เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)  (อ่าน 197246 ครั้ง)

ออฟไลน์ JY_JRB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #30 เมื่อ28-08-2015 13:34:56 »

เย๊เย๊  หลิงฟาง มาเล้าเป็ดแล้ว อิอิ ตามมา นั่งชูป้ายไฟจ้า 5555+

(ตั้งแต่ธัญวลัย เด็กดี เฟซบุ๊ค ยันเล้าเป็ด)   :katai2-1:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #31 เมื่อ29-08-2015 05:08:09 »

 :mew1:

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 17
ปกป้องรัชทายาท
   

           เช้าวันใหม่ ขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทก็เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งใหม่ จิวชงหยวนเริ่มขี่ม้าเป็นมากขึ้น ใบหน้างดงามยามนี้อ้าปากหาววอดๆ เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน เนื่องจากองค์รัชทายาทตัวดีชวนเขาเล่นหมากล้อมตลอดทั้งคืน แต่นั่นทำให้รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งมองการไกลไปหลายขั้นเพราะการจับวางตัวหมากแต่ละตัวล้วนคิดอย่างถ้วนถี่ ใบหน้าหล่อคมคายขมวดคิ้วมุ่นทุกครั้งที่เขาจับวาง ยิ่งหมากดำกับขาวถูกปิดล้อมกันและกัน ต่างยิ่งใช้เวลาคิดนานมากขึ้นเท่านั้น การเล่นที่สูสีไปมาและไม่มีใครยอมใครทำให้ต่างจ้องมองหมากกระดานเขม็งหวังจะให้มันหายไปสักตัวจะได้จบเกมเร็วๆ
    “ง่วงนอนขนาดนี้เจ้าจะไม่รักษาคนป่วย จ่ายยาให้ผิดหรือ” เสียงคนที่ควบม้ามาวิ่งเยาะๆ ข้างกายทำให้จิวชงหยวนหลุดจากภวังค์หันมามองคนที่ยิ้มขำมาให้ นอนก็ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเหมือนกันแต่ลั่วเหยียนเจิ้งกลับไม่มีวี่แววจะง่วงนอนเหมือนเขาเลยสักนิด พวกนั้นเอาตาไปไว้ไหนกันถึงคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นคนขี้โรคอ่อนแอ นี่มันพยัคฆ์ซ่อนเล็บชัดๆ เจ้าเล่ห์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลยสักนิด
    “หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องเป็นความผิดของท่านพี่แล้วพะยะค่ะ” คำเรียกขานที่เปลี่ยนไปเพราะคำสั่งแกมบังคับของคนข้างตัวทำให้ต้องจำใจเรียกตาม ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มองไปอย่างกล่าวโทษ ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มหวานมาให้พร้อมคำพูดที่ชวนให้ขนหัวลุก
    “ที่ข้าทำให้เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนนะหรือ” จิวชงหยวนมองคนพูดอะไรไม่คิดตาขวาง มองดูรอบกายก็เห็นแต่พวกทหารก้มหน้าหลบตา แต่เชื่อเถอะว่าได้ยินกันเต็มสองหูนั่นแหละ
    “ท่านกำลังทำให้คนอื่นเข้าใจข้าผิดนะ”
    “ข้าพูดผิดตรงไหน ก็เมื่อคืนข้าทำให้เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนจริงๆ นี่” น้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาพราวระยับและริมฝีปากยกยิ้มนี่ทำให้จิวชงหยวนเท้ากระตุกอยู่หลายครั้ง เมื่อรู้ว่าเถียงไปก็เปล่าประโยชน์จึงแกล้งเมินเฉยกระตุกม้าให้วิ่งเร็วขึ้นโดยมีเสียงหัวเราะตามหลังมาอย่างขบขัน
     สนุกเข้าไป...อย่าให้ถึงคราวเขานะจะแกล้งคืนเสียให้เข็ด
    ยิ่งมุ่งหน้าออกนอกเมืองเท่าไหร่ก็เจอแต่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ได้เจริญมากนัก การเป็นอยู่พออยู่พอกินในหมู่บ้านมีการปลูกข้าวทำไร่ไปตามอัธยาศัย จิวชงหยวนได้แวะรักษาคนในหมู่บ้านไปตามที่เห็นสมควร ในแต่ละหมู่บ้านใช้เวลาไปไม่เกินสองชั่วยามเท่านั้น เพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ การเดินทางราบรื่นกว่าที่คิดไว้ทหารไม่ได้มีมากมาย แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเข้ามาคิดสังหารองค์รัชทายาทเลย ทว่าบางครั้งก็จับสัญญาณชีวิตที่ห่างไกลออกไปได้ แต่เพียงไม่นานก็เลือนหายไปเป็นอยู่เช่นนี้สองวันแล้ว จนอดแปลกใจไม่ได้เพราะตอนเขาร่วมเดินทางกับลู่เฟยนักฆ่าตามล่าตลอดสามวันสามคืนจนแทบไม่มีเวลาพัก
    อาหารกลางวันเป็นแบบเรียบง่าย ซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งก็กินโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรที่มันหรูหราอย่างที่เคยเป็น และนี่ทำให้จิวชงหยวนรู้จักองค์รัชทายาทมากขึ้น แม้จะดูเป็นคนอ่อนแอในสายตาคนอื่น แต่กลับไม่ปริปากบ่นว่าเหนื่อยระหว่างทางแม้แต่น้อย องค์รักษ์ที่ติดตามนั้นก็ปิดปากเงียบเหมือนไม่ได้เอาปากมาด้วย ทว่าแค่มองตาเจ้านายกลับรับรู้ความต้องการ
    หลังจากกินข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้ว จิวชงหยวนจึงออกมาเดินเล่นตามลำธารระหว่างผ่านทาง มือเรียววักน้ำล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื้นและความง่วงงุนให้หายไป วันนี้ลู่เฟยกลับวังหลวงตามที่บอกไว้จริงๆ ดวงตาเรียวมองเงาตัวเองในน้ำอย่างครุ่นคิด เขารู้สึกใจหายที่ลู่เฟยกลับวังหลวงอาจเป็นเพราะอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน อีกทั้งลู่เฟยเป็นคนเดียวที่เขารู้จักและสนิทสนมด้วย แต่ตอนนี้มองไปทางไหนมีแต่คนที่ไม่คุ้นเคย 
    ...คงต้องทำใจให้ชินอีกครั้งสินะ
    “คิดถึงลู่เฟยอยู่หรือ” คำถามดังมาจากเบื้องหลังทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง ใบหน้าหล่อคมคายนั้นมองเขานิ่งๆ เหมือนจะจ้องลึกเข้าไปในใจ เขายกยิ้มออกมานิดๆ เพราะไม่ว่าจะจ้องให้พรุนไปทั้งตัวก็คงไม่ได้คำตอบที่ต้องการหรอก และก็ไม่ได้แปลกใจที่องค์รัชทายาทจะรู้ว่าลู่เฟยปลอมตัวมาก็เจ้าตัวปล่อยรังสีอำมหิตมาขนาดนั้นไม่รู้ก็คงไม่มีชีวิตมายืนอยู่ตรงนี้แล้วล่ะ
    “ตาสีสนิมของท่านพี่คงจะฝ้าฟาง เดี๋ยวข้าจัดยาให้ชุดหนึ่งนะพะยะค่ะ อ้อ เดี๋ยวเพิ่มยาแก้เพ้อเจ้อให้ด้วย” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนแล้วหันไปส่งยิ้มให้องค์รัชทายาทที่ยกยิ้มมุมปากมองเขาเหมือนท้าทายนิดๆ
     “ฮึ เจ้าไม่ต้องเขินข้าหรอกน้องสะใภ้คนงาม” บอกพร้อมหันหลังเดินตัวปลิวจากไป ปล่อยให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างคาดไม่ถึง
    “ให้ตายสิ พี่น้องกันจะเหมือนกันไปถึงไหน เฮอะ ฝากไว้ก่อนเถอะจะคิดทบต้นทบดอกทั้งพี่ทั้งน้องเลย” จิวชงหยวนได้แต่บ่นงึมงำคนเดียวอย่างขัดใจ ก่อนจะเดินตามร่างของรัชทายาทไปเพื่อออกเดินทางต่อ
    ขบวนเสด็จของรัชทายาทเดินทางไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบเร่งเช่นเคย แม้บางครั้งจะเหมือนมีสิ่งผิดปกติ แต่เพียงไม่ถึงก้านธูปก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง จนกระทั่งเดินเส้นทางป่าไผ่ที่มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น
    สวบ สวบ...
    “ปกป้ององค์รัชทายาท”
    เสียงร้องตะโกนของซือหมิงองค์รักษ์ของลั่วเหยียนเจิ้งตะโกนดังขึ้น ทหารที่ติดตามเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางตั้งล้อมเป็นค่ายกลอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนตกอยู่กลุ่มกลางของค่ายกลกับองค์รัชทายาทซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ามองรอบกายนิ่งๆ
    พรึบ!
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ชายชุดดำนับสิบคนพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ทว่าฝีมือทหารที่ติดตามนับว่าไม่ธรรมดา การตั้งรับตอบโต้รวดเร็วและทรงพลังเหมือนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จิวชงหยวนมองดูการต่อสู้อย่างสนใจเพราะคิดไม่ถึงว่าทหารที่ติดตามมานั้นมีความเร็วและฝีมือไม่แพ้พวกนักฆ่า มิน่าล่ะทำไมขบวนองค์รัชทายาทถึงมีทหารเพียงแค่ยี่สิบห้าคนเท่านั้น
    พรึบ!
    จิวชงหยวนเอนหลังราบกับหลังม้าหลบคมกระบี่ที่พุ่งเป้ามาทางตน ก่อนจะใช้เท้าเตะนักฆ่าผู้หนึ่งออกห่างจากตัว หันไปมององค์รัชทายาทก็มีนักฆ่าพุ่งเข้าโจมตีไม่ต่างไปจากตน นักฆ่าจากมีเพียงสิบเพิ่มขึ้นมาเกือบครึ่งร้อย
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
    จิวชงหยวนเรียกกำไลในมือเปลี่ยนเป็นกระบี่ต้านรับ เพราะมันแห่มามากเกินไปอีกทั้งทหารที่ส่วนมากหันไปคุ้มครองลั่วเหยียนเจิ้ง เขาจำต้องปกป้องตัวเอง ดวงตาเรียวเหลือบมององค์รัชทายาทนิดหนึ่งแม้อยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็อยากเห็นฝีมือลั่วเหยียนเจิ้งเช่นกัน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    “นี่พวกเจ้าแห่กันมาทั้งสำนักเลยหรือไง” จิวชงหยวนบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด แม้จะเคยฆ่าคนมาบ้างแต่ว่าจิตใจเขาก็ยังไม่กล้าแกร่งพอที่จะฆ่าคนเป็นดั่งผักปลาเช่นนี้ แต่ไม่ฆ่าก็อาจจะเป็นตนที่ถูกฆ่าเช่นกัน
    “เจ้าได้กระบี่มาจากไหนกัน” ลั่วเหยียนเจิ้งที่เข้ามาช่วยจิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “มันใช่เวลามาถามไหมนี่” จิวชงหยวนหันไปตอบอย่างหงุดหงิด ก่อนจะจะใช้เท้าถีบนักฆ่าผู้หนึ่งกระเด็นไปไกล
    “จริงของเจ้า แต่จบนี่ค่อยถามแล้วกัน” คำถามเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้จิวชงหยวนหันไปมองพร้อมรับคมกระบี่ของนักฆ่าไปด้วย
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    “ก่อนจะถาม รอดจากนี่ไปได้ก่อนเถอะ”
    “จริงด้วย งั้นมาแข่งกันว่าข้ากับเจ้า ใครจะฆ่าพวกสวะนี่ได้มากกว่ากัน” สีหน้าและน้ำเสียงนึกสนุกของอีกฝ่ายทำให้จิวชงหยวนหันมามองค้อนตาแทบคว้ำ
    “ไม่ ข้าเป็นหมอไม่ใช่นักฆ่า” บอกกลับอย่างหงุดหงิด ก่อนจะตวัดคมกระบี่เข้ากลางอกของนักฆ่าที่พุ่งมาด้วยความเร็ว
    “ฮึ หากข้าไม่เห็นกับตาก็คงจะเชื่อในสิ่งที่เจ้าบอก” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตวัดกระบี่เข้าหาร่างนักฆ่าที่หลุดรอดมาถึงตน
    การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างทหารที่ตั้งค่ายกลน่านฟ้า แต่จำนวนนักฆ่ามีมากกว่าที่คิดทำให้หลุดรอดไปถึงสองคนผู้มีความสำคัญของแผ่นดิน ทว่าเมื่อเห็นการต่อสู้ของทั้งคู่กลับทำให้ทหารหายห่วงไปบ้างและตั้งหน้าตั้งตากำจัดศัตรูอย่างไม่ลังเลอีก
    ฉัวะ!!
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    การต่อสู้กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยามจนในที่สุดนักฆ่าที่เหลือเพียงหยิบมือก็เร้นกายหายไป ทิ้งเพียงศพนักฆ่าที่เกลื่อนกลาดกับต้นไผ่ที่ถูกตัดขาดกินพื้นที่ไปหลายเมตร
    “ท่านหมอมีทหารเราบาดเจ็บหนัก ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ขอรับ” ทหารผู้หนึ่งเข้ามาหาถามจิวชงหยวนด้วยความกังวลเนื่องจากอาการของสหายผู้นั้นเข้าขั้นหนักเพราะกระบี่เสียบทะลุกลางอก
    “พาข้าไปดู” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมเดินไปหยิบถุงย่ามที่ตกอยู่ไม่ไกลตามออกไป ส่วนม้าที่เคยขี่หลังจากเขาลงจากม้าก็ไม่รู้ว่าพวกมันหนีไปไหน เพราะไม่ถนัดในการต่อสู้บนหลังม้าเลยลงจากหลังมันมา เพราะเพียงแค่ขี่เฉยๆ ก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว ดีแต่ว่าเขาสะพายถุงย่ามนี้ไว้และตกหล่นตอนต่อสู้ สายตาเรียวมองทหารคนอื่นที่บาดเจ็บไปไม่น้อย จิวชงหยวนรีบรุดมายังทหารผู้ที่นอนกระอักโลหิตออกมาหัวใจที่เต้นแผ่วเบา ใบหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือดที่กลางอกมีกระบี่เล่มหนึ่งเสียบคาอยู่ หากดึงออกเลือดคงได้ทะลักออกหมดตัวแน่
    “ต้มน้ำให้ข้าด่วน” หันไปบอกทหารที่บาดเจ็บไม่มากซึ่งก็รีบทำตามอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนจับดูบาดแผลตามที่อื่นๆ แต่ไม่โดนจุดสำคัญนอกจากกระบี่กลางอก ก่อนจะรีบสกัดจุดห้ามเลือดให้อีกฝ่าย เสียงหัวใจที่แผ่วเบาทำให้เขารู้สึกใจหายไม่น้อย มือเรียวล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบยาฟื้นกำลังภายในหนึ่งเม็ดยัดใส่ปากคนเจ็บ หันไปมองคนก่อไฟแล้วรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่เร็วทันใจกว่าน้ำจะเดือดให้เขาได้คนไข้ได้ตายก่อนพอดี
    “ไม่ต้องต้มแล้วเอากาน้ำมานี่” ทหารผู้นั้นก็รีบเอามาให้ด้วยความเร็วแม้จะงุนงงไม่เข้าใจคำสั่งก็ตาม จิวชงหยวนรับนำกาน้ำมาก่อนจะใช้ลมปราณร้อนแช่น้ำให้เดือด จากนั้นจึงดึงกระบี่ออกจากอกและดำเนินการผ่าตัดเย็บบาดแผลให้ทหารผู้นี้อย่างรวดเร็ว เพราะลมหายใจที่แผ่วเบาจะชักช้ากว่านี้ไม่ได้ ทุกขั้นตอนนั้นดูแปลกประหลาดสำหรับทหารที่เฝ้ามอง
    ลั่วเหยียนเจิ้งมองดูน้องสะใภ้ด้วยความสนใจ ทุกอย่างในตัวของจิวชงหยวนล้วนดึงดูดให้ค้นหาและการรักษาที่ดูแปลกประหลาด แต่ทุกขั้นตอนเจ้าตัวกลับทำคล่องแคล่วชำนาญ ทหารรอบกายตอนนี้บาดเจ็บกันถ้วนหน้าเพียงแต่ทหารผู้เยาว์ที่อายุน้อยกว่าเพื่อนเท่านั้นที่บาดเจ็บหนัก
    “ฝ่าบาทให้กระหม่อมทำแผลให้ก่อนไหมพะยะค่ะ” ซือหมิงองค์รักษ์ฝ่ายขวาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงอาภรณ์สีขาวเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต
    “ข้าไม่เป็นไร เจ้าเองก็ไปทำแผลเถอะ” บอกด้วยเสียงเรียบดวงตาคมมองไปที่ร่างโปร่งที่ช่วยทหารของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดูจากภายนอกเป็นเหมือนคุณชายที่ทำอะไรไม่เป็น ทว่าเมื่ออยู่ด้วยกลับมีสิ่งให้แปลกใจอยู่บ่อยครั้ง เขาสงสัยว่าน้องชายตนไปรู้จักกับจิวชงหยวนหมอเทวดาผู้นี้ได้เช่นไร
    “ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” จิวชงหยวนหันไปบอกเหล่าทหารที่ล้อมวงกันอยู่ไม่ห่าง ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก จิวชงหยวนยิ้มบางให้กับกลุ่มทหารที่รักใคร่กันดี ก่อนจะช่วยทำแผลให้ทหารคนอื่นๆ ซึ่งก็มีบาดเจ็บถูกอวัยวะสำคัญไปหลายคนแต่เพราะความอดทนอดกลั้นทำให้ไม่มีใครปริปากบ่นสักคน หากเขาไม่ใช่หมอที่มีความสามารถฟังเสียงการเต้นจังหวะของหัวใจป่านนี้คงได้ตายเพราะบาดแผลติดเชื้อกันเป็นแถวแน่ๆ อีกทั้งโดนพิษกันถ้วนหน้ายังไม่มีใครแสดงอาการเจ็บปวดของตัวเองออกมา
    “นี่ยาแก้พิษ พวกเจ้าเอาไปกินกันคนละเม็ด” จิวชงหยวนยื่นขวดแก้วที่บรรจุยาไว้สามสิบเม็ดให้ทหารนำไปแจกจ่ายกัน
    “ท่าน ทำไมรู้ว่าพวกข้าโดนพิษ” ทหารผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความทึ้ง รับยามาถือด้วยความปิติ
    “ข้าเป็นหมอไง รีบกินซะก่อนที่มันจะกระจายไปทั่วร่าง” บอกพร้อมลุกขึ้นเดินไปหาองค์รัชทายาทที่นั่งอยู่บนขอนไม้
    “แผลท่านเป็นไงบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามเมื่อเข้ามาใกล้ ลั่วเหยียนเจิ้งเงยหน้ามองคนที่ยืนค้ำหัวตนนิดหนึ่งแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “เจ้าเป็นหมอไม่ใช่หรือ น่าจะรู้อาการข้าดีนี่” จิวชงหยวนส่ายหน้ากับคนกวนประสาท บาดแผลไม่ใช่น้อยๆ แต่กลับทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรือว่าปล่อยให้ตายไปดี
    “ถอดเสื้อ”
    “หืม เจ้าไม่กลัวสามีเจ้ามาฆ่าข้าหรือไง” คำถามหยอกเย้าทว่ากลับถอดเสื้อออกให้อย่างว่าง่าย จิวชงหยวนส่ายหน้ากับคนกวนประสาท แผลกลางหลังลึกและยาวไม่น้อย จึงรีบจัดการรักษาบาดแผลให้
    “ซี๊ดดด เจ้าจะฆ่าข้าหรือไง” เสียงบ่นดังเป็นระยะๆ ขณะที่เขาราดเหล้าชั้นดีลงแผ่นหลัง จิวชงหยวนกระตุกยิ้มอย่างชอบในที่สุดก็ได้เอาคืนองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์หลังจากโดนเย้าแหย่มาทั้งวัน
    “ข้าทำแผลให้ท่าน เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า” บอกด้วยเสียงเรียบ ทว่าใบหน้ากลับยกยิ้มชอบใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงครางแผ่วๆ ของอีกฝ่าย
    “ฮึ  คิดว่าข้าไม่รู้หรือไงว่าเจ้ากำลังแกล้งข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวอย่างหงุดหงิดที่ถูกเอาคืน ก่อนจะสวมเสื้อกลับเหมือนเดิมเมื่ออีกฝ่ายทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมคายยกยิ้มหวานเมื่อมองร่างโปร่งบางซึ่งก็มีบาดแผลเช่นกัน
    “ชงหยวนน้องรัก เดี๋ยวพี่ทำแผลให้เจ้าดีหรือไม่” จิวชงหยวนหันไปเจอรอยยิ้มสุดสยองของรัชทายาทแล้วส่ายหน้าทันที
    “ไม่...ไม่ต้อง ข้าทำเองได้” บอกพร้อมรีบถอยห่างไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้องค์รัชทายาทมองตามอย่างขัดใจ จิวชงหยวนยกยิ้มบางเรื่องอะไรจะปล่อยให้โดนแกล้งคืนเล่า
    หลังจากจัดการรักษาบาดแผลให้ทุกคนหมดแล้ว ไม่นานม้าที่กระเจิงหายไปกลับวิ่งมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินเสียงหวีดจากกวงไห่องค์รักษ์ฝ่ายซ้าย เพียงไม่นานทหารที่บาดเจ็บก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังที่ปลอดภัยกว่านี้ อีกอย่างตรงนี้มีแต่ศพของนักฆ่าทำให้ไม่เหมาะกับการตั้งกระโจมพัก
     และครั้งนี้การเดินทางจึงเร่งให้เร็วขึ้น เพื่อจะให้ถึงค่ายทหารก่อนกำหนดเนื่องจากนักฆ่าเหล่านั้นได้หอบคนมาอีกครั้งและทหารยังได้รับบาดเจ็บ จิวชงหยวนจึงได้ออกแรงมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่เช่นนั้นคนไข้ของเขาอาจจะตายเพราะแผลฉีกขาด ทว่าการเดินทางในครั้งนี้ทำให้จิวชงหยวนอดคิดถึงลู่เฟยครั้นที่ได้เจอกันพร้อมพยายามหนีนักฆ่าด้วยกันตลอดสามวันสามคืนไม่ได้
    จิวชงหยวนเงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย แม้วันนี้จะเหนื่อยมามากและยังมีงานวุ่นวายตลอดทั้งวัน ทว่าในใจเขาทำไมรู้สึกเหงาใจเช่นนี้ ความรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ทว่าขณะนั้นใบหน้าของคนที่จากไปเมื่อเช้ากลับลอยอยู่เหนือสายตา ดวงตาเรียวเบิกกว้างก่อนจะสะบัดศีรษะไปมา ใบหน้าแดงระเรื่อก่อนจะพึมพำกับตัวเองด้วยความตกใจ
    “อย่าบอกนะว่าคิดถึงลู่เฟย”



ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 18
ค่ายทหาร
   

           บ่ายวันต่อมาขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทก็มาถึงค่ายชายแดน จิวชงหยวนได้เดินสำรวจค่ายทหารด้วยความสนใจ จากนั้นจึงตั้งโต๊ะตรวจอาการทหารที่เจ็บป่วยไปตามหน้าที่ซึ่งทหารที่นี่ไม่ได้มีโรคร้ายแรงอะไรนอกจากเป็นไข้หวัดธรรมดา
    “ท่านหมอจิวขอรับ ม้าที่คอกกำลังคลอดลูกแต่มันคลอดไม่ได้ขอรับ” ทหารผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหาขณะที่ตรวจรักษาคนไข้ภายในค่าย จิวชงหยวนเงยหน้าหันไปมองทหารที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยความมึนงง
    “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า” เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
    “เอ่อ...ก็ท่านเป็นหมอเทวดานี่ขอรับ เผื่อท่านจะช่วยมันได้” ทหารผู้นั้นตอบกลับด้วยความหวังสายตามองมาอย่างเว้าวอน ซึ่งก็ทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปเล็กน้อย สรุปเขาต้องไปทำคลอดให้ม้าใช่ไหม
    “ท่านหมอจิวขอรับช่วยมันหน่อยนะขอรับ มันเป็นม้าพันธุ์ดีหากเสียมันไปไม่รู้อีกกี่ปีที่จะตั้งท้องใหม่” ทหารอีกคนที่ยืนรอรักษาไข้หวัดกล่าวขอร้องด้วยอีกคน และทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างหันมามองด้วยสายตาวิงวอน จิวชงหยวนมองตามแล้วถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ก็เขาไม่ใช่สัตว์แพทย์จะได้ทำเรื่องพวกนี้ได้
    “ก็ได้ข้าจะลองดู แต่ข้าไม่รับรองความปลอดภัยของพวกมันนะ” จิวชงหยวนบอกอย่างจำยอมก่อนจะเดินไปที่คอกม้าทหารที่อยู่ไกลออกไปเป็นครึ่งลี้ ซึ่งมาถึงเขาก็เห็นม้าสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งเดินรอบคอกม้าเล็กของตัวเอง ทว่าทางช่องคลอดของมันมีลูกม้าโผล่มาแล้วครึ่งตัว มันเดินไปมาก่อนจะล้มตัวนอนและร้องไปมาคล้ายกับทรมาน ยิ่งเห็นคนเดินเข้ามาหามันยิ่งดูแตกตื่นจนต้องหยุดมองมันนิ่งๆ
    “คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกลับไปให้หมด” จิวชงหยวนหันไปบอกทหารที่มาเฝ้าดูการคลอดลูกม้า ก่อนจะหันไปบอกทหารผู้ไปตามเขามา
    “ส่วนเจ้าไปหาผ้าสะอาดมาคอยเช็ดตัวให้ลูกม้า อีกไม่นานมันจะคลอดแล้วล่ะ”
    “ขอรับ”
    จิวชงหยวนมองดูอาการของม้าสักพักก่อนจะเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น แม่ม้าตัวนั้นพยายามหันมาข่มขู่แต่ด้วยความเจ็บปวดท้องมาเป็นเวลานานจึงเพียงแค่ผงกหัวขึ้นมาเท่านั้น จิวชงหยวนเดินไปทางหางม้าซึ่งมีลูกม้าโผล่หัวกับลำตัวมาแล้วครึ่งตัว จึงช่วยโดยการดึงมันออกมาทั้งตัว จากนั้นก็ลอกคราบรกที่ติดกับลูกม้าออกอย่างระมัดระวัง ส่วนแม่ม้าได้แต่ผงกหัวมองด้วยความเหนื่อยล้าแต่มันเป็นผลดีสำหรับเขาเพราะหากมันยังแข็งแรงคงโดนดีดออกจากคอกม้าแน่  จิวชงหยวนช่วยตัดสายสะดือออกจากลูกม้าแล้วรับผ้าขาวสะอาดมาเช็ดตามลำตัวลูกม้าให้แห้ง
    “ต่อไปคงจัดการเองได้นะ” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนหันไปสั่งทหารที่ตอบรับอย่างแข่งขัน จิวชงหยวนมองม้าแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะมันไม่ได้เป็นอะไรมากแค่คลอดยากกว่าปกติเท่านั้นเอง ร่างโปร่งเดินไปล้างมือจากทหารที่เตรียมน้ำไว้ให้ ก่อนจะเดินกลับกระโจมที่พักส่วนตัวอย่างเหนื่อยล้าเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ช่วยม้าทำคลอด แม้จะให้ความรู้สึกแปลกใหม่แต่ยอมรับรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นชีวิตที่เกิดใหม่ ร่างโปร่งเดินไปนั่งโต๊ะเล็กภายในกระโจมก่อนจะจัดการรินน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหายหลังจากยุ่งมาตลอดครึ่งบ่าย
    “มาถึงก็เริ่มงานแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือ” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง
    “ข้าไม่อยากรีรอ ท่านพี่มาหาข้ามีอะไรให้ข้ารับใช้พะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับทว่ายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ร่างสูงสง่าขององค์รัชทายาทเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้มบาง
    “เปล่า แค่เอานี่มาให้เจ้า” บอกพร้อมยื่นถุงย่ามใบใหญ่มาให้ จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจก่อนจะเปิดดูถุงย่าม ซึ่งมีสมุนไพรหลากสายพันธุ์ที่หายากอยู่เต็มถุง
    “ท่านทำให้ข้าประหลาดใจอีกแล้ว” จิวชงหยวนกล่าวขึ้นวางถึงย่ามไว้บนโต๊ะเงยหน้าองค์รัชทายาทที่ยิ้มละมุม ไม่สนใจสายตาจับผิดเขาแม้แต่น้อย
    “ข้าเป็นองค์ชายขี้โรค อ่อนแอ ย่อมรู้จักสมุนไพรดีไม่ใช่หรือไง ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้มานั่งกับเจ้าตรงนี้” คำตอบที่ได้รับ จิวชงหยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจเพราะแกล้งทำเป็นป่วยจึงต้องอยู่กับยามาตลอดชีวิต
    “ท่านน่าจะไปเป็นหมอ น่าจะสบายใจกว่าเป็นองค์รัชทายาท” คำกล่าวของจิวชงหยวนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะเบาๆ อย่างขำขัน
    “จริงของเจ้า แต่ข้าคงปล่อยให้กบฏขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากเสด็จพ่อไม่ได้หรอก”
    “แต่ที่ท่านพี่ทำตัวเช่นนี้ ท่านพี่คิดจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ง่ายๆ หรือไง” จิวชงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเอือมๆ มองรัชทายาทที่ทำตัวขี้โรคอ่อนแอ แล้วอดส่ายหน้าไม่ได้แบบนี้ใครเขาจะมาสนับสนุน
    “ฮึ แล้วเจ้าคิดเห็นเช่นไรเล่า” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอ มือหนาแกว่งน้ำชาในจอกเล่นไปมา ทว่าดวงตาคมกลับมองน้องสะใภ้นิ่งๆ
    “นั่นมันก็เรื่องของท่านพี่ ข้าเป็นหมอมีหน้าที่รักษาผู้คนทั่วหล้า ไม่ใช่ที่ปรึกษาองค์รัชทายาทพะยะค่ะ”
    “เช่นนั้น เจ้าคงเป็นที่ปรึกษาลู่เฟยสินะ” จิวชงหยวนชะงักไปชั่วครู่กับคำพูดขององค์รัชทายาท ใบหน้างดงามนิ่วหน้าครุ่นคิดไปถึงลู่เฟย ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉยทว่ากลับมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเห็นและได้รู้จักกับลู่เฟยมา
    “ท่านพี่คิดเช่นนั้นหรือพะยะค่ะ แต่จากที่ข้ารู้จักลู่เฟยมา เขาไม่มีทางอยากได้ภาระที่แสนหนักอึ้งเช่นนั้นหรอกพะยะค่ะ”
    “อืม ก็จริงของเจ้า ภาระนี้มันหนักจริงๆ หากขึ้นหลังเสือก็ไม่อาจจะลงมาได้ แต่หากไม่ขึ้นไปนั่งก็จะโดนขย้ำเสียเอง อีกทั้งประชาราษฎร์คงอยู่ไม่ผาสุกเช่นเคย” คำตอบที่แสนเศร้า ทำให้จิวชงหยวนมองดวงตาคมที่ทอประกายความเหนื่อยล้าออกมา เขาเข้าใจความรู้สึกของลั่วเหยียนเจิ้งตอนนี้ดี
    “ท่านพี่ข้าได้ยินว่าที่ท้ายค่ายมีน้ำตกอยู่ไม่ไกล พาข้าไปได้หรือไม่พะยะค่ะ” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเพื่อเปลี่ยนเรื่องพูดคุย ซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งก็พยักหน้ารับใบหน้าคมคายยิ้มบางก่อนจะลุกขึ้นนำทางไปยังน้ำตกท้ายค่ายทหาร ความมัวหมองภายในใจจึงถูกกลบหายไปเมื่อทั้งคู่ไปถึงธารน้ำตก
    จิวชงหยวนยิ้มดีใจที่น้ำตกแห่งนี้งดงามกว่าที่คิดไว้ ร่างโปร่งวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ แม้เวลานี้จะพลบค่ำแต่กลับไม่ได้ลดความงามของน้ำตกเลย มือเรียววักน้ำล้างหน้าด้วยความสดชื้น ก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าอาบน้ำเพราะไม่ได้อาบมาตั้งแต่เมื่อวาน
    “นั่นเจ้าจะทำอะไร” มือที่กำลังถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกหยุดชะงักหันกลับไปมองคนทักแล้วยิ้มบางเพราะลืมไปสนิทว่ามีคนมาด้วย    
    “อาบน้ำไง ข้าไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ” บอกพร้อมจัดการถอดชุดต่อ โดยที่ลั่วเหยียนเจิ้งตื่นตะลึงมองร่างโปร่งบางที่กำลังถอดชุดออกโดยไม่สนใจตนแม้แต่น้อย
    “นี่เจ้ากำลังยั่วข้าอยู่หรือไง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขำเมื่อสติกลับมาแล้ว เนื่องจากตนไม่เคยเห็นใครมาทำกิริยาแบบนี้ต่อหน้ามาก่อน
    จิวชงหยวนชะงักกับคำกล่าวของลั่วเหยียนเจิ้ง ก่อนจะหันกลับมามององค์รัชทายาทเต็มตา
    “ข้าว่าท่านนั่นแหละโรคจิตที่มามองข้าอาบน้ำ” คำตอบกลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนร่างโปร่งบางทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ตื่นตะลึงคาดไม่ถึง จากที่ให้เขาเป็นคนพามาตอนนี้กลับกลายเป็นคนโรคจิตเสียแล้ว
    “ฮึ เจ้านี่ช่างแปลกคน ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าน้องข้าไปเก็บเจ้ามาจากไหน” ลั่วเหยียนเจิ้งที่โดนกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตก็ทำหน้าด้านหน้ามึนเดินไปนั่งโขดหิน ดวงตาคมมองคนที่จะอาบน้ำอย่างท้าทาย
    เมื่อเห็นเช่นนั้นอารมณ์อยากเล่นน้ำของจิวชงหยวนจึงหมดไป กอดอกมองคนหน้าด้านหน้ามึนแล้วส่ายหน้า
    “ข้าแปลกตรงไหน ข้าออกจะนิสัยดี” ตอบกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สากับสายตาที่มองมาอย่างเอือมๆ ขององค์รัชทายาท
    “เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกินนะสิ”
    “ขอบพระทัยที่ชมพะยะค่ะ” จิวชงหยวนตอบรับมุขอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ยกมือคารวะจนคนแอบกัดได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆ จิวชงหยวนนิสัยคล้ายตนอยู่หลายส่วนทำให้รู้ทันกันและกัน หากเปรียบเทียบก็เหมือนมีเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน เพียงแต่เสืออย่างเขานึกเอ็นดูเสือตัวน้อยแสนซนอย่างจิวชงหยวนเท่านั้น

    ณ หุบเขาอู่อี้ซานซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรคเทพจันทรา ภายในห้องบัญชาการตอนนี้ร่างสูงสง่าของหย่งเจิ้นกำลังยืนเอามือไพล่หลังหันไปมองนอกหน้าต่างฟังการรายงานเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
    “เจ้าแน่ใจหรือ”
    “ขอรับท่านประมุข คราแรกข้าคลาดกับท่านหมอผู้นั้นที่พรรคหยกขาว แต่หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ข้าได้ยินข่าวจะพวกนักฆ่าว่าหมอผู้นั้นร่วมเดินทางไปกับองค์ชายห้าแคว้นลั่วหยาง และไม่นานมานี้ข่าวว่าหมอผู้นั้นเดินทางรักษาคนของแคว้นลั่วหยางขอรับ”
    “จิวชงหยวนมีความสัมพันธ์อะไรกับแคว้นลั่ว” หย่งเจิ้งเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับครุ่นคิดอย่างหนัก เขาติดตามข่าวของจิวชงหยวนมานานนับเดือนแล้วแต่ไม่มีอะไรคืบหน้า
   “ขออภัยท่านประมุข ข่าวนี้ยังไม่แน่ชัดขอรับ”
    “อืม เจ้าไปเถอะ” หย่งเจิ้งบอกเสียงเรียบก่อนที่เงาร่างนั้นจะเลือนหายไป แม้จะไม่ได้ข่าวที่ต้องการชัดเจน แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเพราะข่าวเกี่ยวกับหมอเทวดาจิวชงหยวนล้วนไม่ได้ข่าวที่ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงจะรู้ว่าหมอเทวดาตัวจริงอยู่ที่ใด แม้เวลานี้พรรคพิราบแดงจะประกาศก้องว่าหมอเทวดาอยู่กับตนก็ตามแต่ใช่ว่าจะมีพรรคพิราบแดงเท่านั้น พรรคธรรมะและอธรรมต่างอ้างว่าตนมีหมอเทวดาอยู่ในพรรคทั้งนั้น บ้างก็อ้างว่าเป็นศิษย์สายตรงของหมอเทวดาจิวชงหยวน และเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาสนใจเท่ากับจิวชงหยวนผู้ที่เขารู้จัก
    “หรือจะเป็นหมอเทวดาตัวจริง” หย่งเจิ้นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งม้วนใส่ขานกพิราบสื่อสารแล้วปล่อยให้มันไปยังจุดหมาย
    
   ทางด้านคนที่หย่งเจิ้นต้องการตามหาตัวอยู่นั้นกำลังนั่งตั้งวงเล่นลูกเต๋ากับเหล่าทหารกล้า เสียงพูดคุยกันเบาๆ เพราะกลัวว่าองค์รัชทายาทจะรู้ว่ามีการแอบตั้งการพนัน เพราะแค่หมอเทวดามาปรากฏตัวก็ทำให้พวกเขาขวัญผวาแล้ว ดีแต่ว่าหมอจิวผู้นี้มานั่งเล่นด้วย
    “ว้าว ข้าชนะ” จิวชงหยวนบอกอย่างอารมณ์ดีรวบเก็บเงินที่ได้จากการเล่นลูกเต๋าด้วยสีหน้ารื่นเริง เหล่าทหารที่สูญเสียเงินได้แต่มองอย่างสลดเพราะไม่รู้ต่อกี่ครั้งหมอเทวดาผู้นี้ก็ชนะขาดลอย
    “ข้าขอแก้ตัวขอรับ” ทหารร่างยักษ์ผู้หนึ่งกล่าวด้วยสายตามมาดมั่น เพื่อนร่วมวงมองตามด้วยความลุ้นเพราะคืนนี้พวกเขาเอาเบี้ยมาเล่นจนเกือบหมดตัวแล้ว
    “ได้สิ” จิวชงหยวนเงยหน้ามองแล้วฉีกยิ้มหวานที่ทำให้คนมองรู้สึกสยอง มือเรียวยื่นมือไปคว้าลูกเต๋ากับกระบอกไม้ไผ่มาเป็นเจ้ามือเอง
    “ใครอยากลงก็เชิญเดี๋ยวข้าจะเป็นเจ้ามือให้” จิวชงหยวนบอกพร้อมเอาลูกเต๋าสามเม็ดเขย่าๆ ในกระบอกไม้ไผ่ก่อนจะคว่ำลงกับพื้นด้วยความเร็ว
    “สูงขอรับ” ทหารผู้นั้นกล่าวอย่างมั่นใจพร้อมวางเบี้ยเลี้ยงทั้งเดือนของตนลงไปอย่างมั่นใจ จิวชงหยวนฉีกยิ้มระรื้น หันไปมองรอบวงก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นกลัวแม้แต่น้อย ทว่าทหารที่มองตามสายตากลับแตกตื่นคุกเขาลงด้วยความเร็ว
    “เจ้าคงว่างมากสินะหยวนน้อย” น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นแลดูอ่อนโยนกว่าปกติ จิวชงหยวนเพียงแค่ยักไหล่
    “เล่นด้วยไหมพะยะค่ะ” เอ่ยถามอย่างไม่สะทกสะท้านกับความผิด ลั่วหยวนเจิ้งหัวเราะในลำคอก่อนจะบอกเสียงหนักแน่น
    “ข้ากลัวเจ้าไม่มีเบี้ยจ่ายข้านะสิหากข้าชนะมา” จิวชงหยวนยกยิ้มกับคำพูดขององค์รัชทายาทที่มีแววตาเจ้าเล่ห์มองมาแม้เพียงชั่วครู่ใช่ว่าจะรู้ไม่ทัน
    “นั่นสิพะยะค่ะ เพราะขืนข้าแพ้ขึ้นมาคงได้เป็นทาสรับใช้ไปหลายปีแน่ เอาเป็นว่าเปิดฝาแล้วกัน” บอกด้วยน้ำเสียงร่าเริงและไม่ต้องให้ใครร้องปะท้วงเขาก็เปิดฝาครอบด้วยความเร็ว ผลออกมาคือต่ำทหารผู้มั่นใจแทบอยากร้องไห้เพราะสูญเสียเบี้ยไปทั้งหมด
    “ไหนเจ้าทำเช่นนั้นเล่าข้ายังไม่ได้บอกเจ้าเลยว่าไม่เล่น” ลั่วเหยียนเจิ้งประท้วงทันทีที่อีกฝ่ายไม่ให้โอกาสเขาเล่น จิวชงหยวนหันมายิ้มก่อนจะหยิบกระบอกไม้ไผ่สองอันพร้อมลูกเต๋าหนึ่งเม็ด
    “พระองค์ต้องเล่นสิ่งนี้พะยะค่ะ” บอกพร้อมเอาลูกเต๋าใส่ในกระบอกไม้ไผ่ก่อนจะสับเปลี่ยนไปมาด้วยความเร็ว ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้องค์รัชทายาทที่กำลังจ้องเขม็งกระบอกไม้ไผ่
    “ดูดีๆ นะพะยะค่ะ ว่าลูกเต๋าอยู่กระบอกไหน” คำท้าทายของคนร่างโปร่งทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเดินมานั่งบนโต๊ะอย่างเป็นทางการโดยที่ทหารต่างหมอบคลานแอบเงยหน้ามามองด้วยความตื่นเต้น
    จิวชงหยวนฉีกยิ้มหวานให้องค์รัชทายาทที่คิดจะแกล้งเขา ก่อนจะใช้ความเร็วเพิ่มอีกเท่าตัวสับเปลี่ยนไปมาก่อนจะหยุดนิ่งให้ลั่วเหยียนเจิ้งเลือก
    “ข้าชนะจะได้อะไร” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามทว่าดวงตาคมยังจ้องกระบอกไม้ไผ่เขม็งเหมือนกลัวว่ามันจะสลายหายไปกับตาเพราะความเร็วเมื่อครู่นี้เขามองตามไม่ทันจริงๆ
    “เบี้ยอันน้อยนิดของข้าท่านพี่คงไม่อยากได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะอยู่ช่วยงานท่านสักเดือนแล้วกันพะยะค่ะ”
    “หากเจ้าชนะเล่า”
    “อย่าตามหาข้า” คำตอบหนักแน่นจริงจัง ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเงยหน้าจากกระบอกไม้ไผ่หันมามองสบกับดวงตาเรียวที่ฉายแววเด็ดขาด ความจริงก็พอจะเดาออกเหมือนกันว่าเสือน้อยตัวนี้คงไม่ยอมอยู่แค่ในกรง สักวันต้องหาทางออกไป แต่ไม่คิดว่าจะเร็วเช่นนี้ ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางนิดๆ
    “ความจริงเจ้าไม่ต้องเล่นพนันกับข้าเจ้าจะจากไปก็ไปได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่ช่างเถอะ ข้าเลือกกระบอกนี้” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกอย่างไม่ใส่ใจ เพราะไม่ว่าผลออกมาเป็นเช่นไร จิวชงหยวนก็ไม่คิดจะอยู่ลั่วหย่างอยู่ดี
    จิวชงหยวนมองใบหน้าคมคายของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างพิจารณา เพราะไม่ว่าผลเป็นเช่นไรลั่วเหยียนเจิ้งก็ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว ดีไม่ดีองค์รัชทายาทผู้นี้อาจจะดีใจที่ไม่ต้องระมัดระวังเวลาทำงานใหญ่โดยที่เขายังอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทกำลังทำอะไรอยู่ ที่เขาไม่พูดเพราะมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา มือเรียวยกกระบอกที่ถูกเปิดออกทว่ามันมีแต่ความว่างเปล่าแสดงว่าลั่วเหยียนเจิ้งแพ้การพนันในครั้งนี้ แต่แท้จริงแล้วลูกเต๋าในนี้มันถูกเขย่าจนป่นปี้เป็นผงแล้วต่างหาก
    “ข้าแพ้สินะ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้นึกเสียใจอะไรแม้แต่น้อย จิวชงหยวนส่ายหน้า
    “ก็ไม่เชิง เพียงแต่ลูกเต๋ามันกลายเป็นผงไปแล้วพะยะค่ะ” บอกพร้อมเปิดฝากระบอกอีกอันให้อีกฝ่ายดูซึ่งมันก็ว่างเปล่าเช่นกัน
    ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ใบหน้าเรียบเฉยที่มองมาของน้องสะใภ้ทำให้เขาเริ่มจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
    “เช่นนั้นก็คนละครึ่งทาง” บอกด้วยรอยยิ้มบาง จิวชงหยวนจึงยกยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันไปยื่นเบี้ยคืนให้เหล่าทหารกล้า
    “กว่าจะหามาได้ต้องแลกด้วยชีวิตหลายชีวิต เก็บไว้ให้ครอบครัวของพวกเจ้าเถอะ” บอกพร้อมลากลั่วเหยียนเจิ้งออกมาด้วยเพราะกลัวว่าจะทำโทษทหารเหล่านั้น ระหว่างทางกลับกระโจมนั้นกลับมีนกพิราบสื่อสารบินเข้ามาหาทั้งคู่ ลั่วเหยียนเจิ้งยื่นมือไปรับก่อนจะเปิดอ่านข้อความจดหมายแล้วยื่นไปให้คนร่างโปร่งด้วยรอยยิ้มล้อเลียนเล็กน้อย
    “ของเจ้า” จิวชงหยวนมองตามอย่างงงๆ แต่ก็ยอมรับมาอ่าน ลั่วเหยียนเจิ้งเดินกลับตำหนักปล่อยให้ร่างโปร่งบางยืนหน้าแดงระเรื่อเพียงคนเดียว
    “มองดูท้องฟ้ามึดครึ้มใจสั่นไหว     
    มองดูใจข้ามันร้อนรนอยู่ข้างใน
    มองดูดวงดาวพาใจข้าให้อ่อนไหว    
    ได้แต่เฝ้าคิดถึงแต่เจ้าผู้อยู่ที่แสนไกล...   
    ข้าคิดถึงเจ้าจิวชงหยวนเมียรัก”
    หลังจากอ่านจบใบหน้างดงามและใบหูก็แดงระเรื่อด้วยความอาย นี่เขาโดนจีบทางจดหมาย แม้จะดูเชยไปบ้างแต่ทำไมหัวใจเขามันพองโตเช่นนี้ มือบางกุมจดหมายที่รู้ว่ามาจากที่ใดตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองจะทำอะไรไม่ถูก ทว่าเมื่อหันไปมองผู้ที่เขาลากมาด้วยกลับไม่เห็นแม้แต่เงา แต่เมื่อคิดได้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งก็ได้อ่านข้อความนี้ยิ่งอยากแทรกแผ่นดินหนีอาย
    ร่างโปร่งบางรีบเดินกลับกระโจมที่พักด้วยความเร่งรีบ กลัวว่าจะรัชทายาทผู้ชื่นชอบการกลั่นแกล้งจะมาเย้าแหย่ให้อายไปมากกว่านี้ ได้แต่พึมพำบ่นกับคนที่ตัวไม่อยู่แต่ยังมาทำให้เขาอายอีก
    “คนบ้า”


ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่  19
ลาก่อนลั่วหยาง
    

           กาลเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนที่จิวชงหยวนได้ช่วยเหลือคนป่วยที่ค่ายทหารนอกชายแดนลั่วหยางพร้อมทั้งหมู่บ้านใกล้เคียงจนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ทว่าความดีความชอบกลับเป็นของลั่วเหยียนเจิ้งเพราะตอนนี้เขายังเป็นคนของแคว้นลั่ว และทุกครั้งที่เขาออกนอกเขตค่ายจะสวมใส่หน้ากากสีทองที่หมิงฮุยหวงให้ไว้เพื่อป้องกันปัญหาที่ตามมา นี่จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ชื่อเสียงเขาขจรไปทั่วทั้งหล้า จากที่ตั้งใจช่วยงานแค่ครึ่งเดือนทว่าคนเจ็บป่วยนั้นมีมากกว่าที่คิดทำให้อยู่ยาวนับเดือน
    จิวชงหยวนวางจดหมายลงบนโต๊ะเล็กภายในกระโจม คืนนี้เขาตัดสินใจจะออกเดินทางไปจากลั่วหยางแล้ว และที่ไม่บอกองค์รัชทายาทโดยตรงเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาจะไปที่ใด จากการที่เขาเป็นคนของวังหลวงนั้นทำให้เขาได้รู้จักความวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดีในอำนาจในวังหลวงจนน่าเอือมระอา เพราะดูได้จากพวกนักฆ่าที่แอบเข้ามาหมายปลงพระชนม์ลั่วเหยียนเจิ้งถึงในค่ายทหารและไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ทว่าหนึ่งเดือนมานี้มีนักฆ่าที่ต้องตายตกกว่ายี่สิบชีวิต และเพื่อตัดปัญหาความยุ่งยากที่จะตามมาเขาจึงตัดสินใจไปจากที่นี่
    พรึบ!
    เงาดำเร้นกายหายไปจากค่ายทหารด้วยความเร็ว จนไม่อาจมีใครรับรู้ได้ว่ายามนี้หมอเทวดาจิวชงหยวนขวัญใจค่ายทหารชายแดนได้จากไปแล้ว
    จิวชงหยวนใช้วิชาท่าเท้าล่องนพเก้าร่วมกับวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศออกจากคายทหารด้วยความเร็วป้องกันไม่ให้ใครรับรู้การหายไปของเขา นอกจากเวลาเช้าที่เขาไปไกลมากพอแล้ว ร่างโปร่งในอาภรณ์สีเขียวสดลวดลายต้นหลิว ทับด้วยเสื้อนอกสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวไปตามยอดไม้ด้วยความเร็วจนห่างไกลออกจากลั่วหยางในที่สุด    จิวชงหยวนชะลอเท้าแล้วหยุดวิ่ง หันกลับไปมองค่ายทหารที่ไกลกว่ายี่สิบลี้ด้วยสีหน้าที่อ่านได้ยาก ริมฝีปากบางเอ่ยพึมพำเบาๆ
    “ลาก่อนลั่วหยาง” เจ้าตัวพึมพำเบาๆ ก่อนจะปลดกำไลข้อมือซ้ายให้กลายเป็นกระบี่พร้อมใช้วิชาหนึ่งเดียวเปลี่ยนร่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่พุ่งทะยานหายไปทางเหนือ จิวชงหยวนไม่รู้หรอกว่าเมืองต่อไปคือเมืองอะไร แต่ที่เขาเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดจับเขาได้ ทำตัวไปมาไร้ล่องรอยเหมือนดั่งที่อาจารย์เคยทำมา
    จิวชงหยวนกลับร่างเป็นคนอีกครั้งก่อนจะเก็บกระบี่เหมือนเดิม เมื่อใกล้ถึงเมืองหนึ่งที่ยามค่ำคืนกลับมีแสงสีงดงามตา  ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปภายในเมืองอย่างไม่รีบร้อน ทว่าจิวชงหยวนไม่รู้เลยว่าตนได้สร้างเขาลือประหลาดขึ้นอีกแล้ว เนื่องจากกระบี่บินนั้นมีรัศมีสีเขียวเรืองรองบินล่อนอยู่บนฟ้าทำให้ชาวยุทธที่เดินทางอยู่ในป่าเห็นกระบี่บินมุ่งหน้ามาทางเมืองแคว้นเยี่ยทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างมุ่งเดินทางมาที่แคว้นนี้เช่นกัน
    จิวชงหยวนเดินเข้าเมืองหาโรงเตี๊ยมพักสำหรับคืนนี้เพราะออกแรงเดินทางมาไกลหลายร้อยลี้ทำให้สูญเสียลมปราณไปถึงห้าส่วน ทว่าก่อนเขาเมืองเขาได้สวมหน้ากากครึ่งหน้าสีเงินขอบดิ้นทองที่เขาซื้อตอนไปรักษาคนไข้ที่แคว้นลั่วหยาง เพราะใบหน้าเขาตอนนี้มันงดงามชวนให้ปวดหัวจึงต้องตัดปัญหาในเรื่องนี้ไปก่อน
    ร่างโปร่งล้มตัวนอนที่นอนแข็งๆ ของโรงเตี๊ยม มือเรียวยกขึ้นปิดปากที่หาวด้วยความง่วงงุน ก่อนจะถอดหน้ากากออกแล้วดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมโปงหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ตอนนี้เขาขอนอนเพื่อเก็บแรงไว้พรุ่งนี้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง ชีวิตในยุทธภพนั้นไม่ได้เรียบง่ายจึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจตลอดเวลา

    เช้าวันรุ่งขึ้นข่าวลือเรื่องกระบี่บินของเซียนกระบี่ดังไปทั่วยุทธภพ บ้างก็ใส่สีตีไข่จนหาข้อเท็จจริงไม่ได้ และข่าวลือนี้ก็ดังมาถึงแคว้นลั่วหยางเช่นกัน ตอนนี้องค์รัชทายาทลั่วเหยียนเจิ้งกำลังถือจดหมายที่ถูกทิ้งไว้ต่างหน้าด้วยดวงตาเรียบเฉย จากที่มีคนคอยให้แกล้งเย้าแหย่แก้เบื่อตอนนี้กลับรู้สึกเหงาขึ้นมาเล็กน้อยที่คนน่าสนใจได้หายจากไปแล้ว
    ‘ไม่ต้องตามหาข้าเพราะข้าคงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไกลจากแคว้นลั่วหยางมากแล้ว ข้ามีชีวิตของข้า และข้าขอเดินไปในเส้นทางที่สวรรค์กำหนด หมอเทวดาไปมาย่อมไร้ตัวตนที่ข้าอยู่กับแคว้นลั่วหยางนานถึงเพียงนั้นเพราะข้าเห็นแก่ลู่เฟย หากมีวาสนาต่อกันคงได้พบเจอ จาก จิวชงหยวนหมอเทวดา’
    นั่นคือเนื้อความในจดหมายที่เขาได้รับ กอปรกับข่าวลือกระบี่บินล่องลอยหายไปทางแคว้นเยี่ย อาจเป็นไปได้ว่าเป็นหมอเทวดาผู้นั้น เพราะจากที่รู้จักกันมาทำให้รู้ว่าจิวชงหยวนมีอะไรให้เขาประหลาดใจมากมาย น่าเสียดายที่คู่สนทนาที่ถูกใจได้จากไปแล้ว หากมีวาสนาคงได้พบเจอกันอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งมั่นใจว่าอีกไม่นานน้องชายเขาต้องพาตัวจิวชงหยวนหมอเทวดาผู้นั้นกลับมาแคว้นลั่วอีกแน่นอน
    ณ ตำหนักของพรรคเทพจันทราร่างสูงสง่าของหย่งเจิ้นกำลังนั่งจิบชาร้อนๆ ฟังข่าวลืออันแปลกประหลาดจากองค์รักษ์ฝ่ายขวาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ฝั่งตรงข้ามมีสองพี่น้องไป๋เสวี่ยกับไป๋หู่ซึ่งนั่งกินของว่างชะงักงันครุ่นคิดไปกับข่าวลือเช่นกัน สองคนนี่มาหาเขาเมื่อวันก่อนหลังที่ส่งจดหมายไปหานับเดือนแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สองคนนี้จะหาวิธีออกจากวังมาได้ง่ายๆ เพราะตอนนี้ขุนนางชั่วเป็นผู้ดูแลและตรวจตราภายในวังหลวงอย่างเคร่งคัด หากไม่มีวรยุทธล้ำเลิศคงแอบออกมาไม่ได้ และที่พวกเขายังนิ่งเฉยเพราะรู้ดีว่าขุนนางคนอื่นๆ ตอนนี้ก็อยู่ใต้เงื้อมมือของหลินกงกงหมด หากคิดล้มล้างขุนนางชั่วพวกนั้นต้องสร้างชื่อเสียงและและหากองกำลังลับๆ เพิ่มเท่านั้นและตอนนี้มันยังไม่มากพอที่จะไปต่อกรกับคนในวังหลวง
    “พวกเจ้ามีความเห็นเช่นไร” ไป๋เสวี่ยที่เงียบมานานเอ่ยถามพี่น้องด้วยสีหน้าจริงจัง
    “เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันเป็นแค่ข่าวโคมลอยเท่านั้น” ไป๋หู่เอ่ยถามพร้อมหยิบขนมกุ้ยฮวาเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ดวงตาคมมองพี่ชายทั้งสองนิ่งๆ
    “ข้าจะตามไปดูเอง หากเป็นไปได้ข้าอยากได้คนผู้นี้มาอยู่ฝ่ายเรา” หย่งเจิ้นบอกความเห็นเนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องซ่องสุมกำลังไว้เยอะๆ
    “หากมีวิชาดั่งที่ข่าวลือจริงข้ากลัวว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะพบคนผู้นั้น” ไป๋เสวี่ยออกความเห็น พัดจีบในมือขวาเคาะฝ่ามือซ้ายตัวเองเบาๆ อย่างครุ่นคิด
    “ไม่ลองก็ไม่รู้ ข้าจะไปตามหาดู พวกเจ้าก็ระวังตัวกันด้วย” หย่งเจิ้นบอกอย่างตัดสินใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นสองพี่น้องจึงได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
    “ว่าแต่พวกเจ้าได้ข่าวจิวชงหยวนคนงามผู้นั้นบ้างไหม” ไป๋หู่เอ่ยถามพร้อมยกชาขึ้นมาดื่ม
    “ได้ข่าวว่าอยู่แคว้นลั่ว แต่ไม่รู้ความสัมพันธ์” หย่งเจิ้นบอกกล่าวเสียงเรียบดวงตาคมมองคนถามนิ่งๆ
    “แต่ข้าได้ข่าวมาจิวชงหยวนผู้ที่เราเจอเป็นชายาขององค์ชายห้า แต่ข้าไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน” ไป๋เสวี่ยกล่าวขึ้นมองคนพี่น้องทั้งสองด้วยรอยยิ้มบางเป็นเอกลักษณ์
    “ชายา!” ไป๋หู่หันมาถามไป๋เสวี่ยด้วยความตกใจ หย่งเจิ้นเองก็มีสีหน้าตกใจออกมาเช่นกันแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
    “ท่านพี่แน่ใจหรือจิวชงหยวนเป็นชายา ถึงแม้จะงดงามดั่งหญิงก็เถอะ” ไป๋หู่เอ่ยถามด้วยเสียงเครียดรู้สึกของเล่นของตนกำลังตกเป็นของคนอื่นที่ไม่ได้รู้จัก
    “สายข้าบอกมาเช่นนั้น อยากรู้ความจริงคงต้องถามเจ้าตัวเอง” ไป๋เสวี่ยบอกอย่างไม่ค่อยสนใจทั้งๆ ที่เป็นคนแรกที่เครียดกับเรื่องนี้
    “ไม่แน่อาจจะไม่ใช่ เพราะจิวชงหยวนตอนนี้เกลื่อนไปทั่วยุทธภพจนไม่รู้ว่าคนไหนจิวชงหยวนตัวจริง อีกอย่างจิวชงหยวนที่เรารู้จักอาจไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ ก็ได้” หย่งเจิ้นพูดปลอบใจทั้งสอง ทว่าในใจกลับปลอบใจตัวเองเสียมากกว่าเพราะเขาเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากพี่น้องทั้งสองคน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของหัวใจจะไปบังคับผู้ใดก็คงไม่ได้
    “จริงอย่างที่เจ้าว่า แต่จากนี้ข้าคงออกจากวังหลวงยากขึ้น เจ้าเองก็ระวังตัวด้วยหย่งเจิ้น”
     ไป๋เสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่าแฝงไปด้วยความห่วงใย เมื่อเรื่องที่พูดคุยจบลงทั้งสามจึงแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ของตน หย่งเจิ้นเองก็มุ่งหน้าสู่แคว้นเยี่ยตามข่าวลือในใจได้แต่หวังว่าจะเจอกับคนที่ทำให้ใจเขาสั่นไหวอีกสักครั้ง
    
    จิวชงหยวนตื่นมาช่วงบ่ายเพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ตื่นสายถึงเพียงนี้ ทำให้เขารู้สึกสบายอารมณ์มากขึ้น มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่เขาฝันหาเลยล่ะกับการตื่นสายแม้จะน้อยครั้งที่จะได้ทำตามใจตัวเอง แต่ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปล้วนแต่เป็นความชื่นชอบของเขานั่นจึงทำให้เขาไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
    ร่างโปร่งบางหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยจึงหยิบหน้ากากสีเงินมาสวมใส่แล้วลงมาข้างล่างเพื่ออะไรกิน ขณะที่เดินไปนั่งโต๊ะว่างตามคำเชิญของเสี่ยวเอ้อเขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาม บ้างก็จริงจัง ทว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นล้วนเกี่ยวกับเขาทั้งสิ้นโดยเฉพาะเรื่องกระบี่บินตอนนี้ ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นระหว่างทางรู้อย่างนั้นเขาจะบินให้สูงกว่านี้จะได้ไม่มีคนเห็น แต่ก็อย่างว่าเวลาไม่อาจย้อนกลับไปได้ แต่ต่อให้หากันให้ตายก็ไม่ได้เจอหรอกตราบใดที่เขาไม่เผยตัวออกไป
    จิวชงหยวนสั่งอาหารมาสามอย่างพร้อมนั่งฟังชาวยุทธพูดคุยกันด้วยความสนใจ รู้สึกสนุกไปอีกแบบกับการมานั่งฟังคนอื่นนินทาตัวเอง
    “ข้าว่าเทพกระบี่อาจจะอยู่ภายในโรงเตี๊ยมก็ได้นะ” จอมยุทธชุดสีน้ำตาลกล่าวกับพวกพ้องด้วยสีหน้าจริงจัง และนั่นเป็นประเด็นให้ผู้ที่แอบฟังต่างหันมองรอบกายด้วยความสนใจและเริ่มใช้สายตาค้นหาคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเทพกระบี่
    จิวชงหยวนกำลังคีบผัดผักเข้าปากถึงกับชะงักงันเมื่อทุกสายตาต่างจ้องมาที่ตน เขามั่นใจว่าไม่ได้แสดงพิรุธอะไรออกมา แต่เหตุใดทุกคนต่างจ้องมาที่เขา
    “น้องชายเจ้าเป็นคนของพรรคใด” ชายร่างสูงผู้หนึ่งในอาภรณ์สีน้ำเงินเดินเข้ามาถามคนแรก เพราะหน้ากากสีเงินที่สวมใส่นั้นดูมีราคาค่างวดอีกทั้งในที่นี้ไม่มีใครสวมใส่หน้ากากปกปิดหน้าตาทำให้ทุกคนต่างสนใจที่ไปที่มาของอีกฝ่ายและที่แห่งนี้ส่วนมากมีแต่ชาวยุทธหากรู้สำนักจะได้รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู
    จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนที่เอ่ยถามที่มีความสูงกว่าเขาหลายสิบเซ็นต์ ใบหน้าคมคายมีรอยแผลเป็นแก้มขวาแม้คนอื่นจะดูน่ากลัวแต่สำหรับเขาแล้วมันชวนให้น่ามองเพราะหมายความว่าคนผู้นี้ผ่านเรื่องเลวร้ายและผ่านการต่อสู้มาพอสมควร พลังภายในถือว่าไม่น้อยแต่ก็ไม่มากเกินไป ดวงตาที่แข็งกร้าวมองมาเหมือนจะข่มขู่ไปในตัว ดวงตาเรียวมองดูรอบกายซึ่งดูเหมือนทุกคนจะเฝ้ารอคำตอบจากเขา มือบางล้วงเข้าไปในชายเสื้อหยิบหยกสีดำส่งให้คนที่เอ่ยถามเงียบๆ โดยไม่ได้ปริปากตอบแต่อย่างไร ความจริงไม่คิดจะใช้วิธีนี้แต่ข่าวลือเทพกระบี่อาจนำความยุ่งยากมาให้จึงอาศัยบารมีของหย่งเจิ้นไปก่อนแล้วกัน และเหมือนจะได้ผลเมื่อชายผู้นั้นก้มหน้าทำความเคารพ
    “ข้าน้อยขออภัยท่านประมุขเทพจันทราขอรับ เพื่อเป็นการชดเชยการเสียมารยาทครั้งนี้ข้าขอเลี้ยงอาหารมื้อนี้ท่านประมุขขอรับ” จิวชงหยวนเลิกคิ้วฉงนกับคำเรียกขาน ผู้ที่มีป้ายหยกถือว่าเป็นประมุขพรรคเช่นนั้นหรือ
    “ไม่ต้องข้าอยากอยู่เงียบๆ” เสียงทุ้มที่ออกหวานนิดๆ ทำให้ผู้ที่เสนอเลี้ยงข้าวเหลือบตามองด้วยความสนใจ แต่เมื่อร่างโปร่งบางไม่ได้สนใจตนจึงค้อมกายจากไปนั่งที่โต๊ะเดิมกับศิษย์น้อง
    จิวชงหยวนนั่งกินข้าวต่อแสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจผู้ใด ทว่าสายตาและหูยังฟังผู้คนที่กล่าวถึงตนแม้จะซุบซิบกันแต่สำหรับเขากลับได้ยินชัดเจน เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผู้คนไม่ได้จ้องเขาแบบข่มขู่ทว่ากลับจ้องมากกว่าเดิมในแบบที่ตนสนใจใคร่รู้ คงจะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ยิ่งปิดบังยิ่งมีคนอยากรู้
    พรึบ!
    กระบี่เล่มหนึ่งพาดเข้าที่ลำคอระหง ทุกคนต่างมองตามอย่างตื่นตระหนกทว่าคนโดนกระบี่พาดเพียงแค่เงยหน้ามองเท่านั้น
    “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแอบอ้างเป็นประมุขพรรคเทพจันทรา” น้ำเสียงหวานทว่าดุดันพร้อมที่จะเชือดคนตรงหน้าง่ายๆ ทำให้ผู้คนต่างจับจ้องมองอย่างตกใจและคาดไม่ถึงว่ามีคนอ้างตนเป็นประมุขพรรคเทพจันทราซึ่งเป็นพรรคธรรมะมีชื่อเสียงโด่งในขณะนี้
    “เจ้าเป็นใคร” จิวชงหยวนเอ่ยถามหญิงสาวในอาภรณ์สีขาวใบหน้าสวยงามแต่ก็ไม่ได้งดงามจนล่มบ้านล่มเมือง ดวงตากลมโตที่ฉายแววดุดันนั้นบ่งบอกว่าแม่นางผู้นี้รู้จักหย่งเจิ้นเป็นอย่างดี
    “อ้างตนว่าเป็นประมุขพรรคเทพจันทราไยถึงไม่รู้จักข้า” น้ำเสียงดูถูกแกมเย้ยหยัน ทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างเฉยเมย เพราะเขาเองก็ไม่ได้พูดออกมาสักคำว่าตนเป็นประมุขพรรคเทพจันทรามีแต่จอมยุทธผู้ที่เข้ามาถามเขาต่างหากที่กล่าวเองเออเอง
    “เสี่ยวหนิงเจ้าคิดจะทำอะไร” ชายในอาภรณ์สีดำปรากฏตัวพร้อมด้วยน้ำเสียงดุดัน มือหนาดึงร่างบางออกห่างจากจิวชงหยวนก่อนจะหันมาทำความเคารพร่างโปร่งบางที่ตนตามหามานาน
    “ขออภัยท่านจิวชงหยวนที่ศิษย์น้องข้าเสียมารยาทต่อท่าน” จิวชงหยวนมองคนที่เข้ามาใหม่ แล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
    “เจ้าคลาดกับข้าไปสองเดือนยังมาตามข้าเจอ สงสัยฝีมือข้าคงอ่อนด้อยลง” จิวชงหยวนแสร้งเย้าแหย่ชายชุดดำเพราะคนผู้นี้เป็นผู้ที่ติดตามเขาช่วงที่เข้าเมืองหางโจวใหม่ๆ และคลาดกับเขาตอนที่หนีออกจากพรรคหยกขาวมา
    “ศิษย์พี่นี่หมายความเช่นไร” เสี่ยวหนิงเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดใจ ดวงตากลมโตมองผู้ที่ศิษย์พี่ก้มหัวให้อย่างไม่พอใจ
    “ฝีมือท่านล้ำเลิศ หากท่านไม่ยอมปรากฏตัวเองเห็นทีคราวนี้หัวข้าน้อยคงหลุดจากบ่า” ตงไห่กล่าวตอบยกมือคาราวะอย่างนอบน้อมโดยไม่คิดจะหันไปตอบศิษย์น้องที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
    “หย่งเจิ้นคงอยู่แถวนี้สินะ” จิวชงหยวนไม่ได้สนใจสายตากินเลือดกินเนื้อของแม่นางเสี่ยวหนิง แต่เอ่ยถามหาคนที่ไม่ได้เจอมานานสองเดือน ท่าทางคงจะหงุดหงิดน่าดูที่เขาหนีผู้ติดตามของตนไปได้
    “ท่านประมุขกำลังเดินทางมาอีกสองวันจะมาถึงที่นี่ และข้าน้อยขอร้องท่านโปรดรอท่านประมุขอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ขอรับ อีกอย่างเมืองนี้มีเทศกาลหยวนเซียวในวันรุ่งขึ้น ท่านคงมีอะไรเล่นแก้เบื่อได้” จิวชงหยวนเงยหน้ามองตงไห่ที่เป็นองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายของหย่งเจิ้นอย่างพิจารณา ใบหน้าแม้จะไม่ได้หล่อเหลามากมายแต่กลับมีเสน่ห์ที่ใฝ่ใต้ตาซ้าย
    “ย่อมได้” จิวชงหยวนกล่าวตอบเพราะไม่ได้เสียเวลาอะไรมากมายเพราะเขาไม่ได้มีจุดมุ่งหมายไปที่ใดอยู่แล้วนอกจากเดินทางไปเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างการได้เจอคนรู้จักอีกครั้งอาจทำให้ชีวิตเขารู้สึกสนุกขึ้นบ้างก็ได้
    “ศิษย์พี่หมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ” แม่นางเสี่ยวหนิงหันไปเขย่าแขนตงไห่พร้อมเอ่ยถามอย่างมึนงง
    “เจ้ากลับไปได้แล้วเสี่ยวหนิง” ตงไห่สั่งพร้อมส่งสายตาดุดันไปให้นาง ซึ่งเสี่ยวหนิงเองก็เหมือนจะหวาดกลัวไม่น้อยเพราะปล่อยแขนแล้วยอมถอยออกไปอย่างว่าง่าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ชาวยุทธมองตามด้วยความสนใจนั้นเลิกใส่ใจก่อนจะหันไปพูดคุยเรื่องเซียนกระบี่กันอีกครั้ง
    “นั่งลงก่อนสิ เจ้าชื่อตงไห่สินะ” จิวชงหยวนกล่าวชวนเพราะโดนขัดจังหวะกินข้าวไปสองครั้งแล้ว และดูเหมือนตงไห่จะเป็นเพื่อนกินข้าวได้ดีเพราะเจ้าตัวนั่งลงตรงข้ามอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันไปสั่งอาหารมาเพิ่ม
    “ท่านหายไปที่ใดมาขอรับ” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนคีบเนื้อปลาเข้าปากช้าๆ เมื่อกลืนหมดแล้วจึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
    “เจ้าน่าจะรู้ข่าวข้านี่”
    “เป็นท่านจริงๆ สินะขอรับท่านหมอหน้ากากทอง” น้ำเสียงเรียบเฉยที่กล่าวขึ้นมาทำให้จิวชงหยวนหัวเราะเบาๆ เพราะตอนนี้ชื่อเสียงเขามันเยอะจนไม่รู้จะเอาฉายาไหนมาใช้ดี และเขามั่นใจว่าตงไห่ตามข่าวเขามาโดยตลอด รู้สึกเหมือนตัวเองมีสโตกเกอร์ตามอย่างไรอย่างนั้น
    “นั่นอะไรอ่ะ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอาหารที่ขึ้นโต๊ะมาใหม่หลังจากเสี่ยวเอ้อนำมาเสิร์ฟ ดวงตาเรียวมองอาหารตรงหน้าด้วยสนใจ
    “ไชเท้าทรงเครื่องทอดขอรับ” ตงไห่บอกด้วยรอยยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นแววตาสนอกสนใจของคนร่างโปร่งบางก่อนจะคีบอาหารตรงหน้าใส่ถ้วยให้จิวชงหยวนลองชิมดู
    จิวชงหยวนไม่ได้ปฏิเสธอาหารที่ถูกคีบมาให้ก่อนจะลองคีบใส่ปากด้วยความสนใจ
    “อร่อย” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งตงไห่เองก็ยกจานอาหารนั้นมาวางไว้ให้ตรงหน้า ก่อนจะยกข้าวอบหม้อดินซี่โครงหมูเต้าซี่มาลองให้ชิมดูบ้าง อาหารแปลกๆ ที่ไม่เคยได้กินทำให้เจ้าตัวกินไปยิ้มไปอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สังเกตดวงตาคมของคนที่ตักอาหารให้แปรเปลี่ยนไปจากเดิม
     ความน่ารักของคนตรงหน้าทำให้ตงไห่แอบมองอยู่หลายครั้ง เขาไม่ได้แปลกใจเลยว่าทำไมประมุขพรรคต้องการตามหาตัว แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกผิด ผิดที่เผลอใจหวั่นไหวกับคนงามตรงหน้า



ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 20
เป็นชายต้องเที่ยวหอนาง?โลม
    

           จิวชงหยวนใช้เวลาครึ่งบ่ายไปกับนอกเมืองที่มีแต่ผู้ยากไร้และขอทานที่นอนเจ็บกันเกลื่อนกลาดเพราะโดนทำร้ายระหว่างไปขอทาน บ้างก็โดนทำร้ายตอนที่ไปขโมยหมั่นโถวมาปะทังชีวิต ตอนนี้เขาช่วยรักษาคนเหล่านี้ด้วยความมุ่งมั่นและรู้สึกสงสารไม่ได้ แต่หมอเทวดาที่ยากจนเช่นเขาจะช่วยเหลือคนร่วมสามสิบคนก็ไม่ไหว ได้แต่ช่วยยืดชีวิตของพวกเขาไว้เท่านั้น แต่ที่ทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจคือเด็กๆ ที่ควรมีอนาคตสดใสแต่กลับผอมแห้งดวงตาไร้แววร่าเริง
    ใบหน้างดงามภายใต้หน้ากากครึ่งหน้าบัดนี้มีเหงื่อไหลออกมาด้วยความเหนื่อยและร้อน ผ้าเช็ดหน้าผืนสีน้ำเงินเข้มถูกยื่นมาเช็ดให้ จิวชงหยวนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะสองมือกำลังวุ่นวายกับการทำแผลให้ชายร่างผอมโซ
    “พักก่อนไหมขอรับ” ตงไห่ที่ติดตามมาด้วยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ออกจากโรงเตี๊ยมมาและเจอขอทานเหล่านี้จิวชงหยวนก็ยังไม่ได้พักเหนื่อยเลย
    “ไม่เป็นไรใกล้เสร็จแล้ว” จิวชงหยวนบอกโดยไม่ได้หันไปมองหน้าคนที่ติดตามมา หลังจากช่วยทำแผลให้คนสุดท้ายแล้วจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ดวงตาเรียวมองรอบกายแม้จะทุกคนจะได้รับการรักษาอย่างดีหมดแล้วแต่สภาพความเป็นอยู่เป็นได้ว่าอาจจะติดเชื้อ แต่จะให้เขาช่วยให้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ยากเกินตัวเพราะเขาไม่ใช่คุณชายจากที่ใด ทว่าขณะนั้นก็เห็นเด็กๆ พากันวิ่งเข้ามาและบอกว่าท่านนางฟ้ามาแล้ว จากนั้นทุกคนต่างมีสีหน้าดีใจจนจิวชงหยวนมองตามอย่างแปลกใจ
    “ใครมากันหรือท่านท่านลุง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่เขาทำแผลให้ล่าสุด
    “พวกข้าก็ไม่รู้หรอก เพียงแต่เขาจะมาให้อาหารที่นี่เดือนละครั้งขอรับ แค่กๆ” ลุงผู้นั้นบอกพร้อมไอออกมาจนตัวโยน จิวชงหยวนยื่นยาให้และบอกเวลากินก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังที่เด็กๆ ล้อมอยู่ เขาเห็นเพียงแต่ร่างสูงสง่าที่หันหลังอยู่เท่านั้น
    อาหารมากมายถูกจับแจกให้รวมทั้งเครื่องนุ่งห่มที่เจ้าตัวหอบมาด้วย ทว่าสิ่งที่ทำให้จิวชงหยวนสนใจนั้นคือบรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาซึ่งมันไม่เข้ากับเจ้าตัวที่พยายามแจกจ่ายข้าวของให้ผู้ยากไร้นี้เลย ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อคนผู้นั้นหันมามอง ใบหน้านิ่งเฉยดวงตาเรียบนิ่งทว่าดวงตาเรียวสวยที่มองมานั้นทำให้เขารู้สึกตื้นเต้นเพราะไม่เคยเห็นผู้ชายที่สวยสะดุดตาเช่นนี้มาก่อน ทำไมเขารู้ว่าเป็นชายเพราะรูปร่างที่สูงสง่าอีกทั้งร่างกายดูแข็งแรง    ก่อนจะยิ้มค้างเมื่อร่างนั้นไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
    “ตงไห่ ข้ารู้สึกหน้าแตกอ่ะ” จิวชงหยวนหันไปฟ้องคนข้างตัวซึ่งก็มองคนสวยนิ่งๆ เช่นกัน ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
     “นั่นคือหลิ่วเหวินอี้บุตรคนที่สี่ของนิกายมารฟ้า ไม่แปลกหรอกขอรับที่เขาจะไม่สนใจท่าน เพราะจากที่ข่าวลือมีมาหลิ่วเหวินอี้แทบพูดนับคำได้อีกอย่างไม่เคยมีใครเห็นรอยยิ้มเขาหรอกขอรับ” คำอธิบายของคนข้างตัวทำให้จิวชงหยวนหันกลับไปมองสนใจอีกครั้ง นี่เขากำลังเจอของหายากหรือไง น่าสนใจ จิวชงหยวนยิ้มรับและเดินเข้าไปหาร่างสูงสง่าแต่งามบาดใจด้วยความสนใจเหมือนเห็นของเล่นชิ้นใหม่
    หลิ่วเหวินอี้รู้สึกขนกายลุกชันอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะเงยหน้าเหลือบตามองคนร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีเขียวอ่อนซึ่งสวมหน้ากากสีเงินอีกครั้ง เขารู้ว่ามีคนมองแต่กลับไม่ได้สนใจทว่าดวงตาพราวระยับของอีกฝ่ายทำให้สัญชาติญาณร้องเตือนว่าคนผู้นี้อันตราย
    “ข้ามีนามว่าชงหยวนแซ่จิวเป็นหมอที่ผ่านมาแถวนี้ น้องชายคือคุณชายหลิ่วเหวินอี้ใช่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มทว่าใบหน้าเรียบนิ่งของคนสวยเพียงแค่ปลายตามองก่อนจะหยิบเสื้อผ้าให้เด็กชายที่เกาะเอวอยู่ข้างตัวอย่างไม่สนใจ จิวชงหยวนยิ้มแหยเพราะไม่เคยรู้สึกเสียหน้าเท่าครั้งนี้มาก่อน
    “นี่ตงไห่ฝ่ายมารหยิ่งอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า” จิวชงหยวนหันไปเอ่ยถามคนข้างตัวที่สีหน้าเรียบเฉย ทว่าคำถามเขาไม่พ้นคนสวยได้ยินไปด้วย
    “เปล่าขอรับ หากเป็นคนอื่นคงยกกระบี่ไล่ฟันท่านไปแล้ว” ตงไห่บอกด้วยรอยยิ้มบาง เมื่อเห็นสีหน้าของท่านหมอคนงาม
    หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองคนทั้งคู่อีกครั้งก่อนจะผละออกจากเด็กๆ เพราะหมดธุระกับที่นี่แล้ว ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อร่างโปร่งบางเข้ามาขวางทางตน
    “นี่อย่าเพิ่งไปสิ คุยกับข้าก่อน” จิวชงหยวนพุ่งกายมาขวางหลิ่วเหวินอี้ไว้แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจ เพราะกิริยาของคนตรงหน้าทำให้เขาสนใจจริงๆ เป็นฝ่ายมารแต่กลับใจดีกว่าที่เห็นภายนอก ทว่าร่างสูงสง่าของอีกฝ่ายกลับเดินผ่านเขาไปด้วยความเฉยเมย
    จิวชงหยวนอ้าปากค้างอีกครั้ง เย็นชาเกินไปแล้วนะ ได้แต่คิดอย่างหงุดหงิดก่อนจะออกตัวไปขวางทางอีกฝ่ายไว้อีกครั้งโดยที่ตงไห่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากยืนมองนิ่งๆ
    “นี่ข้าแค่อยากคุยด้วยเฉยๆ ไม่ได้คิดจะฆ่าเจ้าสักหน่อย”
    “แม้โฉมหน้ายังต้องปิดบัง ข้าจะหาความจริงใจจากเจ้าได้เช่นไร” คำถามนั้นเรียบเฉยทว่ามันนุ่มทุ้มน่าฟัง ใบหน้าและดวงตานั้นเรียบสนิทจนอ่านใจไม่ออก แต่ไม่ใช่เขาซึ่งเป็นหมอที่พอจะรู้ว่าคนตรงหน้าต้องเจอเรื่องโหดร้ายมาเยอะไม่เช่นนั้นคงไม่เย็นชาเช่นนี้
    “ข้าถอดหน้ากากออกแล้วจะคุยกับข้าไหม” เอ่ยถามด้วยความหวัง เพราะเขาต้องการจะคุยกับคนตรงหน้าจริงๆ เกี่ยวกับขอทานน้อยและพวกยากไร้สามสิบชีวิตในเวลานี้
    หลิ่วเหวินอี้มองคนร่างโปร่งบางนิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ แม้สัญชาติญาณบอกว่าคนตรงหน้าอันตรายแต่ไม่รู้ทำไมใจเขารู้สึกไว้ใจคนตรงหน้าได้ อาจเป็นเพราะว่าคนผู้นี้ช่วยรักษาเด็กๆ ขอทานไว้ก็ได้
    จิวชงหยวนยิ้มรับอย่างยินดีก่อนจะถอดหน้ากากสีเงินออก ซึ่งก็ทำให้หลิ่วเหวินอี้ตะลึงงันไปเช่นกันเพราะคนตรงหน้างดงามเหมือนผู้หญิงใบหน้าหวานๆ นั้นทำให้สะดุดตา เขานึกว่าชาตินี้มีแต่ตนที่หน้าตาออกหญิง แต่คนตรงหน้ากลับทำให้ความรู้สึกมั่นใจตัวเองกลับคืนมาเพราะอย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ได้โหดร้ายกับเขาเพียงคนเดียว
    และคนที่ตะลึงค้างเพิ่มอีกคนก็คือตงไห่ที่จ้องมองจิวชงหยวนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ถึงแม้จะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งแต่เมื่อได้มาเห็นใกล้ๆ เช่นนี้กลับทำให้หัวใจเต้นแรงมากขึ้น
    หลังจากที่หลิ่วเหวินอี้ยอมคุยด้วย จิวชงยวนจึงพามาที่โรงน้ำชาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่นอกเมือง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาหลงจิ่งทำให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดครึ่งบ่ายดีขึ้น ทว่าคุณชายหน้าสวยเพียงแค่นั่งนิ่งๆ ไม่คิดแตะต้องชาร้อนๆ ตรงหน้าสักนิด
    “ที่ข้าอยากคุยกับเจ้าเพราะเรื่องของขอทานพวกนั้น จากที่พวกนั้นบอกข้าว่าเจ้ามาส่งอาหารและของใช้ให้เดือนละครั้ง” จิวชงหยวนเกริ่นออกมาเล็กน้อย มองคนหน้านิ่งที่ขมวดคิ้วเป็นปมมองเขานิ่งๆ
    “ข้าช่วยเท่าที่ช่วยได้ นอกเหนือจากนี้คงไม่ได้” คำปฏิเสธอย่างไม่เสียเวลาคิดทำให้จิวชงหยวนสำลักน้ำชาจนร้อนไปถึงตงไห่ที่รีบหาผ้ามาเช็ดหน้าให้ จิวชงหยวนรับผ้ามาเช็ดเองแล้วยืดนั่งตัวตรงหรี่สายตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้งแล้วเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
    “นี่เจ้าไม่คิดหน่อยหรือ”
    “ข้าคิดดีแล้ว อีกอย่างข้าอยู่ฝ่ายมารหากเจ้ายังจำได้” น้ำเสียงเรียบเฉยและแววตาที่มองมาทำให้จิวชงหยวนนิ่งไป ก็จริงดั่งที่หลิ่วเหวินอี้กล่าวมาแต่ใช่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นเหมือนคนฝ่ายมารทั่วไป เพราะดูแปลกแยกจากฝ่ายมารที่เขาได้รู้จัก
    “ฝ่ายมารแต่เจ้าไม่ใช่เป็นคนเลือก แม้เจ้าจะเลือกเกิดไม่ได้แต่เจ้าเลือกที่จะทำได้” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบและมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เพื่อค้นหาความจริงในแววตาที่ว่างเปล่าของอีกฝ่าย
    หลิ่วเหวินอี้รู้สึกอึ้งไปดวงตานิ่งๆ ของจิวชงหยวนเวลานี้กำลังทำให้เขารู้สึกกลัว เพราะคนตรงหน้าเหมือนจะอ่านความคิดเขาออกซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนหากเป็นไปได้เขาไม่อยากจะยุ่งกับคนมีชื่อเสียงขจรไกลเช่นนี้เพราะมันจะนำพาความยุ่งยากมาสู่ตัวเขาเอง
    “หากมีธุระเพียงแค่นี้ข้าขอตัว” บอกเพียงเท่านั้นก่อนจะหันหลังจากไปโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก จิวชงหยวนเองก็ปล่อยให้จากไปโดยไม่คิดจะยื้อไว้อีกเพราะจากที่ดูเหมือนหลิ่วเหวินอี้ยังมีปมบางอย่างอยู่ภายในใจ
    “ท่านจะปล่อยเขาไปหรือ” ตงไห่ที่นั่งอยู่ด้วยเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เวลานี้จิวชงหยวนนิ่งเงียบจนไม่กล้าที่จะรบกวน
    “หลิ่วเหวินอี้ไม่ชอบให้ใครมาบงการ หากเขาจะทำก็จะทำเองแต่หากไม่ ต่อให้ไปร้องขอก็ไม่มีประโยชน์อะไร” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบหลังจากวิเคราะห์นิสัยคนสวยที่เย็นชาไม่สนใจผู้ใด มาคิดอีกทีพวกขอทานกับคนยากไร้นั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี เพราะไม่ว่าอย่างไรหมอเทวดาเช่นเขาที่ต้องเดินทางไปทั่วหล้าจะไปดูแลใครได้ และหากได้ช่วยเหลือครั้งนี้แล้วครั้งต่อไปเขาไม่ต้องได้ยื่นมือไปช่วยเหลืออีกหรือไง
    “แล้วท่านจะทำเช่นไรต่อไปขอรับ” จิวชงหยวนหันมามองคนถามแล้วตอบเสียงเรียบ แม้ฟังดูอาจจะเลือดเย็นแต่นี่คือชีวิตจริงที่พวกเขาต้องก้าวข้ามไปด้วยตัวเอง
    “แล้วแต่บุญวาสนา ข้ามีหน้าที่รักษาคนไข้ไม่ได้มีหน้าที่ชุปเลี้ยงพวกเขา”

    เทศกาลหยวนเซียวยามค่ำคืนประดับด้วยโคมไฟงดงามจับตา และเป็นภาพที่หาดูได้ยากในยุคสมัยที่เขาเคยอยู่ จิวชงหยวนเดินเที่ยวเล่นในงานด้วยความสนใจ มือเรียวถือพัดจีบที่ซื้อจากร้านสาวสวยซึ่งผ่านมาชั่วครู่ ใบหน้างดงามยังบดบังด้วยหน้ากากสีเงินอาภรณ์สีขาวงดงามสะดุดตาเพราะเป็นชุดที่ลู่เฟยนำมาให้ตอนอยู่ภายในวังหลวง ดวงตาเรียวสอกส่องมองรอบกายด้วยความร่าเริงก่อนจะแสยะยิ้มออกมานิดๆ เมื่อเห็นว่าร้านข้างหน้าคือสิ่งใด
    “ท่านจะไปไหนขอรับ” จิวชงหยวนชะงักมองคนขัดขวางความแปลกใจ
    “เจ้าถามแปลก ข้าเป็นชาย ตรงหน้ามีหอนางโลมข้าคงมาซื้อผ้ากลับโรงเตี๊ยมมั้ง”
    “ไม่ได้ขอรับ” น้ำเสียงหนักแน่นและดวงตาจริงจังของตงไห่ทำให้จิวชงหยวนหรี่ตามอง ก่อนจะมองผ่านไปยังหอโคมแดงซึ่งมีหญิงงามต่างยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าประตู แม้เขาไม่ได้เจ้าชู้แต่ใช่ว่าจะไม่เคยหาความสุขใส่ตัว
    “เจ้ามีลูกมีเมียแล้วไม่ต้องเข้ามากับข้าก็ได้นะ” บอกพร้อมพลิ้วกายหลบเดินผ่านเข้าไปหอโคมแดง ปล่อยให้ตงไห่ยืนหน้าแดงอยู่หน้าหอก่อนจะจำใจเดินตามเข้า
    “ข้าเปล่ามีลูกมีเมียนะขอรับ ข้าแค่คิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับท่าน” ตงไห่ที่ตามเข้าทันเอ่ยบอกคนร่างโปร่งบางด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
    “คุณชาย เชิญทางนี้เจ้าค่ะ วันนี้คุณชายโชคดีมากเลยนะเจ้าค่ะที่ได้มีการแสดงชุดใหม่ขึ้น” หญิงงามร่างอรชรเข้ามาต้อนรับพร้อมเบียดอกอวบกับแขนจิวชงหยวนอย่างยั่วยวน ตงไห่เองก็มีหญิงงามล้อมหน้าล้อมหลังไม่ต่างกัน
    “งั้นหรือ” จิวชงหยวนยิ้มรับบางๆ ก่อนจะไปนั่งตามที่คนงามพาไป ดวงตาเรียวกวาดมองไปรอบห้องก่อนจะสะดุดกับร่างโปร่งบางของชายหนุ่มห้าคนที่ยืนร้องเต้นรำอยู่กลางเวที
    “มีนางโลมชายด้วยหรือ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “ขอรับ ส่วนมากก็เป็นคนยากไร้ที่พ่อแม่นำมาขายขอรับ” คำตอบที่ได้ทำให้จิวชงหยวนกลืนน้ำลายลงด้วยความขมขืน ชีวิตที่พบเห็นช่างแปลกใหม่และไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย แต่หมอยาจกเช่นเขาจะไปช่วยเหลือผู้ใดได้นอกจากช่วยรักษาผู้คนไปตามมีตามเกิดเท่านั้น
    “คุณชายเจ้าขาดื่มเหล้าดีของหอเราหน่อยสิเจ้าค่ะ” หญิงสาวสองนางหันมากอดแขนออดอ้อน ดวงตาหวานมองอย่างเชิญชวนอีกทั้งมือเล็กบางพยายามจะเข้าถอดหน้ากากจนต้องหยุดมือนั้นไว้
    “พวกเจ้าไปตามนายโลมมาให้ข้าคนหนึ่งสิ”
    “ท่านหมอ!” เสียงเรียกตกใจของตงไห่ไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนสนใจ ดวงตาเรียวมองไปด้านเวทีซึ่งมีการเต้นและรำกระบี่อย่างงดงาม ส่วนหญิงงามที่ได้ยินคำสั่งเช่นนั้นได้แต่เดินจากไปอย่างไม่พอใจ
    “ท่านคิดจะทำอะไรขอรับ ข้าว่ากลับกันดีกว่าที่นี่ไม่เหมาะกับท่าน” จิวชงหยวนหันไปมองคนเอ่ยชวนแล้วยกยิ้มบาง ก่อนจะแกล้วแหย่คนหน้าแดงด้วยความอาย
    “สาวงามอยู่ข้างกาย สุรานารีพร้อมเช่นนี้เจ้าจะห่วงข้าทำไมเล่า ข้าก็อยากมีความสุขของข้าเช่นกันนี่”
    “ท่าน!”
    “ฮึๆ” จิวชงหยวนหัวเราะในลำคออย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของตงไห่ ความจริงเขาไม่ได้พิศมัยพวกนายโลมหรอกเพียงแต่รู้สึกแปลกๆ กับที่นี่เท่านั้นเอง
    “นายท่านมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ” เสียงนุ่มทุ้มที่เอ่ยทักพร้อมร่างโปร่งบางทว่าสูงกว่าเขาไปกว่าสิบเซ็นต์ทำให้จิวชงหยวนต้องเงยหน้ามอง ใบหน้างดงามชวนมองไม่น้อยผิวกายขาวผ่องทว่าหากสังเกตให้ดีคือดวงตาที่พราวระยับแม้เพียงชั่วครู่แต่เขากลับมองได้ชัดเจน
    “มานั่งข้างๆ สิ” บอกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคนร่างสูงกว่าตนก็มานั่งข้างกายอย่างเอาใจทว่ามันนั่งชิดจนแทบจะเกยตักกันแล้ว ตงไห่ได้แต่มองตามอย่างไม่พอใจหากท่านประมุขรู้เข้างานนี้คงไม่ได้ตายดีแน่
    จิวชงหยวนเหลือบตามองที่แนบชิดอย่างนิ่งๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็รินน้ำจันฑ์ให้อย่างเอาใจพร้อมแนะนำไปด้วย
    “ข้าน้อยเจียนเจียน ไม่ทราบว่านายท่านมีนามว่าอะไรหรือขอรับ” น้ำเสียงนุ้มทุ้มพร้อมดวงตาหวานที่ยั่วยวนอย่างพองามทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “ข้าจิวชงหยวน” เจียนเจียนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มบางอีกครั้ง
    “นามของท่านช่างไพเราะน่ะขอรับ” จิวชงหยวนหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับคำกล่าวนั้นจะบอกว่าชื่อของเหลาโหลก็บอกมาดีๆ เถอะ
    “เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ” เอ่ยถามพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แววตาที่ซ่อนความจริงไว้ในใจ
    “นายท่าน” เสียงเรียกแผ่วหวานใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอายตอนนี้ร่างสองร่างแนบชิดจนห่างแค่ฝ่ามือเท่านั้น ตงไห่ที่มองตามอยู่ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจเพราะไม่มีสิทธ์อะไรไปสั่งห้ามอีกอย่างนายตนก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับหมอเทวดาผู้นี้
    “เจียนเจียนข้าเป็นหมอคงจมูกดีเกินไปที่ได้กลิ่นยาสลบจากตัวเจ้า” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มหวานที่เคลือบยาพิษเช่นเดียวกับคนที่กำลังหลอกล่อเหยื่อให้ติดกับซึ่งกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์พอๆ กัน
    “หากเป็นเช่นนั้นเชิญที่ห้องดีไหมขอรับ” เจียนเจียนกระซิบบอกข้างหู จิวชงหยวนยกยิ้มรับอย่างท้าทาย เพราะคนผู้นี้จิ้มเข็มพิษลงมาที่ฝ่ามือเขาเรียบร้อยแล้ว
    “จะรอช้าอยู่ไยล่ะ” บอกพร้อมยกแขนขึ้นคล้องคอคนงาม ไม่ใช่เขาสนใจไยดีนายโลมผู้นี้หรอกเพียงแต่พิษนี้หากก้าวเดินสิบเก้าจะสลบไปทันที และร่างกายเขาเป็นพวกต้านพิษหากแสดงออกมาเขาก็ไม่รู้ความจริงนะสิ ใบหน้าหวานภายใต้หน้ากากแสยะยิ้มที่มุมปากทว่าไม่มีใครมองเห็น ตงไห่ได้แต่นั่งนิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความช็อก คนงามที่ประมุขเฝ้าตามหากำลังเข้าหอลงโรงกับผู้อื่นไปเสียแล้ว




ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 21
หอกิเลน
    

           ตุบ!
    ผัวะ!!
    จิวชงหยวนพลิกตัวตีลังกาขยับปลายเท้ากลับมายืนที่พื้นด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงห้องพักซึ่งไว้ให้แขกหลับนอนที่นี่โดยเฉพาะ หลังจากที่ประตูห้องปิดลงเจียนเจียนก็เริ่มลงมือกับเขาทันที
   “แหมๆ เจ้ารับแขกเช่นนี้เองหรือเจียนเจียน” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มยั่ว ทว่าคนงามตรงหน้าไม่ได้ทำหน้ายิ้มรับแขกอีกแล้วนอกจากจิตสังหารที่ส่งออกมา ใบหน้างามหงุดหงิดไม่น้อยที่เขาสามารถหลบการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้
    “สำหรับหัวที่มีค่าของเจ้า ข้าก็ต้องต้อนรับให้สมน้ำสมเนื้อ” เจียนเจียนกล่าวตอบมุมปากยกยิ้มนิดๆ เหมือนเห็นหน้าเขาเป็นกองเงินกองทองอย่างไรอย่างนั้น
    “ข้านี่นะมีค่าหัว” จิวชงหยวนเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ทว่านายโลมคนงามตรงหน้ากลับยกยิ้มพร้อมมีดสั้นปรากฏที่มือขวาแล้วพุ่งเข้ามาหาแทนคำตอบ
    ฟิววว
    พรึบ
    จิวชงหยวนเอี้ยวตัวหลบด้วยความเร็วพร้อมพัดในมือปัดป่ายมีดสั้นที่พุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิต ความเร็ว ดุดันของคนตรงหน้าบ่งบอกได้ว่าถูกฝึกมาอย่างดี
    เคร้ง!
    พัดไม้ที่เปาะบางรับได้ห้ากระบวนท่าก็หักลง ตอนนี้จิวชงหยวนได้แต่พลิ้วกายหลบไปหลบมามองเศษพัดในมืออย่างเสียดายนิดๆ
    “นี่เจียนเจียน เจ้าทำพัดข้าพังเจ้าต้องรับผิดชอบด้วย” น้ำเสียงที่ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยทำให้เจียนเจียนที่พุ่งเข้าทิ่มแทงมองตามอย่างโมโห
    “จิวชงหยวนเจ้าเป็นใครกันแน่” น้ำเสียงหวานที่ติดดุนิดๆ กล่าวออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะคนตรงหน้าหลบได้เร็วยิ่งกว่าคนในหอกิเลนเสียอีก ร่างโปร่งบางตอนนี้ยืนนิ่งมองคนที่สวมหน้ากากยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านสักนิด นี่เขาต้องได้รับข่าวผิดๆ อะไรมาแน่ๆ
    “ข้าควรถามเจ้ามากกว่าเจียนเจียน ว่าเจ้าเป็นคนของใคร” จิวชงหยวนมองตามอย่างท้าทาย เพราะการร่ายรำกระบี่จากการแสดงเมื่อครู่ทำให้รับรู้ความผิดปกติ อีกทั้งเข็มเงินที่ไม่มีใครมองทันพุ่งเข้าหาตงไห่อย่างต้องการชีวิต ดีแต่ว่าเขาใช้ลมปราณทำลายไปโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไรเลย
    “ข้าก็เป็นนายโลมที่อยากได้ค่าหัวราคาแสนแพงของเจ้าอย่างไรเล่า”
    “เจียนเจียนคนงาม เจ้าคิดว่านายโลมทั่วไปมีวรยุทธเช่นเจ้าหรือไง เด็กอมมือยังไม่เชื่อเจ้าเลย” จิวชงหยวนส่ายหน้าไปมาช้าๆ ดวงตาเรียวมองคนยืนอยู่ห่างไปแค่เมตรเดียวด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก
    “เจ้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับพรรคหมื่นพิษ”  หลังจากจบคำถามเจียนเจียนก็มองเขาด้วยแววตาดุดัน บรรยากาศรอบกายเริ่มกดดันมากขึ้นแต่มันใช้ไม่ได้กับเขาหรอก
    “ฮึ ข้าไม่คิดว่าหมอเทวดาหน้ากากทองจะฉลาดหลักแหลมเช่นนี้มาก่อน”
    “ข้าใส่หน้ากากสีเงิน” จิวชงหยวนตอบกลับหน้าตาย โดยที่คนฟังรู้สึกคิ้วกระตุก
    “ว่าแต่เจ้าไยถึงอยากได้ชีวิตตงไห่เล่า”  เอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อสัมผัสอีกห้าชีวิตซึ่งโอบล้อมเขาอยู่
    “ฮึ แค่กำจัดสุนัขรับใช้ที่ติดตามเจ้าต่างหากเล่าจิวชงหยวน แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วล่ะแค่เหล้าพันวันป่านนี้ก็คงหลับไม่ตื่นอย่างน้อยก็เจ็ดวัน” น้ำเสียงดูแคลนและมองเหยื่อร่างเล็กกว่าตนด้วยความเหนือชั้นกว่า
    จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองเจียนเจียนที่มั่นอกมั่นใจว่าจะสังหารเขาได้อย่างนึกขำ แต่ที่เขายืนนิ่งไม่ได้คิดทำอะไรเพราะอยากรู้จุดมุ่งหมายจริงๆ ของพวกนี้ ริมฝีปากบางยกยิ้มไม่ได้หวาดกลัวกับคำข่มขู่
   “พวกเจ้าอยากได้ค่าหัวข้าจริงๆ สินะ” เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง และพยายามครุ่นคิดว่าตัวเองไปเหยียบตาปลาใครมาบ้าง
    “ใช่  แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าไปก่อเรื่องอะไรไว้” คำถามของเจียนเจียนทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบาง ก่อนจะตอบกลับอย่างยั่วโมโห
    “ไม่รู้สิ ข้าไม่ได้ใส่ใจ”
    “เจ้า! เจ้ามันน่าฆ่านัก มิน่าเจ้าสำนักพยัคฆ์คำรนถึงอยากได้ชีวิตอันไร้ค่าของเจ้านัก” นิ้วเรียวที่ชี้มานั้นดูหงุดหงิดไม่น้อย ทว่าคำกล่าวของเจียนเจียนต่างหากที่ทำให้เขาติดใจ
    ‘พยัคฆ์คำรนเช่นนั้นหรือ’ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ลงมาโลกนี้ครั้งแรก หรือว่าการที่เขาไปฆ่าองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายในครั้งนั้นมันยังไม่จบ
    “เจ้าหมายความเช่นไร ข้ากับพยัคฆ์คำรนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” จิวชงหยวนแสร้งตอบกลับด้วยดวงตาใสซื่อ
    “เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้ง หากไม่รู้จักฝ่ายอธรรมจะตามล่าเจ้าหรือไง”
     “อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ และข้าไม่รู้พวกเจ้าเอาความมั่นใจพวกนี้มาจากไหน แต่เจ้าหาเรื่องผิดคนแล้ว”
    “ข้าไม่ได้โง่ จิวชงหยวนหลังจากข่าวที่เจ้าไปช่วยเหลือพวกขอทาน ข่าวของเจ้าก็กระจายไปทั่วแคว้น และที่สำคัญไอ้พวกไร้ค่าอ่อนแอพวกนั้นตายหมดแล้ว” คำกล่าวของเจียนเจียนทำให้จิวชงหยวนตกตะลึงไม่น้อย ทว่าอยู่ท่ามกลางศัตรูเขาจึงไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้
    “นั่นก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
    “ฮึ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเลือดเย็นกว่าที่คิดนะจิวชงหยวน แต่หมดเวลาที่เจ้าจะเชิดหน้าชูตาแล้วล่ะ ค่าหัวของเจ้ามีตั้งหนึ่งพันตำลึงทองน่าสนใจใช่ไหมล่ะ” บอกพร้อมแสยะยิ้มออกมาอีกทั้งจิตสังหารที่พุ่งเข้ามาหมายจะให้เหยื่อขยับกายไม่ได้
    เคร้ง!
    เจียนเจียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อกระบี่สีเขียวมรกตไม่ทราบที่มาปรากฏขึ้นต้านรับมีดสั้นเขาด้วยความเร็ว แรง จนมือสั่นสะท้าน เข็มพิษที่ใช้ลงมือไปเหมือนจะไม่ได้ผลกับคนผู้นี้ หรือว่าเขาประมาทไป
    “กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่ากระบี่โชคชะตา” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบางเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเจียนเจียน
    “ปกติข้าไม่ค่อยได้ใช้จนกลัวว่ามันจะขึ้นสนิม แต่ไหนๆ พวกเจ้าก็มาช่วยลับคมกระบี่ให้ข้าหน่อยแล้วกัน” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบางที่ทำให้คนฟังรู้สึกเดือดดาลมากขึ้น ก่อนที่เงาอีกห้าร่างจะพุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    การโจมตีรวดเร็วดุดันภายในห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งเป็นห้องสำหรับไว้รับแขกพิเศษ ทว่าบัดนี้กลับเป็นลานต่อสู้ไปเสียแล้ว การต่อสู้โรมรันหกต่อหนึ่งนั้นหากดูภายนอกจิวชงหยวนเหมือนจะเสียเปรียบแต่ผู้ที่กำลังอยู่ต่อสู้จะรู้ดีว่าพวกตนกำลังเสียเปรียบอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
    ฉัวะ!
    กระบี่คมกริบสีเขียวเรืองรองบัดนี้เริ่มได้สัมผัสเลือดที่หอมหวานของบรรดานายโลมคณะละครชุดนี้กันอย่างถ้วนหน้า ทว่าร่างโปร่งที่ควรจะเสียเปรียบกลับยังไม่ได้รับบาดแผลอย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งพิษหลากชนิดที่ซัดเข้าหาร่างหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงขจรไกลนั้นเหมือนไม่มีผลเลยสักนิด ทั้งหกร่างเริ่มถอยห่างออกมาทว่ายังยืนโอบล้อมจิวชงหยวน ดวงตาจับจ้องมองอย่างระมัดระวัง บัดนี้พวกเขารู้แล้วว่ากำลังเจองานหิน ไม่คิดว่าคนที่ดูบอบบางขนาดนี้วรยุทธจะกล้าแกร่งถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งสุดยอดของคนหอกิเลนยังต้องอาศัยคนที่มากกว่า
    “ร่างกายเจ้าต้านพิษ” เจียนเจียนเอ่ยถามคนร่างโปร่งบางกว่าตนด้วยความตื่นตะลึงไม่คิดว่าจะมีผู้คนที่ต้านพิษพร้อมกันได้มากมายถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งยาสลบยังใช้ไม่ได้ผลกับคนผู้นี้
    เพล้ง!
    หน้ากากสีเงินที่ซื้อมาไม่นานแตกออกหลังจากโดนคมกระบี่ไปก่อนหน้านี้ ใบหน้างดงามปรากฏให้คนที่เอ่ยถามได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ริมฝีปากยกยิ้มบางชวนให้น่าหลงใหล ทว่าสำหรับสายตาเจียนเจียนแล้วมันคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
    “เจ้าคิดเช่นไรล่ะเจียนเจียน แต่นี่เจ้าทำลายของโปรดข้าไปสองชิ้นแล้วนะ” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้อาทรกับสายตาหวาดระแวงของนายโลมทั้งหกที่โอบล้อมตนเอาไว้
    “ข้าขอถามเจ้าสักข้อได้หรือไม่” คำถามของชายหนุ่มร่างโปร่งบางซึ่งยืนอยู่ด้านซ้ายมือ ทำให้จิวชงหยวนหันไปมองแล้วยิ้มรับบางๆ
    “เจ้าเป็นเซียนกระบี่ที่ถูกร่ำลืออยู่ตอนนี้ใช่หรือไม่” คำถามของคนที่จิวชงหยวนจำได้ว่าเป็นผู้บรรเลงพิณทำให้ต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ
    “อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”
    “กระบี่ที่เจ้าถือ” น้ำเสียงเรียบเฉยทว่าแววตาที่ส่งมานั้นกลับดูเฉลียวฉลาดไม่น้อย จิวชงหยวนมองกระบี่สีเขียวมรกตเรืองรองในมือด้วยรอยยิ้มบางๆ เพราะสิ่งนี้เป็นของสวรรค์มันย่อมวิเศษกว่ากระบี่เหล็กธรรมดาอยู่แล้ว แต่หากไม่นำมาใช้กระบี่ไร้ลักษณ์ก็สร้างความตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
    “หากใช่ เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไง” จิวชงหยวนเงยหน้าตอบคำภามพร้อมยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “เฮอะ หากใช่พวกข้าต่างหากที่ต้องร้องขอชีวิตจากเจ้า” เจียนเจียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ
    จิวชงหยวนมองทั้งหกคนนิ่งๆ แม้จะมีบรรยากาศกดดันแต่จิตสังหารเหมือนจะเลือนหายไปบ้าง ทั้งหกคนเหมือนไม่ได้ตั้งใจสังหารเขาเพียงแค่อยากได้เงินค่าหัวเท่านั้น แต่ที่ทำให้สงสัยคือพวกนี้เป็นคนของใครกัน หากต้องสังหารจริงๆ เขาสามารถเอาชนะได้ทว่าหัวใจเขายังไม่ด้านชากับการฆ่าคนเป็นดั่งผักปลา
    “หาที่นั่งคุยกันเถอะ ข้าเหนื่อย” บอกพร้อมเก็บกระบี่ซึ่งมันก็กลับมาเป็นกำไลเช่นเดิมทว่าคนที่กำลังจ้องมองได้แต่อ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึงเพราะพวกเขามองเห็นแค่มันหายไปเท่านั้น
    “ท่านเป็นเซียนกระบี่จริงๆ สินะ” ชายหนุ่มที่เอ่ยถามเรื่องเซียนกระบี่กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา จากสิ่งที่เห็นทำให้เจียนเจียนหมดอารมณ์ที่จะสู้ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงนอนที่อยู่ไม่ห่าง ส่วนอีกสองคนไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ห่างไม่มากนัก ส่วนคนที่เหลือยืนกอดอกพิงผนังมองมาที่จิวชงหยวนนิ่งๆ
    จิวชงหยวนที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องมองคนที่คิดสังหารตนอย่างแปลกใจ คิดจะเลิกฆ่าก็เลิกกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ ก่อนจะพาร่างตัวเองไปนั่งเตียงนอนกับเจียนเจียนซึ่งมองเขาอย่างหวาดระแวงจนอดขำออกมาไม่ได้    “เจ้ามาอ่อยข้าถึงเตียงนอนเช่นนี้ หากข้าไม่มานั่งกับเจ้าเดี๋ยวเจ้าจะน้อยใจไป”
    “ใครจะไปน้อยใจเจ้า” เจียนเจียนตอบกลับทันควร ใบหน้างามฉายแววหงุดหงิดไม่น้อย จิวชงหยวนหัวเราะในลำคอเบาๆ เห็นท่าทางแล้วน่าแกล้งชะมัด มิน่าละลู่เฟยกับลั่วเหยียนเจิ้งถึงชอบแกล้งเขานัก มันน่าสนุกอย่างนี้นี่เอง
    “ว่าแต่พวกเจ้าทำไมถึงเลิกคิดสังหารข้าง่ายๆ ล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ามีตั้งหลายคน” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจเพราะมันง่ายเกินไป เจียนเจียนหันมามองค้อนให้รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เหลือบตามองมา บ้างก็ถอนหายใจยาว
    “พวกข้าไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่า ต่อให้รุมฆ่าเจ้าจนตัวตายก็ไม่อาจสังหารเจ้าได้หรอก” คนที่กอดอกพิงประตูตอบกลับแล้วทำสีหน้าเซ็งๆ
    “พวกเจ้าเป็นนักล่าค่าหัวหรือ”
    “เปล่าพวกข้าเป็นคนหอกิเลนที่ไม่ขึ้นตรงต่อฝ่ายใด แค่ค่าหัวเจ้ามันล่อตาดี” เจียนเจียนตอบกลับเหมือนไม่ใส่ใจ จิวชงหยวนเหลือบตามองคนข้างตัวอย่างแปลกใจที่บอกเขาง่ายเกินไป
    “มีอะไรมากกว่านั้นหรือ”
    “สมกับที่เป็นเจ้า ความจริงพวกข้าสังหารทุกคนที่ชื่อจิวชงหยวนที่เข้ามาในหอโคมแดง เพราะหลายปีมานี้จิวชงหยวนหมอเทวดาเกลื่อนไปทั่วยุทธภพจนพวกข้าไม่อาจรู้ได้ว่าคนไหนตัวจริงตัวปลอม ตอนแรกว่าจะสังหารเจ้าเหมือนคนอื่นๆ แต่จากที่ปะทะกันเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าเจ้าไม่ได้แอบอ้างชื่อหมอเทวดามาแอบอ้างเพราะพิษที่พวกข้าใช้ล้วนตายตกได้เพียงไม่ถึงก้านธูป ทว่าเจ้ากลับไม่มีผล พวกข้าจึงอยากขอร้องเจ้าให้ไปรักษาท่านหประมุขซึ่งไม่รู้ว่าโดนพิษประหลาดอะไร แม้สำนักหมื่นพิษที่พวกข้าแทรกซึมเข้าไปก็ไม่อาจรักษาได้” คำอธิบายยาวเหยียดของเจียนเจียนทำให้จิงชงหยวนลูบคางอย่างพิจารณา จากที่สรุปได้คือพวกนี้ฆ่าคนที่ชื่อจิวชงหยวนทุกคนเพื่อตามหาหมอตัวจริงไปรักษาประมุขตัวเอง
    “นี่คิดจะฆ่าข้าแล้วมาร้องขอให้ข้าไปรักษาประมุขของพวกเจ้านี่นะ ตลกเกินไปแล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างเหลือเชื่อว่าในยุทธภพนี้ต้องการความช่วยเหลือแต่ใช้วิธีสังหาร แล้วตัวปลอมๆ ที่ไม่ได้เก่งกาจตายไปกี่คนแล้วล่ะนั่น
    “หากเจ้าช่วยเหลือประมุขหอกิเลน พวกข้าย่อมเป็นหนี้บุญคุณเจ้าและเมื่อนั้นหากเจ้าต้องการข่าวสารทั่วยุทธภพหอกิเลนจะจัดการให้เจ้าได้ทุกอย่าง ข้อเสนอนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้วเพราะหอกิเลนคนปกติจะไม่รู้จัก และข้าอยากให้เจ้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” ข้อเสนอเจียนเจียนก็ไม่เลวว่าแต่มีหอกิเลนแล้วมันต้องมีหออื่นๆ ด้วยสินะ แต่ช่างเถอะ
    “ตกลงข้าจะช่วยพวกเจ้า” คำตอบที่ได้รับทำให้ทั้งหกหันมามองร่างโปร่งบางของจิวชงหยวนเป็นตาเดียวด้วยความตกใจคาดไม่ถึง
    “ทำไมเจ้าตกลงง่ายจัง” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เก้าอี้เล็กเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ จิวชงหยวนยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ เพราะอย่างไรเขาก็ได้ผลประโยชน์
    “ข้าเป็นหมอไง ก็ต้องรักษาคนไข้สิ ส่วนเรื่องความลับของหอกิเลนของเจ้าก็แลกกับความลับเซียนกระบี่ของข้าตกลงไหม”
    “เฮอะคิดว่าข้าจะเชื่อว่าเจ้าเป็นเซียนกระบี่จริงๆ หรือไง” เจียนเจียนแอบกัดคนร่างโปร่งบางที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิดทั้งๆ ที่อยู่ท่าวมกลางศัตรูแท้ๆ แม้บัดนี้จากศัตรูได้แปรเปลี่ยนเป็นมิตรแล้วก็ตาม หวังว่าจะไว้ใจได้นะ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกเวลาของประมุขเหลือน้อยลงทุกวันแล้ว
    “นั่นก็เรื่องของเจ้าสิเจียนเจียน แต่ว่าเจ้ามีเรื่องต้องชดใช้ข้าสองเรื่อง” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกขนลุกชัน
    “พัดกับหน้ากากสินะ เดี๋ยวข้าจัดการให้” ชายหนุ่มที่เป็นคนเอ่ยถามเรื่องเซียนกระบี่เสนอในสิ่งที่เขาต้องการ จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่กลับได้รับสายตาเอือมๆ อีกห้าคนเพราะมันเป็นของที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี
    “นั่นของชอบข้าเลยนะ ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดกอดอกเหลือบมองคนตัวที่มีสีหน้าออกอาการกว่าเพื่อน
    “เจ้าใส่หน้ากากสะดุดตามากกว่าเสียอีก” คำกล่าวของชายหนุ่มรูปงานอีกคนเอ่ยบอกทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง ก่อนจะชะงักเมื่อเริ่มสังเกตว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ท่ามกลางหนุ่มหน้าสวยร่างโปร่งบางเหมือนไม่มีแรงกันทั้งนั้น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    “นี่พวกเจ้า หอกิเลนเลี้ยงเจ้าไม่ดีกันหรือไง ทำไมพากันผอมแห้งและสวยจนหญิงอายกันอย่างนี้” คำกล่าวนั้นทำให้ทุกคนหันไปมองจิวชงหยวนเป็นทางเดียว โดยเฉพาะเจียนเจียนซึ่งนั่งอยู่ใกล้สุด หยิบหมอนมาโยนใส่หัวคนถามอย่างหงุดหงิด จากนั้นอีกห้าคนต่างก็แยกย้ายออกไปได้แต่ทำหน้าปลงๆ หวังว่าพวกเขาจะขอความช่วยเหลือถูกคนนะ
    “ข้าผิดอะไร” จิวชงหยวนหันมาถามของข้างตัวด้วยใบหน้าใสซื่อ ทว่าแท้จริงแล้วกำลังตัวสั่นระริกอย่างสนุกกับการได้แกล้งคน
    ผัวะ!
    ประตูห้องเปิดออกมาพร้อมบรรยากาศกดดันแผ่ออกมาอย่างทะมึนทึง ทำให้สองคนที่ยังนั่งอยู่บนเตียงหันไปมองคนที่เสียมารยาทเข้ามา จิวชงหยวนเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนที่ทำหน้าทะมึนทึงเดินเข้ามากระชากร่างเขาถอยห่างจากเจียนเจียน
    “บอกให้รอข้าไม่ใช่ให้มารอที่หอโคมแดง” น้ำเสียงออกดุๆ และแววตาคมตวัดมองเจียนเจียนเหมือนจะฆ่ากันอยู่รอมร่อ จิวชงหยวนมองตามอย่างมึนงง
    “หย่งเจิ้นเจ้าเป็นอะไร แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร”
    “ข้ารู้ว่าเจ้ารออยู่เลยเร่งเดินทาง แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะมารอข้าในที่แบบนี้” หย่งเจิ้นที่รู้ข่าวว่าจิวชงหยวนเข้ามานางโลมยิ่งใช้ลมปราณเร่งเดินทางมาด้วยความเร็วที่สุด ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าใสซื่อที่มองมาทำให้อารมณ์ร้อนๆ อ่อนลง ก่อนจะถอนหายใจเมื่อคิดได้ว่าตนไม่มีสิทธิ์มาหึงหวงจิวชงหยวน
    “กลับกันเถอะ” เอ่ยชวนโดยไม่ได้สนใจนายโลมที่นั่งมองตนอยู่
    “อืม เจียนเจียนเดี๋ยวพรุ่งนี้มาหานะ” จิวชงหยวนตอบรับแล้วหันไปยิ้มให้เจียนเจียนซึ่งพยักหน้ารับทว่าดวงตาจับจ้องมองคนที่เข้าใหม่ไม่วางสายตา สองร่างหายไปกับเงามืดปล่อยให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงถอนหายใจเบาๆ ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ไว้ใจคนผิดหรอกนะ



ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 22
ใจสื่อรัก
    

          “นั่นเจ้าตบหน้าตัวเองทำไม” ลู่เฟยเอ่ยถามชายหนุ่มร่างโปร่างบางซึ่งยืนอยู่หน้ากระท่อมหลังเล็กซึ่งเทพโอสถแอบมาพักที่นี่ประจำ และที่เขามาปรากฏตัวที่นี่เนื่องด้วยคำขอของเทพโอสถเช่นกัน คิ้วคมเข้มขมวดมุ่นเมื่อสัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆ จากคนร่างโปร่งบางตรงหน้า ทว่ากลับไม่มีกลิ่นไอของเซียน
    “เจ้าเป็นเซียนคนใหม่หรือ แต่ทำไมยังมีกลิ่นไอของมนุษย์” ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อเข้าไปใกล้ทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าผิดแปลกออกไปจากผู้อื่น ชายหนุ่มหน้าตางดงามที่ตัวเล็กกว่าตนผงะถอยห่างมองมาที่เขาอย่างไม่พอใจ กิริยาของคนตรงหน้าทำให้ลู่เฟยหัวใจกระตุกความรู้สึกที่เลือนหายไปนานกำลังจะกลับมาอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคมมองร่างโปร่งบางอย่างสำรวจพิจารณาช้าๆ ด้วยความสนใจ ก่อนจะเอ่ยบอกคนร่างโปร่งบางที่มองเขาด้วยสายตาหงุดหงิดจนน่าแกล้ง
    “อ่ะ โทษที ข้ามิเคยเห็นเซียนที่มีกลิ่นไอมนุษย์” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มบางเทพโอสถวานให้เขามาสอนวิชาให้คนผู้หนึ่งเพียงแต่เวลานั้นไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มที่มีกลิ่นไอที่แตกต่างจากที่เคยพบเจอมาทำให้มั่นใจไม่น้อยว่าต้องเป็นคนผู้นี้ ใบหน้างามยิ้มละไมอย่างนึกสนุก
    “นายเป็นใคร” เสียงแข็งกระด้างเอ่ยออกมาจากปากเรียวของคนร่างโปร่ง แม้เจ้าตัวจะเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ แต่น้ำเสียงยังชวนให้น่าฟัง ลู่เฟยเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ เพราะการพูดค่อนข้างแปลกประหลาด
    “ข้าลู่เฟย ว่าแต่เจ้าพูดจาแปลกๆ แต่ช่างเถอะเทพโอสถอยู่หรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยตอบและถามหาคนที่เรียกให้พบเจอที่นี่ ก่อนจะได้ยินเสียงเทพโอสถเรียกทางจิตดังมาจากกระท่อมจึงทะยานเข้าไปหาเพราะยังไม่ลืมจุดประสงค์การมาในครั้งนี้
    พรึบ!
    เสียงการเคลื่อนไหวบนหลังคาที่มุ่งตรงมายังตำหนักทำให้ลู่เฟยตื่นขึ้นจากความฝัน หันไปหยิบกระบี่ข้างกาย รอคอยผู้มาเยือนยามวิกาลด้วยความหงุดหงิด เพราะมาขัดความฝันอันน่ารื่นเริงหากไม่มีอะไรมารบกวนความฝันของเขาคงดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นภาพที่เขายื่นขลุ่ยหยกให้จิวชงหยวนในหุบเขาแห่งเซียน แม้จะรู้ว่ามันเป็นความฝันที่เขาฝันติดต่อกันมาหลายคืน ทว่าในใจส่วนลึกกลับมั่นใจว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อนเพราะขลุ่ยหยกและกำไลหยกที่จิวชงหยวนมีกลับยืนยันได้อย่างชัดเจน
    พรึบ!
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ฉัวะ!
    มีดสั้นปาเข้าหาร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความเร็ว ดุดัน ทว่าเจ้าของร่างใช่ว่าจะเป็นหมูในอวยที่จะรอให้เชือดได้ง่ายๆ กระบี่ที่กำไว้ปัดป่ายมีดสั้นด้วยความเร็วไม่แพ้กัน ก่อนจะทะยานเข้าหาร่างของนักฆ่าที่เข้ามาหมายเอาชีวิตตนอย่างอุกอาจ
    ด้วยความเร็วที่เหนือชั้นกว่าทำให้จัดการนักฆ่าได้อย่างง่ายดาย ทว่าสิ่งที่ทำให้แปลกใจคือกระบี่ที่บินร่อนออกมาตามจิตใต้สำนึก ทำให้หวนคิดถึงคนงามที่ห่างหายไปหลายวันซึ่งเคยบอกไว้ว่ากระบี่ไร้ลักษณ์เป็นอาวุธที่เขาใช้เป็นประจำ   
    ลู่เฟยมองมือตัวเองที่ถือกระบี่และกระบี่ที่ล่องลอยอยู่ข้างกายด้วยหัวใจสั่นระรัว ความฝันที่เหมือนชิ้นต่อส่วนสำคัญกำลังก่อเกิดเป็นรูปร่างมากขึ้นทุกที
    “องค์ชาย” องค์รักษ์ร้องเรียกและพุ่งเข้ามาหา ทำให้ลู่เฟยสลายกระบี่ที่ออกมาต้านรับการโจมตีมีดสั้นที่เคลือบยาพิษของนักฆ่าทิ้ง ก่อนที่องค์รักษ์จะตื่นตระหนกมากกว่านี้
    “เอาศพออกไป” ร้องบอกก่อนจะหันกายเดินออกไปหน้าตำหนัก พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่มองรอบกายไม่ชัดเจน ทว่าดวงตาคมกลับมองเห็นรอบกายได้อย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนกันแน่สามสี่วันมานี้เหมือนร่างกายเขาจะเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นและยังมองเห็นความมืดได้ชัดเจนเหมือนตอนกลางวัน
    “หรือข้าจะเป็นแม่ทัพสวรรค์ผู้นั้นจริงๆ” ลู่เฟยพึมพำกับความมืดเบาๆ เมื่อหวนคิดถึงความฝันที่ประติดต่อเรื่องราวมาหลายคืน ใบหน้างดงามยิ้มละไมของจิวชงหยวนยังคงติดตราตรึงใจและใบหน้างดงามที่บูดบึ้งยามที่เจ้าตัวไม่พอใจหรือหงุดหงิด ยิ่งทำให้เขาแสนจะคิดถึง ตั้งแต่เขาส่งพิราบสื่อสารไปให้ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย รับรู้เพียงแค่ว่าจิวชงหยวนได้หนีไปจากแคว้นลั่วหยางแล้ว
    ยิ่งความฝันหลายวันมานี่หัวใจร่ำร้องหาแต่คนงาม ทว่าหน้าที่ในเมืองหลวงยังมีมากมาย ยามห่างไกลออกมาทำให้ลู่เฟยรู้ใจตัวเองมากขึ้น บัดนี้เขารักจิวชงหยวนอย่างไม่มีข้อแม้ อยากร่วมเดินทางไปด้วย อยากอยู่ข้างกายไม่ว่ายามทุกข์ยามสุข อยากจับมือก้าวเดินไปด้วยกัน แม้จะพบเจออุปสรรค์ข้างหน้าเขาก็จะปกป้องด้วยชีวิต
   “รอก่อนนะชงหยวน ข้าจะรีบตามเจ้ากลับมาอยู่อ้อมกอดข้าอีกครั้ง”
     ลู่เฟยพึมพำเบาๆ กับสายลมหวังจะให้ความรักและคิดถึงส่งไปถึงคนงาม แม้อดีตเขาจะเป็นใครนั้นไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าเช่นไรเขาก็รักจิวชงหยวนหมดหัวใจเสียแล้ว...

    จิวชงหยวนชะงักกึกขณะที่หย่งเจิ้นพากลับมาที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง ใบหน้างดงามเหลียวซ้ายแลขวามองหาเสียงที่ได้ยิน จนคนที่จับมือจูงเดินกลับมาหันมามองด้วยความแปลกใจ
    “เจ้ามองหาใคร” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนหันกลับมามองหย่งเจิ้น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
    “เจ้าไม่ได้ยินหรือ”
    “ไม่นี่ เจ้าได้ยินอะไร” ใบหน้าที่เรียบเฉยทว่าดวงตาคมนั้นฉายชัดว่าไม่ได้ยินสิ่งใด หัวใจที่สงบของจิวชงหยวนกลับสั่นระรัว เขาได้ยินเสียงของลู่เฟยจริงๆ คำๆ นั้นยังติดตรึงหัวใจให้สั่นไหวจนใบหน้าแดงระเรื่อ
    “เปล่าไม่มีอะไรไปเถอะ” จิวชงหยวนบอกตัดบท ก่อนจะแกะมือตัวเองออกจากมือหนาเมื่อเพิ่งสังเกตว่าตนถูกจับมือดึงออกมาจากหอโคมแดง หย่งเจิ้นมองตามด้วยสายตาเสียใจนิดหนึ่งก่อนจะกลับมาเรียบเฉยเช่นเดิม ทั้งคู่เข้ามาห้องพักของโรงเตี๊ยมอีกครั้ง
    จิวชงหยวนเดินเข้าไปนั่งโต๊ะเล็กพร้อมรินชาให้ตัวเองกับหย่งเจิ้นที่มาเร็วกว่ากำหนด เขาคิดว่าน่าจะมาถึงพรุ่งนี้เสียอีก
    “เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” เอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจติดขัดของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นมือไปจับชีพจรเบาๆ ทว่ากลับปกติดีเพียงแต่หัวใจเหมือนจะเต้นเร็วกว่าปกติหรือว่าตื่นเต้นอะไรกัน
    “เปล่าข้าไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้าเข้าไปทำไมหอนางโลม” หย่งเจิ้นเอ่ยถามพร้อมดวงตาคมมองมาอย่างดุๆ จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองแล้วยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    “ข้าก็ไปเที่ยวนะสิ อีกอย่างข้ายังไม่มีลูกมีเมียจะเข้าหอนางโลมก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนใครเลยนี่”
   “แต่ข้าเดือดร้อน”
    “หืม อะไรนะ” เสียงพึมพำเบาๆ ของคนข้างตัวทำให้จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะมันเบามากจนจับใจความไม่ได้
    “เปล่า แต่เจ้าอย่าไปที่แห่งนั้นอีกจะได้หรือไม่” น้ำเสียงวอนขอของคนตรงหน้าดวงตาคมมองมานิ่งๆ ทำให้จิวชงหยวนชะงักนิดหนึ่ง ลางสังหรณ์เขาตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยดีเอาเสียเลยหวังว่าหย่งเจิ้นผู้หยิ่งทรนงจะไม่มาตกหลุมรักเขาอีกคนหรอกนะ
    “คงไม่ได้หรอกข้านัดกับเจียนเจียนไว้พรุ่งนี้”
    “ไม่ได้ เจ้าจะไปเที่ยวไหนข้าจะพาเจ้าไปเอง แต่ที่แห่งนั้นมันไม่เหมาะกับเจ้า” หย่งเจิ้นร้องบอกเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนจะหลบสายตาเมื่อเจอสายตาจับผิดของคนร่างโปร่งบางตรงหน้า
    “หย่งเจิ้น เจ้าชอบข้าหรือ”
    แค่กๆๆ
    หย่งเจิ้นสำลักน้ำชาที่ดื่มไปใบหน้าแดงก่ำกับคำถามอย่างน่าไม่อายของร่างโปร่งบางตรงหน้า ดวงตาเรียวสวยที่มองมาเหมือนจะจับผิดตนเสียมากกว่าอยากรู้ความจริง
    “เจ้าหน้าด้านเสียจริง ใครจะชอบเจ้ากัน ข้าเป็นชายเจ้าเป็นชายจะรักกันได้อย่างไร” คนปากแข็งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกึกกักดวงตาคมหลบสายตาคนงามที่กระตุกยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ
    “นั่นสิ เจ้าคิดเช่นนั้นทำให้ข้ารู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นข้าคงทำใจลำบากเมื่อมีผู้ชายมาชอบข้ามากกว่าหนึ่งคน”
    “หมายความว่าเช่นไร” หย่งเจิ้นหันกลับมามองคนงามทันทีที่ได้ยินคำพูดแปลกๆ ใบหน้างดงามยิ้มละไม
    “ไม่มีอะไร ข้าแค่ดีใจที่เจ้าจะมาเป็นสหาย”
    “ใครอยากเป็นสหายเจ้ากัน” น้ำเสียงหงุดหงิดกับคำพูดเบาๆ ทว่าครั้งนี้จิวชงหยวนกลับได้ยินอย่างชัดเจน บัดนี้เขามั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าที่ปากแข็ง แสดงออกไม่เก่งรู้สึกอย่างไรกับเขา หย่งเจิ้นยังไม่ได้รักเขาหรอกเพียงแค่รู้สึกสนใจเท่านั้นและใบหน้าเขาไปทำให้คนตรงหน้าหวั่นไหว แต่เขาไม่ได้โทษใครเพราะใบหน้างดงามของตัวเองมันชวนให้เข้าหาจริงๆ
    “พรุ่งนี้ข้ามีงานต้องทำ และเจ้าเองก็เดินทางมาไกลไปพักผ่อนเถอะ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นไปยังเตียงนอนอย่างไม่สนใจ ใบหน้างามอ้าปากหาวอย่างเสียมารยาทก่อนจะล้มตัวนอนบนเตียงนอน แม้เตียงนี้จะกว้างนอนได้สองคน ทว่าเขาไม่ได้ใจดีชวนคนที่รู้จักกันเพียงสองครั้งมานอนด้วยหรอก อีกอย่างโรงเตี๊ยมยังมีห้องว่างเอยะแยะ ห้องของตงไห่ก็ยังว่างซึ่งเจ้าตัวคงนอนอยู่ในหอนางโลมตามเหล้าพันวันที่กินเข้าไป พรุ่งนี้ค่อยไปเอายาแก้ให้กินแล้วกัน ร่างโปร่งบางครุ่นคิดก่อนจะเผลอหลับไปปล่อยให้แขกมองตามแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่จิวชงหยวนดื้อรั้นกว่าที่คิด 
    หย่งเจิ้นเดินเข้ามามองร่างโปร่งบางที่นอนหลับนิ่งๆ อย่างครุ่นคิด เพราะอะไรกันนะทำไมเขาถึงสนใจคนตรงหน้ามากถึงเพียงนี้ หน้าตาก็อาจจะใช่ แต่ที่เขาสนใจคือความลึกลับของเจ้าตัวเสียมากกว่า มันน่าค้นหาและมันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เขาหลงวนเวียนจนถอนตัวไม่ขึ้น เขารู้จักจิวชงหยวนหมอเทวดามาหลายคน แต่คนตรงหน้านี้แตกต่างกว่าที่พบเจอมา และหัวใจเขาย้ำเตือนว่าอย่าปล่อยให้คนตรงหน้าหายไปอีกครั้งเพราะนั่นจะทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิต

    เช้าวันรุ่งขึ้นจิวชงหยวนหลังจากตื่นมาเขาก็เตรียมข้าวของออกมาหาเจียนเจียนที่หอโคมแดง ทว่าเมื่อเปิดประตูห้องออกมากลับเห็นหย่งเจิ้นยืนกอดอกยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ
    “นี่เจ้ามาดักรอข้าแต่เช้าเชียวหรือ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    “เจ้าจะไปทำไมที่หอโคมแดง”
    “ข้าบอกว่ามีธุระ และที่สำคัญเจ้าไปด้วยไม่ได้” เอ่ยดักคอเพราะหากหอกิเลนต้องการปิดบังเรื่องประมุขบาดเจ็บและเกี่ยวกับคนหอกิเลนเขาก็ต้องปิดบังเรื่องนี้ไว้เช่นกัน อีกอย่างเขารู้จักหย่งเจิ้นไม่นานแม้จะรู้ว่าเป็นใครแต่ เขายังไม่ไว้ใจ
    “ทำไม ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า” หย่งเจิ้นเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ ทว่าสายตาจริงจังของจิวชงหยวนที่มองมาเหมือนจะบอกว่าตนกำลังล้ำเส้น ทำให้บอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
    “ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้หรอก อีกอย่างเจ้ามาที่นี่หมายจะตามหาเซียนกระบี่มิใช่หรือ ข้ามีธุระของข้า ส่วนเจ้าก็มีธุระของเจ้า ตอนเย็นค่อยมาเจอกันที่นี่แล้วกัน” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    “ก็ได้” หย่งเจิ้นตอบรับพร้อมหันกายเดินจากมา ก่อนจะหยุดชะงักกับคำพูดที่เหมือนรู้ทัน
    “แล้วไม่ต้องส่งคนมาตามสะกดรอยข้าอีกล่ะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินลงโรงเตี๊ยมไปพร้อมสมุนไพรในย่ามปล่อยให้หย่งเจิ้นมองตามนิ่งๆ
    “ไม่ให้คนสะกดรอยตามก็ได้ แต่ข้าจะแอบตามเจ้าไปเองแล้วกัน” บอกพร้อมยกยิ้มนิดๆ ไม่ให้ตามไป ไม่ให้ส่งคนอื่นสะกดรอยตาม แต่เรื่องอะไรจะฟังในเมื่อเจ้าตัวทำให้เขาสนใจเอง
    ทางด้านจิวชงหยวนผนึกลมปราณลงไปที่เท้าทะยานพุ่งตรงมายังหอโคมแดง เขาไม่ได้เคาะประตูเหมือนคนปกติแต่กลับพุ่งเข้าไปหาเจียนเจียนที่ห้องเลยซึ่งตามหาตัวไม่ยากเพราะเจ้าตัวมีกลิ่นยาเฉพาะติดตัวอยู่
    ผัวะ!
    “เจ้าคนเสียมารยาท อยากตายหรือไงฮะ” หมอนใบโตถูกขว้างใส่ร่างโปร่งบางพร้อมเสียงตะคอกโมโหของเจ้าของห้อง ทว่าผู้บุกรุกกลับยกยิ้มละไมอย่างไม่ใส่ใจในมือถือหมอนที่ถูกเขวี้ยงมาอย่างไม่ได้อาทรร้อนใจ มองเจ้าของร่างที่ตีหน้ายุ่งผมเผ้าไม่เป็นทรง ดวงตาสวยมองมาอย่างหงุดหงิดเพราะเจ้าตัวกำลังหลบสบายแต่ถูกรบกวนแต่เช้า
    “นั่นคือคำทักทายของเจ้าหรือไงเจียนเจียน ข้าก็นัดเจ้าไว้แล้วว่าเช้านี้จะมาหา แต่ใครบอกให้เจ้านอนหลับอุตุเช่นนี้เล่า
    “เมื่อคืนข้านอนดึกจะให้ตื่นสายๆ หน่อยไม่ได้หรือไง” เจียนเจียนบอกอย่างหงุดหงิดก่อนจะถอดชุดออกหมายจะไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเพื่อต้อนรับแขกที่เสียมารยาทก่อนจะหยุดชะงักกับเสียงทักท้วง
    “นั่นเจ้าจะทำอะไร”
    “ข้าก็จะอาบน้ำไง หรือว่าเจ้าจะไปอาบกับข้า” เจียนเจียนเอียงคอมาถามด้วยรอยยิ้มแสยะเมื่อเห็นหน้าตื่นๆ ของคนร่างเล็กกว่าตน
    “เฮอะ คิดว่าข้ากลัวหรือไง กล้าถอดเสื้อผ้าให้ข้าดู ข้าก็กล้าจะยืนดูนี่แหละผู้ชายเหมือนกันข้ากับเจ้าก็ไม่ต่างกันหรอก” จิวชงหยวนกอดอกมองคนที่ยิ้มเย้ยเขาอย่างท้าทาย เรื่องอะไรจะอายตอนแรกแค่ตกใจเฉยๆ เท่านั้นเอง
    “เจ้า! เจ้ามันหน้าด้านหน้าทนชะมัดให้ตายสิ” เจียนเจียนบอกอย่างหงุดหงิด ตอนแรกว่าจะแกล้งจิวชงหยวน ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะหน้าด้านหน้าทนกว่าที่คิด ร่างสูงโปร่งคว้าผ้าเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำอย่างขัดใจ ปล่อยให้จิวชงหยวนหัวเราะกับชัยชนะอย่างหงุดหงิด
    หนึ่งชั่วยามต่อมาจิวชงหยวนมาปรากฏตัวอยู่ในหุบเขาลึกลับซึ่งห่างไกลจากแคว้นเยี่ยกว่าร้อยลี้ ภาพตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างตื่นเต้นสนใจเพราะที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นบ้านเรือน ทว่าเป็นช่องเขาหุบเหว แต่กลับถูกตกแต่งงดงาม ข้าวของเครื่องใช้ล้วนมีราคา เจียนเจียนพาเดินเข้าไปในถ้ำที่ลึกมากขึ้น อีกทั้งมีบานประตูกลไกที่น่าสนใจหลากหลายชั้นจนคนธรรมดาไม่อาจรอดไปจากที่นี่ได้เลย ทั้งคู่เดินเข้ามาภายในห้องซึ่งอยู่ลึกมากส่วนห้าคนที่ก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงเขากับเจียนเจียนสองคนเท่านั้น
    เจียนเจียนยกมือทาบกับกลไกหน้าประตูอีกชั้นก่อนจะพาเขาเข้าไป ภายในห้องนี้กลับหนาวยะเยือกกับไอน้ำแข็ง ทว่าดวงตาจิวชงหยวนกลับมองไปเห็นร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งนอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งเหมือนเจ้าชายนิทรา ลมหายใจที่เต้นเป็นจังหวะเชื่องช้าจนไม่คิดว่ายังมีชีวิตรอด
    “นี่ท่านอวิ้นเซียนเป็นประมุขหอกิเลนของเรา แต่หลังจากที่ท่านลงมาจากเขียนเทียนซานก็เป็นเช่นนี้ เจ้าพอจะรักษาได้หรือไม่” เจียนเจียนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาสวยหันมามองเหมือนเฝ้าหวัง
    “นานเท่าไหร่แล้ว”
    “หมายถึงสิ่งใด”
    “อวิ้นเซียนนอนเป็นผักอยู่แบบนี้นานเท่าไหร่แล้ว” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังผิดปกติกว่าที่เจียนเจียนรู้จัก
    “ห้าปี”
    น้ำเสียงที่ตอบรับพร้อมแววตาที่วูบไหว ทำให้จิวชงหยวนมองตามนิ่งๆ ก่อนจะขยับเข้าร่างนั้นใกล้มากขึ้น เจียนเจียนเองก็มองตามอย่างระมัดระวัง
    “ที่ข้าพาเจ้ามาเพราะข้าเชื่อใจเจ้า” เสียงนิ่งเรียบที่เอ่ยออกมาทำให้จิวชงหยวนหันกลับไปมองเจียนเจียนอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มอย่างเข้าใจความหมายนั้นดี
    “เจียนเจียนนานเกินไปนะที่ให้อวิ้นเซียนนอนนิ่งอยู่เช่นนี้ รู้ไหมพิษที่เขาโดนทำลายภายในเขาหมดแล้ว” จิวชงหยวนบอกเสียงนิ่ง ทว่าคิ้วคมเข้มขมวดมุ่นครุ่นคิดกับการรักษา
    “หมายความว่าเช่นไร” เจียนเจียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ใบหน้าซีดเผือดก่อนจะเดินเข้าไปกอบกุมมือที่เย็นเยือกของคนที่นอนนิ่งน้ำตาเริ่มคลอหลังจากได้ยินคำกล่าว
    “คนรักเจ้าหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามเมื่อเห็นอาการคนตรงหน้าโดยไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย
    “เปล่า ท่านคืออาจารย์ที่ชุบเลี้ยงข้าและฉุดข้ามาจากโคลนตม” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนมองอย่างแปลกใจเพราะคนที่นอนนิ่งนี้อายุไม่น่าเกินสามสิบปีด้วยซ้ำ ทว่าเส้นผมกลับเป็นสีขาวโพลนทั้งหัวแต่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเจอพิษขนาดนั้นมันก็ต้องพลัดเปลี่ยนเซลล์เป็นธรรมดา
    “เจ้าถอยออกมา ขอข้าดูอาการก่อน” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พร้อมจับชีพจรที่อ่อนแรงของอีกฝ่ายหากพลังภายในไม่แข็งแกร่งคงตายไปนานแล้ว ใบหน้าคมคายขาวซีดแม้จะหลับตานิ่งเฉยไร้ความรู้สึกทว่าจิตใจกลับรับรู้สิ่งรอบกาย
    “เจียนเจียนอาจารย์เจ้ามีวรยุทธแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ากว่าผู้คนที่ข้าพบเจอ ทว่ายามนี้กลับอ่อนแรงมากเนื่องจากเจอพิษปลิดวิญญาณกับพิษบุบผามารซึ่งหายากในแดนมนุษย์ นั่นหมายความมนุษย์ธรรมดาไม่อาจมียาพิษชนิดนี้ได้ ยาพิษตัวนี้ประกอบด้วยดอกยี่โถ คูราเร่ และอโคโนต์หรือจะเรียกว่าราชินียาพิษ มันจะทำลายประสาท กล้ามเนื้อ หัวใจ อวัยวะภายใน และทำให้เป็นอัมพาต”
     จิวชงหยวนกล่าวอธิบายไปเรื่อยขณะที่มือยังจับชีพจรของอีกฝ่าย และมันกระตุกแรงทุกครั้งที่เขากล่าวออกมา ทว่าคนฟังกลับหน้าซีดเผือดกับสิ่งที่ได้ยิน ร้ายแรงเกินไปแล้ว ยาบางชนิดหายากยิ่งกว่าสิ่งใดอีกทั้งการปรุงใช่ว่าจะง่ายๆ
    “จิวชงหยวนได้โปรดรักษาอาจารย์ข้าด้วย หากเจ้าทำได้ข้าจะติดตามรับใช้เจ้าตลอดไป” เจียนเจียนกอดขาอ้อนวอนทั้งน้ำตา เมื่อรู้ว่าผู้ที่รักและเคารพใกล้จะหมดลมหายใจไปทุกที คำพูดจริงจังอธิบายเกี่ยวอาการป่วยเป็นฉากๆ ของอาจารย์จนน่านับถือ
    จิวชงหยวนเคร่งเครียดกับคำร้องขอ อาการคนป่วยตรงหน้าอาการสาหัสมาก สิ่งเดียวที่ช่วยรักษาได้คืออายุวัฒนะแม้จะมียาแก้พิษชนิดนี้แต่ร่างกายบอบซ้ำมากเกินไป
    “เจียนเจียนเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่จะช่วยยื้อชีวิตอาจารย์เจ้าได้” เอ่ยถามน้ำเสียงจริงจังซึ่งเจียนเจียนเองก็ได้แต่ส่ายหน้าทั้งน้ำตา
    “ข้าไม่รู้ แต่หากมันช่วยอาจารย์ข้าได้ต่อให้แลกด้วยชีวิตข้าก็จะทำ” คำตอบที่ได้ทำให้จิวชงหยวนมองนิ่งๆ มือที่จับมีนิ้วก้อยเหมือนจะขยับเล็กน้อย คนธรรมดาอาจจะไม่รู้สึกแต่ไม่ใช่สำหรับเขา
    “ยานี้โลกมนุษย์ไม่มีหรอกเจียนเจียน”
    “หมายความว่าอย่างไรชงหยวน ต่อให้ข้าบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะทำขอให้เจ้าบอกว่ายามันอยู่ที่ใด
    “ความจริงใจของเจ้า อาจารย์เจ้าคงดีใจ แต่ชีวิตที่มีความสุขของเจ้าคือสิ่งที่อวิ้นเซียนปรารถนา ยาที่ข้ากล่าวถึงคือยาอายุวัฒนะ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดปรุงได้”
    คำตอบที่ได้รับทำให้เจียนเจียนนิ่งค้าง ใครบ้างจะไม่ใฝ่หายาตัวนี้ แต่ไม่ว่าผ่านมานานแค่ไหนก็ไม่มีผู้ใดทำได้เหมือนความหวังที่มีพังทลายลงต่อหน้า น้ำตาไหลเอ่อล้นดวงตางามร่างกายสั่นสะท้าน นี่เขาต้องสูญเสียอาจารย์เพียงคนเดียวไปจริงๆ เช่นนั้นหรือ อาจารย์ที่เป็นเสาหลักของทุกคนในหอกิเลน



ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่23
ลูกศิษย์กำมะลอ
    

           จิวชงหยวนก้มมองคนที่ทรุดตัวนั่งลงพื้นอย่างอย่างหมดหวังด้วยความเห็นใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างเคร่งเครียดเขาเองก็ลำบากใจที่จะช่วย การช่วยเหลือคนเป็นสิ่งที่ดีและนี่คือหน้าที่ แต่ยาที่ต้องใช้นั้นมีหลากหลายขนาน อีกทั้งยาพวกนี้มีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่จะมีมันได้ และอะไรกันถึงทำให้คนผู้นี้โดนพิษร้ายแรงขนาดนี้ ดวงตาเรียวสวยมองผู้ที่นอนหลับนิ่งๆ อย่างครุ่นคิด
    “ชงหยวนไม่มีทางรักษาเลยหรือ” จิวชงหยวนหันกลับมามองคนที่เอ่ยถามอีกครั้ง ดวงตางามของเจียนเจียนแดงก่ำด้วยความเสียใจที่มิอาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ เขายังยืนนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามดวงตาฉายแววลำบากใจ
    “เจียนเจียนเจ้ารู้หรือไม่ว่ายาอายุวัฒนะมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ผู้คนถึงต่างขวนขวายกันยิ่งนัก” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ มือยังจับมือคนที่นอนเป็นผักนิ่งๆ นิ้วก้อยพยายามเหมือนจะสื่อสารกับตน
    “ข้า ข้าไม่แน่ใจแต่ผู้คนร่ำลือว่ามันเป็นยาที่รักษาทุกโรคและทำให้อายุยืนยาว” เจียนเจียนเอ่ยตอบอย่างไม่แน่ใจ
    “ใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจ” จิวชงหยวนตอบกลับยิ่งๆ ใบหน้างดงามจริงจังมองทั้งคู่นิ่งๆ ทว่าในใจกำลังตัดสินใจบางอย่าง ความจริงเขามียาที่อายุวัฒนะติดตัวมาสามเม็ดทว่าอาจารย์เคยเตือนไว้ว่ามันอันตรายหากมนุษย์ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ และที่สำคัญเขายังไม่รู้จักอวิ้นเซียนว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว หากช่วยเหลือเป็นคนดีถือว่าโชคดีไป หากแต่เป็นคนชั่วเขาต้องลงมือสังหารด้วยตัวเองเช่นกัน นั่นมันน่าเจ็บใจมากกว่ามิใช่หรือ
    “เจียนเจียนเจ้าให้คนไปแจ้งข่าวกับหย่งเจิ้นว่าข้าจะอยู่กับเจ้าสองวัน เมื่อคนผู้นั้นไปส่งข่าวแล้วไม่ต้องให้กลับมาที่นี่จนกว่าเราจะกลับไป” หันไปบอกเจียนเจียนเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว และที่เขาสั่งเช่นนั้นเพราะต้องใช้เวลา อีกทั้งกลัวว่าหย่งเจิ้นจะบุกมาที่นี่เพราะก่อนจะมาที่นี่เขาได้สลัดคนที่แอบติดตามเขามาได้แล้วจึงไม่อยากให้มีข้อผิดพลาด
    “เจ้าช่วยเหลืออาจารย์ข้าได้หรือ” เจียนเจียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ดวงตาประกายความหวัง
    “ทำไงได้ข้าใจอ่อนกับความรักต้องห้ามระหว่างเจ้ากับอาจารย์นี่” จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมมองเจียนเจียนที่หน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย
    “เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เห็นเข้าใจ” เจียนเจียนเอ่ยตอบกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำ
    “ข้าเข้าใจผิดหรอกหรือ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็คงรักษาไม่ได้แล้วล่ะ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ดวงตาเรียวมองเจียนเจียนนิ่งๆ มุมปากยกยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นอาการรนรานของเจ้าตัว
    “ไม่ได้นะ ข้ารักอาจารย์มากพอใจหรือยัง” ใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความอายและหงุดหงิดที่ถูกแกล้งมองใบหน้าซีดเซียวของอาจารย์แล้วยิ่งรู้สึกเศร้า หวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของอาจารย์อีกสักครั้ง
    จิวชงหยวนยิ้มขำกับท่าทางของเจียนเจียนที่น่าแกล้ง ก่อนจะกลับมาจริงจังอีกครั้ง
    “เจียนเจียน ข้าไม่รู้หรอกนะว่าอาจารย์เจ้าเป็นคนดีหรือคนเลว แต่หากเป็นคนดีก็ถือว่าข้าได้บุญที่ช่วยรักษาอวิ้นเซียนได้ แต่หากเป็นคนชั่วรังแกผู้ไม่มีทางสู้ ข้าจะเป็นผู้ที่สังหารอาจารย์เจ้าด้วยมือของข้าเอง”
    “อย่ากล่าวหาอาจารย์ข้า อาจารย์ข้าเป็นคนดีที่ช่วยฉุดพวกข้าออกจากโคลนตม และอาจารย์ไม่ได้สอนให้พวกข้ารังแกผู้อื่น แต่สิ่งที่ข้าทำระหว่างห้าปีมานี้เพื่อหาผู้ที่จะรักษาอาจารย์เท่านั้น” เจียนเจียนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    “หากเป็นดั่งที่เจ้ากล่าวมาก็ถือว่าดี แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้ารักษาอาจารย์เจ้าจริงๆ เพราะหากอาจารย์ฟื้นขึ้นมาก็ต้องหนุ่มแน่นและอายุยืนยาวให้ข้าใช้งานหลายร้อยปีเชียวนะ และเจ้าก็ต้องแก่ลงๆ และตายก่อนคนรัก เจ้ายินดีจริงหรือ”
    “นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า ว่าแต่เจ้าเถอะมียาอายุวัฒนะหรือไง หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าจะกราบเจ้าทุกครั้งที่เจอหน้าเลย” เจียนเจียนตอบกลับอย่างหงุดหงิด แม้จะดีใจที่จิวชงหยวนจะช่วยรักษาอาจารย์ให้แต่ท่าทีที่เห็นทำให้อดหมั่นไส้ไม่ได้
    จิวชงหยวนยกยิ้มบางอย่างขำๆ ไม่ได้ถือสากับคำพูดนั้น
    “ที่ข้าช่วยรักษาอาจารย์เจ้า ข้าไม่ได้หวังให้เจ้ามารับใช้ข้าหรือก้มกราบข้า แต่เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่นั่งคุกข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างจริงจัง เจียนเจียนเองก็เงยหน้ามองและตอบกลับอย่างจริงจังเช่นกัน แม้จะไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าจะรักษาได้จริงหรือไม่แต่เวลานี้เขาไม่มีทางเลือก
    “ได้ข้ารับปากเจ้า ขอเพียงเจ้ารักษาอาจารย์ของข้าได้”
    “ข้าขอให้เจ้าปิดบังเรื่องยาอายุวัฒนะที่ข้ามี ไม่ให้แก่ผู้ใดรับรู้ ไม่เช่นนั้นภัยพิบัติจะมาเยือนหอกิเลนของเจ้าและตัวข้าเอง เจ้าคงไม่อยากให้พี่น้องของเจ้าถูกตามล่าจากยุทธภพ ใช่หรือไม่” น้ำเสียงจริงจังและแววตามั่นคงทำให้เจียนเจียนมองอย่างอึ้งๆ เพราะปกติจิวชงหยวนชอบกลั่นแกล้งตนแต่เวลานี้ไม่หลงเหลือความซุกซนในแววตาอีกเลย แต่สิ่งที่น่าตกใจคือจิวชงหยวนมียาอายุวัฒนะติดตัว ช่างน่าอันตรายเกินไปแล้ว
    “เจ้าเป็นใครกันแน่จิวชงหยวน” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นแววตาประกายความคาดหวังว่าอาจารย์จะรอดชีวิต ทว่าร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวกลับมองมานิ่งๆ จนน่ากลัว เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัวคนผู้นี้คนที่เขาคิดว่าจะเป็นเหยื่อในครั้งแรกที่พบเจอ
    “ข้ารับปากเจ้า เรื่องนี้จะไม่ออกจากปากข้า หากเรื่องนี้หลุดไปจากปากข้าเจ้าสังหารข้าได้ทันที” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างพอใจ เมื่อรู้ว่าเจียนเจียนจะทำตามที่พูดดูจากแววตาที่ได้มอง หวังว่าเขาจะไม่มองคนผิดและหวังว่าอวิ้นเซียนจะเป็นคนดีดั่งที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง
    “เจ้าออกไปได้แล้ว รอแค่หน้าห้องพอหากข้าเสร็จแล้วจะออกไป” จิวชงหยวนหันไปบอกเจียนเจียน ตอนนี้เขาไม่อยากให้ใครรับรู้วิธีการรักษาของตน หรืออีกทีคือไม่อยากให้ใครเห็นยาอายุวัฒนะที่แสนอันตราย เจียนเจียนลุกขึ้นยืนมองทั้งคู่อย่างลังเลก่อนจะเดินออกไปรอหน้าห้องเมื่อรู้ว่าไม่มีทางเลือก เขาเองก็พอมีความรู้เรื่องหมอแม้จะไม่มากแต่พอรู้ว่าชีพจรของอาจารย์อ่อนแรงมากแค่ไหน
    หลังจากที่เจียนเจียนออกไปจากห้องแล้ว จิวชงหยวนจึงก้มมองสำรวจคนป่วยอีกครั้ง ใบหน้าคมคายที่หลับตาพริ้มให้ความรู้สึกคุ้นเคย คล้ายรู้จักแต่ก็ไม่รู้จัก คิ้วคมเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัยก่อนจะละความสนใจจากใบหน้าคนป่วย มือเรียวล้วงเข้าไปในอกเสื้อ กล่องไม้เนื้อดีขนาดจิ๋วซึ่งบรรจุยาสำคัญไว้สามเม็ดด้วยกัน ก่อนจะร่ายคาถาเปิดผนึกกล่องที่อาจารย์สอนไว้ กล่องไม้ดีดออกเผยให้เห็นยาลูกกลอนสีอำพันงดงามทอแสงประกายเรืองรองอยู่ด้านใน
    จิวชงหยวนมองเม็ดยาและหันไปมองคนป่วย หากนี่เป็นการตัดสินใจที่จะใช้ยาอายุวัฒนะกับคนผู้นี้นับว่ามีวาสนาต่อกัน อีกอย่างเขาก็ยังมีชีวิตยาวนานอีกหลายร้อยปีหากไม่ถูกใครฆ่าเสียก่อน รับรองว่าฟื้นขึ้นมาเขาจะใช้งานให้คุ้มค่าเลย ยาอายุวัฒนะจะต่ออายุได้ราวสามร้อยปีต่อเม็ด ไม่ใช่ว่าได้กินแล้วเป็นอัมตะเลยเพียงแต่หากมีให้กินตลอดไปนั่นแหละเป็นสิ่งที่น่ากลัว นิ้วเรียวหยิบยาออกมาหนึ่งเม็ดพร้อมเก็บที่เหลือไว้เช่นเดิม จากนั้นจึงหยิบยารักษาพิษปลิดวิญญาณเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
    “อวิ้นเซียนข้าช่วยเจ้าไว้ก็จริง หากแต่เมื่อใดที่เจ้าไม่มีคุณธรรมในใจข้าจะเป็นผู้สังหารเจ้าด้วยมือของข้าเอง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
    จิวชงหยวนบอกร่างที่นอนนิ่ง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงน้ำแข็งแล้วประคองร่างที่นอนหลับใหลขึ้นมาพิงอกตัวเอง จากนั้นจึงเอายายัดเข้าไปในปากพร้อมใช้ลมปราณขับไล่เม็ดยาลงไปในลำคอช่วยอีกทาง เพราะคนนอนไม่ได้สติไม่มีทางที่จะกลืนยาเองได้แน่ และส่งลมปราณเข้าไปกระตุ้นในร่างกายเพื่อให้ตอบสนองต่อยาที่กินเข้าไป ร่างอวิ้นเซียนกระตุกไปครั้งหนึ่งแล้วก่อเกิดแสงสีทองรอบตัวอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเห็นว่าร่างกายเริ่มปรับสภาพและหล่อหลอมเข้ากับยาแล้วจึงวางร่างนั้นนอนลงช้าๆ เช่นเดิม
    จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนมองร่างที่ถูกรักษานิ่งๆ พร้อมสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงร่างกายภายในช้าๆ ยาช่วยรักษาร่างกายและอวัยวะภายในให้กลับมาใช้งานได้เช่นเดิมอีกทั้ง พลังวัตรที่เพิ่มพูนมากขึ้นตามฤทธิ์ยาวิเศษแม้ภายในจะถูกรักษาให้มาใช้งานได้ ทว่าเส้นผมสีขาวโพลนไม่สามารถกลับมาเช่นเดิมได้อีก ทั้งผิวที่ขาวซีดนั้นที่ยังคงเดิมแต่ไม่น่าจะมีปัญหากับการใช้ชีวิต
    เวลาผ่านไปกว่าสามชั่วยาม ที่จิวชงหยวนยืนมองการเปลี่ยนแปลงของคนไข้รายพิเศษโดยไม่ได้ละสายตายตาไปไหน เนื่องจากยาที่กินเข้าไปสองชนิดพร้อมกันล้วนมีคุณสมบัติพิเศษหากไม่อยู่ดูแลช่วงนี้อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ แม้ท้องจะร้องประท้วงด้วยความหิวแต่ก็ยังดีที่มีสาลี่ติดย่ามอยู่สองลูกที่ช่วยปะทังชีวิตไปได้ชั่วคราว
    ร่างของอวิ้นเซียนจากที่เรืองแสงสีทองเริ่มเลือนรางหายไปเหลือแต่เพียงลมปราณสีขาวนวลที่หล่อหลอมพลังให้เป็นหนึ่งเดียว จิวชงหยวนฉีกยิ้มอย่างยินดีเพราะลมปราณสีขาวนวลของอีกฝ่ายบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเป็นคนมีคุณธรรม เนื่องจากลมปราณจะแบ่งเป็นสีๆ ตามสภาพจิตใจของผู้ฝึก
    จิวชงหยวนขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเมื่อเห็นร่างนั้นขยับตัวเล็กน้อย ร่างที่หลับใหลมาเป็นเวลานานค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตาคมกริบนั้นกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะหันมามองเขาซึ่งยืนอยู่ข้างกาย อวิ้นเซียนพยายามลุกขึ้นนั่งเขาจึงช่วยประคองลุกขึ้นเพราะเจ้าตัวนอนเป็นผักมานานจึงทำให้ร่างกายยังปรับสภาพไม่ค่อยได้ แต่หากไม่ได้ห้องน้ำแข็งประคองชีวิตก็คงม้วยมรณาไปนานแล้ว
    “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนร่างสูงที่นั่งนิ่ง ดวงตาสีดำสนิทมองมาที่เขาด้วยแววตาอ่อนลงแล้วกล่าวเรียกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
    “อาจารย์” จิวชงหยวนชะงักไปครู่ใหญ่กับคำเรียกขาน พร้อมพยายามเค้นหาความทรงจำที่อาจารย์เคยมอบให้เพื่อค้นหาว่ารู้จักคนตรงหน้านี้หรือไม่ ก่อนจะสะดุดกับความทรงจำบางอย่างดวงตาเรียวหันมามองคนเรียกอย่างพิจารณาอีกครั้ง เพราะคนในความทรงจำมันเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้นแต่เด็กน้อยผู้นั้นมีชื่อว่าอวิ้นเซียนที่เทพโอสถเป็นผู้ตั้งชื่อให้เอง หรือว่านี่เป็นโชคชะตาให้เขามาพบเจออีกครั้ง
    จิวชงหยวนเดินไปรินน้ำชาที่เจียนเจียนเอามาให้เมื่อครึ่งชั่วยามแรกมายื่นให้คนไข้ที่ฟื้นมาจากความตาย ซึ่งอวิ้นเซียนก็รับมาดื่มอย่างว่าง่าย
    “รู้สึกเช่นไรบ้าง” เอ่ยถามอีกครั้งเมื่อมองเห็นแค่เส้นใยของลมปราณเท่านั้นและชีพจรเริ่มกลับมาเต้นตามปกติแล้ว  อวิ้นเซียนเงยหน้ามองมาที่เขาก่อนจะก้มลงคุกเขาพร้อมก้มหัวคารวะสูงสุด
    “ศิษย์หายดีแล้ว ศิษย์ขอคารวะอาจารย์และขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาข้า” จิวชงหยวนอึ้งไปกับท่าทีของคนตรงหน้า รู้สึกไม่คุ้นเคยกับการมีคนมาก้มหัวคุกเข่าให้เช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้อวิ้นเซียนรับรู้หากจะแอบอ้างเป็นอาจารย์คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง
    “ลุกขึ้นก่อน ตอนนี้เจ้ายังไม่หายดี” บอกพร้อมประคองให้คนที่สูงกว่าตนมานั่งเตียงเย็นๆ อีกครั้ง ใบหน้าคมคายและดวงตาสีดำนั้นมองมาอย่างซาบซึ้ง
    “อวิ้นเซียนเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าให้เจ้ากินยาอะไรไป” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งอวิ้นเซียนเพียงแค่ส่ายหน้าตอบรับพร้อมก้มมองสำรวจตัวเองแล้วนิ้วหน้าอย่างฉงน
    “ยาอายุวัฒนะกับยาแก้พิษปลิดวิญญาณช่วยรักษาร่างกาย อวัยวะภายในของเจ้าแต่เส้นผมคงจะเป็นเช่นนี้ตลอดชีวิตนั่นแหละ” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบทว่าคนฟังกลับนั่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง
    “อาจารย์ท่านช่างดีกับข้านัก” อวิ้นเซียนกล่าวด้วยน้ำตาคลอพร้อมโผกอดร่างโปร่งบางของอาจารย์ด้วยความรักและเทิดทูน ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนอาจารย์ก็ยังเป็นเช่นเดิม
    จิวชงหยวนยืนอึ้งด้วยความตกใจอีกรอบ คนตัวสูงโผเข้ามากอดเขาเหมือนเด็กๆ ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวตัวโตกว่าเขาเสียอีก สองมือจับไหล่หนาให้ถอยออกห่างก่อนที่เจ้าศิษย์กำมะลอนี่จะแอบลวนลามเขาไปมากกว่านี้
    “ปล่อยข้าได้แล้วนี่ฉวยโอกาสลวนลามข้าหรือไง”
    “เปล่านะขอรับ ข้าแค่ดีใจ” อวิ้นเซียนบอกอาจารย์อย่างงอนๆ ใบหน้าคมหันหน้าหนีทว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณกลับไม่สนใจตนเสียด้วยซ้ำ จนต้องหันกลับมามองอาจารย์อีกครั้งไม่ว่าเวลานานเท่าไหร่อาจารย์ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างหน้าตาอีกทั้งนิสัย
    “เอาล่ะ ในเมื่อหายดีแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน” จิวชงหยวนกอดอกมองลูกศิษย์กำมะลออย่างจริงจัง ดวงตาคมสีดำสนิทมองตอบกลับมานิ่งๆ ทว่าความอ่อนโยนในแววตายังคงหลงเหลือ
    “เจ้ารู้ใช่ไหมยาที่เจ้ากินเข้าไปหากมนุษย์รู้เข้าจะเป็นภัยแก่เจ้าและคนที่เจ้ารัก”
    “ข้าทราบขอรับ ข้าไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังหรอกขอรับ” อวิ้นเซียนมองตอบด้วยรอยยิ้มบาง เหมือนจะถ่ายทอดความรู้สึกถึงคนตรงหน้าที่กอดอกใบหน้างดงามฉายแววจริงจัง หากในมือมีพัดเขาคงโดนโบกหัวไปแล้ว
    “เจ้าเข้าใจง่ายกว่าที่คิดไว้” จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างโล่งอกที่คนตรงหน้ารู้ความมากกว่าที่คิด
    “แล้วเจ้าเสียใจไหมที่อายุของเจ้าจะมากกว่ามนุษย์ธรรมดา” คำถามของอาจารย์ทำให้อวิ้นเซียนนิ่งอึ้งไปก่อนจะตอบเสียงแผ่ว พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์
    “ไม่ขอรับ เพราะอย่างน้อยข้าก็ยังมีอาจารย์อยู่เป็นเพื่อนนี่ขอรับ” จิวชงหยวนอึ้งไปกับรอยยิ้มบางๆ ของลูกศิษย์กำมะลอ ที่ทำให้เขาหวนคิดไปถึงตอนที่เจอกับลู่เฟยแรกๆ ซึ่งยิ้มได้ตลอดไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม จนไม่อาจรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงได้ หวังว่านี่ไม่ใช่หน้ากากลวงโลกเหมือนลู่เฟยตอนเป็นแม่ทัพสวรรค์หรอกนะ
    “เป็นเช่นนั้นเจ้าอาจจะเสียใจก็ได้ เพราะข้าจะใช้งานเจ้าให้หนักสมกับยาวิเศษที่เจ้ากินไป” จิวชงหยวนบอกคนหน้ายิ้มด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาเรียวมองอย่างค้นหาความจริงในแววตาคู่นี้
    “หากอาจารย์ต้องการเช่นนั้น ข้าก็ยินดีขอรับ” น้ำเสียงและแววตาที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง พร้อมพยายามนึกไปถึงความทรงจำที่เทพโอสถเคยมีซึ่งดูเหมือนอวิ้นเซียนผู้นี้จะรู้ว่าจิวชงหยวนหมอเทวดามิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เรื่องนั้นช่างเถอะเพราะเขายังมีเรื่องต้องเคลียร์
    “อวิ้นเซียนเจ้าได้รับพิษพวกนี้มาจากใคร” คำถามจริงจังของอาจารย์และแววตาเรียวฉายแววดุดันที่มิอาจโกหกหรือหลีกเลี่ยงได้ ใบหน้าคมคายที่ยิ้มแย้มกลับมานิ่งอีกครั้ง
    “อาจารย์ข้ามิอาจทราบได้ขอรับ คนผู้นั้นกล่าวอ้างว่าเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวน อีกทั้งฝีมือร้ายกาจเพียงไม่กี่กระบวนท่าข้าก็พลาดท่าเสียทีแล้วขอรับ” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเจ็บใจของอวิ้นเซียนทำให้จิวชงหยวนครุ่นคิดตามไปด้วย
    “คนผู้นั้นรูปลักษณ์เป็นเช่นไร”
    “เป็นชายแก่อายุราวเจ็ดสิบปี เส้นผมสีขาวโพลนและสูงพอๆ กับข้าขอรับ” คำตอบที่ได้รับไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนกระจ่างแม้แต่น้อย
    “หรือจะเป็นอาจารย์” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ เพราะรูปลักษณ์ที่กล่าวมาเหมือนกับเทพโอสถแต่ว่ามีเหตุผลอะไรที่อาจารย์จะสังหารศิษย์ตัวเอง
    “เรื่องนี้เอาไว้ก่อน แต่เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะไม่ไปแก้แค้นและยึดมั่นคุณธรรมดั่งที่เคยเป็นมา” จิวชงหยวนบอกลูกศิษย์กำมะลอด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลเขาไม่อยากให้อวิ้นเซียนไปเจอคนผู้นั้นอีก อวิ้นเซียนมีสีหน้าลังเลเล็กน้อยกับเรื่องแก้แค้น แต่เมื่อเห็นสายตาอาจารย์จึงก้มลงคุกเข่าให้คำสัตย์สาบานอีกครั้ง
    “ศิษย์สาบานจะยึดมั่นในคุณธรรมดั่งที่เคยเป็นมาขอรับ”
    “ดีมาก” จิวชงหยวนยิ้มรับก่อนจะประคองให้อวิ้นเซียนลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
    “เจ้าหลับไปนานกว่าห้าปี คงจะหิวมากเดี๋ยวข้าไปบอกศิษย์ของเจ้าเอาข้าวปลามาให้แล้วกัน” อวิ้นเซียนมองตามหลังอาจารย์ที่เดินออกไปนิ่งๆ พยายามคิดทบทวนความทรงจำในอดีต แม้เขาจะนอนหลับไปนานกว่าห้าปี ทว่าจิตใจเขานั้นรับรู้มาโดยตลอดว่าตัวเองพบเจอกับอะไร และมีใครเฝ้ามาดูแลตนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากวันนี้ไม่เจออาจารย์เขาคงได้สิ้นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้ไปแล้ว แต่ไม่ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไรอาจารย์เขาก็คงงดงามเฉกเช่นเดิม ทว่าความผูกพันของเขากับอาจารย์นั้นมีมากกว่าที่จะคิดเป็นอื่นได้



ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0


บทที่ 24
มีพบย่อมมีจาก


         “เจ้าชื่ออะไรเด็กน้อย” ชายหนุ่มร่างโปร่งบางก้มหน้าเอ่ยถามเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบปีที่หน้าตามอมแมมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาสดใสเงยสบกับดวงตาเรียวสวยพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
    “ข้าไม่มีชื่อขอรับ” เด็กน้อยบอกด้วยแววตาเศร้าหมอง ดวงตาสดใสเอ่อล้นด้วยน้ำตาเมื่อหวนคิดถึงอดีตเด็กน้อยขอทานเช่นตนจะมีชื่อแซ่ได้เช่นไร ทว่าคนฟังกลับยกยิ้มบางๆ อุ้มร่างเด็กน้อยขอทานสกปรกมอมแมมขึ้นมาอย่างไม่รังเกียจ
    “เช่นนั้นต่อไป เจ้าชื่ออวิ้นเซียน”ชายหนุ่มผู้นั้นบอกด้วยรอยยิ้มบาง อุ้มร่างเด็กน้อยขอทานที่ไร้ญาติขาดมิตรร่วมเดินทางไปด้วย ทว่าตลอดเส้นทางที่ร่วมเดินทางได้ฝึกวรยุทธให้อวิ้นเซียนเด็กน้อยตาใสไปด้วยและสอนให้รู้จักสมุนไพรรักษาเท่าที่มนุษย์จำพึงมี ทั้งคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขจวบจนเด็กน้อยเติบโตเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบห้าปีตามกาลเวลา...
    “อาจารย์ขอรับ” จิวชงหยวนซึ่งยืนสองมือไพล่หลังเหม่อมองท้องฟ้าบนหุบเขา หลุดจากความทรงจำของอาจารย์ที่ถ่ายทอดมาสู่ตัวเขาหันมามองคนเรียก คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นคล้ายจะเอ่ยถามลูกศิษย์กำมะลอซึ่งอาจารย์จริงๆ ของอวิ้นเซียนคือเทพโอสถ
    “อาจารย์จะไม่อยู่กับข้าจริงๆ หรือขอรับ” อวิ้นเซียนเดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเศร้าเพราะไม่ได้เจออาจารย์นานกว่าสิบปีแล้ว หากจะติดตามไปด้วยก็ยังมีพี่น้องคนอื่นๆที่ตนต้องรับผิดชอบ
    “มีพบย่อมมีจาก มีวาสนาก็ต้องได้พบเจอกันอีก” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ มองอวิ้นเซียนที่อายุร่วมยี่สิบเจ็ดปีแต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์ราวยี่สิบปี แม้ตอนอยู่กับเขาชอบทำตัวเหมือนเด็กน้อยสามขวบ ทว่าอยู่กับลูกศิษย์และคนในหอกิเลนกลับเป็นผู้นำที่น่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ และเรื่องนี้แหละที่ทำให้เจียนเจียนแอบงอนเขา แต่เรื่องอะไรเขาจะง้อในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่คิดก็อดจะขำไม่ได้
    “ข้าจะติดต่ออาจารย์ได้เช่นไรขอรับ เพราะสิบปีมานี้อาจารย์ไปมาไร้ร่องรอยและไม่ติดต่อข้ามาเลย” อวิ้นเซียนเอ่ยถามอย่างงอนๆ จิวชงหยวนมองลูกศิษย์กำมะลอแล้วทำหน้าเอือมระอา เพราะสองวันมานี้ที่เฝ้าดูอาการของอวิ้นเซียนเจ้าตัวมักมาออดอ้อนเขาทุกครั้งที่อยู่สองต่อสอง
    “ข้าจะติดต่อเจ้ามาเอง เพราะข้ามีงานให้เจ้าได้ทำ” จิวชงหยวนบอกอย่างจริงจัง
    “ให้ข้าทำอะไรหรือขอรับ”
    “งานง่ายๆ เจ้าแค่หาข่าวตามที่ข้าต้องการเท่านั้นเอง” อวิ้นเซียนเลิกคิ้วมองอาจารย์อย่างแปลกใจ อาจารย์ผู้ไม่สนใจต่อข่าวลือของยุทธภพแต่ตอนนี้ไยถึงมาสนใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเพราะเชื่อว่าอาจารย์ย่อมมีเหตุผล
    “ขอรับ ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง” อวิ้นเซียนบอกด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง จิวชงหยวนพยักหน้ารับเมื่อลูกศิษย์กำมะลอเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ ก่อนจะเหลือบตามองเจียนเจียนที่แอบมองอยู่หลังกำแพงหิน มาถึงตอนนี้เจียนเจียนก็ยังไม่เข้าใจว่าเขามีความสัมพันธ์อันใดกับอวิ้นเซียน แต่ค่อยให้เจ้าตัวไปอธิบายกันเองเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา คิดว่าเช่นนั้นนะ
    “เจียนเจียนเจ้าไม่ออกมาหรือ แอบอยู่แบบนั้นมันเหนื่อยนะ หรือว่าเจ้าอยากเป็นญาติกับจิ้งจกข้าก็ไม่ว่าหรอก” จิวชงหยวนหันไปร้องเรียกคนน่าแกล้งด้วยรอยยิ้ม อวิ้นเซียนเองก็หันไปตามสายตาเช่นกัน เจ้าตัวเดินออกมาด้วยใบหน้าหงิกงอด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเหลือบตามองอวิ้นเซียนอย่างน้อยเนื้อต่ำใจจนน่าสงสาร ทว่าทำไมเขาถึงรู้สึกสนุกเช่นนี้ สงสัยจะติดนิสัยลู่เฟยมา ว่าไปก็คิดถึงเหมือนกันแฮะ จิวชงหยวนครุ่นคิดกับตัวเองด้วยรอยยิ้มบาง
    “ข้าจะไปหาหย่งเจิ้นพวกเจ้าก็ปรับความเข้าใจกันเองนะ” บอกด้วยรอยยิ้มล้อเลียนพร้อมหมุนตัวหมายจะจากไปหากไม่มีมือหนาของอวิ้นเซียนรั้งข้อมือไว้ จิวชงหยวนเงยหน้ามองลูกศิษย์ตัวสูงอย่างฉงน
    “หยกขาวนี่จะทำให้ท่านติดต่อกับคนหอกิเลนได้ขอรับ อาจารย์โปรดถนอมตัวด้วย” อวิ้นเซียนปล่อยมือพร้อมยื่นหยกขาวลวดลายกิเลนมาให้อีกทั้งโค้งหัวทำเคารพอย่างสูงสุด จิวชงหยวนรับป้ายหยกสีขาวมาถือแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจจุดประสงค์
    “อืม แล้วข้าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มที่ทำให้อวิ้นเซียนยิ้มรับเหมือนเด็กๆ ที่รอผู้ปกครองกลับบ้าน เมื่อที่นี่ทุกอย่างเรียบร้อยจิวชงหยวนจึงหมุนตัวจากไป ทว่าก่อนจากยังไม่วายแอบกระซิบแกล้งเจียนเจียนให้เขินอายเล่น
    “จีบอวิ้นเซียนให้ติดนะ งดงามเช่นนั้นมีใครแย่งไป ข้าไม่รู้ด้วยนะ” 
    เจียนเจียนหน้าแดงก่ำกับคำพูดทิ้งท้ายของจิวชงหยวน ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับอาจารย์ไยถึงสนิทชิดใกล้กันขนาดนั้น หากจะเอ่ยถามก็อดน้อยใจอาจารย์ตัวเองไม่ได้ แทนที่ฟื้นขึ้นมาจะมีเวลาให้ตนแต่กลับไปหมกตัวอยู่แต่กลับจิวชงหยวน หากไม่ใช่ผู้มีพระคุณคงได้เชือดทิ้งเพราะความหึงหวงไปแล้ว
    “เป็นอะไรหน้ามุ่ยเชียว” อวิ้นเซียนเอ่ยถามศิษย์เอกด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าดวงตาเรียวสวยที่ช้อนขึ้นมามองเอ่อล้นด้วยน้ำตาก่อนจะโผเข้ากอดด้วยความอัดอั้นตันใจ ทั้งหวงหา คิดถึงและอีกมากมายที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ อวิ้นเซียนเองก็ยกมือลูบแผ่นหลังบางของศิษย์เอกเบาๆ อย่างปลอบโยน
    “ข้าหลับไปห้าปี เจ้าขี้แยขึ้นหรือไง หืม เจียนเจียน” อวิ้นเซียนผละออกจากร่างโปร่งมือเรียวสวยจับคางมนให้เงยหน้ามองสบกับดวงตา
    ดวงตาอ่อนโยนที่ถ่ายทอดมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรแต่อวิ้นเซียนยังเป็นคนเดิมจนทำให้ดวงตาสวยมีน้ำตาคลอพร้อมเอ่ยเรียกอาจารย์เสียงแผ่ว
    “อาจารย์”
    “ขอบใจที่อยู่ข้างกายข้า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและแววตาที่อ่อนโยนพร้อมความรักที่สื่อออกมาแม้ไม่ต้องพูด ทว่าเจียนเจียนกลับเข้าใจดี ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันด้วยความเขินอายก่อนจะโผกอดอาจารย์อีกครั้ง อวิ้นเซียนหัวเราะในลำคออย่างสุขใจ จะมีสักกี่คนที่เฝ้าดูแลคนที่เหมือนตายแล้วอย่างตน ได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและดูแลพี่น้องคนอื่นๆ ได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง
    จิวชงหยวนซึ่งแอบมองอยู่ห่างๆ ยิ้มอออกมาบางๆ ที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีกว่าที่คิด ก่อนจะพุ่งทะยานกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่บอกให้หย่งเจิ้นรอ ป่านนี้คงพ้นเป็นไฟแล้วกระมังที่ตามหาเขาไม่เจอทั้งๆ ที่เป็นคนสะกดรอยตามมาด้วยตัวเอง และต้องยอมรับในฝีมือของหอกิเลนที่ทำให้หย่งเจิ้นไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน
    กว่าสามชั่วยามที่ใช้ความเร็วในการเดินทางกลับมาที่นี่ ดีแต่ว่าเขาไม่ใช่พวกหลงทิศ ไม่เช่นนั้นเขาคงโดนหย่งเจิ้นคาดโทษมากกว่านี้แน่ ภายในโรงเตี๊ยมครึกครื้นเหมือนที่ผ่านมา จิวชงหยวนเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมอย่างคุ้นเคย และเหมือนเวลาจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะเมื่อทุกคนพร้อมใจหันมามองด้วยความสนใจขณะที่เขาก้าวเข้ามา ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อรับรู้สายตาคมคู่หนึ่งมองมาจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมและไม่ใช่ใครที่ไหน หย่งเจิ้นประมุขพรรคเทพจันทราที่เขาให้คนแจ้งนัดพบในเที่ยงของวันนี้ เขาเดินขึ้นไปมาอย่างไม่รีบร้อนเพราะไม่ว่าอย่างไรก็คงโดนบ่นเพราะผิดนัดหมายจากคราวที่แล้ว ทว่าเมื่อนั่งเก้าอี้ตามคำเชิญกลับไม่เป็นดั่งที่คิด
    “เจ้าคงหิว ข้าสั่งอาหารไว้รอ อยากได้อะไรเพิ่มไหม” ดวงตาคมที่มองมาพร้อมรินน้ำชาให้อย่างเอาใจ ทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ เหลียวหาตงไห่กลับไร้วี่แวว
    “ตงไห่ข้าสั่งให้กลับพรรคไปแล้ว” ไม่ทันได้เอ่ยถามทว่ามีคำตอบให้เรียบร้อย เดี๋ยวนี้เขามองดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ จิวชงหยวนยิ้มบางก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
    “ไม่ใช่เจ้าลงโทษตงไห่ที่ละเลยหน้าที่หรอกหรือ” เอ่ยถามคล้ายกับรู้ทัน คนร่างสูงเพียงแค่เหลือบตามองไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ก่อนจะบอกให้ลงมือกินข้าวที่สั่งมาไว้รอ
    “กินเถอะ” หย่งเจิ้นบอกคนงามที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดใบหน้าพร้อมคีบอาหารให้อย่างเอาใจ กิริยาของคนตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนมองอย่างแปลกใจ
    “นี่เจ้าจีบข้าอยู่หรือไง” หย่งเจิ้นชะงักไปครู่หนึ่ง เหลือบตามองคนถามอีกครั้ง สองวันมานี้ทำให้เขามีเวลาคิดทบทวนกับตัวเองอย่างถ้วนถี่และคำตอบที่ได้รับคือเขาสนใจคนตรงหน้าหมายจะให้มาอยู่เคียงข้าง
    “อืม” คำตอบสั้นๆ ของหย่งเจิ้นทำให้จิวชงหยวนตะเกือบหลุดมือด้วยความตกใจ ดวงตาเรียวเบิกกว้างมองคนหน้านิ่งอย่างคาดไม่ถึง
    “เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม” เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแห้งๆ กลัวกับคำตอบเพราะแค่ลู่เฟยคนเดียวก็จะทำให้ผิดเพศแล้วนี่เพิ่มมาอีกสองคนเขาไม่กลายเป็นเกย์ไปเลยหรือไง ทว่าเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ใบหน้างามกลับแดงระเรื่อด้วยความอาย เพราะรู้ตัวดีว่าเริ่มหวั่นไหวไปกับพวกที่ชอบตามตื้อแล้วโดยเฉพาะลู่เฟยที่ช่วงหลังๆ มานี้หัวใจเขาเต้นแรงทุกครั้งที่เจอหน้า   
    “ไม่ได้หรือ” หย่งเจิ้นเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมมองมานิ่งๆ ทว่าคนฟังกลับส่ายหน้ารัว
    “ส่ายหน้าแสดงว่าตกลง” หย่งเจิ้นกล่าวเองเสร็จสรรพทำให้จิวชงหยวนหยุดส่ายหน้า มองคนหน้านิ่งอย่างอึ้งๆ ที่หย่งเจิ้นพูดเองเออเอง จนเขาพูดไม่ออก มือเรียวยกกุมขมับที่เขาส่ายหน้าเพราะจะบอกว่าเขาเป็นชายหวังว่าเจ้านี่ไม่ตาบอดมองเขาเป็นผู้หญิงหรอกนะ
    แต่คิดไปอีกทีเปิดโอกาสลองให้ผู้ชายจีบดูก็คงไม่เลวหรอกมั้ง แต่ว่า...
   สายตาเรียวมองร่างสูงหนาอย่างพิจารณา ก่อนจะส่ายหน้าอย่างปลงๆ หากเขาตกลงปลงใจกับเจ้านี่คงไม่พ้นโดนกดเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ปัญญาไปกดหย่งเจิ้นลง แต่เมื่อคิดไปถึงลู่เฟยก็รูปร่างไม่แพ้กันหล่อขั้นเทพกันทั้งนั้นแล้วแบบนี้จะยอมให้เขากดหรือไง
    “สายตาเจ้าเวลานี้เหมือนจะถอดเสื้อผ้าข้าอยู่นะชงหยวน” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาทำให้สติของจิวชงหยวนกลับมาอีกครั้งก่อนจะยักไหล่อย่างไม่สนใจแล้วกล่าวตอบอย่างหน้าด้านๆ
    “ก็เจ้าคิดจะจีบข้า ข้าก็ต้องสำรวจเป็นธรรมดาเผื่อข้าจะได้มีโอกาสกดเจ้าลงบ้าง” ทว่าคนฟังกลับหน้าแดงก่ำจนไปถึงใบหู
    “เจ้ามันหน้าด้าน” จิวชงหยวนหน้าเหลอหลากับคำด่า แต่เมื่อเห็นหย่งเจิ้นหน้าแดงด้วยความอายจึงหัวเราะออกมาเบาอย่างขบขัน
    “กินไปเลยเจ้า” หย่งเจิ้นว่าให้พร้อมคีบเนื้อแกะย่างเข้าปากคนที่หัวเราะด้วยความเคอะเขิน เขาไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน นี่เขาหลงผิดหรืออย่างไรที่ไปหลงชอบคนเช่นนี้เข้า
    จิวชงหยวนหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจ แทนที่เขาจะเป็นฝ่ายเขินแต่นี่กลับเป็นคนที่จะจีบเขินเสียเองผู้ชายสมัยนี้จะขี้อายจนน่าแกล้ง แต่ว่าไปยกเว้นไว้คนหนึ่งที่ทั้งหื่นและหน้าด้าน เขาเผลอไม่ได้ชอบแตะนู่นนี่เป็นประจำ ว่าไปช่วงนี้ทำไมไปคิดถึงลู่เฟยบ่อยจัง ใบหน้างามเห่อร้อนเมื่อนึกถึงจดหมายที่เขายังเก็บไว้ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหย่งเจิ้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้
    “เจ้าอยู่กับข้าแต่ใจคิดถึงผู้ใดกัน” หย่งเจิ้นยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้างามอย่างจับผิด ดวงตาเหม่อลอย มุมปากกลับยกยิ้มบางจนอดหงุดหงิดไม่ได้
    “คู่แข่งเจ้าไง” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านกับสายตาคมที่มองมานิ่งๆ ก่อนจะขยับถอยกลับไปนั่งที่เดิม
    “พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าคู่แข่งข้าเป็นผู้ใด”
    “ถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง” จิวชงหยวนยิ้มตอบกลับอย่างมีเลศนัย ทว่าคนฟังกลับรู้สึกใจคอไม่ดี รู้สึกว่าตัวเองมาช้าไปอย่างไรอย่างนั้น หวังว่าเขายังมีโอกาสอยู่นะ
    “แล้วข่าวเซียนกระบี่ของเจ้าเป็นเช่นไรบ้างได้เรื่องหรือเปล่า” จิวชงหยวนเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องพร้อมคีบข้าวเข้าปากไปด้วยไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องของตนแม้แต่น้อย
    “มีแต่ตัวปลอม” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนพูดอย่างสนใจ มุมปากยกยิ้มบางก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
    “แล้วเป็นไงบ้างตัวปลอม กระบี่บินได้อย่างที่ร่ำลือกันหรือไม่” น้ำเสียงเริงร่าแววตาพราวระยับคล้ายสนุกกับเรื่องที่ได้ยิน ทำให้หย่งเจิ้นมองตามอย่างเอ็นดูแม้เขาจะอายุเพียงยี่สิบเอ็ดแต่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทำให้ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นตามอำเภอใจ
    “เปล่า” คำตอบสั้นๆ จิวชงหยวนมองตามอย่างเซ็งๆ นึกว่าจะได้ยินเรื่องสนุกมากกว่านี้ หากตงไห่อยู่ด้วยข่าวสารคงละเอียดมากกว่านี้ ทว่าทุกอย่างรอบกายกลับนิ่งเงียบเมื่อมีบุรุษอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มก้าวขึ้นมาชั้นสอง เสียงที่พูดคุยจ้อกแจ้กเงียบลงในบัดดล จิวชงหยวนก็หันไปมองด้วยความสนใจ ใบหน้าคมเข้มรูปร่างสูงใหญ่ดวงตาดุดันกวาดมองไปรอบกายก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เขา
    ร่างนั้นเดินเข้ามาหาตามด้วยลูกน้องอีกสามคนที่ยืนคุมอยู่เบื้องหลัง จิวชงหยวนหันมามองหย่งเจิ้นอย่างเป็นคำถามว่ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่ ใบหน้าเคร่งเครียดของหย่งเจิ้นฉายชัดได้ว่ารู้จักผู้นี้เป็นอย่างดี
    “ไม่คิดว่าประมุขพรรคเทพจันทราจะมาตามข่าวลือด้วยตนเองเช่นนี้” เสียงแข็งกระด้างที่ทักทายฟังดูไม่รื่นหูเอาเสียเลย ทว่าสายตาที่มองเขาอย่างแทะโลมนี่มันหมายความอย่างไร เขาก็แต่งตัวออกจะเรียบร้อยเหมือนชาวบ้านชาวช่อง
    “พรรคโลหิตมารเช่นเจ้าว่างงานแล้วหรือถึงออกมากัดชาวบ้านไปทั่วเช่นนี้” น้ำเสียงเย้ยหยันและแววตาคมกริบที่มองตอบโต้ของหย่งเจิ้น ทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปเหมือนกันไม่คิดว่าผู้ที่นิ่งๆ จะจิกกัดคนอื่นเป็น
    “เจ้า!” ชายหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มกัดฟันมองหน้าหย่งเจิ้นด้วยความเครียดแค้น หย่งเจิ้นเองก็มองตอบกลับอย่างท้าทายเช่นกัน บรรยากาศรอบกายชวนให้กดดัน ทว่าจิวชงหยวนมองทั้งคู่นิ่งๆ ก่อนจะคีบข้าวในถ้วยกินต่ออย่างไม่ใส่ใจ
    เพล้ง!
    ชามข้าวในมือหลุดกระเด็นแตกลงพื้นด้วยฝีมือของชายหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม จิวชงหยวนเหลือบตามองคนหาเรื่องตนด้วยแววตานิ่งเรียบจนเดาใจไม่ออก ซึ่งชายผู้นั้นก็มองเขาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิดว่าตนทำอะไรลงไป
     บรรยากาศกดดันในคราวแรกยังไม่เท่ายามนี้เลย เนื่องจากชายร่างโปร่งบางใบหน้างดงามที่ใครๆ ต่างแอบมองในเวลานี้ส่งแรงกดดันออกมาจากตัวจนทำให้หนาวสั่นสะท้าน จิวชงหยวนบีบตะเกียบในมือจนกลายเป็นฝุ่นผง ตอนแรกก็ไม่คิดจะใส่ใจเพราะไม่ใช่เรื่องของตนทว่าชายผู้นี้บังอาจทำลายชามข้าวเขาต่อหน้าต่อตาขณะที่เขากำลังหิว อภัยให้ไม่ได้!
    ตูม!
    และไม่มีใครคาดคิดร่างสูงใหญ่ของคนพรรคโลหิตมารกระเด็นออกไปไกล โต๊ะเก้าอี้ที่ขวางทางต่างหักล้มระเนระนาด ผู้ที่มองเห็นเหตุการณ์ต่างมองตามอย่างตื่นตระหนกเพราะใครๆ ต่างรู้ดีว่าเอี้ยหวงบุตรคนกลางของประมุขพรรคโลหิตมารนั้น วรยุทธล้ำเลิศและยังมีชื่อเสียงขจรไกลจนเป็นที่หวาดกลัวของชาวยุทธไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจอมยุทธคนอื่นๆแต่เมื่อทุกคนมองผู้ที่ลงมือกลับนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน ดวงตาเรียวมองคนที่กระเด็นไปไกลเรียบเฉยจนมิอาจคาดเดาได้
    “ชงหยวนข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าใจร้อน” หย่งเจิ้นกล่าวออกมาอย่างตะลึงไม่หายกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จิวชงหยวนหันมามองแล้วบอกเสียงเรียบ
    “ข้ากินข้าวได้สามคำเองนะ” คำตอบที่ได้รับทำให้หย่งเจิ้นมองร่างโปร่งบางอย่างอึ้งๆ และสรุปในใจว่าอย่าไปกวนโมโหจิวชงหยวนเวลาที่หิว
    ย๊ากก!
    เคร้ง เคร้ง!
    เอี้ยหวงที่เสียหน้าลุกขึ้นยืนชักดาบใหญ่พุ่งเข้าหาผู้ที่ทำร้ายตนด้วยความเกรี้ยวโกรธ ทว่าหย่งเจิ้นประมุขพรรคเทพจันทรากลับมาขวางเส้นทางไว้อย่างน่าโมโห
    “คิดจะทำร้ายคนของข้า ข้ามศพข้าไปให้ได้ก่อน” น้ำเสียงจริงจังและแววตากดดันที่ส่งให้ศัตรู ทำให้จิวชงหยวนมองหย่งเจิ้นแล้วแอบเบ้หน้า ไม่รู้ว่าตัวเองไปเป็นคนของหย่งเจิ้นตั้งแต่เมื่อไร รู้สึกว่าช่วงนี้เขาจะโดนจับยัดเยียดตำแหน่งแปลกๆ ให้เสียเหลือเกิน
    “เฮอะ อวดดี ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าไม่ควรมาหาเรื่องพรรคโลหิตมาร” คำกล่าวหาของคนพรรคโลหิตมารทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุกเพราะเท่าที่จำได้มีแต่มันเองที่มาหาเรื่องพวกเขาก่อน
    “ท่าทางเจ้าจะสมองเลอะเลือน ถึงจำไม่ได้ว่าผู้ใดมาหาเรื่องก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉยก่อนจะเอนหลังหลบคมดาบที่ฟันลงมา
    ตูม!
    โต๊ะอาหารตรงหน้าพังลงต่อหน้าอีกครั้ง จิวชงหยวนลุกยืนพลิ้วตัวหลบวีถีของคมดาบที่พุ่งเข้ามา ทว่าหย่งเจิ้นก็ออกมาขัดขวางการโจมตีของชายชุดสีน้ำเงินไว้ได้อย่างรวดเร็ว แต่นี่ใช่ว่าจะมีแค่หนึ่งเพราะพวกมันพกคนตามมาอีกสามเพราะฉะนั้นอีกสามคนที่เหลือต่างเข้ามาโจมตีเขาจึงต้องต้านรับด้วยตัวเอง
    จิวชงหยวนนิ่วหน้าเพราะไม่มีอาวุธป้องกันนอกจากพลิ้วตัวหลบไปหลบมากับถีบพวกมันให้ออกห่างเท่านั้น จะเรียกกำไลออกมาก็เด่นเกินไปเพราะชาวยุทธที่พักอยู่โรงเตี๊ยมต่างมองมาที่เขาอย่างสนใจ
    “ใครมีกระบี่ให้ข้ายืมบ้าง” เอ่ยถามออกไปโดยไม่ได้หวังว่าจะมีใครตอบรับ แต่กลับได้รับการสนับสนุนดีเยี่ยมเมื่อกระบี่เนื้อดีพุ่งเข้ามาหาตามคำเรียกร้องและเขาก็รับได้อย่างพอดี
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ฉัวะ!
    ไม่รู้กระบี่ดีหรือว่าฝีมือเขาดีกันแน่ เพราะเพียงไม่กี่กระบวนท่าสามคนที่โรมรันกับเขาถึงกับเลือดอาบโชกไปทั้งตัว ทว่าพวกมันกลับไม่ยอมแพ้ยังพุ่งเข้ามาหาและตั้งวงล้อมเขาคล้ายค่ายกล แม้จะมีเพียงแค่สามคนแต่กลับปิดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม
     นิ้วเรียวแต้มยาบางอย่างลงไปในคมกระบี่ด้วยความเร็วจนไม่มีใครมองตามได้ทัน พร้อมวาดกระบี่เข้าหาทั้งสามด้วยความเร็วไม่แพ้กัน เพียงไม่นานสามร่างที่สู้อย่างดุเดือดกลับล้มตัวนอนสลบไปเพราะโดนฤทธิ์ยาสลบขั้นรุนแรง จะทำอย่างไรได้ก็เขายังไม่คุ้นชินกับการฆ่าคนดั่งผักปลาแค่ป้องกันตัวก็พอ แต่หากยังไม่ละเลิกต่อกันครั้งต่อไปก็จำเป็นต้องสังหาร ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตเขาคงหาไม่
    จิวชงหยวนหันไปมองหย่งเจิ้นที่ต่อสู้โรมรันกับเอี้ยหวงด้วยความดุเดือด ความเร็วและดุดันของทั้งคู่สร้างความเสียหายให้กับโรงเตี๊ยมไปมาก ชาวบ้านธรรมดาที่มากินข้าวต่างเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยเตือน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    แรงปะทะของทั้งคู่ทำให้เกิดประกายไฟจนน่าหวาดกลัว จิวชงหยวนยืนมองนิ่งๆ ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือเพราะดูจากฝีมือแล้วหย่งเจิ้นไม่น่าจะแพ้ แม้อีกฝ่ายจะมีฝีมือร้ายกาจแต่ได้ขึ้นชื่อว่าประมุขพรรคคงไม่กระจอกหรอกมั้ง
    “ท่านไม่ไปช่วยสหายหรอกหรือ” หญิงสาวนางหนึ่งเดินมายืนข้างกายพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง ทว่ากลับงดงามชวนมองและเป็นคนเดียวกับที่ให้เขายืมกระบี่
    “แค่นั้นจัดการเองไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็นประมุขพรรค นี่กระบี่ของแม่นาง ข้าขอบคุณมากที่ให้ยืม” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
    “ไม่เป็นไร เห็นคนถูกรังแกข้าก็อดที่จะยื่นมือช่วยเหลือมิได้ ว่าแต่ท่านเถอะเหตุใดไม่พกกระบี่ติดกายเล่า” คำถามของหญิงสาวที่งดงดงามในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนทำให้จิวชงหยวนยิ้มบาง ก่อนจะตอบคำถามที่ทำให้แม่นางสำรวจเขาอย่างไม่เชื่อถือ
     “ข้าเป็นหมอเหตุใดต้องพกกระบี่เล่า”
    “ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่” จิวชงหยวนยิ้มรับไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก สายตายังจับจ้องหย่งเจิ้นที่ฟาดฟันกันจนออกนอกโรงเตี๊ยมไปแล้ว เขาจึงพุ่งทะยานตามไปด้วยและคนอื่นๆ เองก็แอบตามไปเช่นกัน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    เปรี้ยง!
    ฉัวะ!!
    หนึ่งกระบี่หนึ่งดาบใหญ่โรมรันกันอยู่กลางอากาศ การต่อสู้ที่ดุเดือดและรุนแรงทำให้จิวชงหยวนที่ตามมาติดๆ มองตามด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่ได้เห็นใครต่อสู้กลางอากาศจริงๆ เสียทีนอกเสียจากตอนที่เขาฝึกซ้อมกับลู่เฟยที่หุบเขาแห่งเซียน แต่นั่นไม่ได้วาดหวังเอาชีวิตจริงๆ ดั่งในตอนนี้ พื้นที่รอบป่านอกเมืองพังทะลายหักล้มตามพลังภายในที่แข็งแกร่งของทั้งคู่
    หย่งเจิ้นเร่งลมปราณเพิ่มเป็นเจ็ดส่วนพุ่งเข้าหาเอี้ยหวงด้วยความเร็วและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่อยากเสียเวลาอีกทั้งลองเชิงกันมาหลายกระบวนท่า ทำให้รู้แล้วว่าเอี้ยหวงผู้นี้มีวิชาติดตัวไม่มากนักมีแค่ความรุนแรงเท่านั้น
    ตูม!!
    ร่างของเอี้ยหวงล่วงตกลงมาที่พื้นด้วยความแรง ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือดจากการโจมตี มองศัตรูที่ซึ่งได้รับบาดแผลไปแค่สามแห่งอย่างน่าเจ็บใจ แต่ก่อนที่หย่งเจิ้นจะพุ่งเข้ามาซ้ำเติมร่างที่กระอักโลหิตของเอี้ยหวงได้หายไปอย่างรวดเร็วจนไม่อาจรู้ว่าผู้ใดช่วยไป
     พื้นที่บริเวณโดยรอบฟุ้งไปด้วยฝุ่น ทว่ามีเพียงจิวชงหยวนเท่านั้นที่มองเห็นว่ามีคนพาร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเอี้ยหวงไปแต่ก็ไม่ได้เข้าไปเหนี่ยวรั้งไว้ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร และเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตามยุทธภพจนเป็นเรื่องปกติ
    โดยไม่คาดคิดว่าเพราะเรื่องแค่นี้จะทำให้เกิดการนองเลือดขึ้นในภายภาคหน้า...




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 25
ตามหัวใจ
    


           หลังจากที่เกิดเรื่อง หย่งเจิ้นก็ได้จ่ายค่าเสียหายให้กับเจ้าของโรงเตี๊ยมซึ่งน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งใจ และเขาต้องย้ายโรงเตี๊ยมใหม่สำหรับพักผ่อนในค่ำคืนนี้ แต่ก่อนอื่นต้องจัดการบาดแผลให้หย่งเจิ้นที่พลาดท่าได้บาดแผลที่กลางหลังสองแผลและที่แขนซ้ายอีกหนึ่ง แผลเก่าที่เขาเคยทำให้เลือนหายไปบ้างแล้วแต่ก็ยังมีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่
    จิวชงหยวนทำแผลให้อย่างเงียบๆ และหย่งเจิ้นเองก็ปิดปากเงียบไม่ร้องโวยวายเหมือนกับวันแรกที่ได้รู้จัก จนอดคิดไม่ได้ว่าคงไร้ความรู้สึกไปแล้ว
    “ห้ามออกแรงมากภายในสองสามวันนี้ เดี๋ยวแผลจะฉีกขาด” จิวชงหยวนละมืออกจากแผลหลังทำเสร็จและเงยหน้าบอกคนที่นั่งนิ่งเสียงเรียบ ก่อนจะผละออกไปล้างมือและมาเก็บสมุนไพรใส่ไว้ในย่ามเช่นเดิม
    “เจ้าเอาอะไรซัดใส่เอี้ยหวง” หย่งเจิ้นดึงเสื้อกลับมาสวมเหมือนเดิมพร้อมเอ่ยถามร่างโปร่งบางที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว
    จิวชงหยวนยกยิ้มบางเมื่อคิดว่าเขาทำอะไรถึงทำให้เอี้ยหวงกระเด็นออกไป จะบอกว่าเข็มเงินเล่มเดียวจะมีใครเชื่อเขาไหม ก่อนจะยักไหล่ไม่ตอบคำถามเพราะบอกไปก็คงไม่เชื่อ อีกอย่างนั่นเป็นอาวุธลับของเขาเชียวนะหากบอกไปมันก็ไม่ลับนะสิ
    “เจ้าช่างมีความลับเยอะจนข้าอดจะตื่นเต้นในการค้นหาไม่ได้” หย่งเจิ้นกล่าวเสียงเรียบ ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มด้วยความชอบใจ จิวชงหยวนเหลือบตามองแล้วเบ้หน้า หวังว่าหย่งเจิ้นไม่คิดเป็นสตอล์กเกอร์แอบติดตามเขาหรอกนะ
    “เรียบร้อยแล้วข้ากลับห้องล่ะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินออกจากห้องของหย่งเจิ้น ส่วนห้องเขาก็อยู่ข้างๆ นี่แหละ
    “ขอบคุณ” เสียงขอบคุณดังมาเบาๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่าคนพูดหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน จิวชงหยวนยกยิ้มบาง พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป หย่งเจิ้นเองก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งไว้เพราะวันนี้เขาเองก็เหนื่อยมามากแล้วเช่นกัน
    แม้เวลาจะล่วงเลยไปยามจื่อแล้ว ทว่าร่างโปร่งบางกลับนอนพลิกกายไปมาเพราะนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะมีเรื่องให้ครุ่นคิด ไหนจะเรื่องของศิษย์กำมะลอที่ไม่รู้ว่าใครเอายาพิษหายากมาใช้ในโลกมนุษย์และตั้งใจทำร้ายโดยไม่ฆ่าจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ และไหนจะเรื่องของหัวใจที่ไปหวั่นไหวกับผู้ชายทั้งๆ ที่คิดว่าไม่มีวันชอบผู้ชาย แต่ทำไมหัวใจกลับหวั่นไหวขึ้นทุกวันเช่นนี้
    ใช่... ตอนนี้เขาคิดถึงคนที่อยู่แคว้นลั่วหยางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และยังชอบได้ยินเสียงของลู่เฟยลอยตามสายลมอยู่บ่อยครั้งอย่างผิดปกติหรือว่าลู่เฟยจำอดีตตัวเองได้แล้ว
    จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบขลุ่ยหยกที่ลู่เฟยให้ไว้บนโต๊ะเล็ก ก่อนจะทะยานออกนอกหน้าต่างโดดขึ้นไปกิ่งดอกเหมยซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องที่พัก โรงเตี๊ยมแห่งนี้กว้างใหญ่และมีป่าไผ่เล็กๆ และต้นดอกเหมยหลายต้นทำให้ดูร่มรื่นน่าเข้ามาพัก แต่ราคาแสนแพงทำให้เขาไม่เลือกมาพักแต่แรก ทว่าครั้งนี้หย่งเจิ้นเป็นคนจ่ายจึงทำให้เขาได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
    ร่างโปร่งบางนั่งพิงต้นดอกเหมยขนาดใหญ่ เหม่อมองพระจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวงอย่างเหม่อลอย บางทีเขาก็รู้สึกคิดถึงที่โลกเดิมแต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ดวงตาเรียวก้มมองขลุ่ยหยกในมือแล้วยกยิ้มบางลู่เฟยเป็นเพื่อนคนแรกในยามที่เขามาที่แห่งนี้  ในโลกที่ไม่รู้จักใครนอกจากอาจารย์กับลู่เฟย และช่วยสอนสิ่งต่างๆให้แม้จะชอบว่าเขาโง่เขลาแต่กลับสอนทุกสิ่งให้อย่างใจเย็น ทว่าช่วงหลังๆ มานี้กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าและเวลานี้หัวใจเขากลับคิดถึงคนที่ไม่ได้เจอหน้ามานาน
    “เจ้าจะตามหาข้าไหมนะลู่เฟย” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ เมื่อคิดถึงคำพูดก่อนจากไปของลู่เฟย หากลู่เฟยไม่ได้ชอบเขาก็คงไม่ตามหาสินะ แล้วทำไมหัวใจเขารู้สึกห่อเหี่ยวอย่างนี้
    จิวชงหยวนยกขลุ่ยหยกมาดูก่อนจะเริ่มเป่าเพลงที่คุ้นเคยในความรู้สึก เพลงของลู่เฟยที่เขาจดจำได้อย่างขึ้นใจแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบรรเลงด้วยตนเอง หวังจะให้บทเพลงปัดเป่าความรู้สึกออกไปจากใจ บทเพลงที่หวานละมุนปนความเศร้าหมองดังก้องไปโรงเตี๊ยม ทว่ากลับไม่มีใครมาร้องโวยวายว่ารบกวนยามวิกาล แต่กลับพากันนิ่งฟังบทแพลงที่ทั้งรักทั้งเศร้าและคิดถึงด้วยนำตาซึม ไม่คิดว่าบทเพลงที่แสนไพเราะจับจิตจับใจนี้จะมีอยู่ในโลกแห่งนี้
    เสียงขลุ่ยดังก้องกังวานไปทั่วจนมิอาจรู้ว่ามาจากที่ใด บทเพลงที่หวานปนเศร้าละมุนละไมทำให้ผู้คนอยากพบเจอผู้ที่บรรเลง ทว่าคนที่บรรเลงเพลงขลุ่ยตอนนี้กลับหลับตาพริ้มให้อารมณ์โลดแล่นไปกับบทเพลง
    เสียงบทเพลงดั่งแว่วจนไม่รู้ที่ไปที่มา ทว่าบัดนี้เจ้าของเพลงกลับมาปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นดอกเหมยต้นใหญ่ ดวงตาเรียวคมมองคนที่หลับตาพริ้มบรรเลงเพลงของเขาด้วยความคิดถึง หลายเดือนมานี้เขาทุ้มเทให้กับราชกิจและเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็วหวังจะได้ตามหาหัวใจตัวเอง และไม่น่าเชื่อว่าลางสังหรณ์ว่าจิวชงหยวนจะอยู่แคว้นเยี่ยจะเป็นจริง บทเพลงในยามค่ำคืนนี้ทำให้เขาตามเสียงเรียกจนมาเจอคนที่รักและเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ ณ ที่แห่งนี้
    บทเพลงจบลงทว่าเจ้าตัวยังหลับตาพริ้ม ลู่เฟยเองก็มองนิ่งๆ และเหมือนจิวชงหยวนจะรู้สึกตัวว่าถูกมอง ใบหน้างดงามก้มลงมาจากกิ่งเหมยก่อนจะสะดุ้งตกใจเกือบจะตกจากกิ่งไม้หากไม่มีลู่เฟยพุ่งขึ้นมาประคองเอาไว้
    “ลู่เฟย” จิวชงหยวนเอ่ยเรียกชื่อคนที่กอดเอวตัวเองไว้แน่นด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง หัวใจที่สงบกลับเต้นระรัวอีกครั้ง ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อใบหน้าคมคายอยู่ใกล้แค่เอื้อม ดวงตาคมกริบที่มองมานั้นทอประกายด้วยความรักและความคิดถึง
    ดวงตาเรียวเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อลู่เฟยก้มลงมาจูบริมฝีปากอย่างแผ่วเบา จิวชงหยวนอ้าปากหมายจะประท้วงแต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ลู่เฟยเข้ามาสำรวจโพลงปากของเขาอย่างเอาแต่ใจ รสจูบที่หอมหวานละมุมละไมทำให้เขาเผลอตัวจูบตอบลู่เฟยอย่างลืมตัว ก่อนจะพลักร่างหนาออกห่างด้วยความตกใจเมื่อมือหนาลูบไล้บริเวณสะโพกเขาและมันทำให้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยอายที่ไปเผลอตัวปล่อยใจให้อีกฝ่าย
    “ข้าคิดถึงเจ้า” คำกล่าวที่หวานซึ้งยิ่งทำให้จิวชงหยวนอายมากขึ้น
    “ปล่อยได้แล้ว มาถึงก็ฉวยโอกาสลวนลามข้าเลยหรือไง” จิวชงหยวนบอกพร้อมจ้องเขม็งเมื่อมือหนายังเกาะเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
    “ก็ข้าคิดถึงเจ้านี่แค่รางวัลเล็กน้อยเอง” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มบาง ดวงตาคมมองคนหน้าแดงอย่างพึงพอใจ
    “เล็กน้อยบ้านเจ้านะสิ” จิวชงหยวนพึมพำอย่างหงุดหงิดมองค้อนคนฉวยโอกาสอย่างหมั่นไส้ ใช่ว่าเขาไม่เคยจูบใครแต่นี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาถูกผู้ชายจูบต่างหาก แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเขาถึงเต้นแรงเช่นนี้
    “เจ้าเองก็คิดถึงข้ามิใช่หรือ ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่บรรเลงเพลงนี้เรียกข้ามาหรอก” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มมั่นใจจนทำให้คนมองหมั่นไส้ แม้จะไม่ได้สว่างแต่แสงจากโคมไฟที่ประดับรอบโรงเตี๊ยมก็ทำให้เห็นภาพนั้นชัดเจน
    “อย่ามาขี้ตู่ ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
    “ข้ามาตามหาหัวใจข้า” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงหนักยิ่งกว่าเดิม ลู่เฟยหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะปล่อยร่างโปร่งบางให้เป็นอิสระ จากนั้นจึงขยับไปนั่งพิงกิ่งไม้ถัดไปซึ่งอยู่ต่ำกว่าจิวชงหยวนเล็กน้อย
    “บรรเลงเพลงให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่” ลู่เฟยเงยหน้ามามองและเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมนั้นสื่อความหมายว่ารักมาให้ แม้เจ้าตัวไม่ได้พูดแต่กลับฉายชัดในแววตา จิวชงหยวนมองตามอย่างลังเลเพราะตอนนี้อายจนอยากจะมุดดินหนีแต่เมื่อเห็นแววตาที่ส่งมาก็ปฏิเสธไม่ออก
    มือเรียวยกขลุ่ยหยกขึ้นมาบรรเลงเพลงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ได้เศร้าหมองแต่กลับเป็นเพลงที่หวานซึ้งคล้ายกับความรักที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานได้สมหวังและพบเจอแล้ว เสียงหวานละมุมดังก้องไปทั่วเมืองอีกครั้ง บรรยากาศในครั้งแรกนั้นเงียบเหงาวังเวง ทว่าบัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศสีชมพูอย่างไม่ได้ตั้งใจ
    บทเพลงจบลงอย่างงดงาม จิวชงหยวนมองคนที่เอาแขนหนุนหัวนอนกิ่งไม้ใหญ่หลับตาฟังเพลงเขาอย่างครุ่นคิด นิ้วเรียวเผลอยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัว ความหวานซาบซ่านยังติดอยู่ในใจ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหลงมัวเมาไปกับรสจูบของผู้ชายไปได้
    “ข้าจำเจ้าได้แล้วนะชงหยวน” เสียงเรียบที่กล่าวออกมาพร้อมสายตาคมที่ลืมตามองเขานิ่งๆ ทำให้ร่างโปร่งบางสะดุ้งปล่อยมือออกจากปากลงแทบไม่ทัน แต่ก็คงไม่ทันแล้วล่ะเมื่อดวงตาคมหรี่ตามองเขาแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
    “หืม หมายความว่าเจ้าจำเรื่องระหว่างข้ากับเจ้าได้หรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจพยายามตีสีหน้าให้นิ่งเข้าไว้เหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
    “วันแรกที่ข้าเจอเจ้า เจ้าตบหน้าตัวเองใช่หรือไม่” ลู่เฟยไม่ตอบคำถามแต่ถามคำถามกลับมา และมันทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงด้วยความอายเพราะตอนนั้นเขาคิดว่ามันเพียงความฝันจึงตบหน้าตัวเองเสียเต็มแรง กอปรกับเป็นช่วงจังหวะที่ลู่เฟยปรากฏตัวพอดี ใบหน้ายิ้มละไมที่พบเจอกันวันแรกดูก็รู้ว่าทุกอย่างนั้นเสแสร้งแกล้งทำ ทว่ายามนี้เจ้าตัวมาเป็นองค์ชายห้าที่มีความรู้สึกนึกคิดของความมนุษย์มากขึ้น แต่ไหนกลับหน้าด้านหน้าทนและชอบแอบลวนลามเขาเป็นประจำ
    “อืม ใช่” ตอบกลับด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อยเพราะทำขายหน้าตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ลู่เฟยยิ้มบางเมื่อนึกถึงความฝันที่เป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำ แม้จะจำได้ไม่หมดแต่ส่วนมากก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับจิวชงหยวนทั้งนั้น
    “เจ้าจำได้หมดแล้วหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจที่เห็นรอยยิ้มละไมบนใบหน้าคมคายเพราะปกติจะยิ้มเจ้าเล่ห์เสียมากกว่า
    “ยังหรอก ข้าคิดว่าเมื่อไรที่ข้ารักเจ้ามากขึ้น ความทรงจำข้าก็จะกลับคืนมาเอง แต่อีกทางหนึ่งที่ข้าคิดว่าน่าจะจำได้หมดคือเจ้าต้องรักข้าด้วย” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนมองคนพูดด้วยความอาย
    “เจ้าฝันไปเถอะ ไม่คุยกับเจ้าแล้ว” จิวชงหยวนบอกพร้อมทะยานหายไป ปล่อยให้ลู่เฟยนั่งยิ้มคนเดียวบนต้นไม้ใหญ่ข้างโรงเตี๊ยม จากนั้นร่างสูงจึงทะยานตามร่างโปร่งบางไปด้วย ในเมื่อเขามาตามหาหัวใจตัวเองเหตุใดต้องมานั่งเหงาคนเดียวเล่า อย่างไรคืนนี้ก็ขอให้นอนกอดด้วยความคิดถึงก่อนเถอะ

    เช้าวันนี้บรรยากาศรอบกายของจิวชงหยวนจะมาคุชอบกล เมื่อสองหนุ่มที่เพิ่งมาเจอกันกำลังส่งสายตาใส่กันเขม็งและเหมือนจะมีประกายไฟออกมา จนผู้คนภายในโรงเตี๊ยมมองตามอย่างหวาดระแวง ทว่าคนต้นปัญหาที่พาทั้งคู่มานั่งกินข้าวด้วยกันกลับนั่งกินข้าวหน้าตาเฉย ไม่ได้สนใจบรรยากาศมาคุในตอนนี้เลย
    “พวกเจ้าไม่กินข้าวกันหรือไง นั่งจ้องตากันเดี๋ยวก็ท้องหรอก” จิวชงหยวนเงยหน้ามองทั้งสองซึ่งนั่งจ้องตากันแล้วส่ายหน้าเอือมระอาเพราะมันเป็นมาตั้งแต่เช้าแล้ว เนื่องจากหย่งเจิ้นเข้ามาหาเขาเมื่อเช้าแล้วเห็นลู่เฟยนอนกับเขามาทั้งคืน เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น
    “ข้าไม่ได้พิศวาสเจ้านี่”  จิวชงหยวนมองทั้งคู่ที่ตอบหลับมาอย่างสมานสามัคคีกันดี แต่ทำไมสายตาถึงจะฆ่ากันอย่างนั้น ริมฝีปากยกยิ้มบางไม่รู้ว่าจะขำดีไหมที่ทั้งคู่มองเขาอย่างค้อนๆ ก่อนจะคีบเป็ดย่างให้ทั้งคู่อย่างเอาใจ
    “รีบกินเข้าไปเถอะข้าจะได้เดินทางต่อ อีกอย่างพวกเจ้าก็ต้องได้เจอกันทุกวันอยู่แล้วรักกันไว้ไม่ดีหรือไง”
    “ไม่มีทาง” จิวชงหยวนยิ้มบางเมื่อทั้งคู่ตอบกลับพร้อมกันอีกครั้ง และหลังจากที่บอกหย่งเจิ้นว่าเขาจะออกเดินทางต่อก็ขอติดตามไปด้วยทันทีเมื่อรู้ว่าลู่เฟยก็ร่วมเดินทางไปด้วย
    “แหม ท่าทางจะรักกันเนอะ” จิวชงหยวนกล่าวอย่างหยอกล้อ ทว่ากลับได้สายตาอำมหิตตอบกลับมา แต่แค่นี้เขาไม่สะทกสะท้านหรอก
    “ชงหยวนข้าไม่อยู่แค่สองเดือนไยถึงมีเจ้านี่ตามติดเช่นนี้” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงเย็น ดวงตาคมกริบจ้องมองศัตรูหัวใจที่กล้าท้าทายเขาด้วยความหงุดหงิด
    “ก็ข้าหล่อไง” จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมยักคิ้วให้อย่างท้าทายไม่ได้เดือนร้อนกับสายตาดุๆ นั้นเลยสักนิด ทว่าเมื่อสิ้นคำตอบของเขากลับได้สายตาเอือมระอาจากคนทั้งคู่ ดูสิ ก็เห็นเข้ากันดีจะตายจะทะเลาะกันไปทำไม
    หลังจากกินข้าวไปด้วยบรรยากาศมาคุเสร็จแล้ว จิวชงหยวนจึงหาซื้อข้าวของจำเป็นและตรวจดูสมุนไพรที่เหลือแต่ก็มีมากพอในการรักษา การเดินทางออกจากแคว้นเยี่ยในครั้งนี้เขามุ่งหน้าไปทางเหนือระหว่างทางผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ไปเรื่อย การเดินทางไม่ได้รีบร้อนโดยมีสองหนุ่มติดตามมาด้วย แม้ทั้งคู่จะไม่เถียงหรือโวยวายใส่กันแต่สายตากลับฟาดฟันกันตลอดเวลา
    “เจ้าไม่ปวดตากันบ้างหรือไง จ้องกันอยู่ได้” จิวชงหยวนหันไปถามทั้งคู่เสียงเรียบแต่กลับได้รับค้อนจากสองหนุ่ม นี่ตกลงเขาผิดใช่ไหม ตอนนี้หัวใจเขารู้สึกแปลกๆ ชอบกลการเดินทางที่มีสองหนุ่มตามจีบและเขาเป็นคนเสมอภาคก็เลยให้ลู่เฟยตามจีบได้เช่นเดียวกับหย่งเจิ้น ตอนแรกลู่เฟยแทบจะพ้นไฟใส่เขาเพราะถือสิทธิ์ว่าเขาเป็นชายาตนเอง แต่เมื่อเห็นสายตาเรียบนิ่งของเขาที่มองกลับไปเป็นคำตอบทำให้ได้แต่ฮึดฮัดในใจ
    แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าใจเขาเองว่าลู่เฟยชนะหย่งเจิ้นมานั่งอยู่ภายในใจเขาไปกว่าสองห้องแล้ว แต่เรื่องอะไรเขาจะบอกให้เจ้าตัวได้ใจ ดูคนหึงใส่แบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ และอีกอย่างไม่รู้ทำไมเขาชอบให้ลู่เฟยหึงใส่ สงสัยเขาจะโรคจิตไปแล้วกระมั้ง
    ทั้งสามเดินทางจนมาถึงเมืองเล็กทางเหนือของแคว้นเว่ยซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่อากาศหนาวเหน็บกลับไม่สะเทือนผิวหนังของทั้งสามแม้แต่น้อย จิวชงหยวนแวะพักหมู่บ้านเล็กๆ พร้อมตั้งโต๊ะรักษาชาวบ้านไปตามอัธยาศัย แม้คราแรกชาวบ้านจะไม่กล้ามารักษาเพราะบรรยากาศมาคุจากสองหนุ่มผู้ติดตามจนจิวชงหยวนต้องไล่ให้ไปไกลๆ ทว่าสองหนุ่มไม่เห็นด้วยจึงยอมสงบศึกกันชั่วคราว
    “ท่านป้าไอเรื้อรังมานานแล้วเพราะอากาศหนาว ต้องห่มผ้าหนาๆ นะขอรับ นี่ยาต้มกินสามเวลาหลังอาหารหนึ่งสัปดาห์ก็หายแล้วขอรับ” จิวชงหยวนบอกคนป่วยที่เข้าแถวรักษาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ยื่นหอยาที่จัดเตรียมไว้ให้ตามความเหมาะสมกับโรคที่เป็น
    “ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ” นางบอกด้วยรอยยิ้มดีใจรับห่อยาแล้วเดินจากไปเหมือนคนอื่นๆ เพราะเขาไม่ได้คิดเงิน นอกเสียจากบางคนจะมีเบี้ยมาให้เป็นการขอบคุณแม้จะเล็กน้อยแต่ก็เป็นน้ำใจที่พวกเขาตั้งใจมอบให้ จิวชงหยวนยิ้มรับและตรวจรักษาคนไข้รายต่อไป และครั้งนี้กลับเป็นเด็กน้อยขอทานสกปรกมอมแมม
    “ท่านหมอแม่ข้าไม่สบายท่านหมอช่วยไปรักษาแม่ข้าได้หรือไม่ขอรับ” เสียงเล็กใสของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบปีดังขึ้นเบื้องหน้า จิวชงหยวนยิ้มบาง
    “ได้สิ แม่เจ้าอยู่ที่ใดเด็กน้อย”
    “ตามข้ามาขอรับท่านหมอ” เด็กน้อยบอกด้วยรอยยิ้มดีใจ ดวงตาสดใสยิ่งกว่าเดิม จิวชงหยวนมองคนไข้ที่เหลืออีกนิดหน่อยอย่างลังเล ก่อนจะหันไปบอกเด็กน้อยขอทานด้วยรอยยิ้มบาง
    “เด็กน้อยเดี๋ยวให้ข้าตรวจท่านลุกท่านป้าที่เหลือสามท่านนั้นก่อนนะ ส่วนเจ้ามานั่งนี่ก่อน” บอกพร้อมลุกขึ้นพาร่างน้อยมานั่งเก้าอี้ที่ยืมมาจากผู้นำหมู่บ้านให้เด็กน้อยนั่งพร้อมหมั่นโถวสองลูก ซึ่งเด็กน้อยเองก็มองอย่างลังเล เก็บหมั่นโถวไว้ในอกเสื้ออย่างหวงแหน จิวชงหยวนจึงรีบมารักษาคนไข้ที่เหลือ เพื่อเด็กน้อยจะได้ไม่ต้องรอนาน
    “ท่านลุงปวดหัวมานานเท่าไรแล้วขอรับ” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเครียดเมื่อรับรู้ความผิดปกติของสมองและศีรษะของลุงท่านนี้ใหญ่ขึ้นตามขนาดของเนื้องอก
    “หนึ่งปีแล้วท่านหมอ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย
    “ท่านลุงลองกินยาตัวนี้ดูนะขอรับ กินเช้าเย็นมื้อละเม็ด อีกหนึ่งเดือนข้าจะกลับมาดูท่านลุงอีกครั้ง
    “ขอบคุณมากขอรับท่านหมอ ข้าเหมาเฉินบ้านอยู่ท้ายหมู่บ้านขอรับ” ท่านลุงบอกด้วยรอยยิ้มยินดีหวังจะหายจากโรคที่เป็นอยู่ จิวชงหยวนยิ้มรับอย่างอ่อนโยน
    “ข้าจิวชงหยวนขอรับท่านลุง เดี๋ยวข้าจะกลับมาดูอาการท่านอีกครั้งแค่ยาลืมกินยาตามที่สั่งก็พอขอรับ”
    ลู่เฟยกับหย่งเจิ้นยืนมองจิวชงหยวนเงียบๆ การรักษาและคำพูดที่อ่อนโยนอีกทั้งรอยยิ้มที่งดงามทำให้พวกเขาไม่อาจละสายตาออกไปได้ การรักษาพร้อมกับความคล่องแคล่ว อีกทั้งไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อยของร่างโปร่งบางยิ่งดูมีเสน่ห์จนติดตราตรึงใจ
    ลู่เฟยเมื่อเห็นศัตรูหัวใจที่ยืนคุมอยู่ข้างๆ ยิ่งพาลให้หงุดหงิดใจ แต่เพื่อคนที่รักจึงพยายามข่มความอยากฆ่าคนออกจากใจและดูเหมือนหย่งเจิ้นเองก็มีความคิดไม่ต่างไปจากตน
    จิวชงหยวนรักษาอาการที่เหลือหมดแล้วจึงลุกขึ้นเดินมาหาเด็กน้อยซึ่งนั่งรออยู่ไม่ห่าง สายตาเหลือบมองสองหนุ่มที่แผ่ไอเย็นออกมาจากตัวอย่างไม่ตั้งใจแล้วยกยิ้มที่มุมปากอย่างขบขัน
    “เด็กน้อยไปหาแม่เจ้ากัน” จิวชงหยวนยื่นมือไปฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้น ก่อนจะถือถุงย่ามเดินจูงมือเด็กน้อยไปยังที่อยู่ของคนป่วย ทว่ามือหนาของลู่เฟยรั้งแขนเอาไว้และรับถุงย่ามมาถือเอง จิวชงหยวนส่งรอยยิ้มบางมาให้ ลู่เฟยเสหน้าหันไปทางอื่นทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำด้วยความเก้อเขินเพราะไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน
    หย่งเจิ้นมองตามทั้งคู่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พร้อมยื่นถุงหนังที่บรรจุน้ำส่งให้ร่างโปร่งบางแล้วบอกเสียงเรียบ
    “เจ้าคงเหนื่อยดื่มน้ำก่อนเถอะ” จิวชงหยวนเหลือบมองหย่งเจิ้นแล้วยิ้มรับมือเรียวยกน้ำดื่มด้วยความกระหายทำให้น้ำไหลออกมาจากมุมปากจนเปียกชุ่มมาถึงลำคอระหง สองหนุ่มมองตามแล้วแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนยั่วอย่างไรอย่างนั้น
    “ขอบคุณ”
     จิวชงหยวนผู้ยังไม่รู้ว่า กำลังยั่วสองหนุ่มอย่างไม่รู้ตัวยกมือซ้ายปาดน้ำมุมปากพร้อมยื่นถุงน้ำคืนเจ้าของ ก่อนจะเดินตามร่างเล็กไปเรื่อยๆ ปล่อยให้สองหนุ่มที่ไม่รู้ว่าอึ้งอะไรกันยืนอยู่ที่เดิม
    สองหนุ่มหันมาสบตากันพร้อมประกายไฟเปรี๊ยะๆ อีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้นจึงรีบจ้ำอ้าวเดินตามร่างโปร่งบางด้วยความมุ่งมั่น และต่างก็มีความคิดเดียวกันว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้หัวใจของจิวชงหยวนให้ได้!



ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 26
การเดินทางของหมอจิว...
    

         จิวชงหยวนเดินตามเด็กน้อยจนออกนอกหมู่บ้านเดินลัดเลาะไปตามลำธารจนกระทั่งไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้หวาดระแวงอะไรเพราะกลิ่นไอรอบกายไม่มีจิตสังหารหรือคนอื่นๆ อยู่รอบบริเวณนั้น เด็กน้อยวิ่งเข้าไปในถ้ำเขาจึงก้าวเท้าเร็วมากขึ้น โดยที่ลู่เฟยกับหย่งเจิ้นก็เดินตามมาติดๆ ทว่ากิริยาของทั้งคู่ระวังตัวแจจนอดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อทั้งคู่แม้จะยืนห่างกันแต่ก็ดูออกว่าคอยป้องกันภัยให้เขาไปด้วย ดูแล้วก็เหมือนจะเข้ากันดีหากไม่นับสายตาที่มีประกายไฟออกมาทั้งคู่
    จิวชงหยวนเดินเข้ามาในถ้ำที่อยู่ลึกเข้ามาก่อนจะสะดุดกับร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่นอนโทรมอยู่เตียงไม้เก่า
    “นี่ท่านแม่ข้าขอรับท่านหมอโปรดช่วยแม่ข้าด้วยขอรับ” ดวงตาใสคลอไปด้วยน้ำตาปีนขึ้นไปนั่งกอดแม่ด้วยความรัก เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ไม่ได้จิวชงหยวนพยายามส่งรอยยิ้มอ่อนโยนไปให้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวผู้นั้นที่อายุไม่น่าเกินสามสิบปี นางลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรงทว่าดวงตาที่พร่ามัวทำให้รู้ว่านางตาบอด
    “แม่เจ้าตาบอดหรือเด็กน้อย” หย่งเจิ้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวงใย เด็กน้อยหันมามองแล้วส่ายหน้ารัว
    “แม่ข้าไม่ได้ตาบอดขอรับ แม่ข้าแค่มองไม่เห็น” คำตอบที่ได้รับทำให้หย่งเจิ้นอึ้งไปพักใหญ่ และมันทำให้จิวชงหยวนยิ้มขำเพราะการมองไม่เห็นกับการตาบอดมันก็อันเดียวกันไม่ใช่หรือ ส่วนลู่เฟยยกยิ้มร้ายอย่างชอบใจที่เด็กน้อยทำให้ศัตรูหัวใจอึ้งไปพักใหญ่
    “พวกท่านเป็นใคร” เสียงแหบแห้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว สองมือกอดร่างลูกน้อยเอาไว้ ใบหน้าที่ยังคงความงดงามหันซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง
    “ข้าเป็นหมอผ่านมารักษาคนในหมู่บ้านใกล้ๆ นี้ แต่เด็กน้อยได้ตามข้ามาช่วยรักษาแม่นาง  แม่นางโปรดวางใจ” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแม้คนที่มองไม่เห็นแต่ก็สัมผัสถึงความอ่อนโยนที่ส่งมาให้ได้
    “ขอบคุณท่านหมอที่มาช่วยรักษาข้า แต่ข้าไม่มีเงินทองให้ท่านหรอก” นางบอกด้วยน้ำเสียงสลด จิวชงหยวนยิ้มบางแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนเดิมจนคนฟังรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
    “แม่นางโปรดวางใจ ข้าช่วยเหลือผู้คนไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน”
    “ประเสริฐแท้ นับว่าข้ามีวาสนาที่จะได้พบคนดีเช่นท่าน แต่ข้านั้นวาสนามีน้อยคงยากต่อการรักษา ดวงตาของข้าโดนพิษร้ายเกินจะเยียวยาเจ้าค่ะ” จิวชงหยวนมองคนพูดที่กิริยานั้นดูงดงามแม้จะไม่เรี่ยวแรงและร่างกายซูบผอมก็ตามแต่ก็บ่งบอกได้ว่าคนผู้นี้คงเป็นผู้ดีตกยากกระมั้ง
    “มันคงไม่ยากเกินกำลังของข้าหรอกแม่นางวันนี้ได้พบเจอนับว่ามีวาสนา ขอให้ข้าได้รักษามาแม่นางเถิด” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบาง
    “ต้องรบกวนท่านแล้ว” แม่นางตอบรับจิวชงหยวนจึงเดินเข้าไปใกล้ ลู่เฟยและหย่งเจิ้นเฝ้ามองด้วยรอยยิ้มเพราะบรรยากาศรอบกายของจิวชงหยวนเวลานี้ชวนให้อบอุ่นและวางใจ
    จิวชงหยวนจับข้อมือนางอย่างแผ่วเบาก่อนจะส่งลมปราณเข้าไปตรวจสอบภายในของร่างกายช้าๆ โดยที่เจ้าของร่างไม่รู้สึกตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปภายใน คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเพราะไม่รู้สึกว่าช่วงนี้เขาจะเจอพิษแปลกๆ เข้าเสียแล้ว ใช้เวลาไปกว่าครึ่งก้านธูปกว่าสรุปได้ว่าคนตรงหน้าโดนพิษอะไร
    “แม่นางท่านมีความเกี่ยวข้องใดกับเผ่ามาโกหรือไม่”
    “เปล่าเจ้าค่ะท่านหมอ” เสียงที่ตอบรับทำให้จิวชงหยวนมองอย่างพิจารณาอีกครั้ง หากไม่ใช่คนเผ่ามาโกที่เป็นพื้นเพของดอกกระดิ่งคนตาย หรือเรียกอีกอย่างว่าถุงมือจิ้งจอกซึ่งเป็นส่วนผสมของพิษชนิดนี้และยังมีดอกปรงสาคูเพิ่มไปอีกชนิดนับว่าคนผู้นั้นต้องการสังหารอย่างทรมาร
    “แม่นางท่านโดนพิษเพชฌฆาตสีทอง พิษนี้นับร้ายแรงไม่น้อยคนที่ทำร้ายแม่นางย่อมมีความแค้นต่อกันถึงหมายจะเอาชีวิตและให้ตายอย่างทรมาร” จิวชงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเช่นเคย ทว่าคนฟังกลับตัวแข็งทื่อร่างกายสั่นสะท้าน ก่อนจะรนรานจับมือเขาเขย่ามามาพร้อมร้องขออย่างน่าสงสาร
    “ท่านหมอโปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ” จิวชงหยวนมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา ความจริงเขาช่วยชีวิตผู้คนไม่ได้คิดอะไรมาก ช่วยได้เท่าที่ทำได้แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้รางสังหรณ์ว่าเขาจะเจอเรื่องยุ่งยากอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเมื่อเห็นสายตาเว้าวอนน้ำตาคลอหน้าของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบทำให้ใจอ่อนก่อนจะบอกเสียงแผ่วเบา
    “ข้าจะช่วยแม่นางเองโปรดวางใจเถิด” นางยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้ง จิวชงหยวนยื่นมือไปขอถุงย่ามจากลู่เฟยซึ่งเป็นผู้ติดตามที่ดีกว่าที่คาดไว้ รอยยิ้มอ่อนโยนและแววตาที่หวานละมุนที่ส่งมาให้เขาหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน จนหย่งเจิ้นกระแอ้มกระไอขัดสายตาหวานๆ ของลู่เฟยที่ส่งมา ซึ่งเจ้าเพียงแค่ยักคิ้วให้อย่างท้าท้าย
    กิริยาของทั้งคู่ทำให้จิวชงหยวนอดยิ้มขำไม่ได้ ที่เขาตัดสินใจให้จีบพร้อมกันแบบนี้เพราะเขาอยากรู้ว่าระหว่างหย่งเจิ้นกับลู่เฟยเขารู้สึกเช่นไรกันแน่และความรู้สึกจะเหมือนกันหรือเปล่า เขาไม่ใช่คนหลายใจเพียงแต่หากตกลงรับรักคนใดคนหนึ่งไปอย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า กว่าจะรักกันได้นั้นมันมีค่ามากแค่ไหน ไหนต้องผ่านอุปสรรค์ไปด้วยกันอีก เพราะฉะนั้นวิธีนี้จึงดีที่สุดในความคิดเขาในเวลานี้
    จิวชงหยวนหยิบยาสมุนไพรชนิดพิเศษมาบดขยี้ โดยให้แม่นางนอนราบกับเตียงไม้เก่าๆ จากนั้นจึงวางสมุนไพรไว้บนเปลือกตานางเพื่อให้ดูดซึมพิษจากดวงตา ซึ่งต้องใช้วีธีการรักษาละเอียดอ่อนกว่าร่างกาย และมีหย่งเจิ้นตั้งไฟต้มยาจากหม้อดินเล็กๆ ที่มีติดอยู่ในถ้ำแห่งนี้เพราะลู่เฟยก่อไฟไม่เป็นเพราะเป็นถึงองค์ชายที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในรั่วในวัง และตอนเป็นเทพเขาก็ไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้ถึงจะคอยช่วยเขาก็ใช้อิทธิฤทธิ์เสียส่วนใหญ่
    จิวชงหยวนใช้เวลารักษาไปกว่าหนึ่งชั่วยามจนอาการของนางดีขึ้น ดวงตาสองข้าลืมขึ้นและมองภาพทุกอย่างได้ชัดเจน ใบหน้างดงามยิ้มกว้างอย่างยินดีสองมือกอบกุมใบหน้าตัวเองด้วยความตื่นเต้น
    “ท่านแม่ ท่านมองเห็นข้าแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” เด็กน้อยเอ่ยถามมารดาด้วยความตื่นเต้นดวงตาประกายความสดใสมากขึ้น นางพยักหน้ายิ้มรับพร้อมอ้าแขนกอดร่างเด็กน้อยอย่างรักและหวงแหน
    “ท่านหมอข้าเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว” นางหันมาบอกด้วยรอยยิ้มปลื้มยินดีกับการมองเห็นอีกครั้ง จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะยื่นสมุนไพรที่หย่งเจิ้นช่วยต้มมายื่นให้เพื่อดื่มขับไล่พิษอีกครั้ง แม้จะเป็นพิษหายากแต่เขาก็ไม่ได้ใช้ยาวิเศษรักษาแค่ยาแก้พิษธรรมดาแต่สำหรับเขาปรุงแต่งขึ้นเองมันย่อมมีคุณภาพมากกว่าปกติอยู่แล้ว
    “ข้าช่วยเท่าที่ช่วยได้ อย่าได้ถือเป็นบุญคุณเลย” จิวชงหยวนบอกเสียงนุ่มทุ้ม ทว่านางกลับคุกเขาก้มหัวทำความเคารพด้วยความซาบซึ้งใจ ทว่าในใจเขาไม่ได้ยินดีที่นางทำเช่นนี้เลบย แต่เมื่อยิ่งพูด็เหมือนจะไม่มีประโยชน์แล้วแต่นางจะทำเถอะ
    “ข้าผิงเออร์ ขอบคุณท่านหมอและพวกท่านทั้งสองที่ช่วยเหลือข้ากับลูกชาย” จิวชงหยวนไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ยื่นห่อยาที่นางต้องใช้ต้มระหว่างหนึ่งสัปดาห์ไว้ให้
    “นี่ยาที่เจ้าต้องต้มกินเอง ข้าคงต้องไปแล้วขอให้เจ้าโชคดี” จิวชงหยวนบอกพร้อมวางห่อยาไว้ที่โต๊ะพร้อมลูบหัวเด็กน้อยก่อนจะเดินออกจากถ้ำไป ปล่อยให้สองแม่ลูกมองตามอย่างเงียบๆ
    “มีบางอย่างผิดปกติหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นจิวชงหยวนรีบเดินทางโดยใช้ลมปราณทะยานจากไปโยที่ทั้งสองเองก็ตามมาติดๆ เช่นกัน
    “ไม่รู้สิ ข้าเชื่อในลางสังหรณ์ของข้า แต่ตอนนี้เรารีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” บอกทั้งคู่ก่อนจะเร่งฝีเท้าทะยานจากไป เหมือนกับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไม่เคยมีหมอเทวดาจิวชงหยวนปรากฏมาก่อน
    ห่างไกลมานับร้อยลี้ที่ทั้งสามใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานออกจากหมู่บ้านแห่งนั้น   จนกระทั่งมาถึงเมืองขนาดกลางของแคว้นเว่ยทั้งสามคนจึงกลับมาเดินตามปกติอีกครั้ง เวลานี้บ่ายมากแล้วในมือของทั้งสามคนมีแอปเปิ้ลคนละลูกที่กัดกินระหว่างทาง การกินที่ไม่ต้องเรื่องมากแต่ขอแค่ให้ปะทังชีวิตไปได้ ทำให้จิวชงหยวนลอบมองตามลู่เฟยกับหย่งเจิ้นเสมอแม้เขาจะเป็นไม่สนใจแต่ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกต
    “แม่นางผิงเออร์มีอะไรผิดปกติหรือ” หย่งเจิ้นเอ่ยถามระหว่างเดินเข้าไปในตัวเมืองที่การค้าขายและเสียงร้องเรียกลูกค้าแข่งกันอย่างครึกครื้น    
    “ไม่รู้สิ ข้าแค่รู้สึกไม่ดีเหมือนกับนางเป็นตัวล่อให้หมอเทวดาจิวชงหยวนออกมา แต่นั่นเป็นความรู้สึกของข้า แต่ข้าไม่อยากประมาทเลยเพ่นออกมาก่อน” จิวชงหยวนหันไปบอกหย่งเจิ้นที่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะเดินเข้าไปตลาดด้วยความตื้นเต้น แม้จะเจอตลาดทุกเมืองที่เดินทางทว่าแต่ละที่มีความแตกต่างกันไป โดยมีสองหนุ่มเดินประกบคู่อย่างน่าขบขัน
    “อากาศก็ร้อน พวกเจ้าจะมาเดินใกล้ข้าทำไม” จิวชงหยวนเหลือบตามองทั้งคู่แล้วเลิกคิ้วถาม
    “ข้านอนกอดเจ้า เจ้าไม่เห็นบ่นว่าร้อนเลย เดินใกล้แค่นี้ทำเป็นบ่น” ลู่เฟยว่าให้อย่างงอนๆ ทว่าคนที่ดวงตาเบิกกว้างกลับเป็นหย่งเจิ้น
    “หมายความว่าไงชงหยวน ไหนบอกว่าเจ้านี่จีบเจ้าเหมือนกับข้า แล้วทำไมเจ้านี่ได้นอนกับเจ้าล่ะ เจ้ามันลำเอียง” จิวชงหยวนกระพริบตาปริบๆ มองหย่งเจิ้นที่มองเขาด้วยความหงุดหงิดและมองลู่เฟยอย่างเชือดเฉือน เขายกมือมาลูบหัวตัวเองโดยไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเพราะลู่เฟยเองก็ปกปิดฐานะตัวเองด้วยจะบอกว่าเป็นชายาก็คงไม่ดี
    “อ่ะ นั่นพุทราเชื่อมนี่” บอกพร้อมวิ่งแจ้นไปหาร้านพุทราเชื่อม นั่นจึงทำให้บรรยากาศอึมครึมเริ่มหายไปจิวชงหยวนลอบหายใจอย่างโล่งอก สองมือซื้อพุทราเชื่อยื่นให้ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มซึ่งทั้งสองคนก็รับมาพร้อมเสหน้าหันไปทางอื่นด้วยความอาย
    จิวชงหยวนยกยิ้มบางเมื่อทุกอย่างเริ่มผ่านไปด้วยดี หากพวกเขาคิดกับเขาแค่เพื่อนคงจะสบายใจมากกว่านี้ บางทีเขาก็ลำบากใจเหมือนกัน ตอนที่อยู่กับลู่เฟยหัวใจเขาเต้นแรงขึ้น ทว่าเมื่ออยู่กับหย่งเจิ้นกลับรู้สึกคล้ายอยู่กับเพื่อนคู่ใจเสียมากกว่า นั่นเริ่มทำให้เขารู้ว่าหลงไปชอบลู่เฟยนเข้าให้แล้ว แล้วแบบนี้หย่งเจิ้นจะรู้สึกอย่างไร เขาไม่ควรให้ความหวังใช่ไหม หรือว่าเว้นระยะห่างดี
    จิวชงหยวนเดินกินพุทราเชื่อมพร้อมครุ่นคิดกับปัญหาหนักอกตัวเองมาเรื่อยจนมาสะดุดกับร้านยาที่มีคนเดินเข้าออกมากมาย ร่างโปร่งบางหยุดชะงักก่อนจะกินพุทราเชื่อมเม็ดสุดท้ายแล้วเดินเข้าไปในโรงยาด้วยความสนใจ โดยที่สองหนุ่มตามมาเงียบๆ สมกับเป็นคนไม่ค่อยพูดนั่นแหละ
    “คุณชายรับอะไรดีขอรับ” ชายวัยกลางคนออกมาต้อนรับและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มออนโยน จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
    “ท่านลุงเป็นหมอหรือขอรับ”
    “เปล่าหรอกคุณชาย ข้าเป็นแค่ผู้ช่วยของท่านหมอเทวดาจิวชงหยวน” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนติดสตั้นไปสามวิ ก่อนจะหันไปหาสองหนุ่มที่ยกยิ้มบางเหมือนกลับว่ารู้อยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นหมอร่วมมาเกือบห้าเดือนเพิ่งจะได้รู้จักหมอจิวชงหยวนตัวปลอมก็คราวนี้แหละ น่าจะสนุกดีพิลึกแฮะ
    “เช่นนั้นหรือขอรับท่านลุง ข้าเลื่อมใส่ท่านหมอจิวชงหยวนมานานจนอยากพบเจอ ข้าไม่สบายมาตั้งแต่เด็กทำให้ผิวซีดขาวและไม่แข็งแรง ท่านพอจะพาข้าไปหาท่านหมอเทวดาผู้นี้ได้หรือไม่ขอรับ”
    “เอ่อ...คือ...” และก่อนที่ลุงคนนั้นจะพูดไม่ออกต่อไป ลู่เฟยก็ยื่นเงินหนึ่งตำลึงมาให้ ซึ่งตาลุงแก่ฉีกยิ้มโค้งหัวพร้อมบอกด้วยความดีใจ
    “ท่านหมอเทวดาต้องดีใจมากขอรับที่ได้รักษาคุณชาย เชิญทางนี้ขอรับ” บอกพร้อมเชิญเข้าไปด้านในโรงยาซึ่งมีห้องรับแขกและบ้านพักอยู่ด้านในแม้จะไม่ใหญ่มากแต่ก็พออยู่สบาย
    “พวกท่านนั่งรออยู่ที่นี่สักครู่นะขอรับ ข้าจะเรียนท่านหมอเทวดาให้” จิวชงหยวนพยักหน้ารับและส่งรอยยิ้มบางไปให้ เก้าอี้รับแขกพร้อมชาดื่มพร้อมทว่ากลับไม่มีใครคิดแตะต้อง
    “สนุกไหมได้เจอคนชื่อเหมือนตัวเอง” หย่งเจิ้นซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขำ ส่วนลู่เฟยเดินสำรวจรอบห้องรับแขกเหมือนจะหาสิ่งผิดปกติ
    “จุ๊ๆ ตอนนี้ข้าชื่อลู่ห่านเป็นคุณชายขี้โรค” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าดวงตากลับประกายเจ้าเล่ห์ ลู่เฟยหันมามองคนเปลี่ยนชื่อตัวเองแล้วยิ้มขำ ทว่าหย่งเจิ้นกับสะบัดหน้าหนีด้วยความงอนเพราะคิดว่าคนตรงหน้าไปใช้แซ่ของลู่เฟย แต่จริงๆ  ลู่เฟยชื่อเต็มว่าลั่วลู่เฟยต่างหาก จิวชงหยวนมองคนงอนแต่ไม่มีคนง้ออย่างปลงๆ เพราะไม่อยากให้ความหวังเลยต้องทิ้งระยะห่างไว้บ้าง แม้จะรู้สึกในใจบ้างก็ตาม
    “คุณชาย ท่านหมอเชิญทางนี้ขอรับ” ตาลุงคนนั้นกลับมาอีกครั้งพร้อมพาไปอีกห้องหนึ่งซึ่งมีฉากกั้นปกปิดไว้จนไม่อาจเห็นใบหน้าของหมอเทวดาจิวชงหยวนตัวปลอมเลย นอกจากรูปร่างที่เป็นเงาให้พอรู้ว่าเป็นชายร่างสูงโปร่งนี่งเอนหมอนพิงใบใหญ่ชันเข่าขึ้นอย่างสบายอารมณ์ ตกลงเขามาหาหมอรักษาหรือว่ามาหาหมอดูดวงกันแน่ รู้สึกแปลกๆ แฮะ
    “เด็กน้อยเจ้าช่างน่าสงสารนักที่อายุยังน้อยแต่กลับขี้โรคมาตั้งแต่เกิด ปกติข้าไปมาไร้ร่องรอยแต่ข้ามาพักผ่อนที่นี่ระหว่างทาง นับว่าเรามีวาสนาต่อกันถึงได้พบเจอ” น้ำเสียงยานคางและการเดามั่วของคนหลังฉากกั้นทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุกยิกๆ เหลือบมองสองหนุ่มที่นั่งนิ่งดวงตาจ้องฉากกั้นเหมือนจะให้ทะลุไปถึงร่างที่อยู่ข้างหลัง
    “ท่านหมอช่างเก่งกาจยิ่งนักขอรับ แม้ยังไม่ได้ตรวจอาการข้าแต่กลับรู้ได้อย่างถ่องแท้” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยเสียงนับถือคนตรงหน้า การสวมหน้ากากมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเพราะช่วงที่เป็นหมอเขาต้องปั้นหน้าพูดคุยกับคนไข้จนชินชาไปแล้ว และยังมาได้ประสบการณ์น่าตื่นเต้นในวังหลวงระหว่างรับจ๊อบเป็นชายานั่นอีกแค่นี้ถือว่าชิวๆ
    “ขั้นตอนการรักษานั้นละเอียดอ่อนเพราะเจ้าเป็นโรคร้ายแต่กำเนิด เจ้าให้สหายเจ้าออกไปรอข้างนอกเถอะ ข้าไม่อยากให้ใครมาทำลายสมาธิของข้า” น้ำเสียงเนิบนาบกล่าวออกมาจากฉากกั้น จิวชงหยวนเหลือบตามองทั้งคู่ก่อนจะพยักหน้าให้ออกไป ลู่เฟยมองนิ่งๆ ก่อนจะเดินตามหย่งเจิ้นออกไป
    เพียงพ้นหลังของลู่เฟยและหย่งเจิ้นไปกลิ่นไอกำยานบางชนิดแผ่ออกมาแม้จะเบาบางแต่คนจมูกดีและอยู่กับสมุนไพรมานานย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังโดนดีเสียแล้ว ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงล้มตัวลงและแกล้งหลับไปตามยาสลบที่ปล่อยออกมา แม้ยาจะไม่เป็นผลกับเขาก็ตามเนื่องจากพลังภายในของเขาแข็งแกร่งจนขับสิ่งแปลกปลอมออกมาได้
    ชายหนุ่มที่อยู่หลังฉากกั้นก้าวออกมาด้วยยิ้มกริ่ม มองร่างโปร่งบางผิวขาวซีดอย่างพึงพอใจ ก่อนจะย่อตัวอุ้มร่างนั้นหายเข้าไปอีกห้องหนึ่งและเดินไปยังห้องใต้ดินซึ่งมีคบไฟจุดส่องแสงสว่างไว้ตลอดเส้นทาง ชายหนุ่มวางร่างโปร่งบางบนเตียงไม่แข็งๆ พร้อมใส่โซ่พันข้อมือของร่างโปร่งบางที่หน้าตางดงามเอาไว้ มือหยาบด้านลูบไล้ใบหน้าเรียบเบาๆ อย่างหลงใหล ทว่าห่างออกไปกลับมีหญิงสาวหน้าตางดงามถูกตรึงเอาไว้อย่างน่าเวทนา และถัดไปกลับมีเพียงโครงกระดูกหลายหลายวางกองอยู่
    “ข้าเสียดายความงามของเจ้านัก แล้วข้าจะเล่นกับเจ้านานๆ แล้วกัน” เสียงยานคางบอกอย่างเฉื่อยชาทว่าดวงตากลับมองร่างโปร่งบางอย่างกระหาย ก่อนจะสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อคนตรงหน้าแทนที่จะหลับยาวกว่านี้กลับลืมตาขึ้นมามองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ได้มีความหวาดกลัวในดวงตาแม้แต่น้อย
    “เจ้าทำเช่นนี้ทำไม” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ เมื่ออดทนนอนนิ่งให้อีกฝ่ายลวนลามใบหน้าตัวเองไม่ไหว สองมือถูกตรึงด้วยโซ่เส้นใหญ่แต่ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว
    “เจ้าตื่นเร็วกว่าที่คิด หรือว่า...” เสียงที่เอ่ยถามเริ่มเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาโรคจิตมองสำรวจร่างเขาอย่างถี่ถ้วนแล้วแสยะยิ้มอย่างน่าสยดสยอง
    “ช่างน่าสนใจ เจ้าเป็นใครกันแน่เด็กน้อย” จิวชงหยวนมองคนที่เรียกเขาว่าเด็กน้อยแล้วเลิกคิ้วอย่างฉงนเพราะเจ้าตัวอายุไม่น่าเกินยี่สิบเจ็ดเสียด้วยซ้ำไป แต่อย่างว่าจะเอาอะไรกับโรคจิต เขากระซากข้อมือทั้งสองออกจากพันธนาการโซ่เส้นใหญ่ที่นับว่าแข็งแกร่งไม่น้อยกลับขาดออกอย่างง่ายดาย ทำให้เจ้าโรคจิตนั่นถอยห่างออกไปเล็กน้อย
    จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนมองอีกฝ่ายนิ่งๆ แม้ที่นี่บรรยากาศจะชวนอึดอัดแต่เขายังไม่มีเวลาสำรวจเพราะศัตรูตรงหน้าถึงแม้จะโรคจิตแต่นับว่าวรยุทธแข็งแกร่งไม่น้อย
    “เจ้าทำให้ข้าตื่นเต้น” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองคนที่ยกยิ้มมองเขาอย่างน่าขนลุก ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็คงต้องใช้กำลังอย่างเดียวสินะ จิวชงหยวนเรียกกำไลเปลี่ยนเป็นกระบี่ทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิดและเหมือนเจ้าโรคจิตนี่จะตาวาวด้วยความสนใจ
    ร่างสูงพุ่งเข้ามาหาพร้อมกงเล็บเหยี่ยวราตรีด้วยความเร็ว เข้าพลิ้วกายเอนหลบด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเสียงแหวกอากาศดังไปมาบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายวรยุทธล้ำเลิศไม่น้อย
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    กระบี่โชคชะตาปะทะเข้ากับกรงเล็บที่ยื่นยาวออกมาของอีกฝ่ายเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟ ที่ปลายเล็บกลับเคลือบด้วยพิษชนิดร้ายแรง หากเป็นคนอื่นต้องมาคอยระวังเรื่องพิษอีกแน่ ดีแต่ว่าร่างกายเขาต้านพิษได้ไม่เช่นนั้นคงได้ตกเป็นเหยื่ออันโอซะของเจ้าโรคจิตนี่แน่ๆ
    เปรี๊ยะ!
    เสียงการปะทะที่รวดเร็วดุดันระหว่างกระบี่และกงเล็บดังไปทั่วห้อง ดวงตาของศัตรูตรงหน้าเริ่มแดงฉานจนน่าตกใจ พร้อมแรงที่เพิ่มมากขึ้นจนร่างโปร่งบางต้องถอยหลังมาสามก้าว มองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา
    “บ้าฝึกวิชาจนจิตมารเข้าแทรกหรือ” จิวชงหยวนพึมพำกับตัวเองเบาๆ มองการเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าที่เหมือนจะบ้าคลั่งมากขึ้น
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    สองร่างปะทะด้วยความเร็ว รุนแรง ดุเดือดจนพื้นห้องวสั่นสะเทือนและพื้นที่นี้เป็นพื้นที่คับแคบของห้องใต้ดินจึงทำให้ด้านบนสั่นสะเทือนเล็กน้อย หากคนไม่มีวรยุทธล้ำเลิศคงจับสังเกตไม่ได้ และนั่นทำให้สองหนุ่มหันมาสบตากันก่อนจะพุ่งทะยานกลับไปห้องนั้นอีกครั้งแต่กลับไร้วี่แวว
    ตูม!
    เสียงปะทะและการระเบิดดังมากจากใต้ดิน ยิ่งทำให้ลู่เฟยกระวนกระวายเพราะความเป็นห่วง แม่จะเชื่อมั่นในฝีมือแต่ความห่วงมันก็ห้ามกันไม่ได้ เมื่อมองศัตรูหัวใจที่รนรานไม่ต่างไปจากตนก็ต้องถอนหายใจยาว
    “ข้าว่าเรารออยู่ที่นี่เถอะ”
    “เจ้าไม่ห่วงชงหยวนหรือไง” หย่งเจิ้นหันมาตะคอกถามอย่างหงุดหงิดที่ลู่เฟยทำเป็นใจเย็นกว่าที่คิด
    “ชงหยวนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แค่นี้รับมือได้สบายอยู่แล้ว” ลู่เฟยบอกด้วยความเชื่อมั่น ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนแรกที่พุ่งตัวเข้ามาห้องนี้แท้ๆ หย่งเจิ้นหันไปมองศัตรูหัวใจอย่างหงุดหงิดเรื่องอะไรเขาจะทำตาม คิดได้แค่นั้นก่อนจะเริ่มค้นหาที่ตะลงไปใต้ดินอีกครั้ง
    ทางด้านจิวชงหยวนที่กำลังสู่อย่างดุเดือดเพราะพิษแต่ละชนิดก็ทำร้ายคนตรงหน้าไม่ได้เช่นกัน และนี่ทำให้มั่นใจได้ว่าเจ้านี่มาจากสำนักหมื่นพิษเพราะสัญลักษณ์รูปงูที่ต้นคอที่ศิษย์ในสำนักนี้ทุกคนต้องมี
    ฉัวะ!!
    ฉึก!!
    เมื่อรู้ว่าเป็นคนร้ายก็ไม่จำเป็นต้องออมมืออีกต่อ ร่างสูงทรุดตัวกระอักโลหิตออกมาคำโตเมื่อลมปราณร้อนเย็นและแปลกปลอมเข้ามาระเบิดในร่างอีกทั้งกระบี่ที่มีอานุภาพกว่าที่เห็นภายนอกทำให้ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้าง ริมฝีปากเอ่ยถามสั่นระริกแม้จะจ้องตายจะต้องรู้ให้ตายว่าผู้ใดสั่งหารมัน
    “ข้าจิวชงหยวน” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ มุมปากมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อยเพราะยังไม่คุ้นเคยกับการรับมือกับวิชาแปลกๆ อนาคตข้างหน้าเขาอาจจะเจอวิชาแปลกกว่าเจ้าโรคจิตนี่ก็ได้
    ดวงตาแดงฉานมองเขาอย่างตกตะลึงก่อนจะล้มตัวลงกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง จิวชงหยวนจึงแทงกระบี่เข้าตำแหน่งหัวใจด้วยความเร็วเพราะไม่อยากฆ่าใครอย่างทรมาร ร่างนั้นอาบไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนาแต่หากใครรู้ว่าคนผู้นี้ทำความชั่วสิ่งใดไว้บ้างคงจะสงสารไม่ลง จิวชงหยวนมองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจสั่นไหว ก้มมองมือตัวเองที่เปื้อนเลือดอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งเสียใจเพราะหากเราไม่ทำผลสุดท้านคนที่มีสภาพแบบนั้นก็คงจะเป็นเขาเอง
    จิวชงหยวนเก็บกระบี่เดินจากไปและมองหาเหยื่อที่ยังรอดชีวิตซึ่งเหลือเพียงหญิงสาวเพียงนางเดียวที่หายใจรวยริน เอาจึงช่วยปลดพันธนาการออกและช่วยออกไปได้สำเร็จ เมื่อขึ้นมาชั้นบนกลับเห็นสองหนุ่มเดินวนรอบห้องอย่างขบขัน
    “พวกเจ้ามาช่วยข้าหน่อยสิ” จิวชงหยวนบอกพร้อมยื่นหญิงสาวผู้นั้นให้หย่งเจิ้นรับไป
    “เจ้าบาดเจ็บ” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง จิวชงหยวนส่ายหน้าแล้วยิ้มให้บางๆ
    “แค่นี้เล็กน้อย ว่าแต่เราจะทำอย่างไรกับโรงยาเบื้องหน้าของพรรคหมื่นพิษนี้ดีนะ” แววตาเป็นประกายขณะเอ่ยถามเดินวนไปหยิบสมุนไพรที่มีทั้งพิษและยารักษาเกลื่อนไปหมด
    “ออกไปกันเถอะ” บอกพร้อมพาร่างของแม่นางผู้นั้นไปด้วย เมื่อทั้งสามเดินออกจากโรงยาเรียบร้อยเพียงไม่นานก็เกิดไฟลุกไม้ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
    เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผู้คนและชาวบ้านต่างรู้ความจริงว่าบุตรสาวตนที่หายไปไม่ใช่หายไปไหน และไม่ได้หนีตามผู้ชายที่ไหน แต่กลับถูกทำร้ายและสังหารอย่างน่าเวทนา และหญิงสาวคนสุดท้ายที่รอดชีวิตมาได้กลับเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลมู่    
    จิวชงหยวนใช้เวลาสามวันในการช่วยรักษาลูกสาวคนเล็กของตระกูลมู่ไว้แม้อาการภายนอกจะหายดี ทว่าจิตใจกลับหวาดระแวง หวาดกลัวผู้คน แม้จะรักษาให้ขาดยังไม่ได้แต่ครอบครัวและเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจของแม่นางมู่เอง
    พรึบ!
    จิวชงหยวนหันไปมองหย่งเจิ้นที่มีสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากที่ได้อ่านจดหมายจากนกพิราบสื่อสารเรียบร้อยแล้ว
    “ชงหยวนข้าคงต้องกลับพรรคก่อน ข้าคงมิอาจร่วมเดินทางกับเจ้าไปได้อีก” หย่งเจิ้นบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทว่าดวงตาประกายความเศร้าหมองแม้จะเพียงแค่แวบเดียวแต่คนรู้สึกไวเช่นเขาจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับรู้
    “ไม่เป็นไร เจ้าจัดการธุระของเจ้าให้เรียบร้อยเถอะ อีกอย่างข้าเดินทางไปทั่วหล้าเจ้ายังมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ คงไม่สามารถเดินทางร่วมกับข้าไปตลอดหรอก”
    “แล้วเจ้าไม่คิดจะหยุดพักที่ใดสักแห่งหรือ” หย่งเจิ้นเอ่ยถามเสียงเศร้า ดวงตาคมมองจิวชงหยวนด้วยความเจ็บปวด แม้ผลจะยังไม่ออกแต่เขารู้ดีว่าตัวเองแพ้แล้ว แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มก็เพราะลู่เฟยสนิทสนมกับจิวชงหยวนดีและยังรู้อะไรเกี่ยวกับร่างโปร่งบางนี้มากกว่าเขาซึ้งไม่รู้อะไรเลย
    “ลู่เฟย ครั้งนี้เจ้าอาจจะชนะข้า แต่เมื่อไรที่จ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะมาแข่งกับเจ้าอีก” ลู่เฟยเหลือบตามองคนกล่าวแล้วยยิ้มทบาง
    “ข้ามศพข้าไปก่อนสิ”
    “เจ้า อย่าให้ถึงทีข้าแล้วกัน” หย่งเจิ้นบอกอย่างหงุดหงิดก่อนจะบอกลาจิวชงหยวนอีกครั้งและเดินหายไปกับฝูงชน
    “ชอบใจล่ะสิ” จิวชงหยวนเอ่ยแซวลู่เฟยที่ฉีกยิ้มหน้าบานที่ไม่ต้องเจอคู่แข่งไปอีกนาน
    “อืม แต่เจ้าไม่ต้องไปโปรยเสน่ห์ที่ไหนอีกแล้วนะ ข้าหึง”
    ลู่เฟยหันมาบอกคนรักด้วยรอยยิ้มละมุน ซึ่งทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย สองร่างเดินจูงมือกันออกนอกเมืองเพื่อเดินทางไปทั่วหล้าและรักษาผู้คนไปตามคำบัญชาสวรรค์ ชื่อเสียงของจิวชงหยวนหมอเทวดาหน้าหวานต่างเลื่องลือขจรไปทั่วยุทธภพ แม้มีบ้างที่จะนำภัยมาให้แต่ทั้งคู่ต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันพร้อมอยู่เคียงข้างกัน จนกว่าจะถึงหน้าที่ของแม่ทัพสวรรค์ซึ่งต้องส่งลูกมังกรขึ้นสู่บัลลังก์ในกาลต่อไป...

                       จบเล่ม 1 คอยติดตามเล่ม 2 จ้า

อ่าา ในที่สุดก็ลงได้เท่าเว็ตอื่นเสียอีก ชอบก็คอมเมนท์ รักก็เข้ามาทักทายได้ แต่ให้ดีชวนเพื่อนมาอ่านกันเยอะๆ นะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้า หากอยากได้แบบรูปเล่มเตรียมเก็บเงินไว้รอเลยจ้า เพราะมีขายประมาณสิ้นปีจ้า ในราคาแพคคู่ ประมาณ800 บาทไม่เกินกว่านี้




ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #42 เมื่อ30-08-2015 18:46:00 »

เอิ่ม...ที่อื่นนี่เราตามอ่าน เนี่ยมาทีเดียวครบ ฮรึก! รอเธอเสมอนะแจ๊ะ  :hao6:
ตอนไหนลู่เฟยจะได้จิ้มหมอ  :heaven
ขอบคุณนิยายสนุกๆค่ะ  :3123:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #43 เมื่อ31-08-2015 22:09:24 »

 :mew1:

ออฟไลน์ s.mosis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #44 เมื่อ02-09-2015 15:33:09 »

ชอบมากเรื่องแนวๆนี้. เมื่อไหร่เล่ม 2 จะมาแต่ก็รอนะตัวเอง

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0


บทที่ 27
เซียนรักษาจิวชงหยวน?

            จิวชงหยวนหลังจากการเดินทางไปทั่วเขตทางเหนือจนทั่วและได้กลับมาผ่าตัดเนื้องอกให้กับท่านลุงเหวินเรียบร้อยจึงได้เดินทางล่องใต้ซึ่งเป็นชายทะเล เขาฝันอยากลองล่องเรือไปตามหมู่เกาะในหมู่บ้านต่างๆ และช่วยเหลือผู้คนไปตามระหว่างทาง ตอนนี้ชื่อเสียงจิวชงหยวนหมอเทวดาหน้าหวานโด่งดังไปทั่วยุทธภพเพราะเขาไม่ได้ปกปิดใบหน้าตัวเอง
    และเพื่อนร่วมทางที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเขาคือลู่เฟยที่ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาเรื่อยๆ ใบหน้าเมื่อก่อนที่ชอบบึ้งตึงบัดนี้กลับยิ้มละไมเพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงเหมือนเมื่อตอนเป็นเทพแต่มันก็เป็นผลดีสำหรับเขาเพราะคนไข้ไม่ได้หวาดกลัวลู่เฟยอีกต่อไป
    “หิวไหม” จิวชงหยวนหันไปถามคนข้างตัวขณะที่เดินทางไปตามชายป่าและยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงเมืองเจียงหนานซึ่งอยู่ติดชายทะเล พวกเขาไม่ได้ซื้อม้าหรือใช้ลมปราณแต่เดินด้วยสองเท้าไปเรื่อยๆ หนึ่งเพื่อซึมซับบรรยากาศที่หาได้ยากในที่จากมา สองเพื่อได้ช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ไม่มีเงินไปรักษาตัว
    “หิว แต่ข้าเบื่อผลไม้แล้ว” ลู่เฟยตอบกลับเสียงเรียบ ดวงตาคมมองสบกับคนงามอย่างอ้อนๆ จิวชงหยวนยิ้มบางเพราะนั่นหมายความว่ามื้อนี้พวกเขาต้องหาสัตว์ป่าแถวนี้มากินแก้เบื่อแทน
    “ได้สิ แต่เจ้าไปหามานะ” ลู่เฟยพยักหน้ารับ ก่อนจะแยกไปอีกทางเพื่อหาสิ่งที่พอจะมาย่างกินได้บ้าง  จิวชงหยวนเดินเรียบไปตามริมแม่น้ำของทะเลสาบและหาร่มไม้เพื่อรอลู่เฟยกลับมา
    เพียงไม่นานลู่เฟยก็กลับมาพร้อมกระต่ายป่าสีขาวตัวอ้วนหนึ่งตัว จิวชงหยวนจึงรับมาอย่างรู้หน้าที่ หลายเดือนมานี้เขาเริ่มทำอาหารกินเองบ้าง  แต่หากมีเครื่องมือครบเขาก็อยากทำอาหารไทยซึ่งเขาพอทำได้เพราะตอนเรียนอยู่เมืองนอกต้องทำกินเองตลอด จากเมื่อก่อนพกแต่สมุนไพรเดี๋ยวนี้เริ่มมีพวกเกลือเพิ่มมาบ้างแต่ก็ไม่ได้หอบมาเยอะแค่ไว้ใช้ระหว่างทางก่อนเข้าเมืองถัดไปเท่านั้นเอง
    หลังจากจัดการเจ้ากระต่ายป่าตัวอ้วนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำเกลือมาปรุงเพื่อเพิ่มรสชาติก่อนใช้ไฟย่าง ใช้เวลาไปสองเค่อกว่ากระต่ายย่างจะสีเหลืองกรอบกลิ่นหอมน่ากิน จิวชงหยวนฉีกส่วนขาข้างหนึ่งออกมาแล้วยกที่เหลือให้ลู่เฟยเพราะตัวเองกินไม่มาก
    จิวชงหยวนเดินเข้ามานั่งข้างลู่เฟยที่ใต้ร่มไม้ มองคนร่างสูงที่นั่งกินเงียบๆ อย่างครุ่นคิดหลายเดือนมานี้ลู่เฟยอยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอดร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันจนเขารู้สึกซาบซึ้งใจ จากองค์ชายที่ใช้ชีวิตหรูหราแต่กลับยอมออกมาคลุกฝุ่นอยู่กลางดินกินกลางทรายไปกับเขา หากไม่มีเพื่อนร่วมทางเขาคงเหงาไม่น้อย
    “ลู่เฟยขอบคุณนะ” จิวชงหยวนเอ่ยขอบคุณลู่เฟยด้วยรอยยิ้มหวาน ซึ่งทำให้ลู่เฟยชะงักงัน หรี่ตามองคนยิ้มหวานอย่างอ่อนโยน
    “เจ้ากำลังยั่วข้า” คำกล่าวสั้นๆ กลับทำให้จิวชงหยวนอึ้งไป ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อรู้ว่าลู่เฟยหมายถึงอะไร
    “ข้ายั่วเจ้าตรงไหน กินไปเลยไม่พูดด้วยแล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับใบหน้าแดงก่ำด้วยความอายเพราะลู่เฟยเคยบอกไว้ว่ารอยยิ้มของเขามันทำให้ใจสั่นและอยากครอบครอง
    ลู่เฟยหัวเราะในลำคอก่อนจะยื่นน้ำให้คนตัวเล็กกว่าอย่างเอาใจ หลายเดือนมานี้ที่ได้ร่วมเดินทางทำให้เขาฝันเห็นในอดีตจนเริ่มรู้อะไรมากขึ้น และรู้ว่าจิวชงหยวนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาซึ่งมีชีวิตที่ยาวนานกว่ามนุษย์ทั่วไป ในอนาคตไม่แน่ว่าคุณงามความดีที่จิวชงหยวนสร้างมาอาจส่งเสริมให้เป็นเทพเซียน และนี่จึงเป็นสิ่งที่เขาอยากทำร่วมด้วยเพราะหากเมื่อไรที่เขาหมดอายุขัยของมนุษย์ก็ต้องกลับไปเป็นเทพสวรรค์เพราะฉะนั้นเขาจะต้องทำให้จิวชงหยวนได้ถูกแต่งตั้งเป็นเทพเซียนให้ได้ แต่ในเวลานี้เขาช่วยได้แค่เป็นเพื่อนร่วมทางและคอยดูแลคนตัวเล็กเวลาเหนื่อยๆ
    “ลู่เฟยเจ้าจากวังมาตั้งนานแล้ว ทางนู้นไม่มีใครว่าหรือ” จิวชงหยวนซึ่งกินอิ่มแล้วเอ่ยถามคนข้างกายที่เหม่อมองแม่น้ำในทะเลสาบเงียบๆ
    “ข้าให้องค์รักษ์คอยสืบเรื่องให้ อีกอย่างข้าทำเช่นนี้เพราะอยากให้พี่น้องคนอื่นรู้ว่าข้าไม่ได้หมายชิงบัลลังก์ แต่เมื่อถึงเวลาข้าก็ต้องกลับไปช่วยคนที่สวรรค์กำหนดขึ้นครองบัลลังก์อยู่ดี แต่น่าจะหลายเดือนอยู่” ลู่เฟยหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม จิวชงหยวนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเก็บข้าวของเริ่มเดินทางต่อเมื่อลู่เฟยกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว
    จิวชงหยวนเดินเลียบไปตามริมทะลสาบไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อนเพราะหาสมุนไพรที่อยู่ติดแม่น้ำไปด้วย  เมื่อได้จำนวนที่ต้องการจึงเดินผ่านไปเส้นทางตามหุบเขาเพื่อหาสมุนไพรชนิดอื่นโดยมีลู่เฟยคอยช่วยเก็บ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาลู่เฟยเริ่มรู้จักสมุนไพรมากขึ้น  ใบหน้างดงามมีเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าตามอากาศที่ร้อนจัดในตอนกลางวัน ผ้าเช็ดหน้าผืนบางถูกยื่นมาเช็ดหน้าให้อย่างแผ่วเบา
     จิวชงหยวนเสหน้าหนีด้วยความอายที่ได้รับความเอาใส่จากลู่เฟย และมันทำให้หัวใจเขาหลงรักคนข้างตัวไปเสียแล้ว จากที่เคยคิดว่าไม่มีทางชอบผู้ชายแต่ความเอาใจใส่และความอบอุ่นใจที่ส่งมาจากลู่เฟย สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนไปจนได้ ถึงแม้จะรู้ว่ารักแต่จะให้เขาไปพูดจาหวานๆ และไปออดอ้อนคงไม่มีทางเพราะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย แค่คิดว่าตัวเองไปอ้อนคนตรงหน้านี้ก็อยากจะลาตายแล้ว
    ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามชายป่าในหุบเขาจนกระทั่งได้ยินเสียงการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกล จิวชงหยวนหันไปสบตากับลู่เฟยก่อนจะพากันพุ่งทะยานไปดูเหมือนรู้กัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้วู่วามที่จะเข้าไปพรวดพราด ทั้งคู่แอบมองอยู่บนต้นไม้ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุ
    “นั่นสำนักคุ้มภัยนี่” จิวชงหยวนเอ่ยเสียงแผ่วเบาเมื่อเห็นตราสัญญลักษณ์ของสำนักคุ้มภัยซึ่งเขาจดจำได้เพราะช่วงหลายเดือนมานี้ทำให้เกี่ยวข้องกับยุทธภพไปไม่น้อย จึงต้องรู้ไว้เพื่อจะได้เอาตัวรอดได้ ข่าวสารที่ได้รับส่วนมากก็มาจากคนในหอกิเลนที่แฝงตัวไปทุกแคว้นเพียงแค่ยื่นหยกขาวเขาก็ได้ข่าวที่ต้องการเสมอ
    “ไปช่วยไหม” คำถามของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนยิ้มบาง มองการต่อสู้ที่เหมือนสำนักคุ้มภัยกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การต่อสู้มีแบบแผนของโจรนั้นดูผิดแปลกกว่าโจรธรรมดา หากเดาไม่ผิดอาจเป็นสำนักอื่นแฝงตัวมาเป็นโจรเพื่อปล้นของสำนักคุ้มภัย
    “ไม่น่าถาม” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยรอยยิ้มสนุก มองสำนักคุ้มภัยที่กำลังพลาดท่าเสียที ก่อนจะสะบัดเข็มพิษยาสลบขั้นรุนแรงซัดเข้าใส่กลุ่มโจรด้วยความเร็วจนมองแทบไม่ทัน เพียงไม่กี่อึดใจพวกมันก็ล้มลงสลบไปจนหมดทุกคน ส่วนสำนักคุ้มภัยต่างถือกระบี่กวาดสายตามองรอบกายอย่างหวาดระแวง
    จิวชงหยวนกับลู่เฟยจึงกระโดดลงมาจากต้นไม้เดินเข้าไปหาสำนักคุ้มภัยช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน ทว่าคนในสำนักคุ้มภัยกลับมองตามอย่างหวาดระแวง
    “พวกท่านเป็นคนช่วยพวกข้าใช่หรือไม่” ผู้นำของสำนักคุ้มภัยเอ่ยถามชายหนุ่มร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีขาวโดดเด่น  ใบหน้างดงามชวนให้มองและเดินเคียงคู่มากับชายหนุ่มร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มใบหน้าหล่อคมคาย ทั้งคู่ดูดีจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่คนผ่านมา จิวชงหยวนยิ้มรับแล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางที่หวาดระแวงของคนในสำนัก
    “ใช่ ข้าเป็นคนช่วยพวกท่านไว้เอง ข้าจิวชงหยวนกับสหายบังเอิญผ่านมาและนับว่ามีวาสนาที่ได้ช่วยเหลือพวกท่านจากโจรเหล่านี้” พอจบคำบอกเล่าทุกคนในสำนักเริ่มคลายความหวาดระแวงลง ทว่าลู่เฟยกลับมองร่างโปร่งบางเขม่งด้วยความไม่พอใจก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆ เพราะเขาไม่ได้อยากเป็นสหาย โดนแนะนำตัวแบบนี้ทีไรเขาหงุดหงิดทุกที
    “ท่านเป็นหมอเทวดาหรือ” ผู้นำสำนักเอ่ยถามอย่างแปลกใจเพราะช่วงนี้ข่าวลือเกี่ยวกับหมอเทวดาหน้าหวานดังไปทั่วหล้าและคนตรงหน้าก็มีส่วนคล้ายกับข่าวลือดังกล่าว
    “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ พวกท่านบาดเจ็บให้ข้าช่วยรักษาเถิดก่อนจะเสียเลือดกันไปมากกว่านี้” จิวชงหยวนยิ้มรับเดินเข้าไปหากลุ่มคนสิบกว่าคนที่บาดเจ็บกันถ้วนหน้าโดยไม่ได้สนใจคนงอน และเขาเองก็ง้อคนไม่เป็นเสียด้วยสิ
    หลังจากนั้นจิวชงหยวนก็ช่วยรักษาบาดแผลให้ทุกคนจนหมดเรียบร้อยใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทว่ากลุ่มโจรยังคงสลบไปอีกเป็นวันและตอนนี้ถูกคนในสำนักคุ้มภัยจับมัดติดกับต้นไม้ไว้เรียบร้อยแล้ว
    “ท่านจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้หรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามผู้นำสำนักซึ่งใบหน้าไว้หนวดเคราดูน่าเกรงขามทว่าอายุเพียงแค่ยี่สิบแปดปีเท่านั้น และได้ทราบชื่อว่า เยี่ยกวาง เป็นบุตรคนโตของสำนักคุ้มภัยซึ่งกำลังเอาสินค้าประเภทหยกและเครื่องประดับไปเมืองเจียงหนาน ซึ่งบังเอิญเป็นเส้นทางเดียวกับเขาพอดี
    “คงต้องส่งตัวให้ทางการ เพราะหากไม่จำเป็นข้าก็ไม่อยากฆ่าใคร” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
    “ท่านหมอจิวน้ำขอรับ” จิวชงหยวนหันไปรับน้ำในถุงหนังมาจากท่านลุงผู้หนึ่งที่เป็นผู้ช่วยของเยี่ยกวาง
    “ขอบคุณมากขอรับท่านลุงเปา” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นให้ลู่เฟยอย่างเอาใจเพราะเห็นงอนมานานแล้ว แต่ง้อสุดของเขาได้แค่นี้แหละ
    “เจ้าก็กินไปสิ ข้าไม่หิว” ลู่เฟยตอบกลับเสียงเรียบ แม้จะงอนแต่กลับส่งรอยยิ้มให้ทุกคนเหมือนกลับว่าไม่มีสิ่งใดมัวหมองในใจ ทว่าไม่ใช่กับจิวชงหยวนที่รู้จักมานานและยังสัมผัสความรู้สึกงอนของอีกฝ่ายได้ดี
    เมื่อคนงอนไม่ยอมรับน้ำไปดื่ม จิวชงหยวนจึงยกดื่มเองและยื่นคืนให้ลุงเปา จากนั้นทั้งคู่ก็ขอร่วมเดินทางไปกับสำนักคุ้มภัยด้วย เพียงไม่นานพวกเขาก็เข้ามาถึงตัวเมืองเจียงหนานซึ่งติดชายทะเล
    “ขอบคุณท่านหมอจิวมากที่ช่วยพวกข้า หากท่านมีเวลาก็ไปเยี่ยมพวกข้าได้ที่สำนักคุ้มกัน ข้าจะรอต้อนรับท่าน” เยี่ยกวางบอกคนงามด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจจากคนร่างสูงที่ยืนเคียงข้างของท่านหมอคนงาม ถึงเจ้าตัวจะส่งรอยยิ้มมาให้ทว่าดวงตาคมคู่นั้นกลับไม่ได้ยิ้มตามไปเลย และบางครั้งกลับสัมผัสได้รังสีเข่นฆ่าแม้เพียงชั่วครู่ก็ตาม    
    “หากมีโอกาสข้าจะแวะไปเยี่ยมท่าน วันนี้ข้าคงต้องขอตัว ขอให้พวกท่านโชคดี” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบางก่อนจะจับมือคนตัวสูงเดินจากมา ลู่เฟยมองมือเรียวบางที่จับมือตนแล้วยกยิ้มนิดๆ แล้วกระชับมือหนาให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นที่ส่งมาทำให้อาการงอนหายเป็นปลิดทิ้ง
    จิวชงหยวนยกยิ้มที่มุมพร้อมเสหน้าหันไปทางอื่นด้วยความอาย แม้จะเป็นการง้อครั้งแรกที่ไม่ได้พูดจาหวานเลี่ยน แต่ก็ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว อีกอย่างเขาไม่ใช่สาวน้อยจะได้ง้อเหมือนคู่รักอื่นๆ และเขาก็ยังไม่ได้ตกลงเป็นคนรักของลู่เฟย แต่บางครั้งการกระทำของเขาในเวลานี้อาจทำให้ลู่เฟยรู้แล้วก็ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
    ทั้งคู่เดินเข้าไปยังตลาดที่ร้องตะโกนแข่งขันกันอย่างครึกครื้น แต่ที่ทำให้จิวชงหยวนอดตื่นเต้นไม่ได้เพราะมันมีพวกสัตว์ทะเลวางขายด้วย กุ้งทะเลตัวใหญ่ ปลา และยังมีปลาหมึกด้วย จิวชงหยวนเดินลัดเลาะเคียงคู่ไปกับลู่เฟยมองสิ่งแปลกใหม่อย่างสนใจ ลู่เฟยเห็นอย่างนั้นจึงปล่อยมือเรียวบางให้เป็นอิสระ จากนั้นคนตัวเล็กก็พุ่งตัวไปหยิบกุ้งตัวใหญ่ขึ้นมาดูอย่างสนใจ
    จิวชงหยวนลองจิ้มๆ ดูปลาหมึกตัวใหญ่และยกกุ้งขึ้นมาดูเพราะเขาไม่เห็นของทะเลมานานมากแล้ว ทำให้นึกอยากกินต้มยำทะเลดูบ้าง แต่ว่าเครื่องไม้เครื่องมือเขาไม่มี อีกอย่างหากไปกินที่โรงเตี๊ยมก็คงไม่มีอาหารไทยให้กินอย่างแน่นอน ดวงตาเรียวสวยมองตามอย่างเสียดายก่อนจะตัดใจเดินไปดูอย่างอื่นและคิดว่าไว้ให้เขามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและมีห้องครัวเมื่อไหร่เขาจะทำต้มยำทะเลกินแน่นอน
    จิวชงหยวนเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างเพลิดเพลิน โดยมีลู่เฟยเดินตามอย่างสบายอารมณ์มองคนตัวเล็กยิ้มมีความสุขก็ทำให้หัวใจเขาสุขไปด้วย ทว่าตอนนี้ผู้คนกลับพลุกพล่านไปมาจนในที่สุดจิวชงหยวนก็หายไปจากสายตา ลู่เฟยพยายามใช้ความสูงของตัวเองให้เป็นประโยชน์มองตามร่างโปร่งบางและพยายามแทรกตัวจากผู้คนเดินตามหาจิวชงหยวนให้เร็วที่สุด
    จิวชงหยวนที่เดินดูข้าวของอย่างสบายอารมณ์มาหยุดที่ร้านขายเครื่องประดับจำพวกหยกทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาหยุดมองนั่นคือปิ่นหยกสีเขียวมรกตที่ลวดลายงดงามตา อีกทั้งสวยสะดุดตาตั้งแต่แรกพบ ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนชอบเครื่องประดับแต่ปิ่นหยกชิ้นนี้เขาคิดว่ามันเหมาะกับลู่เฟยจนอดที่จะจ้องมองมันไม่ได้
    “คุณชายเชิญดูด้านในก่อนนะขอรับ” เถ้าแก่ร้านเดินออกมาต้อนรับ จิวชงหยวนจึงเดินเข้าไปดูปิ่นหยกชิ้นนั้นใกล้ ก่อนจะหยิบขึ้นมาอย่างสนใจ
    “เท่าไรหรือเถ้าแก่”
    “คุณชายช่างตาถึงจริงๆ ปิ่นหยกชิ้นนี้เพิ่งมาใหม่ มีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นขอรับแต่ราคาอยู่ที่ สิบตำลึงเพราะการแกะสลักของช่างฝีมือนั้นละเอียดอ่อนมากขอรับ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แล้วตัดสินใจซื้อปิ่นหยกเพื่อให้เป็นของขวัญลู่เฟย ก่อนจะนึกได้ว่าปิ่นหยกเป็นของหมั้นหมายของราชวงศ์นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนหมั้นลู่เฟยน่ะสิ แต่ว่าจะแปลกอะไรในเมื่อเขาก็รับขลุ่ยหยกมาแล้วเช่นกัน
    จิวชงหยวนรับปิ่นหยกที่ห่อผ้าอย่างดีไว้ในอกเสื้อ ก่อนจะหันไปมองหาลู่เฟยที่คิดว่าเดินตามมาด้วยกัน แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นร่างสูงอย่างที่ควรจะเป็นมีแต่ผู้คนที่พลุกพล่านเดินเบียดเสียดกันไปมาเพราะช่วงนี้เวลาเริ่มพลบค่ำมากแล้ว
    “พลัดหลงกันหรือไง” จิวชงหยวนพึมพำเบาๆ พยายามมองหาคนตัวสูงแต่กลับไร้วี่แวว จึงตัดใจเดินไปข้างหน้าซึ่งมีโรงยาของหมอตั้งอยู่ไม่ไกลนัก โรงหมอแห่งนี้เป็นเรือนใหญ่มากนับว่ารวยไม่น้อย ผู้คนสัญจรไปมาและแวะเวียนเข้าออกเป็นประจำ แต่ที่น่าแปลกคือหน้าโรงหมอแห่งนี้กลับตั้งเป็นคล้ายศาลเจ้ามีผู้คนมาจุดธูปไหว้กันมากมาย จิวชงหยวนเดินเข้าไปดูด้วยความสนใจก่อนจะเห็นรูปปั้นทองคำซึ่งมีรูปปั้นของชายชราผู้หนึ่งอยู่บนแท่นกลางตามด้วยรูปปั้นเด็กมัดแกละสองข้างขนาบข้างสองคน หากเป็นอดีตที่จากมาคงเรียกกุมารทอง แต่หากที่นี่น่าจะเป็นนาจาหรือเปล่าเขาไม่แน่ใจ
    “จุดธูปไหว้เซียนรักษาจิวชงหยวนเชิญด้านนี้เลยขอรับ” คำเชื้อเชิญของชายหนุ่มสองคนที่มัดแกละสองข้างร้องตะโกนเรียกชาวบ้านที่หลั่งไหลกันเข้าไป แต่ที่ทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปคือชื่อของเซียนรักษาต่างหาก
    “เฮอะๆ คราวนี้จะเจออะไรอีกนะ” จิวชงหยวนพึมพำอย่างนึกขำ ก่อนจะก้าวเข้าไปยังที่ผู้คนจุดธูปไหว้รูปปั้นอย่างใคร่รู้
    “สามตำลึงขอรับ” เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งบอกด้วยรอยยิ้มพร้อมธูปที่ส่งมาให้ จิวชงหยวนหันไปมองตามแล้วส่งยิ้มกลับไปให้ซึ่งทำให้คนตรงหน้าอึ้งไปเช่นกัน
    “ข้าแค่อยากพบท่านเซียน ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนให้คนฟังใจลอย
    “คงต้องต่อคิวทางด้านนู้นขอรับ” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงลนลานเล็กน้อยพร้อมผายมือไปยังแถวที่ยาวเหยียดจนออกมานอกประตู จิวชงหยวนมองอย่างอึ้งๆ เพราะเมื่อครู่แถวมันยังไม่ยาวเท่านี้แต่นี่เขาเดินเข้ามาหน้ารูปปั้นครู่เดียวกลับยาวจนเขาอยากถอดใจ แต่ด้วยความใคร่รู้ทำให้พยักหน้ารับและเดินไปเข้าแถวรอตามอย่างใจ
    “พี่ชายท่านหมอเทวดาผู้นี้รักษาอะไรได้บ้างหรือขอรับ” จิวชงหยวนที่เดินเข้าแถวรวมไปกับชาวบ้านเอ่ยถามคนข้างหน้าด้วยความสงสัย
    “นี่เจ้าไปอยู่ที่ใดมา ท่านเซียนช่วยรักษาได้ทุกโรค และที่สำคัญท่านเซียนผู้นี้หยั่งรู้อนาคตด้วย หากอย่างดูดวงชะตาเพิ่มต้องเพิ่มเงินอีกสิบตำลึง แต่ท่านเซียนไม่ได้เอาเงินไปที่ไหนนะ เพราะท่านเอามาสร้างตำหนักนี้เพื่อได้ช่วยเหลือชาวบ้านต่อไป” น้ำเสียงเลื่อมใสของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้จิวชงหยวนแกล้งพยักหน้ารับและฟังอย่างตื่นเต้น สีหน้าเลื่อมใสไปกับคำบอกเล่าได้อย่างแนบเนียน และเพียงแค่นั้นเรื่องราวมากมายก็ถูกบอกเล่าจากคนข้างตัวจนได้ข้อมูลมามากมาย
    ผ่านไปสองเค่อที่กว่าจะถึงคิวเข้า จิวชงหยวนเดินเข้าไปภายในห้องตามคำเชื้อเชิญ ดวงตาเรียวมองสำรวจรอบกายไปด้วยและสังเกตสิ่งรอบตัวไปโดยไม่ให้ผู้อื่นสงสัย จนกระทั่งเขาเดินเข้ามาในห้องเห็นชายชราผู้หนึ่งที่เส้นผมสีขาวโพลนทั้งหัว ดวงตาดูล้ำลึกจนยากจะคาดเดานั่งนิ่งสงบอยู่บนเก้าอี้โดยมีโต๊ะตัวใหญ่กั้นขวางไว้และมีเก้าอี้ไว้สำหรับคนที่เข้ามารักษา
    “ชีพจรเจ้าปกติดี อีกทั้งกำลังภายในที่แข่งแกร่งเหตุใดต้องเข้ามาให้ข้ารักษา” คำกล่าวทักทายดังขึ้นเมื่อจิวชงหยวนเดินมาหยุดเบื้องหน้า และทำให้เขาอึ้งไปไม่น้อยก่อนจะยกมือคารวะตามพิธี
    “ท่านเซียนร่างกายข้าดูผิวเผินนั้นเหมือนคนปกติดี แต่หากท่านได้จับชีพจรข้าแล้วจะได้รู้ว่าข้ายังมีพิษร้ายอยู่ภายในร่าง” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มบ่งบอกความเลื่อมใสและยำเกรงเล็กน้อย แต่นี่คือการแสดงของเขาเพราะความตื่นตระหนกจะทำให้เสียงานได้
     ชายชราผู้นั้นเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจก่อนจะผายมือเชื้อเชิญให้เขานั่งลง แล้วเริ่มจับชีพจรตามคำบอกเล่า ใบหน้าที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจเพราะเป็นดั่งที่เด็กน้อยผู้นี้กล่าวมาแต่ละพิษที่รับรู้ล้วนควรตายตกไปนานมากแล้ว แต่เหตุใดยังมีชีวิตอยู่
    “เจ้าเป็นใครกันแน่เด็กน้อย ชีพจรของเจ้า ณ เวลานี้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป” น้ำเสียงที่เอ่ยถามเคร่งเครียด แววตาลึกลับยามเมื่อเห็นครั้งแรกฉายแววฉงนแปลกใจและหวาดระแวง
    “ข้าได้ยาดีจากนักพรตเหล่าจวินทำให้รอดตายมาอย่างประฎิหาริย์ แต่เมื่อครบยี่สิบปีหากข้ายังหายารักษาไม่ได้พิษร้ายนี้จะกลับมาทำร้ายข้าอีกครั้ง ท่านเป็นถึงเทพเซียนและยังมีชื่อเสียงขจรไปทั่วหล้า ข้าได้เสาะแสวงหามาเนิ่นนานจนกระทั่งมาเจอท่าน ท่านเซียนจิวชงหยวน ท่านพอจะช่วยเหลือเด็กน้อยเช่นข้าได้หรือไม่” จิวชงหยวนกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาเศร้าสร้อย ทว่าคนฟังกลับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยถามกลับเสียงสั่น
    “เจ้าว่าผู้ใดให้ยารักษาเจ้านะ”
    “นักพรตเหล่าจวินขอรับ” จิวชงหยวนเงยหน้าตอบด้วยเสียงเศร้า และที่อ้างเช่นนี้เพราะเห็นความผิดปกติจากแววตาล้ำลึกคู่นั้น อีกอย่างเหล่าจวินคือชื่อที่แท้จริงของเทพโอสถหรือจะเรียกว่าคือไท้ซ่านเหล่าจวินก็ไม่ผิด ทว่าเวลาต่อมาบรรยากาศรอบกายกลับกดดันขึ้น ดวงตาที่ล้ำลึกมองมาด้วยความเกรี้ยวกราด
    “เจ้าเป็นใครกันแน่เด็กน้อย” น้ำเสียงกดดันส่งมาพร้อมแววตาที่วาวโรจน์ จิวชงหยวนมองกลับนิ่งๆ แววตาฉายแววจริงจังมากขึ้น
    “ข้าควรถามท่านมากกว่าท่านอาวุโส เหตุใดถึงกล่าวอ้างชื่อข้ามาทำการเช่นนี้”
    “เจ้าโอหังนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าเป็นเซียนรักษาและมีนามนี้มาเนิ่นนาน เด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะมาลองดีกับข้าสินะ” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ แววตากดดันที่ส่งมาไม่ได้ทำให้จิวชงหยวนหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขายอมรับว่าชายชราผู้นี้รักษาคนเป็นจริงๆ เพียงแต่การแอบอ้างชื่อของเขามาทำการให้ชาวบ้านบูชาอีกทั้งเก็บเงินกราบไหว้นั่นเป็นประเด็นที่เขาไม่ชอบใจ อีกทั้งเขาสงสัยว่าอาจจะเป็นคนผู้นี้ที่ทำให้อวิ้นเซียนนอนเป็นผักยาวนานกว่าห้าปี
    “ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือท่านอาวุโส ท่านอาจจะรักษาผู้คนได้จริงแต่การขูดเลือดเนื้อชาวบ้านและยังหลอกลวงว่าตัวเองเป็นเซียนรักษา แล้วยังแอบอ้างเอาชื่อผู้อื่นมาใช้มันถูกต้องแล้วหรือ” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของชายชรากลับทำให้เขารู้สึกหวาดระแวงและก่อนที่จะได้กล่าวอะไรโต๊ะไม้กั้นกลางระหว่างเขากับชายชราก็ระเบิดจนพัง
    ตูม!
    จิวชงหยวนพลิ้วตัวออกจากโต๊ะมายืนอยู่ห่างจากสิ่งเมื่อครู่ ทว่ากลับต้องเบิกตากว้างเมื่อชายชราผู้นั้นกลิ้งล้มลงไปอยู่กับพื้นพร้อมร้องตะโกนเสียงดัง
    “ช่วยด้วย มีคนจะฆ่าข้า” เพียงเท่านั้นผู้คนต่างกรูกันเข้ามาหาเขาด้วยความโกรธแค้น จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองตามอย่างคาดไม่ถึง ชายชราผู้นั้นแสยะยิ้มให้เขาอย่างเหนือชั้นแววตาลึกลับฉายแววเจ้าเล่ห์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเรียกร้องความสงสารจากชาวบ้านที่เข้ามาแห่ล้อมเขาไว้
    “เจ้าคนชั่วกล้าทำร้ายท่านเซียนอย่าอยู่เลย” ชาวบ้านตอนนี้ต่างระดมโยนข้าวของใส่ไม่ยั้ง จิวชงหยวนได้แต่ใช้มือปัดป้องไปมา ผู้คนที่หลั่งไหลออกันจนเต็มพื้นที่จนหาช่องว่างหนีออกไปไม่ได้ เขาหันไปมองชายชรามากเล่ห์ด้วยความเจ็บแค้น
    “ท่านคิดว่าทำเช่นนี้จะบรรลุความเป็นเซียนเช่นนั้นหรือ หากอาจารย์ท่านรู้เข้าคงจะเสียใจไม่น้อยที่ลูกศิษย์อย่างท่านทำการเช่นนี้” จิวชงหยวนบอกจบพร้อมเรียกกำไลเป็นกระบี่ขึ้นมา แสงสีเขียวมรกตทอประกายความคมกริบนั้นทำให้ชาวบ้านมองตามอย่างตกตะลึงเพราะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเรียกกระบี่มาได้เช่นไร ก่อนจะอ้าปากค้างยิ่งกว่าเดิมเมื่อร่างของชายหนุ่มหายไปมีเพียงกระบี่บินที่พุ่งหายออกไปด้วยความเร็วเหลือเพียงเส้นแสงให้มองตามเท่านั้น
    ทว่าคนที่เบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีดคือชายชรามากเล่ห์ที่มองตามอย่างคาดไม่ถึง มีคำที่ผุดขึ้นกลางใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้าว่า ‘เซียนกระบี่’ และชาวบ้านต่างก็มีความคิดเดียวกันพากันคุกเข่าลงพร้อมก้มกราบและร้องตะโกนออกมาเสียงเดียวกันว่า
    “โปรดอภัยให้พวกข้าน้อยด้วย ท่านเซียนกระบี่”



  เล่ม 2 ตอนที่ 1 มาต่อแล้วค่ะ มีคนอ่านอยู่ไหมนะ ^^


ออฟไลน์ s.mosis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #46 เมื่อ03-09-2015 19:13:26 »

ยังทารออยู่เสมอเลย มาต่ออีกนะ รออยู่คะ  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #47 เมื่อ03-09-2015 19:39:25 »

มาให้กำลังใจจ้า

หนังสืออกซื้อแน่

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #48 เมื่อ03-09-2015 21:09:04 »

พึ่งอ่านจากเด็กดีจบเมื่อกี้เอง
มาเป็นกำลังใจให้ค่าาาาา

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #49 เมื่อ03-09-2015 21:25:26 »

 :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
« ตอบ #49 เมื่อ: 03-09-2015 21:25:26 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #50 เมื่อ03-09-2015 23:26:22 »

สนุกมากกกกกกกก ลากอ่านยาวเลยไม่หลับไม่นอน เหมือนดูหนังจีนกำลังภายในเลย

ออฟไลน์ EXILE07

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #51 เมื่อ04-09-2015 03:14:43 »

รอครับ รออ่านต่อยาวๆเลย
สู้ๆนะครับเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ^^~

ออฟไลน์ poterdow

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #52 เมื่อ05-09-2015 00:36:17 »

รอเลยจ้าาา

ออฟไลน์ Mefiria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #53 เมื่อ05-09-2015 09:35:40 »

ช้อบอะ เป็นนิยายแนวราชวงค์จีนเรี่องแรก ที่อ่านจนจบ
จะติดตามต่อไปครับ สนุกดี นึกภาพตามแล้วเหมือนดูหนังจีน
กำลังภายในเลย เป็นกำลังใจให้ครับ o13

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 28
ฝ่ามือดูดวิญญาณ


         ทางด้านลู่เฟยที่ตามหาคนรักจนกระทั่งมาถึงหน้าศาลเจ้าที่ดูแปลกตา และมีผู้คนมากมายเข้าแถวยืนออกันเต็มไปหมด ทว่าขณะนั้นกลับเห็นแสงเป็นกระบี่สีเขียวมรกตพุ่งออกมาจากด้านในตำหนัก ดวงตาคมหรี่สายตามองตามแล้วรีบพุ่งทะยานตามแสงสีเขียวไป โดยอาศัยหลังคาบ้านเรือนเป็นที่เหยียบทะยานตามไปเพราะเบื้องล่างมีแต่ผู้คนหากชักช้ากลัวว่าจะตามไม่ทัน จนกระทั่งตามมาถึงชายทะเลซึ่งมีเรือจอดเทียบท่าหลายลำ ดวงตาคมกวาดสายตามองหาร่างโปร่งบางที่เขามั่นใจว่าเป็นจิวชงหยวนเพราะจากความทรงจำที่ค่อยๆกลับคืนมานั้นทำให้รู้ว่าจิวชงหยวนหล่อหลอมจิตรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ได้ แต่ที่ทำให้เขาสงสัยเพราะเหตุใดจิวชงหยวนถึงยอมรวมร่างกับกระบี่ต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น
    “ลู่เฟย” จิวชงหยวนเดินเข้ามาหาคนที่ติดตามเขามา ซึ่งลู่เฟยก็หันกลับมามองด้วยความเร็ว
    “เกิดอะไรขึ้น เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” จิวชงหยวนยิ้มบางให้คนที่เป็นห่วงพร้อมมองร่างเขาอย่างสำรวจ
    “เจ้าบาดเจ็บ” ลู่เฟยกล่าวเสียงแผ่วเมื่อเห็นหลังมือเขียวช้ำมือหนายื่นไปจับแล้วลูบเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองคนหน้าแดงด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
    “ข้าไม่เป็นไร” จิวชงหยวนบอกด้วยความอายก่อนจะดึงมือกลับ แม้จะทำใจยอมรับแต่เขาเองก็ยังไม่ชินในการแสดงความรักแบบนี้ยิ่งเป็นผู้ชายแล้วด้วยยิ่งทำให้เขาวางตัวไม่ถูก
    “เกิดอะไรขึ้นบอกข้าได้หรือไม่” คำถามของจิวชงหยวนทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ตอนนี้เขาออกห่างจากใจกลางเมืองมาไกลมากแล้ว
    “ได้สิ แต่ไปหาที่นั่งคุยกันเถอะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินนำไปนั่งโรงน้ำชาเล็กๆ อยู่ไม่ไกลมากนัก ในที่นี้มีผู้คนไม่มากเพราะเป็นเขตนอกเมืองที่สามารถหาเรือเพื่อออกเดินทางไปตามท้องทะเลได้ ซึ่งหมู่เกาะต่างๆ จะมีผู้คนอาศัยแต่ก็ไม่มากนักและจะมีแผ่นดินใหญ่ของแคว้นฝูเจี้ยนด้วย
    “ข้าเจอเซียนรักษาจิวชงหยวนที่ศาลเจ้า” จิวชงหยวนเริ่มเล่าเรื่องที่พบเจอให้ลู่เฟยฟังเมื่อนั่งจิบชาไปได้สักครู่ ซึ่งลู่เฟยก็นั่งฟังอย่างใจเย็นทว่าคิ้วคมเข้มกลับเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ
    “แล้วเป็นไงบ้างครั้งนี้” จิวชงหยวนนิ่งเงียบไปเมื่อหวนคิดไปถึงชายชราที่ตั้งตนเป็นเซียนรักษาและยังใช้ชื่อจิวชงหยวน
    “การแพทย์ของอาวุโสผู้นั้นถือว่าเป็นของจริง จากที่ข้าสังเกตอาวุโสผู้นี้น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเทพหรือไม่ก็เซียนคนใดคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ท่านอาจารย์ และจากกลิ่นยาที่ข้าสัมผัสได้คืออาวุโสผู้นี้มียาพิษที่ไม่ควรอยู่ในโลกมนุษย์” จิวชงหยวนกล่าวออกมาเป็นข้อๆ ตามที่สังเกตตั้งแต่เริ่มเข้าไป ลู่เฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและคิดเหตุผลที่น่าจะเป็น
    “แล้วอาวุโสที่เจ้ากล่าวมายังเป็นมนุษย์หรือไม่” คำถามของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนครุ่นคิดตาม เทพและเซียนหากจะปลอมเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ที่ยากคือหากไม่แสดงตัวก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเป็นเซียนหรือว่าเป็นมนุษย์
    “เทพเซียนหากปลอมเป็นมนุษย์นั้นยากต่อการแยกออก แต่จากนิสัยและแววตามีทั้งความลึกลับและมากไปด้วยเล่ห์กลไม่น่าจะใช่เทพเซียนที่จิตใจบริสุทธิ์ อีกอย่างหากเป็นเทพเซียนสวรรค์คงไม่ปล่อยละเลยเช่นนี้”
    “แล้วเจ้าจะทำเช่นไร จะปล่อยไปอย่างนี้หรือว่าจะทำอย่างที่ผ่านมา” ลู่เฟยเอ่ยถามอย่างจริงจัง ซึ่งคำว่าที่ผ่านมาคือทำลายโรงยาและชื่อเสียงเหมือนกับแคว้นเยี่ยที่เป็นคนจากพรรคหมื่นพิษซึ่งเขารู้มาว่าพวกนั้นเริ่มตามหาตัวเขากันจ้าละหวั่น
    “การรักษาของอาวุโสนั้นของจริง หากทำลายไปคงเสียดายคนมากฝีมือ แต่ข้าอยากรู้มากกว่าเพราะเหตุใดอาวุโสท่านนั้นถึงทำเช่นนี้และใครกันคืออาจารย์ที่สอนปรุงยาพิษที่ไม่ควรอยู่ที่นี่”
    “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เพราะความทรงจำข้ามีแค่เจ้าเท่านั้นนอกเหนือจากนั้นข้ายังจำไม่ได้เลย” ลู่เฟยบอกเสียงเรียบ ดวงตามองคนงามนิ่งๆ ซึ่งจิวชงหยวนเองก็พยักหน้าเข้าใจ ถึงแม้เขาจะอยู่ที่หุบเขาแห่งเซียนแต่เหล่าเทพเขารู้จักเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
    “คืนนี้ข้าจะลองเข้าไปหาอาวุโสผู้นั้นอีกครั้ง”
    “ให้ข้าไปด้วยหรือไม่” จิวชงหยวนส่ายหน้าปฏิเสธเพราะตอนนี้ลู่เฟยเป็นมนุษย์ธรรมดาหากมีปัญหาจะหลบหนีไม่ได้เช่นเขา
    “ระวังตัวด้วยหากมีอะไรก็เรียกข้าเข้าใจหรือไม่” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ คำว่าเรียกของลู่เฟยคือเสียงขลุ่ยนั่นเอง
    “ว่าแต่คืนนี้หาที่พักในโรงเตี๊ยมเล็กๆ แถวนี้ไปก่อนแล้วกัน หากกลับเข้าไปกลางเมืองผู้คนอาจจะจำข้าได้" จิวชงหยวนบอกพร้อมจิบน้ำชาอีกครั้งก่อนจะลุกไปหาที่พักสำหรับคืนนี้ และหาอาหารมื้อค่ำของวันนี้เพราะไม่รู้ว่าตอนกลางคืนจะได้ออกแรงอีกหรือไม่ สองร่างพากันเดินหายเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ไม่ได้ใหญ่มากพร้อมสั่งอาหารไปนั่งกินในห้องเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนกลัวว่าจะมีคนจำเขาได้
    ตกดึกร่างโปร่งบางเร้นกายหายไปกับความมืด ลู่เฟยมองตามอย่างครุ่นคิดและด้วยความเป็นห่วงจึงแอบตามหลังไปเงียบๆ โดยทิ้งระยะห่างไม่ให้คนรักรู้ตัว
    จิวชงหยวนใช้วิชาตัวเบาท่าล่องนพเก้าทะยานกลับมาที่ศาลเจ้าหน้าโรงหมออีกครั้ง บรรยากาศในตอนนี้เงียบสงัด ร่างโปร่งในอาภรณ์สีเขียวอ่อนพุ่งทะยานไปยังห้องที่สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนยืนอยู่ และเหมือนชายชราผู้นั้นจะรู้ว่าเขากลับจึงทะยานเร้นกายหายออกไปทางนอกเมืองด้วยความเร็ว เขาจึงรีบตามไปด้วยความเร็วเช่นกันวรยุทธของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้คนที่เขาพบเจอมา ไม่เว้นแม้แต่อวิ้นเซียนเองก็ตามหากเป็นคนนี้ที่ทำให้ลูกศิษย์กำมะลอพ่ายแพ้เขาเองก็คงไม่แปลกใจ
    “เจ้าเป็นใครกันแน่เด็กน้อย” ชายชราผู้นั้นมาหยุดอยู่ชายป่าไผ่ มือสองข้างไพล่หลังยืนรอเขาอย่างสงบ ท่าทางตอนนี้ทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างหวาดระแวงเพราะอาวุโสในตอนนี้ดูสงบเยือกเย็นกว่าเมื่อตอนเย็น อีกทั้งแววตาล้ำลึกที่ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ฉายแววประกายเหี้ยมโหดเหมือนมีความแค้นกับเขามาเนิ่นนาน
    “หมอเทวดาจิวชงหยวน” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบ ยืนนิ่งอยู่กับที่รอดูท่าทีอีกฝ่ายอย่างใจเย็นระยะห่างกันตอนนี้เพียงแค่สามเมตรเท่านั้น ใบหน้าที่สงบแต่ดวงตาคู่นั้นทอประกายเข่นฆ่า
    “ฮึๆ ในที่สุดตัวจริงของเจ้าก็โผล่ออกมาจนได้สินะ” น้ำเสียงที่กล่าวออกมาคล้ายกับเย้ยหยันและรังเกียจเดีอดฉันท์ จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองชายชราที่บรรยากาศรอบตัวชวนให้อึดอัดใจ
    “ข้ากับท่านไม่มีความแค้นต่อกันไยท่านถึงทำเช่นนี้”
    “ใช่ไม่มี แต่หากไม่มีเจ้าในโลกแห่งนี้หมอเทวดาจิวชงหยวนก็จะมีแต่ข้าคนเดียวที่เป็นตัวจริง และข้าก็จะได้สร้างชื่อเสียงไปทั่วหล้าและในสักวันข้าก็จะได้สำเร็จการเป็นเซียนดั่งที่อาจารย์ได้กล่าวไว้” น้ำเสียงเย่อหยิ่งและแววตาทะเยอทะยานที่จะเป็นเซียนดั่งอาจารย์ผู้ฝึกสอนทำให้จิวชงหยวนมองอย่างอึ้งๆ ที่คนผู้นี้เดินในเส้นทางที่ผิด
    “ผู้ใดเป็นอาจารย์ท่านกัน” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเครียดเพราะหากอาวุโสผู้นี้มีความสามารถขนาดนี้ต้องมีอาจารย์ที่สั่งสอนเก่งกาจไม่แพ้กัน
    “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ จากที่เจ้ามีวิชาหลอมรวมหนึ่งเดียวกับกระบี่นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาหรืออาจเป็นเซียนดั่งที่ร่ำลือ” จิวชงหยวนยืนมองชายชราตรงหน้านิ่งๆ พยายามคิดทบทวนหาเศษเสี้ยวความทรงจำที่อาจารย์ให้ไว้แต่กลับไม่มีอาวุโสผู้นี้แม้แต่น้อย
    “ท่านอาวุโสเทพเซียนผู้มีวิชาการแพทย์นั้นมีมากมายนัก ข้าไม่อาจรู้ได้หรอกว่าผู้ใดสั่งสอนท่านมา แต่ท่านกำลังเดินในเส้นทางที่ผิดการที่จะเป็นเซียนได้นั้นต้องมีจิตใจบริสุทธ์ ไม่ใช่ขูดเลือดเนื้อชาวบ้านอย่างที่ท่านกระทำ”
    “บังอาจ เจ้าไม่รู้อะไร สิ่งที่ข้าทำในตอนนี้จะทำให้สวรรค์รู้ความปรารถนาดีของข้าที่ช่วยรักษาชาวบ้านและชาวบ้านทุกคนล้วนนับถือข้า และหากไม่มีเจ้าข้าก็จะยิ่งโด่งดังไปทุกแคว้น” ความตั้งใจอันแน่วแน่และเชื่อมั่นในสิ่งผิดๆ อย่างโง่งมทำให้จิวชงหยวนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เพราะการที่ไปสั่งสอนคนที่มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องก็เหมือนไปบอกกับตอไม้อย่างไรอย่างนั้น เขาถอนหายใจอย่างปลงๆ เพราะเหมือนจะคุยกันไม่รู้เรื่อง สรุปตาแก่นี่ต้องการสังหารเขาเพื่อจะได้เป็นตัวจริงและทำคุณงามความดีรักษาชาวบ้านโดยขูดไถเงินมาเป็นของตัวเองและคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจะได้เป็นเซียน
    “ข้าขอถามท่านอีกครั้ง ใช่ท่านหรือไม่ที่ใช้พิษปลิดวิญญาณกับคนผู้หนึ่ง” คำถามของเขาทำให้อาวุโสเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมา
    “ฮ่าๆๆ พิษนั่นใช้ได้ผลจริงๆ สินะ มันเป็นสูตรที่ข้าแอบขโมยอาจารย์มาทำโดยเฉพาะเลย ไม่คิดว่ามันจะได้ผลหลังจากลองผิดลองถูกมาตั้งนาน ว่าแต่เจ้านั่นตายแล้วหรือยัง ข้าตั้งใจปล่อยทิ้งไว้หวังจะดูผลไม่คิดว่าจะเร้นกายหายไปจนข้าตามไม่พบ” น้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่สำนึกผิดสักนิดกลับทำให้จิวชงหยวนรู้สึกเดือดดาลที่คนผู้นี้คิดใช้ผู้อื่นเป็นหนูทดลองยา หากเดาไม่ผิดก่อนที่ชาวบ้านเมืองเจียงหนานจะนับถือคงได้วางยาชาวบ้านแล้วเข้ามาอาสารักษาเองจนเป็นที่เคารพนับถือ น่ารังเกียจสิ้นดี!
    “เจ้า!” สรรพนามที่เรียกเปลี่ยนไปตามอารมณ์โกรธแค้นแม้จะเป็นคนใจเย็นแต่เมื่อมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้ก็คงจะใจเย็นไม่ไหว แอบอ้างชื่อเขามาใช้งานในทางที่ผิดไม่พอกลับทำร้ายชาวบ้านตาดำๆ เพื่อหวังผลประโยชน์ตัวเอง แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้วกลับไม่มีสามัญสำนึกชั่วดี กระบี่โชคชะตาปรากฏขึ้นในมือดวงตาประกายจริงจัง แม้จะเสียดายคนที่มีความสามารถแต่หากปล่อยไว้คนที่เดือดร้อนก็เป็นชาวบ้าน และอาวุโสผู้นั้นก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเขาชักกระบี่สีแดงอมส้มออกมาตามด้วยรังสีเข่นฆ่า
     จิวชงหยวนหรี่สายตามองกระบี่ตรงหน้าที่ดูแล้วไม่ธรรมดา ก่อนจะตวัดกระบี่รับการโจมตีที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วและรุนแรงจนร่างเขากระเด็นถอยหลังออกไปอย่างไม่ได้ตั้งตัว เมื่อครู่เขาออกแรงไปสามส่วนยังต้านรับไม่อยู่ นับว่าไม่ธรรมดา ดวงตาเรียวจ้องมองกระบี่ที่มีความอำมหิตแผ่ออกมาอย่างไม่เข้าใจ ความรู้สึกสะอิดสะเอียนนี่มันคืออะไรกัน
    “ฮ่าๆๆ ต่อให้เจ้าเป็นเซียนมาจากไหนก็ไม่มีทางหนีพ้นกระบี่มารของข้าได้หรอก แม้กระทั่งเหล่าจืออาจารย์ข้าก็ยังไม่อาจหนีพ้นกระบี่เล่มนี้เลย ฮ่าๆๆ” น้ำเสียงหัวเราะอย่างน่ารังเกียจทำให้จิวชงหยวนขนกายลุกชันก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าอาจารย์ยังไม่รอด นั่นหมายความคนผู้นี้สังหารแม้กระทั่งอาจารย์ของตัวเอง แล้วทำไมเรื่องนี้สวรรค์ถึงไม่รู้หากมีเทพเซียนตายไป
    “น่าแปลกไหม ข้าฆ่าอาจารย์แล้วกลับได้ไอทิพย์ของอาจารย์ไปด้วย ความหอมหวานนั้นข้ายังจำได้ดีแต่หากข้าได้ดูดไอทิพย์เจ้าไปด้วยวันนี้ข้าคงจะสำเร็จความเป็นเซียน” จิวชงหยวนอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึงชายชราผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือถึงคิดเช่นนี้ หรือฝึกวิชามากจนจิตมารเข้าแทรก ไม่ใช่เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หากมีเทพเซียนจะแปลกอะไรหากจะมีมารเพิ่มมาอีกอย่าง
    จิวชงหยวนผนึกพลังภายในตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกเจ็ดส่วนแล้วพุ่งเข้าหาร่างชายชราด้วยความเร็วดุดัน ในเมื่อคนผู้นี้ไม่มีจิตเมตตาหลงเหลืออยู่เขาจะไม่ปล่อยให้มีชีวิตต่อไป
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    หนึ่งกระบี่โชคชะตาที่เทพศาสตราสร้างขึ้นเพื่อจิวชงหยวนโดยเฉพาะ อีกหนึ่งกระบี่มารที่ใช้เลือดสาวพรหมจรรย์สร้างขึ้นต่างฟาดฟันกันอย่างน่ากลัว กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างดุเดือดจนเกิดประกายไฟท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืน มีเพียงแสงของพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้นที่ทำให้เห็นภาพเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    ตูม!!
    จิวชงหยวนและชายชราต่างกระเด็นถอยหลังออกไปตามแรงปะทะของพลังสองสาย ทั้งคู่ต่างเรียกวิชาที่ตัวเองมีออกมาต้านรับและโจมตีกันอย่างดุเดือด
    “ทิวาร้อยราตรี” จิวชงหยวนเริ่มเรียกใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาจากลู่เฟยอย่างจริงจัง ดวงตาประกายแน่วแน่พุ่งเข้าหาร่างของชายชราด้วยความเร็วแต่ชายชราผู้นี้ก็ไม่ได้น้อยหน้า
    “หมื่นอสูรเดียวดาย” เสียงเย็นยะเยือกของชายชราทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน ตั้งแต่เดินทางและใช้ชีวิตใหม่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ให้ความรู้สึกกลัวเช่นในตอนนี้ ดวงตาที่แดงฉานของชายชราผู้นี้ทำให้รู้ว่าจิตมารเข้าแทรกได้อย่างสมบูรณ์แบบ จิวชงหยวนพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยผนึกพลังเพิ่มขึ้นมาเป็นสิบส่วน
    เปรี๊ยะ!
    ตูม!!
    พื้นที่ป่าไผ่โดยรอบถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย สองร่างพลิ้วไหวไปมาบนอากาศและเหาะลงมาด้านล่าง การปะทะของทั้งคู่นั้นทำให้แผ่นดินสั่นไหวไปไม่น้อย
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    สองร่างพลิ้วไหวไปมาด้วยความเร็วจนคนธรรมดาตามไม่ทัน บนท้องฟ้าเกิดประกายแสงสองสีพุ่งผ่านฟาดฟันกันไปจนชาวบ้านที่ได้ยืนเสียงต่างเก็บตัวอยู่ในบ้านอย่างเงียบเชีย บเพราะความกลัวไม่มีใครกล้าออกมาดูนอกจากชาวยุทธที่อยู่พื้นที่บริเวณนั้น การโจมตีระดับนี้ย่อมไม่ธรรมดาทำให้ชาวบู๊ลิ๊มไม่มีทางพลาดรีบทะยานไปตามเสียงที่เกิดเหตุ
    เปรี้ยง!
    อึก!
    ร่างของชายชรากระเด็นตกไปไกลตามด้วยกระอักโลหิตออกมาคำโต จิวชงหยวนเองก็กระเด็นห่างออกมาจากแรงโจมตีเมื่อครู่เหมือนกัน ทว่ากลับมีร่างสูงสง่าของลู่เฟยพุ่งออกมารับร่างเอาไว้ทำให้ไม่บาดเจ็บมากนัก จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนที่รับร่างตัวเองแล้วยกยิ้มบางๆ ความรู้สึกกดดันและหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เลือนหายไปเหมือนกับความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะคนที่โอบกอดเขาอยู่ตอนนี้เป็นคนสอนวิชาเขามา
    “เป็นอะไรไหม” ลู่เฟยเอ่ยถามคนในอ้อมกอดอย่างเป็นห่วง ที่เขามาช้าเพราะว่าสองร่างที่ออกมาจากนอกเมืองเคลื่อนไหวเร็วจนตามไม่ทัน ไม่ใช่เขาไร้ความสามารถแต่เพราะยังไม่อยากให้ถูกจับได้ว่าแอบตามมา
    ทว่าจิวชงหยวนไม่ทันได้เอ่ยตอบลู่เฟยก็ตวัดร่างของคนรักหลบคมกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็ว พร้อมกระบี่เหล็กเนื้อดีออกมาต้านรับ ทว่าแรงปะทะที่รุนแรงอีกทั้งเนื้อกระบี่ที่ต่างกันทำให้กระบี่ของลู่เฟยแตกหักอย่างรวดเร็ว ร่างสูงตวัดร่างโปร่งบางหลบกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วก่อนจะสร้างกระบี่ไร้ลักษณ์ออกมาต้านรับด้วยความเร็ว
    จิวชงหยวนมองตามอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าลู่เฟยจะสร้างกระบี่จากลมปราณได้แล้ว และชายชราผู้นั้นก็ชะงักงันด้วยความตกใจเช่นกัน ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าทั้งสองคนเป็นเซียน
    “เจ้าเองก็ไม่ใช่มนุษย์อีกแล้วสินะ ฮ่าๆๆๆ ทำไมข้าโชคดีที่จะได้ไอทิพย์พวกเจ้าอย่างนี้”
    “เจ้าฝันหวานไปหรือเปล่า” ลู่เฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตาคมกริบทอประกายฆ่าฟันอย่างชัดเจน พลังภายในปลุกให้รุกเร้าขึ้นมาออกมาสร้างกระบี่ต้านรับกระบี่มารตรงหน้า
    “เอ่อ ลู่เฟย ปล่อยข้าก่อน” จิวชงหยวนบอกด้วยใบหน้าแดงเพราะลู่เฟยโอบกอดเขาไม่ยอมปล่อย อีกทั้งตอนนี้พวกเขาทั้งสามยังใช้ลมปราณเหยียบอยู่บนยอดไผ่ ลู่เฟยเหลือบตามองคนรักนิดหนึ่งก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ ก่อนจะยกยิ้มให้กันอย่างรู้ทันและเพียงพริบตาสองร่างก็พุ่งเข้าหาชายชราพร้อมเพรียงกันด้วยความเร็วดุดัน วิชาต่างๆ ถูกเรียกออกมาใช้อย่างไม่ต้องกั๊กอีกต่อไป ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ธรรมดาหากพลาดท่ามาคนที่จะตายคือพวกเขาเอง
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    ฉัวะ!!
    ชายชราตวัดกระบี่ต้านรับด้วยความโกรธแค้นที่ไม่อาจปัดป้องได้ทัน เพียงไม่นานร่างนั้นก็กระเด็นไปไกลอีกครั้งและครั้งนี้ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเสื้อผ้าสีขาวอาบย้อมไปด้วยเลือด ลู่เฟยหันมามองสบตากับคนรักอีกครั้ง ก่อนจะเพิ่มพลังเป็นสิบส่วนพุ่งเข้าหาร่างชายชราพร้อมกันอีกครั้งโดยไม่ปล่อยให้ร่างนั้นได้ตั้งตัว
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    ฉัวะ!!
    และนับว่าชายชราผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากผู้นี้ไม่ธรรมดาเมื่อสามารถตวัดกระบี่เข้ากลางหลังของลู่เฟยด้วยความเร็วจนมิอาจป้องกันได้ทัน จิวชงหยวนเองก็ไม่ได้น้อยหน้าตวัดกระบี่เข้ากลางอกชายชราด้วยความเร็วเช่นกัน ร่างนั้นถอยห่างโซเซเล็กน้อยพร้อมเร่งพลังเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว จิวชงหยวนจึงต้องเร่งเร้าพลังภายในของตัวเองเพิ่มมากขึ้นออกมาต้านรับแรงกดดันและจิตสังหารที่อีกฝ่ายส่งมาเช่นเดียวกับลู่เฟย
    “ฝ่ามือดูดวิญญาณ”
    “วารีสังหาร”
    ตูม!!
    กระบี่โชคชะตาเสียบทะลุกลางอกของชายชราด้วยความแรง ทว่ากลับเจอฝ่ามือดูดวิญญาณของอีกฝ่ายซัดเข้ากลางอกจนกระเด็นล้มลงไปกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะเมื่อครู่เขาเจอลูกล่อ ชายชราเจ้าเล่ห์แสร้งตวัดกระบี่เข้าหาลู่เฟยแกล้งเปิดช่องโหว่ให้เขาโจมตีแต่กลับใช้ฝ่ามือซ้ายซัดเข้ากลางอกเข้าซะเต็มสิบส่วน เขากระอักโลหิตออกมาด้วยความเจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมาพลังภายในเขาปั่นป่วนไปไม่น้อย
    “ชงหยวน!” ลู่เฟยร้องเรียกคนรักด้วยความตกใจ แต่มิอาจเข้าไปหาในตอนนี้ได้เพราะยังต้องรับมือชายแก่หนังเหนียวนี่อยู่
    จิวชงหยวนถ่มเลือดออกจากปากก่อนจะเงยหน้ามองลู่เฟยที่ฟาดฟันตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ด้วยแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งกระบี่ไร้ลักษณ์จากหนึ่งเล่มกลายเป็นสิบเล่ม แม้ชายชราผู้นั้นจะบาดเจ็บอาการสาหัสจากกระบี่โชคชะตาที่กัดกินชีวิตทีละนิดแต่ก็ยังลงมือได้รุนแรง จิวชงหยวนเม้มปากมองภาพตรงหน้าไม่คิดว่าชายแก่ผู้นี้จะมีพลังภายในมากขนาดนี้ ก่อนจะรวมร่างเป็นกระบี่พุ่งเข้าหาร่างชายชราอีกครั้ง
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    ฉัวะ!!
    กระบี่บินพุ่งเข้าหาร่างชายชราพร้อมกันนับสิบเล่มทั้งกระบี่จริงกระบี่ลวงตาเนื่องด้วยความเร็วจนไม่อาจมองตามได้ทันจนเกิดเป็นภาพลวงตา ทำให้ชายชราเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อกระบี่เสียบทะลุกลางอกนับสิบเล่มและกระบี่สีเขียวมรกตพุ่งลงมาจากทางด้านบนศีรษะและเสียบทะลุลงมาด้วยความเร็วจนหลบไม่ทัน ร่างชายชราล้มลงกับพื้นดินดวงตาเบิกโพลงร่างกายอาบไปด้วยเลือดพร้อมลมหายใจสุดท้ายมอดดับลง
     จิวชงหยวนกลับมาเป็นมนุษย์ยืนอยู่ไม่ห่าง ทว่าอาการบาดเจ็บแทบทำให้ทรงตัวไม่อยู่แล้วหันไปมองร่างสูงที่เข้ามาประคองก่อนจะอุ้มทะยานหายไปจากจุดที่เกิดเหตุเพราะสัมผัสได้ว่ามีผู้คนหลั่งไหลเข้ามา ปล่อยทิ้งร่างของชายชราที่ไม่เหลือสภาพของเซียนรักษาอีกต่อไปเพราะลู่เฟยโยนหินจุดไฟใส่ร่างนั้นก่อนจะจากมา
    “ชงหยวนเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” ลู่เฟยที่อุ้มจิวชงหยวนกลับมาที่โรงเตี๊ยมเอ่ยถามร่างโปร่งบางที่กระอักโลหิตออกมาอย่างน่าเป็นห่วง ดวงตาสวยตอนนี้คลอไปด้วยน้ำตาเพราะความเจ็บช้อนตามองลู่เฟยที่ประคองกอดเขาอยู่บนเตียงอย่างห่วงใย ทั้งๆ ที่ร่างกายตัวเองเต็มไปด้วยบาดแผลแท้ๆ
    จิวชงหยวนไม่ตอบคำถามแต่กลับถอดเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นหน้าอกที่ควรขาวเนียนบัดนี้กลับเป็นรอยฝ่ามือม่วงคล้ำคล้ายกับถูกพิษแต่มิใช่พิษ
    “เจ้า!” ลู่เฟยร้องออกมาอย่างตกใจ เขาเคยได้ยินมาว่าฝ่ามือดูดวิญญาณหากใครโดนเข้าไปร้อยทั้งร้อยไม่มีใครรอดคนที่มีวรยุทธก็จะเสื่อมถอย วิชานี้เป็นวิชามารที่หายสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว มือหนาสั่นระริกมองคนรักด้วยความหวาดหวั่น
    “รักษาอย่างไรชงหยวนรีบบอกข้า” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงสั่นกอดร่างโปร่งบางแนบอกด้วยความกลัว จิวชงหยวนเหลือบตามองลู่เฟยแล้วหลับตาพริ้มลงเพราะเริ่มทนพิษบาดแผลไม่ไหว ฝ่ามือนี้ร้ายกาจไม่น้อยเพราะมันแลกด้วยพลังชีวิตของอีกฝ่าย ทางเดียวที่จะรักษาได้คือพลังหยางอันบริสุทธิ์และยังต้องเป็นชายที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วแบบนี้เขาจะให้ลู่เฟยรักษาได้อย่างไร เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่หรือไม่ เขารู้สึกเกลียดวิชานี้ขึ้นมาแล้วสิ
    อึก!
    จิวชงหยวนกระอักโลหิตออกมาอีกครั้งยิ่งทำให้ลู่เฟยกระวนกระวายมากขึ้น มือหนากอดร่างโปร่งบางนั้นสั่นระริกด้วยความกลัว
    “บอกข้า ว่าข้าต้องทำอย่างไร” น้ำเสียงเจ็บปวดและหวาดกลัวของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนพยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หากเป็นพิษทั่วไปไม่มีทางจะทำให้เขาเจ็บมากขนาดนี้แต่ที่ทำให้แทบขยับตัวไม่ได้เพราะลมปราณดูดวิญญาณที่ร้อนแรงจนกัดกินร่างเขามันแทรกเข้ามาในลมปราณจนทำให้พลังภายในเขาปั่นป่วนต่างหาก แม้แต่รักษาตอนนี้ยังช่วยไม่ได้เลยนอกจากพลังหยางส่วนยาเทวะที่อยู่ในกล่องจะช่วยประคองชีวิตไปได้ชั่วคราวเท่านั้น มือเรียวพยายามล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบกล่องยาเทวะขึ้นมาแต่กลับไม่มีแรงเปิดผนึกได้ ดวงตาเรียวช้อนมองลู่เฟยที่รับกล่องมาอย่างเข้าใจ ก่อนจะช่วยเปิดกล่องให้ตามความทรงจำที่พอมีแล้วหยิบเม็ดยาป้อนให้จิวชงหยวนอย่างระวัง
   “ยานี้แค่ยื้อชีวิตชั่วคราว สิ่งที่รักษาได้คือพลังหยางของชายบริสุทธิ์” คำตอบแผ่วเบานั้นทำให้ลู่เฟยหน้าแดงเล็กน้อย แต่เวลานี้ไม่มีเวลาต้องมาอายเมื่อรู้ว่าสิ่งใดช่วยคนรักไว้ได้จึงเริ่มลงมือทันที อีกอย่างชายบริสุทธิ์ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกเพราะตั้งแต่เกิดมาจำความได้ยังไม่เคยมีเมียสักคน แม้จะรู้สึกเสียหน้าไปบ้างแต่มันคือเรื่องจริงที่เขาไม่มีอารมณ์พวกนี้เลยยกเว้นตอนอยู่กับชงหยวนเท่านั้น
     ก่อนจะพยุงร่างโปร่งบางพิงอกตัวเองแล้วช่วยถอดเสื้อผ้าให้หมดทั้งตัว ใบหน้างดงามแดงระเรื่อเมื่อรู้ว่าเขาจะทำอะไรจิวชงหยวนหลับตาพริ้มเพราะตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพูด ร่างกายขาวเนียนปรากฏให้เห็นทั้งตัวแทบทำให้ลู่เฟยสติแตก จากนั้นจึงรีบถอดเสื้อผ้าตัวเองออกจนตอนนี้ทั้งคู่เปล่าเปลือยอยู่บนเตียงนอน
     ลู่เฟยหลับตาลงพยายามไม่นึกภาพงดงามที่ยั่วยวนอารมณ์เขาแล้วกอดประคองร่างนั้นให้นั่งตัวตรงก่อนจะถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปสลายลมปราณที่แทรกเข้ามา พลังหยางในร่างถูกดูดเข้าไปชำระพลังมารในร่างด้วยความเร็วจนเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มร่าง สองร่างนั่งนิ่งถ่ายทอดพลังหยางให้กันจนความร้อนระเหยออกมาตามร่างของทั้งสองคน ใบหน้างดงามนิ่วหน้าด้วยความเจ็บก่อนจะเริ่มบรรเทาลง...
     ไม่รู้เวลาผ่านมานานเท่าไหร่ที่ลู่เฟยส่งพลังหยางของตัวเองให้ร่างโปร่งบาง จนกระทั่งร่างนั้นไม่ดูดพลังหยางเขาอีกจึงถอนมือออกมากอดประคองร่างที่เอนเอียงไปมาแนบชิดกับอกแกร่งตอนนี้เหงื่อผุดขึ้นมาตามตัวทั้งสองคน แต่ในความรู้สึกของลู่เฟยตอนนี้จิวชงหยวนช่างน่าพิศวาสยิ่งนัก ดวงตาคมกริบหลับตาลงแล้วกอดร่างนั้นให้นอนเคียงข้างพร้อมดึงผ้าห่มมาปกคลุมร่างเปล่าเปลือยของทั้งคู่ แม้เวลานี้จะสว่างแล้วแต่ด้วยถ่ายพลังไปหลายชั่วยามจึงเหนื่อยล้าไม่น้อย ทว่าตอนนี้เขาขอนอนกอดร่างโปร่งบางเก็บแรงไว้ก่อน



        หลังจากช็อกไป 2 วันเพราะคอมฯ ฟางเจอไวรัสตระกูล HELP_DECRYPT เรียกว่าไวรัสเรียกค่าไถ่ ทำให้คอมฯฟางเสียหายไม่สามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้ นิยายทุกเรื่องที่แต่งหายไปในพริบตา ดีแต่ว่าฟางส่งเล่ม 1 ให้สนพ.ก่อนไม่อย่างนั้นคงร้องไห้หนักแน่ๆ แต่ต้องขอบคุณนักอ่านที่น่ารักที่เข้าไปให้กำลังใจฟางในแฟนเพจมากมายทำให้ฟางมีแรงใจลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ขอบคุณมากค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2015 15:39:21 โดย lingfang »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #55 เมื่อ06-09-2015 14:21:50 »

ดีใจที่มาต่อ รออ่านมาตลอดเลยว่าเมื่อไรตอนใหม่จะมา

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #56 เมื่อ06-09-2015 15:05:17 »

พี่ฟางค้าาาาา ช่วยแก้ไขหัวข้อเรื่องเพิ่มตอนที่ กับวันอัพได้ม้าา คนอ่านจะได้รู้ว่าอัพแล้วค่ะ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #57 เมื่อ06-09-2015 16:54:25 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #58 เมื่อ06-09-2015 20:14:34 »

อร๊างงงงงง ลู่เฟยยังบริสุทธิ์  :heaven

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #59 เมื่อ06-09-2015 20:24:12 »

มาให้กำลังใจจ้า

ยังติดตามเหมือนเดิม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด