ต่อจากเมื่อครู่นะคะ ระบบบอกว่าเกิน20000คำจ้า
จิวชงหยวนมองดูรอบกายด้วยน้ำตาไหลริน ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเห็นภาพอย่างนี้อีกครั้ง ประเทศไทยยุค2015 ซึ่งจากไปนานกว่าสามปี เขากวาดสายตามองดูงานเลี้ยงในบ้านของนพดลเพื่อนรักที่จากไปโดยไม่ได้มีคำร่ำลา ผู้คนแต่งกายงดงามทว่ากลับเดินผ่านเขาไปเหมือนไร้ตัวตน แม้จะไม่มีใครมองเห็นเขาแต่การได้กลับมาที่นี่อีกครั้งทำให้ตื่นตันใจจนพูดไม่ออก
ดวงตาเรียวกวาดมองรอบบ้านก่อนจะเดินเข้าไปทางสระน้ำที่มีเวทีขนาดกลางตั้งอยู่ บนเวทีตกแต่งอย่างสวยงาม เขายิ้มออกมาบางเมื่อเห็นเพื่อนรักสวมชุดเจ้าบ่าว นพดลกำลังแต่งงาน แต่ที่ทำให้อึ้งคาดไม่ถึงคือคนที่ยืนข้างกายในฐานะเจ้าสาวแต่กลับเป็นชายร่างเล็กบอบบางซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นนักศึกแพทย์ที่มาฝึกงานที่โรงพยาบาล เขายืนมองทั้งคู่ด้วยน้ำตาซึมทั้งรู้สึกดีใจกับเพื่อนที่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา
ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจที่เขาคงไม่ได้ใช้ชีวิตแบบทันสมัยแบบนี้อีกแล้ว มีแต่ความรู้วิชาแพทย์เท่านั้นที่เขาสามารถนำไปใช้ได้แต่หากที่นี่ไม่มีลู่เฟยชีวิตเขาก็คงจืดชืดไม่น้อยเพราะตอนนี้หัวใจเขามีแต่แม่ทัพสวรรค์ผู้นั้นเสียแล้ว หากนพดลรู้ว่าแทนที่เขาจะได้ภรรยาแต่กลับได้สามีมาแทนคงได้หัวเราะเยอะเขาน่าดู
“วชิระฉันแต่งงานแล้วนะ พวกเราตามหานายมานานกว่าห้าปี แต่ทุกอย่างก็เงียบหายไปเหมือนกับว่านายไม่เคยมีตัวตนอยู่โลกใบนี้ แต่ฉันเคยเห็นนายในฝันนะ ฉันเห็นนายอยู่ในยุคจีนโบราณเป็นหมอเทวดาด้วย หากนายได้ยินฉันอยากจะบอกว่าขอให้นายมีความสุขและโชคดีตลอดไปนะ”
จิวชงหยวนยืนนิ่งมองเพื่อนรักกำลังพูดกับรูปของเขา ทว่าคำพูดนั้นทำให้เขายิ้มออกมาบางๆ อย่างน้อยหมอนี่ก็ฝันถึงเขาและน่าจะเป็นจริงเสียด้วย
“ฉันก็ขอให้นายมีความสุขกับสิ่งที่นายเลือกและขอให้โชคดีนะเพื่อน” จิวชงหยวนบอกพร้อมตบลงบนไหล่หนาของเพื่อนอวยพรให้อย่างจริงใจ และเจ้าตัวเหมือนจะรู้สึกได้เพราะหันซ้ายแลขวามองหาต้นเสียงที่ได้ยิน เห็นแค่นี้เขารู้สึกมีความสุขแล้วอย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ลืมวชิระชื่อที่เขาเริ่มจะลืมเลือนไป แต่ใช่ว่าเขาจะลืมเลือนตัวตนของตัวเอง
ทว่าเวลาเหมือนจะหมดหรืออย่างไรมิอาจรู้ เพราะเบื้องหน้าเขาเวลานี้ไม่ใช่งานเลี้ยงแต่งงานอีกต่อไปแต่เป็นตำหนักอันโอ้อ้า ซึ่งลอยอยู่บนฝากฟ้าก้อนเมฆหนาตาลอยไปมา
“จิตวิญญาณอ่อนลงก็กลับไปภพภูมินู่นอีกแล้วนะ” จิวชงหยวนหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยยา
“อาจารย์หมายว่าอย่างไรขอรับ” เทพโอสถเงยหน้ามองดวงจิตที่อ่อนลงเพราะฝืนใช้พลังเทพของแม่ทัพสวรรค์ไปก่อนจะยื่นถ้วยยาคืนไอพลังวิญญาณให้ลูกศิษย์คนโปรดที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง หากมาช้ากว่านี้ลู่เฟยคงมาฉีกอกคนชราอย่างตนแน่ๆ
“กินไปก่อน ยานี่จะช่วยซ่อมแซมดวงวิญญาณให้กลับมาเหมือนเดิม ข้าบอกเจ้าว่าอยู่ได้ราวห้าร้อยปี แต่ใช้พลังแบบไม่คิดชีวิตอย่างนี้ร้อยปีก็คงจะไม่ถึง” จิวชงหยวนมองอาจารย์บ่นให้ตนอย่างเหนื่อยใจแล้วหน้าเสียเล็กน้อย
“ขอบคุณอาจารย์ที่เมตตา” หลังจากรับยามาดื่มจึงก้มหัวคารวะอย่างสุดซึ่งอีกครั้ง
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เจ้าต้องดื่มยานี่อีกเจ็ดวันถึงจะคืนจิตวิญญาณกลับมาเหมือนเดิมได้และร่างเจ้าก็คงหลับไปราวหนึ่งเดือน แต่แค่นี้แม่ทัพสวรรค์คงจะมาฉีกอกข้าก่อนหรอกกระมั้ง” จิวชงหยวนยกยิ้มบางท่าทางอาจารย์ตอนนี้เหมือนจะกลัวแม่ทัพสวรรค์ชอบกล หรือจริงๆ แล้วลู่เฟยเป็นคนโหดเหี้ยมหรืออย่างไรอาจารย์ถึงได้กลัวขนาดนี้
“อ้าวชงหยวน บอบซ้ำกลับมาเลยหรือ ไหนๆ เจ้าก็ว่างแล้วไปเล่นหมากล้อมกับข้าดีกว่า หากเจ้าชนะข้าจะให้ผลท้อหมื่นปีแก่เจ้าลูกหนึ่งดีหรือไม่” เฒ่าจันทราผู้จับเนื้อคู่ให้กับเขาและยังให้เขากินยาประหลาดจนหน้าหวานเหมือนผู้หญิง เขาลุกขึ้นคารวะเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
“ข้าขอเปลี่ยนเป็นร่างเดิมแทนได้หรือไม่ขอรับ”
“ฮ่าๆๆ ร่างนี้ก็เป็นร่างเดิมของเจ้าเมื่อราวหมื่นปีก่อนอยู่แล้ว จะร่างไหนจิตวิญญาณก็ยังเป็นเจ้าจะสนใจทำไม” เฒ่าจันทราหัวเราะร่วนก่อนจะลากศิษย์รักศิษย์ห่วงของเทพโอสถไปเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อน
เทพโอสถส่ายหน้ามองคนที่งานมากแต่ชอบหนีมาเล่นหมากล้อมอย่างเอือมระอา ก่อนจะเคี่ยวยาเพิ่มอีกเพราะปล่อยนานไปไม่เป็นผลดีกับตนแน่
จิวชงหยวนนั่งเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนกับเฒ่าจันทราที่ไม่รู้ว่างงานจัดหรือว่าอยากจะอู้กันแน่ โดยมีลูกท้อหมื่นปีเป็นเดิมพันในครั้งนี้ การวางหมากและคาดการณ์ของผู้อาวุโสมีหรือเขาจะคิดตามได้ทัน แต่ว่าเขาเคยเล่นกับคอมพิวเตอร์มาก่อนและมันก็ฉลาดหลักแหลมกว่าเฒ่าจันทรามาก ไม่ว่ากี่รอบต่อกี่รอบเขาก็ชนะขาดลอย
“ท่านเทพจันทราข้าว่าพอเถอะ ร้อยรอบแล้วนะที่ท่านแพ้ข้า” จิวชงหยวนบอกอย่างเบื่อหน่ายเพราะเขานั่งเล่นหมากล้อมด้วยมานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งเทพอาวุโสตรงหน้าได้แต่ถอดทอนหายใจอย่างยอมแพ้ยื่นลูกท้อหมื่นปีให้จริงๆ แต่หากเขาแพ้มาต้องทำเหล้าเมามายหมื่นปีให้เช่นกัน ดีแต่ว่าเขาเป็นผู้ชนะจึงไม่ต้องเสียเวลาหมักเหล้านั่นอีก
“ลูกท้อนี้จะช่วยให้เจ้าได้กลับลงไปมนุษย์เร็วขึ้น” จิวชงหยวนรับผลท้อใบโตมามองกลิ่นไอทิพย์แผ่ออกมาบ่งบอกอายุของมัน และมันน่าจะช่วยได้จริงดั่งที่กล่าว
“ขอบคุณท่านเทพจันทราที่เมตตาข้าอีกทั้งชี้แนะข้า ข้าจะไม่ลืมพระคุณ”
จิวชงหยวนลุกขึ้นคารวะบอกกล่าวอย่างนอบน้อม ความแค้นในใจที่เคยมีเลือนหายไปเพราะเป็นจริงดั่งที่ท่านอาวุโสกล่าว ร่างนี้เป็นร่างเขาเมื่อหมื่นปีก่อนจริงๆ หลังจากนั้นเขาจึงกัดผลท้อกินอย่างไม่เกรงใจคนให้ที่แอบกลืนน้ำลายไปด้วย แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นการได้เอาคืนเล็กๆ น้อยก็ทำให้อารมณ์ดีเหมือนกัน ก่อนจะชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงลู่เฟยเรียก
“ยาอีกถ้วยของเจ้า หมดนี่คงกลับลงไปได้แล้วล่ะ ได้กินผลท้ออีกสบายไปหลายพันปีเลยนะนั่นเจ้าโชคดีแค่ไหนที่เทพขี้เหนี่ยวอย่างเฒ่าจันทราให้ผลท้อกับเจ้า”
อาจารย์เดินเข้ามาพร้อมถ้วยยา หลังจากที่เขากลืนผลท้อไปจนหมดลูกจึงรับถ้วยยามาดื่มต่อ รสชาติของยานับว่าแย่สุดๆ แต่มันก็ได้ผลเกินคาด เขาอยู่บนสวรรค์มาห้าวันทว่าร่างกายยังอยู่บนโลกมนุษย์ทำให้ปล่อยทิ้งไว้นานไม่ได้เพราะอาจมีดวงวิญญาณอื่นไปแทนที่ แต่อาจารย์บอกเขาว่ามีลู่เฟยเฝ้าจึงไม่เป็นไร
“ขอบพระคุณอาจารย์มากขอรับ”
“เอาเถอะลงไปได้แล้วแล้วอย่าไปอวดเก่งที่ไหนจนได้กลับมาที่นี่อีกล่ะ” คำกล่าวลาของอาจารย์ทำให้เขาหน้ามุ่ยน้อยๆ เพราะเขาไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อน อยู่ดีๆ ก็มีเรื่องวิ่งเข้ามาหาต่างหากล่ะ
“ข้าขอลาตรงนี้ขอรับ” บอกพร้อมหลับตาลงตั้งสมาธิแน่วแน่ อาจารย์เองก็ช่วยส่งพลังพาเขากลับเข้าร่าง อย่างน้อยอาการบาดเจ็บของดวงจิตครั้งนี้ก็ทำให้เขาได้มาเห็นสวรรค์แต่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งได้มาสวรรค์ทั้งทีกลับไม่ได้เดินไปเที่ยวที่ไหน นอกจากนั่งอยู่กับโต๊ะเล่นหมากล้อมกับเทพจันทรานานห้าวันแต่ผลท้อที่ได้กลับคืนมาน่าจะคุ้มค่าอยู่หรอกนะ
ลูเฟยมองดูร่างของคนรักที่หลับตาพริ้มอย่างปวดใจ ผ่านมาสามสัปดาห์แล้วที่จิวชงหยวนยังไม่ฟื้น ในใจร่ำร้องเรียกหาหวังว่าจะได้ยินเสียงของเขาแล้วดวงจิตจะหวนกลับคืนสู่ร่าง มือหนาลูบเรือนผมนุ่มอย่างรักใคร ใบหน้าคมคายนิ่งเรียบคล้ายไร้ความรู้ ดวงตาเหมือนไร้แวว ทว่าในใจกลับเจ็บปวดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตนเอง
เขามองใบหน้างามก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก กลับมาแล้ว...จิวชงหยวนกลับมาแล้ว ดวงตาเรียวค่อยลืมตาขึ้นเพื่อรับแสงจากเบื้องหน้า เมื่อเห็นทุกอย่างชัดเจนกลับนิ่วหน้ามองเขานิ่งๆ
“ดวงตาเจ้าไร้แววอีกแล้วนะ” คำทักทายแรกจากร่างโปร่งบางทำให้ลู่เฟยยิ้มบาง มือหนายังลูบไล้ใบหน้าและดวงตางดงามอย่างแผ่วเบาคล้ายให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นในเวลานี้มิใช่ฝัน
“เจ้าทำให้ข้าใจหาย” น้ำเสียงที่ตอบมานั้นแฝงไปด้วยความเศร้า แววตาเริ่มพราวระยับเจ้าเล่ห์ จิวชงหยวนลุกขึ้นนั่งมองคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าว่าจะมาไม้ไหน
“เจ้าไม่จูบปลอบขวัญบ้างเชียวหรือ” ทว่าคำกล่าวนั้นทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่อ เขากำลังเขิน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเปลี่ยนเรื่อง
“ข้าหลับไปนานเท่าไหร่” ลู่เฟยชะงักไปกับคำถามเล็กน้อย ดวงตาคมมองมานิ่งๆ จนเขาเริ่มอึดอัด ใบหน้าที่ห่างกันไม่มากเขาจึงยื่นหน้าไปจูบแก้มสากให้คนรอคำปลอบโยนเบาๆ ทว่ากลับถูกรั้งไปนั่งบนตักอีกทั้งก้มลงจูบบดขยี้ริมฝีปากเขาอย่างร้อนแรงจนทำให้เขานิ่งค้าง ความรู้สึกที่ถ่ายทอดมาถึงทำให้ไม่ขัดขืนลู่เฟยหวาดกลัวว่าเขาจะไม่กลับมา
“เจ้าทำให้ข้าหวาดกลัวจิวชงหยวน นับแต่นี้เจ้าต้องกลับวังหลวงกับข้าจนกว่าข้าจะส่งรัชทายาทขึ้นบัลลังก์สำเร็จ ข้ามิอาจปล่อยให้เจ้าอยู่ห่างกายข้าได้อีกแล้ว” น้ำจริงจังอีกทั้งแววตาแน่วแน่ทำให้จิวชงหยวนเงียบไป
“อื้ม เข้าใจแล้ว” จิวชงหยวนพยักหน้ารับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ อ้อมแขนของลู่เฟยกอดแน่นขึ้นพร้อมกดจูบที่ศีรษะเขาอีกครั้ง
หลังจากฟื้นขึ้นมาครั้งนี้พลังเทพได้ถูกปิดผนึกลงไปอีกครั้งด้วยฝีมือของเทพโอสถ ต่อไปนี้เขาจะต้องระมัดระวังมากขึ้น ทว่าไม่น่าเชื่อว่าชื่อเสียงเรื่องหมอเทวะมารจิวชงหยวนจะดังไปทั่วยุทธภพซึ่งทำให้ชาวยุทธต่างหวาดกลัว และต่างหันมาเป็นมิตรแทนการตามล่าให้ไปอยู่ฝ่ายตน
พรรคมารอื่นๆ ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะรู้เรื่องฝีมือของหมอเทวะมารผู้นี้ดี มิใช่เก่งแต่ด้านการรักษาแต่กลับเก่งกาจด้านวรยุทธด้วยทำให้จิวชงหยวนเดินทางได้ง่ายขึ้น เวลานี้จิวชยวนได้กลับมาเหยียบพรรคหยกขาวอีกครั้งเพื่อขอโทษกับประมุขพรรคซึ่งต้องมาสูญเสียบุตรชายคนเล็กเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
แต่จิวชงหยวนกลับรู้สึกละอายยิ่งนัก เมื่อถูกต้อนรับอย่างดีและยังไม่กล่าวโทษเขาแม้แต่น้อย สงสัยชื่อเสียงหลังจากที่เขาทำลายไปสองพรรคคงทำให้ประมุขหมิงเทียนไม่กล้าจะลุกฮือต่อว่าเขา
“อี้ฟานข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านัก หากชาติหน้าข้าจะชดใช้คืนให้เจ้า” จิวชงหยวนยกมือคารวะป้ายหลุมศพพร้อมปักธูปลงไป ด้วยใบหน้าเศร้าหมองเพราะไม่เคยมีใครต้องมาตายเพื่อเขาทำให้รู้สึกเสียใจจนไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
“อี้ฟานจะไม่กล่าวโทษเจ้า เขายินดีทำเพื่อเจ้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความผิดของเจ้า”
ลู่เฟยเอ่ยปลอบโยน ดวงตาจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนนิ่งเงียบ เขาไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่บอกเหตุใดต้องมายอมตายเพราะคนผู้เดียว ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยให้ความหวังอะไรเลยและคนที่เสียใจไม่แพ้ผู้ใดคือจุ้ยซิง แม้ร่างกายจะหายบาดเจ็บบ้างแล้วแต่หัวใจกลับไม่อาจเลือนหายไปได้ ร่างบางชอบเหม่อลอยและมานั่งเฝ้าหน้าหลุมศพของหมิงอี้ฟานโดยไม่ขยับไปไหน จนกว่าจะมีคนลากออกไป และเป็นอยู่เช่นนี้มาหนึ่งเดือนจนทำให้ทุกคนเริ่มปลงตก
จิวชงหยวนเดินเข้าไปหาจุ้ยซิงแล้วรู้สึกเศร้าเพราะจุ้ยซิงอาการทางใจสาหัสมากกว่าที่เห็นภายนอก เจ้าตัวเริ่มพูดคนเดียว ยิ้มและร้องไห้ เขาจับมือคนที่นั่งเฝ้าหลุมศพไม่ห่างจากตนด้วยความเสียใจ
“จุ้ยซิง” จิวชงหยวนเรียกร่างบางเบาๆ แม้จะไม่ได้รับการตอบรับแต่เขายังไม่ละความพยายามที่จะเอ่ยเรียกอีกครั้ง
“จุ้ยซิง หากเจ้าเป็นเช่นนี้อีกหมิงอี้ฟานต้องเสียใจแน่ๆ” จิวชงหยวนบอกด้วยความเศร้าเพียงแค่ชื่อของคนตายกลับทำให้ร่างบางมีกิริยาตอบโต้กลับมา ใบหน้าน่ารักนั้นหันมามองเขาอย่างพิจารณาเอียงคอช้าๆ เหมือนกับใช้ความคิดน้ำตาหยดลงเมื่อเห็นใบหน้าเขา
“ข้ารู้จักเจ้า แต่ข้านึกไม่ออก เจ้ารู้ไหมว่าศิษย์พี่จะกลับมาเมื่อไหร่” จิตใจที่โดนกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงทำให้สติของจุ้ยซิงค่อยๆ เลือนหายไป จิวชงหยวนนิ่งอึ้งหนักหน่วงในอกเขาคงทำบาปใหญ่หลวงที่ทำให้คนน่ารักกลายเป็นเช่นนี้ได้ เขาจะช่วยเหลือและรักษาสภาพจิตใจจุ้ยซิงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม
“จุ้ยซิงฟังข้า หากเจ้าอยากพบศิษย์พี่อี้ฟานของเจ้าจะต้องติดตามข้า ข้าจิวชงหยวนเจ้าจำได้หรือไม่” ใบหน้าน่ารักนั้นเอียงคอมามองเขาอีกครั้ง
“จิวชงหยวนหมอเทวดาใช่ๆ ข้ารู้จักท่าน ติดตาม เจอศิษย์พี่” เสียงนั้นทวนคำของเขาเบาๆ จ้องมองเขาแล้วก็หัวเราะคิกๆ ออกมาอย่างน่าเวทนา
“เจ้าจะให้จุ้ยซิงติดตามเจ้าไปหรือ” ลู่เฟยหลังจากเงียบมานานเอ่ยถามอย่างแปลกใจ จิวชงหยวนหันไปมองแล้วพยักหน้ารับ ทุกอย่างเป็นความผิดของเขาอีกอย่างหากจุ้ยซิงไม่เห็นคนรักตายต่อหน้าต่อตายคงไม่มีอาการเช่นนี้ เขาต้องมีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องนี้
หลังจากนั้นเขาก็ได้มาขออนุญาตจากประมุขหยกขาวเพื่อให้จุ้ยซิงติดตามไปด้วย แม้ประมุขจะไม้ห็นด้วยกลัวว่าเป็นภาระ แต่เขาไม่ได้มาคิดเรื่องเช่นนั้น จุ้ยซิงเคยเก่งด้านวรยุทธแม้สภาพจิตใจจะย่ำแย่ทว่าลมปราณที่ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กและชินชาพลังภายในจึงหมุนเวียนไปเองตามธรรมชาติ นี่นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งและที่สำคัญเขาอยากให้จุ้ยซิงกลับมาเหมือนเดิม
“หากเป็นเช่นนั้นข้าน้อยต้องรบกวนท่านแล้ว” ประมุขหมิงเทียนกล่าวกับจิวชงหยวนอีกครั้งเมื่อเห็นการตัดสินใจอันแน่วแน่
“เช่นนั้นวันนี้ข้าคงต้องขอเดินทางกลับลั่วหยางเพราะยังมีเรื่องต้องจัดการ” ลู่เฟยบอกประมุขเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นการเดินทางกลับวังหลวงจึงเริ่มขึ้น แม้การเดินทางจะล่าช้ากว่าปกติเพราะจุ้ยซิงเดินทางร่วมไปด้วย เขาได้ให้ยาระงับประสาททำให้การเดินทางสองวันมานี้เริ่มเร็วขึ้นเพราะเจ้าตัวค่อยๆ ได้สติกลับคืนมาแต่ก็ยังมีอาการเศร้าหมองจนต้องอ่อนใจจึงพยายามชวนคุยอยู่บ่อยครั้ง แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เขากลับไปเร็วเพราะจุ้ยซิงไม่ถึงขนาดเป็นบ้าเพียงแต่อยู่ในภาวะซึมเศร้าและจิตตกเท่านั้นจึงยังพอรักษาได้ทัน
“กินนี่หน่อยนะ” จิวชงหยวนยื่นปลาเผาที่ย่างกินระหว่างพักกลางวันให้จุ้ยซิงที่เขารับไว้เป็นศิษย์คนแรกและเป็นคนเดียวที่เขาคิดจะรับ
“อาจารย์ข้าไม่หิว” จุ้ยซิงตอบกลับเสียงเศร้าแต่แววตายังมีความเกรงใจ ถือว่ายาที่เขาทำขึ้นได้ผลดีไม่น้อย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ลูกศิษย์
“จุ้ยซิงข้าเชื่อว่าพวกเราต้องได้เจออี้ฟานอีกครั้ง” จิวชงหยวนบอกคนข้างตัวอย่างมั่นใจ เขากับหมิงอี้ฟานคงทำบุญทำกรรมกันมาไม่น้อยมิเช่นนั้นคงไม่มาตายเพราะเขาเช่นนี้ ทุกอย่างอาจเป็นลิขิตของสวรรค์ตั้งแต่แรก
“ท่านคิดเช่นนั้นหรือ” จุ้ยซิงหันมามองและเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาเศร้าหมองคล้ายมีประกายแห่งความหวังก่อนจะสลดลง
ลู่เฟยมองศิษย์อาจารย์ที่ปลอบโยนกันไปมาด้วยสายตานิ่งๆ แม้จะกินปลาในมือไปเรื่อยแต่เขาก็ไม่ได้หยุดคิดเรื่องนี้ หากพูดไปจะเหมือนเปิดเผยความลับสวรรค์หรือไม่ ทุกคนที่เกี่ยวข้องล้วนเคยพบเจอกันเมื่อในอดีตแม้จะผ่านมาแล้วแต่ความผูกพันธ์ยังคงอยู่ และเขาก็มั่นใจเช่นเดียวจิวชงหยวนเพราะเจ้าตัวเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะกลับมา
“พวกเจ้าสบายใจเถอะ อี้ฟานจะกลับมาอีกครั้งเพราะเขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ ที่สำคัญตอนนี้พวกเจ้ากินข้าวกินปลาให้มีชีวิตรอเขากลับมาเถอะ” เสียงนิ่งเรียบของลู่เฟยทำให้ทั้งคู่หันไปมองอย่างแปลกใจ
“เจ้ารู้บางอย่าง” จิวชงหยวนเอ่ยย้ำเพื่อความแน่ใจ จุ้ยซิงมีประกายตาที่ดีขึ้นเมื่อได้ยินว่าอี้ฟานจะกลับมาอีกครั้ง
“ความลับสวรรค์ข้ามิอาจเปิดเผยได้”
แม้คำตอบแค่นั้นก็ทำให้จิวชงหยวนยิ้มออกมาอย่างดีใจแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ก็มีความหวัง เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะชดใช้คืนให้แล้วกันหวังว่าเขาไม่ตายไปก่อนนะ...
อ่าาาาา ในที่สุดก็ลงเท่าเด็กดีแล้ว ขอบคุณที่ติดตาม เหลืออีก 4 บทก็จบบริบูรณ์แล้ว ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ค่ะ