พิมพ์หน้านี้ - เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: lingfang ที่ 16-08-2015 16:54:26

หัวข้อ: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 16-08-2015 16:54:26
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


***********************************************************************************************
           “จิวชงหยวน” หมอเทวดาที่สามารถกำหนดความเป็นตายได้ ชาวบ้านจึงยกย่องเลื่อมใส ชาวยุทธยิ่งปรารถนาที่จะได้ตัว เพราะมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะเจอศัสตราวุธหรือพิษร้าย ย่อมได้รับการรักษา...
         แต่หากผู้ใดเล่าคือหมอเทวดาตัวจริง ผู้คนมากมายต่างกล่าวอ้างตนว่าเป็นหมอเทวดา หรือไม่ก็แอบอ้างเป็นลูกศิษย์สายตรง...


เล่ห์รักเทวาสวรรค์
แต่งโดย : หลิ่งฟาง
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการที่ไม่มีประวัติศาตร์จริง หรืออ้างอิงประวัติศาสตร์แต่อย่างไร ชื่อเรื่อง ชื่อสถานที่ และชื่อต่างๆ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าหยิบยืมมาเป็นบางส่วนเพื่อความสนุกของเนื้อเรื่องเท่านั้น จึงใคร่โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยเจ้าค่ะ
 จึงเรียนมาเพื่อทราบ
 หลิ่งฟาง (ความหอมหวานแห่งสายลม)



       บทนำ


ณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ภายในห้องฉุกเฉินตอนนี้กำลังวุ่นวายกับการผ่าตัดเคสสำคัญซึ่งคนไข้เป็นถึงอาจารย์แพทย์คนสำคัญของคณะแพทย์ทุกคน ไม่ว่าอย่างไรการผ่าตัดในครั้งนี้ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ ทุกคนภายในห้องห้องต่างหันไปมองแพทย์หนุ่มที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดด้วยความหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี
    “วางยาสลบเสร็จแล้วครับ” ผู้ช่วยหนึ่งในนั้นรายงานแพทย์หนุ่มที่ทุกคนเชื่อใจในฝีมือ ‘วชิระ  วาโยพิพัฒน์’ เงยหน้ามองคนรายงานแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววกังวลเล็กน้อย
    “งั้นเราจะเปิดกะโหลกระบายเลือดจากเยื้อหุ้มในสมองก่อน เริ่มกันเลย” วชิระตอบกลับพร้อมรับมีดผ่าตัดมาดำเนินการต่อไปด้วยใจจดจ่อ พร้อมดึงสมาธิทุกอย่างมายังงานสำคัญตรงหน้า
    “สว่านไฟฟ้า” วชิระร้องสั่ง ก่อนจะวางมีดลงพร้อมรับสว่านไฟฟ้ามาเจาะส่วนกะโหลกสำคัญ
    วิ๊ดดดด
    “ท่อเจอะกะโหลก”
    “เอาเลือดที่คั่งออก” วชิระร้องสั่งอย่างชำนาญและลงมือกันอย่างรวดเร็วทุกวินาทีมีค่ามาก
    “ต่อไปเราจะตัดเนื้องอกออกล่ะนะ” เสียงทุ้มร้องสั่งอีกครั้ง มือขาวเรียวจับทุกอย่างรวดเร็วและชำนาญ แม้อายุยังน้อยแต่กลับมีพรสวรรค์จนทุกคนต้องยอมรับ
    “เตรียมกล้องผ่าตัด” ทุกอย่างที่ร้องสั่งถูกนำมายื่นให้และจัดวางได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาเรียวคมมองส่องกล่องดูไปยังช่องกะโหลกที่ผ่าตัด
    “สายดูดกับไบโพล่าร์เบอร์3”
    “ครับ” ผู้ช่วยตอบรับพร้อมยื่นให้อย่างรวดเร็ว
    “นั่นเห็นเนื้องอกแล้ว ขอกรรไกรไบโครด้วย” ร้องสั่งอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบจัดการทุกอย่างชำนาญและรวดเร็ว ทุกคนเฝ้ามองและคอยช่วยเหลือด้วยใบหน้าเคร่งเครียด...


   วชิระเปิดประตูเข้าไปยังห้องพักตัวเองอย่างอ่อนล้า ก่อนจะล้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งอย่างเหนื่อยอ่อนในมือมีคาปูชิโน่เย็นหนึ่งแก้ว ที่พยาบาลสาวนำมาให้แม้จะดื่มกาแฟในแก้วหมดก็ไม่อาจทำให้หายเหนื่อยหายง่วงได้ การผ่าตัดวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จดั่งที่ผ่านมา
    ผัวะ!
    “ไงเพื่อน ดังใหญ่แล้วนะเรา” ประตูถูกเปิดเข้ามาอย่างไร้มารยาท วชิระปลายตามองอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร และเจ้าตัวก็เดินเข้ามานั่งบนโต๊ะทำงานเขาอย่างไม่มีมารยาทจนเขาชินชาไปเสียแล้ว และยังไม่จบแค่นั้นเมื่อ ‘นพดล’ คว้าหมับเข้าที่กาแฟเย็นที่เขาเพิ่งกินไปมาดูดต่อหน้าตาเฉย
    “อืม หวานมันน้องกิ๊บเก๋ซื้อมาให้แน่เลย” นพดลเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มล้อเลียน
    “มีอะไร” วชิระปลายตาเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด แค่ผ่าตัดก็เหนื่อยจะตายแล้วยังมีคนมาก่อกวนอีก
    “พรุ่งนี้วันเกิดน้องฉันเลยจะชวนไปด้วย อย่าบอกนะว่าปฏิเสธ ไม่งั้นยัยนัทบ่นฉันหูชาแน่” นพดลกล่าวดักคออย่างจริงจัง ดวงตาเล็กตี๋มองเพื่อนอย่างขอร้องว่าอย่าปฏิเสธเลย ไม่อย่างนั้นตัวเขาเองจะโดนน้องสาวสุดที่รักบ่นข้ามวันข้ามคืนแน่
    “ไม่ว่าง” วชิระตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจะเป็นจะตาย
    “โถ่ เพื่อนรักหากนายไม่ไปฉันคงได้ไปรักษาหูกับยัยปลายแน่เลย เห็นแก่เพื่อนที่น่ารักอย่างฉันสักครั้งเถอะนะ” วชิระมองสบตาเพื่อนพร้อมมองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างจงใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่มีส่วนไหนที่ดูว่าน่ารักสักนิด ส่วนสูงร้อยแปดสิบห้าเซ็นที่สูงกว่าเขาตั้งสิบเซ็น เห็นแล้วอยากจะตัดขามันออกให้ดูเตี้ยกว่าเขาบ้างเหมือนกัน
    “หากนายยังจำได้ พรุ่งนี้ฉันต้องไปไหว้พ่อกับแม่ที่สุสาน” วชิระย้ำเตือนสมองน้อยๆ ของเพื่อนที่ไม่เคยจำได้ว่า วันเกิดน้องมันเป็นวันเดียวกับที่พ่อกับแม่เขาประสบอุบัติเหตุจากไปทั้งคู่เมื่อสามปีก่อน และเขามีเชื้อสายจีนจึงได้ฝังศพบิดามารดาไว้ในสุสานแห่งหนึ่งที่ชานเมืองกรุงเทพฯ
    “เออ นั่นสิ ลืมไปได้ไงวะ” นพดลตอบกลับพร้อมยกมือขยี้หัวตัวเองเบาๆ เพราะเขาลืมเสียสนิทจริงๆ
    “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่อาจารย์หมอเป็นไงบ้าง” นพดลเปลี่ยนเรื่องและเอ่ยถามถึงคนไข้ล่าสุดของวชิระที่กำลังโด่งดังในโรงพยาบาลในตอนนี้
    “พ้นขีดอันตรายแล้ว หากไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็ฟื้นแล้วล่ะ” วชิระตอบกลับพร้อมเปิดเอกสารในมือดูรายชื่อคนไข้ที่เขานัดไว้ในวันมะรืน พร้อมเขียนบางอย่างลงไปโดยไม่สนใจเพื่อนที่ยังนั่งโต๊ะค้ำหัวตัวเองอยู่
    “พรุ่งนี้นายคงหยุดอีกวัน”
    “อืม”
    “ผ่านมาสามปีแล้ว นายน่าจะใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นบ้างนะวชิระ ฉันเห็นนายอยู่แต่ตำรามาตลอดและยังเรียนจบแพทย์ตั้งแต่อายุยี่สิบ แล้วยังศึกษาการแพทย์ที่อเมริกาโดยใช้เวลาแค่สองปี ฉันถามจริงๆ ตลอดยี่สิบสามปีของนายนี่ไม่คิดจะไปจีบหญิงบ้างหรือไง” คำถามของเพื่อนสนิททำให้วชิระมองตามอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
    “นั่นมันเรื่องของฉัน ว่าแต่นายไม่มีไรแล้วออกไปได้แล้ว ฉันจะรีบเคลียร์งานเพราะพรุ่งนี้ฉันไม่ว่าง”
    “เฮ้อ นายก็เป็นแบบนี้ทุกที ไม่ให้เพื่อนๆ เป็นห่วงได้ไง” นพดลบ่นงึมงำก่อนจะยอมออกจากห้องไป เมื่อรู้ว่าอารมณ์ของเพื่อนอยู่ในระดับไหน เหนื่อยมามากขนาดนี้ทำไมไม่หยุดพักบ้างนะ
    เมื่อเพื่อนออกไปพ้นประตู วชิระจึงวางเอกสารลงแล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า มือเรียวยกขึ้นนวดศีรษะคลายอาการปวดหัวของตัวเอง พร้อมเฝ้าถามตัวเองว่า ในเมื่อเขาไม่เหลือใครแล้วเขาจะทนเหนื่อยแบบนี้ไปเพื่อใครกันนะ แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเช่นเดิม
    ‘เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้มีชีวิตอยู่กับคนที่รักต่อไป’
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ ตอนที่1 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 16-08-2015 17:03:18
บทที่ 1
เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


            วชิระวางดอกลิลลี่สีขาวลงบนหน้าหลุมศพของบิดามารดา ดอกไม้ที่พวกท่านชื่นชอบเพราะมันบ่งบอกความรักที่บริสุทธิ์ วันนี้เขาประสบความสำเร็จดั่งที่พวกท่านใฝ่ฝัน แต่กลับไม่มีโอกาสได้มองเห็นความสำเร็จของเขา น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ โดยไม่ได้มีเสียงสะอื้น ครอบครัวที่เคยอบอุ่นไม่มีอีกแล้ว...
     ทว่าน้ำตาของเขากลับถูกชโลมไปด้วยหยาดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา แต่มันก็ไม่อาจชะล้างความเจ็บปวดและเสียใจอยู่ในใจได้ แม้เขาจะเป็นคนฉลาดและดูเป็นเด็กอัจฉริยะในสายตาผู้อื่น แต่ใครจะรู้ว่าเขาต้องพยายามมากแค่ไหนเพื่อให้พ่อกับแม่ได้เห็นสิ่งที่อยากให้เขาเป็น แต่มาในวันนี้กลับสายไปเสียแล้ว
    “ป๋า ม๊า ผมทำตามฝันของป๋ากับม๊าได้แล้วนะครับ” เสียงนุ่มทุ้มบอกเสียงสั่นเล็กน้อยเสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกจนแนบเนื้อ อากาศเริ่มเย็นลงแต่เจ้าตัวกลับยังนั่งนิ่งอยู่ป้ายหลุมศพ
    “ผมสบายดีป๋ากับม๊าไม่ต้องห่วงผมนะครับ” รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาที่ออกหวานนิดๆ เพื่อให้ดวงจิตทั้งสองดวงของผู้เป็นพ่อกับแม่ได้รับรู้ว่าเขาสบายดีจริงๆ
    “ฝนตกหนักแล้ว ผมคงต้องกลับก่อน แล้วผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ” วชิระพูดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะก้มหัวทำความเคารพพ่อกับแม่อีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืน
    ซ่าๆๆ
    เปรี๊ยง!!
    เสียงฝนตกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ทำให้วชิระที่กำลังเดินออกจากสุสานหวั่นกลัวแม้แต่น้อย ท้องฟ้ามืดครึ้มจนแทบมองไม่เห็นทางออก ร่างสูงหยุดชะงักเมื่อฟ้าร้องคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธ และสายฟ้าฟาดลงมายังพสุธาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด หัวใจที่เย็นชาเริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อย ก่อนกวาดสายตามองรอบๆ สุสาน ต้นไม้บริเวณใกล้เคียงโดนฟ้าผ่าไปหลายต้น หวังว่ามันคงไม่ผ่ามากลางหัวเขาหรอกนะ
    เปรี๊ยง!!   
    แต่เหมือนความหวังของวชิระจะไม่เป็นจริง เพราะสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดลงกลางหัวของเจ้าตัวพอดี สติสัมปชัญญะดับวูบไปทันที ร่างสูงโปร่งล้มตัวจูบพื้นดินอย่างไม่ยินยอม หากใครมาพบเห็นคงจะเป็นข่าวหน้าหนึ่ง แพทย์หนุ่มอัจฉริยะดับอนาถจากสายฟ้าฟาด ทว่ามันคงเป็นไปไม่ได้เพราะร่างนั้นเริ่มเลือนหายไปคล้ายไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป...

   ณ หุบเขาแห่งเซียนซึ่งมีเหล่าเซียนอาศัยอยู่มากมาย ทว่ายามนี้บนยอดเขากลับมีร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งนอนสลบไม่ได้สติมานานกว่าเจ็ดวัน โดยมีเทพโอสถผู้หนึ่งที่ปลอมเป็นเซียนเฒ่าคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา แต่วิธีการนำตัวของมนุษย์ผู้นี้มากลับเป็นวิธีที่โหดร้ายพอสมควร ไม่คิดว่าเทพอัศนีจะดึงตัวมาด้วยวิธีนี้ แต่ก็ถือว่าเจ้าตัวได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว เทพโอสถจึงเถียงไม่ออกได้แต่นำยาชั้นดีมารักษามนุษย์ผู้เป็นโชคชะตาของแผ่นดินให้มีชีวิตรอดต่อไป 
    “อืม”
    เสียงครางเบาๆ เรียกสติให้เทพโอสถหันไปมองร่างมนุษย์นั้นด้วยความยินดี ใบหน้าของเจ้าเด็กนี่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเนื่องจากโดนสายฟ้าของเทพอัศนีไป มันไม่ได้ไหม้เกรียมอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันกลับไปลดอายุของเจ้าหนุ่มนี่เหลือเพียงวัยสิบเก้าปีเท่านั้น เทพอัศนีบอกว่ามันเป็นของแถมหลังจากที่ทำให้ตกใจ แต่ใครจะรู้ดีว่ามันเป็นพรของเทพอัศนีที่จะทำให้มนุษย์ผู้นี้มีใบหน้าเช่นนี้ตลอดอายุขัย
    วชิระลืมตาขึ้นมองเพดานที่เป็นเพียงหญ้าอย่างไม่คุ้นตา สมองคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก่อนที่จะหมดสติไป แต่ความปวดร้าวตามตัวทำให้ใบหน้าแหยเกเล็กน้อย และครุ่นคิดถามตัวเองว่า
    ‘ที่นี่ที่ไหนกัน’
    “เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เสียงที่เอ่ยถามทำให้วชิระหันขวับมามองด้วยความตกใจ ภาษาที่ไม่คุ้นเคยแต่กลับฟังเข้าใจมันคล้ายภาษาจีนแต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ดวงตาเรียวคมมองชายชราตรงหน้าอย่างแปลกใจ การแต่งกายคล้ายคนจีนโบราณในยุคราชวงค์โจว ค.ศ. 665 ใบหน้าดูอ่อนโยนมีบารมี เส้นผมสีขาวโทนและหนวดเคราที่ยาวลงมาถึงเพียงอก แววตาดูมีความเมตตาให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย
    “คุณ...” วชิระจะเอ่ยถามทว่าลำคอที่แห้งทำให้ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา และเทพโอสถเหมือนจะเข้าใจหยิบชามน้ำมาให้ดื่ม วชิระเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่เมื่อลิ้นสัมผัสถึงน้ำกลับต้องเบ้หน้าเหลือบตามองชายชราตรงหน้า สายตาที่บ่งบอกว่ากินให้หมดทำให้ต้องจำใจกลืนน้ำขมๆ ลงคอจนหมด
    “ที่นี่ที่ไหนครับ” วชิระเอ่ยถามเมื่อยื่นถ้วยคืนให้ชายชราตรงหน้า ทว่าดวงตาเรียวคมยังมองสำรวจรอบกายที่ไม่คุ้นเคย ที่นี่เหมือนกระท่อมเล็กๆ แต่กลับดูทนทานกว่าที่เห็นภายนอก
    “ที่นี่หุบเขาแห่งเซียน” คำตอบที่ได้รับทำให้วชิระทำหน้ามึนไปพักใหญ่ ก่อนจะคิดทบทวนตัวเองจำได้ล่าสุดโดนฟ้าผ่าลงมา หากเป็นเช่นนั้นเขาคงตายไปแล้ว และได้มาเกิดใหม่เป็นเซียนที่นี่ แต่ว่าเป็นเซียนทำไมมันยังปวดตามตัวอยู่
    “ผมตายแล้วใช่ไหมครับ” เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจตัวเอง แต่หากเป็นจริงก็ไม่ได้เสียใจอะไรมากมายเพราะเขาเองก็ไม่เหลือใครอยู่แล้ว เสียแต่ว่าไม่ได้ล่ำลาเพื่อนสนิทเท่านั้นเอง
    “เปล่าเจ้ายังไม่ตายและก็ยังเป็นมนุษย์มิใช่เทพเซียนเช่นพวกข้า” คำตอบที่ได้รับไม่ได้ทำให้วชิระกระจ่างแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวคมมองชายชราที่ยิ้มอ่อนโยนให้อย่างไม่เข้าใจ
    “ตามข้าออกมาสิ” เทพโอสถบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมเดินนำทางออกจากกระท่อม วชิระก็เดินตามออกมาอย่างว่าง่าย ทว่าสิ่งที่เห็นกลับทำให้อ้าปากค้างมองอย่างตื่นตะลึง ภาพขุนเขาลอยล่องอยู่บนฟากฟ้าแต่กลับไม่ได้ตกหล่นลงมานับสิบลูก แต่ละลูกมีปราสาทสวยงามและมีเหล่าเซียนเหาะเหินไปมา รอบกายมีดอกไม้นานาชนิดและยังมีผีเสื้อหลายตัวบินล่อนอวดความงามจนไม่อาจละสายตาหนีไปได้
    “ที่นี่คือหุบเขาแห่งเซียน และเจ้าเป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวที่อยู่ที่แห่งนี้” เสียงอธิบายนั้นแลดูอ่อนโยน ใบหน้ายิ้มแย้มมองภาพเบื้องหน้าบ่งบอกความสงบสุขภายในใจ
    “ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้ครับ หากว่าผมยังเป็นมนุษย์” วชิระหันกลับมาถามชายชราตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
    “เพราะเจ้าคือคนพิเศษ สิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติขณะอยู่ที่นี่คือศึกษาทุกอย่างที่ข้าจะสอนให้เจ้า เมื่อถึงเวลาสมควรเจ้าจะได้กลับไปยังโลกมนุษย์อีกครั้ง แต่ครานี้มิใช่โลกเดิมที่เจ้าจากมา” แม้จะชาญฉลาดมากแค่ไหน แต่วชิระอยากเอาหัวโขกดินให้หายมึนงงจากสิ่งที่ได้ยินสิ่งที่เห็นสักครั้ง เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี หรืออีกทีเขาอาจไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่ได้ยิน
     ‘หรือว่านี่เป็นความฝันกันนะ แต่ความฝันทำไมมันเจ็บปวดได้’
    “ต่อไปนี้เจ้ามีชื่อว่าชงหยวน แซ่ จิว ความหมายของมันคือโชคชะตาแห่งความฉลาด และเรียกข้าว่าอาจารย์” วชิระเงยหน้ามองคนที่ตั้งชื่อให้แล้วนิ่วหน้า จิวชงหยวน อย่างนั้นหรือ สองขาคุกเข่าลงก่อนจะคำนับเหมือนซีรีย์หนังจีนที่เคยดูมา
    “จิวชงหยวนคารวะท่านอาจารย์” เทพโอสถมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะเสกจอกน้ำชาให้ลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวยื่นให้ตนตามพิธี
    “ต่อไปนี้เจ้าคือลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวของเทพโอสถ แต่หากใครเอ่ยถามว่าอาจารย์เจ้าคือผู้ใดเพียงแค่บอกว่า อาจารย์เจ้าเป็นเซียนผู้หนึ่งก็พอ” จิวชงหยวนมองหน้าอาจารย์แล้วครุ่นคิดกับคำตอบ ก่อนจะตอบกลับอย่างหนักแน่น
    “ครับอาจารย์”
    “ดีมาก ข้ารู้ว่าเจ้ายังสับสนและร่างกายเจ้ายังไม่ฟื้นดี พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มสอนเจ้า วันนี้เจ้าทำตัวให้คุ้นเคยกับที่นี่ไปก่อนแล้วกัน” เทพโอสถบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเลือนหายไปปล่อยให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองตามอย่างตกใจอีกครั้ง
    หากมันเป็นความฝันนับว่าเป็นฝันที่แปลกประหลาดนัก วชิระหรือจิวชงหยวนถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาอยากจะตื่นขึ้นมาแล้วบอกตัวเองว่านี่เป็นความฝันที่ไร้สาระเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่ขัดแย้งภายในใจบอกว่านี่คือความจริงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
    ผัวะ!
    เจ็บ!
    “นั่นเจ้าตบหน้าตัวเองทำไม” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้ากลับดูงดงามคล้ายผู้หญิงไปหลายส่วน ทว่าการแต่งกายบ่งบอกว่าเป็นชาย
    “เจ้าเป็นเซียนคนใหม่หรือ แต่ว่าเจ้าทำไมยังมีกลิ่นไอของมนุษย์” ชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมมองสำรวจร่างเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทำให้จิวชงหยวนถอยหลังหนีพร้อมมองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ คนอะไรเสียมารยาทไม่รู้จักกันยังมามองด้วยสายตาแบบนั้นอีก
    “อ่ะ โทษที ข้ามิเคยเห็นเซียนที่มีกลิ่นไอมนุษย์มาก่อน”
    “นายเป็นใคร” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงแข็ง ทว่ากลับทำให้คนฟังเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ เพราะการพูดที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
    “ข้าลู่เฟย ว่าแต่เจ้าพูดจาแปลกๆ แต่ช่างเถอะเทพโอสถอยู่หรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยถามแล้วทะยานเข้าไปในกระท่อมอย่างไม่ใส่ใจรอคำตอบ ทำให้จิวชงหยวนถึงกลับคิ้วกระตุก ปกติเขาเป็นคนใจเย็นแต่เซียนหนุ่มตรงหน้านี่มันกวนโมโหชะมัด
    “จิวชงหยวนมานี่สิ ข้าจะแนะนำคนที่จะมาสอนวิชาให้เจ้าอีกคน” เสียงของอาจารย์ที่ตะโกนเรียกทำให้จิวชงหยวนเดินกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง และเห็นเซียนผู้นั้นมีสีหน้ายิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้
    “นี่ลู่เฟยเขาเป็นแม่ทัพสวรรค์ ข้าวานให้มาสอนวิชาการต่อสู้ให้เจ้า” คำตอบของอาจารย์ทำให้จิวชงหยวนติดสตั้นไปสามวิ หันขวับสำรวจร่างของว่าที่อาจารย์อย่างเสียมารยาท มองตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าก็ยังไม่เห็นว่าจะมีส่วนไหนสมกับที่จะเป็นอาจารย์ แต่ว่าเมื่อครู่อาจารย์บอกว่าคนตรงหน้านี่นะเป็นแม่ทัพสวรรค์ ว่าแต่องค์เง๊กเซียนฮ่องเต้ใช้อะไรตัดสินกัน
    “ฮ่าๆๆ ชงหยวน เจ้าอย่าได้ดูถูกฝีมือลู่เฟยกันเชียว หากเจ้าได้ฝึกกับเขาอย่ามาร้องโอดโอยขอยาข้าล่ะ” เทพโอสถกล่าวหยอกล้อลูกศิษย์ที่แสดงออกมาทางสีหน้าจนน่าขบขัน ทว่าคนที่โดนดูถูกกลับยิ้มร่าเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
    จิวชงหยวนยิ้มแหยกับคำกล่าวของอาจารย์ แต่เห็นใบหน้าร่าเริงของแม่ทัพสวรรค์ก็ทำให้อดหมั่นไส้ไม่ได้
    “อ้อ นี่ป้ายหยกตัวตนของเจ้า” จิวชงหยวนรับป้ายหยกสีขาวออกเขียวนิดๆ ลวดลายหงส์มังกรมาดูและยังมีชื่อของเขาติดอยู่ที่ป้ายด้วย ‘จิวชงหยวน’
    “ขอบคุณครับอาจารย์” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมนำป้ายหยกมาห้อยไปไว้ข้างเอว และนั่นทำให้เขาเพิ่งสังเกตตัวเองว่าชุดที่ใส่ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตแต่กลับเป็นชุดสีขาวขลิบเงินดูสง่างามไม่น้อย แต่แล้วกลับเบิกตากว้างเมื่อแม่ทัพสวรรค์เสกกระจกบานใหญ่ขึ้นมาตรงหน้าอย่างไม่เอ่ยถามความเห็น นั่นใคร!
    ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์คล้ายกลับไปเป็นหนุ่มวัยรุ่นตอนสิบแปดสิบเก้าปีอีกครั้ง และมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบเอามากๆ เพราะหน้าตามันออกหวานไปทางผู้หญิงมากกว่า พอโตขึ้นมายี่สิบสามใบหน้าเขาถึงดูคมคายขึ้นมาหน่อย แล้วนี่ใครคิดอุตริแปลงโฉมหน้าเขาไป ในตอนที่เขาไม่ชอบแบบนี้เลย และนี่ส่วนสูงหายไปราวห้าเซ็นมันหมายความว่าอย่างไร!
    “เจ้าโดนฟ้าผ่าแรงไปหน่อยหน้าเจ้าเลยดูเด็กลง และส่วนสูงเจ้าก็ลดลงมานิดหน่อยเอง” เทพโอสถกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนจะฆ่าคนของลูกศิษย์
    คำกล่าวของอาจารย์ทำให้จิวชงหยวนหันกลับมามองอย่างแปลกใจ นี่เขาโดนฟ้าผ่าจนอายุลดเลยหรือไง หากเป็นคนอื่นคงปลื้มปิติยืนรอให้ฟ้าผ่าเพื่ออยากลดอายุตัวเอง แต่มันไม่ใช่เขา มันต้องมีอะไรมากกว่าที่อาจารย์บอกแน่ ดวงตาเรียวคมหรี่ตามมองอาจารย์ที่ยืนลูบหนวดเครามองลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้ม
    “อาจารย์ยังบอกผมไม่หมดใช่ไหมครับ” คำถามคล้ายข่มขู่ของจิวชงหยวน ทำให้ลู่เฟยหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างชอบใจ ทว่าสีหน้าอาจารย์กลับซีดลงเล็กน้อย
    “เจ้าแค่ต้องใช้ใบหน้านี้ไปตลอดอายุขัยของเจ้าเท่านั้นเอง” คำตอบที่ได้รับหนักกว่าโดนฟ้าผ่าลงกลางหัวเสียอีก ก่อนจะกัดฟันเอ่ยถามอีกครั้ง
    “อายุขัยผมเหลืออีกเท่าไรครับ” คำถามของลูกศิษย์ทำให้เทพโอสถยกนิ้วคำนวณฟ้าดินชั่วครู่ หากเป็นคนอื่นอาจผิดกฎสวรรค์แต่นี่เป็นคนพิเศษจึงไม่เป็นไร นิ้วเรียวที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาชูขึ้นห้านิ้ว ทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับ
    “ห้าสิบปีสินะ เฮ้อเวรกรรม”
    “เปล่า ห้าร้อยปีต่างหาก” คำตอบที่ได้ทำให้จิวชงหยวนมองอาจารย์ตาโตอีกครั้ง วันนี้ยังมีอะไรให้เขาตกใจอีกไหมจะได้ทำใจไปเสียทีเดียว
    “อาจารย์ผมเป็นมนุษย์นะครับ ไม่ใช่เซียนจะมีอายุได้มากมายเพียงนั้น” จิวชงหยวนเถียงกลับอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างแม่ทัพสวรรค์อย่างเพลียหัวใจ
    “ก็ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าเป็นคนพิเศษ”
    แม้คำตอบจะไม่ได้กระจ่างอย่างที่ใจต้องการ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริง เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่มันคงเป็นภารกิจอะไรสักอย่างที่สวรรค์อยากให้เขาทำ แต่ในใจลึกๆ ได้แต่หวังว่านี่เป็นความฝันเท่านั้น ตื่นมาพรุ่งนี้คงได้กลับไปยังโรงพยาบาลอีกครั้ง และได้รักษาคนไข้อีกครั้ง...


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ ตอนที่2 การฝึกฝนที่เลือดตาแทบกระเด็น
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 16-08-2015 17:09:35
บทที่ 2
การฝึกฝนที่เลือดตาแทบกระเด็น


เช้าวันรุ่งขึ้น จิวชงหยวนคิดว่าจะได้ตื่นขึ้นมาที่ห้องของตัวเอง ภายในคอนโดหรูของชั้นที่สามสิบเก้าดั่งเช่นเคย แต่ที่ไหนได้กลับเป็นกระท่อมหลังเดิมเมื่อวานนี้ไม่มีผิดเพี้ยน วันนี้จิวชงหยวนถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้าและฝึกฝนการคัดเลือกสมุนไพรที่มีหลายพันชนิดจนจำแทบไม่หวาดไม่ไหว อีกทั้งต้องดมกลิ่นจนเอามึนงงกันไปข้างหนึ่ง และยังโชคร้ายสูดดมหญ้าพิษเข้าไปแล้วชักงออย่างน่าอนาถเสียอีก ช่วงบ่ายถูกบังคับให้ไปฝึกยุทธกับลู่เฟย แต่เจ้านั่นกลับไม่ได้สอนอะไรนอกจากให้นั่งสมาธิ นั่งจนจะไปเฝ้าเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็ยังไม่สามารถสัมผัสลมปราณที่ลู่เฟยพูดถึงสักนิด
     วันเวลาผ่านไปถึงหนึ่งอาทิตย์ที่ต้องปฏิบัติฝึกฝนซ้ำๆ อยู่แบบนี้ ในที่สุดวันนี้เขาก็สามารถสัมผัสสิ่งแปลกปลอมภายในร่างกายคล้ายกับความร้อนที่ช่องท้อง จึงค่อยๆ บังคับมันให้ไหลไปตามจุดบังเถียนตามที่ลู่เฟยบอก แม้จะโดนบ่นว่าโง่มาหนึ่งอาทิตย์อย่างน่าเจ็บใจ วันนี้ในที่สุดเขาก็จับสัมผัสลมปราณได้ ความรู้สึกตอนนี้คล้ายเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หวังว่าวันนี้คงไม่โดนเจ้านั่นว่าโง่อีกหรอกนะ
    “ในที่สุดก็ทำได้สักทีนึกว่าจะโง่นานกว่านี้เสียอีก”
    ลู่เฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มจนทำให้คนที่นั่งสมาธิอยู่ภายในน้ำตกมองตามอย่างหงุดหงิด แทนที่จะให้ไปนั่งที่เงียบๆ แต่กลับให้มานั่งอยู่ใต้น้ำตกจะมีสมาธิอะไรได้ยินแต่เสียงน้ำตก จนทำให้สัมผัสลมปราณได้ช้าแบบนี้ แต่สิ่งที่ได้รับตามมากลับเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เขาสามารถแยกเสียงต่างๆ โดยรอบภายในสามสิบเมตรได้ และนี่คงเป็นจุดประสงค์ของคนสอน จะอภัยให้ก็แล้วกัน...
    นับตั้งแต่ฝึกลมปราณสำเร็จ จิวชงหยวนก็ถูกฝึกวรยุทธอย่างเหี้ยมโหดติดต่อกันมานานนับหนึ่งเดือน และช่วงเช้าจะถูกปลุกมาแยกสมุนไพรและเริ่มผสมยารักษาต่างๆ จนเชี่ยวชาญ แม้จะเหนื่อยจะง่วงแค่ไหนแต่กลับไม่มีเวลาพักแม้แต่น้อย จากฝึกยุทธช่วงบ่ายกลายเป็นว่าเลยเวลาไปเกือบสว่างทุกวัน สรุปได้นอนแค่ชั่วยามเดียว แค่คิดก็เหนื่อยจนแทบอยากจะตายอีกรอบ
    หนึ่งเดือนถัดมา จิวชงหยวนต้องเรียนรู้การใช้พิษจนพิษพวกนั้นเข้าซึมร่างกายจนแทบเอาชีวิตไม่รอด และยังต้องคิดค้นยาแก้พิษเอง เพราะอาจารย์บอกว่าประสบการณ์จะสอนทำให้เราประสบความสำเร็จ แต่ในความคิดของเขาอาจารย์โรคจิตเสียมากกว่าที่เห็นเขาเจ็บปวด
     ลู่เฟยเองก็อย่าได้ดูถูกเชียว เห็นหน้ายิ้มๆ ตลอดเวลากลับลงมือเด็ดขาดเหี้ยมโหดจนตอนนี้บาดแผลเต็มร่างกาย ทว่ามันก็หายไปกับยาวิเศษที่คิดค้นขึ้น เพราะไม่อยากเจ็บตัวนานจึงทำให้เขาเชี่ยวชาญยารักษาและยาแก้พิษ จนเดี๋ยวนี้ไม่มีพิษชนิดไหนทำร้ายเขาได้อีกต่อไป
    การรักษาแบบใช้สมุนไพรโบราณทำให้เขาอดคิดถึงอดีตไม่ได้ หากต้องรักษาคนป่วยอาการสาหัสและไม่มีเครื่องมือแพทย์แบบในยุคปัจจุบันเขาจะทำอย่างไรดีนะ
    แต่นี่มันเป็นข้อผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเหมือนอาจารย์จะล่วงรู้ความคิดเขา ได้พาสัตว์จำพวกลิงมาให้เขาพิสูจน์เล่นจนเหนื่อยใจจะขาด วันดีคืนดีลากมนุษย์มาแต่ไหนก็ไม่รู้มาให้รักษา ทั้งเป็นโรคหัวใจเอย โรคสมองตีบ โรคภูมิแพ้ แม้กระทั่งเนื้องอก แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จและอาจารย์ก็พาคนพวกนั้นกลับไปยังที่จากมา แต่ยังไม่ทันได้พักหายเหนื่อยก็โดนลู่เฟยลากไปฝึกวรยุทธ มันเหนื่อยจนน้ำตาแทบกระเด็น ตอนนี้วิชาตัวเบาของเขามันเร็วเลิศหรูมากพอแล้ว แต่มันกลับเป็นเพียงเด็กอนุบาลของลู่เฟยทำให้ต้องมาวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่นี่ไง
    แฮกๆๆ
    จิวชงหยวนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ เมื่อมาหยุดอยู่ใต้น้ำตกที่ห่างไกลจากที่พักถึงสิบลี้ ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่อเห็นร่างใครบางคนยืนเหยียบผิวน้ำอย่างแผ่วเบา
    “มาช้า” ลู่เฟยกล่าวกับคนที่ยืนหอบอยู่ไม่ห่างด้วยรอยยิ้มบางๆ สองมือยืนไขว่หลังเดินไปมาอยู่บนผิวน้ำ จิวชงหยวนหรี่สายตามองอาจารย์ที่เขาไม่เคยเรียกอาจารย์สักครั้ง เจ้าตัวก็ไม่ได้บ่นเสียด้วย และยังชอบใจเสียอีกที่เขาเรียกลู่เฟยคล้ายกับว่าโลกนี้ไม่มีใครเรียกชื่อตนมาก่อน
    “ใครจะไปเร็วเหมือนเจ้ากัน” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างเหนื่อยๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขาก็พยายามทำตัวให้เข้ากับคนที่นี่ และการพูดจาก็เปลี่ยนไป จากผมเป็นข้าและจากคุณเป็นเจ้าหรือท่านตามความเหมาะสม แต่คนตรงหน้าเหมาะที่จะเป็นเพื่อนเขามากกว่าอาจารย์เสียอีก
    “ข้ามาตามปกติ แต่ใครให้เจ้าคลานเหมือนเต่าล่ะ” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชูหยวนได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ เร็วขนาดนี้ยังว่าเขาช้าเหมือนเต่า ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนไม่ยิ่งกว่าหอยทากเป็นตะคริวหรือไง
    “ช่างเถอะข้าขี้เกียจเถียงเจ้าแล้ววันนี้ให้ข้าทำอะไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างตัดบท
    “เดินบนผิวน้ำให้ได้เหมือนข้า” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนกระโดดลงไปผิวน้ำอย่างรวดเร็ว แต่ผิวน้ำกระเพื่อมไหวไปมามิอาจนิ่งเฉยได้ แม้จะโคจรลมปราณไปที่เท้าเท่าไรก็มิอาจทำได้
    “เจ้าต้องใจเย็น” คำเตือนสั้นๆ พร้อมเดินเป็นตัวเอย่างทำให้จิวชงหยวนทำหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง แต่คำพูดคำจาที่กวนอารมณ์ตลอดของลู่เฟยทำให้อดคิดถึงนพดลเพื่อนสนิทไม่ได้เพราะทั้งคู่มีนิสัยที่คล้ายกัน
    จิวชงหยวนหลับตาลงทำสมาธิให้หยุดนิ่งแล้วก้าวเดินอย่างแผ่วเบาฟังเสียงรอบกาย เสียงลม เสียงใบไม้ไหว และเสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆ เขาไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาไปนานเท่าไรกับการทำสมาธิ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นลู่เฟยแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องปกติหากเป็นช่วงที่ใช้สมาธิลู่เฟยจะหายไป
    การเดินอยู่บนผิวน้ำดูเหมือนง่ายยิ่งกว่าปอกกล้ายเข้าปาก แต่การเดินบนผิวน้ำแล้วไม่ให้น้ำกระเพื่อมไหวมันยากที่คนปกติจะทำได้ จิวชงหยวนใช้เวลาไปถึงสามวันกว่าจะได้อย่างที่พอใจ แม้อาจารย์จำเป็นจะบ่นและชอบด่าเขาว่าโง่ นานๆ ไปเขากับชินชาจนคิดว่าวันไหนไม่โดนด่าคงนอนไม่หลับ
    เข้าเดือนที่แปดที่เขาอยู่บนหุบเขาแห่งเซียนตอนนี้เขาปรุงยาแปลกๆ เพิ่มขึ้นมาหลากหลายชนิด แม้แต่ยาแก้ปวดลดไข้คล้ายกับพาราของโลกปัจจุบันเขาก็ทำสำเร็จแล้ว แม้ตัวยาจะคนละอย่างแต่สรรพคุณเหมือนกัน ยาแก้โรคหัวใจ ยารักษาลมปราณให้สงบ แม้แต่ยาอายุวัฒนะเขาก็ทำสำเร็จ แต่อาจารย์บอกว่ามันเป็นอันตรายกับโลกมนุษย์หากใครรู้เข้าภัยพิบัติจะเกิด เขาจึงสร้างมันมาเพียงสามเม็ดเท่านั้นและเก็บไว้ในกล่องอย่างดี เดี๋ยวนี้ไม่ว่าสมุนไพรตัวไหนไม่มีที่เขาไม่รู้จัก แม้แต่ยาที่วิเศษไม่มีสี ไม่มีรส ไม่มีมีกลิ่น เขายังสัมผัสมันได้
     ช่วงบ่ายจิวชงหยวนก็ไปฝึกกระบี่กับลู่เฟยตามปกติ แต่วันนี้กลับมีอาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมากจนไม่คิดว่าจะมีใครสวยแบบนี้มาก่อน รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาอดทำให้เขาหน้าแดงอย่างเก้อเขินไม่ได้ แต่หากได้รู้จักแล้ว จะรู้ว่าสวยสังหารเป็นเช่นไร
    ตูมๆๆๆ
    “ช้าไป”
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    “เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือไง!”
    เสียงหวานตะโกนสั่งอย่างหงุดหงิดพร้อมเข็มพิษมากมายพุ่งเข้าหาจิวชงหยวนนับพันเล่มจนใช้ทั้งกระบี่และตีลังกาหลบก็ยังหลบไม่พ้น ดีแต่ว่าร่างกายเขามันชินชากับพิษเสียแล้ว แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบตามรอยเข็มจิ่มบ้างก็ตาม
    “ไม่ได้เรื่อง!”
    เสียงคนสวยบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด พร้อมเพิ่มจำนวนเข็มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จิวชงหยวนต้องเพิ่มความเร็วของตัวเองเพิ่มเป็นเท่าตัว
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ตอนนี้เขาทำลายเข็มพิษไปหมดแล้วแต่ต้องมายืนหอบอย่างเหนื่อยๆ และครั้งนี้ทำให้จิวชงหยวนจดจำไปจนตายว่า คนสวยมันอันตรายและไม่น่าไว้วางใจที่สุด
    “พวกท่านลืมไปหรือเปล่าว่าข้าเป็นมนุษย์” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย และคำถามของเขาก็ดึงสติของหญิงงามได้ เธอส่งยิ้มแหยมาให้ก่อนจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
    “แต่เจ้าเป็นมนุษย์สุดพิเศษ และมันก็ไม่ต่างจากพวกเซียนเท่าไร แค่มีกายหยาบเท่านั้นเอง” เสียงหวานที่ตอบโต้กลับมาทำให้จิวชงหยวนกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ
    “เกิดข้าพลาดท่าตายขึ้นมาจะทำอย่างไร อย่าบอกนะไปฉุดกระชากจากยมโลกกลับมาทำหน้าที่ตัวเองอีก”
    “เอาน่ะทำน้อยใจไปได้ ยังไงเจ้าก็ไม่ตายเพราะพิษอยู่แล้วนี่ ลู่เฟยเตรียมตัว” เยว่ฉิงเอ๋อตอบกลับพร้อมหันไปบอกสหาย ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับก่อนจะมีกระบี่นับสิบเล่มบินร่อนรอบตัว ดวงตาเรียวมองจิวชงหยวนที่อ้าปากค้างมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจและไม่ต้องให้มีใครเอ่ยเตือน เขาก็วิ่งหลบด้วยความเร็ว ทว่ากระบี่เหล่านั้นกลับวิ่งตามเขาด้วยความเร็วเหมือนมันมีชีวิต
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ตูม ตูม ตูม...
    กระบี่บินโจมตีจิวชงหยวนด้วยความเร็วรุนแรงดุเดือด กระบี่ในมือตวัดต่อต้านโจมตีกลับด้วยความเร็ว ก่อนจะร้องออกมาเมื่อเข็มพิษนับพันเล่มพุ่งเข้ามาหาอย่างไม่เอ่ยเตือน
    ว๊ากกกก!
    เปรี๊ยะๆ
    ตูม ตูม ตูม...
    อึก!
    จิวชงหยวนกระอักโลหิตออกมาคำโตแต่ไม่มีเวลามากินยาแก้ซ้ำพลังภายใน เพราะกระบี่ตรงหน้ามันไม่ปล่อยโอกาสให้ตั้งตัว จิตใจแน่วแน่รวมตัวรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ตวัดฟาดฟันทั้งกระบี่บินและเข็มพิษพร้อมระเบิดพลังลมปราณทำลายกระบี่ที่เหลือด้วยความเร็ว
    ตูม!
    จิวชงหยวนกลับมาเป็นคนอีกครั้ง ดวงตาเรียวมองภาพตรงหน้าอย่างสะใจ เพราะเทพสองคนนั่นถอยหลังไปถึงสามก้าว ตั้งสามก้าวเชียวนะ สุดยอดเลย เพราะตั้งแต่ฝึกมาไม่เคยมีครั้งไหนเลยว่าจะทำให้อาจารย์ถอยหลังได้แบบวันนี้
     “เจ้าเก่งขึ้นมาก คงถึงเวลาที่จะลงไปโลกมนุษย์แล้วล่ะ” ลู่เฟยเดินเข้ามาหาคนที่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะสลบกลางอากาศอย่างกะทันหันเพราะใช้พลังไปจนหมดเกลี้ยงเดือดร้อนให้ลู่เฟยคว้าตัวไว้ก่อนจะพาทะยานกลับไปยังกระท่อม เยว่ฉิงเอ๋อก็ติดตามมาติดๆ เช่นกัน
    “อ้าววันนี้สลบมาเลยหรือ” เทพโอสถเอ่ยถามลู่เฟยที่แบกจิวชงหยวนกลับมา
    “การทดสอบถือว่าผ่านแล้ว ท่านจะส่งตัวลงโลกมนุษย์เลยหรือไม่หลังจากฟื้นมา” เยว่ฉิงเอ๋อเอ่ยถามเทพโอสถขณะเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างกายและรับจอกน้ำชามาดื่มช้าๆ
    “แล้วเจ้าคิดว่าชงหยวนจะพลาดท่าตายง่ายๆ หรือไม่” เทพโอสถเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
    “สำหรับข้า หากคิดสังหารชงหยวนจริงๆ ต้องมีฝีมือในยุทธภพอันดับสิบลงมาไม่ต่ำกว่าสิบคน หากอันดับปรมาจารย์คงสู้ชงหยวนไม่ได้ แต่หากใช้เล่ห์เหลี่ยมชงหยวนนับว่าอ่อนหัดยิ่งนัก” คำตอบของเยว่ฉิงเอ๋อทำให้เทพโอสถพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะจิวชงหยวนมาจากภพภูมิที่แตกต่างจากที่แห่งนี้มาก ทำได้มากขนาดนี้ภายในแปดเดือนถือว่าอัจฉริยะแล้ว
    “ฉิงเอ๋อกล่าวแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว จากที่ข้ารู้จักชงหยวนมาแปดเดือนนี้เจ้าตัวยังเก็บงำความเจ้าเล่ห์ไว้มากนัก แต่ชงหยวนเห็นพวกเราเป็นเทพจึงไม่อยากต่อกรเพราะรู้ว่าสุดท้ายก็พ่ายแพ้”
     ลู่เฟยที่พาจิวชงหยวนไปนอนเอ่ยออกมาเบาๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่เป็นฉากกั้น ดวงตาเรียวมองใบหน้าสวยหวานของมนุษย์คนแรกที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงด้วยสีหน้าเรียบเฉย และมันเป็นเรื่องยากมากที่ใบหน้าเขาจะนิ่งเฉยได้ถึงเพียงนี้ เพราะปกติแม้จะดีร้ายแค่ไหนจะมีเพียงรอยยิ้ม แม้แต่สังหารใครสักคนยังมีแต่รอยยิ้มเท่านั้น
    “อืม ก็คงจริงของเจ้า ให้พักอีกสักอาทิตย์แล้วค่อยพาลงไปแล้วกัน” เทพโอสถออกความเห็นและทุกคนก็พยักหน้ายอมรับ เพราะมันถึงเวลาแล้วที่โชคชะตาจะต้องเดินต่อไป หลังจากกงล้อหยุดหมุนมานาน

    หลังจากที่จิวชงหยวนฟื้นขึ้นมาก็ได้แต่เลือกสมุนไพรจำเป็นใส่ย่ามใบใหญ่ เพื่อเตรียมตัวการเดินทางลงไปยังโลกมนุษย์และมันทำให้เขาอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เพราะโลกใบใหม่ที่ต้องลงไปใช้ชีวิตเป็นโลกยุคจีนโบราณ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชวงค์ใดเหมือนกับว่าเป็นอีกมิติหนึ่ง แม้จะเป็นโลกแฟนตาซีเขาก็คงไม่แปลกใจแล้ว หลังจากเจอเหตุการณ์ต่างๆ มานานถึงแปดเดือน
    “นี่ข้าให้เจ้า” จิวชงหยวนเงยหน้าจากสมุนไพรตากแห้งมองลู่เฟยที่ยื่นกำไลหยกลวดลายมังกรขดมาให้ คิ้วคมเข้มขมวดคิ้วมุ่นหากจำไม่ผิดพวกเครื่องประดับหยกๆ นี่ไว้มอบให้กับคู่หมั้นคู่หมายไม่ใช่หรือไง
    “ข้าไม่ใช่หญิงเอามาให้ข้าทำไม” จิวชงหยวนเอ่ยถามแล้วก้มลงหยิบคักฮก ซึ่งเป็นยาบำรุงไต โรคหัวใจ บำรุงปอดเข้าไปเก็บไว้ในย่ามอย่างไม่สนใจคนที่ยืนค้ำหัว
    “ชงหยวนนี่เป็นอาวุธเจ้าไม่อยากได้จริงๆ หรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ พร้อมเหวี่ยงกำไลหมุนบนนิ้วชี้เบาๆ จิวชงหยวนเงยหน้ามองอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อกำไลเปลี่ยนเป็นกระบี่ที่ดูคมกริบตัวด้ามเป็นลายมังกรดูงดงามเรืองแสงสีเขียวอ่อน แต่สายตายังมองคนหน้ายิ้มอย่างไม่ไว้ใจ
    “แน่ใจนะว่าไม่มาขี้ตู่ว่าเป็นของหมั้นหมาย” คำถามของคนขี้ระแวงทำให้ลู่เฟยหัวเราะออกมาเบาๆ
    “ไม่หรอกนี่เป็นกระบี่โชคชะตามันเป็นอาวุธของเจ้า แต่หน้าที่เจ้าเป็นเพียงหมอเทวดาจะเดินพกกระบี่เหมือนชาวบ้านเดี๋ยวผู้อื่นจะเข้าใจผิด เทพศาตราจึงสร้างอาวุธชิ้นนี้ให้เจ้า” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนรู้สึกโล่งอกแต่รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจของคนตรงหน้าก็ทำให้ไม่กล้าจะยื่นมือไปรับเช่นกัน
    “แต่หากเจ้าต้องการของหมั้นหมายคงเป็นจะเป็นของสิ่งนี้” ขลุ่ยหยกสีเขียวสดที่ห้อยพู่สีเดียวตัวขลุ่ยเป็นหยกแท้ประดับด้วยข้อทองฉลุลวดลายหงส์มังกรพร้อมจารึกชื่อเขาลงไปเป็นภาษาจีนโบราณดูงดงามล้ำค่า แต่กลับทำให้จิวชงหยวนขนลุกชัน
    “เจ้าบ้า ข้าเป็นผู้ชายโว้ย” เจ้าตัวโวยวายก่อนจะหันหลังเดินหนีอย่างหงุดหงิด ขนในกายลุกชันหลังจากที่ห่างหายไปนาน หลังจากเป็นอาจารย์หมอเต็มตัวเพราะความน่ายำเกรงจึงไม่มีใครกล้ามาจีบอีก
    “แหม ข้าก็รู้หรอกว่าเจ้าเป็นชาย แต่ว่าเจ้ามันน่ารักจริงๆ นี่ ฮ่าๆๆ” ลู่เฟยตอบกลับและเดินตามหลังอย่างไม่รีบร้อน
    “เจ้าใช้ตาไหนมองกันว่าข้าน่ารัก ข้าจะได้ช่วยรักษาให้หายตาฝ้าฟาง” จิวชงหยวนหันกลับมาตะคอกใส่อย่างหงุดหงิด ดวงตาเรียวคมมองคนหน้ายิ้มอย่างดุๆ
    “ยิ่งเจ้าดุยิ่งมีเสน่ห์” ลู่เฟยยังตอบโต้ด้วยรอยยิ้มที่ดูจะเป็นยิ้มที่จริงใจที่สุด แววตามองคนหน้าแดงอย่างแพรวพราว แต่ใครจะรู้ดีกว่าจิวชงหยวนที่หน้าแดงเพราะกำลังโมโห
    “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว หายบ้าเมื่อไหร่ค่อยมาคุย” จิงชงหยวนตอบกลับพร้อมกระโจนหายไปในหุบเขา หลีกหนีคนบ้าที่ทำให้โมโห ร่างสูงโปร่งเดินหาสมุนไพรสดที่หายากหลายชนิดใส่กระเป๋าย่าม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลู่เฟยเดินตามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดั่งเช่นทุกครั้ง จนเขาอยากเห็นสีหน้าที่แท้จริงของคนตรงหน้า มือเรียวขาวผ่องของลู่เฟยยื่นกำไลมาให้ นี่เป็นของแถมในภารกิจเพราะฉะนั้นเขาจะรับมันไว้ กำไลหยกสีเขียวงดงามอยู่ข้อมือซ้าย ดวงตาเรียวมองคนที่จ้องเขาไม่วางตาแล้วทำหน้าเบื่อหน่ายที่ขลุ่ยหยกยื่นมาตรงหน้า
    “ข้าเป็นผู้ชาย” ตอบกลับแล้วเดินหนี ทว่าข้อมือกับถูกยึดไว้โดยลู่เฟยยังยื่นหยกให้ด้วยรอยยิ้ม
    “ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากข้าก่อนจาก เพราะข้าเองก็ใช่ว่าจะลงไปยังโลกมนุษย์ได้ง่ายๆ และเจ้าเองใช่ว่าจะได้กลับมาที่นี่ง่ายๆ เช่นกัน” คำกล่าวที่ย่ำเตือนความจริงทำให้จิวชงหยวนยืนนิ่ง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วสะบัดมือหนีทันทีเพราะเขาทำใจยอมรับว่าเป็นของหมั้นหมายไม่ได้อยู่ดี
    “ชงหยวน” เสียงเรียกชื่อทำให้เท้าหยุดชะงักน้ำเสียงที่ดูคล้ายเสียใจทำให้จิวชงหยวนไม่คุ้นชิน ในที่สุดก็ยอมหันกลับมามองคนเรียกอย่างอ่อนใจ
    “ข้าจะรับไว้ในฐานะลูกศิษย์เท่านั้น”
    “เอาตามความสบายใจของเจ้าเถอะ แต่สำหรับข้ามันก็คือของหมั้นหมาย” คำตอบและรอยยิ้มทำให้จิวชงหยวนอยากจะชักกระบี่ผ่าตัดสมองลู่เฟยมาดูว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
    “หากข้าไม่รับเจ้าก็จะเดินตามอยู่แบบนี้ใช่ไหม” เอ่ยถามอย่างเหนื่อยใจ รอยยิ้มที่ตอบกลับมาทำให้รู้สึกหงุดหงิดเพราะไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้าก็ยิ้มตลอดเวลาจนไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
    “หากอยากให้รับจริงๆ ก็ช่วยแสดงสีหน้าที่แท้จริงให้ข้าดูก่อนสิ” น้ำเสียงต่อรองและแววตาเรียวคมที่มองมาทำให้ลู่เฟยชะงักไปนิดแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง
    “เจ้าพูดอะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจ” คำตอบที่ได้รับไม่ต่างอะไรจากที่คิด จิวชงหยวนจึงหันหลังหนีอีกครั้งเพราะเขาเองก็ไม่อยากรับของจากคนที่เสแสร้งเหมือนกัน อยู่ด้วยกันมาแปดเดือนเขายังดูไม่เคยออกว่าลู่เฟยคิดอะไร และจะทำอะไรกันแน่
    “ข้าจริงจังกับเจ้าชงหยวน ข้าไม่อาจลงไปดูแลเจ้าได้แต่ข้าก็ไม่ได้หวังสิ่งใดจากเจ้า มันคือความห่วงใยจากข้าจริงๆ” น้ำเสียงแลดูเฉื่อยชาทำให้จิวชงหยวนหันมามองอย่างแปลกใจ ทว่าใบหน้าที่ดูนิ่งเฉยและแววตาที่ดูว่างเปล่ากลับทำให้เขารู้สึกใจหาย
    “เจ้าอาจไม่รู้คนที่เป็นเทพล้วนแล้วไม่เคยมีความรู้สึก หากแต่สิ่งที่เห็นมันเป็นสิ่งที่ต้องแสดง นานมากแล้วที่ข้าไม่เคยมีความรู้สึก จนได้มาเจอกับเจ้า” น้ำเสียงเรียบเฉยใบหน้านิ่งเฉยและแววตาที่มิได้แตกต่างไปจากความว่างเปล่า แต่มันสะท้อนให้เห็นร่างของเขาในดวงตาคู่นั่น
    จิวชงหยวนรู้สึกว่าตัวเองเดินหมากผิดพลาดที่ไปบังคับให้เขาแสดงสีหน้าที่แท้จริง เพราะมันน่ากลัวมากเกินไปและร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเป็นความกลัวที่อยู่ลึกสุดหัวใจ ลู่เฟยเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แต่เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน
    “เจ้ากำลังกลัวข้า” ลู่เฟยเอ่ยเสียงที่ดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยสองแขนโอบร่างที่เล็กกว่าตนเข้ามาในอกอย่างปลอบโยนคล้ายจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องกลัวเขา
    “คนอื่นเป็นอย่างเจ้าหรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามแต่ร่างกายยังแข็งทื่อ ลู่เฟยผละออกเล็กน้อยก้มมองคนที่พยายามทำใจกล้าเงยหน้ามองตน
    “เฉพาะคนที่อยู่นานแล้ว” ริมฝีปากยิ้มนิดๆ ที่มุมปากแม้จะเป็นการเสแสร้งแต่มันทำให้จิวชงหยวนรู้สึกดีกว่าเดิม มือเรียวยาวที่ขาวกว่าเดิมมากยื่นไปรับขลุ่ยหยกอย่างยอมแพ้
    “เฮ้อ ข้านี่แย่จังที่ทำให้เจ้ากลัวข้าก่อนจากกันแบบนี้” ลู่เฟยกลับมายิ้มอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่มันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวภายในใจของจิวชงหยวนหายไป
    “เจ้าจะกลับมามีอารมณ์เหมือนคนปกติได้หรือไม่”
    “ไม่รู้สิ แต่หากได้จูบเจ้าสักครั้งข้าอาจกลับมามีอารมณ์ก็ได้นะ” คำตอบและรอยยิ้มแพรวพราวทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงด้วยความอาย ก่อนจะผลักร่างสูงกว่าตนออกอย่างลืมตัว
    “ไว้ให้ข้ารักผู้ชายก่อนแล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงโมโหนิดๆ  ก่อนจะเดินหนีไปปล่อยให้ลู่เฟยหัวเราะอยู่คนเดียว สายตาคมกริบมองตามร่างสูงโปร่งของจิวชงหยวนแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เห็นทีงานนี้คงต้องไปขอให้เฒ่าจันทราช่วยบ้างแล้วสินะ...
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 16-08-2015 17:12:14
น่าสนใจจังเลย  ช้อบชอบ    :hao7:
สรุปแล้วซงหยวนเป็นเคะเหรอ
อยากอ่านต่อจัง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: qilarsy39 ที่ 16-08-2015 17:14:35
อร๊ายยย เอามาลงนี่แล้ว  :hao6:
เข้ามารอ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 16-08-2015 18:33:07
้เนื้อเรื่องน่าสนใจดีนะคะ ว่าแต่...พระเอกนี่ใครคะ ลู่เฟยเหรอ อยากรู้จัง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 16-08-2015 22:59:48
สนุกจังเลยค่ะ  ชอบนิยายจีนด้วยช่วงนี้
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 3 ก้าวแรกในโลกใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 20-08-2015 17:37:18
บทที่ 3
 ก้าวแรกในโลกใหม่

             จิวชงหยวนรับเข็มเงินเล่มเล็กจำนวนพันเล่ม ซึ่งใส่กล่องงดงามจากอาจารย์ใส่ลงไปในย่ามใบใหญ่ที่บรรจุยารักษาโรคทุกชนิด วันนี้เขาใส่ชุดคุณชายสีขาวขลิบเงิน เส้นผมสีดำที่ยาวขึ้นเพราะฝีมือของเทพบางองค์ถูกปล่อยให้ระแผ่นหลังมีเพียงปอยหน้าที่เก็บรวบขึ้นสูงเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง หลังจากล่าช้าไปหนึ่งวัน
     เพราะลู่เฟยกลัวเขาจะไปตายก่อนจะได้ช่วยเหลือมนุษย์ จึงถ่ายทอดพลังวัตรและลมปราณใส่ไว้ในร่างจนแทบตายเพราะเจ้าตัวอัดพลังลงไปในร่างทุกซอกทุกมุมในร่างจนเขาแทบทนรับไม่ไหว ยังดีได้ยาดีที่คิดขึ้นเองมาช่วยให้ผ่านพ้นช่วงทรมานนี้ไปได้ หากเป็นคนอื่นเจ็ดวันจะฟื้นหรือยังก็ไม่รู้ และนั่นทำให้วันนี้ลู่เฟยไม่ได้ออกมาส่งเขาเพราะต้องบำเพ็ญเพียร เขาไม่รู้หรอกว่าลู่เฟยอัดพลังวัตรมาให้มากแค่ไหนถึงได้ไปบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง แต่การที่ไม่มาส่งวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้นเพราะไม่รู้จะวางตัวกับลู่เฟยอย่างไรดี
    “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมชงหยวน” ชงหยวนสำรวจข้าวของจำเป็นแล้วเงยหน้ามองอาจารย์อีกครั้ง
    “ขอรับอาจารย์ ว่าแต่หากข้าไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาที่แห่งนี้ได้อีกใช่ไหมขอรับ” จิวชงหยวนเอ่ยถามน้ำเสียงเบาหวิว มองดูรอบกายแล้วรู้สึกใจหาย เพราะต่อไปนี้เขาคงไม่มีบ้านให้อยู่อีกแล้ว
    “หากเจ้ากลับมาที่แห่งนี้หมายความว่าเจ้าบาดเจ็บหนัก แต่ที่นี่ก็เป็นบ้านของเจ้าเพียงแต่เจ้าไม่สามารถกลับมาเองได้นอกจากมีเทพเซียนพามาเท่านั้น” เทพโอสถกล่าวความจริงเพราะที่แห่งนี้ใช่ว่าจะมาได้ง่ายๆ อีกทั้งจิวชงหยวนที่ยังมีความเป็นมนุษย์คงไม่สามารถหายตัวได้ดั่งเทพเซียนแม้จะพิเศษแค่ไหนสุดท้ายก็ยังเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น
    “แต่หากเจ้าได้เป็นเซียนเมื่อไหร่เจ้าจะได้กลับมายังที่แห่งนี้เองนั่นแหละ” คำปลอบโยนของอาจารย์ทำให้จิวชงหยวนหัวเราะในลำคอเบาๆ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นเซียนเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจจะตัดกิเลสออกจากใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกได้หรือไม่
    “ข้าว่าข้าทำคุณงามความดีให้เง๊กเซียนฮ่องเต้ได้เห็น และแต่งตั้งข้าเป็นเทพจะง่ายกว่าจะให้ข้าตัดกิเลสในใจเสียอีกนะขอรับ”
    “ฮ่าๆๆ ตามใจเจ้าแล้วกัน ไปเถอะข้าจะไปส่งเจ้าแต่ระวังตัวด้วยล่ะเพราะข้าปูทางเรื่องของเจ้ามาหลายปีแล้ว” คำกล่าวของเทพโอสถทำให้จิวชงหยวนหันมามองอย่างไม่ไว้ใจ
    “หมายความว่าไงขอรับว่าปูทาง” จิวชงหยวนเอ่ยถามย้ำเพื่อความมั่นใจของตัวเอง
    “ไปถึงเจ้าก็รู้เองแหละ ไปได้แล้ว ไม่ลืมอะไรนะเพราะข้าไม่เอาไปส่งเจ้าแน่” เทพโอสถตอบรับพร้อมคว้าแขนลูกศิษย์คนโปรดแล้วหายตัวมายังโลกมนุษย์
    จิวชงหยวนรู้สึกเซวูบเมื่อเท้าเหยียบโดนพื้นดินอีกครั้ง ความรู้สึกมันยิ่งกว่าขึ้นรถไฟเหาะเสียอีก ตอนนี้รู้สึกอยากจะอาเจียนเอาอาหารเช้าออกมาให้หมดจริงๆ
    “เจ้าไม่เป็นไรนะ ข้าลืมไปว่าเจ้าไม่เคยหายตัวมาก่อน เดี๋ยวนานๆ ไปก็ชินเอง” คำกล่าวของอาจารย์ทำให้จิวชงหยวนหันมามองอีกครั้ง
    “คงไม่หรอกขอรับเพราะที่นี่คงไม่มีใครหายตัวได้ นอกจากเทพเซียนที่จะปลอมตัวลงมาเท่านั้น”
    “มันก็จริงของเจ้า ข้าส่งเจ้าได้แค่นี้เดินไปอีกสองลี้ก็จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หวังว่าเจ้าจะเอาตัวรอดเองได้นะ ข้าไปล่ะ”
    “ขอรับ” จิวชงหยวนตอบรับมองอาจารย์ที่หายตัวต่อไปต่อหน้าต่อตา แต่เขากลับเห็นจนชินตาแล้ว ดวงตาเรียวคมมองรอบกายที่เป็นป่าเขาแล้วถอนหายใจอย่างเซ็งๆ จะมาส่งทั้งทีส่งไปที่ตัวเมืองเลยไม่ได้หรือไง แต่ว่าเขารู้สึกลืมอะไรสักอย่าง ช่างเถอะ นึกได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน จิวชงหยวนครุ่นคิดกับตัวเองก่อนจะก้าวเดินไปยังหมู่บ้านที่อาจารย์บอกอย่างไม่ได้รีบร้อน
    โครกกก
    เดินมาได้หนึ่งชั่วยามท้องกลับเรียกร้องหาอาหารยามอู่ (12.00-12.59) จิวชงหยวนจึงเดินไปพักได้ร่มไม้แล้วหยิบหมั่นโถวที่ห่อมาด้วยนั่งกินอย่างสบายอารมณ์ไปจำนวนสองลูก และการหิวในครั้งนี้ทำให้เขานึกเรื่องสำคัญออก นั่นคือเขาไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะเดียว สงสัยจากหมอเทวดาคราวนี้จะกลายเป็นหมอยาจกแน่ๆ
    เมื่อกินหมั่นโถวจนอิ่มจึงเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเดินทะลุป่ามาจนเจอกับเส้นทางที่ชาวบ้านใช้เดินทาง มีรอยเท้าม้าที่ลากเกวียน จิวชงหยวนจึงเดินตามทางไปเรื่อยๆ
    กุบกับ กุบกับ
    “หลบไป!”
    เสียงม้าวิ่งมาด้วยความเร็วพร้อมเสียงร้องตะโกน ทำให้จิวชงหยวนพลิ้วตัวหลบจากเท้าม้าไปอย่างหวุดหวิด ทว่าคนที่อยู่บนหลังม้ากลับพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันกลับมาสนใจแม้แต่น้อย
    “เฮ้อ คนสมัยนี้ทำไมมันเสียมารยาทแบบนี้นะ จะรีบไปตายที่ไหนกัน” จิวชงหยวนได้แต่บ่นกับตัวเองก่อนจะเดินตามหลังม้าที่หายไปเหลือแต่ฝุ่นให้มองตาม ได้แต่กรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ ยุคปัจจุบันก็มีแต่ควันพิษ มายุคนี้ก็เจอแต่ฝุ่น
    กุบกับ กุบกับ
    เสียงม้าที่ดังมาจากด้านหลัง ทำให้จิวชงหยวนเอี้ยวตัวหลบอย่างว่องไวจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่เขาจะไม่ยอมโดนม้าเหยียบตายแน่ ทว่ากลับผิดคาดเมื่อม้าที่วิ่งมาเป็นม้าที่ลากเกวียนมาด้วย โดยมีชายวัยกลางคนเป็นผู้ขับขี่ ม้าตัวนั้นหยุดลงตรงเขาพอดี ชายวัยกลางคนผู้นั้นส่งยิ้มให้อย่างไมตรี
    “คุณชายจักไปที่ใด หากไม่รังเกียจเดินทางไปกับข้าหรือไม่” จิวชงหยวนมองตามอย่างแปลกใจไม่คิดว่าจะเจอคนมากน้ำใจในที่แห่งนี้ได้
    “ข้าจะเข้าไปในเมือง ข้าต้องขอรบกวนท่านลุงแล้ว” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมส่งยิ้มให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าที่มองเขาอย่างอึ้งๆ ก่อนจะขยับที่นั่งให้เพื่อนร่วมเดินทางอาศัยไปด้วย
    “คุณชายมาจากที่ใดกันทำไมมาเดินทางคนเดียวเยี่ยงนี้ ยุทธภพนั้นอันตรายมาก” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะคนตรงหน้านั้นดูเป็นลูกคนมีเงินและมีชาติตระกูล ผิวพรรณขาวผ่องดูมีรัศมีใบหน้ากลับดูงดงามจนไม่น่าเชื่อว่าคนตรงหน้าเป็นชายหากไม่ได้ยินเสียงนุ่มทุ้มที่ตอบกลับมา และที่สำคัญไม่มีอาวุธติดกายสักชิ้นเดียวจนทำให้เขาอดที่จะรับมาด้วยไม่ได้
    “ข้ามาจากบนเขาอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ฟ้าดินเป็นบ้านของข้า” คำตอบที่ได้รับทำให้ชายวัยกลางคนมองตามอย่างไม่เชื่อสายตา
    “เช่นนั้นรึ อ่ะ ข้านี่เสียมารยาทแล้วข้าหยางเซินเป็นพ่อค้าที่เมืองหางโจว พอดีข้าไปส่งของกลับมา” จิวชงหยวนยิ้มรับพร้อมแนะนำตัวเองสั้นๆ
    “ข้าจิวชงหยวน” หยางเซินอ้าปากค้าง หันกลับมามองหนุ่มน้อยที่บอกชื่อแซ่ที่กำลังโด่งดังในยามนี้
    “นี่เจ้าอยากเป็นหมอเทวดาเสียจนตั้งชื่อซ้ำกับหมอเทวดาหรือไง” คำกล่าวของหยางเซินทำให้จิวชงหยวนหันมามองอย่างไม่เข้าใจ
    “ท่านลุงเซินหมายถึงอะไร ข้ามิเข้าใจ” คำถามของเด็กหนุ่มข้างกายทำให้หยางเซินมองตามอย่างแปลกใจ สองมือกระตุกเชือกให้ม้าเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
    “เจ้าไปอยู่ที่ใดมาถึงไม่รู้ว่าตอนนี้หมอเทวดานามว่าจิวชงหยวนโด่งดังไปทั่วยุทธภพ ผู้คนต่างค้นหาตัวกันใหญ่ไม่ว่าพรรคธรรมะ พรรคอธรรม แม้กระทั่งฮ่องเต้โจวซู่หมิงเองก็ยังอยากได้ตัว แต่ว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วจิวชงหยวนตัวจริงเป็นผู้ใดกันแน่” คำบอกเล่าของหยางเซิน ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกตาข้างขวากระตุกหลายครั้งเหมือนเป็นลางร้าย หากเดาไม่ผิดอาจารย์ต้องมาก่อเรื่องไว้แน่ๆ ทว่าคำพูดของอาจารย์กลับดังก้องอยู่ในหัว
    ‘ข้าปูทางให้เจ้าแล้ว ไปถึงก็รู้เองแหล่ะ’ คงหมายถึงเรื่องนี้สินะ
    “หมอเทวดาผู้นั้นทำสิ่งใดได้บ้างหรือ ถึงมีแต่ผู้คนต้องการตัว” จิวชงหยวนเอ่ยถามเพื่อเพิ่มความแน่ใจของตัวเอง
    “ข่าวที่ข้ารู้มาว่าหมอเทวดาผู้นั้นรักษาโรคร้ายได้อย่างหายขาด รักษาพิษได้ทุกชนิด และรักษาบาดแผลฉกรรจ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ว่าแต่เจ้าเถอะใช้ชื่อแซ่เหมือนหมอเทวดาผู้นั้นระวังจะโดนกลั่นแกล้งลองดีนะ เพราะตอนนี้ตัวปลอมเกลื่อนกลาดไปหมด บ้างก็อ้างตนเป็นศิษย์เอกที่ได้รับถ่ายทอดมาโดยตรง”
    “ขอบคุณสำหรับข่าวนี้ข้าจักระวังตัว ว่าแต่ท่านลุงข่าวนี้มีมานานเท่าไรแล้วหรือขอรับ”
    “นานนับสิบปีแล้วล่ะ แต่เพิ่งจะวุ่นวายมีตัวจริงตัวปลอมก็สามปีมานี่เอง” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนรู้สึกมึนงงไปครู่ใหญ่ หากสิบปีจริงตอนนั้นเขาเพิ่งจะสิบสามและเรียนอยู่แค่ม.สี่เพราะผลการเรียนเขาดีเยี่ยมทำให้สอบเทียบเท่าขึ้นมาเทียบชั้นม.สี่ได้อย่างสบาย นี่คงเป็นเส้นทางที่เหล่าสวรรค์ปูทางไว้รอให้เขากลับมาทำหน้าที่หมอเทวดากระมัง
    “อ่ะ ถึงหมู่บ้านเล็กๆ แล้ว ข้าว่าจะพักไปหาอะไรกินสักหน่อย เจ้าจะเข้าเมืองหางโจวกับข้าหรือไม่หรือว่าจะพักค้างที่นี่” หยางเซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่เงียบไปพักใหญ่หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้
    “ข้าอยากพักที่หมู่บ้านนี้ก่อนหากไม่มีอะไรน่าสนใจข้าจะเดินทางเข้าเมืองหางโจว ขอบคุณมากที่เมตตาข้า” จิวชงหยวนตอบรับด้วยรอยยิ้ม ความจริงเขารู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมากอีกทั้งตอนนี้เขาไม่มีเงินสักอีแปะเดียวทำให้ไม่ใจกล้าหน้าด้านตามไป เพราะข้าใช้จ่ายระหว่างทางเขาไม่มีมาจ่ายให้หยางเซินแน่ๆ
    “เอาเช่นนั้นรึ งั้นหากเจ้าไปเมืองหางโจวก็เดินไปเยี่ยมร้านวาดรูปของข้าบ้างแล้วกัน”
    “ขอรับ แล้วข้าจะแวะไป” จิวชงหยวนตอบรับก่อนจะแยกทางออกมา ดวงตากวาดมองหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ใหญ่โตมากนัก บ้านแต่ละหลังเป็นเหมือนกระท่อมชาวบ้านส่วนมากทำไร่ทำนากันเสียส่วนใหญ่มีพ่อค้าแม่ค้าไม่มากนัก สองเท้าเดินเข้าไปในหมู่บ้านและมองรอบกายอย่างสนใจแม้จะไม่ได้เจริญแต่ความเป็นอยู่ถือว่าไม่ได้เดือดร้อน
    “ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
    เสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือดังแผ่วเบามาจากทางด้านหลังหมู่บ้าน จิวชงหยวนจึงเดินตามเสียงไปอย่างแผ่วเบา สิ่งที่เห็นคือเด็กหนุ่มผู้หนึ่งอายุราวสิบหกปีนอนหน้าซีดตัวเขียวซ้ำอยู่กองหญ้า จิวชงหยวนรีบรุดเข้าไปหาด้วยความเร็วพร้อมจับชีพจรของเด็กหนุ่มตรงหน้าไปด้วย ริมฝีปากที่เป็นสีม่วงคล้ำก่อนที่เจ้าตัวจะกระอักโลหิตออกมา จิวชงหยวนไม่รอช้ารีบสกัดจุดตามร่างของเด็กหนุ่ม ดวงตาเรียวคมมองซากงูเห่าเจ็ดสีที่มีพิษร้ายแรงอยู่ข้างกาย บ่งบอกว่าเจ้าเด็กนี่โดนงูกัดแต่ก็ยังฝืนสังขารไปฆ่างูตัวนี้ได้
    จิวชงหยวนหยิบยาแก้พิษงูเห่าเจ็ดสีใส่ลงไปในปากของเด็กหนุ่มที่พยายามปรือตาขึ้นมามองเขา นับว่าเจ้าตัวใจเด็ดไม่น้อยที่ยังไม่สลบไป
    “กินเข้าไปมันจะแก้พิษงูได้” จิวชงหยวนบอกเสียงทุ้ม มือขาวเรียวบีบปากคนป่วยเพื่อดูว่ากลืนยาลงไปหรือยัง และตอนนี้เหมือนเจ้าตัวจะวางใจจนสลบไปเสียแล้ว
     จิวชงหยวนประคองเด็กหนุ่มไปวางไว้ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ห่างอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย เพราะไม่ได้ใช้พลังภายในและเขากับเจ้าเด็กนี่ก็ตัวเท่ากัน กอปรกับกองหญ้าตรงนั้นมีเศษซากงูทำให้รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย สัตว์ไร้ขาไม่ว่าอย่างไรมันก็น่าขยะแขยงดูดี แม้ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนคนอื่นแต่ใช่ว่าเขาจะปลื้มสัตว์เลื้อยคลาน สองมือค้นหาสมุนไพรมาพอกตามแผลซึ่งเป็นรอยเขี้ยวฝังลึกลงไปที่แขนและขา ชีพจรเริ่มกลับมาปกติทำให้เขาวางใจมากขึ้น
    เด็กหนุ่มนอนไปสองชั่วยามก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะรีบสำรวจร่างกายตัวเองที่หายเจ็บปวดและยังไม่มีแผลซึ่งเป็นรอยเขี้ยวของเจ้างูพิษนั่นอีกคล้ายกับเขาฝันร้ายไปเท่านั้น แต่สายตากลับมองสบกับดวงตาเรียวคมรับกับใบหน้างดงามจนตรึงใจคนที่พบเห็น เขาจำได้ว่าเห็นคนผู้นี้ก่อนจะสลบไป
    “ท่านช่วยข้าไว้ใช่หรือไม่” จิวชงหยวนที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ไม่ห่างเหลือบตามองคนถามแล้วพยักหน้ารับ เวลานี้มันพลบค่ำมากแล้วแต่เขาไม่รู้จะพาคนป่วยไปนอนที่ไหนเลยวางไว้ที่เดิม อีกทั้งเขาเองก็ไม่มีเงินพาไปพักที่โรงเตี๊ยมจึงได้แต่นอนพิงต้นไม้รอให้เด็กหนุ่มฟื้นเท่านั้น
    “ท่านเป็นหมอเทวดาหรือ ทำไมแผลข้าไม่มีเลย อีกทั้งข้ากลับรู้สึกแข็งแรงเหมือนเดิมด้วย” จิวชงหยวนมองเด็กหนุ่มเงียบๆ ก่อนจะถอนหายใจกับสายตาที่มองตามด้วยรอยยิ้มยินดี
    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ในเมื่อเจ้าหายแล้วก็กลับบ้านแล้วเดี๋ยวคนที่บ้านเป็นห่วง” จิวชงหยวนพูดตัดบทก่อนจะหลับตาลงอย่างไม่สนใจอาการลุกลี้ลุกลนของเด็กหนุ่มตรงหน้า
    “ท่านผู้มีพระคุณข้าชื่อจินจงชุน หากท่านไม่รังเกียจให้ข้าได้ตอบแทนท่าน ไปพักที่บ้านข้าได้หรือไม่” เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าตรงหน้าของจิวชงหยวน และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนักเพราะกลัวว่าจะโดนปฏิเสธ จิวชงหยวนลืมตามามองดวงตาที่มีความเว้าวอนทำให้ต้องนั่งยืดตัวตรงเอียงคอมองคนถามอย่างครุ่นคิด ไหนๆ คืนนี้ก็ไม่มีที่พักหากมีที่ซุกหัวนอนสักคืนคงไม่เป็นไร
    “ข้าจิวชงหยวน ข้าจะไปพักกับเจ้า” คำตอบของจิวชงหยวนทำให้จินจงชุนอ้าปากค้างมองตามอย่างตกใจ เพราะตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคนที่ชื่อจิวชงหยวน เพียงแต่ว่าหมอเทวดาตัวจริงนั้นเป็นใครนั้นไม่มีคนรู้จัก แต่คนตรงหน้าก็แสดงให้เห็นการรักษาที่มหัศจรรย์ที่ทำให้จินจงชุนเชื่ออย่างสนิทใจ
    จินจงชุนพากลับมาที่บ้านหลังเล็กที่อยู่กลางหมู่บ้านซึ่งคนในบ้านต่างก็พากันต้อนรับจิวชงหยวนเป็นอย่างดี ยิ่งรู้ว่าลูกชายคนเดียวของบ้านรอดพ้นความตายมาได้ เพราะการช่วยเหลือของหมอเทวดาผู้นี้ยิ่งพากันปลื้มปิติ
    “บ้านข้าหลังเล็กไปบ้างแต่ก็พอให้ท่านหมอได้ค้างแรมได้ ขอบคุณท่านหมอจิวมากที่ช่วยบุตรชายคนเดียวของข้า” หญิงวัยกลางคนมารดาของจินจงชุนกล่าวด้วยรอยยิ้มปลื้มใจ เตรียมหาอาหารมาให้จิวชงหยวนทานอย่างนอบน้อม
    “ท่านป้าอย่าได้เกรงใจ ข้าทำตามหน้าที่ของหมอหากเจอคนป่วยไข้ข้าก็ต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว” จิวชงหยวนกล่าวอย่างลำบากใจเมื่อได้รับการต้อนรับดีเกินคาด แม้จะเป็นบ้านเล็กๆ ก็ตาม
    “คนที่คิดเช่นท่านนั้นหายากยิ่ง อีกทั้งช่วงนี้ไม่ว่าจะมีหมออยู่ที่ใดผู้คนที่มีอำนาจต่างพาตัวกันไปจนหมด เหลือท่านรอดมายังหมู่บ้านเล็กๆ ของข้าได้นับว่าแปลกมากแล้ว” คำกล่าวของชายวัยกลางคนบิดาของจินจงชุน ซึ่งค้าขายจำพวกของจักสานเช่นรองเท้าสาน ตะกร้า ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกไม่ชอบใจที่คนมีอำนาจบังคับเอาหมอไปหนีชาวบ้านธรรมดาจนหมด
    “หากเป็นเช่นนั้น ข้าขออาศัยหน้าร้านท่านเปิดรักษาผู้คนในหมู่บ้านได้หรือไม่“
    “หากท่านหมอต้องการเช่นนั้นนับว่าประเสริฐแท้ หมู่บ้านพวกข้าคงหายเจ็บไข้ได้ป่วย” มารดาของจินชงหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
    “แม่ หากเป็นอย่างนั้นพวกทางการไม่มาตามจับท่านหมอหรอกหรือ หากไม่ใช่พวกทางการก็พวกยุทธภพมาตามตัวท่านไปแน่ๆ” จินจงชุนกล่าวเตือนก่อนจะหันไปมองหมอเทวดาที่นั่งบนโต๊ะไม้เก่าอย่างห่วงใย จิวชงหยวนหันมามองแล้วครุ่นคิดตาม
    “หากเป็นเช่นนั้นข้าจะรักษาเพียงวันเดียวก่อนจะออกจากหมู่บ้านไป ท่านลุงจินช่วยประกาศบอกคนในหมู่บ้านให้ข้าได้หรือไม่”
    “ได้สิ หากท่านหมอต้องการเช่นนั้น” บิดาจินจงชุนตอบรับด้วยรอยยิ้มยินดี
    “นี่เป็นยารักษาอาการปอดบวมของท่าน” ต้มกินหลังอาหารเช้าเย็นทุกวันติดต่อสามวันก็หายขาด” จิวจงชวนหยิบยาในย่ามให้ชาววัยกลางคน และทำให้เจ้าตัวตาโตอ้าปากค้างอย่างตกใจ
    “ท่านยังไม่ได้จับชีพจรข้า แต่ท่านหมอกลับรู้ว่าข้าเป็นโรคอะไร ประเสริฐแท้” น้ำเสียงปลื้มยินดีทำให้จิวชงหยวนยิ้มรับบางๆ เพราะเขาคุ้นชินกับคำเยินยอมามากพอแล้วระหว่างตอนเป็นอาจารย์หมอในโรงพยาบาลรัฐ แต่เพราะเขาฝึกฝนลมปราณใต้น้ำตกทำให้แยกเสียงต่างๆ ออกได้ และการฟังเสียงหัวใจก็ทำให้รู้ได้โดยง่ายว่าอีกฝ่ายเป็นโรคอะไร คงต้องยกความดีความชอบให้ลู่เฟยแล้วล่ะ
    “ส่วนนี่ยาบำรุงจะทำให้เลือดท่านป้าเดินดีและแข็งแรงขึ้นในเร็ววัน ต้มกินเช้าเย็นเป็นเวลาสามวันเหมือนกับท่านลุง” จิวชงหยวนยื่นห่อยาให้เจ้าบ้านซึ่งพากันยิ้มอย่างปลาบปลื้ม
    “ท่านหมอ ท่านช่วยเหลือครอบครัวพวกข้าจนชาตินี้ข้าคงทดแทนบุญคุณไม่หมด” จินจงชุนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคมมองหมอเทวดาที่งดงามเกินผู้คนธรรมดา
    “ข้าเป็นหมอก็รักษาไปตามที่เห็นสมควร อย่าได้คิดเป็นบุญคุณเลย” จิวชงหยวนตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะขอตัวไปพักเพราะวันนี้เหนื่อยมามากแล้ว ซึ่งจินจงชุนเองก็เป็นคนนำไปห้องนอนที่มีเตียงไม้แข็งๆ และผ้าปูเล็กน้อย แต่ยังดีกว่านอนตากน้ำค้างในคืนนี้ก็แล้วกัน...

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 4 หมอเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 20-08-2015 17:39:53
บทที่ 4
หมอเทวดา
 

         เช้าวันรุ่งขึ้น จิวชงหยวนได้ตั้งโต๊ะรักรักษาคนในหมู่บ้านตามที่กล่าวไว้ โดยมีบิดาของจินจงชุนเป็นผู้กระจายข่าวในหมู่บ้าน ทำให้ผู้คนหยุดงานและเข้ามารักษากันมากมาย แต่จิวชงหยวนก็ไม่ได้ปริปากบ่นแม้แต่น้อยสีหน้ายังยิ้มแย้มพูดคุยกับคนไข้และแนะนำการรักษาไปด้วย
    “คนต่อไป” เมื่อตรวจเสร็จผู้หนึ่งก็มีคิวยาวมาเรื่อยๆ โดยที่จินจงชุนเป็นผู้จัดคิวให้โดยเรียงผู้มาก่อนตามด้วยคนที่มาทีหลัง
    จิงชงหยวนกล่าวแนะนำและจัดยาให้ผู้ที่มารับรักษาไปเรื่อยๆ จนพลบค่ำ และในการตรวจคนไข้ในครั้งนี้กลับได้เงินมาอย่างไม่ตั้งใจ แม้ตอนแรกจะไม่ยอมรับแต่เพื่อความสบายใจของทุกคนจึงจำต้องรับมา แม้จะคนละเล็กละน้อยแต่หลายคนรวมกันมันก็มากโข
    “น้ำขอรับท่านหมอ” จินจงชุนยื่นขันน้ำมาให้หลังจากที่ผู้คนเริ่มเบาบางหมดแล้ว
    “ขอบใจ” จิวชงหยวนตรวจคนไข้รายสุดท้าย ก่อนจะหันมาหาจินจงชุนพร้อมรับขันน้ำมาดื่มแก้กระหายหลังจากพูดมายาวนานหลายชั่วยาม
    “แย่แล้วเจ้าค่ะท่านหมอ สามีข้าเป็นอะไรก็ไม่รู้ปวดท้องนอนทุรนทุรายอยู่ที่บ้าน แต่ลุกมารักษากับท่านหมอไม่ไหว ได้โปรดช่วยสามีข้าด้วยนะเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนที่ได้รับการรักษาก่อนหน้านั้นวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก หลังจากที่กลับบ้านไปเห็นอาการสามี
    “นำทางข้าไป” จิวชงหยวนตอบรับแล้ววางขันน้ำลงคว้าถุงย่ามใบใหญ่ตามหญิงวัยกลางคนไป โดยมีจินจงชุนวิ่งตามไปติดๆ
    จิวชงหยวนมองชายวัยกลางคนที่นอนดิ้นกดท้องพลิกตัวไปมาอย่างทรมาน ก่อนจะเข้าไปสกัดจุดไว้พร้อมตรวจดูอาการเบื้องต้น เสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นและช้าลงอย่างไม่สม่ำเสมอ ก่อนจะกดท้องน้อยข้างขวาของคนไข้ดู
    “โอ้ย! ข้าปวดเหลือเกิน” เสียงตอบรับมาอย่างทรมานเมื่อกดโดนจุดสำคัญ แม้จะดิ้นไม่ได้แต่ยังพูดได้เพราะไม่ได้สกัดจุดเสียง
    “ท่านป้าช่วยต้มน้ำให้ข้าพร้อมหาผ้าสะอาดมาให้ข้าด้วย” จิวชงหยวนหันไปสั่งเจ้าของบ้านซึ่งก็กระวีกระวาดไปทำให้อย่างเร่งด่วน
    “ท่านหมอ ท่านลุงเหวินเป็นอะไรขอรับ” จินจงชุนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
    “ไส้ติ่งอักเสบ ต้องรีบผ่าตัดหากช้าอาจจะไม่รอด” จิวชงหยวนหันไปตอบ โดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังมึนงงกับโรคที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน มือเรียวค้นหาเครื่องมือที่พอจะช่วยในการผ่าตัดในครั้งนี้ มีดใบเล็กและกรรไกรที่อาจารย์หามาให้ แม้จะไม่เหมือนยุคปัจจุบันแต่ความคมนี่ถือว่าใช้ได้ดีเลยทีเดียว
    หลังจากนั้นผ่านไปครึ่งชั่วยาม การรักษาที่แสนพิสดารในสายตาของจินจงชุนก็ผ่านพ้นไปอย่างดี ใบหน้าที่แสนงดงามที่ทำให้คนในหมู่บ้านมาแอบเฝ้ามองมีเหงื่อไหลออกมา จนอดไม่ได้ที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองยกเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของหมอเทวดาที่สุดแสนจะวิเศษในสายตาตน ร่างสูงโปร่งที่ดูบอบบางคล้ายผู้หญิงหยุดชะงัก ก่อนจะหันใบหน้าหลบผ้าเช็ดหน้าจากผู้หวังดี ดวงตาเรียวหันมามองตนจนทำให้มือไม้สั่นและหัวใจเต้นระรัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    “เอ่อ... คือว่าข้าเห็นท่านเหนื่อยมากเลยอยากช่วย” จิวชงหยวนมองใบหน้าหล่อคมคายของจินจงชุนซึ่งตอนนี้แดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน
    “ข้าไม่เป็นไร” จิวชงหยวนพูดตัดบท ก่อนจะเก็บข้าวของหลังจากทำความสะอาดและใช้เหล้าชั้นดีฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว
    “ท่านหมอรีบหนีไป พวกพรรคพยัคฆ์คำรนเข้ามาในหมู่บ้านนี้” บิดาของจินจงชุนวิ่งมายังบ้านของลุงเหวินและร้องเตือนด้วยเสียงสั่นเทาคล้ายหวาดกลัว จิวชงหยวนขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจเขาไม่ใช่คนร้ายเหตุใดต้องหนีด้วย แล้วข่าวของเขามันไปเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ
    “พวกนั้นรู้หรือว่ามีหมออยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้” จิวชงหยวนเอ่ยถามโดยไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
    “พวกพรรคอธรรมล้วนมีสายข่าวอยู่ทั่วหล้า ท่านรีบหนีไปเถอะพวกข้าไม่อยากให้ท่านโดนจับตัวไป” คำกล่าวขอร้องของคนในหมู่บ้านที่มายืนออกันอยู่หน้าบ้านร้องเตือนปนขอร้อง จิวชงหยวนมองตามอย่างชั่งใจ
    “หากข้าไปแล้วหมู่บ้านจะปลอดภัยดีหรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถาม เพราะลางสังหรณ์บอกเขาว่ามันคงไม่จบแค่เขาหนีไปได้เท่านั้นแน่ และทุกคนก็เงียบเหมือนให้คำตอบไม่ได้ แค่นี้เขาก็พอจะรู้แล้วว่าพวกนั้นไม่มีทางปล่อยหมู่บ้านเล็กๆ นี้ไปแน่หากไม่ได้ตัวหมอเทวดาไป
    “ท่านหนีไปเถอะ พวกนั้นคงไม่ทำอะไรชาวบ้านธรรมดาหรอก” จินจงชุนบอกกล่าวเพื่อความสบายใจของผู้มีพระคุณ ทว่าจิวชงหยวนกลับส่ายหน้าแล้วตอบกลับเสียงหนักแน่น
    “ข้าไม่หนีหรอก อีกอย่างพวกนั้นอยากได้ข้าไปรักษาคนในพรรคคงไม่ฆ่าข้าหรอก”
    “ท่านมองโลกในแง่ดีเกินไป หากท่านทำให้พวกมันพอใจมิได้ มันย่อมฆ่าท่านแน่ พยัคฆ์คำรนมันไม่ใช่คนดี ปกติพวกมันก็รังแกชาวบ้านอยู่แล้ว” จินจงชุนบอกเสียงดุเพราะไม่อยากให้ผู้มีพระคุณตกไปอยู่ในเงื้อมมือคนชั่ว อีกทั้งรูปร่างและหน้าตาของจิวชงหยวนนั้นมันไม่มีทางปล่อยไปแน่ๆ และหัวใจก็บอกกับตัวเองว่าไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้าต้องปลอดภัยแม้ตนต้องตายก็ตาม
    คำตอบที่ได้รับและชาวบ้านพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจินจงชุน ทำให้จิวชงหยวนไม่ชอบใจนัก ทว่าขณะนั้นกลับมีเสียงกรีดร้องดังมาจากทางหน้าหมู่บ้านและทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญผวา บ้างก็พาลูกหลานไปหลบซ่อน
    “หมอเทวดาอยู่ไหน หากพวกเจ้าไม่บอก ข้าจะเผาหมู่บ้านให้หมด” เสียงตะโกนลั่นของพรรคพยัคฆ์คำรนทำให้คนในหมู่บ้านสั่นกลัว ทว่าจิวชงหยวนกลับกัดฟันกรอดอย่างโมโหที่ไอ้พวกนี้เห็นชีวิตคนเป็นดั่งผักปลา กว่าจะรักษารอดแต่ละคนมันลำบากแค่ไหนไม่รู้หรือไง ตัวยาใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นะ
    “ข้าจะออกไป”
    “ไม่ได้! พวกนั้นไม่ปล่อยท่านแน่” จินจงชุนตะคอกกลับเพราะความเป็นห่วงคนตรงหน้า ทว่าร่างโปร่งบางของหมอเทวดาหยุดชะงักหันมามองด้วยแววตาที่แข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้มันเงียบปากลงทันที
    “ทุกคนหลบอยู่ในบ้านและเตรียมย้ายที่อยู่ใหม่ได้เลย หากรอดครั้งนี้พวกมันไม่ปล่อยพวกท่านแน่ ข้าจะออกไป” จิวชงหยวนหันไปสั่งทุกคน ก่อนจะก้าวออกไปโดยมีจินจงชุนตามมาติดๆ ในมือมีท่อนไม้ขนาดพอดีมือที่หยิบติดมาจากแถวบ้านลุงเหวิน
    ภาพที่จิวชงหยวนเห็นคือชายฉกรรจ์สิบคนนั่งอยู่บนหลังม้า และมีหญิงสาวในหมู่บ้านที่พวกมันฉุดกระชากออกมาดึงผมแทบหงายหลังอยู่ไม่ห่างจากตัวม้า ใบหน้าบอบซ้ำของหญิงสาวสามคนทำให้จิวชงหยวนกับจินจงชุนกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ
    “โอ้ นี่เจ้าเป็นผู้ชายแน่รึ” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้ากระโดดลงจากม้าเดินเข้ามาหาชายหนุ่มร่างโปร่งบางที่มีใบหน้างดงาม ดวงตาที่ดุยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์
    “ปล่อยผู้หญิงซะ” จิวชงหยวนตะคอกกลับอย่างไม่หวั่นกลัวกับคนตรงหน้าที่ย่างสามขุมเข้ามา ทว่าก่อนจะถึงหน้าตนจินจงชุนกลับเอาตัวมาขวางไว้
    “อย่าได้คิดแม้แต่จะแตะต้องเขา” น้ำเสียงเย็นเยียบและดวงตาคมกริบมองอย่างไม่หวาดกลัว ทั้งๆ ที่มือมีแค่ท่อนไม้เท่านั้น
    “เจ้าสวะ!”
    ผัวะ!
    ร่างจินจงชุนหงายหลังตามแรงถีบของชายฉกรรจ์ มือขาวเรียวของจิวชงหยวนที่ผนึกลมปราณคว้าตัวไว้ก่อนที่จะล้มลงไปทั้งคู่ ดวงตาเรียวยังมองคนอาจหาญรังแกคนไม่มีทางสู้อย่างหมิ่นแคลน
    “เจ้าหน้าสวย มองข้าแบบนั้นหมายความว่าเยี่ยงไร”
    “ข้าก็สมเพชพวกเจ้า รังแกได้แม้แต่คนไม่มีทางสู้ ถึงตายนรกก็คงไม่รับคนชั่วอย่างพวกเจ้า” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่หวาดกลัว แม้จะโกรธมากแต่เขาก็ยังมีสติ
    “บังอาจนัก เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร!”
    “แม้แต่ตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด คนบ้านป่าเช่นข้าจะรู้หรือไง” จิวชงหยวนตอบกวนกลับอย่างยั่วโมโหดวงตามองร่างสูงใหญ่อย่างท้าท้าย
    “เจ้า! ข้าจะบอกให้เอาบุญ ข้าต้าหลงฉายาดาบสังหารเป็นองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายของพยัคฆ์คำรน หากเดาไม่ผิดเจ้าคงเป็นหมอเทวดาที่คนในหมู่บ้านนี้กล่าวถึงสินะ” น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของต้าหลง ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกเท้ามันกระตุกอยากจะเตะคนสักป๊าบ ทว่าคนที่ไม่เจียมสังขารตัวเองก็พาตัวมาขวางหน้าไว้จนน่ารำคาญ
    “จงชุนเจ้าหลบไป”
    “แต่...”  จินจงชุนได้แต่กัดฟังอย่างเจ็บใจ เมื่อตนไร้กำลังและยังอ่อนแอไม่สามารถปกป้องผู้อื่นได้ สายตาที่จริงจังและมั่นคงของหมอเทวดา ทำให้มันต้องถอยหลบมาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก
    “เจ้าคิดจะต่อกรกับพวกข้าหรือเด็กน้อย ฮ่าๆ” ต้าหลงหัวเราะอย่างสะใจที่เห็นท่าทางเหมือนพร้อมจะสู้ของร่างที่เล็กจ้อยกว่าตน และนั่นทำให้ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าหัวเราะตามอย่างสะใจ
    “ข้าเป็นหมอไม่เคยฆ่าคน แต่คนชั่วอย่างพวกใจมีชีวิตไปก็รั้งแต่หนักแผ่นดิน” คำกล่าวแสบสันที่ทำให้พวกมันกัดฟันกรอดจนชักดาบออกมาหมายตัดร่างนั้นหายโมโห
    เคร้ง!
    ต้าหลงเบิกตากว้างอย่างตกใจ พร้อมถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อมีกระบี่ที่ไม่ทราบที่มาออกมาต้านรับ
    “เจ้าไม่ใช่หมอเทวดารึ” คำถามของต้าหลง ทำให้จินชงหยวนเลิกคิ้วขวานิดหนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยชา
    “เป็นหมอเทวดาแล้วจับกระบี่ไม่ได้ตรงไหน ไม่เห็นมีกฎข้อไหนบอกเลยว่าเป็นหมอเทวดาห้ามใช้กระบี่ อีกอย่างพวกเจ้าน่าจะจดจำใส่สมองเสื่อมๆ ของพวกเจ้าไว้ด้วยนะ คำว่าหมอเทวดา มันต้องทำได้ทุกอย่างรักษาได้ ก็ต้องฆ่าได้เหมือนกัน”
     เมื่อพูดจบก็แถมรอยยิ้มหวานที่ทำให้คนเห็นรู้สึกขนลุกชัน จินจงชุนถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรับรู้ว่าคนตรงหน้ามันอันตรายมากกว่าพรรคพยัคฆ์คำรนสิบคนนั่นเสียอีก
    “ฆ่ามัน!” ต้าหลงตะโกนก้องบอกลูกน้องเมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของคนตรงหน้า แม้มันจะได้ชื่อเสียงมาแต่ก็อาศัยหมาหมู่รุม ไม่เช่นนั้นมันคงไม่มีชีวิตรอดในยุทธภพ
    จิวชงหยวนวาดกระบี่รับกระบี่ที่พุ่งเข้าพร้อมกันสิบเล่มอย่างไม่หวั่นกลัวแม้แต่น้อย ลมปราณดึงออกมาใช้สองส่วนก่อนจะปัดป่ายการโจมตีพร้อมตีลังกาหลบด้วยความเร็ว
    “พิรุณโปรยปราย” เสียงแผ่วเบาดังออกมาจากปากของคนร่างบาง พร้อมละอองแสงสีขาวกระจายรอบรัศมีสามเมตรซึ่งทำให้ผู้ที่โดนเข้าไปกลับหยุดชะงัก กระบี่โชคชะตาตวัดเข้าหาร่างพวกนั้นด้วยความเร็วจนคนธรรมดาไม่อาจมองได้ทัน
    ฉัวะๆๆ
    ร่างของลูกน้องแปดคนล้มตายลงดุดใบไม้ร่วง สร้างความกลัวให้กับต้าหลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มือที่ถือกระบี่สั่นเทา
    “เจ้าใช้วิชาอันใดเจ้าปีศาจ” คำเรียกขานที่เปลี่ยนไป จิวชงหยวนหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่ามันกลับทำให้ศัตรูที่เหลือเพียงสองคนสั่นกลัว
    “ข้าแค่ฆ่าพวกคนชั่วอย่างพวกเจ้า แต่กลับมากล่าวหาว่าข้าเป็นปีศาจ แต่พวกเจ้าฆ่าคนไม่มีทางสู้ดั่งผักปลา จะเรียกว่าอะไรดีล่ะถึงจะสาสมกับสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”
    ต้าหลงพยายามหลบหนีโดยให้ลูกน้องที่เหลือเพียงคนเดียวออกไปต้านรับ และหนีเอาตัวรอดซึ่งเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    จิวชงหยวนรับมือลูกน้องของต้าหลง และมองเจ้าตัวหัวหน้าที่หลบหนีไปด้วยความสมเพช น่ารังเกียจนัก
    ตูม!
    จิวชงหยวนอัดพลังใส่ร่างที่ต่อสู้พัวพันจนอีกฝ่ายสลบไป ก่อนจะทะยานตามร่างหนาของต้าหลงไปด้วยความเร็ว เพราะหากปล่อยไปเรื่องราวของเขาต้องแพร่ไปทั่วยุทธภพแน่ และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไปนำกำลังคนมาอีกเท่าไร
    ตูมๆ ๆ
    ร่างของต้าหลงกระเด็นไปไกลเจ้าตัวกระอักโลหิตออกมาคำโต ก่อนจะหันไปมองผู้ลอบทำร้ายตนอย่างตื่นตระหนก
    “เจ้า! มาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” คำถามของต้าหลงทำให้จิวชงหยวนกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ
    “วิ่งอย่างกับเต่าคลานแค่นี้ใครๆ ก็ตามทัน” ทว่าคำตอบที่ได้ยินยิ่งทำให้ต้าหลงตาเหลือกลานมองอย่างตื่นตระหนกหวาดกลัว แม้มันไม่ได้เร็วที่สุดเหมือนองค์รักษ์ฝ่ายขวา แต่ความเร็วของมันไม่เป็นรองผู้ใดนั่นทำให้มันมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้
    “มาจบเรื่องกันดีกว่า” จิวชงหยวนกล่าวแผ่วเบา พร้อมพุ่งเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความเร็ว
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ฉัวะๆๆ
    ร่างกายโดนเชือดเฉือนไปทั่วร่างทำให้ต้าหลงเริ่มอ่อนแรง ความเร็วและดุดันของอีกฝ่ายเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง เพราะครั้งแรกที่เจอมันไม่สามารถสัมผัสพลังลมปราณอีกฝ่ายได้เลย แต่การต่อสู้ในครั้งนี้เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงคนร่างเล็กไม่มีทีท่าว่าจะหมดแม้แต่น้อย
    เคร้ง เคร้ง!
    ตูม!
    ร่างสูงใหญ่กระเด็นถอยห่างไปไกลนับสิบเมตรมันกระอักโลหิตออกมาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาเริ่มพร่าเลือน แต่หากมันไม่หนีวันนี้ปีหน้าต้องเป็นวันตายของมันแน่
    อึก
    ร่างนั้นกระอักโลหิตมาอีกครั้งก่อนจะล้มตัวสลบไป มันยังไม่ตายเสียทีเดียวแต่ลมปราณที่แตกซ่านเพราะมีพลังลมปราณของผู้อื่นแทรกเข้ามาทำลาย อีกทั้งเจ้าของร่างไม่ได้สติไม่เกินชั่วยามวิญญาณได้ออกจากร่างแน่
    จิวชงหยวนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย ทว่าในหัวใจของเขากลับเจ็บปวดและหวาดกลัว สองมือที่ช่วยเหลือผู้คนมาหลายปีตอนนี้กลับต้องแปดเปื้อนเลือดของมนุษย์เป็นครั้งแรก มันเป็นอะไรที่แสนสาหัสสำหรับคนต่างภพอย่างเขาจะรับได้ แต่หากไม่ฆ่าก็ต้องโดนฆ่า นั่นเป็นกฎเกณฑ์ ผู้ที่อ่อนแอไม่มีที่จะยืนในยุทธภพ
    จิวชงหยวนยืนนิ่งฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เงียบไปแล้วห้านาทีจึงทะยานพุ่งตัวหายไปกับความมืด แต่การตายของต้าหลงกับโด่งดังไปทั่วยุทธภพโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นฝีมือของผู้ใด คนในหมู่บ้านใกล้เคียงก็ปิดปากเงียบไม่ให้ข้อมูลใดๆ จนเป็นปริศนาให้ชาวบู๊ลิ้มตามหากันต่อไป
    จิวชงหยวนได้ออกจากหมู่บ้านด้วยหัวใจที่ยังไม่มั่นคงนัก เพราะมันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาต้องมาฆ่าคน หวังว่าเวลาจะช่วยทำให้เขาชินชาได้
    และหลังจากนั้นจินจงชุนก็ถูกทางการเกณฑ์ไปเป็นทหาร คนในหมู่บ้านเดิมต่างแยกย้ายกันไปเพราะพยัคฆ์คำรนมาตามก่อกวนอยู่บ่อยครั้ง ทว่าทุกคนไม่ได้กล่าวโทษหมอเทวดาแม้แต่น้อยแต่กลับดีใจที่หมอเทวดาผู้นี้ช่วยคนในหมู่บ้านไว้จนหมด
    จิวชงหยวนมองหน้ากากไม้ในมือซึ่งจินจงชุนมอบให้ก่อนจากมา เจ้าตัวบอกว่ามันจะช่วยให้เขาปลอดภัยมากขึ้นในระหว่างเดินทาง และเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจในครั้งนี้จึงรับมาสวมให้เจ้าของได้เห็น เพราะจินจงชุนก็ถูกทางการลากไปเป็นทหารแม้เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจ แต่เพื่อความแข็งแกร่งในภายภาคหน้าจึงตัดสินใจไปกับทหารเหล่านั้น
    จินจงหยวนยกน้ำในกระติกหนังมาดื่มหลังจากกินผลไม้หมดไปสามลูก ก่อนจะเริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง ตอนนี้เขาเห็นกำแพงเมืองอยู่ไม่ไกลมากนัก เวลานี้เพิ่งจะเที่ยงวันเขาจึงไม่ได้รีบร้อน สองเท้าก้าวเดินไปตามทางแคบๆ ที่ไว้ให้ชาวบ้านไปหาของป่า และเส้นทางนี้ทำให้เขาได้สมุนไพรติดไม้ติดมือมาหลายชนิดหลังจากหมดไปมากพอสมควรระหว่างพักที่หมู่บ้านเล็กๆ นั่น แต่ก็รู้สึกคุ้มค่าเพราะได้ทั้งใจคนและยังได้เงินติดไม้ติดมือโดยไม่ต้องเป็นหมอยาจกอีกแล้ว
    พรึบ!
    เงาร่างสีดำพุ่งทะยานผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเงาดำอีกสามสายตามคนแรกไปติดๆ ก่อนจะได้ยินเสียงปะทะกันอยู่เบื้องหน้า จิวชงหยวนแอบติดตามมาเงียบๆ ก่อนจะหลบไปพิงต้นไม้มองภาพการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำเนื้อดีกับคนชุดดำสามคน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    เสียงปะทะกันรุนแรงดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดชายชุดดำที่ปิดหน้าตาก็ดับไปหนึ่งเหลืออีกสอง ทว่าเพียงไม่นานศีรษะของอีกสองคนก็ขาดกระเด็นและเหมือนจะโชคร้ายที่ศีรษะนั่นตกมาที่ปลายเท้าของจิวชงหยวนพอดี แม้จะเคยฆ่าคนมาด้วยตัวเอง แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาตกใจจนช็อก แต่แล้วกระบี่คมกริบกลับมาหยุดที่ลำคอขาวผ่องของเขาจนทำให้สะดุ้งด้วยความตกใจที่เผอเรอจนตกอยู่ในอันตรายแบบนี้
    “เจ้าเป็นใคร!” น้ำเสียงเย็นเยือกของเจ้าของกระบี่ ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านเหงื่อแตกเต็มใบหน้าภายใต้หน้ากากไม้
     จิวชงหยวนยอมรับตัวเองว่ากลัวคนหน้าดุตรงหน้า แม้จะหล่อเหลาจนสาวหลงแต่หากดุเหมือนหมาแบบนี้ก็ไม่ไหว รับประกันได้เลยว่าเจ้านี่ไม่มีเมียชัวร์ เขาพยายามทำใจกล้ายกนิ้วดันปลายกระบี่ออกจากลำคอแล้วบอกเสียงเบา
    “กระบี่มันไม่มีตา เกิดพลาดท่ามาหัวข้าคงหลุดจากบ่า ข้าเป็นหมอที่ผ่านมาเจอพวกเจ้าแค่นั้นเอง” คำตอบที่ได้รับทำให้หย่งเจิ้นจ้องเขม่งมองร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างพิจารณา แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีอาวุธอีกทั้งสัมผัสลมปราณไม่ได้จึงยกกระบี่ออกจากคอขาวๆ ที่นิ้วเรียวกันไว้ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
    “เดี๋ยวสิ เจ้าได้รับบาดเจ็บนี่” จิวชงหยวนวิ่งตามร่างสูงไปอย่างลืมตัว สัญชาติญาณความเป็นหมอของเขามันเรียกร้องให้รักษาคนผู้นี้เสียก่อน
    หย่งเจิ้นมองคนที่มาขวางตนตาขวาง ร่างโปร่งบางตรงหน้าค้นในย่ามพร้อมหยิบสมุนไพรออกมา
    “ข้าไม่ต้องการ” บอกจบก็เดินหนีอย่างไม่ใส่ใจคนที่อ้าปากค้าง
    “เดี๋ยวสิ แผลของเจ้ามันลึกนะ ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวเป็นบาดทะยักหรอก” จิวชงหยวนยังวิ่งตามมาขวางไว้อีกครั้ง ดวงตาเรียวมองคนใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าจริงจังโดยไม่สนใจความเย็นชาของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ารอบกายเขามีบรรยากาศเย็นๆ แปลกๆ ดวงตาคมดุที่มองมาแม้เขาจะกลัวอยู่บ้าง แต่ความเป็นหมอของเขามันมีมากกว่า
    “ถอยไปถ้าไม่อยากตาย” กระบี่เล่มคมกริบถูกยกมาทำความรู้จักลำคอของเขาอีกครั้ง นิ้วขาวผ่องจับกระบี่เอาไว้ก่อนจะบอกคนหน้าดุด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    “นี่เจ้าไม่ต้องบอกรักข้าด้วยกระบี่แบบนี้ก็ได้ ข้าเป็นหมอเห็นคนบาดเจ็บจะปล่อยวางก็คงผิดจรรยาบรรณแพทย์”
    คำกล่าวของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้หย่งเจิ้นคิ้วกระตุก แต่แววตาที่จริงใจที่ส่งมาทำให้เขานิ่งเงียบ สายตาคมมองสำรวจร่างโปร่งบางที่สูงเพียงอกตนอีกครั้ง แต่ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่เห็นจะเหมือนหมอตรงไหน หากไม่นับรวมสมุนไพรที่อยู่ในมือซ้าย อีกทั้งใบหน้าที่สวมใส่หน้ากากอย่างไม่น่าไว้ใจ หากสัมผัสลมปราณได้คงสังหารไปโดยไม่ต้องคิดแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าตัวเสนอขนาดนี้ ก็จะลองดูสิว่าจะทำได้อย่างที่กล่าวมาหรือไม่ และอยากจะรู้เหมือนกันว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรจากตนกันแน่
    “ที่นี่ไม่เหมาะจะทำแผล” จิวชงหยวนมองคนที่เก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินหนีอย่างไม่เข้าใจ
    “จะทำแผลให้ข้าไม่ใช่หรือไง” จิวชงหยวนมองคนที่หยุดเดินหันหลังกลับมาพูดกับเขาแล้วรู้สึกคิ้วกระตุก หากเดาไม่ผิดหมายถึงให้เขาตามไปทำแผลที่อื่นใช่ไหม
    ‘เฮ้อ จะพูดให้มันยาวๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไง’
    จิวชงหยวนคิดอย่างเซ็งๆ แต่ก็ยอมเดินตามไปเพราะอีกฝ่ายก็เดินไปทางเมืองหลวงเช่นกัน เขาเดินตามร่างสูงอย่างไม่รีบร้อนมากนัก ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะอารมณ์ไม่ดีหยุดเดินแล้วหันกลับมาอีกครั้ง
    “เดินให้มันเร็วๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไง ช้ายิ่งกว่าเต่าเสียอีก” จิวชงหยวนอ้าปากค้างกับคำด่า ที่เขาช้าเพราะคนเดินนำมันช้าต่างหาก ไอ้ปากเสีย คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่จะช่วยไอ้หน้าหล่อนี่ หรือปล่อยให้ตายๆ ไปเลย ไม่ได้ๆ จรรยาบรรณแพทย์มันยังค้ำคออยู่...
            โดยลืมสนิทเลยว่าจรรยาบรรณแพทย์ของตนมันหายไปตั้งแต่ฆ่าคนไปแล้ว - -
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 5 สามหนุ่มสามมุม
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 20-08-2015 17:44:20
บทที่ 4
สามหนุ่มสามมุม
       จิวชงหยวนติดตามชายหนุ่มที่ไม่ทราบชื่อมาจนถึงในเมืองหางโจว ที่ใหญ่โตจนเขาอดมองด้วยความตื่นเต้นและสนใจไม่ได้ แต่สายตาคมดุนั่นทำให้ต้องเร่งฝีเท้าตามติด ชายผู้นั้นพาเขาแวะเข้าห้องพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงรีบรักษาคนหน้าดุที่นั่งตัวแข็งอยู่บนโต๊ะไม้ภายในห้องเล็กๆ
    “เจ้าไม่ถอดเสื้อแล้วข้าจะทำแผลให้ได้อย่างไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนตรงหน้าที่นั่งแข็งทื่อเหมือนก้อนหิน ดวงตาคมดุนั่นมองมาที่เขาอย่างไม่พอใจแต่ก็ยอมถอดเสื้อออกให้ ห้าชั้น! ชุดที่ชายคนนั้นสวมเข้าไปตั้งห้าชั้นมันไม่หนักหรือไงละนั่น
    ทว่าผิวขาวเนียนและร่างกายที่ดูบึกบึนอย่างคนสุขภาพดี ทำให้เขาอดอิจฉาไม่ได้เพราะตอนนี้ร่างเขาดูโปร่งบางตามวัยสิบเก้าปีและยังเตี้ยลงเหลือเพียงร้อยหกสิบห้าเซ็นเท่านั้น แต่คนตรงหน้าขนาดนั่งลงกับเก้าอี้ยังสูงกว่าเขาเสียอีก
    แม้จะบ่นในใจ แต่มือก็หยิบจับอุปกรณ์มาทำความสะอาดที่กลางแผ่นหลังและเย็บปากแผลด้วยความเร็ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ปริปากร้องสักคำเดียวเหมือนตายด้านกับความเจ็บปวด แต่คงจะใช่เพราะแผ่นหลังมีแผลเก่าอยู่สองสามแผลจนอดไม่ได้หยิบยารักษาแผลเป็นทาให้ เพียงไม่นานมันก็จางหายไปสมกับยาวิเศษจริงๆ แต่แผลสดวันนี้เขาไม่ได้ทำให้มันหายเร็วเพราะไม่อยากให้ผิดสังเกต
    “เรียบร้อยภายในสามวันนี้เจ้าก็ห้ามแช่น้ำนาน และห้ามออกแรงมากเพราะแผลจะฉีกขาดได้” จิวชงหยวนบอกโดยไม่ได้หันไปมองแววตาคมที่มองเขาเปลี่ยนไป มือเรียวสวยยังก้มเก็บของลงย่ามไว้เช่นเดิมพร้อมจัดยาแก้ปวดไว้ให้คนหน้าดุปากหนัก
    หย่งเจิ้นมองร่างโปร่งบางที่เล็กกว่าตนมากด้วยสีหน้าครุ่นคิด มือหนาหยิบเสื้อสวมใส่ไปด้วย แต่สายตาจับจ้องหมอจำเป็นที่หยิบจับนู่นนี่อย่างคล่องแคล่ว ทำให้เขามองตามอย่างสนใจและอดครุ่นคิดกับเรื่องราวหมอเทวดาที่โด่งดังอยู่ตอนนี้ไม่ได้ แม้จะไม่มีผู้ใดรู้จักตัวจริง แต่ชื่อเสียงนั้นกลับไม่มีวี่แววลดลงแม้แต่น้อย สายข่าวของเขานั้นขึ้นชื่อว่าไม่เคยผิดพลาด แต่ก็ยังไม่เคยตามหาตัวจริงได้แม้อยากจะล้มเลิก ทว่าชื่อเสียงที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอยกลับทำให้ต้องตามอย่างเงียบๆ ด้วยความสนใจ
    “อ่ะ!” จิวชงหยวนหันหลังกลับมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างตกใจ ก่อนจะขยับกายถอยออกมาพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ
    “มีอะไร ทำไมมองข้าเยี่ยงนั้น”
    “ข้าแค่สงสัยว่าเจ้าใช่หมอเทวดาที่ผู้คนกำลังกล่าวถึงหรือไม่ แต่คงจะไม่ใช่เจ้าเพราะดูแล้วอายุยังน้อยแม้การรักษายังดูแปลกประหลาด” ประโยคที่ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวออกมายาวที่สุดตั้งแต่ร่วมเดินทางมาไม่ได้ทำให้เขาหัวใจกระตุกกับคำถาม แต่ก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วแต่ว่าใครจะกล่าวขวัญเขาอย่างไรก็ตาม ก่อนจะแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มบางๆ
    “ข้าจิวชงหยวนเจ้าชื่ออะไร ไหนๆ ก็เดินตามกันมาตั้งนานแล้วนี่” คำถามของคนตรงหน้าทำให้หย่งเจิ้นเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ไหนจะชื่อแซ่ที่ล่ำลือไปทั่วยุทธภพนั่นอีก เด็กนี่ช่างกล้าจริงๆ แม้จะไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแต่ริมฝีปากที่ขยับไปมานั่นก็ทำให้เขาเผลอมองตามเสียหลายครั้ง
    “เจ้าไม่รู้จักข้า?” คำถามกลับมาทำให้จิวชงหยวนมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่ไม่ว่าจะส่องทะลุอย่างไรเขาก็ไม่มีทางรู้จักหรอกเพราะเขาเพิ่งมาที่โลกนี้ได้ไม่กี่วันเอง
    “ข้าจำเป็นต้องรู้จักเจ้าด้วยหรือ อีกอย่างข้าจำคนไข้ของตัวเองได้หมดและมันก็ไม่เคยมีเจ้านอกจากเมื่อครู่ เพราะฉะนั้นข้ากับเจ้าย่อมไม่เคยพบเจอกันมาก่อน” จิวชงหยวนกล่าวเบาๆ สองมือกอดอกดวงตามองคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ความจำเขาไม่ได้เลอะเลือนจนลืมคนไข้ตัวเองได้นี่
    “เจ้าไปอยู่ที่ใดมาถึงโง่งมนัก” คนโดนด่าว่าโง่งมคิ้วกระตุกเล็กน้อย เพราะเขาห่างจากการโดนด่าว่าโง่มาหลายวัน แต่วันนี้มาโดนผู้อื่นนอกจากลู่เฟยด่าอีกรู้สึกคันหัวใจชอบกล
    “ไม่บอกก็เรื่องของเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องรู้จักเจ้า หมดหน้าที่ข้าแล้วขอตัว” จิวชงหยวนบอกอย่างฉุนเฉียว คนอุตส่าห์ช่วยรักษาแทนที่จะกล่าวขอบคุณแต่ไหนมาด่าเขาซะงั้น อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องให้โดนด่าซะแล้วจิวชงหยวนเอ่ย
    จิงชงหยวนบ่นกับตัวเองในใจก่อนจะคว้าย่ามเดินออกจากห้อง ทว่ากลับมีมือหนายึดข้อมือไว้ ดวงตาเรียวภายใต้หน้ากากหันไปมองอย่างไม่พอใจ ทว่าเจ้าของมือกลับกำข้อมือเขาไว้แน่นขึ้นอีก
    “หย่งเจิ้น”
    “ห่ะ?” จิวชงหยวนร้องออกมาอย่างมึนงงไม่เข้าใจ ดวงตาเรียวหรี่สายตามองใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่จ้องมองมาที่เขาไม่วางตา ทว่าหากมองไม่ผิดเขาเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะปล่อยแขนเขาให้เป็นอิสระ
    “ข้าชื่อหย่งเจิ้น” หย่งเจิ้นบอกชื่อตัวเองอีกครั้งเมื่อเห็นดวงตาเรียวมองมาที่ตน ดวงตาคู่นั้นกลับดูเปล่งประกายของความซื่อสัตย์และดูไร้เดียงสา ทำให้เขาเก้อเขินเล็กน้อยยิ่งรู้ตัวว่าจับข้อมืออีกฝ่ายไว้ยิ่งทำให้รู้สึกตกใจกับตัวเอง คนที่เย็นชาและไม่สนใจผู้ใดอย่างเขากำลังเหนี่ยวรั้งคนที่ไม่รู้จักไว้อย่างลืมตัว
    อาจเป็นเพราะว่าเขากำลังกลัวหมอที่มีความสามารถจากไป ใช่ต้องใช่แบบนั้นแน่ๆ หย่งเจิ้นรู้สึกสับสนหัวใจเป็นครั้งแรกและแอบอ้างเรื่องความเป็นหมอของอีกฝ่ายมาเป็นเหตุผลให้ตัวเอง
    “ยินดีที่ได้รู้จักหย่งเจิ้น แต่ข้าคงต้องไปแล้วอาการของเจ้าข้ารักษาให้แล้วแค่อย่าลืมกินยาที่ให้ไว้ก็พอ” จิวชงหยวนสั่งอีกครั้งเมื่อเริ่มเข้าใจแล้วว่าคนตรงหน้าแสดงออกไม่ค่อยเก่ง
    “ให้ข้าเลี้ยงอาหารตอบแทนเจ้า” ร่างโปร่งบางที่หันหลังเดินออกประตูหยุดชะงักเอียงคอมามองคนป่วยรายล่าสุดอย่างพิจารณาแล้วตอบกลับด้วยเสียงเรียบ
    “ข้ารักษาให้เจ้าไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนอย่าได้เกรงใจเลย ข้าขอตัว”
    “ข้าไม่อยากติดค้างผู้ใด” น้ำเสียงและแววตาจริงจังที่ส่งมา ทำให้จิวชงหยวนหันกลับมามองหย่งเจิ้นอีกครั้ง ก่อนจะกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ เขาเป็นหมอเทวดาเพื่อช่วยรักษาผู้คนในโลกนี้โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน แต่สายตาจริงจังที่ส่งมาบอกได้ว่าหย่งเจิ้นจะไม่ปล่อยเขาไปไหนจนกว่าจะได้ทำตามที่พูด
    “ตามใจเจ้าหากต้องการเช่นนั้น ข้าคงต้องขอรบกวนเจ้าแล้ว” จิวชงหยวนตอบรับแล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจในเมื่อเสนอมาขนาดนี้ก็สนองให้แล้วกัน อาการหนึ่งมื้อในโรงเตี๊ยมถือซะว่ามาเปิดหูเปิดตาแล้วกัน
    “เชิญ” หย่งเจิ้นลอบถอนหายใจที่อีกฝ่ายยอมตกลง ก่อนจะพาไปยังชั้นสองซึ่งสั่งจองไว้ล่วงหน้าเมื่อหลายวันก่อน
    จิวชงหยวนเดินไปนั่งโต๊ะริมระเบียงที่อยู่ชั้นสองทำให้มองเห็นทิวทัศน์ได้ดี ทว่าภายในโรงเตี๊ยมชั้นสองมันดูเงียบวังเวงชอบกล แต่ก็ยังได้ยินเสียงชั้นล่างที่ยังมีการพูดคุยกันบ้าง
    “นายท่านรับอะไรดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อออกมาต้อนรับด้วยความนอบน้อม
     คำถามของเสี่ยวเอ้อทำให้จิวชงหยวนหันไปมองคนที่จะเลี้ยงตนอีกครั้ง และสายตาที่ส่งมาบอกได้ว่าตามใจเขา ใบหน้างดงามภายใต้หน้ากากระบายยิ้มออกมาอย่างยินดี
    “ข้าไม่เกรงใจนะ” จิวชงหยวนกล่าวย้ำอีกครั้งเมื่อได้รับการพยักหน้ารับ จึงหันไปสั่งอาหารเสี่ยวเอ้อหย่างชำนาญ
    “เอาไก่ขอทาน ซุปเสฉวน เป็ดย่าง นกพิราบทอดกรอบ พระกระโดดกำแพง ไก่ตุ่นยาจีน ปลานิลนึ่งเต๋าซี่ ปีกไก่ตุ๋นซอสขิง และขอชาหลงจิ่งด้วย”
    “ขอรับ ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบหายไปอย่างว่องไวแม้จะตกใจกับรายการอาหารที่ราคาแต่ละอย่างแพงๆ ทั้งนั้นและสั่งมาเยอะจนไม่รู้ว่าจะกินหมดหรือไม่
    “เจ้ากินหมดหรือ”
    “เปล่า ข้าแค่อยากชิม” จิวชงหยวนตอบหน้าตาย ยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อจะได้สัมผัสรสชาติอาหารจีนแท้ๆ หลังจากอ่านตำราอาจารย์มานาน หย่งเจิ้นส่ายหน้าหยิบป้านน้ำชามารินให้คนตัวเล็กกว่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยไม่ได้ตำหนิคนตรงหน้าที่สั่งอาหารเกินตัวแม้แต่น้อย
    ผ่านไปหนึ่งก้านธูปอาหารแต่ละอย่างก็ถูกทยอยออกมา อาหารหน้าตาน่ากินจนน้ำลายส่อเพราะหลายวันมานี้เขากินแต่หมั่นโถวกับผลไม้เท่านั้น อีกอย่างอยู่บนหุบเขาเซียนก็ได้กินแต่อาหารเจจนน้ำหนักลดลงไปมากโข หากไม่มีลมปราณป่านนี้คงโดนลมพัดปลิวไปแล้ว
    ระหว่างกินข้าวเงียบๆ อยู่นั้น กลับมีแขกสองคนเดินเข้ามาหาพวกเขา ชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างสมส่วนจนน่าอิจฉา บ่ากว้างดูสง่าและการก้าวเดินดูมีสง่าราศี อายุราวยี่สิบสามปีอีกทั้งใบหน้าที่งดงามหล่อเหลาจนไม่อาจมองข้ามได้ คนหนึ่งมีรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ สายตาดูอ่อนโยนในชุดสีขาวขลิบทองลวดลายมังกร อีกคนใบหน้าหล่อเหล่ายิ้มแย้มสดใสทว่าเวลาเดียวกันกลับดูเจ้าเล่ห์แสนกล ในชุดคุณชายสีเขียวลายดอกเหมยฮัวสีชมพูอ่อนตัดกันอย่างลงตัว ที่มือของทั้งคู่มีพัดจีบที่ดูมีราคา สรุปแล้วพวกเขาดูดีกันจนเกินไป
    “พวกข้ามาช้าไปหรือไม่” คนในชุดสีเขียวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มระรื่นเดินเข้ามาจนชิดขอบโต๊ะก่อนจะเหลือบมองมาทางเขาอย่างแปลกใจ จิวชงหยวนวางตะเกียบในมือลงอย่างมีมารยาทเหลือบตามองทั้งคู่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
    “เป็นปกติของพวกเจ้า เชิญนั่ง” หย่งเจิ้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทั้งคู่พยักหน้ารับแม้จะสงสัยคนแปลกหน้าที่สวมใส่หน้ากากแต่ในเมื่อหย่งเจิ้นวางใจพวกเขาก็ไม่คิดจะมีปัญหา
     ชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวนั่งลงข้างหย่งเจิ้น อีกคนที่สวมอาภรณ์สีขาวเลือกนั่งลงข้างจิวชงหยวน ทั้งคู่หันไปมองสหายที่รู้จักกันมานานหลายปีก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
    “ผู้นี้คือ” ชายอาภรณ์สีเขียวจับจ้องคนที่สวมหน้ากากเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางเบา ทว่าแววตานั้นกลับสอดส่องให้ถึงใบหน้าที่แท้จริงภายใต้หน้ากาก และคำถามนี้เพื่อต้องการรู้ว่าไว้ใจพอที่พวกเขาจะสนทนาเรื่องสำคัญได้หรือไม่
    “จิวชงหยวน หมอที่ช่วยรักษาบาดแผลให้ข้า” หย่งเจิ้นตอบกลับเสียงเรียบดวงตายังจ้องมองจิวชงหยวนที่ไม่ได้มีท่าว่าจะหวาดกลัวพวกเขาแม้แต่น้อย มันผิดปกติมากจนเกินไปเพราะหากใครเห็นพวกเขายามนี้ย่อมต้องคุกเข่าก้มหัวไม่กล้าเงยหน้ามามองสบตาแน่ๆ
    “จิวชงหยวน?” ชายในอาภรณ์สีขาวทวนชื่ออีกฝ่ายเบาๆ อย่างติดตลกเพราะชื่อนี้เขาได้ยินมานานหลายปีจนไม่รู้ว่าจริงเท็จเป็นเช่นไรแล้ว
    “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือถึงได้มีหมอมาช่วยรักษา” ชายในอาภรณ์สีเขียวยิ้มหน้าระรื่นเอ่ยถามคล้ายดีใจที่ได้ยินเรื่องน่าแปลกอีกเรื่อง จนทำให้คนเจ็บมองอย่างเคืองๆ
    “จะมีผู้ใดกล้าคิดสั้นอยู่อีกหรือ” คนในอาภรณ์สีขาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม แววตาอ่อนโยนมองไปยังสหายเหมือนพวกเขาจะรู้กัน จนจิวชงหยวนรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกกับการสนทนาของพวกเขา แต่ก็ยังมีมารยาทพอที่จะนั่งเงียบๆ จนพวกเขาหันกลับมาสนใจอีกครั้ง
    “อ่ะ ข้าเสียมารยาทเจ้าแล้ว ข้าไป๋เสวี่ย ส่วนนั้นน้องชายข้าไป๋หู่ ยินดีที่ได้พบหมอเทวดาเช่นเจ้า แม้ว่าจะไม่ใช่ตัวจริงก็ตาม แต่หากทำให้สหายข้ายอมรับเจ้าได้ย่อมไม่ธรรมดา” ไป๋เสวี่ยในอาภรณ์สีขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
    “ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว ข้าแค่เห็นคนเจ็บอยู่ตรงหน้าหากปล่อยทิ้งไว้คงรู้สึกผิด” จิวชงหยวนยิ้มรับเมื่อเห็นแววตาที่ดูอบอุ่นถูกส่งมาให้
    “ท่านเป็นหมอไยต้องสวมหน้ากากด้วยเล่า หรือว่าเจ้าอัปลักษณ์” ไป๋หู่ชายชุดเขียวยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจิวชงหยวนผงะถอยหลังอย่างตกใจจนแทบหงายหลังตกเก้าอี้ มือขวายกขึ้นชกหน้าไป๋หู่อย่างลืมตัว
    ผัวะ!
    ทั้งสามคนนิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะไป๋หู่ที่ตาขวาซ้ำอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวจ้องเขม็งคนที่กล้าลงมือกับตนด้วยสายตาดุดัน
    “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจใครบอกให้เจ้ายื่นหน้ามาล่ะ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยจนคนโดนชกมองตาขวาง แต่ยังไม่หลาบจำเพราะยังยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้อีกฝ่ายอีกครั้ง
    “แน่ใจนะว่าไม่ได้ตั้งใจ มันตรงตาข้าพอดีเชียวนะ” ไป๋หู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดดันพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เพื่อความแน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ได้โป้ปดตน จิวชงหยวนเอนหลบไปชนแขนไป๋เสวี่ย ดวงตายังจ้องเขม็งคนที่ยื่นหน้ามาอย่างไม่กลัวโดนต่อยอีกครั้ง
    “เลิกแกล้งเขาได้แล้ว” หย่งเจิ้นลากไป๋หู่กลับมานั่งที่เดิม และหันไปมองจิวชงหยวนที่หลบใบหน้าไป๋หู่จนเผลอไปพิงไหล่ไป๋เสวี่ย ก่อนที่เจ้าตัวจะขยับกายนั่งให้ตรงอีกครั้งเมื่อไป๋หู่ถอยกลับไปนั่งตัวตรงและส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้จิวชงหยวนคล้ายได้เจอของเล่นชิ้นใหม่
    “รอยใบหน้าข้า ข้าคิดบัญชีกับเจ้าแน่ เพราะฉะนั้นตอบข้ามาว่าหน้าเจ้าอัปลักษณ์ใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้ามีแผนการอันใด”
     จิวชงหยวนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเมื่อครู่เขาตกใจจริงๆ ที่อีกฝ่ายอยู่เฉยๆ ก็ยื่นใบหน้ามาจนแทบชิดใบหน้าเขาจนเผลอต่อยอีกฝ่ายอย่างลืมตัว โดยไม่ได้สังเกตชายหนุ่มข้างกายที่ดูอ่อนโยนใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้แดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความเก้อเขิน ก่อนจะมองคนถามตาขวาง
    “ข้าไม่ได้อัปลักษณ์ซะหน่อย” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะยอมถอดหน้ากากไม้ออกไปวางไว้บนโต๊ะ ดวงตาเรียวหันไปมองทั้งสามคนอย่างแปลกใจ
    หย่งเจิ้นมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าภายใต้หน้ากากไม้ซอมช่อนั้นจะงดงามถึงเพียงนี้ ใบหน้าสวยดวงตาเรียวที่ดูมีเสน่ห์น่าค้นหา จนทำให้หัวใจที่เยือกเย็นมานานสั่นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เว้นแม้กระทั่งสองพี่น้องที่มองภาพตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง
    “เจ้าเป็นชายใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้าเป็นหญิงปลอมตัวมา” ไป๋หู่เอ่ยถามคำถามที่จิวชงหยวนอยากชักกระบี่ออกมาฟันให้หัวขาด มันใช้ตาไหนดูกันถึงคิดว่าเขาเป็นหญิงปลอมตัวมา
    “หญิงบ้านเจ้าน่ะสิ ข้าเป็นผู้ชายโว้ย พูดแบบนี้มาต่อยกันดีกว่า!” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างหงุดหงิดมองเขม่งไป๋หู่อย่างขัดใจ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหันมาเจอสายตาของไป๋เสวี่ย ดวงตาคู่นั้นแม้จะดูอ่อนโยนทว่ากลับแฝงไปด้วยความปรารถนาชื่นชม รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาให้ทำให้เขาขนในกายลุกชัน เขาขยับถอยห่างออกมาเล็กน้อย ถึงเขาจะหน้าหวานมากกว่าเมื่อก่อนเพราะความเจ้าเล่ห์ของอาจารย์ให้เขากินยาของเฒ่าจันทราทำให้หน้าเขาเปลี่ยนไป แต่หัวใจเขายังเป็นชายเต็มร้อย
   “พวกเจ้าจะมองข้าไปอีกนานไหม” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด เมื่อเจอสายตาของทั้งสามที่มองมา เพราะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายพอมีผู้ชายมามองแบบนี้แล้วมันหงุดหงิด
    “ขอโทษที ใครใช้ให้เจ้าสวยกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก แล้วข้าเป็นชายชาติทหารจะไปชกต่อยกับหมอหากใครรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน” ไป๋หู่ตอบรับด้วยรอยยิ้มตามปกติ ไม่ได้โกรธแค้นคนตรงหน้าที่กล้าชกเขา หลังจากที่เห็นใบหน้าและนิสัยเจ้าตัวทำให้เขารู้สึกถูกใจไม่น้อย ในมือโบกพัดไปมาก่อนจะหันไปมองพี่ชายและสหายที่คงมีความคิดไม่ต่างไปจากเขาเท่าไรนัก
     ทว่าคนฟังรู้สึกขากระตุกอยากกระทืบคนที่บอกเขาว่าสวยเป็นการสั่งสอนนัก จากนั้นค่อยรักษาให้หายแล้วค่อยมากระทืบใหม่ให้สาสมกับคำต้องห้าม คำว่าสวยเขาไม่ชอบเอามากๆ หากเขามีใบหน้าเหมือนตอนยี่สิบสามคงจะดี เพราะยังจำได้ดีตอนที่เขาอายุช่วงนี้ต้องผ่านมรสุมกับการรุมจีบมันทรมานกว่าการเรียนแพทย์เสียอีก และครั้งนี้กลับหนักกว่าเมื่อก่อน แค่คิดก็อยากจะเอายาพิษไปให้เฒ่าจันทรากินให้หายเจ็บใจ
    “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบแต่สวรรค์กำหนดมาแบบนี้ ผู้ใดก็คงฝืนลิขิตฟ้าไม่ได้” ไป๋เสวี่ยเอ่ยอย่างให้กำลังใจ เมื่อเห็นหน้าตาไม่สบอารมณ์ของคนข้างกาย แม้จะทำหน้าดุแต่กลับมีเสน่ห์จนไม่อาจละสายตาได้
    “ช่างเถอะ ข้าไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบ แม้เขาจะไม่พอใจแต่ในเมื่อสวรรค์ลิขิตมาอย่างที่ไป๋เสวี่ยกล่าวมาเขาจะทำอะไรได้ ก็แค่ทำใจยอมรับเท่านั้นเอง และการได้พลังวัตรของลู่เฟยมาทำให้ผิวเขาขาวผ่องมากกว่าปกติ และมันเหมือนจะขาวขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ขาวซีดแต่มันเรืองรองคล้ายรัศมีจนต้องควบคุมมันไว้จนสุดความสามารถ ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นนีออนเรืองแสงเคลื่อนที่แน่ๆ
    “อ่ะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว กินข้าวต่อเถอะเพิ่งจะพร่องไปนิดเดียวเอง” ไป๋หู่บอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปสั่งชามข้าวมาเพิ่ม
    “เจ้ามีจุดหมายจะไปที่ใดหรือไม่” จิวชงหยวนเงยหน้าจากชามข้าวมองหย่งเจิ้นที่เอ่ยถาม ก่อนจะกลืนข้าวลงไปช้าแล้วตอบกลับเบาๆ
    “ข้ามีหน้าที่รักษามนุษย์คงต้องเดินทางไปเรื่อยๆ” คำตอบของจิวชงหยวนทำให้ทุกคนหันมาสนใจ
    “เจ้ากล่าวเหมือนกับว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์” ไป๋เสวี่ยถามด้วยรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ อย่างขำขันกับคำพูด ทว่าจิวชงหยวนกลับยกยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบคำถาม ตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเป็นมนุษย์หรือเปล่าเพราะหน้าตาที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมแม้จะผ่านกาลเวลาก็ตาม ไหนจะมีอายุร่วมห้าร้อยปีอีก สวรรค์นี่ใช้งานเขาคุ้มจริงๆ หวังว่าคงจะเห็นความดีจนส่งเสริมให้เขาเป็นเทพเซียนบ้างนะ
    “ว่าแต่บ้านเจ้าอยู่ที่ใดกัน” ไป๋หู่เอ่ยถามขณะคีบเนื้อปลาเข้าปากก่อนจะชะงักไปกับคำตอบ
    “ฟ้าดินเป็นบ้านข้า” จิวชงหยวนตอบด้วยรอยยิ้มไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เป็น เพราะหลายเดือนระหว่างที่อยู่หุบเขาเซียนเขาคุ้นเคยกับธรรมชาติเสียแล้ว แม้ตอนแรกๆ จะลำบากไปบ้างก็ตาม
    “เจ้าไม่มีบ้านหรือ” ไป๋เสวี่ยเอ่ยถามอย่างรู้สึกเสียใจกับคนตรงหน้าที่อาภัพจนไม่มีที่อยู่อาศัย ทว่ารอยยิ้มที่บ่งบอกความสุข ทำให้เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อยและอีกสองคนก็มองตามอย่างไม่เข้าเช่นกัน
    “พวกเจ้าเคยได้ยินหมอเทวดามีบ้านด้วยหรือ หมอเทวดาก็ต้องเดินทางรักษาไปทั่วยุทธภพ บ้านที่แท้จริงย่อมอยู่บนสวรรค์ไม่ใช่หรือไง” คำตอบที่ได้รับทำให้พวกเขามองมาที่จิวชงหยวนแปลกๆ ก่อนที่ไป๋หู่จะหัวเราะออกมาคนแรก
    “นี่เจ้าอยากเป็นจิวชงหยวนหมอเทวดาจนต้องอาศัยชื่อเขามาแอบอ้างเชียวหรือ ฮ่าๆ หากเจ้าไม่มีที่รักษาจริงๆ ข้าจะรับเจ้ากลับบ้านด้วยก็ได้ รับรองว่าเจ้าไม่ได้ว่างงานแน่ๆ” ไป๋หู่บอกด้วยรอยยิ้มเริงร่า จิวชงหยวนก็ไม่ได้โกรธอะไรที่พวกเขาไม่เชื่อ แต่หากอยู่ไปด้วยกันนานๆ พวกเขาคงได้กระจ่างความจริง
    “ข้าขอบคุณในความหวังดีของของพวกเจ้า แต่ข้าขอปฏิเสธจุดหมายของข้ารักษาผู้คนทั่วยุทธภพ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง จนทำให้ทั้งสามคนนิ่งเงียบมองร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างแปลกใจ
    “หากเป็นความต้องการของเจ้า ข้าก็จะส่งเสริมเจ้า”หย่งเจิ้นกล่าวออกมาเป็นคำแรก ดวงตาคมมองจิวชงหยวนนิ่งๆ ก่อนจะกล่าวต่อช้าๆ
    “แต่ก่อนอื่นเจ้ารับหยกนี่ไปก่อน” ไป๋เสวี่ยกับไป๋หู่หันขวับไปมองหย่งเจิ้นอย่างตกใจ เพราะป้ายหยกสีดำนั่นหมายถึงมีอำนาจเทียบเท่าประมุขเทพจันทรา หากจิวชงหยวนก่อเรื่องหย่งเจิ้นต้องรับผิดชอบทุกอย่างและขณะเดียวกันใครก่อเรื่องกับจิวชงหยวนถือว่าเป็นศัตรูกับพรรคเทพจันทราเช่นเดียวกัน
    “หยก?” จิวชงหยวนรับหยกมาดูอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเขาเองก็มีหยกประจำตัวของเขาแล้ว ก่อนจะสะดุ้งเมื่อคิดได้ว่าหยกสมัยนี้คล้ายกับเป็นของหมั้นหมาย นี่ไม่ได้หมายความว่าหย่งเจิ้นหมั้นหมายเขาอีกคนหรอกนะ มือบางวางหยกลงเหมือนเจอของร้อน
    “เจ้าไม่รับ” หย่งเจิ้นเอ่ยถามอย่างแปลกใจเช่นเดียวกับอีกสามคน
    “หรือว่าเจ้าไม่รู้ความหมายของมัน” ไป๋เสวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นดวงตาสับสนของร่างบาง
    “มันคือของหมั้นใช่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ ทว่าทำให้คนฟังทั้งสามคนใบหน้าและหูแดงก่ำด้วยอายกับความคิดของคนตรงหน้า
    “มันก็ไม่ผิดจากที่เจ้ากล่าวหรอก แต่หยกชิ้นนี้มันคือป้ายหยกที่สามารถคุ้มครองเจ้าได้ ส่วนของหมั้นพวกข้าจริงๆ ต้องเป็นปิ่นปักผมเท่านั้น” ไป๋หู่ที่ได้สติก่อนใครเพื่อนอธิบายให้คนสวยฟังด้วยรอยยิ้มบางและล้อเลียน เพราะพวกเขามีเชื้อพระวงค์ของหมั้นหมายจึงต้องเป็นปิ่นปักผมเท่านั้น
    คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนโล่งอกอีกครั้ง ก่อนจะยื่นป้ายหยกคืนเจ้าของ
    “ข้าดูแลตัวเองได้ ข้าขอบคุณในความหวังดีของเจ้าด้วย” รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้หย่งเจิ้นใบหูแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะจับป้ายหยกยัดใส่มือเรียวสวยแล้วกำไว้แน่น
    “ถือว่าข้าฝากเจ้าไว้” จิวชงหยวนรู้สึกมึนเล็กน้อยมองป้ายหยกในมืออย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็พยักหน้ารับไว้เมื่อเห็นความตั้งใจของคนหน้าดุ
    “ว้า เจ้าให้ป้ายหยกกับชงหยวนแล้วข้าให้อะไรดีนะ หรือว่าปิ่นหยกดี” ไป๋หู่กล่าวหยอกล้อแต่ก็ได้รับแววตาดุของคนงามมาจนอดหัวเราะขบขันไม่ได้
    “พอเลยพวกเจ้าไม่ต้องเอาอะไรมาฝากข้า ข้าขี้เกียจรักษา” จิวชงหยวนกล่าวดักทางทั้งคู่ที่จะค้นหาของมาให้เขาด้วยความเหนื่อยใจ แม้จะดูลักษณะนิสัยที่ต่างกันแต่กลับเข้ากันได้ดีจนน่าหมั่นไส้
    “เจ้าคงออกท่องยุทธภพไม่นานถึงไม่รู้จักผู้ใดเลย” ไป๋เสวี่ยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะการมาของเขาไม่ได้ปกปิดตัวตนหรือใบหน้า ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่รู้จักพวกเขาแม้แต่น้อย ดูได้จากหยกดำของหย่งเจิ้นประมุขพรรคเทพจันทรา
    “นั่นสิ ข้าเองก็สงสัย” ไป๋หู่พยักหน้าเห็นด้วย
     จิวชงหยวนยิ้มแหย เพราะเขาไม่ได้มีหนังสือชีวประวัติหรือหน้าตาของคนในยุคนี้เขาย่อมไม่รู้จักอยู่แล้ว ครั้งนี้เขาคงต้องให้อาจารย์หาประวัติและรูปภาพคนสำคัญมาให้อ่านเสียแล้ว แต่จะบอกความจริงให้ทั้งสามคนฟัง ชื่อเสียงที่อาจารย์สร้างมาเพื่อเขาก็คงสูญเปล่าแน่ๆ ทว่าขณะนั้นตาเขามองเห็นรายชื่อและความสำคัญของทั้งสามลอยร่องอยู่บนหัวของพวกเขา เมื่ออ่านจบใบหน้าที่ขาวใสดูซีดลงเล็กน้อย
    “จริงหรือไม่ชงหยวน” คำถามของไป๋เสวี่ยทำให้สติของจิวชงหยวนกลับมา เขาปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยๆ แล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป
    “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นหมอเทวดา รักษาไปทั่วหล้าย่อมรู้จักทุกคนเป็นอย่างดี การไม่พูดใช่ว่าจะไม่รู้จัก” คำตอบและรอยยิ้มปริศนาของจิวชงหยวนทำให้ทั้งสามคนหรี่ตามองอย่างพิจารณา
    “หากเป็นเช่นนั้นเจ้าคงรู้จักพวกข้าแต่แรก” หย่งเจิ้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นคล้ายไม่พอใจที่โดนหลอก
    “เปล่าไม่รู้จัก” คำตอบหน้าตายของคนร่างบางแทบทำให้ทั้งสามแทบหงายหลัง แต่ทุกคนกลับลอบหายใจอย่างยินดีแม้จะมีสายตาไม่วางใจบ้างก็ตาม
    “ข้าขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ ข้าคงต้องขอตัวก่อนพวกท่านก็สนทนากันตามสบายแล้วกัน” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มเมื่อได้กินจนอิ่มแทบลุกไม่ขึ้น แบบนี้ต้องไปเดินออกกำลังกายในตลาดเสียหน่อย แค่คิดใบหน้าที่งดงามก็ระบายยิ้มดวงตาเป็นประกายยามที่มองไปเบื้องล่าง ทำให้ทั้งสามคนอดมองตามไม่ได้
    “ข้าเห็นแววตาเจ้าแล้วรู้สึกอิจฉาไม่ได้” ไป๋เสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทว่าแววตาประกายความเศร้าหมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไป จิวชงหยวนหันกลับมามองแล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    “คนเราทุกคนย่อมมีหน้าที่ แม้แต่เทพเซียนยังต้องทำหน้าที่นับประสาอะไรกับมนุษย์อย่างเรา”
    “นั่นสินะ ว่าแต่ข้าจะได้เจอเจ้าอีกหรือไม่” ไป๋เสวี่ยเอ่ยถามทำให้สองคนที่เหลือหันมามองอย่างสนใจ
    “หากท่านบาดเจ็บอาจจะได้เจอข้าก็ได้” บอกด้วยรอยยิ้มล้อเลียนเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นทำความเคารพทั้งสามคน ก่อนจะเดินจากไป
    “จะปล่อยไปจริงๆ หรือ” ไป๋หู่เอ่ยถาม ดวงตายังมองตามร่างโปร่งบางที่เดินร่าไปทางตลาด
    “ให้คนจับตาดูก่อน” หย่งเจิ้นตอบรับยกชามาจิบ ทว่าดวงตายังมองไปทางที่ร่างโปร่งบางหายไป
    “ข้าสนใจเขา” น้ำเสียงนิ่งเรียบใบหน้าระบายยิ้มบางๆ ดวงตาฉายแววอ่อนโยนจนคนเห็นรู้สึกอบอุ่น ไป๋หู่และหย่งเจิ้นหันกลับมามองคนกล่าวด้วยความแปลกใจ แต่พวกเขาก็มีความรู้สึกเดียวกันจึงได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ ทว่ากลับเข้าใจกันและกันได้เป็นอย่างดี...

         

          อยากอ่านเร็วตามไปอ่านที่เด็กดีได้นะคะ ในเล้าฟางลงไม่ค่อยเป็นเลยมาลงช้าค่ะ^^
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 20-08-2015 21:13:41
ชอบอ่ะ ชอบมาก ชอบจนไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าทำหนังสือขายเราก็จะยอมเสียเงินซื้อนะเนี้ย เราหานิยายดีๆแบบนี้มานานแหละ ส่วนมากเรื่องที่เราชอบจนอยากซื้อเก็บไว้ ส่วนใหญ่แต่ไม่จบ แต่งได้ครึ่งทางแล้วกับเลิกเพราะแต่งต่อไม่ได้ ที่อ่านมาชอบทุกตอนเลย แบบไม่อยากขาดตอนเลยครับ อ่านนิยายแนวที่ชอบแล้วมีความสุข แถมตัวเอกของเรื่องยังเก่งพอตัวสามารถดูแลตนเองได้ อย่างที่บอกตัวเอกยังด่อยประสบการณ์จริงๆ ถ้ามีเพื่อนก็คงดี จะได้มีความรู้เรื่องภายนอกได้มากขึ้น ขอเป็นแฟนนิยายเรื่องนี้ด้วยคน หวังว่าคนแต่งจะทำให้ไม่ผิดหวังนะครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-08-2015 21:38:53
เป็นแฟนคลับเรื่องนี้อยู่

ไม่อยากจะเชื่อว่ามาลงที่นี่ด้วย

เลยถือโอกาสเม้นท์ความในใจให้ซะเลย

แบบว่าอ่านแล้วไม่ได้เม้นท์มันอึดอัดมากๆ

อยากบอกว่าชอบเรื่องนี้มากๆ ชอบนายเอก

แต่ติดใจที่พระเอกว่าใครคือพระเอก

เพราะมีตัวเอกเด่นๆอยู่สองคนที่มีแนวเป็นพระเอกได้

ที่คิดไว้ว่าคนที่น่าจะเป็นพระเอกคือ ลู่เฟย

ปล กด+ให้ใข่แตกจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 20-08-2015 22:30:09
ติดตามๆๆๆ :impress2: รอๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: Abella ที่ 20-08-2015 23:05:55
สนุกมากเลยตามไปอ่านมาแล้ว สู้ๆนะจ๊ะ.   :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 21-08-2015 07:52:53
ตามไปอ่านในเด็กดีแล้วครับ ยิ่งอ่านยิ่งสนุก อยากให้ลงให้เท่ากับเด็กดีเลย ผมไปเม้นในเด็กดีตอนล่าสุดมาด้วยนะ แบบอยากรู้ว่าท่านหมอจิวจะรักษาไหมนะ  ลุ้นมาก หานิยายแบบนี้มานานแหละ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 21-08-2015 17:51:39
สามคนนี้สามัคคีกันจัง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 21-08-2015 17:58:13
อ้ายยยยยยยยยยยยยยย    :mew1:

เราติดตามเรื่องนี้อยู่  ติดงอมแงมเลย    :-[ :-[ :-[

ทั้งเด็กดี  ธัญวลัย  นี่มาลงในเล้าด้วย    ดีจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   

 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 21-08-2015 20:18:36
เอามาลงในเล้าแล้ววว อ่านในธ.ก็ฟิน อ่านในเล้าฟินกว่า ปกติสิงเล้า ชอบค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 23-08-2015 14:48:04
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 6 ความทรงจำที่จำเป็นต้องมี
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 12:43:54
บทที่ 6
 ความทรงจำที่จำเป็นต้องมี
    

            จิวชงหยวนเดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความโล่งอก เมื่อรับรู้ฐานะที่แท้จริงของทั้งสามคน เกือบหัวขาดแล้วไหมนั่น ไป๋เสวี่ยเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นโจว ไป๋หู่องค์ชายเก้า และหย่งเจิ้นที่เป็นประมุขพรรคเทพจันทรา แม้จะยังไม่รู้รายละเอียดแต่คาดว่าคงมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ
    จิวชงหยวนเดินออกมาโดยไม่ลืมจะสวมหน้ากากไม้อีกครั้ง แค่สามคนนั้นมองมาขนในกายก็ลุกชันแล้ว ต่อไปนี้หากไม่จำเป็นฝันไปเลยว่าจะได้เห็นหน้าเขา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนจับตามองจึงเดินเข้าไปตามตรอกซอยเพราะมั่นใจว่าอาจารย์มาหาเขาแน่นอน เพราะตัวหนังสือสีทองที่ลอยร่องบนหัวพวกเขาสามคนบ่งบอกได้เป็นอย่างดี
    “อาจารย์” จิวชงหยวนเอ่ยเรียกเบาๆ ก่อนจะปรากฏร่างของชายชราที่คุ้นตา ใบหน้าอ่อนโยนยิ้มรับ
    “อาจารย์มาได้เหมาะเวลามากเพราะข้ามิได้รู้จักใครเลย ประวัติศาสตร์ที่อ่านมาก็ไม่ได้มีรูปให้ข้ารู้จัก”
    “ฮ่าๆๆ เพราะอย่างนี้ไงข้าเลยมาหาเจ้าอีกครั้ง ตอนนั้นข้าลืมไปเสียสนิทเพิ่งนึกได้ตอนลู่เฟยมาถามข้าถึงได้รีบกลับมานี่ไง” คำตอบของอาจารย์ทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
    “ลู่เฟยออกจากฌานแล้วหรือขอรับ”
    “ฮ่าๆๆ พลังวัตรแค่พันสองพันปีที่มอบให้เจ้ามามันน้อยนิดเท่านั้น มันไม่ได้ส่งผลกระทบกับเทพที่มีอายุอสงไขยปีหรอกนะ แต่ที่เข้าฌานไปเพราะปรับพลังในร่างใหม่เท่านั้นเอง เอานี่ไปดื่มมันคือน้ำทิพย์ความทรงจำส่วนหนึ่งของข้าช่วงที่สร้างประวัติให้เจ้าในภพนี้” จอกน้ำศักดิ์สิทธิ์สีเหลืองทองถูกยื่นมาตรงหน้า จิวชงหยวนมองน้ำสีฟ้าใสอย่างไม่ค่อยไว้ใจ แต่ก็ต้องรับมาดื่มเมื่อเห็นสายตาของอาจารย์ที่ส่งมา หวังว่าไม่ผสมยาแปลกๆ เพิ่มอีกนะ
    ทว่าเมื่อน้ำสีฟ้าใสผ่านลงคอไปถึงกลับทำให้เขาเซแทบล้มทั้งยืน มือเรียวเกาะกำแพงสายตาพร่ามัว ตอนนี้เขาปวดหัวจนแทบระเบิด ก่อนจะเริ่มมีภาพต่างๆ วิ่งไหลเข้ามาในสมองเป็นฉากๆ คำพูดน้ำเสียงชัดเจน ทว่าคนที่ทำให้เขาตกใจคือภาพเหล่านั้นกลับเป็นตัวเขาเองในตอนนี้ ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่ภาพเริ่มหยุดลง ตอนนี้ใบหน้าเขาซีดเผือดกับการรับเอาความทรงจำตลอดสิบปีของอาจารย์เข้ามา และแต่ละเหตุการณ์มันก็สำคัญทั้งนั้น อาจารย์ยืนมองเขานิ่งๆ โดยไม่ยอมบอกล่วงหน้าสักนิดว่ามันจะปวดหัวจนแทบระเบิดแบบนี้
    “มันไม่อันตรายหรอก เมื่อเจ้าจำและเห็นได้หมดก็หายไปเอง” คำพูดง่ายๆ ทำให้เขาอดมองอาจารย์ตาขวางไม่ได้ จะว่าไปอาจารย์นี่โคตรโรคจิตที่ชอบเห็นเขาทรมานแบบนี้ เพียงไปหนึ่งเค่อจิวชงหยวนก็กลับมายืนตัวตรงได้อีกครั้งหลังจากหายปวดหัว ร่างโปร่งยืดตัวตรงเมื่ออาการทุกอย่างหายไปแล้วแต่ก็ยังมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า
    “เอาล่ะหมดหน้าที่ของข้าแล้ว คราวนี้คงไม่ทำขายหน้าหรอกนะ ได้ความทรงจำที่ข้าสร้างไว้รอเจ้าแล้วนี่”
    “อาจารย์ใช้ร่างข้าตั้งแต่ต้น หากคนที่ท่านเคยรักษามาเห็นข้าตอนนี้ไม่ตกใจหรือขอรับ”
    “เจ้าจะไปกลัวทำไม ในเมื่อเจ้าต้องใช้ใบหน้าไปตลอดอายุขัยของเจ้าอยู่แล้วนี่ และคนที่เคยรู้จักเจ้าแม้ตอนนี้จะไม่รู้ แต่เวลาผ่านไปก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่ดี” อาจารย์ตอบด้วยรอยยิ้มมือลูบหนวดเคราสีขาวของตัวเองไปมา และคำตอบของอาจารย์มันก็เป็นจริงจนเขาเถียงไม่ออกได้แต่ทำใจยอมรับเท่านั้นเอง
     แต่หากเป็นแบบนี้เขาคงมีเมียไม่ได้นะสิ เพราะมนุษย์ธรรมดาไหนเลยจะยอมรับได้ว่าคนรักตัวเองยังเป็นหนุ่มตลอดกาล แต่ตัวเองกลับแก่ลงเรื่อยๆ เห็นทีชาตินี้เขาคงไม่มีเมียเสียแล้ว จิวชงหยวนคิดอย่างสลดแม้เขาจะไม่ได้บ้าผู้หญิงเหมือนเพื่อน แต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยสนใจเพียงแต่เขาอยากทุ่มเทเวลาให้งานก่อนเท่านั้นเอง แต่ใครจะคาดคิดว่าทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว
    “อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าอีกอย่าง เจ้าเดินทางไปตะวันออกของเมืองจะเห็นตำหนักพรรคหยกขาวแล้วบอกว่าลูกท้อหมื่นปีมาเยี่ยม” คำสั่งอาจารย์ทำให้ข้าเลิกคิ้วมองพร้อมทบทวนความทรงจำในอดีตของอาจารย์ ก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของอาจารย์ พรรคหยกขาวเป็นฝ่ายธรรมะที่จะทำให้เขาสะดวกสบายในอนาคตได้
    “ในยุทธภพนี้ไม่อาจอยู่ตัวคนเดียวได้ เจ้าต้องมีพรรคพวกที่พึ่งพิงได้” อาจารย์กล่าวทิ้งไว้ก่อนจะเลือนหายไป จิวชงหยวนก้มมองสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากตรอกซอยเข้าไปยังตลาดเพราะอย่างไรมันก็เป็นผ่านทาง ผู้คนครึกครึ้นและร้องตะโกนขายของกันอย่างขยันขันแข็ง เขาเดินดูข้าวของมาเรื่อยๆ โดยไม่ได้รีบร้อนแม้จะเริ่มเย็นแล้วก็ตาม เพราะอย่างไรเขาต้องไปพรรคหยกขาว และอาจารย์ก็เคยสร้างบุญคุณให้กับประมุขพรรคไว้มากมายคงไม่ปล่อยให้เขานอนตากน้ำค้างหรอกมั้ง
    หมับ!
    จิวชงหยวนจับข้อมือของชายร่างผอมโซด้วยความเร็ว คิดจะขโมยเงินจากเขามันต้องเร็วกว่านี้ ดวงตาเรียวภายใต้หน้ากากหรี่ตามองใบหน้ามอมแมมของหัวขโมย
    “นายท่าน ข้าไม่ได้ตั้งใจปล่อยข้าไปเถอะนะ” หัวขโมยกล่าวขอโทษอย่างร้อนรนและพยายามสะบัดมือออกแต่จิวชงหยวนกลับยึดไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
    “มือเท้ายังมีครบไยไม่คิดทำมาหากิน ไฉนมาลักเล็กขโมยน้อยผู้อื่น หรือว่าเจ้าไม่อยากมีมือข้าจะได้ตัดออกให้”
    “ได้โปรดนายท่านไว้ชีวิตข้าด้วย ลูกข้ากำลังอดอยากข้าร่างกายไม่แข็งแรงเลยทำให้ไม่สามารถออกไปหาของป่าได้จึงต้องทำอย่างนี้ ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ” เสียงอ้อนวอนของร่างผอมโซตรงหน้าทำให้คนที่อยู่รอบบริเวณต่างหันมามองด้วยความสนใจ บ้างก็ส่งสีหน้ารังเกียจมาให้หัวขโมยสกปรก
    คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนสำรวจร่างนั้นพร้อมฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่าย และมันก็คงจะเป็นจริงดังที่กล่าว ชายผู้นี้โดนยาพิษเหมันต์นิรันดร์ซึ่งทำให้หนาวจนเกือบเป็นน้ำแข็งในยามค่ำคืน และเหมือนเข็มทิ่มแทงในเวลากลางวัน
    “พาข้าไปบ้านเจ้า”
    “เอ่อ นายท่าน บ้านข้าไม่มีสิ่งใดให้ท่านสนใจหรอก บ้านซอมซ่อของข้ามันไม่น่าอยู่หรือมีราคาหรอกขอรับ”
    “เลือกเอาจะพาข้าไปบ้านเจ้า หรือว่าจะให้ข้าส่งเจ้าให้ทางการ”จิวชงหยวนเอ่ยอย่างข่มขู่ซึ่งทำให้ใบหน้าสกปรกมอมแมมซีดเผือดตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะรีบพาไปยังบ้านซอมซ่อของตัวเองอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด
    “ท่านพ่อท่านกลับมาแล้ว ท่านมีอะไรมาให้ข้ากินบ้างข้าหิวเหลือเกิน ข้ากินน้ำตามที่ท่านพ่อบอกแล้วแต่มันไม่อิ่มท้องเลย” น้ำเสียงเล็กเอ่ยถามพร้อมวิ่งเข้ามากอดบิดาตนด้วยสีหน้าที่น่าสงสาร ทำให้จิวชงหยวนหยุดชะงักมองภาพตรงหน้าอย่างสลดหดหู่ เด็กน้อยวัยสี่ขวบหน้าตามอมแมม
    “พ่อขอโทษวันนี้ได้หมั่นโถวมาลูกเดียวเจ้าเอาไปกินรองท้องก่อนแล้วพ่อจะไปหามาใหม่” ผู้เป็นพ่อบอกเสียงสั่นพร้อมยื่นหมั่นโถวที่ขโมยมาได้หนึ่งลูกยื่นให้บุตรชายตัวน้อย ซึ่งรับไปกินอย่างหิวกระหายแต่เพียงลูกเดียวคงไม่พอยาไส้เด็กน้อยแน่ๆ  จิวชงหยวนหยิบแอปเปิ้ลที่ติดในย่ามสามลูกให้เด็กน้อยเพิ่ม ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็รีบรับมากินอย่างรวดเร็ว
    “ขอบคุณนายท่านที่เมตตาข้ากับลูก” ชายร่างผอมโซกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ นัยน์ตาเรียวคมที่ปกคลุมด้วยผมเผ้ารุงรังมีน้ำตาเอ่อล้น เพราะไม่มีใครเคยดีกับมันและลูกเลย
    “เรื่องเล็กน้อย ว่าแต่ภรรยาเจ้าไปที่ใด ไยถึงปล่อยให้เด็กน้อยอยู่คนเดียว” จิวชงหยวนเอ่ยถามเมื่อสำรวจภายในกระท่อมหลังเล็กที่เอนไปทางซ้ายมือจนแทบจะพังอยู่แล้ว และมันก็อยู่ห่างไกลตลาดจนแทบออกนอกเมือง
    “นายท่านเมียข้าหนีไปเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่ข้าเจ็บป่วยไม่สามารถเลี้ยงดูนางได้” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนรู้สึกเศร้าใจ ยามมีรักแทบจะกลืนกินกันแต่ยามทุกข์กลับทอดทิ้งกันเสียอย่างนั้น มันคงจะเป็นเหมือนเพลงในโลกของเขาที่บอกว่า รักกินไม่ได้ กระมังเขาถอนหายใจก่อนจะบอกเสียงเรียบ
    “พิษเหมันต์นิรันดร์ใช่ว่าจะโดนกันง่ายๆ เจ้าไปทำอะไรมาถึงได้โดนพิษนี้เข้า” คำถามของเขาทำให้หัวขโมยหันมามองด้วยความตกใจ
    “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าโดนพิษเหมันต์นิรันดร์” ชายร่างผอมโซเอ่ยถามเสียงสั่น กอดร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดเหมือนจะปกป้อง โดยมีดวงตากลมโตมองตามคนโตอย่างไม่เข้าใจ แต่ท่าทางของคนตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนคิดว่าชายผู้นี้อดีตคงไม่ธรรมดา
    “ข้าเป็นหมอย่อมดูออก อีกอย่างตอนที่ข้าจับมือเจ้าไว้ทำให้รู้ว่าลมปราณเจ้าถูกกักกันไว้ ลมหายใจดูติดขัด เดี๋ยวหนาวยิ่งกว่าแดนน้ำแข็ง เดี๋ยวเหมือนโดนเข็มทิ่มแทงนับพันเล่ม” จิวชงหยวนอธิบายช้าๆ พร้อมยืนมองคนป่วยนิ่งๆ ทว่าดวงตานั้นกลับเบิกกว้างมองเขาด้วยความทึ่ง
    “ท่านจะรักษาหายหรือไม่หากท่านเป็นหมอ” ชายร่างผอมโซเอ่ยถามอย่างมีความหวัง
    “รักษาได้แต่ข้ามีข้อแม้หนึ่งอย่างหากเจ้าตกลงข้าจะรักษาให้”
    “หากท่านรักษาได้แม้แต่ชีวิตข้าก็ให้ท่านได้ ขอเพียงซือฉินมีอยู่มีกินก็พอแล้วขอรับ” คำตอบรับจริงจังของชายร่างผอมตรงหน้าทำให้ยิ้มบางๆ
    “ข้าไม่ได้ต้องการชีวิตผู้ใด ข้าเป็นหมอย่อมรักษาคนป่วยอยู่แล้ว ข้าเพียงอยากให้เจ้าเป็นคนดีมีคุณธรรมไม่ลักขโมยของผู้ใดอีก แม้อดีตเจ้าจะเป็นใครข้าไม่สนใจหรอก ขอแค่เจ้าทำตามที่ข้าบอกข้าก็จะรักษาให้”
    “ข้าสัญญาหากข้าหายดีแล้ว จะทำมาหากินอาชีพที่สุจริตและเป็นคนดีมีคุณธรรม” จิวชงหยวนพยักหน้ารับเมื่อเห็นแววตาจริงจังคู่นั้น ก่อนจะให้ไปนั่งบนแคร่ไม้โดยให้เด็กน้อยไปเล่นข้างนอกรอ แล้วบอกให้อีกฝ่ายถอดเสื้อออกเพราะพิษนี้เล่นงานมานานหลายปี แต่นับว่าเป็นคนที่อดทนและเข้มแข็งจนยื้อชีวิตมายาวนานถึงเพียงนี้ ร่างผอมโซเหลือเพียงกระดูกผิวหนังหยาบกร้านอย่างไม่ได้รับความดูแล แต่ก็ทำให้เห็นรอยพกซ้ำหลายแห่ง
    จิวชงหยวนให้กินยาแก้พิษที่ทำเป็นเม็ดไว้ในกระปุกมาครั้นยังอยู่หุบเขาเซียน รอผ่านไปชั่วครู่ก่อนจัดการคลายจุดอุดตันของลมปราณออกให้ แล้วให้เดินลมปราณเองอีกครั้งโดยที่เขาช่วยพยุงชักนำลมปราณจนเห็นว่าทำเองได้แล้วจึงถอนลมปราณตัวเองออกมา เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเดินลมปราณไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเองก็เดินออกมาเห็นเด็กน้อยฟุบหลับอยู่หน้ากระท่อม ทำให้เขาอดมองด้วยความสงสารไม่ได้
     ก่อนจะอุ้มเข้าไปนอนในบ้านและหยิบผ้าห่มผืนบางที่ขาดแหว่งไปหลายแห่งมาห่มให้ ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกสลดใจ เด็กน้อยตรงหน้าเขานั้นผอมแห้งเพราะขาดสารอาหาร แต่ร่างกายนับว่ายังแข็งแรงดีแต่หากปล่อยทิ้งไว้นานเด็กน้อยผู้นี้คงได้ขาดสารอาหารตายแน่ เวลานี้พลบค่ำมากแล้วเขายังไม่ได้ไปยังตำหนักพรรคหยกขาว เพราะต้องการดูอาการของชายผู้นั้นเสียก่อน
    จิวชงหยวนใช้เวลาสามวันภายในกระท่อมซอมซ่อ ระหว่างดูแลรักษาคนป่วยรายนี้เขาก็ได้เอาเงินที่มีไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ทั้งคู่ พร้อมซื้อข้าวปลามาเลี้ยงตามอัธยาศัยของเงินที่มีติดตัว ตอนนี้สองพ่อลูกเดินตามเขามาจนถึงตำหนักหยกขาวหลังจากได้ทำข้อตกลงบางอย่าง คนพ่อจิวชงหยวนได้รู้ว่ามีชื่อซือห้าวเฉิน ส่วนเด็กชายตัวน้อยนั้นซือฉิน ระหว่างที่อยู่ด้วยทำให้รู้ว่าซือฉินเป็นเด็กฉลาดและเรียนรู้ได้เร็ว
    “พวกเจ้ามีธุระอะไร!” ชายฉกรรจ์ที่เฝ้าหน้าประตูยกดาบขึ้นมาขวาง และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมส่งแรงกดดันมาใหม่
    “ข้ามาหาประมุขหมิงเทียน” จิวชงหยวนตอบเสียงเรียบมองยามเฝ้าประตูเรียบเฉยไม่ได้สนใจแรงกดดันที่ถูกส่งมา ส่วนสองพ่อลูกเขาไม่ต้องห่วงหลังจากที่ซือห้าวเฉินสลายพิษออกจากร่างจนหมดพลังลมปราณที่อุดตันถูกทะลายจนหมดทำให้ลมปราณแข็งแกร่งและปกป้องลูกน้อยได้อย่างสบาย
    “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงอยากพบท่านประมุขก็ได้พบง่ายๆ หากเจ้าไม่มีจดหมายนัดหมายก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปพบ” เสียงดุดันตอบกลับมา สองร่างใหญ่ยืนนิ่งถือกระบี่ขวางไว้เหมือนพระวัดแจ้งจนจิวชงหยวนกรอกตามองอย่างเซ็งๆ
   “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้าไปรายงานประมุขว่า ลูกท้อหมื่นปีมาเยี่ยม”
    “เฮอะ คิดว่าตัวเองเป็นใคร กลับไปซะเถอะประมุขมีแขกคงไม่เรียกเจ้าเข้าพบหรอก” ชายร่างใหญ่อีกคนกล่าวเสียงเรียบ ทว่าดวงตาแข็งกร้าวยืนนิ่งไม่ไหวติง
    “พวกเจ้าน่าจะไปรายงานสักนิด ไม่ใช่ปฏิเสธอย่างไร้มารยาทเช่นนี้ หากข้ากลับจริงๆ คนที่เสียใจที่สุดก็คงเป็นประมุขของพวกเจ้า” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบแม้ในใจจะหงุดหงิด เนื่องอากาศตอนนี้มันเที่ยงวันพระอาทิตย์ตั้งฉากอยู่กลางหัว แม้จะใช้ลมปราณปรับอากาศภายในร่างกายได้แต่แดดที่ส่องมาแรงขนาดนี้ก็หงุดหงิดได้เช่นกัน
    “ฮ่าๆๆ เจ้าคิดว่าตัวเองใหญ่โตจากไหนกัน ถึงต้องทำให้ประมุขของพวกข้าเสียใจได้ น่าขำนัก” จิวชงหยวนปลายตามองชายร่างยักษ์ที่พูดจาโผงผางและดูใจร้อนอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปมองสองพ่อลูกที่ยืนตากแดดแล้วลอบถอนใจ ถือซะว่าเขาไม่มีชะตาต้องกันกับพรรคหยกขาวแล้วกัน
    “ไปเถอะ ข้าไม่คิดง้อผู้ใด” ข้าบอกเสียงเรียบก่อนจะเดินจากไปโดยมีสองพ่อลูกเดินตาม ทว่าคล้ายหลังจากไปประมุขพรรคหยกขาวก็ออกมาหน้าประตูเพราะได้ยินเสียงดังเข้าไปภายใน
    “พวกเจ้าเสียงดังอะไรกัน” เมื่อสองยามเห็นเป็นประมุขมาก็รีบคุกเข่าลงทันที
    “เรียนท่านประมุข มีชายหนุ่มสวมใส่หน้ากากท่าทางไม่น่าไว้ใจมาขอพบท่านประมุขขอรับ ข้าเห็นว่าไม่น่าไว้ใจเลยไล่กลับไป” ชายร่างยักษ์ที่พูดจาโผงผางรายงานก่อนที่ชายอีกคนกล่าวเพิ่มเติม
    “ชายผู้นั้นกล่าวไว้ว่าลูกท้อหมื่นปีมาเยี่ยมด้วยขอรับท่านประมุข”
    “เจ้าว่าไงนะ เจ้าว่าลูกท้อหมื่นปีมาเยี่ยมข้าหรือ” ประมุขพรรคหยกขาวกระชากคอเสื้อของลูกศิษย์ตนอย่างลืมตัวและโมโหที่ปล่อยให้คนผู้นั้นไป
    “ขอรับ” เสียงที่ตอบรับกลับมาแทบทำให้หมิงเทียนชัดฝ่ามือใส่พวกงี่เง่าให้หายโมโห
    “เจ้าพวกโง่ ปล่อยให้ท่านไปได้อย่างไร ให้คนตามหาให้ทัน” หมิงเทียนตะโกนสั่งอย่างหงุดหงิด ก่อนจะรีบพุ่งทะยานไปนอกตำหนักเพื่อตามหาคนผู้นั้น
    “ไอ้พวกนี้เลี้ยงเสียข้าวสุก มันน่าตายนัก” หมิงเทียนสบถออกมาอย่างหัวเสีย แม้ตอนนี้จะล่วงเลยไปวัยห้าสิบสี่ปี แต่ยังดูหนุ่มแน่นอีกทั้งวรยุทธยังล้ำเลิศ เพียงไม่นานเขาก็ตามหลังหมอเทวดามาติดๆ แม้ไม่ได้เจอหลายปีแต่แผ่นหลังนั้นตนกลับจำได้ดี
    “ท่านหมอเทวดา ได้โปรดหยุดก่อน” หมิงเทียนพุ่งมาดักรอข้างหน้า และมองชายหนุ่มที่สวมหน้ากากนิ่งๆ อย่างพิจารณา
    จิวชงหยวนหรี่ตามองคนที่มาขวางทางตนเองนิ่งๆ ก่อนจะกล่าวออกมาเสียงเรียบเมื่อนึกได้ว่าเป็นผู้ใด แม้จะเปลี่ยนแปลงไปมากแต่ก็พอจำได้
    “หมิงเทียน”
    “ท่านหมอเทวดาข้าขอดูใบหน้าท่านอีกครั้งได้หรือไม่ขอรับ” หมิงเทียนเอ่ยถามอย่างเกรงใจแต่ว่าเดี๋ยวนี้หมอเทวดามีมากจนไม่อาจเชื่อใจใครได้ แม้จะคุ้นเคยและจำแผ่นหลังได้แต่เห็นอีกฝ่ายสวมใส่หน้ากากก็ทำให้ไม่ไว้ใจเช่นกัน
    “ข้าไม่จำเป็นต้องถอดหน้ากาก หากท่านมาเพื่อต้องการเห็นแค่หน้าข้าจงกลับไปเถอะ” จิวชงหยวนตอบเสียงเรียบ ใบหน้านั้นเชิดขึ้นอย่างถือดีและไม่สนใจว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใด
    “มิใช่อย่างที่ท่านเข้าใจแต่ ณ เวลานี้หมอเทวดาเกลื่อนไปทั่วยุทธภพจนข้าไม่แน่ใจว่าคือคนเดียวกันกับที่เคยช่วยเหลือข้าหรือไม่”
    “หมิงเทียนลูกท้อหมื่นปีมาเยี่ยมเยียนแต่ไร้การต้อนรับ อีกทั้งถูกขับไสไล่ส่งและยังมาดูถูกว่าข้ามิใช่ข้า ไยข้าต้องสนใจด้วย ท่านน่าจะรู้จักข้าดีมิใช่หรือหมิงเทียน” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเย็นชาเพราะตามความคิดและอดีตที่มีในความทรงจำเขาไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย ในเมื่อไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจก็ไม่จำเป็นต้องทำความรู้จัก
    “ท่านพ่อข้าหิวข้าวแล้ว” เด็กชายตัวน้อยเพียงคนเดียวเอ่ยขึ้นจนทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดคลายลง ซือห้าวเฉินยิ้มแหย เมื่อเห็นสายตาหมอเทวดามองมาก่อนจะส่งสายตาห้ามปรามไปให้บุตรชาย
    “ท่านหมอเทวดาโปรดอภัยให้ข้าน้อยผู้โง่เขลาด้วย เพื่อเป็นการไถ่โทษไปรับประทานอาหารที่บ้านข้าเถิด” ประมุขพรรคหยกขาวคุกเข่าลง และก้มขอขมาด้วยสีหน้าสำนึกผิด
    “หมิงเทียนตอนนี้ท่านเป็นถึงประมุขพรรคมาก้มกราบข้ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก ท่านลุกขึ้นเถอะข้าจะกลับไปกับท่านก็ได้” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เมื่อมีคนอายุมากกว่ามาก้มลงกราบแบบนี้ เขาจะอายุสั้นไหมละนั่น ตอนนั้นไม่แปลกเพราะอาจารย์ที่ปลอมเป็นเขาลงมาอายุมากโขแล้ว แต่นี่ความจริงเขาอายุยี่สิบสี่เองแม้หน้าตาจะอยู่ที่สิบเก้าก็เถอะ
    “ขอบคุณท่านหมอเทวดา เชิญทางนี้ขอรับ”
     หมิงเทียนตอบรับด้วยรอยยิ้มดีใจ ก่อนจะหันไปมองสองพ่อลูกด้วยความแปลกใจ แต่ก็เชิญทั้งคู่ให้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วย บรรยากาศกดดันในคราแรกเริ่มเลือนหายไป จิวชงหยวนเดินกลับไปตำหนักหยกขาวอีกครั้ง และครั้งนี้กลับได้รับการต้อนรับอย่างดีไม่ว่าเขาต้องการอะไรทุกคนต่างสรรหามาให้อย่างน่าขัน แต่ใช่ว่าเขาจะไร้เหตุผลแกล้งคนในสำนัก แค่ฝากสองพ่อลูกไว้ในสำนักและที่พักสำหรับเขาคืนนี้เท่านั้นเอง...



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 7 เมื่อคนงามสติแตก
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 12:45:29
บทที่ 7
เมื่อคนงามสติแตก
    

             บรรยากาศตอนกลางคืนภายในสำนักพรรคหยกขาวนั้นถือว่าดีทีเดียว ถ้าไม่ติดกับที่มีผู้ชายตัวโตร่างสูงนิสัยเหมือนเด็กตามติดเขาแจจนไม่เป็นอันทำไร ทั้งวันได้แต่เอ่ยถามนู่นนี่เป็นเจ้าหนูจำไมจนจิวชงหยวนอยากชักกระบี่มาตัดลิ้นเสียให้เข็ด หมิงอี้ฟานคือชื่อของเจ้าตัวโตที่มองเขาด้วยรอยยิ้มปัญญาอ่อนและชื่อของมันแปลว่าความรักที่สงบสุข ไฉนมันพูดมากเสียจนน่ารำคาญ
    “ชงหยวนพระจันทร์คืนนี้สวยมากเลยนะ ยิ่งข้าได้มาชมจันทร์กับเจ้าแล้วข้ารู้สึกดีใจมากเลย แต่จะดีใจกว่านี้หากเจ้าถอดหน้ากากให้ข้าได้เห็นหน้าอีกครั้ง” เจ้าตัวยังพล่ามต่อจนจิวชงหยวนต้องเดินหนีอย่างน่ารำคาญ ใช่มันเป็นความผิดของเขาที่เกิดซุ่มซ่ามสะดุดขอบประตูจนแทบหน้าทิ่ม หากแต่ได้มือปริศนามาช่วยเอาไว้โดยไม่ต้องเสียหน้า ทว่าหน้ากากไม้ที่ใส่กลับหลุดออกจากหน้าและนั่นเป็นสาเหตุที่ให้เจ้าปลิงลูกชายคนรองของประมุขพรรคหยกขาวตามติดจนน่ารำคาญ รู้อย่างนี้ยอมหน้าทิ่มเสียดีกว่า
    “เจ้าจะตามข้ามาทำไม ข้าจะกลับไปนอน” จิวชงหยวนหันไปต่อว่าคนที่เดินตามหลังมาอย่างหงุดหงิด แต่ใบหน้าระรื่นนั้นทำให้เขาอยากจะอัดให้ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
    “ข้าก็มาบอกฝันดีเจ้าไง”
    “ฝันดีบิดาเจ้านะสิ คืนนี้ข้าคงนอนสยองทั้งคืน เจ้ากลับไปได้แล้ว” บอกพร้อมเดินจ้ำอ้าวกลับห้องพักตัวเองก่อนจะทำการฆาตกรรมหมิงอี้ฟาน
    ปัง!
    “ฝันถึงข้าบ้างนะชงหยวนคนงาม”
    ผึ่ง!
    เส้นความอดทนขาดสะบั้นทันทีที่ได้ยินคนงาม จากที่ปิดประตูอย่างแรงด้วยความโมโหตอนนี้กลับกระชากประตูออกอย่างหมดความอดทน
    “หมิงอี้ฟาน ข้าเปลี่ยนใจแล้วเจ้ามาช่วยเล่นกับข้าสักชั่วยามหน่อยเป็นไง” หมิงอี้ฟานชะงักกึกถอยหลังอย่างลืมตัว เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดูแปลกกว่าทุกครั้งและริมฝีปากสวยได้รูปที่น่าจูบนั่นยกยิ้มราวกับนางฟ้า ทว่าดวงตาคนงามกลับประกายการฆ่าฟันจนทำให้ขนในกายลุกชัน แล้วไหนกระบี่สีเขียวมรกตเรืองรองนั่นอีก
    เคร้ง!
    “ทูนหัวคนงามเจ้าเป็นอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้” หมิงอี้ฟานบอกด้วยเสียงสั่น ก่อนจะคว้ากระบี่ที่อยู่ด้านหลังออกมาต้านรับแล้วกระโดดถอยหนี ด้วยไม่อยากต่อสู้กับคนงามที่ตอนนี้กำลังโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ
    “คนงามบ้านเจ้านะสิวันนี้ข้าไม่ได้เรียกเลือดเจ้าออกอย่ามาเรียกข้าว่าจิวชงหยวน” จิงชงหยวนตอบกลับอย่างโมโหพุ่งกระบี่เข้าหาคนตัวโตที่เอาแต่กระโดดหลบไปมาอย่างว่องไว ใบหน้างามภายใต้หน้ากากกระตุกยิ้มเย็น
    “เร็วนักใช่ไหม ดูสิเจ้าจะเร็วไปกว่าข้าหรือไม่” เมื่อหมอเทวดาคนงามกล่าวจบ หมิงอี้ฟานกลับเบิกตากว้างเร่งความเร็วของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยจนสุดความสามารถ ที่จะหลบหลีกคนกระบี่ที่ฟาดออกมาอย่างเต็มแรง ไหนว่าเป็นหมอเทวดาไงล่ะ ทำไมวิชากระบี่ดูแล้วมันเหนือกว่าเขาหลายขั้นเลยนะนั่น
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ตุบ!
    หมิงอี้ฟานรับกระบี่ได้ทันแค่สามกระบวนท่า ก่อนจะโดนแตะโด่งกระแทกกำแพงจนหลังแทบหัก
    ‘คนงามตีแปลว่าจิวชงหยวนรักเขาใช่ไหม?’ หมิงอี้ฟานคิดอย่างเพ้อฝัน
    “เจ้ายิ้มได้โรคจิตชะมัด” จิวชงหยวนสบถออกมาอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายมองมา ทำให้เขารู้สึกหมดอารมณ์จะสู้ต่อ อีกอย่างเจ้านี่มันอ่อนหัดยิ่งนัก เขาใช้แรงไปไม่ถึงส่วนเลยกลับรับกระบี่เขาไม่ทัน
    “อี้ฟานเกิดอะไรขึ้นข้าได้ยินเสียง” บุคคลที่สามโผล่มาทำให้จิวชงหยวนเก็บกระบี่อย่างว่องไว หมิงฮุยหวงบุตรชายคนโตของประมุขเข้ามาประคองน้องชายให้ลุกขึ้น ทว่าแววตาที่มองไปยังร่างโปร่งบางของหมอเทวดา หมิงฮุยหวงมองตามทั้งคู่อย่างไม่เข้าใจ
    “เจ้าไม่สบายหรือเปล่า ทำไมตาเจ้าดูแปลกๆ”
    “พี่ฮุยหวงข้าสบายดี แต่เวลานี้ข้ากำลังตกหลุมรักคนงามอย่างจังเลย” คำตอบคนตาหวานเยิ้มมองไปทางหมอเทวดายิ่งทำให้ผู้เป็นพี่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ มองไปทางหมอเทวดาที่เหมือนจะลมออกหูด้วยความโกรธ  ก่อนจะสะบัดชายผ้าเดินจากไปอย่างสง่างาม แต่หมิงฮุยหวงกลับรู้สึกว่าหมอเทวดาผู้นั้นกำลังโกรธอยู่
    “นี่มันเรื่องอะไรกันพี่งง”
    หมิงฮุยหวงเอ่ยถามน้องชายอย่างมึนงง แต่เจ้าตัวกลับตาหวานเยิ้มเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจเลือดที่ไหล่แม้แต่น้อย หมิงฮุยหวงมองตามแล้วส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเดินกลับห้องของตัวเองบ้างเมื่อไม่มีเรื่องอันตรายอะไร
    จิวชงหยวนเดินกลับมาห้องพักตัวเองอย่างหงุดหงิด อดีตเขาพอมีผู้ชายตามตื้อแต่ก็พอมีเพื่อนช่วยกักกันออกไปให้ นึกว่าจะผ่านพ้นไปได้แล้วกลับมีจอมตื้อที่น่ากลัวหลงเหลืออยู่อีก ตกลงชีวิตเขาจะต้องมีผู้ชายตามหรือไง หวังว่าหัวใจตนจะกล้าแกร่งพอจะอดทนความหน้าด้านของหมิงอี้ฟานได้ ไม่เช่นนั้นคงได้สับเป็นหมื่นชิ้นไปคืนหมิงเทียนแน่ๆ
    จิวชงหยวนเดินกลับไปนั่งเก้าอี้เล็กมุมหน้าต่าง พร้อมรินป้านนำชาใส่จอกกินเพื่อดับอารมณ์คุกรุ่นภายในใจ ก่อนจะเงยหน้ามองดวงจันทร์ทอแสงงดงามแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง มือเรียวล้วงเข้าในอกเสื้อหยิบขลุ่ยหยกออกมาดูหลังจากที่เจ้าของให้มาเขาก็ไม่เคยได้หยิบมาดูอีกเลย นี่ก็อีกคนที่ทำให้เขาลำบากใจ
    “พวกช่างตื้อ หากข้าใจอ่อนขึ้นมาจริงๆ ใครจะรับผิดชอบกัน” จิวชงหยวนเอ่ยพึมพำเบาๆ มองขลุ่ยหยกในมือก่อนจะลองเป่าดูสักครั้ง เพราะตั้งแต่ข้ามกาลเวลามาอยู่ที่นี่เขาไม่ได้จับต้องเลย ขลุ่ยเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยมาแต่เด็กเพราะมารดาชอบบรรเลงเพลงให้ฟังบ่อยๆ และส่วนมากก็เป็นแต่เพลงจีนด้วย มารดามีเชื้อสายจีนและยังสอนขลุ่ยและดนตรีหลายอย่างเพราะเป็นคนความจำดีจึงเรียนรู้ได้เร็ว แต่หลังจากที่เรียนหมอเขาก็ไม่ได้จับอีกเลย
    เสียงเพลงขลุ่ยหวานซึ้งดังขึ้นในยามค่ำคืน ความอ่อนหวานและชวนอบอุ่นในบทเพลงทำให้ผู้หลับใหลฝันหวานละมุน ผู้ที่ยังไม่ได้นอนกลับหันซ้ายแลขวามองหาต้นเสียง บทเพลงไพเราะเสนาะหูดังไปทั่วสำนักหยกขาวจนเกิดข่าวลือแปลกๆ ว่าเป็นบทเพลงสวรรค์ บ้างก็ว่าเป็นบทเพลงของปีศาจเพื่อมาหลอกล่อมนุษย์ไปกินบ้าง
    ณ ดินแดนสวรรค์ภายในตำหนักของแม่ทัพสวรรค์ ลู่เฟยลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ เสียงขลุ่ยหยกดังลอยล่องมาถึงบนสวรรค์ บทเพลงที่หวานซึ้งละมุมทำให้ใบหน้าที่เรียบเฉยแววตาที่ไร้ความรู้สึกฉายแววอ่อนโยนเพียงชั่วครู่ มุมปากยกยิ้มบางเมื่อคนที่จากไปไม่คิดจะทิ้งของหมั้นหมายและยังบรรเลงเพลงให้ฟังด้วย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถลงไปยังโลกมนุษย์ได้ง่ายๆ หากไม่มีบัญชา
    ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวเดินออกมาหน้าตำหนักเหม่อมองไปยังเบื้องล่าง ทว่าแม้จะเป็นถึงแม่ทัพสวรรค์แต่ก็ยังมีขีดจำกัดไม่อาจมองเห็นร่างโปร่งบางของจิวชงหยวนได้ เมื่อครั้นไปหาเฒ่าจันทราหัวใจที่เย็นชาไร้ความรู้สึก กลับเจ็บแปลบขึ้นมา และสุดท้ายทำได้แค่ยอมรับความจริงเท่านั้น หากต้องการจะรักก็ต้องยอมรับผู้อื่นด้วยเช่นกัน มนุษย์มีอายุที่สั้นสุดท้ายก็เหลือเพียงเขาที่จะอยู่กับจิวชงหยวนได้ในเวลาสุดท้ายของชีวิต ดวงตาที่เรียบเฉยหลับตาลงฟังเพลงที่ละมุนละไมปล่อยให้เรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงผ่านพ้นไป เพราะสุดท้ายชีวิตของผู้ใดก็ไม่พ้นลิขิตของสวรรค์...

    เช้าวันรุ่งขึ้น จิวชงหยวนได้ตรวจดูคนไข้ภายในสำนักหยกขาว โดยมีปลิงอย่างหมิงอี้ฟานตามติดจนน่าหงุดหงิด แต่เวลานี้ผู้คนมากมายล้อมรอบเขาทำได้แต่ทำเมินเฉยเย็นชาไม่สนใจ ทำหน้าที่ของตนเองไป
    “ท่านหมอจิวท่านคงเหนื่อยมากวันนี้ ข้าคงต้องขอบคุณแทนพี่น้องของข้าด้วย” หมิงฮุยหวงยกมือขอบคุณหมอเทวดาด้วยใจจริง แววตาอบอุ่นลอบมองดวงตาของหมอเทวดาไปด้วยเนื่องจากอีกฝ่ายสวมใส่หน้ากากไม่อาจเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ จึงได้แต่สังเกตที่ริมฝีปากและดวงตาของอีกฝ่ายเท่านั้นที่พอจะรู้ได้ว่าเจ้าตัวรู้สึกเช่นไรในเวลานี้
    “เรื่องเล็กน้อยอย่าได้เกรงใจ” จิวชงหยวนตอบกลับแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ ไม่ได้เผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาเพียงแต่รู้สึกรำคาญปลิงตัวผู้ที่เดินตามเขาทุกย่างก้าวเท่านั้น ทั้งสี่คนเดินมาพักที่ห้องรับแขกภายในตำหนักเมื่อตรวจคนไข้หมดแล้ว
    “ข้าบอกแล้วว่าชงหยวนใจดีมีคุณธรรม และเหมาะจะมาเป็นคนรักข้าด้วย”
    “อี้ฟาน!”
    คำกล่าวของลูกชายคนรองทำให้ประมุขหมิงเทียนตะคอกใส่อย่างตกใจ อายุปาเข้าไปสิบแปดแล้วแต่ยังทำตัวเป็นเด็กๆ อีกทั้งหมอเทวดาผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะไปหยอกล้อได้
    “ท่านพ่อจะเสียงดังทำไม ข้าอยู่ใกล้แค่นี้เอง” หมิงอี้ฟานตอบกลับด้วยรอยยิ้มไม่ได้สะทกสะท้านต่อสายตาดุๆ ของบิดาแม้แต่น้อย บ่งบอกความหน้าหนาและด้านจนจิวชงหยวนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
    “ประมุขวันนี้ข้ารักษาคนในตำหนักท่านหมดแล้ว ข้าคงต้องขอตัวเดินทางไปต่อ” จิวชงหยวนหันมาบอกประมุขพรรคหยกขาวด้วยรอยยิ้มบางไม่ได้ใส่ใจอาการของคนบ้าข้างตัว
    “ท่านจะไปแล้วหรือ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอีกครั้ง โดยมีสายตาเสียดายของประมุขหมิงเทียนมองตามเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะได้เจอตัว
    “ข้าขอติดตามไปด้วย” หมิงอี้ฟานลุกขึ้นเดินมาหยุดตรงหน้าจิวชงหยวนแล้วยิ้มร่าบอกเจตจำนงค์ของตัวเอง จิวชงหยวนมองคนขอตามไปด้วยอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่โง่พอพาตัวน่ารำคาญตามไปด้วยหรอก
    “อี้ฟานอย่าเสียมารยาทกับท่านหมอ” ประมุขหมิงเทียนเอ่ยปรามบุตรคนรอง ส่วนฮุยหวงได้แต่มองน้องรองด้วยความแปลกใจเพราะปกติไม่เคยเห็นตามติดใครอย่างนี้มาก่อน
    “ท่านพ่อข้าจริงจังนะ ข้าจะติดตามชงหยวน ชงหยวนเป็นหมอ ยุทธภพมีแต่ภัยอันตรายจะเดินทางไปคนเดียวได้อย่างไร” คำกล่าวของบุตรคนรองก็พอมีเหตุผล แต่ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าหมอเทวดามีวรยุทธสูงล้ำกว่าบุตรตนเสียอีก เพราะไม่เช่นนั้นจะอยู่มาได้นานถึงเพียงนั้นหรือ อีกอย่างในยุทธภพไม่อาจจับหมอเทวดาผู้นี้ไปเป็นพวกได้ ก็แสดงให้รู้แล้วว่าหมอเทวดาผู้นี้ไม่ธรรมดา
    “ข้าไม่ต้องการ” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด
    “ยุทธภพนี้อันตรายมีข้าไปด้วยเจ้าจะได้ปลอดภัยขึ้นไง เพราะอย่างน้อยในยุทธภพนี้ก็คนเกรงใจสำนักหยกขาวถึงเจ็ดส่วน” หมิงอี้ฟานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะไม่ว่าอย่างไรตนจะไม่ปล่อยให้หมอเทวดาที่ดูอ่อนแอนี่ไปคนเดียวแน่ๆ
    “ข้าดูแลตัวเองได้ไม่ต้องให้ผู้ใดมาปกป้อง” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น ก่อนจะยกจอกชามาดื่มดับความหงุดหงิดภายในใจ
   “ท่านนี่อย่าเพิ่งดื้อรั้นปฏิเสธข้าสิ ข้าห่วงเจ้าจริงๆ นะ ตัวก็เล็กบอบบางขนาดนี้โดนฉุดไปจะทำอย่างไร” จิวชงหยวนคิ้วกระตุก เหลือบตามองคนที่กำลังว่าเขาอ่อนแอ และเล็กบอบบางมันไว้ใช้กับผู้หญิงไม่ใช่หรือไง แล้วร่างเขาก็ไม่ได้เล็กจนเหมือนผู้หญิงขนาดนั้น เพียงแต่ไม่มีกล้ามเนื้อเยอะเหมือนผู้ชายคนอื่นต่างหาก
    “อี้ฟาน! พ่อไม่เคยสอนให้เจ้าเสียมารยาทกับคนที่อายุมากกว่าเจ้าเช่นนี้” หมิงเทียนตะคอกใส่บุตรคนรองที่เสียมารยาทกับหมอเทวดาอย่างไม่น่าให้อภัย ทั้งยังกล้าเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างสนิทสนม ทั้งๆ ที่ตัวเขายังไม่แม้จะกล้าเรียกเสียด้วยซ้ำไป
    “พ่อพูดเรื่องอะไร ชงหยวนก็อายุเท่าข้าไม่เชื่อให้เขาถอดหน้ากากออกสิ ข้าเห็นมาแล้วและไม่มีทางแก่กว่าข้าไปได้หรอก” หมิงอี้ฟานตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง และเริ่มหงุดหงิดที่โดนปฏิเสธถึงสองครั้งสองครา ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองหน้างดงามขนาดนั้น หากใครเห็นเข้าคงโดนฉุดก่อนที่จะได้รักษาคนพอดี
    พอสิ้นคำพูดของหมิงอี้ฟานทุกคนกลับหันมามองจิวชงหยวนด้วยความสนใจ โดยเฉพาะหมิงเทียนเพราะจำใบหน้าในอดีตเมื่อสิบปีของหมอเทวดาได้อย่างดี มันงดงามจนเขาแอบหวั่นไหว ดีแต่ว่าตอนนั้นเขามีเมียแล้วไม่เช่นนั้นคงหลงมัวเมาไปกับรูปลักษณ์ไม่น้อยเช่นกัน
    “น้องข้าพูดจริงหรือท่านหมอจิว” หมิงฮุยหวงที่เงียบมานานเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะจากที่ฟังเรื่องเล่าของบิดามาคาดว่าน่าจะอายุราวห้าสิบหกสิบปีแล้ว แม้จะดูผิวที่มือแตกต่างจากที่คิดแต่ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าเป็นคนที่บิดาวางใจ
    จิวชงหยวนตอนนี้ตวัดสายตามองหมิงอี้ฟานที่เปิดโปงใบหน้าตนอย่างหงุดหงิด สายตาคาดหวังของสองพ่อลูกมองมาทำให้ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ความอยากรู้อยากเห็นของคนเรานี่มันห้ามกันไม่ได้จริงๆ สินะ ตั้งแต่รู้จักผู้คนมามากมายหมิงอี้ฟานเป็นบุคคลที่น่ารำคาญที่สุด มันน่าฆ่าให้ตายนัก
    “ข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของผู้ใด ประมุขหมิงเทียนข้าคงต้องขอตัว และข้าหวังว่าบุตรคนรองของท่านจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้เมื่อข้ากลับมาอีกครั้ง” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะสะบัดชายผ้าเดินออกนอกตำหนักโดยมีทุกคนก้าวเดินตามอย่างรวดเร็ว
    “เดี๋ยวสิเจ้าจะไปอย่างนี้ได้อย่างไร ข้ายังไม่ได้เตรียมข้าวของเลยนะ” จิวชงหยวนไม่ได้สนใจเสียงร้องและคนที่วิ่งตามมา เขาเดินไปที่ห้องพักตัวเองแล้วคว้าย่ามใบโตที่พกสมุนไพรไว้ออกมา
    “ท่านหมอข้าขอโทษแทนบุตรชายข้าด้วย”
    “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้โกหก”
    พรึบ!
    และไม่มีใครคาดคิด จิวชงหยวนก็เช่นกันเพราะไม่ได้ระมัดระวังตัวทำให้หน้ากากไม้ตกไปอยู่ในมือของหมิงอี้ฟานที่ยิ้มอย่างมีชัยที่โฉมหน้าที่แท้จริงของหมอเทวดาผู้เรืองชื่อ เผยออกมาให้บิดากับพี่ชายได้เห็น โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของบิดาแม้แต่น้อย
    “ข้าบอกแล้วว่าชงหยวนไม่ได้แก่อย่างที่ท่านคิดสักหน่อย” เจ้าตัวยังยิ้มร่าโดยไม่ได้สนใจบรรยากาศที่แปลกออกมา ประมุขหมิงเทียนขนลุกชันเมื่อเห็นสายตาดุดันของหมอเทวดา บรรยากาศรอบตัวเริ่มเหน็บหนาวและในที่สุดก็มีน้ำแข็งเกราะกุมไปทั่วบริเวณหน้าห้องพัก ในมือของหมอเทวดาปรากฏกระบี่สีเขียวมรกตเรืองแสงอีกทั้งร่างหมอเทวดาตอนนี้มีไอพลังลมปราณเข้มข้น และยังทอแสงสีขาวนวลจนน่าตกใจ
    “ท่านหมอเทวดาโปรดอภัยให้บุตรข้าด้วย” หมิงเทียนคุกเข่าลงตรงหน้ากล่าวขอชีวิตบุตรชายคนรองอย่างร้อนรน หมิงอี้ฟานเริ่มรับรู้ความผิดปกติอ้าปากค้างมองจิวชงหยวนอย่างตื่นตระหนก ไอสังหารแผ่พุ่งไปทั่ว
    จิวชงหยวนมองคนที่บังอาจกระชากหน้ากากเขาอย่างเย็นชา ไม่แม้จะเหลือบตามองคนที่คุกเข้าอ้อนวอน สองเท้าก้าวเดินเข้าไปใกล้หมิงอี้ฟานช้าๆ
    “ข้าขอโทษแทนน้องชายข้าด้วย โปรดไว้ชีวิตเขาสักครั้งท่านหมอ” หมิงฮุยหวงเอาตัวมาขวาง ดวงตาอบอุ่นฉายแววกังกลอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มองสบตากับหมอเทวดาอย่างเว้าวอนเช่นกัน วรยุทธที่สูงล้ำของคนตรงหน้าคนภายในสำนักไม่อาจสู้ได้อย่างแน่นอน หากต้องตัดขาดกันจริงๆ ตำหนักหยกขาวคงได้สิ้นชื่อ
    จิวชงหยวนชะงักแววตาที่อบอุ่นชวนให้สบายใจของคนตรงหน้า ทำให้เขาเริ่มมีสติกลับคืนมาหลังจากโมโหจนเลือดขึ้นหน้าแววตาจริงใจและวอนขอของคนตรงหน้า เขาจึงดึงพลังลมปราณกลับมาและเก็บกระบี่ในมือ
    “ข้าจะเห็นแก่เจ้าสักครั้งฮุยหวง” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบ ทว่าแววตายังคงนิ่งเฉยพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาปกติให้เร็วที่สุด
    “ขอบคุณ ข้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพื่อเป็นการขอโทษข้าขอมอบหน้ากากอันใหม่แทนอันเดิม” หมิงฮุยหวงล้วงเข้าในชายเสื้อพร้อมหน้ากากสีทองครึ่งหน้าฉลุลายหงส์ไว้อย่างงดงาม จิวชงหยวนรับมาก่อนจะพยักหน้าขอบคุณ     
    “ขอบคุณท่านหมอที่ไว้ชีวิตบุตรข้า” ประมุขหมิงเทียนลุกขึ้นยืนเอ่ยบอกเสียงสั่น ทว่าดวงตายังมองใบหน้าที่งดงาม แม้จะผ่านมาเนิ่นนานกลับไม่เปลี่ยนแปลง
    “ข้าหวังว่ากลับมาเจ้าจะไม่ทำตัวโง่เขลาเช่นนี้อีก” จิวชงหยวนหันไปกล่าวกับหมิงอี้ฟานเสียงเรียบ ทว่าเจ้าตัวเหมือนสติจะเลือนหายไป ได้แต่ยืนนิ่งมองมาด้วยสายตาสับสน
    ทุกคนได้แต่มองตามร่างโปร่งบางของหมอเทวดาที่กระโจนหายไปด้วยความรวดเร็ว จนไม่อาจมองตามได้ทัน
    “ท่านพ่อนี่มันเรื่องอะไรกัน ข้างงไปหมดแล้ว” หมิงอี้ฟานเอ่ยถามเสียงสั่น ตอนนี้คนงามของเขาจากไปแล้วแต่ดวงตาเย็นชาที่ถูกทิ้งไว้กลับทำให้ใจปวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว
    “เฮ้อ เจ้านี่นะเกือบตายแล้วไหมนั่น หมอเทวดาจิวชงหยวนเป็นเซียนเพราะฉะนั้นต่อให้อีกยี่สิบปีข้างหน้าใบหน้างดงามนั้นก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก แต่เจ้ากลับไปล่วงเกินท่านอย่างไม่น่าให้อภัย ท่านเป็นเซียน แต่หากผู้คิดร้ายก็ต้องมองเป็นปีศาจอยู่แล้ว ท่านถึงไม่เปิดเผยหน้าและพลังเท่าไรนัก แต่เจ้ากลับไปทำให้ท่านโกรธ น่าตายนัก” หมิงเทียนต่อว่าลูกชายคนรองอย่างโมโห ก่อนจะบัดชายผ้าจากไป ฮุยหวงก็เดินตามบิดาไปเช่นกันปล่อยให้หมิงอี้ฟานคิดทบทวนความผิดของตัวเองเงียบๆ บทเรียนในครานี้จะสอนให้อี้ฟานให้ใจเย็นและมีเหตุผลมากขึ้น
    แต่ใครจะคาดคิดว่า หมิงอี้ฟานจากเด็กที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจ จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นคนที่เงียบขรึม สงบปากสงบคำอย่างไม่น่าเชื่อ และเรียนรู้ทุกอย่างบนโลกด้วยสายตาสงบติดออกจะเย็นชาเสียด้วยซ้ำไป ทำให้ทุกคนที่เฝ้ามองตามเป็นห่วงอยู่ลึกๆ เช่นกัน...


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 8 ชะตาบรรจบให้พบเจออีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 12:47:05
บทที่ 8
ชะตาบรรจบให้พบเจออีกครั้ง
    

             ณ ดินแดนสวรรค์ภายในตำหนักของเง็กเซียนฮ่องเต้ บัดนี้กลับมีร่างของแม่ทัพสวรรค์คุกเข่ารอรับคำสั่งอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าเรียบเฉยแต่บ่งบอกความมั่นใจของเจ้าตัว เง็กเซียนฮ่องเต้ยืนนิ่งมองแม่ทัพสวรรค์แล้วเอ่ยถามย้ำอีกครั้งกับภารกิจในครั้งนี้
    “เจ้าแน่ใจว่าจะรับภารกิจนี้ลู่เฟย”
    “พะยะค่ะฝ่าบาท” เสียงตอบรับและแววตาหนักแน่นจริงจังของแม่ทัพสวรรค์ที่เป็นกำลังหลักของสวรรค์ ทั้งๆ หน้าที่นี้จะให้ผู้ใดไปทำก็ได้แต่ลู่เฟยกลับอาสาเอง แม้จะไม่มีสิ่งใดเสียหายแต่ขาดแม่ทัพไปหลายร้อยปีก็ทำให้ก่อเกิดปัญหาเช่นกัน แต่คิดดูอีกทีเวลาในโลกมนุษย์มันเดินช้ากว่าเวลาบนสวรรค์เสียอีก
    “แม้เจ้าจะจำผู้ใดไม่ได้นะหรือ” คำถามของเง็กเซียนฮ่องเต้ทำให้ลู่เฟยเหลือบตามองนิ่งๆ คล้ายกับยืนยันเจตนาของตัวเอง หากไปโลกมนุษย์เขาจะไม่สามารถใช้พลังเทพได้เพราะเป็นแค่ดวงจิตเท่านั้นที่จะลงไป อีกทั้งเขาจะไม่หลงเหลือความทรงจำใดๆ เหลืออยู่ ทว่าในใจเขากลับมั่นใจว่าตนจะต้องจำจิวชงหยวนได้แน่นอนแม้ต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยปีในโลกมนุษย์เขาก็ต้องทำให้ได้
    “เอาเถิดในเมื่อเจ้าเลือกแล้ว สักวันความทรงจำเจ้าจะค่อยๆ กลับมาหวังว่าเจ้าจะปกป้องบ้านเมืองตามบัญชา”
    “พะยะค่ะ”
    เพียงแค่ตอบรับเง็กเซียนฮ่องเต้ก็สะบัดมือออกไป ดวงจิตของแม่ทัพสวรรค์พุ่งลงไปยังเบื้องล่างเพื่อสืบสารต่อเจตนาของสวรรค์ เหลือเพียงร่างทิพย์ที่เหลืออยู่เง็กเซียนตวัดมือนำร่างไปไว้ในดอกบัวใหญ่เพื่อรอเวลากลับ ร่างอรชรด้วยอาภรณ์สีแดงเดินย่างก้าวเข้ามาหาองค์เง็กเซียนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
    “นี่เป็นชะตาของทั้งคู่ เมื่อรู้ว่าใช่ไยจะอยู่เฉยก็คงเป็นไปไม่ได้ ได้แต่หวังว่าชงหยวนจะทำคุณความดีกลับมาเป็นบุตรสวรรค์เต็มตัว ไม่เช่นนั้นแม่ทัพสวรรค์ของเราคงไร้ซึ่งหัวใจไปตลอดกาล” เสียงหวานที่เอื้ยนเอ่ยทำให้เง็กเซียนฮ่องเต้หันไปยิ้มให้ ก่อนจะยื่นไปให้มือเล็กบางจับประคองพากันเคลื่อนกายเข้าไปในตำหนักโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกเลย…

   จิวชงหยวนหลังจากออกจากตำหนักหยกขาวก็กลับมาเดินเล่นภายในตลาดอีกครั้ง เพื่อคลายความหงุดหงิดภายในใจ ใบหน้าได้สวมหน้ากากอันใหม่ที่มันเบาบางแต่ทนทานมากกว่าที่เห็น ทำให้เขาชอบใจไม่น้อย และช่วงหลายวันมานี้เขาก็โดนคนปริศนาตามอยู่ไม่ห่าง แม้จะแต่งกายคล้ายนักฆ่าแต่กลับไร้จิตสังหารเพียงแค่ติดตามเฉยๆ ทำให้เขาแกล้งเมินเฉย เขาเดินหาซื้อผลไม้และหมั่นโถวอีกหลายลูกเพื่อเตรียมเดินทางต่อ และมันก็คงถึงเวลาที่เขาจะสลัดพวกสืบข่าวจากเขาเสียที นี่เป็นโอกาสงามเพราะพวกนั้นยังไม่รู้ว่าเขาออกมาจากตำหนักหยกขาวมาแล้ว
    เมื่อเห็นว่าอาหารที่ใช้สำหรับเดินทางครบเรียบร้อยแล้ว จึงไปหาซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกหนึ่งชุดหลังจากสวมใส่ชุดเก่ามาหลายวัน ตอนนี้เขาไม่ต้องกลัวเงินหมดเพราะได้รับมาจากประมุขหยกขาว แม้คราแรกจะปฏิเสธที่จะรับแต่เจ้าตัวบอกว่า เงินส่วนนี้เป็นเงินที่ประมุขยืมมาเมื่อสิบปีก่อนนั่นทำให้เขายิ้มหวานเพราะไม่ต้องอดอยากไปหลายวัน
    แม้จะพอมีพอใช้แต่ประสบการณ์หลายวันมานี้ ทำให้เขาต้องหัดใช้เงินอย่างคุ้มค่าหากไม่อยากเป็นหมอขอทาน ดูได้จากซือห้าวเฉินจากจอมยุทธพเนจรที่ตกลงปลงใจอยู่กินกับภรรยาสร้างครอบครัว แต่เพราะโชคร้ายไปปะทะกับสำหนักหมื่นพิษเข้าจึงทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อได้ชีวิตใหม่จึงยอมไปอยู่ตำหนักหยกขาวเพื่ออนาคตของบุตรชายตัวน้อย
    เมื่อได้ของครบแล้ว จึงเดินทางออกจากหางโจวมุ่งหน้าไปเรื่อยอย่างไม่ได้ตั้งเป้าหมายแค่ค่ำไหนนอนนั่น หากเจอหมู่บ้านจะค่อยช่วยรักษาผู้คนไประหว่างทางพร้อมหาสมุนไพรในป่าเขาไปด้วย การเดินทางอย่างไม่ได้รีบร้อนมากนักเพราะพวกที่ติดตามยังไม่รู้ว่าจะออกจากเมือง และเขาเองก็ไม่รู้จุดมุ่งหมายของคนพวกนั้น ทว่าเมื่อไม่มีจิตมุ่งร้ายเขาก็ไม่จำเป็นต้องลงมือ แม้ยุทธภพนี้จะฆ่ากันเหมือนดั่งผักปลาแต่หากเป็นได้เขาก็แค่อยากทำหน้าที่หมออย่างเดียวเท่านั้น
    จิวชงหยวนเดินทางมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยก็เดินทางต่อ เขาไม่ได้เดินเส้นทางของพวกรถม้าแต่เดินเข้าไปในป่าลึกเพื่อหาสมุนไพรพร้อมผสมยาบางชนิดไปด้วย แต่เป็นยาแบบง่ายๆ เพราะเขาไม่ได้มีเตาหลอมยาแบบเคลื่อนที่
    “น้ำตกนี่” จิวชงหยวนยิ้มบางเมื่อหูได้ยินเสียงน้ำตกที่กระทบพื้นหินไม่ห่างจากนี่เท่าไร ร่างโปร่งบางทะยานไปตามเสียงด้วยความเร็ว ใบหน้ายิ้มระรื่นเมื่อเห็นน้ำตกใสตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไป มือปลดถอดหน้ากากออกแล้วใช้มือวักน้ำล้างหน้าล้างตาเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ตัวเองหลังจากเดินทางมาหลายชั่วยาม
     ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้าร่างของมนุษย์ที่นอนเกยตื้นอยู่ริมแม่น้ำทางใต้น้ำประมาณห้าสิบเมตร ร่างโปร่งบางทะยานเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบจับชีพจรก็ได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่เพียงแต่อ่อนแรงมาก เขาจึงใช้แรงพลิกร่างที่อาบไปด้วยเลือดให้หงายหน้ามา ดวงตาเรียวเบิกกว้างมองคนตรงหน้าอย่างตกใจและคาดไม่ถึง
    “ลู่เฟย!”
    จิวชงหยวนมองคนที่รู้จักอย่างตกใจ ก่อนจะช่วยลากขึ้นมาจากน้ำแม้ตอนแรกจะทุลักทุเลแต่เมื่อดึงลมปราณมาช่วยทุกอย่างจึงดูง่ายขึ้น เขาถอดเสื้อของอีกฝ่ายออกเมื่อเห็นว่าตามร่างกายมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง แม้จะสงสัยแต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาถามเพราะต้องช่วยคนตรงหน้าให้รอดก่อน แต่ถึงจะถามไปเจ้าคนหมดสติอยู่นี่ก็ตอบคำถามเขาไม่ได้อยู่ดี
    จิวชงหยวนใช้ผ้าขาวสะอาดเช็ดแผลและล้างด้วยเหล้า แม้จะเจ็บแสบแต่เจ้าของร่างคงไม่รับรู้ เขารีบจัดการช่วยเย็บบาดแผลให้อีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว พร้อมใช้ยาฟื้นกำลังภายในให้เจ้าของร่างกอปรกับยาแก้พิษร้ายแรงสองชนิดไปด้วย อีกทั้งถ่ายทอดลมปราณเข้าไปช่วยเจ้าตัวกระอักโลหิตพิษออกมาเป็นบางส่วน ก่อนจะใช้ลมปราณขับไล่พิษออกตามรูขุมขนภายในร่างกายเพื่อให้หายเร็วมากขึ้น แต่น่าแปลกเหมือนร่างกายเขาโดนสูบลมปราณเข้าไปมากมายจนเหนื่อยหอบมันหมุนเข้าไปในร่างกายของลู่เฟย ก่อนจะเวียนกลับมาที่ร่างกายเขามันวนเวียนซ้ำๆ อยู่หลายชั่วยามจนร่างที่ซีดเผือดนั้นเริ่มมีสีสันมากขึ้น
    จิวชงหยวนถอนลมปราณออกมาอย่างเหนื่อยหอบ ใบหน้างามผุดไปด้วยเหงื่อ เขามองร่างสูงและมัดกล้ามโชว์ซิกแพคของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา แม้จะมองอย่างไรก็ไม่เห็นรัศมีเทพที่เคยมี แต่เขามั่นใจได้ว่านี่คือลู่เฟยดูได้จากลมปราณ เพราะลมปราณเขามันคือของลู่เฟยซึ่งเป็นคนฝึกเขามาและมอบให้เขามาเองกับมือ หากไม่ใช่เจ้าของไม่มีทางที่ลมปราณของเขากับคนตรงหน้าจะใช้ร่วมกันได้แน่ แต่เพราะเหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี่
    เวลานี้พลบค่ำมากแล้ว แต่เสื้อผ้าของลู่เฟยยังเปียกชื้นเขาจึงนำเสื้อผ้าที่ซื้อใหม่มาเปลี่ยนให้ ขณะเปลี่ยนชุดกลับเห็นป้ายหยกสีเขียวอ่อนลายมังกรห้อยอยู่ข้างกาย เขาหยิบมันมาดูอย่างพิจารณาดูจากเสื้อผ้าและข้าวของที่ติดตัวเหมือนลูกผู้ดี ทว่าขณะจะเปลี่ยนกางเกงให้อีกฝ่ายใบหน้างามกลับแดงระเรื่อเคอะเขินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆ ที่มันก็มีเหมือนกัน แต่เห็นอาการตัวสั่นของคนตรงหน้าจึงจำใจรีบเปลี่ยนชุดให้อย่างว่องไว
    “ไม่เห็น! วชิระ นายไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” จิวชงหยวนพึมพำหน้าแดงก่ำ และย้ำเตือนชื่อจริงที่เริ่มจะลืมเลือนไปเพื่อย้ำจิตใจตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะถอยห่างออกมาในใจเริ่มสับสนเล็กน้อยสงสัยช่วงนี้เขาโดนตามตื้อบ่อยเกินไปถึงทำให้หัวใจสั่นผิดปกติอย่างนี้
    หลังจากเปลี่ยนชุดให้อีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เสร็จแล้วจึงเริ่มก่อไฟเพื่อคลายความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนให้คนป่วย จากนั้นจึงไปอาบน้ำในลำธารที่ไม่ไกลมากนักเพราะรู้ว่าคนป่วยยังไม่รู้สึกตัว ทำให้วันนี้เขาได้อาบน้ำอย่างเร่งรีบไปบ้าง ก่อนจะกินอาหารมือค่ำคือหมั่นโถวสองก้อน เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาตรวจดูอาการคนไข้อีกครั้ง ร่างสูงสมส่วนนั้นนอนงอตัวสั่นระริกทำให้เขาถอนหายใจยาวมองหาสิ่งที่ให้ความอบอุ่นก็ไม่มี ได้แต่ถอดเสื้อนอกไปคลุมให้อีกตัว และตัวเองก็นั่งเดินลมปราณต่ออีกสองชั่วยามก่อนจะลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงละเมอว่าหนาวๆ อยู่ข้างกาย
    จิวชงหยวนขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะเขาไม่มีอะไรจะมาห่มให้แล้ว ได้แต่เพิ่มฟืนในกองไฟเท่านั้น แต่เจ้าตัวโตนี่ยังบ่นหนาวละเมอไม่หยุด ใบหน้างามแดงระเรือเล็กน้อยเมื่อนึกถึงฉากในนิยาย หวังว่าตัวเองคงไม่ต้องทำอย่างในนิยายหรอกนะ แค่คิดว่าต้องนอนกอดผู้ชายเพื่อให้ความอบอุ่นอีกฝ่ายก็รู้สึกขนกายลุกชันแปลกๆ เสียแล้ว
    “หนาว...หนาว” เสียงที่ดังอย่างแผ่วเบาฟันกระทบกันจนน่าสงสาร จิวชงหยวนมองตามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักลังเลอยู่นานก่อนจะตัดสินใจล้มตัวลงนอนข้างคนตัวโตด้วยใบหน้าแดงก่ำ มือเรียวงามยกขึ้นกอดร่างหนาสั่นเล็กน้อยอย่างหวาดหวั่น  และไม่กล้าจะกอดร่างหนาเต็มร้อยด้วยใจที่ยังเป็นชาย แต่คนตรงหน้าท่าทางจะทรมานอย่างหนักจนอดใจอ่อนไม่ได้
    หมับ!
    จิวชงหยวนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ เมื่อลู่เฟยกอดเขาแน่นอีกทั้งซุกตัวเข้าหาจนแทบกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เขาไม่รู้ว่าตัวเองนอนแข็งค้างไปนานเท่าไรรู้แต่ว่าหัวใจมันเต้นผิดจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขานอนจนตัวเกร็ง ทว่าคนข้างกายกลับดูหลับสบายจนน่าหงุดหงิดไม่รู้เวลาผ่านไปนานอีกเท่าไรที่เขาทำอะไรไม่ได้และหลับไม่ลง เพราะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนแต่ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ทำให้เขาเผลอหลับไปในที่สุด

    หลังจากการนอนหลับเหมือนตายมายาวนาน ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาออกหวานอยู่สามส่วนลืมตาตื่นขึ้นมา อาการปวดร้าวตามร่างกายอีกทั้งเจ็บปวดบาดแผลตามร่าง ดวงตาคมกริบกระพริบตาทวนความทรงจำตัวเองก่อนจะหน้านิ่วคิ้วขมวด ร่างหนาพยายามลุกขึ้นนั่งทว่าติดกับอะไรบางอย่างทำให้เขาก้มมองคนข้างตัวที่นอนกอดกันกลม ดวงตาคมหรี่มองอย่างครุ่นคิดผมยาวสลวยสีดำเข้มปกหน้าตาจนมองไม่เห็น มือหนายกขึ้นปัดปอยผมออกเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหลับตาพริ้มอย่างงดงามชวนให้ตะลึง ใบหน้าหล่อเหลากลับครุ่นคิดอย่างหนัก มองร่างโปร่งบางในอ้อมกอดแต่เมื่อใช้ความคิดอย่างไรก็ไม่สามารถนึกได้อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
    “ใครกัน!” เจ้าตัวพึมพำเบาๆ ทว่ากลับไม่ได้คำตอบ ร่างที่เล็กกว่าตนขยับกายเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นมองเขาอย่างตกตะลึง ร่างนั้นลุกขึ้นนั่งด้วยความเร็วใบหน้าแดงระเรื่ออย่างน่ารักและชวนแปลกตา สายตาคมมองร่างโปร่งบางนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบเฉย
    “เจ้าเป็นใคร”
    คำถามของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง แล้วขยับกายออกห่างมาเมื่อรู้ว่าอยู่ใกล้กันเกินไป ก่อนจะเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาไม่ว่าดูอย่างไรคนตรงหน้าก็คือลู่เฟย
    “ลู่เฟยเจ้าจำข้าไม่ได้หรือ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มของร่างโปร่งบาง ทำให้คนตัวโตกว่าชะงักหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ นี่เขานอนกอดกับบุรุษอย่างนั้นหรือ
    “เจ้ารู้จักข้า” เสียงที่เอ่ยถามนั้นเรียบเฉยออกจะติดเย็นชาเสียด้วยซ้ำไป ทำให้ใบหน้างามขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่คุ้นชิน คล้ายกับว่าเสียงนี้เหมือนกับที่เขาบังคับให้อีกฝ่ายเผยตัวตนไม่มีผิด แต่ก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายว่ารู้จักลู่เฟย แต่หน้าแปลกทำไมคนตรงหน้าถึงทำเหมือนจำเขาไม่ได้
    “แล้วทำไมข้าไม่รู้จักเจ้า” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนนิ่งอึ้งมองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง เพราะเวลาส่วนมากที่เขามาอยู่ในภพนี้ก็อยู่กับลู่เฟยเสียส่วนใหญ่ ห่างกันมาแค่สองอาทิตย์เหตุใดถึงบอกว่าไม่รู้จักเขา
    “เจ้าความจำเสื่อมหรือ” คำถามของคนร่างเล็กกว่าทำให้ลู่เฟยส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
    “ข้ายังได้ว่าตัวเองเป็นใคร” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับเพราะหากอีกฝ่ายจำได้ว่าตนเองเป็นใครแล้วทำไมไม่รู้จักเขา
    “ถ้าจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร ไยถึงถูกทำร้ายจนเกือบตายเล่า” จิวชงหยวนเอียงคอถามและมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาเงียบๆ ทว่าลู่เฟยกลับนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามของเขาได้แต่จ้องมองเขาเงียบๆ จนเขาถอดใจ
    “ช่างเถอะ ไปล้างหน้าล้างตาจะได้ดูแผลว่าเป็นเช่นไรบ้าง” คำสั่งของคนร่างเล็กกว่าตนทำให้คิ้วคมเข้มขมวดมุ่น ทว่าใบหน้านั้นกลับเรียบเฉย
    “เจ้าเป็นใครยังไม่ตอบข้าเลย”
    “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าแกล้งจำข้าไม่ได้หรือว่าจำไม่ได้จริงๆ แต่ชื่อข้าคือจิวชงหยวนเป็นหมอที่ช่วยรักษาเจ้าตอนนี้” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างเหนื่อยใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งหรือไม่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อไปล้างหน้าที่ลำธาร
    โดยมีสายตาของลู่เฟยมองตามนิ่งๆ เขาจำได้ว่าตัวเองชื่อลั่วลู่เฟยเป็นองค์ชายห้าของแคว้นลั่วหยางและไม่รู้จักกับร่างโปร่งบางนั้นมาก่อน แต่น่าแปลกที่เขารู้สึกวางใจและเชื่อใจอีกฝ่ายอย่างไม่มีเหตุผล นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาตื่นมาไม่ทำร้ายอีกฝ่าย ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครเข้าใกล้เขาได้เพียงนี้
    “นี่น้ำ เอาล้างหน้าก่อนจะได้ดูแผล” จิวชงหยวนตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่มาให้อีกฝ่ายล้างหน้าเมื่อเห็นว่ายังนั่งอยู่กับที่ พร้อมยื่นกระบี่ไปให้อีกฝ่ายหลังจากเก็บมาจากริมแม่น้ำ คาดว่าน่าจะเป็นของลู่เฟย แต่น่าแปลกปกติกระบี่ลู่เฟยจะเสกขึ้นเองเหมือนกระบี่บิน แต่ครั้งนี้กลับพกเป็นด้ามมาเลยเพราะดูจากพู่ที่ห้อยกระบี่มันคือหยกลักษณะเดียวกันกับหยกที่ห้อยข้างกายน่าจะเป็นของลู่เฟยไม่ผิด
    ลู่เฟยเหลือบตามองคนร่างเล็กกว่าก่อนจะรับกระบี่ไปไว้ข้างกาย พร้อมรับกระบอกไม่ไผ่มาล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงปล่อยให้คนตรงหน้าทำแผลให้อย่างเงียบๆ และนี่เป็นเรื่องแปลกอีกอย่าง เขาไม่เคยปล่อยตัวปล่อยใจขนาดนี้มาก่อน เขารู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ
    “แผลเริ่มสมานกันแล้วอาจมีปวดร้าวบ้างแต่เดี๋ยวก็หาย ลมปราณเจ้ากับยาข้ารักษาได้ผลเร็วเกินคาด” จิวชงหยวนบอกเบาๆ ขณะตรวจดูแผลก่อนจะรีบพันแผลให้เช่นเดิม เขาได้ใช้ยาวิเศษอย่างดีเพราะเห็นอีกฝ่ายอาการแย่ และยังเป็นคนที่รู้จักด้วยจึงทำให้แผลสมานกันเร็วกว่าที่คิดอีกทั้งไม่มีไข้แล้ว แต่น่าแปลกเป็นเทพมันเป็นไข้ได้เหมือนเมื่อคืนหรือไง ใบหน้างามขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ก่อนจะมองดวงตากริบที่มองมาที่เขาเงียบๆ จนเขาผละออกมาก่อนจะหยิบผลไม้ในย่ามให้อีกฝ่ายสองสามลูกแทนอาหารเช้า
    “ว่าแต่เจ้าลงมาทำอะไรที่โลกมนุษย์” คำถามของคนร่างเล็กกว่าตนทำให้ดวงตาคมมองด้วยความรู้สึกแปลกๆ พูดอย่างกับเขามิใช่มนุษย์อีกทั้งดวงตาที่มองมาปริบๆ นั่นทำให้เขาพูดไม่ออกเช่นกัน แต่ก็ไม่อาจเงียบได้เพราะความสงสัยมันล้นปรี่อยู่ในอก
    “เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า”
    “เง็กเซียนฮ่องเต้มีบัญชาให้เจ้าลงมาที่โลกมนุษย์หรือ” จิวชงหยวนยังเอ่ยถามต่อแต่ปากกัดสาลี่ในมือไปเรื่อยโดยไม่ได้ใส่ใจใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของอีกฝ่าย
    ลู่เฟยมองคนร่างเล็กกว่าอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็รู้สึกสงสารหน้าตาก็ออกงดงามไยถึงวิปลาสได้ มิน่าถึงมาบอกว่ารู้จักเขาที่แท้ก็คนบ้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่การรักษาของจิวชงหยวนผู้นี้นับว่ายอดเยี่ยมเพราะจำได้ว่าก่อนจะตกหน้าผาน้ำตกลงมาเขาบาดเจ็บไม่น้อย เดี๋ยวนะ จิวชงหยวนหมอเทวดาชื่อดังในยุทธภพนี่ ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อคิดว่าคนตรงหน้าอยากเป็นหมอเทวดาจนเป็นบ้าคิดว่าตัวเองเป็นเทพเซียนและยังคิดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดาอีก
    “เจ้าเป็นคนบ้าแต่กลับรักษาข้าได้อย่างดีเยี่ยม ข้าจะพากลับไปที่วังด้วยแล้วกัน” คำพูดของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนสำลักสาลี่จนใบหน้าแดงก่ำ ร้อนให้ลู่เฟยหยิบน้ำในถุงหนังมายื่นให้อีกฝ่ายด้วยความเร็ว
    “ไม่ต้องรีบก็ได้ข้าไม่แย่งเจ้ากินหมดหรอก” คำกล่าวของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนที่ดื่มน้ำไปอึกใหญ่หันมามองตาขวาง
    “คนบ้าบ้านเจ้านะสิ ข้าอุตสาห์รักษาเจ้าดูแลเจ้าทั้งคืนแต่มากล่าวว่าข้าเป็นบ้ารู้ รู้สึกช่วงนี้ข้าจะทำดีไม่ขึ้นเลยจริงๆ ให้ตายสิ” จิวชงหยวนหันไปว้ากใส่ลู่เฟยอย่างโมโห ก่อนจะพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด
    “โดยการกอดข้าทั้งคืนนะหรือ” น้ำเสียงที่เรียบเฉยของอีกฝ่ายแต่แววตาที่หรี่มองมาทำให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างอีกรอบ ได้แต่ฮึดฮัดในใจเพราะเวลาอยู่กับลู่เฟยทีไรเขาเถียงไม่ออกทุกที
    ลู่เฟยมองคนร่างเล็กกว่าตนแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปากเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาเรียบเฉยเช่นเคย ใบหน้างดงามดูบูดบึ้งและยังทำปากขมุบขมิบคล้ายนินทาเขาในใจ ทำให้เขายิ้มขำไม่ได้ แม้คนตรงหน้าจะวิปลาสแต่เขากลับรู้สึกสบายใจ ในใจเขาบอกว่าคนตรงหน้าไว้ใจได้เสมอ ไม่รู้ทำไมคิดเป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน สักวันเขาต้องได้คำตอบอย่างแน่นอน
    “แล้วนี่เจ้าจะไปไหนต่อ จะกลับสวรรค์หรือไปที่ไหน” จิวชงหยวนหันไปถามอีกครั้งเมื่อดับไฟที่ก่อไว้เมื่อคืนเรียบร้อยแล้ว
    “อืม กลับสวรรค์ เจ้าต้องไปกับข้าด้วย” คำตอบที่ได้รับทำให้เขาหน้าเหวออย่างตกใจ เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่เคยไปยังสวรรค์เสียด้วยซ้ำไป เพราะอยู่แค่หุบเขาแห่งเซียนเท่านั้น
    ลู่เฟยเหลือบตามองร่างเล็กแล้วหัวเราะฮึในใจ เพราะอย่างไรวังที่เขาอยู่ก็เปรียบเหมือนสรวงสวรรค์ในโลกมนุษย์แล้ว แต่ต้องชะงักเมื่อร่างเล็กคัดค้าน
    “จะบ้าหรือไง ข้าได้รับคำสั่งให้มารักษาคนโลกมนุษย์อยู่เฉยๆ จะให้ไปสวรรค์มันไม่มีเหตุผลเลยนะ”
    “คำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้สั่งให้เจ้าไปกับข้า แล้วไม่ต้องถามตามมาเงียบๆ แล้วกัน” ลู่เฟยลองเล่นกับคนบ้าใบ้ดูบ้าง และเหมือนคนจิวชงหยวนจะเชื่อฟังแม้ใบหน้าจะดูแปลกใจก็ตาม
    ทั้งคู่เดินทางออกจากป่ามาเรื่อยๆ ก่อนจะถึงหมู่บ้านเล็กๆ ลู่เฟยซื้อม้าตัวใหญ่พันธุ์ดีมาหนึ่งตัวเพราะจิวชงหยวนขี่ม้าไม่เป็นและมันก็เป็นเรื่องที่เขาเจ็บใจไม่น้อย อย่างอื่นทำเป็นทำได้หมดแต่ไม่มีคนสอนขี่ม้ามาก่อน รู้สึกอนาถใจก็ครานี้
     เพราะต้องมาตกอยู่ในอ้อมกอดผู้ชายตัวโตบนหลังม้าเดียวกันอย่างไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจนัก ได้แต่นั่งตัวเกร็งอยู่ด้านหน้าโดยลู่เฟยเป็นคนบังคับม้า แม้จะแปลกใจว่ากลับสวรรค์มันต้องใช้ม้าด้วยหรือ แล้วทำไมไม่หายตัวไปเลย เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ชอบกล และเขาก็ไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโดนหลอกแต่ก็ไม่ได้ทักท้วง เพราะเขาก็อยากรู้ว่าลู่เฟยตกลงมันความจำเสื่อม จำเขาไม่ได้หรือแท้จริงแล้วตั้งใจแกล้งเขากันแน่ แต่โดนแกล้งมาตั้งแปดเดือนแล้ว โดนแกล้งอีกหน่อยคงไม่เป็นหรอกกระมั้ง...



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 9 เข้าวังหลวง
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 12:48:43
บทที่ 9
เข้าวังหลวง
    

            ลู่เฟยพาจิวชงหยวนขี่ม้ามุ่งหน้ามาทางเหนือ จากเมืองหางโจวเป็นเวลาสามวันสามคืน และตลอดเวลากลับมีเหล่านักฆ่ามากมายตามล่าไม่หยุดหย่อน แม้จะตายไปกว่าห้าสิบคนแต่กลับถูกส่งมาเรื่อยๆ เหมือนมันไม่วันหมด เวลาพักแทบจะไม่มีเพราะหยุดเมื่อไหร่พากันมาอีกเพียบ ไม่รู้ว่าลู่เฟยไปก่อเรื่องกับผู้ใดกัน แม้เขาจะไม่ค่อยได้ออกแรงนอกจากคอยหลบหลีกอย่างเดียวโดยมีลู่เฟยปกป้อง แต่วรยุทธของลู่เฟยกลับลดลงไปเหลือไม่ถึงเศษเสี้ยวตอนเป็นเทพด้วยซ้ำไป แต่ก็สามารถจัดการพวกนักฆ่าไปได้หมดทุกคน แม้จะอยากช่วยแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าเขามีวรยุทธ น่าแปลกเกินไป
    “เจ้าไม่เป็นไรนะ” เสียงเรียบที่เอ่ยถามแววตาเย็นๆ ที่มองมาเริ่มทำให้เขาชิน เพราะสามวันมานี้ก็เห็นสีหน้าเดียวตลอด มันเรียบนิ่งไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มดั่งเคยเห็น
    “ข้าแค่หลบตามแรงกระชากของเจ้าจะเป็นอะไรเล่า ว่าแต่เจ้าเถอะแผลฉีกขาดหมดแล้วกระมัง” จิวชงหยวนตอบรับอย่างหงุดหงิดที่คนตรงหน้าคิดว่าเขาอ่อนแอ จนต้องคอยปกป้องจับแขนเขาดึงหลบคมดาบเกือบตลอดเวลา ดีแต่มันมาคราวละสองสามคนจึงไม่ยากที่จะจัดการ
    “ข้าไม่เป็นไร เรารีบเดินทางเถอะข้าจะได้ไปจัดการพวกลอบกัดสักที” แม้เสียงจะฟังดูเรียบเฉยแต่แววตาเย็นเฉียบทำให้จิวชงหยวนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเพราะเริ่มจะคุ้นเคย ตอนนี้เขาเริ่มมั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าคนตรงหน้าจำเขาไม่ได้จริงๆ แต่น่าแปลกที่เก็บเขามาด้วย
    และเป็นอีกครั้งที่จิวชงหยวนต้องมานั่งม้าตัวเดียวกับเขาอีกครั้งหลังจากจัดการพวกนักฆ่าไปหมดแล้ว มือหนาโอบกอดเอวเขาไว้แน่นจนเขาตัวเกร็งเงยหน้าเหลือบตามองดุๆ อย่างขัดใจ แต่ลู่เฟยกลับทำเมินเฉยพร้อมกระตุกม้าให้เร็วขึ้นมากกว่าปกติ ทำให้เขาต้องจับแขนอีกฝ่ายไว้แน่นเพราะกลัวจะตก แม้จะไม่มีประสบการณ์ตกม้าแต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก
    ความเหนื่อยล้าจากการเร่งเดินทางสามวันสามคืน ทำให้ร่างโปร่งบางในอ้อมกอดเผลอพิงอกลู่เฟยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว ลู่เฟยก็กอดเอวบางไว้แน่นยิ่งขึ้น สามวันมานี้ทำให้เขาได้รู้ว่าคนร่างเล็กกว่าตนนั้นเป็นคนเช่นไร แม้จะปากแข็งตาดุแต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งตอนเขานิ่วหน้าเจ็บแผลยิ่งเข้ามาดูแผลและทำแผลให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บ่นให้เขาฟังจนหูชาว่าออกแรงเยอะแผลฉีกบ้าง แล้วก็อีกมากมายจนเขาเริ่มชิน
    แม้ตอนแรกจะหงุดหงิดไปบ้างเพราะไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน เนื่องจากไม่มีใครกล้ามาบ่นเขาเสียมากกว่า แต่ไม่รู้ทำไมช่วงหลังๆ มานี่เขากลับชอบฟังเสียงจิวชงหยวนบ่นก็ไม่รู้ สงสัยเขาจะวิปลาสเหมือนร่างโปร่งบางในอ้อมกอดแล้วกระมัง และสามวันนี้เขาไม่ได้ยินจิวชงหยวนพูดจาแปลกอย่างเช่นสวรรค์เทพเซียนอีกเลยนับว่าน่าแปลก
    เพียงสองชั่วยามลู่เฟยก็มาถึงเมืองหลวงลั่วหยาง เพียงเขาปรากฏตัวประตูเข้าวังก็ถูกเปิดออกให้อย่างรวดเร็ว แม้จะสงสัยคนในอ้อมกอดของเขาแต่กลับพากันก้มหน้าหลบตากันหมด
      ม้าที่วิ่งช้าลงจนกลายเป็นเดินไปตามทาง ทำให้จิวชงหยวนลืมตาตื่นอย่างเหนื่อยล้าแต่เมื่อรู้ตัวยังพิงหลังคนข้างหลังทำให้ยืดตัวตรงด้วยความเร็ว แอบตกใจตัวเองที่เผอเลอจนอิงแอบอีกฝ่ายเหมือนผู้หญิงไปซะได้ แต่ภาพเบื้องหน้าทำให้เขาอ้าปากค้างลืมขอโทษคนข้างหลังเสียสนิท นี่มันวังไม่ใช่หรือไง   
    “ที่นี่ที่ไหน” เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่ามันคือวังแต่เอ่ยย้ำเพื่อความแน่ใจเท่านั้น แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหันขวับมามองตาขวาง
    “สวรรค์ไงไม่รู้จักเหรอ ก็บอกแล้วนี่ว่าพามาสวรรค์” ลู่เฟยกล่าวพร้อมยกยิ้มที่มุมปากแต่เพียงชั่วครู่จนแทบมองไม่ทัน เขาลงจากหลังม้าก่อนจะตวัดอุ้มร่างเล็กกว่าตนลงมาด้วย
    แต่เมื่อนั่งมานานทำให้จิวชงหยวนทรุดตัวลงกับพื้น ดีแต่ว่ามือหนาช่วยประคองให้ยืนคงที่ แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิดเพราะสามวันมานี่รู้สึกว่าเขาจะเปลืองเนื้อเปลืองตัวบ่อยเกินไป
    “องค์ชายท่านไปที่ใดมาทุกคนต่างตามหาท่านจนทั่งทั้งวัน จะประกาศตามหาข้างนอกก็กลัวว่าพระองค์จะได้รับอันตราย” องค์รักษ์ที่ถูกทิ้งไว้วิ่งเข้าหาด้วยความเร็วเมื่อรับรู้ว่าองค์ชายกลับมา
    “พี่รองไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าชวนข้าไปล่าสัตว์เพียงลำพัง” น้ำเสียงที่เอ่ยถามเหมือนเรียบเฉย แต่คนฟังกลับรู้สึกหนาวสะท้านอีกทั้งดวงตาที่เย็นเยือกจนทำให้ผู้คนรอบตำหนักหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามกัน
    “ลู่เฟย ข้าเหนื่อยข้าหิว” จิวชงหยวนพูดแทรกอย่างหงุดหงิดดวงตาเรียมคมมองอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้เขาอยากจะล้มตัวนอนจะตายอยู่แล้ว จากการนั่งม้าติดกันตลอดสามวันสามคืนทำให้ก้นเขาปวดร้าวระบมจนแทบขยับไม่ได้แล้ว และก็ไม่ได้สนว่าคนตรงหน้าเป็นใครมาจากไหน ในเมื่อลากเขามาด้วยจะต้องรับผิดชอบการเหนื่อยและหิวของเขาด้วย
    ลู่เฟยหันมามองคนข้างกายแล้วยิ้มที่มุมปากนิดๆ เพราะยิ่งเจ้าตัวอารมณ์เสียและหงุดหงิดมันยิ่งทำให้รู้สึกสนุก แต่เวลานี้เขาก็รู้ว่าจิวชงหยวนเหนื่อยมากแค่ไหนอีกทั้งไม่เคยขี่ม้ามาก่อน มาถึงนี้ได้นับว่าเก่งแล้ว
    “ตามมา ซือกวางให้คนหาอาหารมาที่ตำหนักข้าด้วย” ลู่เฟยบอกร่างโปร่งบางก่อนจะหันไปบอกองค์รักษ์ แล้วสะบัดชายผ้าเดินไปทางตำหนักตัวเอง เขาต้องทำให้เจ้าตัวเล็กหายโมโหก่อนแล้วค่อยไปจัดการปัญหาเรื่องนี้และมันก็คงไม่สายเกินไป
    จิวชงหยวนเดินตามอย่างเหนื่อยๆ ไม่ได้สนใจสายตาผู้ใดมองมาในใจตอนนี้แค่อยากอาบน้ำกินข้าวนอนเท่านั้น เรื่องอื่นค่อยไว้คุยทีหลัง
    เมื่อมาถึงที่ตำหนักจิวชงหยวนก็ถูกนางกำนัลลากไปอาบน้ำ แต่มีหรือว่าเขาจะยอม เกิดมายังไม่เคยแก้ผ้าให้ใครเห็นเลย แล้วนางกำนัลที่นี่มีแต่สาวๆ ทั้งนั้น เขาได้แต่ไล่พวกนางออกไปแต่พวกนางกลับก้มหน้าคุกเข่าตัวสั่นบอกว่าหากไม่ทำตามคำสั่งพวกนางจะโดนลงโทษ จนเขาต้องไปบังคับลากลู่เฟยมาลากพวกนางออกไป กว่าจะได้อาบน้ำก็เหนื่อยจนไม่มีแรงจะพูดก่อนจะลากสังขารมาที่โต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือบตามองเจ้าของบ้านที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วและเริ่มลงมือกินแบบไม่เกรงใจคนร่างสูงตรงหน้า เมื่อกินอิ่มแล้วจึงเดินหนีอย่างไม่สนใจผู้ร่วมโต๊ะ ลากขาไปนอนบนเตียงของลู่เฟยอย่างไม่ต้องขออนุญาต
    ลู่เฟยมองตามร่างโปร่งที่ตาเหมือนจะปิดอยู่รอมร่ออย่างนึกขำ เจ้าตัวพาร่างตัวเองไปนอนแมะที่เตียงนอนเขาอย่างไม่สนใจเขาเลยสักนิด แม้จะแปลกใหม่แต่เขากลับไม่ได้รังเกียจคนบ้าใบ้ตรงหน้าแต่กลับทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เวลาอยู่กับชงหยวนเขารู้สึกว่าตัวเองจะแสดงสีหน้าออกมาบ่อยครั้งและดูเหมือนชงหยวนจะไม่หวาดกลัวเขาด้วยซ้ำไป
    องค์รักษ์ทั้งสองได้แต่มองตามอย่างตกตะลึง ที่ร่างโปร่งบางนั่นทำตัวน่าตายนัก ไม่กลัวโทษอาญาแม้แต่น้อย ที่สำคัญคนผู้นั้นไม่เห็นหัวองค์รักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างอย่างพวกมันแม้แต่น้อย และที่น่าแปลกองค์ชายผู้เลือดเย็นไม่แม้แต่จะว่ากล่าวด้วยซ้ำไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
    “ซือกวาง ซือหมิง องค์ชายรองมาบอกเสด็จพ่อว่าเช่นไร”
    “เรียนองค์ชาย องค์ชายรองมาบอกฝ่าบาทว่าพระองค์ไปล่าสัตว์ด้วยกันแล้วพลัดหลงกันพะยะค่ะ ฝ่าบาทเลยมีรับสั่งตามหาโดยที่องค์ชายรองเป็นคนจัดการพะยะค่ะ” คำตอบที่ได้รับทำให้ลู่เฟยยิ้มเย็น
    “ฮึ ตามหางั้นรึ!” แม้จะแผ่วเบาทว่ากลับทำให้คนฟังหนาวสะท้าน ลู่เฟยยกจอกชากรอกลงลำคอด้วยแววตาเลือดเย็น ก่อนจะลุกขึ้นไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิลั่วหยางฟง...
    
             แม้ครั้งนี้จะรู้ว่าผู้ใดเป็นคนบ่งการอยากได้ชีวิตเขา แต่ลู่เฟยกลับไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาความผิดอีกฝ่ายด้วย อีกอย่างพวกนักฆ่าก็ตามหมดไม่ยอมเปิดปากพูดสักคนเดียว ยิ่งตอนนี้จักรพรรดิลั่วหยางฟงเจ็บป่วยบ่อยครั้งศึกชิงบัลลังก์ก็เริ่มดุเดือดมากขึ้นเท่านั้น พี่น้องกันต่างหวาดระแวงกันเอง แต่ก็ยังมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกตามความสนับสนุนของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แม้ลู่เฟยจะไม่คิดชิงบัลลังก์แต่ผลงานเขาก็โดดเด่นกว่าพี่น้องคนอื่นๆ จึงถูกลอบสังหารอยู่บ่อยครั้ง องค์รัชทายาทที่จักรพรรดิแต่งตั้งเพราะเป็นบุตรของฮ่องเฮา แต่กลับอ่อนแอทำให้หลายฝ่ายต่างหันเข้าหาองค์ชายองค์อื่นๆ
    ลู่เฟยกลับตำหนักอีกครั้ง แต่ตอนนี้ร่างโปร่งบางจับจองเตียงนอนเขาเรียบร้อยแล้ว ดวงตาคมมองร่างโปร่งบางที่ดูคล้ายอิสตรี แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว ผิวพรรณดูผู้ดีมีอันจะกินมากกว่าจะเป็นคนบ้าหลงอยู่ในป่า มีหลายสิ่งที่สงสัยแต่หากเอ่ยถามใช่ว่าจะได้คำตอบที่แท้จริง ร่างสูงเตรียมล้มตัวนอนลงข้างกาย ทว่ากลับต้องกระเด็นตกอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตาคมเบิกกว้างแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่บอกให้รู้ว่าตกใจ
    จิวชงหยวนถีบเขา!
    และเหมือนเจ้าตัวจะละเมอเสียด้วยซ้ำเพราะใบหน้านั้นยังหลับตา แต่คิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ลู่เฟยลุกขึ้นยื่นมองคนที่กล้าถีบเขาด้วยสายตายากจะบรรยาย จะนอนด้วยก็โดนถีบออกแล้วเขาจะไปนอนที่ไหนดีล่ะ ไปพักกับชายาก็ยังไม่มีกับเขาสักคนเพราะไม่ชอบวุ่นวาย จะไปห้องข้างๆ ก็กลัวองค์รักษ์จะแตกตื่น ตกลงเขาเป็นเจ้าของห้องหรือเป็นแขกรับเชิญกันนะ ลู่เฟยส่ายหน้าอย่างขัดใจก่อนจะนั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง ทว่าต้องหลบอย่างเร็วเพราะเจ้าตัวเล็กกว่าเข้าวาดขามาอย่างรวดเร็ว พร้อมบ่นงึมงำ ลู่เฟยส่ายหน้ามองตามอย่างหงุดหงิดเพราะสามวันมานี่เขาก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน
     ร่างสูงเดินจากไปอย่างจนใจเมื่อคิดว่าไม่ทีทางได้นอนเตียงตัวเองแล้ว เมื่อพ้นหลังของลู่เฟยใบหน้างดงามที่ควรจะหลับเปิดเปลือกตามองตามหลังแล้วแสยะยิ้มอย่างสะใจ ฝันไปเถอะจะได้นอนกอดเขาแค่สามสี่วันมานี่ก็เสียหายมามากพอแล้ว เมื่อรู้ว่าไม่มีคนมาเบียดที่นอนก็ดึงผ้าห่มมาคลุมหัวหลับต่ออย่างสบายอารมณ์

    เช้าวันรุ่งขึ้นจิวชงหยวนตื่นมาแต่เช้าอาบน้ำเปลี่ยนผ้าชุดใหม่ โดยที่นางกำนัลหามาให้ อาหารเช้าเขาก็ได้กินพร้อมกับลู่เฟย ที่สอบถามกับนางกำนัลได้ความมาว่าคนตรงหน้าเขานี้เป็นถึงองค์ชายห้าของแคว้นลั่วหยางและอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด มีพระมารดาเป็นถึงพระราชชายากุ้ยเฟยมีตำแหน่งรองลงมาจากหวงกุ้ยเฟยเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจเท่าที่ทำไมคนตรงหน้าชื่อเหมือนแม่ทัพสวรรค์ลู่เฟย และยังมีใบหน้าส่วนสูงเหมือนกันราวพิมพ์เดียวกัน แม้นิสัยจะแตกต่างกันแต่เขากลับคิดว่าอย่างไรก็คนเดียวกันอยู่ดี
    หลังจากกินข้าวอิ่มแล้วลู่เฟยก็พามาเดินย่อยอาหารที่สวนตำหนักดอกท้อ พร้อมนั่งดื่มชาเล่นที่เก๋งจีนที่เข้ากับบรรยากาศรอบกาย อีกทั้งมีสระดอกบัวอยู่ไม่ห่างทำให้มองแล้วสบายใจมากขึ้น จิวชงหยวนหยิบขลุ่ยหยกขึ้นมาให้อีกฝ่ายดูเพื่อไขความข้องใจบางอย่าง
    “เจ้าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่” ลู่เฟยมองขลุ่ยหยกเนื้อดีที่ราคาคงแพงมากแต่ว่าโลกนี้จะมีผู้ใดทำสิ่งของที่งดงามกว่าขลุ่ยหยกและกำไลหยกที่เจ้าตัวสวมอยู่อีกหรือ มือหนารับมามองอย่างพิจารณา เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าอยากสื่ออะไร แต่ขลุ่ยนี้กลับทำให้หัวใจที่เยือกเย็นเขาอ่อนวูบดวงตาฉายแววอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว ‘จิวชงหยวน’ นั่นคือชื่อที่อยู่ในขลุ่ยและมันก็เป็นชื่อเดียวกับคนร่างเล็กที่แอบอ้างชื่อนี้มาใช้ด้วย
    “มันงดงามจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น” คำตอบจากใจจริงพร้อมดวงตาคมกริบเงยหน้ามองคนงามที่หรี่สายตามองเขาอย่างครุ่นคิด
    “มันคือของหมั้นข้า” จิวชงหยวนหยั่งเชิง ทว่าคนฟังกลับทำหน้าดุมองเขาและหยกในมือด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกก่อนจะส่งคืน
    “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการสื่ออะไรชงหยวน” จิวชงหยวนรับขลุ่ยกลับคืนมาก่อนจะหมุนไปมาในมือเล่น มองคนที่สายเย็นชาอย่างครุ่นคิด หรือว่าแค่คนที่เหมือนกันเฉยๆ กัน เมื่อไม่ได้คำตอบเจ้าตัวจึงลองบรรเลงเพลงขลุ่ยอีกครั้งเพลงในความทรงจำในอดีตถูกขุดออกมาบรรเลง เพลงที่หวานละมุนก่อนจะเศร้าหมองลงเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว ความสุขความเหงาและทอดทิ้งอารมณ์เพลงลึกล้ำทำให้หัวใจลู่เฟยกระตุกพร้อมภาพบางอย่างฉายผ่านตาแต่ก็เลือนลางจนจับภาพนั้นไม่ได้ เขามองคนที่บรรเลงนิ่งๆ ทว่าหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นความทรงจำบางอย่างเหมือนเลือนหายไปไม่ให้จดจำ
    เพลงจบลงทว่าคนฟังยังนิ่งเฉย จิวชงหยวนหันมามองเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายพูดอะไรนอกจากแววตาสับสนบางอย่างและหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาเก็บขลุ่ยหยกไปในอกเสื้อเช่นเดิมในเมื่อเจ้าของจำไม่ได้เขาก็ไม่อยากรื้อฟื้นและนั่นเขาคงจะได้เป็นอิสระ แค่คิดใบหน้าที่นิ่งเฉยก็ยิ้มออกมาบางๆ ยกจอกชาจิบอย่างยินดีปรีดา
    “ถึงข้าจะจำอะไรไม่ได้ แต่ข้ามั่นใจว่าข้าหมั้นเจ้าไว้” คำพูดที่ทำลายความฝันอย่างจังของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนสำลักน้ำชาพ่นน้ำชาออกมาจนใบหน้าเปียกชุ่ม ลู่เฟยส่ายหน้าหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้อย่างแผ่วเบา จิวชงหยวนชะงักด้วยความตกใจ ก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเองพร้อมหลบมือหนานั้นด้วยใบหน้าแดงก่ำแล้วเถียงกลับโมโห
    “เจ้าพูดเรื่องอะไร คนที่หมั้นข้าไม่ใช่เจ้าอย่ามาทำเป็นพูดดี อีกอย่างดูปากข้าให้ชัดๆ ว่าข้าเป็นผู้ชาย!”
    “ข้าไม่ถือ” คำตอบที่ได้รับแทบทำให้จิวชงหยวนอยากจะผ่าสมองอีกฝ่ายออกมาดู ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    “เจ้าไม่ถือแต่ข้าถือ ข้ายังชอบผู้หญิงอกโตๆ นมโตๆ ไม่ใช่ชายร่างสูงโปร่งแต่หนากว่าข้าเช่นนี้” คำพูดของคนตัวเล็กกว่าตนทำให้ลู่เฟยหรี่ตามองแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงออกเย้ยหยัน
    “เจ้างดงามกว่าพวกชายาในวังหลวงนี้เสียอีก จะมีผู้หญิงที่ไหนสนใจเจ้า อีกอย่าง...” สายตาคมนั้นกลับมองเขาตั้งแต่หัวจดปลายเท้าจนคนถูกมองขากระตุกอยากจะแตะคนเหมือนเมื่อคืนอีกสักครั้ง
    “เจ้าจะได้เป็นเมียข้ามากกว่าจะไปเป็นสามีคนอื่นเสียอีก” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงก่ำอย่างโมโห แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งเถียงคนหน้าตายหน้าด้าน ที่มองเขานิ่งๆ อย่างไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ คล้ายกับสนุกที่เห็นเขาโมโห
    “ใครจะไปเป็นเมียเจ้า ข้าเป็นผู้ชายและยังชอบผู้หญิงเจ้าหูหนวกตาบอดหรือไง ข้าจะได้ช่วยรักษาให้”
    “เฮอะ ไม่พูดกับเจ้าแล้วว่าแต่แผลเจ้าหายยัง” จิวชงหยวนเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อลดความหงุดหงิดของตัวเองแต่กลับทำให้คนตัวโตหรี่ตามองแล้วยิ้มที่มุมปากนิดๆ ก่อนจะเลือนหายไป
    “เจ้าห่วงข้าหรือ” คำถามที่ได้ฟังทำให้จิวชงหยวนกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ ได้แต่ด่าขมุบขมิบเบาๆ อย่างทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีเสียงเรียกพร้อมเสียงเหนื่อยหอบของขันที
    “องค์ชายห้าพระชายาจางกุ้ยเฟยโดนยาพิษพะยะค่ะ” เสียงแหบแห้งปนกับเสียงเหนื่อยหอบของคนรายงานทำให้ลู่เฟยลุกพรวดด้วยความตกใจ
    “พวกเจ้าเรียกหมอหลวงไปดูเสด็จแม่หรือยัง”
    “เรียกแล้วพะยะค่ะ แต่อาการพระชายามิดีขึ้น หมอหลวง...” โดยไม่ต้องพูดจบร่างสูงก็พุ่งพลิ้วหายไปด้วยความเร็วปล่อยให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองตามอย่างตกใจ แล้วรีบวิ่งเข้าไปเอายาของตัวเองและใช้กำลังภายในตามหลังลู่เฟยไป แต่สุดท้ายก็พลัดหลงจนต้องใช้ประสาทสัมผัสเร่งเร้าจากสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะรีบทะยานไปยังจุดหมายที่ได้ยินเสียงร่ำร้องตกใจห่างจากตำหนักไปทางตะวันตก
    “เสด็จแม่เป็นเช่นไรบ้างพะยะค่ะ” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างร้อนรนใบหน้าที่งดงามซีดเผือดริมฝีปากม่วงคล้ำ
    “หมอหลวงทำไมไม่ปรุงยาแก้พิษให้เสด็จแม่อีกฮะ!”
    “องค์ชายกระหม่อมสมควรตายที่ไม่ปรุงยาแก้พิษชนิดนี้ได้”
    “ว่าเยี่ยงไรนะ เจ้าเป็นหมอหลวงเหตุใดแก้พิษให้เสด็จแม่ไม่ได้!” ลู่เฟยตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบทำให้คนที่คุกเข่าตัวสั่นอย่างหวาดกลัว
    “ลู่เฟยอย่าได้โทษพวกเขาเลย ยาชนิดนี้มาจากชนกลุ่มน้อยทำให้เมืองหลวงไม่รู้จักคุ้นเคย” เสียงที่หวานล้ำอ่อนโยนกล่าวอย่างอ่อนแรง จิวชงหยวนพุ่งเข้ามาโดยไม่ได้สนใจคนข้างนอกที่ร้องโวยวายไม่ให้เข้าไป
    “เป็นไงบ้างลู่เฟย” ลู่เฟยหันไปมองคนร่างเล็กที่พุ่งพรวดเขามาด้วยสายตาเย็นเฉียบด้วยความโกรธแค้น จิวชงหยวนมองตามแล้วส่ายหน้าเพราะความแค้นใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี อีกอย่างมารดาเขายังไม่ตายเสียหน่อย ทหารที่กรูเข้ามาหมายจะจับหยุดชะงักเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้ารู้จักองค์ชายห้าอีกทั้งยังเรียกชื่อสนิทสนมอย่างไม่กลัวหัวขาดแม้แต่น้อย
    จิวชงหยวนเดินเข้าไปใกล้ทั้งคู่ก่อนจะจับชีพจรของคนที่นอนด้วยอ่อนแรงมองเขาด้วยสายตาสงสัย
    “บอกให้เขาออกไปให้หมอเหลือแค่เจ้าคนเดียวก็พอ” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยิ่งทำให้ทุกคนอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง แต่เมื่อได้รับคำสั่งยิ่งทำให้ตกตะลึง
    “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
     เมื่อทุกคนออกไปหมดจึงนั่งลงที่เตียง แล้วประคองร่างอรชรที่อายุร่วมสี่สิบปีแล้วแต่ยังงดงามขึ้นมา จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยที่มองด้วยสายตาเจ็บปวดแต่พอมองคนร่างเล็กกว่ากลับทำให้เขาวางใจ
    “ลู่เฟยเจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่” แววตาเรียวจ้องมองอย่างจริง ลู่เฟยมองสบตาก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
    “ข้าเชื่อใจเจ้า” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนยิ้มบางก่อนจะสกัดจุดตามร่างอรชรด้วยความเร็ว โดยมีสายตาลู่เฟยที่มองอย่างคาดไม่ถึงว่าจิวชงหยวนมีวรยุทธ หลังจากสกัดจุดเรียบร้อยแล้วจึงส่งลมปราณขับไล่พิษและโลหิตพิษบางส่วนออกมา พิษสิบแปดแมงมุมเข็มทอง เพียงไม่นานร่างอรชรก็กระอักโลหิตที่เสียออกมา นางมองคนที่ช่วยชีวิตนางด้วยความแปลกใจ
    “ยานี้ยาแก้พิษอีกครั้งพะยะค่ะ” จิวชงหยวนบอกกล่าวพร้อมยาเม็ดหนึ่งให้นางกิน รออีกหนึ่งเค่อแล้วค่อยให้ยาบำรุงอีกหนึ่งเม็ด ตอนนี้ใบหน้างดงามของคนเป็นหมอเหงื่อไหลโทรมด้วยความเหนื่อยเพราะต้องส่งลมปราณไปขับไล่ และลมปราณเขายังไม่ฟื้นดีหลังจากถ่ายลมปราณไปช่วยลู่เฟิงเมื่อห้าวันก่อน
    ลู่เฟยมองคนร่างเล็กอย่างเป็นห่วงยื่นชายเสื้อไปซับเหงื่อให้อย่างลืมตัวก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสายตาดุของคนงามตวัดมา กิริยาของทั้งคู่อยู่ในสายตาของพระชายาจางกุ้ยเฟยตลอดเวลาใบหน้านางเริ่มมีสีระเรื่อขึ้นมาบ้างแล้ว จิวชงหยวนจับชีพจรนางอีกครั้งก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ
    “ตอนนี้พระชายาปลอดภัยแล้วพะยะค่ะ ทานอาหารบำรุงหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น หม่อมฉันขอไปพักก่อน” คนเป็นหมอบอกด้วยใบหน้าซีดเผือด ลู่เฟยขยับมาประคองร่างโปร่งบางที่เอนเอียงเหมือนใครมาปิดสวิทไฟ แต่คนเป็นหมอต้องอดทน ต่อให้ไม่ไหวก็ต้องไหวไม่งั้นเสียชื่อหมอเทวดาหมดกันพอดี
    “ชงหยวน!”
    “ข้าไม่เป็นไรแค่ใช้พลังยุทธไปมาก แต่แค่นี้ยังไม่มากกว่าที่เจ้าสูบของข้าไปหรอก” คำตอบของร่างบางทำให้ลู่เฟยหน้านิ่ว
    “เจ้าเอาพลังยุทธช่วยข้าหรือ” จิวชงหยวนนั่งลงบนเก้าอี้มองคนถามแล้วตอบกลับอย่างเหนื่อยๆ
    “เจ้าคิดว่าเจ้าที่บาดเจ็บสาหัสโดนพิษเหมันต์นิรันดร์ร่วมกับพิษสิบแปดแมงมุมเข็มทอง จะยังมีชีวิตรอดหรือไง หากไม่โชคดีเจอข้าคงได้ไปปรโลกแล้ว” จิวชงหยวนตอบกับอย่างเหนื่อยๆ ที่ลู่เฟยมั่นใจตัวเองจนเกินเหตุ บอกไว้ไม่ใช้ทวงบุญคุณแต่อยากจะบอกว่าจะทำอะไรอย่าได้ประมาท
    “ข้าเข้าใจแล้วข้าจะไม่ประมาทเป็นครั้งที่สอง” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนมองอย่างแปลกใจ สรุปมันเข้าใจเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
    “ฝ่าบาทเสด็จ”
    เสียงประกาศของขันทีทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้า เขาไม่พร้อมจะเจอผู้ใดตอนนี้เพราะมันเหนื่อยจนแทบจะล้มทั้งยืนแล้ว
    “ลู่เฟยพาท่านหมอไปพักเถอะแม่ไม่เป็นไรแล้ว” พระชายาจางกุ้ยเฟยบอกด้วยรอยยิ้มบางมองคนที่เป็นหมอแต่งดงามเกินหญิงอย่างขอบคุณ และรู้ว่าหมอเทวดาท่านนี้เหนื่อยล้าจากการรักษาบุตรตนและยังรักษาตนอีก ลู่เฟยพยักหน้ารับก่อนจะตวัดอุ้มจิวชงหยวนที่อ้าปากค้างตกใจแล้วพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็ว ก่อนบิดาจะเข้ามามีเพียงสายลมที่พัดผ่านจักรพรรดิขณะเดินเข้ามาหาเท่านั้น บ่งบอกวรยุทธที่สูงล้ำของคนใช้วิชาตัวเบา
    จิวชงหยวนอ้าปากค้างที่ถูกอุ้มเหมือนเจ้าหญิง เมื่อมาถึงห้องก็ได้แต่มองคนอุ้มตาขวางอย่างหงุดหงิด
    “เจ้าไปหาแม่เจ้าได้แล้ว ข้าจะเดินลมปราณภายในเจ็ดราตรีห้ามให้ใครรบกวนข้า เพราะไม่เช่นนั้นพลังยุทธข้าจะไม่กลับคืนมา” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังและสลัดความไม่พอใจออกไปเพราะเขาเสียพลังยุทธไปมากโขกับสองแม่ลูก ความจริงใช้แค่ยาก็พอแล้วแต่เขาเห็นว่าอาการหนักจนอาจจะไม่รอดจึงใช้วิธีนี้ แม้พลังวัตรจะคืนมาเหมือนเดิมแต่ต้องเสียเวลาไปอีกเจ็ดราตรี โดยไม่รู้เลยว่าหากเป็นผู้อื่นต้องใช้เวลายาวนานกว่าครึ่งชีวิต
    ลู่เฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแม้จะไม่รู้ว่าแค่เจ็ดวันจะคืนมาได้มากแค่ไหนก็ตามแต่ในเมื่อเจ้าตัวขอมาเจ็ดวันก็คงจะตามนั้น ก่อนจะปิดประตูลงอาคมไว้แล้วกลับไปหาพระมารดาอีกครั้งปล่อยให้ร่างบางยึดห้องบรรทมตัวเองไป...



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 10 พระชายา?ตี๋ฝูจิ้น
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 12:50:01
บทที่ 10
พระชายา?ตี๋ฝูจิ้น
    

             หลังจากที่พระชายาจางกุ้ยเฟย โดนยาพิษร้ายแรงและรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ข่าวดังไปทั่ววังหลวง บ้างก็บอกว่ามีหมอเทวดามารักษา บ้างก็บอกว่าหมอหลวงรักษาพระองค์ บ้างก็ว่าพระชายาสามารถต้านยาพิษได้ไม่ว่าพิษร้ายแรงก็ไม่สามารถทำร้ายพระองค์ได้อีก ข่าวเหล่านี้พากันพูดคุยอย่างสนุกปาก โดยไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง นอกจากนางกำนัลและขันทีที่เฝ้าตำหนักเท่านั้น
    และการลอบปลงพระชนม์พระชายาจางกุ้ยเฟยในครั้งนี้ได้จับคนที่วางยาได้คือนางกำนัลห้องเครื่องเสวยของตำหนักเย่อฉินของชุนกุ้ยเฟย หากแต่ยังไม่ทันได้สอบปากคำนางกำนัลนั้นกลับถูกนักฆ่าสังหารไปเสียก่อน พระชายาชุนกุ้ยเฟยเองก็ปฏิเสธไม่ยอมรับความผิด อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานถึงตัวได้อีก เรื่องนี้จึงมีเงื่อนงำต่อไป
    วันนี้เป็นวันที่เจ็ดที่จิวชงหยวนลืมตาตื่นจากการโครจรลมปราณมายาวนานถึงเจ็ดวัน หลายวันมานี้เขาไม่ได้รู้สึกหิวแต่หลังจากลืมตามากลับรู้สึกหิวจนแทบลมจับ ร่างโปร่งบางลุกขึ้นจากเตียงนอนของลู่เฟยที่ยึดไว้หลายวันบิดกายอย่างเกียจคร้าน เหลือบตามองคนที่จ้องเขาไม่วางตานิดหนึ่ง
    “ลู่เฟยข้าหิว” ลู่เฟยเลิกคิ้วมองร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างประหลาดใจ
    “นั่นเป็นคำทักทายแรกหลังจากไม่ได้คุยกับข้ามาเจ็ดวันหรือ” จิวชงหยวนยักไหล่เดินผ่านลู่เฟยไปนั่งบนโต๊ะเล็กยกป้านน้ำชารินใส่จอกใบเล็กยกขึ้นดื่มอย่างไม่ใส่เจ้าของห้องเท่าไร ก่อนจะเหลือบตามองร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงกำแพงมองเขาเช่นกัน ร่างนั้นไม่ได้ขยับไปไหนแต่กลับมองมาที่เขานิ่งๆ โดยไม่ได้กล่าววาจาอะไรอีก
    ลู่เฟยส่ายหน้ากับความไม่แยแสของคนตรงหน้าที่ทำให้เขาประหลาดใจหลายครั้งหลายครา ก่อนจะเดินมานั่งฝั่งตรงข้าม ความจริงเขาสั่งอาหารไว้รอแล้ว เพียงไม่นานอาหารที่เขาสั่งก็ถูกนำมาไว้ที่โต๊ะเล็กแต่ก็วางอาหารได้ถึงหลายอย่าง แม้จะไม่ได้พูดคุยกันแต่บรรยากาศไม่ได้อึดอัดแม้แต่น้อย สายตาคมมองร่างโปร่งบางที่ใช้ตะเกียบคีบปลาสามรสหมายจะเข้าปากแต่กลับถูกเขาหยุดเอาไว้
    “เดี๋ยวก่อน” ลู่เฟยร้องทักเบาๆ ใช้เข็มเงินส่วนตัวจุ่มลงไปในอาหารเพื่อตรวจพิษอีกครั้งเพราะช่วงนี้เขาไม่ไว้ใจสิ่งใดทั้งนั้น
    จิวชงหยวนมองลู่เฟยอย่างคาดไม่ถึง ตอนแรกก็หงุดหงิดที่ถูกขัดตอนกินข้าว แต่เมื่อรู้จุดประสงค์ความหวังดีของอีกฝ่ายอดทำให้ยิ้มขำไม่ได้
    “ลู่เฟยเจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าข้าเป็นหมอ ตัวข้าเปรียบดั่งพิษคงไม่มีพิษทำร้ายข้าได้หรอก นอกจากพิษที่พิสดารที่ข้าไม่รู้จัก แต่ข้าเชื่อว่าไม่มิพิษใดที่ข้าไม่รู้จักหรอก” จิวชงหยวนบอกช้าๆ อย่างอารมณ์ดีตะเกียบในมือที่คีบปลาอยู่ใส่ในปากอย่างไม่สนใจคนที่มองมา
    อร่อย!
    “เจ้ามาจากสำนักหมื่นพิษหรือไงถึงรู้จักพิษหมด” ลู่เฟยเอ่ยถามมองคนที่กินอย่างไม่กลัวตายแล้วส่ายหน้า หากไม่กลัวตายเพราะพิษเขาก็คงไม่มีความจำเป็นต้องห่วงสินะ ก่อนจะหยุดชะงักความคิดตัวเอง ห่วง อย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเขาต้องห่วงร่างโปร่งบางตรงหน้าด้วย ดวงตาสายแววสับสนเล็กน้อยก่อนจะเลือนหายไป
    “เปล่าข้าเป็นหมอ ไม่รู้จักพิษแล้วจะรู้จักวิธีรักษาได้อย่างไร ข้าก็ต้องเรียนรู้ทั้งพิษและสมุนไพรรักษาสิ” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างใจดี ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินต่ออย่างไม่สนใจคนตัวโตที่นั่งมองเขากินเงียบๆ
    คำกล่าวของจิวชงหยวนทำให้ลู่เฟยรู้สึกประหลาดใจ การรักษาที่ยอดเยี่ยมดูได้จากตัวเขาเองอีกทั้งมารดาหมอหลวงยังไม่สามารถรักษาได้ แต่ร่างโปร่งบางตรงหน้ากลับรักษาได้ และคำพูดคำจาดูมีหลักการไม่น้อย คราแรกคิดว่าจะเป็นคนวิปลาสแต่พอได้พูดคุยความรู้สึกเปลี่ยนไป หรือว่าจิวชงหยวนผู้นี้จะเป็นหมอเทวดาตัวจริงกัน แต่เรื่องเล่าขานมีมานานนับสิบปี แต่คนตรงหน้าอายุไม่เกินสิบเก้าปีเสียด้วยซ้ำไป และยังอ่อนกว่าเขาถึงสี่ปีแต่ความรู้เรื่องการรักษามากกว่าหมอหลวงเสียอีก
    “เสด็จแม่อยากพบเจ้า” คำกล่าวเบาๆ หลังเงียบมานานทำให้จิวชงหยวนเงยหน้าจากอาหารมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะทานต่อเงียบๆ หลังจากกินอิ่มแล้วจึงเอ่ยถามเบาๆ เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าตนอยู่ในฐานะอะไรเช่นกัน
    “เจ้าบอกคนอื่นว่าข้าเป็นใคร” ลู่เฟยหรี่ตามองแล้วกระตุกที่มุมปากนิดๆ ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์จนไม่น่าไว้ใจ ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบที่ทำให้คนดื่มชาสำลักจนหน้าแดงก่ำ
    “พระชายาเอกจิวตี๋ฝูจิ้น”
    “แค่กๆๆ เจ้าจะบ้าหรือไงฮะ ข้าเป็นผู้ชายอีกอย่างนะที่นี่มีใครรับผู้ชายเป็นชายาเล่า”
    “ก็ข้าไง”
    “เจ้าเสียสติไปหรือไง ข้าเป็นผู้ชายจะมีใครหน้าไหนยอมรับให้องค์ชายมีเมียเป็นผู้ชายบ้างฮะ” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างโมโห ใบหน้าแดงก่ำกับคำพูดไม่คิดของคนตรงหน้า อีกอย่างเขาไม่รู้ว่าที่นี่จะยอมรับพวกรักผิดเพศหรือไม่ หากไม่หัวเขาไม่หลุดจากบ่าหรือไง
    “ข้าไม่สนใจผู้อื่น แค่เจ้ายอมรับก็เพียงพอแล้ว” ลู่เฟยตอบหน้าตาย ยกยิ้มที่มุมอย่างพึงพอใจที่เห็นจิวชงหยวนโกรธเพราะเวลาโกรธเจ้าตัวดูงดงามและดูมีเสน่ห์จนยากจะถอนสายตา
    “ไม่ ไม่มีทางเราคุยกันหลายครั้งแล้วเจ้าไม่เข้าใจหรือไง! ให้ตายสินี่มันเวรกรรมอะไรของข้าวะ” จิวชงหยวนตอบกลับทันควรอย่างไม่เสียเวลาคิดพร้อมสบถออกมาอย่างหัวเสีย แล้วลุกพรวดเดินออกจากตำหนักอย่างโมโห ลู่เฟยพุ่งกายมาจับแขนอีกฝ่ายเอาไว้
    “เจ้าต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่กับข้าก่อน” จิวชงหยวนหันมามองตาขวางก่อนจะสะบัดมือออกแต่มือหนานั่นกลับจับแขนแน่นกว่าเดิมจนต้องนิ่วหน้า
    “ก่อนจะไป เจ้าต้องตอบคำถามข้าก่อนทำไมถึงอยากให้ข้าไปเป็นชายาเอกของเจ้า ผู้หญิงมีตั้งมากมาย อีกทั้งลูกท่านหญิงทั้งหลายในยุทธภพต่างอยากจะเข้ามาถวายงานให้เจ้ากันท่วมท้น หรือว่าเจ้าเป็นเกย์ฮะ” คำถามของจิวชงหยวนทำให้ลู่เฟยเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจในประโยคท้าย
    “ข้าไม่รู้หรอกว่าทำไม รู้แต่ตำแหน่งนี้ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น แล้วไอ้คำว่าเกย์มันหมายความเยี่ยงไร” ประโยคที่ยาวที่สุดภายในวันนี้ทำให้คนฟังมองอย่างขัดใจ
    “ก็หมายถึงชายรักชายอย่างไรเล่า หรือว่าเจ้าชื่นชอบผู้ชายกันถึงยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้ข้า”
    “เปล่าข้าไม่ได้ชอบผู้ชาย” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
    “ยกเว้นเจ้าคนเดียว อีกอย่างเจ้างดงามยิ่งกว่าหญิงงามในวังหลวงข้าจะไปใส่ใจทำไมว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง” ลู่เฟยตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
    “เจ้ารักข้าหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเย็นดวงตามองอย่างกดดัน แต่คำตอบของคนตรงหน้ากลับทำให้เขาอ้าปากค้างอยากตกตะลึง
    “เปล่า ข้าแค่อยู่กับเจ้าแล้วสบายใจ อีกอย่างข้าไม่คิดจะมีชายามีเจ้ามานั่งตำแหน่งนี้แล้วจะได้ไม่มีใครยัดเยียดองค์หญิงหรือคุณหนูบ้านไหนมาให้ข้าอีก”
    หลังจากเจอคำตอบที่ทำให้จิวชงหยวนติดสตั้นไปสามวิ ก็ได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนใจที่คนตรงหน้าคิดใช้เขาเป็นไม้กันหมา แต่เรื่องอะไรเขาจะยอมง่ายๆ เห็นทีงานนี้เขาต้องป่วนวังหลวงให้ถูกเชิญออกจากวังในเร็ววันเสียแล้ว
    ร่างโปร่งบางที่ได้อาบน้ำสวมชุดใหม่ด้วยอาภรณ์เนื้อดีสีขาวขลิบทองดูสง่างาม อีกทั้งใบหน้างดงามชวนให้ตะลึงเรือนผมสีดำเงางามผิวขาวผ่องทำให้ผู้คนมองตามอย่างตกตะลึง และยิ่งรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นชายาเอกขององค์ชายห้า ยิ่งพากันแอบมองกันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็ตาม
     และข่าวเรื่ององค์ชายห้าลั่วลู่เฟยมีพระชายาเป็นชายก็ดังไปทั่วแคว้น แม้จะไม่เป็นที่พอใจจากพวกขุนนางชั้นสูงหลายคนแต่ก็ยังไม่มีกล้าลงมือทำอะไร เพราะรู้ว่าพระชายาจิวตี๋ฝูจิ้นมีฝีมือการแพทย์ยอดเยี่ยมรักษาพระชายาจางกุ้ยเฟยได้ ความสามารถที่แม้กระทั้งหมอหลวงยังรักษาไม่ได้ ทำให้เหล่าขุนนางยังเก็บปากเงียบรอคอยโอกาสเท่านั้น
     “จิวชงหยวนถวายพระพรพระชายาจางกุ้ยเฟย ขอให้พระองค์มีพระชนม์หมื่นปี หมื่นปีพะยะค่ะ” จิวชงหยวนยกมือคารวะตามหนังจีนที่เคยดูมา แม้จะไม่ค่อยรู้กฎในวังแต่ใช่ว่าเขาจะสนใจ เพียงแต่รู้จักกาลเทศะเท่านั้นก็พอแล้ว
    “เข้ามาใกล้ๆ ข้าสิ” พระชายากุ้ยเฟิงเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้มบาง แม้จะลำบากใจแต่ก็ยอมเดินเข้าไปใกล้นางตามที่เรียกขาน ลู่เฟยเพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่น้อย
    “งดงามเสียจริง ข้ามิแปลกใจที่ลู่เฟยหลงรักเจ้า” คำกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและมีเมตตานั้นทำให้จิวชงหยวนกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าเถียงอะไรออกมาได้แต่กล่าวโทษลู่เฟยในใจเท่านั้น
    “ข้าขอบใจเจ้าที่รักษาข้าจนหายดีเช่นนี้ นี่เป็นของรางวัลจากข้า” พระนางกล่าวพร้อมยกกล่องเครื่องประดับราคาแพงให้สะใภ้คนงามแม้ใบหน้านั้นจะนิ่งเฉยแต่งดงามชวนให้มองตาม
    “ขอบพระทัยพระชายาพะยะค่ะ แต่กระหม่อมมิอาจรับไว้ได้ กระหม่อมเป็นหมอช่วยเหลือคนป่วยเป็นหน้าที่ของหมอพะยะค่ะ” พระชายาจางกุ้ยเฟยมองสะใภ้คนงามอย่างแปลกใจ แต่แววตาจริงใจที่ส่งมาทำให้นางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน หยิบแหวนประจำตระกูลจางที่อยู่นิ้วนางข้างซ้ายในมือมามอบให้ด้วยใจที่กว้าง
    “นี่เป็นแหวนประจำตระกูลจางของข้า ข้าขอมอบให้เจ้าแทนความรักของลู่เฟยที่มีต่อเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะรักและอยู่เคียงข้างลู่เฟยตลอดไป หากมีเจ้าข้ามั่นใจว่าลู่เฟยจะไม่ตกอยู่ในอันตราย ลู่เฟยสวมแหวนให้น้องสิ” จิวชงหยวนแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องจำใจรับเพราะพระนางยื่นให้ลู่เฟยมอบให้เขาเองและนางก็มองอยู่ตลอดเวลา ค่อยไว้คืนทีหลังแล้วกัน
    “เจ้าต้องรักและอยู่เคียงข้างข้าตลอดไปตามคำสั่งเสด็จแม่นะ” เสียงกระซิบข้างหูดังพอได้ยินกันสองคนแต่ทำให้คนฟังใบหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกอีกฝ่ายสวยโอกาสหอมแก้มเบาๆ จิวชงหยวนยกเท้าเหยียบเท้าอีกฝ่ายอย่างจงใจ ว่าเขาไม่ใช่หมูในอวยที่คิดจะใช้งานได้ง่ายๆ
    ลู่เฟยขมวดคิ้วมุ่นที่ถูกอีกฝ่ายจงใจเหยียบเท้าตน ใบหน้างดงามมองสบตาเขาอย่างท้าทาย ยิ่งอยากจะจับจูบเสียให้เข็ด
    “ลู่เฟยพาน้องไปพักเถอะ” พระชายาจางกุ้ยเฟยบอกด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นกิริยาของทั้งคู่ที่ดูเหมือนจะรักกันดี โดยไม่ได้สังเกตเท้าของทั้งคู่แม้แต่น้อย
    หลังจากที่ออกจากตำหนักของพระชายาจางกุ้ยเฟยแทนที่จะได้ไปพักตามคำอนุญาต จิวชงหยวนต้องมาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิตามคำสั่งแต่ที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด เพราะมีบรรดาขุนนางน้อยใหญ่อยู่กันพร้อมเพรียงอีกทั้งสาวงามสามคนที่ยืนอยู่ประจำที่ตัวเอง จิวชงหยวนเหลือบตามองลู่เฟยตาขวางเพราะไม่ได้บอกว่าจะได้เข้าเฝ้าแบบทางการเช่นนี้ สายตาที่จ้องมองมามีทั้งชื่นชมและรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
    “ถวายพระพรเสด็จพ่อขอให้พระชนม์มายุหมื่นปี หมื่นปีพะยะค่ะ” ลู่เฟยจับมือจิวชงหยวนให้นั่งคุกเข่าลงตามมาด้วย
    “ถวายพระพรฝ่าบาทขอให้พระองค์พระชนม์มายุหมื่นปี หมื่นปีพะยะค่ะ” จิวชงหยวนกล่าวตามเบาๆ ทว่าเสียงนุ่มทุ้มของอีกฝ่ายทำให้เหล่าขุนนางมองตามอย่างสนใจ ใบหน้างดงามเกินชายยังมีน้ำเสียงที่ฟังมีเสน่ห์จนไม่อาจถอนสายตาได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ผิดจารีตประเพณีอยู่ดี
    “ลุกขึ้นเถิด” องค์จักรพรรดิกล่าวเบาๆ ดวงตาจับจ้องคนที่กำลังมีชื่อเสียงในเวลานี้อย่างพิจารณา กิริยานิ่งเงียบและแววตาสงบทำให้พระองค์มองตามอย่างแปลกใจ ร่างโปร่งบางแต่ไม่ได้บอบบาง ใบหน้างดงามชวนให้ตะลึงอายุอานามยังน้อยจนไม่น่าเชื่อว่าจะจะเป็นผู้รักษาพิษสิบแปดแมงมุมเข็มทองได้
    “ขอบพระทัยพะยะค่ะ” ทั้งคู่ตอบรับเสียงเรียบก่อนจะไปนั่งในตำแหน่งของตัวเอง
    “จิวชงหยวนเจ้าคงรู้ตำแหน่งของตัวเองในเวลานี้ใช่หรือไม่” คำถามของผู้อยู่ตำแหน่งสูงสุดของแคว้นลั่วหยาง ทำให้จิวชงหยวนมองตอบนิ่งๆ ทั้งที่ในใจกำลังสาปแช่งคนข้างกายที่ไม่ยอมบอกอะไรตนแม้แต่น้อย
    “พะยะค่ะ”
    “พระชายาชายผิดจารีตประเพณีของราชวงค์ แต่มันเป็นความต้องการของบุตรของเรา และเพื่อไม่ให้ลู่เฟยเสียชื่อไปมากกว่านี้จึงจำเป็นต้องมีพระชายารองที่เป็นหญิง วันนี้ข้าคัดเลือกหญิงงามมาจากตระกูลใหญ่ คุณหนูตระกูลกุ้ย คุณหนูตระกูลเสี่ยน และตระกูลเจียง เจ้ามีความเห็นว่าเช่นไรชายาเอกจิวตี๋ฝูจิ้น”
    “ข้าไม่ต้องการ!”
    คนที่ตอบกลับทันควรคือลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนหันไปมองอย่างไม่พอใจ ก่อเรื่องให้เขาปวดหัวแล้วยังดื้อด้านอีก
    “ลู่เฟยเจ้าน่าจะเข้าใจในราชสำนักในเวลานี้ดี” จักรพรรดิกล่าวอย่างใจเย็น ดวงตามองดวงตาเย็นชาของบุตรชายอย่างหนักใจ เพราะความเป็นห่วงในอนาคตถึงแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้
    “แต่เสด็จพ่อน่าจะรู้คำตอบของข้าดีเช่นกันนะพะยะค่ะ” ลู่เฟยตอบกลับอย่างเย็นชา ดวงตาคมแน่วแน่จนจักรพรรดิหนักใจ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    “ข้าถามชายาเจ้าอยู่” ลู่เฟยหันมามองชายาในนามที่ใบหน้านิ่งเฉยจนเดาใจไม่ออก ก่อนจะกระซิบบางอย่างเบาๆ ที่ให้ได้ยินกันสองคน ความจริงไม่ต้องใช้วิธีนี้ก็ได้แต่เขาไม่อยากเห็นคนตัวเล็กป่วนวังหลวง เพราะรู้ดีว่าจิวชงหยวนไม่มีทางยอมรับชายาเอกอย่างเต็มใจคงหาวีธีแก้เผ็ดเขาอยู่แน่ๆ
    “หากเจ้าช่วยข้า ข้าจะพาไปห้องยาของวังหลวงที่นั่นมียาหลายชนิดเจ้าสามารถปรุงยาที่นั่นได้" จิวชงหยวนเหลือบตามองคนเอาของมาหลอกล่อแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “ของพรรค์นั้นข้าไม่สนใจหรอก” ลู่เฟยอึ้งไปกับกล่าวของร่างโปร่งบาง
    “ถ้าเช่นนั้นข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่างหากเจ้าทำสำเร็จ” ข้อต่อรองของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ ดวงตาฉายแววพอใจไม่น้อย
    ‘ทุกอย่างใช่ไหม แม้ข้าจะทำผิดอะไรข้าก็จะต้องถูกเสมอ น่าสนใจ’ จิวชงหยวนคิดในใจด้วยแววตาเจ้าเล่ห์โดยที่ลู่เฟยไม่ทันได้เห็น
    “เจ้าคิดเช่นไรจิวชงหยวน” จักรพรรดิกล่าวถามอีกครั้งดวงตากดดันที่ส่งมาให้บอกว่าห้ามปฏิเสธเด็ดขาด
    “ทูลฝ่าบาทแม่นางทั้งสามงดงามกว่าข้าตรงไหนพะยะค่ะ” คำถามของจิวชงหยวนทำให้ทุกคนภายในห้องต่างอึ้งตะลึง สาวงามทั้งสามหันมามองอย่างไม่พอใจ แต่อยู่หน้าพระพักตร์มิอาจทำอะไรได้
    “ใช่ แม้พวกนางจะไม่ได้งดงามกว่าเจ้าแต่พวกนางมีตระกูลสูงศักดิ์เกื้อหนุนแล้วเจ้าเล่าจะช่วยสิ่งใดสวามีเจ้าได้หากมีภัย” คำถามที่บ่งบอกว่าห่วงใยในตัวบุตรคนนี้ทำให้จิวชงหยวนนิ่งคิดตามก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
    “ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิต ไม่ว่าคมดาบหรือพิษร้ายก็ไม่อาจพรากชีวิตลู่เฟยไปได้หรอกพะยะค่ะ”
    “ฝ่าบาททรงพิจารณา พระชายากล่าวเช่นนั้นก็ยังไม่ถูกพะยะค่ะ แม้พระชายาจิวตี๋ฝูจิ้นจะรักษาพระชายาจางกุ้ยเฟยได้ ไม่ว่าด้วยเหตุบังเอิญหรือตั้งใจ ก็ใช่ว่าพระองค์จะรักษาพิษได้ทุกชนิด อีกทั้งคมดาบหากมีจำนวนมากพระองค์จะรักษาเช่นไรพะยะค่ะ” เสนาบดีท่านหนึ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง และบ่งบอกว่าความหมายที่ซับซ้อนให้ทั้งคู่ได้ขบคิด จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนกล่าวก็พอเข้าใจความหมาย
    “เสนาบดีหลิงเหวิ้นจิ้นกล่าวได้ถูกต้องพะยะค่ะ” เสนาบดีอีกคนแสดงความคิดเห็นทันที
    “ตามที่พวกท่านกล่าวมา ทำอย่างจะเกิดศึก แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงองค์ชายห้าลู่เฟยก็ไม่มีทางตายง่ายๆ หรอกพะยะค่ะ ถึงกระหม่อมจะไม่มีตระกูลใหญ่หนุนหลังช่วยเหลือ แต่ข้าพเจ้าอยู่ในยุทธภพใช่ว่าจะไม่รู้จักผู้คน” จิวชงหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตามีประกายเจ้าเล่ห์อย่างแสดงให้เห็นความเหนือชั้น คล้ายจะข่มขู่ว่าหากคิดสังหารตนกับลู่เฟยไม่ใช่แค่มีพวกขุนนางแต่เกี่ยวข้องไปถึงยุทธภพ
    “เจ้าจะเอาเรื่องของภายในวังไปเกี่ยวข้องกับยุทธภพเช่นนั้นรึ” จักรพรรดิกล่าวถามอย่างตกตะลึง จิวชงหยวนหันมายิ้มเบาบาง
    “หากชีวิตข้ากระหม่อมกับลู่เฟยอยู่สงบดีไยจะทำเรื่องยุ่งยาก แต่หากใครคิดลองดีข้าก็พร้อมจะต้อนรับอย่างงาม” เสียงนุ่มทุ้มที่ชวนฟังแต่เวลานี้กลับทำให้ทุกคนภายในห้องขนลุกชัน นี่พวกเขากำลังโดนข่มขู่อย่างนั้นหรือ
    “พระชายายุทธภพไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก นี่เป็นกฎของของราชสำนักที่มีต่อชาวยุทธ พระชายาอย่าได้กล่าวอ้างเกินจริงหน่อยเลยพะยะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นไม่เชื่อถืออีกฝ่าย
    จิวชงหยวนหันมามองคนกล่าวนิดหนึ่งด้วยแววตานิ่งเฉยในใจหาวิธีแก้ปัญหาตรงหน้า ก่อนจะเหลือบตามองตัวปัญหาที่สร้างเรื่องให้เขา ซึ่งยืนตาดุมองคนเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยความดุดัน จนอีกฝ่ายจำต้องหลบสายตา
    “เวลานี้พวกท่านน่าจะรู้จักชื่อเสียงจิวชงหยวนหมอเทวดาดีมิใช่หรือ ถึงแม้ตอนนี้คนที่ชื่อจิวชงหยวนจะมีเกลื่อนยุทธภพจนมิรู้ว่าผู้ใดเป็นหมอเทวดาตัวจริง หากข้าปล่อยข่าวออกไปว่าหมอเทวดาจิวชงหยวนตัวจริงอยู่ที่วังหลวงพวกท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น” คำถามที่เรียบเฉย ทว่าแววตาที่มองมากลับทำให้พวกขุนนางหวั่นกลัว หากเป็นเช่นนั้นจริงยุทธภพจะพุ่งเป้ามาที่แคว้นลั่วหยาง พร้อมความวุ่นวายเข้ามาจนมิอาจแก้ปัญหาได้
    “พระชายาหากท่านเป็นหมอเทวดาตามที่กล่าวมาจริง พระองค์สามารถรักษาพวกข้าขุนนางได้หรือไม่” เสนาบดีฝ่ายขวาเอ่ยถาม ดวงตาคมกล้าฉายแววจริงจัง
    “ใต้เท้ามู่หวังกล่าวมามีเหตุผล พระชายาตี๋ฝูจิ้นน่าจะรักษาอาการเจ็บป่วยข้าได้เช่นกัน เจ้ามีความเห็นเช่นไร แต่หากเจ้ารักษาข้าได้ข้าจะไม่หาชายาให้ลู่เฟยอีก” จักรพรรดิลั่วหยางเอ่ยถามเสียงจริงจัง แววตามองคนร่างโปร่งบางอย่างพิจารณา
    “กระหม่อมรักษาฝ่าบาทกับขุนนางได้พะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับเสียงเรียบแววตาเหลือบตามองคนข้างกายที่ใบหน้านิ่งเฉย ทว่าเมื่อลู่เฟยหันมาสบตาเขากลับส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้พร้อมบอกเสียงเบาที่ทำให้คนฟังมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ ได้แต่มองด้วยสายตาคาดโทษ
   “ข้าเชื่อใจเจ้า”

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่11 หมอเทวดาป่วนวังหลวง1
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 12:51:45
บทที่11
หมอเทวดาป่วนวังหลวง1
    

            หลังจากการเข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการและข้อตกลงระหว่างจักรพรรดิ จิวชงหยวนจึงได้ทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้เขาได้ตรวจอาการเบื้องต้นขององค์จักรพรรดิภายในห้องส่วนพระองค์เพื่อไม่ให้อาการป่วยเล็ดลอดออกไป แม้ภายนอกพระองค์จะเหมือนไม่เป็นอะไรแต่ภายในใช่ว่าจะไม่เป็นอะไรเลย พิษร้ายภายในกำลังกัดกินร่างกายอย่างช้าๆ ชีพจรเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้าและติดขัด อาการย่ำแย่แต่พระองค์กลับทำเหมือนว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
    “หมอหลวงบอกกล่าวกับฝ่าบาทเช่นไรพะยะค่ะ” จิวชงหยวนที่นั่งจับชีพจรเอ่ยถามเสียงเรียบดวงตาจับจ้องมองจักรพรรดินิ่งเฉย
    “แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไร” จักรพรรดิเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมจับจ้องร่างโปร่งบางอย่างไม่ค่อยไว้ใจ จิวชงหยวนปล่อยมือถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเพราะคาดเดาไว้แล้วว่าพระองค์ยังไม่ไว้ใจตน
    “ทูลฝ่าบาท หมอหลวงน่าจะทูลฝ่าบาทว่าพระวรกายไม่แข็งแรงเพระอายุที่มากขึ้นทำให้ร่างกายอ่อนแอ ดื่มยาบำรุงเยอะๆ อาการจะดีขึ้น” จิวชงหยวนตอบกลับช้าๆ เหลือบตามองจักรพรรดิเงียบๆ ซึ่งพระองค์ก็ถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะบอกว่าไม่ผิดจากที่กล่าวมา
    “เจ้าว่าเสด็จพ่อเป็นโรคร้ายใดหรือไม่” ลู่เฟยที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจก็ร้อนรุ่มกังวลไม่น้อย จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนถามแล้วหันไปมององค์จักรพรรดิอีกครั้ง
    “โรคร้ายไม่มีหรอก แต่...พระองค์โดนยาพิษไร้เมฆเงา เป็นพิษที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบ ทว่าทำให้คนฟังกลับหนาวสั่นสะท้าน ใครกันที่กล้าลอบปลงพระชนม์
    “เจ้าแน่ใจหรือ ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากเลยนะ” จักรพรรดิเอ่ยถามเสียงเครียด จิวชงหยวนหันไปยิ้มบาง
    “ฝ่าบาทยาพิษชนิดนี้เหมือนดั่งชื่อของมัน มันจะกัดกินร่างกายพระองค์ช้าๆ ทำให้เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรงๆ สะสมไปวันละนิดจะทำให้มือเท้าเริ่มชา ไม่มีแรงหยิบจับสิ่งใด บ้างครั้งก็ทำให้พระองค์ขยับวรกายไม่ได้เมื่อยามตื่นนอน” คำอธิบายสั้นๆ ทำให้จักรพรรดินิ่งเงียบอย่างตกใจ เพราะตนเป็นดั่งที่จิวชงหยวนได้กล่าวมา แม้แต่หมอหลวงยังไม่ทราบสาเหตุได้แต่กินยาบำรุงที่นานวันก็ยิ่งแย่ลง
    “เจ้ามียาแก้พิษหรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงเข้ม ดวงตาฉายแววเครียดแค้น เขาต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้
    “ยาแก้ข้ามี แต่พระองค์เป็นมานานถึงหนึ่งปีจึงต้องใช้เวลาในการขับพิษออก หากไม่ได้รับยาพิษเพิ่มเจ็ดราตรีก็จะหายไป” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบ
    “เจ้าแค่จับชีพจรข้าอย่างเดียวทำไมถึงรู้ว่าโดนยาพิษ อีกทั้งยาพิษที่เจ้ากล่าวมาไม่มีสีไม่มีกลิ่นย่อมไม่อาจจะรับรู้ได้ง่าย” จักรพรรดิเอ่ยถามด้วยสีหน้าคลางแคลงใจเพราะพิษที่กล่าวมาใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
    “ฝ่าบาทกระหม่อมเป็นหมอพะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาไม่ไว้ใจส่งมาแม้เพียงชั่วครู่แต่ใช่ว่าจะไม่เห็น
    “แต่หมอหลวงยังไม่รู้ ไยเจ้าอายุแค่นี้ถึงรู้จักยาพิษชนิดนี้”
    “เสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อไม่ไว้ใจพระชายาจิวตี๋ฝูจิ้น กระหม่อมจะพาเขากลับไป แล้วอย่าคิดว่าจะจับข้าแต่งงานกับผู้ใดอีก อีกทั้งบัลลังก์เสด็จพ่อข้ามิต้องการ โปรดถนอมตัวด้วย” ลู่เฟยตอบกลับเสียงแข็ง แม้จะห่วงใยแต่เมื่อไม่ไว้ใจจะรักษาไปก็ไร้ประโยชน์ มือหนาฉุดร่างโปร่งให้ลุกขึ้นยืนเดินตามไป แต่จิวชงหยวนกลับหยุดชะงักรั้งร่างสูงไว้ไม่เดินตามก่อนจะบอกเสียงแข็ง
    “ลู่เฟยข้าเป็นหมอเห็นคนป่วยตรงหน้าหากข้าไม่ช่วยมันมิใช่วิสัยของข้า”
    “แต่เจ้าก็เห็น” จิวชงหยวนเงียบไปหันมามองจักรพรรดิที่มองมานิ่งๆ เช่นกัน เขารู้ว่าพระองค์ยังหวาดระแวงเพราะช่วงนี้มีแต่คนหมายเอาชีวิต แต่จะให้คนที่เป็นหมออย่างเขาปล่อยให้ตายไปง่ายๆ เขาคงรู้สึกผิดไม่น้อย
    “ฝ่าบาทให้กระหม่อมรักษาฝ่าบาทด้วย หากพระองค์ไม่หายดี กระหม่อมจะจากลั่วหยางไปไม่กลับมาอีก”
    “ชงหยวน!” ลู่เฟยเรียกคนร่างโปร่งบางอย่างตกใจ เขาไม่เข้าใจความคิดของจิวชงหยวนในเวลานี้เลย แม้เขาจะเป็นลูกแต่ก็ไม่ได้อกตัญญูแต่หากเป็นความต้องการของเสด็จพ่อเขาก็จะไม่ขัด ยกเว้นเรื่องเดียวคือการหาพระชายา
    “จิวชงหยวน ข้าจะลองเชื่อใจเจ้าดูสักครั้ง” จักรพรรดิกล่าวอย่างตัดสินในเมื่อเห็นแววตาแน่วแน่จริงใจของหมอเทวดาผู้นี้มองมา
    “ขอบพระทัยฝ่าบาทกระหม่อมจะทำให้ดีที่สุด”

    หลังจากวันนั้นมาอาหารเครื่องดื่มจิวชงหยวนก็เป็นคนตรวจสอบเองทุกอย่างจนมาเจอยาพิษชนิดนี้อยู่กับจอกน้ำชาที่พระองค์ดื่มประจำ มันเคลือบกับปากจอกชาไว้ แม้คนอื่นจะไม่เห็นไม่รับรู้แต่เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจน ทำให้เขาสืบเรื่องนี้เงียบๆ จนได้รู้ว่าผู้ที่นำมาถวายให้คือต้าหวงกุ้ยเฟยพระมารดาขององค์ชายรอง ซึ่งตอนนี้ถูกลงโทษให้ไปอยู่ตำหนักเย็นเพียงลำพัง
     ท่ามกลางความโกรธแค้นขององค์ชายรองที่ยังลอยชายไปมาได้ เพราะยังเป็นบุตรของจักรพรรดิอีกทั้งไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยทำให้รอดตัวไป แต่สำหรับเขาแล้วจักรพรรดิยังไม่ต้องการฆ่าลูกในไส้เสียมากกว่า อีกทั้งพระชายาต้าหวงกุ้ยเฟย เป็นชายาโปรดปรานจึงทำใจสังหารไม่ลงมากกว่าถึงได้ส่งไปอยู่ในตำหนักเย็น
    หลังจากวันนี้จิวชงหยวนก็ได้รักษาองค์จักรพรรดิจนกลับมาเดินเหินและยังมาฝึกดาบเล่นได้อย่างน่าตกใจของเหล่าขุนนางที่ได้พบเห็น จากนั้นจึงได้ช่วยรักษาบรรดาขุนนางจนพากันหายป่วยหายเจ็บข้อกระดูกอย่างถ้วนหน้า อีกทั้งยังต้องมารักษาบรรดาสนมของจักรพรรดิจนเบื่อหน่าย เขาไม่ได้จับชีพจรของเหล่าสนมแต่กลับได้จับเส้นด้ายสีแดงที่โดนลมทีก็ปลิวไปมาแล้ว ถึงว่าหมอหลวงรักษาไม่หายกัน เห็นแต่หนังจีนที่ให้จับชีพจรผ่านเส้นด้ายที่ทำจริงๆ แล้วกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี วางสายด้ายยาวเป็นเมตรแค่เห็นก็ได้แต่ส่ายหน้า หากเขาฟังเสียงหัวใจไม่ได้คงไม่พ้นได้โดนตัดหัวเสียบประจานไปแล้ว
    ตอนนี้ชื่อเสียงจิวชงหยวนดังไปทั่ววังหลวง จนทำให้เหล่าองค์ชายองค์อื่นๆ ต่างแวะเวียนมาหา พูดคุยสนทนาด้วยจนเขาหงุดหงิดเพราะมีองค์ชายบางคนมาเล่นหูเล่นตาด้วยจนอยากช่วยผ่าตัดสมองออกมาล้างใหม่
    “น้องหยวนเจ้าช่วยรักษาอาการป่วยข้าที ข้าเจ็บปวดตรงนี้เหลือเกิน ไม่รู้ทำไมเห็นเจ้าทีไรใจข้าสั่นจนกลัวว่ามันจะหยุดเต้น” องค์ชายลั่วหวังอู๋เดินมานั่งข้างกายยื่นใบหน้ามาทำหน้าตาเจ็บปวดยกมือเรียวสวยของจิวชงหยวนมากุมหัวใจตัวเองอย่างไม่สนใจพี่ชายที่มองตนตาขวาง
    จิวชงหยวนที่นั่งดื่มชาอยู่เก๋งจีนหน้าตำหนักของลู่เฟย ที่ตั้งนานแล้วเขาก็ยังได้อยู่ที่นี่แม้จะมีตำหนักฝูจิ้นเป็นของตัวเองก็ตาม เพราะความเอาแต่ใจของลู่เฟยที่หาเหตุผลร้อยแปดทำให้เขาต้องมานอนเบียดกับคนตัวโต จนบางครั้งแกล้งนอนดิ้นถีบอีกฝ่ายตกเตียง แต่ลู่เฟยกลับไม่ยอมแพ้ลุกขึ้นมานอนเบียดเขาทุกครั้ง แม้จะโดนถีบไปคืนละสองสามครั้งแต่เหมือนเจ้าตัวก็ไม่เข็ดจนเป็นเขาเองที่เหนื่อยใจ และตอนนี้ยังมีตัวให้เหนื่อยเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง องค์ชายเจ็ดลั่วหวังอู๋ที่อายุยี่สิบปีและคิดเองเออเองว่าตัวเองเป็นพี่เขา ด้วยขี้เกียจเถียงจึงปล่อยอีกฝ่ายเรียกตนตามสบาย
    ผัวะ!
    ไม่ต้องบอกว่าเสียงอะไร เพราะตอนนี้ร่างของลั่วหวังอู๋กลิ้งลงไปกับพื้นเรียบร้อยแล้วและไม่ต้องให้ลู่เฟยมาช่วย เท้าเล็กแต่ไม่เบาถีบออกอย่างเร็ว ลู่เฟยเพียงแค่ยกยิ้มอย่างชอบใจเท่านั้นเพราะเขาโดนมาจนชินชาแล้วหลังจากบังคับคนตัวเล็กกว่ามานอนด้วย
    “โอ้ย หยวนน้อยทำไมเจ้าทำร้ายร่างกายข้าเช่นนี้ แต่มีคนบอกข้าว่ายิ่งคนที่เรารักถีบแตะแรงเท่าไรเขาจะรักเรามากขึ้นเท่านั้น” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนยิ้มหวานแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานกว่าปกติ
    “ถ้าเช่นนั้นจะให้ข้าบอกรักเจ้าด้วยเท้ามากกว่านี้ไหมองค์ชาย” ลั่วหวังอู๋ยิ้มแหย ส่ายหน้าก่อนจะคลานเข้ามาหาโดยไม่ได้สนใจสายตาดุๆ ของลู่เฟยที่มองมา
    “ไม่แล้วจ๊ะทูนหัว เพราะข้าต้องไปปราบโจรที่หุบเขามังกรขด” ใบหน้าระรื้นของคนองค์ชายเจ็ดทำให้จิวชงหยวนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะฉีกยิ้มแววตาฉายแววเจ้าเล่ห์นิดๆ
    “ข้าไปด้วยสิ”
    “แค่กๆๆ” ลู่เฟยที่ดื่มน้ำชาและนั่งเงียบมานานถึงกลับสำลัก ใบหน้าแดงจนจิวชงหยวนยื่นผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้ ปล่อยให้องค์ชายเจ็ดมองตามตาปริบๆ อย่างอิจฉา
    “หยวนน้อยเจ้าจะหวานไปถึงไหน แค่นี้ข้าก็อิจฉาจนไม่รู้จะทำไงแล้ว” สายตาละห้อยและคำพูดของลั่วหวังอู๋ ทำให้จิวชงหยวนชักมือออกอย่างลืมตัวก่อนจะหันมามองคนพูดแล้วยิ้มออกมาบางๆ เพราะคนตรงหน้านี้มีใบหน้าสวยเหมือนผู้หญิงและร่างโปร่งบางนั้นก็ไม่ต่างจากเขาเวลานี้ ทำให้เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามันจะมีแรงกดเขาลงได้ไหม และที่สำคัญเขาไม่มีทางกดมันลงแน่ เพราะเขาไม่ได้ชอบผู้ชาย
    “เจ้าจะไปทำไม” ลู่เฟยเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ของจิวชงหยวน
    “ก็ไปปราบโจรด้วยไง เจ้าคิดว่าข้าชอบอยู่วังหลวงหรือไง” จิวชงหยวนหันไปตอบคำถามอย่างไม่เสียเวลาคิดเพราะตอนนี้เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับวังหลวงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกัน ที่สำคัญตั้งแต่เป็นชายาตี๋ฝูจิ้นมาไม่มีวันไหนจะได้สบายเลย
    “ที่นั่นมันอันตรายไม่เหมาะคนที่ร่างโปร่งบางเช่นเจ้าหรอก” ลั่วหวังอู๋บอกกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง และลืมมองตัวเองเสียสนิทว่าร่างเขาก็ไม่ต่างกัน ก่อนจะยิ้มแหยเมื่อเห็นสายตาของจิวชงหยวนมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจดปลายเท้า สายตาที่ส่งมาบ่งบอกว่า เจ้ากับข้าก็ไม่ต่างกันหรอก เขาจึงต้องหันไปมองพี่ชายอย่างขอความช่วยเหลือ
    “หากเจ้าอยากไปก็จูบข้าก่อน” คำพูดเรียบเฉยคล้ายพูดเรื่องพยากรณ์อากาศ ทำให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองคนพูดอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
    “ไอ้หื่นกาม!” จิวชงหยวนต่อว่าอย่างเจ็บใจ ฝันไปเถอะ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างโมโห มององค์ชายเจ็ดที่เหมือนสติจะหลุดออกจากร่างตั้งแต่ได้ยินคำว่าจูบแล้ว ใบหน้าแดงก่ำนั้นชวนให้น่าแกล้งแต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะแกล้งผู้ใด
    “หืม เจ้าไม่อยากไปแล้วหรือแค่จูบเองนะ” แววตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ ทำให้จิวชงหยวนหันกลับมามองอย่างโมโห จะเถียงก็ไม่ยังมีคนอยู่ด้วยทำให้ได้แต่มองอย่างขัดใจ
    “พี่ห้าท่านไว้หน้าข้าหน่อยไม่ได้หรือไง ตอนนี้สติข้าหายไปเกือบหมดแล้ว” ลั่วหวังอู๋บอกพี่ชายอย่างงอนๆ รู้สึกอิจฉาท่วมท้น ใบหน้างดงามแดงระเรื่อไม่รู้ว่าด้วยความโกรธหรือความอายแต่กลับมีเสน่ห์จนไม่อาจละสายตาได้ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อลู่เฟยเอามือไม่โบกหัวเขาเต็มรัก
    “นั่นพี่สะใภ้เจ้า เมียข้าอย่าให้เกินเลย” แม้จะคำพูดเรียบเฉย แต่ลั่วหวังอู๋ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เล็กรู้ดีว่ามันคือการเตือนด้วยความห่วงใยว่าอย่าถลำลึกมากไปกว่านี้
    “เฮ้อ พวกเจ้านี่นะ บ้ากันทั้งคู่ข้าเป็นผู้ชายโว้ย ไม่คุยด้วยแล้วน่าโมโหชะมัด” จิวชงหยวนบอกอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นพุ่งทะยานหายไปด้วยความเร็วจนทั้งคู่ไม่อาจมองตามได้ทัน เขาพุ่งตรงมายังโรงหมอในวังหลวงในเมื่อไม่ให้ไปก็จะป่วนวังหลวงอยู่นี่แหละ
    “พี่ห้าท่านรักชงหยวนหรือไม่” ลั่วหวังอู๋เอ่ยถามพี่ชายที่ไว้ใจกันได้ด้วยความสงสัย เพราะตลอดเวลายี่สิบปีที่รู้จักคุ้นเคยกันมา ไม่เคยเห็นพี่ชายคนนี้สนใจผู้ใด แม้กระทั้งรอยยิ้มยังแทบจะมองไม่เห็น เขากลัวว่าลู่เฟยจะเล่นสนุกเสียมากกว่า
    ลู่เฟยหันไปมองคนถามที่เขารักเหมือนน้องชายจริงๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่รู้หรอกว่าความรักในความหมายของลั่วหวังอู๋คืออะไร แต่สำหรับเขาแล้วจิวชงหยวนเป็นคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ จิตใจสงบและรู้สึกคุ้ยเคยเท่านั้นเอง อืม จะว่าช่วงนี้เขามีอาการแปลกๆ ตรง รู้สึกไม่ชอบใจที่มีพี่น้องคนอื่นๆ มาสนทนาทำความสนิทสนมกับจิวชงหยวน แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ความหมายแต่สักวันเขาต้องได้คำตอบ เหมือนกับที่เขาสงสัยในเวลานี้คือ เหตุใดจิวชงหยวนถึงรู้จักเขามาก่อน
    “สักวันเจ้าจะรู้คำตอบ” คำตอบที่ได้รับไม่ได้ทำให้องค์ชายเจ็ดกระจ่างแม้แต่น้อย แต่ที่เขามั่นใจคือดวงตาคมกล้าแน่วแน่ นั่นแสดงให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลู่เฟยจะไม่ปล่อยจิวชงหยวนไปจากใจ


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่12หมอเทวดาป่วนวังหลวง2
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 12:54:23
บทที่ 12
หมอเทวดาป่วนวังหลวง2
    

            จิวชงหยวนมาปรากฏตัวอีกครั้งที่โรงยาในวังหลวง เขามองรอบกายด้วยความนิ่งเฉย ในวังมีแต่เรื่องเบื่อหน่ายและดูวุ่นวาย แต่ที่เขาทนอยู่เพราะอยากรู้เรื่องของลู่เฟย จากแม่ทัพสวรรค์ไยถึงได้มาเป็นองค์ชายห้ามิหนำซ้ำยังไม่มีความจำระหว่างเป็นเทพแม้แต่น้อย หรือว่าคนที่เกิดมาหน้าตาเหมือนเท่านั้น แต่คิดถึงเหตุและผลก็ไม่น่าจะใช่เพราะทั้งหน้าตา ชื่อ ยังเหมือนแม่ทัพสวรรค์หมด แต่ช่างเถอะเขาจะคอยดูสักระยะหนึ่งก่อนแล้วกัน หากไม่ใช่ลู่เฟยจริงๆ ก็จะออกจากวังหลวงเพราะหน้าที่เขาไม่ใช่ตำแหน่งชายาตี๋ฝูจิ้น แค่คิดถึงตำแหน่งนี้เขาก็แทบกระอักเลือด
    “ถวายพระพรพระชายาจิวตี๋ฝูจิ้นพะยะค่ะ” เสียงทักทายทำให้จิวชงหยวนหันมามองอย่างแปลกใจ
    “ท่านคือ?”
    “โอ้ กระหม่อมขออภัยที่เสียมารยาท กระหม่อมแม่ทัพห่านหลงพะยะค่ะ กระหม่อมมาหาท่านหมอหลวง ไม่คิดว่าจะเจอพระชายาที่นี่”
    “เรียกข้าว่าหมอจิวก็พอ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาเพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน
    “กระหม่อมคงมิกล้า ตอนนี้พระองค์คือพระชายาขององค์ชายห้าหากใครมาได้ยินเข้าหัวข้าคงหลุดจากบ่า” ชายหนุ่มในวัยไม่เกินสามสิบหน้าตาดูหล่อเหลาคมคายและร่างกายบึกบึนสมกับเป็นแม่ทัพ ตอบกลับอย่างหนักแน่น ทำให้จิวชงหยวนมองอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นว่าแม่ทัพผู้นี้คงไม่เรียกเขาอย่างที่ต้องการแน่
    “เฮอะ ก็แค่ตำแหน่งที่ถูกยัดเยียดให้ เจ้าจะเรียกข้าว่าอะไรข้าหาได้สนใจไม่” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินเข้าไปในโรงยาโดยไม่สนใจคนที่เดินตาม ไม่รู้หรอกว่าทำไมอีกฝ่ายรู้จักเขาทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
    “พระชายา!” หมอหลวงเรียกคนผู้ที่เข้ามาใหม่อย่างตกใจ ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงทำความเคารพ
    “ลุกขึ้นข้าไม่อยากอายุสั้น บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกข้าว่าหมอจิว พวกเจ้านี่น่าเบื่อชะมัด” หมอหลวงลุกขึ้นก้มหน้าก้มตาให้จิวชงหยวนบ่นต่อไป ก่อนจะเหลือบเห็นแม่ทัพฝ่ายขวาเดินตามเข้า
    “โอ้ ท่านแม่ทัพไม่ได้เจอกันนาน ท่านยังสบายดีหรือไม่” หมอหลวงทักทายแม่ทัพใหญ่ที่มารับยาเฉพาะของตัวเอง
    “อืม ข้าสบายดี แต่ยาตัวที่แล้วไม่เกิดผลอะไรกับข้าสักนิด” เสียงที่ตอบหมอหลวงทำให้จิวชงหยวนละสายตาจากถาดยาตากแห้งหันไปสนใจอีกครั้ง สายตามองแม่ทัพอย่างพิจารณาจังหวะการเต้นหัวใจและดูภายนอกไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไร
    “ท่านมีโรคประจำตัวหรือ” เสียงที่เอ่ยถามทำให้ทั้งคู่หันไปมองก่อนจะมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
    “เปล่าพะยะค่ะกระหม่อมสบายดี” คำตอบที่ได้รับไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนวางใจ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้พร้อมสายตาสำรวจร่างนั้นช้าๆ จนทำให้คนที่ถูกมองอดหน้าแดงไม่ได้ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมือเรียวคว้าข้อมือไปจับ
    “ร่างกายภายนอกและภายในของเจ้าปกติ แต่ดูเหมือนท่านมีบางอย่างแปลกไป” จิวชงหยวนกล่าวช้าๆ ปล่อยมือออกแล้วยกนิ้วแตะริมฝีปากมองคนร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ใบหน้าแม่ทัพตอนนี้แดงระเรื่อด้วยความอาย ยิ่งทำให้เกิดความสงสัย หันไปมองหมอหลวงก็ก้มหน้าหลบสายตาเหมือนไม่กล้าจะเอ่ยบอก
    “จากที่ข้าดูท่านไม่มีอารมณ์ทางเพศ” จิวชงหยวนกล่าวต่อช้าๆ แต่กลับทำให้คนฟังสะดุ้งด้วยความตกใจเพราะเรื่องนี่คนภายในวังไม่รู้มาก่อนนอกจากหมอหลวงที่เขาเล่าให้ฟังเท่านั้น
    “พระชายา คือ ข้า...” จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนพูดติดๆ ขัดก็พอจะเข้าใจความอาย ภายนอกดูเหมือนปกติแต่หากฟังให้ดีการเต้นหัวใจบางทีก็ดูแปลกไปแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่เขาที่ฝึกลมปราณภายใต้น้ำตกมาทำให้รับรู้อย่างชัดเจน
    “เจ้าไม่ต้องพูดหรอก ข้าว่าเจ้ายังไม่เจอคนที่ถูกใจเสียมากกว่ามันถึงไม่ขึ้นเวลาถูกเล้าโลม” คำพูดที่น่าอายออกมาจากปากของพระชายา ทำให้ชายชาติทหารและเป็นแม่ทัพมากความสามารถบัดนี้อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ต้องยอมรับอย่างแท้จริงที่พระชายาผู้นี้รู้โรคที่เขาเป็นจนน่าตกใจ
    “พระชายาว่ามีโอกาสหายหรือไม่พะยะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยถามเสียแผ่ว แววตามองพระชายาผู้มากความสามารถอย่างมีความหวัง
    “แม่ทัพห่านหลงไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงหรอก เพียงแต่เขาไม่มีจิตพิศวาสกับผู้ใดจึงไม่ได้เกิดอารมณ์ร่วมด้วยกับหญิงที่ไม่ได้ชอบพอ” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างเป็นทางการตามข้อสันนิษฐานของแพทย์เพราะโรคนี้เพื่อนๆ เขามาปรึกษากันบ่อยจากคนไข้หลายราย เขาจึงได้รับความรู้พวกนี้ไปด้วย
    “เอ่อ...กระหม่อม” แม่ทัพห่านหลงกล่าวเสียงติดขัด เพราะมีส่วนจริงที่เขาไม่ได้ชอบพอพวกนางจึงให้ไม่มีอารมณ์จนเกิดคิดว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรง เนื่องจากไม่ว่าหญิงงดงามจากหอโคมแดงต่างก็ไม่สามารถทำให้เขาอยากร่วมรักด้วยแม้แต่น้อย
    “วิธีแก้ง่ายๆ เมื่อท่านใจเต้นแรงกับผู้ใดคนผู้นั้นจะช่วยรักษาท่านได้แบบชนิดหายขาด” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มอย่างนึกขำเมื่อเห็นสีหน้าแม่ทัพที่อายก้มหน้าหลบตา
    “ขอบพระทัยพระชายาที่ชี้แนะพะยะค่ะ” ห่านหลงกล่าวเสียงเบาและก้มหน้าหลบสายตา
    “แค่นั้นเองหรือพะยะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ จิวชงหยวนพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะขอตัวไปที่ห้องปรุงยา ปล่อยให้แม่ทัพมองตามอย่างครุ่นคิดตามคำชี้แนะก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วขอตัวกลับไปพักเพราะหลังจากกลับมาจากชายแดนเขายังไม่ได้พักผ่อนเลย
    จิวชงหยวนมาถึงห้องปรุงยาที่หมอหลวงคนอื่นๆ กำลังฝึกฝนการปรุงยาจากหัวหน้าหมอหลวงแล้วอดยิ้มไม่ได้เพราะกว่าเขาจะผ่านการฝึกมาได้แทบกระอักเลือดออกมาและยังต้องมามึนเมากับกลิ่นของยาที่มีมากมายจนตาลายไปหมด
     “ถวายพระพรพระชายาพะยะค่ะ/เพคะ” หมอหลวงฝึกหัดที่มีทั้งหญิงและชายทำความเคารพผู้ที่เข้ามาใหม่อย่างนอบน้อม
    “ข้าบอกให้เรียกหมอจิวก็พอ อีกอย่างตำแหน่งนั้นยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการสักหน่อย” จิวชงหยวนบอกด้วยใบหน้าหงิกเล็กน้อย เมื่อทุกคนที่นี่ต่างก้มหัวถวายชีวิตให้เขาจนกลัวว่าตนจะอายุสั้นจากห้าร้อยปีคงจะอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็คราวนี้แหละมั้ง
    “งานเลี้ยงอีกสามวันเองพะยะค่ะถึงอย่างไรกระหม่อมก็ต้องหัดเรียกไว้ก่อนอยู่แล้ว” หัวหน้าหมอหลวงบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มและนึกเอ็นดูคนตรงหน้าที่อายุยังน้อยแต่มากไปด้วยความสามารถ
    จิงชงหยวนได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคนพวกนี้ต้องทำตามคำสั่งอยู่แล้วและเขาก็ไม่มีอำนาจพอที่จะไปออกคำสั่ง
    “วันนี้พระชายามีอะไรให้กระหม่อมรับใช้พะยะค่ะ”
    “ไม่มีอะไร พวกท่านตามสบายเถอะข้าแค่มาขอใช้ห้องด้วยเท่านั้นเอง” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะหยิบสมุนไพรตากแห้งสามสี่อย่างเดินเข้าไปห้องปรุงยาที่ว่าง โดยมีหมอหลวงที่ออกมาต้อนรับในครั้งแรกมาคอยตามดูอยู่ห่างๆ
    จิวชงหยวนหยิบสมุนไพรมาดมดูกลิ่นเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะคิดค้นยาตัวใหม่ขึ้นมาโดยไม่ได้สนใจคนที่มองตามทุกฝีก้าวของหมอหลวงที่เขาจำชื่อไม่ได้ จิวชงหยวนใช้เวลาหมกอยู่ในห้องปรุงยากว่าครึ่งวันและสมุนไพรที่กักเก็บไว้ของหมอหลวงหายไปกว่าครึ่ง สร้างความหนักใจให้กับหัวหน้าหมอหลวงไม่น้อยเพราะสมุนไพรที่จิวชงหยวนนำไปใช้ล้วนเป็นสิ่งที่หายากโดยเฉพาะโสมพันปี
    “ท่านอาจารย์ ท่านว่าพระชายาจะทำยาอะไรหรือขอรับ ทำไมใช้ยาเยอะแยะไปหมดอีกทั้งการดูเปลวไฟที่สม่ำเสมอกันขนาดนี้ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะขอรับ” ลูกศิษย์ผู้หนึ่งเอ่ยถามหัวหน้าหมอหลวงไท่อันด้วยความสงสัย ดวงตาจับจ้องไปมองพระชายาที่ยังวุ่นวายกับการปรุงยารวมทั้งคนอื่นที่มาชะเง้อคอมองตามด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน แม้เวลานี้จะเย็นมากแล้วแต่พระชายาจิวตี๋ฝูจิ้นยังไม่กลับตำหนักเลย
    “เฮ้อ ข้าเองก็ไม่รู้แต่ข้าคิดว่าหากพระชายายังอยู่อีกวันสมุนไพรในคลังคงหมดแน่ๆ” คำตอบที่ได้รับทำให้เหล่าลูกศิษย์หน้าเสียเพราะพวกเขาต้องไปเรียนรู้หาสมุนไพรด้วยตนเอง
    “อาจารย์อย่างนี้พวกข้าก็ได้ออกนอกวังอีกแล้วสิ” ชายร่างผอมสูงเอ่ยถามดวงตาเป็นประกาย การได้ออกจากวังไปสูดอากาศข้างนอกบ้างเป็นสิ่งที่อยากทำที่สุดในเวลานี้
    บูม!!!
    เสียงหม้อดินที่ต้มยาเอาไว้ระเบิดจนคนที่แอบดูผวาไปตามกัน แต่คนที่ก่อเรื่องขึ้นกลับยิ้มเย็นอย่างชอบใจ ยาที่เขาต้องการได้เก็บใส่ขวดแก้วเล็กไว้แล้ว แต่ยาที่ระเบิดคือเขาแกล้งเอาสมุนไพรมาทำเสียเล่น
    “พระชายาพะยะค่ะเป็นอะไรหรือเปล่า” หมอหนุ่มฝึกหัดผู้หนึ่งเพิ่งนึกได้ว่ามีคนอยู่ด้านในรีบวิ่งเข้ามาถาม ควันที่ฟุ้งกระจายภายในห้องทำให้แทบไม่เห็นตัวคน แต่เสียงหวานที่ตอบกลับมาทำให้พวกเขาโล่งใจ
    “ข้าไม่เป็นไร ท่านหมอหลวงข้าขอโทษด้วยที่ทำให้ห้องยาท่านเละแทะแบบนี้” จิวชงหยวนเดินออกจากกลุ่มควันเข้ามาหาหมอหลวงด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
    “ไม่เป็นไรพะยะค่ะพระชายาปลอดภัยก็ดีแล้วพะยะค่ะ” หมอหลวงบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักตอนนี้แทบจะร้องไห้ด้วยความเสียดายยาที่เสียไป
    “ขอบคุณท่านมาก พวกท่านไปพักเถอะข้าจะลองยาตัวใหม่ดูอีกครั้ง” จิวชงหยวนก้มขอบคุณหมอหลวงและบอกด้วยรอยยิ้มดีใจอย่างสุดซึ้ง พยายามเก็บสีหน้าสะใจไว้ภายใต้ใบหน้าสดใสไร้เดียงสา
    “พระชายาคือว่าท่านเสด็จกลับตำหนักเถอะพะยะค่ะ เดี๋ยวองค์ชายห้าจะเป็นห่วง” หมอหลวงพยายามหาข้ออ้างเพื่อให้คนงามออกจากโรงยาที่สมุนไพรใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว
    “องค์ชายห้าตามใจข้า ท่านไม่ต้องห่วงหรอกข้าบอกเขาไว้แล้ว หรือว่าท่านไม่เต็มใจให้ข้าใช้ห้องยานี้แล้วหรือ” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนจะแสร้งตีหน้าเศร้าเอ่ยถามเสียงสั่น
    “เปล่าพะยะค่ะ พระชายาอย่าเพิ่งเข้าใจผิด เอาเป็นว่าข้าแก่แล้วขอกลับไปพักพระชายาตามสบายเถอะพะยะค่ะ พวกเจ้ามาช่วยประคองข้าไปพักที” หัวหน้าหมอหลวงบอกเสียงสั่นคล้ายจะเป็นลมพร้อมเรียกลุกศิษย์พากลับไปพัก ทุกคนมองจิวชงหยวนเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าทำความเคารพแล้วถอยออกไป
    จิวชงหยวนยกยิ้ม มือที่ถือกิ่งสมุนไพรติดมือมาเคอะกับมือเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะฉีกยิ้มร้ายใส่สมุนไพรที่เหลือ นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น!
    อยู่เมืองหลวงมีแต่พวกเลียแข้งเลียขา ทำไมเขาจะเสแสร้งบ้างไม่ได้กัน แต่เอาเถอะเมื่อไหร่ที่รู้ความจริงเกี่ยวกับลู่เฟยแล้วจะออกไปจากวังหลวงแล้วกัน แต่ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักพวกขุนนางที่พยายามหาเรื่องเขาอย่างสนิทสนมเสียก่อน...


   จะพยายามลงให้เท่ากับเว็ตอื่นนะคะ ^^
เรื่องนี้กำลังตีพิมพ์ มีจำนวน 2 เล่ม จบค่ะ ฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 13หมอเทวดาป่วนวังหลวง3 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 12:55:40
บทที่13
หมอเทวดาป่วนวังหลวง3 (จบ)
    

             บึม!
    เสียงระเบิดภายในห้องยาดังออกมาเป็นระยะๆ แต่คนที่ลงมือทำหมุนกิ่งไม้ในมือเล่นเท่านั้น ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับสิ่งที่ทำลงไปแม้แต่น้อย ก่อนจะหันไปมองผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย
    “เจ้าทำอะไร!”
    “อยู่ห้องยาจะให้ข้าทำอะไรล่ะ ถามแปลกๆ ว่าแต่เจ้ามาทำไม” จิวชงหยวนเอ่ยถามลู่เฟยด้วยเสียงเรียบเฉย ตั้งแต่รู้ฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายคำเรียกขานที่ใช้ก็ยังเฉกเช่นเดิม ลู่เฟยเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความให้เรียกอย่างอื่น
    “มาตามเจ้ากลับตำหนัก ไม่คิดว่าเจ้าจะเล่นซนขนาดนี้” ลู่เฟยตอบรับยกมือปัดป่ายควันไฟ มองคนงามที่ตอนนี้ใบหน้ามีเขม่าควันเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าอย่างน่าขัน
     “ก็น่ะ ข้ามันว่างงานนี่” บอกด้วยรอยยิ้มอย่างไม่สำนึกผิดสำนัก ลู่เฟยได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงตก
    “กลับเถอะ เจ้าเล่นสมุนไพรพวกนั้นจนหมดแล้ว” จิวชงหยวนฉีกยิ้มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับสมุนไพรตรงหน้า มันก็แค่ส่วนเล็กน้อยที่ใช้การไม่ได้เท่านั้น ของจริงเขาทำเป็นเม็ดใส่ขวดไว้อยู่ในอกเสื้อหมดแล้ว เรื่องอะไรจะทำให้เสียของเปล่า เอาไว้ไปรักษาประชาชนข้างนอกน่าจะคุ้มค่ากว่ามารักษาพวกเสแสร้งในวังหลวงเสียอีก
    “วันนี้ข้าจะนอนตำหนักที่ตำหนักฝูจิ้น” จิวชงหยวนหันไปบอกคนข้างกายด้วยเสียงเรียบเฉยเพราะตั้งแต่มีตำหนักของตัวเองยังไม่เคยได้ไปนอนเลย
    “ได้สิ” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนเอียงคอมองอย่างแปลกใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของลู่เฟยทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจ
    “แต่ข้าจะไปนอนด้วยนะ” นั่นไง คิดแล้วว่าทำไมมันง่ายเกินไป
    “เจ้าจะไปนอนกับข้าทำไม เตียงเจ้าก็มีจะมานอนเบียดข้าทำไม” จิวชงหยวนชักสีหน้าไม่พอใจ สองขายังก้าวเดินไปทางตำหนักฝูจิ้น
    “ก็เจ้าเป็นเมียข้าหากข้าไม่ไปนอนกับเจ้าจะให้ไปนอนกับใคร” คำกล่าวของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนชะงักเท้าหันกลับมามองคนพูดอย่างจริงจัง
    “ลู่เฟยที่ข้าอยู่ในตำแหน่งเพราะเจ้ายัดเยียดให้ข้า และที่ข้าอยู่ที่นี่เพราะเห็นแก่ที่ข้ากับเจ้ารู้จักกันมาก่อน หากข้าคิดจะไปจริงๆ ต่อให้เจ้าก็หาข้าไม่พบ” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเรียวคมที่แข็งกร้าวทำให้ลู่เฟยชะงัก ใบหน้ากลับมาเงียบขรึมมองคนร่างเล็กกว่าตนด้วยสีหน้าครุ่นคิด วรยุทธอีกฝ่ายใช่ว่าจะกระจอกงอกง่อย อาจจะเป็นจริงดังที่กล่าวมา
    “หากเจ้ากับข้ารู้จักกัน เจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะจำเจ้าได้สิ” ลู่เฟยพยายามหาวิธีให้คนตรงหน้าอยู่ที่นี่ต่อไป
    จิวชงหยวนมองคนพูดแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หากเป็นบัญชาสวรรค์เขาจะทำให้ความทรงจำของลู่เฟยกลับมาได้หรือ แล้วหากนี่ไม่ใช่แม่ทัพสวรรค์แต่เป็นเพียงคนที่มีชื่อและหน้าตาที่เหมือนกันเท่านั้น เขาไม่เสียเวลาอยู่นี่หรือไง
    “ตามมา” จิวชงหยวนบอกอย่างอ่อนใจก่อนจะพากลับไปในตำหนัก
    “เจ้าลองสร้างกระบี่จากลมปราณเจ้าให้ข้าดูก่อน” เมื่อเข้าในห้องจิวชงหยวนก็ปิดประตูหน้าห้องแล้วหันไปบอกคนที่ยืนกอดอกพิงกำแพงมองเขานิ่งๆ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง ทว่าคิ้วคมเข้มกลับขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจคำสั่ง
    “แค่ของง่ายๆ ที่เจ้าทำได้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้ายเข้าปากเจ้ายังจำไม่ได้หรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะน้ำชาริมหน้าต่าง
    “เจ้าคิดว่าการสร้างกระบี่จากลมปราณมันง่ายนักหรือไง” คำถามของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เพราะที่เห็นๆ มามันก็สร้างง่ายออก เขาเองก็ทำได้แต่มากสุดแค่ยี่สิบเล่มเท่านั้น ไม่เหมือนอีกฝ่ายที่สร้างขึ้นมาเป็นร้อยเล่มไล่ฟันเขาทั่วหุบเขาแห่งเซียน
    มือเรียวยื่นไปข้างหน้าก่อนจะปรากฏกระบี่สีส้มเรืองรองออกมา แม้ลวดลายไม่ได้หรูหราแต่มันกลับแข็งแกร่งไม่ต่างจากกระบี่เนื้อดีจริงๆ ลู่เฟยมองกระบี่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ก่อนจะเบิกตากว้างมากขึ้นเมื่อกระบี่ปรากฏเพิ่มขึ้นเป็นห้าเล่มลอยล่องอยู่รอบกายจิวชงหยวน
    “เป็นไปไม่ได้” ลู่เฟยพึมพำเบาๆ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยที่มีคนสร้างกระบี่ลมปราณขึ้นมาได้ อีกอย่างตอนนี้กระบี่ห้าเล่มเริ่มเลือนหายไปแต่จิตสังหารที่เคลือบอยู่ทำให้สัมผัสได้ว่าพวกมันยังอยู่ ดวงตาคมกริบมองคนร่างบางอย่างคาดไม่ถึงที่สามารถสร้างได้ขั้นถึงไร้ลักษณ์
    “นี่แค่เล็กน้อยที่ข้าทำได้ ส่วนเจ้าทำได้เป็นร้อยเล่ม แต่ตอนนี้ข้าไม่มั่นใจแล้วว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ หรือเปล่าลู่เฟย” จิวชงหยวนสลายพลังกระบี่ไปพร้อมเอ่ยบอกเสียงเรียบ ดวงตาเรียวมองลู่เฟยที่ทำสีหน้าตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นแล้วเหนื่อยใจ เขาคงไม่ใช่ลู่เฟยแม่ทัพสวรรค์จริงๆ สินะ ไม่เช่นนั้นคงพอจะคุ้นเคยบ้างแล้ว ไม่ใช่อาการตกตะลึงแบบนี้
    “ข้า...” ลู่เฟยพูดไม่ออกเมื่อน้ำเสียงที่ได้ฟังเหมือนท้อใจของจิวชงหยวน เป็นความผิดของเขาเองที่อยากยื้อคนตรงหน้าไว้แล้วสวมรอยเป็นคนที่จิวชงหยวนตามหา
    “มานี่สิ” จิวชงหยวนเรียกลู่เฟยที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูเข้ามาหา ซึ่งลู่เฟยก็เดินเข้ามาหาอย่างว่าง่าย จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก่อนจะยื่นขลุ่ยหยกให้อีกฝ่าย
    “บรรเลงเพลงที่เจ้าคิดว่าคุ้นเคยที่สุด” ลู่เฟยก้มมองขลุ่ยหยกในมือจิวชงหยวนและมองหน้าคนงามอย่างแปลกใจ มือหนารับขลุ่ยมาแล้วไปนั่งฝั่งตรงข้ามจิวชงหยวน ใบหน้างามมองเขานิ่งๆ จนไม่อาจคาดเดาได้
    “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเพลงนี้ชื่อว่าเพลงอะไร แต่ข้าได้ยินอยู่ในฝันบ่อยๆ” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงขลุ่ยช้าๆ
    เพลงขลุ่ยดังไปทั่วตำหนักมันหวานเศร้าจนเจ็บปวดหัวใจ ความรักที่รอมาเนิ่นนานต่อคนที่รัก เพลงที่หวานละมุนเคล้าความเศร้าหมอง ทำให้จิวชงหยวนนั่งนิ่งมองคนที่บรรเลงแล้วส่งยิ้มบางๆ ใช่มันเป็นเพลงของลู่เฟยที่ชอบมาบรรเลงตอนที่อยู่ใต้น้ำตก เป็นเพลงรักที่ต้องเจออุปสรรค์มากมาย แม้กาลเวลาจะผันแปรแต่ความรักและการรอคอยยังอยู่เฉกเช่นเดิม
    เวลาผ่านไปไม่นานเพลงก็จบลง ลู่เฟยวางขลุ่ยหยกลงแล้วมองหน้าคนงามที่ส่งยิ้มมาบางๆ
    “แม้เจ้าจะจำเรื่องของเราไม่ได้ แต่อย่างน้อยเจ้าก็จำเพลงของเจ้าได้”
    “เพลงนี้เจ้าว่าข้าเคยเล่นหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างสับสน เพราะนี่เป็นเพลงที่เขาได้ยินแต่ในความฝันเท่านั้นไม่คิดว่าจะมีจริงเสียด้วยซ้ำไปเพราะนางรำและคณะละครต่างไม่มีเพลงนี้เลย
    “ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่เคยได้ยินจากที่อื่น เพราะเพลงนี้เจ้าบรรเลงอยู่ในหุบเขาแห่งเซียน มันเป็นเพลงที่เจ้าแต่งขึ้นเอง ตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้ามีความรักและคนรักเจ้าจากไป แต่เจ้าก็ไม่ได้บอกอะไรข้าเลย รู้ไหมลู่เฟย ตอนนั้นเจ้าเอาแต่ยิ้มไม่ว่าจะทำผิด ทำถูก ดีใจหรือเศร้าใจ เจ้าได้แต่ยิ้ม แม้กระทั่งฆ่าคนเจ้าก็ยังยิ้ม” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงแห่งความคิดถึงตอนที่อยู่บนหุบเขาแห่งเซียน ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะหันกลับมามองลู่เฟยซึ่งมองเขานิ่งๆ เช่นกัน
    “ข้าคิดว่าเจ้าจะหายบ้าแล้วเสียอีก” คำกล่าวสั้นๆ ทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุก
    “เจ้าไม่เชื่อข้า”
    “ไม่รู้สิ ข้าจำในสิ่งที่เจ้าบอกไม่ได้ และสิ่งที่เจ้ากล่าวมามันไม่มีในโลกมนุษย์ แต่จากกระบี่ไร้ลักษณ์ที่เจ้าสร้างขึ้นก็อาจเป็นดั่งที่เจ้าว่า
    “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากบังคับให้เจ้าจำ แต่จากเพลงที่เจ้าเล่นข้าแน่ใจว่าคือเจ้าแน่นอน บัญชาสวรรค์มากสุดก็แค่ร้อยปี ข้ามีเวลาเจอเจ้าอีกหลายร้อยปี สักวันเจ้าก็คงจำข้าได้เองนั่นแหละ”
    ลู่เฟยส่ายหน้ากับคนงามที่เริ่มเพ้อเจ้อในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ มือหนายื่นขลุ่ยหยกคืนให้ ก่อนจะบอกเสียงเรียบ
    “วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว ข้าจะกลับตำหนักเจ้าจะได้มีเวลาส่วนตัวบ้าง บางทีข้าอาจจะคิดอะไรออกตอนที่ไม่มีเจ้าก็ได้” จิวชงหยวนฉีกยิ้มรับอย่างดีใจ อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่ต้องแกล้งถีบใครบางคนตกเตียง
    “อืม ฝันดี” ลู่เฟยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบาง ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีน้ำเงินเดินสะบัดจากไป จิวชงหยวนมองตามร่างสูงอย่างครุ่นคิด ตอนนี้เขามั่นใจถึงเจ็ดส่วนที่ลู่เฟยคนนี้จะเป็นคนเดียวกับแม่ทัพสวรรค์
    ร่างโปร่งบางลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะไปอาบน้ำ แม้จะมีนางกำนัลและขันทีแต่เขาไม่เคยเรียกใช้พวกนั้นเลย จะทำอย่างไรได้ก็เขาคุ้นเคยกับการอาบน้ำเองตั้งแต่จำความได้แล้วนี่ อาหารเย็นเป็นข้าวต้มแบบง่ายๆ เพราะไม่อยากเรื่องมากเนื่องจากมันเลยเวลาอาหารมานานมากโขแล้ว มือบางหยิบยาสมุนไพรหลายชนิดที่หลอมเป็นเม็ดแล้ว มียาแก้ไข้ แก้ปวด แก้อักเสบ และทำเป็นครีมไว้ทาแผลสดโดยมีสมุนไพรที่เขาได้มาจากหุบเขาแห่งเซียนเป็นส่วนประกอบด้วย ทำให้ยามีประสิทธิภาพและเห็นผลดีขึ้น
    จิวชงหยวนวางยาใส่ไว้ในกล่องไม้เนื้อดีที่บรรจุยาไว้ พร้อมลงอาคมป้องกันจากที่อาจารย์สอนไว้เพื่อไม้ให้ใครมาขโมยไปได้ง่ายๆ จากนั้นจึงล้มตัวนอนอย่างอ่อนล้าหลังจากป่วนห้องยามาแล้ว
    พรุ่งนี้ไปป่วนที่ไหนดีนะ...
    
    ช่วงสายของวันใหม่ร่างโปร่งบางก็เดินร่อนออกจากตำหนักเพื่อไปยังลานฝึกทหาร แต่ต้องชะงักมองสองสาวที่กำลังทะเลาะกันอยู่หน้าตำหนักของลู่เฟย
    “นั่นมันคุณหนูตระกูลกุ้ยกับคุณหนูตระกูลเสี่ยนไม่ใช่หรือไง” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ มองสองสาวที่โยนขนมใส่กันไปมา
    แปะ!
    ในที่สุดเจ้าขนมกุ้ยผิงก็ลอยล่องมาแปะบนหน้าจิวชงหยวนพอดี แต่สองสาวยังไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ตบตีกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จิวชงหยวนหันไปมองขันทีที่ติดตามมาแล้วบอกเสียงเรียบ
    “พวกเจ้าไปเอาน้ำมาให้ข้าถังหนึ่ง”
    “พะยะค่ะ” ขันทีร่างโปร่งบางแต่ดูสะดีดสะดิ้งตอบรับ หายไปเพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมน้ำหนึ่งถัง จิวชงหยวนรับมามองสองสาวที่ตีกันไปมาแล้วสาดน้ำเข้าใส่โครมใหญ่
    กรี๊ดดดด
    สองสาวกรีดร้องออกมาพร้อมกันก่อนจะตวัดสายตาไปมองคนทำตาขวาง แม้จะเห็นว่าผู้ใดเป็นคนกระทำแต่กลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย
    “เจ้าคนชั้นถ่อย กล้าดียังไงมาสาดน้ำใส่ข้า” เสียงหวานที่ตะคอกมาของคุณหนูตระกูลกุ้ยทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองแล้วส่ายหน้าเบาๆ อย่างเอือมระอา คิดว่าตัวเองมาจากตระกูลสูงส่งแต่คำพูดคำจากลับไร้สกุลสิ้นดี
    “คิดว่าเป็นชายาเอกแล้วจะทำอย่างนี้กับข้าได้หรือไง สักวันข้าจะทำให้เจ้าโดนเฉดหัวออกจากวังแน่” คุณหนูตระกูลเสี่ยนวาจาก็ร้ายไม่เบา
    “ข้าแค่เห็นหมามันกัดกันจนน่ารำคาญ เลยสาดน้ำไล่ออกไป ไม่คิดว่าจะเป็นคุณหนูทั้งสอง แต่มารยาททรามเช่นนี้ทางต้นตระกูลคงมิได้สั่งสอนลูกหลานหรอกกระมัง”
    “เจ้า!” จิวชงหยวนมองตอบอย่างท้าทาย ริมฝีปากบากยกยิ้มอย่างไม่ได้หวาดกลัวกับคำข่มขู่ ตอนแรกก็จะให้เกียรติเหมือนกันเพราะอย่างไรก็เป็นผู้หญิง แต่ลักษณะนิสัยผู้ชายแท้ๆ อย่างเขายังรับไม่ไหว ใครได้ไปเป็นเมียคงปวดหัวตาย
    “เกิดอะไรขึ้น เอะอะอะไรกัน” เสียงที่เอ่ยถามมาจากร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ทำให้สองสาววิ่งเข้าไปหาแล้วฟ้องด้วยน้ำเสียงประจบจนเขาหมั่นไส้ เพราะนี่มันใส่ร้ายกันซึ่งๆ หน้าเลย
    “องค์ชาย องค์ชายต้องช่วยพวกหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันกับกุ้ยอิงทำขนมมาถวายองค์ชายแต่ถูกพระชายาขัดขวางไม่ให้เอาไปให้เพคะ และยังสาดน้ำตบตีหม่อมฉันอีกเพคะ ใช่ไหมกุ้ยอิง”
    “ใช่ๆ เพคะ หม่อมฉันเจ็บเหลือเกิน พระชายาใจร้ายมากเพคะ ไม่เหมาะสมที่เป็นพระชายาตี๋ฝูจิ้นเลยเพคะ พระองค์ต้องจัดการให้พวกหม่อมฉันนะเพคะ” กุ้ยอิงบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าดวงตาหวานคลอน้ำตาอย่างน่าสงสาร ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะร้อยนิ้วมือผมที่จัดทรงมาดีกลับเละเทะไปด้วยขนม คุณหนูเสี่ยนฮวาก็ไม่มีสภาพไม่ต่างกัน
    จิวชงหยวนมองสองสาวแล้วขำออกมาเบาๆ ในโลกนี้น่าจะมีรางวัลตุ๊กตาทองบ้างนะ เขาจะเป็นคนมอบให้นางด้วยตัวเองเลย
    “ชงหยวนเจ้าจะแก้ตัวว่าอย่างไรกับถังน้ำในมือเจ้า” คำถามของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนก้มมองมือตัวเองที่ยังถือถังน้ำ
    ตายห่า! หลักฐานคามือเลย
    “ข้าเห็นหมาสองตัวกัดกันไม่ปล่อยสักทีเลยเอาน้ำมาสาดไล่” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะยื่นถังน้ำคืนให้ขันที แล้วหันกลับมามองสองสาวที่มองเขาตาขวาง
    “องค์ชายพระชายาว่าพวกหม่อมฉันเป็นหมา พระองค์ต้องจัดการให้พวกหม่อมฉันนะเพคะ” คุณหนูกุ้ยอิงจับแขนซ้ายลู่เฟยไว้แล้วร้องบอกอย่างน่าสงสาร จิวชงหยวนยักไหล่เบาๆ มองลู่เฟยอย่างท้าทาย ใบหน้างามยิ้มที่มุมปากนิดๆ พร้อมน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังดวงตาลุกวาวมากขึ้นกว่าเดิม    
    “ข้าบอกว่าข้าสาดหมาไม่ได้บอกว่าเป็นคุณหนูทั้งสอง แต่หากพวกเจ้ายอมรับกันเองเช่นนี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” คำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบทำให้ลู่เฟยยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว และน่าจะรู้ตัวเองดีว่าทำอะไรกันไว้” ลู่เฟยแกะมือของทั้งสองคนออกแล้วเดินมาจับมือชงหยวนเดินจากไป ปล่อยให้สองสาวมองตามอย่างขัดใจ
    “ไม่ง้อพวกนางหน่อยหรือ” จิวชงหยวนที่เดินตามเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “ทำไมต้องง้อในเมื่อข้ามีเจ้าเป็นเมียคนเดียว อีกอย่างข้าไม่ได้หูหนวกตาบอดโดยไม่เห็นอะไร” ลู่เฟยบอกยิ้มๆ พร้อมยื่นผ้าเช็ดหน้าเช็ดแก้มที่เปื้อนขนมให้จิวชงหยวนเบาๆ
    “ข้า ทำเอง” จิวชงหยวนรับผ้าเช็ดหน้าหมายจะเช็ดเอง ตอนนี้ใบหน้าเขาแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินที่มีผู้ชายมาเช็ดหน้าให้แบบนี้
    “เช็ดเองเจ้าจะรู้ได้ยังไงว่ามันเปื้อนตรงไหน” ลู่เฟยบอกยิ้มๆ ยิ่งเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกมีความสุข
    “เจ้าอยากไปไหน” ลู่เฟยเก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วเอ่ยถามคนร่างเล็กกว่าตนที่หันหน้าหลบสายตาเขา ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มบางๆ หัวใจสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
    “ข้าอยากไปลานฝึกทหาร” จิวชงหยวนบอกจุดประสงค์เสียงเบาไม่กล้ามองหน้าคนตัวโต เพราะตอนนี้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล สงสัยเมื่อคืนจะนอนไม่พอ
    “เจ้าจะไปทำอะไรที่นั่น” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนถามก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “แล้วเจ้าคิดว่าไง” คำตอบที่ได้รับทำให้ลู่เฟยส่ายหน้าเบาๆ อย่างอ่อนใจ
    “วันนี้ข้ามีงานพาเจ้าไปไม่ได้”
    “ให้ข้าพาไปไหม” น้ำเสียงระรื่นพร้อมร่างโปร่งบางขององค์ชายเจ็ดก้าวเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม จิวชงหยวนหันไปมองแล้วเบ้หน้า เพราะลั่วหวังอู๋ก็เป็นตัวขัดความสุขเขาไม่น้อยไปกว่าลู่เฟย
    “เจ้าไม่มีงานหรือ” ลู่เฟยหันไปถามน้องชายด้วยสีหน้าไม่พอใจนิดๆ เพราะรู้ดีว่าลั่วหวังอู๋คิดอะไรกับจิวชงหยวน
    “ข้าว่างเสมอกับชงหยวน ปะไปกันเถอะรับรองที่นั่นมีหนุ่มๆ ให้เจ้ามองเยอะเลย” น้ำเสียงระรื่นพร้อมมือบางคว้ามือจิวชงหยวนให้เดินตาม ลู่เฟยมองตามอย่างขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมีงานราชการที่ต้องตรวจตราอีกเยอะ
    จิวชงหยวนสะบัดมือออกแล้วมองตาดุ เขาจะไปลานประลองเพื่อไปดูการต่อสู้ของทหารไม่ใช่ไปส่องหนุ่มอย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้างมา
    “ไหนว่าจะไปปราบโจรทำไมมีเวลาพาข้ามาเที่ยวเล่นได้”
    “ก็แม่ทัพห่านหลงกลับมาเมืองหลวง ข้าเลยจะไปขอคำปรึกษา” ลั่วหวังอู๋บอกเสียงเบานิ้วชี้สองข้างจิ่มกันไปมาเหมือนเด็ก หากเป็นผู้หญิงมันคงจะน่ารักกว่านี้ จิวชงหยวนได้แต่ส่ายหน้าเดินไปตามเส้นทางอย่างไม่สนใจคนงามที่ตามมาติดๆ
    “พระชายา องค์ชายเจ็ด จะเสด็จมาทำไมไม่บอกกระหม่อมล่วงหน้า กระหม่อมจะได้เตรียมจัดพื้นที่ไว้รอพะยะค่ะ” แม่ทัพห่านหลงออกมาต้อนรับทั้งสอง ดวงตามององค์ชายเจ็ดที่ยิ่งโตยิ่งงดงาม รอยยิ้มหวานที่ส่งมาทำให้หัวใจสั่นระรัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    “อย่ามากพิธี ข้าตั้งใจมาหาเจ้า ส่วนชงหยวนอยากมาดูการฝึกทหาร” ลั่วหวังอู๋บอกด้วยรอยยิ้มหวานที่ทำให้คนมองหน้าแดงระเรื่อ ทว่ากลับไม่พ้นสายตาจิวชงหยวนไปได้ ใบหน้าที่เรียบเฉยฉายแววเจ้าเล่ห์นิดๆ ริมฝีปากยกยิ้มเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายใจแล้วกล่าวบอกเสียงเรียบ
    “แม่ทัพห่านหลงอย่าได้เกรงใจ หวังอู๋อยากได้คำปรึกษากับเจ้า ข้าจะเที่ยวดูทางนี้เองไม่ต้องห่วง”
    “เอ่อ พะยะค่ะ องค์ชายเชิญทางนี้พะยะค่ะ” ลั่วหวังอู๋ยิ้มรับก่อนจะเดินตามไปอย่างว่าง่าย แม่ทัพก้มหัวให้จิวชงหยวนอีกครั้งก่อนจะเดินตามองค์ชายออกไป
    “หึหึ ห่านหลงข้าว่าเจ้าเจอคนที่หัวใจเต้นแรงแล้วล่ะ” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปสนามกลางลานประลอง
    “พระชายา!” หัวหน้าองค์รักษ์เรียกจิวชงหยวนอย่างตื่นตระหนก เพราะที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับคนรูปร่างโปร่งบางผิวขาวเนียนอย่างพระชายาเลย
    “ท่านหัวหน้าองค์รักษ์อย่าได้มากพิธี ข้าแค่อยากมาเล่นแถวนี้ ลู่เฟยกับหวังอู๋ก็อนุญาตข้าแล้ว หวังว่าท่านไม่ไล่ข้าไปหรอกนะ”
    “กระหม่อมมิกล้าหรอกพะยะค่ะ”
    “ดี ถ้าเช่นนั้นเจ้ามาเป็นคู่มือต่อสู้ข้าหน่อยเป็นไง อยู่ในวังมีแต่กินกับนอนจนข้าอ้วนขึ้นแล้ว เจ้าคงไม่ปฏิเสธข้าใช่ไหม”
    “กระหม่อมขอล่วงเกินแล้วพะยะค่ะ” หัวหน้าองค์รักษ์ร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามีรอยแผลเป็นน่ากลัวแต่กลับมีเสน่ห์ของเจ้าตัว จิวชงหยวนยกยิ้มเดินไปหยิบกระบี่ที่ใช้สำหรับฝึกซ้อมมาหมุนดูสองสามรอบก่อนจะเดินไปกลางลานประลอง ตอนนี้ทหารที่ฝึกซ้อมต่างหยุดกิจกรรมของตัวเองมายืนล้อมวงมองดูพระชายากับหัวหน้าองค์รักษ์ต่อสู้กันด้วยความตื่นเต้น
    จิวชงหยวนยกมือคำนับคู่ต่อสู้อย่างให้เกียรติ หัวหน้าองค์รักษ์เองก็ปฏิบัติเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินวนลอบสนามเล็กๆ ที่มีเหล่าทหารยืนดูไม่ห่าง ทั้งคู่แม้จะเดินรอบเป็นวงกลมช้าๆ ทว่าสายตากลับมองคู่ต่อสู้ไม่วางสายตาเพื่อหยั่งเชิงกันและกัน
    “เจ้าไม่เริ่มข้าขอลงมือก่อนแล้วกันนะ” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วสองส่วน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    แรงกระบี่ที่ฟาดออกมาถึงกับทำให้มือของหัวหน้าองค์รักษ์สั่นสะท้าน ความเร็วและเฉียบขาดทำให้หัวหน้าองค์รักษ์มองอย่างตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าพระชายาจิวตี๋ฝูจิ้นจะมีความสามารถขนาดนี้ๆ
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    หัวหน้าองค์รักษ์รับคมกระบี่อยู่ห้ากระบวนท่าก่อนจะถอยห่างออกมา กระบี่ในมือหักเป็นสองท่อนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา มือข้างขวาที่กำกระบี่ไว้ถึงกับชาจากแรงสั่นสะเทือน
    “กระบี่ใช้ไม่ได้เรื่องเลย งบประมาณการคลังเอาไปทำอะไรหมดนะ ถึงสั่งของไร้ประสิทธิภาพอย่างนี้” จิวชงหยวนมองกระบี่ในมือที่แตกร้าวแล้วบ่นออกมาอย่างไม่จริงจัง แต่คนของเสนาบดีการคลังถึงกับเก็บเรื่องนี้ไปฟ้องเพื่อเอาหน้า
    จิวชงหยวนโยนกระบี่ที่แตกร้าวเดินไปหยิบกระบี่เล่มขึ้นมาใหม่ หัวหน้าองค์รักษ์เองก็ต้องทำตามเช่นกัน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
   ผ่านไปครึ่งชั่วยามแต่กระบี่ที่ฝึกซ้อมกลับแตกหักไปนับสิบเล่ม แม้กระทั่งทวนยังหักเป็นสองท่อน ทหารที่เฝ้ามองต่างกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น เพราะร่างโปร่งบางของพระชายาไม่มีเหงื่อและความเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย ต่างจากหัวหน้าองค์รักษ์ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเหงื่อออกเต็มใบหน้า มือทั้งสองข้างด้านชาจากแรงปะทะ ความเร็วและความแรงของพระชายาเหนือกว่าตนไปหลายขั้น หากใครคิดกบฏต่อองค์ชายห้าลู่เฟย ก็ต้องกำจัดพระชายาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นงานใหญ่คงไม่สามารถทำได้สำเร็จ
    จิวชงหยวนมองกระบี่ที่หักเป็นสามท่อนของหัวหน้าองค์รักษ์แล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เพราะอาการของหัวหน้าองค์รักษ์ตอนนี้ไม่ดีเท่าไร
    “เจ้าคงไม่ไหวแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน” เมื่อพูดจบกระบี่ในมือก็แตกสลายหายเป็นฝุ่นไป ปล่อยให้ทหารมองตาค้างเพราะวรยุทธของอีกฝ่ายนับว่าไม่ธรรมดา อีกอย่างดูเหมือนพระชาอยากจะทำลายอุปกรณ์การฝึกซ้อมเล่นเสียมากกว่า
    “ขอบพระทัยพระชายาที่ออมมือ” หัวหน้าองค์รักษ์กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พยายามสะกดกลั้นอารมณ์และความเสียหน้าของตัวเองเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเฉยชา จิวชงหยวนยกยิ้มเดินเข้ามาหาพร้อมจูงมือเดินออกไปจากลานประลอง ทหารต่างมองตามด้วยสีหน้าต่างกันไป ส่วนหัวหน้าองค์รักษ์ตอนนี้ได้แต่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเพราะอีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นถึงพระชายาตี๋ฝูจิ้น แต่กลับมาจับมือถือแขนตนอย่างไม่กลัวว่าหัวเขาจะหลุดจากบ่า
    “เอ่อ พระชายาปล่อยกระหม่อมเถอะพะยะค่ะ หากใครมาเห็นเข้าหัวข้าคงหลุดจากบ่า”
    “ไม่เป็นไร หากหัวเจ้าหลุดเพราะข้าเดี๋ยวข้าจะต่อให้เจ้าเอง” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มขำแต่หัวหน้าองค์รักษ์กลับขำไม่ออก จิวชงหยวนพามานั่งอยู่โต๊ะนั่งที่สวนดอกท้อพร้อมก้มมองมือหนาที่เลือดออกตามง่ามมือ และดูเหมือนมือจะชาไม่น้อย ก็ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนี้เพราะเขาผนึกลมปราณไปถึงห้าส่วนและตั้งใจทำลายกระบี่โดยเฉพาะ
    จิวชงหยวนหยิบยาในอกเสื้อมายื่นให้อีกฝ่ายกิน ก่อนจะลงมือทำแผลให้อีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ซึ่งหัวหน้าองค์รักษ์ได้แต่มองตามอย่างมึนงง และอดที่หน้าแดงไม่ได้เมื่อใบหน้างดงามก้มเข้ามาใกล้
    “ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” จิวชงหยวนเงยหน้ามองเจ็บด้วยใบหน้าเรียบเฉยและจริงจังกับแผลในมือโดยไม่ได้สังเกตอาการแปลกไปของคนป่วย
    “เอ่อ กระหม่อมรู้สึกหายเหนื่อยและรู้สึกสดชื่นดีพะยะค่ะ” หลังจากกินยาไปทำให้รู้สึกเหมือนไม่เคยออกแรงมาก่อนหน้านี้ จิวชงหยวนพยักหน้ารับแล้วใช้ยาทาแผลสดตามง่ามมือเบาๆ
    “เรียบร้อยแล้วต้องขอโทษด้วยที่รุนแรงไปหน่อย ข้าแค่อยากรู้ฝีมือหัวหน้าองค์รักษ์เท่านั้น แต่สรุปข้าไม่ได้รู้อะไรเลยเพราะเจ้าออมมือไม่กล้าลงมือเต็มที่” จิวชงหยวนบอกอย่างรู้ทัน ซึ่งหัวหน้าองค์รักษ์ได้แต่หลบสายตาเพราะนั่นเป็นเรื่องจริง ใครจะกล้าลงมือกับพระชายาเต็มแรง แค่ป้องกันก็หอบขึ้นคอแล้ว ถึงจะสู้เต็มแรงผลออกมาเขาคงจะแพ้เช่นเดิม เขาไม่ใช่พวกยโสโอหังในฝีมือตนเองจนไม่ได้สังเกตฝีมือผู้อื่น และฝีมือของพระชายาดูก็รู้ว่านั่นเป็นแค่การเล่นเท่านั้น
    “มือเป็นไงบ้าง” จิวชงหยวนผละออกหลังจากมองดูแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง หัวหน้าองค์รักษ์เบิกตากว้างมองฝ่ามือที่เคยมีบาดแผลกลับหายสนิท ความเจ็บปวดหรืออาการชาไม่มีเหมือนไม่เคยได้ออกแรงมาก่อน
    “วิเศษ วิเศษมากพะยะค่ะ” หัวหน้าองค์รักษ์มองตอบด้วยสีหน้าตื่นเต้นลูบมือตัวเองเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
    “ข้าทำเจ้าบาดเจ็บก็เลยรักษาให้เหมือนเดิม แต่เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องไปพูดที่ใด  เพราะข้าจะไม่รักษาผู้อื่นที่ข้าไม่ได้เป็นคนสร้างบาดแผล อีกอย่างเจ้าคงไม่อยากนำความยุ่งยากมาแก่ข้าหรอกใช่หรือไม่” จิวชงหยวนอธิบายช้าๆ พร้อมส่งน้ำเสียงกดดันไปให้อีกฝ่ายในตอนท้ายประโยค
    “พะยะค่ะ กระหม่อมสัญญาว่าเรื่องนี้จะไม่ออกจากปากของกระหม่อม” หัวหน้าองค์รักษ์คุกเข่าตรงหน้าและก้มหน้าทำความเคารพเหมือนกับตนนับถือพระชายาผู้นี้จนหมดใจ จิวชงหยวนยิ้มรับกับผลลัพธ์ที่ได้คืนมา ต่อไปก็เตรียมรับมือกับพวกขุนนางการคลังสินะ แค่คิดก็สนุกแล้วสินะ...
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 14 หัวใจสั่นไหว NC
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 13:00:18
บทที่ 14
หัวใจสั่นไหว
   

             จิวชงหยวนตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกอึดอัดเหมือนโดนผีอำ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมากลับเห็นลำแขนล่ำใหญ่ของลู่เฟยกอดรัดเขาแนบแน่น เมื่อเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลากลับทำให้นอนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเรียวคมคู่นั้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว
    “เอ่อ เจ้ายังไม่หลับอีกหรือ” จิวชงหยวนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา มือเรียวบางพยายามแกะมือหนาออกจากตัว แต่กลับถูกกอดแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
    “ข้าขออยู่อย่างนี้สักพัก” ลู่เฟยบอกเสียงเบาพร้อมซุกใบหน้าลงที่ซอกคอเขาจนลมหายใจสะดุด
    “เกิดอะไรขึ้น” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ แม้อยากจะผลักไสร่างหนาให้ออกห่างแต่ท่าทางลู่เฟยตอนนี้ดูไม่ค่อยดีนัก
    “ข้าฝันร้าย ฝันว่าเจ้าจะจากข้าไป ไปยังที่ที่ข้าไม่รู้จักและไปตามเจ้ากลับมาไม่ได้ด้วย” น้ำเสียงเจ็บปวดของคนร่างหนา จิวชงหยวนนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าคนที่โอบกอดตนอยู่เวลานี้คิดอย่างไรกับเขากันแน่
    “ลู่เฟยข้ายังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย” เอ่ยปลอบคนข้างตัว แต่หัวใจเขาตอนนี้กลับสั่นไหวอย่างไม่มีเหตุผลอีกทั้งหัวใจที่เต้นระรัวเร็วจนกลัวมันจะหยุดเต้น
    “ชงหยวนเจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป” น้ำเสียงออดอ้อนและดวงตาเว้าวอนที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนถึงกลับกลืนน้ำลายที่แห้งเผือดของตัวเองอีกครั้ง เขามั่นใจว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่แววตาและน้ำเสียงของลู่เฟยตอนนี้ทำให้หัวใจดวงน้อยของเขาเริ่มสับสน
    “เอ่อ...ข้า” กล่าวได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึงกับคำพูดต่อมาของลู่เฟย
    “ข้ารักเจ้า หัวใจของข้า ร่างกายของข้าเป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว เจ้าไม่รักข้าไม่เป็นไร ขอแค่เจ้าอยู่ข้างข้าตลอดไปได้หรือไม่” น้ำเสียงของลู่เฟยคล้ายกับหวาดกลัวการสูญเสียคนในอ้อมกอดไป
    “ลู่เฟย ข้าเป็นผู้ชาย” จิวชงหยวนบอกย้ำความจริงให้คนข้างตัวฟังอีกครั้ง
    “ข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นสตรีนี่ และข้าก็รักเจ้าในแบบที่เจ้าเป็น” จิวชงหยวนสาบานได้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้ชายแต่เวลานี้กลับร้อนฉ่าไปทั่วร่าง โดยเฉพาะใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความอาย ใช่เขาอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครมาพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน
    ดวงตาเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากเรียวบางที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมขยับเข้ามาใกล้ พร้อมบดขยี้ริมฝีปากเขาเบาๆ ทว่ามันกลับส่งทุกความรู้สึกผ่านรสจูบนี้ด้วย จนเขาปฏิเสธไม่ออก รสจูบที่แผ่วเบา อ่อนโยน ทำให้เขาเผลอครางออกมาอย่างลืมตัว
    ให้ตายสิ! ทำไมเขาถึงรู้สึกดีกับรสจูบของลู่เฟย
    “อือ...ลู่เฟย หยุดก่อน” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เมื่อรสจูบที่อ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเขาแทบหายใจไม่ทัน ร่างกายที่เคยแข็งขืนกลับอ่อนระทวย มือหนาที่เคยโอบกอดนิ่งๆ กลับลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย
    “ข้าปรารถนาเจ้าเหลือเกินชงหยวน ให้ข้าได้บอกรักเจ้าให้มากกว่านี้เถอะนะ” น้ำเสียงเว้าวอน ดวงตาคมมองมาอย่างรักใคร่ทั้งฉายแววกระหาย จิวชงหยวนรู้สึกสับสน ร่างกายกับหัวใจเหมือนจะไม่ไปทางเดียวกัน สมองเริ่มพล่าเลือนเมื่อถูกจูบอีกครั้ง...และอีกครั้ง...
    “หยุดนะ ข้า...ข้าไม่ใช่สตรี”
    “อืม ข้ารู้แค่เป็นเจ้าสิ่งใดก็ไม่สำคัญหรอก” เสียงตอบรับเบาๆ ทว่าไม่ได้หยุดการกระทำ การรุกเร้าของอีกฝ่ายทำให้ท้องน้อยเขาปั่นป่วนโหวงเหวงชอบกล
    “อึก...”
    จิวชงหยวนตัวสั่นเมื่อถูกขบกัดลงบนปลายยอดอกอย่างไม่ได้ตั้งตัว ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาโดยพลัน
    “เจ็บ... ปล่อยลู่เฟย มันไม่ควรเป็นแบบนี้” จิวชงหยวนบอกเสียงสั่น พยายามรวบรวมสติที่เหลือน้อยนิดขึ้นมาต่อต้าน
    “ไม่ต้องกลัว แค่รับรักข้าก็พอแล้ว” พูดง่ายแต่มันกลับทำได้ยาก เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่งนะ นี่จะมาเสียประตูหลังให้ลู่เฟยจริงๆ หรือไง แม้อยากจะขัดขืนแต่เหมือนร่างกายจะทรยศต่อความคิด
    ลู่เฟยค่อยๆ ยกสะโพกจิวชงหยวนขึ้น แล้วถอดกางเกงของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย เขาโยนมันลงข้างเตียง เรือนร่างเปล่าเปลือยตรงหน้างดงามจนเขาอยากบดขยี้ ดูดกลืนทุกสิ่งของจิวชงหยวนไว้เพียงผู้เดียว ผมดกดำแผ่กระจายเต็มหมอนทั่วทั่งร่างซับสีแดงระเรื่อ แขนขายาวกับเอวเล็กบาง ช่างแผ่กำจายเสน่ห์อันเย้ายวน
    “อย่า...อย่ามองนะ” จิวชงหยวนบอกเสียงสั่น ทั่วร่างแดงระเรื่อด้วยความอาย สองมือกอบกุมส่วนล่างที่เริ่มแข็งขืนเอาไว้ สองขาหุบเข้าชิดหากัน ทว่ากลับถูกร่างหนาของลู่เฟยขวางไว้ไม่อาจปิดบังได้
    “ชงหยวนเจ้างดงามยิ่งนัก” ลู่เฟยชื่นชม เขารู้ว่าความงามและน่ามองของจิวชงหยวน เขาจับข้อพับเข่าของจิวชงหยวนแยกขาเรียวของอีกฝ่ายออกในมุมที่กว้างที่สุด จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงสองมืออันเขินอายของจิวชงหยวนออก
    ลู่เฟยวางมือลงบนต้านด้านใน ก้มหน้าลงไล้เลียดูดดึงตั้งแต่สะดือของอีกฝ่ายเรื่อยลงมา ลิ้นเล็กๆ เลียไล้จากล่างขึ้นบน สองมือยอกเย้ากับพวงช่อที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง
    จิวชงหยวนไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ไหนเลยจะทนการปลุกเร้าอารมณ์ในส่วนลึกของตัวเองได้ ความรู้สึกไหลบ่าทั่วร่างราวคลื่นซัดสาดพาให้เขาอยากจะร้องครางอย่างอดไม่อยู่
    “อื้ม...อา...” เสียงหวานครางออกมาด้วยความเสียวสะท้าน เมื่อลู่เฟยอ้าปากรับความเป็นชายของตนเข้าไปทั้งหมดและเริ่มกลืนเข้าและคายออก อีกทั้งใช้ลิ้นเย้าแหย่พัวพันไม่หยุด
    “ไม่...อา...อื้ม...หยุดไม่เอา...อืม...ข้าไม่ไหวแล้ว” จิวชงหยวนบอกเสียงกระเส่า ดวงตาสองข้างวาวด้วยน้ำตา ใจเขานั้นอยากให้อีกฝ่ายหยุด แต่ร่างกายกลับทรยศตอบสนองอารมณ์ปลุกเร้าของอีกฝ่าย
    ทว่ายิ่งร้องห้ามลู่เฟยยิ่งออกแรงดึงดูดมากขึ้น จนต้องร้องครางเพื่อระบายความอึดอัดในร่างกาย ทั่งร่างร้อนเร้าแดงก่ำ สูญเสียสตินึกคิดไปทั้งหมด
    “ไม่ได้...อา...อีก...อีก...” จิวชงหยวนไม่รู้ว่าตัวว่าเสียงร้องครางตนในยามนี้มีเสน่ห์เร่าร้อนเพียงไหน รู้สึกแค่ว่าส่วนล่างของร่างกายมีกระแสความร้อนจนทะลักออกมา
    “อา...อา...”
    ลู่เฟยคายปากและเปลี่ยนเป็นใช้มือกอบกุมได้ทัน ทำให้น้ำสีขาวขุ่นทะลักออกมาเปียกชุ่มมือของเขาเอง
    หลังจากถึงจุดสูงสุด จิวชงหยวนถึงกลับไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง ทำได้เพียงนอนหอบหายใจรัวเร็ว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเท่านั้น ทว่ายังหายใจไม่ทันหายเหนื่อย ลู่เฟยก็ถอดชุดตัวเองจนหมด มังกรยักษ์ตรงหน้าก็ผงาดโชว์ขึ้นอย่างน่ากลัว จิวชงหยวนตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อคิดสภาพว่าส่วนนั้นจะเข้ามาในกายตน
    “ชงหยวน”
    “ชงหยวน”
    ตุ๊บ!
    ร่างโปร่งบางที่แอบมานอนบนต้นไม้ในสวนดอกท้อล่วงตกลงมาหน้าทิ่มกับพื้นอย่างน่าอนาถ เจ้าตัวลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวไปมาอย่างมึนงง เสียงเรียกชื่อดังแว่วๆ ใกล้เข้ามาหา จิวชงหยวนมองรอบกายอย่างมึนงง สวนตำหนัก ใช่เขาอยู่สวนดอกท้อแล้วก็แอบปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้ จากนั้นก็เผลอหลับไป เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยความอาย กับความฝันพิเรนทร์ของตนเองที่ไม่เคยนึกคิดมาก่อน แต่เมื่อก้มมองช่วงล่างของตัวเองใบหน้างามกลับซีดเผือด
    “เชี่ย ฝันเปียก!”
   เสียงเรียกดังแว่วเข้ามาใกล้ ใบหน้างามยิ่งซีดเผือดมากกว่าเดิม ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะพบใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้าของเสียงในยามนี้ สภาพตัวเองตอนนี้เห็นแล้วอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เสียงสวบสาบดังเข้ามา ยิ่งทำให้ใจเต้นระรัวเหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วกลัวผู้ปกครองจับได้ ดวงตาเรียวมองรอบพื้นที่ที่ตัวเองนั่งก่อนจะรีบพุ่งทะยานลงไปสระบัวที่อยู่ไม่ห่างด้วยความเร็ว พร้อมกับเสียงที่เอ่ยถามขึ้นมาจากด้านหลัง
    “ชงหยวนเจ้าไปทำอะไรในสระแบบนั้น” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามพร้อมร่างสูงก้าวเข้ามาหาอย่างแปลกใจ จิวชงหยวนซึ่งหันหลังให้ได้แต่แอบลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่โดนจับได้ว่าตัวเองฝันไม่ซื่อกับลู่เฟย แต่เมื่อคิดถึงความฝันขึ้นมากลับทำให้ไม่กล้าหันไปมองคนข้างหลังแม้แต่น้อย
    “เอ่อ ข้าแค่อยากได้ดอกบัว เจ้าตามหาข้าทำไม” เอ่ยถามโดยไม่กล้าหันไปสบตา นี่มันเป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวเองมาก่อน อากาศรอบกายที่หนาวเย็นทำให้ร่างโปร่งบางสั่นเล็กน้อย
    “ทำไมเจ้าไม่ให้พวกขันทีหรือนางกำนัลเก็บให้ แล้วเจ้าลงไปแบบนั้นเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” ลู่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย ก่อนจะพุ่งทะยานเหยียบผิวน้ำมาดึงตัวจิวชงหยวนขึ้นมาจากสระบัว
    “อ่ะ...” จิวชงหยวนร้องออกมาเบาๆ อย่างตกใจ ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของลู่เฟยอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกทั้งแขนแกร่งโอบกอดเขาขึ้นมาจากสระ
    “เจ้าหน้าแดงไม่สบายหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ที่เห็นคนร่างเล็กกว่าตนหน้าแดงพร้อมหลบสายตาอย่างน่าแปลกใจ มือหนายกขึ้นแตะใบหน้างามอย่างแผ่วเบา
    “ข้า...ข้าไม่เป็นไร ปล่อยข้าได้แล้ว” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ก่อนจะดิ้นเพื่อออกจากการโอบกอด ลู่เฟยเองก็ปล่อยอย่างว่าง่ายแม้จะรู้สึกเสียดายไปบ้างก็ตาม ก่อนจะถอดชุดคลุมตัวนอกมาคลุมร่างเล็กกว่าตนอย่างเป็นห่วง
    “กลับตำหนักเถอะเดี๋ยวไม่สบาย” ลู่เฟยบอกพร้อมจูงร่างบางกลับไปยังตำหนัก แม้จะแปลกใจกับท่าทางแปลกๆ ของจิวชงหยวนก็ตาม ทว่าใบหน้างดงามที่แดงระเรื่อนั้นมันทำให้เขาแอบมองอยู่บ่อยครั้งก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เพราะท่าทางจิวชงหยวนตอนนี้มันน่ารักจนเขาอยากจะแกล้ง มือหนาดึงร่างบางเข้ามากอดพร้อมตวัดอุ้มขึ้น ก่อนจะทะยานกลับตำหนักด้วยความเร็ว ทว่าร่างโปร่งบางในอ้อมแขนกลับเบิกตากว้างร่างสั่นระริกมองเขาอย่างตกตะลึง
    “ปล่อย ปล่อยข้าลง ข้าเดินเองได้” จิวชงหยวนบอกเสียงสั่น ตอนนี้เขาอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเพราะลู่เฟยอุ้มเขาเหมือนท่าเจ้าหญิง แล้วเขามันเป็นชายทั้งแท่งแม้จะฝันไม่ซื่อไปบ้างก็เถอะ
    “เจ้าไม่ชอบให้ข้าอุ้มหรอกหรือ” ลู่เฟยยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ แววตาคมมองคนในอ้อมแขนที่หน้าแดงระเรื่ออย่างน่ารัก เพราะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เห็นจิวชงหยวนเขินอายเช่นนี้
    “ใครจะไปชอบเล่า เจ้าปล่อยข้าได้แล้ว” จิวชงหยวนเถียงเสียงสั่น ดวงตาเรียวพยายามขึงตาใส่คนร่างสูงที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าเขาอายจนแทบอยากมุดดินหนีแล้ว
    “ฮึ” เสียงหัวเราะในลำคอของลู่เฟย ยิ่งทำให้จิวชงหยวนรู้สึกไม่ชอบใจ ใบหน้างดงามงอง้ำยิ่งกว่าเดิม จนในที่สุดก็กลับมาถึงตำหนักใหญ่ ลู่เฟยอุ้มจิวชงหยวนมาจนถึงห้องสรงน้ำโดยไม่สนใจอาการตกตะลึงของขันทีแม้แต่น้อย
    “ให้ข้าช่วยอาบไหม” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มที่มีเลศนัยทำ ให้ใบหน้างามแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม
    “ไม่ต้อง ข้าอาบเองได้ เจ้าออกไปได้แล้ว” จิวชงหยวนบอกเสียงสั่นและทรงตัวยืนหลังจากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
    “แน่ใจหรือ เจ้าถูหลังเองไม่ได้นะ” น้ำเสียงหยอกเย้าของลู่เฟยทำให้ดวงตาเรียวของคนงามมองตาเขียวปั้ด จนต้องถอยกลับอย่างยอมแพ้ในที่สุด เมื่อร่างสูงเดินพ้นไปแล้วจิวชงหยวนถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เกือบไปแล้วไหม
    จิวชงหยวนสะบัดหัวตัวเองไปมาเพื่อขับไล่ความคิดพิเรนทร์ภายในใจออกไป ต้องเป็นเพราะความฝันแน่ที่ทำให้ใจเขาเต้นผิดจังหวะอย่างนี้ ร่างโปร่งบางรีบจัดการกับตัวเองก่อนที่คนขี้แกล้งจะกลับเข้ามาอีกครั้ง ผ่านไปหนึ่งเค่อที่เขาจัดการกับตัวเองได้เรียบร้อยและอาการเต้นของหัวใจกลับมาปกติอีกครั้ง ร่างโปร่งบางเดินออกจากห้องสรงน้ำเดินตรงมายังห้องนอน ซึ่งมีร่างของลู่เฟยนั่งรออยู่ที่โต๊ะเล็กริมหน้าต่าง
    “เจ้าตามหาข้าทำไมหรือ” จิวชงหยวนเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม แล้วรินน้ำชาให้กับตัวเองพร้อมเอ่ยถามคนร่างสูงที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว แม้จะรู้สึกประหม่าแต่เขายังเก็บสีหน้าได้เป็นอย่างดี
    “เจ้าลงไปทำอะไรในสระบัวหรือ”
    แค่กๆๆ
    จิวชงหยวนสำลักน้ำชาจนหน้าแดงก่ำ คำถามที่ไม่คิดว่าคนร่างสูงจะยังติดใจ เขาหรืออุตส่าห์ทำเป็นลืมไปแล้วนี่ยังมารื้อฟื้นให้เขาทำหน้าไม่ถูกอีก มือหนายื่นผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้เบาๆ มุมปากยกยิ้มเหมือนถูกใจ
    “ฮึ เจ้าคงไม่ได้แอบข้าไปเล่นอะไรหรอกนะ” น้ำเสียงเหมือนรู้ทันทำให้จิวชงหยวนส่ายหน้าทันที ในเมื่อไม่มีหลักฐานไยเขาต้องยอมรับผิดด้วย อีกอย่างเขาไม่ได้ไปเล่นอะไรสักหน่อยแค่ทำลายหลักฐานที่ไม่น่าให้อภัยของตัวเองเท่านั้นเอง
    “ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ว่าแต่เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าตามหาข้าทำไม” ลู่เฟยมองคนงามนิ่งๆ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดมากขึ้น
    “เสด็จพ่อมีรับสั่งให้เจ้าไปรักษาชาวบ้านที่ชายแดนลั่วหยาง” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างไม่ชอบใจ จักรพรรดิลั่วหยางมีสิทธ์อะไรมาออกคำสั่งกับเขา แม้จะรักษาผู้คนแต่เขาไม่ชอบอยู่ใต้อำนาจของใคร ก่อนจะยกยิ้มฉายแววเจ้าเล่ห์เมื่อคิดอะไรดีๆ ออก
    “แล้วเจ้าไม่ดีใจหรือที่ข้าได้ทำประโยชน์ให้ประชาชนเจ้า” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนร่างสูงอย่างแปลกใจที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย
    “ข้าไม่ได้ไปกับเจ้า” น้ำเสียงไม่พอใจของคนร่างสูงทำให้จิวชงหยวนลอบยิ้มอย่างดีใจ แต่เมื่อเห็นลู่เฟยตีหน้าดุใส่จึงแสร้งทำสีหน้าเรียบเฉยพร้อมรินน้ำชาให้อย่างเอาใจ ได้แต่เก็บความร่าเริงไว้ในใจ
    “ให้ข้าไปคนเดียวหรือ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “เปล่า ไปกับรัชทายาท” คำตอบที่ได้รับ ทำให้จิวชงหยวนนึกไปถึงชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ท่าทางอ่อนแอ ซึ่งพักอยู่ตำหนักเยว่ชิง และไม่ค่อยออกมาพบปะผู้คน แม้จะเป็นโอรสที่เกิดจากฮ่องเฮาแต่กลับไม่ค่อยมีคนยอมรับเพราะท่าทางขี้โรคอ่อนแอ อีกทั้งเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมให้เขาเข้าไปรักษา
    “แปลก หรือองค์จักรพรรดิอยากให้องค์รัชทายาทสร้างผลงาน” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ เงยหน้ามองลู่เฟยที่ใบหน้าเรียบนิ่งจนเดาใจไม่ออก
    “จริงอย่างที่เจ้ากล่าว ตอนนี้ผลงานข้ามีมากเกินไป หากมีเจ้าร่วมเดินทางไปด้วยองค์รัชทายาทคงไม่ป่วยตายกลางทาง” น้ำเสียงไม่พอใจของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนมองอย่างพิจารณา หรือนี่เป็นลางบอกเหตุว่าสงครามสายเลือดจะเริ่มขึ้นแล้ว
    “เจ้าไม่ชอบองค์รัชทายาทหรือ”
    “ข้าเปล่า แต่ข้าไม่ชอบให้เจ้าไปกับผู้ใด” คำตอบที่ได้กลับทำให้ใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความอาย รู้สึกว่าช่วงนี้ลู่เฟยจะทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะอยู่บ่อยครั้ง
    โครกกก
    เสียงท้องร้องขัดทัพความอาย จิวชงหยวนยิ้มแหยมองคนร่างสูงที่ยิ้มขำก่อนจะเรียกให้ขันทีนำอาหารมาเสิร์ฟที่ห้องโถงกลาง อาหารมื้อเย็นที่เรียบง่ายโดยมีลู่เฟยตักอาหารให้อย่างเอาใจ แม้จะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้างแต่หัวใจที่เคยเย็นชากลับอบอุ่นมากขึ้น ความรู้สึกที่บอกกับตัวเองว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป


        เรื่องนี้ขายเป็นแพคคู่ค่ะ สนพ.แจ้งมาว่าราคาอยู่ที่ประมาณ 800 บาทไม่เกินกว่านี้ และวางจำหน่ายสิ้นปีนี้ เพราะต้องรอฟางเขียนเล่ม2ให้จบก่อนแล้วออกพร้อมกัน ซึ่งตอนนี้ฟางเขียนจบไปแล้ว 1 เล่ม ใครอยากได้สะสมแบบเป็นแซตและอ่านบทพิเศษที่รับประกันความฟินนนน เก็บเงินไว้รอเลยจ้า ^^__^^

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 15 คู่แข่งคนสำคัญ 1
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 13:03:26
บทที่ 15
คู่แข่งคนสำคัญ 1
    

           เช้าวันใหม่แทนที่จะได้รับอากาศบริสุทธิ์ แต่จิวชงหยวนต้องมายืนฟังฝ่ายการคลังและเบิกประมาณในท้องพระโรง รายงานความเสียหายของอาวุธที่เขาทำลายไปอย่างตั้งใจเมื่อวานนี้ ใบหน้างามนิ่งเรียบสนิทจนไม่มีใครเดาใจได้ ทว่าดวงตากลับเริ่มปรือเพราะนอนไม่หลับทั้งคืน เนื่องจากความฝันตามหลอกหลอน อีกทั้งลู่เฟยนอนกอดตลอดคืนได้แต่นอนตาแข็งค้างจนกระทั่งเช้าวันใหม่ และเช้าวันนี้กลับถูกลากมายืนฟังพวกขุนนาง ที่ต่างใส่ความเขาอย่างออกรสออกชาติ ไหนจะเรื่องสมุนไพรที่เขาเอาไปเล่นจนหมด ไหนจะเรื่องอาวุธที่ถูกทำลายไป
    “จิวชงหยวน เจ้าจะแก้ตัวว่าอย่างไร” คำถามของจักรพรรดิทำให้จิวชงหยวนเหลือบตามองคนถามเล็กน้อย พยายามไม่ให้ตัวเองยืนหาวต่อหน้าพระพักตร์
   “ทูลฝ่าบาท ทำไมกระหม่อมต้องแก้ตัวพะยะค่ะ ในเมื่ออาวุธที่ใช้ฝึกการทหารไร้ความแข็งแกร่ง แค่แรงอันน้อยนิดของกระหม่อมยังต้านรับไม่ได้ แล้วแบบนี้จะไปสู้ศึกกับผู้ใดได้พะยะค่ะ” คำถามเรียบนิ่ง แววตาฉายแววจริงจังพร้อมส่งแรงกดดันไปหาอำมาตย์เสี่ยนเจียผู้ที่วิ่งแจ้นมาฟ้องจักรพรรดิอย่างไม่ได้หวาดหวั่นกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทว่ากลับทำให้ท้องพระโรงเงียบกริบ ครานี้กลับเป็นอำมาตย์เสี่ยนเจียเสียเองที่ต้องหาข้อแก้ตัวในครั้งนี้
    “ชงหยวนกล่าวมามีเหตุผล อำมาตย์เสี่ยนเจียจริงหรือไม่ที่เจ้าเอาของไร้ราคามาให้ทหารใช้”
   “หามิได้พะยะค่ะฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยพะยะค่ะ”
    “แต่หม่อมฉันเห็นด้วยกับพระชายาพะยะค่ะเสด็จพ่อ อำมาตย์เสี่ยนเจียท่านนำงบประมาณเอาไปใช้ส่วนตัวหรือไม่ถึงอาวุธที่ใช้ทางการทหารถึงไร้คุณภาพเช่นนี้” ลู่เฟยกล่าวกับพระบิดาก่อนจะหันไปมองข่มขู่อำมาตย์เสี่ยนเจียอย่างกดดัน ซึ่งตอนนี้ยืนขาสั่นด้วยความกลัวแทนที่จะได้หาเรื่องพระชายาแต่กลับถูกไต่สวนเสียเอง หันไปมองแพทย์หลวงที่มายื่นเรื่องด้วยกลับยืนก้มหน้าหลบตาไม่กล้าทูลรายงานต่อไป
    “ฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมกับกระหม่อมด้วยพะยะค่ะ” กราบทูลเสียงสั่นทั้งคุกเข่าอ้อนวอน ขุนนางคนอื่นๆ ที่เตรียมเรื่องมารายงานกลับพากันเงียบกริบ เมื่อรู้ว่าองค์ชายห้าหนุนหลังอีกทั้งยังมีองค์ชายเจ็ดคอยให้ท้าย เห็นทีคราวนี้พวกเขาไม่เงียบเสียเองคงโดนขุดคุ้ยความผิดออกมาเหมือนอำมาตย์เสี่ยนเจียแน่ๆ
    “คงจะเป็นจริงดั่งที่ลู่เฟยกับชงหยวนกล่าวมาสินะ ถึงทำให้เจ้าตัวสั่นถึงเพียงนี้” องค์จักรพรรดิกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าสายตาที่มองมากลับทำให้ตัวสั่นสะท้าน
    “กระหม่อมผิดไปแล้ว ฝ่าบาทโปรดทรงประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ”
    “เสียแรงที่ข้าไว้ใจเจ้าอำมาตย์เสี่ยนเจีย เพื่อไมให้เป็นแบบอย่าง ข้าจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่งห้าขั้น ไปเป็นผู้พิพากษาเมืองอู่เฟิ่งอู๋ เป็นเวลาสามปีหักเบี้ยเลี้ยงเป็นเวลาหนึ่งปี” คำสั่งที่ได้รับทำให้อดีตอำมาตย์เสี่ยนเจียอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เมืองอู่เฟิ่งอู๋เป็นเมืองเล็กๆ ที่ทุรกันดารไม่น้อยเพราะยังไม่เจริญเท่าที่ควร
    การรายงานวันนี้จึงจบลงด้วยความเงียบกริบ เพราะไม่มีใครกล้าคัดค้านเพราะกลัวจะเป็นตัวเองที่จะได้ถูกส่งตัวไปที่อื่นเป็นรายต่อไป งานนี้จิวชงหยวนจึงลอบยิ้มด้วยความสะใจ ตั้งแต่มาอยู่วังหลวงรู้สึกการแสดงของเขาจะเพิ่มเลเวลขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งตัว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อที่แห่งนี้หาคนจริงใจได้ยากยิ่ง
    “เมื่อคืนเจ้านอนไม่หลับหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามคนข้างตัวขณะเดินกลับตำหนัก ซึ่งตอนนี้ยืนหาวตาปรือจนน่าขัน ใบหน้างามหันมามองเล็กน้อยก่อนจะยืนหาวต่ออย่างไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย มือหนายื่นไปจับมือเรียวงามเอาไว้ทำให้จิวชงหยวนหยุดชะงักหันกลับมามอง
    “มีอะไร” จิวชงหยวนเลิกคิ้วเอ่ยถามพร้อมดึงมือตัวเองกลับคืนมาแต่มือของลู่เฟยตอนนี้เหมือนตุ๊กแกไม่มีผิด
    “เจ้าเดินทางไปกับรัชทายาท อย่าเข้าใกล้ลั่วเหยียนเจิ้งมากนักเข้าใจหรือไม่”
    “แล้วทำไมข้าต้องทำตามคำสั่งเจ้า” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างท้าทาย ดวงตาเรียวมองลู่เฟยอบ่างจับผิดเพราะเหมือนมีอะไรปิดบังอยู่
    “ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าควรรู้ แค่ทำตามคำสั่งข้าก็พอ” คำสั่งที่เอาแต่ใจของลู่เฟยทำให้ใบหน้างามคิ้วกระตุก ก่อนจะสลัดมือตัวเองออกมาแล้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
    “พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับข้าเสียด้วยซ้ำไปลู่เฟย ข้ามิใช่คนของแคว้นลั่ว” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินหนีอย่างเบื่อหน่าย ในวังหลวงที่ใครฝันถึงน่าเบื่อกลัวที่เห็นภายนอกเสียอีก
    “แต่เจ้าคือพระชายาข้า นั่นก็หมายความว่าเจ้าเป็นคนของแคว้นลั่ว” คำกล่าวจริงจังที่ดังมาจากเบื้องหลัง ทำให้จิวชงหยวนหยุดชะงักอีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่เข้าใจความคิดของลู่เฟยจริงๆ บางทีก็อ่อนโยนจนทำให้ใจเต้นแรง บางทีก็เอาแต่ใจจนอยากจะชักกระบี่มาฟันเสียให้รู้แล้วรู้รอด ก่อนจะหันกลับไปมองอย่างจริงจัง เขาไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งยิ่งสั่งห้ามมันยิ่งทำให้เขาอยากทำและยิ่งแสดงความเป็นเจ้าของอย่างผิดๆ เขายิ่งอยากทำให้คนนั้นรู้สึกผิดหวัง
    “มันก็แค่ตำแหน่งที่เจ้ายัดเยียดให้ข้าอย่างไม่เต็มใจที่จะรับมัน หากเจ้ายังจำได้ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้ามีคู่หมั้นแล้วและข้าก็รักคนผู้นั้นมาก”
    “หากเป็นขลุ่ยหยกนั่น เจ้าก็บอกข้าเองว่ามันเป็นของข้า เพราะฉะนั้นคู่หมั้นที่เจ้ากล่าวถึงก็คงเป็นข้า” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มมั่นใจ มองดวงตาเรียวงามที่ฉายแววเจ้าเล่ห์นิดๆ ในใจเขากลับรู้สึกไม่วางใจ
    “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ข้าลืมบอกเจ้าไปอย่างว่าไม่ใช่แค่เจ้าที่หมั้นหมายข้าไว้ เพราะฉะนั้นคิดอยากได้ข้าเป็นชายาก็ต้องทำใจหน่อยแล้วกัน” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มหวานที่คนมองเหมือนมันเคลือบยาพิษเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไปด้วยใบหน้ารื่นเริงเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของลู่เฟย
    ลู่เฟยตกตะลึงมองร่างโปร่งบางที่หายไปด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ถามว่าเขาคิดอย่างไรกับจิวชงหยวนตอนนี้เขาไม่รู้จริงๆ แต่เมื่อครู่นี่มันทำให้เขารู้สึกอยากกระชากร่างโปร่งบางมาไว้ในอ้อมกอด แล้วบอกว่าไม่ว่าใครหน้าไหนเขาก็จะไม่ให้เข้าใกล้ร่างโปร่งบางแน่ๆ
    “จิวชงหยวน แม้ข้ายังไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเอง แต่จิตวิญญาณข้าเรียกร้องไม่ให้ปล่อยเจ้าไปจากข้าเด็ดขาด เพราะฉะนั้นต่อให้รักคนอื่นข้าจะต้องเอาเจ้ากลับมาสู่อ้อมกอดข้าให้ได้!”
    ลู่เฟยบอกตัวเองอย่างแน่วแน่ ดวงตาคมกริบมองตามร่างของจิวชงหยวนที่เดินหายลับสายตาไปแล้ว ก่อนจะก้าวเดินไปอีกทางเพราะเขายังต้องไปดำเนินแผนการบางอย่าง
   จิวชงหยวนเดินกลับตำหนักด้วยอารมณ์ที่รื่นเริงเมื่อได้แกล้งลู่เฟย เมื่อนึกถึงสีหน้าตอนนั้นทำให้อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ใบหน้าตื่นตะลึงคาดไม่ถึงช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากจริงๆ ก่อนจะไปจัดเตรียมข้าวของที่จะใช้เดินทางในวันพรุ่งนี้ ซึ่งส่วนมากก็มีแค่ยากับสมุนไพรเท่านั้น เสื้อผ้าเขาติดไปแค่สามชุดเท่านั้นเพราะไม่อยากหอบไปเยอะ อีกอย่างเขาไม่ได้คิดจะติดตามองค์รัชทายาทตลอดเวลานี่ ใบหน้างามระบายยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะพึมพำเบาๆ
    “ยุทธภพจ๋ารอข้าก่อนนะ ข้าจะออกจากกรงทองไปหาแล้ว”

   ในเงามืดในศาลากลางสระบัวในพื้นที่ตำหนักเยว่ชิง มีเงาร่างสองร่างที่สนทนากันด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอีกคนนั่งวางหมากล้อมในกระดานอย่างพิถีพิถัน ฟังคนที่ยืนกอดอกอยู่มุมเสาด้วยใบหน้าระบายยิ้มนิดๆ มือเรียวงามจับวางเบี้ยเล็กลงตรงจุดต่างๆ อย่างเชื่องช้า
    “ท่านจะปิดบังหมอเทวดาผู้นั้นได้จริงๆ หรือ” เสียงที่เอ่ยถามคล้ายห่วงใยอยู่หลายส่วน ใบหน้าที่เรียบนิ่งในเงามืดไม่อาจมองเห็นได้ชัด มีเพียงตะเกียงน้ำมันที่จุดอยู่ข้างกายคนที่นั่งเล่นหมากล้อมคนเดียวเท่านั้น ทำให้เห็นร่างโปร่งนั้นได้ชัดเจนมากขึ้น
    “เจ้าคิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นหมอเทวดาเหมือนข่าวที่ร่ำลือกันจริงหรือ”
    “ข้าไม่ได้เชื่อข่าวลือ ข้าแค่เชื่อในสิ่งที่เห็น”
    “เจ้าวางใจเถอะ หมอผู้นั้นดูแล้วออกจะเบื่อวังหลวงเสียด้วยซ้ำ” ใบหน้าคมคายภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันระบายยิ้มนิดๆ มือเรียววางเบี้ยสีขาวลงล้อมกรอบเบี้ยดำนิ่งๆ อย่างใจเย็น
    “หากคนผู้นั้นยื่นมือมา ท่านจะไม่ลำบากหรอกหรือ” เสียงในเงามืดหลังเสาเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมกริบภายในความมืดมองร่างโปร่งบางที่ท่าทางอ่อนแออย่างครุ่นคิด ทว่าคำถามนั้นทำให้มือเรียวที่วางเบี้ยลงไปหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะวางลงในจุดที่หมายตาไว้
    “ที่เจ้ากล่าวมา เจ้าห่วงข้าหรือห่วงใครกันแน่น้องข้า” เสียงเรียบที่เอ่ยถามแต่แววตายังจับจ้องที่หมากในกระดาน
    “ท่านน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว” คำตอบจากเงามืดก่อนจะเลือนหายไปช้าๆ เหมือนไม่มีใครมาก่อน ทำให้ผู้ที่นั่งเล่นหมากล้อมนิ่งไป ดวงตาที่ฉายแววเรียบเฉยแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์นิดๆ
    “ข้าจะคอยดูเจ้าน้องรักของข้า”

    เช้าวันใหม่ที่มีขบวนการเดินทางขององค์รัชทายาทกับพระชายาจิวตี๋ฝูจิ้นที่เสด็จออกนอกวังในฐานะหมอเทวดา มีทหารน้อยใหญ่ร่วมยี่สิบคนในขบวน อีกทั้งนางกำนัลอีกสามคนที่ดูวุ่นวายไป แต่ที่ทำให้จิวชงหยวนลอบกลืนน้ำลายครานี้กลับเป็นม้าตัวโตที่เขายืนจ้องตามันในตอนนี้ ก่อนจะเหลือบมององค์รัชทายาทที่นั่งอยู่หลังม้าตัวสีขาวใหญ่พันธุ์ดีอยู่ด้านหน้าขบวน แม้ร่างนั้นจะดูโปร่งบางอ่อนแอ แต่จากสายตาเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น การเต้นจังหวะการเต้นหัวใจที่ปกติอีกทั้งเลือดลมในการหายใจยังปกติดีทุกอย่างและยังดีกว่าคนปกติบางคนเสียด้วยซ้ำไป
    “ชงหยวนเจ้ามานั่งกับข้าเถอะ เจ้าขี่ม้าไม่เป็นไม่ใช่หรือ” องค์รัชทายาทกระตุกม้าวิ่งเยาะๆ มาทางเขา อีกทั้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย อีกทั้งใบหน้าอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้เขาอ้ำอึ้ง ที่พระองค์กล่าวมาถูกต้อง เขาขี่ม้ายังไม่เป็น แต่ใครจะกล้าไปนั่งกับคนที่ไม่น่าไว้ใจและเขายังเป็นผู้ชายแท้ๆ ถึงขี่ไม่เป็นวันนี้ต้องขี่เองให้ได้
    “ขอบพระทัยองค์รัชทายาท แต่หม่อมฉันขอขี่เองดีกว่าพะยะค่ะ” จิวชงหยวนก้มหัวเล็กน้อย ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ มองคนดื้อรั้นแล้วส่ายหน้าเบาๆ
    “ตามใจเจ้าเถิด” บอกพร้อมกระตุกม้าถอยห่างออกไป
     จิวชงหยวนมองตามอย่างครุ่นคิด ร่างโปร่งบางกับม้าตัวโตค่อยๆ นำขบวนถอยห่างออกไป เขาจึงต้องรีบปีนขึ้นม้าตัวเองอย่างทุลักทุเล ดีแต่ว่ามีมือหนาของทหารช่วยประคองขึ้น แม้จะขี่ไม่เป็นแต่ใช่ว่าจะไม่เคยขี่ ตลอดสามวันสามคืนที่ขี่ม้าวิ่งหนีพวกนักฆ่ากับลู่เฟยคงนำมาใช้ถูๆ ไถๆ ได้กระมัง ขั้นแรกลองกระตุกเชือกเบาๆ และดึงให้มันเดินตรงไปด้านหน้า ซึ่งมันก็ได้ผลดีเกินคาด ทว่าจิวชงหยวนไม่รู้เลยว่ายังมีสายตาคมกริบของใครบางคนแอบมองอยู่
    ขบวนเสด็จที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนักเคลื่อนตัวออกจากวังหลวงอย่างเงียบๆ ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบตามองด้านหลังซึ่งเห็นหมอเทวดาผู้นั้นนั่งตัวเกร็งพยายามบังคับม้าตามมาอย่างน่าขบขัน ความงดงามของจิวชงหยวนชวนให้ตกตะลึงไม่น้อย อีกทั้งท่าทางที่ดูแล้วทำให้สบายใจยิ่งอยากได้มาอยู่ข้างกาย
    “จิวชงหยวน หากข้าคิดอยากดึงเจ้ามาอยู่ด้วยเจ้าจะยินยอมไหมนะ” พึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากฉายแววเจ้าเล่ห์นิดๆ แค่คิดทำไมเขารู้สึกสนุกอย่างนี้นะ
    ขบวนเสด็จเดินทางออกนอกวังหลวงมานานกว่าสองชั่วยาม ก่อนที่จะเริ่มหยุดขบวนเพื่อพักทานข้าวกลางวัน จิวชงหยวนถึงกับปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อยกับการบังคับม้าครั้งแรกในชีวิต หากเขาวิ่งไปโดยใช้ลมปราณน่าจะถึงเร็วกว่าคนพวกนี้ และไม่ต้องมาปวดเมื่อยตามตัวเช่นนี้ ร่างโปร่งบางปีนจากหลังม้าตัวใหญ่ลงมาบิดขี้เกียจอยู่ข้างตัวมัน ก่อนจะหันไปมององค์รัชทายาทที่ถูกปรนนิบัติพัดวีจนแทบทำอะไรเองไม่เป็น นี่หากขึ้นรถเกี้ยวมาเขาคงคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นง่อยแน่ๆ
    “ท่านหมอจิว องค์รัชทายาทเชิญเสด็จไปร่วมเสวยด้วยพะยะค่ะ” เสียงทหารเรียกจากเบื้องหลังทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง ก่อนจะพยักหน้ารับและรู้สึกพึงพอใจไม่น้อยที่ออกนอกวังมาเขาไม่ต้องมาอยู่ตำแหน่งพระชายาอีกต่อไป เพราะทุกคนที่นี่ต้องเรียกเขาว่าท่านหมอจิว หรือหมอเทวดาเท่านั้น
    ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทที่นั่งอยู่บนผ้าเนื้อดี ที่ถูกปูด้วยเหล่าทหารรับใช้คนสนิท ก่อนจะก้มหน้าให้เล็กน้อยตามพิธี
    “เชิญนั่งก่อนสิ เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    “ขอบพระทัยพะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับและนั่งลงกินข้าวเป็นเพื่อนองค์รัชทายาทอย่างเงียบๆ แม้จะไม่พูดแต่กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งมาให้ ทว่าขณะนั้นเขากลับรู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากทางขวามือ จึงเงยหน้าหันไปมอง ดวงตาคมกริบมองมาอย่างไม่พอใจอีกทั้งแรงกดดันที่ส่งมา ทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างคาดไม่ถึง ตะเกียบในมือหลุดลงจากมือด้วยความตกใจ
    “ชงหยวน เจ้าไม่สบายหรือ” เสียงอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้สติจิวชงหยวนกลับมาอีกครั้ง
    “ขออภัยองค์รัชทายาทที่เสียมารยาท กระหม่อมขี่ม้ามานานเลยทำให้มือชาไปบ้างพะยะค่ะ” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบเก็บอาการใจเต้นแรงตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเหลือบตาไปมองทหารร่างสูงโปร่ง ใบหน้าดุดันที่มีรอยแผลเป็นที่ซีกขวาบนใบหน้า อีกทั้งหนวดเครารุงรังเหมือนทหารที่ผ่านศึกมามาก ทว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นต่างหากที่ทำให้หัวใจเขาสะดุด ต่อให้ปลอมตัวอย่างไรเขาก็จำได้ในเมื่อเจ้าตัวนอนกอดเขามานานนับหนึ่งเดือน
    “นั่นทหารใหม่หรือ ทำไมข้าไม่เคยเห็น” น้ำเสียงที่เอ่ยถามจากคนนั่งตรงข้ามทำให้ร่างโปร่งบางสะดุ้ง ก่อนจะแก้ตัวพยายามโดยไม่ให้น้ำเสียงตัวเองสั่น
    “องค์รักษ์กระหม่อมเองพะยะค่ะ”
    “เช่นนั้นเองรึ งั้นกินข้าวเถอะจะได้เดินทางต่อ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงเรียบ พร้อมคีบไก่ขอทานให้ร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างเอาใจ ทว่าที่มุมปากกลับยกยิ้มเจ้าเล่ห์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไปโดยไม่มีใครทันได้สังเกต
    ทว่ากิริยาของทั้งคู่ กลับทำให้ร่างสูงในชุดทหารฮึดฮัดในลำคออย่างขัดใจ อีกทั้งกัดหมั่นโถวในมือกินอย่างไม่สบอารมณ์ นี่ขนาดไม่ถึงวันเขายังหงุดหงิดได้ขนาดนี้ หากปล่อยให้สองคนนั่นอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เขาคงอกแตกตายแน่ๆ
    “หมั่นโถวเจ้ามันอร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ” ทหารร่างใหญ่ยักษ์นั่งลงข้างตัว และเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเจอสายตาคมกริบที่มองกลับมา
    “เจ้ากินเถอะ ข้าไม่แย่งเจ้าหรอก” บอกพร้อมถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ใต้ร่มไม้ที่ชายหนุ่มนั่งบรรยากาศกดดันต่อไป

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 16 คู่แข่งคนสำคัญ 2 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-08-2015 13:06:40
บทที่ 16
คู่แข่งคนสำคัญ 2 (จบ)
    

             ระหว่างการเดินทาง จิวชงหยวนได้แวะรักษาชาวบ้านในระหว่างทางไปด้วย ทำให้การเดินทางไปค่ายล่าช้ากว่าปกติ ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้คิดคัดค้านเพราะการเสด็จออกนอกวังในครั้งนี้คือรักษาประชาชนให้กับแคว้นลั่วอยู่แล้ว ยาที่แยกจ่ายกลับเป็นยาที่องค์รัชทายาทจัดเตรียมไว้ให้ แม้จะแปลกใจที่องค์รัชทายาทจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าคล้ายกับจะรู้ว่าจะร่วมเดินทางมากับเขา แต่ก็ไม่ได้ปริปากเอ่ยถามเพราะตอนนี้มันเป็นผลดีแก่เขาไม่น้อย
    “ท่านยายต้องใส่เสื้อหนาๆ และเอายานี้ไปต้มดื่มสามมื้อหลังอาหารนะขอรับ” จิวชงหยวนบอกคนไข้ด้วยรอยยิ้มพร้อมจัดแจงห่อยาให้ท่านยายตามความเหมาะสม ก่อนจะตรวจคนไข้รายต่อไปอย่างใจเย็น ตอนนี้เย็นมากแล้วจึงได้ตั้งกระโจมพักกันในหมู่บ้าน ทว่าผู้คนต่างหวั่นเกรงองค์รัชทายาทจนไม่มีใครกล้ามารักษาจนจิวชงหยวนบอกให้องค์รัชทายาทกลับไปพักที่กระโจม ส่วนตัวเองก็มาตั้งโต๊ะอยู่กลางหมู่บ้านโดยมีทหารมาช่วยเหลือบางส่วน และที่สำคัญลู่เฟยก็ติดตามมาเงียบๆ โดยไม่ได้เข้ามาหาอย่างที่ควรจะเป็นเพียงแค่มองอยู่ห่างๆ เท่านั้น
    “ท่านลุงปวดหัวบ่อยๆ และปวดข้างเดียวมาตลอดใช่ไหมขอรับ”
    “ใช่ๆ ท่านหมอ ข้าปวดหัวข้างเดียวอยู่บ่อยมาก ยิ่งมีเรื่องเครียดข้าจะปวดจนสลบไปเลย” จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะหยิบยาที่ตัวเองปรุงขึ้นมาให้
    “กินยานี้เวลาปวดแค่หนึ่งเม็ดเท่านั้นนะขอรับท่านลุง” บอกพร้อมยื่นขวดยาที่บรรจุกว่าสามสิบเม็ดให้ หลังจากนั้นจึงได้รับคำขอบคุณนับครั้งไม่ได้
    ลู่เฟยมองจิวชงหยวนที่รักษาผู้คนด้วยรอยยิ้มอย่างครุ่นคิด ความจริงเขาไม่ได้คิดแอบติดตามมาเช่นนี้ ทว่าความฝันเมื่อคืนทำให้เขาดั้นด้นตามมา ความฝันที่เหมือนเลือนลางเมื่อครั้งก่อน แต่เมื่อคืนที่ผ่านมากลับชัดเจนจนติดตา เขามองเห็นจิวชงหยวนนั่งสมาธิภายใต้น้ำตกที่งดงามจนไม่คิดว่าจะมีที่ไหนงดงามอย่างที่นั่นอีก และพื้นที่รอบกายกลับน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะภูเขาน้อยใหญ่ลอยร่องบนฟ้าที่ไม่มีจริงบนโลกมนุษย์
    หากคิดว่ามันเป็นเพียงความฝัน ทว่าในฝันเขากลับเห็นตัวเองยื่นขลุ่ยหยกให้กับจิวชงหยวน แม้ภาพจะไม่ปะติดปะต่อกันแต่กลับชัดเจนจนคิดว่ามันเคยผ่านมาแล้ว และนั่นเป็นสาเหตุให้ใจเขาร้อนรุ่มมายืนอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ได้
    “ท่านหมอช่วยเมียข้าด้วย เมียข้าปวดท้องคลอดลูก” ชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาหาจิวชงหยวนด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ทำให้สติของลู่เฟยกลับมาอีกครั้ง ทว่าใบหน้าจิวชงหยวนกับตะลึงค้าง
    “คลอดลูก?” จิวชงหยวนรู้สึกตัวเองตื้อไปพักใหญ่ เป็นหมอศัลยแพทย์หัวใจและสมองมานานแต่เชื่อเถอะเขาไม่เคยไปทำคลอดที่ไหนเลย แรงเขย่าที่มือพร้อมพยายามลากตนไปยังเรือนของตัวเอง ยิ่งทำให้หมอเทวดาผู้มากความสามารถรู้สึกอยากเป็นลมตายก็คราวนี้
    “ใจเย็นก่อนท่านอา ข้าว่าให้หมอตำแยทำคลอดให้ภรรยาท่านไม่ดีกว่าหรือ” จิวชงหยวนบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าความจริงตอนนี้หัวใจเขาสั่นไปหมดแล้ว
    “ข้าก็อยากให้เป็นเช่นนั้นท่านหมอ แต่ว่าหมอตำแยที่หมู่บ้านเราเพิ่งตายไปเมื่ออาทิตย์ก่อนขอรับ” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนเหงื่อแตกซิกเต็มใบหน้า มองดูรอบกายก็มีแต่สายตาวาดหวังจนปฏิเสธไม่ออก ได้แต่คว้าถุงย่ามเดินตามไป
    “พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก ต้มน้ำร้อนให้ข้าด้วย” จิวชงหยวนหันไปสั่งผู้ที่ติดตามมา และเหลือบตามองลู่เฟยนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในกระท่อมหลังเล็กที่มีเสียงร้องโอดโอยอย่างน่าหวงอยู่ด้านใน เมื่อเดินเข้ามาแล้วจึงเห็นหญิงวัยกลางคนหนึ่งคนจับมือนางอยู่ จิวชงหยวนสำรวจร่างกายและการเต้นจังหวะของหัวใจสองดวงแล้วลอบหายใจอย่างโล่งอกเพราะยังปกติดีอยู่ ตอนนี้ได้แต่คิดทบทวนความรู้มาใช้แก้สถานการณ์ตรงหน้าเสียก่อน
    “หาผ้าผืนยาวๆ หรือมัดต่อกันยาวๆ มาให้ข้าด้วย” จิวชงหยวนหันไปสั่งสามีนางที่ติดตามมาอย่างห่วงๆ จึงก็รีบทำตามอย่างรวดเร็ว ความรู้ที่เรียนมาไม่มีการคลอดแบบโบราณเลย ตอนนี้ได้แต่อาศัยความอัจฉริยะตัวเองมาช่วยเท่านั้น ก่อนจะจัดแจงให้หญิงนางนั้นนอนที่ราบกับแคร่อันใหญ่และจับท้องของนางเบาๆ ฟังเสียงการเต้นของหัวใจของเด็กแล้วรู้สึกโล่งใจเพราะเหมือนหัวเด็กจะกลับลงมาแล้ว หากไม่กลับลงมาคงจะเป็นเขาเองที่จะตายก่อนคนคลอด
    “ได้แล้วขอรับท่านหมอ” สามีนางนำผ้ามาให้ด้วยความเร็ว มือยังสั่นเทาด้วยความตื่นกลัว จิวชงหยวนรับผ้ามาแล้วใช้ลมปราณตวัดผ้าพันกับขื่อหลังคาเบื้องบนจากนั้นเอามาให้นางจับไว้
    “โอ้ย ท่านหมอข้าจะไม่ไหวแล้ว ปวดเหลือเกิน” นางร้องโอดครวญใบหน้าซีดเผือด
    “ใจเย็นๆ ขอรับเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ นะขอรับ” จิวชงหยวนกล่าวแนะนำพร้อมทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ตอนนี้ใบหน้างามกลับเหงื่อตกยิ่งกว่าคนท้องใกล้คลอดเสียอีก
    “น้ำร้อนได้ยัง” หันไปตะโกนถามจากด้านนอก เสียงตอบรับพร้อมหญิงสาวบ้านผู้หนึ่งนำเข้ามาให้ จิวชงหยวนรับน้ำร้อนและน้ำเย็นมาเตรียมไว้อีกทั้งกระด้งกับผ้าขาวสะอาด ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนวุ่นวายเพราะคนอื่นๆ ก็ทำไม่เป็น จะให้บอกคนอื่นว่า นี่เป็นครั้งแรกในการทำคลอดของข้า คงได้แตกตื่นกันไปมากกว่านี้กันพอดี   
    “โอ้ย ปวดเหลือเกินท่านหมอ”
    “แม่นางทำตามข้านะขอรับ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเบ่งออกมา”
    “อึ้ดดด อึ้ดดด ทำตามข้าขอรับ” ร้องสั่งนางและทำท่าทางให้นางดู สองมือเล็กกำเชือกผ้าที่ห้อยลงมาแน่นพร้อมเบ่งตามที่หมอบอก ใบหน้านางซีดเผือดและเหงื่อแตกพลักด้วยความเจ็บปวดทรมาน
    “อึ้ดดด  อึ้ดดด”
    “ปิดปากด้วยขอรับ อย่าให้ลมออกมาทางปากลองดูอีกครั้งนะขอรับ” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและทำท่าเบ่งให้นางดูอีกครั้ง ซึ่งนางก็ทำตามที่ท่านหมอแนะนำ อีกทั้งอาการชวนเบ่งในท้องทำให้รู้จังหวะมากขึ้น นางกลั้นใจเบ่งอีกสองสามครั้ง เพียงไม่นานหัวเด็กก็โผล่ออกมาเขาดึงหัวเด็กออกมาอย่างระมัดระวังที่สุด
    อุแวร่ อุแวร่
    เสียงเด็กร้องออกมาท่ามกลางความดีใจของผู้คนที่คอยลุ้นอยู่ด้านนอก โดยเฉพาะจิวชงหยวนที่รู้สึกโล่งอก จากนั้นจึงตัดสายสะดือด้วยกลีบไม้ไผ่ที่คมกริบซึ่งเจ้าของบ้านเตรียมไว้ก่อนแล้ว พร้อมผสมน้ำอุ่นล้างตัวให้เด็กและเอาผ้าขาวห่อตัวส่งให้สามีนางที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ซึ่งรับมาอุ้มเองอย่างเก้ๆ กังๆ แต่เขาเชื่อว่าคงไม่ปล่อยให้ลูกตัวเองตกหลุดมือหรอกมั้ง จากนั้นจึงรีบมาช่วยคนเป็นแม่ที่เหมือนจะเป็นลมไป เขาดึงรกออกมาทั้งหมดอย่างระมัดระวัง พร้อมเอาน้ำคาวออกตามที่เคยรู้มาเมื่อดูแล้วไม่น่ามีปัญหาจึงช่วยเย็บบาดแผลให้
    “ท่านหมอนางจะเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ” สามีนางหันมาถามอย่างเป็นห่วง ลูกน้อยในอ้อมกอดตอนนี้ปลอดภัยแล้ว
    “ไม่เป็นไรนางแค่เหนื่อย อีกสักพักจะฟื้น” จิวชงหยวนบอกเมื่ออาหารไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก่อนจะจัดยาไว้ให้สามีนางเตรียมไว้ต้มดื่มเมื่อนางฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
     เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจิวชงหยวนจึงขอกลับกระโจมด้วยความเหนื่อยล้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำคลอดด้วยตัวเอง แต่ความรู้สึกที่เห็นเด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัยมันทำให้เขามีความสุขตามไปด้วย
    “วันนี้เจ้าทำดีมาก” เสียงชื่นชมจากเบื้องหลัง ทำให้จิวชงหยวนที่นั่งจิบชาแก้กระหายหันไปมอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าผู้ใดเข้ามาภายในกระโจม
    “องค์รัชทายาทมีอะไรให้กระหม่อมรับใช้พะยะค่ะ” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยพยายามเก็บอาการไม่พอใจที่มีคนมาขัดขวางการพักผ่อนไว้ในใจอย่างมิดชิด
    “ไม่มีหรอก ข้าแค่จะมากินข้าวกับเจ้าที่นี่ อีกอย่างข้าได้ข่าวว่าเจ้าทำคลอดให้คนหมู่บ้านมาด้วยเลยมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย” ใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมานั้นดูจริงใจและชื่นชมจากใจทำให้จิวชงหยวนรู้สึกเก้อเขินไม่น้อย
    “กระหม่อมทำตามหน้าที่พะยะค่ะ อีกอย่างพระองค์น่าจะไปยินดีกับแม่เด็กนะพะยะค่ะที่ได้ลูกชายน่ารัก” จิวชงหยวนตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมนั่งลงเก้าอี้เมื่อร่างสูงโปร่งนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
    “ข้ายินดีกับครอบครัวนางแล้ว ทองหนึ่งชั่งคงช่วยให้ครอบครัวนางสบายมากขึ้น” คำบอกกล่าวทำให้จิวชงหยวนเงยหน้ามองอย่างไม่อยากเชื่อที่ลั่วเหยียนเจิ้งจะใจบุญขนาดนี้
    “กระหม่อมดีใจแทนครอบครัวของพวกนางที่พระองค์เมตตาถึงเพียงนี้ ว่าแต่พระองค์จะไม่ให้กระหม่อมตรวจรักษาบ้างหรือพะยะค่ะ” คำถามของจิวชงหยวนทำให้องค์รัชทายาทหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มอ่อนโยนกลับมาให้
    “แล้วเจ้าจะตรวจอะไรข้าล่ะ” เอ่ยถามพร้อมยื่นใบหน้ามาใกล้ จิวชงหยวนเหลือบตามองคนถามที่ยิ้มเหมือนไม่ได้หวาดกลัวความลับที่ปกปิดไว้อยู่ ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนของอีกฝ่าย ในเมื่อคิดจะเล่นกับเขาจะเล่นด้วยหน่อยแล้วกัน นิ้วเรียวแกล้งกรีดมือหนาเบาๆ ก่อนจะเลือนขึ้นไปตามชายเสื้อซึ่งทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งค้างไปอย่างคาดไม่ถึง
    “อืม ตอนนี้หัวใจเต้นแรงนะพะยะค่ะ ถ้าเร็วกว่านี้เดี๋ยวมันจะหยุดเต้นนะพะยะค่ะ” ก้มใบหน้าไปใกล้แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ใบหน้างามยิ้มละไมอย่างนึกขำที่เห็นใบหน้าอีกฝ่ายแดงก่ำ คิดจะเล่นกับเขาต้องเจ้าเล่ห์กว่าเขา ไม่เช่นนั้นจะโดนเล่นกลับไม่ทันตั้งตัวเช่นในยามนี้
    “อาหารมาแล้วพะยะค่ะ” เสียงร้องบอกที่ค่อนข้างแข็งบอกทางด้านหน้ากระโจมทำให้ทั้งคู่ถอยหางออกจากกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกว่าโดนเล่นงานเสียแล้ว ใบหน้าที่อ่อนโยนกลับมานิ่งเฉยมองคนตรงหน้าที่ยักคิ้วให้อย่างท้าทาย
    “เอาเข้ามา” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวอนุญาตด้านนอกกระโจม ทว่าสายตายังจ้องมองหมอเทวดาผู้ไม่ธรรมดาอย่างครุ่นคิด สงสัยงานนี้คงมีเรื่องสนุกๆ เกิดขึ้นอีกแล้วสินะ นับว่าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้เสด็จพ่อมีบัญชาให้จิวชงหยวนมารักษาผู้คนก่อนจะมีการแต่งตั้งพระชายาตี๋ฝูจิ้นอย่างเป็นทางการ
    อาหารทุกอย่างวางครบแล้ว ทว่าทหารหน้าโหดกลับยืนปักหลักอยู่ทางเข้าหน้ากระโจมโดยไม่คิดจะออกไปแม้แต่น้อย และนั่นทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มที่มุมปากแล้วส่ายหน้าอย่างนึกขำ
    “ชงหยวนตอนนี้อาการป่วยข้าคงกำเริบ หากอยู่ห่างจากเจ้าข้าอาจจะตายได้ ยังไงคืนนี้ข้าขอนอนกระโจมเจ้านะ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนขอที่ทำหน้าเหมือนสนุกอะไรบางอย่างอย่างแปลกใจ ก่อนจะเหลือบตาไปมองรังสีอำมหิตที่ส่งมาทางเขาโดยเฉพราะ
    “กระโจมนี้มันเล็กไว้ให้ข้าไปนอนที่กระโจมพระองค์ดีกว่าพะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับแม้จะยังไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทอยากเล่นอะไร แต่เห็นท่าทางลู่เฟยในคราบทหารหน้าโหดแล้วอดแกล้งไม่ได้”
    “จริงหรือ ข้าดีใจจังที่เจ้าห่วงข้าเช่นนี้ ต่อไปนี้เรียกข้าว่าท่านพี่เหยียนเจิ้งก็พอ เข้าใจหรือไม่” จิวชงหยวนอึ้งไปกับคนตรงหน้า เขารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าองค์รัชทายาทรู้ว่าทหารหน้าโหดยืนเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่หน้ากระโจม เป็นน้องชายตัวเอง และตอนนี้กำลังแกล้งลู่เฟย สายตาวิบวับขบขันนั่นทำให้เขามั่นใจกว่าแปดส่วนว่าลั่วเหยียนเจิ้งต้องรู้แน่ๆ
    “พะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับพยายามไม่มองสบตาดวงตาดุที่มองมา ก่อนจะเริ่มอาหารค่ำ โดยมีรังสีไม่พอใจจากคนที่ยืนเฝ้าหน้ากระโจมถูกส่งมาเป็นระยะๆ
    หลังจากการทานอาหารมื้อค่ำจบลง องค์รัชทายาทก็กลับกระโจมไปก่อน ซึ่งจิวชงหยวนก็ใช้เวลาที่เหลือจัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ โดยมีร่างสูงของลู่เฟยนั่งรออยู่เตียงไม้ที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราว
    “เจ้าจะไปนอนที่กระโจมเหยียนเจิ้งจริงๆ หรือ” น้ำเสียงราบเรียบและแววตานิ่งเฉยที่มองมาทำให้จิวชงหยวนหันไปมองอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อตอนหัวค่ำทำอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเขาอยู่เลย
    “อืม ว่าแต่เจ้าเถอะแอบตามมาทำไม” ลู่เฟยเงยหน้ามองคนถามแล้วถอนหายใจ ตอนนี้เขารู้สึกสับสนว่าเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกหวงคนตรงหน้านัก ความฝันทำให้ความรู้สึกเขามีให้คนตรงหน้ามากกว่าที่ควรจะเป็น ตอนแรกเขาคิดจะแกล้งจิวชงหยวนเล่นๆ เพราะเห็นใบหน้ายามโกรธแล้วมันน่ารักน่าเอ็นดู ทว่ายามนี้เขากลับไม่มั่นใจแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับคนตรงหน้ากันแน่ บางทีเขาอาจจะกลับไปในจุดเดิมที่เคยเป็นเพื่อทบทวนความรู้สึกตัวเองอีกครั้ง
    “พรุ่งนี้ข้าจะกลับวังหลวง” คำกล่าวอย่างไม่มีที่ไปที่มาทำให้จิวชงหยวนมองอย่างแปลกใจ
    “ไม่ตามข้าแล้วหรือ”
    “ไม่ บางทีข้าอาจจะอยู่กับเจ้ามากเกินไปจนเคยตัว การที่ไม่มีเจ้าข้าจะได้กลับไปเป็นองค์ชายห้าคนเดิม” คำตอบแน่วแน่พร้อมดวงตาฉายแววเย็นชาเหมือนครั้งแรกที่ได้รู้จัก ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกใจหายไม่น้อย แต่อาจจะจริงดั่งที่ลู่เฟยกล่าวมา การได้อยู่คนเดียวบ้างอาจได้คำตอบที่แท้จริงของหัวใจ
    “เจ้าจะปล่อยข้าไป” เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ดวงตาคมที่มองมานั้นไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ทว่าทำไมหัวใจเขารู้สึกหน่วงๆ ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันมานานนับเดือนแต่กลับปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายจริงๆ หรือ นี่เขาเป็นอะไรกันแน่ ทำไม่รู้สึกหงุดหงิด
    “เจ้าเองก็ต้องการเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ อีกอย่างเจ้ายังไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นชายาข้าอย่างเป็นทางการเจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินตัวเอง ข้าขอโทษที่เคยบังคับฝืนใจเจ้า” จิวชงหยวนนิ่งไป ก่อนจะเงยหน้ามองสบกับดวงตาคม
    “เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างเป็นห่วง ยกมือเรียวหมายจะจับหน้าผากคนตรงหน้า ทว่าลู่เฟยกลับหลบมือและมองเขาเหมือนคนแปลกหน้า
    เจ็บ!
    ทำไมเขารู้สึกเจ็บกับสายตาที่ลู่เฟยมองมาแบบนั้นเลย ร่างสูงยืนขึ้นและก้าวเดินจากไปปล่อยให้จิวชงหยวนมองตามอย่างไม่เข้าใจ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่!

    “ไม่อยากปล่อยไปเลย” น้ำเสียงสั่นเทาพร้อมร่างสูงทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงกับพื้นหินริมธารน้ำที่ห่างจากหมู่บ้านไกลนับลี้ ดวงตาคมกริบที่ทำเป็นเย็นชากลับฉายแววเจ็บปวดออกมาอย่างเห็นได้ชัด
    “แล้วปล่อยไปทำไม” เสียงที่เอ่ยถามทำให้ร่างสูงสะดุ้ง หันไปมองคนที่ตัวเองคิดถึงอย่างคาดไม่ถึง นี่เขาเผอเรอจนให้อีกฝ่ายถึงตัวได้เพียงนี้หรือไง
    “ชงหยวน” เอ่ยเรียกเสียงสั่นเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่านี่เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่
    “เจ้ารักข้าหรือ” จิวชงหยวนเดินเข้ามาใกล้นั่งบนพื้นหินข้างกาย ก่อนจะหันไปมองดวงตาคมที่ดูสับสนเล็กน้อย และเหมือนจะอึ้งไปกับคำถามของเขา
    “ข้าไม่แน่ใจ” ลู่เฟยตอบกลับ ดวงตามองคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ร่างโปร่งบางนั่งกอดเข่าเอียงคอมามองเขาแล้วถอนหายใจ
    “ลู่เฟย ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าความรักคืออะไร แต่ให้ตายสิเวลาเจ้าบอกว่าจะปล่อยข้าไปมันน่าหงุดหงิดชะมัด” จิวชงหยวนพูดออกมาอย่างหงุดหงิด ทว่าคนฟังกลับยกยิ้มบางคล้ายกับดีใจ
    “เจ้าชอบข้า”
    “เปล่า ข้ายังชอบผู้หญิง” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่เสียเวลาคิด เขาแค่หงุดหงิดไม่ได้ชอบซะหน่อย แล้วคนที่บอกว่าจะปล่อยเขาไป กลับทำท่าจะเป็นจะตายหากไม่แอบตามมาคงไม่ได้เห็นภาพนี้
    “เจ้าพูดเช่นนี้ จะให้ข้าซ้ำใจตายหรือไง” ลู่เฟยตอบบอกอย่างหงุดหงิด
    “เจ้าไม่ได้รักข้า ข้าจะชอบผู้หญิงไม่เห็นเกี่ยวกับเจ้านี่”
    “ข้าบอกว่าไม่แน่ใจ ไม่ได้บอกว่าไม่รักเจ้าซะหน่อย”
    “งั้นก็แสดงว่ารักข้า” จิวชงหยวนแกล้งต้อน จนลู่เฟยที่ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใดกลับเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง
    “เจ้านี่น่ะ ให้ตายสิ” เจ้าตัวสบถออกมาอย่างหัวเสียเล็กน้อยเพราะไม่เคยจนมุมเท่านี้มาก่อน ทว่าใบหน้าเขากลับยกยิ้มขึ้นและรู้สึกสบายใจมากขึ้น
    “ชงหยวน ข้าไม่รู้หรอกนะว่าความรักคืออะไร ข้าอยู่แต่วังหลวงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกันทำให้ข้าไม่เคยเชื่อในสิ่งนั้น ทว่าตั้งแต่ข้ารู้จักเจ้ามา เจ้าทำให้หัวใจที่เย็นชาของข้าค่อยๆ ละลายลง ข้าอยู่กับเจ้าทำให้ข้าสบายใจทุกครั้งและรู้สึกไว้ใจเจ้าได้อย่างไม่มีเหตุผล คล้ายกับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะไม่มีวันทรยศต่อข้า” คำพูดของคนข้างกายทำให้หัวใจจิวชงหยวนเต้นระรัวอีกครั้ง ใบหน้างามจ้องมองใบหน้าคมคายที่เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดวงดาวล้อมรอบ แม้แสงจันทร์จะไม่แจ่มชัด ทว่ากลับเห็นชัดความรู้สึกที่ถูกส่งมา     
    “เพราะตอนนี้ข้าไม่แน่ใจ ถึงอยากกลับไปทบทวนความรู้สึกอีกครั้ง การที่ไม่มีเจ้าข้างกายอาจทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงได้ และที่ข้าปล่อยเจ้าไปเพราะอยากให้เจ้ามีเวลาคิดทบทวนเรื่องระหว่างเรา แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้ารู้ว่ารักเจ้า ข้าจะกลับไปตามหาเจ้าอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะรับข้าไว้พิจารณา”
    แม้คำพูดจะไม่ได้สวยหรู ทว่าใบหน้างามกลับแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน ตอนแรกรู้สึกใจหายที่ลู่เฟยคิดจะปล่อยเขาไปง่ายๆ ทว่ายามนี้ที่รู้เหตุผลของอีกฝ่ายกลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรง ความหนักอึ้งในหัวใจเลือนหายไป ถึงแม้เขาจะไม่ได้ชอบผู้ชาย
    แต่จะผิดไหมถ้าเขาลองเปิดใจ...



 วันนี้ลงแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ ลงทีเดียว 10 ตอนเหนื่อยมากกก เว็ตนี้เปิดได้ไม่นานและยังใช้ไม่ค่อยเป็นผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขกับการจ้า ^__^

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: JY_JRB ที่ 28-08-2015 13:34:56
เย๊เย๊  หลิงฟาง มาเล้าเป็ดแล้ว อิอิ ตามมา นั่งชูป้ายไฟจ้า 5555+

(ตั้งแต่ธัญวลัย เด็กดี เฟซบุ๊ค ยันเล้าเป็ด)   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 29-08-2015 05:08:09
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 17 ปกป้องรัชทายาท
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 17:59:53
บทที่ 17
ปกป้องรัชทายาท
   

           เช้าวันใหม่ ขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทก็เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งใหม่ จิวชงหยวนเริ่มขี่ม้าเป็นมากขึ้น ใบหน้างดงามยามนี้อ้าปากหาววอดๆ เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน เนื่องจากองค์รัชทายาทตัวดีชวนเขาเล่นหมากล้อมตลอดทั้งคืน แต่นั่นทำให้รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งมองการไกลไปหลายขั้นเพราะการจับวางตัวหมากแต่ละตัวล้วนคิดอย่างถ้วนถี่ ใบหน้าหล่อคมคายขมวดคิ้วมุ่นทุกครั้งที่เขาจับวาง ยิ่งหมากดำกับขาวถูกปิดล้อมกันและกัน ต่างยิ่งใช้เวลาคิดนานมากขึ้นเท่านั้น การเล่นที่สูสีไปมาและไม่มีใครยอมใครทำให้ต่างจ้องมองหมากกระดานเขม็งหวังจะให้มันหายไปสักตัวจะได้จบเกมเร็วๆ
    “ง่วงนอนขนาดนี้เจ้าจะไม่รักษาคนป่วย จ่ายยาให้ผิดหรือ” เสียงคนที่ควบม้ามาวิ่งเยาะๆ ข้างกายทำให้จิวชงหยวนหลุดจากภวังค์หันมามองคนที่ยิ้มขำมาให้ นอนก็ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเหมือนกันแต่ลั่วเหยียนเจิ้งกลับไม่มีวี่แววจะง่วงนอนเหมือนเขาเลยสักนิด พวกนั้นเอาตาไปไว้ไหนกันถึงคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นคนขี้โรคอ่อนแอ นี่มันพยัคฆ์ซ่อนเล็บชัดๆ เจ้าเล่ห์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลยสักนิด
    “หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องเป็นความผิดของท่านพี่แล้วพะยะค่ะ” คำเรียกขานที่เปลี่ยนไปเพราะคำสั่งแกมบังคับของคนข้างตัวทำให้ต้องจำใจเรียกตาม ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มองไปอย่างกล่าวโทษ ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มหวานมาให้พร้อมคำพูดที่ชวนให้ขนหัวลุก
    “ที่ข้าทำให้เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนนะหรือ” จิวชงหยวนมองคนพูดอะไรไม่คิดตาขวาง มองดูรอบกายก็เห็นแต่พวกทหารก้มหน้าหลบตา แต่เชื่อเถอะว่าได้ยินกันเต็มสองหูนั่นแหละ
    “ท่านกำลังทำให้คนอื่นเข้าใจข้าผิดนะ”
    “ข้าพูดผิดตรงไหน ก็เมื่อคืนข้าทำให้เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนจริงๆ นี่” น้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาพราวระยับและริมฝีปากยกยิ้มนี่ทำให้จิวชงหยวนเท้ากระตุกอยู่หลายครั้ง เมื่อรู้ว่าเถียงไปก็เปล่าประโยชน์จึงแกล้งเมินเฉยกระตุกม้าให้วิ่งเร็วขึ้นโดยมีเสียงหัวเราะตามหลังมาอย่างขบขัน
     สนุกเข้าไป...อย่าให้ถึงคราวเขานะจะแกล้งคืนเสียให้เข็ด
    ยิ่งมุ่งหน้าออกนอกเมืองเท่าไหร่ก็เจอแต่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ได้เจริญมากนัก การเป็นอยู่พออยู่พอกินในหมู่บ้านมีการปลูกข้าวทำไร่ไปตามอัธยาศัย จิวชงหยวนได้แวะรักษาคนในหมู่บ้านไปตามที่เห็นสมควร ในแต่ละหมู่บ้านใช้เวลาไปไม่เกินสองชั่วยามเท่านั้น เพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ การเดินทางราบรื่นกว่าที่คิดไว้ทหารไม่ได้มีมากมาย แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเข้ามาคิดสังหารองค์รัชทายาทเลย ทว่าบางครั้งก็จับสัญญาณชีวิตที่ห่างไกลออกไปได้ แต่เพียงไม่นานก็เลือนหายไปเป็นอยู่เช่นนี้สองวันแล้ว จนอดแปลกใจไม่ได้เพราะตอนเขาร่วมเดินทางกับลู่เฟยนักฆ่าตามล่าตลอดสามวันสามคืนจนแทบไม่มีเวลาพัก
    อาหารกลางวันเป็นแบบเรียบง่าย ซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งก็กินโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรที่มันหรูหราอย่างที่เคยเป็น และนี่ทำให้จิวชงหยวนรู้จักองค์รัชทายาทมากขึ้น แม้จะดูเป็นคนอ่อนแอในสายตาคนอื่น แต่กลับไม่ปริปากบ่นว่าเหนื่อยระหว่างทางแม้แต่น้อย องค์รักษ์ที่ติดตามนั้นก็ปิดปากเงียบเหมือนไม่ได้เอาปากมาด้วย ทว่าแค่มองตาเจ้านายกลับรับรู้ความต้องการ
    หลังจากกินข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้ว จิวชงหยวนจึงออกมาเดินเล่นตามลำธารระหว่างผ่านทาง มือเรียววักน้ำล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื้นและความง่วงงุนให้หายไป วันนี้ลู่เฟยกลับวังหลวงตามที่บอกไว้จริงๆ ดวงตาเรียวมองเงาตัวเองในน้ำอย่างครุ่นคิด เขารู้สึกใจหายที่ลู่เฟยกลับวังหลวงอาจเป็นเพราะอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน อีกทั้งลู่เฟยเป็นคนเดียวที่เขารู้จักและสนิทสนมด้วย แต่ตอนนี้มองไปทางไหนมีแต่คนที่ไม่คุ้นเคย 
    ...คงต้องทำใจให้ชินอีกครั้งสินะ
    “คิดถึงลู่เฟยอยู่หรือ” คำถามดังมาจากเบื้องหลังทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง ใบหน้าหล่อคมคายนั้นมองเขานิ่งๆ เหมือนจะจ้องลึกเข้าไปในใจ เขายกยิ้มออกมานิดๆ เพราะไม่ว่าจะจ้องให้พรุนไปทั้งตัวก็คงไม่ได้คำตอบที่ต้องการหรอก และก็ไม่ได้แปลกใจที่องค์รัชทายาทจะรู้ว่าลู่เฟยปลอมตัวมาก็เจ้าตัวปล่อยรังสีอำมหิตมาขนาดนั้นไม่รู้ก็คงไม่มีชีวิตมายืนอยู่ตรงนี้แล้วล่ะ
    “ตาสีสนิมของท่านพี่คงจะฝ้าฟาง เดี๋ยวข้าจัดยาให้ชุดหนึ่งนะพะยะค่ะ อ้อ เดี๋ยวเพิ่มยาแก้เพ้อเจ้อให้ด้วย” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนแล้วหันไปส่งยิ้มให้องค์รัชทายาทที่ยกยิ้มมุมปากมองเขาเหมือนท้าทายนิดๆ
     “ฮึ เจ้าไม่ต้องเขินข้าหรอกน้องสะใภ้คนงาม” บอกพร้อมหันหลังเดินตัวปลิวจากไป ปล่อยให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างคาดไม่ถึง
    “ให้ตายสิ พี่น้องกันจะเหมือนกันไปถึงไหน เฮอะ ฝากไว้ก่อนเถอะจะคิดทบต้นทบดอกทั้งพี่ทั้งน้องเลย” จิวชงหยวนได้แต่บ่นงึมงำคนเดียวอย่างขัดใจ ก่อนจะเดินตามร่างของรัชทายาทไปเพื่อออกเดินทางต่อ
    ขบวนเสด็จของรัชทายาทเดินทางไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบเร่งเช่นเคย แม้บางครั้งจะเหมือนมีสิ่งผิดปกติ แต่เพียงไม่ถึงก้านธูปก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง จนกระทั่งเดินเส้นทางป่าไผ่ที่มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น
    สวบ สวบ...
    “ปกป้ององค์รัชทายาท”
    เสียงร้องตะโกนของซือหมิงองค์รักษ์ของลั่วเหยียนเจิ้งตะโกนดังขึ้น ทหารที่ติดตามเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางตั้งล้อมเป็นค่ายกลอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนตกอยู่กลุ่มกลางของค่ายกลกับองค์รัชทายาทซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ามองรอบกายนิ่งๆ
    พรึบ!
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ชายชุดดำนับสิบคนพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ทว่าฝีมือทหารที่ติดตามนับว่าไม่ธรรมดา การตั้งรับตอบโต้รวดเร็วและทรงพลังเหมือนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จิวชงหยวนมองดูการต่อสู้อย่างสนใจเพราะคิดไม่ถึงว่าทหารที่ติดตามมานั้นมีความเร็วและฝีมือไม่แพ้พวกนักฆ่า มิน่าล่ะทำไมขบวนองค์รัชทายาทถึงมีทหารเพียงแค่ยี่สิบห้าคนเท่านั้น
    พรึบ!
    จิวชงหยวนเอนหลังราบกับหลังม้าหลบคมกระบี่ที่พุ่งเป้ามาทางตน ก่อนจะใช้เท้าเตะนักฆ่าผู้หนึ่งออกห่างจากตัว หันไปมององค์รัชทายาทก็มีนักฆ่าพุ่งเข้าโจมตีไม่ต่างไปจากตน นักฆ่าจากมีเพียงสิบเพิ่มขึ้นมาเกือบครึ่งร้อย
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
    จิวชงหยวนเรียกกำไลในมือเปลี่ยนเป็นกระบี่ต้านรับ เพราะมันแห่มามากเกินไปอีกทั้งทหารที่ส่วนมากหันไปคุ้มครองลั่วเหยียนเจิ้ง เขาจำต้องปกป้องตัวเอง ดวงตาเรียวเหลือบมององค์รัชทายาทนิดหนึ่งแม้อยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็อยากเห็นฝีมือลั่วเหยียนเจิ้งเช่นกัน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    “นี่พวกเจ้าแห่กันมาทั้งสำนักเลยหรือไง” จิวชงหยวนบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด แม้จะเคยฆ่าคนมาบ้างแต่ว่าจิตใจเขาก็ยังไม่กล้าแกร่งพอที่จะฆ่าคนเป็นดั่งผักปลาเช่นนี้ แต่ไม่ฆ่าก็อาจจะเป็นตนที่ถูกฆ่าเช่นกัน
    “เจ้าได้กระบี่มาจากไหนกัน” ลั่วเหยียนเจิ้งที่เข้ามาช่วยจิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “มันใช่เวลามาถามไหมนี่” จิวชงหยวนหันไปตอบอย่างหงุดหงิด ก่อนจะจะใช้เท้าถีบนักฆ่าผู้หนึ่งกระเด็นไปไกล
    “จริงของเจ้า แต่จบนี่ค่อยถามแล้วกัน” คำถามเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้จิวชงหยวนหันไปมองพร้อมรับคมกระบี่ของนักฆ่าไปด้วย
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    “ก่อนจะถาม รอดจากนี่ไปได้ก่อนเถอะ”
    “จริงด้วย งั้นมาแข่งกันว่าข้ากับเจ้า ใครจะฆ่าพวกสวะนี่ได้มากกว่ากัน” สีหน้าและน้ำเสียงนึกสนุกของอีกฝ่ายทำให้จิวชงหยวนหันมามองค้อนตาแทบคว้ำ
    “ไม่ ข้าเป็นหมอไม่ใช่นักฆ่า” บอกกลับอย่างหงุดหงิด ก่อนจะตวัดคมกระบี่เข้ากลางอกของนักฆ่าที่พุ่งมาด้วยความเร็ว
    “ฮึ หากข้าไม่เห็นกับตาก็คงจะเชื่อในสิ่งที่เจ้าบอก” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตวัดกระบี่เข้าหาร่างนักฆ่าที่หลุดรอดมาถึงตน
    การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างทหารที่ตั้งค่ายกลน่านฟ้า แต่จำนวนนักฆ่ามีมากกว่าที่คิดทำให้หลุดรอดไปถึงสองคนผู้มีความสำคัญของแผ่นดิน ทว่าเมื่อเห็นการต่อสู้ของทั้งคู่กลับทำให้ทหารหายห่วงไปบ้างและตั้งหน้าตั้งตากำจัดศัตรูอย่างไม่ลังเลอีก
    ฉัวะ!!
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    การต่อสู้กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยามจนในที่สุดนักฆ่าที่เหลือเพียงหยิบมือก็เร้นกายหายไป ทิ้งเพียงศพนักฆ่าที่เกลื่อนกลาดกับต้นไผ่ที่ถูกตัดขาดกินพื้นที่ไปหลายเมตร
    “ท่านหมอมีทหารเราบาดเจ็บหนัก ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ขอรับ” ทหารผู้หนึ่งเข้ามาหาถามจิวชงหยวนด้วยความกังวลเนื่องจากอาการของสหายผู้นั้นเข้าขั้นหนักเพราะกระบี่เสียบทะลุกลางอก
    “พาข้าไปดู” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมเดินไปหยิบถุงย่ามที่ตกอยู่ไม่ไกลตามออกไป ส่วนม้าที่เคยขี่หลังจากเขาลงจากม้าก็ไม่รู้ว่าพวกมันหนีไปไหน เพราะไม่ถนัดในการต่อสู้บนหลังม้าเลยลงจากหลังมันมา เพราะเพียงแค่ขี่เฉยๆ ก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว ดีแต่ว่าเขาสะพายถุงย่ามนี้ไว้และตกหล่นตอนต่อสู้ สายตาเรียวมองทหารคนอื่นที่บาดเจ็บไปไม่น้อย จิวชงหยวนรีบรุดมายังทหารผู้ที่นอนกระอักโลหิตออกมาหัวใจที่เต้นแผ่วเบา ใบหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือดที่กลางอกมีกระบี่เล่มหนึ่งเสียบคาอยู่ หากดึงออกเลือดคงได้ทะลักออกหมดตัวแน่
    “ต้มน้ำให้ข้าด่วน” หันไปบอกทหารที่บาดเจ็บไม่มากซึ่งก็รีบทำตามอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนจับดูบาดแผลตามที่อื่นๆ แต่ไม่โดนจุดสำคัญนอกจากกระบี่กลางอก ก่อนจะรีบสกัดจุดห้ามเลือดให้อีกฝ่าย เสียงหัวใจที่แผ่วเบาทำให้เขารู้สึกใจหายไม่น้อย มือเรียวล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบยาฟื้นกำลังภายในหนึ่งเม็ดยัดใส่ปากคนเจ็บ หันไปมองคนก่อไฟแล้วรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่เร็วทันใจกว่าน้ำจะเดือดให้เขาได้คนไข้ได้ตายก่อนพอดี
    “ไม่ต้องต้มแล้วเอากาน้ำมานี่” ทหารผู้นั้นก็รีบเอามาให้ด้วยความเร็วแม้จะงุนงงไม่เข้าใจคำสั่งก็ตาม จิวชงหยวนรับนำกาน้ำมาก่อนจะใช้ลมปราณร้อนแช่น้ำให้เดือด จากนั้นจึงดึงกระบี่ออกจากอกและดำเนินการผ่าตัดเย็บบาดแผลให้ทหารผู้นี้อย่างรวดเร็ว เพราะลมหายใจที่แผ่วเบาจะชักช้ากว่านี้ไม่ได้ ทุกขั้นตอนนั้นดูแปลกประหลาดสำหรับทหารที่เฝ้ามอง
    ลั่วเหยียนเจิ้งมองดูน้องสะใภ้ด้วยความสนใจ ทุกอย่างในตัวของจิวชงหยวนล้วนดึงดูดให้ค้นหาและการรักษาที่ดูแปลกประหลาด แต่ทุกขั้นตอนเจ้าตัวกลับทำคล่องแคล่วชำนาญ ทหารรอบกายตอนนี้บาดเจ็บกันถ้วนหน้าเพียงแต่ทหารผู้เยาว์ที่อายุน้อยกว่าเพื่อนเท่านั้นที่บาดเจ็บหนัก
    “ฝ่าบาทให้กระหม่อมทำแผลให้ก่อนไหมพะยะค่ะ” ซือหมิงองค์รักษ์ฝ่ายขวาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงอาภรณ์สีขาวเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต
    “ข้าไม่เป็นไร เจ้าเองก็ไปทำแผลเถอะ” บอกด้วยเสียงเรียบดวงตาคมมองไปที่ร่างโปร่งที่ช่วยทหารของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดูจากภายนอกเป็นเหมือนคุณชายที่ทำอะไรไม่เป็น ทว่าเมื่ออยู่ด้วยกลับมีสิ่งให้แปลกใจอยู่บ่อยครั้ง เขาสงสัยว่าน้องชายตนไปรู้จักกับจิวชงหยวนหมอเทวดาผู้นี้ได้เช่นไร
    “ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” จิวชงหยวนหันไปบอกเหล่าทหารที่ล้อมวงกันอยู่ไม่ห่าง ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก จิวชงหยวนยิ้มบางให้กับกลุ่มทหารที่รักใคร่กันดี ก่อนจะช่วยทำแผลให้ทหารคนอื่นๆ ซึ่งก็มีบาดเจ็บถูกอวัยวะสำคัญไปหลายคนแต่เพราะความอดทนอดกลั้นทำให้ไม่มีใครปริปากบ่นสักคน หากเขาไม่ใช่หมอที่มีความสามารถฟังเสียงการเต้นจังหวะของหัวใจป่านนี้คงได้ตายเพราะบาดแผลติดเชื้อกันเป็นแถวแน่ๆ อีกทั้งโดนพิษกันถ้วนหน้ายังไม่มีใครแสดงอาการเจ็บปวดของตัวเองออกมา
    “นี่ยาแก้พิษ พวกเจ้าเอาไปกินกันคนละเม็ด” จิวชงหยวนยื่นขวดแก้วที่บรรจุยาไว้สามสิบเม็ดให้ทหารนำไปแจกจ่ายกัน
    “ท่าน ทำไมรู้ว่าพวกข้าโดนพิษ” ทหารผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความทึ้ง รับยามาถือด้วยความปิติ
    “ข้าเป็นหมอไง รีบกินซะก่อนที่มันจะกระจายไปทั่วร่าง” บอกพร้อมลุกขึ้นเดินไปหาองค์รัชทายาทที่นั่งอยู่บนขอนไม้
    “แผลท่านเป็นไงบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามเมื่อเข้ามาใกล้ ลั่วเหยียนเจิ้งเงยหน้ามองคนที่ยืนค้ำหัวตนนิดหนึ่งแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “เจ้าเป็นหมอไม่ใช่หรือ น่าจะรู้อาการข้าดีนี่” จิวชงหยวนส่ายหน้ากับคนกวนประสาท บาดแผลไม่ใช่น้อยๆ แต่กลับทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรือว่าปล่อยให้ตายไปดี
    “ถอดเสื้อ”
    “หืม เจ้าไม่กลัวสามีเจ้ามาฆ่าข้าหรือไง” คำถามหยอกเย้าทว่ากลับถอดเสื้อออกให้อย่างว่าง่าย จิวชงหยวนส่ายหน้ากับคนกวนประสาท แผลกลางหลังลึกและยาวไม่น้อย จึงรีบจัดการรักษาบาดแผลให้
    “ซี๊ดดด เจ้าจะฆ่าข้าหรือไง” เสียงบ่นดังเป็นระยะๆ ขณะที่เขาราดเหล้าชั้นดีลงแผ่นหลัง จิวชงหยวนกระตุกยิ้มอย่างชอบในที่สุดก็ได้เอาคืนองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์หลังจากโดนเย้าแหย่มาทั้งวัน
    “ข้าทำแผลให้ท่าน เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า” บอกด้วยเสียงเรียบ ทว่าใบหน้ากลับยกยิ้มชอบใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงครางแผ่วๆ ของอีกฝ่าย
    “ฮึ  คิดว่าข้าไม่รู้หรือไงว่าเจ้ากำลังแกล้งข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวอย่างหงุดหงิดที่ถูกเอาคืน ก่อนจะสวมเสื้อกลับเหมือนเดิมเมื่ออีกฝ่ายทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมคายยกยิ้มหวานเมื่อมองร่างโปร่งบางซึ่งก็มีบาดแผลเช่นกัน
    “ชงหยวนน้องรัก เดี๋ยวพี่ทำแผลให้เจ้าดีหรือไม่” จิวชงหยวนหันไปเจอรอยยิ้มสุดสยองของรัชทายาทแล้วส่ายหน้าทันที
    “ไม่...ไม่ต้อง ข้าทำเองได้” บอกพร้อมรีบถอยห่างไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้องค์รัชทายาทมองตามอย่างขัดใจ จิวชงหยวนยกยิ้มบางเรื่องอะไรจะปล่อยให้โดนแกล้งคืนเล่า
    หลังจากจัดการรักษาบาดแผลให้ทุกคนหมดแล้ว ไม่นานม้าที่กระเจิงหายไปกลับวิ่งมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินเสียงหวีดจากกวงไห่องค์รักษ์ฝ่ายซ้าย เพียงไม่นานทหารที่บาดเจ็บก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังที่ปลอดภัยกว่านี้ อีกอย่างตรงนี้มีแต่ศพของนักฆ่าทำให้ไม่เหมาะกับการตั้งกระโจมพัก
     และครั้งนี้การเดินทางจึงเร่งให้เร็วขึ้น เพื่อจะให้ถึงค่ายทหารก่อนกำหนดเนื่องจากนักฆ่าเหล่านั้นได้หอบคนมาอีกครั้งและทหารยังได้รับบาดเจ็บ จิวชงหยวนจึงได้ออกแรงมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่เช่นนั้นคนไข้ของเขาอาจจะตายเพราะแผลฉีกขาด ทว่าการเดินทางในครั้งนี้ทำให้จิวชงหยวนอดคิดถึงลู่เฟยครั้นที่ได้เจอกันพร้อมพยายามหนีนักฆ่าด้วยกันตลอดสามวันสามคืนไม่ได้
    จิวชงหยวนเงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย แม้วันนี้จะเหนื่อยมามากและยังมีงานวุ่นวายตลอดทั้งวัน ทว่าในใจเขาทำไมรู้สึกเหงาใจเช่นนี้ ความรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ทว่าขณะนั้นใบหน้าของคนที่จากไปเมื่อเช้ากลับลอยอยู่เหนือสายตา ดวงตาเรียวเบิกกว้างก่อนจะสะบัดศีรษะไปมา ใบหน้าแดงระเรื่อก่อนจะพึมพำกับตัวเองด้วยความตกใจ
    “อย่าบอกนะว่าคิดถึงลู่เฟย”


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 18 ค่ายทหาร
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:01:07
บทที่ 18
ค่ายทหาร
   

           บ่ายวันต่อมาขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทก็มาถึงค่ายชายแดน จิวชงหยวนได้เดินสำรวจค่ายทหารด้วยความสนใจ จากนั้นจึงตั้งโต๊ะตรวจอาการทหารที่เจ็บป่วยไปตามหน้าที่ซึ่งทหารที่นี่ไม่ได้มีโรคร้ายแรงอะไรนอกจากเป็นไข้หวัดธรรมดา
    “ท่านหมอจิวขอรับ ม้าที่คอกกำลังคลอดลูกแต่มันคลอดไม่ได้ขอรับ” ทหารผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหาขณะที่ตรวจรักษาคนไข้ภายในค่าย จิวชงหยวนเงยหน้าหันไปมองทหารที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยความมึนงง
    “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า” เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
    “เอ่อ...ก็ท่านเป็นหมอเทวดานี่ขอรับ เผื่อท่านจะช่วยมันได้” ทหารผู้นั้นตอบกลับด้วยความหวังสายตามองมาอย่างเว้าวอน ซึ่งก็ทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปเล็กน้อย สรุปเขาต้องไปทำคลอดให้ม้าใช่ไหม
    “ท่านหมอจิวขอรับช่วยมันหน่อยนะขอรับ มันเป็นม้าพันธุ์ดีหากเสียมันไปไม่รู้อีกกี่ปีที่จะตั้งท้องใหม่” ทหารอีกคนที่ยืนรอรักษาไข้หวัดกล่าวขอร้องด้วยอีกคน และทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างหันมามองด้วยสายตาวิงวอน จิวชงหยวนมองตามแล้วถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ก็เขาไม่ใช่สัตว์แพทย์จะได้ทำเรื่องพวกนี้ได้
    “ก็ได้ข้าจะลองดู แต่ข้าไม่รับรองความปลอดภัยของพวกมันนะ” จิวชงหยวนบอกอย่างจำยอมก่อนจะเดินไปที่คอกม้าทหารที่อยู่ไกลออกไปเป็นครึ่งลี้ ซึ่งมาถึงเขาก็เห็นม้าสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งเดินรอบคอกม้าเล็กของตัวเอง ทว่าทางช่องคลอดของมันมีลูกม้าโผล่มาแล้วครึ่งตัว มันเดินไปมาก่อนจะล้มตัวนอนและร้องไปมาคล้ายกับทรมาน ยิ่งเห็นคนเดินเข้ามาหามันยิ่งดูแตกตื่นจนต้องหยุดมองมันนิ่งๆ
    “คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกลับไปให้หมด” จิวชงหยวนหันไปบอกทหารที่มาเฝ้าดูการคลอดลูกม้า ก่อนจะหันไปบอกทหารผู้ไปตามเขามา
    “ส่วนเจ้าไปหาผ้าสะอาดมาคอยเช็ดตัวให้ลูกม้า อีกไม่นานมันจะคลอดแล้วล่ะ”
    “ขอรับ”
    จิวชงหยวนมองดูอาการของม้าสักพักก่อนจะเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น แม่ม้าตัวนั้นพยายามหันมาข่มขู่แต่ด้วยความเจ็บปวดท้องมาเป็นเวลานานจึงเพียงแค่ผงกหัวขึ้นมาเท่านั้น จิวชงหยวนเดินไปทางหางม้าซึ่งมีลูกม้าโผล่หัวกับลำตัวมาแล้วครึ่งตัว จึงช่วยโดยการดึงมันออกมาทั้งตัว จากนั้นก็ลอกคราบรกที่ติดกับลูกม้าออกอย่างระมัดระวัง ส่วนแม่ม้าได้แต่ผงกหัวมองด้วยความเหนื่อยล้าแต่มันเป็นผลดีสำหรับเขาเพราะหากมันยังแข็งแรงคงโดนดีดออกจากคอกม้าแน่  จิวชงหยวนช่วยตัดสายสะดือออกจากลูกม้าแล้วรับผ้าขาวสะอาดมาเช็ดตามลำตัวลูกม้าให้แห้ง
    “ต่อไปคงจัดการเองได้นะ” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนหันไปสั่งทหารที่ตอบรับอย่างแข่งขัน จิวชงหยวนมองม้าแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะมันไม่ได้เป็นอะไรมากแค่คลอดยากกว่าปกติเท่านั้นเอง ร่างโปร่งเดินไปล้างมือจากทหารที่เตรียมน้ำไว้ให้ ก่อนจะเดินกลับกระโจมที่พักส่วนตัวอย่างเหนื่อยล้าเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ช่วยม้าทำคลอด แม้จะให้ความรู้สึกแปลกใหม่แต่ยอมรับรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นชีวิตที่เกิดใหม่ ร่างโปร่งเดินไปนั่งโต๊ะเล็กภายในกระโจมก่อนจะจัดการรินน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหายหลังจากยุ่งมาตลอดครึ่งบ่าย
    “มาถึงก็เริ่มงานแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือ” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง
    “ข้าไม่อยากรีรอ ท่านพี่มาหาข้ามีอะไรให้ข้ารับใช้พะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับทว่ายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ร่างสูงสง่าขององค์รัชทายาทเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้มบาง
    “เปล่า แค่เอานี่มาให้เจ้า” บอกพร้อมยื่นถุงย่ามใบใหญ่มาให้ จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจก่อนจะเปิดดูถุงย่าม ซึ่งมีสมุนไพรหลากสายพันธุ์ที่หายากอยู่เต็มถุง
    “ท่านทำให้ข้าประหลาดใจอีกแล้ว” จิวชงหยวนกล่าวขึ้นวางถึงย่ามไว้บนโต๊ะเงยหน้าองค์รัชทายาทที่ยิ้มละมุม ไม่สนใจสายตาจับผิดเขาแม้แต่น้อย
    “ข้าเป็นองค์ชายขี้โรค อ่อนแอ ย่อมรู้จักสมุนไพรดีไม่ใช่หรือไง ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้มานั่งกับเจ้าตรงนี้” คำตอบที่ได้รับ จิวชงหยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจเพราะแกล้งทำเป็นป่วยจึงต้องอยู่กับยามาตลอดชีวิต
    “ท่านน่าจะไปเป็นหมอ น่าจะสบายใจกว่าเป็นองค์รัชทายาท” คำกล่าวของจิวชงหยวนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะเบาๆ อย่างขำขัน
    “จริงของเจ้า แต่ข้าคงปล่อยให้กบฏขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากเสด็จพ่อไม่ได้หรอก”
    “แต่ที่ท่านพี่ทำตัวเช่นนี้ ท่านพี่คิดจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ง่ายๆ หรือไง” จิวชงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเอือมๆ มองรัชทายาทที่ทำตัวขี้โรคอ่อนแอ แล้วอดส่ายหน้าไม่ได้แบบนี้ใครเขาจะมาสนับสนุน
    “ฮึ แล้วเจ้าคิดเห็นเช่นไรเล่า” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอ มือหนาแกว่งน้ำชาในจอกเล่นไปมา ทว่าดวงตาคมกลับมองน้องสะใภ้นิ่งๆ
    “นั่นมันก็เรื่องของท่านพี่ ข้าเป็นหมอมีหน้าที่รักษาผู้คนทั่วหล้า ไม่ใช่ที่ปรึกษาองค์รัชทายาทพะยะค่ะ”
    “เช่นนั้น เจ้าคงเป็นที่ปรึกษาลู่เฟยสินะ” จิวชงหยวนชะงักไปชั่วครู่กับคำพูดขององค์รัชทายาท ใบหน้างดงามนิ่วหน้าครุ่นคิดไปถึงลู่เฟย ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉยทว่ากลับมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเห็นและได้รู้จักกับลู่เฟยมา
    “ท่านพี่คิดเช่นนั้นหรือพะยะค่ะ แต่จากที่ข้ารู้จักลู่เฟยมา เขาไม่มีทางอยากได้ภาระที่แสนหนักอึ้งเช่นนั้นหรอกพะยะค่ะ”
    “อืม ก็จริงของเจ้า ภาระนี้มันหนักจริงๆ หากขึ้นหลังเสือก็ไม่อาจจะลงมาได้ แต่หากไม่ขึ้นไปนั่งก็จะโดนขย้ำเสียเอง อีกทั้งประชาราษฎร์คงอยู่ไม่ผาสุกเช่นเคย” คำตอบที่แสนเศร้า ทำให้จิวชงหยวนมองดวงตาคมที่ทอประกายความเหนื่อยล้าออกมา เขาเข้าใจความรู้สึกของลั่วเหยียนเจิ้งตอนนี้ดี
    “ท่านพี่ข้าได้ยินว่าที่ท้ายค่ายมีน้ำตกอยู่ไม่ไกล พาข้าไปได้หรือไม่พะยะค่ะ” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเพื่อเปลี่ยนเรื่องพูดคุย ซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งก็พยักหน้ารับใบหน้าคมคายยิ้มบางก่อนจะลุกขึ้นนำทางไปยังน้ำตกท้ายค่ายทหาร ความมัวหมองภายในใจจึงถูกกลบหายไปเมื่อทั้งคู่ไปถึงธารน้ำตก
    จิวชงหยวนยิ้มดีใจที่น้ำตกแห่งนี้งดงามกว่าที่คิดไว้ ร่างโปร่งวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ แม้เวลานี้จะพลบค่ำแต่กลับไม่ได้ลดความงามของน้ำตกเลย มือเรียววักน้ำล้างหน้าด้วยความสดชื้น ก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าอาบน้ำเพราะไม่ได้อาบมาตั้งแต่เมื่อวาน
    “นั่นเจ้าจะทำอะไร” มือที่กำลังถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกหยุดชะงักหันกลับไปมองคนทักแล้วยิ้มบางเพราะลืมไปสนิทว่ามีคนมาด้วย    
    “อาบน้ำไง ข้าไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ” บอกพร้อมจัดการถอดชุดต่อ โดยที่ลั่วเหยียนเจิ้งตื่นตะลึงมองร่างโปร่งบางที่กำลังถอดชุดออกโดยไม่สนใจตนแม้แต่น้อย
    “นี่เจ้ากำลังยั่วข้าอยู่หรือไง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขำเมื่อสติกลับมาแล้ว เนื่องจากตนไม่เคยเห็นใครมาทำกิริยาแบบนี้ต่อหน้ามาก่อน
    จิวชงหยวนชะงักกับคำกล่าวของลั่วเหยียนเจิ้ง ก่อนจะหันกลับมามององค์รัชทายาทเต็มตา
    “ข้าว่าท่านนั่นแหละโรคจิตที่มามองข้าอาบน้ำ” คำตอบกลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนร่างโปร่งบางทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ตื่นตะลึงคาดไม่ถึง จากที่ให้เขาเป็นคนพามาตอนนี้กลับกลายเป็นคนโรคจิตเสียแล้ว
    “ฮึ เจ้านี่ช่างแปลกคน ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าน้องข้าไปเก็บเจ้ามาจากไหน” ลั่วเหยียนเจิ้งที่โดนกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตก็ทำหน้าด้านหน้ามึนเดินไปนั่งโขดหิน ดวงตาคมมองคนที่จะอาบน้ำอย่างท้าทาย
    เมื่อเห็นเช่นนั้นอารมณ์อยากเล่นน้ำของจิวชงหยวนจึงหมดไป กอดอกมองคนหน้าด้านหน้ามึนแล้วส่ายหน้า
    “ข้าแปลกตรงไหน ข้าออกจะนิสัยดี” ตอบกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สากับสายตาที่มองมาอย่างเอือมๆ ขององค์รัชทายาท
    “เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกินนะสิ”
    “ขอบพระทัยที่ชมพะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับมุขอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ยกมือคารวะจนคนแอบกัดได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆ จิวชงหยวนนิสัยคล้ายตนอยู่หลายส่วนทำให้รู้ทันกันและกัน หากเปรียบเทียบก็เหมือนมีเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน เพียงแต่เสืออย่างเขานึกเอ็นดูเสือตัวน้อยแสนซนอย่างจิวชงหยวนเท่านั้น

    ณ หุบเขาอู่อี้ซานซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรคเทพจันทรา ภายในห้องบัญชาการตอนนี้ร่างสูงสง่าของหย่งเจิ้นกำลังยืนเอามือไพล่หลังหันไปมองนอกหน้าต่างฟังการรายงานเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
    “เจ้าแน่ใจหรือ”
    “ขอรับท่านประมุข คราแรกข้าคลาดกับท่านหมอผู้นั้นที่พรรคหยกขาว แต่หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ข้าได้ยินข่าวจะพวกนักฆ่าว่าหมอผู้นั้นร่วมเดินทางไปกับองค์ชายห้าแคว้นลั่วหยาง และไม่นานมานี้ข่าวว่าหมอผู้นั้นเดินทางรักษาคนของแคว้นลั่วหยางขอรับ”
    “จิวชงหยวนมีความสัมพันธ์อะไรกับแคว้นลั่ว” หย่งเจิ้งเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับครุ่นคิดอย่างหนัก เขาติดตามข่าวของจิวชงหยวนมานานนับเดือนแล้วแต่ไม่มีอะไรคืบหน้า
   “ขออภัยท่านประมุข ข่าวนี้ยังไม่แน่ชัดขอรับ”
    “อืม เจ้าไปเถอะ” หย่งเจิ้งบอกเสียงเรียบก่อนที่เงาร่างนั้นจะเลือนหายไป แม้จะไม่ได้ข่าวที่ต้องการชัดเจน แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเพราะข่าวเกี่ยวกับหมอเทวดาจิวชงหยวนล้วนไม่ได้ข่าวที่ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงจะรู้ว่าหมอเทวดาตัวจริงอยู่ที่ใด แม้เวลานี้พรรคพิราบแดงจะประกาศก้องว่าหมอเทวดาอยู่กับตนก็ตามแต่ใช่ว่าจะมีพรรคพิราบแดงเท่านั้น พรรคธรรมะและอธรรมต่างอ้างว่าตนมีหมอเทวดาอยู่ในพรรคทั้งนั้น บ้างก็อ้างว่าเป็นศิษย์สายตรงของหมอเทวดาจิวชงหยวน และเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาสนใจเท่ากับจิวชงหยวนผู้ที่เขารู้จัก
    “หรือจะเป็นหมอเทวดาตัวจริง” หย่งเจิ้นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งม้วนใส่ขานกพิราบสื่อสารแล้วปล่อยให้มันไปยังจุดหมาย
    
   ทางด้านคนที่หย่งเจิ้นต้องการตามหาตัวอยู่นั้นกำลังนั่งตั้งวงเล่นลูกเต๋ากับเหล่าทหารกล้า เสียงพูดคุยกันเบาๆ เพราะกลัวว่าองค์รัชทายาทจะรู้ว่ามีการแอบตั้งการพนัน เพราะแค่หมอเทวดามาปรากฏตัวก็ทำให้พวกเขาขวัญผวาแล้ว ดีแต่ว่าหมอจิวผู้นี้มานั่งเล่นด้วย
    “ว้าว ข้าชนะ” จิวชงหยวนบอกอย่างอารมณ์ดีรวบเก็บเงินที่ได้จากการเล่นลูกเต๋าด้วยสีหน้ารื่นเริง เหล่าทหารที่สูญเสียเงินได้แต่มองอย่างสลดเพราะไม่รู้ต่อกี่ครั้งหมอเทวดาผู้นี้ก็ชนะขาดลอย
    “ข้าขอแก้ตัวขอรับ” ทหารร่างยักษ์ผู้หนึ่งกล่าวด้วยสายตามมาดมั่น เพื่อนร่วมวงมองตามด้วยความลุ้นเพราะคืนนี้พวกเขาเอาเบี้ยมาเล่นจนเกือบหมดตัวแล้ว
    “ได้สิ” จิวชงหยวนเงยหน้ามองแล้วฉีกยิ้มหวานที่ทำให้คนมองรู้สึกสยอง มือเรียวยื่นมือไปคว้าลูกเต๋ากับกระบอกไม้ไผ่มาเป็นเจ้ามือเอง
    “ใครอยากลงก็เชิญเดี๋ยวข้าจะเป็นเจ้ามือให้” จิวชงหยวนบอกพร้อมเอาลูกเต๋าสามเม็ดเขย่าๆ ในกระบอกไม้ไผ่ก่อนจะคว่ำลงกับพื้นด้วยความเร็ว
    “สูงขอรับ” ทหารผู้นั้นกล่าวอย่างมั่นใจพร้อมวางเบี้ยเลี้ยงทั้งเดือนของตนลงไปอย่างมั่นใจ จิวชงหยวนฉีกยิ้มระรื้น หันไปมองรอบวงก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นกลัวแม้แต่น้อย ทว่าทหารที่มองตามสายตากลับแตกตื่นคุกเขาลงด้วยความเร็ว
    “เจ้าคงว่างมากสินะหยวนน้อย” น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นแลดูอ่อนโยนกว่าปกติ จิวชงหยวนเพียงแค่ยักไหล่
    “เล่นด้วยไหมพะยะค่ะ” เอ่ยถามอย่างไม่สะทกสะท้านกับความผิด ลั่วหยวนเจิ้งหัวเราะในลำคอก่อนจะบอกเสียงหนักแน่น
    “ข้ากลัวเจ้าไม่มีเบี้ยจ่ายข้านะสิหากข้าชนะมา” จิวชงหยวนยกยิ้มกับคำพูดขององค์รัชทายาทที่มีแววตาเจ้าเล่ห์มองมาแม้เพียงชั่วครู่ใช่ว่าจะรู้ไม่ทัน
    “นั่นสิพะยะค่ะ เพราะขืนข้าแพ้ขึ้นมาคงได้เป็นทาสรับใช้ไปหลายปีแน่ เอาเป็นว่าเปิดฝาแล้วกัน” บอกด้วยน้ำเสียงร่าเริงและไม่ต้องให้ใครร้องปะท้วงเขาก็เปิดฝาครอบด้วยความเร็ว ผลออกมาคือต่ำทหารผู้มั่นใจแทบอยากร้องไห้เพราะสูญเสียเบี้ยไปทั้งหมด
    “ไหนเจ้าทำเช่นนั้นเล่าข้ายังไม่ได้บอกเจ้าเลยว่าไม่เล่น” ลั่วเหยียนเจิ้งประท้วงทันทีที่อีกฝ่ายไม่ให้โอกาสเขาเล่น จิวชงหยวนหันมายิ้มก่อนจะหยิบกระบอกไม้ไผ่สองอันพร้อมลูกเต๋าหนึ่งเม็ด
    “พระองค์ต้องเล่นสิ่งนี้พะยะค่ะ” บอกพร้อมเอาลูกเต๋าใส่ในกระบอกไม้ไผ่ก่อนจะสับเปลี่ยนไปมาด้วยความเร็ว ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้องค์รัชทายาทที่กำลังจ้องเขม็งกระบอกไม้ไผ่
    “ดูดีๆ นะพะยะค่ะ ว่าลูกเต๋าอยู่กระบอกไหน” คำท้าทายของคนร่างโปร่งทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเดินมานั่งบนโต๊ะอย่างเป็นทางการโดยที่ทหารต่างหมอบคลานแอบเงยหน้ามามองด้วยความตื่นเต้น
    จิวชงหยวนฉีกยิ้มหวานให้องค์รัชทายาทที่คิดจะแกล้งเขา ก่อนจะใช้ความเร็วเพิ่มอีกเท่าตัวสับเปลี่ยนไปมาก่อนจะหยุดนิ่งให้ลั่วเหยียนเจิ้งเลือก
    “ข้าชนะจะได้อะไร” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามทว่าดวงตาคมยังจ้องกระบอกไม้ไผ่เขม็งเหมือนกลัวว่ามันจะสลายหายไปกับตาเพราะความเร็วเมื่อครู่นี้เขามองตามไม่ทันจริงๆ
    “เบี้ยอันน้อยนิดของข้าท่านพี่คงไม่อยากได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะอยู่ช่วยงานท่านสักเดือนแล้วกันพะยะค่ะ”
    “หากเจ้าชนะเล่า”
    “อย่าตามหาข้า” คำตอบหนักแน่นจริงจัง ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเงยหน้าจากกระบอกไม้ไผ่หันมามองสบกับดวงตาเรียวที่ฉายแววเด็ดขาด ความจริงก็พอจะเดาออกเหมือนกันว่าเสือน้อยตัวนี้คงไม่ยอมอยู่แค่ในกรง สักวันต้องหาทางออกไป แต่ไม่คิดว่าจะเร็วเช่นนี้ ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางนิดๆ
    “ความจริงเจ้าไม่ต้องเล่นพนันกับข้าเจ้าจะจากไปก็ไปได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่ช่างเถอะ ข้าเลือกกระบอกนี้” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกอย่างไม่ใส่ใจ เพราะไม่ว่าผลออกมาเป็นเช่นไร จิวชงหยวนก็ไม่คิดจะอยู่ลั่วหย่างอยู่ดี
    จิวชงหยวนมองใบหน้าคมคายของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างพิจารณา เพราะไม่ว่าผลเป็นเช่นไรลั่วเหยียนเจิ้งก็ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว ดีไม่ดีองค์รัชทายาทผู้นี้อาจจะดีใจที่ไม่ต้องระมัดระวังเวลาทำงานใหญ่โดยที่เขายังอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทกำลังทำอะไรอยู่ ที่เขาไม่พูดเพราะมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา มือเรียวยกกระบอกที่ถูกเปิดออกทว่ามันมีแต่ความว่างเปล่าแสดงว่าลั่วเหยียนเจิ้งแพ้การพนันในครั้งนี้ แต่แท้จริงแล้วลูกเต๋าในนี้มันถูกเขย่าจนป่นปี้เป็นผงแล้วต่างหาก
    “ข้าแพ้สินะ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้นึกเสียใจอะไรแม้แต่น้อย จิวชงหยวนส่ายหน้า
    “ก็ไม่เชิง เพียงแต่ลูกเต๋ามันกลายเป็นผงไปแล้วพะยะค่ะ” บอกพร้อมเปิดฝากระบอกอีกอันให้อีกฝ่ายดูซึ่งมันก็ว่างเปล่าเช่นกัน
    ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ใบหน้าเรียบเฉยที่มองมาของน้องสะใภ้ทำให้เขาเริ่มจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
    “เช่นนั้นก็คนละครึ่งทาง” บอกด้วยรอยยิ้มบาง จิวชงหยวนจึงยกยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันไปยื่นเบี้ยคืนให้เหล่าทหารกล้า
    “กว่าจะหามาได้ต้องแลกด้วยชีวิตหลายชีวิต เก็บไว้ให้ครอบครัวของพวกเจ้าเถอะ” บอกพร้อมลากลั่วเหยียนเจิ้งออกมาด้วยเพราะกลัวว่าจะทำโทษทหารเหล่านั้น ระหว่างทางกลับกระโจมนั้นกลับมีนกพิราบสื่อสารบินเข้ามาหาทั้งคู่ ลั่วเหยียนเจิ้งยื่นมือไปรับก่อนจะเปิดอ่านข้อความจดหมายแล้วยื่นไปให้คนร่างโปร่งด้วยรอยยิ้มล้อเลียนเล็กน้อย
    “ของเจ้า” จิวชงหยวนมองตามอย่างงงๆ แต่ก็ยอมรับมาอ่าน ลั่วเหยียนเจิ้งเดินกลับตำหนักปล่อยให้ร่างโปร่งบางยืนหน้าแดงระเรื่อเพียงคนเดียว
    “มองดูท้องฟ้ามึดครึ้มใจสั่นไหว     
    มองดูใจข้ามันร้อนรนอยู่ข้างใน
    มองดูดวงดาวพาใจข้าให้อ่อนไหว    
    ได้แต่เฝ้าคิดถึงแต่เจ้าผู้อยู่ที่แสนไกล...   
    ข้าคิดถึงเจ้าจิวชงหยวนเมียรัก”
    หลังจากอ่านจบใบหน้างดงามและใบหูก็แดงระเรื่อด้วยความอาย นี่เขาโดนจีบทางจดหมาย แม้จะดูเชยไปบ้างแต่ทำไมหัวใจเขามันพองโตเช่นนี้ มือบางกุมจดหมายที่รู้ว่ามาจากที่ใดตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองจะทำอะไรไม่ถูก ทว่าเมื่อหันไปมองผู้ที่เขาลากมาด้วยกลับไม่เห็นแม้แต่เงา แต่เมื่อคิดได้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งก็ได้อ่านข้อความนี้ยิ่งอยากแทรกแผ่นดินหนีอาย
    ร่างโปร่งบางรีบเดินกลับกระโจมที่พักด้วยความเร่งรีบ กลัวว่าจะรัชทายาทผู้ชื่นชอบการกลั่นแกล้งจะมาเย้าแหย่ให้อายไปมากกว่านี้ ได้แต่พึมพำบ่นกับคนที่ตัวไม่อยู่แต่ยังมาทำให้เขาอายอีก
    “คนบ้า”

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่19 ลาก่อนลั่วหยาง
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:02:27
บทที่  19
ลาก่อนลั่วหยาง
    

           กาลเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนที่จิวชงหยวนได้ช่วยเหลือคนป่วยที่ค่ายทหารนอกชายแดนลั่วหยางพร้อมทั้งหมู่บ้านใกล้เคียงจนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ทว่าความดีความชอบกลับเป็นของลั่วเหยียนเจิ้งเพราะตอนนี้เขายังเป็นคนของแคว้นลั่ว และทุกครั้งที่เขาออกนอกเขตค่ายจะสวมใส่หน้ากากสีทองที่หมิงฮุยหวงให้ไว้เพื่อป้องกันปัญหาที่ตามมา นี่จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ชื่อเสียงเขาขจรไปทั่วทั้งหล้า จากที่ตั้งใจช่วยงานแค่ครึ่งเดือนทว่าคนเจ็บป่วยนั้นมีมากกว่าที่คิดทำให้อยู่ยาวนับเดือน
    จิวชงหยวนวางจดหมายลงบนโต๊ะเล็กภายในกระโจม คืนนี้เขาตัดสินใจจะออกเดินทางไปจากลั่วหยางแล้ว และที่ไม่บอกองค์รัชทายาทโดยตรงเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาจะไปที่ใด จากการที่เขาเป็นคนของวังหลวงนั้นทำให้เขาได้รู้จักความวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดีในอำนาจในวังหลวงจนน่าเอือมระอา เพราะดูได้จากพวกนักฆ่าที่แอบเข้ามาหมายปลงพระชนม์ลั่วเหยียนเจิ้งถึงในค่ายทหารและไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ทว่าหนึ่งเดือนมานี้มีนักฆ่าที่ต้องตายตกกว่ายี่สิบชีวิต และเพื่อตัดปัญหาความยุ่งยากที่จะตามมาเขาจึงตัดสินใจไปจากที่นี่
    พรึบ!
    เงาดำเร้นกายหายไปจากค่ายทหารด้วยความเร็ว จนไม่อาจมีใครรับรู้ได้ว่ายามนี้หมอเทวดาจิวชงหยวนขวัญใจค่ายทหารชายแดนได้จากไปแล้ว
    จิวชงหยวนใช้วิชาท่าเท้าล่องนพเก้าร่วมกับวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศออกจากคายทหารด้วยความเร็วป้องกันไม่ให้ใครรับรู้การหายไปของเขา นอกจากเวลาเช้าที่เขาไปไกลมากพอแล้ว ร่างโปร่งในอาภรณ์สีเขียวสดลวดลายต้นหลิว ทับด้วยเสื้อนอกสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวไปตามยอดไม้ด้วยความเร็วจนห่างไกลออกจากลั่วหยางในที่สุด    จิวชงหยวนชะลอเท้าแล้วหยุดวิ่ง หันกลับไปมองค่ายทหารที่ไกลกว่ายี่สิบลี้ด้วยสีหน้าที่อ่านได้ยาก ริมฝีปากบางเอ่ยพึมพำเบาๆ
    “ลาก่อนลั่วหยาง” เจ้าตัวพึมพำเบาๆ ก่อนจะปลดกำไลข้อมือซ้ายให้กลายเป็นกระบี่พร้อมใช้วิชาหนึ่งเดียวเปลี่ยนร่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่พุ่งทะยานหายไปทางเหนือ จิวชงหยวนไม่รู้หรอกว่าเมืองต่อไปคือเมืองอะไร แต่ที่เขาเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดจับเขาได้ ทำตัวไปมาไร้ล่องรอยเหมือนดั่งที่อาจารย์เคยทำมา
    จิวชงหยวนกลับร่างเป็นคนอีกครั้งก่อนจะเก็บกระบี่เหมือนเดิม เมื่อใกล้ถึงเมืองหนึ่งที่ยามค่ำคืนกลับมีแสงสีงดงามตา  ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปภายในเมืองอย่างไม่รีบร้อน ทว่าจิวชงหยวนไม่รู้เลยว่าตนได้สร้างเขาลือประหลาดขึ้นอีกแล้ว เนื่องจากกระบี่บินนั้นมีรัศมีสีเขียวเรืองรองบินล่อนอยู่บนฟ้าทำให้ชาวยุทธที่เดินทางอยู่ในป่าเห็นกระบี่บินมุ่งหน้ามาทางเมืองแคว้นเยี่ยทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างมุ่งเดินทางมาที่แคว้นนี้เช่นกัน
    จิวชงหยวนเดินเข้าเมืองหาโรงเตี๊ยมพักสำหรับคืนนี้เพราะออกแรงเดินทางมาไกลหลายร้อยลี้ทำให้สูญเสียลมปราณไปถึงห้าส่วน ทว่าก่อนเขาเมืองเขาได้สวมหน้ากากครึ่งหน้าสีเงินขอบดิ้นทองที่เขาซื้อตอนไปรักษาคนไข้ที่แคว้นลั่วหยาง เพราะใบหน้าเขาตอนนี้มันงดงามชวนให้ปวดหัวจึงต้องตัดปัญหาในเรื่องนี้ไปก่อน
    ร่างโปร่งล้มตัวนอนที่นอนแข็งๆ ของโรงเตี๊ยม มือเรียวยกขึ้นปิดปากที่หาวด้วยความง่วงงุน ก่อนจะถอดหน้ากากออกแล้วดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมโปงหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ตอนนี้เขาขอนอนเพื่อเก็บแรงไว้พรุ่งนี้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง ชีวิตในยุทธภพนั้นไม่ได้เรียบง่ายจึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจตลอดเวลา

    เช้าวันรุ่งขึ้นข่าวลือเรื่องกระบี่บินของเซียนกระบี่ดังไปทั่วยุทธภพ บ้างก็ใส่สีตีไข่จนหาข้อเท็จจริงไม่ได้ และข่าวลือนี้ก็ดังมาถึงแคว้นลั่วหยางเช่นกัน ตอนนี้องค์รัชทายาทลั่วเหยียนเจิ้งกำลังถือจดหมายที่ถูกทิ้งไว้ต่างหน้าด้วยดวงตาเรียบเฉย จากที่มีคนคอยให้แกล้งเย้าแหย่แก้เบื่อตอนนี้กลับรู้สึกเหงาขึ้นมาเล็กน้อยที่คนน่าสนใจได้หายจากไปแล้ว
    ‘ไม่ต้องตามหาข้าเพราะข้าคงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไกลจากแคว้นลั่วหยางมากแล้ว ข้ามีชีวิตของข้า และข้าขอเดินไปในเส้นทางที่สวรรค์กำหนด หมอเทวดาไปมาย่อมไร้ตัวตนที่ข้าอยู่กับแคว้นลั่วหยางนานถึงเพียงนั้นเพราะข้าเห็นแก่ลู่เฟย หากมีวาสนาต่อกันคงได้พบเจอ จาก จิวชงหยวนหมอเทวดา’
    นั่นคือเนื้อความในจดหมายที่เขาได้รับ กอปรกับข่าวลือกระบี่บินล่องลอยหายไปทางแคว้นเยี่ย อาจเป็นไปได้ว่าเป็นหมอเทวดาผู้นั้น เพราะจากที่รู้จักกันมาทำให้รู้ว่าจิวชงหยวนมีอะไรให้เขาประหลาดใจมากมาย น่าเสียดายที่คู่สนทนาที่ถูกใจได้จากไปแล้ว หากมีวาสนาคงได้พบเจอกันอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งมั่นใจว่าอีกไม่นานน้องชายเขาต้องพาตัวจิวชงหยวนหมอเทวดาผู้นั้นกลับมาแคว้นลั่วอีกแน่นอน
    ณ ตำหนักของพรรคเทพจันทราร่างสูงสง่าของหย่งเจิ้นกำลังนั่งจิบชาร้อนๆ ฟังข่าวลืออันแปลกประหลาดจากองค์รักษ์ฝ่ายขวาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ฝั่งตรงข้ามมีสองพี่น้องไป๋เสวี่ยกับไป๋หู่ซึ่งนั่งกินของว่างชะงักงันครุ่นคิดไปกับข่าวลือเช่นกัน สองคนนี่มาหาเขาเมื่อวันก่อนหลังที่ส่งจดหมายไปหานับเดือนแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สองคนนี้จะหาวิธีออกจากวังมาได้ง่ายๆ เพราะตอนนี้ขุนนางชั่วเป็นผู้ดูแลและตรวจตราภายในวังหลวงอย่างเคร่งคัด หากไม่มีวรยุทธล้ำเลิศคงแอบออกมาไม่ได้ และที่พวกเขายังนิ่งเฉยเพราะรู้ดีว่าขุนนางคนอื่นๆ ตอนนี้ก็อยู่ใต้เงื้อมมือของหลินกงกงหมด หากคิดล้มล้างขุนนางชั่วพวกนั้นต้องสร้างชื่อเสียงและและหากองกำลังลับๆ เพิ่มเท่านั้นและตอนนี้มันยังไม่มากพอที่จะไปต่อกรกับคนในวังหลวง
    “พวกเจ้ามีความเห็นเช่นไร” ไป๋เสวี่ยที่เงียบมานานเอ่ยถามพี่น้องด้วยสีหน้าจริงจัง
    “เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันเป็นแค่ข่าวโคมลอยเท่านั้น” ไป๋หู่เอ่ยถามพร้อมหยิบขนมกุ้ยฮวาเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ดวงตาคมมองพี่ชายทั้งสองนิ่งๆ
    “ข้าจะตามไปดูเอง หากเป็นไปได้ข้าอยากได้คนผู้นี้มาอยู่ฝ่ายเรา” หย่งเจิ้นบอกความเห็นเนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องซ่องสุมกำลังไว้เยอะๆ
    “หากมีวิชาดั่งที่ข่าวลือจริงข้ากลัวว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะพบคนผู้นั้น” ไป๋เสวี่ยออกความเห็น พัดจีบในมือขวาเคาะฝ่ามือซ้ายตัวเองเบาๆ อย่างครุ่นคิด
    “ไม่ลองก็ไม่รู้ ข้าจะไปตามหาดู พวกเจ้าก็ระวังตัวกันด้วย” หย่งเจิ้นบอกอย่างตัดสินใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นสองพี่น้องจึงได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
    “ว่าแต่พวกเจ้าได้ข่าวจิวชงหยวนคนงามผู้นั้นบ้างไหม” ไป๋หู่เอ่ยถามพร้อมยกชาขึ้นมาดื่ม
    “ได้ข่าวว่าอยู่แคว้นลั่ว แต่ไม่รู้ความสัมพันธ์” หย่งเจิ้นบอกกล่าวเสียงเรียบดวงตาคมมองคนถามนิ่งๆ
    “แต่ข้าได้ข่าวมาจิวชงหยวนผู้ที่เราเจอเป็นชายาขององค์ชายห้า แต่ข้าไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน” ไป๋เสวี่ยกล่าวขึ้นมองคนพี่น้องทั้งสองด้วยรอยยิ้มบางเป็นเอกลักษณ์
    “ชายา!” ไป๋หู่หันมาถามไป๋เสวี่ยด้วยความตกใจ หย่งเจิ้นเองก็มีสีหน้าตกใจออกมาเช่นกันแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
    “ท่านพี่แน่ใจหรือจิวชงหยวนเป็นชายา ถึงแม้จะงดงามดั่งหญิงก็เถอะ” ไป๋หู่เอ่ยถามด้วยเสียงเครียดรู้สึกของเล่นของตนกำลังตกเป็นของคนอื่นที่ไม่ได้รู้จัก
    “สายข้าบอกมาเช่นนั้น อยากรู้ความจริงคงต้องถามเจ้าตัวเอง” ไป๋เสวี่ยบอกอย่างไม่ค่อยสนใจทั้งๆ ที่เป็นคนแรกที่เครียดกับเรื่องนี้
    “ไม่แน่อาจจะไม่ใช่ เพราะจิวชงหยวนตอนนี้เกลื่อนไปทั่วยุทธภพจนไม่รู้ว่าคนไหนจิวชงหยวนตัวจริง อีกอย่างจิวชงหยวนที่เรารู้จักอาจไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ ก็ได้” หย่งเจิ้นพูดปลอบใจทั้งสอง ทว่าในใจกลับปลอบใจตัวเองเสียมากกว่าเพราะเขาเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากพี่น้องทั้งสองคน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของหัวใจจะไปบังคับผู้ใดก็คงไม่ได้
    “จริงอย่างที่เจ้าว่า แต่จากนี้ข้าคงออกจากวังหลวงยากขึ้น เจ้าเองก็ระวังตัวด้วยหย่งเจิ้น”
     ไป๋เสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่าแฝงไปด้วยความห่วงใย เมื่อเรื่องที่พูดคุยจบลงทั้งสามจึงแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ของตน หย่งเจิ้นเองก็มุ่งหน้าสู่แคว้นเยี่ยตามข่าวลือในใจได้แต่หวังว่าจะเจอกับคนที่ทำให้ใจเขาสั่นไหวอีกสักครั้ง
    
    จิวชงหยวนตื่นมาช่วงบ่ายเพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ตื่นสายถึงเพียงนี้ ทำให้เขารู้สึกสบายอารมณ์มากขึ้น มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่เขาฝันหาเลยล่ะกับการตื่นสายแม้จะน้อยครั้งที่จะได้ทำตามใจตัวเอง แต่ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปล้วนแต่เป็นความชื่นชอบของเขานั่นจึงทำให้เขาไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
    ร่างโปร่งบางหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยจึงหยิบหน้ากากสีเงินมาสวมใส่แล้วลงมาข้างล่างเพื่ออะไรกิน ขณะที่เดินไปนั่งโต๊ะว่างตามคำเชิญของเสี่ยวเอ้อเขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาม บ้างก็จริงจัง ทว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นล้วนเกี่ยวกับเขาทั้งสิ้นโดยเฉพาะเรื่องกระบี่บินตอนนี้ ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นระหว่างทางรู้อย่างนั้นเขาจะบินให้สูงกว่านี้จะได้ไม่มีคนเห็น แต่ก็อย่างว่าเวลาไม่อาจย้อนกลับไปได้ แต่ต่อให้หากันให้ตายก็ไม่ได้เจอหรอกตราบใดที่เขาไม่เผยตัวออกไป
    จิวชงหยวนสั่งอาหารมาสามอย่างพร้อมนั่งฟังชาวยุทธพูดคุยกันด้วยความสนใจ รู้สึกสนุกไปอีกแบบกับการมานั่งฟังคนอื่นนินทาตัวเอง
    “ข้าว่าเทพกระบี่อาจจะอยู่ภายในโรงเตี๊ยมก็ได้นะ” จอมยุทธชุดสีน้ำตาลกล่าวกับพวกพ้องด้วยสีหน้าจริงจัง และนั่นเป็นประเด็นให้ผู้ที่แอบฟังต่างหันมองรอบกายด้วยความสนใจและเริ่มใช้สายตาค้นหาคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเทพกระบี่
    จิวชงหยวนกำลังคีบผัดผักเข้าปากถึงกับชะงักงันเมื่อทุกสายตาต่างจ้องมาที่ตน เขามั่นใจว่าไม่ได้แสดงพิรุธอะไรออกมา แต่เหตุใดทุกคนต่างจ้องมาที่เขา
    “น้องชายเจ้าเป็นคนของพรรคใด” ชายร่างสูงผู้หนึ่งในอาภรณ์สีน้ำเงินเดินเข้ามาถามคนแรก เพราะหน้ากากสีเงินที่สวมใส่นั้นดูมีราคาค่างวดอีกทั้งในที่นี้ไม่มีใครสวมใส่หน้ากากปกปิดหน้าตาทำให้ทุกคนต่างสนใจที่ไปที่มาของอีกฝ่ายและที่แห่งนี้ส่วนมากมีแต่ชาวยุทธหากรู้สำนักจะได้รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู
    จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนที่เอ่ยถามที่มีความสูงกว่าเขาหลายสิบเซ็นต์ ใบหน้าคมคายมีรอยแผลเป็นแก้มขวาแม้คนอื่นจะดูน่ากลัวแต่สำหรับเขาแล้วมันชวนให้น่ามองเพราะหมายความว่าคนผู้นี้ผ่านเรื่องเลวร้ายและผ่านการต่อสู้มาพอสมควร พลังภายในถือว่าไม่น้อยแต่ก็ไม่มากเกินไป ดวงตาที่แข็งกร้าวมองมาเหมือนจะข่มขู่ไปในตัว ดวงตาเรียวมองดูรอบกายซึ่งดูเหมือนทุกคนจะเฝ้ารอคำตอบจากเขา มือบางล้วงเข้าไปในชายเสื้อหยิบหยกสีดำส่งให้คนที่เอ่ยถามเงียบๆ โดยไม่ได้ปริปากตอบแต่อย่างไร ความจริงไม่คิดจะใช้วิธีนี้แต่ข่าวลือเทพกระบี่อาจนำความยุ่งยากมาให้จึงอาศัยบารมีของหย่งเจิ้นไปก่อนแล้วกัน และเหมือนจะได้ผลเมื่อชายผู้นั้นก้มหน้าทำความเคารพ
    “ข้าน้อยขออภัยท่านประมุขเทพจันทราขอรับ เพื่อเป็นการชดเชยการเสียมารยาทครั้งนี้ข้าขอเลี้ยงอาหารมื้อนี้ท่านประมุขขอรับ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วฉงนกับคำเรียกขาน ผู้ที่มีป้ายหยกถือว่าเป็นประมุขพรรคเช่นนั้นหรือ
    “ไม่ต้องข้าอยากอยู่เงียบๆ” เสียงทุ้มที่ออกหวานนิดๆ ทำให้ผู้ที่เสนอเลี้ยงข้าวเหลือบตามองด้วยความสนใจ แต่เมื่อร่างโปร่งบางไม่ได้สนใจตนจึงค้อมกายจากไปนั่งที่โต๊ะเดิมกับศิษย์น้อง
    จิวชงหยวนนั่งกินข้าวต่อแสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจผู้ใด ทว่าสายตาและหูยังฟังผู้คนที่กล่าวถึงตนแม้จะซุบซิบกันแต่สำหรับเขากลับได้ยินชัดเจน เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผู้คนไม่ได้จ้องเขาแบบข่มขู่ทว่ากลับจ้องมากกว่าเดิมในแบบที่ตนสนใจใคร่รู้ คงจะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ยิ่งปิดบังยิ่งมีคนอยากรู้
    พรึบ!
    กระบี่เล่มหนึ่งพาดเข้าที่ลำคอระหง ทุกคนต่างมองตามอย่างตื่นตระหนกทว่าคนโดนกระบี่พาดเพียงแค่เงยหน้ามองเท่านั้น
    “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแอบอ้างเป็นประมุขพรรคเทพจันทรา” น้ำเสียงหวานทว่าดุดันพร้อมที่จะเชือดคนตรงหน้าง่ายๆ ทำให้ผู้คนต่างจับจ้องมองอย่างตกใจและคาดไม่ถึงว่ามีคนอ้างตนเป็นประมุขพรรคเทพจันทราซึ่งเป็นพรรคธรรมะมีชื่อเสียงโด่งในขณะนี้
    “เจ้าเป็นใคร” จิวชงหยวนเอ่ยถามหญิงสาวในอาภรณ์สีขาวใบหน้าสวยงามแต่ก็ไม่ได้งดงามจนล่มบ้านล่มเมือง ดวงตากลมโตที่ฉายแววดุดันนั้นบ่งบอกว่าแม่นางผู้นี้รู้จักหย่งเจิ้นเป็นอย่างดี
    “อ้างตนว่าเป็นประมุขพรรคเทพจันทราไยถึงไม่รู้จักข้า” น้ำเสียงดูถูกแกมเย้ยหยัน ทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างเฉยเมย เพราะเขาเองก็ไม่ได้พูดออกมาสักคำว่าตนเป็นประมุขพรรคเทพจันทรามีแต่จอมยุทธผู้ที่เข้ามาถามเขาต่างหากที่กล่าวเองเออเอง
    “เสี่ยวหนิงเจ้าคิดจะทำอะไร” ชายในอาภรณ์สีดำปรากฏตัวพร้อมด้วยน้ำเสียงดุดัน มือหนาดึงร่างบางออกห่างจากจิวชงหยวนก่อนจะหันมาทำความเคารพร่างโปร่งบางที่ตนตามหามานาน
    “ขออภัยท่านจิวชงหยวนที่ศิษย์น้องข้าเสียมารยาทต่อท่าน” จิวชงหยวนมองคนที่เข้ามาใหม่ แล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
    “เจ้าคลาดกับข้าไปสองเดือนยังมาตามข้าเจอ สงสัยฝีมือข้าคงอ่อนด้อยลง” จิวชงหยวนแสร้งเย้าแหย่ชายชุดดำเพราะคนผู้นี้เป็นผู้ที่ติดตามเขาช่วงที่เข้าเมืองหางโจวใหม่ๆ และคลาดกับเขาตอนที่หนีออกจากพรรคหยกขาวมา
    “ศิษย์พี่นี่หมายความเช่นไร” เสี่ยวหนิงเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดใจ ดวงตากลมโตมองผู้ที่ศิษย์พี่ก้มหัวให้อย่างไม่พอใจ
    “ฝีมือท่านล้ำเลิศ หากท่านไม่ยอมปรากฏตัวเองเห็นทีคราวนี้หัวข้าน้อยคงหลุดจากบ่า” ตงไห่กล่าวตอบยกมือคาราวะอย่างนอบน้อมโดยไม่คิดจะหันไปตอบศิษย์น้องที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
    “หย่งเจิ้นคงอยู่แถวนี้สินะ” จิวชงหยวนไม่ได้สนใจสายตากินเลือดกินเนื้อของแม่นางเสี่ยวหนิง แต่เอ่ยถามหาคนที่ไม่ได้เจอมานานสองเดือน ท่าทางคงจะหงุดหงิดน่าดูที่เขาหนีผู้ติดตามของตนไปได้
    “ท่านประมุขกำลังเดินทางมาอีกสองวันจะมาถึงที่นี่ และข้าน้อยขอร้องท่านโปรดรอท่านประมุขอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ขอรับ อีกอย่างเมืองนี้มีเทศกาลหยวนเซียวในวันรุ่งขึ้น ท่านคงมีอะไรเล่นแก้เบื่อได้” จิวชงหยวนเงยหน้ามองตงไห่ที่เป็นองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายของหย่งเจิ้นอย่างพิจารณา ใบหน้าแม้จะไม่ได้หล่อเหลามากมายแต่กลับมีเสน่ห์ที่ใฝ่ใต้ตาซ้าย
    “ย่อมได้” จิวชงหยวนกล่าวตอบเพราะไม่ได้เสียเวลาอะไรมากมายเพราะเขาไม่ได้มีจุดมุ่งหมายไปที่ใดอยู่แล้วนอกจากเดินทางไปเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างการได้เจอคนรู้จักอีกครั้งอาจทำให้ชีวิตเขารู้สึกสนุกขึ้นบ้างก็ได้
    “ศิษย์พี่หมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ” แม่นางเสี่ยวหนิงหันไปเขย่าแขนตงไห่พร้อมเอ่ยถามอย่างมึนงง
    “เจ้ากลับไปได้แล้วเสี่ยวหนิง” ตงไห่สั่งพร้อมส่งสายตาดุดันไปให้นาง ซึ่งเสี่ยวหนิงเองก็เหมือนจะหวาดกลัวไม่น้อยเพราะปล่อยแขนแล้วยอมถอยออกไปอย่างว่าง่าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ชาวยุทธมองตามด้วยความสนใจนั้นเลิกใส่ใจก่อนจะหันไปพูดคุยเรื่องเซียนกระบี่กันอีกครั้ง
    “นั่งลงก่อนสิ เจ้าชื่อตงไห่สินะ” จิวชงหยวนกล่าวชวนเพราะโดนขัดจังหวะกินข้าวไปสองครั้งแล้ว และดูเหมือนตงไห่จะเป็นเพื่อนกินข้าวได้ดีเพราะเจ้าตัวนั่งลงตรงข้ามอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันไปสั่งอาหารมาเพิ่ม
    “ท่านหายไปที่ใดมาขอรับ” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนคีบเนื้อปลาเข้าปากช้าๆ เมื่อกลืนหมดแล้วจึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
    “เจ้าน่าจะรู้ข่าวข้านี่”
    “เป็นท่านจริงๆ สินะขอรับท่านหมอหน้ากากทอง” น้ำเสียงเรียบเฉยที่กล่าวขึ้นมาทำให้จิวชงหยวนหัวเราะเบาๆ เพราะตอนนี้ชื่อเสียงเขามันเยอะจนไม่รู้จะเอาฉายาไหนมาใช้ดี และเขามั่นใจว่าตงไห่ตามข่าวเขามาโดยตลอด รู้สึกเหมือนตัวเองมีสโตกเกอร์ตามอย่างไรอย่างนั้น
    “นั่นอะไรอ่ะ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอาหารที่ขึ้นโต๊ะมาใหม่หลังจากเสี่ยวเอ้อนำมาเสิร์ฟ ดวงตาเรียวมองอาหารตรงหน้าด้วยสนใจ
    “ไชเท้าทรงเครื่องทอดขอรับ” ตงไห่บอกด้วยรอยยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นแววตาสนอกสนใจของคนร่างโปร่งบางก่อนจะคีบอาหารตรงหน้าใส่ถ้วยให้จิวชงหยวนลองชิมดู
    จิวชงหยวนไม่ได้ปฏิเสธอาหารที่ถูกคีบมาให้ก่อนจะลองคีบใส่ปากด้วยความสนใจ
    “อร่อย” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งตงไห่เองก็ยกจานอาหารนั้นมาวางไว้ให้ตรงหน้า ก่อนจะยกข้าวอบหม้อดินซี่โครงหมูเต้าซี่มาลองให้ชิมดูบ้าง อาหารแปลกๆ ที่ไม่เคยได้กินทำให้เจ้าตัวกินไปยิ้มไปอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สังเกตดวงตาคมของคนที่ตักอาหารให้แปรเปลี่ยนไปจากเดิม
     ความน่ารักของคนตรงหน้าทำให้ตงไห่แอบมองอยู่หลายครั้ง เขาไม่ได้แปลกใจเลยว่าทำไมประมุขพรรคต้องการตามหาตัว แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกผิด ผิดที่เผลอใจหวั่นไหวกับคนงามตรงหน้า


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 20 เป็นชายต้องเที่ยวหอนาง?โลม
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:04:09
บทที่ 20
เป็นชายต้องเที่ยวหอนาง?โลม
    

           จิวชงหยวนใช้เวลาครึ่งบ่ายไปกับนอกเมืองที่มีแต่ผู้ยากไร้และขอทานที่นอนเจ็บกันเกลื่อนกลาดเพราะโดนทำร้ายระหว่างไปขอทาน บ้างก็โดนทำร้ายตอนที่ไปขโมยหมั่นโถวมาปะทังชีวิต ตอนนี้เขาช่วยรักษาคนเหล่านี้ด้วยความมุ่งมั่นและรู้สึกสงสารไม่ได้ แต่หมอเทวดาที่ยากจนเช่นเขาจะช่วยเหลือคนร่วมสามสิบคนก็ไม่ไหว ได้แต่ช่วยยืดชีวิตของพวกเขาไว้เท่านั้น แต่ที่ทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจคือเด็กๆ ที่ควรมีอนาคตสดใสแต่กลับผอมแห้งดวงตาไร้แววร่าเริง
    ใบหน้างดงามภายใต้หน้ากากครึ่งหน้าบัดนี้มีเหงื่อไหลออกมาด้วยความเหนื่อยและร้อน ผ้าเช็ดหน้าผืนสีน้ำเงินเข้มถูกยื่นมาเช็ดให้ จิวชงหยวนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะสองมือกำลังวุ่นวายกับการทำแผลให้ชายร่างผอมโซ
    “พักก่อนไหมขอรับ” ตงไห่ที่ติดตามมาด้วยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ออกจากโรงเตี๊ยมมาและเจอขอทานเหล่านี้จิวชงหยวนก็ยังไม่ได้พักเหนื่อยเลย
    “ไม่เป็นไรใกล้เสร็จแล้ว” จิวชงหยวนบอกโดยไม่ได้หันไปมองหน้าคนที่ติดตามมา หลังจากช่วยทำแผลให้คนสุดท้ายแล้วจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ดวงตาเรียวมองรอบกายแม้จะทุกคนจะได้รับการรักษาอย่างดีหมดแล้วแต่สภาพความเป็นอยู่เป็นได้ว่าอาจจะติดเชื้อ แต่จะให้เขาช่วยให้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ยากเกินตัวเพราะเขาไม่ใช่คุณชายจากที่ใด ทว่าขณะนั้นก็เห็นเด็กๆ พากันวิ่งเข้ามาและบอกว่าท่านนางฟ้ามาแล้ว จากนั้นทุกคนต่างมีสีหน้าดีใจจนจิวชงหยวนมองตามอย่างแปลกใจ
    “ใครมากันหรือท่านท่านลุง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่เขาทำแผลให้ล่าสุด
    “พวกข้าก็ไม่รู้หรอก เพียงแต่เขาจะมาให้อาหารที่นี่เดือนละครั้งขอรับ แค่กๆ” ลุงผู้นั้นบอกพร้อมไอออกมาจนตัวโยน จิวชงหยวนยื่นยาให้และบอกเวลากินก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังที่เด็กๆ ล้อมอยู่ เขาเห็นเพียงแต่ร่างสูงสง่าที่หันหลังอยู่เท่านั้น
    อาหารมากมายถูกจับแจกให้รวมทั้งเครื่องนุ่งห่มที่เจ้าตัวหอบมาด้วย ทว่าสิ่งที่ทำให้จิวชงหยวนสนใจนั้นคือบรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาซึ่งมันไม่เข้ากับเจ้าตัวที่พยายามแจกจ่ายข้าวของให้ผู้ยากไร้นี้เลย ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อคนผู้นั้นหันมามอง ใบหน้านิ่งเฉยดวงตาเรียบนิ่งทว่าดวงตาเรียวสวยที่มองมานั้นทำให้เขารู้สึกตื้นเต้นเพราะไม่เคยเห็นผู้ชายที่สวยสะดุดตาเช่นนี้มาก่อน ทำไมเขารู้ว่าเป็นชายเพราะรูปร่างที่สูงสง่าอีกทั้งร่างกายดูแข็งแรง    ก่อนจะยิ้มค้างเมื่อร่างนั้นไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
    “ตงไห่ ข้ารู้สึกหน้าแตกอ่ะ” จิวชงหยวนหันไปฟ้องคนข้างตัวซึ่งก็มองคนสวยนิ่งๆ เช่นกัน ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
     “นั่นคือหลิ่วเหวินอี้บุตรคนที่สี่ของนิกายมารฟ้า ไม่แปลกหรอกขอรับที่เขาจะไม่สนใจท่าน เพราะจากที่ข่าวลือมีมาหลิ่วเหวินอี้แทบพูดนับคำได้อีกอย่างไม่เคยมีใครเห็นรอยยิ้มเขาหรอกขอรับ” คำอธิบายของคนข้างตัวทำให้จิวชงหยวนหันกลับไปมองสนใจอีกครั้ง นี่เขากำลังเจอของหายากหรือไง น่าสนใจ จิวชงหยวนยิ้มรับและเดินเข้าไปหาร่างสูงสง่าแต่งามบาดใจด้วยความสนใจเหมือนเห็นของเล่นชิ้นใหม่
    หลิ่วเหวินอี้รู้สึกขนกายลุกชันอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะเงยหน้าเหลือบตามองคนร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีเขียวอ่อนซึ่งสวมหน้ากากสีเงินอีกครั้ง เขารู้ว่ามีคนมองแต่กลับไม่ได้สนใจทว่าดวงตาพราวระยับของอีกฝ่ายทำให้สัญชาติญาณร้องเตือนว่าคนผู้นี้อันตราย
    “ข้ามีนามว่าชงหยวนแซ่จิวเป็นหมอที่ผ่านมาแถวนี้ น้องชายคือคุณชายหลิ่วเหวินอี้ใช่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มทว่าใบหน้าเรียบนิ่งของคนสวยเพียงแค่ปลายตามองก่อนจะหยิบเสื้อผ้าให้เด็กชายที่เกาะเอวอยู่ข้างตัวอย่างไม่สนใจ จิวชงหยวนยิ้มแหยเพราะไม่เคยรู้สึกเสียหน้าเท่าครั้งนี้มาก่อน
    “นี่ตงไห่ฝ่ายมารหยิ่งอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า” จิวชงหยวนหันไปเอ่ยถามคนข้างตัวที่สีหน้าเรียบเฉย ทว่าคำถามเขาไม่พ้นคนสวยได้ยินไปด้วย
    “เปล่าขอรับ หากเป็นคนอื่นคงยกกระบี่ไล่ฟันท่านไปแล้ว” ตงไห่บอกด้วยรอยยิ้มบาง เมื่อเห็นสีหน้าของท่านหมอคนงาม
    หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองคนทั้งคู่อีกครั้งก่อนจะผละออกจากเด็กๆ เพราะหมดธุระกับที่นี่แล้ว ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อร่างโปร่งบางเข้ามาขวางทางตน
    “นี่อย่าเพิ่งไปสิ คุยกับข้าก่อน” จิวชงหยวนพุ่งกายมาขวางหลิ่วเหวินอี้ไว้แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจ เพราะกิริยาของคนตรงหน้าทำให้เขาสนใจจริงๆ เป็นฝ่ายมารแต่กลับใจดีกว่าที่เห็นภายนอก ทว่าร่างสูงสง่าของอีกฝ่ายกลับเดินผ่านเขาไปด้วยความเฉยเมย
    จิวชงหยวนอ้าปากค้างอีกครั้ง เย็นชาเกินไปแล้วนะ ได้แต่คิดอย่างหงุดหงิดก่อนจะออกตัวไปขวางทางอีกฝ่ายไว้อีกครั้งโดยที่ตงไห่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากยืนมองนิ่งๆ
    “นี่ข้าแค่อยากคุยด้วยเฉยๆ ไม่ได้คิดจะฆ่าเจ้าสักหน่อย”
    “แม้โฉมหน้ายังต้องปิดบัง ข้าจะหาความจริงใจจากเจ้าได้เช่นไร” คำถามนั้นเรียบเฉยทว่ามันนุ่มทุ้มน่าฟัง ใบหน้าและดวงตานั้นเรียบสนิทจนอ่านใจไม่ออก แต่ไม่ใช่เขาซึ่งเป็นหมอที่พอจะรู้ว่าคนตรงหน้าต้องเจอเรื่องโหดร้ายมาเยอะไม่เช่นนั้นคงไม่เย็นชาเช่นนี้
    “ข้าถอดหน้ากากออกแล้วจะคุยกับข้าไหม” เอ่ยถามด้วยความหวัง เพราะเขาต้องการจะคุยกับคนตรงหน้าจริงๆ เกี่ยวกับขอทานน้อยและพวกยากไร้สามสิบชีวิตในเวลานี้
    หลิ่วเหวินอี้มองคนร่างโปร่งบางนิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ แม้สัญชาติญาณบอกว่าคนตรงหน้าอันตรายแต่ไม่รู้ทำไมใจเขารู้สึกไว้ใจคนตรงหน้าได้ อาจเป็นเพราะว่าคนผู้นี้ช่วยรักษาเด็กๆ ขอทานไว้ก็ได้
    จิวชงหยวนยิ้มรับอย่างยินดีก่อนจะถอดหน้ากากสีเงินออก ซึ่งก็ทำให้หลิ่วเหวินอี้ตะลึงงันไปเช่นกันเพราะคนตรงหน้างดงามเหมือนผู้หญิงใบหน้าหวานๆ นั้นทำให้สะดุดตา เขานึกว่าชาตินี้มีแต่ตนที่หน้าตาออกหญิง แต่คนตรงหน้ากลับทำให้ความรู้สึกมั่นใจตัวเองกลับคืนมาเพราะอย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ได้โหดร้ายกับเขาเพียงคนเดียว
    และคนที่ตะลึงค้างเพิ่มอีกคนก็คือตงไห่ที่จ้องมองจิวชงหยวนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ถึงแม้จะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งแต่เมื่อได้มาเห็นใกล้ๆ เช่นนี้กลับทำให้หัวใจเต้นแรงมากขึ้น
    หลังจากที่หลิ่วเหวินอี้ยอมคุยด้วย จิวชงยวนจึงพามาที่โรงน้ำชาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่นอกเมือง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาหลงจิ่งทำให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดครึ่งบ่ายดีขึ้น ทว่าคุณชายหน้าสวยเพียงแค่นั่งนิ่งๆ ไม่คิดแตะต้องชาร้อนๆ ตรงหน้าสักนิด
    “ที่ข้าอยากคุยกับเจ้าเพราะเรื่องของขอทานพวกนั้น จากที่พวกนั้นบอกข้าว่าเจ้ามาส่งอาหารและของใช้ให้เดือนละครั้ง” จิวชงหยวนเกริ่นออกมาเล็กน้อย มองคนหน้านิ่งที่ขมวดคิ้วเป็นปมมองเขานิ่งๆ
    “ข้าช่วยเท่าที่ช่วยได้ นอกเหนือจากนี้คงไม่ได้” คำปฏิเสธอย่างไม่เสียเวลาคิดทำให้จิวชงหยวนสำลักน้ำชาจนร้อนไปถึงตงไห่ที่รีบหาผ้ามาเช็ดหน้าให้ จิวชงหยวนรับผ้ามาเช็ดเองแล้วยืดนั่งตัวตรงหรี่สายตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้งแล้วเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
    “นี่เจ้าไม่คิดหน่อยหรือ”
    “ข้าคิดดีแล้ว อีกอย่างข้าอยู่ฝ่ายมารหากเจ้ายังจำได้” น้ำเสียงเรียบเฉยและแววตาที่มองมาทำให้จิวชงหยวนนิ่งไป ก็จริงดั่งที่หลิ่วเหวินอี้กล่าวมาแต่ใช่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นเหมือนคนฝ่ายมารทั่วไป เพราะดูแปลกแยกจากฝ่ายมารที่เขาได้รู้จัก
    “ฝ่ายมารแต่เจ้าไม่ใช่เป็นคนเลือก แม้เจ้าจะเลือกเกิดไม่ได้แต่เจ้าเลือกที่จะทำได้” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบและมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เพื่อค้นหาความจริงในแววตาที่ว่างเปล่าของอีกฝ่าย
    หลิ่วเหวินอี้รู้สึกอึ้งไปดวงตานิ่งๆ ของจิวชงหยวนเวลานี้กำลังทำให้เขารู้สึกกลัว เพราะคนตรงหน้าเหมือนจะอ่านความคิดเขาออกซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนหากเป็นไปได้เขาไม่อยากจะยุ่งกับคนมีชื่อเสียงขจรไกลเช่นนี้เพราะมันจะนำพาความยุ่งยากมาสู่ตัวเขาเอง
    “หากมีธุระเพียงแค่นี้ข้าขอตัว” บอกเพียงเท่านั้นก่อนจะหันหลังจากไปโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก จิวชงหยวนเองก็ปล่อยให้จากไปโดยไม่คิดจะยื้อไว้อีกเพราะจากที่ดูเหมือนหลิ่วเหวินอี้ยังมีปมบางอย่างอยู่ภายในใจ
    “ท่านจะปล่อยเขาไปหรือ” ตงไห่ที่นั่งอยู่ด้วยเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เวลานี้จิวชงหยวนนิ่งเงียบจนไม่กล้าที่จะรบกวน
    “หลิ่วเหวินอี้ไม่ชอบให้ใครมาบงการ หากเขาจะทำก็จะทำเองแต่หากไม่ ต่อให้ไปร้องขอก็ไม่มีประโยชน์อะไร” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบหลังจากวิเคราะห์นิสัยคนสวยที่เย็นชาไม่สนใจผู้ใด มาคิดอีกทีพวกขอทานกับคนยากไร้นั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี เพราะไม่ว่าอย่างไรหมอเทวดาเช่นเขาที่ต้องเดินทางไปทั่วหล้าจะไปดูแลใครได้ และหากได้ช่วยเหลือครั้งนี้แล้วครั้งต่อไปเขาไม่ต้องได้ยื่นมือไปช่วยเหลืออีกหรือไง
    “แล้วท่านจะทำเช่นไรต่อไปขอรับ” จิวชงหยวนหันมามองคนถามแล้วตอบเสียงเรียบ แม้ฟังดูอาจจะเลือดเย็นแต่นี่คือชีวิตจริงที่พวกเขาต้องก้าวข้ามไปด้วยตัวเอง
    “แล้วแต่บุญวาสนา ข้ามีหน้าที่รักษาคนไข้ไม่ได้มีหน้าที่ชุปเลี้ยงพวกเขา”

    เทศกาลหยวนเซียวยามค่ำคืนประดับด้วยโคมไฟงดงามจับตา และเป็นภาพที่หาดูได้ยากในยุคสมัยที่เขาเคยอยู่ จิวชงหยวนเดินเที่ยวเล่นในงานด้วยความสนใจ มือเรียวถือพัดจีบที่ซื้อจากร้านสาวสวยซึ่งผ่านมาชั่วครู่ ใบหน้างดงามยังบดบังด้วยหน้ากากสีเงินอาภรณ์สีขาวงดงามสะดุดตาเพราะเป็นชุดที่ลู่เฟยนำมาให้ตอนอยู่ภายในวังหลวง ดวงตาเรียวสอกส่องมองรอบกายด้วยความร่าเริงก่อนจะแสยะยิ้มออกมานิดๆ เมื่อเห็นว่าร้านข้างหน้าคือสิ่งใด
    “ท่านจะไปไหนขอรับ” จิวชงหยวนชะงักมองคนขัดขวางความแปลกใจ
    “เจ้าถามแปลก ข้าเป็นชาย ตรงหน้ามีหอนางโลมข้าคงมาซื้อผ้ากลับโรงเตี๊ยมมั้ง”
    “ไม่ได้ขอรับ” น้ำเสียงหนักแน่นและดวงตาจริงจังของตงไห่ทำให้จิวชงหยวนหรี่ตามอง ก่อนจะมองผ่านไปยังหอโคมแดงซึ่งมีหญิงงามต่างยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าประตู แม้เขาไม่ได้เจ้าชู้แต่ใช่ว่าจะไม่เคยหาความสุขใส่ตัว
    “เจ้ามีลูกมีเมียแล้วไม่ต้องเข้ามากับข้าก็ได้นะ” บอกพร้อมพลิ้วกายหลบเดินผ่านเข้าไปหอโคมแดง ปล่อยให้ตงไห่ยืนหน้าแดงอยู่หน้าหอก่อนจะจำใจเดินตามเข้า
    “ข้าเปล่ามีลูกมีเมียนะขอรับ ข้าแค่คิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับท่าน” ตงไห่ที่ตามเข้าทันเอ่ยบอกคนร่างโปร่งบางด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
    “คุณชาย เชิญทางนี้เจ้าค่ะ วันนี้คุณชายโชคดีมากเลยนะเจ้าค่ะที่ได้มีการแสดงชุดใหม่ขึ้น” หญิงงามร่างอรชรเข้ามาต้อนรับพร้อมเบียดอกอวบกับแขนจิวชงหยวนอย่างยั่วยวน ตงไห่เองก็มีหญิงงามล้อมหน้าล้อมหลังไม่ต่างกัน
    “งั้นหรือ” จิวชงหยวนยิ้มรับบางๆ ก่อนจะไปนั่งตามที่คนงามพาไป ดวงตาเรียวกวาดมองไปรอบห้องก่อนจะสะดุดกับร่างโปร่งบางของชายหนุ่มห้าคนที่ยืนร้องเต้นรำอยู่กลางเวที
    “มีนางโลมชายด้วยหรือ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “ขอรับ ส่วนมากก็เป็นคนยากไร้ที่พ่อแม่นำมาขายขอรับ” คำตอบที่ได้ทำให้จิวชงหยวนกลืนน้ำลายลงด้วยความขมขืน ชีวิตที่พบเห็นช่างแปลกใหม่และไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย แต่หมอยาจกเช่นเขาจะไปช่วยเหลือผู้ใดได้นอกจากช่วยรักษาผู้คนไปตามมีตามเกิดเท่านั้น
    “คุณชายเจ้าขาดื่มเหล้าดีของหอเราหน่อยสิเจ้าค่ะ” หญิงสาวสองนางหันมากอดแขนออดอ้อน ดวงตาหวานมองอย่างเชิญชวนอีกทั้งมือเล็กบางพยายามจะเข้าถอดหน้ากากจนต้องหยุดมือนั้นไว้
    “พวกเจ้าไปตามนายโลมมาให้ข้าคนหนึ่งสิ”
    “ท่านหมอ!” เสียงเรียกตกใจของตงไห่ไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนสนใจ ดวงตาเรียวมองไปด้านเวทีซึ่งมีการเต้นและรำกระบี่อย่างงดงาม ส่วนหญิงงามที่ได้ยินคำสั่งเช่นนั้นได้แต่เดินจากไปอย่างไม่พอใจ
    “ท่านคิดจะทำอะไรขอรับ ข้าว่ากลับกันดีกว่าที่นี่ไม่เหมาะกับท่าน” จิวชงหยวนหันไปมองคนเอ่ยชวนแล้วยกยิ้มบาง ก่อนจะแกล้วแหย่คนหน้าแดงด้วยความอาย
    “สาวงามอยู่ข้างกาย สุรานารีพร้อมเช่นนี้เจ้าจะห่วงข้าทำไมเล่า ข้าก็อยากมีความสุขของข้าเช่นกันนี่”
    “ท่าน!”
    “ฮึๆ” จิวชงหยวนหัวเราะในลำคออย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของตงไห่ ความจริงเขาไม่ได้พิศมัยพวกนายโลมหรอกเพียงแต่รู้สึกแปลกๆ กับที่นี่เท่านั้นเอง
    “นายท่านมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ” เสียงนุ่มทุ้มที่เอ่ยทักพร้อมร่างโปร่งบางทว่าสูงกว่าเขาไปกว่าสิบเซ็นต์ทำให้จิวชงหยวนต้องเงยหน้ามอง ใบหน้างดงามชวนมองไม่น้อยผิวกายขาวผ่องทว่าหากสังเกตให้ดีคือดวงตาที่พราวระยับแม้เพียงชั่วครู่แต่เขากลับมองได้ชัดเจน
    “มานั่งข้างๆ สิ” บอกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคนร่างสูงกว่าตนก็มานั่งข้างกายอย่างเอาใจทว่ามันนั่งชิดจนแทบจะเกยตักกันแล้ว ตงไห่ได้แต่มองตามอย่างไม่พอใจหากท่านประมุขรู้เข้างานนี้คงไม่ได้ตายดีแน่
    จิวชงหยวนเหลือบตามองที่แนบชิดอย่างนิ่งๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็รินน้ำจันฑ์ให้อย่างเอาใจพร้อมแนะนำไปด้วย
    “ข้าน้อยเจียนเจียน ไม่ทราบว่านายท่านมีนามว่าอะไรหรือขอรับ” น้ำเสียงนุ้มทุ้มพร้อมดวงตาหวานที่ยั่วยวนอย่างพองามทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “ข้าจิวชงหยวน” เจียนเจียนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มบางอีกครั้ง
    “นามของท่านช่างไพเราะน่ะขอรับ” จิวชงหยวนหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับคำกล่าวนั้นจะบอกว่าชื่อของเหลาโหลก็บอกมาดีๆ เถอะ
    “เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ” เอ่ยถามพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แววตาที่ซ่อนความจริงไว้ในใจ
    “นายท่าน” เสียงเรียกแผ่วหวานใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอายตอนนี้ร่างสองร่างแนบชิดจนห่างแค่ฝ่ามือเท่านั้น ตงไห่ที่มองตามอยู่ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจเพราะไม่มีสิทธ์อะไรไปสั่งห้ามอีกอย่างนายตนก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับหมอเทวดาผู้นี้
    “เจียนเจียนข้าเป็นหมอคงจมูกดีเกินไปที่ได้กลิ่นยาสลบจากตัวเจ้า” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มหวานที่เคลือบยาพิษเช่นเดียวกับคนที่กำลังหลอกล่อเหยื่อให้ติดกับซึ่งกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์พอๆ กัน
    “หากเป็นเช่นนั้นเชิญที่ห้องดีไหมขอรับ” เจียนเจียนกระซิบบอกข้างหู จิวชงหยวนยกยิ้มรับอย่างท้าทาย เพราะคนผู้นี้จิ้มเข็มพิษลงมาที่ฝ่ามือเขาเรียบร้อยแล้ว
    “จะรอช้าอยู่ไยล่ะ” บอกพร้อมยกแขนขึ้นคล้องคอคนงาม ไม่ใช่เขาสนใจไยดีนายโลมผู้นี้หรอกเพียงแต่พิษนี้หากก้าวเดินสิบเก้าจะสลบไปทันที และร่างกายเขาเป็นพวกต้านพิษหากแสดงออกมาเขาก็ไม่รู้ความจริงนะสิ ใบหน้าหวานภายใต้หน้ากากแสยะยิ้มที่มุมปากทว่าไม่มีใครมองเห็น ตงไห่ได้แต่นั่งนิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความช็อก คนงามที่ประมุขเฝ้าตามหากำลังเข้าหอลงโรงกับผู้อื่นไปเสียแล้ว



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 21 หอกิเลน
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:05:27
บทที่ 21
หอกิเลน
    

           ตุบ!
    ผัวะ!!
    จิวชงหยวนพลิกตัวตีลังกาขยับปลายเท้ากลับมายืนที่พื้นด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงห้องพักซึ่งไว้ให้แขกหลับนอนที่นี่โดยเฉพาะ หลังจากที่ประตูห้องปิดลงเจียนเจียนก็เริ่มลงมือกับเขาทันที
   “แหมๆ เจ้ารับแขกเช่นนี้เองหรือเจียนเจียน” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มยั่ว ทว่าคนงามตรงหน้าไม่ได้ทำหน้ายิ้มรับแขกอีกแล้วนอกจากจิตสังหารที่ส่งออกมา ใบหน้างามหงุดหงิดไม่น้อยที่เขาสามารถหลบการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้
    “สำหรับหัวที่มีค่าของเจ้า ข้าก็ต้องต้อนรับให้สมน้ำสมเนื้อ” เจียนเจียนกล่าวตอบมุมปากยกยิ้มนิดๆ เหมือนเห็นหน้าเขาเป็นกองเงินกองทองอย่างไรอย่างนั้น
    “ข้านี่นะมีค่าหัว” จิวชงหยวนเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ทว่านายโลมคนงามตรงหน้ากลับยกยิ้มพร้อมมีดสั้นปรากฏที่มือขวาแล้วพุ่งเข้ามาหาแทนคำตอบ
    ฟิววว
    พรึบ
    จิวชงหยวนเอี้ยวตัวหลบด้วยความเร็วพร้อมพัดในมือปัดป่ายมีดสั้นที่พุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิต ความเร็ว ดุดันของคนตรงหน้าบ่งบอกได้ว่าถูกฝึกมาอย่างดี
    เคร้ง!
    พัดไม้ที่เปาะบางรับได้ห้ากระบวนท่าก็หักลง ตอนนี้จิวชงหยวนได้แต่พลิ้วกายหลบไปหลบมามองเศษพัดในมืออย่างเสียดายนิดๆ
    “นี่เจียนเจียน เจ้าทำพัดข้าพังเจ้าต้องรับผิดชอบด้วย” น้ำเสียงที่ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยทำให้เจียนเจียนที่พุ่งเข้าทิ่มแทงมองตามอย่างโมโห
    “จิวชงหยวนเจ้าเป็นใครกันแน่” น้ำเสียงหวานที่ติดดุนิดๆ กล่าวออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะคนตรงหน้าหลบได้เร็วยิ่งกว่าคนในหอกิเลนเสียอีก ร่างโปร่งบางตอนนี้ยืนนิ่งมองคนที่สวมหน้ากากยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านสักนิด นี่เขาต้องได้รับข่าวผิดๆ อะไรมาแน่ๆ
    “ข้าควรถามเจ้ามากกว่าเจียนเจียน ว่าเจ้าเป็นคนของใคร” จิวชงหยวนมองตามอย่างท้าทาย เพราะการร่ายรำกระบี่จากการแสดงเมื่อครู่ทำให้รับรู้ความผิดปกติ อีกทั้งเข็มเงินที่ไม่มีใครมองทันพุ่งเข้าหาตงไห่อย่างต้องการชีวิต ดีแต่ว่าเขาใช้ลมปราณทำลายไปโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไรเลย
    “ข้าก็เป็นนายโลมที่อยากได้ค่าหัวราคาแสนแพงของเจ้าอย่างไรเล่า”
    “เจียนเจียนคนงาม เจ้าคิดว่านายโลมทั่วไปมีวรยุทธเช่นเจ้าหรือไง เด็กอมมือยังไม่เชื่อเจ้าเลย” จิวชงหยวนส่ายหน้าไปมาช้าๆ ดวงตาเรียวมองคนยืนอยู่ห่างไปแค่เมตรเดียวด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก
    “เจ้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับพรรคหมื่นพิษ”  หลังจากจบคำถามเจียนเจียนก็มองเขาด้วยแววตาดุดัน บรรยากาศรอบกายเริ่มกดดันมากขึ้นแต่มันใช้ไม่ได้กับเขาหรอก
    “ฮึ ข้าไม่คิดว่าหมอเทวดาหน้ากากทองจะฉลาดหลักแหลมเช่นนี้มาก่อน”
    “ข้าใส่หน้ากากสีเงิน” จิวชงหยวนตอบกลับหน้าตาย โดยที่คนฟังรู้สึกคิ้วกระตุก
    “ว่าแต่เจ้าไยถึงอยากได้ชีวิตตงไห่เล่า”  เอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อสัมผัสอีกห้าชีวิตซึ่งโอบล้อมเขาอยู่
    “ฮึ แค่กำจัดสุนัขรับใช้ที่ติดตามเจ้าต่างหากเล่าจิวชงหยวน แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วล่ะแค่เหล้าพันวันป่านนี้ก็คงหลับไม่ตื่นอย่างน้อยก็เจ็ดวัน” น้ำเสียงดูแคลนและมองเหยื่อร่างเล็กกว่าตนด้วยความเหนือชั้นกว่า
    จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองเจียนเจียนที่มั่นอกมั่นใจว่าจะสังหารเขาได้อย่างนึกขำ แต่ที่เขายืนนิ่งไม่ได้คิดทำอะไรเพราะอยากรู้จุดมุ่งหมายจริงๆ ของพวกนี้ ริมฝีปากบางยกยิ้มไม่ได้หวาดกลัวกับคำข่มขู่
   “พวกเจ้าอยากได้ค่าหัวข้าจริงๆ สินะ” เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง และพยายามครุ่นคิดว่าตัวเองไปเหยียบตาปลาใครมาบ้าง
    “ใช่  แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าไปก่อเรื่องอะไรไว้” คำถามของเจียนเจียนทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบาง ก่อนจะตอบกลับอย่างยั่วโมโห
    “ไม่รู้สิ ข้าไม่ได้ใส่ใจ”
    “เจ้า! เจ้ามันน่าฆ่านัก มิน่าเจ้าสำนักพยัคฆ์คำรนถึงอยากได้ชีวิตอันไร้ค่าของเจ้านัก” นิ้วเรียวที่ชี้มานั้นดูหงุดหงิดไม่น้อย ทว่าคำกล่าวของเจียนเจียนต่างหากที่ทำให้เขาติดใจ
    ‘พยัคฆ์คำรนเช่นนั้นหรือ’ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ลงมาโลกนี้ครั้งแรก หรือว่าการที่เขาไปฆ่าองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายในครั้งนั้นมันยังไม่จบ
    “เจ้าหมายความเช่นไร ข้ากับพยัคฆ์คำรนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” จิวชงหยวนแสร้งตอบกลับด้วยดวงตาใสซื่อ
    “เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้ง หากไม่รู้จักฝ่ายอธรรมจะตามล่าเจ้าหรือไง”
     “อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ และข้าไม่รู้พวกเจ้าเอาความมั่นใจพวกนี้มาจากไหน แต่เจ้าหาเรื่องผิดคนแล้ว”
    “ข้าไม่ได้โง่ จิวชงหยวนหลังจากข่าวที่เจ้าไปช่วยเหลือพวกขอทาน ข่าวของเจ้าก็กระจายไปทั่วแคว้น และที่สำคัญไอ้พวกไร้ค่าอ่อนแอพวกนั้นตายหมดแล้ว” คำกล่าวของเจียนเจียนทำให้จิวชงหยวนตกตะลึงไม่น้อย ทว่าอยู่ท่ามกลางศัตรูเขาจึงไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้
    “นั่นก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
    “ฮึ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเลือดเย็นกว่าที่คิดนะจิวชงหยวน แต่หมดเวลาที่เจ้าจะเชิดหน้าชูตาแล้วล่ะ ค่าหัวของเจ้ามีตั้งหนึ่งพันตำลึงทองน่าสนใจใช่ไหมล่ะ” บอกพร้อมแสยะยิ้มออกมาอีกทั้งจิตสังหารที่พุ่งเข้ามาหมายจะให้เหยื่อขยับกายไม่ได้
    เคร้ง!
    เจียนเจียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อกระบี่สีเขียวมรกตไม่ทราบที่มาปรากฏขึ้นต้านรับมีดสั้นเขาด้วยความเร็ว แรง จนมือสั่นสะท้าน เข็มพิษที่ใช้ลงมือไปเหมือนจะไม่ได้ผลกับคนผู้นี้ หรือว่าเขาประมาทไป
    “กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่ากระบี่โชคชะตา” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบางเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเจียนเจียน
    “ปกติข้าไม่ค่อยได้ใช้จนกลัวว่ามันจะขึ้นสนิม แต่ไหนๆ พวกเจ้าก็มาช่วยลับคมกระบี่ให้ข้าหน่อยแล้วกัน” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบางที่ทำให้คนฟังรู้สึกเดือดดาลมากขึ้น ก่อนที่เงาอีกห้าร่างจะพุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    การโจมตีรวดเร็วดุดันภายในห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งเป็นห้องสำหรับไว้รับแขกพิเศษ ทว่าบัดนี้กลับเป็นลานต่อสู้ไปเสียแล้ว การต่อสู้โรมรันหกต่อหนึ่งนั้นหากดูภายนอกจิวชงหยวนเหมือนจะเสียเปรียบแต่ผู้ที่กำลังอยู่ต่อสู้จะรู้ดีว่าพวกตนกำลังเสียเปรียบอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
    ฉัวะ!
    กระบี่คมกริบสีเขียวเรืองรองบัดนี้เริ่มได้สัมผัสเลือดที่หอมหวานของบรรดานายโลมคณะละครชุดนี้กันอย่างถ้วนหน้า ทว่าร่างโปร่งที่ควรจะเสียเปรียบกลับยังไม่ได้รับบาดแผลอย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งพิษหลากชนิดที่ซัดเข้าหาร่างหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงขจรไกลนั้นเหมือนไม่มีผลเลยสักนิด ทั้งหกร่างเริ่มถอยห่างออกมาทว่ายังยืนโอบล้อมจิวชงหยวน ดวงตาจับจ้องมองอย่างระมัดระวัง บัดนี้พวกเขารู้แล้วว่ากำลังเจองานหิน ไม่คิดว่าคนที่ดูบอบบางขนาดนี้วรยุทธจะกล้าแกร่งถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งสุดยอดของคนหอกิเลนยังต้องอาศัยคนที่มากกว่า
    “ร่างกายเจ้าต้านพิษ” เจียนเจียนเอ่ยถามคนร่างโปร่งบางกว่าตนด้วยความตื่นตะลึงไม่คิดว่าจะมีผู้คนที่ต้านพิษพร้อมกันได้มากมายถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งยาสลบยังใช้ไม่ได้ผลกับคนผู้นี้
    เพล้ง!
    หน้ากากสีเงินที่ซื้อมาไม่นานแตกออกหลังจากโดนคมกระบี่ไปก่อนหน้านี้ ใบหน้างดงามปรากฏให้คนที่เอ่ยถามได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ริมฝีปากยกยิ้มบางชวนให้น่าหลงใหล ทว่าสำหรับสายตาเจียนเจียนแล้วมันคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
    “เจ้าคิดเช่นไรล่ะเจียนเจียน แต่นี่เจ้าทำลายของโปรดข้าไปสองชิ้นแล้วนะ” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้อาทรกับสายตาหวาดระแวงของนายโลมทั้งหกที่โอบล้อมตนเอาไว้
    “ข้าขอถามเจ้าสักข้อได้หรือไม่” คำถามของชายหนุ่มร่างโปร่งบางซึ่งยืนอยู่ด้านซ้ายมือ ทำให้จิวชงหยวนหันไปมองแล้วยิ้มรับบางๆ
    “เจ้าเป็นเซียนกระบี่ที่ถูกร่ำลืออยู่ตอนนี้ใช่หรือไม่” คำถามของคนที่จิวชงหยวนจำได้ว่าเป็นผู้บรรเลงพิณทำให้ต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ
    “อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”
    “กระบี่ที่เจ้าถือ” น้ำเสียงเรียบเฉยทว่าแววตาที่ส่งมานั้นกลับดูเฉลียวฉลาดไม่น้อย จิวชงหยวนมองกระบี่สีเขียวมรกตเรืองรองในมือด้วยรอยยิ้มบางๆ เพราะสิ่งนี้เป็นของสวรรค์มันย่อมวิเศษกว่ากระบี่เหล็กธรรมดาอยู่แล้ว แต่หากไม่นำมาใช้กระบี่ไร้ลักษณ์ก็สร้างความตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
    “หากใช่ เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไง” จิวชงหยวนเงยหน้าตอบคำภามพร้อมยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “เฮอะ หากใช่พวกข้าต่างหากที่ต้องร้องขอชีวิตจากเจ้า” เจียนเจียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ
    จิวชงหยวนมองทั้งหกคนนิ่งๆ แม้จะมีบรรยากาศกดดันแต่จิตสังหารเหมือนจะเลือนหายไปบ้าง ทั้งหกคนเหมือนไม่ได้ตั้งใจสังหารเขาเพียงแค่อยากได้เงินค่าหัวเท่านั้น แต่ที่ทำให้สงสัยคือพวกนี้เป็นคนของใครกัน หากต้องสังหารจริงๆ เขาสามารถเอาชนะได้ทว่าหัวใจเขายังไม่ด้านชากับการฆ่าคนเป็นดั่งผักปลา
    “หาที่นั่งคุยกันเถอะ ข้าเหนื่อย” บอกพร้อมเก็บกระบี่ซึ่งมันก็กลับมาเป็นกำไลเช่นเดิมทว่าคนที่กำลังจ้องมองได้แต่อ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึงเพราะพวกเขามองเห็นแค่มันหายไปเท่านั้น
    “ท่านเป็นเซียนกระบี่จริงๆ สินะ” ชายหนุ่มที่เอ่ยถามเรื่องเซียนกระบี่กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา จากสิ่งที่เห็นทำให้เจียนเจียนหมดอารมณ์ที่จะสู้ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงนอนที่อยู่ไม่ห่าง ส่วนอีกสองคนไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ห่างไม่มากนัก ส่วนคนที่เหลือยืนกอดอกพิงผนังมองมาที่จิวชงหยวนนิ่งๆ
    จิวชงหยวนที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องมองคนที่คิดสังหารตนอย่างแปลกใจ คิดจะเลิกฆ่าก็เลิกกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ ก่อนจะพาร่างตัวเองไปนั่งเตียงนอนกับเจียนเจียนซึ่งมองเขาอย่างหวาดระแวงจนอดขำออกมาไม่ได้    “เจ้ามาอ่อยข้าถึงเตียงนอนเช่นนี้ หากข้าไม่มานั่งกับเจ้าเดี๋ยวเจ้าจะน้อยใจไป”
    “ใครจะไปน้อยใจเจ้า” เจียนเจียนตอบกลับทันควร ใบหน้างามฉายแววหงุดหงิดไม่น้อย จิวชงหยวนหัวเราะในลำคอเบาๆ เห็นท่าทางแล้วน่าแกล้งชะมัด มิน่าละลู่เฟยกับลั่วเหยียนเจิ้งถึงชอบแกล้งเขานัก มันน่าสนุกอย่างนี้นี่เอง
    “ว่าแต่พวกเจ้าทำไมถึงเลิกคิดสังหารข้าง่ายๆ ล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ามีตั้งหลายคน” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจเพราะมันง่ายเกินไป เจียนเจียนหันมามองค้อนให้รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เหลือบตามองมา บ้างก็ถอนหายใจยาว
    “พวกข้าไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่า ต่อให้รุมฆ่าเจ้าจนตัวตายก็ไม่อาจสังหารเจ้าได้หรอก” คนที่กอดอกพิงประตูตอบกลับแล้วทำสีหน้าเซ็งๆ
    “พวกเจ้าเป็นนักล่าค่าหัวหรือ”
    “เปล่าพวกข้าเป็นคนหอกิเลนที่ไม่ขึ้นตรงต่อฝ่ายใด แค่ค่าหัวเจ้ามันล่อตาดี” เจียนเจียนตอบกลับเหมือนไม่ใส่ใจ จิวชงหยวนเหลือบตามองคนข้างตัวอย่างแปลกใจที่บอกเขาง่ายเกินไป
    “มีอะไรมากกว่านั้นหรือ”
    “สมกับที่เป็นเจ้า ความจริงพวกข้าสังหารทุกคนที่ชื่อจิวชงหยวนที่เข้ามาในหอโคมแดง เพราะหลายปีมานี้จิวชงหยวนหมอเทวดาเกลื่อนไปทั่วยุทธภพจนพวกข้าไม่อาจรู้ได้ว่าคนไหนตัวจริงตัวปลอม ตอนแรกว่าจะสังหารเจ้าเหมือนคนอื่นๆ แต่จากที่ปะทะกันเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าเจ้าไม่ได้แอบอ้างชื่อหมอเทวดามาแอบอ้างเพราะพิษที่พวกข้าใช้ล้วนตายตกได้เพียงไม่ถึงก้านธูป ทว่าเจ้ากลับไม่มีผล พวกข้าจึงอยากขอร้องเจ้าให้ไปรักษาท่านหประมุขซึ่งไม่รู้ว่าโดนพิษประหลาดอะไร แม้สำนักหมื่นพิษที่พวกข้าแทรกซึมเข้าไปก็ไม่อาจรักษาได้” คำอธิบายยาวเหยียดของเจียนเจียนทำให้จิงชงหยวนลูบคางอย่างพิจารณา จากที่สรุปได้คือพวกนี้ฆ่าคนที่ชื่อจิวชงหยวนทุกคนเพื่อตามหาหมอตัวจริงไปรักษาประมุขตัวเอง
    “นี่คิดจะฆ่าข้าแล้วมาร้องขอให้ข้าไปรักษาประมุขของพวกเจ้านี่นะ ตลกเกินไปแล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างเหลือเชื่อว่าในยุทธภพนี้ต้องการความช่วยเหลือแต่ใช้วิธีสังหาร แล้วตัวปลอมๆ ที่ไม่ได้เก่งกาจตายไปกี่คนแล้วล่ะนั่น
    “หากเจ้าช่วยเหลือประมุขหอกิเลน พวกข้าย่อมเป็นหนี้บุญคุณเจ้าและเมื่อนั้นหากเจ้าต้องการข่าวสารทั่วยุทธภพหอกิเลนจะจัดการให้เจ้าได้ทุกอย่าง ข้อเสนอนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้วเพราะหอกิเลนคนปกติจะไม่รู้จัก และข้าอยากให้เจ้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” ข้อเสนอเจียนเจียนก็ไม่เลวว่าแต่มีหอกิเลนแล้วมันต้องมีหออื่นๆ ด้วยสินะ แต่ช่างเถอะ
    “ตกลงข้าจะช่วยพวกเจ้า” คำตอบที่ได้รับทำให้ทั้งหกหันมามองร่างโปร่งบางของจิวชงหยวนเป็นตาเดียวด้วยความตกใจคาดไม่ถึง
    “ทำไมเจ้าตกลงง่ายจัง” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เก้าอี้เล็กเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ จิวชงหยวนยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ เพราะอย่างไรเขาก็ได้ผลประโยชน์
    “ข้าเป็นหมอไง ก็ต้องรักษาคนไข้สิ ส่วนเรื่องความลับของหอกิเลนของเจ้าก็แลกกับความลับเซียนกระบี่ของข้าตกลงไหม”
    “เฮอะคิดว่าข้าจะเชื่อว่าเจ้าเป็นเซียนกระบี่จริงๆ หรือไง” เจียนเจียนแอบกัดคนร่างโปร่งบางที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิดทั้งๆ ที่อยู่ท่าวมกลางศัตรูแท้ๆ แม้บัดนี้จากศัตรูได้แปรเปลี่ยนเป็นมิตรแล้วก็ตาม หวังว่าจะไว้ใจได้นะ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกเวลาของประมุขเหลือน้อยลงทุกวันแล้ว
    “นั่นก็เรื่องของเจ้าสิเจียนเจียน แต่ว่าเจ้ามีเรื่องต้องชดใช้ข้าสองเรื่อง” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกขนลุกชัน
    “พัดกับหน้ากากสินะ เดี๋ยวข้าจัดการให้” ชายหนุ่มที่เป็นคนเอ่ยถามเรื่องเซียนกระบี่เสนอในสิ่งที่เขาต้องการ จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่กลับได้รับสายตาเอือมๆ อีกห้าคนเพราะมันเป็นของที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี
    “นั่นของชอบข้าเลยนะ ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดกอดอกเหลือบมองคนตัวที่มีสีหน้าออกอาการกว่าเพื่อน
    “เจ้าใส่หน้ากากสะดุดตามากกว่าเสียอีก” คำกล่าวของชายหนุ่มรูปงานอีกคนเอ่ยบอกทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง ก่อนจะชะงักเมื่อเริ่มสังเกตว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ท่ามกลางหนุ่มหน้าสวยร่างโปร่งบางเหมือนไม่มีแรงกันทั้งนั้น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    “นี่พวกเจ้า หอกิเลนเลี้ยงเจ้าไม่ดีกันหรือไง ทำไมพากันผอมแห้งและสวยจนหญิงอายกันอย่างนี้” คำกล่าวนั้นทำให้ทุกคนหันไปมองจิวชงหยวนเป็นทางเดียว โดยเฉพาะเจียนเจียนซึ่งนั่งอยู่ใกล้สุด หยิบหมอนมาโยนใส่หัวคนถามอย่างหงุดหงิด จากนั้นอีกห้าคนต่างก็แยกย้ายออกไปได้แต่ทำหน้าปลงๆ หวังว่าพวกเขาจะขอความช่วยเหลือถูกคนนะ
    “ข้าผิดอะไร” จิวชงหยวนหันมาถามของข้างตัวด้วยใบหน้าใสซื่อ ทว่าแท้จริงแล้วกำลังตัวสั่นระริกอย่างสนุกกับการได้แกล้งคน
    ผัวะ!
    ประตูห้องเปิดออกมาพร้อมบรรยากาศกดดันแผ่ออกมาอย่างทะมึนทึง ทำให้สองคนที่ยังนั่งอยู่บนเตียงหันไปมองคนที่เสียมารยาทเข้ามา จิวชงหยวนเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนที่ทำหน้าทะมึนทึงเดินเข้ามากระชากร่างเขาถอยห่างจากเจียนเจียน
    “บอกให้รอข้าไม่ใช่ให้มารอที่หอโคมแดง” น้ำเสียงออกดุๆ และแววตาคมตวัดมองเจียนเจียนเหมือนจะฆ่ากันอยู่รอมร่อ จิวชงหยวนมองตามอย่างมึนงง
    “หย่งเจิ้นเจ้าเป็นอะไร แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร”
    “ข้ารู้ว่าเจ้ารออยู่เลยเร่งเดินทาง แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะมารอข้าในที่แบบนี้” หย่งเจิ้นที่รู้ข่าวว่าจิวชงหยวนเข้ามานางโลมยิ่งใช้ลมปราณเร่งเดินทางมาด้วยความเร็วที่สุด ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าใสซื่อที่มองมาทำให้อารมณ์ร้อนๆ อ่อนลง ก่อนจะถอนหายใจเมื่อคิดได้ว่าตนไม่มีสิทธิ์มาหึงหวงจิวชงหยวน
    “กลับกันเถอะ” เอ่ยชวนโดยไม่ได้สนใจนายโลมที่นั่งมองตนอยู่
    “อืม เจียนเจียนเดี๋ยวพรุ่งนี้มาหานะ” จิวชงหยวนตอบรับแล้วหันไปยิ้มให้เจียนเจียนซึ่งพยักหน้ารับทว่าดวงตาจับจ้องมองคนที่เข้าใหม่ไม่วางสายตา สองร่างหายไปกับเงามืดปล่อยให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงถอนหายใจเบาๆ ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ไว้ใจคนผิดหรอกนะ


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 22 ใจสื่อรัก
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:06:39
บทที่ 22
ใจสื่อรัก
    

          “นั่นเจ้าตบหน้าตัวเองทำไม” ลู่เฟยเอ่ยถามชายหนุ่มร่างโปร่างบางซึ่งยืนอยู่หน้ากระท่อมหลังเล็กซึ่งเทพโอสถแอบมาพักที่นี่ประจำ และที่เขามาปรากฏตัวที่นี่เนื่องด้วยคำขอของเทพโอสถเช่นกัน คิ้วคมเข้มขมวดมุ่นเมื่อสัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆ จากคนร่างโปร่งบางตรงหน้า ทว่ากลับไม่มีกลิ่นไอของเซียน
    “เจ้าเป็นเซียนคนใหม่หรือ แต่ทำไมยังมีกลิ่นไอของมนุษย์” ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อเข้าไปใกล้ทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าผิดแปลกออกไปจากผู้อื่น ชายหนุ่มหน้าตางดงามที่ตัวเล็กกว่าตนผงะถอยห่างมองมาที่เขาอย่างไม่พอใจ กิริยาของคนตรงหน้าทำให้ลู่เฟยหัวใจกระตุกความรู้สึกที่เลือนหายไปนานกำลังจะกลับมาอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคมมองร่างโปร่งบางอย่างสำรวจพิจารณาช้าๆ ด้วยความสนใจ ก่อนจะเอ่ยบอกคนร่างโปร่งบางที่มองเขาด้วยสายตาหงุดหงิดจนน่าแกล้ง
    “อ่ะ โทษที ข้ามิเคยเห็นเซียนที่มีกลิ่นไอมนุษย์” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มบางเทพโอสถวานให้เขามาสอนวิชาให้คนผู้หนึ่งเพียงแต่เวลานั้นไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มที่มีกลิ่นไอที่แตกต่างจากที่เคยพบเจอมาทำให้มั่นใจไม่น้อยว่าต้องเป็นคนผู้นี้ ใบหน้างามยิ้มละไมอย่างนึกสนุก
    “นายเป็นใคร” เสียงแข็งกระด้างเอ่ยออกมาจากปากเรียวของคนร่างโปร่ง แม้เจ้าตัวจะเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ แต่น้ำเสียงยังชวนให้น่าฟัง ลู่เฟยเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ เพราะการพูดค่อนข้างแปลกประหลาด
    “ข้าลู่เฟย ว่าแต่เจ้าพูดจาแปลกๆ แต่ช่างเถอะเทพโอสถอยู่หรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยตอบและถามหาคนที่เรียกให้พบเจอที่นี่ ก่อนจะได้ยินเสียงเทพโอสถเรียกทางจิตดังมาจากกระท่อมจึงทะยานเข้าไปหาเพราะยังไม่ลืมจุดประสงค์การมาในครั้งนี้
    พรึบ!
    เสียงการเคลื่อนไหวบนหลังคาที่มุ่งตรงมายังตำหนักทำให้ลู่เฟยตื่นขึ้นจากความฝัน หันไปหยิบกระบี่ข้างกาย รอคอยผู้มาเยือนยามวิกาลด้วยความหงุดหงิด เพราะมาขัดความฝันอันน่ารื่นเริงหากไม่มีอะไรมารบกวนความฝันของเขาคงดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นภาพที่เขายื่นขลุ่ยหยกให้จิวชงหยวนในหุบเขาแห่งเซียน แม้จะรู้ว่ามันเป็นความฝันที่เขาฝันติดต่อกันมาหลายคืน ทว่าในใจส่วนลึกกลับมั่นใจว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อนเพราะขลุ่ยหยกและกำไลหยกที่จิวชงหยวนมีกลับยืนยันได้อย่างชัดเจน
    พรึบ!
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ฉัวะ!
    มีดสั้นปาเข้าหาร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความเร็ว ดุดัน ทว่าเจ้าของร่างใช่ว่าจะเป็นหมูในอวยที่จะรอให้เชือดได้ง่ายๆ กระบี่ที่กำไว้ปัดป่ายมีดสั้นด้วยความเร็วไม่แพ้กัน ก่อนจะทะยานเข้าหาร่างของนักฆ่าที่เข้ามาหมายเอาชีวิตตนอย่างอุกอาจ
    ด้วยความเร็วที่เหนือชั้นกว่าทำให้จัดการนักฆ่าได้อย่างง่ายดาย ทว่าสิ่งที่ทำให้แปลกใจคือกระบี่ที่บินร่อนออกมาตามจิตใต้สำนึก ทำให้หวนคิดถึงคนงามที่ห่างหายไปหลายวันซึ่งเคยบอกไว้ว่ากระบี่ไร้ลักษณ์เป็นอาวุธที่เขาใช้เป็นประจำ   
    ลู่เฟยมองมือตัวเองที่ถือกระบี่และกระบี่ที่ล่องลอยอยู่ข้างกายด้วยหัวใจสั่นระรัว ความฝันที่เหมือนชิ้นต่อส่วนสำคัญกำลังก่อเกิดเป็นรูปร่างมากขึ้นทุกที
    “องค์ชาย” องค์รักษ์ร้องเรียกและพุ่งเข้ามาหา ทำให้ลู่เฟยสลายกระบี่ที่ออกมาต้านรับการโจมตีมีดสั้นที่เคลือบยาพิษของนักฆ่าทิ้ง ก่อนที่องค์รักษ์จะตื่นตระหนกมากกว่านี้
    “เอาศพออกไป” ร้องบอกก่อนจะหันกายเดินออกไปหน้าตำหนัก พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่มองรอบกายไม่ชัดเจน ทว่าดวงตาคมกลับมองเห็นรอบกายได้อย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนกันแน่สามสี่วันมานี้เหมือนร่างกายเขาจะเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นและยังมองเห็นความมืดได้ชัดเจนเหมือนตอนกลางวัน
    “หรือข้าจะเป็นแม่ทัพสวรรค์ผู้นั้นจริงๆ” ลู่เฟยพึมพำกับความมืดเบาๆ เมื่อหวนคิดถึงความฝันที่ประติดต่อเรื่องราวมาหลายคืน ใบหน้างดงามยิ้มละไมของจิวชงหยวนยังคงติดตราตรึงใจและใบหน้างดงามที่บูดบึ้งยามที่เจ้าตัวไม่พอใจหรือหงุดหงิด ยิ่งทำให้เขาแสนจะคิดถึง ตั้งแต่เขาส่งพิราบสื่อสารไปให้ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย รับรู้เพียงแค่ว่าจิวชงหยวนได้หนีไปจากแคว้นลั่วหยางแล้ว
    ยิ่งความฝันหลายวันมานี่หัวใจร่ำร้องหาแต่คนงาม ทว่าหน้าที่ในเมืองหลวงยังมีมากมาย ยามห่างไกลออกมาทำให้ลู่เฟยรู้ใจตัวเองมากขึ้น บัดนี้เขารักจิวชงหยวนอย่างไม่มีข้อแม้ อยากร่วมเดินทางไปด้วย อยากอยู่ข้างกายไม่ว่ายามทุกข์ยามสุข อยากจับมือก้าวเดินไปด้วยกัน แม้จะพบเจออุปสรรค์ข้างหน้าเขาก็จะปกป้องด้วยชีวิต
   “รอก่อนนะชงหยวน ข้าจะรีบตามเจ้ากลับมาอยู่อ้อมกอดข้าอีกครั้ง”
     ลู่เฟยพึมพำเบาๆ กับสายลมหวังจะให้ความรักและคิดถึงส่งไปถึงคนงาม แม้อดีตเขาจะเป็นใครนั้นไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าเช่นไรเขาก็รักจิวชงหยวนหมดหัวใจเสียแล้ว...

    จิวชงหยวนชะงักกึกขณะที่หย่งเจิ้นพากลับมาที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง ใบหน้างดงามเหลียวซ้ายแลขวามองหาเสียงที่ได้ยิน จนคนที่จับมือจูงเดินกลับมาหันมามองด้วยความแปลกใจ
    “เจ้ามองหาใคร” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนหันกลับมามองหย่งเจิ้น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
    “เจ้าไม่ได้ยินหรือ”
    “ไม่นี่ เจ้าได้ยินอะไร” ใบหน้าที่เรียบเฉยทว่าดวงตาคมนั้นฉายชัดว่าไม่ได้ยินสิ่งใด หัวใจที่สงบของจิวชงหยวนกลับสั่นระรัว เขาได้ยินเสียงของลู่เฟยจริงๆ คำๆ นั้นยังติดตรึงหัวใจให้สั่นไหวจนใบหน้าแดงระเรื่อ
    “เปล่าไม่มีอะไรไปเถอะ” จิวชงหยวนบอกตัดบท ก่อนจะแกะมือตัวเองออกจากมือหนาเมื่อเพิ่งสังเกตว่าตนถูกจับมือดึงออกมาจากหอโคมแดง หย่งเจิ้นมองตามด้วยสายตาเสียใจนิดหนึ่งก่อนจะกลับมาเรียบเฉยเช่นเดิม ทั้งคู่เข้ามาห้องพักของโรงเตี๊ยมอีกครั้ง
    จิวชงหยวนเดินเข้าไปนั่งโต๊ะเล็กพร้อมรินชาให้ตัวเองกับหย่งเจิ้นที่มาเร็วกว่ากำหนด เขาคิดว่าน่าจะมาถึงพรุ่งนี้เสียอีก
    “เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” เอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจติดขัดของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นมือไปจับชีพจรเบาๆ ทว่ากลับปกติดีเพียงแต่หัวใจเหมือนจะเต้นเร็วกว่าปกติหรือว่าตื่นเต้นอะไรกัน
    “เปล่าข้าไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้าเข้าไปทำไมหอนางโลม” หย่งเจิ้นเอ่ยถามพร้อมดวงตาคมมองมาอย่างดุๆ จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองแล้วยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “ข้าก็ไปเที่ยวนะสิ อีกอย่างข้ายังไม่มีลูกมีเมียจะเข้าหอนางโลมก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนใครเลยนี่”
   “แต่ข้าเดือดร้อน”
    “หืม อะไรนะ” เสียงพึมพำเบาๆ ของคนข้างตัวทำให้จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะมันเบามากจนจับใจความไม่ได้
    “เปล่า แต่เจ้าอย่าไปที่แห่งนั้นอีกจะได้หรือไม่” น้ำเสียงวอนขอของคนตรงหน้าดวงตาคมมองมานิ่งๆ ทำให้จิวชงหยวนชะงักนิดหนึ่ง ลางสังหรณ์เขาตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยดีเอาเสียเลยหวังว่าหย่งเจิ้นผู้หยิ่งทรนงจะไม่มาตกหลุมรักเขาอีกคนหรอกนะ
    “คงไม่ได้หรอกข้านัดกับเจียนเจียนไว้พรุ่งนี้”
    “ไม่ได้ เจ้าจะไปเที่ยวไหนข้าจะพาเจ้าไปเอง แต่ที่แห่งนั้นมันไม่เหมาะกับเจ้า” หย่งเจิ้นร้องบอกเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนจะหลบสายตาเมื่อเจอสายตาจับผิดของคนร่างโปร่งบางตรงหน้า
    “หย่งเจิ้น เจ้าชอบข้าหรือ”
    แค่กๆๆ
    หย่งเจิ้นสำลักน้ำชาที่ดื่มไปใบหน้าแดงก่ำกับคำถามอย่างน่าไม่อายของร่างโปร่งบางตรงหน้า ดวงตาเรียวสวยที่มองมาเหมือนจะจับผิดตนเสียมากกว่าอยากรู้ความจริง
    “เจ้าหน้าด้านเสียจริง ใครจะชอบเจ้ากัน ข้าเป็นชายเจ้าเป็นชายจะรักกันได้อย่างไร” คนปากแข็งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกึกกักดวงตาคมหลบสายตาคนงามที่กระตุกยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ
    “นั่นสิ เจ้าคิดเช่นนั้นทำให้ข้ารู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นข้าคงทำใจลำบากเมื่อมีผู้ชายมาชอบข้ามากกว่าหนึ่งคน”
    “หมายความว่าเช่นไร” หย่งเจิ้นหันกลับมามองคนงามทันทีที่ได้ยินคำพูดแปลกๆ ใบหน้างดงามยิ้มละไม
    “ไม่มีอะไร ข้าแค่ดีใจที่เจ้าจะมาเป็นสหาย”
    “ใครอยากเป็นสหายเจ้ากัน” น้ำเสียงหงุดหงิดกับคำพูดเบาๆ ทว่าครั้งนี้จิวชงหยวนกลับได้ยินอย่างชัดเจน บัดนี้เขามั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าที่ปากแข็ง แสดงออกไม่เก่งรู้สึกอย่างไรกับเขา หย่งเจิ้นยังไม่ได้รักเขาหรอกเพียงแค่รู้สึกสนใจเท่านั้นและใบหน้าเขาไปทำให้คนตรงหน้าหวั่นไหว แต่เขาไม่ได้โทษใครเพราะใบหน้างดงามของตัวเองมันชวนให้เข้าหาจริงๆ
    “พรุ่งนี้ข้ามีงานต้องทำ และเจ้าเองก็เดินทางมาไกลไปพักผ่อนเถอะ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นไปยังเตียงนอนอย่างไม่สนใจ ใบหน้างามอ้าปากหาวอย่างเสียมารยาทก่อนจะล้มตัวนอนบนเตียงนอน แม้เตียงนี้จะกว้างนอนได้สองคน ทว่าเขาไม่ได้ใจดีชวนคนที่รู้จักกันเพียงสองครั้งมานอนด้วยหรอก อีกอย่างโรงเตี๊ยมยังมีห้องว่างเอยะแยะ ห้องของตงไห่ก็ยังว่างซึ่งเจ้าตัวคงนอนอยู่ในหอนางโลมตามเหล้าพันวันที่กินเข้าไป พรุ่งนี้ค่อยไปเอายาแก้ให้กินแล้วกัน ร่างโปร่งบางครุ่นคิดก่อนจะเผลอหลับไปปล่อยให้แขกมองตามแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่จิวชงหยวนดื้อรั้นกว่าที่คิด 
    หย่งเจิ้นเดินเข้ามามองร่างโปร่งบางที่นอนหลับนิ่งๆ อย่างครุ่นคิด เพราะอะไรกันนะทำไมเขาถึงสนใจคนตรงหน้ามากถึงเพียงนี้ หน้าตาก็อาจจะใช่ แต่ที่เขาสนใจคือความลึกลับของเจ้าตัวเสียมากกว่า มันน่าค้นหาและมันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เขาหลงวนเวียนจนถอนตัวไม่ขึ้น เขารู้จักจิวชงหยวนหมอเทวดามาหลายคน แต่คนตรงหน้านี้แตกต่างกว่าที่พบเจอมา และหัวใจเขาย้ำเตือนว่าอย่าปล่อยให้คนตรงหน้าหายไปอีกครั้งเพราะนั่นจะทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิต

    เช้าวันรุ่งขึ้นจิวชงหยวนหลังจากตื่นมาเขาก็เตรียมข้าวของออกมาหาเจียนเจียนที่หอโคมแดง ทว่าเมื่อเปิดประตูห้องออกมากลับเห็นหย่งเจิ้นยืนกอดอกยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ
    “นี่เจ้ามาดักรอข้าแต่เช้าเชียวหรือ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “เจ้าจะไปทำไมที่หอโคมแดง”
    “ข้าบอกว่ามีธุระ และที่สำคัญเจ้าไปด้วยไม่ได้” เอ่ยดักคอเพราะหากหอกิเลนต้องการปิดบังเรื่องประมุขบาดเจ็บและเกี่ยวกับคนหอกิเลนเขาก็ต้องปิดบังเรื่องนี้ไว้เช่นกัน อีกอย่างเขารู้จักหย่งเจิ้นไม่นานแม้จะรู้ว่าเป็นใครแต่ เขายังไม่ไว้ใจ
    “ทำไม ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า” หย่งเจิ้นเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ ทว่าสายตาจริงจังของจิวชงหยวนที่มองมาเหมือนจะบอกว่าตนกำลังล้ำเส้น ทำให้บอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
    “ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้หรอก อีกอย่างเจ้ามาที่นี่หมายจะตามหาเซียนกระบี่มิใช่หรือ ข้ามีธุระของข้า ส่วนเจ้าก็มีธุระของเจ้า ตอนเย็นค่อยมาเจอกันที่นี่แล้วกัน” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    “ก็ได้” หย่งเจิ้นตอบรับพร้อมหันกายเดินจากมา ก่อนจะหยุดชะงักกับคำพูดที่เหมือนรู้ทัน
    “แล้วไม่ต้องส่งคนมาตามสะกดรอยข้าอีกล่ะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินลงโรงเตี๊ยมไปพร้อมสมุนไพรในย่ามปล่อยให้หย่งเจิ้นมองตามนิ่งๆ
    “ไม่ให้คนสะกดรอยตามก็ได้ แต่ข้าจะแอบตามเจ้าไปเองแล้วกัน” บอกพร้อมยกยิ้มนิดๆ ไม่ให้ตามไป ไม่ให้ส่งคนอื่นสะกดรอยตาม แต่เรื่องอะไรจะฟังในเมื่อเจ้าตัวทำให้เขาสนใจเอง
    ทางด้านจิวชงหยวนผนึกลมปราณลงไปที่เท้าทะยานพุ่งตรงมายังหอโคมแดง เขาไม่ได้เคาะประตูเหมือนคนปกติแต่กลับพุ่งเข้าไปหาเจียนเจียนที่ห้องเลยซึ่งตามหาตัวไม่ยากเพราะเจ้าตัวมีกลิ่นยาเฉพาะติดตัวอยู่
    ผัวะ!
    “เจ้าคนเสียมารยาท อยากตายหรือไงฮะ” หมอนใบโตถูกขว้างใส่ร่างโปร่งบางพร้อมเสียงตะคอกโมโหของเจ้าของห้อง ทว่าผู้บุกรุกกลับยกยิ้มละไมอย่างไม่ใส่ใจในมือถือหมอนที่ถูกเขวี้ยงมาอย่างไม่ได้อาทรร้อนใจ มองเจ้าของร่างที่ตีหน้ายุ่งผมเผ้าไม่เป็นทรง ดวงตาสวยมองมาอย่างหงุดหงิดเพราะเจ้าตัวกำลังหลบสบายแต่ถูกรบกวนแต่เช้า
    “นั่นคือคำทักทายของเจ้าหรือไงเจียนเจียน ข้าก็นัดเจ้าไว้แล้วว่าเช้านี้จะมาหา แต่ใครบอกให้เจ้านอนหลับอุตุเช่นนี้เล่า
    “เมื่อคืนข้านอนดึกจะให้ตื่นสายๆ หน่อยไม่ได้หรือไง” เจียนเจียนบอกอย่างหงุดหงิดก่อนจะถอดชุดออกหมายจะไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเพื่อต้อนรับแขกที่เสียมารยาทก่อนจะหยุดชะงักกับเสียงทักท้วง
    “นั่นเจ้าจะทำอะไร”
    “ข้าก็จะอาบน้ำไง หรือว่าเจ้าจะไปอาบกับข้า” เจียนเจียนเอียงคอมาถามด้วยรอยยิ้มแสยะเมื่อเห็นหน้าตื่นๆ ของคนร่างเล็กกว่าตน
    “เฮอะ คิดว่าข้ากลัวหรือไง กล้าถอดเสื้อผ้าให้ข้าดู ข้าก็กล้าจะยืนดูนี่แหละผู้ชายเหมือนกันข้ากับเจ้าก็ไม่ต่างกันหรอก” จิวชงหยวนกอดอกมองคนที่ยิ้มเย้ยเขาอย่างท้าทาย เรื่องอะไรจะอายตอนแรกแค่ตกใจเฉยๆ เท่านั้นเอง
    “เจ้า! เจ้ามันหน้าด้านหน้าทนชะมัดให้ตายสิ” เจียนเจียนบอกอย่างหงุดหงิด ตอนแรกว่าจะแกล้งจิวชงหยวน ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะหน้าด้านหน้าทนกว่าที่คิด ร่างสูงโปร่งคว้าผ้าเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำอย่างขัดใจ ปล่อยให้จิวชงหยวนหัวเราะกับชัยชนะอย่างหงุดหงิด
    หนึ่งชั่วยามต่อมาจิวชงหยวนมาปรากฏตัวอยู่ในหุบเขาลึกลับซึ่งห่างไกลจากแคว้นเยี่ยกว่าร้อยลี้ ภาพตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างตื่นเต้นสนใจเพราะที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นบ้านเรือน ทว่าเป็นช่องเขาหุบเหว แต่กลับถูกตกแต่งงดงาม ข้าวของเครื่องใช้ล้วนมีราคา เจียนเจียนพาเดินเข้าไปในถ้ำที่ลึกมากขึ้น อีกทั้งมีบานประตูกลไกที่น่าสนใจหลากหลายชั้นจนคนธรรมดาไม่อาจรอดไปจากที่นี่ได้เลย ทั้งคู่เดินเข้ามาภายในห้องซึ่งอยู่ลึกมากส่วนห้าคนที่ก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงเขากับเจียนเจียนสองคนเท่านั้น
    เจียนเจียนยกมือทาบกับกลไกหน้าประตูอีกชั้นก่อนจะพาเขาเข้าไป ภายในห้องนี้กลับหนาวยะเยือกกับไอน้ำแข็ง ทว่าดวงตาจิวชงหยวนกลับมองไปเห็นร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งนอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งเหมือนเจ้าชายนิทรา ลมหายใจที่เต้นเป็นจังหวะเชื่องช้าจนไม่คิดว่ายังมีชีวิตรอด
    “นี่ท่านอวิ้นเซียนเป็นประมุขหอกิเลนของเรา แต่หลังจากที่ท่านลงมาจากเขียนเทียนซานก็เป็นเช่นนี้ เจ้าพอจะรักษาได้หรือไม่” เจียนเจียนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาสวยหันมามองเหมือนเฝ้าหวัง
    “นานเท่าไหร่แล้ว”
    “หมายถึงสิ่งใด”
    “อวิ้นเซียนนอนเป็นผักอยู่แบบนี้นานเท่าไหร่แล้ว” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังผิดปกติกว่าที่เจียนเจียนรู้จัก
    “ห้าปี”
    น้ำเสียงที่ตอบรับพร้อมแววตาที่วูบไหว ทำให้จิวชงหยวนมองตามนิ่งๆ ก่อนจะขยับเข้าร่างนั้นใกล้มากขึ้น เจียนเจียนเองก็มองตามอย่างระมัดระวัง
    “ที่ข้าพาเจ้ามาเพราะข้าเชื่อใจเจ้า” เสียงนิ่งเรียบที่เอ่ยออกมาทำให้จิวชงหยวนหันกลับไปมองเจียนเจียนอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มอย่างเข้าใจความหมายนั้นดี
    “เจียนเจียนนานเกินไปนะที่ให้อวิ้นเซียนนอนนิ่งอยู่เช่นนี้ รู้ไหมพิษที่เขาโดนทำลายภายในเขาหมดแล้ว” จิวชงหยวนบอกเสียงนิ่ง ทว่าคิ้วคมเข้มขมวดมุ่นครุ่นคิดกับการรักษา
    “หมายความว่าเช่นไร” เจียนเจียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ใบหน้าซีดเผือดก่อนจะเดินเข้าไปกอบกุมมือที่เย็นเยือกของคนที่นอนนิ่งน้ำตาเริ่มคลอหลังจากได้ยินคำกล่าว
    “คนรักเจ้าหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามเมื่อเห็นอาการคนตรงหน้าโดยไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย
    “เปล่า ท่านคืออาจารย์ที่ชุบเลี้ยงข้าและฉุดข้ามาจากโคลนตม” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนมองอย่างแปลกใจเพราะคนที่นอนนิ่งนี้อายุไม่น่าเกินสามสิบปีด้วยซ้ำ ทว่าเส้นผมกลับเป็นสีขาวโพลนทั้งหัวแต่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเจอพิษขนาดนั้นมันก็ต้องพลัดเปลี่ยนเซลล์เป็นธรรมดา
    “เจ้าถอยออกมา ขอข้าดูอาการก่อน” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พร้อมจับชีพจรที่อ่อนแรงของอีกฝ่ายหากพลังภายในไม่แข็งแกร่งคงตายไปนานแล้ว ใบหน้าคมคายขาวซีดแม้จะหลับตานิ่งเฉยไร้ความรู้สึกทว่าจิตใจกลับรับรู้สิ่งรอบกาย
    “เจียนเจียนอาจารย์เจ้ามีวรยุทธแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ากว่าผู้คนที่ข้าพบเจอ ทว่ายามนี้กลับอ่อนแรงมากเนื่องจากเจอพิษปลิดวิญญาณกับพิษบุบผามารซึ่งหายากในแดนมนุษย์ นั่นหมายความมนุษย์ธรรมดาไม่อาจมียาพิษชนิดนี้ได้ ยาพิษตัวนี้ประกอบด้วยดอกยี่โถ คูราเร่ และอโคโนต์หรือจะเรียกว่าราชินียาพิษ มันจะทำลายประสาท กล้ามเนื้อ หัวใจ อวัยวะภายใน และทำให้เป็นอัมพาต”
     จิวชงหยวนกล่าวอธิบายไปเรื่อยขณะที่มือยังจับชีพจรของอีกฝ่าย และมันกระตุกแรงทุกครั้งที่เขากล่าวออกมา ทว่าคนฟังกลับหน้าซีดเผือดกับสิ่งที่ได้ยิน ร้ายแรงเกินไปแล้ว ยาบางชนิดหายากยิ่งกว่าสิ่งใดอีกทั้งการปรุงใช่ว่าจะง่ายๆ
    “จิวชงหยวนได้โปรดรักษาอาจารย์ข้าด้วย หากเจ้าทำได้ข้าจะติดตามรับใช้เจ้าตลอดไป” เจียนเจียนกอดขาอ้อนวอนทั้งน้ำตา เมื่อรู้ว่าผู้ที่รักและเคารพใกล้จะหมดลมหายใจไปทุกที คำพูดจริงจังอธิบายเกี่ยวอาการป่วยเป็นฉากๆ ของอาจารย์จนน่านับถือ
    จิวชงหยวนเคร่งเครียดกับคำร้องขอ อาการคนป่วยตรงหน้าอาการสาหัสมาก สิ่งเดียวที่ช่วยรักษาได้คืออายุวัฒนะแม้จะมียาแก้พิษชนิดนี้แต่ร่างกายบอบซ้ำมากเกินไป
    “เจียนเจียนเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่จะช่วยยื้อชีวิตอาจารย์เจ้าได้” เอ่ยถามน้ำเสียงจริงจังซึ่งเจียนเจียนเองก็ได้แต่ส่ายหน้าทั้งน้ำตา
    “ข้าไม่รู้ แต่หากมันช่วยอาจารย์ข้าได้ต่อให้แลกด้วยชีวิตข้าก็จะทำ” คำตอบที่ได้ทำให้จิวชงหยวนมองนิ่งๆ มือที่จับมีนิ้วก้อยเหมือนจะขยับเล็กน้อย คนธรรมดาอาจจะไม่รู้สึกแต่ไม่ใช่สำหรับเขา
    “ยานี้โลกมนุษย์ไม่มีหรอกเจียนเจียน”
    “หมายความว่าอย่างไรชงหยวน ต่อให้ข้าบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะทำขอให้เจ้าบอกว่ายามันอยู่ที่ใด
    “ความจริงใจของเจ้า อาจารย์เจ้าคงดีใจ แต่ชีวิตที่มีความสุขของเจ้าคือสิ่งที่อวิ้นเซียนปรารถนา ยาที่ข้ากล่าวถึงคือยาอายุวัฒนะ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดปรุงได้”
    คำตอบที่ได้รับทำให้เจียนเจียนนิ่งค้าง ใครบ้างจะไม่ใฝ่หายาตัวนี้ แต่ไม่ว่าผ่านมานานแค่ไหนก็ไม่มีผู้ใดทำได้เหมือนความหวังที่มีพังทลายลงต่อหน้า น้ำตาไหลเอ่อล้นดวงตางามร่างกายสั่นสะท้าน นี่เขาต้องสูญเสียอาจารย์เพียงคนเดียวไปจริงๆ เช่นนั้นหรือ อาจารย์ที่เป็นเสาหลักของทุกคนในหอกิเลน


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 23 ลูกศิษย์กำมะลอ
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:07:50
บทที่23
ลูกศิษย์กำมะลอ
    

           จิวชงหยวนก้มมองคนที่ทรุดตัวนั่งลงพื้นอย่างอย่างหมดหวังด้วยความเห็นใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างเคร่งเครียดเขาเองก็ลำบากใจที่จะช่วย การช่วยเหลือคนเป็นสิ่งที่ดีและนี่คือหน้าที่ แต่ยาที่ต้องใช้นั้นมีหลากหลายขนาน อีกทั้งยาพวกนี้มีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่จะมีมันได้ และอะไรกันถึงทำให้คนผู้นี้โดนพิษร้ายแรงขนาดนี้ ดวงตาเรียวสวยมองผู้ที่นอนหลับนิ่งๆ อย่างครุ่นคิด
    “ชงหยวนไม่มีทางรักษาเลยหรือ” จิวชงหยวนหันกลับมามองคนที่เอ่ยถามอีกครั้ง ดวงตางามของเจียนเจียนแดงก่ำด้วยความเสียใจที่มิอาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ เขายังยืนนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามดวงตาฉายแววลำบากใจ
    “เจียนเจียนเจ้ารู้หรือไม่ว่ายาอายุวัฒนะมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ผู้คนถึงต่างขวนขวายกันยิ่งนัก” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ มือยังจับมือคนที่นอนเป็นผักนิ่งๆ นิ้วก้อยพยายามเหมือนจะสื่อสารกับตน
    “ข้า ข้าไม่แน่ใจแต่ผู้คนร่ำลือว่ามันเป็นยาที่รักษาทุกโรคและทำให้อายุยืนยาว” เจียนเจียนเอ่ยตอบอย่างไม่แน่ใจ
    “ใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจ” จิวชงหยวนตอบกลับยิ่งๆ ใบหน้างดงามจริงจังมองทั้งคู่นิ่งๆ ทว่าในใจกำลังตัดสินใจบางอย่าง ความจริงเขามียาที่อายุวัฒนะติดตัวมาสามเม็ดทว่าอาจารย์เคยเตือนไว้ว่ามันอันตรายหากมนุษย์ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ และที่สำคัญเขายังไม่รู้จักอวิ้นเซียนว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว หากช่วยเหลือเป็นคนดีถือว่าโชคดีไป หากแต่เป็นคนชั่วเขาต้องลงมือสังหารด้วยตัวเองเช่นกัน นั่นมันน่าเจ็บใจมากกว่ามิใช่หรือ
    “เจียนเจียนเจ้าให้คนไปแจ้งข่าวกับหย่งเจิ้นว่าข้าจะอยู่กับเจ้าสองวัน เมื่อคนผู้นั้นไปส่งข่าวแล้วไม่ต้องให้กลับมาที่นี่จนกว่าเราจะกลับไป” หันไปบอกเจียนเจียนเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว และที่เขาสั่งเช่นนั้นเพราะต้องใช้เวลา อีกทั้งกลัวว่าหย่งเจิ้นจะบุกมาที่นี่เพราะก่อนจะมาที่นี่เขาได้สลัดคนที่แอบติดตามเขามาได้แล้วจึงไม่อยากให้มีข้อผิดพลาด
    “เจ้าช่วยเหลืออาจารย์ข้าได้หรือ” เจียนเจียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ดวงตาประกายความหวัง
    “ทำไงได้ข้าใจอ่อนกับความรักต้องห้ามระหว่างเจ้ากับอาจารย์นี่” จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมมองเจียนเจียนที่หน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย
    “เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เห็นเข้าใจ” เจียนเจียนเอ่ยตอบกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำ
    “ข้าเข้าใจผิดหรอกหรือ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็คงรักษาไม่ได้แล้วล่ะ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ดวงตาเรียวมองเจียนเจียนนิ่งๆ มุมปากยกยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นอาการรนรานของเจ้าตัว
    “ไม่ได้นะ ข้ารักอาจารย์มากพอใจหรือยัง” ใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความอายและหงุดหงิดที่ถูกแกล้งมองใบหน้าซีดเซียวของอาจารย์แล้วยิ่งรู้สึกเศร้า หวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของอาจารย์อีกสักครั้ง
    จิวชงหยวนยิ้มขำกับท่าทางของเจียนเจียนที่น่าแกล้ง ก่อนจะกลับมาจริงจังอีกครั้ง
    “เจียนเจียน ข้าไม่รู้หรอกนะว่าอาจารย์เจ้าเป็นคนดีหรือคนเลว แต่หากเป็นคนดีก็ถือว่าข้าได้บุญที่ช่วยรักษาอวิ้นเซียนได้ แต่หากเป็นคนชั่วรังแกผู้ไม่มีทางสู้ ข้าจะเป็นผู้ที่สังหารอาจารย์เจ้าด้วยมือของข้าเอง”
    “อย่ากล่าวหาอาจารย์ข้า อาจารย์ข้าเป็นคนดีที่ช่วยฉุดพวกข้าออกจากโคลนตม และอาจารย์ไม่ได้สอนให้พวกข้ารังแกผู้อื่น แต่สิ่งที่ข้าทำระหว่างห้าปีมานี้เพื่อหาผู้ที่จะรักษาอาจารย์เท่านั้น” เจียนเจียนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    “หากเป็นดั่งที่เจ้ากล่าวมาก็ถือว่าดี แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้ารักษาอาจารย์เจ้าจริงๆ เพราะหากอาจารย์ฟื้นขึ้นมาก็ต้องหนุ่มแน่นและอายุยืนยาวให้ข้าใช้งานหลายร้อยปีเชียวนะ และเจ้าก็ต้องแก่ลงๆ และตายก่อนคนรัก เจ้ายินดีจริงหรือ”
    “นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า ว่าแต่เจ้าเถอะมียาอายุวัฒนะหรือไง หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าจะกราบเจ้าทุกครั้งที่เจอหน้าเลย” เจียนเจียนตอบกลับอย่างหงุดหงิด แม้จะดีใจที่จิวชงหยวนจะช่วยรักษาอาจารย์ให้แต่ท่าทีที่เห็นทำให้อดหมั่นไส้ไม่ได้
    จิวชงหยวนยกยิ้มบางอย่างขำๆ ไม่ได้ถือสากับคำพูดนั้น
    “ที่ข้าช่วยรักษาอาจารย์เจ้า ข้าไม่ได้หวังให้เจ้ามารับใช้ข้าหรือก้มกราบข้า แต่เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่นั่งคุกข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างจริงจัง เจียนเจียนเองก็เงยหน้ามองและตอบกลับอย่างจริงจังเช่นกัน แม้จะไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าจะรักษาได้จริงหรือไม่แต่เวลานี้เขาไม่มีทางเลือก
    “ได้ข้ารับปากเจ้า ขอเพียงเจ้ารักษาอาจารย์ของข้าได้”
    “ข้าขอให้เจ้าปิดบังเรื่องยาอายุวัฒนะที่ข้ามี ไม่ให้แก่ผู้ใดรับรู้ ไม่เช่นนั้นภัยพิบัติจะมาเยือนหอกิเลนของเจ้าและตัวข้าเอง เจ้าคงไม่อยากให้พี่น้องของเจ้าถูกตามล่าจากยุทธภพ ใช่หรือไม่” น้ำเสียงจริงจังและแววตามั่นคงทำให้เจียนเจียนมองอย่างอึ้งๆ เพราะปกติจิวชงหยวนชอบกลั่นแกล้งตนแต่เวลานี้ไม่หลงเหลือความซุกซนในแววตาอีกเลย แต่สิ่งที่น่าตกใจคือจิวชงหยวนมียาอายุวัฒนะติดตัว ช่างน่าอันตรายเกินไปแล้ว
    “เจ้าเป็นใครกันแน่จิวชงหยวน” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นแววตาประกายความคาดหวังว่าอาจารย์จะรอดชีวิต ทว่าร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวกลับมองมานิ่งๆ จนน่ากลัว เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัวคนผู้นี้คนที่เขาคิดว่าจะเป็นเหยื่อในครั้งแรกที่พบเจอ
    “ข้ารับปากเจ้า เรื่องนี้จะไม่ออกจากปากข้า หากเรื่องนี้หลุดไปจากปากข้าเจ้าสังหารข้าได้ทันที” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างพอใจ เมื่อรู้ว่าเจียนเจียนจะทำตามที่พูดดูจากแววตาที่ได้มอง หวังว่าเขาจะไม่มองคนผิดและหวังว่าอวิ้นเซียนจะเป็นคนดีดั่งที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง
    “เจ้าออกไปได้แล้ว รอแค่หน้าห้องพอหากข้าเสร็จแล้วจะออกไป” จิวชงหยวนหันไปบอกเจียนเจียน ตอนนี้เขาไม่อยากให้ใครรับรู้วิธีการรักษาของตน หรืออีกทีคือไม่อยากให้ใครเห็นยาอายุวัฒนะที่แสนอันตราย เจียนเจียนลุกขึ้นยืนมองทั้งคู่อย่างลังเลก่อนจะเดินออกไปรอหน้าห้องเมื่อรู้ว่าไม่มีทางเลือก เขาเองก็พอมีความรู้เรื่องหมอแม้จะไม่มากแต่พอรู้ว่าชีพจรของอาจารย์อ่อนแรงมากแค่ไหน
    หลังจากที่เจียนเจียนออกไปจากห้องแล้ว จิวชงหยวนจึงก้มมองสำรวจคนป่วยอีกครั้ง ใบหน้าคมคายที่หลับตาพริ้มให้ความรู้สึกคุ้นเคย คล้ายรู้จักแต่ก็ไม่รู้จัก คิ้วคมเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัยก่อนจะละความสนใจจากใบหน้าคนป่วย มือเรียวล้วงเข้าไปในอกเสื้อ กล่องไม้เนื้อดีขนาดจิ๋วซึ่งบรรจุยาสำคัญไว้สามเม็ดด้วยกัน ก่อนจะร่ายคาถาเปิดผนึกกล่องที่อาจารย์สอนไว้ กล่องไม้ดีดออกเผยให้เห็นยาลูกกลอนสีอำพันงดงามทอแสงประกายเรืองรองอยู่ด้านใน
    จิวชงหยวนมองเม็ดยาและหันไปมองคนป่วย หากนี่เป็นการตัดสินใจที่จะใช้ยาอายุวัฒนะกับคนผู้นี้นับว่ามีวาสนาต่อกัน อีกอย่างเขาก็ยังมีชีวิตยาวนานอีกหลายร้อยปีหากไม่ถูกใครฆ่าเสียก่อน รับรองว่าฟื้นขึ้นมาเขาจะใช้งานให้คุ้มค่าเลย ยาอายุวัฒนะจะต่ออายุได้ราวสามร้อยปีต่อเม็ด ไม่ใช่ว่าได้กินแล้วเป็นอัมตะเลยเพียงแต่หากมีให้กินตลอดไปนั่นแหละเป็นสิ่งที่น่ากลัว นิ้วเรียวหยิบยาออกมาหนึ่งเม็ดพร้อมเก็บที่เหลือไว้เช่นเดิม จากนั้นจึงหยิบยารักษาพิษปลิดวิญญาณเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
    “อวิ้นเซียนข้าช่วยเจ้าไว้ก็จริง หากแต่เมื่อใดที่เจ้าไม่มีคุณธรรมในใจข้าจะเป็นผู้สังหารเจ้าด้วยมือของข้าเอง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
    จิวชงหยวนบอกร่างที่นอนนิ่ง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงน้ำแข็งแล้วประคองร่างที่นอนหลับใหลขึ้นมาพิงอกตัวเอง จากนั้นจึงเอายายัดเข้าไปในปากพร้อมใช้ลมปราณขับไล่เม็ดยาลงไปในลำคอช่วยอีกทาง เพราะคนนอนไม่ได้สติไม่มีทางที่จะกลืนยาเองได้แน่ และส่งลมปราณเข้าไปกระตุ้นในร่างกายเพื่อให้ตอบสนองต่อยาที่กินเข้าไป ร่างอวิ้นเซียนกระตุกไปครั้งหนึ่งแล้วก่อเกิดแสงสีทองรอบตัวอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเห็นว่าร่างกายเริ่มปรับสภาพและหล่อหลอมเข้ากับยาแล้วจึงวางร่างนั้นนอนลงช้าๆ เช่นเดิม
    จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนมองร่างที่ถูกรักษานิ่งๆ พร้อมสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงร่างกายภายในช้าๆ ยาช่วยรักษาร่างกายและอวัยวะภายในให้กลับมาใช้งานได้เช่นเดิมอีกทั้ง พลังวัตรที่เพิ่มพูนมากขึ้นตามฤทธิ์ยาวิเศษแม้ภายในจะถูกรักษาให้มาใช้งานได้ ทว่าเส้นผมสีขาวโพลนไม่สามารถกลับมาเช่นเดิมได้อีก ทั้งผิวที่ขาวซีดนั้นที่ยังคงเดิมแต่ไม่น่าจะมีปัญหากับการใช้ชีวิต
    เวลาผ่านไปกว่าสามชั่วยาม ที่จิวชงหยวนยืนมองการเปลี่ยนแปลงของคนไข้รายพิเศษโดยไม่ได้ละสายตายตาไปไหน เนื่องจากยาที่กินเข้าไปสองชนิดพร้อมกันล้วนมีคุณสมบัติพิเศษหากไม่อยู่ดูแลช่วงนี้อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ แม้ท้องจะร้องประท้วงด้วยความหิวแต่ก็ยังดีที่มีสาลี่ติดย่ามอยู่สองลูกที่ช่วยปะทังชีวิตไปได้ชั่วคราว
    ร่างของอวิ้นเซียนจากที่เรืองแสงสีทองเริ่มเลือนรางหายไปเหลือแต่เพียงลมปราณสีขาวนวลที่หล่อหลอมพลังให้เป็นหนึ่งเดียว จิวชงหยวนฉีกยิ้มอย่างยินดีเพราะลมปราณสีขาวนวลของอีกฝ่ายบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเป็นคนมีคุณธรรม เนื่องจากลมปราณจะแบ่งเป็นสีๆ ตามสภาพจิตใจของผู้ฝึก
    จิวชงหยวนขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเมื่อเห็นร่างนั้นขยับตัวเล็กน้อย ร่างที่หลับใหลมาเป็นเวลานานค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตาคมกริบนั้นกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะหันมามองเขาซึ่งยืนอยู่ข้างกาย อวิ้นเซียนพยายามลุกขึ้นนั่งเขาจึงช่วยประคองลุกขึ้นเพราะเจ้าตัวนอนเป็นผักมานานจึงทำให้ร่างกายยังปรับสภาพไม่ค่อยได้ แต่หากไม่ได้ห้องน้ำแข็งประคองชีวิตก็คงม้วยมรณาไปนานแล้ว
    “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนร่างสูงที่นั่งนิ่ง ดวงตาสีดำสนิทมองมาที่เขาด้วยแววตาอ่อนลงแล้วกล่าวเรียกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
    “อาจารย์” จิวชงหยวนชะงักไปครู่ใหญ่กับคำเรียกขาน พร้อมพยายามเค้นหาความทรงจำที่อาจารย์เคยมอบให้เพื่อค้นหาว่ารู้จักคนตรงหน้านี้หรือไม่ ก่อนจะสะดุดกับความทรงจำบางอย่างดวงตาเรียวหันมามองคนเรียกอย่างพิจารณาอีกครั้ง เพราะคนในความทรงจำมันเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้นแต่เด็กน้อยผู้นั้นมีชื่อว่าอวิ้นเซียนที่เทพโอสถเป็นผู้ตั้งชื่อให้เอง หรือว่านี่เป็นโชคชะตาให้เขามาพบเจออีกครั้ง
    จิวชงหยวนเดินไปรินน้ำชาที่เจียนเจียนเอามาให้เมื่อครึ่งชั่วยามแรกมายื่นให้คนไข้ที่ฟื้นมาจากความตาย ซึ่งอวิ้นเซียนก็รับมาดื่มอย่างว่าง่าย
    “รู้สึกเช่นไรบ้าง” เอ่ยถามอีกครั้งเมื่อมองเห็นแค่เส้นใยของลมปราณเท่านั้นและชีพจรเริ่มกลับมาเต้นตามปกติแล้ว  อวิ้นเซียนเงยหน้ามองมาที่เขาก่อนจะก้มลงคุกเขาพร้อมก้มหัวคารวะสูงสุด
    “ศิษย์หายดีแล้ว ศิษย์ขอคารวะอาจารย์และขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาข้า” จิวชงหยวนอึ้งไปกับท่าทีของคนตรงหน้า รู้สึกไม่คุ้นเคยกับการมีคนมาก้มหัวคุกเข่าให้เช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้อวิ้นเซียนรับรู้หากจะแอบอ้างเป็นอาจารย์คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง
    “ลุกขึ้นก่อน ตอนนี้เจ้ายังไม่หายดี” บอกพร้อมประคองให้คนที่สูงกว่าตนมานั่งเตียงเย็นๆ อีกครั้ง ใบหน้าคมคายและดวงตาสีดำนั้นมองมาอย่างซาบซึ้ง
    “อวิ้นเซียนเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าให้เจ้ากินยาอะไรไป” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งอวิ้นเซียนเพียงแค่ส่ายหน้าตอบรับพร้อมก้มมองสำรวจตัวเองแล้วนิ้วหน้าอย่างฉงน
    “ยาอายุวัฒนะกับยาแก้พิษปลิดวิญญาณช่วยรักษาร่างกาย อวัยวะภายในของเจ้าแต่เส้นผมคงจะเป็นเช่นนี้ตลอดชีวิตนั่นแหละ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบทว่าคนฟังกลับนั่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง
    “อาจารย์ท่านช่างดีกับข้านัก” อวิ้นเซียนกล่าวด้วยน้ำตาคลอพร้อมโผกอดร่างโปร่งบางของอาจารย์ด้วยความรักและเทิดทูน ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนอาจารย์ก็ยังเป็นเช่นเดิม
    จิวชงหยวนยืนอึ้งด้วยความตกใจอีกรอบ คนตัวสูงโผเข้ามากอดเขาเหมือนเด็กๆ ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวตัวโตกว่าเขาเสียอีก สองมือจับไหล่หนาให้ถอยออกห่างก่อนที่เจ้าศิษย์กำมะลอนี่จะแอบลวนลามเขาไปมากกว่านี้
    “ปล่อยข้าได้แล้วนี่ฉวยโอกาสลวนลามข้าหรือไง”
    “เปล่านะขอรับ ข้าแค่ดีใจ” อวิ้นเซียนบอกอาจารย์อย่างงอนๆ ใบหน้าคมหันหน้าหนีทว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณกลับไม่สนใจตนเสียด้วยซ้ำ จนต้องหันกลับมามองอาจารย์อีกครั้งไม่ว่าเวลานานเท่าไหร่อาจารย์ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างหน้าตาอีกทั้งนิสัย
    “เอาล่ะ ในเมื่อหายดีแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน” จิวชงหยวนกอดอกมองลูกศิษย์กำมะลออย่างจริงจัง ดวงตาคมสีดำสนิทมองตอบกลับมานิ่งๆ ทว่าความอ่อนโยนในแววตายังคงหลงเหลือ
    “เจ้ารู้ใช่ไหมยาที่เจ้ากินเข้าไปหากมนุษย์รู้เข้าจะเป็นภัยแก่เจ้าและคนที่เจ้ารัก”
    “ข้าทราบขอรับ ข้าไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังหรอกขอรับ” อวิ้นเซียนมองตอบด้วยรอยยิ้มบาง เหมือนจะถ่ายทอดความรู้สึกถึงคนตรงหน้าที่กอดอกใบหน้างดงามฉายแววจริงจัง หากในมือมีพัดเขาคงโดนโบกหัวไปแล้ว
    “เจ้าเข้าใจง่ายกว่าที่คิดไว้” จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างโล่งอกที่คนตรงหน้ารู้ความมากกว่าที่คิด
    “แล้วเจ้าเสียใจไหมที่อายุของเจ้าจะมากกว่ามนุษย์ธรรมดา” คำถามของอาจารย์ทำให้อวิ้นเซียนนิ่งอึ้งไปก่อนจะตอบเสียงแผ่ว พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์
    “ไม่ขอรับ เพราะอย่างน้อยข้าก็ยังมีอาจารย์อยู่เป็นเพื่อนนี่ขอรับ” จิวชงหยวนอึ้งไปกับรอยยิ้มบางๆ ของลูกศิษย์กำมะลอ ที่ทำให้เขาหวนคิดไปถึงตอนที่เจอกับลู่เฟยแรกๆ ซึ่งยิ้มได้ตลอดไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม จนไม่อาจรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงได้ หวังว่านี่ไม่ใช่หน้ากากลวงโลกเหมือนลู่เฟยตอนเป็นแม่ทัพสวรรค์หรอกนะ
    “เป็นเช่นนั้นเจ้าอาจจะเสียใจก็ได้ เพราะข้าจะใช้งานเจ้าให้หนักสมกับยาวิเศษที่เจ้ากินไป” จิวชงหยวนบอกคนหน้ายิ้มด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาเรียวมองอย่างค้นหาความจริงในแววตาคู่นี้
    “หากอาจารย์ต้องการเช่นนั้น ข้าก็ยินดีขอรับ” น้ำเสียงและแววตาที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง พร้อมพยายามนึกไปถึงความทรงจำที่เทพโอสถเคยมีซึ่งดูเหมือนอวิ้นเซียนผู้นี้จะรู้ว่าจิวชงหยวนหมอเทวดามิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เรื่องนั้นช่างเถอะเพราะเขายังมีเรื่องต้องเคลียร์
    “อวิ้นเซียนเจ้าได้รับพิษพวกนี้มาจากใคร” คำถามจริงจังของอาจารย์และแววตาเรียวฉายแววดุดันที่มิอาจโกหกหรือหลีกเลี่ยงได้ ใบหน้าคมคายที่ยิ้มแย้มกลับมานิ่งอีกครั้ง
    “อาจารย์ข้ามิอาจทราบได้ขอรับ คนผู้นั้นกล่าวอ้างว่าเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวน อีกทั้งฝีมือร้ายกาจเพียงไม่กี่กระบวนท่าข้าก็พลาดท่าเสียทีแล้วขอรับ” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเจ็บใจของอวิ้นเซียนทำให้จิวชงหยวนครุ่นคิดตามไปด้วย
    “คนผู้นั้นรูปลักษณ์เป็นเช่นไร”
    “เป็นชายแก่อายุราวเจ็ดสิบปี เส้นผมสีขาวโพลนและสูงพอๆ กับข้าขอรับ” คำตอบที่ได้รับไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนกระจ่างแม้แต่น้อย
    “หรือจะเป็นอาจารย์” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ เพราะรูปลักษณ์ที่กล่าวมาเหมือนกับเทพโอสถแต่ว่ามีเหตุผลอะไรที่อาจารย์จะสังหารศิษย์ตัวเอง
    “เรื่องนี้เอาไว้ก่อน แต่เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะไม่ไปแก้แค้นและยึดมั่นคุณธรรมดั่งที่เคยเป็นมา” จิวชงหยวนบอกลูกศิษย์กำมะลอด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลเขาไม่อยากให้อวิ้นเซียนไปเจอคนผู้นั้นอีก อวิ้นเซียนมีสีหน้าลังเลเล็กน้อยกับเรื่องแก้แค้น แต่เมื่อเห็นสายตาอาจารย์จึงก้มลงคุกเข่าให้คำสัตย์สาบานอีกครั้ง
    “ศิษย์สาบานจะยึดมั่นในคุณธรรมดั่งที่เคยเป็นมาขอรับ”
    “ดีมาก” จิวชงหยวนยิ้มรับก่อนจะประคองให้อวิ้นเซียนลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
    “เจ้าหลับไปนานกว่าห้าปี คงจะหิวมากเดี๋ยวข้าไปบอกศิษย์ของเจ้าเอาข้าวปลามาให้แล้วกัน” อวิ้นเซียนมองตามหลังอาจารย์ที่เดินออกไปนิ่งๆ พยายามคิดทบทวนความทรงจำในอดีต แม้เขาจะนอนหลับไปนานกว่าห้าปี ทว่าจิตใจเขานั้นรับรู้มาโดยตลอดว่าตัวเองพบเจอกับอะไร และมีใครเฝ้ามาดูแลตนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากวันนี้ไม่เจออาจารย์เขาคงได้สิ้นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้ไปแล้ว แต่ไม่ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไรอาจารย์เขาก็คงงดงามเฉกเช่นเดิม ทว่าความผูกพันของเขากับอาจารย์นั้นมีมากกว่าที่จะคิดเป็นอื่นได้


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 24 มีพบย่อมมีจาก
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:09:32


บทที่ 24
มีพบย่อมมีจาก


         “เจ้าชื่ออะไรเด็กน้อย” ชายหนุ่มร่างโปร่งบางก้มหน้าเอ่ยถามเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบปีที่หน้าตามอมแมมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาสดใสเงยสบกับดวงตาเรียวสวยพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
    “ข้าไม่มีชื่อขอรับ” เด็กน้อยบอกด้วยแววตาเศร้าหมอง ดวงตาสดใสเอ่อล้นด้วยน้ำตาเมื่อหวนคิดถึงอดีตเด็กน้อยขอทานเช่นตนจะมีชื่อแซ่ได้เช่นไร ทว่าคนฟังกลับยกยิ้มบางๆ อุ้มร่างเด็กน้อยขอทานสกปรกมอมแมมขึ้นมาอย่างไม่รังเกียจ
    “เช่นนั้นต่อไป เจ้าชื่ออวิ้นเซียน”ชายหนุ่มผู้นั้นบอกด้วยรอยยิ้มบาง อุ้มร่างเด็กน้อยขอทานที่ไร้ญาติขาดมิตรร่วมเดินทางไปด้วย ทว่าตลอดเส้นทางที่ร่วมเดินทางได้ฝึกวรยุทธให้อวิ้นเซียนเด็กน้อยตาใสไปด้วยและสอนให้รู้จักสมุนไพรรักษาเท่าที่มนุษย์จำพึงมี ทั้งคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขจวบจนเด็กน้อยเติบโตเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบห้าปีตามกาลเวลา...
    “อาจารย์ขอรับ” จิวชงหยวนซึ่งยืนสองมือไพล่หลังเหม่อมองท้องฟ้าบนหุบเขา หลุดจากความทรงจำของอาจารย์ที่ถ่ายทอดมาสู่ตัวเขาหันมามองคนเรียก คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นคล้ายจะเอ่ยถามลูกศิษย์กำมะลอซึ่งอาจารย์จริงๆ ของอวิ้นเซียนคือเทพโอสถ
    “อาจารย์จะไม่อยู่กับข้าจริงๆ หรือขอรับ” อวิ้นเซียนเดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเศร้าเพราะไม่ได้เจออาจารย์นานกว่าสิบปีแล้ว หากจะติดตามไปด้วยก็ยังมีพี่น้องคนอื่นๆที่ตนต้องรับผิดชอบ
    “มีพบย่อมมีจาก มีวาสนาก็ต้องได้พบเจอกันอีก” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ มองอวิ้นเซียนที่อายุร่วมยี่สิบเจ็ดปีแต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์ราวยี่สิบปี แม้ตอนอยู่กับเขาชอบทำตัวเหมือนเด็กน้อยสามขวบ ทว่าอยู่กับลูกศิษย์และคนในหอกิเลนกลับเป็นผู้นำที่น่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ และเรื่องนี้แหละที่ทำให้เจียนเจียนแอบงอนเขา แต่เรื่องอะไรเขาจะง้อในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่คิดก็อดจะขำไม่ได้
    “ข้าจะติดต่ออาจารย์ได้เช่นไรขอรับ เพราะสิบปีมานี้อาจารย์ไปมาไร้ร่องรอยและไม่ติดต่อข้ามาเลย” อวิ้นเซียนเอ่ยถามอย่างงอนๆ จิวชงหยวนมองลูกศิษย์กำมะลอแล้วทำหน้าเอือมระอา เพราะสองวันมานี้ที่เฝ้าดูอาการของอวิ้นเซียนเจ้าตัวมักมาออดอ้อนเขาทุกครั้งที่อยู่สองต่อสอง
    “ข้าจะติดต่อเจ้ามาเอง เพราะข้ามีงานให้เจ้าได้ทำ” จิวชงหยวนบอกอย่างจริงจัง
    “ให้ข้าทำอะไรหรือขอรับ”
    “งานง่ายๆ เจ้าแค่หาข่าวตามที่ข้าต้องการเท่านั้นเอง” อวิ้นเซียนเลิกคิ้วมองอาจารย์อย่างแปลกใจ อาจารย์ผู้ไม่สนใจต่อข่าวลือของยุทธภพแต่ตอนนี้ไยถึงมาสนใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเพราะเชื่อว่าอาจารย์ย่อมมีเหตุผล
    “ขอรับ ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง” อวิ้นเซียนบอกด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง จิวชงหยวนพยักหน้ารับเมื่อลูกศิษย์กำมะลอเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ ก่อนจะเหลือบตามองเจียนเจียนที่แอบมองอยู่หลังกำแพงหิน มาถึงตอนนี้เจียนเจียนก็ยังไม่เข้าใจว่าเขามีความสัมพันธ์อันใดกับอวิ้นเซียน แต่ค่อยให้เจ้าตัวไปอธิบายกันเองเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา คิดว่าเช่นนั้นนะ
    “เจียนเจียนเจ้าไม่ออกมาหรือ แอบอยู่แบบนั้นมันเหนื่อยนะ หรือว่าเจ้าอยากเป็นญาติกับจิ้งจกข้าก็ไม่ว่าหรอก” จิวชงหยวนหันไปร้องเรียกคนน่าแกล้งด้วยรอยยิ้ม อวิ้นเซียนเองก็หันไปตามสายตาเช่นกัน เจ้าตัวเดินออกมาด้วยใบหน้าหงิกงอด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเหลือบตามองอวิ้นเซียนอย่างน้อยเนื้อต่ำใจจนน่าสงสาร ทว่าทำไมเขาถึงรู้สึกสนุกเช่นนี้ สงสัยจะติดนิสัยลู่เฟยมา ว่าไปก็คิดถึงเหมือนกันแฮะ จิวชงหยวนครุ่นคิดกับตัวเองด้วยรอยยิ้มบาง
    “ข้าจะไปหาหย่งเจิ้นพวกเจ้าก็ปรับความเข้าใจกันเองนะ” บอกด้วยรอยยิ้มล้อเลียนพร้อมหมุนตัวหมายจะจากไปหากไม่มีมือหนาของอวิ้นเซียนรั้งข้อมือไว้ จิวชงหยวนเงยหน้ามองลูกศิษย์ตัวสูงอย่างฉงน
    “หยกขาวนี่จะทำให้ท่านติดต่อกับคนหอกิเลนได้ขอรับ อาจารย์โปรดถนอมตัวด้วย” อวิ้นเซียนปล่อยมือพร้อมยื่นหยกขาวลวดลายกิเลนมาให้อีกทั้งโค้งหัวทำเคารพอย่างสูงสุด จิวชงหยวนรับป้ายหยกสีขาวมาถือแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจจุดประสงค์
    “อืม แล้วข้าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มที่ทำให้อวิ้นเซียนยิ้มรับเหมือนเด็กๆ ที่รอผู้ปกครองกลับบ้าน เมื่อที่นี่ทุกอย่างเรียบร้อยจิวชงหยวนจึงหมุนตัวจากไป ทว่าก่อนจากยังไม่วายแอบกระซิบแกล้งเจียนเจียนให้เขินอายเล่น
    “จีบอวิ้นเซียนให้ติดนะ งดงามเช่นนั้นมีใครแย่งไป ข้าไม่รู้ด้วยนะ” 
    เจียนเจียนหน้าแดงก่ำกับคำพูดทิ้งท้ายของจิวชงหยวน ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับอาจารย์ไยถึงสนิทชิดใกล้กันขนาดนั้น หากจะเอ่ยถามก็อดน้อยใจอาจารย์ตัวเองไม่ได้ แทนที่ฟื้นขึ้นมาจะมีเวลาให้ตนแต่กลับไปหมกตัวอยู่แต่กลับจิวชงหยวน หากไม่ใช่ผู้มีพระคุณคงได้เชือดทิ้งเพราะความหึงหวงไปแล้ว
    “เป็นอะไรหน้ามุ่ยเชียว” อวิ้นเซียนเอ่ยถามศิษย์เอกด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าดวงตาเรียวสวยที่ช้อนขึ้นมามองเอ่อล้นด้วยน้ำตาก่อนจะโผเข้ากอดด้วยความอัดอั้นตันใจ ทั้งหวงหา คิดถึงและอีกมากมายที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ อวิ้นเซียนเองก็ยกมือลูบแผ่นหลังบางของศิษย์เอกเบาๆ อย่างปลอบโยน
    “ข้าหลับไปห้าปี เจ้าขี้แยขึ้นหรือไง หืม เจียนเจียน” อวิ้นเซียนผละออกจากร่างโปร่งมือเรียวสวยจับคางมนให้เงยหน้ามองสบกับดวงตา
    ดวงตาอ่อนโยนที่ถ่ายทอดมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรแต่อวิ้นเซียนยังเป็นคนเดิมจนทำให้ดวงตาสวยมีน้ำตาคลอพร้อมเอ่ยเรียกอาจารย์เสียงแผ่ว
    “อาจารย์”
    “ขอบใจที่อยู่ข้างกายข้า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและแววตาที่อ่อนโยนพร้อมความรักที่สื่อออกมาแม้ไม่ต้องพูด ทว่าเจียนเจียนกลับเข้าใจดี ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันด้วยความเขินอายก่อนจะโผกอดอาจารย์อีกครั้ง อวิ้นเซียนหัวเราะในลำคออย่างสุขใจ จะมีสักกี่คนที่เฝ้าดูแลคนที่เหมือนตายแล้วอย่างตน ได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและดูแลพี่น้องคนอื่นๆ ได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง
    จิวชงหยวนซึ่งแอบมองอยู่ห่างๆ ยิ้มอออกมาบางๆ ที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีกว่าที่คิด ก่อนจะพุ่งทะยานกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่บอกให้หย่งเจิ้นรอ ป่านนี้คงพ้นเป็นไฟแล้วกระมังที่ตามหาเขาไม่เจอทั้งๆ ที่เป็นคนสะกดรอยตามมาด้วยตัวเอง และต้องยอมรับในฝีมือของหอกิเลนที่ทำให้หย่งเจิ้นไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน
    กว่าสามชั่วยามที่ใช้ความเร็วในการเดินทางกลับมาที่นี่ ดีแต่ว่าเขาไม่ใช่พวกหลงทิศ ไม่เช่นนั้นเขาคงโดนหย่งเจิ้นคาดโทษมากกว่านี้แน่ ภายในโรงเตี๊ยมครึกครื้นเหมือนที่ผ่านมา จิวชงหยวนเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมอย่างคุ้นเคย และเหมือนเวลาจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะเมื่อทุกคนพร้อมใจหันมามองด้วยความสนใจขณะที่เขาก้าวเข้ามา ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อรับรู้สายตาคมคู่หนึ่งมองมาจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมและไม่ใช่ใครที่ไหน หย่งเจิ้นประมุขพรรคเทพจันทราที่เขาให้คนแจ้งนัดพบในเที่ยงของวันนี้ เขาเดินขึ้นไปมาอย่างไม่รีบร้อนเพราะไม่ว่าอย่างไรก็คงโดนบ่นเพราะผิดนัดหมายจากคราวที่แล้ว ทว่าเมื่อนั่งเก้าอี้ตามคำเชิญกลับไม่เป็นดั่งที่คิด
    “เจ้าคงหิว ข้าสั่งอาหารไว้รอ อยากได้อะไรเพิ่มไหม” ดวงตาคมที่มองมาพร้อมรินน้ำชาให้อย่างเอาใจ ทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ เหลียวหาตงไห่กลับไร้วี่แวว
    “ตงไห่ข้าสั่งให้กลับพรรคไปแล้ว” ไม่ทันได้เอ่ยถามทว่ามีคำตอบให้เรียบร้อย เดี๋ยวนี้เขามองดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ จิวชงหยวนยิ้มบางก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
    “ไม่ใช่เจ้าลงโทษตงไห่ที่ละเลยหน้าที่หรอกหรือ” เอ่ยถามคล้ายกับรู้ทัน คนร่างสูงเพียงแค่เหลือบตามองไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ก่อนจะบอกให้ลงมือกินข้าวที่สั่งมาไว้รอ
    “กินเถอะ” หย่งเจิ้นบอกคนงามที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดใบหน้าพร้อมคีบอาหารให้อย่างเอาใจ กิริยาของคนตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนมองอย่างแปลกใจ
    “นี่เจ้าจีบข้าอยู่หรือไง” หย่งเจิ้นชะงักไปครู่หนึ่ง เหลือบตามองคนถามอีกครั้ง สองวันมานี้ทำให้เขามีเวลาคิดทบทวนกับตัวเองอย่างถ้วนถี่และคำตอบที่ได้รับคือเขาสนใจคนตรงหน้าหมายจะให้มาอยู่เคียงข้าง
    “อืม” คำตอบสั้นๆ ของหย่งเจิ้นทำให้จิวชงหยวนตะเกือบหลุดมือด้วยความตกใจ ดวงตาเรียวเบิกกว้างมองคนหน้านิ่งอย่างคาดไม่ถึง
    “เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม” เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแห้งๆ กลัวกับคำตอบเพราะแค่ลู่เฟยคนเดียวก็จะทำให้ผิดเพศแล้วนี่เพิ่มมาอีกสองคนเขาไม่กลายเป็นเกย์ไปเลยหรือไง ทว่าเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ใบหน้างามกลับแดงระเรื่อด้วยความอาย เพราะรู้ตัวดีว่าเริ่มหวั่นไหวไปกับพวกที่ชอบตามตื้อแล้วโดยเฉพาะลู่เฟยที่ช่วงหลังๆ มานี้หัวใจเขาเต้นแรงทุกครั้งที่เจอหน้า   
    “ไม่ได้หรือ” หย่งเจิ้นเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมมองมานิ่งๆ ทว่าคนฟังกลับส่ายหน้ารัว
    “ส่ายหน้าแสดงว่าตกลง” หย่งเจิ้นกล่าวเองเสร็จสรรพทำให้จิวชงหยวนหยุดส่ายหน้า มองคนหน้านิ่งอย่างอึ้งๆ ที่หย่งเจิ้นพูดเองเออเอง จนเขาพูดไม่ออก มือเรียวยกกุมขมับที่เขาส่ายหน้าเพราะจะบอกว่าเขาเป็นชายหวังว่าเจ้านี่ไม่ตาบอดมองเขาเป็นผู้หญิงหรอกนะ
    แต่คิดไปอีกทีเปิดโอกาสลองให้ผู้ชายจีบดูก็คงไม่เลวหรอกมั้ง แต่ว่า...
   สายตาเรียวมองร่างสูงหนาอย่างพิจารณา ก่อนจะส่ายหน้าอย่างปลงๆ หากเขาตกลงปลงใจกับเจ้านี่คงไม่พ้นโดนกดเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ปัญญาไปกดหย่งเจิ้นลง แต่เมื่อคิดไปถึงลู่เฟยก็รูปร่างไม่แพ้กันหล่อขั้นเทพกันทั้งนั้นแล้วแบบนี้จะยอมให้เขากดหรือไง
    “สายตาเจ้าเวลานี้เหมือนจะถอดเสื้อผ้าข้าอยู่นะชงหยวน” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาทำให้สติของจิวชงหยวนกลับมาอีกครั้งก่อนจะยักไหล่อย่างไม่สนใจแล้วกล่าวตอบอย่างหน้าด้านๆ
    “ก็เจ้าคิดจะจีบข้า ข้าก็ต้องสำรวจเป็นธรรมดาเผื่อข้าจะได้มีโอกาสกดเจ้าลงบ้าง” ทว่าคนฟังกลับหน้าแดงก่ำจนไปถึงใบหู
    “เจ้ามันหน้าด้าน” จิวชงหยวนหน้าเหลอหลากับคำด่า แต่เมื่อเห็นหย่งเจิ้นหน้าแดงด้วยความอายจึงหัวเราะออกมาเบาอย่างขบขัน
    “กินไปเลยเจ้า” หย่งเจิ้นว่าให้พร้อมคีบเนื้อแกะย่างเข้าปากคนที่หัวเราะด้วยความเคอะเขิน เขาไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน นี่เขาหลงผิดหรืออย่างไรที่ไปหลงชอบคนเช่นนี้เข้า
    จิวชงหยวนหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจ แทนที่เขาจะเป็นฝ่ายเขินแต่นี่กลับเป็นคนที่จะจีบเขินเสียเองผู้ชายสมัยนี้จะขี้อายจนน่าแกล้ง แต่ว่าไปยกเว้นไว้คนหนึ่งที่ทั้งหื่นและหน้าด้าน เขาเผลอไม่ได้ชอบแตะนู่นนี่เป็นประจำ ว่าไปช่วงนี้ทำไมไปคิดถึงลู่เฟยบ่อยจัง ใบหน้างามเห่อร้อนเมื่อนึกถึงจดหมายที่เขายังเก็บไว้ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหย่งเจิ้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้
    “เจ้าอยู่กับข้าแต่ใจคิดถึงผู้ใดกัน” หย่งเจิ้นยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้างามอย่างจับผิด ดวงตาเหม่อลอย มุมปากกลับยกยิ้มบางจนอดหงุดหงิดไม่ได้
    “คู่แข่งเจ้าไง” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านกับสายตาคมที่มองมานิ่งๆ ก่อนจะขยับถอยกลับไปนั่งที่เดิม
    “พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าคู่แข่งข้าเป็นผู้ใด”
    “ถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง” จิวชงหยวนยิ้มตอบกลับอย่างมีเลศนัย ทว่าคนฟังกลับรู้สึกใจคอไม่ดี รู้สึกว่าตัวเองมาช้าไปอย่างไรอย่างนั้น หวังว่าเขายังมีโอกาสอยู่นะ
    “แล้วข่าวเซียนกระบี่ของเจ้าเป็นเช่นไรบ้างได้เรื่องหรือเปล่า” จิวชงหยวนเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องพร้อมคีบข้าวเข้าปากไปด้วยไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องของตนแม้แต่น้อย
    “มีแต่ตัวปลอม” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนพูดอย่างสนใจ มุมปากยกยิ้มบางก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
    “แล้วเป็นไงบ้างตัวปลอม กระบี่บินได้อย่างที่ร่ำลือกันหรือไม่” น้ำเสียงเริงร่าแววตาพราวระยับคล้ายสนุกกับเรื่องที่ได้ยิน ทำให้หย่งเจิ้นมองตามอย่างเอ็นดูแม้เขาจะอายุเพียงยี่สิบเอ็ดแต่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทำให้ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นตามอำเภอใจ
    “เปล่า” คำตอบสั้นๆ จิวชงหยวนมองตามอย่างเซ็งๆ นึกว่าจะได้ยินเรื่องสนุกมากกว่านี้ หากตงไห่อยู่ด้วยข่าวสารคงละเอียดมากกว่านี้ ทว่าทุกอย่างรอบกายกลับนิ่งเงียบเมื่อมีบุรุษอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มก้าวขึ้นมาชั้นสอง เสียงที่พูดคุยจ้อกแจ้กเงียบลงในบัดดล จิวชงหยวนก็หันไปมองด้วยความสนใจ ใบหน้าคมเข้มรูปร่างสูงใหญ่ดวงตาดุดันกวาดมองไปรอบกายก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เขา
    ร่างนั้นเดินเข้ามาหาตามด้วยลูกน้องอีกสามคนที่ยืนคุมอยู่เบื้องหลัง จิวชงหยวนหันมามองหย่งเจิ้นอย่างเป็นคำถามว่ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่ ใบหน้าเคร่งเครียดของหย่งเจิ้นฉายชัดได้ว่ารู้จักผู้นี้เป็นอย่างดี
    “ไม่คิดว่าประมุขพรรคเทพจันทราจะมาตามข่าวลือด้วยตนเองเช่นนี้” เสียงแข็งกระด้างที่ทักทายฟังดูไม่รื่นหูเอาเสียเลย ทว่าสายตาที่มองเขาอย่างแทะโลมนี่มันหมายความอย่างไร เขาก็แต่งตัวออกจะเรียบร้อยเหมือนชาวบ้านชาวช่อง
    “พรรคโลหิตมารเช่นเจ้าว่างงานแล้วหรือถึงออกมากัดชาวบ้านไปทั่วเช่นนี้” น้ำเสียงเย้ยหยันและแววตาคมกริบที่มองตอบโต้ของหย่งเจิ้น ทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปเหมือนกันไม่คิดว่าผู้ที่นิ่งๆ จะจิกกัดคนอื่นเป็น
    “เจ้า!” ชายหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มกัดฟันมองหน้าหย่งเจิ้นด้วยความเครียดแค้น หย่งเจิ้นเองก็มองตอบกลับอย่างท้าทายเช่นกัน บรรยากาศรอบกายชวนให้กดดัน ทว่าจิวชงหยวนมองทั้งคู่นิ่งๆ ก่อนจะคีบข้าวในถ้วยกินต่ออย่างไม่ใส่ใจ
    เพล้ง!
    ชามข้าวในมือหลุดกระเด็นแตกลงพื้นด้วยฝีมือของชายหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม จิวชงหยวนเหลือบตามองคนหาเรื่องตนด้วยแววตานิ่งเรียบจนเดาใจไม่ออก ซึ่งชายผู้นั้นก็มองเขาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิดว่าตนทำอะไรลงไป
     บรรยากาศกดดันในคราวแรกยังไม่เท่ายามนี้เลย เนื่องจากชายร่างโปร่งบางใบหน้างดงามที่ใครๆ ต่างแอบมองในเวลานี้ส่งแรงกดดันออกมาจากตัวจนทำให้หนาวสั่นสะท้าน จิวชงหยวนบีบตะเกียบในมือจนกลายเป็นฝุ่นผง ตอนแรกก็ไม่คิดจะใส่ใจเพราะไม่ใช่เรื่องของตนทว่าชายผู้นี้บังอาจทำลายชามข้าวเขาต่อหน้าต่อตาขณะที่เขากำลังหิว อภัยให้ไม่ได้!
    ตูม!
    และไม่มีใครคาดคิดร่างสูงใหญ่ของคนพรรคโลหิตมารกระเด็นออกไปไกล โต๊ะเก้าอี้ที่ขวางทางต่างหักล้มระเนระนาด ผู้ที่มองเห็นเหตุการณ์ต่างมองตามอย่างตื่นตระหนกเพราะใครๆ ต่างรู้ดีว่าเอี้ยหวงบุตรคนกลางของประมุขพรรคโลหิตมารนั้น วรยุทธล้ำเลิศและยังมีชื่อเสียงขจรไกลจนเป็นที่หวาดกลัวของชาวยุทธไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจอมยุทธคนอื่นๆแต่เมื่อทุกคนมองผู้ที่ลงมือกลับนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน ดวงตาเรียวมองคนที่กระเด็นไปไกลเรียบเฉยจนมิอาจคาดเดาได้
    “ชงหยวนข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าใจร้อน” หย่งเจิ้นกล่าวออกมาอย่างตะลึงไม่หายกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จิวชงหยวนหันมามองแล้วบอกเสียงเรียบ
    “ข้ากินข้าวได้สามคำเองนะ” คำตอบที่ได้รับทำให้หย่งเจิ้นมองร่างโปร่งบางอย่างอึ้งๆ และสรุปในใจว่าอย่าไปกวนโมโหจิวชงหยวนเวลาที่หิว
    ย๊ากก!
    เคร้ง เคร้ง!
    เอี้ยหวงที่เสียหน้าลุกขึ้นยืนชักดาบใหญ่พุ่งเข้าหาผู้ที่ทำร้ายตนด้วยความเกรี้ยวโกรธ ทว่าหย่งเจิ้นประมุขพรรคเทพจันทรากลับมาขวางเส้นทางไว้อย่างน่าโมโห
    “คิดจะทำร้ายคนของข้า ข้ามศพข้าไปให้ได้ก่อน” น้ำเสียงจริงจังและแววตากดดันที่ส่งให้ศัตรู ทำให้จิวชงหยวนมองหย่งเจิ้นแล้วแอบเบ้หน้า ไม่รู้ว่าตัวเองไปเป็นคนของหย่งเจิ้นตั้งแต่เมื่อไร รู้สึกว่าช่วงนี้เขาจะโดนจับยัดเยียดตำแหน่งแปลกๆ ให้เสียเหลือเกิน
    “เฮอะ อวดดี ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าไม่ควรมาหาเรื่องพรรคโลหิตมาร” คำกล่าวหาของคนพรรคโลหิตมารทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุกเพราะเท่าที่จำได้มีแต่มันเองที่มาหาเรื่องพวกเขาก่อน
    “ท่าทางเจ้าจะสมองเลอะเลือน ถึงจำไม่ได้ว่าผู้ใดมาหาเรื่องก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉยก่อนจะเอนหลังหลบคมดาบที่ฟันลงมา
    ตูม!
    โต๊ะอาหารตรงหน้าพังลงต่อหน้าอีกครั้ง จิวชงหยวนลุกยืนพลิ้วตัวหลบวีถีของคมดาบที่พุ่งเข้ามา ทว่าหย่งเจิ้นก็ออกมาขัดขวางการโจมตีของชายชุดสีน้ำเงินไว้ได้อย่างรวดเร็ว แต่นี่ใช่ว่าจะมีแค่หนึ่งเพราะพวกมันพกคนตามมาอีกสามเพราะฉะนั้นอีกสามคนที่เหลือต่างเข้ามาโจมตีเขาจึงต้องต้านรับด้วยตัวเอง
    จิวชงหยวนนิ่วหน้าเพราะไม่มีอาวุธป้องกันนอกจากพลิ้วตัวหลบไปหลบมากับถีบพวกมันให้ออกห่างเท่านั้น จะเรียกกำไลออกมาก็เด่นเกินไปเพราะชาวยุทธที่พักอยู่โรงเตี๊ยมต่างมองมาที่เขาอย่างสนใจ
    “ใครมีกระบี่ให้ข้ายืมบ้าง” เอ่ยถามออกไปโดยไม่ได้หวังว่าจะมีใครตอบรับ แต่กลับได้รับการสนับสนุนดีเยี่ยมเมื่อกระบี่เนื้อดีพุ่งเข้ามาหาตามคำเรียกร้องและเขาก็รับได้อย่างพอดี
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ฉัวะ!
    ไม่รู้กระบี่ดีหรือว่าฝีมือเขาดีกันแน่ เพราะเพียงไม่กี่กระบวนท่าสามคนที่โรมรันกับเขาถึงกับเลือดอาบโชกไปทั้งตัว ทว่าพวกมันกลับไม่ยอมแพ้ยังพุ่งเข้ามาหาและตั้งวงล้อมเขาคล้ายค่ายกล แม้จะมีเพียงแค่สามคนแต่กลับปิดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม
     นิ้วเรียวแต้มยาบางอย่างลงไปในคมกระบี่ด้วยความเร็วจนไม่มีใครมองตามได้ทัน พร้อมวาดกระบี่เข้าหาทั้งสามด้วยความเร็วไม่แพ้กัน เพียงไม่นานสามร่างที่สู้อย่างดุเดือดกลับล้มตัวนอนสลบไปเพราะโดนฤทธิ์ยาสลบขั้นรุนแรง จะทำอย่างไรได้ก็เขายังไม่คุ้นชินกับการฆ่าคนดั่งผักปลาแค่ป้องกันตัวก็พอ แต่หากยังไม่ละเลิกต่อกันครั้งต่อไปก็จำเป็นต้องสังหาร ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตเขาคงหาไม่
    จิวชงหยวนหันไปมองหย่งเจิ้นที่ต่อสู้โรมรันกับเอี้ยหวงด้วยความดุเดือด ความเร็วและดุดันของทั้งคู่สร้างความเสียหายให้กับโรงเตี๊ยมไปมาก ชาวบ้านธรรมดาที่มากินข้าวต่างเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยเตือน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    แรงปะทะของทั้งคู่ทำให้เกิดประกายไฟจนน่าหวาดกลัว จิวชงหยวนยืนมองนิ่งๆ ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือเพราะดูจากฝีมือแล้วหย่งเจิ้นไม่น่าจะแพ้ แม้อีกฝ่ายจะมีฝีมือร้ายกาจแต่ได้ขึ้นชื่อว่าประมุขพรรคคงไม่กระจอกหรอกมั้ง
    “ท่านไม่ไปช่วยสหายหรอกหรือ” หญิงสาวนางหนึ่งเดินมายืนข้างกายพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง ทว่ากลับงดงามชวนมองและเป็นคนเดียวกับที่ให้เขายืมกระบี่
    “แค่นั้นจัดการเองไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็นประมุขพรรค นี่กระบี่ของแม่นาง ข้าขอบคุณมากที่ให้ยืม” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
    “ไม่เป็นไร เห็นคนถูกรังแกข้าก็อดที่จะยื่นมือช่วยเหลือมิได้ ว่าแต่ท่านเถอะเหตุใดไม่พกกระบี่ติดกายเล่า” คำถามของหญิงสาวที่งดงดงามในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนทำให้จิวชงหยวนยิ้มบาง ก่อนจะตอบคำถามที่ทำให้แม่นางสำรวจเขาอย่างไม่เชื่อถือ
     “ข้าเป็นหมอเหตุใดต้องพกกระบี่เล่า”
    “ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่” จิวชงหยวนยิ้มรับไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก สายตายังจับจ้องหย่งเจิ้นที่ฟาดฟันกันจนออกนอกโรงเตี๊ยมไปแล้ว เขาจึงพุ่งทะยานตามไปด้วยและคนอื่นๆ เองก็แอบตามไปเช่นกัน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    เปรี้ยง!
    ฉัวะ!!
    หนึ่งกระบี่หนึ่งดาบใหญ่โรมรันกันอยู่กลางอากาศ การต่อสู้ที่ดุเดือดและรุนแรงทำให้จิวชงหยวนที่ตามมาติดๆ มองตามด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่ได้เห็นใครต่อสู้กลางอากาศจริงๆ เสียทีนอกเสียจากตอนที่เขาฝึกซ้อมกับลู่เฟยที่หุบเขาแห่งเซียน แต่นั่นไม่ได้วาดหวังเอาชีวิตจริงๆ ดั่งในตอนนี้ พื้นที่รอบป่านอกเมืองพังทะลายหักล้มตามพลังภายในที่แข็งแกร่งของทั้งคู่
    หย่งเจิ้นเร่งลมปราณเพิ่มเป็นเจ็ดส่วนพุ่งเข้าหาเอี้ยหวงด้วยความเร็วและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่อยากเสียเวลาอีกทั้งลองเชิงกันมาหลายกระบวนท่า ทำให้รู้แล้วว่าเอี้ยหวงผู้นี้มีวิชาติดตัวไม่มากนักมีแค่ความรุนแรงเท่านั้น
    ตูม!!
    ร่างของเอี้ยหวงล่วงตกลงมาที่พื้นด้วยความแรง ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือดจากการโจมตี มองศัตรูที่ซึ่งได้รับบาดแผลไปแค่สามแห่งอย่างน่าเจ็บใจ แต่ก่อนที่หย่งเจิ้นจะพุ่งเข้ามาซ้ำเติมร่างที่กระอักโลหิตของเอี้ยหวงได้หายไปอย่างรวดเร็วจนไม่อาจรู้ว่าผู้ใดช่วยไป
     พื้นที่บริเวณโดยรอบฟุ้งไปด้วยฝุ่น ทว่ามีเพียงจิวชงหยวนเท่านั้นที่มองเห็นว่ามีคนพาร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเอี้ยหวงไปแต่ก็ไม่ได้เข้าไปเหนี่ยวรั้งไว้ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร และเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตามยุทธภพจนเป็นเรื่องปกติ
    โดยไม่คาดคิดว่าเพราะเรื่องแค่นี้จะทำให้เกิดการนองเลือดขึ้นในภายภาคหน้า...



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 25 ตามหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:12:22
บทที่ 25
ตามหัวใจ
    


           หลังจากที่เกิดเรื่อง หย่งเจิ้นก็ได้จ่ายค่าเสียหายให้กับเจ้าของโรงเตี๊ยมซึ่งน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งใจ และเขาต้องย้ายโรงเตี๊ยมใหม่สำหรับพักผ่อนในค่ำคืนนี้ แต่ก่อนอื่นต้องจัดการบาดแผลให้หย่งเจิ้นที่พลาดท่าได้บาดแผลที่กลางหลังสองแผลและที่แขนซ้ายอีกหนึ่ง แผลเก่าที่เขาเคยทำให้เลือนหายไปบ้างแล้วแต่ก็ยังมีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่
    จิวชงหยวนทำแผลให้อย่างเงียบๆ และหย่งเจิ้นเองก็ปิดปากเงียบไม่ร้องโวยวายเหมือนกับวันแรกที่ได้รู้จัก จนอดคิดไม่ได้ว่าคงไร้ความรู้สึกไปแล้ว
    “ห้ามออกแรงมากภายในสองสามวันนี้ เดี๋ยวแผลจะฉีกขาด” จิวชงหยวนละมืออกจากแผลหลังทำเสร็จและเงยหน้าบอกคนที่นั่งนิ่งเสียงเรียบ ก่อนจะผละออกไปล้างมือและมาเก็บสมุนไพรใส่ไว้ในย่ามเช่นเดิม
    “เจ้าเอาอะไรซัดใส่เอี้ยหวง” หย่งเจิ้นดึงเสื้อกลับมาสวมเหมือนเดิมพร้อมเอ่ยถามร่างโปร่งบางที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว
    จิวชงหยวนยกยิ้มบางเมื่อคิดว่าเขาทำอะไรถึงทำให้เอี้ยหวงกระเด็นออกไป จะบอกว่าเข็มเงินเล่มเดียวจะมีใครเชื่อเขาไหม ก่อนจะยักไหล่ไม่ตอบคำถามเพราะบอกไปก็คงไม่เชื่อ อีกอย่างนั่นเป็นอาวุธลับของเขาเชียวนะหากบอกไปมันก็ไม่ลับนะสิ
    “เจ้าช่างมีความลับเยอะจนข้าอดจะตื่นเต้นในการค้นหาไม่ได้” หย่งเจิ้นกล่าวเสียงเรียบ ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มด้วยความชอบใจ จิวชงหยวนเหลือบตามองแล้วเบ้หน้า หวังว่าหย่งเจิ้นไม่คิดเป็นสตอล์กเกอร์แอบติดตามเขาหรอกนะ
    “เรียบร้อยแล้วข้ากลับห้องล่ะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินออกจากห้องของหย่งเจิ้น ส่วนห้องเขาก็อยู่ข้างๆ นี่แหละ
    “ขอบคุณ” เสียงขอบคุณดังมาเบาๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่าคนพูดหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน จิวชงหยวนยกยิ้มบาง พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป หย่งเจิ้นเองก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งไว้เพราะวันนี้เขาเองก็เหนื่อยมามากแล้วเช่นกัน
    แม้เวลาจะล่วงเลยไปยามจื่อแล้ว ทว่าร่างโปร่งบางกลับนอนพลิกกายไปมาเพราะนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะมีเรื่องให้ครุ่นคิด ไหนจะเรื่องของศิษย์กำมะลอที่ไม่รู้ว่าใครเอายาพิษหายากมาใช้ในโลกมนุษย์และตั้งใจทำร้ายโดยไม่ฆ่าจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ และไหนจะเรื่องของหัวใจที่ไปหวั่นไหวกับผู้ชายทั้งๆ ที่คิดว่าไม่มีวันชอบผู้ชาย แต่ทำไมหัวใจกลับหวั่นไหวขึ้นทุกวันเช่นนี้
    ใช่... ตอนนี้เขาคิดถึงคนที่อยู่แคว้นลั่วหยางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และยังชอบได้ยินเสียงของลู่เฟยลอยตามสายลมอยู่บ่อยครั้งอย่างผิดปกติหรือว่าลู่เฟยจำอดีตตัวเองได้แล้ว
    จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบขลุ่ยหยกที่ลู่เฟยให้ไว้บนโต๊ะเล็ก ก่อนจะทะยานออกนอกหน้าต่างโดดขึ้นไปกิ่งดอกเหมยซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องที่พัก โรงเตี๊ยมแห่งนี้กว้างใหญ่และมีป่าไผ่เล็กๆ และต้นดอกเหมยหลายต้นทำให้ดูร่มรื่นน่าเข้ามาพัก แต่ราคาแสนแพงทำให้เขาไม่เลือกมาพักแต่แรก ทว่าครั้งนี้หย่งเจิ้นเป็นคนจ่ายจึงทำให้เขาได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
    ร่างโปร่งบางนั่งพิงต้นดอกเหมยขนาดใหญ่ เหม่อมองพระจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวงอย่างเหม่อลอย บางทีเขาก็รู้สึกคิดถึงที่โลกเดิมแต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ดวงตาเรียวก้มมองขลุ่ยหยกในมือแล้วยกยิ้มบางลู่เฟยเป็นเพื่อนคนแรกในยามที่เขามาที่แห่งนี้  ในโลกที่ไม่รู้จักใครนอกจากอาจารย์กับลู่เฟย และช่วยสอนสิ่งต่างๆให้แม้จะชอบว่าเขาโง่เขลาแต่กลับสอนทุกสิ่งให้อย่างใจเย็น ทว่าช่วงหลังๆ มานี้กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าและเวลานี้หัวใจเขากลับคิดถึงคนที่ไม่ได้เจอหน้ามานาน
    “เจ้าจะตามหาข้าไหมนะลู่เฟย” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ เมื่อคิดถึงคำพูดก่อนจากไปของลู่เฟย หากลู่เฟยไม่ได้ชอบเขาก็คงไม่ตามหาสินะ แล้วทำไมหัวใจเขารู้สึกห่อเหี่ยวอย่างนี้
    จิวชงหยวนยกขลุ่ยหยกมาดูก่อนจะเริ่มเป่าเพลงที่คุ้นเคยในความรู้สึก เพลงของลู่เฟยที่เขาจดจำได้อย่างขึ้นใจแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบรรเลงด้วยตนเอง หวังจะให้บทเพลงปัดเป่าความรู้สึกออกไปจากใจ บทเพลงที่หวานละมุนปนความเศร้าหมองดังก้องไปโรงเตี๊ยม ทว่ากลับไม่มีใครมาร้องโวยวายว่ารบกวนยามวิกาล แต่กลับพากันนิ่งฟังบทแพลงที่ทั้งรักทั้งเศร้าและคิดถึงด้วยนำตาซึม ไม่คิดว่าบทเพลงที่แสนไพเราะจับจิตจับใจนี้จะมีอยู่ในโลกแห่งนี้
    เสียงขลุ่ยดังก้องกังวานไปทั่วจนมิอาจรู้ว่ามาจากที่ใด บทเพลงที่หวานปนเศร้าละมุนละไมทำให้ผู้คนอยากพบเจอผู้ที่บรรเลง ทว่าคนที่บรรเลงเพลงขลุ่ยตอนนี้กลับหลับตาพริ้มให้อารมณ์โลดแล่นไปกับบทเพลง
    เสียงบทเพลงดั่งแว่วจนไม่รู้ที่ไปที่มา ทว่าบัดนี้เจ้าของเพลงกลับมาปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นดอกเหมยต้นใหญ่ ดวงตาเรียวคมมองคนที่หลับตาพริ้มบรรเลงเพลงของเขาด้วยความคิดถึง หลายเดือนมานี้เขาทุ้มเทให้กับราชกิจและเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็วหวังจะได้ตามหาหัวใจตัวเอง และไม่น่าเชื่อว่าลางสังหรณ์ว่าจิวชงหยวนจะอยู่แคว้นเยี่ยจะเป็นจริง บทเพลงในยามค่ำคืนนี้ทำให้เขาตามเสียงเรียกจนมาเจอคนที่รักและเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ ณ ที่แห่งนี้
    บทเพลงจบลงทว่าเจ้าตัวยังหลับตาพริ้ม ลู่เฟยเองก็มองนิ่งๆ และเหมือนจิวชงหยวนจะรู้สึกตัวว่าถูกมอง ใบหน้างดงามก้มลงมาจากกิ่งเหมยก่อนจะสะดุ้งตกใจเกือบจะตกจากกิ่งไม้หากไม่มีลู่เฟยพุ่งขึ้นมาประคองเอาไว้
    “ลู่เฟย” จิวชงหยวนเอ่ยเรียกชื่อคนที่กอดเอวตัวเองไว้แน่นด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง หัวใจที่สงบกลับเต้นระรัวอีกครั้ง ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อใบหน้าคมคายอยู่ใกล้แค่เอื้อม ดวงตาคมกริบที่มองมานั้นทอประกายด้วยความรักและความคิดถึง
    ดวงตาเรียวเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อลู่เฟยก้มลงมาจูบริมฝีปากอย่างแผ่วเบา จิวชงหยวนอ้าปากหมายจะประท้วงแต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ลู่เฟยเข้ามาสำรวจโพลงปากของเขาอย่างเอาแต่ใจ รสจูบที่หอมหวานละมุมละไมทำให้เขาเผลอตัวจูบตอบลู่เฟยอย่างลืมตัว ก่อนจะพลักร่างหนาออกห่างด้วยความตกใจเมื่อมือหนาลูบไล้บริเวณสะโพกเขาและมันทำให้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยอายที่ไปเผลอตัวปล่อยใจให้อีกฝ่าย
    “ข้าคิดถึงเจ้า” คำกล่าวที่หวานซึ้งยิ่งทำให้จิวชงหยวนอายมากขึ้น
    “ปล่อยได้แล้ว มาถึงก็ฉวยโอกาสลวนลามข้าเลยหรือไง” จิวชงหยวนบอกพร้อมจ้องเขม็งเมื่อมือหนายังเกาะเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
    “ก็ข้าคิดถึงเจ้านี่แค่รางวัลเล็กน้อยเอง” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มบาง ดวงตาคมมองคนหน้าแดงอย่างพึงพอใจ
    “เล็กน้อยบ้านเจ้านะสิ” จิวชงหยวนพึมพำอย่างหงุดหงิดมองค้อนคนฉวยโอกาสอย่างหมั่นไส้ ใช่ว่าเขาไม่เคยจูบใครแต่นี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาถูกผู้ชายจูบต่างหาก แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเขาถึงเต้นแรงเช่นนี้
    “เจ้าเองก็คิดถึงข้ามิใช่หรือ ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่บรรเลงเพลงนี้เรียกข้ามาหรอก” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มมั่นใจจนทำให้คนมองหมั่นไส้ แม้จะไม่ได้สว่างแต่แสงจากโคมไฟที่ประดับรอบโรงเตี๊ยมก็ทำให้เห็นภาพนั้นชัดเจน
    “อย่ามาขี้ตู่ ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
    “ข้ามาตามหาหัวใจข้า” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงหนักยิ่งกว่าเดิม ลู่เฟยหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะปล่อยร่างโปร่งบางให้เป็นอิสระ จากนั้นจึงขยับไปนั่งพิงกิ่งไม้ถัดไปซึ่งอยู่ต่ำกว่าจิวชงหยวนเล็กน้อย
    “บรรเลงเพลงให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่” ลู่เฟยเงยหน้ามามองและเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมนั้นสื่อความหมายว่ารักมาให้ แม้เจ้าตัวไม่ได้พูดแต่กลับฉายชัดในแววตา จิวชงหยวนมองตามอย่างลังเลเพราะตอนนี้อายจนอยากจะมุดดินหนีแต่เมื่อเห็นแววตาที่ส่งมาก็ปฏิเสธไม่ออก
    มือเรียวยกขลุ่ยหยกขึ้นมาบรรเลงเพลงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ได้เศร้าหมองแต่กลับเป็นเพลงที่หวานซึ้งคล้ายกับความรักที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานได้สมหวังและพบเจอแล้ว เสียงหวานละมุมดังก้องไปทั่วเมืองอีกครั้ง บรรยากาศในครั้งแรกนั้นเงียบเหงาวังเวง ทว่าบัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศสีชมพูอย่างไม่ได้ตั้งใจ
    บทเพลงจบลงอย่างงดงาม จิวชงหยวนมองคนที่เอาแขนหนุนหัวนอนกิ่งไม้ใหญ่หลับตาฟังเพลงเขาอย่างครุ่นคิด นิ้วเรียวเผลอยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัว ความหวานซาบซ่านยังติดอยู่ในใจ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหลงมัวเมาไปกับรสจูบของผู้ชายไปได้
    “ข้าจำเจ้าได้แล้วนะชงหยวน” เสียงเรียบที่กล่าวออกมาพร้อมสายตาคมที่ลืมตามองเขานิ่งๆ ทำให้ร่างโปร่งบางสะดุ้งปล่อยมือออกจากปากลงแทบไม่ทัน แต่ก็คงไม่ทันแล้วล่ะเมื่อดวงตาคมหรี่ตามองเขาแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
    “หืม หมายความว่าเจ้าจำเรื่องระหว่างข้ากับเจ้าได้หรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจพยายามตีสีหน้าให้นิ่งเข้าไว้เหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
    “วันแรกที่ข้าเจอเจ้า เจ้าตบหน้าตัวเองใช่หรือไม่” ลู่เฟยไม่ตอบคำถามแต่ถามคำถามกลับมา และมันทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงด้วยความอายเพราะตอนนั้นเขาคิดว่ามันเพียงความฝันจึงตบหน้าตัวเองเสียเต็มแรง กอปรกับเป็นช่วงจังหวะที่ลู่เฟยปรากฏตัวพอดี ใบหน้ายิ้มละไมที่พบเจอกันวันแรกดูก็รู้ว่าทุกอย่างนั้นเสแสร้งแกล้งทำ ทว่ายามนี้เจ้าตัวมาเป็นองค์ชายห้าที่มีความรู้สึกนึกคิดของความมนุษย์มากขึ้น แต่ไหนกลับหน้าด้านหน้าทนและชอบแอบลวนลามเขาเป็นประจำ
    “อืม ใช่” ตอบกลับด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อยเพราะทำขายหน้าตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ลู่เฟยยิ้มบางเมื่อนึกถึงความฝันที่เป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำ แม้จะจำได้ไม่หมดแต่ส่วนมากก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับจิวชงหยวนทั้งนั้น
    “เจ้าจำได้หมดแล้วหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจที่เห็นรอยยิ้มละไมบนใบหน้าคมคายเพราะปกติจะยิ้มเจ้าเล่ห์เสียมากกว่า
    “ยังหรอก ข้าคิดว่าเมื่อไรที่ข้ารักเจ้ามากขึ้น ความทรงจำข้าก็จะกลับคืนมาเอง แต่อีกทางหนึ่งที่ข้าคิดว่าน่าจะจำได้หมดคือเจ้าต้องรักข้าด้วย” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนมองคนพูดด้วยความอาย
    “เจ้าฝันไปเถอะ ไม่คุยกับเจ้าแล้ว” จิวชงหยวนบอกพร้อมทะยานหายไป ปล่อยให้ลู่เฟยนั่งยิ้มคนเดียวบนต้นไม้ใหญ่ข้างโรงเตี๊ยม จากนั้นร่างสูงจึงทะยานตามร่างโปร่งบางไปด้วย ในเมื่อเขามาตามหาหัวใจตัวเองเหตุใดต้องมานั่งเหงาคนเดียวเล่า อย่างไรคืนนี้ก็ขอให้นอนกอดด้วยความคิดถึงก่อนเถอะ

    เช้าวันนี้บรรยากาศรอบกายของจิวชงหยวนจะมาคุชอบกล เมื่อสองหนุ่มที่เพิ่งมาเจอกันกำลังส่งสายตาใส่กันเขม็งและเหมือนจะมีประกายไฟออกมา จนผู้คนภายในโรงเตี๊ยมมองตามอย่างหวาดระแวง ทว่าคนต้นปัญหาที่พาทั้งคู่มานั่งกินข้าวด้วยกันกลับนั่งกินข้าวหน้าตาเฉย ไม่ได้สนใจบรรยากาศมาคุในตอนนี้เลย
    “พวกเจ้าไม่กินข้าวกันหรือไง นั่งจ้องตากันเดี๋ยวก็ท้องหรอก” จิวชงหยวนเงยหน้ามองทั้งสองซึ่งนั่งจ้องตากันแล้วส่ายหน้าเอือมระอาเพราะมันเป็นมาตั้งแต่เช้าแล้ว เนื่องจากหย่งเจิ้นเข้ามาหาเขาเมื่อเช้าแล้วเห็นลู่เฟยนอนกับเขามาทั้งคืน เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น
    “ข้าไม่ได้พิศวาสเจ้านี่”  จิวชงหยวนมองทั้งคู่ที่ตอบหลับมาอย่างสมานสามัคคีกันดี แต่ทำไมสายตาถึงจะฆ่ากันอย่างนั้น ริมฝีปากยกยิ้มบางไม่รู้ว่าจะขำดีไหมที่ทั้งคู่มองเขาอย่างค้อนๆ ก่อนจะคีบเป็ดย่างให้ทั้งคู่อย่างเอาใจ
    “รีบกินเข้าไปเถอะข้าจะได้เดินทางต่อ อีกอย่างพวกเจ้าก็ต้องได้เจอกันทุกวันอยู่แล้วรักกันไว้ไม่ดีหรือไง”
    “ไม่มีทาง” จิวชงหยวนยิ้มบางเมื่อทั้งคู่ตอบกลับพร้อมกันอีกครั้ง และหลังจากที่บอกหย่งเจิ้นว่าเขาจะออกเดินทางต่อก็ขอติดตามไปด้วยทันทีเมื่อรู้ว่าลู่เฟยก็ร่วมเดินทางไปด้วย
    “แหม ท่าทางจะรักกันเนอะ” จิวชงหยวนกล่าวอย่างหยอกล้อ ทว่ากลับได้สายตาอำมหิตตอบกลับมา แต่แค่นี้เขาไม่สะทกสะท้านหรอก
    “ชงหยวนข้าไม่อยู่แค่สองเดือนไยถึงมีเจ้านี่ตามติดเช่นนี้” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงเย็น ดวงตาคมกริบจ้องมองศัตรูหัวใจที่กล้าท้าทายเขาด้วยความหงุดหงิด
    “ก็ข้าหล่อไง” จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมยักคิ้วให้อย่างท้าทายไม่ได้เดือนร้อนกับสายตาดุๆ นั้นเลยสักนิด ทว่าเมื่อสิ้นคำตอบของเขากลับได้สายตาเอือมระอาจากคนทั้งคู่ ดูสิ ก็เห็นเข้ากันดีจะตายจะทะเลาะกันไปทำไม
    หลังจากกินข้าวไปด้วยบรรยากาศมาคุเสร็จแล้ว จิวชงหยวนจึงหาซื้อข้าวของจำเป็นและตรวจดูสมุนไพรที่เหลือแต่ก็มีมากพอในการรักษา การเดินทางออกจากแคว้นเยี่ยในครั้งนี้เขามุ่งหน้าไปทางเหนือระหว่างทางผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ไปเรื่อย การเดินทางไม่ได้รีบร้อนโดยมีสองหนุ่มติดตามมาด้วย แม้ทั้งคู่จะไม่เถียงหรือโวยวายใส่กันแต่สายตากลับฟาดฟันกันตลอดเวลา
    “เจ้าไม่ปวดตากันบ้างหรือไง จ้องกันอยู่ได้” จิวชงหยวนหันไปถามทั้งคู่เสียงเรียบแต่กลับได้รับค้อนจากสองหนุ่ม นี่ตกลงเขาผิดใช่ไหม ตอนนี้หัวใจเขารู้สึกแปลกๆ ชอบกลการเดินทางที่มีสองหนุ่มตามจีบและเขาเป็นคนเสมอภาคก็เลยให้ลู่เฟยตามจีบได้เช่นเดียวกับหย่งเจิ้น ตอนแรกลู่เฟยแทบจะพ้นไฟใส่เขาเพราะถือสิทธิ์ว่าเขาเป็นชายาตนเอง แต่เมื่อเห็นสายตาเรียบนิ่งของเขาที่มองกลับไปเป็นคำตอบทำให้ได้แต่ฮึดฮัดในใจ
    แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าใจเขาเองว่าลู่เฟยชนะหย่งเจิ้นมานั่งอยู่ภายในใจเขาไปกว่าสองห้องแล้ว แต่เรื่องอะไรเขาจะบอกให้เจ้าตัวได้ใจ ดูคนหึงใส่แบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ และอีกอย่างไม่รู้ทำไมเขาชอบให้ลู่เฟยหึงใส่ สงสัยเขาจะโรคจิตไปแล้วกระมั้ง
    ทั้งสามเดินทางจนมาถึงเมืองเล็กทางเหนือของแคว้นเว่ยซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่อากาศหนาวเหน็บกลับไม่สะเทือนผิวหนังของทั้งสามแม้แต่น้อย จิวชงหยวนแวะพักหมู่บ้านเล็กๆ พร้อมตั้งโต๊ะรักษาชาวบ้านไปตามอัธยาศัย แม้คราแรกชาวบ้านจะไม่กล้ามารักษาเพราะบรรยากาศมาคุจากสองหนุ่มผู้ติดตามจนจิวชงหยวนต้องไล่ให้ไปไกลๆ ทว่าสองหนุ่มไม่เห็นด้วยจึงยอมสงบศึกกันชั่วคราว
    “ท่านป้าไอเรื้อรังมานานแล้วเพราะอากาศหนาว ต้องห่มผ้าหนาๆ นะขอรับ นี่ยาต้มกินสามเวลาหลังอาหารหนึ่งสัปดาห์ก็หายแล้วขอรับ” จิวชงหยวนบอกคนป่วยที่เข้าแถวรักษาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ยื่นหอยาที่จัดเตรียมไว้ให้ตามความเหมาะสมกับโรคที่เป็น
    “ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ” นางบอกด้วยรอยยิ้มดีใจรับห่อยาแล้วเดินจากไปเหมือนคนอื่นๆ เพราะเขาไม่ได้คิดเงิน นอกเสียจากบางคนจะมีเบี้ยมาให้เป็นการขอบคุณแม้จะเล็กน้อยแต่ก็เป็นน้ำใจที่พวกเขาตั้งใจมอบให้ จิวชงหยวนยิ้มรับและตรวจรักษาคนไข้รายต่อไป และครั้งนี้กลับเป็นเด็กน้อยขอทานสกปรกมอมแมม
    “ท่านหมอแม่ข้าไม่สบายท่านหมอช่วยไปรักษาแม่ข้าได้หรือไม่ขอรับ” เสียงเล็กใสของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบปีดังขึ้นเบื้องหน้า จิวชงหยวนยิ้มบาง
    “ได้สิ แม่เจ้าอยู่ที่ใดเด็กน้อย”
    “ตามข้ามาขอรับท่านหมอ” เด็กน้อยบอกด้วยรอยยิ้มดีใจ ดวงตาสดใสยิ่งกว่าเดิม จิวชงหยวนมองคนไข้ที่เหลืออีกนิดหน่อยอย่างลังเล ก่อนจะหันไปบอกเด็กน้อยขอทานด้วยรอยยิ้มบาง
    “เด็กน้อยเดี๋ยวให้ข้าตรวจท่านลุกท่านป้าที่เหลือสามท่านนั้นก่อนนะ ส่วนเจ้ามานั่งนี่ก่อน” บอกพร้อมลุกขึ้นพาร่างน้อยมานั่งเก้าอี้ที่ยืมมาจากผู้นำหมู่บ้านให้เด็กน้อยนั่งพร้อมหมั่นโถวสองลูก ซึ่งเด็กน้อยเองก็มองอย่างลังเล เก็บหมั่นโถวไว้ในอกเสื้ออย่างหวงแหน จิวชงหยวนจึงรีบมารักษาคนไข้ที่เหลือ เพื่อเด็กน้อยจะได้ไม่ต้องรอนาน
    “ท่านลุงปวดหัวมานานเท่าไรแล้วขอรับ” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเครียดเมื่อรับรู้ความผิดปกติของสมองและศีรษะของลุงท่านนี้ใหญ่ขึ้นตามขนาดของเนื้องอก
    “หนึ่งปีแล้วท่านหมอ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย
    “ท่านลุงลองกินยาตัวนี้ดูนะขอรับ กินเช้าเย็นมื้อละเม็ด อีกหนึ่งเดือนข้าจะกลับมาดูท่านลุงอีกครั้ง
    “ขอบคุณมากขอรับท่านหมอ ข้าเหมาเฉินบ้านอยู่ท้ายหมู่บ้านขอรับ” ท่านลุงบอกด้วยรอยยิ้มยินดีหวังจะหายจากโรคที่เป็นอยู่ จิวชงหยวนยิ้มรับอย่างอ่อนโยน
    “ข้าจิวชงหยวนขอรับท่านลุง เดี๋ยวข้าจะกลับมาดูอาการท่านอีกครั้งแค่ยาลืมกินยาตามที่สั่งก็พอขอรับ”
    ลู่เฟยกับหย่งเจิ้นยืนมองจิวชงหยวนเงียบๆ การรักษาและคำพูดที่อ่อนโยนอีกทั้งรอยยิ้มที่งดงามทำให้พวกเขาไม่อาจละสายตาออกไปได้ การรักษาพร้อมกับความคล่องแคล่ว อีกทั้งไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อยของร่างโปร่งบางยิ่งดูมีเสน่ห์จนติดตราตรึงใจ
    ลู่เฟยเมื่อเห็นศัตรูหัวใจที่ยืนคุมอยู่ข้างๆ ยิ่งพาลให้หงุดหงิดใจ แต่เพื่อคนที่รักจึงพยายามข่มความอยากฆ่าคนออกจากใจและดูเหมือนหย่งเจิ้นเองก็มีความคิดไม่ต่างไปจากตน
    จิวชงหยวนรักษาอาการที่เหลือหมดแล้วจึงลุกขึ้นเดินมาหาเด็กน้อยซึ่งนั่งรออยู่ไม่ห่าง สายตาเหลือบมองสองหนุ่มที่แผ่ไอเย็นออกมาจากตัวอย่างไม่ตั้งใจแล้วยกยิ้มที่มุมปากอย่างขบขัน
    “เด็กน้อยไปหาแม่เจ้ากัน” จิวชงหยวนยื่นมือไปฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้น ก่อนจะถือถุงย่ามเดินจูงมือเด็กน้อยไปยังที่อยู่ของคนป่วย ทว่ามือหนาของลู่เฟยรั้งแขนเอาไว้และรับถุงย่ามมาถือเอง จิวชงหยวนส่งรอยยิ้มบางมาให้ ลู่เฟยเสหน้าหันไปทางอื่นทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำด้วยความเก้อเขินเพราะไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน
    หย่งเจิ้นมองตามทั้งคู่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พร้อมยื่นถุงหนังที่บรรจุน้ำส่งให้ร่างโปร่งบางแล้วบอกเสียงเรียบ
    “เจ้าคงเหนื่อยดื่มน้ำก่อนเถอะ” จิวชงหยวนเหลือบมองหย่งเจิ้นแล้วยิ้มรับมือเรียวยกน้ำดื่มด้วยความกระหายทำให้น้ำไหลออกมาจากมุมปากจนเปียกชุ่มมาถึงลำคอระหง สองหนุ่มมองตามแล้วแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนยั่วอย่างไรอย่างนั้น
    “ขอบคุณ”
     จิวชงหยวนผู้ยังไม่รู้ว่า กำลังยั่วสองหนุ่มอย่างไม่รู้ตัวยกมือซ้ายปาดน้ำมุมปากพร้อมยื่นถุงน้ำคืนเจ้าของ ก่อนจะเดินตามร่างเล็กไปเรื่อยๆ ปล่อยให้สองหนุ่มที่ไม่รู้ว่าอึ้งอะไรกันยืนอยู่ที่เดิม
    สองหนุ่มหันมาสบตากันพร้อมประกายไฟเปรี๊ยะๆ อีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้นจึงรีบจ้ำอ้าวเดินตามร่างโปร่งบางด้วยความมุ่งมั่น และต่างก็มีความคิดเดียวกันว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้หัวใจของจิวชงหยวนให้ได้!


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 26 การเดินทางของหมอจิว... (จบเล่ม1)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 30-08-2015 18:18:06
บทที่ 26
การเดินทางของหมอจิว...
    

         จิวชงหยวนเดินตามเด็กน้อยจนออกนอกหมู่บ้านเดินลัดเลาะไปตามลำธารจนกระทั่งไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้หวาดระแวงอะไรเพราะกลิ่นไอรอบกายไม่มีจิตสังหารหรือคนอื่นๆ อยู่รอบบริเวณนั้น เด็กน้อยวิ่งเข้าไปในถ้ำเขาจึงก้าวเท้าเร็วมากขึ้น โดยที่ลู่เฟยกับหย่งเจิ้นก็เดินตามมาติดๆ ทว่ากิริยาของทั้งคู่ระวังตัวแจจนอดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อทั้งคู่แม้จะยืนห่างกันแต่ก็ดูออกว่าคอยป้องกันภัยให้เขาไปด้วย ดูแล้วก็เหมือนจะเข้ากันดีหากไม่นับสายตาที่มีประกายไฟออกมาทั้งคู่
    จิวชงหยวนเดินเข้ามาในถ้ำที่อยู่ลึกเข้ามาก่อนจะสะดุดกับร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่นอนโทรมอยู่เตียงไม้เก่า
    “นี่ท่านแม่ข้าขอรับท่านหมอโปรดช่วยแม่ข้าด้วยขอรับ” ดวงตาใสคลอไปด้วยน้ำตาปีนขึ้นไปนั่งกอดแม่ด้วยความรัก เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ไม่ได้จิวชงหยวนพยายามส่งรอยยิ้มอ่อนโยนไปให้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวผู้นั้นที่อายุไม่น่าเกินสามสิบปี นางลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรงทว่าดวงตาที่พร่ามัวทำให้รู้ว่านางตาบอด
    “แม่เจ้าตาบอดหรือเด็กน้อย” หย่งเจิ้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวงใย เด็กน้อยหันมามองแล้วส่ายหน้ารัว
    “แม่ข้าไม่ได้ตาบอดขอรับ แม่ข้าแค่มองไม่เห็น” คำตอบที่ได้รับทำให้หย่งเจิ้นอึ้งไปพักใหญ่ และมันทำให้จิวชงหยวนยิ้มขำเพราะการมองไม่เห็นกับการตาบอดมันก็อันเดียวกันไม่ใช่หรือ ส่วนลู่เฟยยกยิ้มร้ายอย่างชอบใจที่เด็กน้อยทำให้ศัตรูหัวใจอึ้งไปพักใหญ่
    “พวกท่านเป็นใคร” เสียงแหบแห้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว สองมือกอดร่างลูกน้อยเอาไว้ ใบหน้าที่ยังคงความงดงามหันซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง
    “ข้าเป็นหมอผ่านมารักษาคนในหมู่บ้านใกล้ๆ นี้ แต่เด็กน้อยได้ตามข้ามาช่วยรักษาแม่นาง  แม่นางโปรดวางใจ” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแม้คนที่มองไม่เห็นแต่ก็สัมผัสถึงความอ่อนโยนที่ส่งมาให้ได้
    “ขอบคุณท่านหมอที่มาช่วยรักษาข้า แต่ข้าไม่มีเงินทองให้ท่านหรอก” นางบอกด้วยน้ำเสียงสลด จิวชงหยวนยิ้มบางแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนเดิมจนคนฟังรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
    “แม่นางโปรดวางใจ ข้าช่วยเหลือผู้คนไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน”
    “ประเสริฐแท้ นับว่าข้ามีวาสนาที่จะได้พบคนดีเช่นท่าน แต่ข้านั้นวาสนามีน้อยคงยากต่อการรักษา ดวงตาของข้าโดนพิษร้ายเกินจะเยียวยาเจ้าค่ะ” จิวชงหยวนมองคนพูดที่กิริยานั้นดูงดงามแม้จะไม่เรี่ยวแรงและร่างกายซูบผอมก็ตามแต่ก็บ่งบอกได้ว่าคนผู้นี้คงเป็นผู้ดีตกยากกระมั้ง
    “มันคงไม่ยากเกินกำลังของข้าหรอกแม่นางวันนี้ได้พบเจอนับว่ามีวาสนา ขอให้ข้าได้รักษามาแม่นางเถิด” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบาง
    “ต้องรบกวนท่านแล้ว” แม่นางตอบรับจิวชงหยวนจึงเดินเข้าไปใกล้ ลู่เฟยและหย่งเจิ้นเฝ้ามองด้วยรอยยิ้มเพราะบรรยากาศรอบกายของจิวชงหยวนเวลานี้ชวนให้อบอุ่นและวางใจ
    จิวชงหยวนจับข้อมือนางอย่างแผ่วเบาก่อนจะส่งลมปราณเข้าไปตรวจสอบภายในของร่างกายช้าๆ โดยที่เจ้าของร่างไม่รู้สึกตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปภายใน คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเพราะไม่รู้สึกว่าช่วงนี้เขาจะเจอพิษแปลกๆ เข้าเสียแล้ว ใช้เวลาไปกว่าครึ่งก้านธูปกว่าสรุปได้ว่าคนตรงหน้าโดนพิษอะไร
    “แม่นางท่านมีความเกี่ยวข้องใดกับเผ่ามาโกหรือไม่”
    “เปล่าเจ้าค่ะท่านหมอ” เสียงที่ตอบรับทำให้จิวชงหยวนมองอย่างพิจารณาอีกครั้ง หากไม่ใช่คนเผ่ามาโกที่เป็นพื้นเพของดอกกระดิ่งคนตาย หรือเรียกอีกอย่างว่าถุงมือจิ้งจอกซึ่งเป็นส่วนผสมของพิษชนิดนี้และยังมีดอกปรงสาคูเพิ่มไปอีกชนิดนับว่าคนผู้นั้นต้องการสังหารอย่างทรมาร
    “แม่นางท่านโดนพิษเพชฌฆาตสีทอง พิษนี้นับร้ายแรงไม่น้อยคนที่ทำร้ายแม่นางย่อมมีความแค้นต่อกันถึงหมายจะเอาชีวิตและให้ตายอย่างทรมาร” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเช่นเคย ทว่าคนฟังกลับตัวแข็งทื่อร่างกายสั่นสะท้าน ก่อนจะรนรานจับมือเขาเขย่ามามาพร้อมร้องขออย่างน่าสงสาร
    “ท่านหมอโปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ” จิวชงหยวนมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา ความจริงเขาช่วยชีวิตผู้คนไม่ได้คิดอะไรมาก ช่วยได้เท่าที่ทำได้แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้รางสังหรณ์ว่าเขาจะเจอเรื่องยุ่งยากอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเมื่อเห็นสายตาเว้าวอนน้ำตาคลอหน้าของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบทำให้ใจอ่อนก่อนจะบอกเสียงแผ่วเบา
    “ข้าจะช่วยแม่นางเองโปรดวางใจเถิด” นางยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้ง จิวชงหยวนยื่นมือไปขอถุงย่ามจากลู่เฟยซึ่งเป็นผู้ติดตามที่ดีกว่าที่คาดไว้ รอยยิ้มอ่อนโยนและแววตาที่หวานละมุนที่ส่งมาให้เขาหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน จนหย่งเจิ้นกระแอ้มกระไอขัดสายตาหวานๆ ของลู่เฟยที่ส่งมา ซึ่งเจ้าเพียงแค่ยักคิ้วให้อย่างท้าท้าย
    กิริยาของทั้งคู่ทำให้จิวชงหยวนอดยิ้มขำไม่ได้ ที่เขาตัดสินใจให้จีบพร้อมกันแบบนี้เพราะเขาอยากรู้ว่าระหว่างหย่งเจิ้นกับลู่เฟยเขารู้สึกเช่นไรกันแน่และความรู้สึกจะเหมือนกันหรือเปล่า เขาไม่ใช่คนหลายใจเพียงแต่หากตกลงรับรักคนใดคนหนึ่งไปอย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า กว่าจะรักกันได้นั้นมันมีค่ามากแค่ไหน ไหนต้องผ่านอุปสรรค์ไปด้วยกันอีก เพราะฉะนั้นวิธีนี้จึงดีที่สุดในความคิดเขาในเวลานี้
    จิวชงหยวนหยิบยาสมุนไพรชนิดพิเศษมาบดขยี้ โดยให้แม่นางนอนราบกับเตียงไม้เก่าๆ จากนั้นจึงวางสมุนไพรไว้บนเปลือกตานางเพื่อให้ดูดซึมพิษจากดวงตา ซึ่งต้องใช้วีธีการรักษาละเอียดอ่อนกว่าร่างกาย และมีหย่งเจิ้นตั้งไฟต้มยาจากหม้อดินเล็กๆ ที่มีติดอยู่ในถ้ำแห่งนี้เพราะลู่เฟยก่อไฟไม่เป็นเพราะเป็นถึงองค์ชายที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในรั่วในวัง และตอนเป็นเทพเขาก็ไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้ถึงจะคอยช่วยเขาก็ใช้อิทธิฤทธิ์เสียส่วนใหญ่
    จิวชงหยวนใช้เวลารักษาไปกว่าหนึ่งชั่วยามจนอาการของนางดีขึ้น ดวงตาสองข้าลืมขึ้นและมองภาพทุกอย่างได้ชัดเจน ใบหน้างดงามยิ้มกว้างอย่างยินดีสองมือกอบกุมใบหน้าตัวเองด้วยความตื่นเต้น
    “ท่านแม่ ท่านมองเห็นข้าแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” เด็กน้อยเอ่ยถามมารดาด้วยความตื่นเต้นดวงตาประกายความสดใสมากขึ้น นางพยักหน้ายิ้มรับพร้อมอ้าแขนกอดร่างเด็กน้อยอย่างรักและหวงแหน
    “ท่านหมอข้าเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว” นางหันมาบอกด้วยรอยยิ้มปลื้มยินดีกับการมองเห็นอีกครั้ง จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะยื่นสมุนไพรที่หย่งเจิ้นช่วยต้มมายื่นให้เพื่อดื่มขับไล่พิษอีกครั้ง แม้จะเป็นพิษหายากแต่เขาก็ไม่ได้ใช้ยาวิเศษรักษาแค่ยาแก้พิษธรรมดาแต่สำหรับเขาปรุงแต่งขึ้นเองมันย่อมมีคุณภาพมากกว่าปกติอยู่แล้ว
    “ข้าช่วยเท่าที่ช่วยได้ อย่าได้ถือเป็นบุญคุณเลย” จิวชงหยวนบอกเสียงนุ่มทุ้ม ทว่านางกลับคุกเขาก้มหัวทำความเคารพด้วยความซาบซึ้งใจ ทว่าในใจเขาไม่ได้ยินดีที่นางทำเช่นนี้เลบย แต่เมื่อยิ่งพูด็เหมือนจะไม่มีประโยชน์แล้วแต่นางจะทำเถอะ
    “ข้าผิงเออร์ ขอบคุณท่านหมอและพวกท่านทั้งสองที่ช่วยเหลือข้ากับลูกชาย” จิวชงหยวนไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ยื่นห่อยาที่นางต้องใช้ต้มระหว่างหนึ่งสัปดาห์ไว้ให้
    “นี่ยาที่เจ้าต้องต้มกินเอง ข้าคงต้องไปแล้วขอให้เจ้าโชคดี” จิวชงหยวนบอกพร้อมวางห่อยาไว้ที่โต๊ะพร้อมลูบหัวเด็กน้อยก่อนจะเดินออกจากถ้ำไป ปล่อยให้สองแม่ลูกมองตามอย่างเงียบๆ
    “มีบางอย่างผิดปกติหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นจิวชงหยวนรีบเดินทางโดยใช้ลมปราณทะยานจากไปโยที่ทั้งสองเองก็ตามมาติดๆ เช่นกัน
    “ไม่รู้สิ ข้าเชื่อในลางสังหรณ์ของข้า แต่ตอนนี้เรารีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” บอกทั้งคู่ก่อนจะเร่งฝีเท้าทะยานจากไป เหมือนกับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไม่เคยมีหมอเทวดาจิวชงหยวนปรากฏมาก่อน
    ห่างไกลมานับร้อยลี้ที่ทั้งสามใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานออกจากหมู่บ้านแห่งนั้น   จนกระทั่งมาถึงเมืองขนาดกลางของแคว้นเว่ยทั้งสามคนจึงกลับมาเดินตามปกติอีกครั้ง เวลานี้บ่ายมากแล้วในมือของทั้งสามคนมีแอปเปิ้ลคนละลูกที่กัดกินระหว่างทาง การกินที่ไม่ต้องเรื่องมากแต่ขอแค่ให้ปะทังชีวิตไปได้ ทำให้จิวชงหยวนลอบมองตามลู่เฟยกับหย่งเจิ้นเสมอแม้เขาจะเป็นไม่สนใจแต่ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกต
    “แม่นางผิงเออร์มีอะไรผิดปกติหรือ” หย่งเจิ้นเอ่ยถามระหว่างเดินเข้าไปในตัวเมืองที่การค้าขายและเสียงร้องเรียกลูกค้าแข่งกันอย่างครึกครื้น    
    “ไม่รู้สิ ข้าแค่รู้สึกไม่ดีเหมือนกับนางเป็นตัวล่อให้หมอเทวดาจิวชงหยวนออกมา แต่นั่นเป็นความรู้สึกของข้า แต่ข้าไม่อยากประมาทเลยเพ่นออกมาก่อน” จิวชงหยวนหันไปบอกหย่งเจิ้นที่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะเดินเข้าไปตลาดด้วยความตื้นเต้น แม้จะเจอตลาดทุกเมืองที่เดินทางทว่าแต่ละที่มีความแตกต่างกันไป โดยมีสองหนุ่มเดินประกบคู่อย่างน่าขบขัน
    “อากาศก็ร้อน พวกเจ้าจะมาเดินใกล้ข้าทำไม” จิวชงหยวนเหลือบตามองทั้งคู่แล้วเลิกคิ้วถาม
    “ข้านอนกอดเจ้า เจ้าไม่เห็นบ่นว่าร้อนเลย เดินใกล้แค่นี้ทำเป็นบ่น” ลู่เฟยว่าให้อย่างงอนๆ ทว่าคนที่ดวงตาเบิกกว้างกลับเป็นหย่งเจิ้น
    “หมายความว่าไงชงหยวน ไหนบอกว่าเจ้านี่จีบเจ้าเหมือนกับข้า แล้วทำไมเจ้านี่ได้นอนกับเจ้าล่ะ เจ้ามันลำเอียง” จิวชงหยวนกระพริบตาปริบๆ มองหย่งเจิ้นที่มองเขาด้วยความหงุดหงิดและมองลู่เฟยอย่างเชือดเฉือน เขายกมือมาลูบหัวตัวเองโดยไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเพราะลู่เฟยเองก็ปกปิดฐานะตัวเองด้วยจะบอกว่าเป็นชายาก็คงไม่ดี
    “อ่ะ นั่นพุทราเชื่อมนี่” บอกพร้อมวิ่งแจ้นไปหาร้านพุทราเชื่อม นั่นจึงทำให้บรรยากาศอึมครึมเริ่มหายไปจิวชงหยวนลอบหายใจอย่างโล่งอก สองมือซื้อพุทราเชื่อยื่นให้ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มซึ่งทั้งสองคนก็รับมาพร้อมเสหน้าหันไปทางอื่นด้วยความอาย
    จิวชงหยวนยกยิ้มบางเมื่อทุกอย่างเริ่มผ่านไปด้วยดี หากพวกเขาคิดกับเขาแค่เพื่อนคงจะสบายใจมากกว่านี้ บางทีเขาก็ลำบากใจเหมือนกัน ตอนที่อยู่กับลู่เฟยหัวใจเขาเต้นแรงขึ้น ทว่าเมื่ออยู่กับหย่งเจิ้นกลับรู้สึกคล้ายอยู่กับเพื่อนคู่ใจเสียมากกว่า นั่นเริ่มทำให้เขารู้ว่าหลงไปชอบลู่เฟยนเข้าให้แล้ว แล้วแบบนี้หย่งเจิ้นจะรู้สึกอย่างไร เขาไม่ควรให้ความหวังใช่ไหม หรือว่าเว้นระยะห่างดี
    จิวชงหยวนเดินกินพุทราเชื่อมพร้อมครุ่นคิดกับปัญหาหนักอกตัวเองมาเรื่อยจนมาสะดุดกับร้านยาที่มีคนเดินเข้าออกมากมาย ร่างโปร่งบางหยุดชะงักก่อนจะกินพุทราเชื่อมเม็ดสุดท้ายแล้วเดินเข้าไปในโรงยาด้วยความสนใจ โดยที่สองหนุ่มตามมาเงียบๆ สมกับเป็นคนไม่ค่อยพูดนั่นแหละ
    “คุณชายรับอะไรดีขอรับ” ชายวัยกลางคนออกมาต้อนรับและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มออนโยน จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
    “ท่านลุงเป็นหมอหรือขอรับ”
    “เปล่าหรอกคุณชาย ข้าเป็นแค่ผู้ช่วยของท่านหมอเทวดาจิวชงหยวน” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนติดสตั้นไปสามวิ ก่อนจะหันไปหาสองหนุ่มที่ยกยิ้มบางเหมือนกลับว่ารู้อยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นหมอร่วมมาเกือบห้าเดือนเพิ่งจะได้รู้จักหมอจิวชงหยวนตัวปลอมก็คราวนี้แหละ น่าจะสนุกดีพิลึกแฮะ
    “เช่นนั้นหรือขอรับท่านลุง ข้าเลื่อมใส่ท่านหมอจิวชงหยวนมานานจนอยากพบเจอ ข้าไม่สบายมาตั้งแต่เด็กทำให้ผิวซีดขาวและไม่แข็งแรง ท่านพอจะพาข้าไปหาท่านหมอเทวดาผู้นี้ได้หรือไม่ขอรับ”
    “เอ่อ...คือ...” และก่อนที่ลุงคนนั้นจะพูดไม่ออกต่อไป ลู่เฟยก็ยื่นเงินหนึ่งตำลึงมาให้ ซึ่งตาลุงแก่ฉีกยิ้มโค้งหัวพร้อมบอกด้วยความดีใจ
    “ท่านหมอเทวดาต้องดีใจมากขอรับที่ได้รักษาคุณชาย เชิญทางนี้ขอรับ” บอกพร้อมเชิญเข้าไปด้านในโรงยาซึ่งมีห้องรับแขกและบ้านพักอยู่ด้านในแม้จะไม่ใหญ่มากแต่ก็พออยู่สบาย
    “พวกท่านนั่งรออยู่ที่นี่สักครู่นะขอรับ ข้าจะเรียนท่านหมอเทวดาให้” จิวชงหยวนพยักหน้ารับและส่งรอยยิ้มบางไปให้ เก้าอี้รับแขกพร้อมชาดื่มพร้อมทว่ากลับไม่มีใครคิดแตะต้อง
    “สนุกไหมได้เจอคนชื่อเหมือนตัวเอง” หย่งเจิ้นซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขำ ส่วนลู่เฟยเดินสำรวจรอบห้องรับแขกเหมือนจะหาสิ่งผิดปกติ
    “จุ๊ๆ ตอนนี้ข้าชื่อลู่ห่านเป็นคุณชายขี้โรค” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าดวงตากลับประกายเจ้าเล่ห์ ลู่เฟยหันมามองคนเปลี่ยนชื่อตัวเองแล้วยิ้มขำ ทว่าหย่งเจิ้นกับสะบัดหน้าหนีด้วยความงอนเพราะคิดว่าคนตรงหน้าไปใช้แซ่ของลู่เฟย แต่จริงๆ  ลู่เฟยชื่อเต็มว่าลั่วลู่เฟยต่างหาก จิวชงหยวนมองคนงอนแต่ไม่มีคนง้ออย่างปลงๆ เพราะไม่อยากให้ความหวังเลยต้องทิ้งระยะห่างไว้บ้าง แม้จะรู้สึกในใจบ้างก็ตาม
    “คุณชาย ท่านหมอเชิญทางนี้ขอรับ” ตาลุงคนนั้นกลับมาอีกครั้งพร้อมพาไปอีกห้องหนึ่งซึ่งมีฉากกั้นปกปิดไว้จนไม่อาจเห็นใบหน้าของหมอเทวดาจิวชงหยวนตัวปลอมเลย นอกจากรูปร่างที่เป็นเงาให้พอรู้ว่าเป็นชายร่างสูงโปร่งนี่งเอนหมอนพิงใบใหญ่ชันเข่าขึ้นอย่างสบายอารมณ์ ตกลงเขามาหาหมอรักษาหรือว่ามาหาหมอดูดวงกันแน่ รู้สึกแปลกๆ แฮะ
    “เด็กน้อยเจ้าช่างน่าสงสารนักที่อายุยังน้อยแต่กลับขี้โรคมาตั้งแต่เกิด ปกติข้าไปมาไร้ร่องรอยแต่ข้ามาพักผ่อนที่นี่ระหว่างทาง นับว่าเรามีวาสนาต่อกันถึงได้พบเจอ” น้ำเสียงยานคางและการเดามั่วของคนหลังฉากกั้นทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุกยิกๆ เหลือบมองสองหนุ่มที่นั่งนิ่งดวงตาจ้องฉากกั้นเหมือนจะให้ทะลุไปถึงร่างที่อยู่ข้างหลัง
    “ท่านหมอช่างเก่งกาจยิ่งนักขอรับ แม้ยังไม่ได้ตรวจอาการข้าแต่กลับรู้ได้อย่างถ่องแท้” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยเสียงนับถือคนตรงหน้า การสวมหน้ากากมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเพราะช่วงที่เป็นหมอเขาต้องปั้นหน้าพูดคุยกับคนไข้จนชินชาไปแล้ว และยังมาได้ประสบการณ์น่าตื่นเต้นในวังหลวงระหว่างรับจ๊อบเป็นชายานั่นอีกแค่นี้ถือว่าชิวๆ
    “ขั้นตอนการรักษานั้นละเอียดอ่อนเพราะเจ้าเป็นโรคร้ายแต่กำเนิด เจ้าให้สหายเจ้าออกไปรอข้างนอกเถอะ ข้าไม่อยากให้ใครมาทำลายสมาธิของข้า” น้ำเสียงเนิบนาบกล่าวออกมาจากฉากกั้น จิวชงหยวนเหลือบตามองทั้งคู่ก่อนจะพยักหน้าให้ออกไป ลู่เฟยมองนิ่งๆ ก่อนจะเดินตามหย่งเจิ้นออกไป
    เพียงพ้นหลังของลู่เฟยและหย่งเจิ้นไปกลิ่นไอกำยานบางชนิดแผ่ออกมาแม้จะเบาบางแต่คนจมูกดีและอยู่กับสมุนไพรมานานย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังโดนดีเสียแล้ว ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงล้มตัวลงและแกล้งหลับไปตามยาสลบที่ปล่อยออกมา แม้ยาจะไม่เป็นผลกับเขาก็ตามเนื่องจากพลังภายในของเขาแข็งแกร่งจนขับสิ่งแปลกปลอมออกมาได้
    ชายหนุ่มที่อยู่หลังฉากกั้นก้าวออกมาด้วยยิ้มกริ่ม มองร่างโปร่งบางผิวขาวซีดอย่างพึงพอใจ ก่อนจะย่อตัวอุ้มร่างนั้นหายเข้าไปอีกห้องหนึ่งและเดินไปยังห้องใต้ดินซึ่งมีคบไฟจุดส่องแสงสว่างไว้ตลอดเส้นทาง ชายหนุ่มวางร่างโปร่งบางบนเตียงไม่แข็งๆ พร้อมใส่โซ่พันข้อมือของร่างโปร่งบางที่หน้าตางดงามเอาไว้ มือหยาบด้านลูบไล้ใบหน้าเรียบเบาๆ อย่างหลงใหล ทว่าห่างออกไปกลับมีหญิงสาวหน้าตางดงามถูกตรึงเอาไว้อย่างน่าเวทนา และถัดไปกลับมีเพียงโครงกระดูกหลายหลายวางกองอยู่
    “ข้าเสียดายความงามของเจ้านัก แล้วข้าจะเล่นกับเจ้านานๆ แล้วกัน” เสียงยานคางบอกอย่างเฉื่อยชาทว่าดวงตากลับมองร่างโปร่งบางอย่างกระหาย ก่อนจะสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อคนตรงหน้าแทนที่จะหลับยาวกว่านี้กลับลืมตาขึ้นมามองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ได้มีความหวาดกลัวในดวงตาแม้แต่น้อย
    “เจ้าทำเช่นนี้ทำไม” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ เมื่ออดทนนอนนิ่งให้อีกฝ่ายลวนลามใบหน้าตัวเองไม่ไหว สองมือถูกตรึงด้วยโซ่เส้นใหญ่แต่ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว
    “เจ้าตื่นเร็วกว่าที่คิด หรือว่า...” เสียงที่เอ่ยถามเริ่มเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาโรคจิตมองสำรวจร่างเขาอย่างถี่ถ้วนแล้วแสยะยิ้มอย่างน่าสยดสยอง
    “ช่างน่าสนใจ เจ้าเป็นใครกันแน่เด็กน้อย” จิวชงหยวนมองคนที่เรียกเขาว่าเด็กน้อยแล้วเลิกคิ้วอย่างฉงนเพราะเจ้าตัวอายุไม่น่าเกินยี่สิบเจ็ดเสียด้วยซ้ำไป แต่อย่างว่าจะเอาอะไรกับโรคจิต เขากระซากข้อมือทั้งสองออกจากพันธนาการโซ่เส้นใหญ่ที่นับว่าแข็งแกร่งไม่น้อยกลับขาดออกอย่างง่ายดาย ทำให้เจ้าโรคจิตนั่นถอยห่างออกไปเล็กน้อย
    จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนมองอีกฝ่ายนิ่งๆ แม้ที่นี่บรรยากาศจะชวนอึดอัดแต่เขายังไม่มีเวลาสำรวจเพราะศัตรูตรงหน้าถึงแม้จะโรคจิตแต่นับว่าวรยุทธแข็งแกร่งไม่น้อย
    “เจ้าทำให้ข้าตื่นเต้น” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนที่ยกยิ้มมองเขาอย่างน่าขนลุก ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็คงต้องใช้กำลังอย่างเดียวสินะ จิวชงหยวนเรียกกำไลเปลี่ยนเป็นกระบี่ทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิดและเหมือนเจ้าโรคจิตนี่จะตาวาวด้วยความสนใจ
    ร่างสูงพุ่งเข้ามาหาพร้อมกงเล็บเหยี่ยวราตรีด้วยความเร็ว เข้าพลิ้วกายเอนหลบด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเสียงแหวกอากาศดังไปมาบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายวรยุทธล้ำเลิศไม่น้อย
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    กระบี่โชคชะตาปะทะเข้ากับกรงเล็บที่ยื่นยาวออกมาของอีกฝ่ายเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟ ที่ปลายเล็บกลับเคลือบด้วยพิษชนิดร้ายแรง หากเป็นคนอื่นต้องมาคอยระวังเรื่องพิษอีกแน่ ดีแต่ว่าร่างกายเขาต้านพิษได้ไม่เช่นนั้นคงได้ตกเป็นเหยื่ออันโอซะของเจ้าโรคจิตนี่แน่ๆ
    เปรี๊ยะ!
    เสียงการปะทะที่รวดเร็วดุดันระหว่างกระบี่และกงเล็บดังไปทั่วห้อง ดวงตาของศัตรูตรงหน้าเริ่มแดงฉานจนน่าตกใจ พร้อมแรงที่เพิ่มมากขึ้นจนร่างโปร่งบางต้องถอยหลังมาสามก้าว มองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา
    “บ้าฝึกวิชาจนจิตมารเข้าแทรกหรือ” จิวชงหยวนพึมพำกับตัวเองเบาๆ มองการเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าที่เหมือนจะบ้าคลั่งมากขึ้น
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    สองร่างปะทะด้วยความเร็ว รุนแรง ดุเดือดจนพื้นห้องวสั่นสะเทือนและพื้นที่นี้เป็นพื้นที่คับแคบของห้องใต้ดินจึงทำให้ด้านบนสั่นสะเทือนเล็กน้อย หากคนไม่มีวรยุทธล้ำเลิศคงจับสังเกตไม่ได้ และนั่นทำให้สองหนุ่มหันมาสบตากันก่อนจะพุ่งทะยานกลับไปห้องนั้นอีกครั้งแต่กลับไร้วี่แวว
    ตูม!
    เสียงปะทะและการระเบิดดังมากจากใต้ดิน ยิ่งทำให้ลู่เฟยกระวนกระวายเพราะความเป็นห่วง แม่จะเชื่อมั่นในฝีมือแต่ความห่วงมันก็ห้ามกันไม่ได้ เมื่อมองศัตรูหัวใจที่รนรานไม่ต่างไปจากตนก็ต้องถอนหายใจยาว
    “ข้าว่าเรารออยู่ที่นี่เถอะ”
    “เจ้าไม่ห่วงชงหยวนหรือไง” หย่งเจิ้นหันมาตะคอกถามอย่างหงุดหงิดที่ลู่เฟยทำเป็นใจเย็นกว่าที่คิด
    “ชงหยวนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แค่นี้รับมือได้สบายอยู่แล้ว” ลู่เฟยบอกด้วยความเชื่อมั่น ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนแรกที่พุ่งตัวเข้ามาห้องนี้แท้ๆ หย่งเจิ้นหันไปมองศัตรูหัวใจอย่างหงุดหงิดเรื่องอะไรเขาจะทำตาม คิดได้แค่นั้นก่อนจะเริ่มค้นหาที่ตะลงไปใต้ดินอีกครั้ง
    ทางด้านจิวชงหยวนที่กำลังสู่อย่างดุเดือดเพราะพิษแต่ละชนิดก็ทำร้ายคนตรงหน้าไม่ได้เช่นกัน และนี่ทำให้มั่นใจได้ว่าเจ้านี่มาจากสำนักหมื่นพิษเพราะสัญลักษณ์รูปงูที่ต้นคอที่ศิษย์ในสำนักนี้ทุกคนต้องมี
    ฉัวะ!!
    ฉึก!!
    เมื่อรู้ว่าเป็นคนร้ายก็ไม่จำเป็นต้องออมมืออีกต่อ ร่างสูงทรุดตัวกระอักโลหิตออกมาคำโตเมื่อลมปราณร้อนเย็นและแปลกปลอมเข้ามาระเบิดในร่างอีกทั้งกระบี่ที่มีอานุภาพกว่าที่เห็นภายนอกทำให้ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้าง ริมฝีปากเอ่ยถามสั่นระริกแม้จะจ้องตายจะต้องรู้ให้ตายว่าผู้ใดสั่งหารมัน
    “ข้าจิวชงหยวน” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ มุมปากมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อยเพราะยังไม่คุ้นเคยกับการรับมือกับวิชาแปลกๆ อนาคตข้างหน้าเขาอาจจะเจอวิชาแปลกกว่าเจ้าโรคจิตนี่ก็ได้
    ดวงตาแดงฉานมองเขาอย่างตกตะลึงก่อนจะล้มตัวลงกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง จิวชงหยวนจึงแทงกระบี่เข้าตำแหน่งหัวใจด้วยความเร็วเพราะไม่อยากฆ่าใครอย่างทรมาร ร่างนั้นอาบไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนาแต่หากใครรู้ว่าคนผู้นี้ทำความชั่วสิ่งใดไว้บ้างคงจะสงสารไม่ลง จิวชงหยวนมองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจสั่นไหว ก้มมองมือตัวเองที่เปื้อนเลือดอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งเสียใจเพราะหากเราไม่ทำผลสุดท้านคนที่มีสภาพแบบนั้นก็คงจะเป็นเขาเอง
    จิวชงหยวนเก็บกระบี่เดินจากไปและมองหาเหยื่อที่ยังรอดชีวิตซึ่งเหลือเพียงหญิงสาวเพียงนางเดียวที่หายใจรวยริน เอาจึงช่วยปลดพันธนาการออกและช่วยออกไปได้สำเร็จ เมื่อขึ้นมาชั้นบนกลับเห็นสองหนุ่มเดินวนรอบห้องอย่างขบขัน
    “พวกเจ้ามาช่วยข้าหน่อยสิ” จิวชงหยวนบอกพร้อมยื่นหญิงสาวผู้นั้นให้หย่งเจิ้นรับไป
    “เจ้าบาดเจ็บ” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง จิวชงหยวนส่ายหน้าแล้วยิ้มให้บางๆ
    “แค่นี้เล็กน้อย ว่าแต่เราจะทำอย่างไรกับโรงยาเบื้องหน้าของพรรคหมื่นพิษนี้ดีนะ” แววตาเป็นประกายขณะเอ่ยถามเดินวนไปหยิบสมุนไพรที่มีทั้งพิษและยารักษาเกลื่อนไปหมด
    “ออกไปกันเถอะ” บอกพร้อมพาร่างของแม่นางผู้นั้นไปด้วย เมื่อทั้งสามเดินออกจากโรงยาเรียบร้อยเพียงไม่นานก็เกิดไฟลุกไม้ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
    เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผู้คนและชาวบ้านต่างรู้ความจริงว่าบุตรสาวตนที่หายไปไม่ใช่หายไปไหน และไม่ได้หนีตามผู้ชายที่ไหน แต่กลับถูกทำร้ายและสังหารอย่างน่าเวทนา และหญิงสาวคนสุดท้ายที่รอดชีวิตมาได้กลับเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลมู่    
    จิวชงหยวนใช้เวลาสามวันในการช่วยรักษาลูกสาวคนเล็กของตระกูลมู่ไว้แม้อาการภายนอกจะหายดี ทว่าจิตใจกลับหวาดระแวง หวาดกลัวผู้คน แม้จะรักษาให้ขาดยังไม่ได้แต่ครอบครัวและเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจของแม่นางมู่เอง
    พรึบ!
    จิวชงหยวนหันไปมองหย่งเจิ้นที่มีสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากที่ได้อ่านจดหมายจากนกพิราบสื่อสารเรียบร้อยแล้ว
    “ชงหยวนข้าคงต้องกลับพรรคก่อน ข้าคงมิอาจร่วมเดินทางกับเจ้าไปได้อีก” หย่งเจิ้นบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทว่าดวงตาประกายความเศร้าหมองแม้จะเพียงแค่แวบเดียวแต่คนรู้สึกไวเช่นเขาจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับรู้
    “ไม่เป็นไร เจ้าจัดการธุระของเจ้าให้เรียบร้อยเถอะ อีกอย่างข้าเดินทางไปทั่วหล้าเจ้ายังมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ คงไม่สามารถเดินทางร่วมกับข้าไปตลอดหรอก”
    “แล้วเจ้าไม่คิดจะหยุดพักที่ใดสักแห่งหรือ” หย่งเจิ้นเอ่ยถามเสียงเศร้า ดวงตาคมมองจิวชงหยวนด้วยความเจ็บปวด แม้ผลจะยังไม่ออกแต่เขารู้ดีว่าตัวเองแพ้แล้ว แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มก็เพราะลู่เฟยสนิทสนมกับจิวชงหยวนดีและยังรู้อะไรเกี่ยวกับร่างโปร่งบางนี้มากกว่าเขาซึ้งไม่รู้อะไรเลย
    “ลู่เฟย ครั้งนี้เจ้าอาจจะชนะข้า แต่เมื่อไรที่จ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะมาแข่งกับเจ้าอีก” ลู่เฟยเหลือบตามองคนกล่าวแล้วยยิ้มทบาง
    “ข้ามศพข้าไปก่อนสิ”
    “เจ้า อย่าให้ถึงทีข้าแล้วกัน” หย่งเจิ้นบอกอย่างหงุดหงิดก่อนจะบอกลาจิวชงหยวนอีกครั้งและเดินหายไปกับฝูงชน
    “ชอบใจล่ะสิ” จิวชงหยวนเอ่ยแซวลู่เฟยที่ฉีกยิ้มหน้าบานที่ไม่ต้องเจอคู่แข่งไปอีกนาน
    “อืม แต่เจ้าไม่ต้องไปโปรยเสน่ห์ที่ไหนอีกแล้วนะ ข้าหึง”
    ลู่เฟยหันมาบอกคนรักด้วยรอยยิ้มละมุน ซึ่งทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย สองร่างเดินจูงมือกันออกนอกเมืองเพื่อเดินทางไปทั่วหล้าและรักษาผู้คนไปตามคำบัญชาสวรรค์ ชื่อเสียงของจิวชงหยวนหมอเทวดาหน้าหวานต่างเลื่องลือขจรไปทั่วยุทธภพ แม้มีบ้างที่จะนำภัยมาให้แต่ทั้งคู่ต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันพร้อมอยู่เคียงข้างกัน จนกว่าจะถึงหน้าที่ของแม่ทัพสวรรค์ซึ่งต้องส่งลูกมังกรขึ้นสู่บัลลังก์ในกาลต่อไป...

                       จบเล่ม 1 คอยติดตามเล่ม 2 จ้า

อ่าา ในที่สุดก็ลงได้เท่าเว็ตอื่นเสียอีก ชอบก็คอมเมนท์ รักก็เข้ามาทักทายได้ แต่ให้ดีชวนเพื่อนมาอ่านกันเยอะๆ นะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้า หากอยากได้แบบรูปเล่มเตรียมเก็บเงินไว้รอเลยจ้า เพราะมีขายประมาณสิ้นปีจ้า ในราคาแพคคู่ ประมาณ800 บาทไม่เกินกว่านี้



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 30-08-2015 18:46:00
เอิ่ม...ที่อื่นนี่เราตามอ่าน เนี่ยมาทีเดียวครบ ฮรึก! รอเธอเสมอนะแจ๊ะ  :hao6:
ตอนไหนลู่เฟยจะได้จิ้มหมอ  :heaven
ขอบคุณนิยายสนุกๆค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 31-08-2015 22:09:24
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 02-09-2015 15:33:09
ชอบมากเรื่องแนวๆนี้. เมื่อไหร่เล่ม 2 จะมาแต่ก็รอนะตัวเอง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 27 เซียนรักษาจิวชงหยวน? (เล่ม 2)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 03-09-2015 18:52:22


บทที่ 27
เซียนรักษาจิวชงหยวน?

            จิวชงหยวนหลังจากการเดินทางไปทั่วเขตทางเหนือจนทั่วและได้กลับมาผ่าตัดเนื้องอกให้กับท่านลุงเหวินเรียบร้อยจึงได้เดินทางล่องใต้ซึ่งเป็นชายทะเล เขาฝันอยากลองล่องเรือไปตามหมู่เกาะในหมู่บ้านต่างๆ และช่วยเหลือผู้คนไปตามระหว่างทาง ตอนนี้ชื่อเสียงจิวชงหยวนหมอเทวดาหน้าหวานโด่งดังไปทั่วยุทธภพเพราะเขาไม่ได้ปกปิดใบหน้าตัวเอง
    และเพื่อนร่วมทางที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเขาคือลู่เฟยที่ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาเรื่อยๆ ใบหน้าเมื่อก่อนที่ชอบบึ้งตึงบัดนี้กลับยิ้มละไมเพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงเหมือนเมื่อตอนเป็นเทพแต่มันก็เป็นผลดีสำหรับเขาเพราะคนไข้ไม่ได้หวาดกลัวลู่เฟยอีกต่อไป
    “หิวไหม” จิวชงหยวนหันไปถามคนข้างตัวขณะที่เดินทางไปตามชายป่าและยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงเมืองเจียงหนานซึ่งอยู่ติดชายทะเล พวกเขาไม่ได้ซื้อม้าหรือใช้ลมปราณแต่เดินด้วยสองเท้าไปเรื่อยๆ หนึ่งเพื่อซึมซับบรรยากาศที่หาได้ยากในที่จากมา สองเพื่อได้ช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ไม่มีเงินไปรักษาตัว
    “หิว แต่ข้าเบื่อผลไม้แล้ว” ลู่เฟยตอบกลับเสียงเรียบ ดวงตาคมมองสบกับคนงามอย่างอ้อนๆ จิวชงหยวนยิ้มบางเพราะนั่นหมายความว่ามื้อนี้พวกเขาต้องหาสัตว์ป่าแถวนี้มากินแก้เบื่อแทน
    “ได้สิ แต่เจ้าไปหามานะ” ลู่เฟยพยักหน้ารับ ก่อนจะแยกไปอีกทางเพื่อหาสิ่งที่พอจะมาย่างกินได้บ้าง  จิวชงหยวนเดินเรียบไปตามริมแม่น้ำของทะเลสาบและหาร่มไม้เพื่อรอลู่เฟยกลับมา
    เพียงไม่นานลู่เฟยก็กลับมาพร้อมกระต่ายป่าสีขาวตัวอ้วนหนึ่งตัว จิวชงหยวนจึงรับมาอย่างรู้หน้าที่ หลายเดือนมานี้เขาเริ่มทำอาหารกินเองบ้าง  แต่หากมีเครื่องมือครบเขาก็อยากทำอาหารไทยซึ่งเขาพอทำได้เพราะตอนเรียนอยู่เมืองนอกต้องทำกินเองตลอด จากเมื่อก่อนพกแต่สมุนไพรเดี๋ยวนี้เริ่มมีพวกเกลือเพิ่มมาบ้างแต่ก็ไม่ได้หอบมาเยอะแค่ไว้ใช้ระหว่างทางก่อนเข้าเมืองถัดไปเท่านั้นเอง
    หลังจากจัดการเจ้ากระต่ายป่าตัวอ้วนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำเกลือมาปรุงเพื่อเพิ่มรสชาติก่อนใช้ไฟย่าง ใช้เวลาไปสองเค่อกว่ากระต่ายย่างจะสีเหลืองกรอบกลิ่นหอมน่ากิน จิวชงหยวนฉีกส่วนขาข้างหนึ่งออกมาแล้วยกที่เหลือให้ลู่เฟยเพราะตัวเองกินไม่มาก
    จิวชงหยวนเดินเข้ามานั่งข้างลู่เฟยที่ใต้ร่มไม้ มองคนร่างสูงที่นั่งกินเงียบๆ อย่างครุ่นคิดหลายเดือนมานี้ลู่เฟยอยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอดร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันจนเขารู้สึกซาบซึ้งใจ จากองค์ชายที่ใช้ชีวิตหรูหราแต่กลับยอมออกมาคลุกฝุ่นอยู่กลางดินกินกลางทรายไปกับเขา หากไม่มีเพื่อนร่วมทางเขาคงเหงาไม่น้อย
    “ลู่เฟยขอบคุณนะ” จิวชงหยวนเอ่ยขอบคุณลู่เฟยด้วยรอยยิ้มหวาน ซึ่งทำให้ลู่เฟยชะงักงัน หรี่ตามองคนยิ้มหวานอย่างอ่อนโยน
    “เจ้ากำลังยั่วข้า” คำกล่าวสั้นๆ กลับทำให้จิวชงหยวนอึ้งไป ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อรู้ว่าลู่เฟยหมายถึงอะไร
    “ข้ายั่วเจ้าตรงไหน กินไปเลยไม่พูดด้วยแล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับใบหน้าแดงก่ำด้วยความอายเพราะลู่เฟยเคยบอกไว้ว่ารอยยิ้มของเขามันทำให้ใจสั่นและอยากครอบครอง
    ลู่เฟยหัวเราะในลำคอก่อนจะยื่นน้ำให้คนตัวเล็กกว่าอย่างเอาใจ หลายเดือนมานี้ที่ได้ร่วมเดินทางทำให้เขาฝันเห็นในอดีตจนเริ่มรู้อะไรมากขึ้น และรู้ว่าจิวชงหยวนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาซึ่งมีชีวิตที่ยาวนานกว่ามนุษย์ทั่วไป ในอนาคตไม่แน่ว่าคุณงามความดีที่จิวชงหยวนสร้างมาอาจส่งเสริมให้เป็นเทพเซียน และนี่จึงเป็นสิ่งที่เขาอยากทำร่วมด้วยเพราะหากเมื่อไรที่เขาหมดอายุขัยของมนุษย์ก็ต้องกลับไปเป็นเทพสวรรค์เพราะฉะนั้นเขาจะต้องทำให้จิวชงหยวนได้ถูกแต่งตั้งเป็นเทพเซียนให้ได้ แต่ในเวลานี้เขาช่วยได้แค่เป็นเพื่อนร่วมทางและคอยดูแลคนตัวเล็กเวลาเหนื่อยๆ
    “ลู่เฟยเจ้าจากวังมาตั้งนานแล้ว ทางนู้นไม่มีใครว่าหรือ” จิวชงหยวนซึ่งกินอิ่มแล้วเอ่ยถามคนข้างกายที่เหม่อมองแม่น้ำในทะเลสาบเงียบๆ
    “ข้าให้องค์รักษ์คอยสืบเรื่องให้ อีกอย่างข้าทำเช่นนี้เพราะอยากให้พี่น้องคนอื่นรู้ว่าข้าไม่ได้หมายชิงบัลลังก์ แต่เมื่อถึงเวลาข้าก็ต้องกลับไปช่วยคนที่สวรรค์กำหนดขึ้นครองบัลลังก์อยู่ดี แต่น่าจะหลายเดือนอยู่” ลู่เฟยหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม จิวชงหยวนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเก็บข้าวของเริ่มเดินทางต่อเมื่อลู่เฟยกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว
    จิวชงหยวนเดินเลียบไปตามริมทะลสาบไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อนเพราะหาสมุนไพรที่อยู่ติดแม่น้ำไปด้วย  เมื่อได้จำนวนที่ต้องการจึงเดินผ่านไปเส้นทางตามหุบเขาเพื่อหาสมุนไพรชนิดอื่นโดยมีลู่เฟยคอยช่วยเก็บ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาลู่เฟยเริ่มรู้จักสมุนไพรมากขึ้น  ใบหน้างดงามมีเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าตามอากาศที่ร้อนจัดในตอนกลางวัน ผ้าเช็ดหน้าผืนบางถูกยื่นมาเช็ดหน้าให้อย่างแผ่วเบา
     จิวชงหยวนเสหน้าหนีด้วยความอายที่ได้รับความเอาใส่จากลู่เฟย และมันทำให้หัวใจเขาหลงรักคนข้างตัวไปเสียแล้ว จากที่เคยคิดว่าไม่มีทางชอบผู้ชายแต่ความเอาใจใส่และความอบอุ่นใจที่ส่งมาจากลู่เฟย สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนไปจนได้ ถึงแม้จะรู้ว่ารักแต่จะให้เขาไปพูดจาหวานๆ และไปออดอ้อนคงไม่มีทางเพราะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย แค่คิดว่าตัวเองไปอ้อนคนตรงหน้านี้ก็อยากจะลาตายแล้ว
    ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามชายป่าในหุบเขาจนกระทั่งได้ยินเสียงการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกล จิวชงหยวนหันไปสบตากับลู่เฟยก่อนจะพากันพุ่งทะยานไปดูเหมือนรู้กัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้วู่วามที่จะเข้าไปพรวดพราด ทั้งคู่แอบมองอยู่บนต้นไม้ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุ
    “นั่นสำนักคุ้มภัยนี่” จิวชงหยวนเอ่ยเสียงแผ่วเบาเมื่อเห็นตราสัญญลักษณ์ของสำนักคุ้มภัยซึ่งเขาจดจำได้เพราะช่วงหลายเดือนมานี้ทำให้เกี่ยวข้องกับยุทธภพไปไม่น้อย จึงต้องรู้ไว้เพื่อจะได้เอาตัวรอดได้ ข่าวสารที่ได้รับส่วนมากก็มาจากคนในหอกิเลนที่แฝงตัวไปทุกแคว้นเพียงแค่ยื่นหยกขาวเขาก็ได้ข่าวที่ต้องการเสมอ
    “ไปช่วยไหม” คำถามของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนยิ้มบาง มองการต่อสู้ที่เหมือนสำนักคุ้มภัยกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การต่อสู้มีแบบแผนของโจรนั้นดูผิดแปลกกว่าโจรธรรมดา หากเดาไม่ผิดอาจเป็นสำนักอื่นแฝงตัวมาเป็นโจรเพื่อปล้นของสำนักคุ้มภัย
    “ไม่น่าถาม” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยรอยยิ้มสนุก มองสำนักคุ้มภัยที่กำลังพลาดท่าเสียที ก่อนจะสะบัดเข็มพิษยาสลบขั้นรุนแรงซัดเข้าใส่กลุ่มโจรด้วยความเร็วจนมองแทบไม่ทัน เพียงไม่กี่อึดใจพวกมันก็ล้มลงสลบไปจนหมดทุกคน ส่วนสำนักคุ้มภัยต่างถือกระบี่กวาดสายตามองรอบกายอย่างหวาดระแวง
    จิวชงหยวนกับลู่เฟยจึงกระโดดลงมาจากต้นไม้เดินเข้าไปหาสำนักคุ้มภัยช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน ทว่าคนในสำนักคุ้มภัยกลับมองตามอย่างหวาดระแวง
    “พวกท่านเป็นคนช่วยพวกข้าใช่หรือไม่” ผู้นำของสำนักคุ้มภัยเอ่ยถามชายหนุ่มร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีขาวโดดเด่น  ใบหน้างดงามชวนให้มองและเดินเคียงคู่มากับชายหนุ่มร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มใบหน้าหล่อคมคาย ทั้งคู่ดูดีจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่คนผ่านมา จิวชงหยวนยิ้มรับแล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางที่หวาดระแวงของคนในสำนัก
    “ใช่ ข้าเป็นคนช่วยพวกท่านไว้เอง ข้าจิวชงหยวนกับสหายบังเอิญผ่านมาและนับว่ามีวาสนาที่ได้ช่วยเหลือพวกท่านจากโจรเหล่านี้” พอจบคำบอกเล่าทุกคนในสำนักเริ่มคลายความหวาดระแวงลง ทว่าลู่เฟยกลับมองร่างโปร่งบางเขม่งด้วยความไม่พอใจก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆ เพราะเขาไม่ได้อยากเป็นสหาย โดนแนะนำตัวแบบนี้ทีไรเขาหงุดหงิดทุกที
    “ท่านเป็นหมอเทวดาหรือ” ผู้นำสำนักเอ่ยถามอย่างแปลกใจเพราะช่วงนี้ข่าวลือเกี่ยวกับหมอเทวดาหน้าหวานดังไปทั่วหล้าและคนตรงหน้าก็มีส่วนคล้ายกับข่าวลือดังกล่าว
    “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ พวกท่านบาดเจ็บให้ข้าช่วยรักษาเถิดก่อนจะเสียเลือดกันไปมากกว่านี้” จิวชงหยวนยิ้มรับเดินเข้าไปหากลุ่มคนสิบกว่าคนที่บาดเจ็บกันถ้วนหน้าโดยไม่ได้สนใจคนงอน และเขาเองก็ง้อคนไม่เป็นเสียด้วยสิ
    หลังจากนั้นจิวชงหยวนก็ช่วยรักษาบาดแผลให้ทุกคนจนหมดเรียบร้อยใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทว่ากลุ่มโจรยังคงสลบไปอีกเป็นวันและตอนนี้ถูกคนในสำนักคุ้มภัยจับมัดติดกับต้นไม้ไว้เรียบร้อยแล้ว
    “ท่านจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้หรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามผู้นำสำนักซึ่งใบหน้าไว้หนวดเคราดูน่าเกรงขามทว่าอายุเพียงแค่ยี่สิบแปดปีเท่านั้น และได้ทราบชื่อว่า เยี่ยกวาง เป็นบุตรคนโตของสำนักคุ้มภัยซึ่งกำลังเอาสินค้าประเภทหยกและเครื่องประดับไปเมืองเจียงหนาน ซึ่งบังเอิญเป็นเส้นทางเดียวกับเขาพอดี
    “คงต้องส่งตัวให้ทางการ เพราะหากไม่จำเป็นข้าก็ไม่อยากฆ่าใคร” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
    “ท่านหมอจิวน้ำขอรับ” จิวชงหยวนหันไปรับน้ำในถุงหนังมาจากท่านลุงผู้หนึ่งที่เป็นผู้ช่วยของเยี่ยกวาง
    “ขอบคุณมากขอรับท่านลุงเปา” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นให้ลู่เฟยอย่างเอาใจเพราะเห็นงอนมานานแล้ว แต่ง้อสุดของเขาได้แค่นี้แหละ
    “เจ้าก็กินไปสิ ข้าไม่หิว” ลู่เฟยตอบกลับเสียงเรียบ แม้จะงอนแต่กลับส่งรอยยิ้มให้ทุกคนเหมือนกลับว่าไม่มีสิ่งใดมัวหมองในใจ ทว่าไม่ใช่กับจิวชงหยวนที่รู้จักมานานและยังสัมผัสความรู้สึกงอนของอีกฝ่ายได้ดี
    เมื่อคนงอนไม่ยอมรับน้ำไปดื่ม จิวชงหยวนจึงยกดื่มเองและยื่นคืนให้ลุงเปา จากนั้นทั้งคู่ก็ขอร่วมเดินทางไปกับสำนักคุ้มภัยด้วย เพียงไม่นานพวกเขาก็เข้ามาถึงตัวเมืองเจียงหนานซึ่งติดชายทะเล
    “ขอบคุณท่านหมอจิวมากที่ช่วยพวกข้า หากท่านมีเวลาก็ไปเยี่ยมพวกข้าได้ที่สำนักคุ้มกัน ข้าจะรอต้อนรับท่าน” เยี่ยกวางบอกคนงามด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจจากคนร่างสูงที่ยืนเคียงข้างของท่านหมอคนงาม ถึงเจ้าตัวจะส่งรอยยิ้มมาให้ทว่าดวงตาคมคู่นั้นกลับไม่ได้ยิ้มตามไปเลย และบางครั้งกลับสัมผัสได้รังสีเข่นฆ่าแม้เพียงชั่วครู่ก็ตาม    
    “หากมีโอกาสข้าจะแวะไปเยี่ยมท่าน วันนี้ข้าคงต้องขอตัว ขอให้พวกท่านโชคดี” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบางก่อนจะจับมือคนตัวสูงเดินจากมา ลู่เฟยมองมือเรียวบางที่จับมือตนแล้วยกยิ้มนิดๆ แล้วกระชับมือหนาให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นที่ส่งมาทำให้อาการงอนหายเป็นปลิดทิ้ง
    จิวชงหยวนยกยิ้มที่มุมพร้อมเสหน้าหันไปทางอื่นด้วยความอาย แม้จะเป็นการง้อครั้งแรกที่ไม่ได้พูดจาหวานเลี่ยน แต่ก็ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว อีกอย่างเขาไม่ใช่สาวน้อยจะได้ง้อเหมือนคู่รักอื่นๆ และเขาก็ยังไม่ได้ตกลงเป็นคนรักของลู่เฟย แต่บางครั้งการกระทำของเขาในเวลานี้อาจทำให้ลู่เฟยรู้แล้วก็ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
    ทั้งคู่เดินเข้าไปยังตลาดที่ร้องตะโกนแข่งขันกันอย่างครึกครื้น แต่ที่ทำให้จิวชงหยวนอดตื่นเต้นไม่ได้เพราะมันมีพวกสัตว์ทะเลวางขายด้วย กุ้งทะเลตัวใหญ่ ปลา และยังมีปลาหมึกด้วย จิวชงหยวนเดินลัดเลาะเคียงคู่ไปกับลู่เฟยมองสิ่งแปลกใหม่อย่างสนใจ ลู่เฟยเห็นอย่างนั้นจึงปล่อยมือเรียวบางให้เป็นอิสระ จากนั้นคนตัวเล็กก็พุ่งตัวไปหยิบกุ้งตัวใหญ่ขึ้นมาดูอย่างสนใจ
    จิวชงหยวนลองจิ้มๆ ดูปลาหมึกตัวใหญ่และยกกุ้งขึ้นมาดูเพราะเขาไม่เห็นของทะเลมานานมากแล้ว ทำให้นึกอยากกินต้มยำทะเลดูบ้าง แต่ว่าเครื่องไม้เครื่องมือเขาไม่มี อีกอย่างหากไปกินที่โรงเตี๊ยมก็คงไม่มีอาหารไทยให้กินอย่างแน่นอน ดวงตาเรียวสวยมองตามอย่างเสียดายก่อนจะตัดใจเดินไปดูอย่างอื่นและคิดว่าไว้ให้เขามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและมีห้องครัวเมื่อไหร่เขาจะทำต้มยำทะเลกินแน่นอน
    จิวชงหยวนเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างเพลิดเพลิน โดยมีลู่เฟยเดินตามอย่างสบายอารมณ์มองคนตัวเล็กยิ้มมีความสุขก็ทำให้หัวใจเขาสุขไปด้วย ทว่าตอนนี้ผู้คนกลับพลุกพล่านไปมาจนในที่สุดจิวชงหยวนก็หายไปจากสายตา ลู่เฟยพยายามใช้ความสูงของตัวเองให้เป็นประโยชน์มองตามร่างโปร่งบางและพยายามแทรกตัวจากผู้คนเดินตามหาจิวชงหยวนให้เร็วที่สุด
    จิวชงหยวนที่เดินดูข้าวของอย่างสบายอารมณ์มาหยุดที่ร้านขายเครื่องประดับจำพวกหยกทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาหยุดมองนั่นคือปิ่นหยกสีเขียวมรกตที่ลวดลายงดงามตา อีกทั้งสวยสะดุดตาตั้งแต่แรกพบ ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนชอบเครื่องประดับแต่ปิ่นหยกชิ้นนี้เขาคิดว่ามันเหมาะกับลู่เฟยจนอดที่จะจ้องมองมันไม่ได้
    “คุณชายเชิญดูด้านในก่อนนะขอรับ” เถ้าแก่ร้านเดินออกมาต้อนรับ จิวชงหยวนจึงเดินเข้าไปดูปิ่นหยกชิ้นนั้นใกล้ ก่อนจะหยิบขึ้นมาอย่างสนใจ
    “เท่าไรหรือเถ้าแก่”
    “คุณชายช่างตาถึงจริงๆ ปิ่นหยกชิ้นนี้เพิ่งมาใหม่ มีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นขอรับแต่ราคาอยู่ที่ สิบตำลึงเพราะการแกะสลักของช่างฝีมือนั้นละเอียดอ่อนมากขอรับ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แล้วตัดสินใจซื้อปิ่นหยกเพื่อให้เป็นของขวัญลู่เฟย ก่อนจะนึกได้ว่าปิ่นหยกเป็นของหมั้นหมายของราชวงศ์นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนหมั้นลู่เฟยน่ะสิ แต่ว่าจะแปลกอะไรในเมื่อเขาก็รับขลุ่ยหยกมาแล้วเช่นกัน
    จิวชงหยวนรับปิ่นหยกที่ห่อผ้าอย่างดีไว้ในอกเสื้อ ก่อนจะหันไปมองหาลู่เฟยที่คิดว่าเดินตามมาด้วยกัน แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นร่างสูงอย่างที่ควรจะเป็นมีแต่ผู้คนที่พลุกพล่านเดินเบียดเสียดกันไปมาเพราะช่วงนี้เวลาเริ่มพลบค่ำมากแล้ว
    “พลัดหลงกันหรือไง” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ พยายามมองหาคนตัวสูงแต่กลับไร้วี่แวว จึงตัดใจเดินไปข้างหน้าซึ่งมีโรงยาของหมอตั้งอยู่ไม่ไกลนัก โรงหมอแห่งนี้เป็นเรือนใหญ่มากนับว่ารวยไม่น้อย ผู้คนสัญจรไปมาและแวะเวียนเข้าออกเป็นประจำ แต่ที่น่าแปลกคือหน้าโรงหมอแห่งนี้กลับตั้งเป็นคล้ายศาลเจ้ามีผู้คนมาจุดธูปไหว้กันมากมาย จิวชงหยวนเดินเข้าไปดูด้วยความสนใจก่อนจะเห็นรูปปั้นทองคำซึ่งมีรูปปั้นของชายชราผู้หนึ่งอยู่บนแท่นกลางตามด้วยรูปปั้นเด็กมัดแกละสองข้างขนาบข้างสองคน หากเป็นอดีตที่จากมาคงเรียกกุมารทอง แต่หากที่นี่น่าจะเป็นนาจาหรือเปล่าเขาไม่แน่ใจ
    “จุดธูปไหว้เซียนรักษาจิวชงหยวนเชิญด้านนี้เลยขอรับ” คำเชื้อเชิญของชายหนุ่มสองคนที่มัดแกละสองข้างร้องตะโกนเรียกชาวบ้านที่หลั่งไหลกันเข้าไป แต่ที่ทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปคือชื่อของเซียนรักษาต่างหาก
    “เฮอะๆ คราวนี้จะเจออะไรอีกนะ” จิวชงหยวนพึมพำอย่างนึกขำ ก่อนจะก้าวเข้าไปยังที่ผู้คนจุดธูปไหว้รูปปั้นอย่างใคร่รู้
    “สามตำลึงขอรับ” เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งบอกด้วยรอยยิ้มพร้อมธูปที่ส่งมาให้ จิวชงหยวนหันไปมองตามแล้วส่งยิ้มกลับไปให้ซึ่งทำให้คนตรงหน้าอึ้งไปเช่นกัน
    “ข้าแค่อยากพบท่านเซียน ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนให้คนฟังใจลอย
    “คงต้องต่อคิวทางด้านนู้นขอรับ” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงลนลานเล็กน้อยพร้อมผายมือไปยังแถวที่ยาวเหยียดจนออกมานอกประตู จิวชงหยวนมองอย่างอึ้งๆ เพราะเมื่อครู่แถวมันยังไม่ยาวเท่านี้แต่นี่เขาเดินเข้ามาหน้ารูปปั้นครู่เดียวกลับยาวจนเขาอยากถอดใจ แต่ด้วยความใคร่รู้ทำให้พยักหน้ารับและเดินไปเข้าแถวรอตามอย่างใจ
    “พี่ชายท่านหมอเทวดาผู้นี้รักษาอะไรได้บ้างหรือขอรับ” จิวชงหยวนที่เดินเข้าแถวรวมไปกับชาวบ้านเอ่ยถามคนข้างหน้าด้วยความสงสัย
    “นี่เจ้าไปอยู่ที่ใดมา ท่านเซียนช่วยรักษาได้ทุกโรค และที่สำคัญท่านเซียนผู้นี้หยั่งรู้อนาคตด้วย หากอย่างดูดวงชะตาเพิ่มต้องเพิ่มเงินอีกสิบตำลึง แต่ท่านเซียนไม่ได้เอาเงินไปที่ไหนนะ เพราะท่านเอามาสร้างตำหนักนี้เพื่อได้ช่วยเหลือชาวบ้านต่อไป” น้ำเสียงเลื่อมใสของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้จิวชงหยวนแกล้งพยักหน้ารับและฟังอย่างตื่นเต้น สีหน้าเลื่อมใสไปกับคำบอกเล่าได้อย่างแนบเนียน และเพียงแค่นั้นเรื่องราวมากมายก็ถูกบอกเล่าจากคนข้างตัวจนได้ข้อมูลมามากมาย
    ผ่านไปสองเค่อที่กว่าจะถึงคิวเข้า จิวชงหยวนเดินเข้าไปภายในห้องตามคำเชื้อเชิญ ดวงตาเรียวมองสำรวจรอบกายไปด้วยและสังเกตสิ่งรอบตัวไปโดยไม่ให้ผู้อื่นสงสัย จนกระทั่งเขาเดินเข้ามาในห้องเห็นชายชราผู้หนึ่งที่เส้นผมสีขาวโพลนทั้งหัว ดวงตาดูล้ำลึกจนยากจะคาดเดานั่งนิ่งสงบอยู่บนเก้าอี้โดยมีโต๊ะตัวใหญ่กั้นขวางไว้และมีเก้าอี้ไว้สำหรับคนที่เข้ามารักษา
    “ชีพจรเจ้าปกติดี อีกทั้งกำลังภายในที่แข่งแกร่งเหตุใดต้องเข้ามาให้ข้ารักษา” คำกล่าวทักทายดังขึ้นเมื่อจิวชงหยวนเดินมาหยุดเบื้องหน้า และทำให้เขาอึ้งไปไม่น้อยก่อนจะยกมือคารวะตามพิธี
    “ท่านเซียนร่างกายข้าดูผิวเผินนั้นเหมือนคนปกติดี แต่หากท่านได้จับชีพจรข้าแล้วจะได้รู้ว่าข้ายังมีพิษร้ายอยู่ภายในร่าง” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มบ่งบอกความเลื่อมใสและยำเกรงเล็กน้อย แต่นี่คือการแสดงของเขาเพราะความตื่นตระหนกจะทำให้เสียงานได้
     ชายชราผู้นั้นเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจก่อนจะผายมือเชื้อเชิญให้เขานั่งลง แล้วเริ่มจับชีพจรตามคำบอกเล่า ใบหน้าที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจเพราะเป็นดั่งที่เด็กน้อยผู้นี้กล่าวมาแต่ละพิษที่รับรู้ล้วนควรตายตกไปนานมากแล้ว แต่เหตุใดยังมีชีวิตอยู่
    “เจ้าเป็นใครกันแน่เด็กน้อย ชีพจรของเจ้า ณ เวลานี้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป” น้ำเสียงที่เอ่ยถามเคร่งเครียด แววตาลึกลับยามเมื่อเห็นครั้งแรกฉายแววฉงนแปลกใจและหวาดระแวง
    “ข้าได้ยาดีจากนักพรตเหล่าจวินทำให้รอดตายมาอย่างประฎิหาริย์ แต่เมื่อครบยี่สิบปีหากข้ายังหายารักษาไม่ได้พิษร้ายนี้จะกลับมาทำร้ายข้าอีกครั้ง ท่านเป็นถึงเทพเซียนและยังมีชื่อเสียงขจรไปทั่วหล้า ข้าได้เสาะแสวงหามาเนิ่นนานจนกระทั่งมาเจอท่าน ท่านเซียนจิวชงหยวน ท่านพอจะช่วยเหลือเด็กน้อยเช่นข้าได้หรือไม่” จิวชงหยวนกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาเศร้าสร้อย ทว่าคนฟังกลับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยถามกลับเสียงสั่น
    “เจ้าว่าผู้ใดให้ยารักษาเจ้านะ”
    “นักพรตเหล่าจวินขอรับ” จิวชงหยวนเงยหน้าตอบด้วยเสียงเศร้า และที่อ้างเช่นนี้เพราะเห็นความผิดปกติจากแววตาล้ำลึกคู่นั้น อีกอย่างเหล่าจวินคือชื่อที่แท้จริงของเทพโอสถหรือจะเรียกว่าคือไท้ซ่านเหล่าจวินก็ไม่ผิด ทว่าเวลาต่อมาบรรยากาศรอบกายกลับกดดันขึ้น ดวงตาที่ล้ำลึกมองมาด้วยความเกรี้ยวกราด
    “เจ้าเป็นใครกันแน่เด็กน้อย” น้ำเสียงกดดันส่งมาพร้อมแววตาที่วาวโรจน์ จิวชงหยวนมองกลับนิ่งๆ แววตาฉายแววจริงจังมากขึ้น
    “ข้าควรถามท่านมากกว่าท่านอาวุโส เหตุใดถึงกล่าวอ้างชื่อข้ามาทำการเช่นนี้”
    “เจ้าโอหังนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าเป็นเซียนรักษาและมีนามนี้มาเนิ่นนาน เด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะมาลองดีกับข้าสินะ” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ แววตากดดันที่ส่งมาไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขายอมรับว่าชายชราผู้นี้รักษาคนเป็นจริงๆ เพียงแต่การแอบอ้างชื่อของเขามาทำการให้ชาวบ้านบูชาอีกทั้งเก็บเงินกราบไหว้นั่นเป็นประเด็นที่เขาไม่ชอบใจ อีกทั้งเขาสงสัยว่าอาจจะเป็นคนผู้นี้ที่ทำให้อวิ้นเซียนนอนเป็นผักยาวนานกว่าห้าปี
    “ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือท่านอาวุโส ท่านอาจจะรักษาผู้คนได้จริงแต่การขูดเลือดเนื้อชาวบ้านและยังหลอกลวงว่าตัวเองเป็นเซียนรักษา แล้วยังแอบอ้างเอาชื่อผู้อื่นมาใช้มันถูกต้องแล้วหรือ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของชายชรากลับทำให้เขารู้สึกหวาดระแวงและก่อนที่จะได้กล่าวอะไรโต๊ะไม้กั้นกลางระหว่างเขากับชายชราก็ระเบิดจนพัง
    ตูม!
    จิวชงหยวนพลิ้วตัวออกจากโต๊ะมายืนอยู่ห่างจากสิ่งเมื่อครู่ ทว่ากลับต้องเบิกตากว้างเมื่อชายชราผู้นั้นกลิ้งล้มลงไปอยู่กับพื้นพร้อมร้องตะโกนเสียงดัง
    “ช่วยด้วย มีคนจะฆ่าข้า” เพียงเท่านั้นผู้คนต่างกรูกันเข้ามาหาเขาด้วยความโกรธแค้น จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองตามอย่างคาดไม่ถึง ชายชราผู้นั้นแสยะยิ้มให้เขาอย่างเหนือชั้นแววตาลึกลับฉายแววเจ้าเล่ห์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเรียกร้องความสงสารจากชาวบ้านที่เข้ามาแห่ล้อมเขาไว้
    “เจ้าคนชั่วกล้าทำร้ายท่านเซียนอย่าอยู่เลย” ชาวบ้านตอนนี้ต่างระดมโยนข้าวของใส่ไม่ยั้ง จิวชงหยวนได้แต่ใช้มือปัดป้องไปมา ผู้คนที่หลั่งไหลออกันจนเต็มพื้นที่จนหาช่องว่างหนีออกไปไม่ได้ เขาหันไปมองชายชรามากเล่ห์ด้วยความเจ็บแค้น
    “ท่านคิดว่าทำเช่นนี้จะบรรลุความเป็นเซียนเช่นนั้นหรือ หากอาจารย์ท่านรู้เข้าคงจะเสียใจไม่น้อยที่ลูกศิษย์อย่างท่านทำการเช่นนี้” จิวชงหยวนบอกจบพร้อมเรียกกำไลเป็นกระบี่ขึ้นมา แสงสีเขียวมรกตทอประกายความคมกริบนั้นทำให้ชาวบ้านมองตามอย่างตกตะลึงเพราะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเรียกกระบี่มาได้เช่นไร ก่อนจะอ้าปากค้างยิ่งกว่าเดิมเมื่อร่างของชายหนุ่มหายไปมีเพียงกระบี่บินที่พุ่งหายออกไปด้วยความเร็วเหลือเพียงเส้นแสงให้มองตามเท่านั้น
    ทว่าคนที่เบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีดคือชายชรามากเล่ห์ที่มองตามอย่างคาดไม่ถึง มีคำที่ผุดขึ้นกลางใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้าว่า ‘เซียนกระบี่’ และชาวบ้านต่างก็มีความคิดเดียวกันพากันคุกเข่าลงพร้อมก้มกราบและร้องตะโกนออกมาเสียงเดียวกันว่า
    “โปรดอภัยให้พวกข้าน้อยด้วย ท่านเซียนกระบี่”



  เล่ม 2 ตอนที่ 1 มาต่อแล้วค่ะ มีคนอ่านอยู่ไหมนะ ^^

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 03-09-2015 19:13:26
ยังทารออยู่เสมอเลย มาต่ออีกนะ รออยู่คะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 03-09-2015 19:39:25
มาให้กำลังใจจ้า

หนังสืออกซื้อแน่
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 03-09-2015 21:09:04
พึ่งอ่านจากเด็กดีจบเมื่อกี้เอง
มาเป็นกำลังใจให้ค่าาาาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 03-09-2015 21:25:26
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-09-2015 23:26:22
สนุกมากกกกกกกก ลากอ่านยาวเลยไม่หลับไม่นอน เหมือนดูหนังจีนกำลังภายในเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: EXILE07 ที่ 04-09-2015 03:14:43
รอครับ รออ่านต่อยาวๆเลย
สู้ๆนะครับเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ^^~
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 05-09-2015 00:36:17
รอเลยจ้าาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: Mefiria ที่ 05-09-2015 09:35:40
ช้อบอะ เป็นนิยายแนวราชวงค์จีนเรี่องแรก ที่อ่านจนจบ
จะติดตามต่อไปครับ สนุกดี นึกภาพตามแล้วเหมือนดูหนังจีน
กำลังภายในเลย เป็นกำลังใจให้ครับ o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 28 ฝ่ามือดูดวิญญาณ ตอนที่ 2 เล่ม 1 ลง 6/8/58
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 06-09-2015 12:46:17
บทที่ 28
ฝ่ามือดูดวิญญาณ


         ทางด้านลู่เฟยที่ตามหาคนรักจนกระทั่งมาถึงหน้าศาลเจ้าที่ดูแปลกตา และมีผู้คนมากมายเข้าแถวยืนออกันเต็มไปหมด ทว่าขณะนั้นกลับเห็นแสงเป็นกระบี่สีเขียวมรกตพุ่งออกมาจากด้านในตำหนัก ดวงตาคมหรี่สายตามองตามแล้วรีบพุ่งทะยานตามแสงสีเขียวไป โดยอาศัยหลังคาบ้านเรือนเป็นที่เหยียบทะยานตามไปเพราะเบื้องล่างมีแต่ผู้คนหากชักช้ากลัวว่าจะตามไม่ทัน จนกระทั่งตามมาถึงชายทะเลซึ่งมีเรือจอดเทียบท่าหลายลำ ดวงตาคมกวาดสายตามองหาร่างโปร่งบางที่เขามั่นใจว่าเป็นจิวชงหยวนเพราะจากความทรงจำที่ค่อยๆกลับคืนมานั้นทำให้รู้ว่าจิวชงหยวนหล่อหลอมจิตรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ได้ แต่ที่ทำให้เขาสงสัยเพราะเหตุใดจิวชงหยวนถึงยอมรวมร่างกับกระบี่ต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น
    “ลู่เฟย” จิวชงหยวนเดินเข้ามาหาคนที่ติดตามเขามา ซึ่งลู่เฟยก็หันกลับมามองด้วยความเร็ว
    “เกิดอะไรขึ้น เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” จิวชงหยวนยิ้มบางให้คนที่เป็นห่วงพร้อมมองร่างเขาอย่างสำรวจ
    “เจ้าบาดเจ็บ” ลู่เฟยกล่าวเสียงแผ่วเมื่อเห็นหลังมือเขียวช้ำมือหนายื่นไปจับแล้วลูบเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองคนหน้าแดงด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
    “ข้าไม่เป็นไร” จิวชงหยวนบอกด้วยความอายก่อนจะดึงมือกลับ แม้จะทำใจยอมรับแต่เขาเองก็ยังไม่ชินในการแสดงความรักแบบนี้ยิ่งเป็นผู้ชายแล้วด้วยยิ่งทำให้เขาวางตัวไม่ถูก
    “เกิดอะไรขึ้นบอกข้าได้หรือไม่” คำถามของจิวชงหยวนทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ตอนนี้เขาออกห่างจากใจกลางเมืองมาไกลมากแล้ว
    “ได้สิ แต่ไปหาที่นั่งคุยกันเถอะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินนำไปนั่งโรงน้ำชาเล็กๆ อยู่ไม่ไกลมากนัก ในที่นี้มีผู้คนไม่มากเพราะเป็นเขตนอกเมืองที่สามารถหาเรือเพื่อออกเดินทางไปตามท้องทะเลได้ ซึ่งหมู่เกาะต่างๆ จะมีผู้คนอาศัยแต่ก็ไม่มากนักและจะมีแผ่นดินใหญ่ของแคว้นฝูเจี้ยนด้วย
    “ข้าเจอเซียนรักษาจิวชงหยวนที่ศาลเจ้า” จิวชงหยวนเริ่มเล่าเรื่องที่พบเจอให้ลู่เฟยฟังเมื่อนั่งจิบชาไปได้สักครู่ ซึ่งลู่เฟยก็นั่งฟังอย่างใจเย็นทว่าคิ้วคมเข้มกลับเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ
    “แล้วเป็นไงบ้างครั้งนี้” จิวชงหยวนนิ่งเงียบไปเมื่อหวนคิดไปถึงชายชราที่ตั้งตนเป็นเซียนรักษาและยังใช้ชื่อจิวชงหยวน
    “การแพทย์ของอาวุโสผู้นั้นถือว่าเป็นของจริง จากที่ข้าสังเกตอาวุโสผู้นี้น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเทพหรือไม่ก็เซียนคนใดคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ท่านอาจารย์ และจากกลิ่นยาที่ข้าสัมผัสได้คืออาวุโสผู้นี้มียาพิษที่ไม่ควรอยู่ในโลกมนุษย์” จิวชงหยวนกล่าวออกมาเป็นข้อๆ ตามที่สังเกตตั้งแต่เริ่มเข้าไป ลู่เฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและคิดเหตุผลที่น่าจะเป็น
    “แล้วอาวุโสที่เจ้ากล่าวมายังเป็นมนุษย์หรือไม่” คำถามของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนครุ่นคิดตาม เทพและเซียนหากจะปลอมเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ที่ยากคือหากไม่แสดงตัวก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเป็นเซียนหรือว่าเป็นมนุษย์
    “เทพเซียนหากปลอมเป็นมนุษย์นั้นยากต่อการแยกออก แต่จากนิสัยและแววตามีทั้งความลึกลับและมากไปด้วยเล่ห์กลไม่น่าจะใช่เทพเซียนที่จิตใจบริสุทธิ์ อีกอย่างหากเป็นเทพเซียนสวรรค์คงไม่ปล่อยละเลยเช่นนี้”
    “แล้วเจ้าจะทำเช่นไร จะปล่อยไปอย่างนี้หรือว่าจะทำอย่างที่ผ่านมา” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างจริงจัง ซึ่งคำว่าที่ผ่านมาคือทำลายโรงยาและชื่อเสียงเหมือนกับแคว้นเยี่ยที่เป็นคนจากพรรคหมื่นพิษซึ่งเขารู้มาว่าพวกนั้นเริ่มตามหาตัวเขากันจ้าละหวั่น
    “การรักษาของอาวุโสนั้นของจริง หากทำลายไปคงเสียดายคนมากฝีมือ แต่ข้าอยากรู้มากกว่าเพราะเหตุใดอาวุโสท่านนั้นถึงทำเช่นนี้และใครกันคืออาจารย์ที่สอนปรุงยาพิษที่ไม่ควรอยู่ที่นี่”
    “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เพราะความทรงจำข้ามีแค่เจ้าเท่านั้นนอกเหนือจากนั้นข้ายังจำไม่ได้เลย” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบ ดวงตามองคนงามนิ่งๆ ซึ่งจิวชงหยวนเองก็พยักหน้าเข้าใจ ถึงแม้เขาจะอยู่ที่หุบเขาแห่งเซียนแต่เหล่าเทพเขารู้จักเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
    “คืนนี้ข้าจะลองเข้าไปหาอาวุโสผู้นั้นอีกครั้ง”
    “ให้ข้าไปด้วยหรือไม่” จิวชงหยวนส่ายหน้าปฏิเสธเพราะตอนนี้ลู่เฟยเป็นมนุษย์ธรรมดาหากมีปัญหาจะหลบหนีไม่ได้เช่นเขา
    “ระวังตัวด้วยหากมีอะไรก็เรียกข้าเข้าใจหรือไม่” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ คำว่าเรียกของลู่เฟยคือเสียงขลุ่ยนั่นเอง
    “ว่าแต่คืนนี้หาที่พักในโรงเตี๊ยมเล็กๆ แถวนี้ไปก่อนแล้วกัน หากกลับเข้าไปกลางเมืองผู้คนอาจจะจำข้าได้" จิวชงหยวนบอกพร้อมจิบน้ำชาอีกครั้งก่อนจะลุกไปหาที่พักสำหรับคืนนี้ และหาอาหารมื้อค่ำของวันนี้เพราะไม่รู้ว่าตอนกลางคืนจะได้ออกแรงอีกหรือไม่ สองร่างพากันเดินหายเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ไม่ได้ใหญ่มากพร้อมสั่งอาหารไปนั่งกินในห้องเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนกลัวว่าจะมีคนจำเขาได้
    ตกดึกร่างโปร่งบางเร้นกายหายไปกับความมืด ลู่เฟยมองตามอย่างครุ่นคิดและด้วยความเป็นห่วงจึงแอบตามหลังไปเงียบๆ โดยทิ้งระยะห่างไม่ให้คนรักรู้ตัว
    จิวชงหยวนใช้วิชาตัวเบาท่าล่องนพเก้าทะยานกลับมาที่ศาลเจ้าหน้าโรงหมออีกครั้ง บรรยากาศในตอนนี้เงียบสงัด ร่างโปร่งในอาภรณ์สีเขียวอ่อนพุ่งทะยานไปยังห้องที่สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนยืนอยู่ และเหมือนชายชราผู้นั้นจะรู้ว่าเขากลับจึงทะยานเร้นกายหายออกไปทางนอกเมืองด้วยความเร็ว เขาจึงรีบตามไปด้วยความเร็วเช่นกันวรยุทธของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้คนที่เขาพบเจอมา ไม่เว้นแม้แต่อวิ้นเซียนเองก็ตามหากเป็นคนนี้ที่ทำให้ลูกศิษย์กำมะลอพ่ายแพ้เขาเองก็คงไม่แปลกใจ
    “เจ้าเป็นใครกันแน่เด็กน้อย” ชายชราผู้นั้นมาหยุดอยู่ชายป่าไผ่ มือสองข้างไพล่หลังยืนรอเขาอย่างสงบ ท่าทางตอนนี้ทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างหวาดระแวงเพราะอาวุโสในตอนนี้ดูสงบเยือกเย็นกว่าเมื่อตอนเย็น อีกทั้งแววตาล้ำลึกที่ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ฉายแววประกายเหี้ยมโหดเหมือนมีความแค้นกับเขามาเนิ่นนาน
    “หมอเทวดาจิวชงหยวน” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ยืนนิ่งอยู่กับที่รอดูท่าทีอีกฝ่ายอย่างใจเย็นระยะห่างกันตอนนี้เพียงแค่สามเมตรเท่านั้น ใบหน้าที่สงบแต่ดวงตาคู่นั้นทอประกายเข่นฆ่า
    “ฮึๆ ในที่สุดตัวจริงของเจ้าก็โผล่ออกมาจนได้สินะ” น้ำเสียงที่กล่าวออกมาคล้ายกับเย้ยหยันและรังเกียจเดีอดฉันท์ จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองชายชราที่บรรยากาศรอบตัวชวนให้อึดอัดใจ
    “ข้ากับท่านไม่มีความแค้นต่อกันไยท่านถึงทำเช่นนี้”
    “ใช่ไม่มี แต่หากไม่มีเจ้าในโลกแห่งนี้หมอเทวดาจิวชงหยวนก็จะมีแต่ข้าคนเดียวที่เป็นตัวจริง และข้าก็จะได้สร้างชื่อเสียงไปทั่วหล้าและในสักวันข้าก็จะได้สำเร็จการเป็นเซียนดั่งที่อาจารย์ได้กล่าวไว้” น้ำเสียงเย่อหยิ่งและแววตาทะเยอทะยานที่จะเป็นเซียนดั่งอาจารย์ผู้ฝึกสอนทำให้จิวชงหยวนมองอย่างอึ้งๆ ที่คนผู้นี้เดินในเส้นทางที่ผิด
    “ผู้ใดเป็นอาจารย์ท่านกัน” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเครียดเพราะหากอาวุโสผู้นี้มีความสามารถขนาดนี้ต้องมีอาจารย์ที่สั่งสอนเก่งกาจไม่แพ้กัน
    “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ จากที่เจ้ามีวิชาหลอมรวมหนึ่งเดียวกับกระบี่นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาหรืออาจเป็นเซียนดั่งที่ร่ำลือ” จิวชงหยวนยืนมองชายชราตรงหน้านิ่งๆ พยายามคิดทบทวนหาเศษเสี้ยวความทรงจำที่อาจารย์ให้ไว้แต่กลับไม่มีอาวุโสผู้นี้แม้แต่น้อย
    “ท่านอาวุโสเทพเซียนผู้มีวิชาการแพทย์นั้นมีมากมายนัก ข้าไม่อาจรู้ได้หรอกว่าผู้ใดสั่งสอนท่านมา แต่ท่านกำลังเดินในเส้นทางที่ผิดการที่จะเป็นเซียนได้นั้นต้องมีจิตใจบริสุทธ์ ไม่ใช่ขูดเลือดเนื้อชาวบ้านอย่างที่ท่านกระทำ”
    “บังอาจ เจ้าไม่รู้อะไร สิ่งที่ข้าทำในตอนนี้จะทำให้สวรรค์รู้ความปรารถนาดีของข้าที่ช่วยรักษาชาวบ้านและชาวบ้านทุกคนล้วนนับถือข้า และหากไม่มีเจ้าข้าก็จะยิ่งโด่งดังไปทุกแคว้น” ความตั้งใจอันแน่วแน่และเชื่อมั่นในสิ่งผิดๆ อย่างโง่งมทำให้จิวชงหยวนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เพราะการที่ไปสั่งสอนคนที่มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องก็เหมือนไปบอกกับตอไม้อย่างไรอย่างนั้น เขาถอนหายใจอย่างปลงๆ เพราะเหมือนจะคุยกันไม่รู้เรื่อง สรุปตาแก่นี่ต้องการสังหารเขาเพื่อจะได้เป็นตัวจริงและทำคุณงามความดีรักษาชาวบ้านโดยขูดไถเงินมาเป็นของตัวเองและคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจะได้เป็นเซียน
    “ข้าขอถามท่านอีกครั้ง ใช่ท่านหรือไม่ที่ใช้พิษปลิดวิญญาณกับคนผู้หนึ่ง” คำถามของเขาทำให้อาวุโสเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมา
    “ฮ่าๆๆ พิษนั่นใช้ได้ผลจริงๆ สินะ มันเป็นสูตรที่ข้าแอบขโมยอาจารย์มาทำโดยเฉพาะเลย ไม่คิดว่ามันจะได้ผลหลังจากลองผิดลองถูกมาตั้งนาน ว่าแต่เจ้านั่นตายแล้วหรือยัง ข้าตั้งใจปล่อยทิ้งไว้หวังจะดูผลไม่คิดว่าจะเร้นกายหายไปจนข้าตามไม่พบ” น้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่สำนึกผิดสักนิดกลับทำให้จิวชงหยวนรู้สึกเดือดดาลที่คนผู้นี้คิดใช้ผู้อื่นเป็นหนูทดลองยา หากเดาไม่ผิดก่อนที่ชาวบ้านเมืองเจียงหนานจะนับถือคงได้วางยาชาวบ้านแล้วเข้ามาอาสารักษาเองจนเป็นที่เคารพนับถือ น่ารังเกียจสิ้นดี!
    “เจ้า!” สรรพนามที่เรียกเปลี่ยนไปตามอารมณ์โกรธแค้นแม้จะเป็นคนใจเย็นแต่เมื่อมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้ก็คงจะใจเย็นไม่ไหว แอบอ้างชื่อเขามาใช้งานในทางที่ผิดไม่พอกลับทำร้ายชาวบ้านตาดำๆ เพื่อหวังผลประโยชน์ตัวเอง แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้วกลับไม่มีสามัญสำนึกชั่วดี กระบี่โชคชะตาปรากฏขึ้นในมือดวงตาประกายจริงจัง แม้จะเสียดายคนที่มีความสามารถแต่หากปล่อยไว้คนที่เดือดร้อนก็เป็นชาวบ้าน และอาวุโสผู้นั้นก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเขาชักกระบี่สีแดงอมส้มออกมาตามด้วยรังสีเข่นฆ่า
     จิวชงหยวนหรี่สายตามองกระบี่ตรงหน้าที่ดูแล้วไม่ธรรมดา ก่อนจะตวัดกระบี่รับการโจมตีที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วและรุนแรงจนร่างเขากระเด็นถอยหลังออกไปอย่างไม่ได้ตั้งตัว เมื่อครู่เขาออกแรงไปสามส่วนยังต้านรับไม่อยู่ นับว่าไม่ธรรมดา ดวงตาเรียวจ้องมองกระบี่ที่มีความอำมหิตแผ่ออกมาอย่างไม่เข้าใจ ความรู้สึกสะอิดสะเอียนนี่มันคืออะไรกัน
    “ฮ่าๆๆ ต่อให้เจ้าเป็นเซียนมาจากไหนก็ไม่มีทางหนีพ้นกระบี่มารของข้าได้หรอก แม้กระทั่งเหล่าจืออาจารย์ข้าก็ยังไม่อาจหนีพ้นกระบี่เล่มนี้เลย ฮ่าๆๆ” น้ำเสียงหัวเราะอย่างน่ารังเกียจทำให้จิวชงหยวนขนกายลุกชันก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าอาจารย์ยังไม่รอด นั่นหมายความคนผู้นี้สังหารแม้กระทั่งอาจารย์ของตัวเอง แล้วทำไมเรื่องนี้สวรรค์ถึงไม่รู้หากมีเทพเซียนตายไป
    “น่าแปลกไหม ข้าฆ่าอาจารย์แล้วกลับได้ไอทิพย์ของอาจารย์ไปด้วย ความหอมหวานนั้นข้ายังจำได้ดีแต่หากข้าได้ดูดไอทิพย์เจ้าไปด้วยวันนี้ข้าคงจะสำเร็จความเป็นเซียน” จิวชงหยวนอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึงชายชราผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือถึงคิดเช่นนี้ หรือฝึกวิชามากจนจิตมารเข้าแทรก ไม่ใช่เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หากมีเทพเซียนจะแปลกอะไรหากจะมีมารเพิ่มมาอีกอย่าง
    จิวชงหยวนผนึกพลังภายในตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกเจ็ดส่วนแล้วพุ่งเข้าหาร่างชายชราด้วยความเร็วดุดัน ในเมื่อคนผู้นี้ไม่มีจิตเมตตาหลงเหลืออยู่เขาจะไม่ปล่อยให้มีชีวิตต่อไป
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    หนึ่งกระบี่โชคชะตาที่เทพศาสตราสร้างขึ้นเพื่อจิวชงหยวนโดยเฉพาะ อีกหนึ่งกระบี่มารที่ใช้เลือดสาวพรหมจรรย์สร้างขึ้นต่างฟาดฟันกันอย่างน่ากลัว กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างดุเดือดจนเกิดประกายไฟท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืน มีเพียงแสงของพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้นที่ทำให้เห็นภาพเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    ตูม!!
    จิวชงหยวนและชายชราต่างกระเด็นถอยหลังออกไปตามแรงปะทะของพลังสองสาย ทั้งคู่ต่างเรียกวิชาที่ตัวเองมีออกมาต้านรับและโจมตีกันอย่างดุเดือด
    “ทิวาร้อยราตรี” จิวชงหยวนเริ่มเรียกใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาจากลู่เฟยอย่างจริงจัง ดวงตาประกายแน่วแน่พุ่งเข้าหาร่างของชายชราด้วยความเร็วแต่ชายชราผู้นี้ก็ไม่ได้น้อยหน้า
    “หมื่นอสูรเดียวดาย” เสียงเย็นยะเยือกของชายชราทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน ตั้งแต่เดินทางและใช้ชีวิตใหม่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ให้ความรู้สึกกลัวเช่นในตอนนี้ ดวงตาที่แดงฉานของชายชราผู้นี้ทำให้รู้ว่าจิตมารเข้าแทรกได้อย่างสมบูรณ์แบบ จิวชงหยวนพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยผนึกพลังเพิ่มขึ้นมาเป็นสิบส่วน
    เปรี๊ยะ!
    ตูม!!
    พื้นที่ป่าไผ่โดยรอบถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย สองร่างพลิ้วไหวไปมาบนอากาศและเหาะลงมาด้านล่าง การปะทะของทั้งคู่นั้นทำให้แผ่นดินสั่นไหวไปไม่น้อย
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    สองร่างพลิ้วไหวไปมาด้วยความเร็วจนคนธรรมดาตามไม่ทัน บนท้องฟ้าเกิดประกายแสงสองสีพุ่งผ่านฟาดฟันกันไปจนชาวบ้านที่ได้ยืนเสียงต่างเก็บตัวอยู่ในบ้านอย่างเงียบเชีย บเพราะความกลัวไม่มีใครกล้าออกมาดูนอกจากชาวยุทธที่อยู่พื้นที่บริเวณนั้น การโจมตีระดับนี้ย่อมไม่ธรรมดาทำให้ชาวบู๊ลิ๊มไม่มีทางพลาดรีบทะยานไปตามเสียงที่เกิดเหตุ
    เปรี้ยง!
    อึก!
    ร่างของชายชรากระเด็นตกไปไกลตามด้วยกระอักโลหิตออกมาคำโต จิวชงหยวนเองก็กระเด็นห่างออกมาจากแรงโจมตีเมื่อครู่เหมือนกัน ทว่ากลับมีร่างสูงสง่าของลู่เฟยพุ่งออกมารับร่างเอาไว้ทำให้ไม่บาดเจ็บมากนัก จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนที่รับร่างตัวเองแล้วยกยิ้มบางๆ ความรู้สึกกดดันและหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เลือนหายไปเหมือนกับความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะคนที่โอบกอดเขาอยู่ตอนนี้เป็นคนสอนวิชาเขามา
    “เป็นอะไรไหม” ลู่เฟยเอ่ยถามคนในอ้อมกอดอย่างเป็นห่วง ที่เขามาช้าเพราะว่าสองร่างที่ออกมาจากนอกเมืองเคลื่อนไหวเร็วจนตามไม่ทัน ไม่ใช่เขาไร้ความสามารถแต่เพราะยังไม่อยากให้ถูกจับได้ว่าแอบตามมา
    ทว่าจิวชงหยวนไม่ทันได้เอ่ยตอบลู่เฟยก็ตวัดร่างของคนรักหลบคมกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็ว พร้อมกระบี่เหล็กเนื้อดีออกมาต้านรับ ทว่าแรงปะทะที่รุนแรงอีกทั้งเนื้อกระบี่ที่ต่างกันทำให้กระบี่ของลู่เฟยแตกหักอย่างรวดเร็ว ร่างสูงตวัดร่างโปร่งบางหลบกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วก่อนจะสร้างกระบี่ไร้ลักษณ์ออกมาต้านรับด้วยความเร็ว
    จิวชงหยวนมองตามอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าลู่เฟยจะสร้างกระบี่จากลมปราณได้แล้ว และชายชราผู้นั้นก็ชะงักงันด้วยความตกใจเช่นกัน ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าทั้งสองคนเป็นเซียน
    “เจ้าเองก็ไม่ใช่มนุษย์อีกแล้วสินะ ฮ่าๆๆๆ ทำไมข้าโชคดีที่จะได้ไอทิพย์พวกเจ้าอย่างนี้”
    “เจ้าฝันหวานไปหรือเปล่า” ลู่เฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตาคมกริบทอประกายฆ่าฟันอย่างชัดเจน พลังภายในปลุกให้รุกเร้าขึ้นมาออกมาสร้างกระบี่ต้านรับกระบี่มารตรงหน้า
    “เอ่อ ลู่เฟย ปล่อยข้าก่อน” จิวชงหยวนบอกด้วยใบหน้าแดงเพราะลู่เฟยโอบกอดเขาไม่ยอมปล่อย อีกทั้งตอนนี้พวกเขาทั้งสามยังใช้ลมปราณเหยียบอยู่บนยอดไผ่ ลู่เฟยเหลือบตามองคนรักนิดหนึ่งก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ ก่อนจะยกยิ้มให้กันอย่างรู้ทันและเพียงพริบตาสองร่างก็พุ่งเข้าหาชายชราพร้อมเพรียงกันด้วยความเร็วดุดัน วิชาต่างๆ ถูกเรียกออกมาใช้อย่างไม่ต้องกั๊กอีกต่อไป ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ธรรมดาหากพลาดท่ามาคนที่จะตายคือพวกเขาเอง
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    ฉัวะ!!
    ชายชราตวัดกระบี่ต้านรับด้วยความโกรธแค้นที่ไม่อาจปัดป้องได้ทัน เพียงไม่นานร่างนั้นก็กระเด็นไปไกลอีกครั้งและครั้งนี้ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเสื้อผ้าสีขาวอาบย้อมไปด้วยเลือด ลู่เฟยหันมามองสบตากับคนรักอีกครั้ง ก่อนจะเพิ่มพลังเป็นสิบส่วนพุ่งเข้าหาร่างชายชราพร้อมกันอีกครั้งโดยไม่ปล่อยให้ร่างนั้นได้ตั้งตัว
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    ฉัวะ!!
    และนับว่าชายชราผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากผู้นี้ไม่ธรรมดาเมื่อสามารถตวัดกระบี่เข้ากลางหลังของลู่เฟยด้วยความเร็วจนมิอาจป้องกันได้ทัน จิวชงหยวนเองก็ไม่ได้น้อยหน้าตวัดกระบี่เข้ากลางอกชายชราด้วยความเร็วเช่นกัน ร่างนั้นถอยห่างโซเซเล็กน้อยพร้อมเร่งพลังเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว จิวชงหยวนจึงต้องเร่งเร้าพลังภายในของตัวเองเพิ่มมากขึ้นออกมาต้านรับแรงกดดันและจิตสังหารที่อีกฝ่ายส่งมาเช่นเดียวกับลู่เฟย
    “ฝ่ามือดูดวิญญาณ”
    “วารีสังหาร”
    ตูม!!
    กระบี่โชคชะตาเสียบทะลุกลางอกของชายชราด้วยความแรง ทว่ากลับเจอฝ่ามือดูดวิญญาณของอีกฝ่ายซัดเข้ากลางอกจนกระเด็นล้มลงไปกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะเมื่อครู่เขาเจอลูกล่อ ชายชราเจ้าเล่ห์แสร้งตวัดกระบี่เข้าหาลู่เฟยแกล้งเปิดช่องโหว่ให้เขาโจมตีแต่กลับใช้ฝ่ามือซ้ายซัดเข้ากลางอกเข้าซะเต็มสิบส่วน เขากระอักโลหิตออกมาด้วยความเจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมาพลังภายในเขาปั่นป่วนไปไม่น้อย
    “ชงหยวน!” ลู่เฟยร้องเรียกคนรักด้วยความตกใจ แต่มิอาจเข้าไปหาในตอนนี้ได้เพราะยังต้องรับมือชายแก่หนังเหนียวนี่อยู่
    จิวชงหยวนถ่มเลือดออกจากปากก่อนจะเงยหน้ามองลู่เฟยที่ฟาดฟันตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ด้วยแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งกระบี่ไร้ลักษณ์จากหนึ่งเล่มกลายเป็นสิบเล่ม แม้ชายชราผู้นั้นจะบาดเจ็บอาการสาหัสจากกระบี่โชคชะตาที่กัดกินชีวิตทีละนิดแต่ก็ยังลงมือได้รุนแรง จิวชงหยวนเม้มปากมองภาพตรงหน้าไม่คิดว่าชายแก่ผู้นี้จะมีพลังภายในมากขนาดนี้ ก่อนจะรวมร่างเป็นกระบี่พุ่งเข้าหาร่างชายชราอีกครั้ง
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ฉัวะ!!
    กระบี่บินพุ่งเข้าหาร่างชายชราพร้อมกันนับสิบเล่มทั้งกระบี่จริงกระบี่ลวงตาเนื่องด้วยความเร็วจนไม่อาจมองตามได้ทันจนเกิดเป็นภาพลวงตา ทำให้ชายชราเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อกระบี่เสียบทะลุกลางอกนับสิบเล่มและกระบี่สีเขียวมรกตพุ่งลงมาจากทางด้านบนศีรษะและเสียบทะลุลงมาด้วยความเร็วจนหลบไม่ทัน ร่างชายชราล้มลงกับพื้นดินดวงตาเบิกโพลงร่างกายอาบไปด้วยเลือดพร้อมลมหายใจสุดท้ายมอดดับลง
     จิวชงหยวนกลับมาเป็นมนุษย์ยืนอยู่ไม่ห่าง ทว่าอาการบาดเจ็บแทบทำให้ทรงตัวไม่อยู่แล้วหันไปมองร่างสูงที่เข้ามาประคองก่อนจะอุ้มทะยานหายไปจากจุดที่เกิดเหตุเพราะสัมผัสได้ว่ามีผู้คนหลั่งไหลเข้ามา ปล่อยทิ้งร่างของชายชราที่ไม่เหลือสภาพของเซียนรักษาอีกต่อไปเพราะลู่เฟยโยนหินจุดไฟใส่ร่างนั้นก่อนจะจากมา
    “ชงหยวนเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” ลู่เฟยที่อุ้มจิวชงหยวนกลับมาที่โรงเตี๊ยมเอ่ยถามร่างโปร่งบางที่กระอักโลหิตออกมาอย่างน่าเป็นห่วง ดวงตาสวยตอนนี้คลอไปด้วยน้ำตาเพราะความเจ็บช้อนตามองลู่เฟยที่ประคองกอดเขาอยู่บนเตียงอย่างห่วงใย ทั้งๆ ที่ร่างกายตัวเองเต็มไปด้วยบาดแผลแท้ๆ
    จิวชงหยวนไม่ตอบคำถามแต่กลับถอดเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นหน้าอกที่ควรขาวเนียนบัดนี้กลับเป็นรอยฝ่ามือม่วงคล้ำคล้ายกับถูกพิษแต่มิใช่พิษ
    “เจ้า!” ลู่เฟยร้องออกมาอย่างตกใจ เขาเคยได้ยินมาว่าฝ่ามือดูดวิญญาณหากใครโดนเข้าไปร้อยทั้งร้อยไม่มีใครรอดคนที่มีวรยุทธก็จะเสื่อมถอย วิชานี้เป็นวิชามารที่หายสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว มือหนาสั่นระริกมองคนรักด้วยความหวาดหวั่น
    “รักษาอย่างไรชงหยวนรีบบอกข้า” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงสั่นกอดร่างโปร่งบางแนบอกด้วยความกลัว จิวชงหยวนเหลือบตามองลู่เฟยแล้วหลับตาพริ้มลงเพราะเริ่มทนพิษบาดแผลไม่ไหว ฝ่ามือนี้ร้ายกาจไม่น้อยเพราะมันแลกด้วยพลังชีวิตของอีกฝ่าย ทางเดียวที่จะรักษาได้คือพลังหยางอันบริสุทธิ์และยังต้องเป็นชายที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วแบบนี้เขาจะให้ลู่เฟยรักษาได้อย่างไร เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่หรือไม่ เขารู้สึกเกลียดวิชานี้ขึ้นมาแล้วสิ
    อึก!
    จิวชงหยวนกระอักโลหิตออกมาอีกครั้งยิ่งทำให้ลู่เฟยกระวนกระวายมากขึ้น มือหนากอดร่างโปร่งบางนั้นสั่นระริกด้วยความกลัว
    “บอกข้า ว่าข้าต้องทำอย่างไร” น้ำเสียงเจ็บปวดและหวาดกลัวของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนพยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หากเป็นพิษทั่วไปไม่มีทางจะทำให้เขาเจ็บมากขนาดนี้แต่ที่ทำให้แทบขยับตัวไม่ได้เพราะลมปราณดูดวิญญาณที่ร้อนแรงจนกัดกินร่างเขามันแทรกเข้ามาในลมปราณจนทำให้พลังภายในเขาปั่นป่วนต่างหาก แม้แต่รักษาตอนนี้ยังช่วยไม่ได้เลยนอกจากพลังหยางส่วนยาเทวะที่อยู่ในกล่องจะช่วยประคองชีวิตไปได้ชั่วคราวเท่านั้น มือเรียวพยายามล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบกล่องยาเทวะขึ้นมาแต่กลับไม่มีแรงเปิดผนึกได้ ดวงตาเรียวช้อนมองลู่เฟยที่รับกล่องมาอย่างเข้าใจ ก่อนจะช่วยเปิดกล่องให้ตามความทรงจำที่พอมีแล้วหยิบเม็ดยาป้อนให้จิวชงหยวนอย่างระวัง
   “ยานี้แค่ยื้อชีวิตชั่วคราว สิ่งที่รักษาได้คือพลังหยางของชายบริสุทธิ์” คำตอบแผ่วเบานั้นทำให้ลู่เฟยหน้าแดงเล็กน้อย แต่เวลานี้ไม่มีเวลาต้องมาอายเมื่อรู้ว่าสิ่งใดช่วยคนรักไว้ได้จึงเริ่มลงมือทันที อีกอย่างชายบริสุทธิ์ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกเพราะตั้งแต่เกิดมาจำความได้ยังไม่เคยมีเมียสักคน แม้จะรู้สึกเสียหน้าไปบ้างแต่มันคือเรื่องจริงที่เขาไม่มีอารมณ์พวกนี้เลยยกเว้นตอนอยู่กับชงหยวนเท่านั้น
     ก่อนจะพยุงร่างโปร่งบางพิงอกตัวเองแล้วช่วยถอดเสื้อผ้าให้หมดทั้งตัว ใบหน้างดงามแดงระเรื่อเมื่อรู้ว่าเขาจะทำอะไรจิวชงหยวนหลับตาพริ้มเพราะตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพูด ร่างกายขาวเนียนปรากฏให้เห็นทั้งตัวแทบทำให้ลู่เฟยสติแตก จากนั้นจึงรีบถอดเสื้อผ้าตัวเองออกจนตอนนี้ทั้งคู่เปล่าเปลือยอยู่บนเตียงนอน
     ลู่เฟยหลับตาลงพยายามไม่นึกภาพงดงามที่ยั่วยวนอารมณ์เขาแล้วกอดประคองร่างนั้นให้นั่งตัวตรงก่อนจะถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปสลายลมปราณที่แทรกเข้ามา พลังหยางในร่างถูกดูดเข้าไปชำระพลังมารในร่างด้วยความเร็วจนเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มร่าง สองร่างนั่งนิ่งถ่ายทอดพลังหยางให้กันจนความร้อนระเหยออกมาตามร่างของทั้งสองคน ใบหน้างดงามนิ่วหน้าด้วยความเจ็บก่อนจะเริ่มบรรเทาลง...
     ไม่รู้เวลาผ่านมานานเท่าไหร่ที่ลู่เฟยส่งพลังหยางของตัวเองให้ร่างโปร่งบาง จนกระทั่งร่างนั้นไม่ดูดพลังหยางเขาอีกจึงถอนมือออกมากอดประคองร่างที่เอนเอียงไปมาแนบชิดกับอกแกร่งตอนนี้เหงื่อผุดขึ้นมาตามตัวทั้งสองคน แต่ในความรู้สึกของลู่เฟยตอนนี้จิวชงหยวนช่างน่าพิศวาสยิ่งนัก ดวงตาคมกริบหลับตาลงแล้วกอดร่างนั้นให้นอนเคียงข้างพร้อมดึงผ้าห่มมาปกคลุมร่างเปล่าเปลือยของทั้งคู่ แม้เวลานี้จะสว่างแล้วแต่ด้วยถ่ายพลังไปหลายชั่วยามจึงเหนื่อยล้าไม่น้อย ทว่าตอนนี้เขาขอนอนกอดร่างโปร่งบางเก็บแรงไว้ก่อน



        หลังจากช็อกไป 2 วันเพราะคอมฯ ฟางเจอไวรัสตระกูล HELP_DECRYPT เรียกว่าไวรัสเรียกค่าไถ่ ทำให้คอมฯฟางเสียหายไม่สามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้ นิยายทุกเรื่องที่แต่งหายไปในพริบตา ดีแต่ว่าฟางส่งเล่ม 1 ให้สนพ.ก่อนไม่อย่างนั้นคงร้องไห้หนักแน่ๆ แต่ต้องขอบคุณนักอ่านที่น่ารักที่เข้าไปให้กำลังใจฟางในแฟนเพจมากมายทำให้ฟางมีแรงใจลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-09-2015 14:21:50
ดีใจที่มาต่อ รออ่านมาตลอดเลยว่าเมื่อไรตอนใหม่จะมา
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 06-09-2015 15:05:17
พี่ฟางค้าาาาา ช่วยแก้ไขหัวข้อเรื่องเพิ่มตอนที่ กับวันอัพได้ม้าา คนอ่านจะได้รู้ว่าอัพแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 06-09-2015 16:54:25
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 06-09-2015 20:14:34
อร๊างงงงงง ลู่เฟยยังบริสุทธิ์  :heaven
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-09-2015 20:24:12
มาให้กำลังใจจ้า

ยังติดตามเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: RoseBullet ที่ 06-09-2015 20:27:26
ลู่เฟยยังซิง ฮี่ๆๆ เก็บซิงไว้ชิงโชค เอ้ย เก็บไว้รอชงหยวนใช่มั้ยจ๊ะ
รู้สึกว่ายิ่งนานวันเข้าก็จะยิ่งเจอศัตรูที่ร้ายกาจมากขึ้นทุกที
ตอนนี้ยังกระอักเลือดแถมเจอพิษโหดซะขนาดนี้ ต่อไปจะอันตรายมากขนาดไหนเนี่ย
ลู่เฟยรีบๆจำให้ได้มากขึ้นไวๆนะ มาช่วยกันสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชงหยวนด้วย
แต่ตอนลงมาโลกมนุษย์นี่ลู่เฟยก็ยังไม่สามารถใช้พลังได้เหมือนตอนเป็นเทพใช่ไหม เป็นมนุษย์ธรรมดาก็มีขีดจำกัดเนอะ
ดีแล้วที่ชงหยวนรู้ใจตัวเองแน่ชัดแล้วว่ารักชอบใคร อีกคนเค้าจะได้ไม่ต้องมีความหวัง จะเจ็บเปล่าๆ
ต่อจากนี้คงไม่ได้เห็นฮาเร็มหนุ่มของชงหยวนแล้วเน้อ มีเจ้าของตัวจริงแล้วนิ อิอิ
 :katai3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-09-2015 21:55:35
ตอนแรกก็กลัวว่านายเอกของเราสู้ไม่ได้

ปลื้มฉากที่ลู่เฟยรักษานายเอกมากๆ

เป็นฉากที่จินตนาการไปไกลมากๆ

ติดตามเสมอจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: onekiss ที่ 07-09-2015 15:26:13
 :mew1: :mew1: :mew1:
รักคนแต่ง
รอตอนต่อไปคร้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 29 ค่ายกลตะข่ายฟ้า ของตอนที่ 3 เล่ม 2
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 08-09-2015 15:09:39
 บทที่ 29 ค่ายกลตะข่ายฟ้า ตอนที่ 3 เล่ม 2 จ้า


         ช่วงสายจิวชงหยวนตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า ใบหน้าแดงระเรื่อมองคนที่กอดตัวเองแน่นด้วยความเคอะเขิน แม้สติจะเลือนรางแต่ก็รู้ว่าลู่เฟยเป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ร่างโปร่งบางพยายามลุกขึ้นนั่งใบหน้าแดงก่ำเมื่อร่างกายตอนนี้เปล่าเปลือยและคนข้างๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน ก่อนจะรีบหันหลังให้ลู่เฟยเมื่อเจ้าตัวลืมตาขึ้นมามอง
    “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงห่วงใยและแววตาอาทรส่งมาให้ จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะบอกเสียงเรียบพยายามตีสีหน้าให้นิ่งที่สุด
    “ข้าหายดีแล้วกำลังภายในหายไปนิดหน่อยแต่ไม่นานก็กลับคืนมา” ลู่เฟยยกยิ้มยินดีที่คนรักไม่เป็นอะไรมาก นิ้วเรียวลูบไล้แผ่นหลังเนียนอย่างแผ่วเบา แต่กลับทำให้จิวชงหยวนขนกายลุกชันสองเท้าเร็วกว่าความคิดกว่าจะรู้ตัวร่างสูงก็นอนหงายตกเตียงไปแล้ว
    “เจ้า! เจ้าทำกับคนที่ช่วยชีวิตเจ้าเช่นนี้หรือไง” ลู่เฟยลุกขึ้นต่อว่าอย่างงอนๆ จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองร่างสูงหนาโชว์ซิกแพคอย่างน่าอิจฉาแต่ที่ทำให้เขาหน้าแดงเพราะส่วนล่างนั้นมันแข็งขืนขึ้นมาท้าทายเขา
    “เจ้าลามกไปใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้” จิวชงหยวนร้องลั่นเมื่อสติกลับคืนมาหมอนใบเล็กสองใบโยนใส่คนตัวสูงด้วยความอาย ลู่เฟยยกยิ้มที่มุมปากอย่างชอบใจแต่ก็เดินไปใส่เสื้อผ้าให้ตามที่ร่างโปร่งบางต้องการ แม้จะอยากแกล้งอยู่แต่วันนี้พวกเขายังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก
    ผ่านไปครึ่งชั่วยามจิวชงหยวนกับลู่เฟยมาปรากฏตัวที่หน้าโรงยากับศาลเจ้าอีกครั้ง และดูเหมือนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าเซียนรักษาโดนสังหารไปแล้ว และเหมือนจะเป็นเรื่องปกติจนน่าแปลกใจ จิวชงหยวนหยิบหน้ากากสีทองมาสวมบนใบหน้าเพื่อป้องกันคนจำได้แล้วเดินเข้าไปถามคนบริเวณนั้นด้วยความสงสัย
    “ท่านป้าทำไมวันนี้ไม่มีเข้าแถวไปหาท่านเซียนหรอกหรือ”
    “เปล่าหรอกจอมยุทธน้อย ท่านเซียนนานๆ ทีถึงจะมาแถวนี้ ส่วนมากที่ช่วยรักษาให้ชาวบ้านก็เป็นลูกศิษย์ จอมยุทธน้อยมาช้าไปเมื่อวานนี้ท่านเซียนมาช่วยรักษาชาวบ้านด้วยและยังมีเซียนกระบี่สหายของเซียนรักษาจิวชงหยวนมาที่นี่ด้วยนะ” ท่านป้าเล่าด้วยความตื่นเต้น จิวชงหยวนพยักหน้ารับและกล่าวขอบคุณก่อนจะขอตัวจากมา
    “เจ้าจะเอาไงต่อ”
    “ข้าจะเข้าไปในเรือน ไม่แน่เหล่าจืออาจอยู่ที่นี่ก็ได้” จิวชงหยวนสะบัดพัดในมือที่ได้มาจากเจียนเจียนไปมาอย่างครุ่นคิด
    “เจ้าคิดว่าเหล่าจือยังไม่ตายหรือ”
    “ใช่ หากตายวิญญาณต้องปรากฏที่ยมโลก และสวรรค์ต้องรู้แจ้งแล้วว่ามีเทพเซียนตายแต่นี่ยังปล่อยให้ตาแก่มีชีวิตอยู่หมายความว่าสวรรค์ยังไม่รู้เรื่องนี้” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างมั่นใจ ลู่เฟยพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะใช้วิชาตัวเบาทะยานหลบเข้าไปภายในเรือนหลังใหญ่ตามร่างโปร่งบางไปอย่างว่าง่าย
    ภายในเรือนด้านหลังดูเงียบๆ จนทั้งคู่ต้องเพิ่มความระวังตัวมากขึ้น ก่อนจะพากันทะยานขึ้นไปหลบอยู่บนขื่อไม้ด้วยความเร็วเมื่อเสียงแว่วๆ ดังใกล้เข้ามา
    “เจ้าว่าอาจารย์ออกเดินทางไปแล้วจริงๆ ไหม” ชายร่างท้วมเอ่ยถามสหายร่างผอมสูงด้วยความสงสัยขณะเดินเข้ามาในเรือนหลังใหญ่หยิบถาดธูปเทียนส่งให้สหายอีกสองคนที่ตามมาเอาข้าวของ
    “จริงอยู่แล้วล่ะ อาจารย์ชอบหายไปบ่อยๆ เดี๋ยวก็กลับมา” ชายร่างผอมตอบพร้อมก้มลงหยิบถาดมาช้อนกันอีกใบ
    “ท่านพี่ แต่ข้าสงสัยว่าด้านหลังตำหนักเย็นที่อาจารย์ห้ามพวกเราเข้าไปมันคือสิ่งใดกัน” ชายร่างเล็กสุดเอ่ยถามพร้อมช่วยถือถาดธูปจากทั้งสอง
    “อ้อ เป็นที่พำนักของอาจารย์เวลาเข้าฌาน บางครั้งอาจารย์ก็เข้าไปเป็นเดือนแต่ละครั้งไม่แน่นอน อาจารย์แค่ไม่อยากให้ผู้ใดรบกวน” ชายร่างท้วมเอ่ยตอบเท่าที่รู้ก่อนจะพากันเดินออกไป
    จิวชงหยวนโหนตัวลงมายืนอยู่บนพื้นแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่โดนจับได้ซะก่อน โดยมีลู่เฟยลงมายืนอยู่ข้างๆ
    “ไปกันเถอะเหล่าจืออาจอยู่ที่นั่นก็ได้” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟย ก่อนจะทะยานไปยังตำหนักดังกล่าว แต่แล้วต้องพลิ้วตัวหลบใต้พุ่มไม้ด้วยความเร็วเมื่อหน้าตำหนักเย็นมีชายร่างยักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองคน ลู่เฟยที่ตามมาติดๆ ก็หลบตามด้วยความเร็วไม่แพ้กัน
    จิวชงหยวนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดเข็มพิษยาสลบใส่ทั้งคู่ด้วยความเร็ว เพียงไม่นานผู้เฝ้าตำหนักก็ล้มสลบลงไปด้วยฤทธิ์ยา เขาจึงเดินออกมาพร้อมลากร่างนั้นไปหลบไว้ด้านหลังกำแพงโดยมีลู่เฟยช่วยลากอีกคนไปหลบเช่นกัน ทั้งคู่เดินเข้าไปภายในตำหนักที่ดูวังเวง
    “ข้าจะไปหาดูทางนั้น ส่วนเจ้าไปทางนี้แล้วกัน ระวังตัวด้วยนะ” ลู่เฟยหันมาบอกเพื่อจะได้หาเป้าหมายเร็วขึ้นกว่าเดิม จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะแยกไปคนละทางกับลู่เฟย เขาเดินผ่านห้องต่างๆ มาเรื่อยๆ ทว่าขณะเดินผ่านก็ยกมือขึ้นลูบกำแพงห้องมาตลอดเส้นทางเช่นกัน เพราะความเจ้าเล่ห์ของตาแก่นั่นทำให้เขาไม่ไว้ใจ จนกระทั่งมาถึงห้องรับแขกที่น่าแปลกข้าวของเครื่องใช้มีน้อยกว่าห้องอื่นจนน่าแปลกใจ มีเพียงชั้นหนังสือขนาดกลางที่ตั้งอยู่ริมห้อง นอกนั้นก็โต๊ะเก้าอี้นิดหน่อย ทั้งๆ ที่ห้องอื่นจะประกอบไปด้วยข้าวของที่มีค่าทำมาจากทองคำทั้งนั้น
     ครืดดด
    ฝ่ามือที่ลูบกำแพงมาเรื่อยหยุดชะงักตรงข้างชั้นหนังสือพร้อมกลไกบางอย่างทำให้ชั้นหนังสือขนาดกลางเลื่อนออกอัตโนมัติเผยให้เห็นบันไดลงไปยังชั้นล่างที่มืดทึบจนไม่อาจรู้ได้ว่าใต้ล่างนี้มีสิ่งใด
    วีดดดด
    จิวชงหยวนผิวปากยาวๆ หนึ่งครั้งเพียงไม่นานลู่เฟยก็มาปรากฏตัวตรงหน้า ใบหน้าคมคายหงิกเล็กน้อยพร้อมบ่นเบาๆ อย่างไม่จริงจังมากนัก
    “ข้าไม่ใช่หมาจะได้ผิวปากเรียกอย่างนั้น” จิวชงหยวนยิ้มให้อย่างไม่ถือสาแล้วตอบกลับอย่างหยอกเย้า
    “หรือเจ้าจะให้ข้าเป่าขลุ่ยเรียกล่ะ จะได้แห่กันมาทั้งตำหนักเลย”
    “เปล่าซะหน่อย” ลู่เฟยตอบกลับเบาๆ แล้วขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าตนอย่างหมั่นไส้ที่ชอบเถียง และเดี๋ยวนี้เริ่มจะตอบโต้เขาได้แล้วหลังจากเมื่อก่อนโดนเขาแกล้งมาเนิ่นนาน
    “หัวยุ่งหมดแล้ว” จิวชงหยวนปัดมือออกอย่างงอนๆ ลู่เฟยหัวเราะในลำคออย่างชอบใจแล้วหยิกแก้มป่องด้วยความหมั่นไส้
    “ใช่เวลาเล่นไหมนี่” จิวชงหยวนมองคนเล่นไม่เป็นเวลาตาเขียวปั้ด จนลู่เฟยยกมือออกอย่างยอมแพ้ก่อนชะเง้อมองทางลับที่มืดมิดจนมองไม่เห็นเบื้องล่าง แต่ไม่ใช่สำหรับเขาเพราะตั้งแต่ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาเขาจะมองเห็นกลางคืนเหมือนในเวลากลางวันไม่มีผิด
    “ไปเถอะ” ลู่เฟยหันมาบอกพร้อมจูงมือคนงามตามหลังมา ทว่าเมื่อลงมาลึกเท่าไรยิ่งต้องระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากสิ่งผิดปกติภายใน ทั้งคู่เดินเข้ามาระยะทางไกลมากจนไม่น่าเชื่อว่าตาแก่นั่นจะสร้างทางใต้ดินไว้ใต้เมืองเจียงหนานได้ และยิ่งเดินมาลึกเท่าไรความอับชื้นก็มีมากขึ้นเท่านั้น การเดินทางในที่มืดและอับชื้นเช่นนี้ทำให้จิวชงหยวนลำบากไม่น้อยเพราะมองไม่เห็นเส้นทางได้เหมือนลู่เฟย
    ฟิ้วววว~
    เสียงแหวกอากาศดังเข้ามาทำให้สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำงาน สองร่างพลิ้วตัวตีลังกาหลบห่าธนูที่อาบยาพิษไปมาอย่างคล่องแคล่ว โดยที่ลู่เฟยพยายามปัดป้องช่วยคนรักด้วยความเร็ว เพียงไม่นานห่าธนูชุดแรกก็เงียบไปทว่าทั้งคู่ยังไม่กล้าขยับไปไหนเพราะเริ่มรู้แล้วว่าเข้ามาในเขตค่ายกล
    “ลู่เฟยพอจะเห็นกลไกอะไรที่ทำให้ไฟมันสว่างไหม” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่จับมือตัวเองแน่นด้วยความหวังเพราะตอนนี้เขามองไม่เห็นนอกจากอาศัยสัญชาตญาณเอาตัวรอดเท่านั้น
    ลู่เฟยกวาดมองตามพื้นผนังห้องใต้ดินในอุโมงค์ที่กว้างขวางไม่น้อย ดูลักษณะภายนอกไม่น่าจะมีค่ายกลอะไรซุกซ่อนอยู่ แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ประมาทไม่ได้เช่นกัน ดวงตาคมกริบสะดุดกับรูปปั้นอินทรียักษ์ที่อยู่เหนือศีรษะไปสามเมตรและมีไข่มุกสีขาวลูกใหญ่อยู่ตาซ้ายของอินทรียักษ์
    “ยืนรออยู่นี่อย่าเพิ่งขยับไปไหน” ลู่เฟยบอกพร้อมโคจรลมปราณมาที่เท้าแล้วดีดตัวขึ้นไปโดยอาศัยกำแพงปีนป่ายขึ้นไปด้วยความเร็วพร้อมฝ่ามือซัดเข้าไข่มุกสีขาวที่เป็นนัยน์ตาของอินทรี เพียงแค่สัมผัสคบเพลิงที่วางไว้ในจุดต่างๆ กลับมีไฟลุกขึ้นโซนอย่างน่าอัศจรรย์ ลู่เฟยพลิ้วตัวลงมายืนข้างกายคนรัก
    จิวชงหยวนมองดูรอบกาย ก่อนจะเก็บพัดในมือพร้อมเรียกกระบี่ออกมาเตรียมพร้อม เส้นอักขระที่วาดเขียนภายในนี้ดูคุ้นตาพยายามนึกข้อมูลที่มีอยู่ในหัวและอ่านผ่านตา ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อคิดได้ว่าอักขระที่ถูกวาดตรงกำแพงพวกนี้มันคืออะไร
    “อักขระพวกนี้ทำไมข้าคุ้นจัง” คำพูดของลู่เฟยยิ่งตอกย้ำความมั่นใจมากขึ้น
    “มันคือค่ายกลตะข่ายฟ้าที่ไว้ใช้สำหรับกักขังเทพเซียนและปีศาจ” ลู่เฟยหันขวับมามองจิวชงหยวนด้วยความตกใจเล็กน้อยและเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
    “เจ้าแน่ใจหรือ”
    “อืม ข้าเคยอ่านเจอตอนที่อาจารย์เอามาให้อ่านตอนที่อยู่หุบเขาแห่งเซียน” จิวชงหยวนบอกเสียงมั่นใจ ดวงตาเรียวมองรอบกายโดยยังไม่ขยับไปไหน
    “หากเป็นเช่นนั้นใครกันที่มาสลักอักขระอาคมตะข่ายฟ้า หรือจะเป็นพวกนักพรตลัทธิเต๋า” ลู่เฟยออกความเห็นเพราะหลายแคว้นจะมีพวกนักพรตประจำอยู่
    “ก็มีความเป็นไปได้ แต่ที่ข้ามั่นใจเหล่าจือต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ” จิวชงหยวนบอกอย่างมั่นใจแล้วก้าวเดินนำไป ทว่ามือหนากลับยึดแขนเอาไว้เขาจึงหันไปเลิกคิ้วถาม ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อลู่เฟยดึงเขามาไว้ด้านหลังและเป็นคนก้าวเดินนำทางไปเอง
    ฟิ้ววว~
    ธนูพิษพุ่งมาทุกทิศทุกทางจนไม่สามารถหลบได้พ้น นอกจากใช้กระบี่ตัดป้องและตัดให้ขาดด้วยความเร็วเท่านั้น ลู่เฟยเองก็ปล่อยมือจิวชงหยวนให้เป็นอิสระเพื่อจะได้ถนัดป้องกันตัวเองมากขึ้น ผ่านไปครึ่งก้านธูปทุกอย่างก็เงียบลง แต่ความเงียบเหมือนเป็นภัยครั้งยิ่งใหญ่
    “วิ่งเร็ว!” ลู่เฟยตะโกนดังลั่นพร้อมลมปราณสะกิดปลายเท้าวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว จิวชงหยวนเองก็เร็วไม่แพ้กัน ทั้งคู่วิ่งไปไกลกว่าสามเมตรก่อนจะหยุดวิ่งเมื่อไม่ได้ยินเสียงตามมาแล้ว เขาหันกลับไปมองด้านหลังแล้วต้องกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียว ขวานขนาดใหญ่นับสิบอันแกว่งไปมาหากพลาดท่าและชักช้าอีกนิดเดียวร่างของเขาคงโดนตัดขาดเป็นชิ้นๆ แน่ ดวงตาเรียวหันไปมองลู่เฟยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
    ก่อนจะเบิกตากว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อหินขนาดใหญ่กำลังร่วงลงมา จิวชงหยวนคว้ามือลู่เฟยวิ่งหลบด้วยความเร็ว
    ตูม!
    หินน้ำหนักกว่าพันตันร่วงหล่นลงจนพื้นสะเทือน แต่คาดว่ามันคงไม่สะเทือนไปถึงด้านบนผิวดินเนื่องด้วยตอนนี้เขาอยู่ลึกและออกนอกเมืองเจียงหนานมาไม่น้อย
    แฮ่กๆๆ
    จิวชงหยวนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้างดงามซีดเผือดเพราะเพิ่งผ่านพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
    “ข้าว่านี่ไม่ใช่ค่ายกลตะข่ายฟ้าอย่างเดียวแล้วล่ะ ข้าว่ามันเป็นค่ายกลนรกมากกว่า” จิวชงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด หวังว่าเขาคงจะไม่มาจบชีวิตอยู่ใต้ดินกับของเล่นตาแก่เจ้าเล่ห์ที่ตายไปแล้วยังหาเรื่องให้เขาไม่เลิกหรอกนะ
      ครืดดดด
    ยังไม่ทันได้หายเหนื่อย จิวชงหยวนต้องกวาดมองรอบๆ กายอย่างตื่นตัว และคราวนี้ไม่ต้องให้ใครเอ่ยเตือน สองร่างวิ่งพลิ้วหลบคมดาบ หลบลูกตุ้มหนามแหลมขนาดใหญ่ที่กลิ้งเข้ามาหาได้อย่างทันท่วงที
    “ผ่าพิภพ”
    ตูม!
    จิวชงหยวนหันกลับมาตวัดผ่าลูกตุ้มยักษ์ที่กลิ้งเข้ามาหาด้วยความเร็วแล้วทะยานขึ้นฟ้าหลบการแตกกระจายของมัน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    ลู่เฟยเองก็ตีลังกาหลบพร้อมคอยตวัดกระบี่ตัดคมหอกคมกระบี่ที่พุ่งออกมาด้วยความเร็วเช่นกัน หลังจากทำลายอาวุธลับที่พุ่งเข้ามาหาหมดแล้วแต่ทั้งคู่ไม่ได้คลายความหวาดระแวงลงเลย เมื่อผ่านมาได้สักพักยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงเริ่มเดินไปตามอุโมงค์ซึ่งมีคบไฟจุดตามรายทางไปเรื่อยๆ
    จิวชงหยวนมองคนนำทางที่บาดเจ็บเล็กน้อย ก่อนจะหายาแก้พิษยื่นให้เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรซึ่งเจ้าตัวก็รับมากินอย่างว่าง่าย ดวงตายังกวาดมองรอบกายอย่างหวาดระแวงกระบี่ในมือคือกระบี่มารที่ลู่เฟยหยิบติดมือมาระหว่างโยนหินไฟใส่ร่างของตาแก่เจ้าเล่ห์ แม้เขาจะไม่เห็นด้วยเพราะกระบี่มารนั้นหากจิตใจไม่แข็งแกร่งพออาจจะโดนครอบงำได้ แต่ลู่เฟยกลับยืนยันที่จะใช้มันเพราะกระบี่ของลู่เฟยถูกทำลายไปเมื่อคืน เขาจึงปล่อยเลยตามเลยอีกอย่างเขามั่นใจว่าคนที่เคยเป็นถึงแม่ทัพสวรรค์คงไม่มาพ่ายแพ้กับกระบี่มารแค่นี้แน่หรอกมั้ง
    ครืดดดด
    เสียงที่ไม่ได้ยินมาสักพักดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นสองร่างก็พุ่งทะยานไปด้านหน้าด้วยความเร็วเมื่อใบเลื่อยวงเดือนขนาดใหญ่กว่าตัวเขาสองเท่าพุ่งเข้ามาหา สองร่างพลิ้วไหวตีลังกาหลบและแล้วเอนกายหลบคมใบเลื่อยวงเดือนไปได้อย่างเฉียดฉิว จิวชงหยวนเบิกตากว้างเมื่อเส้นผมถูกตัดออกไปปอยใหญ่ ร่างโปร่งบางเอนหลังหลบคมใบเลื่อยวงเดือนได้อย่างฉิวเฉียดพอๆ กับลู่เฟย
    แฮ่กๆๆ
    จิวชงหยวนถึงกับหอบแฮกสองมือจับเข่าค้ำไว้ด้วยความเหนื่อย สายตากวาดมองอาวุธสังหารที่ตาแก่สร้างขึ้นมาแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างหวาดเสียว วันนี้เขาเสี่ยงตายมาหลายครั้งจนไม่น่าเชื่อว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้
    พรึบ!
    แต่แล้วร่างของทั้งคู่ก็ร่วงตกอย่างไม่ทันตั้งตัวลู่เฟยอาศัยความเร็วตวัดอุ้มร่างโปร่งบางไว้ พร้อมใช้ร่างตัวเองรับแรงกระแทกจากเบื้องล่าง จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองคนที่เอาตัวเองเป็นฐานด้วยความตกใจ
    ตุ้บ!
    เสียงกระแทกลงพื้นเมื่อสิ้นสุดหลุมที่ดึงสองร่างลงมา จิวชงหยวนรีบลุกขึ้นจากร่างหนาด้วยความเร็ว มือเรียวพยายามฉุดร่างหนาให้ลุกขึ้นตาม ดีแต่ว่ามันไม่ลึกมากแต่คนที่เป็นฐานเขาก็จุกไปไม่น้อย
    “เป็นไงบ้าง ตายหรือยัง” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างร้อนรน มือเรียวสำรวจร่างหนาอย่างถือวิสาสะ จนคนจุกต้องจับมือเรียวเอาไว้
    “เจ้าไม่ต้องรีบแช่งข้าให้ตายก็ได้ ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้เจ้าเป็นเมียข้า ข้าไม่ยอมตายหรอก” แม้คนพูดจะมีสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อยแต่จิวชงหยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ทว่าใบหน้ากลับแดงระเรื่อเมื่อคำพูดชวนให้คิดของลู่เฟยทำให้เขาเก้อเขิน
    “แล้วเอาไงต่อ” จิวชงหยวนเอ่ยถามแก้เก้อเขิน ลู่เฟยเองก็กวาดตามองรอบกายคบเพลิงในนี้ยังสว่างไสวหมายถึงมันเชื่อมมาหากันได้
    “ไปทางนั้นก่อนแล้วกัน” ลู่เฟยบอกพร้อมลุกขึ้นตามแรงฉุดของคนตัวเล็กก่อนเดินนำทางไปเช่นเดิมเพราะไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องปกป้องคนรักเอาไว้ให้ได้
    ทั้งคู่เดินเข้าไปด้านในอย่างระวังตัวแจ ความเงียบในนี้ทำให้พวกเขาไม่ไว้ใจเมื่อผ่านมาได้สักพักกลับได้ยินเสียงขู่จากสัตว์บางชนิด แต่เมื่อดวงตาเรียวมองเห็นถึงกลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ร่างโปร่งบางเบียดเข้าหาร่างหนาอย่างลืมตัว
    ฟ่อ ฟ่อออ ~
    เสียงขู่ฟ่อๆ ของสัตว์เลื้อยคลานหากมีแค่ตัวสองตัวจิวชงหยวนจะไม่กลัวเลยสักนิด แต่นี่มันเล่นอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนนับร้อยตัว แต่ละตัวเป็นอสรพิษที่มีพิษร้ายกันทั้งสิ้น
    ลู่เฟยมองคนเกาะแขนตัวเองอย่างเข้าใจ แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกขยะแขยง
    “เจ้ามียาอะไรทำให้มันตายหรือไม่ก็สลบไหม” จิวชงหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงระเบิดควันที่ผสมยานอนหลับไว้อย่างรุนแรง มันน่าจะได้ผลกับอสรพิษพวกนี้นะ ลู่เฟยมองตามรอยยิ้มของจิวชงหยวนแล้วรู้สึกหวาดระแวงไม่ไว้ใจ
    “ปิดจมูกไว้ดีๆ ล่ะ ห้ามสลบไปก่อนพวกอสรพิษพวกนี้นะ” จิวชงหยวนหันไปบอกคนข้างกายที่เขาเบียดเข้าหาจนจะรวมร่างกันอยู่แล้ว แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็เขาขยะแขยงจนไม่กล้าขยับเดินไปต่อกลัวว่าจะไปเหยียบมันเข้า
    พรึบ!
    ตูม!
    ระเบิดควันลูกแรกถูกโยนเข้ากลางกลุ่มของอสรพิษ เมื่อควันฟุ้งเลือนหายไปจำนวนอสรพิษก็นอนทับถมกันเต็มทางเดินไปหมด ลู่เฟยมองตามแล้วยกยิ้มบางเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของจิวชงหยวน มือหนาตวัดอุ้มร่างโปร่งบางก่อนจะสะกิดปลายเท้าพุ่งออกไปข้างหน้าด้วยความเร็ว จนพ้นเขตของอสรพิษจึงยอมปล่อยร่างโปร่งบางลงซึ่งตอนนี้ใบหน้างดงามแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน
    โครกกก
    จิวชงหยวนหน้าแดงก่ำมากขึ้นเมื่อท้องร้องประท้วงความหิวที่เวลานี้พลบค่ำมากแล้ว หลังจากที่เผชิญกับดักร้อยแปดของค่ายกลตะข่ายฟ้าและค่ายกลวิญญาณพิษหลังจากตกลงมาเบื้องล่าง ลู่เฟยยิ้มบางพร้อมหยิบหมั่นโถวที่ซื้อติดตัวมาไว้ให้จิวชงหยวนโดยเฉพาะ ทั้งคู่นั่งกินหมั่นโถวเงียบๆ แต่สายตากลับกวาดมองรอบกายด้วยความหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีก เบื้องหน้าตอนนี้เป็นห้องโล่งที่สิ้นสุดเส้นทาง ทว่าจิวชงหยวนและลู่เฟยก็ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปเพราะด่านสุดท้ายอาจมีลูกเล่นอะไรอีก


     

 เอาตอนใหม่มาเสิร์ฟจ้า ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ รักเค้าก็เมนท์ให้เค้าด้วยนะคะ เค้าจะได้รู้ว่ายังมีคนอ่าน ^^__^^

ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากเลยจ้า ที่ทำให้ฟางมีแรงใจปั้นต่อไป รักนะ จุ๊บๆๆ

                                                           :mew2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 08-09-2015 15:29:55
มาเป็นกำลังใจให้คนแต่งจ้า   :L2:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-09-2015 16:59:07
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 08-09-2015 17:10:51
อย่าพึ่งน้อยใจนะครับ  อย่าน้อยก็มีผมอีกคนที่ติดตามเรื่องนี้  ถ้าใครชอบแนวจีนโบราณถือว่าพลาดเลยแหละครับ ผมว่าเรื่องมันน่ารักดี ถึงพระเอกจะหื่นแต่มีความสภาบุรุษเต็มเปี่ยม แบบใสๆแต่ไม่ใส คึคึ มาต่อเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 08-09-2015 18:16:33
อ้ากกกก ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะ เสียดายผมสวยๆของหมอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: Benzyza ที่ 08-09-2015 21:39:25
 :mew1: :mew1: :mew1:

รออยู่นะคะ นิยายสนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 :กอด1 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 09-09-2015 15:44:05
สนุกค่ะ ตามอ่านอยู่นะ ++
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 09-09-2015 19:51:58
เอากำลังใจมาส่งจ้า

ปล เวลามาลงแล้วระบุวันที่ด้วยจ้า คนอ่านจะได้รู้ว่า มาลงแล้วนะอะไรอย่างนี้
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 09-09-2015 22:29:07
อ่านตอนนี้เหมือนอ่านเรื่องผจญภัยยังไงๆไม่รู้

รู้แต่ว่าอ่านสนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่30 คาถากักวิญญาณ ตอนที่ 4 เล่ม 2 (P.4 11/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 11-09-2015 12:40:06

บทที่ 30
คาถากักวิญญาณ ตอนที่ 4 เล่ม 2 (P.4 11/9/58)

        หลังจากได้เติมพลังงานจนอิ่มแล้วจิวชงหยวนตอนนี้ได้แต่มองพื้นโล่งข้างหน้าเงียบๆ โดยไม่คิดจะก้าวเข้าไปแม้แต่น้อย ลู่เฟยเองก็ยืนนิ่งมองสำรวจหาสิ่งผิดปกติเช่นกัน
    “เจ้าว่ามันจะมีอะไรอีกไหม” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างตัว คิ้วขมวดมุ่นมองภาพเบื้องหน้าเหมือนกลัวว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาอีก
    “ค่ายกลตะข่ายฟ้ามันครอบคลุมพื้นที่ค่ายกลวิญญาณพิษจนหมด มันน่าจะมีอะไรสักอย่าง” ลู่เฟยกล่าวตอบ ก่อนจะลองโยนหินข้างตัวเข้าไปด้านในลองพิสูจน์ดูเป็นอันดับแรก
     ฟิ้วววว
    ก้อนหินที่ถูกโยนใส่ผนังกำแพงอุโมงค์ทะลุผ่านเข้าไปต่อหน้าต่อตาคล้ายกับว่ามีอีกมิติหนึ่ง หรือไม่ก็นี่เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างฉงนก่อนจะสร้างกระบี่จากลมปราณพุ่งไปที่กำแพงอุโมงค์ตามก้อนหินลู่เฟยอีกครั้ง
    ตูม!
    เพียงแค่มีลมปราณผ่านเข้าไป ภาพที่เห็นเป็นผนังอุโมงค์ในคราแรกกลับเปลี่ยนไป จิวชงหยวนมองภาพตรงหน้าอย่างสยองเมื่อสิ่งที่ปรากฏออกมาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ชายหญิงมากมายต่างตายตกอย่างน่าเวทนา บางศพก็แห้งเผือด บางศพก็เหลือแต่โครงกระดูก และบางศพชิ้นส่วนถูกแยกออกจากกันมีทั้งเน่าอืด จนอาหารที่กินไปจะออกทางเดิมอีกครั้ง ใบหน้างดงามเบือนหน้าหนีจากภาพที่เห็น จากที่เห็นเดาได้ไม่ยากว่าสิ่งเหล่านี้ถูกนำมาสร้างกระบี่มารเล่มที่ลู่เฟยถืออยู่ และบางศพโดนดึงดูดพลังลมปราณจนหมดสิ้น
    “ลู่เฟยข้าว่าเจ้าทำลายกระบี่มารนี่เถอะเห็นวิธีการสร้างข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนนัก” จิวชงหยวนหันไปบอกคนข้างตัวที่ก้มมองกระบี่มารในมือแล้วพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย จนเขามองอย่างแปลกใจ
    “หืม ทำไมบอกง่ายจัง” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างสงสัย ลู่เฟยหันมามองแล้วยกยิ้มบาง
    “ข้าแค่อยากได้จูบเจ้าเป็นรางวัลอีกครั้ง” จิวชงหยวนนิ่งอึ้งไปกับคำตอบ สรุปแล้วจูบเขามีค่าเท่ากับกระบี่มารใช่ไหม แล้วเขาจะไปเปรียบเทียบกับกระบี่ทำไมกัน และเขาคงทำหน้าตาเอ๋อๆ ออกมาลู่เฟยถึงหัวเราะในลำคอ แต่นี่มันใช่เวลามาจีบเขาไหมนี่
    “เอาไงต่อ ข้างหน้าก็เป็นที่เก็บศพไปแล้ว” จิวชงหยวนเอ่ยถามแก้เก้อ ลู่เฟยมองภาพตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เขาจึงเดินตามเงียบๆ พร้อมพยายามหาสิ่งผิดปกติ แม้จะไม่ค่อยชอบกับภาพสยดสยองแต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก
    “ในนี้ไม่มีสิ่งผิดปกติ นอกจากวัตถุในการสร้างกระบี่มารนี่” จิวชงหยวนพยักหน้าเห็นด้วย มองกระบี่มารสีแดงอมส้มแล้วขนลุกชันไม่ใช่มันน่ากลัวแต่เขารู้สึกกลัวกับสิ่งที่ใช้สร้างมันมา
    “กระบี่เจ้าทำลายมันได้ไหม” จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนถามขณะที่เดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง
    “ได้อยู่นะ แต่ต้องเพิ่มลมปราณสิบสองส่วน”
    “ถ้าเช่นนั้นก็เก็บแรงไว้ก่อนค่อยทำลายเจ้านี่ทีหลัง” ลู่เฟยบอกพร้อมใช้กระบี่กดลงช่องที่ดูผิดปกติช่องหนึ่งที่ลักษณะคล้ายไว้เสียบกระบี่โดยเฉพาะ
     ครืดดดด
    ประตูเปิดออกอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีเส้นทางออกไปได้อีก และภายในห้องนี้ดูเงียบวังเวงและโล่งจนผิดสังเกตที่สำคัญอักขระตะข่ายฟ้าที่ไม่ได้เห็นมาระยะหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้งและมีจุดหนึ่งที่มุมห้องมีตะปูแหลมขนาดใหญ่ตอกทับผ้ายันต์สีแดงเอาไว้
    “ข้าสัมผัสได้ว่ามีไอเทพหลงเหลืออยู่ในนี้” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยที่กำลังสำรวจผ้ายันต์ตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด
    “ใช่เหล่าจือต้องอยู่ที่นี่แน่ แต่ว่าข้าไม่แน่ใจว่าพลังปราณของข้าตอนนี้จะพอปลดคาถาตะปูกักวิญญาณนี่ได้หรือเปล่า” จิวชงหยวนเดินมาดูข้างๆ อย่างสนใจอักขระมากมายในผ้ายันต์ล้วนแล้วคุ้นตาทั้งๆ ที่เคยเห็นครั้งแรก
    “เจ้าจำคาถาปลดผ้ายันต์นี้ได้หรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามพร้อมเอามือหมายจะจับผ้ายันต์นั้นดู ทว่ามือหนากลับยึดข้อมือไว้
    “อย่าจับมั่ว มันสามารถดูดพลังลมปราณเราได้ หากจะปลดต้องใช้ลมปราณที่มากกว่าเพียงครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นก็ไปเหมือนเพิ่มพลังให้กับมัน”
    “วิชามารเช่นนี้ ใครกันที่กล้าทำ”
    “ผู้มีวิชาความรู้พวกนี้ได้ก็คงเป็นพวกนักพรตหรือไม่ก็พวกหมอผีปีศาจจากชนเผ่ามองโกล” ลู่เฟยอธิบายเสียงเรียบ พร้อมพยายามนึกถึงคาถาที่ติดมาจากความทรงจำที่เริ่มกลับคืนมามากทุกครั้งหลังจากที่เขาแตะเนื้อต้องตัวจิวชงหยวน และเมื่อวานนี้ยิ่งทำให้ความทรงจำในอดีตกลับมาได้ถึงแปดส่วน
    จิวชงหยวนขยับถอยห่างออกมาเมื่อรู้ว่าลู่เฟยจะทำอะไร พลังลมปราณสีขาวนวลแผ่ออกมาตามแรงบีบเคล้นเพื่อปลดผนึกผ้ายันต์นี้
    “ปาเรเย กาเรยานี...”
    เปรี๊ยะ!
     ลู่เฟยท่องคาถาที่ไม่รู้จักแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย จากนั้นตะปูที่กระชากออกมาพร้อมคาถาปลดผนึก ทำให้ม่านพลังบางๆ แตกร้าวทันที เผยให้เห็นร่างของชายชราผมขาวโพลนเนื้อตัวมอมแมนสกปรก ผิวขาวซีดถูกตะปูอาคมตอกติดกำแพงเอาไว้อย่างน่าเวทนา ทว่ารัศมีเทพยังคงหลงเหลือแม้จะเจือจางมากก็ตาม อาจเป็นเพราะโดนลูกศิษย์ทรยศดูดพลังทิพย์ออกไป
    จิวชงหยวนเดินเข้ามาประคองร่างลู่เฟยที่เหนื่อยหอบเหงื่อแตกพลั่กเต็มใบหน้า เพราะคนที่สร้างผ้ายันต์นี้และกักขังเทพเหล่าจือได้มีมากกว่าสองคน แต่เขาเชื่อว่าจากนิสัยตาแก่เจ้าเล่ห์แล้วคงไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิตออกไปป่าวประกาศแน่ๆ หากเดาไม่ผิดต้องอาศัยตอนพวกนั้นหมดแรงและลอบโจมตีอีกครั้ง ดูได้จากพู่เชือกสีขาวสองเส้นที่วางอยู่มุมห้องและไม้เท้ารูปหัวกะโหลกที่อยู่ในห้องเก็บศพเมื่อครู่
    “ไหวไหมนั่งพักก่อนนะ” จิวชงหยวนบอกอย่างเป็นห่วงพร้อมหยิบยาเสริมลมปราณออกมาให้ ลู่เฟยแค่รับยามากินแต่ไม่ได้นั่งพักตามที่เขาต้องการ ดวงตาคมมองตะปูอาคมที่เสียบตามร่างกว่าสี่อันอย่างเคร่งเครียด เพราะเมื่อครู่ถอนอันใหญ่ไปแค่อันเดียวยังหมดลมปราณไปแทบจะเกลี้ยง เหลือเพียงไม่ให้ตัวเองล้มทั้งยืนแค่นั้นเอง
    จิวชงหยวนฉุดร่างสูงให้นั่งพักแล้วมองตาดุที่ยังดื้อดึง ลู่เฟยหันมายิ้มให้บางๆ ใบหน้าคมคายซีดเผือดเพราะสูญเสียพลังไปเกือบหมด ถึงแม้จะเคยเก่งกาจแค่ไหน ทว่าตอนนี้อย่างไรก็เป็นแค่มนุษย์ที่มีขีดจำกัดอยู่เช่นเดียวกับเขา แต่เขาอาจจะพิเศษมากกว่านิดหน่อยในเวลานี้
    จิวชงหยวนกลับมาที่เหล่าจือถูกตรึงไว้กับกำแพงอีกครั้ง ดวงตาเรียวมองสำรวจตะปูอาคมสี่จุด ก่อนจะรีดเคล้นพลังตัวเองออกมาและท่องคาถาเดียวกับลู่เฟยอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
    “ปาเรเย กาเรยานี...” แสงสีขาวนวลเจิดจ้าเต็มห้อง จิวชงหยวนใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากตะปูอาคมออกมาพร้อมกันด้วยความเร็ว
    เคร้ง!
    อึก!
    ตะปูตกหล่นลงกับพื้นพร้อมร่างของเทพเหล่าจือร่วงลงมาด้วย ส่วนจิวชงหยวนหลังจากใช้พลังลมปราณไปจนหมดเกลี้ยงถึงกลับกระอักโลหิตออกมา ใบหน้าซีดเผือดพร้อมเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว
    “ชงหยวน!” ลู่เฟยตะโกนเรียกชื่อคนรักด้วยความตกใจพร้อมพุ่งเข้ามารับร่างที่โงนเงนจะล้มทั้งยืนเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว และไม่คิดว่าร่างโปร่งบางจะทำอะไรที่เกินตัวขนาดนี้ มือหนาสั่นระริกด้วยความกลัวเมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามซีดเผือด
    “ทำไมถึงทำแบบนี้ เจ้าเป็นอะไรไปข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน” ลู่เฟยบอกเสียงสั่นมือหนากอดร่างโปร่งบางแนบอกด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าจะสูญเสียดวงใจไปอีกครั้ง หลังจากที่เฝ้ารอมาเนิ่นนาน นานจนลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยมีหัวใจ เคยมีความรู้สึก แต่ตอนนี้คนในอ้อมกอดกลับทำอะไรที่ทำให้หัวใจเขาแทบสลาย
    จิวชงหยวนลืมตาขึ้นมองลู่เฟยที่ดวงตาสั่นไหวด้วยรอยยิ้มบาง มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าหล่อคมคายอย่างปลอบโยน
    “ข้าอยู่ตรงนี้ไง ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิดแต่คนฟังกลับไม่ได้รู้สึกดีตามที่เจ้าตัวบอกเลย เพราะตอนนี้ร่างโปร่งบางของคนรักซีดเผือดและตัวเย็นเฉียบจนหัวใจหวาดกลัว สองมือที่กอดประคองร่างโปร่งบางที่นอนเอนพิงอกสั่นระริก
    จิวชงหยวนมองลู่เฟยแล้วยิ้มบาง เพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาพวกเขาต่างร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาโดยตลอดและสองวันนี้ต่างก็เฉียดความตายมาหลายครั้ง ใบหน้าเคร่งเครียดและดวงตาหวาดกลัวที่ฉายออกมาทำให้จิวชงหยวนทำใจกล้ายื่นใบหน้าไปจูบแก้มสากเบาๆ อย่างปลอบโยน ลู่เฟยชะงักกึกก้มมองคนรักด้วยใบหน้าแดงก่ำ
    “เจ้ายั่วข้าอีกแล้วนะ” จิวชงหยวนหลบสายตาอย่างเก้อเขินเขาไม่ได้ยั่วซะหน่อยแค่อยากแสดงความรักให้ลู่เฟยรู้เท่านั้นเองหลังจากที่ผ่านความตายมาหลายครั้งหลายคราภายในวันเดียวและทำให้เขารู้ว่าทุกนาทีมีค่าหากไม่บอกความในใจออกไปทุกอย่างอาจจะสายเกินไปที่จะแก้ไข
    แค่กๆๆ
    เสียงไอดังมาจากข้างหน้าทำให้ทั้งคู่หันไปสนใจอีกครั้ง
    “ท่านเหล่าจือ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเหล่าจือเริ่มได้สติกลับคืนมา
    “ข้ายังไม่ตาย พวกเจ้าบอกรักกันก่อนก็ได้นะ ข้ารอได้” จิวชงหยวนอึ้งไปกับคำตอบไม่รู้ว่าเทพเหล่าจือประชดหรือพูดจริงแต่ที่แน่ๆ เขาอายจนอยากมุดดินหนีอายอีกครั้ง ก่อนจะล้วงเข้าในอกเสื้อหยิบยารักษาให้ตัวเองและเทพเหล่าจือเพื่อให้ฟื้นพลังมาบ้าง
    หลังจากที่ทั้งสามคนกินยาฟื้นพลังลมปราณแล้วจึงนั่งเดินลมปราณกันต่อเพราะแต่ละคนมีสภาพที่ไม่มีทางจะหลุดออกไปจากค่ายกลมรณะนี้ไปได้แน่ มันมีชื่อว่าค่ายกลตะข่ายฟ้ากับค่ายกลวิญญาณพิษแต่จิวชงหยวนเรียกว่าค่ายกลมรณะเพราะหากไม่เก่งจริงคงตายตั้งแต่ปากทางเข้ามาแล้ว
    จิวชงหยวนเดินลมปราณไปถึงสามวันสามคืนกว่าที่ลมปราณจะกลับคืนมาเช่นเดิม แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาเทพเหล่าจือยังคงนั่งนิ่งเดินลมปราณเทพตัวเองอยู่และเริ่มมีไอเทพออกมามากกว่าเดิมบ้างแล้ว เขาจึงหันไปมองคนนั่งข้างๆ ก่อนจะเริ่มถ่ายทอดพลังลมปราณไปช่วยเพราะพลังลมปราณของเขากับลู่เฟยกำเนิดมาจากที่เดียวกัน และที่เขาฟื้นพลังลมปราณได้เร็วกว่าเนื่องมาจากลู่เฟยตอนเป็นเทพได้ถ่ายทอดลมปราณไปซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เวลาสูญเสียลมปราณไปจะฟื้นขึ้นเร็วกว่าคนปกติ
    และวันต่อมาลู่เฟยก็พักฟื้นลมปราณจนเต็ม จิวชงหยวนได้มอบยาดอกเหมยหมื่นปีที่ปรุงไว้ตอนอยู่บนหุบเขาแห่งเซียนให้กับเทพเหล่าจือ จึงทำให้พลังเทพกลับคืนมาอีกครั้งแม้จะไม่มากเท่าเดิมก็ตาม และนั่นทำให้พวกเขาทำลายกระบี่มารและค่ายกลตะข่ายฟ้าได้สำเร็จ
    หลังจากนั้นเทพเหล่าจือก็ได้แปลงร่างเป็นลูกศิษย์ผู้ทรยศพร้อมได้สั่งทำลายรูปปั้นบูชาเซียนรักษา อีกทั้งได้มอบข้าวของแจกจ่ายคืนให้ชาวบ้านและเงินที่เหลือเล็กน้อยก็มอบให้ลูกศิษย์ที่มีใจคุณธรรม จากนั้นทุกอย่างจึงผ่านพ้นมาได้ดีเพราะเทพเหล่าจือช่วยจัดการทุกอย่างที่ลูกศิษย์ก่อเรื่องเอาไว้ ทำให้จิวชงหยวนสบายอารมณ์และได้นั่งเรือท่องทะเลอยู่บนเรือขนาดกลางเช่นในเวลานี้
    เทพเหล่าจือเป็นลูกศิษย์ของเทพโอสถเหล่าจวินอีกทีจึงทำให้มีสูตรยาสวรรค์มากมายอีกทั้งความฉลาดของลูกศิษย์ผู้ทรยศจึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา และเวลาในโลกมนุษย์กับสวรรค์ไม่เท่ากันจึงทำให้สวรรค์ไม่รับรู้ว่ามีเทพเซียนหายไป
    “คิดอะไรอยู่” เสียงที่เอ่ยถามพร้อมนิ้วเรียวจิ้มระหว่างกลางคิ้ว ทำให้จิวชงหยวนมองตามแล้วส่ายหน้าเบาๆ อากาศบนเรือตอนนี้ร้อนแต่ใช่ว่าจะมีเขาที่ร้อนคนเดียวเพราะในเรือลำนี้บรรจุคนตั้งสิบห้าคนและส่วนมากจะเป็นจอมยุทธพเนจร บ้างก็บัณฑิตที่ออกท่องยุทธจักร และมีชายชราอีกคนที่นั่งอยู่มุมเสาเรือ ซึ่งเขาสาบานว่าไม่จำเป็นจะไม่เข้าไปทักเด็ดขาดเพราะรู้สึกหวาดระแวงชายแก่จริงๆ ช่วงนี้ เขาขอเวลาทำจิตใจให้สงบก่อนเถอะ
    “ไหนบอกว่าไม่คิด หน้านิ่วคิ้วขมวดขนาดนี้” ลู่เฟยกล่าวย้ำอีกครั้ง ตอนนี้เขานั่งพิงข้างขอบเรือทางท้ายเรือโดยมีลู่เฟยนั่งข้างๆ
    “ข้าแค่กำลังคิดว่า อนาคตข้าจะเจอสิ่งใดอีก” ลู่เฟยนิ่งไปกับคำตอบก่อนจะจับมือเรียวไว้แน่น
    “ไม่ว่าเจ้าจะเจอสิ่งใด ข้าสัญญาจะอยู่ข้างๆ เจ้าเสมอ” คำมั่นสัญญาอย่างจริงจังของคนข้างตัวทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงก่ำด้วยความเคอะเขิน ก่อนจะเอนศีรษะพิงคนข้างตัวอย่างขอบคุณ แม้ไม่ได้มีคำพูดมากมาย แต่กลับเข้าใจกันดี บางครั้งมีคนรักเป็นผู้ชายอาจจะดีกว่าที่คิดเพราะลู่เฟยก็ไม่ได้งี่เง่าเหมือนใครบางคน ใครบางคนที่กวนประสาทเขาและไม่ได้เจอมาเป็นปีแล้ว ‘หมิงอี้ฟาน’ ว่าไปเจ้าเด็กนั่นจะโตขึ้นบ้างยังไงนะ...

    ม่านเมฆบดบัง...สะพานรัก      ให้หม่นหมอง
    สายน้ำหยดสู่...สายนที        ชั่วชีวี...มิอาจไหลย้อนคืน
    ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าคมคาย ทว่านัยน์ตากลับนิ่งสงบไม่ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายหรือคอขาดบาดตายอย่างไร แววตานี้กลับนิ่งเรียบเฉยเมยต่อทุกสิ่ง ร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวแก่ด้านหลังสะพายกระบี่ยืนนิ่งมองดูสายน้ำในท้องทะเลพร้อมกล่าวบทกลอนอย่างแผ่วเบา ดวงตานิ่งเรียบฉายแววเศร้าหมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป
    ‘ข้าขอโทษจิวชงหยวน ให้อภัยให้ข้าสักครั้งได้ไหม ข้าตามหาเจ้ามาหนึ่งปีแล้ว เมื่อไหร่กันจะสิ้นสุดและพบเจอสักที’
    หมิงอี้ฟานได้แต่พร่ำคิดอยู่ในใจ โดยมิอาจป่าวประกาศให้ใครได้รู้ เขาตามหาและติดตามข่าวทุกอย่างเกี่ยวกับหมอเทวดาแต่ทำไมกัน เขาถึงไม่มีวาสนาได้พบเจออีกครั้ง...
    “ศิษย์พี่ เรือจะออกอีกทีก็เช้าพรุ่งนี้ เห็นเถ้าแก่บอกว่ามันเพิ่งจะออกไปได้ครึ่งชั่วยามนี้เอง เรามาช้าไปนิดหนึ่งขอรับ” หมิงอี้ฟานหันไปมองศิษย์น้องที่ตัวเล็กกว่าตนซึ่งอาสาติดตามมาด้วยพร้อมศิษย์พี่อีกคนหนึ่งซึ่งกำลังไปจัดหาโรงเตี๊ยม
    “ค่อยไปพรุ่งนี้ก็ได้ ว่าแต่ได้ข่าวหมอเทวดาที่นี่อีกไหม”
    “ยังขอรับ แต่ศิษย์พี่ไปพักโรงเตี๊ยมข้ารับรองว่าเราต้องได้ข่าวท่านหมอจิวแน่ๆ ขอรับ” ใบหน้ายิ้มแย้มตอบกลับมาอย่างมั่นใจแม้จะดูสดใส ทว่าหัวใจที่มอบให้คนผู้เดียวจึงไม่อาจชายตาแลใครได้อีก ถึงแม้จะน่ารักและดีเพียงไหน แต่เรื่องของหัวใจก็ไม่อาจสั่งห้ามกันได้
    “ไปเถอะ” หมิงอี้ฟานตอบรับแล้วเดินนำไปยังโรงเตี๊ยมที่ศิษย์พี่เตรียมการไว้ให้โดยที่ร่างเล็กเดินตาม หากหันกลับไปมองสักนิดจะได้เห็นแววตาเศร้าหมองจากคนที่ทำตัวร่าเริงสดใส ก่อนจะก้าวตามไปด้วยหัวใจหดหู่ได้แต่หวังว่า ศิษย์พี่หมิงอี้ฟานจะเห็นตนอยู่ในสายตาบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี...

 

  ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากนะคะ และขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ ฟางเล่นเว็ตนี้ไม่ค่อยเป็นขอบคุณมากค่ะ
  ที่ทำให้ฟางรู้เรื่องรู้ราวมากขึ้น หลังจากงมโข่งกับมันมานาน - -
  สำหรับคนที่สนใจสั่งซื้อ เริ่มเปิดสั่งจองในวันที่ 15กันยายนนี้ - 30 พ.ย. 58 จ้า สำหรับ 100 คนแรกที่โอนเงินได้สุดพิเศษโปรสการ์ดสุดฟินนนน  เข้าไปสอบถามรายละเอียดในเฟนเพจฟางได้นะคะ ในนี้ก็ลงให้ไม่เป็นเหมือนกัน แหะๆ :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 11-09-2015 14:45:53
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 11-09-2015 18:40:57
โอ้ นึกว่านู๋อี้ฟานจะเลิกหวังแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังไม่ตัดใจแฮะ  :hao3:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 11-09-2015 18:54:36
พี่หมิงคะ พี่ไปหาคนใหม่เถอะค่ะ หมอมีคนติดตามแล้วค่ะ พี่ลู่เฟยยย  :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 11-09-2015 19:32:38
มาตามอ่านจ้า

ขอตัวไปอ่านก่อน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 11-09-2015 19:50:31
ดีใจด้วยที่ทั้งลู่เฟย จวน และเทพเหล่าจือปลอดภัย

อ่านตอนนี้แล้วคู่พระนายหวานเบาๆ

แต่ก็แอบสงสารอี้ฟานเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-09-2015 19:51:02
มันส์มากเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 12-09-2015 06:27:53
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ชอบแนวนี้ นายเอกเก่งๆ  :hao7:
 อยากอ่านต่อแล้ววววว  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 12-09-2015 09:27:31
อืม จากเจอคำพูดตัดเยื้อใยครั้งนั้นทำให้อีฟานเย็นชาไร้หัวใจ  กับคู่รักกำลังเริ่มลึกซึ้งกัน  ฮ่าๆๆท่าจะมัาดุเดือด
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์บทที่ 31 พิษผงกระดูกปีศาจกระดูกขาว ตอนที่ 5 (P.5 13/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-09-2015 16:25:10
บทที่ 31
พิษผงกระดูกปีศาจกระดูกขาว
ตอนที่ 5 เล่ม 2 (P.5 13/9/58)


        จิวชงหยวนก้าวลงจากเรือด้วยความตื่นเต้นหลังจากนั่งตากแดดบนเรือมานานกว่าสามชั่วยามจนกระทั่งถึงชายฝั่งของเมืองฝูเจี้ยน การค้าแถวนี้ต่างครึกครื้นไม่ต่างจากแผ่นดินใหญ่ ร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีทองดูมีสง่าราศี ด้านหลังคือลู่เฟยซึ่งในวันนี้อยู่ในชุดสีเขียวใบไม้แก่ ลักษณะทวงท่าเหมือนคุณชายพลัดถิ่นเนื่องจากครั้งนี้เจ้าตัวไม่ได้มีกระบี่ติดตัวมาด้วย
     "เจ้าจะไปที่ใดก่อน" ลู่เฟยเอ่ยถามพร้อมก้มหน้ามามอง จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยแล้วตอบกลับเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน
    "ข้าได้ยินว่าแคว้นฝูเจี้ยนมีช่างทำกระบี่ที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าเลยอยากให้เขาสร้างกระบี่ให้เจ้าสักเล่มแทนของเก่าที่หักไป"
    "อืม" ลู่เฟยตอบรับสั้นๆ จิวชงหยวนหันไปมองคนเงียบแล้วยกยิ้มบาง
     "เจ้าไม่ดีใจหน่อยหรือ นี่ข้าพาเจ้ามาสร้างกระบี่เป็นอันดับแรกเชียวนะ" คำถามของจิวชงหยวนทำใหลู่เฟยยกยิ้มบางยกมือลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าอย่างรักใคร่
     "สิ่งใดที่เจ้าตั้งใจให้ข้า ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว" จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินรู้สึกว่าช่วงนี้ลู่เฟยจะรุกเขาหนักขึ้นทุกวัน ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินนำหน้าไปโดยมีเสียงหัวเราะในลำคอของคนขี้แกล้งตามหลังมาแว่วๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อคิดได้ว่าเขายังไม่รู้ว่าช่างกระบี่อยู่ที่ใด
    "ท่านลุง ท่านพอจะทราบช่างกระบี่ชื่อดังเฟิงอวี้ไหมขอรับ" จิวชงหยวนเดินเข้าไปถามพ่อค้าซึ่งขายตะกร้าสานซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุดในเวลานี้
     "หืม คุณชายอยากพบช่างตีกระบี่หรอกหรือ เวลานี้เฟิงอวี้ป่วยหนักมาหลายเดือนแล้วจึงหยุดตีกระบี่ไป แต่หากคุณชายอยากพบให้เดินไปทางนั้นแล้วเลี้ยวขวา เดินไปจะเจอสะพานแม่น้ำสายเล็กแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกทีก็ถึงบ้านของช่างเฟิงอี้แล้ว" จิวชงหยวนพยักหน้ารับและพยายามทำความเข้าใจกับเส้นทางดังกล่าว
    "ขอบคุณมากขอรับท่านลุง" จิวชงหยวนกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปตามเส้นทางตามที่บอก ทั้งคู่เดินออกนอกหมู่บ้านจนกระทั่งมาเจอบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งดูเงียบๆ
    ก๊อกๆๆ
    จิวชงหยวนเคาะประตูหน้าบ้านหลังใหญ่อย่างมีมารยาท เพียงไม่นานหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาเปิดประตู นางเลิกคิ้วมองพวกเขาอย่างสงสัย
    “ท่านมีกิจอันใดกับบ้านข้าหรือ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามดวงตาฉายแววงุนงงเล็กน้อย อาจเพราะนานมากแล้วที่ไม่มีคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน
    “ข้าเป็นหมอขอรับท่านป้า ข้าได้ยินมาว่าท่านเฟิงอวี้ไม่สบายและเลิกตีกระบี่มานานหลายเดือนแล้ว ข้าจึงอยากมาดูอาการเสียหน่อยขอรับ” จิวชงหยวนยกมือคารวะเล็กน้อยพร้อมกล่าวคำแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มบาง
    “พวกท่านกลับไปซะเถอะ ข้าไม่มีเงินจ่ายหรอก” คำประเสธอย่างไร้เยื้อใย ทำให้จิวชงหยวนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    "ท่านป้า ข้ามาช่วยรักษาไม่ได้หวังเงินทองของท่านหรอกขอรับ" จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าท่านป้ากลับมองอย่างหวาดระแวง
     "ใครๆ ก็บอกข้าเช่นนี้ แต่พอเข้าไปกลับรักษาไม่ได้และยังมาเรียกร้องค่าเสียเวลา แบบนี้ข้าจะไว้ใจพวกท่านได้อย่างไร" น้ำเสียงคลางแคลงใจของท่านป้าทำให้จิวชงหยวนหันไปปรึกษากับลู่เฟย
    "ท่านป้าจิวชงหยวนปรารถนาที่จะช่วยรักษาเฟิงอวี้โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพียงแต่หากจิวชงหยวนรักษาเฟิงอวี้ได้แล้วข้าแค่อยากให้ตีกระบี่ให้สักเล่ม" ลู่เฟยหันไปบอกตามความเป็นจริง ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ท่านป้ามีสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา
     "เอาเถอะ ใครๆ ก็อ้างตนเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวนทั้งนั้น หากจะเพิ่มพวกท่านอีกคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่ขอบอกก่อนว่าข้าไม่มีเงินให้พวกท่านสักแดงเดียวหรอกนะ” จิวชงหยวนถึงกลับยิ้มแห้ง เพราะชื่อเขามันโหลไปแล้วจริงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ตามคำเชื้อเชิญที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
    ท่านป้าพาเดินลัดเลาะสวนไผ่ที่แห้งแล้งเพราะขาดการเอาใจใส่ อาจเป็นเพราะไม่มีคนมาดูแลแล้ว สภาพบ้านอาจดูใหญ่โตแต่กลับดูวังเวงร้างไร้ผู้คน ทั้งคู่เดินไปจนถึงด้านหลังของบ้านก่อนจะมาหยุดที่ห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ท่านป้าเปิดประตูพร้อมให้พวกเขาเข้าไป
     จิวชงหยวนมองรอบห้องที่ข้าวของเครื่องใช้ถูกนำไปขายหมดแล้วเหลือเพียงร่องรอยเก่าๆ เท่านั้น บนเตียงนอนมีร่างผอมโซของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่พร้อมเสียงไอค๊อกแค่ก ใบหน้าผอมแห้งที่หันมาดวงตาลึกโบ๋ดูน่ากลัว ทว่ายังดูออกว่ายังหนุ่ม เขาเลิกขึ้นมองอย่างแปลกใจเพราะช่างเฟิงอี้ที่ได้ยินมาไม่คิดว่ายังอยู่ในวัยหนุ่ม เขาคิดว่าจะแก่มากกว่านี้เสียอีก
    "ท่านเฟิงอวี้ข้าพาหมอมาดูอาการท่าน" ท่านป้าบอกคนที่นอนอยู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
     "ท่านป้า ให้กลับไปเถอะข้าไม่มีเงินรักษาหรอก" จิวชงหยวนเดินเข้าไปใกล้ ก้มมองคนป่วยอย่างฉงนเพราะไม่เคยเจอใครอาการเช่นนี้มาก่อน เสียงหัวใจเต้นช้าเร็วตามปกติของคนป่วยธรรมดาแต่จากที่เห็นสภาพกลับไม่เป็นธรรมดาอย่างที่คิด
     "ข้าไม่ได้หวังเงินทองจากท่าน สบายใจเถอะ" จิวชงหยวนบอกคนป่วย ก่อนจะขยับไปใกล้ร่างที่นอนโทรมมากขึ้นอีก ลู่เฟยเลิกคิ้วมองอย่างไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็ยืนกอดอกมองจิวชงหยวนตรวจรักษาอาการคนป่วยตรงหน้า จิวชงหยวนจับชีพจรของอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด รู้สึกว่าตัวเองกำลังเจอเรื่องประหลาด
    “ท่านมีอาการเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนป่วยขณะมือยังจับชีพจร เฟิงอวี้เหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะใบหน้าที่งดงามนั้นทำให้ใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    “อยู่ๆ ข้าก็ไร้เรี่ยวแรงและผอมลงทุกวัน ไม่ว่าจะกินข้าวปลาอาหารอย่างไรก็ไม่เป็นผลมิหน้ำซ้ำข้ายังรู้สึกหิวตลอดเวลา” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างฉงนสงสัยเพราะอาการที่เล่ามานั้นนับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่พบเจอ หรือว่าจะมีปีศาจ แม้จะยังไม่เคยเจอแต่มีเทพเซียนไฉนเลยจะไม่มีสิ่งเหล่านี้
    “ก่อนหน้าท่านจะเจ็บป่วย ท่านไปทำสิ่งใดมาหรือ”
    “ข้าจำไม่ได้หรอก ข้าป่วยมาหลายเดือนแล้วและไม่ได้ลุกออกจากเตียงมานานกว่าหกเดือนแล้ว” คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้รู้สึกยากต่อการรักษา จิวชงหยวนหันหน้าไปมองลู่เฟยที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูมองเขานิ่งๆ เช่นกัน
    “ตอนนี้ข้าเป็นมนุษย์” ลู่เฟยกล่าวออกมานิ่งๆ เหมือนจะรู้ว่าจิวชงหยวนจะถามอะไร เขาส่งยิ้มแห้งๆ เหมือนคิดได้ในข้อนี้ ก่อนจะหันกลับมามองคนไข้อีกครั้ง
    “ท่านมีคนรักหรือไม่”
    “เจ้าถามทำไม ข้าไม่มีหรอก” เสียงแหบแห้งที่ตอบกลับมา ท่านป้าจึงรินน้ำชามาให้จิบก่อนจะถอยไปยืนอยู่ห่างๆ เงียบ นั่นทำให้จิวชงหยวนรู้ว่าท่านป้าเป็นเพียงคนรับใช้ที่ภักดีเท่านั้น และที่เขาเอ่ยถามเช่นนั้นเพราะกลัวว่าจะเป็นโรคใจและตรอมใจที่คนรักจากไป
    “พวกท่านออกไปก่อนได้ไหม” จิวชงหยวนหันไปขอร้องทั้งคู่ที่ยืนมองเขาอยู่ ความจริงอยากตรวจร่างกายละเอียดมากกว่านี้ แต่ถูกจ้องนานๆ จากสองคนก็ทำให้ไม่มีสมาธิเหมือนกัน แม้จะเคยชินแต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าคนป่วยจริงๆ และกลัวว่าลู่เฟยจะทำเสียเรื่อง
    “ข้าเชื่อใจเจ้า” ลู่เฟยตอบรับพร้อมเดินจากไป ทว่าคำกล่าวนั้นทำให้เขานิ่งอึ้งไป รู้สึกคิ้วกระตุกอย่างไรชอบกล นี่ขนาดคนป่วยผอมแห้งจนไม่มีแรงลุกขึ้นยังมีหน้ามาหึงเขาอีก
    “ท่านป้าออกไปก่อนเถอะ” เสียงของเฟิงอวี้บอกท่านป้า ซึ่งเงยหน้าสบตาเขาครู่หนึ่งก่อนจะยินยอมออกไป จิวชงหยวนก้มมองคนป่วยที่ไม่มีแรงลุกขึ้นอีกครั้งพร้อมจับชีพจรช่วงลำคอไปด้วย
    “ข้าอยากให้ท่านถอดเสื้อเพื่อตรวจดูรายละเอียดมากกว่านี้” จิวชงหยวนบอกคนไข้ที่หน้าและใบหูแดงก่ำแม้จะผอมโซขนาดไหนแต่ก็ยังมองเห็นได้ชัด อีกอย่างตอนนี้เจ้าตัวขาวซีดไปทั้งตัว มือที่เคยหยาบกร้านเพราะตีกระบี่เริ่มจางหายไป
    “คือข้าไม่มีแรงถอด” เสียงที่ตอบรับมาแผ่วเบาใบหน้าแดงระเรื่อ จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะช่วยถอดเสื้อผ้าออกให้จนหมด สายตากวาดมองตามร่างอย่างพินิจทว่าตอนนี้คนป่วยหลับตาปี่ไปแล้ว เขามองตามอย่างขำๆ มือเรียวจับดูชีพจรตามจุดร่างกาย
    “พิษกระดูกปีศาจผงขาวหรือ” จิวชงหยวนพึมพำเมื่อเห็นช่วงขาอ่อนมีรูปกระดูกสีขาวแต้มอยู่ หากไม่ถอดเสื้อผ้าจะไม่มีทางเห็นเป็นอันขาด
    “มันคือสิ่งใด” เฟิงอวี้ลืมตาขึ้นมาถามหลงลืมความอายไปชั่วขณะ แม้จะรู้สึกปั่นป่วนช่องท้องแปลกๆ ก็ตาม
     “มันคือผงกระดูกของปีศาจกระดูกขาว เจ้าจำไม่ได้หรือว่าก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา” จิวชงหยวนจับตามร่างกายและกดตามจุดต่างดูความเสียหายภายในร่าง ซึ่งดูแล้วเสียหายไปไม่น้อย ร่างกายจะไม่เจ็บแต่จะมีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นเพราะเรี่ยวแรงจะหายไปและยังหิวโหยตลอดเวลา
    “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย แต่ท่านหมอข้ามีโอกาสจะหายหรือไม่” น้ำเสียงและดวงตาที่หม่นแสงมีแววความหวังออกมา จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ
    “วิธีรักษาข้าพอมีแต่คงต้องใช้เวลาหน่อยเพราะผงกระดูกขาวเป็นของปีศาจจึงยากต่อการรักษา เจ้าไม่ได้ลองกินน้ำมนต์ที่วัดดูหรอกหรือ”
    “ข้าลองมาหมดแล้ว แต่ไม่ได้ผล” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับ อาจเป็นเพราะเจ้าของผงกระดูกนี้มีอายุมานานหลายร้อยปี จิวชงหยวนดึงเสื้อมาปกปิดส่วนสำคัญของร่างกายไว้ ก่อนจะหันมาบอกคนไข้ที่จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
    “เดี๋ยวข้าจะจดของบางอย่างที่ต้องใช้ให้คนของข้าออกไปซื้อหา จากนั้นข้าจะมาฝังเข็มให้เจ้าก่อน” จิวชงหยวนบอกคนไข้ก่อนจะลุกเดินออกไปด้านนอก เพียงแค่ประตูเปิดสองคนที่ยืนรออยู่ข้างนอกก็หันมามองทันที
    “เป็นเช่นไรบ้าง” ลู่เฟยเดินเข้ามาหา จิวชงหยวนยิ้มให้บางก่อนจะหยิบกระดาษเขียนใบสั่งยาให้ลู่เฟยไปหาซื้อมาให้
    “เฟินอวี้เป็นอะไร ทำไมต้องใช้พวกแมงป่อง งูเจ็ดสี และตะขาบด้วย” ลู่เฟยเอ่ยถามขณะอ่านใบสั่งซื้อของ
    “พิษผงกระดูกของปีศาจกระดูกขาว ข้าจึงอยากได้พวกนี้มาต้มผสมกับยาที่ข้ามี เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสมุนไพรจากหุบเขาแห่งเซียนที่ข้าเอามาเริ่มหมดแล้ว และที่ข้ามีตอนนี้ไม่พอจะรักษารายการพวกนั้นจะช่วยข้าได้อีกแรง
    “ยาลูกกลอนเจ้าก็ไม่แหลือหรือ”
    “ยาพวกนั้นใช้ไม่ได้ผลกับพิษของปีศาจหรอก ข้าเคยอ่านเจอแต่ข้าไม่ได้ปรุงเป็นเม็ดไว้เพราะใช่ว่าจะมีคนเจอง่ายๆ และนี่แสดงว่าเฟิงอวี้ดวงตกสุดๆ ถึงมาเจอพิษชนิดนี้ได้” ลู่เฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พร้อมยกมือขยี้หัวของจิวชงหยวนอย่างรักใคร่ ก่อนจะทะยานออกไปด้วยความเร็ว
    “ท่านหมอท่านรักษาท่านเฟิงอวี้ได้จริงหรือเจ้าคะ” ท่านป้าเดินเข้ามาจับมือจิวชงหยวนด้วยความตื้นตัน จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ
    “ขอรับท่านป้า แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อยขอรับ แต่ข้าอยากให้ท่านป้าปิดเรื่องนี้เป็นความลับจนกว่าข้าจะไปจากเมืองนี้นะขอรับ”
    “เจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่ท่านหมอต้องการเพียงแค่ท่านเฟิงอวี้หายก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
    “ท่านป้าพอจะทราบไหมขอรับว่าท่านเฟิงอวี้ไปทำอะไรมาก่อนที่จะป่วยหนัก” จิวชงหยวนเอ่ยถามที่ทำให้ท่านป้ามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
    “เมื่อหนึ่งปีก่อนมีคนของพรรคหมื่นพิษมาให้ท่านเฟิงอวี้ตีกระปีที่ทำมาจากเหล็กไหลพันปีให้ แต่หลังจากทำเสร็จได้หนึ่งเดือนท่านเฟิงอวี้ก็ล้มป่วยลง ข้าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของพรรคหมื่นพิษหรือไม่เจ้าค่ะ แต่คนที่มารักษาล้วนมีแต่หลอกลวงจนทุกวันนี้ข้าไม่รู้แล้วว่าผู้ใดคือหมอจริงและผู้ใดคือหมอปลอมกันแน่ ข้าวของเครื่องใช้ถูกนำไปขายเพื่อมารักษาแต่ก็ไม่อาจรักษาได้ บ่าวไพร่ก็พากันหนีหายไปหมดเจ้าค่ะ ท่านเฟิงอวี้น่าสงสารมาก บิดามารดาก็ตายจากเหลือทิ้งไว้แค่วิชาความรู้และที่ดินผืนนี้เท่านั้นเจ้าค่ะ ท่าหมอโปรดเมตตาท่านเฟิงอวี้ด้วยเจ้าค่ะ” จิวชงหยวนพยักหน้าเข้าใจกับคำบอกเล่าที่ยาวเหยียดและเป็นครั้งแรกที่ท่านป้าผู้นี้พูดคุยกับเขายาวขนาดนี้ ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยกับคำอ้อนวอน
    “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านป้าไปเตรียมหม้อดินไว้ให้ข้าต้มยาเถอะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปฝังเข็มให้ท่านเฟิงอวี้ก่อน” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินกลับเข้ามาหาคนป่วยอีกครั้ง มือเรียวหยิบถุงย่ามและเข็มที่ใส่กล่องปิดคาถาไว้อย่างซึ่งเป็นของที่อาจารย์ให้มา เขาท่องคาถาภายในใจพร้อมกล่องเปิดออกมาให้เห็นเข็มเงินเรียงรายเป็นพันเล่มอย่างมีระเบียบ ทว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาเฟิงอวี้ตลอดเวลา
    “ท่านเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวนหรอกหรือ” น้ำเสียงอ่อนแรงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนเงยหน้าหันไปมองแล้วยิ้มบางให้
    “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านเรียกข้าว่าหมอจิวก็พอ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินเข้ามาหาก่อนจะเริ่มจับชีพจรต่างๆ ตามร่างกายอีกครั้ง
    “ท่านนอนหลับตานิ่งๆ เถอะอีกครึ่งชั่วยามกว่าข้าจะถอดเข็มให้ท่านได้” จิวชงหยวนมองคนลืมตาหน้าแดงด้วยความอายอีกครั้งหลังจากที่เขาเลิกผ้าที่ปิดของสงวนออก เมื่อเห็นคนไข้หลับตาลงอย่างว่าง่ายจึงเริ่มฝังเข็มทันที เริ่มจากจุดหย่งจงใต้จมูก จุดซูหลิน ข้างจมูกและตามมาด้วยจุดเทียนถังตรงหน้าผากและตามด้วยอีกหนึ่งร้อยแปดจุดตามชีพจรของเส้นเลือดที่จะช่วยขับพิษออกมาได้ สองมือลงมืออย่างคล่องแคล่วว่องไวเพียงไม่นานก็ครบหนึ่งร้อยแปดจุด
    จิวชงหยวนถอยออกมานั่งมองอยู่ห่างๆ รอดูผลการเปลี่ยนแปลง ก่อนจะหยิบสมุนไพรฟื้นฟูลมปราณและยารักษาพวกปอด ตับไตที่เสียหายมาเตรียมไว้อีกขั้นหนึ่ง ยาที่เขาเตรียมไว้นี้ไม่ได้วิเศษอะไรมากมายแต่ในเมื่อเขาเป็นคนปรุงจึงทำให้มีคุณสมบัติพิเศษขึ้นกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง
    “ผ่านไปครึ่งชั่วยามจิวชงหยวนจึงดึงเข็มออกอย่างคล่องแคล่ว เมื่อดึงเข็มออกจนหมดแล้วจึงยื่นเม็ดยาฟื้นฟูกำลังภายในให้กินอีกหนึ่งเม็ดตามด้วยยารักษาอวัยวะภายในอีกสองเม็ด ร่างผอมโซพยายามลุกขึ้นกินยาจิวชงหยวนจึงช่วยพยุงนั่งพิงหมอนอิงใบใหญ่พร้อมรินน้ำเปล่าให้
    และเวลาต่อมาลู่เฟยก็มาปรากฏตัวพร้อมรายการที่สั่ง จิวชงหยวนจึงปล่อยให้คนป่วยพักผ่อน จากนั้นจึงไปห้องครัวเพื่อปรุงยาแก้พิษผงกระดูกขาวโดยเฉพาะ โดยมีลู่เฟยค่อยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ส่วนท่านป้าหลังจากที่แนะนำส่วนต่างๆ ภายในบ้านเสร็จแล้วจึงไปคอยดูแลอาบน้ำเปลี่ยนชุดในเฟิงอวี้
    จิวชงหยวนหลังจากต้มยาสูตรของตัวเองให้เฟิงอวี้กินพร้อมฝังเข็มทุกวันเป็นเวลากว่าสามวันที่เขาหมกตัวอยู่กับคนไข้จนอาการดีขึ้นลุกนั่งเองได้แล้วและเดินได้บ้างแต่ไม่ไกลมากนัก แม้ที่นี่จะดูวุ่นวายทว่าภายนอกไม่มีคนรับรู้เลยว่าช่างตีกระบี่เฟิงอวี้ได้หายจากอาการป่วยแล้ว เหลือเพียงกินอาหารให้ครบมื้อและอาหารบำรุงร่างกายเท่านั้นก็กลับมาหายดีได้เช่นเดิมแล้ว
    “ท่านจะออกเดินทางแล้วจริงๆ หรือ” เฟิงอวี้เอ่ยถามด้วยความเศร้าใจ มองคนที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยความรักและเทิดทูนแต่น่าเสียดายที่ท่านหมอเทวดาผู้นี้มีคนรักแล้วเพราะจากที่สังเกตมาตลอดสามวันที่อยู่ด้วยกัน คนที่ชื่อลู่เฟยจะดูแลและห่วงใยอีกทั้งหึงออกบ่อยๆ
    “อืม ข้าอยู่ไหนนานๆ ไม่ได้หรอก แต่เจ้าเองก็อย่าลืมกินยาตามที่ข้าสั่งและอาหารบำรุงร่างกายให้มากๆ ส่วนกระบี่ข้าจะกลับมาเอาอีกครั้งหลังจากที่เจ้าสร้างมันได้” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มตอนนี้พวกเขายืนอยู่หน้าห้องของเฟิงอวี้เพราะเจ้าตัวยังเดินเหินยังไม่คล่องเพราะเรี่ยวแรงเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน
    “ขอรับข้าจะไม่ลืม และข้าจะจะพยายามสร้างกระบี่ให้ท่านอย่างสุดความสามารถ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับแล้วบอกด้วยรอยยิ้ม
    “คนที่เจ้าจะสร้างกระบี่ให้คือลู่เฟย ไม่ใช่ข้าหรอก” เฟิงอวี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ ตอบรับอย่างเข้าใจ
    “รักษาตัวด้วย” ลู่เฟยที่เงียบมาตลอดสามวันบอกสั้นๆ แล้วจูงมือคนงามเพื่อออกเดินทางต่อไป โดยเฟิงอวี้มองตามด้วยรอยยิ้มเศร้า มีวาสนาที่ได้พบเจอแต่กลับไร้วาสนาที่จะได้ติดตาม
    “ท่านเฟิงอวี้กลับไปพักผ่อนเถอะนะเจ้าคะ หากท่านหายดีเดี๋ยวท่านหมอจิวกับท่านลู่เฟยต้องกลับมาหาท่านแน่นอนเจ้าค่ะ” เสียงปลอบใจคนที่อยู่เคียงข้างและดูแลตนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้เฟิงอวี้ยิ้มบางก่อนจะเดินไปสวมกอดร่างอ้วนท้วมของท่านป้าเอาไว้ด้วยความรักและเทิดทูน
    “ข้าทราบท่านป้า แต่ข้าแค่อยากให้ท่านหมอเทวดาผู้นั้นอยู่ด้วยนานกว่านี้สักหน่อย แม้จะไม่มีวาสนาได้ติดตามแต่ข้าจะรอท่านหมอจิวกลับมารับกระบี่จากข้าอีกครั้ง” เฟิงอวี้พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตามแรงพยุงของท่านป้าเข้าไปในห้องนอน พักผ่อนมากๆ ตามคำสั่งเพื่อจะได้หายเร็วยิ่งขึ้น เมื่อนั้นหวังว่าหมอจิวจะกลับมาเยี่ยมเขาอีกสักครั้งในเร็ววัน...




        ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากเลยนะคะ  :กอด1:


     


       
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-09-2015 16:34:31
เนื้อหาไม่ครบหรือหายไปแจ้งฟางด้วยนะคะ เล่นซนไปๆ มาๆ เริ่มจะแก้ไขไม่เป็น  แหะๆ - -  :z3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์บทที่ 31 พิษผงกระดูกปีศาจกระดูกขาว ตอนที่ 5 (P.5 13/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-09-2015 17:12:53
บทที่ 31
พิษผงกระดูกปีศาจกระดูกขาว
ตอนที่ 5 เล่มที่ 2 (P.5 13/9/58)
   

          ขอลงอีกรอบเหมือนเนื้อหาจะหายไป ใครอ่านซ้ำต้องขออภัยด้วยค่ะ ฟางมือใหม่เลยไปเล่นซนอะไรเข้า ^^


          จิวชงหยวนก้าวลงจากเรือด้วยความตื่นเต้นหลังจากนั่งตากแดดบนเรือมานานกว่าสามชั่วยามจนกระทั่งถึงชายฝั่งของเมืองฝูเจี้ยน การค้าแถวนี้ต่างครึกครื้นไม่ต่างจากแผ่นดินใหญ่ ร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีทองดูมีสง่าราศี ด้านหลังคือลู่เฟยซึ่งในวันนี้อยู่ในชุดสีเขียวใบไม้แก่ ลักษณะทวงท่าเหมือนคุณชายพลัดถิ่นเนื่องจากครั้งนี้เจ้าตัวไม่ได้มีกระบี่ติดตัวมาด้วย
     "เจ้าจะไปที่ใดก่อน" ลู่เฟยเอ่ยถามพร้อมก้มหน้ามามอง จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยแล้วตอบกลับเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน
    "ข้าได้ยินว่าแคว้นฝูเจี้ยนมีช่างทำกระบี่ที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าเลยอยากให้เขาสร้างกระบี่ให้เจ้าสักเล่มแทนของเก่าที่หักไป"
    "อืม" ลู่เฟยตอบรับสั้นๆ จิวชงหยวนหันไปมองคนเงียบแล้วยกยิ้มบาง
     "เจ้าไม่ดีใจหน่อยหรือ นี่ข้าพาเจ้ามาสร้างกระบี่เป็นอันดับแรกเชียวนะ" คำถามของจิวชงหยวนทำใหลู่เฟยยกยิ้มบางยกมือลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าอย่างรักใคร่
     "สิ่งใดที่เจ้าตั้งใจให้ข้า ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว" จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินรู้สึกว่าช่วงนี้ลู่เฟยจะรุกเขาหนักขึ้นทุกวัน ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินนำหน้าไปโดยมีเสียงหัวเราะในลำคอของคนขี้แกล้งตามหลังมาแว่วๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อคิดได้ว่าเขายังไม่รู้ว่าช่างกระบี่อยู่ที่ใด
    "ท่านลุง ท่านพอจะทราบช่างกระบี่ชื่อดังเฟิงอวี้ไหมขอรับ" จิวชงหยวนเดินเข้าไปถามพ่อค้าซึ่งขายตะกร้าสานซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุดในเวลานี้
     "หืม คุณชายอยากพบช่างตีกระบี่หรอกหรือ เวลานี้เฟิงอวี้ป่วยหนักมาหลายเดือนแล้วจึงหยุดตีกระบี่ไป แต่หากคุณชายอยากพบให้เดินไปทางนั้นแล้วเลี้ยวขวา เดินไปจะเจอสะพานแม่น้ำสายเล็กแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกทีก็ถึงบ้านของช่างเฟิงอี้แล้ว" จิวชงหยวนพยักหน้ารับและพยายามทำความเข้าใจกับเส้นทางดังกล่าว
    "ขอบคุณมากขอรับท่านลุง" จิวชงหยวนกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปตามเส้นทางตามที่บอก ทั้งคู่เดินออกนอกหมู่บ้านจนกระทั่งมาเจอบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งดูเงียบๆ
    ก๊อกๆๆ
    จิวชงหยวนเคาะประตูหน้าบ้านหลังใหญ่อย่างมีมารยาท เพียงไม่นานหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาเปิดประตู นางเลิกคิ้วมองพวกเขาอย่างสงสัย
    “ท่านมีกิจอันใดกับบ้านข้าหรือ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามดวงตาฉายแววงุนงงเล็กน้อย อาจเพราะนานมากแล้วที่ไม่มีคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน
    “ข้าเป็นหมอขอรับท่านป้า ข้าได้ยินมาว่าท่านเฟิงอวี้ไม่สบายและเลิกตีกระบี่มานานหลายเดือนแล้ว ข้าจึงอยากมาดูอาการเสียหน่อยขอรับ” จิวชงหยวนยกมือคารวะเล็กน้อยพร้อมกล่าวคำแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มบาง
    “พวกท่านกลับไปซะเถอะ ข้าไม่มีเงินจ่ายหรอก” คำประเสธอย่างไร้เยื้อใย ทำให้จิวชงหยวนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    "ท่านป้า ข้ามาช่วยรักษาไม่ได้หวังเงินทองของท่านหรอกขอรับ" จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าท่านป้ากลับมองอย่างหวาดระแวง
     "ใครๆ ก็บอกข้าเช่นนี้ แต่พอเข้าไปกลับรักษาไม่ได้และยังมาเรียกร้องค่าเสียเวลา แบบนี้ข้าจะไว้ใจพวกท่านได้อย่างไร" น้ำเสียงคลางแคลงใจของท่านป้าทำให้จิวชงหยวนหันไปปรึกษากับลู่เฟย
    "ท่านป้าจิวชงหยวนปรารถนาที่จะช่วยรักษาเฟิงอวี้โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพียงแต่หากจิวชงหยวนรักษาเฟิงอวี้ได้แล้วข้าแค่อยากให้ตีกระบี่ให้สักเล่ม" ลู่เฟยหันไปบอกตามความเป็นจริง ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ท่านป้ามีสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา
     "เอาเถอะ ใครๆ ก็อ้างตนเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวนทั้งนั้น หากจะเพิ่มพวกท่านอีกคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่ขอบอกก่อนว่าข้าไม่มีเงินให้พวกท่านสักแดงเดียวหรอกนะ” จิวชงหยวนถึงกลับยิ้มแห้ง เพราะชื่อเขามันโหลไปแล้วจริงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ตามคำเชื้อเชิญที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
    ท่านป้าพาเดินลัดเลาะสวนไผ่ที่แห้งแล้งเพราะขาดการเอาใจใส่ อาจเป็นเพราะไม่มีคนมาดูแลแล้ว สภาพบ้านอาจดูใหญ่โตแต่กลับดูวังเวงร้างไร้ผู้คน ทั้งคู่เดินไปจนถึงด้านหลังของบ้านก่อนจะมาหยุดที่ห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ท่านป้าเปิดประตูพร้อมให้พวกเขาเข้าไป
     จิวชงหยวนมองรอบห้องที่ข้าวของเครื่องใช้ถูกนำไปขายหมดแล้วเหลือเพียงร่องรอยเก่าๆ เท่านั้น บนเตียงนอนมีร่างผอมโซของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่พร้อมเสียงไอค๊อกแค่ก ใบหน้าผอมแห้งที่หันมาดวงตาลึกโบ๋ดูน่ากลัว ทว่ายังดูออกว่ายังหนุ่ม เขาเลิกขึ้นมองอย่างแปลกใจเพราะช่างเฟิงอี้ที่ได้ยินมาไม่คิดว่ายังอยู่ในวัยหนุ่ม เขาคิดว่าจะแก่มากกว่านี้เสียอีก
    "ท่านเฟิงอวี้ข้าพาหมอมาดูอาการท่าน" ท่านป้าบอกคนที่นอนอยู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
     "ท่านป้า ให้กลับไปเถอะข้าไม่มีเงินรักษาหรอก" จิวชงหยวนเดินเข้าไปใกล้ ก้มมองคนป่วยอย่างฉงนเพราะไม่เคยเจอใครอาการเช่นนี้มาก่อน เสียงหัวใจเต้นช้าเร็วตามปกติของคนป่วยธรรมดาแต่จากที่เห็นสภาพกลับไม่เป็นธรรมดาอย่างที่คิด
     "ข้าไม่ได้หวังเงินทองจากท่าน สบายใจเถอะ" จิวชงหยวนบอกคนป่วย ก่อนจะขยับไปใกล้ร่างที่นอนโทรมมากขึ้นอีก ลู่เฟยเลิกคิ้วมองอย่างไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็ยืนกอดอกมองจิวชงหยวนตรวจรักษาอาการคนป่วยตรงหน้า จิวชงหยวนจับชีพจรของอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด รู้สึกว่าตัวเองกำลังเจอเรื่องประหลาด
    “ท่านมีอาการเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนป่วยขณะมือยังจับชีพจร เฟิงอวี้เหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะใบหน้าที่งดงามนั้นทำให้ใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    “อยู่ๆ ข้าก็ไร้เรี่ยวแรงและผอมลงทุกวัน ไม่ว่าจะกินข้าวปลาอาหารอย่างไรก็ไม่เป็นผลมิหน้ำซ้ำข้ายังรู้สึกหิวตลอดเวลา” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างฉงนสงสัยเพราะอาการที่เล่ามานั้นนับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่พบเจอ หรือว่าจะมีปีศาจ แม้จะยังไม่เคยเจอแต่มีเทพเซียนไฉนเลยจะไม่มีสิ่งเหล่านี้
    “ก่อนหน้าท่านจะเจ็บป่วย ท่านไปทำสิ่งใดมาหรือ”
    “ข้าจำไม่ได้หรอก ข้าป่วยมาหลายเดือนแล้วและไม่ได้ลุกออกจากเตียงมานานกว่าหกเดือนแล้ว” คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้รู้สึกยากต่อการรักษา จิวชงหยวนหันหน้าไปมองลู่เฟยที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูมองเขานิ่งๆ เช่นกัน
    “ตอนนี้ข้าเป็นมนุษย์” ลู่เฟยกล่าวออกมานิ่งๆ เหมือนจะรู้ว่าจิวชงหยวนจะถามอะไร เขาส่งยิ้มแห้งๆ เหมือนคิดได้ในข้อนี้ ก่อนจะหันกลับมามองคนไข้อีกครั้ง
    “ท่านมีคนรักหรือไม่”
    “เจ้าถามทำไม ข้าไม่มีหรอก” เสียงแหบแห้งที่ตอบกลับมา ท่านป้าจึงรินน้ำชามาให้จิบก่อนจะถอยไปยืนอยู่ห่างๆ เงียบ นั่นทำให้จิวชงหยวนรู้ว่าท่านป้าเป็นเพียงคนรับใช้ที่ภักดีเท่านั้น และที่เขาเอ่ยถามเช่นนั้นเพราะกลัวว่าจะเป็นโรคใจและตรอมใจที่คนรักจากไป
    “พวกท่านออกไปก่อนได้ไหม” จิวชงหยวนหันไปขอร้องทั้งคู่ที่ยืนมองเขาอยู่ ความจริงอยากตรวจร่างกายละเอียดมากกว่านี้ แต่ถูกจ้องนานๆ จากสองคนก็ทำให้ไม่มีสมาธิเหมือนกัน แม้จะเคยชินแต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าคนป่วยจริงๆ และกลัวว่าลู่เฟยจะทำเสียเรื่อง
    “ข้าเชื่อใจเจ้า” ลู่เฟยตอบรับพร้อมเดินจากไป ทว่าคำกล่าวนั้นทำให้เขานิ่งอึ้งไป รู้สึกคิ้วกระตุกอย่างไรชอบกล นี่ขนาดคนป่วยผอมแห้งจนไม่มีแรงลุกขึ้นยังมีหน้ามาหึงเขาอีก
    “ท่านป้าออกไปก่อนเถอะ” เสียงของเฟิงอวี้บอกท่านป้า ซึ่งเงยหน้าสบตาเขาครู่หนึ่งก่อนจะยินยอมออกไป จิวชงหยวนก้มมองคนป่วยที่ไม่มีแรงลุกขึ้นอีกครั้งพร้อมจับชีพจรช่วงลำคอไปด้วย
    “ข้าอยากให้ท่านถอดเสื้อเพื่อตรวจดูรายละเอียดมากกว่านี้” จิวชงหยวนบอกคนไข้ที่หน้าและใบหูแดงก่ำแม้จะผอมโซขนาดไหนแต่ก็ยังมองเห็นได้ชัด อีกอย่างตอนนี้เจ้าตัวขาวซีดไปทั้งตัว มือที่เคยหยาบกร้านเพราะตีกระบี่เริ่มจางหายไป
    “คือข้าไม่มีแรงถอด” เสียงที่ตอบรับมาแผ่วเบาใบหน้าแดงระเรื่อ จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะช่วยถอดเสื้อผ้าออกให้จนหมด สายตากวาดมองตามร่างอย่างพินิจทว่าตอนนี้คนป่วยหลับตาปี่ไปแล้ว เขามองตามอย่างขำๆ มือเรียวจับดูชีพจรตามจุดร่างกาย
    “พิษกระดูกปีศาจผงขาวหรือ” จิวชงหยวนพึมพำเมื่อเห็นช่วงขาอ่อนมีรูปกระดูกสีขาวแต้มอยู่ หากไม่ถอดเสื้อผ้าจะไม่มีทางเห็นเป็นอันขาด
    “มันคือสิ่งใด” เฟิงอวี้ลืมตาขึ้นมาถามหลงลืมความอายไปชั่วขณะ แม้จะรู้สึกปั่นป่วนช่องท้องแปลกๆ ก็ตาม
     “มันคือผงกระดูกของปีศาจกระดูกขาว เจ้าจำไม่ได้หรือว่าก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา” จิวชงหยวนจับตามร่างกายและกดตามจุดต่างดูความเสียหายภายในร่าง ซึ่งดูแล้วเสียหายไปไม่น้อย ร่างกายจะไม่เจ็บแต่จะมีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นเพราะเรี่ยวแรงจะหายไปและยังหิวโหยตลอดเวลา
    “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย แต่ท่านหมอข้ามีโอกาสจะหายหรือไม่” น้ำเสียงและดวงตาที่หม่นแสงมีแววความหวังออกมา จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ
    “วิธีรักษาข้าพอมีแต่คงต้องใช้เวลาหน่อยเพราะผงกระดูกขาวเป็นของปีศาจจึงยากต่อการรักษา เจ้าไม่ได้ลองกินน้ำมนต์ที่วัดดูหรอกหรือ”
    “ข้าลองมาหมดแล้ว แต่ไม่ได้ผล” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับ อาจเป็นเพราะเจ้าของผงกระดูกนี้มีอายุมานานหลายร้อยปี จิวชงหยวนดึงเสื้อมาปกปิดส่วนสำคัญของร่างกายไว้ ก่อนจะหันมาบอกคนไข้ที่จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
    “เดี๋ยวข้าจะจดของบางอย่างที่ต้องใช้ให้คนของข้าออกไปซื้อหา จากนั้นข้าจะมาฝังเข็มให้เจ้าก่อน” จิวชงหยวนบอกคนไข้ก่อนจะลุกเดินออกไปด้านนอก เพียงแค่ประตูเปิดสองคนที่ยืนรออยู่ข้างนอกก็หันมามองทันที
    “เป็นเช่นไรบ้าง” ลู่เฟยเดินเข้ามาหา จิวชงหยวนยิ้มให้บางก่อนจะหยิบกระดาษเขียนใบสั่งยาให้ลู่เฟยไปหาซื้อมาให้
    “เฟินอวี้เป็นอะไร ทำไมต้องใช้พวกแมงป่อง งูเจ็ดสี และตะขาบด้วย” ลู่เฟยเอ่ยถามขณะอ่านใบสั่งซื้อของ
    “พิษผงกระดูกของปีศาจกระดูกขาว ข้าจึงอยากได้พวกนี้มาต้มผสมกับยาที่ข้ามี เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสมุนไพรจากหุบเขาแห่งเซียนที่ข้าเอามาเริ่มหมดแล้ว และที่ข้ามีตอนนี้ไม่พอจะรักษารายการพวกนั้นจะช่วยข้าได้อีกแรง
    “ยาลูกกลอนเจ้าก็ไม่แหลือหรือ”
    “ยาพวกนั้นใช้ไม่ได้ผลกับพิษของปีศาจหรอก ข้าเคยอ่านเจอแต่ข้าไม่ได้ปรุงเป็นเม็ดไว้เพราะใช่ว่าจะมีคนเจอง่ายๆ และนี่แสดงว่าเฟิงอวี้ดวงตกสุดๆ ถึงมาเจอพิษชนิดนี้ได้” ลู่เฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พร้อมยกมือขยี้หัวของจิวชงหยวนอย่างรักใคร่ ก่อนจะทะยานออกไปด้วยความเร็ว
    “ท่านหมอท่านรักษาท่านเฟิงอวี้ได้จริงหรือเจ้าคะ” ท่านป้าเดินเข้ามาจับมือจิวชงหยวนด้วยความตื้นตัน จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ
    “ขอรับท่านป้า แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อยขอรับ แต่ข้าอยากให้ท่านป้าปิดเรื่องนี้เป็นความลับจนกว่าข้าจะไปจากเมืองนี้นะขอรับ”
    “เจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่ท่านหมอต้องการเพียงแค่ท่านเฟิงอวี้หายก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
    “ท่านป้าพอจะทราบไหมขอรับว่าท่านเฟิงอวี้ไปทำอะไรมาก่อนที่จะป่วยหนัก” จิวชงหยวนเอ่ยถามที่ทำให้ท่านป้ามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
    “เมื่อหนึ่งปีก่อนมีคนของพรรคหมื่นพิษมาให้ท่านเฟิงอวี้ตีกระปีที่ทำมาจากเหล็กไหลพันปีให้ แต่หลังจากทำเสร็จได้หนึ่งเดือนท่านเฟิงอวี้ก็ล้มป่วยลง ข้าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของพรรคหมื่นพิษหรือไม่เจ้าค่ะ แต่คนที่มารักษาล้วนมีแต่หลอกลวงจนทุกวันนี้ข้าไม่รู้แล้วว่าผู้ใดคือหมอจริงและผู้ใดคือหมอปลอมกันแน่ ข้าวของเครื่องใช้ถูกนำไปขายเพื่อมารักษาแต่ก็ไม่อาจรักษาได้ บ่าวไพร่ก็พากันหนีหายไปหมดเจ้าค่ะ ท่านเฟิงอวี้น่าสงสารมาก บิดามารดาก็ตายจากเหลือทิ้งไว้แค่วิชาความรู้และที่ดินผืนนี้เท่านั้นเจ้าค่ะ ท่าหมอโปรดเมตตาท่านเฟิงอวี้ด้วยเจ้าค่ะ” จิวชงหยวนพยักหน้าเข้าใจกับคำบอกเล่าที่ยาวเหยียดและเป็นครั้งแรกที่ท่านป้าผู้นี้พูดคุยกับเขายาวขนาดนี้ ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยกับคำอ้อนวอน
    “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านป้าไปเตรียมหม้อดินไว้ให้ข้าต้มยาเถอะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปฝังเข็มให้ท่านเฟิงอวี้ก่อน” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินกลับเข้ามาหาคนป่วยอีกครั้ง มือเรียวหยิบถุงย่ามและเข็มที่ใส่กล่องปิดคาถาไว้อย่างซึ่งเป็นของที่อาจารย์ให้มา เขาท่องคาถาภายในใจพร้อมกล่องเปิดออกมาให้เห็นเข็มเงินเรียงรายเป็นพันเล่มอย่างมีระเบียบ ทว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาเฟิงอวี้ตลอดเวลา
    “ท่านเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวนหรอกหรือ” น้ำเสียงอ่อนแรงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนเงยหน้าหันไปมองแล้วยิ้มบางให้
    “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านเรียกข้าว่าหมอจิวก็พอ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินเข้ามาหาก่อนจะเริ่มจับชีพจรต่างๆ ตามร่างกายอีกครั้ง
    “ท่านนอนหลับตานิ่งๆ เถอะอีกครึ่งชั่วยามกว่าข้าจะถอดเข็มให้ท่านได้” จิวชงหยวนมองคนลืมตาหน้าแดงด้วยความอายอีกครั้งหลังจากที่เขาเลิกผ้าที่ปิดของสงวนออก เมื่อเห็นคนไข้หลับตาลงอย่างว่าง่ายจึงเริ่มฝังเข็มทันที เริ่มจากจุดหย่งจงใต้จมูก จุดซูหลิน ข้างจมูกและตามมาด้วยจุดเทียนถังตรงหน้าผากและตามด้วยอีกหนึ่งร้อยแปดจุดตามชีพจรของเส้นเลือดที่จะช่วยขับพิษออกมาได้ สองมือลงมืออย่างคล่องแคล่วว่องไวเพียงไม่นานก็ครบหนึ่งร้อยแปดจุด
    จิวชงหยวนถอยออกมานั่งมองอยู่ห่างๆ รอดูผลการเปลี่ยนแปลง ก่อนจะหยิบสมุนไพรฟื้นฟูลมปราณและยารักษาพวกปอด ตับไตที่เสียหายมาเตรียมไว้อีกขั้นหนึ่ง ยาที่เขาเตรียมไว้นี้ไม่ได้วิเศษอะไรมากมายแต่ในเมื่อเขาเป็นคนปรุงจึงทำให้มีคุณสมบัติพิเศษขึ้นกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง
    “ผ่านไปครึ่งชั่วยามจิวชงหยวนจึงดึงเข็มออกอย่างคล่องแคล่ว เมื่อดึงเข็มออกจนหมดแล้วจึงยื่นเม็ดยาฟื้นฟูกำลังภายในให้กินอีกหนึ่งเม็ดตามด้วยยารักษาอวัยวะภายในอีกสองเม็ด ร่างผอมโซพยายามลุกขึ้นกินยาจิวชงหยวนจึงช่วยพยุงนั่งพิงหมอนอิงใบใหญ่พร้อมรินน้ำเปล่าให้
    และเวลาต่อมาลู่เฟยก็มาปรากฏตัวพร้อมรายการที่สั่ง จิวชงหยวนจึงปล่อยให้คนป่วยพักผ่อน จากนั้นจึงไปห้องครัวเพื่อปรุงยาแก้พิษผงกระดูกขาวโดยเฉพาะ โดยมีลู่เฟยค่อยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ส่วนท่านป้าหลังจากที่แนะนำส่วนต่างๆ ภายในบ้านเสร็จแล้วจึงไปคอยดูแลอาบน้ำเปลี่ยนชุดในเฟิงอวี้
    จิวชงหยวนหลังจากต้มยาสูตรของตัวเองให้เฟิงอวี้กินพร้อมฝังเข็มทุกวันเป็นเวลากว่าสามวันที่เขาหมกตัวอยู่กับคนไข้จนอาการดีขึ้นลุกนั่งเองได้แล้วและเดินได้บ้างแต่ไม่ไกลมากนัก แม้ที่นี่จะดูวุ่นวายทว่าภายนอกไม่มีคนรับรู้เลยว่าช่างตีกระบี่เฟิงอวี้ได้หายจากอาการป่วยแล้ว เหลือเพียงกินอาหารให้ครบมื้อและอาหารบำรุงร่างกายเท่านั้นก็กลับมาหายดีได้เช่นเดิมแล้ว
    “ท่านจะออกเดินทางแล้วจริงๆ หรือ” เฟิงอวี้เอ่ยถามด้วยความเศร้าใจ มองคนที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยความรักและเทิดทูนแต่น่าเสียดายที่ท่านหมอเทวดาผู้นี้มีคนรักแล้วเพราะจากที่สังเกตมาตลอดสามวันที่อยู่ด้วยกัน คนที่ชื่อลู่เฟยจะดูแลและห่วงใยอีกทั้งหึงออกบ่อยๆ
    “อืม ข้าอยู่ไหนนานๆ ไม่ได้หรอก แต่เจ้าเองก็อย่าลืมกินยาตามที่ข้าสั่งและอาหารบำรุงร่างกายให้มากๆ ส่วนกระบี่ข้าจะกลับมาเอาอีกครั้งหลังจากที่เจ้าสร้างมันได้” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มตอนนี้พวกเขายืนอยู่หน้าห้องของเฟิงอวี้เพราะเจ้าตัวยังเดินเหินยังไม่คล่องเพราะเรี่ยวแรงเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน
    “ขอรับข้าจะไม่ลืม และข้าจะจะพยายามสร้างกระบี่ให้ท่านอย่างสุดความสามารถ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับแล้วบอกด้วยรอยยิ้ม
    “คนที่เจ้าจะสร้างกระบี่ให้คือลู่เฟย ไม่ใช่ข้าหรอก” เฟิงอวี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ ตอบรับอย่างเข้าใจ
    “รักษาตัวด้วย” ลู่เฟยที่เงียบมาตลอดสามวันบอกสั้นๆ แล้วจูงมือคนงามเพื่อออกเดินทางต่อไป โดยเฟิงอวี้มองตามด้วยรอยยิ้มเศร้า มีวาสนาที่ได้พบเจอแต่กลับไร้วาสนาที่จะได้ติดตาม
    “ท่านเฟิงอวี้กลับไปพักผ่อนเถอะนะเจ้าคะ หากท่านหายดีเดี๋ยวท่านหมอจิวกับท่านลู่เฟยต้องกลับมาหาท่านแน่นอนเจ้าค่ะ” เสียงปลอบใจคนที่อยู่เคียงข้างและดูแลตนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้เฟิงอวี้ยิ้มบางก่อนจะเดินไปสวมกอดร่างอ้วนท้วมของท่านป้าเอาไว้ด้วยความรักและเทิดทูน
    “ข้าทราบท่านป้า แต่ข้าแค่อยากให้ท่านหมอเทวดาผู้นั้นอยู่ด้วยนานกว่านี้สักหน่อย แม้จะไม่มีวาสนาได้ติดตามแต่ข้าจะรอท่านหมอจิวกลับมารับกระบี่จากข้าอีกครั้ง” เฟิงอวี้พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตามแรงพยุงของท่านป้าเข้าไปในห้องนอน พักผ่อนมากๆ ตามคำสั่งเพื่อจะได้หายเร็วยิ่งขึ้น เมื่อนั้นหวังว่าหมอจิวจะกลับมาเยี่ยมเขาอีกสักครั้งในเร็ววัน...





        ขอบคุณมากจ้า ใครอ่านซ้ำก็ขอโทษด้วยนะคะ^^
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-09-2015 17:13:26
ไปที่ใดก็มีแต่คนรักคนหลงเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 13-09-2015 17:50:42
โอ้ว ท่านหมอจิวช่างบาปหนายิ่งนัก  ทำให้ผู้อื่นต้องใจแตกสลายไปกี่มากน้อยแล้วหนา อิอิ   :hao7:

รอตอนต่อไปจ้า   :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 13-09-2015 18:52:29
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 13-09-2015 19:29:45
ขอตามไปอ่านก่อน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 13-09-2015 21:44:33
อยากอ่านต่อแล้วววว  :ling1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 13-09-2015 21:45:06
หมอจิวเก่งมากรักษาคนได้ตลอดและทุกโรคจริงๆ

ส่วนคนไข้เข้าใจละว่าเขิล จะไม่อายเลยซิแปลก

เพราะหมอจิวน่ารักซะขนาดนั้น

ส่วนลู่เฟยพระเอกของเราตอนนี้บทน้อยไปหน่อย

ตอนหน้าขอฉากหวานๆนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 13-09-2015 21:54:53
คุณหมอของเราเสน่ห์แรงสุดๆเลย  อยากสั่งจองหนังสือ แต่ตังห์หมดแล้ว เฮ้อจะได้ไหมน้อของแถม ถ้าเป็นต้นเดือนนะ ไม่หวั่นแน่ๆ คนเขียนสู้ๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่ 32 ตอนที่ 6 ช่วยคนผิดคิดจนตัวตาย (P.6 วันที17/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 17-09-2015 10:00:06
บทที่ 32
ตอนที่ 6 เล่ม 2 ช่วยคนผิดคิดจนตัวตาย (P.6 17/9/58)

           หลังจากรักษาอาการป่วยของเฟิงอวี้จนหายดี จิวชงหยวนจึงได้หาซื้อข้าวของจำเป็นต้องใช้ระหว่างเดินทาง ใบหน้าที่งดงามยามนี้ปกปิดด้วยหน้ากากสีเงินครึ่งหน้าไว้เช่นเดิม ทว่าระหว่างเดินซื้อข้าวของอยู่นั้นกลับรู้สึกว่าตัวกำลังถูกจ้องมอง ดวงตาเรียวหันไปมองทิศทางที่จับสายตาคู่นั้นได้จึงได้เห็นชายหนุ่มร่างโปร่งบางและเตี้ยพอๆ กับเขามองอยู่ ใบหน้านั้นคล้ายไม่แน่ใจเพราะคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม แต่เขากลับจำได้เป็นอย่างดี
    “ไปกันเถอะ” จิวชงหยวนหันไปบอกคนข้างตัวพร้อมจับแขนเดินลัดเลาะผ่าฝูงชนไปด้วยความเร็ว เมื่อเริ่มร้างผู้คนแล้วจึงใช้ลมปราณทะยานไปจากที่นั่นทันที ลู่เฟยที่ใช้ลมปราณวิ่งไปตามแรงลากมองคนตัวเล็กกว่าอย่างฉงน
    “เจ้าหนีอะไร” จิวชงหยวนหันไปยิ้มบางให้ จะบอกว่าเขาเห็นคนพรรคหยกขาวก็ไม่จำเป็นต้องหนี เพราะไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ที่เขาหนีเพราะกลัวจะเจอเด็กช่างตื้อหมิงอี้ฟานต่างหากเพราะจำไม่ผิดเด็กนั่นคอยรับใช้หมิงอี้ฟานขณะที่อยู่พรรคหยกขาว
    “เปล่า ไม่มีอะไรไปกันเถอะ” บอกพร้อมทะยานไปตามเส้นทางของทะเลทรายมุ่งหน้าไปทางชนเผ่ามองโกล แม้ชนเผ่านี้จะไม่ค่อยต้อนรับคนนอกแต่เขาอยากไปเห็นด้วยตาสักครั้งตามความทรงจำที่อาจารย์ให้ไว้ อีกทั้งพืชสมุนไพรทางพื้นที่แถวนั้นมีมากมายและตอนนี้สมุนไพรหายากของเขามันเริ่มหมดแล้ว
    ทะเลทรายในเวลาเที่ยงวันนั้นร้อนมากร่างกายเริ่มโทรมไปด้วยเหงื่อ จิวชงหยวนพยายามดึงลมปราณออกมาช่วยลดอุณภูมิภายนอก สองเท้าก้าวเดินมุ่งหน้าไปอย่างไม่เร่งรีบเพราะระหว่างทางได้เก็บสมุนไพรบางชนิดไปด้วยเช่นกระบองเพชรที่สามารถรักษาอาการเจ็บไข้ได้
    ทั้งคู่เดินไปจนถึงเขตที่พักซึ่งมีคลองน้ำขนาดไม่ใหญ่มากพอให้พักอาศัย พร้อมต้นไม้ใหญ่ที่ทนภูมิอากาศในเขตทะเลทรายได้ให้ร่มเงาระหว่างผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา จิวชงหยวนได้พักกินข้าวตอนกลางวันก่อนจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
    “ช่วยด้วย ช่วยด้วย...” จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยขณะเดินผ่านช่องเขาซึ่งได้ยินขอความช่วยเหลือแต่มันแผ่วเบามากจนไม่แน่ใจ
    “เจ้าได้ยินไหมลู่เฟย”
    “ได้ยิน น่าจะทางนั้นไปเถอะ” ลู่เฟยบอกพร้อมเดินนำหน้าไปยังจุดที่ได้ยินเสียง ทว่าเมื่อไปถึงก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เพราะร่างของหญิงสาวผู้นั้นอาบไปด้วยเลือดอีกทั้งมีสัตว์เลื้อยคลานแมลงป่องพิษพร้อมด้วยตะขาบไต่เต็มตัว
    “ทำไมช่วงนี้ข้าเจอแต่อสรพิษกันนะ” จิวชงหยวนพูดขึ้นยืนมองร่างที่สลบไปนิ่งๆ โดยไม่กล้าแม้จะเข้าไปใกล้ ก่อนจะโยนพืชสมุนไพรที่กลิ่นฉุนเพื่อไล่สัตว์พวกนั้นให้ออกห่างจากร่างของแม่นางผู้นั้นที่อาการสาหัสจนไม่น่าจะมีชีวิตรอด
    หลังจากสัตว์เลื้อยคลานถอยไปหมดแล้วจิวชงหยวนจึงเดินเข้ามาดูอาการของหญิงสาวผู้นั้น ก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ เพื่อหาที่พักพิงสำหรับรักษาแม่นางผู้นี้ โดยมีลู่เฟยเข้ามาอุ้มร่างนั้นช่วยเพราะตัวเขากับตัวของแม่นางผู้นี้เท่ากัน
    ทั้งคู่ใช้เวลาไปหนึ่งก้านธูปกว่าจะเจอที่พักสำหรับคืนนี้ ซึ่งก็เป็นถ้ำที่อยู่ในเขตทะเลทรายนั่นเอง จิวชงหยวนให้ลู่เฟยรออยู่หน้าถ้ำเพราะเขาจะต้องถอดเสื้อผ้านางมาทำบาดแผลที่เป็นรอยกระบี่ฟาดฟันไปหลายที่    จิวชงหยวนเริ่มรักษาบาดแผลพร้อมเย็บบาดแผลให้อย่างคล่องแคล่ว ทว่าเมื่อตรวจเลือดที่อาบย้อมไปทั้งตัวนั้นต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะร่างกายนางเต็มไปด้วยพิษเช่นเดียวกับเขา และหากเดาไม่ผิดเมื่อครู่ที่สัตว์พิษพวกนั้นไต่เต็มตัวเพื่อเป็นการช่วยรักษาร่างกายอีกแบบ
    แม้จะสงสัยที่ไปที่มาแต่หน้าที่ของหมอก็ไม่อาจปล่อยให้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้เพราะอย่างไรก็ช่วยเหลือได้ อีกทั้งเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในทะเลทรายเขาย่อมไม่ใจจืดใจดำปล่อยทิ้งไปได้ หลังจากที่รักษาบาดแผลทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาตามลู่เฟยที่ยืนรออยู่ด่านนอก
    “เสร็จแล้วหรือ” จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนถามแล้วพยักหน้ารับ
    “เข้าไปด้านในเถอะ ข้างนอกเริ่มหนาวมากแล้ว” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย ลู่เฟยหันมายิ้มบางแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ทำให้คนฟังหน้าแดง
    “หากเจ้ากลัวข้าหนาวก็โอบกอดข้าไว้สิ”
    “งั้นก็ยืนหนาวต่อไปแล้วกัน” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่เสียเวลาคิดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในถ้ำด้วยใบหน้าแดงก่ำ ลู่เฟยเดินตามหลังมาพร้อมหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ
    จิวชงหยวนเดินไปนั่งตรงโขดหินพร้อมหันไปมองคนที่เดินตามตัวเองมาและมานั่งใกล้ๆ ทั้งๆ ที่พื้นที่ไม่ได้คับแคบอะไร ผลสาลี่ถูกยื่นมาให้เหมือนจะรู้ว่าได้เวลาอาหารเย็นแล้วเขาจึงรับมากินอย่างว่าง่าย สายตาหันไปมองร่างระหงของหญิงสาวที่นอนพักอยู่ไม่ห่างตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกทั้งพิษในร่างไม่เป็นผลเพียงแค่บาดแผลตามร่างเท่านั้นที่อาการสาหัส แต่เนื่องด้วยเลือดที่มีคุณสมบัติพิเศษเพียงไม่นานก็หายเป็นปกติ
    “เจ้าจะทำอย่างไรกับนางต่อไป” จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยที่ขยับมาจนอิงแอบเขาและพยักหน้าไปทางร่างระหงที่นอนไร้สติอยู่ไม่ห่างจากกองไฟที่เขาก่อขึ้น
    “อาการภายในไม่น่าห่วง แม้ภายนอกจะดูสาหัสแต่น่าจะฟื้นตัวเร็วกว่าคิด” จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมเหลือบตามองคนข้างตัวที่เริ่มจะสิงเข้าร่างเขาอยู่แล้ว
    “เจ้าจะมานั่งเบียดข้าทำไม” อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้เมื่อร่างหนานั่งเบียดกับเขาเกินไป
    “ยามดึกอากาศที่ทะเลทรายเหน็บหนาวข้าก็ต้องมาคอยให้ความอบอุ่นเจ้าสิ” ใบหน้าที่แสร้งใสซื่อเงยหน้าสบตาเขาอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างลายขาวดำของอสรพิษชูคออยู่บนหัวของลู่เฟย
    ฉึก!
    ฉัวะ!
    จิวชงหยวนพลิกร่างหนาออกห่างจากรัศมีการโจมตีของอสรพิษด้วยความเร็วแต่เมื่อรู้ว่าหลบไม่ทันพ้นจึงใช้แขนตัวเองรับการฉกของเจ้างูตัวร้ายที่มีพิษสงร้ายแรงแทน พร้อมกำไลเปลี่ยนเป็นกระบี่ตวัดตัดหัวของมันอย่างว่องไว
    “ชงหยวน!” ลู่เฟยหันมามองร่างโปร่งบางด้วยความตกใจและยิ่งตื่นตระหนกมากเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นซากงูทับสมังคลานอนอยู่ใกล้ๆ จิวชงหยวนเหลือบตามองคนเรียกเล็กน้อยก่อนจะเปิดชายเสื้อดูแขนของตัวเอง ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้หน้านิ่วเล็กน้อย
    “เจ้าโดนฉก” ลู่เฟยกล่าวด้วยใบหน้าซีดเผือดพร้อมตวัดร่างโปร่งบางไปวางบนโขดหินที่ห่างไกลจากซากหูพร้อมรีบรื้อหาสมุนไพรแก้พิษให้คนรักด้วยหัวใจสั่นระรัว
    จิวชงหยวนมองคนตื่นตระหนกตกใจด้วยความรู้สึกแปลกๆ อาจเป็นเพราะดีใจที่มีคนมาห่วงใยตน แม้เขาจะเจ็บปวดกับพิษที่ได้รับกับคมเขี้ยวที่ถูกฝังมาเต็มๆ แต่ลู่เฟยลืมไปแล้วหรือไงว่าเลือดเขาเองก็มีพิษพวกนี้อยู่แล้วเพราฉะนั้นเขาไม่ตายเพราะพิษหรอก
    “ลู่เฟยข้าไม่เป็นไรหรอก” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มมองคนหน้าซีดด้วยความอบอุ่นใจ เขาไม่มีคนห่วงใยมานานมากแล้วการที่มีคนมาใส่ใจอย่างเช่นในเวลานี้มันทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
    “แต่เจ้าโดนพิษ” ลู่เฟยกล่าวต่ออย่างกังวล”
    “พิษทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ลืมไปแล้วหรือ” จิวชงหยวนกล่าวปลอบใจคนหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมส่งยิ้มบาง สีหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปของเขาทำให้ลู่เฟยเดินกลับมานั่งข้างอีกครั้ง มือหนาจะลูบรอยกัดเขาจึงยึดไว้
    “ถึงข้าจะไม่เป็นไร แต่หากเจ้าจับไม่รอดแน่” จิวชงหยวนบอกพร้อมดึงแขนเสื้อลงปิดไว้เช่นเดิมแม้จะเป็นแผลซ้ำม่วงแต่คงไม่นานก็หายไป แต่เพื่อความปลอดภัยจากคนข้างตัวจึงทำความสะอาดแผลพร้อมทายาปิดปากแผลจนทุกอย่างหายไปเหมือนกับว่าเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น
    ลู่เฟยมองจิวชงหยวนอย่างอึ้งๆ ก็รู้ว่าเจ้าตัวรักษาได้ทุกอย่างแต่ไม่คิดว่าจะหายสนิทเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเช่นนี้
    จิวชงหยวนสะดุ้งหันไปมองคนที่อุ้มตัวเองไปนั่งบนตักด้วยใบหน้าแดงก่ำ มือหนาที่ยังสั่นเพราะความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียเขาทำให้เขานั่งนิ่งเอนพิงอกกว้างอย่างครุ่นคิด
    “ลู่เฟยเจ้ารักข้าตรงไหนกัน” จิวชงหยวนเอ่ยถามคำถามที่ค้างคาใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แรงกอดที่โอบตนอยู่กอดแน่นขึ้น คางมนของอีกฝ่ายกดที่ไหล่เขาอย่างรักใคร่
    “ตอนนี้ข้าตอบเจ้าไม่ได้เพราะความทรงจำมาไม่หมด แต่เวลานี้ข้ารักเจ้าจนหมดใจ จิตวิญญาณข้าหัวใจข้าเป็นของเจ้ามาเนิ่นนาน และความรู้สึกบอกกับข้าว่าเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าเฝ้ารอมาเนิ่นนาน” คำบอกรักที่หวานซึ้งโดยไม่สนใจบรรยากาศที่ไม่น่าพิศมัยนัก เพราะยังมีร่างระหงของหญิงสาวนอนอยู่ไม่ห่างและถัดไปคือซากงู ทว่าความรู้สึกที่ส่งมาทำให้หัวใจที่เหน็บหนาวอบอุ่นมากขึ้น
    “แล้วเจ้าเล่าไม่บอกรักข้าบ้างหรือ” คำถามที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจะตอบทำให้ใบหน้างดงามแดงระเรื่อ
    “ข้าง่วงแล้ว” บอกพร้อมหลับตาพิงอกกว้างอย่างไม่สนใจคนที่อยากรู้ อ้อมกอดที่รัดแน่นขึ้นไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนคิดจะลืมตาขึ้นมาบอกความรู้สึกของตัวเอง คำว่ารักบางคนอาจจะพูดได้ง่ายทว่าไม่ใช่สำหรับเขาเพราะความรักของเขามันผิดคาดจากที่คิดไว้ จากหญิงสาวอกโตๆ กลับเป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงหนากว่าตัวเองเช่นนี้ และหากบอกออกไปตอนนี้ลู่เฟยคงลำพองใจแน่ๆ เพราะฉะนั้นบอกผ่านแค่การกระทำก็เพียงพอแล้วไว้ให้มีความกล้าขึ้นมาเมื่อไรเขาจะเป็นคนบอกลู่เฟยเอง
    ลู่เฟยมองคนที่นอนบนอกตัวเองอย่างรักใคร่มือหนาที่โอบกอดร่างบางแนบแน่นเพื่อความอบอุ่น ในเวลาดึกสงัดเช่นนี้ เปลวไฟที่ลุกโซนที่อยู่ไม่ห่างไม่ได้ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นแม้แต่น้อย ทว่ามันก็ช่วยขับไล่สัตว์มีพิษออกห่างไปได้ ดวงตาคมมองดูร่างระหงของหญิงสาวที่อยู่ไม่ห่างทว่าความรู้สึกกลับบอกเขาผู้หญิงคนนี้จะนำความยุ่งยากมาแก่เขากับจิวชงหยวนหวังว่ามันเป็นแค่ความรู้สึกของเขาฝ่ายเดียวหรอกนะ ก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างอุ่นใจที่ในคืนนี้มีคนที่รักอยู่ในอ้อมกอดเขาปรารถนาที่อยากให้ทุกค่ำคืนเป็นเช่นนี้ตลอดไป   
    
    ในวันรุ่งขึ้นทุกอย่างเหมือนจะผ่านพ้นไปด้วยดี หากไม่นับหญิงงามที่ฟื้นขึ้นมากลับไม่เห็นหัวเขาแม้แต่น้อย แม่นางผู้นั้นกลับไปออดอ้อนออเซาะลู่เฟยที่สร้างภาพสุภาพบุรุษจนน่าขัดตา คำขอบคุณยังไม่มีสักคำและยังจับมือถือแขนลู่เฟยอย่างออกหน้าออกตายิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจ
    “เจ้าจะร่วมเดินทางไปด้วยจริงๆ หรือซือเยว่” ลู่เฟยเอ่ยถามหญิงสาวข้างตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จิวชงหยวนหันไปมองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ นางชื่อซือเยว่และเป็นนามที่เขารู้สึกคุ้นเคยอีกทั้งแซ่ที่ใช้กับเป็นแซ่ซือ ซึ่งเหมือนกับซือห้าวเฉินจนน่าแปลกใจ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่านางมีความสัมพันธ์อันใดกับซือห้าวเฉินกันแน่
    “เจ้าค่ะท่านจอมยุทธ ข้ายังบาดเจ็บไม่หายดี หากเดินทางคนเดียวจะลำบาก ข้าขอติดตามท่านและรับใช้ท่านเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือข้า” คำพูดและดวงตาหวานเชื่อมทำให้จิวชงหยวนสำลักน้ำลายแล้วเบือนหน้าหนีกับภาพแสลงตา คนที่ควรจะขอบคุณมันคือเขาไม่ใช่หรือไง
    “แม่นางควรขอบคุณจิวชงหยวนมากกว่า เพราะผู้ที่ช่วยเจ้ารอดพ้นความตายคือจิวชงหยวน” ลู่เฟยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกรงใจกับคนร่างโปร่งบางเล็กน้อยกลัวว่าจะมองเขาผิดไป
    “คิกๆ ท่านชื่อจิวชงหยวนหรือเจ้าค่ะ ช่างบังเอิญจริงนะเจ้าค่ะที่ชื่อเดียวกับหมอในพรรคข้าเลย” แม่นางตอบกลับพร้อมหัวเราะขบขันเหมือนชื่อเขาเป็นเรื่องตลก ไม่มีความสำนึกว่าเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตและไม่มีคำขอบคุณสักคำ!
    “เราจะเริ่มเดินทาง หากสายกว่านี้จะร้อนได้” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยก่อนจะเดินออกจากถ้ำกลางทะเลทรายอย่างหงุดหงิดใจ ใบหน้าเย้ยหยันและท้าทายที่ส่งมายิ่งทำให้หัวใจหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    “โอ้ย!” แม่นางล้มเซไปพิงอกลู่เฟยพร้อมช้อนตามองอย่างน่าสงสาร
    “ท่านจอมยุทธ ข้ายังบาดเจ็บไม่หายท่านช่วยพยุงข้าไปได้หรือไม่” คำอ้อนวอนของนางทำให้ลู่เฟยมีสีหน้าลำบากใจไม่น้อยแต่ก็พยักหน้ารับช่วยพยุงร่างระหงเดินทางไปยังเผ่ามองโกล ใบหน้าท่าทางเหมือนเป็นสุภาพบุรุษทว่าภายในใจของลู่เฟยตอนนี้กำลังหงุดหงิด หากเป็นไปได้เขาอยากจะจับนางโยนทิ้งข้างทางไปเลย แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงเขาจึงได้แต่อดฝืนใจส่งยิ้มบางให้ไป ทว่าเมื่อเห็นร่างโปร่งบางเดินจ้ำอ้าวอย่างงอนๆ กลับทำให้รู้สึกหน้าเสีย ความรู้สึกเขาทำไมมันแม่นยำเช่นนี้
    ทั้งสามเดินทางไปเรื่อยจนเข้าเขตร่มไม้และป่าใหญ่ การเดินทางเหมือนไม่ได้รีบร้อนเพราะหญิงสาวเพียงคนเดียวทำเป็นตัวถ่วงเวลาจนจิวชงหยวนหงุดหงิดใจเพราะจากที่ฟังเสียงหัวใจนางไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยหรือเจ็บปวดแผลที่ตามตัวก็เริ่มแห้งมากแล้ว เดินมาเกือบทั้งวันจนถึงหมู่บ้านเล็กแต่ก็มีโรงเตี้ยมให้พักอาศัย ทั้งสามคนจึงเข้าพักและหาอาหารสำหรับในค่ำคืนนี้
    หลังอาหารเย็นจบลงจิวชงหยวนจึงปลีกตัวออกมาจากฉากรักหวานแหววของลู่เฟยและแม่นางซือเยว่ที่นานเข้าเริ่มไร้ยางอายขึ้นทุกที ไม่สิ นางไม่มีมันตั้งแต่แรกแล้ว ความหงุดหงิดใจทำให้เขาปล่อยกายปล่อยใจกับบรรยากาศเหงาๆ ในคือนี้ ทว่าขณะนั้นกลับได้ยินเสียงบทกลอนของบัณฑิตผู้หนึ่งซึ่งยืนไพล่หลังชมดาวอย่างสบายอารมณ์อยู่ไม่ห่าง
    ดวงดาวหม่นแสง       อ่อนแรงอ่อนไหว
    สุดทางหัวใจ       จะไปจะเดิน
    จิวชงหยวนมองตามนิ่งๆ กับบรรยากศรอบกายที่แผ่ความมีปัญญาออกมา อาภรณ์สีขาวเนื้อดีบอกชนชั้นตระกูลสูงส่ง ก่อนจะกล่าวต่อบทกลอนตามอารมณ์ในห้วงเวลานั้น ซึ่งก็ทำให้บัณฑิตผู้นั้นหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มบาง
    ฤาเพราะความรัก      หักปีกเหาะเหิน
    หรือทางไกลเกิน       จะเดินผ่านไป...
    “บทกลอนของแม่นางยอดเยี่ยมยิ่งนัก” คำกล่าวชมของบัณฑิตตรงหน้าไม่ได้เข้าหูเท่ากับคำว่าแม่นาง! แม่นาง!... ซึ่งบัดนี้ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกอยากโยนระเบิดลงหัวคนตรงหน้าให้หายโมโห หนีจากฉากรักของแม่นางซือเยว่ออกมาแต่กลับมาเจอบัณฑิตตาบอด ร่างโปร่งบางหันหลังขวับหมายจะเดินกลับห้องด้วยความหงุดหงิดใจ ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อร่างสูงโปร่งพุ่งเข้ามาคว้าข้อมือเขาไว้ก่อนจะรีบปล่อยออกเหมือนโดนของร้อน
    “ขออภัยแม่นาง ข้ามิได้ตั้งใจล่วงเกินเจ้า ข้าเพียงอยากรู้จักเจ้า” บอกพร้อมใบหน้าแดงก่ำดวงตาหวั่นไหวไปมามันไม่ได้ทำให้เขาใจอ่อนแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวมองอีกฝ่ายตาขวางไม่สบอารมณ์
    “ข้าไม่ได้อยากรู้จักเจ้า และข้าเป็นผู้ชาย” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างหงุดหงิดและเดินจากมาปล่อยให้ร่างสูงโปร่งยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นต่อไป
    จิวชงหยวนกลับมาห้องมองคนที่อยู่ภายในห้องเขาอย่างแปลกใจ แม่นางซือเยว่ที่ไม่รู้ว่ามารอเขานานเท่าไรแล้ว
    “มีธุระอันใดกับข้าในเวลานี้” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบเก็บความขุ่นมัวไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย
    “ลู่เฟยบอกข้าว่าเจ้าคือคนรักของเขา แต่ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าเป็นชายข้ามิได้ตาบอดและชายกับชายจะรักกันได้อย่างไร เจ้าว่าจริงไหม” นางรินน้ำชาในห้องเขาดื่มอย่างถือวิสาสะและเงยหน้าสบตาเขาอย่างท้าทาย
    “แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าแม่นางซือเยว่” จิวชงหยวนเอ่ยถามโดยไม่ได้ขยับออกจากหน้าประตู
    “ไยจะไม่เกี่ยวก็ในเมื่อจอมยุทธลู่เฟยจะมาเป็นสามีของข้า” คำกล่าวของแม่นางซือเยว่ทำให้จิวชงหยวนขมวดคิ้วมุ่น ไม่คิดว่าผู้หญิงสมัยนี้จะไร้ยางอายเช่นนี้ หนีมากจากพวกลูกหลานขุนนางในวังหลวงที่อยากเป็นชายาลู่เฟย นี่มาเป็นจอมยุทธยังอยากมีคนอยากจับไปเป็นสามีอีก น่าเหนื่อยใจดีไหม
    “อะไรทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนั้น”
    “เสน่ห์ของข้า รูปร่างของข้าและความเก่งกาจของข้า” ความเยินยอตัวเองของแม่นางซือเยว่ทำให้เขามองอย่างอึ้งๆ ก่อนจะขำออกมาอย่างตลกแม้จะหนักหน่วงในอกและหงุดหงิดใจ ทว่าพอได้ยินคำมั่นใจของนางแล้วกลับรู้สึกขบขันไม่น้อย
    “ซือเยว่เจ้าจะคิดเช่นไรก็เรื่องของเจ้า แต่หากจะดีเจ้ากลับไปมองคันฉ่องดูตัวเองอีกครั้งเถิด เวลานี้ข้าต้องการพักผ่อนเพราะฉะนั้น เชิญ!”
    “เจ้า!” นางมองเขาอย่างขัดใจ ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาเหมือนจะไม่ยอมแพ้ ใบหน้าสวยเชิดขึ้นอย่างถือดีอีกทั้งมองเขาเหมือนเศษขยะไม่ควรค่าแก่การเจรจาอีกต่อไป
    พรึบ!
    และไม่คาดคิดเข็มเงินสิบเล่มพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็ว จิวชงหยวนตีลังกาหลบมองอสรพิษที่คิดจะฉกเขาอย่างเจ็บใจ นางเหมือนมารร้ายที่ไม่ควรช่วยเหลือ นางเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ
    “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวรยุทธ” คำถามของนางไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเพราะเขาเก็บลมปราณไว้อย่างมิดชิด หากไม่เก่งกาจจริงๆ คงไม่รู้ว่าเขามีวรยุทธ
    “ชาวนากับงูเห่าที่เลี้ยงไม่เชื่องข้าควรทำเช่นไรดีนะ” จิวชงหยวนกล่าวเสียงเย็นมองร่างระหงที่ไม่ได้หวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย รอยยิ้มหวานแสยะยิ้มอย่างน่าขยะแขยงรูปร่างงดงามแต่จิตใจกลับมืดบอด คนเราดูที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ แล้วนี่ลู่เฟยหายไปไหนถึงปล่อยให้มารร้ายเข้ามาในห้องเขาได้
    “ไม่มีใครช่วยเจ้าหรอก ลู่เฟยนอนรอข้าอยู่ในห้อง ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างสบายๆ” น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของนางทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ กิริยาท่าทางของนางตอนนี้ทำให้เขานึกออกแล้วว่านางเป็นผู้ใด ซือเยว่น้องสาวของประมุขพรรคหมื่นพิษที่มีชื่อเสียงด้านการเอาแต่ใจและเชี่ยวชาญการใช้พิษ ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ทำให้เขารู้ว่าช่วยคนผิดคิดจนตัวตายเสียแล้ว...



      ขอบคุณมากจ้า จุ๊บๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 17-09-2015 10:35:56
มาตามอ่านจ้า

วันนี้มาแต่เช้าเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 17-09-2015 10:53:54
นางเป็นใครจัดการนาง

ด้วยการตบสั่งสอนหน่อยซิ

อ่านตอนนี้แล้วขัดใจ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: nanazaa002 ที่ 17-09-2015 11:38:59
สั้นจัง  :ling1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 17-09-2015 15:37:12
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 17-09-2015 16:35:39
กำลังสนุกเลย ไม่น่าช่วยชะนี ซือเยว่เลย ชะนีลอบกัด
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 17-09-2015 18:08:47
จัดไปหมอจิว อย่าได้ปล่อยให้มีชีวิตรอด  :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fai4242564 ที่ 17-09-2015 19:39:18
เรื่องนี้มีเฮค่ะ จัดเลยชงหยวน จัดหนักๆ เอาให้นางรู้ว่าลู่เฟยเป็นของใคร!!! :z6:

 :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 17-09-2015 21:12:30
 :mew1: มาเป็นกำลังใจให้จ้า

 :katai1: :katai1: ค้างมาก!!!!
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fahhee_zeze ที่ 17-09-2015 21:15:24
ตามมาจากธัญวลัย 55555 เพิ่งเห็นว่ามีที่นี่ด้วย~  :hao3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 17-09-2015 21:17:42
เฮ้อคนเขียนทำกันได้ลง  ค้างอย่างแรง นี้สินะปัญหาที่จะตามมา ผู้หญิงแบบนี้ถึงจะเป็นเพศแม่ก็ไม่ควรเก็บไว้หรอก ขอให้นางตายแบบน่าสมเพชคงจะดีไม่น้อย เพราะผู้หญิงแบบนี้มองหาคุณค่าไม่มีเลย หึหึ คนเขียนรีบมาอย่างด่วนเลยนะครับ คนอ่านจะขาดใจตายแล้ว :z3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-09-2015 21:22:51
จัดหนักให้หล่อนรู้ตัวหน่อยเถอะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่33 งอนง้อ ตอนที่7 เล่ม 2 (P.7 วันที่ 18/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 18-09-2015 13:12:33
บทที่ 33
ตอนที่ 7 เล่ม 2 งอนง้อ (P.7 วันที่ 18/9/58)

          เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    มีดสั้นเสี้ยวพระจันทร์ที่ไม่รู้ว่านางเอามาจากไหนพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็ว จิวชงหยวนตีลังกากลับพร้อมเอนหลังหลบมีดสั้นเสี้ยวพระจันทร์ที่ตวัดเข้ามาอย่างคล่องแคล่วก่อนจะเรียกกระบี่โชคชะตาออกมาต้านรับพร้อมโจมตีกลับอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน
    ตูม!
    ร่างของแม่นางกระเด็นไปชนผนังห้องของโรงเตี๊ยมจนพังไปทั้งแถบเผยให้เห็นคนที่อยู่ในห้องซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนกลับเป็นเจ้าบัณฑิตตาบอดที่อ้าปากค้างมองพวกเขาอย่างตกตะลึง
    “ช้าก่อน! พวกเจ้าทะเลาะอันใดกัน” เสียงร้องห้ามไม่ได้เข้าหูของพวกเขา จิวชงหยวนพลิ้วไหวหลบคมมีดที่ตวัดเข้าหาอย่างว่องไว
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    “หลบไปเจ้าจะมาขวางทำไม” จิวชงหยวนหันไปตะคอกบัณทิตหนุ่มที่พยายามออกมาห้ามปรามแต่เขารู้สึกเกะกะอยากซัดฝ่ามือเข้าหา ทว่าไม่ใช่แค่เขาที่คิดเพราะซือเยว่ตวัดกระบี่เข้าหาเจ้าบัณฑิตงี่เง่าจนเขาต้องกระชากร่างนั้นถอยออกมาพร้อมใช้กระบี่รับคมมีดสั้นวงเดือนแทน
    เคร้ง!
    จิวชงหยวนหน้านิ่วกับแรงกดของมีดสั้นวงเดือนปลายโค้งงอเสียดใบหน้าเขาไปนิดเดียวมือซ้ายผลักร่างสูงโปร่งที่อยู่ข้างตัวกระเด็นไปไกลอย่างหงุดหงิดเพราะมันเป็นตัวถ่วงชั้นดีของเขาเลย เสียงปะทะของทั้งสองดังสะท้อนในยามราตรีจนผู้คนที่มาพักต้องชะโงกหน้าออกมาดู รวมทั้งเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมได้แต่ยืนมองหน้าซีดปากสั่นกับความเสียหายตรงหน้า
    เปรี๊ยะ!
    การปะทะของอาวุธทั้งสองทำให้เกิดประกายไฟอย่างน่ากลัว ผู้คนต่างถอยห่างไปไกลด้วยกลัวว่าจะโดนลูกหลง บัณฑิตหนุ่มที่คิดออกมาห้ามปรามตอนนี้ได้แต่วิ่งไปหลบอยู่หลังเสามองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ความเร็วว่องไวของทั้งคู่ดุจสายลมที่แทบจะมองตามไม่ทัน บางครั้งเห็นเพียงเส้นแสงของประกายกระบี่กับมีดสั้นเท่านั้น หากมองผิวเผินจะคิดว่าหญิงสาวสองคนทะเลาะกัน แต่จากที่ได้สนทนาคนที่ร่างโปร่งบางกลับเป็นชายอย่างไม่น่าเชื่อ เสวี่ยอู่เบิกตากว้างยิ่งขึ้นเมื่อร่างโปร่งบางถูกเข็มพิษพุ่งเข้าหานับร้อยเล่ม แม้เจ้าตัวจะหลบแต่ก็ไม่หมดเสียทีเดียว
    “ทำไมเจ้าไม่เป็นไร” จิวชงหยวนมองคนที่กำลังตื่นตระหนกตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า พิษที่ผสมมาล้วนตายตกเพียงแค่อึดใจเดียว ทว่ามันไม่ได้ผลกับเขาเช่นเดียวกับนางที่พิษของเขาก็ไม่มีผลเพราะเลือดในร่างล้วนเป็นพิษอยู่แล้ว
    “หากเจ้ายังจำได้ข้าคือผู้ช่วยชีวิตเจ้าจากกลางทะเลทราย ข้าช่วยคนที่ก้าวข้ามไปหายมโลกกลับมาได้พิษแค่นี้จะฆ่าข้าได้จริงๆ หรือ” น้ำเสียงเย็นเยือกอีกทั้งแววตาเรียบนิ่งทำให้ซือเยว่อึ้งไปไม่น้อย นางลืมข้อนี้ไปจริงๆ นางไม่คิดว่าเจ้าคนร่างโปร่งบางเดินเหมือนไม่มีแรงจะมีวรยุทธ แต่ถึงจะมีอย่างไรวันนี้นางต้องสังหารหมอเทวดาจิวชงหยวนผู้นี้ให้ได้ หากนางต้องการสิ่งใดนางก็ต้องได้มันมา
    เคร้ง!
    จิวชงหยวนยกกระบี่ต้านรับคมเขียวมีดสั้นที่ตวัดเข้ามาอย่างทันท่วงที ก่อนจะใช้ลมปราณเพิ่มเป็นหกส่วนตวัดกระบี่ตอบโต้อย่างรุนแรงดุดัน อีกทั้งนางยังไม่หายบาดเจ็บดี ทำให้นางเริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ
    ตูม!
    ร่างระหงกระเด็นตกออกนอกโรงเตี๊ยมตามแรงโจมตี ร่างระหงกระอักเลือดออกมาอย่างน่าเวทนา ทว่าดวงตาดื้อรั้นเอาแต่ใจบอกจิวชงหยวนว่าหากปล่อยนางไปเรื่องคงไม่จบแค่นี้ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิง และเขาเองก็ยังเป็นชายที่ไม่ควรทำร้ายสุภาพสตรี แต่ในเมื่อเขาช่วยนางให้หลุดพ้นความตายมาได้แต่กลับทำตัวเป็นอสรพิษเขาจะสั่งสอนให้นางอยู่เหมือนตายทั้งเป็นเอง
    เพราะอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี สุดท้ายร่างระหงก็ทรุดลงกับพื้นไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก จิวชงหยวนเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาก้าวร้าวที่มองมาทำให้รู้ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันยอมแพ้แค่นี้
    “เจ้ายอมตายเพื่อสิ่งใดกัน ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้าแม้แต่น้อยแต่เจ้ากลับคิดสังหารข้าเพื่อผู้ชายคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
    “ข้าซือเยว่หากต้องการสิ่งใดข้าต้องได้มาแม้แต่ลู่เฟยข้าก็จะต้องได้ หากข้ารอดไปวันนี้ข้าสาบานจะตามล่าเจ้าทั่วแผ่นดิน” จิวชงหยวนมองคนที่จิตใจมืดบอด ความหวังดีและความเมตตาไม่หลงเหลือในจิตใจ คนพรรคหมื่นพิษเป็นเช่นนี้กันทุกคนหรืออย่างไร
    “ในเมื่อข้าช่วยชีวิตเจ้ามาจากความตาย ข้าคงต้องขอคืน ต่อไปนี้ข้ากับเจ้าไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบแววตาเย็นนิ่งจนน่าขนลุก ผู้ที่แอบมองอยู่ห่างยังรู้สึกเหน็บหนาวหวาดกลัวก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีขาวเริ่มเรืองแสงรัศมีสีขาวจนน่าเทิดทูน
    “เจ้าคิดจะทำอะไร” นางเอ่ยถามเสียงสั่น แววตาประกายความหวาดกลัวขึ้นมาเพราะนางมั่นใจว่าอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าสังหารนางจริงๆ เพราะหากสังหารนางต้องเป็นศัตรูกับพรรคหมื่นพิษที่อยู่ทั่วยุทธภพ
    จิวชงหยวนไม่ตอบแต่กลับยิ้มเย็น พร้อมเริ่มปลดปล่อยลมปราณที่กักเก็บไว้ออกมาจนร่างเรืองแสงรัศมีสีขาวนวลดูน่าอบอุ่น ความจริงเขาไม่อยากทำเช่นนี้แต่หากไม่ดึงลมปราณออกมาจนหมดจริงๆ ก็ไม่สามารถทำลายวรยุทธของนางได้ ใช่ เขาจะทำลายวรยุทธของนางเพื่อเป็นการตัดแขนตัดขา คนที่มีวรยุทธมาทั้งชีวิตแต่กลับใช้ในทางที่ผิดหากโดนทำลายไปก็เหมือนตายทั้งเป็น นี่คือบทลงโทษที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขาแล้ว
    กรี๊ดดดด
    ซือเยว่กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อแสงสีขาวพุ่งเข้ามาหานางพร้อมชีพจรในร่างแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จุดบังเถียนและจุดลมปราณถูกทำลายลงในพริบตา นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน นอนคุดคู้อยู่บนพื้นดินอย่างน่าเวทนา ดวงตาพร่ามัวพยายามมองคนที่ทำลายวรยุทธตนด้วยความโกรธแค้นก่อนจะสลบไปเพราะทนพิษบาดเจ็บไม่ไหว และเพียงพริบตาร่างนางก็ถูกเส้นแสงสีดำพาทะยานหายจากไป
     จิวชงหยวนมองตามนิ่งๆ ไม่คิดจะติดตามก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะต่อไปนี้เรื่องยุ่งวุ่นวายคงตามราวีเขาไม่เลิกแน่ 
    “เจ้าเป็นเช่นไรบ้างบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” จิวชงหยวนหันไปมองคนที่พุ่งเข้าถามพร้อมสายตาสำรวจอย่างจริงจัง เขาเดินหนีอย่างไม่สนใจนักพร้อมเดินขึ้นไปโรงเตี๊ยมมองเถ้าแก่ที่ร้องไห้เสียใจกับโรงเตี๊ยมที่พังลงไป สองเท้าหยุดชะงักหันไปมองคนที่เดินตามมาแล้วบอกเสียงเรียบ
    “เจ้าจ่ายข้าเสียหายให้โรงเตี๊ยมด้วย” บอกพร้อมเดินกลับขึ้นไปชั้นสองที่สภาพไม่ค่อยน่าดูนัก ทว่าคนโดนออกคำสั่งได้แต่ยืนอึ้งอีกครั้ง เมื่อได้สติจึงหยิบทองคำยื่นให้เถ้าแก่ซึ่งยิ้มกว้างยินดีก้มหัวให้อย่างขอบคุณ เสวี่ยอู่เงยหน้ามองร่างที่เดินหายไปด้วยรอยยิ้มเพราะเป็นคนที่น่าสนใจจนร่างเขาสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เจอเรื่องสนุกๆ เช่นนี้มาก่อน
    จิวชงหยวนเดินเข้าห้องของซือเยว่ซึ่งเห็นร่างสูงนอนอยู่บนเตียงอย่างที่คิดเอาไว้ เขาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด ลู่เฟยอยู่กับเขามาตั้งปีแล้วน่าจะรู้จักยานอนหลับและได้กลิ่นมันบ้าง นี่อะไรโดนยานอนหลับชนิดที่สามวันยังไม่ฟื้นเสียชื่อที่อยู่กับเขาจริงๆ สองเท้าเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยิบยายัดเข้าปากให้ เพียงไม่นานร่างสูงก็งัวเงียตื่นขึ้นมามองเขาอย่างงงๆ
    “เกิดอะไรขึ้นหรือ” ลู่เฟยลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวไปมาเพราะรู้สึกมึนพร้อมเอ่ยถามร่างโปร่งบางขึ้น
    จิวชงหยวนมองคนที่ไม่รู้เรื่องและยังเป็นตัวปัญหาที่หาเรื่องมาให้เขาอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องที่พังทลายจนเห็นร่างโปร่งบางของเจ้าบัณฑิตตาบอดที่ยิ้มแฉ่งให้เขาเหมือนรู้จักกันมานานปี
    “เจ้าทำห้องเราทะลุกันได้เพราะฉะนั้นคืนนี้ข้าขอนอนกับเจ้านะ” คำขอหน้าด้านๆ อย่างไม่ได้สนใจคนที่เดินตามจิวชงหยวนมาทำให้ลู่เฟยมองตามอย่างไม่พอใจ พร้อมเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด
    “เจ้าเป็นใคร” และคำถามของลู่เฟยทำให้เจ้าตัวชะงักไปครู่หนึ่งเอียงคอมองคนที่เดินตามคนร่างโปร่งบางมาอย่างพิจารณา
    “ข้าหรือ ข้าชื่อเสวี่ยอู่เป็นบัณฑิตจบใหม่ที่อยากท่องยุทธภพ” คำตอบพร้อมรอยยิ้มแฉ่งทำให้จิวชงหยวนมองตามแล้วถอนหายใจวันนี้เขาเหนื่อยมากและอยากพักผ่อน เขาเดินไปคว้าย่ามแล้วกลับไปยังห้องของซือเยว่ที่น่าจะมีความเป็นส่วนตัวกว่าห้องที่พังตรงนี้
    “เจ้าไปติดต่อถามห้องกับเถ้าแก่เองไม่ต้องตามข้ามา ข้าง่วง ข้าเหนื่อยอยากพัก” น้ำเสียงไม่พอใจที่หันกลับมามองบัณฑิตตาบอดที่หันมาเป็นจอมตื้ออย่างหงุดหงิด เสวี่ยอู่ก้มหน้าสลดลงมองเขาตาปรอยๆ แต่สกิลแค่นี้เขาไม่ใจอ่อนหรอก
    จิวชงหยวนวางถุงย่ามไว้ที่โต๊ะก่อนจะล้มตัวนอนอย่างไม่ใส่ใจลู่เฟยที่เดินตามเข้ามาอีกครั้ง และเหมือนเจ้าตัวอยากจะเอ่ยถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อารมณ์เขาตอนนี้ไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใครทั้งสิ้น
    “ชงหยวน” เขาหลับตาแกล้งไม่สนใจคนที่เดินมานั่งริมเตียงและเอ่ยเรียกเขาเสียงอ่อน
    “ชงหยวนข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าไม่ได้นอกใจเจ้าจริงๆ นะ” น้ำเสียงร้อนรนและกังวลของลู่เฟยสื่อมาถึงเขาได้ จิวชงหยวนพลิกกายหันหลังพร้อมหลับตานิ่งไม่คิดจะตอบคำถามหรือพูดคุยอะไรอีก
    “หยวนน้อยโกรธข้าหรือ” น้ำเสียงเศร้าหมองของคนข้างตัวทำให้หัวใจเขาที่หนักหน่วงรู้สึกอึดอัดในอก อยากพูดคุยให้รู้เรื่องแต่ก็งอนจนไม่อยากคุย สองจิตสองใจที่ถกเถียงกันไปมาทำให้เขานอนนิ่งคล้ายทำเป็นไม่สนใจ ร่างสูงล้มตัวนอนโอบกอดเขาไว้แน่น จิวชงหยวนลืมตาขึ้นก่อนจะหันมาผลักคนข้างตัวออก
    “ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” บอกเสียงเรียบพร้อมดวงตาที่ฉายแววหงุดหงิดไม่พอใจ
    “เจ้าหึงข้าหรือ” คำถามและดวงตาคมที่มองมาทางเขานิ่งๆ ทำให้จิวชงหยวนลุกขึ้นนั่งมองคนข้างตัวที่ลุกตามเขามานั่ง มือหนาจับมือเขาไว้แน่น ตอนนี้เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกหึงอย่างที่เจ้าตัวว่าหรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน หากจะพูดก็คงบอกได้ว่าไม่พอใจที่เห็นลู่เฟยไปสนิทสนมกับซือเยว่เท่านั้นกระมัง
    “ข้าไม่เคยคิดนอกใจเจ้าเลยนะ ข้ารักแต่เจ้าคนเดียวไม่เชื่อถามเฒ่าจันทราดูสิ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนพูดอย่างสงสัย และเขาจำได้ดีว่าเฒ่าจันทราคือผู้ใดจะเป็นใครได้อีกนอกจากหลอกให้เขากินยาจนหน้าหวานยิ่งกว่าผู้หญิงนี่อีก ว่าไปแค้นนี้ยังไม่ได้ชำระเลย
    “เกี่ยวอะไรกับเฒ่าจันทรา”
    “ก็เฒ่าจันทราจับคู่ให้เรามาหลายหมื่นปีแล้วเพราะฉะนั้นต่อให้เกิดอะไรขึ้นหัวใจข้าและร่างกายข้าก็มีแต่เจ้าคนเดียว” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ จิวชงหยวนมองใบหน้าหล่อเหลาแล้วเบือนหน้าหนี แก้มสองข้างแอบแดงเล็กน้อยอย่างเก้อเขินเพราะความน้ำเน่าของคนข้างตัว แม้จะดูหวานเลี่ยนแต่ไม่รู้ทำไมใจเขาอ่อนยวบทุกที
    “แต่ซือเยว่อยากได้เจ้าเป็นสามี นางคงไม่หยุดแค่นี้แน่” จิวชงหยวนบอกอย่างกังวลแม้เขาจะทำลายวรยุทธนาง ทว่านางเองก็เป็นคนมีชื่อเสียงย่อมมีคนเชื่อฟังนางแน่ สงสัยต่อไปนี้เขาต้องเริ่มหาพันธมิตรไว้มากๆ เสียแล้ว
    “นั่นก็แค่ความคิดของนาง ขอแค่เจ้าเชื่อใจข้าก็เพียงพอแล้ว” ดวงตาคมกริบที่มองมานั้นมีแต่ความสัตย์จริงจนจิวชงหยวนพูดไม่ออก ความรักและห่วงใยที่ส่งมาทำให้ต้องหลบหน้าหนี
    “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเจ้าสวมหน้ากากไว้ด้วยข้าขี้เกียจมีปัญหาอีก” จิวชงหยวนบอกคนข้างตัวโดยไม่คิดจะหันไปมอง ลู่เฟยยกยิ้มบางอุ้มร่างโปร่งบางมานั่งบนตักซึ่งทำให้จิวชงหยวนตัวเกร็งหันขวับไปมองอย่างหวาดระแวงรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างไรอย่างนั้น
    “จะ...จะทำอะไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงสั่นเมื่อใบหน้าคมก้มมาหอมแก้มเขาอย่างถือวิสาสะ
    “ข้าแค่ปลอบใจคนเสียขวัญ”
    “ข้าไม่ได้เป็นไรสักหน่อยปล่อยได้แล้วข้าง่วง” บอกพร้อมหน้าแดงระเรื่อเมื่อมือหนาโอบรัดเขาแน่นขึ้น
    “หืม ข้าปล่อยแล้วเจ้าจะให้อะไรข้ากัน” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียนเล็กน้อย พร้อมก้มลงจูบต้นคออย่างแผ่วเบา ทว่าจิวชงหยวนกลับขนลุกเกรียว ท้องน้อยปั่นป่วนจนทำอะไรไม่ถูกรู้แต่ว่าตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะเสียประตูหลัง อีกอย่างตอนนี้เขายังโกรธคนต้นปัญหาทว่าเอาเข้าจริงๆ ก็โกรธไม่ลงเพราะลู่เฟยเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไรแค่สุภาพบุรุษมากเกินไปหน่อย
    “ลู่เฟยเจ้ายังมีความผิดนะ” จิวชงหยวนหันไปขู่คนที่โอบกอดเขาแน่น
    “แต่ข้าไม่ได้นอกใจเจ้าจริงๆ นะ” ลู่เฟยบอกเสียงจริงจัง จิวชงหยวนถอนหายใจก่อนจะบอกอย่างหงุดหงิด
    “ใช่ ถึงเจ้าจะไม่ได้นอกใจข้าแต่ความสุภาพบุรุษของเจ้าทำข้าขัดใจ” ลู่เฟยเหมือนจะนิ่งไปกับคำพูดของเขาก่อนจะรัดเข้าแน่นมากขึ้น ใบหน้าระบายยิ้มดีใจ
    “หยวนน้อยเจ้าหึงข้าหรือ ข้าสัญญาต่อไปนี้ข้าจะไม่แกล้งสุภาพบุรุษแล้ว งั้นต่อไปนี้เจ้าก็มาเป็นเมียข้าด้วยนะ” พอบอกไม่ให้สุภาพบุรุษเจ้าตัวก็ทำหน้าหื่นใส่เขาทันที จิวชงหยวนผลักใบหน้านั้นออกห่าง ตอนนี้หน้าเขาแดงก่ำอย่างเคอะเขิน สรุปแล้วที่บอกไปมันเข้าตัวเองชัดๆ เลย
    “คือ...ข้ามีของขวัญวันเกิดให้เจ้าในอาทิตย์หน้า หากเจ้าปล่อยข้าคืนนี้ ข้าจะยกให้เจ้าก่อน” บอกเสียงเรียบทั้งๆ ที่ร่างสั่นระริกจนทำให้คนที่กอดยกยิ้มอย่างเอ็นดู
    “เจ้าซื้อของขวัญวันเกิดให้ข้าแล้วหรือ แบบนี้ยิ่งอยากให้รางวัลเจ้า”
    “เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าไม่อยากเห็นหรือไง” จิวชงหยวนพยายามหลอกล่อคนตัวใหญ่กว่า ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะยอมปล่อยร่างโปร่งบางให้เป็นอิสระ
     จิวชงหยวนหันไปมองดวงตาคมที่มองเขานั้นทอประกายความสุขความรักจนต้องหันหน้าหนีอีกครั้ง รู้สึกช่วงนี้หัวใจเขาจะเต้นแรงเกินไปหวังว่าเขาไม่มาเป็นโรคหัวใจเสียเองหรอกนะ มือเรียวล้วงเข้าในอกเสื้อที่มีปิ่นหยกพันห่อผ้าเก็บอย่างดี เพราะกลัวลู่เฟยจะรู้จึงแอบเก็บไว้ที่อกเสื้อตลอด แต่เพื่อความอยู่รอดในค่ำคืนนี้เพราะฉะนั้นเอามาให้ก่อนแล้วกัน
    “ของขวัญวันเกิดล่วงหน้า” จิวชงหยวนบอกลู่เฟยที่ยิ้มกว้างดีใจรับห่อผ้ามาเปิดดูอย่างรวดเร็ว นี่ครั้งแรกที่เขาให้ของขวัญลู่เฟยเลยก็ว่าได้ ปิ่นหยกลวดลายงดงามตาที่เหมาะกับลู่เฟยมากๆ เจ้าตัวหันมายิ้มให้พร้อมตวัดร่างเขาไปอุ้มอีกครั้ง
    “หยวนน้อยเจ้าน่ารักขนาดให้ของหมั้นข้าอย่างนี้ ข้าจะให้รางวัลเจ้าเช่นไรดีนะ” น้ำเสียงกระเส่าดังอยู่ข้างหู ทำให้จิวชงหยวนหน้าตาเลิกลั่กรู้สึกว่าจะเสียเชิงชายในวันนี้เสียแล้วกระมัง และเขาเองก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอ้อมกอดของลู่เฟยนั้นอบอุ่นและบางครั้งก็คิดอยากครอบครองลู่เฟยไว้คนเดียวเช่นกัน ทว่าตอนนี้เขาไม่พร้อมจริงๆ
    “ลู่เฟยข้าง่วง ยังไม่อยากได้รางวัลเจ้าตอนนี้” จิวชงหยวนบอกเสียงสั่นแกล้งอ้าปากหาวพร้อมทำตาปรือๆ มองคนข้างตัวอย่างอ้อนๆ ลู่เฟยหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มลงหอมแก้มเนียนอีกครั้ง
    “วันเกิดข้า สัญญาได้หรือไม่วันเกิดข้าเจ้าจะมอบสิ่งสำคัญที่สุดของเจ้าให้กับข้า” น้ำเสียงต่อรองที่จริงจังทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่อ แต่ก็พยักหน้ารับเพราะอย่างน้อยก็มีเวลาหายใจหายคออีกหนึ่งสัปดาห์ใบหน้าหล่อเหลายิ้มบางก่อนจะดึงร่างเขานอนบนเตียงข้างกาย ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่อริมฝีปากเรียวก้มจูบเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว รสจูบที่หอมหวานละมุนละไมทำให้เขาเผลอเคลิบเคลิ้ม หากลู่เฟยไม่ผละออกมาคงไม่จบแค่นี้แน่
    “นอนเถิด ข้าแค่อยากได้ค่ามัดจำ”
    จิวชงหยวนซุกหน้ากับอกกว้างด้วยความอาย แขนแกว่งกอดกระชับเขาแน่นขึ้นแต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไรเพราะหนึ่งปีมานี้หากมีโอกาสลู่เฟยจะนอนกับเขาเสมอ และมันก็เป็นความเคยชินไปเสียแล้วเขาหลับตาพริ้มปล่อยกายปล่อยใจกับความอบอุ่นและปลอดภัยก่อนจะพล่อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า


      เห็นคอมเมนท์แล้วชื่นใจ ขอบคุณมากจ้า หากใครอยากเติมความหวานเจอกันตอนหน้าจ้า ว่าแต่เล้าเป็ดลงเรทได้มากแค่ไหนคะ ที่เขียนไว้น่าจะ20+ เลย 555 ลงในนี้ได้ไหมคะหรือว่าต้องตัดบท ฟางไม่ค่อยได้อ่านเรื่องในเล้า ไม่เคยอ่านเลยก็ว่าได้^^ เลยไม่รู้ว่าเรทได้แค่ไหนนะ
  ขอบคุณล่วงหน้าจ้าจุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 18-09-2015 13:40:11
ลงได้เลยค่าาา อยากอ่านแล้วๆๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-09-2015 14:06:58
จะอยู่รอดถึงร้อยปีแรกหรือเปล่าเนี่ย เรื่องเข้ามาไม่หยุดหย่อน
รออีกสัปดาห์จะได้เห็น....หื่น เขิน ล่วงหน้าก่อนแล้ว ***ตอนใหม่ช่วยแจ้งไว้ตรงหัวเรื่องได้ไหมคะ จะได้รู้กันไม่ต้องเข้ามาส่องบ่อยๆว่ามาหรือยัง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 18-09-2015 14:14:23
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: mori406 ที่ 18-09-2015 14:34:08
อ่านแล้วรู้สึกเขินนนนมากกก เวลาเค้าเกี้ยวกันนน

แอร๊ยยยส์   :-[ :-[ :-[ :-[


แต่ว่า   พระเอกยังไม่ได้กับนายเอกใช่ไหมคะ

หรือว่าเราข้ามตอนไหนนไป :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่33 งอนง้อ ตอนที่7 เล่ม 2 (P.4 วันที่ 18/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nanazaa002 ที่ 18-09-2015 16:27:50
น่ารักมาก  :hao3: ชอบมากจ้า มาต่ออีกน้าจะรอ :z10:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่33 งอนง้อ ตอนที่7 เล่ม 2 (P.4 วันที่ 18/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 18-09-2015 17:40:43
มีได้เสียกันแน่ๆอิอิอิ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่33 งอนง้อ ตอนที่7 เล่ม 2 (P.4 วันที่ 18/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 18-09-2015 19:26:20
สมน้ำหน้านางมากๆสะใจมากด้วย

แต่ก็อย่างว่านางไม่จบแค่นี้แน่ๆ

แต่นายเอกของเราเก่งอยู่แล้ว

น่าจะงอลนานกว่านี้นะ

ก็อย่างว่าอะนะลู่เฟยมีเสน่ห์และอบอุ่นขนาดนี้

เป็นคนอ่านก็ใจอ่อนเหมือนกัน

ประกอบกับที่ลู่เฟยไม่ได้ทำผิดอะไร

แต่แอบขัดใจนิดหน่อยที่ลู่เฟยไม่ทันเล่เหลี่ยมของนางจิ้งจอก

ปล ฉากNCลงได้เลยจ้า ไม่ต้องตัด ไม่ต้องเซ็นเซอร์ นะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่33 งอนง้อ ตอนที่7 เล่ม 2 (P.4 วันที่ 18/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 19-09-2015 21:53:08
เบื่อจริงผู้หญิงอะไรหน้าด้านเหลือทน น่าจะจับตัดเอนมือเท้าไปด้วยเลยก็ดี   :m16:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่33 งอนง้อ ตอนที่7 เล่ม 2 (P.4 วันที่ 18/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 19-09-2015 22:55:29
รอดูค่ามัดจำค่าอิอิ  :-[ :-[ :-[ :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8เล่ม2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 20-09-2015 11:12:37
บทที่ 34
คืนแรกของสองเรา...
ตอนที่ 8 เล่ม 2 (P.8 20/9/58)

        เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากอาหารมื้อเช้าจิวชงหยวนต้องรีบออกจากโรงเตี๊ยมอย่างว่องไว เพราะเสวี่ยอู่ตามติดเขาเหมือนเงาตามตัว อีกทั้งผลงานเมื่อคืนทำให้ผู้คนต่างจะพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความอยากรู้จัก บ้างก็ขอท้าประลองยุทธจนต้องรีบเผ่นจากมาแทบไม่ทัน นั่นทำให้ลู่เฟยได้รู้ความจริงทั้งหมดและกล่าวโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้เขาเดือดร้อน ฝีมือการใช้พิษของซือเยว่ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจว่าทำไมลู่เฟยถึงพลาดท่าเสียทีกับพิษยาสลบ แม้เจ้าตัวจะระวังแต่ถึงอย่างไรลู่เฟยก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านอาวุธลับ
    "ทำไมเจ้าต้องรีบหนีข้าด้วย" เสียงที่เอ่ยถามจากทางด้านหลังแทบทำให้จิวชงหยวนสะดุดขาตัวเองล้มหน้าทิ่ม หันขวับไปมองเสวี่ยอู่อย่างตกตะลึง ลู่เฟยเองก็เลิกคิ้วมองคนที่ติดตามาอย่างแปลกใจเช่นกัน
    "เจ้ามาอยู่นี่ได้ยังไง"
     "ถึงวิชาการต่อสู้ข้าจะไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องหนี อะแฮ่ม แต่เรื่องความเร็วข้าก็ไม่ได้น้อยหน้าผู้ใด" เจ้าตัวสะบัดพัดในมือดังฉับพร้อมเดินเยี่ยงก้าวเข้ามาหาพวกเขาอย่างมาดคุณชายทรงปัญญา จิวชงหยวนย่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักที่มีคนติดตามมา แม้จะไม่ได้ใช้ความเร็วสูงสุดก็ตาม
    "แล้วเจ้าจะตามพวกข้ามาทำไม" ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงเรียบจิวชงหยวนก็พยักหน้าเห็นด้วย
    "ข้าท่องยุทธคนเดียวนั้นแลเงียบเหงานัก ข้าก็เลยจะตามพวกเจ้าไปด้วยไง อีกอย่างชงหยวนเจ้ายังเป็นหนี้ค่าโรงเตี๊ยมข้าอยู่นะ" เสวี่ยอู่บอกด้วยรอยยิ้มบางในประโยคแรก ก่อนที่ดวงตาเรียวคู่นั้นจะส่งแรงกดดันเรื่องที่เขาเป็นหนี้ตน จิวชงหยวนยกมือขยี้หัวตัวเองเบาๆ แล้วหันไปมองลู่เฟยอย่างขอคำปรึกษา
     "ตอนนี้ข้าไม่มีเบี้ยพอใช้หนี้ให้เจ้าหรอกเพราะข้าก็อยู่กับเจ้าตลอดจะมีเบี้ยที่ไหน หากต้องการจริงๆ คงรออีกสามวันให้ข้าส่งข่าวไปบอกซือหมิงก่อน" จิวชงหยวนหดคอลงพยักหน้าอย่างเข้าใจเพราะลู่เฟยก็ร่วมเดินทางกับเขาตลอดไม่ได้มีรายได้อะไร นอกจากองค์รักษ์ที่จะให้คนเอาเงินมามอบให้เดือนละครั้งเท่านั้นและมันก็เพียงพอต่อเดือนเท่านั้น ก่อนจะสะดุดกับชื่อองค์รักษ์ของลู่เฟย
    “องค์รักษ์เจ้าแซ่ซืออย่างนั้นหรือ”
    “เปล่า ชื่อเต็มคือซู่ซือหมิงกับซู่ซือกวาง สองคนนี่เป็นพี่น้องกัน” คำอธิบายของลู่เฟยทำให้เขาพยักหน้าเข้าใจ นึกว่าจะไปเป็นญาติฝ่ายไหนของซือเยว่เสียอีก
     "อยากตามมาก็เชิญ อย่าทำตัวเกะกะข้าแล้วกัน" จิวชงหยวนหันไปบอกคนที่ยิ้มเบิกบานอย่างหงุดหงิดไม่น้อย อาจเป็นเพราะการเจอระหว่างเขากับเสวี่ยอู่มันไม่ค่อยน่าประทับใจนัก ก็คนอะไรมาเรียกเขาแม่นางกันยิ่งคิดยิ่งแค้นไม่หาย
    ในเมื่อตกลงกันได้แล้วจิวชงหยวนจึงได้ออกเดินทางต่อ แม้จะไม่ได้รีบร้อนเหมือนคราวแรกเพราะอย่างไรก็หนีเสวี่ยอู่ไม่พ้นจึงเดินตามป่าเขาเพื่อเก็บสมุนไพรไปด้วย
     "ชงหยวนเจ้าเป็นหมอหรอกหรือ" เสียงของเสวี่ยอู่เอ่ยถามพร้อมร่างสูงโปร่งชะโงกหน้ามาดูต้นหญ้าที่เขาก้มลงเก็บ เขาเหลือบตามองเล็กน้อยโดยไม่คิดจะตอบคำถามเพราะชื่อเขาก็บอกอยู่แล้ว หลังการแนะนำระหว่างอาหารมื้อเช้า
    ทว่าก่อนที่เสวี่ยอู่จะขยับเข้าใกล้จิวชงหยวนมากไปกว่านี้กลับถูกมือหนาของลู่เฟยลากคอเสื้อถอยห่างออกมา ดวงตาคมกริบที่หันมามองทำให้เจ้าตัวหดคออย่างหวาดหวั่นก่อนจะบอกลู่เฟยเสียงอ่อย
     "เจ้าไม่ต้องมาหึงข้าก็ได้ ข้ามีคู่หมั้นแล้ว แค่อยากมีสหายที่รุ่นราวคราวเดียวกับข้าเท่านั้นเอง" ลู่เฟยปล่อยมือจากคอเสื้อเสวี่ยอู่แล้วมองอย่างไม่ไว้ใจ จิวชงหยวนเหลือบตามองทั้งคู่แล้วนึกขัน เสวี่ยอู่ให้ความรู้สึกนิสัยคล้ายองค์ชายเจ็ด ทว่าเสวี่ยอู่รูปร่างสูงหนากว่าเสียอย่างเดียววรยุทธด้านการต่อสู้ไม่ได้เรื่องดูได้จากเหตุการณ์เมื่อคืน
    "รุ่นราวคราวเดียวกัน?" ลู่เฟยทวนคำพูดแล้วนึกขันหันไปมองจิวชงหยวนที่หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีทั้งที่ความจริงตอนนี้เจ้าตัวย่างเข้ายี่สิบหกปีแล้ว
    "ลู่เฟยมาช่วยข้าเก็บเสลดพังพอนนี่หน่อยสิ" จิวชงหยวนร้องเรียกลู่เฟยซึ่งก็รีบเดินมาช่วยเขาอย่างว่องไว
     เสวี่ยอู่ที่ยืนเคว้งคว้างคนเดียวถึงกับทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนมองสังเกตทั้งคู่ไปเรื่อยๆ การเดินทางนั้นไม่ได้รีบร้อนทว่าบรรยากาศสีชมพูที่แผ่ออกมาจากคนทั้งคู่ก็ทำให้เสวี่ยอู่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน จึงทำได้แต่เดินชมนกชมไม้และท่องบทกลอนตามไปเรื่อยๆ
    ทั้งสามคนเดินทางมาเรื่อยๆ จนถึงเขตหมู่บ้านของเผ่ามองโกล จิวชงหยวนมองหมู่บ้านเบื้องหน้าอย่างตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่บนยอดเขาที่มองเห็นหมู่บ้านได้ทั้งหมด เวลานี้เริ่มบ่ายคล้อยทว่าพวกเขายังไม่ได้เขาไปยังหมู่บ้านแต่เก็บพืชหายากรอบบริเวณอย่างใจเย็น
    “เจ้าจะเข้าไปหมู่บ้านนั่นจริงๆ หรือ” เสวี่ยอู่เอ่ยถามอย่างหวาดหวั่นเพราะรู้มาว่าพวกเผ่ามองโกลไม่ค่อยต้อนรับคนนอก
    “จริงสิ หากข้าไม่เข้าไปจะมาที่นี่ทำไม” จิวชงหยวนตอบกลับขณะเก็บพืชพิษเข็มทองที่ขึ้นตามใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ชุ่มชื้น
    “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าชนเผ่านี้ไม่ต้อนรับคนนอก” จิวชงหยวนยกยิ้มบางทำไมเขาจะไม่รู้ เพราะความทรงจำในอดีตของอาจารย์ที่เคยให้ไว้นั้นคือ จิวชงหยวนเป็นหมอเทวดาซึ่งมีพระคุณของเผ่ามองโกลเมื่อเจ็ดปีก่อนหลังจากหมู่บ้านเจอโรคห่าโรคที่ติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วและตายตกเป็นจำนวนมาก ดีแต่ว่าอาจารย์ที่ใช้รูปร่างหน้าตาของเขาผ่านมาแล้วได้ช่วยเหลือไว้ จนทำให้หมู่บ้านนี้ยังคงอยู่
    “เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะอย่างไรคืนนี้เจ้าไม่ต้องมานอนอาบน้ำค้างข้างนอกแน่” ลู่เฟยที่มั่นใจในตัวจิวชงหยวนตอบเสียงเรียบขณะรับพืชพิษมาเก็บไว้ในย่ามอย่างระมัดระวัง เสวี่ยอู่สะบัดพัดในมือไปมามองทั้งคู่อย่างสนใจเพราะอะไรทำไมถึงได้มั่นใจเช่นนี้
    “เข้าไปหมู่บ้านกันเถอะ วันนี้ได้เยอะแล้ว”
    จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนหันไปบอกทั้งคู่ก่อนจะเดินนำเข้าไปในหมู่บ้าน สมุนไพรในวันนี้เขาต้องขออาศัยหม้อยาของท่านผู้เฒ่าปรุงเป็นเม็ดไว้หลายๆ ชนิดก่อนค่อยเดินทางต่อไป เสวี่ยอู่เร่งฝีเฝ้ามาเดินข้างฝั่งซ้ายเขาคล้ายกับหวาดระแวง ท่าทางกิริยาของเสวี่ยอู่ไม่ได้ทำให้เขาหวาดระแวงเพราะเจ้าตัวคิดอย่างไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมด แต่ที่ทำให้เขาสงสัยคือเสวี่ยอู่เป็นลูกเต้าใครเท่านั้นเอง
    “ทั้งสามคนเดินเข้ามาในหมู่บ้านซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นหยุดชะงักจากงานที่ทำหันมามองพวกเขาเป็นทางเดียวกัน เด็กเล็กๆ พากันวิ่งไปแอบอยู่ด้านหลังบิดามารดาอย่างตื่นกลัว จิวชงหยวนพาทั้งคู่เดินผ่านผู้คนจนมาหยุดที่บ้านหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านซึ่งเจ้าของก็ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มยินดี
    “ในที่สุดท่านก็กลับมา” น้ำเสียงแหบแห้งพร้อมร่างหญิงชราซึ่งเป็นแม่หมอของคนในหมู่บ้าน ทว่าแม่หมอของที่นี่ไม่ใช่ไว้รักษาผู้คน แต่กลับเป็นพวกหมอผีที่เชี่ยวชาญด้านอาคมเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มยินดี   “สมุนไพรในชนเผ่าของท่านเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ จึงแวะมาเยี่ยมเยียน” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางและสวมรอยเป็นอาจารย์ได้อย่างแนบเนียน
    หลังจากทักทายกันแม่หมอก็ได้เชิญพวกเขามาพักในหมู่บ้านพร้อมอาหารออกมาต้อนรับขับสู่อย่างยินดี จิวชงหยวนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้นานกว่าห้าวันทว่าระหว่างพักในหมู่บ้านของเผ่ามองโกลนั้นเขาก็ได้ช่วยรักษาผู้คนและยังทำสมุนไพรอัดเม็ดไว้จำนวนมาก เสวี่ยอู่ที่เมื่อก่อนจับแต่ตำราตอนนี้เริ่มรู้จักสมุนไพรจากเขามากขึ้น
    “เหนื่อยไหม” จิวชงหยวนหันไปยิ้มให้ลู่เฟยที่เดินเข้ามาซับเหงื่อให้เขาอย่างแผ่วเบา ขณะนี้เขากำลังเคี่ยวยาสูตรสุดท้ายก่อนจะออกเดินทางและใกล้จะเสร็จแล้ว
    “ไม่หรอก ใกล้เสร็จแล้ว”
    “จบนี่จะไปไหนต่อหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงเรียบ แววตามองหม้อยาที่กำลังเคี่ยวได้ที่ซึ่งจิวชงหยวนก็ยกยาออกจากเตาก่อนจะรีบบรรจุเป็นเม็ดยา
    “ข้าจะไปหาพันธมิตรฝ่ายธรรมะเพิ่มเพราะจากเรื่องที่ข้าก่อไว้ในอดีตจะทำให้ข้าลำบากในวันข้างหน้า” จิวชงหยวนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะการเดินทางมาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีมานี้เขาสร้างความเดือนร้อนให้ฝ่ายอธรรมมาไม่น้อย โดยเฉพาะพรรคหมื่นพิษ พรรคพยัคฆ์คำรนและพรรคโลหิตมาร
    ส่วนพรรคโลหิตมารเป็นเพราะความวู่วามของเขาเอง ซึ่งตอนนั้นเขาโมโหหิวจนทำอะไรไม่คิด ทุกวันนี้ค่าหัวเขามันมากกว่าสามพันตำลึงทองไปแล้วจนนักล่าค่าหัวตามสืบข่าวเขาไปทั่วยุทธภพ ดีแต่ว่าเขามีอวิ้นเซียนคอยช่วยเหลือเรื่องการปล่อยข่าวโคมลอยมั่วๆ ทำให้เขารอดมาทุกวันนี้แต่เขาเองก็ไม่อยากประมาทเช่นกัน
    “นั่นสิ เพราะข้าเองก็คงไม่ได้อยู่ช่วยเจ้าตลอด ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าในวังหลวงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”
    จิวชงหยวนเหลือบตาไปมองแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเพราะรู้เหตุผลว่าลู่เฟยลงมาโลกมนุษย์เพื่อนำโอรสสวรรค์บุตรของมังกรขึ้นสู่บัลลังก์ที่แท้จริง ทุกคนย่อมมีหน้าที่เป็นของตัวเองเพราะฉะนั้นเขาจึงต้องหากำลังเสริมเองเนื่องจากการอยู่รอดในยุทธภพนั้นอยู่ยากลงไปทุกที
    หลังจากบรรจุยาเรียบร้อยแล้วจิวชงหยวนจึงเดินไปบ้านพักเล็กๆ ที่แยกห่างออกมาจากบ้านใหญ่ของแม่หมอโดยที่ลู่เฟยก็นอนที่นี่กับเขาเช่นกัน ส่วนเสวี่ยอู่ถูกเด็กๆ ในหมู่บ้านลากไปนอนที่ห้องโถงใหญ่ในบ้านแม่หมอพร้อมเล่านิทานให้เด็กฟังอย่างสนุกสนานและเหมือนเจ้าตัวจะชอบเด็กๆ ไม่น้อย
    บรรยากาศยามค่ำคืนทำให้ได้ยินเสียงจิ้งหรีดเรไรชัดยิ่งขึ้น จิวชงหยวนนั่งบนโต๊ะน้ำชาเล็กแล้วรินน้ำชาดื่มแก้กระหายและไม่ลืมจะส่งให้ลู่เฟยที่เดินตามมาด้วยเช่นกัน
    ดวงตาคมกริบที่มองเขานิ่งๆ เหมือนคนคิดหนักแต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาทำให้จิวชงหยวนเงยหน้าไปมองคนข้างกาย
    “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
    “ข้าคิดว่าหากข้ากลับแคว้นลั่วหยางเจ้าจะลืมข้าและมีคนใหม่อีกหรือไม่ เพราะขนาดมีข้าร่วมเดินทางมาด้วยยังมีคนคิดมาจีบเจ้าและตามติดเจ้า และเมื่อไรที่ข้าไปทำหน้าที่ ข้ากลัวจะเสียเจ้าไป” ลู่เฟยบอกเสียงสั่นเล็กน้อย ดวงตาคมมองใบหน้างดงามด้วยความรักและห่วงใย
    จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินกับสายตาที่มองมา มือเรียววางจอกชาไว้แล้วลุกขึ้นยืนเงยหน้ามองลู่เฟยอย่างจริงจัง เขาไม่ได้โกรธที่ลู่เฟยจะรู้สึกอย่างนั้นเพราะหากเป็นเขาในตอนนี้ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นี่แค่ซือเยว่คนเดียวเขายังหนักหน่วงในหัวใจ หากมีคนอื่นที่คิดอยากตกแต่งเป็นชายาลู่เฟยอีกเขาจะทำอย่างไร จะปล่อยเฉยหรือตามหึงหวงเหมือนคนงี่เง่า
    ทว่าคนตรงหน้าเขากลับวางตัวได้อย่างน่านับถือ แม้จะหึงหวงแต่ก็ยังไว้หน้าเขา แม้จะโกรธแค้นที่มีคนตามติดแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรวู่วาม เขารู้ดีว่าลู่เฟยนั้นแทบอยากฉีกกระชากคนที่เข้ามาจีบเขาและตามติดเขาอย่างเช่นเสวี่ยอู่ในเวลานี้ แต่เจ้าตัวกลับเก็บอารมณ์นั้นได้เป็นอย่างดี สองมือยกขึ้นคล้องคออีกฝ่ายพร้อมยื่นหน้าไปจูบที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา
    “แล้วแบบนี้จะพอยืนยันได้หรือยังว่าไว้ใจข้าได้”
    “เจ้ายั่วข้าอีกแล้วนะชงหยวน” ลู่เฟยบอกเสียงกระเส่ามือหนาตวัดโอบเอวบางเข้าหาร่างตนจนแนบแน่น จิวชงหยวนหัวเราะในลำคอเบาๆ แม้จะกลัวกับการเสียซิงครั้งแรกแต่หัวใจเขาร่างกายเขาก็อยากมอบให้ลู่เฟยเช่นกัน
    “สุขสันต์วันเกิดนะลู่เฟย” ดวงตาเรียวที่ช้อนขึ้นมามองพร้อมคำอวยพรเหมือนปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้กลับพิเศษกว่าปีที่ผ่านมาตรงที่คนในอ้อมกอดเขาในเวลานี้ยอมยกหัวใจให้เขาแล้ว
   “เจ้ายั่วข้าจนข้าแทบทนไม่ไหว” ลู่เฟยบอกเสียงกระเส่าปลายจมูกแนบชิดกับจมูกอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
    “ข้ายั่วเจ้าที่ไหน ข้ารักษาสัญญาต่างหาก” จิวชงหยวนตอบกลับพยายามเก็บซ่อนความอายของตัวเองไว้สุดความสามารถ
    ลู่เฟยกยิ้มบางดวงตาพราวประกายความหื่นออกมาพร้อมก้มลงจูบริมฝีปากจิวชงหยวนอย่างแผ่วเบาและครั้งนี้เขาเองก็เต็มใจที่จะจูบตอบและเริ่มเป็นฝ่ายรุกเองอย่างไม่ยอมแพ้ ลิ้นเล็กแทรกเข้ามาควานหาความหวานในโพลงปาก ความหวิววิ่งวนไปทั่วร่างจนเขาเผลอครางออกมาเบาๆ จากที่เป็นฝ่ายรุกกลับโดนรุกกลับอย่างหนักหน่วง เรี่ยวแรงที่เคยมีเริ่มหดลงจนในที่สุดลู่เฟยก็ยอมถอนริมฝีปากออก
     จิวชงหยวนเงยหน้าช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างหวานฉ่ำโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเวลานี้ตัวเองดูเร่าร้อนมากแค่ไหน ร่างโปร่งบางสะดุ้งตกใจเมื่อลู่เฟยตวัดอุ้มเขาไปนอนบนเตียงไม้แคร่
    ลู่เฟยค่อยบดเบียดริมฝีปากอบอุ่นนั้นอีกครั้ง กระทั่งริมฝีปากบางเห่อแดงถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาลูบแก้มของจิวชงหยวนด้วยสีหน้าอ่อนโยน
    “หยวนน้อย ข้าอยากทำแบบนี้มาตลอดจนถึงตอนนี้ ข้าดีใจที่เจ้ายอมมอบของขวัญล้ำค่าให้ข้าในวันเกิดเช่นนี้” คำพูดชวนวาบหวิวพร้อมลิ้นร้อนเลียริมฝีปากตัวเองคล้ายกระหายของหวานตรงหน้าแต่ต้องเฝ้าอดทนรอมาตลอด จิวชงหยวนใจเต้นแรงไม่ใช่คำพูดลู่เฟยแต่เป็นสายตาที่ร้อนแรงในเวลานี้
    อันตราย!
    สายตาเร่าร้อนที่ส่งมาเริ่มทำให้จิวชงหยวนตื่นตระหนก แม้จะทำใจมาแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตจึงทำให้ความหวาดกลัวเริ่มครอบงำจิตใจ ลู่เฟยก้มหน้าลงมาขบกัดริมฝีปากเขาไม่หยุดทั้งหวานละมุนและปลุกเร้าในเวลาเดียวกัน
    “อื้อ...”
    ความรู้สึกที่วาบหวิวในอกและรสจูบที่ปรนเปรอให้ทำให้สติรับรู้ของจิวชงหยวนเริ่มถดถอย ลิ้นร้อนที่ชำนาญของอีกฝ่ายฝ่ากำแพงไข่มุกเข้ามาดูดกลืนความหวานอย่างหื่นกระหาย ก่อนจะผละออกมาเงยหน้าสบกับดวงตาหวานฉ่ำของคนรักและเอ่ยถามเสียงกระเส่า
     “ชงหยวนเจ้ารักข้าหรือไม่” คำถามที่ไม่คิดว่าจะโดนถามอีกทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงก่ำ
    “ข้า...แค่นี้เจ้าไม่รู้หรือไง”
    “ข้าอยากได้ยินจากปากเจ้า” คำตอบและดวงตาคมที่มองมาทำให้จิวชงหยวนเม้มปากอย่างคุร่นคิด
    “อยากรู้ก็ให้ข้ากดเจ้าก่อนสิ” คำตอบของจิวชงหยวนทำให้ลู่เฟยนิ่งไป ก่อนจะพลิกร่างโปร่งบางขึ้นมานอนทับบนอกตัวเอง
    จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองดูคนใต้ร่างอย่างตกตะลึง นี่ลู่เฟยอยากรู้จนยอมให้เขากดเชียวหรือ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นอย่างคิดหนัก
    “ทำไมถึงยอม”
    “ข้าอยากได้ยินคำรักของเจ้า และที่สำคัญข้ารักเจ้าหากทำให้เจ้ามีความสุขข้าก็ยินดี” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปอีกครั้ง ขนาดลู่เฟยรักและยอมเขาขนาดนี้แล้วเขาจะกล้าดึงดันได้อย่างไร อีกทั้งรูปร่างสูงหนาที่แสนเซ็กซี่ของอีกฝ่ายไม่เหมาะที่จะเป็นรับเลยสักนิด
    แล้วแบบนี้เขาจะกล้าทำลายคนตรงหน้าได้อย่างไร เพื่อเห็นแก่ความรักที่ลู่เฟยมีให้เขาจะยอมร่วมมือและยินดีเป็นฝ่ายรับให้เพื่อตอบแทนความรักที่ลู่เฟยมอบให้เขาด้วยหัวใจรักจริง
    จิวชงหยวนปลดเสื้อผ้าของลู่เฟยออกอย่างไม่รีบร้อนนักเพียงไม่นานก็เผยร่างแกร่งที่เซ็กซี่ชวนให้สัมผัส อีกทั้งส่วนล่างแข็งขืนนั้นมันใหญ่กว่าเขาเสียอีก ดวงตาเรียวตื่นกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นอาวุธลับของอีกฝ่ายและนี่มันใหญ่กว่าในฝันเสียอีก ใบหน้างดงามแดงระเรื่อหันไปมองสบกับดวงตาคมกริบ
    ร่างโปร่งบางผละออกจากอกแกร่งลุกขึ้นยืนค่อยๆ ถอดชุดของตัวเองออกแล้วก้าวเข้าไปหาร่างที่นอนรอเขาเงียบๆ มือเรียวลูบไล้แผ่นอกแข็งแกร่งนั้นแผ่วเบาอย่างยั่วยวน พร้อมแนบร่างตัวเองเข้าชิดหา ดวงตาเรียวช้อนมองดวงตาคมกริบแล้วบอกเสียงแผ่ว
    “ข้ารักเจ้าและชอบให้เจ้ารุกข้ามากกว่า” ใบหน้างดงามแดงก่ำด้วยความอาย ลู่เฟยยิ้มบางในเมื่อคนตรงหน้าน่ารักขนาดนี้แล้วเขาจะมีใจไปให้ใครอีก และคนรักบอกมาขนาดนี้แล้วเขาจะทำเฉยต่อไปได้อย่างไร    “ข้าก็รักเจ้าจิวชงหยวน” บอกพร้อมพลิกร่างตัวเองคร่อมร่างโปร่งบางที่เปล่าเปลือยเอาไว้ก่อนจะมอบจูบที่ร้อนแรงกว่าครั้งไหนๆ ให้
     ทว่าครั้งนี้ลู่เฟยไม่หยุดแค่ริมฝีปากอีกต่อไป เขาจูบไล้เรื่อยลงมาที่ลำคอ ใบหูและขบเม้มอย่างหยอกเย้าและเป็นจุดเสียวกระสันของอีกฝ่ายเมื่อเสียงหวานครางตอบรับกลับมา ลู่เฟยสำรวจใบหูอย่างพึงพอใจแล้วจึงเรื่อยลงมาที่ไหปลาร้าของจิวชงหยวน นิ้วมือบีบเคล้นแผ่วเบาบนทรวงอก   
    ยอดอกที่ถูกคลึงเคล้นให้ความรู้สึกแปลกประหลาด วาบหวิวในช่องท้องพร้อมแอ่นอกเบียดเข้าหาร่างหนาอย่างลืมตัว
    “อา...อื้ม...อา...” จิวชงหยวนครางแผ่ว ร่างสั่นสะท้านเมื่อลิ้นร้อนไล้เลียเล็มปลายยอดสีชมพูที่นูนเด่นออกมา ความรู้สึกเสียวซ่านในเวลานี้มั่นยิ่งกว่าความฝันเสียอีก
    “อึก” จิวชงหยวนเม้มปากแน่นเมื่อลู่เฟยขบเม้มยอดอกเขาและยังโลมเลียอยู่บริเวณนั้นจนสั่นสะท้านไปทั่งร่าง เขาแอ่นอกรับกับริมฝีปากที่เล้าโลมยอดอกอยู่ตามอารมณ์วาบหวิวในอก ผมดกดำแผ่กระจายเสน่ห์อันเย้ายวน ด้านล่างของจิวชงหยวนบีบรัดใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย ทว่าสายตากลับไม่ละออกจากคนตรงหน้า
    “เจ้างดงามยิ่งนัก จิวชงหยวน” คำกล่าวชมทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วก่อนจะเถียงกลับอย่างเง้างอน ถึงเขาจะยอมเป็นฝ่ายรับแต่ก็ไม่ชอบใจกับคำว่างดงามอยู่ดี
    “ข้าเป็นชายไม่ใช่หญิงจะงดงามได้อย่างไร ข้าต้องหล่อสิ” น้ำเสียงเง้างอนที่นานๆ ทีจะได้ยินทำให้ลู่เฟยยิ้มบางสำรวจเรือนร่างงดงามและใบหน้าตาที่ชวนให้จับกดวันละหลายๆ รอบดูอย่างไรก็ไม่มีความหล่ออย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง มือหนาลูบไล้กายที่ขาวเนียนอย่างหลงใหลก่อนจะมาหยุดที่ลงบนต้นขาด้านในซึ่งทำให้เจ้าตัวสะดุ้งตกใจ ก่อนจะเบิกตากว้างยิ่งขึ้นเมื่อลู่เฟยก้มหน้าลงไล้เลียดูดดึงตั้งแต่สะดือเรื่อยลงมาถึงโคนแก่นกาย ลิ้นเล็กๆ ไล้เลียความเป็นชายของเขาอย่างไม่นึกรังเกียจ สองมือหยกเย้าพวกช่อด้านหลังอย่างปลุกเร้าอารมณ์ไปด้วย
    “อ่า...อา...”  จิวชงหยวนครางกระเส่าเมื่อทนความเสียวซ่านที่ถูกปรนเปรอให้ไม่ไหว สองมือบีบขย้ำผ้าปูที่นอนเพื่อระบายความอึดอัดใจออกมา ความรู้สึกสุขสมไหลบ่าทั่วทั้งร่างราวคลื่นซัดสาดพาให้เขาร้องครางไม่หยุด ลู่เฟยหัวเราะร้ายปลายลิ้นสัมผัสปลายยอดแผ่วเบาเย้าแหย่ไม่หยุด กระตุ้นเร้าอารมณ์เขาครั้งแล้วครั้งเล่า
    “อา...อา... เร็วอีก” ร่างโปร่งบางเร่งเร้ายกสะโพกนุ่มตอบรับการดูดกลืนของลู่เฟยเร็วขึ้นตามแรงอารมณ์
    เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่เฟยจึงตอบรับแก่นกลางของอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้ง ออกแรงดูดดึงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้จิวชงหยวนรู้สึกถูกคลื่นความสุขซัดสาดจนลอยขึ้นบนฟ้าไม่หยุด
    “อื้ม...อา...ซี๊ดดด”
    จิวชงหยวนไม่รู้หรอกว่าเสียงของตัวเองในยามนี้มีเสน่ห์เร่าร้อนเพียงไหน รู้สึกแค่ว่าส่วนล่างของร่างกายมีกระแสความร้อนจนทะลักออกมาพร้อมเสียงครางกระเส่าอย่างอดกลั้นไม่อยู่
    “อา...อา...” และไม่ทันที่ลู่เฟยจะถอนปากออกจากแก่นกาย ทว่าบัดนี้ในปากกลับเต็มไปด้วยน้ำรักที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่เจ้าตัวกลืนกินลงไปอย่างไม่รังเกียจ จิวชงหยวนหน้าแดงก่ำด้วยความอาย เสียงหอบกระเส่าอย่างเหนื่อยอ่อนของคนใต้ร่างทำให้ลู่เฟยยกยิ้มเจ้าเล่ห์
    “เหนื่อยแล้วหรือ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นนะ” แววตาท้าทาย ใบหน้าหล่อเหลาพร้อมริมฝีปากที่มีคราบน้ำรักซึ่งดูแล้วยั่วเย้าอารมณ์ยิ่งนัก จิวชงหยวนเลียริมฝีปากยั่วอย่างไม่รู้ตัว นัยน์ตาหวานเยิ้มที่มองมาแทบทำให้ลู่เฟยอดรนทนแทบไม่ไหว ร่างหนาพลิกร่างโปร่งบางหันหลังเข้าหาพร้อมยกสะโพกอีกฝ่ายขึ้นมา นิ้วเรียวตวัดไปลูบน้ำรักที่เอ่อล้นอยู่บนขาเนียนมาลูบไล้ช่องทางรักเบาๆ ร่างโปร่งบางสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ว่าเขาจะทำอะไร นิ้วเรียวที่ชุ่มไปด้วยน้ำรักสอดแทรกเข้าไปปากทางคับแคบนั้นอย่างช้าๆ
    “เจ็บ...” จิวชงหยวนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บนี่ขนาดนิ้วเดียวยังเจ็บขนาดนี้ แล้วของลู่เฟยใหญ่กว่านิ้วเป็นสิบเท่าแค่คิดก็อยากจะเปลี่ยนใจแล้ว ทว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา และอารมณ์ที่ค้างคาของลู่เฟยเขาก็ทำใจร้ายร้องห้ามไม่ลง ได้แต่หลับตาทนรับความเจ็บปวด ก่อนจะครางแผ่วออกมาเบาๆ เมื่อความเสียวซ่านเริ่มมาแทนที่ความเจ็บ
    “อา...อา...” เสียงหวานที่ครางแผ่วพร้อมแอ่นสะโพกรับทำให้ลู่เฟยรู้ว่าร่างโปร่งบางพร้อมจะรับจึงแทรกแก่นกายเข้าไปแทนที่นิ้วมือ
    “อ๊า!” จิวชงหยวนน้ำตาไหลซึมเมื่อความเจ็บปวดเข้าถาโถมสู่ร่างกาย
    “จิวชงหยวน...จิวชงหยวน...ข้ารักเจ้า...รักมากจนอยากครอบครองไว้ผู้เดียว” ลู่เฟยเรียกชื่อคนใต้ร่างด้วยเสียงสั่นพร่าแต่เต็มไปด้วยความรักและความปรารถนา พร้อมขยับแก่นกายความต้องการที่เร่าร้อนเข้าออกอยู่ภายในของจิวชงหยวนลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ  จากความเจ็บปวดที่ทำให้น้ำตานองหน้า บัดนี้ความสุขสมเข้ามาแทนที่
    “อ่า...อา...”
    ลู่เฟยประคองสะโพกนุ่มของจิวชงหยวนเอาไว้มั่นแล้วกระแทกกระทั้นตนเองเข้าไปแรงๆ อีกครั้ง ให้ความเร่าร้อนของเขาแทรกเข้าไปถึงจุดเมื่อครู่ที่ทำให้อีกฝ่ายสุขสม
    “อ๊า!”
    จิวชงหยวนเงยหน้าสั่นสะท้านไปทั่งร่าง แก่นกายที่เดิมอ่อนตัวกลับชูชันขึ้นอีกครา
    “ฮึก...”
    หลังจากลู่เฟยส่งความปรารถนาของตนลึกเข้าไปภายในร่างกายอีกฝ่ายแล้วก็หอบหายใจกับหลังของจิวชงหยวนก่อนจะยกเอวบางลอยขึ้นมาให้แผ่นหลังแนบชิดกับอกแกร่งของตน
    จิวชงหยวนเกร็งร่างกายอย่างตื่นตระหนกกับท่าใหม่ทำให้ช่องทางด้านหลังหดตัวบีบรัดความปรารถนาของลู่เฟยจนร่างสูงหนาแทบปลดปล่อยออกมาอย่างทานทนไม่ได้
    “กอดคอ...ข้าให้แน่น”
    ลู่เฟยหอบหายใจพูดห้วนๆ  จิวชงหยวนได้ยินดังนั้นก็ยื่นมือไปด้านหลังคล้องคออีกฝ่ายเอาไว้จนร่างกายโค้งโก่ง มือหนาเอื้อมมาประคองร่างของเขาขึ้นขยับขึ้นลงให้ส่วนที่ตั้งชันแทรกลึกเข้าไปแตะต้องจุดไวสัมผัสของเขาไม่หยุด
    “อ๊ะ...อา...อา...”
    จุดอ่อนไหวถูกกระทบไม่หยุดยั้ง ทั้งร่างของจิวชงหยวนราวกับถูกความปรารถนาแผดเผาเขาส่ายเอวไปมาตอบสนองแรงกระแทกกระทั้นที่ส่งเข้ามาโดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่าท่านี้เป็นการยั่วลู่เฟยมากเพียงใด
    ลู่เฟยไม่อาจควบคุมความต้องการของตนได้อีกต่อไป หลังจากชำแรกตนเข้าไปลึกภายในร่างของอีกฝ่ายแล้ว น้ำรักอุ่นร้อนก็พุ่งชโลมไปทั่งช่องทางด้านหลังของจิวชงหยวนทันที
    “อ๊า!”
    หลังจากถูกน้ำรักเติมเต็มจิวชงหยวนก็ไปถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง เสียงร้องเต็มไปด้วยอารมณ์ดังออกมาลั่นกระท่อมหลังเล็ก จากนั้นร่างกายเขาก็ค่อยๆ อ่อนลงได้แต่พึ่งพิงลู่เฟย
    หลังจากลู่เฟยปลดปล่อยออกมากก็เหนื่อยล้าจนหายใจหอบ เขาวางจิวชงหยวนไว้บนเตียงอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวลูบไล้ใบหน้าที่มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าด้วยความรัก ทว่าเพียงแค่สัมผัสเพียงแค่ได้มองแก่นกายที่อ่อนตัวลงกลับชูชันขึ้นมาอีกครั้ง จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองคนหื่นกามด้วยสีหน้าซีดเผือด จากนั้นบทรักครั้งใหม่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง…
     อีกครั้ง... ครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกือบรุ่งสางที่สองร่างของบุรุษยังคงกอดรัดกันแน่นราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน...



       เป็นไงบ้างติชมได้นะคะ ยอมรับว่างานยากสำหรับฟางจริงๆ ยิ่งการบรรยายให้เป็นภาษาโบราณต้องใช้พลังภายในไปจนหมดตัวเลยค่ะ 555 ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะ
       ตอนหน้าไม่แน่ใจว่าจะลงวันอังคารหรือวันพุธ ขอดูงานที่เขียนก่อนค่ะ แต่ทุกครั้งที่ฟางลงจะไม่เกิน 3 วันจ้าต่อตอนจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 20-09-2015 11:30:15
เป็นบทรักทีละเมียด ลู่เฟยได้พลังใจเต็มเปี่ยม
สงสารคนทั้งหมู่บ้าน คาดว่าไม่ได้หลับได้นอนกันทั้งคืนแน่
เสียงเข้าหอไม่ใช่ว่าเบาๆ :katai5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-09-2015 12:05:13
 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 20-09-2015 12:26:47
บๅอกรักกันกระท่อมสะเทือน 555 ในที่สุดก็ได้ร่วมหอกันซักที
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Nighttime ที่ 20-09-2015 12:46:31
อร้ายยยกรี้ดดดเลือดพุ่งกระฉุด :haun4: :pighaun: ยังกับว่าแอบดูยูไต้เตียง 5555 :z1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 20-09-2015 12:48:22
โง้ยยยยยยยย ทำไมเขินอย่างนี้วะ  o7
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 20-09-2015 15:03:20
โดนเข้าจนได้ซินะ ชอบ ชอบ :hao3: :mew3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 20-09-2015 17:16:00
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 20-09-2015 21:34:16
โฮววววว หยวนน้อยเสร็จเค้าแล้ว  :heaven :jul1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-09-2015 22:24:15
มาให้กำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: rule ที่ 20-09-2015 22:58:17
เป็นนิยายจีนที่นายเอกเก่ง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-09-2015 23:56:15
นายเอกของเราตกเป็นของลู่เฟยโดยสมบูรณ์แบบแล้ว

แล้วนายเอกของเราจะท้องไหม

ฉากNCแต่งได้ดีมากๆ

แบบว่าคนอ่านอารมณ์มาเต็มเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 21-09-2015 17:05:43
ใช้เวลาวันเดียวอ่านตามทัน อิอิ สนุกมากกกกกค่ะ รอตอนต่อไปปป > <
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 21-09-2015 17:39:17
สุดท้ายก็ทั้งคืน สมกับอดอยากปากแห้งมานานนะลูเฟย จงหยวนน่าสงสาร ตื่นมาจะไข่ขึ้นรึเปล่าเนี้ย ครั้งแรกก็ยันเช้า สงสัยทบต้นทบดอก เพราะจะห่างกันและกว่าว่าหยวนน้อยของเราจะยอมอีกรึเปล่า ก็จัดหนักจัดเต็มแบบนี้ จะสงสารดีไหมน้อ แอบสงสารชาวบ้านที่ได้ยินเสียงค้างหวานๆทั้งคืน หยวนน้อยคงไม่ฟ้าเหลือนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 22-09-2015 21:49:05
สนุกเวอร์  o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2015 22:36:02
มารอตอนใหม่   :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่34 คืนแรกของสองเรา ตอนที่8 เล่ม 2 (P.8 วันที่ 20/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 22-09-2015 23:27:46
ช่ำปอดเลยน่ะพี่เฟย 5555+
งานนี้หยวนน้อยมีสโพกคลากแน่ๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์บทที่3พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 23-09-2015 21:06:09
บทที่ 35
ตอนที่ 9 เล่ม 2 พบเจอเมื่อสายเกินไป (P.9 วันที่23/9/58)
    
        เช้าวันรุ่งขึ้นลู่เฟยลุกออกจากที่นอนอย่างระมัดระวังมองดูร่างโปร่งบางที่หลับตาพริ้มด้วยความรัก ก่อนจะผละออกไปเตรียมน้ำอุ่นๆ ไว้ให้จิวชงหยวนอาบเพราะดูท่าทางคงไม่มีแรงลุกออกไปอาบน้ำเอง ถังน้ำใบใหญ่ที่ถูกเตรียมไว้ทางห้องอาบน้ำอย่างเรียบร้อย หลังจากที่เขาจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับมาหาร่างโปร่งบางที่นอนหลับแล้วก้มลงจูบริมฝีปากที่เห่อแดงด้วยฝีมือของเขาเบาๆ
    “อื้อ” จิวชงหยวนครางตอบรับพร้อมดวงตาเรียวปรือขึ้นมามองก่อนจะหน้ามุ่ยเมื่อคนหื่นกามคร่อมอยู่บนร่างเขา
    “เช้าแล้ว อาบน้ำหน่อยนะ” เสียงนุ่มทุ้มและดวงตาอ่อนโยนที่ส่งมาพร้อมผละออกถอยให้เขาลุกขึ้นนั่ง
    “ซี๊ดดด” จิวชงหยวนเผลอครางเบาๆ กับความเจ็บช่วงล่าง ก่อนจะหันไปขวับไปค้อนให้คนที่หื่นกามเล่นฟัดกับเขาเกือบทั้งคืน ทว่าเจ้าตัวยังหน้าด้านมายิ้มให้เขาหงุดหงิดเล่นอีก
    “อย่ามองหน้าข้าอย่างนั้นสิ เมื่อคืนนี้เจ้ายังเร่งข้าแรงอีกแรงอีกอยู่เลย” จิวชงหยวนหน้าแดงหูแดงด้วยความอาย ก็ตอนเอามันมันส์ดีแต่ตอนนี้มันเจ็บโว้ย! ได้แต่บ่นในใจดวงตาเรียวมองคนหน้าด้านมาพูดเรื่องแบบนี้ตาแทบคว่ำ
    “ข้าพาเจ้าไปอาบเองดีกว่า” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มเอ็นดูก่อนจะตวัดอุ้มร่างโปร่งบางที่เปล่าเปลือยอยู่แล้วเดินไปวางไปถังน้ำขนาดใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ เรือนร่างที่สัมผัสกลับเรียกความปรารถนาของเขาอีกครั้ง รู้สึกว่าตั้งแต่เห็นเรือนร่างเต็มตัวของจิวชงหยวนความหื่นของเขาจะขึ้นระดับอย่างไม่รู้ตัว ทว่าสภาพน่าสงสารของเมียรักตอนนี้ได้แต่ฝืนกลืนความอยากจับกดร่างโปร่งบางลงไปไว้ในใจ
    “ข้าอาบเองได้” จิวชงหยวนหันไปบอกคนตัวโตกว่าอย่างอายๆ เพราะสายตาคู่นั้นทำให้ร้อนผ่าวไปทั่งร่าง ลู่เฟยยกยิ้มก่อนจะผละถอยออกไปทว่ากลับไปยืนกอดอกอยู่ห่างเขาเมตรเดียวเท่านั้น จิวชงหยวนกรอกตามองอย่างเซ็งๆ ในเมื่ออยากมองนักก็ตามใจ
    จิวชงหยวนพยายามอาบน้ำด้วยตัวเองทว่าความปวดร้าวตามร่างแทบทำให้กระดิกตัวไม่ไหว ช่องทางด้านหลังขยับทีน้ำตาแทบไหล ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ แม้จะเจ็บแต่ก็พยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า
    ลู่เฟยหยิบปิ่นหยกขึ้นมาถือเล่นแล้วมองคนที่อาบน้ำด้วยแววตาอ่อนโยน ความรักที่มีให้ร่างโปร่งบางมีมากมายนักแม้ชีวิตของเขาก็ยังให้ได้
    “ปิ่นหยกที่เจ้าให้ข้านับว่างดงามแล้ว แต่ยามนี้เจ้ากลับยิ่งงดงามกว่าปิ่นหยก” จิวชงหยวนเงยหน้าเหลือบตามองคนพูดด้วยใบหน้าหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย
    “น้ำเน่า” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างเก้อเขิน หลบตาคมที่จ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา สายตาที่ส่งมาทำให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่างอีกครั้ง
    “ชงหยวน” เสียงเรียกจากทางหน้าบ้านทำให้จิวชงหยวนสะดุ้งสุดตัวก่อนจะครางแผ่วออกมาด้วยความเจ็บ หันขวับไปมองลู่เฟยที่ย่นคิ้วเหลือบตาไปทางหน้าบ้านอย่างไม่พอใจนิดๆ แต่ก็เดินออกไปรับหน้าก่อนที่จะเข้ามาเห็นเขาในสภาพนี้ เขามองตามลู่เฟยแล้วยกยิ้มบาง เพราะเหมือนเจ้าตัวก็ไม่อยากให้เสวี่ยอู่มาเห็นเขาสภาพนี้เช่นนี้
    จากนั้นจึงรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อย แม้จะเจ็บจนแทบขยับไม่ไหว แต่เขาไม่มีทางให้เสวี่ยอู่มาสงสัยในตอนนี้แน่ๆ เขาดึงลมปราณออกมาช่วยประคับประคองตัวเองไม่ให้ขายหน้าเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไปหาเสวี่ยอู่ที่อยู่หน้าบ้าน เวลานี้อยู่ในช่วงเช้าและที่สำคัญเขาได้นอนไม่ถึงชั่วยามด้วยซ้ำไป
    “ชงหยวนเจ้าไปทำอะไรมาทำหน้าเหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืนเลย” เสียงที่เอ่ยทักพร้อมแววตาใสซื่อที่ถามมาแทบทำให้จิวชงหยวนสะดุดเท่าตัวเองล้ม
    “เรื่องของข้า เจ้ามีอะไรแต่เช้า” จิวชงหยวนหันไปมองคนถามตาดุ ใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจนัก
    “เมื่อคืนข้าได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากกระท่อมของเจ้า เลยว่าจะมาถาม...”
    แค่กๆๆ
    จิวชงหยวนที่กำลังนั่งจิบชาพ่นออกมาเต็มหน้าคนถามที่นั่งค้างอย่างตกใจไม่แพ้กัน ทว่าคนต้นเรื่องกลับนั่งนิ่งยกยิ้มบางอย่างน่าหมั่นไส้
    “แหวะ สกปรก เจ้าร้อนตัวอะไรหรือเปล่านี่” เสวี่ยอู่เช็ดหน้าตัวเองแล้วหันมาจ้องจับผิดคนงามที่หน้าแดงหูแดงไปหมดจนน่าสงสัย
    “เปล่าซะหน่อย ชาถ้วยนี้มันขมไปหน่อย” จิวชงหยวนแก้ตัวเสียงขุ่นแต่ตอนนี้สีข้างเขาคงผลอกไปหมดแล้ว
    “วันนี้พวกข้าจะเดินทางออกหมู่บ้านเจ้าจะยังไปด้วยหรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยถามเสวี่ยอู่เพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยและเหมือนเจ้าตัวจะพยักหน้ารับทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิด
    “ไปสิ ว่าแต่พวกเจ้าจะไปที่ใดต่อ” เสวี่ยอู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
    “ตำหนักธานตะวัน”
    แค่กๆๆ
    จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองเสวี่ยอู่ที่สำลักน้ำชาใบหน้าแดงก่ำอย่างน่าสงสัย ดีแต่ว่าไม่พ้นใส่หน้าเขาคืน ดวงตาเรียวหันไปมองลู่เฟยที่คิ้วขมวดปมขึ้นไม่แพ้กัน เป็นไปได้ว่าคนตรงหน้ามีความสัมพันธ์กับคนพรรคธานตะวัน และหากเป็นเช่นนั้นก็ง่ายสำหรับเขาที่จะไปผูกมิตรด้วย
    “เจ้าจะไปทำไมที่นั่น” เสวี่ยอู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนลน
    “ข้าแค่ไปหาพันธมิตรสร้างความสัมพันธ์ดีงามด้วย เพราะเจ้าน่าจะรู้จักชื่อเสียงจิวชงหยวนในเวลานี้ดี” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างใจเย็น เสวี่ยอู่มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยดวงตาคมมองพวกเขานิ่งๆ ก่อนจะบอกเสียงแผ่ว
    “หากเป็นเช่นนั้นข้าคงขอแยกทางจากพวกเจ้า”
    “ไม่ได้ เจ้าต้องไปกับข้าด้วย” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่เสียเวลาคิดหากคนตรงหน้าทำให้เขาเข้าตำหนักธานตะวันของฝ่ายธรรมะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตำหนักของจ้าวยุทธภพอวี้เฟิ่งที่สามารถใช้กระบี่บินได้คนแรกในยุทธภพหลังจากมีข่าวเทพกระบี่ออกมา และทุกคนต่างคิดว่าเทพกระบี่ที่ปรากฏตัวเมื่อหนึ่งปีก่อนเป็นอวี้เฟิ่งแน่นอน
    “เจ้าเอาข้าไปไม่แน่อาจโดนกระบี่บินไล่ฟันหัวออกมานะสิ” น้ำเสียงอ่อยๆ ของเสวี่ยอู่ทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างครุ่นคิด
    “แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับอวี้เฟิ่งล่ะ” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงนิ่งซึ่งจิวชงหยวนพยักหน้าอยากรู้ด้วยคน ใบหน้าหล่อเหลาเลิกลักครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแหย
    “ข้า...ข้าเป็นสามีอวี้เฟิ่งอ่ะ”
    แค่กๆๆ
    จิวชงหยวนสำลักน้ำชาอีกครั้ง ดวงตาเบิกกว้างมองคนร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง แม้ใบหน้าจะดูหล่อเหลาแต่อย่างไรมันก็น่าจะเป็นฝ่ายรับมากกว่าไม่ใช่หรือไง ดวงตาเรียวหันกลับมามองลู่เฟยแล้วเบือนหน้าหนีมามองคนบอกว่าตัวเองเป็นสามีอีกครั้ง คนเรานี่ดูภายนอกไม่ได้จริงๆ
    “หากเป็นเช่นนั้นน่าจะง่ายขึ้นหากต้องการพบจ้าวตำหนัก” ลู่เฟยกล่าวตอบไม่ได้สนใจว่าใครผัวใครเมีย ทว่าเสวี่ยอู่ยกมือลูบหัวอย่างเก้อเขิน
    “มันก็ไม่ง่ายหรอกก็ในเมื่อตอนที่อวี้เฟิ่งเป็นเมียข้านั้นข้าวางยากำหมัดอีกฝ่ายจนไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้” น้ำเสียงอ่อยๆ ของเสวี่ยอู่ทำให้จิวชงหยวนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เจ้าบัณฑิตที่หน้าตาใส่ซื่อแต่วางยาปล้ำชาวบ้าน! น่าสะพรึงกลัว!
    “เสวี่ยอู่เจ้าชั่วร้ายมาก” จิวชงหยวนบอกเสียงสั่น ขยับตัวเข้าหาลู่เฟยอย่างหวาดหวั่น
    “แหม ข้าก็ไม่ได้ทำกับใครสักหน่อย หากเจ้าได้เห็นอวี้เฟิ่งที่งดงามและเย็นชาต้องตกหลุมรักเหมือนข้าแน่ๆ” คนพูดเริ่มทำตาลอยเหมือนจะหลงใหลอวี้เฟิ่งผู้นี้มากๆ จนจิวชงหยวนชักอยากเห็นตัวจริงแล้วสิ
    “แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ลู่เฟยเอ่ยถามพร้อมมือหนากอดเอวบางเข้ามาใกล้ ซึ่งจิวชงหยวนที่กำลังตั้งใจฟังเสวี่ยอู่ถึงกับลืมตัวไปชั่วขณะ
    “เฮ้อ หลังจากอวี้เฟิ่งตื่นมากระบี่บินก็ไล่แทงข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ดีแต่ว่าข้านั้นความเร็วเป็นเลิศเลยรอดตัวมาได้ทุกวันนี้ไงล่ะ” คำตอบของเสวี่ยอู่ทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วว่า ทำไมเสวี่ยอู่ถึงมีความเร็วติดตามเขาได้ทันเพราะท่าทางเจ้าตัวจะหนีกระบี่บินของอวี้เฟิ่งบ่อยๆ แต่จากที่ฟังเสวี่ยอู่บอกเล่ามาเหมือนเรื่องวุ่นวายจะตามมาหาเขาอีกอย่างไรอย่างนั้น
    จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างเซ็งๆ มองคนที่ยิ้มแหย แล้วต้องถอนหายใจอีกครั้งเพราะหากเสวี่ยอู่ไปด้วยคงไม่พ้นกระบี่ไล่ฟันหัวเอาแน่ๆ
    “สรุปเจ้าจะแยกทาง” จิวชงหยวนเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ใบหน้าที่ดูใสซื่อครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะถอนใจยาวตามเขาไปด้วย
    “ข้าเปลี่ยนใจแล้วไปง้อเมียด้วยดีกว่า” คำตอบที่ได้รับแทบทำให้จิวชงหยวนยกเท้ามากุมหน้าผากแทนมือเพราะปัญหาที่จะตามมาหาไม่พ้นเขาที่โดนหางเลขไปด้วยแน่ๆ คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่จะให้เสวี่ยอู่ติดตามมาด้วย
    “ท่านหมอจิวแย่แล้วขอรับ” เสียงเด็กๆ ร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้ามาหาเขาที่นั่งหน้ากระท่อมหลังเล็ก จิวชงหยวนหันไปเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจว่ามีอะไรแย่กว่าตัวปัญหาเสวี่ยอู่อีกหรือ
    “มีอะไรหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงเรียบ ปล่อยแขนออกจากเอวบางเมื่อดวงตาเรียวเริ่มหันมามองตาดุ
    “ตอนนี้มีคนสามคนมาขอพบท่านหมอขอรับ ชาวบ้านไม่ต้อนรับแต่คนผู้นั้นบอกว่ารู้จักท่านหมอจิวและได้บอกนามมาว่า เขาชื่อหมิงอี้ฟาน ขอรับ” เด็กน้อยวัยเก้าขวบปีบอกเสียงหนักแน่นดวงตากลมโตมองท่านหมอจิวที่ตอนนี้นั่งอึ้งไปกับข่าวที่ได้ยินแล้ว จิวชงหยวนเบือนหน้าไปมองลู่เฟยที่ส่งสายตาอำมหิตมาให้เหมือนจะเอ่ยถามว่ามันเป็นใคร
    “หยวนน้อยเจ้าแอบไปนอกใจข้ามาหรือ” คำถามพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนทว่าดวงตาที่ขุ่นมัวทำให้จิวชงหยวนกลืนน้ำลายลงคออย่างหวั่นๆ ใครจะคิดว่าเจ้าเด็กช่างตื้อนั่นจะตามเขามาถึงที่นี่
    “ข้าเปล่าซะหน่อย ข้าเจออี้ฟานก่อนเจ้าเสียอีก” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบพยายามไม่ใส่ใจดวงตาขุ่นๆ ที่มองมา รอยยิ้มหวานของลู่เฟยเวลานี้เหมือนมันจะสยองชอบกลและไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเพราะตอนนี้เสวี่ยอู่ขยับถอยห่างไปตามสัญชาตญาณ
    “ข้าว่าเราออกไปดูหน่อยเถอะ” จิวชงหยวนบอกพยายามไม่สนใจสายตาไม่พอใจของลู่เฟยลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหน้าหมู่บ้านแม้ตอนก้าวเดินจะทำให้เจ็บจนนิ่วหน้า ทว่าความเจ็บและแสบที่ได้รับแทบทำให้น้ำตาซึม แค่ลุกขึ้นไหวก็นับว่าเก่งแล้วแต่นี่ต้องมาทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนับว่างานหินสุดๆ สำหรับเขาในเวลานี้
    “เจ้าไหวไหม” ลู่เฟยที่มีสีหน้าไม่พอใจเพราะหึงหวงตอนนี้เหลือเพียงแค่ความห่วงใยให้กับร่างโปร่งบาง แม้คนอื่นจะไม่สังเกตเห็นแต่สำหรับเขาที่อยู่ด้วยกันมาตลอดหนึ่งปีพอจะเข้าใจนิสัยของจิวชงหยวนมากขึ้น
    จิวชงหยวนหันมามองคนเข้ามาจับมือเขาแล้วเม้มปากแน่น ถึงไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะเขาไม่มีทางมาทำขายหน้าที่นี่แน่ เขาก้าวเดินไปต่อเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งมาถึงกลางหมู่บ้านซึ่งมีกลุ่มคนสามคนนั่งอยู่บนโต๊ะไม้กลางหมู่บ้านและรอบๆ ก็มีชาวบ้านที่ยืนเหมือนคุมเชิงเอาไว้ ทว่าเมื่อเขาปรากฏตัวหมิงอี้ฟานก็ลุกขึ้นก้าวเดินมาหาเขาอย่างไม่สนใจสายตาทุกคนที่เฝ้ามอง
    “ในที่สุดข้าก็พบเจ้า” หมิงอี้ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าสำหรับสายตาเขาแล้วดูผิดปกติเหมือนไม่ใช่หมิงอี้ฟานคนเดิมที่เคยรู้จัก
    “เจ้าเปลี่ยนไป” หมิงอี้ฟานไม่ได้ตอบคำถาม ทว่าสายตาคมกลับไปหยุดนิ่งที่มือขวาของคนที่รักซึ่งบัดนี้มีมือหนาของใครบางคนกุมเอาไว้แน่น ดวงตาคมเงยหน้าเหลือบมองชายหนุ่มที่หล่อเหลาอีกทั้งแววตาคมกริบให้ความรู้สึกเย็นเยือกก็ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม แต่อย่าคิดว่าเขาจะยอมแพ้แค่นี้ขอแค่ให้จิวชงหยวนมองเห็นเขาบ้างสักนิดก็เพียงพอแล้ว
    “ข้ายังเป็นคนเดิม หัวใจข้ายังรักเจ้าเช่นเดิมมิเคยเปลี่ยน” น้ำเสียงจริงจังและแววตาแน่วแน่ของหมิงอี้ฟานทำให้จิวชงหยวนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มือหนาของลู่เฟยบีบมือเขาแน่นเหมือนจะบอกว่าหากปล่อยมือจากเขาเมื่อไหร่ได้มีการห่ำหั่นกันแน่ๆ เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีไม่ต้องบอกว่าต่อไปนี้การเดินทางคงจะสนุกดีพึลึก
    “แหมๆ ชงหยวนเจ้านี่เสน่ห์แรงจริงๆ นะ แต่ข้าว่าเจ้าต้องทำใจหน่อยเพราะเหมือนเจ้าจะมาช้าไป” เสวี่ยอู่เดินลอยหน้าลอยตาขึ้นมาพร้อมเดินไปตบบ่าของหมิงอี้ฟานอย่างสนิทสนมและเหมือนหมิงอี้ฟานจะพอรู้จักกับเสวี่ยอู่ไม่น้อยเพราะยืนนิ่งไม่โต้ตอบอะไร ความเงียบของหมิงอี้ฟานทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อาจเป็นเพราะยังไม่คุ้นชินไม่คิดว่าเจ้าเด็กน่าฆ่าคนนั้นจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
    “อย่างน้อยเสน่ห์ข้าก็ใช้กับเจ้าไม่ได้ผลนี่” จิวชงหยวนตอบกลับไม่สะทกสะท้าน ซึ่งทำให้เสวี่ยอู่หัวเราะออกมาอย่างขำๆ
    “แหม เจ้านี่แค่ที่มีอยู่ก็สับเปลี่ยนไม่ทันแล้ว หากเพิ่มข้าไปอีกคนคงไม่ไหวหรอกกระมัง อีกอย่างหัวใจข้ามีอวี้เฟิ่งคนงามของข้าแล้ว” เสวี่ยอู่ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน ทว่าตอนนี้ดวงตาคมของหมิงอี้ฟานเลิกคิ้วพันกันตีหน้ายุ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
    “ท่านว่าท่านอวี้เฟิ่งงดงามเช่นนั้นหรือ” คนถามทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทำให้จิวชงหยวนมองอย่างสนใจ
    “อวี้เฟิ่งหน้าตาเป็นเช่นไรหรืออี้ฟาน” จิวชงหยวนเอ่ยถามเพราะไม่อยากได้ยินคำตอบจากเสวี่ยอู่ที่หลงใหลอวี้เฟิ่งจนมองไม่เห็นเป็นอื่นนอกจากงดงามอย่างเดียว
    “หากเจ้าไปเห็นก็จะรู้เอง” คำตอบที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยทำให้จิวชงหยวนรู้สึกอยากถีบคนอีกสักครั้งทว่าตอนนี้ร่างกายเขาไม่อำนวยได้แต่กัดฟันมองตามอย่างขัดใจเท่านั้น
    “เอ่อ... ในสายตาข้าท่านอวี้เฟิ่งนั้นหน้าตางดงามคมคายที่ไม่ว่าชายหรือหญิงยังต้องชายตาแลขอรับ เพียงแต่ท่านเย็นชาไปหน่อย” คำตอบที่ได้จากบุคคลที่สามทำให้จิวชงหยวนหันไปมองศิษย์น้องร่างเล็กของหมิงอี้ฟานอย่างพิจารณาซึ่งเขาจำได้ว่าชื่อจุ้ยซิง ใบหน้าที่ยิ้มละมุมทว่าดวงตากลับมีความเศร้าหมองหากไม่สังเกตจริงๆ ก็คงไม่เห็นข้อนี้ อีกคนที่ยืนนิ่งข้างๆ เป็นศิษย์พี่หนานจี้กงซึ่งเขาไม่ค่อยได้คุยด้วยนักเพราะพักอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน
    “อืม เรื่องนั้นไว้ก่อนข้าจะออกเดินทางวันนี้ หากคาดไม่ผิดพวกเจ้าต้องตามข้าไปใช่หรือไม่” เพียงแค่เอ่ยปากทั้งสามคนรวมทั้งเสวี่ยอู่ก็พยักหน้ารับแข็งขัน จิวชงหยวนมองตามอย่างอ่อนใจ
    หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วจึงได้กล่าวลาคนในหมู่บ้านกับแม่หมอที่บอกกับเขาว่าดวงชะตาเขาจะสูญเสียมิตรสหายในไม่ช้า ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจได้แต่หวังว่าแม่หมอจะเดาผิดบ้าง และก่อนจากเขาได้มอบยารักษาอาการป่วยไข้ธรรมดาไว้ให้กับแม่หมอด้วยเช่นกัน
    การเดินทางกลับแผ่นดินใหญ่เร็วกว่ากำหนดจึงได้เริ่มขึ้นพร้อมผู้ติดตามที่ไม่คาดคิดรวมแล้วกว่าห้าชีวิต หวังว่าเวลามีศัตรูจะยังคงร่วมสามัคคีกันเหมือนเช่นตอนนี้นะ ไม่สิ ก็ตอนนี้ลู่เฟยกับหมิงอี้ฟานไปประลองกระบี่กันด้วยความหมั่นไส้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ได้แต่หวังว่าไม่ฆ่ากันตายก่อนหรอกนะ
    “เจ้าไม่คิดไปห้ามพวกเขาหน่อยหรือ” จิวชงหยวนหันไปมองเสวี่ยอู่ที่เดินสะบัดพัดไปมาเหมือนสบายใจนักหนาทั้งๆ ที่ความจริงกำลังเอาคอไปให้ภรรยาเชือดถึงที่
    “ไม่ล่ะ ข้าว่าเจ้าน่าจะหัดออกกำลังไว้ก่อนนะ เมื่อไปถึงที่หมายคอจะได้ไม่หลุดจากบ่า” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าคำตอบของเขากลับทำให้เสวี่ยอู่หน้าซีดทันทีเมื่อรู้ว่าเขาหมายถึงสิ่งใด อีกอย่างตอนนี้แค่เดินเขาก็แทบจะร้องไห้อยู่แล้วจะมีปัญญาไปห้ามพวกนั้นได้อย่างไร

  ขอบคุณทุกคอมเมนท์จ้า จุ๊บๆ  :3123:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 23-09-2015 22:01:29
กด+แล้วขอตัวไปอ่านก่อน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 23-09-2015 22:20:13
เอาอีก เอาอีก  :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-09-2015 23:04:22
เสน่ห์แรง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 23-09-2015 23:14:29
 :laugh:
พี่เฟยคิดหนัก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 24-09-2015 21:20:34
ไม่ว่าใครจะว่ายังไง

คนที่งามที่สุดก็นายเอกของเราอยู่แล้ว

อี้ฟานโตขึ้นมากๆทั้งการคิดการอ่าน

ที่แม่หมอบอกว่าจะเสียสหายคือใครอ่าอยากรู้ๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Zappp ที่ 24-09-2015 21:24:43
อ่านรวดเดียวจบเลย. ชอบเเนวนี้มากๆเลยค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 24-09-2015 21:38:30
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 24-09-2015 21:39:24
ขอให้แม่หมอทายผิดเถอะ สาธุๆ :call:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่35พบเจอเมื่อสายไป ตอนที่9 เล่ม 2 (P.9 วันที่ 23/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 24-09-2015 21:41:19
เราติดเรื่องนี้หนักมากกกก
ตอนสอบเเบบอ่านไปตอนอ่านหนังตอนสลับกันอะ
ไปเจอในเด็กดี จากนั้นก็ตามธัญวลัย มาเจอในเล้าอีก รอเจ้าคะ งานดี
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่ 10 (P.10 วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 26-09-2015 15:35:21
บทที่35
จ้าวตำหนักธานตะวัน
ตอนที่10เล่ม 2  (P.10 วันที่ 26/9/58)

        หลังจากใช้เวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์พวกเขาก็มาถึงแคว้นฉานซึ่งอยู่ทางตะวันออก ระหว่างทางไม่ได้ราบรื่นนักเพราะเจอคนของพรรคหมื่นพิษดักทำร้ายเช่นกัน ทว่าไม่ต้องทันถึงมือเขาก็ถูกพวกที่ติดตามจัดการเรียบ การเดินทางโดยมีคนติดตามมากขนาดนี้ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกไม่คุ้นชินแม้แต่น้อย และรู้สึกน่ารำคาญเสียมากกว่า  เพราะยิ่งมากคนยิ่งมากความโดยเฉพาะสายตาฟาดฟันระหว่างลู่เฟยกับหมิงอี้ฟาน แม้เจ้าตัวจะไม่ใจร้อนวู่วามเหมือนเมื่อก่อนแต่ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ
    “บนยอดเขาตรงนั้นเป็นตำหนักของพรรคธานตะวัน” เสวี่ยอู่หันมาบอกกล่าวระหว่างพักกินข้าวตอนกลางวันใต้ร่มไม้ จิวชงหยวนเงยหน้ามองไปตามนิ้วเรียวที่ชี้บอก การที่เขาดั้นดนมาถึงที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรกเพราะชื่อเสียงของอวี้เฟิ่งนับว่าเป็นที่หวาดกลัวของยุทธภพไม่น้อย
    พรึบ!
    ระวัง!
    จิวชงหยวนตะโกนบอกพร้อมเงาดับนับสิบสายพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว จิวชงหยวนเอนหลังหลบคมดาวกระจายที่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    เสียงปะทะของทุกคนดังขึ้นเมื่อนักฆ่ามือดีพุ่งเข้ามาหาอย่างมีกระบวนท่าและรวดเร็วดุจสายลม ทว่าทุกคนต่างพุ่งเป้ามาที่เขาอย่างไม่ต้องนัดหมาย ลู่เฟยเข้ามาปกป้องได้ทันท่วงที หมิงอี้ฟานเองก็ไม่ได้น้อยหน้าสองคนต่างโอบล้อมเขาอย่างระมัดระวัง
    เปรี๊ยะ!
    กระบี่สองเล่มประทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดประกายไฟ จิวชงหยวนหลบการโจมตีดาวกระจายพร้อมด้วยเข็มพิษที่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว
    ฉัวะ!
    จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองหมิงอี้ฟานที่เอาตัวเองมารับดาวกระจายอย่างตกใจ เพราะเมื่อครู่เห็นพัวพันกับนักฆ่าสองคนอยู่ไม่คิดว่าจะเข้ามาเร็วขนาดนี้
    “งี่เง่า” ลู่เฟยด่าให้คนที่เอาตัวมาขวางทางให้จิวชงหยวน พร้อมกระบี่ในมือต้านรับมีดสั้นของศัตรูป้องกันให้หมิงอี้ฟานได้อย่างคล่องแคล่ว
    จิวชงหยวนเรียกกระบี่ออกมาต้านรับมองคนที่ตำหนิหมิงอี้ฟาน ทว่ากลับช่วยป้องกันให้อย่างจริงใจแล้วนึกขำไม่ได้ เหลือบไปมองเสวี่ยอู่ก็ทำให้หายห่วงไปได้เพราะเจ้าตัวหลบได้เร็วจริงๆ อีกทั้งสองศิษย์ที่ติดตามหมิงอี้ฟานก็ไม่ได้ทำให้เสียชื่อพรรคหยกขาวแต่อย่างไร
    เคร้ง เคร้ง
    ตูม!
    จิวชงหยวนใช้กระบี่รับอยู่สิบกระบวนท่าก่อนจะจะใช้ฝ่ามือซัดเข้ากลางอกของนักฆ่าผู้หนึ่งจนกระเด็นไกล ทว่าเพียงไม่นานพวกเขาก็คุมสถานการณ์ไว้จนหมดทว่ายังไม่ทันได้สอบปากคำพวกมันก็ด่วนปลิดชีพตัวเองเสียก่อน เขาวิ่งไปจับชีพจรหวังจะยื้อชีวิตของพวกมันไว้สักคนเพื่อสอบถามความจริงทว่ายาพิษที่พวกนี้อมไว้นั้นนับว่าร้ายแรงจนไม่อาจยื้อไว้ได้ทัน
    “จากที่ข้าดูพวกนี้ไม่ใช่พรรคไผ่เขียวสำนักนักฆ่า แต่มาจากพรรคโลหิตมาร เจ้าไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้” เสวี่ยอู่เอ่ยปากถาม โดยมือโบกพัดไปมาพร้อมชะโงกมองหน้านักฆ่าที่ตายเกลื่อนรอบบริเวณนั้น จิวชงหยวนเงยหน้ามองอย่างแปลกใจว่าเจ้าตัวรู้ได้อย่างไร
    “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนพรรคโลหิตมาร”
    “กระบวนท่าที่ใช้เมื่อครู่นี่ไง” เสวี่ยอู่ตอบกลับเหมือนเรื่องธรรมดา จิวชงหยวนเหลือบตามองคนพูดอย่างครุ่นคิดและสงสัยมากขึ้นว่าบัญฑิตทรงปัญญาอย่างเสวี่ยอู่จะรอบรู้เรื่องยุทธภพทุกเรื่องเลยหรืออย่างไร
    จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนหันไปมองหมิงอี้ฟานที่ยืนหน้านิ่งๆ ทั้งๆ ที่ร่างกายกำลังโดนพิษจากดาวกระจาย เขาเดินเข้าไปหาแล้วจับแขนอีกฝ่ายขึ้นมาดู จากนั้นจึงช่วยทำแผลให้และยาแก้พิษให้กินโดยมีลู่เฟยมองตามอย่างไม่พอใจ ทว่าคนที่ทำให้เขาแปลกใจคือหนุ่มน้อยน่ารักนามจุ้ยซิงที่มองหมิงอี้ฟานด้วยความรักและห่วงใย แต่กลับไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้และเจ้าตัวเหมือนจะบาดเจ็บเช่นกัน หลังจากที่ทำแผลให้หมิงอี้ฟานเสร็จแล้วจึงเดินเข้าไปหาศิษย์น้องหมิงอี้ฟานพร้อมช่วยรักษาบาดแผลให้
    “ข้าไม่เป็นไรขอรับ”
    “แผลกายนั้นรักษาง่าย แต่แผลใจนั้นต้องใช้เวลา” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบโดยไม่ได้มองหน้าคนร่างเล็กที่ยืนตัวแข็งทื่อไปกับคำพูดของเขา และเขาพูดให้ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้นหลังจากเสร็จแล้วจึงถอยห่างออกมา
    “เรารีบเดินทางกันเถอะ” จิวชงหยวนหันไปบอกทุกคนก่อนจะเริ่มเดินขึ้นยอดเขาซึ่งตำหนักธานตะวันอยู่ที่นั่น  ลู่เฟยขยับมาเดินข้างๆ เขาดวงตาคมกริบที่มองมานั้นทำให้เขายกยิ้มบางพร้อมยื่นลูกกวาดที่แวะซื้อในเมืองให้คนข้างตัว
    “ของหวานจะช่วยให้อารมณ์ดี”
    “ใครอยากได้ลูกกวาดเล่า” ลู่เฟยตอบกลับอย่างงอนๆ แต่ก็รับลูกกวาดสีหวานเข้าปากพร้อมหันหน้าหนีอย่างงอนๆ จิวชงหยวนมองคนตัวโตที่ขี้งอนอย่างนึกขำ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขารู้สึกเอ็นดูและน่ามองก็ไม่รู้และตั้งแต่คืนนั้นลู่เฟยที่ชอบหื่นกามก็ทำได้แค่จับมือเขาเท่านั้น มือเรียวยื่นไปจับมือหนาเอาไว้อย่างง้อนิดๆ ซึ่งเจ้าตัวก็เหลือบตามองแล้วยกยิ้มบางอย่างดีใจ ใบหน้าและหูแดงเล็กน้อยพร้อมกระชับมือหนามากขึ้นความอบอุ่นที่ส่งมาทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น
    หมิงอี้ฟานที่เดินตามจิวชงหยวนมาเงียบๆ ได้แต่มองตามมือเรียวบางที่ถูกกุมมือไว้แน่นด้วยความอิจฉา หัวใจเจ็บปวดรวดร้าวระบมจนแทบก้าวเดินต่อไปไม่ไหว ที่ว่างของหัวใจของจิวชงหยวนไม่มีให้เขาได้ก้าวเข้าไป ตำแหน่งข้างกายไม่หลงเหลือให้เขาอีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของเขาถึงได้ยอมเจ็บปวด ยอมแม้แต่เป็นคนนอกสายตาขอแค่ได้อยู่เคียงข้างและปกป้องก็พอแล้ว
     เสวี่ยอู่ที่เดินรั้งท้ายมองดูทุกคนแล้วส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ รักสามเส้าช่างน่าสงสารนัก แต่ก็อย่างว่าเรื่องของความรักนั้นหักห้ามกันไม่ได้ อีกทั้งเรื่องของเขายังเอาตัวไม่รอดจะไปช่วยผู้ใดได้ เป็นคนเก่งกาจมีชื่อเสียงขจรไกลแต่กลับพ่ายแพ้ให้ภรรยาที่งดงามแต่เย็นชา แต่วันนี้คงต้องไปง้ออย่างจริงจังแล้วสิ ไม่เช่นนั้นคงมีใครวางแผนมาสู่ขออวี้เฟิ่งของเขาคงอกแตกตายแน่ๆ
    
    ณ เวลานี้จิวชงหยวนถึงกับยืนอึ้งอย่างตกตะลึงและคาดไม่ถึงกับภาพตรงหน้า ดวงตาเรียวมองเสวี่ยอู่ที่หน้าซีดกอดขาจ้าวยุทธภพอวี้เฟิ่งด้วยน้ำตานองหน้า สาบานได้ว่านั่นเป็นวิธีขอคืนดีกับเมียของเสวี่ยอู่เห็นแล้วทำไมรู้สึกแปลกๆ ชอบกล แต่ที่ทำให้เขาตื่นตะลึงเพราะความงดงามที่เสวี่ยอู่กล่าวถึงนี่มันโคตรหล่อเลยถึงจะหล่อน้อยกว่าลู่เฟยก็เถอะแต่นับว่าสาวๆ ต้องแล สงสัยท่าทางสายตาเสวี่ยอู่จะมีปัญหาจนน่าเห็นใจ มองเห็นคนร่างสูงหนาและใบหน้าคมคายขนาดนี้งดงามได้อย่างไร
    “ปล่อยขาข้าเดี๋ยวนี้นะเสวี่ยอู่” เสียงเย็นเยือกพร้อมลากขาตัวเองออกจากมือตุ๊กแกของเสวี่ยอู่ใบหน้าคมคายนั้นฉายแววหงุดหงิด ทว่าใบหน้าและใบหูกลับแดงระเรื่ออย่างอายๆ
    “เมียจ๋า ยกโทษให้ข้านะ” คำเรียกขานของเสวี่ยอู่ทำให้กระบี่ลมปราณสีส้มเรืองรองผุดขึ้นฟาดเข้าหาร่างโปร่งบางจนเจ้าตัวพลิ้วไหวหลบไปด้วยความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
    “ใครเมียเจ้าไปตายซะ!” น้ำเสียงหงุดหงิดและดวงตาวาววับอีกทั้งกระบี่บินไล่ฟันเสวี่ยอู่อย่างเอาเป็นเอาตาย จิวชงหยวนยกมือลูบหัวมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ แม้จะถูกต้อนรับทว่าหลังจากที่อวี้เฟิ่งเห็นเสวี่ยอู่เหตุการณ์ก็เป็นดั่งเช่นที่เห็น ในเวลานี้
    “เชิญพวกท่านไปที่พักที่ห้องก่อนขอรับเพราะคงอีกนานกว่าท่านประมุขจะกลับมาขอรับ” คนสนิทของอวี้เฟิ่งบอกกล่าวเชื้อเชิญพร้อมพาไปยังห้องพักสำหรับแขก บรรยากาศที่นี่ดูร่มรื่นไม่น้อย
    ตูม!
    เสียงการโจมตีของทั้งคู่ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ จิวชงหยวนหันไปมองเส้นแสงที่ทั้งคู่หายไปพร้อมยืนไว้อาลัยเสวี่ยอู่ให้ยังมีหัวตั้งอยู่บ่นบ่าเช่นเดิม
    “พวกเขาตีกันบ่อยหรือ” หนานจี้กงที่เดินเงียบมาตลอดทางเอ่ยถามคนสนิทของอวี้เฟิ่งด้วยความสงสัยใคร่รู้ ซึ่งคนนำทางได้แต่ยิ้มแหยแล้วบอกเสียงเบา
    “นั่นเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ขอรับ แต่ไม่เห็นจะฆ่ากันจริงๆ สักที เดี๋ยวไม่นานก็คงกลับมาสนทนากับพวกท่านเองขอรับ” คนนำทางบอกกล่าวก่อนจะโค้งหัวให้ถอยกลับไป จิวชงหยวนเดินไปนั่งโต๊ะรับแขกพร้อมรินน้ำชาให้ลู่เฟยกับหมิงอี้ฟานตามมารยาท
    “เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เจ้าว่าเราจะคุยกับเขารู้เรื่องไหม” ลู่เฟยรับน้ำชามาดื่มพร้อมนั่งลงข้างกาย ตามมาด้วยคนอื่นๆ ที่นั่งจิบชารอจ้าวตำหนักไปพลางๆ
    “ไม่รู้เหมือนกันแต่จากที่รับรองเราขนาดนี้น่าจะรู้เรื่องอยู่มั้ง” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างสบายๆ เพราะดูท่าทางและกิริยาเมื่อครู่นี้แล้วพวกเขาก็น่าจะรักกันดี คิดว่านะ ไม่เช่นนั้นเสวี่ยอู่คงไม่มีชีวิตมาทำหน้าซื่อตาใสแต่เจ้าเล่ห์เกินคนต่อหน้าเขาได้หรอก
    “สายของข้าบอกว่าคนของพรรคพยัคฆ์คำรนกำลังมุ่งหน้ามาแคว้นฉาน คงหมายจะปลิดชีพเจ้าโดยเฉพาะ ข้าได้ยินเรื่องพยัคฆ์คำรนตามหาเจ้ามานานไม่คิดว่าจะเป็นจิวชงหยวนคนที่ข้ารู้จัก” คำกล่าวของหมิงอี้ฟานทำให้จิวชงหยวนนิ่งงันไป คิ้วขมวดมุ่นนึกถึงพรรคพยัคฆ์คำรนพรรคที่หมายสังหารเขาตั้งแต่วันที่สองที่มาเหยียบโลกใบนี้
    จากวันที่เขาฆ่าต้าหลงในวันนั้นกลับสร้างความบาดหมางมายาวนานถึงเพียงนี้ แต่หากไม่ทำก็เป็นเขาเองที่ต้องตายตก มือขาวเนียนที่ช่วยชีวิตผู้คนมามากแต่กลับแปดเปื้อนเลือดคนชั่วมามากเช่นกัน แม้ภายนอกเขาจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทว่าใครจะรู้ว่าในใจเขาเจ็บปวดมากแค่ไหน และส่วนมากเขาจะใช้ยาสลบแบบรุนแรงพร้อมหลบหนีมามากกว่า ถึงทำให้ปัจจุบันมีศัตรูเพิ่มขึ้นมากทุกวัน
    “ข้าเคยสังหารต้าหลงอดีตองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายของประมุขพยัคฆ์คำรน แต่หากข้าไม่ทำเช่นนั้นข้าก็คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ได้” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบพร้อมกรอกชาในถ้วยลงคออีกครั้ง
    “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ยุทธภพนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด” ลู่เฟยยืนมือมาจับมือเรียวเอาไว้อย่างปลอบประโยนหัวใจ จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะดึงมือกลับอย่างเก้อเขินเมื่อเห็นสายตาสามคู่มองมาที่พวกเขา
    “ทำอะไรเกรงใจข้าบ้างสิ แค่นี้ข้าก็แทบกระอักโลหิตตายอยู่แล้ว” หมิงอี้ฟานบอกเสียงเรียบ ดวงตาฉายแววเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน ลู่เฟยเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่สนใจ จิวชงหยวนยิ้มแหยมองคนอกหักอย่างไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไรดี ทว่าเมื่อมองคนร่างเล็กกว่าตนก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเพราะหมิงอี้ฟานเองก็ไม่ได้มองคนข้างตัวเองเลยเช่นกัน เรื่องของความรักนี่มันสั่งหัวใจไม่ได้จริงๆ
    
    อวี้เฟิ่งมองคนหลบได้เร็วยิ่งกว่าลิงอย่างหงุดหงิด ยิ่งนานวันเจ้าตัวยิ่งเร็วกว่าเขาเป็นสิบเท่า ใบหน้าคมคายมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าเพราะความเหนื่อยแต่ยังไม่สามารถเอาเลือดชั่วๆ ของเสวี่ยอู่ออกมาได้เลยสักนิดจนน่าเจ็บใจกับความอ่อนหัดของตัวเอง มือขวาสะบัดกลางอากาศพร้อมกระบี่บินหายไป ตอนนี้เขาเหนื่อยจนไม่มีอารมณ์จะไล่ฟันคนเจ้าเล่ห์อย่างเสวี่ยอู่แล้ว เห็นใบหน้าใสซื่อนั่นมันลวงโลกชัดๆ ไม่เช่นนั้นเขาไม่ตกเป็นเมียของเจ้านั่นหรอก ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจไม่หาย
    “เมียจ๋า เหนื่อยแล้วหรือ” เสียงหวานๆ พร้อมชะโงกหน้ามาจากหลังต้นไม้ ทำให้อวี้เฟิ่งคิ้วกระตุอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่ายเพราะทุกครั้งที่จบลงก็คือเขาเป็นคนวางมือเองเพราะเสวี่ยอู่ไม่เคยตอบโต้เขาสักครั้งเดียว มีดีได้แค่หลบไปมาจนน่าหงุดหงิดเท่านั้น
    อวี้เฟิ่งกอดอกยืนมองคนที่ค่อยๆ ชะโงกออกมาทั้งตัวพร้อมก้าวเข้ามาหาเขาอย่างกล้าๆ กล้วๆ ความจริงก็อยากจะพูดคุยให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลย ครั้งแรกยอมรับว่าโกรธมากจนแทบฆ่าคนเจ้าเล่ห์อย่างเสวี่ยอู่ทว่าไปๆมาๆ หลายครั้งกลับทำให้เขาคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด
    “เจ้าไม่เห็นข้าหนึ่งเดือน เจ้าไม่คิดถึงข้าบ้างหรือ” เสวี่ยอู่เดินเข้ามาพร้อมเอ่ยถามด้วยใบหน้าน่าสงสาร ทว่าสำหรับอวี้เฟิ่งมันน่าโดนถีบสักทีสองที
    “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าเองก็คิดถึงข้า แต่ไม่กล้าจะบอกข้าใช่ไหมล่ะ” อวี้เฟิ่งมองคนที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางคนตรงหน้าเขาสายตาจะมีปัญหาจริงๆ ถึงมองเขางดงามและยังไม่พอยังมองว่าเขาคิดถึงเจ้าตัวอีก ไหนๆ หมอเทวดาจิวชงหยวนก็มาเยือนถึงที่แล้วคงต้องให้ผ่าตัดดวงตาของเสวี่ยอู่ดูบ้างแล้ว และเป็นไปได้เขาอยากให้ผ่าสมองดูด้วยข้างในของใบหน้าปัญญาอ่อนนี่คิดออะไรอยู่กันแน่
    “เจ้าโกรธข้าหรือ แต่ข้าชอบเจ้าจริงๆ นะ ต่อให้ตายข้าก็ต้องทำให้เจ้ารักข้าให้ได้” อวี้เฟิ่งมองคนพูดแล้วทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะหันหลังหนีคนตรงหน้าพร้อมเดินกลับพรรคอย่างไม่สนใจคนร่างโปร่งบางที่ยืนมองเขานิ่งๆ แต่ก็นิ่งได้ครู่เดียวเท่านั้นเพราะตอนนี้เจ้าตัววิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาจนต้องหยุดเดิน
    “หลีกไป” อวี้เฟิ่งบอกเสียงเรียบ ดวงตาคมมองคนร่างโปร่งบางที่เขารู้ดีว่าภายในไม่ได้ผอมแห้งอย่างที่คิด อีกทั้งสวนนั้นมันใหญ่จนทำให้เขาลุกไม่ขึ้นเชียว แต่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าและใบหูกลับแดงก่ำ ไม่นะ นี่เขากำลังคิดบ้าอะไรอยู่
    “เจ้าไม่สบายหรือ ทำไมหน้าแดงจัง” เสวี่ยอู่เอ่ยถามพร้อมยื่นหน้ามาใกล้ มือเรียวยกขึ้นแตะหน้าผากอวี้เฟิ่งอย่างเป็นห่วงจนเขาต้องเบือนหน้าหนี
    “กลับได้แล้วคนอื่นรออยู่” บอกเสียงเรียบก่อนจะเดินนำไป ทว่ากลับหยุดชะงักเมื่อมือเรียวยึดข้อมือเขาแน่น ดวงตาคมหันไปมองคนที่ร่างเล็กกว่าตนเองอย่างขัดใจ ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจเมื่อคนร่างโปร่งบางเกี่ยวคอเข้าโน้มลงจูบปากอย่างไม่ขออนุญาต รสจูบที่ร้อนแรงและอ่อนหวานทำให้เขาเผลอจูบตอบกลับอย่างลืมตัวอาจเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับริมฝีปากเรียวบางนี้ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้กินยาอะไรอย่าหวังว่าจะได้รุกเขาเลย มือหนากอดเอวบางเข้าหาตนพร้อมบดขยี้จูบตอบจนเสวี่ยอู่ครางแผ่วออกมาอย่างลืมตัวเช่นกัน
    “นี่เมียคิดจะกดข้าจริงๆ หรือ” เสวี่ยอู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางเมื่อตอนนี้ตัวเองโดนกดแนบกับต้นไม้ใหญ่
    “ข้าแค่จะเอาคืน” อวี้เฟิ่งตอบกลับแล้วยกยิ้มบางที่ทำให้คนมองตามหัวใจเต้นระรัวอย่างดีใจ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ทำให้คนฟังหัวใจกระตุก
    “เพราะข้ารักเจ้าหรอกนะถึงได้ยอมเจ้า แต่ไม่ใช่ตรงนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่ามีแขกมาพบ” อวี้เฟิ่งมองคนพูดอย่างไม่ไว้ใจแม้คำว่ารักจะทำให้หัวใจสั่นไหวแต่ความเจ้าเล่ห์ที่เขารู้ดี ทำให้หวาดระแวงเช่นกัน
    “คิดจะวางยาข้าอีกหรือไง” อวี้เฟิ่งเอ่ยถามเสียงเรียบก่อนจะผละออกมาเพราะตอนนี้ไม่มีอารมณ์ต่อแล้ว ซึ่งเสวี่ยอู่ก็เดินตามมากอดแขนข้างขวาอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้านกับดวงตาคมๆ ที่มองมา
    “เปล่า สัญญาแล้วไง แค่เจ้ามีแต่ข้า รักข้าจะให้เป็นผัวหรือเป็นเมียสำหรับข้าไม่มีปัญหาหรอก แค่มีเราสองคนก็พอแล้ว” อวี้เฟิ่งเบือนหน้าหนีด้วยความอาย หากเป็นเช่นดังที่เสวี่ยอู่กล่าวมาจริง เขาก็คงตกหลุมรักคนข้างตัวนี้เข้าแล้วล่ะ
     “เจ้าคงรู้ว่าจิวชงหยวนมาหาเจ้าทำไม” น้ำเสียงจริงจังที่นานๆ ทีจะได้ยินจากคนข้างตัวทำให้อวี้เฟิ่งเหลือบตามองเล็กน้อยแล้วครางรับในลำคอเบาๆ
    “อืม”
    “เจ้าคิดจะช่วยเขาไหม” อวี้เฟิ่งมองนิ่งไปข้างหน้านึกไปถึงหมอเทวดาจิวชงหยวนใบหน้าที่งดงามจนสะดุดตา แต่ที่เขายอมต้อนรับเพราะชื่อเสียงของหมอเทวดาหน้าหวานที่รักษาผู้คนไปทั่วหล้าต่างหาก และเขาคิดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่มาหาเขาในวันนี้
    “เจ้าน่าจะรู้จักพรรคธานตะวันดีไม่ใช่หรือไง” อวี้เฟิ่งตอบกลับเสียงเรียบ คนข้างตัวพยักหน้ารับรู้เขาจึงหยุดนิ่งหันมามองอย่างจริงๆ จังๆ
    “แล้วเหตุใดเจ้าถึงเดินทางมากับคนผู้นั้น”
    “เจ้าหึงข้าหรือดีใจจัง” น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นร่าเริงและแววตาแพรวพราวทำให้อวี้เฟิ่งถอนหายใจยาวแล้วก้าวเดินหนีอีกครั้ง คิดผิดจริงๆ ที่คิดว่าจะคุยกับเสวี่ยอู่รู้เรื่อง...


      ขอบคุณทุกคอมเมนท์และทุกกำลังใจมากนะคะ ดีใจมากเลยที่อย่างน้อยก็มีคนชอบเรื่องนี้ ขอบคุณมากจ้าขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ  :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 26-09-2015 16:52:01
รอตอนต่อไปจ้า   :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 26-09-2015 17:55:26
โอ้ว้าว คู่นี้มันช่าง o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2015 18:04:37
 :-[
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 26-09-2015 19:21:58
มาให้กำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Nighttime ที่ 26-09-2015 21:06:18
เพราะรักเท่านั้น จะรุกจะรับ ก็พร้อมเพราะรักได้ใจเลยค่
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 26-09-2015 21:28:12
อ่านตอนนี้แล้ว

ตอนที่อวี้เฟิ่งปรากฏตัวนึกว่าเมะซะอีก

แต่ทำไมโดนเสวี่ยอู่ชายผู้บอบบางจับกดซะได้
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 26-09-2015 21:29:05
ขำแบบโพดโพ เข้าข่ายรุกรับสลับ(ทำ)รัก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 26-09-2015 21:46:40
อืม นายเอกผมกำลังจะเป็นศึกครั้งใหญ่ ถ้าไม่มคนช่วยก็แย่พอดูนะ แล้วจะสร้างมิตรได้ไหมเนี้ย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 26-09-2015 21:53:17
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 27-09-2015 00:34:45
เสวี่ยอู๋ดูจะเจ้าเล่ห์มิใช่น้อย ชอบสำนวนการแต่งมาก เก็บตังรอนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 27-09-2015 08:27:40
'พี่ฟาน'รักเศร้าเดียวต่างหาก

เราชอบคนตัวบางท่กดตนตัวหนากว่าได้นานๆถึงจะมีคู่แบบนี้ 'เสวี่ย'นายแน่มาก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 27-09-2015 11:45:25
เง้อออ น่ารักจังน้าาา อย่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเลยยย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 27-09-2015 15:12:38
ชอบค่ะ ชอบมากๆ รักเลย
ตามหานิยายแนวนี้มานาน
ติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 28-09-2015 00:28:10
อ่านยาวมาจนถึงตอนนี้ บอกเลยคะว่าสนุกมาก. อย่าลืมมาต่อไวไวนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่36จ้าวตำหนักธานตะวัน ตอนที่10 (P.10วันที่ 26/9/58)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 28-09-2015 11:36:28
 :a5: ตอนนี้มันสั้นลงรึเปล่าหว่า แต่ไม่เป็นไรมาต่อไวๆก็โอเคและ 5555  :katai2-1:
เสวี่ยอู๋ เจ้าจะมาไม้ไหนอีกกกก ข้าจะรอดูความจริงใจของเจ้า กั้กๆๆๆ จิวหยงชวนจะได้หนุ่มมาเพิ่มในสต็อกมั้ย?  :hao3:  :hao3:  :ruready  :ruready รอลุ้นนนน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่10 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 02-10-2015 13:00:51
บทที่37 แยกทาง
 ตอนที่10 เล่ม 2(P.11วันที่ 1/10/58)

        จิวชงหยวนหันไปมองเจ้าบ้านที่ไม่รู้ว่าไปฆ่าฟันกันท่าไหนถึงได้กอดแขนกันกลับมาเหมือนไม่มีเรื่องหมางใจกันมาก่อน และดูจากภายนอกเสวี่ยอู่มองอย่างไรก็เป็นฝ่ายรับหากเจ้าตัวไม่วางยาอวี้เฟิ่งไม่มีทางที่จะได้เป็นฝ่ายรุกแน่ๆ
    “ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทไม่ได้ต้อนรับพวกท่านดี” อวี้เฟิ่งกล่าวทักทายพร้อมยกมือคารวะตามพิธีและพวกเขาก็ตอบรับด้วยวิธีเดียวกัน
    “พวกข้าต่างหากที่มารบกวนท่าน ต้องขออภัยท่านแล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างสุภาพเพราะที่นี่ไม่ได้นับอายุเพราะเขานับกันที่วรยุทธอีกทั้งอวี้เฟิ่งมีตำแหน่งถึงจ้าวยุทธย่อมต้องมีเกียรติอยู่ในตัว ดวงตาคมมองมายังเขานิ่งๆ ก่อนจะมาหยุดที่ลู่เฟยกับหนิงอี้ฟาน
    “ท่านประมุขพรรคหมิงเทียนยังสบายดีอยู่หรือไม่” อวี้เฟิ่งเอ่ยถามหมิงอี้ฟานเสียงเรียบใบหน้าแม้จะนิ่งเรียบแต่คิ้วที่ขมวดมุ่นมองคนที่เกาะแขนตนอย่างเคืองๆ ทำให้จิวชงหยวนนึกขำไม่ได้ เพราะหากไม่มีจิตพิศวาสต่อกันคงไม่มาจบต่อภาพนี้หรอก เขาน่าจะฉลองให้กับเสวี่ยอู่นะที่ยังมีหัวตั้งอยู่บนบ่าเช่นเดิม
    “ท่านพ่อสบายดีขอรับ” หมิงอี้ฟานตอบเสียงเรียบ ซึ่งอวี้เฟิ่งพยักหน้ารับรู้
    “พวกท่านคงเดินทางมาเหนื่อยและหิว เชิญพวกท่านไปร่วมทานอาหารเย็นกับข้าก่อนเถิด” อวี้เฟิ่งกล่าวต้อนรับอย่างจริงใจแม้จะเป็นคนที่เย็นชาไปบ้างแต่ก็ยังรู้จักต้อนรับแขก จิวชงหยวนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอวี้เฟิ่งถึงถูกเรียกว่าจอมยุทธผู้มีคุณธรรม หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วย บรรยากาศดูสบายๆ กว่าที่คิดเอาไว้
    หลังจากที่ร่วมรับประทานอาหารเสร็จจึงได้ร่วมสนทนาและบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้อวี้เฟิ่งฟังไปด้วย แม้อวี้เฟิ่งจะดูเหมือนคนเย็นชาทว่าใจดีกว่าที่เห็นภายนอกมากนักและยังยินดีช่วยเหลือจิวชงหยวนอย่างเต็มและนั่นไม่ทำให้เขาแปลกใจเลยว่าทำไมเสวี่ยอู่ถึงยังมีชีวิตอยู่  แม้เสวี่ยอู่จะยังมีปริศนาให้ค้นหาคำตอบว่าเจ้าตัวเป็นใครกันแน่ เพราะเวลานี้เขามั่นใจแล้วเสวี่ยอู่มิใช่บัณฑิตจบใหม่อย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญเพราะตราบใดที่เสวี่ยอู่ไม่หันคมดาบเข้าหาเขาก็จะยังถือว่ายังเป็นสหายเหมือนที่ผ่านมา
    พรึบ!
    จิวชงหยวนยืนมองนกพิราบสื่อสารที่บินลงมาหาลู่เฟยอย่างครุ่นคิดเพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจะต้องกลับวังหลวงหลังจากที่ออกมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว ใบหน้าเคร่งเครียดที่หันมามองทำให้เขาส่งยิ้มบางไปให้ ลู่เฟยเดินเข้ามาหาเขาหลังจากที่อ่านข้อความจบลง
    “วังหลวงมีการเคลื่อนไหว ข้าจำต้องไปช่วยรัชทายาทลั่วเหยียนเจิ้ง” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเคร่งเครียดที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนยิ้มบางแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    “เจ้ามาที่นี่ย่อมมีหน้าที่เช่นเดียวกับข้า หากเมื่อไหร่ที่หน้าที่ของเจ้าจบลงย่อมกลับมาร่วมทางกับข้าได้ ไยจะกังวลไปทำไม”
    “แต่เจ้าใช่ว่าจะปลอดภัย” ลู่เฟยบอกอย่างเป็นกังวลมือหนาโอบร่างโปร่งบางมากอดอย่างหวงแหน
    “ข้าไม่ใช่คนไร้ฝีมือ อีกอย่างยังมีหมิงอี้ฟาน จุ้ยซิงและหนานจี้กงอยู่เป็นเพื่อน” จิวชงหยวนบอกกล่าวยกมือลูบหลังลู่เฟยอย่างปลอบโยน แม้หัวใจจะรู้สึกโหวงแหวงในอกก็ตามอาจเป็นเพราะเขากับลู่เฟยอยู่ร่วมกันมาตลอดหนึ่งปีและไม่เคยแยกจากกันมาก่อน
    “ข้าเชื่อว่าหมิงอี้ฟานจะปกป้องเจ้า แต่ข้าก็ไม่ไว้ใจ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหมิงอี้ฟานคิดเช่นไรกับเจ้าแล้วอย่างนี้จะให้ข้าวางใจได้เช่นไร” จิวชงหยวนเอียงคอมองคนที่หึงแล้วอมยิ้มบางๆ
    “หึงเหรอ”
    “เจ้าน่ารู้อยู่แล้วยังจะมาถามอีก” ลู่เฟยตอบกลับแล้วเบือนหน้าหนีอย่างอายๆ จิวชงหยวนยิ้มขำยกมือคล้องคอคนตัวโตอย่างเอาใจ
    “แต่ข้าเป็นคนของเจ้าแล้วนะ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำด้วยความอาย แม้ไม่อยากจะพูดแต่ก็อยากให้ลู่เฟยสบายใจไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังเช่นในเวลานี้ ใบหน้าคมคายหันมามองเขาด้วยแววตาแพรวพราวก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากที่ช่างยั่วด้วยอารมณ์ปรารถนา
    เพร้ง!
    เสียงป้านน้ำชาล่วงหล่นลงพื้นจนแตกกระจายทำให้ทั้งคู่พละออกจากกันหันไปมองต้นเสียงอย่างตื่นตกใจ ใบหน้าและดวงตาที่ฉายแววเจ็บปวดของหมิงอี้ฟานทำให้จิวชงหยวนรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เรื่องของหัวใจเขาเองก็สั่งไม่ได้เช่นกัน
    “ข้าขอโทษที่มาขัดจังหวะ” แม้น้ำเสียงที่พยายามให้มั่นคงทว่าจิวชงหยวนก็รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นดี
    “เจ้ากลับไปนอนก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับอี้ฟาน” ลู่เฟยหันมาบอก จิวชงหยวนซึ่งก็พยักหน้ารับแล้วเดินเลี่ยงออกไปจากหน้าตำหนักที่พัก
    “ตามข้ามาสิ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบก่อนจะเดินไปทางสวนไผ่ทางด้านหลังตำหนักที่พัก หมิงอี้ฟานมองตามแล้วถอนหายใจก่อนจะก้าวเดินตามออกไปปล่อยให้คนรับใช้ของที่นี่ทำความสะอาดข้าวของที่เขาทำแตกเสียหาย
    ลู่เฟยเดินมาหยุดที่ศาลากลางสระบัวที่มีโคมไฟสลัวๆ ที่ถูกจุดเอาไว้ กลางศาลามีหมากล้อมไว้ให้เล่นด้วย เขาเดินไปนั่งรอหมิงอี้ฟานอย่างเงียบๆ
    “ไม่คิดว่าท่านอยากสนทนากับข้าสองต่อสอง” หมิงอี้ฟานกล่าวสียงเรียบทว่าน้ำเสียงยังคงหลงเหลือความนับถืออาจเป็นเพราะฝีมือของลู่เฟยเป็นที่ยอมรับและประจักษ์แก่สายตาว่าเก่งกาจและที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือคนตรงหน้าเป็นถึงองค์ชายแคว้นลั่วหยาง
    “ข้าต้องกลับวังหลวงและมิอาจเดินทางร่วมกับจิวชงหยวนได้ ข้ารู้ว่าเจ้าจะอยู่เคียงข้างจิวชงหยวนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าไม่ได้อยากฝากฝังเจ้าดูแลชงหยวน แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าย่อมทำตามใจปรารถนาอยู่แล้ว” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบมองสบตากับหมิงอี้ฟานซึ่งนั่งลงตรงข้ามเขาอย่างใจเย็นเช่นกัน
    “ถึงท่านไม่ฝากข้าก็อยู่เคียงข้างชงหยวนอยู่แล้ว แม้ต้องตายข้าต้องปกป้องคนที่ข้ารักด้วยชีวิต” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังและแววตาแน่วแน่ของหมิงอี้ฟานทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้น แม้คนตรงหน้าจะเป็นศัตรูหัวใจทว่าหากคนผู้นี้ปกป้องคนที่รักในเวลาเขาไม่ได้อยู่ด้วยก็คงต้องยอม และที่สำคัญเขาเชื่อใจจิวชงหยวนว่าไม่ผันแปรเป็นอื่น
    “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะแย่งคนรักท่านหรือไง” หมิงอี้ฟานเอ่ยถามด้วยความสงสัย การได้พูดคุยและการได้ประลองดาบหลายวันที่ผ่านมาทำให้เขาเปิดใจยอมรับลู่เฟยมากขึ้น
    “เหตุใดข้าต้องกลัวในเมื่อหัวใจจิวชงหยวนอยู่ที่ข้า” ลู่เฟยตอบกลับอย่างมั่นใจ เพราะถึงแม้ชีวิตมนุษย์เขาจะดับลงก็ยังกลับไปเป็นเทพและอยู่เคียงข้างจิวชงหยวนได้ แต่คนตรงหน้าเขาอย่างมากสุดก็แค่ทำให้เขารำคาญใจไม่กี่ปีเท่านั้น
    “ทำไมท่านมั่นใจเช่นนั้น” หมิงอี้ฟานเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก แม้จะยอมรับแต่ใช่ว่ายอมแพ้ ทว่าลู่เฟยยกยิ้มบางจนทำให้อดหมั่นไส้ไม่ได้
    “อี้ฟานมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าไม่รู้ จิวชงหยวนมิใช่มนุษย์ธรรมดาที่เจ้าจะอยู่เคียงข้างได้ตลอดไป”
    “ข้อนั้นข้ารู้อยู่แล้ว แล้วเกี่ยวอะไรกับที่ข้ารักจิวชงหยวน” ลู่เฟยมองคนถามแล้วเหม่อมองไปบนท้องฟ้าที่มีดวงดาวดวงเล็กๆ ทอแสงประกายให้เห็น
    “เกี่ยวสิ หากจิวชงหยวนรักเจ้า แล้ววันใดที่เจ้าจากไปจิวชงหยวนจะเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ต้องอยู่ลำพังไปอีกหลายร้อยปี” ลู่เฟยตอบกลับอย่างใจเย็น เพราะเขาเคยทนรับความรู้สึกนั้นมาก่อนแล้ว ทนจนกลายเป็นคนเย็นชา ทว่าคนที่จากไปไม่ใช่เขาแต่เป็นจิวชงหยวนที่ดวงจิตไปอยู่ในภพภูมิอื่น มันทรมานที่มีรักแต่มิอาจได้อยู่เคียงข้าง มันเจ็บปวดจนเจียนตายที่ความคิดถึงบีบคั้นหัวใจ
    “แล้วท่านกับข้าต่างกันที่ใดกัน ข้ารู้ว่าชงหยวนมิใช่มนุษย์ แล้วท่านเล่ามีดีกว่าข้าเช่นนั้นรึ” คำถามของหมิงอี้ฟานทำให้ลู่เฟยเหลือบตามองเล็กน้อย ทุกคนย่อมมีชะตากรรมเป็นของตัวเองแม้แต่ตัวเขายังกำหนดไม่ได้ แต่ที่ทำให้เขามั่นใจคือจิวชงหยวนเป็นของเขาไม่ว่ากายหรือใจ ดวงตาคมมองหมิงอี้ฟานนิ่งๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ
    “ตอนนี้ข้ากับเจ้ามิต่างกัน เพียงแต่ข้านั้นแม้ชีวิตมนุษย์จะดับลงก็ยังกลับมายืนเคียงข้างจิวชงหยวนได้”
    “หากท่านทำได้ไยข้าจะกลับมาไม่ได้เล่า ข้ามั่นใจว่าความรักที่ข้ามีต่อจิวชงหยวนต่อให้เหลือเพียงดวงจิตข้าก็จะกลับมาปกป้องจิวชงหยวนให้ได้” คำกล่าวที่ดื้อรั้นทว่ากลับทำให้ลู่เฟยใจสั่นสะท้าน การตั้งจิตแน่วแน่ของหมิงอี้ฟานในเวลานี้กำลังทำให้เขารู้สึกกลัว หวังว่าภพหน้าคงไม่เจอกันอีกหรอกนะ ลู่เฟยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
    “หากเป็นเช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” ลู่เฟยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแววตาแน่วแน่ หมิงอี้ฟานเพียงแค่ยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่สนใจ
    “ใจข้าก็อยากทำเช่นนั้น แต่ข้าคงทำร้ายหัวใจคนที่ข้ารักไม่ได้หรอก และข้าคงทนเห็นน้ำตาของจิวชงหยวนไม่ได้” คำตอบที่ทำให้ลู่เฟยอึ้งไปไม่คิดว่าหมิงอี้ฟานจะมีใจบริสุทธิ์ขนาดนี้ แต่หากเขาตายจริงๆ จิวชงหยวนจะร้องไห้ให้เขาจริงๆ หรือ ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายเลย ยกเว้นค่ำคืนที่เขาบอกรักทั้งคืนเท่านั้น แต่ถึงหมิงอี้ฟานจะรักจิวชงหยวนมากแค่ไหนเขาก็ไม่อาจปล่อยดวงใจให้ใครได้เช่นกัน...
    จิวชงหยวนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออ้อมกอดที่คุ้นเคยพร้อมร่างของลู่เฟยนอนอยู่ข้างกาย เขาแกล้งหลับตาทำเหมือนนอนหลับไปแล้ว ทว่าริมฝีปากที่แนบมากลางหน้าผากของเขาก่อนจะไล่ลงมาที่ตา จมูก ปากจนเขาต้องลืมตาโพลงขึ้นมามอง
    “คนหื่น” จิวชงหยวนว่าให้เบาๆ ทว่าลู่เฟยเพียงแค่ยิ้มรับบาง ร่างหนานอนกอดเขาพร้อมซบลงบนซอกคอเขาอย่างแผ่วเบาและนอนนิ่งๆ จนน่าแปลกใจ
    “ไม่สบายใจอะไรหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอาการผิดปกติของคนข้างตัว
    “หนทางข้างหน้ายังอีกไกลนัก เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าต้องเข้มแข็ง แม้ข้าจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าแต่ขอให้จดจำไว้ว่าข้าอยู่ในหัวใจเสมอ” คำกล่าวจริงจังและอ้อมกอดที่รัดแน่นขึ้นทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจเพราะเหมือนคำสั่งลาอย่างไรอย่างนั้น
    “ข้ารู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นยาวไกล แต่เจ้าก็สัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะรีบกลับมา”
    “ข้าจะพยายาม” ลู่เฟยตอบเสียงแผ่ว แม้ไม่ได้หนักแน่นแต่จิวชงหยวนกลับมั่นใจว่าลู่เฟยต้องรีบจัดการทางนั้นแล้วรีบกลับมาตามสัญญา มือเรียวลูบแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบโยนแม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งใดแต่ความจริงลู่เฟยห่วงเขามากกว่าที่แสดงออก
    “หายเจ็บยัง” คำถามที่ไม่มีที่ไปที่มาทำให้จิวชงหยวนนิ่งไป ดวงตาเรียวตวัดมองดวงตาคมที่เริ่มวาววับขึ้นมา
    “นอนไปเลยเจ้าบ้า” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำพร้อมหันหลังให้อย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะในลำคอของลู่เฟยทำให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
    “ไม่ได้จริงหรือพรุ่งนี้ข้าต้องไปแล้วนะ” เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้ใบหน้างดงามร้อนผ่าว
    “กลับมาก่อนสิ แล้วข้าจะมีรางวัลให้” กระซิบตอบกลับอย่างเก้อเขิน ดวงตาหลับตาพริ้มรับสัมผัสอบอุ่นที่ถูกจูบศีรษะอย่างรักใคร่
    “ข้าจะรีบกลับมา” ครั้งนี้น้ำเสียงหนักแน่นกว่าครั้งแรกมากนักอาจเพราะมีรางวัลมาล่อตาให้ต้องรีบเร่งจัดการธุระของตัวเองให้เสร็จ มือหนากอดกระชับร่างโปร่งบางเข้าหาแผ่นอกซึมซับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ออกจากเรือนร่างโปร่งบางไว้ในจิตใจเพื่อไว้เป็นกำลังใจยามที่ห่างไกล
    “ข้ารักเจ้า” คำบอกรักที่ได้ยินทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบางที่มุมปาก ก่อนจะปล่อยกายปล่อยใจล่องลอยไปกับความอบอุ่นในอ้อมกอดของลู่เฟย คนที่เขาเปิดใจยอมรับและเป็นคนที่ทำให้เขากล้าที่จะยอมรับความจริงมากขึ้น
    เช้าวันรุ่งขึ้นลู่เฟยได้ออกเดินทางกลับแคว้นลั่วหยาง จิวชงหยวนหลังจากที่สนทนากับอวี้เฟิ่งได้จึงขอเดินทางไปช่วยเหลือผู้คนต่อไป โดยครั้งนี้มีเพียงหมิงอี้ฟานกับจุ้ยซิงและหนานจี้กงสามคนเท่านั้น ส่วนเสวี่ยอู่นั้นขออยู่เอาใจเมียก่อน แต่ ณ เวลานี้เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าใครผัวใครเมียเพราะอวี้เฟิ่งนั้นมาดแมนสมชายชาตรี ลักษณะท่าทางและดวงตาคมกริบโดยรวมแล้วไม่มีส่วนไหนที่จะโดนกดลงได้
    “เจ้าไปรักษาผู้คนก็อย่าไปปล่อยเสน่ห์ที่ไหนอีกล่ะ” เสวี่ยอู่กล่าวคำลาด้วยรอยยิ้ม ทว่าท่าทางตอนนี้มันน่าผิดสังเกต หวังว่าเมื่อคืนคงไม่สมสุขกันถึงเช้าหรอกนะ แต่ทำไมอวี้เฟิ่งถึงดูปกติไปหมด น่าแปลกจริงๆ
    “เรื่องของข้า เจ้าเองก็อย่าไปวางยาใครอีกล่ะ” ตอบกลับด้วยใบหน้าสะใจนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้าซีดๆ ของเสวี่ยอู่และดวงตาคมกริบของอวี้เฟิ่งที่ตวัดมองสามีอย่างดุๆ แล้วทำให้เขานึกขำไม่ได้ คงไม่ใช่เสวี่ยอู่กลัวเมียหรอกนะ
    “ข้าขอลาท่านจ้าวตำหนักขอรับ” หมิงอี้ฟานบอกพร้อมก้มหัวให้ก่อนจะเดินตามเขาไปและติดตามมาด้วยพร้อมสองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เขาไม่ค่อยได้สนทนาด้วยนัก อาจเป็นเพราะทั้งคู่เป็นคนไม่ค่อยพูด
    การเดินทางในครั้งนี้จิวชงหยวนรู้สึกเหงาใจแปลกๆ อาจเป็นเพราะปกติจะมีลู่เฟยติดตามเสมอทว่าวันนี้ต่างต้องกลับไปทำหน้าที่ของตน เช่นเดียวกับเขาในขณะนี้
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    เสียงปะทะกันดังมาจากทางข้างหน้าจิวชงหยวนจึงหยุดนิ่งประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขารู้จักหยิ่งทรนงไม่ช่วยเหลือมั่วอีกต่อไป
    “ไม่ไปดูหรือขอรับท่านหมอจิว” หนานจี้กงที่คนเงียบสุดเอ่ยถามอย่างร้อนรน จิวชงหยวนเหลือบตามองทุกคนซึ่งดูเหมือนหมิงอี้ฟานแววตาจะสงบที่สุด
    “ไม่ใช่เรื่องของเรา ไปทางนั้นเถอะข้าอยากเก็บสมุนไพรไปด้วย” ตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย แม้หนานจี้กงจะไม่เห็นด้วยทว่าเมื่อเห็นหมิงอี้ฟานเดินตามเขาจึงยอมเดินตามมาเงียบๆ เช่นกัน
    ตุ๊บ!
    จิวชงหยวนหยุดเท้ามองคนที่ล่วงตกมาอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาสงบ ตอนแรกก็ไม่คิดจะสนใจหากคนที่เห็นไม่ใช่คนที่รู้จัก
    พรึบ
    และไม่ทันได้มีเวลาคิดร่างโปร่งบางก็ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเรียกระบี่ออกมาต้านรับกระบี่เขี้ยวพยัคฆ์ของนักฆ่าที่กำลังพุ่งเข้าหาไป๋เสวี่ยอย่างทันท่วงที
    เคร้ง!
    “นี่มิใช่กงการของท่าน โปรดอย่ายื่นมือมายุ่งเกี่ยว” เสียงที่แหบพร่าที่ไม่สามารถรู้อายุจริงได้ทำให้จิวชงหยวนหรี่ตามองอย่างพิจารณาการยืนและท่าทางบ่งบอกว่าวรยุทธสูงล้ำ
    “ชงหยวน อึก!” ไป๋เสวี่ยเอ่ยเรียกเขาพร้อมกระอักโลหิตออกมา
    พรึบ!
    หมิงอี้ฟานและอีกสองคนพุ่งเข้าป้องโอบล้อมป้องกันเขาทันทีโดยไม่ต้องมีใครสั่ง จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองสามคนที่พยายามปกป้องเขาแล้วถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ก่อนจะหันไปมองนักฆ่าสามคนที่ยืนคุมเชิงเช่นกัน
    “ต้องขออภัยคนที่พวกท่านกำลังสังหารคือสหายของข้า” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบ ตอนแรกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวแต่เหมือนเรื่องจะวิ่งเข้ามาหาเขาไม่หยุด
    “หากเป็นเช่นนั้นพวกข้าคงต้องขอชีวิตเจ้าเช่นกัน” กล่าวจบทั้งสามก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ทว่าทั้งสามคนที่ปกป้องเขาก็ออกไปต้านรับแทนหมดเขาได้แต่ยืนคุมเชิงอีกที มองดูท่าร่างที่ใช้การต่อสู้แล้วเหมือนนักฆ่าคนละกลุ่มที่มาเอาชีวิตเขา
    เคร้ง เคร้ง!
    เสียงการปะทะของทั้งสามคนดังไปทั่วป่า จิวชงหยวนมองดูแล้วจุ้ยซิงจะเสียเปรียบกว่าอาจเป็นเพราะตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม เขาจึงช่วยสะบัดเข็มพิษพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ของจุ้ยซิงเพื่อตัดกำลังช่วย อีกสองคนที่โรมรันนั้นดูดุเดือดไม่น้อย ทว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขารู้ว่าทั้งคู่ยังไม่ได้เอาจริง
    ตูม!
    เสียงการปะทะกันและออกห่างไปทำให้จิวชงหยวนเดินเข้าไปหาไป๋เสวี่ยที่บาดเจ็บไปทั้งตัว ดวงตาเหลืบมองขึ้นมานั้นพร่ามัวก่อนจะส่งยิ้มบางมาให้
     “ก่อนตายอย่างน้อยข้าก็ได้เจอเจ้า” จิวชงหยวนคุกเข่าลงไปหาคนที่กำลังจะตายแต่ยังมีหน้ามาส่งยิ้มให้เขาอีก ทว่าพิษที่ไป๋เสวี่ยโดนทำให้เขาหายใจสะดุดเล็กน้อย ผงนิทราหมื่นเทวาที่ทำให้นอนหลับใหลไม่ตื่นจนกว่าจะผ่านไปหมื่นวัน และที่สำคัญเขาไม่มียาแก้พิษชนิดนี้เพราะมันใช้ส่วนผสมที่ทำให้เขาไม่กล้าปรุงนั้นคือหัวใจของกิเลน อีกอย่างใช่ว่าตัวกิเลนจะหาได้ง่ายๆ เหมือนกระต่ายป่า
    “ไป๋เสวี่ย เจ้าห้ามหลับเป็นอันขาด!” จิวชงหยวนประคองร่างของไป๋เสวี่ยขึ้นมาพร้อมเขย่าร่างนั้นให้รู้สึกทว่าดวงตาที่เหมือนจะหลับนั้นทำให้เขารู้สึกใจหาย
    “ดวงตาข้าหนักเหลือเกิน” เสียงแหบพร่าที่ดังมาแผ่วเบาทำให้เขารู้สึกร้อนรนเป็นครั้งแรก
    “ห้ามนอนนะ หากเจ้าหลับอีกหมื่นทิวาเจ้าถึงจะตื่นขึ้นมา หรือไม่เจ้าก็ต้องสิ้นลมแน่ ลืมตาขึ้นมาก่อน” จิวชงหยวนตบหน้าหล่อเหลานั้นเบาๆ ก่อนจะรีบหายาที่ประคองให้ไป๋เสวี่ยไม่ให้หลับ แต่มันก็ช่วยได้แค่สามชั่วยามเท่านั้นอีกอย่างกินติดต่อกันก็ไม่ได้
    “หากข้าหลับไปฝากบอกหย่งเจิ้นด้วยว่าเขาต้องขึ้นครองบัลก์ลังก์แทนข้าให้ได้” น้ำเสียงแผ่วเบาที่ดังมาทำให้จิวชงหยวนตวัดมองอย่างดุๆ
    “ข้าไม่รับฝากเพราะฉะนั้นห้ามหลับจนกว่าข้าจะปรุงยาแก้ได้” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเริ่มลงมือทำบาดแผลให้อีกฝ่าย แม้ที่นี่จะไม่สะดวกนักแต่หากปล่อยช้าไปอาจทำให้ไป๋เสวี่ยหลับไปเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว แม้จะมียาแก้ชั่วคราวแต่ไม่รู้ว่าจะรั้งได้นานแค่ไหน
    “องค์รัชทายาทเป็นเช่นไรบ้าง” หมิงอี้ฟานเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใยซึ่งจิวชงหยวนไม่ได้แปลกใจที่หมิงอี้ฟานรู้จักก็เพราะหมิงอี้ฟานเป็นคนของแคว้นหางโจวอยู่แล้ว
    “ข้ายื้อได้แค่หกชั่วยามก่อนจะหลับไป ไป๋เสวี่ยโดนพิษผงนินทราหมื่นเทวา” จิวชงหยวนหลังจากทำแผลเสร็จหันไปมองหมิงอี้ฟานที่จัดการนักฆ่าเรียบร้อยแล้วนับว่าฝีมือหมิงอี้ฟานพัฒนาขึ้นมามาก
    “เจ้ารักษาได้หรือไม่” หมิงอี้ฟานเอ่ยถามพร้อมช่วยประครองไป๋เสวี่ยที่เรี่ยวแรงเริ่มหมดไปกับพิษยา
    “หากมีส่วนผสมของการปรุงยาครบ ข้าก็รักษาได้ทว่าสิ่งที่ขาดไปคือหัวใจกิเลนหากไม่ปรุงเองต้องไปหายาแก้ที่พรรคหมื่นพิษ” จิวชงหยวนบอกเสียงเครียด
    “หากเป็นเช่นนั้น ข้ายอมไปหาหัวใจกิเลนให้เจ้าดีกว่า”
    “ไม่ได้” ไป๋เสวี่ยที่หมดแรงกล่าวตอบมาอย่างแผ่วเบา และคำพูดนั้นทำให้เขาหันไปมองอย่างสนใจ    “ทำไม” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเครียดเพราะพิษผงนินทราหมื่นเทวานั้นนับว่าร้ายแรงเพราะมันเริ่มกัดกินเรี่ยวแรงจนหมดทำให้เหมือนเจ้าชายนิทราแต่เจ้าตัวกลับไม่ยินยอมให้ไปหาหัวใจกิเลน
    “เจ้ามีสหายไม่มากนักหากไปหายาแก้พิษให้ข้าใครจะปกป้องเจ้า  เวลานี้เจ้าอาจไม่รู้ข้าบังเอิญได้ยินข่าวมาว่าพรรคหมื่นพิษต้องการสังหารเจ้าที่ไปทำลายวรยุทธบุตรสาวคนเล็กของพรรคหมื่นพิษและไม่ใช่แค่พรรคนี้แต่พันธมิตรของพรรคหมื่นพิษหมายสังหารเจ้าทั้งนั้น
    “หากเป็นเช่นนั้นข้าจะปลอมตัวรอจนกว่าหัวใจกิเลนมาปรุงยาแก้พิษ แต่เวลานี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปพรรคที่หอกิเลนจนกว่าไป๋เสวี่ยจะหายดี” จิวชงหยวนบอกจริงจัง และมองรอบกายแล้วคงมีที่เดียวที่ปลอดภัยที่สุด
    “ใครๆ ก็รู้จักเจ้าในเวลานี้ เจ้าจะปลอมอย่างไรก็คงมีคนจำได้” หมิงอี้ฟานแย้งเสียงเบา จิวชงหยวนหันมามองเม้มปากนิดๆ อย่างตัดสินใจ เวลานี้ปัญหามีมากอย่างน้อยก็ขอยื้อชีวิตของไป๋เสวี่ยเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงหันมาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่ทำให้คนฟังทั้งสี่คนนิ่งอึ้งไป ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน
    “ข้าจะปลอมเป็นหญิง”



       :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่11 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 02-10-2015 14:37:46
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่11 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 02-10-2015 19:21:15
ถึงเวลาจากกันแล้ว

เวลาไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ขอให้ต่างคนต่างมั่นคงต่อกันนะ

มาให้กำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่11 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 03-10-2015 00:04:28
อร้าย หมอจิวจะเป็นสาวแล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่11 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-10-2015 01:11:58
เป็นชายยังลำบากเป็นแม่หญิงยิ่งไม่แย่หรือ กับสเหน่อันล้นเหลืออะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่11 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 03-10-2015 03:04:09
ท่านหมอจิวจะเป็นหญิงแล้ว 5555
สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่11 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 03-10-2015 08:35:41
จะมีปัญหาเพิ่มขึ้นรึเปล่าจงหยวน แต่เป็นหญิงเนี้ย คนที่รักที่หลงอยู่แล้วจะไม่หลงใหญ่หรอ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่11 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 03-10-2015 11:12:03
 :-[  :-[ จะเป็นสาวแล้วววว อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว :ling1:  :ling1: :katai1:  :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่37 แยกทาง ตอนที่11 (P.11วันที่ 1/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 03-10-2015 12:56:20
ปลอบเป็นหญิง!
จะเป็นยังไงต่อไปล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 03-10-2015 12:59:33
เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38
หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)

       หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วเขาก็พาไป๋เสวี่ยมาอยู่ที่หอกิเลนให้หุบเขามังกรคดในแคว้นเยี่ย และกว่าจะเดินทางมาถึงยาที่ให้ไป๋เสวี่ยประคองยื้อเวลาไม่ให้หลับก็หมดฤทธิ์ลง ตอนนี้เจ้าตัวจึงได้แต่นอนเป็นเจ้าชายนิทราเท่านั้น เขาจึงฝากอวิ้นเซียนคอยดูแลจนกว่ากลุ่มหมิงอี้ฟานจะกลับมา ส่วนตัวเขาตอนนี้น่ะหรือไม่อยากบอกเลยว่าผลการแต่งหน้าทำผมของเจียนเจียนทำให้เขาเป็นหญิงงามอยู่กลางป่าในเวลานี้ แม้จะไม่ชอบใจนักแต่เพื่อป้องกันเรื่องที่ตามมาจึงต้องทำเช่นนี้ก่อน
    จิวชงหยวนมาตั้งร้านอยู่ภายในเขตเมืองแคว้นเยี่ยซึ่งเจียนเจียนเป็นคนจัดการให้ซึ่งที่แห่งนี้อยู่ใกล้แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์มีกระท่อมหลังขนาดกลางที่ถูกสร้างขึ้นได้เร็วทันใจ ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้คบหากับคนหอกิเลนเพราะสะดวกสบายไปหลายอย่าง เขาช่วยรักษาผู้คนโดยไม่ได้คิดเงินเช่นเดิม ทว่าก็เจอพวกนักเลงหัวไม้มารังครวญเพราะไปทำให้ร้านยาร้านอื่นขายของไม่ได้ จนสุดท้ายเขาจึงยอมเก็บเงินนิดหน่อยพอเป็นพิธีเท่านั้น และครั้งนี้เขาไม่ได้รักษาทุกคนดั่งที่ผ่านมา เพราะไม่รักษาคนที่เป็นคนของพรรคมารและผู้ที่น่าสงสัย
    และข่าวอาการบาดเจ็บของไป๋เสวียเขาก็ได้ส่งนิพิราบสื่อสารไปให้หย่งเจิ้นแล้วอีกไม่นานก็คงมาตามเขามาที่แคว้นเยี่ยเช่นเดิม ตอนนี้เขามีผู้ช่วยซึ่งเป็นคนของหอกิเลนที่มีนามว่าเสี่ยวเหมาคอยช่วยเหลือและคอยจัดยาให้
    “ท่านหมอโปรดช่วยเจ้านายข้าด้วยขอรับ” น้ำเสียงร้อนรนและคุกเข่าอ้อนวอนดังอยู่หน้ากระท่อม จิวชงหยวนที่เวลานี้แต่งหญิงเต็มยศมีแค่ผ้าผืนบางปกปิดครึ่งหน้าเหลือเพียงดวงตาเพื่อป้องกันปัญหาที่ตามมา เนื่องจากแต่งเป็นชายก็มีคนมาหลงเสน่ห์มากพออยู่แล้ว
    ดวงตาเรียวปลายตามองคนที่คุกเข่าอยู่หน้ากระท่อมด้วยใบหน้าเฉยเมย มิเรียวหยิบหมากล้อมวางเล่นกับเสี่ยวเหมาอย่างไม่ได้ร้อนใจ
    “เจ้ากลับไปเถอะ ข้าไม่รักษาคนฝ่ายอธรรม” น้ำเสียงที่ดัดเหมือนผู้หญิงตอบกลับอย่างนิ่งสงบ มองคนป่วยที่โดนดาบเสียบทะลุกลางอกอย่างไม่สนใจ ประสบการณ์การช่วยงูเห่าไว้ทำให้เขาจำเป็นต้องแยกฝ่าย
    “โธ่ ท่านหมอพรรคอธรรมกับธรรมะผู้ใดเล่าเป็นผู้แบ่งแยก คุณชายข้านั้นเลือกเกิดไม่ได้ หน้าที่ต้องรับผิดชอบนั้นมีมาตั้งแต่เกิดท่านหมอโปรดเมตตาคุณชายข้าน้อยด้วย” คำอ้อนวอนที่ดูน่าสงสาร แววตาร้อนรนอีกทั้งมือหนาที่กอดร่างเจ้านายสั่นเทา
    จิวชงหยวนเบือนหน้าหนีกับภาพที่หดหู่ คำกล่าวของผู้ติดตามท่านนั้นกล่าวมาไม่ผิด คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะเลือกทำไม่ได้ เสียงหายใจที่แผ่วเบาที่เริ่มมอดดับลงเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวยิ่งทำให้จิวชงหยวนหัวใจบีบรัดแน่นขึ้น ความเป็นหมอยังมีอยู่ในตัวแต่หากช่วยเหลือ คนที่เจ็บย่อมเป็นเขาเอง เพราะคนตรงหน้าเป็นบุตรชายของพรรคโลหิตมารที่ตามล่าเขาในขณะนี้เช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ
    “เจ้าพาคุณชายกลับไปเถิด ข้าอยากพักผ่อน” บอกเพียงเท่านั้นก่อนจะลุกเดินหนีเข้าไปในบ้าน มือเรียวกำเข้าหากันแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปฏิเสธการรักษาผู้คน ใช่ว่าเขาจะไม่เจ็บปวดที่ช่วยได้แต่กลับไม่ช่วย
    “ท่านจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ต้องรักษาคุณชายข้าเดี๋ยวนี้” ผู้ติดตามที่นั่งอยู่ข้างๆ พุ่งเข้ามาหาจิวชงหยวนด้วยความเร็ว กระบี่คมเฉียบพาดอยู่ลำคอระหง เขาปลายตามองเล็กน้อยพรรคอธรรมต่อให้แสร้งพูดดีอย่างไรสุดท้ายทาสแท้ก็ออกมา
    “รักษาคุณชายซะถ้ายังไม่อยากตาย” น้ำเสียงข่มขู่พร้อมแววตาดุดันที่มองมาทำให้จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
    “หากเจ้าขยับอีกนิดเดียวคอเจ้าก็หลุดจากบ่าเช่นกัน” น้ำเสียงนิ่งๆ ของเสี่ยวเหมาดังขึ้นเบื้องหลังของคนที่ยกกระบี่พาดลำคอเขา ความเร็วที่เหนือชั้นทำให้มันเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะจะทรุดตัวคุกเข่าลงเพราะพิษแมงมุมสิบแปดเข็มทองที่ถูกทิ่งลงต้นคอด้วยความเร็ว
    “อึก!” หนึ่งในนั้นกระอักโลหิตออกมาและดิ้นทุรนทุรายจนทำให้ทุกคนเริ่มตื่นตระหนก
     “พวกข้าเป็นคนของของพรรคธารตะวัน หากอยากก่อเรื่องก็เชิญ” เสี่ยวเหมากล่าวเสียงเรียบโดยที่จิวชงหยวนได้แต่มองอย่างอึ้งๆ นี่มันหน้าด้านกว่าเสวี่ยอู่ชัดๆ แต่คำกล่าวอ้างนั้นกลับทำให้พวกนั้นร้อนรนไม่น้อย ก่อนจะรีบลากกันออกไปจากกระท่อมหลังขนาดกลางของเขาอย่างรวดเร็ว
    “เจ้ามันหน้าด้านกว่าที่ข้าคิด” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบที่ทำให้คนฟังยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน เสี่ยวเหมาคือกลุ่มเดียวกันกับเจียนเจียนซึ่งออกมาต้อนรับเขาเมื่อวันแรกที่ได้รู้จักที่หอโคมแดง
    “ข้าแค่ใช้สมองมากกว่ากำลัง อีกอย่างมันได้ผลดีเสมอ” จิวชงหยวนเหลือบตามองอย่างไม่โต้เถียงเพราะมันก็ได้ผลจริงๆ ดังที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง
    “ท่านหมอขอรับ ช่วยพ่อข้าด้วยขอรับ” เสียงเล็กๆ ของเด็กวัยแปดขวบปีพร้อมร่างเล็กๆ วิ่งมาทางหน้าบ้านจิวชงหยวนหันไปมองจึงได้รู้ว่าเป็นคนในหมู่บ้านใกล้ๆ นี้ เด็กน้อยหอบแฮ่ก จนน่าเวทนาอาจเป็นเพราะเร่งการเดินทางมา
    “พ่อเจ้าเป็นอะไรหรือเด็กน้อย” จิวชงหยวนเดินเข้ามาใกล้พร้อมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “พ่อข้าโดนงูกัดอยู่ชายป่าขอรับ ท่านหมอต้องช่วยพ่อข้าให้ได้นะขอรับ” น้ำเสียงและแววตาที่เอ่อไปด้วยหยาดน้ำตาไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนสงสัยรีบคว้าห่อผ้าก้าวออกจากบ้านตามเด็กน้อยไปทันที
    “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ไม่ต้องตามมา” จิวชงหยวนหันไปบอกเสี่ยวเหมาเพราะไม่มีคนเฝ้าบ้าน เผื่อมีใครมาหาแล้วไม่พบเจออีก ทั้งคู่เดินเข้าไปในป่าใหญ่จิวชงหยวนหยุดชะงักเมื่อรับรู้อาการผิดปกติสองเท้าหยุดชะงักมองภาพตรงหน้าด้วยความโมโห กลุ่มคนผ้าดำจับชายผู้หนึ่งผูกเชือกกับคอห้อยไว้บนกิ่งไม้ดวงตาเบิกโพลงอย่างน่าเวทนาพร้อมดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย
    “ท่านพ่อ! ปล่อยพ่อข้าเดี๋ยวนี้นะ” เด็กน้อยตะโกนก้องพร้อมหมายจะพุ่งเข้าไปหากลุ่มคนพวกนั้นเขาจึงยึดบ่าเล็กๆ เอาไว้
    พรึบ!
     และก่อนที่ร่างของชายฉกรรจ์จะสิ้นใจเขาก็ใช้มีดสั้นสะบัดออกไปตัดเชือกจนร่างนั้นล่วงหล่นลงมา  จิวชงหยวนจึงใช้ความเร็วไปรับร่างนั้นไว้ได้อย่างเฉียดฉิว
    “ไหนบอกว่าแม่นางผู้นี้ไม่มีฝีมือไง”พวกนั้นหันไปตะคอกกันเองก่อนจะหันมามองเขาด้วยแววตาหื่นกระหาย
    แค่กๆ
    พ่อของเด็กน้อยไอออกมาจนใบหน้าแดงก่ำหลังจากเพิ่งผ่านพ้นความตายมา มองผู้ช่วยเหลือแล้วยิ่งหน้าซีดเพราะหญิงสาวเพียงคนเดียวจะสู่โจรสวะพวกนี้ได้อย่างไร
    “พวกเจ้าถอยไปก่อน” จิวชงหยวนหันไปบอกสองพ่อลูกที่กอดกันกลมด้วยเสียงเรียบ ก่อนจะซัดเข็มพิษเข้ากลุ่มโจรโพกผ้าดำด้วยความเร็วจนมองไม่ทัน ทว่าหัวหน้ากลุ่มนับว่ายังมีฝีมือเพราะตีลังกาพลิ้วตัวหลบได้ทันท่วงที ส่วนลูกน้องทั้งสี่ของมันล้มลงสลบไปด้วยพิษยา
    “ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าผู้ใดจ้างเจ้ามา แต่หากยังมีชีวิตจงไสหัวไปซะ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ และเหมือนหัวหน้ากลุ่มจะลังเลไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจเผ่นหนีไปด้วยความเร็วเมื่อรู้ว่าวรยุทธต่างกัน
    “ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยชีวิตพ่อข้า และข้าขออภัยด้วยขอรับที่โป้ปดท่านเช่นนั้น” เด็กน้อยบอกด้วยแววตาเศร้าหมองดวงตาประกายความเสียใจอย่างสุดซึ้ง จิวชงหยวนยกมือลูบหัวเด็กน้อยแล้วบอกเสียงเบา
    “ข้าเข้าใจเจ้า”
    “ท่านหมอข้ากับลูกเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือก็จงบอกกล่าวได้ขอรับ” จิวชงหยวนหันไปมองสำรวจร่างของชายหนุ่มที่อายุน่าจะเท่ากับเขาซึ่งสภาพตอนนี้นับว่ายับเยินไม่น้อย
    “ข้าแค่ช่วยได้ตามที่เห็นสมควร ตัวท่านนั้นยังบาดเจ็บตามข้ากลับไปทำแผลที่บ้านก่อนเถอะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินนำกลับบ้านโดยมีสองพ่อลูกเดินตามด้วยความซาบซึ้งใจ ใบหน้าที่ปกปิดด้วยผ้าผืนบางแต่กลับมิอาจบดบังความงามนั้นไปได้ อาภรณ์สีขาวสะอาดยิ่งทำให้นางดูโดดเด่นอีกทั้งดูงดงามบริสุทธิ์เหมือนแก้วที่แสนบอบบาง
    จิวชงหยวนที่เดินนำหน้ารู้สึกขนกายลุกชันกับสายตาของพ่อเด็กน้อยที่เดินตามหลังเขามา หวังว่าไม่คิดพิเรนทร์กับเขาหรอกนะ เพียงไม่นานก็กลับมาถึงกระท่อมหลังขนาดกลางซึ่งเขาเรียกว่าบ้าน แม้ไม่ได้คิดตั้งหลักอยู่ที่แห่งนี้แต่ก็สะดวกเวลาที่หมิงอี้ฟานกลับมาพร้อมหัวใจกิเลน
    ทว่าเมื่อมาถึงที่บ้านกลับเห็นหย่งเจิ้นรออยู่ก่อนแล้วและตอนนี้กำลังมองเขาอย่างตกตะลึง จิวชงหยวนยกยิ้มบางพร้อมกล่าวทักทายเล็กน้อยเพราะไม่ได้เจอกันมานานนับปี
    “ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้”
    “หากข้ารู้ว่าเจ้าแต่งหญิงและงดงามจนหัวใจข้าสั่นไหวเช่นนี้คงกลับมาเร็วกว่านี้” คำหวานที่ทักทายไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนเก้อเขินแม้แต่น้อยนอกจากแยกเขี้ยวใส่คนที่บอกเขางดงาม หากไม่จำเป็นไยเขาจะมาแต่งหญิงให้วุ่นวาย
    “เจ้าคงอยากจะอายุสั้นกระมัง”
    “หากข้าได้กล่าวความจริง แม้ต้องตายด้วยน้ำมือเจ้าข้าก็ยินดี” เสี่ยวเหมามองสองคนที่จีบกันแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเชิญสองพ่อลูกเข้าไปทำแผลโดยที่ตัวเองเป็นรักษาบาดแผลให้เอง ปล่อยให้สองคนนั่นจีบกันตามสบายเพราะภาพแบบนี้รู้สึกจะเห็นบ่อยจนชินตาแล้วหลังจากมาเป็นผู้ช่วยหมอจิวผู้นี้
    จิวชงหยวนเชิญหย่งเจิ้นไปที่ห้องรับแขกพร้อมรินน้ำชาต้อนรับเหมือนเจ้าบ้านที่ดี ดวงตาคมจ้องมองเขาตลอดเวลาแววตาความรักและคิดถึงที่ส่งมาทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อยเพราะต่อไปนี้เขาคงไม่อาจตอบรับความรักของใครได้อีก
    “ไม่พบกันนับปีเจ้าคงสบายดีหรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบพร้อมจิบชาขึ้นชื่อของแคว้นเยี่ยที่อวิ้นเซียนนำมาให้ไปด้วย
    “ร่างกายข้าสบายดี แต่หัวใจข้าเจ็บปวดยิ่งนัก คราแรกข้าคิดดีใจที่เจ้าคิดจะตั้งถิ่นฐานที่นี่ ทว่ายามนี้ข้ากลับมาช้าไป ใช่หรือไม่” หย่งเจิ้นเอ่ยถามด้วยแววตาสั่นไหวน้ำเสียงสั่นพร่าเพราะหวาดกลัวกำลังหวาดกลัวกับความจริงตรงหน้า เขาแพ้แล้ว แพ้ให้กับองค์ชายห้าลั่วลู่เฟยที่ยอมละทิ้งต่ำแหน่งติดตามดูแลจิวชงหยวนมาตลอดหนึ่งปีในขณะที่เขาไม่สามารถทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลังได้
    จิวชงหยวนเหลือบตามองคนตรงหน้า แม้จะบอกว่าเจ็บปวดทว่าใบหน้ากลับนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้างดงามปลดผ้าสีขาวออกแล้วเงยหน้าสบกับดวงตาคมคู่นั้นอย่างจริงจัง
    “ข้าไม่มีข้อแก้ตัว เพราะไม่ว่าเช่นไรข้าก็ได้เลือกไปแล้วและไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แต่หากเจ้ายังเหลือเยื้อใยสักนิดข้าก็จักเป็นสหายเจ้าในกาลต่อไป” หย่งเจิ้นยกยิ้มที่มุมปากคล้ายยิ้มเยอะให้กับตัวเอง ดวงตาสั่นไหวคู่นั้นมองใบหน้างดงามจับตาของจิวชงหยวนไม่วางตาแล้วตอบกลับเสียหนักแน่น
    “ข้ารู้ตัวดีอยู่แล้วว่าข้านั้นแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น เพราะความรู้สึกบอกข้าว่าเจ้ากับลู่เฟยผูกพันธ์กันมาเนิ่นนาน หากคาดเดามิผิดเจ้ากับลู่เฟยคงรู้จักกันมาก่อนใช่หรือไม่” คำพูดของหย่งเจิ้นทำให้จิวชงหยวนนิ่งคิดไป เมื่อก่อนเขาก็คิดเสมอว่ารู้จักกับลู่เฟยเมื่อตอนมาที่ภพนี้  ทว่าหลังจากคืนนั้นวันที่เขาพร้อมยกหัวใจและร่างกายให้ลู่เฟยภาพต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นและผ่านมากลับเข้ามาแทรกในความทรงจำเหมือนกับหนังเรื่องหนึ่ง และจากคำพูดแปลกๆ ของลู่เฟยทำให้พอประติดประต่อได้ว่าเขาและลู่เฟยนั้นเป็นเนื้อคู่กันมาเนิ่นนานแล้ว
    “ข้ามีนิทานเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้เจ้าฟัง” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงแผ่ว หย่งเจิ้นพยักหน้ารับช้าๆ พร้อมยอมรับฟังนิทานเรื่องนั้น
    “กาลครั้งหนึ่งเมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีเด็กน้อยผู้หนึ่งอายุเพียงเจ็ดขวบปีเป็นลูกชาวนาที่ยากไร้ พวกเขามีชีวิตโดยทำไร่นาพอประทังชีวิต ทว่าในวันหนึ่งกลับมีโรคร้ายเข้ามาในหมู่บ้านคร่าชีวิตผู้คนในหมู่บ้านจนหมดแต่กลับหลงเหลือเด็กน้อยนามว่าเฟิ่งหวงเพียงผู้เดียว เขานำเบี้ยที่มีน้อยนิดเดินรอนแรมไปจากหมู่บ้าน ทว่ากาลเวลาผ่านไปไม่กี่เดือนเบี้ยที่น้อยนิดก็หมดไป ทำให้อดมือกินมือจนกลายเป็นเด็กน้อยขอทานที่เร่ร่อน เวลาผันเปลี่ยนไปฤดูแล้วฤดูเล่าจนเด็กน้อยอายุสิบสามขวบปี แต่แล้ววันหนึ่งก็ถูกชาวบ้านทำร้ายจากการลักขโมยผลไม้เพื่อประทังชีวิตตัวเอง แม้จะบาดเจ็บเจียนตายเด็กน้อยผู้นั้นก็ไม่เคยร้องขอความปราณี”
    จิวชงหยวนเล่าไปพร้อมจิบน้ำชาไปด้วยดวงตาเรียวเหลือบมองผู้ฟังที่มีสีหน้านิ่งเฉยทว่าหัวใจกลับสั่นระรัว เขาวางจอกชาลงพร้อมเล่าต่อด้วยน้ำเสียงโทนเดิม
    “ขณะที่เฟิ่งหวงคิดว่าตัวเองกำลังจะตายนั้นกลับเหมือนมีปฏิหารย์เกิดขึ้นกับเขา เฟิ่งหวงได้พบกับเทพหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่าลู่เฟยที่มาตามล่าปีศาจในโลกมนุษย์และบังเอิญเจอกับเฟิ่งหวง เทพลู่เฟยที่ได้ช่วยเหลือเด็กน้อยนั้นไว้และได้นำกลับไปเลี้ยงดูแลพร้อมฝึกวิชายุทธให้ที่ภูเขาเทียนซาน เวลาล่วงผ่านไปนานหลายปีจนเด็กน้อยนั้นเติบโตเป็นหนุ่ม ทว่าใบหน้านั้นกลับงดงามเหมือนหญิงสาว ความผูกพันธ์และใกล้ชิดทำให้ก่อเกิดความรักต้องห้ามระหว่างเทพกับมนุษย์ขึ้นมา”
    “เวลาหลายปีเช่นนั้นทำไมเทพผู้นั้นถึงยังไม่กลับสวรรค์ไยต้องให้ความรักมาครอบงำ” คำถามนิ่งๆ ของหย่งเจิ้นทำให้จิวชงหยวนมองนิ่งๆ ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    “เวลาของโลกมนุษย์กับสวรรค์ไม่เท่ากันหรอก เวลาร้อยปีของโลกมนุษย์ก็แค่เจ็ดวันของสวรรค์เท่านั้น หากเทพสวรรค์ลู่เฟยจะหายไปเพราะทำหน้าที่กำจัดปีศาจก็มิใช่เรื่องแปลก”
    “แล้วเป็นเช่นไรต่อไปในเมื่อเป็นรักต้องห้าม” จิวชงหยวนมองคนถามที่กำมือตัวเองแน่นแล้วยกยิ้มบาง เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มดี
    “ความจริงก็ไม่เชิงว่ารักต้องห้าม แต่ความรักระหว่างมนุษย์กับเทพนั้นส่วนมากทำให้เทพไร้ซึ่งหัวใจเพราะคนรักได้ตายจากไป ทว่าตัวเองกลับมีอายุอสงไขยปี บนสวรรค์จึงได้สั่งห้ามเรื่องนี้ เฟิ่งหวงใช่ว่ามีความรักแล้วจะไม่เจ็บปวดเพราะเขาเป็นชายที่มิอาจมีบุตรให้คนที่รักได้”
     เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้จิวชงหยวนก็มองหย่งเจิ้นอีกครั้งเพราะอยากให้ตระหนักว่าหากต้องมีความรักระหว่างชายกับชายนั้นมิใช่เรื่องผิด แต่มิอาจมีบุตรสืบทอดสกุลได้อีกต่อไป แม้จะเป็นเทพแต่ทุกอย่างย่อมมีกฎเกณฑ์ ก่อนจะเล่าต่ออย่างช้าๆ
    “ อีกทั้งต้องคอยรับความกดดันเรื่องติฉินนินทราจากคนทั่วแคว้น เพราะช่วงเวลานั้นไม่มีใครยอมรับในเรื่องนี้ เฟิ่งหวงต้องทนรับมันทุกอย่างแต่เฟิ่งหวงก็เต็มใจที่จะรับมันเพราะความรักที่มีให้เทพลู่เฟย ทว่ากาลเวลาผันเปลี่ยนแม้ความรักที่มีให้เทพลู่เฟยมากแค่ไหน เฟิ่งหวงก็ต้องรับชะตากรรมที่ตัวเองต้องแก่เฒ่าลงโดยที่เทพลู่เฟยยังหนุ่มแน่นตลอดกาล ความเจ็บปวดที่เขาต้องแบกรับโดยมิอาจบอกให้คนรักรู้ได้ แต่เทพลู่เฟยกลับเข้าใจข้อนี้ดีเขาเปลี่ยนร่างให้แก่เฒ่าตามกาลเวลาเพื่ออยู่ร่วมกับคนรัก กาลเวลามิอาจหยุดนิ่งเมื่อในวันหนึ่งเฟิ่งหวงได้สิ้นลมโดยที่ดวงจิตหลุดไปอยู่ที่กาลเวลาอื่นโดยไม่อาจหวนกลับมาได้อีก”
     จิวชงหยวนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อยในช่วงท้าย ดวงตาเรียวมองหย่งเจิ้นที่สงบกว่าที่คิด นี่เป็นแค่นิทานแบบฉบับย่อเท่านั้น หากเล่าทุกอย่างหมดจริงๆ ต่อให้เล่าสามวันก็ยังไม่จบเพราะความรักต้องห้ามระหว่างชายกับชายนั้นมันทั้งสุขและทุกข์ อีกทั้งอุปสรรค์มากมายที่พวกเขาต้องฝ่าฟันร่วมกัน ไม่เหมือนช่วงเวลานี้ที่เปิดรับเรื่องแบบนี้กันมากขึ้นจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
    “แล้วเทพลู่เฟยเป็นเช่นไรหลังจากนั้น” คำถามที่เรียบนิ่ง แววตาคมที่มองมาทำให้เขายกยิ้มบาง
    “ความรักอยู่ในใจเขาตลอดมา แต่ความคิดถึงที่มิอาจได้เคียงคู่ทำให้เทพองค์นั้นปิดกลั้นความรู้สึกตัวเองกลายเป็นคนไร้หัวใจในที่สุด เทพลู่เฟยกลับไปทำหน้าที่ของเทพสวรรค์โดยมีตำแหน่งแม่ทัพตะวันตกของสวรรค์จวบจนทุกวันนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่สวรรค์ได้นำดวงจิตของเฟิ่งหวงกลับมา ความรู้สึกเขาจึงค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง”
     จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มความสุขที่ได้กลับมาพบเจอ กลับมาร่วมทุกข์ร่วมสุขอีกครั้งแม้เรื่องที่เล่ามาจะเป็นอดีตระหว่างเขากับลู่เฟยหรือไม่ มันไม่สำคัญเท่ากับแค่ปัจจุบันที่ได้รักและอยู่เคียงข้างกันก็เพียงพอแล้ว
    “ข้าเข้าใจแล้ว” หย่งเจิ้นตอบกลับเสียงเรียบมือที่กำเข้าหากันแน่นเริ่มคลายออกเหมือนจะผ่อนคลายมากขึ้น จิวชงหยวนจึงรินน้ำชาให้อีกซึ่งเจ้าตัวก็ยกขึ้นดื่มทันที
    “เรื่องของโชคชะตาเป็นสวรรค์ที่ลิขิต แข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนามิได้หรอก”
    “นั่นเจ้าปลอบใจข้าหรือไง” จิวชงหยวนยกยิ้มบางแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    “เปล่า แค่บอกไว้เพื่อเจ้าจะไม่รู้ เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะข้าปลอบใจใครไม่เป็นหรอก ว่าแต่เรื่องของไป๋เสวี่ยเหตุใดถึงได้ออกจากวังหลวงมาจนถูกตามล่าเช่นนี้”
    “ข้าไม่ขอบอกได้หรือไม่” จิวชงหยวนแค่ยักไหล่รับอย่างไม่สนใจคำตอบ เรื่องในรั่วในวังไม่จำเป็นก็ไม่อยากยุ่งเช่นกัน เพราะพวกสุนัขจิ้งจอกมันเยอะไปหมดจนไม่รู้ว่าตัวไหนจะลอบกัดวันไหน
    “ตามใจเจ้าเถอะเพราะข้ารักษาไป๋เสวี่ยหายเมื่อไหร่ข้าก็ต้องเดินทางไปจัดการกับปัญหาของข้าเช่นกัน
    “หากเป็นเรื่องของพรรคโลหิตมารข้าจะจัดการให้โดยไม่ต้องถึงมือเจ้า” หย่งเจิ้นบอกอย่างจริงจัง จิวชงหยวนพนักหน้ารับเข้าใจ แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ช่วยแก้ปัญหาไปอีกอย่างก่อนจะบอกเล่าสิ่งที่ยังติดใจในเวลานี้
    “พรรคโลหิตมารนั้นข้าไม่ได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อย แต่ที่ทำให้ข้าปลอมเป็นหญิงเช่นนี้เพราะคนของพรรคหมื่นพิษและพรรคพยัคฆ์คำรน ที่หมั่นส่งนักฆ่ามาเยี่ยมเยียนข้าบ่อยจนน่าเบื่อ”
    “เจ้าทำลายวรยุทธแม่นางซือเยว่นั้นโด่งดังไปทั่วพรรคมาร เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มากๆ ข้าได้ส่งนักรบเงาคอยติดตามเจ้าระหว่างที่ข้าต้องไปจัดการธุระต่อ แต่พรุ่งนี้ข้าคงต้องขอไปเยี่ยมองค์รัชทายาทก่อนไม่ว่าเช่นไรข้าก็ไม่มีทางขึ้นครองบัลลังก์แทนแน่ๆ ความหวังนี้ฝากไว้ที่เจ้าแล้ว” หย่งเจิ้นบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกทั้งลุกขึ้นคารวะจนจิวชงหยวนนิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจ
    “อย่าคิดมากเลยอย่างไรพวกเขาก็เป็นสหายข้า หมิงอี้ฟานเดินทางไปหาหัวใจกิเลนในไม่ช้าก็คงกลับมา” หย่งเจิ้นพยักหน้ารับก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม
     บรรยากาศเงียบๆ จิวชงหยวนจึงชวนอีกฝ่ายไปเป็นเล่นหมากล้อมเพราะอยากรู้วิธีคิดในการรับมือของหย่งเจิ้นบ้าง บรรยากาศที่ศาลาริมน้ำดูสบายๆ โดยที่เสี่ยวเหมาส่งสองพ่อลูกกลับหมู่บ้านก็มานั่งสนทนาด้วยทำให้ไม่เงียบอย่างที่คิด
     ทว่าการวางหมากล้อมของหย่งเจิ้นนั้นดูฉลาดรอบคอบแต่น้อยกว่าลั่วเหยียนเจิ้งรัชทายาทแคว้นลั่วหยางมากนัก เพราะคนนั้นแม้จะรอบคอบแต่ก็ใช้คนเป็นอีกทั้งยังรู้วิธีผ่อนหนักเป็นเบาหลบเลี่ยงและโจมตีได้อย่างเฉียบขาด การวางหมากของทั้งคู่ทำให้รู้นิสัยของแต่ละคนได้อย่างดีเยี่ยม
    “ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะแพ้” หย่งเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าอึ้งๆ
    “ไม่หรอกเจ้าเป็นคนเถรตรงเกินไป ตรงต่อความคิดและวีถีตัวเองมากเกินไปจนมองข้ามบางสิ่งไป” จิวชงหยวนบอกพร้อมเริ่มวางหมากแต่ละตัวให้ดูอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายบางอย่างไปเรื่อยๆ จนไม่ได้สังเกตดวงตาคมที่มองมาพร้อมความคิดที่ผุดขึ้นในใจหย่งเจิ้นว่า
    ‘อย่าเป็นศัตรูกับจิวชงหยวนเป็นอันเด็ดขาด’


มาลงแล้วจ้า ฟางมีกิจกรรมแจกหนังสือ เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่แฟนเพจนะคะ ^^__^^
ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากจ้า จุ๊บๆ :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 03-10-2015 14:11:01
ุชอมมากเลย. ตามอ่านทั้งเล้าเป็ดและธัญวลัย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 03-10-2015 15:06:15
รอต่อไปขอรับ

ตามมาจากอีกเว็บ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 03-10-2015 15:50:32
รอตอนต่อไปจ้าาา  :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-10-2015 16:36:12
 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 03-10-2015 17:52:37
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :ling1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 03-10-2015 18:38:10
มาให้กำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 03-10-2015 19:05:08
ตอนนี้คิดถึงลู่เฟย

สงสารทั้ง2คนกับความรักในอดีต

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 03-10-2015 21:50:36
ชอบเรื่องนี้มาก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 04-10-2015 02:17:56
รักกันนานๆนะ คู่แข่งเยอะเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 04-10-2015 05:46:42
กลายเป็นแม่หญิงแล้ว
ชอบมาค่ะ > <
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่38 หญิงงามในกลางป่า ตอนที่12 (P.12วันที่ 3/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-10-2015 14:35:06
เพื่อนบอกว่าสนุกเลยมาลงชื่อติดตามค่ะ
อยากให้เคาะเว้นบรรทัดบ่อยๆหน่อยเพราะถ้าอ่านบนมือถือนี่เป็นพรืดเลย ขนาดอ่านไนคอมยังต้องเอาเคอเซอร์ลากตาม ครอบๆอ่านวาถึงไหนแล้ว ถ้ามีพื้นที่ว่างๆมากกว่าจะสบายตากว่าค่ะ
ขอบคุณค่ะ  :mew1: 
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 06-10-2015 14:57:56
บทที่39 หัวใจกิเลน
ตอนที่13 เล่ม 2 (P.12วันที่ 6/10/58)

         จิวชงหยวนได้พาหย่งเจิ้นมายังหุบเขามังกรขดซึ่งเป็นที่พักของหอกิเลน เพื่อมาดูอาการของไป๋เสวี่ยซึ่งตอนนี้นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงน้ำแข็งแทนที่อวิ้นเซียนไปแล้ว ใบหน้าไม่ได้ซีดเผือดเพราะไม่ได้มีพิษอย่างอื่นผสมเนื่องจากรักษาไปก่อนที่เจ้าตัวจะหลับ เขาพาหย่งเจิ้นมาแนะนำให้รู้จักกับอวิ้นเซียน ทว่าเหมือนจะทักทายรู้จักกันก็จริงแต่อวิ้นเซียนกลับไม่สนใจคนที่เขาอยากแนะนำสักนิดทำให้หย่งเจิ้นรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย เขาเองก็ได้แต่ยิ้มแหยเพราะรู้ว่าอวิ้นเซียนกำลังแกล้งหย่งเจิ้น
    
    “อาจารย์ท่านช่างงดงามยิ่ง”
    
     อวิ้นเซียนเอ่ยชมพร้อมเดินมากอดจิวชงหยวนอย่างออดอ้อนทุกครั้งเมื่อเห็นหน้า โดยไม่ได้สนใจสายตาแปลกๆ ของใครบางคนที่มองตาม รอยยิ้มอ่อนโยนและอบอุ่นของอวิ้นเซียนทำให้รู้สึกสบายใจ หากไม่ใช่คำพูดที่ชวนให้คิ้วกระตุก
    
    “ปล่อยข้าได้แล้วเดี๋ยวเจียนเจียนก็ไปนั่งร้องไห้อีกหรอก” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบพร้อมแกะมือตุ๊กแกของอีกฝ่ายออก
 
      “ใครจะร้องไห้ อย่าใส่ความข้าสิขอรับ” เจียนเจียนตอบกลับด้วยใบหน้าบึดบึ้งแต่ยังคงไว้ความนับถือ หลังจากรู้ว่าเป็นอาจารย์ของอวิ้นเซียนคำพูดจึงนอบน้อมมากขึ้น จิวชงหยวนหันไปมองแล้วอมยิ้มกับคนปากแข็ง น่าแกล้งจริงๆ
    
     “อะแฮ่ม!” หย่งเจิ้นส่งเสียงเรียกความสนใจทำให้จิวชงหยวนหันมายิ้มให้บาง
 
       “หืม เจ้าอยากกอดอาจารย์ด้วยคนหรอกหรือ” อวิ้นเซียนหันไปส่งยิ้มบางเอ่ยถามด้วยหน้าตาใสซื่อ หย่งเจิ้นที่ได้ยินคำตอบก็หน้าแดงหูแดงไปหมดจนทำให้ทุกคนอดขำไม่ได้
 
        “ท่านอย่าแกล้งประมุขหย่งเจิ้นสิขอรับ” เจียนเจียนเอ่ยปรามเสียงเรียบ ซึ่งอวิ้นเซียนเองก็ส่งยิ้มบางให้แล้วผละจากเขาไปลูบหัวเจียนเจียนอย่างรักใคร่ บรรยากาศสีชมพูวิ้งๆ ที่แผ่ออกมาทำให้เขามองอย่างเอือมๆ
    
      “เดี๋ยวข้าพาไปหาไป๋เสวี่ย ปล่อยให้สองคนนี้หวานกันต่อไปเถอะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมลากหย่งเจิ้นไปข้างในปากถ้ำซึ่งแยกออกไป
    
     “พวกเขาเหมือนจะรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าดี” หย่งเจิ้นที่เดินตามแรงลากของร่างโปร่งบางกล่าวออกมาอย่างจริงใจ
 
       “อืม”

        จิวชงหยวนตอบรับสั้นๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอวิ้นเซียนนั้นถือว่าพูดยากเหมือนกันเพราะคนเป็นอาจารย์ที่แท้จริงของอวิ้นเซียนนั้นเป็นเทพโอสถ แต่หากทำให้อวิ้นเซียนเสียใจเมื่อรับรู้ความจริงเขาก็จะปิดเป็นความลับต่อไป อีกอย่างเทพโอสถต้องการให้ผลออกมาเช่นนี้อยู่แล้ว กอปรกับระหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมาอวิ้นเซียนก็ทำให้ผูกพันธ์และคุ้นเคยเหมือนตัวเองมีลูกศิษย์จริงๆ เสียแล้ว
 
        จิวชงหยวนปล่อยมือคนที่เขาลากมาเมื่อถึงทางเข้าเดินไปกดปุ่มเปิดประตูหินอย่างคุ้นเคย แม้จะเดินห่างมาแต่อวิ้นเซียนกับเจียนเจียนก็เดินตามมาเช่นกันเพียงแต่ไม่ได้เร่งรีบเหมือนเขาเท่านั้น
    
     ครืดดด
    
      ประตูหินถูกเปิดออกพร้อมไอเย็นของน้ำแข็งแผ่ออกมาข้างนอก จิวชงหยวนเดินไปหาร่างที่นอนอยู่ใบหน้าที่หลับตาพริ้มไม่ได้ซีดไปกว่าเดิมและที่เขามาไว้ที่ห้องเย็นนี้เพื่อป้องกันให้ลมปราณของไป๋เสวี่ยยังคงใช้ได้เช่นเดิม เพราะกลัวว่าพิษนี้จะกัดกินพลังภายในไปด้วย หย่งเจิ้นเดินเข้าไปใกล้พร้อมจับชีพจรที่ยังคงที่ของอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วหันมามองพวกเขาที่ยืนห่างออกมา
    
     “เขาเหมือนหลับไปจริงๆ เจ้ารักษาเขาได้จริงใช่ไหมชงหยวน”
    
      “ข้าคิดว่าเจ้าเชื่อใจอาจารย์ข้ามากกว่าคำถามของเจ้านะหย่งเจิ้น”
 
       อวิ้นเซียนกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้ายิ้มบางๆ จิวชงหยวนมองทั้งคู่แล้วตอบกลับอย่างเข้าใจ แม้หย่งเจิ้นจะเชื่อใจว่าเขารักษาไป๋เสวี่ยหายแต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้หวาดกลัวเช่นกัน

       “เจ้าวางใจเถอะเพียงแค่ได้หัวใจกิเลนมาก็ปรุงยาได้แล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หย่งเจิ้นมองสบดวงตาเรียวด้วยความซาบซึ้งใจ
 
       “ขอบใจเจ้ามาก แผ่นดินแคว้นหางโจวเป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว”
 
        “อย่าได้คิดมาก ข้ามิได้หวังให้ใครมาติดหนี้บุญคุณข้า และไป๋เสวี่ยก็เป็นสหายข้าเจ้าโปรดวางใจเถอะ”     “ข้ามิคิดว่าพรรคหมื่นพิษจะปรุงยาพิษร้ายแรงเช่นนี้ได้ สมุนไพรที่ใช้ปรุงนั้นมีมากกว่าสามร้อยหกสิบชนิดอีกทั้งต้องใช้เวลาเคี่ยวยาสี่สิบเก้าราตรี และต้องนำมาอาบพระจันทร์อีกสิบสองราตรี”
 
        เจียนเจียนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะคนที่มีความรู้สมุนไพรพิษนิทราหมื่นเทวานั้นไม่ใช่มีมากนัก และที่เขาจำได้เพราะต้องท่องตำราหายามาแก้ให้อวิ้นเซียนแต่กลับใช้ไม่ได้ผลหากไม่เจอหมอเทวดาจิวชงหยวนทุกวันนี้เขาคงไม่ได้สมหวังในรัก แม้จะเป็นรักที่มีทั้งทุกข์และสุขก็ตาม
 
       “หากการปรุงนานขนาดนั้นและยังมากวิธีแล้ววิธีทำยารักษาต้องใช้วิธีเดียวกันหรือเปล่า” หย่งเจิ้นหันมาถามจิวชงหยวนด้วยความกังวล จิวชงหยวนเหลือบตาไปมองคนถามเล็กน้อยก่อนจะเดินไปจับชีพจรลมปราณของคนที่หลับตานิ่งดูอาการไปด้วยและตอบไปด้วย
    
    “หากเป็นคนอื่นปรุงอาจจะใช้เวลาดั่งที่กล่าวมา แต่ข้ามียาที่ยังเหลือจากหุบเขาแห่งเซียนทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเหมือนคนอื่น ขาดแค่หัวใจกิเลนที่ข้าไม่มีเท่านั้น”
    
     “หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องออกไปช่วยหมิงอี้ฟาน” หย่งเจิ้นหันมาบอกร่างโปร่งบางด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อยเพราะกิเลนใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
    
     “อาจารย์ต้องการหัวใจกิเลนหรือขอรับ”
 
        คำถามของอวิ้นเซียนทำให้จิวชงหยวนหันมามองแล้วพยักหน้ารับเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ได้บอกอวิ้นเซียนว่ายังขาดหัวใจกิเลน เพียงแค่ฝากร่างของไป๋เสวี่ยไว้เท่านั้น ดวงตาคมๆ มองมาที่เขาเหมือนดุนิดๆ พร้อมคำถามที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่คาดคิดว่าตัวเองจะสะเพร่าลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไร
    
      “อาจารย์ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นประมุขหอกิเลน และย่อมมีกิเลนอยู่ในหอกิเลนเช่นกันขอรับ” คำถามที่เป็นความหวังของทุกคน ดวงตาทั้งสองคู่มองอวิ้นเซียนด้วยความตื่นเต้น
    
     “อวิ้นเซียนศิษย์รัก เจ้าน่าจะบอกข้าเร็วกว่านี้นะ” จิวชงหยวนบอกเหมือนตำหนิทว่าใบหน้ากลับยิ้มระรื่นอย่างยินดี
    
      “อาจารย์มิได้บอกข้านี่ขอรับว่าต้องการหัวใจกิเลน บอกแค่ว่าให้หมิงอี้ฟานไปหาของสำคัญ”

         จิวชงหยวนอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเป็นจริงดังที่กล่าวมา อีกอย่างเพราะยังไม่มีใครแก้ยาพิษชนิดนี้ได้จึงไม่รู้ว่าต้องใช้สิ่งใดบ้าง แม้แต่ตำหนักหมื่นพิษที่ปรุงยาชนิดนี้ขึ้นเองก็ยังไม่มียาแก้ ตามข่าวที่แน่ชัดของอวิ้นเซียน สรุปว่าเขาเสียเวลาและเสียความรู้สึกไปกับการแต่งหญิงมาตลอดสามวัน แค่คิดก็อยากเอาหัวโขลกกับกำแพงให้กับความโง่เขลาของตัวเอง ยิ่งร้อนใจเป็นห่วงยิ่งทำให้ความรอบคอบลดลงไป
    
     หลังจากอวิ้นเซียนนำหัวใจกิเลนมาให้จิวชงหยวนก็เริ่มลงมือปรุงยาทันที โดยมีอวิ้นเซียนและเจียนเจียนที่มีความรู้เรื่องการปรุงยามาเป็นผู้ช่วย เขาเลยถือโอกาสสอนปรุงยาแก้พิษนิทราหมื่นเทวาให้ไปด้วย เขาใช้เวลาในการปรุงยาแก้พิษนานกว่าสามชั่วยาม
    
     ดวงตาเรียวมองเม็ดยาสีแดงใสแจ๋วอย่างพึงพอใจ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงไปรวมตัวห้องที่ไป๋เสวี่ยพักอีกครั้ง จิวชงหยวนให้หย่งเจิ้นประคองร่างที่หลับไหลมานั่งพิงบนอกแกร่งของตัวเอง จากนั้นเขาจึงป้อนยาพร้อมใช้ลมปราณช่วยให้กลืนยาลง ทุกสายตามองตามด้วยความตื่นเต้นว่าจะใช้ได้ผลหรือไม่
    
     เพียงไม่นานร่างที่เคยหลับใหลก็ลืมตาขึ้นมามอง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แม้จะมั่นใจและเชื่อมั่น ทว่าเมื่อได้มาเห็นด้วยตาเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนนับถือจิวชงหยวนมากขึ้น
    
     “มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้บ้าง” เจียนเจียนเอ่ยถามด้วยความทึ่ง ไม่ว่าจะรักษาอวิ้นเซียนหรือรักษาองค์รัชทายาทล้วนทำให้ประหลาดใจและยิ่งเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากขึ้นกว่าเดิม
    
     “หากไม่มีหัวใจกิเลนของพวกเจ้า ข้าก็ทำไม่ได้หรอก” จิวชงหยวนหันมาตอบเจียนเจียนและกลับมามองสำรวจร่างของไป๋เสวี่ยอีกครั้ง
    
    “ข้าเป็นหนี้ชัวิตเจ้าแล้ว”
    
      ไป๋เสวี่ยลุกขึ้นนั่งเองพร้อมพูดกับจิวชงหยวนด้วยความซาบซึ่งใจ ร่างโปร่งบางทำให้รู้สึกตกหลุมรักอีกครั้ง แต่รู้ดีว่าคนตรงหน้าอยู่สูงเกินจะเอื้อมถึง แม้ตนจะเป็นรัชทายาทก็ยังให้ความรู้สึกไม่คู่ควร ไหนจะมีน้องชายต่างมารดาที่หลงรักจิวชงหยวนที่เขาไม่อาจหักห้ามน้ำใจได้ หากไม่อยากเจ็บปวดคือต้องตัดใจ
    
      “ตอนนี้ไป๋เสวี่ยหายดีแล้วอาจารย์จะทำเช่นไรต่อไปขอรับ” อวิ้นเซียนเอ่ยถามเสียงเรียบดวงตาคมมองมานิ่งๆ
 
        “ข้าคงอยู่แคว้นเยี่ยสักพักเพื่อรออี้ฟานกับพรรคพวกกลับมา” จิวชงหยวนบอกความตั้งใจของตัวเอง
 
        “หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่อาจอยู่รอขอบคุณหมิงอี้ฟานได้เพราะราชสำนักในวังหลวงเริ่มกำจัดองค์ชายคนอื่นๆ บ้างแล้ว” จิวชงหยวนหันไปมองไป๋เสวี่ยที่มีสีหน้าเคร่งเครียด หย่งเจิ้นเองก็มิต่างกัน
 
        “แล้วไป๋หู่ยังสบายดีอยู่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยความห่วงใยอย่างน้อยก็คนเคยรู้จักกันมาก่อน
 
        “ไป๋หู่ยังสบายดี ตอนนี้กำลังฝึกซ้อมกำลังลับภายในพรรคเทพจันทรา” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และคิดว่าองค์ชายคนอื่นๆ คงไม่มีใครอยู่ในวังหลวงแล้ว และหากยังอยู่ก็คงไม่พ้นการจับกุม
 
         “หากเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบกลับไปเถิดเพราะหากชักช้าเสด็จพ่อของเจ้าอาจจะไม่รอด” จิวชงหยวนบอกอย่างเป็นห่วง อวิ้นเซียนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้ทางยุทธภพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักแต่ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจเกี่ยวกับข่าวทางในวังหลวงเลย
    
      “แล้วเจ้าล่ะ จะอยู่อย่างไร” หย่งเจิ้นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง จิวชงหยวนส่งยิ้มบางไปให้แล้วบอกเสียงเรียบ
 
         “ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้ายังคงแต่งแบบนี้ไปสักพัก” หย่งเจิ้นมองคนบอกไม่ให้ห่วงแล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ นี่เจ้าตัวไม่รู้บ้างหรืออย่างไรว่ายิ่งแต่งหญิงเช่นนี้ยิ่งทำให้เป็นห่วง ใบหน้างดงามสะดุดตากับรอยยิ้มบางที่ชวนให้ลุ่มหลงเช่นนี้ยิ่งทำให้ก่อเกิดศัตรูมากขึ้นเสียอีก หวังว่าภายภาคหน้าคงไม่เกิดศึกชิงนางขึ้นอีกหรอกนะ
    
    “เจ้าได้ดูคันฉ่องตัวเองบ้างหรือไม่” จิวชงหยวนหันไปมองไป๋เสวี่ยที่เอ่ยถามพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด ก็พอจะเข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงสิ่งใดกัน
 
       “ข้าดูทุกวันนั่นแหละพวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกถึงอย่างไรข้าก็มิได้อยู่ตัวคนเดียว”
    
      “หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้นข้าก็จะวางใจ แต่หากจะดี อวิ้นเซียนเจ้าสามารถอยู่คุ้มครองอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่” หย่งเจิ้นหันไปถามอวิ้นเซียนที่ยืนกอดออกมองมาที่พวกเขานิ่งๆ คิ้วคมเลิกขึ้นแล้วหันไปมองอาจารย์ตัวเองพร้อมตอบกลับเสียงเรียบ
    
      “พวกเจ้าจะห่วงใยอาจารย์ข้าก็ดีใจ แต่พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์ไม่ใช่หญิงอ่อนแอไร้กำลังสักหน่อย” น้ำเสียงเรียบๆ และใบหน้านิ่งๆ จริงจังของลูกศิษย์กำมะลอทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปไม่น้อย ไม่คิดว่าจะเชื่อมั่นอาจารย์มากขนาดนี้ แต่จะให้เขาบอกได้เช่นไรว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ได้แต่ลอบถอนหายใจปล่อยเลยตามเลย อะไรจะเกิดค่อยไปแก้กันอีกที
    
     “เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย และขอบคุณสำหรับที่พักของรัชทายาท” หย่งเจิ้นกล่าวบอกจิวชงหยวนก่อนจะหันไปขอบคุณอวิ้นเซียนที่พยักหน้ารับเบาๆ
 
        หลังจากตกลงกันได้แล้วและไป๋เสวี่ยไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อนจึงได้เดินทางกลับแคว้นหางโจวพร้อมกับหย่งเจิ้น ส่วนจิวชงหยวนก็กลับมากระท่อมที่พักซึ่งอวิ้นเซียนสร้างไว้ให้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีเจียนเจียนมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยเพราะอวิ้นเซียนต้องไปฝึกสอนลูกศิษย์คนอื่นๆ ในหอกิเลน
    
     “ท่านจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่พวกหมิงอี้ฟานกลับมา” จิวชงหยวนนั่งจิบชาที่ศาลารินน้ำหันมามองเจียนเจียนที่เอ่ยถามพร้อมยื่นขนมกุ้ยฮัวมาให้ทานเล่น
    
     “ข้าจะยังเดินทางรักษาผู้คนต่อไป แต่อาจจะใช้ร่างนี้ไปก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยตอบเพราะหลังจากที่เขาแต่งหญิงก็ไม่มีนักฆ่ามาลอบโจมตีอีกเลย มีแต่พวกที่อยากมาติดต่อเข้าพรรคด้วยเท่านั้นแต่ก็มิได้หักหาญน้ำใจอย่างที่กลัว
    
     “แล้วเจ้าจะปฏิเสธพวกนั้นอย่างไร”
 
        คำถามของเจียนเจียนพร้อมดวงตาเรียวที่มองไปยังกระท่อมขนาดกลางซึ่งบัดนี้มีคนมากกว่าสิบคนยืนแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอยู่จากนั้นทั้งสองกลุ่มก็เดินตรงดิ่งมาที่เขา จิวชงหยวนจึงนั่งยืดตัวตรงเก็บเท้าไว้ร่มผ้าอย่างระวัง
    
       ทว่ากิริยาตอนนี้ของจิวชงหยวนกลับดึงดูดมากขึ้นเหมือนองค์หญิงจากแคว้นไหนสักแห่งที่กิริยาท่วงท่าสง่างามและชวนให้น่าเกรงขาม
 
         “ข้าน้อยเหินหยาง ขออภัยท่านหมอที่พวกข้ามารบกวน ท่านประมุขศิลาแดงได้เชิญท่านไปร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยขอรับ” หนุ่มหน้ามนเดินเข้ามาทักทายพร้อมแนะนำตัว อีกกลุ่มหนึ่งก็ไม่ยอมน้อยหน้ากัน
 
         “ข้าน้อยฉือหรง ขออภัยที่มารบกวนท่านหมอ ข้าน้อยมาจากพรรคค้ำฟ้าอยากเรียนเชิญท่านไปร่วมดื่มชาและสนทนาด้วยขอรับ”
 
        จิวชงหยวนมองคนทั้งสองกลุ่มแล้วส่งยิ้มบางภายใต้ผ้าสีขาวผืนบางที่ปกปิดครึ่งหน้าแล้วกล่าวเสียงนุ่มหวานที่ดัดลงเล็กน้อย
 
      “ข้าต้องขอบคุณพวกท่านที่ให้เกียรติข้าไปร่วมดื่มชาสนทนาด้วย แต่เวลานี้ข้ามิสะดวกที่จะไปด้วยเนื่องจากเจ้าหอโคมแดงไม่สบายและยังโดนพิษที่ไม่ทราบที่มาจึงต้องรอดูอาการรักษาไปก่อน”
 
         น้ำเสียงหวานล้ำที่เอ่ยมาทำให้เจียนเจียนถึงกับสำลักน้ำชาก่อนจะแสร้งไอคอกแค่ก ทว่าดวงตาตวัดมองอาจารย์ที่เคารพรักของอวิ้นเซียนอย่างคาดโทษที่ไม่ยอมบอกอะไรล่วงหน้า
    
     “โอ้เป็นเช่นนี้เอง มิทราบว่าอาการท่านเจ้าของหอเป็นเช่นไรบ้างขอรับ” ฉือหรงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงแววตาที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนรู้สึกไม่ชอบมาพากล นี่เจียนเจียนคงไม่แอบไปมีกิ๊กหรอกนะ
    
     “อาการข้ายังมิหายดี ข้าไปเจอคนพรรคหมื่นพิษมาใช้บริการที่หอโคมแดงและเกิดโต้วาทีกันขึ้น มิคิดว่าคนพรรคหมื่นพิษจะร้ายกาจทำร้ายข้าที่อ่อนแอเช่นนี้ได้” จิวชงหยวนเหลือบตามองเจียนเจียนที่แสร้งยกมือคล้ายยกเช็ดน้ำตาอย่างเสียใจ ใบหน้างดงามเศร้าหมองไปด้วยยิ่งทำให้คนมองรู้สึกเห็นใจมากขึ้น
    
     ร้ายกาจ! นั่นคือนิยามเดียวที่จิวชงหยวนมอบให้เจียนเจียนในเวลานี้
 
         “หากเป็นเช่นนั้น หลังจากที่รักษาท่านเจ้าหอได้แล้ว ท่านจะให้เกียรติพวกข้าได้หรือไม่” จิวชงหยวนส่งยิ้มบางให้เหินหยางแล้วบอกเสียงแผ่วเบา
 
        “พวกท่านอยู่ฝ่ายธรรมะ ที่มีจิตใจคุณธรรมข้าย่อมให้เกียรติท่านอยู่แล้ว” คำตอบของจิวชงหยวนทำให้พวกเขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะขอตัวกลับไปเพื่อรอให้หมอเทวดาผู้งดงามไปร่วมสนทนาน้ำชาด้วย
    
     “ท่านช่างร้ายกาจ!” หลังจากที่พวกเขากลับกันหมดแล้วเจียนเจียนจึงหันไปต่อว่าจิวชงหยวนเสียงเครียด ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
    
     “มิกล้า มิกล้า ไฉนเลยข้าจะร้ายกาจเช่นท่านเจ้าหอโคมแดงได้เล่า” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างหยอกเย้าและทำให้เจียนเจียนสะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆ จนอดขำออกมามิได้
    
      วันนี้ทุกอย่างเหมือนจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หากไม่เห็นหมิงอี้ฟานกลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอม จิวชงหยวนลุกขึ้นเข้าไปประคองร่างสูงที่เดินโงนเงนกลับมาและอีกสองคนก็มีสภาพมิต่างกัน ทว่ารอยแผลตามตัวเหมือนกับพวกนี้ไปฟัดกับสุนัขที่ไหนมา

         หลังจากที่ทั้งสามคนกลับมาอย่างปลอดภัยแม้เสื้อผ้าจะขาดรุ่ยไปบ้างก็ตามและยังมีรอยไหม้ตามตัวเป็นหย่อมๆ จึงทำให้พอเข้าใจว่าพวกเขาไปฟัดกับกิเลนไฟกันมา กิเลนที่เขารู้จักมีสองชนิดคือกิเลนไฟและกิเลนน้ำ ซึ่งยาที่เขาใช้ปรุงนั้นใช้ได้ทั้งสองอย่าง จิวชงหยวนกับเจียนเจียนช่วยทำแผลให้ทั้งสามคนจนมีสภาพเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
 
        “ข้าไม่อยู่สามวันมานี้มีคนมาจีบเจ้าหรือไม่” คำถามแรกของหมิงอี้ฟานทำให้จิวชงหยวนคิ้วขมวดขึ้น ก่อนจะเอ่ยตอบกลับเสียงเรียบ
    
      “เจ้าต้องถามข้าสบายดีอยู่หรือไม่”
    
     “ก็ข้าเห็นเจ้าสบายดี เพียงแต่ความงามของเจ้าในเวลานี้ข้ากลัวว่าหัวบันไดบ้านจะไม่แห้งเสียแล้ว” คำกล่าวของหมิงอี้ฟานทำให้เจียนเจียนกับเสี่ยวเหมาหัวเราะคิกๆ อย่างชอบใจ
    
      “.....”
    
     จิวชงหยวนปิดปากเงียบอย่างจนใจเพราะที่หมิงอี้ฟานกล่าวมาก็มีส่วนถูกไม่น้อย จึงได้แต่เทเหล้าลงแผลอย่างไม่ปราณีด้วยความเจ็บใจ
    
     “ซี้ดดด เจ้าจะฆ่าข้าหรืออย่างไร” หมิงอี้ฟานร้องประท้วง
    
      จุ้ยซิงและหนานจี้กงมองตามอย่างสงสารศิษย์พี่แต่ก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ แต่ที่ทำให้พวกเขาจดจำไว้คืออย่าไปยั่วโมโหจิวชงหยวนขณะทำแผลเป็นอันขาด
 
        “ข้ามีเรื่องจะบอกพวกเจ้าอย่างหนึ่ง” จิวชงหยวนละออกจากแผลหันไปส่งยิ้มบางให้ทั้งสามคนที่หันมามองอย่างสนใจ
 
       “คือว่าไป๋เสวี่ยตอนนี้หายดีแล้วและกลับแคว้นหางโจวไปเมื่อบ่ายนี่เอง” คำพูดของจิวชงหยวนทำให้หมิงอี้ฟานและพรรคพวกถึงกับอึ้งไป นี่พวกเขาเสียเวลาไปเพราะอะไรกัน
 
        “แต่พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจหรอกนะเพราะสิ่งที่เจ้านำมาข้าจะนำมาปรุงยาไปใช้ตอนฉุกเฉิน” จิวชงหยวนยิ้มแหยให้ทั้งสามคนอย่างสำนักผิด หากเขาไม่ใจร้อนคงไม่เสียเวลาไปอย่างนี้ แต่จะบอกเสียเวลาเลยทีเดียวก็คงไม่ได้เพราะยังสามารถปรุงยาจากหัวใจกิเลนได้อีกมาก
    
     “หากเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องแต่งหญิงอีกแล้วน่ะสิ”จิวชงหยวนมองหมิงอี้ฟานแล้วเลิกคิ้วมองพร้อมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    
     “เจ้าไม่ชอบให้ข้าแต่งหญิงหรอกหรือ”
    
      คำถามของจิวชงหยวนทำให้หมิงอี้ฟานใบหูแดงก่ำอย่างเก้อเขิน จุ้ยซิงหันหน้าหลบภาพที่เห็นโดยมีหนานจี้กงลูบหัวอย่างปลอบโยน
    
      เจียนเจียนมองภาพที่มีทั้งเศร้าและสุขปนอยู่ด้วยแล้วส่ายหน้า เขามั่นใจว่าจิวชงหยวนรู้ว่าใครรู้สึกอย่างไร ทว่าความน่ารักและมีเสน่ห์ของอีกฝ่ายย่อมทำให้ยากต่อการหักห้ามใจ และตนเองโชคดีแค่ไหนที่อวิ้นเซียนมีใจให้ตน มิใช่คนงามตรงหน้าที่เขาไม่มีอะไรไปสู้ได้เลย
    
       “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหญิงหรือชายข้าก็ชอบทั้งนั้นแหละ” คำตอบของหมิงอี้ฟานเหมือนจะทำให้บรรยากาศรอบกายดูอึดอัดมากขึ้น จิวชงหยวนเองก็ยิ้มแหยไม่คิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้
    
      “พวกเจ้าคงหิวเดี๋ยวข้าไปหาอะไรให้กิน” จิวชงหยวนพูดตัดบทก่อนจะแยกไปทางห้องครัว เจียนเจียนกรอกตามองหมิงอี้ฟานซึ่งไม่รู้อะไรเลยว่ากำลังทำให้ใครอีกคนร้องไห้
    
      “ข้าเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวไปพักก่อนน่ะขอรับ”
    
      จุ้ยซิงบอกทุกคนด้วยรอยยิ้มบาง ทว่ารอยยิ้มกลับไม่ส่งถึงดวงตาคู่งามสักนิด หมิงอี้ฟานพยักหน้ารับโดยไม่ได้สังเกตสักนิดว่าเสียงคนที่เอ่ยขอสั่นสะท้านมากแค่ไหน เจียนเจียนมองภาพตรงหน้าแล้วอยากเอามือโบกหัวคนซื่อบื่อสักที ว่าควรรักผู้ใดมากกว่ากัน
    
      “ข้าขอตัวไปช่วยชงหยวนในครัวพวกเจ้าก็พักผ่อนรออาหารมื้อเย็นไปก่อนแล้วกัน”
    
       เจียนเจียนบอกกล่าวแล้วเดินตามจิวชงหยวนเข้าไปยังห้องครัว ปล่อยให้หมิงอี้ฟานคนซื่อโง่งมกับรักข้างเดียวต่อไป เพราะอย่างไรความรักก็มิอาจบังคับกันได้อยู่แล้ว หวังว่าสักวันหมิงอี้ฟานจะมองเห็นคนข้างกายบ้างนะ


    ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากจ้า ฟางลองเคาะให้แล้วนะคะ ^_^ :mew1: :mew1:

    (นึกว่าวันนี้จะลงไม่ได้แล้ว Gmail โดนบล๊อกเลยเข้าเล้าไม่ได้ ตอนแรกก็งงว่าเป็นเพราะอะไรถึงเข้าไม่ได้ ลองเข้าเมล์ไปแล้วโดนบล็อกเฉยเลย 555) ขอให้มีคววามสุขกับการอ่านจ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 06-10-2015 15:46:31
สนุกมากค่ะ

รอตอนต่อไปจ้า   :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 06-10-2015 15:55:36
ตอนหญิงงามไปอ่านในเด็กดีแล้ว ก็เขาสวยเขางามปัญหาก็ต้องตามมายุแล้ว เอาใจช่วย ส่วนตอนนี้ก็ดีไปที่รักษาได้แล้ว รักหลายเศร้าจริงๆ แต่ก็ชอบแถมรู้ความหลังของลู่เฟยกะจงหยวนอีกด้วย สู้นะทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 06-10-2015 16:46:51
มาต่อแล้วว
ท่านหมอจิวแต่งหญิงขนาดนี้
กลัวจะเกิดศึกชิงนางนะสิ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-10-2015 18:29:39
ตอนเป็นชายโดนล่า พอเป็นหญิงก็ยังโดนตามจีบ เกิดเป็นหมอจิวเนี่ยยากจริงๆเนอะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-10-2015 19:11:24
มาให้กำลังใจก่อนจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 06-10-2015 20:34:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-10-2015 20:46:41
อ่านตอนนี้แล้วสงสารจุ้ยซิงมากๆ

ขอเป็นกำลังใจให้นะสู้ๆ

นายเอกของเราเริ่ดเสมอ

คิดถึงลู่เฟยจัง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 06-10-2015 22:12:11
เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย เพราะเดี๋ยวนี้ผู้ชายเค้าสวยกว่าแล้ว  :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 06-10-2015 22:45:09
คนงามมีแต่คนหลงเสน่ห์
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 08-10-2015 12:06:32
งามจนคนตบตีแย่งชิงกันเลยน่ะ ชงหยวน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 08-10-2015 12:28:23
เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย เพราะเดี๋ยวนี้ผู้ชายเค้าสวยกว่าแล้ว  :katai1:
จริง!!
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 12-10-2015 16:14:15
เป็นกำลังใจให้ชงหยวน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 12-10-2015 19:03:14
5555 คือแบบประมุขหอกิเลนก็นะ ลู่เฟยอย่าไปนานนักนะ  :m17:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 12-10-2015 19:29:01
มาให้กำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: devilpoo ที่ 13-10-2015 10:28:43
มาปูเสื่อรอตอนต่อไปค้าบบบบบ

เรื่องนี้มาปักหมุดไว้ รอวันอาทิตย์ อ่านยาว ๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 15-10-2015 15:37:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 15-10-2015 19:18:17
มาให้กำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: MRchai ที่ 16-10-2015 23:12:20
สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่39 หัวใจกิเลน ตอนที่13 (P.13วันที่ 6/10/58)
เริ่มหัวข้อโดย: johnkongcha ที่ 03-11-2015 23:10:40
 :call: :call: :call: :call: :call: :call:


หายไปนานเลย  เมื่อไหร่จะมน้อ..........



 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่40 แย่งชิงนวล(นาง?) 1ตอนที่14 (P.14วันที่ /13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-11-2015 10:40:34
บทที่ 40 แย่งชิงนวล(นาง?) 1
เล่ม 2 ตอนที่14 (P.14วันที่ /13/11/58)


       หลังจากที่แยกจากจิวชงหยวนมาลู่เฟยก็รีบเดินทางมาด้วยลมปราณความเร็วสูงสุดเพียงไม่กี่ราตรีก็มาถึงวังหลวงแคว้นลั่วหยาง ร่างสูงสง่าทะยานผ่านความมืดมายังตำหนักขององค์รัชทายาทที่ดูวังเวงเงียบเหงา ทว่าเนื้อแท้แล้วกลับมีนักรบเงาตามจุดต่างๆ ที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้สักนิด ทันทีที่เขาก้าวผ่านเข้ามาในตำหนักนักรบเงาในบริเวณนั้นต่างก็หลบหลีกและถอยกลับไปยังจุดเดิมที่ตัวเองเคยอยู่
    
        “ดื่มชาก่อนไหม”
    
        ทันทีที่ปลายเท้าเหยียบลงที่ในตำหนักเสียงทักทายก็ดังขึ้นโดยไม่ได้หันมามองแม้แต่น้อย ลู่เฟยเดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างคุ้นเคยเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำตัวเยี่ยงโจรเช่นนี้ มือขวารับชาที่ลั่วเหยียนเจิ้งยื่นมาให้ดื่มแก้กระหาย ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายต่างมารดาที่ใบหน้าขาวซีดเหมือนคนใกล้ตาย ทว่านั่นก็ใบหน้าหลอกลวงเท่านั้น
    
        “ตอนนี้เสด็จพ่อเป็นเช่นไรบ้าง” ลู่เฟยเอ่ยถามมองคนที่นั่งจิบชาอย่างใจเย็น ดวงตาเรียวมองมาที่เขานิ่งๆ แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
    
       เสด็จพ่อป่วยแต่ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าเฝ้า แต่นั่นเป็นแค่ข่าวกลลวงแท้จริงแล้วน้องสามควบคุมบังคับเสด็จพ่ออยู่โดยมีขุนนางตระกูลชุน ตระกูลฮั่น ตระกูลหม่าหนุนหลังอยู่” คำตอบที่ได้รับทำให้คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นมองอย่างฉงน
    
       “แล้วเจ้าก็ปล่อยผ่านไปอย่างนั้นหรือ”
    
       “เปล่า ข้าได้เปลี่ยนงูดินไปแทนที่มังกร คนที่อยู่ในตำหนักคืองูดิน” คำตอบที่ได้รับทำให้ลู่เฟยยกยิ้มยินดี ไม่เสียแรงที่ไว้ใจและเชื่อใจพี่ชายผู้นี้ ความฉลาดหลักแหลมนั้นเขายอมรับมาตั้งแต่ต้นและสมกับที่จะเป็นฮ่องเต้คนต่อไป
    
       “แล้วตอนนี้มังกรอยู่ที่ใดเล่า” ลู่เฟยเอ่ยถามเมื่อเข้าใจรหัสลับเพื่อป้องกันการสอดแหนมจากศัตรู แม้จะมั่นใจแต่กำแพงมีหูประตูมีซ่องไหนเลยจะไว้ใจได้
    
      “มุ่งสู่พระธรรม” คำตอบหนักแน่นและดวงตาแน่วแน่ที่สื่อออกมา ทำให้ลู่เฟยอึ้งไปอย่างไม่อยากเชื่อ
    
       “เหตุใด”
    
       “ข้ามิอาจรู้แต่เป็นการตัดสินพระทัยแล้ว ข้าได้แต่ทำตามพระประสงค์” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับเสียงเรียบพร้อมวางแก้วชาลงและหยิบจดหมายในอกเสื้อให้ลู่เฟยได้อ่าน
    
       ลู่เฟยมองจดหมายในมือพี่ชายก่อนจะรับมาอ่าน ลายพระหัตที่เขียนไว้เขาจำได้ว่าเป็นเสด็จพ่อ มือหนาเปิดอ่านโดยมีสายตาลั่วเหยียนเจิ้งมองตาม
    
      ‘ลู่เฟยหากเจ้าได้รับจดหมายฉบับนี้แสดงว่าบิดาเจ้ามิได้อยู่ในวังหลวงอีกแล้ว ข้าได้ตัดสินใจที่จะมุ่งสู่พระธรรม มิใช่ไม่ห่วงใยพวกเจ้าที่ต้องมาเข่นฆ่ากันเองในหมู่พี่น้อง และข้าไม่อยากให้ลูกแท้ๆ มาปิตุฆาตบิดาให้ก่อเกิดบาปยิ่งขึ้นไปอีก ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องทำเช่นไร การฆ่าพี่น้องในสายเลือดของสายเลือดกษัตริย์มีมาเนิ่นนานแต่ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าต้องร่วมมือกันได้ดี ข้ารู้มาโดยตลอดว่าลั่วเหยียนเจิ้งมิได้เจ็บป่วยและชาญฉลาดมากแค่ไหนจึงได้แต่งตั้งเป็นรัชทายาท แต่คงจะดีหากมีเจ้าที่ไม่ได้หวังครอบครองบัลลังก์มาช่วยเหลือลั่วเหยียนเจิ้ง ต่อไปนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว แสงสว่างโปรดนำทางสู่พวกเจ้า’
    
      ลู่เฟยพับกระดาษพร้อมจุดไฟตะเกียงน้ำมันข้างกายเพื่อทำลายหลักฐานไปด้วย ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายที่ต้องแบกรับฐาระที่หนักอึ้งในกาลต่อไป
    
      “ต่อไปนี้ต้องลำบากเจ้าแล้ว”
    
       “อืม เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้น้องสามเริ่มจะใส่ความข้าที่คิดก่อกบฏกับวังหลวงแต่ไม่มีหลักฐานจึงได้ไปใส่ความน้องเจ็ดซึ่งตอนนี้ถูกขังอยู่ห้องอาญาที่คุกใต้ดินรอรับโทษทัณฑ์” ลู่เฟยนิ่วหน้ากับคำบอกเล่า พลางนึกไปถึงใบหน้างดงามร่างโปร่งบางของน้องเจ็ดที่ชอบมาเล่นกับเขาบ่อยๆ และชอบตามติดจิวชงหยวนเมื่อยามที่เจ้าตัวอยู่ในวัง
    
       “ข้อหาอะไร”
    
      “สมคบกับแม่ทัพห่านหลงก่อกบฏ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เพราะรู้ดีว่าเพราะเหตุใดน้องเจ็ดถึงถูกใส่ความได้ง่ายๆ เช่นนี้
    
       “แล้วตอนนี้แม่แม่ทัพห่านหลงเล่า คงไม่ใช่อยู่คุกใต้ดินหรอกนะ”
    
      “ถูกต้องแล้ว รอคำพิพากษาคดีในวันพรุ่งนี้” ลู่เฟยลุกขึ้นยืนมองไปยังจุดต้นไม้ไหวทางด้านนอกก่อนจะสบัดเข็มเงินพุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว
    
      ตุ๊บ!
    
      ร่างนั้นล่วงตกลงมาพร้อมลมหายใจที่ดับสิ้นเพราะพิษปลิดวิญญาณที่จิวชงหยวนทำไว้ให้ ซึ่งเขาใช้เวลากว่าสามเดือนระหว่างเดินทางร่วมกับจิวชงหยวนในการฝึกซ้อมในการใช้อาวุธลับชนิดนี้
    
     “เจ้าน่าจะลากมาเค้นคอสอบถามก่อน” ลู่เฟยหันไปมองคนที่มายืนข้างกายแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
 
    “เจ้าน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว อยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ก็พูดมาเถิด”
    
        “หึ...”
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างชอบใจที่มีคนรู้ทัน การทรมารเหยื่อเป็นอะไรที่น่าสนุกและตื่นเต้นและเป็นการแก้เบื่อได้เยอะเชียว ดวงตาเรียวมองผ่านไฟสลัวๆ ข้างนอกที่เวลานี้ร่างนั้นถูกลากหายออกไปอย่างว่องไว
    
       “มีหนูมาเพ่นพ่านแถวนี้แล้ว คงทำอะไรลำบากน่าดู” ลู่เฟยกล่าวออกมาอย่างเบื่อหน่าย ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบางตบไหล่น้องชายอย่างปลอบใจ
    
         “ตราบใดที่มีองค์รักษ์ทมิฬของเจ้าแทรกแทรงทุกพื้นที่ในวังหลวงจะกลัวสิ่งใดกัน” คำกล่าวของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้ลู่เฟยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับเสียงจริงจังเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายประมาท
    
        “สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง นับประสาอะไรมนุษย์เดินดินเช่นข้าจะพลาดไม่ได้”
    “เอาเถอะ เรื่องนั้นข้ามีแผนในใจแล้วตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐานมัดตัวน้องสาม หากยังดิ้นหลุดก็สังหารเขาซะ” ลั่วเหยียนเจิ้นกล่าวปลอบใจน้องชายร่วมบิดาก่อนจะเน้นประโยคท้ายด้วยดวงตาเลือดเย็น
    
        ลู่เฟยยักไหล่อย่างไม่สนใจนักว่าใครจะเป็นจะตายจริงๆ ก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะเขามีหน้าที่แค่ส่งให้ลั่วเหยียนเจิ้งโอรสสวรรค์ขึ้นครองบัลลังก์ตามคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้เท่านั้น และเขาเองก็จำความตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจบันจนได้หมดแล้ว แต่สิ่งแรกที่ทำคงต้องช่วยน้องชายที่น่ารักออกจากคุกอาญาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีหน้าไปพบจิวชงหยวนแน่ๆ ว่าไปคนรักเขาทำอะไรอยู่นะ
    
       “จิวชงหยวนเป็นเช่นไรบ้าง ไม่เจอมาเป็นปีคงงดงามขึ้นไม่น้อย”
    
        ลู่เฟยตวัดตามองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยสายตาดุๆ เพราะเจ้าตัวเคยกลั่นแกล้งเขาไว้เยอะเมื่อยามที่จิวชงหยวนออกช่วยงานว่าราชการที่ชายแดน และชอบกลั่นแกล้งให้เขาหึงบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นราชกิจเยอะจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้
    
        “แหม ข้าก็ถามไถ่ตามประสาคนรู้จัก ข้าคงไม่อาจหาญไปแย่งชิงน้องชายเช่นเจ้าหรอก” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มบางเมื่อเห็นดวงตาคมกริบที่ตวัดมองมา ที่สำคัญเขาไม่คิดเป็นศัตรูกับลู่เฟยน้องชายคนนี้แน่ๆ เพราะไม่เช่นนั้นมีสักสิบชีวิตก็คงไม่เหลือ คนอื่นอาจจะไม่รู้จักลู่เฟยดีแต่ไม่ใช่สำหรับเขาที่ร่วมจับมือกันและกันมานานกว่ายี่สิบปีเช่นนี้
    
       “จิวชงหยวนสบายดี หน้าตายังคงเช่นเดิม ต่อให้อีกสิบปีข้างหน้าก็มิอาจเปลี่ยนไป” ลู่เฟยตอบเสียงเรียบเดินมานั่งจิบชาอีกครั้งเมื่อข้างนอกไม่มีสิ่งผิดปกติ โดยมีลั่วเหยียนเจิ้งเดินตามานั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมมองมาที่เขาอย่างฉงน
    
        “สิ่งที่ข้าได้ยินมาว่าจิวชงหยวนเป็นเซียนนั้นจริงหรือ”
    
       “เรื่องนี้ข้าไม่อาจตอบเจ้าได้ เป็นลิขิตของสวรรค์อยู่ไปนานๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” ลั่วเหยียนเจิ้งพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยใจเพราะหากลู่เฟยไม่ต้องการจะพูดต่อให้เค้นคอถามก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี
    
       “เอาเถอะคืนนี้เจ้าไปพักก่อนเถอะพรุ่งนี้คงเจอปัญหาอีกมาก แต่ข้าก็มีแผนสำรองไว้เช่นกัน แต่หากจะดีมีเจ้าช่วยด้วยก็คงจะดีนะ” ลู่เฟยหันไปมองคนยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วส่ายหน้าเพราะแค่มองก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแล้ว ก่อนจะหยิบจดหมายที่เขาให้องค์รักษ์ทมิฬดักจับไว้ได้ส่งให้เจ้าตัว
    
       “นี่คงช่วยลั่วหวังอู๋ได้”
    
       “ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เรื่องน้องเจ็ดวางใจเถอะ” ลู่เฟยยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ ก่อนจะทะยานออกนอกหน้าต่างกลับตำหนักของตัวเองซึ่งไม่ได้มานานกว่าหนึ่งปี
    
       ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามเงาร่างสูงสง่าที่ทะยานหายไปกับความมืดแล้วก้มมองหลักฐานในมืออย่างพึงพอใจ ไม่ว่านานแค่ไหนหรือเจ้าตัวไม่อยู่ในวังแต่กลับมีสายแทรกซึมทุกพื้นที่อย่างน่าหวาดหวั่น ดีแต่ว่าตนไม่ใช่ศัตรูของลู่เฟยไม่เช่นนั้นไม่อยากจะคิดว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร
    
      ลู่เฟยกลับมายังตำหนักดอกท้อก็ต้องนิ่วหน้ากับคำรายงานขององค์รักษ์ทมิฬ ก่อนจะโบกมือไล่ให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ดวงตาคมกริบเหม่อมมองออกไปหน้าต่างที่ท้องฟ้ามืดมิดและหม่นหมองเหมือนหัวใจเขายามนี้ เพียงแค่ห่างเหินไม่กี่ราตรีกลับคนึงหาคนรัก ยิ่งคำรายงานขององค์รักษ์ทมิฬที่ให้คอยดูแลจิวชงหยวนเงียบๆ ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น
    
      จิวชงหยวนบัดนี้แต่งกายเป็นหญิงความงดงามและความเก่งกาจทำให้โด่งดังไปทั่วแคว้นเยี่ย กอปรกับต่างมีฝ่ายธรรมะและอธรรมมาเทียบเชิญไปอยู่ด้วย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่แอบอ้างว่าเป็นคนพรรคธารตะวันจะทำให้ผู้คนต่างยำเกรงกันไม่น้อย เวลานี้ที่นั่นคงวุ่นวายไม่ต่างจากวังหลวง
    
       ลู่เฟยปัดความคิดไว้เพียงชั่วคราวก่อนจะไปสรงน้ำที่ซู่ซือกวางเตรียมไว้ให้ อีกทั้งไม่ได้ชำระร่างกายมาหลายวันเนื่องจากเร่งการเดินทาง เขาใช้เวลาจมอยู่กับความคิดในสระน้ำขนาดกลางในห้องสรงน้ำจนสบายตัวมากขึ้นจึงลุกขึ้นจากน้ำ ร่างสูงสง่าเดินมาหยิบปิ่นหยกที่จิวชงหยวนซื้อไว้ให้เดินกลับเข้าห้องบรรทม วันนี้เขาจำต้องพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับพรุ่งนี้ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
    
      ลู่เฟยล้มตัวนอนบนเตียงนุ่มหลังจากไม่ได้นอนสบายๆ มานานเป็นปี ทว่าข้างกายกลับอ้างว้างอาดูรไร้คนเคียงกายดั่งที่ผ่านมา เขารู้สึกเหน็บหนาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่สิ เคยเป็นเช่นนี้แต่มันนานมากแล้วและครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นในอดีตเป็นครั้งที่สองอีกแน่ แต่ว่า...
    
        ‘ป่านนี้คนงามจะทำอะไรอยู่นะ’

    
        ปลายฝันธารหนาวดาวหดหู่       
    ยังสู้ความเดียวดายฉายฉาน
    ความเศร้าสร้อยร้อยเสียงเพลงกังวาน
     แม้นหมื่นไมล์รัตติกาลยังได้ยิน
    
       จิวชงหยวนเหม่อมองท้องฟ้าที่ดูเงียบเหงากว่าทุกวัน หัวใจที่เคยสงบบัดนี้กลับร้อนรุ่ม ความคิดถึงคนึงหาคนที่ห่างไกล คนที่เข้ามานั่งอยู่กลางใจแต่ยามนี้หัวใจกลับรู้สึกหม่นหมองเดียวดายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรืออาจจะเคยเป็น แต่เมื่อคราวนั้นมันไม่มากมายถึงเพียงนี้ มือเรียวลูบขลุ่ยหยกแผ่วเบาอย่างห่วงใยคนที่เดินทางกลับแคว้นลั่วหยาง เรื่องของวังหลวงนั้นน่ากลัวพอๆ กับในยุทธภพต่างกันแค่อำนาจที่อยู่คนละเส้นทางเท่านั้น
    
      มือเรียวยกขลุ่ยแตะริมฝีปากแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ บรรเลงเพลงหวานละมุนผสานไปกับความเศร้าสร้อย ความห่วงใยและคิดถึงสื่อออกมา เพลงขลุ่ยที่ไพเราะดั่งเสียงสวรรค์ดังก้องไปทั่วหุบเขา สะกดหลากหลายผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงหยุดนิ่ง บ้างก็พยายามทะยานตามหาผู้บรรเลงเพลงทว่าต่างจับจุดมิได้ว่ามาจากที่ใด จนเกิดเรื่องเล่าขานเป็นตำนานของเพลงสวรรค์ที่ห่วงหาคนรักในหุบเขามังกรร้อยผาที่มิเคยมีใครไปถึง
    
         แต่แท้จริงแล้วคนในหอกิเลนสร้างกับดักมากมายจนปิดเส้นทางเข้าที่แท้จริง แม้เสียงเพลงชวนให้ผู้คนอย่างพบเจอ ทว่าจิวชงหยวนผู้ยังไม่รู้ตัวว่าสร้างตำนานขึ้นมาหลังจากจบเพลงก็เก็บขลุ่ยไว้ที่อกเสื้อแล้วลุกขึ้นกลับไปนอนเพื่อเตรียมรับมือในวันพรุงนี้
    
        เมื่อตะเกียงน้ำมันดับลงกลับมีผู้หนึ่งที่สามารถจับหาต้นกำเนิดเสียงเพลงได้ ใบหน้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าเจ็ดสิบปีแสยะยิ้มมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ และเมื่อพึงพอใจมีหรือว่าเฒ่าราคะอย่างตนจะปล่อยผ่านเลย ความงดงามของแม่นางนั้นตราตรึงใจจนหัวใจสั่นระรัวอย่างไม่กลัวว่าจะหยุดเต้น ดวงตาสีดำสนิทวาวระยับแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างปรารถนา  ไม่เคยมีใครทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจเช่นนี้มาก่อน จนจะครอบครอง
    
       จิตปรารถนาที่แปลกปลอมพุ่งตรงมาที่จิวชงหยวนจนขนกายลุกชัน ดวงตาเรียวพยายามมองผ่านความมืดมองไปทางหน้าต่างไม้ที่มีเพียงต้นไม้พลิ้วไหวไปมามิอาจมองเห็นร่างของเจ้าของจิตได้ มือเรียวสองข้างเกร็งแน่นเมื่อจิตนั้นพุ่งเข้ามาอย่างน่าขยะแขยงไม่ใช่จิตสังหาร แต่คล้ายกับมองสำรวจร่างของเขาทั้งตัว หากถอดเสื้อผ้าเขาได้คงทำไปแล้ว
    
      พรึบ!
    
       เงาร่างคนสีดำพุ่งทะยานเข้ามาให้ห้องนอนเขาอย่างถือวิสาสะ ร่างนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาเขาช้าๆ แม้ไม่มีจิตสังหารแต่สายตาโลมเลียเขาทั้งร่างเช่นนี้เขาก็คงทนนอนนิ่งเฉยไม่ไหวอีกต่อไป
    
         พรึบ!
    
       จิวชงหยวนสะบัดลมปราณจุดไฟตามตะเกียงน้ำมันพร้อมกระบี่โชคชะตาปรากฏมือขวาอย่างว่องไว ดวงตาเรียวมองคนตรงหน้าแล้วนิ่วหน้า คล้ายรู้จักคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ก็ไม่รู้จัก ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาผมสีขาวโพลนทั้งหัวบ่งบอกความแก่ชรา ทว่าทวงท่ากลับยังแข็งแรงและดูกะลิ้มกะเหลี่ยมองเขาด้วยดวงตาวาวระยับคล้ายเจอของเล่นถูกใจ
    
      “เฒ่าราคะ” เมื่อแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันทอแสงจนทำให้เห็นคนตรงหน้าชัดมากขึ้นและท่าทางเช่นนี้คงมีไม่กี่คนในยุทธภพเฒ่าราคะคือคนที่น่าจะใช่ที่สุด
    
      “โอ้ แม่นางรู้จักข้าด้วย นับว่าเรามีวาสนาต่อกันยิ่งนัก” จิวชงหยวนนิ่วหน้ากับคำเรียกขานและคำพูดที่ชวนคลื่นไส้ สงสัยตาแก่นี่จะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นหญิงทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาแต่งเป็นชายแล้ว หรือว่ามันมิต่างกันมากหรือไงถึงทำให้คนผู้นี้มองผิดอีก
    
       “ท่านเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าเป็นบุรุษมิใช่สตรี” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ทว่ารอยยิ้มสยองของตาแก่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกหลอนไม่น้อย
    
       “หากเป็นเช่นนั้นยิ่งดีนัก ข้าชอบนักบุรุษที่งดงามเช่นเจ้า” เมื่อเฒ่าราคะบอกความปรารถนาของตัวเอง จิวชงหยวนก็ไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจอีกต่อไป กระบี่โชคชะตาทอแสงสีเขียวสดใสทว่ากลับน่าหวั่นเกรง เฒ่าราคะหรี่ตามองกระบี่ของเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
    
      “ฮ่าๆๆ กระบี่ดีๆ แต่ใช้ไม่เป็นก็ไร้ประโยชน์นะคนสวย” จิวชงหยวนกรอกตามองเฒ่าราคะที่ไม่สำเนียกอายุตัวเองว่าจะเข้าโลงไม่กี่ปีข้างหน้านี้แล้ว
    
      “เช่นนั้นท่านก็ลองดู” บอกเสียงแข็งพร้อมกระบี่พุ่งเข้าหาร่างของชายชราที่สวมชุดดำทั้งชุดอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ในเมื่ออยากตายถึงที่ก็จะสนองให้
 
    เคร้ง!
 
       เฒ่าราคะชักกระบี่ออกมาต้านรับด้วยรอยยิ้มยั่วเลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น ทว่าเมื่อลมปราณรุนแรงที่แฝงมากับกระบี่ถึงกับนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ ร่างโปร่งบางเช่นนี้ไม่คาดคิดว่าจะมีพลังภายในกล้าแกร่งอีกทั้งไม่สามารถจับสัมผัสได้สักนิด และที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้างคือไอเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวกระบี่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
    
       เปรี๊ยะ!
    
        กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างรุนแรงจนเกิดการเสียดสีประกายไฟขึ้นอย่างน่ากลัว และเพียงแค่เริ่มต้นผู้ที่นอนอยู่ในบ้านหลังนี้อีกสี่ชีวิตก็พุ่งทะยานเข้ามาภายในห้องของจิวชงหยวนด้วยความเร็ว
    
       ตูม!
    
       พลังลมปราณสองสายพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงจนเกิดระเบิดขึ้น สองร่างต่างถอยหลังไปคนละเมตรจากแรงปะทะเมื่อครู่ ทว่าครั้งนี้เจียนเจียนกับหมิงอี้ฟานพุ่งออกมายืนขวางหน้าจิวชงหยวนอย่างปกป้อง มองศัตรูที่บุกรุกยามวิกาลเขม่งก่อนจะนิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียดเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
    
      “เหตุใดเฒ่าราคะเช่นท่านถึงบุกรุกบ้านผู้อื่นยามวิกาลเช่นนี้” เจียนเจียนเอ่ยถามเสียงเรียบซ่อนความหวาดหวั่นไว้ภายใน เนื่องจากเฒ่าราคะผู้ใดก็ย่อมรู้จักดีในยุทธภพและหากหลีกเลี่ยงได้จะไม่ค่อยมีผู้คนไปยุ่งเกี่ยว แม้จะฉุดหญิงสาวชาวบ้านไปก็มิมีใครกล้าไปตามล้างแค้น ฝีมือที่ร้ายกาจอีกทั้งมีชื่อเสียงคาวโลกีย์ในยุทธภพมานานแสนนาน แต่เพราะความร้ายกาจจึงไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยว มาวันนี้มิคิดว่าเฒ่าราคะจะสนใจในตัวจิวชงหยวนจนบุกรุกเข้ามาเช่นนี้
    
      “โอ้ วันนี้ข้าเจอคนงามทั้งสอง หากพวกเจ้าไปกับข้าดีๆ ข้าจะเลี้ยงดูพวกเจ้าอย่างดีเชียว” ใบหน้าหื่นกระหาย ทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้า หันไปมองเจียนเจียนก็มีสีหน้ามิต่างกัน ทว่าคนที่เดือดสุดคงจะเป็นหมิงอี้ฟานที่พุ่งเข้าไปหาโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
    
      “ชู้ท่านนี้ใจร้อนเสียจริง” คำกล่าวของเจียนเจียนทำให้จิวชงหยวนหันมามองตาขวาง เดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจนักเพราะเขาก็ไม่ได้ให้ความหวังกับหมิงอี้ฟานเลยสักนิดและวางตัวเป็นเพียงแค่สหายคนหนึ่งเท่านั้น พอได้ยินเช่นนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ คล้ายกับว่ารู้สึกผิดทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
    
      ตูม!
    
       ลมปราณของทั้งคู่ที่รุนแรงจนกระท่อมขนาดกลางระเบิดจนพังทลายลง จิวชงหยวนพร้อมคนอื่นทะยานออกจากกระท่อมอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนมองภาพความเสียหายตรงหน้าแล้วถอนหายใจ นี่คงเป็นลางบอกเหตุถึงเวลาการเดินทางแล้วกระมัง
    
         กระบี่สองเล่มโรมรันกันด้วยความเร็ว และรุนแรงนี่เป็นครั้งแรกที่จิวชงหยวนเห็นหมิงอี้ฟานใช้วิชากระบี่เดียวดาย รวดเร็วว่องไวเน้นทำลายอาวุธฝ่ายตรงข้ามทว่าเฒ่าราคะดูถูกไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
       การต่อสู้ที่ดูเหมือนเพียงพริบตาทว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับรู้สึกเนิ่นนาน แม้หมิงอี้ฟานจะมีวิชากระบี่ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังด้อยประสบการณ์มากกว่าเฒ่าราคะอย่างเทียบไม่ติด
    
      “หนึ่งเดียวทั่วหล้า” หมิงอี้ฟานเรียกใช้วิชาอย่างต่อเนื่อง เฒ่าราคะเองก็ใช่ย้อย ดวงตาสีดำสนิทเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงฉานและความบ้าคลั่งในการใช้วิชามารจนทำให้บรรยากาศรอบกายดูน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้น
    
       “ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วหุบเขาทำให้ผู้ที่ยืนมองและหาจังหวะเข้าไปช่วยถึงกับขนกายลุกชัน กระบี่ในมือของทั้งคู่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็วอย่างน่าตื่นตระหนก พลังสองสายที่ฟาดฟันอยู่บนฟ้า ทั้งรุนแรง ดุเดือด แม้ภายนอกทั้งคู่จะดูสูสีกันแต่จิวชงหยวนกลับรู้ได้ทันทีว่าผู้ใดจะพ่ายแพ้
    
       อึก!
    
       และไม่กี่กระบวนท่าหมิงอี้ฟานก็กระเด็นตกลงอย่างที่คาดคิดไว้ สองศิษย์พี่น้องต่างก็พุ่งเข้าไปป้องกันหมิงอี้ฟานได้อย่างทันท่วงที จิวชงหยวนพุ่งเข้าไปต้านรับช่วยสองศิษย์ที่โดนฝ่ามือเดียวก็กระอักโลหิตออกมาอย่างน่ากลัว จุ้ยซิงและหนานจี้กงถึงกับเบิกตากว้างกับความร้ายกาจที่ตนมิอาจปัดป้องได้ทัน
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
       เปรี๊ยะ!
    
       กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างรุนแรงพลังลมปราณจากห้าส่วนเริ่มขึ้นมาเป็นเจ็ดส่วน ใบหน้างดงามนิ่วหน้าเล็กน้อยกับกระบวนท่าที่ดูแปลกใหม่อีกทั้งไหวพริบในการหลบหลีกของเฒ่าราคะนั้นเหนือชั้นอย่างเหนือความคาดหมาย สมกับที่เป็นมารเฒ่าราคะที่รอดพ้นจากยุทธจักรมาเนิ่นนาน
    
      ทว่าขณะเดียวกันเฒ่าราคะที่ผ่านกาลเวลามานานกว่าเจ็ดสิบปีถึงกลับนิ่วหน้าอย่างแปลกใจแกมตื่นเต้นไม่คิดว่าร่างโปร่งบางที่ดูผิวเผินเหมือนคนหมดแรงแต่กลับมีวรยุทธที่ลึกล้ำจวนทำให้เกือบพลาดท่าเสียหลายครั้ง
    
       ฉัวะ!
     
       เฒ่าราคะเบิกตากว้างอย่างไม่น่าเชื่อว่ากระบี่คมกริบสีเขียวมรกตเรืองรองนั่นจะเลือกเลือดชั่วๆ ของตัวเองได้ พลังลมปราณจากเดิมดึงมาแค่หกส่วนถึงกลับดึงออกมาเพิ่มเป็นแปดส่วน รอยยิ้มงามที่แสยะยิ้มยินดียิ่งทำให้ความปรารถนาเต้นเร้าอยากได้คนตรงหน้ามาครอบครองจนแทบหักห้ามใจไม่อยู่
 
    เฒ่าราคะกระโดดถอยห่างด้วยความเร็วกับคมกระบี่ที่ตวัดเข้ามาอย่างรุนแรง
    
      เปรี๊ยะ!
    
       ตูม!
 
    การโรมรันของทั้งคู่ทำให้ผู้เฝ้าดูต่างมองอย่างตื่นเต้นและลุ้นระทึกเพราะไม่เคยเห็นจิวชงหยวนออกแรงต่อสู้ต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน เวลานี้เฒ่าราคะโยนกระบี่ออกนอกกายหันมาใช้กงเล็บที่เป็นวิชาของตัวเองถนัดที่สุดด้วยความเร็ว
    
      “ชงหยวนระวังด้วย ตาเฒ่านั่นเริ่มเอาจริงแล้ว” เจียนเจียนร้องตะโกนบอกจิวชงหยวนพร้อมส่งลมปราณเสียงไปด้วย
    
       จิวชงหยวนพยักหน้ารับรู้แต่มิได้หันกลับมามองแม้แต่น้อย เวลานี้ร่างโปร่งบางของจิวชงหยวนเริ่มมีรัศมีสีขาวนวลออกมาอย่างน่าตื่นตา ความงดงามและสง่างามตรงหน้าแทบทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้ ไม่คิดว่าพลังลมปราณและรัศมีที่เห็นจะทำให้ดูสูงส่งมากมายถึงเพียงนี้    

        “ไม่คิดว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะทำให้ข้าเอาจริงได้ หากเจ้าตายข้าจะรักษาร่างของเจ้าและนำเจ้ากลับมาจากยมโลกให้จงได้”
    
        รอยยิ้มแพรวพราวและคำพูดแน่วแน่อย่างคนโรคจิต ทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุกมองเฒ่าราคะที่สภาพเริ่มเปลี่ยนไปผมเผ้ารุงรังไม่เป็นทรงเหมือนคราแรกที่พบ อีกทั้งไอมารจากพลังลมปราณที่น่าจะทำให้คลุ้มคลั่งเริ่มแผ่ออกมา ริมฝีปากแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าขยะแขยง ตอนนี้เขาดึงลมปราณออกมาจนหมดไม่มีเก็บไว้แม้แต่น้อยเพราะคนตรงหน้าร้ายกาจกว่าผู้คนที่เขาพบเจอมา และไม่รู้ว่าหากทุ้มสุดตัวจะชนะหรือไม่คงต้องวัดดวงกันสักตั้ง
    



  ขอโทษนะคะหายจากเล้าไปนานเลย ฟางยุ่งอยู่กับการปิดต้นฉบับจึงลงแค่ในเด็กดี ที่นี่อาจจะลงช้ากว่าต้องขอโทษด้วยจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่41 แย่งชิงนวล(นาง?) 2ตอนที่15 (P.15วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-11-2015 10:48:12
บทที่41 แย่งชิงนวล(นาง?) 2
เล่ม 2 ตอนที่15 (P.13วันที่ 13/11/58)


        ทั้งคู่จ้องกันอยู่เพียงครู่เดียว ทว่าคนดูกลับรู้สึกว่ามันเนิ่นนานก่อนที่ทั้งคู่จะทะยานพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วจนแทบมองไม่ทัน ดวงตาของเฒ่าราคะในเวลานี้แดงฉานอย่างน่ากลัว รอยยิ้มแสยะออกมาเห็นฟันสีเหลืองอย่างน่าสยดสยอง
    
        “กงเล็บกระดูกขาว”
    
       “ม่านมนต์จันทรา”
    
       
        เปรี๊ยะ!
    
        ตูม ตูม!...
    
        พลังสองสายพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรง กงเล็บของเฒ่าราคะนับว่าร้ายกาจไม่น้อยที่รับกระบี่โชคชะตาของสวรรค์ได้ทันท่วงทีคมเล็บยาวเฟื้อยตวัดเข้าหาจิวชงหยวนอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทว่ายังไม่เร็วเท่าคนร่างโปร่งบางแม้แต่น้อย เจียนเจียนมองภาพข้างหน้าอย่างเหลือเชื่อไม่คิดว่าจิวชงหยวนจะเร็วจนมองตามไม่ทันเช่นนี้
    
        “ท่านจิวชงหยวนจะชนะไหม” จุ้ยซิงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง มุมปากมีเลือดไหลออกจากการโดนฝ่ามือของเฒ่าราคะ สภาพย่ำแย่แต่ก็ยังสามารถลุกขึ้นยืนไหว
    
       “หากเป็นผู้อื่นข้าเชื่อในฝีมือชงหยวน แต่กับตาแก่นี่ข้าไม่มั่นใจ” หมิงอี้ฟานบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ซึ่งเจียนเจียนก็พยักหน้าเห็นด้วย
    
        จิวชงหยวนพลิ้วไหวตีลังกาหลบกงเล็บที่ฟาดเข้าหาอย่างรุนแรง มือที่ถือกระบี่โชคชะตาใช้ต้านรับถึงกับสั่นสะท้าน ความรุนแรงดุดันที่โถมเข้าหาทำให้หวาดกลัวไม่น้อย แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนนิ่งเฉยทว่าในใจกำลังร้อนรนคิดหาวิธีต้านรับกงเล็บปลิดวิญญาณที่พร้อมกระชากวิญญาณเขาออกจากร่างได้ทุกเมื่อ
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
        ตูม ตูม!!
    
       เสียงฟาดฟันและความรุนแรงจากพลังสองสายที่ต่างขั่วกันทำลายพื้นที่โดยรอบอย่างน่าหวาดกลัว ต้นไม่เล็กใหญ่หักโค่น พื้นดินเป็นหลุมขลุขระพร้อมฝุ่นฟุ้งกระจาย การต่อสู้ในเวลากลางคืนทำให้จิวชงหยวนต้องเพ่งสมาธิเป็นเท่าตัวเพื่อให้มองทันตามความเคลื่อนไหวของเฒ่าราคะ
    
        ฉัวะ!
     
        กงเล็บคมกริบตวัดฟาดเข้าแขนซ้ายอย่างมิอาจหลบเลี่ยงได้ แขนเสื้อโดนตัดขาดด้วยกงเล็บจนเห็นผิวขาวผ่องเรืองแสงในความมืดอย่างชัดเจน นี่เป็นข้อเสียของพลังลมปราณเทพของลู่เฟยที่ถ่ายทอดมาให้เพราะสามารถมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน ทว่ากลับกันเขามองเห็นเฒ่าราคะไม่ค่อยชัดนักยิ่งอีกฝ่ายสวมใส่อาภรณ์สีดำกลมกลืนไปกับความมืดยามราตรี
    
       “หิมะเงาน้ำค้างแข็ง”
    
         จิวชงหยวนเริ่มร่ายวิชาของกระบี่พร้อมตวัดออกไปเป็นวงกว้าง พื้นที่โดยรอบอาบไปด้วยไอเย็นจนก่อเกิดน้ำแข็งขึ้น อุณภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วเพราะพลังลมปราณที่แข็งแกร่งของเขาทำให้เฒ่าราคะชะงักงันไปชั่วครู่ แต่ก็เป็นโอกาสที่เขาจะตวัดกระบี่เข้าหาอย่างว่องไว ริมฝีปากร่ายวิชากระบี่อย่างต่อเนื่อง
    
       “ลมหิมะทั่วฟ้า”
    
       “หิมะไร้ร่องรอย”
    
       ฉัวะๆๆ
    
       เปรี๊ยะ!
    
       ตูม!!
    
        หลังจากเรียกวิชากระบี่ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมใช้ลมปราณขึ้นมาถึงสิบส่วน ทำให้เฒ่าราคะกระเด็นตกไปไกลกว่าสามเมตร ร่างชราผมเผ้ารุงรังกระเด็นคลุกฝุ่นกระอักโลหิตออกมาคำโต ดวงตาแดงฉานตวัดมองมาที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยวพุ่งทะยานเข้ามาหาด้วยเร็วไม่แพ้กัน
    
       “มารราคะกลืนกิน”
    
        ฉัวะ!
    
        จิวชงหยวนเอนหลังหลบกงเล็บที่แฝงไอมารชั่วร้ายอย่างทันท่วงที ทว่าเสื้อผ้ากลับขาดแหว่งลงเมื่อหลบพ้นแค่กายเนื้อ เขาพลิกตัวหลบอยู่สามกระบวนท่าก็เริ่มจะหอบแฮ่กเพราะเป็นครั้งแรกที่ใช้พลังลมปราณมากมายถึงเพียงนี้
    
         ครั้นเมื่อเจอคนของพรรคหมื่นพิษเมื่อหนึ่งปีก่อนตอนนั้นนับว่าร้ายกาจแล้ว เมื่อเจอเฒ่าราคะในเวลานี้กลับร้ายกาจยิ่งกว่า และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาดึงวิชากระบี่อย่างแท้จริงออกมาใช้แต่ชายชราตรงหน้าก็ไม่ใช่กระจอกงอกง่อยสมกับที่ล่องลอยอยู่ในยุทธภพมานาน ประสบการณ์การต่อสู้ที่ต่างกันทำให้เขาเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
    
        “ฮ่าๆๆ วันนี้ข้าต้องเอาเจ้ามาครอบครองให้ได้” เสียงหัวเราะกังวานไปทั่วหุบเขา ดวงตาแดงฉานอย่างกระหายเลือด ไอมารพลุกพล่านไปทั่งร่าง
    
       เคร้ง!
    
        จิวชงหยวนมองผู้ยื่นมาช่วยตนแล้วต้องนิ่วหน้า เพราะไม่รู้ว่าวรยุทธอีกฝ่ายจะต้านรับความคลุ้มคลั่งของเฒ่าราคะได้หรือไม่ ทว่ามิใช่มีแค่หมิงอี้ฟานเท่านั้นที่ยืนมือเข้ามาช่วย ยังมีเจียนเจียนที่ตวัดกระบี่เข้าหาเฒ่าราคะประสานกระบี่คู่กับหมิงอี้ฟานอย่างว่องไว
    
         เคร้ง เคร้ง…
    
         เปรี๊ยะ!
    
        ตูม!!
    
         กระบี่สามเล่มที่โรมรันกันเป็นสองรุมหนึ่ง ความว่องไวของทั้งคู่นับว่าไม่ธรรมดาแต่เฒ่าราคะกลับหลบหลีกและต้านรับพร้อมโจมตีกลับอย่างดุเดือด ลมปราณสามสายที่ซัดเข้าหากันอย่างนัวเนียทอแสงออกมาอย่างเด่นชัด เฒ่าราคะลมปราณแดงฉาน หมิงอี้ฟานสีม่วงอ่อนและของเจียนเจียนเป็นสีขาวนวลซึ่งน่าจะได้รับการถ่ายทอดมาจากอวิ้นเซียน จิวชงหยวนมองดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหาจังหวะเข้าไปช่วยไม่ได้แม้แต่น้อย ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพลังมารที่แผ่ออกมารุนแรงเชี่ยวกรากยิ่งกว่าสายน้ำซัดเข้าหาร่างของทั้งคู่อย่างรุนแรง
    
       เปรี๊ยะ!!
    
        ตูม!!
    
        ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่กระบวนท่าเจียนเจียนกับหมิงอี้ฟานจะพลาดท่ากระเด็นไปคนละทิศละทาง เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของเฒ่าราคะยิ่งให้ความรู้สึกเหน็บหนาวใจ สองศิษย์พี่น้องเตรียมจะทะยานเข้าไปช่วยหมิงอี้ฟาน จิวชงหยวนจึงต้องหยุดพวกเขาไว้เพราะไม่เช่นนั้นโดนอีกหนึ่งฝ่ามือคงไม่รอด มือเรียวจับกระบี่ในมือแน่นขึ้นพร้อมพุ่งเข้าไปหาเฒ่าราคะอีกครั้ง
    
       “เมฆเงาจันทรา”
    
        กระบี่สีเขียวมรกตทอแสงเข้มข้นอีกครั้ง ไอเทพแผ่ออกมาเมื่อถูกดึงความสามารถที่แท้จริงออกมา ร่างโปร่งบางรวมตัวเป็นหนึ่งใจเดียวกันกับกระบี่ตวัดพุ่งเข้าหาเฒ่าราคะที่ลอยตัวอยู่บนฟ้าด้วยความเร็วและรุนแรง ดุดัน จนได้ยินเสียงแหวกอากาศอย่างน่ากลัว
    
        เฒ่าราคะเบิกตากว้างมองกระบี่บินที่มิใช่กระบี่บินธรรมดาเหมือนจ้าวยุทธภพอวี้เฟิ่ง อีกทั้งกลิ่นไอที่แฝงมากับกระบี่ทำให้พลังภายในร้อนหนาวเหมือนลมปราณแตกซ่าน อาวุธที่สามารถทำร้ายอันตรายไอมารได้นั้นนับว่ามีน้อยมากไม่คิดว่าคนที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ตอนนี้จะมีสิ่งของเช่นนี้
    
       อ๊ากกกกกก
    
        เฒ่าราคะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระบี่เทพแห่งโชคชะตาแผลงฤทธิ์ที่แท้จริงของมัน เจียนเจียนยกมือกุมอกด้วยความเจ็บปวดกระอักโลหิตออกมาคำโต ดวงตาที่เริ่มพร่ามัวมองไปยังกระบี่สีเขียวเรืองรองซึ่งดูน่าเกรงขาม โรมรันฟันแทงเฒ่าราคะรวดเร็วดุจสายลม ดุดัน รุนแรงจนน่าหวาดกลัว ทว่าเมื่อมองไปยังหมิงอี้ฟานที่อยู่ทางซ้ายมือก็มีสภาพไม่ต่างจากตนและอาจจะหนักกว่า สมกับเป็นมารเฒ่าที่อยู่ในยุทธภพมาเนิ่นนาน ฝีมือดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ
     
         จิวชงหยวนกลับร่างคืนมาเป็นมนุษย์อีกครั้งถึงกลับหอบแฮ่ก เมื่อลมปราณดึงออกมาใช้จนเกือบหมด เฒ่าราคะบัดนี้กลิ้งตกจากฟ้าคลุกฝุ่นอย่างน่าเวทนา แต่เขาไม่ดีใจแม้แต่น้อยเพราะไอมารที่แผ่พุ่งออกมารุนแรงเหมือนสายน้ำที่เชี่ยวกรากยิ่งไม่ทำให้ไว้วางใจ เขาจึงต้องรีดเค้นเอาพลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างออกมาใช้เท่าที่จะทำได้
    
       ย๊ากกกก!
    
       ทั้งคู่ตะโกนก้องเหมือนจะเรียกพลังเฮือกสุดท้ายตัวเองออกมาพร้อมพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วที่ไม่อาจมีใครมองได้ทัน หนึ่งพลังมารเข้มข้นอีกหนึ่งพลังบริสุทธิ์ดุจเซียนฟ้า เพียงแค่พริบตาเดียวทุกอย่างรอบกายเหมือนหยุดนิ่ง ร่างสองร่างที่พุ่งเข้าหากันนิ่งค้างอยู่กับที่ดูไม่ออกว่าผู้ใดจะชนะ
    
        ตุ๊บ!
    
        เพียงแค่พริบตาเดียว ทว่าความรู้สึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์กลับรู้สึกว่ามันนานแสนนาน บัดนี้ร่างของเฒ่าราคะล้มลงกับพื้นลำตัวขาดครึ่งความคมของกระบี่และพลังลมปราณที่ยอดเยี่ยมทำให้ร่างนั้นถูกตัดเพียงแค่การโจมตีเดียว แต่ขณะเดียวกันจิวชงหยวนก็ทรุดตัวลงกับพื้นอาการสาหัสไม่น้อย ร่างกายบัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลที่เคลือบด้วยพิษร้ายแรง ยังดีว่าร่างนี้ทนทานต่อพิษไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเอาชนะเฒ่าราคะได้
    
       จิวชงยวนเหลือบตามองคนที่พุ่งกายเข้ามาประคองแล้วหัวเราะเบาๆ เพราะเจ้าตัวมาตอนจบเหมือนตำรวจในละครไทยเลย หากเขาตายในที่นี้จะตื่นขึ้นกลับไปที่โลกเดิมไหมนะ แต่เวลานี้ดวงตาหนักเหลือเกิน ที่นี่อาจเป็นเพียงความฝันก็เป็นได้ หรือว่านี่เป็นความรู้สึกของคนใกล้ตายกันนะ เสียงเรียกเหมือนได้ยินไกลออกไปทุกที ทุกที...
    
       “อาจารย์!”
    
        อวิ้นเซียนร้องเรียกอาจารย์ด้วยความตกใจ ตวัดอุ้มร่างโปร่งบางที่สลบไปด้วยความห่วงใย ดวงตาคมมองไปที่คนรักก็มีสภาพไม่ต่างกัน แล้วแบบนี้จะช่วยใครก่อนดีล่ะนี่ ทำไมเขารู้สึกลำบากใจเป็นครั้งแรกนะ
    
        “ช่วยท่านจิวชงหยวนเถอะขอรับ” เจียนเจียนพยายามลุกขึ้นก่อนจะเซตัวเล็กน้อย ใบหน้างามเป็นรอยเล็บตวัดโดนเล็กน้อย ทว่าที่มุมปากกลับมีโลหิตไหลออกมา อวิ้นเซียนเดินเข้าไปใกล้คนรักแล้วเปลี่ยนท่าเป็นอุ้มอาจารย์พาดบ่า มือซ้ายตวัดเอวคนรักเข้าหาเหมือนกับว่าทั้งสองคนเบาเหมือนปุยนุ่น
    
       “พวกเจ้ายังไหวก็ตามมา” อวิ้นเซียนหันไปบอกสามคนจากพรรคหยกขาว ก่อนจะทะยานกลับหอกิเลนซึ่งอยู่ซอกหุบเขามังกรร้อยผา
    
        หมิงอี้ฟานถูกสองศิษย์พี่น้องประคองขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะทั้งคู่ก็บาดเจ็บอาการสาหัสเช่นกันนับว่ากงเล็บมารราคะร้ายกาจจนน่าหวาดกลัว ยิ่งเห็นคนที่รักบาดเจ็บยิ่งรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองอ่อนหัดไม่อาจช่วยจิวชงหยวนได้อีกทั้งยังมาเป็นตัวถ่วง น่าเจ็บใจยิ่งนัก!
    
        เมื่อทั้งหมดได้เดินทางไปแล้วผู้ที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดถึงกลับกระอักโลหิตออกมาคำโต หลังจากเจอลูกหลงของจิวชงหยวนกับเฒ่าราคะ ภาพตรงหน้านับว่าตื่นตาตื่นใจอย่างไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนและครั้งนี้ทำให้ตนรู้ว่าฝีมืออย่างอ่อนด้อยนัก แค่จะช่วยคนรักของเจ้าชีวิตยังทำไม่ได้ หาโอกาสเข้าโจมตีไม่ได้ยังไม่พอยังโดนลูกหลงจนหลบไม่พ้น เสียชื่อเงาทมิฬจริงๆ หากองค์ชายห้ารู้เข้าคงไม่พ้นกลับไปฝึกที่ฐานลับอีกครั้งแน่ๆ
    
       เฮ้อ รู้จุดจบของตัวเองแล้วล่ะ เงาที่ได้หลบอยู่แค่เงาไม่อาจเปิดเผยตัวตนออกไปได้ แม้อยากช่วยจิวชงหยวนมากแค่ไหนแต่ความอ่อนหัดของตนกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี ครั้งหน้าสัญญาว่าจะไม่อู้กับการฝึกอีกแล้ว หวังว่าองค์ชายผู้เลือดเย็นจะยอมละโทษทัณฑ์ให้นะ...

    
        อวิ้นเซียนพาอาจารย์กับคนรักกลับหอกิเลนและเริ่มรักษาบาดแผลให้ทันที ดวงตาคมมองร่างอาจารย์อย่างครุ่นคิดเพราะหากเป็นเซียนไยถึงได้บาดเจ็บมากขนาดนี้ ยาที่ติดอกเสื้อของอาจารย์มีหลายขนาน แต่ที่เขาดูออกคือยาเก้าชีวิตจึงรีบเอายาให้อาจารย์และคนรักกินอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด
    
         เขาวางทั้งคู่นอนเตียงเดียวกันเพื่อง่ายต่อการดูแล ตอนนี้เจียนเจียนหลับไปด้วยฤทธิ์ยา บาดแผลตามร่างกายเขาพันแผลและรักษาเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงพลังภายในกลับคืนมา แต่อาจจะช้าหน่อยเพราะร่างกายเจอพิษไปมาก แต่ที่ทำให้แปลกใจคืออาจารย์ของตนแม้ร่างกายจะต้านพิษแต่เลือดที่ควรเป็นสีทองไยถึงเป็นสีแดงฉาน ใบหน้าซีดเซียวอย่างน่าห่วง เขามองดูอาจารย์นิ่งๆ อย่างครุ่นคิดถึงเหตุผลที่น่าจะเป็น ดวงตาหรี่มองร่างของอาจารย์ที่เริ่มเรืองแสงสีขาวนวลก่อนที่แผลตามร่างค่อยๆ สมานเอง
    
        “อย่างนี้น่าจะให้เหลือความเชื่อว่ายังเป็นเทพเซียนหน่อย” อวิ้นเซียนพึมพำออกมาเบาๆ มองดูการรักษาบาดแผลเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
    
        ทว่าแท้จริงแล้วพลังภายในของจิวชงหยวนหมดเกลี้ยงอีกทั้งบาดเจ็บอย่างหนักทำให้พลังลมปราณเทพที่ลู่เฟยถ่ายทอดให้ก่อนจะลงมายังโลกมนุษย์เริ่มทำงานและซ่อมแซมส่วนที่สูญหายและถูกทำลายลง...

    
        ขณะเดียวกันลู่เฟยที่นอนได้เพียงไม่ถึงชั่วยามถึงกลับผุดลุกขึ้นนั่งอย่างกระวนกระวาย เขามองเห็นภาพคนรักบาดเจ็บสาหัส หัวใจที่สงบกลับร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟแผดเผา ร่างสูงสง่าลุกขึ้นออกมานอกตำหนักแล้วมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มในยามราตรีจนไม่อาจเห็นแสงสว่างได้
    
        “เกิดอะไรขึ้นกับชงหยวน”
    
         พึมพำอย่างหงุดหงิด ในเวลานี้อยากจะกลับไปเป็นเทพโดยเร็วเพราะอย่างน้อยเขาก็หายตัวไปไหนได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไม่ใช่ห่างไกลพันลี้โดยที่ไม่สามารถรู้ความเคลื่อนไหวของคนรักได้เช่นนี้ แต่ความร้อนวาบในอกนี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าจิวชงหยวนได้รับอันตราย แต่ผู้ใดกันที่ทำให้จิวชงหยวนบาดเจ็บได้ ในยุทธภพนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้จะถูกฝึกมาอย่างดีแต่ประสบการณ์การต่อสู้นั้นนับว่าน้อยมาก อีกทั้งอย่างไรก็ยังมีขีดจำกัดความเป็นมนุษย์อยู่หากเจอคนที่ประสบการณ์มากก็มิอาจต้านทานได้เช่นกัน
    
         “เกอเกอ หลี่กุ้ยพิงส่งข่าวมาหรือไม่” เอ่ยถามไปตามสายลม ทว่าเสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างกังวล
    
         “นกพิราบสื่อสารที่ส่งไปยังไม่กลับมาขอรับ” ลู่เฟยถอนหายใจอย่างกังวล เพราะขาดการติดต่อมีสองกรณี หนึ่งไม่มีเหตุร้ายแรง สองหลี่กุ้ยพิงตายแล้ว ลู่เฟยสะบัดมือเข้าหามุมมืดด้วยความเร็ว ร่างที่หลบซ่อนหล่นตุ๊บลงมาอย่างน่าสงสาร ทว่าแววตาเย็นชาที่มองมารีบทำให้ร่างนั้นนั่งคุกเข่าอย่างสำนึกผิด
    
       “ภายในครึ่งชั่วยามยังไม่ได้ข่าวจิวชงหยวน พวกเจ้าคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
    
        “ขอรับ” บุรุษชุดดำตอบรับเสียงหนักแน่น มุมปากมีเลือดไหลออกมา ทว่ากลับไม่มีเวลามารักษาตัวเอง ร่างนั้นเลือนหายไปกับความมืดเพื่อหาข่าวตามที่รับคำสั่ง
    
        ลู่เฟยปลายตามองเงาอื่นๆ แล้วเดินกลับเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง เพราะตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี จะลงโทษไปทั่วก็คงไม่ได้อีกอย่างเขาจำเป็นต้องใช้คน

    
        จิวชงหยวนตื่นมาในวันรุ่งขึ้นหลังจากเมื่อวานใช้พลังไปจนหมดเกลี้ยง นานมากแล้วที่เขาไม่ค่อยได้ออกแรงมากขนาดนี้ ล่าสุดที่ทำให้เขาสลบไปได้คงเป็นหมอเทวดาตัวปลอมในเมืองเจียงหนาน ดวงตาเรียวมองสำรวจบริเวณรอบห้องซึ่งเป็นห้องพักของเขาภายในหอกิเลน
    
        “ท่านอาจารย์ฟื้นแล้วหรือขอรับ” เสียงทักทายพร้อมร่างสูงสง่าเรือนผมสีขาวสะดุดตาเดินเข้ามา จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองลูกศิษย์ที่ใบหน้าเรียบเฉยผิดปกติ เดาได้ไม่ยากว่าอวิ้นเซียนคงรู้แล้วว่าเขาเป็นมนุษย์
    
       “เจ้าคงรู้ความจริงแล้วว่าข้ามิใช่เทพเซียนดังเช่นกาลก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาเรียวมองลูกศิษย์นิ่งๆ
    
       “ข้าอยากโกรธท่านที่ไม่ยอมบอก ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ข้าคงไม่กล้าทำเช่นนั้นกับผู้มีพระคุณได้หรอกขอรับ” น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความน้อยใจ จิวชงหยวนนิ่งเงียบไม่ได้ปริปากเอ่ยตอบหรือไขข้อข้องใจให้กับอวิ้นเซียน เพราะยิ่งอธิบายก็ยิ่งเหมือนข้อแก้ตัว
    
      “ท่านจะไม่ยอมบอกเหตุผลแก่ข้าบ้างหรืออาจารย์” อวิ้นเซียนกอดอกมองมาที่เขาอย่างกดดัน ทว่ามันไม่ได้ผลสำหรับเขาหรอก จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาลูกศิษย์ช้าๆ แล้วบอกเสียงเรียบ
    
       “รู้แล้วอย่างไร ไม่รู้แล้วเป็นเช่นไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงนิ่ง ดวงตาเรียวมองอวิ้นเซียนเรียบสนิทจนมิอาจคาดเดาได้
    
        “อย่างไรข้าก็คืออาจารย์เจ้าหรือว่าข้ามิใช่เทพเซียนแล้วจะเป็นอาจารย์เจ้าดังกาลก่อนมิได้หรืออวิ้นเอ๋อ” คำเรียกขานที่ไม่ได้ยินมานานทำให้อวิ้นเซียนนิ่งอึ้งไป ดวงตาที่มองอาจารย์อ่อนแสงลง
    
       “เปล่าขอรับอาจารย์ ข้าผิดไปแล้วอภัยให้ข้าด้วย ข้าแค่ห่วงท่านหากเป็นมนุษย์ข้าจะได้ติดตามดูแลท่านจะไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้อีก” อวิ้นเซียนคุกเข่าลงพลั่งพลูความในใจออกมา
    
      จิวชงหยวนมองลูกศิษย์ที่ก้มหน้าคุกเข่ากับอย่างสำนึกผิดแล้วลอบหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องโดนคาดคั้นไปมากกว่านี้
    
      “ลูกขึ้นเถอะ อีกอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหน้าที่ของเจ้ายังพึงมีและคนติดตามข้าก็มากพอแล้ว” จิวชงหยวนเอ่ยบอกพร้อมประคองอวิ้นเซียนให้ลุกขึ้น
    
      “แต่ ตอนนี้ชื่อเสียงท่านระบือไกลไปทั่วหล้า ทั้งผู้คนที่ต้องการตัวไปเป็นพรรคพวกด้วยและยังมีผู้ที่ต้องการสังหารท่าน” อวิ้นเซียนบอกอย่างเป็นห่วง
    
      “อีกไม่นานหรอก ทุกอย่างต้องเรียบร้อยดี” จิวชงหยวนส่งยิ้มอ่อนโยนให้
    
      “ว่าแต่พวกหมิงอี้ฟานเป็นเช่นไรบ้าง”
    
       “พวกเขาอยู่ที่ฝั่งตะวันออก เห็นออกไปฝึกกระบี่ตั้งแต่เช้าตรู่ขอรับ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
    
        “หมิงอี้ฟานมิได้บาดเจ็บหนักหรอกหรือ”
    
        “ท่านไปดูเองเสียดีกว่าขอรับ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องไปตามเส้นทางทางด้านตะวันออก ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นลานฝึกอาวุธของหอกิเลน
    
       ฟิ้ววว
    
        เสียงแหวกอากาศตามแรงตวัดอย่างรุนแรงของกระบี่  ร่างกายมีเลือดซึมออกมาแปดเปื้อนอาภรณ์สีเขียวอ่อนจนแดงฉาน ทว่าเจ้ากลับมิใส่ใจใบหน้าเคร่งเครียดดวงตาดุดัน ร่างสูงหนาพลิ้วไหวตีลังกาตวัดกระบี่ในเคล็ดวิชากระบี่เดียวดาย จิวชงหยวนส่ายหน้ากับภาพตรงหน้าก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไปขัดขวางต่อการฝึกด้วยสีหน้าอ่อนใจ เพราะรู้ดีว่าหมิงอี้ฟานกำลังกล่าวโทษตัวเองที่ด้อยความสามารถ
    
        พรึบ!
    
         ดวงตาคมดุหันมามองอย่างดุดันก่อนจะทอแสงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด มือหนาผ่อนแรงเก็บกระบี่เข้าที่เดิมและบอกคนตรงหน้าเสียงนิ่ง
    
        “เจ้าไม่ควรเข้ามาเช่นนี้มันอันตราย” จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนบอกแล้วยกยิ้มบาง
    
      “เจ้ายังบาดเจ็บ ไม่ควรมาฝึกเช่นนี้ หากรักษาตัวไม่หายดีภายภาคหน้าหากมีภัยเจ้าจะรับมือได้อย่างไร”
    
       “ข้ามิได้เป็นไร” จิวชงหยวนส่ายหน้ามองคนปากแข็งอย่างอ่อนใจก่อนจะลากไปทำแผลอีกครั้ง ดวงตาเหลือบมองเงาร่างหนึ่งยังมุมเสาที่ส่งสายตาห่วงใยให้กับคนร่างสูงข้างตัว
    
       “จุ้ยซิงเจ้าก็ตามมาด้วย เดี๋ยวข้าจะดูแผลเจ้าด้วย” จิวชงหยวนร้องบอกโดยมิได้หันกลับมามอง ทว่าเงาร่างที่คิดว่าตัวเองแอบซ่อนดีแล้วสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะยอมเดินตามไปเงียบๆ
    
        หลังจากรักษาบาดแผลให้หมิงอี้ฟานกับศิษย์น้องเรียบร้อย จิวชงหยวนจึงออกมาเดินเล่นข้างนอก ดวงตาเหลือบหาเงาร่างหนึ่งที่คุ้มครองเขาเงียบๆ โดยไม่คิดเปิดเผยตัวตน แต่เวลานี้กลับไร้เงาร่างนั้น ใบหน้าขมวดมุ่นอย่างกังวลเพราะจำได้ช่วงโกลาหลเงาร่างนั้นโดนพลังเขาไปเต็มๆ หวังว่าจะยังไม่ตายหรอกนะ ทว่าเพียงไม่นานเงาร่างที่เขาห่วงใยก็ปรากฏที่ร่มไม้ไม่ห่างมากนัก ทว่ากลับมิใช่คนเดียวกับเมื่อคืน
    
      “เขาเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนยืนมือไพล่หลังมองท้องฟ้านิ่งๆ ขณะเอ่ยถาม เงาร่างนั้นยังเงียบเหมือนไร้ตัวตน คนอื่นอาจจะไม่รับรู้แต่ไม่ใช่เขาที่ยังรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง เมื่อรู้ว่าไม่ได้คำตอบและเดาได้ไม่ยากหากยังรอดชีวิตได้คงถูกลู่เฟยลงโทษอยู่แน่ๆ
    
       “ข้าสบายดี จะเดินทางไปทางตะวันตกอีกสามวันข้างหน้า” บอกพร้อมหมุนกายกลับเข้าไปในหอกิเลนโดยที่คนรับฟังข้อความรู้สึกหนาวสั่นสะท้านเพราะโดนจับได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในหอกิเลน หวังว่าคงไม่ถูกส่งตัวไปฝึกอีกครั้งหรอกนะ


       

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่41 โรคระบาดต้าเหลียง ตอนที่16 (P.16วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-11-2015 10:56:24
บทที่41 โรคระบาดต้าเหลียง
เล่ม2 ตอนที่16 (P.16วันที่ 13/11/58)


       หลังจากพักผ่อนอยู่ภายหอกิเลนเป็นเวลาสามวัน จิวชงหยวนก็ได้เดินทางต่อไปยังตะวันออกเขตเมืองต้าเหลียงและรักษาผู้คนระหว่างทางไปเรื่อยๆ อีกครั้ง แต่การออกจากเมืองเยี่ยในครานี้ไม่มีใครรู้จักเพราะเขาแต่งกายเป็นชายเฉกเช่นเดิม ส่วนหมอหญิงแห่งแคว้นเยี่ยที่ทุกคนนับถือได้หายไปจากยุทธภพพร้อมบ้านเรือนถูกทำลายจนเกิดข่าวลือต่างๆ นานา
    
       การเดินทางอย่างไม่เร่งรีบโดยมีหมิงอี้ฟานและสองศิษย์เช่นเดิม เพราะเขาไม่อยากได้ใครไปด้วยมากกว่านี้ ระหว่างทางก็เก็บพืชสมุนไพรไปด้วย หากผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ก็จะอยู่ช่วยรักษาผู้คนในหมู่บ้าน ผ่านไปสามราตรีเข้าเขตแดนของเมืองต้าเหลียง เขามาที่เมืองนี้เพราะได้ข่าวว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นที่นี่
    
       ผู้คนภายในเมืองต้าเหลียงดูผอมโซหน้าตาหมองล้ำ และมีแผลพุผองเต็มร่าง บ้างก็เริ่มย้ายถิ่นฐานตัวเองออกไปจากเมืองอื่นเพื่อเอาตัวรอด เหลือเพียงผู้ที่ติดโรคระบาดถึงไม่ได้ออกไปไหน ม้าเร็ววิ่งผ่านไปหน้าเขาไป พร้อมราชโองการของเมืองหลวงส่งตรงมายังเมืองทางเข้าของต้าเหลียงที่ทำให้คนฟังใจสั่นสะท้าน
    
       ซึ่งเขาจับใจความได้ว่าปิดเมืองเข้าออกเมืองหน้าด่านของต้าเหลียงมิให้ผู้ใดเข้าออกอีกต่อไป เพราะบางคนที่มีเชื้อได้ออกนอกเมืองและทำให้เมืองอื่นในหัวเมืองต่างๆ เริ่มมีคนติดเชื้อบ้างแล้ว
    
       “เราคงติดอยู่ในเมืองนี้แล้วล่ะ” หมิงอี้ฟานเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตามองผู้คนที่กอดกันกลมอย่างหวาดหวั่น ทว่ามีมุมหนึ่งที่ผู้คนต่างยืนออกันเต็ม
    
      “ที่นั่นคืออะไร” จิวชงหยวนหันไปถามหมิงอี้ฟานที่เกิดและเติบโตในยุคนี้น่าจะพอดีรู้จักบ้าง
    
        “เป็นศาลเจ้าของเซียนรักษา ผู้คนมากราบไหว้” ดวงตาเรียวมองด้านหน้าแล้วเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ เซียนรักษาอีกแล้วหรือ
    
        “ไปกันเถอะ” บอกพร้อมเดินนำไปยังศาลเจ้าดังกล่าว ซึ่งผู้คนมากมายต่างก้มไหวกราบขอพรให้หายจากโรคติดต่อที่เป็น อีกมุมหนึ่งมีโต๊ะจัดนั่งมีชายหนุ่มผู้หนึ่งในอาภรณ์สีขาวดูล้ำค่ากำลังแจกจ่ายยาสมุนไพรให้ผู้คนด้วยรอยยิ้มพร้อมแนะนำวิธีต่างๆ ให้ แต่ที่ทำให้เขาจ้องมองอยู่นานเพราะคนผู้นี้มิได้หวังเงินทองจากชาวบ้านแม้แต่น้อย
    
       “นั่นเป็นองค์ชายสิบเจ็ดของแคว้นต้าเหลียง แต่เพราะมีพระมารดาเป็นนางกำนัลเล็กๆ จึงไม่ค่อยมีผู้คนสนใจ การมาที่นี่อาจเป็นราชโองการของฮ่องเต้ก็เป็นได้” หมิงอี้ฟานอธิบายเสียงเรียบเมื่อเห็นสายตาของจิวชงหยวนมองไปยังร่างขององค์ชายสิบเจ็ด
 
    จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มแม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ปริปากบ่น และมีคนติดตามเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สมกับที่เป็นองค์ชายแม้แต่น้อย
    
        แค่กๆ ๆ
    
        องค์ชายไอออกมาจนตัวโยน อาจเป็นเพราะหลายวันมานี้คลุกตัวอยู่แต่กลับชาวบ้านที่ติดโรคระบาดแล้วทั้งนั้น จิวชงหยวนเดินเข้าไปใกล้ๆ อย่างห่วงใยคนตรงหน้าเป็นคนจิตใจดีมีคุณธรรม จะมาตายง่ายๆ อย่างนี้คงไม่ดีนัก
    
       “คารวะองค์ชายสิบเจ็ด กระหม่อมจิวชงหยวนเดินทางผ่านมาเมืองต้าเหลียงพร้อมสหาย ขออาสาช่วยฝ่าบาทรักษาเยียวยาชาวบ้านด้วยคนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนเข้าไปทักทายและกล่าวแนะนำตัวเล็กน้อย ร่างสูงโปร่งหยุดไอเงยหน้ามามองเขานิ่งๆ ก่อนจะยิ้มบาง
    
       “ท่านเป็นหมอหรอกหรือ”
    
       “พ่ะย่ะค่ะ”
    
        “ชาวบ้านมิมีเงินให้ ท่านยังจะช่วยข้าอยู่หรือไม่” จิวชงหยวนยิ้มบางอย่างเข้าใจ เพราะคนที่เติบโตอยู่กับในวังหลวงซึ่งคอยแต่แย่งชิงอำนาจบัลลังก์ย่อมมิมีสิ่งใดได้มาโดยไม่มีสิ่งใดตอบแทน
    
        “องค์ชายโปรดวางใจเถอะ กระหม่อมช่วยเพราะพอมีความรู้ อีกอย่างตอนนี้ฝ่าบาทก็ทรงประชวรเพราะหักโหมไปมากพ่ะย่ะค่ะ หากมีกระหม่อมช่วยจะได้เบาแรงฝ่าบาทไปด้วย” องค์ชายสิบเจ็ดมองชายหนุ่มร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนจะตอบรับด้วยรอยยิ้มบางอย่างยินดี
    
       “ข้าอนุญาต ความหวังชาวบ้านอยู่ที่ท่านแล้ว” จิวชงหยวนยิ้มรับ ที่เข้ามาขออาสาเช่นนี้ เพราะไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาองค์ชายซึ่งมารักษาด้วยตนเองอยู่ก่อนแล้ว
    
        หลังจากนั้นจิวชงหยวนก็เริ่มตรวจดูอาการชาวบ้านเคียงข้างองค์ชายสิบเจ็ด ซึ่งมีพระนามว่าเป่ยเยี่ยน โรคระบาดนี้ติดต่อกันอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่เมื่อตรวจดูอาการขั้นต้นของแต่ละคนทำให้รู้ว่าเกิดจากแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด เขาจึงออกไปตรวจสอบน้ำดื่มน้ำใช้
    
        ทว่าน้ำที่เห็นซึ่งนำมาดื่มกลับขุ่นและมีตะกอนมากมาย เขาจึงน้ำมากรองด้วยวิธีง่ายๆ คือการนำผ้าสะอาดมารองกระบอกไม้ไผ่ไว้ขั้นแรกจากนั้นก็น้ำก้อนกรวดมารองขั้นต่อไป ตามด้วยก้อนถ่าน สุดท้ายก็ทรายหยาบ แม้จะเป็นวิธีง่ายๆ แต่ก็พอหาได้ในช่วงเวลานี้ จากนั้นจึงเอาไปต้มให้สุกก่อนนำมาดื่ม เพียงสามวันแรกอาการผู้คนก็เริ่มดีขึ้นเมื่อเห็นว่าได้ผลจึงเริ่มขยายการกรองน้ำด้วยถังที่ใหญ่ขึ้นเพื่อแจกจ่ายชาวบ้านได้เพียงพอพร้อมกับยาให้คนในเมืองที่ถูกปิดกั้นมิให้ออกไป
    
        เป่ยเยี่ยนเป็นคนดีมีเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านอย่างไม่อิดออด ร่างสูงโปร่งดูบอบบางแต่กลับไม่ได้อ่อนแอ แม้จะไม่เป็นวรยุทธแต่กลับเก่งกาจเรื่องการวางแผนในเชิงบุ๋นและการรักษา ใบหน้ายิ้มแย้มดวงตาอ่อนโยนขณะพูดคุยกับชาวบ้าน จนอดที่จะคิดไม่ได้คนที่ดูอ่อนโยนเช่นนี้เติบโตในวังหลวงที่ต่างก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันได้อย่างไร
    
       “วิธีของท่านได้ผลดีเกินคาด บุญคุณนี้ข้าจะไม่ลืม” องค์ชายเป่ยเยี่ยนเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มระหว่างพักเหนื่อย จิวชงหยวนยิ้มรับยกมือคารวะเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับอย่างนอบน้อม
    
       “มิได้ มิได้พ่ะย่ะค่ะ หากไม่มีองค์ชายคอยช่วยเหลือหาสมุนไพรก็คงมิได้ผลดีเช่นนี้ คุณงามความดีของฝ่าบาทชาวบ้านจะภักดีต่อฝ่าบาทสุดจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ”
    
       “ฮ่าๆๆ เอาเถอะข้ามิได้คิดอะไรเช่นนั้น ขอแค่ประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุขก็พอแล้ว อีกอย่างหากชาวบ้านที่หน้าเมืองไม่หายจากโรคภัยครั้งนี้ ข้าก็มิอาจมีชีวิตไปต่อเช่นกันได้” แม้คนตรงหน้าจะยิ้ม ทว่าดวงตาที่เคยอ่อนโยนฉายแววเจ็บปวดออกมาอย่างน่าเห็นใจ ความเข้มแข็งเท่านั้นที่จะทำให้รอดจากอำนาจในวังหลวงได้
    
       “ฝ่าบาทอย่าได้วิตก อีกในไม่ช้าชาวเมืองหน้าด่านต้าเหลียนจะหายดีในเร็ววัน ข้ากระหม่อมเอาศีรษะอันไร้ค่าเป็นเดิมพันพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนเอ่ยตอบกลับอย่างมั่นใจ
    
       “หากหัวเจ้าไร้ค่า ชีวิตข้าคงเป็นแค่เศษธุรี และหากใครกล้าปลิดหัวเจ้าออกจากบ่า แผ่นดินนี้คงลุกเป็นไฟ องค์ชายห้าแคว้นลั่วหยางคงไม่ปล่อยให้เจ้าตายเปล่าหรอก อีกอย่างประมุขพรรคธารตะวันและประมุขหอกิเลนคงไม่นิ่งดูดายอีกต่อไป” หมิงอี้ฟานที่เดินเข้ามาทันได้ยินบทสนทนาก็ตอบกลับอย่างหมั่นเขี้ยว เพราะมีแต่คนรักคนห่วงจิวชงหยวนหากเจ้าตัวตายจริงๆ ยุทธภพคงร้อนเป็นไฟ
    
        “เจ้าพูดมากไปแล้ว” จิวชงหยวนดุหมิงอี้ฟานอย่างไม่จริงจังมากนัก เจ้าตัวเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเหมือนจะบอกว่าตนพูดเรื่องจริง
    
        “หืม ท่านคือจิวชงหยวนคนเดียวกันกับที่โด่งดังไปทั่วยุทธภพในเพลานี้อย่างนั้นหรือ ข้ามีตาแต่กลับไร้แววไม่” จิวชงหยวนหน้าเสียเล็กน้อยที่องค์ชายเป่ยเยียนยกมือคารวะตน
    
         “ฝ่าบาทเกรงใจเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่หมอธรรมดาผู้หนึ่งเห็นผู้คนเดือดร้อนจะปล่อยผ่านไปได้เช่นไร”
    
        “ท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้าได้ยินข่าวของท่านมาเนิ่นนาน เพียงแต่มิคิดว่ายังเยาว์วัยเช่นนี้” จิวชงหยวนยิ้มแหย มิได้โต้ตอบอะไรอีกเพราะไม่ว่าอย่างไรหน้าตาเขามิเปลี่ยนแปลง
    
       “จุ้ยซิงทำอาหารเสร็จแล้ว เชิญฝ่าบาทเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หมิงอี้ฟานเอ่ยบอกเมื่อนึกได้ว่าตนมาที่นี่เพราะเหตุใด
    
       “เชิญ” องค์ชายเป่ยเยี่ยนผายมือเชิญให้จิวชงหยวนเดินนำไปด้วย ระหว่างทางจึงได้พูดคุยสนทนากันในเรื่องทั่วไป เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก ชาวบ้านล้วนอาการดีขึ้นสีหน้าแต่ละคนเริ่มมีรอยยิ้มเมื่อรู้ว่าจะผ่านพ้นความตายไปได้
    
        จิวชงหยวนกับหมิงอี้ฟานรวมอีกสองศิษย์พี่น้องได้ร่วมรับประทานอาหารกับองค์ชายเป่ยเยี่ยนด้วยเพราะเขข้าตัวไม่ได้ถือตัวว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์ กิริยาที่ดูอย่างไรก็สง่างามมีคุณธรรมแต่กลับไร้คนหนุนหลัง เรื่องในวังหลวงเขาก็มิอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยว ได้มาพบเจอในยามยากในครานี้นับว่ามีวาสนาต่อกันภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไรนั้นแล้วแต่ชะตาฟ้าจะเป็นผู้ลิขิต เพราะแม้ตัวเขาก็ยังไม่พ้นลิขิตของสวรรค์    
    
       ผ่านไปครึ่งเดือนโรคระบาดที่ผู้คนต่างหวาดกลัว ได้รับการรักษาหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้คนร่างกายกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม ทำให้ชื่อเสียงหมอเทวดาจิวชงหยวนดังระบือไกลยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งครั้งนี้เป่ยเยี่ยนได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียน ที่สามารถช่วยประชาชนผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ไปได้ ผู้คนต่างกลับมาใช้ชีวิตเฉกเช่นเดิม
    
        ทว่าจิวชงหยวนเหมือนงานจะเข้ามากกว่าเดิม เมื่อองค์ชายอื่นๆ ต่างหยิบยื่นไมตรีให้อย่างออกหน้าออกตาอย่างไม่เกรงใจองค์ชายสิบเจ็ดคนที่ลำบากใจในเวลานี้ คืนนี้เขาจึงได้มาแอบมาลาองค์ชายเพื่อเดินทางต่อไป เนื่องด้วยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนในวังหลวงที่ต่างแย่งชิงบัลลังก์เข่นฆ่าพี่น้องกันเอง ได้แต่หวังว่าองค์ชายที่เปี่ยมคุณธรรมจะเอาตัวรอดไปได้อีกนาน
    
         “ข้ามิคิดว่าท่านจะมีวรยุทธ” จิวชงหยวนรับถ้วยชาที่ถูกรินให้ยกดื่ม เหลือบตามองเจ้าของห้องเล็กน้อย เวลานี้อยู่ในวังหลวงในฐานะสหายขององค์ชายสิบเจ็ดและเป็นแขกที่ผู้คนต่างต้องการตัวจนเจ้าของตำหนักลำบากใจที่ต้องกีดกันพี่น้องคนอื่นๆ แต่อำนาจอันน้อยนิดคงไม่อาจไปห้ามผู้ที่มีฐานันดรสูงกว่าได้
    
        “กระหม่อมพเนจรไปทั่วยุทธภพ หากไร้ซึ่งวรยุทธคงมิได้มานั่งดื่มชากับฝ่าบาทเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเป่ยเยี่ยนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าที่ประกายแสงจากจันทราในยามค่ำคืนแล้วยิ้มเศร้า
    
        “แม้ข้าจะไร้ซึ่งวรยุทธ แต่ข้าปรารถนาที่จะได้บินออกจากกรงทอง ได้ท่องไปทั่วทุกใต้หล้า ได้รักษาผู้คนดังเช่นท่านคงจะดีไม่น้อย”
    
        “ความปรารถนาของฝ่าบาทนั้นยากยิ่งนัก นอกจากตายจากที่แห่งนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ มองสบกับดวงตาพราวระยับของเป่ยเยี่ยนแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองจะไปชี้โพลงให้กระรอกเสียแล้ว    

        “โปรดใคร่ควรเสียก่อนที่จะลงมือนะพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยเตือนเสียงเรียบเมื่อเข้าใจความหมายของสายตาคู่นี้
    
       “สมกับเป็นท่าน รู้ใจข้ายิ่งนัก” รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาและดวงตาประกายแววจริงจัง เขามิได้ห้ามปรามเพราะหากเลือกเส้นทางที่จะก้าวเดินแล้วต้องยอมรับผลของการกระทำ
    
      “โปรดรักษาตัวด้วย หากมีวาสนาจักได้พบกันในอีกครา” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนก้มหัวทำความเคารพให้เป็นครั้งสุดท้าย เจอกันครั้งหน้าเขามั่นใจว่าเป่ยเยี่ยนคงอยู่ในฐานะคนธรรมดาที่ไม่มียศศักดิ์อะไร เพราะองค์ชายสิบเจ็ดคงได้ตายจากแคว้นต้าเหลียน คนฉลาดอย่างเป่ยเยี่ยนย่อมรู้ความหมายนั้นดี
    
       “ท่านก็เช่นกัน” จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะเร้นกายหายไปกับความมืดด้วยความเร็ว
    
       เป่ยเยี่ยนมองตามด้วยความทึ่ง มิคิดว่าคนที่อยู่ด้วยตลอดครึ่งเดือนจะเก่งกาจทั้งบู้และบุ๋นเช่นนี้ บัดนี้เขามิแปลกใจแล้วว่าทำไมยุทธภพถึงตามหาหมอเทวดาจิวชงหยวนไม่เจอ ดวงตาคมมองผ่านความมืดยามราตรีแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาตามสายลมไป
    
      “แล้วพบกันสหายข้า”
    
        จิวชงหยวนใช้ความเร็วทะยานปีนกำแพงวังสูงออกไปได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อพ้นเขตเมืองจึงไปยังจุดนัดพบที่หมิงอี้ฟานและพรรคพวกได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว จากนั้นจึงได้ออกเดินทางต่อ คราวนี้เขาไม่ได้เจาะจงว่าไปที่ใดเพราะอยากเดินทางช่วยเหลือผู้คนไปเรื่อยๆ ทว่าการเดินทางต้องหยุดชะงักเมื่อมีผู้เดินออกมาขวางกั้นเหมือนกับรู้ว่าพวกเขาจะออกจากเมืองต้าเหลียง
    
         “คิดแล้วว่าท่านต้องออกจากเมืองในไม่ช้า มิเสียแรงที่พวกข้ามายืนรอท่าน เชิญไปกับพวกข้าเสียหน่อยเถิดท่านหมอ” น้ำเสียงหวานมาจากร่างระหงของหญิงสาวในอาภรณ์สีดำสนิท แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่ากับว่าคนตรงหน้าคือคนที่เขาเคยช่วยชีวิตมาก่อน
    
        “ผิงเอ๋อร์” จิวชงหยวนกระซิบเสียงแผ่วเบา มองคนตรงหน้านิ่งๆ
    
      “ข้าน้อยผิงเอ๋อร์คารวะท่านหมอ ข้าดีใจที่ท่านยังจำข้าได้แม้จะผ่านมานับปี ท่านจะให้เกียรติข้าไปกับพรรคหมื่นพิษได้หรือไม่เจ้าคะ”
    
       แม้คำพูดจะดูอ่อนโยนถ่อมตน แต่เงาร่างนับสิบที่โอบล้อมเขาอยู่เช่นนี้คงเป็นการเชิญที่มีมารยาทมาก เขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย คิดไว้อยู่แล้วว่าผิงเอ๋อร์สาวชาวป่าที่เขาช่วยไว้ในวันนั้นคงมีฐานะที่ไม่ธรรมดาแต่ไม่คิดว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพรรคหมื่นพิษเช่นนี้
    
       “ข้าขอปฏิเสธ” ทันทีที่ตอบคำถาม แรงกดดันทุกทิศก็พุ่งตรงมายังเขาอย่างรุนแรง หมิงอี้ฟานและสองศิษย์พี่น้องต่างพุ่งเข้ามาโอบล้อมเขาไว้
    
      “คุณชายหมิงอี้ฟานพรรคหมื่นพิษกับพรรคหยกขาวมิมีความแค้นต่อกัน ข้าว่าท่านอย่าได้ยื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเสียดีกว่า”
    
     “เฮอะ ข้าติดตามจิวชงหยวนมานาน หากพวกเจ้าไม่เห็นแก่พรรคหยกขาวก็เชิญลงมือ”
    
        “หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอเสียมารยาทแล้ว แต่หากท่านมาจบชีวิตที่นี่ ข้าจะนำศีรษะท่านกลับไปให้พรรคหยกขาวเอง” รอยยิ้มหวานเหมือนอาบยาพิษ ทำให้หมิงอี้ฟานกัดฟันกรอดแล้วตอบกลับเสียงเข้ม
    
      “ถ้าทำได้ก็ลองดู!”
    
       “ช้าก่อน” จิวชงหยวนร้องบอกก่อนที่ทุกฝ่ายจะเริ่มลงมือเพราะสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเหมือนกับว่าที่หุบเขาไร้เงาแห่งนี้จะมีมากกว่าหนึ่งฝ่าย
    
         “แม่นางผิงเอ๋อร์ ข้ากับเจ้ามิเคยมีความแค้นต่อกัน ไยถึงอยากได้ชีวิตข้าเล่า อีกอย่างหากเจ้ายังจำได้ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้าให้มองเห็นโลกนี้ได้อีกครั้ง”
    
        “ใช่ ข้าอาจมิมีความแค้นต่อท่าน แต่ข้าก็มิอาจขัดสั่งได้เช่นกัน หากท่านอยากให้ข้ามีชีวิต ก็ไปกับข้าเสียดีกว่าเจ้าค่ะ”
    
         คำตอบที่เห็นแก่ตัวทำให้คนฟังรู้สึกคิ้วกระตุก รู้สึกว่าช่วงนี้เขาจะบุญไม่ขึ้นจริงๆ หากหักล้างกันวันนี้คงจะสูญเสียกันไปไม่มากก็น้อย ดวงตาเรียวเหลือบมองสหายอีกสามคนที่มีใบหน้าเคร่งเครียด เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าแล้วรู้สึกใจหาย เขาจะรักษาชีวิตสหายทั้งสามคนนี้ได้ต่อไปหรือไม่
    
        “หากเป็นเช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน” หมิงอี้ฟานตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน แผ่นหลังเหยียดตรงทำให้รู้สึกน่าเกรงขาม แต่ทว่ายามนี้ทำไมเขารู้สึกใจหายอย่างไรอย่างนั้น
    
        “ไม่คิดว่าข้าจะโชคดี เจอหมอเทวดาจิวชงหยวนที่บังอาจสังหารองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายข้า” น้ำเสียงจริงจังพร้อมร่างของชายชราผู้หนึ่งเดินก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน หมิงอี้ฟานมองคนตรงหน้าแล้วเคร่งเครียดมากกว่าเดิม ศัตรูเก่าศัตรูใหม่ของจิวชงหยวนมาปรากฏตัวพร้อมกันอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
    
        “ท่านอาวุโส ข้าน้อยจากคนพรรคหมื่นพิษพบเจอหมอเทวดาจิวชงหยวนก่อน หากท่านจะวางมือจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง พรรคหมื่นพิษยินดีส่งของขวัญให้แก่ท่านเจ้าค่ะ” ผิงเอ๋อร์กล่าวกับประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนอย่างนอบน้อมทว่ากิริยากลับมิได้เป็นเช่นดังคำพูด
    
        “เฮอะ ข้าตามหาเจ้านี่มานาน วันนี้ได้มีโอกาสพบเจอคงปล่อยไปง่ายนั้นยาก กลับไปบอกประมุขพรรคของพวกเจ้าว่าข้าขอหัวเจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่เอง” คำตอบโต้ของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนทำให้ผิงเอ๋อร์ครุ่นคิดอย่างหนักเพราะสองพรรคนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทว่าประมุขพรรคหมื่นพิษก็ต้องการตัวหมอเทวดาผู้นี้เป็นๆ เพื่อนำไปทรมารกับการทำให้ซือเยว่พิการทางขาไร้ซึ่งวรยุทธอีกต่อไป
    
        “นั่นใคร” จิวชงหยวนกระซิบถามหมิงอี้ฟานที่มีสีหน้าเคร่งเครียด มือหนากำกระบี่แน่น
    
        “ประมุขพรรคพยัคฆ์คำรน” คำตอบที่ได้ทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้าโจทย์เก่าตามเขาพบเร็วกว่าที่คิดไว้ ทั้งๆ ที่เขามิใช่คนเริ่มแต่กลับถูกตามล้างแค้นอย่างไม่เลิกรา
    
        “หากข้าบอกว่าสามเจ้าจงหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าจะทำได้ ห้ามหันหลังกลับมาโดยเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่ เจ้าด้วยจุ้ยซิง” หมิงอี้ฟานบอกด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปบอกศิษย์น้องตัวเล็กที่เขารู้ว่าคิดเช่นไรกับตนด้วยรอยยิ้มเศร้า ดวงตาเศร้าหมองมองตอบกลับมาแล้วส่ายหน้าอย่างจริงจัง
    
         “ไม่ขอรับ ข้าจะไม่ทิ้งท่าน” หมิงอี้ฟานเมินหน้าหนีกับคำตอบ แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังมิใส่ใจที่จะตอบรับความรู้สึกนี้
    
         จิวชงหยวนเหลือบตามองทั้งคู่แล้วถอนหายใจยาวอย่างกลัดกลุ้ม หากมีแค่พรรคเดียวเขาอาจจะรับมือได้ แต่นี่คนร่วมสามสิบคนเขาไม่แน่ใจ อีกอย่างเขามิรู้ว่าฝีมือของประมุขพยัคฆ์คำรนจะเก่งกาจแค่ไหน
    
       “เรามาสะสางความแค้นให้จบเถอะเด็กน้อย” เมื่อตกลงกับพรรคหมื่นพิษได้แล้ว อาวุโสผู้นั้นก็หันมาทางเขาพร้อมชักดาบเล่มใหญ่ออกมาจากด้านหลัง หมิงอี้ฟานเอาตัวออกมาขวางหน้าเขาไว้
    
      ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเลิกคิ้วมองเด็กน้อยที่เอาตัวมาขวางเป้าหมาย แล้วหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใด
    
       “ฮ่าๆ ๆ เด็กน้อยไม่คิดว่าเจ้าก็อยากตายด้วยคมดาบของข้า หากข้าพลั้งมือสังหารเจ้าไป หวังว่าประมุขพรรคหยกขาวจะไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอกนะ” หมิงอี้ฟานกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น พยัคฆ์คำรนกับพรรคหยกขาวเป็นศัตรูกันมาเนิ่นนาน
    
      จิวชงหยวนเรียกกระบี่ออกมาเมื่อรู้ว่าสุดท้ายก็ต้องลงมือ ประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนเลิกคิ้วมองกระบี่เขาเล็กน้อย
    
       “กระบี่ดี แต่คนถือจะดีด้วยหรือไม่ข้าคงต้องขอพิสูจน์” เพียงกล่าวจบกลุ่มเงาที่หลบซ่อนก็เผยตัวตนออกมารวมแล้วกว่าห้าสิบชีวิต ใบหน้างดงามฉายแววเคร่งเครียด ฝ่ายพรรคหมื่นพิษต่างถอยห่างหลบออกไปดูสถานการณ์ทางด้านนอก
    
       “ชงหยวนหากชาติหน้ามีจริง ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าอีกครั้ง” จิวชงหยวนคิ้วกระตุกกับคำลาที่เป็นลางไม่ดี ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรศัตรูกว่าห้าสิบชีวิตโอบล้อมอยู่ขนาดนี้ เขายังมีความเป็นมนุษย์และยังมีความหวาดกลัว  นับว่าพยัคฆ์คำรนก็ไม่ได้ดูถูกฝีมือของเขาเสียทีเดียว ถึงหอบคนมากมายขนาดนี้ซ้ำยังมาด้วยตนเองเช่นนี้ แม้ในใจจะหวาดกลัวแค่ไหน ใบหน้ากลับนิ่งสงบไม่อาจเผยให้ศัตรูได้เห็น ก่อนจะบอกหมิงอี้ฟานเสียงเรียบ
    
      “อย่าได้กล่าวเช่นนั้น พวกเราต้องรอดไปให้ได้” แม้ความเชื่อมั่นจะไม่หลงเหลือแต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้ที่เป็นสหายตายได้เช่นกัน พลังภายในถูกปลุกขึ้นเพื่อรับมือกับศัตรูตรงหน้า
    
       พรึบ!
    
       กล่าวได้เพียงแค่นั้นก็ต้องยกกระบี่ออกมาต้านรับดาบประมุขพยัคฆ์คำรนที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัวไปมากกว่านี้ ความเร็วรุนแรงจากแรงปะทะทำให้มือที่กำกระบี่สั่นสะท้าน ส่วนหมิงอี้ฟานรับมือกับองค์รักษ์ซ้ายขวาของประมุขพรรค สองรุมหนึ่งทำให้เขาอดที่จะห่วงไม่ได้
    
       ฉัวะ!
    
       ด้วยกังกลทำให้การต่อสู้ลดลง คมดาบเฉือนเข้าไหล่ซ้ายจนเลือดอาบย้อม เพียงแค่เริ่มเขาก็บาดเจ็บเสียแล้ว
    
       “ท่านอย่าได้กังวลต่อให้พวกข้าต้องตายก็มิเคยเสียใจที่ได้ปกป้องท่าน ท่านต้องรอดจากที่นี่ไปให้ได้” หนานจี้กงที่รับมือกับคนของพรรคพยัคฆ์คำรนร้องบอกจิวชงหยวนที่ห่วงหน้าพะวงหลังจนความสามารถลดลงไปกว่าครึ่ง
    
        จิวชงหยวนพยักหน้ารับเมื่อรู้ว่ายิ่งกังวลยิ่งทำให้พลาดพลั้ง จึงพยายามรวบสมาธิมาอยู่ที่ศัตรูตรงหน้า พลังลมปราณสามส่วนเพิ่มเป็นเจ็ดส่วนออกมาต้านรับคมดาบยักษ์อย่างคล่องแคล่วและพลิ้วไหวตีลังกาหลบได้อย่างทันท่วงที
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
    
       ตูม!
    
       ทั้งคู่ต่อสู้กว่าหกสิบกระบวนท่า ก่อนเซถอยห่างออกจากกันตามแรงปะทะ ดวงตาเรียวจ้องมองชายชราตรงหน้าที่แสยะยิ้มออกมาอย่างชอบใจ
    
       “ข้าคิดไว้แล้วว่าฝีมือเจ้าไม่ธรรมดา สามารถรอดพ้นพรรคข้ามานานนับปี วันนี้ข้าถึงได้วางกำลังไว้มากขนาดนี้ วันนี้ต่อให้เจ้าเป็นมดก็ไม่อาจหนีรอดไปได้” จิวชงหยวนมองประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนนิ่งๆ จากที่ปะทะกันกว่าหกสิบกระบวนท่า ทำให้รู้ว่าฝีมือเทียบเท่าเฒ่าราคะอีกทั้งความเจ้าเล่ห์และใช้คนที่มากกว่าจะทำให้เขาพลาดท่าได้ง่าย มือเรียวกำกระบี่แน่นก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไปหาชายแก่ด้วยความเร็ว
    
       ฟิ้ววว
    
        ฉัวะ!
     
        ความเร็วที่เหนือชั้นกว่ามากทำให้กระบี่ตวัดเข้าหาร่างชายชราได้อย่างเม่นยำ ดวงตานั้นเบิกกว้างเหมือนจะไม่เชื่อสายตาตนเอง แต่ก็ยังต้านรับกระบี่เขาได้มากกว่าครึ่งนับว่าประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนมีความเร็วไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตน
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
         เปรี๊ยะ!!
    
       กระบี่โชคชะตากับดาบยักษ์ในมือของชายชราปะทะกันอย่างรุนแรงทำให้เกิดประกายไฟอย่างน่ากลัว แรงปะทะมากกว่าเจ็ดส่วนทำให้มือของคนทั้งคู่สั่นสะท้าน ดวงตาเรียวจ้องหน้ากันเขม่งก่อนจะเพิ่มลมปราณมากขึ้น
    
       ตูม ตูม ตูม!
    
       พื้นที่โดยรอยพังทลายลงอย่างรวดเร็วรุนแรง ต้นไม้หักโค่นพื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ฝุ่นฟุ้งกระจาย คนที่หลบรัศมีการโจมตีไม่พ้นถึงกลับกระอักโลหิตออกมา พรรคหมื่นพิษที่เฝ้าดูไม่ห่างต่างรีบถอยห่างออกจากจุดเกิดเหตุมากกว่าเดิม ผิงเอ๋อร์กลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น ไม่คิดว่าคนที่ร่างโปร่งบางดูเหมือนไร้ซึ่งวรยุทธจะสู้ได้สูสีกับประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเจ้าเล่ห์ คำเตือนของซือเยว่บุตรสาวของประมุขพรรคยังก้องอยู่ในหัว
     
         ‘ผู้ที่ทำลายวรยุทธผู้อื่นได้นับว่าฝีมือขึ้นธรรมเนียบจ้าวยุทธภพได้เลย หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องได้ด้วยกล คนผู้นี้ฉลาดหลักแหลม ระวังตัวด้วยหากจับเป็นไม่ได้สังหารเสีย’
    
         นั่นคือคำสั่งลับของคุณหนูซือเย่วที่ถูกทำลายวรยุทธกลายเป็นสตรีพิการ ที่ได้แต่บ่มความแค้นไว้ในใจรอวันสะสาง ทว่าเวลานี้ตนกลับไม่แน่ใจแล้วว่าจะสานความแค้นให้คุณหนูซือเยว่ได้อย่างไร บุญคุณความแค้นที่นางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องโดยมิอาจขัดคำสั่งได้ นางมีพิษเหมันต์นิรันดร์อยู่ภายในร่างหากไม่อยากตายอย่างทรมารต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น หากชีวิตของนางเพียงผู้เดียวนางก็มิอาจทำร้ายผู้มีพระคุณได้
    
       ตูม ตูม!
    การปะทะกันของทั้งคู่รุนแรงมากขึ้น อีกทั้งนักรบเงาของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะตายดุจใบไม้ร่วงแต่จำนวนที่มากกว่าก็ทำให้สามคนจากพรรคหยกขาวถึงกับหอบด้วยความเหนื่อย ทว่าดวงตาแต่ละคนกลับไม่มีคำว่าพ่ายแพ้จนน่านับถือ
    
         ร่างกายแต่ละคนเริ่มโชกไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนา ทว่านางกลับได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ รวมกับคนในพรรคหมื่นพิษที่เฝ้ามองด้วยความตื่นเต้นเมื่อร่างโปร่งบางของหมอเทวดาจิวชงหยวนเรืองรองด้วยรัศมีสีขาวนวลดูสูงส่ง พลังภายในข่มศัตรูจนมิอาจขยับกายได้ ใบหน้าเหี่ยวย่นของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
    
        จิวชงหยวนดึงพลังภายในออกมาสิบส่วนพลังภายที่ถูกกักเก็บไว้ค่อยดึงออกมาทีละน้อยเมื่อศัตรูตรงหน้ามากประสบการณ์หลอกลวงตาเขาไปเสียหลายครั้ง แต่เมื่อเริ่มจับจุดได้ก็เริ่มง่ายที่จะเอาชนะ
    
      อ๊ากกกกกก
    
        เสียงกรีดร้องจากทางฝั่งซ้ายมือทำให้จิวชงหยวนสะดุ้งน้อยๆ เหลือบมองต้นเสียงอย่างห่วงใย หากยังชักช้ากว่านี้ทุกคนอาจจะไม่ไหว เขาต้องรีบลงมือสังหารประมุขพยัคฆ์คำรนให้ได้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกคนจะไม่ไหวไปมากกว่านี้
    
       ย๊ากกกกก
    
       ทั้งคู่ทะยานขึ้นบนท้องฟ้าพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงอีกครั้งวิชากระบี่และดาบต่างฟาดฟันกันดุเดือดลมปราณทั้งคู่ปะทะกันอย่างไม่มีใครน้อยหน้าพลังสองสายระเบิดขึ้นดีดทั้งคู่ออกจากกัน
    
       ตูม ตูม!!



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่42สูญเสีย ตอนที่17 (P.17วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-11-2015 11:03:34
บทที่42สูญเสีย 
เล่ม 2  ตอนที่17 (P.17วันที่ 13/11/58)

        หมิงอี้ฟานตวัดกระบี่เดียวดายรับมือกับพรรคพยัคฆ์คำรนที่ใช้วิชาหมาหมู่ เจ็ดต่อหนึ่งอย่างไม่มีความยุติธรรมแม้แต่น้อย แต่เวลานี้เขาจะไปไถ่ถามหาความยุติธรรมจากคนชั่วที่ไม่มีสามัญสำนึกได้อย่างไร ร่างสูงพลิ้วกายหลบคมกระบี่ที่ฟาดลงมาทางขวามืออย่างทันท่วงที ทว่ามิใช่มีแค่หนึ่งที่พุ่งเข้า ทางเบื้องหลังและทางด้านซ้ายจนมิอาจหลบพ้นได้ แขนซ้ายที่มิอาจหลบคมกระบี่คมกริบขององค์รักษ์ได้โดนตัดฉับจนเบี่ยงกายหลบไม่พ้น
    
         อ๊ากกก!
    
        หมิงอี้ฟานกรีดร้องออกมาด้วยเจ็บปวดหูตาเริ่มอื้ออึง แขนซ้ายที่ควรอยู่บนช่วงไหล่ขาดห้อยอย่างน่าหวาดกลัว
    
      “ศิษย์พี่!” จุ้ยซิงที่ติดพันอยู่กับห้าคนตะโกนเรียกคนที่รักราวจะขาดใจ ภาพตรงหน้าทำให้มือสั่นสะท้านจนมิต้านรับได้ทัน
    
        ฉัวะ!
    
       แผ่นหลังบอบบางโดนกระบี่เฉือนเข้าเนื้อจนร่างสะดุ้ง สองมือตวัดกระบี่ต้านรับพยายามพุ่งเข้าไปหาหมิงอี้ฟานที่เหลือแขนข้างเดียวด้วยน้ำตา
    
       “ตั้งสติจุ้ยซิงไม่เช่นนั้นเราจะไม่รอด” หนานจี้กงเตือนสติศิษย์น้องเสียงเข้มมือทั้งสองตวัดฟันฉับฆ่าศัตรูตรงหน้าอย่างไม่มีความลังเล
    
         ภาพตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนเบิกตากว้าง หัวใจสั่นระรัวมองหมิงอี้ฟานด้วยความเจ็บปวด ร่างกายที่อาบโชกไปด้วยโลหิตของสหายทำให้กำกระบี่ในมือแน่น กระบี่ไร้ลักษณ์พุ่งเข้าไปปัดป้องช่วยคนที่มอบหัวใจให้ตนด้วยความร้อนรน
    
         ฉัวะ!
    
         “คู่ต่อสู้เจ้าอยู่นี่” ดาบเล่มใหญ่ฟาดเข้ากลางหลังอย่างเต็มแรง ทว่าหลบพ้นไปถึงเจ็ดส่วนทำให้รอดพ้นความตายไปอย่างเฉียดฉิว เขาเม้มปากเน้นเพราะต้องต้านรับประมุขพยัคฆ์คำรนอีกทั้งคอยช่วยหมิงอี้ฟานที่สภาพย้ำแย่
    
         เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
         กระบี่โชคชะตาตวัดเข้าหาประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนอย่างรุนแรง ดุดัน พลังสิบส่วนดึงออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง พลังสองสายปะทะกันอย่างรุนแรงจนพื้นที่รอบบริเวณพังทลายลงอย่างรวดเร็ว หางตาเหลือบมองหมิงอี้ฟานที่พลาดท่าเสียทีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสองศิษย์สภาพย่ำแย่อย่างน่าเวทนา
    
        ฉัวะ!!
     
         จิวชงหยวนมองคนที่เอาตัวเข้ามาปกป้องตนอย่างตื่นตะลึง มือซ้ายกระชากร่างนั้นหลบดาบเล่มใหญ่ที่ผนึกพลังมาเต็มสิบส่วนออกได้ทันท่วงที
    
        “ไปช่วยหมิงอี้ฟาน” จิวชงหยวนออกคำสั่งเงาลับที่ยอมเผยตัวออกมาปกป้องตนเสียงเครียด
    
        “ขออภัยขอรับ ข้าน้อยมีหน้าที่ปกป้องท่าน” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนสะอึก เงาทมิฬเมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้าชีวิตแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าจะมีคำสั่งใหม่จากเจ้าชีวิต
    
        “อยู่กับข้าก็รั้งแต่เป็นภาระ ไปซะ” จิวชงหยวนออกคำสั่งพร้อมออกแรงส่งร่างสูงโปร่งขององค์รักษ์เงานั้นไปทางหมิงอี้ฟานอย่างไม่สนใจคำตอบ มือขวายกขึ้นต้านรับดาบเล่มใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่ว
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
         “เมฆไร้เงา”
    
        “ม่านมนต์จันทรา” จิวชงหยวนเสียงเรียกใช้วิชาอย่างต่อเนื่องปะทะกับพลังลมปราณของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนอย่างรุนแรงอีกครั้ง ถึงแม้ตอนนี้อยู่ในยามวิกาลทว่าหลังจากเกิดเหตุที่เจียงหนานเขาก็เริ่มใช้ลมปราณควบคุมการมองเห็นยามค่ำคืนตามที่ลู่เฟยสอนได้
    
        ฉัวะ!!
    
        ความเร็วที่เหนือชั้นกว่าสร้างบาดแผลให้ศัตรูได้อย่างสมใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด แต่แค่นี้ยังไม่พอ!
    
      อ๊ากกกก
    
       เสียงกรีดร้องจากทางด้านล่างทำให้จิวชงหยวนชะงักไปอีกครั้ง แต่เพียงแค่พริบตาตาเฒ่าก็ฉวยโอกาสโจมตีเขากระเด็นตกจากฟากฟ้าอย่างรุนแรง
    
      ตูม!
     
        จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนทุลักทุเลเมื่อครู่นี้เผลอเลอเพียงนิดเดียว แต่เปิดโอกาสให้ศัตรูจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว มือยกเช็ดโลหิตที่ไหลออกมาดวงตามองประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนที่ลอยตัวอยู่บนฟากฟ้าก่อนจะสะบัดพลังลมปราณมาทางเขาอย่างไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว
    
       ตูม ตูม!
    
       จิวชงหยวนพลิ้วตัวหลบการโจมตีได้อย่างทันท่วงที ทว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลกลับกระเด็นคลุกฝุ่นไปตามกัน ลมหายใจของหมิงอี้ฟานติดขัดจนน่าหวาดกลัวแต่เขาไม่มีเวลาไปรักษาได้ในเวลานี้ เพราะเสือเฒ่าไม่เปิดโอกาสให้
    
      ฉัวะ!
    
     “ศิษย์พี่!” จุ้ยซิงตะโกนก้องเรียกคนที่รักด้วยน้ำเสียงราวจะขาดใจ ร่างกายอาบไปด้วยโลหิตแต่เจ้าตัวกลับมิสนใจตัวเองพุ่งเข้าไปรับร่างของหมิงอี้ฟานที่โดนกระบี่เสียบทะลุคาอกด้วยน้ำตานองหน้า
    
       จิวชงหยวนมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด มือสั่นสะท้านทุกครั้งที่ถูกดาบเล่มใหญ่ฟาดฟันเข้ามา ทว่ามันยังไม่เจ็บปวดเท่าหัวใจที่มิอาจช่วยเหลือสหายได้
    
        “หิมะไร้ล่องลอย”
    
      ตูม!!
    
       ร่างของประมุขพรรคกระเด็นตกไปไกลตามแรงปะทะอย่างรุนแรงและเชี่ยวกรากตามอารมณ์ที่ไม่นิ่งสงบ ร่างโปร่งบางลอยตัวอยู่บนฟากฟ้าเรือนร่างทอแสงขาวนวลอย่างน่าเกรงขาม ริมฝีปากพึมพำท่องคาถาบางอย่างออกมาอย่างแผ่วเบา
    
        “ปลดผนึกเหมันต์” หลังจากจบประโยคร่างที่เรืองแสงขาวนวลกลับเจิดจ้ามากกว่าเดิม ผมยาวสลวยปลิวไปตามแรงลมที่รุนแรง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับนิ่งเรียบ ว่างเปล่า
    
      “เหมันต์เยือกแข็งนิรันดร์”
    
       พื้นที่โดยรอบรัศมีกว่าสิบลี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของคนเพียงผู้เดียว ทุกคนที่ต่างลงมือเริ่มซะงักงันเมื่อเห็นพื้นที่โดยรอบผิดปกติ
    
      เสือเฒ่าที่บาดเจ็บไปไม่น้อยหรี่ตามองร่างโปร่งบางตรงหน้า ที่มีรัศมีเรืองรองสีขาวเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม พลังกดดัน และดูสูงส่ง สง่างาม ดวงตาเรียวที่มองมานิ่งๆ ร่างกายอาบย้อมไปด้วยโลหิตไม่ต่างจากตน ทว่ายามนี้หัวใจกลับสั่นสะท้านหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ได้ยินข่าวว่าคนตรงหน้าเป็นเซียนแต่อยู่จนแก่ขนาดนี้มิเคยเห็นเทพเซียนมาก่อนจึงทำใจเชื่อได้ยาก
    
        พรึบ!
    
       กระบี่มากมายสีขาวนวลลอยล่องรอบตัวจิวชงหยวน ดวงตามองมาที่ชายแก่นิ่งๆ ใบหน้างดงามยกยิ้มบางเบาที่มุมปาก เพราะความอ่อนด้อยทำให้สหายบาดเจ็บ อ่อนแอทำให้สูญเสีย และความหวาดกลัวในส่วนลึกของจิตใจที่จะฆ่าคน ทำให้พลาดพลั้งครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้างามยกยิ้มบางเบาคล้ายจะยิ้มแต่กลับไม่ใช่
    
        ไม่คิดเลยว่าเวลานี้จะทำให้ตัวเองปลดผนึกพลังเทพของลู่เฟยออกมาเต็มพิกัดเช่นนี้ พลังเทพที่ต้องแลกด้วยอายุวิญญาณจากมนุษย์ธรรมดาเช่นตน พื้นที่รอบบริเวณกลายเป็นน้ำแข็งตามวิชาที่ตนถนัด บรรยากาศกดดัน ทว่าร่างโปร่งบางกลับหัวเราะออกมาจนทำให้คนฟังใจสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว
   
        “ฮ่าๆๆ”
    
         จิวชงหยวนหัวเราะออกมาไม่ได้บอกความรู้สึกของตน ดวงตาที่อ่อนโยนเสมอกลับเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง แม้แต่คนที่เดินทางร่วมกันมาตลอดหลายเดือนยังรู้สึกหวาดหวั่น น้ำแข็งลุกลามไปอย่างรวดเร็วและแช่ร่างคนของพรรคพยัคฆ์คำรนอย่างไม่มีคำว่าปราณีอีกต่อไป
    
       พรรคหมื่นพิษต่างแอบมองอยู่ต่างทะยานหลบหนีด้วยความหวาดกลัว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเหมือนดังปีศาจพร้อมจะปลิดวิญญาณ แม้จะมีรัศมีสีขาวเจิดจ้าทว่าการลงมือแช่แข็งผู้คนอย่างเหี้ยมโหดทำให้หนาวสั่นสะท้านและหนึ่งในนั้นก็คือผิงเอ๋อร์ที่รีบพาคนในพรรคจากไปอย่างรวดเร็ว เพราะหากชักช้ารายต่อไปอาจเป็นตน
    
        “เรามาจบกันเถอะ” บอกเพียงเท่านั้น ประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนก็เบิกตากว้าง เมื่อกระบี่ลอยล่องพุ่งมาทางตนด้วยความเร็ว ร่างโปร่งที่ควรยืนอยู่กลับหายไปมีเพียงกระบี่นับร้อยที่พุ่งเข้ามาอย่างน่าตระหนก
    
     เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
       ฉัวะ!!!
    
        อ๊ากกกก
    
        เพียงต้านรับได้สิบกระบวนท่าก็ถูกกระบี่เชือดเฉือนอย่างไร้ความปราณี การลงมือที่เด็ดขาดมากขึ้นกว่าเดิมทำให้ร่างของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนบาดเจ็บภายในและภายนอกจนลมปราณเริ่มแตกซ่าน พลังเชี่ยวกรากรุนแรงของลมปราณเยือกแข็งที่ทิ่มแทงเข้ามาภายในร่างหนาวสั่นสะท้าน
    
        ดวงตาพร่ามัวมองผู้ที่ลงมืออย่างหวาดหวั่น เมื่อรู้ว่าไม่มีทางรอดจึงใช้วิชาลับพาร่างตัวเองหนีหายไป ทว่ากลับถูกกระบี่ที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าปักกลางอกอย่างไม่เปิดโอกาสให้หลบหนีได้ เบิกตากว้างมองอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะหนีไม่พ้น โลหิตไหลทะลักออกมาเมื่อกระบี่ที่มองไม่เห็นเลือนหายไป ใบหน้านิ่งเรียบมองมาที่ตนว่างเปล่ารัศมีขาวเจิดจ้า เส้นผมยาวสลวยปลิวไปตามสายลม ยิ่งทำให้หวาดกลัวและรู้สึกผิดที่เล่นงานผิดคน ไม่คิดว่าตนจะมาสิ้นชื่อกับเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้
    
         ฉัวะ!
    
         ศีรษะของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนขาดกระเด็นออกมาโดยไม่มีโลหิตกระเด็นแม้แต่น้อย บ่งบอกความเด็ดขาดและฝีมือของผู้ลงมือ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาก่อนจะพาเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว พรรคพยัคฆ์คำรนที่มากว่าห้าสิบชีวิตต่างตายด้วยน้ำแข็งอย่างน่าเวทนา
    
          ร่างโปร่งเหาะลงเข้ามาหาหมิงอี้ฟานที่นอนนิ่งไร้ซึ่งวิญญาณอยู่ในอ้อมกอดของจุ้ยซิงที่น้ำตานองหน้า เสียงสะอื้นไห้ทำให้จิวชงหยวนปวดร้าว สองเท้ามาหยุดอยู่ข้างกายของทั้งคู่ดวงตานิ่งเรียบมองร่างนั้นอย่างเจ็บปวด ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแต่ความรู้สึกในเวลานี้ยากที่จะบรรยาย หากเขาตัดสินใจปลดผนึกพลังเทพลู่เฟยเร็วกว่านี้ทุกอย่างคงไม่จบเช่นนี้
    
        “ท่านหมอจิวโปรดช่วยศิษย์พี่ด้วยขอรับ ได้โปรด” จุ้ยซิงวอนขอด้วยความอ่อนล้าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ห่างออกไปคือหนานจี้กงและองค์รักษ์เงาที่สลบไปเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว หากไม่มียาพิษร้ายแรงที่ทำให้การเคลื่อนไหวไม่ได้คงไม่ทำให้หมิงอี้ฟานจบชีวิตลง
    
       “ข้าขอโทษ” จิวชงหยวนกล่าวแผ่วเบา เขาช่วยคนใกล้ตายให้ฟื้นได้ แต่มิอาจช่วยคนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ ร่างโปร่งบางทรุดตัวข้างร่างของหมิงอี้ฟาน มือสั่นระริกยกขึ้นจับมือของคนที่ยอมตายเพื่อตนด้วยความเจ็บปวด
    
          “ท่านเป็นหมอเทวดาท่านต้องช่วยได้สิขอรับ” น้ำเสียงเว้าวอนของจุ้ยซิงทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา ความผิดของเขาที่ทำให้ทุกอย่างลงเอ่ยเช่นนี้ ความเจ็บปวดในครั้งนี้ทำให้ร่างโปร่งบางสั่นระริก เขาเองก็อยากจะให้หมิงอี้ฟานฟื้นขึ้นมา แต่เขามิอาจทำได้หากฝืนลิขิตฟ้าทุกอย่างอาจผันแปร กงล้อจะเปลี่ยนเส้นทาง
    
       “ข้าขอโทษ”      
    
       ลู่เฟยจับหน้าอกตัวเองด้วยความปวดร้าว ความรู้สึกที่ส่งมาถึงเขารับรู้ทุกอย่าง ร่างสูงสง่าพุ่งทะยานบนยอดไม้เร่งเดินทางไปหาคนรักเร็วขึ้น หลังจากออกเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานมิคิดว่าจะเกิดเรื่องเร็วขนาดนี้ และที่สำคัญไม่คิดว่าจิวชงหยวนจะปลดผนึกพลังเทพที่ต้องแลกด้วยอายุวิญญาณของตัวเองเช่นนี้ หากไม่เกิดเรื่องร้ายแรงจริงๆ คงไม่บีบคั้นให้ทำอย่างนั้น
    
       “ใกล้ถึงแล้วรอข้าก่อนนะ”
    
         ลู่เฟยพึมพำเบาๆ หวังให้ความรู้สึกนี้ส่งไปถึงคนที่อยู่เมืองต้าเหลียง ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามก็มาถึงที่หมาย ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ลู่เฟยนิ่งไป สามร่างที่บาดเจ็บสาหัสนอนเรียงกันด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก ร่างกายถูกพันแผลให้อย่างเรียบร้อยแต่ก็อาการสาหัสมากเช่นกัน ร่างสูงยืนนิ่งมองไปยังร่างของคนรักซึ่งนั่งนิ่งข้างร่างของหมิงอี้ฟานที่ไร้ซึ่งลมหายใจ ด้วยหัวใจปวดร้าวไม่ต่างกัน เขาเสียใจที่มาช้าไป
    
        เสียงเหยียบใบไม้แม้จะแผ่วเบา ทว่าร่างกายที่ยังมีพลังเทพกลับรู้สึกตัวได้อย่างรวดเร็ว ในมือปรากฏเข็มพิษพร้อมสะบัดออกไปทิศทางด้านหลังโดยมิได้หันกลับไปมอง ลู่เฟยตีลังกาพลิ้วกายหลบเข็มพิษอย่างคล่องแคล่ว
    
         “ช้าก่อน ข้าเอง” เสียงตอบกลับมาทำให้จิวชงหยวนรั้งมือไว้ ลุกขึ้นยืนหมุนกายหันไปมอง ดวงตาคมกริบมองมาที่เขานิ่งๆ แม้ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแต่กลับเข้าใจกันดวงตาคู่นี้ได้ดี
    
         “ขอโทษที่มาช้า” ลู่เฟยบอกด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด ร่างสูงเดินเข้ามาดึงร่างจิวชงหยวนไปโอบกอดไว้แน่น ความอบอุ่นและห่วงใยที่ส่งมาทำให้หัวใจยิ่งปวดร้าว และพยายามทำตัวเข้มแข็งพังทลายลงอย่างมิอาจกลั่นไว้ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ไม่มีเสียงสะอื้นแต่บ่งบอกความเสียใจ ขอแค่วันนี้เท่านั้นที่เขาจะร้องไห้
    
        “ลิขิตฟ้ามิอาจเปลี่ยนแปลงได้ โชคชะตาจะนำพาให้อี้ฟานมาพบเจอเราอีกครั้ง” คำกล่าวหนักแน่นจริงจังของลู่เฟยกลับทำให้จิวชงหยวนเชื่อมั่น  อ้อมแขนที่อบอุ่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
    
          “ข้าจะมีหน้าไปพบประมุขหมิงเทียนได้อย่างไร” จิวชงหยวนผละออกจากอ้อมกอดเอ่ยถามเสียงแผ่ว  ใบหน้าฟาดแดงเล็กน้อยที่ทำขายหน้าต่อหน้าคนรัก
    “เจ้าทำดีที่สุดแล้ว ประมุขหมิงเทียนย่อมเข้าใจ” ลู่เฟยเอ่ยปลอบยกนิ้วเรียวกรีดเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมที่มองมาฉายแววเจ็บปวดไม่ต่างไปจากตน
    
      “ตอนนี้ข้ามิอาจผนึกพลังในร่างเจ้าได้ เจ้ารู้ผลกระทบใช่หรือไม่”
    
         ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ผลร้ายของการเป็นมนุษย์แล้วดึงพลังเทพที่อดีตเขาแบ่งมาไว้ในร่างจิวชงหยวนมีผลร้ายแรง ยิ่งใช้มากเท่าไร อายุวิญญาณจะลดลง และคนที่เสียใจที่สุดก็ยังเป็นเขา แต่หากไม่มีพลังส่วนนี้ร่างโปร่งบางตรงหน้าอาจได้ไปที่ปรโลกแล้วแค่คิดหัวใจก็สั่นสะท้าน เขาจะสูญเสียคนตรงหน้าไปอีกครั้งได้เช่นไร
    
          “ข้ารู้ จบเรื่องนี้ค่อยเรียกอาจารย์มาปิดผนึกให้ เมื่อถึงเวลานั้นอย่างน้อยข้าก็คงอยู่ได้ราวสองร้อยปี”
    
         จิวชงหยวนตอบรับและยอมรับผลเสียจากการฝืนปลดผนึกพลังเทพของลู่เฟย แต่เขาก็ไม่เสียใจที่จะใช้มันเพราะอย่างน้อยเวลานี้เขาก็ยังมีชีวิต แม้จะสูญเสียคนสำคัญไปเขามิอาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งใดได้ ได้แต่กล่าวโทษตัวเองเท่านั้น
    
        พรึบ!
    
        “อาจารย์ข้าขออภัยที่มาช้า ข้าติดปัญหากับพรรคโลหิตมารอยู่ขอรับ” ทั้งคู่หันไปมองอวิ้นเซียนและพรรคพวกที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าสำนึกผิด แววตาที่อ่อนโยนทอดมองร่างของหมิงอี้ฟานด้วยความเสียใจที่มิอาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ เขาช่างเป็นศิษย์เนรคุณเสียจริง
    
       จิวชงหยวนมองคนที่มาตอนจบทุกครั้งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หากนี่เป็นลิขิตของสวรรค์ต่อให้อวิ้นเซียนมาทันใช่ว่าจะไม่สูญเสีย ในเมื่อเวลานี้มิอาจแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาได้ จะโทษผู้ใดก็คงไม่ได้นอกเสียจากตัวเขาเองที่อ่อนหัดในยุทธภพ หากเด็ดขาดมากกว่านี้ทุกอย่างคงไม่ลงเอ่ยเช่นนี้
    
       “พวกเจ้าพาหมิงอี้ฟานและศิษย์น้องเขากลับพรรคหยกขาว หากข้าเสร็จธุระแล้วจะไปขอโทษประมุขหมิงเทียนด้วยตัวข้าเอง” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ใบหน้างดงามเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง น้ำตาที่จะไหลออกมาย้อนกลับคืนไป เขาไม่อยากให้ผู้ใดมาเห็นความอ่อนแอของตน แค่ลู่เฟยคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
    
       “อาจารย์จะทำเช่นไรต่อไปขอรับ”
    
        อวิ้นเซียนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหันไปสบกับดวงตาเย็นเยือกของผู้เป็นอาจารย์ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ริมฝีปากยกยิ้มบางเบาทว่ากลับทำให้รู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นและสาบานตนไว้ว่าจะไม่ทำให้อาจารย์โกรธเป็นอันขาด
    
       “ทำลายพรรคพยัคฆ์คำรน พรรคหมื่นพิษไม่ให้เหลือซาก!” น้ำเสียงแผ่วเบาที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังรู้สึกหนาวสั่นสะท้านหวาดกลัว ทุกคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ ศีรษะประมุขพยัคฆ์คำรนจิวชงหยวนได้ถูกเอามาห่อผ้าไว้ เพื่อนำไปข่มขวัญคนในพรรคซึ่งเขาจะไปทำลายด้วยมือตัวเอง
    
        หลังจากสั่งงานเสร็จ จิวชงหยวนจึงได้ออกเดินทางไปเมืองหางโจวซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรคพยัคฆ์คำรน โดยมีลู่เฟยร่วมเดินทางไปด้วย แม้จะไม่ค่อยได้พูดคุยแต่กลับเข้าใจเขาเป็นอย่างดี แต่ก่อนที่จะไปนั้นเขาได้เข้าไปหาหย่งเจิ้นที่เทือกเขามังกรขดเพื่อหาพรรคพวกเพิ่มเติม จะทำการใหญ่หากไปสองคนอาจได้ไปเยี่ยมเยียนปรโลกก่อนกำหนด ไม่ได้ล้างแค้นยังต้องมาสิ้นชื่อเพราะฉะนั้นเขาจะไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดเป็นอันขาด
    
        “เกิดเรื่องเช่นนี้ข้ากลับไม่ได้อยู่ปกป้องเจ้าน่าละอายยิ่ง” ทันทีที่หย่งเจิ้นทราบข่าวก็กล่าวโทษตัวเองที่มิอาจปกป้องเขาได้แต่อย่างน้อยก็ได้ร่วมมือกับอวิ้นเซียนทำลายพรรคโลหิตมารไปแล้วและถือว่าช่วยเขาไปอีกทาง    
    
        “มิใช่ความผิดของเจ้าอย่าได้กล่าวโทษตัวเอง อย่างน้อยเจ้าก็กำจัดศัตรูให้ข้าไปแล้วพรรคหนึ่ง เหลือเพียงสองอีกไม่นานทุกอย่างต้องจบลง” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ดวงตาแดงก่ำเพราะความแค้นที่ฝังอยู่ภายในอก เขายังเป็นปุถุชนธรรมดาที่ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง สหายที่รักและร่วมทุกข์ร่วมสุขต้องมาตายตกเพราะปกป้องตัวเองใครบ้างจะไม่มีความแค้น
    
       “จะเริ่มเมื่อไหร่หรือ” ไป๋เสวี่ยที่อยู่ด้วยเอ่ยถาม ใบหน้าฉายความห่วงใย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะไปด้วย    “พรุ่งนี้เช้า แต่ข้าไม่รบกวนเจ้า เจ้ายังมีหน้าที่หากเป็นอะไรไปข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว ที่สำคัญข้ามิอาจรักษาคนตายให้ฟื้นได้” จิวชงหยวนบอกเสียงหนักแน่นจริงจัง ไป๋เสวี่ยยังมีงานต้องทำ หน้าที่ของรัชทายาทคือกำจัดกบฏหาใช่เกี่ยวข้องกับยุทธภพไม่
    
       “ไม่เป็นไรหรอกแค่ข้าสามคนกับคนในพรรคเทพจันทราก็เพียงพอแล้ว เจ้าเก็บแรงไว้ทำงานใหญ่เถอะ ใกล้จะถึงเวลาแล้วมิใช่หรือ” ลู่เฟยที่กอดอกพิงเสานิ่งๆ เอ่ยบอกรัชทายาทแคว้นหางโจวที่ถูกกบฏจากขุนนางชั่ว อย่างน้อยก็ดีกว่าเขาที่กบฏกลับเป็นพี่น้องกันเอง
    
        “ถึงข้าอยากช่วยพวกเจ้า แต่องค์ชายลั่วลู่เฟยก็กล่าวได้ถูกต้องเพราะฉะนั้นพวกท่านรักษาตัวด้วย” ไป๋หู่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามหย่งเจิ้นหันไปบอกคนที่จะไปทำลายพรรคชั่วช้าที่เข่นฆ่าชาวบ้านเหมือนผักปลา ทว่ายามนี้เขาเองก็ได้วางกำลังในวังหลวงไว้หมดแล้วเหลือเพียงรอรับคำสั่งเท่านั้น
    
          เมื่อทุกอย่างตกลงกันได้แล้ว จิวชงหยวนจึงได้ไปพักผ่อนในห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในวันรุ่งขึ้น พระจันทร์มืดมิดเห็นเพียงดวงดาวน้อยนิดเหมือนหัวใจเขาเวลานี้ ร่างโปร่งบางยืนกอดอกมองท้องฟ้าด้วยความเศร้าหมอง การสูญเสียใช่ว่าเขาจะไม่เคย เพียงแต่ครั้งนี้คนที่จากไปเพราะปกป้องเขามันเจ็บปวดไม่ต่างจากบิดามารดาที่จากไป
    
         แรงโอบกอดจากทางด้านหลังทำให้สะดุ้งเล็กน้อย เหลือบตามองลู่เฟยนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองท้องฟ้าเช่นเคยโดยไม่ได้ผลักไสอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ ความห่วงใยที่ส่งมาทางความรู้สึกพร้อมก้มจูบเรือนผมอย่างแผ่วเบาทว่าใบหน้าเขาแดงระเรื่อ นี่ไม่ใช่มาทวงสัญญาหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นคืนนี้จะไล่ออกไปนอนนอกห้องกับหย่งเจิ้นเสียเลย
    
       “ให้ข้าจูบปลอบขวัญเสียหน่อย อาการเจ้าจะได้ดีขึ้น” คำกล่าวกระเส่าดังข้างหู จิวชงหยวนเหลือบตามองอย่างเอือมๆ นี่ขนาดเขาเศร้าเสียใจอยู่ยังปลอบใจได้หื่นกามเสียจริง
    
       “หย่งเจิ้นคงยินดีให้เจ้าไปร่วมห้องด้วย” จิวชงหยวนกล่าวตอบเสียงเรียบ
    
        “นี่เจ้าผลักไสสามีให้ผู้อื่นเชียวหรือ หย่งเจิ้นรูปร่างสูงใหญ่ที่สำคัญมิได้งดงามเฉกเช่นเจ้าข้าไม่ได้พิศวาสด้วยหรอก” ลู่เฟยกล่าวหยอกเย้าหวังจะให้คนในอ้อมกอดหลงลืมเรื่องเลวร้ายไปบ้างแม้จะเพียงชั่วครู่ก็ยังดี ดวงตาเรียวเหลือบตามองเขาอย่างเอือมๆ ทำให้อดที่จะบีบจมูกอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้
    
       “หากวันนี้คนที่จากไปเป็นข้าเจ้าจะทำเช่นไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างหลังที่โอบกอดเขาไว้อย่างรักใคร่ แม้อีกฝ่ายจะพยายามทำให้เขาลืมแต่เรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลา
    
        “ข้าคงตามเจ้าไปยังปรโลกหลังจบหน้าที่ ความดีความชอบข้าเง็กเซียนฮ่องเต้คงมิใจร้ายกับข้าหรอกกระมั้ง” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบทว่าดวงตากลับแข็งกร้าว หากใครคิดพรากจิวชงหยวนไปจากอ้อมกอด เขาจะกระชากวิญญาณผู้นั้นออกมาและทำลายด้วยมือตนเอง แม้จะตกนรกขุมที่สิบแปดก็จะทำ
    
        ความกดดันที่แผ่ออกมาจากคนร่างสูงทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง ใบหน้าคมคายเคร่งขรึม ดวงตาแข็งกร้าวจนน่าหวาดหวั่น ร่างโปร่งบางหมุนกายไปหาแล้วยกมือแตะแก้มสากแผ่วเบา
    
       “คิดมาก ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก” จิวชงหยวนบอกพร้อมผละออกจากร่างสูง บรรยากาศเหมือนจะเป็นใจในค่ำคืนนี้ แต่พรุ่งนี้เขามีงานใหญ่รออยู่จึงมิอาจทำตามสัญญาได้
    
      “ข้าง่วงแล้ว”
    
        ลู่เฟยยิ้มบางมองคนเจ้าเล่ห์ที่แกล้งอ้าปากหาว ทำตาปรือเหมือนคนง่วงจัด วันนี้เขาจะปล่อยไปก่อน ดวงตาคมมองตามร่างโปร่งบางที่เดินไปล้มตัวนอนบนเตียงอย่างครุ่นคิด บาดแผลภายนอกและภายในถูกรักษาด้วยพลังเทพ แต่เขากลับกังวลเพราะพลังในร่างที่เอามาใช้ล้วนต้องแลกกับอายุขัยที่ลดลง  ก่อนถึงเวลานั้นเขาต้องทำให้จิวชงหยวนได้เป็นเทพเซียนให้ได้ ร่างสูงเดินเข้าไปหาล้มตัวนอนกอดร่างโปร่งบางไว้อย่างหวงแหนกระซิบบอกคนที่ปรือตามามองแผ่วเบา
    
       “ข้าขอนอนกอดเจ้าเท่านั้น”



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่43 หมอเทวะมาร ตอนที่18 (P.18วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-11-2015 11:19:36
บทที่43 หมอเทวะมาร 
เล่ม 2 ตอนที่18 (P.18วันที่ 13/11/58)

         หิมะแรกในฤดูหนาวโปรยปรายลงมาอย่างงดงาม ทว่าน่าเสียดายที่มันต้องอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน จิวชงหยวนมองดูตำหนักใหญ่โตของพรรคพยัคฆ์คำรนด้วยความเดีอดฉันท์ ศีรษะประมุขพรรคถูกโยนข้ามไปในกำแพงด้วยฝีมือของหย่งเจิ้น เพียงไม่นานคนที่อยู่ข้างในก็ตื่นตระหนกตกใจ ทุกอย่างโกลาหลไปหมด พวกเขาจึงทะยานข้ามกำแพงเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว
    
        “มีผู้บุกรุก!”
    
        เสียงร้องตะโกนก้องพร้อมร่างผอมบางล้มลงไปด้วยคมกระบี่ของพรรคเทพจันทราอย่างมิอาจป้องกันตัวได้ การลงมือที่เฉียบขาดและรวดเร็วทำให้ลูกศิษย์ชั้นล่างหนีตายกันจ้าละหวั่น จิวชงหยวนเหลือบตามองอย่างเย็นชาสะบัดเข็มพิษพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว ฤทธิ์ยาพิษสังหารชนิดร้ายแรงเพียงแค่โดนทิ่มเนื้อหัวใจก็หยุดเต้นอย่างกะทันหัน
    
       “บังอาจพวกเจ้าเป็นใคร”
    
        เสียงแข็งกระด้างดังขึ้นพร้อมร่างสูงหนาในอาภรณ์สีดำเดินเข้ามาอย่างองอาจ แววตาลุกโชนด้วยความเกรี้ยวโกรธ แค้นเคืองตามมาติดๆ ด้วยชายร่างสูงหนาอีกสามคนเพียงแค่เห็นใบหน้าก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นบุตรชายของประมุขพรรค จิวชงหยวนยกยิ้มบางเบาทว่าทำให้คนมองอึ้งไปกับความงดงามตรงหน้า
    
        ตุ๊บ!
    
       ลู่เฟยแตะศีรษะของอดีตประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนไปทางบุตรชายซึ่งมองจิวชงหยวนจนอยากจะกระชากลูกตาออกมาโยนให้แล้งกิน
    
      “ท่านพ่อ!”
    
        ทั้งสี่คนตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างตื่นตกใจ มือของทุกคนปรากฏอาวุธทันทีที่เห็นศีรษะของบิดาบังเกิดเกล้าที่เก่งกาจเลื่องชื่อมาเนิ่นนาน ผู้ใดกันสามารถสังหารบิดาพวกมันได้
    
        “แก ไอ้พวกหมาหมู่ รุมฆ่าบิดาข้าช่างน่าละอายยิ่ง” บุตรชายคนโตคำรามลั่นด้วยความโกรธแค้น ดวงตาลุกโซนด้วยโทสะ จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนที่กล่าวหาแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    
        “ข้าสังหารเพียงผู้เดียว คนอื่นหาได้เกี่ยวข้องไม่ บิดาเจ้ารนหาที่ตายหมายจะมาสั่งหารข้า หากไม่สั่งสอนคงตามล่าข้าไม่เลิกรา” น้ำเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาเฉยชามองมาที่พวกมันเหมือนตัวไร้ค่าจนน่าเจ็บใจ
   
        “ปากดี ข้าจะจัดการเจ้าด้วยตัวข้าเอง ข้าจะไม่สังหารเจ้าแต่จะนำเจ้ามาบำบัดความใคร่ของพวกข้า” บุตรคนโตมองมาที่จิวชงหยวนด้วยสายตาโกรธแค้นชิงชัง ขณะเดียวกันกลับสำรวจร่างนั้นอย่างจาบจ้วง ลู่เฟยยกยิ้มเย็นไม่ต้องให้ใครเอ่ยเตือน สงครามขนาดย่อมก็เริ่มต้นขึ้น
    
        ลู่เฟยพุ่งเข้าหาบุตรคนโตของประมุขพรรคที่บังอาจใช้สายตาน่ารังเกียจจ้องมองเมียตนอย่างหยาบคายเห็นทีไม่สั่งสอนคงมีคนคิดอยากลองดี ลูกตาคู่นั้นเขาจะทำลายให้สิ้นซาก
    
      จิวชงหยวนยกกระบี่รับชายร่างสูงหนาหน้าตาดุดันใบหน้าไว้หนวดเคราอย่างน่าหวาดกลัว คาดว่านี่น่าจะเป็นบุตรคนรองของตาแก่นั่น
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!
    
       กระบี่เนื้อดีพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วดุดัน จิวชงหยวนเพียงออกแรงแค่ห้าส่วนก็คาดเดาได้ว่าคนผู้นี้ฝีมือยังอ่อนด้อยกว่าบิดามากนัก หรืออาจเป็นเพราะตอนนี้ร่างกายเขามีพลังเทพทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
    
        เปรี๊ยะ!
    
         ตูม!!!
    
        เพียงสิบกระบวนท่าร่างสูงหนาของฝ่ายตรงข้ามก็กระเด็นติดกำแพงบ้านพังไปทั้งแถบ จิวชงหยวนลอยตัวขึ้นไปบนหลังคาบ้านเรือนมองลงไปด้วยสายตานิ่งเฉย เขายืนรออย่างใจเย็นให้ร่างนั้นลุกขึ้นและพุ่งเข้ามาหาเข้าอีกครั้ง
    
        ย๊ากกกก
    
        ร่างนั้นพุ่งเข้ามาหาจิวชงหยวนอีกครั้งอย่างไม่กลัวตายลมปราณสีแดงฉานแผ่ออกมาทั่วร่าง เขาปลายตามองกระบี่ไร้ลักษณ์พุ่งเข้าไปต้านรับพร้อมโจมตีกลับที่รุนแรงมากกว่าเดิม
    
       ฉัวะ!!
    
        “ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!” ร่างกายที่อาบโชกไปด้วยโลหิตสีแดงฉานย้อมหิมะสีขาวบนพื้น จิวชงหยวนมองคนที่ข่มขู่จะฆ่าตัวเองนิ่งๆ ทว่ากระบี่ไร้ลักษณ์ลอยล่องอยู่รอบกายก่อนจะออกคำสั่งพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยความเร็ว
    
       อ๊ากกกก
    
        เสียงกรีดร้องอย่างทรมารของศัตรูตรงหน้าไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนใจอ่อน เพราะตอนที่พวกมันลงมือกับเหยื่อไม่มีคำว่าเมตตา ไฉนเลยเขาจะมีคำพวกนี้ให้กับคนชั่วช้าสามัญที่อยู่ไปก็รั้งแต่หนักแผ่นดิน
    
        “หิมะไร้ล่องลอย”
    
         คลื่นสายพลังรุนแรงพุ่งเชือดเฉือนผิวเนื้อของศัตรูตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ร่างสูงหนากระเด็นตกลงบนหลังคาอีกตำหนักทรุดพังทลายไม่เหลือเคล้าเดิม ทางด้านลู่เฟยที่รับมือกับบุตรคนโตก็ไม่น้อยหน้าฝีมือที่ดูอย่างไรก็ต่างกันทำให้หายห่วง
    
         หากกลับมาหาเขาเร็วกว่านี้ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายเช่นนี้แต่จะกล่าวโทษก็ไม่ได้ เพราะลู่เฟยเองก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ มิใช่มาคอยดูแลปกป้องเขาเพียงอย่างเดียว หากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเองที่ไม่เด็ดขาดที่จะฆ่าคนจริงๆ เสียที อาจเป็นเพราะจิตใต้สำนึกจากภพที่ผ่านมาจึงหวาดกลัวอยู่ในใจจนพลาดพลั้งอย่างไม่น่าให้อภัย ประสบการณ์ในครานี้แสนสาหัสนัก
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
        ตูม!
    
         เสียงปะทะกันอย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายดังอย่างต่อเนื่อง บ้านเรือนภายในตำหนักพังทลายเสียหาย การลงมือเด็ดขาดไร้ความปราณีของพรรคเทพจันทราที่อาสามาช่วยงานนี้ เพราะมีความโกรธแค้นกันมาก่อน จิวชงหยวนปลายตามองคู่ต่อสู้ที่สิ้นลมเล็กน้อยก่อนจะสะบัดเข็มพิษใส่พรรคพวกที่คิดจะหลบหนีอย่างรวดเร็ว
    
          ผ่านไปสองชั่วยามที่พรรคพยัคฆ์คำรนพยายามต่อสู้และหลบหนี แต่มิอาจหนีได้พ้น ตำหนักด้านในไฟลุกไหม้ลามไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของลู่เฟยกับหย่งเจิ้น พลังที่รุนแรงไม่มีคำว่าละเว้นในสายตาของทั้งคู่ยิ่งสร้างความเสียมากขึ้น เพียงไม่นานทุกอย่างก็ถูกไฟแผดเผาเหลือเพียงขี้เถ้า ผู้คนในพรรคล้มตายอย่างไม่มีโอกาสได้หนี
    
        จิวชงหยวนมองภาพความโหดเหี้ยมเบื้องหน้าแล้วกลืนก้อนขมๆ ลงคอ ทุกอย่างตรงหน้าเป็นความปรารถนาของเขาเอง บาปกรรมในการสังหารผู้คนในครานี้ชดใช้อีกหนึ่งร้อยปีก็คงมิหมด แต่หากไม่ทำผู้คนและชาวบ้านก็คงเดือดร้อนไปมากกว่านี้ เพราะพวกเขาได้ค้นพบชั้นใต้ดินที่มีหญิงสาวชาวบ้านกว่ายี่สิบคนที่ถูกจับตัวมาและช่วยเหลือได้ทัน
    
        เหตุการณ์ในครานี้ทำให้ชื่อเสียงของจิวชงหยวนดังระบือไกลไปทั่วยุทธภพ ที่ทำลายพรรคชั่วช้าจนไม่เหลือซาก ข่าวนี้ทำให้พรรคหมื่นพิษที่หมายหัวหมอเทวดาผู้นี้ถึงกลับหวาดกลัวขึ้นมา และเพียงไม่นานหมอเทวดาจิวชงหยวนก็ได้สมญานามใหม่ว่า ‘หมอเทวะมาร’ ซึ่งเป็นที่น่าเกรงขามต่อยุทธภพ
    
        “ทุกอย่างเรียบร้อยเจ้าจะทำเช่นไรต่อ” หย่งเจิ้นเดินเข้ามาหาร่างโปร่งบางที่ยืนนิ่งมองความพินาศของอดีตพรรคพยัคฆ์คำรน เขาไม่ได้สูญเสียคนในพรรคกับเหตุการณ์ในครานี้เพียงแค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
    
          “พรรคหมื่นพิษ” กระซิบตอบเสียงแผ่วแล้วหมุนกายจากไปปล่อยให้เบื้องหลังเป็นเรื่องเล่าขานต่อไป แม้จะเป็นที่หวาดกลัวต่อยุทธภพแต่ก็เป็นที่ชมชอบต่อชาวบ้านที่เคยถูกพยัคฆ์คำรนเอารัดเอาเปรียบ

    
          จิวชงหยวนให้เวลาทุกคนหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลาสามวัน ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่หน้าพรรคหมื่นพิษซึ่งมีผู้เฝ้าเวรยามอย่างเคร่งครัดและมากมายกว่าปกติ เขามองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ทว่าหัวใจกลับเจ็บปวดในการกระทำของตนเอง แต่ในยุทธภพแห่งนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดไปได้
 
     “เจ้าไหวนะ” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงสภาพจิตใจของร่างโปร่งบางที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก มือหนายกเส้นผมของอีกฝ่ายมาจับอย่างแผ่วเบา จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ปัดมือนั้นออก
    
       “หากไม่จัดการวันนี้ ในภายภาคหน้าข้าคงใช้ชีวิตไม่สงบ สู้ทำให้จบๆ ไปเลยเสียดีกว่า” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงแผ่ว เพราะต้องการใช้ชื่อเสียงด้านโหดร้ายมิให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับเขาอีก และอาจทำให้การเดินทางรักษาผู้คนได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา
    
       “อย่าลืมที่เตือนพรรคหมื่นพิษมิได้ง่ายเหมือนพรรคพยัคฆ์คำรนเพราะอาจซ่อนผู้มีฝีมืออยู่ในพรรค” จิวชงหยวนหันไปมองหย่งเจิ้นที่เอ่ยเตือนแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ที่เขาทำลายพรรคพยัคฆ์คำรนได้ง่ายเพราะรู้ฝีมือของอีกฝ่ายและยังรู้จุดอ่อนของศัตรู แต่กับพรรคหมื่นพิษนั้นยังมีเงื่อนงำหลบซ่อนไว้จนต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นเป็นเท่าตัว
    
       “เจ้าเป็นใคร”
    
        ทันทีที่ก้าวเข้าไปหน้าพรรคเวรยามที่เฝ้าประตูก็ยกกระบี่ออกมาขวางพร้อมเอ่ยถามเสียงแข็ง และเพียงพริบตาเวรยามทั้งสองก็เบิกตากว้างมองดาบที่เสียบทะลุหัวใจอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของลู่เฟยและหย่งเจิ้นก่อนจะล้มลงสิ้นใจโดยไม่มีโอกาสร้องขอชีวิต ทั้งคู่พังประตูเข้าไปอย่างไม่หวาดกลัว
    
        จิวชงหยวนเดินตามหลังไปอย่างไม่รีบร้อน เสียงโครมครามที่พวกเขาสร้างขึ้นทำให้ลูกศิษย์ในพรรคต่างทะยานถือกระบี่เข้ามาโอบล้อมไว้ ตามมาด้วยชายหนุ่มร่างโปร่งบางใบหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งเขาไม่รู้จักมาก่อน ลู่เฟยกับหย่งเจิ้นประกบข้างเขาอย่างระวังภัย
    
       “มิคิดว่าหมอเทวะมารจิวชงหยวนจะให้เกียรติมาเยี่ยมพรรคหมื่นพิษด้วยตนเองเช่นนี้ หากข้าไม่ออกมาต้อนรับด้วยตนเองคงไม่ดีนัก”
    
        คำทักทายของชายหนุ่มร่างโปร่งบางในอาภรณ์ขาวดูสง่างามตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มิคิดว่าจะได้ฉายาใหม่มาเร็วเช่นนี้ ดวงตาเรียวมองชายหนุ่มตรงหน้าที่รุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาอย่างพิจารณา แม้อายุยังน้อยแต่พลังภายในกล้าแกร่งทำให้ไม่อาจประมาทได้
    
      “เจ้าคือ?” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่ได้สนใจสายตาเรียวที่มองเขาอย่างสำรวจแล้วยกยิ้มบาง    “ข้าหรือ ข้าชื่อเซียวปิงเป็นที่ปรึกษาของพรรคหมื่นพิษและเป็นผู้ปรุงยาให้กับคนในพรรค หน้าที่อันภาคภูมิใจของข้าหวังว่าเจ้าไม่มาทำลายหรอกกระมั้ง”
    
       น้ำเสียงยียวนและรอยยิ้มบางเหมือนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับศัตรูที่ยกพวกมาถึงที่ ขณะที่สนทนาอยู่นั้นศิษย์รุ่นพี่ซึ่งมีวรยุทธสูงล้ำต่างเข้ามาโอบล้อมพวกเขาอย่างเต็มกำลัง จิวชงหยวนไม่ได้หวาดหวั่นเพราะเขาเองก็มีกำลังเสริมคือคนหอกิเลนซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ด้านนอกเช่นกัน
    
      “ปรุงยาพิษได้ แต่กลับปรุงยาแก้มิได้เป็นเจ้าเองสินะ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยเสียงเยอะเย้ย มุมปากยกยิ้มยั่วอารมณ์คนตรงหน้าที่หน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา
    
       “เพราะเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า ข้าถึงอยากเทียบเชิญเจ้ามาให้คำปรึกษาแก่ข้าผู้ด้อยปัญญา” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนที่ระงับอารมณ์ได้เป็นอย่างดี รอยยิ้มบางที่ไม่อาจรู้ว่าแท้จริงคิดอะไรอยู่นั้นบอกได้ว่าคนตรงหน้านี้อันตราย
    
       “ด้วยการส่งนักฆ่าไปสังหารข้าอย่างนั้นหรือ”
    
      “มิได้ มิได้ ตัวข้านั้นรู้มาว่าเจ้ามีวรยุทธสูงส่ง หากไปเชิญธรรมดากลัวว่าจะไม่มา จึงต้องใช้กำลังบ้าง” ชายหนุ่มตรงหน้ายังตอบกลับด้วยรอยยิ้มอย่างไม่สำนึก ทำให้จิวชงหยวนมือกระตุกอยากชักกระบี่ผ่าสมองคนตรงหน้ามาดูว่าข้างในหัวคิดอะไรอยู่กันแน่
    
       “อ่า...ท่านประมุขกลับมาพอดี น่ายินดีอย่างยิ่งที่พวกเจ้าจะได้ลองวิชาใหม่ของท่านประมุขที่สำเร็จวิชาเดือนดับขั้นที่สิบสอง” คำกล่าวของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้หย่งเจิ้นและลู่เฟยเคร่งเครียดขึ้นทันที วิชาเดือนดับเป็นวิชามารที่ในยุทธภพต่างหวาดกลัวเพราะสามารถดูดกลืนลมปราณของศัตรูมาเป็นของตัวเองได้และขั้นที่สิบสองนับว่าไม่ธรรมดา
    
       จิวชงหยวนหรี่สายตามองเส้นแสงสีแดงอมส้มพุ่งลงมาจากเทือกเขาด้านหลังพรรคหมื่นพิษพร้อมการปรากฏร่างชองชายชราเส้นผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะ แววตาลึกลับ น่าเกรงขามดวงตาคมที่มากล้นด้วยประสบการณ์มองมายังพวกเขานิ่งๆ ร่างกายรู้สึกเกร็งขึ้นทันที่ได้มองสบตากับชายชราประมุขพรรคหมื่นพิษตรงหน้า จิตใจร้องเตือนว่าอันตราย!
    
        อันตรายกว่าทุกคนที่รู้จักมา...
    
        และเพียงพริบตาก็มีผู้ปรากฏตัวเพิ่มอีกสองคือชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมคายซึ่งเป็นบุตรชายของประมุขเดินมายืนด้านหลังบิดาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบที่มองมามิได้มีแววตาของคนมีชีวิต วิชาอันใดกันทำให้คนที่มีชีวิตแต่กลับไร้ซึ่งชีวิต งานนี้พวกเขาเจอศึกหนักเสียแล้ว
    
        “คนผู้นี้น่ะหรือที่ทำลายวรยุทธของซือเยว่” น้ำเสียงจริงจังและความกดดันที่แผ่ออกมาทำให้เซียวปิงโค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีแววขี้เล่นอีก
    
        ลู่เฟยสังเกตทุกคนเงียบๆ คาดเดาได้ไม่ยากว่าคนที่เก่งกาจและมีวรยุทธสูงล้ำที่สุดคือประมุขพรรค รองลงมาคือบุตรชายสองคนที่ยืนนิ่งเหมือนคนตาย แววตาไร้ชีวิตน่าจะเกิดจากการที่ฝึกวิชามารกายไร้ใจ ใจไร้ซึ่งวิญญาณ ซึ่งหายสาบสูญไปนานจากยุทธภพ สุดท้ายคนที่ประมาทไม่ได้คือชายร่างโปร่งบางใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ท่าทางจิตไม่ปกตินามว่าเซียวปิง
    
       “ขอรับท่านประมุข วันนี้มีคนมาให้ท่านฝึกซ้อมวิชาถึงที่ ศิษย์คงดีใจหากได้คนผู้นี้มาทำยา” ประกายตาวาววับของเซียวปิงที่ฉายออกมา ทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้ามองเซียวปิงที่ดูภายนอกปกติทว่าจิตใจกลับโรคจิตจนน่ากลัว เขาไม่ได้แปลกใจว่าทำไมคนผู้นี้ถึงสร้างยาพิษร้ายจากทารกน้อยได้
    
       “ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองเด็กน้อยที่ริอาจเป็นศัตรูกับพรรคหมื่นพิษ”
    
       ใบหน้าเหี่ยวย่นมองมาที่จิวชงหยวนอย่างกดดัน โดยไม่สนใจชายหนุ่มสองคนที่ประกบข้างอย่างระวังให้ สองคนนี่ก็นับว่าน่าสนใจทว่าเด็กน้อยผู้ยืนอยู่ตรงกลาง แม้มองดูพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจะเบาบางแต่กลับสัมผัสได้ถึงความหอมหวานที่น่าลิ้มลอง ริมฝีปากเลียออกมามองเหยื่อตรงหน้าอย่างพึงพอใจ
    
        ลู่เฟยกำกระบี่แน่นออกมาขวางหน้าจิวชงหยวนมองสบตากับชายแก่ตรงหน้าอย่างท้าทาย ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางเบาไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยเพราะไม่ว่าเช่นไรเขาจะไม่มีวันตาย จนกว่าหน้าที่จะสำเร็จและเขาจะไม่ให้ใครมาแตะต้องจิวชงหยวนเป็นอันขาด
    
        “ข้าคงเสียใจด้วยท่านประมุขหากเพราะท่านต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
    
       น้ำเสียงและแววตาที่ส่งกลับมาทำให้ประมุขเฒ่าชะงักงัน คราแรกไม่ได้สนใจเพราะร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีเขียวอ่อนน่าสนใจกว่า แต่บัดนี้แรงกดดันที่ออกมาทางสายตาของชายหนุ่มตรงหน้านับว่าไม่ธรรมดา สัญชาตญาณร้องเตือนว่าชายหนุ่มตาดุผู้นี้มีดีกว่าที่เห็น
    
        “ท่านพ่อให้ข้าจัดการ”
    
          ชายหนุ่มทางขวามือเอ่ยออกมาด้วยเสียงเย็นเยือก แววตามองมาที่พวกเขาอย่างหื่นกระหาย มิใช่ความรักใครในหน้าตาจิวชงหยวนแต่กลับชื่นชอบโลหิตสีแดงฉาน หากย้อมลงหิมะสีขาวบนพื้นคงจะงดงามไม่น้อย ในมือปรากฏทวนสามเฉกประกายความคมวับจนน่าหวาดหวั่น แต่ก่อนที่จะได้รับอนุญาติกลับปรากฏแขกที่มิได้รับเชิญเพิ่มอีกสามคน
    
         จิวชงหยวนยกยิ้มบางมองคนที่ออกมาช่วย อย่างน้อยได้รู้ว่าทุกคนที่รู้จักมิได้ทอดทิ้งเขา ประมุขพรรคหมื่นพิษเลิกคิ้วมองผู้มาเยือนซึ่งก้าวเดินมาประกบข้างเขาไว้อย่างปกป้อง ดวงตาคมกริบมองไปยังประมุขและคนอื่นในพรรคนิ่งเฉย ทว่าการกระทำบ่งบอกว่ามาที่นี่เพราะเหตุใด
    
     “ฮ่าๆ ๆ มิคิดว่าหมอเทวะมารจะมีสหายเป็นถึงจ้าวยุทธภพถึงสองคน อีกทั้งประมุขหอกิเลนที่หลบซ่อนตัวยอมเผยตัวออกมานับว่าไม่ธรรมดา หากข้าชนะครานี้คงได้ขึ้นธรรมเนียบยุทธภพ”
    
        “หืม ข้าเพิ่งรู้ว่าประมุขพรรคหมื่นพิษที่คอยแต่หลบหลังผู้อื่นอยากได้ตำแหน่งนี้ด้วย จากสองปีที่ผ่านมาเพียงโดนฝ่ามือเดียวก็ตกเวทีไปแล้ว ครานี้มีอะไรดีอย่างนั้นหรือ” เสวี่ยอู่เอียงคอเอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสาร่างโปร่งบางยืนข้างอวี้เฟิ่งอย่างไม่ได้อาทรร้อนใจกับความกดดันที่ส่งออกมาจากประมุขพรรคหมื่นพิษ
    
        และไม่ต้องให้ใครบอกว่า ทุกฝ่ายก็เริ่มลงมือกันอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนถอยหลังออกมามองภาพเบื้องหน้าอย่างอย่างสนใจ ตอนนี้เขาไม่ได้ลงมือเองเพราะคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจทั้งสี่ภายในพรรคถูกลู่เฟย หย่งเจิ้นและอีกสองสามีภรรยาจับจองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็มีคนของเทพจันทราพร้อมด้วยหอกิเลนออกโลงด้วยตนเอง
    
        “ข้าว่าดูพวกเขาสู้กันสนุกกว่าเราลงมืออีก อาจารย์คิดเห็นเหมือนข้าหรือไม่”
    
         จิวชงหยวนเหลือบตามองอวิ้นเซียนที่ยืนอยู่ข้างเขาเพราะไม่เหลือคู่ต่อสู้ที่คู่ควร ลู่เฟยปะทะกับประมุขพรรคหมื่นพิษ หย่งเจิ้นปะทะกับเซียวปิง ส่วนอวี้เฟิ่งกับเสวี่ยอู่นั้นจับคู่กับบุตรชายของตาเฒ่าที่ฝีมือไม่น้อยหน้าผู้ใด และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเสวี่ยอู่ลงมือกับผู้อื่น พลังภายในที่เอ่อล้นออกมานับว่าเป็นเสือซ่อนเขี้ยวเล็บเลยทีเดียว
    
      “หากเป็นคนที่ข้ารู้จัก ข้าไม่สนุกหรอกเพราะไม่รู้จะพลาดพลั้งมาเมื่อไหร่ เจ้าไม่ออกไปช่วยพวกเขาหน่อยหรือ”
    
        “นี่แค่เริ่มต้นเองขอรับอาจารย์ ยังมีตัวร้ายที่ยังไม่ได้ออกมาเพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้รับมือดีกว่าขอรับ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วหันไปมองอย่างฉงน ก่อนจะหันไปมองการต่อสู้ที่รุนแรงจนต้องดึงพลังภายในมาปกป้องตัวเองอย่างแปลกใจ ยังมีอีกอย่างนั้นหรือ
    
       “ผู้ใดกัน”
   
       “ซือตี้ฝู้ เฒ่าทารกบิดาของประมุขพรรคที่ยืนอยู่บนยอดเขานู่นขอรับ”
    
        จิวชงหยวนหันไปมองตามสายตาอวิ้นเซียน ห่างออกไปไกลกว่าหนึ่งลี้มีคนผู้หนึ่งยืนมองอยู่หากไม่จับสังเกตจริงๆ ก็คงมิเห็นอีกทั้งไม่ได้แผ่ไอสังหารออกมา เขาเหลือบมองลูกศิษย์ที่สามารถจับสัมผัสอันน้อยนิดได้อย่างแปลกใจ ความจริงแล้วเขาเองก็เห็นเพียงแต่มิคิดว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพรรคหมื่นพิษเท่านั้น
    
      “เจ้าเก่งขึ้น” จิวชงหยวนกล่าวชมอย่างจริงใจ
    
      “นั่นเป็นเพราะอาจารย์สั่งสอน อีกทั้งยาดีทำให้สัมผัสข้าเฉียบคมยิ่งกว่าเดิม ต้องขอบพระคุณอาจารย์มากขอรับ” อวิ้นเซียนน้อมรับและยกมือขอบคุณอาจารย์ด้วยรอยยิ้มบางโดยไม่สนใจแรงกดดันจากรอบกาย
   
         ตูม ตูม!
    
         จิวชงหยวนพลิ้วกายหลบพลังสายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างจงใจอย่างคล่องแคล่ว ปลายเท้าเหยียบอยู่บนหลังคาตำหนัก ดวงตาเรียวหันไปมองผู้ที่ลอบกัด เซียวปิงแม้จะติดพันการต่อสู้กับหย่งเจิ้นแต่ยังมีเวลามาโจมตีเขา นั่นทำให้หย่งเจิ้นยกยิ้มร้ายจนน่าหวาดหวั่นพลังลมปราณเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงดุดันจนเซียวปิงไม่มีเวลาไปทำร้ายใครได้อีก
   
        “ข้าจะไปช่วยลู่เฟย” จิวชงหยวนหันไปบอกอวิ้นเซียน เมื่อเห็นว่าคนที่รับมือยากที่สุดคือประมุขพรรค ส่วนเฒ่าทารกที่กล่าวถึงค่อยว่ากันอีกที กอปรกับอวิ้นเซียนก็ยังคอยดูสถานการณ์รอบกายน่าจะรับมือได้ทัน
    
       ลู่เฟยกระชับกระบี่ในมือที่เริ่มแตกร้าวจากกระบี่มารของประมุขพรรคหมื่นพิษ กระบี่เขาจะเสียหายจากกระบี่มารมาสองครั้งแล้ว เพียงไม่นานกระบี่เหล็กเนื้อดีของในวังก็พังทลายลงจนต้องสร้างกระบี่จากลมปราณออกมาต้านรับ
   
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
       “หึ เจ้าเองก็สร้างกระบี่บินได้แล้วอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ ๆ น่าสนใจ น่าสนใจ” เสียงหัวเราชอบใจของประมุขพรรคหมื่นพิษดังก้อง ลู่เฟยเพียงแค่มองนิ่งๆ ไม่ตอบแต่กระบี่ที่สร้างขึ้นตอบโต้กลับอย่างรุนแรงแทน   เปรี๊ยะ!
    
        ตูม!!
    
        การปะทะจากพลังที่ต่างขั่วทำให้เกิดระเบิดออกอย่างรุนแรง ทั้งคู่ถูกพลังผลักออกมานอกวง ประมุขซือฟานจิ้งเบิกตากว้าง เหมือนไม่เชื่อสายตาก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างชอบใจเพราะหากตนดูดลมปราณของชายหนุ่มตรงหน้าได้จะทำให้มันเก่งกาจจนในยุทธภพไม่มีใครต้านทานได้อีก
    
         ก่อนจะพุ่งเข้าหากันอีกครั้งอย่างรุนแรงเชี่ยวกรากยิ่งกว่าเดิม รัศมีการทำลายล้างของทั้งคู่สร้างความเสียหายให้ตำหนักหมื่นพิษไปกว่าครึ่ง   
    
         เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!
    
        ลู่เฟยปะทะกับคนตรงหน้าไปถึงหกสิบกระบวนท่า แต่ยิ่งนานไปพลังตัวเองเหมือนจะเริ่มลดลงเพราะต้องแบ่งพลังออกมาสองส่วน หนึ่งสร้างกระบี่สองต้านรับกระบี่มารที่พุ่งโจมตีมา และเหมือนวิชาเดือนดับจะเป็นอริกับพลังเขาอย่างสิ้นเชิง
    
        เปรี๊ยะ!!
    
        เพล้ง!!
    
       กระบี่ไร้ลักษณ์ที่สร้างขึ้นถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าเขาก็สามารถเลือกเลือดชั่วๆ ของตาแก่ตรงหน้าได้เช่นกัน
    
       เคร้ง!
    
          ลู่เฟยหันไปมองผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยตาดุดันก่อนจะอ่อนแสงลงเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้
    
          “ชงหยวนข้ายืมขลุ่ยเจ้าหน่อย” คำกล่าวขอของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ แต่การโรมรันของตาเฒ่าไม่เปิดโอกาสให้เขาหยิบขลุ่ยหยกออกมาได้จึงใช้พลังเทพผลักร่างของประมุขพรรคจนกระเด็นออกห่างไปไกล เมื่อมีโอกาสจึงล้วงอกเสื้อหยิบสิ่งของที่ลู่เฟยต้องการโดยไม่ได้ถามอะไร
    
        ลู่เฟยรับขลุ่ยมาถือก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงคีตะสังหารโลกันต์ตามความทรงจำในอดีตทันที จิวชงหยวนหยุดชะงักหันไปมองพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากลู่เฟยอย่างแปลกใจ เพลงที่บรรเลงฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย และคงเป็นจริงดังที่กล่าว เพราะซือฟานจิ้งชะงักงันกรีดร้องออกมาคล้ายโดนเฉือดเชือนร่างโค้งงอเหมือนจะล้มลงแต่ก็พยายามต่อต้านจนยืนได้คงที่เหมือนเดิม ก่อนจะเงยหน้ามามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ
    
       จิวชงหยวนกระชับกระบี่โชคชะตาในมือก่อนจะพุ่งเข้าหาประมุขพรรคอย่างรวดเร็ว พลังมืดมนที่แผ่ออกมาก็กดดันเขาเช่นกัน ลู่เฟยทำหน้าที่บรรเลงเพลงที่ร้อนระอุมากขึ้นซึ่งทำให้ตาเฒ่าชะงักงันไปหลายครั้งและเปิดโอกาสให้เขาโจมตีได้ง่ายมากขึ้น
    
     เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
       ฉัวะ!!
    
        ตูม ตูม!
    
       
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่43หมอเทวะมาร ตอนที่18 (P.18วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-11-2015 11:23:39
 ต่อจากตอนหมอเทวะมารเนื่องจากระบบบอกว่าเกิน 20000 คำจึงมาลงต่อจ้า



         จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก คมกระบี่ที่ฟาดฟันร่างของซือฟานจิ้งกลับถูกสายพลังมืดมิดโรมเลียหายไปอย่างรวดเร็วและเหมือนจะมีพลังมากขึ้น ไอพลังแผ่ออกไปปกคลุมทั่วทั้งพรรคจนน่าหวาดกลัว โลหิตที่อาบย้อมตามพื้นหิมะถูกดูดขึ้นมารวมตัวกัน อีกทั้งคนที่ควรตายกลับลุกขึ้นถือดาบต่อสู้ต่อเหมือนผีดิบ
    
        “นั่นมันตัวอะไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามลู่เฟยที่หรี่ตามองโลหิตที่กลายร่างคล้ายกับคน ทว่ามันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามโลหิตที่อาบย้อมเหมือนกับว่ายิ่งมีโลหิตมากเท่าไหร่มันยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น
    
        “ฮ่าๆ ๆ ๆ”
    
      เสียงหัวเราะกังวานของประมุขทำให้รู้สึกสยองมากขึ้น อวิ้นเซียนบัดนี้มารวมตัวกับพวกเขามองภาพเบื้องหน้าอย่างอย่างระวัง ทุกคนที่ตายฟื้นขึ้นมาเดินได้อีกครั้งและมันทำให้คนของพรรคเทพจันทราและหอกิเลนหวาดกลัวเพราะเหมือนจะฆ่าไม่ได้
    
       “เดือนดับโลหิตมาร” อวิ้นเซียนตอบคำถามให้จิวชงหยวนที่นิ่วหน้ามองภาพตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด
    
      “ไม่น่าเชื่อว่ามีผู้สำเร็จวิชาชั่วช้านี้ได้” เสวี่ยอู่ที่เพิ่งจัดการกับบุตรชายคนรองของประมุขสำเร็จกลับมารวมตัวกับพวกเขา จะว่าสำเร็จก็คงไม่เชิงเพราะพวกมันได้ฟื้นลุกขึ้นยืนเดินได้เช่นเคย
    
        “แล้วเอาไงต่อ” อวิ้นเซียนเอ่ยถาม ทว่ารอยยิ้มที่มองภาพตรงหน้านี้ทำให้จิวชงหยวนมองอย่างเปลกใจ เรื่องหนักหนาสาหัสขนาดนี้ยังมีหน้ามายิ้มอีก
    
       “อย่างมากก็แค่ตาย จะกลัวอะไร” ลู่เฟยตอบกลับนิ่งๆ ยักไหล่มองภาพตรงหน้าอย่างไม่หวาดกลัวคล้ายกับเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ช่วยคิดมากหน่อยเถอะว่าตอนนี้ตนยังเป็นมนุษย์ จิวชงหยวนคิดแล้วส่ายหน้ามองแต่ละคนอย่างอ่อนใจ
    
      “นั่นสิ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเราหมดนี่จะสังหารตาเฒ่านั่นไม่ได้” เสวี่ยอู่บอกทุกคนซึ่งพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ยกเว้นอวี้เฟิ่งที่หน้านิ่งได้ตลอด แต่ก็เหลือบมองคนพูดเล็กน้อย
    
       “หวังว่าเจ้าไม่ตายคนแรกหรอกนะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบของอวี้เฟิ่งที่กล่าวกับเสวี่ยอู่ทำให้เจ้าตัวหันไปฉีกยิ้มให้
    
          “แหม เมียจ๋าข้าไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก” จิวชงหยวนกรอกตามองคนที่หวานไม่เลือกเวลา บรรยากาศชั่วร้ายที่แผ่ออกมาไม่ได้ทำให้พวกนี้สำนึกสักนิดว่ากำลังอยู่ในสนามรบที่พลาดพลั้งเพียงนิดก็ไปปรโลกแล้ว
    
        “อวิ้นเซียนเจ้ากับหย่งเจิ้นรับมือกับโลหิตมาร ส่วนเจ้าสองคนรับมือกับพวกผีดิบข้างล่าง ข้ากับลู่เฟยจะจัดการกับซือฟานจิ้ง”  จิวชงหยวนหันไปบอกทุกคน เพราะหากเขาสังหารประมุขเฒ่าได้ โลหิตมารก็จะหายไปอีกทั้งคนตายจะไม่ฟื้นขึ้นมา
    
       “ระวังตัวด้วย” หย่งเจิ้นหันมาบอกจิวชงหยวนก่อนจะทะยานพุ่งเข้าหาโลหิตมารที่ยกมือขนาดใหญ่ ตบลงมาอย่างรวดเร็วไม่สมกับขนาดตัวแม้แต่น้อย
    
         บรรยากาศรอบกายกดดันขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง จิวชงหยวนพุ่งทะยานไปหาประมุขเฒ่าที่ยืนนิ่งมองผลงานตรงหน้าอย่างพึงพอใจ มือขวากระชับกระบี่ในมือแน่นก่อนจะเหลือบตามองคนข้างกายที่เปลี่ยนขลุ่ยในมือเป็นกระบี่คมกริบสีเดียวกับของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าขลุ่ยหยกสามารถเปลี่ยนเป็นกระบี่ได้ ทั้งคู่มองสบตากันก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาซือฟานจิ้งด้วยความเร็ว
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
      กระบี่เทพทั้งสองปะทะเข้ากับกระบี่มารอย่างพร้อมเพรียงกัน จังหวะรุกและรับต่างประสานกันได้อย่างดีเยี่ยมเพราะไม่เปิดช่องโหว่ให้ประมุขซือฟานจิ้งได้ลงมือ ทำแต่แค่ปัดป้องไปมาเท่านั้น
    
       ฉัวะ!!
    
       ด้วยความเร็วที่เหนือชั้นอีกทั้งการประสานกระบี่ที่ลงเอ่ยเหมือนรู้ใจสร้างบาดแผลให้กับประมุขเฒ่าเป็นอย่างมาก โลหิตอาบย้อมกายปะปนไปกับหิมะที่โปรยปรายลง ใบหน้าเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลานิ่วหน้ากังวลวิตกเพราะพลังที่เหมือนเป็นอริกับของตน ทว่าขณะเดียวกันกลับรู้สึกหอมกระหายดูดกลืนลมปราณของทั้งคู่มาเป็นของตัวเอง
    
        พลังสีแดงฉานที่แผ่ออกมาจากร่างของซือฟานจิ้งพร้อมความรู้สึกขยะแขยงทำให้จิวชงหยวนและลู่เฟยกระโดยถอยห่างออกมามองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างวิตก
    
       “ระวังด้วย ตาแก่นั่นพยายามจะดูดกลืนลมปราณของเรา” ลู่เฟยเอ่ยเตือนคนรัก คิ้วขมวดเป็นปมพยายามมองหาจุดอ่อนภายในร่างของประมุขหมื่นพิษที่หันไปใช้วิชามาร
    
        เปรี๊ยะ!!
    
        ตูม!!
    
      การปะทะกันจากทางด้านอื่นดังมาให้ได้ยินเป็นระยะทำให้รู้ว่าต่างก็รับศึกหนักไม่แพ้กัน จิวชงหยวนเม้มปากอย่างคิดหนักพยายามหาวิธีมาจัดการตาแก่ที่ไม่รู้ว่าจะมีลูกเล่นอะไรออกมาอีก ก่อนจะหลับตาดึงพลังเทพออกมาใช้อีกครั้ง
    
         ลู่เฟยหันไปมองอย่างเป็นห่วงแต่เวลานี้มีแต่พลังเทพเท่านั้นที่พอจะช่วยได้และสามารถชนะได้ง่ายขึ้น เขาเองเวลานี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจึงมีขีดจำกัดของร่างกาย
    
      “รับจัดการให้จบ ข้าไม่อยากให้เจ้าใช้มันมาก”
    
       จิวชงหยวนหันไปมองคนสั่งอย่างเข้าใจเพราะสิ่งที่แลกมานั้นมีราคาค่างวดเท่าเทียมกัน เพราะร่างกายยังเป็นมนุษย์เมื่อฝืนใช้ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา ร่างโปร่งบางทอแสงสว่างเจิดจ้ากินพื้นที่รัศมีรอบกายขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้หวาดกลัวถอยห่างออกไป
    
       ลู่เฟยก็ไม่น้อยหน้าเปลี่ยนกระบี่ในมือกลับมาเป็นขลุ่ยเช่นเดิมพร้อมเริ่มบรรเลงเพลงเงามรณะช่วยจิวชงหยวนอีกแรง เสียงเพลงขลุ่ยรุนแรง ดุดันและเชี่ยวกรากทำให้ซือฟานจิ้งชะงักงันอีกครั้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดพลังภายในเหมือนถูกรุกราน
    
       จิวชงหยวนจึงผนึกพลังลงในกระบี่โชคชะตาพุ่งเข้าหาศัตรูตรงหน้าอย่างรวดเร็ว กระบี่เชือดเฉือนตามร่างอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉานอย่างน่ากลัว ทว่าเขาต้องนิ่งหน้าเคร่งเครียดเมื่อโลหิตที่ควรหยดลงพื้นมันกำลังไปเสริมให้กับโลหิตมารซึ่งอวิ้นเซียนกับหย่งเจิ้นรับมืออยู่ จนทำให้ไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นนายเป็นทาสกันแน่
    
      ฉัวะ!!
    
       กระบี่โชคชะตาตวัดฟันฉับเข้าที่ลำคอของอีกฝ่าย ทว่ายังหลบได้ทันทำให้แขนขวาของประมุขพรรคหมื่นพิษขาดกระเด็นตกไปไกล
    
       อ๊ากกกก
    
       ซือฟานจิ้งกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด อย่างน่าเวทนาดวงตาแดงฉานพยายามต่อต้านโรมรันอย่างไม่ห่วงบาดแผลตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าบทเพลงที่โหมกระหน่ำรุนแรงจากผู้บรรเลงทำให้ลมปราณเริ่มแตกซ่าน ภาพที่เห็นควรเป็นหนึ่งกลับมีเพิ่มนับสิบร่ายล้อมตนอยู่จนต้องสะบัดกระบี่ไปมาอย่าสะเปะสะปะมิอาจหาตัวจริงได้
    
       เมื่อเห็นเช่นนั้นจิวชงหยวนจึงรวบรวมพลังทำลายวรยุทธอีกฝ่ายอย่างไร้ความปราณี พลังเทพสีขาวเจิดจ้าพุ่งเข้าหาร่างของซือฟานจิ้งด้วยความเร็ว
    
        อ๊ากกก
    
        พลังลมปราณถูกทำลายด้วยพลังที่ไม่รู้จักทำให้ต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาณ พลังที่ฝึกมาตลอดทั้งชีวิตยอมแลกวิญญาณเพื่อความเป็นใหญ่แต่กลับถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย พลังมารที่ปลุกคนตายให้มีชีวิตจึงถูกทำลายขาดสะบั่นไปด้วย ร่างที่เคยโดนปลิดวิญญาณไปแล้วก็ร่วงหล่นและล้มลงไม่อาจลุกขึ้นมาเดินได้อีก
    
        ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เป็นไปตามที่คิดไว้โลหิตมารที่ควรสลายหายไปตามเจ้าของพลัง กลับยังอยู่และโจมตีอวิ้นเซียนและหย่งเจิ้นได้รุนแรงมากขึ้น ใบหน้างดงามเหงื่อผุดเต็มใบหน้าเพราะใช้พลังไปมาก หากจบงานนี้ชีวิตเขาคงเหลือไม่ถึงร้อยปีแน่ๆ





หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44 ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-11-2015 11:28:02
บทที่44 ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล
เล่ม 2 ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)

       ดวงตาเรียวหันไปมองประมุขพรรคหมื่นพิษที่เคยดูน่ายำเกรง ทว่าเวลานี้กลับหมดสภาพไม่หลงเหลือความน่ากลัวอีกต่อไป แต่ใช่ว่าเขาจะปล่อยให้มีชีวิตเพราะหลังจากปล่อยซือเยว่บุตรสาวมาทุกอย่างก็เลวร้ายลงมาเรื่อยๆ ต่อไปนี้เขาจะไม่ใจอ่อนกับคนชั่วอีกแล้ว
    
       ฉัวะ!!
    
       จิวชงหยวนนิ่วหน้ามองคนที่เข้ามารับกระบี่ปกป้องซือฟานจิ้งด้วยชีวิตตนเองด้วยสายตาว่างเปล่า เพราะเขาเคยให้โอกาสมีชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง หากจะตายด้วยน้ำมือเขาก็ไม่ได้แปลกใจสิ่งใด ดวงตาเกรี้ยวกราดที่มองมาพร้อมกระอักโลหิตออกมาคำโต
    
       “แม้ชาตินี้ข้าจะแก้แค้นไม่ได้ แต่ชาติหน้า...”
    
      ฉัวะ!!
    
       “ซือเยว่!” ประมุขหมื่นพิษกรีดร้องเรียกบุตรสาวคนเล็กที่ทั้งรักทั้งหวงด้วยความคลุ้มคลั่ง แต่มิอาจดิ้นหลุดจากเชือกที่มองไม่เห็นด้วยบทเพลงร้อนแรงของชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำได้ น้ำตาไหลออกมาอย่างปวดร้าวทุกอย่างพังพินาศไปกับตา
    
       จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยที่ตวัดกระบี่แทงทะลุกลางอกแม่นางซือเยว่อีกครั้งอย่างไร้ความปราณี ใบหน้าคมคายดุดันขึ้นจนน่ากลัว
    
       “เจ้าน่าจะให้นางพูดให้จบก่อนนะ”
    
        “ฮึ ข้าจะไม่ให้ใครมาอาฆาตเจ้าหรอกเพราะอย่างไรข้าจะปกป้องเจ้าด้วยมือข้าเอง” ลู่เฟยบอกเสียงจริงจังพร้อมตวัดฟันฉับเข้ากลางอกซือฟานจิ้งที่ถูกพันธนาการด้วยวิชาคีตะโลกันต์เพลงขลุ่ยซึ่งเป็นที่หวั่นกลัวแม้แต่สวรรค์ยังต้องยอมจำนนเพียงแค่นี่เป็นพลังลมปราณของมนุษย์เท่านั้น
    
       ร่างของทั้งคู่ล้มลงสิ้นลมทว่ามันยังไม่จบ เมื่อโลหิตมารไม่ได้หายไปด้วย จิวชงหยวนกับลู่เฟยจึงพุ่งเข้าไปช่วยเหลืออีกแรง ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวโจมตีมารโลหิตหลังจากจัดการทางอื่นเรียบร้อยแล้ว พลังลมปราณมากกว่าห้าสายพุ่งโจมตีใส่โลหิตมารอย่างรุนแรง  ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นอะไรแม้แต่น้อย ผิดปกติมากเกินไป
    
        จิวชงหยวนถอยหลบออกมามองคนอื่นพุ่งเข้าโจมตีฟาดฟันใส่ร่างโลหิตมารที่ระเหยตัวเป็นน้ำทำให้กระบี่ที่ฟาดฟันลงไปไม่เกิดผล ใบหน้างดงามนิ่วหน้าน้อยๆ มองภาพที่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด คล้ายกับนี่เป็นแค่ร่างแปลงที่คล้ายกับภาพลวงตาเท่านั้น
    
      “ชงหยวนเจ้าต้องหาคนที่ควบคุมโลหิตมาร มิเช่นนั้นมันจะไม่ตาย” ลู่เฟยหันมาบอกขณะรับมือกับโลหิตมารตรงหน้า
    
       “อาจารย์น่าจะเป็นฝีมือเฒ่าทารก” อวิ้นเซียนร้องบอกอีกคนก่อนจะตวัดพลังลมปราณบริสุทธิ์พุ่งเข้าหาร่างนั้นอีกครั้ง จนตัวขาดครึ่งแต่กลับมารวมตัวกันได้อีก
    
        จิวชงหยวนเหลือบตาไปมองยังจุดหนึ่งบนเทือกเขาที่เคยมีชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่แต่บัดนี้กลับไร้วี่แวว คล้ายกับมายืนชมความสำราญเพียงเท่านั้น ทั้งๆ ที่แห่งนี้มีแต่ลูกหลานตัวเองแต่กลับไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแปลกเกินไปแล้ว ขณะนั้นกลับสัมผัสพลังบางอย่างที่อยู่บนบอดเขาหลังตำหนักหมื่นพิษที่ลักษณะคล้ายคลึงกับโลหิตมาร
    
      “ลู่เฟย” เอ่ยเรียกลู่เฟยเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงจะมาปรากฏตัวตรงหน้าหันไปมองตามสายตาที่เขามองไป
    
       “น่าจะใช่” ไม่ต้องอธิบายอะไรมากแต่กลับเข้าใจ จากนั้นทั้งคู่จึงพุ่งทะยานเข้าไปยังพลังบางอย่างทีสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงกลับเป็นปากทางเข้าถ้ำขณะนั้นกลับได้ยินเสียงหยดน้ำกระทบพื้นหินดังก้องทั่วถ้ำ
    
      ติ้ง!
    
       เมื่อเดินเข้ามาถึงด่านในถ้ำกลับมองเห็นม่านพลังงานบางอย่าง จิวชงหยวนนิ่วหน้าอย่างแปลกใจเมื่อเห็นร่างของผิงเอ๋อร์ถูกตรึงไว้ลอยอยู่ในม่านแห่งนั้น เบื้องล่างเป็นแท่นบูชามีเด็กน้อยซึ่งเขารู้จักซึ่งเป็นบุตรของนางเองนอนอาบโลหิตไหลลงบนสัญญาลักษณ์บางอย่าง
    
       “ท่านผู้มีพระคุณ” นางลืมตาขึ้นมามองพวกเขาแล้วกระซิบเสียงแผ่ว ขณะเดียวกันดวงตาก็เริ่มแดงฉานคล้ายกับต่อต้านกันไปมา
    
     “โปรดสังหารข้าและฝากลูกชายข้าด้วย”
    
       “จะไม่มีใครสังหารข้าได้ พวกเจ้าต้องตาย!” สองเสียงที่ออกมาในร่างเดียวกันทำให้พวกเขากระชับกระบี่ในมือแน่นยิ่งขึ้น
    
     “บุตรนางถูกนำมาบูชาเช่นไหว้โลหิตมารและร่างนางกำลังถูกปีศาจครอบงำ” ลู่เฟยบอกด้วยเสียงเคร่งเครียด จิวชงหยวนเหลือบตามองเด็กน้อยที่ลมหายใจรวยริน
    
       “เจ้าจัดการนางข้าจะไปช่วยเด็กนั่น” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยเพราะหากชักช้ากลัวว่าจะไม่ทันการซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายพร้อมผนึกพลังลงไปมากกว่าแปดส่วนพุ่งเข้าตวัดร่างที่ถูกตรึงเอาไว้ด้วยความเร็ว
    
      เปรี๊ยะ!
    
       ตูม!!
    
       ม่านพลังที่กั้นไว้แตกกระจายออกไปร่างของผิงเอ๋อร์ร่วงลงมา ลู่เฟยรีบตวัดกระบี่เข้าหาอย่างรวดเร็วพร้อมพลังลมปราณสิบส่วน
    
        ฟิ้วววว~
    
      ทว่านางกลับพลิกกายหลบด้วยความเร็ว ใบหน้างดงามเริ่มมีเส้นเลือดขึ้นตามใบหน้าจนปูดโปนขึ้นมาทำให้รู้ว่าจิตวิญญาณที่นางพยาต่อต้านนั้นอ่อนแรงลงและกำลังถูกกลืนกิน ที่นางยื้อได้นานมากขนาดนี้อาจเป็นเพราะเบื้องล่างเป็นบุตรของนางเอง
    
       เปรี๊ยะ!
    
       ตูม!!
    
       ลู่เฟยกระเด็นไปตกใส่ผนังถ้ำอย่างรุนแรงตามแรงกระชาก ใบหน้าที่ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดแสยะยิ้มออกมาตามด้วยเสียงหัวเราะที่ชวนให้จิตตก
    
        จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยอย่างเป็นห่วง ก่อนจะรั้งร่างเด็กน้อยขึ้นมาพร้อมหยิบยาแมวเก้าชีวิตให้กิน ที่เขารักษาเด็กน้อยผู้นี้เพราะเห็นว่าเป็นจิตใจอย่างใสบริสุทธิ์เพียงแค่ตกเป็นเหยื่อของคนชั่วเท่านั้น จากนั้นจึงพาไปวางไว้ที่ปลอดภัยก่อนจะเข้าไปช่วยลู่เฟยอีกแรง
    
      เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
       ฉัวะ!
    
       กระบี่โชคชะตาตวัดเข้าหาร่างของผิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็วดุดัน ประสานกระบี่กับลู่เฟยอีกครั้ง กระบี่รวดเร็วดุดันที่เชี่ยวกรากพุ่งเข้าหาร่างนั้นอย่างต่อเนื่อง ความรุนแรงโหมกระหน่ำเข้ามาไม่หยุดทำให้ร่างกายที่ควรเป็นมนุษย์กลับดูสยดสยองมากยิ่งขึ้น ดวงตาปูดโปนมองมาที่พวกเขาอย่างโกรธแค้น แต่เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้อีกแล้ว พลังเทพถูกเรียกออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง
    
       กรี๊ดดดด
    
       เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแขนซ้ายขวาถูกตัดจนขาด กระบี่สองเล่มคู่ปักคาอกพร้อมเพรียงกัน นางพยายามตะเกียกตะข่ายดิ้นหนีแต่ไม่มีโอกาสนั้นสำหรับนางอีกแล้ว
    
       ฉัวะ!!
    
        ลำคอของนางขาดกระเด็นด้วยฝีมือของลู่เฟย จิวชงหยวนเบือนหน้าหนีแต่เพื่อความแน่ใจว่าโลหิตมารตัวจริงไม่หลบหนีไปไหนอีกจึงผนึกพลังสีขาวเจิดจ้าส่องประกายอาบย้อมไปทั่วถ้ำ
    
         กรี๊ดดดดด
    
       และเป็นอย่างที่คิดเสียอีก มันพยายามหลบหนีด้วยร่างที่เป็นหยดเลือดเพียงหยดเดียว ลู่เฟยพุ่งเข้าไปซ้ำเติมอีกครั้งก่อนจะจับใส่ขวดแก้วผนึกผลังปิดไว้เพื่อความแน่ใจ จิวชงหยวนมองแล้วลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาเสียเวลาไปกับลูกกระจ๊อกที่ถูกควบคุมอยู่ที่นี่ อีกทั้งฝีมือยังอ่อนด้อยกว่า ไม่สิ ไม่เรียกว่าอ่อนด้อยเพียงแค่เขาใช้พลังเทพออกมาช่วยมากเกินไปต่างหาก
    
       “หวังว่ามันจะจบนะ” จิวชงหยวนเอ่ยออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ใบหน้ามีเหงื่อผุดขึ้นด้วยอย่างอ่อนล้า แม้จะเพียงชั่วครู่ที่ใช้พลังไปแต่มันก็มากจนกินอายุไปเป็นร้อยปี เห็นทีคราวนี้เขาจะอายุสั้นเป็นมนุษย์ธรรมดาจริงๆ แล้วล่ะ
    
       “อื้ม มันจบแล้ว” ลู่เฟยตอบรับเดินเข้ามาลูบผมอย่างปลอบโยน จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อย แม้ตอนนี้จะรู้สึกหน้ามืดแต่เขาต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน แต่ทำไมเขารู้สึกถึงดวงตาหนักอึ้ง หันไปมองคนร่างสูงที่ประคองกอดเขาไว้แล้วกระซิบบอกอย่างแผ่วเบาเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมความรู้สึกโลกมืดมิดลง...
    
       “นอนพักก่อนเถอะ ถึงเวลาเจ้าจะตื่นขึ้นอีกครั้ง”

       
         หลังจากจัดการร่างต้นของโลหิตมารได้แล้ว ร่างอื่นๆ จึงถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย ทุกคนในพรรคหมื่นพิษล้วนตายตกจนหมดสิ้น อาจจะมีหนีเล็ดรอดไปได้แต่ก็เป็นเพียงลูกศิษย์ชั้นปลายแถวที่ไว้ใช้งานเสียมากกว่า และการพังพินาศของสามพรรคในเวลาไล่เลี่ยกันทำให้ชื่อเสียงของจิวชงหยวนพร้อมด้วยชื่อพรรคเทพจันทรา ธารตะวันและหอกิเลนโด่งดังไปทั่วยุทธภพ หากใครคิดมีเรื่องเป็นอันต้องหวั่นเกรง แม้จะมีบ้างที่อ้างตนเป็นหมอเทวะมาร สมญานามใหม่ของจิวชงหยวนที่ถูกเลื่องชื่อไปไกล ทั้งเป็นที่ยำเกรงและนับถือ
    
          ทว่าขณะนี้เจ้าตัวกลับนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ภายในห้องเย็นในหอกิเลน ร่างกายภายนอกและภายในมิได้เป็นอะไร แต่จิตวิญญาณกลับบอบซ้ำอาจต้องใช้เวลาในการพักฟื้น และไม่รู้ว่านานแค่ไหนเพราะเจ้าตัวใช้พลังไปมาก
    
        “อาจารย์ลู่ไปทานข้าวบ้างเถอะขอรับ เกิดอาจารย์จิวชงหยวนตื่นขึ้นมาเห็นท่านทรุดโทรมคงได้โมโหหรอกขอรับ”
    
         ลู่เฟยหันไปมองอวิ้นเซียนที่เขาหมั่นไส้ ใบหน้ายิ้มละไมที่ถอดแบบความเสแสร้งของเขามา และที่ได้มาเป็นอาจารย์เพราะประลองดาบกันอย่างดุเดือน ผ่านไปร้อยกระบวนท่าก็เหมือนจะไม่มีผล สุดท้ายก็เหมือนกับแลกวิชากระบี่เท่านั้น  แต่อวิ้นเซียนเรียกเขาว่าอาจารย์อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนรักของจิวชงหยวนก็เป็นได้     

         “ข้ายังไม่หิวเจ้าไปเถอะ” ตอบกลับเสียเรียบหันมามองคนรักที่นอนนิ่งๆ มือลูบศีรษะจิวชงหยวนอย่างแผ่วเบาก่อนจะเลื่อนลงมาที่ตา จมูก ปาก
    
   
        อวิ้นเซียนมองตามแล้วถอนหายใจยาว เพราะลู่เฟยนั่งเฝ้าอาจารย์อยู่อย่างนี้มาเจ็ดวันแล้ว และที่เขาเรียกอาจารย์เพราะรู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นถึงแม่ทัพสวรรค์ซึ่งลงมาทำหน้าที่ตามคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ ฝีมือกระบี่ก็เป็นที่ประจักแก่เขา หากกลับไปเป็นเทพแล้วไซร้ฝีมือต้องร้ายกาจจนน่ากลัวแน่ๆ อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นสามีอาจารย์อีกไยเขาจะกล้าเสียมารยาท เมื่อคนตรงหน้าไม่สนใจตนจึงยอมเดินจากไปเงียบๆ
    
         “เมื่อไหร่เจ้าจะตื่นมานะจิวชงหยวน รู้ไหมข้าคิดถึงเจ้า ห่วงเจ้าแค่ไหน หากเมื่อไรที่เจ้าตื่นขึ้นมาข้าจะทบต้นทบดอกกับสิ่งที่เจ้าเบี้ยวข้าไปแน่ๆ”
    
        ลู่เฟยกล่าวหยอกเย้าคนรักที่นอนนิ่งเป็นผักปลาแต่เขารู้ว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาเพราะอย่างไรร่างนี้ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ทว่าดวงตากลับเศร้าหมองที่มิอาจปกป้องคนรักได้หากเขาเป็นเทพในเวลานั้นทุกอย่างคงไม่ลงเอ่ยเช่นนี้
    


         


    :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44 ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-11-2015 11:32:11

ต่อจากเมื่อครู่นะคะ ระบบบอกว่าเกิน20000คำจ้า



          จิวชงหยวนมองดูรอบกายด้วยน้ำตาไหลริน ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเห็นภาพอย่างนี้อีกครั้ง ประเทศไทยยุค2015 ซึ่งจากไปนานกว่าสามปี เขากวาดสายตามองดูงานเลี้ยงในบ้านของนพดลเพื่อนรักที่จากไปโดยไม่ได้มีคำร่ำลา ผู้คนแต่งกายงดงามทว่ากลับเดินผ่านเขาไปเหมือนไร้ตัวตน แม้จะไม่มีใครมองเห็นเขาแต่การได้กลับมาที่นี่อีกครั้งทำให้ตื่นตันใจจนพูดไม่ออก
     

         ดวงตาเรียวกวาดมองรอบบ้านก่อนจะเดินเข้าไปทางสระน้ำที่มีเวทีขนาดกลางตั้งอยู่ บนเวทีตกแต่งอย่างสวยงาม เขายิ้มออกมาบางเมื่อเห็นเพื่อนรักสวมชุดเจ้าบ่าว นพดลกำลังแต่งงาน แต่ที่ทำให้อึ้งคาดไม่ถึงคือคนที่ยืนข้างกายในฐานะเจ้าสาวแต่กลับเป็นชายร่างเล็กบอบบางซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นนักศึกแพทย์ที่มาฝึกงานที่โรงพยาบาล เขายืนมองทั้งคู่ด้วยน้ำตาซึมทั้งรู้สึกดีใจกับเพื่อนที่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา
    
        ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจที่เขาคงไม่ได้ใช้ชีวิตแบบทันสมัยแบบนี้อีกแล้ว มีแต่ความรู้วิชาแพทย์เท่านั้นที่เขาสามารถนำไปใช้ได้แต่หากที่นี่ไม่มีลู่เฟยชีวิตเขาก็คงจืดชืดไม่น้อยเพราะตอนนี้หัวใจเขามีแต่แม่ทัพสวรรค์ผู้นั้นเสียแล้ว หากนพดลรู้ว่าแทนที่เขาจะได้ภรรยาแต่กลับได้สามีมาแทนคงได้หัวเราะเยอะเขาน่าดู
    
        “วชิระฉันแต่งงานแล้วนะ พวกเราตามหานายมานานกว่าห้าปี แต่ทุกอย่างก็เงียบหายไปเหมือนกับว่านายไม่เคยมีตัวตนอยู่โลกใบนี้ แต่ฉันเคยเห็นนายในฝันนะ ฉันเห็นนายอยู่ในยุคจีนโบราณเป็นหมอเทวดาด้วย หากนายได้ยินฉันอยากจะบอกว่าขอให้นายมีความสุขและโชคดีตลอดไปนะ”
    
        จิวชงหยวนยืนนิ่งมองเพื่อนรักกำลังพูดกับรูปของเขา ทว่าคำพูดนั้นทำให้เขายิ้มออกมาบางๆ อย่างน้อยหมอนี่ก็ฝันถึงเขาและน่าจะเป็นจริงเสียด้วย
    
       “ฉันก็ขอให้นายมีความสุขกับสิ่งที่นายเลือกและขอให้โชคดีนะเพื่อน” จิวชงหยวนบอกพร้อมตบลงบนไหล่หนาของเพื่อนอวยพรให้อย่างจริงใจ และเจ้าตัวเหมือนจะรู้สึกได้เพราะหันซ้ายแลขวามองหาต้นเสียงที่ได้ยิน เห็นแค่นี้เขารู้สึกมีความสุขแล้วอย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ลืมวชิระชื่อที่เขาเริ่มจะลืมเลือนไป แต่ใช่ว่าเขาจะลืมเลือนตัวตนของตัวเอง
    
       ทว่าเวลาเหมือนจะหมดหรืออย่างไรมิอาจรู้ เพราะเบื้องหน้าเขาเวลานี้ไม่ใช่งานเลี้ยงแต่งงานอีกต่อไปแต่เป็นตำหนักอันโอ้อ้า ซึ่งลอยอยู่บนฝากฟ้าก้อนเมฆหนาตาลอยไปมา
    
          “จิตวิญญาณอ่อนลงก็กลับไปภพภูมินู่นอีกแล้วนะ” จิวชงหยวนหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยยา
    
        “อาจารย์หมายว่าอย่างไรขอรับ” เทพโอสถเงยหน้ามองดวงจิตที่อ่อนลงเพราะฝืนใช้พลังเทพของแม่ทัพสวรรค์ไปก่อนจะยื่นถ้วยยาคืนไอพลังวิญญาณให้ลูกศิษย์คนโปรดที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง หากมาช้ากว่านี้ลู่เฟยคงมาฉีกอกคนชราอย่างตนแน่ๆ
    “กินไปก่อน ยานี่จะช่วยซ่อมแซมดวงวิญญาณให้กลับมาเหมือนเดิม ข้าบอกเจ้าว่าอยู่ได้ราวห้าร้อยปี แต่ใช้พลังแบบไม่คิดชีวิตอย่างนี้ร้อยปีก็คงจะไม่ถึง” จิวชงหยวนมองอาจารย์บ่นให้ตนอย่างเหนื่อยใจแล้วหน้าเสียเล็กน้อย
    
          “ขอบคุณอาจารย์ที่เมตตา” หลังจากรับยามาดื่มจึงก้มหัวคารวะอย่างสุดซึ่งอีกครั้ง
    
         “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เจ้าต้องดื่มยานี่อีกเจ็ดวันถึงจะคืนจิตวิญญาณกลับมาเหมือนเดิมได้และร่างเจ้าก็คงหลับไปราวหนึ่งเดือน แต่แค่นี้แม่ทัพสวรรค์คงจะมาฉีกอกข้าก่อนหรอกกระมั้ง” จิวชงหยวนยกยิ้มบางท่าทางอาจารย์ตอนนี้เหมือนจะกลัวแม่ทัพสวรรค์ชอบกล หรือจริงๆ แล้วลู่เฟยเป็นคนโหดเหี้ยมหรืออย่างไรอาจารย์ถึงได้กลัวขนาดนี้
    
      “อ้าวชงหยวน บอบซ้ำกลับมาเลยหรือ ไหนๆ เจ้าก็ว่างแล้วไปเล่นหมากล้อมกับข้าดีกว่า หากเจ้าชนะข้าจะให้ผลท้อหมื่นปีแก่เจ้าลูกหนึ่งดีหรือไม่” เฒ่าจันทราผู้จับเนื้อคู่ให้กับเขาและยังให้เขากินยาประหลาดจนหน้าหวานเหมือนผู้หญิง เขาลุกขึ้นคารวะเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
    
         “ข้าขอเปลี่ยนเป็นร่างเดิมแทนได้หรือไม่ขอรับ”
    
        “ฮ่าๆๆ ร่างนี้ก็เป็นร่างเดิมของเจ้าเมื่อราวหมื่นปีก่อนอยู่แล้ว จะร่างไหนจิตวิญญาณก็ยังเป็นเจ้าจะสนใจทำไม” เฒ่าจันทราหัวเราะร่วนก่อนจะลากศิษย์รักศิษย์ห่วงของเทพโอสถไปเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อน
    
         เทพโอสถส่ายหน้ามองคนที่งานมากแต่ชอบหนีมาเล่นหมากล้อมอย่างเอือมระอา ก่อนจะเคี่ยวยาเพิ่มอีกเพราะปล่อยนานไปไม่เป็นผลดีกับตนแน่
    
        จิวชงหยวนนั่งเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนกับเฒ่าจันทราที่ไม่รู้ว่างงานจัดหรือว่าอยากจะอู้กันแน่ โดยมีลูกท้อหมื่นปีเป็นเดิมพันในครั้งนี้ การวางหมากและคาดการณ์ของผู้อาวุโสมีหรือเขาจะคิดตามได้ทัน แต่ว่าเขาเคยเล่นกับคอมพิวเตอร์มาก่อนและมันก็ฉลาดหลักแหลมกว่าเฒ่าจันทรามาก ไม่ว่ากี่รอบต่อกี่รอบเขาก็ชนะขาดลอย
    
         “ท่านเทพจันทราข้าว่าพอเถอะ ร้อยรอบแล้วนะที่ท่านแพ้ข้า” จิวชงหยวนบอกอย่างเบื่อหน่ายเพราะเขานั่งเล่นหมากล้อมด้วยมานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งเทพอาวุโสตรงหน้าได้แต่ถอดทอนหายใจอย่างยอมแพ้ยื่นลูกท้อหมื่นปีให้จริงๆ แต่หากเขาแพ้มาต้องทำเหล้าเมามายหมื่นปีให้เช่นกัน ดีแต่ว่าเขาเป็นผู้ชนะจึงไม่ต้องเสียเวลาหมักเหล้านั่นอีก
    
        “ลูกท้อนี้จะช่วยให้เจ้าได้กลับลงไปมนุษย์เร็วขึ้น” จิวชงหยวนรับผลท้อใบโตมามองกลิ่นไอทิพย์แผ่ออกมาบ่งบอกอายุของมัน และมันน่าจะช่วยได้จริงดั่งที่กล่าว
    
        “ขอบคุณท่านเทพจันทราที่เมตตาข้าอีกทั้งชี้แนะข้า ข้าจะไม่ลืมพระคุณ”
    
         จิวชงหยวนลุกขึ้นคารวะบอกกล่าวอย่างนอบน้อม ความแค้นในใจที่เคยมีเลือนหายไปเพราะเป็นจริงดั่งที่ท่านอาวุโสกล่าว ร่างนี้เป็นร่างเขาเมื่อหมื่นปีก่อนจริงๆ หลังจากนั้นเขาจึงกัดผลท้อกินอย่างไม่เกรงใจคนให้ที่แอบกลืนน้ำลายไปด้วย แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นการได้เอาคืนเล็กๆ น้อยก็ทำให้อารมณ์ดีเหมือนกัน ก่อนจะชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงลู่เฟยเรียก
    
       “ยาอีกถ้วยของเจ้า หมดนี่คงกลับลงไปได้แล้วล่ะ ได้กินผลท้ออีกสบายไปหลายพันปีเลยนะนั่นเจ้าโชคดีแค่ไหนที่เทพขี้เหนี่ยวอย่างเฒ่าจันทราให้ผลท้อกับเจ้า”
    
        อาจารย์เดินเข้ามาพร้อมถ้วยยา หลังจากที่เขากลืนผลท้อไปจนหมดลูกจึงรับถ้วยยามาดื่มต่อ รสชาติของยานับว่าแย่สุดๆ แต่มันก็ได้ผลเกินคาด เขาอยู่บนสวรรค์มาห้าวันทว่าร่างกายยังอยู่บนโลกมนุษย์ทำให้ปล่อยทิ้งไว้นานไม่ได้เพราะอาจมีดวงวิญญาณอื่นไปแทนที่ แต่อาจารย์บอกเขาว่ามีลู่เฟยเฝ้าจึงไม่เป็นไร
    
        “ขอบพระคุณอาจารย์มากขอรับ”
    
       “เอาเถอะลงไปได้แล้วแล้วอย่าไปอวดเก่งที่ไหนจนได้กลับมาที่นี่อีกล่ะ” คำกล่าวลาของอาจารย์ทำให้เขาหน้ามุ่ยน้อยๆ เพราะเขาไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อน อยู่ดีๆ ก็มีเรื่องวิ่งเข้ามาหาต่างหากล่ะ
    
       “ข้าขอลาตรงนี้ขอรับ” บอกพร้อมหลับตาลงตั้งสมาธิแน่วแน่ อาจารย์เองก็ช่วยส่งพลังพาเขากลับเข้าร่าง อย่างน้อยอาการบาดเจ็บของดวงจิตครั้งนี้ก็ทำให้เขาได้มาเห็นสวรรค์แต่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งได้มาสวรรค์ทั้งทีกลับไม่ได้เดินไปเที่ยวที่ไหน นอกจากนั่งอยู่กับโต๊ะเล่นหมากล้อมกับเทพจันทรานานห้าวันแต่ผลท้อที่ได้กลับคืนมาน่าจะคุ้มค่าอยู่หรอกนะ     
    
       ลูเฟยมองดูร่างของคนรักที่หลับตาพริ้มอย่างปวดใจ ผ่านมาสามสัปดาห์แล้วที่จิวชงหยวนยังไม่ฟื้น ในใจร่ำร้องเรียกหาหวังว่าจะได้ยินเสียงของเขาแล้วดวงจิตจะหวนกลับคืนสู่ร่าง มือหนาลูบเรือนผมนุ่มอย่างรักใคร ใบหน้าคมคายนิ่งเรียบคล้ายไร้ความรู้ ดวงตาเหมือนไร้แวว ทว่าในใจกลับเจ็บปวดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตนเอง
    
      เขามองใบหน้างามก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก กลับมาแล้ว...จิวชงหยวนกลับมาแล้ว ดวงตาเรียวค่อยลืมตาขึ้นเพื่อรับแสงจากเบื้องหน้า เมื่อเห็นทุกอย่างชัดเจนกลับนิ่วหน้ามองเขานิ่งๆ
    
       “ดวงตาเจ้าไร้แววอีกแล้วนะ” คำทักทายแรกจากร่างโปร่งบางทำให้ลู่เฟยยิ้มบาง มือหนายังลูบไล้ใบหน้าและดวงตางดงามอย่างแผ่วเบาคล้ายให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นในเวลานี้มิใช่ฝัน
    
     “เจ้าทำให้ข้าใจหาย” น้ำเสียงที่ตอบมานั้นแฝงไปด้วยความเศร้า แววตาเริ่มพราวระยับเจ้าเล่ห์ จิวชงหยวนลุกขึ้นนั่งมองคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าว่าจะมาไม้ไหน
    
       “เจ้าไม่จูบปลอบขวัญบ้างเชียวหรือ” ทว่าคำกล่าวนั้นทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่อ เขากำลังเขิน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเปลี่ยนเรื่อง
   
       “ข้าหลับไปนานเท่าไหร่” ลู่เฟยชะงักไปกับคำถามเล็กน้อย ดวงตาคมมองมานิ่งๆ จนเขาเริ่มอึดอัด ใบหน้าที่ห่างกันไม่มากเขาจึงยื่นหน้าไปจูบแก้มสากให้คนรอคำปลอบโยนเบาๆ ทว่ากลับถูกรั้งไปนั่งบนตักอีกทั้งก้มลงจูบบดขยี้ริมฝีปากเขาอย่างร้อนแรงจนทำให้เขานิ่งค้าง ความรู้สึกที่ถ่ายทอดมาถึงทำให้ไม่ขัดขืนลู่เฟยหวาดกลัวว่าเขาจะไม่กลับมา
    
      “เจ้าทำให้ข้าหวาดกลัวจิวชงหยวน นับแต่นี้เจ้าต้องกลับวังหลวงกับข้าจนกว่าข้าจะส่งรัชทายาทขึ้นบัลลังก์สำเร็จ ข้ามิอาจปล่อยให้เจ้าอยู่ห่างกายข้าได้อีกแล้ว” น้ำจริงจังอีกทั้งแววตาแน่วแน่ทำให้จิวชงหยวนเงียบไป
    
       “อื้ม เข้าใจแล้ว” จิวชงหยวนพยักหน้ารับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ อ้อมแขนของลู่เฟยกอดแน่นขึ้นพร้อมกดจูบที่ศีรษะเขาอีกครั้ง

    หลังจากฟื้นขึ้นมาครั้งนี้พลังเทพได้ถูกปิดผนึกลงไปอีกครั้งด้วยฝีมือของเทพโอสถ ต่อไปนี้เขาจะต้องระมัดระวังมากขึ้น ทว่าไม่น่าเชื่อว่าชื่อเสียงเรื่องหมอเทวะมารจิวชงหยวนจะดังไปทั่วยุทธภพซึ่งทำให้ชาวยุทธต่างหวาดกลัว และต่างหันมาเป็นมิตรแทนการตามล่าให้ไปอยู่ฝ่ายตน
    
       พรรคมารอื่นๆ ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะรู้เรื่องฝีมือของหมอเทวะมารผู้นี้ดี มิใช่เก่งแต่ด้านการรักษาแต่กลับเก่งกาจด้านวรยุทธด้วยทำให้จิวชงหยวนเดินทางได้ง่ายขึ้น เวลานี้จิวชยวนได้กลับมาเหยียบพรรคหยกขาวอีกครั้งเพื่อขอโทษกับประมุขพรรคซึ่งต้องมาสูญเสียบุตรชายคนเล็กเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
    
      แต่จิวชงหยวนกลับรู้สึกละอายยิ่งนัก เมื่อถูกต้อนรับอย่างดีและยังไม่กล่าวโทษเขาแม้แต่น้อย สงสัยชื่อเสียงหลังจากที่เขาทำลายไปสองพรรคคงทำให้ประมุขหมิงเทียนไม่กล้าจะลุกฮือต่อว่าเขา
    
        “อี้ฟานข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านัก หากชาติหน้าข้าจะชดใช้คืนให้เจ้า” จิวชงหยวนยกมือคารวะป้ายหลุมศพพร้อมปักธูปลงไป ด้วยใบหน้าเศร้าหมองเพราะไม่เคยมีใครต้องมาตายเพื่อเขาทำให้รู้สึกเสียใจจนไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
    
       “อี้ฟานจะไม่กล่าวโทษเจ้า เขายินดีทำเพื่อเจ้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความผิดของเจ้า”
    
        ลู่เฟยเอ่ยปลอบโยน ดวงตาจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนนิ่งเงียบ เขาไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่บอกเหตุใดต้องมายอมตายเพราะคนผู้เดียว ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยให้ความหวังอะไรเลยและคนที่เสียใจไม่แพ้ผู้ใดคือจุ้ยซิง แม้ร่างกายจะหายบาดเจ็บบ้างแล้วแต่หัวใจกลับไม่อาจเลือนหายไปได้ ร่างบางชอบเหม่อลอยและมานั่งเฝ้าหน้าหลุมศพของหมิงอี้ฟานโดยไม่ขยับไปไหน จนกว่าจะมีคนลากออกไป และเป็นอยู่เช่นนี้มาหนึ่งเดือนจนทำให้ทุกคนเริ่มปลงตก
    
       จิวชงหยวนเดินเข้าไปหาจุ้ยซิงแล้วรู้สึกเศร้าเพราะจุ้ยซิงอาการทางใจสาหัสมากกว่าที่เห็นภายนอก เจ้าตัวเริ่มพูดคนเดียว ยิ้มและร้องไห้ เขาจับมือคนที่นั่งเฝ้าหลุมศพไม่ห่างจากตนด้วยความเสียใจ
    
        “จุ้ยซิง” จิวชงหยวนเรียกร่างบางเบาๆ แม้จะไม่ได้รับการตอบรับแต่เขายังไม่ละความพยายามที่จะเอ่ยเรียกอีกครั้ง
    
        “จุ้ยซิง หากเจ้าเป็นเช่นนี้อีกหมิงอี้ฟานต้องเสียใจแน่ๆ” จิวชงหยวนบอกด้วยความเศร้าเพียงแค่ชื่อของคนตายกลับทำให้ร่างบางมีกิริยาตอบโต้กลับมา ใบหน้าน่ารักนั้นหันมามองเขาอย่างพิจารณาเอียงคอช้าๆ เหมือนกับใช้ความคิดน้ำตาหยดลงเมื่อเห็นใบหน้าเขา
    
        “ข้ารู้จักเจ้า แต่ข้านึกไม่ออก เจ้ารู้ไหมว่าศิษย์พี่จะกลับมาเมื่อไหร่” จิตใจที่โดนกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงทำให้สติของจุ้ยซิงค่อยๆ เลือนหายไป จิวชงหยวนนิ่งอึ้งหนักหน่วงในอกเขาคงทำบาปใหญ่หลวงที่ทำให้คนน่ารักกลายเป็นเช่นนี้ได้ เขาจะช่วยเหลือและรักษาสภาพจิตใจจุ้ยซิงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม
    
       “จุ้ยซิงฟังข้า หากเจ้าอยากพบศิษย์พี่อี้ฟานของเจ้าจะต้องติดตามข้า ข้าจิวชงหยวนเจ้าจำได้หรือไม่” ใบหน้าน่ารักนั้นเอียงคอมามองเขาอีกครั้ง
    
     “จิวชงหยวนหมอเทวดาใช่ๆ ข้ารู้จักท่าน ติดตาม เจอศิษย์พี่” เสียงนั้นทวนคำของเขาเบาๆ จ้องมองเขาแล้วก็หัวเราะคิกๆ ออกมาอย่างน่าเวทนา
    
        “เจ้าจะให้จุ้ยซิงติดตามเจ้าไปหรือ” ลู่เฟยหลังจากเงียบมานานเอ่ยถามอย่างแปลกใจ จิวชงหยวนหันไปมองแล้วพยักหน้ารับ ทุกอย่างเป็นความผิดของเขาอีกอย่างหากจุ้ยซิงไม่เห็นคนรักตายต่อหน้าต่อตายคงไม่มีอาการเช่นนี้ เขาต้องมีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องนี้
    
        หลังจากนั้นเขาก็ได้มาขออนุญาตจากประมุขหยกขาวเพื่อให้จุ้ยซิงติดตามไปด้วย แม้ประมุขจะไม้ห็นด้วยกลัวว่าเป็นภาระ แต่เขาไม่ได้มาคิดเรื่องเช่นนั้น จุ้ยซิงเคยเก่งด้านวรยุทธแม้สภาพจิตใจจะย่ำแย่ทว่าลมปราณที่ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กและชินชาพลังภายในจึงหมุนเวียนไปเองตามธรรมชาติ นี่นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งและที่สำคัญเขาอยากให้จุ้ยซิงกลับมาเหมือนเดิม
    
        “หากเป็นเช่นนั้นข้าน้อยต้องรบกวนท่านแล้ว” ประมุขหมิงเทียนกล่าวกับจิวชงหยวนอีกครั้งเมื่อเห็นการตัดสินใจอันแน่วแน่
    
        “เช่นนั้นวันนี้ข้าคงต้องขอเดินทางกลับลั่วหยางเพราะยังมีเรื่องต้องจัดการ” ลู่เฟยบอกประมุขเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นการเดินทางกลับวังหลวงจึงเริ่มขึ้น แม้การเดินทางจะล่าช้ากว่าปกติเพราะจุ้ยซิงเดินทางร่วมไปด้วย เขาได้ให้ยาระงับประสาททำให้การเดินทางสองวันมานี้เริ่มเร็วขึ้นเพราะเจ้าตัวค่อยๆ ได้สติกลับคืนมาแต่ก็ยังมีอาการเศร้าหมองจนต้องอ่อนใจจึงพยายามชวนคุยอยู่บ่อยครั้ง แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เขากลับไปเร็วเพราะจุ้ยซิงไม่ถึงขนาดเป็นบ้าเพียงแต่อยู่ในภาวะซึมเศร้าและจิตตกเท่านั้นจึงยังพอรักษาได้ทัน
    
       “กินนี่หน่อยนะ” จิวชงหยวนยื่นปลาเผาที่ย่างกินระหว่างพักกลางวันให้จุ้ยซิงที่เขารับไว้เป็นศิษย์คนแรกและเป็นคนเดียวที่เขาคิดจะรับ
    
        “อาจารย์ข้าไม่หิว” จุ้ยซิงตอบกลับเสียงเศร้าแต่แววตายังมีความเกรงใจ ถือว่ายาที่เขาทำขึ้นได้ผลดีไม่น้อย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ลูกศิษย์
    
        “จุ้ยซิงข้าเชื่อว่าพวกเราต้องได้เจออี้ฟานอีกครั้ง” จิวชงหยวนบอกคนข้างตัวอย่างมั่นใจ เขากับหมิงอี้ฟานคงทำบุญทำกรรมกันมาไม่น้อยมิเช่นนั้นคงไม่มาตายเพราะเขาเช่นนี้ ทุกอย่างอาจเป็นลิขิตของสวรรค์ตั้งแต่แรก
    
        “ท่านคิดเช่นนั้นหรือ” จุ้ยซิงหันมามองและเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาเศร้าหมองคล้ายมีประกายแห่งความหวังก่อนจะสลดลง
    ลู่เฟยมองศิษย์อาจารย์ที่ปลอบโยนกันไปมาด้วยสายตานิ่งๆ แม้จะกินปลาในมือไปเรื่อยแต่เขาก็ไม่ได้หยุดคิดเรื่องนี้ หากพูดไปจะเหมือนเปิดเผยความลับสวรรค์หรือไม่ ทุกคนที่เกี่ยวข้องล้วนเคยพบเจอกันเมื่อในอดีตแม้จะผ่านมาแล้วแต่ความผูกพันธ์ยังคงอยู่ และเขาก็มั่นใจเช่นเดียวจิวชงหยวนเพราะเจ้าตัวเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะกลับมา    
    
        “พวกเจ้าสบายใจเถอะ อี้ฟานจะกลับมาอีกครั้งเพราะเขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ ที่สำคัญตอนนี้พวกเจ้ากินข้าวกินปลาให้มีชีวิตรอเขากลับมาเถอะ” เสียงนิ่งเรียบของลู่เฟยทำให้ทั้งคู่หันไปมองอย่างแปลกใจ
    
      “เจ้ารู้บางอย่าง” จิวชงหยวนเอ่ยย้ำเพื่อความแน่ใจ จุ้ยซิงมีประกายตาที่ดีขึ้นเมื่อได้ยินว่าอี้ฟานจะกลับมาอีกครั้ง
    
     “ความลับสวรรค์ข้ามิอาจเปิดเผยได้”
    
        แม้คำตอบแค่นั้นก็ทำให้จิวชงหยวนยิ้มออกมาอย่างดีใจแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ก็มีความหวัง เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะชดใช้คืนให้แล้วกันหวังว่าเขาไม่ตายไปก่อนนะ...







  อ่าาาาา  ในที่สุดก็ลงเท่าเด็กดีแล้ว ขอบคุณที่ติดตาม เหลืออีก 4 บทก็จบบริบูรณ์แล้ว ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ค่ะ


 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DLuciFer ที่ 13-11-2015 13:07:54
โอย มันส์มากค่ะ ประหนึ่งดูหนังจีนกำลังภายในเลยทีเดียว .สนุกจนอ่านรวดเดียวตอนพักกลางวัน ข้าวปลาแทบไม่ได้แตะกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 13-11-2015 13:32:44
รักมากจริงๆ รักนิยายเรื่องนี้มากๆๆๆๆๆๆ แอร๊ย สนุกๆๆๆๆๆๆๆๆ มารอตอนต่อไปนะคะ  :hao6: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-11-2015 15:23:41
ตาแฉะกันไปเลย ขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 13-11-2015 15:56:41


ไม่ได้อ่านที่นี่หรอกขอรับ(ตอนล่าสุด)

แต่ไปอ่านอีกเว็บหนึ่ง

ก็ก็อยากจะเข้ามาส่งแรงใจขอรับ

รอตอนต่อไปอยู่ขอรับ



หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 13-11-2015 16:54:40
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 13-11-2015 18:04:28
ขอให้จุ้ยซิงได้เจออี้ฟานไวๆนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 13-11-2015 18:48:58
มาให้กำลังใจจ้า

นึกว่าลืมเล้าไปแล้ว

มารอทุกวันเลยนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 13-11-2015 20:49:39
อ้ากกกกก ยังคงหน่วง จัดการเรื่องในวังให้เรียบร้อยนะครับ องค์ชายเจ็ดที่นักของผมล่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 13-11-2015 22:26:00
โห่ มาทีอ่านจุใจมากๆๆ
ชงหยวนสู้ๆ ว่าแต่ลูกผิงเอ๋อร์ไปอยู่ไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 13-11-2015 23:04:52
สนุกมากกกก มากกกกกๆๆๆๆ รู้สึกดีใจมากที่กดเข้ามาอ่านไม่ยอมข้ามไป  :hao5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 13-11-2015 23:13:24
สุดยอด.
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 15-11-2015 14:51:06
สนุกมากๆครับ เหมือนได้นั่งดูหนังจีนฟอร์มยักษ์เด็ดๆเรื่องนึงเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวงตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 15-11-2015 18:12:51
 บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวง
เล่ม 2 ตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)

        ทั้งสามคนได้เดินทางกลับเมืองลั่วหยาง วันที่เจ็ดก็เข้าเขตเมืองหน้าด่านเพราะไม่ได้ใช้ม้าเร็วในการเดินทางอีกทั้งรักษาผู้คนระหว่างทางมาด้วยทำให้ล่าช้ากว่าปกติ แต่ก็ถือว่าสะดวกสบายไม่ต้องระแวงว่าจะมีใครส่งนักฆ่ามาอีก การกลับมาเมืองลั่วหยางในครั้งนี้ทำให้จิวชงหยวนรับรู้ว่าฮ่องเต้ได้สละราชบัลลังก์แต่ยังคงเป็นความลับจนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสม แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจไม่น้อยคือองค์ชายสามก่อกบฏเป็นคนแรก คนที่เก็บตัวเงียบๆ มีมารดาเป็นเพียงแค่ตำแหน่งไฉเหรินเท่านั้น
    
        “ข้าพาเจ้าเข้าวังนะ หัดตื่นเต้นบ้างสิ”
    
         จิวชงหยวนหันกลับไปลากลูกศิษย์ที่เผลอเมื่อไหร่ต้องเหม่อลอยจนน่าห่วง เวลาคงจะช่วยเยียวยาเช่นเดียวกับเขา ที่ไม่อาจหยุดทุกอย่างเพียงแค่ความเสียใจเท่านั้นชีวิตยังต้องก้าวเดินต่อไปและหน้าที่สำคัญของเขาในเวลานี้คือรักษาคนมากกว่าการฆ่า
    
       “ข้าตื่นเต้นขอรับอาจารย์ ข้าเกิดมาเพิ่งเคยเห็นวังหลวงเป็นครั้งแรก”
    
        ใบหน้าน่ารักหันกลับมาตอบแต่ดวงตาไม่ได้ดูตื่นเต้นตามที่เจ้าตัวบอก จิวชงหยวนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เห็นทีคงต้องหาอะไรให้ทำจนไม่มีเวลามาเหม่อลอยเช่นนี้ และเขายังต้องเอายาคลายเครียดให้กินจนกว่าจะแน่ใจว่าจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม
    
        ทว่าขณะที่ทั้งสามคนผ่านประตูเข้ามาเขตในได้แล้ว ก็เกิดความโกลาหลขึ้นภายในวังหลวงทหารวิ่งกันไปมาอย่างน่าตื่นตระหนก ลู่เฟยกระชากร่างของขันทีผู้หนึ่งไว้ซึ่งเจ้าตัวหันมามองแล้วเบิกตากว้างพร้อมก้มลงคุกเข่าด้วยอาการสั่นเทา
    
         “โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงร้อนลนและก้มหัวโขกพื้นอย่างหวาดกลัวทำให้ลู่เฟยกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย
    
         “เกิดเหตุอันใดขึ้น”
    
          “ทูลฝ่าบาทมีคนลอบปลงพระชนม์ชีพองค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เฟยนิ่วหน้าก่อนจะรุดหน้าเดินเข้าไปในตำหนักในด้วยความเร็ว จิวชงหยวนกับจุ้ยซิงจึงรีบติดตามไปโดยไม่ต้องบอกกล่าวสิ่งใด ทว่าเมื่อพวกเขามาถึงคนที่ตกเป็นจำเลยกลับเป็นองค์ชายห้าเสียเองเพราะเจอหยกประจำตัวที่ร่างปลอมนั้นกำไว้แน่น ดูก็รู้ว่าหยกนั่นถูกสั่งทำโดยใครบางคนที่มีตำแหน่งสูงไม่น้อย
    
         สุดท้ายพวกเขาก็ถูกจับมากักขังอยู่ในคุกใต้ดิน ยกเว้นลู่เฟยที่อยู่ห้องอาญาของราชวงศ์รอการไต่สวน ส่วนเขาที่ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นชายาอย่างเป็นทางการจึงได้มานอนกินข้าวเหมือกในห้องนี้ เห็นข้าวที่ถูกวางไว้ให้แล้วรู้สึกอนาจใจนัก ข้าวแดงของคนในคุกจากโลกที่เขามายังดูดีกว่าอีก  ก่อนจะเหลือบมองลูกศิษย์คนเดียวที่ถูกขังอยู่ห้องเดียวกันอย่างขอโทษ ใครบอกว่าเจอเรื่องเลวร้ายจะดีขึ้นเหมือนกับฟ้าหลังฝน สงสัยว่านี่เป็นฤดูหนาวเขาถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนอยู่อย่างนี้
    
        “จุ้ยซิงข้าขอโทษที่พาเจ้ามาเดือดร้อนด้วยอีกแล้ว” จิวชงหยวนบอกคนร่างเล็กที่กอดตัวเองแน่นด้วยความหนาวอย่างสำนึกผิด ใบหน้าน่ารักเงยมามองเขาแล้วส่งยิ้มบาง
    
         “ข้าไม่กล่าวโทษท่านอาจารย์ หรอกขอรับ จะอยู่หรือตายข้ามิได้กลัว แค่อยู่กับท่านทำให้ข้าได้ประสบการณ์ชีวิตที่ตายไปก็คงคุ้มค่าขอรับ” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปไม่รู้ว่าจุ้ยซิงประชดประชันเขาหรือไม่แต่ดวงตาที่ฉายชัดนั้นกลับบริสุทธิ์ใจจนพูดไม่ออก
    
        ‘เจ้าเป็นคนดีไปแล้วจุ้ยซิงหมิงอี้ฟานต้องตาบอดแน่ๆ ที่ไม่รักคนอย่างเจ้า...’
    
        “เจ้าวางใจเถอะต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็ไม่ปล่อยให้เจ้าตายเพราะข้าอีกแล้ว” จิวชงหยวนบอกอย่างปลงตกและสาบานกับตัวเองจะไม่ให้ใครต้องมาตายเพราะเขาอีก...
    
        ขณะเดียวกันลู่เฟยที่ถูกกักขังอยู่ภายในห้องอาญาไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการใส่ร้ายในครั้งนี้ แต่ที่แปลกใจคือคนที่เข้ามาเยี่ยมเขาในเพลานี้ ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีเขียวอ่อนโอรสที่ทุกคนหลงลืมทำตัวเหมือนไร้ตัวตน
    
        “คารวะท่านพี่ ท่านอยู่ในนี้คงลำบากไม่น้อย ข้ามู่เหรินมาเยี่ยมท่าน”
    
        “มิคิดว่าเจ้าจะมา”
    
         “ข้ามาแจ้งข่าวแก่ท่านพี่ เป็นข้าผู้ไร้ตัวตนย่อมมิมีผู้ใดสนใจ” เสียงนุ่มละมุนตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา ทั้งคู่มองสบตากันนิ่งๆ ก่อนที่มู่เหรินหรือองค์ชายสิบสามกล่าวต่อช้าๆ แผ่วเบา
 
    “เดือนดับนี้ทุกอย่างจะเริ่มขึ้น” ลู่เฟยมองคนแจ้งข่าวนิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเขาใจแล้วเอ่ยถามหาคนรักที่ถูกจับแยกออกไป
    
       “เมียข้าเล่า”
    
       “ท่านพี่โปรดวางใจข้าส่งคนไปแจ้งข่าวแล้ว” 
    
       “ขอบใจ เจ้ากลับไปเถอะ ทุกอย่างยังคงเดิม” ลู่เฟยบอกคนแจ้งข่าวเสียงเรียบก่อนที่มู่เหรินจะทำความเคารพและจากไปเงียบๆ เหมือนกับการมา ความจริงแล้วนี่เป็นแค่แผนล่อจับคนร้ายตัวจริงที่ต้องการบัลลังก์ แม้จะเป็นการเสี่ยงที่อันตรายเพราะมีชีวิตจิวชงหยวนมาข้องเกี่ยวแต่ก็มั่นใจว่าคงไม่พลาดท่าเสียทีง่ายๆ เขาลงทุนมากขนาดนี้หวังว่าทุกอย่างจะจบโดยเร็ว
    
        แปะ!
    
       มีบางอย่างล่วงตกลงมาจากบนหลังคา จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองทหารที่เฝ้าเวรยามที่นอนสัปหงกไปมาแล้วโล่งอก ความจริงเขารู้สึกมาได้ครู่หนึ่งแล้วที่ได้ยินคนวิ่งอยู่บนหลังคาแม้จะแผ่วเบาสำหรับเขาได้ยินชัดเจน เงาทมิฬคนเดิมที่เจอลูกหลงไปเมื่อครั้งต่อสู้กับเฒ่าราคะ เห็นหายไปนานวันนี้กลับมาพร้อมบางอย่าง ทุกอย่างคงวางไว้หมดแล้วสินะ น่าจะบอกกันก่อนไม่ใช่ให้ตกใจขวัญหายไปกับการอยู่ห้องขังสกปรกกับรังหนู อีกอย่างอาหารมื้อเย็นข้าวแดงในคุกประเทศไทยยังจะหรูกว่าเสียอีก
    
         ‘อดทนคืนเดือนดับจะจบลง จะมีคนนำทางไปหามังกรทำตามประสงค์’
    
        ข้อความในกระดาษที่ส่งมาไม่ใช่ลายมือลู่เฟย แต่คนส่งเป็นคนของลู่เฟย จิวชงหยวนทำลายกระดาษในมือนั่งคิดเงียบๆ มองลูกศิษย์ที่นอนหลับอย่างไม่สนโลกว่าที่นี่มีเพียงกองฟางกับหนูเท่านั้น เขาไม่ได้รังเกียจพื้นที่แห่งนี้เพราะเคยอยู่กลางดินกินกลางทรายก็เคยมาแล้ว แต่ที่แบบนั้นให้ความรู้สึกอิสระมากกว่าตรงนี้เยอะ
    
       “พรุ่งนี้สินะ” พึมพำเบาๆ แต่ก็ทำให้คนที่นอนลืมตาขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดสิ่งใดต่อจึงหลับต่อ ทว่าริมฝีปากกลับเอ่ยบอกอย่างห่วงใย
    
        “ท่านอาจารย์ควรนอนพักเก็บแรงไว้ดีกว่าน่ะขอรับ” จิวชงหยวนยกยิ้มบางมองคนตัวเล็กกอดอกนอนหนาวอยู่ข้างกาย ไม่ว่าอย่างไรจุ้ยซิงก็ยังห่วงคนอื่นมากกว่าตนเสมอ เขาถอดเสื้อนอกมาคลุมให้ก่อนจะหลับตาเดินลมปราณของตัวเองไปไม่ได้สนใจสายตาใสๆ ที่มองมา แต่ที่ทำให้เขาขะงักไปชั่วครู่คือคำพูดแผ่วเบาของเจ้าตัว
    
       “เพราะท่านใจดีเช่นนี้ ศิษย์พี่ถึงรักท่านหมดใจ”
    
        เช้าวันรุ่งขึ้นจิวชงหยวนนั่งรออยู่ในห้องคุมขังเงียบๆ ไม่เรื่องมากไม่โวยวาย แต่กลับกินข้าวเหมือกๆ เหลวๆ นั่นไม่ลงเอาเสียเลย สงสัยจบงานนี้จะไปพังห้องครัววังหลวงเสียให้รู้ให้รอด เอาไปโยนให้สุนัขมันจะกินหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เมื่อหันไปมองลูกศิษย์แสนดีกลับกลืนความคิดนั้นลงคอเพราะจุ้ยซิงนั่งซดข้าวเหมือกๆ นั้นลงคออย่างไม่ใส่ใจรสชาติเสียด้วยซ้ำ
    
       “มันอร่อยไหม” เอ่ยถามอย่างระแวงกับรสชาติ อีกอย่างเจ้าลูกศิษย์นี่ไม่กลัวโดนวางยาพิษหรืออย่างไร
    
        “ข้าเคยเป็นเด็กกำพร้า อดมือกินมื้อบางทีก็ต้องไปคุ้ยถังขยะแย้งเศษอาหารจากพวกสัตว์เดรัจฉานมาปะทังชีวิต แค่นี้ถือว่าดีแล้วขอรับ” คำบอกเล่าของลูกศิษย์ผู้อาภัพทำให้จิวชงหยวนน้ำตาซึม ทำไมชีวิตใหม่เขามีแต่เรื่องเศร้าๆ และเรื่องเสี่ยงตายตลอด สงสัยคงต้องเปลี่ยนอาชีพจากหมอไปเป็นนักเขียนเล่าเรื่องท่าจะรุ่งไปอีกทาง ไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีใครมาฆ่าอีกด้วย
    “อาจารย์น่าจะกินเสียหน่อยจะได้มีแรงเวลาเกิดเรื่องขึ้นขอรับ” น้ำเสียงและแววตาห่วงใยที่ส่งมายิ่งทำให้จิวชงหยวนรู้สึกผิด ก่อนจะยื่นยาให้เจ้าตัวอีกหนึ่งเม็ด ยาที่อยู่ในกล่องเล็กๆ ซึ่งเก็บไว้ในอกเสื้อ เทพโอสถผู้เป็นอาจารย์ลงอาคมมายาไว้ให้ทำให้ไม่ถูกทหารยึดไป
    
        “ข้ายังต้องกินอีกหรือขอรับ”
    
       “ใช่ สักระยะหนึ่ง เพราะหากเจ้าเป็นบ้าขึ้นมาอีก แล้ววันหนึ่งเกิดเจออี้ฟานเกิดใหม่ก็จำไม่ได้พอดี”
    
        “ถึงเวลานั้นข้าคงแก่หง่ำไปแล้วขอรับ” จุ้ยซิงหน้ามุ่ย แต่ดวงตากลับประกายด้วยความหวัง หวังจะได้พบเจออีกสักครั้ง จิวชงหยวนยิ้มบางอย่างน้อยคนตรงหน้าก็อาการดีขึ้นมาก
    
       พวกเขานั่งรอคืนนี้อย่างใจเย็นเพราะคืนนี้เป็นคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดเหมือนกับข่าวที่ได้รับการแจ้งมา อาหารของจิวชงหยวนได้มาจากองค์รักษ์เงาที่แอบซ่อนเอามาให้ ในวังหลวงแห่งนี้คงเป็นสถานที่วิ่งเล่นของกลุ่มเงาทมิฬไปเสียแล้วกระมังเพราะไม่เห็นมีคนจับได้ว่าเขาได้กินข้าวจากที่อื่น
    
       พอดึกสงัดทุกอย่างข้างนอกเหมือนจะโกลาหลมีไฟไหม้ตำหนักในของเหล่านางสนม และเพียงไม่นานประตูห้องขังของเขาก็เปิดออก
    
       “มีคำสั่งจากฮ่องเฮาให้พระชายาไปรักษารัชทายาทที่ถูกวางยา” คนรายงานคือขันทีเก่าแก่ที่เขาเคยเห็นเมื่อราวหนึ่งปีก่อน เขาลุกขึ้นยืนแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    
       “ท่านกงกงข้าขอเอาผู้ช่วยของข้าออกไปด้วยมิเช่นนั้นข้าคงมิอาจปรุงยาแก้ได้” คำขอของจิวชงหยวนทำให้หลินกงกงกังวลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ จากนั้นพวกเขาจึงเดินออกจากห้องคุมขังได้โดยไม่ต้องแหกคุกออกไป ไฟไหม้ตำหนักด้านในเป็นเพียงการหลอกล่อเท่านั้น ต่อไปนี้คือของจริงสินะ
    
        พรึบ!
    
        ระหว่างทางไปตำหนักองค์รัชทายาทกลับถูกชายชุดดำออกมาขวางทางไว้ หลินกงกงตอนนี้ตกใจจนเซถอยหลบมาเบื้องหลังจิวชงหยวนด้วยความเร็ว ทหารที่ติดตามมาด้วยล้มตายเหลือเพียงเขา จุ้ยซิงและหลินกงกงเท่านั้นที่ยังอยู่ เพราะเขาได้สะบัดลมปราณทำลายอาวุธลับของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น
    
       “ข้าคงไม่อาจให้ท่านไปได้ แม้ชื่อเสียงท่านจะเป็นที่หวั่นเกรงแต่หากทำลายความต้องการของนายข้า ข้าคงมิอาจปล่อยไว้” น้ำเสียงจริงจังที่กล่าวออกมาทำให้เขาเลิกคิ้วมองตามอย่างครุ่นคิดคล้ายเคยได้ยินเสียงนี้ ทว่าคนที่เอาตัวเข้ามาขวางกลับเป็นเงาทมิฬและมีด้วยกันถึงสามคน
    
        “พวกท่านรีบไปเถอะ พวกข้าจะรับมือเอง” คนร่างเล็กสุดกล่าวกับเขาอย่างจริงจังก่อนจะหันไปเตรียมรับมือกับชายชุดดำที่เพิ่มจำนวนมากมาขึ้น แต่สิ่งนั้นจิวชงหยวนไม่ได้สนใจเท่ากับเงาทมิฬยอมพูดกับเขาแล้วหรือ?
    
      “พระชายาเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ หากชักช้ากลัวจะไม่ทันการ” หลินกงกงเอ่ยเตือน แม้จะกลัวจนหัวหดแต่ความห่วงใยเจ้านายนี่น่านับถือหวังว่าลั่วเหยียนเจิ้งจะไม่เป็นอะไร
    
        พวกเขารีบเร่งเดินทางมายังตำหนักของรัชทายาท จิวชงหยวนเหลือบตามองทางตะวันออกที่ไฟมอดดับไปหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะจับคนร้ายได้หรือไม่ เมื่อมาถึงตำหนักทุกคนกลับร่ำให้เหมือนมีคนตาย
    
       “ท่านหมอจิวโปรดช่วยลูกข้าด้วย เจ้าหวังสิ่งใดข้าจะหามาให้ทุกสิ่ง” ฮ่องเฮาพุ่งมาจับมือจิวชงหยวนเขย่าอย่างลืมกิริยามารยาท
    
       จิวชงหยวนนิ่วหน้าคารวะเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปหาคนป่วย ลมหายใจฟังดูติดขัดแต่หมอยาไม่น่าจะมาตายเพราะพิษ จึงเข้าไปจับชีพจรใกล้ๆ ทันทีที่เขาจับมือองค์รัชทายาท มือหนากลับบีบเขาแน่นพร้อมหรี่ตาขึ้นมามองพร้อมบ่งบอกสัญญาณบางอย่าง จิวชงหยวนยิ้มเจื่อนไม่รู้จะควรด่าดีไหมให้แม่ตัวเองมาร้องห่มร้องไห้เหมือนขาดใจอยู่อย่างนี้ แต่นี่เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมที่กำยาพิษให้สีผิวม่วงคล้ำเฉยๆ
    
        “เรียนฮ่องเฮาร่างกายองค์รัชทายาทเพียงแค่โดนพิษไม่ร้ายแรง กระหม่อมให้ลูกศิษย์ไปต้มยามาดื่มเพียงไม่กี่เพลาก็หายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
    
        “จริงหรือ เหตุใดหมอหลวงถึงบอกว่ารักษาไม่ได้เล่า เจ้าโป้ปดเรางั้นรึ เอามันไปประหาร” ฮ่องเฮากล่าวกับจิวชงหยวนพร้อมหันไปตะคอกหมอหลวงที่ตัวสั่นเทาก้มกราบอยู่เบื้องล่าง
    
       จิวชงหยวนมองคนนอนแกล้งตายแต่เขย่ามือเขายิกๆ อย่างเอือมๆ ก่อนจะหันไปช่วยหมอหลวงที่เป็นคนของรัชทายาทอย่างจำใจ
    
       “ทูลฮ่องเฮาพระองค์อย่างเพิ่งทรงกริ้ว ยาพิษนี้คนธรรมดานับว่าร้ายแรง เพียงแต่กระหม่อมเป็นหมอเทวดาย่อมมีความสามารถที่เหนือกว่า หากลงโทษผู้มีความสามารถภายภาคหน้าหากกระหม่อมไม่อยู่จะมีผู้ใดช่วยเหลือพระองค์ โปรดทรงพิจารณาอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
    
       “เป็นเช่นนั้นเองรึ เอาเถิดเราจะละเว้นโทษทัฑณ์ไว้ก่อน ว่าแต่องค์รัชทายาทจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
    
        “พ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับจากนั้นจึงให้จุ้ยซิงไปต้มยาบำรุงแบบที่เคยสอนระหว่างทางมาให้ โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ หลังจากแสร้งดื่มยาบำรุงลั่วเหยียนเจิ้งก็แสร้งลุกขึ้นทำหน้าซีดเซียวอย่างน่าหมั่นไส้
    
        “เจิ้งเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรมากนับว่ามีวาสนาที่ลู่เฟยพาท่านหมอผู้นี้มาด้วย หากไม่ตบรางวัลให้ข้าคงไม่มีหน้าพบท่านหมออีก”
    
       “ฮ่องเฮากล่าวเกินจริงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หวังสิ่งของล้ำค่าใด เพียงแค่ได้ออกจากห้องคุมขังก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
    
         “เจ้าโปรดวางใจ ช่วยเหลือองค์รัชทายาทในครานี้ย่อมมีคุณงามความดี หากอีกเจ็ดราตรีรัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ยังสามารถแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวงอันดับหนึ่งก็ย่อมได้”
    
         “มิกล้า มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรักอิสระคงมิอาจอยู่ในกรงทองได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งมองทั้งคู่สนทนาถ่อมตนและยกย่องกันไปมาแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ
    
        “ฝ่าบาทจับกุมได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงด้านนอกดังแว่วเข้ามาทำให้ผู้ที่อยู่ด้านในตำหนักซะงักไปชั่วครู่ ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มร้ายเพียงชั่วครู่แม้จะไม่มีใครเห็นแต่มิอาจพ้นสายตาของจิวชงหยวนไปได้
    
       “เอาตัวเข้ามา”
    
       “ปล่อยข้า ข้ามิได้ทำผิดอะไรพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จับกุมข้าเช่นนี้” ชายร่างสูงที่ถูกลากเข้ามาพร้อมถูกจับรัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา จิวชงหยวนเลิกคิ้วมององค์ชายรองอย่างแปลกใจ
    
      “นี่เป็นหลักฐานเพียงพอต่อความผิดของเจ้าหรือไม่” ร่างโปร่งบางของลั่วหวังอู๋เดินเข้ามาพร้อมโยนศีรษะของใครบางคนลงมาด้วย ทำให้เหล่าเชื้อพระวงค์ยกมือปิดปากไม่กล้าส่งเสียงออกมา แต่ที่ทำให้จิวชงหยวนแปลกใจคือฮ่องเฮากลับนิ่งสงบสมกับเป็นแม่พระของแผ่นดิน หากเขาไม่มาเห็นพระนางร้องไห้มือไม้สั่นตอนที่ลั่วเหยียนเจิ้งแกล้งโดนพิษเขาคงคิดว่านางไร้หัวใจไปแล้ว
    
        “เจ้า!” ร่างขององค์ชายรองสั่นสะท้านศีรษะที่กลิ้งตกคือหัวของอำมาตย์ฝ่ายขวาตระกูลกุ้ย ที่ให้ความสนับสนุนองค์รองอย่างลับๆ
 
    “เจ้าอย่าได้มาปรักปรำข้า” องค์ชายร้องโต้แย้งอย่างไม่ยอมรับผิด ลั่วหวังอู๋จึงหยิบกระดาษการก่อกบฏที่มีลายพระหัตย์ขององค์ชายรองจนดิ้นไม่หลุด อีกทั้งชายชุดดำที่จับกุมได้ซึ่งเข้ามาขัดขวางจิวชงหยวนระหว่างทางที่หลินกงกงนำมาก็ซัดทอดเข้าหา
    
       เมื่อหลักฐานการลอบปลงพระชนม์เพียงพอ องค์ชายรองก็มิอาจหนีความผิดในครั้งนี้ได้ เพียงไม่นานทุกอย่างที่วุ่นวายก็สงบลง ลู่เฟยถูกปล่อยออกมาจากห้องอาญา แต่ในความคิดของจิวชงหยวนกลับรู้สึกว่ามันง่ายเกินไป ราชบัลลังก์ที่หอมหวานรออยู่เบื้องหน้าแต่ผู้ที่ทำการอุกอาจมีเพียงองค์ชายรองกับองค์ชายสามที่ถูกสังหารไปก่อนหน้านี้
    
      หลังจากจบเรื่ององค์ชายรองก็ถูกประหารในฐานะนักโทษก่อกบฏกับฮ่องเต้ พร้อมด้วยตระกูลกุ้ยที่ล้มสลายไปคุณหนูกุ้ยอิงก็โดนร่างแหไปด้วยอย่างไม่มีทางเลี่ยง เพราะโทษทัณฑ์ประหารเจ็ดชั่วโคตรทำให้ไม่อาจหนีพ้นไปได้แม้จะไม่มีความผิดก็ตาม
    
       “เจ้าคิดอะไรอยู่” จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยที่เดินเข้ามาหาช้าๆ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจองค์รัชทายาทถูกแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้คนต่อไปอย่างเป็นทางการ เวลานี้เขาอยู่ในตำหนักของลู่เฟยในฐานะพระชายาตี้ฝู้จิ้นที่ถูกแต่งตั้งเป็นทางการอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
    
        “เจ้าคิดว่ามันจบแล้วจริงๆ หรือ”
    
         จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา แม้ทุกอย่างจะจบลงแต่ทำไมความรู้สึกบอกเขาว่ามันยังไม่จบ เวลานี้เหลือองค์ชายที่ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องถูกส่งไปยังหัวเมืองต่างๆ ตามหน้าที่ของแต่ละคน เวลานี้เหลือเหล่าองค์หญิงองค์ชายแค่สิบคนเท่านั้นซึ่งรวมกับฮ่องเต้คนปัจจุบันด้วย
   
       “อื้ม ใช่มันจบแล้วเจ้ากังวลสิ่งใดอีก” ลู่เฟยหันมองเขาแล้วส่งยิ้มบาง จิวชงหยวนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจในเมื่อเจ้าตัวบอกว่ามันจบ ก็คือจบเขาเองก็เป็นแค่คนนอก อีกไม่นานก็ได้ออกเดินทางเรื่องของในวังหลวงจะเกิดอันใดขึ้นอีกก็ไม่เกี่ยวกับเขาอีก
    
      “ข้ากำลังคิดอยากพังห้องครัวในวังหลวง ทำกับข้าวให้นักโทษได้แย่มาก เอาให้สุนัขหวังอู๋มันยังคงไม่กินหรอก”
    
       “ฮึ... อาหารนักโทษจะให้ดีได้อย่างไรเจ้านี่แปลกคน ไม่เช่นนั้นพวกมันไม่หมั่นทำความผิดพากันมากินข้าวในห้องขังหรอกรึ” ลู่เฟยเอ่ยตอบอย่างขำขัน แต่จิวชงหยวนไม่ขำด้วยใบหน้างดงามค้อนไห้อย่างหมั่นไส้เพราะที่เขาไปนั่งเล่นนอนเล่นให้ห้องขังก็เพราะเจ้าตัวไม่ใช่หรอกหรืออย่างไร หากวางแผนไว้ล่วงหน้าขนาดนั้นน่าจะบอกกล่าวกันบ้าง
    
      “ยังงอนอยู่หรือ เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะไถ่โทษให้” คำหยอกล้อและใบหน้ากรุ้มกริ่มมองมา จิวชงหยวนสะดุ้งน้อยๆ ในอ้อมกอดลู่เฟย
    
        “ข้าเหนี่ยวตัวนัก ไปอาบน้ำก่อนนะ”
    
        จิวชงหยวนบอกก่อนจะพลิกตัวหลบออกมาอย่างว่องไว อีกอย่างเขาเห็นอ่างอาบน้ำของลู่เฟยซึ่งหมายตาไว้นานมากแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสไปแช่เท่านั้น ไหนๆ วันนี้ทุกอย่างก็จบลงแล้วขอแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์เสียสักวันก็แล้วกัน เสียงหัวเราะในลำคอที่ตามหลังมาทำให้หันไปมองอย่างหวาดระแวง แม้จะเคยมีอะไรกันแต่เขาก็ยังเก้อเขินอยู่ดี




    ใกล้จะจบลงทุกทีรู้สึกใจหายนิดๆ แฮะ แต่ไม่เป็นไรจบเรื่องนี้ยังมีเรื่อง เล่ห์ร้ายจอมราชันย์  หากใครยังสนใจเรื่องราวของรัชทายาท ลั่วเหยียนเจิ้ง ก็ติดตามต่อจากเรื่องนี้ได้เลยค่ะ คำเตือนสำหรับเรื่องของรัช เมะเด็ก เมะสวย หากไม่ชอบไม่เป็นไรฟางอยากเขียนแหวกแนวบ้างแหะๆ ตอนหน้า NC จัดหนักจัดเต็มอีกครั้งค่ะ ใช้เวลาเขียนกว่า3วัน ในฉากนี้หวังว่าจะไม่เบื่อ NC ฟางกันนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่44ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-11-2015 19:04:30
อย่างมันส์
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวง ตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 15-11-2015 21:28:45
รู้สึกเหมือนหมอจิวเลยว่ามันง่ายเกิน เหมือนกับมีเบื้องหลังอีก

ปูลู.nc ไม่เบื่อค่าาา จัดมา!  :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวง ตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 15-11-2015 21:31:10
รอตอนหน้าอย่างใจจดใจจ่อจ๊ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวง ตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fahhee_zeze ที่ 16-11-2015 01:19:30
ถามเลออจะมีรวมเล่มของรัชไหม 555555555555555 #ต้องมีนะ #งานบังคับก็มา  :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวง ตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-11-2015 03:42:02
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวง ตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 16-11-2015 04:41:06
ไม่เบื่อแน่นอน จะคอยติดตามนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวง ตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 16-11-2015 09:01:55
แสดงว่าลงทุกเว็บจนครบแล้วสินะครับ ยังติดตามเสมอครับ ออีกเรื่องเศร้ามากไหมอ่ะกลัวทำใจไม่ได้ คึคึ nc ผมว่ามีแต่คนรออ่านมากกว่านะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่45ความวุ่นวายในวังหลวง ตอนที่20 (P.20วันที่ 15/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 16-11-2015 10:49:53


รอคอยเธอมาแสนนาน..........

มาไวๆนะขอรับ

อยากรู้ตอนต่อไปแล้ว

อิอิ

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46เมือดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 16-11-2015 11:38:29
บทที่46เมือดอกรักบาน
เล่ม 2 ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)


       จิวชงหยวนหลับตาพริ้มนอนแช่อ่างน้ำที่ไม่ได้ทำอย่างนี้มานานด้วยความคิดถึง ...คิดถึงอดีตที่จากมา เมื่อนึกถึงภาพที่เห็นนพดลแต่งงานแล้วรู้สึกยินดีไปกับเพื่อนด้วย แม้จะไม่มีใครเห็นแต่เขาก็ดีใจที่ได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง เพื่อนได้ภรรยาไปนอนเคียงหมอนแต่ไฉนเขาได้สามีแทนก็ไม่รู้ เขาไม่ได้อ่อนหวาน ไม่ได้เอาอกเอาใจเก่งเหมือนอิสตรีแต่ลู่เฟยก็ไม่เคยทอดทิ้งเขาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบันทำให้หัวใจที่ไม่เหลือใครพองโตและรู้สึกขอบคุณที่อยู่เคียงข้างในวันที่เขาเสียใจที่สุด
   
      เสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่เดินเข้ามาทำให้จิวชงหยวนลืมตาขึ้นมามอง ร่างสูงสง่าสวมใส่อาภรณ์ล้ำค่าขององค์ชายห้าทำให้ดูมีสง่าราศีจับยิ่งกว่าเดิมอีกทั้งดูน่ายำแกรง แต่สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะแต่งกายแบบไหนก็คือลู่เฟยคนเดิมที่เขารู้จัก ใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มมองมาทำให้ห่อตัวเข้าหากันอย่างไม่น่าไว้ใจ คิดผิดจริงๆ ที่มานอนแช่อ่างในเวลาที่ลู่เฟยอยู่ด้วย
    
       “หยวนน้อยเจ้าติดสัญญากับข้าอยู่จำได้หรือไม่”
    
        น้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมร่างสูงทรุดนั่งข้างขอบอ่าง อีกทั้งจับปอยผมเขาไปสูดดมความหอม ทำให้หัวใจจิวชงหยวนเต้นโครมคราม ใบหน้าฟาดแดงอย่างเก้อเขินกับสายตาที่มองมา และนึกไปถึงคำมั่นสัญญาที่ลู่เฟยว่าหากกลับมาจะให้รางวัล แต่ในเวลานั้นยังมีเรื่องวุ่นวายมากจึงไม่อาจทำได้แต่เพลานี้เหตุการณ์สงบคนตรงหน้าจึงมาทวงถามที่ทำให้เขาอึกอักเป็นครั้งแรก แต่ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ไฉนเลยจะปฏิเสธ
    
       ดวงตาเรียวช้อนขึ้นมองใบหน้าคมคายของลู่เฟยที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ใบหน้าฟาดแดงเล็กน้อยเพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาเป็นคนเริ่มก่อน ขยับเข้าไปใกล้แล้วจุมพิตริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างยั่วเย้า ลู่เฟยชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มคล้อยตามให้เขาเป็นผู้นำครั้งแรก ทว่ามือหนากลับลูบไล้ร่างเปล่าเปลือยของเขาจนเผลอครางออกมาอย่างเสี่ยวกระสัน
     
        “อยากอาบน้ำกับข้าหรือไม่”
    
        เมื่อผละออกจิวชงหยวนจึงเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา ทว่าคนฟังกลับตาเป็นประกายมุมปากยกยิ้มอย่างชอบใจ มือหนาจึงค่อยถอดเสื้อออกโดยไม่รีบร้อน เขาจึงช่วยถอดออกอีกแรง ร่างหนาแผ่นอกกว้าง เซ็กซี่ทำให้เผลอมองอยู่นานมือหนาจับคางเขาเงยหน้าขึ้นแล้วก้มลงจูบกลับมาอย่างเร่าร้อน ตอนแรกเขาเป็นคนเริ่มไฉนตอนนี้ลู่เฟยกลับเป็นฝ่ายกอดรัดเขาแทน
    
        ร่างสูงลงมาในอ่างเดียวกับเขาซึ่งอาบได้สองคนพอดี แผ่นหลังเขาราบไปกับขอบอ่าง ทว่าผิวกายที่พ้นน้ำอุ่นออกมาทำให้รู้สึกเหน็บหนาว แต่เพียงไม่นานร่างกายกลับร้อนผ่าวไปทั้งตัว ริมฝีปากแสนร้ายกาจเริ่มบรรเลงเพลงบนร่างกายเขาจนสั่นสะท้านด้วยเสียวซ่าน มือหนาบีบยอดอกไปมาอย่างหยอกเย้าอีกทั้งริมฝีปากดูดเม้มสร้างความวาบหวามไปทั้งร่าง
    
       “อื้ม...อ่า...อา...”
   
        “อ่า...”
    
        เสียงหวานครางกระเส่าเมื่อริมฝีปากลากไล้จุดสำคัญไปมา สร้างความปั่นป่วนในหัวใจ สมองพร่าเลือนไปกับรสจูบและมือหนาที่ลูบไล้ไปทั่งร่าง เมื่ออารมณ์ถูกปรุงเร้าจนขีดสุดแก่นกลางใหญ่ก็สอดแทรกเข้ามาภายในร่าง จิวชงหยวนเม้มปากแน่นด้วยคามเจ็บอาจเป็นห่างเหินมานาน คนร่างสูงเหมือนจะรับรู้ปลุกเร้าอารมณ์เขาอีกครั้ง มือหนาจับแก่นกายพร้อมขยับมือไปมาเบาๆ ก่อนจะเร็วขึ้นจนครางตอบรับความรู้สึกแปลกใหม่ การมีคนทำให้อย่างนี้รู้สึกดีกว่าการเล่นว่าวเองเสียอีก
    
        “อื้ม...อ่า...อา...”
    
        เพียงไม่นานจิวชงหยวนก็แตะปลายทางก่อน แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นนั้นเมื่อร่างโปร่งบางถูกพลิกกลับลงมาในน้ำ หน้าอกชิดกับขอบอ่าง ลู่เฟยเบียดแก่นกายที่ยังอยู่ปากอ่าวทิ่มทางเข้ามาจนสุดทำเอาจุกไปไม่น้อย แต่ความเสียวซ่านที่ตอบรับกลับมาทำให้เขาครางออกมาอีกครั้ง
    
        “อ่ะ...อ่า...เร็วอีก...” อารมณ์พิศวาสถูกปลุกให้โลดแล่นไปตามครรลอง เสียงหวานกระเส่าร้องขอมีหรือว่าลู่เฟยจะไม่ให้ ร่างสูงขยับเคลื่อนสะโพกลงแรงและเร็วขึ้นมากกว่าเดิมตามคำเรียกร้อง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขสม
    เสียงสายน้ำคลอเสียงเนื้อกายที่เข้ากระทบ แสงสีเขียวอ่อนจากหิ่งห้อยคลอแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ที่กระทบผิวน้ำที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง บรรยากาศรอบด้านนั้นหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจแต่สองร่างที่แนบชิดกลับร้อนรุ่มราวกับเปลวเพลิงที่ไม่อาจมอดดับ
    
       ลู่เฟยก้มลงจุมพิตแผ่นหลังขาวเนียน ทว่าร่างโปร่งบางกลับสั่นสะท้านพร้อมเสียงหวานเปล่งออกมาทำให้ยกยิ้มร้ายมุมปากเมื่อจับจุดได้ว่าคนใต้ร่างเวลานี้ มีจุดเสียวกระสันอยู่ที่แผ่นหลังและต้นคอ เขาจึงจูบประทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    
       “อึก”
    
       “อ่า... อ่า...” จิวชงหยวนครางสะท้านร่างโปร่งบางอ่อนระทวยด้วยความเสียวซ่าน แผ่นหลังที่ไม่เคยมีใครสัมผัสกลับสร้างความวาบหวามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาเรียวสวยหยาดเยิ้มประกายแสงสีนวลจากดวงจันทร์ชวนมองช้อนตามองร่างสูงที่โหมกระหน่ำลงมายังร่างโปร่งบาง มือหนากระชับสะโพกนุ่มไว้แน่น
    
        ลู่เฟยยกยิ้มบางให้คนใต้ร่างที่ดวงตาหวานเยิ้ม นิ้วเรียวเกลี่ยไปตามพวงแก้มพินิจใบหน้ารูปงาม ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกตกอยู่ในห้วงความรักไม่อาจขึ้นสู่ห้วงหัวใจนั้นได้อีกแล้ว ใบหน้ายั่วยวนในเวลานี้ทำให้เพลงสวาทรุนแรงมากขึ้น
    
       “ข้ารักเจ้า” คำบอกรักกระซิบเบาอ่อนโยน ทว่าร่างกายกลับร้อนแรงยิ่งกลัวเปลวเพลิง รอยยิ้มบางยกยิ้มก่อนจะก้มลงจุมพิตอีกครั้งซ้ำแล้วครั้งเล่า เสียงหวานภายใต้เรือนร่างครางกระเส่า
    
        "อ่ะ...อือ..." ยามเมื่อมือแกร่งที่เย็นเฉียบเเตะลงบนผิวกายที่ร้อนระอุ รูขุมขนตั้งชันไปทั่วทุกอณูของเรือนร่าง
    
         มือหนาลูบไล้ไปตามร่างโปร่งบาง ความสมบูรณ์แบบของจิวชงหยวน กล้ามเนื้อยามเมื่อลูบคลึงยิ่งเพิ่มตันหาราคะภายในจิตใจให้พลุกพล่าน ลู่เฟยพลิกร่างโปร่งบางกลับมากอดรัดอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงจูบดูดดันที่เนินอก เมื่อเม็ดติ่งสีชมพูนั่นยั่วยวนหัวใจชวนให้น่าลิ้มรส แผ่นอกบางแอ่นกายกระสัน ความรู้สึกปั่นป่วนแล่นปราบจนไม่อาจสะกดกลั้นเสียงหวานสั่นเครือ
    
        "อ่ะ...อา ลู่เฟย..."
    
         ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มหวานที่เอ่ยเรียก ภายในกายก็ยิ่งรู้สึกต้องการจิงชงหยวนมากขึ้นเท่านั้น ร่างแกร่งขยับขึ้นจุมพิตสบดวงตาเรียวสวยที่หลับพริ้ม ใบหน้าแดงซ่านตามอุณหภูมิของร่างกายที่พลุกพล่าน
    
       มือเรียวยึดจับไหล่แกร่งของลู่เฟนเอาไว้ ก่อนจะหายใจหนักหน่วงยามเมื่อเจ้าตัวผละริมฝีปากออกมา วงแขนแกร่งช้อนเอวคอดเพื่อแอ่นรับแก่นกายที่แข็งขืนร้อนดั่งเหล็กกล้าที่ตีไฟสวนเข้ามา
    
       ความรู้สึกปั่นป่วนยามเมื่อสัมผัสได้ถึงแก่นกายที่แข็งขืนกว่าเดิม ราวกับร่างกำลังแยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็รู้สึกดีตีรวนกับความเจ็บปลาบที่รุนแรงโหมกระหน่ำเข้ามาจนอกกระสั่นร่างกายกระตุกเกร็ง วงแขนแกร่งที่โอบกอดเอาไว้คอยลูบแผ่นหลังปลอบประโลม ก้มลงจูบซับน้ำตาของจิวชงหยวนที่ไหลออกมาอย่างช้าๆ ความสุขล้นที่ทะลักทำให้ไม่อาจเก็บกลั้นความรู้สึกไว้ได้
    
       "ชงหยวน..."
    
       เสียงครางทุ้มต่ำเมื่อแก่นกายอยู่ในช่องทางที่คับแคบ มันบีบรัดและร้อนรุ่มจนไม่อาจที่จะทนฝืน อกของเขานั้นแทบจะระเบิดไม่อาจสะกดกลั้นความใคร่ยามเมื่อแก่นกายฝังลึกเข้ามา ยิ่งผิวกายที่ชื้นเหงื่อเบียดเสียดจนร่างกายแนบชิด ก็ยิ่งเพิ่มความกระสันปั่นป่วน เสียงน้ำกระทบกันรุนแรงตามแรงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ยิ่งร่างโปร่งบางเกร็งมากเท่าไหร่ยิ่งบีบรัดแก่นกายจนแทบสะกดกลั่นไม่ไหว
    
        เสียงหวานของจิวชงหยวนชวนให้อยากดื่มด่ำกลืนกินไปทั้งร่าง ลู่เฟยยิ่งขยับกายสวนทางรวดเร็วและหนักหน่วง เสียงจวบจาบจากรสจูบช่างร้องแรงไม่ปราณี เมื่อความอดทนอดกลั้นนั้นถึงขีดสุด เหงื่อร้อนไหลอาบกายพร้อมน้ำอุ่นที่เริ่มเย็นในอ่างน้ำบรรเทาความร้อนรุ่มยามเมื่อร่างกายกำลังเสียดสี จิวชงหยวนยิ่งโอบกอดลำคอยึดไหล่แกร่งเมื่อร่างกายจวนเจียนแทบจะระเบิด
    
        “อ่ะ...อ่า... เร็วอีก ...ไม่ไหวแล้ว”
    
         ดวงตาเรียวสวยปรือขึ้นหยาดเยิ้ม สบตาคมบนใบหน้าคมคายที่ยกยิ้ม ลู่เฟยโหมกระหน่ำรุนแรงมากขึ้นตามคำเรียกร้อง รีบเร่งสะโพกของเขาเมื่อความคับแน่นนั้นถึงขีดสุด ยิ่งทำให้จิวชงหยวนถึงกับแอ่นร่างรับสัมผัสที่ลู่เฟยสวนเข้ามา แก่นกายที่แข็งขืนเสียดสีเข้ากับแผงกล้ามเนื้อของผู้ที่ทาบทับ ยิ่งทำให้รู้สึกกระสันปวดหนึบจนถึงขีดสุด เมื่อความคับแน่นสวนเข้ามาจนถึงสุดทางของความใคร่นั้น สิ่งที่อัดอั้นก็ไม่อาจที่อดทนอดกลั้นได้อีกต่อไป
    
        "อ่ะ... อา..."
    
         เสียงหวานครางกระเส่า ปล่อยน้ำรักเปรอะเปื้อนเต็มร่างกาย พร้อมๆกับที่ลู่กระแทกกระทั้นเข้ามาเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายกระตุกเกร็งถึงสองครั้ง ก่อนจะหยุดลงเมื่อปลดปล่อยน้ำรักออกมาจนหมดสิ้น...
    
         เสียงหอบหายใจหนักหน่วงคลออยู่ที่ลำคอของร่างสูง เมื่อร่างแกร่งยังคงทาบทับเรือนร่างของจิวชงหยวน ลู่เฟยประคองร่างที่อ่อนแรงของคนในอ้อมกอดแล้วยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ใบหน้างดงามอิดโรย ยามเมื่อเห็นดวงตาที่ปรือขึ้นเหงื่อเม็ดใสผุดพรายกระทบแสงจันทร์ที่สาดส่อง ความประทับใจนั้นทำให้เขาอยากจะกลืนกินอีกครั้ง และอีกครั้ง
   
         ริมฝีปากบางยกยิ้มกรุ้มกริ่ม สายตาของลู่เฟยที่ทอดมองลงมานั้นแทบอยากให้จิวชงหยวนใช้สองนิ้วจิ้มไปที่ดวงตาคมคู่นั้นเสีย เพียงแค่เห็นสายตาก็เดาใจของผู้ที่อยู่ตรงหน้าออก เขาเอ่ยดักคอเอาไว้ว่าอย่างรู้ทัน
    
      "เจ้าอยากจะฆ่าข้าให้ตายภายใต้อ้อมกอดของเจ้าหรือไร ถึงได้มองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น" ลู่เฟยกระตุกยิ้มที่มุมปาก สายตาเจ้าเล่ห์ชวนให้น่าหงุดหงิดใจ คิดผิดจริงๆ ที่ทำสัญญาอย่างนี้
    
        "ข้ามองเจ้าเช่นไรกัน หืม..."
     
        ลู่เฟยหยอกล้อพลางโน้มตัวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ จนจิวชงหยวนต้องยกมือกั้นพร้อมดันตัวของลู่เฟยให้ผละออก ขยับร่างกายลุกขึ้นตาม แต่ความคับแน่นที่ไม่ยอมอ่อนลงทำให้เมื่อขยับกายความรู้สึกกระสันก็แล่นไปตามก้นกบ จนเผลอครางออกมา
    
       "อ๊ะ!" ใบหน้าแดงระเรื่อเหลือบมองคนร่างสูงที่ยกยิ้มกรุ้มกริ่ม
    
      “พอเถอะข้าหนาวจะแย่แล้ว” จิวชงหยวนใช้ไม้อ่อน น้ำในอ่างมันเริ่มเย็นจนร่างสั่นสะท้านไปแล้ว ทว่ามือหนากลับโอบกอดรัดร่างเขาแน่นขึ้น แก่นกายที่ยังคาอยู่ในร่างทำให้สะดุ้งน้อยๆ ดวงตาหันไปมองคนบ้ากามอย่างขวางๆ
    
       “ข้าห่างเจ้าตั้งนาน อีกอย่างเจ้ายั่วข้าเองนะ” จิวชงหยวนคิ้วขมวดมุ่นกับข้อหา เขายั่วตรงไหนกันก็แค่ทำตามสัญญา ต่อไปนี้จะไม่สัญญาเรื่องแบบนี้อีกแล้วเข้าตัวจริงๆ
    
       “ที่นี่เจ้าหนาวไปที่ห้องเราดีกว่า”
    
        พูดจบลู่เฟยก็ตวัดอุ้มร่างจิวชงหยวนลุกออกจากอ่างน้ำเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ไม่ห่าง เขาอ้าปากค้างกับคนไม่ยอมฟังคำคัดค้าน ก่อนจะหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรมของตัวเอง หวังว่าคืนนี้เขาจะได้นอนหลับบ้างนะ...

    
        หิมะโปรยปรายในยามเช้าบรรยากาศเย็นสบาย ทว่ายามนี้จิวชงหยวนกลับหน้าตาบูดบึ้งมองคนที่ตัวเองถีบตกเตียงอย่างหงุดหงิด เล่นทำให้เขาไม่ได้นอนทั้งคืนจนแทบจะลุกไม่ขึ้น นี่หากเขาไม่อึดเกินคนธรรมดาคงนอนเดี้ยงอยู่บนเตียง ลู่เฟยลุกขึ้นมองคนอารมณ์เสียแต่เช้าด้วยรอยยิ้มบาง ไม่สำนึกแม้แต่น้อยว่าตนกำลังทำให้เมียอารมณ์เสีย
    
       “หยวนน้อยเจ้าจะโทษข้าฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ ก็เมื่อคืนนี้เจ้าบอกข้าว่าแรงอีกแรงอีก ข้าเป็นคนตามใจเมีย ขอมาอย่างนี้ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร”
    
      อึก!
    
       จิวชงหยวนชะงักกึกกับคำหยอกล้อของคนตรงหน้าที่ลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นตามร่าง ไม่ได้มีทีท่าจะเจ็บจากการที่เขาถีบลงเตียงอย่างสุดแรงแม้แต่น้อย เห็นแล้วพาลหงุดหงิดใจ ไหนมาพูดเรื่องน่าอายนั่นอีก ตอนนั้นสมองเขาไม่ทำงานเลยพูดอะไรไม่ยั้งคิดต่างหากเล่า
    
       “หุบปากเจ้าไปเลย” บอกอย่างหงุดหงิดแล้วเบือนหน้าหนีด้วยความอายก็เพราะเจ้าตัวทำให้เขาเผลอไผลยอมตามใจเลยเลยเถิดไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืนอย่างนี้
    
       “ฝ่าบาทเสด็จพ่ะย่ะค่ะ...”
    
        เสียงขันทีหน้าบานทวารดังขึ้น ยิ่งทำให้จิวชงหยวนตาเหลือกเพราะเจ้าตัวยังเปลือยเปล่าผิดกับอีกคนที่มีแรงลุกไปอาบน้ำอาบท่าจนน่าหมั่นไส้  มือเรียวดึงผ้าห่มมาคลุมกายอย่างรวดเร็ว ลู่เฟยหน้านิ่วมองคนที่ถือวิสาสะเข้ามาอย่างหงุดหงิดร่างสูงมายืนบังร่างงดงามของคนบนเตียงจนมิด
    
        “ถวายพระพรฝาบาท ขอให้พระชนม์มายุหมื่นปี หมื่นปี”
 
     ลู่เฟยก้มหัวทักทายตามประเพณีเล็กน้อย แต่ไม่ได้คุกเขาหัวจรดพื้นเหมือนคนอื่นๆ อาจเพราะเขาได้สิทธิ์พิเศษนั้นเลยไม่ต้องเรื่องมากกับพิธีการที่น่าเบื่อ
    
       “หืม...พวกเจ้าเพิ่งตื่นนอนหรอกหรือ”
    
         น้ำเสียงแปลกใจพร้อมดวงตาที่มองมานั้นมีแววกรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้ มองก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังแกล้งพวกเขาอยู่ ว่าไปอยากรู้นักว่าผู้ใดกันจะสามารถสยบจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในคราบลูกแกะอย่างลั่วเหยียนเจิ้งได้อยู่หมัด
    
        “ไม่ได้นอนเลยต่างหาก” จิวชงหยวนบ่นงึมงำอย่างหงุดหงิดแต่กลับไม่พ้นคนหูดี ที่กำลังยกยิ้มบางที่ดูอย่างไรก็เจ้าเล่ห์ชัดๆ ไม่รู้พวกขุนนางคนอื่นตาบอดกันหรืออย่างไรถึงดูไม่ออกว่าคนผู้นี้มิได้อ่อนแออย่างที่แสดงให้เห็น
    
       “แหม พวกเจ้านี่พอบ้านเมืองสงบก็หวานชื่นกันใหญ่เลย มิน่าตอนข้าเข้ามาพวกขันทีแต่ละคนทำหน้าลำบากใจ เป็นเช่นนี่เอง ว่าไปพวกเจ้าก็บอกรักกันต่อเถอะข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มบางพร้อมหมุนกายจากไปปล่อยให้คนบนเตียงนั่งมองตามอย่างเข่นเขี้ยว
     
        “ฮ่องเต้มาทำไม”
    
        จิวชงหยวนหันไปถามคนต้นเรื่องอย่างแปลกใจ เพราะช่วงนี้ราชกิจลั่วเหยียนเจิ้งนั้นมีมากเนื่องจากเพิ่งได้รับตำแหน่งมาใหม่ๆ จึงต้องสะสางปัญหาที่สะสมมาจากฮ่องเต้องค์ก่อนซึ่งคนภายนอกคิดว่าสวรรคตไปแล้ว มีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่รู้ว่าทรงสละราชบัลลังก์ออกผนวชตลอดอายุขัยที่เหลือ ตัดขาดจากโลกมุ่งสู่พระธรรม
    
       “หากคาดเดาไม่ผิดแค่อยากเห็นหน้าเจ้าได้แกล้งข้าเสียมากกว่า เพราะหากข้ากับเจ้าอยู่ที่นี่วันใดไม่ได้แกล้งคงไม่มีอารมณ์ทำงาน” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนนิ่งไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงๆ เขาน่าจะนึกได้แต่แรกว่าพี่น้องกันนิสัยย่อมเหมือนกัน
    
       “หยวนน้อย” เสียงตะโกนลั่นดังมาจากหน้าประตูทำให้จิวชงหยวนกรอกตาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะพลิกตัวพุ่งทะยานหลบไปทางห้องน้ำ ปล่อยให้ลู่เฟยรับหน้ากับองค์ชายเจ็ดลั่วหวังอู๋เอง เพราะเขาจะจัดการกับตัวเองก่อนที่จะมีคนแห่เขามาในตำหนักมากกว่านี้
    
       หลังจากออกมาจากห้องน้ำก็เห็นลั่วหวังอู๋นั่งรออยู่เพียงคนเดียว ส่วนคนที่เขาให้ออกมารับหน้าหายไปไหนไม่รู้ ดวงตาเรียวมองลั่วหวังอู๋ที่ส่งยิ้มบางมาให้ ใบหน้าและดวงตาดูไร้เดียงสา หากไม่เห็นเจ้าตัวโยนศีรษะของเสนาบดีฝ่ายขวาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเฮาคงเชื่อว่าเป็นคนจิตใจดีบริสุทธิ์ สรุปที่ในวังหลวงแห่งนี้หาคนน่ารักสมกับหน้าตาไม่ได้จริงๆ
    
      “เจ้ามีธุระอะไร” เอ่ยถามอย่างปลงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหา แม้จะมีพลังลมปราณกล้าแกร่งแต่ไม่อยากบอกเลยเขาเจ็บสะโพกจนไม่อยากขยับ ได้แต่นิ่วหน้าน้อยๆ ทนความเจ็บไปเท่านั้น ทำไมชีวิตเขาน่าสงสารอย่างนี้ก็ไม่รู้
    
       “เอ่อ... เอ่อ...” ร่างโปร่งบางตรงหน้าทำท่าบิดกายไปมาอย่างเก้อเขินไม่สมกับเจ้าตัวป่วนแม้แต่น้อย จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจว่ายังมีเหตุการณ์อันใดทำให้เจ้าตัวเก้อเขินอย่างนี้อีกหรือ
    
      “เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง” จิวชงหยวนเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความเจ็บ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันพยายามทำให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะรินน้ำชาให้ตัวเองกับคนที่ทำหน้าแดงจนน่าแตะออกนอกตำหนักอย่างหมันไส้
    
      “ข้าบอกเจ้าแล้วเจ้าอย่าเพิ่งแตะข้าออกจากตำหนักนะ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนพูดอย่างหวาดระแวง แต่ก็พยักหน้ายอมรับด้วยสีหน้าอึกอักของอีกฝ่าย คงเป็นเรื่องร้ายแรงจนคิดไม่ตกแน่ๆ
    
      “คือ...ข้าอยากถามเจ้าว่า ตอนที่เจ้าโดนท่านพี่กอดแนบชิดกาย เจ็บมากไหมข้าได้ยินมาว่ามันเจ็บมาก”
    
      แค่กๆ ๆ ๆ
    
      จิวชงหยวนสำลักน้ำชาจนหน้าแดงก่ำ ตวัดสายตามองคนถามตาขวาง ดวงตาใสๆ ที่มองมาอย่างต้องการคำตอบทำให้กลืนน้ำลายลงคอ อยากเอากาน้ำชาที่อยู่ใกล้มือทุบหัวให้ลืมคำถามไปชั่วขณะจริงๆ แต่เมื่ออยากรู้อย่างนั้นหรือ ริมฝีปากยกยิ้มร้าย
    
       “เจ้าถามอย่างนี้แสดงว่าแม่ทัพห่านหลงยังไม่ได้แนบชิดกายกับเจ้า”
    
       “เอ่อ...” ใบหน้าลั่วหวังอู๋เวลานี้แดงระเรื่อก้มหน้าหลบสายตาโดยไม่ทันเห็นแววตาและรอยยิ้มที่ร้ายกาจบนใบหน้างดงาม
    
       “อื้ม...ข้ารู้คำตอบแล้ว เช่นนั้นฟังข้าดีๆ นะ หากเจ้าทำตามข้ารับรองไม่เจ็บแม้แต่น้อย” จิวชงหยวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังมองเหยื่อตัวน้อยด้วยรอยยิ้มบาง
    
       “ไม่เจ็บหรือ ทำเช่นไรล่ะ” ดวงตาสีใสเหมือนลูกแก้วเงยหน้ามามองอย่างใครรู้ โดยไม่ทันเห็นว่าลูกแกะตัวนี้กำลังแปลงกายเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตามท่านพี่คนอื่นๆ ไปแล้ว
    
       “เจ้าแค่เอายานี้ผสมน้ำชาดื่มเพียงเล็กน้อย จากนั้นเจ้าจะไม่เจ็บ แต่ให้แม่ทัพมาดื่มด้วยนะ หากจะดีเจ้าก็ไล่พวกนางกำนัล ขันทีออกไปให้หมด”
    
         “เอ๋... ยานี่น่ะหรือจะทำให้ไม่เจ็บ แต่ข้าจะลองทำตามแนะนำดู วันนี้ข้ามีธุระขอบใจเจ้ามาก ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาหาอีก” ลั่วหวังอู๋บอกด้วยรอยยิ้มขอบคุณพร้อมเดินจากไปด้วยยาในมือ จิวชงหยวนมองตามแล้วยกยิ้มร้ายกาจก่อนจะพูดตามหลังร่างโปร่งบางเบาๆ
    
        “ขอให้โชคดีนะน้องลั่วหวังอู๋ พรุ่งนี้เจ้าคงลุกไม่ขึ้นไม่ต้องรีบมาหาข้าหรอก หึหึ”
    
       องค์รักษ์เงาที่แอบซ่อนอยู่คานไม้คอยอารักขาซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกลับลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มองตามหลังองค์ชายเจ็ดด้วยความสงสาร พร้อมสัญญากับตนเองว่าจะไม่เอ่ยถามคำถามเช่นนี้กับหมอเทวะมารเป็นอันเด็ดขาด
    
       ข้าขอให้ท่านโชคดีนะองค์ชายเจ็ด...
   
        ช่วงบ่ายจิวชงหยวนมาปรากฏตัวที่ห้องเครื่องของราชวัง เขาไม่ได้เข้ามาทำลายอย่างที่กล่าวไว้ แต่เข้ามาทำอาหารที่ไม่ได้กินนานเนื่องจากที่แห่งนี้หาได้ยากและไม่มีขายในโรงเตี๊ยมทั่วไป อาหารไทยที่แสนคิดถึงโดยมีจุ้ยซิงเป็นลูกมือ และนางกำนัลห้องเครื่องที่คอยมาแนะนำเครื่องเทศที่แตกต่างกันมาก รายการแรกที่ขาดไม่ได้คือต้มยำทะเลที่ในวังหลวงมีของพวกจึงไม่ต้องกังวลว่าเครื่องปรุงจะไม่ครบ ตามด้วยปลาสามรส ต้มกระทิสายบัวที่เขาเก็บมาจากสวนตำหนักดอกท้อซึ่งครั้งหนึ่งลงไปเพราะเรื่องขายหน้าไว้ พะแนงเนื้อที่ใช้พวกเนื้อแกะแทนและอีกสองสามรายการพร้อมด้วยขนมหวานบัวลอยไข่หวาน
    
         จิวชงหยวนวุ่นวายอยู่ในห้องครัวนานกว่าหนึ่งชั่วยามกว่าจะเสร็จเรียบร้อย รสชาติต้นฉบับรสจัดจ้านกลมกล่อม ใครทานด้วยไม่ได้ไม่สนใจเพราะเขาจะกินคนเดียว เหล่าบรรดาลูกมือต่างมองอาหารจานเด็ดด้วยความสนใจเพราะไม่เคยเห็นมาก่อนพอได้ลองชิมต่างออกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย
    
       “อาจารย์ท่านได้สูตรอาหารพวกนี้มาจากที่ใดกันน่าทานนัก” จุ้ยซิงมองด้วยตาเป็นประกาย การเป็นลูกมือไม่ได้ช่วยให้จดจำเครื่องเทศที่มากมายได้ ทั้งๆ ที่ตนเองก็ทำอาหารได้แต่อาหารตรงหน้าล้วนแปลกตาทว่ากลับอร่อยกลมกล่อม
    
       “มาจากดินแดนอันไกลโพ้นต่อให้สิ้นชีวีก็ยากที่จะได้พบเจอ” คำตอบปริศนาที่ได้รับไม่ได้ทำให้จุ้ยซิงกระจ่างมากนัก แต่คาดเดาคงมาจากสวรรค์ อาหารของเหล่าเทพเซียนกระมัง
    
       จิวชงหยวนตักบัวลอยไข่หวานและอาหารชุดหนึ่งให้ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้ง คราแรกว่าจะใส่ปรอทลงไปเพื่อแก้แค้นเมื่อเช้าที่เข้ามากวนประสาทแต่เช้า แต่ไม่ดีกว่า มีวิธีที่ดีกว่านี้เยอะ อาหารไทยรสชาติอร่อยกลมกล่อมและขนมหวานที่หากินไม่ได้ในภพนี้ หากได้ลิ้มลองจะติดใจจนมิรู้ลืม หากลั่วเหยียนเจิ้งติดใจแต่ตัวเขาไม่อยู่ทำให้กินและไม่บอกสูตรอาหารพวกนี้กับใคร แค่คิดก็สนุกเสียแล้วสิ ริมฝีปากบางยกยิ้มร้ายเมื่อเขาจะใช้วิธีเสน่ห์ปลายจวักเป็นการแก้แค้น
    
       จิวชงหยวนให้คนยกสำรับเดินตามไปเฝ้าฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งโดยเขาเดินนำไป เมื่อมาถึงตำหนักทรงงานก็รายงานกับองค์รักษ์เล็กน้อยก่อนจะถูกเชิญเข้าไป ทว่าทันทีลั่วเหยียนเจิ้งเห็นอาหารตรงหน้าก็นั่งจ้องไม่วางสายตาก่อนจะเงยหน้ามองเขาอย่างไม่แน่ใจ
    
        “เจ้าทำเองรึ” คำถามและใบหน้าแสดงความหวาดระแวงออกมาทำให้จิวชงหยวนยิ้มขำ แกล้งคนอื่นไว้มากเลยมาหวาดระแวงอย่างนี้
    
        “พ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ไม่กล้าเสวยเดี๋ยวกระหม่อมจะเสวยเป็นเพื่อน” บอกพร้อมเตรียมถ้วยชามสองชุดมาเผื่อเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องหวาดระแวง
    
       “คิดว่าเจ้าไม่วางยาข้าหรอก แต่ข้ารู้สึกว่ามันมีมากกว่านั้น” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบางสมกับเป็นฮ่องเต้จริงๆ
    
       “หืม พระองค์หวาดระแวงหม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ” เลิกคิ้วถามพร้อมทำหน้าใส่ซื่อบริสุทธิ์แต่มีหรือว่าฮ่องเต้ที่ฉลาดหลักแหลมจะไม่รู้ทัน แต่ก็รับตะเกียบไปคีบปลาสามรสเป็นอันดับแรก อาจเป็นเพราะมันมีหน้าตาคล้ายกับอาหารที่นี่ที่สุด
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักไปชั่วครู่เมื่ออาหารเข้าไปในปากรสชาติหอมหวาน กลมกล่อมอร่อยอย่างไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน เงยหน้ามองสบตากับคนทำที่ทำหน้าใส่ซื่อจนน่าหมั่นเขี้ยว การเดินทางของจิวชงหยวนผู้นี้ทำให้นิสัยเจ้าตัวร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังคงเป็นตัวเองได้อย่างน่านับถือ
    
        “สิ่งนี้เรียกว่าปลาสามรส นี่ต้มยำทะเล ส่วนนี่พะแนงเนื้อ ต้มกระทิสายบัว แกงเขียวหวาน ส่วนขนมหวานเรียกว่าบัวลอยไข่หวาน พ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนแนะนำรายการอาหารอย่างไม่รีบร้อน
 
    ลั่วเหยียนเจิ้งก็ลองคีบรายการอื่นๆ ตามที่แนะนำอย่างสนใจ แม้จะมั่นใจว่าไม่มียาแต่กลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจแบบแปลกๆ ทว่าเมื่อลิ้มลองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้รู้สึกตรึงใจมิรู้ลืม หากได้กินอาหารเช่นนี้ตลอดคงมีความสุขมาก แต่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้กลับชะงักงัน เหลือบตามองคนทำซึ่งยกยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ แล้วถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
    
       พลาดแล้ว... ตนพลาดไปกับแผนการของคนตรงหน้าเสียแล้ว มือหนายกผ้าชับมุมปากแผ่วเบาแล้วมองสบตาร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างจริงจัง
    
        “อาหารที่เจ้าทำ คงมีแต่เจ้าที่ทำได้สินะ แล้วเจ้าก็ไม่บอกสูตรนี้แก่ใครใช่หรือไม่หยวนน้อย” เอ่ยถามจริงจังพร้อมแววตากดดันส่งกลับไปทว่าคนร่างโปร่งบางกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ใบหน้างดงามมองเขาแล้วยกยิ้มบางเบามุมปากคำตอบก็กระจ่างทันที
 
    “ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก ไพร่ฟ้าแคว้นลั่วหยางคงอยู่ร่มเย็นเป็นสุขพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับโดยไม่ปฏิเสธการคาดเดาของอีกฝ่าย สมแล้วที่เป็นฮ่องเต้ไม่ผิดหวังจริงๆ
    
       “วันนี้กระหม่อมต้องไปปรนนิบัติสวามี มิอาจอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ได้ ทรงเสวยให้สำราญเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนโค้งกายนอบน้อมก่อนจะถอยห่างออกมาด้วยรอยยิ้มละไม เพียงเห็นสีหน้าสุขใจเวลาลิ้มลองอาหารของลั่วเหยียนเจิ้งก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนต้องการ
    
        อ่า... การได้แกล้งคนอื่นมันสนุกอย่างนี้นี่เอง




   ติชมหรือแนะนำได้นะคะ ฟางจะได้นำไปปรับปรุงในเรื่องต่อไป ขอบคุณทุกการติดตามและทุกคอมเมนท์มากจ้า จุ๊บๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 16-11-2015 12:32:28
 :o8:ย้วยตายข้างฝาห้องนอนแล้ว

รอเรื่องต่อไป และรอให้จุ้ยซิงยิ้มได้
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 16-11-2015 12:41:32
ชอบมากหยวนน้อยน่ารัก  ฮ่องเต้แพ้แล้วสะใจมากๆๆๆๆๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-11-2015 12:46:47
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 16-11-2015 13:37:59


งงกับตัวเองเหมือนกันว่า....

ทำไมเนื้อหาถึงขึ้นไม่คบ

แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าเจ้าสามารถ(หาอ่านที่อื่น) แล้วกลับมาเมนต์ต่อ


มันช่างเป็นการเอาคืนที่.....

อิ่มจริงๆ

รอต่อขอรับ


หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-11-2015 13:50:01
ขี้แกล้งกันทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 16-11-2015 13:57:47
การแก้แค้นที่อิ่ม อร่อย
พี่ลู่เฟย แกได้วิตามินบีแหล่ะ กินตับเมามัน 555+
ไม่ให้ชงหยวนได้นอนเลย 5555+
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 16-11-2015 16:07:10
555555 เป็นการแกล้งที่สนุกจริงๆ
หยวนน้อย >___< เขิลเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 16-11-2015 19:41:13
"วันนี้กระหม่อมต้องไปปรนนิบัติสวามี"

พูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วเหรอ

ตอนแรกเห็นอายๆ

อยากให้ลู่เฟยได้ชิมอาหารที่หมอจิวทำบ้างจัง

พอได้กินแล้วคาดว่าลู่เฟยจะหลงหมอจิวขึ้นอีกเป็นเท่าตัวแน่ๆ

ปล ขอบคุณที่ลงให้ทันกับที่อื่น อ่านที่อื่นเม้นท์ให้ไม่ได้ เพราะจะติดเล้ามากกว่า

      อ่านสนุกมากๆ ชอบเรื่องนี้ที่สุด เป็นกำลังใจให้จ้า สู้ๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 16-11-2015 22:33:48
ร้อนแรงมากทีเดียว :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 16-11-2015 22:35:39
นิยายจะจบแล้วจุ้ยซิงกับอี้ฟานจะได้เจอกันทันตอนจบมั้ยอ่า อยากให้กลับมาเจอกันฝุดๆ อยากให้จุ้ยซิงสมหวังในรัก ให้อีฟานหันมามองคนๆนี้บ้าง เป็นรางวัลตอบแทนให้คนที่รักและภักดีเสมอมา TT^TT
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่46 เมื่อดอกรักบาน ตอนที่21 (P.21วันที่ 16/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fahhee_zeze ที่ 17-11-2015 04:30:00
 :ruready ตอนแรกว่าจะเขินกับตอนนี้นะ แต่พออ่านจบทำไมหัวเราะหว่า 555555555555555555  :laugh:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47ป่วนรักในวังหลวง ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 20-11-2015 14:09:55
บทที่47ป่วนรักในวังหลวง
เล่ม 2 ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)

       เช้าวันใหม่อากาศเย็นสบายหิมะโปรยปรายสวยงาม ในเวลานี้กลับทำให้องค์ชายเจ็ดแห่งลั่วหยางผู้ที่ชนะการศึกร่วมเป็นร่วมตายกับแม่ทัพห่านหลงมาเนิ่นนานและยังกำจัดกบฏได้อย่างเด็ดขาด ทว่าเวลานี้กลับพลาดพลั้งเสียรู้ให้จอมเจ้าเล่ห์อย่างหมอเทวดาที่ถูกขนานนามใหม่ว่าหมอเทวะมาร ครานั้นตนยังคิดว่าฉายากล่าวอ้างเกินจริง แต่ ณ เวลานี้กลับได้พบเจอด้วยตนเองเอาจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าน่าอับอายยิ่งนัก
    
       “กระหม่อมสมควรตาย โปรดลงอาญากระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
    
        ลั่วหวังอู๋มองคนคุกเข่าก้มหัวจนติดพื้นไม่กล้าสบตาอย่างหงุดหงิดใจ เรื่องทั้งหมดตนเป็นผู้เริ่มจะโทษใครได้ ริมฝีปากเม้มเน้นอย่างเจ็บใจเรื่องที่ผ่านมาล้วนเพราะฤทธิ์ยาทั้งนั้น หากห่านหลงมีใจให้เขาบ้างคงไม่เจ็บปวดเช่นนี้
    
         “เจ้าจะคุกเข่าจนตายหรือไง”
    
         บอกด้วยความหงุดหงิด ทว่าคนที่คุกเข่าเพียงเหลือบตามามองเล็กน้อย ร่างโปร่งบางจึงพยายามลุกออกจากเตียงก่อนจะทรุดลงด้วยความเจ็บ ขาสั่นระริกจนทรงตัวไม่อยู่แต่ก่อนจะกระแทกลงพื้นจริงๆ ห่านหลงก็พุ่งเข้ามารับได้อย่างทันท่วงที ทั้งคู่เงยหน้าสบตากันแม้เพียงชั่วครู่แต่หัวใจกลับเต้นระรัว
    
       “ขออภัยฝ่าบาท”
    
         ห่านหลงกล่าวพร้อมตวัดอุ้มร่างโปร่งบางกลับนอนบนเตียงเหมือนเดิม ใบหน้าฝาดแดงระเรื่อทำให้น่ามองยิ่งนักแต่ฐานะรันดรที่ต่างกันทำให้มิอาจเอื้อม แต่ยามนี้ศีรษะเขาสมควรจะหลุดจากบ่าที่บังอาจไปล่วงเกินองค์ชาย อีกทั้งแปลกใจยิ่งนักเมื่อยามอยู่ใกล้องค์ชายส่วนที่อ่อนมาตลอดกลับลุกฮืออยากโรมรันกับร่างโปร่งบางครั้งแล้วครั้งเล่า
    
         “ฝ่าบาท กระหม่อม” แม่ทัพยิ่งใหญ่ผ่านศึกมามากมายกลับไม่เคยอึกอักเช่นนี้มาก่อน ทว่ายามนี้กลับทำให้ความมั่นใจสูญหายไป ร่างโปร่งบางสั่นระริกด้วยความเจ็บยิ่งรู้สึกสงสาร
    
         “ออกไปได้แล้วข้าอยากนอนพัก” ลั่วหวังอู๋บอกพร้อมหันหลังให้คนตีหน้ายุ่งลำบากใจด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เรื่องนี้จะโทษใครได้นอกจากตัวเองที่รนหาเรื่องเอง ไม่น่าไปทำให้จิวชงหยวนหมายหัวไว้เลย
    
           จิวชงหยวนนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้กระติกเท้ามองภาพตรงริมหน้าอย่างสบายอารมณ์มุมปากยกยิ้มบางเบา ยาตัวเดียวช่วยได้ตั้งสองคนแม่ทัพก็หายจากโรคน่าอายที่ไก่ไม่ขัน และยังได้เมียที่หลงรักห่านหลงอีกต่างหาก แบบนี้เขาเรียกว่ายิงนกตัวเดียวได้มาตั้งสองตัว
    
          เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดจึงพุ่งทะยานกลับตำหนักตัวเอง เพราะมีนัดหมายกับลูกศิษย์จะไปป่วน เอ่อ...ไปสอนการปรุงยาที่ห้องยาของวังหลวง
    
          “เจ้าแอบไปทำอะไรมา” ทันทีที่ก้าวเข้าตำหนักเสียงทักทายอย่างรู้ทันของลู่เฟยดังขึ้น ร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มลายมังกรงดงามปักปิ่นหยกที่เคยซื้อให้ จิวชงหยวนยกยิ้มบางไม่ได้เดือดร้อนใจกับทักทายเพราะช่วงนี้จะทำอะไรมีแต่ลู่เฟยเท่านั้นที่จะรู้ทันเขาไปหมด ตอนแรกก็หงุดหงิดทว่านานเข้าก็เริ่มจะชินชา
    
         “วันนี้เจ้าไปที่ไหน” จิวชยวนเอ่ยถามคนแต่งกายเต็มยศอย่างใคร่รู้ ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะตอบคำถามที่ทำให้คนฟังตาเป็นประกาย
    
        “อ๋องจากแคว้นโหลวหลันมาแสดงความยินดีกับฮ่องเต้และได้ส่งบุตรีมาหมั้นหมาย”
    
         “น่าสนุก ว่าแต่เจ้ามิมีใครอยากมาหมั้นหมายอีกหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามเมื่อนึกไปถึงอดีตสองสาวงามที่เทียวมาทำคะแนนและใส่ความเขาอย่างหน้าด้านๆ
    
          “เจ้าอนุญาตหรอกหรือ” คำถามและแววตาพราวระยับที่มองมาทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุก ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วตอบรับอย่างจริงจัง
    
        “อนุญาตสิ แต่จากนั้นข้าจะหาเมียสักเจ็ดคน สามภรรยา สี่อนุ เจ้าว่าน่าสนใจไหม” คำตอบที่ได้รับทำให้ลู่เฟยหน้าตึงขึ้นก่อนจะบอกเสียงดุ
    
        “หากเป็นเช่นนั้นข้าจะสังหารนางให้หมดและจับเจ้าไปขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน” จิวชงหยวนยกยิ้มบางแล้วพยักหน้ากับตัวเองก่อนพึมพำเบาๆ ว่าลู่เฟยคงอยากเล่นบทจำเลยรักนี่เอง แต่ขอโทษทีนะพอดีเขาไม่ได้อ่อนแอให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ
    
      “หืม นั่นขึ้นอยู่ที่เจ้าแล้วล่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่เจ้ารับอนุเพิ่มข้าก็จะไปหาเพิ่มเหมือนกันยุติธรรมดีเจ้าว่าจริงไหม”
    
        พรึบ!
    
       พอกล่าวจบร่างสูงก็ตวัดร่างโปร่งบางเข้ามากอดก่อนจะยกยิ้มร้ายที่ทำให้จิวชงหยวนลุกลี้ลุกลน หันซ้ายขวามองหาตัวช่วย
    
       “เห็นทีเจ้าคงว่างมากเลยมีเวลาคิดอะไรไร้สาระ เดี๋ยวข้าจะทำให้ไม่ว่างตลอดวันนี้” จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองคนตวัดอุ้มตัวเองเข้าไปในห้องก่อนจะร้องออกมาเสียงหลง
    
        “ม่ายยย ปล่อยข้า ข้ามีงานต้องทำ”
    
         เสียงร้องโวยวายของคนงาม ทว่าประตูกลับถูกปิดสนิทปล่อยให้จุ้ยซิงที่อาจารย์นัดมามองตามตาปริบๆ ยกมือเกาศีรษะอย่างปลงๆ เห็นทีวันนี้คงไม่ได้ไปปรุงยา ก่อนจะเดินกลับไปห้องตัวเองเมื่อรู้ว่าไม่มีประโยชน์จะรอ
    
         ส่วนเงาองค์รักษ์ที่ติดตามเงียบๆ ยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะด้วยความขบขัน แกล้งคนอื่นมามาก กลับมาพ่ายแพ้ให้กับเจ้าเหนือหัวลั่วลู่เฟย เห็นทีงานนี้องค์ชายคงไม่ปล่อยให้คนงามไปป่วนที่ไหนได้อีกแน่ๆ
 
    ข้าขอให้ท่านโชคดี...

    
      “อ่ะ... เบาๆ หน่อย ข้าเจ็บ”
    
       “อื้ม... อา ดีมาก...”
    
       จิวชงหยวนมองคนที่นอนหลับตาร้องครางชวนให้เข้าใจผิดอย่างหงุดหงิด คิดว่าจะไม่รอดเสียแล้วแต่วิชาปลิ้นปล้อน เอ้ย วิชาประจบทำให้รอดพ้นเงื้อมมือมารมาได้อย่างหวุดหวิด และตอนนี้เขาเลยมาเป็นหมอนวดชั่วคราวให้เจ้าตัว ซึ่งหลับตาพริ้มเหมือนพึงพอใจจนอดกดน้ำหนักลงแรงๆ อย่างตั้งใจไม่ได้ ลู่เฟยปรือขึ้นมามองแล้วยกยิ้มร้าย
    
        “หากเจ้ายังนวดไม่ดีเห็นทีข้าจะต้องทำอย่างอื่นแทนแล้ว”
    
        “นวดแล้ว นวดแล้ว นี่ข้านวดแบบแผนไทยเลยนะ หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้เจ้าต้องให้ข้าไปปรุงยาด้วย” จิวชงหยวนกล่าวอย่างต่อรอง ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ อย่างอดกลั้นอารมณ์ คนนอนให้นวดเพียงแค่เลิกคิ้วกับคำพูดแปลกๆ ของร่างโปร่งบาง แต่เมื่อรู้ว่าคนที่ลงมือนวดหลังให้อยู่นี้ไม่ได้มาจากภพภูมินี้จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
    
       “วันนี้ทำบัวลอยไข่หวานให้กินอีกหน่อยสิ เมื่อวานหมดเร็วเกินข้ายังไม่รู้รสเลย” จิวชงหยวนมองคนอ้อนแล้วกรอกตาอย่างเซ็งๆ ไม่รู้รสบ้านบิดาเจ้าสิ กินไปตั้งหม้อบอกว่ายังไม่รู้รส
    
        “ของดีมีครั้งเดียว ไว้ข้าทำพายสตอเบอรี่ให้กิน”  จิวชงหยวนกล่าวตอบพร้อมนวดต้นคอไปด้วย น้ำหนักมือที่ลงทำให้รู้สึกไม่หนักเกินและไม่เบาเกินเป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น
    
       “อร่อยไหม” ลู่เฟยเอ่ยถามหลับตาพริ้มอย่างสบายๆ
    
      “หืม มีสิ่งใดที่ข้าทำแล้วไม่อร่อยบ้างหรือ”
    
       “มีสิเจ้าจำไม่ได้หรือ” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้าพยายามนึกถึงสิ่งที่เขาทำให้ลู่เฟยกินและบอกว่าไม่อร่อย
    
       “เจ้าหมายถึงมันเผานะหรือ” เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะนวดอยู่นั้นกลับนึกบางอย่างออก เห็นทีเขาต้องผลิตยาหม่อง น้ำมันนวดขึ้นมาแล้ว และยังมียานั่นอีกเพราะทำทีไรเจ็บแสบทุกครั้งคงต้องสร้างเจลหล่อลื่นขึ้นมาเพิ่ม ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่ตอบกลับมา
    
       “นั่นแหละ”
    
       “มันเผารสชาติอย่างนั้นอยู่แล้วข้าไม่ทำอะไรเลยแค่โยนใส่ไฟเท่านั้น และที่เจ้ากินก็เป็นส่วนแมลงกินเลยทำให้ขมต่างหาก”
    
       จิวชงหยวนเถียงกลับ ก่อนจะยกยิ้มบางเมื่อนึกได้ตอนที่เผามันแต่เจอแมลงกัดกินเลยทำให้ขมไปบ้างแต่รสชาติของหัวอื่นๆ ก็ปกติ สงสัยจะไม่ชอบจริงๆ เห็นทีคงลองทำต้มมันหรือมันฝรั่งทอดกรอบให้ลองทานบ้างจะได้ไม่เข็ดเช่นนี้อีก
    
       ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม จิวชงหยวนจึงได้มาเดินทอดน่องอยู่สวนตำหนักระหว่างไปโรงยาของวังหลวง เพราะลู่เฟยต้องไปรับแขกต่างเมืองอีกทั้งจัดการปัญหาช่วยรัชทายาทให้เสร็จสิ้นก่อนจะร่วมเดินทางไปกับเขาอีกครั้ง คราแรกจะสละตำแหน่งยศฐาบรรดาศักดิ์แต่ลั่วเหยียนเจิ้งไม่เห็นด้วยและไม่อนุญาต เพียงแต่ให้เดินทางไปกับเขาได้ ทว่าเมื่อใดที่มีภัยมาถึงบ้านเมืองต้องกลับมา
    
      “อาจารย์ทำไมมาเร็วขอรับ ข้าคิดว่าท่านจะมาพรุ่งนี้เสียอีก” จุ้ยซิงที่ไม่มีอะไรทำจึงได้ใช้ป้ายคนสนิทของพระชายาตี้ฝู้จินมาลองผสมยาตามที่อาจารย์สอนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    
         จิวชงหยวนยืนมือไพล่หลังเดินเข้ามาหาจุ้ยซิงช้าๆ พร้อมนิ่วหน้าน้อยๆ เอียงคอมองคนถามอย่างฉงนก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
 
    “เหตุใดว่าข้ามาเร็วทั้งๆ ที่ข้านัดเจ้าแต่เช้านี่จนตะวันตั้งอยู่กลางหัวแล้ว”
    
         “เอ่อ...คือ...” จุ้ยซิงหน้าแดงระเรื่อ อึกอักไปมาไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา
    
       ทว่าเพียงแค่นั้นก็ทำให้จิวชงหยวนเข้าใจแล้วว่าเจ้าตัวคงไปเห็นเขาโดนลู่เฟยอุ้มเข้าไปในห้อง  แต่เมื่อเห็นกิริยาเช่นนี้กลับรู้สึกเบาใจเพราะเจ้าตัวอาการเริ่มดีขึ้นมากแล้วเพียงแต่ไม่ควรปล่อยให้ว่างเกินไปเท่านั้นเอง
    
        “เอาเถิด ข้ามีหลายอย่างจะสอนเจ้า เราต้องสร้างยาหลายขนานก่อนออกเดินทาง”
    
       จิวชงหยวนตัดบทก่อนจะเดินนำไปยังห้องยาส่วนต่างๆ หมอหลวงที่เห็นพระชายาตี้ฝู้จิ้นต่างสะดุ้งหวาดกลัวไปตามกัน ไม่ใช่กลัวจะโดนสังหารแต่กลัวว่าสมุนไพรจะหมดไปเพราะระเบิดตูมตามอีกครั้ง
    
        จิวชงหยวนมองตามอย่างนึกขำกับการสร้างวีรกรรมไว้ครั้งที่ผ่านมาของตัวเองคงติดตาตรึงใจจนพากันสะดุ้งหวาดระแวงไปตามๆ กันเช่นนี้
    
        ครั้งนี้เขาไม่ได้แกล้งทำยาเสียแต่เก็บทุกรายละเอียดการทำยาเพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้า อีกทั้งไม่มีเวลามาเล่นอย่างคนว่างงานเหมือนคราที่ผ่านมา ที่สำคัญยังมีลูกศิษย์ที่คอยทำตามอยู่เพราะฉะนั้นจะเป็นตัวอย่างไม่ดีเดี๋ยวเด็กน่ารักๆ อย่างจุ้ยซิงจะนิสัยเสีย อะแฮ้ม จะติดนิสัยเขาไป
    
       จิวชงหยวนใช้เวลาในการปรุงยาอยู่สามวันก็ถูกฮ่องเต้เชิญไปเข้าเฝ้า และคาดการไม่ผิดคงอยากกินอาหารฝีมือเขาเสียมากกว่า และเมื่อมาถึงเรื่องก็ไม่ได้เกินจากที่คิด จากมังกรผู้องอาจทำตัวเป็นหมาน้อยขอข้าวจากเจ้าของจนทำให้เขาพูดไม่ออก ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นแก่กินจนนิสัยเปลี่ยนขนาดนี้ และที่สำคัญเขาเพิ่งรู้ว่าฮ่องเต้จอมเจ้าเล่ห์ชื่นชอบขนมหวานมากว่าข้าวปลาเสียอีก
    
         “กินของหวานมากไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นโรคเบาหวาน” จิวชงหยวนเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี มุมปากยกยิ้มอย่างขำขัน
    
        “มันคือสิ่งใด กินได้หรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างฉงนเกิดมาจนอายุยี่สิบหกปียังไม่รู้จักโรคดั่งกล่าวเลย มิหนำซ้ำชื่อน่ากินด้วย จิวชงหยวนกรอกตาไปมามองคนบ้าของหวานอย่างเอือมๆ
    
       “กินได้ที่ไหน ช่างเถอะ กระหม่อมยังยุ่งอยู่กับการทำยาไม่มีเวลามาทำขนมให้ฝ่าบาทหรอกพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนกล่าวตัดบทที่ทำให้คนฟังหน้ามุ่ย
    
        “หากเช่นนั้นข้าก็ไม่ให้เจ้าเอายาที่ปรุงสำเร็จออกนอกวังหลวง”
    
        ดวงตาจริงจังจ้องมองมาเหมือนจะบอกว่าเอาจริง ทำให้จิวชงหยวนหรี่ตามองคนไร้เหตุผลแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ สรุปเขากำลังโดนข่มขู่เช่นนั้นหรือ เดี๋ยวใส่ปรอทเสียให้เข็ดเลยนี่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา
 
   “กระหม่อมจะทำให้ฝ่าบาทเสวยอีกครั้งแต่กระหม่อมจะไม่บอกสูตรที่ทำกับผู้ใด หากอยากได้ไปยืนจำเองพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมยักคิ้วให้คนไม่เคยเข้าครัว แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับอย่างจริงจังยิ่งกว่างานราชการเสียอีก
    
         และแล้ว ณ ห้องเครื่องในเวลานี้กลับวุ่นวายไปหมด จิวชงหยวนมองลูกมือที่ช่วยปั้นแป้งบัวลอยแล้วอยากยกเท้าก่ายหน้าผากแทนมือ ลูกกลมๆ ที่ควรจะเป็นบิดเบี้ยวไปมาเล็กบ้างใหญ่บ้างหากลงหม้อต้มจริงๆ คงติดคอตาย ที่สำคัญใบหน้าหล่อเหลามีแป้งติดเต็มหน้าไปหมดเสื้อผ้าขาววอกไปตามกัน เห็นแล้วรู้สึกไมเกรนขึ้นเสียดื้อๆ
    
      “พอๆ กระหม่อมทำเอง ฝ่าบาทไปยืนดูอยู่ตรงนั้น”
    
        จิวชงหยวนบอกอย่างหงุดหงิด ดวงตาเรียวตวัดมองมาอย่างไม่พอใจทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยอมถอยออกไปง่ายๆ ดวงตาคมมองการทำบัวลอยไข่หวานที่แสนยากเย็นด้วยความสนใจ แต่รู้สึกว่าเขาจะไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ถึงทำได้เละเทะไปหมด
    
        เพียงสองมือเรียวนั้นจับนู่นนี่เพียงครู่ทุกอยางกลับออกมางดงามมิหนำซ้ำไม่มีแป้งมาติดตามตัวเหมือนตนอีก เจ้าเล่ห์เพอุบายมาก็เยอะแต่กลับมาเสียรู้คนตัวเล็กด้วยฝีมือเสน่ห์ปลายจวัก เห็นทีครานี้จะคัดฮ่องเฮาคงต้องทำบัวลอยไข่หวานเป็นก่อนกระมั้ง
    
      จิวชงหยวนใช้เวลาครึ่งชั่วยามกับการทำบัวลอยไข่หวานและทำพายสตอเบอรี่เป็นของแถมเพิ่มอีกหนึ่งอย่างด้วย ครั้งนี้เขาได้ทำเผื่อลู่เฟยและองค์ชายเจ็ดที่งอนเขาไม่เลิกตั้งแต่สามวันก่อน เนื่องจากเจ้าตัวไข้ขึ้นจนเขาต้องไปดูแลให้ยาแก้อักเสบไว้ โดยตลอดสามวันแม่ทัพห่านหลงก็คอยแวะเวียนไปเยี่ยมตลอดไม่รู้ป่านนี้คืนดีกันหรือยัง
    
       “พระชายาเสด็จ...” เสียงขันทีรายงานองค์ชายเจ็ดดังขึ้นหน้าประตู แต่คำเรียกขานฟังทีไรก็ระคายหูจนน่าหงุดหงิด ให้เรียกแค่หมอจิวมันยากเย็นมากหรืออย่างไร
    
       “ข้าไม่อยากพบ” คำตอบจากคนข้างในทำให้จิวชงหยวนรู้ว่ายังไม่หายงอน แต่สกิลความหน้าด้านของเขามันมากพอจะก้าวเข้าไปโดยที่ทหารไม่กล้าขัดขวาง
    
        “มีอะไรอีกข้าหายป่วยแล้ว” ลั่วหวังอู๋บอกเสียงเรียบดวงตายังเหม่อมองหิมะโปรยปรายด้านนอกอย่างเศร้าๆ จากคนร่าเริงกลับทำตัวห่อเหี่ยวเช่นนี้แล้วรู้สึกผิดนิดหน่อย
    
         “ข้าทำขนมมาให้” จิวชงหยวนบอกพร้อมวางขนมไว้บนโต๊ะแต่ลั่วหวังอู๋กลับเมินหน้าหนีอย่างไม่สนใจ จิวชงหยวนเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกอดออกมองคนทุกข์ใจเรื่องรักแล้วถอดถอนใจ
    
         “ข้ากับองค์ชายห้ามิมีสิ่งใดเทียบเคียงกันได้ ฐานะรันดรข้าเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาผู้หนึ่งหาใช่เทพเซียน ยศฐาบรรดาศักดิ์ก็หามีไม่ แต่ลู่เฟยไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เขารักที่ตัวข้ามิใช่สิ่งอื่น รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก ไยจะต้องมาคิดเรื่องอื่นให้ปวดหัวเพิ่ม” จิวชงหยวนบอกด้วยเสียงราบเรียบ แววตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ ลั่วหวังอู๋หันมามองด้วยความสนใจ
    
          นั่นสิ ทำไมเขาไม่คิดถึงสิ่งนี้มาก่อน จิวชงหยวนเป็นเพียงหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงทั้งยุทธภพแต่มิได้มียศศักดิ์หรือมีสายเลือดของกษัตริย์ไม่ แต่ทั้งคู่กลับรักกันและฝ่าฟันอุปสรรค อีกทั้งร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน แต่สิ่งนี้ตนมิได้มาใส่ใจเพียงแต่คนที่คิดมากกับเรื่องนี้คือห่านหลงแม่ทัพผู้ทรนงตนและรู้จักที่ต่ำที่สูงจนน่าหงุดหงิด
    
         “หากแม่ทัพห่านหลงคิดได้เช่นท่านข้าคงไม่มานั่งทุกข์ใจเช่นนี้หรอก” จิวชงหยวนยกยิ้มบางกับคำกล่าวก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
    
         “เจ้าลองมีคนอื่นดูสิ แม่ทัพห่านหลงคงเดือดเป็นไฟ” ลั่วหวังอู๋มองตามอย่างสนใจ ก่อนจะยกยิ้มบางเมื่อเข้าใจความหมายที่สื่อมา งานนี้เขาไม่ยอมขาดทุนแน่ๆ
    
        “เจ้านี่นะ ถึงว่าท่านพี่ถึงไปไหนไม่รอด” ลั่วหวังอู๋บอกอย่างอ่อนใจเมื่อสุดท้ายก็ต้องยอมใจอ่อนให้คนมากเล่ห์ แต่เขาก็ไม่กล้างอนนานหรอกเดี๋ยวเจอการกลั้นแกล้งมากกว่านี้ ก่อนจะขมวดคิ้วมองกระบุกสีขาวบางอย่างวางมาให้
    
         “เจลหล่อลื่นข้าเพิ่งปรุงเสร็จจะช่วยให้ไม่เจ็บมาก อ่ะ นี่ของจริงไม่ได้แกล้ง ข้าตั้งใจทำให้ตัวเองแต่เป็นการไถ่โทษจากข้ารอบหน้าจะได้ไม่เจ็บตัวอีก” ใบหน้างดงามกล่าวอธิบายเสียงเรียบทว่าคนฟังกลับหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินกับคนหน้าด้าน
    
        “เจ้ามันหน้าด้าน ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ไหนขนมของเจ้า” ลั่วหวังอู๋หันไปคว้าตระกร้าขนมมาดูอย่างเปลี่ยนเรื่อง จิวชงหยวนหัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน นี่เขาใจดีสุดๆ แล้วนะยังมาว่าเขาหน้าด้านอีก
    
       หรือว่าจะด้านจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้เวลาหลอมรวมให้เขาเป็นคนเช่นนี้เอง...
   
        จิวชงหยวนกลับตำหนักหลังจากวันนี้หมดไปกับการทำขนมให้ฮ่องเต้เสวย ส่วนของลู่เฟยเขาได้เก็บไว้ให้เพราะเจ้าตัวไม่อยู่เห็นบอกว่าไปจัดการราชการที่นอกวังหลวง กลับมาก็มืดค่ำทุกค่ำคืนโดยไม่ได้มีเวลามากอดรัดเขาอีกซึ่งเป็นที่น่าพอใจไม่น้อย แต่ก็อดสงสารไม่ได้เพราะเจ้าตัวเร่งทำงานทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะร่วมเดินทางไปกับเขาอย่างจริงจัง
    
         จะมีสักกี่คนที่ทุ้มเทเพื่อความรักมากมายขนาดนี้ ยอมสละตำแหน่ง ละทิ้งความสบายในวังหลวงเดินทางร่วมทุกข์ร่วมสุข ค่ำไหนนอนนั่นไปกับเขา มือจับขลุ่ยหยกที่เขาไม่รู้ว่ามีกลไกอะไรเปลี่ยนเป็นกระบี่ได้ แต่เรื่องนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจนักเพราะอย่างไรก็มีกระบี่โชคชะตาอยู่แล้ว
    
         ขลุ่ยหยกแตะริมฝีปากก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงเดือนเพ็ญจากโลกที่จากมาอย่างแผ่วเบาทว่าความหวานละมุนนั้นดังสะท้อนออกไปไกลทำให้ตรึงใจคนฟัง ความหมายลึกซึ้งที่เอ่ยออกมาบ่งบอกอารมณ์ผู้บรรเลงได้เป็นอย่างดี
    
        ลู่เฟยกลับมาจากงานหยุดมองร่างโปร่งบางที่ยืนบรรเลงเพลงขลุ่ยอยู่ริมหน้าต่างด้วยสายตายากจะอ่านออก ก่อนจะเดินเข้าไปกอดร่างโปร่งบางแนบกายแล้วกระซิบแผ่วเบา
    
        “ข้ารักเจ้า และมีแต่เจ้าตลอดไป ที่นี่คือบ้านของเจ้าและข้า แม้จะวายชีวีข้าจะไม่ปล่อยเจ้ากลับไป” จิวชงหยวนหยุดชะงัก เงยหน้ามองดวงตาคมที่จริงจังทำให้ยกยิ้มบาง
    
       “ข้ารู้ ข้าอยู่ผิดที่มาตั้งแต่แรก จะอยู่ที่ไหนก็ได้แค่มีเพียงเจ้า” คำตอบที่ได้รับทำให้ลู่เฟยตื้นตันใจรั้งร่างโปร่งบางมากอดแนบอกที่สั่นระรัว ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางอย่างดีใจ จิวชงหยวนไม่ใช่คนพูดอะไรหวานๆ หากเจ้าตัวไม่รู้สึกจริงคงไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
    
        “เหม็นเหงื่อไปอาบน้ำได้แล้ว” คำพูดที่ขัดบรรยากาศหวานๆ พร้อมมือผลักไสออกห่างทำให้ลู่เฟยนิ่วหน้า จะหวานนานกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร จิวชงหยวนเมื่อก่อนเป็นเช่นไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ดวงตาเรียวที่มองมาทำให้ยอมปล่อยเอวอย่างอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
   
         “อาบให้หน่อยสิ” จิวชงหยวนตวัดตามองคนเจ้าเล่ห์อย่างรู้ทัน
    
          “อาบเองสิหรือจะให้ข้าเรียกนางกำนัลให้”
    
          “ข้าอาบเองได้” ผู้ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับตัวเองตอบรับ ก่อนจะหมุนกายจากไป จิวชงหยวนมองตามแล้วยกยิ้มบางแต่เมื่อเห็นแก่ที่โหมงานหนักมาทั้งวันจะช่วยวันหนึ่งก็แล้วกัน แต่หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องตามครรลองของมันแล้วกัน...
    
          ทางด้านตำหนักเหลยหวังที่เป็นที่พักขององค์ชายเจ็ด ทว่ายามนี้กลับนั่งหัวเราะคิกกับองค์รักษ์คนสนิททำให้คนแอบมองรู้สึกหงุดหงิดใจ อีกทั้งแนบชิดใบหน้ากระซิบพูดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยิ่งทำให้กำมือแน่นด้วยความหึงหวง แม้จะบอกกับตัวเองว่าไม่คู่ควร แต่หัวใจกลับไม่ยินยอมที่จะรับฟัง โรคที่มิอาจบอกใครได้กลับหายไปเมื่ออยู่ใกล้ร่างโปร่งขององค์ชายลั่วหวังอู๋
    
         “เจ้าจะแอบมองอยู่แบบนั้นอีกนานไหม” เสียงทักทายทำให้คนที่แอบมองอยู่สะดุ้งเล็กน้อยแต่เมื่อหันไปมองคนที่เข้ามาโดยไม่อาจรับรู้ได้ก็มิได้แปลกใจอะไร
    
        “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอ...” ลั่วเหยียนเจิ้งยกมือห้าม
    
       “ไม่ต้องมากพิธี ว่าแต่เจ้าไม่เข้าไปหรือไง”
    
         “เอ่อ...คือกระหม่อมมาตรวจเวรยามกำลังจะไปที่อื่นพ่ะย่ะค่ะ”  น้ำเสียงหนักแน่นที่ตอบกลับมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามแล้วส่ายหน้า เขารับรู้เรื่องนี้มาจากจิวชงหยวนเพราะเจ้าตัวเข้ามาถามว่าคิดเห็นเช่นไรหากได้น้องเขยแทนน้องสะใภ้
    
         “แม้แต่ข้าเจ้ายังกล้าโป้ปด ต่อไปภายภาคหน้าข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อีกหรือ”
    
           “กระหม่อมมิกล้า ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว”
    
           “เจ้าคิดเช่นไรกับน้องข้าแม่ทัพห่านหลง” น้ำเสียงจริงจังและคำถามที่ไม่คาดคิดมาก่อนทำให้แม่ทัพคุกเขาก้มหน้าชิดพื้นหญ้าอย่างขอความเมตตา
    
           “ฝ่าบาทโปรดลงอาญากระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะที่หมายจะเด็ดบุบผางามที่สูงส่ง” ลั่วเหยียนเจิ้งมองแม่ทัพบูรพาที่ซื่อสัตย์ตรงหน้าอย่างพิจารณา
    
         “ดี! เป็นลูกผู้ชายต้องยอมรับความจริง แต่ความผิดของเจ้าคือทำให้น้องข้าเสียใจโทษหนักหนาสาหัสนักเจ้ายิมยอมรับโทษหรือไม่”
    
        “พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงตอบรับกลับมาอย่างจริงจังลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะออกคำสั่งลงโทษที่ทำให้คนฟังตะลึงงันเงยหน้ามองพระพักตร์อย่างไม่แน่ใจ
    
         “โทษของเจ้า แต่งงานกับน้องเจ็ดซะ และข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามีสามภรรยาสี่อนุ เจ้าจะยอมรับโทษทันณ์ครั้งนี้หรือไม่”
    
          “ฝ่าบาทกระหม่อมไม่เข้าใจ” แม่ทัพผู้ผ่านศึกมามากถึงกลับไปไม่เป็น เงยหน้ามองพระพักตร์เอ่ยถามอย่างสับสนว่าตนฟังผิดหรือไม่
    
          “ยังไม่ขอบพระทัยฝ่าบาทอีก” หยางซือหมิงองค์รักษ์ส่วนพระองค์กล่าวบอกอย่างไม่พึงพอใจ แม่ทัพห่านหลงหันไปมองผู้ปรากฏตัวมาใหม่ก่อนจะก้มหน้าขอบพระทัยฮ่องเต้ แม้ในใจยังคิดว่าตนเองต้อยต่ำแต่หากเป็นคำสั่งของห้องเต้แล้วไซร้ ไฉนเลยจะกล้าปฏิเสธ
    
         “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา” แม้จะตอบรับแต่ก็สัมผัสได้ถึงความลำบากใจ ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    
        “หากรักแล้วจะกังวลสิ่งใด ข้าประทานอภิเษกสมรสให้มิใช่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดเช่นไรต่อกัน ข้ามิอาจใจร้ายกับความรักบริสุทธิ์ได้หรอก จากนี้ก็ขึ้นอยู่ที่เจ้าจะตามง้อน้องเจ็ดได้อย่างไร หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” กล่าวจบก่อนจะหมุนกายจากไป ปล่อยให้แม่ทัพห่านหลงก้มหน้าส่งท้ายด้วยความซาบซึ้งในน้ำพระทัย
    
         “น้อมส่งเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”


    ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากนะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้า จุ๊บๆ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-11-2015 15:12:44
มีความสุขไปตามๆกัน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 20-11-2015 15:14:49
 :z3: เอาอีกๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 20-11-2015 16:06:29
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-11-2015 17:30:17
ครบคู่กันแล้วซินะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-11-2015 20:17:36
มาให้กำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-11-2015 21:08:46
ผ่านมาสองตอนแล้ว

ไม่เห็นบอกเลยว่าลู่เฟยได้กินของที่หมอจิวทำหรือเปล่า

อยากให้ลู่เฟยชมว่าหมอจิวทำอร่อยอะ

คู่รองก็น่าสนใจนะ แล้วคู่อี้ฟานหละ แล้วอี้ฟานจะเกิดมาทันก่อนจบไหมอะ

ติดตาติดใจกับความเสียสละของอี้ฟานมากๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 20-11-2015 22:49:20


ยังไม่อิ่ม


ขออีกได้ไหม


แบบว่า.....


ชอบอ่ะ

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 22-11-2015 09:54:01
สนุกมาก แม่ทัพคือน่ารักปนน่าสงสาร  รอผลงานเรื่องใหม่อยู่นะค้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 22-11-2015 10:30:37
5555555 ชงหยวนก็ยังเป็นชงหยวนอยู่ดี
ฮ่องเต้น่ารักก อยากกินขนมแบบสุด
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: poohanddew ที่ 25-11-2015 09:08:34
ตามอ่านจนทันแล้ว
ชอบๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 25-11-2015 12:29:04
บทที่48ออกเดินทาง 
เล่ม 2 ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)

        หลังใช้เวลาร่วมเดือนในการทำการภารกิจภายในวังหลวงเรียบร้อย จึงได้ออกเดินทางออกท่องยุทธภพอีกครั้ง และครั้งนี้ยังมีจุ้ยซิงที่หายจากโรคซึมเศร้าบ้างแล้วได้ติดตามรับใช้ไปด้วย ลูกศิษย์ที่คนแรกหัวดีและฉลาดทันผู้คนมากขึ้นหลังจากใช้ชีวิตวังหลวงมานับเดือน รู้จักโป้ปดและเสแสร้งเป็นจนจิวชงหยวนไม่รู้จะชื่นชมดีหรือไม่ และยังรู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม โตขึ้นมากกว่านี้ทำให้หายห่วงได้เลย
    
        พวกเขาได้มุ่งหน้าไปทางตอนใต้ทางเมืองเจียงหนานอีกครั้งเพื่อกลับไปรับกระบี่จากเฟิงอวี้ที่รับปากว่าจะทำกระบี่ให้ลู่เฟย ในเวลานี้เจ้าตัวส่งข่าวมายังเมืองหลวงลั่วหยางตามที่เคยให้ที่อยู่ไว้ และไม่ได้เดินทางไปช่วยหย่งเจิ้นเพราะเจ้าตัวส่งข่าวมาว่าทุกอย่างเรียบร้อย อีกทั้งการลงมือจับกบฏคือช่วงที่ลู่เฟยต่อต้านจับกุมกบฏในแคว้นลั่วหยางพอดี แม้จะไม่ได้เข้าไปช่วยแต่ก็ดีใจที่หย่งเจิ้นกับพรรคพวกผ่านเหตุการณ์เลวร้ายได้ล้างแค้นตามที่เจ้าตัวตั้งเป้าหมายไว้ได้ ไป๋เสวี่ยได้ขึ้นครองบัลลังก์ตามราชประเพณีอีกทั้งคอยมีไป๋หู่และหย่งเจิ้นคอยสนับสนุนทำให้ไม่มีใครลุกขึ้นมาต่อต้านได้อีก
    
        ณ เวลานี้จิวชงหยวนสวมหมวกปีกสานใบใหญ่มีผ้าคลุมปกปิดใบหน้าไว้อย่างมิดชิดเพื่อป้องกันปัญหาที่ตามมา ส่วนลู่เฟยสวมหน้ากากสีทองดูล้ำค่า สง่างามกับอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มลายมังกรดูน่าเกรงขามและแรงกดดันที่แผ่ออกมาทำให้ไม่มีใครกล้าจะทักทาย ส่วนจุ้ยซิงมีเพียงหมวกปีกสานที่ไม่ได้มีผ้าคลุมหน้าแบบตนเท่านั้น ทั้งสามนั่งเรือในเมืองเจียงหนานตรงไปที่แคว้นฝู้เจียนอย่างไม่รีบร้อน ระหว่างทางก็ช่วยเหลือรักษาชาวบ้านมาเรื่อยๆ
    
        “นั่นเกาะอะไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามจุ้ยซิงที่นั่งอยู่ไม่ห่าง มองไปเกาะใหญ่ที่ดูน่าหวาดหวั่น แม้จะมองเห็นได้เลือนลางเพราะไอเย็นของน้ำในช่วงฤดูเหมันต์
    
       “นั่นเป็นเกาะของตำหนักดอกท้อหรือพรรคดอกท้อที่มีท่านเสวี่ยอู่เป็นจ้าวตำหนักขอรับ”
    
        ข่าวใหม่ที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปเล็กน้อย นี่เดินทางมาด้วยกันตั้งนาน คิดไว้แล้วว่าเสวี่ยอู่มีตำแหน่งไม่ธรรมดาแต่ไม่คิดว่าจะมีเกาะเป็นของตัวเองและยังเป็นจ้าวตำหนักเช่นนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากเปิดเผยตัวเขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เหมือนเดิม
    
       ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามพวกเขาก็มาปรากฏตัวที่แคว้นฝู้เจี้ยน จิวชงหยวนไม่ได้รีบไปรับกระบี่แต่เดินสำรวจเมืองที่ติดริมทะเลดูอย่างละเอียดด้วยความสนใจ เพราะคราที่ผ่านมาไม่ได้มีเวลามาเดินเล่นเช่นเช่นนี้ ยามนั้นคิดว่าจะหนีหมิงอี้ฟานรอดแต่หากรู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นเขาคงไม่หนีให้เสียเวลาสำรวจเมือง
    
       “หาอะไรกินกันก่อนเถอะ” จิวชงหยวนหันไปชวนทั้งสองคนที่มองสำรวจรอบกายนิ่งๆ พวกเขาไม่ได้เข้าโรงเตี๊ยมกันมานานมากแล้วจนลืมบรรยากาศไปแล้ว
    
       “อื้ม แต่อาหารที่นี่คงสู้ฝีมือเจ้าไม่ได้” คำพูดเรียบๆ ของลู่เฟยและสายตาจริงจังที่มองมาทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่อ หยอดเขาวันละนิดวันละหน่อยจนอยากแทรกแผ่นดินหนีอาย ดีแต่ว่าจุ้ยซิงเริ่มชินชาทำเป็นไม่สนใจทำให้เขาต้องทำหน้าด้านเดินนำทางไป
    
       ครานี้พวกเขาได้ที่นั่งอยู่ชั้นล่างที่มีเสียงพูดคุยโวยวายเสียงดังกันไปมา แต่ก็ง่ายสำหรับการได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จากชาวยุทธที่มีพักผ่อนที่นี่ โรงเตี้ยมแห่งนี้ดูแบบเรียบง่าย มีด้วยกันสามชั้น ชั้นหนึ่งและสองเป็นห้องให้รับประทานอาหารส่วนชั้นสามเป็นห้องพักสำหรับชาวยุทธ
    
       “หนึ่งเดือนก่อนข้าได้ยินมาว่าหมอเทวะมารไปพังพรรคพยัคฆ์คำรนและพรคหมื่นพิษจนพินาศไม่เหลือซาก หากจะตั้งพรรคใหม่คงยากยิ่ง”
    
       “ใช่ๆ ข้าเจอลูกศิษย์พรรคหมื่นพิษที่ขออนุญาตกลับบ้านและกำลังจะกลับพรรคเล่าว่าหมอเทวะมารเป็นเทพมารด้วย”
    
        เสียงนินทาระยะเผาขนทำให้จิวชงหยวนเหลือบตามองไปนิดๆ ก่อนจะหันไปสั่งรายการอาหารพร้อมนั่งรอโดยฟังการนินทาตัวเองไปด้วย ลู่เฟยยกยิ้มบางอย่างขำขันมองคนที่ถูกนินทาขมวดคิ้วมุ่นเมื่อการนินทาเริ่มมีการใส่สีตีไข่จนฟังแล้วหมอเทวะมารหรือหมอเทวดาจิวชงหยวนจะเป็นปีศาจขึ้นไปทุกที
    
       “ข้าว่าหมอเทวะมารต้องปีศาจแน่ๆ แต่แกล้งรักษาคนเพื่อสูบพลังวิญญาณของมนุษย์ ไม่เช่นนั้นไม่สามารถทำลายพรรคหมื่นพิษได้เพียงตัวคนเดียวแน่ๆ” ชายร่างผอมเอ่ยกระซิบกระซาบแต่กลับได้ยินกันทั้งโรงเตี้ยมก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงหนาจะโบกหัวให้เจ้าตัวหนึ่งที
    
       “เจ้าบ้า หากเป็นเช่นนั้นข้าไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก ขืนยังใส่ร้ายท่านหมอผู้งดงามข้าจะกระทืบเจ้าให้จมดินเลย” คำกล่าวของชายชุดเขียวซึ่งหันหลังให้จิวชงหยวนทำให้หรี่ตาเพิ่งพินิจว่าตนเคยรู้จักคนนี้หรือไม่
    
        “หยวนน้อยเจ้าไปปล่อยเสน่ห์ที่ไหนมา” ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวานที่ทำให้รู้สึกเย็นเยือกไปข้างหลัง จิวชงหยวนมองกลับด้วยใบหน้าใส่ซื่อแม้จะยังไม่ได้ปลดหมวกออกแต่ลู่เฟยก็พอเดาได้ว่าเจ้าตัวทำหน้าอย่างไร
    
         “ข้าก็อยู่ของข้าดีๆ ไม่ได้ไปปล่อยเสน่ห์ใส่เจ้า เจ้ายังตามติดข้าได้เลย” จิวชงหยวนเอ่ยตอบกลับเสียงเรียบยักไหล่อย่างไม่ยอมรับผิด ลู่เฟยหัวเราะในลำคอแต่คนฟังกลับเสียวสันหลัง และขณะที่กำลังจ้องมองกันอยู่นั้นเสี่ยวเอ้อก็ได้นำอาหารมาเสิร์ฟขัดทัพและบรรยากาศเย็นๆ
    
         จิวชงหยวนนั่งคีบอาหารกินโดยไม่ได้ถอดหมวกออกแต่ดวงตากำลังนั่งมองชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้ตน อย่างครุ่นคิดและเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกว่าถูกจ้องจึงได้หันมา เขามองอย่างอึ้งๆ ไม่อยากเชื่อว่าเจอกันอีก จินจงชุน เด็กหนุ่มที่เขาช่วยชีวิตไว้เมื่อลงมาโลกมนุษย์ครั้งแรก ใบหน้าคมคายนิ่วน้อยๆ ก่อนจะหันกลับไปสนทนากับสหายต่อ และเขาเองก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย การนินทาเรื่องของเขายังได้ยินมาเป็นระยะๆ ก่อนจะหันหลับไปมองลู่เฟยที่คีบเป็ดย่างน้ำแดงมาวางใส่ถ้วยให้อย่างเอาใจ ส่วนจุ้ยซิงก็นั่งกินเงียบๆ อย่างรู้ความ
    
        จิวชงหยวนยกยิ้มที่มุมปากนิด มองดวงตาดุของลู่เฟยอย่างขำขัน แม้เจ้าตัวจะไม่พูดแต่เขาก็รู้ว่ากำลังหึงที่เห็นกำลังมองชายอื่นอยู่  ทว่าขณะนั้นกลับมีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาแล้วขับไล่พวกเขาออกไปอย่างวางก้าม
    
       “พวกเจ้าออกไปให้หมดคุณชายข้าจะกินข้าวที่โรงเตี้ยมนี้” ชายร่างสูงใหญ่ประกาศด้วยแววตาดุดัน และทันทีที่จบคำพูดก็มีผู้คนรีบเผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว เหลืออยู่แค่ชาวยุทธผู้ไม่ได้หวาดกลัวเท่านั้นเช่นดียวกับกลุ่มของจิวชงหยวนที่คีบอาหารเข้าปากมองดูหนึ่งในฉากยอดฮิตของซีรีย์อย่างสนใจ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการที่ตัวเองโดนไล่แม้แต่น้อย มองดูลู่เฟยกับจุ้ยซิงก็นั่งกินข้าวต่อโดยไม่สนใจสิ่งอื่นจนทำให้กลุ่มเขาเป็นที่สนใจแต่แรก
    
       ตุ๊บ!
    
       “พวกเจ้าหูหนวกตาบอดหรืออย่างไร ข้าไล่ให้พวกเจ้าออกไปอยากมีเรื่องกับตระกูลหวังใช่ไหม” คนตัวโตทุบโต๊ะที่จิวชงหยวนนั่งจนน้ำชาในจอกกระเซ็นออกมา ลู่เฟยเงยหน้าหันไปมองสบตาชายร่างใหญ่อย่างกดดัน ทำให้พวกมันถอยหลังอย่างลืมตัว ความกดดันและจิตสังหารที่ส่งมาทำให้เหงื่อแตกซิกอย่างหวาดหวั่นตั้งแต่รับใช้ตระกูลหวังมาไม่เคยมีใครท้าทายอำนาจเช่นนี้มาก่อน และเหมือนคนตรงหน้าจะวรยุทธกล้าแกร่งจนยากจะต่อลอง
    
         “พวกเจ้าจะโวยวายกันทำไม ข้ามากินข้าวไม่ได้มาฆ่าใครเสียหน่อย” น้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมร่างโปร่งบางปรากฏตัวออกมาหลังจากลูกน้องก่อความวุ่นวายจนเดือดร้อนผู้อื่น
    
         “ข้าหวังเหรินอ้าย ขออภัยคุณชายสามที่คนของข้าไร้มารยาท” กิริยาอ่อนช้อยท่วงท่าสง่างามอีกทั้งใบหน้างดงามเหมือนหยกเจียระไนทำให้จิวชงหยวนมองอย่างอึ้งๆ คนตรงหน้ามีใบหน้าเหมือนเขาไปสามส่วน ก่อนจะเหลือบตาไปมองลู่เฟยว่ามีกิริยาเช่นไรกับคนตรงหน้า แต่กลับต้องแปลกใจเพราะเจ้าตัวใบหน้าเรียบนิ่ง หน้ากากสีทองที่ถอดไว้ข้างกายทำให้ลู่เฟยยามนี้ดูน่าหวั่นเกรงมากขึ้น
    
        “เพื่อเป็นการขอโทษจากข้า ข้าขอเลี้ยงข้าวพวกท่านสักมือ” เมื่อพวกเขายังเงียบคุณชายหวังเหรินอ้ายจึงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มบาง จิวชงหยวนมองตามนิ่งๆ เขาจะไม่สนใจเลยหากคนตรงหน้าไม่จ้องมองลู่เฟยอย่างมีเลศนัยอีกทั้งดวงตาหวานซึ่งเปิดเผยความรู้สึกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
    
       “เรื่องเล็กน้อย คุณชายหวังอย่าได้ใส่ใจ ไมตรีของท่านพวกข้ามิอาจรับไว้ได้”
    
         น้ำเสียงอ่อนโยนดังมาจากชายร่างโปร่งบางที่สวมหมวกปีกสานมีผ้าคลุมปกปิดใบหน้าเห็นได้เพียงเลือนลาง หวังเหรินอ้ายรู้ได้ทันทีว่าในนี้คือหัวหน้ากลุ่ม แต่มิอาจทำใจเชื่อเพราะชายหนุ่มหน้าตาคมคายหล่อเหลาอีกทั้งท่วงท่าสูงส่งซึ่งนั่งข้างๆ กันนั้นดูจะเป็นผู้นำเสียมากกว่า
    
        “มิได้ มิได้ หากพวกท่านไม่รับไมตรีจากข้าเห็นทีข้าคงรู้สึกผิด โปรดให้ข้าตอบแทนความมีน้ำใจของท่านสักคราเถิด” หวังเหรินอ้ายกล่าวตอบอย่างนอบน้อม พร้อมถือวิสาสะนั่งลงข้างจุ้ยซิงอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ ส่วนบรรดาลูกน้องหน้าโหดก็พากันไปยืนเข้าแถวอยู่ด้านหลังอย่างเป็นระเบียบการถูกฝึกมานับว่าดีหากไม่วางก้ามใหญ่โตคงจะดีไม่น้อย
    
        จิวชงหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่ายเพราะบอกอะไรใครไปไม่ค่อยจะมีคนฟัง อยากเลี้ยงก็ตามใจ หวังว่าไม่นำเรื่องวุ่นวายมาแก่เขาก็เพียงพอแล้ว
    
        “ไม่ทราบว่าพวกท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ขออภัยที่เสียมารยาทแต่พอจะบอกคุณชายบ้านป่าเช่นข้าได้หรือไม่” จิวชงหยวนหรี่ตามองการวาดศิลป์คำพูดของคุณชายตรงหน้าอย่างพิจารณา ลักษณะการพูดนับว่าไม่ธรรมดา ที่สำคัญเขายังข้องใจกับใบหน้าที่คล้ายกับเขาไปเสียสามส่วน
    
         “ข้าลู่เฟย ส่วนนี่เมียข้าจิวชงหยวน นั่งข้างเจ้าศิษย์จิวชงหยวนชื่อจุ้ยซิง” ลู่เฟยที่สังเกตคนเข้ามาใหม่เงียบๆ เอ่ยขึ้น เขาไม่อยากให้ปัญหาตามมาที่สำคัญของปลอมไม่ว่าเช่นไรก็คือของปลอม
    
        จิวชงหยวนชะงักกึกหันไปมองลู่เฟยที่แนะนำเขาว่าเมียด้วยความอึ้ง แต่คนที่ตะลึงงันกว่ากลับเป็นคุณชายหวัง
    
        “มิคิดว่าจอมยุทธลู่เฟยจะเป็นสุภาพบุรุษยอมรับแม้กระทั่งภรรยาที่เป็นชาย น่าตื้นตันใจแทนยิ่งนัก หากท่านต้องการภรรยาเพิ่มโปรดรับข้าไว้พิจารณาด้วยคนได้หรือไม่” ใบหน้างดงามยิ้มละไม ดวงตาหวานเชื่อมที่มองมาเปิดเผยความรู้สึกอย่างไม่เกรงใจภรรยาที่นั่งเป็นตอไม้สักนิด
    
        บรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่กดดันออกมาทำให้พื้นที่รอบๆ บริเวณโรงเตี๊ยมเริ่มเกาะกุมไปด้วยน้ำแข็ง หิมะข้างนอกโปรยปรายยิ่งเหน็บหนาวไปถึงขั๋วหัวใจ จิวชงหยวนคีบเป็ดย่างน้ำแดงเข้าปากอย่างใจเย็นโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย ทว่าในใจกลับเดือดพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไอเย็นแผ่ออกจากร่างด้วยความเร็วเพราะพลังลมปราณที่เพิ่มขึ้นจากการกินผลท้อของเฒ่าจันทราทำให้ยากต่อการควบคุมขณะที่อารมณ์ยังเดือดพล่านเช่นนี้
    
       “อาจารย์โปรดระงับโทสะก่อนขอรับ” จุ้ยซิงที่วรยุทธอ่อนด้อยที่สุดกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก พลังลมปราณอาจารย์กล้าแกร่งแบบก้าวกระโดด ทำให้ยากต่อการต้านทาน และคนที่กำลังแหย่ลูกแมวให้ตื่นถึงกับสั่นระริก ยิ่งนั่งอยู่ใกล้ความกดดันได้รับเต็มๆ บรรดาลูกสมุนติดตามต่างล้มสลบไปตามๆ กัน ส่วนคนอื่นต่างดึงลมปราณออกมาป้องกันตนเอง
    
       จิวชงหยวนมองตามลูกศิษย์แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าตนกำลังหึงลู่เฟย ให้ตายสิ! เกิดมาก็ไม่เคยหึงใคร นี่ยังมาหึงผู้ชายด้วยกันเสียอีก น่าขายหน้านัก
    
      “ข้ามีธุระต้องจัดการขอตัว” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนบอกเสียงเรียบก่อนจะสะบัดชายผ้าเดินจากไป จุ้ยซิงก็รีบติดตามออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ลู่เฟยมองตามทว่ามุมปากกลับยกยิ้มด้วยความดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่จิวชงหยวนแสดงออกนอกหน้าเช่นนี้ แม้เจ้าตัวจะอารมณ์ร้อนขึ้นแต่ก็ยังมีสติที่จะควบคุมกลับคืนมา และอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าตัวจะแสดงให้เขารู้ก็เป็นได้
    
        “คุณชายหวังต้องขออภัยที่เสียมารยาท เมียข้าเป็นคนขี้หึง อีกทั้งหัวใจข้ามิอาจยกให้ใครได้อีกจึงมิคิดจะมีใครเพิ่ม ต้องขออภัยด้วย” ลู่เฟยลุกขึ้นยืนคารวะตามมารยาทเล็กน้อยก่อนจะเดินตามคนงามที่หึงจนเย็นเยือกไปทั้งโรงเตี๊ยม แต่เขากลับรู้สึกอารมณ์ดีหัวใจพองโต
    
       คุณชายหวังเหรินอ้ายมองตามอย่างตะลึงงัน ร่างโปร่งบางทรุดตัวลงกับพื้นกระอักโลหิตออกมาคำโต มือเรียวยกบาดเลือดที่มุมปากออก แววตามองไปตามสามร่างที่หายไปด้วยความรู้สึกน่าสะพรึง
    
      ฝีมือร้ายกาจ!!
    
       
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่47 วังหลวงป่วนรัก ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 25-11-2015 12:29:47
ต่อจากตอนเมื่อครู่ค่ะ ระบบบอกว่าเกิน20000คำ

       จิวชงหยวนเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าไปทางบ้านของเฟิงอวี้ช่างตีกระบี่ด้วยความเร็วเพราะอารมณ์ชั่ววูบทำขายหน้าจนอยากแทรกแผ่นดินหนีอาย ไม่คิดว่าตัวเองจะหน้ามืดหึงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้มาก่อน จุ้ยซิงที่รับรู้อารมณ์ของอาจารย์ก็เพียงติดตามมาเงียบๆ โดยไม่ปริปากเอ่ยถามให้รำคาญใจ
    
        หมับ!
    
        “เจ้าทิ้งข้าไว้เช่นนั้นได้อย่างไร” ลู่เฟยที่ติดตามมาทันคว้าแขนจิวชงหยวนไว้ด้วยความเร็วพร้อมรั้งร่างโปร่งบางเข้ามาอ้อมกอดตัวเอง จุ้ยซิงเห็นทั้งคู่ตามงอนง้อกันแล้วยกยิ้มบาง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
    
       “ใครทิ้งเจ้ากัน” จิวชงหยวนเถียงกลับจ้องมองคนที่ยกยิ้มบางอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะเมื่อครู่อารมณ์ชั่ววูบเลยทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้น ยิ่งคิดยิ่งอาย
    
         “เจ้าหึงข้าหรือหยวนน้อย” น้ำเสียงรื่นเริงของอีกฝ่ายทำให้มองตาดุก่อนจะเถียงกลับ
    
         “เจ้าตาถั่วหรืออย่างไร ข้าแค่ยังควบคุมลมปราณได้ไม่ดีพอเท่านั้นเอง ปล่อยข้าได้แล้ว” ลู่เฟยยกยิ้มมองคนขี้หึงด้วยความดีใจ ก่อนจะถอดหมวกปีกสานออกเพื่อมองสบกับดวงตาเรียวที่ประกายความสับสนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
    
       “ข้ารักเจ้า...จิวชงหยวน” คำบอกรักและแววตาจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนชะงักงันไปครู่ อารมณ์สับสนขุ่นมัวเลือนหายไปเพราะคำพูดประโยคเดียวของคนตรงหน้า ใบหน้าพาดแดงด้วยความอายริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น
    
       “เอ่อ...ข้ารู้แล้วไปเอากระบี่กันเถอะ”
    
        “โธ่... อาจารย์ ข้ารอลุ้นให้ท่านตอบว่าข้าก็รักเจ้า แต่นี่พูดซะขัดบรรยากาศเลยนะขอรับ” จุ้ยซิงเมื่อเห็นทั้งคู่คืนดีกันได้แล้วจึงกล่าวออกมาอย่างขัดใจตนนิดๆ
    
         จิวชงหยวนหันไปมองคนที่ยืนลุ้นตามแล้วนึกขำ เรื่องอะไรเขาจะหลอมตัวพูดออกไป แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วนี่ยังมีพยานบุคคลคอยแอบชำเลืองอยู่ใครจะไปกล้าพูด ก่อนจะพากันตรงไปยังบ้านเฟิงอวี้ด้วยอารมณ์ที่สงบขึ้น ส่วนเรื่องที่เกิดในโรงเตี๊ยมจะพยายามไม่นึกถึงมันแล้วกัน
    
         เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของเฟิงอวี้ต้องประหลาดใจเพราะยังเงียบสงบวังเวงเช่นเดิมคล้ายกับว่าไม่มีผู้คนอาศัย แต่พวกเขาก็ไปเคาะประตูบ้านตามมารยาท เพียงไม่นานก็มีคนเดินมาเปิดประตู จิวชงหยวนมองชายหนุ่มร่างสูงสง่า ใบหน้าคมคายอีกทั้งรูปร่างที่เปลี่ยนไปมากจนจำแทบไม่ได้ว่าคนตรงหน้าจะคือเฟิงอวี้ที่เคยรู้จัก
    
        “ท่านหมอ” คนตรงหน้าเรียกอย่างแผ่วเบาด้วยความตกใจก่อนจะยกยิ้มบางหันไปกล่าวต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยืยนด้วยความยินดี
    
       “ข้าดีใจที่พวกท่านกลับมาเร็วกว่าที่คิด เชิญด่านในก่อนขอรับ”
    
         จิวชงหยวนเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก เวลานี้หมวกเขายังอยู่กับลู่เฟยที่ถอดออกตั้งแต่ก่อนจะมาถึงนี่ทำให้เฟิงอวี้จำเขาได้ตั้งแต่แรกอีกทั้งลู่เฟยก็ไม่ได้สวมใส่หน้ากาก พวกเขามาหยุดเรือนไผ่ที่ร่มรื่นกว่าครั้งที่ผ่านมาต้นไม้เขียวขจีน่าอยู่มากขึ้น
    
         “บ้านท่านน่าอยู่มากขอรับ แต่เสียดายเงียบวังเวงไปหน่อย” จุ้ยซิงกล่าวออกมาคนแรก ซึ่งเจ้าของบ้านเพียงแค่หัวเราะเบาๆ
    
         “ขอบคุณ แต่บ้านข้าก็มีดีอยู่แค่ส่วนนี้ ทางด้านเรือนอื่นข้ายังไม่มีเงินไปบำรุงรักษา” คำตอบที่ได้รับทำให้จุ้ยซิงหน้าเสียไปนิดเพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จิวชงหยวนจึงยิ้มบางก่อนจะกล่าวต่อ
    
         “เพียงไม่กี่เดือนได้ขนาดนี้นับว่าท่านมีมานะและความพยายามมากแล้ว ว่าแต่ท่านป้าไม่อยู่หรอกหรือ”
    
        “ท่านป้าไปเยี่ยมญาติที่แคว้นต้าฉี ข้าเห็นว่าท่านป้าอายุมากแล้วจึงให้อยู่กับลูกหลาน เพราะข้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เฟิงอวี้ตอบคำถามพร้อมรินน้ำชาให้ทั้งสามคนด้วยความยินดี เฝ้ารอมาตลอดว่าจะได้เจอผู้มีพระคุณอีกครั้ง
    
        “ท่านลู่ ข้าตีกระบี่ให้ท่านเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวข้าจะเอามาให้ชม รอประเดี๋ยวนะขอรับ” เมื่อรินน้ำชาให้ครบจึงกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนไปเอากระบี่สำคัญที่ทุ้มเททั้งกายทั้งใจหวังจะตอบแทนที่ทำให้ตนยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้
    
       “ไม่ต้องรีบก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้รีบไปที่ใด” ลู่เฟยเอ่ยบอกพร้อมจิบชาแก้กระหายไปด้วย
    
       “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าอยากให้ท่านได้ชม” กล่าวจบพร้อมหุนหันไปเอากระบี่ จิวชงหยวนมองตามแล้วยิ้มขำเพราะเจ้าตัวคงภูมิใจกับกระบี่ที่ตีขึ้นมาน่าดู
    
       “ข้าว่ามันต้องพิเศษมากแน่” จิวชงหยวนกล่าวกับคนหน้านิ่ง ลู่เฟยมองตอบแล้วหันกลับไปมองเจ้าของบ้านที่กลับมาพร้อมกระบี่อย่างรวดเร็ว นับว่าเจ้าตัวก็ฝึกวิชาลมปราณเพิ่มขึ้น
    
        “นี่ขอรับ ลองเปิดห่อผ้าดูขอรับว่าถูกใจท่านลู่หรือเปล่า” ลู่เฟยรับห่อผ้ามาเปิดดูตามที่เจ้าบอก ทว่าทันที่เห็นเฉพาะปอกกระบี่ก็ลวดลายงดงามล้ำค่ามากแล้ว ทันที่ชักกระบี่ออกมากลับได้ยินเสียงใสกริ๊งอีกทั้งคมกริบสะท้อนออกมา ลู่เฟยนิ่วหน้ามองกระบี่ตรงหน้าที่มิใช่กระบี่มารแต่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ อีกทั้งทำมาจากเหล็กไหลพันปีที่หายาก บ่งบอกว่าผู้สร้างทุ้มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหน
    
       “เหล็กไหลพันปีนั้นหายากแต่เจ้ากลับสร้างมันให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
    
       “สมกับเป็นท่านลู่ข้าคิดแล้วว่าท่านต้องดูออก เหล็กไหลนี้อยู่กับข้าก็ไร้ประโยชน์แม้จะเป็นของบรรพบุรุษแต่หากอยู่ในมือท่านที่สามารถปกป้องท่านหมอจิวได้ข้าก็ยินดี” ลู่เฟยคิ้วขมวดกับคำกล่าวของช่างตีกระบี่ที่เหมือนจะตั้งใจทำกระบี่ให้เขาก็จริงแต่จุดมุ่งหมายกลับเป็นปกป้องคนรักเขาซะอย่างนั้น แต่ถึงไม่มีกระบี่เขาก็จะต้องปกป้องจิวชงหยวนอยู่แล้วแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม แต่เพื่อเห็นแก่ความตั้งใจจริงเขาจะรับมันไว้ ก่อนจะแปลกใจเมื่อกระบี่เล่มนี้สลักชื่อเขาไว้ ‘ลู่เฟย’
    
       “ขอบคุณเจ้ามากข้าจะใช้ปกป้องชงหยวนตามปรารถนาของเจ้า” จิวชงหยวนมองชายหนุ่มสองคนมองตากันอย่างจริงจังแล้วนึกขำ
    
       “จริงสิท่านเฟิงอวี้นี่จุ้ยซิงลูกศิษย์คนแรกของข้า” จิวชงหยวนแนะนำลูกศิษย์ที่มองทั้งยิ้มแหยกับความจริงใจของลูกผู้ชายที่ยอมเปิดเผยความรู้สึกออกมาโดยไม่คิดหมายจะเป็นเจ้าของ เมื่อไม่เห็นสีหน้าเศร้าใจของจุ้ยซิงแล้วรู้สึกเบาใจ หนึ่งเดือนมานี้ทำให้จุ้ยซิงเข้มแข็งมากขึ้น
    
       “คนแรกหรือ เช่นนั้นท่านจะรับข้าเป็นศิษย์อีกคนได้หรือไม่” เฟิงอวี้เอ่ยถามด้วยความสนใจมองลูกศิษย์ที่ใบหน้าน่ารักอีกทั้งร่างเล็กบอบบาง ทว่าพลังลมปราณกลับกล้าแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ ทว่าคนที่เป็นอาจารย์กลับอึ้งมองไปคนขอเป็นศิษย์จนอย่างพูดไม่ออก
    
       “เวลานี้ข้ายังไม่คิดมีลูกศิษย์เพิ่ม แต่หากเมื่อใดข้าท่องยุทธภพจนหมดสิ้น ข้าจะตั้งสำนักเซียนโอสถ เมื่อนั้นข้าจะกลับมาถามเจ้าอีกครั้ง” จิวชงหยวนบอกความตั้งใจของตัวเอง เขาคิดว่าจะท่องยุทธจักรให้ทั่วช่วยเหลือผู้คนให้มากที่สุด จากนั้นจึงจะมาเปิดสำนักรับผู้มีจิตใจคุณธรรมมาเป็นศิษย์เพื่อสานเจตจำนงของหมอเทวดาต่อไป
    
      “ข้าจะรอถึงวันนั้น” เฟิงอวี้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม แม้จะมีวิชาตีกระบี่แต่หากได้ไปรับใช้ผู้มีพระคุณนานเท่าไรก็จะรอ อีกอย่างการแพทย์ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ได้รักษาผู้คนและยังได้ความสุขกลับมาด้วย     
    
        จิวชงหยวนใช้เวลาพักอยู่ที่บ้านของเฟิงอวี้สามวันก่อนจะเดินทางไปเรื่อยๆ ได้ข่าวโรคระบาดหรือโรคประหลาดอยู่ที่ใดก็จะเข้าไปดูติดตามและคอยรักษาให้โดยไม่ได้หวังเงินทองตอบแทน แต่ก็มีผู้คนมอบสินน้ำใจให้เล็กน้อยแต่มากคนและผ่านไปหลายเมือง ทำให้ตอนนี้จิวชงหยวนมีเงินมากพอที่จะตั้งสำนักได้เลย
    
        ระหว่างทางแม้จะมีนักเลงอันธพาลคอยรังครวญบ้าง แต่เมื่อรู้เขาเป็นหมอเทวะมารต่างก็หนีกระเจิงไปไกลด้วยความหวาดกลัว คงต้องขอบคุณชื่อเสียงที่ทำให้เขาสะดวกในการเดินทางมากขึ้น ลู่เฟยเวลานี้ผู้คนต่างรู้จักในฐานะจอมยุทธกระบี่ไร้เงา เพราะการลงมือเฉียบขาดอีกทั้งไม่ทันได้เห็นการชักกระบี่ออกจากคมฟักทำให้ได้ฉายานี้มาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
    
       ส่วนจุ้ยซิงลูกศิษย์เพียงคนเดียวได้ท่องยุทธภพเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยตัวคนเดียวตามคำสั่ง เพราะบางสิ่งได้สั่งสอนไปเกือบหมดแล้วอีกทั้งได้ให้ตำราที่เขาเขียนเองให้ไปด้วย เขาไม่ได้ผลักไสลูกศิษย์เพียงแต่ให้ไปหาผู้คนที่จะมาเป็นลูกศิษย์เขาอีกครั้ง
    
        “ลู่เฟยเจ้าว่าข้าจะตั้งตำหนักได้ที่ไหนดี แบบว่าดูยิ่งใหญ่หน่อย”
    
          จิวชงหยวนหันไปถามคนข้างกายที่กำลังอ่านหนังสือบางอย่างที่เขาเห็นมาได้ระยะหนึ่งแล้วเพียงแต่ไม่ได้สนใจเท่านั้น แต่เมื่อเห็นเจ้าตัวอ่านไปหน้านิ่วคิ้วขมวดไปด้วยจึงชะโงกหน้าไปดูด้วยคน ก่อนจะเงยหน้ามองคนอ่านอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะอ่านหนังสือประเภทนี้ด้วย ‘หนังสือการเกี้ยวพาราสีร้อยแปดประการ’
    
        “เจ้าไปเกี้ยวพาราสีใครอีก” จิวชงหยวนนิ่วหน้าเอ่ยถามมองหนังสือในมือสลับกับเจ้าของไปมา ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะยกนิ้วจิ้มไปที่หน้าผากจิวชงหยวนเบาๆ
    
        “เจ้าอย่างไรล่ะ”
    
        “หืม ข้าหรือ นี่ยังคิดจะจีบข้าอีกหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างติดตลก ส่ายหน้ากับคนคิดไร้สาระ
    
        “อื้ม ข้าต้องหาวิธีทำให้เจ้ามองแต่ข้าคนเดียว และไม่เบื่อข้าไงเพราะเจ้าต้องอยู่กับข้าไปอีกนานแสนนาน” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับอย่างปลงๆ
    
        “หากเจ้าทำตามหนังสือข้าไม่ดีใจด้วยหรอกเพราะมันไม่ได้มาจากใจ อีกอย่างแค่เป็นเจ้าเวลานี้ก็พอแล้ว” ลู่เฟยได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มบางตวัดอุ้มร่างโปร่งบางมากอดอย่างดีใจ
    
        “ปล่อยได้แล้ว ตะวันตั้งกลางศีรษะเพราะฉะนั้นคืนนี้ต้องหาโรงเตี๊ยมพัก ข้าเริ่มปวดหลังกับการนอนพื้นดินแล้ว” จิวชงหยวนบอกพร้อมแกะมืออีกฝ่ายออกซึ่งลู่เฟยก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย  ทั้งคู่เดินไปตามริมน้ำเพื่อเก็บสมุนไปด้วยผ่านมาไม่กี่วันเขากลับเดินผ่านมาได้เป็นสิบเมืองเนื่องจากใช้ลมปราณในการเดินทาง ระหว่างเก็บสมุนไพรระหว่างไปหมู่บ้านข้างหน้ากลับเห็นใครบางคนที่ไม่ได้เจอมานานเกือบสองปีแล้ว ทว่าใบหน้าสวยคมของอีกฝ่ายนั้นยากจะลืมเลือน เจ้าตัวยืนนิ่วหน้ามองผิวน้ำตรงหน้าก่อนจะหันขวับมาทางเขาเมื่อรู้ว่ามีผู้อื่นโผล่มาที่แห่งนี้
    
        “หืม บังเอิญเสียจริงได้เจอคุณชายหลิ่วเหวินอี้ที่นี่” จิวชงหยวนทักทายพร้อมเปิดหมวกออกเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นหน้าและแสดงเจตนาว่าตนไม่ได้มาหาเรื่อง หลิ่วเหวินอี้เพียงขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย จิวชงหยวนยืนอึ้งไม่ว่าเมื่อไรคนผู้นี้ก็หยิ่งเสมอต้นเสมอปลาย ท่าทางจะมีปมด้อยอย่างหนักไม่เช่นนั้นคงไม่ไร้มนุษย์สัมพันธ์อย่างนี้
    
        “คนรู้จักเจ้าหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามมองชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามกึ่งหล่อเหลาได้อย่างลงตัว ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับเย็นๆ เหมือนสร้างกำแพงมาปกป้องตัวเอง
    
        “เจ้าหาอะไรให้ข้าช่วยไหม” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่เคยรู้จักอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะบอกความต้องการของตัวเอง
    
        “ปลา”
    
          คำตอบสั้นๆ ของเจ้าตัวทำให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง ทว่าดวงตาคมๆ ที่มองมานั้นฉายแววหงุดหงิดออกมาอย่างมาอย่างเห็นได้ชัด
    
        โครกกกก
    
        ทั้งสามนิ่งอึ้งไปเสียงท้องร้องดังเหมือนฟ้าผ่าลงมา ทว่าเจ้าของท้องที่รองประท้วงกลับมีใบหน้าไร้อารมณ์มีเพียงคิ้วที่ขมวดเป็นปมเท่านั้น จิวชงหยวนหัวเราะออกมาอย่างสุดจะอดกลั้น ดวงตาคมๆ ตวัดมามองอย่างไม่พอใจ
    
        “ฮ่าๆๆ เจ้าหิวหรอกหรือ ว่าแต่กระบี่เจ้าไม่พกบ้างหรืออย่างไร แล้วลมปราณก็มีทำไมไม่ใช้” ทว่าเจ้าตัวกลับนิ่วหน้าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด ก่อนจะยื่นมือให้อีกฝ่ายจับจิวชงหยวนมองตามก่อนจะจับชีพจรของอีกฝ่ายแล้วนิ่วหน้าอย่างแปลกใจเพราะเสียงการเต้นของหัวใจปกติ ทว่าพลังลมปราณกลับปั่นป่วน
    
       “เจ้าไปทำอะไรมาลมปราณถึงปั่นป่วนเช่นนี้”
    
       “เจ้าฝึกวิชาเองใช่หรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ดวงตาคมนั้นหันมามองก่อนจะพยักหน้ายอมรับความจริง ที่เขารู้เพราะฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเองก็เป็นเพราะต้องการปกปิดความสามารถทำให้แอบฝึกเองจนลมปราณปั่นป่วนไม่คงที่หากฝืนใช้จะแตกซ่านไปได้
    
       “อื้ม อย่างนี้นี่เอง” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะชัดพลังลมปราณใส่กลุ่มปลาที่ว่ายอยู่ไม่ห่าง จากนั้นจึงจัดการทำความสะอาดและเผาให้หลิ่วเหวินอี้กินปะทังชีวิต แม้เจ้าตัวไม่พูดแต่สายตาก็ส่งมาขอบคุณแทน
    
        “เจ้าน่าจะมีคนติดตามไยมาอยู่คนเดียว” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่กินปลาเงียบๆ
    
        “...”
    
         อีกฝ่ายยังคงเงียบได้เสมอต้นเสมอปลาย พวกเขานั่งมองอีกฝ่ายกินโดยไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีกเพราะไม่รู้ถามไปแล้วจะได้คำตอบหรือไม่ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเจ้าตัวก็จัดการปลาจนหมดตัว
    
       “หนีออกมา” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนงงไปพักใหญ่ก่อนจะนึกได้ตัวเองถามอะไรออกไป สรุปหลิ่วเหวินอี้มารยาทดี? ไม่พูดขณะกินหรือเปล่า
    
       “อ่ะ นี่ยาจะช่วยให้ลมปราณเจ้ากลับคืนมาได้” จิวชงหยวนจัดยาสมุนไพรหายากมาให้คนตรงหน้า ทว่าเจ้าตัวเพียงแค่นิ่วหน้าไม่รับยาที่เขาส่งให้
    
       “ข้าไม่อยากติดหนี้บุญคุณเจ้า” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้จิวชงหยวนมองตามแล้วยกยิ้มบางเพราะไม่เกินจากที่คิดไว้
    
        “ที่เจ้ากินปลาไปทั้งตัวแบบนั้นก็เป็นหนี้บุญคุณข้าแล้วจะรับยาเพิ่มอีกนิดหน่อยจะเป็นไร หากเจ้าลำบากใจก็ให้สินน้ำใจข้าตอบแทนก็ได้” ที่จิวชงหยวนกล่าวเช่นนี้เพราะพอจะเดานิสัยคนตรงหน้าได้ หลิ่วเหวินอี้เพียงนิ่วหน้าเหมือนครุ่นคิดชั่วครู่พยักหน้ารับแล้วหยิบสมุนไพรไปก่อนจะวางเงินให้สิบตำลึงทอง
    
      “พอหรือไม่”
    
       “แค่นี้ก็มากพอแล้วเพราะปกติข้าก็รักษาผู้คนไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เพื่อความสบายใจของเจ้าข้ารับไว้” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมหยิบเงินไปโยนให้ลู่เฟยเก็บไว้
    
         “ข้ามีธุระต้องจัดการ ขอตัวและก็ขอบคุณ” หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นคำนับพวกเขาตามมารยาทก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ต้องรอให้ใครอนุญาติ
    
        “เป็นคนประหลาด” ลู่เฟยกล่าวเบาๆ ขณะมองตามร่างสูงสง่าของหลิ่วเหวินอี้ที่หายไปกับพงหญ้าด้านหน้า
    
        “แต่ข้าว่าน่าสนใจ”
    
        จิวชงหยวนตอบรับยกมือลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด ว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้หลิ่วเหวินอี้ถึงกลายเป็นคนเย็นชาและตั้งกำแพงในใจไว้หนาขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เนื้อแท้ในใจกลับดีกว่าที่เห็นภายนอก ทำบุญปิดทองหลังพระ โดยไม่ให้ใครรับรู้อย่างครั้งที่ผ่านมาช่วยเหลือพวกยากไร้ซึ่งรู้มาว่าเจ้าตัวเก็บคนที่เขาเคยไปขอให้ดูแลด้วยตนเอง ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นรอดพ้นจากการตายจากพรรคพยัคฆ์คำรนได้อย่างหวุดหวิด
    
        “หืม เจ้านอกใจข้าหรือ” คำถามของลู่เฟยทำให้ตวัดหันไปมอง แล้วกล่าวตอบเสียงเรียบ
    
      “ไร้สาระ ไปได้แล้วต้องเข้าเมืองก่อนค่ำ”
    
        ลู่เฟยหัวเราะในลำคอ เดินเคียงข้างไปกับคนขี้อายแต่ปากแข็งอย่างอารมณ์ดี จิวชงหยวนเหลือบตามองทว่ามุมปากกลับยกยิ้มบาง
    
        ทั้งคู่เดินทางต่ออีกหนึ่งชั่วยามก็มาถึงหมู่บ้านเล็กในเมืองโหลวหลันและได้เข้าพักแวะโรงเตี๊ยมที่มีการพูดคุยงานประลองจ้าวยุทธภพอีกครั้งหนึ่งหลังจากผ่านมาได้สี่ปีแล้ว จิวชงหยวนกับลู่เฟยต่างนั่งทานข้าวฟังข่าวสารไปด้วยความสนใจแม้จะยังเหลืออีกหลายเดือนแต่ผู้คนกลับดูครึกครื้นไม่น้อย
    
          นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องทั่วไปและก็ไม่พ้นเรื่องหมอเทวะมารที่ทำลายพรรคชั่วช้าพรรคมารที่ผู้คนต่างเกลียดชัง บ้างก็สรรเสริญเยินยอ บ้างก็ต่างอยากพบเจอและก็มีพวกที่สงสัยว่าเหตุใดประมุขฝ่ายอธรรมถึงได้นิ่งดูดายทั้งๆ ที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่คนที่รู้ดีที่สุดคือจืวชงหยวนเอง
    
        “ข้าให้คนไปดูพื้นที่จะตั้งตำหนักเจ้าแล้วนะ และกำลังเริ่มสร้างให้แล้วด้วย ไม่เกินหกเดือนทุกอย่างจะเรียบร้อย” จิวชงหยวนที่คีบผักเข้าปากชะงักเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เหมือนกับว่าเจ้าตัววางแผนมาก่อนแล้ว
    
       “คิดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วสินะ” เอ่ยถามพร้อมคีบผักเข้าปากกินต่อเวลานี้เขาสวมใส่หน้ากากสีเงินปกปิดใบหน้ากว่าครึ่งจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครจำหมอเทวะมารได้
    
         “อื้ม”
    
         ลู่เฟยตอบรับเบาๆ พร้อมรินน้ำชาให้คนรักอย่างเอาใจเพราะต่อไปนี้คงจะเหนื่อยหน่อย การจะบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนได้นั้นเพียงแค่เดินทางรักษายังไม่เพียงพอต้องสร้างกุศลให้มนุษย์ได้นำไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์ในภายภาคหน้าต่อไป
    
         จิวชงหยวนเงยหน้ามองดวงตาคมที่มองการณ์ไกลไปหลายขั้นแล้วยกยิ้มบาง ดีใจที่มีคนคนนี้อยู่เคียงข้างและยังเข้าใจเสมอ เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลู่เฟยจะไม่ทิ้งเขาโดยเด็ดขาด แม้ความรักจะไม่ได้โรยไปด้วยกลีบบุปผาแต่เขาก็ยินดีจะเดินร่วมไปกับผู้ชายตรงหน้านี้ ก่อนจะเอ่ยบอกแผ่วเบา
    
        “ขอบคุณนะ”
    
        “เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม”
    
          ลู่เฟยเอ่ยถามกลับมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จิวชงหยวนนิ่วหน้ามองคนหื่นกามแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อครู่อุตสาห์ซึ่งใจแต่ยามนี้รู้สึกตัวเองจะคิดผิดจริงๆ เพราะคนที่เจ็บตัวก็ไม้พ้นตัวเขาเอง
    
        “กินไปไม่ต้องพูดมาก”
    
        ตอบกลับพร้อมคีบเนื้อแกะย่างยัดใส่ปากให้อย่างหมั่นไส้ ลู่เฟยเพียงแค่หัวเราะในลำคอเหมือนจะสนุกที่ได้แกล้งเขา จิวชงหยวนมองตามแล้วอดคิดไม่ได้ว่าหากกลับไปเป็นเทพเจ้าตัวจะมีสีหน้าอื่นหรือไม่ แต่ว่าเรื่องของอนาคตยังมาไม่ถึงขอแค่วันนี้มีความสุขก็พอแล้ว...



   สุขสันต์วันลอยกระทงจ้า ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากเลย ตอนหน้าก็จบแล้วใครรู้วิธีย้ายไปไหนหรือทำอย่างไรแนะนำฟางด้วยนะคะ ฟางเพิ่งลงเรื่องนี้จบเป็นครั้งแรกไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ มึนๆ งงๆ กับระบบบ้าง สารภาพว่านิยายตัวเองยังหาไม่เคยเจอเลยค่ะ ต้องหาจากกรูเกิ้ลตลอด แหะๆๆ :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 25-11-2015 14:49:16

เขาหึงกันด้วยล่ะ

ยังสงสัยเรื่องคุณชายหวัง

รอเฉลยขอรับ

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 25-11-2015 15:21:11
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 25-11-2015 15:29:31
หุยยยย ละมุนเหลือเกินนน  :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ujen ที่ 25-11-2015 15:31:26
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ลมเพลมพัด ที่ 25-11-2015 16:12:16
หลงรักนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่แต่งมาให้อ่านนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-11-2015 16:14:11
 :กอด1: รักเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 25-11-2015 20:01:07
ขอบคุณที่มาลงให้

ในวันนี้ เพราะไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย

งั้นขอตัวไปอ่านก่อน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 25-11-2015 20:39:59
ตอนหน้าก็จะจบแล้วเหรอ

ตอนนี้หวานมากๆ

ลู่เฟยหื่นตลอดเลย หมอจิวจะไม่ยอมหน่อยเหรอ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 29-11-2015 01:50:29
ลู่เฟยนี่หยอดตลอด ชงหยวนจะละลายแล้ววว
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 29-11-2015 21:44:17
แรกๆ ก็มาเร็ว หลังๆ เริ่มเอื่อยแล้ว
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49บทส่งท้าย ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 01-12-2015 19:35:14
บทที่49บทส่งท้าย
เล่ม 2 ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)

       

         
         การเดินทางระหว่างลงมายังโลกมนุษย์จวบจนกระทั่งทุกวันนี้นานกว่าห้าปี ทว่าใบหน้างดงามกลับยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ณ เวลานี้ได้สิ้นสุดการเดินทางที่ยาวไกลแต่ใช่ว่าจะไม่ออกไปไหนอีกเลย เพียงแต่เวลานี้หมอเทวดาจิวชงหยวนได้มีสำนักเซียนโอสถเป็นของตนเองบนหุบเขาเทียนซานซึ่งปกคลุมไปด้วยม่านหมอกในฤดูเหมันต์ ผ่านมาหนึ่งปีหลังจากท่องยุทธภพเที่ยวตามหาลูกศิษย์ที่ใฝ่รู้การแพทย์ แม้จะได้มาแค่ยี่สิบคนทว่าทุกคนกลับชาญฉลาดเรียนรู้ได้เร็ว ที่สำคัญต่างไม่มีญาติพี่น้อง หรือจะเรียกให้ถูกคือเก็บเด็กน้อยขอทานมาฝึกเสียมากกว่า
    
        ร่างโปร่งบางนั่งเอนหมอนอิงมองผู้ที่มาขอทดสอบขอเรียนแพทย์เป็นศิษย์สำนักเซียนโอสถอย่างพิจารณา ใช่เวลานี้จิวชงหยวนเปิดรับผู้คนทั้งยุทธภพที่ไฝ่รู้การแพทย์แต่จะรับเป็นศิษย์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการสอบ ขั้นแรกคือการดั้นด้นขึ้นมาเขาเทียนซานด้วยตนเอง ขั้นที่สองทดสอบสติปัญญาและขั้นที่สามทดสอบคุณธรรมในจิตใจซึ่งเขาเป็นคนคัดเลือกด้วยตนเอง
    
         ทว่าคนที่มาใหม่ในเวลานี้กลับยืนนิ่งมองจิวชงหยวนอย่างตื่นตะลึงกับความสง่างามอาภรณ์สีขาวขลิบทองดูล้ำค่าสูงส่ง อีกทั้งใบหน้างดงามไร้ที่ติ
    
        “บังอาจยังไม่คุกเข่าอีก” จุ้ยซิงตะโกนก้องบอกผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจ ซึ่งเจ้าตัวเหมือนจะได้สติรีบคุกเข่าลงทว่าดวงตากลับไม่ล่ะห่างจากคนตรงหน้า
    
       “กลับไปซะ” จิวชงหยวนบอกอย่างเกียจคร้าน คนตรงหน้าไม่ผ่านตั้งแต่เข้ามาแล้ว จุ้ยซิงจึงพุ่งเข้ามาพาตัวออกไป
    
       “ท่านจ้าวสำนักโปรดอภัยให้ข้าที่เสียมารยาท แต่ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยขอรับ ข้าตั้งใจจริงที่อยากเป็นศิษย์ของสำนักเซียนโอสถโปรดให้โอกาสข้าน้อยแก้ตัวสักครั้ง” เด็กหนุ่มตรงหน้าร้อนรนบอกกล่าวเมื่อรู้ว่าตนเสียมารยาทมากเกินเพราะตั้งแต่มันเกิดมาจนสิบหกปียังไม่เคยเห็นผู้ใดงดงามเช่นนี้มาก่อน
    
         จิวชงหยวนหรี่ตามองดวงตาแน่วแน่ของอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะยกมือให้จุ้ยซิงปล่อยตัว ร่างสูงโปร่งใบหน้ามอมแมมเพราะกว่าจะมาถึงเทือกเขาเทียนซานได้มิใช่เรื่องง่ายมิหนำซ้ำเจ้าตัวมาเพียงคนเดียว
    
        “ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบคำถามข้ามาหนึ่งข้อ หากตอบได้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์” น้ำเสียงหวานล้ำที่เอ่ยออกมาทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างดีใจคุกเข่าขอบคุณ
    
        “ขอบคุณท่านจ้าวสำนักที่เมตตา”
    
        “ไม่ต้องรีบขอบคุณข้า เพราะหากเจ้าตอบไม่ได้ก็คงกลับไปเช่นเดิม”
    
        “ข้าจะพยายามสุดความสามารถขอรับ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับกลับความแน่วแน่ของคนตรงหน้าหวังว่าไม่เก่งแต่ปากหรอกนะ
    
        “ปล่อยกายตามธรรมชาติ ไม่ข้องแวะในโลกวิสัย” เด็กหนุ่มตรงหน้าอึ้งไปหลังจากเจอปรัชญาที่แม้กระทั่งนักปราชญ์ยังยากจะตอบได้ ใบหน้าคมแบะปากเหมือนจะร้องไห้
    
        “เรียนท่านจ้าวสำนักตัวข้าเป็นลูกชาวบ้านตาดำๆ ไม่ได้เรียนสูงส่งมิอาจตอบคำถามยากเกินจะเข้าใจของท่านได้หรอกขอรับ” จิวชงหยวนนิ่วหน้าก็เป็นจริงดังที่เด็กน้อยกล่าวมา แต่ที่ลองเชิงปรัชญาข้อนี้เนื่องจากมีคนอยากแฝงตัวเข้าตำหนักของเขา
    
        “หากตอบไม่ได้ก็กลับไปเสีย กฎย่อมเป็นกฎ” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไปปล่อยให้เด็กน้อยคอตกเดินกลับไปหาคำตอบด้วยตนเอง หากไม่มีไหวพริบย่อมอยู่ได้ยากและเรียนรู้ได้ยากเช่นกัน
    
       “ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ” ลู่เฟยเดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม จิวชงหยวนหันไปมองเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับตำหนักดวงดาราพร้อมกัน
   
       “เจ้าน่าจะรู้คำตอบ พรรคอธรรมนี่ก็ขยันหาผู้คนมาเข้าสำนักข้าเสียจริง” จิวชงหยวนบอกอย่างเบื่อหน่าย ทำไมเขารู้นะหรือมีอวิ้นเซียนหอกิเลนที่เป็นแหล่งข่าวไว้คอยรับใช้มีหรือเรื่องแค่นี้จะพลาด จะว่าไปหูตาของอวิ้นเซียนนี่เยอะๆ จริงๆ ไม่ใช่แอบอยู่ในตำหนักของเขาด้วยหรอกนะ
    
        ลู่เฟยส่ายหน้ามองคนทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างขำๆ มือหนายื่นไปจับมือจิวชงหยวนอย่างให้กำลังใจ เพราะจะทำการใหญ่ย่อมมีปัญหาตามมา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาพร้อมจะอยู่เคียงข้างตลอดไป
    
       “ขออภัยท่านอาจารย์ที่รบกวนขอรับ คนที่มาทดสอบเมื่อวานมาขอพบอีกแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีใบหน้าใสไร้เดียงสาทว่ากลับฉลาดหลักแหลม ซึ่งจิวชงหยวนฉุดขึ้นมาจากโคลนตมเข้ามารายงานขณะเดินกลับตำหนักดวงดารา
    
        จิวชงหยวนนิ่วหน้านึกถึงเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีเมื่อวานที่ดั้นด้นมาเพียงแต่ตอบคำถามมิได้ และไม่ใช่ครั้งเดียวที่เจ้าตัวมาตอบคำถามของเขา แต่มาทุกวันตลอดหนึ่งสัปดาห์คาดว่าเจ้าตัวน่าจะอยู่ในป่าด้านล่างของสำนักเซียนโอสถ
    
       “เสี่ยวฉือเจ้าให้ไปพบข้าที่ตำหนักดวงดาราแล้วกันข้าขี้เกียจย้อนกลับ” จิวชงหยวนหันไปบอกก่อนจะเดินกลับตำหนักเมื่อร่างเล็กนั้นก้มหน้าคารวะถอยห่างจากไปตามคำสั่ง
    
       “มีความพยายามดีนะ เด็กนั่นมีนามว่าอะไร” ลู่เฟยเอ่ยถามเมื่อจำได้ว่าเด็กน้อยที่ไม่ละความพยายามแม้จะไม่ผ่านการทดสอบด่านปัญญาแต่ความอดทนมุมานะนั้นต้องยอมรับ
    
       “เทียนฉิน” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบ สองเท้ามาหยุดที่หน้าห้องพักหันไปมองคนที่เดินตามมา    “วันนี้ไม่ออกไปที่ใดหรือ” ลู่เฟยส่ายหน้าแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง จิวชงหยวนจึงเดินตามมาเงียบ ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะใหญ่แม้ตำหนักดวงดาราจะเป็นที่พักของเขาแต่ก็มีพื้นที่พอจะรับแขก
    
        “ข้าได้ยินแคว้นโหลวหลันมีโรคประหลาดเกิดขึ้น แต่จากที่ห่างไกลมากนักเจ้าไปดูหรือไม่” ลู่เฟยนั่งข้างกายจับเส้นผมเงางามของอีกฝ่ายเล่น จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดถึงแคว้นดังกล่าวซึ่งอยู่ทางตอนเหนือห่างไกลจากไปหลายพันลี้
    
       “โรคประหลาดหรือ อาการเป็นเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนหันมามองเอ่ยถามอย่างสนใจ ลู่เฟยครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะปล่อยมือจากเรือนผมหันไปรับจอกชาที่จิวชงหยวนรินให้
    “เห็นว่ามีไข้ ตาแดง ปวดน่อง บ้างก็ไอเป็นเลือด” จิวชงหยวนนิ่วหน้ากับอาการดังกล่าว หากคาดเดาไม่ผิดน่าจะเป็นโรคฉี่หนูหรือเปล่า คงต้องลงไปตรวจสอบด้วยตนเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
    
         “ท่านอาจารย์ข้าพาผู้ทดสอบมาขอพบขอรับ” เสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกดังมาจากหน้าประตูทำให้จิวชงหยวนละสายหันไปมองก่อนเอ่ยปากอนุญาต
    
         “เข้ามา” ประตูเปิดออกตามมาด้วยเสี่ยวฉือเดินนำเด็กหนุ่มเข้ามา จิวชงหยวนมองดูเทียนฉินที่ไม่ละความพยายามที่จะเข้าสำนักเซียนโอสถแห่งนี้
    
          “คารวะท่านจ้าวสำนักขอรับ” เด็กหนุ่มคุกเข่าทำความเคารพอย่างนอบน้อม ใบหน้ามอมแมมเพราะอยู่ในป่ามาหลายวันเสื้อผ้ายังขาดแหว่งและสกปรกมอมแมมทว่าจิวชงหยวนไม่ได้ใส่เรื่องนี้
    
          “เจ้าตอบคำถามข้าได้แล้วหรือเทียนฉิน” คำเรียกที่อ่อนโยนทำให้เจ้าของชื่อฉีกยิ้มอย่างดีใจ อย่างน้อยท่านจ้าวสำนักก็จำชื่อมันได้
    
         “ขอรับ แต่ข้าน้อยยังด้อยปัญญามิรู้ว่าจะใช่อย่างที่ท่านจ้าวตำหนักต้องการหรือไม่ขอรับ” จิวชงหยวนหรี่ตามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่าพึงพอใจหนึ่งสัปดาห์มานี้ดูเหมือนเจ้าตัวจะพัฒนาไปมากรู้จักใช้คำพูดมากขึ้น และคำถามของเขาเป็นคำถามเดียวกับที่คนพรรคอธรรมส่งมาเพียงแต่ยังมิมีผู้ใดตอบได้เท่านั้นเอง
    
        “ตอบคำถามข้ามาเถิด”
    
         “ปล่อยกายตามธรรมชาติ ไม่ข้องแวะในโลกวิสัย หมายถึง พืชบนเขาไม่มีใครใส่ปุ๋ย นกในป่าไม่มีใครเลี้ยงดู แต่รสชาติของมันหอมหวนและเข้มข้น คนเราแม้ไม่ได้ติดเชื้อโลกีย์วิสัย ความประพฤติปฏิบัติ ก็ย่อมผิดแผกแตกต่างจากผู้อื่นไป หากมิได้ถูกมอมเมาด้วยโลกียวิสัย สามารถจะรักษาไว้ซึ่งจิตดังเดิมอันบริสุทธิ์ คุณธรรมจะเหนือคนทั้งปวง ข้าตอบถูกต้องหรือไม่ขอรับ”
    
          คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบาง ปรบมือให้เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ใช้ความพยายามมาหลายวันในการตอบปัญหาข้อนี้ มันไม่ใช่ปัญหายากแต่อย่างไร แค่อยากสื่อให้รู้ว่าคนเรานั้นหากไม่หลงใหลในโลกีย์วิสัย ชีวิตจะดำเนินไปอย่างสงบสุข ธรรมชาติยังอยู่ด้วยตัวมันเองได้ไยคนเราต้องดิ้นรนไขว่คว้าในสิ่งที่มิใช่ของตน ความอยาก ความกระหายจะนำพาให้จุดจบไม่ต่างจากฝ่ายอธรรม
    
         “ความพยายามของเจ้าในวันนี้จงจดจำตลอดไป อย่าได้ให้อำนาจใดมาเปลี่ยนจิตใจอันดีของเจ้า ต่อไปนี้เจ้าคือศิษย์คนที่ยี่สิบเอ็ดของสำนักเซียนโอสถ เสี่ยวฉินจะบอกกฎระเบียบแก่เจ้าให้รู้ ไปพักเถิดเจ้าคงเหนื่อยมามากแล้ว” ทันทีได้ยินว่ารับเป็นศิษย์เด็กน้อยที่ใช้ความพยายามอันสูงส่งถึงกลับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ก้มคารวะอย่างสุดซึ้งมันจะจดจำคำสั่งสอนนี้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
    
        “เสี่ยวฉินพาศิษย์น้องเจ้าไปพักเถอะ และหาข้าวปลาให้กินด้วย พึ่งพาแค่ผลไม้มิอาจให้ฟื้นกำลังที่เสียไปได้หรอก”
    
         “ขอรับอาจารย์”
    
         “ขอบคุณท่านจ้าวสำนักที่เมตตา” เด็กหนุ่มทั้งสองกล่าวลาก่อนจะจากไป จิวชงหยวนมองตามร่างของทั้งคู่อย่างครุ่นคิด ในเวลานี้ทุกคนถูกฝึกอย่างอดทน แม้จะเพียงแค่ปีเดียวแต่ก็เก่งกาจไม่น้อยกว่าผู้ใหญ่บางคน
    
       “สมใจเจ้าแล้วล่ะสิ” ลู่เฟยกล่าวหยอกล้อ เพราะเด็กหนุ่มเมื่อครู่แม้จะอยู่ตีนเขาตำหนักแต่จิวชงหยวนก็ไปสอดแนมแอบดูอยู่ตลอดหลายวันเช่นกัน
    
        หลังจากเฝ้ามองและตามสืบเงียบๆ ทำให้จิวชงหยวนรู้ว่าเด็กน้อยผู้นี้ก็ขาดญาติไร้มิตรเพราะบิดามารดาได้จากไปเพราะโรคระบาดเมื่อหนึ่งปีก่อนที่เมืองต้าเหลียงก่อนที่พวกเขาจะไปรักษา และได้ยินชื่อเสียงของเขาจึงได้ดั้นด้นมาถึงเทือกเขาเทียนซานนับว่ามีความพยายามมาก ทั้งๆ ที่ยังเยาว์วัยแม้จะเข้าสู่วัยหนุ่มแต่สำหรับเขาแล้วยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น
    
       “อื้ม ว่าแต่เด็กที่ฝึกวรยุทธเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างตัวด้วยความสนใจ แม้ที่นี่จะเป็นตำนักเซียนโอสถแต่ใช่ว่าจะฝึกสอนด่านการปรุงยาเพียงอย่างเดียว ขั้นแรกเขาสอนให้จำสมุนไพรที่มากกว่าพันชนิดและแยกให้ออกอะไรเป็นอะไร เมื่อสอบผ่านขั้นแรกแล้วจะเปลี่ยนตารางการสอนจากช่วงเช้าเรียนแยกสมุนไพร ปรุงยาแบบง่ายๆ ช่วงบ่ายจะเขียนการอ่านเขียน และวันถัดไปจะเปลี่ยนเป็นสอนวรยุทธเพื่อไม่ให้เบื่อหน่ายในการเรียน และผู้ที่อยากมีวรยุทธต่างก็ขยันจดจำสมุนไพรได้อย่างรวดเร็ว
    
        “ฝึกง่ายกว่าพวกที่มีวรยุทธเสียอีก” ลู่เฟยตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะคว้าร่างโปร่งบางไปนั่งบนตัก จิวชงหยวนมองตาขวาง เพราะว่างเว้นเมื่อไรมือไม้นี่ยิ่งกว่าหนวดปลาหมึกเสียอีก
    
       “ไม่ให้รางวัลข้าบ้างหรือ” ดวงตาคมที่มองมาฉายแววออดอ้อน จิวชงหยวนมองคนที่ทุ้มเททุกอย่างเพื่อให้เขาเป็นเซียนแล้วอดรู้สึกสงสารเจ้าตัวไม่ได้ แม้เขาไม่ได้คาดหวังจะได้เป็นเทพเซียนแต่หากชีวิตเขาดับสูญอีกครั้งคนตรงหน้ายังจะเป็นลู่เฟยที่เขารู้จักในเวลานี้หรือไม่
    
        “เดี๋ยวเย็นนี้จะทำขนมชั้นดอกกุหลาบให้กิน” คนฟังนิ่วหน้ากับคำตอบ ใบหน้าขรึมลงจ้องมองคนเอาของกินมาให้รางวัลแล้วถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เขาอยากได้จูบเป็นรางวัลแต่คนตรงหน้ากลับทำหน้ามึนใส่จนน่าหมั่นเขี้ยว
    
       “ข้าไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้น”
    
       “แสดงไม่กิน งั้นข้าจะได้ไม่ทำ”
    
       “ใครบอก ข้าจะกินขนมที่เจ้าทำและก็จะกินเจ้าด้วย” จิวชงหยวนมองคนตาพราวระยับที่คิดหื่นกามตัวเองอย่างนึกขำ แม้คนตรงหน้าหน้าตาจะเปลี่ยนบ้างเพราะยังมีความเป็นมนุษย์อายุย่างเข้ายี่สิบหกปีแต่ว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือความหื่นของเจ้าตัว ทว่าขณะนั้นแสงสว่างก็เจิดจ้าทั่วห้องขัดบรรยากาศของคนจะอุ้มภรรยาเข้าห้องหอ?
    
        “อะแฮ่ม...ขออภัยที่ขัดจังหวะท่านแม่ทัพสวรรค์ เวลานี้หมดหน้าที่ของท่านแล้ว เง็กเซียนฮ่องเต้มีคำสั่งให้ท่านกลับคืนสู่สวรรค์ ทำหน้าที่ของท่านต่อไป”
    
         จิวชงหยวนมองเทพหนุ่มตรงหน้าอย่างสนใจ เพราะเคยดูแต่ในซีรีย์จีนทว่ายังไม่เคยเห็นตัวจริง เทพเอ้อหลางหรือเทพสามตาหลานชายของเง็กเซียนฮ่องเต้ ก่อนจะสะกิดใจคำว่าพากลับสวรรค์หันไปมองลู่เฟยที่มีสีหน้าเรียบเฉยอีกทั้งดวงตาที่ดูว่างเปล่ามองกลับไปแล้วรู้สึกใจหาย
    
         “มาเร็วกว่าที่คิด” ลู่เฟยกล่าวเสียงเรียบมองคนส่งสาร ไม่สิ ไม่ใช่แค่ส่งสารแต่จะพาเขากลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะหันมามองคนในตักที่จ้องมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
    
         “หมายความอย่างไร มิใช่เจ้าต้องอยู่โลกมนุษย์จนกว่าจะหมดสิ้นอายุขัยขององค์ชายห้าหรอกหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างตัวด้วยความสับสน หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อคิดว่าจะไม่ได้พบเจอลู่เฟยอีกครั้ง ตอนนี้เขารู้สึกอึ้งและทำอะไรไม่ถูกเป็นครั้งแรก
    
       “ข้าให้เวลาท่านร่ำลาจิวชงหยวนหนึ่งก้านธูป” เทพเอ้อหลางที่มีทวนสามง่ามใส่ชุดผู้คุมสวรรค์เต็มยศกล่าวเสียงเรียบ ทว่าใบหน้ากลับฟาดเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
    
      “ความจริงแล้วลู่เฟยในร่างมนุษย์ได้สิ้นอายุขัยเมื่อห้าปีก่อนที่จะได้พบเจ้าและข้าได้มาสวมรอยแทนเท่านั้น และเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามบัญชาจึงมีคำสั่งให้กลับสวรรค์” ลู่เฟยอธิบายเสียงเรียบเหมือนพูดเรื่องพยากรณ์อากาศ ทว่าคนฟังกลับนิ่งงัน
    
       “เจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
    
        จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ ก้มหน้ามองมือตัวเองที่สั่นระริก ทั้งชีวิตเขาใช่ว่าเขาจะไม่เคยสูญเสียคนสำคัญ แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนที่ตนรักต้องทิ้งเขาไปหมดทุกคน แม้แต่คนที่ยอมเปิดใจให้ยังต้องจากไปเพราะคำบัญชาสวรรค์ ชาติที่ผ่านมาเขาทำผิดสิ่งใดกันถึงต้องพลัดพรากครั้งแล้ว ...ครั้งเล่า
    
       “เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าขอโทษข้าไม่อยากให้เจ้าคิดมาก อีกอย่างข้าต้องกลับมาหาเจ้าอีกครั้งข้าให้สัญญา”
    
         จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนที่จับมือเขาแน่นอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาคิดว่าชาตินี้จะไม่ร้องไห้อีกแต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจเขาถึงรู้สึกรวดร้าวเจ็บปวดจนแทบอยากหลั่งน้ำตาให้หายอัดอั้นตันใจ ความสุขที่คิดว่าจะอยู่ได้นานแสนนานเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นจริงๆ หรือ
    
        “โปรดเชื่อใจข้า” ลู่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังแววตาคมที่จ้องมองมานั้นทำให้ความรู้สึกอบอุ่นในใจ แม้จะเชื่อมั่น ทว่าในส่วนลึกของหัวใจกลับหวาดกลัวว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบเจอ แต่จิวชงหยวนก็เลือกที่จะยิ้มออกมา
    
        “อื้ม ข้าจะรอ”
    
        ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะก้มจุมพิตริมฝีปากของคนรักอีกครั้ง โดยไม่สนใจสายตาชำเลืองมองของเทพหนุ่มที่หันหน้าหนีแทบไม่ทัน รสจูบครั้งนี้กลับดูดดื่มจนคนเริ่มไม่อยากหยุดมือ จิวชงหยวนเองก็ไม่ได้ผลักไสดังเช่นทุกครั้งเพราะไม่รู้ว่านี่จะเป็นจูบครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะฉะนั้นเขาอยากเก็บเกี่ยวความสุขตรงหน้าไว้ให้มากที่สุด มือหนาซุกซนลูบไล้ไปตามเรือนร่างโปร่งบาง เสื้อผ้าเริ่มหลุดลุ่ยลง การร่ำลาที่ร้อนแรงของทั้งคู่ทำเอาเทพหนุ่มที่ไร้ความรู้สึกมาเนิ่นนานถึงกลับหน้าแดงก่ำด้วยความอาย
    
        “พวกเจ้านี่มันหน้าด่านจริงๆ ข้าออกไปรอข้างนอก เรียบร้อยเมื่อไหร่ก็เรียกแล้วกัน”
    
        เทพเอ้อหลางบอกพร้อมหายวับออกไปนอกตำหนักให้ไฟสวาทภายในห้องลุกโซนต่อไปเพราะอย่างไรคงห้ามไม่ทัน และที่สำคัญตนมิได้ใจร้ายขนาดนั้น แม้จะไม่เคยมีความรักฉันท์หนุ่มสาวแต่ความรักของเขาที่มีแต่มารดาก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด...   
    
       
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่48 ออกเดินทาง ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 01-12-2015 19:35:59

เกิน20000คำต่อจากเมื่อครู่ค่ะ

       

          ผ่านมาหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ลู่เฟยกลับคืนสู่สวรรค์โดยร่างมนุษย์ได้แตกเป็นละอองไปกับสายลม เหตุนี้จิวชงหยวนจึงไม่ได้บอกผู้ใดว่าลู่เฟยหายไปไหน หลังจากนั้นเขาก็ได้ฝึกสอนให้คนในตำหนักเรื่องวรยุทธเองและมีจุ้ยซิงคอยช่วยเหลือพร้อมด้วยเฟิงอวี้อดีตช่างตีกระบี่ซึ่งมาเป็นลูกศิษย์เขาตามที่ได้ลั่นวาจาไว้
    
         ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจิวชงหยวนได้เดินทางไปเมืองโหลวหลันซึ่งได้ข่าวว่ามีโรคประหลาดแต่เมื่อลงไปสำรวจกลับเป็นโรคฉี่หนูจริงๆ เขาใช้เวลารักษาผู้คนเพียงแค่สัปดาห์เดียวก่อนจะเดินทางกลับสำนักเพราะให้จุ้ยซิงกับเฟิงอวี้ดูแลสองคนเท่านั้นกลัวว่าพรรคมารจะมาก่อความวุ่นวาย แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมจนชื่อเสียงเซียนโอสถโดยมีหมอเทวดาจิวชงหยวนหรืออีกนามว่าหมอเทวะมารเป็นจ้าวตำหนักดังขจรไกลไปทั่วยุทธภพทำให้ไม่มีใครกล้ามาคิดลองดี
    
       “ท่านอาจารย์ประมุขพรรคเทพจันทรามาขอพบขอรับ” คำรายงานในวันนี้ทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะหย่งเจิ้นมีงานเยอะอีกทั้งคอยช่วยเหลือไป๋เสวี่ยที่ขึ้นครองราชเป็นฮ่องเต้อีกทั้งคอยดูแลคนในพรรคมิคิดว่าวันนี้จะดั้นด้นมาถึงเทือกเขาเทียนซานเช่นนี้
    
       “เชิญเข้ามา” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมประตูเปิดออก ร่างสูงสง่าใบหน้าคมคายและดวงตาเรียบนิ่งมองมานั้นฉายแววกังวลใจ
    
       “เชิญนั่งก่อนสิ มิคิดว่าเจ้าจะมาเยี่ยมข้าที่นี่” จิวชงหยวนผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงพร้อมรินน้ำชาให้อย่างมีมารยาท มุมปากยกยิ้มยินดีอย่างน้อยก็ได้เจอสหายเก่าที่ไม่ได้พบหน้ามานาน
    
        “ขอบคุณ” หย่งเจิ้นตอบรับพร้อมรับจอกชามาจิบ ก่อนจะเงยหน้ามองใบหน้างดงามที่ไม่ว่าผ่านมากี่ปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง
    
        “เจ้าสบายดีใช่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างห่วงใยเพราะคนตรงหน้าหักโหมการงานจนน่าห่วง แม้ไม่ได้พบเจอแต่ก็ได้ยินข่าวมาเป็นบ้าง
    
       “ข้าสบายดี ว่าแต่เจ้าเถอะพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าลู่เฟยหายไปไหน เหตุใดถึงไม่อยู่กับเจ้า” คำถามของคนที่ดั้นด้นมาถึงที่นี่ทำให้จิวชงหยวนยิ้มบาง คนตรงหน้าห่วงใยเขาด้วยใจจริงจนน่าละอายใจที่ไม่สามารถตอบแทนสิ่งใดได้เลย หย่งเจิ้นไม่เคยต้องการอะไรจากเขาอีกทั้งไม่เคยปริปากขอความช่วยเหลือ จึงทำให้เขารู้สึกติดหนี้น้ำใจอย่างใหญ่หลวง
    
        “เจ้ามาหาข้าเพราะเรื่องนี้เองหรอกหรือ” หย่งเจิ้นพยักหน้ายอมรับ เพราะผิดปกติเกินไปที่ไม่มีใครรู้ว่าลู่เฟยหายไปอย่างไร้ร่องรอย
    
        “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอก” จิวชงหยวนตอบรับอย่างว่าง่าย มองดวงตาคมที่มองเขาอย่างห่วงใยด้วยความจริงใจแล้วยิ้มบาง ใช่ว่าเขาจะไม่เสียใจที่ต้องพลัดพรากจากคนที่รักแต่เขาเชื่อมั่นว่าสักวันลู่เฟยต้องกลับมาดั่งคำมั่นสัญญา เขาจะรอถึงวันนั้น วันที่สวรรค์เห็นแก่ความรักของพวกเขา
    
       “ลู่เฟยกลับสวรค์ไปแล้ว” คำตอบง่ายๆ ของคนที่ยิ้มอ่อนโยนทำให้หย่งเจิ้นนิ่งไปมองอีกฝ่ายว่าพูดจริงหรือว่าล้อเล่น ทว่าดวงตาที่ฉายออกมานั้นเศร้าหมองแม้เพียงชั่วครู่แต่ก็บ่งบอกว่านั่นคือเรื่องจริง
    
       “ข้ามิเข้าใจ” หย่งเจิ้นตอบกลับด้วยความสับสน
    
       “เดิมทีเจ้าน่าจะรู้ว่าลู่เฟยเป็นแม่ทัพสวรรค์”
    
         “ใช่เรื่องนั้นข้ารู้ แต่ข้าไม่เข้าใจลู่เฟยเป็นองค์ชายห้าจะกลับสวรรค์ได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือแล้วคนที่ต้องแบกรับเป็นองค์ชายห้าล่ะ” จิวชงหยวนมองคนถามอย่างเข้าใจเพราะหากลู่เฟยกลับสวรรค์ก็หมายถึงจะไม่มีองค์ชายห้าลั่วลู่เฟยอีกแล้ว
    
        “ความจริงองค์ชายห้าได้ตายไปแล้ว ลู่เฟยซึ่งเป็นแม่ทัพสวรรค์จึงได้มาสวมรอยแทนตามคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ลงมาเพื่อนำลั่วเหยียนเจิ้งบุตรสวรรค์ขึ้นครองบัลลังก์ และในเวลานี้ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว จึงต้องกลับสู่สวรรค์และร่างที่แท้จริง” จิวชงหยวนอธิบายเสียงเรียบคล้ายไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เป็นคนต้องแบกรับความเจ็บปวดไว้ทั้งหมด
    
         หย่งเจิ้นอึ้งไปกับคำตอบนี่หมายความว่าลู่เฟยยอมทิ้งให้จิวชงหยวนอยู่คนเดียวในโลกมนุษย์เช่นนั้นหรือ ทำไมกันทั้งๆ ที่คนตรงหน้าเขานี้เลือกที่จะรักอีกฝ่ายยังทอดทิ้งได้ง่ายดายนัก ดวงตาคมมองร่างโปร่งบางที่สงบนิ่งมากกว่าเดิม อาจเป็นเพราะเดี๋ยวนี้เจ้าตัวเป็นถึงจ้าวสำนักที่ต้องทำตัวให้ผู้คนเชื่อถือ อีกทั้งภาระหน้าที่ที่มากขึ้น จึงทำให้จิวชงหยวนสงบนิ่งในทุกสถานการณ์อย่างนั้นหรือ หากจิวชงหยวนเลือกที่จะรักและครองคู่ไปกับเขาเรื่องทุกอย่างคงไม่ลงเอยเช่นนี้
    
        “เจ้าคิดมากไป ข้ามิได้เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเลือก เจ้าเป็นสหายที่ดีข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเจอคนที่ตัวเองรักและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา” คำกล่าวของร่างโปร่งบางเหมือนมานั่งอยู่กลางใจ ทั้งๆที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
    
       “เดี๋ยวนี้เจ้ามีวิชาอ่านใจแล้วหรือ” คำถามของหย่งเจิ้นทำให้จิวชงหยวนหัวเราะออกมาเบาๆ
    
         “ข้าเป็นถึงจ้าวสำนักเซียนโอสถหากดูคนไม่ออกสำนักก็คงไม่รอด” จิวชงหยวนกล่าวออกมาไม่ได้เกินความจริง เพราะเขาต้องรู้จักไตร่ตรองให้มาก ไม่เช่นนั้นฝ่ายอธรรมคงเพ่นพ่านเต็มสำนักแน่ๆ
    
       “ว่าแต่เจ้าเถอะมาเพราะเรื่องนี้หรือ” หย่งเจิ้นพยักหน้ายอมรับ เพราะความห่วงใยจึงได้ดั้นด้นมาเทือกเขาที่มีแต่ม่านหมอกและปกคลุมด้วยป่าที่ยากต่อการมาถึงในเทือกเขาเทียนซานเช่นนี้ เขาดีใจที่จิวชงหยวนคิดจะตั้งหลักมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ถึงอย่างไรในหัวใจของคนตรงหน้าก็มิเคยมีเขาอยู่ในนั้น
    
       “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานลู่เฟยจะกลับมา อย่าลืมสิข้ามีอายุอีกหลายร้อยปีอย่างไรสักวันหนึ่งพวกเจ้าก็ต้องจากข้าไปอยู่ดี” หย่งเจิ้นอึ้งไปกับความจริงข้อนี้เพราะตนลืมไปเสียสนิท จิวชงหยวนมองโลกด้วยสัจธรรมมากขึ้น เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งธรรมชาติ แต่หากช่วยเหลือได้ก็จะทำสุดความสามารถ
    
      “เมื่อนั้นข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง” หย่งเจิ้นกล่าวตอบกลับมาด้วยความจริงใจ จิวชงหยวนยกยิ้มบางเพราะใครๆ ก็กล่าวเช่นนี้
    
      “ถึงแม้จะเป็นเพียงสหายอย่างนั้นหรือ”พอสิ้นคำถามหย่งเจิ้นถึงกลับนิ่วหน้า มองดวงตาเรียวสวยที่ไม่เจืออารมณ์อื่นออกมา นอกจากเห็นเขาเป็นเพียงสหายผู้หนึ่งเท่านั้นก่อนจะถอนหายเฮือกอย่างปลงๆ
    
       “แค่ได้รักก็พอแล้วมิใช่หรือ” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนกอดอกมองคนรักเดียวใจเดียวอย่างห่วงใย เห็นทีหากได้เจอเฒ่าจันทราอีกครั้งจะเอ่ยถามเนื้อคู่หย่งเจิ้นดูเสียหน่อย
    
       “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเจอคนที่ใช่ในไม่ช้า หากเมื่อไรที่รู้ใจตัวเองก็อย่าปล่อยไปล่ะ” หย่งเจิ้นยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ คว้าผลสาลี่ใกล้มือเข้าปากเพราะเดินทางรอมแรมมานานยังไม่มีอะไรแตะถึงท้อง จิวชงหยวนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
    
       “รออยู่นี่แล้วกันข้าจะไปทำอะไรให้ทาน” จิวชงหยวนบอกพร้อมลุกขึ้นเดินออกไปนอกตำหนักก่อนจะสะกิดปลายทางห้องครัว อาหารที่เลี้ยงลูกศิษย์ล้วนแล้วต้องทำกินกันเองและแบ่งเวรยามเพื่อฝึกฝนการเอาตัวรอดเมื่อไม่มีเขาคอยดูแล นานครั้งถึงจะเข้าครัวทำให้ลูกศิษย์ตัวน้อย สายตามองไปยังลานฝึกวรยุทธที่มีจุ้ยซิงช่วยสอนอย่างไม่มีตกบกพร่อง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่พาจุ้ยซิงติดตามออกมาด้วย อีกทั้งดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความสุขไม่น้อยกับเส้นทางนี้ ร่างโปร่งบางกระชับผ้าคลุมขนจิ้งจอกกระชับกลับลมหนาวข้างนอกก่อนจะเร่งปลายเท้าไปยังห้องครัวเมื่อยังมีคนหิ้วท้องรออยู่
    
        นานเท่าไรแล้วนะที่เขาได้เข้าห้องครัว ไม่สิ... ก็แค่ตั้งแต่ลู่เฟยกลับสู่สวรรค์เท่านั้นเอง
    
         หย่งเจิ้นอยู่เป็นเพื่อนและช่วยฝึกซ้อมวรยุทธให้ลูกศิษย์จิวชงหยวนนานกว่าหนึ่งเดือน ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองทว่าเพียงแค่นี้เขาก็รู้สึกซึ้งใจแล้ว ส่วนลูกศิษย์คนแรกอย่างอวิ้นเซียนก็เทียวไปเทียวมาจนเขาเริ่มเบื่อขี้หน้าเพราะเจ้าตัวห่วงเขาเรื่องที่ลู่เฟยกลับสู่สวรรค์เกินกว่าเหตุ และกลัวว่าเขาจะเหงาถึงเอาลูกกิเลนตัวน้อยมาให้เลี้ยงอยู่เป็นเพื่อน แต่สำหรับเขาว่ามันคือตัวปัญหาเสียมากกว่าเพราะมันไม่อยู่นิ่งเหมือนสุนัขในเมืองไทยเสียหน่อย
    
        “เสี่ยวฉือเอาหูซานไปนอนห้องเจ้า”
    
        จิวชงหยวนหันไปมองลูกศิษย์ที่เป็นศิษย์พี่และเป็นคนแรกๆ ของสำนักทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกมองกิเลนที่พ่นน้ำออกมาตรงหน้าแต่ก็พยายามลากมันติดตามไปด้วย แม้จะใช้แรงมากกว่าปกติก็ตาม จิวชงหยวนมองกิเลนที่ใหญ่ครึ่งตัวของเสี่ยวฉืออย่างขำๆ ก่อนจะมองพื้นที่โดยรอบเปียกปอนเพราะมันพ้นน้ำเล่นจนพื้นพรมเปียกจนหมด เห็นทีเป็นอย่างนี้คงได้มีการอบกิเลนราดซอสกินแน่ๆ
   
        ร่างโปร่งบางเดินมาหยุดริมหน้าต่างเหม่อมองท้องฟ้าที่มีดาวกระจ่างเต็มท้องฟ้า ผ่านมาเกือบสามเดือนที่ลู่เฟยจากไป แม้เวลาบนสวรรค์จะน้อยนิดแต่หัวใจเขากลับเจ็บปวดเพราะเวลาบนโลกมนุษย์เดินเร็วกว่าสวรรค์มากนัก สำนักเซียนโอสถที่ตั้งขึ้นมีลูกศิษย์ที่ขยันขันแข็งจนหายห่วง เพียงไม่กี่ปีคงออกไปท่องทั่วยุทธภพเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหมือนที่เขาเคยเป็น ในยุทธจักรนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ไปเยือนมาหมดแล้วและทำให้รู้ว่ายังขาดแคลนแพทย์มากเขาจึงได้ก่อตั้งสำนักนี้ขึ้นมาเพื่ออนาคตข้างหน้า
   
        ปลายฝันธารหนาวดาวหดหู่
    ยังสู้ความเดียวดายฉายฉาน
    ความเศร้าสร้อยร้องเสียงเพลงกังวาน
    แม้นหมื่นไมล์รัติติกาลยังได้ยิน...
    
        มือจับขลุ่ยหยกที่เป็นของหมั่นต่างหน้าอย่างแสนคิดถึง เจ็บปวดแต่มิอาจพูดออกไปได้ คิดถึงแต่มิอาจบอกกล่าวคนที่ห่างไกล ได้แต่เก็บไว้ในใจและเฝ้ารออย่างอดทน ขลุ่ยหยกแตะริมฝีปากแผ่วเบา เสียงเพลงแว่วผ่านไปตามสายลมหวังจะส่งไปถึงคนไกล เสียงเพลงเศร้าหมองสะท้อนหัวใจคนฟังจนน้ำตาหลั่งริน ทว่าคนร้องมีเพียงดวงตาที่เศร้าหมองเท่านั้นเพราะสัญญากันตนเองแล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีก
    
        ร้องไห้กับเดือน...
    
         นั่นเป็นบทเพลงที่ทำให้หัวใจเทพหนุ่มสะท้าน หันไปมองเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างรอคำสั่ง เมื่อได้รับการพยักหน้าใบหน้าที่เรียบนิ่งยกยิ้มบางเบาก่อนจะคารวะขอบพระทัยแล้วพุ่งลงสู่โลกมนุษย์เพื่อกลับไปหาคนรักอีกครั้งตามคำมั่นสัญญา
    
          แสงสีขาวเจิดจ้าสว่างทั่วห้องทำให้ผู้ที่ยืนเหม่อมองท้องฟ้าหันกลับมามอง ร่างสูงสง่างามในชุดแม่ทัพสวรรค์เต็มยศยื่นนิ่งอยู่เบื้องหน้า ในมือมีดอกบุปผาสวรรค์ช่อใหญ่ร่างนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจิวชงหยวนคนรักที่แสนจะคิดถึงพร้อมคำกล่าวหนักแน่น
    
        “ข้ากลับมาตามสัญญา” จิวชงหยวนยกยิ้มบาง ก็ว่าจะไม่ร้องไห้แต่น้ำตากลับไหลออกมาอย่างยินดี มองดอกบุปผาสวรรค์ที่ถูกยื่นมาให้ เขาเป็นชายไม่ได้พิศวาสดอกไม้แต่เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเขาจะรับไว้ก็แล้วกัน ร่างโปร่งบางถูกรั้งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึง
    
        “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...” จิวชงหยวนสะอื้นกับอกของลู่เฟยเบาๆ มือที่สั่นนั้นยกขึ้นกอดร่างหนาด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนจะกระซิบตอบกลับด้วยหัวใจที่พองโต ความรู้สึกสุขใจเอ่อล้นภายในใจ สิ้นสุดแล้วกับการการรอคอย
    
        “ข้าก็คิดถึงเจ้า” ลู่เฟยผละออกจากจิวชงหยวนเล็กน้อย ก้มลงประทับจุมพิศหนักหน่วงบนริมฝีปากบางอย่างโหยหา รสสัมผัสที่คุ้นเคยเรียกให้ร่างเล็กกว่าสนองการสัมผัสเร่าร้อนดังต้องมนตร์จนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ผ่านไปเนิ่นนานกว่าที่ทั้งคู่จะผละออกจากกัน สองมือใหญ่กอบกุมใบหน้างดงามด้วยความคิดถึงเพียงไม่ได้เห็นหน้าหัวใจก็ร้อนรนกระวนกระวาย เพียงไม่ได้ยินเสียงเหมือนชีวิตไร้ดวงวิญญาณ
    
        “แต่งงานกับข้านะ” คำขอเกินคาดหมายทำให้จิวชงหยวนอึ้งไป ใบหน้าฟาดแดงด้วยความอายเพราะอย่างไรเขาก็เป็นชาย อีกทั้งคนตรงหน้าก็เป็นชายจะมาแต่งงานคำนับฟ้าดินคงแปลกพิลึก แม้งานแต่งของลั่วหวังอู๋จะผ่านมาแล้วแต่นั่นเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ที่ไม่อาจขัดบัญชาได้
    
       “เอ่อ...คือข้าเป็นบุรุษ”
    
        “แล้วอย่างไร ข้าก็มิเคยเห็นเจ้าเป็นสตรีนี่” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนทำหน้าไม่ถูก แม้จะอายแต่เขากลับดีใจที่คนตรงหน้าคิดจะแต่งงานกับเขาอย่างเป็นทางการทั้งๆ ที่อยู่ร่วมกันมานาน แต่เมื่อดวงตาจริงจังที่ส่งมาทำให้พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะคว้าร่างโปร่งบางมากอดอีกครั้ง
    
        “เจ้าตกลงแล้วไปกันเถอะ”
    
        “ไปไหน!!...”
    
         จิวชงหยวนเอ่ยถามยังไม่ทันจบก็รู้สึกวูบ มองรอบกายอย่างมึนงงก่อนจะอึ้งไป ที่นี่เป็นเขาคุนหลุนที่อยู่กึ่งกลางสวรรค์และโลกมนุษย์ ทว่าสิ่งที่ทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปจนพูดไม่ออกคืองานแต่งที่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว และแขกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมากันครบถ้วนล้วนเป็นคนที่รู้จักทั้งนั้น
    
        จิวชงหยวนเดินตามแรงจูงมือของลู่เฟยเสื้อผ้าไม่รู้ว่าถูกเปลี่ยนเป็นชุดแต่งงานสีแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าคนที่ทำให้เขายืนเกร็งตอนนี้กลับเป็นคนเบื้องหน้าที่ดูมีอำนาจจนยากจะต่อกร ความงามสง่าของทั้งคู่ทำให้ไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา ทว่าหูกลับได้ยินคำนับฟ้าดิน และร่างกายเขากลับทำตามลู่เฟยเหมือนกับว่านี่มิใช่การแต่งงานครั้งแรก
    
        มือบางถูกลู่เฟยยกขึ้นกรีดเลือดบนฝ่ามือจนทำให้ร่างนั้นสะดุ้งหันไปมองคนทำตาดุ แต่แววตาจริงใจที่ส่งมาบอกให้เชื่อมั่นทำให้ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ลู่เฟยกรีดมือตัวเองตามยกมือประกบกับมือเขาไว้พร้อมเสียงนุ้มทุ้มกังวานที่ทำให้หัวใจอบอุ่น และรู้สึกว่าที่นี่คือบ้านที่แท้จริงที่เฝ้ารอมานาน
    
       “ข้าลู่เฟยแม่ทัพสวรรค์ขอให้คำสัตย์สาบานว่าจะรักและดูแลจิวชงหยวนภรรยาข้าเพียงผู้เดียวตราบสิ้นวิญญาณของข้า ใจเชื่อมจิต จิตเชื่อมดวงวิญญาณ สามภพเป็นพยานแก่พวกข้า หากข้าผิดคำสาบานแล้วไซร้ดวงวิญญาณจงแตกดับสูญสิ้นไม่เหลือแม้เศษธุรี” คำสาบานที่ทำให้สามภพสั่นสะเทือนทำให้คนฟังหนาวเยือกแต่คนกล่าวดวงตาหนักแน่นจริงจัง
    
      “ข้าก็เช่นกัน”
    
       จิวชงหยวนตอบรับด้วยหัวใจคงมั่น หากสูญสิ้นอายุขัยแล้วไซร้ขอให้จดจำคนผู้นี้ได้ตลอดไป ดวงตาเรียวสวยมองคนรักตรงหน้าด้วยความรักสุดหัวใจ ทั้งคู่คารวะเง็กเซียนฮ่องเต้ที่มาเป็นพยานให้จิวชงหยวนได้รับโอสถหมื่นทิพย์เป็นของขวัญก่อนที่จะจากไปเหลือเพียงแขกที่ไม่รู้ว่าลู่เฟยพาตัวมาอย่างไร
    
       หนึ่งในนั้นกลับมีหย่งเจิ้น ร่วมอยู่ด้วยทุกคนต่างร่ำสุรายินดีด้วยใจจริง แม้นี่มิอาจรู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝันแต่ทั้งคู่ก็รักกันมาเนิ่นนานแล้วจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี
    
       จิวชงหยวนมองทุกคนด้วยความรู้สึกสุขใจ แม้ทุกคนจะถูกดึงมาเพียงแค่ความฝันก็ตามแต่เชื่อว่าตื่นขึ้นมาย่อมจดจำได้อย่างแน่นอน ที่นี่ดูงดงามและยังตกแต่งในแบบที่เขาเคยวาดรูปให้ลู่เฟยดูขณะเดินทางไปทั่วยุทธภพ หากเดาไม่ผิดคงเป็นสิ่งที่เนรมิตขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเจ้าเล่ห์เหลี่ยมอะไรถึงทำให้เง็กเซียนฮ่องเต้ที่ปกครองแห่งทรวงสวรรค์มาอวยพรให้พวกเขา
    
       ทุกอย่างที่ผ่านมานั้นรวดเร็วจนจิวชงหยวนรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันไปจนอดที่จะหยิกแก้มตัวเองไม่ได้ แต่ต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บ ร่างสูงข้างกายหันมามองยกยิ้มบางอย่างขำๆ เพราะวันแรกที่ได้พบจิวชงหยวนก็ตบแก้มตัวเองเช่นกัน ก่อนจะรวบร่างโปร่งบางไปกอดมองดูดวงดาวบนฟ้าด้วยหัวใจสุขล้น
    
        “ข้ารักเจ้า” น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูชวนให้ใจสั่นระรัว จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนบอกรักด้วยรอยยิ้มบาง ไม่รู้ว่าลู่เฟยใช้เล่ห์กลอันใดที่ทำให้หัวใจเขามิอาจยกให้ใครได้อีก
    
       “ข้าก็รักเจ้าลู่เฟย”
    
        คำบอกรักที่ยากจะได้ยินทำให้ลู่เฟยกอดกระชับร่างโปร่งบางแน่นขึ้นด้วยหัวใจพองโต ดีใจที่ได้รับความรักจากคนรัก แม้เขาจะใช้เล่ห์รักเทวาสรรค์หนังสือระดับตำนานของเฒ่าจันทรา แต่มันก็คุ้มค่าที่เสียเวลาอ่านไป ใครบอกว่าหนังสือไม่มีประโยชน์อย่างน้อยเวลานี้ก็ทำให้ความรักที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานสิ้นสุดลง สัญญาว่าจะไม่ให้สิ่งใดมาพรากคนในอ้อมกอดไปได้อีกครั้ง แม้แต่ความตายก็ตาม!
    
        จิวชงหยวนกุมมือที่โอบเอวตนเองไว้ พร้อมซึมซับความหอมหวานและความอ่อนโยนที่ลู่เฟยมอบให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทำให้ยกยิ้มบาง
    
        ซึมซับม่านฟ้าพร่างพราวฝัน
   กระชับอ้อมกอดชมจันทร์ละหวั่นไหว
   เรื่องเล่าตำนานรักจากภพอันโพ้นไกล
    สิ้นสุดแล้วไซร้การรอคอยที่เนิ่นนาน...
   
                                           จบบริบูรณ์


  ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาถึง ณ ตรงนี้ หากไม่มีพวกท่านฟางคงไม่มาถึงจุดนี้ ขอบคุณทุกความสนับสนุนค่ะ
เว็ตเล้าฟางจะลงช้ากว่าเพื่อนเพราะฟางไม่ค่อยถนัดในการลงที่นี่เท่าไหร่ต้องขออภัยด้วยนะคะ หากใครอยากอ่านเร็วติดตามได้ที่เด็กดีค่ะเพราะฟางชอบไปสิงที่นั่นมากกว่า หากใครสนใจรูปเล่ม 2เล่มจบในราคา700บาทสามารถติดต่อสอบถามได้ที่หน้าแฟนเพจนะคะ สุดท้ายแล้ว ฟางฝากเรื่อง เล่ห์ร้ายจอมราชันย์  ภาคต่อของ เล่ห์รักเทวาสวรรค์ไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ปล.ใครรู้ว่าจบแล้วต้องย้ายไปที่ไหนบอกฟางจะเป็นกรุณามากค่าา แล้วเจอกันในเรื่องต่อไปค่าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 01-12-2015 20:28:57
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 01-12-2015 23:04:09
 :กอด1: :L1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 01-12-2015 23:17:48
ชอบเรื่องนี้มาก...สนุกดี
คุณหมอเทวดาช่างเป็นผู้มีฟิโรโมนร้อนแรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 02-12-2015 13:43:36


ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

อ่านแล้วอิน

อ่านแล้วฟิน

อ่านแล้วอยากอย่างอีก.....

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 02-12-2015 18:18:26
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่ถ่ายทอด ชอบมากจ๊ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 03-12-2015 15:00:54
จบแล้ววว อยากอ่านตอนพิเศษจังเลย 555555
ขอบคุณมากๆนะคะ ตามหานิยายจีนแบบนี้มานาน
ได้อ่านสมใจเลย แหะๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 03-12-2015 18:30:31
ชอบอ่ะ อ่านเพลินจนลืมหลับลืมนอนเลย คนเขียนสุดยอดมากพูดเลย ขอบคุณคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 03-12-2015 20:00:06
คือ...  ชอบมากกกกกกก อยากอ่านอีกอ่ะ ไม่อยากให้จบเลย อินกับตัวละครสุดๆ อยากให้มีตอนพิเศษ อิอิ คนเขียนแต่งเก่งสุดๆ เยี่ยมๆๆๆ  ><  ขอบคุณนะจ้าาาา  :impress2: o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ஓMaRiShiTenSM ที่ 03-12-2015 23:25:14
ชอบเนื้อเรื่องแนวนี้มากๆ เลยค่ะ
รอเรื่องต่อไปนะคะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 04-12-2015 00:19:53
สนุกครับ ชื่อตัวละครไม่ค่อยทำให้สับสน อาจเพราะหลาย ๆ ชื่อคล้ายได้ยินบ่อย ๆ การเดินเรื่องสนุกน่าติดตาม

ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 05-12-2015 09:51:02
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 05-12-2015 18:50:49
สนุกมากๆ อ่านรวดเดียวเลย  o13 อยากจัได้ภาคต่ออีก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sawapalm ที่ 06-12-2015 04:31:37
ทุกตัวละครน่าติดตามสุด จะติดตามต่อแน่นอน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 06-12-2015 14:05:13
เพิ่งได้อ่าน ก็อ่านรวดเดียวจบเลย

ขอบอกว่าสนุกมาก นาน ๆ ครั้ง จะมีคนเขียนนิยายแนวจีน ๆ

ขอบคุณมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mochimanja2 ที่ 06-12-2015 16:06:13
สนุกมากๆเลย  :heaven
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: P★RiTŸ ที่ 06-12-2015 22:36:19
นั่งอ่านสองวันเต็มๆ สนุกมาเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nutae or ที่ 08-12-2015 12:10:11
เนื้อเรื่องลื่นไหลดีค่ะ สนุกมากกกกกกกกกก เด๋วจะเก็บมาดูแลสักเล่มนะคะ  ^^
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 08-12-2015 16:49:17
พึ่งเข้ามาอ่าน ชอบมากกกกกกก หยวนน้อยเก่งหยวนน้อยน่ารัก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 08-12-2015 18:37:48
 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 08-12-2015 23:40:58
ชอบมากๆ
สนุก
ภาษาสละสลวย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 11-12-2015 12:05:26
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 12-12-2015 21:35:06
โอ๊ยยย ติดงอมแงม นั่งอ่านทั้งวันเลยยย   :hao6:
 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 23-12-2015 17:50:39
บอกได้เลยว่าอ่านทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอน

สนุกมากกกกกกกกกกกกกกก ชอบมากกกด

ปกติก็ชอบบแบบนี้อยู่แล้วภาษาสวยแฟนซีรักมาก

ขอบคุณที่อต่งนิยายดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 24-12-2015 15:11:36
ขอบคุณกับเรื่องนี้ที่เขียนให้อ่านค่ะ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 27-12-2015 13:57:17
ชอบมาก อยากให้มีตอนพิเศษ อ่านไปลุ้นไปว่านายเอกจะมีความสามารถอะไรอีก รักเลย :impress2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 28-12-2015 23:36:58
ชอบอะ พลาดไปได้ไงเนี่ย
หนังสือพิมเมื่อไหร่คะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 29-12-2015 10:39:02
แวะมารอข่าวคราว การพิมพ์หนังสือจ้า
รอซื้อๆๆๆ เพิ่งมาอ่าน จองไม่ทันกับเค้าอ่ะ มีรอบหน้ามั้ยคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 01-01-2016 20:05:07
 :mew1: ประทับใจมากค่ะ หวังว่าจะเอาเรื่อง อื่นๆมาลงที่นี้อีกนะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 01-01-2016 21:09:23
สนุกมากเลยค่ะ นึกว่าดูมังกรหยกอยู่ทีเดียว
อีกอย่างตัวเอกมีสติ เหมือนคนปกติ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 02-01-2016 04:58:02
จบแล้ว อ่านรวดเดียวเลย
ค้างนิดๆที่สรุปแล้วหมอจิวได้เป็นเทพเซียนสวรรค์ไหม?
ค้างประเด็นนี้อันเดียวเลย
จะมีบอกในภาคต่อจอมราชันย์ไหม?
หรือว่าจะเป็นตอนพิเศษอ่า
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 02-01-2016 16:08:19
 :-[
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: gimini ที่ 02-01-2016 22:32:59
เย่ๆ อ่านจบแล้ว สนุกมากๆเลยค่า เหมือนดูหนังจีนจริงๆเลย รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 05-01-2016 10:13:19
สนุกจัง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Tequila ที่ 07-01-2016 12:43:45
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Deuan ที่ 18-01-2016 07:38:47
สนุกมาก   :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Mayniemo ที่ 23-01-2016 21:09:58
 :z2:จบแล้วรึ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะคะ ชอบมากกกกกกกก อ่าเพลินแปปเดียวจบ
ไม่กล่าวถึงชงหยวนได้เป็นเทพแหะ เอะรึเป็นเทพแล้วหว่า?  :ling3:
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ชอบจริงๆ นี้ถ้าท้องด้วยนะ อือหือ ฟินนนนนนส
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-01-2016 15:03:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: san ที่ 06-02-2016 11:43:30
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 05-03-2016 19:14:10
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมาก :impress2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Pine_apple ที่ 08-03-2016 20:13:39
 :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 11-03-2016 01:30:07
เป็นเรื่องที่ประทับใจข้าน้อยยิ่งนัก  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: ชอบมากกกกกกกก ชอบทุกตัวละครเลย ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวไหมอ้วนกลม ที่ 11-03-2016 19:59:11
 :katai1:  โอ๊ยยยยยยพึ่งมาเจอเรื่องนี้  พลาดอย่างแรง  ภาษาสวย เนื้อเรื่องละมุน ชอบมาก ๆ ค่ะ  ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ  :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Silver Fish ที่ 20-03-2016 00:20:10
สนุกมากกกก อ่านรวดเดียวแบบวางไม่ลง จบอย่างงดงาม
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: chindo ที่ 04-04-2016 23:22:19
กลับมาอ่านอีกรอบ ยังสนุกเหมือนเดิม ขอบคุณผู้เขียนมากครับที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 14-04-2016 00:07:44
คือเรื่องนี้สนุกมากๆๆๆฟเลยค่ะ
ปกติเราจะชอบอ่านนิยายแนวโบราณอยู่แล้ว  เรื่องนี้เลยถูกใจมากๆ เนื้อเรื่องก็สนุกชวนติดตาม นายเอกฉลาดเก่ง พระเอกก็เท่ และมั่นคงในรักมากค่ะ อ่านแล้วซึ้งจริงๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: neyney_mumi ที่ 17-04-2016 13:39:04
อ๊ายยยย>< เรื่องนี้เป็นอะไรที่ดีต่อใจมากค่ะ เราตามหาเรื่องที่นายเอกบุคลิกนิสัยแบบนี้มานานมาก ในที่สุดก็เจอ ขอบคุณคนเขียนมสกนะคะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้เราได้อ่านกัน จริงๆตอนนี้ยังอ่านไม่จบเลย แต่อดใจไม่ไหวเลยมาเม้นก่อน แต่เราสงสัยอย่างนึงคือจากที่สังเกตมาตั้งเริ่มอ่านจนถึงตอนนี้เราเจอชื่อสมาชิกเอ็กโซ่อยู่ในเรื่องค่อนข้างเยอะ มีทั้งแบบมาเป็นชื่อและเป็นคำ คนเขียนเป็นแฟนคลับเอ็กโซ่ป่ะค่ะเนี่ย :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 21-04-2016 20:15:30
มันเป็นนิยายที่สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกก

หาที่ใดเปรียบ

ภาษาสวยมากกกก

เคารวะคนอ่านนน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-05-2016 22:18:26
กำลังจะอ่านรอบสอง ขอเม้นท์ก่อนค่ะ 55//คือ สนุกกกกกกมากกกกก จบไปรอบนึงยังตรึงใจอยู่เลย ครบทุกอารมณ์ ซึ้งเศร้าฮาเขินฟินอินทุกฉากลุ้นมากตอนต่อสู้น้ำตาไหลเป็นช่วงๆหน่วงเบาๆ คือออชอบบบบบบยยมากค่ะ โอ๊ยยนิยายดีๆแบบนี้ อ่านกันเถอะค่ะ ติดงอมแงม วางไม่ลง //ขอบคุณค่ะที่แต่งมาให้อ่าน ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Mitnai ที่ 31-05-2016 21:32:40
แปะไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านนะคะ ตอนแรกที่อ่านแล้วเป็นแนวจีนๆนี่เบื่อมากค่ะบอกตรงๆ
สายเด็กดีจะรู้เลยว่านิยายจีนนี่เอียนแล้วเอียน แต่อ่านไหม? เออ อ่าน55555555555555555555
จิ้มจึกๆค้าา  :z13:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 31-05-2016 21:59:50
 :กอด1: รอรูปเล่มมาส่งจ้า
อยากอ่านตอนพิเศษสุดๆเบย  :hao5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 04-07-2016 23:30:43
สนุกมากๆเลยคนแต่งเยี่ยมมากๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 06-07-2016 19:36:38
สนุกมากเลย

แต่หมอจิวได้เป็นเซียนป่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 07-07-2016 16:25:30
สนุกมากกกกค่ะ หวานละมุน ตื่นเต้น เร้าใจมาก
ขอบคุญสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tuttu61 ที่ 07-07-2016 20:47:08
สนุกมากกๆๆเลยขอบคุณนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 08-07-2016 11:11:18
ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆ นะคะ ชอบนิยายแนวนี้มากค่ะ คู่นี้ความรักดูแบบละมุนๆ รักกัน เข้าใจกัน อ่านแล้วยิ้มได้เลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: zee ที่ 12-07-2016 18:23:10
ไม่อยากให้จบเลย ถถถ  :hao6: :hao7:
สนุกมากเลยครับ  :man1:
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ  :pig4: :call:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 14-07-2016 22:04:36
สนุกมากค่ะ ชอบมาก
อ่านแล้วไม่อยากหยุดเลย
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แต่งมาให้อ่านนะคะ
ว่าแล้วไปติดตามเรื่องอื่นๆต่อดีกว่า ^^
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: PRINCESSPRIME ที่ 23-07-2016 18:35:12
ภาษาสวย เนื้อเรื่องน่าติดตาม
อ่านแล้ววางไม่ลงเลยค่ะ (อ่านรวดเดียวจบ) :a5:

ขอเป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่าาา
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 31-07-2016 02:16:47
สนุกมาก
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: niza59 ที่ 31-07-2016 11:45:58
นิยายสนุกมากค่ะ
ขอบคุณนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 03-08-2016 05:10:07
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ. ไม่ผิกหวังริงๆที่ได้อ่าน
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-08-2016 06:01:58
 o13 o13

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: snownut ที่ 14-08-2016 09:12:54
ขอบคุณนะคะ อ่านจนลืมนอนเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 16-08-2016 13:00:17
แต่งเก่งมากเลยค่ะ  สนุกมากคับ   o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 20-08-2016 18:36:33
:L2:

เป็นเรื่องเกี่ยวกับจีนย้อนยุคกำลังภายในเรื่องแรกที่เราอ่านแล้วชอบมาก
เนื้อเรื่องสนุกดี


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 23-08-2016 21:57:10
ตามมาอ่านให้จบค่ะ สนุกมากเลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-08-2016 23:31:28
โอ้ยยยย สนุกมาก ไม่อยากให้จบเลย
ชอบแนวนี้มากๆ และหาอ่านยากมากเช่นกัน
เนื้อเรื่องสนุกมากอ่านแล้ววางไม่ลง
ขอบคุณนิยายดีๆสนุกๆค่ะ  :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: GF_pp ที่ 10-10-2016 21:24:24
สนุกมากกกก อยากให้มีต่อค่ะ

ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 17-10-2016 15:53:33
อ่านกี่รอบก็ชอบบ   o13 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: i-tatae ที่ 20-10-2016 20:40:36
สนุกมาก:) เนื้อเรื่องภาษาสวยงาม  ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ :)
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 27-10-2016 20:36:04
ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกมาก
จะตามอ่านเรื่องต่อๆไปนะ  :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sherline8 ที่ 23-11-2016 00:10:36
อ่านรวดเดียวจบบบ ดีงามมากกกก ฮืออออออออออ  :o12:

หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 25-08-2017 18:23:03
กลับมาอ่านอีกกี่รอบก็สนุกกินใจมากกกกก
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Airrieeirrie ที่ 09-04-2018 18:48:19
สนุกสุดๆ เอาจริงๆพออ่านเง็กเซียน เผลอผวนตลอดเลย55 ไม่ได้คิดอะไรแต่ก็คิด :ling1: :katai5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 18-04-2018 16:24:48
เป็นเรื่องที่สนุกๆมากๆเลยคะ ขาดตอนไม่ได้เลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ ได้ทุกรสจริงๆ
แอบกระซิบ: ปกติไม่ชอบอ่านแนวจีนๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ได้อ่าน ทำให้มุมมองในการอ่านแนวนี้ หมดไปเลยคะ คนแต่งสุโค่ยมากเจ้าคะ กราบบบบ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: เงาเดือน ที่ 18-06-2018 06:36:11
ปกติไม่อ่านนิยายจีนนะเพราะงงกับชื่อแต่เรื่องนี้ทำเอาอ่านไม่หยุดเลย นับถือคนเขียนมาก ต้องใช้เวลานานไหมกว่าจะแต่งจบไหนจะชื่อพรรคไหนจะชื่อคนสถานที่อีก พล็อตอีก ไม่ตกหล่นเลย มันสุดยอดมาก ข้าน้อยขอคาราวะ :z2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 23-07-2018 12:35:42
THANK YOU  :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Panamapaper ที่ 31-07-2018 23:00:03
 :mew1: ขอบคุณน้าาาาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-10-2019 13:34:12
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :กอด1: :L2: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 09-10-2019 22:39:51
เป็นนิยายจีน เพียงไม่กี่เรื่องที่อ่านจบ
เพราะเรามีปัญหากับการจำชื่อจีนมาก
 นี่เวลาใครมีบท เราต้องจดใส่กระดาษไว้เลยว่าคือเจอกันได้ไง 555 ไม่งั้นถ้าถึงช่วงพีคๆ แล้ววันกับมาเจอกันอีกนี่นั่งนึกตายเลย
จนจบเรื่องก็ยังจำชื่อนายเอกไม่ได้  รู้แต่พอชื่อนายเอกมาเมื่อเห็นภาพแต่ไม่อ่านชื่อ แล้วก็นึกเป็นหมอเทวดาไปเลย555 แต่นิยายสนุกจริงๆค่ะ เลยอ่านจนจบ  ปกติกับนิยายที่มีชื่อออกจีนๆ ไปไม่ไหวจริงๆ จะมีแค่ไม่กี่เรื่องที่เราอ่านจบจริงๆ  อยากบอกว่าสนุก สนุก จริงๆค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 10-10-2019 00:58:30
ชอบมากๆแบบชอบซ้ำๆอ่านย้ำๆก็ยังถูกใจมากกกกกก คือเอาตรงนี่เอ็นดูลู่เฟยมาก 555555 จากเรื่องนี้ไปยังอีกเรื่องก็รู้สึกมีความเป็นผู้ชายน่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 11-10-2019 03:32:00
สนุกม๊ากกก ชอบค่ะๆ
มีเรื่องของรัชทายาทต่อใช่มั้ยคะ?

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 14-10-2019 21:58:42
เนื้อดี ผูกความสัมพันน์ไม่ซับซ้อนมากนัก

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 16-10-2019 19:39:22
สนุกมากค่ะ จะติดตามอีกเรื่องต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: frayfay ที่ 20-10-2019 01:06:39
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ ช่วงนี้บ้าอ่านนิยายจีนโบราณมาก ชอบที่เรื่องนี้ไม่มีดราม่ามากนัก ไม่ต้องร้องไห้._. แต่อ่านช่วงแรก ๆ กับตอนที่พระนายอยู่ด้วยกันแล้วเอียนคำว่าร่างโปร่งบางมากเลย มันซ้ำซ้อนเกินไปน่ะค่ะ มีคำผิดบ้าง ส่วนมากเป็นคำง่าย ๆ ซะด้วย และสงสัยเรื่องเวลาในเรื่อง จำได้ว่า 100ปีโลกมนุษย์​เป็นแค่ 7วันบนสวรรค์ แต่ทำไมตอนชงหยวนหลับไปแล้วขึ้นสวรรค์​ไป 5วัน กลับผ่านไปแค่เดือนเดียวเอง หรือมันยังไงกันน้อ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-11-2019 15:43:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 10-11-2019 14:21:36
จบแล้ววววววว

นิยายสนุกมากกกกก

ขอบคุณมากๆๆๆๆ ที่เขียนนิยายสนุกๆออกมา

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 18-11-2019 23:46:17
ขอบคุณนะคะ ที่เขียนเรื่องนี้ สนุกมากกกก วางไม่ลง
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 25-11-2019 11:08:14
สนุกมากกกกกกกกกก ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Khratiin ที่ 30-11-2019 07:49:42
ขอบคุณนักเขียนที่แต่งนิยายสนุกๆให้ได้อ่านนะคะ
นิยายสนุกมากก ลุ้นและ เอาใจช่วยตัวละครตลอด
ว่างๆแต่งเรื่องใหม่มาให้อ่านอีกนะคะ
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 08-01-2020 04:26:47
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
ตามอ่านแบบยาวๆเต็มอิ่มเลยค่ะ
ครบรสประทับใจมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: yochiki1404 ที่ 16-01-2020 09:22:14
สนุกมาก ความรักที่ไม่หวือหวาแต่อบอุ่น การจากลาที่เจ็บปวดแต่มันหอมหวานยามพบเจอ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lipure ที่ 15-02-2020 16:16:29
 :L1:  :L1: :L1: :pig4:
สนุกดีค้า ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 27-02-2020 20:28:56
ไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 29-02-2020 03:34:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 01-03-2020 14:32:18
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 01-03-2020 19:51:48
 :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 26-07-2020 18:47:36
 :z13:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 03-08-2020 14:47:17

 :L2: :L1: :L2: :L1: :L2: :L1:

ชอบมาก..อ่านเพลิน..นุ่มละมุนมากกกกก..
อ่านไปแบบต่อเนื่องยาวววว จนจบเลย..

ขอบคุณนักเขียน ฟาง  คนดี ให้กำลังใจ +1เป็ด

นักอ่าน จะไปอ่านภาค 2 ต่อทันที

 :pig4: :pig4: :pig4:

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Vergintomza ที่ 02-11-2020 17:17:56
ชอบๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nonocong ที่ 20-05-2021 23:08:28
ขอบคุณ นวนิยายสนุกมากฮับป๋ม :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 28-11-2022 20:18:45
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: valentinesmile ที่ 13-09-2023 22:39:10
ชอบนิยายแบบนี้มากกกก ใครมีแนวนี้เบิกเนตรหน่อยคร้าบบบบ