บทที่ 17
ปกป้องรัชทายาท
เช้าวันใหม่ ขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทก็เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งใหม่ จิวชงหยวนเริ่มขี่ม้าเป็นมากขึ้น ใบหน้างดงามยามนี้อ้าปากหาววอดๆ เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน เนื่องจากองค์รัชทายาทตัวดีชวนเขาเล่นหมากล้อมตลอดทั้งคืน แต่นั่นทำให้รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งมองการไกลไปหลายขั้นเพราะการจับวางตัวหมากแต่ละตัวล้วนคิดอย่างถ้วนถี่ ใบหน้าหล่อคมคายขมวดคิ้วมุ่นทุกครั้งที่เขาจับวาง ยิ่งหมากดำกับขาวถูกปิดล้อมกันและกัน ต่างยิ่งใช้เวลาคิดนานมากขึ้นเท่านั้น การเล่นที่สูสีไปมาและไม่มีใครยอมใครทำให้ต่างจ้องมองหมากกระดานเขม็งหวังจะให้มันหายไปสักตัวจะได้จบเกมเร็วๆ
“ง่วงนอนขนาดนี้เจ้าจะไม่รักษาคนป่วย จ่ายยาให้ผิดหรือ” เสียงคนที่ควบม้ามาวิ่งเยาะๆ ข้างกายทำให้จิวชงหยวนหลุดจากภวังค์หันมามองคนที่ยิ้มขำมาให้ นอนก็ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเหมือนกันแต่ลั่วเหยียนเจิ้งกลับไม่มีวี่แววจะง่วงนอนเหมือนเขาเลยสักนิด พวกนั้นเอาตาไปไว้ไหนกันถึงคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นคนขี้โรคอ่อนแอ นี่มันพยัคฆ์ซ่อนเล็บชัดๆ เจ้าเล่ห์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลยสักนิด
“หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องเป็นความผิดของท่านพี่แล้วพะยะค่ะ” คำเรียกขานที่เปลี่ยนไปเพราะคำสั่งแกมบังคับของคนข้างตัวทำให้ต้องจำใจเรียกตาม ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มองไปอย่างกล่าวโทษ ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มหวานมาให้พร้อมคำพูดที่ชวนให้ขนหัวลุก
“ที่ข้าทำให้เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนนะหรือ” จิวชงหยวนมองคนพูดอะไรไม่คิดตาขวาง มองดูรอบกายก็เห็นแต่พวกทหารก้มหน้าหลบตา แต่เชื่อเถอะว่าได้ยินกันเต็มสองหูนั่นแหละ
“ท่านกำลังทำให้คนอื่นเข้าใจข้าผิดนะ”
“ข้าพูดผิดตรงไหน ก็เมื่อคืนข้าทำให้เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนจริงๆ นี่” น้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาพราวระยับและริมฝีปากยกยิ้มนี่ทำให้จิวชงหยวนเท้ากระตุกอยู่หลายครั้ง เมื่อรู้ว่าเถียงไปก็เปล่าประโยชน์จึงแกล้งเมินเฉยกระตุกม้าให้วิ่งเร็วขึ้นโดยมีเสียงหัวเราะตามหลังมาอย่างขบขัน
สนุกเข้าไป...อย่าให้ถึงคราวเขานะจะแกล้งคืนเสียให้เข็ด
ยิ่งมุ่งหน้าออกนอกเมืองเท่าไหร่ก็เจอแต่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ได้เจริญมากนัก การเป็นอยู่พออยู่พอกินในหมู่บ้านมีการปลูกข้าวทำไร่ไปตามอัธยาศัย จิวชงหยวนได้แวะรักษาคนในหมู่บ้านไปตามที่เห็นสมควร ในแต่ละหมู่บ้านใช้เวลาไปไม่เกินสองชั่วยามเท่านั้น เพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ การเดินทางราบรื่นกว่าที่คิดไว้ทหารไม่ได้มีมากมาย แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเข้ามาคิดสังหารองค์รัชทายาทเลย ทว่าบางครั้งก็จับสัญญาณชีวิตที่ห่างไกลออกไปได้ แต่เพียงไม่นานก็เลือนหายไปเป็นอยู่เช่นนี้สองวันแล้ว จนอดแปลกใจไม่ได้เพราะตอนเขาร่วมเดินทางกับลู่เฟยนักฆ่าตามล่าตลอดสามวันสามคืนจนแทบไม่มีเวลาพัก
อาหารกลางวันเป็นแบบเรียบง่าย ซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งก็กินโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรที่มันหรูหราอย่างที่เคยเป็น และนี่ทำให้จิวชงหยวนรู้จักองค์รัชทายาทมากขึ้น แม้จะดูเป็นคนอ่อนแอในสายตาคนอื่น แต่กลับไม่ปริปากบ่นว่าเหนื่อยระหว่างทางแม้แต่น้อย องค์รักษ์ที่ติดตามนั้นก็ปิดปากเงียบเหมือนไม่ได้เอาปากมาด้วย ทว่าแค่มองตาเจ้านายกลับรับรู้ความต้องการ
หลังจากกินข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้ว จิวชงหยวนจึงออกมาเดินเล่นตามลำธารระหว่างผ่านทาง มือเรียววักน้ำล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื้นและความง่วงงุนให้หายไป วันนี้ลู่เฟยกลับวังหลวงตามที่บอกไว้จริงๆ ดวงตาเรียวมองเงาตัวเองในน้ำอย่างครุ่นคิด เขารู้สึกใจหายที่ลู่เฟยกลับวังหลวงอาจเป็นเพราะอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน อีกทั้งลู่เฟยเป็นคนเดียวที่เขารู้จักและสนิทสนมด้วย แต่ตอนนี้มองไปทางไหนมีแต่คนที่ไม่คุ้นเคย
...คงต้องทำใจให้ชินอีกครั้งสินะ
“คิดถึงลู่เฟยอยู่หรือ” คำถามดังมาจากเบื้องหลังทำให้จิวชงหยวนหันไปมอง ใบหน้าหล่อคมคายนั้นมองเขานิ่งๆ เหมือนจะจ้องลึกเข้าไปในใจ เขายกยิ้มออกมานิดๆ เพราะไม่ว่าจะจ้องให้พรุนไปทั้งตัวก็คงไม่ได้คำตอบที่ต้องการหรอก และก็ไม่ได้แปลกใจที่องค์รัชทายาทจะรู้ว่าลู่เฟยปลอมตัวมาก็เจ้าตัวปล่อยรังสีอำมหิตมาขนาดนั้นไม่รู้ก็คงไม่มีชีวิตมายืนอยู่ตรงนี้แล้วล่ะ
“ตาสีสนิมของท่านพี่คงจะฝ้าฟาง เดี๋ยวข้าจัดยาให้ชุดหนึ่งนะพะยะค่ะ อ้อ เดี๋ยวเพิ่มยาแก้เพ้อเจ้อให้ด้วย” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนแล้วหันไปส่งยิ้มให้องค์รัชทายาทที่ยกยิ้มมุมปากมองเขาเหมือนท้าทายนิดๆ
“ฮึ เจ้าไม่ต้องเขินข้าหรอกน้องสะใภ้คนงาม” บอกพร้อมหันหลังเดินตัวปลิวจากไป ปล่อยให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างคาดไม่ถึง
“ให้ตายสิ พี่น้องกันจะเหมือนกันไปถึงไหน เฮอะ ฝากไว้ก่อนเถอะจะคิดทบต้นทบดอกทั้งพี่ทั้งน้องเลย” จิวชงหยวนได้แต่บ่นงึมงำคนเดียวอย่างขัดใจ ก่อนจะเดินตามร่างของรัชทายาทไปเพื่อออกเดินทางต่อ
ขบวนเสด็จของรัชทายาทเดินทางไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบเร่งเช่นเคย แม้บางครั้งจะเหมือนมีสิ่งผิดปกติ แต่เพียงไม่ถึงก้านธูปก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง จนกระทั่งเดินเส้นทางป่าไผ่ที่มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น
สวบ สวบ...
“ปกป้ององค์รัชทายาท”
เสียงร้องตะโกนของซือหมิงองค์รักษ์ของลั่วเหยียนเจิ้งตะโกนดังขึ้น ทหารที่ติดตามเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางตั้งล้อมเป็นค่ายกลอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนตกอยู่กลุ่มกลางของค่ายกลกับองค์รัชทายาทซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ามองรอบกายนิ่งๆ
พรึบ!
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ชายชุดดำนับสิบคนพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ทว่าฝีมือทหารที่ติดตามนับว่าไม่ธรรมดา การตั้งรับตอบโต้รวดเร็วและทรงพลังเหมือนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จิวชงหยวนมองดูการต่อสู้อย่างสนใจเพราะคิดไม่ถึงว่าทหารที่ติดตามมานั้นมีความเร็วและฝีมือไม่แพ้พวกนักฆ่า มิน่าล่ะทำไมขบวนองค์รัชทายาทถึงมีทหารเพียงแค่ยี่สิบห้าคนเท่านั้น
พรึบ!
จิวชงหยวนเอนหลังราบกับหลังม้าหลบคมกระบี่ที่พุ่งเป้ามาทางตน ก่อนจะใช้เท้าเตะนักฆ่าผู้หนึ่งออกห่างจากตัว หันไปมององค์รัชทายาทก็มีนักฆ่าพุ่งเข้าโจมตีไม่ต่างไปจากตน นักฆ่าจากมีเพียงสิบเพิ่มขึ้นมาเกือบครึ่งร้อย
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
จิวชงหยวนเรียกกำไลในมือเปลี่ยนเป็นกระบี่ต้านรับ เพราะมันแห่มามากเกินไปอีกทั้งทหารที่ส่วนมากหันไปคุ้มครองลั่วเหยียนเจิ้ง เขาจำต้องปกป้องตัวเอง ดวงตาเรียวเหลือบมององค์รัชทายาทนิดหนึ่งแม้อยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็อยากเห็นฝีมือลั่วเหยียนเจิ้งเช่นกัน
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
“นี่พวกเจ้าแห่กันมาทั้งสำนักเลยหรือไง” จิวชงหยวนบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด แม้จะเคยฆ่าคนมาบ้างแต่ว่าจิตใจเขาก็ยังไม่กล้าแกร่งพอที่จะฆ่าคนเป็นดั่งผักปลาเช่นนี้ แต่ไม่ฆ่าก็อาจจะเป็นตนที่ถูกฆ่าเช่นกัน
“เจ้าได้กระบี่มาจากไหนกัน” ลั่วเหยียนเจิ้งที่เข้ามาช่วยจิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“มันใช่เวลามาถามไหมนี่” จิวชงหยวนหันไปตอบอย่างหงุดหงิด ก่อนจะจะใช้เท้าถีบนักฆ่าผู้หนึ่งกระเด็นไปไกล
“จริงของเจ้า แต่จบนี่ค่อยถามแล้วกัน” คำถามเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้จิวชงหยวนหันไปมองพร้อมรับคมกระบี่ของนักฆ่าไปด้วย
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
“ก่อนจะถาม รอดจากนี่ไปได้ก่อนเถอะ”
“จริงด้วย งั้นมาแข่งกันว่าข้ากับเจ้า ใครจะฆ่าพวกสวะนี่ได้มากกว่ากัน” สีหน้าและน้ำเสียงนึกสนุกของอีกฝ่ายทำให้จิวชงหยวนหันมามองค้อนตาแทบคว้ำ
“ไม่ ข้าเป็นหมอไม่ใช่นักฆ่า” บอกกลับอย่างหงุดหงิด ก่อนจะตวัดคมกระบี่เข้ากลางอกของนักฆ่าที่พุ่งมาด้วยความเร็ว
“ฮึ หากข้าไม่เห็นกับตาก็คงจะเชื่อในสิ่งที่เจ้าบอก” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตวัดกระบี่เข้าหาร่างนักฆ่าที่หลุดรอดมาถึงตน
การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างทหารที่ตั้งค่ายกลน่านฟ้า แต่จำนวนนักฆ่ามีมากกว่าที่คิดทำให้หลุดรอดไปถึงสองคนผู้มีความสำคัญของแผ่นดิน ทว่าเมื่อเห็นการต่อสู้ของทั้งคู่กลับทำให้ทหารหายห่วงไปบ้างและตั้งหน้าตั้งตากำจัดศัตรูอย่างไม่ลังเลอีก
ฉัวะ!!
เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
การต่อสู้กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยามจนในที่สุดนักฆ่าที่เหลือเพียงหยิบมือก็เร้นกายหายไป ทิ้งเพียงศพนักฆ่าที่เกลื่อนกลาดกับต้นไผ่ที่ถูกตัดขาดกินพื้นที่ไปหลายเมตร
“ท่านหมอมีทหารเราบาดเจ็บหนัก ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ขอรับ” ทหารผู้หนึ่งเข้ามาหาถามจิวชงหยวนด้วยความกังวลเนื่องจากอาการของสหายผู้นั้นเข้าขั้นหนักเพราะกระบี่เสียบทะลุกลางอก
“พาข้าไปดู” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมเดินไปหยิบถุงย่ามที่ตกอยู่ไม่ไกลตามออกไป ส่วนม้าที่เคยขี่หลังจากเขาลงจากม้าก็ไม่รู้ว่าพวกมันหนีไปไหน เพราะไม่ถนัดในการต่อสู้บนหลังม้าเลยลงจากหลังมันมา เพราะเพียงแค่ขี่เฉยๆ ก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว ดีแต่ว่าเขาสะพายถุงย่ามนี้ไว้และตกหล่นตอนต่อสู้ สายตาเรียวมองทหารคนอื่นที่บาดเจ็บไปไม่น้อย จิวชงหยวนรีบรุดมายังทหารผู้ที่นอนกระอักโลหิตออกมาหัวใจที่เต้นแผ่วเบา ใบหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือดที่กลางอกมีกระบี่เล่มหนึ่งเสียบคาอยู่ หากดึงออกเลือดคงได้ทะลักออกหมดตัวแน่
“ต้มน้ำให้ข้าด่วน” หันไปบอกทหารที่บาดเจ็บไม่มากซึ่งก็รีบทำตามอย่างรวดเร็ว จิวชงหยวนจับดูบาดแผลตามที่อื่นๆ แต่ไม่โดนจุดสำคัญนอกจากกระบี่กลางอก ก่อนจะรีบสกัดจุดห้ามเลือดให้อีกฝ่าย เสียงหัวใจที่แผ่วเบาทำให้เขารู้สึกใจหายไม่น้อย มือเรียวล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบยาฟื้นกำลังภายในหนึ่งเม็ดยัดใส่ปากคนเจ็บ หันไปมองคนก่อไฟแล้วรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่เร็วทันใจกว่าน้ำจะเดือดให้เขาได้คนไข้ได้ตายก่อนพอดี
“ไม่ต้องต้มแล้วเอากาน้ำมานี่” ทหารผู้นั้นก็รีบเอามาให้ด้วยความเร็วแม้จะงุนงงไม่เข้าใจคำสั่งก็ตาม จิวชงหยวนรับนำกาน้ำมาก่อนจะใช้ลมปราณร้อนแช่น้ำให้เดือด จากนั้นจึงดึงกระบี่ออกจากอกและดำเนินการผ่าตัดเย็บบาดแผลให้ทหารผู้นี้อย่างรวดเร็ว เพราะลมหายใจที่แผ่วเบาจะชักช้ากว่านี้ไม่ได้ ทุกขั้นตอนนั้นดูแปลกประหลาดสำหรับทหารที่เฝ้ามอง
ลั่วเหยียนเจิ้งมองดูน้องสะใภ้ด้วยความสนใจ ทุกอย่างในตัวของจิวชงหยวนล้วนดึงดูดให้ค้นหาและการรักษาที่ดูแปลกประหลาด แต่ทุกขั้นตอนเจ้าตัวกลับทำคล่องแคล่วชำนาญ ทหารรอบกายตอนนี้บาดเจ็บกันถ้วนหน้าเพียงแต่ทหารผู้เยาว์ที่อายุน้อยกว่าเพื่อนเท่านั้นที่บาดเจ็บหนัก
“ฝ่าบาทให้กระหม่อมทำแผลให้ก่อนไหมพะยะค่ะ” ซือหมิงองค์รักษ์ฝ่ายขวาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงอาภรณ์สีขาวเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าเองก็ไปทำแผลเถอะ” บอกด้วยเสียงเรียบดวงตาคมมองไปที่ร่างโปร่งที่ช่วยทหารของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดูจากภายนอกเป็นเหมือนคุณชายที่ทำอะไรไม่เป็น ทว่าเมื่ออยู่ด้วยกลับมีสิ่งให้แปลกใจอยู่บ่อยครั้ง เขาสงสัยว่าน้องชายตนไปรู้จักกับจิวชงหยวนหมอเทวดาผู้นี้ได้เช่นไร
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” จิวชงหยวนหันไปบอกเหล่าทหารที่ล้อมวงกันอยู่ไม่ห่าง ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก จิวชงหยวนยิ้มบางให้กับกลุ่มทหารที่รักใคร่กันดี ก่อนจะช่วยทำแผลให้ทหารคนอื่นๆ ซึ่งก็มีบาดเจ็บถูกอวัยวะสำคัญไปหลายคนแต่เพราะความอดทนอดกลั้นทำให้ไม่มีใครปริปากบ่นสักคน หากเขาไม่ใช่หมอที่มีความสามารถฟังเสียงการเต้นจังหวะของหัวใจป่านนี้คงได้ตายเพราะบาดแผลติดเชื้อกันเป็นแถวแน่ๆ อีกทั้งโดนพิษกันถ้วนหน้ายังไม่มีใครแสดงอาการเจ็บปวดของตัวเองออกมา
“นี่ยาแก้พิษ พวกเจ้าเอาไปกินกันคนละเม็ด” จิวชงหยวนยื่นขวดแก้วที่บรรจุยาไว้สามสิบเม็ดให้ทหารนำไปแจกจ่ายกัน
“ท่าน ทำไมรู้ว่าพวกข้าโดนพิษ” ทหารผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความทึ้ง รับยามาถือด้วยความปิติ
“ข้าเป็นหมอไง รีบกินซะก่อนที่มันจะกระจายไปทั่วร่าง” บอกพร้อมลุกขึ้นเดินไปหาองค์รัชทายาทที่นั่งอยู่บนขอนไม้
“แผลท่านเป็นไงบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามเมื่อเข้ามาใกล้ ลั่วเหยียนเจิ้งเงยหน้ามองคนที่ยืนค้ำหัวตนนิดหนึ่งแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
“เจ้าเป็นหมอไม่ใช่หรือ น่าจะรู้อาการข้าดีนี่” จิวชงหยวนส่ายหน้ากับคนกวนประสาท บาดแผลไม่ใช่น้อยๆ แต่กลับทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรือว่าปล่อยให้ตายไปดี
“ถอดเสื้อ”
“หืม เจ้าไม่กลัวสามีเจ้ามาฆ่าข้าหรือไง” คำถามหยอกเย้าทว่ากลับถอดเสื้อออกให้อย่างว่าง่าย จิวชงหยวนส่ายหน้ากับคนกวนประสาท แผลกลางหลังลึกและยาวไม่น้อย จึงรีบจัดการรักษาบาดแผลให้
“ซี๊ดดด เจ้าจะฆ่าข้าหรือไง” เสียงบ่นดังเป็นระยะๆ ขณะที่เขาราดเหล้าชั้นดีลงแผ่นหลัง จิวชงหยวนกระตุกยิ้มอย่างชอบในที่สุดก็ได้เอาคืนองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์หลังจากโดนเย้าแหย่มาทั้งวัน
“ข้าทำแผลให้ท่าน เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า” บอกด้วยเสียงเรียบ ทว่าใบหน้ากลับยกยิ้มชอบใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงครางแผ่วๆ ของอีกฝ่าย
“ฮึ คิดว่าข้าไม่รู้หรือไงว่าเจ้ากำลังแกล้งข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวอย่างหงุดหงิดที่ถูกเอาคืน ก่อนจะสวมเสื้อกลับเหมือนเดิมเมื่ออีกฝ่ายทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมคายยกยิ้มหวานเมื่อมองร่างโปร่งบางซึ่งก็มีบาดแผลเช่นกัน
“ชงหยวนน้องรัก เดี๋ยวพี่ทำแผลให้เจ้าดีหรือไม่” จิวชงหยวนหันไปเจอรอยยิ้มสุดสยองของรัชทายาทแล้วส่ายหน้าทันที
“ไม่...ไม่ต้อง ข้าทำเองได้” บอกพร้อมรีบถอยห่างไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้องค์รัชทายาทมองตามอย่างขัดใจ จิวชงหยวนยกยิ้มบางเรื่องอะไรจะปล่อยให้โดนแกล้งคืนเล่า
หลังจากจัดการรักษาบาดแผลให้ทุกคนหมดแล้ว ไม่นานม้าที่กระเจิงหายไปกลับวิ่งมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินเสียงหวีดจากกวงไห่องค์รักษ์ฝ่ายซ้าย เพียงไม่นานทหารที่บาดเจ็บก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังที่ปลอดภัยกว่านี้ อีกอย่างตรงนี้มีแต่ศพของนักฆ่าทำให้ไม่เหมาะกับการตั้งกระโจมพัก
และครั้งนี้การเดินทางจึงเร่งให้เร็วขึ้น เพื่อจะให้ถึงค่ายทหารก่อนกำหนดเนื่องจากนักฆ่าเหล่านั้นได้หอบคนมาอีกครั้งและทหารยังได้รับบาดเจ็บ จิวชงหยวนจึงได้ออกแรงมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่เช่นนั้นคนไข้ของเขาอาจจะตายเพราะแผลฉีกขาด ทว่าการเดินทางในครั้งนี้ทำให้จิวชงหยวนอดคิดถึงลู่เฟยครั้นที่ได้เจอกันพร้อมพยายามหนีนักฆ่าด้วยกันตลอดสามวันสามคืนไม่ได้
จิวชงหยวนเงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย แม้วันนี้จะเหนื่อยมามากและยังมีงานวุ่นวายตลอดทั้งวัน ทว่าในใจเขาทำไมรู้สึกเหงาใจเช่นนี้ ความรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ทว่าขณะนั้นใบหน้าของคนที่จากไปเมื่อเช้ากลับลอยอยู่เหนือสายตา ดวงตาเรียวเบิกกว้างก่อนจะสะบัดศีรษะไปมา ใบหน้าแดงระเรื่อก่อนจะพึมพำกับตัวเองด้วยความตกใจ
“อย่าบอกนะว่าคิดถึงลู่เฟย”