เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)  (อ่าน 197506 ครั้ง)

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
ผ่านมาสองตอนแล้ว

ไม่เห็นบอกเลยว่าลู่เฟยได้กินของที่หมอจิวทำหรือเปล่า

อยากให้ลู่เฟยชมว่าหมอจิวทำอร่อยอะ

คู่รองก็น่าสนใจนะ แล้วคู่อี้ฟานหละ แล้วอี้ฟานจะเกิดมาทันก่อนจบไหมอะ

ติดตาติดใจกับความเสียสละของอี้ฟานมากๆ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


ยังไม่อิ่ม


ขออีกได้ไหม


แบบว่า.....


ชอบอ่ะ


ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
สนุกมาก แม่ทัพคือน่ารักปนน่าสงสาร  รอผลงานเรื่องใหม่อยู่นะค้า

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
5555555 ชงหยวนก็ยังเป็นชงหยวนอยู่ดี
ฮ่องเต้น่ารักก อยากกินขนมแบบสุด

ออฟไลน์ poohanddew

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ตามอ่านจนทันแล้ว
ชอบๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่48ออกเดินทาง 
เล่ม 2 ตอนที่23 (P.23วันที่ 25/11/58)

        หลังใช้เวลาร่วมเดือนในการทำการภารกิจภายในวังหลวงเรียบร้อย จึงได้ออกเดินทางออกท่องยุทธภพอีกครั้ง และครั้งนี้ยังมีจุ้ยซิงที่หายจากโรคซึมเศร้าบ้างแล้วได้ติดตามรับใช้ไปด้วย ลูกศิษย์ที่คนแรกหัวดีและฉลาดทันผู้คนมากขึ้นหลังจากใช้ชีวิตวังหลวงมานับเดือน รู้จักโป้ปดและเสแสร้งเป็นจนจิวชงหยวนไม่รู้จะชื่นชมดีหรือไม่ และยังรู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม โตขึ้นมากกว่านี้ทำให้หายห่วงได้เลย
    
        พวกเขาได้มุ่งหน้าไปทางตอนใต้ทางเมืองเจียงหนานอีกครั้งเพื่อกลับไปรับกระบี่จากเฟิงอวี้ที่รับปากว่าจะทำกระบี่ให้ลู่เฟย ในเวลานี้เจ้าตัวส่งข่าวมายังเมืองหลวงลั่วหยางตามที่เคยให้ที่อยู่ไว้ และไม่ได้เดินทางไปช่วยหย่งเจิ้นเพราะเจ้าตัวส่งข่าวมาว่าทุกอย่างเรียบร้อย อีกทั้งการลงมือจับกบฏคือช่วงที่ลู่เฟยต่อต้านจับกุมกบฏในแคว้นลั่วหยางพอดี แม้จะไม่ได้เข้าไปช่วยแต่ก็ดีใจที่หย่งเจิ้นกับพรรคพวกผ่านเหตุการณ์เลวร้ายได้ล้างแค้นตามที่เจ้าตัวตั้งเป้าหมายไว้ได้ ไป๋เสวี่ยได้ขึ้นครองบัลลังก์ตามราชประเพณีอีกทั้งคอยมีไป๋หู่และหย่งเจิ้นคอยสนับสนุนทำให้ไม่มีใครลุกขึ้นมาต่อต้านได้อีก
    
        ณ เวลานี้จิวชงหยวนสวมหมวกปีกสานใบใหญ่มีผ้าคลุมปกปิดใบหน้าไว้อย่างมิดชิดเพื่อป้องกันปัญหาที่ตามมา ส่วนลู่เฟยสวมหน้ากากสีทองดูล้ำค่า สง่างามกับอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มลายมังกรดูน่าเกรงขามและแรงกดดันที่แผ่ออกมาทำให้ไม่มีใครกล้าจะทักทาย ส่วนจุ้ยซิงมีเพียงหมวกปีกสานที่ไม่ได้มีผ้าคลุมหน้าแบบตนเท่านั้น ทั้งสามนั่งเรือในเมืองเจียงหนานตรงไปที่แคว้นฝู้เจียนอย่างไม่รีบร้อน ระหว่างทางก็ช่วยเหลือรักษาชาวบ้านมาเรื่อยๆ
    
        “นั่นเกาะอะไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามจุ้ยซิงที่นั่งอยู่ไม่ห่าง มองไปเกาะใหญ่ที่ดูน่าหวาดหวั่น แม้จะมองเห็นได้เลือนลางเพราะไอเย็นของน้ำในช่วงฤดูเหมันต์
    
       “นั่นเป็นเกาะของตำหนักดอกท้อหรือพรรคดอกท้อที่มีท่านเสวี่ยอู่เป็นจ้าวตำหนักขอรับ”
    
        ข่าวใหม่ที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปเล็กน้อย นี่เดินทางมาด้วยกันตั้งนาน คิดไว้แล้วว่าเสวี่ยอู่มีตำแหน่งไม่ธรรมดาแต่ไม่คิดว่าจะมีเกาะเป็นของตัวเองและยังเป็นจ้าวตำหนักเช่นนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากเปิดเผยตัวเขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เหมือนเดิม
    
       ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามพวกเขาก็มาปรากฏตัวที่แคว้นฝู้เจี้ยน จิวชงหยวนไม่ได้รีบไปรับกระบี่แต่เดินสำรวจเมืองที่ติดริมทะเลดูอย่างละเอียดด้วยความสนใจ เพราะคราที่ผ่านมาไม่ได้มีเวลามาเดินเล่นเช่นเช่นนี้ ยามนั้นคิดว่าจะหนีหมิงอี้ฟานรอดแต่หากรู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นเขาคงไม่หนีให้เสียเวลาสำรวจเมือง
    
       “หาอะไรกินกันก่อนเถอะ” จิวชงหยวนหันไปชวนทั้งสองคนที่มองสำรวจรอบกายนิ่งๆ พวกเขาไม่ได้เข้าโรงเตี๊ยมกันมานานมากแล้วจนลืมบรรยากาศไปแล้ว
    
       “อื้ม แต่อาหารที่นี่คงสู้ฝีมือเจ้าไม่ได้” คำพูดเรียบๆ ของลู่เฟยและสายตาจริงจังที่มองมาทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่อ หยอดเขาวันละนิดวันละหน่อยจนอยากแทรกแผ่นดินหนีอาย ดีแต่ว่าจุ้ยซิงเริ่มชินชาทำเป็นไม่สนใจทำให้เขาต้องทำหน้าด้านเดินนำทางไป
    
       ครานี้พวกเขาได้ที่นั่งอยู่ชั้นล่างที่มีเสียงพูดคุยโวยวายเสียงดังกันไปมา แต่ก็ง่ายสำหรับการได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จากชาวยุทธที่มีพักผ่อนที่นี่ โรงเตี้ยมแห่งนี้ดูแบบเรียบง่าย มีด้วยกันสามชั้น ชั้นหนึ่งและสองเป็นห้องให้รับประทานอาหารส่วนชั้นสามเป็นห้องพักสำหรับชาวยุทธ
    
       “หนึ่งเดือนก่อนข้าได้ยินมาว่าหมอเทวะมารไปพังพรรคพยัคฆ์คำรนและพรคหมื่นพิษจนพินาศไม่เหลือซาก หากจะตั้งพรรคใหม่คงยากยิ่ง”
    
       “ใช่ๆ ข้าเจอลูกศิษย์พรรคหมื่นพิษที่ขออนุญาตกลับบ้านและกำลังจะกลับพรรคเล่าว่าหมอเทวะมารเป็นเทพมารด้วย”
    
        เสียงนินทาระยะเผาขนทำให้จิวชงหยวนเหลือบตามองไปนิดๆ ก่อนจะหันไปสั่งรายการอาหารพร้อมนั่งรอโดยฟังการนินทาตัวเองไปด้วย ลู่เฟยยกยิ้มบางอย่างขำขันมองคนที่ถูกนินทาขมวดคิ้วมุ่นเมื่อการนินทาเริ่มมีการใส่สีตีไข่จนฟังแล้วหมอเทวะมารหรือหมอเทวดาจิวชงหยวนจะเป็นปีศาจขึ้นไปทุกที
    
       “ข้าว่าหมอเทวะมารต้องปีศาจแน่ๆ แต่แกล้งรักษาคนเพื่อสูบพลังวิญญาณของมนุษย์ ไม่เช่นนั้นไม่สามารถทำลายพรรคหมื่นพิษได้เพียงตัวคนเดียวแน่ๆ” ชายร่างผอมเอ่ยกระซิบกระซาบแต่กลับได้ยินกันทั้งโรงเตี้ยมก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงหนาจะโบกหัวให้เจ้าตัวหนึ่งที
    
       “เจ้าบ้า หากเป็นเช่นนั้นข้าไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก ขืนยังใส่ร้ายท่านหมอผู้งดงามข้าจะกระทืบเจ้าให้จมดินเลย” คำกล่าวของชายชุดเขียวซึ่งหันหลังให้จิวชงหยวนทำให้หรี่ตาเพิ่งพินิจว่าตนเคยรู้จักคนนี้หรือไม่
    
        “หยวนน้อยเจ้าไปปล่อยเสน่ห์ที่ไหนมา” ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวานที่ทำให้รู้สึกเย็นเยือกไปข้างหลัง จิวชงหยวนมองกลับด้วยใบหน้าใส่ซื่อแม้จะยังไม่ได้ปลดหมวกออกแต่ลู่เฟยก็พอเดาได้ว่าเจ้าตัวทำหน้าอย่างไร
    
         “ข้าก็อยู่ของข้าดีๆ ไม่ได้ไปปล่อยเสน่ห์ใส่เจ้า เจ้ายังตามติดข้าได้เลย” จิวชงหยวนเอ่ยตอบกลับเสียงเรียบยักไหล่อย่างไม่ยอมรับผิด ลู่เฟยหัวเราะในลำคอแต่คนฟังกลับเสียวสันหลัง และขณะที่กำลังจ้องมองกันอยู่นั้นเสี่ยวเอ้อก็ได้นำอาหารมาเสิร์ฟขัดทัพและบรรยากาศเย็นๆ
    
         จิวชงหยวนนั่งคีบอาหารกินโดยไม่ได้ถอดหมวกออกแต่ดวงตากำลังนั่งมองชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้ตน อย่างครุ่นคิดและเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกว่าถูกจ้องจึงได้หันมา เขามองอย่างอึ้งๆ ไม่อยากเชื่อว่าเจอกันอีก จินจงชุน เด็กหนุ่มที่เขาช่วยชีวิตไว้เมื่อลงมาโลกมนุษย์ครั้งแรก ใบหน้าคมคายนิ่วน้อยๆ ก่อนจะหันกลับไปสนทนากับสหายต่อ และเขาเองก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย การนินทาเรื่องของเขายังได้ยินมาเป็นระยะๆ ก่อนจะหันหลับไปมองลู่เฟยที่คีบเป็ดย่างน้ำแดงมาวางใส่ถ้วยให้อย่างเอาใจ ส่วนจุ้ยซิงก็นั่งกินเงียบๆ อย่างรู้ความ
    
        จิวชงหยวนยกยิ้มที่มุมปากนิด มองดวงตาดุของลู่เฟยอย่างขำขัน แม้เจ้าตัวจะไม่พูดแต่เขาก็รู้ว่ากำลังหึงที่เห็นกำลังมองชายอื่นอยู่  ทว่าขณะนั้นกลับมีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาแล้วขับไล่พวกเขาออกไปอย่างวางก้าม
    
       “พวกเจ้าออกไปให้หมดคุณชายข้าจะกินข้าวที่โรงเตี้ยมนี้” ชายร่างสูงใหญ่ประกาศด้วยแววตาดุดัน และทันทีที่จบคำพูดก็มีผู้คนรีบเผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว เหลืออยู่แค่ชาวยุทธผู้ไม่ได้หวาดกลัวเท่านั้นเช่นดียวกับกลุ่มของจิวชงหยวนที่คีบอาหารเข้าปากมองดูหนึ่งในฉากยอดฮิตของซีรีย์อย่างสนใจ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการที่ตัวเองโดนไล่แม้แต่น้อย มองดูลู่เฟยกับจุ้ยซิงก็นั่งกินข้าวต่อโดยไม่สนใจสิ่งอื่นจนทำให้กลุ่มเขาเป็นที่สนใจแต่แรก
    
       ตุ๊บ!
    
       “พวกเจ้าหูหนวกตาบอดหรืออย่างไร ข้าไล่ให้พวกเจ้าออกไปอยากมีเรื่องกับตระกูลหวังใช่ไหม” คนตัวโตทุบโต๊ะที่จิวชงหยวนนั่งจนน้ำชาในจอกกระเซ็นออกมา ลู่เฟยเงยหน้าหันไปมองสบตาชายร่างใหญ่อย่างกดดัน ทำให้พวกมันถอยหลังอย่างลืมตัว ความกดดันและจิตสังหารที่ส่งมาทำให้เหงื่อแตกซิกอย่างหวาดหวั่นตั้งแต่รับใช้ตระกูลหวังมาไม่เคยมีใครท้าทายอำนาจเช่นนี้มาก่อน และเหมือนคนตรงหน้าจะวรยุทธกล้าแกร่งจนยากจะต่อลอง
    
         “พวกเจ้าจะโวยวายกันทำไม ข้ามากินข้าวไม่ได้มาฆ่าใครเสียหน่อย” น้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมร่างโปร่งบางปรากฏตัวออกมาหลังจากลูกน้องก่อความวุ่นวายจนเดือดร้อนผู้อื่น
    
         “ข้าหวังเหรินอ้าย ขออภัยคุณชายสามที่คนของข้าไร้มารยาท” กิริยาอ่อนช้อยท่วงท่าสง่างามอีกทั้งใบหน้างดงามเหมือนหยกเจียระไนทำให้จิวชงหยวนมองอย่างอึ้งๆ คนตรงหน้ามีใบหน้าเหมือนเขาไปสามส่วน ก่อนจะเหลือบตาไปมองลู่เฟยว่ามีกิริยาเช่นไรกับคนตรงหน้า แต่กลับต้องแปลกใจเพราะเจ้าตัวใบหน้าเรียบนิ่ง หน้ากากสีทองที่ถอดไว้ข้างกายทำให้ลู่เฟยยามนี้ดูน่าหวั่นเกรงมากขึ้น
    
        “เพื่อเป็นการขอโทษจากข้า ข้าขอเลี้ยงข้าวพวกท่านสักมือ” เมื่อพวกเขายังเงียบคุณชายหวังเหรินอ้ายจึงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มบาง จิวชงหยวนมองตามนิ่งๆ เขาจะไม่สนใจเลยหากคนตรงหน้าไม่จ้องมองลู่เฟยอย่างมีเลศนัยอีกทั้งดวงตาหวานซึ่งเปิดเผยความรู้สึกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
    
       “เรื่องเล็กน้อย คุณชายหวังอย่าได้ใส่ใจ ไมตรีของท่านพวกข้ามิอาจรับไว้ได้”
    
         น้ำเสียงอ่อนโยนดังมาจากชายร่างโปร่งบางที่สวมหมวกปีกสานมีผ้าคลุมปกปิดใบหน้าเห็นได้เพียงเลือนลาง หวังเหรินอ้ายรู้ได้ทันทีว่าในนี้คือหัวหน้ากลุ่ม แต่มิอาจทำใจเชื่อเพราะชายหนุ่มหน้าตาคมคายหล่อเหลาอีกทั้งท่วงท่าสูงส่งซึ่งนั่งข้างๆ กันนั้นดูจะเป็นผู้นำเสียมากกว่า
    
        “มิได้ มิได้ หากพวกท่านไม่รับไมตรีจากข้าเห็นทีข้าคงรู้สึกผิด โปรดให้ข้าตอบแทนความมีน้ำใจของท่านสักคราเถิด” หวังเหรินอ้ายกล่าวตอบอย่างนอบน้อม พร้อมถือวิสาสะนั่งลงข้างจุ้ยซิงอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ ส่วนบรรดาลูกน้องหน้าโหดก็พากันไปยืนเข้าแถวอยู่ด้านหลังอย่างเป็นระเบียบการถูกฝึกมานับว่าดีหากไม่วางก้ามใหญ่โตคงจะดีไม่น้อย
    
        จิวชงหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่ายเพราะบอกอะไรใครไปไม่ค่อยจะมีคนฟัง อยากเลี้ยงก็ตามใจ หวังว่าไม่นำเรื่องวุ่นวายมาแก่เขาก็เพียงพอแล้ว
    
        “ไม่ทราบว่าพวกท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ขออภัยที่เสียมารยาทแต่พอจะบอกคุณชายบ้านป่าเช่นข้าได้หรือไม่” จิวชงหยวนหรี่ตามองการวาดศิลป์คำพูดของคุณชายตรงหน้าอย่างพิจารณา ลักษณะการพูดนับว่าไม่ธรรมดา ที่สำคัญเขายังข้องใจกับใบหน้าที่คล้ายกับเขาไปเสียสามส่วน
    
         “ข้าลู่เฟย ส่วนนี่เมียข้าจิวชงหยวน นั่งข้างเจ้าศิษย์จิวชงหยวนชื่อจุ้ยซิง” ลู่เฟยที่สังเกตคนเข้ามาใหม่เงียบๆ เอ่ยขึ้น เขาไม่อยากให้ปัญหาตามมาที่สำคัญของปลอมไม่ว่าเช่นไรก็คือของปลอม
    
        จิวชงหยวนชะงักกึกหันไปมองลู่เฟยที่แนะนำเขาว่าเมียด้วยความอึ้ง แต่คนที่ตะลึงงันกว่ากลับเป็นคุณชายหวัง
    
        “มิคิดว่าจอมยุทธลู่เฟยจะเป็นสุภาพบุรุษยอมรับแม้กระทั่งภรรยาที่เป็นชาย น่าตื้นตันใจแทนยิ่งนัก หากท่านต้องการภรรยาเพิ่มโปรดรับข้าไว้พิจารณาด้วยคนได้หรือไม่” ใบหน้างดงามยิ้มละไม ดวงตาหวานเชื่อมที่มองมาเปิดเผยความรู้สึกอย่างไม่เกรงใจภรรยาที่นั่งเป็นตอไม้สักนิด
    
        บรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่กดดันออกมาทำให้พื้นที่รอบๆ บริเวณโรงเตี๊ยมเริ่มเกาะกุมไปด้วยน้ำแข็ง หิมะข้างนอกโปรยปรายยิ่งเหน็บหนาวไปถึงขั๋วหัวใจ จิวชงหยวนคีบเป็ดย่างน้ำแดงเข้าปากอย่างใจเย็นโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย ทว่าในใจกลับเดือดพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไอเย็นแผ่ออกจากร่างด้วยความเร็วเพราะพลังลมปราณที่เพิ่มขึ้นจากการกินผลท้อของเฒ่าจันทราทำให้ยากต่อการควบคุมขณะที่อารมณ์ยังเดือดพล่านเช่นนี้
    
       “อาจารย์โปรดระงับโทสะก่อนขอรับ” จุ้ยซิงที่วรยุทธอ่อนด้อยที่สุดกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก พลังลมปราณอาจารย์กล้าแกร่งแบบก้าวกระโดด ทำให้ยากต่อการต้านทาน และคนที่กำลังแหย่ลูกแมวให้ตื่นถึงกับสั่นระริก ยิ่งนั่งอยู่ใกล้ความกดดันได้รับเต็มๆ บรรดาลูกสมุนติดตามต่างล้มสลบไปตามๆ กัน ส่วนคนอื่นต่างดึงลมปราณออกมาป้องกันตนเอง
    
       จิวชงหยวนมองตามลูกศิษย์แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าตนกำลังหึงลู่เฟย ให้ตายสิ! เกิดมาก็ไม่เคยหึงใคร นี่ยังมาหึงผู้ชายด้วยกันเสียอีก น่าขายหน้านัก
    
      “ข้ามีธุระต้องจัดการขอตัว” จิวชงหยวนลุกขึ้นยืนบอกเสียงเรียบก่อนจะสะบัดชายผ้าเดินจากไป จุ้ยซิงก็รีบติดตามออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ลู่เฟยมองตามทว่ามุมปากกลับยกยิ้มด้วยความดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่จิวชงหยวนแสดงออกนอกหน้าเช่นนี้ แม้เจ้าตัวจะอารมณ์ร้อนขึ้นแต่ก็ยังมีสติที่จะควบคุมกลับคืนมา และอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าตัวจะแสดงให้เขารู้ก็เป็นได้
    
        “คุณชายหวังต้องขออภัยที่เสียมารยาท เมียข้าเป็นคนขี้หึง อีกทั้งหัวใจข้ามิอาจยกให้ใครได้อีกจึงมิคิดจะมีใครเพิ่ม ต้องขออภัยด้วย” ลู่เฟยลุกขึ้นยืนคารวะตามมารยาทเล็กน้อยก่อนจะเดินตามคนงามที่หึงจนเย็นเยือกไปทั้งโรงเตี๊ยม แต่เขากลับรู้สึกอารมณ์ดีหัวใจพองโต
    
       คุณชายหวังเหรินอ้ายมองตามอย่างตะลึงงัน ร่างโปร่งบางทรุดตัวลงกับพื้นกระอักโลหิตออกมาคำโต มือเรียวยกบาดเลือดที่มุมปากออก แววตามองไปตามสามร่างที่หายไปด้วยความรู้สึกน่าสะพรึง
    
      ฝีมือร้ายกาจ!!
    
       

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
ต่อจากตอนเมื่อครู่ค่ะ ระบบบอกว่าเกิน20000คำ

       จิวชงหยวนเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าไปทางบ้านของเฟิงอวี้ช่างตีกระบี่ด้วยความเร็วเพราะอารมณ์ชั่ววูบทำขายหน้าจนอยากแทรกแผ่นดินหนีอาย ไม่คิดว่าตัวเองจะหน้ามืดหึงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้มาก่อน จุ้ยซิงที่รับรู้อารมณ์ของอาจารย์ก็เพียงติดตามมาเงียบๆ โดยไม่ปริปากเอ่ยถามให้รำคาญใจ
    
        หมับ!
    
        “เจ้าทิ้งข้าไว้เช่นนั้นได้อย่างไร” ลู่เฟยที่ติดตามมาทันคว้าแขนจิวชงหยวนไว้ด้วยความเร็วพร้อมรั้งร่างโปร่งบางเข้ามาอ้อมกอดตัวเอง จุ้ยซิงเห็นทั้งคู่ตามงอนง้อกันแล้วยกยิ้มบาง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
    
       “ใครทิ้งเจ้ากัน” จิวชงหยวนเถียงกลับจ้องมองคนที่ยกยิ้มบางอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะเมื่อครู่อารมณ์ชั่ววูบเลยทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้น ยิ่งคิดยิ่งอาย
    
         “เจ้าหึงข้าหรือหยวนน้อย” น้ำเสียงรื่นเริงของอีกฝ่ายทำให้มองตาดุก่อนจะเถียงกลับ
    
         “เจ้าตาถั่วหรืออย่างไร ข้าแค่ยังควบคุมลมปราณได้ไม่ดีพอเท่านั้นเอง ปล่อยข้าได้แล้ว” ลู่เฟยยกยิ้มมองคนขี้หึงด้วยความดีใจ ก่อนจะถอดหมวกปีกสานออกเพื่อมองสบกับดวงตาเรียวที่ประกายความสับสนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
    
       “ข้ารักเจ้า...จิวชงหยวน” คำบอกรักและแววตาจริงจังที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนชะงักงันไปครู่ อารมณ์สับสนขุ่นมัวเลือนหายไปเพราะคำพูดประโยคเดียวของคนตรงหน้า ใบหน้าพาดแดงด้วยความอายริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น
    
       “เอ่อ...ข้ารู้แล้วไปเอากระบี่กันเถอะ”
    
        “โธ่... อาจารย์ ข้ารอลุ้นให้ท่านตอบว่าข้าก็รักเจ้า แต่นี่พูดซะขัดบรรยากาศเลยนะขอรับ” จุ้ยซิงเมื่อเห็นทั้งคู่คืนดีกันได้แล้วจึงกล่าวออกมาอย่างขัดใจตนนิดๆ
    
         จิวชงหยวนหันไปมองคนที่ยืนลุ้นตามแล้วนึกขำ เรื่องอะไรเขาจะหลอมตัวพูดออกไป แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วนี่ยังมีพยานบุคคลคอยแอบชำเลืองอยู่ใครจะไปกล้าพูด ก่อนจะพากันตรงไปยังบ้านเฟิงอวี้ด้วยอารมณ์ที่สงบขึ้น ส่วนเรื่องที่เกิดในโรงเตี๊ยมจะพยายามไม่นึกถึงมันแล้วกัน
    
         เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของเฟิงอวี้ต้องประหลาดใจเพราะยังเงียบสงบวังเวงเช่นเดิมคล้ายกับว่าไม่มีผู้คนอาศัย แต่พวกเขาก็ไปเคาะประตูบ้านตามมารยาท เพียงไม่นานก็มีคนเดินมาเปิดประตู จิวชงหยวนมองชายหนุ่มร่างสูงสง่า ใบหน้าคมคายอีกทั้งรูปร่างที่เปลี่ยนไปมากจนจำแทบไม่ได้ว่าคนตรงหน้าจะคือเฟิงอวี้ที่เคยรู้จัก
    
        “ท่านหมอ” คนตรงหน้าเรียกอย่างแผ่วเบาด้วยความตกใจก่อนจะยกยิ้มบางหันไปกล่าวต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยืยนด้วยความยินดี
    
       “ข้าดีใจที่พวกท่านกลับมาเร็วกว่าที่คิด เชิญด่านในก่อนขอรับ”
    
         จิวชงหยวนเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก เวลานี้หมวกเขายังอยู่กับลู่เฟยที่ถอดออกตั้งแต่ก่อนจะมาถึงนี่ทำให้เฟิงอวี้จำเขาได้ตั้งแต่แรกอีกทั้งลู่เฟยก็ไม่ได้สวมใส่หน้ากาก พวกเขามาหยุดเรือนไผ่ที่ร่มรื่นกว่าครั้งที่ผ่านมาต้นไม้เขียวขจีน่าอยู่มากขึ้น
    
         “บ้านท่านน่าอยู่มากขอรับ แต่เสียดายเงียบวังเวงไปหน่อย” จุ้ยซิงกล่าวออกมาคนแรก ซึ่งเจ้าของบ้านเพียงแค่หัวเราะเบาๆ
    
         “ขอบคุณ แต่บ้านข้าก็มีดีอยู่แค่ส่วนนี้ ทางด้านเรือนอื่นข้ายังไม่มีเงินไปบำรุงรักษา” คำตอบที่ได้รับทำให้จุ้ยซิงหน้าเสียไปนิดเพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จิวชงหยวนจึงยิ้มบางก่อนจะกล่าวต่อ
    
         “เพียงไม่กี่เดือนได้ขนาดนี้นับว่าท่านมีมานะและความพยายามมากแล้ว ว่าแต่ท่านป้าไม่อยู่หรอกหรือ”
    
        “ท่านป้าไปเยี่ยมญาติที่แคว้นต้าฉี ข้าเห็นว่าท่านป้าอายุมากแล้วจึงให้อยู่กับลูกหลาน เพราะข้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เฟิงอวี้ตอบคำถามพร้อมรินน้ำชาให้ทั้งสามคนด้วยความยินดี เฝ้ารอมาตลอดว่าจะได้เจอผู้มีพระคุณอีกครั้ง
    
        “ท่านลู่ ข้าตีกระบี่ให้ท่านเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวข้าจะเอามาให้ชม รอประเดี๋ยวนะขอรับ” เมื่อรินน้ำชาให้ครบจึงกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนไปเอากระบี่สำคัญที่ทุ้มเททั้งกายทั้งใจหวังจะตอบแทนที่ทำให้ตนยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้
    
       “ไม่ต้องรีบก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้รีบไปที่ใด” ลู่เฟยเอ่ยบอกพร้อมจิบชาแก้กระหายไปด้วย
    
       “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าอยากให้ท่านได้ชม” กล่าวจบพร้อมหุนหันไปเอากระบี่ จิวชงหยวนมองตามแล้วยิ้มขำเพราะเจ้าตัวคงภูมิใจกับกระบี่ที่ตีขึ้นมาน่าดู
    
       “ข้าว่ามันต้องพิเศษมากแน่” จิวชงหยวนกล่าวกับคนหน้านิ่ง ลู่เฟยมองตอบแล้วหันกลับไปมองเจ้าของบ้านที่กลับมาพร้อมกระบี่อย่างรวดเร็ว นับว่าเจ้าตัวก็ฝึกวิชาลมปราณเพิ่มขึ้น
    
        “นี่ขอรับ ลองเปิดห่อผ้าดูขอรับว่าถูกใจท่านลู่หรือเปล่า” ลู่เฟยรับห่อผ้ามาเปิดดูตามที่เจ้าบอก ทว่าทันที่เห็นเฉพาะปอกกระบี่ก็ลวดลายงดงามล้ำค่ามากแล้ว ทันที่ชักกระบี่ออกมากลับได้ยินเสียงใสกริ๊งอีกทั้งคมกริบสะท้อนออกมา ลู่เฟยนิ่วหน้ามองกระบี่ตรงหน้าที่มิใช่กระบี่มารแต่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ อีกทั้งทำมาจากเหล็กไหลพันปีที่หายาก บ่งบอกว่าผู้สร้างทุ้มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหน
    
       “เหล็กไหลพันปีนั้นหายากแต่เจ้ากลับสร้างมันให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
    
       “สมกับเป็นท่านลู่ข้าคิดแล้วว่าท่านต้องดูออก เหล็กไหลนี้อยู่กับข้าก็ไร้ประโยชน์แม้จะเป็นของบรรพบุรุษแต่หากอยู่ในมือท่านที่สามารถปกป้องท่านหมอจิวได้ข้าก็ยินดี” ลู่เฟยคิ้วขมวดกับคำกล่าวของช่างตีกระบี่ที่เหมือนจะตั้งใจทำกระบี่ให้เขาก็จริงแต่จุดมุ่งหมายกลับเป็นปกป้องคนรักเขาซะอย่างนั้น แต่ถึงไม่มีกระบี่เขาก็จะต้องปกป้องจิวชงหยวนอยู่แล้วแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม แต่เพื่อเห็นแก่ความตั้งใจจริงเขาจะรับมันไว้ ก่อนจะแปลกใจเมื่อกระบี่เล่มนี้สลักชื่อเขาไว้ ‘ลู่เฟย’
    
       “ขอบคุณเจ้ามากข้าจะใช้ปกป้องชงหยวนตามปรารถนาของเจ้า” จิวชงหยวนมองชายหนุ่มสองคนมองตากันอย่างจริงจังแล้วนึกขำ
    
       “จริงสิท่านเฟิงอวี้นี่จุ้ยซิงลูกศิษย์คนแรกของข้า” จิวชงหยวนแนะนำลูกศิษย์ที่มองทั้งยิ้มแหยกับความจริงใจของลูกผู้ชายที่ยอมเปิดเผยความรู้สึกออกมาโดยไม่คิดหมายจะเป็นเจ้าของ เมื่อไม่เห็นสีหน้าเศร้าใจของจุ้ยซิงแล้วรู้สึกเบาใจ หนึ่งเดือนมานี้ทำให้จุ้ยซิงเข้มแข็งมากขึ้น
    
       “คนแรกหรือ เช่นนั้นท่านจะรับข้าเป็นศิษย์อีกคนได้หรือไม่” เฟิงอวี้เอ่ยถามด้วยความสนใจมองลูกศิษย์ที่ใบหน้าน่ารักอีกทั้งร่างเล็กบอบบาง ทว่าพลังลมปราณกลับกล้าแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ ทว่าคนที่เป็นอาจารย์กลับอึ้งมองไปคนขอเป็นศิษย์จนอย่างพูดไม่ออก
    
       “เวลานี้ข้ายังไม่คิดมีลูกศิษย์เพิ่ม แต่หากเมื่อใดข้าท่องยุทธภพจนหมดสิ้น ข้าจะตั้งสำนักเซียนโอสถ เมื่อนั้นข้าจะกลับมาถามเจ้าอีกครั้ง” จิวชงหยวนบอกความตั้งใจของตัวเอง เขาคิดว่าจะท่องยุทธจักรให้ทั่วช่วยเหลือผู้คนให้มากที่สุด จากนั้นจึงจะมาเปิดสำนักรับผู้มีจิตใจคุณธรรมมาเป็นศิษย์เพื่อสานเจตจำนงของหมอเทวดาต่อไป
    
      “ข้าจะรอถึงวันนั้น” เฟิงอวี้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม แม้จะมีวิชาตีกระบี่แต่หากได้ไปรับใช้ผู้มีพระคุณนานเท่าไรก็จะรอ อีกอย่างการแพทย์ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ได้รักษาผู้คนและยังได้ความสุขกลับมาด้วย     
    
        จิวชงหยวนใช้เวลาพักอยู่ที่บ้านของเฟิงอวี้สามวันก่อนจะเดินทางไปเรื่อยๆ ได้ข่าวโรคระบาดหรือโรคประหลาดอยู่ที่ใดก็จะเข้าไปดูติดตามและคอยรักษาให้โดยไม่ได้หวังเงินทองตอบแทน แต่ก็มีผู้คนมอบสินน้ำใจให้เล็กน้อยแต่มากคนและผ่านไปหลายเมือง ทำให้ตอนนี้จิวชงหยวนมีเงินมากพอที่จะตั้งสำนักได้เลย
    
        ระหว่างทางแม้จะมีนักเลงอันธพาลคอยรังครวญบ้าง แต่เมื่อรู้เขาเป็นหมอเทวะมารต่างก็หนีกระเจิงไปไกลด้วยความหวาดกลัว คงต้องขอบคุณชื่อเสียงที่ทำให้เขาสะดวกในการเดินทางมากขึ้น ลู่เฟยเวลานี้ผู้คนต่างรู้จักในฐานะจอมยุทธกระบี่ไร้เงา เพราะการลงมือเฉียบขาดอีกทั้งไม่ทันได้เห็นการชักกระบี่ออกจากคมฟักทำให้ได้ฉายานี้มาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
    
       ส่วนจุ้ยซิงลูกศิษย์เพียงคนเดียวได้ท่องยุทธภพเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยตัวคนเดียวตามคำสั่ง เพราะบางสิ่งได้สั่งสอนไปเกือบหมดแล้วอีกทั้งได้ให้ตำราที่เขาเขียนเองให้ไปด้วย เขาไม่ได้ผลักไสลูกศิษย์เพียงแต่ให้ไปหาผู้คนที่จะมาเป็นลูกศิษย์เขาอีกครั้ง
    
        “ลู่เฟยเจ้าว่าข้าจะตั้งตำหนักได้ที่ไหนดี แบบว่าดูยิ่งใหญ่หน่อย”
    
          จิวชงหยวนหันไปถามคนข้างกายที่กำลังอ่านหนังสือบางอย่างที่เขาเห็นมาได้ระยะหนึ่งแล้วเพียงแต่ไม่ได้สนใจเท่านั้น แต่เมื่อเห็นเจ้าตัวอ่านไปหน้านิ่วคิ้วขมวดไปด้วยจึงชะโงกหน้าไปดูด้วยคน ก่อนจะเงยหน้ามองคนอ่านอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะอ่านหนังสือประเภทนี้ด้วย ‘หนังสือการเกี้ยวพาราสีร้อยแปดประการ’
    
        “เจ้าไปเกี้ยวพาราสีใครอีก” จิวชงหยวนนิ่วหน้าเอ่ยถามมองหนังสือในมือสลับกับเจ้าของไปมา ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะยกนิ้วจิ้มไปที่หน้าผากจิวชงหยวนเบาๆ
    
        “เจ้าอย่างไรล่ะ”
    
        “หืม ข้าหรือ นี่ยังคิดจะจีบข้าอีกหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างติดตลก ส่ายหน้ากับคนคิดไร้สาระ
    
        “อื้ม ข้าต้องหาวิธีทำให้เจ้ามองแต่ข้าคนเดียว และไม่เบื่อข้าไงเพราะเจ้าต้องอยู่กับข้าไปอีกนานแสนนาน” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับอย่างปลงๆ
    
        “หากเจ้าทำตามหนังสือข้าไม่ดีใจด้วยหรอกเพราะมันไม่ได้มาจากใจ อีกอย่างแค่เป็นเจ้าเวลานี้ก็พอแล้ว” ลู่เฟยได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มบางตวัดอุ้มร่างโปร่งบางมากอดอย่างดีใจ
    
        “ปล่อยได้แล้ว ตะวันตั้งกลางศีรษะเพราะฉะนั้นคืนนี้ต้องหาโรงเตี๊ยมพัก ข้าเริ่มปวดหลังกับการนอนพื้นดินแล้ว” จิวชงหยวนบอกพร้อมแกะมืออีกฝ่ายออกซึ่งลู่เฟยก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย  ทั้งคู่เดินไปตามริมน้ำเพื่อเก็บสมุนไปด้วยผ่านมาไม่กี่วันเขากลับเดินผ่านมาได้เป็นสิบเมืองเนื่องจากใช้ลมปราณในการเดินทาง ระหว่างเก็บสมุนไพรระหว่างไปหมู่บ้านข้างหน้ากลับเห็นใครบางคนที่ไม่ได้เจอมานานเกือบสองปีแล้ว ทว่าใบหน้าสวยคมของอีกฝ่ายนั้นยากจะลืมเลือน เจ้าตัวยืนนิ่วหน้ามองผิวน้ำตรงหน้าก่อนจะหันขวับมาทางเขาเมื่อรู้ว่ามีผู้อื่นโผล่มาที่แห่งนี้
    
        “หืม บังเอิญเสียจริงได้เจอคุณชายหลิ่วเหวินอี้ที่นี่” จิวชงหยวนทักทายพร้อมเปิดหมวกออกเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นหน้าและแสดงเจตนาว่าตนไม่ได้มาหาเรื่อง หลิ่วเหวินอี้เพียงขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย จิวชงหยวนยืนอึ้งไม่ว่าเมื่อไรคนผู้นี้ก็หยิ่งเสมอต้นเสมอปลาย ท่าทางจะมีปมด้อยอย่างหนักไม่เช่นนั้นคงไม่ไร้มนุษย์สัมพันธ์อย่างนี้
    
        “คนรู้จักเจ้าหรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามมองชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามกึ่งหล่อเหลาได้อย่างลงตัว ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับเย็นๆ เหมือนสร้างกำแพงมาปกป้องตัวเอง
    
        “เจ้าหาอะไรให้ข้าช่วยไหม” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่เคยรู้จักอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะบอกความต้องการของตัวเอง
    
        “ปลา”
    
          คำตอบสั้นๆ ของเจ้าตัวทำให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง ทว่าดวงตาคมๆ ที่มองมานั้นฉายแววหงุดหงิดออกมาอย่างมาอย่างเห็นได้ชัด
    
        โครกกกก
    
        ทั้งสามนิ่งอึ้งไปเสียงท้องร้องดังเหมือนฟ้าผ่าลงมา ทว่าเจ้าของท้องที่รองประท้วงกลับมีใบหน้าไร้อารมณ์มีเพียงคิ้วที่ขมวดเป็นปมเท่านั้น จิวชงหยวนหัวเราะออกมาอย่างสุดจะอดกลั้น ดวงตาคมๆ ตวัดมามองอย่างไม่พอใจ
    
        “ฮ่าๆๆ เจ้าหิวหรอกหรือ ว่าแต่กระบี่เจ้าไม่พกบ้างหรืออย่างไร แล้วลมปราณก็มีทำไมไม่ใช้” ทว่าเจ้าตัวกลับนิ่วหน้าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด ก่อนจะยื่นมือให้อีกฝ่ายจับจิวชงหยวนมองตามก่อนจะจับชีพจรของอีกฝ่ายแล้วนิ่วหน้าอย่างแปลกใจเพราะเสียงการเต้นของหัวใจปกติ ทว่าพลังลมปราณกลับปั่นป่วน
    
       “เจ้าไปทำอะไรมาลมปราณถึงปั่นป่วนเช่นนี้”
    
       “เจ้าฝึกวิชาเองใช่หรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ดวงตาคมนั้นหันมามองก่อนจะพยักหน้ายอมรับความจริง ที่เขารู้เพราะฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเองก็เป็นเพราะต้องการปกปิดความสามารถทำให้แอบฝึกเองจนลมปราณปั่นป่วนไม่คงที่หากฝืนใช้จะแตกซ่านไปได้
    
       “อื้ม อย่างนี้นี่เอง” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะชัดพลังลมปราณใส่กลุ่มปลาที่ว่ายอยู่ไม่ห่าง จากนั้นจึงจัดการทำความสะอาดและเผาให้หลิ่วเหวินอี้กินปะทังชีวิต แม้เจ้าตัวไม่พูดแต่สายตาก็ส่งมาขอบคุณแทน
    
        “เจ้าน่าจะมีคนติดตามไยมาอยู่คนเดียว” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่กินปลาเงียบๆ
    
        “...”
    
         อีกฝ่ายยังคงเงียบได้เสมอต้นเสมอปลาย พวกเขานั่งมองอีกฝ่ายกินโดยไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีกเพราะไม่รู้ถามไปแล้วจะได้คำตอบหรือไม่ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเจ้าตัวก็จัดการปลาจนหมดตัว
    
       “หนีออกมา” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนงงไปพักใหญ่ก่อนจะนึกได้ตัวเองถามอะไรออกไป สรุปหลิ่วเหวินอี้มารยาทดี? ไม่พูดขณะกินหรือเปล่า
    
       “อ่ะ นี่ยาจะช่วยให้ลมปราณเจ้ากลับคืนมาได้” จิวชงหยวนจัดยาสมุนไพรหายากมาให้คนตรงหน้า ทว่าเจ้าตัวเพียงแค่นิ่วหน้าไม่รับยาที่เขาส่งให้
    
       “ข้าไม่อยากติดหนี้บุญคุณเจ้า” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้จิวชงหยวนมองตามแล้วยกยิ้มบางเพราะไม่เกินจากที่คิดไว้
    
        “ที่เจ้ากินปลาไปทั้งตัวแบบนั้นก็เป็นหนี้บุญคุณข้าแล้วจะรับยาเพิ่มอีกนิดหน่อยจะเป็นไร หากเจ้าลำบากใจก็ให้สินน้ำใจข้าตอบแทนก็ได้” ที่จิวชงหยวนกล่าวเช่นนี้เพราะพอจะเดานิสัยคนตรงหน้าได้ หลิ่วเหวินอี้เพียงนิ่วหน้าเหมือนครุ่นคิดชั่วครู่พยักหน้ารับแล้วหยิบสมุนไพรไปก่อนจะวางเงินให้สิบตำลึงทอง
    
      “พอหรือไม่”
    
       “แค่นี้ก็มากพอแล้วเพราะปกติข้าก็รักษาผู้คนไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เพื่อความสบายใจของเจ้าข้ารับไว้” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมหยิบเงินไปโยนให้ลู่เฟยเก็บไว้
    
         “ข้ามีธุระต้องจัดการ ขอตัวและก็ขอบคุณ” หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นคำนับพวกเขาตามมารยาทก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ต้องรอให้ใครอนุญาติ
    
        “เป็นคนประหลาด” ลู่เฟยกล่าวเบาๆ ขณะมองตามร่างสูงสง่าของหลิ่วเหวินอี้ที่หายไปกับพงหญ้าด้านหน้า
    
        “แต่ข้าว่าน่าสนใจ”
    
        จิวชงหยวนตอบรับยกมือลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด ว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้หลิ่วเหวินอี้ถึงกลายเป็นคนเย็นชาและตั้งกำแพงในใจไว้หนาขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เนื้อแท้ในใจกลับดีกว่าที่เห็นภายนอก ทำบุญปิดทองหลังพระ โดยไม่ให้ใครรับรู้อย่างครั้งที่ผ่านมาช่วยเหลือพวกยากไร้ซึ่งรู้มาว่าเจ้าตัวเก็บคนที่เขาเคยไปขอให้ดูแลด้วยตนเอง ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นรอดพ้นจากการตายจากพรรคพยัคฆ์คำรนได้อย่างหวุดหวิด
    
        “หืม เจ้านอกใจข้าหรือ” คำถามของลู่เฟยทำให้ตวัดหันไปมอง แล้วกล่าวตอบเสียงเรียบ
    
      “ไร้สาระ ไปได้แล้วต้องเข้าเมืองก่อนค่ำ”
    
        ลู่เฟยหัวเราะในลำคอ เดินเคียงข้างไปกับคนขี้อายแต่ปากแข็งอย่างอารมณ์ดี จิวชงหยวนเหลือบตามองทว่ามุมปากกลับยกยิ้มบาง
    
        ทั้งคู่เดินทางต่ออีกหนึ่งชั่วยามก็มาถึงหมู่บ้านเล็กในเมืองโหลวหลันและได้เข้าพักแวะโรงเตี๊ยมที่มีการพูดคุยงานประลองจ้าวยุทธภพอีกครั้งหนึ่งหลังจากผ่านมาได้สี่ปีแล้ว จิวชงหยวนกับลู่เฟยต่างนั่งทานข้าวฟังข่าวสารไปด้วยความสนใจแม้จะยังเหลืออีกหลายเดือนแต่ผู้คนกลับดูครึกครื้นไม่น้อย
    
          นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องทั่วไปและก็ไม่พ้นเรื่องหมอเทวะมารที่ทำลายพรรคชั่วช้าพรรคมารที่ผู้คนต่างเกลียดชัง บ้างก็สรรเสริญเยินยอ บ้างก็ต่างอยากพบเจอและก็มีพวกที่สงสัยว่าเหตุใดประมุขฝ่ายอธรรมถึงได้นิ่งดูดายทั้งๆ ที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่คนที่รู้ดีที่สุดคือจืวชงหยวนเอง
    
        “ข้าให้คนไปดูพื้นที่จะตั้งตำหนักเจ้าแล้วนะ และกำลังเริ่มสร้างให้แล้วด้วย ไม่เกินหกเดือนทุกอย่างจะเรียบร้อย” จิวชงหยวนที่คีบผักเข้าปากชะงักเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เหมือนกับว่าเจ้าตัววางแผนมาก่อนแล้ว
    
       “คิดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วสินะ” เอ่ยถามพร้อมคีบผักเข้าปากกินต่อเวลานี้เขาสวมใส่หน้ากากสีเงินปกปิดใบหน้ากว่าครึ่งจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครจำหมอเทวะมารได้
    
         “อื้ม”
    
         ลู่เฟยตอบรับเบาๆ พร้อมรินน้ำชาให้คนรักอย่างเอาใจเพราะต่อไปนี้คงจะเหนื่อยหน่อย การจะบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนได้นั้นเพียงแค่เดินทางรักษายังไม่เพียงพอต้องสร้างกุศลให้มนุษย์ได้นำไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์ในภายภาคหน้าต่อไป
    
         จิวชงหยวนเงยหน้ามองดวงตาคมที่มองการณ์ไกลไปหลายขั้นแล้วยกยิ้มบาง ดีใจที่มีคนคนนี้อยู่เคียงข้างและยังเข้าใจเสมอ เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลู่เฟยจะไม่ทิ้งเขาโดยเด็ดขาด แม้ความรักจะไม่ได้โรยไปด้วยกลีบบุปผาแต่เขาก็ยินดีจะเดินร่วมไปกับผู้ชายตรงหน้านี้ ก่อนจะเอ่ยบอกแผ่วเบา
    
        “ขอบคุณนะ”
    
        “เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม”
    
          ลู่เฟยเอ่ยถามกลับมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จิวชงหยวนนิ่วหน้ามองคนหื่นกามแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อครู่อุตสาห์ซึ่งใจแต่ยามนี้รู้สึกตัวเองจะคิดผิดจริงๆ เพราะคนที่เจ็บตัวก็ไม้พ้นตัวเขาเอง
    
        “กินไปไม่ต้องพูดมาก”
    
        ตอบกลับพร้อมคีบเนื้อแกะย่างยัดใส่ปากให้อย่างหมั่นไส้ ลู่เฟยเพียงแค่หัวเราะในลำคอเหมือนจะสนุกที่ได้แกล้งเขา จิวชงหยวนมองตามแล้วอดคิดไม่ได้ว่าหากกลับไปเป็นเทพเจ้าตัวจะมีสีหน้าอื่นหรือไม่ แต่ว่าเรื่องของอนาคตยังมาไม่ถึงขอแค่วันนี้มีความสุขก็พอแล้ว...



   สุขสันต์วันลอยกระทงจ้า ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากเลย ตอนหน้าก็จบแล้วใครรู้วิธีย้ายไปไหนหรือทำอย่างไรแนะนำฟางด้วยนะคะ ฟางเพิ่งลงเรื่องนี้จบเป็นครั้งแรกไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ มึนๆ งงๆ กับระบบบ้าง สารภาพว่านิยายตัวเองยังหาไม่เคยเจอเลยค่ะ ต้องหาจากกรูเกิ้ลตลอด แหะๆๆ :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

เขาหึงกันด้วยล่ะ

ยังสงสัยเรื่องคุณชายหวัง

รอเฉลยขอรับ


ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
หุยยยย ละมุนเหลือเกินนน  :hao7:

ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13

ออฟไลน์ ลมเพลมพัด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หลงรักนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่แต่งมาให้อ่านนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
ขอบคุณที่มาลงให้

ในวันนี้ เพราะไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย

งั้นขอตัวไปอ่านก่อน

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
ตอนหน้าก็จะจบแล้วเหรอ

ตอนนี้หวานมากๆ

ลู่เฟยหื่นตลอดเลย หมอจิวจะไม่ยอมหน่อยเหรอ

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ลู่เฟยนี่หยอดตลอด ชงหยวนจะละลายแล้ววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ s.mosis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
แรกๆ ก็มาเร็ว หลังๆ เริ่มเอื่อยแล้ว

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่49บทส่งท้าย
เล่ม 2 ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)

       

         
         การเดินทางระหว่างลงมายังโลกมนุษย์จวบจนกระทั่งทุกวันนี้นานกว่าห้าปี ทว่าใบหน้างดงามกลับยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ณ เวลานี้ได้สิ้นสุดการเดินทางที่ยาวไกลแต่ใช่ว่าจะไม่ออกไปไหนอีกเลย เพียงแต่เวลานี้หมอเทวดาจิวชงหยวนได้มีสำนักเซียนโอสถเป็นของตนเองบนหุบเขาเทียนซานซึ่งปกคลุมไปด้วยม่านหมอกในฤดูเหมันต์ ผ่านมาหนึ่งปีหลังจากท่องยุทธภพเที่ยวตามหาลูกศิษย์ที่ใฝ่รู้การแพทย์ แม้จะได้มาแค่ยี่สิบคนทว่าทุกคนกลับชาญฉลาดเรียนรู้ได้เร็ว ที่สำคัญต่างไม่มีญาติพี่น้อง หรือจะเรียกให้ถูกคือเก็บเด็กน้อยขอทานมาฝึกเสียมากกว่า
    
        ร่างโปร่งบางนั่งเอนหมอนอิงมองผู้ที่มาขอทดสอบขอเรียนแพทย์เป็นศิษย์สำนักเซียนโอสถอย่างพิจารณา ใช่เวลานี้จิวชงหยวนเปิดรับผู้คนทั้งยุทธภพที่ไฝ่รู้การแพทย์แต่จะรับเป็นศิษย์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการสอบ ขั้นแรกคือการดั้นด้นขึ้นมาเขาเทียนซานด้วยตนเอง ขั้นที่สองทดสอบสติปัญญาและขั้นที่สามทดสอบคุณธรรมในจิตใจซึ่งเขาเป็นคนคัดเลือกด้วยตนเอง
    
         ทว่าคนที่มาใหม่ในเวลานี้กลับยืนนิ่งมองจิวชงหยวนอย่างตื่นตะลึงกับความสง่างามอาภรณ์สีขาวขลิบทองดูล้ำค่าสูงส่ง อีกทั้งใบหน้างดงามไร้ที่ติ
    
        “บังอาจยังไม่คุกเข่าอีก” จุ้ยซิงตะโกนก้องบอกผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจ ซึ่งเจ้าตัวเหมือนจะได้สติรีบคุกเข่าลงทว่าดวงตากลับไม่ล่ะห่างจากคนตรงหน้า
    
       “กลับไปซะ” จิวชงหยวนบอกอย่างเกียจคร้าน คนตรงหน้าไม่ผ่านตั้งแต่เข้ามาแล้ว จุ้ยซิงจึงพุ่งเข้ามาพาตัวออกไป
    
       “ท่านจ้าวสำนักโปรดอภัยให้ข้าที่เสียมารยาท แต่ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยขอรับ ข้าตั้งใจจริงที่อยากเป็นศิษย์ของสำนักเซียนโอสถโปรดให้โอกาสข้าน้อยแก้ตัวสักครั้ง” เด็กหนุ่มตรงหน้าร้อนรนบอกกล่าวเมื่อรู้ว่าตนเสียมารยาทมากเกินเพราะตั้งแต่มันเกิดมาจนสิบหกปียังไม่เคยเห็นผู้ใดงดงามเช่นนี้มาก่อน
    
         จิวชงหยวนหรี่ตามองดวงตาแน่วแน่ของอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะยกมือให้จุ้ยซิงปล่อยตัว ร่างสูงโปร่งใบหน้ามอมแมมเพราะกว่าจะมาถึงเทือกเขาเทียนซานได้มิใช่เรื่องง่ายมิหนำซ้ำเจ้าตัวมาเพียงคนเดียว
    
        “ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบคำถามข้ามาหนึ่งข้อ หากตอบได้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์” น้ำเสียงหวานล้ำที่เอ่ยออกมาทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างดีใจคุกเข่าขอบคุณ
    
        “ขอบคุณท่านจ้าวสำนักที่เมตตา”
    
        “ไม่ต้องรีบขอบคุณข้า เพราะหากเจ้าตอบไม่ได้ก็คงกลับไปเช่นเดิม”
    
        “ข้าจะพยายามสุดความสามารถขอรับ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับกลับความแน่วแน่ของคนตรงหน้าหวังว่าไม่เก่งแต่ปากหรอกนะ
    
        “ปล่อยกายตามธรรมชาติ ไม่ข้องแวะในโลกวิสัย” เด็กหนุ่มตรงหน้าอึ้งไปหลังจากเจอปรัชญาที่แม้กระทั่งนักปราชญ์ยังยากจะตอบได้ ใบหน้าคมแบะปากเหมือนจะร้องไห้
    
        “เรียนท่านจ้าวสำนักตัวข้าเป็นลูกชาวบ้านตาดำๆ ไม่ได้เรียนสูงส่งมิอาจตอบคำถามยากเกินจะเข้าใจของท่านได้หรอกขอรับ” จิวชงหยวนนิ่วหน้าก็เป็นจริงดังที่เด็กน้อยกล่าวมา แต่ที่ลองเชิงปรัชญาข้อนี้เนื่องจากมีคนอยากแฝงตัวเข้าตำหนักของเขา
    
        “หากตอบไม่ได้ก็กลับไปเสีย กฎย่อมเป็นกฎ” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไปปล่อยให้เด็กน้อยคอตกเดินกลับไปหาคำตอบด้วยตนเอง หากไม่มีไหวพริบย่อมอยู่ได้ยากและเรียนรู้ได้ยากเช่นกัน
    
       “ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ” ลู่เฟยเดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม จิวชงหยวนหันไปมองเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับตำหนักดวงดาราพร้อมกัน
   
       “เจ้าน่าจะรู้คำตอบ พรรคอธรรมนี่ก็ขยันหาผู้คนมาเข้าสำนักข้าเสียจริง” จิวชงหยวนบอกอย่างเบื่อหน่าย ทำไมเขารู้นะหรือมีอวิ้นเซียนหอกิเลนที่เป็นแหล่งข่าวไว้คอยรับใช้มีหรือเรื่องแค่นี้จะพลาด จะว่าไปหูตาของอวิ้นเซียนนี่เยอะๆ จริงๆ ไม่ใช่แอบอยู่ในตำหนักของเขาด้วยหรอกนะ
    
        ลู่เฟยส่ายหน้ามองคนทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างขำๆ มือหนายื่นไปจับมือจิวชงหยวนอย่างให้กำลังใจ เพราะจะทำการใหญ่ย่อมมีปัญหาตามมา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาพร้อมจะอยู่เคียงข้างตลอดไป
    
       “ขออภัยท่านอาจารย์ที่รบกวนขอรับ คนที่มาทดสอบเมื่อวานมาขอพบอีกแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีใบหน้าใสไร้เดียงสาทว่ากลับฉลาดหลักแหลม ซึ่งจิวชงหยวนฉุดขึ้นมาจากโคลนตมเข้ามารายงานขณะเดินกลับตำหนักดวงดารา
    
        จิวชงหยวนนิ่วหน้านึกถึงเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีเมื่อวานที่ดั้นด้นมาเพียงแต่ตอบคำถามมิได้ และไม่ใช่ครั้งเดียวที่เจ้าตัวมาตอบคำถามของเขา แต่มาทุกวันตลอดหนึ่งสัปดาห์คาดว่าเจ้าตัวน่าจะอยู่ในป่าด้านล่างของสำนักเซียนโอสถ
    
       “เสี่ยวฉือเจ้าให้ไปพบข้าที่ตำหนักดวงดาราแล้วกันข้าขี้เกียจย้อนกลับ” จิวชงหยวนหันไปบอกก่อนจะเดินกลับตำหนักเมื่อร่างเล็กนั้นก้มหน้าคารวะถอยห่างจากไปตามคำสั่ง
    
       “มีความพยายามดีนะ เด็กนั่นมีนามว่าอะไร” ลู่เฟยเอ่ยถามเมื่อจำได้ว่าเด็กน้อยที่ไม่ละความพยายามแม้จะไม่ผ่านการทดสอบด่านปัญญาแต่ความอดทนมุมานะนั้นต้องยอมรับ
    
       “เทียนฉิน” จิวชงหยวนตอบกลับเสียงเรียบ สองเท้ามาหยุดที่หน้าห้องพักหันไปมองคนที่เดินตามมา    “วันนี้ไม่ออกไปที่ใดหรือ” ลู่เฟยส่ายหน้าแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง จิวชงหยวนจึงเดินตามมาเงียบ ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะใหญ่แม้ตำหนักดวงดาราจะเป็นที่พักของเขาแต่ก็มีพื้นที่พอจะรับแขก
    
        “ข้าได้ยินแคว้นโหลวหลันมีโรคประหลาดเกิดขึ้น แต่จากที่ห่างไกลมากนักเจ้าไปดูหรือไม่” ลู่เฟยนั่งข้างกายจับเส้นผมเงางามของอีกฝ่ายเล่น จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดถึงแคว้นดังกล่าวซึ่งอยู่ทางตอนเหนือห่างไกลจากไปหลายพันลี้
    
       “โรคประหลาดหรือ อาการเป็นเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนหันมามองเอ่ยถามอย่างสนใจ ลู่เฟยครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะปล่อยมือจากเรือนผมหันไปรับจอกชาที่จิวชงหยวนรินให้
    “เห็นว่ามีไข้ ตาแดง ปวดน่อง บ้างก็ไอเป็นเลือด” จิวชงหยวนนิ่วหน้ากับอาการดังกล่าว หากคาดเดาไม่ผิดน่าจะเป็นโรคฉี่หนูหรือเปล่า คงต้องลงไปตรวจสอบด้วยตนเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
    
         “ท่านอาจารย์ข้าพาผู้ทดสอบมาขอพบขอรับ” เสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกดังมาจากหน้าประตูทำให้จิวชงหยวนละสายหันไปมองก่อนเอ่ยปากอนุญาต
    
         “เข้ามา” ประตูเปิดออกตามมาด้วยเสี่ยวฉือเดินนำเด็กหนุ่มเข้ามา จิวชงหยวนมองดูเทียนฉินที่ไม่ละความพยายามที่จะเข้าสำนักเซียนโอสถแห่งนี้
    
          “คารวะท่านจ้าวสำนักขอรับ” เด็กหนุ่มคุกเข่าทำความเคารพอย่างนอบน้อม ใบหน้ามอมแมมเพราะอยู่ในป่ามาหลายวันเสื้อผ้ายังขาดแหว่งและสกปรกมอมแมมทว่าจิวชงหยวนไม่ได้ใส่เรื่องนี้
    
          “เจ้าตอบคำถามข้าได้แล้วหรือเทียนฉิน” คำเรียกที่อ่อนโยนทำให้เจ้าของชื่อฉีกยิ้มอย่างดีใจ อย่างน้อยท่านจ้าวสำนักก็จำชื่อมันได้
    
         “ขอรับ แต่ข้าน้อยยังด้อยปัญญามิรู้ว่าจะใช่อย่างที่ท่านจ้าวตำหนักต้องการหรือไม่ขอรับ” จิวชงหยวนหรี่ตามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่าพึงพอใจหนึ่งสัปดาห์มานี้ดูเหมือนเจ้าตัวจะพัฒนาไปมากรู้จักใช้คำพูดมากขึ้น และคำถามของเขาเป็นคำถามเดียวกับที่คนพรรคอธรรมส่งมาเพียงแต่ยังมิมีผู้ใดตอบได้เท่านั้นเอง
    
        “ตอบคำถามข้ามาเถิด”
    
         “ปล่อยกายตามธรรมชาติ ไม่ข้องแวะในโลกวิสัย หมายถึง พืชบนเขาไม่มีใครใส่ปุ๋ย นกในป่าไม่มีใครเลี้ยงดู แต่รสชาติของมันหอมหวนและเข้มข้น คนเราแม้ไม่ได้ติดเชื้อโลกีย์วิสัย ความประพฤติปฏิบัติ ก็ย่อมผิดแผกแตกต่างจากผู้อื่นไป หากมิได้ถูกมอมเมาด้วยโลกียวิสัย สามารถจะรักษาไว้ซึ่งจิตดังเดิมอันบริสุทธิ์ คุณธรรมจะเหนือคนทั้งปวง ข้าตอบถูกต้องหรือไม่ขอรับ”
    
          คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบาง ปรบมือให้เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ใช้ความพยายามมาหลายวันในการตอบปัญหาข้อนี้ มันไม่ใช่ปัญหายากแต่อย่างไร แค่อยากสื่อให้รู้ว่าคนเรานั้นหากไม่หลงใหลในโลกีย์วิสัย ชีวิตจะดำเนินไปอย่างสงบสุข ธรรมชาติยังอยู่ด้วยตัวมันเองได้ไยคนเราต้องดิ้นรนไขว่คว้าในสิ่งที่มิใช่ของตน ความอยาก ความกระหายจะนำพาให้จุดจบไม่ต่างจากฝ่ายอธรรม
    
         “ความพยายามของเจ้าในวันนี้จงจดจำตลอดไป อย่าได้ให้อำนาจใดมาเปลี่ยนจิตใจอันดีของเจ้า ต่อไปนี้เจ้าคือศิษย์คนที่ยี่สิบเอ็ดของสำนักเซียนโอสถ เสี่ยวฉินจะบอกกฎระเบียบแก่เจ้าให้รู้ ไปพักเถิดเจ้าคงเหนื่อยมามากแล้ว” ทันทีได้ยินว่ารับเป็นศิษย์เด็กน้อยที่ใช้ความพยายามอันสูงส่งถึงกลับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ก้มคารวะอย่างสุดซึ้งมันจะจดจำคำสั่งสอนนี้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
    
        “เสี่ยวฉินพาศิษย์น้องเจ้าไปพักเถอะ และหาข้าวปลาให้กินด้วย พึ่งพาแค่ผลไม้มิอาจให้ฟื้นกำลังที่เสียไปได้หรอก”
    
         “ขอรับอาจารย์”
    
         “ขอบคุณท่านจ้าวสำนักที่เมตตา” เด็กหนุ่มทั้งสองกล่าวลาก่อนจะจากไป จิวชงหยวนมองตามร่างของทั้งคู่อย่างครุ่นคิด ในเวลานี้ทุกคนถูกฝึกอย่างอดทน แม้จะเพียงแค่ปีเดียวแต่ก็เก่งกาจไม่น้อยกว่าผู้ใหญ่บางคน
    
       “สมใจเจ้าแล้วล่ะสิ” ลู่เฟยกล่าวหยอกล้อ เพราะเด็กหนุ่มเมื่อครู่แม้จะอยู่ตีนเขาตำหนักแต่จิวชงหยวนก็ไปสอดแนมแอบดูอยู่ตลอดหลายวันเช่นกัน
    
        หลังจากเฝ้ามองและตามสืบเงียบๆ ทำให้จิวชงหยวนรู้ว่าเด็กน้อยผู้นี้ก็ขาดญาติไร้มิตรเพราะบิดามารดาได้จากไปเพราะโรคระบาดเมื่อหนึ่งปีก่อนที่เมืองต้าเหลียงก่อนที่พวกเขาจะไปรักษา และได้ยินชื่อเสียงของเขาจึงได้ดั้นด้นมาถึงเทือกเขาเทียนซานนับว่ามีความพยายามมาก ทั้งๆ ที่ยังเยาว์วัยแม้จะเข้าสู่วัยหนุ่มแต่สำหรับเขาแล้วยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น
    
       “อื้ม ว่าแต่เด็กที่ฝึกวรยุทธเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างตัวด้วยความสนใจ แม้ที่นี่จะเป็นตำนักเซียนโอสถแต่ใช่ว่าจะฝึกสอนด่านการปรุงยาเพียงอย่างเดียว ขั้นแรกเขาสอนให้จำสมุนไพรที่มากกว่าพันชนิดและแยกให้ออกอะไรเป็นอะไร เมื่อสอบผ่านขั้นแรกแล้วจะเปลี่ยนตารางการสอนจากช่วงเช้าเรียนแยกสมุนไพร ปรุงยาแบบง่ายๆ ช่วงบ่ายจะเขียนการอ่านเขียน และวันถัดไปจะเปลี่ยนเป็นสอนวรยุทธเพื่อไม่ให้เบื่อหน่ายในการเรียน และผู้ที่อยากมีวรยุทธต่างก็ขยันจดจำสมุนไพรได้อย่างรวดเร็ว
    
        “ฝึกง่ายกว่าพวกที่มีวรยุทธเสียอีก” ลู่เฟยตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะคว้าร่างโปร่งบางไปนั่งบนตัก จิวชงหยวนมองตาขวาง เพราะว่างเว้นเมื่อไรมือไม้นี่ยิ่งกว่าหนวดปลาหมึกเสียอีก
    
       “ไม่ให้รางวัลข้าบ้างหรือ” ดวงตาคมที่มองมาฉายแววออดอ้อน จิวชงหยวนมองคนที่ทุ้มเททุกอย่างเพื่อให้เขาเป็นเซียนแล้วอดรู้สึกสงสารเจ้าตัวไม่ได้ แม้เขาไม่ได้คาดหวังจะได้เป็นเทพเซียนแต่หากชีวิตเขาดับสูญอีกครั้งคนตรงหน้ายังจะเป็นลู่เฟยที่เขารู้จักในเวลานี้หรือไม่
    
        “เดี๋ยวเย็นนี้จะทำขนมชั้นดอกกุหลาบให้กิน” คนฟังนิ่วหน้ากับคำตอบ ใบหน้าขรึมลงจ้องมองคนเอาของกินมาให้รางวัลแล้วถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เขาอยากได้จูบเป็นรางวัลแต่คนตรงหน้ากลับทำหน้ามึนใส่จนน่าหมั่นเขี้ยว
    
       “ข้าไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้น”
    
       “แสดงไม่กิน งั้นข้าจะได้ไม่ทำ”
    
       “ใครบอก ข้าจะกินขนมที่เจ้าทำและก็จะกินเจ้าด้วย” จิวชงหยวนมองคนตาพราวระยับที่คิดหื่นกามตัวเองอย่างนึกขำ แม้คนตรงหน้าหน้าตาจะเปลี่ยนบ้างเพราะยังมีความเป็นมนุษย์อายุย่างเข้ายี่สิบหกปีแต่ว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือความหื่นของเจ้าตัว ทว่าขณะนั้นแสงสว่างก็เจิดจ้าทั่วห้องขัดบรรยากาศของคนจะอุ้มภรรยาเข้าห้องหอ?
    
        “อะแฮ่ม...ขออภัยที่ขัดจังหวะท่านแม่ทัพสวรรค์ เวลานี้หมดหน้าที่ของท่านแล้ว เง็กเซียนฮ่องเต้มีคำสั่งให้ท่านกลับคืนสู่สวรรค์ ทำหน้าที่ของท่านต่อไป”
    
         จิวชงหยวนมองเทพหนุ่มตรงหน้าอย่างสนใจ เพราะเคยดูแต่ในซีรีย์จีนทว่ายังไม่เคยเห็นตัวจริง เทพเอ้อหลางหรือเทพสามตาหลานชายของเง็กเซียนฮ่องเต้ ก่อนจะสะกิดใจคำว่าพากลับสวรรค์หันไปมองลู่เฟยที่มีสีหน้าเรียบเฉยอีกทั้งดวงตาที่ดูว่างเปล่ามองกลับไปแล้วรู้สึกใจหาย
    
         “มาเร็วกว่าที่คิด” ลู่เฟยกล่าวเสียงเรียบมองคนส่งสาร ไม่สิ ไม่ใช่แค่ส่งสารแต่จะพาเขากลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะหันมามองคนในตักที่จ้องมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
    
         “หมายความอย่างไร มิใช่เจ้าต้องอยู่โลกมนุษย์จนกว่าจะหมดสิ้นอายุขัยขององค์ชายห้าหรอกหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างตัวด้วยความสับสน หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อคิดว่าจะไม่ได้พบเจอลู่เฟยอีกครั้ง ตอนนี้เขารู้สึกอึ้งและทำอะไรไม่ถูกเป็นครั้งแรก
    
       “ข้าให้เวลาท่านร่ำลาจิวชงหยวนหนึ่งก้านธูป” เทพเอ้อหลางที่มีทวนสามง่ามใส่ชุดผู้คุมสวรรค์เต็มยศกล่าวเสียงเรียบ ทว่าใบหน้ากลับฟาดเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
    
      “ความจริงแล้วลู่เฟยในร่างมนุษย์ได้สิ้นอายุขัยเมื่อห้าปีก่อนที่จะได้พบเจ้าและข้าได้มาสวมรอยแทนเท่านั้น และเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามบัญชาจึงมีคำสั่งให้กลับสวรรค์” ลู่เฟยอธิบายเสียงเรียบเหมือนพูดเรื่องพยากรณ์อากาศ ทว่าคนฟังกลับนิ่งงัน
    
       “เจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
    
        จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงเรียบ ก้มหน้ามองมือตัวเองที่สั่นระริก ทั้งชีวิตเขาใช่ว่าเขาจะไม่เคยสูญเสียคนสำคัญ แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนที่ตนรักต้องทิ้งเขาไปหมดทุกคน แม้แต่คนที่ยอมเปิดใจให้ยังต้องจากไปเพราะคำบัญชาสวรรค์ ชาติที่ผ่านมาเขาทำผิดสิ่งใดกันถึงต้องพลัดพรากครั้งแล้ว ...ครั้งเล่า
    
       “เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าขอโทษข้าไม่อยากให้เจ้าคิดมาก อีกอย่างข้าต้องกลับมาหาเจ้าอีกครั้งข้าให้สัญญา”
    
         จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนที่จับมือเขาแน่นอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาคิดว่าชาตินี้จะไม่ร้องไห้อีกแต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจเขาถึงรู้สึกรวดร้าวเจ็บปวดจนแทบอยากหลั่งน้ำตาให้หายอัดอั้นตันใจ ความสุขที่คิดว่าจะอยู่ได้นานแสนนานเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นจริงๆ หรือ
    
        “โปรดเชื่อใจข้า” ลู่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังแววตาคมที่จ้องมองมานั้นทำให้ความรู้สึกอบอุ่นในใจ แม้จะเชื่อมั่น ทว่าในส่วนลึกของหัวใจกลับหวาดกลัวว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบเจอ แต่จิวชงหยวนก็เลือกที่จะยิ้มออกมา
    
        “อื้ม ข้าจะรอ”
    
        ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะก้มจุมพิตริมฝีปากของคนรักอีกครั้ง โดยไม่สนใจสายตาชำเลืองมองของเทพหนุ่มที่หันหน้าหนีแทบไม่ทัน รสจูบครั้งนี้กลับดูดดื่มจนคนเริ่มไม่อยากหยุดมือ จิวชงหยวนเองก็ไม่ได้ผลักไสดังเช่นทุกครั้งเพราะไม่รู้ว่านี่จะเป็นจูบครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะฉะนั้นเขาอยากเก็บเกี่ยวความสุขตรงหน้าไว้ให้มากที่สุด มือหนาซุกซนลูบไล้ไปตามเรือนร่างโปร่งบาง เสื้อผ้าเริ่มหลุดลุ่ยลง การร่ำลาที่ร้อนแรงของทั้งคู่ทำเอาเทพหนุ่มที่ไร้ความรู้สึกมาเนิ่นนานถึงกลับหน้าแดงก่ำด้วยความอาย
    
        “พวกเจ้านี่มันหน้าด่านจริงๆ ข้าออกไปรอข้างนอก เรียบร้อยเมื่อไหร่ก็เรียกแล้วกัน”
    
        เทพเอ้อหลางบอกพร้อมหายวับออกไปนอกตำหนักให้ไฟสวาทภายในห้องลุกโซนต่อไปเพราะอย่างไรคงห้ามไม่ทัน และที่สำคัญตนมิได้ใจร้ายขนาดนั้น แม้จะไม่เคยมีความรักฉันท์หนุ่มสาวแต่ความรักของเขาที่มีแต่มารดาก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด...   
    
       

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0

เกิน20000คำต่อจากเมื่อครู่ค่ะ

       

          ผ่านมาหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ลู่เฟยกลับคืนสู่สวรรค์โดยร่างมนุษย์ได้แตกเป็นละอองไปกับสายลม เหตุนี้จิวชงหยวนจึงไม่ได้บอกผู้ใดว่าลู่เฟยหายไปไหน หลังจากนั้นเขาก็ได้ฝึกสอนให้คนในตำหนักเรื่องวรยุทธเองและมีจุ้ยซิงคอยช่วยเหลือพร้อมด้วยเฟิงอวี้อดีตช่างตีกระบี่ซึ่งมาเป็นลูกศิษย์เขาตามที่ได้ลั่นวาจาไว้
    
         ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจิวชงหยวนได้เดินทางไปเมืองโหลวหลันซึ่งได้ข่าวว่ามีโรคประหลาดแต่เมื่อลงไปสำรวจกลับเป็นโรคฉี่หนูจริงๆ เขาใช้เวลารักษาผู้คนเพียงแค่สัปดาห์เดียวก่อนจะเดินทางกลับสำนักเพราะให้จุ้ยซิงกับเฟิงอวี้ดูแลสองคนเท่านั้นกลัวว่าพรรคมารจะมาก่อความวุ่นวาย แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมจนชื่อเสียงเซียนโอสถโดยมีหมอเทวดาจิวชงหยวนหรืออีกนามว่าหมอเทวะมารเป็นจ้าวตำหนักดังขจรไกลไปทั่วยุทธภพทำให้ไม่มีใครกล้ามาคิดลองดี
    
       “ท่านอาจารย์ประมุขพรรคเทพจันทรามาขอพบขอรับ” คำรายงานในวันนี้ทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะหย่งเจิ้นมีงานเยอะอีกทั้งคอยช่วยเหลือไป๋เสวี่ยที่ขึ้นครองราชเป็นฮ่องเต้อีกทั้งคอยดูแลคนในพรรคมิคิดว่าวันนี้จะดั้นด้นมาถึงเทือกเขาเทียนซานเช่นนี้
    
       “เชิญเข้ามา” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมประตูเปิดออก ร่างสูงสง่าใบหน้าคมคายและดวงตาเรียบนิ่งมองมานั้นฉายแววกังวลใจ
    
       “เชิญนั่งก่อนสิ มิคิดว่าเจ้าจะมาเยี่ยมข้าที่นี่” จิวชงหยวนผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงพร้อมรินน้ำชาให้อย่างมีมารยาท มุมปากยกยิ้มยินดีอย่างน้อยก็ได้เจอสหายเก่าที่ไม่ได้พบหน้ามานาน
    
        “ขอบคุณ” หย่งเจิ้นตอบรับพร้อมรับจอกชามาจิบ ก่อนจะเงยหน้ามองใบหน้างดงามที่ไม่ว่าผ่านมากี่ปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง
    
        “เจ้าสบายดีใช่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างห่วงใยเพราะคนตรงหน้าหักโหมการงานจนน่าห่วง แม้ไม่ได้พบเจอแต่ก็ได้ยินข่าวมาเป็นบ้าง
    
       “ข้าสบายดี ว่าแต่เจ้าเถอะพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าลู่เฟยหายไปไหน เหตุใดถึงไม่อยู่กับเจ้า” คำถามของคนที่ดั้นด้นมาถึงที่นี่ทำให้จิวชงหยวนยิ้มบาง คนตรงหน้าห่วงใยเขาด้วยใจจริงจนน่าละอายใจที่ไม่สามารถตอบแทนสิ่งใดได้เลย หย่งเจิ้นไม่เคยต้องการอะไรจากเขาอีกทั้งไม่เคยปริปากขอความช่วยเหลือ จึงทำให้เขารู้สึกติดหนี้น้ำใจอย่างใหญ่หลวง
    
        “เจ้ามาหาข้าเพราะเรื่องนี้เองหรอกหรือ” หย่งเจิ้นพยักหน้ายอมรับ เพราะผิดปกติเกินไปที่ไม่มีใครรู้ว่าลู่เฟยหายไปอย่างไร้ร่องรอย
    
        “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอก” จิวชงหยวนตอบรับอย่างว่าง่าย มองดวงตาคมที่มองเขาอย่างห่วงใยด้วยความจริงใจแล้วยิ้มบาง ใช่ว่าเขาจะไม่เสียใจที่ต้องพลัดพรากจากคนที่รักแต่เขาเชื่อมั่นว่าสักวันลู่เฟยต้องกลับมาดั่งคำมั่นสัญญา เขาจะรอถึงวันนั้น วันที่สวรรค์เห็นแก่ความรักของพวกเขา
    
       “ลู่เฟยกลับสวรค์ไปแล้ว” คำตอบง่ายๆ ของคนที่ยิ้มอ่อนโยนทำให้หย่งเจิ้นนิ่งไปมองอีกฝ่ายว่าพูดจริงหรือว่าล้อเล่น ทว่าดวงตาที่ฉายออกมานั้นเศร้าหมองแม้เพียงชั่วครู่แต่ก็บ่งบอกว่านั่นคือเรื่องจริง
    
       “ข้ามิเข้าใจ” หย่งเจิ้นตอบกลับด้วยความสับสน
    
       “เดิมทีเจ้าน่าจะรู้ว่าลู่เฟยเป็นแม่ทัพสวรรค์”
    
         “ใช่เรื่องนั้นข้ารู้ แต่ข้าไม่เข้าใจลู่เฟยเป็นองค์ชายห้าจะกลับสวรรค์ได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือแล้วคนที่ต้องแบกรับเป็นองค์ชายห้าล่ะ” จิวชงหยวนมองคนถามอย่างเข้าใจเพราะหากลู่เฟยกลับสวรรค์ก็หมายถึงจะไม่มีองค์ชายห้าลั่วลู่เฟยอีกแล้ว
    
        “ความจริงองค์ชายห้าได้ตายไปแล้ว ลู่เฟยซึ่งเป็นแม่ทัพสวรรค์จึงได้มาสวมรอยแทนตามคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ลงมาเพื่อนำลั่วเหยียนเจิ้งบุตรสวรรค์ขึ้นครองบัลลังก์ และในเวลานี้ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว จึงต้องกลับสู่สวรรค์และร่างที่แท้จริง” จิวชงหยวนอธิบายเสียงเรียบคล้ายไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เป็นคนต้องแบกรับความเจ็บปวดไว้ทั้งหมด
    
         หย่งเจิ้นอึ้งไปกับคำตอบนี่หมายความว่าลู่เฟยยอมทิ้งให้จิวชงหยวนอยู่คนเดียวในโลกมนุษย์เช่นนั้นหรือ ทำไมกันทั้งๆ ที่คนตรงหน้าเขานี้เลือกที่จะรักอีกฝ่ายยังทอดทิ้งได้ง่ายดายนัก ดวงตาคมมองร่างโปร่งบางที่สงบนิ่งมากกว่าเดิม อาจเป็นเพราะเดี๋ยวนี้เจ้าตัวเป็นถึงจ้าวสำนักที่ต้องทำตัวให้ผู้คนเชื่อถือ อีกทั้งภาระหน้าที่ที่มากขึ้น จึงทำให้จิวชงหยวนสงบนิ่งในทุกสถานการณ์อย่างนั้นหรือ หากจิวชงหยวนเลือกที่จะรักและครองคู่ไปกับเขาเรื่องทุกอย่างคงไม่ลงเอยเช่นนี้
    
        “เจ้าคิดมากไป ข้ามิได้เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเลือก เจ้าเป็นสหายที่ดีข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเจอคนที่ตัวเองรักและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา” คำกล่าวของร่างโปร่งบางเหมือนมานั่งอยู่กลางใจ ทั้งๆที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
    
       “เดี๋ยวนี้เจ้ามีวิชาอ่านใจแล้วหรือ” คำถามของหย่งเจิ้นทำให้จิวชงหยวนหัวเราะออกมาเบาๆ
    
         “ข้าเป็นถึงจ้าวสำนักเซียนโอสถหากดูคนไม่ออกสำนักก็คงไม่รอด” จิวชงหยวนกล่าวออกมาไม่ได้เกินความจริง เพราะเขาต้องรู้จักไตร่ตรองให้มาก ไม่เช่นนั้นฝ่ายอธรรมคงเพ่นพ่านเต็มสำนักแน่ๆ
    
       “ว่าแต่เจ้าเถอะมาเพราะเรื่องนี้หรือ” หย่งเจิ้นพยักหน้ายอมรับ เพราะความห่วงใยจึงได้ดั้นด้นมาเทือกเขาที่มีแต่ม่านหมอกและปกคลุมด้วยป่าที่ยากต่อการมาถึงในเทือกเขาเทียนซานเช่นนี้ เขาดีใจที่จิวชงหยวนคิดจะตั้งหลักมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ถึงอย่างไรในหัวใจของคนตรงหน้าก็มิเคยมีเขาอยู่ในนั้น
    
       “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานลู่เฟยจะกลับมา อย่าลืมสิข้ามีอายุอีกหลายร้อยปีอย่างไรสักวันหนึ่งพวกเจ้าก็ต้องจากข้าไปอยู่ดี” หย่งเจิ้นอึ้งไปกับความจริงข้อนี้เพราะตนลืมไปเสียสนิท จิวชงหยวนมองโลกด้วยสัจธรรมมากขึ้น เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งธรรมชาติ แต่หากช่วยเหลือได้ก็จะทำสุดความสามารถ
    
      “เมื่อนั้นข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง” หย่งเจิ้นกล่าวตอบกลับมาด้วยความจริงใจ จิวชงหยวนยกยิ้มบางเพราะใครๆ ก็กล่าวเช่นนี้
    
      “ถึงแม้จะเป็นเพียงสหายอย่างนั้นหรือ”พอสิ้นคำถามหย่งเจิ้นถึงกลับนิ่วหน้า มองดวงตาเรียวสวยที่ไม่เจืออารมณ์อื่นออกมา นอกจากเห็นเขาเป็นเพียงสหายผู้หนึ่งเท่านั้นก่อนจะถอนหายเฮือกอย่างปลงๆ
    
       “แค่ได้รักก็พอแล้วมิใช่หรือ” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนกอดอกมองคนรักเดียวใจเดียวอย่างห่วงใย เห็นทีหากได้เจอเฒ่าจันทราอีกครั้งจะเอ่ยถามเนื้อคู่หย่งเจิ้นดูเสียหน่อย
    
       “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเจอคนที่ใช่ในไม่ช้า หากเมื่อไรที่รู้ใจตัวเองก็อย่าปล่อยไปล่ะ” หย่งเจิ้นยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ คว้าผลสาลี่ใกล้มือเข้าปากเพราะเดินทางรอมแรมมานานยังไม่มีอะไรแตะถึงท้อง จิวชงหยวนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
    
       “รออยู่นี่แล้วกันข้าจะไปทำอะไรให้ทาน” จิวชงหยวนบอกพร้อมลุกขึ้นเดินออกไปนอกตำหนักก่อนจะสะกิดปลายทางห้องครัว อาหารที่เลี้ยงลูกศิษย์ล้วนแล้วต้องทำกินกันเองและแบ่งเวรยามเพื่อฝึกฝนการเอาตัวรอดเมื่อไม่มีเขาคอยดูแล นานครั้งถึงจะเข้าครัวทำให้ลูกศิษย์ตัวน้อย สายตามองไปยังลานฝึกวรยุทธที่มีจุ้ยซิงช่วยสอนอย่างไม่มีตกบกพร่อง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่พาจุ้ยซิงติดตามออกมาด้วย อีกทั้งดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความสุขไม่น้อยกับเส้นทางนี้ ร่างโปร่งบางกระชับผ้าคลุมขนจิ้งจอกกระชับกลับลมหนาวข้างนอกก่อนจะเร่งปลายเท้าไปยังห้องครัวเมื่อยังมีคนหิ้วท้องรออยู่
    
        นานเท่าไรแล้วนะที่เขาได้เข้าห้องครัว ไม่สิ... ก็แค่ตั้งแต่ลู่เฟยกลับสู่สวรรค์เท่านั้นเอง
    
         หย่งเจิ้นอยู่เป็นเพื่อนและช่วยฝึกซ้อมวรยุทธให้ลูกศิษย์จิวชงหยวนนานกว่าหนึ่งเดือน ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองทว่าเพียงแค่นี้เขาก็รู้สึกซึ้งใจแล้ว ส่วนลูกศิษย์คนแรกอย่างอวิ้นเซียนก็เทียวไปเทียวมาจนเขาเริ่มเบื่อขี้หน้าเพราะเจ้าตัวห่วงเขาเรื่องที่ลู่เฟยกลับสู่สวรรค์เกินกว่าเหตุ และกลัวว่าเขาจะเหงาถึงเอาลูกกิเลนตัวน้อยมาให้เลี้ยงอยู่เป็นเพื่อน แต่สำหรับเขาว่ามันคือตัวปัญหาเสียมากกว่าเพราะมันไม่อยู่นิ่งเหมือนสุนัขในเมืองไทยเสียหน่อย
    
        “เสี่ยวฉือเอาหูซานไปนอนห้องเจ้า”
    
        จิวชงหยวนหันไปมองลูกศิษย์ที่เป็นศิษย์พี่และเป็นคนแรกๆ ของสำนักทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกมองกิเลนที่พ่นน้ำออกมาตรงหน้าแต่ก็พยายามลากมันติดตามไปด้วย แม้จะใช้แรงมากกว่าปกติก็ตาม จิวชงหยวนมองกิเลนที่ใหญ่ครึ่งตัวของเสี่ยวฉืออย่างขำๆ ก่อนจะมองพื้นที่โดยรอบเปียกปอนเพราะมันพ้นน้ำเล่นจนพื้นพรมเปียกจนหมด เห็นทีเป็นอย่างนี้คงได้มีการอบกิเลนราดซอสกินแน่ๆ
   
        ร่างโปร่งบางเดินมาหยุดริมหน้าต่างเหม่อมองท้องฟ้าที่มีดาวกระจ่างเต็มท้องฟ้า ผ่านมาเกือบสามเดือนที่ลู่เฟยจากไป แม้เวลาบนสวรรค์จะน้อยนิดแต่หัวใจเขากลับเจ็บปวดเพราะเวลาบนโลกมนุษย์เดินเร็วกว่าสวรรค์มากนัก สำนักเซียนโอสถที่ตั้งขึ้นมีลูกศิษย์ที่ขยันขันแข็งจนหายห่วง เพียงไม่กี่ปีคงออกไปท่องทั่วยุทธภพเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหมือนที่เขาเคยเป็น ในยุทธจักรนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ไปเยือนมาหมดแล้วและทำให้รู้ว่ายังขาดแคลนแพทย์มากเขาจึงได้ก่อตั้งสำนักนี้ขึ้นมาเพื่ออนาคตข้างหน้า
   
        ปลายฝันธารหนาวดาวหดหู่
    ยังสู้ความเดียวดายฉายฉาน
    ความเศร้าสร้อยร้องเสียงเพลงกังวาน
    แม้นหมื่นไมล์รัติติกาลยังได้ยิน...
    
        มือจับขลุ่ยหยกที่เป็นของหมั่นต่างหน้าอย่างแสนคิดถึง เจ็บปวดแต่มิอาจพูดออกไปได้ คิดถึงแต่มิอาจบอกกล่าวคนที่ห่างไกล ได้แต่เก็บไว้ในใจและเฝ้ารออย่างอดทน ขลุ่ยหยกแตะริมฝีปากแผ่วเบา เสียงเพลงแว่วผ่านไปตามสายลมหวังจะส่งไปถึงคนไกล เสียงเพลงเศร้าหมองสะท้อนหัวใจคนฟังจนน้ำตาหลั่งริน ทว่าคนร้องมีเพียงดวงตาที่เศร้าหมองเท่านั้นเพราะสัญญากันตนเองแล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีก
    
        ร้องไห้กับเดือน...
    
         นั่นเป็นบทเพลงที่ทำให้หัวใจเทพหนุ่มสะท้าน หันไปมองเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างรอคำสั่ง เมื่อได้รับการพยักหน้าใบหน้าที่เรียบนิ่งยกยิ้มบางเบาก่อนจะคารวะขอบพระทัยแล้วพุ่งลงสู่โลกมนุษย์เพื่อกลับไปหาคนรักอีกครั้งตามคำมั่นสัญญา
    
          แสงสีขาวเจิดจ้าสว่างทั่วห้องทำให้ผู้ที่ยืนเหม่อมองท้องฟ้าหันกลับมามอง ร่างสูงสง่างามในชุดแม่ทัพสวรรค์เต็มยศยื่นนิ่งอยู่เบื้องหน้า ในมือมีดอกบุปผาสวรรค์ช่อใหญ่ร่างนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจิวชงหยวนคนรักที่แสนจะคิดถึงพร้อมคำกล่าวหนักแน่น
    
        “ข้ากลับมาตามสัญญา” จิวชงหยวนยกยิ้มบาง ก็ว่าจะไม่ร้องไห้แต่น้ำตากลับไหลออกมาอย่างยินดี มองดอกบุปผาสวรรค์ที่ถูกยื่นมาให้ เขาเป็นชายไม่ได้พิศวาสดอกไม้แต่เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเขาจะรับไว้ก็แล้วกัน ร่างโปร่งบางถูกรั้งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึง
    
        “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...” จิวชงหยวนสะอื้นกับอกของลู่เฟยเบาๆ มือที่สั่นนั้นยกขึ้นกอดร่างหนาด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนจะกระซิบตอบกลับด้วยหัวใจที่พองโต ความรู้สึกสุขใจเอ่อล้นภายในใจ สิ้นสุดแล้วกับการการรอคอย
    
        “ข้าก็คิดถึงเจ้า” ลู่เฟยผละออกจากจิวชงหยวนเล็กน้อย ก้มลงประทับจุมพิศหนักหน่วงบนริมฝีปากบางอย่างโหยหา รสสัมผัสที่คุ้นเคยเรียกให้ร่างเล็กกว่าสนองการสัมผัสเร่าร้อนดังต้องมนตร์จนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ผ่านไปเนิ่นนานกว่าที่ทั้งคู่จะผละออกจากกัน สองมือใหญ่กอบกุมใบหน้างดงามด้วยความคิดถึงเพียงไม่ได้เห็นหน้าหัวใจก็ร้อนรนกระวนกระวาย เพียงไม่ได้ยินเสียงเหมือนชีวิตไร้ดวงวิญญาณ
    
        “แต่งงานกับข้านะ” คำขอเกินคาดหมายทำให้จิวชงหยวนอึ้งไป ใบหน้าฟาดแดงด้วยความอายเพราะอย่างไรเขาก็เป็นชาย อีกทั้งคนตรงหน้าก็เป็นชายจะมาแต่งงานคำนับฟ้าดินคงแปลกพิลึก แม้งานแต่งของลั่วหวังอู๋จะผ่านมาแล้วแต่นั่นเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ที่ไม่อาจขัดบัญชาได้
    
       “เอ่อ...คือข้าเป็นบุรุษ”
    
        “แล้วอย่างไร ข้าก็มิเคยเห็นเจ้าเป็นสตรีนี่” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนทำหน้าไม่ถูก แม้จะอายแต่เขากลับดีใจที่คนตรงหน้าคิดจะแต่งงานกับเขาอย่างเป็นทางการทั้งๆ ที่อยู่ร่วมกันมานาน แต่เมื่อดวงตาจริงจังที่ส่งมาทำให้พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะคว้าร่างโปร่งบางมากอดอีกครั้ง
    
        “เจ้าตกลงแล้วไปกันเถอะ”
    
        “ไปไหน!!...”
    
         จิวชงหยวนเอ่ยถามยังไม่ทันจบก็รู้สึกวูบ มองรอบกายอย่างมึนงงก่อนจะอึ้งไป ที่นี่เป็นเขาคุนหลุนที่อยู่กึ่งกลางสวรรค์และโลกมนุษย์ ทว่าสิ่งที่ทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปจนพูดไม่ออกคืองานแต่งที่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว และแขกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมากันครบถ้วนล้วนเป็นคนที่รู้จักทั้งนั้น
    
        จิวชงหยวนเดินตามแรงจูงมือของลู่เฟยเสื้อผ้าไม่รู้ว่าถูกเปลี่ยนเป็นชุดแต่งงานสีแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าคนที่ทำให้เขายืนเกร็งตอนนี้กลับเป็นคนเบื้องหน้าที่ดูมีอำนาจจนยากจะต่อกร ความงามสง่าของทั้งคู่ทำให้ไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา ทว่าหูกลับได้ยินคำนับฟ้าดิน และร่างกายเขากลับทำตามลู่เฟยเหมือนกับว่านี่มิใช่การแต่งงานครั้งแรก
    
        มือบางถูกลู่เฟยยกขึ้นกรีดเลือดบนฝ่ามือจนทำให้ร่างนั้นสะดุ้งหันไปมองคนทำตาดุ แต่แววตาจริงใจที่ส่งมาบอกให้เชื่อมั่นทำให้ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ลู่เฟยกรีดมือตัวเองตามยกมือประกบกับมือเขาไว้พร้อมเสียงนุ้มทุ้มกังวานที่ทำให้หัวใจอบอุ่น และรู้สึกว่าที่นี่คือบ้านที่แท้จริงที่เฝ้ารอมานาน
    
       “ข้าลู่เฟยแม่ทัพสวรรค์ขอให้คำสัตย์สาบานว่าจะรักและดูแลจิวชงหยวนภรรยาข้าเพียงผู้เดียวตราบสิ้นวิญญาณของข้า ใจเชื่อมจิต จิตเชื่อมดวงวิญญาณ สามภพเป็นพยานแก่พวกข้า หากข้าผิดคำสาบานแล้วไซร้ดวงวิญญาณจงแตกดับสูญสิ้นไม่เหลือแม้เศษธุรี” คำสาบานที่ทำให้สามภพสั่นสะเทือนทำให้คนฟังหนาวเยือกแต่คนกล่าวดวงตาหนักแน่นจริงจัง
    
      “ข้าก็เช่นกัน”
    
       จิวชงหยวนตอบรับด้วยหัวใจคงมั่น หากสูญสิ้นอายุขัยแล้วไซร้ขอให้จดจำคนผู้นี้ได้ตลอดไป ดวงตาเรียวสวยมองคนรักตรงหน้าด้วยความรักสุดหัวใจ ทั้งคู่คารวะเง็กเซียนฮ่องเต้ที่มาเป็นพยานให้จิวชงหยวนได้รับโอสถหมื่นทิพย์เป็นของขวัญก่อนที่จะจากไปเหลือเพียงแขกที่ไม่รู้ว่าลู่เฟยพาตัวมาอย่างไร
    
       หนึ่งในนั้นกลับมีหย่งเจิ้น ร่วมอยู่ด้วยทุกคนต่างร่ำสุรายินดีด้วยใจจริง แม้นี่มิอาจรู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝันแต่ทั้งคู่ก็รักกันมาเนิ่นนานแล้วจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี
    
       จิวชงหยวนมองทุกคนด้วยความรู้สึกสุขใจ แม้ทุกคนจะถูกดึงมาเพียงแค่ความฝันก็ตามแต่เชื่อว่าตื่นขึ้นมาย่อมจดจำได้อย่างแน่นอน ที่นี่ดูงดงามและยังตกแต่งในแบบที่เขาเคยวาดรูปให้ลู่เฟยดูขณะเดินทางไปทั่วยุทธภพ หากเดาไม่ผิดคงเป็นสิ่งที่เนรมิตขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเจ้าเล่ห์เหลี่ยมอะไรถึงทำให้เง็กเซียนฮ่องเต้ที่ปกครองแห่งทรวงสวรรค์มาอวยพรให้พวกเขา
    
       ทุกอย่างที่ผ่านมานั้นรวดเร็วจนจิวชงหยวนรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันไปจนอดที่จะหยิกแก้มตัวเองไม่ได้ แต่ต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บ ร่างสูงข้างกายหันมามองยกยิ้มบางอย่างขำๆ เพราะวันแรกที่ได้พบจิวชงหยวนก็ตบแก้มตัวเองเช่นกัน ก่อนจะรวบร่างโปร่งบางไปกอดมองดูดวงดาวบนฟ้าด้วยหัวใจสุขล้น
    
        “ข้ารักเจ้า” น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูชวนให้ใจสั่นระรัว จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนบอกรักด้วยรอยยิ้มบาง ไม่รู้ว่าลู่เฟยใช้เล่ห์กลอันใดที่ทำให้หัวใจเขามิอาจยกให้ใครได้อีก
    
       “ข้าก็รักเจ้าลู่เฟย”
    
        คำบอกรักที่ยากจะได้ยินทำให้ลู่เฟยกอดกระชับร่างโปร่งบางแน่นขึ้นด้วยหัวใจพองโต ดีใจที่ได้รับความรักจากคนรัก แม้เขาจะใช้เล่ห์รักเทวาสรรค์หนังสือระดับตำนานของเฒ่าจันทรา แต่มันก็คุ้มค่าที่เสียเวลาอ่านไป ใครบอกว่าหนังสือไม่มีประโยชน์อย่างน้อยเวลานี้ก็ทำให้ความรักที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานสิ้นสุดลง สัญญาว่าจะไม่ให้สิ่งใดมาพรากคนในอ้อมกอดไปได้อีกครั้ง แม้แต่ความตายก็ตาม!
    
        จิวชงหยวนกุมมือที่โอบเอวตนเองไว้ พร้อมซึมซับความหอมหวานและความอ่อนโยนที่ลู่เฟยมอบให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทำให้ยกยิ้มบาง
    
        ซึมซับม่านฟ้าพร่างพราวฝัน
   กระชับอ้อมกอดชมจันทร์ละหวั่นไหว
   เรื่องเล่าตำนานรักจากภพอันโพ้นไกล
    สิ้นสุดแล้วไซร้การรอคอยที่เนิ่นนาน...
   
                                           จบบริบูรณ์


  ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาถึง ณ ตรงนี้ หากไม่มีพวกท่านฟางคงไม่มาถึงจุดนี้ ขอบคุณทุกความสนับสนุนค่ะ
เว็ตเล้าฟางจะลงช้ากว่าเพื่อนเพราะฟางไม่ค่อยถนัดในการลงที่นี่เท่าไหร่ต้องขออภัยด้วยนะคะ หากใครอยากอ่านเร็วติดตามได้ที่เด็กดีค่ะเพราะฟางชอบไปสิงที่นั่นมากกว่า หากใครสนใจรูปเล่ม 2เล่มจบในราคา700บาทสามารถติดต่อสอบถามได้ที่หน้าแฟนเพจนะคะ สุดท้ายแล้ว ฟางฝากเรื่อง เล่ห์ร้ายจอมราชันย์  ภาคต่อของ เล่ห์รักเทวาสวรรค์ไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ปล.ใครรู้ว่าจบแล้วต้องย้ายไปที่ไหนบอกฟางจะเป็นกรุณามากค่าา แล้วเจอกันในเรื่องต่อไปค่าา  :mew1:

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2

ออฟไลน์ Youi_chin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2

ออฟไลน์ minmin96

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ชอบเรื่องนี้มาก...สนุกดี
คุณหมอเทวดาช่างเป็นผู้มีฟิโรโมนร้อนแรงจริงๆ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

อ่านแล้วอิน

อ่านแล้วฟิน

อ่านแล้วอยากอย่างอีก.....


ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่ถ่ายทอด ชอบมากจ๊ะ

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
จบแล้ววว อยากอ่านตอนพิเศษจังเลย 555555
ขอบคุณมากๆนะคะ ตามหานิยายจีนแบบนี้มานาน
ได้อ่านสมใจเลย แหะๆ

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ชอบอ่ะ อ่านเพลินจนลืมหลับลืมนอนเลย คนเขียนสุดยอดมากพูดเลย ขอบคุณคร้าบบบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด