เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)  (อ่าน 197524 ครั้ง)

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
เสวี่ยอู๋ดูจะเจ้าเล่ห์มิใช่น้อย ชอบสำนวนการแต่งมาก เก็บตังรอนะ

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
'พี่ฟาน'รักเศร้าเดียวต่างหาก

เราชอบคนตัวบางท่กดตนตัวหนากว่าได้นานๆถึงจะมีคู่แบบนี้ 'เสวี่ย'นายแน่มาก

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
เง้อออ น่ารักจังน้าาา อย่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเลยยย

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ชอบค่ะ ชอบมากๆ รักเลย
ตามหานิยายแนวนี้มานาน
ติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
อ่านยาวมาจนถึงตอนนี้ บอกเลยคะว่าสนุกมาก. อย่าลืมมาต่อไวไวนะคะ

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :a5: ตอนนี้มันสั้นลงรึเปล่าหว่า แต่ไม่เป็นไรมาต่อไวๆก็โอเคและ 5555  :katai2-1:
เสวี่ยอู๋ เจ้าจะมาไม้ไหนอีกกกก ข้าจะรอดูความจริงใจของเจ้า กั้กๆๆๆ จิวหยงชวนจะได้หนุ่มมาเพิ่มในสต็อกมั้ย?  :hao3:  :hao3:  :ruready  :ruready รอลุ้นนนน

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่37 แยกทาง
 ตอนที่10 เล่ม 2(P.11วันที่ 1/10/58)

        จิวชงหยวนหันไปมองเจ้าบ้านที่ไม่รู้ว่าไปฆ่าฟันกันท่าไหนถึงได้กอดแขนกันกลับมาเหมือนไม่มีเรื่องหมางใจกันมาก่อน และดูจากภายนอกเสวี่ยอู่มองอย่างไรก็เป็นฝ่ายรับหากเจ้าตัวไม่วางยาอวี้เฟิ่งไม่มีทางที่จะได้เป็นฝ่ายรุกแน่ๆ
    “ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทไม่ได้ต้อนรับพวกท่านดี” อวี้เฟิ่งกล่าวทักทายพร้อมยกมือคารวะตามพิธีและพวกเขาก็ตอบรับด้วยวิธีเดียวกัน
    “พวกข้าต่างหากที่มารบกวนท่าน ต้องขออภัยท่านแล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างสุภาพเพราะที่นี่ไม่ได้นับอายุเพราะเขานับกันที่วรยุทธอีกทั้งอวี้เฟิ่งมีตำแหน่งถึงจ้าวยุทธย่อมต้องมีเกียรติอยู่ในตัว ดวงตาคมมองมายังเขานิ่งๆ ก่อนจะมาหยุดที่ลู่เฟยกับหนิงอี้ฟาน
    “ท่านประมุขพรรคหมิงเทียนยังสบายดีอยู่หรือไม่” อวี้เฟิ่งเอ่ยถามหมิงอี้ฟานเสียงเรียบใบหน้าแม้จะนิ่งเรียบแต่คิ้วที่ขมวดมุ่นมองคนที่เกาะแขนตนอย่างเคืองๆ ทำให้จิวชงหยวนนึกขำไม่ได้ เพราะหากไม่มีจิตพิศวาสต่อกันคงไม่มาจบต่อภาพนี้หรอก เขาน่าจะฉลองให้กับเสวี่ยอู่นะที่ยังมีหัวตั้งอยู่บนบ่าเช่นเดิม
    “ท่านพ่อสบายดีขอรับ” หมิงอี้ฟานตอบเสียงเรียบ ซึ่งอวี้เฟิ่งพยักหน้ารับรู้
    “พวกท่านคงเดินทางมาเหนื่อยและหิว เชิญพวกท่านไปร่วมทานอาหารเย็นกับข้าก่อนเถิด” อวี้เฟิ่งกล่าวต้อนรับอย่างจริงใจแม้จะเป็นคนที่เย็นชาไปบ้างแต่ก็ยังรู้จักต้อนรับแขก จิวชงหยวนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอวี้เฟิ่งถึงถูกเรียกว่าจอมยุทธผู้มีคุณธรรม หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วย บรรยากาศดูสบายๆ กว่าที่คิดเอาไว้
    หลังจากที่ร่วมรับประทานอาหารเสร็จจึงได้ร่วมสนทนาและบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้อวี้เฟิ่งฟังไปด้วย แม้อวี้เฟิ่งจะดูเหมือนคนเย็นชาทว่าใจดีกว่าที่เห็นภายนอกมากนักและยังยินดีช่วยเหลือจิวชงหยวนอย่างเต็มและนั่นไม่ทำให้เขาแปลกใจเลยว่าทำไมเสวี่ยอู่ถึงยังมีชีวิตอยู่  แม้เสวี่ยอู่จะยังมีปริศนาให้ค้นหาคำตอบว่าเจ้าตัวเป็นใครกันแน่ เพราะเวลานี้เขามั่นใจแล้วเสวี่ยอู่มิใช่บัณฑิตจบใหม่อย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญเพราะตราบใดที่เสวี่ยอู่ไม่หันคมดาบเข้าหาเขาก็จะยังถือว่ายังเป็นสหายเหมือนที่ผ่านมา
    พรึบ!
    จิวชงหยวนยืนมองนกพิราบสื่อสารที่บินลงมาหาลู่เฟยอย่างครุ่นคิดเพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจะต้องกลับวังหลวงหลังจากที่ออกมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว ใบหน้าเคร่งเครียดที่หันมามองทำให้เขาส่งยิ้มบางไปให้ ลู่เฟยเดินเข้ามาหาเขาหลังจากที่อ่านข้อความจบลง
    “วังหลวงมีการเคลื่อนไหว ข้าจำต้องไปช่วยรัชทายาทลั่วเหยียนเจิ้ง” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเคร่งเครียดที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนยิ้มบางแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    “เจ้ามาที่นี่ย่อมมีหน้าที่เช่นเดียวกับข้า หากเมื่อไหร่ที่หน้าที่ของเจ้าจบลงย่อมกลับมาร่วมทางกับข้าได้ ไยจะกังวลไปทำไม”
    “แต่เจ้าใช่ว่าจะปลอดภัย” ลู่เฟยบอกอย่างเป็นกังวลมือหนาโอบร่างโปร่งบางมากอดอย่างหวงแหน
    “ข้าไม่ใช่คนไร้ฝีมือ อีกอย่างยังมีหมิงอี้ฟาน จุ้ยซิงและหนานจี้กงอยู่เป็นเพื่อน” จิวชงหยวนบอกกล่าวยกมือลูบหลังลู่เฟยอย่างปลอบโยน แม้หัวใจจะรู้สึกโหวงแหวงในอกก็ตามอาจเป็นเพราะเขากับลู่เฟยอยู่ร่วมกันมาตลอดหนึ่งปีและไม่เคยแยกจากกันมาก่อน
    “ข้าเชื่อว่าหมิงอี้ฟานจะปกป้องเจ้า แต่ข้าก็ไม่ไว้ใจ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหมิงอี้ฟานคิดเช่นไรกับเจ้าแล้วอย่างนี้จะให้ข้าวางใจได้เช่นไร” จิวชงหยวนเอียงคอมองคนที่หึงแล้วอมยิ้มบางๆ
    “หึงเหรอ”
    “เจ้าน่ารู้อยู่แล้วยังจะมาถามอีก” ลู่เฟยตอบกลับแล้วเบือนหน้าหนีอย่างอายๆ จิวชงหยวนยิ้มขำยกมือคล้องคอคนตัวโตอย่างเอาใจ
    “แต่ข้าเป็นคนของเจ้าแล้วนะ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำด้วยความอาย แม้ไม่อยากจะพูดแต่ก็อยากให้ลู่เฟยสบายใจไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังเช่นในเวลานี้ ใบหน้าคมคายหันมามองเขาด้วยแววตาแพรวพราวก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากที่ช่างยั่วด้วยอารมณ์ปรารถนา
    เพร้ง!
    เสียงป้านน้ำชาล่วงหล่นลงพื้นจนแตกกระจายทำให้ทั้งคู่พละออกจากกันหันไปมองต้นเสียงอย่างตื่นตกใจ ใบหน้าและดวงตาที่ฉายแววเจ็บปวดของหมิงอี้ฟานทำให้จิวชงหยวนรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เรื่องของหัวใจเขาเองก็สั่งไม่ได้เช่นกัน
    “ข้าขอโทษที่มาขัดจังหวะ” แม้น้ำเสียงที่พยายามให้มั่นคงทว่าจิวชงหยวนก็รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นดี
    “เจ้ากลับไปนอนก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับอี้ฟาน” ลู่เฟยหันมาบอก จิวชงหยวนซึ่งก็พยักหน้ารับแล้วเดินเลี่ยงออกไปจากหน้าตำหนักที่พัก
    “ตามข้ามาสิ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบก่อนจะเดินไปทางสวนไผ่ทางด้านหลังตำหนักที่พัก หมิงอี้ฟานมองตามแล้วถอนหายใจก่อนจะก้าวเดินตามออกไปปล่อยให้คนรับใช้ของที่นี่ทำความสะอาดข้าวของที่เขาทำแตกเสียหาย
    ลู่เฟยเดินมาหยุดที่ศาลากลางสระบัวที่มีโคมไฟสลัวๆ ที่ถูกจุดเอาไว้ กลางศาลามีหมากล้อมไว้ให้เล่นด้วย เขาเดินไปนั่งรอหมิงอี้ฟานอย่างเงียบๆ
    “ไม่คิดว่าท่านอยากสนทนากับข้าสองต่อสอง” หมิงอี้ฟานกล่าวสียงเรียบทว่าน้ำเสียงยังคงหลงเหลือความนับถืออาจเป็นเพราะฝีมือของลู่เฟยเป็นที่ยอมรับและประจักษ์แก่สายตาว่าเก่งกาจและที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือคนตรงหน้าเป็นถึงองค์ชายแคว้นลั่วหยาง
    “ข้าต้องกลับวังหลวงและมิอาจเดินทางร่วมกับจิวชงหยวนได้ ข้ารู้ว่าเจ้าจะอยู่เคียงข้างจิวชงหยวนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าไม่ได้อยากฝากฝังเจ้าดูแลชงหยวน แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าย่อมทำตามใจปรารถนาอยู่แล้ว” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบมองสบตากับหมิงอี้ฟานซึ่งนั่งลงตรงข้ามเขาอย่างใจเย็นเช่นกัน
    “ถึงท่านไม่ฝากข้าก็อยู่เคียงข้างชงหยวนอยู่แล้ว แม้ต้องตายข้าต้องปกป้องคนที่ข้ารักด้วยชีวิต” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังและแววตาแน่วแน่ของหมิงอี้ฟานทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้น แม้คนตรงหน้าจะเป็นศัตรูหัวใจทว่าหากคนผู้นี้ปกป้องคนที่รักในเวลาเขาไม่ได้อยู่ด้วยก็คงต้องยอม และที่สำคัญเขาเชื่อใจจิวชงหยวนว่าไม่ผันแปรเป็นอื่น
    “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะแย่งคนรักท่านหรือไง” หมิงอี้ฟานเอ่ยถามด้วยความสงสัย การได้พูดคุยและการได้ประลองดาบหลายวันที่ผ่านมาทำให้เขาเปิดใจยอมรับลู่เฟยมากขึ้น
    “เหตุใดข้าต้องกลัวในเมื่อหัวใจจิวชงหยวนอยู่ที่ข้า” ลู่เฟยตอบกลับอย่างมั่นใจ เพราะถึงแม้ชีวิตมนุษย์เขาจะดับลงก็ยังกลับไปเป็นเทพและอยู่เคียงข้างจิวชงหยวนได้ แต่คนตรงหน้าเขาอย่างมากสุดก็แค่ทำให้เขารำคาญใจไม่กี่ปีเท่านั้น
    “ทำไมท่านมั่นใจเช่นนั้น” หมิงอี้ฟานเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก แม้จะยอมรับแต่ใช่ว่ายอมแพ้ ทว่าลู่เฟยยกยิ้มบางจนทำให้อดหมั่นไส้ไม่ได้
    “อี้ฟานมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าไม่รู้ จิวชงหยวนมิใช่มนุษย์ธรรมดาที่เจ้าจะอยู่เคียงข้างได้ตลอดไป”
    “ข้อนั้นข้ารู้อยู่แล้ว แล้วเกี่ยวอะไรกับที่ข้ารักจิวชงหยวน” ลู่เฟยมองคนถามแล้วเหม่อมองไปบนท้องฟ้าที่มีดวงดาวดวงเล็กๆ ทอแสงประกายให้เห็น
    “เกี่ยวสิ หากจิวชงหยวนรักเจ้า แล้ววันใดที่เจ้าจากไปจิวชงหยวนจะเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ต้องอยู่ลำพังไปอีกหลายร้อยปี” ลู่เฟยตอบกลับอย่างใจเย็น เพราะเขาเคยทนรับความรู้สึกนั้นมาก่อนแล้ว ทนจนกลายเป็นคนเย็นชา ทว่าคนที่จากไปไม่ใช่เขาแต่เป็นจิวชงหยวนที่ดวงจิตไปอยู่ในภพภูมิอื่น มันทรมานที่มีรักแต่มิอาจได้อยู่เคียงข้าง มันเจ็บปวดจนเจียนตายที่ความคิดถึงบีบคั้นหัวใจ
    “แล้วท่านกับข้าต่างกันที่ใดกัน ข้ารู้ว่าชงหยวนมิใช่มนุษย์ แล้วท่านเล่ามีดีกว่าข้าเช่นนั้นรึ” คำถามของหมิงอี้ฟานทำให้ลู่เฟยเหลือบตามองเล็กน้อย ทุกคนย่อมมีชะตากรรมเป็นของตัวเองแม้แต่ตัวเขายังกำหนดไม่ได้ แต่ที่ทำให้เขามั่นใจคือจิวชงหยวนเป็นของเขาไม่ว่ากายหรือใจ ดวงตาคมมองหมิงอี้ฟานนิ่งๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ
    “ตอนนี้ข้ากับเจ้ามิต่างกัน เพียงแต่ข้านั้นแม้ชีวิตมนุษย์จะดับลงก็ยังกลับมายืนเคียงข้างจิวชงหยวนได้”
    “หากท่านทำได้ไยข้าจะกลับมาไม่ได้เล่า ข้ามั่นใจว่าความรักที่ข้ามีต่อจิวชงหยวนต่อให้เหลือเพียงดวงจิตข้าก็จะกลับมาปกป้องจิวชงหยวนให้ได้” คำกล่าวที่ดื้อรั้นทว่ากลับทำให้ลู่เฟยใจสั่นสะท้าน การตั้งจิตแน่วแน่ของหมิงอี้ฟานในเวลานี้กำลังทำให้เขารู้สึกกลัว หวังว่าภพหน้าคงไม่เจอกันอีกหรอกนะ ลู่เฟยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
    “หากเป็นเช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” ลู่เฟยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแววตาแน่วแน่ หมิงอี้ฟานเพียงแค่ยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่สนใจ
    “ใจข้าก็อยากทำเช่นนั้น แต่ข้าคงทำร้ายหัวใจคนที่ข้ารักไม่ได้หรอก และข้าคงทนเห็นน้ำตาของจิวชงหยวนไม่ได้” คำตอบที่ทำให้ลู่เฟยอึ้งไปไม่คิดว่าหมิงอี้ฟานจะมีใจบริสุทธิ์ขนาดนี้ แต่หากเขาตายจริงๆ จิวชงหยวนจะร้องไห้ให้เขาจริงๆ หรือ ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายเลย ยกเว้นค่ำคืนที่เขาบอกรักทั้งคืนเท่านั้น แต่ถึงหมิงอี้ฟานจะรักจิวชงหยวนมากแค่ไหนเขาก็ไม่อาจปล่อยดวงใจให้ใครได้เช่นกัน...
    จิวชงหยวนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออ้อมกอดที่คุ้นเคยพร้อมร่างของลู่เฟยนอนอยู่ข้างกาย เขาแกล้งหลับตาทำเหมือนนอนหลับไปแล้ว ทว่าริมฝีปากที่แนบมากลางหน้าผากของเขาก่อนจะไล่ลงมาที่ตา จมูก ปากจนเขาต้องลืมตาโพลงขึ้นมามอง
    “คนหื่น” จิวชงหยวนว่าให้เบาๆ ทว่าลู่เฟยเพียงแค่ยิ้มรับบาง ร่างหนานอนกอดเขาพร้อมซบลงบนซอกคอเขาอย่างแผ่วเบาและนอนนิ่งๆ จนน่าแปลกใจ
    “ไม่สบายใจอะไรหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอาการผิดปกติของคนข้างตัว
    “หนทางข้างหน้ายังอีกไกลนัก เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าต้องเข้มแข็ง แม้ข้าจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าแต่ขอให้จดจำไว้ว่าข้าอยู่ในหัวใจเสมอ” คำกล่าวจริงจังและอ้อมกอดที่รัดแน่นขึ้นทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจเพราะเหมือนคำสั่งลาอย่างไรอย่างนั้น
    “ข้ารู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นยาวไกล แต่เจ้าก็สัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะรีบกลับมา”
    “ข้าจะพยายาม” ลู่เฟยตอบเสียงแผ่ว แม้ไม่ได้หนักแน่นแต่จิวชงหยวนกลับมั่นใจว่าลู่เฟยต้องรีบจัดการทางนั้นแล้วรีบกลับมาตามสัญญา มือเรียวลูบแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบโยนแม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งใดแต่ความจริงลู่เฟยห่วงเขามากกว่าที่แสดงออก
    “หายเจ็บยัง” คำถามที่ไม่มีที่ไปที่มาทำให้จิวชงหยวนนิ่งไป ดวงตาเรียวตวัดมองดวงตาคมที่เริ่มวาววับขึ้นมา
    “นอนไปเลยเจ้าบ้า” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำพร้อมหันหลังให้อย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะในลำคอของลู่เฟยทำให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
    “ไม่ได้จริงหรือพรุ่งนี้ข้าต้องไปแล้วนะ” เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้ใบหน้างดงามร้อนผ่าว
    “กลับมาก่อนสิ แล้วข้าจะมีรางวัลให้” กระซิบตอบกลับอย่างเก้อเขิน ดวงตาหลับตาพริ้มรับสัมผัสอบอุ่นที่ถูกจูบศีรษะอย่างรักใคร่
    “ข้าจะรีบกลับมา” ครั้งนี้น้ำเสียงหนักแน่นกว่าครั้งแรกมากนักอาจเพราะมีรางวัลมาล่อตาให้ต้องรีบเร่งจัดการธุระของตัวเองให้เสร็จ มือหนากอดกระชับร่างโปร่งบางเข้าหาแผ่นอกซึมซับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ออกจากเรือนร่างโปร่งบางไว้ในจิตใจเพื่อไว้เป็นกำลังใจยามที่ห่างไกล
    “ข้ารักเจ้า” คำบอกรักที่ได้ยินทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบางที่มุมปาก ก่อนจะปล่อยกายปล่อยใจล่องลอยไปกับความอบอุ่นในอ้อมกอดของลู่เฟย คนที่เขาเปิดใจยอมรับและเป็นคนที่ทำให้เขากล้าที่จะยอมรับความจริงมากขึ้น
    เช้าวันรุ่งขึ้นลู่เฟยได้ออกเดินทางกลับแคว้นลั่วหยาง จิวชงหยวนหลังจากที่สนทนากับอวี้เฟิ่งได้จึงขอเดินทางไปช่วยเหลือผู้คนต่อไป โดยครั้งนี้มีเพียงหมิงอี้ฟานกับจุ้ยซิงและหนานจี้กงสามคนเท่านั้น ส่วนเสวี่ยอู่นั้นขออยู่เอาใจเมียก่อน แต่ ณ เวลานี้เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าใครผัวใครเมียเพราะอวี้เฟิ่งนั้นมาดแมนสมชายชาตรี ลักษณะท่าทางและดวงตาคมกริบโดยรวมแล้วไม่มีส่วนไหนที่จะโดนกดลงได้
    “เจ้าไปรักษาผู้คนก็อย่าไปปล่อยเสน่ห์ที่ไหนอีกล่ะ” เสวี่ยอู่กล่าวคำลาด้วยรอยยิ้ม ทว่าท่าทางตอนนี้มันน่าผิดสังเกต หวังว่าเมื่อคืนคงไม่สมสุขกันถึงเช้าหรอกนะ แต่ทำไมอวี้เฟิ่งถึงดูปกติไปหมด น่าแปลกจริงๆ
    “เรื่องของข้า เจ้าเองก็อย่าไปวางยาใครอีกล่ะ” ตอบกลับด้วยใบหน้าสะใจนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้าซีดๆ ของเสวี่ยอู่และดวงตาคมกริบของอวี้เฟิ่งที่ตวัดมองสามีอย่างดุๆ แล้วทำให้เขานึกขำไม่ได้ คงไม่ใช่เสวี่ยอู่กลัวเมียหรอกนะ
    “ข้าขอลาท่านจ้าวตำหนักขอรับ” หมิงอี้ฟานบอกพร้อมก้มหัวให้ก่อนจะเดินตามเขาไปและติดตามมาด้วยพร้อมสองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เขาไม่ค่อยได้สนทนาด้วยนัก อาจเป็นเพราะทั้งคู่เป็นคนไม่ค่อยพูด
    การเดินทางในครั้งนี้จิวชงหยวนรู้สึกเหงาใจแปลกๆ อาจเป็นเพราะปกติจะมีลู่เฟยติดตามเสมอทว่าวันนี้ต่างต้องกลับไปทำหน้าที่ของตน เช่นเดียวกับเขาในขณะนี้
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    เสียงปะทะกันดังมาจากทางข้างหน้าจิวชงหยวนจึงหยุดนิ่งประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขารู้จักหยิ่งทรนงไม่ช่วยเหลือมั่วอีกต่อไป
    “ไม่ไปดูหรือขอรับท่านหมอจิว” หนานจี้กงที่คนเงียบสุดเอ่ยถามอย่างร้อนรน จิวชงหยวนเหลือบตามองทุกคนซึ่งดูเหมือนหมิงอี้ฟานแววตาจะสงบที่สุด
    “ไม่ใช่เรื่องของเรา ไปทางนั้นเถอะข้าอยากเก็บสมุนไพรไปด้วย” ตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย แม้หนานจี้กงจะไม่เห็นด้วยทว่าเมื่อเห็นหมิงอี้ฟานเดินตามเขาจึงยอมเดินตามมาเงียบๆ เช่นกัน
    ตุ๊บ!
    จิวชงหยวนหยุดเท้ามองคนที่ล่วงตกมาอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาสงบ ตอนแรกก็ไม่คิดจะสนใจหากคนที่เห็นไม่ใช่คนที่รู้จัก
    พรึบ
    และไม่ทันได้มีเวลาคิดร่างโปร่งบางก็ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเรียกระบี่ออกมาต้านรับกระบี่เขี้ยวพยัคฆ์ของนักฆ่าที่กำลังพุ่งเข้าหาไป๋เสวี่ยอย่างทันท่วงที
    เคร้ง!
    “นี่มิใช่กงการของท่าน โปรดอย่ายื่นมือมายุ่งเกี่ยว” เสียงที่แหบพร่าที่ไม่สามารถรู้อายุจริงได้ทำให้จิวชงหยวนหรี่ตามองอย่างพิจารณาการยืนและท่าทางบ่งบอกว่าวรยุทธสูงล้ำ
    “ชงหยวน อึก!” ไป๋เสวี่ยเอ่ยเรียกเขาพร้อมกระอักโลหิตออกมา
    พรึบ!
    หมิงอี้ฟานและอีกสองคนพุ่งเข้าป้องโอบล้อมป้องกันเขาทันทีโดยไม่ต้องมีใครสั่ง จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองสามคนที่พยายามปกป้องเขาแล้วถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ก่อนจะหันไปมองนักฆ่าสามคนที่ยืนคุมเชิงเช่นกัน
    “ต้องขออภัยคนที่พวกท่านกำลังสังหารคือสหายของข้า” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบ ตอนแรกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวแต่เหมือนเรื่องจะวิ่งเข้ามาหาเขาไม่หยุด
    “หากเป็นเช่นนั้นพวกข้าคงต้องขอชีวิตเจ้าเช่นกัน” กล่าวจบทั้งสามก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ทว่าทั้งสามคนที่ปกป้องเขาก็ออกไปต้านรับแทนหมดเขาได้แต่ยืนคุมเชิงอีกที มองดูท่าร่างที่ใช้การต่อสู้แล้วเหมือนนักฆ่าคนละกลุ่มที่มาเอาชีวิตเขา
    เคร้ง เคร้ง!
    เสียงการปะทะของทั้งสามคนดังไปทั่วป่า จิวชงหยวนมองดูแล้วจุ้ยซิงจะเสียเปรียบกว่าอาจเป็นเพราะตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม เขาจึงช่วยสะบัดเข็มพิษพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ของจุ้ยซิงเพื่อตัดกำลังช่วย อีกสองคนที่โรมรันนั้นดูดุเดือดไม่น้อย ทว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขารู้ว่าทั้งคู่ยังไม่ได้เอาจริง
    ตูม!
    เสียงการปะทะกันและออกห่างไปทำให้จิวชงหยวนเดินเข้าไปหาไป๋เสวี่ยที่บาดเจ็บไปทั้งตัว ดวงตาเหลืบมองขึ้นมานั้นพร่ามัวก่อนจะส่งยิ้มบางมาให้
     “ก่อนตายอย่างน้อยข้าก็ได้เจอเจ้า” จิวชงหยวนคุกเข่าลงไปหาคนที่กำลังจะตายแต่ยังมีหน้ามาส่งยิ้มให้เขาอีก ทว่าพิษที่ไป๋เสวี่ยโดนทำให้เขาหายใจสะดุดเล็กน้อย ผงนิทราหมื่นเทวาที่ทำให้นอนหลับใหลไม่ตื่นจนกว่าจะผ่านไปหมื่นวัน และที่สำคัญเขาไม่มียาแก้พิษชนิดนี้เพราะมันใช้ส่วนผสมที่ทำให้เขาไม่กล้าปรุงนั้นคือหัวใจของกิเลน อีกอย่างใช่ว่าตัวกิเลนจะหาได้ง่ายๆ เหมือนกระต่ายป่า
    “ไป๋เสวี่ย เจ้าห้ามหลับเป็นอันขาด!” จิวชงหยวนประคองร่างของไป๋เสวี่ยขึ้นมาพร้อมเขย่าร่างนั้นให้รู้สึกทว่าดวงตาที่เหมือนจะหลับนั้นทำให้เขารู้สึกใจหาย
    “ดวงตาข้าหนักเหลือเกิน” เสียงแหบพร่าที่ดังมาแผ่วเบาทำให้เขารู้สึกร้อนรนเป็นครั้งแรก
    “ห้ามนอนนะ หากเจ้าหลับอีกหมื่นทิวาเจ้าถึงจะตื่นขึ้นมา หรือไม่เจ้าก็ต้องสิ้นลมแน่ ลืมตาขึ้นมาก่อน” จิวชงหยวนตบหน้าหล่อเหลานั้นเบาๆ ก่อนจะรีบหายาที่ประคองให้ไป๋เสวี่ยไม่ให้หลับ แต่มันก็ช่วยได้แค่สามชั่วยามเท่านั้นอีกอย่างกินติดต่อกันก็ไม่ได้
    “หากข้าหลับไปฝากบอกหย่งเจิ้นด้วยว่าเขาต้องขึ้นครองบัลก์ลังก์แทนข้าให้ได้” น้ำเสียงแผ่วเบาที่ดังมาทำให้จิวชงหยวนตวัดมองอย่างดุๆ
    “ข้าไม่รับฝากเพราะฉะนั้นห้ามหลับจนกว่าข้าจะปรุงยาแก้ได้” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเริ่มลงมือทำบาดแผลให้อีกฝ่าย แม้ที่นี่จะไม่สะดวกนักแต่หากปล่อยช้าไปอาจทำให้ไป๋เสวี่ยหลับไปเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว แม้จะมียาแก้ชั่วคราวแต่ไม่รู้ว่าจะรั้งได้นานแค่ไหน
    “องค์รัชทายาทเป็นเช่นไรบ้าง” หมิงอี้ฟานเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใยซึ่งจิวชงหยวนไม่ได้แปลกใจที่หมิงอี้ฟานรู้จักก็เพราะหมิงอี้ฟานเป็นคนของแคว้นหางโจวอยู่แล้ว
    “ข้ายื้อได้แค่หกชั่วยามก่อนจะหลับไป ไป๋เสวี่ยโดนพิษผงนินทราหมื่นเทวา” จิวชงหยวนหลังจากทำแผลเสร็จหันไปมองหมิงอี้ฟานที่จัดการนักฆ่าเรียบร้อยแล้วนับว่าฝีมือหมิงอี้ฟานพัฒนาขึ้นมามาก
    “เจ้ารักษาได้หรือไม่” หมิงอี้ฟานเอ่ยถามพร้อมช่วยประครองไป๋เสวี่ยที่เรี่ยวแรงเริ่มหมดไปกับพิษยา
    “หากมีส่วนผสมของการปรุงยาครบ ข้าก็รักษาได้ทว่าสิ่งที่ขาดไปคือหัวใจกิเลนหากไม่ปรุงเองต้องไปหายาแก้ที่พรรคหมื่นพิษ” จิวชงหยวนบอกเสียงเครียด
    “หากเป็นเช่นนั้น ข้ายอมไปหาหัวใจกิเลนให้เจ้าดีกว่า”
    “ไม่ได้” ไป๋เสวี่ยที่หมดแรงกล่าวตอบมาอย่างแผ่วเบา และคำพูดนั้นทำให้เขาหันไปมองอย่างสนใจ    “ทำไม” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเครียดเพราะพิษผงนินทราหมื่นเทวานั้นนับว่าร้ายแรงเพราะมันเริ่มกัดกินเรี่ยวแรงจนหมดทำให้เหมือนเจ้าชายนิทราแต่เจ้าตัวกลับไม่ยินยอมให้ไปหาหัวใจกิเลน
    “เจ้ามีสหายไม่มากนักหากไปหายาแก้พิษให้ข้าใครจะปกป้องเจ้า  เวลานี้เจ้าอาจไม่รู้ข้าบังเอิญได้ยินข่าวมาว่าพรรคหมื่นพิษต้องการสังหารเจ้าที่ไปทำลายวรยุทธบุตรสาวคนเล็กของพรรคหมื่นพิษและไม่ใช่แค่พรรคนี้แต่พันธมิตรของพรรคหมื่นพิษหมายสังหารเจ้าทั้งนั้น
    “หากเป็นเช่นนั้นข้าจะปลอมตัวรอจนกว่าหัวใจกิเลนมาปรุงยาแก้พิษ แต่เวลานี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปพรรคที่หอกิเลนจนกว่าไป๋เสวี่ยจะหายดี” จิวชงหยวนบอกจริงจัง และมองรอบกายแล้วคงมีที่เดียวที่ปลอดภัยที่สุด
    “ใครๆ ก็รู้จักเจ้าในเวลานี้ เจ้าจะปลอมอย่างไรก็คงมีคนจำได้” หมิงอี้ฟานแย้งเสียงเบา จิวชงหยวนหันมามองเม้มปากนิดๆ อย่างตัดสินใจ เวลานี้ปัญหามีมากอย่างน้อยก็ขอยื้อชีวิตของไป๋เสวี่ยเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงหันมาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่ทำให้คนฟังทั้งสี่คนนิ่งอึ้งไป ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน
    “ข้าจะปลอมเป็นหญิง”



       :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
ถึงเวลาจากกันแล้ว

เวลาไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ขอให้ต่างคนต่างมั่นคงต่อกันนะ

มาให้กำลังใจจ้า

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
อร้าย หมอจิวจะเป็นสาวแล้ว :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เป็นชายยังลำบากเป็นแม่หญิงยิ่งไม่แย่หรือ กับสเหน่อันล้นเหลืออะ

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ท่านหมอจิวจะเป็นหญิงแล้ว 5555
สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
จะมีปัญหาเพิ่มขึ้นรึเปล่าจงหยวน แต่เป็นหญิงเนี้ย คนที่รักที่หลงอยู่แล้วจะไม่หลงใหญ่หรอ

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :-[  :-[ จะเป็นสาวแล้วววว อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว :ling1:  :ling1: :katai1:  :hao7:

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
ปลอบเป็นหญิง!
จะเป็นยังไงต่อไปล่ะทีนี้

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38
หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)

       หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วเขาก็พาไป๋เสวี่ยมาอยู่ที่หอกิเลนให้หุบเขามังกรคดในแคว้นเยี่ย และกว่าจะเดินทางมาถึงยาที่ให้ไป๋เสวี่ยประคองยื้อเวลาไม่ให้หลับก็หมดฤทธิ์ลง ตอนนี้เจ้าตัวจึงได้แต่นอนเป็นเจ้าชายนิทราเท่านั้น เขาจึงฝากอวิ้นเซียนคอยดูแลจนกว่ากลุ่มหมิงอี้ฟานจะกลับมา ส่วนตัวเขาตอนนี้น่ะหรือไม่อยากบอกเลยว่าผลการแต่งหน้าทำผมของเจียนเจียนทำให้เขาเป็นหญิงงามอยู่กลางป่าในเวลานี้ แม้จะไม่ชอบใจนักแต่เพื่อป้องกันเรื่องที่ตามมาจึงต้องทำเช่นนี้ก่อน
    จิวชงหยวนมาตั้งร้านอยู่ภายในเขตเมืองแคว้นเยี่ยซึ่งเจียนเจียนเป็นคนจัดการให้ซึ่งที่แห่งนี้อยู่ใกล้แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์มีกระท่อมหลังขนาดกลางที่ถูกสร้างขึ้นได้เร็วทันใจ ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้คบหากับคนหอกิเลนเพราะสะดวกสบายไปหลายอย่าง เขาช่วยรักษาผู้คนโดยไม่ได้คิดเงินเช่นเดิม ทว่าก็เจอพวกนักเลงหัวไม้มารังครวญเพราะไปทำให้ร้านยาร้านอื่นขายของไม่ได้ จนสุดท้ายเขาจึงยอมเก็บเงินนิดหน่อยพอเป็นพิธีเท่านั้น และครั้งนี้เขาไม่ได้รักษาทุกคนดั่งที่ผ่านมา เพราะไม่รักษาคนที่เป็นคนของพรรคมารและผู้ที่น่าสงสัย
    และข่าวอาการบาดเจ็บของไป๋เสวียเขาก็ได้ส่งนิพิราบสื่อสารไปให้หย่งเจิ้นแล้วอีกไม่นานก็คงมาตามเขามาที่แคว้นเยี่ยเช่นเดิม ตอนนี้เขามีผู้ช่วยซึ่งเป็นคนของหอกิเลนที่มีนามว่าเสี่ยวเหมาคอยช่วยเหลือและคอยจัดยาให้
    “ท่านหมอโปรดช่วยเจ้านายข้าด้วยขอรับ” น้ำเสียงร้อนรนและคุกเข่าอ้อนวอนดังอยู่หน้ากระท่อม จิวชงหยวนที่เวลานี้แต่งหญิงเต็มยศมีแค่ผ้าผืนบางปกปิดครึ่งหน้าเหลือเพียงดวงตาเพื่อป้องกันปัญหาที่ตามมา เนื่องจากแต่งเป็นชายก็มีคนมาหลงเสน่ห์มากพออยู่แล้ว
    ดวงตาเรียวปลายตามองคนที่คุกเข่าอยู่หน้ากระท่อมด้วยใบหน้าเฉยเมย มิเรียวหยิบหมากล้อมวางเล่นกับเสี่ยวเหมาอย่างไม่ได้ร้อนใจ
    “เจ้ากลับไปเถอะ ข้าไม่รักษาคนฝ่ายอธรรม” น้ำเสียงที่ดัดเหมือนผู้หญิงตอบกลับอย่างนิ่งสงบ มองคนป่วยที่โดนดาบเสียบทะลุกลางอกอย่างไม่สนใจ ประสบการณ์การช่วยงูเห่าไว้ทำให้เขาจำเป็นต้องแยกฝ่าย
    “โธ่ ท่านหมอพรรคอธรรมกับธรรมะผู้ใดเล่าเป็นผู้แบ่งแยก คุณชายข้านั้นเลือกเกิดไม่ได้ หน้าที่ต้องรับผิดชอบนั้นมีมาตั้งแต่เกิดท่านหมอโปรดเมตตาคุณชายข้าน้อยด้วย” คำอ้อนวอนที่ดูน่าสงสาร แววตาร้อนรนอีกทั้งมือหนาที่กอดร่างเจ้านายสั่นเทา
    จิวชงหยวนเบือนหน้าหนีกับภาพที่หดหู่ คำกล่าวของผู้ติดตามท่านนั้นกล่าวมาไม่ผิด คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะเลือกทำไม่ได้ เสียงหายใจที่แผ่วเบาที่เริ่มมอดดับลงเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวยิ่งทำให้จิวชงหยวนหัวใจบีบรัดแน่นขึ้น ความเป็นหมอยังมีอยู่ในตัวแต่หากช่วยเหลือ คนที่เจ็บย่อมเป็นเขาเอง เพราะคนตรงหน้าเป็นบุตรชายของพรรคโลหิตมารที่ตามล่าเขาในขณะนี้เช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ
    “เจ้าพาคุณชายกลับไปเถิด ข้าอยากพักผ่อน” บอกเพียงเท่านั้นก่อนจะลุกเดินหนีเข้าไปในบ้าน มือเรียวกำเข้าหากันแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปฏิเสธการรักษาผู้คน ใช่ว่าเขาจะไม่เจ็บปวดที่ช่วยได้แต่กลับไม่ช่วย
    “ท่านจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ต้องรักษาคุณชายข้าเดี๋ยวนี้” ผู้ติดตามที่นั่งอยู่ข้างๆ พุ่งเข้ามาหาจิวชงหยวนด้วยความเร็ว กระบี่คมเฉียบพาดอยู่ลำคอระหง เขาปลายตามองเล็กน้อยพรรคอธรรมต่อให้แสร้งพูดดีอย่างไรสุดท้ายทาสแท้ก็ออกมา
    “รักษาคุณชายซะถ้ายังไม่อยากตาย” น้ำเสียงข่มขู่พร้อมแววตาดุดันที่มองมาทำให้จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
    “หากเจ้าขยับอีกนิดเดียวคอเจ้าก็หลุดจากบ่าเช่นกัน” น้ำเสียงนิ่งๆ ของเสี่ยวเหมาดังขึ้นเบื้องหลังของคนที่ยกกระบี่พาดลำคอเขา ความเร็วที่เหนือชั้นทำให้มันเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะจะทรุดตัวคุกเข่าลงเพราะพิษแมงมุมสิบแปดเข็มทองที่ถูกทิ่งลงต้นคอด้วยความเร็ว
    “อึก!” หนึ่งในนั้นกระอักโลหิตออกมาและดิ้นทุรนทุรายจนทำให้ทุกคนเริ่มตื่นตระหนก
     “พวกข้าเป็นคนของของพรรคธารตะวัน หากอยากก่อเรื่องก็เชิญ” เสี่ยวเหมากล่าวเสียงเรียบโดยที่จิวชงหยวนได้แต่มองอย่างอึ้งๆ นี่มันหน้าด้านกว่าเสวี่ยอู่ชัดๆ แต่คำกล่าวอ้างนั้นกลับทำให้พวกนั้นร้อนรนไม่น้อย ก่อนจะรีบลากกันออกไปจากกระท่อมหลังขนาดกลางของเขาอย่างรวดเร็ว
    “เจ้ามันหน้าด้านกว่าที่ข้าคิด” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบที่ทำให้คนฟังยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน เสี่ยวเหมาคือกลุ่มเดียวกันกับเจียนเจียนซึ่งออกมาต้อนรับเขาเมื่อวันแรกที่ได้รู้จักที่หอโคมแดง
    “ข้าแค่ใช้สมองมากกว่ากำลัง อีกอย่างมันได้ผลดีเสมอ” จิวชงหยวนเหลือบตามองอย่างไม่โต้เถียงเพราะมันก็ได้ผลจริงๆ ดังที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง
    “ท่านหมอขอรับ ช่วยพ่อข้าด้วยขอรับ” เสียงเล็กๆ ของเด็กวัยแปดขวบปีพร้อมร่างเล็กๆ วิ่งมาทางหน้าบ้านจิวชงหยวนหันไปมองจึงได้รู้ว่าเป็นคนในหมู่บ้านใกล้ๆ นี้ เด็กน้อยหอบแฮ่ก จนน่าเวทนาอาจเป็นเพราะเร่งการเดินทางมา
    “พ่อเจ้าเป็นอะไรหรือเด็กน้อย” จิวชงหยวนเดินเข้ามาใกล้พร้อมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “พ่อข้าโดนงูกัดอยู่ชายป่าขอรับ ท่านหมอต้องช่วยพ่อข้าให้ได้นะขอรับ” น้ำเสียงและแววตาที่เอ่อไปด้วยหยาดน้ำตาไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนสงสัยรีบคว้าห่อผ้าก้าวออกจากบ้านตามเด็กน้อยไปทันที
    “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ไม่ต้องตามมา” จิวชงหยวนหันไปบอกเสี่ยวเหมาเพราะไม่มีคนเฝ้าบ้าน เผื่อมีใครมาหาแล้วไม่พบเจออีก ทั้งคู่เดินเข้าไปในป่าใหญ่จิวชงหยวนหยุดชะงักเมื่อรับรู้อาการผิดปกติสองเท้าหยุดชะงักมองภาพตรงหน้าด้วยความโมโห กลุ่มคนผ้าดำจับชายผู้หนึ่งผูกเชือกกับคอห้อยไว้บนกิ่งไม้ดวงตาเบิกโพลงอย่างน่าเวทนาพร้อมดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย
    “ท่านพ่อ! ปล่อยพ่อข้าเดี๋ยวนี้นะ” เด็กน้อยตะโกนก้องพร้อมหมายจะพุ่งเข้าไปหากลุ่มคนพวกนั้นเขาจึงยึดบ่าเล็กๆ เอาไว้
    พรึบ!
     และก่อนที่ร่างของชายฉกรรจ์จะสิ้นใจเขาก็ใช้มีดสั้นสะบัดออกไปตัดเชือกจนร่างนั้นล่วงหล่นลงมา  จิวชงหยวนจึงใช้ความเร็วไปรับร่างนั้นไว้ได้อย่างเฉียดฉิว
    “ไหนบอกว่าแม่นางผู้นี้ไม่มีฝีมือไง”พวกนั้นหันไปตะคอกกันเองก่อนจะหันมามองเขาด้วยแววตาหื่นกระหาย
    แค่กๆ
    พ่อของเด็กน้อยไอออกมาจนใบหน้าแดงก่ำหลังจากเพิ่งผ่านพ้นความตายมา มองผู้ช่วยเหลือแล้วยิ่งหน้าซีดเพราะหญิงสาวเพียงคนเดียวจะสู่โจรสวะพวกนี้ได้อย่างไร
    “พวกเจ้าถอยไปก่อน” จิวชงหยวนหันไปบอกสองพ่อลูกที่กอดกันกลมด้วยเสียงเรียบ ก่อนจะซัดเข็มพิษเข้ากลุ่มโจรโพกผ้าดำด้วยความเร็วจนมองไม่ทัน ทว่าหัวหน้ากลุ่มนับว่ายังมีฝีมือเพราะตีลังกาพลิ้วตัวหลบได้ทันท่วงที ส่วนลูกน้องทั้งสี่ของมันล้มลงสลบไปด้วยพิษยา
    “ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าผู้ใดจ้างเจ้ามา แต่หากยังมีชีวิตจงไสหัวไปซะ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ และเหมือนหัวหน้ากลุ่มจะลังเลไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจเผ่นหนีไปด้วยความเร็วเมื่อรู้ว่าวรยุทธต่างกัน
    “ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยชีวิตพ่อข้า และข้าขออภัยด้วยขอรับที่โป้ปดท่านเช่นนั้น” เด็กน้อยบอกด้วยแววตาเศร้าหมองดวงตาประกายความเสียใจอย่างสุดซึ้ง จิวชงหยวนยกมือลูบหัวเด็กน้อยแล้วบอกเสียงเบา
    “ข้าเข้าใจเจ้า”
    “ท่านหมอข้ากับลูกเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือก็จงบอกกล่าวได้ขอรับ” จิวชงหยวนหันไปมองสำรวจร่างของชายหนุ่มที่อายุน่าจะเท่ากับเขาซึ่งสภาพตอนนี้นับว่ายับเยินไม่น้อย
    “ข้าแค่ช่วยได้ตามที่เห็นสมควร ตัวท่านนั้นยังบาดเจ็บตามข้ากลับไปทำแผลที่บ้านก่อนเถอะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินนำกลับบ้านโดยมีสองพ่อลูกเดินตามด้วยความซาบซึ้งใจ ใบหน้าที่ปกปิดด้วยผ้าผืนบางแต่กลับมิอาจบดบังความงามนั้นไปได้ อาภรณ์สีขาวสะอาดยิ่งทำให้นางดูโดดเด่นอีกทั้งดูงดงามบริสุทธิ์เหมือนแก้วที่แสนบอบบาง
    จิวชงหยวนที่เดินนำหน้ารู้สึกขนกายลุกชันกับสายตาของพ่อเด็กน้อยที่เดินตามหลังเขามา หวังว่าไม่คิดพิเรนทร์กับเขาหรอกนะ เพียงไม่นานก็กลับมาถึงกระท่อมหลังขนาดกลางซึ่งเขาเรียกว่าบ้าน แม้ไม่ได้คิดตั้งหลักอยู่ที่แห่งนี้แต่ก็สะดวกเวลาที่หมิงอี้ฟานกลับมาพร้อมหัวใจกิเลน
    ทว่าเมื่อมาถึงที่บ้านกลับเห็นหย่งเจิ้นรออยู่ก่อนแล้วและตอนนี้กำลังมองเขาอย่างตกตะลึง จิวชงหยวนยกยิ้มบางพร้อมกล่าวทักทายเล็กน้อยเพราะไม่ได้เจอกันมานานนับปี
    “ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้”
    “หากข้ารู้ว่าเจ้าแต่งหญิงและงดงามจนหัวใจข้าสั่นไหวเช่นนี้คงกลับมาเร็วกว่านี้” คำหวานที่ทักทายไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนเก้อเขินแม้แต่น้อยนอกจากแยกเขี้ยวใส่คนที่บอกเขางดงาม หากไม่จำเป็นไยเขาจะมาแต่งหญิงให้วุ่นวาย
    “เจ้าคงอยากจะอายุสั้นกระมัง”
    “หากข้าได้กล่าวความจริง แม้ต้องตายด้วยน้ำมือเจ้าข้าก็ยินดี” เสี่ยวเหมามองสองคนที่จีบกันแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเชิญสองพ่อลูกเข้าไปทำแผลโดยที่ตัวเองเป็นรักษาบาดแผลให้เอง ปล่อยให้สองคนนั่นจีบกันตามสบายเพราะภาพแบบนี้รู้สึกจะเห็นบ่อยจนชินตาแล้วหลังจากมาเป็นผู้ช่วยหมอจิวผู้นี้
    จิวชงหยวนเชิญหย่งเจิ้นไปที่ห้องรับแขกพร้อมรินน้ำชาต้อนรับเหมือนเจ้าบ้านที่ดี ดวงตาคมจ้องมองเขาตลอดเวลาแววตาความรักและคิดถึงที่ส่งมาทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อยเพราะต่อไปนี้เขาคงไม่อาจตอบรับความรักของใครได้อีก
    “ไม่พบกันนับปีเจ้าคงสบายดีหรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบพร้อมจิบชาขึ้นชื่อของแคว้นเยี่ยที่อวิ้นเซียนนำมาให้ไปด้วย
    “ร่างกายข้าสบายดี แต่หัวใจข้าเจ็บปวดยิ่งนัก คราแรกข้าคิดดีใจที่เจ้าคิดจะตั้งถิ่นฐานที่นี่ ทว่ายามนี้ข้ากลับมาช้าไป ใช่หรือไม่” หย่งเจิ้นเอ่ยถามด้วยแววตาสั่นไหวน้ำเสียงสั่นพร่าเพราะหวาดกลัวกำลังหวาดกลัวกับความจริงตรงหน้า เขาแพ้แล้ว แพ้ให้กับองค์ชายห้าลั่วลู่เฟยที่ยอมละทิ้งต่ำแหน่งติดตามดูแลจิวชงหยวนมาตลอดหนึ่งปีในขณะที่เขาไม่สามารถทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลังได้
    จิวชงหยวนเหลือบตามองคนตรงหน้า แม้จะบอกว่าเจ็บปวดทว่าใบหน้ากลับนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้างดงามปลดผ้าสีขาวออกแล้วเงยหน้าสบกับดวงตาคมคู่นั้นอย่างจริงจัง
    “ข้าไม่มีข้อแก้ตัว เพราะไม่ว่าเช่นไรข้าก็ได้เลือกไปแล้วและไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แต่หากเจ้ายังเหลือเยื้อใยสักนิดข้าก็จักเป็นสหายเจ้าในกาลต่อไป” หย่งเจิ้นยกยิ้มที่มุมปากคล้ายยิ้มเยอะให้กับตัวเอง ดวงตาสั่นไหวคู่นั้นมองใบหน้างดงามจับตาของจิวชงหยวนไม่วางตาแล้วตอบกลับเสียหนักแน่น
    “ข้ารู้ตัวดีอยู่แล้วว่าข้านั้นแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น เพราะความรู้สึกบอกข้าว่าเจ้ากับลู่เฟยผูกพันธ์กันมาเนิ่นนาน หากคาดเดามิผิดเจ้ากับลู่เฟยคงรู้จักกันมาก่อนใช่หรือไม่” คำพูดของหย่งเจิ้นทำให้จิวชงหยวนนิ่งคิดไป เมื่อก่อนเขาก็คิดเสมอว่ารู้จักกับลู่เฟยเมื่อตอนมาที่ภพนี้  ทว่าหลังจากคืนนั้นวันที่เขาพร้อมยกหัวใจและร่างกายให้ลู่เฟยภาพต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นและผ่านมากลับเข้ามาแทรกในความทรงจำเหมือนกับหนังเรื่องหนึ่ง และจากคำพูดแปลกๆ ของลู่เฟยทำให้พอประติดประต่อได้ว่าเขาและลู่เฟยนั้นเป็นเนื้อคู่กันมาเนิ่นนานแล้ว
    “ข้ามีนิทานเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้เจ้าฟัง” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงแผ่ว หย่งเจิ้นพยักหน้ารับช้าๆ พร้อมยอมรับฟังนิทานเรื่องนั้น
    “กาลครั้งหนึ่งเมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีเด็กน้อยผู้หนึ่งอายุเพียงเจ็ดขวบปีเป็นลูกชาวนาที่ยากไร้ พวกเขามีชีวิตโดยทำไร่นาพอประทังชีวิต ทว่าในวันหนึ่งกลับมีโรคร้ายเข้ามาในหมู่บ้านคร่าชีวิตผู้คนในหมู่บ้านจนหมดแต่กลับหลงเหลือเด็กน้อยนามว่าเฟิ่งหวงเพียงผู้เดียว เขานำเบี้ยที่มีน้อยนิดเดินรอนแรมไปจากหมู่บ้าน ทว่ากาลเวลาผ่านไปไม่กี่เดือนเบี้ยที่น้อยนิดก็หมดไป ทำให้อดมือกินมือจนกลายเป็นเด็กน้อยขอทานที่เร่ร่อน เวลาผันเปลี่ยนไปฤดูแล้วฤดูเล่าจนเด็กน้อยอายุสิบสามขวบปี แต่แล้ววันหนึ่งก็ถูกชาวบ้านทำร้ายจากการลักขโมยผลไม้เพื่อประทังชีวิตตัวเอง แม้จะบาดเจ็บเจียนตายเด็กน้อยผู้นั้นก็ไม่เคยร้องขอความปราณี”
    จิวชงหยวนเล่าไปพร้อมจิบน้ำชาไปด้วยดวงตาเรียวเหลือบมองผู้ฟังที่มีสีหน้านิ่งเฉยทว่าหัวใจกลับสั่นระรัว เขาวางจอกชาลงพร้อมเล่าต่อด้วยน้ำเสียงโทนเดิม
    “ขณะที่เฟิ่งหวงคิดว่าตัวเองกำลังจะตายนั้นกลับเหมือนมีปฏิหารย์เกิดขึ้นกับเขา เฟิ่งหวงได้พบกับเทพหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่าลู่เฟยที่มาตามล่าปีศาจในโลกมนุษย์และบังเอิญเจอกับเฟิ่งหวง เทพลู่เฟยที่ได้ช่วยเหลือเด็กน้อยนั้นไว้และได้นำกลับไปเลี้ยงดูแลพร้อมฝึกวิชายุทธให้ที่ภูเขาเทียนซาน เวลาล่วงผ่านไปนานหลายปีจนเด็กน้อยนั้นเติบโตเป็นหนุ่ม ทว่าใบหน้านั้นกลับงดงามเหมือนหญิงสาว ความผูกพันธ์และใกล้ชิดทำให้ก่อเกิดความรักต้องห้ามระหว่างเทพกับมนุษย์ขึ้นมา”
    “เวลาหลายปีเช่นนั้นทำไมเทพผู้นั้นถึงยังไม่กลับสวรรค์ไยต้องให้ความรักมาครอบงำ” คำถามนิ่งๆ ของหย่งเจิ้นทำให้จิวชงหยวนมองนิ่งๆ ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    “เวลาของโลกมนุษย์กับสวรรค์ไม่เท่ากันหรอก เวลาร้อยปีของโลกมนุษย์ก็แค่เจ็ดวันของสวรรค์เท่านั้น หากเทพสวรรค์ลู่เฟยจะหายไปเพราะทำหน้าที่กำจัดปีศาจก็มิใช่เรื่องแปลก”
    “แล้วเป็นเช่นไรต่อไปในเมื่อเป็นรักต้องห้าม” จิวชงหยวนมองคนถามที่กำมือตัวเองแน่นแล้วยกยิ้มบาง เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มดี
    “ความจริงก็ไม่เชิงว่ารักต้องห้าม แต่ความรักระหว่างมนุษย์กับเทพนั้นส่วนมากทำให้เทพไร้ซึ่งหัวใจเพราะคนรักได้ตายจากไป ทว่าตัวเองกลับมีอายุอสงไขยปี บนสวรรค์จึงได้สั่งห้ามเรื่องนี้ เฟิ่งหวงใช่ว่ามีความรักแล้วจะไม่เจ็บปวดเพราะเขาเป็นชายที่มิอาจมีบุตรให้คนที่รักได้”
     เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้จิวชงหยวนก็มองหย่งเจิ้นอีกครั้งเพราะอยากให้ตระหนักว่าหากต้องมีความรักระหว่างชายกับชายนั้นมิใช่เรื่องผิด แต่มิอาจมีบุตรสืบทอดสกุลได้อีกต่อไป แม้จะเป็นเทพแต่ทุกอย่างย่อมมีกฎเกณฑ์ ก่อนจะเล่าต่ออย่างช้าๆ
    “ อีกทั้งต้องคอยรับความกดดันเรื่องติฉินนินทราจากคนทั่วแคว้น เพราะช่วงเวลานั้นไม่มีใครยอมรับในเรื่องนี้ เฟิ่งหวงต้องทนรับมันทุกอย่างแต่เฟิ่งหวงก็เต็มใจที่จะรับมันเพราะความรักที่มีให้เทพลู่เฟย ทว่ากาลเวลาผันเปลี่ยนแม้ความรักที่มีให้เทพลู่เฟยมากแค่ไหน เฟิ่งหวงก็ต้องรับชะตากรรมที่ตัวเองต้องแก่เฒ่าลงโดยที่เทพลู่เฟยยังหนุ่มแน่นตลอดกาล ความเจ็บปวดที่เขาต้องแบกรับโดยมิอาจบอกให้คนรักรู้ได้ แต่เทพลู่เฟยกลับเข้าใจข้อนี้ดีเขาเปลี่ยนร่างให้แก่เฒ่าตามกาลเวลาเพื่ออยู่ร่วมกับคนรัก กาลเวลามิอาจหยุดนิ่งเมื่อในวันหนึ่งเฟิ่งหวงได้สิ้นลมโดยที่ดวงจิตหลุดไปอยู่ที่กาลเวลาอื่นโดยไม่อาจหวนกลับมาได้อีก”
     จิวชงหยวนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อยในช่วงท้าย ดวงตาเรียวมองหย่งเจิ้นที่สงบกว่าที่คิด นี่เป็นแค่นิทานแบบฉบับย่อเท่านั้น หากเล่าทุกอย่างหมดจริงๆ ต่อให้เล่าสามวันก็ยังไม่จบเพราะความรักต้องห้ามระหว่างชายกับชายนั้นมันทั้งสุขและทุกข์ อีกทั้งอุปสรรค์มากมายที่พวกเขาต้องฝ่าฟันร่วมกัน ไม่เหมือนช่วงเวลานี้ที่เปิดรับเรื่องแบบนี้กันมากขึ้นจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
    “แล้วเทพลู่เฟยเป็นเช่นไรหลังจากนั้น” คำถามที่เรียบนิ่ง แววตาคมที่มองมาทำให้เขายกยิ้มบาง
    “ความรักอยู่ในใจเขาตลอดมา แต่ความคิดถึงที่มิอาจได้เคียงคู่ทำให้เทพองค์นั้นปิดกลั้นความรู้สึกตัวเองกลายเป็นคนไร้หัวใจในที่สุด เทพลู่เฟยกลับไปทำหน้าที่ของเทพสวรรค์โดยมีตำแหน่งแม่ทัพตะวันตกของสวรรค์จวบจนทุกวันนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่สวรรค์ได้นำดวงจิตของเฟิ่งหวงกลับมา ความรู้สึกเขาจึงค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง”
     จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มความสุขที่ได้กลับมาพบเจอ กลับมาร่วมทุกข์ร่วมสุขอีกครั้งแม้เรื่องที่เล่ามาจะเป็นอดีตระหว่างเขากับลู่เฟยหรือไม่ มันไม่สำคัญเท่ากับแค่ปัจจุบันที่ได้รักและอยู่เคียงข้างกันก็เพียงพอแล้ว
    “ข้าเข้าใจแล้ว” หย่งเจิ้นตอบกลับเสียงเรียบมือที่กำเข้าหากันแน่นเริ่มคลายออกเหมือนจะผ่อนคลายมากขึ้น จิวชงหยวนจึงรินน้ำชาให้อีกซึ่งเจ้าตัวก็ยกขึ้นดื่มทันที
    “เรื่องของโชคชะตาเป็นสวรรค์ที่ลิขิต แข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนามิได้หรอก”
    “นั่นเจ้าปลอบใจข้าหรือไง” จิวชงหยวนยกยิ้มบางแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    “เปล่า แค่บอกไว้เพื่อเจ้าจะไม่รู้ เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะข้าปลอบใจใครไม่เป็นหรอก ว่าแต่เรื่องของไป๋เสวี่ยเหตุใดถึงได้ออกจากวังหลวงมาจนถูกตามล่าเช่นนี้”
    “ข้าไม่ขอบอกได้หรือไม่” จิวชงหยวนแค่ยักไหล่รับอย่างไม่สนใจคำตอบ เรื่องในรั่วในวังไม่จำเป็นก็ไม่อยากยุ่งเช่นกัน เพราะพวกสุนัขจิ้งจอกมันเยอะไปหมดจนไม่รู้ว่าตัวไหนจะลอบกัดวันไหน
    “ตามใจเจ้าเถอะเพราะข้ารักษาไป๋เสวี่ยหายเมื่อไหร่ข้าก็ต้องเดินทางไปจัดการกับปัญหาของข้าเช่นกัน
    “หากเป็นเรื่องของพรรคโลหิตมารข้าจะจัดการให้โดยไม่ต้องถึงมือเจ้า” หย่งเจิ้นบอกอย่างจริงจัง จิวชงหยวนพนักหน้ารับเข้าใจ แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ช่วยแก้ปัญหาไปอีกอย่างก่อนจะบอกเล่าสิ่งที่ยังติดใจในเวลานี้
    “พรรคโลหิตมารนั้นข้าไม่ได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อย แต่ที่ทำให้ข้าปลอมเป็นหญิงเช่นนี้เพราะคนของพรรคหมื่นพิษและพรรคพยัคฆ์คำรน ที่หมั่นส่งนักฆ่ามาเยี่ยมเยียนข้าบ่อยจนน่าเบื่อ”
    “เจ้าทำลายวรยุทธแม่นางซือเยว่นั้นโด่งดังไปทั่วพรรคมาร เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มากๆ ข้าได้ส่งนักรบเงาคอยติดตามเจ้าระหว่างที่ข้าต้องไปจัดการธุระต่อ แต่พรุ่งนี้ข้าคงต้องขอไปเยี่ยมองค์รัชทายาทก่อนไม่ว่าเช่นไรข้าก็ไม่มีทางขึ้นครองบัลลังก์แทนแน่ๆ ความหวังนี้ฝากไว้ที่เจ้าแล้ว” หย่งเจิ้นบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกทั้งลุกขึ้นคารวะจนจิวชงหยวนนิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจ
    “อย่าคิดมากเลยอย่างไรพวกเขาก็เป็นสหายข้า หมิงอี้ฟานเดินทางไปหาหัวใจกิเลนในไม่ช้าก็คงกลับมา” หย่งเจิ้นพยักหน้ารับก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม
     บรรยากาศเงียบๆ จิวชงหยวนจึงชวนอีกฝ่ายไปเป็นเล่นหมากล้อมเพราะอยากรู้วิธีคิดในการรับมือของหย่งเจิ้นบ้าง บรรยากาศที่ศาลาริมน้ำดูสบายๆ โดยที่เสี่ยวเหมาส่งสองพ่อลูกกลับหมู่บ้านก็มานั่งสนทนาด้วยทำให้ไม่เงียบอย่างที่คิด
     ทว่าการวางหมากล้อมของหย่งเจิ้นนั้นดูฉลาดรอบคอบแต่น้อยกว่าลั่วเหยียนเจิ้งรัชทายาทแคว้นลั่วหยางมากนัก เพราะคนนั้นแม้จะรอบคอบแต่ก็ใช้คนเป็นอีกทั้งยังรู้วิธีผ่อนหนักเป็นเบาหลบเลี่ยงและโจมตีได้อย่างเฉียบขาด การวางหมากของทั้งคู่ทำให้รู้นิสัยของแต่ละคนได้อย่างดีเยี่ยม
    “ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะแพ้” หย่งเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าอึ้งๆ
    “ไม่หรอกเจ้าเป็นคนเถรตรงเกินไป ตรงต่อความคิดและวีถีตัวเองมากเกินไปจนมองข้ามบางสิ่งไป” จิวชงหยวนบอกพร้อมเริ่มวางหมากแต่ละตัวให้ดูอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายบางอย่างไปเรื่อยๆ จนไม่ได้สังเกตดวงตาคมที่มองมาพร้อมความคิดที่ผุดขึ้นในใจหย่งเจิ้นว่า
    ‘อย่าเป็นศัตรูกับจิวชงหยวนเป็นอันเด็ดขาด’


มาลงแล้วจ้า ฟางมีกิจกรรมแจกหนังสือ เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่แฟนเพจนะคะ ^^__^^
ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากจ้า จุ๊บๆ :3123: :3123:

ออฟไลน์ armize

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ุชอมมากเลย. ตามอ่านทั้งเล้าเป็ดและธัญวลัย

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
รอต่อไปขอรับ

ตามมาจากอีกเว็บ

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :ling1:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
ตอนนี้คิดถึงลู่เฟย

สงสารทั้ง2คนกับความรักในอดีต


ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
รักกันนานๆนะ คู่แข่งเยอะเหลือเกิน

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
กลายเป็นแม่หญิงแล้ว
ชอบมาค่ะ > <

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เพื่อนบอกว่าสนุกเลยมาลงชื่อติดตามค่ะ
อยากให้เคาะเว้นบรรทัดบ่อยๆหน่อยเพราะถ้าอ่านบนมือถือนี่เป็นพรืดเลย ขนาดอ่านไนคอมยังต้องเอาเคอเซอร์ลากตาม ครอบๆอ่านวาถึงไหนแล้ว ถ้ามีพื้นที่ว่างๆมากกว่าจะสบายตากว่าค่ะ
ขอบคุณค่ะ  :mew1: 

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่39 หัวใจกิเลน
ตอนที่13 เล่ม 2 (P.12วันที่ 6/10/58)

         จิวชงหยวนได้พาหย่งเจิ้นมายังหุบเขามังกรขดซึ่งเป็นที่พักของหอกิเลน เพื่อมาดูอาการของไป๋เสวี่ยซึ่งตอนนี้นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงน้ำแข็งแทนที่อวิ้นเซียนไปแล้ว ใบหน้าไม่ได้ซีดเผือดเพราะไม่ได้มีพิษอย่างอื่นผสมเนื่องจากรักษาไปก่อนที่เจ้าตัวจะหลับ เขาพาหย่งเจิ้นมาแนะนำให้รู้จักกับอวิ้นเซียน ทว่าเหมือนจะทักทายรู้จักกันก็จริงแต่อวิ้นเซียนกลับไม่สนใจคนที่เขาอยากแนะนำสักนิดทำให้หย่งเจิ้นรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย เขาเองก็ได้แต่ยิ้มแหยเพราะรู้ว่าอวิ้นเซียนกำลังแกล้งหย่งเจิ้น
    
    “อาจารย์ท่านช่างงดงามยิ่ง”
    
     อวิ้นเซียนเอ่ยชมพร้อมเดินมากอดจิวชงหยวนอย่างออดอ้อนทุกครั้งเมื่อเห็นหน้า โดยไม่ได้สนใจสายตาแปลกๆ ของใครบางคนที่มองตาม รอยยิ้มอ่อนโยนและอบอุ่นของอวิ้นเซียนทำให้รู้สึกสบายใจ หากไม่ใช่คำพูดที่ชวนให้คิ้วกระตุก
    
    “ปล่อยข้าได้แล้วเดี๋ยวเจียนเจียนก็ไปนั่งร้องไห้อีกหรอก” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบพร้อมแกะมือตุ๊กแกของอีกฝ่ายออก
 
      “ใครจะร้องไห้ อย่าใส่ความข้าสิขอรับ” เจียนเจียนตอบกลับด้วยใบหน้าบึดบึ้งแต่ยังคงไว้ความนับถือ หลังจากรู้ว่าเป็นอาจารย์ของอวิ้นเซียนคำพูดจึงนอบน้อมมากขึ้น จิวชงหยวนหันไปมองแล้วอมยิ้มกับคนปากแข็ง น่าแกล้งจริงๆ
    
     “อะแฮ่ม!” หย่งเจิ้นส่งเสียงเรียกความสนใจทำให้จิวชงหยวนหันมายิ้มให้บาง
 
       “หืม เจ้าอยากกอดอาจารย์ด้วยคนหรอกหรือ” อวิ้นเซียนหันไปส่งยิ้มบางเอ่ยถามด้วยหน้าตาใสซื่อ หย่งเจิ้นที่ได้ยินคำตอบก็หน้าแดงหูแดงไปหมดจนทำให้ทุกคนอดขำไม่ได้
 
        “ท่านอย่าแกล้งประมุขหย่งเจิ้นสิขอรับ” เจียนเจียนเอ่ยปรามเสียงเรียบ ซึ่งอวิ้นเซียนเองก็ส่งยิ้มบางให้แล้วผละจากเขาไปลูบหัวเจียนเจียนอย่างรักใคร่ บรรยากาศสีชมพูวิ้งๆ ที่แผ่ออกมาทำให้เขามองอย่างเอือมๆ
    
      “เดี๋ยวข้าพาไปหาไป๋เสวี่ย ปล่อยให้สองคนนี้หวานกันต่อไปเถอะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมลากหย่งเจิ้นไปข้างในปากถ้ำซึ่งแยกออกไป
    
     “พวกเขาเหมือนจะรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าดี” หย่งเจิ้นที่เดินตามแรงลากของร่างโปร่งบางกล่าวออกมาอย่างจริงใจ
 
       “อืม”

        จิวชงหยวนตอบรับสั้นๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอวิ้นเซียนนั้นถือว่าพูดยากเหมือนกันเพราะคนเป็นอาจารย์ที่แท้จริงของอวิ้นเซียนนั้นเป็นเทพโอสถ แต่หากทำให้อวิ้นเซียนเสียใจเมื่อรับรู้ความจริงเขาก็จะปิดเป็นความลับต่อไป อีกอย่างเทพโอสถต้องการให้ผลออกมาเช่นนี้อยู่แล้ว กอปรกับระหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมาอวิ้นเซียนก็ทำให้ผูกพันธ์และคุ้นเคยเหมือนตัวเองมีลูกศิษย์จริงๆ เสียแล้ว
 
        จิวชงหยวนปล่อยมือคนที่เขาลากมาเมื่อถึงทางเข้าเดินไปกดปุ่มเปิดประตูหินอย่างคุ้นเคย แม้จะเดินห่างมาแต่อวิ้นเซียนกับเจียนเจียนก็เดินตามมาเช่นกันเพียงแต่ไม่ได้เร่งรีบเหมือนเขาเท่านั้น
    
     ครืดดด
    
      ประตูหินถูกเปิดออกพร้อมไอเย็นของน้ำแข็งแผ่ออกมาข้างนอก จิวชงหยวนเดินไปหาร่างที่นอนอยู่ใบหน้าที่หลับตาพริ้มไม่ได้ซีดไปกว่าเดิมและที่เขามาไว้ที่ห้องเย็นนี้เพื่อป้องกันให้ลมปราณของไป๋เสวี่ยยังคงใช้ได้เช่นเดิม เพราะกลัวว่าพิษนี้จะกัดกินพลังภายในไปด้วย หย่งเจิ้นเดินเข้าไปใกล้พร้อมจับชีพจรที่ยังคงที่ของอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วหันมามองพวกเขาที่ยืนห่างออกมา
    
     “เขาเหมือนหลับไปจริงๆ เจ้ารักษาเขาได้จริงใช่ไหมชงหยวน”
    
      “ข้าคิดว่าเจ้าเชื่อใจอาจารย์ข้ามากกว่าคำถามของเจ้านะหย่งเจิ้น”
 
       อวิ้นเซียนกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้ายิ้มบางๆ จิวชงหยวนมองทั้งคู่แล้วตอบกลับอย่างเข้าใจ แม้หย่งเจิ้นจะเชื่อใจว่าเขารักษาไป๋เสวี่ยหายแต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้หวาดกลัวเช่นกัน

       “เจ้าวางใจเถอะเพียงแค่ได้หัวใจกิเลนมาก็ปรุงยาได้แล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หย่งเจิ้นมองสบดวงตาเรียวด้วยความซาบซึ้งใจ
 
       “ขอบใจเจ้ามาก แผ่นดินแคว้นหางโจวเป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว”
 
        “อย่าได้คิดมาก ข้ามิได้หวังให้ใครมาติดหนี้บุญคุณข้า และไป๋เสวี่ยก็เป็นสหายข้าเจ้าโปรดวางใจเถอะ”     “ข้ามิคิดว่าพรรคหมื่นพิษจะปรุงยาพิษร้ายแรงเช่นนี้ได้ สมุนไพรที่ใช้ปรุงนั้นมีมากกว่าสามร้อยหกสิบชนิดอีกทั้งต้องใช้เวลาเคี่ยวยาสี่สิบเก้าราตรี และต้องนำมาอาบพระจันทร์อีกสิบสองราตรี”
 
        เจียนเจียนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะคนที่มีความรู้สมุนไพรพิษนิทราหมื่นเทวานั้นไม่ใช่มีมากนัก และที่เขาจำได้เพราะต้องท่องตำราหายามาแก้ให้อวิ้นเซียนแต่กลับใช้ไม่ได้ผลหากไม่เจอหมอเทวดาจิวชงหยวนทุกวันนี้เขาคงไม่ได้สมหวังในรัก แม้จะเป็นรักที่มีทั้งทุกข์และสุขก็ตาม
 
       “หากการปรุงนานขนาดนั้นและยังมากวิธีแล้ววิธีทำยารักษาต้องใช้วิธีเดียวกันหรือเปล่า” หย่งเจิ้นหันมาถามจิวชงหยวนด้วยความกังวล จิวชงหยวนเหลือบตาไปมองคนถามเล็กน้อยก่อนจะเดินไปจับชีพจรลมปราณของคนที่หลับตานิ่งดูอาการไปด้วยและตอบไปด้วย
    
    “หากเป็นคนอื่นปรุงอาจจะใช้เวลาดั่งที่กล่าวมา แต่ข้ามียาที่ยังเหลือจากหุบเขาแห่งเซียนทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเหมือนคนอื่น ขาดแค่หัวใจกิเลนที่ข้าไม่มีเท่านั้น”
    
     “หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องออกไปช่วยหมิงอี้ฟาน” หย่งเจิ้นหันมาบอกร่างโปร่งบางด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อยเพราะกิเลนใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
    
     “อาจารย์ต้องการหัวใจกิเลนหรือขอรับ”
 
        คำถามของอวิ้นเซียนทำให้จิวชงหยวนหันมามองแล้วพยักหน้ารับเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ได้บอกอวิ้นเซียนว่ายังขาดหัวใจกิเลน เพียงแค่ฝากร่างของไป๋เสวี่ยไว้เท่านั้น ดวงตาคมๆ มองมาที่เขาเหมือนดุนิดๆ พร้อมคำถามที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่คาดคิดว่าตัวเองจะสะเพร่าลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไร
    
      “อาจารย์ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นประมุขหอกิเลน และย่อมมีกิเลนอยู่ในหอกิเลนเช่นกันขอรับ” คำถามที่เป็นความหวังของทุกคน ดวงตาทั้งสองคู่มองอวิ้นเซียนด้วยความตื่นเต้น
    
     “อวิ้นเซียนศิษย์รัก เจ้าน่าจะบอกข้าเร็วกว่านี้นะ” จิวชงหยวนบอกเหมือนตำหนิทว่าใบหน้ากลับยิ้มระรื่นอย่างยินดี
    
      “อาจารย์มิได้บอกข้านี่ขอรับว่าต้องการหัวใจกิเลน บอกแค่ว่าให้หมิงอี้ฟานไปหาของสำคัญ”

         จิวชงหยวนอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเป็นจริงดังที่กล่าวมา อีกอย่างเพราะยังไม่มีใครแก้ยาพิษชนิดนี้ได้จึงไม่รู้ว่าต้องใช้สิ่งใดบ้าง แม้แต่ตำหนักหมื่นพิษที่ปรุงยาชนิดนี้ขึ้นเองก็ยังไม่มียาแก้ ตามข่าวที่แน่ชัดของอวิ้นเซียน สรุปว่าเขาเสียเวลาและเสียความรู้สึกไปกับการแต่งหญิงมาตลอดสามวัน แค่คิดก็อยากเอาหัวโขลกกับกำแพงให้กับความโง่เขลาของตัวเอง ยิ่งร้อนใจเป็นห่วงยิ่งทำให้ความรอบคอบลดลงไป
    
     หลังจากอวิ้นเซียนนำหัวใจกิเลนมาให้จิวชงหยวนก็เริ่มลงมือปรุงยาทันที โดยมีอวิ้นเซียนและเจียนเจียนที่มีความรู้เรื่องการปรุงยามาเป็นผู้ช่วย เขาเลยถือโอกาสสอนปรุงยาแก้พิษนิทราหมื่นเทวาให้ไปด้วย เขาใช้เวลาในการปรุงยาแก้พิษนานกว่าสามชั่วยาม
    
     ดวงตาเรียวมองเม็ดยาสีแดงใสแจ๋วอย่างพึงพอใจ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงไปรวมตัวห้องที่ไป๋เสวี่ยพักอีกครั้ง จิวชงหยวนให้หย่งเจิ้นประคองร่างที่หลับไหลมานั่งพิงบนอกแกร่งของตัวเอง จากนั้นเขาจึงป้อนยาพร้อมใช้ลมปราณช่วยให้กลืนยาลง ทุกสายตามองตามด้วยความตื่นเต้นว่าจะใช้ได้ผลหรือไม่
    
     เพียงไม่นานร่างที่เคยหลับใหลก็ลืมตาขึ้นมามอง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แม้จะมั่นใจและเชื่อมั่น ทว่าเมื่อได้มาเห็นด้วยตาเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนนับถือจิวชงหยวนมากขึ้น
    
     “มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้บ้าง” เจียนเจียนเอ่ยถามด้วยความทึ่ง ไม่ว่าจะรักษาอวิ้นเซียนหรือรักษาองค์รัชทายาทล้วนทำให้ประหลาดใจและยิ่งเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากขึ้นกว่าเดิม
    
     “หากไม่มีหัวใจกิเลนของพวกเจ้า ข้าก็ทำไม่ได้หรอก” จิวชงหยวนหันมาตอบเจียนเจียนและกลับมามองสำรวจร่างของไป๋เสวี่ยอีกครั้ง
    
    “ข้าเป็นหนี้ชัวิตเจ้าแล้ว”
    
      ไป๋เสวี่ยลุกขึ้นนั่งเองพร้อมพูดกับจิวชงหยวนด้วยความซาบซึ่งใจ ร่างโปร่งบางทำให้รู้สึกตกหลุมรักอีกครั้ง แต่รู้ดีว่าคนตรงหน้าอยู่สูงเกินจะเอื้อมถึง แม้ตนจะเป็นรัชทายาทก็ยังให้ความรู้สึกไม่คู่ควร ไหนจะมีน้องชายต่างมารดาที่หลงรักจิวชงหยวนที่เขาไม่อาจหักห้ามน้ำใจได้ หากไม่อยากเจ็บปวดคือต้องตัดใจ
    
      “ตอนนี้ไป๋เสวี่ยหายดีแล้วอาจารย์จะทำเช่นไรต่อไปขอรับ” อวิ้นเซียนเอ่ยถามเสียงเรียบดวงตาคมมองมานิ่งๆ
 
        “ข้าคงอยู่แคว้นเยี่ยสักพักเพื่อรออี้ฟานกับพรรคพวกกลับมา” จิวชงหยวนบอกความตั้งใจของตัวเอง
 
        “หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่อาจอยู่รอขอบคุณหมิงอี้ฟานได้เพราะราชสำนักในวังหลวงเริ่มกำจัดองค์ชายคนอื่นๆ บ้างแล้ว” จิวชงหยวนหันไปมองไป๋เสวี่ยที่มีสีหน้าเคร่งเครียด หย่งเจิ้นเองก็มิต่างกัน
 
        “แล้วไป๋หู่ยังสบายดีอยู่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยความห่วงใยอย่างน้อยก็คนเคยรู้จักกันมาก่อน
 
        “ไป๋หู่ยังสบายดี ตอนนี้กำลังฝึกซ้อมกำลังลับภายในพรรคเทพจันทรา” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และคิดว่าองค์ชายคนอื่นๆ คงไม่มีใครอยู่ในวังหลวงแล้ว และหากยังอยู่ก็คงไม่พ้นการจับกุม
 
         “หากเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบกลับไปเถิดเพราะหากชักช้าเสด็จพ่อของเจ้าอาจจะไม่รอด” จิวชงหยวนบอกอย่างเป็นห่วง อวิ้นเซียนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้ทางยุทธภพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักแต่ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจเกี่ยวกับข่าวทางในวังหลวงเลย
    
      “แล้วเจ้าล่ะ จะอยู่อย่างไร” หย่งเจิ้นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง จิวชงหยวนส่งยิ้มบางไปให้แล้วบอกเสียงเรียบ
 
         “ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้ายังคงแต่งแบบนี้ไปสักพัก” หย่งเจิ้นมองคนบอกไม่ให้ห่วงแล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ นี่เจ้าตัวไม่รู้บ้างหรืออย่างไรว่ายิ่งแต่งหญิงเช่นนี้ยิ่งทำให้เป็นห่วง ใบหน้างดงามสะดุดตากับรอยยิ้มบางที่ชวนให้ลุ่มหลงเช่นนี้ยิ่งทำให้ก่อเกิดศัตรูมากขึ้นเสียอีก หวังว่าภายภาคหน้าคงไม่เกิดศึกชิงนางขึ้นอีกหรอกนะ
    
    “เจ้าได้ดูคันฉ่องตัวเองบ้างหรือไม่” จิวชงหยวนหันไปมองไป๋เสวี่ยที่เอ่ยถามพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด ก็พอจะเข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงสิ่งใดกัน
 
       “ข้าดูทุกวันนั่นแหละพวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกถึงอย่างไรข้าก็มิได้อยู่ตัวคนเดียว”
    
      “หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้นข้าก็จะวางใจ แต่หากจะดี อวิ้นเซียนเจ้าสามารถอยู่คุ้มครองอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่” หย่งเจิ้นหันไปถามอวิ้นเซียนที่ยืนกอดออกมองมาที่พวกเขานิ่งๆ คิ้วคมเลิกขึ้นแล้วหันไปมองอาจารย์ตัวเองพร้อมตอบกลับเสียงเรียบ
    
      “พวกเจ้าจะห่วงใยอาจารย์ข้าก็ดีใจ แต่พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์ไม่ใช่หญิงอ่อนแอไร้กำลังสักหน่อย” น้ำเสียงเรียบๆ และใบหน้านิ่งๆ จริงจังของลูกศิษย์กำมะลอทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปไม่น้อย ไม่คิดว่าจะเชื่อมั่นอาจารย์มากขนาดนี้ แต่จะให้เขาบอกได้เช่นไรว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ได้แต่ลอบถอนหายใจปล่อยเลยตามเลย อะไรจะเกิดค่อยไปแก้กันอีกที
    
     “เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย และขอบคุณสำหรับที่พักของรัชทายาท” หย่งเจิ้นกล่าวบอกจิวชงหยวนก่อนจะหันไปขอบคุณอวิ้นเซียนที่พยักหน้ารับเบาๆ
 
        หลังจากตกลงกันได้แล้วและไป๋เสวี่ยไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อนจึงได้เดินทางกลับแคว้นหางโจวพร้อมกับหย่งเจิ้น ส่วนจิวชงหยวนก็กลับมากระท่อมที่พักซึ่งอวิ้นเซียนสร้างไว้ให้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีเจียนเจียนมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยเพราะอวิ้นเซียนต้องไปฝึกสอนลูกศิษย์คนอื่นๆ ในหอกิเลน
    
     “ท่านจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่พวกหมิงอี้ฟานกลับมา” จิวชงหยวนนั่งจิบชาที่ศาลารินน้ำหันมามองเจียนเจียนที่เอ่ยถามพร้อมยื่นขนมกุ้ยฮัวมาให้ทานเล่น
    
     “ข้าจะยังเดินทางรักษาผู้คนต่อไป แต่อาจจะใช้ร่างนี้ไปก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยตอบเพราะหลังจากที่เขาแต่งหญิงก็ไม่มีนักฆ่ามาลอบโจมตีอีกเลย มีแต่พวกที่อยากมาติดต่อเข้าพรรคด้วยเท่านั้นแต่ก็มิได้หักหาญน้ำใจอย่างที่กลัว
    
     “แล้วเจ้าจะปฏิเสธพวกนั้นอย่างไร”
 
        คำถามของเจียนเจียนพร้อมดวงตาเรียวที่มองไปยังกระท่อมขนาดกลางซึ่งบัดนี้มีคนมากกว่าสิบคนยืนแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอยู่จากนั้นทั้งสองกลุ่มก็เดินตรงดิ่งมาที่เขา จิวชงหยวนจึงนั่งยืดตัวตรงเก็บเท้าไว้ร่มผ้าอย่างระวัง
    
       ทว่ากิริยาตอนนี้ของจิวชงหยวนกลับดึงดูดมากขึ้นเหมือนองค์หญิงจากแคว้นไหนสักแห่งที่กิริยาท่วงท่าสง่างามและชวนให้น่าเกรงขาม
 
         “ข้าน้อยเหินหยาง ขออภัยท่านหมอที่พวกข้ามารบกวน ท่านประมุขศิลาแดงได้เชิญท่านไปร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยขอรับ” หนุ่มหน้ามนเดินเข้ามาทักทายพร้อมแนะนำตัว อีกกลุ่มหนึ่งก็ไม่ยอมน้อยหน้ากัน
 
         “ข้าน้อยฉือหรง ขออภัยที่มารบกวนท่านหมอ ข้าน้อยมาจากพรรคค้ำฟ้าอยากเรียนเชิญท่านไปร่วมดื่มชาและสนทนาด้วยขอรับ”
 
        จิวชงหยวนมองคนทั้งสองกลุ่มแล้วส่งยิ้มบางภายใต้ผ้าสีขาวผืนบางที่ปกปิดครึ่งหน้าแล้วกล่าวเสียงนุ่มหวานที่ดัดลงเล็กน้อย
 
      “ข้าต้องขอบคุณพวกท่านที่ให้เกียรติข้าไปร่วมดื่มชาสนทนาด้วย แต่เวลานี้ข้ามิสะดวกที่จะไปด้วยเนื่องจากเจ้าหอโคมแดงไม่สบายและยังโดนพิษที่ไม่ทราบที่มาจึงต้องรอดูอาการรักษาไปก่อน”
 
         น้ำเสียงหวานล้ำที่เอ่ยมาทำให้เจียนเจียนถึงกับสำลักน้ำชาก่อนจะแสร้งไอคอกแค่ก ทว่าดวงตาตวัดมองอาจารย์ที่เคารพรักของอวิ้นเซียนอย่างคาดโทษที่ไม่ยอมบอกอะไรล่วงหน้า
    
     “โอ้เป็นเช่นนี้เอง มิทราบว่าอาการท่านเจ้าของหอเป็นเช่นไรบ้างขอรับ” ฉือหรงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงแววตาที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนรู้สึกไม่ชอบมาพากล นี่เจียนเจียนคงไม่แอบไปมีกิ๊กหรอกนะ
    
     “อาการข้ายังมิหายดี ข้าไปเจอคนพรรคหมื่นพิษมาใช้บริการที่หอโคมแดงและเกิดโต้วาทีกันขึ้น มิคิดว่าคนพรรคหมื่นพิษจะร้ายกาจทำร้ายข้าที่อ่อนแอเช่นนี้ได้” จิวชงหยวนเหลือบตามองเจียนเจียนที่แสร้งยกมือคล้ายยกเช็ดน้ำตาอย่างเสียใจ ใบหน้างดงามเศร้าหมองไปด้วยยิ่งทำให้คนมองรู้สึกเห็นใจมากขึ้น
    
     ร้ายกาจ! นั่นคือนิยามเดียวที่จิวชงหยวนมอบให้เจียนเจียนในเวลานี้
 
         “หากเป็นเช่นนั้น หลังจากที่รักษาท่านเจ้าหอได้แล้ว ท่านจะให้เกียรติพวกข้าได้หรือไม่” จิวชงหยวนส่งยิ้มบางให้เหินหยางแล้วบอกเสียงแผ่วเบา
 
        “พวกท่านอยู่ฝ่ายธรรมะ ที่มีจิตใจคุณธรรมข้าย่อมให้เกียรติท่านอยู่แล้ว” คำตอบของจิวชงหยวนทำให้พวกเขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะขอตัวกลับไปเพื่อรอให้หมอเทวดาผู้งดงามไปร่วมสนทนาน้ำชาด้วย
    
     “ท่านช่างร้ายกาจ!” หลังจากที่พวกเขากลับกันหมดแล้วเจียนเจียนจึงหันไปต่อว่าจิวชงหยวนเสียงเครียด ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
    
     “มิกล้า มิกล้า ไฉนเลยข้าจะร้ายกาจเช่นท่านเจ้าหอโคมแดงได้เล่า” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างหยอกเย้าและทำให้เจียนเจียนสะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆ จนอดขำออกมามิได้
    
      วันนี้ทุกอย่างเหมือนจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หากไม่เห็นหมิงอี้ฟานกลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอม จิวชงหยวนลุกขึ้นเข้าไปประคองร่างสูงที่เดินโงนเงนกลับมาและอีกสองคนก็มีสภาพมิต่างกัน ทว่ารอยแผลตามตัวเหมือนกับพวกนี้ไปฟัดกับสุนัขที่ไหนมา

         หลังจากที่ทั้งสามคนกลับมาอย่างปลอดภัยแม้เสื้อผ้าจะขาดรุ่ยไปบ้างก็ตามและยังมีรอยไหม้ตามตัวเป็นหย่อมๆ จึงทำให้พอเข้าใจว่าพวกเขาไปฟัดกับกิเลนไฟกันมา กิเลนที่เขารู้จักมีสองชนิดคือกิเลนไฟและกิเลนน้ำ ซึ่งยาที่เขาใช้ปรุงนั้นใช้ได้ทั้งสองอย่าง จิวชงหยวนกับเจียนเจียนช่วยทำแผลให้ทั้งสามคนจนมีสภาพเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
 
        “ข้าไม่อยู่สามวันมานี้มีคนมาจีบเจ้าหรือไม่” คำถามแรกของหมิงอี้ฟานทำให้จิวชงหยวนคิ้วขมวดขึ้น ก่อนจะเอ่ยตอบกลับเสียงเรียบ
    
      “เจ้าต้องถามข้าสบายดีอยู่หรือไม่”
    
     “ก็ข้าเห็นเจ้าสบายดี เพียงแต่ความงามของเจ้าในเวลานี้ข้ากลัวว่าหัวบันไดบ้านจะไม่แห้งเสียแล้ว” คำกล่าวของหมิงอี้ฟานทำให้เจียนเจียนกับเสี่ยวเหมาหัวเราะคิกๆ อย่างชอบใจ
    
      “.....”
    
     จิวชงหยวนปิดปากเงียบอย่างจนใจเพราะที่หมิงอี้ฟานกล่าวมาก็มีส่วนถูกไม่น้อย จึงได้แต่เทเหล้าลงแผลอย่างไม่ปราณีด้วยความเจ็บใจ
    
     “ซี้ดดด เจ้าจะฆ่าข้าหรืออย่างไร” หมิงอี้ฟานร้องประท้วง
    
      จุ้ยซิงและหนานจี้กงมองตามอย่างสงสารศิษย์พี่แต่ก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ แต่ที่ทำให้พวกเขาจดจำไว้คืออย่าไปยั่วโมโหจิวชงหยวนขณะทำแผลเป็นอันขาด
 
        “ข้ามีเรื่องจะบอกพวกเจ้าอย่างหนึ่ง” จิวชงหยวนละออกจากแผลหันไปส่งยิ้มบางให้ทั้งสามคนที่หันมามองอย่างสนใจ
 
       “คือว่าไป๋เสวี่ยตอนนี้หายดีแล้วและกลับแคว้นหางโจวไปเมื่อบ่ายนี่เอง” คำพูดของจิวชงหยวนทำให้หมิงอี้ฟานและพรรคพวกถึงกับอึ้งไป นี่พวกเขาเสียเวลาไปเพราะอะไรกัน
 
        “แต่พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจหรอกนะเพราะสิ่งที่เจ้านำมาข้าจะนำมาปรุงยาไปใช้ตอนฉุกเฉิน” จิวชงหยวนยิ้มแหยให้ทั้งสามคนอย่างสำนักผิด หากเขาไม่ใจร้อนคงไม่เสียเวลาไปอย่างนี้ แต่จะบอกเสียเวลาเลยทีเดียวก็คงไม่ได้เพราะยังสามารถปรุงยาจากหัวใจกิเลนได้อีกมาก
    
     “หากเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องแต่งหญิงอีกแล้วน่ะสิ”จิวชงหยวนมองหมิงอี้ฟานแล้วเลิกคิ้วมองพร้อมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    
     “เจ้าไม่ชอบให้ข้าแต่งหญิงหรอกหรือ”
    
      คำถามของจิวชงหยวนทำให้หมิงอี้ฟานใบหูแดงก่ำอย่างเก้อเขิน จุ้ยซิงหันหน้าหลบภาพที่เห็นโดยมีหนานจี้กงลูบหัวอย่างปลอบโยน
    
      เจียนเจียนมองภาพที่มีทั้งเศร้าและสุขปนอยู่ด้วยแล้วส่ายหน้า เขามั่นใจว่าจิวชงหยวนรู้ว่าใครรู้สึกอย่างไร ทว่าความน่ารักและมีเสน่ห์ของอีกฝ่ายย่อมทำให้ยากต่อการหักห้ามใจ และตนเองโชคดีแค่ไหนที่อวิ้นเซียนมีใจให้ตน มิใช่คนงามตรงหน้าที่เขาไม่มีอะไรไปสู้ได้เลย
    
       “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหญิงหรือชายข้าก็ชอบทั้งนั้นแหละ” คำตอบของหมิงอี้ฟานเหมือนจะทำให้บรรยากาศรอบกายดูอึดอัดมากขึ้น จิวชงหยวนเองก็ยิ้มแหยไม่คิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้
    
      “พวกเจ้าคงหิวเดี๋ยวข้าไปหาอะไรให้กิน” จิวชงหยวนพูดตัดบทก่อนจะแยกไปทางห้องครัว เจียนเจียนกรอกตามองหมิงอี้ฟานซึ่งไม่รู้อะไรเลยว่ากำลังทำให้ใครอีกคนร้องไห้
    
      “ข้าเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวไปพักก่อนน่ะขอรับ”
    
      จุ้ยซิงบอกทุกคนด้วยรอยยิ้มบาง ทว่ารอยยิ้มกลับไม่ส่งถึงดวงตาคู่งามสักนิด หมิงอี้ฟานพยักหน้ารับโดยไม่ได้สังเกตสักนิดว่าเสียงคนที่เอ่ยขอสั่นสะท้านมากแค่ไหน เจียนเจียนมองภาพตรงหน้าแล้วอยากเอามือโบกหัวคนซื่อบื่อสักที ว่าควรรักผู้ใดมากกว่ากัน
    
      “ข้าขอตัวไปช่วยชงหยวนในครัวพวกเจ้าก็พักผ่อนรออาหารมื้อเย็นไปก่อนแล้วกัน”
    
       เจียนเจียนบอกกล่าวแล้วเดินตามจิวชงหยวนเข้าไปยังห้องครัว ปล่อยให้หมิงอี้ฟานคนซื่อโง่งมกับรักข้างเดียวต่อไป เพราะอย่างไรความรักก็มิอาจบังคับกันได้อยู่แล้ว หวังว่าสักวันหมิงอี้ฟานจะมองเห็นคนข้างกายบ้างนะ


    ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากจ้า ฟางลองเคาะให้แล้วนะคะ ^_^ :mew1: :mew1:

    (นึกว่าวันนี้จะลงไม่ได้แล้ว Gmail โดนบล๊อกเลยเข้าเล้าไม่ได้ ตอนแรกก็งงว่าเป็นเพราะอะไรถึงเข้าไม่ได้ ลองเข้าเมล์ไปแล้วโดนบล็อกเฉยเลย 555) ขอให้มีคววามสุขกับการอ่านจ้า :mew1:

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
สนุกมากค่ะ

รอตอนต่อไปจ้า   :pig4:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ตอนหญิงงามไปอ่านในเด็กดีแล้ว ก็เขาสวยเขางามปัญหาก็ต้องตามมายุแล้ว เอาใจช่วย ส่วนตอนนี้ก็ดีไปที่รักษาได้แล้ว รักหลายเศร้าจริงๆ แต่ก็ชอบแถมรู้ความหลังของลู่เฟยกะจงหยวนอีกด้วย สู้นะทั้งสองคน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด