The Real Me อย่าท้าให้บ้ารัก ตอนที่ 61 - ตอนจบ [ส. 11 ธ.ค 64 หน้า 82]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Real Me อย่าท้าให้บ้ารัก ตอนที่ 61 - ตอนจบ [ส. 11 ธ.ค 64 หน้า 82]  (อ่าน 444445 ครั้ง)

ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9

ออฟไลน์ lilchubby

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ติดตามค่าาาา

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
แน้ แอบไม่พอใจแน่ๆ สมุทรเอ๋ยยยย

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
คิดถึงคุณไฟจังเลยค่ะ

ออฟไลน์ MaidenQueen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รอคุณไฟกับสมุทรร

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

คำแนะนำ:

เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน  รบกวนคนอ่าน (ย้อนไประลึกความหลัง) อ่านตอนที่ 51 (หน้า 74) กับตอนที่ 52 และ 53 (หน้า 76) ได้นะคะ  เดี๋ยวไม่อิน 5555++

.......


ตอนที่ 54
..ไฟ..



ค่ายมวย

เสียงอึกทึกและเสียงคำรามในช่วงเช้ายังคงเป็นกลิ่นอายเดิม ๆ ที่ผมเคยชินมาตั้งแต่เด็ก  รู้สึกสมบูรณ์ว่าได้กลับมาในที่ของตัวเอง...

“สวัสดีครับ” นักมวยที่กำลังซ้อมอย่างขยันขันแข็งพากันหยุดซ้อม หันมายกมือไหว้  ผมทักทายด้วยการพยักหน้ารับ  กวาดตามองไปทั่วบริเวณก่อนปัดมือกลางอากาศ  ส่งสัญญาณให้ทุกคนทำหน้าที่ต่อได้ตามสบาย

“สวัสดีครับคุณไฟ” นพยิ้มกว้าง  วิ่งมาพร้อมกับมือที่พนมไหว้

“โอ้ ดูสบายดีมาก” ผมชื่นชม  วางมือลงบนหัวมันทั้งสองมือและออกแรงบีบลงไปด้วย

“........” คนถูกกดหัวสีหน้าเหยเกแต่ก็ไม่ยอมส่งเสียงร้องหรือแสดงความเจ็บปวดออกมา  ผมแสยะหัวเราะ  บีบจนพอใจแล้วจึงปล่อยมือออก

“น้ำหนักเป็นไง” ผมถามถึงนักมวยรุ่นเล็กที่ซ้อมอยู่  พวกมันต้องขึ้นชกสุดสัปดาห์นี้

“ลงแล้วครับ” นพยิ้มตอบ

“ดี” ผมพยักหน้ารับ  ตบบ่านพสองสามทีก่อนตรงเข้าห้องประชุม  พนักงานตำแหน่งสำคัญอยู่กันพร้อมหน้า  ทุกคนลุกขึ้นยืนในทันทีที่เห็นว่าผมมาถึงแล้ว

“สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ”

“นั่งเถอะ” ผมทักตอบ  พี่ธานเลื่อนเก้าอี้หัวโต๊ะออก  ผมนั่งลงพลางเหลือบมองหน้าทุกคนที่ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่ง

“เป็นไง สบายดี ?” ผมเลิกคิ้ว  ทุกคนอมยิ้มน้อย ๆ หลบสายตาและไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
 
“เอาเรื่องสำคัญก่อนแล้วกัน” ผมเปิดประเด็น

“ค่ะ” พี่นีผงกหัวรับเสียงค่อย  เธอลุกขึ้น ตรงมานำแฟ้มสีดำวางลงตรงหน้าผม 

บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปโดยทันที  ทุกคนจ้องมองมาที่ผมเป็นตาเดียวคล้ายรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าผมนี้เป็นเอกสารอะไร  ในห้องเงียบสนิท  ผมเปิดแฟ้มออกก่อนกวาดตาอ่านทุกบรรทัดอย่างรอบคอบ 

“จากเสี่ยเจียนค่ะ ส่งมาได้หลายวันแล้ว เรารอแจ้งคุณไฟเลยยังไม่ได้ติดต่อกลับไป ทางนั้นเพิ่งเร่งมาว่าขอคำตอบภายในสองวันนี้น่ะค่ะ” พี่นีอธิบาย

“เร่งทำไม ถึงตอบช้ายังไงก็รออยู่ดี” ผมพูด  มีความไม่พอใจผสมอยู่นิดหน่อย

“........” ไม่มีใครแสดงความคิดเห็นกลับมา  ผมเงยหน้าขึ้นมองทุกคนพลางใช้ความคิด

“รุ่นอนาคอนดาก็ส่งพี่ใหญ่ผมไปดีไหมล่ะ” ผมเสนอ  การตัดบทติดตลกจากผมไม่ได้เรียกเสียงหัวเราะได้มากนัก  คงเพราะรู้ว่าผมเองก็ไม่ได้อยากให้ขำ  แฟ้มถูกปิดลง  ในนี้เป็นจดหมายเชิญเข้าร่วมส่งนักมวยขึ้นชกเวทีใหญ่  ซึ่งเป็นรายการการแข่งขันรูปแบบใหม่ที่ได้ถูกวางแผนมาเป็นปีแล้ว  ผมทราบเรื่องอยู่บ้างแต่ที่ผ่านมาไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษ   

“ทางนั้นคงเห็นว่าเราเงียบมาตลอดครับ” พี่เอิร์ธพูดขึ้น 

“เอ่อ ส่วนตรงนี้เป็นรายชื่อนักมวยจากค่ายอื่นที่ส่งชื่อแล้วค่ะ” พี่นีวางกระดาษอีกแผ่นให้ผมดู 

“ส่วนนี่ เป็นรายชื่อของนักมวยค่ายเราที่สะดวกสำหรับลงแข่ง” เธอแจง  รายชื่อนักมวยทั้งไทยและต่างชาติที่สร้างรายได้ให้ค่าย ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับแนวหน้าถูกวางลงด้วย

รูปของโจเซฟ นักมวยจากค่ายของคนไทยที่ประเทศสเปนถูกวางอยู่ในรายชื่อนักมวยเช่นกัน  มันเป็นนักมวยต่างชาติที่คนในวงการยอมรับว่ามีฝีมือทางด้านแม่ไม้มวยไทยเป็นอย่างดี  ชนะมาหลายเวที  นักมวยชาวไทยที่ขึ้นชกกับมันแพ้ราบคาบมาแล้วหลายคน  ฝีมือของโจเซฟช่ำชองในระดับที่พวกผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือของจริง 

และนี่ไม่ใช่รายการมวยปาหี่  รางวัลค่าตัวนักมวยที่แพงหูฉี่  อีกทั้งคัดเฉพาะนักมวยรุ่นใหญ่จากค่ายดังทั้งไทยและเทศ  จะเป็นการจัดการแข่งขันที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเรื่องของศักดิ์ศรีเข้ามาร่วมด้วย...

“มีเงื่อนไขอื่นไหม” ผมถาม

“ไม่มีค่ะ” พี่นีตอบ

“งั้นผมจะส่งสมุทร”ผมพูดขึ้น  ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้มีชื่ออยู่ในรายการนี้

“........” ทุกคนชะงักงัน  เหลือบมองมาทางผมด้วยสายตาตกใจ  มีทั้งแบบที่ไม่เห็นด้วยและแสดงความลังเลที่จะออกความคิดเห็นออกมา

“เอ่อ คือ...” พี่เอิร์ธอ้ำอึ้ง  ทำท่าจะทักท้วง

“ตอบรับไปครับ เราจะส่งสมุทร” ผมยืนยันด้วยโทนเสียงเรียบง่ายเพื่อเป็นการตัดบทความคิดเห็นของทุกคน ว่าวันนี้ผมไม่มีอารมณ์มาเถียงด้วย

“ค...ค่ะ” พี่นีขานรับ

“ขออนุญาตครับคุณไฟ ผมกังวลว่า สมุทรจะเตรียมตัวทันเหรอครับ” พี่ธานพูดแทรก

“ก็ทำให้มันทันสิครับ” ผมตอบ

“แต่ว่าเขาเพิ่งเสียยายไป ผมเองก็ไม่คิดว่าจิตใจเขาจะพร้อมนะครับ นี่มันเวทีใหญ่มาก” พี่เอิร์ธสมทบทันที 

“ผมตั้งใจจะเปิดตัวเขา” ผมพูด  ละเว้นคำพูดต่อไปที่ว่า.. ไม่สนแม้จะถูกดูถูกดูแคลนต่อจากนี้ เพราะหมอนั่นต้องรับให้ได้

“รีบจัดทีมคนดูแลสมุทรมาให้ผมดู พร้อมแล้วให้นัดประชุม” ผมสั่ง

“........” ทุกคนปิดปากสนิท  สีหน้าที่ไม่พอใจพยายามเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ก็ยังได้กลิ่นว่านั่นปิดไม่มิด

“ผมลงทุนกับหมอนี่ไปเยอะแล้ว ผมอยากได้คืน” ผมตัดบทด้วยโทนเสียงที่ปกติมักไม่ใช้

“แล้วก็นะ..” ผมเอ่ย  ช้อนตากวาดมองทุกคนตรงหน้า

“ช่วยทำหน้าที่ของตัวเองไปก็พอ” ผมตัดบทพร้อมลุกขึ้นยืน ก่อนเดินจากมา


- - - - - - - - - - - - - -


ช่วงนี้มีแต่ข่าวจับกุมการลักลอบค้ายาเสพติด เป็นข่าวครึกโครมไม่เว้นแต่ละวัน  ตามสูตรเดิม จบที่การจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ไม่ได้...

สูทสีดำหัวจรดเท้าของผมกับลูกน้องสะดุดตาเกินไปในงานพิธีศพเล็ก ๆ เช่นนี้  ผมเข้าห้องพระแต่เช้า  มีเรื่องต้องการใช้พื้นที่สงบใจ  รูปของพ่อและแม่ รวมถึงคนสนิทที่จากไปตั้งเรียงอยู่บนหิ้ง  อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมตนเองที่ควรน่าจะตายก่อนใครกลับยังมีชีวิตอยู่

วันนี้อากาศร้อนเป็นปกติของประเทศไทย  แต่ยิ่งดูร้อนเข้าไปอีกเมื่อหันไปทางไหนก็เจอแต่คนใส่ชุดสีดำ  ผมไม่ค่อยถูกโรคกับเสื้อสีดำเท่าไหร่นัก  เห็นแล้วอึดอัดบอกไม่ถูก

เนื่องจากกำลังรอพิธีเผาในช่วงบ่าย  ด้านในค่อนข้างวุ่น  ผมจึงเลือกมานั่งที่ศาลานั่งเล่นแทน  สมุทรจัดเตรียมสถานที่ไว้อย่างสะอาด  กลายเป็นมุมส่วนตัวของผมและลูกน้องไปโดยปริยาย  ดูเหมือนเหล่าหลาน ๆ ของยายที่จากไปยังไม่ได้หยุดมือเลยตั้งแต่เช้า  ทำนู่นทำนี่เดินไปทั่วศาลา  ผู้หญิงที่ชื่อแก้มมีสีหน้าดูดีขึ้นกว่าวันแรกที่ผมพามาส่ง  มีรอยยิ้มให้เห็นอยู่บ้างและช่วยงานขยันขันแข็งดี 

“พี่ทัพโดนพักงานครับ” พี่ธานเดินมาบอก  นั่งลงขวามือของผม 

“เรื่อง ?” ผมเลิกคิ้ว

“เห็นว่าบุกเข้าไปในพื้นที่ของไอ้กริดเลยโดนอีกฝ่ายเล่นงานกลับไปทางหัวหน้าน่ะครับ”

“เหรอ” ผมขานรับไปที 

“ไม่โทรหาหน่อยเหรอครับ” พี่ธานถาม

“ร้อน” ผมปัด

“หึ ๆ” อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ

“ผมอึดอัดเหมือนจะระเบิดเลย” ผมถอนหายใจ  คว้าแก้วน้ำกระเจี๊ยบขึ้นดื่มจนหมด  ขนาดพัดลมจ่อมาตรง ๆ ก็แทบต้านเหงื่อเอาไว้ไม่ได้

“หรือว่าแขนเรามันใหญ่ไปครับ” พี่ธานวิเคราะห์  ผมหลุดหัวเราะให้กับการวิเคราะห์ที่นิ่งสงบแต่ดูวิตกกังวลในประเด็นนี้
 
“ผมคุยกับเขาแล้วนะครับ” จู่ ๆ คนตรงหน้าก็เปิดประเด็นให้ทราบ

“อืม” ผมขานรับในลำคอ

“........” เราสองเงียบลงในขณะที่สายตาไม่ได้ละไปจากกัน  ผมหยิบน้ำเปล่าขึ้นดื่มด้วยความกระหายก่อนจะเริ่มพูดในสิ่งที่คิด

“หมอนั่นว่าง่ายในหน้าที่นะว่าไหม”

“ครับ” พี่ธานตอบ

“หายากนะคนว่าง่ายในหน้าที่เนี่ย” ผมพึมพำไปงั้น

“ครับ เพราะเวลาที่คุณไฟไม่อยากชก คุณมักจะไล่ให้คุณท่านไปชกเอง” อีกฝ่ายตอบกลับนิ่ม ๆ ทำเอาผมหลุดยิ้ม 

“ถึงหมอนั่นแพ้ ยังไงก็จะดังอยู่ดี” ผมพูด

“แต่ผมว่าเขาไม่น่าชอบ..”

“อะไรดัง ๆ น่ะครับ” พี่ธานขยายความซะเอง

“หึ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะ

“กดดันเขาให้น้อยกว่านี้น่าจะดีกว่านะครับ อีกฝ่ายไม่เหมาะที่จะยืนอยู่ตรงนี้หรอกครับ”

“ไม่เหมาะกับไม่อยากเหมาะมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่นะ” ผมว่า

“........” พี่ธานเงียบ

“ขอโทษครับนาย ป๋าจงมาถึงแล้วครับ” ไอ้เด่นเดินมาขัดจังหวะ  ผมเงยหน้าขึ้นก็พบว่าป๋าจงกำลังเดินมา  ทั้งผมและพี่ธานต่างลุกขึ้นยืนเพื่อทักทาย

“ไง..” ป๋าเอ่ยทักพร้อมผายมือข้างหนึ่งมาโอบหลังผม

“นั่งก่อนสิครับ” ผมบอก  ผายมือไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ก่อนที่เราทั้งสองคนจะนั่งลงพร้อมกัน 

“พักหลังมานี้เดินสายแต่งานศพ” ป๋าเกริ่นพร้อมยิ้มอ่อน ๆ

“หึ..” ผมหลุดยิ้ม

“ลื้อถึงขนาดให้อั้วมาเอง ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว

“ก็ผู้ใหญ่ที่เคารพตายหนีกันไปเกือบหมดแล้วนี่ครับ” ผมกวนตอบเสียเลย

“หึ ๆ ๆ” ป๋าหัวเราะชอบใจ

“อยากให้มีผู้ใหญ่หน่อยน่ะครับ” ผมพูดบอกเป็นงานเป็นการ  ป๋าจงนิ่งลงคล้ายเข้าใจในความหมายก่อนจะขานรับนุ่ม ๆ ในลำคอ
บทสนทนาจบลง  ลมพัดมาระลอกหนึ่ง  ผมเหลือบมองไปยังเมรุที่อยู่กลางลานตรงหน้าที่รับแสงจากพระอาทิตย์เต็ม ๆ  เมรุเก่า สภาพทรุดโทรมไม่ต่างจากสภาพวัดนัก  ถึงแม้จะแวดล้อมไปด้วยชาวบ้านละแวกนี้  แต่สำหรับผมมันช่างเป็นงานที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยไปมา  ไม่มีคนใหญ่คนโตเลยแม้แต่คนเดียว

แต่ก่อนผมเคยสงสัยว่าทำไมงานศพของเหล่าคนที่พ่อผมไปร่วมพิธีถึงดูใหญ่โตและวุ่นวายนัก  ความสงสัยนั้นหมดไปเมื่อตัวเองต้องมายืนอยู่หน้างานศพของพ่อตัวเอง  และผันตัวมาอยู่ในฐานะ “เจ้านาย” อย่างเต็มตัว  พ่อทิ้งทุกอย่างไว้มากมาย  ช่วยชีวิตทั้งคนเลวและคนดีไว้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง  แขกที่มาด้วยความรักและเคารพ  หรืออาจจะทั้งรักทั้งเกลียด  ผมจำได้ว่าทุกวันของการฟังสวดศพ ไม่มีวันไหนที่แขกไม่ล้นศาลา  ทุกครั้งที่อยู่ในพิธีแบบนี้ก็อดนึกถึงอดีตไม่ได้ 

“หยุดช่วยคนอื่นสักทีได้ไหม โลกมันไม่เปลี่ยนเพราะพ่อคนเดียวหรอก !” คำพูดที่ต่อว่าพ่อตัวเองหวนกลับมาในความคิดของผมเกือบทุกครั้งที่อยู่ในพิธีศพของใครสักคน  ผมเคยเกลียดที่พ่อเป็นคนนิสัยแบบนั้น  ทั้งที่เกลียด แต่ก็เคารพทุกการตัดสินใจ...
 
“พ่อชอบพูดว่า เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว” ผมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“หึ..” ป๋าจงพ่นหัวเราะนิด ๆ คล้ายเข้าใจ

“ไม่ค่อยว่างเลยนะ เพราะมัวแต่ช่วยคนอื่น” ป๋าจงแซวคนที่จากไปยิ้ม ๆ

“ไม่เข้าใจว่าจะรีบตายไปไหน” ผมพึมพำเห็นด้วย  อยากบ่นด่าแค่ไหน ถ้ามีชีวิตอยู่ต่อก็พร้อมที่จะรับฟังแท้ ๆ   


ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเอาคนคนนี้ของผมไป...


การเคลื่อนศพเวียนรอบเมรุเต็มไปด้วยความเงียบสงบ  พี่คนโตถือรูปของคนเป็นยายด้วยใบหน้านิ่งขรึม  ไม่มีน้ำตา  หนวดเคราไม่ได้ถูกดูแลให้เรียบร้อยอย่างทุกครั้ง  ดวงตาที่มองลงต่ำเต็มไปด้วยความไม่ยินดียินร้ายต่อโลกใบนี้  เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่เรียบร้อยหัวจรดเท้า  สันกรามของเขาบดแน่นบ้างครั้งคราว  เป็นภาพที่ผมเห็นชัดเจน 

แม้จะลำบากกายมากแค่ไหน  แต่การมีชีวิตอยู่มองญาติผู้ใหญ่ที่จากไปคือความเจ็บปวดที่ขาดที่พึ่งทางใจอย่างแท้จริง  เป็นความรู้สึกแบบที่ต้องเจอกับตัวเองเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นได้

ประชุมเพลิง


- - - - - - - - - - - - - -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2020 21:23:15 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า  ในวงการสีเทา คนใหญ่คนโต  มีเงิน  มีอำนาจในบางกลุ่มอาจมีงานอดิเรกที่พิสดารต่างไปอย่างที่คนธรรมดามักคิดไม่ถึง  เหมือนกับว่าพวกมันไม่รู้ว่าควรเอาเงินไปลงทางไหนดีถึงจะหายตื่นเต้น

เสียงโทรทัศน์ถูกพี่ธานกดเร่งให้ดังขึ้นเมื่อพบว่าข่าวที่กำลังครึกโครมอยู่ตอนนี้  คือข่าวของการบุกเข้าตรวจค้นกิจการของครอบครัวไอ้กริด 


การตรวจค้นเบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฏหมาย...

“ตัวมันไงครับ สิ่งผิดกฏหมาย” พี่ธานพูดขึ้นด้วยโทนเสียงที่แสดงความไม่พอใจ

“หึ ๆ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะ

“ปกติพวกมันประมูลสินค้ากันวันนี้ไม่ใช่เหรอ” ผมถาม  ปัดมือส่งสัญญาณให้พี่ธานปิดโทรทัศน์  อีกฝ่ายขานรับพร้อมกดปิดตามที่สั่ง

“คุณไฟจะเอายังไงต่อครับ เรื่องที่วัดวันนั้น พวกมันคงไม่จบแค่นี้” พี่เขาเอ่ย  ผมนิ่งมอง  นั่นไม่ใช่แค่ว่าการถูกข่มขู่ในคราวนี้เกิดจากการยียวนจากผม  แต่มันคือการที่ผมดันเข้าไปทราบความลับในสิ่งที่พวกมันไม่ต้องการให้ทราบ

“ขออนุญาตครับ”

ผมเหลือบมองไอ้เข้มที่เพิ่งกลับเข้ามา  มาพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ...

“ข้อมูลผู้จัดการการชกในครั้งนี้ครับ” อีกฝ่ายนำซองมาวางลงตรงหน้า  รายละเอียดรายชื่อผู้จัดที่ทีมงานที่ค่ายมวยของผมนำมาให้ก่อนหน้านี้ยังไม่ใช่ตัวจริง  ในซองนี้ต่างหากที่เป็นของจริง

“แล้วเรื่องที่นายให้ไปจัดการ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ”

“อืม..” ผมพยักหน้ารับ

“ไปพักเถอะ” ผมอนุญาต

“ครับนาย” ไอ้เข้มโค้งตัวเล็กน้อยก่อนจากไป

“วันนี้เป็นไงบ้าง” ผมถามถึง  สมุทรเริ่มกลับมาทำหน้าที่อีกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นงานศพยายของเขา รวมถึงวันที่ผมให้เขาได้พัก  เราไม่ได้พบหน้ากันเลย  จะบอกว่าไม่พร้อมก็คงใช่ 

“ผมให้เขารู้รายละเอียดการซ้อมเบื้องต้นก่อนน่ะครับ ยังไม่ได้อัดหนัก ๆ ให้” พี่ธานตอบ 

“........” ผมเงียบฟัง  กวาดตามองเอกสารที่ไอ้เข้มเพิ่งนำมาให้

“อีกฝ่ายยังดูเครียดอยู่ครับ คิดว่าอีกสักสี่ห้าวันคงดีขึ้นแล้วค่อยเรียกมาคุยเรื่องโปรแกรมการซ้อมใหม่ รอทีมงานจัดตารางซ้อมพร้อมกับนักมวยคนอื่นด้วยครับ”

“แล้วก็ เราตกลงกันแล้วว่าจะให้ไปเก็บตัวที่ประจวบฯ คุณไฟคิดว่ายังไงครับ ผมจะได้คอนเฟิร์มกับทุกคนไป” พี่ธานถาม

“อืม” ผมขานรับอนุญาต

“ถามรึเปล่าว่าหลังจากนี้จะเอายังไง” ผมพูดถึงเรื่องส่วนตัว

“ครับ” พี่ธานตอบ

“เห็นว่าทำประกันให้ยายไว้สองตัว จะได้เงินประกันประมาณสามแสนห้า”

“รวมแล้วสามแสนห้า ?” ผมละสายตาจากเอกสารขึ้นเหลือบมองว่าทำไมมันถึงได้น้อยนัก

“ครับ” พี่เขาพยักหน้าตอบ

“ยังดีนะครับ เห็นว่าทำให้ทุกคนในบ้าน ถึงแม้จะทำแบบถูกก็เถอะ เขาคงกังวลว่าจะดูแลคนในบ้านไม่ไหวหากเป็นอะไรมั้งครับ” พี่ธานวิเคราะห์ 

“ก็ยังดีที่ยังรู้จักทำ” ผมพูด  ถึงแม้จะตกใจในจำนวนเงินที่ได้รับ แต่ก็ยังเห็นข้อดีที่เขาทำไว้บ้างละนะ 

“ผมถามถึงเรื่องบ้านเขาด้วยครับ..”

“........” ผมเงียบ  วางเอกสารลงก่อนเอนหลังพิงพนักโซฟา

“เห็นสมุทรคิดอยากจะขายบ้านที่อยู่ตอนนี้น่ะครับ เขากังวลเวลาที่ไม่อยู่บ้านแล้วดาวกับเมฆไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย แต่คิดว่าน่าจะขายได้ราคาไม่ดี ถ้าต้องรวมเงินที่คุณไฟให้ เงินซองที่งาน แล้วก็เงินประกัน สมุทรกังวลว่าขายไปแล้วอาจทำให้น้องลำบาก ถ้าต้องไปซื้อที่อื่นแล้วสุดท้ายผ่อนต่อไม่ไหวอะไรแบบนั้น เพราะเขารู้สึกว่าตอนนี้ เอ่อ.. งานที่ค่ายเรา ยังไม่มั่นคงสำหรับเขาน่ะครับ” พี่ธานค่อย ๆ ลดระดับเสียงลงในประโยคหลัง

นอกจากเงินช่วยเหลือพิธีศพที่ผมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดแล้ว  เงินจากค่ายจำนวนหนึ่งซึ่งมักจะให้พนักงานทุกคนตามเกณฑ์มาตรฐาน  ส่วนผมได้มอบเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง  ซึ่งเงินส่วนนี้ปกติก็จะให้นักมวยทุกคนขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผมไปตามลำดับความสำคัญ  ไม่ได้ให้ในนามค่ายมวยเพราะไม่ต้องการให้การบริหารส่วนนี้มีปัญหาจุกจิกตามมา  ส่วนถ้าพวกคนที่ค่ายจะมอบซองให้ต่างหากรึเปล่านั้นก็แล้วแต่ว่าใครจะสะดวก   

“น่าจะขายได้สักเท่าไหร่” ผมถามส่ง ๆ

“ห้าแสนก็หรูมากแล้วครับ” พี่ธานตอบ  ผมช้อนตาขึ้นมอง   

“ให้ไอ้โปรดซื้อดีไหมล่ะ” ผมอมยิ้ม

“คนคนนั้นเนี่ยนะครับ คงบ่นยาวไปถึงชาติหน้าพอดีครับ” พี่ธานตอบหน้านิ่ง  รู้นิสัยของไอ้โปรดดีที่ไม่ชอบทำอะไรที่เห็นแล้วว่าน่าจะขาดทุน

“หึ ๆ ๆ งั้น...” ผมยิ้ม  เหล่หางตามองพี่ธาน

“ครับ ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว

“พี่ก็ซื้อไปสิครับ” ผมว่า  มองไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหา

“ซื้อแล้วก็ขายขาดทุนไปซะ”

“ทางนั้นก็รู้พอดีครับ ขายได้เร็วขนาดนั้น” พี่ธานตอบ

“หมอนั่นซื่อบื้อน้อยเมื่อไหร่” ผมย้อนให้

“หึ ๆ ๆ” คนตรงหน้าหัวเราะ 

“เอ่อ งั้นเอาแบบนี้ดีไหมครับคุณไฟ ผมคิดว่าให้สมุทรลองไปอยู่คอนโดสักห้องนึงของคุณก็ดีนะครับ ที่ใกล้กับมหา’ลัยของดาว ระหว่างนี้เขาจะได้ไม่ต้องรีบใช้เงินเก็บที่มีอยู่ แล้วก็ได้เก็บเงินตั้งตัวด้วย ดีไหมครับ”

“ไม่ได้” ผมปัดทันที

“ผมไม่ได้เป็นอะไรกับหมอนั่น” ผมขยายความพลางพ่นหัวเราะ  ถึงแม้ผมจะสนใจเขา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องประเคนทุกอย่างให้ง่าย ๆ

“แต่ห้องที่ไม่มีคนอยู่มันจะเก่าเอานะครับ” พี่ธานสู้กลับ

“เพิ่งสึกมาเหรอ” ผมย้อนถามในความใจดีของพี่ใหญ่  ทำเอาอีกฝ่ายหลุดยิ้ม

“งั้น...เก็บค่าเช่าเป็นไงครับ” พี่เขายังไม่หยุดเสนอ

“เท่าไหร่ล่ะ” ผมเลิกคิ้ว  คอนโดส่วนใหญ่ของผมมีราคาค่อนข้างสูง  อย่างแรกคือสมุทรจ่ายไม่ได้แน่นอน  จึงอยากรู้ว่าตัวเองควรได้ค่าเช่าเท่าไหร่  และโดยปกติแล้ว การปล่อยห้องเหล่านี้ให้ชาวต่างชาติหรือนักธุรกิจก็ได้เงินดีและเป็นรายได้ที่แน่นอนกว่า

“........” พี่ธานเงียบไปและจ้องมองผมไม่วางตา  คงรู้แล้วว่าผมไม่ยอม

“พี่ก็พาไปห้องพี่สิ” ผมย้อน  คอนโดของพี่เขามีถมเถ  เหมาะสมกว่าที่จะให้มาอยู่ในที่ของผมเป็นไหน ๆ

“นั่นสิครับ ผมก็ลืมไป” พี่ใหญ่อมยิ้มเจ้าเล่ห์

“หรือไม่ก็...ถ้าใจดีนักก็ไล่เด็กของพี่ที่ให้อยู่ตอนนี้ออกไปแล้วก็ขายให้หมอนั่น” ผมเสนอแนะ

“คุณนี่...” พี่ธานอมยิ้มมุมปาก  ทำทีท่าว่าเหนื่อยอ่อนต่อการต่อปากต่อคำกับผม 
 
“เอาใจผมหน่อยไม่ได้รึไงเล่า” ผมพูดแทรกนิ่ม ๆ ก่อนที่คนตรงหน้าจะได้จบประโยค
 
“นั่นมันหน้าที่ผมอยู่แล้วนี่ครับ” พี่ใหญ่ไม่ปฏิเสธ

“งั้นผมขอตัวไปค่ายก่อนนะครับ”

“เชิญครับ” ผมอนุญาต  อีกฝ่ายลุกขึ้นพลางถอนหายใจเบาบางให้ได้ยิน

พ่อ ! ได้ยินไหม เมื่อกี้พี่ธานถอนหายใจล่ะ” ผมสบถขึ้นโต้ง ๆ จงใจกวน  เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินอะไรทำนองนี้จากคนคนนี้  และก็ไม่ได้ยินเสียงเช่นนี้มาพักใหญ่แล้ว

“........” ผมอมยิ้มมุมปาก เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ยืนนิ่ง  ดูเก้อเขินเล็กน้อยที่ถูกผมแซว   

“นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วนะครับ จะไม่ไปหาเขาหน่อยเหรอครับ” พี่ธานพูด

“ไม่ยักรู้ว่าพี่ใหญ่ถอนหายใจด้วยเรื่องแค่นี้”

“คุณไฟครับ...”

“ก็นะ” ผมปัด 

“สมุทรเขาไม่มีใครแล้วนะครับ”

“ถึงไม่มีใครก็ไม่ได้แปลว่าหมอนั่นจะอยากเจอผมนี่” ผมตอบ 

“........” ทั้งผมและพี่ธานพร้อมใจกันเงียบอึดใจหนึ่ง  การที่ผมยังไม่ไปพบหน้าไม่ได้แปลว่าไม่ต้องการ  ตอนนี้ผมกำลังดันให้เขาทำหน้าที่ที่เขาควรต้องทำ  มากไปกว่านั้น ก็ตามที่พูด.. มันไม่ได้แปลว่าการไปของผมจะเป็นสิ่งที่ทางนั้นต้องการ  ซึ่งผมก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเอาใจอีกฝ่ายได้เกินเหตุด้วย 

“พี่ไม่คิดเหมือนผมเหรอ ว่าบางทีเราอาจไม่เหมาะที่จะเดินหน้าเรื่องพวกนี้น่ะ” ผมละสายตาจากหน้าของพี่ใหญ่  หลังจากที่ได้ถอยออกมาและมองเห็นอะไรต่อมิอะไรภายในของตัวเอง 

“คิดครับ..” พี่ธานตอบ

“แต่ผมก็แค่อยากเห็นคุณมีความสุข”


- - - - - - - - - - - - - -


23.10 น. : ย่านมารัต

“สิ่งที่กูทำอยู่นี่คืออิหยั่งวะ ?” เสียงของเพื่อนสนิทพึมพำติดตลกกับตัวเอง


ผมหยุดยืนอยู่หน้าปากซอยทางเข้าไปยังบ้านของสมุทร  รถยนต์ของไอ้โปรดจอดเทียบริมถนน  การที่ผมยังไม่เดินไปยังจุดหมายที่ต้องการเสียทีเพราะรถยนต์คันคุ้นตาที่จอดอยู่ใกล้ ๆ กันนี้  มันเป็นรถของผู้หญิงคนนั้น

กลิ่นบุหรี่จากคนที่มาด้วยกันลอยเตะจมูก  หงุดหงิด...

“กูว่าจะเลิกสูบแล้วอะนะ” มันพูดขึ้นคล้ายเกรงว่าการถูกเหล่จากผมจะถูกบ่นเรื่องเดิม ๆ

“แล้วนี่ มึงจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม” ไอ้โปรดเบิกตา 

“เดี๋ยวมา” ผมตัดบท

“ครับ” อีกฝ่ายผงกหัวรับทราบส่ง ๆ ปนประชด 

ทุกการก้าวเดินเข้าไปในซอมมีสัญชาตญาณรับรู้ได้ถึงความผิดแปลก  รองเท้าผู้หญิงถูกถอดไว้ที่หน้าบ้านตรงปากประตูยืนยันว่าเจ้าของรถเป็นใคร  ประตูบ้านไม่ได้ล็อก  ปิดไว้เพียงประตูมุ้งลวด  ความเงียบสนิทภายในประกอบกับความมืด  มีเพียงไฟดวงเล็กที่เปิดไว้ตรงตีนบันไดเท่านั้นที่ให้ความสว่าง  ไร้เสียงของสิ่งมีชีวิต  เงียบสนิทขนาดที่ว่าแทบได้ยินเสียงก้าวเดินของตัวเองชัดเจน...


ฝีเท้าหยุดยืนอยู่ที่ตีนบันได  การชั่งใจไม่ให้ก้าวขาขึ้นไปเป็นการตักเตือนตัวเอง  รู้อยู่แล้วว่าข้างบนมีบางอย่างอยู่แน่นอน  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถยื้อความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ได้  เป็นประเภทชอบปะทะความจริง 

แม้กระทั่งทางเดินขึ้นบันไดก็ไร้แสงไฟ  ความมืดภายในตัวบ้านและบรรยากาศของการสูญเสียคล้ายว่ายังสดร้อนอยู่  แสงสว่างที่ลอดผ่านขอบประตูห้องห้องหนึ่งที่เปิดแง้มไว้บ่งบอกชัดว่ามีใครสักคนอยู่ในนั้น   


นี่เป็นครั้งแรกที่ขึ้นมายังพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต...

เสียงของการเคลื่อนไหวร่างกายจากคนภายในห้องวิเคราะห์ได้อย่างง่ายดายว่าเกิดอะไรขึ้น  ชีวิตที่ผ่านเรื่องราวมามากกว่าคนปกติธรรมดาในวัยเดียวกันหรือมากกว่า  จังหวะของการหายใจที่ได้ยินเป็นระยะและความพยายามกับการกลั้นเสียงไว้  ไม่จำเป็นต้องดูให้เห็นกับตาก็ทราบดีว่าใครกำลังทำอะไร 

ไม่มีเสียงของฝ่ายชายหลุดให้ได้ยิน  ประตูบ้านที่ไม่ถูกล็อกกับประตูห้องนอนที่เปิดแง้มไว้บ่งบอกได้ถึงความเร่งรีบหรืออาจไม่ได้ตั้งใจ...

ปลายนิ้วแตะลงที่บานประตู  แม้จะเป็นการแตะที่เบาบางแต่ก็พอให้บานประตูเปิดออกกว้างมากขึ้นและมองเห็นภายในได้สะดวก  ชายหญิงกอดกันนัวอยู่บนโต๊ะทำงาน  ไม่ได้เป็นภาพที่ทำให้เห็นแล้วตกใจในวัยเท่านี้  หยานั่งอยู่บนโต๊ะ เดรสสั้นที่สวมอยู่ถูกถลกขึ้นเหนือสะโพกจากคนที่คร่อมอยู่  สมุทรปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตนออกอย่างรีบร้อนในขณะที่ฝ่ายหญิงเองก็ช่วยด้วย  มือข้างหนึ่งประคองอยู่ที่ข้างแก้มขณะจูบอย่างรีบร้อน  การกระทำที่ปัดป่ายเข้าหากันชัดเจนว่าเห็นพ้องต้องกันทั้งสองฝ่าย  ชั้นในของเธอถูกปลดออก  ผมยืนมองอยู่ครู่ ก่อนเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ยาวที่อยู่ถัดจากห้องนี้ใกล้กับประตูหน้าต่าง  คล้ายเป็นที่นั่งพักระหว่างชั้น


ไม่ห้าม ไม่แสดงตัว เพราะไม่ได้มีสิทธิ์ในการทำอย่างนั้นอยู่แล้ว...

ถึงโกรธเคืองไปก็ไม่มีสิทธิ์ด้วยเช่นกัน  สิ่งเหล่านี้คือความจริงแท้ของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคนในห้องนั้น

“อะ ~ สมุทร”

เสียงครางดังให้ได้ยินเป็นระยะกับความเงียบที่เกิดขึ้นบ้างครั้งคราว  แต่อย่างนั้นก็ยังคงรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายจากทั้งสองคน  นาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่บอกว่าดำเนินไปได้เกือบสิบนาทีหลังจากมาถึง  ครู่หนึ่งด้านในก็เงียบไปแบบฉับพลัน  คล้ายว่าทุกอย่างได้หยุดเคลื่อนไหวลงดื้อ ๆ

“...ขอโทษ...”

เสียงของฝ่ายชายพูดขึ้น  ท่ามกลางความเงียบสงบภายในบ้านหลังนี้จึงทำให้ได้ยินคำพูดนี้ค่อนข้างชัดเจน

“ทำไม...” ฝ่ายหญิงถาม 

“ทำไมคุณถึงเป็นคนแบบนี้”

“........” ไร้เสียงตอบจากฝ่ายชาย  ประตูห้องถูกเปิดออก  ผมช้อนตาขึ้นมองเจ้าของห้องที่เพิ่งเดินออกมา  อีกฝ่ายมองมายังซ้ายมือของตนในทันทีที่เดินออกจากห้อง  นั่นเป็นการกระทำที่ผิดวิสัย  เขาควรจะมองไปทางลงบันไดมากกว่าจะมองมาทางนี้  เหมือนกับรับรู้ได้ว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ในบ้านด้วย

“........” ไฟในบริเวณนี้ไม่ได้ถูกเปิดไว้จึงค่อนข้างลำบากที่จะเห็นหน้ากันอย่างชัดเจน  อีกฝ่ายใส่กางเกงยีน ท่อนบนไร้เสื้อผ้า
 
“มีอะไรเหรอคะ” เสียงของหยาดังมาจากในห้อง  สมุทรไม่ตอบ  เขาจ้องมองผมด้วยใบหน้าที่เรียบสงบ  ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเก็บของอย่างรีบร้อนจากผู้หญิงในห้อง

“พี่ชายทำตัวไม่เหมือนว่าที่นี่เพิ่งมีคนตายเลยนะ” ผมผลิยิ้ม  คำพูดเย้ยหยันจากการต้องการปะทะที่หักห้ามใจไว้ไม่ได้  กระทั่งตัวเองก็ยังแปลกใจ  สติก่อนหน้าที่คิดว่านี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา  จู่ ๆ ก็หายวับไปเสียอย่างนั้น

“คุณ...” หยาเดินออกมา  เธอตกใจหน้าถอดสี  แต่แล้วเสี้ยววินาทีหนึ่งสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป  สายตาที่มองมายังผมเต็มไปด้วยความแน่วแน่และมั่นใจในสถานะที่ตนยืนอยู่  กำลังแสดงตนให้ผมเห็นว่าเธอไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อโลกนี้

“น่าทึ่ง” ผมเอ่ยปากชมสีหน้าของเธอพลางตั้งศอกข้างหนึ่งลงบนที่วางแขน  ผู้หญิงคนนี้ฉลาดดีจัง

“แน่ใจนะครับว่าไม่ได้ลืมใส่กางเกงในแล้วนะครับคุณหมอ” ผมยิ้มถาม 

“หึ มันก็เรื่องของฉันค่ะ แล้วคุณล่ะ ไม่คิดว่าตัวเองเสียมารยาทเหรอคะที่นั่งอยู่ตรงนี้” เธอย้อนพลางแสยะยิ้ม

“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมคิดว่าผมมีสำนึกกว่าผู้หญิงที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วแต่กลับมาอ้าขามีอะไรในบ้านของผู้ชายเก่าที่เพิ่งมีญาติผู้ใหญ่เสียชีวิตน่ะ” ผมพูด  มุมปากเผยรอยยิ้มตอบให้เธอ

“คุณ !” อีกฝ่ายขึ้นเสียง  แสดงความไม่สบอารมณ์กลับทันที

“เดี๋ยวผมไปส่ง” สมุทรตัดบทบอกหยา  ใบหน้าของเขายังคงเดิม  ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ

“เลิกยุ่งกับสมุทรได้แล้ว เขาติดเงินคุณอยู่เท่าไหร่ ฉันจะรับผิดชอบเองทั้งหมด !”

“หยา” สมุทรปรามแทรกเสียงเข้ม

“หยาจ่ายได้ค่ะ” เธอตวัดหางตาใส่ฝ่ายชาย

“หึ ฟังแล้วปลื้มใจจังครับ” ผมพ่นหัวเราะ  ทำเอาเธอหันขวับมาทางผมทันที

“คุณผู้หญิงครับ ผมจะบอกอะไรให้ทราบ...”

“บางที มันก็ไม่ได้อยู่ที่ใครจ่ายไหวรึเปล่า.. แต่มันอยู่ที่ว่าใครจ่าย” ผมเลิกคิ้วพลางยิ้มกว้างที่ได้ยินอะไรแบบนั้น

“เพราะต่อให้คุณมีจ่ายให้ผมเป็นสิบล้าน ผมก็ยังจะเอาเงินจากกระเป๋าหมอนี่อยู่ดี ถ้าผมอยากจะเอา

“........” ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างเรา  ผู้หญิงตรงหน้ามองมาและอยู่ ๆ ก็หยุดขยับไปเสียอย่างนั้น

“คุณเองก็เป็นผู้หญิง ในบ้านที่มีเด็กกับผู้หญิงอยู่ คุณไม่คิดว่าควรอดทนกับความอยากของตัวเองด้วยการปิดประตูให้มันมิดชิดสักหน่อยเหรอครับ คุณหมอ”

“หยุดเรียกฉันแบบนี้นะ” เธอแทบขึ้นเสียง

“หึ..” ผมพ่นหัวเราะพลางขยับตัวลุกขึ้นยืน 

“คุณไฟ” สมุทรพูด  โทนเสียงเป็นไปในเชิงห้ามปราม

“ทำไม ก็ไม่ใช่สัตว์สักหน่อย” ผมยิ้มกว้างมองหน้าสมุทร

“คุณ !!!” หยาฮึดฮัด  ทำท่าจะจ้ำเข้าหาผมด้วยความโมโหแต่ถูกสมุทรดึงแขนห้ามไว้ก่อน

“คุณเป็นเจ้านาย ฉันทราบ...” หยาพูด  พยายามข่มน้ำเสียงแข็งกร้าวของตนไว้

“แต่คุณกำลังล้ำเส้น” เธอสะบัดแขนออกจากสมุทรอย่างแรง 

“เรื่องอะไรล่ะ ?” ผมเลิกคิ้ว

“........” อีกฝ่ายไม่ตอบ  ดวงตาสะท้อนความลังเลที่อยู่ภายในกับการที่จะตอบคำถามนี้ 

“อยากรู้ไหมว่าผมล้ำเส้นไปถึงไหนแล้ว หึ ๆ ผมล้ำได้มากกว่าที่คุณคิดอีกครับ” ผมพูดพลางกวาดตามองหน้าของเธอ  สีหน้าที่กำลังซีดเผือดและจดจ้องผมไม่กะพริบตา 

“หยากลับเองได้” เธอตัดบทโต้ง ๆ  เดินจากไปด้วยการไม่หันกลับมามองสมุทรอีก  ส่วนตัวฝ่ายชายเองก็ไม่ได้มีท่าทีดื้อดึงที่จะตามไปเช่นกัน  เสียงฝีเท้าจากการเดินลงส้นของเธอค่อย ๆ ไกลออกไป  ความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง  หงุดหงิด.. เกลียดคนเดินลงส้นฉิบหาย 

“คุณมีอะไรครับ” สมุทรถามทันทีที่เสียงประตูมุ้งลวดด้านล่างถูกปิดลงอย่างแรง  ถึงแม้จะมี “ครับ” ให้ได้ยิน  แต่โทนเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น  มากไปกว่านั้นก็เหมือนขาดความยำเกรงกันในฐานะเจ้านายกับลูกน้องด้วย   

“ค่อนข้างเร็วอยู่นะ..” ผมตอบกลับคนละเรื่อง ทำเอาอีกฝ่ายจ้องไม่กะพริบตา

“ดูจากนาฬิกาน่ะ หึ” ผมยิ้มกว้าง

“หรือตามจริงแล้วไม่เสร็จ ? ฉันก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนสมาธินายไม่ใช่เหรอ”

“ผมถามว่าคุณมีธุระอะไร” สมุทรกดเสียงลง  เขาเริ่มที่จะพยายามควบคุมทั้งสายตาและน้ำเสียงให้เป็นปกติ  แต่ไม่ใช่อย่างก่อนหน้า  เพราะครั้งนี้ไม่สงบแบบนั้น 

“ไม่เสร็จสินะ” ผมพูด  มองออกได้จากสิ่งที่ปรากฏ

“........” อีกฝ่ายไม่ตอบ  แต่แววตาเริ่มแสดงความไม่พอใจ

“แบบนั้นผู้หญิงเขาจะเสียความมั่นใจเอานะ อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายเสร็จซะก่อนสิ”

“คุณไฟ !”   

“คนแบบคุณไม่มีสิทธิ์มายืนสอนคนอื่นหรอกครับ” สมุทรข่มโทนเสียงลง  ดวงตาถลึงโตแบบที่ไม่ได้เห็นในเวลาปกติ  ผมนิ่งเฉย  ไม่ได้ตกใจ  และเพราะสิ่งที่ได้ยินก็ถือว่าเป็นการย้อนที่น่ายอมรับได้อยู่ไม่น้อย

“โกรธอะไรล่ะ” ผมเดินเข้าหา

“สิ่งที่คุณทำอยู่ตอนนี้ ที่บ้านคุณไม่ได้สอนเหรอครับ” อีกฝ่ายแสยะยิ้มด้วยท่าทางเย้ยหยัน

“อย่าแตะต้องที่บ้านฉัน” ผมลดเสียงลง

“หึ !” สมุทรเงยหน้าขึ้นพร้อมพ่นหัวเราะออกมา

“คุณถือวิสาสะเข้าบ้านผม...”

“ดีออกนี่ ดีกว่าให้พวกน้อง ๆ ที่รักของนายมาเจอเป็นไหน ๆ” ทันทีที่ผมพูดจบ เราก็จับจ้องกันไม่กะพริบ  จู่ ๆ ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นก็ทำให้ประเด็นเรื่องครอบครัวจบไปโดยง่าย 

“ช่างเถอะ ช่วยจัดการตัวเองให้เรียบร้อยสำหรับพร้อมเก็บตัวด้วยแล้วกัน” ผมตัดบทก่อนจะก้าวขาเดินจากมา

“ถึงผมไม่เสร็จมันก็ไม่ใช่ปัญหาของคุณไม่ใช่เหรอครับ” สมุทรพูดขึ้น  ผมหยุดเดิน  โทนเสียงของเขากลับมาเป็นปกติในประโยคนี้

“หรือว่าคุณมีปัญหา คุณต่างหากไม่พอใจอะไรครับ”

“อยากได้ยินว่าไงล่ะ” ผมหันกลับไป

“คาดหวังที่จะได้ยินอะไรจากฉัน” ผมต้อนถาม 

“หึ..” อีกฝ่ายพ่นหัวเราะ

“คิดว่าผมคาดหวังในตัวคุณเหรอครับ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”

“นายคิดไหมว่าเธอจะตาโตแค่ไหนถ้าได้รู้ว่านายเสร็จเพราะฉันภายในไม่กี่นาที ทั้งที่ยังใส่กางเกงในไว้ แถมมือก็ไม่ได้ใช้” ผมเบิกตา  ผลิยิ้มในประเด็นที่น่าสนุกนี้

“หุบปากเดี๋ยวนี้” อีกฝ่ายย้อนเสียงเย็น

“ทำไม ไม่พอใจอะไรล่ะ..” ผมยียวน  ตรงเข้าไปประชิดจนทำให้ใบหน้าของเราห่างกันเพียงแค่ฝ่ามือ

“ระวังปากหน่อย รู้สถานะตัวเองด้วย” ผมเตือน

“ก็ดีครับ” สมุทรย้อน 

“งั้นคุณเองก็ช่วยเคารพเรื่องส่วนตัวของผมด้วยแล้วกัน เพราะการที่ผมจะเอาของของผมไปมีอะไรกับใคร มันก็เรื่องของผมครับ เสร็จหรือไม่เสร็จ มันก็เรื่องของผม แล้วก็..อย่ายุ่งกับเธออีก

“อีกอย่าง บางที ผมอาจเสร็จเพราะมันจำเป็นต้องเสร็จก็ได้”

“หึ ๆ ก็จริง” ผมหลุดหัวเราะในประเด็นนี้  ลืมไปว่าเรื่องแบบนี้มันก็เกิดขึ้นได้น่ะนะ

“งั้นต่อไปนี้ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้วสินะ ในเมื่อคู่นอนอุตส่าห์เสร็จเพื่อฉันซะขนาดนี้” ผมยิ้มกว้าง  ยื่นหน้าเข้าไปใกล้  อีกฝ่ายฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจ  ผลักผมออกเต็มแรง  ความหงุดหงิดผุดขึ้นโดยทันที

“ฉันจะทำอะไรกับนายก็ได้สมุทร...”

“เคารพเหรอ หึ..ถ้าไม่เคารพ ฉันทำได้มากกว่านี้อีก จะทำให้นายจำใจต้องเสร็จเพราะฉันอีกกี่ครั้งก็ยังได้” ผมหุบยิ้มลง  สายตาของคนตรงหน้าแสดงความดุดันมากกว่าเดิม  ขาที่ย่างเข้าหาทำให้สมุทรยกแขนขึ้นปกป้องตนเองตามสัญชาตญาณ  ผมปัดออก  ใช้หลังแขนกระแทกเข้าที่คอหอยอีกฝ่ายอย่างแรงจนเจ้าตัวเซถอยไปติดกำแพง 

“จะเอานายตรงนี้ก็ยังได้เลยถ้าฉันอยากจะเอา” ผมกวาดตามอง

“ออกไปจากบ้านผม”

“อย่าทำให้ผมต้องหมดความเคารพในตัวคุณไปมากกว่านี้เลยครับ”

“เมฆ พี่สมุทรนอนรึยัง !

เสียงดาวตะโกนถามดังมาจากชั้นล่างของบ้าน พร้อมกับเสียงเลื่อนบานประตูเบา ๆ  ผมกับสมุทรชะงัก  หันไปมองทางบันไดขณะที่ได้ยินเสียงวิ่งขึ้นมาทางนี้  เมฆชะงักทันทีที่เห็นผม  ตาจ้องมายังแขนของผมที่ดันอยู่ตรงคอพี่ชายของตน

“อย่าทำอะไรพี่สมุทรนะ !” อีกฝ่ายร้อง  รีบวิ่งตรงเข้ามากอดขาพี่ชาย 

“เมฆ มีอะไรเหรอ” ดาวถามหา  ผมผละตัวออก  สมุทรละสายตาจากผมแล้วก้มตัวลงอุ้มเมฆขึ้น

“พี่ไฟ...” ดาวทัก  หยุดยืนอยู่ตรงบันไดด้วยสีหน้างุนงง

“อย่ามาที่นี่อีกครับ” สมุทรพูดขึ้น  จ้องมองผมไม่กะพริบ

“อย่ามา...”



...............(ไฟ)..............


ผู้เขียน:

ต้องขอโทษด้วยที่หายไปนาน  ที่ผ่านมาไม่มีเวลาที่จะสะดวกมาต่อได้จริง ๆ ค่ะ  จะปีใหม่แล้ว  ขอให้ทุกคนมีความสุข  สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะคะ  รักษาสุขภาพด้วย  ขอบคุณทุกคอมเมนต์เลยค่ะ ^ - ^

ปล. ขออภัยที่ตอนนี้ช่างไม่น่ารัก 5555+  :mew2: :mew2: :mew2:

เบบี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2020 22:19:31 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
คุณเบบี้ใจร้ายยยยย  :ling3: นานๆ มาที ก็ไม่ให้เขาสวีทกันเลยยย  / แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ พี่สมุทรไม่ได้เสร็จกับใครก็ได้นะจ๊ะ งือออออ

รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่าาาา Merry Christmas & Happy New Year 2021 นะคะ สุขภาพแข็งแรงค่าา

ออฟไลน์ น้ำแข็งใส

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +130/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MaidenQueen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เมื่อไหร่ไฟกับสมุทรจะได้รักกันแบบหวานๆมั้งน้าาา

ออฟไลน์ jj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ยังมองไม่เห็นทางแห่งความสุขเลย
แต่ก็จะติดตามต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ค้างมาก ฮืออออ เค้าหึงกันรึเปล่า หึงกันใช่มั้ยนยยยย


สวัสดีปีใหม่ค่ะเบบี้
ขอบคุณที่ยังกลับมาน้า ติดตามอยู่เสมอเลย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ฉันเป็นพี่ไฟต้องรู้สึกยังไง
แกจะร้อง นี่ว่าพี่ไฟน้อยใจบ้างล่ะวะ ชอบเขามากแต่เขาไม่สนใจ ที่มาหาก็เพราะเป็นห่วงกลับเจอแบบนี้

หยาเธอควรเลิกยุ่งกับสมุทรได้แล้ววววว

ปล.อยากเห็นพี่ไฟมีความสุขแบบที่พี่ธานเคยบอกค่ะ / รักพี่ไฟ :)

สวัสดีปีใหม่เบบี้ ขอบคุณมากที่มาต่อยังรออ่านอยู่เสมอค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
ตามมาทันแล้วแล้ว หลังจากย้อนกลับไปอ่านมาหลายตอน
 มาถึงตอนนี้ ไม่รู้จะเข้าข้างใครดี เพราะลีลาท่าเยอะกันทั้งคู่
รอลุ้นตอนต่อไปนะคะว่าเค้าจะชัดเจนกันยังไง ดูๆแล้วคงสายประชดประชันกันเก่ง
สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะคะทุกคน


ออฟไลน์ mamacub

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-0
 :sad4: ไม่เข้าใจทั้งสองคนเลย
ไฟก็ดูไม่ชัดเจนว่าจะยังไงกับเค้า เด็กมันก็เลยไม่กล้าแสดงอาการเยอะก็เป็นเจ้านายอ่ะเนอะ :katai1:


สุดท้ายก็สวัสดีปีใหม่นะคะคุณเบบี้ ขอให้สุขภาพแข็งแรง ปีนี้ก็ขอให้เป็นปีที่ดีค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
รอๆๆๆๆๆจ้า มันค้างงงงงงคา

ออฟไลน์ sexysunn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
กรีดร้อง  สมุทรกลับมาแล้ววววววววว ตอนกระทู้หายใจคือใจคอไม่ดีเลย   ขอบคุณเบบี้มากกก ที่ไม่ทิ้งกัน  ถึงขั้นลืมรหัสผ่าน  ตามล็อกอินมาให้กำลังใจเบบี้นะ  อิพี่ไฟเอาไปทิ้ง   น่าตีจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
หนทางช่างมีขวากหนาม

ออฟไลน์ oakman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ punthipha

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-0
กลับมาแล้วววววววววววววววววววววววว
คิดถึงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
อุ้ยยย พึ่งเห็นว่าเรื่องนี้กลับมา  ดีใจนะคะที่คุณเบบี้กลับมา :hao5:  :hao5:

ยังคงลุ้นกับพี่ไฟกับน้องสมุทรว่าจะเป็นยังไงกันต่อ  :กอด1:

ออฟไลน์ ♥แมวจอมซน♥

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ดีใจที่พี่บี้มาต่อแล้วนะ แต่แบบว่า...
ค้างมากอ่าาาา แงงงงง อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ทำไมเป็นอย่างนี้ไปละ... ทำม้ายย โน้วววว

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

ตอนที่ 55
..ไฟ..




“พวกมึงนี่มันเป็นยังไง กูบอกว่าอย่าเอาของมาวางตรงนี้” ผมบ่น

“ขอโทษครับ” พวกมันปรี่เข้ามาหยิบขวดน้ำดื่มของตัวเองออกไปจากชั้นวางของ  ผมเท้าเอว จ้องมองเรียงตัวเพราะไม่ชอบใจที่พอลับตาทีไรก็มักเป็นแบบนี้  และนี่ก็ไม่ใช่การขอโทษครั้งแรก   

“อย่าให้ต้องพูดซ้ำเรื่องนี้” ผมตัดบท 

“ครับ” พวกมันขานรับ 

“คุณไฟครับ รุ่งพร้อมออกเดินทางแล้วครับ” พี่ธานเดินมาบอกพร้อมกับไอ้รุ่งที่เดินตามหลังมาด้วย

“เออ ฝากด้วยนะ” ผมมองหน้าไอ้รุ่ง

วันนี้เป็นวันที่ไอ้รุ่งต้องเดินทางไปรับสมุทรเพื่อไปเก็บตัวที่ประจวบฯ  ผมสั่งให้มันไปช่วยดูแลอีกแรงหนึ่งในฐานะคนติดตามส่วนตัว  ไอ้รุ่งจะต้องรายงานความคืบหน้าของการเก็บตัวให้ผมทราบเป็นการส่วนตัวด้วย  เป็นคนละส่วนนอกเหนือจากที่ผมต้องฟังจากทีมงานในค่ายมวย  นั่นคนละหน้าที่กัน... 

“น้าพรมาพอดีครับ” พี่ธานพูดถึงคนขับรถที่ติดต่อไว้ซึ่งขับเข้ามาได้จังหวะพอดี 

“สวัสดีครับคุณไฟ” น้าพรกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาผมทันทีที่เห็นว่าผมยืนมองอยู่  อีกฝ่ายเป็นคนขับรถนอกเวลา  ที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัว  แต่งานหลักที่ปฏิเสธไม่ได้คือการถูกเรียกใช้จากผม  เป็นคนขับรถที่ไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่ขับรถ 

“สวัสดีครับ” ผมพยักหน้าทักตอบ

“ทำการบ้านมาเรียบร้อยนะ ?” ผมถามถึง 

“ครับ” น้าพรพยักหน้า  ยืนกุมมือตรงหน้า

“ฝากด้วยแล้วกัน อย่าให้คลาดสายตาล่ะ” ผมสั่ง

“ครับ” น้าพรตอบรับอย่างหนักแน่น  พี่ธานยื่นกระเป๋ามาให้ผม  เงินปึกหนึ่งจากผมยื่นให้ไอ้รุ่งก่อนจะส่งอีกปึกหนึ่งให้กับน้าพร
 
“ขอบคุณครับ” ทั้งคู่พนมมือไหว้หลังจากรับเงินไปถือไว้แต่ยังคงรอคำสั่งถัดไปจากผมอยู่  ผมยืนนิ่ง  ใช้ความคิดอยู่ครู่โดยไม่พูดอะไร  นึกไม่ออกว่ามีเรื่องให้ต้องสั่งเสียอีกหรือไม่

“ไปเถอะ” ผมอนุญาต   

“ครับนาย” ทั้งคู่โค้งตัวลาก่อนที่น้าพรจะเข้ามารับกุญแจรถจากพี่ธานแล้วออกเดินทางไปพร้อมกับไอ้รุ่ง  รถยนต์ของน้าพรถูกจอดทิ้งไว้  คันของผมถูกขับออกไปใช้แทน 

“แล้วเรื่องคุณทัพ คุณไฟจะไปเมื่อไหร่ดีครับ” พี่ธานถามขึ้น

“คืนนี้..” ผมตอบ


- - - - - - - - - - - - - -


21.25 น.

“ซ่อนแบบให้กูหาตัวเจอได้นี่มันยังไง” ผมแซวเจ้าของที่พัก   

“........” อีกฝ่ายไม่ตอบ  ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มนิด ๆ ด้วยสีหน้าอิดโรย  ผมกวาดตามอบรอบตัวห้องที่เต็มไปด้วยเอกสารและรูปถ่ายมากมาย  ดูเหมือนคนตรงหน้าจะทำงานหนักพอดู

“เอาติ่มซำร้านโปรดมาฝาก” ผมบอก  ไอ้เข้มวางกล่องติ่มซำที่เพิ่งซื้อมาลงบนโต๊ะ

“มาแค่นี้ ?” พี่ทัพเลิกคิ้วประชดกลับ

“เออ” ผมตอบ

“ไสหัวไป” อีกฝ่ายชักสีหน้าทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาได้ 

“ปล่อยให้ลูกหมาพี่ทำงานกันเองแบบนี้ วางแผนอะไร” ผมอมยิ้ม

“........” พี่ทัพนิ่งลง  เงยหน้าขึ้นมองผมครู่หนึ่งก่อนเบือนหน้าไปอีกทาง  ผมพยักหน้า ส่งสัญญาณให้พี่ธานนำสิ่งที่เราตั้งใจนำมาให้คุณตำรวจที่เพิ่งถูกพักงานคนนี้ มากกว่าติ่มซำที่วางอยู่

“อะไร” อีกฝ่ายถาม  มองมายังแหวนหนึ่งวงที่อยู่ในถุงซิปล็อก

“ให้” ผมพูด  ขยับเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ ๆ กับโต๊ะทำงานมาก่อนอ้าขาคร่อมลง  นั่งหันหน้าเข้าหาพนักพิง  เสียงถุงซิปล็อกถูกเปิดออกท่ามกลางความเงียบในห้อง

“นี่มัน...” พี่ทัพชะงัก  มองแหวนในมือหน้าถอดสี

“มึงเอามาได้ยังไง”   

“.........” ผมเงียบไว้ครู่ก่อนตอบออกไป “..บังเอิญ” เพราะก็เป็นอย่างที่พูด  ไม่ได้โกหก


   ..

ปัง !!!!


เสียงปืนดังขึ้นจากฝั่งหนึ่งของโกดัง  ให้หลังที่พี่ธาน  สมุทรและไอ้บูรณ์ได้ออกจากพื้นที่ไปแล้ว  ฝีเท้าของผมรีบวิ่งตรงไปยังเสียงดังกล่าว  ปืนสั้นกระบอกหนึ่งกระเด็นอยู่บนพื้นผ่านหน้าไปเพียงเสี้ยววินาที  ทันทีนั้น กลิ่นของความเงียบที่ผิดแปลกก็ก่อตัวขึ้นทันใด  ผมหยุดอยู่กับที่  ทราบโดยสัญชาตญาณว่าตนไม่ได้อยู่ในบริเวณนี้เพียงคนเดียว..   

“ไอ้  ไอ้บิน” น้ำเสียงของผู้พูดสั่นเครือ 

“ใช่ กูเอง” เจ้าของชื่อขานรับ

ไอ้เต้ยืนอยู่ตรงข้ามกับจุดที่ผมยืนอยู่  มันถูกปากกระบอกปืนจ่ออยู่ไม่ไกลนัก  ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผมพบมันที่นี่ 

“มึงเนี่ย...เมื่อไหร่ถึงจะเลิกแส่เรื่องคนอื่นสักทีวะ” เจ้าของปืนพึมพำ  ใบหน้าแสยะยิ้มเย้ยหยันให้เห็น

“ที่นี่ฝีมือมึงเหรอ” ไอ้เต้พูดเชิงถาม  ดวงตาที่เบิกโตแสดงถึงความตกตะลึง

“คิดว่าไงล่ะ เจ๋งไหม” ไอ้บินยิ้มตอบ

“หึ แต่ก็น่าเสียดายที่ผู้ผดุงความดีอย่างมึงจะมาตายห่าที่นี่อะนะ อ้อ ~ แต่มึงก็มีประโยชน์อยู่อย่าง เพราะนายกูคงไม่ให้มึงตายเปล่าหรอก”

“หึ กูล่ะไม่แปลกใจเลยที่เห็นคนอย่างมึงมาเอาดีทางด้านนี้” ไอ้เต้หลุดยิ้มพลางเบือนหน้าไปอีกทาง  ท่าทีเปลี่ยนเป็นเย้ยหยันอีกฝ่ายกลับทันทีทำเอาผู้ฟังถึงกับชะงัก หน้าถอดสี

“เพราะอะไร มึงก็น่าจะรู้ตัวดี” ไอ้เต้ลดเสียงลง  ช้อนตาขึ้นมอง

“มึงอย่ามาปากดีที่นี่ไอ้เต้ !!!” คนถูกเย้ยตะคอกกลับด้วยความโมโห

“งั้นมึงจะให้กูสรรเสริญมึงรึไง ไอ้สัส !!!” ไอ้เต้โผงกลับ  ความโกรธถูกยับยั้งไว้ไม่อยู่เช่นกัน

“........” ทั้งคู่เงียบลง  ขณะที่บรรยากาศคุกรุ่นไม่ได้ลดลงเลย  ต่างฝ่ายต่างจดจ้องกันไม่กะพริบ

“ไปซะ” ไอ้บินพูดขึ้น  โทนเสียงกดต่ำเอาไว้จนแทบไม่ได้ยิน 

“รีบไสหัวมึงไป..”

“หึ..” ไอ้เต้เบือนหน้าพลางหัวเราะ 

“มึงจะให้กูเอาหน้าที่ไหนไปบอกพี่ทัพ มึงรู้ไหมว่าพี่แกเป็นห่วงมึงแค่ไหนที่มึงหายหัวมาแบบนี้” ไอ้เต้ว่า

“ให้กูกลับไปแบบนี้เหรอ ถุย ! มึงไม่ต้องมาแสดงน้ำใจกับกูตอนนี้หรอก”

“……..” ไอ้บินนิ่งไป

“มึงก็พูดได้สิ มึงมันตัวคนเดียว” ไอ้บินพูด  จ้องหน้าไอ้เต้ไม่กะพริบตา

“ให้ซื่อสัตย์ในหน้าที่เหรอ สุดท้ายมันก็พวกเราไม่ใช่รึไงวะที่เอาชีวิตเข้าแลกแต่เสือกไม่มีจะกิน !”

คำพูดของไอ้บินทำเอาไอ้เต้ถึงกับนิ่งไป...

“มึงทำไมไม่บอกพี่ทัพ ยังไงพี่ทัพก็ช่วยมึงอยู่แล้ว” น้ำเสียงของไอ้เต้ค่อย ๆ ลดระดับลง

“ช่วยแค่ไหนวะ กูก็มีศักดิ์ศรีของกู”

“ศักดิ์ศรีเหรอ แล้วแบบนี้เขาเรียกว่าศักดิ์ศรีเหรอไอ้เหี้ย !” ไอ้เต้ตะคอก  ดวงตาที่มองคนตรงหน้าคล้ายกับมันเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน  ความเงียบระหว่างมันทั้งคู่เกิดขึ้นอยู่พักหนึ่ง 

“มึงทำแบบนี้กับพี่ทัพได้ยังไง”

“ก็บ้านลูกพี่มึงมันรวย จะมาเข้าใจเหี้ยอะไร” ไอ้บินพ่นหัวเราะ

“งั้นมึงก็ลาออกไปสิ ทำไมมึงไม่ลาออกไปซะแล้วจะไปทำระยำที่ไหนก็เชิญ !” ไอ้เต้ย้อนว่า

“กูจะบอกอะไรให้มึงหายโง่ไอ้เต้ ! ไม่มีเหี้ยอะไรบนโลกนี้ง่ายแบบนั้นหรอก !” ไอ้บินสวนกลับทันควัน

“ถึงมึงขืนสู้ สุดท้ายมึงก็จะตายห่าอยู่ดี ลูกพี่มึงก็ด้วย พวกเราจะตายเหมือนหมาข้างถนน มึงคิดว่าคดีที่มึงสู้ทำมาหลายปีจะชนะเหรอ หึ..ตลกฉิบหาย มึงไม่รู้เหี้ยอะไรเลย ไอ้ควายยย !!!” ไอ้บินผลิยิ้มอย่างเอือมระอาในคำพูดสุดท้าย  ไอ้เต้ผงะ  ดวงตาเบิกค้างคล้ายว่ามันเองก็คิดตามไม่ทัน

“เต้ นี่มึงคงนึกว่าตัวเองเล่นตำรวจจับผู้ร้ายเหมือนตอนเป็นเด็กอยู่สินะ ฮ่า ๆ ๆ”

“ไอ้สัสบิน ! ใครช่วยมึง ใครช่วยมึงงงง !!!” ไอ้เต้ฟิวส์ขาด  ทำท่าจะพุ่งเข้าหาแต่กลับต้องชะงักกับปืนที่จ่อใกล้หน้าผากของตัวเองมากขึ้น  มือของไอ้บินที่ถือปืนอยู่ค่อนข้างสั่น  แสดงให้เห็นถึงความลังเลจากเจ้าของปืนอยู่ไม่น้อย

“คิดเองสิวะ ! ใช่...ที่พี่ทัพพลาดทุกครั้งก็ฝีมือพวกกู มึงมันโง่ไง พวกมึงมันโง่ !!!”

“ไอ้บิน...” ไอ้เต้เสียงสั่น

“ไหน ๆ มึงก็ต้องตายอยู่ดี งั้นกูจะบอกอะไรให้ ขนาดกู.. กูยังไม่รู้เลยว่าใครในทีมของเราเป็นคนของที่นี่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” 

“ไอ้บินนนนนน !!!” ความโกรธของไอ้เต้ทำให้มันหน้าแดงก่ำ  ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น 

“เราแพ้แล้วเต้” ไอ้บินพูดแทรก

“ถึงให้กูเรียกศักดิ์ศรีของกูกลับคืนมาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว” มันยิ้มเจื่อนน้ำตาคลอ

“แพ้เหรอ อึก เอาเลย งั้นมึงก็ยิงกูสิ ยิงกูเลยยย ! ฮึก !” ไอ้เต้ตะคอก  น้ำตาไหลอาบแก้ม

“เต้ !”

เสียงของพี่ทัพดังขึ้น  ตามมาด้วยฝีเท้าจากใครอีกหลายคน  ไอ้บินหันไปมองพี่ทัพด้วยความตกใจ  ทันทีนั้นปืนที่จ่อหัวไอ้เต้อยู่อย่างลังเลก็ดูแน่วแน่ขึ้นทันที...
 
“บิน ใจเย็น วางปืนลงก่อน” พี่ทัพตะโกนห้าม  แววตาแดงก่ำของไอ้บินแสดงความหวาดกลัวปรากฏให้เห็น  ขณะนั้นพี่ทัพก็ได้ปัดมือ ส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่มาด้วยกันลดปืนลง  ทุกคนทำตามคำสั่งแม้จะดูลังเลในทีแรกก็ตาม

“ใจเย็นบิน มีอะไรบอกพี่..” พี่ทัพตะล่อม

“หึ พี่นี่...ชอบอยู่ผิดที่ผิดทางเหมือนไอ้เต้ตลอดเลยนะครับ” ไอ้บินผลิยิ้ม

“บิน เชื่อใจพี่” พี่ทัพผายมือออก  ปืนในมือของพี่แกถูกลดระดับลง  ปืนถูกวางลงบนพื้นก่อนที่เจ้าตัวทำท่าจะเดินเข้าหา 

“อึก พี่อย่าเข้ามา !” อีกฝ่ายขึ้นเสียง  จ่อปืนเล็งไปที่ไอ้เต้อย่างขึงขังอีกครั้ง  พี่ทัพและทุกคนชะงักในทันที

“สารวัตร ผมน่ะ เพิ่งรู้ตัวว่าไม่เหมาะกับอาชีพนี้ก็ตอนที่เห็นคุณ นับถือ..ในสิ่งที่คุณยึดมั่นมาเสมอ อึก ~ ขอ ขอโทษครับ”

“เดี๋ยวบิน อย่า.. บิน คุยกันก่อน” พี่ทัพเสียงสั่น

“ฝากลูกผมด้วย”

“บิน อย่าาาาา !!!” พี่ทัพร้องปรามเสียงลั่นไปทั่วบริเวณ  เสียงปืนที่ดังขึ้นหนึ่งนัดกลับไม่ได้มาจากคนที่เพิ่งสั่งเสีย  ไอ้บินตกใจ  หันกระบอกปืนกลับไปทางดังกล่าวแทนในทันที...


ปัง ! ปัง !! ปังงงงง !!!

“ไอ้บินนนนนน !!!!” เสียงร้องสุดท้ายไม่ใช่จากใคร  มีเพียงไอ้เต้เท่านั้นที่ดูเหมือนจะเสียสติ


   ..

ปัจจุบัน

“แหม่ ~ เกือบร้องไห้เลยนะเนี่ย” ผมยิ้มกว้างเมื่อเสร็จจากการรำลึกถึงความหลังที่เพิ่งเกิดขึ้นสดร้อน  คนที่นั่งฟังอยู่ตรงหน้าเอาแต่นิ่งสงบมาพักใหญ่แล้ว  ไม่พูดแทรกสักคำ

“อยู่ห่างผมไว้” ผมสั่ง  ไม่ต้องการให้ย่า พายุและดินต้องเดือดร้อน

“ไฟ...” พี่ทัพเงยหน้าขึ้น

“ไอ้กริดก็แค่หมากตัวนึงของพวกมัน” ผมพูดแทรก

“กูรู้” พี่ทัพตอบเสียงเย็น

“……..” เราเงียบลง  ผมถูกจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่โทนเสียงทุ้มต่ำจะพูดออกมาอย่างเรียบขรึม “กูจะลากหัวนายไอ้กริดออกมาให้ได้” เป็นความแน่วแน่ที่ไม่ได้เห็นจากคนคนนี้มาพักใหญ่แล้ว

“เร็ว ๆ นี้จะมีการแข่งขันชกมวยที่พวกมันอยู่เบื้องหลัง ใกล้เลือกตั้งแล้วใช่ไหม งั้นพี่ก็เร่งมือหน่อยแล้วกัน” ผมบอกเป็นนัย  รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องมีเรื่องในใจอยู่มากและก็คงรู้อะไรมากเกินกว่าที่จะจัดลำดับได้

“.........” คนตรงหน้านิ่งเงียบ  ไม่มีคำพูดขอร้องใด ๆ หลุดออกมา  แต่สีหน้านั้นเป็นความอย่างจริงจังและตรงไปตรงมาผิดกับที่เคยมีก่อนหน้า  เพราะครั้งนี้แฝงความสิ้นหวังไว้ให้เห็น

“เอาน่า มีทางออกเสมอ” ผมฉีกยิ้ม

“ช่วงนี้ ผมเองก็กำลังเบื่อ ๆ อยู่เหมือนกัน” ผมขยายความส่ง ๆ พลางลุกขึ้นยืน  มือเลื่อนเก้าอี้สอดมันกลับเข้าที่เดิมในองศาที่เป็นระเบียบกว่าก่อนหน้า  ขาก้าวไปยังกระดานที่เต็มไปด้วยรูปภาพ  แผนที่และข้อมูลสำคัญที่ดูเหมือนจะถูกเจ้าของห้องวางแผนไว้ด้วยตนเองมาพักใหญ่แล้ว

“ไอ้ลูกหมาพี่มันหาพี่ให้ควั่กเลย” ผมพูดถึงไอ้เต้

“ฝากมันด้วย” พี่ทัพบอก

“หึ..” ผมหัวเราะ  ล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง  ถูกตำรวจพูดว่าฝากลูกน้องของตนด้วยมันก็ตลกอยู่นะครับ

“ขอบใจ” อีกฝ่ายรวบรัด  ผมจ้องมองรูปของนักการเมืองที่ถูกแปะไว้อีกมุมหนึ่งของกระดาน  ก่อนจะหันไปมองเจ้าของห้อง
 
“กลับล่ะ” ผมตัดบท

“อืม” พี่ทัพลุกขึ้นยืน  ผมเหลือบมองร่างกายที่ดูซูบผอมลง  ผมสีขาวก็ปรากฏชัดกว่าทุกครั้ง

“ให้พี่ใหญ่ผมส่งเด็กมาแก้เครียดสักคนไหม” ผมเลิกคิ้ว  ชักเริ่มเป็นห่วงมันขึ้นมา

“เฮ้อ กูคงจะแข็งหรอกช่วงนี้” พี่ทัพแทบสบถ

“อีกอย่าง ให้กูเอาเด็กต่อจากไอ้ธานเนี่ยนะ กูนอนชักว่าวเล่นดีกว่า” พี่เขาแสยะปากรับไม่ได้ที่เหมือนตนถูกหมิ่นศักดิ์ศรี  บุคคลที่ถูกกล่าวถึงอมยิ้มมุมปากน้อย ๆ

“กินให้หมดล่ะ มันแพง” ผมพูดถึงติ่มซำที่นำมาฝาก

“เออออ..” พี่ทัพขานรับอย่างรำคาญ

“หึ..” ผมหัวเราะ

“ฝากบอกไอ้คินกับที่บ้านกูด้วยว่าไม่ต้องห่วง”
 
“ครับ” ผมตอบรับก่อนจากมา 

“คุณไฟจะไปไหนต่อครับ” พี่ธานถาม  ขณะเดียวกันประตูรถก็ถูกเปิดออกจากไอ้เด่น

“โรงแรมไอ้คิน” ผมตอบ

“แล้วก็ เดี๋ยวต่อสายโทรหาพายุให้ผมด้วย” ผมสั่ง  ไม่ได้คุยกับพวกมันมาหลายวันแล้วและคิดว่าหลังจากนี้คงยุ่งมากจนไม่มีเวลาติดต่อไปหาอีก...

“ได้ครับ”


- - - - - - - - - - - - - -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2021 17:09:33 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

The Rest Bar, Ratio Hotel


“มึงเป็นใครครับ เศรษฐีใหม่เหรอ ไม่เคยเห็นหน้า” ไอ้คินทักประชดประชัน  มองผมหัวจรดเท้าด้วยสายตาเย็นชาเพราะพักนี้ผมแทบไม่ได้เจอมันเลย

“หึ ๆ” ผมยิ้ม 

“อุตส่าห์เอาเงินมาให้ เดี๋ยวกูก็กลับซะหรอก” ผมว่า

“คร๊าบ ~ ท่านไฟ” อีกฝ่ายไม่เลิกประชด พร้อมผงกหัวนอบน้อมโดยทันที

“นั่งโต๊ะนั้นไหม” เจ้าของร้านชี้มือไปยังโต๊ะแบบโซฟาที่อยู่ในมุมส่วนตัวและดูเหมือนจะเป็นโต๊ะสุดท้ายที่ว่างอยู่  ผมพยักหน้าตอบ  พี่ธานจัดการสั่งเครื่องดื่มและอาหารมาให้  ในขณะที่เพื่อนตัวดีหายหัวไปพักหนึ่งโดยไม่ได้บอกว่าหายไปทำอะไร...

“ไปสั่งงานเด็กมา” มันกลับมาแล้วหย่อนตัวนั่งลงด้านซ้ายมือของผม

“เป็นไงบ้าง” ไอ้คินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“พี่มึงสบายดี” ผมตอบ

“กูหมายถึงมึง” มันขมวดคิ้ว

“สบายดี” ผมยิ้มตอบ

“........” จู่ ๆ อีกฝ่ายก็เหสายตามองไปยังแก้วเครื่องดื่มของตัวเอง

“รอบนี้มันจะโดนเก็บไหม” ไอ้คินพึมพำพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ไม่ตายง่าย ๆ หรอก” ผมพูดก่อนพ่นลมหายใจลากยาวออกทางจมูก  คนอย่างพี่ทัพเหมือนคนโง่  แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่  และถ้าจะตายก็คงตายไปนานแล้ว

“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ มึงก็รู้” ไอ้คินหันมาสบตาอย่างหนักใจ  ผมไม่พูดอะไร  ยกเหล้าขึ้นจิบอึกหนึ่งก่อนเหลือบมองไปยังพนักงานที่ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าเดิม ๆ
 
“มันไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า” ผมย้ำพูดคำเดิม  ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรให้มันสบายใจนอกจากประโยคที่ไร้น้ำหนักเช่นนี้  ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกได้ว่าพี่ทัพก็มีบุญบารมีแบบที่อธิบายออกมาเป็นรูปธรรมไม่ได้  หลายครั้งที่เสี่ยงจนสมควรตาย แต่ก็รอดหวุดหวิดและยังหายใจมาจนถึงทุกวันนี้น่ะนะ

“มึงจะพูดประโยคเดิมอีกกี่ครั้งไอ้ฉิบหาย แล้วคุยกับกูก็ช่วยมองหน้ากูด้วย !” ไอ้คินสบถ

“หึ ๆ ๆ ๆ” ผมกับพี่ธานหลุดหัวเราะที่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ดันรำคาญขึ้นมาซะเองเสียอย่างนั้น

“ยังอยู่อีกเรอะ” ผมเลิกคิ้ว  มองไปยังบาร์เทนเดอร์คนที่เคยหมายตาไว้

“เออ” ไอ้คินมองตามสายตาผมก่อนตอบรับ

“มันเรียนรู้งานเร็วดี นี่กูเพิ่งให้เป็นบาร์เทนเดอร์เต็มตัวเพราะไปชนะการแข่งขันมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน” ไอ้คินขยายความ  ผมนั่งฟังเงียบ ๆ พลางยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นดื่ม 

“ให้เรียกไหมล่ะ” เจ้าของร้านออกปาก  ระดับเสียงที่ใช้ก็แปลกหู

“........” ผมเลิกคิ้ว ช้อนตาขึ้นมองโดยทันที  ก่อนหน้านี้มันกันท่าผมจะตาย  ไม่ค่อยให้ผมแตะต้องเด็กในร้านของมันหรอก 

“ทำไม” ผมอมยิ้มมุมปาก  มองเพื่อนสนิทอย่างสนใจ

“เรียกได้แล้ว” ไอ้คินตอบแบบวางฟอร์ม

“หึ..” ผมพ่นหัวเราะ  หยิบฝรั่งที่เป็นอาหารประดับจานเข้าปาก  ไอ้คินมองตามทุกการกระทำของผมก่อนที่คิ้วของมันจะขมวดเป็นโบ

“พวกมึงนี่มาร้านกูทั้งทีแต่สั่งอาหารโคตรจายกเลยเนอะ สั่งให้มันแพง ๆ สมฐานะหน่อยไม่ได้รึไง จะเก็บเงินไปใช้ตอนตายเหรอ !” มันบ่น

“ก็ไม่ได้อยากกิน” ผมพึมพำยิ้ม ๆ ก่อนใช้ส้อมจิ้มสับปะรดเข้าปาก
 
“ดู.. ดูมันแดก” เจ้าของร้านไม่เลิกพึมพำ 

“เตรียมห้องให้กูด้วย” ผมสั่ง  เอนหลังพิงพนักโซฟาในขณะที่ปากยังคงเคี้ยวสับปะรดอยู่   

“คุณไฟจะนอนนี่เหรอครับ” พี่ธานถามทันที 

“........” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

“ไปเรียกมาสิ” ผมพูด  เลิกคิ้วไปยังพนักงานของมันซึ่งคาดว่าเพื่อนคนนี้ก็คงรู้ดีว่าหมายถึงใคร

“เฮ้อออ เอาจนได้” ไอ้คินสบถบ่นเซ็ง ๆ 

“ถ้าจะบ่นแล้วจะเสนอทำไม” ผมว่ากลับ

“คร๊าบ ~” อีกฝ่ายขานรับส่ง ๆ  ส่ายหัวเล็กน้อยก่อนลุกจากไป  ให้หลังไม่นานนักไอ้คินก็กลับมาที่โต๊ะอีกครั้งพร้อมกับพนักงานของตน  มันสั่งให้อีกฝ่ายนั่งลงที่นั่งของมันก่อนหน้านี้  บาร์เทนเดอร์หนุ่มโค้งตัวอย่างสุภาพพร้อมออกปากขออนุญาตผมก่อนนั่งลง   

“ชื่อ ?” ผมถาม

“เทนครับ” อีกฝ่ายตอบ  ผมเงียบ  กวาดตามองเก็บรายละเอียดจากระยะใกล้ที่ทำให้เห็นสัดส่วนชัดเจนมากขึ้น

“ผมเติมเครื่องดื่มให้นะครับ” เทนเหลือบมาเห็นแก้วเหล้าของผมที่พร่อง 

“........” ผมไม่ตอบ  เพียงพยักหน้าตอบส่ง ๆ เท่านั้น  เสียงของน้ำแข็งกระทบกับก้นแก้ว  เครื่องดื่มถูกเทเติมเพิ่มหลังจากนั้น

“โดนมันบังคับเหรอ” ผมพูด  เอียงหน้าไปยังผู้ถูกถามเพื่อให้มองได้ถนัด 

“เปล่าครับ” เทนตอบพร้อมผลิยิ้มเล็กน้อย

“หึ..” ผมพ่นหัวเราะ  หยิบแก้วที่เพิ่งถูกเติมให้ขึ้นดื่มจนหมด  ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบรินเติมให้อีกครั้ง

“ว่างไหม คืนนี้” ผมเข้าประเด็น 

“........” เทนไม่ตอบ  เขาหลบตาก่อนจะพยักหน้าให้ผมน้อย ๆ

“แต่ว่าคุณคินมีกฏอยู่น่ะครับ” อีกฝ่ายพูดเสียงเบาคล้ายกลัวความผิด  เพราะไอ้คินที่อยู่กับแขกโต๊ะใกล้เคียงเหลือบมองมาเป็นระยะ  ผมเพียงหัวเราะในลำคอและไม่อธิบายใด ๆ  เทนปิดปากเงียบ  บนโต๊ะไร้บทสนทนาร่วมสิบนาที  ผมไม่พูด พี่ธานเองก็เช่นกัน  เครื่องดื่มถูกยกขึ้นดื่มอย่างต่อเนื่องจนเหล้าในขวดพร่องลงเหลือเพียงครึ่งขวดเท่านั้น  แสงสียามค่ำคืนไม่น่าตื่นเต้นสำหรับผมในคืนนี้  ไม่แน่ใจว่าเพราะไม่มีอารมณ์ร่วมหรือเปล่า...

“ถ้าขึ้นไปกับฉัน รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร” ผมย้ำถามเพื่อให้อีกฝ่ายคิดทบทวนอีกครั้ง  ขณะเดียวกันเห็นว่าเพื่อนกำลังเดินกลับมาที่นี่

“...ครับ” เทนตอบ  ไม่เงยหน้าขึ้นสบตา

“เท่าไหร่” ผมถามทันทีที่ไอ้คินมาถึง  มันหย่อนตัวนั่งลงด้านข้างพี่ธาน

“อะไร” ไอ้คินเลิกคิ้ว

“........” ผมชี้นิ้วลงที่โต๊ะแทนคำตอบ

“กูเลี้ยง” อีกฝ่ายยิ้มนิด ๆ

“หึ ก็ดี” ผมหลุดยิ้มและเบะปากตอบรับน้ำใจจากเพื่อนสนิท

“สัส ไม่ยื้อเลย !” ไอ้คินสบถ  ผมไม่ตอบโต้ เพราะทั้งเครื่องดื่มและอาหารที่สั่งมานั้นแสนธรรมดาจนไม่รู้สึกผิด

“........” บนโต๊ะสงบลงอีกครั้ง  ไอ้คินชำเลืองมองมายังพนักงานของตนที่นั่งอยู่ข้างผม  ผมยื่นบัตรเครดิตให้เพื่อตัดบททุกคำถามที่มีอยู่ในหัวมัน  เจ้าของโรงแรมรับบัตรเครดิตก่อนจะลุกจากโต๊ะไปโดยไม่พูดอะไร  มันหายไปเกือบสิบห้านาที  กลับมาอีกครั้งพร้อมกับยื่นสมุดเดินบิลหุ่มหนังสีน้ำเงินมาให้  ผมรับมาเปิดดูก่อนช้อนตามองอีกฝ่ายที่ยืนอมยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ตรงหน้า

“ลดให้แล้วน่า” มันว่า     

“จำไม่ได้ว่ากูบอกจะอยู่นี่สามคืน” ผมพูดกึ่งประชดพร้อมเซ็นลายเซ็นลงบนบิลที่ถูกตัดยอดบัตรเครดิตไปหมื่นต้น ๆ

“หึ ๆ เลือกห้องให้อย่างดี เตรียมเครื่องดื่มกับอาหารไว้ให้ด้วย รวมหมดแล้ว” ไอ้คินบอก  รับสมุดเดินบิลกลับคืนไป

“นี่คีย์การ์ดครับ” ไอ้คินยื่นคีย์การ์ดให้กับพี่ธาน 

“เดี๋ยวไปบอกผู้จัดการว่าฉันอนุญาตให้เลิกงานก่อนเวลาเพราะว่านายมีธุระด่วน” ไอ้คินพูด  โทนเสียงเปลี่ยนไปในเชิงพูดสั่งกับลูกน้อง 

“เดี๋ยวกูขึ้นไปด้วย พนักงานคนอื่นมันจะได้ไม่เข้าใจไว้กูให้ท้ายใครแหกกฎ” มันหันมาพูดกับผมอีกโทนเสียงหนึ่ง
 
“ก็แหกอยู่” ผมตอบ

“สัส” มันสบถ  ผมยิ้ม  ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะลุกขึ้นยืน

“อ่าว ไปเลยเหรอ” ไอ้คินที่กำลังจะหย่อนตัวนั่งลงเงยหน้าขึ้นมองตามผมงง ๆ

“เออ” ผมตอบ

“เสร็จธุระแล้วก็ตามขึ้นไป” ผมพูดกับเทนที่มองผมอยู่

“ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“เจอกันนะแม่เลี้ยง” ผมบอก จับปลายคางไอ้คินอย่างหยอก ๆ

“หึ ๆ ไอ้เหี้ย” อีกฝ่ายปัดมือผมออกพร้อมยิ้มเก้อเขิน  ผมคว้าขวดเหล้าที่กินเหลืออยู่ติดมือมาด้วย  เสียงเจ้าของโรงแรมบ่นไล่หลังเซ็ง ๆ “กูบอกว่าสั่งเครื่องดื่มไว้ให้แล้วมันก็ยังเอาไปอีก”   

“คุณไฟครับ..” พี่ธานที่เดินตามหลังเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมาย  ผมไม่ได้ขานตอบ 

“คืนนี้จะไม่กลับบ้านเหรอครับ”

“ครับ” ผมตอบ  หยุดยืนที่หน้าลิฟต์พลางมองอีกฝ่ายที่กำลังตรงไปกดลิฟต์ให้  ประตูลิฟต์เปิดออกทันที   

“ถามทำไม” ผมยิงคำถามบ้างและยังคงไม่ขยับขาไปไหน  เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็ถามคำถามทำนองนี้แล้ว

“เปล่าครับ” พี่ธานตอบ  ผมยิ้ม  รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่เขาไม่ได้ต้องการทราบในประเด็นนี้


ติ๊ด ~

ประตูถูกปลดล็อก  คีย์การ์ดอนุญาตให้พวกเราเข้าไปยังห้องพักได้  ห้องพัก Executive suite ขนาดใหญ่ไม่ใช่ห้องพักที่ดีที่สุดของโรงแรมนี้  ถือว่าโชคดีสำหรับผมที่เพื่อนไม่ถือวิสาสะเลือกห้องพักเกินความจำเป็นโดยไม่ถามผมก่อน  กลิ่นหอมภายในห้องเตะจมูกทันทีที่เปิดประตูเข้ามา  ผ้าม่านตรงห้องนั่งเล่นถูกเปิดกว้างไว้เพื่ออวดวิวเมืองในกรุงเทพฯ  ผมเดินไปนั่งลงที่โซฟา  มองหน้าจอทีวีขนาดใหญ่สีดำสนิท  เสียงพี่ธานปรับอุณหภูมิแอร์ในห้องทันทีที่มาถึง เพราะรู้ว่าการตรวจดูอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศมักเป็นสิ่งแรกที่ผมทำเมื่อเข้าพักในโรงแรมใดก็ตาม 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้หลังเรามาถึงห้องพักเกือบสิบนาที  พนักงานนำเครื่องดื่มที่ไอ้คินสั่งไว้มาเสิร์ฟ  พี่ธานสั่งให้จัดเครื่องดื่มเหล้านั่นไว้ตรงมินิบาร์  ผมลุกเดินไปที่โต๊ะเมื่อพนักงานรับทิปจากพี่ธานและจากไปแล้ว  ขวดไวน์สองขวดกับบรั่นดีหนึ่งขวดเป็นยี่ห้อที่ผมมักดื่มเป็นประจำถูกเตรียมไว้ให้คล้ายรู้ใจ

“คุณอยากดื่มขวดเดิมก่อนหรือเปิดขวดใหม่ดีครับ” พี่ธานถาม

“เปิดไวน์” ผมตอบ  อีกฝ่ายอมยิ้มน้อย ๆ และจัดแจงเครื่องดื่มให้ทันที  ผมยกขึ้นจิบก่อนหยิบแก้วไวน์อีกใบหนึ่งวางตรงหน้าแล้วรินไวน์ให้พี่ธานที่ตั้งใจเตรียมเครื่องดื่มให้ผมเพียงคนเดียว

“นอนนี่แหละ” ผมเอ่ยปากอนุญาต  บอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายลดการทำตัวในหน้าที่แล้วทำตัวตามสบาย
 
“ขอบคุณครับ” พี่เขารับแก้วไวน์ของตนเองไปดื่มแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“อาบน้ำกันไหม” ผมชวน  หมายถึงอาบด้วยกัน

“หึ” พี่ธานหัวเราะในลำคอ  รอยยิ้มบนใบหน้าเป็นแบบที่ผมเห็นแล้วสบายใจ 

“แล้ว.. ไปหาสมุทรมาเป็นยังไงบ้างครับ” จู่ ๆ คนตรงหน้าก็ถามไม่มีปี่มีขลุ่ย

“โรงแรมมันก็หรูดีนะ แต่หมอนไร้รสนิยมไปหน่อย” ผมเหลือบมองไปที่หมอนอิงที่วางอยู่บนโซฟาตรงห้องนั่งเล่น

“มีอะไรรึเปล่าครับ” พี่ธานยังคงซักกลับประเด็นเดิม

“........” ผมเงียบ  ช้อนตาขึ้นมองหน้าพี่เขาก่อนเหสายตามายังแก้วไวน์ของตัวเอง 

“มีมั้ง” ผมตอบให้ 

“ทะเลาะกันเหรอครับ”

“อืมมมม ทะเลาะรึเปล่านะ” ผมผลิยิ้มมุมปาก  เงยหน้าขึ้นมองเพดานพลางนึกถึงความรู้สึก ณ ตอนนั้น  พี่ธานนั่งเงียบ  อมยิ้มน้อย ๆ และลดระดับสายตามองลงต่ำ  ไม่คาดคั้นเอาความมากกว่านี้อีก...


ก๊อก  ๆ ๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายบรรยากาศ  พี่ธานลุกขึ้นไปเปิดประตู  ไอ้คินเดินเข้ามาพร้อมกับพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟด้วย
 
“ห้องถูกใจไหมมึง” เจ้าของโรงแรมยิ้มถาม

“ก็เดิม ๆ” ผมตอบห้วน ๆ  ไม่เข้าใจว่าจะถามทำไมเพราะก็เคยมาพักแล้ว

“ไอ้เวร” มันบ่น 

“วางนี่เลย” ไอ้คินชี้นิ้วสั่ง

“ครับ” พนักงานผงกหัว  กุลีกุจอจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ  ผมมองอาหารห้าจานที่วางอยู่  สิ่งที่เตะตาผมเป็นพิเศษคือจานผลไม้ขนาดใหญ่ที่จัดจานด้วยผลไม้นานาชนิดอย่างสวยงาม 

“มึงนี่ได้กำไรจากกูเยอะนะ” ผมพูดถึงอาหารง่าย ๆ ที่อยู่ตรงหน้า  โดยเฉพาะผลไม้ที่เพื่อนสนิทสั่งเอาใจผม 

“ตรงไหน” ไอ้คินแทบสบถ  พนักงานโค้งตัวน้อย ๆ ก่อนจากไปเมื่อทำภารกิจเสร็จ

“ก็มึงเสือกกินง่ายเองทำไม” มันว่ายิ้ม ๆ 

“เดี๋ยวผมลงไปเอาของให้นะครับ” พี่ธานพูดบอก  ผมพยักหน้า  อีกฝ่ายหยิบกุญแจรถก่อนออกจากห้องไป

“ของอะไรวะ” ไอ้คินขมวดคิ้ว  หยิบแก้วเปล่ารินเหล้าจากขวดที่ผมดื่มเหลือที่บาร์ใส่แก้วของตน

“........” ผมไม่ตอบ  มันหันมามองงง ๆ ก่อนเดาคำตอบได้จากความหมายบนใบหน้าของผมว่าของที่ว่าคืออุปกรณ์การหลับนอนสำหรับคืนนี้

“มึงก็ เบามือหน่อยแล้วกัน พรุ่งนี้มันต้องทำงาน” ไอ้คินเอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจัง  ผมหยิบเชอร์รีเข้าปากพลางรับฟังเงียบ ๆ
 
“กูต้องอยู่นี่สักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวพนักงานมันจะหาว่ากูพาเด็กมาส่งเป็นการส่วนตัว” มันเลื่อนเก้าอี้ตัวที่พี่ธานนั่งก่อนหน้านี้นั่งลง

“ก็ทำจริง มึงนี่โกหกตัวเองบ่อยไปนะ” ผมพูด

“ไอ้เหี้ย หึ ๆ ก็เพราะมึงไหม” ไอ้คินบ่นปนหัวเราะ

“มึงก็นั่งกินกับพี่ธานสิ พี่ใหญ่กูขี้เหงา” ผมแซวคนที่เพิ่งออกไป  ไอ้คินหัวเราะชอบใจรู้ว่าผมพูดไปอย่างนั้นเอง  เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง  ครั้งนี้การเคาะค่อนข้างเบาคล้ายผู้เคาะเกรงใจคนในห้อง  ไอ้คินลุกไปเปิดประตู พบเทนยืนอยู่ตรงหน้า  เจ้าของโรงแรมออกปากให้ทางนั้นเข้ามาด้านใน  เทนผงกหัวน้อย ๆ เดินเข้ามาและหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมห่างไปเกือบสองเมตร


บรรยากาศในห้องเงียบสนิท  รู้ว่าไอ้คินก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในสถานการณ์นี้  เทนยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่จุดเดิม  อีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมองผมเล็กน้อย  ผมผายมือออกส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้ามาหา  เทนเหลือบอ่านสีหน้าของเจ้านายก่อนจะเดินตรงมา  ผมขยับตัว  ตั้งศอกลงบนโต๊ะพลางเท้าใบหน้าด้านข้างด้วยมือข้างหนึ่ง  มืออีกข้างที่ว่างอยู่สอดเข้าไปด้านในต้นขาขวาของคนตรงหน้า  เทนสะดุ้งเล็กน้อย  ผมเหลือบมอง ผละมือออกและวางลงที่หน้าตัก  อีกฝ่ายเข้าใจที่ผมสื่อจึงนั่งลงช้า ๆ บนขาซ้ายของผม  เขาตัวเกร็งจนรู้สึกได้  มือของผมวางลงที่ต้นขาของเขาพลางสำรวจมองร่างกายใกล้ ๆ  เครื่องแบบบาร์เทนเดอร์ถูกถอดออกแล้ว  เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแล็คเท่านั้น  ผมช้อนตาขึ้นมอง  อดไม่ได้ที่จะสอดนิ้วผ่านระหว่างช่องของกระดุมเสื้อตรงหน้าท้อง  นิ้วสัมผัสถูกผิวเนื้อด้านใน  ปฏิกิริยาที่ได้รับตอบกลับน่าสนใจขึ้นอีก...

“เข้าไปในห้อง เดี๋ยวฉันไป” ผมพูด

“........” เทนพยักหน้ารับเงียบ ๆ ไม่ยอมสบตา

“ตามสบาย” ผมบอก 

“ขอบคุณครับ” เทนตอบ  ลุกขึ้นยืนก่อนหันมาก้มหัวให้ไอ้คินครั้งหนึ่งแล้วเดินเข้าห้องนอนไป  เสียงประตูปิดลงเบา ๆ 

“กลัวมึง แต่ก็อยากได้มึง คืออะไร” ไอ้คินพึมพำหน้านิ่ง

“คืออะไร” ผมทวนคำพูดของมัน  ยกไวน์ขึ้นดื่มจนหมดก่อนเลื่อนแก้วไปด้านในโต๊ะเพราะไม่ต้องการดื่มต่อแล้ว

“ขอน้ำเปล่าหน่อย” ผมพูดพร้อมหยิบชีสเข้าปาก  ไอ้คินหยิบขวดน้ำเปล่าที่อยู่ใกล้มือรินใส่แก้วให้  ผมรับมาดื่มจนหมดก่อนเปิดบรั่นดีขวดใหม่รินใส่แก้ว 

“อยากได้อะไรเพิ่มไหม” ไอ้คินถาม

“........” ผมส่ายหัว  ยกบรั่นดีขึ้นดื่มหมดอีกแก้วก่อนที่เจ้าของโรงแรมจะเติมให้อีก

“เป็นเกียรติจริง ๆ” ผมยิ้มแซว

“เฮ้อ” ไอ้คินถอนหายใจ

“ไม่มีอะไรให้ช่วยใช่ไหม” อีกฝ่ายถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“เรื่อง ?” ผมแกล้งซื่อ

“จะไปรู้เรอะ” มันขึ้นเสียงนิด ๆ

“น่า ~” ผมปัดไปที  รู้ว่ามันกำลังเป็นห่วงพี่ชายตัวเอง

“น่าห่าอะไร” มันเลียนเสียงผมในทีแรกก่อนบ่นให้ 

“หึ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะ

“ทำไมอยู่ ๆ ก็ได้ จ่ายส่วยกูเหรอ” ผมพยักหน้าถามถึงคนที่อยู่ในห้อง 

“กูไม่ระยำขนาดนั้นหรอก” มันว่าให้  ผมยิ้มกว้าง

“แต่ตามจริงก็.. เอาใจมึงมั้ง ไอ้เทนมันก็ดูสนใจมึง” ไอ้คินเบือนหน้าหนี 

“คิน” ผมเรียก

“หืม” อีกฝ่ายขานรับ

“........” ผมจ้องหน้ามัน  แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร  เสียงเพื่อนสนิทถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่เห็นว่าคงจะไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมาจากปากผม  ครู่หนึ่งพี่ธานก็กลับมาพร้อมกับของใช้จำเป็นและนำของเหล่านั้นไปเก็บในห้อง


ผมลุกขึ้นยืน  เดินออกจากโต๊ะพร้อมกับคว้าขวดเหล้าขวดเดิมที่ดื่มเหลือจากที่บาร์มาด้วย  ทิ้งเครื่องดื่มที่เปิดใหม่ไว้ให้คนที่นั่งดื่มต่อที่นี่  พี่ธานเปิดประตูห้องนอนและปิดลงให้  คนที่อยู่ในห้องน้ำเดินออกมาพอดี  อีกฝ่ายชะงัก  ผมวางขวดเหล้าลงบนหัวเตียง  เสียงก้นขวดกระทบกับโต๊ะเบา ๆ  เทนหยุดยืนอยู่กลางห้อง  สายตาเอาแต่มองลงพื้น  กลิ่นสบู่ที่เขาเพิ่งอาบน้ำมาฟุ้งไปทั่ว  ไฟดวงหลักถูกปรับให้ความสว่างในห้องหรี่ลง...


- - - - - - - - - - - - - -


1 อาทิตย์ผ่านไป

“มึงเก็บมันเหรอวะ”

“ใคร” ผมถามกลับไอ้โปรดที่นอนสบายอยู่บนโซฟาทำอย่างกับเป็นบ้านของตัวเอง

“ไอ้หมูตุ๊ต๊ะที่มีเรื่องกับกูที่สนามแข่งวันนั้น” มันตอบ

“........” ผมไม่ตอบ  กดเปลี่ยนช่องจากช่องข่าวไปดูการแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสม

“เฮ้อ กูแม่งเบื่อมึงฉิบหาย” ไอ้โปรดบ่นเซ็ง ๆ  ฟังจากโทนเสียงแล้วไม่พอใจอย่างจริงจังอยู่พอสมควร

“หาแต่เรื่อง !” มันว่า

“ว่าตัวเองทำไมครับ” พี่ธานที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี  อีกฝ่ายเลิกคิ้วมองไอ้โปรดด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์

“หึ..” ผมหัวเราะ  ตลกที่พี่เขาเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ได้จังหวะเหน็บแนมเพื่อนสนิทผม

“กวนตีน” ไอ้โปรดย้อนนิ่ง ๆ  คนถูกด่าอมยิ้ม  ตรงมานั่งลงที่โซฟาอีกตัว

“ได้ข่าวว่ารถไฟชนกันเหรอครับ” พี่ธานยิ้มมองไอ้โปรด 

“อะไร” เพื่อนผมหันมามอง  คิ้วขมวดเป็นโบ

“ก็หัวที่ช้ำนั่นน่ะ” พี่ใหญ่ขยายความ  ผมยิ้มมุมปากเพราะก่อนหน้านี้ไอ้โปรดให้เหตุผลกับผมว่า  หน้าผากที่ช้ำเกิดจากอุบัติเหตุ  หัวไปกระแทกกับขอบประตู

“หัวกระแทกขอบโต๊ะมั่งเหอะ !” ไอ้โปรดแสยะปาก

“ขอบประตู” ผมพูดแทรก

“........” ทุกคนเงียบลง 

“รถไฟชนกันที่ร้านคุณเพียง ได้ข่าวว่าตีกันจนเพื่อนคุณเสียไปเกือบแสน” พี่ธานหันมาพูดบอกผม  ไอ้โปรดได้ยินดังนั้นถึงกับหลับตา  พยายามกักเก็บอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่

“พี่นี่เป็นคนปากมากเหมือนกันนะ” ไอ้โปรดกวาดตามองพี่ธานอย่างดูถูก 

“แล้วจะโกหกทำไม” ผมยิ้ม ส่ายหัวบ่นอย่างไม่เข้าใจ

“แม่ง อีกคนก็เมีย อีกคนก็ผัว ปวดหัวฉิบหาย กูไม่อยากพูดถึงไง” ไอ้โปรดสบถใส่  มันลุกขึ้นนั่งพร้อมหยิบหมอนอิงไปกอด

“กูเสียเกือบแสน ประเด็นคือมันทะเลาะกันทั้งที่กูเลิกยุ่งกับมันสองคนไปแล้วด้วย ไอ้เชี่ย” เพื่อนผมบ่น 

“ไอ้ไฟ มึงช่วยสั่งให้ลูกน้องมึงหยุดยิ้มแปลก ๆ แบบนั้นสักทีได้ไหม” มันเหล่ตาใส่พี่ธาน

“ตลกกว่าดูตลกอีกครับ” พี่ธานตอบตาใส

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ผมหัวเราะลั่น

“แล้วพี่มีอะไรครับ” ผมถามพี่ธานเพราเห็นว่าอีกฝ่ายมีเอกสารอยู่ในมือด้วย

“รายงานการฝึกซ้อมของทางประจวบฯ กับที่ฝรั่งเศสครับ” พี่ธานตอบพร้อมยื่นเอกสารมาให้  ผมรับมาเปิดดู

“ดาวกับเมฆเป็นยังไง” ผมถามถึง  ก่อนที่สมุทรจะเดินทางไปเก็บตัวที่ประจวบฯ ผมให้พี่ธานเตรียมคอนโดที่ปลอดภัยไว้เพื่อให้ดาวกับเมฆไปอยู่ที่นั่นสักพักระหว่างที่สมุทรไม่อยู่บ้าน  เพื่อความปลอดภัยและเพื่อความสบายใจของคนเป็นพี่ชายด้วย   
 
“ดีครับ ผมว่าจะแวะไปหาวันนี้” พี่ธานตอบ

“วันเสาร์นี้เตรียมตัวด้วย ผมจะเข้าประจวบฯ บอกแค่แม่บ้าน ไม่ต้องบอกทางค่าย” ผมสั่ง

“ได้ครับ จะไปกี่วันดีครับ” พี่ธานถาม

“นอนคืนเดียว” ผมตอบ

“ครับ”

“ก่อนออกเดินทางตอนเช้าผมจะแวะไปหาดาวก่อน ไม่ต้องบอกเธอหรอก ผมจะบอกเองก่อนไปหา” ผมพูด  ถ้าบอกล่วงหน้าหลายวันเธอเองก็จะเกร็งเปล่า ๆ  ผมรู้ว่าเธอก็ไม่ได้สบายใจนักที่ต้องพบหน้าผมเป็นการส่วนตัวโดยไม่มีพี่ชายอยู่ข้าง ๆ
 
“ได้ครับ” พี่ธานขานรับอีกครั้ง  ในห้องเงียบลงขณะที่ผมอ่านรายละเอียด  มีแต่เสียงทีวีที่ถูกไอ้โปรดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ
 
“ขอบคุณครับ” ผมสอดเอกสารกลับเข้าซองเหมือนเดิม


ต่อไปเป็นข่าวการเมือง  นายดำริ ผู้สมัครลงเลือกตั้งพรรคการเมือง ooo ลงพื้นที่หาเสียงทางภาคเหนือ 


“ผมได้กลิ่นความฉิบหายบนตัวผู้ชายคนนี้คลุ้งไปหมดเลยครับ” พี่ธานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“นั่นสิ พี่ทัพมันจะไหวไหมน่ะ..” ไอ้โปรดพึมพำ



...............(ไฟ)..............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2021 17:07:31 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

เนื่องจากเชื้อสายของน้องพายุ (ของเฮียไฟ) เลยมาลงตอนนี้เพื่อฉลองตรุษจีน #มันใช่เหรอ 55555++

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ~  :mc4: :mc4: :mc4:

แล้วเจอกันใหม่พี่น้อง :mew3: :mew3: :mew3:


ขอบคุณค่ะ | เบบี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2021 17:13:03 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
เฮียไฟขาาาาา...ตอนหน้าจะไปประจวบบบบ..จะเจอกันท่าไหนน้ออออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด