เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)  (อ่าน 197532 ครั้ง)

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
มาต่อแล้วว
ท่านหมอจิวแต่งหญิงขนาดนี้
กลัวจะเกิดศึกชิงนางนะสิ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตอนเป็นชายโดนล่า พอเป็นหญิงก็ยังโดนตามจีบ เกิดเป็นหมอจิวเนี่ยยากจริงๆเนอะ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
มาให้กำลังใจก่อนจ้า

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
อ่านตอนนี้แล้วสงสารจุ้ยซิงมากๆ

ขอเป็นกำลังใจให้นะสู้ๆ

นายเอกของเราเริ่ดเสมอ

คิดถึงลู่เฟยจัง

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย เพราะเดี๋ยวนี้ผู้ชายเค้าสวยกว่าแล้ว  :katai1:

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
คนงามมีแต่คนหลงเสน่ห์

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
งามจนคนตบตีแย่งชิงกันเลยน่ะ ชงหยวน

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย เพราะเดี๋ยวนี้ผู้ชายเค้าสวยกว่าแล้ว  :katai1:
จริง!!

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
เป็นกำลังใจให้ชงหยวน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
5555 คือแบบประมุขหอกิเลนก็นะ ลู่เฟยอย่าไปนานนักนะ  :m17:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9

ออฟไลน์ devilpoo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มาปูเสื่อรอตอนต่อไปค้าบบบบบ

เรื่องนี้มาปักหมุดไว้ รอวันอาทิตย์ อ่านยาว ๆ

ออฟไลน์ Baruda

  • มีความสุข
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 633
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9

ออฟไลน์ MRchai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 286
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

ออฟไลน์ johnkongcha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :call: :call: :call: :call: :call: :call:


หายไปนานเลย  เมื่อไหร่จะมน้อ..........



 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 40 แย่งชิงนวล(นาง?) 1
เล่ม 2 ตอนที่14 (P.14วันที่ /13/11/58)


       หลังจากที่แยกจากจิวชงหยวนมาลู่เฟยก็รีบเดินทางมาด้วยลมปราณความเร็วสูงสุดเพียงไม่กี่ราตรีก็มาถึงวังหลวงแคว้นลั่วหยาง ร่างสูงสง่าทะยานผ่านความมืดมายังตำหนักขององค์รัชทายาทที่ดูวังเวงเงียบเหงา ทว่าเนื้อแท้แล้วกลับมีนักรบเงาตามจุดต่างๆ ที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้สักนิด ทันทีที่เขาก้าวผ่านเข้ามาในตำหนักนักรบเงาในบริเวณนั้นต่างก็หลบหลีกและถอยกลับไปยังจุดเดิมที่ตัวเองเคยอยู่
    
        “ดื่มชาก่อนไหม”
    
        ทันทีที่ปลายเท้าเหยียบลงที่ในตำหนักเสียงทักทายก็ดังขึ้นโดยไม่ได้หันมามองแม้แต่น้อย ลู่เฟยเดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างคุ้นเคยเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำตัวเยี่ยงโจรเช่นนี้ มือขวารับชาที่ลั่วเหยียนเจิ้งยื่นมาให้ดื่มแก้กระหาย ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายต่างมารดาที่ใบหน้าขาวซีดเหมือนคนใกล้ตาย ทว่านั่นก็ใบหน้าหลอกลวงเท่านั้น
    
        “ตอนนี้เสด็จพ่อเป็นเช่นไรบ้าง” ลู่เฟยเอ่ยถามมองคนที่นั่งจิบชาอย่างใจเย็น ดวงตาเรียวมองมาที่เขานิ่งๆ แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
    
       เสด็จพ่อป่วยแต่ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าเฝ้า แต่นั่นเป็นแค่ข่าวกลลวงแท้จริงแล้วน้องสามควบคุมบังคับเสด็จพ่ออยู่โดยมีขุนนางตระกูลชุน ตระกูลฮั่น ตระกูลหม่าหนุนหลังอยู่” คำตอบที่ได้รับทำให้คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นมองอย่างฉงน
    
       “แล้วเจ้าก็ปล่อยผ่านไปอย่างนั้นหรือ”
    
       “เปล่า ข้าได้เปลี่ยนงูดินไปแทนที่มังกร คนที่อยู่ในตำหนักคืองูดิน” คำตอบที่ได้รับทำให้ลู่เฟยยกยิ้มยินดี ไม่เสียแรงที่ไว้ใจและเชื่อใจพี่ชายผู้นี้ ความฉลาดหลักแหลมนั้นเขายอมรับมาตั้งแต่ต้นและสมกับที่จะเป็นฮ่องเต้คนต่อไป
    
       “แล้วตอนนี้มังกรอยู่ที่ใดเล่า” ลู่เฟยเอ่ยถามเมื่อเข้าใจรหัสลับเพื่อป้องกันการสอดแหนมจากศัตรู แม้จะมั่นใจแต่กำแพงมีหูประตูมีซ่องไหนเลยจะไว้ใจได้
    
      “มุ่งสู่พระธรรม” คำตอบหนักแน่นและดวงตาแน่วแน่ที่สื่อออกมา ทำให้ลู่เฟยอึ้งไปอย่างไม่อยากเชื่อ
    
       “เหตุใด”
    
       “ข้ามิอาจรู้แต่เป็นการตัดสินพระทัยแล้ว ข้าได้แต่ทำตามพระประสงค์” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับเสียงเรียบพร้อมวางแก้วชาลงและหยิบจดหมายในอกเสื้อให้ลู่เฟยได้อ่าน
    
       ลู่เฟยมองจดหมายในมือพี่ชายก่อนจะรับมาอ่าน ลายพระหัตที่เขียนไว้เขาจำได้ว่าเป็นเสด็จพ่อ มือหนาเปิดอ่านโดยมีสายตาลั่วเหยียนเจิ้งมองตาม
    
      ‘ลู่เฟยหากเจ้าได้รับจดหมายฉบับนี้แสดงว่าบิดาเจ้ามิได้อยู่ในวังหลวงอีกแล้ว ข้าได้ตัดสินใจที่จะมุ่งสู่พระธรรม มิใช่ไม่ห่วงใยพวกเจ้าที่ต้องมาเข่นฆ่ากันเองในหมู่พี่น้อง และข้าไม่อยากให้ลูกแท้ๆ มาปิตุฆาตบิดาให้ก่อเกิดบาปยิ่งขึ้นไปอีก ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องทำเช่นไร การฆ่าพี่น้องในสายเลือดของสายเลือดกษัตริย์มีมาเนิ่นนานแต่ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าต้องร่วมมือกันได้ดี ข้ารู้มาโดยตลอดว่าลั่วเหยียนเจิ้งมิได้เจ็บป่วยและชาญฉลาดมากแค่ไหนจึงได้แต่งตั้งเป็นรัชทายาท แต่คงจะดีหากมีเจ้าที่ไม่ได้หวังครอบครองบัลลังก์มาช่วยเหลือลั่วเหยียนเจิ้ง ต่อไปนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว แสงสว่างโปรดนำทางสู่พวกเจ้า’
    
      ลู่เฟยพับกระดาษพร้อมจุดไฟตะเกียงน้ำมันข้างกายเพื่อทำลายหลักฐานไปด้วย ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายที่ต้องแบกรับฐาระที่หนักอึ้งในกาลต่อไป
    
      “ต่อไปนี้ต้องลำบากเจ้าแล้ว”
    
       “อืม เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้น้องสามเริ่มจะใส่ความข้าที่คิดก่อกบฏกับวังหลวงแต่ไม่มีหลักฐานจึงได้ไปใส่ความน้องเจ็ดซึ่งตอนนี้ถูกขังอยู่ห้องอาญาที่คุกใต้ดินรอรับโทษทัณฑ์” ลู่เฟยนิ่วหน้ากับคำบอกเล่า พลางนึกไปถึงใบหน้างดงามร่างโปร่งบางของน้องเจ็ดที่ชอบมาเล่นกับเขาบ่อยๆ และชอบตามติดจิวชงหยวนเมื่อยามที่เจ้าตัวอยู่ในวัง
    
       “ข้อหาอะไร”
    
      “สมคบกับแม่ทัพห่านหลงก่อกบฏ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เพราะรู้ดีว่าเพราะเหตุใดน้องเจ็ดถึงถูกใส่ความได้ง่ายๆ เช่นนี้
    
       “แล้วตอนนี้แม่แม่ทัพห่านหลงเล่า คงไม่ใช่อยู่คุกใต้ดินหรอกนะ”
    
      “ถูกต้องแล้ว รอคำพิพากษาคดีในวันพรุ่งนี้” ลู่เฟยลุกขึ้นยืนมองไปยังจุดต้นไม้ไหวทางด้านนอกก่อนจะสบัดเข็มเงินพุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว
    
      ตุ๊บ!
    
      ร่างนั้นล่วงตกลงมาพร้อมลมหายใจที่ดับสิ้นเพราะพิษปลิดวิญญาณที่จิวชงหยวนทำไว้ให้ ซึ่งเขาใช้เวลากว่าสามเดือนระหว่างเดินทางร่วมกับจิวชงหยวนในการฝึกซ้อมในการใช้อาวุธลับชนิดนี้
    
     “เจ้าน่าจะลากมาเค้นคอสอบถามก่อน” ลู่เฟยหันไปมองคนที่มายืนข้างกายแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
 
    “เจ้าน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว อยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ก็พูดมาเถิด”
    
        “หึ...”
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างชอบใจที่มีคนรู้ทัน การทรมารเหยื่อเป็นอะไรที่น่าสนุกและตื่นเต้นและเป็นการแก้เบื่อได้เยอะเชียว ดวงตาเรียวมองผ่านไฟสลัวๆ ข้างนอกที่เวลานี้ร่างนั้นถูกลากหายออกไปอย่างว่องไว
    
       “มีหนูมาเพ่นพ่านแถวนี้แล้ว คงทำอะไรลำบากน่าดู” ลู่เฟยกล่าวออกมาอย่างเบื่อหน่าย ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบางตบไหล่น้องชายอย่างปลอบใจ
    
         “ตราบใดที่มีองค์รักษ์ทมิฬของเจ้าแทรกแทรงทุกพื้นที่ในวังหลวงจะกลัวสิ่งใดกัน” คำกล่าวของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้ลู่เฟยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับเสียงจริงจังเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายประมาท
    
        “สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง นับประสาอะไรมนุษย์เดินดินเช่นข้าจะพลาดไม่ได้”
    “เอาเถอะ เรื่องนั้นข้ามีแผนในใจแล้วตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐานมัดตัวน้องสาม หากยังดิ้นหลุดก็สังหารเขาซะ” ลั่วเหยียนเจิ้นกล่าวปลอบใจน้องชายร่วมบิดาก่อนจะเน้นประโยคท้ายด้วยดวงตาเลือดเย็น
    
        ลู่เฟยยักไหล่อย่างไม่สนใจนักว่าใครจะเป็นจะตายจริงๆ ก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะเขามีหน้าที่แค่ส่งให้ลั่วเหยียนเจิ้งโอรสสวรรค์ขึ้นครองบัลลังก์ตามคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้เท่านั้น และเขาเองก็จำความตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจบันจนได้หมดแล้ว แต่สิ่งแรกที่ทำคงต้องช่วยน้องชายที่น่ารักออกจากคุกอาญาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีหน้าไปพบจิวชงหยวนแน่ๆ ว่าไปคนรักเขาทำอะไรอยู่นะ
    
       “จิวชงหยวนเป็นเช่นไรบ้าง ไม่เจอมาเป็นปีคงงดงามขึ้นไม่น้อย”
    
        ลู่เฟยตวัดตามองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยสายตาดุๆ เพราะเจ้าตัวเคยกลั่นแกล้งเขาไว้เยอะเมื่อยามที่จิวชงหยวนออกช่วยงานว่าราชการที่ชายแดน และชอบกลั่นแกล้งให้เขาหึงบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นราชกิจเยอะจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้
    
        “แหม ข้าก็ถามไถ่ตามประสาคนรู้จัก ข้าคงไม่อาจหาญไปแย่งชิงน้องชายเช่นเจ้าหรอก” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มบางเมื่อเห็นดวงตาคมกริบที่ตวัดมองมา ที่สำคัญเขาไม่คิดเป็นศัตรูกับลู่เฟยน้องชายคนนี้แน่ๆ เพราะไม่เช่นนั้นมีสักสิบชีวิตก็คงไม่เหลือ คนอื่นอาจจะไม่รู้จักลู่เฟยดีแต่ไม่ใช่สำหรับเขาที่ร่วมจับมือกันและกันมานานกว่ายี่สิบปีเช่นนี้
    
       “จิวชงหยวนสบายดี หน้าตายังคงเช่นเดิม ต่อให้อีกสิบปีข้างหน้าก็มิอาจเปลี่ยนไป” ลู่เฟยตอบเสียงเรียบเดินมานั่งจิบชาอีกครั้งเมื่อข้างนอกไม่มีสิ่งผิดปกติ โดยมีลั่วเหยียนเจิ้งเดินตามานั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมมองมาที่เขาอย่างฉงน
    
        “สิ่งที่ข้าได้ยินมาว่าจิวชงหยวนเป็นเซียนนั้นจริงหรือ”
    
       “เรื่องนี้ข้าไม่อาจตอบเจ้าได้ เป็นลิขิตของสวรรค์อยู่ไปนานๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” ลั่วเหยียนเจิ้งพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยใจเพราะหากลู่เฟยไม่ต้องการจะพูดต่อให้เค้นคอถามก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี
    
       “เอาเถอะคืนนี้เจ้าไปพักก่อนเถอะพรุ่งนี้คงเจอปัญหาอีกมาก แต่ข้าก็มีแผนสำรองไว้เช่นกัน แต่หากจะดีมีเจ้าช่วยด้วยก็คงจะดีนะ” ลู่เฟยหันไปมองคนยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วส่ายหน้าเพราะแค่มองก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแล้ว ก่อนจะหยิบจดหมายที่เขาให้องค์รักษ์ทมิฬดักจับไว้ได้ส่งให้เจ้าตัว
    
       “นี่คงช่วยลั่วหวังอู๋ได้”
    
       “ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เรื่องน้องเจ็ดวางใจเถอะ” ลู่เฟยยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ ก่อนจะทะยานออกนอกหน้าต่างกลับตำหนักของตัวเองซึ่งไม่ได้มานานกว่าหนึ่งปี
    
       ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามเงาร่างสูงสง่าที่ทะยานหายไปกับความมืดแล้วก้มมองหลักฐานในมืออย่างพึงพอใจ ไม่ว่านานแค่ไหนหรือเจ้าตัวไม่อยู่ในวังแต่กลับมีสายแทรกซึมทุกพื้นที่อย่างน่าหวาดหวั่น ดีแต่ว่าตนไม่ใช่ศัตรูของลู่เฟยไม่เช่นนั้นไม่อยากจะคิดว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร
    
      ลู่เฟยกลับมายังตำหนักดอกท้อก็ต้องนิ่วหน้ากับคำรายงานขององค์รักษ์ทมิฬ ก่อนจะโบกมือไล่ให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ดวงตาคมกริบเหม่อมมองออกไปหน้าต่างที่ท้องฟ้ามืดมิดและหม่นหมองเหมือนหัวใจเขายามนี้ เพียงแค่ห่างเหินไม่กี่ราตรีกลับคนึงหาคนรัก ยิ่งคำรายงานขององค์รักษ์ทมิฬที่ให้คอยดูแลจิวชงหยวนเงียบๆ ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น
    
      จิวชงหยวนบัดนี้แต่งกายเป็นหญิงความงดงามและความเก่งกาจทำให้โด่งดังไปทั่วแคว้นเยี่ย กอปรกับต่างมีฝ่ายธรรมะและอธรรมมาเทียบเชิญไปอยู่ด้วย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่แอบอ้างว่าเป็นคนพรรคธารตะวันจะทำให้ผู้คนต่างยำเกรงกันไม่น้อย เวลานี้ที่นั่นคงวุ่นวายไม่ต่างจากวังหลวง
    
       ลู่เฟยปัดความคิดไว้เพียงชั่วคราวก่อนจะไปสรงน้ำที่ซู่ซือกวางเตรียมไว้ให้ อีกทั้งไม่ได้ชำระร่างกายมาหลายวันเนื่องจากเร่งการเดินทาง เขาใช้เวลาจมอยู่กับความคิดในสระน้ำขนาดกลางในห้องสรงน้ำจนสบายตัวมากขึ้นจึงลุกขึ้นจากน้ำ ร่างสูงสง่าเดินมาหยิบปิ่นหยกที่จิวชงหยวนซื้อไว้ให้เดินกลับเข้าห้องบรรทม วันนี้เขาจำต้องพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับพรุ่งนี้ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
    
      ลู่เฟยล้มตัวนอนบนเตียงนุ่มหลังจากไม่ได้นอนสบายๆ มานานเป็นปี ทว่าข้างกายกลับอ้างว้างอาดูรไร้คนเคียงกายดั่งที่ผ่านมา เขารู้สึกเหน็บหนาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่สิ เคยเป็นเช่นนี้แต่มันนานมากแล้วและครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นในอดีตเป็นครั้งที่สองอีกแน่ แต่ว่า...
    
        ‘ป่านนี้คนงามจะทำอะไรอยู่นะ’

    
        ปลายฝันธารหนาวดาวหดหู่       
    ยังสู้ความเดียวดายฉายฉาน
    ความเศร้าสร้อยร้อยเสียงเพลงกังวาน
     แม้นหมื่นไมล์รัตติกาลยังได้ยิน
    
       จิวชงหยวนเหม่อมองท้องฟ้าที่ดูเงียบเหงากว่าทุกวัน หัวใจที่เคยสงบบัดนี้กลับร้อนรุ่ม ความคิดถึงคนึงหาคนที่ห่างไกล คนที่เข้ามานั่งอยู่กลางใจแต่ยามนี้หัวใจกลับรู้สึกหม่นหมองเดียวดายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรืออาจจะเคยเป็น แต่เมื่อคราวนั้นมันไม่มากมายถึงเพียงนี้ มือเรียวลูบขลุ่ยหยกแผ่วเบาอย่างห่วงใยคนที่เดินทางกลับแคว้นลั่วหยาง เรื่องของวังหลวงนั้นน่ากลัวพอๆ กับในยุทธภพต่างกันแค่อำนาจที่อยู่คนละเส้นทางเท่านั้น
    
      มือเรียวยกขลุ่ยแตะริมฝีปากแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ บรรเลงเพลงหวานละมุนผสานไปกับความเศร้าสร้อย ความห่วงใยและคิดถึงสื่อออกมา เพลงขลุ่ยที่ไพเราะดั่งเสียงสวรรค์ดังก้องไปทั่วหุบเขา สะกดหลากหลายผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงหยุดนิ่ง บ้างก็พยายามทะยานตามหาผู้บรรเลงเพลงทว่าต่างจับจุดมิได้ว่ามาจากที่ใด จนเกิดเรื่องเล่าขานเป็นตำนานของเพลงสวรรค์ที่ห่วงหาคนรักในหุบเขามังกรร้อยผาที่มิเคยมีใครไปถึง
    
         แต่แท้จริงแล้วคนในหอกิเลนสร้างกับดักมากมายจนปิดเส้นทางเข้าที่แท้จริง แม้เสียงเพลงชวนให้ผู้คนอย่างพบเจอ ทว่าจิวชงหยวนผู้ยังไม่รู้ตัวว่าสร้างตำนานขึ้นมาหลังจากจบเพลงก็เก็บขลุ่ยไว้ที่อกเสื้อแล้วลุกขึ้นกลับไปนอนเพื่อเตรียมรับมือในวันพรุงนี้
    
        เมื่อตะเกียงน้ำมันดับลงกลับมีผู้หนึ่งที่สามารถจับหาต้นกำเนิดเสียงเพลงได้ ใบหน้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าเจ็ดสิบปีแสยะยิ้มมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ และเมื่อพึงพอใจมีหรือว่าเฒ่าราคะอย่างตนจะปล่อยผ่านเลย ความงดงามของแม่นางนั้นตราตรึงใจจนหัวใจสั่นระรัวอย่างไม่กลัวว่าจะหยุดเต้น ดวงตาสีดำสนิทวาวระยับแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างปรารถนา  ไม่เคยมีใครทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจเช่นนี้มาก่อน จนจะครอบครอง
    
       จิตปรารถนาที่แปลกปลอมพุ่งตรงมาที่จิวชงหยวนจนขนกายลุกชัน ดวงตาเรียวพยายามมองผ่านความมืดมองไปทางหน้าต่างไม้ที่มีเพียงต้นไม้พลิ้วไหวไปมามิอาจมองเห็นร่างของเจ้าของจิตได้ มือเรียวสองข้างเกร็งแน่นเมื่อจิตนั้นพุ่งเข้ามาอย่างน่าขยะแขยงไม่ใช่จิตสังหาร แต่คล้ายกับมองสำรวจร่างของเขาทั้งตัว หากถอดเสื้อผ้าเขาได้คงทำไปแล้ว
    
      พรึบ!
    
       เงาร่างคนสีดำพุ่งทะยานเข้ามาให้ห้องนอนเขาอย่างถือวิสาสะ ร่างนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาเขาช้าๆ แม้ไม่มีจิตสังหารแต่สายตาโลมเลียเขาทั้งร่างเช่นนี้เขาก็คงทนนอนนิ่งเฉยไม่ไหวอีกต่อไป
    
         พรึบ!
    
       จิวชงหยวนสะบัดลมปราณจุดไฟตามตะเกียงน้ำมันพร้อมกระบี่โชคชะตาปรากฏมือขวาอย่างว่องไว ดวงตาเรียวมองคนตรงหน้าแล้วนิ่วหน้า คล้ายรู้จักคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ก็ไม่รู้จัก ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาผมสีขาวโพลนทั้งหัวบ่งบอกความแก่ชรา ทว่าทวงท่ากลับยังแข็งแรงและดูกะลิ้มกะเหลี่ยมองเขาด้วยดวงตาวาวระยับคล้ายเจอของเล่นถูกใจ
    
      “เฒ่าราคะ” เมื่อแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันทอแสงจนทำให้เห็นคนตรงหน้าชัดมากขึ้นและท่าทางเช่นนี้คงมีไม่กี่คนในยุทธภพเฒ่าราคะคือคนที่น่าจะใช่ที่สุด
    
      “โอ้ แม่นางรู้จักข้าด้วย นับว่าเรามีวาสนาต่อกันยิ่งนัก” จิวชงหยวนนิ่วหน้ากับคำเรียกขานและคำพูดที่ชวนคลื่นไส้ สงสัยตาแก่นี่จะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นหญิงทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาแต่งเป็นชายแล้ว หรือว่ามันมิต่างกันมากหรือไงถึงทำให้คนผู้นี้มองผิดอีก
    
       “ท่านเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าเป็นบุรุษมิใช่สตรี” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ทว่ารอยยิ้มสยองของตาแก่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกหลอนไม่น้อย
    
       “หากเป็นเช่นนั้นยิ่งดีนัก ข้าชอบนักบุรุษที่งดงามเช่นเจ้า” เมื่อเฒ่าราคะบอกความปรารถนาของตัวเอง จิวชงหยวนก็ไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจอีกต่อไป กระบี่โชคชะตาทอแสงสีเขียวสดใสทว่ากลับน่าหวั่นเกรง เฒ่าราคะหรี่ตามองกระบี่ของเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
    
      “ฮ่าๆๆ กระบี่ดีๆ แต่ใช้ไม่เป็นก็ไร้ประโยชน์นะคนสวย” จิวชงหยวนกรอกตามองเฒ่าราคะที่ไม่สำเนียกอายุตัวเองว่าจะเข้าโลงไม่กี่ปีข้างหน้านี้แล้ว
    
      “เช่นนั้นท่านก็ลองดู” บอกเสียงแข็งพร้อมกระบี่พุ่งเข้าหาร่างของชายชราที่สวมชุดดำทั้งชุดอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ในเมื่ออยากตายถึงที่ก็จะสนองให้
 
    เคร้ง!
 
       เฒ่าราคะชักกระบี่ออกมาต้านรับด้วยรอยยิ้มยั่วเลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น ทว่าเมื่อลมปราณรุนแรงที่แฝงมากับกระบี่ถึงกับนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ ร่างโปร่งบางเช่นนี้ไม่คาดคิดว่าจะมีพลังภายในกล้าแกร่งอีกทั้งไม่สามารถจับสัมผัสได้สักนิด และที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้างคือไอเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวกระบี่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
    
       เปรี๊ยะ!
    
        กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างรุนแรงจนเกิดการเสียดสีประกายไฟขึ้นอย่างน่ากลัว และเพียงแค่เริ่มต้นผู้ที่นอนอยู่ในบ้านหลังนี้อีกสี่ชีวิตก็พุ่งทะยานเข้ามาภายในห้องของจิวชงหยวนด้วยความเร็ว
    
       ตูม!
    
       พลังลมปราณสองสายพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงจนเกิดระเบิดขึ้น สองร่างต่างถอยหลังไปคนละเมตรจากแรงปะทะเมื่อครู่ ทว่าครั้งนี้เจียนเจียนกับหมิงอี้ฟานพุ่งออกมายืนขวางหน้าจิวชงหยวนอย่างปกป้อง มองศัตรูที่บุกรุกยามวิกาลเขม่งก่อนจะนิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียดเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
    
      “เหตุใดเฒ่าราคะเช่นท่านถึงบุกรุกบ้านผู้อื่นยามวิกาลเช่นนี้” เจียนเจียนเอ่ยถามเสียงเรียบซ่อนความหวาดหวั่นไว้ภายใน เนื่องจากเฒ่าราคะผู้ใดก็ย่อมรู้จักดีในยุทธภพและหากหลีกเลี่ยงได้จะไม่ค่อยมีผู้คนไปยุ่งเกี่ยว แม้จะฉุดหญิงสาวชาวบ้านไปก็มิมีใครกล้าไปตามล้างแค้น ฝีมือที่ร้ายกาจอีกทั้งมีชื่อเสียงคาวโลกีย์ในยุทธภพมานานแสนนาน แต่เพราะความร้ายกาจจึงไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยว มาวันนี้มิคิดว่าเฒ่าราคะจะสนใจในตัวจิวชงหยวนจนบุกรุกเข้ามาเช่นนี้
    
      “โอ้ วันนี้ข้าเจอคนงามทั้งสอง หากพวกเจ้าไปกับข้าดีๆ ข้าจะเลี้ยงดูพวกเจ้าอย่างดีเชียว” ใบหน้าหื่นกระหาย ทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้า หันไปมองเจียนเจียนก็มีสีหน้ามิต่างกัน ทว่าคนที่เดือดสุดคงจะเป็นหมิงอี้ฟานที่พุ่งเข้าไปหาโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
    
      “ชู้ท่านนี้ใจร้อนเสียจริง” คำกล่าวของเจียนเจียนทำให้จิวชงหยวนหันมามองตาขวาง เดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจนักเพราะเขาก็ไม่ได้ให้ความหวังกับหมิงอี้ฟานเลยสักนิดและวางตัวเป็นเพียงแค่สหายคนหนึ่งเท่านั้น พอได้ยินเช่นนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ คล้ายกับว่ารู้สึกผิดทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
    
      ตูม!
    
       ลมปราณของทั้งคู่ที่รุนแรงจนกระท่อมขนาดกลางระเบิดจนพังทลายลง จิวชงหยวนพร้อมคนอื่นทะยานออกจากกระท่อมอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนมองภาพความเสียหายตรงหน้าแล้วถอนหายใจ นี่คงเป็นลางบอกเหตุถึงเวลาการเดินทางแล้วกระมัง
    
         กระบี่สองเล่มโรมรันกันด้วยความเร็ว และรุนแรงนี่เป็นครั้งแรกที่จิวชงหยวนเห็นหมิงอี้ฟานใช้วิชากระบี่เดียวดาย รวดเร็วว่องไวเน้นทำลายอาวุธฝ่ายตรงข้ามทว่าเฒ่าราคะดูถูกไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
       การต่อสู้ที่ดูเหมือนเพียงพริบตาทว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับรู้สึกเนิ่นนาน แม้หมิงอี้ฟานจะมีวิชากระบี่ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังด้อยประสบการณ์มากกว่าเฒ่าราคะอย่างเทียบไม่ติด
    
      “หนึ่งเดียวทั่วหล้า” หมิงอี้ฟานเรียกใช้วิชาอย่างต่อเนื่อง เฒ่าราคะเองก็ใช่ย้อย ดวงตาสีดำสนิทเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงฉานและความบ้าคลั่งในการใช้วิชามารจนทำให้บรรยากาศรอบกายดูน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้น
    
       “ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วหุบเขาทำให้ผู้ที่ยืนมองและหาจังหวะเข้าไปช่วยถึงกับขนกายลุกชัน กระบี่ในมือของทั้งคู่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็วอย่างน่าตื่นตระหนก พลังสองสายที่ฟาดฟันอยู่บนฟ้า ทั้งรุนแรง ดุเดือด แม้ภายนอกทั้งคู่จะดูสูสีกันแต่จิวชงหยวนกลับรู้ได้ทันทีว่าผู้ใดจะพ่ายแพ้
    
       อึก!
    
       และไม่กี่กระบวนท่าหมิงอี้ฟานก็กระเด็นตกลงอย่างที่คาดคิดไว้ สองศิษย์พี่น้องต่างก็พุ่งเข้าไปป้องกันหมิงอี้ฟานได้อย่างทันท่วงที จิวชงหยวนพุ่งเข้าไปต้านรับช่วยสองศิษย์ที่โดนฝ่ามือเดียวก็กระอักโลหิตออกมาอย่างน่ากลัว จุ้ยซิงและหนานจี้กงถึงกับเบิกตากว้างกับความร้ายกาจที่ตนมิอาจปัดป้องได้ทัน
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
       เปรี๊ยะ!
    
       กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างรุนแรงพลังลมปราณจากห้าส่วนเริ่มขึ้นมาเป็นเจ็ดส่วน ใบหน้างดงามนิ่วหน้าเล็กน้อยกับกระบวนท่าที่ดูแปลกใหม่อีกทั้งไหวพริบในการหลบหลีกของเฒ่าราคะนั้นเหนือชั้นอย่างเหนือความคาดหมาย สมกับที่เป็นมารเฒ่าราคะที่รอดพ้นจากยุทธจักรมาเนิ่นนาน
    
      ทว่าขณะเดียวกันเฒ่าราคะที่ผ่านกาลเวลามานานกว่าเจ็ดสิบปีถึงกลับนิ่วหน้าอย่างแปลกใจแกมตื่นเต้นไม่คิดว่าร่างโปร่งบางที่ดูผิวเผินเหมือนคนหมดแรงแต่กลับมีวรยุทธที่ลึกล้ำจวนทำให้เกือบพลาดท่าเสียหลายครั้ง
    
       ฉัวะ!
     
       เฒ่าราคะเบิกตากว้างอย่างไม่น่าเชื่อว่ากระบี่คมกริบสีเขียวมรกตเรืองรองนั่นจะเลือกเลือดชั่วๆ ของตัวเองได้ พลังลมปราณจากเดิมดึงมาแค่หกส่วนถึงกลับดึงออกมาเพิ่มเป็นแปดส่วน รอยยิ้มงามที่แสยะยิ้มยินดียิ่งทำให้ความปรารถนาเต้นเร้าอยากได้คนตรงหน้ามาครอบครองจนแทบหักห้ามใจไม่อยู่
 
    เฒ่าราคะกระโดดถอยห่างด้วยความเร็วกับคมกระบี่ที่ตวัดเข้ามาอย่างรุนแรง
    
      เปรี๊ยะ!
    
       ตูม!
 
    การโรมรันของทั้งคู่ทำให้ผู้เฝ้าดูต่างมองอย่างตื่นเต้นและลุ้นระทึกเพราะไม่เคยเห็นจิวชงหยวนออกแรงต่อสู้ต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน เวลานี้เฒ่าราคะโยนกระบี่ออกนอกกายหันมาใช้กงเล็บที่เป็นวิชาของตัวเองถนัดที่สุดด้วยความเร็ว
    
      “ชงหยวนระวังด้วย ตาเฒ่านั่นเริ่มเอาจริงแล้ว” เจียนเจียนร้องตะโกนบอกจิวชงหยวนพร้อมส่งลมปราณเสียงไปด้วย
    
       จิวชงหยวนพยักหน้ารับรู้แต่มิได้หันกลับมามองแม้แต่น้อย เวลานี้ร่างโปร่งบางของจิวชงหยวนเริ่มมีรัศมีสีขาวนวลออกมาอย่างน่าตื่นตา ความงดงามและสง่างามตรงหน้าแทบทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้ ไม่คิดว่าพลังลมปราณและรัศมีที่เห็นจะทำให้ดูสูงส่งมากมายถึงเพียงนี้    

        “ไม่คิดว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะทำให้ข้าเอาจริงได้ หากเจ้าตายข้าจะรักษาร่างของเจ้าและนำเจ้ากลับมาจากยมโลกให้จงได้”
    
        รอยยิ้มแพรวพราวและคำพูดแน่วแน่อย่างคนโรคจิต ทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุกมองเฒ่าราคะที่สภาพเริ่มเปลี่ยนไปผมเผ้ารุงรังไม่เป็นทรงเหมือนคราแรกที่พบ อีกทั้งไอมารจากพลังลมปราณที่น่าจะทำให้คลุ้มคลั่งเริ่มแผ่ออกมา ริมฝีปากแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าขยะแขยง ตอนนี้เขาดึงลมปราณออกมาจนหมดไม่มีเก็บไว้แม้แต่น้อยเพราะคนตรงหน้าร้ายกาจกว่าผู้คนที่เขาพบเจอมา และไม่รู้ว่าหากทุ้มสุดตัวจะชนะหรือไม่คงต้องวัดดวงกันสักตั้ง
    



  ขอโทษนะคะหายจากเล้าไปนานเลย ฟางยุ่งอยู่กับการปิดต้นฉบับจึงลงแค่ในเด็กดี ที่นี่อาจจะลงช้ากว่าต้องขอโทษด้วยจ้า

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่41 แย่งชิงนวล(นาง?) 2
เล่ม 2 ตอนที่15 (P.13วันที่ 13/11/58)


        ทั้งคู่จ้องกันอยู่เพียงครู่เดียว ทว่าคนดูกลับรู้สึกว่ามันเนิ่นนานก่อนที่ทั้งคู่จะทะยานพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วจนแทบมองไม่ทัน ดวงตาของเฒ่าราคะในเวลานี้แดงฉานอย่างน่ากลัว รอยยิ้มแสยะออกมาเห็นฟันสีเหลืองอย่างน่าสยดสยอง
    
        “กงเล็บกระดูกขาว”
    
       “ม่านมนต์จันทรา”
    
       
        เปรี๊ยะ!
    
        ตูม ตูม!...
    
        พลังสองสายพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรง กงเล็บของเฒ่าราคะนับว่าร้ายกาจไม่น้อยที่รับกระบี่โชคชะตาของสวรรค์ได้ทันท่วงทีคมเล็บยาวเฟื้อยตวัดเข้าหาจิวชงหยวนอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทว่ายังไม่เร็วเท่าคนร่างโปร่งบางแม้แต่น้อย เจียนเจียนมองภาพข้างหน้าอย่างเหลือเชื่อไม่คิดว่าจิวชงหยวนจะเร็วจนมองตามไม่ทันเช่นนี้
    
        “ท่านจิวชงหยวนจะชนะไหม” จุ้ยซิงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง มุมปากมีเลือดไหลออกจากการโดนฝ่ามือของเฒ่าราคะ สภาพย่ำแย่แต่ก็ยังสามารถลุกขึ้นยืนไหว
    
       “หากเป็นผู้อื่นข้าเชื่อในฝีมือชงหยวน แต่กับตาแก่นี่ข้าไม่มั่นใจ” หมิงอี้ฟานบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ซึ่งเจียนเจียนก็พยักหน้าเห็นด้วย
    
        จิวชงหยวนพลิ้วไหวตีลังกาหลบกงเล็บที่ฟาดเข้าหาอย่างรุนแรง มือที่ถือกระบี่โชคชะตาใช้ต้านรับถึงกับสั่นสะท้าน ความรุนแรงดุดันที่โถมเข้าหาทำให้หวาดกลัวไม่น้อย แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนนิ่งเฉยทว่าในใจกำลังร้อนรนคิดหาวิธีต้านรับกงเล็บปลิดวิญญาณที่พร้อมกระชากวิญญาณเขาออกจากร่างได้ทุกเมื่อ
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
        ตูม ตูม!!
    
       เสียงฟาดฟันและความรุนแรงจากพลังสองสายที่ต่างขั่วกันทำลายพื้นที่โดยรอบอย่างน่าหวาดกลัว ต้นไม่เล็กใหญ่หักโค่น พื้นดินเป็นหลุมขลุขระพร้อมฝุ่นฟุ้งกระจาย การต่อสู้ในเวลากลางคืนทำให้จิวชงหยวนต้องเพ่งสมาธิเป็นเท่าตัวเพื่อให้มองทันตามความเคลื่อนไหวของเฒ่าราคะ
    
        ฉัวะ!
     
        กงเล็บคมกริบตวัดฟาดเข้าแขนซ้ายอย่างมิอาจหลบเลี่ยงได้ แขนเสื้อโดนตัดขาดด้วยกงเล็บจนเห็นผิวขาวผ่องเรืองแสงในความมืดอย่างชัดเจน นี่เป็นข้อเสียของพลังลมปราณเทพของลู่เฟยที่ถ่ายทอดมาให้เพราะสามารถมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน ทว่ากลับกันเขามองเห็นเฒ่าราคะไม่ค่อยชัดนักยิ่งอีกฝ่ายสวมใส่อาภรณ์สีดำกลมกลืนไปกับความมืดยามราตรี
    
       “หิมะเงาน้ำค้างแข็ง”
    
         จิวชงหยวนเริ่มร่ายวิชาของกระบี่พร้อมตวัดออกไปเป็นวงกว้าง พื้นที่โดยรอบอาบไปด้วยไอเย็นจนก่อเกิดน้ำแข็งขึ้น อุณภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วเพราะพลังลมปราณที่แข็งแกร่งของเขาทำให้เฒ่าราคะชะงักงันไปชั่วครู่ แต่ก็เป็นโอกาสที่เขาจะตวัดกระบี่เข้าหาอย่างว่องไว ริมฝีปากร่ายวิชากระบี่อย่างต่อเนื่อง
    
       “ลมหิมะทั่วฟ้า”
    
       “หิมะไร้ร่องรอย”
    
       ฉัวะๆๆ
    
       เปรี๊ยะ!
    
       ตูม!!
    
        หลังจากเรียกวิชากระบี่ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมใช้ลมปราณขึ้นมาถึงสิบส่วน ทำให้เฒ่าราคะกระเด็นตกไปไกลกว่าสามเมตร ร่างชราผมเผ้ารุงรังกระเด็นคลุกฝุ่นกระอักโลหิตออกมาคำโต ดวงตาแดงฉานตวัดมองมาที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยวพุ่งทะยานเข้ามาหาด้วยเร็วไม่แพ้กัน
    
       “มารราคะกลืนกิน”
    
        ฉัวะ!
    
        จิวชงหยวนเอนหลังหลบกงเล็บที่แฝงไอมารชั่วร้ายอย่างทันท่วงที ทว่าเสื้อผ้ากลับขาดแหว่งลงเมื่อหลบพ้นแค่กายเนื้อ เขาพลิกตัวหลบอยู่สามกระบวนท่าก็เริ่มจะหอบแฮ่กเพราะเป็นครั้งแรกที่ใช้พลังลมปราณมากมายถึงเพียงนี้
    
         ครั้นเมื่อเจอคนของพรรคหมื่นพิษเมื่อหนึ่งปีก่อนตอนนั้นนับว่าร้ายกาจแล้ว เมื่อเจอเฒ่าราคะในเวลานี้กลับร้ายกาจยิ่งกว่า และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาดึงวิชากระบี่อย่างแท้จริงออกมาใช้แต่ชายชราตรงหน้าก็ไม่ใช่กระจอกงอกง่อยสมกับที่ล่องลอยอยู่ในยุทธภพมานาน ประสบการณ์การต่อสู้ที่ต่างกันทำให้เขาเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
    
        “ฮ่าๆๆ วันนี้ข้าต้องเอาเจ้ามาครอบครองให้ได้” เสียงหัวเราะกังวานไปทั่วหุบเขา ดวงตาแดงฉานอย่างกระหายเลือด ไอมารพลุกพล่านไปทั่งร่าง
    
       เคร้ง!
    
        จิวชงหยวนมองผู้ยื่นมาช่วยตนแล้วต้องนิ่วหน้า เพราะไม่รู้ว่าวรยุทธอีกฝ่ายจะต้านรับความคลุ้มคลั่งของเฒ่าราคะได้หรือไม่ ทว่ามิใช่มีแค่หมิงอี้ฟานเท่านั้นที่ยืนมือเข้ามาช่วย ยังมีเจียนเจียนที่ตวัดกระบี่เข้าหาเฒ่าราคะประสานกระบี่คู่กับหมิงอี้ฟานอย่างว่องไว
    
         เคร้ง เคร้ง…
    
         เปรี๊ยะ!
    
        ตูม!!
    
         กระบี่สามเล่มที่โรมรันกันเป็นสองรุมหนึ่ง ความว่องไวของทั้งคู่นับว่าไม่ธรรมดาแต่เฒ่าราคะกลับหลบหลีกและต้านรับพร้อมโจมตีกลับอย่างดุเดือด ลมปราณสามสายที่ซัดเข้าหากันอย่างนัวเนียทอแสงออกมาอย่างเด่นชัด เฒ่าราคะลมปราณแดงฉาน หมิงอี้ฟานสีม่วงอ่อนและของเจียนเจียนเป็นสีขาวนวลซึ่งน่าจะได้รับการถ่ายทอดมาจากอวิ้นเซียน จิวชงหยวนมองดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหาจังหวะเข้าไปช่วยไม่ได้แม้แต่น้อย ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพลังมารที่แผ่ออกมารุนแรงเชี่ยวกรากยิ่งกว่าสายน้ำซัดเข้าหาร่างของทั้งคู่อย่างรุนแรง
    
       เปรี๊ยะ!!
    
        ตูม!!
    
        ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่กระบวนท่าเจียนเจียนกับหมิงอี้ฟานจะพลาดท่ากระเด็นไปคนละทิศละทาง เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของเฒ่าราคะยิ่งให้ความรู้สึกเหน็บหนาวใจ สองศิษย์พี่น้องเตรียมจะทะยานเข้าไปช่วยหมิงอี้ฟาน จิวชงหยวนจึงต้องหยุดพวกเขาไว้เพราะไม่เช่นนั้นโดนอีกหนึ่งฝ่ามือคงไม่รอด มือเรียวจับกระบี่ในมือแน่นขึ้นพร้อมพุ่งเข้าไปหาเฒ่าราคะอีกครั้ง
    
       “เมฆเงาจันทรา”
    
        กระบี่สีเขียวมรกตทอแสงเข้มข้นอีกครั้ง ไอเทพแผ่ออกมาเมื่อถูกดึงความสามารถที่แท้จริงออกมา ร่างโปร่งบางรวมตัวเป็นหนึ่งใจเดียวกันกับกระบี่ตวัดพุ่งเข้าหาเฒ่าราคะที่ลอยตัวอยู่บนฟ้าด้วยความเร็วและรุนแรง ดุดัน จนได้ยินเสียงแหวกอากาศอย่างน่ากลัว
    
        เฒ่าราคะเบิกตากว้างมองกระบี่บินที่มิใช่กระบี่บินธรรมดาเหมือนจ้าวยุทธภพอวี้เฟิ่ง อีกทั้งกลิ่นไอที่แฝงมากับกระบี่ทำให้พลังภายในร้อนหนาวเหมือนลมปราณแตกซ่าน อาวุธที่สามารถทำร้ายอันตรายไอมารได้นั้นนับว่ามีน้อยมากไม่คิดว่าคนที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ตอนนี้จะมีสิ่งของเช่นนี้
    
       อ๊ากกกกกก
    
        เฒ่าราคะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระบี่เทพแห่งโชคชะตาแผลงฤทธิ์ที่แท้จริงของมัน เจียนเจียนยกมือกุมอกด้วยความเจ็บปวดกระอักโลหิตออกมาคำโต ดวงตาที่เริ่มพร่ามัวมองไปยังกระบี่สีเขียวเรืองรองซึ่งดูน่าเกรงขาม โรมรันฟันแทงเฒ่าราคะรวดเร็วดุจสายลม ดุดัน รุนแรงจนน่าหวาดกลัว ทว่าเมื่อมองไปยังหมิงอี้ฟานที่อยู่ทางซ้ายมือก็มีสภาพไม่ต่างจากตนและอาจจะหนักกว่า สมกับเป็นมารเฒ่าที่อยู่ในยุทธภพมาเนิ่นนาน ฝีมือดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ
     
         จิวชงหยวนกลับร่างคืนมาเป็นมนุษย์อีกครั้งถึงกลับหอบแฮ่ก เมื่อลมปราณดึงออกมาใช้จนเกือบหมด เฒ่าราคะบัดนี้กลิ้งตกจากฟ้าคลุกฝุ่นอย่างน่าเวทนา แต่เขาไม่ดีใจแม้แต่น้อยเพราะไอมารที่แผ่พุ่งออกมารุนแรงเหมือนสายน้ำที่เชี่ยวกรากยิ่งไม่ทำให้ไว้วางใจ เขาจึงต้องรีดเค้นเอาพลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างออกมาใช้เท่าที่จะทำได้
    
       ย๊ากกกก!
    
       ทั้งคู่ตะโกนก้องเหมือนจะเรียกพลังเฮือกสุดท้ายตัวเองออกมาพร้อมพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วที่ไม่อาจมีใครมองได้ทัน หนึ่งพลังมารเข้มข้นอีกหนึ่งพลังบริสุทธิ์ดุจเซียนฟ้า เพียงแค่พริบตาเดียวทุกอย่างรอบกายเหมือนหยุดนิ่ง ร่างสองร่างที่พุ่งเข้าหากันนิ่งค้างอยู่กับที่ดูไม่ออกว่าผู้ใดจะชนะ
    
        ตุ๊บ!
    
        เพียงแค่พริบตาเดียว ทว่าความรู้สึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์กลับรู้สึกว่ามันนานแสนนาน บัดนี้ร่างของเฒ่าราคะล้มลงกับพื้นลำตัวขาดครึ่งความคมของกระบี่และพลังลมปราณที่ยอดเยี่ยมทำให้ร่างนั้นถูกตัดเพียงแค่การโจมตีเดียว แต่ขณะเดียวกันจิวชงหยวนก็ทรุดตัวลงกับพื้นอาการสาหัสไม่น้อย ร่างกายบัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลที่เคลือบด้วยพิษร้ายแรง ยังดีว่าร่างนี้ทนทานต่อพิษไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเอาชนะเฒ่าราคะได้
    
       จิวชงยวนเหลือบตามองคนที่พุ่งกายเข้ามาประคองแล้วหัวเราะเบาๆ เพราะเจ้าตัวมาตอนจบเหมือนตำรวจในละครไทยเลย หากเขาตายในที่นี้จะตื่นขึ้นกลับไปที่โลกเดิมไหมนะ แต่เวลานี้ดวงตาหนักเหลือเกิน ที่นี่อาจเป็นเพียงความฝันก็เป็นได้ หรือว่านี่เป็นความรู้สึกของคนใกล้ตายกันนะ เสียงเรียกเหมือนได้ยินไกลออกไปทุกที ทุกที...
    
       “อาจารย์!”
    
        อวิ้นเซียนร้องเรียกอาจารย์ด้วยความตกใจ ตวัดอุ้มร่างโปร่งบางที่สลบไปด้วยความห่วงใย ดวงตาคมมองไปที่คนรักก็มีสภาพไม่ต่างกัน แล้วแบบนี้จะช่วยใครก่อนดีล่ะนี่ ทำไมเขารู้สึกลำบากใจเป็นครั้งแรกนะ
    
        “ช่วยท่านจิวชงหยวนเถอะขอรับ” เจียนเจียนพยายามลุกขึ้นก่อนจะเซตัวเล็กน้อย ใบหน้างามเป็นรอยเล็บตวัดโดนเล็กน้อย ทว่าที่มุมปากกลับมีโลหิตไหลออกมา อวิ้นเซียนเดินเข้าไปใกล้คนรักแล้วเปลี่ยนท่าเป็นอุ้มอาจารย์พาดบ่า มือซ้ายตวัดเอวคนรักเข้าหาเหมือนกับว่าทั้งสองคนเบาเหมือนปุยนุ่น
    
       “พวกเจ้ายังไหวก็ตามมา” อวิ้นเซียนหันไปบอกสามคนจากพรรคหยกขาว ก่อนจะทะยานกลับหอกิเลนซึ่งอยู่ซอกหุบเขามังกรร้อยผา
    
        หมิงอี้ฟานถูกสองศิษย์พี่น้องประคองขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะทั้งคู่ก็บาดเจ็บอาการสาหัสเช่นกันนับว่ากงเล็บมารราคะร้ายกาจจนน่าหวาดกลัว ยิ่งเห็นคนที่รักบาดเจ็บยิ่งรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองอ่อนหัดไม่อาจช่วยจิวชงหยวนได้อีกทั้งยังมาเป็นตัวถ่วง น่าเจ็บใจยิ่งนัก!
    
        เมื่อทั้งหมดได้เดินทางไปแล้วผู้ที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดถึงกลับกระอักโลหิตออกมาคำโต หลังจากเจอลูกหลงของจิวชงหยวนกับเฒ่าราคะ ภาพตรงหน้านับว่าตื่นตาตื่นใจอย่างไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนและครั้งนี้ทำให้ตนรู้ว่าฝีมืออย่างอ่อนด้อยนัก แค่จะช่วยคนรักของเจ้าชีวิตยังทำไม่ได้ หาโอกาสเข้าโจมตีไม่ได้ยังไม่พอยังโดนลูกหลงจนหลบไม่พ้น เสียชื่อเงาทมิฬจริงๆ หากองค์ชายห้ารู้เข้าคงไม่พ้นกลับไปฝึกที่ฐานลับอีกครั้งแน่ๆ
    
       เฮ้อ รู้จุดจบของตัวเองแล้วล่ะ เงาที่ได้หลบอยู่แค่เงาไม่อาจเปิดเผยตัวตนออกไปได้ แม้อยากช่วยจิวชงหยวนมากแค่ไหนแต่ความอ่อนหัดของตนกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี ครั้งหน้าสัญญาว่าจะไม่อู้กับการฝึกอีกแล้ว หวังว่าองค์ชายผู้เลือดเย็นจะยอมละโทษทัณฑ์ให้นะ...

    
        อวิ้นเซียนพาอาจารย์กับคนรักกลับหอกิเลนและเริ่มรักษาบาดแผลให้ทันที ดวงตาคมมองร่างอาจารย์อย่างครุ่นคิดเพราะหากเป็นเซียนไยถึงได้บาดเจ็บมากขนาดนี้ ยาที่ติดอกเสื้อของอาจารย์มีหลายขนาน แต่ที่เขาดูออกคือยาเก้าชีวิตจึงรีบเอายาให้อาจารย์และคนรักกินอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด
    
         เขาวางทั้งคู่นอนเตียงเดียวกันเพื่อง่ายต่อการดูแล ตอนนี้เจียนเจียนหลับไปด้วยฤทธิ์ยา บาดแผลตามร่างกายเขาพันแผลและรักษาเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงพลังภายในกลับคืนมา แต่อาจจะช้าหน่อยเพราะร่างกายเจอพิษไปมาก แต่ที่ทำให้แปลกใจคืออาจารย์ของตนแม้ร่างกายจะต้านพิษแต่เลือดที่ควรเป็นสีทองไยถึงเป็นสีแดงฉาน ใบหน้าซีดเซียวอย่างน่าห่วง เขามองดูอาจารย์นิ่งๆ อย่างครุ่นคิดถึงเหตุผลที่น่าจะเป็น ดวงตาหรี่มองร่างของอาจารย์ที่เริ่มเรืองแสงสีขาวนวลก่อนที่แผลตามร่างค่อยๆ สมานเอง
    
        “อย่างนี้น่าจะให้เหลือความเชื่อว่ายังเป็นเทพเซียนหน่อย” อวิ้นเซียนพึมพำออกมาเบาๆ มองดูการรักษาบาดแผลเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
    
        ทว่าแท้จริงแล้วพลังภายในของจิวชงหยวนหมดเกลี้ยงอีกทั้งบาดเจ็บอย่างหนักทำให้พลังลมปราณเทพที่ลู่เฟยถ่ายทอดให้ก่อนจะลงมายังโลกมนุษย์เริ่มทำงานและซ่อมแซมส่วนที่สูญหายและถูกทำลายลง...

    
        ขณะเดียวกันลู่เฟยที่นอนได้เพียงไม่ถึงชั่วยามถึงกลับผุดลุกขึ้นนั่งอย่างกระวนกระวาย เขามองเห็นภาพคนรักบาดเจ็บสาหัส หัวใจที่สงบกลับร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟแผดเผา ร่างสูงสง่าลุกขึ้นออกมานอกตำหนักแล้วมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มในยามราตรีจนไม่อาจเห็นแสงสว่างได้
    
        “เกิดอะไรขึ้นกับชงหยวน”
    
         พึมพำอย่างหงุดหงิด ในเวลานี้อยากจะกลับไปเป็นเทพโดยเร็วเพราะอย่างน้อยเขาก็หายตัวไปไหนได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไม่ใช่ห่างไกลพันลี้โดยที่ไม่สามารถรู้ความเคลื่อนไหวของคนรักได้เช่นนี้ แต่ความร้อนวาบในอกนี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าจิวชงหยวนได้รับอันตราย แต่ผู้ใดกันที่ทำให้จิวชงหยวนบาดเจ็บได้ ในยุทธภพนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้จะถูกฝึกมาอย่างดีแต่ประสบการณ์การต่อสู้นั้นนับว่าน้อยมาก อีกทั้งอย่างไรก็ยังมีขีดจำกัดความเป็นมนุษย์อยู่หากเจอคนที่ประสบการณ์มากก็มิอาจต้านทานได้เช่นกัน
    
         “เกอเกอ หลี่กุ้ยพิงส่งข่าวมาหรือไม่” เอ่ยถามไปตามสายลม ทว่าเสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างกังวล
    
         “นกพิราบสื่อสารที่ส่งไปยังไม่กลับมาขอรับ” ลู่เฟยถอนหายใจอย่างกังวล เพราะขาดการติดต่อมีสองกรณี หนึ่งไม่มีเหตุร้ายแรง สองหลี่กุ้ยพิงตายแล้ว ลู่เฟยสะบัดมือเข้าหามุมมืดด้วยความเร็ว ร่างที่หลบซ่อนหล่นตุ๊บลงมาอย่างน่าสงสาร ทว่าแววตาเย็นชาที่มองมารีบทำให้ร่างนั้นนั่งคุกเข่าอย่างสำนึกผิด
    
       “ภายในครึ่งชั่วยามยังไม่ได้ข่าวจิวชงหยวน พวกเจ้าคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
    
        “ขอรับ” บุรุษชุดดำตอบรับเสียงหนักแน่น มุมปากมีเลือดไหลออกมา ทว่ากลับไม่มีเวลามารักษาตัวเอง ร่างนั้นเลือนหายไปกับความมืดเพื่อหาข่าวตามที่รับคำสั่ง
    
        ลู่เฟยปลายตามองเงาอื่นๆ แล้วเดินกลับเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง เพราะตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี จะลงโทษไปทั่วก็คงไม่ได้อีกอย่างเขาจำเป็นต้องใช้คน

    
        จิวชงหยวนตื่นมาในวันรุ่งขึ้นหลังจากเมื่อวานใช้พลังไปจนหมดเกลี้ยง นานมากแล้วที่เขาไม่ค่อยได้ออกแรงมากขนาดนี้ ล่าสุดที่ทำให้เขาสลบไปได้คงเป็นหมอเทวดาตัวปลอมในเมืองเจียงหนาน ดวงตาเรียวมองสำรวจบริเวณรอบห้องซึ่งเป็นห้องพักของเขาภายในหอกิเลน
    
        “ท่านอาจารย์ฟื้นแล้วหรือขอรับ” เสียงทักทายพร้อมร่างสูงสง่าเรือนผมสีขาวสะดุดตาเดินเข้ามา จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองลูกศิษย์ที่ใบหน้าเรียบเฉยผิดปกติ เดาได้ไม่ยากว่าอวิ้นเซียนคงรู้แล้วว่าเขาเป็นมนุษย์
    
       “เจ้าคงรู้ความจริงแล้วว่าข้ามิใช่เทพเซียนดังเช่นกาลก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาเรียวมองลูกศิษย์นิ่งๆ
    
       “ข้าอยากโกรธท่านที่ไม่ยอมบอก ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ข้าคงไม่กล้าทำเช่นนั้นกับผู้มีพระคุณได้หรอกขอรับ” น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความน้อยใจ จิวชงหยวนนิ่งเงียบไม่ได้ปริปากเอ่ยตอบหรือไขข้อข้องใจให้กับอวิ้นเซียน เพราะยิ่งอธิบายก็ยิ่งเหมือนข้อแก้ตัว
    
      “ท่านจะไม่ยอมบอกเหตุผลแก่ข้าบ้างหรืออาจารย์” อวิ้นเซียนกอดอกมองมาที่เขาอย่างกดดัน ทว่ามันไม่ได้ผลสำหรับเขาหรอก จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาลูกศิษย์ช้าๆ แล้วบอกเสียงเรียบ
    
       “รู้แล้วอย่างไร ไม่รู้แล้วเป็นเช่นไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงนิ่ง ดวงตาเรียวมองอวิ้นเซียนเรียบสนิทจนมิอาจคาดเดาได้
    
        “อย่างไรข้าก็คืออาจารย์เจ้าหรือว่าข้ามิใช่เทพเซียนแล้วจะเป็นอาจารย์เจ้าดังกาลก่อนมิได้หรืออวิ้นเอ๋อ” คำเรียกขานที่ไม่ได้ยินมานานทำให้อวิ้นเซียนนิ่งอึ้งไป ดวงตาที่มองอาจารย์อ่อนแสงลง
    
       “เปล่าขอรับอาจารย์ ข้าผิดไปแล้วอภัยให้ข้าด้วย ข้าแค่ห่วงท่านหากเป็นมนุษย์ข้าจะได้ติดตามดูแลท่านจะไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้อีก” อวิ้นเซียนคุกเข่าลงพลั่งพลูความในใจออกมา
    
      จิวชงหยวนมองลูกศิษย์ที่ก้มหน้าคุกเข่ากับอย่างสำนึกผิดแล้วลอบหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องโดนคาดคั้นไปมากกว่านี้
    
      “ลูกขึ้นเถอะ อีกอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหน้าที่ของเจ้ายังพึงมีและคนติดตามข้าก็มากพอแล้ว” จิวชงหยวนเอ่ยบอกพร้อมประคองอวิ้นเซียนให้ลุกขึ้น
    
      “แต่ ตอนนี้ชื่อเสียงท่านระบือไกลไปทั่วหล้า ทั้งผู้คนที่ต้องการตัวไปเป็นพรรคพวกด้วยและยังมีผู้ที่ต้องการสังหารท่าน” อวิ้นเซียนบอกอย่างเป็นห่วง
    
      “อีกไม่นานหรอก ทุกอย่างต้องเรียบร้อยดี” จิวชงหยวนส่งยิ้มอ่อนโยนให้
    
      “ว่าแต่พวกหมิงอี้ฟานเป็นเช่นไรบ้าง”
    
       “พวกเขาอยู่ที่ฝั่งตะวันออก เห็นออกไปฝึกกระบี่ตั้งแต่เช้าตรู่ขอรับ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
    
        “หมิงอี้ฟานมิได้บาดเจ็บหนักหรอกหรือ”
    
        “ท่านไปดูเองเสียดีกว่าขอรับ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องไปตามเส้นทางทางด้านตะวันออก ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นลานฝึกอาวุธของหอกิเลน
    
       ฟิ้ววว
    
        เสียงแหวกอากาศตามแรงตวัดอย่างรุนแรงของกระบี่  ร่างกายมีเลือดซึมออกมาแปดเปื้อนอาภรณ์สีเขียวอ่อนจนแดงฉาน ทว่าเจ้ากลับมิใส่ใจใบหน้าเคร่งเครียดดวงตาดุดัน ร่างสูงหนาพลิ้วไหวตีลังกาตวัดกระบี่ในเคล็ดวิชากระบี่เดียวดาย จิวชงหยวนส่ายหน้ากับภาพตรงหน้าก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไปขัดขวางต่อการฝึกด้วยสีหน้าอ่อนใจ เพราะรู้ดีว่าหมิงอี้ฟานกำลังกล่าวโทษตัวเองที่ด้อยความสามารถ
    
        พรึบ!
    
         ดวงตาคมดุหันมามองอย่างดุดันก่อนจะทอแสงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด มือหนาผ่อนแรงเก็บกระบี่เข้าที่เดิมและบอกคนตรงหน้าเสียงนิ่ง
    
        “เจ้าไม่ควรเข้ามาเช่นนี้มันอันตราย” จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนบอกแล้วยกยิ้มบาง
    
      “เจ้ายังบาดเจ็บ ไม่ควรมาฝึกเช่นนี้ หากรักษาตัวไม่หายดีภายภาคหน้าหากมีภัยเจ้าจะรับมือได้อย่างไร”
    
       “ข้ามิได้เป็นไร” จิวชงหยวนส่ายหน้ามองคนปากแข็งอย่างอ่อนใจก่อนจะลากไปทำแผลอีกครั้ง ดวงตาเหลือบมองเงาร่างหนึ่งยังมุมเสาที่ส่งสายตาห่วงใยให้กับคนร่างสูงข้างตัว
    
       “จุ้ยซิงเจ้าก็ตามมาด้วย เดี๋ยวข้าจะดูแผลเจ้าด้วย” จิวชงหยวนร้องบอกโดยมิได้หันกลับมามอง ทว่าเงาร่างที่คิดว่าตัวเองแอบซ่อนดีแล้วสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะยอมเดินตามไปเงียบๆ
    
        หลังจากรักษาบาดแผลให้หมิงอี้ฟานกับศิษย์น้องเรียบร้อย จิวชงหยวนจึงออกมาเดินเล่นข้างนอก ดวงตาเหลือบหาเงาร่างหนึ่งที่คุ้มครองเขาเงียบๆ โดยไม่คิดเปิดเผยตัวตน แต่เวลานี้กลับไร้เงาร่างนั้น ใบหน้าขมวดมุ่นอย่างกังวลเพราะจำได้ช่วงโกลาหลเงาร่างนั้นโดนพลังเขาไปเต็มๆ หวังว่าจะยังไม่ตายหรอกนะ ทว่าเพียงไม่นานเงาร่างที่เขาห่วงใยก็ปรากฏที่ร่มไม้ไม่ห่างมากนัก ทว่ากลับมิใช่คนเดียวกับเมื่อคืน
    
      “เขาเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนยืนมือไพล่หลังมองท้องฟ้านิ่งๆ ขณะเอ่ยถาม เงาร่างนั้นยังเงียบเหมือนไร้ตัวตน คนอื่นอาจจะไม่รับรู้แต่ไม่ใช่เขาที่ยังรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง เมื่อรู้ว่าไม่ได้คำตอบและเดาได้ไม่ยากหากยังรอดชีวิตได้คงถูกลู่เฟยลงโทษอยู่แน่ๆ
    
       “ข้าสบายดี จะเดินทางไปทางตะวันตกอีกสามวันข้างหน้า” บอกพร้อมหมุนกายกลับเข้าไปในหอกิเลนโดยที่คนรับฟังข้อความรู้สึกหนาวสั่นสะท้านเพราะโดนจับได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในหอกิเลน หวังว่าคงไม่ถูกส่งตัวไปฝึกอีกครั้งหรอกนะ


       

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2015 10:56:56 โดย lingfang »

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่41 โรคระบาดต้าเหลียง
เล่ม2 ตอนที่16 (P.16วันที่ 13/11/58)


       หลังจากพักผ่อนอยู่ภายหอกิเลนเป็นเวลาสามวัน จิวชงหยวนก็ได้เดินทางต่อไปยังตะวันออกเขตเมืองต้าเหลียงและรักษาผู้คนระหว่างทางไปเรื่อยๆ อีกครั้ง แต่การออกจากเมืองเยี่ยในครานี้ไม่มีใครรู้จักเพราะเขาแต่งกายเป็นชายเฉกเช่นเดิม ส่วนหมอหญิงแห่งแคว้นเยี่ยที่ทุกคนนับถือได้หายไปจากยุทธภพพร้อมบ้านเรือนถูกทำลายจนเกิดข่าวลือต่างๆ นานา
    
       การเดินทางอย่างไม่เร่งรีบโดยมีหมิงอี้ฟานและสองศิษย์เช่นเดิม เพราะเขาไม่อยากได้ใครไปด้วยมากกว่านี้ ระหว่างทางก็เก็บพืชสมุนไพรไปด้วย หากผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ก็จะอยู่ช่วยรักษาผู้คนในหมู่บ้าน ผ่านไปสามราตรีเข้าเขตแดนของเมืองต้าเหลียง เขามาที่เมืองนี้เพราะได้ข่าวว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นที่นี่
    
       ผู้คนภายในเมืองต้าเหลียงดูผอมโซหน้าตาหมองล้ำ และมีแผลพุผองเต็มร่าง บ้างก็เริ่มย้ายถิ่นฐานตัวเองออกไปจากเมืองอื่นเพื่อเอาตัวรอด เหลือเพียงผู้ที่ติดโรคระบาดถึงไม่ได้ออกไปไหน ม้าเร็ววิ่งผ่านไปหน้าเขาไป พร้อมราชโองการของเมืองหลวงส่งตรงมายังเมืองทางเข้าของต้าเหลียงที่ทำให้คนฟังใจสั่นสะท้าน
    
       ซึ่งเขาจับใจความได้ว่าปิดเมืองเข้าออกเมืองหน้าด่านของต้าเหลียงมิให้ผู้ใดเข้าออกอีกต่อไป เพราะบางคนที่มีเชื้อได้ออกนอกเมืองและทำให้เมืองอื่นในหัวเมืองต่างๆ เริ่มมีคนติดเชื้อบ้างแล้ว
    
       “เราคงติดอยู่ในเมืองนี้แล้วล่ะ” หมิงอี้ฟานเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตามองผู้คนที่กอดกันกลมอย่างหวาดหวั่น ทว่ามีมุมหนึ่งที่ผู้คนต่างยืนออกันเต็ม
    
      “ที่นั่นคืออะไร” จิวชงหยวนหันไปถามหมิงอี้ฟานที่เกิดและเติบโตในยุคนี้น่าจะพอดีรู้จักบ้าง
    
        “เป็นศาลเจ้าของเซียนรักษา ผู้คนมากราบไหว้” ดวงตาเรียวมองด้านหน้าแล้วเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ เซียนรักษาอีกแล้วหรือ
    
        “ไปกันเถอะ” บอกพร้อมเดินนำไปยังศาลเจ้าดังกล่าว ซึ่งผู้คนมากมายต่างก้มไหวกราบขอพรให้หายจากโรคติดต่อที่เป็น อีกมุมหนึ่งมีโต๊ะจัดนั่งมีชายหนุ่มผู้หนึ่งในอาภรณ์สีขาวดูล้ำค่ากำลังแจกจ่ายยาสมุนไพรให้ผู้คนด้วยรอยยิ้มพร้อมแนะนำวิธีต่างๆ ให้ แต่ที่ทำให้เขาจ้องมองอยู่นานเพราะคนผู้นี้มิได้หวังเงินทองจากชาวบ้านแม้แต่น้อย
    
       “นั่นเป็นองค์ชายสิบเจ็ดของแคว้นต้าเหลียง แต่เพราะมีพระมารดาเป็นนางกำนัลเล็กๆ จึงไม่ค่อยมีผู้คนสนใจ การมาที่นี่อาจเป็นราชโองการของฮ่องเต้ก็เป็นได้” หมิงอี้ฟานอธิบายเสียงเรียบเมื่อเห็นสายตาของจิวชงหยวนมองไปยังร่างขององค์ชายสิบเจ็ด
 
    จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มแม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ปริปากบ่น และมีคนติดตามเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สมกับที่เป็นองค์ชายแม้แต่น้อย
    
        แค่กๆ ๆ
    
        องค์ชายไอออกมาจนตัวโยน อาจเป็นเพราะหลายวันมานี้คลุกตัวอยู่แต่กลับชาวบ้านที่ติดโรคระบาดแล้วทั้งนั้น จิวชงหยวนเดินเข้าไปใกล้ๆ อย่างห่วงใยคนตรงหน้าเป็นคนจิตใจดีมีคุณธรรม จะมาตายง่ายๆ อย่างนี้คงไม่ดีนัก
    
       “คารวะองค์ชายสิบเจ็ด กระหม่อมจิวชงหยวนเดินทางผ่านมาเมืองต้าเหลียงพร้อมสหาย ขออาสาช่วยฝ่าบาทรักษาเยียวยาชาวบ้านด้วยคนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนเข้าไปทักทายและกล่าวแนะนำตัวเล็กน้อย ร่างสูงโปร่งหยุดไอเงยหน้ามามองเขานิ่งๆ ก่อนจะยิ้มบาง
    
       “ท่านเป็นหมอหรอกหรือ”
    
       “พ่ะย่ะค่ะ”
    
        “ชาวบ้านมิมีเงินให้ ท่านยังจะช่วยข้าอยู่หรือไม่” จิวชงหยวนยิ้มบางอย่างเข้าใจ เพราะคนที่เติบโตอยู่กับในวังหลวงซึ่งคอยแต่แย่งชิงอำนาจบัลลังก์ย่อมมิมีสิ่งใดได้มาโดยไม่มีสิ่งใดตอบแทน
    
        “องค์ชายโปรดวางใจเถอะ กระหม่อมช่วยเพราะพอมีความรู้ อีกอย่างตอนนี้ฝ่าบาทก็ทรงประชวรเพราะหักโหมไปมากพ่ะย่ะค่ะ หากมีกระหม่อมช่วยจะได้เบาแรงฝ่าบาทไปด้วย” องค์ชายสิบเจ็ดมองชายหนุ่มร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนจะตอบรับด้วยรอยยิ้มบางอย่างยินดี
    
       “ข้าอนุญาต ความหวังชาวบ้านอยู่ที่ท่านแล้ว” จิวชงหยวนยิ้มรับ ที่เข้ามาขออาสาเช่นนี้ เพราะไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาองค์ชายซึ่งมารักษาด้วยตนเองอยู่ก่อนแล้ว
    
        หลังจากนั้นจิวชงหยวนก็เริ่มตรวจดูอาการชาวบ้านเคียงข้างองค์ชายสิบเจ็ด ซึ่งมีพระนามว่าเป่ยเยี่ยน โรคระบาดนี้ติดต่อกันอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่เมื่อตรวจดูอาการขั้นต้นของแต่ละคนทำให้รู้ว่าเกิดจากแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด เขาจึงออกไปตรวจสอบน้ำดื่มน้ำใช้
    
        ทว่าน้ำที่เห็นซึ่งนำมาดื่มกลับขุ่นและมีตะกอนมากมาย เขาจึงน้ำมากรองด้วยวิธีง่ายๆ คือการนำผ้าสะอาดมารองกระบอกไม้ไผ่ไว้ขั้นแรกจากนั้นก็น้ำก้อนกรวดมารองขั้นต่อไป ตามด้วยก้อนถ่าน สุดท้ายก็ทรายหยาบ แม้จะเป็นวิธีง่ายๆ แต่ก็พอหาได้ในช่วงเวลานี้ จากนั้นจึงเอาไปต้มให้สุกก่อนนำมาดื่ม เพียงสามวันแรกอาการผู้คนก็เริ่มดีขึ้นเมื่อเห็นว่าได้ผลจึงเริ่มขยายการกรองน้ำด้วยถังที่ใหญ่ขึ้นเพื่อแจกจ่ายชาวบ้านได้เพียงพอพร้อมกับยาให้คนในเมืองที่ถูกปิดกั้นมิให้ออกไป
    
        เป่ยเยี่ยนเป็นคนดีมีเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านอย่างไม่อิดออด ร่างสูงโปร่งดูบอบบางแต่กลับไม่ได้อ่อนแอ แม้จะไม่เป็นวรยุทธแต่กลับเก่งกาจเรื่องการวางแผนในเชิงบุ๋นและการรักษา ใบหน้ายิ้มแย้มดวงตาอ่อนโยนขณะพูดคุยกับชาวบ้าน จนอดที่จะคิดไม่ได้คนที่ดูอ่อนโยนเช่นนี้เติบโตในวังหลวงที่ต่างก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันได้อย่างไร
    
       “วิธีของท่านได้ผลดีเกินคาด บุญคุณนี้ข้าจะไม่ลืม” องค์ชายเป่ยเยี่ยนเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มระหว่างพักเหนื่อย จิวชงหยวนยิ้มรับยกมือคารวะเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับอย่างนอบน้อม
    
       “มิได้ มิได้พ่ะย่ะค่ะ หากไม่มีองค์ชายคอยช่วยเหลือหาสมุนไพรก็คงมิได้ผลดีเช่นนี้ คุณงามความดีของฝ่าบาทชาวบ้านจะภักดีต่อฝ่าบาทสุดจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ”
    
       “ฮ่าๆๆ เอาเถอะข้ามิได้คิดอะไรเช่นนั้น ขอแค่ประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุขก็พอแล้ว อีกอย่างหากชาวบ้านที่หน้าเมืองไม่หายจากโรคภัยครั้งนี้ ข้าก็มิอาจมีชีวิตไปต่อเช่นกันได้” แม้คนตรงหน้าจะยิ้ม ทว่าดวงตาที่เคยอ่อนโยนฉายแววเจ็บปวดออกมาอย่างน่าเห็นใจ ความเข้มแข็งเท่านั้นที่จะทำให้รอดจากอำนาจในวังหลวงได้
    
       “ฝ่าบาทอย่าได้วิตก อีกในไม่ช้าชาวเมืองหน้าด่านต้าเหลียนจะหายดีในเร็ววัน ข้ากระหม่อมเอาศีรษะอันไร้ค่าเป็นเดิมพันพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนเอ่ยตอบกลับอย่างมั่นใจ
    
       “หากหัวเจ้าไร้ค่า ชีวิตข้าคงเป็นแค่เศษธุรี และหากใครกล้าปลิดหัวเจ้าออกจากบ่า แผ่นดินนี้คงลุกเป็นไฟ องค์ชายห้าแคว้นลั่วหยางคงไม่ปล่อยให้เจ้าตายเปล่าหรอก อีกอย่างประมุขพรรคธารตะวันและประมุขหอกิเลนคงไม่นิ่งดูดายอีกต่อไป” หมิงอี้ฟานที่เดินเข้ามาทันได้ยินบทสนทนาก็ตอบกลับอย่างหมั่นเขี้ยว เพราะมีแต่คนรักคนห่วงจิวชงหยวนหากเจ้าตัวตายจริงๆ ยุทธภพคงร้อนเป็นไฟ
    
        “เจ้าพูดมากไปแล้ว” จิวชงหยวนดุหมิงอี้ฟานอย่างไม่จริงจังมากนัก เจ้าตัวเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเหมือนจะบอกว่าตนพูดเรื่องจริง
    
        “หืม ท่านคือจิวชงหยวนคนเดียวกันกับที่โด่งดังไปทั่วยุทธภพในเพลานี้อย่างนั้นหรือ ข้ามีตาแต่กลับไร้แววไม่” จิวชงหยวนหน้าเสียเล็กน้อยที่องค์ชายเป่ยเยียนยกมือคารวะตน
    
         “ฝ่าบาทเกรงใจเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่หมอธรรมดาผู้หนึ่งเห็นผู้คนเดือดร้อนจะปล่อยผ่านไปได้เช่นไร”
    
        “ท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้าได้ยินข่าวของท่านมาเนิ่นนาน เพียงแต่มิคิดว่ายังเยาว์วัยเช่นนี้” จิวชงหยวนยิ้มแหย มิได้โต้ตอบอะไรอีกเพราะไม่ว่าอย่างไรหน้าตาเขามิเปลี่ยนแปลง
    
       “จุ้ยซิงทำอาหารเสร็จแล้ว เชิญฝ่าบาทเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หมิงอี้ฟานเอ่ยบอกเมื่อนึกได้ว่าตนมาที่นี่เพราะเหตุใด
    
       “เชิญ” องค์ชายเป่ยเยี่ยนผายมือเชิญให้จิวชงหยวนเดินนำไปด้วย ระหว่างทางจึงได้พูดคุยสนทนากันในเรื่องทั่วไป เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก ชาวบ้านล้วนอาการดีขึ้นสีหน้าแต่ละคนเริ่มมีรอยยิ้มเมื่อรู้ว่าจะผ่านพ้นความตายไปได้
    
        จิวชงหยวนกับหมิงอี้ฟานรวมอีกสองศิษย์พี่น้องได้ร่วมรับประทานอาหารกับองค์ชายเป่ยเยี่ยนด้วยเพราะเขข้าตัวไม่ได้ถือตัวว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์ กิริยาที่ดูอย่างไรก็สง่างามมีคุณธรรมแต่กลับไร้คนหนุนหลัง เรื่องในวังหลวงเขาก็มิอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยว ได้มาพบเจอในยามยากในครานี้นับว่ามีวาสนาต่อกันภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไรนั้นแล้วแต่ชะตาฟ้าจะเป็นผู้ลิขิต เพราะแม้ตัวเขาก็ยังไม่พ้นลิขิตของสวรรค์    
    
       ผ่านไปครึ่งเดือนโรคระบาดที่ผู้คนต่างหวาดกลัว ได้รับการรักษาหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้คนร่างกายกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม ทำให้ชื่อเสียงหมอเทวดาจิวชงหยวนดังระบือไกลยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งครั้งนี้เป่ยเยี่ยนได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียน ที่สามารถช่วยประชาชนผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ไปได้ ผู้คนต่างกลับมาใช้ชีวิตเฉกเช่นเดิม
    
        ทว่าจิวชงหยวนเหมือนงานจะเข้ามากกว่าเดิม เมื่อองค์ชายอื่นๆ ต่างหยิบยื่นไมตรีให้อย่างออกหน้าออกตาอย่างไม่เกรงใจองค์ชายสิบเจ็ดคนที่ลำบากใจในเวลานี้ คืนนี้เขาจึงได้มาแอบมาลาองค์ชายเพื่อเดินทางต่อไป เนื่องด้วยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนในวังหลวงที่ต่างแย่งชิงบัลลังก์เข่นฆ่าพี่น้องกันเอง ได้แต่หวังว่าองค์ชายที่เปี่ยมคุณธรรมจะเอาตัวรอดไปได้อีกนาน
    
         “ข้ามิคิดว่าท่านจะมีวรยุทธ” จิวชงหยวนรับถ้วยชาที่ถูกรินให้ยกดื่ม เหลือบตามองเจ้าของห้องเล็กน้อย เวลานี้อยู่ในวังหลวงในฐานะสหายขององค์ชายสิบเจ็ดและเป็นแขกที่ผู้คนต่างต้องการตัวจนเจ้าของตำหนักลำบากใจที่ต้องกีดกันพี่น้องคนอื่นๆ แต่อำนาจอันน้อยนิดคงไม่อาจไปห้ามผู้ที่มีฐานันดรสูงกว่าได้
    
        “กระหม่อมพเนจรไปทั่วยุทธภพ หากไร้ซึ่งวรยุทธคงมิได้มานั่งดื่มชากับฝ่าบาทเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเป่ยเยี่ยนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าที่ประกายแสงจากจันทราในยามค่ำคืนแล้วยิ้มเศร้า
    
        “แม้ข้าจะไร้ซึ่งวรยุทธ แต่ข้าปรารถนาที่จะได้บินออกจากกรงทอง ได้ท่องไปทั่วทุกใต้หล้า ได้รักษาผู้คนดังเช่นท่านคงจะดีไม่น้อย”
    
        “ความปรารถนาของฝ่าบาทนั้นยากยิ่งนัก นอกจากตายจากที่แห่งนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ มองสบกับดวงตาพราวระยับของเป่ยเยี่ยนแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองจะไปชี้โพลงให้กระรอกเสียแล้ว    

        “โปรดใคร่ควรเสียก่อนที่จะลงมือนะพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยเตือนเสียงเรียบเมื่อเข้าใจความหมายของสายตาคู่นี้
    
       “สมกับเป็นท่าน รู้ใจข้ายิ่งนัก” รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาและดวงตาประกายแววจริงจัง เขามิได้ห้ามปรามเพราะหากเลือกเส้นทางที่จะก้าวเดินแล้วต้องยอมรับผลของการกระทำ
    
      “โปรดรักษาตัวด้วย หากมีวาสนาจักได้พบกันในอีกครา” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนก้มหัวทำความเคารพให้เป็นครั้งสุดท้าย เจอกันครั้งหน้าเขามั่นใจว่าเป่ยเยี่ยนคงอยู่ในฐานะคนธรรมดาที่ไม่มียศศักดิ์อะไร เพราะองค์ชายสิบเจ็ดคงได้ตายจากแคว้นต้าเหลียน คนฉลาดอย่างเป่ยเยี่ยนย่อมรู้ความหมายนั้นดี
    
       “ท่านก็เช่นกัน” จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะเร้นกายหายไปกับความมืดด้วยความเร็ว
    
       เป่ยเยี่ยนมองตามด้วยความทึ่ง มิคิดว่าคนที่อยู่ด้วยตลอดครึ่งเดือนจะเก่งกาจทั้งบู้และบุ๋นเช่นนี้ บัดนี้เขามิแปลกใจแล้วว่าทำไมยุทธภพถึงตามหาหมอเทวดาจิวชงหยวนไม่เจอ ดวงตาคมมองผ่านความมืดยามราตรีแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาตามสายลมไป
    
      “แล้วพบกันสหายข้า”
    
        จิวชงหยวนใช้ความเร็วทะยานปีนกำแพงวังสูงออกไปได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อพ้นเขตเมืองจึงไปยังจุดนัดพบที่หมิงอี้ฟานและพรรคพวกได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว จากนั้นจึงได้ออกเดินทางต่อ คราวนี้เขาไม่ได้เจาะจงว่าไปที่ใดเพราะอยากเดินทางช่วยเหลือผู้คนไปเรื่อยๆ ทว่าการเดินทางต้องหยุดชะงักเมื่อมีผู้เดินออกมาขวางกั้นเหมือนกับรู้ว่าพวกเขาจะออกจากเมืองต้าเหลียง
    
         “คิดแล้วว่าท่านต้องออกจากเมืองในไม่ช้า มิเสียแรงที่พวกข้ามายืนรอท่าน เชิญไปกับพวกข้าเสียหน่อยเถิดท่านหมอ” น้ำเสียงหวานมาจากร่างระหงของหญิงสาวในอาภรณ์สีดำสนิท แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่ากับว่าคนตรงหน้าคือคนที่เขาเคยช่วยชีวิตมาก่อน
    
        “ผิงเอ๋อร์” จิวชงหยวนกระซิบเสียงแผ่วเบา มองคนตรงหน้านิ่งๆ
    
      “ข้าน้อยผิงเอ๋อร์คารวะท่านหมอ ข้าดีใจที่ท่านยังจำข้าได้แม้จะผ่านมานับปี ท่านจะให้เกียรติข้าไปกับพรรคหมื่นพิษได้หรือไม่เจ้าคะ”
    
       แม้คำพูดจะดูอ่อนโยนถ่อมตน แต่เงาร่างนับสิบที่โอบล้อมเขาอยู่เช่นนี้คงเป็นการเชิญที่มีมารยาทมาก เขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย คิดไว้อยู่แล้วว่าผิงเอ๋อร์สาวชาวป่าที่เขาช่วยไว้ในวันนั้นคงมีฐานะที่ไม่ธรรมดาแต่ไม่คิดว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพรรคหมื่นพิษเช่นนี้
    
       “ข้าขอปฏิเสธ” ทันทีที่ตอบคำถาม แรงกดดันทุกทิศก็พุ่งตรงมายังเขาอย่างรุนแรง หมิงอี้ฟานและสองศิษย์พี่น้องต่างพุ่งเข้ามาโอบล้อมเขาไว้
    
      “คุณชายหมิงอี้ฟานพรรคหมื่นพิษกับพรรคหยกขาวมิมีความแค้นต่อกัน ข้าว่าท่านอย่าได้ยื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเสียดีกว่า”
    
     “เฮอะ ข้าติดตามจิวชงหยวนมานาน หากพวกเจ้าไม่เห็นแก่พรรคหยกขาวก็เชิญลงมือ”
    
        “หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอเสียมารยาทแล้ว แต่หากท่านมาจบชีวิตที่นี่ ข้าจะนำศีรษะท่านกลับไปให้พรรคหยกขาวเอง” รอยยิ้มหวานเหมือนอาบยาพิษ ทำให้หมิงอี้ฟานกัดฟันกรอดแล้วตอบกลับเสียงเข้ม
    
      “ถ้าทำได้ก็ลองดู!”
    
       “ช้าก่อน” จิวชงหยวนร้องบอกก่อนที่ทุกฝ่ายจะเริ่มลงมือเพราะสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเหมือนกับว่าที่หุบเขาไร้เงาแห่งนี้จะมีมากกว่าหนึ่งฝ่าย
    
         “แม่นางผิงเอ๋อร์ ข้ากับเจ้ามิเคยมีความแค้นต่อกัน ไยถึงอยากได้ชีวิตข้าเล่า อีกอย่างหากเจ้ายังจำได้ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้าให้มองเห็นโลกนี้ได้อีกครั้ง”
    
        “ใช่ ข้าอาจมิมีความแค้นต่อท่าน แต่ข้าก็มิอาจขัดสั่งได้เช่นกัน หากท่านอยากให้ข้ามีชีวิต ก็ไปกับข้าเสียดีกว่าเจ้าค่ะ”
    
         คำตอบที่เห็นแก่ตัวทำให้คนฟังรู้สึกคิ้วกระตุก รู้สึกว่าช่วงนี้เขาจะบุญไม่ขึ้นจริงๆ หากหักล้างกันวันนี้คงจะสูญเสียกันไปไม่มากก็น้อย ดวงตาเรียวเหลือบมองสหายอีกสามคนที่มีใบหน้าเคร่งเครียด เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าแล้วรู้สึกใจหาย เขาจะรักษาชีวิตสหายทั้งสามคนนี้ได้ต่อไปหรือไม่
    
        “หากเป็นเช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน” หมิงอี้ฟานตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน แผ่นหลังเหยียดตรงทำให้รู้สึกน่าเกรงขาม แต่ทว่ายามนี้ทำไมเขารู้สึกใจหายอย่างไรอย่างนั้น
    
        “ไม่คิดว่าข้าจะโชคดี เจอหมอเทวดาจิวชงหยวนที่บังอาจสังหารองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายข้า” น้ำเสียงจริงจังพร้อมร่างของชายชราผู้หนึ่งเดินก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน หมิงอี้ฟานมองคนตรงหน้าแล้วเคร่งเครียดมากกว่าเดิม ศัตรูเก่าศัตรูใหม่ของจิวชงหยวนมาปรากฏตัวพร้อมกันอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
    
        “ท่านอาวุโส ข้าน้อยจากคนพรรคหมื่นพิษพบเจอหมอเทวดาจิวชงหยวนก่อน หากท่านจะวางมือจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง พรรคหมื่นพิษยินดีส่งของขวัญให้แก่ท่านเจ้าค่ะ” ผิงเอ๋อร์กล่าวกับประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนอย่างนอบน้อมทว่ากิริยากลับมิได้เป็นเช่นดังคำพูด
    
        “เฮอะ ข้าตามหาเจ้านี่มานาน วันนี้ได้มีโอกาสพบเจอคงปล่อยไปง่ายนั้นยาก กลับไปบอกประมุขพรรคของพวกเจ้าว่าข้าขอหัวเจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่เอง” คำตอบโต้ของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนทำให้ผิงเอ๋อร์ครุ่นคิดอย่างหนักเพราะสองพรรคนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทว่าประมุขพรรคหมื่นพิษก็ต้องการตัวหมอเทวดาผู้นี้เป็นๆ เพื่อนำไปทรมารกับการทำให้ซือเยว่พิการทางขาไร้ซึ่งวรยุทธอีกต่อไป
    
        “นั่นใคร” จิวชงหยวนกระซิบถามหมิงอี้ฟานที่มีสีหน้าเคร่งเครียด มือหนากำกระบี่แน่น
    
        “ประมุขพรรคพยัคฆ์คำรน” คำตอบที่ได้ทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้าโจทย์เก่าตามเขาพบเร็วกว่าที่คิดไว้ ทั้งๆ ที่เขามิใช่คนเริ่มแต่กลับถูกตามล้างแค้นอย่างไม่เลิกรา
    
        “หากข้าบอกว่าสามเจ้าจงหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าจะทำได้ ห้ามหันหลังกลับมาโดยเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่ เจ้าด้วยจุ้ยซิง” หมิงอี้ฟานบอกด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปบอกศิษย์น้องตัวเล็กที่เขารู้ว่าคิดเช่นไรกับตนด้วยรอยยิ้มเศร้า ดวงตาเศร้าหมองมองตอบกลับมาแล้วส่ายหน้าอย่างจริงจัง
    
         “ไม่ขอรับ ข้าจะไม่ทิ้งท่าน” หมิงอี้ฟานเมินหน้าหนีกับคำตอบ แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังมิใส่ใจที่จะตอบรับความรู้สึกนี้
    
         จิวชงหยวนเหลือบตามองทั้งคู่แล้วถอนหายใจยาวอย่างกลัดกลุ้ม หากมีแค่พรรคเดียวเขาอาจจะรับมือได้ แต่นี่คนร่วมสามสิบคนเขาไม่แน่ใจ อีกอย่างเขามิรู้ว่าฝีมือของประมุขพยัคฆ์คำรนจะเก่งกาจแค่ไหน
    
       “เรามาสะสางความแค้นให้จบเถอะเด็กน้อย” เมื่อตกลงกับพรรคหมื่นพิษได้แล้ว อาวุโสผู้นั้นก็หันมาทางเขาพร้อมชักดาบเล่มใหญ่ออกมาจากด้านหลัง หมิงอี้ฟานเอาตัวออกมาขวางหน้าเขาไว้
    
      ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเลิกคิ้วมองเด็กน้อยที่เอาตัวมาขวางเป้าหมาย แล้วหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใด
    
       “ฮ่าๆ ๆ เด็กน้อยไม่คิดว่าเจ้าก็อยากตายด้วยคมดาบของข้า หากข้าพลั้งมือสังหารเจ้าไป หวังว่าประมุขพรรคหยกขาวจะไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอกนะ” หมิงอี้ฟานกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น พยัคฆ์คำรนกับพรรคหยกขาวเป็นศัตรูกันมาเนิ่นนาน
    
      จิวชงหยวนเรียกกระบี่ออกมาเมื่อรู้ว่าสุดท้ายก็ต้องลงมือ ประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนเลิกคิ้วมองกระบี่เขาเล็กน้อย
    
       “กระบี่ดี แต่คนถือจะดีด้วยหรือไม่ข้าคงต้องขอพิสูจน์” เพียงกล่าวจบกลุ่มเงาที่หลบซ่อนก็เผยตัวตนออกมารวมแล้วกว่าห้าสิบชีวิต ใบหน้างดงามฉายแววเคร่งเครียด ฝ่ายพรรคหมื่นพิษต่างถอยห่างหลบออกไปดูสถานการณ์ทางด้านนอก
    
       “ชงหยวนหากชาติหน้ามีจริง ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าอีกครั้ง” จิวชงหยวนคิ้วกระตุกกับคำลาที่เป็นลางไม่ดี ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรศัตรูกว่าห้าสิบชีวิตโอบล้อมอยู่ขนาดนี้ เขายังมีความเป็นมนุษย์และยังมีความหวาดกลัว  นับว่าพยัคฆ์คำรนก็ไม่ได้ดูถูกฝีมือของเขาเสียทีเดียว ถึงหอบคนมากมายขนาดนี้ซ้ำยังมาด้วยตนเองเช่นนี้ แม้ในใจจะหวาดกลัวแค่ไหน ใบหน้ากลับนิ่งสงบไม่อาจเผยให้ศัตรูได้เห็น ก่อนจะบอกหมิงอี้ฟานเสียงเรียบ
    
      “อย่าได้กล่าวเช่นนั้น พวกเราต้องรอดไปให้ได้” แม้ความเชื่อมั่นจะไม่หลงเหลือแต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้ที่เป็นสหายตายได้เช่นกัน พลังภายในถูกปลุกขึ้นเพื่อรับมือกับศัตรูตรงหน้า
    
       พรึบ!
    
       กล่าวได้เพียงแค่นั้นก็ต้องยกกระบี่ออกมาต้านรับดาบประมุขพยัคฆ์คำรนที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัวไปมากกว่านี้ ความเร็วรุนแรงจากแรงปะทะทำให้มือที่กำกระบี่สั่นสะท้าน ส่วนหมิงอี้ฟานรับมือกับองค์รักษ์ซ้ายขวาของประมุขพรรค สองรุมหนึ่งทำให้เขาอดที่จะห่วงไม่ได้
    
       ฉัวะ!
    
       ด้วยกังกลทำให้การต่อสู้ลดลง คมดาบเฉือนเข้าไหล่ซ้ายจนเลือดอาบย้อม เพียงแค่เริ่มเขาก็บาดเจ็บเสียแล้ว
    
       “ท่านอย่าได้กังวลต่อให้พวกข้าต้องตายก็มิเคยเสียใจที่ได้ปกป้องท่าน ท่านต้องรอดจากที่นี่ไปให้ได้” หนานจี้กงที่รับมือกับคนของพรรคพยัคฆ์คำรนร้องบอกจิวชงหยวนที่ห่วงหน้าพะวงหลังจนความสามารถลดลงไปกว่าครึ่ง
    
        จิวชงหยวนพยักหน้ารับเมื่อรู้ว่ายิ่งกังวลยิ่งทำให้พลาดพลั้ง จึงพยายามรวบสมาธิมาอยู่ที่ศัตรูตรงหน้า พลังลมปราณสามส่วนเพิ่มเป็นเจ็ดส่วนออกมาต้านรับคมดาบยักษ์อย่างคล่องแคล่วและพลิ้วไหวตีลังกาหลบได้อย่างทันท่วงที
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
    
       ตูม!
    
       ทั้งคู่ต่อสู้กว่าหกสิบกระบวนท่า ก่อนเซถอยห่างออกจากกันตามแรงปะทะ ดวงตาเรียวจ้องมองชายชราตรงหน้าที่แสยะยิ้มออกมาอย่างชอบใจ
    
       “ข้าคิดไว้แล้วว่าฝีมือเจ้าไม่ธรรมดา สามารถรอดพ้นพรรคข้ามานานนับปี วันนี้ข้าถึงได้วางกำลังไว้มากขนาดนี้ วันนี้ต่อให้เจ้าเป็นมดก็ไม่อาจหนีรอดไปได้” จิวชงหยวนมองประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนนิ่งๆ จากที่ปะทะกันกว่าหกสิบกระบวนท่า ทำให้รู้ว่าฝีมือเทียบเท่าเฒ่าราคะอีกทั้งความเจ้าเล่ห์และใช้คนที่มากกว่าจะทำให้เขาพลาดท่าได้ง่าย มือเรียวกำกระบี่แน่นก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไปหาชายแก่ด้วยความเร็ว
    
       ฟิ้ววว
    
        ฉัวะ!
     
        ความเร็วที่เหนือชั้นกว่ามากทำให้กระบี่ตวัดเข้าหาร่างชายชราได้อย่างเม่นยำ ดวงตานั้นเบิกกว้างเหมือนจะไม่เชื่อสายตาตนเอง แต่ก็ยังต้านรับกระบี่เขาได้มากกว่าครึ่งนับว่าประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนมีความเร็วไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตน
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
         เปรี๊ยะ!!
    
       กระบี่โชคชะตากับดาบยักษ์ในมือของชายชราปะทะกันอย่างรุนแรงทำให้เกิดประกายไฟอย่างน่ากลัว แรงปะทะมากกว่าเจ็ดส่วนทำให้มือของคนทั้งคู่สั่นสะท้าน ดวงตาเรียวจ้องหน้ากันเขม่งก่อนจะเพิ่มลมปราณมากขึ้น
    
       ตูม ตูม ตูม!
    
       พื้นที่โดยรอยพังทลายลงอย่างรวดเร็วรุนแรง ต้นไม้หักโค่นพื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ฝุ่นฟุ้งกระจาย คนที่หลบรัศมีการโจมตีไม่พ้นถึงกลับกระอักโลหิตออกมา พรรคหมื่นพิษที่เฝ้าดูไม่ห่างต่างรีบถอยห่างออกจากจุดเกิดเหตุมากกว่าเดิม ผิงเอ๋อร์กลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น ไม่คิดว่าคนที่ร่างโปร่งบางดูเหมือนไร้ซึ่งวรยุทธจะสู้ได้สูสีกับประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเจ้าเล่ห์ คำเตือนของซือเยว่บุตรสาวของประมุขพรรคยังก้องอยู่ในหัว
     
         ‘ผู้ที่ทำลายวรยุทธผู้อื่นได้นับว่าฝีมือขึ้นธรรมเนียบจ้าวยุทธภพได้เลย หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องได้ด้วยกล คนผู้นี้ฉลาดหลักแหลม ระวังตัวด้วยหากจับเป็นไม่ได้สังหารเสีย’
    
         นั่นคือคำสั่งลับของคุณหนูซือเย่วที่ถูกทำลายวรยุทธกลายเป็นสตรีพิการ ที่ได้แต่บ่มความแค้นไว้ในใจรอวันสะสาง ทว่าเวลานี้ตนกลับไม่แน่ใจแล้วว่าจะสานความแค้นให้คุณหนูซือเยว่ได้อย่างไร บุญคุณความแค้นที่นางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องโดยมิอาจขัดคำสั่งได้ นางมีพิษเหมันต์นิรันดร์อยู่ภายในร่างหากไม่อยากตายอย่างทรมารต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น หากชีวิตของนางเพียงผู้เดียวนางก็มิอาจทำร้ายผู้มีพระคุณได้
    
       ตูม ตูม!
    การปะทะกันของทั้งคู่รุนแรงมากขึ้น อีกทั้งนักรบเงาของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะตายดุจใบไม้ร่วงแต่จำนวนที่มากกว่าก็ทำให้สามคนจากพรรคหยกขาวถึงกับหอบด้วยความเหนื่อย ทว่าดวงตาแต่ละคนกลับไม่มีคำว่าพ่ายแพ้จนน่านับถือ
    
         ร่างกายแต่ละคนเริ่มโชกไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนา ทว่านางกลับได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ รวมกับคนในพรรคหมื่นพิษที่เฝ้ามองด้วยความตื่นเต้นเมื่อร่างโปร่งบางของหมอเทวดาจิวชงหยวนเรืองรองด้วยรัศมีสีขาวนวลดูสูงส่ง พลังภายในข่มศัตรูจนมิอาจขยับกายได้ ใบหน้าเหี่ยวย่นของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
    
        จิวชงหยวนดึงพลังภายในออกมาสิบส่วนพลังภายที่ถูกกักเก็บไว้ค่อยดึงออกมาทีละน้อยเมื่อศัตรูตรงหน้ามากประสบการณ์หลอกลวงตาเขาไปเสียหลายครั้ง แต่เมื่อเริ่มจับจุดได้ก็เริ่มง่ายที่จะเอาชนะ
    
      อ๊ากกกกกก
    
        เสียงกรีดร้องจากทางฝั่งซ้ายมือทำให้จิวชงหยวนสะดุ้งน้อยๆ เหลือบมองต้นเสียงอย่างห่วงใย หากยังชักช้ากว่านี้ทุกคนอาจจะไม่ไหว เขาต้องรีบลงมือสังหารประมุขพยัคฆ์คำรนให้ได้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกคนจะไม่ไหวไปมากกว่านี้
    
       ย๊ากกกกก
    
       ทั้งคู่ทะยานขึ้นบนท้องฟ้าพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงอีกครั้งวิชากระบี่และดาบต่างฟาดฟันกันดุเดือดลมปราณทั้งคู่ปะทะกันอย่างไม่มีใครน้อยหน้าพลังสองสายระเบิดขึ้นดีดทั้งคู่ออกจากกัน
    
       ตูม ตูม!!




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่42สูญเสีย 
เล่ม 2  ตอนที่17 (P.17วันที่ 13/11/58)

        หมิงอี้ฟานตวัดกระบี่เดียวดายรับมือกับพรรคพยัคฆ์คำรนที่ใช้วิชาหมาหมู่ เจ็ดต่อหนึ่งอย่างไม่มีความยุติธรรมแม้แต่น้อย แต่เวลานี้เขาจะไปไถ่ถามหาความยุติธรรมจากคนชั่วที่ไม่มีสามัญสำนึกได้อย่างไร ร่างสูงพลิ้วกายหลบคมกระบี่ที่ฟาดลงมาทางขวามืออย่างทันท่วงที ทว่ามิใช่มีแค่หนึ่งที่พุ่งเข้า ทางเบื้องหลังและทางด้านซ้ายจนมิอาจหลบพ้นได้ แขนซ้ายที่มิอาจหลบคมกระบี่คมกริบขององค์รักษ์ได้โดนตัดฉับจนเบี่ยงกายหลบไม่พ้น
    
         อ๊ากกก!
    
        หมิงอี้ฟานกรีดร้องออกมาด้วยเจ็บปวดหูตาเริ่มอื้ออึง แขนซ้ายที่ควรอยู่บนช่วงไหล่ขาดห้อยอย่างน่าหวาดกลัว
    
      “ศิษย์พี่!” จุ้ยซิงที่ติดพันอยู่กับห้าคนตะโกนเรียกคนที่รักราวจะขาดใจ ภาพตรงหน้าทำให้มือสั่นสะท้านจนมิต้านรับได้ทัน
    
        ฉัวะ!
    
       แผ่นหลังบอบบางโดนกระบี่เฉือนเข้าเนื้อจนร่างสะดุ้ง สองมือตวัดกระบี่ต้านรับพยายามพุ่งเข้าไปหาหมิงอี้ฟานที่เหลือแขนข้างเดียวด้วยน้ำตา
    
       “ตั้งสติจุ้ยซิงไม่เช่นนั้นเราจะไม่รอด” หนานจี้กงเตือนสติศิษย์น้องเสียงเข้มมือทั้งสองตวัดฟันฉับฆ่าศัตรูตรงหน้าอย่างไม่มีความลังเล
    
         ภาพตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนเบิกตากว้าง หัวใจสั่นระรัวมองหมิงอี้ฟานด้วยความเจ็บปวด ร่างกายที่อาบโชกไปด้วยโลหิตของสหายทำให้กำกระบี่ในมือแน่น กระบี่ไร้ลักษณ์พุ่งเข้าไปปัดป้องช่วยคนที่มอบหัวใจให้ตนด้วยความร้อนรน
    
         ฉัวะ!
    
         “คู่ต่อสู้เจ้าอยู่นี่” ดาบเล่มใหญ่ฟาดเข้ากลางหลังอย่างเต็มแรง ทว่าหลบพ้นไปถึงเจ็ดส่วนทำให้รอดพ้นความตายไปอย่างเฉียดฉิว เขาเม้มปากเน้นเพราะต้องต้านรับประมุขพยัคฆ์คำรนอีกทั้งคอยช่วยหมิงอี้ฟานที่สภาพย้ำแย่
    
         เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
         กระบี่โชคชะตาตวัดเข้าหาประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนอย่างรุนแรง ดุดัน พลังสิบส่วนดึงออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง พลังสองสายปะทะกันอย่างรุนแรงจนพื้นที่รอบบริเวณพังทลายลงอย่างรวดเร็ว หางตาเหลือบมองหมิงอี้ฟานที่พลาดท่าเสียทีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสองศิษย์สภาพย่ำแย่อย่างน่าเวทนา
    
        ฉัวะ!!
     
         จิวชงหยวนมองคนที่เอาตัวเข้ามาปกป้องตนอย่างตื่นตะลึง มือซ้ายกระชากร่างนั้นหลบดาบเล่มใหญ่ที่ผนึกพลังมาเต็มสิบส่วนออกได้ทันท่วงที
    
        “ไปช่วยหมิงอี้ฟาน” จิวชงหยวนออกคำสั่งเงาลับที่ยอมเผยตัวออกมาปกป้องตนเสียงเครียด
    
        “ขออภัยขอรับ ข้าน้อยมีหน้าที่ปกป้องท่าน” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนสะอึก เงาทมิฬเมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้าชีวิตแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าจะมีคำสั่งใหม่จากเจ้าชีวิต
    
        “อยู่กับข้าก็รั้งแต่เป็นภาระ ไปซะ” จิวชงหยวนออกคำสั่งพร้อมออกแรงส่งร่างสูงโปร่งขององค์รักษ์เงานั้นไปทางหมิงอี้ฟานอย่างไม่สนใจคำตอบ มือขวายกขึ้นต้านรับดาบเล่มใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่ว
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
         “เมฆไร้เงา”
    
        “ม่านมนต์จันทรา” จิวชงหยวนเสียงเรียกใช้วิชาอย่างต่อเนื่องปะทะกับพลังลมปราณของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนอย่างรุนแรงอีกครั้ง ถึงแม้ตอนนี้อยู่ในยามวิกาลทว่าหลังจากเกิดเหตุที่เจียงหนานเขาก็เริ่มใช้ลมปราณควบคุมการมองเห็นยามค่ำคืนตามที่ลู่เฟยสอนได้
    
        ฉัวะ!!
    
        ความเร็วที่เหนือชั้นกว่าสร้างบาดแผลให้ศัตรูได้อย่างสมใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด แต่แค่นี้ยังไม่พอ!
    
      อ๊ากกกก
    
       เสียงกรีดร้องจากทางด้านล่างทำให้จิวชงหยวนชะงักไปอีกครั้ง แต่เพียงแค่พริบตาตาเฒ่าก็ฉวยโอกาสโจมตีเขากระเด็นตกจากฟากฟ้าอย่างรุนแรง
    
      ตูม!
     
        จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนทุลักทุเลเมื่อครู่นี้เผลอเลอเพียงนิดเดียว แต่เปิดโอกาสให้ศัตรูจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว มือยกเช็ดโลหิตที่ไหลออกมาดวงตามองประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนที่ลอยตัวอยู่บนฟากฟ้าก่อนจะสะบัดพลังลมปราณมาทางเขาอย่างไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว
    
       ตูม ตูม!
    
       จิวชงหยวนพลิ้วตัวหลบการโจมตีได้อย่างทันท่วงที ทว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลกลับกระเด็นคลุกฝุ่นไปตามกัน ลมหายใจของหมิงอี้ฟานติดขัดจนน่าหวาดกลัวแต่เขาไม่มีเวลาไปรักษาได้ในเวลานี้ เพราะเสือเฒ่าไม่เปิดโอกาสให้
    
      ฉัวะ!
    
     “ศิษย์พี่!” จุ้ยซิงตะโกนก้องเรียกคนที่รักด้วยน้ำเสียงราวจะขาดใจ ร่างกายอาบไปด้วยโลหิตแต่เจ้าตัวกลับมิสนใจตัวเองพุ่งเข้าไปรับร่างของหมิงอี้ฟานที่โดนกระบี่เสียบทะลุคาอกด้วยน้ำตานองหน้า
    
       จิวชงหยวนมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด มือสั่นสะท้านทุกครั้งที่ถูกดาบเล่มใหญ่ฟาดฟันเข้ามา ทว่ามันยังไม่เจ็บปวดเท่าหัวใจที่มิอาจช่วยเหลือสหายได้
    
        “หิมะไร้ล่องลอย”
    
      ตูม!!
    
       ร่างของประมุขพรรคกระเด็นตกไปไกลตามแรงปะทะอย่างรุนแรงและเชี่ยวกรากตามอารมณ์ที่ไม่นิ่งสงบ ร่างโปร่งบางลอยตัวอยู่บนฟากฟ้าเรือนร่างทอแสงขาวนวลอย่างน่าเกรงขาม ริมฝีปากพึมพำท่องคาถาบางอย่างออกมาอย่างแผ่วเบา
    
        “ปลดผนึกเหมันต์” หลังจากจบประโยคร่างที่เรืองแสงขาวนวลกลับเจิดจ้ามากกว่าเดิม ผมยาวสลวยปลิวไปตามแรงลมที่รุนแรง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับนิ่งเรียบ ว่างเปล่า
    
      “เหมันต์เยือกแข็งนิรันดร์”
    
       พื้นที่โดยรอบรัศมีกว่าสิบลี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของคนเพียงผู้เดียว ทุกคนที่ต่างลงมือเริ่มซะงักงันเมื่อเห็นพื้นที่โดยรอบผิดปกติ
    
      เสือเฒ่าที่บาดเจ็บไปไม่น้อยหรี่ตามองร่างโปร่งบางตรงหน้า ที่มีรัศมีเรืองรองสีขาวเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม พลังกดดัน และดูสูงส่ง สง่างาม ดวงตาเรียวที่มองมานิ่งๆ ร่างกายอาบย้อมไปด้วยโลหิตไม่ต่างจากตน ทว่ายามนี้หัวใจกลับสั่นสะท้านหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ได้ยินข่าวว่าคนตรงหน้าเป็นเซียนแต่อยู่จนแก่ขนาดนี้มิเคยเห็นเทพเซียนมาก่อนจึงทำใจเชื่อได้ยาก
    
        พรึบ!
    
       กระบี่มากมายสีขาวนวลลอยล่องรอบตัวจิวชงหยวน ดวงตามองมาที่ชายแก่นิ่งๆ ใบหน้างดงามยกยิ้มบางเบาที่มุมปาก เพราะความอ่อนด้อยทำให้สหายบาดเจ็บ อ่อนแอทำให้สูญเสีย และความหวาดกลัวในส่วนลึกของจิตใจที่จะฆ่าคน ทำให้พลาดพลั้งครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้างามยกยิ้มบางเบาคล้ายจะยิ้มแต่กลับไม่ใช่
    
        ไม่คิดเลยว่าเวลานี้จะทำให้ตัวเองปลดผนึกพลังเทพของลู่เฟยออกมาเต็มพิกัดเช่นนี้ พลังเทพที่ต้องแลกด้วยอายุวิญญาณจากมนุษย์ธรรมดาเช่นตน พื้นที่รอบบริเวณกลายเป็นน้ำแข็งตามวิชาที่ตนถนัด บรรยากาศกดดัน ทว่าร่างโปร่งบางกลับหัวเราะออกมาจนทำให้คนฟังใจสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว
   
        “ฮ่าๆๆ”
    
         จิวชงหยวนหัวเราะออกมาไม่ได้บอกความรู้สึกของตน ดวงตาที่อ่อนโยนเสมอกลับเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง แม้แต่คนที่เดินทางร่วมกันมาตลอดหลายเดือนยังรู้สึกหวาดหวั่น น้ำแข็งลุกลามไปอย่างรวดเร็วและแช่ร่างคนของพรรคพยัคฆ์คำรนอย่างไม่มีคำว่าปราณีอีกต่อไป
    
       พรรคหมื่นพิษต่างแอบมองอยู่ต่างทะยานหลบหนีด้วยความหวาดกลัว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเหมือนดังปีศาจพร้อมจะปลิดวิญญาณ แม้จะมีรัศมีสีขาวเจิดจ้าทว่าการลงมือแช่แข็งผู้คนอย่างเหี้ยมโหดทำให้หนาวสั่นสะท้านและหนึ่งในนั้นก็คือผิงเอ๋อร์ที่รีบพาคนในพรรคจากไปอย่างรวดเร็ว เพราะหากชักช้ารายต่อไปอาจเป็นตน
    
        “เรามาจบกันเถอะ” บอกเพียงเท่านั้น ประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนก็เบิกตากว้าง เมื่อกระบี่ลอยล่องพุ่งมาทางตนด้วยความเร็ว ร่างโปร่งที่ควรยืนอยู่กลับหายไปมีเพียงกระบี่นับร้อยที่พุ่งเข้ามาอย่างน่าตระหนก
    
     เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
       ฉัวะ!!!
    
        อ๊ากกกก
    
        เพียงต้านรับได้สิบกระบวนท่าก็ถูกกระบี่เชือดเฉือนอย่างไร้ความปราณี การลงมือที่เด็ดขาดมากขึ้นกว่าเดิมทำให้ร่างของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนบาดเจ็บภายในและภายนอกจนลมปราณเริ่มแตกซ่าน พลังเชี่ยวกรากรุนแรงของลมปราณเยือกแข็งที่ทิ่มแทงเข้ามาภายในร่างหนาวสั่นสะท้าน
    
        ดวงตาพร่ามัวมองผู้ที่ลงมืออย่างหวาดหวั่น เมื่อรู้ว่าไม่มีทางรอดจึงใช้วิชาลับพาร่างตัวเองหนีหายไป ทว่ากลับถูกกระบี่ที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าปักกลางอกอย่างไม่เปิดโอกาสให้หลบหนีได้ เบิกตากว้างมองอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะหนีไม่พ้น โลหิตไหลทะลักออกมาเมื่อกระบี่ที่มองไม่เห็นเลือนหายไป ใบหน้านิ่งเรียบมองมาที่ตนว่างเปล่ารัศมีขาวเจิดจ้า เส้นผมยาวสลวยปลิวไปตามสายลม ยิ่งทำให้หวาดกลัวและรู้สึกผิดที่เล่นงานผิดคน ไม่คิดว่าตนจะมาสิ้นชื่อกับเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้
    
         ฉัวะ!
    
         ศีรษะของประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนขาดกระเด็นออกมาโดยไม่มีโลหิตกระเด็นแม้แต่น้อย บ่งบอกความเด็ดขาดและฝีมือของผู้ลงมือ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาก่อนจะพาเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว พรรคพยัคฆ์คำรนที่มากว่าห้าสิบชีวิตต่างตายด้วยน้ำแข็งอย่างน่าเวทนา
    
          ร่างโปร่งเหาะลงเข้ามาหาหมิงอี้ฟานที่นอนนิ่งไร้ซึ่งวิญญาณอยู่ในอ้อมกอดของจุ้ยซิงที่น้ำตานองหน้า เสียงสะอื้นไห้ทำให้จิวชงหยวนปวดร้าว สองเท้ามาหยุดอยู่ข้างกายของทั้งคู่ดวงตานิ่งเรียบมองร่างนั้นอย่างเจ็บปวด ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแต่ความรู้สึกในเวลานี้ยากที่จะบรรยาย หากเขาตัดสินใจปลดผนึกพลังเทพลู่เฟยเร็วกว่านี้ทุกอย่างคงไม่จบเช่นนี้
    
        “ท่านหมอจิวโปรดช่วยศิษย์พี่ด้วยขอรับ ได้โปรด” จุ้ยซิงวอนขอด้วยความอ่อนล้าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ห่างออกไปคือหนานจี้กงและองค์รักษ์เงาที่สลบไปเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว หากไม่มียาพิษร้ายแรงที่ทำให้การเคลื่อนไหวไม่ได้คงไม่ทำให้หมิงอี้ฟานจบชีวิตลง
    
       “ข้าขอโทษ” จิวชงหยวนกล่าวแผ่วเบา เขาช่วยคนใกล้ตายให้ฟื้นได้ แต่มิอาจช่วยคนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ ร่างโปร่งบางทรุดตัวข้างร่างของหมิงอี้ฟาน มือสั่นระริกยกขึ้นจับมือของคนที่ยอมตายเพื่อตนด้วยความเจ็บปวด
    
          “ท่านเป็นหมอเทวดาท่านต้องช่วยได้สิขอรับ” น้ำเสียงเว้าวอนของจุ้ยซิงทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา ความผิดของเขาที่ทำให้ทุกอย่างลงเอ่ยเช่นนี้ ความเจ็บปวดในครั้งนี้ทำให้ร่างโปร่งบางสั่นระริก เขาเองก็อยากจะให้หมิงอี้ฟานฟื้นขึ้นมา แต่เขามิอาจทำได้หากฝืนลิขิตฟ้าทุกอย่างอาจผันแปร กงล้อจะเปลี่ยนเส้นทาง
    
       “ข้าขอโทษ”      
    
       ลู่เฟยจับหน้าอกตัวเองด้วยความปวดร้าว ความรู้สึกที่ส่งมาถึงเขารับรู้ทุกอย่าง ร่างสูงสง่าพุ่งทะยานบนยอดไม้เร่งเดินทางไปหาคนรักเร็วขึ้น หลังจากออกเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานมิคิดว่าจะเกิดเรื่องเร็วขนาดนี้ และที่สำคัญไม่คิดว่าจิวชงหยวนจะปลดผนึกพลังเทพที่ต้องแลกด้วยอายุวิญญาณของตัวเองเช่นนี้ หากไม่เกิดเรื่องร้ายแรงจริงๆ คงไม่บีบคั้นให้ทำอย่างนั้น
    
       “ใกล้ถึงแล้วรอข้าก่อนนะ”
    
         ลู่เฟยพึมพำเบาๆ หวังให้ความรู้สึกนี้ส่งไปถึงคนที่อยู่เมืองต้าเหลียง ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามก็มาถึงที่หมาย ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ลู่เฟยนิ่งไป สามร่างที่บาดเจ็บสาหัสนอนเรียงกันด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก ร่างกายถูกพันแผลให้อย่างเรียบร้อยแต่ก็อาการสาหัสมากเช่นกัน ร่างสูงยืนนิ่งมองไปยังร่างของคนรักซึ่งนั่งนิ่งข้างร่างของหมิงอี้ฟานที่ไร้ซึ่งลมหายใจ ด้วยหัวใจปวดร้าวไม่ต่างกัน เขาเสียใจที่มาช้าไป
    
        เสียงเหยียบใบไม้แม้จะแผ่วเบา ทว่าร่างกายที่ยังมีพลังเทพกลับรู้สึกตัวได้อย่างรวดเร็ว ในมือปรากฏเข็มพิษพร้อมสะบัดออกไปทิศทางด้านหลังโดยมิได้หันกลับไปมอง ลู่เฟยตีลังกาพลิ้วกายหลบเข็มพิษอย่างคล่องแคล่ว
    
         “ช้าก่อน ข้าเอง” เสียงตอบกลับมาทำให้จิวชงหยวนรั้งมือไว้ ลุกขึ้นยืนหมุนกายหันไปมอง ดวงตาคมกริบมองมาที่เขานิ่งๆ แม้ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแต่กลับเข้าใจกันดวงตาคู่นี้ได้ดี
    
         “ขอโทษที่มาช้า” ลู่เฟยบอกด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด ร่างสูงเดินเข้ามาดึงร่างจิวชงหยวนไปโอบกอดไว้แน่น ความอบอุ่นและห่วงใยที่ส่งมาทำให้หัวใจยิ่งปวดร้าว และพยายามทำตัวเข้มแข็งพังทลายลงอย่างมิอาจกลั่นไว้ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ไม่มีเสียงสะอื้นแต่บ่งบอกความเสียใจ ขอแค่วันนี้เท่านั้นที่เขาจะร้องไห้
    
        “ลิขิตฟ้ามิอาจเปลี่ยนแปลงได้ โชคชะตาจะนำพาให้อี้ฟานมาพบเจอเราอีกครั้ง” คำกล่าวหนักแน่นจริงจังของลู่เฟยกลับทำให้จิวชงหยวนเชื่อมั่น  อ้อมแขนที่อบอุ่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
    
          “ข้าจะมีหน้าไปพบประมุขหมิงเทียนได้อย่างไร” จิวชงหยวนผละออกจากอ้อมกอดเอ่ยถามเสียงแผ่ว  ใบหน้าฟาดแดงเล็กน้อยที่ทำขายหน้าต่อหน้าคนรัก
    “เจ้าทำดีที่สุดแล้ว ประมุขหมิงเทียนย่อมเข้าใจ” ลู่เฟยเอ่ยปลอบยกนิ้วเรียวกรีดเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมที่มองมาฉายแววเจ็บปวดไม่ต่างไปจากตน
    
      “ตอนนี้ข้ามิอาจผนึกพลังในร่างเจ้าได้ เจ้ารู้ผลกระทบใช่หรือไม่”
    
         ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ผลร้ายของการเป็นมนุษย์แล้วดึงพลังเทพที่อดีตเขาแบ่งมาไว้ในร่างจิวชงหยวนมีผลร้ายแรง ยิ่งใช้มากเท่าไร อายุวิญญาณจะลดลง และคนที่เสียใจที่สุดก็ยังเป็นเขา แต่หากไม่มีพลังส่วนนี้ร่างโปร่งบางตรงหน้าอาจได้ไปที่ปรโลกแล้วแค่คิดหัวใจก็สั่นสะท้าน เขาจะสูญเสียคนตรงหน้าไปอีกครั้งได้เช่นไร
    
          “ข้ารู้ จบเรื่องนี้ค่อยเรียกอาจารย์มาปิดผนึกให้ เมื่อถึงเวลานั้นอย่างน้อยข้าก็คงอยู่ได้ราวสองร้อยปี”
    
         จิวชงหยวนตอบรับและยอมรับผลเสียจากการฝืนปลดผนึกพลังเทพของลู่เฟย แต่เขาก็ไม่เสียใจที่จะใช้มันเพราะอย่างน้อยเวลานี้เขาก็ยังมีชีวิต แม้จะสูญเสียคนสำคัญไปเขามิอาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งใดได้ ได้แต่กล่าวโทษตัวเองเท่านั้น
    
        พรึบ!
    
        “อาจารย์ข้าขออภัยที่มาช้า ข้าติดปัญหากับพรรคโลหิตมารอยู่ขอรับ” ทั้งคู่หันไปมองอวิ้นเซียนและพรรคพวกที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าสำนึกผิด แววตาที่อ่อนโยนทอดมองร่างของหมิงอี้ฟานด้วยความเสียใจที่มิอาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ เขาช่างเป็นศิษย์เนรคุณเสียจริง
    
       จิวชงหยวนมองคนที่มาตอนจบทุกครั้งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หากนี่เป็นลิขิตของสวรรค์ต่อให้อวิ้นเซียนมาทันใช่ว่าจะไม่สูญเสีย ในเมื่อเวลานี้มิอาจแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาได้ จะโทษผู้ใดก็คงไม่ได้นอกเสียจากตัวเขาเองที่อ่อนหัดในยุทธภพ หากเด็ดขาดมากกว่านี้ทุกอย่างคงไม่ลงเอ่ยเช่นนี้
    
       “พวกเจ้าพาหมิงอี้ฟานและศิษย์น้องเขากลับพรรคหยกขาว หากข้าเสร็จธุระแล้วจะไปขอโทษประมุขหมิงเทียนด้วยตัวข้าเอง” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ใบหน้างดงามเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง น้ำตาที่จะไหลออกมาย้อนกลับคืนไป เขาไม่อยากให้ผู้ใดมาเห็นความอ่อนแอของตน แค่ลู่เฟยคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
    
       “อาจารย์จะทำเช่นไรต่อไปขอรับ”
    
        อวิ้นเซียนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหันไปสบกับดวงตาเย็นเยือกของผู้เป็นอาจารย์ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ริมฝีปากยกยิ้มบางเบาทว่ากลับทำให้รู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นและสาบานตนไว้ว่าจะไม่ทำให้อาจารย์โกรธเป็นอันขาด
    
       “ทำลายพรรคพยัคฆ์คำรน พรรคหมื่นพิษไม่ให้เหลือซาก!” น้ำเสียงแผ่วเบาที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังรู้สึกหนาวสั่นสะท้านหวาดกลัว ทุกคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ ศีรษะประมุขพยัคฆ์คำรนจิวชงหยวนได้ถูกเอามาห่อผ้าไว้ เพื่อนำไปข่มขวัญคนในพรรคซึ่งเขาจะไปทำลายด้วยมือตัวเอง
    
        หลังจากสั่งงานเสร็จ จิวชงหยวนจึงได้ออกเดินทางไปเมืองหางโจวซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรคพยัคฆ์คำรน โดยมีลู่เฟยร่วมเดินทางไปด้วย แม้จะไม่ค่อยได้พูดคุยแต่กลับเข้าใจเขาเป็นอย่างดี แต่ก่อนที่จะไปนั้นเขาได้เข้าไปหาหย่งเจิ้นที่เทือกเขามังกรขดเพื่อหาพรรคพวกเพิ่มเติม จะทำการใหญ่หากไปสองคนอาจได้ไปเยี่ยมเยียนปรโลกก่อนกำหนด ไม่ได้ล้างแค้นยังต้องมาสิ้นชื่อเพราะฉะนั้นเขาจะไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดเป็นอันขาด
    
        “เกิดเรื่องเช่นนี้ข้ากลับไม่ได้อยู่ปกป้องเจ้าน่าละอายยิ่ง” ทันทีที่หย่งเจิ้นทราบข่าวก็กล่าวโทษตัวเองที่มิอาจปกป้องเขาได้แต่อย่างน้อยก็ได้ร่วมมือกับอวิ้นเซียนทำลายพรรคโลหิตมารไปแล้วและถือว่าช่วยเขาไปอีกทาง    
    
        “มิใช่ความผิดของเจ้าอย่าได้กล่าวโทษตัวเอง อย่างน้อยเจ้าก็กำจัดศัตรูให้ข้าไปแล้วพรรคหนึ่ง เหลือเพียงสองอีกไม่นานทุกอย่างต้องจบลง” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ดวงตาแดงก่ำเพราะความแค้นที่ฝังอยู่ภายในอก เขายังเป็นปุถุชนธรรมดาที่ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง สหายที่รักและร่วมทุกข์ร่วมสุขต้องมาตายตกเพราะปกป้องตัวเองใครบ้างจะไม่มีความแค้น
    
       “จะเริ่มเมื่อไหร่หรือ” ไป๋เสวี่ยที่อยู่ด้วยเอ่ยถาม ใบหน้าฉายความห่วงใย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะไปด้วย    “พรุ่งนี้เช้า แต่ข้าไม่รบกวนเจ้า เจ้ายังมีหน้าที่หากเป็นอะไรไปข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว ที่สำคัญข้ามิอาจรักษาคนตายให้ฟื้นได้” จิวชงหยวนบอกเสียงหนักแน่นจริงจัง ไป๋เสวี่ยยังมีงานต้องทำ หน้าที่ของรัชทายาทคือกำจัดกบฏหาใช่เกี่ยวข้องกับยุทธภพไม่
    
       “ไม่เป็นไรหรอกแค่ข้าสามคนกับคนในพรรคเทพจันทราก็เพียงพอแล้ว เจ้าเก็บแรงไว้ทำงานใหญ่เถอะ ใกล้จะถึงเวลาแล้วมิใช่หรือ” ลู่เฟยที่กอดอกพิงเสานิ่งๆ เอ่ยบอกรัชทายาทแคว้นหางโจวที่ถูกกบฏจากขุนนางชั่ว อย่างน้อยก็ดีกว่าเขาที่กบฏกลับเป็นพี่น้องกันเอง
    
        “ถึงข้าอยากช่วยพวกเจ้า แต่องค์ชายลั่วลู่เฟยก็กล่าวได้ถูกต้องเพราะฉะนั้นพวกท่านรักษาตัวด้วย” ไป๋หู่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามหย่งเจิ้นหันไปบอกคนที่จะไปทำลายพรรคชั่วช้าที่เข่นฆ่าชาวบ้านเหมือนผักปลา ทว่ายามนี้เขาเองก็ได้วางกำลังในวังหลวงไว้หมดแล้วเหลือเพียงรอรับคำสั่งเท่านั้น
    
          เมื่อทุกอย่างตกลงกันได้แล้ว จิวชงหยวนจึงได้ไปพักผ่อนในห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในวันรุ่งขึ้น พระจันทร์มืดมิดเห็นเพียงดวงดาวน้อยนิดเหมือนหัวใจเขาเวลานี้ ร่างโปร่งบางยืนกอดอกมองท้องฟ้าด้วยความเศร้าหมอง การสูญเสียใช่ว่าเขาจะไม่เคย เพียงแต่ครั้งนี้คนที่จากไปเพราะปกป้องเขามันเจ็บปวดไม่ต่างจากบิดามารดาที่จากไป
    
         แรงโอบกอดจากทางด้านหลังทำให้สะดุ้งเล็กน้อย เหลือบตามองลู่เฟยนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองท้องฟ้าเช่นเคยโดยไม่ได้ผลักไสอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ ความห่วงใยที่ส่งมาทางความรู้สึกพร้อมก้มจูบเรือนผมอย่างแผ่วเบาทว่าใบหน้าเขาแดงระเรื่อ นี่ไม่ใช่มาทวงสัญญาหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นคืนนี้จะไล่ออกไปนอนนอกห้องกับหย่งเจิ้นเสียเลย
    
       “ให้ข้าจูบปลอบขวัญเสียหน่อย อาการเจ้าจะได้ดีขึ้น” คำกล่าวกระเส่าดังข้างหู จิวชงหยวนเหลือบตามองอย่างเอือมๆ นี่ขนาดเขาเศร้าเสียใจอยู่ยังปลอบใจได้หื่นกามเสียจริง
    
       “หย่งเจิ้นคงยินดีให้เจ้าไปร่วมห้องด้วย” จิวชงหยวนกล่าวตอบเสียงเรียบ
    
        “นี่เจ้าผลักไสสามีให้ผู้อื่นเชียวหรือ หย่งเจิ้นรูปร่างสูงใหญ่ที่สำคัญมิได้งดงามเฉกเช่นเจ้าข้าไม่ได้พิศวาสด้วยหรอก” ลู่เฟยกล่าวหยอกเย้าหวังจะให้คนในอ้อมกอดหลงลืมเรื่องเลวร้ายไปบ้างแม้จะเพียงชั่วครู่ก็ยังดี ดวงตาเรียวเหลือบตามองเขาอย่างเอือมๆ ทำให้อดที่จะบีบจมูกอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้
    
       “หากวันนี้คนที่จากไปเป็นข้าเจ้าจะทำเช่นไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างหลังที่โอบกอดเขาไว้อย่างรักใคร่ แม้อีกฝ่ายจะพยายามทำให้เขาลืมแต่เรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลา
    
        “ข้าคงตามเจ้าไปยังปรโลกหลังจบหน้าที่ ความดีความชอบข้าเง็กเซียนฮ่องเต้คงมิใจร้ายกับข้าหรอกกระมั้ง” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบทว่าดวงตากลับแข็งกร้าว หากใครคิดพรากจิวชงหยวนไปจากอ้อมกอด เขาจะกระชากวิญญาณผู้นั้นออกมาและทำลายด้วยมือตนเอง แม้จะตกนรกขุมที่สิบแปดก็จะทำ
    
        ความกดดันที่แผ่ออกมาจากคนร่างสูงทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง ใบหน้าคมคายเคร่งขรึม ดวงตาแข็งกร้าวจนน่าหวาดหวั่น ร่างโปร่งบางหมุนกายไปหาแล้วยกมือแตะแก้มสากแผ่วเบา
    
       “คิดมาก ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก” จิวชงหยวนบอกพร้อมผละออกจากร่างสูง บรรยากาศเหมือนจะเป็นใจในค่ำคืนนี้ แต่พรุ่งนี้เขามีงานใหญ่รออยู่จึงมิอาจทำตามสัญญาได้
    
      “ข้าง่วงแล้ว”
    
        ลู่เฟยยิ้มบางมองคนเจ้าเล่ห์ที่แกล้งอ้าปากหาว ทำตาปรือเหมือนคนง่วงจัด วันนี้เขาจะปล่อยไปก่อน ดวงตาคมมองตามร่างโปร่งบางที่เดินไปล้มตัวนอนบนเตียงอย่างครุ่นคิด บาดแผลภายนอกและภายในถูกรักษาด้วยพลังเทพ แต่เขากลับกังวลเพราะพลังในร่างที่เอามาใช้ล้วนต้องแลกกับอายุขัยที่ลดลง  ก่อนถึงเวลานั้นเขาต้องทำให้จิวชงหยวนได้เป็นเทพเซียนให้ได้ ร่างสูงเดินเข้าไปหาล้มตัวนอนกอดร่างโปร่งบางไว้อย่างหวงแหนกระซิบบอกคนที่ปรือตามามองแผ่วเบา
    
       “ข้าขอนอนกอดเจ้าเท่านั้น”




ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่43 หมอเทวะมาร 
เล่ม 2 ตอนที่18 (P.18วันที่ 13/11/58)

         หิมะแรกในฤดูหนาวโปรยปรายลงมาอย่างงดงาม ทว่าน่าเสียดายที่มันต้องอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน จิวชงหยวนมองดูตำหนักใหญ่โตของพรรคพยัคฆ์คำรนด้วยความเดีอดฉันท์ ศีรษะประมุขพรรคถูกโยนข้ามไปในกำแพงด้วยฝีมือของหย่งเจิ้น เพียงไม่นานคนที่อยู่ข้างในก็ตื่นตระหนกตกใจ ทุกอย่างโกลาหลไปหมด พวกเขาจึงทะยานข้ามกำแพงเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว
    
        “มีผู้บุกรุก!”
    
        เสียงร้องตะโกนก้องพร้อมร่างผอมบางล้มลงไปด้วยคมกระบี่ของพรรคเทพจันทราอย่างมิอาจป้องกันตัวได้ การลงมือที่เฉียบขาดและรวดเร็วทำให้ลูกศิษย์ชั้นล่างหนีตายกันจ้าละหวั่น จิวชงหยวนเหลือบตามองอย่างเย็นชาสะบัดเข็มพิษพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว ฤทธิ์ยาพิษสังหารชนิดร้ายแรงเพียงแค่โดนทิ่มเนื้อหัวใจก็หยุดเต้นอย่างกะทันหัน
    
       “บังอาจพวกเจ้าเป็นใคร”
    
        เสียงแข็งกระด้างดังขึ้นพร้อมร่างสูงหนาในอาภรณ์สีดำเดินเข้ามาอย่างองอาจ แววตาลุกโชนด้วยความเกรี้ยวโกรธ แค้นเคืองตามมาติดๆ ด้วยชายร่างสูงหนาอีกสามคนเพียงแค่เห็นใบหน้าก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นบุตรชายของประมุขพรรค จิวชงหยวนยกยิ้มบางเบาทว่าทำให้คนมองอึ้งไปกับความงดงามตรงหน้า
    
        ตุ๊บ!
    
       ลู่เฟยแตะศีรษะของอดีตประมุขพรรคพยัคฆ์คำรนไปทางบุตรชายซึ่งมองจิวชงหยวนจนอยากจะกระชากลูกตาออกมาโยนให้แล้งกิน
    
      “ท่านพ่อ!”
    
        ทั้งสี่คนตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างตื่นตกใจ มือของทุกคนปรากฏอาวุธทันทีที่เห็นศีรษะของบิดาบังเกิดเกล้าที่เก่งกาจเลื่องชื่อมาเนิ่นนาน ผู้ใดกันสามารถสังหารบิดาพวกมันได้
    
        “แก ไอ้พวกหมาหมู่ รุมฆ่าบิดาข้าช่างน่าละอายยิ่ง” บุตรชายคนโตคำรามลั่นด้วยความโกรธแค้น ดวงตาลุกโซนด้วยโทสะ จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนที่กล่าวหาแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    
        “ข้าสังหารเพียงผู้เดียว คนอื่นหาได้เกี่ยวข้องไม่ บิดาเจ้ารนหาที่ตายหมายจะมาสั่งหารข้า หากไม่สั่งสอนคงตามล่าข้าไม่เลิกรา” น้ำเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาเฉยชามองมาที่พวกมันเหมือนตัวไร้ค่าจนน่าเจ็บใจ
   
        “ปากดี ข้าจะจัดการเจ้าด้วยตัวข้าเอง ข้าจะไม่สังหารเจ้าแต่จะนำเจ้ามาบำบัดความใคร่ของพวกข้า” บุตรคนโตมองมาที่จิวชงหยวนด้วยสายตาโกรธแค้นชิงชัง ขณะเดียวกันกลับสำรวจร่างนั้นอย่างจาบจ้วง ลู่เฟยยกยิ้มเย็นไม่ต้องให้ใครเอ่ยเตือน สงครามขนาดย่อมก็เริ่มต้นขึ้น
    
        ลู่เฟยพุ่งเข้าหาบุตรคนโตของประมุขพรรคที่บังอาจใช้สายตาน่ารังเกียจจ้องมองเมียตนอย่างหยาบคายเห็นทีไม่สั่งสอนคงมีคนคิดอยากลองดี ลูกตาคู่นั้นเขาจะทำลายให้สิ้นซาก
    
      จิวชงหยวนยกกระบี่รับชายร่างสูงหนาหน้าตาดุดันใบหน้าไว้หนวดเคราอย่างน่าหวาดกลัว คาดว่านี่น่าจะเป็นบุตรคนรองของตาแก่นั่น
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!
    
       กระบี่เนื้อดีพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วดุดัน จิวชงหยวนเพียงออกแรงแค่ห้าส่วนก็คาดเดาได้ว่าคนผู้นี้ฝีมือยังอ่อนด้อยกว่าบิดามากนัก หรืออาจเป็นเพราะตอนนี้ร่างกายเขามีพลังเทพทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
    
        เปรี๊ยะ!
    
         ตูม!!!
    
        เพียงสิบกระบวนท่าร่างสูงหนาของฝ่ายตรงข้ามก็กระเด็นติดกำแพงบ้านพังไปทั้งแถบ จิวชงหยวนลอยตัวขึ้นไปบนหลังคาบ้านเรือนมองลงไปด้วยสายตานิ่งเฉย เขายืนรออย่างใจเย็นให้ร่างนั้นลุกขึ้นและพุ่งเข้ามาหาเข้าอีกครั้ง
    
        ย๊ากกกก
    
        ร่างนั้นพุ่งเข้ามาหาจิวชงหยวนอีกครั้งอย่างไม่กลัวตายลมปราณสีแดงฉานแผ่ออกมาทั่วร่าง เขาปลายตามองกระบี่ไร้ลักษณ์พุ่งเข้าไปต้านรับพร้อมโจมตีกลับที่รุนแรงมากกว่าเดิม
    
       ฉัวะ!!
    
        “ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!” ร่างกายที่อาบโชกไปด้วยโลหิตสีแดงฉานย้อมหิมะสีขาวบนพื้น จิวชงหยวนมองคนที่ข่มขู่จะฆ่าตัวเองนิ่งๆ ทว่ากระบี่ไร้ลักษณ์ลอยล่องอยู่รอบกายก่อนจะออกคำสั่งพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยความเร็ว
    
       อ๊ากกกก
    
        เสียงกรีดร้องอย่างทรมารของศัตรูตรงหน้าไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนใจอ่อน เพราะตอนที่พวกมันลงมือกับเหยื่อไม่มีคำว่าเมตตา ไฉนเลยเขาจะมีคำพวกนี้ให้กับคนชั่วช้าสามัญที่อยู่ไปก็รั้งแต่หนักแผ่นดิน
    
        “หิมะไร้ล่องลอย”
    
         คลื่นสายพลังรุนแรงพุ่งเชือดเฉือนผิวเนื้อของศัตรูตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ร่างสูงหนากระเด็นตกลงบนหลังคาอีกตำหนักทรุดพังทลายไม่เหลือเคล้าเดิม ทางด้านลู่เฟยที่รับมือกับบุตรคนโตก็ไม่น้อยหน้าฝีมือที่ดูอย่างไรก็ต่างกันทำให้หายห่วง
    
         หากกลับมาหาเขาเร็วกว่านี้ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายเช่นนี้แต่จะกล่าวโทษก็ไม่ได้ เพราะลู่เฟยเองก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ มิใช่มาคอยดูแลปกป้องเขาเพียงอย่างเดียว หากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเองที่ไม่เด็ดขาดที่จะฆ่าคนจริงๆ เสียที อาจเป็นเพราะจิตใต้สำนึกจากภพที่ผ่านมาจึงหวาดกลัวอยู่ในใจจนพลาดพลั้งอย่างไม่น่าให้อภัย ประสบการณ์ในครานี้แสนสาหัสนัก
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
        ตูม!
    
         เสียงปะทะกันอย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายดังอย่างต่อเนื่อง บ้านเรือนภายในตำหนักพังทลายเสียหาย การลงมือเด็ดขาดไร้ความปราณีของพรรคเทพจันทราที่อาสามาช่วยงานนี้ เพราะมีความโกรธแค้นกันมาก่อน จิวชงหยวนปลายตามองคู่ต่อสู้ที่สิ้นลมเล็กน้อยก่อนจะสะบัดเข็มพิษใส่พรรคพวกที่คิดจะหลบหนีอย่างรวดเร็ว
    
          ผ่านไปสองชั่วยามที่พรรคพยัคฆ์คำรนพยายามต่อสู้และหลบหนี แต่มิอาจหนีได้พ้น ตำหนักด้านในไฟลุกไหม้ลามไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของลู่เฟยกับหย่งเจิ้น พลังที่รุนแรงไม่มีคำว่าละเว้นในสายตาของทั้งคู่ยิ่งสร้างความเสียมากขึ้น เพียงไม่นานทุกอย่างก็ถูกไฟแผดเผาเหลือเพียงขี้เถ้า ผู้คนในพรรคล้มตายอย่างไม่มีโอกาสได้หนี
    
        จิวชงหยวนมองภาพความโหดเหี้ยมเบื้องหน้าแล้วกลืนก้อนขมๆ ลงคอ ทุกอย่างตรงหน้าเป็นความปรารถนาของเขาเอง บาปกรรมในการสังหารผู้คนในครานี้ชดใช้อีกหนึ่งร้อยปีก็คงมิหมด แต่หากไม่ทำผู้คนและชาวบ้านก็คงเดือดร้อนไปมากกว่านี้ เพราะพวกเขาได้ค้นพบชั้นใต้ดินที่มีหญิงสาวชาวบ้านกว่ายี่สิบคนที่ถูกจับตัวมาและช่วยเหลือได้ทัน
    
        เหตุการณ์ในครานี้ทำให้ชื่อเสียงของจิวชงหยวนดังระบือไกลไปทั่วยุทธภพ ที่ทำลายพรรคชั่วช้าจนไม่เหลือซาก ข่าวนี้ทำให้พรรคหมื่นพิษที่หมายหัวหมอเทวดาผู้นี้ถึงกลับหวาดกลัวขึ้นมา และเพียงไม่นานหมอเทวดาจิวชงหยวนก็ได้สมญานามใหม่ว่า ‘หมอเทวะมาร’ ซึ่งเป็นที่น่าเกรงขามต่อยุทธภพ
    
        “ทุกอย่างเรียบร้อยเจ้าจะทำเช่นไรต่อ” หย่งเจิ้นเดินเข้ามาหาร่างโปร่งบางที่ยืนนิ่งมองความพินาศของอดีตพรรคพยัคฆ์คำรน เขาไม่ได้สูญเสียคนในพรรคกับเหตุการณ์ในครานี้เพียงแค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
    
          “พรรคหมื่นพิษ” กระซิบตอบเสียงแผ่วแล้วหมุนกายจากไปปล่อยให้เบื้องหลังเป็นเรื่องเล่าขานต่อไป แม้จะเป็นที่หวาดกลัวต่อยุทธภพแต่ก็เป็นที่ชมชอบต่อชาวบ้านที่เคยถูกพยัคฆ์คำรนเอารัดเอาเปรียบ

    
          จิวชงหยวนให้เวลาทุกคนหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลาสามวัน ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่หน้าพรรคหมื่นพิษซึ่งมีผู้เฝ้าเวรยามอย่างเคร่งครัดและมากมายกว่าปกติ เขามองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ทว่าหัวใจกลับเจ็บปวดในการกระทำของตนเอง แต่ในยุทธภพแห่งนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดไปได้
 
     “เจ้าไหวนะ” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงสภาพจิตใจของร่างโปร่งบางที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก มือหนายกเส้นผมของอีกฝ่ายมาจับอย่างแผ่วเบา จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ปัดมือนั้นออก
    
       “หากไม่จัดการวันนี้ ในภายภาคหน้าข้าคงใช้ชีวิตไม่สงบ สู้ทำให้จบๆ ไปเลยเสียดีกว่า” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงแผ่ว เพราะต้องการใช้ชื่อเสียงด้านโหดร้ายมิให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับเขาอีก และอาจทำให้การเดินทางรักษาผู้คนได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา
    
       “อย่าลืมที่เตือนพรรคหมื่นพิษมิได้ง่ายเหมือนพรรคพยัคฆ์คำรนเพราะอาจซ่อนผู้มีฝีมืออยู่ในพรรค” จิวชงหยวนหันไปมองหย่งเจิ้นที่เอ่ยเตือนแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ที่เขาทำลายพรรคพยัคฆ์คำรนได้ง่ายเพราะรู้ฝีมือของอีกฝ่ายและยังรู้จุดอ่อนของศัตรู แต่กับพรรคหมื่นพิษนั้นยังมีเงื่อนงำหลบซ่อนไว้จนต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นเป็นเท่าตัว
    
       “เจ้าเป็นใคร”
    
        ทันทีที่ก้าวเข้าไปหน้าพรรคเวรยามที่เฝ้าประตูก็ยกกระบี่ออกมาขวางพร้อมเอ่ยถามเสียงแข็ง และเพียงพริบตาเวรยามทั้งสองก็เบิกตากว้างมองดาบที่เสียบทะลุหัวใจอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของลู่เฟยและหย่งเจิ้นก่อนจะล้มลงสิ้นใจโดยไม่มีโอกาสร้องขอชีวิต ทั้งคู่พังประตูเข้าไปอย่างไม่หวาดกลัว
    
        จิวชงหยวนเดินตามหลังไปอย่างไม่รีบร้อน เสียงโครมครามที่พวกเขาสร้างขึ้นทำให้ลูกศิษย์ในพรรคต่างทะยานถือกระบี่เข้ามาโอบล้อมไว้ ตามมาด้วยชายหนุ่มร่างโปร่งบางใบหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งเขาไม่รู้จักมาก่อน ลู่เฟยกับหย่งเจิ้นประกบข้างเขาอย่างระวังภัย
    
       “มิคิดว่าหมอเทวะมารจิวชงหยวนจะให้เกียรติมาเยี่ยมพรรคหมื่นพิษด้วยตนเองเช่นนี้ หากข้าไม่ออกมาต้อนรับด้วยตนเองคงไม่ดีนัก”
    
        คำทักทายของชายหนุ่มร่างโปร่งบางในอาภรณ์ขาวดูสง่างามตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มิคิดว่าจะได้ฉายาใหม่มาเร็วเช่นนี้ ดวงตาเรียวมองชายหนุ่มตรงหน้าที่รุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาอย่างพิจารณา แม้อายุยังน้อยแต่พลังภายในกล้าแกร่งทำให้ไม่อาจประมาทได้
    
      “เจ้าคือ?” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่ได้สนใจสายตาเรียวที่มองเขาอย่างสำรวจแล้วยกยิ้มบาง    “ข้าหรือ ข้าชื่อเซียวปิงเป็นที่ปรึกษาของพรรคหมื่นพิษและเป็นผู้ปรุงยาให้กับคนในพรรค หน้าที่อันภาคภูมิใจของข้าหวังว่าเจ้าไม่มาทำลายหรอกกระมั้ง”
    
       น้ำเสียงยียวนและรอยยิ้มบางเหมือนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับศัตรูที่ยกพวกมาถึงที่ ขณะที่สนทนาอยู่นั้นศิษย์รุ่นพี่ซึ่งมีวรยุทธสูงล้ำต่างเข้ามาโอบล้อมพวกเขาอย่างเต็มกำลัง จิวชงหยวนไม่ได้หวาดหวั่นเพราะเขาเองก็มีกำลังเสริมคือคนหอกิเลนซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ด้านนอกเช่นกัน
    
      “ปรุงยาพิษได้ แต่กลับปรุงยาแก้มิได้เป็นเจ้าเองสินะ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยเสียงเยอะเย้ย มุมปากยกยิ้มยั่วอารมณ์คนตรงหน้าที่หน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา
    
       “เพราะเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า ข้าถึงอยากเทียบเชิญเจ้ามาให้คำปรึกษาแก่ข้าผู้ด้อยปัญญา” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนที่ระงับอารมณ์ได้เป็นอย่างดี รอยยิ้มบางที่ไม่อาจรู้ว่าแท้จริงคิดอะไรอยู่นั้นบอกได้ว่าคนตรงหน้านี้อันตราย
    
       “ด้วยการส่งนักฆ่าไปสังหารข้าอย่างนั้นหรือ”
    
      “มิได้ มิได้ ตัวข้านั้นรู้มาว่าเจ้ามีวรยุทธสูงส่ง หากไปเชิญธรรมดากลัวว่าจะไม่มา จึงต้องใช้กำลังบ้าง” ชายหนุ่มตรงหน้ายังตอบกลับด้วยรอยยิ้มอย่างไม่สำนึก ทำให้จิวชงหยวนมือกระตุกอยากชักกระบี่ผ่าสมองคนตรงหน้ามาดูว่าข้างในหัวคิดอะไรอยู่กันแน่
    
       “อ่า...ท่านประมุขกลับมาพอดี น่ายินดีอย่างยิ่งที่พวกเจ้าจะได้ลองวิชาใหม่ของท่านประมุขที่สำเร็จวิชาเดือนดับขั้นที่สิบสอง” คำกล่าวของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้หย่งเจิ้นและลู่เฟยเคร่งเครียดขึ้นทันที วิชาเดือนดับเป็นวิชามารที่ในยุทธภพต่างหวาดกลัวเพราะสามารถดูดกลืนลมปราณของศัตรูมาเป็นของตัวเองได้และขั้นที่สิบสองนับว่าไม่ธรรมดา
    
       จิวชงหยวนหรี่สายตามองเส้นแสงสีแดงอมส้มพุ่งลงมาจากเทือกเขาด้านหลังพรรคหมื่นพิษพร้อมการปรากฏร่างชองชายชราเส้นผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะ แววตาลึกลับ น่าเกรงขามดวงตาคมที่มากล้นด้วยประสบการณ์มองมายังพวกเขานิ่งๆ ร่างกายรู้สึกเกร็งขึ้นทันที่ได้มองสบตากับชายชราประมุขพรรคหมื่นพิษตรงหน้า จิตใจร้องเตือนว่าอันตราย!
    
        อันตรายกว่าทุกคนที่รู้จักมา...
    
        และเพียงพริบตาก็มีผู้ปรากฏตัวเพิ่มอีกสองคือชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมคายซึ่งเป็นบุตรชายของประมุขเดินมายืนด้านหลังบิดาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบที่มองมามิได้มีแววตาของคนมีชีวิต วิชาอันใดกันทำให้คนที่มีชีวิตแต่กลับไร้ซึ่งชีวิต งานนี้พวกเขาเจอศึกหนักเสียแล้ว
    
        “คนผู้นี้น่ะหรือที่ทำลายวรยุทธของซือเยว่” น้ำเสียงจริงจังและความกดดันที่แผ่ออกมาทำให้เซียวปิงโค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีแววขี้เล่นอีก
    
        ลู่เฟยสังเกตทุกคนเงียบๆ คาดเดาได้ไม่ยากว่าคนที่เก่งกาจและมีวรยุทธสูงล้ำที่สุดคือประมุขพรรค รองลงมาคือบุตรชายสองคนที่ยืนนิ่งเหมือนคนตาย แววตาไร้ชีวิตน่าจะเกิดจากการที่ฝึกวิชามารกายไร้ใจ ใจไร้ซึ่งวิญญาณ ซึ่งหายสาบสูญไปนานจากยุทธภพ สุดท้ายคนที่ประมาทไม่ได้คือชายร่างโปร่งบางใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ท่าทางจิตไม่ปกตินามว่าเซียวปิง
    
       “ขอรับท่านประมุข วันนี้มีคนมาให้ท่านฝึกซ้อมวิชาถึงที่ ศิษย์คงดีใจหากได้คนผู้นี้มาทำยา” ประกายตาวาววับของเซียวปิงที่ฉายออกมา ทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้ามองเซียวปิงที่ดูภายนอกปกติทว่าจิตใจกลับโรคจิตจนน่ากลัว เขาไม่ได้แปลกใจว่าทำไมคนผู้นี้ถึงสร้างยาพิษร้ายจากทารกน้อยได้
    
       “ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองเด็กน้อยที่ริอาจเป็นศัตรูกับพรรคหมื่นพิษ”
    
       ใบหน้าเหี่ยวย่นมองมาที่จิวชงหยวนอย่างกดดัน โดยไม่สนใจชายหนุ่มสองคนที่ประกบข้างอย่างระวังให้ สองคนนี่ก็นับว่าน่าสนใจทว่าเด็กน้อยผู้ยืนอยู่ตรงกลาง แม้มองดูพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจะเบาบางแต่กลับสัมผัสได้ถึงความหอมหวานที่น่าลิ้มลอง ริมฝีปากเลียออกมามองเหยื่อตรงหน้าอย่างพึงพอใจ
    
        ลู่เฟยกำกระบี่แน่นออกมาขวางหน้าจิวชงหยวนมองสบตากับชายแก่ตรงหน้าอย่างท้าทาย ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางเบาไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยเพราะไม่ว่าเช่นไรเขาจะไม่มีวันตาย จนกว่าหน้าที่จะสำเร็จและเขาจะไม่ให้ใครมาแตะต้องจิวชงหยวนเป็นอันขาด
    
        “ข้าคงเสียใจด้วยท่านประมุขหากเพราะท่านต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
    
       น้ำเสียงและแววตาที่ส่งกลับมาทำให้ประมุขเฒ่าชะงักงัน คราแรกไม่ได้สนใจเพราะร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีเขียวอ่อนน่าสนใจกว่า แต่บัดนี้แรงกดดันที่ออกมาทางสายตาของชายหนุ่มตรงหน้านับว่าไม่ธรรมดา สัญชาตญาณร้องเตือนว่าชายหนุ่มตาดุผู้นี้มีดีกว่าที่เห็น
    
        “ท่านพ่อให้ข้าจัดการ”
    
          ชายหนุ่มทางขวามือเอ่ยออกมาด้วยเสียงเย็นเยือก แววตามองมาที่พวกเขาอย่างหื่นกระหาย มิใช่ความรักใครในหน้าตาจิวชงหยวนแต่กลับชื่นชอบโลหิตสีแดงฉาน หากย้อมลงหิมะสีขาวบนพื้นคงจะงดงามไม่น้อย ในมือปรากฏทวนสามเฉกประกายความคมวับจนน่าหวาดหวั่น แต่ก่อนที่จะได้รับอนุญาติกลับปรากฏแขกที่มิได้รับเชิญเพิ่มอีกสามคน
    
         จิวชงหยวนยกยิ้มบางมองคนที่ออกมาช่วย อย่างน้อยได้รู้ว่าทุกคนที่รู้จักมิได้ทอดทิ้งเขา ประมุขพรรคหมื่นพิษเลิกคิ้วมองผู้มาเยือนซึ่งก้าวเดินมาประกบข้างเขาไว้อย่างปกป้อง ดวงตาคมกริบมองไปยังประมุขและคนอื่นในพรรคนิ่งเฉย ทว่าการกระทำบ่งบอกว่ามาที่นี่เพราะเหตุใด
    
     “ฮ่าๆ ๆ มิคิดว่าหมอเทวะมารจะมีสหายเป็นถึงจ้าวยุทธภพถึงสองคน อีกทั้งประมุขหอกิเลนที่หลบซ่อนตัวยอมเผยตัวออกมานับว่าไม่ธรรมดา หากข้าชนะครานี้คงได้ขึ้นธรรมเนียบยุทธภพ”
    
        “หืม ข้าเพิ่งรู้ว่าประมุขพรรคหมื่นพิษที่คอยแต่หลบหลังผู้อื่นอยากได้ตำแหน่งนี้ด้วย จากสองปีที่ผ่านมาเพียงโดนฝ่ามือเดียวก็ตกเวทีไปแล้ว ครานี้มีอะไรดีอย่างนั้นหรือ” เสวี่ยอู่เอียงคอเอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสาร่างโปร่งบางยืนข้างอวี้เฟิ่งอย่างไม่ได้อาทรร้อนใจกับความกดดันที่ส่งออกมาจากประมุขพรรคหมื่นพิษ
    
        และไม่ต้องให้ใครบอกว่า ทุกฝ่ายก็เริ่มลงมือกันอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนถอยหลังออกมามองภาพเบื้องหน้าอย่างอย่างสนใจ ตอนนี้เขาไม่ได้ลงมือเองเพราะคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจทั้งสี่ภายในพรรคถูกลู่เฟย หย่งเจิ้นและอีกสองสามีภรรยาจับจองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็มีคนของเทพจันทราพร้อมด้วยหอกิเลนออกโลงด้วยตนเอง
    
        “ข้าว่าดูพวกเขาสู้กันสนุกกว่าเราลงมืออีก อาจารย์คิดเห็นเหมือนข้าหรือไม่”
    
         จิวชงหยวนเหลือบตามองอวิ้นเซียนที่ยืนอยู่ข้างเขาเพราะไม่เหลือคู่ต่อสู้ที่คู่ควร ลู่เฟยปะทะกับประมุขพรรคหมื่นพิษ หย่งเจิ้นปะทะกับเซียวปิง ส่วนอวี้เฟิ่งกับเสวี่ยอู่นั้นจับคู่กับบุตรชายของตาเฒ่าที่ฝีมือไม่น้อยหน้าผู้ใด และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเสวี่ยอู่ลงมือกับผู้อื่น พลังภายในที่เอ่อล้นออกมานับว่าเป็นเสือซ่อนเขี้ยวเล็บเลยทีเดียว
    
      “หากเป็นคนที่ข้ารู้จัก ข้าไม่สนุกหรอกเพราะไม่รู้จะพลาดพลั้งมาเมื่อไหร่ เจ้าไม่ออกไปช่วยพวกเขาหน่อยหรือ”
    
        “นี่แค่เริ่มต้นเองขอรับอาจารย์ ยังมีตัวร้ายที่ยังไม่ได้ออกมาเพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้รับมือดีกว่าขอรับ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วหันไปมองอย่างฉงน ก่อนจะหันไปมองการต่อสู้ที่รุนแรงจนต้องดึงพลังภายในมาปกป้องตัวเองอย่างแปลกใจ ยังมีอีกอย่างนั้นหรือ
    
       “ผู้ใดกัน”
   
       “ซือตี้ฝู้ เฒ่าทารกบิดาของประมุขพรรคที่ยืนอยู่บนยอดเขานู่นขอรับ”
    
        จิวชงหยวนหันไปมองตามสายตาอวิ้นเซียน ห่างออกไปไกลกว่าหนึ่งลี้มีคนผู้หนึ่งยืนมองอยู่หากไม่จับสังเกตจริงๆ ก็คงมิเห็นอีกทั้งไม่ได้แผ่ไอสังหารออกมา เขาเหลือบมองลูกศิษย์ที่สามารถจับสัมผัสอันน้อยนิดได้อย่างแปลกใจ ความจริงแล้วเขาเองก็เห็นเพียงแต่มิคิดว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพรรคหมื่นพิษเท่านั้น
    
      “เจ้าเก่งขึ้น” จิวชงหยวนกล่าวชมอย่างจริงใจ
    
      “นั่นเป็นเพราะอาจารย์สั่งสอน อีกทั้งยาดีทำให้สัมผัสข้าเฉียบคมยิ่งกว่าเดิม ต้องขอบพระคุณอาจารย์มากขอรับ” อวิ้นเซียนน้อมรับและยกมือขอบคุณอาจารย์ด้วยรอยยิ้มบางโดยไม่สนใจแรงกดดันจากรอบกาย
   
         ตูม ตูม!
    
         จิวชงหยวนพลิ้วกายหลบพลังสายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างจงใจอย่างคล่องแคล่ว ปลายเท้าเหยียบอยู่บนหลังคาตำหนัก ดวงตาเรียวหันไปมองผู้ที่ลอบกัด เซียวปิงแม้จะติดพันการต่อสู้กับหย่งเจิ้นแต่ยังมีเวลามาโจมตีเขา นั่นทำให้หย่งเจิ้นยกยิ้มร้ายจนน่าหวาดหวั่นพลังลมปราณเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงดุดันจนเซียวปิงไม่มีเวลาไปทำร้ายใครได้อีก
   
        “ข้าจะไปช่วยลู่เฟย” จิวชงหยวนหันไปบอกอวิ้นเซียน เมื่อเห็นว่าคนที่รับมือยากที่สุดคือประมุขพรรค ส่วนเฒ่าทารกที่กล่าวถึงค่อยว่ากันอีกที กอปรกับอวิ้นเซียนก็ยังคอยดูสถานการณ์รอบกายน่าจะรับมือได้ทัน
    
       ลู่เฟยกระชับกระบี่ในมือที่เริ่มแตกร้าวจากกระบี่มารของประมุขพรรคหมื่นพิษ กระบี่เขาจะเสียหายจากกระบี่มารมาสองครั้งแล้ว เพียงไม่นานกระบี่เหล็กเนื้อดีของในวังก็พังทลายลงจนต้องสร้างกระบี่จากลมปราณออกมาต้านรับ
   
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
       “หึ เจ้าเองก็สร้างกระบี่บินได้แล้วอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ ๆ น่าสนใจ น่าสนใจ” เสียงหัวเราชอบใจของประมุขพรรคหมื่นพิษดังก้อง ลู่เฟยเพียงแค่มองนิ่งๆ ไม่ตอบแต่กระบี่ที่สร้างขึ้นตอบโต้กลับอย่างรุนแรงแทน   เปรี๊ยะ!
    
        ตูม!!
    
        การปะทะจากพลังที่ต่างขั่วทำให้เกิดระเบิดออกอย่างรุนแรง ทั้งคู่ถูกพลังผลักออกมานอกวง ประมุขซือฟานจิ้งเบิกตากว้าง เหมือนไม่เชื่อสายตาก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างชอบใจเพราะหากตนดูดลมปราณของชายหนุ่มตรงหน้าได้จะทำให้มันเก่งกาจจนในยุทธภพไม่มีใครต้านทานได้อีก
    
         ก่อนจะพุ่งเข้าหากันอีกครั้งอย่างรุนแรงเชี่ยวกรากยิ่งกว่าเดิม รัศมีการทำลายล้างของทั้งคู่สร้างความเสียหายให้ตำหนักหมื่นพิษไปกว่าครึ่ง   
    
         เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!
    
        ลู่เฟยปะทะกับคนตรงหน้าไปถึงหกสิบกระบวนท่า แต่ยิ่งนานไปพลังตัวเองเหมือนจะเริ่มลดลงเพราะต้องแบ่งพลังออกมาสองส่วน หนึ่งสร้างกระบี่สองต้านรับกระบี่มารที่พุ่งโจมตีมา และเหมือนวิชาเดือนดับจะเป็นอริกับพลังเขาอย่างสิ้นเชิง
    
        เปรี๊ยะ!!
    
        เพล้ง!!
    
       กระบี่ไร้ลักษณ์ที่สร้างขึ้นถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าเขาก็สามารถเลือกเลือดชั่วๆ ของตาแก่ตรงหน้าได้เช่นกัน
    
       เคร้ง!
    
          ลู่เฟยหันไปมองผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยตาดุดันก่อนจะอ่อนแสงลงเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้
    
          “ชงหยวนข้ายืมขลุ่ยเจ้าหน่อย” คำกล่าวขอของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ แต่การโรมรันของตาเฒ่าไม่เปิดโอกาสให้เขาหยิบขลุ่ยหยกออกมาได้จึงใช้พลังเทพผลักร่างของประมุขพรรคจนกระเด็นออกห่างไปไกล เมื่อมีโอกาสจึงล้วงอกเสื้อหยิบสิ่งของที่ลู่เฟยต้องการโดยไม่ได้ถามอะไร
    
        ลู่เฟยรับขลุ่ยมาถือก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงคีตะสังหารโลกันต์ตามความทรงจำในอดีตทันที จิวชงหยวนหยุดชะงักหันไปมองพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากลู่เฟยอย่างแปลกใจ เพลงที่บรรเลงฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย และคงเป็นจริงดังที่กล่าว เพราะซือฟานจิ้งชะงักงันกรีดร้องออกมาคล้ายโดนเฉือดเชือนร่างโค้งงอเหมือนจะล้มลงแต่ก็พยายามต่อต้านจนยืนได้คงที่เหมือนเดิม ก่อนจะเงยหน้ามามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ
    
       จิวชงหยวนกระชับกระบี่โชคชะตาในมือก่อนจะพุ่งเข้าหาประมุขพรรคอย่างรวดเร็ว พลังมืดมนที่แผ่ออกมาก็กดดันเขาเช่นกัน ลู่เฟยทำหน้าที่บรรเลงเพลงที่ร้อนระอุมากขึ้นซึ่งทำให้ตาเฒ่าชะงักงันไปหลายครั้งและเปิดโอกาสให้เขาโจมตีได้ง่ายมากขึ้น
    
     เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
       ฉัวะ!!
    
        ตูม ตูม!
    
       

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
 ต่อจากตอนหมอเทวะมารเนื่องจากระบบบอกว่าเกิน 20000 คำจึงมาลงต่อจ้า



         จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก คมกระบี่ที่ฟาดฟันร่างของซือฟานจิ้งกลับถูกสายพลังมืดมิดโรมเลียหายไปอย่างรวดเร็วและเหมือนจะมีพลังมากขึ้น ไอพลังแผ่ออกไปปกคลุมทั่วทั้งพรรคจนน่าหวาดกลัว โลหิตที่อาบย้อมตามพื้นหิมะถูกดูดขึ้นมารวมตัวกัน อีกทั้งคนที่ควรตายกลับลุกขึ้นถือดาบต่อสู้ต่อเหมือนผีดิบ
    
        “นั่นมันตัวอะไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามลู่เฟยที่หรี่ตามองโลหิตที่กลายร่างคล้ายกับคน ทว่ามันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามโลหิตที่อาบย้อมเหมือนกับว่ายิ่งมีโลหิตมากเท่าไหร่มันยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น
    
        “ฮ่าๆ ๆ ๆ”
    
      เสียงหัวเราะกังวานของประมุขทำให้รู้สึกสยองมากขึ้น อวิ้นเซียนบัดนี้มารวมตัวกับพวกเขามองภาพเบื้องหน้าอย่างอย่างระวัง ทุกคนที่ตายฟื้นขึ้นมาเดินได้อีกครั้งและมันทำให้คนของพรรคเทพจันทราและหอกิเลนหวาดกลัวเพราะเหมือนจะฆ่าไม่ได้
    
       “เดือนดับโลหิตมาร” อวิ้นเซียนตอบคำถามให้จิวชงหยวนที่นิ่วหน้ามองภาพตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด
    
      “ไม่น่าเชื่อว่ามีผู้สำเร็จวิชาชั่วช้านี้ได้” เสวี่ยอู่ที่เพิ่งจัดการกับบุตรชายคนรองของประมุขสำเร็จกลับมารวมตัวกับพวกเขา จะว่าสำเร็จก็คงไม่เชิงเพราะพวกมันได้ฟื้นลุกขึ้นยืนเดินได้เช่นเคย
    
        “แล้วเอาไงต่อ” อวิ้นเซียนเอ่ยถาม ทว่ารอยยิ้มที่มองภาพตรงหน้านี้ทำให้จิวชงหยวนมองอย่างเปลกใจ เรื่องหนักหนาสาหัสขนาดนี้ยังมีหน้ามายิ้มอีก
    
       “อย่างมากก็แค่ตาย จะกลัวอะไร” ลู่เฟยตอบกลับนิ่งๆ ยักไหล่มองภาพตรงหน้าอย่างไม่หวาดกลัวคล้ายกับเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ช่วยคิดมากหน่อยเถอะว่าตอนนี้ตนยังเป็นมนุษย์ จิวชงหยวนคิดแล้วส่ายหน้ามองแต่ละคนอย่างอ่อนใจ
    
      “นั่นสิ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเราหมดนี่จะสังหารตาเฒ่านั่นไม่ได้” เสวี่ยอู่บอกทุกคนซึ่งพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ยกเว้นอวี้เฟิ่งที่หน้านิ่งได้ตลอด แต่ก็เหลือบมองคนพูดเล็กน้อย
    
       “หวังว่าเจ้าไม่ตายคนแรกหรอกนะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบของอวี้เฟิ่งที่กล่าวกับเสวี่ยอู่ทำให้เจ้าตัวหันไปฉีกยิ้มให้
    
          “แหม เมียจ๋าข้าไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก” จิวชงหยวนกรอกตามองคนที่หวานไม่เลือกเวลา บรรยากาศชั่วร้ายที่แผ่ออกมาไม่ได้ทำให้พวกนี้สำนึกสักนิดว่ากำลังอยู่ในสนามรบที่พลาดพลั้งเพียงนิดก็ไปปรโลกแล้ว
    
        “อวิ้นเซียนเจ้ากับหย่งเจิ้นรับมือกับโลหิตมาร ส่วนเจ้าสองคนรับมือกับพวกผีดิบข้างล่าง ข้ากับลู่เฟยจะจัดการกับซือฟานจิ้ง”  จิวชงหยวนหันไปบอกทุกคน เพราะหากเขาสังหารประมุขเฒ่าได้ โลหิตมารก็จะหายไปอีกทั้งคนตายจะไม่ฟื้นขึ้นมา
    
       “ระวังตัวด้วย” หย่งเจิ้นหันมาบอกจิวชงหยวนก่อนจะทะยานพุ่งเข้าหาโลหิตมารที่ยกมือขนาดใหญ่ ตบลงมาอย่างรวดเร็วไม่สมกับขนาดตัวแม้แต่น้อย
    
         บรรยากาศรอบกายกดดันขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง จิวชงหยวนพุ่งทะยานไปหาประมุขเฒ่าที่ยืนนิ่งมองผลงานตรงหน้าอย่างพึงพอใจ มือขวากระชับกระบี่ในมือแน่นก่อนจะเหลือบตามองคนข้างกายที่เปลี่ยนขลุ่ยในมือเป็นกระบี่คมกริบสีเดียวกับของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าขลุ่ยหยกสามารถเปลี่ยนเป็นกระบี่ได้ ทั้งคู่มองสบตากันก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาซือฟานจิ้งด้วยความเร็ว
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
      กระบี่เทพทั้งสองปะทะเข้ากับกระบี่มารอย่างพร้อมเพรียงกัน จังหวะรุกและรับต่างประสานกันได้อย่างดีเยี่ยมเพราะไม่เปิดช่องโหว่ให้ประมุขซือฟานจิ้งได้ลงมือ ทำแต่แค่ปัดป้องไปมาเท่านั้น
    
       ฉัวะ!!
    
       ด้วยความเร็วที่เหนือชั้นอีกทั้งการประสานกระบี่ที่ลงเอ่ยเหมือนรู้ใจสร้างบาดแผลให้กับประมุขเฒ่าเป็นอย่างมาก โลหิตอาบย้อมกายปะปนไปกับหิมะที่โปรยปรายลง ใบหน้าเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลานิ่วหน้ากังวลวิตกเพราะพลังที่เหมือนเป็นอริกับของตน ทว่าขณะเดียวกันกลับรู้สึกหอมกระหายดูดกลืนลมปราณของทั้งคู่มาเป็นของตัวเอง
    
        พลังสีแดงฉานที่แผ่ออกมาจากร่างของซือฟานจิ้งพร้อมความรู้สึกขยะแขยงทำให้จิวชงหยวนและลู่เฟยกระโดยถอยห่างออกมามองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างวิตก
    
       “ระวังด้วย ตาแก่นั่นพยายามจะดูดกลืนลมปราณของเรา” ลู่เฟยเอ่ยเตือนคนรัก คิ้วขมวดเป็นปมพยายามมองหาจุดอ่อนภายในร่างของประมุขหมื่นพิษที่หันไปใช้วิชามาร
    
        เปรี๊ยะ!!
    
        ตูม!!
    
      การปะทะกันจากทางด้านอื่นดังมาให้ได้ยินเป็นระยะทำให้รู้ว่าต่างก็รับศึกหนักไม่แพ้กัน จิวชงหยวนเม้มปากอย่างคิดหนักพยายามหาวิธีมาจัดการตาแก่ที่ไม่รู้ว่าจะมีลูกเล่นอะไรออกมาอีก ก่อนจะหลับตาดึงพลังเทพออกมาใช้อีกครั้ง
    
         ลู่เฟยหันไปมองอย่างเป็นห่วงแต่เวลานี้มีแต่พลังเทพเท่านั้นที่พอจะช่วยได้และสามารถชนะได้ง่ายขึ้น เขาเองเวลานี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจึงมีขีดจำกัดของร่างกาย
    
      “รับจัดการให้จบ ข้าไม่อยากให้เจ้าใช้มันมาก”
    
       จิวชงหยวนหันไปมองคนสั่งอย่างเข้าใจเพราะสิ่งที่แลกมานั้นมีราคาค่างวดเท่าเทียมกัน เพราะร่างกายยังเป็นมนุษย์เมื่อฝืนใช้ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา ร่างโปร่งบางทอแสงสว่างเจิดจ้ากินพื้นที่รัศมีรอบกายขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้หวาดกลัวถอยห่างออกไป
    
       ลู่เฟยก็ไม่น้อยหน้าเปลี่ยนกระบี่ในมือกลับมาเป็นขลุ่ยเช่นเดิมพร้อมเริ่มบรรเลงเพลงเงามรณะช่วยจิวชงหยวนอีกแรง เสียงเพลงขลุ่ยรุนแรง ดุดันและเชี่ยวกรากทำให้ซือฟานจิ้งชะงักงันอีกครั้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดพลังภายในเหมือนถูกรุกราน
    
       จิวชงหยวนจึงผนึกพลังลงในกระบี่โชคชะตาพุ่งเข้าหาศัตรูตรงหน้าอย่างรวดเร็ว กระบี่เชือดเฉือนตามร่างอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉานอย่างน่ากลัว ทว่าเขาต้องนิ่งหน้าเคร่งเครียดเมื่อโลหิตที่ควรหยดลงพื้นมันกำลังไปเสริมให้กับโลหิตมารซึ่งอวิ้นเซียนกับหย่งเจิ้นรับมืออยู่ จนทำให้ไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นนายเป็นทาสกันแน่
    
      ฉัวะ!!
    
       กระบี่โชคชะตาตวัดฟันฉับเข้าที่ลำคอของอีกฝ่าย ทว่ายังหลบได้ทันทำให้แขนขวาของประมุขพรรคหมื่นพิษขาดกระเด็นตกไปไกล
    
       อ๊ากกกก
    
       ซือฟานจิ้งกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด อย่างน่าเวทนาดวงตาแดงฉานพยายามต่อต้านโรมรันอย่างไม่ห่วงบาดแผลตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าบทเพลงที่โหมกระหน่ำรุนแรงจากผู้บรรเลงทำให้ลมปราณเริ่มแตกซ่าน ภาพที่เห็นควรเป็นหนึ่งกลับมีเพิ่มนับสิบร่ายล้อมตนอยู่จนต้องสะบัดกระบี่ไปมาอย่าสะเปะสะปะมิอาจหาตัวจริงได้
    
       เมื่อเห็นเช่นนั้นจิวชงหยวนจึงรวบรวมพลังทำลายวรยุทธอีกฝ่ายอย่างไร้ความปราณี พลังเทพสีขาวเจิดจ้าพุ่งเข้าหาร่างของซือฟานจิ้งด้วยความเร็ว
    
        อ๊ากกก
    
        พลังลมปราณถูกทำลายด้วยพลังที่ไม่รู้จักทำให้ต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาณ พลังที่ฝึกมาตลอดทั้งชีวิตยอมแลกวิญญาณเพื่อความเป็นใหญ่แต่กลับถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย พลังมารที่ปลุกคนตายให้มีชีวิตจึงถูกทำลายขาดสะบั่นไปด้วย ร่างที่เคยโดนปลิดวิญญาณไปแล้วก็ร่วงหล่นและล้มลงไม่อาจลุกขึ้นมาเดินได้อีก
    
        ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เป็นไปตามที่คิดไว้โลหิตมารที่ควรสลายหายไปตามเจ้าของพลัง กลับยังอยู่และโจมตีอวิ้นเซียนและหย่งเจิ้นได้รุนแรงมากขึ้น ใบหน้างดงามเหงื่อผุดเต็มใบหน้าเพราะใช้พลังไปมาก หากจบงานนี้ชีวิตเขาคงเหลือไม่ถึงร้อยปีแน่ๆ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2015 11:36:12 โดย lingfang »

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่44 ชื่อเสีย(ง)ขจรไกล
เล่ม 2 ตอนที่19 (P.19วันที่ 13/11/58)

       ดวงตาเรียวหันไปมองประมุขพรรคหมื่นพิษที่เคยดูน่ายำเกรง ทว่าเวลานี้กลับหมดสภาพไม่หลงเหลือความน่ากลัวอีกต่อไป แต่ใช่ว่าเขาจะปล่อยให้มีชีวิตเพราะหลังจากปล่อยซือเยว่บุตรสาวมาทุกอย่างก็เลวร้ายลงมาเรื่อยๆ ต่อไปนี้เขาจะไม่ใจอ่อนกับคนชั่วอีกแล้ว
    
       ฉัวะ!!
    
       จิวชงหยวนนิ่วหน้ามองคนที่เข้ามารับกระบี่ปกป้องซือฟานจิ้งด้วยชีวิตตนเองด้วยสายตาว่างเปล่า เพราะเขาเคยให้โอกาสมีชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง หากจะตายด้วยน้ำมือเขาก็ไม่ได้แปลกใจสิ่งใด ดวงตาเกรี้ยวกราดที่มองมาพร้อมกระอักโลหิตออกมาคำโต
    
       “แม้ชาตินี้ข้าจะแก้แค้นไม่ได้ แต่ชาติหน้า...”
    
      ฉัวะ!!
    
       “ซือเยว่!” ประมุขหมื่นพิษกรีดร้องเรียกบุตรสาวคนเล็กที่ทั้งรักทั้งหวงด้วยความคลุ้มคลั่ง แต่มิอาจดิ้นหลุดจากเชือกที่มองไม่เห็นด้วยบทเพลงร้อนแรงของชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำได้ น้ำตาไหลออกมาอย่างปวดร้าวทุกอย่างพังพินาศไปกับตา
    
       จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยที่ตวัดกระบี่แทงทะลุกลางอกแม่นางซือเยว่อีกครั้งอย่างไร้ความปราณี ใบหน้าคมคายดุดันขึ้นจนน่ากลัว
    
       “เจ้าน่าจะให้นางพูดให้จบก่อนนะ”
    
        “ฮึ ข้าจะไม่ให้ใครมาอาฆาตเจ้าหรอกเพราะอย่างไรข้าจะปกป้องเจ้าด้วยมือข้าเอง” ลู่เฟยบอกเสียงจริงจังพร้อมตวัดฟันฉับเข้ากลางอกซือฟานจิ้งที่ถูกพันธนาการด้วยวิชาคีตะโลกันต์เพลงขลุ่ยซึ่งเป็นที่หวั่นกลัวแม้แต่สวรรค์ยังต้องยอมจำนนเพียงแค่นี่เป็นพลังลมปราณของมนุษย์เท่านั้น
    
       ร่างของทั้งคู่ล้มลงสิ้นลมทว่ามันยังไม่จบ เมื่อโลหิตมารไม่ได้หายไปด้วย จิวชงหยวนกับลู่เฟยจึงพุ่งเข้าไปช่วยเหลืออีกแรง ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวโจมตีมารโลหิตหลังจากจัดการทางอื่นเรียบร้อยแล้ว พลังลมปราณมากกว่าห้าสายพุ่งโจมตีใส่โลหิตมารอย่างรุนแรง  ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นอะไรแม้แต่น้อย ผิดปกติมากเกินไป
    
        จิวชงหยวนถอยหลบออกมามองคนอื่นพุ่งเข้าโจมตีฟาดฟันใส่ร่างโลหิตมารที่ระเหยตัวเป็นน้ำทำให้กระบี่ที่ฟาดฟันลงไปไม่เกิดผล ใบหน้างดงามนิ่วหน้าน้อยๆ มองภาพที่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด คล้ายกับนี่เป็นแค่ร่างแปลงที่คล้ายกับภาพลวงตาเท่านั้น
    
      “ชงหยวนเจ้าต้องหาคนที่ควบคุมโลหิตมาร มิเช่นนั้นมันจะไม่ตาย” ลู่เฟยหันมาบอกขณะรับมือกับโลหิตมารตรงหน้า
    
       “อาจารย์น่าจะเป็นฝีมือเฒ่าทารก” อวิ้นเซียนร้องบอกอีกคนก่อนจะตวัดพลังลมปราณบริสุทธิ์พุ่งเข้าหาร่างนั้นอีกครั้ง จนตัวขาดครึ่งแต่กลับมารวมตัวกันได้อีก
    
        จิวชงหยวนเหลือบตาไปมองยังจุดหนึ่งบนเทือกเขาที่เคยมีชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่แต่บัดนี้กลับไร้วี่แวว คล้ายกับมายืนชมความสำราญเพียงเท่านั้น ทั้งๆ ที่แห่งนี้มีแต่ลูกหลานตัวเองแต่กลับไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแปลกเกินไปแล้ว ขณะนั้นกลับสัมผัสพลังบางอย่างที่อยู่บนบอดเขาหลังตำหนักหมื่นพิษที่ลักษณะคล้ายคลึงกับโลหิตมาร
    
      “ลู่เฟย” เอ่ยเรียกลู่เฟยเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงจะมาปรากฏตัวตรงหน้าหันไปมองตามสายตาที่เขามองไป
    
       “น่าจะใช่” ไม่ต้องอธิบายอะไรมากแต่กลับเข้าใจ จากนั้นทั้งคู่จึงพุ่งทะยานเข้าไปยังพลังบางอย่างทีสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงกลับเป็นปากทางเข้าถ้ำขณะนั้นกลับได้ยินเสียงหยดน้ำกระทบพื้นหินดังก้องทั่วถ้ำ
    
      ติ้ง!
    
       เมื่อเดินเข้ามาถึงด่านในถ้ำกลับมองเห็นม่านพลังงานบางอย่าง จิวชงหยวนนิ่วหน้าอย่างแปลกใจเมื่อเห็นร่างของผิงเอ๋อร์ถูกตรึงไว้ลอยอยู่ในม่านแห่งนั้น เบื้องล่างเป็นแท่นบูชามีเด็กน้อยซึ่งเขารู้จักซึ่งเป็นบุตรของนางเองนอนอาบโลหิตไหลลงบนสัญญาลักษณ์บางอย่าง
    
       “ท่านผู้มีพระคุณ” นางลืมตาขึ้นมามองพวกเขาแล้วกระซิบเสียงแผ่ว ขณะเดียวกันดวงตาก็เริ่มแดงฉานคล้ายกับต่อต้านกันไปมา
    
     “โปรดสังหารข้าและฝากลูกชายข้าด้วย”
    
       “จะไม่มีใครสังหารข้าได้ พวกเจ้าต้องตาย!” สองเสียงที่ออกมาในร่างเดียวกันทำให้พวกเขากระชับกระบี่ในมือแน่นยิ่งขึ้น
    
     “บุตรนางถูกนำมาบูชาเช่นไหว้โลหิตมารและร่างนางกำลังถูกปีศาจครอบงำ” ลู่เฟยบอกด้วยเสียงเคร่งเครียด จิวชงหยวนเหลือบตามองเด็กน้อยที่ลมหายใจรวยริน
    
       “เจ้าจัดการนางข้าจะไปช่วยเด็กนั่น” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยเพราะหากชักช้ากลัวว่าจะไม่ทันการซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายพร้อมผนึกพลังลงไปมากกว่าแปดส่วนพุ่งเข้าตวัดร่างที่ถูกตรึงเอาไว้ด้วยความเร็ว
    
      เปรี๊ยะ!
    
       ตูม!!
    
       ม่านพลังที่กั้นไว้แตกกระจายออกไปร่างของผิงเอ๋อร์ร่วงลงมา ลู่เฟยรีบตวัดกระบี่เข้าหาอย่างรวดเร็วพร้อมพลังลมปราณสิบส่วน
    
        ฟิ้วววว~
    
      ทว่านางกลับพลิกกายหลบด้วยความเร็ว ใบหน้างดงามเริ่มมีเส้นเลือดขึ้นตามใบหน้าจนปูดโปนขึ้นมาทำให้รู้ว่าจิตวิญญาณที่นางพยาต่อต้านนั้นอ่อนแรงลงและกำลังถูกกลืนกิน ที่นางยื้อได้นานมากขนาดนี้อาจเป็นเพราะเบื้องล่างเป็นบุตรของนางเอง
    
       เปรี๊ยะ!
    
       ตูม!!
    
       ลู่เฟยกระเด็นไปตกใส่ผนังถ้ำอย่างรุนแรงตามแรงกระชาก ใบหน้าที่ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดแสยะยิ้มออกมาตามด้วยเสียงหัวเราะที่ชวนให้จิตตก
    
        จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยอย่างเป็นห่วง ก่อนจะรั้งร่างเด็กน้อยขึ้นมาพร้อมหยิบยาแมวเก้าชีวิตให้กิน ที่เขารักษาเด็กน้อยผู้นี้เพราะเห็นว่าเป็นจิตใจอย่างใสบริสุทธิ์เพียงแค่ตกเป็นเหยื่อของคนชั่วเท่านั้น จากนั้นจึงพาไปวางไว้ที่ปลอดภัยก่อนจะเข้าไปช่วยลู่เฟยอีกแรง
    
      เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
       ฉัวะ!
    
       กระบี่โชคชะตาตวัดเข้าหาร่างของผิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็วดุดัน ประสานกระบี่กับลู่เฟยอีกครั้ง กระบี่รวดเร็วดุดันที่เชี่ยวกรากพุ่งเข้าหาร่างนั้นอย่างต่อเนื่อง ความรุนแรงโหมกระหน่ำเข้ามาไม่หยุดทำให้ร่างกายที่ควรเป็นมนุษย์กลับดูสยดสยองมากยิ่งขึ้น ดวงตาปูดโปนมองมาที่พวกเขาอย่างโกรธแค้น แต่เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้อีกแล้ว พลังเทพถูกเรียกออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง
    
       กรี๊ดดดด
    
       เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแขนซ้ายขวาถูกตัดจนขาด กระบี่สองเล่มคู่ปักคาอกพร้อมเพรียงกัน นางพยายามตะเกียกตะข่ายดิ้นหนีแต่ไม่มีโอกาสนั้นสำหรับนางอีกแล้ว
    
       ฉัวะ!!
    
        ลำคอของนางขาดกระเด็นด้วยฝีมือของลู่เฟย จิวชงหยวนเบือนหน้าหนีแต่เพื่อความแน่ใจว่าโลหิตมารตัวจริงไม่หลบหนีไปไหนอีกจึงผนึกพลังสีขาวเจิดจ้าส่องประกายอาบย้อมไปทั่วถ้ำ
    
         กรี๊ดดดดด
    
       และเป็นอย่างที่คิดเสียอีก มันพยายามหลบหนีด้วยร่างที่เป็นหยดเลือดเพียงหยดเดียว ลู่เฟยพุ่งเข้าไปซ้ำเติมอีกครั้งก่อนจะจับใส่ขวดแก้วผนึกผลังปิดไว้เพื่อความแน่ใจ จิวชงหยวนมองแล้วลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาเสียเวลาไปกับลูกกระจ๊อกที่ถูกควบคุมอยู่ที่นี่ อีกทั้งฝีมือยังอ่อนด้อยกว่า ไม่สิ ไม่เรียกว่าอ่อนด้อยเพียงแค่เขาใช้พลังเทพออกมาช่วยมากเกินไปต่างหาก
    
       “หวังว่ามันจะจบนะ” จิวชงหยวนเอ่ยออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ใบหน้ามีเหงื่อผุดขึ้นด้วยอย่างอ่อนล้า แม้จะเพียงชั่วครู่ที่ใช้พลังไปแต่มันก็มากจนกินอายุไปเป็นร้อยปี เห็นทีคราวนี้เขาจะอายุสั้นเป็นมนุษย์ธรรมดาจริงๆ แล้วล่ะ
    
       “อื้ม มันจบแล้ว” ลู่เฟยตอบรับเดินเข้ามาลูบผมอย่างปลอบโยน จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อย แม้ตอนนี้จะรู้สึกหน้ามืดแต่เขาต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน แต่ทำไมเขารู้สึกถึงดวงตาหนักอึ้ง หันไปมองคนร่างสูงที่ประคองกอดเขาไว้แล้วกระซิบบอกอย่างแผ่วเบาเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมความรู้สึกโลกมืดมิดลง...
    
       “นอนพักก่อนเถอะ ถึงเวลาเจ้าจะตื่นขึ้นอีกครั้ง”

       
         หลังจากจัดการร่างต้นของโลหิตมารได้แล้ว ร่างอื่นๆ จึงถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย ทุกคนในพรรคหมื่นพิษล้วนตายตกจนหมดสิ้น อาจจะมีหนีเล็ดรอดไปได้แต่ก็เป็นเพียงลูกศิษย์ชั้นปลายแถวที่ไว้ใช้งานเสียมากกว่า และการพังพินาศของสามพรรคในเวลาไล่เลี่ยกันทำให้ชื่อเสียงของจิวชงหยวนพร้อมด้วยชื่อพรรคเทพจันทรา ธารตะวันและหอกิเลนโด่งดังไปทั่วยุทธภพ หากใครคิดมีเรื่องเป็นอันต้องหวั่นเกรง แม้จะมีบ้างที่อ้างตนเป็นหมอเทวะมาร สมญานามใหม่ของจิวชงหยวนที่ถูกเลื่องชื่อไปไกล ทั้งเป็นที่ยำเกรงและนับถือ
    
          ทว่าขณะนี้เจ้าตัวกลับนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ภายในห้องเย็นในหอกิเลน ร่างกายภายนอกและภายในมิได้เป็นอะไร แต่จิตวิญญาณกลับบอบซ้ำอาจต้องใช้เวลาในการพักฟื้น และไม่รู้ว่านานแค่ไหนเพราะเจ้าตัวใช้พลังไปมาก
    
        “อาจารย์ลู่ไปทานข้าวบ้างเถอะขอรับ เกิดอาจารย์จิวชงหยวนตื่นขึ้นมาเห็นท่านทรุดโทรมคงได้โมโหหรอกขอรับ”
    
         ลู่เฟยหันไปมองอวิ้นเซียนที่เขาหมั่นไส้ ใบหน้ายิ้มละไมที่ถอดแบบความเสแสร้งของเขามา และที่ได้มาเป็นอาจารย์เพราะประลองดาบกันอย่างดุเดือน ผ่านไปร้อยกระบวนท่าก็เหมือนจะไม่มีผล สุดท้ายก็เหมือนกับแลกวิชากระบี่เท่านั้น  แต่อวิ้นเซียนเรียกเขาว่าอาจารย์อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนรักของจิวชงหยวนก็เป็นได้     

         “ข้ายังไม่หิวเจ้าไปเถอะ” ตอบกลับเสียเรียบหันมามองคนรักที่นอนนิ่งๆ มือลูบศีรษะจิวชงหยวนอย่างแผ่วเบาก่อนจะเลื่อนลงมาที่ตา จมูก ปาก
    
   
        อวิ้นเซียนมองตามแล้วถอนหายใจยาว เพราะลู่เฟยนั่งเฝ้าอาจารย์อยู่อย่างนี้มาเจ็ดวันแล้ว และที่เขาเรียกอาจารย์เพราะรู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นถึงแม่ทัพสวรรค์ซึ่งลงมาทำหน้าที่ตามคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ ฝีมือกระบี่ก็เป็นที่ประจักแก่เขา หากกลับไปเป็นเทพแล้วไซร้ฝีมือต้องร้ายกาจจนน่ากลัวแน่ๆ อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นสามีอาจารย์อีกไยเขาจะกล้าเสียมารยาท เมื่อคนตรงหน้าไม่สนใจตนจึงยอมเดินจากไปเงียบๆ
    
         “เมื่อไหร่เจ้าจะตื่นมานะจิวชงหยวน รู้ไหมข้าคิดถึงเจ้า ห่วงเจ้าแค่ไหน หากเมื่อไรที่เจ้าตื่นขึ้นมาข้าจะทบต้นทบดอกกับสิ่งที่เจ้าเบี้ยวข้าไปแน่ๆ”
    
        ลู่เฟยกล่าวหยอกเย้าคนรักที่นอนนิ่งเป็นผักปลาแต่เขารู้ว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาเพราะอย่างไรร่างนี้ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ทว่าดวงตากลับเศร้าหมองที่มิอาจปกป้องคนรักได้หากเขาเป็นเทพในเวลานั้นทุกอย่างคงไม่ลงเอ่ยเช่นนี้
    


         


    :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2015 11:35:46 โดย lingfang »

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0

ต่อจากเมื่อครู่นะคะ ระบบบอกว่าเกิน20000คำจ้า



          จิวชงหยวนมองดูรอบกายด้วยน้ำตาไหลริน ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเห็นภาพอย่างนี้อีกครั้ง ประเทศไทยยุค2015 ซึ่งจากไปนานกว่าสามปี เขากวาดสายตามองดูงานเลี้ยงในบ้านของนพดลเพื่อนรักที่จากไปโดยไม่ได้มีคำร่ำลา ผู้คนแต่งกายงดงามทว่ากลับเดินผ่านเขาไปเหมือนไร้ตัวตน แม้จะไม่มีใครมองเห็นเขาแต่การได้กลับมาที่นี่อีกครั้งทำให้ตื่นตันใจจนพูดไม่ออก
     

         ดวงตาเรียวกวาดมองรอบบ้านก่อนจะเดินเข้าไปทางสระน้ำที่มีเวทีขนาดกลางตั้งอยู่ บนเวทีตกแต่งอย่างสวยงาม เขายิ้มออกมาบางเมื่อเห็นเพื่อนรักสวมชุดเจ้าบ่าว นพดลกำลังแต่งงาน แต่ที่ทำให้อึ้งคาดไม่ถึงคือคนที่ยืนข้างกายในฐานะเจ้าสาวแต่กลับเป็นชายร่างเล็กบอบบางซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นนักศึกแพทย์ที่มาฝึกงานที่โรงพยาบาล เขายืนมองทั้งคู่ด้วยน้ำตาซึมทั้งรู้สึกดีใจกับเพื่อนที่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา
    
        ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจที่เขาคงไม่ได้ใช้ชีวิตแบบทันสมัยแบบนี้อีกแล้ว มีแต่ความรู้วิชาแพทย์เท่านั้นที่เขาสามารถนำไปใช้ได้แต่หากที่นี่ไม่มีลู่เฟยชีวิตเขาก็คงจืดชืดไม่น้อยเพราะตอนนี้หัวใจเขามีแต่แม่ทัพสวรรค์ผู้นั้นเสียแล้ว หากนพดลรู้ว่าแทนที่เขาจะได้ภรรยาแต่กลับได้สามีมาแทนคงได้หัวเราะเยอะเขาน่าดู
    
        “วชิระฉันแต่งงานแล้วนะ พวกเราตามหานายมานานกว่าห้าปี แต่ทุกอย่างก็เงียบหายไปเหมือนกับว่านายไม่เคยมีตัวตนอยู่โลกใบนี้ แต่ฉันเคยเห็นนายในฝันนะ ฉันเห็นนายอยู่ในยุคจีนโบราณเป็นหมอเทวดาด้วย หากนายได้ยินฉันอยากจะบอกว่าขอให้นายมีความสุขและโชคดีตลอดไปนะ”
    
        จิวชงหยวนยืนนิ่งมองเพื่อนรักกำลังพูดกับรูปของเขา ทว่าคำพูดนั้นทำให้เขายิ้มออกมาบางๆ อย่างน้อยหมอนี่ก็ฝันถึงเขาและน่าจะเป็นจริงเสียด้วย
    
       “ฉันก็ขอให้นายมีความสุขกับสิ่งที่นายเลือกและขอให้โชคดีนะเพื่อน” จิวชงหยวนบอกพร้อมตบลงบนไหล่หนาของเพื่อนอวยพรให้อย่างจริงใจ และเจ้าตัวเหมือนจะรู้สึกได้เพราะหันซ้ายแลขวามองหาต้นเสียงที่ได้ยิน เห็นแค่นี้เขารู้สึกมีความสุขแล้วอย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ลืมวชิระชื่อที่เขาเริ่มจะลืมเลือนไป แต่ใช่ว่าเขาจะลืมเลือนตัวตนของตัวเอง
    
       ทว่าเวลาเหมือนจะหมดหรืออย่างไรมิอาจรู้ เพราะเบื้องหน้าเขาเวลานี้ไม่ใช่งานเลี้ยงแต่งงานอีกต่อไปแต่เป็นตำหนักอันโอ้อ้า ซึ่งลอยอยู่บนฝากฟ้าก้อนเมฆหนาตาลอยไปมา
    
          “จิตวิญญาณอ่อนลงก็กลับไปภพภูมินู่นอีกแล้วนะ” จิวชงหยวนหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยยา
    
        “อาจารย์หมายว่าอย่างไรขอรับ” เทพโอสถเงยหน้ามองดวงจิตที่อ่อนลงเพราะฝืนใช้พลังเทพของแม่ทัพสวรรค์ไปก่อนจะยื่นถ้วยยาคืนไอพลังวิญญาณให้ลูกศิษย์คนโปรดที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง หากมาช้ากว่านี้ลู่เฟยคงมาฉีกอกคนชราอย่างตนแน่ๆ
    “กินไปก่อน ยานี่จะช่วยซ่อมแซมดวงวิญญาณให้กลับมาเหมือนเดิม ข้าบอกเจ้าว่าอยู่ได้ราวห้าร้อยปี แต่ใช้พลังแบบไม่คิดชีวิตอย่างนี้ร้อยปีก็คงจะไม่ถึง” จิวชงหยวนมองอาจารย์บ่นให้ตนอย่างเหนื่อยใจแล้วหน้าเสียเล็กน้อย
    
          “ขอบคุณอาจารย์ที่เมตตา” หลังจากรับยามาดื่มจึงก้มหัวคารวะอย่างสุดซึ่งอีกครั้ง
    
         “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เจ้าต้องดื่มยานี่อีกเจ็ดวันถึงจะคืนจิตวิญญาณกลับมาเหมือนเดิมได้และร่างเจ้าก็คงหลับไปราวหนึ่งเดือน แต่แค่นี้แม่ทัพสวรรค์คงจะมาฉีกอกข้าก่อนหรอกกระมั้ง” จิวชงหยวนยกยิ้มบางท่าทางอาจารย์ตอนนี้เหมือนจะกลัวแม่ทัพสวรรค์ชอบกล หรือจริงๆ แล้วลู่เฟยเป็นคนโหดเหี้ยมหรืออย่างไรอาจารย์ถึงได้กลัวขนาดนี้
    
      “อ้าวชงหยวน บอบซ้ำกลับมาเลยหรือ ไหนๆ เจ้าก็ว่างแล้วไปเล่นหมากล้อมกับข้าดีกว่า หากเจ้าชนะข้าจะให้ผลท้อหมื่นปีแก่เจ้าลูกหนึ่งดีหรือไม่” เฒ่าจันทราผู้จับเนื้อคู่ให้กับเขาและยังให้เขากินยาประหลาดจนหน้าหวานเหมือนผู้หญิง เขาลุกขึ้นคารวะเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
    
         “ข้าขอเปลี่ยนเป็นร่างเดิมแทนได้หรือไม่ขอรับ”
    
        “ฮ่าๆๆ ร่างนี้ก็เป็นร่างเดิมของเจ้าเมื่อราวหมื่นปีก่อนอยู่แล้ว จะร่างไหนจิตวิญญาณก็ยังเป็นเจ้าจะสนใจทำไม” เฒ่าจันทราหัวเราะร่วนก่อนจะลากศิษย์รักศิษย์ห่วงของเทพโอสถไปเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อน
    
         เทพโอสถส่ายหน้ามองคนที่งานมากแต่ชอบหนีมาเล่นหมากล้อมอย่างเอือมระอา ก่อนจะเคี่ยวยาเพิ่มอีกเพราะปล่อยนานไปไม่เป็นผลดีกับตนแน่
    
        จิวชงหยวนนั่งเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนกับเฒ่าจันทราที่ไม่รู้ว่างงานจัดหรือว่าอยากจะอู้กันแน่ โดยมีลูกท้อหมื่นปีเป็นเดิมพันในครั้งนี้ การวางหมากและคาดการณ์ของผู้อาวุโสมีหรือเขาจะคิดตามได้ทัน แต่ว่าเขาเคยเล่นกับคอมพิวเตอร์มาก่อนและมันก็ฉลาดหลักแหลมกว่าเฒ่าจันทรามาก ไม่ว่ากี่รอบต่อกี่รอบเขาก็ชนะขาดลอย
    
         “ท่านเทพจันทราข้าว่าพอเถอะ ร้อยรอบแล้วนะที่ท่านแพ้ข้า” จิวชงหยวนบอกอย่างเบื่อหน่ายเพราะเขานั่งเล่นหมากล้อมด้วยมานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งเทพอาวุโสตรงหน้าได้แต่ถอดทอนหายใจอย่างยอมแพ้ยื่นลูกท้อหมื่นปีให้จริงๆ แต่หากเขาแพ้มาต้องทำเหล้าเมามายหมื่นปีให้เช่นกัน ดีแต่ว่าเขาเป็นผู้ชนะจึงไม่ต้องเสียเวลาหมักเหล้านั่นอีก
    
        “ลูกท้อนี้จะช่วยให้เจ้าได้กลับลงไปมนุษย์เร็วขึ้น” จิวชงหยวนรับผลท้อใบโตมามองกลิ่นไอทิพย์แผ่ออกมาบ่งบอกอายุของมัน และมันน่าจะช่วยได้จริงดั่งที่กล่าว
    
        “ขอบคุณท่านเทพจันทราที่เมตตาข้าอีกทั้งชี้แนะข้า ข้าจะไม่ลืมพระคุณ”
    
         จิวชงหยวนลุกขึ้นคารวะบอกกล่าวอย่างนอบน้อม ความแค้นในใจที่เคยมีเลือนหายไปเพราะเป็นจริงดั่งที่ท่านอาวุโสกล่าว ร่างนี้เป็นร่างเขาเมื่อหมื่นปีก่อนจริงๆ หลังจากนั้นเขาจึงกัดผลท้อกินอย่างไม่เกรงใจคนให้ที่แอบกลืนน้ำลายไปด้วย แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นการได้เอาคืนเล็กๆ น้อยก็ทำให้อารมณ์ดีเหมือนกัน ก่อนจะชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงลู่เฟยเรียก
    
       “ยาอีกถ้วยของเจ้า หมดนี่คงกลับลงไปได้แล้วล่ะ ได้กินผลท้ออีกสบายไปหลายพันปีเลยนะนั่นเจ้าโชคดีแค่ไหนที่เทพขี้เหนี่ยวอย่างเฒ่าจันทราให้ผลท้อกับเจ้า”
    
        อาจารย์เดินเข้ามาพร้อมถ้วยยา หลังจากที่เขากลืนผลท้อไปจนหมดลูกจึงรับถ้วยยามาดื่มต่อ รสชาติของยานับว่าแย่สุดๆ แต่มันก็ได้ผลเกินคาด เขาอยู่บนสวรรค์มาห้าวันทว่าร่างกายยังอยู่บนโลกมนุษย์ทำให้ปล่อยทิ้งไว้นานไม่ได้เพราะอาจมีดวงวิญญาณอื่นไปแทนที่ แต่อาจารย์บอกเขาว่ามีลู่เฟยเฝ้าจึงไม่เป็นไร
    
        “ขอบพระคุณอาจารย์มากขอรับ”
    
       “เอาเถอะลงไปได้แล้วแล้วอย่าไปอวดเก่งที่ไหนจนได้กลับมาที่นี่อีกล่ะ” คำกล่าวลาของอาจารย์ทำให้เขาหน้ามุ่ยน้อยๆ เพราะเขาไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อน อยู่ดีๆ ก็มีเรื่องวิ่งเข้ามาหาต่างหากล่ะ
    
       “ข้าขอลาตรงนี้ขอรับ” บอกพร้อมหลับตาลงตั้งสมาธิแน่วแน่ อาจารย์เองก็ช่วยส่งพลังพาเขากลับเข้าร่าง อย่างน้อยอาการบาดเจ็บของดวงจิตครั้งนี้ก็ทำให้เขาได้มาเห็นสวรรค์แต่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งได้มาสวรรค์ทั้งทีกลับไม่ได้เดินไปเที่ยวที่ไหน นอกจากนั่งอยู่กับโต๊ะเล่นหมากล้อมกับเทพจันทรานานห้าวันแต่ผลท้อที่ได้กลับคืนมาน่าจะคุ้มค่าอยู่หรอกนะ     
    
       ลูเฟยมองดูร่างของคนรักที่หลับตาพริ้มอย่างปวดใจ ผ่านมาสามสัปดาห์แล้วที่จิวชงหยวนยังไม่ฟื้น ในใจร่ำร้องเรียกหาหวังว่าจะได้ยินเสียงของเขาแล้วดวงจิตจะหวนกลับคืนสู่ร่าง มือหนาลูบเรือนผมนุ่มอย่างรักใคร ใบหน้าคมคายนิ่งเรียบคล้ายไร้ความรู้ ดวงตาเหมือนไร้แวว ทว่าในใจกลับเจ็บปวดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตนเอง
    
      เขามองใบหน้างามก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก กลับมาแล้ว...จิวชงหยวนกลับมาแล้ว ดวงตาเรียวค่อยลืมตาขึ้นเพื่อรับแสงจากเบื้องหน้า เมื่อเห็นทุกอย่างชัดเจนกลับนิ่วหน้ามองเขานิ่งๆ
    
       “ดวงตาเจ้าไร้แววอีกแล้วนะ” คำทักทายแรกจากร่างโปร่งบางทำให้ลู่เฟยยิ้มบาง มือหนายังลูบไล้ใบหน้าและดวงตางดงามอย่างแผ่วเบาคล้ายให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นในเวลานี้มิใช่ฝัน
    
     “เจ้าทำให้ข้าใจหาย” น้ำเสียงที่ตอบมานั้นแฝงไปด้วยความเศร้า แววตาเริ่มพราวระยับเจ้าเล่ห์ จิวชงหยวนลุกขึ้นนั่งมองคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าว่าจะมาไม้ไหน
    
       “เจ้าไม่จูบปลอบขวัญบ้างเชียวหรือ” ทว่าคำกล่าวนั้นทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่อ เขากำลังเขิน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเปลี่ยนเรื่อง
   
       “ข้าหลับไปนานเท่าไหร่” ลู่เฟยชะงักไปกับคำถามเล็กน้อย ดวงตาคมมองมานิ่งๆ จนเขาเริ่มอึดอัด ใบหน้าที่ห่างกันไม่มากเขาจึงยื่นหน้าไปจูบแก้มสากให้คนรอคำปลอบโยนเบาๆ ทว่ากลับถูกรั้งไปนั่งบนตักอีกทั้งก้มลงจูบบดขยี้ริมฝีปากเขาอย่างร้อนแรงจนทำให้เขานิ่งค้าง ความรู้สึกที่ถ่ายทอดมาถึงทำให้ไม่ขัดขืนลู่เฟยหวาดกลัวว่าเขาจะไม่กลับมา
    
      “เจ้าทำให้ข้าหวาดกลัวจิวชงหยวน นับแต่นี้เจ้าต้องกลับวังหลวงกับข้าจนกว่าข้าจะส่งรัชทายาทขึ้นบัลลังก์สำเร็จ ข้ามิอาจปล่อยให้เจ้าอยู่ห่างกายข้าได้อีกแล้ว” น้ำจริงจังอีกทั้งแววตาแน่วแน่ทำให้จิวชงหยวนเงียบไป
    
       “อื้ม เข้าใจแล้ว” จิวชงหยวนพยักหน้ารับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ อ้อมแขนของลู่เฟยกอดแน่นขึ้นพร้อมกดจูบที่ศีรษะเขาอีกครั้ง

    หลังจากฟื้นขึ้นมาครั้งนี้พลังเทพได้ถูกปิดผนึกลงไปอีกครั้งด้วยฝีมือของเทพโอสถ ต่อไปนี้เขาจะต้องระมัดระวังมากขึ้น ทว่าไม่น่าเชื่อว่าชื่อเสียงเรื่องหมอเทวะมารจิวชงหยวนจะดังไปทั่วยุทธภพซึ่งทำให้ชาวยุทธต่างหวาดกลัว และต่างหันมาเป็นมิตรแทนการตามล่าให้ไปอยู่ฝ่ายตน
    
       พรรคมารอื่นๆ ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะรู้เรื่องฝีมือของหมอเทวะมารผู้นี้ดี มิใช่เก่งแต่ด้านการรักษาแต่กลับเก่งกาจด้านวรยุทธด้วยทำให้จิวชงหยวนเดินทางได้ง่ายขึ้น เวลานี้จิวชยวนได้กลับมาเหยียบพรรคหยกขาวอีกครั้งเพื่อขอโทษกับประมุขพรรคซึ่งต้องมาสูญเสียบุตรชายคนเล็กเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
    
      แต่จิวชงหยวนกลับรู้สึกละอายยิ่งนัก เมื่อถูกต้อนรับอย่างดีและยังไม่กล่าวโทษเขาแม้แต่น้อย สงสัยชื่อเสียงหลังจากที่เขาทำลายไปสองพรรคคงทำให้ประมุขหมิงเทียนไม่กล้าจะลุกฮือต่อว่าเขา
    
        “อี้ฟานข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านัก หากชาติหน้าข้าจะชดใช้คืนให้เจ้า” จิวชงหยวนยกมือคารวะป้ายหลุมศพพร้อมปักธูปลงไป ด้วยใบหน้าเศร้าหมองเพราะไม่เคยมีใครต้องมาตายเพื่อเขาทำให้รู้สึกเสียใจจนไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
    
       “อี้ฟานจะไม่กล่าวโทษเจ้า เขายินดีทำเพื่อเจ้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความผิดของเจ้า”
    
        ลู่เฟยเอ่ยปลอบโยน ดวงตาจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนนิ่งเงียบ เขาไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่บอกเหตุใดต้องมายอมตายเพราะคนผู้เดียว ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยให้ความหวังอะไรเลยและคนที่เสียใจไม่แพ้ผู้ใดคือจุ้ยซิง แม้ร่างกายจะหายบาดเจ็บบ้างแล้วแต่หัวใจกลับไม่อาจเลือนหายไปได้ ร่างบางชอบเหม่อลอยและมานั่งเฝ้าหน้าหลุมศพของหมิงอี้ฟานโดยไม่ขยับไปไหน จนกว่าจะมีคนลากออกไป และเป็นอยู่เช่นนี้มาหนึ่งเดือนจนทำให้ทุกคนเริ่มปลงตก
    
       จิวชงหยวนเดินเข้าไปหาจุ้ยซิงแล้วรู้สึกเศร้าเพราะจุ้ยซิงอาการทางใจสาหัสมากกว่าที่เห็นภายนอก เจ้าตัวเริ่มพูดคนเดียว ยิ้มและร้องไห้ เขาจับมือคนที่นั่งเฝ้าหลุมศพไม่ห่างจากตนด้วยความเสียใจ
    
        “จุ้ยซิง” จิวชงหยวนเรียกร่างบางเบาๆ แม้จะไม่ได้รับการตอบรับแต่เขายังไม่ละความพยายามที่จะเอ่ยเรียกอีกครั้ง
    
        “จุ้ยซิง หากเจ้าเป็นเช่นนี้อีกหมิงอี้ฟานต้องเสียใจแน่ๆ” จิวชงหยวนบอกด้วยความเศร้าเพียงแค่ชื่อของคนตายกลับทำให้ร่างบางมีกิริยาตอบโต้กลับมา ใบหน้าน่ารักนั้นหันมามองเขาอย่างพิจารณาเอียงคอช้าๆ เหมือนกับใช้ความคิดน้ำตาหยดลงเมื่อเห็นใบหน้าเขา
    
        “ข้ารู้จักเจ้า แต่ข้านึกไม่ออก เจ้ารู้ไหมว่าศิษย์พี่จะกลับมาเมื่อไหร่” จิตใจที่โดนกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงทำให้สติของจุ้ยซิงค่อยๆ เลือนหายไป จิวชงหยวนนิ่งอึ้งหนักหน่วงในอกเขาคงทำบาปใหญ่หลวงที่ทำให้คนน่ารักกลายเป็นเช่นนี้ได้ เขาจะช่วยเหลือและรักษาสภาพจิตใจจุ้ยซิงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม
    
       “จุ้ยซิงฟังข้า หากเจ้าอยากพบศิษย์พี่อี้ฟานของเจ้าจะต้องติดตามข้า ข้าจิวชงหยวนเจ้าจำได้หรือไม่” ใบหน้าน่ารักนั้นเอียงคอมามองเขาอีกครั้ง
    
     “จิวชงหยวนหมอเทวดาใช่ๆ ข้ารู้จักท่าน ติดตาม เจอศิษย์พี่” เสียงนั้นทวนคำของเขาเบาๆ จ้องมองเขาแล้วก็หัวเราะคิกๆ ออกมาอย่างน่าเวทนา
    
        “เจ้าจะให้จุ้ยซิงติดตามเจ้าไปหรือ” ลู่เฟยหลังจากเงียบมานานเอ่ยถามอย่างแปลกใจ จิวชงหยวนหันไปมองแล้วพยักหน้ารับ ทุกอย่างเป็นความผิดของเขาอีกอย่างหากจุ้ยซิงไม่เห็นคนรักตายต่อหน้าต่อตายคงไม่มีอาการเช่นนี้ เขาต้องมีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องนี้
    
        หลังจากนั้นเขาก็ได้มาขออนุญาตจากประมุขหยกขาวเพื่อให้จุ้ยซิงติดตามไปด้วย แม้ประมุขจะไม้ห็นด้วยกลัวว่าเป็นภาระ แต่เขาไม่ได้มาคิดเรื่องเช่นนั้น จุ้ยซิงเคยเก่งด้านวรยุทธแม้สภาพจิตใจจะย่ำแย่ทว่าลมปราณที่ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กและชินชาพลังภายในจึงหมุนเวียนไปเองตามธรรมชาติ นี่นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งและที่สำคัญเขาอยากให้จุ้ยซิงกลับมาเหมือนเดิม
    
        “หากเป็นเช่นนั้นข้าน้อยต้องรบกวนท่านแล้ว” ประมุขหมิงเทียนกล่าวกับจิวชงหยวนอีกครั้งเมื่อเห็นการตัดสินใจอันแน่วแน่
    
        “เช่นนั้นวันนี้ข้าคงต้องขอเดินทางกลับลั่วหยางเพราะยังมีเรื่องต้องจัดการ” ลู่เฟยบอกประมุขเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นการเดินทางกลับวังหลวงจึงเริ่มขึ้น แม้การเดินทางจะล่าช้ากว่าปกติเพราะจุ้ยซิงเดินทางร่วมไปด้วย เขาได้ให้ยาระงับประสาททำให้การเดินทางสองวันมานี้เริ่มเร็วขึ้นเพราะเจ้าตัวค่อยๆ ได้สติกลับคืนมาแต่ก็ยังมีอาการเศร้าหมองจนต้องอ่อนใจจึงพยายามชวนคุยอยู่บ่อยครั้ง แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เขากลับไปเร็วเพราะจุ้ยซิงไม่ถึงขนาดเป็นบ้าเพียงแต่อยู่ในภาวะซึมเศร้าและจิตตกเท่านั้นจึงยังพอรักษาได้ทัน
    
       “กินนี่หน่อยนะ” จิวชงหยวนยื่นปลาเผาที่ย่างกินระหว่างพักกลางวันให้จุ้ยซิงที่เขารับไว้เป็นศิษย์คนแรกและเป็นคนเดียวที่เขาคิดจะรับ
    
        “อาจารย์ข้าไม่หิว” จุ้ยซิงตอบกลับเสียงเศร้าแต่แววตายังมีความเกรงใจ ถือว่ายาที่เขาทำขึ้นได้ผลดีไม่น้อย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ลูกศิษย์
    
        “จุ้ยซิงข้าเชื่อว่าพวกเราต้องได้เจออี้ฟานอีกครั้ง” จิวชงหยวนบอกคนข้างตัวอย่างมั่นใจ เขากับหมิงอี้ฟานคงทำบุญทำกรรมกันมาไม่น้อยมิเช่นนั้นคงไม่มาตายเพราะเขาเช่นนี้ ทุกอย่างอาจเป็นลิขิตของสวรรค์ตั้งแต่แรก
    
        “ท่านคิดเช่นนั้นหรือ” จุ้ยซิงหันมามองและเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาเศร้าหมองคล้ายมีประกายแห่งความหวังก่อนจะสลดลง
    ลู่เฟยมองศิษย์อาจารย์ที่ปลอบโยนกันไปมาด้วยสายตานิ่งๆ แม้จะกินปลาในมือไปเรื่อยแต่เขาก็ไม่ได้หยุดคิดเรื่องนี้ หากพูดไปจะเหมือนเปิดเผยความลับสวรรค์หรือไม่ ทุกคนที่เกี่ยวข้องล้วนเคยพบเจอกันเมื่อในอดีตแม้จะผ่านมาแล้วแต่ความผูกพันธ์ยังคงอยู่ และเขาก็มั่นใจเช่นเดียวจิวชงหยวนเพราะเจ้าตัวเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะกลับมา    
    
        “พวกเจ้าสบายใจเถอะ อี้ฟานจะกลับมาอีกครั้งเพราะเขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ ที่สำคัญตอนนี้พวกเจ้ากินข้าวกินปลาให้มีชีวิตรอเขากลับมาเถอะ” เสียงนิ่งเรียบของลู่เฟยทำให้ทั้งคู่หันไปมองอย่างแปลกใจ
    
      “เจ้ารู้บางอย่าง” จิวชงหยวนเอ่ยย้ำเพื่อความแน่ใจ จุ้ยซิงมีประกายตาที่ดีขึ้นเมื่อได้ยินว่าอี้ฟานจะกลับมาอีกครั้ง
    
     “ความลับสวรรค์ข้ามิอาจเปิดเผยได้”
    
        แม้คำตอบแค่นั้นก็ทำให้จิวชงหยวนยิ้มออกมาอย่างดีใจแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ก็มีความหวัง เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะชดใช้คืนให้แล้วกันหวังว่าเขาไม่ตายไปก่อนนะ...







  อ่าาาาา  ในที่สุดก็ลงเท่าเด็กดีแล้ว ขอบคุณที่ติดตาม เหลืออีก 4 บทก็จบบริบูรณ์แล้ว ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ค่ะ


 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ DLuciFer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอย มันส์มากค่ะ ประหนึ่งดูหนังจีนกำลังภายในเลยทีเดียว .สนุกจนอ่านรวดเดียวตอนพักกลางวัน ข้าวปลาแทบไม่ได้แตะกันเลยทีเดียว

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
รักมากจริงๆ รักนิยายเรื่องนี้มากๆๆๆๆๆๆ แอร๊ย สนุกๆๆๆๆๆๆๆๆ มารอตอนต่อไปนะคะ  :hao6: :hao7: :mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตาแฉะกันไปเลย ขอบคุณมาก

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


ไม่ได้อ่านที่นี่หรอกขอรับ(ตอนล่าสุด)

แต่ไปอ่านอีกเว็บหนึ่ง

ก็ก็อยากจะเข้ามาส่งแรงใจขอรับ

รอตอนต่อไปอยู่ขอรับ




ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด