บทที่ 35
ตอนที่ 9 เล่ม 2 พบเจอเมื่อสายเกินไป (P.9 วันที่23/9/58)
เช้าวันรุ่งขึ้นลู่เฟยลุกออกจากที่นอนอย่างระมัดระวังมองดูร่างโปร่งบางที่หลับตาพริ้มด้วยความรัก ก่อนจะผละออกไปเตรียมน้ำอุ่นๆ ไว้ให้จิวชงหยวนอาบเพราะดูท่าทางคงไม่มีแรงลุกออกไปอาบน้ำเอง ถังน้ำใบใหญ่ที่ถูกเตรียมไว้ทางห้องอาบน้ำอย่างเรียบร้อย หลังจากที่เขาจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับมาหาร่างโปร่งบางที่นอนหลับแล้วก้มลงจูบริมฝีปากที่เห่อแดงด้วยฝีมือของเขาเบาๆ
“อื้อ” จิวชงหยวนครางตอบรับพร้อมดวงตาเรียวปรือขึ้นมามองก่อนจะหน้ามุ่ยเมื่อคนหื่นกามคร่อมอยู่บนร่างเขา
“เช้าแล้ว อาบน้ำหน่อยนะ” เสียงนุ่มทุ้มและดวงตาอ่อนโยนที่ส่งมาพร้อมผละออกถอยให้เขาลุกขึ้นนั่ง
“ซี๊ดดด” จิวชงหยวนเผลอครางเบาๆ กับความเจ็บช่วงล่าง ก่อนจะหันไปขวับไปค้อนให้คนที่หื่นกามเล่นฟัดกับเขาเกือบทั้งคืน ทว่าเจ้าตัวยังหน้าด้านมายิ้มให้เขาหงุดหงิดเล่นอีก
“อย่ามองหน้าข้าอย่างนั้นสิ เมื่อคืนนี้เจ้ายังเร่งข้าแรงอีกแรงอีกอยู่เลย” จิวชงหยวนหน้าแดงหูแดงด้วยความอาย ก็ตอนเอามันมันส์ดีแต่ตอนนี้มันเจ็บโว้ย! ได้แต่บ่นในใจดวงตาเรียวมองคนหน้าด้านมาพูดเรื่องแบบนี้ตาแทบคว่ำ
“ข้าพาเจ้าไปอาบเองดีกว่า” ลู่เฟยบอกด้วยรอยยิ้มเอ็นดูก่อนจะตวัดอุ้มร่างโปร่งบางที่เปล่าเปลือยอยู่แล้วเดินไปวางไปถังน้ำขนาดใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ เรือนร่างที่สัมผัสกลับเรียกความปรารถนาของเขาอีกครั้ง รู้สึกว่าตั้งแต่เห็นเรือนร่างเต็มตัวของจิวชงหยวนความหื่นของเขาจะขึ้นระดับอย่างไม่รู้ตัว ทว่าสภาพน่าสงสารของเมียรักตอนนี้ได้แต่ฝืนกลืนความอยากจับกดร่างโปร่งบางลงไปไว้ในใจ
“ข้าอาบเองได้” จิวชงหยวนหันไปบอกคนตัวโตกว่าอย่างอายๆ เพราะสายตาคู่นั้นทำให้ร้อนผ่าวไปทั่งร่าง ลู่เฟยยกยิ้มก่อนจะผละถอยออกไปทว่ากลับไปยืนกอดอกอยู่ห่างเขาเมตรเดียวเท่านั้น จิวชงหยวนกรอกตามองอย่างเซ็งๆ ในเมื่ออยากมองนักก็ตามใจ
จิวชงหยวนพยายามอาบน้ำด้วยตัวเองทว่าความปวดร้าวตามร่างแทบทำให้กระดิกตัวไม่ไหว ช่องทางด้านหลังขยับทีน้ำตาแทบไหล ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ แม้จะเจ็บแต่ก็พยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า
ลู่เฟยหยิบปิ่นหยกขึ้นมาถือเล่นแล้วมองคนที่อาบน้ำด้วยแววตาอ่อนโยน ความรักที่มีให้ร่างโปร่งบางมีมากมายนักแม้ชีวิตของเขาก็ยังให้ได้
“ปิ่นหยกที่เจ้าให้ข้านับว่างดงามแล้ว แต่ยามนี้เจ้ากลับยิ่งงดงามกว่าปิ่นหยก” จิวชงหยวนเงยหน้าเหลือบตามองคนพูดด้วยใบหน้าหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย
“น้ำเน่า” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างเก้อเขิน หลบตาคมที่จ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา สายตาที่ส่งมาทำให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่างอีกครั้ง
“ชงหยวน” เสียงเรียกจากทางหน้าบ้านทำให้จิวชงหยวนสะดุ้งสุดตัวก่อนจะครางแผ่วออกมาด้วยความเจ็บ หันขวับไปมองลู่เฟยที่ย่นคิ้วเหลือบตาไปทางหน้าบ้านอย่างไม่พอใจนิดๆ แต่ก็เดินออกไปรับหน้าก่อนที่จะเข้ามาเห็นเขาในสภาพนี้ เขามองตามลู่เฟยแล้วยกยิ้มบาง เพราะเหมือนเจ้าตัวก็ไม่อยากให้เสวี่ยอู่มาเห็นเขาสภาพนี้เช่นนี้
จากนั้นจึงรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อย แม้จะเจ็บจนแทบขยับไม่ไหว แต่เขาไม่มีทางให้เสวี่ยอู่มาสงสัยในตอนนี้แน่ๆ เขาดึงลมปราณออกมาช่วยประคับประคองตัวเองไม่ให้ขายหน้าเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไปหาเสวี่ยอู่ที่อยู่หน้าบ้าน เวลานี้อยู่ในช่วงเช้าและที่สำคัญเขาได้นอนไม่ถึงชั่วยามด้วยซ้ำไป
“ชงหยวนเจ้าไปทำอะไรมาทำหน้าเหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืนเลย” เสียงที่เอ่ยทักพร้อมแววตาใสซื่อที่ถามมาแทบทำให้จิวชงหยวนสะดุดเท่าตัวเองล้ม
“เรื่องของข้า เจ้ามีอะไรแต่เช้า” จิวชงหยวนหันไปมองคนถามตาดุ ใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจนัก
“เมื่อคืนข้าได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากกระท่อมของเจ้า เลยว่าจะมาถาม...”
แค่กๆๆ
จิวชงหยวนที่กำลังนั่งจิบชาพ่นออกมาเต็มหน้าคนถามที่นั่งค้างอย่างตกใจไม่แพ้กัน ทว่าคนต้นเรื่องกลับนั่งนิ่งยกยิ้มบางอย่างน่าหมั่นไส้
“แหวะ สกปรก เจ้าร้อนตัวอะไรหรือเปล่านี่” เสวี่ยอู่เช็ดหน้าตัวเองแล้วหันมาจ้องจับผิดคนงามที่หน้าแดงหูแดงไปหมดจนน่าสงสัย
“เปล่าซะหน่อย ชาถ้วยนี้มันขมไปหน่อย” จิวชงหยวนแก้ตัวเสียงขุ่นแต่ตอนนี้สีข้างเขาคงผลอกไปหมดแล้ว
“วันนี้พวกข้าจะเดินทางออกหมู่บ้านเจ้าจะยังไปด้วยหรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยถามเสวี่ยอู่เพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยและเหมือนเจ้าตัวจะพยักหน้ารับทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิด
“ไปสิ ว่าแต่พวกเจ้าจะไปที่ใดต่อ” เสวี่ยอู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ตำหนักธานตะวัน”
แค่กๆๆ
จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองเสวี่ยอู่ที่สำลักน้ำชาใบหน้าแดงก่ำอย่างน่าสงสัย ดีแต่ว่าไม่พ้นใส่หน้าเขาคืน ดวงตาเรียวหันไปมองลู่เฟยที่คิ้วขมวดปมขึ้นไม่แพ้กัน เป็นไปได้ว่าคนตรงหน้ามีความสัมพันธ์กับคนพรรคธานตะวัน และหากเป็นเช่นนั้นก็ง่ายสำหรับเขาที่จะไปผูกมิตรด้วย
“เจ้าจะไปทำไมที่นั่น” เสวี่ยอู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนลน
“ข้าแค่ไปหาพันธมิตรสร้างความสัมพันธ์ดีงามด้วย เพราะเจ้าน่าจะรู้จักชื่อเสียงจิวชงหยวนในเวลานี้ดี” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างใจเย็น เสวี่ยอู่มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยดวงตาคมมองพวกเขานิ่งๆ ก่อนจะบอกเสียงแผ่ว
“หากเป็นเช่นนั้นข้าคงขอแยกทางจากพวกเจ้า”
“ไม่ได้ เจ้าต้องไปกับข้าด้วย” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่เสียเวลาคิดหากคนตรงหน้าทำให้เขาเข้าตำหนักธานตะวันของฝ่ายธรรมะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตำหนักของจ้าวยุทธภพอวี้เฟิ่งที่สามารถใช้กระบี่บินได้คนแรกในยุทธภพหลังจากมีข่าวเทพกระบี่ออกมา และทุกคนต่างคิดว่าเทพกระบี่ที่ปรากฏตัวเมื่อหนึ่งปีก่อนเป็นอวี้เฟิ่งแน่นอน
“เจ้าเอาข้าไปไม่แน่อาจโดนกระบี่บินไล่ฟันหัวออกมานะสิ” น้ำเสียงอ่อยๆ ของเสวี่ยอู่ทำให้จิวชงหยวนมองตามอย่างครุ่นคิด
“แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับอวี้เฟิ่งล่ะ” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงนิ่งซึ่งจิวชงหยวนพยักหน้าอยากรู้ด้วยคน ใบหน้าหล่อเหลาเลิกลักครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแหย
“ข้า...ข้าเป็นสามีอวี้เฟิ่งอ่ะ”
แค่กๆๆ
จิวชงหยวนสำลักน้ำชาอีกครั้ง ดวงตาเบิกกว้างมองคนร่างโปร่งบางตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง แม้ใบหน้าจะดูหล่อเหลาแต่อย่างไรมันก็น่าจะเป็นฝ่ายรับมากกว่าไม่ใช่หรือไง ดวงตาเรียวหันกลับมามองลู่เฟยแล้วเบือนหน้าหนีมามองคนบอกว่าตัวเองเป็นสามีอีกครั้ง คนเรานี่ดูภายนอกไม่ได้จริงๆ
“หากเป็นเช่นนั้นน่าจะง่ายขึ้นหากต้องการพบจ้าวตำหนัก” ลู่เฟยกล่าวตอบไม่ได้สนใจว่าใครผัวใครเมีย ทว่าเสวี่ยอู่ยกมือลูบหัวอย่างเก้อเขิน
“มันก็ไม่ง่ายหรอกก็ในเมื่อตอนที่อวี้เฟิ่งเป็นเมียข้านั้นข้าวางยากำหมัดอีกฝ่ายจนไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้” น้ำเสียงอ่อยๆ ของเสวี่ยอู่ทำให้จิวชงหยวนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เจ้าบัณฑิตที่หน้าตาใส่ซื่อแต่วางยาปล้ำชาวบ้าน! น่าสะพรึงกลัว!
“เสวี่ยอู่เจ้าชั่วร้ายมาก” จิวชงหยวนบอกเสียงสั่น ขยับตัวเข้าหาลู่เฟยอย่างหวาดหวั่น
“แหม ข้าก็ไม่ได้ทำกับใครสักหน่อย หากเจ้าได้เห็นอวี้เฟิ่งที่งดงามและเย็นชาต้องตกหลุมรักเหมือนข้าแน่ๆ” คนพูดเริ่มทำตาลอยเหมือนจะหลงใหลอวี้เฟิ่งผู้นี้มากๆ จนจิวชงหยวนชักอยากเห็นตัวจริงแล้วสิ
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ลู่เฟยเอ่ยถามพร้อมมือหนากอดเอวบางเข้ามาใกล้ ซึ่งจิวชงหยวนที่กำลังตั้งใจฟังเสวี่ยอู่ถึงกับลืมตัวไปชั่วขณะ
“เฮ้อ หลังจากอวี้เฟิ่งตื่นมากระบี่บินก็ไล่แทงข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ดีแต่ว่าข้านั้นความเร็วเป็นเลิศเลยรอดตัวมาได้ทุกวันนี้ไงล่ะ” คำตอบของเสวี่ยอู่ทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วว่า ทำไมเสวี่ยอู่ถึงมีความเร็วติดตามเขาได้ทันเพราะท่าทางเจ้าตัวจะหนีกระบี่บินของอวี้เฟิ่งบ่อยๆ แต่จากที่ฟังเสวี่ยอู่บอกเล่ามาเหมือนเรื่องวุ่นวายจะตามมาหาเขาอีกอย่างไรอย่างนั้น
จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างเซ็งๆ มองคนที่ยิ้มแหย แล้วต้องถอนหายใจอีกครั้งเพราะหากเสวี่ยอู่ไปด้วยคงไม่พ้นกระบี่ไล่ฟันหัวเอาแน่ๆ
“สรุปเจ้าจะแยกทาง” จิวชงหยวนเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ใบหน้าที่ดูใสซื่อครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะถอนใจยาวตามเขาไปด้วย
“ข้าเปลี่ยนใจแล้วไปง้อเมียด้วยดีกว่า” คำตอบที่ได้รับแทบทำให้จิวชงหยวนยกเท้ามากุมหน้าผากแทนมือเพราะปัญหาที่จะตามมาหาไม่พ้นเขาที่โดนหางเลขไปด้วยแน่ๆ คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่จะให้เสวี่ยอู่ติดตามมาด้วย
“ท่านหมอจิวแย่แล้วขอรับ” เสียงเด็กๆ ร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้ามาหาเขาที่นั่งหน้ากระท่อมหลังเล็ก จิวชงหยวนหันไปเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจว่ามีอะไรแย่กว่าตัวปัญหาเสวี่ยอู่อีกหรือ
“มีอะไรหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามเสียงเรียบ ปล่อยแขนออกจากเอวบางเมื่อดวงตาเรียวเริ่มหันมามองตาดุ
“ตอนนี้มีคนสามคนมาขอพบท่านหมอขอรับ ชาวบ้านไม่ต้อนรับแต่คนผู้นั้นบอกว่ารู้จักท่านหมอจิวและได้บอกนามมาว่า เขาชื่อหมิงอี้ฟาน ขอรับ” เด็กน้อยวัยเก้าขวบปีบอกเสียงหนักแน่นดวงตากลมโตมองท่านหมอจิวที่ตอนนี้นั่งอึ้งไปกับข่าวที่ได้ยินแล้ว จิวชงหยวนเบือนหน้าไปมองลู่เฟยที่ส่งสายตาอำมหิตมาให้เหมือนจะเอ่ยถามว่ามันเป็นใคร
“หยวนน้อยเจ้าแอบไปนอกใจข้ามาหรือ” คำถามพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนทว่าดวงตาที่ขุ่นมัวทำให้จิวชงหยวนกลืนน้ำลายลงคออย่างหวั่นๆ ใครจะคิดว่าเจ้าเด็กช่างตื้อนั่นจะตามเขามาถึงที่นี่
“ข้าเปล่าซะหน่อย ข้าเจออี้ฟานก่อนเจ้าเสียอีก” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบพยายามไม่ใส่ใจดวงตาขุ่นๆ ที่มองมา รอยยิ้มหวานของลู่เฟยเวลานี้เหมือนมันจะสยองชอบกลและไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเพราะตอนนี้เสวี่ยอู่ขยับถอยห่างไปตามสัญชาตญาณ
“ข้าว่าเราออกไปดูหน่อยเถอะ” จิวชงหยวนบอกพยายามไม่สนใจสายตาไม่พอใจของลู่เฟยลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหน้าหมู่บ้านแม้ตอนก้าวเดินจะทำให้เจ็บจนนิ่วหน้า ทว่าความเจ็บและแสบที่ได้รับแทบทำให้น้ำตาซึม แค่ลุกขึ้นไหวก็นับว่าเก่งแล้วแต่นี่ต้องมาทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนับว่างานหินสุดๆ สำหรับเขาในเวลานี้
“เจ้าไหวไหม” ลู่เฟยที่มีสีหน้าไม่พอใจเพราะหึงหวงตอนนี้เหลือเพียงแค่ความห่วงใยให้กับร่างโปร่งบาง แม้คนอื่นจะไม่สังเกตเห็นแต่สำหรับเขาที่อยู่ด้วยกันมาตลอดหนึ่งปีพอจะเข้าใจนิสัยของจิวชงหยวนมากขึ้น
จิวชงหยวนหันมามองคนเข้ามาจับมือเขาแล้วเม้มปากแน่น ถึงไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะเขาไม่มีทางมาทำขายหน้าที่นี่แน่ เขาก้าวเดินไปต่อเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งมาถึงกลางหมู่บ้านซึ่งมีกลุ่มคนสามคนนั่งอยู่บนโต๊ะไม้กลางหมู่บ้านและรอบๆ ก็มีชาวบ้านที่ยืนเหมือนคุมเชิงเอาไว้ ทว่าเมื่อเขาปรากฏตัวหมิงอี้ฟานก็ลุกขึ้นก้าวเดินมาหาเขาอย่างไม่สนใจสายตาทุกคนที่เฝ้ามอง
“ในที่สุดข้าก็พบเจ้า” หมิงอี้ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าสำหรับสายตาเขาแล้วดูผิดปกติเหมือนไม่ใช่หมิงอี้ฟานคนเดิมที่เคยรู้จัก
“เจ้าเปลี่ยนไป” หมิงอี้ฟานไม่ได้ตอบคำถาม ทว่าสายตาคมกลับไปหยุดนิ่งที่มือขวาของคนที่รักซึ่งบัดนี้มีมือหนาของใครบางคนกุมเอาไว้แน่น ดวงตาคมเงยหน้าเหลือบมองชายหนุ่มที่หล่อเหลาอีกทั้งแววตาคมกริบให้ความรู้สึกเย็นเยือกก็ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม แต่อย่าคิดว่าเขาจะยอมแพ้แค่นี้ขอแค่ให้จิวชงหยวนมองเห็นเขาบ้างสักนิดก็เพียงพอแล้ว
“ข้ายังเป็นคนเดิม หัวใจข้ายังรักเจ้าเช่นเดิมมิเคยเปลี่ยน” น้ำเสียงจริงจังและแววตาแน่วแน่ของหมิงอี้ฟานทำให้จิวชงหยวนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มือหนาของลู่เฟยบีบมือเขาแน่นเหมือนจะบอกว่าหากปล่อยมือจากเขาเมื่อไหร่ได้มีการห่ำหั่นกันแน่ๆ เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีไม่ต้องบอกว่าต่อไปนี้การเดินทางคงจะสนุกดีพึลึก
“แหมๆ ชงหยวนเจ้านี่เสน่ห์แรงจริงๆ นะ แต่ข้าว่าเจ้าต้องทำใจหน่อยเพราะเหมือนเจ้าจะมาช้าไป” เสวี่ยอู่เดินลอยหน้าลอยตาขึ้นมาพร้อมเดินไปตบบ่าของหมิงอี้ฟานอย่างสนิทสนมและเหมือนหมิงอี้ฟานจะพอรู้จักกับเสวี่ยอู่ไม่น้อยเพราะยืนนิ่งไม่โต้ตอบอะไร ความเงียบของหมิงอี้ฟานทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อาจเป็นเพราะยังไม่คุ้นชินไม่คิดว่าเจ้าเด็กน่าฆ่าคนนั้นจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
“อย่างน้อยเสน่ห์ข้าก็ใช้กับเจ้าไม่ได้ผลนี่” จิวชงหยวนตอบกลับไม่สะทกสะท้าน ซึ่งทำให้เสวี่ยอู่หัวเราะออกมาอย่างขำๆ
“แหม เจ้านี่แค่ที่มีอยู่ก็สับเปลี่ยนไม่ทันแล้ว หากเพิ่มข้าไปอีกคนคงไม่ไหวหรอกกระมัง อีกอย่างหัวใจข้ามีอวี้เฟิ่งคนงามของข้าแล้ว” เสวี่ยอู่ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน ทว่าตอนนี้ดวงตาคมของหมิงอี้ฟานเลิกคิ้วพันกันตีหน้ายุ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“ท่านว่าท่านอวี้เฟิ่งงดงามเช่นนั้นหรือ” คนถามทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทำให้จิวชงหยวนมองอย่างสนใจ
“อวี้เฟิ่งหน้าตาเป็นเช่นไรหรืออี้ฟาน” จิวชงหยวนเอ่ยถามเพราะไม่อยากได้ยินคำตอบจากเสวี่ยอู่ที่หลงใหลอวี้เฟิ่งจนมองไม่เห็นเป็นอื่นนอกจากงดงามอย่างเดียว
“หากเจ้าไปเห็นก็จะรู้เอง” คำตอบที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยทำให้จิวชงหยวนรู้สึกอยากถีบคนอีกสักครั้งทว่าตอนนี้ร่างกายเขาไม่อำนวยได้แต่กัดฟันมองตามอย่างขัดใจเท่านั้น
“เอ่อ... ในสายตาข้าท่านอวี้เฟิ่งนั้นหน้าตางดงามคมคายที่ไม่ว่าชายหรือหญิงยังต้องชายตาแลขอรับ เพียงแต่ท่านเย็นชาไปหน่อย” คำตอบที่ได้จากบุคคลที่สามทำให้จิวชงหยวนหันไปมองศิษย์น้องร่างเล็กของหมิงอี้ฟานอย่างพิจารณาซึ่งเขาจำได้ว่าชื่อจุ้ยซิง ใบหน้าที่ยิ้มละมุมทว่าดวงตากลับมีความเศร้าหมองหากไม่สังเกตจริงๆ ก็คงไม่เห็นข้อนี้ อีกคนที่ยืนนิ่งข้างๆ เป็นศิษย์พี่หนานจี้กงซึ่งเขาไม่ค่อยได้คุยด้วยนักเพราะพักอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน
“อืม เรื่องนั้นไว้ก่อนข้าจะออกเดินทางวันนี้ หากคาดไม่ผิดพวกเจ้าต้องตามข้าไปใช่หรือไม่” เพียงแค่เอ่ยปากทั้งสามคนรวมทั้งเสวี่ยอู่ก็พยักหน้ารับแข็งขัน จิวชงหยวนมองตามอย่างอ่อนใจ
หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วจึงได้กล่าวลาคนในหมู่บ้านกับแม่หมอที่บอกกับเขาว่าดวงชะตาเขาจะสูญเสียมิตรสหายในไม่ช้า ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจได้แต่หวังว่าแม่หมอจะเดาผิดบ้าง และก่อนจากเขาได้มอบยารักษาอาการป่วยไข้ธรรมดาไว้ให้กับแม่หมอด้วยเช่นกัน
การเดินทางกลับแผ่นดินใหญ่เร็วกว่ากำหนดจึงได้เริ่มขึ้นพร้อมผู้ติดตามที่ไม่คาดคิดรวมแล้วกว่าห้าชีวิต หวังว่าเวลามีศัตรูจะยังคงร่วมสามัคคีกันเหมือนเช่นตอนนี้นะ ไม่สิ ก็ตอนนี้ลู่เฟยกับหมิงอี้ฟานไปประลองกระบี่กันด้วยความหมั่นไส้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ได้แต่หวังว่าไม่ฆ่ากันตายก่อนหรอกนะ
“เจ้าไม่คิดไปห้ามพวกเขาหน่อยหรือ” จิวชงหยวนหันไปมองเสวี่ยอู่ที่เดินสะบัดพัดไปมาเหมือนสบายใจนักหนาทั้งๆ ที่ความจริงกำลังเอาคอไปให้ภรรยาเชือดถึงที่
“ไม่ล่ะ ข้าว่าเจ้าน่าจะหัดออกกำลังไว้ก่อนนะ เมื่อไปถึงที่หมายคอจะได้ไม่หลุดจากบ่า” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าคำตอบของเขากลับทำให้เสวี่ยอู่หน้าซีดทันทีเมื่อรู้ว่าเขาหมายถึงสิ่งใด อีกอย่างตอนนี้แค่เดินเขาก็แทบจะร้องไห้อยู่แล้วจะมีปัญญาไปห้ามพวกนั้นได้อย่างไร
ขอบคุณทุกคอมเมนท์จ้า จุ๊บๆ
