[14]
PART 1
“ไอ้ฟ่า เสร็จงานแล้วพี่คีนมารับหรอวะ” ไอ้คิมถามผมขณะที่เรากำลังเตรียมฐานสำหรับรับน้องกัน ผมส่ายหน้ากับคำถามนั้น ก่อนจะบอกมัน
“ไอ้คีนกลับบ้านที่ใต้”
“อ้าว แล้วเมื่อเช้ากูเห็นรถพี่คีน พี่แกไม่ได้มาส่งมึงหรอวะ?” มันเลิกคิ้วถาม
“เออนั่นดิ กูก็เห็น” อีออมว่า พวกเราโชคดีที่ได้รับผิดชอบฐานเดียวกัน จะได้ไม่ต้องแยกกัน ผมไม่ค่อยสนิทกับคนอื่นเท่าไหร่ คือถ้าจะให้ทำงานร่วมกันน่ะได้ แต่มันก็ไม่สนิทใจเท่ากับสองคนนี้
“เออ มันมาส่งกูแล้วนั่งแท็กซี่ไปสนามบิน” แล้วมันก็ทิ้งรถมันไว้ให้ผมใช้ เพราะรถผมยังจอดแกร่วอยู่ที่บ้านอยู่เลย
“กูว่าช่วงนี้จะกลับไปนอนบ้านพ่อแม่ว่ะ มึงอ่ะ?” ไอ้คิมว่า
“กูก็เหมือนกัน” ผมบอก เพราะถึงแม้อาจจะต้องขับรถไกลขึ้นสักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าไม่ไปอยู่กับพ่อแม่ช่วงนี้ เปิดเทอมก็ยุ่งอีก ไม่มีเวลามากกว่าเดิม ผมสงสารพ่อกับแม่ พวกเขาก็มีผมแค่คนเดียว ส่วนอีออมมันไม่พูด เพราะมันอยู่กับพ่อแม่อยู่แล้ว
“มึงกับพี่คีนเป็นไงบ้างวะ” อีออมถามขึ้นมาในขณะที่ตัวเองกำลังเลื่อยไม้ แมนฉิบหาย สาววิศวะ
“เออ คบกันกี่วันแล้ว?” ไอ้คิมร่วมด้วย
“รวมวันนี้ก็หกวันพอดี ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา” ผมว่าชีวิตรักผมกับไอ้คีนนี่แม่งโคตรเรียบง่ายเลยเถอะ ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ใช้ชีวิตเรื่อยเหมือนปกติ แต่ที่มีเพิ่มขึ้นมาก็คือเหมือนเรามีอีกคนเข้ามาแชร์ความรู้สึก เข้ามาแชร์เรื่องราวในชีวิต และมีคนอีกคนให้เราดูแลเพิ่มจากที่ต้องดูแลแค่ตัวเอง
“พี่เขาดีมั้ยวะ?” อีออมถามอีก
“ทีตอนนี้มาถามว่าดีมั้ย ทีแต่ก่อนนี่เชียร์จัง” ผมแขวะมัน ยังจำกันอยู่ได้มั้ยครับ ว่าเมื่อก่อนตอนที่ผมกับไอ้คีนยังไม่คบกันพวกมันไซโคกันขนาดไหน
“เอ๋าก็พวกกูเป็นห่วงมึง เห็นพี่เขาคบใคร กี่รายๆ ไม่เกินสองอาทิตย์” เรื่องนี้ผมก็รู้ มันเคยเล่าให้ฟัง มันบอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมถึงเป็นแบบนั้น บางครั้งผู้หญิงก็ทนนิสัยมันไม่ได้หลายๆ อย่างแล้วมาขอเลิก หรือไม่ก็มันทนผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้แล้วขอเลิก แต่มันก็ยืนยันกับผมนักหนาว่ามันคบทีละคน ไม่มีพวกคบซ้อนอะไรพวกนั้นแน่นอน
“กูก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะอยู่ได้กี่วันกี่อาทิตย์ ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตเถอะ ตอนนี้ก็เรื่อยๆ ไปก่อน มีความสุขดีอยู่” ผมยิ้มให้พวกมันอีกที นี่ไม่ได้พูดเว่อร์ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ชอบที่ต้องซีเรียสกับเรื่องอนาคต อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด ถ้าสิ่งที่เกิดมันคือสิ่งที่ดีก็ถือว่ามีบุญมีวาสนา แต่ถ้าสิ่งที่เกิดดันไม่ดีก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรม ทุกวันนี้มีความสุขดีก็พอแล้ว
“เอาเถอะๆ พวกกูเชียร์อยู่แล้ว พี่คีนแม่งหล่อ” ไอ้คิมพูดแล้วทำหน้าเคลิ้มในความหล่อของไอ้คีน ผมก็เลยจัดการเสยตูดมันทีหนึ่ง ทีนี้มันก็ไล่ผมกลับ ผมก็วิ่งสิครับ ใครจะโง่อยู่ให้มันเสยกันล่ะ
“พวกมึ้งงงงงงงง หยุด!! หยุดเล่น มาช่วยกูทำงานเดี๋ยวนี้!!”
เฮือก!!
เสียงประกาศิตจากเจ้าแม่ออมฉวี ทำให้ผมกับไอ้คิมที่กำลังวิ่งเล่น ทำตัวไร้สาระกันอยู่หยุดกึก และเดินคอตกไปทำงานต่อทันที
แม่งอีออม!! มึงเป็นเพื่อนหรือเป็นแม่กูวะเนี่ยยยยย ฮรืออออ
>>>>><<<<<
“ถึงแล้วหรอ?” ผมถามปลายสายที่มันโทรมาขณะที่ผมกำลังกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆ ที่ลานเกียร์ ข้าวกล่องธรรมดานั่นแหละ เมื่อกี้พวกพี่ว่าที่บัณฑิตเขาแวะมากัน ก็เลยถือโอกาสเลี้ยงข้าวน้องๆ
((สักพักแล้ว อาบน้ำเรียบร้อยแล้วด้วย)) ไอ้คีนว่า ผมลองคำนวณเวลาดู ตอนนี้ห้าโมงเย็น มันไปไฟลท์บ่ายครึ่ง ถึงหาดใหญ่ไม่เกินบ่ายสามครึ่ง จากหาดใหญ่ถึงสงขลาไม่เกินสี่โมงสิบห้า อ่า โอเคๆ ถือว่าทำเวลาได้ดี
“จะออกข้างนอก?” ผมถาม
((เปล่า วันนี้ฟรี อยู่บ้านหนึ่งวัน))
“รอพี่แบงค์ไปถึงก่อนก็บอกเถอะ” ผมว่า ที่มันฟรีเดย์วันนี้ก็เพราะว่าขาดสมาชิกอย่างพี่แบงค์น่ะสิ ตอนนี้มีแค่มันกับพี่แม็ค
((หึหึ))
“หัวเราะนี่หมายความว่าไง”
((ก็ไม่ได้หมายความว่าไง แค่ดีใจที่มีแฟนรู้ใจไปซะทุกเรื่อง))
“มึงแม่ง แบบนี้ตลอด”
((นี่กูชมมึงอยู่นะฟ่า))
“ไม่ต้องเลย” ผมว่าเสียงงอนๆ ไม่ได้งอนอะไรหรอก แค่แกล้งมันไปงั้น ตอนแรกคิดว่าคงไม่คิดถึงเท่าไหร่ แต่พอได้ยินเสียงเท่านั้นแหละ แม่ง รู้เลยว่าคิดถึงมันฉิบหาย เฮ้อ นี่ยังคบกันไม่ถึงอาทิตย์เลยนะเว้ย
((โอ๋ๆ นี่กูคิดถึงมึงเลยนะเนี่ย ถึงปุ๊บ อาบน้ำ แล้วโทรหามึงก่อนเลย))
“นี่ถ้ามึงคิดถึงกูจริง มึงต้องโทรหากูก่อนดิ แล้วค่อยอาบน้ำ” นี่เลยกู หาเรื่องไปอีก
((ฮ่าๆ มึงนี่สุดยอดจริงๆ ว่ะฟ่า))
“แน่นอน” รู้ว่ามันด่า แต่กูสลดมั้ย ตอบเลยว่า. . .ไม่!!
((คิด. . .ง. . .))
“น้องฟ่าครับ” ไอ้คีนพูดว่าอะไรผมไม่ทันฟัง ได้ยินแค่แว่วๆ เท่านั้นเพราะมีคนมาเรียกผมไว้ซะก่อน
“ครับ. . .พี่นัทมีอะไรรึเปล่า” ผมถามกลับ พี่แกยิ้ม ถือกล่องข้าวมานั่งข้างผม ส่วนอีออมกับไอ้คิมหรอ มันไปแรดนั่งกับพี่ปีสามอยู่นู่น บอกว่าจะคุยเรื่องฐานกับกิจกรรมสันทนาการอะไรของมันนี่แหละ ผมว่ามันโกหกนั่นแหละ ที่จริงมันหาเรื่องไปอ่อยพี่เขามากกว่า
“พี่เห็นน้องฟ่านั่งกินข้าวคนเดียว กลัวจะเหงา เลยจะมากินเป็นเพื่อนน่ะครับ” พี่นัทตอบยิ้มๆ ผมพยักหน้ารับเป็นเชิงรับรู้ ยิ้มให้พี่แกนิดหน่อยให้พอเป็นมารยาท พอพี่นัทนั่ง ผมก็กลับมาสนใจปลายสายที่ถือสายโทรศัพท์ค้างไว้อีกครั้ง
“คีน. . .” ผมเรียก
((. . . . . .)) คำตอบที่ได้คือความเงียบ
“คีน. . .” ลงเรียกอีกครั้งเผื่อว่าเมื่อกี้มันอาจจะไม่ได้ยิน
((. . . . . .)) ก็ยังเงียบเหมือนเดิม
“คีน. . .เป็นอะไรรึเปล่า” ผมว่ามันชักจะเงียบผิดปกติ
((ไล่มันไป))
“ห๊ะ?” อะไร คือกูไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่มึงต้องการคืออะไร
((คนที่นั่งข้างมึงน่ะ ไอ้นัทใช่มั้ย ไล่มันไป)) คราวนี้มันบอกเสียงดังฟังชัด แค่เสียงดังฟังชัดนะครับ ไม่ใช่เสียงเข้ม หรือตะคอกอะไร มันก็เสียงปกติของมันนั่นแหละ
“เป็นอะไรรึเปล่า” ผมถาม เพราะเสียงมันแปลกๆ ถึงจะเสียงปกติ แต่มันน่าขนลุกแปลกๆ
((มึงรู้รึเปล่าว่ามันคิดอะไรกับมึง)) ฮือออออ อย่าขู่เขา. . .เขากลัวแล้วววว
“ก็. . .เอ่อ. . .รู้แหละ” ผมบอกเสียงอ้อมแอ้ม เพราะพี่นัทยังนั่งอยู่ข้างผม
((แล้วมึงปล่อยให้มันนั่งข้างมึงได้ไง ถ้าไม่ไล่มันไป มึงก็เดินออกมาเองเลย))
“คีน. . .กูว่ามึงพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ ไม่เชื่อใจกูหรอ” ผมถาม คือถามดีๆ น่ะครับ ไม่ได้หาเรื่องหรือว่าเหวี่ยงอะไร
((ไอ้เชื่อใจไม่เชื่อใจมันคนละเรื่องกับที่มันมานั่งข้างมึงฟ่า สองต่อสองอีก กูรู้นะว่าแถวนั้นไม่มีใคร)) มันว่ากลับมา คราวนี้น้ำเสียงเริ่มบ่จอยแล้ว
“มันเรื่องเดียวกัน แล้วกูก็ไม่ได้อยู่ห่างจากชาวบ้านเขาอะไรมากมาย” ผมเองก็บ่จอยเหมือนกัน พี่ๆ เพื่อนๆ เขาก็นั่งกันอยู่แถวนี้แหละ ไม่ได้ไกลอะไรมากมายขนาดนั้น
((ทั้งๆ ที่มันชอบมึง มึงยังยอมให้มันนั่งข้างมึงอีกหรอ))
“ก็กูไม่ได้คิดอะไรกับเขา มึงแม่งงี่เง่า” ผมเถียงแบบเริ่มหงุดหงิด ตอนนี้เลี่ยงออกมาจากพี่นัท มายืนคุยใต้ต้นไม้แทน
((เออ!! กูแม่งงี่เง่าก็ได้ ถ้ามึงจะยอมเดินออกห่างจากมัน ไอ้เหี้ยกรแม่งไปไหนวะ!!” ประโยคหลังมันเหมือนสบถกับตัวเองมากกว่า
“. . .” ผมเงียบบ้าง ไม่อยากเถียงให้กลายเป็นทะเลาะ
((เฮ้อ. . .กูแค่หวงมึง. . .ถ้ามันมากไปกูขอโทษด้วย)) มันว่าแค่นั้นแล้ววางสายไปเลย ผมนิ่งเลย ทำอะไรไม่ถูก งงว่าเราคุยกันอยู่ดีๆ ไม่ใช่หรอ ทำไมอยู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ แค่เพราะผมขัดใจมันงั้นหรอ ผมกดโทรกลับไป ปรากฏว่าไม่มีสัญญาณตอบรับ กูจะลองโทรไปอีกทีถ้าคราวนี้ไม่รับอีก กูจะไม่โทรแม่งแล้ว
((หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะนี้. . .))
แม่ง!! ปิดเครื่องใส่กูเลยหรอวะ นี่ห่างกันวันแรกก็จะทะเลาะกันเลยงั้นสิ
“น้องฟ่าเป็นอะไรรึเปล่าครับ อยู่ๆ ก็เดินออกไป” พอผมเดินกลับมาที่เดิม ปรากฏว่าพี่นัทก็ยังนั่งอยู่ ผมยิ้มให้พี่แกนิดหน่อย ไม่ได้ตอบอะไร แอบเซ็งหน้าพี่แกนิดหน่อยที่เป็นต้นเหตุให้ผมกับไอ้คีนต้องทะเลาะกัน
“ไอ้ฟ่า ทำไมหน้าเป็นตูดงั้นวะ” ไอ้คิมทัก ตอนนี้เราเริ่มทำงานกันอีกครั้ง ถึงแม้ฟ้าจะมืดแล้วก็ตาม
“เปล่า” ผมตอบกลับไปเซ็งๆ ไม่อยากเล่าให้เพื่อนฟังให้มันไม่สบายใจไปด้วย
“ถ้าเปล่าก็เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว แม่งทำหน้าไม่เข้ากับหน้าตา”
“อะไรของมึงอีคิม หน้าตาแบบกูแล้วกูต้องทำหน้ายังไงถึงจะเข้า”
“ก็หน้าตาน่ารักแบบมึง กรุณาทำหน้าให้สมกับความน่ารักหน่อย หนุ่มๆ เขาจะได้มีแรงทำงาน” ไอ้คิมว่าอีก ผมกลอกตาไปมา คือกูไม่รู้ว่าไอ้ทำหน้าให้น่ารักเขาต้องทำกันยังไง เกิดมากูก็น่ารักเองอยู่แล้ว คึคึ
Rrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของผมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เตือนว่ามีสายเข้า ผมเหลือบตาไปมองนิดหน่อย ก่อนจะตัดสินใจปล่อยมันไว้อย่างนั้น
“ทำไมไม่รับวะฟ่า” ไอ้คิมถาม
“เบอร์แปลก” ผมยักไหล่ ผมติดนิสัยไม่ค่อยรับเบอร์แปลก เพราะเมื่อก่อนชอบมีโรคจิตโทรมากวนอยู่เรื่อย เลยตัดปัญหา รับเฉพาะเบอร์ที่เม็มชื่อไว้เท่านั้น
“ถ้าเกิดมีเรื่องสำคัญขึ้นมาล่ะ”
“ไม่หรอก” ไม่ยักไหล่ ไอ้คิมเลยไม่สนใจอีก ผมก็เหมือนกัน ไม่สนใจว่าเบอร์แปลกเบอร์นั้นยังโทรมาหาผมอีกสามสี่สาย
“น้ำครับน้องฟ่า” เสียงคนเรียกด้านหลังเรียกผมให้หันไปสนใจ พี่นัทยืนถือแก้วกาแฟเย็นยี่ห้อดังแพงหูฉี่ยี่ห้อหนึ่ง ผมยิ้มให้พี่แกแต่ไม่ได้รับมา
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ชอบกาแฟร้านนี้” ผมให้เหตุผลไปแบบนี้ ที่จริงแล้วก็กินทั้งนั้นแหละ แต่ไม่อยากรับ ไม่อยากทำให้ไอ้คีนไม่สบายใจอีก ถ้าต้องถึงขั้นให้ของ เอาอกเอาใจกันขนาดนี้ ผมก็ไม่โอเคเหมือนกัน ถึงแม้ว่าไอ้คีนมันจะไม่เห็นก็ตาม
เมื่อเย็นที่นั่งข้างกันได้ ก็เพราะว่าผมไม่ได้สนใจ ไม่ได้พูดคุยอะไรกันทั้งนั้น พี่แกขอนั่ง ผมก็ให้นั่ง แต่ผมไม่สนใจเขาก็แค่นั้น นั่งได้ก็นั่งไปสิ แต่ไอ้คีนมันไม่ได้คิดอย่างที่ผมคิด แม่ง พูดแล้วเซ็ง
“อ้าวหรอครับ งั้นฟ่าชอบร้านไหน คราวหน้าพี่จะได้ซื้อมาให้ใหม่” พี่แกยังไม่ยอมแพ้
“คือว่า. . .”
“อ้าวกาแฟเย็น ดีเลย กูกำลังหิวน้ำพอดี” ขณะที่ผมกำลังจะปฏิเสธ พี่กรไม่รู้มาจากไหน พูดขัดแล้วก็ฉกแก้วกาแฟจากมือพี่นัทไปดูดปื้ดทันที
“แต่ผมซื้อมาให้น้องฟ่า” พี่นัทว่าเสียงอ่อย คงไม่กล้าจะโวยวายเท่าไหร่ อย่างน้อยพี่กรก็เป็นรุ่นพี่
“แต่กูได้ยินฟ่าบอกว่าไม่ชอบนี่ หรือว่ากูได้ยินผิด?” พี่กรหันมาถามผมในประโยคหลัง
“ครับ. . .ไม่ชอบ” ผมย้ำเสียงหนักแน่น ไม่ชอบทั้งกาแฟทั้งคนนั่นแหละ พี่นัทหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว
“งั้นฟ่าชอบร้านไหนครับ บอกพี่ได้นะ”
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมซื้อกินเองได้” ผมบอกเสียงจริงจัง
“มึงมากับกูไอ้นัท มีงานเยอะแยะเลย” พี่กรว่า ไม่รอให้พี่นัทพูดอะไร พี่แกก็ลากไปเลย ผมถอนหายใจออกมาทันที เฮ้ออออ
“หึหึ”
“หัวเราะอะไรของมึงอีออม”
“เปล๊า หัวเราะคนเสน่ห์แรง” อีออมว่า
“กูเบื่อแม่ง ตอนเย็นก็ทะเลาะกับไอ้คีนไปรอบนึงก็เพราะเรื่องนี้” ผมหลุดปากบอก ไอ้ออมชี้หน้าทันที ส่วนไอ้คิมถึงขั้นหยุดงานในมือ เพื่อเงยหน้ามาสนใจผม
“ฮ่าๆ หลุดจนได้ ที่หน้าเป็นตูดอยู่เมื่อกี้ก็เพราะทะเลาะกับแฟนสินะสินะ” อีออมว่า
“เออ แม่งงี่เง่า” แล้วผมก็เล่าเรื่องตอนที่คุยโทรศัพท์กับไอ้คีนเมื่อเย็น
“แล้วทำไมมึงไม่เดินออกมาวะ” ไอ้คิมพูดทันทีที่ผมเล่าจบ อีออมก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ก็พี่เขามานั่ง อยู่ๆ จะให้กูเดินหนีไปงั้น มันเสียมารยาทป่ะวะ” ผมเถียง
“พี่คีนเขาอยู่ไกล เขาก็ต้องคิดมากอยู่แล้ว มารยาทกับความสบายใจของแฟนมึง มึงจะเลือกอะไรวะ” ไอ้คิมว่าอีก ตอนนี้ผมเถียงไม่ออกแล้ว ไม่รู้จะพูดอะไร หรือว่าผมจะผิดจริงๆ วะ แม่ง กูคิดไม่ออกโว้ยยยย
“ยิ่งมีคนที่จ้องจะงาบมึงคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตอนพี่เขาไม่อยู่แบบนี้ เขาก็ต้องหวงมึงมากขึ้นธรรมดาอยู่แล้ว” เออ เอาเข้าไป อีออมก็ซ้ำอีก กูนี่เอ๋อแดกไปแล้ว
“แล้วโทรหาพี่เขารึยัง” ไอ้คิมถาม
“โทรแล้ว มันปิดเครื่อง” โทรครั้งเดียวตอนนั้นนั่นแหละ ก็ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองไม่ผิดนี่
“กลับบ้านแล้วโทรเลยนะ คุยกันให้รู้เรื่อง กูไม่ได้เข้าข้างใคร แค่ไม่อยากให้พวกมึงมีปัญหากัน ทั้งๆ ที่อยู่ไกลกันแบบนี้” อีออมว่าอีก ผมก็พยักหน้าหงึกหงักให้มัน ก่อนจะเริ่มทำงานต่อ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรเรื่องนี้อีก เอาวะ โทรก็โทร
.
.
.
.
.
((หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะนี้. . .))
TBC.