันเกิดพี่คิม พี่รันคงรีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วมาอยู่ด้วยแล้ว

   ฝนถอนหายใจ ความเศร้าแผ่ปกคลุมตัวเขาอีกครั้ง นี่เขาอุตส่าห์ไม่กินข้าวเย็นกับพวกกวินเพระแอบหวังว่าจะได้กลับมาทำ
อาหารเย็นกินกับพี่รัน

   คนตัวเล็กเปิดตู้เย็นออกแรงๆแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นของสดในตู้เย็นเลย ไม่มีขนมหวาน ไม่มีเค้กด้วย...

   ปึง

   ฝนเอาเค้กที่ได้จากกวินใส่ไว้ในตู้เย็น เอาให้แม่งกระแทกลูกตาไอ้พี่บ้านั่นไปเลย เหอะ เขาไม่สนเค้กกับของขวัญ        จากอารัณย์แล้วก็ได้ แล้วสุดท้ายฝนก็ต้องมาต้มมาม่าใส่ไข่แล้วก็นั่งกินไปพลางดูหนังซีรีส์คนเดียวไปพลางก่อนจะเก็บล้างแล้วอาบน้ำ นั่งอ่านนิยายรออารัณย์แต่หลังอ่านนิยายจบไปครึ่งเล่ม เงยหน้ามาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว ฝนที่ทนรอคนใจร้ายคนนั้นไม่ไหวแล้วก็เลยปิดไฟล้มตัวลงนอน ก่อนนอนยังส่งข้อความไปโวยวายกับกวินอีกชุดใหญ่

       RainWason : ไอ้พี่รันแม่งงง น้อยใจว่ะแต่ทำไรไม่ได้ ถ้าเป็นพี่คิมเขาคงไม่ทำแบบนี้
   
        RainWason : อยู่ด้วยกันมาหลายปี วันเกิดผมเขาก็จำไม่ได้ ไม่เคยมีของขวัญ สงสัยแม้แต่ของที่ผมชอบหรือไม่ชอบเขาก็คงไม่รู้ น่าเสียใจว่ะ

         หลังระบายความอัดอั้นไปจนพอใจฝนก็หลับไป

        หลับไปทั้งที่ยังน้อยใจอยู่แบบนั้น


   1.30 AM

   ประตูห้องนอนใหญ่ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนร่างสูงของช่างภาพหนุ่มผมยาวในสภาพอยู่ในชุดนอนที่เปียกเป็นจุดๆเพราะเขาไม่ใส่ใจจะเช็ดตัวให้แห้งก็ปรากฏขึ้น ร่างสูงเดินแผ่วเบาไปที่เตียง  ไม่อยากให้คนที่กำลังหลับสบายต้องตื่น

   ชายหนุ่มเพิ่งเคลียร์งานด่วนที่บอสส่งมาให้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเสร็จไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้คิดจะลากยาวมาถึงตอนนี้เลยด้วยซ้ำ จริงๆอารัณย์ลาหัวหน้าเอาไว้แล้วแต่เพราะลูกค้าที่ติดต่องานมาหนนี้เป็นคนมีชื่อเสียง ผลงานที่เขาอยากได้คืองานที่สมบูรณ์แบบ หัวหน้าจึงเลือกให้เขารับผิดชอบงานครั้งนี้

   และผลของมันน่ะเหรอ? ก็คือเด็กน้อยที่งอนตุ๊บป่องไปแล้วนี่ไง

   ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก คงน้อยใจนึกว่าเขาลืมวันเกิดล่ะสิ แหงล่ะเพราะเขายังไม่ได้อวยพรอีกฝ่ายเลยนี่นา

   ที่ไม่อวยพรไม่ใช่เพราะลืม ใครมันจะไปลืมวันสำคัญแบบนี้ได้ลง แต่อารัณย์ไม่อยากอวยพรให้ฝนโดยไม่เห็นหน้า เขาอยากบอกกับตัวเป็นๆมากกว่า เลยอดทนรอจะเป็นคนบอกสุขสันต์วันเกิดเป็นคนสุดท้าย

   ครืด

   เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้อารัณย์รีบหยิบมาเปิดดูก่อนที่คนข้างกายจะตื่น รหัสผ่านโทรศัพท์ของเด็กคนนั้นเขารู้  เด็กคนนั้นก็รู้รหัสมือถือเขาเหมือนกัน

   ข้อความที่ส่งมามาจากกวิน อีกฝ่ายฝากความคิดถึงจากกานดามาให้  อ่านไปก็ได้แต่เบ้หน้านิดๆ อารัณย์เลื่อนข้อความขึ้นไปเรื่อยๆก่อนจะไปสะดุดกับข้อความล่าสุดที่ฝนส่ง  พออ่านก็รู้สึกแย่อยู่เหมือนกัน อารัณย์ไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาดูเป็นคนก้าวร้าวและโลกส่วนตัวสูงด้วยในบางครั้ง ทำให้หลายการกระทำก็ไม่ได้คิดถึงในคนถูกกระทำ

   วันนี้ก็เช่นกัน

   แต่นายอารัณย์ก็ไม่ใช่ผู้ชายใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อย

   ฝนบอกว่าถ้าเป็นคิมหันต์เขาจะแคร์เธอมากกว่านี้  มันก็ถูกส่วนหนึ่ง เพราะเขารักคิมหันต์ แต่เขาก็แคร์ฝนเหมือนกัน เพียงแค่คนตัวเล็กไม่ได้รับรู้

   หลายปีที่อยู่ด้วยกันเขาค่อยๆซึมซับตัวตนของฝนไปทีล่ะน้อยจนกลายเป็นเขาเองที่ถูกกลืนกิน

   ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดกับน้องชายอดีตคนรักก็เกิด เขาเคยคิดจะห้ามมันแต่ก็ห้ามไม่ได้เลยได้แต่ปล่อยให้มันกระจายตัวอยู่ในหัวใจเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะพูดมันออกไป

   เพราะเขารู้ดีว่ามันไม่ถูกไม่ควร

   หากถามว่าเขาลืมคิมหันต์ได้หรือยังอารัณย์ก็ตอบได้ว่ายังและไม่คิดจะลืม เขาจะไม่ปล่อยให้เธอเลือนหายไป มันคงเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวหากเขาเลือกที่จะลืมเธอเพื่อไปมีความสุขกับคนอื่น หลอกลวงตัวเองด้วยคำว่าเธอคงหวังให้เป็นแบบนี้

   คนเรารู้ได้ยังไงว่าคนรักที่จากไปหวังให้เราไปมีความสุขกับคนอื่น นั่นมันก็แค่ข้อแก้ตัวของคนที่อยากเริ่มต้นรักครั้งใหม่เม่านั้นแหละ

   เขาจะไม่ลืมคิม ไม่ลืมรักแรกที่ประทับแน่นอยู่ในใจ เธอจะเป็นฤดูร้อนที่สวยงามอยู่ในใจของเขาตลอดไป ถึงวันนี้ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ จะไม่ได้เกิดกับเธออีกแล้ว...แต่กลับไปเกิดกับคนที่ไม่ควรเกิดมากที่สุดอย่างน้องชายของเธอก้ตาม

   อารัณย์รักฝน แต่พื้นที่ในใจส่วนที่เป็นของคิมหันต์เขาก็ไม่ลบเลือนมันไป

   เขาไม่เคยบอกความรู้สึกนี้ให้ฝนรู้ บางทีอาจเพราะความกลัวก็ได้...ช่างภาพหนุ่มไม่รู้ว่าความรักของเขาเกิดจากตรงไหน อาจจะเป็นความผูกพันก็ได้ เคยมีคนบอกเขาว่าความผูกพันไม่ใช่ความรัก แต่สำหรับเขาความผูกพันทำให้เกิดความรัก และบางทีสองสิ่งนี้อาจจะเป็นอย่างเดียวกัน

   เขาก็ไม่รู้หรอก ไม่แน่ใจ แต่รู้ตัวว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับฝน เป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจและไม่เคยได้พูดออกไปสักที

   เขาไม่เคยพูดฝนก็เลยคิดว่าตัวเองไม่มีความสำคัญกับเขา อยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนของคิมหันต์แต่มันไม่ใช่แบบนั้น

   ฝนชอบคิดว่าเขาไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตน คิดว่าเขาไม่เคยรู้อะไรเลย

   อืม...เขาไม่เคยรู้เลยจริงๆ

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนไม่ชอบกินต้นหอมกับกระเทียมเจียวเพราะบอกว่ากลิ่นมันฉุน

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบใส่เสื้อสีฟ้าในวันที่อารมณ์ดี

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนไม่ชอบเดินห้างและไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆแต่ชอบไปสถานที่ที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่า

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบเค้กใบเตยมากที่สุด รองลงมาคือช็อกโกแลตแล้วก็วานิลลา

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบกินมัสมั่นกับยำวุ้นเส้น เป็นอาหารโปรดเลยล่ะ

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบ สีม่วง สีฟ้า แล้วก็สีเขียว

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนติดนิสัยนอนคว่ำหน้า

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าเวลาโกหกอีกฝ่ายจะชอบยกมือขึ้นมาเกาแก้มแล้วก็ถูมือไปมา

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าอีกคนน่ะห่วยงานเย็บปักที่สุดแต่ก็พยายามเย็บเสื้อที่ขาดให้เขา

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบดอกมะลิมากที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหมด

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบดูหนังแฟนตาซี เป็นแฟนพันธ์แท้แฮรี่ พอตเตอร์กับเพอร์ซีย์ แจ็กสัน


   ไม่รู้เลยจริงๆ...เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆน่ะเหรอ

   แค่ไม่พูดไม่ได้หมายความอารัณย์ไม่รู้ และแค่ไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้สึก

   มันแค่ยังไม่ถึงเวลา

       วันนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งให้อีกคนนอนอยู่ที่คอนโดแต่มันมีงานด่วนเข้ามา จริงๆอารัณย์ตั้งใจเคลียร์ตารางตัวเองให้ว่างเอาไว้แล้ว  ส่วนเรื่องรูปถ่ายคู่...ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากถ่าย แต่เขาอยากถ่ายรูปคู่กับฝนในช่วงเวลาพิเศษ อยากให้ทุกครั้งที่พอมองรูปภาพจะนึกถึงเรื่องราวในวันที่ถ่ายได้ ‘ทุกรูป’  อยากให้ทุกความทรงจำติดแน่นในใจ

   เห็นไหมว่านายอารัณย์น่ะรู้ทุกอย่าง คนที่ไม่รู้อะไรเลยน่ะ ฝนต่างหาก...

   ร่างสูงวางกล่องของขวัญลงบนหัวเตียง สอดตัวลงไปใต้ผ้าห่ม มองคนที่หลับไปแล้วก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆ

   คำอวยพรน่ะ...เอาไว้พูดวันพรุ่งนี้ตอนอีกฝ่ายตื่นก็แล้วกัน

   เพราะเขารู้ว่ารอยยิ้มกับท่าทางของดีใจของเด็กคนนี้มันน่ารักมากที่สุดเลยล่ะ

**************************************************************

เนื่องจากเห็นคนอ่านบอกคาใจเรื่องรัน-ฝนก็เลยจัดตอนพิเศษมาให้ค่ะ//ยิ้มหวาน
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ย้อนหลังน้าน้องฝนคนงาม 5555
ตอนแรกที่เขียนเกือบกลายเป็นกวิน-ฝนแล้ววว รู้สึกว่าเคมีช่างเข้ากั๊นเข้ากัน
แต่เราก็วนกลับลำทัน  รัน - ฝนก็เคมีเข้ากันน้า สำหรับกวินสิ่งที่มีให้ฝนคือมิตรภาพและความรู้สึกดีๆค่ะ
เพราะฝนก็จัดว่าเป็นผู้มีพระคุณสำหรับกวินคนหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับอารัณย์ เขาเป็นครนที่โลกส่วนตัวสูง ดูลั้ลลา ปากหมา ลอยลม แต่จริงๆก็คิดเยอะและเซนซิทีฟพอควร
ดังนั้นเลยไม่ค่อยแสดงออกให้เห็น สำหรับรันความรู้สึกที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากความผูกพัน
แล้วค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ เขาเลยมองว่าความรู้สึกที่มีให้ฝนคือความรักที่เกิดจากความผูกพัน
เพราะก็รู้สึกดีๆต่อกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปี แต่พี่แกอาร์ท ชีวิตเข้าใจยากนิดนึง 55555
ตอนพิเศษที่ตั้งใจจะเขียนก็เหลืออยู่อีกประมาณสองสามตอน
(ไม่แน่ใจว่าจะมีเฟิงปราณไหมแต่ก็อยากเขียนเหมือนกันค่ะ 555)

ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านและให้กำลังใจนะคะ อ่านคอมเม้นท์วนไปมาหลายรอบมาก 5555
พบกันใหม่ในเรื่อง 'เพราะหลงรักคุณ' (อัพทุกวันเสาร์หรือบางทีก็เสาร์-อาทิตย์ค่ะ)หรือตอนพิเศษตอนหน้านะคะ
 :กอด1: :L2: :-[
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒ วันสงกรานต์ {๑๕.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-04-2016 20:25:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒ วันสงกรานต์ {๑๕.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-04-2016 21:07:51
เคลียร์ที่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่า อย่างน้อยพี่รันก็ยังมีใจรักฝนอยู่บ้าง  :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒ วันสงกรานต์ {๑๕.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 15-04-2016 22:53:32
อยากให้มีตอนพิเศษสักตอนของคู่อีพี่ปากแข็งกับน้องฝนที่แบบให้พระเอกรองของเราเผยความรู้สึกชัดเจนสักทีแบบมันค่อยนู้สึกเหมือนหวานเลี่ยนหน่อยเรารู้สึกตอนนี้มันปนขมหน่อยๆนะอ่านแล้วแอบน้ำตาคลอเลยอ่ะ เหตุการณ์ให้ฝนนางตัดใจมีคนใหม่ให้อีพี่สำนึกนี่ยิ่งสนุกไปใหญ่ จะยังไงเรื่องราวแบบไหนเราก็รออ่านนะ เป็นกำลังใจให้นะ ขอบคุณมำหรับเรื่องราวดีๆจ้า  :impress2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒ วันสงกรานต์ {๑๕.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 16-04-2016 12:54:11
อ่านจบแล้วก็ยังรู้สึกอึนๆงงๆกับคู่พี่รันน้องฝนอยู่ แต่ก็คงจัเป็นสไตล์ของคู่นี้ รออ่านคู่เฟิงปราณนะคะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒.๕ วันสงกรานต์(ของพี่เดือน) {๑๖.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 16-04-2016 20:14:51
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๒.๕ (แถมน้ำตาลนิดหน่อย)
วันสงกรานต์ของพี่เดือน น้องดิน และชบาแดง


        น้อยครั้งที่เดือนกับดินจะความเห็นไม่ตรงกัน แต่ไม่มีครั้งไหนที่มันขัดแย้งกันมากเท่านี้มาก่อน...

        “พี่เดือน ดินบอกว่าไม่ใส่ไง”

        “ทำไมอ่ะ นี่เสื้อลายดอกครอบครัวเลยนะ!” คนตัวสูงว่าพลางสะบัดเสื้อใส่หน้าดิน ซึ่งชายหนุ่มผมดำก็ได้แต่กุมขมับ

        กูไม่ใส่เพราะมันเป็นลายดอกไงครับ!

         คนผมดำเบะปากนิดๆ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่มองสีหน้าน้อยอกน้อยใจของคนรักตัวโตที่ยืนถือเสื้อลายดอกสีม่วง มี ดอกชบากับดอกอะไรไม่รู้หลากสีบานเต็มตัวไปหมด แถมไม่ยอมใส่อยู่คนเดียว ยังลากน้องข้าวให้ใส่ไปด้วยอีกคนแถมมันกำลังจะลากเข้าไปใส่ด้วย!

         ให้ตายก็ไม่มีวันใส่!

         ถ้ามันจะทะเลาะกันเพราะเสื้อม่วงลายดอกชบาแดงนี่ก็เอาสิ!

         
         จุดเริ่มต้นของความลำบากใจนี้มันเริ่มจากเดือนที่รีบเคลียร์งานจนเสร็จเพราะอยากเล่นสงกรานต์พร้อมลูกเมีย ลางานมาเต็มๆหนึ่งอาทิตย์ แถมตื่นเต้นมากอยากออกไปเล่นน้ำใจจะขาดเพราะ ‘ไอเท็ม’ ใหม่ที่สั่งมา

         เซ็ทเสื้อลายดอกครอบครัว

         เจ้าตัวดูภูมิใจกับมันมาก พอได้ของก็เอามาอวดสมาชิกในครอบครัวใหญ่ ดินแอบเห็นพ่ออัลเฟรดส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้ด้วยล่ะตอนพี่เดือนบอกว่าใส่กันเป็นครอบครัว ตอนนั้นในหัวดินนึกถึงแต่ภาพตัวเองใส่แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

         ชบาแดงแม่งทิ่มตำใจกูมากครับ

         พอตอนเช้าหลังจากทำบุญ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เสร็จเดือนก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตัวเองกับลูกอย่างรวดเร็วแล้วก็มาอ้อนกึ่งบังคับให้เขาใส่เสื้อลายดอกนี่แหละ

         “น้องดิน...”

         จะเสียงอ่อนเสียงเชื่อมยังไงเขาก็ไม่ใจอ่อนเด็ดขาด

         ดินเบือนหน้าหนีก่อนจะหยิบปืนฉีดน้ำลายมิกกี้เม้าส์มาส่งให้ลูกชาย พร้อมกับส่งปืนฉีดน้ำลายมินเนี่ยน...แบบกางร่มได้ให้เดือน

         พอมองสภาพอีกฝ่ายที่ใส่เสื้อลายดอกสีม่วงมีดอกชบาแดง ถือปืนฉีดน้ำมินเนี่ยนแบบกางร่มได้ ด้านหน้าก็สะพายเป้อุ้มเด็กแบบมีอานที่นั่ง ซึ่งมีลูกชายนั่งหน้าขาวผ่องใส่เสื้อลายดอกแบบเดียวกันแถมมีปืนฉีดน้ำมิกกี้เม้าส์อันเล็กอยู่ในมือ

         หืม น่ารักแฮะ

         ถ้าคนอื่นอยู่อาจจะขำก๊ากกับท่าทางของคุณพ่อลูกอ่อนที่อยากเล่นสงกรานต์จนกระเตงลูกออกไปเล่นด้วยแต่สำหรับดิน จะว่าอวยแฟนก็ได้นะ แต่มันน่ารักมากนี่นา น่ารักจนเขาถ่ายรูปอัพลงไลน์กลุ่มรัวๆแข่งกับกฤตที่ส่งรูปคู่แฝดมาอวดเช่นกัน

         “ดิน...ไม่ใส่จริงๆเหรอ”

         “ไม่ครับ ไปกันได้แล้วครับตอนนี้คนน่าจะเริ่มเยอะแล้ว”

         หลังจากพูดตัดบทเรียบร้อยดินในสภาพที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ธรรมดาก็เดินนำไปที่รถ พากันขับไปยังสถานที่เล่นน้ำที่เป็นเป้าหมาย

          และตอนนี้แหละที่ดินเชื่อแล้วว่าคนหล่อใส่เสื้อมอซอมันก็ยังออร่าทะลุความมอซออยู่ดี

          ขนาดไอ้พี่เดือนใส่เสื้อชบาแดงมีมินเนี่ยนแถมกระเตงลูกมาเล่นน้ำดูปัญญาอ่อนสุดติ่งผู้หญิงยังกรี๊ดกันไม่หยุด ดินกระพริบตาปริบมองคุณพ่อลูกอ่อนถูกสาวน้อยสาวใหญ่รวมถึงกระเทยและหนุ่มร่างบางลูบไล้ทั่วทั้งตัว มือใครต่อมือใครลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลานั่นจนขาวไปทั้งหน้า

           ส่วนดินก็ถูกดีดมาอยู่วงนอกจนได้

           ไม่รู้จะหึง ขำ หรือสงสารดี

            “พี่เดือน โอ๊ย ซิงเกิ้ลฟาเธอร์เหรอคะ กรี๊ดดด อยากได้คนเลี้ยงลูกไหมเอ่ย”

            “ไม่อยากครับ แฟนมาด้วย อยู่นู่นๆ”

            “โอ๊ย แฟนมา ใจสลาย แต่ไม่เป็นไร หนูเป็นแฟนพี่ในมโนก็ได้ค่ะ”

            “พี่เดือน วี๊ด หล่อละลาย”

             “โอ๊ย ถือมินเนี่ยนแล้วก็ยังน่ารัก”

              ดินยิ้มจนตาปิด ตลกจนหลุดขำออกมาตอนที่เดือนพยายามฝ่าวงล้อมสาวๆมาหาเขา ปากก็พูดไปด้วยว่า “อย่าสาดแรงครับ ผมพาลูกมาด้วย” เพราะแบบนั้นชายหนุ่มเลยโดนแต่ประแป้งแล้วก็ค่อยๆรดน้ำ ไม่โดนสาดน้ำแบบหฤโหด ส่วนดินน่ะเหรอ...

             “คนสวย มาคนเดียวเหรอครับ”

             “น่ารักจังครับขอไลน์หน่อย”

             “คุณครับ แป้งผมหมด ขอหอมแก้มแทนได้ไหมครับ”

             “ไม่ได้ครับ” ไม่ต้องเดาเนอะว่าเสียงใคร ตัวมาไม่ได้แต่เสียงนี่ดังจนวงแตกไปรอบหนึ่งเลย

              ดินโดนคนนู้นสาดน้ำใส่ แป้งดินสอพองก็ปาดเข้ามาเต็มหน้าจนแทบลืมตาไม่ขึ้นสำลักน้ำจนแสบตาแสบจมูกไปหมด

              “พ..พี่เดือน”

              เพราะดินสอพองไหลเข้าตาทำให้คนตัวเล็กลืมตาไม่ขึ้น ควานมือเปะปะไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าคนรักได้ยินเสียงตัวเองหรือเปล่า

              หมับ

             มือของใครบางคนจับเอวดินก่อนจะดึงให้เดินไปทางหนึ่ง ดินขืนตัวไม่เดินตามปากก็เอ่ยถาม “พี่เดือนเหรอครับ?”คนที่จับเอวเขาอยู่ไม่ตอบแต่ออกแรงเพิ่มมากกว่าเดิม  ดินพยายามปาดแป้งออกจากใบหน้า ฝืนลืมตามองแล้วก็ต้องตกใจคนที่จับเอวเขาอยู่ไม่ใช่เดือน!  แต่กลับเป็นชายร่างสูงที่หน้าตาดูไม่น่าไว้ใจคนหนึ่ง ดินผงะถอยหลังแต่อีกฝ่ายก็อุดปากเขาอย่างรวดเร็ว

              “เอ้ย อ่อย!”

              คนผมดำดิ้นอย่างแรงจนคนข้างๆเริ่มหันมามอง ชายคนนั้นเลยจำต้องปล่อยมือเป็นเวลาเดียวกับที่ร่างของดินถูกดึงอย่างแรงจนเซไปข้างหลัง พอหันไปมองก็พบใบหน้าถมึงทึงของเดือน นายแบบหนุ่มถูกประแป้งจนขาววอกไปทั้งหน้าเหลือแต่ลูกตาดำๆแต่ก็ดูออกว่าใบหน้าหล่อเหลากำลังบึ้งตึง

              ฝ่ามือใหญ่ดึงตัวดินมาไว้ด้านหลังตน พูดเสียงห้วน “ขอโทษครับแต่นี่แฟนผม” ว่าจบก็ดึงตัวคนรักออกไปอีกทางทันที 

             ทั้งคู่เดินฝ่าสายน้ำมาจนถึงใต้ร้านค้าแห่งหนึ่ง เดือนก็ก้มลงสำรวจร่างบางทันที

             “เป็นอะไรหรือเปล่า”

             “ไม่ครับ”

              “มันทำน้องเจ็บหรือเปล่า”

              “ไม่ครับ” ดินยิ้มให้เดือน บอกว่าเขาไม่เป็นอะไร อีกฝ่ายไม่ได้จับต้องอะไรมากไปกว่าแขน เดือนเลยพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

              “พอเลย ไม่ให้ออกไปเดินคนเดียวแล้ว” ว่าพลางจับมือเล็กขึ้นมาเกาะกุมแน่น ดินยิ้ม เขาไม่ได้คิดมากเรื่องที่ว่าจะต้องตัวติดกับอีกฝ่ายตลอดเวลา  เลยไม่ได้เดินด้วยกันในทีแรกแต่เป็นเดือนเดินนำแล้วดินเดินตาม  แต่ดูเหมือนหลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ เดือนก็คงไม่ยอมปล่อยให้ร่างเล็กเดินตามต้อยๆอยู่ด้านหลังแล้วล่ะ

              “แล้วนี่เสื้อมันจะบางไปไหน” ดินก้มมองเสื้อยืดที่เปียกน้ำจนแนบติดกับร่าง คือมันก็เป็นร่างของผู้ชายปกตินั่นแหละ แต่คนขี้หวงคงไม่อยากให้คนอื่นเห็น  ฝ่ามือใหญ่หยิบเอาเสื้อลายดอกครอบครัวมาคลุมตัวดินทันที ซึ่งชายหนุ่มผมดำก็ตามใจด้วยการใส่เสื้อลายดอกทับเสื้อยืดไป

              ไม่ใช่ว่าอยากใส่แต่ว่าถ้าเขาใส่เสื้อครอบครัวไปแบบนี้คนอื่นเห็นจะได้เกรงใจกันบ้าง ไม่ใช่นึกอยากจะลูบแฟนเขาตรงไหนก็ลูบ

              ไม่ได้หึงนะ แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง

               “เอาล่ะ ไปเล่นน้ำกันเถอะ!”

               ดินยิ้มให้คนตัวโตที่อารมณ์บูดก่อนจะสอดประสานนิ้วมือเข้ากับร่างสูงแล้วก็พากันไปเล่นน้ำต่อ


               และในค่ำคืนนั้นดินก็เห็นรูปครอบครัวของพวกเขาถูกโพสท์ลงในหน้าเฟซบุ๊คเดือน

               Levi Raveekarn Taylor ได้เพิ่มสามรูปภาพใหม่กับ ปฐพี  สกุลกังสดาล

               ครอบครัวนี้มีเสื้อทีมนะครับ :  )

               349,768 คนถูกใจสิ่งนี้     5,476 ความคิดเห็น    150 แชร์

              “เสื้อลายดอกครอบครัวก็ไม่ได้เลวร้ายใช่ไหมล่ะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู ดินหัวเราะคิก กลิ้งตัวไปนอนทับอกคนรัก ดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วเปล่งประกายสบกับดวงตาสีอ่อนที่มองมาด้วยความอ่อนโยน  ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะคนรักที่เอียงหัวซุกเข้าหา ออดอ้อน

             ดินตอบรับเสียงใส “ก็ว่างั้นแหละครับ”

             แต่ว่าถ้าไม่มีชบาแดงจะดีมาก!

*****************************************************************

ตอนพิเศษจุดห้าค่ะ เลยมาแบบสั้นๆ ตอนแรกว่าจะไม่เขียนคู่นี้ เพราะลงคู่รันฝนไปแล้ว
แต่พอหันไปเห็นเสื้อลายดอกก็นึกถึงพี่เดือนเลยค่ะ 55555 เฮียแกเป็นดาราพ่อลูกอ่อน
ที่ชอบหิ้วลูก(บางทีก็มีดินไปด้วย) กระเตงๆไปนู่นไปนี่ เลยแบบ อืม สักหน่อยก็ดีได้กระชุ่มกระชวย :really2:
 
ส่วนตรงนี้ขออธิบายเรื่องรันฝนนิดนึงสำหรับคนที่อ่านตอนพิเศษที่สองแล้วงงๆ
คือคอนเซ็ปต์ของรันฝนที่เราวางเอาไว้แต่แรกคือ 'ความคลุมเครือ' และ 'Bittersweet' ค่ะ
ตอนแรกคาแรคเตอร์พี่รันไม่ได้แสดงความรู้สึกชัดขนาดนี้ด้วย สองคนนี้มีความรักที่เกิดขึ้น
โดยปนกับความรู้สึกผิดต่อพี่สาวและคนรักเก่า แต่กระนั้นก็ยังยอมรับว่าหลงรักอีกคนไปแล้ว แต่เพราะรู้สึกผิด
และเริ่มต้นกันแบบผิดที่ผิดทาง มันก็เลยทำให้ทั้งคู่ไม่กล้าแสดงออก ไม่บอกว่ารักแต่ก็ไม่ไปไหน
เป็นอารมณ์หวานๆขมๆปนกันไปค่ะ ตอนพิเศษคู่นี้น่าจะมีอีกแต่ยังไม่แน่นอน(เอ๊ะ)
เพราะอย่างนั้นขอเชิญทุกท่านเชยชมเฟิงปราณกันไปก่อนนะคะ  :mew1:

พบกันตอนพิเศษหน้าค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจกันนะคะ จุ๊บ :กอด1:


หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒.๕ วันสงกรานต์(ของพี่เดือน) {๑๖.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-04-2016 20:49:48
ในที่สุดคี่นี้ก็มา รออยู่เลย พี่เดือนเนี่ยน่ารักเสมอเลยเนอะ อิจฉาดินเบาๆอย่างแอบๆ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒.๕ วันสงกรานต์(ของพี่เดือน) {๑๖.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 16-04-2016 21:43:26
สวัสดีวันปีใหม่ไทยนะคะ   ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษที่ทำให้อบอุ่นหัวใจ ครอบครัวดิน เดือน น้องข้าว สุขสันต์จังค่ะ  เสื้อทีมลายดอกอะไรจะมาน่ารักเป็นทีมขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒.๕ วันสงกรานต์(ของพี่เดือน) {๑๖.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: rada96 ที่ 18-04-2016 18:52:45
เพิ่งมาตามอ่านเรื่องนี้ น่ารักมากๆเลยค่ะ ฮือออออ
น้องดินขี้อ้อนมากเลย ถึงตอนแรกจะรั้นๆไปหน่อย
ชอบมากเลยค่ะ +เป็ด รัวววว
  :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒.๕ วันสงกรานต์(ของพี่เดือน) {๑๖.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-04-2016 23:03:11
 :ling1:

ใจละลายกับครอบครัวเน้!!!! น่ารักไปไหนเนี่ย

ปอลิง แอบดีใจกับน้องฝนนะ จุ้บๆ หวังว่าพี่รันจะไม่ปล่อยให้น้องรอนานไปกว่านี้แล้ว
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๒.๕ วันสงกรานต์(ของพี่เดือน) {๑๖.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 19-04-2016 19:54:44
สนุกมากเลยค่ะ การเขียนดูเป็นผู้ใหญ่ดี
ตอนเดือนโดนใส่ร้าย แล้วมีกระทู้ต่างๆ นี่พันทิปชัดๆ
ด่าไม่ดูหน้าดูหลังยันไปถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เป็นสตรีถูกหมด
คดีนี้คุ้นๆนะ ฮา
ตินิด ความสามารถของน้องดินนี่น่าจะต่อยอดเรื่องย่อยๆ ได้เยอะนะ ส่วนด้ายดำของคู่นี้คืออะไร สงสัยอ่านข้ามไปเลยไม่รู้ความหมาย
โดยรวมถือว่าโครงเรื่อง ภาษา เหตุผลดี อ่านได้ราบรื่น คำผิดมีประปราย  ขอให้เรื่องหน้าพัฒนาดียิ่งๆ ขึ้น
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 30-04-2016 21:08:38
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๓
หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง


       คบกับเฟิงแล้วดีตรงไหน?
 
       คบกันแล้วมันต่างกับตอนที่ยังไม่ได้คบกันยังไง?

       นี่คือสิ่งที่หนุ่มน้อยผิวแทนเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดระยะเวลากว่าสามเดือนที่คบกัน แล้วก็ได้คำตอบออกมาเป็นแบบเดิมคือ
 
      แม่งแทบไม่แตกต่างกันเลยเหอะ

      เฟิงก็ยังเป็นเฟิง เป็นหนุ่มตี๋ร้านขายข้าวแกงที่ไม่ได้หล่อมากแต่สาวก็ขยันเข้าหาแบบสม่ำเสมอ

      เป็นไอ้เฟิงที่แจกยิ้มจนตาหยีเรี่ยราด

      เป็นไอ้เฟิงที่พูดจาดีกับเด็กเล็ก เด็กผู้หญิง  สตรีมีครรภ์และคนชรา

      เป็นไอ้เฟิงคนเดิม...

      “แหม พี่เฟิงเนี่ย ยิ้มน่ารักจังเลยนะคะ นั่งมองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย โสดแบบนี้จีจี้ขอให้พี่เฟิงมาเป็นคู่ซ้อมรำให้หน่อยได้ไหมคะ”

       “ทำไมต้องเป็นคู่ซ้อมรำเหรอครับ”

        “ก็...จีจี้จะได้จีบ” ว่าจบสาวเจ้าก็ยกมือขึ้นมาจับจีบก่อนจะขยิบตาให้ด้วยท่าทางที่คิดว่าน่ารัก น่าหยิก น่าเอ็นดู โอ๊ยยย แม่นางงามตลาดสด 

          ไอ้เด็กหนุ่มผิวขาวยิ้มจนตาตี่ๆปิดกลายเป็นขีดเดียว ส่งยิ้มให้สาวเจ้าวี้ดว้ายเล่นอีกรอบทำเอาคนที่กำลังนั่งเท้าคางมองถึงกับคิ้วกระตุก

         คือ...น้องปราณก็ไม่ได้อยากจะขี้หึงแต่มึงอาจจะลืมไปนะไอ้เฟิง มึงก็เป็นไอ้เฟิงคนเดิม...ที่เพิ่มเติมคือมีแฟนแล้ว แล้วจะไปอ่อยชาวบ้านเขาไปทั่วทำไมวะ!

         ปราณขมวดคิ้วก่อนจะก้มหน้าก้มตาจ้วงพะแนงหมูกับข้าวเปล่าลงคออย่างรวดเร็ว ชิ ไอ้เรารึก็อุตส่าห์รีบวิ่งมากินข้าวเที่ยงถึงนี่ทั้งที่ปกติจะสั่งข้าวไปกินที่ร้าน แต่ช่วงวันเสาร์แบบนี้ไอ้เฟิงคงไม่ได้มานั่งกินด้วยกันแน่ๆเพราะคนเยอะอย่างกับปลวก น้องปราณเลยเป็นฝ่ายเดินไปกินข้าวที่ร้าน รอคิวตั้งนานกว่าจะได้เข้าไปนั่งไม่รู้ลูกค้าคนอื่นแม่งจะกินอะไรนักหนา  แล้วลูกค้าส่วนมากก็ผู้หญิงทั้งนั้น นี่หล่อนไม่กลัวอ้วนกันแล้วเรอะ

          พอมาถึงแล้วได้เข้าไปนั่งก็ได้รับการบริการที่แสนดีจากแฟน ไอ้เฟิงที่วิ่งเสิร์ฟอาหารไปมาจนหัวหมุนพอเห็นน้องปราณเข้ามานั่งก็รีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับแก้วน้ำ เซอร์วิสประทับใจจนอยากจะโดดหอมแก้ม...

          กึก

         “เอ้า อยากกินไรเดินไปตัก บริการตัวเองนะมึง” พูดจบก็เดินไปรับออเดอร์สาวๆต่อ พอก้มมองฝนแก้วก็อยากจะสบถออกมาเป็นภาษาเกาหลีผสมรัซเซีย “ไอ้เหี้ยเฟิง!” มึงเอาแก้วเปล่ามาให้กูทำไม อย่างน้อยตักน้ำแข็งใส่มาให้บ้างก็ไม่ได้ ไอ้ตาเม็ดก๋วยจี๋!

         ว่าแต่ที่น้องปราณสบถออกไปเมื่อกี้มันไม่ใช่ภาษาเกาหลีนี่นา อุ๊บส์

         หลังจากที่นั่งกินข้าวไปดูคนอื่นเต๊าะแฟนตัวเองไป ในที่สุดปราณก็ได้ฤกษ์วางช้อน ไม่รู้จะถ่วงเวลากินข้าวยังไงให้นานกว่านี้แล้ว เคี้ยวช้ากว่านี้คือเคี้ยวเอื้องละ

        “อิ่มแล้วเหรอมึง” เสียงทุ้มของหนุ่มตี๋ลูกชายร้านขายข้าวแกงดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินมาเก็บจานไปอย่างรวดเร็ว นี่ล่ะ ไม่มีหรอกจะมาพูดคงพูดครับกับเขา โน่น คำสุภาพของมันมีไว้ให้สาวๆนู่น กับแฟนนี่พูดกันทีนึกว่าท้าต่อย  เฟิงมองหน้าปราณนิ่งๆจนคนถูกมองชักใจไม่ดี รีบก้มหน้างุด แก้มนิ่มๆก็ซับสีแดงระเรื่อ “ม...มองหน้ากูทำไม”

         พอได้ยินแบบนี้เฟิงก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “ทำไมเขินเหรอ หึ เขินซะหน้าดำเชียวมึง”

        โอ๊ย เกลียดดด เกลียดมากเวลามีใครมาล้อว่าดำเนี่ย

        “ผิวแทน ตัวเล็ก สเป็คฝรั่ง”

        “หึ ที่ว่ามานั่นมันผู้หญิงเหอะว่ะ อย่างมึงอ่ะ เตี้ยแถมยังแบน ไม่ใช่สเป็คฝรั่งหรอก”

         ปราณแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย นึกอยากโดดถีบขาคู่มันยิ่งนักแต่นี่เป็นในร้านอาหารที่ลูกค้า(สาวๆซึ่งเป็นแม่ยกไอ้เฟิง)เยอะ  มันคงจะไม่ดีหากน้องปราณจะมาฟ้อนเล็บตรงนี้

         ชิ วันนี้แพ้ไป กูถอยทัพก่อนก็ได้วะ

        น้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้งอนจนปากเล็กๆเบะคว่ำ ยิ่งเจ้าตัวโกรธมากเท่าไหร่ไอ้คนแกล้งก็ดูจะอารมณ์ดีมากเท่านั้น คนตัวเล็กที่ปราชัยไปในครั้งนี้เลยได้แต่กระทืบเท้าออกจากร้าน

       “ไอ้ปราณ”

       “อะไร”

        บอกไว้ก่อนว่าถ้าจะง้อกูต้องมาพร้อมของเซ่นไหว้  ขนมห้าชนิดเป็นอย่างต่ำ

       “อย่ามาเนียนแดกฟรี จ่ายตังค์มา”

        ไอ้ตี่เต่าถุย!

        ลูกค้าในร้านที่ได้ยินพากันหัวเราะคิกคักมองตามปราณที่เดินหน้างอมาจ่ายเงิน อายก็อาย  น้อยใจก็น้อยใจ ทำไมไอ้เฟิงทำเหมือนเขาเป็นตัวตลกแบบนี้วะ

         “เอ้านี่ เอาไปเลย” ยัดค่าข้าวใส่มืออีกฝ่ายด้วยอารมณ์หงุดหงิดขั้นสุด  นี่แหละ ถึงได้บอกว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ถึงจะบอกว่าคบกันแล้ว เป็นแฟนกันแล้ว แต่ปราณก็แทบจะไม่เคยได้ยินคำบอกรักจากเฟิงอีกเลย ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม  เจอหน้ากันก็กัดกันแทบจะไม่เว้น  แถมเดี๋ยวนี้มันยิ่งผยอง รู้ว่าเขารักก็ชักเอาใหญ่ แหย่ได้แหย่ดี แถมยังทำตัวเหมือนโสดอีก ไปยิ้มให้คนอื่นทำไม  ไปทำตัวน่ารักใส่คนอื่นทำไม แล้วทีพอเขายิ้มให้ลูกค้าบ้าง พูดจ๊ะๆจ๋าๆกับคนอื่นบ้างก็มาทำเป็นหึง

          คิดว่าหึงเป็นอยู่คนเดียวหรือไงวะ

          ทำแบบนี้มันเหมือนกับว่าเขาเป็นของมันแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไง  ในขณะที่เฟิง...เหมือนไม่ใช่ของเขาเลย

          “ไอ้ปราณ” เสียงเฟิงทำให้คนที่กำลังจะก้าวพ้นประตูร้านออกไปชะงักอีกครั้ง หันมาพร้อมกับขมวดคิ้ว คราวนี้อะไรอีกล่ะ
ร่างสูงของเด็กหนุ่มเชื้อจีนก้าวมาประชิดก่อนคนตัวสูงจะโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู
 
         “ถึงมึงจะไม่ใช่สเป็คฝรั่งแต่มึงก็สเป็คกูนะ”

         “พ่อมึงสิ”

         ด่าจบก็เดินหนีออกมา หน้าร้อนวูบๆไม่หยุด อยากจะโกรธมันให้นานอยู่หรอกแต่ไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นว่าตัวเองมากลั้นยิ้มจนปวดแก้มแบบนี้

         เพราะมันเป็นคนแบบนี้ไงถึงไม่เคยโกรธมันได้นานเลย

         พอเดินกลับมาถึงที่ร้านขายดอกไม้ปราณก็เห็นพี่ชายสุดหล่อของตัวเองยืนคุยกับแม่อยู่ เด็กหนุ่มยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ ถลาไปหาพี่ชายที่เป็นนายแบบสุดหล่อ

         “พี่เดือนจ๊ะ”

         “อ้าวน้องปราณ มาพอดีเลย” พี่เดือนหันมายิ้มให้เขาก่อนจะพูดว่า “ใกล้งานประจำปีอีกแล้ว พี่เลยมาขอให้วงน้องปราณขึ้นแสดงอีกได้ไหม”

         “ได้แน่นอนจ้ะ”

        “แต่ปีนี้ไม่ต้องสั้นมากก็ได้นะ”

         พี่เดือนส่งยิ้มเจื่อนๆมาให้  หน้าซีดๆเหมือนคนกลัวอะไรสักอย่าง  ปราณที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกือบทำพี่ชายสุดหล่อโดนปังตอเฉาะหัวขยิบตาให้แบบน่ารัก “ไม่สั้นแต่น้องแซ่บนะจ๊ะ”

         เดือนหัวเราะฝืดๆ

         ปีนี้ก็มีแววปังตอลอยอีกแล้วเหรอวะ

         หลังจากคุยธุระกับพี่เดือนเสร็จปราณก็ส่งไลน์ไปบอกเฟิงว่าตัวเองตอบรับงานร้องเพลงวันงานตลาดอีกแล้ว และแน่นอนว่าเฟิงก็รีบส่งไลน์มาคัดค้าน แต่ก็นั่นแหละ ช้าไปอยู่ดี  แต่มีหรือว่าไอ้เฟิงจะยอมหยุดแค่ส่งไลน์มาห้าม  ช่วงประมาณบ่ายสองที่ร้านไม่ค่อยมีคนแล้วหนุ่มตี๋ก็ปลีกตัวจากร้านมาหาถึงถิ่น

         แถมมาเจอตอนแฟนตัวเล็กของตัวเองกำลังยิ้มหวานให้ลูกค้าอีกด้วย

         เฟิงขมวดคิ้วฉับมองลูกค้าหนุ่มที่ยืนยิ้มโง่อยู่หน้าร้านดอกไม้ มองพ่อค้าตัวเล็กพูดเสียงหวานตอบคำ เห็นแล้วก็อยากจะควงปังตอใส่  หลังจากลูกค้าออกไปแล้วเฟิงก็เดินหน้ายุ่งเข้าไปหา

         “อ้าว ว่างแล้วเหรอ”

        “มึงยิ้มให้ลูกค้าทำไม”

        “อะไรวะ?”

         ใบหน้าหวานฉายแววงุนงงสุดขีด เฟิงถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ไม่ชอบเลยเวลาปราณไปจ๊ะๆจ๋าๆกับคนอื่น ไม่รู้หรือไงว่าแบบนั้นมันน่ารักมาก...ทำให้หวงมาก

         ทั้งหวงทั้งห่วงแล้วก็หึงด้วยเวลาไปยิ้มให้คนอื่น
   
         “ทีมึงยังยิ้มให้ผู้หญิงได้เลย”

         “ก็นั่นลูกค้า”

         “นี่ก็ลูกค้า”

        “ไม่เหมือนกันสักหน่อย”

        “ตรงไหน”

        พอเสียงใสเริ่มแข็งก็เป็นสัญญาณว่าอาจจะมีการวางมวยอีกรอบ   เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ เขาไม่ได้จะมาทะเลาะกับอีกฝ่ายสักหน่อย

        “เรื่องที่จะขึ้นร้องเพลง ปฏิเสธได้ไหม”

        “ไม่ได้”

        “ทำไม” เสียงเขาก็เริ่มห้วนบ้างแล้ว

        “กูอยากทำ”

        แค่คำนั้นแหละที่ทำให้ความอดทนเฟิงสิ้นสุด

       “อ้อ มึงชอบเหรอ ออกไปยืนส่ายสะโพก ร่อนเอวให้ผู้ชายดูนี่ชอบนักใช่ไหม”

        “ไอ้เฟิง!”

         “ทำไมมึงไมเข้าใจกูบ้างวะ ว่ากูหวง กูไม่อยากให้มึงทำ” ไม่อยากให้ออกไปยิ้มให้ใคร ไม่อยากให้ออกไปทำตัวน่ารักกับคนอื่น ปราณไปรู้หรอกว่างานตลาดสดปีที่แล้วเขาร้อนใจและก็อึดอัดมากแค่ไหน  เห็นใครต่อใครมองที่มัน ได้ยินใครต่อใครพูดถึงมันในแง่ลามกก็โกรธจนแทบจะชกคนพูดให้ปากแตกกันไปข้าง

          ไม่ชอบ

         หวง ห่วง หึง

         อยากให้มันยิ้มให้เขา...ทำตัวน่ารักกับเขา...เป็นของเขาคนเดียว

         เขารักมันมากเกินกว่าที่มันจะรู้ รักมากก็ห่วงมาก...แต่ไอ้ปราณก็ไม่รู้

         “แต่กูอยากทำ...กูไม่ได้นอกใจมึงสักหน่อย ก็แค่ขึ้นไปร้องเพลงเอง”

         เฟิงจ้องตาปราณนิ่งซึ่งอีกฝ่ายก็จ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ สุดท้ายเขาก็เบือนหน้าหนี แล้วเดินกลับร้าน ไม่ได้พูดอะไรแต่รู้อยู่แล้วว่าการเจรจาวันนี้ล้มเหลว

         พอมาถึงร้านเด็กหนุ่มก็ขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ทะเลาะกันอีกแล้ว ไม่ชอบเลย...เขาไม่ได้อยากจะให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้เสียหน่อย


         คบกับเฟิงแล้วต่างจากก่อนหน้านี้ตรงไหน...มันไม่มีอะไรเปลี่ยน

          พวกเขาก็ยังเป็นแบบเดิม  ทะเลาะกันทุกวัน แล้วก็ดีกัน ทะเลาะกันใหม่ วนไปวนมา

          แต่ก็มีความสุข...

          ปราณไม่เคยสงสัยในความรู้สึกตัวเอง แต่ที่เขาสงสัยคือความรู้สึกของเฟิง

         มันรักเขาจริงหรือเปล่านะ...

         “อ้าวปราณ มาแล้วเหรอ เข้ามาสิๆ อยากกินไรบอก เดี๋ยวเฮียทำให้” ปราณยิ้มให้ชายหนุ่มร่างสูงที่สวมเสื้อกล้ามอวดมัดกล้ามกับผิวขาวตามประสาลูกเชื้อจีน  ดวงตาตี่และโครงหน้าที่คล้ายกับเฟิงทำให้ปราณรู้สึกสนิทใจกับพี่ชายของเฟิงได้ง่ายมาก พี่ฟาก็ใจดีกับปราณมากๆด้วย

         “อยากกินมัสหมั่นไก่ ไข่เจียว แล้วก็แกงจืดจ้ะเฮีย”

        “ได้เลย นั่งก่อนๆ เอ้าโค้กไหม”

        “เอาจ้ะ”

        พี่ชายตัวโตจัดแจงหยิบขวดน้ำอัดลมกับแก้วใส่น้ำแข็งมาวางให้เสร็จสรรพ ผิดกับหนก่อนที่คนน้องมันวางมาให้แค่แก้วเปล่า คิดแล้วก็โมโหไม่หาย

         “แล้วนี่เฟิงไปไหนอ่ะจ๊ะ”

        “อ้อ สอนพิเศษเด็กม.ต้นอยู่แน่ะ”
       
        ว่าพลางบุ้ยใบ้ไปยังด้านหลังร้านที่มีโต๊ะกลมวางอยู่  ปราณชะเง้อมองก็เห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสืออยู่ โดยมีเฟิงคอยชี้แล้วก็อธิบายเนื้อหาไปด้วย

          “ทำไมมาให้เฟิงสอนล่ะจ๊ะ”

         “อ้อ เป็นลูกสาวคนรู้จักป๊าน่ะ  เขาฝากมา ไอ้เฟิงมันเก่งคณิตไงเขาเลยขอให้ช่วยสอน”

          “จ้ะ”

          ปราณรับคำ ทั้งที่ในอกมันวูบโหวงไปหมด  ไม่ได้อยากตีตนไปก่อนไข้แต่มันก็อดคิดไม่ได้  เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ดูน่ารักมากด้วย  ผิวขาว  ตากลม จมูกโด่ง ตัวเล็ก สเป็คไอ้เฟิงมันเลยล่ะ ก่อนหน้านั้นปราณก็เห็นมันคบแต่กับผู้หญิงแบบนี้  เขาแค่รู้สึกหวั่นใจ  สอนพิเศษ เจอหน้ากันสองต่อสอง ไอ้เฟิงมันจะหวั่นไหวหรือเปล่านะ

         ดวงตากลมจับจ้องมองร่างคนสองคนที่หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน

         อ่า...ไม่เอาสิ อย่าหงุดหงิดสิปราณ อย่ากลายเป็นคนขี้หึงไม่มีเหตุผล

         อย่า...

        ไอ้โง่เฟิง...มาบอกว่าไม่ให้กูยิ้มกับลูกค้า แต่ตัวมึงก็ยิ้มเรี่ยราดไปทั่ว

        มึงห้ามกูทุกอย่าง แต่มึงก็ทำทุกอย่างที่มึงห้ามกู

        กูอยู่ในกรง มึงมีอิสระ ไม่เห็นจะยุติธรรมเลย

        “เชี่ย” ปราณพึมพำ ปาดหยดน้ำใสๆที่คลอตรงหัวตาออก

        ทำไมถึงได้อยากร้องไห้มากขนาดนี้นะ

        วันต่อมาปราณที่เมินคำบอกของเฟิงก็หอบเอารายการเพลงมาหาพี่เดือนแล้วก็แจกแจงว่าจะแสดงเพลงอะไรบ้าง 

        “ก็มีประมาณนี้แหะจ้ะพี่เดือน ส่วนชุดปราณเลือกแล้ว ไม่สั้นมากรับรอบ ใสๆจ้ะ”

        “คร้าบ ปีนี้ก็ฝากด้วยนะ”

        “น้องปราณ พี่เดือน กินผลไม้ก่อนสิ”

        เสียงนุ่มของพี่ดินดังขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มผมดำจะเดินถือจานใส่ผลไม้เข้ามาข้างๆมีเด็กน้อยต้นข้าวเดินเตาะแตะมาด้วย  “อาปานนน”

        “ว่าไงน้องข้าว ไหน มาให้อาปราณหอมหน่อยเร็ว”

       ปราณอมยิ้มระหว่างอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาฟัดแก้มนุ่มสายคว้า ตอนแรกที่เห็นเจ้าตัวเล็กนี่ครั้งแรกปราณยังตกใจแทบตายนึกว่าพี่เดือนไปทำดาราสาวท้องจริงอย่างข่าวว่าแต่พอรู้ความจริงก็รู้สึกนับถือน้ำใจคนคู่นี้ขึ้นอีกมากโข  จะมีสักกี่คนที่ยอมรับลูกของคนที่ทำร้ายเรามาดูแล้วก็รักประหนึ่งลูกแท้ๆของตัวเองแบบนี้

       พอมองภาพคนสองคนที่ยิ้มให้กัน  รักกันและมีครอบครัวเป็นของตัวเองแบบนี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มอดคิดไพล่ไปถึงตัวเองกับคนรักไม่ได้

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 30-04-2016 21:29:52
       ในอนาคตเขากับเฟิงจะมีโอกาสได้เป็นแบบนี้บ้างไหมนะ

       “เอ้อ ปราณแล้วเรื่องขอให้ขึ้นร้องเพลงนี่โอเคนะ ไม่มีปัญหาใช่ไหม”

       “ใช่จ้ะ  ขอโทษนะจ๊ะทีสองปีที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยเลย” เพราะเขาอยู่ในช่วงม.หก ต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบก็เลยเว้นไป
จากนั้นพอเข้าปีหนึ่งก็มัวแต่วุ่นวายกับชีวิตเฟรชชี่ ช่วงแรกๆเลยทุลักทุเลอยู่บ้าง พอมาตอนนี้อะไรๆเริ่มเข้าที่เข้าทางก็เลยพร้อมรับงานอีกครั้ง

        “แล้วไหนชุด มีรูปไหม พี่ขอดูได้หรือเปล่า”

        “ได้จ้ะ รอแป็ปนะจ๊ะ”

        ปราณวางเจ้าตัวเล็กลงบนโซฟาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจะเปิดรูปที่เซฟไว้ให้พี่ๆดู แต่แล้วดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นข้อความไลน์เพื่อนคนสนิทส่งมาให้ดู  มันเป็นรูปเสื้อผ้าของเขา...ทั้งชุดกางเกงขาสั้นตัวโปรด เสื้อยืดสกรีนลายที่เซ็กซี่นิดๆ ทั้งหมดนั่น...ถูกเผาจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม!

        แต่เจ็บใดก็ไม่เท่าประโยคสั้นๆที่เพื่อนพิมพ์ตบท้ายมา

        ‘ไอ้เฟิงทำ กูไปเจอตอนมันเผาพอดีเลย ขอโทษที่กู้ชีพชุดมึงมาได้เท่านี้’

       “แม่งงงง”

      “เฮ้ย เป็นอะไร”

      เดือนสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆน้องชายคนน่ารักหวีดร้องสุดเสียงประหนึ่งโดนพี่เข้า “พี่เดือน พี่ดิน ปราณกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ” ร่างเล็กที่สั่นระริกด้วยความโกรธลุกขึ้นยืนหน้าตาถมึงทึง ก่อนจะไหว้ลาพี่ๆแล้วรีบเดินออกไปทันที

      ไอ้เฟิง มึงกับกูได้เห็นดีกัน กร๊าซซซ!

      ทางด้านเดือนที่ยังคงนั่งงงกับท่าทางแปลกๆของเด็กหนุ่มผิวแทนก็ขมวดคิ้ว จิ้มแอปเปิ้ลเข้าปากระหว่างเปรยให้คนรักที่นั่งพิงไหล่เขาอยู่ได้ยิน

       “เอายันต์มาติดในบ้านดีไหม”

       “ฮะ? เป็นอะไรครับพี่เดือน ร้อนจนประสาทกลับเหรอ”

       “เปล่า ช่างเถอะ แล้วตะกี้ปราณเป็นอะไรน่ะ”
   
      ดินอมยิ้ม หัวเราะคิกออกมา ตอบทีเล่นทีจริง “ปางพิฆาตปังตอกำลังลงน่ะครับ”
   
       ทันทีที่ที่ออกจากบ้านสวนของเดือนกับดินปราณก็ไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้านแต่เขาตรงไปที่ร้านอาหารของเฟิงทันที บ่ายๆแบบนี้ไม่ค่อยมีคน ดีเลย จะได้อาละวาดได้เต็มที่ หลังสอบถามกับเฮียฟาปราณก็ยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
   
       ไอ้ตาขีดเดียวนั่น...มันเผาเสื้อผ้าเขาแล้วก็กลับมาสอนพิเศษเด็กม.ต้นแบบสบายใจเฉิบเนี่ยนะ!
   
       ยิ่งพอเปิดประตูออกไปเจอหนุ่มตี๋ร้านข้าวแกงกำลังหยอกล้ออยู่กับแม่สาวน้อยผมติ่งก็ยิ่งโมโหจนอยากจะหาอะไรมาแหกตาตี่ๆนั่นจริงๆ
   
        ความสำนึกเสียใจมึงอยู่ไหนฮะ!
   
        “อ้าว ว่าไงมึง”
   
       “ว่าไงพ่อมึงสิ!”
   
        พอเห็นเขาเสียงดังเด็กหญิงคนนั้นก็สะดุ้ง มองเขากับเฟิงสลับกันก่อนจะหันไปขมวดคิ้วใส่เฟิง ดูไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ “นี่ใครคะพี่เฟิง”
   
        “แฟน”
   
        “อะไรนะคะ”
   
        “บอกว่ากูเป็นแฟนมันไง หูตึงเหรอ” ปราณเดินเข้าไปดึงมือเด็กหญิงคนนั้นออกจากแขนเฟิงแบบไม่เบามือนัก “ปราณ เบามือหน่อย นั่นเด็กผู้หญิงนะ”

        “กูก็ไม่ได้จับแรง”

       “ช่างเถอะ”  พอเห็นสถานการณ์ชักไม่สู้ดีเฟิงก็หันไปบอกให้เด็กหญิงเก็บของกลับบ้านไปก่อนซึ่งเธอก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี  พอคนนอกออกไปแล้วปราณที่ทั้งโกรธทังน้องใจก็หันไปทำปากคว่ำใส่เฟิง

       “มึงเผาเสื้อกู”

       “ก็กูไม่อยากให้มึงใส่”

       “กูเป็นผู้ชาย มันก็ไม่ได้เสียหาย”

       “เพราะเป็นมึงไงมันถึงเสียหาย!”

       “ตรงไหนวะ มันเสียหายตรงไหน  ตรงที่กูขาใหญ่เป็นขาหมูแบบที่มึงชอบล้อ หรือเพราะกูไม่มีหน้าอก หรือเพราะตัวกูเตี้ยแถมยังอ้วนเป็นโอ่ง ใส่ไปก็ไม่น่ารัก ไม่เหมือนพวกผู้หญิงที่มึงชอบ!”

        “ไม่ใช่แล้ว มึงพาลโยงนู่นโยงนี่มั่วแล้วนะ”

        ปราณรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกที่คอหอย รู้สึกตื้อๆเหมือนกำลังจะร้องไห้ พวกเขาทะเลาะกันบ่อยก็จริงแต่ส่วนมากก็แค่กัดกันเบาๆ มีไม่กี่ครั้งที่ทะเลาะกันรุนแรงจนเขาร้องไห้

        แต่ครั้งนี้เฟิงทำเกินไปจริงๆ

        “ทำไมวะเฟิง” เขาพูด น้ำเสียงสั่นเครือ

        “ทำไมพอเราคบกันแล้วอะไรมันถึงไม่เปลี่ยนไปเลย มึงก็ยังเป็นมึง ใจดีกับทุกคน ทำเหมือนคนที่ยังไม่มีแฟน ในขณะที่กูกลับหัวหมุน โมโห หึง รู้สึกงี่เง่าทุกครั้งที่น้อยใจแล้วก็โกรธที่เห็นมึงยิ้มให้คนอื่น มึงใจดีกับทุกคนยกเว้นกู มึงพูดดีกับทุกคนยกเว้นกู มึงทำดีกับทุกคนยกเว้นกู มึงห้ามนู่นห้ามนี่กูเต็มไปหมดแต่กูกลับไปเคยห้ามมึงได้เลย...มึงหึง กูก็หึง มึงหวง กูก็หวงมึงมากเหมือนกัน แต่มีแต่กูที่ถูกทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในขณะที่กูรู้สึก...ว่ามึงไม่ใช่ของกู”

         “ตกลงมึงรักกูจริงๆใช่ไหมวะ...ทำไมกูรู้สึกว่าคำว่ารักของมึงเบายิ่งกว่าอากาศเสียอีก”

         ความทรมานใจที่กัดกินคือความไม่ชัดเจน เฟิงไม่เคยทำให้ปราณแน่ใจเลยว่าพวกเขาเป็นแฟนกันจริงๆ เขาไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกกับเขามากแค่ไหน

         “ปราณ...กู...ขอโทษ”

        “ไอ้โง่ กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษ”

        เด็กหนุ่มตัวเล็กสะอื้นฮัก  น้ำตาไหลนองหน้า เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแบบลวกๆก่อนจะเดินหนีออกไป ก่อนไปยังหันมาชูนิ้วกลางใส่แฟนเฮงซวยอีกหนึ่งที

        “ถ้ากูไม่รักมึง...มันก็คงจะดีหรอก”


        “เอาล่ะ  วันนี้เราจะแสดงทั้งหมดห้าเพลงนะ  มีปราณร้องนำสามเพลง  เราซ้อมกันมาเยอะแล้ว ทำให้เต็มที่นะทุกคน”  เสียงรับคำดังมาจากแดนเซอร์ที่เป็นรุ่นน้อง ตอนนี้ทุกคนแต่งหน้าทำผมกันเรียบร้อยพร้อมขึ้นแสดง

         “ไอ้ปราณ” เด็กหนุ่มนักร้องนำเงยหน้าขึ้นอย่างซึมๆตามเสียงเรียกของเพื่อนสาวที่มายืนเท้าเอวค้ำหัวอยู่ “เป็นอะไรมึง ทำหน้าเหมือนคนอกหัก”

         “อืม”

        “เฮ้ย เอาจริงดิ!? เลิกกับเฟิงแล้ว?”

        “ยัง...แต่ทะเลาะกัน”

        พอมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ดูไม่สดใสเหมือนเคยเธอก็ได้แต่ถอนหายใจ  ลูบเส้นผมนิ่มเบาๆ “โอ๋ๆนะ นี่ไง วันนี้มึงก็ปล่อยให้เต็มที่เลย ร้องให้มันสุด!”

        “ได้เลย”

        ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เสียงนี้เหี่ยวเป็นผักชีเฉาเชียวไอ้ปราณเอ๊ย

        “เอาเถอะ มึงรีบเรียกสติกลับมาไวๆแล้วกัน ฮึบ!”

        ตบหลังตบไหล่ปลอบใจก่อนเดินไปรุ่นน้อง ปราณที่นั่งอยู่คนเดียวก็ได้แต่ทอดถอนใจ  ครั้งนี้พวกเขาทะเลาะกันหนักมาก หลังจากทะเลาะกันก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย  มีแต่เฟิงที่ยังให้เฮียฟาเอาข้าวเอาน้ำมาให้ปราณกินตอนกลางวันเหมือนเดิม

        พอไม่มีคนมาเถียงด้วยแล้วก็เหงาหูเหงาปากพิกล...

        อยากเจอ...คิดถึง...ทำยังไงดี

        แปะ

       คนตัวเล็กใช้สองมือตบหน้าตัวเองเบาๆเรียกสติ วันนี้เขาต้องทำให้เต็มที่สิ ทะเลาะกันแค่นี้เอง...จบงานนี้แล้วเขาจะไปเคลียร์กับมัน

        เด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนเวที ยิ้มกว้างให้กับผู้ชมด้านล่างพลางกวาดสายตาไปทั่ว จนไปสะดุดกับคนคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ด้วยกัน...
เฟิงกับเด็กม.ต้นคนนั้นยืนอยู่ด้วยกัน โดยที่เด็กคนนั้นคล้องแขนของมันไว้ ส่วนมันยืนล้วงกระเป๋ากางเกงจ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย เดาไม่ออกมาว่าคิดอะไรอยู่

        หมายความว่ายังไง ที่ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง

       เสียงดนตรีจังหวะสนุกสนานดังขึ้นมาหากแต่ตอนนี้ใจของนักร้องนำกลับไปสนุกตาม กลับกันมันกลับรู้สึกหน่วงๆชาๆ

       นี่คือคำตอบของมึงใช่ไหมไอ้เฟิง...

       ปราณกล้ำกลืนความเสียใจ ก่อนจะยกไมโครโฟนขึ้นร้องเพลง


       สุริยา เลื่อนลาลับสุด คณานับ เนิ่นนานปี

       ณ ริมฝั่ง มหานที พระรถเมรี ร่ำรี้ร่ำไร

       สำเนียงน้อง ร่ำร้องว่า โอ้โอ๋กรรมมา แต่ปางไหน

       อยู่หลัดหลัดล่ะก็มาพลัดพรากไป



       เดี๋ยวนะ! ใครเลือกเพลงนี้ ทำไมมันตรงกับชีวิตกู นี่กูโคฟเวอร์เป็นเมรีแล้วไอ้เฟิงเป็นพระรถอยู่หรือเปล่าวะ


       แม่พวงมาลัย กลุ้มอุรา เคยถนอม หอมระรื่น จากไปเป็นอื่น เสียแล้วหนา

       เมรีหมดหวังล่ะก็มานั่งโศกา ฟูมฟายน้ำตา หลั่งไหลนอง โฉมยุพิน

      ปิ่นนารี ทุบอกชกตี ปากร่ำร้อง ว่าภัสดาไม่หันหน้ามามอง รักหลุดลอยละล่อง

      ลอยไป....



      เออ ลอยไปแล้วนั่นไง โดนเด็กม.ต้นคาบไปกินแล้วนั่นไง แม่งเอ๊ย

      เมื่อวานยังรักกันดีอยู่แท้ๆ...หรือมีแค่เขากันนะที่รักมัน

      ให้ตาย ทำไมความรักมันเข้าใจยากแบบนี้วะ


      พระรถตอบถ้อย เจ้าอย่าน้อยใจนัก เมรีเป็นยักษ์ จักอยู่ไฉน

      พี่เป็นมนุษย์ หรือจะมาฉุดดวงใจ น้องจงกลับไป เสียเถิดนาง

      แม่ขวัญตา แทบอาสัญ ใจรักมั่น ไม่จืดจาง เศร้าโศกโศกา ไม่วายวาง หมดหนทาง จะติดตาม

      ด้วยทะเล กั้นขวางหน้า หมดปัญญา แม่นงราม กู่ตะโกน จนก้องน้ำ บาปเวรหรือกรรม เล่าจอมใจ

      แม้นพี่ไม่กลับ...

   
      “แม้นพี่ไม่กลับ...ฮึก...”
 
     แย่แล้ว จะร้องไห้ไม่ได้นะ...
   
      ถึงจะพูดแบบนั้นแต่หยดน้ำใสก็เอ่อคลอมาบังทุกสิ่ง ปราณรีบก้มหน้าแต่น้ำเสียงสั่นเครือก็แย่จนไม่อาจร้องเพลงต่อได้


      มารับขวัญ ขอถวายชีวัน ไม่หวั่นไหว นางก็พลัน กลั้นใจตาย น่าเห็นใจ แม่นงเยาว์

      รักเขาข้างเดียว ข้าวเหนียวนึ่ง  น้ำท่วมไม่ถึง อับอายเขา

 
      ใช่...กูรักมึงข้างเดียวมาตลอด

      ไม่ส่องกระจกล่ะชะโงกดูเงา ว่าตัวของเรา ต้องเจียมตน

      แล้วกูก็ต้องเจียมตัวใช่ไหม...ว่ากู...
     
      “ร้องไห้ทำไม” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู น้ำเสียงจากคนที่ไม่คิดว่าจะมายืนตรงนี้ ปราณเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าทั้งแดนเซอร์และนักดนตรีก็หยุดแสดงไปหมดแล้ว  เฟิงถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน เด็กหนุ่มหยิบไมโครโฟนมาจากมือบางก่อนจะพูดว่า

       “วันนี้นักร้องนำของเราไม่สบาย จิตใจไม่ปรกติ ขอตัวพาไปรักษาก่อนนะครับ แต่ทุกท่านจะยังรับชมความสนุกต่อได้นะครับ” ว่าจบก็ส่งไมค์ให้เพื่อนของปราณที่รีบวิ่งออกมารับช่วงต่อ จากนั้นการแสดงดำเนินต่อไป

       ทางด้านคนตัวเล็กพอถูกดึงลงจากเวทีน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลทะลักราวกับทำนบพัง  ทำเอาหนุ่มตี๋ควานหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดแทบไม่ทัน

       “ใจเย็น อย่าร้องไห้เยอะสิ เดี๋ยวหายใจไม่ออกนะ”

       “ฮึก...มัน...มันเพราะ..ใคร..อึก...ไอ้เหี้ย!”

       “โอเค เพราะกูเอง กูขอโทษ”

       “กูไม่ยกโทษให้ จะมาบอกเลิกกูใช่ไหมล่ะ ฮึก..ถ้าจะไป..อึก..ก็ไม่ต้องมาบอกลา!”

         อย่ามาทำเหมือนกูเป็นคนน่าสมเพช

         ตุบ

        ร่างเล็กที่กำลังร้องไห้ถูกผลักให้นั่งลงบนพื้นก่อนที่เฟิงจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “ใครว่ากูจะมาเลิกกับมึง”

        “ก็มึงมากับเด็กนั่น”

        “บังเอิญเจอกันต่างหาก”

       “มึงปล่อยให้เขาเกาะแขน!”

        “ขอโทษ...แต่ตอนนั้นกูไม่ได้สนใจ...กูมัวแต่มองมึง กูมัวแต่คิดว่ากูจะขอโทษมึงยังไงดี ทั้งหมดนี่ ที่เราทะเลาะกัน มันเป็นความผิดกูเอง กูขอโทษนะปราณ”

       “ไม่..ต้อง..ฮือ...ไม่ต้องมาเรียก”

        ปลายนิ้วปาดหยดน้ำตาออกให้ ไม่ได้นุ่มนวลเหมือนในละครแต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เฟิงดึงร่างเล็กให้ซบลงมาที่อก ปราณร้องไห้ไม่หยุด ขดตัวจนเป็นก้อนกลมๆไม่มองหน้าเขาแต่ก็ปล่อยให้เขาลูบหลังลูบไหล่

        “กูขอโทษที่ไม่คิดถึงใจมึง ขอโทษที่งี่เง่า ขอโทษที่เผาเสื้อมึง เดี๋ยวซื้อคืนให้หมดเลย...แต่ไม่เอาสั้นแบบนั้นแหละนะ กูหวง กูขอโทษที่ยิ้มให้คนอื่นไปทั่วแต่มันก็เป็นงาน กูจะไม่ห้ามมึงยิ้มให้คนอื่นแล้ว แต่สัญญานะว่ายิ้มที่น่ารักที่สุดของมึงต้องเป็นของกู” เขาพูดไปเรื่อยๆ ไม่มีบทพูด ไม่มีของขวัญ ไอ้เฟิงคิดวิธีง้อจนหัวแทบแตกสุดท้ายก็จบลงแบบนี้

        ไม่ชอบเลยเวลาเห็นปราณร้องไห้ ใจมันเจ็บหนึบๆเหมือนจะร้องตามทุกที  ตัวจริงของไอ้เฟิงก็เป็นผู้ชายห่ามๆ ไม่ได้ละเอียดอ่อนหรือน่ารัก ไม่รู้ว่าทะเลาะกันแล้วจะง้อยังไง กังวลไปหมด ทำแบบนี้มันชอบไหม ทำแบบนั้นมันจะโกรธหนักกว่าเดิมหรือเปล่า คิดมากไปหมด

        รักมาก กังวลมาก

        “กูรักมึง...กูรักมึงมากๆ กูหวงมึง ห่วงมึง กูบอกว่ามึงใส่ขาสั้นแล้วเหมือนขาหมูแต่จริงๆแล้วกุไม่อยากให้ใครมองขาอ่อนมึง กูบอกว่ามึงเหมือนโอ่งเพราะกูไม่อยากให้มึงใส่เสื้อรัดๆ  ถึงกูจะบอกว่ามึงอ้วนแต่กูก็อยากให้มึงกินข้าวเยอะๆ กูแถมกับแถมข้าวให้เป็นพิเศษตลอดเลยนะเวลามึงมา  อยากให้กินเยอะๆเพราะมึงผอมจะแย่แล้ว ชอบหน้าตามึงเวลากินข้าวที่ร้านกูด้วย กินตุ้ยๆจนแก้มป่องน่ารักจะตาย  มึงไม่ได้ดำเลยสักนิด กูชอบผิวมึง  กูชอบเวลามึงยิ้ม อยากแกล้งให้มึงงอนเพราะหน้าตาตอนมึงงอนมันน่ารักมากที่สุด กู...กูไม่อยากให้มึงไปจ๊ะๆจ๋าๆกับคนอื่นแต่อยากให้พูดกับกูแค่คนเดียว กูอาจจะไม่ใช่ผู้ชายละเอียดอ่อน กูเป็นคนห่ามๆแล้วก็เผลอแสดงด้านห่ามๆใส่มึงตลอด ขอโทษ...มึงอาจจะเกลียดกู แต่กูจะไม่เลิกกับมึง...กู...”

         “มึงบ่นอะไร”

         เฟิงชะงัก กระพริบตาปริบมองคนรักตัวเล็กค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมา ขยี้ตาแล้วมองหน้าเขา ดวงตากลมยังคลอไปด้วยน้ำตา จมูกรั้นแดงเรื่อ

         “พูดอะไรตั้งยืดยาวฟังไม่ทัน” ปราณสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะขยับไปนั่งตักอีกฝ่าย ยกแขนคล้องรอบคอคนรัก ก้มหน้าลงไปจนหน้าผากชิดกัน จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น

         “บอกมาคำเดียวว่ารักกูมั้ย”

         เฟิงยิ้มยกแขนโอบรอบเอวคนรัก รั้งให้เข้ามาชิดกันมากขึ้น

         “รักสิ รักมาก...ไม่เลิกหรอก ไล่ก็ไม่ไปด้วย กูหน้าด้าน”

         “เออรู้ตัวนี่”

         เด็กหนุ่มเชื้อจีนหัวเราะจะยืดตัวไปจูบปากช่างเจรจานั่นแต่อีกคนก็เอนตัวหนี ปราณซุกจมูกลงกับลำคอคนรัก กดจูบเบาๆก่อนจะ

         งั่ม

         “โอ๊ย มึงเป็นหมาเหรอ กัดกูทำไมเนี่ย!”

          ลูกชายเจ้าของร้านขายดอกไม้ไม่ตอบคำแต่ดึงคอเสื้ออีกฝ่ายให้เปิดกว้างเผยให้เห็นรอยฟันสีแดง พอเห็นแบบนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มอย่างพึงใจ

         “มึงเป็นของกู”

         พอได้ยินดังนั้นเฟิงก็หัวเราะออกมา รั้งคอคนตัวเล็กลงมา คราวนี้ปราณไม่ได้เอนตัวหนี  ยินยอมให้ริมฝีปากร้อนทาบทับลงมา บดเบียด อ่อนหวาน ดื้อดึง

          “อื้อ” ปราณครางประท้วงออกมาเมื่อหายใจไม่ทัน คนตัวโตเลยยอมปล่อยให้ร่างเล็กอ้าปากกอบโกยอากาศหายใจ  เฟิงซุกจมูกลงกับลำคอก่อนจะงับเบาๆเช่นกัน “มึงก็เป็นของกู”

          “ก็เป็นอยู่ตลอดนั่นแหละ”

          “รักมึงนะ”

          “รักมึงเหมือนกัน”

         ความรักของพวกเขาก็เป็นแบบนี้ ตีกันทุกวัน ดีกัน  แล้วก็กลับไปกัดกันใหม่ แต่ที่พวกเขาทั้งคู่รู้คือไม่ว่าจะทะเลาะกันมากแค่ไหนแต่พวกเขาก็ยังคงเป็นของอีกฝ่าย...ยังคงกลับมาบอกรักกันทุกครั้ง เป็นความรักเรียบง่ายที่ไม่ได้อ่อนหวานแต่ก็อบอุ่น และในตอนที่จูบกันอยู่นั้นปราณก็ค้นหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วในที่สุด คบกับเฟิงแล้วต่างจากก่อนหน้านี้ตรงไหน มีอะไรเปลี่ยนไป...จริงๆแล้วก็มีนะ ความรักของพวกเขาไง มันเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน

********************************************

มาแล้วค่าาา คู่ที่ทุกคนรอคอยยย (รึเปล่านะ?) 55555
เป็นคู่รองของคู่รองอีกที บทหายบ่อยมาก โดนคู่เดือนดินกับรันฝนขโมยซีนตลอดดด
แต่พอเขียนคู่นี้เราก็พยายามไม่ให้ดราม่ามากแล้วนะคะ คู่นี้เป็นเด็ก ออกแนวรักใสๆ  :hao7:
เป็นสายฮาด้วย แต่อารมณ์ครึ่งแรกกับครึ่งหลังค่อนข้างขัดกันอยู่ อภัยให้เราด้วยยย แงง
ตอนพิเศษยังเหลืออีกสองตอนนะคะ  คนอ่านคิดถึงเราสามารถตามไปเม้าท์ได้ที่เพจค่ะ
 (เงียบเหงานิดนึงแต่ส่องตลอดนะ 5555) พบกันใหม่ตอนพิเศษหน้านะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า จุ๊บ :mew1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-04-2016 22:28:11
น่ารักทุกคู่เลย แบบว่ามีความน่ารักในแบบของตัวเอง
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-04-2016 23:58:09
ไม่ว่าคู่ไหนก็น่ารัก  :mew1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: rada96 ที่ 01-05-2016 12:04:37
เฟิงขี้แกล้งอ่ะ ทำน้องปราณร้องไห้ด้วย นิสัยไม่ดี นี่แอบร้องไห้ไปกับปราณ
แต่น้องปราณน่ารักมากๆเลยยย คิดถึงพี่เดือน น้องดินจังเลย ฮืลล
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-05-2016 15:51:27
 :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-05-2016 17:37:33
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Mitnai ที่ 04-05-2016 14:51:09
น่ารักมุ้งมิ้งทุกคู่ จบสวยงามปาดน้ำตา
อ่านชื่อเรื่องนึกว่าจะเป็นพวกพีเรียด ชอบชื่อเรื่องมาก ให้ความรู้สึกฟุ้งเฟ้อ55555555555
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ ♥
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 05-05-2016 22:50:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 06-05-2016 00:48:40
ชอบตอนพิเศษทุกตอนเลยยยย :)
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 07-05-2016 22:39:14
รวดเดียวจบ อิ่มจุใจเลยย  o13
โฮ่ อ่านไปลุ้นไปกับความรักของสองคนพี่น้องเขา ในที่สุดก็แฮปปี้  :katai2-1:
 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๓ หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง {๓๐.๔.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 08-05-2016 10:32:01
เขียนสนุกดีค่ะ วางพล็อตได้ดี

เรื่องนี้คนใจร้ายเยอะจัง พี่ทะเล...จับปลาสองมือ วสันต์(น้องฝนของพี่รันนั่นแหละ)...ตอนแรกที่เจอกันก็บีบดินจนเสียขวัญ พี่กัณฐ์...ฮึ่ม นอกใจแล้วยังหน้าด้านมาขอให้ช่วยอีก ชินกร...ตามรอยพ่อดิน ญี่ปุ่น...ตามรอยแม่ดิน

ดีใจที่มีตอนพิเศษของดิน-เดือน ขอกินน้ำตาลแทนมาม่าบ้าง 555

สงสัยๆ เรน่าน่าจะอ่านข้ามไปสักที่ ตอนที่แฟนเก่าดูด้ายแดงให้ดินแล้วบอกว่าเป็นสีดำ ทำไมมันดำอ่ะคะ?
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 08-05-2016 20:12:38
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๔
ความรักสีดำ



            แสงแดดยามสี่โมงเย็นของกลางเดือนเมษาทำให้ดินต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อแดดจ้าแทงทะลุปีกหมวกที่กดต่ำบดบังสายตาเอาไว้  ชายหนุ่มนึกโทษตัวเองที่ไม่ยอมบอกเดือนให้เอารถออกมาส่งทำให้ต้องนั่งรถเมล์แถมยังต้องลงเดินฝ่าแดดตั้งไกลเพราะรถเมล์ดันยางแตกกลางทาง  ชายหนุ่มไม่ได้โบกรถแท็กซี่หรือขึ้นรถเมล์คันใหม่เพราะเห็นว่าใกล้กับสถานที่นัดหมายแล้ว

          วันนี้ชายหนุ่มมีนัด  เป็นนัดที่เขาไม่อยากให้เดือนรู้เลยไม่ได้บอกอะไรไป  ไม่อย่างนั้นเขาคงได้นั่งบีเอ็มตากแอร์เย็นฉ่ำมาแทนรถเมล์ยางแตกแล้ว 

         เพราะว่าเดือนมีงานถ่ายแบบทำให้ชายหนุ่มต้องมาค้างที่คอนโดในกรุงเทพฯอาทิตย์นึง ด้วยความที่ไม่อยากทิ้งลูกเมียไว้ที่บ้านเพราะกลัวคนรักกับลูกชายจะเหงา(ซึ่งนั่นดินยืนยันได้ว่าเดือนคิดไปเอง) นายแบบหนุ่มเลยกระเตงดินกับต้นข้าวมากรุงเทพฯด้วย 
   
          และในวันที่สองดินก็ได้รับโทรศัพท์เรียกให้เขาออกมาพบ
   
         เป็นการนัดหมายแบบ ‘ลับๆ’ ที่ดินตั้งใจว่าเดือนจะไม่มีทางรู้
   
          สถานที่นัดหมายคือร้านอาหารขนาดเล็กที่เขาคนนั้นเป็นเจ้าของร่วมกับคนรัก  ดินเดินเข้าไปในร้านก่อนจะชื่นชมสไตล์การตกแต่งร้านอยู่ในใจ  ผนังปูนเปลือยมีกรอบรูปหลากหลายขนาดแขวนอยู่  ภายในร้านมีทั้งทั้งแบบเป็นนั่งพื้นและเป็นแบบนั่งเก้าอี้ ดนตรีเบาๆเปิดให้บรรยากาศในร้านผ่อนคลาย  ภายในร้านไม่มีคน ก็แหงสิ มันยังไม่ถึงเวลาเปิดเลยนี่นาแต่เพราะคนคนนั้นบอกให้เขาเดินเข้ามาเลยไม่ต้องใส่ใจป้าย ‘close’ ที่หน้าร้าน
   
          “ดิน ทางนี้”
   
           ดินหันไปมองตามเสียงก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งยิ้มกว้างอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด ชายหนุ่มถอนหายใจ  ส่วนจะถามว่าทำไมคนคนนี้ถึงมานั่งเสนอหน้าในนี้ได้ทั้งที่ร้านยังไม่เปิดก็ต้องบอกว่า...เพราะคนคนนี้เป็นเจ้าของร้านน่ะสิ  ดินกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่ง  เลิกคิ้ว
   
          “เรียกผมมามีอะไรครับ”

         “ใจร้ายจริง  เรียกมาคุยแบบไม่ต้องมีอะไรไม่ได้เหรอ”

         ชายหนุ่มผมดำเลิกคิ้วมองร่างสูงที่นั่งยิ้มแบบผ่อนคลายอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้ตอบอะไรไปจนคนหยอกต้องทำท่ายอมแพ้

         “โอเคๆไม่ล้อเล่นแล้ว เฮ้อ ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลยนะ”

         ดินเหยียดยิ้มออกมา ไม่ใส่ใจจะรักษามารยาทกับคนคนนี้อยู่แล้ว

         “ผมว่าเราไม่ได้สนิทกันมากพอจะมาล้อเล่นอะไรแบบนี้ได้นะครับ คุณกัณฐ์”

         กัณฐพันธ์ถอนหายใจออกมา  รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากจะมาเจอหน้าเขานักแต่เป็นเขาเองที่อยากเจอ  จะว่ายังไงดี  มันเหมือนเขาตัดดินไม่ขาดล่ะมั้ง  ทั้งที่เป็นฝ่ายสะบั้นด้ายแดงด้วยตัวเองแต่พอได้พบหน้า ในอกมันก็เกิดความรู้สึกบางเบาขึ้นมา...คล้ายความโหยหาที่สลัดไม่หลุด  เป็นความรู้สึกที่ประทับแน่นในใจและคงไม่มีวันลืมเลือน

         แต่ชายหนุ่มไม่เคยบอกใคร ไม่เคยบอกแม้แต่กับปิ่นฟ้าผู้เป็นหญิงสาวที่เขาตกลงร่วมชีวิต

         เพราะกัณฐพันธ์รู้ว่าความรู้สึกของเขามันเป็นความรู้สึกของคนโลเลหลายใจ

         รักคนหนึ่งแต่ก็ไม่ลืมอีกคนหนึ่ง

         ชายหนุ่มตัดสินใจยิ้มบางให้ดินก่อนจะถามว่าอยากกินข้าวเย็นอะไรไหม ร้านนี้มีกำหนดการเปิดค่อนข้างแปลก ในตอนกลางวันที่นี่จะเป็นร้านอาหารปกติ  เปิดตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงบ่ายสามก่อนจะปิดเพื่อเตรียมของแล้วเปิดใหม่ให้เป็นร้านอาหารกึ่งผับในตอนกลางคืน

         “ไม่ล่ะครับ” ดินส่ายหน้าตอนที่เขาถาม ชายหนุ่มผมดำดูหงุดหงิดแต่ก็พยายามซ่อนความหงุดหงิดเอาไว้ตามประสาคนมารยาทดี  “ผมจะกลับไปกินข้าวพร้อมพี่เดือนกับลูกน่ะครับ” อีกฝ่ายพูดพลางมองที่นาฬิกาข้อมือ “รีบพูดธุระของคุณมาดีกว่า  เขาใกล้เสร็จงานแล้ว เดี๋ยวผมต้องกลับไปทำอาหารอีก”

          “หืม ครอบครัวสุขสันต์จังนะ”

         ไม่ได้ตั้งใจจะรวนแต่คิดแล้วก็อยากแกล้ง  กัณฐ์ไม่ชอบคนรักใหม่ของดินแน่ล่ะว่าอีกฝ่ายก็เกลียดขี้หน้าเขาจะแย่  แต่เหตุผลที่ไม่ชอบหน้ากันน่ะมันต่างกัน  เดือนไม่ชอบเขาเพราะเขาทำดินเสียใจ ส่วนเขาไม่ชอบเดือนเพราะ...อืม...นั่นสินะ

          เพราะ ‘หวงก้าง’ ล่ะมั้ง

          เหมือนกับเห็นว่าของเล่นชิ้นโปรดที่เคยชอบมากตกไปอยู่ในมือคนอื่นที่เห็นค่ากว่าแล้วมันก็อดหงุดหงิดอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้

          แต่เขารู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์นั้นแม้แต่น้อย

          ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด...

          ดินเคยบอกกับเขาว่าอย่ามายุ่งกันอีก อย่ามาให้เห็นหน้า ไม่ต้องมาพบกันเลยจะดีที่สุด เขาเองก็ตกลง แต่สุดท้ายก็อดเป็นห่วงอดีตรุ่นน้องและอดีตคนรักไม่ได้ ดินอยู่ในโลกที่เดือนไม่มีทางเข้าใจ โลกที่มีแต่เขาเท่านั้นที่เข้าใจ...

         ในระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นแสงแดดก็กระทบเข้ากับแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่าย

         “แหวน...ที่นิ้วนางข้างซ้าย?”

         “ครับ แต่งงานแล้ว ถึงจะไม่ได้จดทะเบียนก็เถอะ” ไม่รู้ว่าที่พูดมาประชดหรือเรื่องจริงเพราะน้ำเสียงห้วนตลอดเวลา

         “แต่งกับใคร”

         หลุดปากถามออกไปก็อยากจะตบปากตัวเอง สีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าคำถามของเขามันโง่มากๆ ดินมองเขาด้วยสายตาราวกับมองคนถามว่าถ้าไม่หายใจเราจะตายไหมหรือถามว่าเปิดขวดน้ำต้องหมุนฝาขวดไปทางไหน  คือมันเป็นคำถามที่ไม่น่าถาม

         “ก็ต้องแต่งกับพี่เดือนสิครับ” ถามอะไรโง่ๆ...แน่ล่ะว่าประโยคนี้ดินไม่ได้พูดออกไป เขาไม่ได้มาเพื่อชวนทะเลาะนี่นะ
“เหรอ”

         ชายหนุ่มมองอดีตคนรัก ดินไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนเวลาพูดถึงเดือน

         สีหน้าอ่อนโยนและรักใคร่...รอยยิ้มที่ผุดขึ้นที่ริมฝีปากยามเอ่ยชื่อคนรักชวนให้คิดว่าไอ้หมอนั่นคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก

         “ดิน...น้อง...มีความสุขไหม”

         นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังกรอบแว่นฉายแววงุนงงก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา  เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ส่งให้เขา...แต่ส่งถึงใครอีกคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของดิน

         “ครับ มีความสุขมาก”

          “งั้นเหรอ...ก็ดีแล้ว”

          เขาไม่รู้จะพูดอะไรตอบ ความเงียบโรยตัวปกคลุมระหว่างพวกเขาสองคน  สุดท้ายก็เป็นดินที่อึดอัดจนทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้น

          “แล้วคุณล่ะครับ สบายดีไหม”

          “หืม อ้อ ก็สบายดี ปิ่นไม่ท้องสักที พี่อยากมีเจ้าตัวเล็กจะแย่แล้ว นายชิงมีลูกก่อนพี่ได้ยังไงเนี่ย”

          ดินหัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มของเด็กตรงหน้าทำให้บรรยากาศอึดอัดสลายไป เหมือนกับว่าพวกเขากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน เป็นพี่กัณฐ์กับน้องรหัสสุดน่ารัก นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกคณะ  หัวเราะแล้วก็หยอกล้อกัน
แต่นั่นมันก็แค่อดีตอันแสนไกล...

         “แล้ว...เรื่องด้ายแดงเป็นยังไงบ้าง” เขาถามขึ้น  ดินดูงุนงงเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าพลางตอบ “ก็กลับมามองเห็นแล้วครับ”

         “ไม่ พี่หมายถึงด้ายของดินที่เป็นสีดำน่ะ”

         ชายหนุ่มสวมแว่นร้องอ๋อ เมื่อหลายปีก่อนกัณฐพันธ์เคยมองเห็นด้ายแดงของดิน  เส้นด้ายแห่งความรักที่ควรเป็นสีแดงกลับกลายเป็นสีดำจนชายหนุ่มอดรู้สึกกังวลไม่ได้   เขาคอยตามข่าวเด็กคนนี้กับคนรักก็เห็นว่าทั้งคู่ประสบปัญหาใหญ่จนกลายเป็นข่าวครึกโครม ในตอนแรกเขานึกว่าทั้งคู่จะเลิกกันแล้วด้วยซ้ำ แต่ทั้งคู่ก็ฝ่าฟันอุปสรรคนั้นมาจนได้  จนทุกวันนี้เป็นครอบครัวที่มีความสุขดีดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาไม่แน่ใจว่าอุปสรรคที่ทั้งคู่เผชิญเป็นผลมาจากด้ายสีดำหรือเปล่าหรือมันจะส่งผลกับชีวิตของดินไหม

         แต่คงจะไม่...เพราะเด็กคนนั้นดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย

         ด้วยความสงสัยกัณฐพันธ์เลยใช้ดวงตาของตนมองเส้นด้ายความรักของอีกฝ่าย  มันยังคงเป็นสีดำอยู่แบบเดิม 

         “ทำไมน้องไม่ลองไปปรึกษาพวกที่มีพลังดูสักคนล่ะ ปล่อยไว้นานๆมันอาจส่งผลกับชะตาความรักก็ได้นะ”

          ดินส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่มีปัญหาหรอกครับ  นี่น่ะ...” ชายหนุ่มก้มมองที่นิ้วก้อยของตัวเอง  กัณฐ์คิดว่าตอนนี้ดินก็คงใช้พลังพิเศษอยู่เหมือนกัน

          “เป็นผลมาจากการกระทำของผมเอง”

          “หืม?”

          “คงเป็นเพราะผมเข้าไปยุ่งกับความรักของคนอื่นมากเกินไปล่ะมั้งครับ  แล้วก็เป็นเพราะตัวดินด้วยส่วนหนึ่ง จิตของดินคงส่งผลกับด้ายน่ะครับ”

         คิ้วเข้มขมวดมุ่น คล้ายว่าจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

          “มันไม่ส่งผลกับความรักหรืออะไรใช่ไหม”

          “ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

          เขาถอนหายใจ “ถ้าแบบนั้นก็ดีไป แต่น้องหมายความว่ายังไงที่บอกว่าเป็นผลมาจากการกระทำของน้อง”

          ดินมีท่าทีครุ่นคิด อีกฝ่ายชอบกัดริมฝีปาก เป็นท่าทีที่น่ามองเสมอ

          “คงเป็นเพราะทุกครั้งที่ตัดด้ายแดงหรือผูกด้ายดินจะรับเอาความรู้สึกด้านลบและความทรงจำเกี่ยวกับความรักของคนคนนั้นมาด้วยทำให้ดินค่อยๆยอมรับและเรียนรู้ในความรักไปพร้อมกัน เพราะหากไม่ทำแบบนั้นดินคงกลายเป็นบ้าเพราะอารมณ์ด้านลบที่มากเกินไปของใครก็ไม่รู้แน่ๆ  พอยอมรับได้ดินก็ค่อยๆเรียนรู้ว่าความรักไม่ได้มีแต่ความสุข มันมีทั้งความเศร้า ความผิดหวัง ความเจ็บปวดและความโกรธแค้น  ดินว่าที่เงื่อนไขในการตัดด้ายแดงของเราเป็นแบบนี้เพราะต้องการให้เราเรียนรู้ล่ะมั้งครับว่าเราไม่ใช่กามเทพที่จะนำความสุขไปให้ทุกคน....แต่เป็นเพียงผู้ที่เข้าใจและรู้ถึงความเป็นไปของความรักดีที่สุด”

           ตอนแรกดินก็ไม่เข้าใจ แต่หลังจากที่เขาได้พบกับเดือนชายหนุ่มก็เข้าใจ  และการยอมรับและเข้าใจในความรักระหว่างตนกับเดือนทำให้ด้ายความรักระหว่างพวกเขาแปรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำ

           “พี่กัณฐ์ว่าสีของความรักคือสีอะไรครับ”
   
            จู่ๆก็ถูกตั้งคำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เขาไม่ได้คิดอะไรให้ถี่ถ้วนแต่ตอบออกไปตามความเคยชิน  “สีแดงล่ะมั้ง”
   
             “แล้วสีของรักแท้ล่ะ”
   
           “เอ่อ...สีขาว?” หมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ยืนนานอะไรแบบนั้นหรือเปล่านะ  ที่พวกผู้หญิงชอบเอามาพูดกันถึความหมายของสีดอกไม้ก่อนซื้อให้ผู้ชายในวันวาเลนไทน์น่ะ
   
           ดินพยักหน้าแล้วเฉลย “นิยามความรักของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่ใจความคิดของผม ผมว่าความรักที่แท้จริงเป็นสีดำครับ”
   
           “สีดำ?” อัปมงคลขั้นสุดเลยนะนั่น  “ทำไมล่ะ”
   
          “เพราะหากเปรียบความรักเป็นสี  เราก็จะรู้ว่ามันไม่ได้มีแค่สีเดียวถูกไหมครับ  มันไม่ได้มีแค่สีชมพูของความอ่อนหวาน สีแดงของความร้อนแรง สีขาวของความบริสุทธิ์แต่ความรักผสมปนเปไปหลากหลายอารมณ์ รักแล้วก็สุข รักแล้วอิจฉา รักแล้วเศร้า รักแล้วหึงหวง  ผสมปนเปกันออกมา  บางคนทนรับกับสีที่แท้จริงของความรักไม่ได้ก็ต้องเลิกรากันไป เพราะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วความรักไม่ได้มีแค่สีเดียว ความรักคือสีที่ถูกละเลงมาหลากหลาย ผสมกันออกมาจนกลายเป็นสีดำ...และที่ดินบอกว่าสีดำคือสีของรักแท้ เพราะมันไม่อาจปนเปื้อนสีอื่นมากไปกว่านี้ได้แล้ว คนที่ยอมรับสีดำของความรักคือคนที่ยอมรับและเข้าใจว่าความรักมีทั้งสุขและเศร้าปนกัน และการยอมรับนั้นทำให้เขาอดทนและก้าวผ่านอุปสรรคไปพร้อมกันกับคนรักได้ครับ”
   
           “ฟังดูลึกล้ำจังนะ”

          “นั่นสินะครับ”

          ดินยอมรับ  ในตอนนั้นเองที่เดือนส่งข้อความมางอแงกับเขาว่าอยากกลับบ้านแล้ว อยากกลับไปกอดลูกกอดเขา เหนื่อนใจจะขาดและบลาๆ ชนิดที่ว่าถ้าพี่กุ๊กมาเห็นได้ขบหัวอีกฝ่ายหลุดแน่ๆ  คนรักของเขาลิสต์รายการของกินมายาวเหยียดทำให้ดินต้องรีบส่งข้อความไปดักทางว่างั้นพอกลับมาก็ออกไปซื้อของด้วยกันก่อนแล้วค่อยวนไปรับเจ้าตัวเล็กที่บ้านแม่แก้ว

           “น้องไปจำประโยคแบบนั้นมาจากไหนน่ะ ไอ้เรื่องสีของความรักอะไรนั่น” ดินเหลือบตามองร่างสูงแวบหนึ่งก่อนพูดสั้นๆ “พี่เดือนเป็นคนสอนผมเอง”

          คนคนนั้นสอนให้เขาเข้าใจว่าความรักคือการยอมรับ

          คนคนนั้นสอนให้เขารู้ว่าความรักอาจจะไม่ใช่การเสียสละทุกสิ่งอย่างโง่งมแต่คือการเสียสละที่ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเองและคนอื่น

          ทั้งความสุข การหัวเราะ ความเศร้า การซื่อตรงต่อหัวใจ....ทั้งหมดนั่น เดือนเป็นคนสอนให้กับเขา

          “เพราะความรักของฉันจะเปรียบด้วยสีดอกไม้ไรๆไม่ได้ เพราะฉันได้ยินเขากล่าวกันว่าความรักที่แท้จริงไม่ใช่สีแดง ย่อมมีสีดำดังนิล เหมือนดั่งสีศอพระศิวะเมื่อทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิตและต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุด เพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่”
 
         สิ้นเสียงใสที่เอื้อนเอ่ยบนในวรรณคดีออกมา กัณฐพันธ์ก็นึกออกทันทีว่าบทพูดนี้คืออะไร  เป็นบทพูดจากเรื่อง            กามนิต  ในตอนที่วาสิฎฐีกล่าวกับโสมทัตต์  เป็นวรรคทองในวรรณคดีที่ดินชอบมากที่สุด

         “เมื่อก่อนดินไม่ค่อยเข้าใจแต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว...ความรักที่แท้จริงไม่ใช่การหาความสุขใส่ตัวเพียงอย่างเดียวแต่คือการที่เราต้องยอมรับความข่มขื่นจากความรักและการเสียสละเพื่อผู้เป็นที่รักของเรา  ดินทำความเข้าใจกับมันได้...ด้ายแดงของดินก็เลยเปลี่ยนเป็นสีนี้  เพราะดินยอมรับความขมขื่นจากรักและความสุขจากรักไงครับ”

          ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างก่อนที่ประกายแห่งความยินดีจะฉายในดวงตาคู่นั้น กัณฐพันธ์ยิ้มออกมาบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว...ถ้าน้องมีความสุขก็ดีแล้วล่ะ”

          สิ่งที่เขาอยากรู้มีเพียงเท่านี้ เขาจะได้ลบภาพและความรู้สึกที่ไม่ควรออกจากใจได้เสียที

         และดินเองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่  ชายหนุ่มผมดำจึงพูดออกมาว่า “ที่คุณเรียกผมออกมาในวันนี้เป็นเพราะสงสัยว่าผมสบายดีตามประสาคนรู้จักหรือเพราะต้องการรู้ว่าคนรักของผมดูแลผมดีหรือเปล่ากันแน่ครับ  ถ้าเป็นแบบแรกก็ขอบคุณ แต่ถ้าเป็นแบบหลังดินก็ต้องขอตอบว่าพี่เดือนดูแลดินได้ดีที่สุด...และดินมีความสุขมาก ...มากจริงๆ  หรือต่อให้พี่เดือนดูแลดินไม่ดี ดินก็ไม่คิดจะกลับมาหาพี่หรอกครับ  ระหว่างเรามันจบไปแล้ว ดินให้อภัย...แต่ก็ไม่ได้หมายความดินจะต้องอยากมาเจอพี่  และดินขอร้องนะครับพี่กัณฐ์ ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะมาพบกันเถอะครับ  อย่ามาหาดินด้วยความรู้สึกแบบที่พี่เป็น มันทำให้ดินอึดอัดและมันผิดต่อผู้หญิงของพี่”

         ดินไม่อยากออกมาพบชายหนุ่มอีกแล้ว  เขาให้อภัยแต่ก็ไม่ได้อยากจะข้องเกี่ยวกันอีก สิ่งที่กัณฐพันธ์ทำ...ไม่อาจทำให้ดินยอมให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับมาดีดังเดิม

         ชายหนุ่มหักหลังเขา ดังนั้นแม้แต่ความเป็นพี่น้องดินก็ไม่มีให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรัก

         ตอนนี้พื้นที่ในหัวใจของเขาไม่เหลือที่ให้ใครนอกจากคนรักและครอบครัว

         ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะต้องไปแล้ว กันฐพันธ์มองดินลุกขึ้นยืน ยิ้มลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ไปล่ะนะครับพี่กัณฐ์ ลาก่อน”

          เสียงกริ่งประตูดังขึ้นอีกครั้ง แผ่นหลังบอบบางหายไปท่ามกลางฝูงชน 

          ลาก่อน....คำพูดนั้นติดอยู่ที่ริมฝีปาก

          แต่แล้วความลังเลและความสับสนทั้งหมดก็เลือนหายไปเมื่ออ้อมแขนนุ่มนิ่มโอบกอดเขาจากด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนๆของปิ่นฟ้ากลบกลิ่นหอมจางคล้ายกลิ่นดอกไม้จากดินเสียสิ้น

          เขายิ้มแล้วหันไปจูบแก้มคนรัก  ทิ้งความรู้สึกสุดท้ายจากอดีตคนรักให้หายไป การได้พูดคุยกับดินในวันนี้ทำให้เขาได้รู้
ลาก่อน...และไม่พบกันใหม่

           ตลอดกาล

******************************************************

สวัสดีค่ะ มาอัพตอนพิเศษที่สี่ให้แล้วน้า   :katai5:
ตอนพิเศษนี้เป็นความตั้งใจแต่แรกของเราเองค่ะที่จะเขียนเรื่องด้ายดำของน้องให้มาอยู่ในตอนพิเศษ
เลยไม่ได้อธิบายให้ละเอียดไว้ในเนื้อเรื่อง แหะๆ จริงๆแล้วของวาสิฎฐีนั่นเป็นบทที่เราชอบมากค่ะ
ตอนแรกไม่เข้าใจหลังๆมาเริ่มเข้าใขเลยกลับไปหามาอ่านจนท่องได้เลย 5555

มุมนี้ขอเม้าท์หน่อย
มีหลายคนบอกว่านิยายของเราคอมเม้นท์น้อยคนอ่านน้อยซึ่งมันก็จริง เราอยากจะบอกว่า
'ขอบคุณ' นะคะ ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนิยายของเราแม้ว่าคอมเม้นท์และยอดวิวจะน้อยจนไม่น่าเข้ามา
เรายอมรับว่าตอนแรกเราน้อยใจมากๆแล้วก็เคยคิดจะทิ้งนิยายเรื่องนี้ แต่เราก็พยายามมาอัพสม่ำเสมอเพื่อให้มันติดเป็นนิสัย
เป็นว่าทุกวันเสาร์เราต้องมาเขียนมาอัพนิยาย จนมันจบได้  จนตอนนี้เราไม่น้อยใจแล้วล่ะค่ะ กลับกันเราให้ความสำคัญ
กับคนที่เข้ามาตามอ่านมากขึ้น  เราสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้ ต่อให้มันเหลือคนคอมเม้นท์แค่คนเดียวก็ตาม

นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายแนวรักวัยรุ่น การบรรยายก็เรื่อยๆ ไม่ได้เกาะกระแสหรือหวือหวาโดนใจใครหลายคน
มันอาจจะไม่ดีพอในสายตาใครๆ เรายอมรับค่ะว่านิยายเรื่องนี้คงไม่ใช่นิยายขึ้นท๊อปในใจของคนอ่าน
แต่เราก็อยากจะขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ เข้ามาติดตามจนจบ ขอบคุณที่บอกว่ามันสนุก และชอบ
เรารักนิยายของเรา เรารักตัวละครของเรา และเราก็อยากให้คนที่เข้ามาได้บางสิ่งไปจากนิยายของเรา
ที่นอกเหนือไปจากความสนุก เราตั้งใจเขียนมันมากๆๆจริงๆ ขอบคุณคนที่เอานิยายเราไปแนะนำ คนที่เข้ามากดบวก
คนที่ตามอ่านแม้ไม่ได้แสดงตัว ทุกคอมเม้นท์ ทุกยอดวิวที่เพิ่มเตือนเราเสมอว่าทิ้งไปไม่ได้

เราส่งนิยายไปให้สำนักพิมพ์และไม่ผ่านการพิจารณา มันอาจจะดีไม่พอ ดังนั้นเราจะนำคำวิจารณ์จากสำนักพิมพ์มาปรับปรุง
ให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

รักคนอ่านทุกคนมากๆๆๆๆๆๆๆ และเราอยากจะบอกสิ่งที่สำคัญที่สุด 

'เราไม่ใช่นักเขียนที่โด่งดัง ยิ่งใหญ่ เราเป็นแค่นักเขียนตัวเล็กๆคนหนึ่งท่ามกลางนักเขียนอีกมากมาย
นิยายเราไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุด ประทับใจที่สุด  แต่มันมีค่าที่สุดสำหรับเรา
และพวกคุณทุกคนคือคนที่ทำให้นิยายเรื่องนี้มีค่ายิ่งขึ้น 
เราเขียนนิยายเพื่อตัวเองและเพื่อคนอ่าน พวกคุณคือคนที่พาเรามาถึงจุดนี้'

ด้วยรักและขอบคุณจากใจจริงค่ะ :  )
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-05-2016 22:07:28
 :กอด1:

กอดคุณ snowrabbit

มวฟๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

****

ตอนนี้แอบหดหู่ดีจัง แต่ยังไงมันก็ต้องเคลียร์ ไม่งั้นจะมีคนคาใจอยู่แบบนั้น

แต่ดินมีความสุขมากเมื่อมีพี่เดือน ซึ้ง ปลื้มใจ น้ำตาเล็ดเบาๆ


:D ตามอ่านต่อเรื่อยๆนะคะ ชุ้บๆ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-05-2016 22:31:44
ชอบคุณจากใจจริงๆสำหรับนิยายเรื่องนี้ บอกตามตรงตอนแรกๆที่อ่านคืออ่านไปอย่างนั้นแหละเพราะไม่มีเรื่องอะไรให้อ่านแล้ว และไม่ได้รู้สึกชอบอะไรมากมาย แต่มันไม่ใช่ ในขณะที่เริ่มอ่านตอนลึกขึ้นเรื่อยๆ จำนวนตอนมากขึ้นเรื่อยๆ กลับวางเรื่องนี้ไม่ลงเลย มันสนุกมากและแฝงไปด้ายสาระอย่างที่นิยายเรื่องอื่นๆไม่มี ถึงแม้มันไม่ใช่เรืรองที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับอีกหลายเรื่องแต่เรื่องนี้ก็เข้ามาอยู่ในลิตส์เรื่องน่าอ่านและต้องอ่านสำหรับเราแล้ว
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: rada96 ที่ 09-05-2016 00:21:58
ชอบมากๆ น้องดินเข้มแข็งมากๆค่ะ รัก
บางทีก็เกลียดความโลเลของกัณฐ์เหมือนกัน
ไม่รู้จะหวงก้างเค้าทำไม ตอนนั้นใครที่เป็นคนทิ้ง ชิ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เราชอบเรื่องนี้มากๆ
อ่านแล้วไม่อึดอัด มันเรื่อยๆ สบายๆดี มีมุม มีปมให้คิด
เป็นนิยายที่น่าติดตามเรื่องนึงเลยค่ะ

ปล.อยากอ่านพี่เดือนน้องดินอี้กกกก ฮือออออออ
 :sad4: :sad4:
ปล.อีกนิด อยากให้มีเพจหรือทวิตเตอร์ให้ติดตามจังเลยค่ะ เราไม่ค่อยได้เข้ามาเช็คในเว็บเท่าไหร่
รักคนเขียนนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 09-05-2016 09:00:07
ขอกอดให้กำลังใจคุณsnowrabbitแน่นๆทีนะคะ
ส่วนตัวแล้วชอบนิยายเรื่องนี้มากๆเลยนะคะ
อาจจะไม่หวือหวาอะไรมากมาย แต่ก็ได้ข้อคิดดีๆกลับไปเยอะมากๆเลยค่ะ
อ่านแล้วรู้เลยว่าคุณsnowrabbitตั้งใจเขียนมากๆ ขอบคุณที่เขียนสิ่งดีๆมาให้อ่านนะคะ
จะเป็นกำลังใจให้นะคะ และก็จะตามอ่านเรื่องต่อๆไปของคุณด้วยค่ะ สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-05-2016 10:52:15
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนี้ค่ะ ตอนที่อ่านเจอว่าพี่กัณฐ์เห็นด้ายแดงของดินเป็นสีดำ แล้วดินก็ดูเหมือนจะเข้าใจและยอมรับได้ ก็นึกถึงเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ โดยส่วนตัวไม่เคยอ่านกามนิต วาสิฏฐี แต่เคยได้ยินประโยคแบบนี้มาคร่าว ๆ พอได้อ่านตอนนี้เลยยิ่งเข้าใจชัดเจนมากขึ้น
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ และให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-05-2016 15:41:25
ไอ้พี่กัณฐ์ยังจะรู้สึกหวงก้างน้องดินทั้งๆที่ตัวเองก็มีคนของตัวอยู่แล้ว
อยากจะให้ความรักของกัณฐ์กับคนใหม่ไม่ราบรื่นจริงๆ หมั่นไส้แม่ง :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 10-05-2016 07:15:45
กรี๊ดดดด ขอบคุณที่มาเฉลยค่ะ คนเขียนน่ารักที่ซู๊ดดดด

แต่เรน่าว่ามันขัดแย้งกับบทที่ ๑๘ นิดหน่อย (อย่าว่าจุกจิกเลยนะคะ ฮือ ก็คนเขียนตั้งใจเขียน คนอ่านเลยตั้งใจอ่านด้วย) จำได้ว่าเนื้อเรื่องก่อนถึงฉากข้างล่าง ดินปฏิเสธตลอด แล้วยังไงไม่รู้ถึงได้เปลี่ยนใจในตอนท้าย แต่พอมาถึงตอนพิเศษ ดินเปลี่ยนใจอีกแย้วววว

อ้างถึง
      กัณฐพันธ์หันมามองดินให้เต็มตาอีกครั้ง “เรายังติดต่อกันได้ใช่ไหม พี่หมายถึง...แบบพี่น้องกัน”

      “ครับ ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงได้”

       “ขอบคุณนะ...เอาเป็นว่ามีปัญหาก็บอกพี่ได้ พี่พร้อมช่วยเสมอ” ว่าจบก็หันกายวิ่งกลับไปที่รถแล้วขับออกไป

ที่เพิ่งคอมเม้นต์เรื่องนี้ เพราะเรน่าอ่านแต่เรื่องที่จบแล้ว คือ...เข็ดจากการอ่านเรื่องที่ยังไม่จบ ติดงอมแงม แล้วคนเขียนก็ทิ้งเราไป ปล่อยให้ค้างเติ่ง โฮฮฮฮ

เรน่าชื่นชมนักเขียนแบบคุณ snowrabbit นะคะ สำหรับเรน่า นิยายที่เขียนไม่จบ(ทิ้งไปดื้อๆ)คือนิยายที่แย่ที่สุดค่ะ แย่กว่าพวกพล็อตห่วยแตก หรือพวกภาษาวิบัติอีก

เป็นกำลังใจให้ค่ะ :-)
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ {๘.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-05-2016 13:22:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 10-05-2016 19:48:01
มุมตอบคอมเม้นท์ค่ะ


คุณ Raina
 
       ที่เราเขียนให้ดินเปลี่ยนใจเพราะในบทที่ 18 ดินยอมรับเพื่อให้เรื่องมันจบค่ะ  ใจจริงน้องก็ไม่ได้อยากจะมาเจอหน้าอีกครั้งอยู่แล้ว แต่พูดไปเพื่อที่ว่าอย่างน้อยในอนาคตถ้ามีเหตุอะไรจำเป็นต้องพึ่งพากัน(แบบเลี่ยงไม่ได้)จะได้ไม่เสียประโยชน์ (แอบดูร้ายนะคะแต่น้องดินก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ความคิดค่อนข้างซับซ้อนและชอบคิดนู่นนี่เผื่อเหตุการณ์ในอนาคต) ส่วนที่ว่าทำไมตอนนี้ดินเปลี่ยนใจอีกแล้ว ขอยกจากตัวอย่างข้างล่างแล้วกันค่ะ

       
อ้างถึง
และดินเองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่  ชายหนุ่มผมดำจึงพูดออกมาว่า “ที่คุณเรียกผมออกมาในวันนี้เป็นเพราะสงสัยว่าผมสบายดีตามประสาคนรู้จักหรือเพราะต้องการรู้ว่าคนรักของผมดูแลผมดีหรือเปล่ากันแน่ครับ  ถ้าเป็นแบบแรกก็ขอบคุณ แต่ถ้าเป็นแบบหลังดินก็ต้องขอตอบว่าพี่เดือนดูแลดินได้ดีที่สุด...และดินมีความสุขมาก ...มากจริงๆ  หรือต่อให้พี่เดือนดูแลดินไม่ดี ดินก็ไม่คิดจะกลับมาหาพี่หรอกครับ  ระหว่างเรามันจบไปแล้ว ดินให้อภัย...แต่ก็ไม่ได้หมายความดินจะต้องอยากมาเจอพี่  และดินขอร้องนะครับพี่กัณฐ์ ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะมาพบกันเถอะครับ  อย่ามาหาดินด้วยความรู้สึกแบบที่พี่เป็น มันทำให้ดินอึดอัดและมันผิดต่อผู้หญิงของพี่”

        การมาเจอกันครั้งนี้ทำให้ดินตัดสินใจจบความสัมพันธ์แบบจริงจังค่ะ เพราะดินรู้ว่ากัณฐ์ 'หวง' ตัวเองแล้วก็โลเล ดินไม่อยากให้ความรู้สึกนี้ของกันฐ์มาสร้างปัญหาให้ตัวเองภายหลัง ก็เลยตัดสินใจบอกไปเลยว่าอย่ามาเจอกันอีก เป็นพี่น้องก็ให้ไม่ได้แล้ว (จริงๆคือให้ไม่ได้แต่แรก แต่เผื่อมีประโยชน์ในอนาคต แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็เลยคิดว่าตัดอย่าให้เหลือใยไปเลยดีกว่า)

        ทั้งหมดก็ประมาณนี้แหละค่ะ เราอาจจะเขียนไม่ละเอียดเอง แหะๆ เราชอบที่คุณเรน่าคอมเม้นท์นะคะ มีคนมาชี้จุดผิด แล้วก็บอกว่าไม่เข้าใจตรงไหน ยังงงๆในจุดไหนมันทำให้เราเห็นว่านิยายเราพลาดตรงไหนค่ะ (ติเพื่อก่อนี่คือชอบมาก 5555) ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ  กอดแน่นๆเลย เย้! :กอด1:



คุณ BlueCherries

          กอดแน่นๆกลับเช่นกันค่ะ อยากจะวิ่งไปจุ๊บซ้ายจุ๊บขวา 5555  :กอด1: :กอด1: :mew4:  เห็นมีคนคอมเม้นท์เรื่องด้ายดำมาเยอะมากกก ก็เลยรีบลัดคิว 5555 จริงๆตอนพิเศษต้องเป็นของต้นข้าว (อ้าว สปอย อุ๊บส์!)  :katai5:



คุณ B52

         ขอบคุณนะคะที่ชอบพี่เดือนกับน้องดิน ตอนแรกเราปูเรื่องยืดเกินไปค่ะ 55555 (ปิดหน้า) ด้วยความที่อยากให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปจนพล๊อตอื่นมันดูยืดๆ แล้วพอกลางเรื่องก็ค่อยๆให้มันไต่จนถึงจุดพีค ฮาาา เราไม่ค่อยถนัดเขียนนิยายแนววัยรุ่นด้วยล่ะค่ะ มีแต่คนบอกว่าเราเขียนนิยายขัดกับอายุมาก = =; ไม่รู้เพราะอะไร วางพล็อตใสๆเขียนไปเขียนมาลากลงบ่อมาม่าเฉย 55555

คุณ rada96

        จริงๆแล้วเรามีเพจนะคะ 5555 แปะไว้ที่หน้าแรกเลยยย  แต่บางคนก็เลื่อนผ่านเราเข้าใจค่ะ(เพราะเราก็ทำในบางครั้ง #เดี๋ยวๆ)

        นี่เพจเราค่ะ จิ้มโลด  >> AzureDream (https://www.facebook.com/drawnindream/)
 
        ว่างๆอินบ็อกมาคุยกันได้ค่ะ อยากเม้าท์มอยกับคนอ่านเหมือนกัน 5555 ที่เพจเงียบเพราะตอนแรกเรากะจะเอาไว้ลงงานเขียนดาร์คๆแบบดราม่าๆแต่เปิดไปเปิดมาก็รวมทุกอย่างเลยแล้วกัน เพราะงั้นมันเลยเป็นเพจที่เราจะแปะไว้ทุกสิ่งอย่างเลยค่ะ ฟิค เรื่องสั้น แล้วเดี๋ยวจะไปเพิ่มลิ้งนิยายแล้วค่ะ 5555 มาพูดคุยกันได้เน้อ :mc4:

คุณ  reverofjs

      ขอบคุณค่ะ กอดแน่นๆเป็นการตอบแทนนน  :กอด1:

คุณ sirin_chadada

      เราเคยอ่านกามนิตแค่ผ่านๆเองค่ะ ฮาาา แต่เราชอบบทพูดของวาสิฏฐีบทนี้มากๆเลยจำได้ขึ้นใจเลย รู้สึกว่ามันใช่มากๆค่ะ

คุณ TaecKhun Imagine Love

       กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนองค่ะ ปล่อยพี่แกรอรับผลไปดีกว่าเน้อ มาฟินกับพี่เดือนน้องดินและลูกชายดีกว่าาา 5555



เราขอโทษด้วยนะคะที่ไล่ตอบได้ไม่หมดทุกคน แงงงงง :hao5:
ยังตามอ่านแล้วก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาคอมเม้นท์ให้เสมอนะคะ กอดนักอ่านแน่นๆคนละทีเลยยย :man1:
#คิดถึงก็ตามไปเม้าท์กับเราได้ที่เพจนะคะ ฮาาาาา
     
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 11-05-2016 08:42:11
 :กอด1:

กอด กอด กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดคุณ snowrabbit :)

(ต้นข้าวจงมาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: rada96 ที่ 11-05-2016 15:28:22
กรี้ดดดด ไม่เคยสังเกตเลยค่ะ
ฮืออออ ว่างๆจะเม้าท์มอยด้วยนะคะ รักคนเขียนน กอดดด
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 11-05-2016 20:01:12
อย่าน้อยใจไปนะคะ ภาษาของคุณsnowrabbitดีมากๆ จำได้ว่าตอนแรกที่กดเข้ามาอ่านเห็นฉากดินทำตัวไม่ดีใส่เดือนแล้วก็คิดว่ามันต้องเป็นนิยายพ่อแง่แม่งอนปัญญาอ่อนแน่ๆเลย แต่พอตอนต่อๆมาคนเขียนก็ล่อลวงเราด้วยปมในอดีตและพลังของดิน ชี้ให้เห็นถึงแง่ลบและแง่บวกของการผูกและตัดด้ายแดง ค่อยๆใช้มีดผ่าความรู้สึกของตัวละครทีละชั้นๆ ทำให้เดือนกับดินเป็นตัวละครที่มีมิติ รวมถึงตัวละครอื่นๆอย่างทะเลที่เข้ามาสอนว่าความรักไม่ได้มีแต่ความสมหวังเสมอไป พี่เดือนกับน้องดินไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์แบบหวือหวา มันค่อยเป็นค่อยไป คู่รองอื่นๆก็แสดงแง่มุมของความรักอีกแบบทั้งการแอบรัก การรู้สึกผิดกับคนรักเก่าของฝนรัน และความรักใสๆมาลดความเครียดของนิยายอย่างคู่เฟิงปราณ คุณsnowrabbitแต่งนิยายเรื่องนี้ออกมาได้ดีมากๆ ปกติเราไม่ได้เม้นท์ยาวอะไรมากมาย แต่ตอนนี้เป็นตอนจบของนิยายจริงๆแล้ว เราอยากบอกความรู้สึกตอนที่ได้อ่านเป็นกำลังใจให้คุณเขียนนิยายดีๆแบบนี้ต่อไป สำหรับเรายอดวิวกับยอดเม้นท์มันไม่ได้บอกว่านิยายเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี มีนิยายหลายเรื่องมากๆที่ยอดวิวเยอะแต่พอเราเข้าไปอ่าน ความสละสลวยของภาษา พล็อตเรื่อง ความมีมิติของตัวละครเทียบนิยายเรื่องนี้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นกำลังใจให้เขียนนิยายดีๆแบบนี้ต่อไปนะคะ แค่อ่านเราก็รู้ว่าต้องใช้เวลามาก ใช้ความคิดมากๆกว่าจะกลั่นกรองเรื่องออกมาได้ขนาดนี้ ขอยคุณมากๆเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Mitnai ที่ 12-05-2016 15:24:16
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนี้อีกคนค่ะ มีความลึกล้ำมาก
ชอบความเปรียบเทียบ ชอบมากๆ บรรยายไม่ถูก ไม่รู้จะพิมพ์อะไรเลย55555555555
ขอบคุณและจะติดตามต่อไปเรื่อยๆค่ะ ไม่ทิ้งกันแน่นอน ♥
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 20-05-2016 01:31:13
สนุกกกกกกกกกก  :hao7: :mew1: :L1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 20-05-2016 22:41:24
ดินดูโตเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจความรักสีดำได้ลึกซึ้งมากๆ ชอบนะ   พี่กัณฑ์หยุดแทงกั็กได้แล้ว น้องเขาไปมีความสุขกับคนที่เขาคู่ควรแล้ว หยุดความคิดร้ายๆของตัวเองและหันกลับไปมองปิ่นฟ้า คนที่ตัวเองเลือกเถอะ 
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mmacchiato ที่ 28-05-2016 21:05:02
อยากอ่านบทพิเศษของรันฝนอีก จริงๆอยากให้มีเรื่องแยกเลย ชอบคู่นี้มากๆแล้วก็ชอบเรื่องนี้มากเช่นกัน ชอบแนวภาษาที่ใช้แล้วก็คาแรกเตอร์ของแต่ละตัวละคร แต่ละคนมีเหตุมีผลที่ทำตัวแบบนั้น ทำไมถึงทำ ทำไมถึงไม่ทำ ถึงแม้ว่าบางตัว เช่น รันจะเข้าใจยากแต่ก็มีเหตุผลของเค้า อยากให้ฝนรู้ว่ารันรัก อยากให้รันหึงฝนมั่ง รันจะได้เข้าใจว่าถ้าไม่รีบบอกออกไปสุดท้ายฝนอาจจะเลิกรักรันก็ได้ แต่อยากอ่านแบบที่คนเขียนเขียนสุดแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 30-05-2016 23:43:55
อ่านแบบมาราธอนมากเลย สนุกมากกกกๆๆๆ เรื่องนี้เมะนี่ใจร้ายกันจริงๆแต่ละคน ยกเว้ยพ่อพระเอกเราไว้คนนึง  :z3:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 08-06-2016 11:51:50
อยากอ่านพี่เดือนอีกกก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: gasia ที่ 17-06-2016 14:07:18
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
ทำไมพึ่งได้มาอ่านเนี่ย สนุกมาก อบอุ่น
พี่เดือนนี่บ้าๆบอแต่อบอุ่นชะมัด เฮ้ออออ ดี๊ดี
ส่วนดินตอนแรกดูปิดตัวเอง หลังๆก็น่ารักไรเบอร์น๊านนนน
อบอุ่นมากๆเลยค่ะ ครบรสจริงๆ เนื้อเรื่องดีอ้ะชอบบบบ
ชอบการผ่านปัญหาไปด้วยกัน เข้าใจกัน เป็นกำลังใจให้กันแบบนี้
ตัวละครดูโต ดูมีเหตุผลมากกว่าจะมาตะแง๊วๆกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ประทับใจค่ะ ขอบคุณอีกทีนะคะ อบอุ่นหัวใจเหลือเกินนน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 20-06-2016 11:21:56
เล่าเรื่องได้สนุกดี ชอบตอนมีดราม่าญี่ปุ่นมันทำให้เรื่องมีสีสันขึ้นมาได้เยอะเลย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 26-06-2016 11:58:48
เราเพิ่งอ่านจบแบบหักโหมมากค่ะ โอ๊ยยยยย เราไม่รู้จะพูดยังไงดี เอาแบบคร่าวๆรวมๆนะคะ เปิดเรื่องมาตอนแรกเราชอบแนวเรื่องค่ะ ชอบพล็อตเห็นด้ายแดง แลดูโรแมนติก แต่แบบ หลังจากเจอฉากกระโดดถีบขาคู่ไปเราก็..... 555555555 พูดถึงเนื้อเรื่องก่อนนะคะ เรารู้สึกว่าเรื่องมันเรียบๆค่อยๆ แต่ก็ไม่เชิงอ่ะค่ะ มันมีบางจังหวะที่กระโดดขึ้นมาให้ใจเต้นเหมือนกันนะคะ เราชอบค่ะ อย่างตอนอดีตน้องดินเราอารมณ์ดิ่งมากอ่ะ สงสารน้อง แล้วแบบ นึกภาพตัวเองต้องดูน้องตายไปต่อหน้า ตอนนั้นน้องดินก็ยังเด็กค่ะ จะไม่มีสติพอก็ไม่แปลกนะคะ สงสารน้อง เฮ้อออ ดีแล้วค่ะที่ได้คุณพ่อคุณแม่รับไปเลี้ยงอ่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พูดถึงน้องดินก่อนแล้วกันค่ะ เป็นคนที่เราทั้งชอบและไม่ชอบ เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างสับสนสำหรับเรานะคะ แต่มันก็ดูเป็นมนุษย์ดีค่ะ คือตอนแรกเราชอบที่น้องเป็นคนมีความคิดค่ะ อาจจะก้าวร้าวบ้างอะไรบ้างแต่ก็ดูแล้วว่าน้องไม่ได้มีเจตนาร้ายกับพี่เดือนของน้อง เราชอบที่สุดตอนน้องเล่าให้พี่เดือนฟังเรื่องน้องสาวค่ะ เป็นความรู้สึกแบบที่น้องยอมเปิดประตูให้คนอื่นเข้ามาช่วยแบ่งความทุกไปบ้างแล้วรับเอาความสุขเข้ามา เราเชื่อว่าน้องเติบโตขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วยค่ะ แต่ที่ไม่ชอบ เราไม่ชอบตอนน้องไปนอนกับแฟนเก่า เราขอโทษก่อนนะคะ คือเราไม่ถูกจริตกับอะไรแบบนี้ด้วยอ่ะ คือเราเข้าใจนะคะ น้องดินเป็นคนที่โตมาโดยรู้สึกว่าไม่มีใครรัก คือมันไม่แปลกที่พอมีคนที่มาเข้าใจน้องทุกอย่างแล้วน้องจะรักเขามาก บวกกับตอนนั้นเป็นวัยกำลังคึกคะนอง ใจร้อนกว่าช่วงอื่นในชีวิต อันนี้เราคิดว่าแบบนั้นนะคะ น้องแค่อยากแสดงตัวตอกย้ำว่าน้องก็เป็นคนสำคัญของแฟนเก่า เราว่าน้องอาจไม่ได้ตั้งใจให้ผ้หญิงคนนั้นมาเจอหรอกค่ะ หรือถ้าตั้งใจเราก็คิดว่ามันเป็นแค่ความคะนองอยากแก้แค้น แต่ที่เราไม่ชอบคือน้องยอมลดคุณค่าของตัวเอง ยอมทิ้งศักดิ์ศรีให้คนที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้รักน้องจริงมาทำแบบนี้อ่ะค่ะ ก่อนหน้านี้จะรักกันมากแค่ไหน แต่แค่เห็นเขาทำแบบนั้นก็คนที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทมันก็น่าจะมีสติได้แล้วอ่ะค่ะ เราไม่ชอบความคิดที่ว่าจะผูกมัดคนที่รักด้วยร่างกายเพราะมันดูทำให้ตัวเองไม่มีค่า แต่เราก็พูดไม่ได้หรอกค่ะ เราไม่ได้เป็นคนในเหตุการณ์ เราไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนั้นบรรยากาศตอนนั้นมันเป็นแบบไหน คือเราไม่มีอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์ไง 55555 ในฐานะคนนอกเราเลยมองว่ามันไร้สติที่จะทำแบบนั้น แต่ที่แน่ๆเราเกลียดพี่แฟนเก่าค่ะ เฮ้อ อ่านจนถึงตอนพิเศษเราก็ยังเกลียดอยู่ดี เราไม่รู้ว่าเขาผ่านอะไรมาในชีวิตบ้าง แล้วก็คิดว่าไม่อยากรู้ด้วย เราทีมพี่เดือนค่ะ บอกแบบนี้แล้วกัน ฮื้อออออ ข้ามไปค่ะ พูดถึงพี่เดือนบ้าง เรารักผูชายคนนี้ เราอยากได้ หาซื้อที่ไหนได้บ้างคะ กรี๊ดดดดด เราบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเริ่มชอบพี่เดือนตอนไหน อาจจะตั้งแต่โดดถีบเลยก็ได้มั้งคะ แงงงง เราชอบผู้ชายที่เบื้องไน้ายิ้มกต่ในใจเจ็บหวดค่ะ เรามีความรู้สึกว่าคนแบบนี้เป็นคนที่ทั้งน่าสงสารและน่าชื่นชม ความจริงพี่เดือนอาจจะแค่ไม่สนิทใจที่จะบอกเรื่องนี้กับครอบครัวที่แทบไม่รู้จัก แต่เราว่าการที่พี่เดือนหนีกลับมาตั้งหลักมันก็ดีแล้วค่ะ ทำไมพูดไปพูดมาชักงง 55555555 คือเราจะบอกว่าเราชอบความใจดีของพี่เดือน ชอบการเป็นคนยิ้มง่าย ชอบความเจ็บปวดที่ไม่อยากให้ใครเห็น เราแทบร้องตอนพี่เดือนทะเลาะกับคุณพ่อ ที่บอกว่าพ่อไม่เคยมอบความสุขให้แล้วตอนนี้จะมาเอาความสุขที่พี่เดือนหามาด้วยตัวเองไปนี่เราแบบ พรากค่ะ  :hao5: กรี๊ดร้องว่าพี่เดือนนนนนนน 55555555 จริงๆเรื่องนี้ทั้งพระเอกนายเอกมีปมกันทั้งคู่เลยอ่ะ ดีค่ะ ค่อยๆรักษาแผลใจกันไป ตอนหลังจากเปิดใจเขาเลยรักกันมากเลย ดีนะคะ พูดถึงคนอื่นบ้าง คู่น้องฝน โหยยย ดราม่าไป เป็นเรา เรานี่อึดอัดใจตายค่ะ รักเขานะ แต่เขาเป็นแฟนพี่สาวงี้ แล้วแบบ จะไม่มีอะไรเลยถ้าพี่คิมไม่ตาย ฮื่ออออออออ เราลืมชื่อพระเอกคู่นี้ค่ะ เราเสียใจ เอ๊ะ แกชื่ออะไรนะคะ เรียกว่าเพื่อนพี่เดือนไปก่อนแล้วกันนะคะ แงงง สกิลการจำชื่อของเราแย่มาก เราขอโทษค่ะ ;w; คือเราอยากให้คุณพี่ก้าวต่อไปนะคะ แต่พอน้องฝนอยู่กับคุณนักสืบแล้วเราก็แบบ... นี่ด้ายแดงน้องฝนไปพันอยู่กับคุณนักสืบด้วยแน่ๆ แบบนี้น้องจะเลือกใครรรรร แต่เลือกใครก็ตาม ขอให้แน่ใจแล้วว่าจะไม่เสียใจทีหลังก็พอค่ะ ส่วนเฟิงกับน้องปราณก็น่ารักค่ะ ใสๆดีนะคะ เราชอบการหึงหวงไปมาแบบน่ารักและค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน ค่อยๆยอกความในใจ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเลิกกันไหม อนาคตอาจจะเลิกหรือไม่เลิกก็ได้ แค่ตอนนี้เราว่าคู่นี้น่ารักค่ะ 5555555 เราลืมพูดเรื่องญี่ปุ่น โอยยยยย คุณคะ มารยา เกลียดกว่าพี่แฟนเก่าก็คนนี้อ่ะ เออ พี่แฟนเก่าเราก็ลืมไปอีกเรื่องเดี๋ยวค่อยพูดนะคะ เอาญี่ปุ่นก่อน เราไม่รู้ว่าเธอโดตมาในสังคมแบบไหนเลยอ่ะค่ะ ทำไมความคิดการกระทำอะไรถึงได้ต่ำแบบนี้ ดูๆแล้วอาจเป็นเพราะพ่อเธอด้วยแหละ แต่นี่ดีนะคะที่น้องต้นข้าวไม่ต้องอยู่กับผู้หญิงแบบนี้ ความจริงเราเชื่อว่าเธอก็ผูกพันกับลูกนะคะ ไม่ใช่ไม่รักหรอก แต่ลูกเหมือนเป็นนามที่ทิ่งตลอดเวลาที่เธอเห็นมากกว่า ความจริงเธอก็คงรัก แต่จะให้เธอเลี้ยงลูกแล้วต่อไปจะเป็นยังไง เพราะเธอดูไม่ได้ถูกเลี้ยงมาด้วยความรักเหมือนกัน เธออาจจะกลัวว่าลูกจะถูกเลี้ยงโตมาแบบเธอก็ได้นะคะ เธอเลยยกให้น้องดิน เฮ้ออออ ดีแล้วล่ะค่ะ เราว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว อ่ะ กลับไปที่พี่แฟนเก่านิดนึงค่ะ เราเกลียดตอนพิเศษที่แกกลับมา คือกลับมาทำไมวะ แกรู้ตัวนะคะว่าเป็นหมาหวงก้าง แล้วก็ดีแล้วที่ทุกอย่างจบ แต่เราก็เกลียดอยู่ดีอ่ะค่ะ ยอมรับเลยว่าเกลียดที่สุดในเรื่อง อคติส่วนตัวล้วนๆ 5555555555

สุดท้ายนี้ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องนี้ออกมา ความหวานนี่สอดแทรกมาก โผล่มานิดๆแล้วลากกลับดราม่า เรายอมรับว่าเราเหนื่อยแต่เราก็ต้องอ่านให้จบ ฮืออออออ ถ้าน้องดินไม่ขึ้นเตียงกับแฟนเก่าตอนนั้นจะดีมากเลยค่ะ เราเสียใจอ่ะ 5555555 เรารอน้องหลงนะคะ ไม่เอาแบบนี้นะคะ :mew3:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 02-12-2016 17:51:19
สนุกมาก น่ารักทุกคู่เลย
แต่เกลียดอีพี่กัณฑ์นะ
เกลียดมากอ่ะ ที่เคยหักหลังความรักของดิน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 11-12-2016 22:36:36
 :sad11: หน่วงมากๆๆๆ

อ่านแล้วรู้สึกจึกๆ ตลอดเวลา 

ขอบคุณนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 13-12-2016 23:34:25
ดีงามที่เดืือนนางดี นางเริดอ่ะ
เป็นการกับมาอ่านนิยายอีกครั้งเจอเรื่องนี้ ดีต่อใจ เลยครับผม
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: M.J. ที่ 20-12-2016 16:30:08
ชอบมาก ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 26-12-2016 11:13:02
เพิ่งได้มาตามอ่าน อ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบมาก เป็นนิยายที่มีทุกรส แรกๆก็นึกว่าพี่น้องคู่นี้จะตบตีกัดกันนาน
แต่แป๊บๆก็รักกันปานจะกลืนกินซะแล้ว
ตอนอ่านถึงดราม่าญี่ปุ่น เป็นผู้หญิงที่มั่วยา เก่งกล้าขนาดนั้น ท้องขึ้นมาก็หาพ่อให้ลูกด้วยวิธีต่างๆ
ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่มาอ่านๆเรื่องราวทั้งคลิปทั้งผช.ที่นอนด้วย
ยิ่งเป็นดาราภาพใสซื่อ และกำลังดัง ดูแล้วคนแบบนี้ไม่เก็บลูกไว้หรอกน่าจะคิดทำแท้งตั้งแต่แรกๆมากกว่านะคะ
พอมาคิดถึงนิสัยจริงๆทั้งพ่อของญี่ปุ่นด้วย ไม่น่าจะปล่อยให้เก็บไว้ ถึงจะมาสร้างเรื่องนั่นนี่ไปใหญ่โต เราก็เลยดูสะดุดไปหน่อยๆ

รออ่านตอนพิเศษมุ้งมิ้งไปเรื่อยๆค่ะ อ่านแล้วมีความสุข ชอบคู่เฟิงปราณด้วย
เหมือนไม่มีอะไร แต่ก็มีนะ อ่านตอนล่าสุดนี่ซึ้งมาก พี่เฟิงซึน

อีกอันที่สะดุดนิดๆ คือคำว่า หญิงสาว ค่ะ ใช้แทนตัวแม่มะลิบ่อยๆ ในช่วงตอนแรกๆ
พี่เดือนอายุ 30 แม่มะลิน่าจะราวๆ 50 แล้วมั้ง ใช้คำว่าหญิงสาว มันแปลกๆอยู่ค่ะ แต่จะใช้คำว่าอะไรแทน ก็นึกไม่ออกเหมือนกัน

 
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๔ ความรักสีดำ (ตอบข้อสงสัย) {๑๐.๕.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 28-12-2016 14:23:05
 :mew1: สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 31-12-2016 22:43:29
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๕
วันปีใหม่


       หน้าหนาวปีนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หลังจากหนาวอยู่ประมาณสองสามวันอากาศร้อนก็เข้ามาแทนที่จากนั้นก็กลับมาหนาวใหม่ ทำเอาคนสุขภาพไม่แข็งแรงปรับตัวกับอากาศที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ทันจนกลายเป็นหวัด
   
       “ฮัดชิ้ว ฟืดดด”
   
       “อย่าสั่งน้ำมูกแรงนะครับน้องข้าว มาๆ เดี๋ยวพ่อเดือนเช็ดให้นะ”
   
         ดินที่เดินลงมาจากชั้นสองของบ้านอมยิ้มน้อยๆ มองสองพ่อลูกที่เอกเขนกกันอยู่บนโซฟา เดือนกึ่งนั่งกึ่งนอนโดยมีลูกชายตัวน้อยวัยสามขวบนั่งทับอยู่ตรงหน้าท้อง ผู้เป็นพ่อใช้ผ้าเช็ดหน้าลายกระต่ายเช็ดจมูกให้ลูกชายเบาๆ
   
        “พ่อเดือน งือออ”
   
        “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับคนเก่ง”
   
        “หนูข้าว...หนูข้าวคันจมูก”
   
        “มานี่มา มาให้พ่อเดือนจุ๊บเร็ว”
   
        ชายหนุ่มผมดำยิ้มจนตาหยีกับภาพน่ารักๆ ที่คนเป็นพ่อดึงเด็กน้อยตัวกลมมาใกล้ก่อนจุ๊บลงไปบนจมูกแดงๆ ของลูกชายเบาๆ พร้อมกับพูดว่า
   
        “หายไวๆ นะครับ เพี้ยง”
   
        ดินเดินเข้าไปใกล้ก่อนโน้มตัวลงไปหอมแก้มลูกชาย พลางส่งเสื้อกันหนาวที่เพิ่งไปหยิบมาให้ต้นข้าวใส่ เพราะช่วงนี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ทำให้เจ้าตัวเล็กของพวกเขาป่วย แผนการเที่ยววันปีใหม่จึงล่มไปโดยปริยาย จากที่วางแผนว่าจะขึ้นเหนือสุดท้ายก็ต้องนอนอยู่บ้านเพราะตอนแรกต้นข้าวไข้ขึ้นสูงจนน่าเป็นห่วง
   
        “ตัวอุ่นๆ น่ะครับหนูข้าว เดี๋ยวกินข้าวเที่ยงแล้วทานยานอนเลยนะ ไม่ต้องอยู่เล่นกับพ่อเดือนแล้ว”
   
        “แต่ว่า...”
   
        “ถ้าหนูข้าวไม่นอนพักให้หาย คืนนี้หนูข้าวจะอดพูดสวัสดีปีใหม่กับคุณปู่คุณย่านะครับ”
   
        ดินขู่ลูกชายที่กำลังงอแง พอได้ยินแบบนั้นเด็กน้อยก็เม้มปาก ทำท่าคิดหนักแต่สุดท้ายก็พยักหน้าหงึกหงัก ยินยอมทำตามที่คุณพ่อผมดำบอกแต่โดยดี เพราะเจ้าตัวอยากอยู่พูด ‘สวัสดีปีใหม่’ กับคุณปู่คุณย่าตอนเที่ยงคืนมากๆ ถ้าเป็นหวัดจนต้องนอนหลับก่อนก็น่าเสียดายแย่
   
        “งั้นไปกินข้าวกันเถอะครับ”
   
       “คร้าบ”
   
       ต้นข้าวปีนลงจากโซฟาก่อนวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปในครัว พอคล้อยหลังลูกชายเดือนก็ยกแขนขึ้นโอบเอวคนรักของตัวเองทันทีก่อนจะออกแรงรั้งให้ลงมานั่งข้างกันบนโซฟา
   
        “ให้ลูกอยู่ดึกคืนนี้จะดีเหรอดิน เดี๋ยวไข้ก็กลับ”
   
        “ไม่เป็นไรหรอกครับ เจ้าหมูน้อยน่ะอยู่ดึกสุดได้แค่สองทุ่มเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็ฟุบแล้วเชื่อดินสิ ยิ่งเป็นไข้แบบนี้ด้วย ดินไม่ปล่อยให้นอนดึกหรอกครับ”
   
       “อ้าว งั้นเมื่อกี้ก็หลอกเด็กเหรอครับ หืม”
   
       “ไม่หลอกแล้วลูกจะยอมกินยาไม่ล่ะครับ”
   
       “คุณแม่ดีเด่นแห่งปีจริงๆ”
   
       เดือนพูดขำๆ คลอเคลียปลายจมูกโด่งลงบนแก้มขาวอย่างรักใคร่ แกล้งงับเบาๆ ให้คนสวมแว่นหันมาย่นจมูกใส่ ดินยินยอมให้คนรักฟัดจูบที่แก้มไปหลายทีก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับดึงพี่เดือนของเขาให้ลุกตาม
   
       “มาเร็วคุณพ่อเดือน เดี๋ยวลูกชายงอแงนะครับ”
   
       “ครับๆ”
   
       คุณพ่อทั้งสองเดินไปในครัวก่อนจะเริ่มมื้อกลางวันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
   
       หลังจากทานอาหารเสร็จดินก็ให้ลูกชายทานยา จากนั้นก็เป็นหน้าที่เดือนที่จะพาลูกไปกล่อมนอน ดินยืนนิ่งอยู่ในครัว เหลียวมองไปรอบด้านอย่างใจลอย
   
        สามปี....หรือสี่ปีนะที่อยู่ด้วยกันมา
   
       ทำไมรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาอยู่กันมานานกว่านั้น
   
       ปีนี้ก็กำลังจะผ่านพ้นไปอีกแล้วสินะ...วันเวลาแห่งความสงบสุขเคลื่อนผ่านไปไวจนดินยังตกใจ
   
       ต้นข้าวสามขวบ เข้าโรงเรียนแล้ว
   
       พี่เดือนก็สามสิบแล้ว ส่วนเขาก็อายุเฉียดเลขสามเข้าไปทุกที
   
       ผ่านไวจังเลยนะ ความสุขเนี่ย
   
       ดินเดินกลับไปที่ห้องรับแขกก็พบลูกชายกับคนรักนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น สีเทียนและสีไม้กระจายเกลื่อนรอบตัว หนูข้าวกำลังวาดรูปโดยมีเดือนนอนมองอยู่ข้างๆ พอเห็นเขาเข้าไปคนรักก็อาศัยจังหวะที่ลูกชายไม่เห็นส่งจูบมาให้ ทำเอาดินแก้มร้อนผ่าว พอเห็นเขาเขินเดือนก็ยิ้มกว้าง ชอบใจนักล่ะที่แหย่ให้เขาเขินหน้าแดงได้
   
       “หนูข้าววาดอะไรอยู่เหรอครับ”
   
        “วาดพ่อเดือน พ่อดิน คุณปู่ คุณย่า อาฝน อารัน อาเฟิง อาปราณฮะ หนูข้าวอยากบอกสวัสดีปีใหม่ทุกคนเลย”
   
        เจ้าตัวเล็กยิ้มจนแก้มพอง ลงมือระบายสีบ้านแสนสุขของตัวเองต่อ ดินหยิบหมอนลงมาวางเอนตัวลงนอนบนผ้านวมผืนหนาที่ปูรองไว้ ซุกกายลงในผ้าห่ม ก่อนจะหยิบหนังสือมาอ่าน  หูได้ยินเสียงลูกชายกับเดือนคุยกันเจื้อยแจ้วแต่ไม่ได้ทำให้เขารำคาญแต่อย่างใด ดินยิ้มออกมา วางหนังสือลง จากนั้นก็โน้มกายลงไปจูบแก้มคนที่เขารักทั้งสองคน
   
       หลังจากวาดรูปเล่นไปสักพักยาก็เริ่มออกฤทธิ์ ต้นข้าวผล็อยหลับไปทั้งที่สีเทียนยังคามือ เห็นดังนั้นคุณพ่อคนเก่งก็ดึงสีออกจากมือน้อยอย่างนุ่มนวล ก่อนที่คุณพ่ออีกคนจะอุ้มลูกชายให้ไปนอนบนโซฟาพร้อมห่มผ้าให้  ดินไล่เก็บสีเทียนกับกระดาษวาดรูปของลูก แต่ตอนที่เขาจะพับผ้าห่มนั้นเองเดือนก็ห้ามไว้
   
       “ไม่ต้อง เอาไว้อย่างนั้นแหละ”
   
       “หืม จะนอนเหรอครับ”
   
       “ใช่ พี่อยากนอนกลางวันบ้างน่ะ อากาศมันเย็นๆ น่านอนจริงๆ”
   
       “ขึ้นไปนอนบนห้องไหมล่ะครับ”
   
       “ไม่เอา นอนข้างล่างดีกว่า”
   
       ได้ยินดังนั้นดินจึงพยักหน้าให้  ชายหนุ่มเก็บของเล่นลูกชายลงกล่อง ก่อนจะเดินกลับมานอนบนที่นอนอีกครั้ง คราวนี้คนรักตัวโตดึงเขาเข้าไปกอดด้วย ดินซุกกายเข้าหาคนตัวใหญ่ ชอบใจอ้อมกอดอบอุ่นนี้เป็นที่สุด
   
        “ลูกหลับแล้ว คุณแม่อยากนอนบ้างไหมครับ”
   
        “ยังไม่ง่วงเลยครับ”
   
        ดินตอบยิ้มๆ นานๆ ทีจะได้มีโอกาสพักผ่อนสบายๆ แบบนี้เพราะทั้งเขาและเดือนต่างยุ่งมาก ยิ่งมีลูกเล็กๆ มาให้ดูแลก็ยิ่งยุ่ง พอมีโอกาสได้พักกันแบบนี้จะให้มานอนก็เสียดายเวลาแย่
   
        “งั้นทำอะไรดีล่ะ”
   
        “นอนคุยกันเฉยๆ ก็ได้มั้งครับ”
   
        ดินพูดดักหน้าคนรักพร้อมกับตะปบมือที่ทำท่าจะสอดเข้าไปใต้เสื้อของตนอย่างรู้ทัน เผลอเป็นไม่ได้เชียว!
   
        “โธ่น้องดิน”
   
        “เบาๆ สิครับเดี๋ยวลูกตื่น”
   
        เดือนถอนหายใจ พอทำปากยู่อย่างน้อยใจก็ถูกดินกลอกตาใส่ แต่สุดท้ายเด็กน้อยของเดือนก็ประคองใบหน้าเดือนไว้พร้อมกับจูบลงบนริมฝีปากบางอย่างรักใคร่
   
        อ่อนหวาน นุ่มนวล ทำให้ในอกพองฟู
   
       ท่อนแขนของเดือนโอบรอบเอวดิน รั้งร่างเล็กให้ขยับมาใกล้ ให้เขาละเลียดชิมริมฝีปากนุ่มของคนรักได้เต็มที่ ตอนที่ผละออกมาใบหน้าหวานพร้อมกับริมฝีปากนั้นก็ขึ้นสีแดงเรื่อ เดือนมองใบหน้านั้นอย่างรักใคร่ กดจมูกลงบนแก้มนุ่มซ้ำๆ
   
        “พี่รักดินนะ”
   
        “ดินรักพี่เดือนมากกว่า”
   
        “พี่รักดินมากกว่า”
   
        “ดินรัก...อือ”
   
        เสียงสุดท้ายหายไปเมื่อริมฝีปากของคนรักก้มลงมาทาบทับอีกครั้ง ใครรักใครมากกว่า...คำตอบนั้นพวกเขาไม่เคยหาได้ แต่ว่าหัวใจของคนทั้งคู่ต่างรู้
   
        ว่าพวกเขา ‘เป็นที่รัก’ และ ‘หลงรัก’ มากแค่ไหน
   
        ถึงจะบอกว่าไม่อยากนอนแต่สุดท้ายดินก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดคนรักจนได้ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเดือนทำให้เขาสบายใจ ดินรักเวลาที่ถูกคนตัวโตกอดไว้แน่นๆ มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ยังมีใครอีกคนอยู่ด้วย เป็นที่พึ่งให้เขาได้บนโลกกว้างใหญ่ใบนี้  ทุกครั้งที่ถูกกอดดินจะรู้สึกอุ่นใจและรู้ว่าเขาวางความไม่สบายใจทั้งหมดของตนลงได้
   
        ชายหนุ่มแนบแก้มเข้ากับอกเดือน ฟังเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ภายในจนหลับไป
   
        ดินหลับไปแล้ว...แต่เดือนยังไม่หลับ หนุ่มลูกครึ่งลูบผมคนรักเบาๆ ก่อนจูบลงบนหน้าผากมนอย่างอ่อนโยนคล้ายจะอวยพรให้หลับฝันดี
   
        พักนี้ดินทำงานหนัก ยิ่งใกล้ช่วงสิ้นปีอีกฝ่ายก็โหมงานเพื่อทำตัวเองให้ว่างในช่วงวันหยุดยาวเพื่อจะได้อยู่กับลูกและเดือน เพราะแบบนี้เดือนจึงอยากให้ดินพักบ้าง
   
        ชายหนุ่มกวาดตามองรอบบ้าน...บ้านที่เป็นของเขา บ้านแสนอบอุ่นที่มีคนที่เขารัก
   
        เดือนรักที่นี่และไม่เสียดายเลยสักนิดที่ตัดสินใจลาออกจากวงการในที่สุด  มีคนบอกว่าเขาโง่ที่ทิ้งชื่อเสียงเงินทองและทุกอย่างมาอยู่ที่นี่
   
       แต่ว่าสุดท้ายแล้วในชีวิตมนุษย์สิ่งสำคัญคือชื่อเสียงกับเงินทองจริงๆ หรือ
   
       ไม่ใช่หรอก
   
        สำหรับเดือน เงินมีเท่าที่ทำให้ไม่ขัดสน ชื่อเสียงก็ไม่เห็นจำเป็น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขและความรักต่างหากแม่แก้ว แม่มะลิและพ่ออัลเฟรดบอกให้เขาทำอะไรก็ได้ที่มีความสุข เดือนจึงเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข คือการมาอยู่กับคนที่ตนเองรัก
   
        ชายหนุ่มแนบแก้มลงกับ ‘ความรัก’ ที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขน ดวงตาอ่อนโยนทอดมอง ‘ความสุข’ ตัวน้อยที่นอนอยู่บนโซฟา
   
        เท่านี้ก็พอแล้ว
   
        ชายหนุ่มพรูลมหายใจก่อนจะหลับตาลงค่อยๆ จมดิ่งลงในห้วงฝันดี
   
        กว่าทั้งครอบครัวจะตื่นก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ดินลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ เพื่อไล่อาการมึนศีรษะ ข้างกายเขาเดือนกำลังหลับสนิท ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสงบ ดินยิ้ม ไล้ปลายนิ้วไปตามโครงหน้าได้รูป
   
         เดือนอายุมากขึ้น แต่ความหล่อเหลาของอีกฝ่ายไม่ได้ลดน้อยลงเลย สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือความสุขุม เยือกเย็น บางครั้งเดือนก็ดูนิ่งและใจเย็นขึ้น น้องปราณเรียกอะไรนะ...ดูมีเสน่ห์ในแบบชายวัยกลางคนใช่ไหม
   
        พอนึกถึงตรงนี้ดินก็หัวเราะคิก
   
        และทันใดนั้นมือใหญ่ของคนที่เขาคิดว่าหลับอยู่ก็กำรอบข้อมือเขา ออกแรงดึงให้ดินล้มลงไปนอนบนผ้าปูใหม่
   
        “นึกว่าหลับอยู่ซะอีกนะครับ”
   
        “ตื่นตั้งแต่มีเด็กซนๆ ที่ไหนไม่รู้ว่าลูบหน้าแล้ว”
   
        “ขอโทษนะครับ ทำให้ตื่นเหรอ”
   
       เดือนหัวเราะเบาๆ ซุกจมูกเข้ากับลาดไหล่บาง กดจูบเบาๆ สองสามทีจากนั้นก็ปล่อยตัวคุณพ่อคนสวยให้ไปวัดไข้ลูก เมื่อเห็นว่าน้องข้าวไข้ลดแล้วดินก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ เดือนจึงยิ้มตาม
   
        “ลูกเป็นไงบ้าง”
   
       “ไข้ลดแล้วครับ ดีจริงๆ”
   
       “นั่นสินะ”
   
       “ตอนลูกตื่นพี่เดือนเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อให้ลูกได้ไหมครับ เดี๋ยวดินจะล่วงหน้าไปช่วยคุณแม่เตรียมอาหารเย็นก่อน”
   
       “รับทราบครับ”
   
        ดินอมยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเดือน ตรงนี้นี่แหละที่ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่เปลี่ยนไป พี่เดือนยังชอบแกล้ง ชอบแหย่ให้เขาเขินให้เขาหัวเราะให้เขาเหวี่ยงได้ตลอด
   
        หลังจากสั่งการคนรักแล้วดินก็ไปที่บ้านใหญ่ ช่วยแม่มะลิเตรียมอาหาร  วันนี้มื้อใหญ่พอสมควร เพราะนอกจากครอบครัวพวกเขาแล้ว อารัน ฝน ปราณ เฟิง กวิน น้องสาวกวินและครอบครัวแม่แก้วก็จะมาด้วย วันนี้อาหารจึงปริมาณเยอะพอสมควร
   
        ดินช่วยแม่มะลิทำแกงส้มอยู่ตอนที่เดือนเดินเข้ามา ชายหนุ่มตัวโตตรงไปหอมแก้มผู้เป็นมารดาทันที
   
        “เจ้าหมูข้าวไปไหนล่ะลูก หืม เดือน อย่าเกะกะแม่สิลูก”
   
        ท้ายประโยคเอ็ดลูกชายคนโตที่นอกจากจะไม่มีประโยชน์ในครัวแล้วยังทำตัวเกะกะอีกต่างหาก
   
        เดือนที่พอถูกดุก็แสร้งทำปากยื่นอย่างน้อยใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจนตาหยีพลางตอบ “เล่นอยู่กับพ่อน่ะครับ เห่อหลานน่าดูเลย”
   
         “ก็หลานคนเดียวของเขานี่นา  ดิน มาช่วยแม่ซอยหอมทีสิลูก ส่วนเดือนไปยืนเฝ้าหม้อแกงส้มไป”
   
         “ได้คร้าบคุณนาย”
   
        “แล้วนี่พี่แก้วถึงไหนแล้วเนี่ย”
   
         “น่าจะซื้อของอยู่นะครับ คนอื่นๆ ใกล้จะถึงแล้ว”
   
         “ดีจังน้า วันปีใหม่แบบนี้มีคนมาบ้านเยอะๆ เนี่ย”
   
         “นั่นสินะครับ”
   
         ยืนคุยอยู่ไม่นานสียงทุ้มของพ่ออัลเฟรดก็ดังขึ้นว่าปราณกับเฟิงมาถึงแล้ว สองหนุ่มหอบหิ้วข้าวของมากมายเข้ามาในครัว ปราณยิ้มหวานรี่ไปกอดแม่มะลิทันที ส่วนเฟิงก็ยกมือไหว้รอบห้อง
   
        “โอ้โหป้ามะลิครับ ทำอะไรเนี่ย กลิ่นหอมเชียว”
   
        “แกงส้มน่ะลูก ดีเลย เฟิงมาก็ดี มีลูกมือเพิ่ม เดือนออกไปรอข้างนอกเลยลูก”
   
         “โหแม่ หมดประโยชน์ก็ไล่เดือนเลยนะ”
   
         “ไม่ใช่ว่าพี่เดือนไม่มีประโยชน์ในครัวตั้งแต่แรกหรอกเหรอครับ”
   
          ดินเย้า สิ้นประโยคนั้นทุกคนหัวเราะออกมา หลังจากฟัดแก้มคนรักไปจนเต็มที่เดือนก็ยอมล่าถอยออกจากห้องครัวโดยพาปราณออกไปด้วย เด็กหนุ่มตัวเล็กที่รู้ดีว่าความสามารถในการทำครัวตัวเองเท่ากับศูนย์ก็ตามออกไปแต่โดยดี
   
         หลังจากมื้อเย็นเตรียมเสร็จและสมาชิกที่เหลือตามมาครบ โต๊ะอาหารของครอบครัวก็หนักอึ้งไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด เรียกได้ว่ากินกันจนอิ่มหนำเลยทีเดียว หลังทานเสร็จทุกคนก็ช่วยกันเก็บล้างจานและมานั่งกันอยู่ที่ชานบ้าน แสงไฟสีส้มนวลอาบย้อมให้บรรยากาศอบอุ่น สายลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้มาทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย
   
         เดือนนั่งอยู่ที่พื้น ผ้าห่มผืนใหญ่คลุมตัว  คนรักของเขานั่งอยู่ข้างๆ อยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน ลูกชายกำลังปีนป่ายอยู่บนตักอารัณย์อย่างสนุกสนาน เดือนเลื่อนไปกุมมือของดินไว้   อีกไม่กี่นาทีก็จะล่วงเข้าปีใหม่แล้ว
   
       แหวนที่นิ้วนางสองวงกระทบกันแผ่วเบา เดือนยกมือคนรักขึ้น จูบลงบนแหวนวงน้อย
   
       “จะปีใหม่อีกแล้วเนอะ เวลาผ่านไปไวจัง”
   
        “นั่นสิครับ”
   
       “ดีใจนะ....ที่ดินยังอยู่กับพี่ ขอบคุณนะที่ปีนี้ยังอยู่ด้วยกัน”
   
        “ปีหน้าแล้วก็ปีต่อๆ ไปด้วยครับ”
   
        “ขอบคุณนะ”
   
        “ขอบคุณพี่เดือนเหมือนกัน”
   
        เสียงนับถอยหลังดังขึ้น เหมือนนับถึงศูนย์ก็เป็นเวลาเดียวกับที่พลุหลากสีถูกยิงขึ้นฟ้า ดอกไม้ไฟกระจายเบ่งบานกลางราตรี อาบย้อมความมืดให้พร่างพราวด้วยสีสัน
   
        เดือนก้มมองคนรักที่นั่งอยู่ข้างกัน ฉวยจังหวะที่ทุกคนสนใจพลุบนฟ้าจูบลงที่ริมฝีปากของดินเบาๆ
   
        “สวัสดีปีใหม่ครับ ปีนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ”
   
       “เช่นกันครับ สวัสดีปีใหม่ ขอให้เป็นปีที่ดีนะพี่เดือน”
   
        “มีดินกับลูกปีไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ”
   
        ดินหัวเราะ หอมแก้มคนตัวโตอย่างรักใคร่จากนั้นทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงแรงโถมที่หลัง พอหันไปมองก็พบต้นข้าวกำลังเอานิ่มๆ แนบกับหลังพวกเขา ถูไถไปมา
   
        “พ่อดิน พ่อเดือน ปีใหม่แล้ว พลุสวย”
   
       นิ้วป้อมๆ ชี้ไปที่ดอกไม้ไฟหลากสี
   
        “หนูข้าวชอบ”
   
        “ครับ มานี่เร็ว เดี๋ยวพ่อเดือนให้ขี่คอ จะได้เห็นพลุชัดๆ ดีไหมครับ”
   
         ว่าจบชายหนุ่มลูกครึ่งก็อุ้มเจ้าลูกชายตัวเล็กขึ้นให้ขี่คอ เด็กน้อยหัวเราะร่าอย่างชอบใจ ดินอมยิ้ม มองไปที่ลูกชายและเดือน มองพ่อกับแม่ มองฝนกับอารัณย์ที่นั่งเถียงกันอยู่มุมหนึ่งก่อนอารัณย์จะหยิกแก้มฝนเป็นการแก้แค้น มองเฟิงกับปราณที่นั่งคุยอะไรกันไม่รู้ท่าทางดูสนุก มองกวินกับน้องสาว มองทุกคนที่ทำให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่พิเศษ
   
          ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าระบายยิ้มออกมา
   
          ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ดีและขอให้ทุกคนมีความสุขแบบนี้ตลอดไป

****************************************************

วี้ดดดดดด มาลงทันคืนสิ้นปีพอดี นึกว่าจะแย่ซะแล้ว ฮืออออออ
ได้เขียนตอนพิเศษปีใหม่พี่เดือนมาสองปีแล้วนะ สุดท้ายสิ่งที่อยากบอกคือขอบคุณทุกคนจริงๆนะคะที่สนับสนุน
ที่ตามอ่านและชอบนิยายเรื่องนี้ สุดท้ายนี้ในปีหน้าก็ขอให้เป็นปีที่ดีและมีความสุขสำหรับทุกคนนะคะ
สุขสันต์วันปีใหมค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-01-2017 02:47:47
ขอบคุณที่พาทุกคนมาทักทายกัน

สวัสดีปีใหม่ 2560 ค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 01-01-2017 08:03:41
 ละมุนมากกกกกก :heaven
สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ
 :L1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 01-01-2017 09:24:33
 :mc3: :mc3: :mc3:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-01-2017 11:43:29
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-01-2017 12:14:31
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sherline8 ที่ 03-01-2017 00:29:08
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่องเลย ชอบมากกกกกกกก ชอบชื่อเรื่องมากกกก พอได้อ่านเนื้อเรื่องแล้วยิ่งชอบขึ้นไปอีก ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวน่ารักๆของน้องดินกับพี่เดือนนะคะ น่ารักมากๆเลย คู่รองก็น่ารักกก อยากอ่านเรื่องของฝนต่อจังเลยค่ะ ฮ่า  :monkeysad: ภาษาอ่านลื่นไหลมาก ชอบตอนพี่เดือนงอแง นางน่าตบดี กร๊าก :hao6:
รอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 06-01-2017 07:27:05
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ   สวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-01-2017 09:00:29
ขอบคุณค่ะ เป็นตอนพิเศษที่เรียบง่ายและอบอุ่นมาก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 09-01-2017 19:08:45
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอุ่นใจมากค่ะโดยเฉพาะตอนพิเศษล่าสุด
รู้สึกเป็นส่วนเพิ่มเติมที่ทำให้เรื่องอิ่มมากขึ้นไปอีก
เรื่องนี้เป็นนิยายที่ทำให้เราน้ำตาคลอๆ และกดดันเป็นพักๆ
ไหนจะเรื่องของน้องดิน เรื่องของพี่เดือน สารพัดสารเพไปหมด
แต่จริงอย่างที่คุณคนเขียนว่าล่ะคะว่าพอเรื่องนี้มีพี่เดือนก็ดูไม่ดราม่า
5555555555555555555 เป็นผู้ชายที่ส่องแสงนำทางให้น้องดินจริง

ขอบคุณมากค่ะที่แต่งเรื่องราวดีๆ มาให้ได้อ่าน
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: tensita ที่ 02-06-2017 09:40:58
นี่จะจบแบบที่ฝนฝนกับรันรันไม่เคลียร์หน่อยหรอ

จะให้ฝนเข้าใจว่าเปนตัวแทนของพี่ไปตลอดหรอ แงงง :mew2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 10-06-2017 06:39:30
เป็นนิยายที่น่ารัก อบอุ่นมากค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: taran ที่ 11-08-2017 23:50:35
กริ๊ดดดดดดดดดดดดดด เพิ่งตามเข้ามาอ่าน เพราะเห็นว่าจะทำเป็นหนังสือ ตายแล้วๆๆๆๆ ชอบๆๆๆ ได้ซื้อหนังสือเก็บไว้แน่ ๆ เลย

ทั้งพี่ทั้งน้อง น่ารัก กวนโอ๊ยดี ชอบง่ะ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-08-2017 01:55:56
 :mew1: :mew1:q
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: iNklaNd ที่ 15-08-2017 21:38:54
สนุก มาก ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆ ออกมานะคะ
ชอบช่วงกระทู้กับคอมเม้นท์ในโลกโซเชียล
มัน real มากเลยยย
คนเราชอบตัดสินคนอื่นไปก่อนที่จะรอความจริงปรากฎ
นึกถึงข่าวดาราสาวกับนักร้องหนุ่มที่เป็นข่าวเรื่องลูกเลย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 17-08-2017 16:09:17
อ่านกี่ครั้งก็สนุก :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 18-08-2017 02:34:50
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 18-08-2017 20:50:08
พี่เดือน น้องดิน ในที่สุดก็ฟิน
แอบลุ้นช่วงดราม่า กว่าจะลงเอยได้
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mu_mam555 ที่ 19-08-2017 13:11:46
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: saseum ที่ 16-09-2017 09:21:18
เป็นนิยายที่น่ารัก อบอุ่น สนุกแล้วก็ลุ้นไปกับเนื้อเรื่องมากเลย
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 18-09-2017 18:52:48
ชอบมากค่ะ
ความรักไม่จำเป็นต้องหวานแห๋วเสมอ
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mouymai ที่ 22-09-2017 18:15:27
เป็นนิยายที่น่ารัก อบอุ่นมากเลยค่ะ ชอบมาก o13
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: pwstz ที่ 29-10-2017 17:28:25
ฮื่อออ ชอบตอนพิเศษต่างๆ จะรอตอนพิเศษอื่นๆอีกนะคะ 55555
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 02-11-2017 15:40:17
เนื้อเรื่องน่ารักดีค่ะ แต่ตอนแรกๆค่อนข้างเอื่อยๆอยู่หน่อย แต่พอกลางๆเริ่มเข้มข้น สนุกดีค่ะ
 o13
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 06-11-2017 17:30:06
 :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: RENYINGYING ที่ 15-11-2017 23:59:15
ขอบคุณคุณนักเขียนจริงๆค่ะที่แต่งนิยายดีๆเรื่องนี้ให้อ่าน รู้สึกชอบความรักของดินและเดือนดูรักแบบธรรมชาติจริงใจให้ความรู้สึกของคำว่าคู่ชีวิตจริงๆค่ะ ตอนแรกนี่ก็เห็นชื่อเรื่องนี้มานานแต่ก็ไม่ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านสักทีบังเอิญไปเจอหนังสือเรื่องนี้เนื้อเรื่องน่าอ่านมากค่ะพอเข้ามาอ่านก็ไม่ผิดหวังจริงๆด้วยขอบคุณนะคะแต่งดีมากเลยค่ะใครว่าไงไม่รู้แต่เราชอบค่ะ55
 :pig4: :pig4: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: realpsy__ ที่ 31-12-2017 22:40:35
ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆแบบนี้นะคะ  :o8:
แล้วก็สวัสดีปีใหม่ 2018 ด้วยนะคะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 05-04-2018 22:25:34
ตามมาจากกระทู้นิยายแนะนำค่ะ ตอนอ่านเรื่องย่อคิดว่าพอรับได้

แต่..พอเข้าเรื่องมาดูหน้านิยายล่าสุด... แง้ ไม่กล้าอ่าน กลัวร้องไห้

เพราะก่อนตามมาก็คิดว่าคงหน่วงแน่ๆ พอกดมานี่น่าจะหน่วงเอาการ

 :hao5: อยากอ่านแต่กลัว  :z3:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 29-04-2018 08:33:54
ขอบคุณมาก เป็นเรื่องที่ดี และเสียนำ้ตาไปเยอะมาก ขอบคุณสำหรับความทุ่มเท ผลงานคุณออกมาดีมาก
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 21-12-2019 08:32:35
:pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 13-10-2020 08:15:48
ตอนพิเศษสุดท้ายครอบครัวสุขสันต์มากเลย
อบอุ่น
เรื่องนี้เรารู้สึกเหมือนเคยอ่านมาแล้ว
ด้ายแดง แต่จำไม่ได้ เนื้อเรื่องมันคุ้นมาก
เหมือนเคยอ่านแต่อ่านไปๆก็เอ๊ะไม่เคยอ่าน
สับสนตัวเอง แต่เนื้อเรื่องน่ารักดีค่ะ