ต่อจากตอนเมื่อครู่ค่ะ ระบบบอกว่าเกิน20000คำ
จิวชงหยวนเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าไปทางบ้านของเฟิงอวี้ช่างตีกระบี่ด้วยความเร็วเพราะอารมณ์ชั่ววูบทำขายหน้าจนอยากแทรกแผ่นดินหนีอาย ไม่คิดว่าตัวเองจะหน้ามืดหึงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้มาก่อน จุ้ยซิงที่รับรู้อารมณ์ของอาจารย์ก็เพียงติดตามมาเงียบๆ โดยไม่ปริปากเอ่ยถามให้รำคาญใจ
หมับ!
“เจ้าทิ้งข้าไว้เช่นนั้นได้อย่างไร” ลู่เฟยที่ติดตามมาทันคว้าแขนจิวชงหยวนไว้ด้วยความเร็วพร้อมรั้งร่างโปร่งบางเข้ามาอ้อมกอดตัวเอง จุ้ยซิงเห็นทั้งคู่ตามงอนง้อกันแล้วยกยิ้มบาง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
“ใครทิ้งเจ้ากัน” จิวชงหยวนเถียงกลับจ้องมองคนที่ยกยิ้มบางอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะเมื่อครู่อารมณ์ชั่ววูบเลยทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้น ยิ่งคิดยิ่งอาย
“เจ้าหึงข้าหรือหยวนน้อย” น้ำเสียงรื่นเริงของอีกฝ่ายทำให้มองตาดุก่อนจะเถียงกลับ
“เจ้าตาถั่วหรืออย่างไร ข้าแค่ยังควบคุมลมปราณได้ไม่ดีพอเท่านั้นเอง ปล่อยข้าได้แล้ว” ลู่เฟยยกยิ้มมองคนขี้หึงด้วยความดีใจ ก่อนจะถอดหมวกปีกสานออกเพื่อมองสบกับดวงตาเรียวที่ประกายความสับสนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ข้ารักเจ้า...จิวชงหยวน” คำบอกรักและแววตาจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนชะงักงันไปครู่ อารมณ์สับสนขุ่นมัวเลือนหายไปเพราะคำพูดประโยคเดียวของคนตรงหน้า ใบหน้าพาดแดงด้วยความอายริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น
“เอ่อ...ข้ารู้แล้วไปเอากระบี่กันเถอะ”
“โธ่... อาจารย์ ข้ารอลุ้นให้ท่านตอบว่าข้าก็รักเจ้า แต่นี่พูดซะขัดบรรยากาศเลยนะขอรับ” จุ้ยซิงเมื่อเห็นทั้งคู่คืนดีกันได้แล้วจึงกล่าวออกมาอย่างขัดใจตนนิดๆ
จิวชงหยวนหันไปมองคนที่ยืนลุ้นตามแล้วนึกขำ เรื่องอะไรเขาจะหลอมตัวพูดออกไป แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วนี่ยังมีพยานบุคคลคอยแอบชำเลืองอยู่ใครจะไปกล้าพูด ก่อนจะพากันตรงไปยังบ้านเฟิงอวี้ด้วยอารมณ์ที่สงบขึ้น ส่วนเรื่องที่เกิดในโรงเตี๊ยมจะพยายามไม่นึกถึงมันแล้วกัน
เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของเฟิงอวี้ต้องประหลาดใจเพราะยังเงียบสงบวังเวงเช่นเดิมคล้ายกับว่าไม่มีผู้คนอาศัย แต่พวกเขาก็ไปเคาะประตูบ้านตามมารยาท เพียงไม่นานก็มีคนเดินมาเปิดประตู จิวชงหยวนมองชายหนุ่มร่างสูงสง่า ใบหน้าคมคายอีกทั้งรูปร่างที่เปลี่ยนไปมากจนจำแทบไม่ได้ว่าคนตรงหน้าจะคือเฟิงอวี้ที่เคยรู้จัก
“ท่านหมอ” คนตรงหน้าเรียกอย่างแผ่วเบาด้วยความตกใจก่อนจะยกยิ้มบางหันไปกล่าวต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยืยนด้วยความยินดี
“ข้าดีใจที่พวกท่านกลับมาเร็วกว่าที่คิด เชิญด่านในก่อนขอรับ”
จิวชงหยวนเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก เวลานี้หมวกเขายังอยู่กับลู่เฟยที่ถอดออกตั้งแต่ก่อนจะมาถึงนี่ทำให้เฟิงอวี้จำเขาได้ตั้งแต่แรกอีกทั้งลู่เฟยก็ไม่ได้สวมใส่หน้ากาก พวกเขามาหยุดเรือนไผ่ที่ร่มรื่นกว่าครั้งที่ผ่านมาต้นไม้เขียวขจีน่าอยู่มากขึ้น
“บ้านท่านน่าอยู่มากขอรับ แต่เสียดายเงียบวังเวงไปหน่อย” จุ้ยซิงกล่าวออกมาคนแรก ซึ่งเจ้าของบ้านเพียงแค่หัวเราะเบาๆ
“ขอบคุณ แต่บ้านข้าก็มีดีอยู่แค่ส่วนนี้ ทางด้านเรือนอื่นข้ายังไม่มีเงินไปบำรุงรักษา” คำตอบที่ได้รับทำให้จุ้ยซิงหน้าเสียไปนิดเพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จิวชงหยวนจึงยิ้มบางก่อนจะกล่าวต่อ
“เพียงไม่กี่เดือนได้ขนาดนี้นับว่าท่านมีมานะและความพยายามมากแล้ว ว่าแต่ท่านป้าไม่อยู่หรอกหรือ”
“ท่านป้าไปเยี่ยมญาติที่แคว้นต้าฉี ข้าเห็นว่าท่านป้าอายุมากแล้วจึงให้อยู่กับลูกหลาน เพราะข้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เฟิงอวี้ตอบคำถามพร้อมรินน้ำชาให้ทั้งสามคนด้วยความยินดี เฝ้ารอมาตลอดว่าจะได้เจอผู้มีพระคุณอีกครั้ง
“ท่านลู่ ข้าตีกระบี่ให้ท่านเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวข้าจะเอามาให้ชม รอประเดี๋ยวนะขอรับ” เมื่อรินน้ำชาให้ครบจึงกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนไปเอากระบี่สำคัญที่ทุ้มเททั้งกายทั้งใจหวังจะตอบแทนที่ทำให้ตนยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้
“ไม่ต้องรีบก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้รีบไปที่ใด” ลู่เฟยเอ่ยบอกพร้อมจิบชาแก้กระหายไปด้วย
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าอยากให้ท่านได้ชม” กล่าวจบพร้อมหุนหันไปเอากระบี่ จิวชงหยวนมองตามแล้วยิ้มขำเพราะเจ้าตัวคงภูมิใจกับกระบี่ที่ตีขึ้นมาน่าดู
“ข้าว่ามันต้องพิเศษมากแน่” จิวชงหยวนกล่าวกับคนหน้านิ่ง ลู่เฟยมองตอบแล้วหันกลับไปมองเจ้าของบ้านที่กลับมาพร้อมกระบี่อย่างรวดเร็ว นับว่าเจ้าตัวก็ฝึกวิชาลมปราณเพิ่มขึ้น
“นี่ขอรับ ลองเปิดห่อผ้าดูขอรับว่าถูกใจท่านลู่หรือเปล่า” ลู่เฟยรับห่อผ้ามาเปิดดูตามที่เจ้าบอก ทว่าทันที่เห็นเฉพาะปอกกระบี่ก็ลวดลายงดงามล้ำค่ามากแล้ว ทันที่ชักกระบี่ออกมากลับได้ยินเสียงใสกริ๊งอีกทั้งคมกริบสะท้อนออกมา ลู่เฟยนิ่วหน้ามองกระบี่ตรงหน้าที่มิใช่กระบี่มารแต่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ อีกทั้งทำมาจากเหล็กไหลพันปีที่หายาก บ่งบอกว่าผู้สร้างทุ้มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหน
“เหล็กไหลพันปีนั้นหายากแต่เจ้ากลับสร้างมันให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
“สมกับเป็นท่านลู่ข้าคิดแล้วว่าท่านต้องดูออก เหล็กไหลนี้อยู่กับข้าก็ไร้ประโยชน์แม้จะเป็นของบรรพบุรุษแต่หากอยู่ในมือท่านที่สามารถปกป้องท่านหมอจิวได้ข้าก็ยินดี” ลู่เฟยคิ้วขมวดกับคำกล่าวของช่างตีกระบี่ที่เหมือนจะตั้งใจทำกระบี่ให้เขาก็จริงแต่จุดมุ่งหมายกลับเป็นปกป้องคนรักเขาซะอย่างนั้น แต่ถึงไม่มีกระบี่เขาก็จะต้องปกป้องจิวชงหยวนอยู่แล้วแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม แต่เพื่อเห็นแก่ความตั้งใจจริงเขาจะรับมันไว้ ก่อนจะแปลกใจเมื่อกระบี่เล่มนี้สลักชื่อเขาไว้ ‘ลู่เฟย’
“ขอบคุณเจ้ามากข้าจะใช้ปกป้องชงหยวนตามปรารถนาของเจ้า” จิวชงหยวนมองชายหนุ่มสองคนมองตากันอย่างจริงจังแล้วนึกขำ
“จริงสิท่านเฟิงอวี้นี่จุ้ยซิงลูกศิษย์คนแรกของข้า” จิวชงหยวนแนะนำลูกศิษย์ที่มองทั้งยิ้มแหยกับความจริงใจของลูกผู้ชายที่ยอมเปิดเผยความรู้สึกออกมาโดยไม่คิดหมายจะเป็นเจ้าของ เมื่อไม่เห็นสีหน้าเศร้าใจของจุ้ยซิงแล้วรู้สึกเบาใจ หนึ่งเดือนมานี้ทำให้จุ้ยซิงเข้มแข็งมากขึ้น
“คนแรกหรือ เช่นนั้นท่านจะรับข้าเป็นศิษย์อีกคนได้หรือไม่” เฟิงอวี้เอ่ยถามด้วยความสนใจมองลูกศิษย์ที่ใบหน้าน่ารักอีกทั้งร่างเล็กบอบบาง ทว่าพลังลมปราณกลับกล้าแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ ทว่าคนที่เป็นอาจารย์กลับอึ้งมองไปคนขอเป็นศิษย์จนอย่างพูดไม่ออก
“เวลานี้ข้ายังไม่คิดมีลูกศิษย์เพิ่ม แต่หากเมื่อใดข้าท่องยุทธภพจนหมดสิ้น ข้าจะตั้งสำนักเซียนโอสถ เมื่อนั้นข้าจะกลับมาถามเจ้าอีกครั้ง” จิวชงหยวนบอกความตั้งใจของตัวเอง เขาคิดว่าจะท่องยุทธจักรให้ทั่วช่วยเหลือผู้คนให้มากที่สุด จากนั้นจึงจะมาเปิดสำนักรับผู้มีจิตใจคุณธรรมมาเป็นศิษย์เพื่อสานเจตจำนงของหมอเทวดาต่อไป
“ข้าจะรอถึงวันนั้น” เฟิงอวี้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม แม้จะมีวิชาตีกระบี่แต่หากได้ไปรับใช้ผู้มีพระคุณนานเท่าไรก็จะรอ อีกอย่างการแพทย์ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ได้รักษาผู้คนและยังได้ความสุขกลับมาด้วย
จิวชงหยวนใช้เวลาพักอยู่ที่บ้านของเฟิงอวี้สามวันก่อนจะเดินทางไปเรื่อยๆ ได้ข่าวโรคระบาดหรือโรคประหลาดอยู่ที่ใดก็จะเข้าไปดูติดตามและคอยรักษาให้โดยไม่ได้หวังเงินทองตอบแทน แต่ก็มีผู้คนมอบสินน้ำใจให้เล็กน้อยแต่มากคนและผ่านไปหลายเมือง ทำให้ตอนนี้จิวชงหยวนมีเงินมากพอที่จะตั้งสำนักได้เลย
ระหว่างทางแม้จะมีนักเลงอันธพาลคอยรังครวญบ้าง แต่เมื่อรู้เขาเป็นหมอเทวะมารต่างก็หนีกระเจิงไปไกลด้วยความหวาดกลัว คงต้องขอบคุณชื่อเสียงที่ทำให้เขาสะดวกในการเดินทางมากขึ้น ลู่เฟยเวลานี้ผู้คนต่างรู้จักในฐานะจอมยุทธกระบี่ไร้เงา เพราะการลงมือเฉียบขาดอีกทั้งไม่ทันได้เห็นการชักกระบี่ออกจากคมฟักทำให้ได้ฉายานี้มาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ส่วนจุ้ยซิงลูกศิษย์เพียงคนเดียวได้ท่องยุทธภพเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยตัวคนเดียวตามคำสั่ง เพราะบางสิ่งได้สั่งสอนไปเกือบหมดแล้วอีกทั้งได้ให้ตำราที่เขาเขียนเองให้ไปด้วย เขาไม่ได้ผลักไสลูกศิษย์เพียงแต่ให้ไปหาผู้คนที่จะมาเป็นลูกศิษย์เขาอีกครั้ง
“ลู่เฟยเจ้าว่าข้าจะตั้งตำหนักได้ที่ไหนดี แบบว่าดูยิ่งใหญ่หน่อย”
จิวชงหยวนหันไปถามคนข้างกายที่กำลังอ่านหนังสือบางอย่างที่เขาเห็นมาได้ระยะหนึ่งแล้วเพียงแต่ไม่ได้สนใจเท่านั้น แต่เมื่อเห็นเจ้าตัวอ่านไปหน้านิ่วคิ้วขมวดไปด้วยจึงชะโงกหน้าไปดูด้วยคน ก่อนจะเงยหน้ามองคนอ่านอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะอ่านหนังสือประเภทนี้ด้วย ‘หนังสือการเกี้ยวพาราสีร้อยแปดประการ’
“เจ้าไปเกี้ยวพาราสีใครอีก” จิวชงหยวนนิ่วหน้าเอ่ยถามมองหนังสือในมือสลับกับเจ้าของไปมา ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะยกนิ้วจิ้มไปที่หน้าผากจิวชงหยวนเบาๆ
“เจ้าอย่างไรล่ะ”
“หืม ข้าหรือ นี่ยังคิดจะจีบข้าอีกหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างติดตลก ส่ายหน้ากับคนคิดไร้สาระ
“อื้ม ข้าต้องหาวิธีทำให้เจ้ามองแต่ข้าคนเดียว และไม่เบื่อข้าไงเพราะเจ้าต้องอยู่กับข้าไปอีกนานแสนนาน” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับอย่างปลงๆ
“หากเจ้าทำตามหนังสือข้าไม่ดีใจด้วยหรอกเพราะมันไม่ได้มาจากใจ อีกอย่างแค่เป็นเจ้าเวลานี้ก็พอแล้ว” ลู่เฟยได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มบางตวัดอุ้มร่างโปร่งบางมากอดอย่างดีใจ
“ปล่อยได้แล้ว ตะวันตั้งกลางศีรษะเพราะฉะนั้นคืนนี้ต้องหาโรงเตี๊ยมพัก ข้าเริ่มปวดหลังกับการนอนพื้นดินแล้ว” จิวชงหยวนบอกพร้อมแกะมืออีกฝ่ายออกซึ่งลู่เฟยก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งคู่เดินไปตามริมน้ำเพื่อเก็บสมุนไปด้วยผ่านมาไม่กี่วันเขากลับเดินผ่านมาได้เป็นสิบเมืองเนื่องจากใช้ลมปราณในการเดินทาง ระหว่างเก็บสมุนไพรระหว่างไปหมู่บ้านข้างหน้ากลับเห็นใครบางคนที่ไม่ได้เจอมานานเกือบสองปีแล้ว ทว่าใบหน้าสวยคมของอีกฝ่ายนั้นยากจะลืมเลือน เจ้าตัวยืนนิ่วหน้ามองผิวน้ำตรงหน้าก่อนจะหันขวับมาทางเขาเมื่อรู้ว่ามีผู้อื่นโผล่มาที่แห่งนี้
“หืม บังเอิญเสียจริงได้เจอคุณชายหลิ่วเหวินอี้ที่นี่” จิวชงหยวนทักทายพร้อมเปิดหมวกออกเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นหน้าและแสดงเจตนาว่าตนไม่ได้มาหาเรื่อง หลิ่วเหวินอี้เพียงขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย จิวชงหยวนยืนอึ้งไม่ว่าเมื่อไรคนผู้นี้ก็หยิ่งเสมอต้นเสมอปลาย ท่าทางจะมีปมด้อยอย่างหนักไม่เช่นนั้นคงไม่ไร้มนุษย์สัมพันธ์อย่างนี้
“คนรู้จักเจ้าหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามมองชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามกึ่งหล่อเหลาได้อย่างลงตัว ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับเย็นๆ เหมือนสร้างกำแพงมาปกป้องตัวเอง
“เจ้าหาอะไรให้ข้าช่วยไหม” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่เคยรู้จักอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะบอกความต้องการของตัวเอง
“ปลา”
คำตอบสั้นๆ ของเจ้าตัวทำให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง ทว่าดวงตาคมๆ ที่มองมานั้นฉายแววหงุดหงิดออกมาอย่างมาอย่างเห็นได้ชัด
โครกกกก
ทั้งสามนิ่งอึ้งไปเสียงท้องร้องดังเหมือนฟ้าผ่าลงมา ทว่าเจ้าของท้องที่รองประท้วงกลับมีใบหน้าไร้อารมณ์มีเพียงคิ้วที่ขมวดเป็นปมเท่านั้น จิวชงหยวนหัวเราะออกมาอย่างสุดจะอดกลั้น ดวงตาคมๆ ตวัดมามองอย่างไม่พอใจ
“ฮ่าๆๆ เจ้าหิวหรอกหรือ ว่าแต่กระบี่เจ้าไม่พกบ้างหรืออย่างไร แล้วลมปราณก็มีทำไมไม่ใช้” ทว่าเจ้าตัวกลับนิ่วหน้าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด ก่อนจะยื่นมือให้อีกฝ่ายจับจิวชงหยวนมองตามก่อนจะจับชีพจรของอีกฝ่ายแล้วนิ่วหน้าอย่างแปลกใจเพราะเสียงการเต้นของหัวใจปกติ ทว่าพลังลมปราณกลับปั่นป่วน
“เจ้าไปทำอะไรมาลมปราณถึงปั่นป่วนเช่นนี้”
“เจ้าฝึกวิชาเองใช่หรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ดวงตาคมนั้นหันมามองก่อนจะพยักหน้ายอมรับความจริง ที่เขารู้เพราะฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเองก็เป็นเพราะต้องการปกปิดความสามารถทำให้แอบฝึกเองจนลมปราณปั่นป่วนไม่คงที่หากฝืนใช้จะแตกซ่านไปได้
“อื้ม อย่างนี้นี่เอง” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะชัดพลังลมปราณใส่กลุ่มปลาที่ว่ายอยู่ไม่ห่าง จากนั้นจึงจัดการทำความสะอาดและเผาให้หลิ่วเหวินอี้กินปะทังชีวิต แม้เจ้าตัวไม่พูดแต่สายตาก็ส่งมาขอบคุณแทน
“เจ้าน่าจะมีคนติดตามไยมาอยู่คนเดียว” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่กินปลาเงียบๆ
“...”
อีกฝ่ายยังคงเงียบได้เสมอต้นเสมอปลาย พวกเขานั่งมองอีกฝ่ายกินโดยไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีกเพราะไม่รู้ถามไปแล้วจะได้คำตอบหรือไม่ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเจ้าตัวก็จัดการปลาจนหมดตัว
“หนีออกมา” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนงงไปพักใหญ่ก่อนจะนึกได้ตัวเองถามอะไรออกไป สรุปหลิ่วเหวินอี้มารยาทดี? ไม่พูดขณะกินหรือเปล่า
“อ่ะ นี่ยาจะช่วยให้ลมปราณเจ้ากลับคืนมาได้” จิวชงหยวนจัดยาสมุนไพรหายากมาให้คนตรงหน้า ทว่าเจ้าตัวเพียงแค่นิ่วหน้าไม่รับยาที่เขาส่งให้
“ข้าไม่อยากติดหนี้บุญคุณเจ้า” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้จิวชงหยวนมองตามแล้วยกยิ้มบางเพราะไม่เกินจากที่คิดไว้
“ที่เจ้ากินปลาไปทั้งตัวแบบนั้นก็เป็นหนี้บุญคุณข้าแล้วจะรับยาเพิ่มอีกนิดหน่อยจะเป็นไร หากเจ้าลำบากใจก็ให้สินน้ำใจข้าตอบแทนก็ได้” ที่จิวชงหยวนกล่าวเช่นนี้เพราะพอจะเดานิสัยคนตรงหน้าได้ หลิ่วเหวินอี้เพียงนิ่วหน้าเหมือนครุ่นคิดชั่วครู่พยักหน้ารับแล้วหยิบสมุนไพรไปก่อนจะวางเงินให้สิบตำลึงทอง
“พอหรือไม่”
“แค่นี้ก็มากพอแล้วเพราะปกติข้าก็รักษาผู้คนไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เพื่อความสบายใจของเจ้าข้ารับไว้” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมหยิบเงินไปโยนให้ลู่เฟยเก็บไว้
“ข้ามีธุระต้องจัดการ ขอตัวและก็ขอบคุณ” หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นคำนับพวกเขาตามมารยาทก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ต้องรอให้ใครอนุญาติ
“เป็นคนประหลาด” ลู่เฟยกล่าวเบาๆ ขณะมองตามร่างสูงสง่าของหลิ่วเหวินอี้ที่หายไปกับพงหญ้าด้านหน้า
“แต่ข้าว่าน่าสนใจ”
จิวชงหยวนตอบรับยกมือลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด ว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้หลิ่วเหวินอี้ถึงกลายเป็นคนเย็นชาและตั้งกำแพงในใจไว้หนาขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เนื้อแท้ในใจกลับดีกว่าที่เห็นภายนอก ทำบุญปิดทองหลังพระ โดยไม่ให้ใครรับรู้อย่างครั้งที่ผ่านมาช่วยเหลือพวกยากไร้ซึ่งรู้มาว่าเจ้าตัวเก็บคนที่เขาเคยไปขอให้ดูแลด้วยตนเอง ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นรอดพ้นจากการตายจากพรรคพยัคฆ์คำรนได้อย่างหวุดหวิด
“หืม เจ้านอกใจข้าหรือ” คำถามของลู่เฟยทำให้ตวัดหันไปมอง แล้วกล่าวตอบเสียงเรียบ
“ไร้สาระ ไปได้แล้วต้องเข้าเมืองก่อนค่ำ”
ลู่เฟยหัวเราะในลำคอ เดินเคียงข้างไปกับคนขี้อายแต่ปากแข็งอย่างอารมณ์ดี จิวชงหยวนเหลือบตามองทว่ามุมปากกลับยกยิ้มบาง
ทั้งคู่เดินทางต่ออีกหนึ่งชั่วยามก็มาถึงหมู่บ้านเล็กในเมืองโหลวหลันและได้เข้าพักแวะโรงเตี๊ยมที่มีการพูดคุยงานประลองจ้าวยุทธภพอีกครั้งหนึ่งหลังจากผ่านมาได้สี่ปีแล้ว จิวชงหยวนกับลู่เฟยต่างนั่งทานข้าวฟังข่าวสารไปด้วยความสนใจแม้จะยังเหลืออีกหลายเดือนแต่ผู้คนกลับดูครึกครื้นไม่น้อย
นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องทั่วไปและก็ไม่พ้นเรื่องหมอเทวะมารที่ทำลายพรรคชั่วช้าพรรคมารที่ผู้คนต่างเกลียดชัง บ้างก็สรรเสริญเยินยอ บ้างก็ต่างอยากพบเจอและก็มีพวกที่สงสัยว่าเหตุใดประมุขฝ่ายอธรรมถึงได้นิ่งดูดายทั้งๆ ที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่คนที่รู้ดีที่สุดคือจืวชงหยวนเอง
“ข้าให้คนไปดูพื้นที่จะตั้งตำหนักเจ้าแล้วนะ และกำลังเริ่มสร้างให้แล้วด้วย ไม่เกินหกเดือนทุกอย่างจะเรียบร้อย” จิวชงหยวนที่คีบผักเข้าปากชะงักเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เหมือนกับว่าเจ้าตัววางแผนมาก่อนแล้ว
“คิดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วสินะ” เอ่ยถามพร้อมคีบผักเข้าปากกินต่อเวลานี้เขาสวมใส่หน้ากากสีเงินปกปิดใบหน้ากว่าครึ่งจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครจำหมอเทวะมารได้
“อื้ม”
ลู่เฟยตอบรับเบาๆ พร้อมรินน้ำชาให้คนรักอย่างเอาใจเพราะต่อไปนี้คงจะเหนื่อยหน่อย การจะบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนได้นั้นเพียงแค่เดินทางรักษายังไม่เพียงพอต้องสร้างกุศลให้มนุษย์ได้นำไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์ในภายภาคหน้าต่อไป
จิวชงหยวนเงยหน้ามองดวงตาคมที่มองการณ์ไกลไปหลายขั้นแล้วยกยิ้มบาง ดีใจที่มีคนคนนี้อยู่เคียงข้างและยังเข้าใจเสมอ เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลู่เฟยจะไม่ทิ้งเขาโดยเด็ดขาด แม้ความรักจะไม่ได้โรยไปด้วยกลีบบุปผาแต่เขาก็ยินดีจะเดินร่วมไปกับผู้ชายตรงหน้านี้ ก่อนจะเอ่ยบอกแผ่วเบา
“ขอบคุณนะ”
“เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม”
ลู่เฟยเอ่ยถามกลับมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จิวชงหยวนนิ่วหน้ามองคนหื่นกามแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อครู่อุตสาห์ซึ่งใจแต่ยามนี้รู้สึกตัวเองจะคิดผิดจริงๆ เพราะคนที่เจ็บตัวก็ไม้พ้นตัวเขาเอง
“กินไปไม่ต้องพูดมาก”
ตอบกลับพร้อมคีบเนื้อแกะย่างยัดใส่ปากให้อย่างหมั่นไส้ ลู่เฟยเพียงแค่หัวเราะในลำคอเหมือนจะสนุกที่ได้แกล้งเขา จิวชงหยวนมองตามแล้วอดคิดไม่ได้ว่าหากกลับไปเป็นเทพเจ้าตัวจะมีสีหน้าอื่นหรือไม่ แต่ว่าเรื่องของอนาคตยังมาไม่ถึงขอแค่วันนี้มีความสุขก็พอแล้ว...
สุขสันต์วันลอยกระทงจ้า ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากเลย ตอนหน้าก็จบแล้วใครรู้วิธีย้ายไปไหนหรือทำอย่างไรแนะนำฟางด้วยนะคะ ฟางเพิ่งลงเรื่องนี้จบเป็นครั้งแรกไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ มึนๆ งงๆ กับระบบบ้าง สารภาพว่านิยายตัวเองยังหาไม่เคยเจอเลยค่ะ ต้องหาจากกรูเกิ้ลตลอด แหะๆๆ