บทที่ 32
ตอนที่ 6 เล่ม 2 ช่วยคนผิดคิดจนตัวตาย (P.6 17/9/58)
หลังจากรักษาอาการป่วยของเฟิงอวี้จนหายดี จิวชงหยวนจึงได้หาซื้อข้าวของจำเป็นต้องใช้ระหว่างเดินทาง ใบหน้าที่งดงามยามนี้ปกปิดด้วยหน้ากากสีเงินครึ่งหน้าไว้เช่นเดิม ทว่าระหว่างเดินซื้อข้าวของอยู่นั้นกลับรู้สึกว่าตัวกำลังถูกจ้องมอง ดวงตาเรียวหันไปมองทิศทางที่จับสายตาคู่นั้นได้จึงได้เห็นชายหนุ่มร่างโปร่งบางและเตี้ยพอๆ กับเขามองอยู่ ใบหน้านั้นคล้ายไม่แน่ใจเพราะคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม แต่เขากลับจำได้เป็นอย่างดี
“ไปกันเถอะ” จิวชงหยวนหันไปบอกคนข้างตัวพร้อมจับแขนเดินลัดเลาะผ่าฝูงชนไปด้วยความเร็ว เมื่อเริ่มร้างผู้คนแล้วจึงใช้ลมปราณทะยานไปจากที่นั่นทันที ลู่เฟยที่ใช้ลมปราณวิ่งไปตามแรงลากมองคนตัวเล็กกว่าอย่างฉงน
“เจ้าหนีอะไร” จิวชงหยวนหันไปยิ้มบางให้ จะบอกว่าเขาเห็นคนพรรคหยกขาวก็ไม่จำเป็นต้องหนี เพราะไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ที่เขาหนีเพราะกลัวจะเจอเด็กช่างตื้อหมิงอี้ฟานต่างหากเพราะจำไม่ผิดเด็กนั่นคอยรับใช้หมิงอี้ฟานขณะที่อยู่พรรคหยกขาว
“เปล่า ไม่มีอะไรไปกันเถอะ” บอกพร้อมทะยานไปตามเส้นทางของทะเลทรายมุ่งหน้าไปทางชนเผ่ามองโกล แม้ชนเผ่านี้จะไม่ค่อยต้อนรับคนนอกแต่เขาอยากไปเห็นด้วยตาสักครั้งตามความทรงจำที่อาจารย์ให้ไว้ อีกทั้งพืชสมุนไพรทางพื้นที่แถวนั้นมีมากมายและตอนนี้สมุนไพรหายากของเขามันเริ่มหมดแล้ว
ทะเลทรายในเวลาเที่ยงวันนั้นร้อนมากร่างกายเริ่มโทรมไปด้วยเหงื่อ จิวชงหยวนพยายามดึงลมปราณออกมาช่วยลดอุณภูมิภายนอก สองเท้าก้าวเดินมุ่งหน้าไปอย่างไม่เร่งรีบเพราะระหว่างทางได้เก็บสมุนไพรบางชนิดไปด้วยเช่นกระบองเพชรที่สามารถรักษาอาการเจ็บไข้ได้
ทั้งคู่เดินไปจนถึงเขตที่พักซึ่งมีคลองน้ำขนาดไม่ใหญ่มากพอให้พักอาศัย พร้อมต้นไม้ใหญ่ที่ทนภูมิอากาศในเขตทะเลทรายได้ให้ร่มเงาระหว่างผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา จิวชงหยวนได้พักกินข้าวตอนกลางวันก่อนจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย...” จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยขณะเดินผ่านช่องเขาซึ่งได้ยินขอความช่วยเหลือแต่มันแผ่วเบามากจนไม่แน่ใจ
“เจ้าได้ยินไหมลู่เฟย”
“ได้ยิน น่าจะทางนั้นไปเถอะ” ลู่เฟยบอกพร้อมเดินนำหน้าไปยังจุดที่ได้ยินเสียง ทว่าเมื่อไปถึงก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เพราะร่างของหญิงสาวผู้นั้นอาบไปด้วยเลือดอีกทั้งมีสัตว์เลื้อยคลานแมลงป่องพิษพร้อมด้วยตะขาบไต่เต็มตัว
“ทำไมช่วงนี้ข้าเจอแต่อสรพิษกันนะ” จิวชงหยวนพูดขึ้นยืนมองร่างที่สลบไปนิ่งๆ โดยไม่กล้าแม้จะเข้าไปใกล้ ก่อนจะโยนพืชสมุนไพรที่กลิ่นฉุนเพื่อไล่สัตว์พวกนั้นให้ออกห่างจากร่างของแม่นางผู้นั้นที่อาการสาหัสจนไม่น่าจะมีชีวิตรอด
หลังจากสัตว์เลื้อยคลานถอยไปหมดแล้วจิวชงหยวนจึงเดินเข้ามาดูอาการของหญิงสาวผู้นั้น ก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ เพื่อหาที่พักพิงสำหรับรักษาแม่นางผู้นี้ โดยมีลู่เฟยเข้ามาอุ้มร่างนั้นช่วยเพราะตัวเขากับตัวของแม่นางผู้นี้เท่ากัน
ทั้งคู่ใช้เวลาไปหนึ่งก้านธูปกว่าจะเจอที่พักสำหรับคืนนี้ ซึ่งก็เป็นถ้ำที่อยู่ในเขตทะเลทรายนั่นเอง จิวชงหยวนให้ลู่เฟยรออยู่หน้าถ้ำเพราะเขาจะต้องถอดเสื้อผ้านางมาทำบาดแผลที่เป็นรอยกระบี่ฟาดฟันไปหลายที่ จิวชงหยวนเริ่มรักษาบาดแผลพร้อมเย็บบาดแผลให้อย่างคล่องแคล่ว ทว่าเมื่อตรวจเลือดที่อาบย้อมไปทั้งตัวนั้นต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะร่างกายนางเต็มไปด้วยพิษเช่นเดียวกับเขา และหากเดาไม่ผิดเมื่อครู่ที่สัตว์พิษพวกนั้นไต่เต็มตัวเพื่อเป็นการช่วยรักษาร่างกายอีกแบบ
แม้จะสงสัยที่ไปที่มาแต่หน้าที่ของหมอก็ไม่อาจปล่อยให้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้เพราะอย่างไรก็ช่วยเหลือได้ อีกทั้งเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในทะเลทรายเขาย่อมไม่ใจจืดใจดำปล่อยทิ้งไปได้ หลังจากที่รักษาบาดแผลทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาตามลู่เฟยที่ยืนรออยู่ด่านนอก
“เสร็จแล้วหรือ” จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนถามแล้วพยักหน้ารับ
“เข้าไปด้านในเถอะ ข้างนอกเริ่มหนาวมากแล้ว” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย ลู่เฟยหันมายิ้มบางแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ทำให้คนฟังหน้าแดง
“หากเจ้ากลัวข้าหนาวก็โอบกอดข้าไว้สิ”
“งั้นก็ยืนหนาวต่อไปแล้วกัน” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่เสียเวลาคิดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในถ้ำด้วยใบหน้าแดงก่ำ ลู่เฟยเดินตามหลังมาพร้อมหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ
จิวชงหยวนเดินไปนั่งตรงโขดหินพร้อมหันไปมองคนที่เดินตามตัวเองมาและมานั่งใกล้ๆ ทั้งๆ ที่พื้นที่ไม่ได้คับแคบอะไร ผลสาลี่ถูกยื่นมาให้เหมือนจะรู้ว่าได้เวลาอาหารเย็นแล้วเขาจึงรับมากินอย่างว่าง่าย สายตาหันไปมองร่างระหงของหญิงสาวที่นอนพักอยู่ไม่ห่างตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกทั้งพิษในร่างไม่เป็นผลเพียงแค่บาดแผลตามร่างเท่านั้นที่อาการสาหัส แต่เนื่องด้วยเลือดที่มีคุณสมบัติพิเศษเพียงไม่นานก็หายเป็นปกติ
“เจ้าจะทำอย่างไรกับนางต่อไป” จิวชงหยวนหันไปมองลู่เฟยที่ขยับมาจนอิงแอบเขาและพยักหน้าไปทางร่างระหงที่นอนไร้สติอยู่ไม่ห่างจากกองไฟที่เขาก่อขึ้น
“อาการภายในไม่น่าห่วง แม้ภายนอกจะดูสาหัสแต่น่าจะฟื้นตัวเร็วกว่าคิด” จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมเหลือบตามองคนข้างตัวที่เริ่มจะสิงเข้าร่างเขาอยู่แล้ว
“เจ้าจะมานั่งเบียดข้าทำไม” อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้เมื่อร่างหนานั่งเบียดกับเขาเกินไป
“ยามดึกอากาศที่ทะเลทรายเหน็บหนาวข้าก็ต้องมาคอยให้ความอบอุ่นเจ้าสิ” ใบหน้าที่แสร้งใสซื่อเงยหน้าสบตาเขาอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างลายขาวดำของอสรพิษชูคออยู่บนหัวของลู่เฟย
ฉึก!
ฉัวะ!
จิวชงหยวนพลิกร่างหนาออกห่างจากรัศมีการโจมตีของอสรพิษด้วยความเร็วแต่เมื่อรู้ว่าหลบไม่ทันพ้นจึงใช้แขนตัวเองรับการฉกของเจ้างูตัวร้ายที่มีพิษสงร้ายแรงแทน พร้อมกำไลเปลี่ยนเป็นกระบี่ตวัดตัดหัวของมันอย่างว่องไว
“ชงหยวน!” ลู่เฟยหันมามองร่างโปร่งบางด้วยความตกใจและยิ่งตื่นตระหนกมากเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นซากงูทับสมังคลานอนอยู่ใกล้ๆ จิวชงหยวนเหลือบตามองคนเรียกเล็กน้อยก่อนจะเปิดชายเสื้อดูแขนของตัวเอง ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้หน้านิ่วเล็กน้อย
“เจ้าโดนฉก” ลู่เฟยกล่าวด้วยใบหน้าซีดเผือดพร้อมตวัดร่างโปร่งบางไปวางบนโขดหินที่ห่างไกลจากซากหูพร้อมรีบรื้อหาสมุนไพรแก้พิษให้คนรักด้วยหัวใจสั่นระรัว
จิวชงหยวนมองคนตื่นตระหนกตกใจด้วยความรู้สึกแปลกๆ อาจเป็นเพราะดีใจที่มีคนมาห่วงใยตน แม้เขาจะเจ็บปวดกับพิษที่ได้รับกับคมเขี้ยวที่ถูกฝังมาเต็มๆ แต่ลู่เฟยลืมไปแล้วหรือไงว่าเลือดเขาเองก็มีพิษพวกนี้อยู่แล้วเพราฉะนั้นเขาไม่ตายเพราะพิษหรอก
“ลู่เฟยข้าไม่เป็นไรหรอก” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มมองคนหน้าซีดด้วยความอบอุ่นใจ เขาไม่มีคนห่วงใยมานานมากแล้วการที่มีคนมาใส่ใจอย่างเช่นในเวลานี้มันทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
“แต่เจ้าโดนพิษ” ลู่เฟยกล่าวต่ออย่างกังวล”
“พิษทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ลืมไปแล้วหรือ” จิวชงหยวนกล่าวปลอบใจคนหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมส่งยิ้มบาง สีหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปของเขาทำให้ลู่เฟยเดินกลับมานั่งข้างอีกครั้ง มือหนาจะลูบรอยกัดเขาจึงยึดไว้
“ถึงข้าจะไม่เป็นไร แต่หากเจ้าจับไม่รอดแน่” จิวชงหยวนบอกพร้อมดึงแขนเสื้อลงปิดไว้เช่นเดิมแม้จะเป็นแผลซ้ำม่วงแต่คงไม่นานก็หายไป แต่เพื่อความปลอดภัยจากคนข้างตัวจึงทำความสะอาดแผลพร้อมทายาปิดปากแผลจนทุกอย่างหายไปเหมือนกับว่าเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น
ลู่เฟยมองจิวชงหยวนอย่างอึ้งๆ ก็รู้ว่าเจ้าตัวรักษาได้ทุกอย่างแต่ไม่คิดว่าจะหายสนิทเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเช่นนี้
จิวชงหยวนสะดุ้งหันไปมองคนที่อุ้มตัวเองไปนั่งบนตักด้วยใบหน้าแดงก่ำ มือหนาที่ยังสั่นเพราะความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียเขาทำให้เขานั่งนิ่งเอนพิงอกกว้างอย่างครุ่นคิด
“ลู่เฟยเจ้ารักข้าตรงไหนกัน” จิวชงหยวนเอ่ยถามคำถามที่ค้างคาใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แรงกอดที่โอบตนอยู่กอดแน่นขึ้น คางมนของอีกฝ่ายกดที่ไหล่เขาอย่างรักใคร่
“ตอนนี้ข้าตอบเจ้าไม่ได้เพราะความทรงจำมาไม่หมด แต่เวลานี้ข้ารักเจ้าจนหมดใจ จิตวิญญาณข้าหัวใจข้าเป็นของเจ้ามาเนิ่นนาน และความรู้สึกบอกกับข้าว่าเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าเฝ้ารอมาเนิ่นนาน” คำบอกรักที่หวานซึ้งโดยไม่สนใจบรรยากาศที่ไม่น่าพิศมัยนัก เพราะยังมีร่างระหงของหญิงสาวนอนอยู่ไม่ห่างและถัดไปคือซากงู ทว่าความรู้สึกที่ส่งมาทำให้หัวใจที่เหน็บหนาวอบอุ่นมากขึ้น
“แล้วเจ้าเล่าไม่บอกรักข้าบ้างหรือ” คำถามที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจะตอบทำให้ใบหน้างดงามแดงระเรื่อ
“ข้าง่วงแล้ว” บอกพร้อมหลับตาพิงอกกว้างอย่างไม่สนใจคนที่อยากรู้ อ้อมกอดที่รัดแน่นขึ้นไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนคิดจะลืมตาขึ้นมาบอกความรู้สึกของตัวเอง คำว่ารักบางคนอาจจะพูดได้ง่ายทว่าไม่ใช่สำหรับเขาเพราะความรักของเขามันผิดคาดจากที่คิดไว้ จากหญิงสาวอกโตๆ กลับเป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงหนากว่าตัวเองเช่นนี้ และหากบอกออกไปตอนนี้ลู่เฟยคงลำพองใจแน่ๆ เพราะฉะนั้นบอกผ่านแค่การกระทำก็เพียงพอแล้วไว้ให้มีความกล้าขึ้นมาเมื่อไรเขาจะเป็นคนบอกลู่เฟยเอง
ลู่เฟยมองคนที่นอนบนอกตัวเองอย่างรักใคร่มือหนาที่โอบกอดร่างบางแนบแน่นเพื่อความอบอุ่น ในเวลาดึกสงัดเช่นนี้ เปลวไฟที่ลุกโซนที่อยู่ไม่ห่างไม่ได้ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นแม้แต่น้อย ทว่ามันก็ช่วยขับไล่สัตว์มีพิษออกห่างไปได้ ดวงตาคมมองดูร่างระหงของหญิงสาวที่อยู่ไม่ห่างทว่าความรู้สึกกลับบอกเขาผู้หญิงคนนี้จะนำความยุ่งยากมาแก่เขากับจิวชงหยวนหวังว่ามันเป็นแค่ความรู้สึกของเขาฝ่ายเดียวหรอกนะ ก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างอุ่นใจที่ในคืนนี้มีคนที่รักอยู่ในอ้อมกอดเขาปรารถนาที่อยากให้ทุกค่ำคืนเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ในวันรุ่งขึ้นทุกอย่างเหมือนจะผ่านพ้นไปด้วยดี หากไม่นับหญิงงามที่ฟื้นขึ้นมากลับไม่เห็นหัวเขาแม้แต่น้อย แม่นางผู้นั้นกลับไปออดอ้อนออเซาะลู่เฟยที่สร้างภาพสุภาพบุรุษจนน่าขัดตา คำขอบคุณยังไม่มีสักคำและยังจับมือถือแขนลู่เฟยอย่างออกหน้าออกตายิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจ
“เจ้าจะร่วมเดินทางไปด้วยจริงๆ หรือซือเยว่” ลู่เฟยเอ่ยถามหญิงสาวข้างตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จิวชงหยวนหันไปมองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ นางชื่อซือเยว่และเป็นนามที่เขารู้สึกคุ้นเคยอีกทั้งแซ่ที่ใช้กับเป็นแซ่ซือ ซึ่งเหมือนกับซือห้าวเฉินจนน่าแปลกใจ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่านางมีความสัมพันธ์อันใดกับซือห้าวเฉินกันแน่
“เจ้าค่ะท่านจอมยุทธ ข้ายังบาดเจ็บไม่หายดี หากเดินทางคนเดียวจะลำบาก ข้าขอติดตามท่านและรับใช้ท่านเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือข้า” คำพูดและดวงตาหวานเชื่อมทำให้จิวชงหยวนสำลักน้ำลายแล้วเบือนหน้าหนีกับภาพแสลงตา คนที่ควรจะขอบคุณมันคือเขาไม่ใช่หรือไง
“แม่นางควรขอบคุณจิวชงหยวนมากกว่า เพราะผู้ที่ช่วยเจ้ารอดพ้นความตายคือจิวชงหยวน” ลู่เฟยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกรงใจกับคนร่างโปร่งบางเล็กน้อยกลัวว่าจะมองเขาผิดไป
“คิกๆ ท่านชื่อจิวชงหยวนหรือเจ้าค่ะ ช่างบังเอิญจริงนะเจ้าค่ะที่ชื่อเดียวกับหมอในพรรคข้าเลย” แม่นางตอบกลับพร้อมหัวเราะขบขันเหมือนชื่อเขาเป็นเรื่องตลก ไม่มีความสำนึกว่าเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตและไม่มีคำขอบคุณสักคำ!
“เราจะเริ่มเดินทาง หากสายกว่านี้จะร้อนได้” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยก่อนจะเดินออกจากถ้ำกลางทะเลทรายอย่างหงุดหงิดใจ ใบหน้าเย้ยหยันและท้าทายที่ส่งมายิ่งทำให้หัวใจหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“โอ้ย!” แม่นางล้มเซไปพิงอกลู่เฟยพร้อมช้อนตามองอย่างน่าสงสาร
“ท่านจอมยุทธ ข้ายังบาดเจ็บไม่หายท่านช่วยพยุงข้าไปได้หรือไม่” คำอ้อนวอนของนางทำให้ลู่เฟยมีสีหน้าลำบากใจไม่น้อยแต่ก็พยักหน้ารับช่วยพยุงร่างระหงเดินทางไปยังเผ่ามองโกล ใบหน้าท่าทางเหมือนเป็นสุภาพบุรุษทว่าภายในใจของลู่เฟยตอนนี้กำลังหงุดหงิด หากเป็นไปได้เขาอยากจะจับนางโยนทิ้งข้างทางไปเลย แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงเขาจึงได้แต่อดฝืนใจส่งยิ้มบางให้ไป ทว่าเมื่อเห็นร่างโปร่งบางเดินจ้ำอ้าวอย่างงอนๆ กลับทำให้รู้สึกหน้าเสีย ความรู้สึกเขาทำไมมันแม่นยำเช่นนี้
ทั้งสามเดินทางไปเรื่อยจนเข้าเขตร่มไม้และป่าใหญ่ การเดินทางเหมือนไม่ได้รีบร้อนเพราะหญิงสาวเพียงคนเดียวทำเป็นตัวถ่วงเวลาจนจิวชงหยวนหงุดหงิดใจเพราะจากที่ฟังเสียงหัวใจนางไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยหรือเจ็บปวดแผลที่ตามตัวก็เริ่มแห้งมากแล้ว เดินมาเกือบทั้งวันจนถึงหมู่บ้านเล็กแต่ก็มีโรงเตี้ยมให้พักอาศัย ทั้งสามคนจึงเข้าพักและหาอาหารสำหรับในค่ำคืนนี้
หลังอาหารเย็นจบลงจิวชงหยวนจึงปลีกตัวออกมาจากฉากรักหวานแหววของลู่เฟยและแม่นางซือเยว่ที่นานเข้าเริ่มไร้ยางอายขึ้นทุกที ไม่สิ นางไม่มีมันตั้งแต่แรกแล้ว ความหงุดหงิดใจทำให้เขาปล่อยกายปล่อยใจกับบรรยากาศเหงาๆ ในคือนี้ ทว่าขณะนั้นกลับได้ยินเสียงบทกลอนของบัณฑิตผู้หนึ่งซึ่งยืนไพล่หลังชมดาวอย่างสบายอารมณ์อยู่ไม่ห่าง
ดวงดาวหม่นแสง อ่อนแรงอ่อนไหว
สุดทางหัวใจ จะไปจะเดิน
จิวชงหยวนมองตามนิ่งๆ กับบรรยากศรอบกายที่แผ่ความมีปัญญาออกมา อาภรณ์สีขาวเนื้อดีบอกชนชั้นตระกูลสูงส่ง ก่อนจะกล่าวต่อบทกลอนตามอารมณ์ในห้วงเวลานั้น ซึ่งก็ทำให้บัณฑิตผู้นั้นหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มบาง
ฤาเพราะความรัก หักปีกเหาะเหิน
หรือทางไกลเกิน จะเดินผ่านไป...
“บทกลอนของแม่นางยอดเยี่ยมยิ่งนัก” คำกล่าวชมของบัณฑิตตรงหน้าไม่ได้เข้าหูเท่ากับคำว่าแม่นาง! แม่นาง!... ซึ่งบัดนี้ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกอยากโยนระเบิดลงหัวคนตรงหน้าให้หายโมโห หนีจากฉากรักของแม่นางซือเยว่ออกมาแต่กลับมาเจอบัณฑิตตาบอด ร่างโปร่งบางหันหลังขวับหมายจะเดินกลับห้องด้วยความหงุดหงิดใจ ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อร่างสูงโปร่งพุ่งเข้ามาคว้าข้อมือเขาไว้ก่อนจะรีบปล่อยออกเหมือนโดนของร้อน
“ขออภัยแม่นาง ข้ามิได้ตั้งใจล่วงเกินเจ้า ข้าเพียงอยากรู้จักเจ้า” บอกพร้อมใบหน้าแดงก่ำดวงตาหวั่นไหวไปมามันไม่ได้ทำให้เขาใจอ่อนแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวมองอีกฝ่ายตาขวางไม่สบอารมณ์
“ข้าไม่ได้อยากรู้จักเจ้า และข้าเป็นผู้ชาย” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างหงุดหงิดและเดินจากมาปล่อยให้ร่างสูงโปร่งยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นต่อไป
จิวชงหยวนกลับมาห้องมองคนที่อยู่ภายในห้องเขาอย่างแปลกใจ แม่นางซือเยว่ที่ไม่รู้ว่ามารอเขานานเท่าไรแล้ว
“มีธุระอันใดกับข้าในเวลานี้” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบเก็บความขุ่นมัวไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย
“ลู่เฟยบอกข้าว่าเจ้าคือคนรักของเขา แต่ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าเป็นชายข้ามิได้ตาบอดและชายกับชายจะรักกันได้อย่างไร เจ้าว่าจริงไหม” นางรินน้ำชาในห้องเขาดื่มอย่างถือวิสาสะและเงยหน้าสบตาเขาอย่างท้าทาย
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าแม่นางซือเยว่” จิวชงหยวนเอ่ยถามโดยไม่ได้ขยับออกจากหน้าประตู
“ไยจะไม่เกี่ยวก็ในเมื่อจอมยุทธลู่เฟยจะมาเป็นสามีของข้า” คำกล่าวของแม่นางซือเยว่ทำให้จิวชงหยวนขมวดคิ้วมุ่น ไม่คิดว่าผู้หญิงสมัยนี้จะไร้ยางอายเช่นนี้ หนีมากจากพวกลูกหลานขุนนางในวังหลวงที่อยากเป็นชายาลู่เฟย นี่มาเป็นจอมยุทธยังอยากมีคนอยากจับไปเป็นสามีอีก น่าเหนื่อยใจดีไหม
“อะไรทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนั้น”
“เสน่ห์ของข้า รูปร่างของข้าและความเก่งกาจของข้า” ความเยินยอตัวเองของแม่นางซือเยว่ทำให้เขามองอย่างอึ้งๆ ก่อนจะขำออกมาอย่างตลกแม้จะหนักหน่วงในอกและหงุดหงิดใจ ทว่าพอได้ยินคำมั่นใจของนางแล้วกลับรู้สึกขบขันไม่น้อย
“ซือเยว่เจ้าจะคิดเช่นไรก็เรื่องของเจ้า แต่หากจะดีเจ้ากลับไปมองคันฉ่องดูตัวเองอีกครั้งเถิด เวลานี้ข้าต้องการพักผ่อนเพราะฉะนั้น เชิญ!”
“เจ้า!” นางมองเขาอย่างขัดใจ ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาเหมือนจะไม่ยอมแพ้ ใบหน้าสวยเชิดขึ้นอย่างถือดีอีกทั้งมองเขาเหมือนเศษขยะไม่ควรค่าแก่การเจรจาอีกต่อไป
พรึบ!
และไม่คาดคิดเข็มเงินสิบเล่มพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็ว จิวชงหยวนตีลังกาหลบมองอสรพิษที่คิดจะฉกเขาอย่างเจ็บใจ นางเหมือนมารร้ายที่ไม่ควรช่วยเหลือ นางเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ
“ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวรยุทธ” คำถามของนางไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเพราะเขาเก็บลมปราณไว้อย่างมิดชิด หากไม่เก่งกาจจริงๆ คงไม่รู้ว่าเขามีวรยุทธ
“ชาวนากับงูเห่าที่เลี้ยงไม่เชื่องข้าควรทำเช่นไรดีนะ” จิวชงหยวนกล่าวเสียงเย็นมองร่างระหงที่ไม่ได้หวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย รอยยิ้มหวานแสยะยิ้มอย่างน่าขยะแขยงรูปร่างงดงามแต่จิตใจกลับมืดบอด คนเราดูที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ แล้วนี่ลู่เฟยหายไปไหนถึงปล่อยให้มารร้ายเข้ามาในห้องเขาได้
“ไม่มีใครช่วยเจ้าหรอก ลู่เฟยนอนรอข้าอยู่ในห้อง ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างสบายๆ” น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของนางทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ กิริยาท่าทางของนางตอนนี้ทำให้เขานึกออกแล้วว่านางเป็นผู้ใด ซือเยว่น้องสาวของประมุขพรรคหมื่นพิษที่มีชื่อเสียงด้านการเอาแต่ใจและเชี่ยวชาญการใช้พิษ ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ทำให้เขารู้ว่าช่วยคนผิดคิดจนตัวตายเสียแล้ว...
ขอบคุณมากจ้า จุ๊บๆ
